File size: 3,867 Bytes
3c90236
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
Book,Page,LineNumber,Text
27,0040,001,ผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งแล้วทรงทราบว่า   เมื่อภิกษุเหล่านี้ได้ความมีจิต   
27,0040,002,มีอารมณ์เป็นหนึ่ง กรรมฐานจักเจริญ  ดังนี้แล้วจึงได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
27,0040,003,<B>สมาธึ</B>   เป็นต้น  บทว่า  <B>อภินนฺทติ</B>  ได้แก่ย่อมปรารถนา.  บทว่า  <B>อภิวทติ</B>
27,0040,004,ความว่า    ภิกษุย่อมกล่าวด้วยความยินดียิ่งนั้นว่า    แหมอารมณ์นี้ช่าง
27,0040,005,น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ  ดังนี้  อนึ่ง  เมื่อเธอยินดียิ่งซึ่งอารมณ์นั้น
27,0040,006,อาศัยอารมณ์นั้นทำให้เกิดความโลภขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ชื่อว่า  
27,0040,007,ย่อมกล่าวยกย่อง. บทว่า <B>อชฺโฌสาย  ติฏฺ€ติ</B> ได้แก่ กลืนเสร็จสรรพรับไว้.
27,0040,008,บทว่า <B>ยา  รูเป  นนฺทิ</B> ได้แก่     ความเพลิดเพลินกล่าวคือความปรารถนา
27,0040,009,ในรูปอย่างแรงกล้า. บทว่า <B>ตทุปฺปาทานํ</B> คือ ชื่อว่าอุปาทานเพราะอรรถ
27,0040,010,ว่ายึดมั่นอารมณ์นั้น. บทว่า <B>นาภินนฺทติ</B>  ได้แก่    ไม่ปรารถนา. บทว่า
27,0040,011,<B>นาภิวทติ</B>  ความว่า  เธอย่อมไม่กล่าวว่า  อารมณ์น่าปรารถนา  น่าใคร่
27,0040,012,ด้วยอำนาจแห่งความปรารถนา     คือ     ภิกษุผู้มีจิตใจประกอบด้วย
27,0040,013,วิปัสสนาแม้เมื่อทำการเปล่งวาจาว่า   ไม่เที่ยง   เป็นทุกข์   ก็ชื่อว่าย่อม
27,0040,014,ไม่กล่าวยกย่องทั้งนั้น.
27,0040,015,<I>จบ  อรรถกถาสมาธิสูตรที่  ๕</I>
27,0040,016,<H1>๖.  ปฏิสัลลานสูตร</H1>
27,0040,017,<H1>ว่าด้วยการหลีกเร้นเป็นเหตุเกิดปัญญา</H1>
27,0040,018,[๓๐]   กรุงสาวัตถี.    ณ   ที่นั้นแล   ฯลฯ   <B>พระผู้มีพระภาคเจ้า</B>ได้
27,0040,019,ตรัสว่า    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย    เธอทั้งหลายจงประกอบความเพียรใน
27,0040,020,การหลีกออกเร้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุผู้หลีกออกเร้น  ย่อมรู้ชัด 
27,0040,021,ตามเป็นจริง  ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิด