title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ฝากนายจ้างที่มีศูนย์เลี้ยงเด็กฯ จัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561 กสร.ฝากนายจ้างที่มีศูนย์เลี้ยงเด็กฯ จัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้างที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กฯ กว่า 80 แห่งทั่วประเทศจัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก พร้อมกําชับศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกสร. ดูแลสุขอนามัย ทําความสะอาดสิ่งแวดล้อมและเครื่องเล่น นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเตือนให้ระวังเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 กสร.ได้ขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเพื่อผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีจํานวน 88 แห่ง ให้จัดมาตรการในการป้องกันโรคดังกล่าว เช่น การตรวจคัดกรองเด็กทุกวัน การทําความสะอาดสิ่งแวดล้อมและของเล่นทุกวัน หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ําลาย น้ํามูกหรือสิ่งสกปรก มีมาตรการเคร่งครัดในการล้างมือให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ดูแลสัมผัสเด็กเล็ก เป็นต้น ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกสร.ทั้ง 2 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม และศูนย์เด็กเล็กฯ จังหวัดสมุทรปราการ จัดมาตรการในการดูแลป้องกันการติดต่อของโรคดังกล่าวด้วย นายทศพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้ขอให้สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานทั้งในการให้ความรู้กับผู้เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอันตราย และเป็นการร่วมกันขับเคลื่อน Safety Thailand ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ฝากนายจ้างที่มีศูนย์เลี้ยงเด็กฯ จัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561 กสร.ฝากนายจ้างที่มีศูนย์เลี้ยงเด็กฯ จัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้างที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กฯ กว่า 80 แห่งทั่วประเทศจัดมาตรการป้องกันโรคมือเท้าปาก พร้อมกําชับศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกสร. ดูแลสุขอนามัย ทําความสะอาดสิ่งแวดล้อมและเครื่องเล่น นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเตือนให้ระวังเด็กป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก จากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 กสร.ได้ขอความร่วมมือนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเพื่อผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีจํานวน 88 แห่ง ให้จัดมาตรการในการป้องกันโรคดังกล่าว เช่น การตรวจคัดกรองเด็กทุกวัน การทําความสะอาดสิ่งแวดล้อมและของเล่นทุกวัน หรือเมื่อมีการเปื้อนน้ําลาย น้ํามูกหรือสิ่งสกปรก มีมาตรการเคร่งครัดในการล้างมือให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับที่ดูแลสัมผัสเด็กเล็ก เป็นต้น ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกสร.ทั้ง 2 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม และศูนย์เด็กเล็กฯ จังหวัดสมุทรปราการ จัดมาตรการในการดูแลป้องกันการติดต่อของโรคดังกล่าวด้วย นายทศพล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ได้ขอให้สถานประกอบกิจการที่มีการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานทั้งในการให้ความรู้กับผู้เกี่ยวข้อง และในการตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอันตราย และเป็นการร่วมกันขับเคลื่อน Safety Thailand ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไตรมาส 1 กรุงไทยมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 18,403 ล้านบาท
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 ไตรมาส 1 กรุงไทยมีกําไรจากการดําเนินงานจํานวน 18,403 ล้านบาท ธ.กรุงไทย ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2560 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงาน 18,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.79 ธนาคารกรุงไทย ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2560 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงาน 18,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.79 ภายหลังหักสํารองหนี้สูญและภาษีเงินได้ มีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 8,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 992 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.16 ทั้งนี้รายได้หลักยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 479 ล้านบาท และธนาคารมีการบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสม โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี ภาคการส่งออกสินค้าฟื้นตัว การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวขยายตัว การใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ ในไตรมาส 1/2560 ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อ 1,913,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,198 ล้านบาท จากลูกค้าภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่ มีเงินฝาก 1,991,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,040 ล้านบาทจากสิ้นปี 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยได้กันสํารองหนี้สูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจํานวน 7,460 ล้านบาท ลดลง 1,163 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินสํารองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เท่ากับร้อยละ 112.11 ลดลงจากร้อยละ 121.57 ณ 31 ธันวาคม 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ 31 มีนาคม 2560 จํานวน 100,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,254 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.15 จากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และลูกค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในบางอุตสาหกรรม อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ NPL Ratio (Net) เท่ากับร้อยละ 1.94 และ NPL Ratio (Gross) เท่ากับร้อยละ 4.36 ทั้งนี้ธนาคารได้ดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด มีความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อ รวมทั้งให้ความสําคัญในการติดตามหนี้อย่างรวดเร็ว และปรับโครงสร้างหนี้ตามความเหมาะสม ธนาคารมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของและเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 243,521 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.01 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง เงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 311,466 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.64 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง สําหรับอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารที่ได้รับ Standard & Poor’s ระยะยาว/ระยะสั้น BBB / A-2 Moody’s Investors Service ระยะยาว/ระยะสั้น Baa1 / P-2 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไตรมาส 1 กรุงไทยมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 18,403 ล้านบาท วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 ไตรมาส 1 กรุงไทยมีกําไรจากการดําเนินงานจํานวน 18,403 ล้านบาท ธ.กรุงไทย ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2560 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงาน 18,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.79 ธนาคารกรุงไทย ประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2560 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงาน 18,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.79 ภายหลังหักสํารองหนี้สูญและภาษีเงินได้ มีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร 8,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 992 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.16 ทั้งนี้รายได้หลักยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 479 ล้านบาท และธนาคารมีการบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสม โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี ภาคการส่งออกสินค้าฟื้นตัว การบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวขยายตัว การใช้จ่ายภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ ในไตรมาส 1/2560 ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินให้สินเชื่อ 1,913,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,198 ล้านบาท จากลูกค้าภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่ มีเงินฝาก 1,991,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,040 ล้านบาทจากสิ้นปี 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยได้กันสํารองหนี้สูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจํานวน 7,460 ล้านบาท ลดลง 1,163 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินสํารองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เท่ากับร้อยละ 112.11 ลดลงจากร้อยละ 121.57 ณ 31 ธันวาคม 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ 31 มีนาคม 2560 จํานวน 100,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,254 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.15 จากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และลูกค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในบางอุตสาหกรรม อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ NPL Ratio (Net) เท่ากับร้อยละ 1.94 และ NPL Ratio (Gross) เท่ากับร้อยละ 4.36 ทั้งนี้ธนาคารได้ดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด มีความระมัดระวังในการพิจารณาสินเชื่อ รวมทั้งให้ความสําคัญในการติดตามหนี้อย่างรวดเร็ว และปรับโครงสร้างหนี้ตามความเหมาะสม ธนาคารมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของและเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 243,521 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.01 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง เงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 311,466 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.64 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง สําหรับอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารที่ได้รับ Standard & Poor’s ระยะยาว/ระยะสั้น BBB / A-2 Moody’s Investors Service ระยะยาว/ระยะสั้น Baa1 / P-2 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนำเคร่งครัด
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนําเคร่งครัด วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนําเคร่งครัด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นรัฐบาลได้มีข้อสั่งการและออกมาตรการต่างๆ โดยให้มีการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในการคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มข้น และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคําแนะนําต่างๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งตนเอง และผู้อื่นนั้น ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีหน่วยงานในสังกัดที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่ออํานวยความความสะดวกแก่ประชาชน เนื่องจากกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป เกี่ยวกับพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานแก่ผู้วายชนม์ที่ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติที่มีสิทธิตามหลักเกณฑ์ของ สํานักพระราชวัง ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การปฏิบัติงานเกี่ยวกับพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี สังกัดกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานกรุงเทพมหานคร และกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๑-๑๕ รวมทั้งกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด๗๖ จังหวัด ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี มากกว่า ๒,๑๑๐ คน ทั่วประเทศนั้น ยังคงทําหน้าที่ในการอํานวยความสะดวกและปฏิบัติงานตามหมายรับสั่งของสํานักพระราชวัง ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแล คัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค วธ. โดยกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ได้จัดทําแนวทางการปฏิบัติในการเฝ้าระวัง และป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีเพิ่มเติมจากมาตรการและแนวทางปฏิบัติฯ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยได้ออกหนังสือแจ้งให้หน่วยงานทั้งส่วนกลาง และวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีรับทราบถึงแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าว สําหรับมาตรการและแนวทางปฏิบัติฯ ในการดูแลเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ๑. จัดให้มีจุดคัดกรอง วัดไข้ มีจุดล้างมือ มีแอลกอฮอล์ให้บริการ และให้สังเกตอาการเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทุกวันก่อนเคารพธงชาติ หากพบเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีมีอาการเจ็บป่วยหรือเสี่ยงในการติดเชื้อโดยส่วนกลางให้รายงานให้ผู้บริหารรับทราบ และส่วนภูมิภาคให้รายงานให้วัฒนธรรมจังหวัดทราบทันที ๒. กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลประกาศและแนะนําให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ๓. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตามหมายรับสั่งให้แต่งกายตามชุดที่ปฏิบัติ และสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม ๔. ระหว่างการประกอบพิธีสุกําศพ ให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วให้รีบล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล และเมื่อกลับถึงที่พักให้รีบอาบน้ําชําระร่างกายและซักทําความสะอาดชุดที่สวมใส่ไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวทันที เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้กําชับให้ผู้บริหาร วธ. และวัฒนธรรมจังหวัด ดูแลและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีอย่างใกล้ชิด โดยให้รายงานผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารระดับสูง รับทราบอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนำเคร่งครัด วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนําเคร่งครัด วธ. ออกมาตรการ - แนวทางปฏิบัติในการคัดกรอง เฝ้าระวังดูแล เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทั่วประเทศ-แนะปฏิบัติตามข้อแนะนําเคร่งครัด นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีจํานวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นรัฐบาลได้มีข้อสั่งการและออกมาตรการต่างๆ โดยให้มีการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในการคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มข้น และขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคําแนะนําต่างๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งตนเอง และผู้อื่นนั้น ในส่วนกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีหน่วยงานในสังกัดที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่เพื่ออํานวยความความสะดวกแก่ประชาชน เนื่องจากกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับมอบภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป เกี่ยวกับพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานแก่ผู้วายชนม์ที่ประกอบคุณงามความดีต่อประเทศชาติที่มีสิทธิตามหลักเกณฑ์ของ สํานักพระราชวัง ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การปฏิบัติงานเกี่ยวกับพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี สังกัดกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานกรุงเทพมหานคร และกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๑-๑๕ รวมทั้งกลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด๗๖ จังหวัด ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี มากกว่า ๒,๑๑๐ คน ทั่วประเทศนั้น ยังคงทําหน้าที่ในการอํานวยความสะดวกและปฏิบัติงานตามหมายรับสั่งของสํานักพระราชวัง ดังนั้น เพื่อเป็นการดูแล คัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค วธ. โดยกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ได้จัดทําแนวทางการปฏิบัติในการเฝ้าระวัง และป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีเพิ่มเติมจากมาตรการและแนวทางปฏิบัติฯ ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยได้ออกหนังสือแจ้งให้หน่วยงานทั้งส่วนกลาง และวัฒนธรรมจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีรับทราบถึงแนวทางและมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าว สําหรับมาตรการและแนวทางปฏิบัติฯ ในการดูแลเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ๑. จัดให้มีจุดคัดกรอง วัดไข้ มีจุดล้างมือ มีแอลกอฮอล์ให้บริการ และให้สังเกตอาการเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีทุกวันก่อนเคารพธงชาติ หากพบเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีมีอาการเจ็บป่วยหรือเสี่ยงในการติดเชื้อโดยส่วนกลางให้รายงานให้ผู้บริหารรับทราบ และส่วนภูมิภาคให้รายงานให้วัฒนธรรมจังหวัดทราบทันที ๒. กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข และมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลประกาศและแนะนําให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ๓. เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตามหมายรับสั่งให้แต่งกายตามชุดที่ปฏิบัติ และสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม ๔. ระหว่างการประกอบพิธีสุกําศพ ให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วให้รีบล้างมือให้สะอาดด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล และเมื่อกลับถึงที่พักให้รีบอาบน้ําชําระร่างกายและซักทําความสะอาดชุดที่สวมใส่ไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวทันที เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้กําชับให้ผู้บริหาร วธ. และวัฒนธรรมจังหวัด ดูแลและติดตามการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธีอย่างใกล้ชิด โดยให้รายงานผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารระดับสูง รับทราบอย่างต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ย้ายที่ทำการสาขาตาก จากอำเภอเมือง ไปยัง “อำเภอแม่สอด” หนุน ผปก. SMEs รุกค้าขายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ธพว. ย้ายที่ทําการสาขาตาก จากอําเภอเมือง ไปยัง “อําเภอแม่สอด” หนุน ผปก. SMEs รุกค้าขายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) มีพิธีเปิดที่ทําการสาขาตากแห่งใหม่ ณ อาคารเลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) มีพิธีเปิดที่ทําการสาขาตากแห่งใหม่ ณ อาคารเลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยมีนายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานเปิดงาน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank ให้การต้อนรับ พร้อมร่วมเปิดที่ทําการอย่างเป็นทางการ พร้อมกับมอบป้ายสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อแฟคเตอริ่ง และ SMEs บัญชีเดียว นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank เปิดเผยว่า การย้ายที่ทําการสาขาตาก จากอําเภอเมือง มาตั้งที่ทําการใหม่ ณ อําเภอแม่สอด มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเพิ่มบริการด้านการเงิน การลงทุน และศักยภาพการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าไปค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้อําเภอแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจในกลุ่ม AEC ซึ่งมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 20% ต่อปี ถือว่าสูงมาก และอําเภอแม่สอดเป็นจุดเชื่อมต่อเมืองเมียววดีที่มีนิคมอุตสาหกรรม มีสินค้าอุปโภค-บริโภคกว่า 80% มาจากฝั่งไทยเป็นที่นิยมของชาวเมียนมาร์ “สาขาตากแห่งใหม่จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ในอําเภอแม่สอด และจังหวัดใกล้เคียง สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพส่งออกได้จํานวนมาก และมีการขยายการลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างหลากหลายในอัตราดอกเบี้ยต่ํา อาทิ สินเชื่อแฟคเตอริ่ง ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี เบิกจ่ายรวดเร็วทันใจภายใน 1 วันทําการ ช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ธุรกิจ สินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว และสินเชื่อ SMART SMEs บัญชีเดียว วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผลักดันให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาปรับเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล หรือรูปแบบบริษัท เพื่อการเติบโตในระยะยาว” นอกเหนือบริการด้านสินเชื่อแล้ว ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบสาขาให้ทันสมัยมากขึ้น ตามนโยบาย 4.0 เน้นการนําเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มาใช้ในการให้บริการ ทั้งด้านบริการสินเชื่อ การบริการข้อมูลข่าวสาร การพัฒนาผู้ประกอบการ ทั้งด้านองค์ความรู้และส่งเสริมการตลาดเพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวก้าวสู่การค้ากับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างต่อเนื่อง นําโดย นายพีรวัส กิ่งแก้ว ผู้จัดการสาขา มือถือ 085-980-8082 และทีมงานพร้อมให้คําปรึกษาด้านสินเชื่อและบริการอื่นๆ ของธนาคาร ได้ที่ สาขาตาก เลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก โทรศัพท์ 055-506-971-2 ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม มือถือ 085-980-7861 โทร. 0-265-4574-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ย้ายที่ทำการสาขาตาก จากอำเภอเมือง ไปยัง “อำเภอแม่สอด” หนุน ผปก. SMEs รุกค้าขายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ธพว. ย้ายที่ทําการสาขาตาก จากอําเภอเมือง ไปยัง “อําเภอแม่สอด” หนุน ผปก. SMEs รุกค้าขายในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) มีพิธีเปิดที่ทําการสาขาตากแห่งใหม่ ณ อาคารเลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) มีพิธีเปิดที่ทําการสาขาตากแห่งใหม่ ณ อาคารเลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยมีนายสุทธา สายวาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานเปิดงาน นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank ให้การต้อนรับ พร้อมร่วมเปิดที่ทําการอย่างเป็นทางการ พร้อมกับมอบป้ายสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการอนุมัติสินเชื่อแฟคเตอริ่ง และ SMEs บัญชีเดียว นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank เปิดเผยว่า การย้ายที่ทําการสาขาตาก จากอําเภอเมือง มาตั้งที่ทําการใหม่ ณ อําเภอแม่สอด มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเพิ่มบริการด้านการเงิน การลงทุน และศักยภาพการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าไปค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้อําเภอแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ รองรับการเติบโตเศรษฐกิจในกลุ่ม AEC ซึ่งมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 20% ต่อปี ถือว่าสูงมาก และอําเภอแม่สอดเป็นจุดเชื่อมต่อเมืองเมียววดีที่มีนิคมอุตสาหกรรม มีสินค้าอุปโภค-บริโภคกว่า 80% มาจากฝั่งไทยเป็นที่นิยมของชาวเมียนมาร์ “สาขาตากแห่งใหม่จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ในอําเภอแม่สอด และจังหวัดใกล้เคียง สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพส่งออกได้จํานวนมาก และมีการขยายการลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างหลากหลายในอัตราดอกเบี้ยต่ํา อาทิ สินเชื่อแฟคเตอริ่ง ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี เบิกจ่ายรวดเร็วทันใจภายใน 1 วันทําการ ช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ธุรกิจ สินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว และสินเชื่อ SMART SMEs บัญชีเดียว วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผลักดันให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาปรับเปลี่ยนเป็นนิติบุคคล หรือรูปแบบบริษัท เพื่อการเติบโตในระยะยาว” นอกเหนือบริการด้านสินเชื่อแล้ว ธนาคารได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบสาขาให้ทันสมัยมากขึ้น ตามนโยบาย 4.0 เน้นการนําเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) มาใช้ในการให้บริการ ทั้งด้านบริการสินเชื่อ การบริการข้อมูลข่าวสาร การพัฒนาผู้ประกอบการ ทั้งด้านองค์ความรู้และส่งเสริมการตลาดเพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการเตรียมตัวก้าวสู่การค้ากับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างต่อเนื่อง นําโดย นายพีรวัส กิ่งแก้ว ผู้จัดการสาขา มือถือ 085-980-8082 และทีมงานพร้อมให้คําปรึกษาด้านสินเชื่อและบริการอื่นๆ ของธนาคาร ได้ที่ สาขาตาก เลขที่ 17/26 ถนนเอเชีย ตําบลแม่สอด อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก โทรศัพท์ 055-506-971-2 ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม มือถือ 085-980-7861 โทร. 0-265-4574-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี วันนี้ (31 พ.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 79/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีหญิงรายหนึ่งต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิต ทั้งลูกสาวที่นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขนขาหงิกงอ มีอาการชักเกร็ง ต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ และให้อาหารทางสายยาง และหลานชายวัย 2 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี และกรณีหญิงชราวัย 66 ปี อาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ไม่มีไฟฟ้า น้ําประปา และห้องน้ําใช้ ด้านสามีทอดทิ้งไป มีลูก 4 คน แต่ทอดทิ้งไปไม่เคยกลับมาเหลียวแล ที่จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้ง กรณีชายรายหนึ่งต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลแม่แก่ชราวัยประมาณ 70 ปี ที่ป่วย เป็นโรคเบาหวาน และตาบอด 1 ข้าง และหลานชายวัย 5 ขวบ ที่พิการทางร่างกายตั้งแต่กําเนิด นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขน-ขาลีบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดลพบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สุราษฏร์ธานี พมจ.สุรินทร์ และ พมจ.ลพบุรี พร้อมทีม One Home ทั้ง 3 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 3 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และ ดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีหญิงวัย 29 ปี ป่วยเป็นเบาหวาน ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงลูก 3 คน ซึ่งคนโตพิการ และคนเล็กเสี่ยงตาบอด ที่จังหวัดสุรินทร์ นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้กําลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน และเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ รวมทั้ง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ 2 ) กรณีชายวัย 28 ปี ก่อเหตูทําร้ายร่างกายลูกชายวัย 5 เดือน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่จังหวัดปราจีนบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้คําปรึกษาและให้กําลังใจ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดูแลสภาพจิตใจมารดาของเด็กเนื่องจากอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ทั้งนี้ ร่วมกันวางแผนให้ความช่วยเหลือการประกอบอาชีพ และการดําเนินชีวิตต่อไป ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และประชาชนทุกคน หากพบเบาะแสการกระทํา ความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2561 พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี พม. เร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.สุราษฏร์ธานี สุรินทร์ และลพบุรี วันนี้ (31 พ.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 79/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีหญิงรายหนึ่งต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิต ทั้งลูกสาวที่นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขนขาหงิกงอ มีอาการชักเกร็ง ต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ และให้อาหารทางสายยาง และหลานชายวัย 2 ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี และกรณีหญิงชราวัย 66 ปี อาศัยอยู่เพียงลําพังในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ไม่มีไฟฟ้า น้ําประปา และห้องน้ําใช้ ด้านสามีทอดทิ้งไป มีลูก 4 คน แต่ทอดทิ้งไปไม่เคยกลับมาเหลียวแล ที่จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้ง กรณีชายรายหนึ่งต้องลาออกจากงาน เพื่อมาอยู่ดูแลแม่แก่ชราวัยประมาณ 70 ปี ที่ป่วย เป็นโรคเบาหวาน และตาบอด 1 ข้าง และหลานชายวัย 5 ขวบ ที่พิการทางร่างกายตั้งแต่กําเนิด นอนป่วยติดเตียงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แขน-ขาลีบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดลพบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่ พมจ.สุราษฏร์ธานี พมจ.สุรินทร์ และ พมจ.ลพบุรี พร้อมทีม One Home ทั้ง 3 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 3 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยผู้ที่ป่วยทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และ ดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัย ให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง การให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีหญิงวัย 29 ปี ป่วยเป็นเบาหวาน ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงลูก 3 คน ซึ่งคนโตพิการ และคนเล็กเสี่ยงตาบอด ที่จังหวัดสุรินทร์ นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้กําลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน และเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ รวมทั้ง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ 2 ) กรณีชายวัย 28 ปี ก่อเหตูทําร้ายร่างกายลูกชายวัย 5 เดือน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่จังหวัดปราจีนบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้คําปรึกษาและให้กําลังใจ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดูแลสภาพจิตใจมารดาของเด็กเนื่องจากอยู่ในสภาวะซึมเศร้า ทั้งนี้ ร่วมกันวางแผนให้ความช่วยเหลือการประกอบอาชีพ และการดําเนินชีวิตต่อไป ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครอง บุคคลใกล้ชิดในครอบครัว และประชาชนทุกคน หากพบเบาะแสการกระทํา ความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวิทย์ฯ เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกำจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีวิทย์ฯ เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แม่เหียะ) โดยโรงงานต้นแบบนี้มีหลักการทํางานจากการประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งมีความสามารถในการแทรกผ่านเข้าไปในชั้นโมเลกุลภายในเมล็ดข้าว จนเกิดการสั่นสะเทือนเป็นจํานวนล้านครั้งในเวลาหนึ่งวินาที ทําให้เกิดความร้อนสูง ตัวมอดในข้าวและไข่มอดที่ฝังอยู่ในเมล็ดข้าวจึงตายทําให้ข้าวสารที่ผ่านกระบวนการนี้จะปราศจากมอดโดยสิ้นเชิง ซึ่งวิธีนี้ปลอดภัยกว่าวิธีรมควันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพราะจะไร้สารเคมีตกค้าง นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิดขึ้นยังลดความชื้นในข้าวได้อีก 1% ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าข้าวอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) ได้ให้ทุนสนับสนุนรวมเป็นเงิน 35.83 ล้านบาท (24.5 ล้านบาท, 3 ล้านบาท และ 8.33 ล้านบาท ตามลําดับ) ผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) สร้างโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีกําจัดแมลงและไข่แมลงด้วยคลื่นความถี่วิทยุ โดยโรงงานต้นแบบฯ ถูกออกแบบและพัฒนาให้มีระบบที่เหมาะสมกับการติดตั้งเข้ากับระบบโรงสีข้าวในปัจจุบัน โดยใช้หลักการทํางานแบบไหลต่อเนื่องตั้งแต่การรับวัตถุดิบ (Continuous) มีการพัฒนากระบวนการกําจัดแมลงและไข่แมลง (RF Treatment Process) ที่ออกแบบเป็นการเฉพาะร่วมกับห้องที่ให้ความร้อน (Chamber) เพื่อให้มีการกระจายตัวของความร้อนอย่างสม่ําเสมอ (Uniform Thermal Distribution) ซึ่งรับรองคุณภาพโดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) โดยมีอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทําหน้าที่เป็นแม่ข่าย ซึ่งอุทยานฯ คาดการว่าเทคโนโลยี UTD RF จะสามารถเพิ่มมูลค่าข้าวฯมากกว่า 10-15 บาทต่อกิโลกรัม หรือ ประมาณการมูลค่าเพิ่มจากข้าวที่ผ่านเครื่องฯ จํานวน 150 เครื่อง โดยเฉลี่ยประมาณ 432,000 ตัน/ปี หรือ 2,160,000 ตันภายในระยะเวลา 5 ปี คิดเป็นเงิน 21,600 ล้านบาท ปัจจุบัน อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้กับภาคเอกชนเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แล้ว ถือเป็นการนํางานวิจัยมาต่อยอดให้ใช้ประโยชน์ได้จริง และยังผลักดันจนถึงปลายทาง เพื่อให้เกษตรกรตลอดจนชุมชนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ในวงกว้างมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวิทย์ฯ เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกำจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีวิทย์ฯ เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีการลดความชื้นและกําจัดแมลงในข้าวด้วยคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (แม่เหียะ) โดยโรงงานต้นแบบนี้มีหลักการทํางานจากการประยุกต์ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงคลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งมีความสามารถในการแทรกผ่านเข้าไปในชั้นโมเลกุลภายในเมล็ดข้าว จนเกิดการสั่นสะเทือนเป็นจํานวนล้านครั้งในเวลาหนึ่งวินาที ทําให้เกิดความร้อนสูง ตัวมอดในข้าวและไข่มอดที่ฝังอยู่ในเมล็ดข้าวจึงตายทําให้ข้าวสารที่ผ่านกระบวนการนี้จะปราศจากมอดโดยสิ้นเชิง ซึ่งวิธีนี้ปลอดภัยกว่าวิธีรมควันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพราะจะไร้สารเคมีตกค้าง นอกจากนี้ ความร้อนที่เกิดขึ้นยังลดความชื้นในข้าวได้อีก 1% ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าข้าวอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) ได้ให้ทุนสนับสนุนรวมเป็นเงิน 35.83 ล้านบาท (24.5 ล้านบาท, 3 ล้านบาท และ 8.33 ล้านบาท ตามลําดับ) ผ่านอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) สร้างโรงงานต้นแบบเทคโนโลยีกําจัดแมลงและไข่แมลงด้วยคลื่นความถี่วิทยุ โดยโรงงานต้นแบบฯ ถูกออกแบบและพัฒนาให้มีระบบที่เหมาะสมกับการติดตั้งเข้ากับระบบโรงสีข้าวในปัจจุบัน โดยใช้หลักการทํางานแบบไหลต่อเนื่องตั้งแต่การรับวัตถุดิบ (Continuous) มีการพัฒนากระบวนการกําจัดแมลงและไข่แมลง (RF Treatment Process) ที่ออกแบบเป็นการเฉพาะร่วมกับห้องที่ให้ความร้อน (Chamber) เพื่อให้มีการกระจายตัวของความร้อนอย่างสม่ําเสมอ (Uniform Thermal Distribution) ซึ่งรับรองคุณภาพโดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จ.เชียงใหม่) โดยมีอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทําหน้าที่เป็นแม่ข่าย ซึ่งอุทยานฯ คาดการว่าเทคโนโลยี UTD RF จะสามารถเพิ่มมูลค่าข้าวฯมากกว่า 10-15 บาทต่อกิโลกรัม หรือ ประมาณการมูลค่าเพิ่มจากข้าวที่ผ่านเครื่องฯ จํานวน 150 เครื่อง โดยเฉลี่ยประมาณ 432,000 ตัน/ปี หรือ 2,160,000 ตันภายในระยะเวลา 5 ปี คิดเป็นเงิน 21,600 ล้านบาท ปัจจุบัน อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้กับภาคเอกชนเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์แล้ว ถือเป็นการนํางานวิจัยมาต่อยอดให้ใช้ประโยชน์ได้จริง และยังผลักดันจนถึงปลายทาง เพื่อให้เกษตรกรตลอดจนชุมชนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ในวงกว้างมากขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย
วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย วันนี้ (24 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. 60 นี้ โดยได้เร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีดีซี ในร้านธงฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว 3,000 แห่งทั่วประเทศ และมีเป้าหมายจะติดตั้งให้ได้ถึง 5,700 ร้านค้าภายในต้นเดือน ต.ค.60 “ส่วนในพื้นที่ที่ร้านธงฟ้าไม่สามารถติดตั้งเครื่องรูดบัตรได้ทัน กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมจัดรถโมบายเคลื่อนที่ประมาณ 200 คัน ที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตรแล้ว ออกไปจําหน่ายสินค้าธงฟ้าประชารัฐให้แก่ประชาชน ซึ่งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางกําลังรวบรวมข้อมูลร้านค้าและสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ และจะส่งไปยังสาขาต่าง ๆ ของ ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น" นอกจากนี้ รถโดยสารของ ขสมก. ก็ได้ติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) แล้วเช่นกัน โดยติดตั้งในรถโดยสารธรรมดา จํานวน 200 คัน และจะทยอยติดตั้งให้ครบ 800 คัน ให้ครอบคลุมพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ซึ่งรถที่ร่วมโครงการจะติดสติ๊กเกอร์สีเขียวระบุข้อความว่า “รถคันนี้ใช้ระบบเก็บเงินอัตโนมัติ” ซึ่งผู้ถือบัตรเพียงนําบัตรแตะที่เครื่องอ่านบัตร ระบบจะหักค่าใช้จ่ายทันที ทั้งนี้ ผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร ซึ่งมีจํานวนประมาณ 1.3 ล้านคน จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวันที่ 17 ต.ค.60 เนื่องจากภาครัฐมีความจําเป็นต้องบรรจุข้อมูลลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่สอดคล้องกับมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม) ของสํานักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ซึ่งจะเชื่อมโยงการเดินทางด้วยรถโดยสาร ขสมก. และรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน จึงทําให้ต้องเพิ่มขั้นตอนการผลิตและควบคุมคุณภาพ ก่อนนําไปทดสอบกับเครื่องอ่านบัตร (E-Ticket) ต่อไป "รัฐจะชดเชยสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย อันเนื่องมาจากขั้นตอนการผลิตที่ใช้เวลานานขึ้น โดยกรมบัญชีกลางจะยกยอดวงเงินสวัสดิการที่คงเหลือจากการใช้จ่ายในเดือนต.ค.60 ให้ไปใช้ต่อได้ในเดือนพ.ย.60 ส่วนเดือนอื่นจะไม่มีการทบยอดคงเหลือแต่อย่างใด" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระเตรียมรองรับการใช้งานบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เกิดความรัดกุม และในระยะแรกควรศึกษาและประเมินผลการทํางานและข้อบกพร่องทุกเดือน เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขให้สําเร็จอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งย้ําว่าการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น เป็นเพียงการช่วยแบ่งเบาภาระในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวรัฐบาลก็มีหน้าที่ส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําของสังคมตามนโยบายของรัฐบาล ...................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลเดินหน้าติดเครื่องรูดบัตรกว่า 5 พันร้านค้า รถโดยสารอีก 800 คัน รองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมเตรียมประเมินผลทุกเดือน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย วันนี้ (24 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. 60 นี้ โดยได้เร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีดีซี ในร้านธงฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว 3,000 แห่งทั่วประเทศ และมีเป้าหมายจะติดตั้งให้ได้ถึง 5,700 ร้านค้าภายในต้นเดือน ต.ค.60 “ส่วนในพื้นที่ที่ร้านธงฟ้าไม่สามารถติดตั้งเครื่องรูดบัตรได้ทัน กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมจัดรถโมบายเคลื่อนที่ประมาณ 200 คัน ที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตรแล้ว ออกไปจําหน่ายสินค้าธงฟ้าประชารัฐให้แก่ประชาชน ซึ่งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าอื่น ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางกําลังรวบรวมข้อมูลร้านค้าและสินค้าที่เข้าร่วมโครงการ และจะส่งไปยังสาขาต่าง ๆ ของ ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น" นอกจากนี้ รถโดยสารของ ขสมก. ก็ได้ติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) แล้วเช่นกัน โดยติดตั้งในรถโดยสารธรรมดา จํานวน 200 คัน และจะทยอยติดตั้งให้ครบ 800 คัน ให้ครอบคลุมพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ซึ่งรถที่ร่วมโครงการจะติดสติ๊กเกอร์สีเขียวระบุข้อความว่า “รถคันนี้ใช้ระบบเก็บเงินอัตโนมัติ” ซึ่งผู้ถือบัตรเพียงนําบัตรแตะที่เครื่องอ่านบัตร ระบบจะหักค่าใช้จ่ายทันที ทั้งนี้ ผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้ใน 7 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร ซึ่งมีจํานวนประมาณ 1.3 ล้านคน จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวันที่ 17 ต.ค.60 เนื่องจากภาครัฐมีความจําเป็นต้องบรรจุข้อมูลลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่สอดคล้องกับมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม) ของสํานักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ซึ่งจะเชื่อมโยงการเดินทางด้วยรถโดยสาร ขสมก. และรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน จึงทําให้ต้องเพิ่มขั้นตอนการผลิตและควบคุมคุณภาพ ก่อนนําไปทดสอบกับเครื่องอ่านบัตร (E-Ticket) ต่อไป "รัฐจะชดเชยสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย อันเนื่องมาจากขั้นตอนการผลิตที่ใช้เวลานานขึ้น โดยกรมบัญชีกลางจะยกยอดวงเงินสวัสดิการที่คงเหลือจากการใช้จ่ายในเดือนต.ค.60 ให้ไปใช้ต่อได้ในเดือนพ.ย.60 ส่วนเดือนอื่นจะไม่มีการทบยอดคงเหลือแต่อย่างใด" พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระเตรียมรองรับการใช้งานบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เกิดความรัดกุม และในระยะแรกควรศึกษาและประเมินผลการทํางานและข้อบกพร่องทุกเดือน เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขให้สําเร็จอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งย้ําว่าการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น เป็นเพียงการช่วยแบ่งเบาภาระในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวรัฐบาลก็มีหน้าที่ส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําของสังคมตามนโยบายของรัฐบาล ...................................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)”
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” รองนรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” วันที่ (23 สิงหาคม 2560) เวลา 09.30 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ระหว่างวันที่ 23 – 27 สิงหาคม 2560 โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นักวิจัยจากภาครัฐและเอกชน ตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและตัวแทนสื่อมวลชน จํานวนประมาณ 600 คน โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงานว่า การจัดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” เป็นเวทีระดับชาติที่นําเสนอผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมการวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการองค์ความรู้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติเชิงวิชาการ นโยบาย สังคม ชุมชน และพาณิชย์/อุตสาหกรรม โดยเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2549 ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ และสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้มีการนําเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมการวิจัยที่มีคุณภาพ การจัดงานครั้งนี้ ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 12 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการวิจัย” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานวิจัยไทย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างสรรค์ และสร้างแรงขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาให้เกิดการนําองค์ความรู้ ผลผลิต เทคโนโลยี และนวัตกรรม จากการวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ตลอดจนเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงการวิจัยของไทยที่มีศักยภาพไปสู่กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ระดับประเทศและนานาชาติ ภายใต้แนวคิด “วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” กิจกรรมภายในงาน ได้แก่ การแสดงนิทรรศการ พร้อมนําเสนอผลงานมากกว่า 500 ผลงาน ใน 7 ประเด็นกลุ่มเรื่องวิจัย ได้แก่ งานวิจัยเพื่อความมั่งคง งานวิจัยเพื่อการเกษตร งานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม งานวิจัยเพื่อสังคม งานวิจัยเพื่อการแพทย์และสาธารณสุข งานวิจัยเพื่อพลังงาน งานวิจัยเพื่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ในระหว่างการจัดงานยังมี กิจกรรม Highlight Stage เพื่อนําเสนอผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ที่มีความพร้อมใช้ประโยชน์ทั้งในระดับชุมชน/องค์กร/พาณิชย์ กิจกรรม Thailand Research Symposium 2017 เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัยในสาขาวิชาการต่าง ๆ ได้มีโอกาสนําเสนอผลงานวิจัยที่มีคุณภาพต่อผู้สนใจและผู้ใช้ประโยชน์อีกด้วย อีกทั้งยังมีกิจกรรม Research Clinic เป็นการให้คําปรึกษาในเรื่องของการวิจัย พร้อมกิจกรรมประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา 2560 ได้บ่มเพาะความรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรม พร้อมได้นําเสนอผลงานนวัตกรรมและประกวดแข่งขัน การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากภาคเอกชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น พื้นที่เพื่อการแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโครงการในพระราชดําริฯด้วย จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานพร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา : วิจัยและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” ว่า การวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นเป็นกลไกสําคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและเศรษฐกิจ โดยการสร้างความรู้ใหม่ แนวทางใหม่ ทฤษฎีใหม่ หรือชิ้นงานใหม่ ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างฐานสติปัญญาในการพัฒนาให้กับประเทศได้ และหากนําไปสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ได้ก็ จะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งอาจเป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินโดยตรงก็ได้ ดังนั้นการพัฒนาให้ผลงานที่เกิดจากการวิจัย และการประดิษฐ์คิดค้นได้ถูกนําไปพัฒนาปรับปรุงให้นําไปสู่นวัตกรรมก็สามารถสร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic Benefits) ขึ้นมาได้ ซึ่งนโยบายรัฐบาล นําโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อนําประเทศไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ตอนท้ายของพิธีเปิดงาน“มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” ประธานได้มอบรางวัล National Ethics Committee Accreditation System of Thailand (NECAST) และมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีตามมาตรฐาน (มอก.2677) พร้อมทั้งให้เกียรติถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับคณะผู้บริหารฯ เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยฯ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวจัย จากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศอีกด้วย .................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 รอง นรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” รองนรม. พล.อ.อ. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” วันที่ (23 สิงหาคม 2560) เวลา 09.30 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ระหว่างวันที่ 23 – 27 สิงหาคม 2560 โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นักวิจัยจากภาครัฐและเอกชน ตัวแทนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและตัวแทนสื่อมวลชน จํานวนประมาณ 600 คน โอกาสนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงานว่า การจัดงาน “มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” เป็นเวทีระดับชาติที่นําเสนอผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมการวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการองค์ความรู้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติเชิงวิชาการ นโยบาย สังคม ชุมชน และพาณิชย์/อุตสาหกรรม โดยเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2549 ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ และสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้มีการนําเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมการวิจัยที่มีคุณภาพ การจัดงานครั้งนี้ ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นปีที่ 12 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็น“พระบิดาแห่งการวิจัย” สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานวิจัยไทย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างสรรค์ และสร้างแรงขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาให้เกิดการนําองค์ความรู้ ผลผลิต เทคโนโลยี และนวัตกรรม จากการวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ตลอดจนเป็นกลไกสําคัญในการเชื่อมโยงการวิจัยของไทยที่มีศักยภาพไปสู่กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ระดับประเทศและนานาชาติ ภายใต้แนวคิด “วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” กิจกรรมภายในงาน ได้แก่ การแสดงนิทรรศการ พร้อมนําเสนอผลงานมากกว่า 500 ผลงาน ใน 7 ประเด็นกลุ่มเรื่องวิจัย ได้แก่ งานวิจัยเพื่อความมั่งคง งานวิจัยเพื่อการเกษตร งานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม งานวิจัยเพื่อสังคม งานวิจัยเพื่อการแพทย์และสาธารณสุข งานวิจัยเพื่อพลังงาน งานวิจัยเพื่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ในระหว่างการจัดงานยังมี กิจกรรม Highlight Stage เพื่อนําเสนอผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ที่มีความพร้อมใช้ประโยชน์ทั้งในระดับชุมชน/องค์กร/พาณิชย์ กิจกรรม Thailand Research Symposium 2017 เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนนักวิจัยในสาขาวิชาการต่าง ๆ ได้มีโอกาสนําเสนอผลงานวิจัยที่มีคุณภาพต่อผู้สนใจและผู้ใช้ประโยชน์อีกด้วย อีกทั้งยังมีกิจกรรม Research Clinic เป็นการให้คําปรึกษาในเรื่องของการวิจัย พร้อมกิจกรรมประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา 2560 ได้บ่มเพาะความรู้และแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรม พร้อมได้นําเสนอผลงานนวัตกรรมและประกวดแข่งขัน การจัดแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากภาคเอกชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น พื้นที่เพื่อการแสดงและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโครงการในพระราชดําริฯด้วย จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานพร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ศาสตร์พระราชา : วิจัยและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” ว่า การวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นเป็นกลไกสําคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและเศรษฐกิจ โดยการสร้างความรู้ใหม่ แนวทางใหม่ ทฤษฎีใหม่ หรือชิ้นงานใหม่ ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการสร้างฐานสติปัญญาในการพัฒนาให้กับประเทศได้ และหากนําไปสร้างมูลค่าในเชิงพาณิชย์ได้ก็ จะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งอาจเป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงินโดยตรงก็ได้ ดังนั้นการพัฒนาให้ผลงานที่เกิดจากการวิจัย และการประดิษฐ์คิดค้นได้ถูกนําไปพัฒนาปรับปรุงให้นําไปสู่นวัตกรรมก็สามารถสร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ (Economic Benefits) ขึ้นมาได้ ซึ่งนโยบายรัฐบาล นําโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อนําประเทศไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” ตอนท้ายของพิธีเปิดงาน“มหกรรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 (Thailand Research Expo 2017)” ประธานได้มอบรางวัล National Ethics Committee Accreditation System of Thailand (NECAST) และมอบประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีตามมาตรฐาน (มอก.2677) พร้อมทั้งให้เกียรติถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับคณะผู้บริหารฯ เครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยฯ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังเยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวจัย จากหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศอีกด้วย .................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 [กระทรวงมหาดไทย]
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563 กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 [กระทรวงมหาดไทย] กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 วันนี้ (19 มีนาคม 2563) – นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ในมาตรการที่ 2 การยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ ให้งดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย (สถาบันการศึกษา) โรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ และสถาบันกวดวิชา หรือปรับวิธีการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 14 วัน และให้สถานศึกษาดําเนินการป้องกันโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อสถานศึกษากลับมาเปิดสอนตามปกติ ล่าสุด กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานศึกษาในสังกัด ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่งและทุกประเภท กรณีเหตุพิเศษ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสถานศึกษาที่ยังจัดการเรียนการสอนไม่ครบถ้วนตามหลักสูตรของสถานศึกษา ขอให้พิจารณากําหนดจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ หรือจัดการเรียนการสอนชดเชยหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง รวมถึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลื่อนการรับสมัคร การสอบคัดเลือก การจับฉลาก การประกาศผล การรายงานตัว และการมอบตัว ที่สถานศึกษาประกาศไว้เดิมตามปฏิทินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามความจําเป็นของแต่ละพื้นที่อีกด้วย “ขอเรียนเน้นย้ําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่มีสถานศึกษาในสังกัด ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดในการดําเนินการปิดสถานศึกษาทุกประเภท ทั้งโรงเรียน วิทยาลัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานศึกษาอื่นๆ ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ดําเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ คําสั่งที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนงดเว้นการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่นํานักเรียนและเด็กเล็กมารวมกลุ่มกันในระหว่างการปิดภาคเรียน และไม่นํานักเรียนเดินทางไปยังหรือแวะผ่าน (Transit)เพื่อร่วมกิจกรรมทางการศึกษา การแข่งขันทักษะวิชาการหรือการแข่งขันกีฬาในประเทศหรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเด็ดขาด รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองไม่นํานักเรียนและเด็กเล็กเดินทางไปประเทศหรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระหว่างปิดภาคเรียน” อธิบดี สถ. กล่าว ณ วันที่ 19 มีนาคม 2563 กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 [กระทรวงมหาดไทย] วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563 กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 [กระทรวงมหาดไทย] กระทรวงมหาดไทย แจ้ง อปท. ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่ง-ทุกประเภท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 วันนี้ (19 มีนาคม 2563) – นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ในมาตรการที่ 2 การยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ ให้งดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย (สถาบันการศึกษา) โรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ และสถาบันกวดวิชา หรือปรับวิธีการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 14 วัน และให้สถานศึกษาดําเนินการป้องกันโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อสถานศึกษากลับมาเปิดสอนตามปกติ ล่าสุด กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีสถานศึกษาในสังกัด ปิดสถานศึกษาในสังกัดทุกแห่งและทุกประเภท กรณีเหตุพิเศษ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสถานศึกษาที่ยังจัดการเรียนการสอนไม่ครบถ้วนตามหลักสูตรของสถานศึกษา ขอให้พิจารณากําหนดจัดการเรียนการสอนด้วยระบบออนไลน์ หรือจัดการเรียนการสอนชดเชยหลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง รวมถึงให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลื่อนการรับสมัคร การสอบคัดเลือก การจับฉลาก การประกาศผล การรายงานตัว และการมอบตัว ที่สถานศึกษาประกาศไว้เดิมตามปฏิทินการรับนักเรียน ปีการศึกษา 2563 ตามความจําเป็นของแต่ละพื้นที่อีกด้วย “ขอเรียนเน้นย้ําให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งที่มีสถานศึกษาในสังกัด ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดในการดําเนินการปิดสถานศึกษาทุกประเภท ทั้งโรงเรียน วิทยาลัย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานศึกษาอื่นๆ ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ดําเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ คําสั่งที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนงดเว้นการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่นํานักเรียนและเด็กเล็กมารวมกลุ่มกันในระหว่างการปิดภาคเรียน และไม่นํานักเรียนเดินทางไปยังหรือแวะผ่าน (Transit)เพื่อร่วมกิจกรรมทางการศึกษา การแข่งขันทักษะวิชาการหรือการแข่งขันกีฬาในประเทศหรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างเด็ดขาด รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ปกครองไม่นํานักเรียนและเด็กเล็กเดินทางไปประเทศหรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระหว่างปิดภาคเรียน” อธิบดี สถ. กล่าว ณ วันที่ 19 มีนาคม 2563 กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังหารือความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Covid-19 โดยเน้นรักษาสภาพการจ้างงานกว่า 20,000 ตำแหน่ง
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังหารือความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Covid-19 โดยเน้นรักษาสภาพการจ้างงานกว่า 20,000 ตําแหน่ง ในวันที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการหารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน ในวันที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการหารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ สายการบินนกแอร์ สายการบินนกสกู๊ต สายการบินไทยเวียตเจ็ท สายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ได้ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ต่อธุรกิจสายการบินที่ต้องหยุดการให้บริการ ที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยเห็นว่าควรเป็นรูปแบบของสินเชื่อพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําว่าการช่วยเหลือด้วยสินเชื่อดังกล่าวต้อง 1.) มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการรักษาการจ้างงานไว้เป็นสําคัญ เนื่องจากธุรกิจสายการบินกลุ่มดังกล่าวมีงานจ้างงานประมาณ 20,000 ตําแหน่ง 2.) สนับสนุนสภาพคล่องเป็นทุนหมุนเวียนที่จําเป็น เพื่อพยุงให้ธุรกิจสายการบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวสามารถขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวของไทยต่อไปได้ในอนาคต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเร่งหารือกับผู้ประกอบการในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนนําเสนอแนวทางที่เหมาะสมโดยเร็ว สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังหารือความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Covid-19 โดยเน้นรักษาสภาพการจ้างงานกว่า 20,000 ตำแหน่ง วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังหารือความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Covid-19 โดยเน้นรักษาสภาพการจ้างงานกว่า 20,000 ตําแหน่ง ในวันที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการหารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน ในวันที่ 30 เมษายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการหารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจสายการบิน ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ สายการบินนกแอร์ สายการบินนกสกู๊ต สายการบินไทยเวียตเจ็ท สายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ได้ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ต่อธุรกิจสายการบินที่ต้องหยุดการให้บริการ ที่ประชุมได้มีการหารือร่วมกันถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยเห็นว่าควรเป็นรูปแบบของสินเชื่อพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําว่าการช่วยเหลือด้วยสินเชื่อดังกล่าวต้อง 1.) มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการรักษาการจ้างงานไว้เป็นสําคัญ เนื่องจากธุรกิจสายการบินกลุ่มดังกล่าวมีงานจ้างงานประมาณ 20,000 ตําแหน่ง 2.) สนับสนุนสภาพคล่องเป็นทุนหมุนเวียนที่จําเป็น เพื่อพยุงให้ธุรกิจสายการบินและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวสามารถขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยวของไทยต่อไปได้ในอนาคต นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเร่งหารือกับผู้ประกอบการในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนนําเสนอแนวทางที่เหมาะสมโดยเร็ว สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30119
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ??
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563 ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? Q: ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? A: ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ผ่านทางละอองเสมหะจากการไอ จาม น้ํามูก น้ําลาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563 ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? Q: ไวรัสโควิด-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างไร ?? A: ส่วนใหญ่แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ผ่านทางละอองเสมหะจากการไอ จาม น้ํามูก น้ําลาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27331
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มปุ่มสีเขียวเข้ม สำหรับตรวจสอบผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ยังโอนเงินไม่สำเร็จ
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 เพิ่มปุ่มสีเขียวเข้ม สําหรับตรวจสอบผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (มาตรการเราไม่ทิ้งกัน) เสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน แต่ปัจจุบันคงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ จํานวนประมาณ 70,000 คน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (มาตรการเราไม่ทิ้งกัน) เสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน แต่ปัจจุบันคงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ จํานวนประมาณ 70,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาเกี่ยวกับบัญชีรับเงิน เช่น ยังไม่มีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีปิด เป็นต้น กระทรวงการคลังได้พยายามโอนเงินซ้ํา (Retry) อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งส่งข้อความ SMS แจ้งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียน แต่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้เพิ่มช่องทางให้ตรวจสอบว่า ท่านอยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิ์ที่กระทรวงการคลังโอนเงินไม่สําเร็จหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ปุ่มสีเขียวเข้ม “ผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ” และกรอกเลขบัตรประชาชน หากตรวจแล้วพบว่าท่านมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ ขอให้รีบไปติดต่อธนาคารใดก็ได้ที่ท่านมีบัญชีอยู่ และดําเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชนโดยเร็ว โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาปิดโครงการและยุติการโอนเงินในระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป โฆษกกระทรวงการคลังย้ําเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังไม่ได้เปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมหรือไม่ได้แจ้งชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินเพิ่มเติมแต่อย่างใด การเปิดให้ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ปุ่มสีเขียวเข้มนั้น เป็นการตรวจสอบว่าท่านมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มที่โอนเงินไม่สําเร็จหรือไม่เท่านั้น เพื่อให้สามารถโอนเงินถึงมือผู้มีสิทธิ์ได้อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ สามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3569 3556 และ 3566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มปุ่มสีเขียวเข้ม สำหรับตรวจสอบผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ยังโอนเงินไม่สำเร็จ วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 เพิ่มปุ่มสีเขียวเข้ม สําหรับตรวจสอบผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (มาตรการเราไม่ทิ้งกัน) เสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน แต่ปัจจุบันคงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ จํานวนประมาณ 70,000 คน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ดําเนินมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (มาตรการเราไม่ทิ้งกัน) เสร็จสิ้นแล้วและผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาทั้งหมด 15.3 ล้านคน แต่ปัจจุบันคงเหลือผู้มีสิทธิ์รับเงินเยียวยาแต่กระทรวงการคลังไม่สามารถโอนเงินให้ได้ จํานวนประมาณ 70,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาเกี่ยวกับบัญชีรับเงิน เช่น ยังไม่มีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน หรือบัญชีปิด เป็นต้น กระทรวงการคลังได้พยายามโอนเงินซ้ํา (Retry) อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์จนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งส่งข้อความ SMS แจ้งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียน แต่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ ส่วนหนึ่งคาดว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้เพิ่มช่องทางให้ตรวจสอบว่า ท่านอยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิ์ที่กระทรวงการคลังโอนเงินไม่สําเร็จหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ปุ่มสีเขียวเข้ม “ผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ” และกรอกเลขบัตรประชาชน หากตรวจแล้วพบว่าท่านมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้มีสิทธิ์ที่ยังโอนเงินไม่สําเร็จ ขอให้รีบไปติดต่อธนาคารใดก็ได้ที่ท่านมีบัญชีอยู่ และดําเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประชาชนโดยเร็ว โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาปิดโครงการและยุติการโอนเงินในระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป โฆษกกระทรวงการคลังย้ําเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังไม่ได้เปิดลงทะเบียนเพิ่มเติมหรือไม่ได้แจ้งชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินเพิ่มเติมแต่อย่างใด การเปิดให้ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ปุ่มสีเขียวเข้มนั้น เป็นการตรวจสอบว่าท่านมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มที่โอนเงินไม่สําเร็จหรือไม่เท่านั้น เพื่อให้สามารถโอนเงินถึงมือผู้มีสิทธิ์ได้อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ สามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อได้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3569 3556 และ 3566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs …. เราไม่ทิ้งกัน [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563 บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ําประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs .... เราไม่ทิ้งกัน [กระทรวงการคลัง] บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง เผยยังมีวงเงินอีก 40,000 ล้านบาท พร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อ SMEs ทุกกลุ่ม ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยสามารถอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ทะลุ 100,000 ล้านบาทแล้วในวันนี้ โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 ทําลายสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ SMEs อย่างรุนแรง ปัจจัยความสําเร็จมาจากการสนับสนุนการทํางานด้านนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1.นโยบายรัฐบาลและมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต่อเนื่อง โดยใช้กลไกค้ําประกันสินเชื่อ บสย. 2.มาตรการรัฐบาลในการสนับสนุนงบประมาณที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ โดยการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรกแทนผู้ประกอบการ SMEs และการได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพันธมิตร เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา บสย. ได้ปรับกระบวนการทํางานภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการในการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อที่ปรับให้เร็วขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 300 ฉบับ เป็นวันละ 1,400 ฉบับซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคารพันธมิตรอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้กระบวนการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ที่รอวงเงินเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ยังได้สนับสนุนให้ บสย. มีการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบอนุมัติวงเงินในโครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างไทย จํานวน 10,000 ล้านบาท และ บสย. ยังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บสย. เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2563 ให้ปรับโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายสถาบัน ทําให้ บสย. มีวงเงินค้ําประกันสินเชื่ออีกจํานวน 40,000 ล้านบาท ที่พร้อมเทหมดหน้าตัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อมากที่สุดทันเวลา ร่วมพยุงตัวฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ำประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs …. เราไม่ทิ้งกัน [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563 บสย. สร้างประวัติศาสตร์ “ค้ําประกันสินเชื่อ” ทุบสถิติ 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs .... เราไม่ทิ้งกัน [กระทรวงการคลัง] บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง บสย. ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่เข้าสู่ 29 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ ทุบสถิติอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ เร็วสุด มากสุด 5 เดือน 100,000 ล้านบาท จูงมือ SMEs ....เราไม่ทิ้งกัน ร่วมฝ่าวิกฤต COVID-19 เติมทุน เสริมสภาพคล่อง เผยยังมีวงเงินอีก 40,000 ล้านบาท พร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อ SMEs ทุกกลุ่ม ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ประกาศความสําเร็จครั้งใหญ่ ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยสามารถอนุมัติค้ําประกันสินเชื่อ ทะลุ 100,000 ล้านบาทแล้วในวันนี้ โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 ทําลายสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ SMEs อย่างรุนแรง ปัจจัยความสําเร็จมาจากการสนับสนุนการทํางานด้านนโยบายของรัฐบาล ได้แก่ 1.นโยบายรัฐบาลและมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต่อเนื่อง โดยใช้กลไกค้ําประกันสินเชื่อ บสย. 2.มาตรการรัฐบาลในการสนับสนุนงบประมาณที่ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ โดยการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรกแทนผู้ประกอบการ SMEs และการได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพันธมิตร เพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา บสย. ได้ปรับกระบวนการทํางานภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการในการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อที่ปรับให้เร็วขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 300 ฉบับ เป็นวันละ 1,400 ฉบับซึ่งได้รับความร่วมมือจากธนาคารพันธมิตรอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้กระบวนการอนุมัติหนังสือค้ําประกันสินเชื่อ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ที่รอวงเงินเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ยังได้สนับสนุนให้ บสย. มีการดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs โดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบอนุมัติวงเงินในโครงการค้ําประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างไทย จํานวน 10,000 ล้านบาท และ บสย. ยังได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ บสย. เมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2563 ให้ปรับโครงการค้ําประกันสินเชื่อรายสถาบัน ทําให้ บสย. มีวงเงินค้ําประกันสินเชื่ออีกจํานวน 40,000 ล้านบาท ที่พร้อมเทหมดหน้าตัก เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้าถึงสินเชื่อมากที่สุดทันเวลา ร่วมพยุงตัวฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลื้ม ตลาด อ.ต.ก.ติด 1 ใน 10 ตลาดสด ที่ดีที่สุดในโลก แนะท้องถิ่นและเอกชน ควรพัฒนาตลาดให้มีคุณภาพทัดเทียม อ.ต.ก.
วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2560 นรม. ปลื้ม ตลาด อ.ต.ก.ติด 1 ใน 10 ตลาดสด ที่ดีที่สุดในโลก แนะท้องถิ่นและเอกชน ควรพัฒนาตลาดให้มีคุณภาพทัดเทียม อ.ต.ก. นายกรัฐมนตรียินดีที่เว็บไซต์ข่าว CNN ได้จัดอันดับให้ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ ตลาด อ.ต.ก.ใน กทม.เป็น 1 ใน 10 ตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากตลาดในสเปน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ วันนี้ (20 เมษายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกยินดีที่เว็บไซต์ข่าว CNN ได้จัดอันดับให้ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ ตลาด อ.ต.ก.ใน กทม.เป็น 1 ใน 10 ตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากตลาดในสเปน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ “ท่านนายกฯ พอใจที่ตลาดสดของไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยถือเป็นตลาดสดสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยผัก ผลไม้ อาหารทะเล อาหารสด อาหารปรุงสุก ของหวาน และอื่นๆ ที่หาได้เฉพาะในประเทศไทย รวมทั้งมีสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียจัดจําหน่าย และยังมีจุดเด่นคือ ความสะอาด และติดไฟสว่าง ทําให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้ออาหารได้สะดวก” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ตลาด อ.ต.ก.รักษาคุณภาพมาตรฐานเช่นนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอยากให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีตลาดสดในความรับผิดชอบ และตลาดสดแห่งอื่น ๆ ของภาคเอกชน นําตัวอย่างการพัฒนาของตลาด อ.ต.ก. ไปปรับประยุกต์ใช้กับตลาดของตนให้ดียิ่งขึ้นด้วย สําหรบ 10 อันดับของตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก ได้แก่ 1.ตลาดลา โบเกเรีย เมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน 2.ตลาดปลาสึกิจิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 3.ตลาดยูเนี่ยน สแควร์ ฟาร์เมอร์ นิวยอร์ก สหรัฐฯ 4.ตลาด อ.ต.ก. กรุงเทพฯ ประเทศไทย 5.ตลาดเซนต์ลอว์เรนซ์ เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา 6.ตลาดโบโรห์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 7.ตลาดครีตา อาเยอร์ สิงคโปร์ 8.ตลาดแลงแคสเตอร์ เซนทรัล เพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ 9.ตลาดโพรวองกาล เมืองอองตีบส์ ประเทศฝรั่งเศส 10.ตลาดเกาลูน ซิตี้ ฮ่องกง .................. สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลื้ม ตลาด อ.ต.ก.ติด 1 ใน 10 ตลาดสด ที่ดีที่สุดในโลก แนะท้องถิ่นและเอกชน ควรพัฒนาตลาดให้มีคุณภาพทัดเทียม อ.ต.ก. วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2560 นรม. ปลื้ม ตลาด อ.ต.ก.ติด 1 ใน 10 ตลาดสด ที่ดีที่สุดในโลก แนะท้องถิ่นและเอกชน ควรพัฒนาตลาดให้มีคุณภาพทัดเทียม อ.ต.ก. นายกรัฐมนตรียินดีที่เว็บไซต์ข่าว CNN ได้จัดอันดับให้ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ ตลาด อ.ต.ก.ใน กทม.เป็น 1 ใน 10 ตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากตลาดในสเปน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ วันนี้ (20 เมษายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกยินดีที่เว็บไซต์ข่าว CNN ได้จัดอันดับให้ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ ตลาด อ.ต.ก.ใน กทม.เป็น 1 ใน 10 ตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากตลาดในสเปน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ “ท่านนายกฯ พอใจที่ตลาดสดของไทยมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยถือเป็นตลาดสดสุดสัปดาห์ที่เต็มไปด้วยผัก ผลไม้ อาหารทะเล อาหารสด อาหารปรุงสุก ของหวาน และอื่นๆ ที่หาได้เฉพาะในประเทศไทย รวมทั้งมีสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียจัดจําหน่าย และยังมีจุดเด่นคือ ความสะอาด และติดไฟสว่าง ทําให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้ออาหารได้สะดวก” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ตลาด อ.ต.ก.รักษาคุณภาพมาตรฐานเช่นนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอยากให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีตลาดสดในความรับผิดชอบ และตลาดสดแห่งอื่น ๆ ของภาคเอกชน นําตัวอย่างการพัฒนาของตลาด อ.ต.ก. ไปปรับประยุกต์ใช้กับตลาดของตนให้ดียิ่งขึ้นด้วย สําหรบ 10 อันดับของตลาดสดที่ดีที่สุดในโลก ได้แก่ 1.ตลาดลา โบเกเรีย เมืองบาเซโลนา ประเทศสเปน 2.ตลาดปลาสึกิจิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 3.ตลาดยูเนี่ยน สแควร์ ฟาร์เมอร์ นิวยอร์ก สหรัฐฯ 4.ตลาด อ.ต.ก. กรุงเทพฯ ประเทศไทย 5.ตลาดเซนต์ลอว์เรนซ์ เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา 6.ตลาดโบโรห์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 7.ตลาดครีตา อาเยอร์ สิงคโปร์ 8.ตลาดแลงแคสเตอร์ เซนทรัล เพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ 9.ตลาดโพรวองกาล เมืองอองตีบส์ ประเทศฝรั่งเศส 10.ตลาดเกาลูน ซิตี้ ฮ่องกง .................. สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3169

ThaiGov corpus

GitHub: https://github.com/PyThaiNLP/thaigov-corpus

English

  • Data from Thai government website. https://www.thaigov.go.th
  • This part of PyThaiNLP Project.
  • Compiled by Mr.Wannaphong Phatthiyaphaibun
  • License Dataset is public domain.

Data format

  • 1 file, 1 news, which is extracted from 1 url.
topic
(Blank line)
content
content
content
content
content
(Blank line)
ที่มา (URL source) : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

Thai

  • เป็นข้อมูลที่รวบรวมข่าวสารจากเว็บไซต์รัฐบาลไทย https://www.thaigov.go.th
  • โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนา PyThaiNLP
  • รวบรวมโดย นาย วรรณพงษ์ ภัททิยไพบูลย์
  • ข้อมูลที่รวบรวมในคลังข้อความนี้เป็นสาธารณสมบัติ (public domain) ตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 7 (สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ (1) ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารอันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ [...] (3) ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือตอบโต้ของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น [...])

สามารถติดตามประวัติการแก้ไขคลังข้อความนี้ได้ผ่านระบบ Git

จำนวนข่าว

  • วันเริ่มต้นโครงการ 14 ก.พ. 2561
  • รวบรวมครั้งล่าสุด 01.50 น. วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.2563

รูปแบบข้อมูล

  • 1 ไฟล์ 1 ข่าว ซึ่งดึงมาจาก 1 url
หัวเรื่อง
(บรรทัดว่าง)
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
เนื้อความ
(บรรทัดว่าง)
ที่มา : http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN

รายละเอียดชื่อไฟล์

  • ชื่อหมวดหมู่_จำนวนที่ของข่าว.txt
  • มีโฟลเดอร์ 1 - 24 (ไม่มีโฟลเดอร์ที่ 13)

Script

  • run.py สำหรับเก็บข้อมูลจากหน้าเว็บ โดยจะดึงหน้าเว็บจาก url http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/NNN โดยที่ NNN คือเลขจำนวนเต็ม
    • เปลี่ยนค่าตัวแปร i ในไฟล์เป็นเลขที่ต้องการเริ่มเก็บ
  • clean.py สำหรับทำความสะอาดข้อมูลเบื้องต้น โดยจะลบช่องว่างหน้าและท้ายบรรทัด ลบบรรทัดว่าง
    • clean.py ชื่อไฟล์
    • clean.py ชื่อไฟล์1 ชื่อไฟล์2
    • clean.py *.txt

We build Thai NLP.

PyThaiNLP

Downloads last month
0
Edit dataset card

Collection including pythainlp/thaigov-corpus