title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการ Create, Innovate & Recycle PAPER ART EXHIBITION
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการ Create, Innovate & Recycle PAPER ART EXHIBITION นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการ Create, Innovate & Recycle PAPER ART EXHIBITION วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการ Create, Innovate & Recycle PAPER ART EXHIBITION ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับ Chao Phya Abhai Raja Siammanukulkij Foundation (มูลนิธิ เจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ) จัดนิทรรศการศิลปะจากกระดาษ ที่บอกเล่าเรื่องราวการเสด็จราชดำเนินเยือนของราชวงศ์เบลเยี่ยม ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรเบลเยี่ยม โดยมี หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต เป็นประธานเปิดนิทรรศการ และมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตเบลเยี่ยม ประจำประเทศไทย ศิลปิน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ ชั้น L หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. ....
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... เพื่อให้การพัฒนากิจการอวกาศเกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ มีกลไกเพื่อสนับสนุนให้ภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมพัฒนากิจการอวกาศ มีองค์กรกลางกำหนดนโยบายและแผนกิจการอวกาศให้เกิดเอกภาพ รวมทั้งได้เห็นชอบแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เพื่อให้ผู้วิจัย ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนา และผู้ให้บริการปัญญาประดิษฐ์ ใช้เป็นแนวทางดำเนินงาน และให้ผู้รับบริการทราบถึงสิทธิและความเสี่ยงของการใช้บริการปัญญาประดิษฐ์ ทั้งนี้ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36274
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งคณะกรรมการร่วมหลายฝ่ายศึกษา ตามแนวทางที่เสนอในรัฐสภา เชื่อมั่นไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ วอน "ลองเชื่อใจสักครั้ง"
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งคณะกรรมการร่วมหลายฝ่ายศึกษา ตามแนวทางที่เสนอในรัฐสภา เชื่อมั่นไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ วอน "ลองเชื่อใจสักครั้ง" นายกรัฐมนตรียืนยันสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งคณะกรรมการร่วมหลายฝ่ายศึกษา ตามแนวทางที่เสนอในรัฐสภา เชื่อมั่นไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ วอน "ลองเชื่อใจสักครั้ง" วันนี้ (28 ต.ค. 2563) เวลา 12.50 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขอบคุณประธานรัฐสภา สมาชิกรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 และ 2 (สมัยวิสามัญ) ว่า ทุกท่านร่วมหารือกันอย่างมีวุฒิภาวะและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ มีความเหมาะสม พร้อมเห็นว่าไม่ควรมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐสภาเพราะสภาไทยก็ไม่ควรมีการกระทำเหมือนต่างประเทศ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะต้องนำพาให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ตามรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก เพียงแต่ต้องหาทางออกให้เจอด้วยสันติวิธี วอนทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาพูดคุยกันเพราะทุกคนคือคนไทย ไม่ควรเกลียดชังกัน ทั้งนี้ ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ต้องอดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ได้และไม่เคยถือโกรธใคร ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ตามกระบวนการและขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วย ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะไม่สามารถตั้งกฎ/กติกาใหม่ได้ทันที ส่วนกรณีให้ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรีได้นั้นเป็นเรื่องของตนเองไม่ติดใจอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรียืนยันเห็นพ้องจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาหาทางออก ตามแนวทางที่เสนอในรัฐสภาให้เป็นการร่วมกันของหลายฝ่ายด้วยทั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มผู้ชุมนุม และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ชุมนุม โดยกำชับว่าต้องเป็นหารือเพื่อหาข้อยุติของปัญหาตามบริบทการเมืองของประเทศไทย เคารพซึ่งกันและกันเชื่อใจกันและกัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีฝากถึงองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือ NGOs ที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ขอให้ช่วยประเทศไทยพัฒนาชาติบ้านเมือง เช่นเดียวกับคนไทยที่ไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ ก็ต้องเคารพกฎหมายของประเทศนั้น ๆ ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดยิ่งใหญ่ขบวนแห่งานนมัสการหลวงพ่อโสธร ปีที่ 130
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 กรุงไทยจัดยิ่งใหญ่ขบวนแห่งานนมัสการหลวงพ่อโสธร ปีที่ 130 กรุงไทยชวนเที่ยวงานนมัสการหลวงพ่อโสธร ปีที่ 130 และงานประจำปีจังหวัดฉะเชิงเทรา จัดยิ่งใหญ่เตรียมยกระดับเป็นงานประจำปีสำคัญระดับชาติและระดับโลกในอนาคต เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนเที่ยวชมงานนำขบวน Krungthai NEXT สืบสานประเพณี กรุงไทยชวนเที่ยวงานนมัสการหลวงพ่อโสธร ปีที่ 130 และงานประจำปีจังหวัดฉะเชิงเทรา จัดยิ่งใหญ่เตรียมยกระดับเป็นงานประจำปีสำคัญระดับชาติและระดับโลกในอนาคต เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนเที่ยวชมงานนำขบวน Krungthai NEXT สืบสานประเพณี และแต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ร่วมขบวนแห่ของธนาคาร พร้อมสนับสนุนโครงการคนละครึ่ง ใช้จ่ายได้ทุกร้านค้าในงานและร้านดังในจังหวัดกว่า 400 ร้าน โดย นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานในพิธีบวงสรวงและพิธีเปิดงานนมัสการหลวงพ่อโสธร และงานประจำปี จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ.2563 และชมขบวนแห่ธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้สนับสนุนการจัดงานนมัสการหลวงพ่อโสธร ปีที่ 130 และงานประจำปีจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 8 พฤศจิกายน 2563 ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อส่งเสริมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่น ประเพณีลอยกระทง และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ซึ่งธนาคารได้ร่วมเคียงข้างชาวแปดริ้ว โดยร่วมขบวนแห่ทางบกภายใต้แนวคิด “วายุภักษ์ปักษา เทพเทวานฤมิต” นำริ้วขบวนบุษบกเครื่องสักการะถวายองค์หลวงพ่อพุทธโสธร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองชาวแปดริ้ว ที่ประกอบด้วยนางกินรี ครุฑ สิงห์ และนาค ที่สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรให้มีความยั่งยืน โดยมีนักแสดงสาวชื่อดัง แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ ที่มาในชุด “กนกไพลินกินรี” จำแลงมาจากกินรี นางในวรรณคดีจากป่าหิมพานต์ ที่สวมเครื่องประดับและอาภรณ์สีฟ้าซึ่งเป็นสีประจำธนาคาร ร่วมขบวนแห่และรำถวายเป็นพุทธบูชา ผสมผสานความล้ำยุคด้วย Krungthai NEXT แอปพลิเคชันที่พร้อม ฝาก โอน เติม จ่าย ง่ายแค่ปลายนิ้ว และสนับสนุนจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นเมือง Smart City อย่างแท้จริง พร้อมเชิญชวนดาวน์โหลด Krungthai NEXT เวอร์ชันใหม่ ด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกทำให้ลูกค้าและประชาชนใช้ชีวิตเก่งขึ้นในแอปเดียวด้วย Cloud Native ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 9 ล้านคน มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 จะมียอดผู้ใช้งาน Krungthai NEXT จำนวน 12 ล้านคน “ขอเชิญประชาชนร่วมกิจกรรมที่บูธ “Krungthai Next ขอให้โหลด ขอให้รวย” รับของที่ระลึกที่โซน “วายุแลนด์” เพียงโชว์ สลิปโอน เติม จ่าย จากแอป Krungthai Next ตั้งแต่ 59 บาทขึ้นไป หรือสแกนทำบุญกับ QR e-Donation กรุงไทยเติมบุญ กับโรงพยาบาลพุทธโสธร นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มาเที่ยวงานและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง สามารถเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าทั้งหมดภายในงาน รวมทั้งร้านค้าที่มีชื่อเสียงในจังหวัดฉะเชิงเทรา กว่า 400 ร้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน” นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลอย่างครบวงจร เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้นำทางการเงินของประเทศ เพิ่มประสบการณ์การทำธุรกรรมของลูกค้าประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นความสำคัญของประเพณีท้องถิ่น และเดินหน้าทำกิจกรรมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ติดตามกิจกรรมดีๆ จากธนาคารกรุงไทยได้ที่ Facebook.com / KrungthaiCare
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ตั้งคณะทำงานตรวจประเมิน เพิ่มความมั่นใจระบบควบคุมโรค ใน ASQ
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 สธ. ตั้งคณะทำงานตรวจประเมิน เพิ่มความมั่นใจระบบควบคุมโรค ใน ASQ กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานกักตัวที่รัฐกำหนด หรือ ASQ ต้องผ่านมาตรฐาน 6 หมวด เร่งซักซ้อมความเข้าใจโรงแรมที่เป็น ASQ ทุกแห่ง ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ตั้งคณะทำงานตรวจประเมินเพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินงาน และทบทวนการอนุญาตให้ผู้กักตัวใช้สิ่ กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานกักตัวที่รัฐกำหนด หรือ ASQ ต้องผ่านมาตรฐาน 6 หมวด เร่งซักซ้อมความเข้าใจโรงแรมที่เป็น ASQ ทุกแห่ง ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ตั้งคณะทำงานตรวจประเมินเพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินงาน และทบทวนการอนุญาตให้ผู้กักตัวใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม โดยพิจารณาความเสี่ยงโรคโควิด 19 ของประเทศต้นทาง วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าวมาตรการเข้มในสถานกักตัวที่รัฐกำหนด ว่า สถานกักกันโรคเป็นการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 ในผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ทำให้ระบบการจัดการโรคโควิด 19 ในประเทศมีประสิทธิภาพ โดยสถานกักตัวที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine : ASQ) ผู้เข้ากักกันจะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ปัจจุบันมีโรงแรมที่ประกาศเป็น ASQ แล้ว 101 แห่ง จำนวน 13,004 ห้อง อยู่ระหว่างตรวจประเมิน 2 แห่ง รออนุมัติอีก 7 แห่ง ส่วน Alternative Local Quarantine (ALQ) ในภูมิภาคที่จะรองรับการบินตรงมายังต่างจังหวัดมี 21 แห่ง ได้แก่ บุรีรัมย์ 1 แห่ง ชลบุรี 1 แห่ง ภูเก็ต 8 แห่ง ปราจีนบุรี 1 แห่ง และสุราษฎร์ธานี 10 แห่ง รวม 1,466 ห้อง โดย ASQ จะต้องผ่านมาตรฐาน 6 หมวด ได้แก่ หมวด 1 โครงสร้างอาคารวิศวกรรมความปลอดภัยและระบบสื่อสารสารสนเทศ หมวด 2 บุคลากร ซึ่งต้องได้รับการอบรมก่อนปฏิบัติงาน หมวด 3 วัสดุ อุปกรณ์สำนักงาน และอื่นๆ หมวด 4 ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หมวด 5 การจัดการสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับชุมชน และหมวด 6 โรงพยาบาลคู่สัญญาปฏิบัติการร่วมและความสะดวกสบายเพิ่มเติม ดาวน์โหลดรายละเอียดได้ที่http://www.hsscovid.com/files/A%20State%20Quarantine%2017.4.63.pdf สำหรับกรณีที่พบเชื้อบนพื้นผิวอุปกรณ์ฟิตเนส ใน ASQ แห่งหนึ่งที่จังหวัดสมุทรปราการ เบื้องต้นคณะทำงานวิชาการได้ตรวจประเมินพบว่า มีหลายจุดที่ต้องทำการทบทวน เช่น การให้ออกจากห้องมาออกกำลังกาย การเข้าไปทำความสะอาดห้องพัก 2 วันต่อครั้ง การออกมาปะปนกันของผู้กักตัว เป็นต้น ทั้งนี้ ก่อนอนุญาตให้ดำเนินการ ASQ ได้มีการชี้แจงถึงมาตรฐานการอนุญาตให้ผู้กักตัวออกมานอกห้อง โดยต้องจัดระบบ จัดพื้นที่พักผ่อนจัดรอบการออกนอกห้องพัก การเว้นระยะห่าง มีการทำความสะอาดฟิตเนสเป็นรอบๆ ซึ่งระบบวางไว้ค่อนข้างดี แต่บางโรงแรมอาจไม่ได้ทำตามแนวทางที่ตกลงกันไว้อย่างเคร่งครัด กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงได้ไปซักซ้อมทำความเข้าใจให้มีความปลอดภัย แต่ผู้เดินทางยังได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยแนวทางหนึ่งคือ การจัดกลุ่มผู้เข้ากักกันตามความเสี่ยงของประเทศต้นทาง โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยและระบบโครงสร้างพื้นฐานการควบคุมโรคของประเทศนั้น ซึ่งจะพิจารณาทุก 15 วัน และแบ่งเป็นกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง ถ้าใช้เรื่องความเสี่ยงควบคู่กับการอนุญาตให้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวก มาตรการก็จะเข้มแข็งขึ้น เป็นการจัดการตามความเสี่ยงและยังคงความปลอดภัย "การจัดการ ASQ ยังคงเป็นไปตามมาตรฐาน แต่บางส่วนอาจจะต้องปรับปรุง โดยจะตั้งคณะทำงานตรวจประเมินมาตรฐานเพื่อให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น และทบทวนการอนุญาตให้ผู้กักตัวใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม สำหรับกรณีที่จังหวัดสมุทรปราการ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรปราการได้ให้ ASQ หยุดรับคนเข้ากักกันเพิ่ม ให้ผู้พักเดิมอยู่แต่ภายในห้อง ไม่อนุญาตออกมาใช้พื้นที่ส่วนรวม และเมื่อคนในที่พักออกจากที่กักครบทั้งหมดแล้ว จะมีการเข้าไปดูแลทำความสะอาดและประเมินทุกอย่างอีกครั้ง" นพ.ธเรศกล่าว ********************************* 28 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองฯ ประวิตร ระบุปริมาณน้ำต้นทุนต้นฤดูแล้งปีนี้ภาพรวมทั้งประเทศดีกว่าปีที่ผ่านมา เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำต้นทุนความต้องการใช้น้ำ
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 รองฯ ประวิตร ระบุปริมาณน้ำต้นทุนต้นฤดูแล้งปีนี้ภาพรวมทั้งประเทศดีกว่าปีที่ผ่านมา เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำต้นทุนความต้องการใช้น้ำ รองฯ ประวิตร ระบุปริมาณน้ำต้นทุนต้นฤดูแล้งปีนี้ภาพรวมทั้งประเทศดีกว่าปีที่ผ่านมา เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำต้นทุนความต้องการใช้น้ำ วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีรายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการลงพื้นที่ตรวจติดตามและส่งมอบโครงการเจาะบ่อน้ำบาดาลขนาดใหญ่ ริมฝั่งแม่น้ำ ที่จังหวัดชัยนาท โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชน ตำบลหาดท่าเสา สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการก่อสร้างระบบประปาบาดาล ขนาดใหญ่ มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สามารถส่งน้ำไปให้กับประชาชนจำนวน 8 หมู่บ้าน และได้ติดตั้งจุดจ่ายน้ำแร่ฟรีให้กับประชาชน พร้อมทั้งติดตั้งระบบติดตามและควบคุมระยะไกล ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถควบคุมการใช้น้ำ ตลอดจนติดตามปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับระบบส่งน้ำ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ใหม่ ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้นำมาใช้ จึงได้เร่งดำเนินการ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า จากผลการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำปริมาณน้ำต้นทุนต้นฤดูแล้งปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาพบว่าปริมาณน้ำภาพรวมทั้งประเทศ แนวโน้ม ดีกว่าปีที่ผ่านมา อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และขนาดกลางหลายแห่งมีปริมาณน้ำพ้นเกณฑ์วิกฤติ แต่เมื่อพิจารณารายพื้นที่ กลับพบว่ายังมีข้อกำจัดในการจัดสรรน้ำบางกิจกรรม ซึ่ง สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้งในปี 2563 และ 2564 แล้ว โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูแล้งที่จะถึงนี้ ให้เกิดความสมดุลระหว่าง น้ำต้นทุนความต้องการใช้น้ำพร้อมทั้งสร้างการรับรู้ ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกันการเพาะปลูกข้าวเกินแผน ในพื้นที่ลุ่ม เจ้าพระยา 22 จังหวัด พร้อมทั้งให้คณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด และคณะกรรมการลุ่มน้ำมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยง และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระดับพื้นที่ ให้อยู่ในวงจำกัด สทนช. ได้เสนอแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2563/2564 และมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2563/2564 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบนำไปปฏิบัติเพื่อป้องกันผลกระทบ จากสถานการณ์น้ำแล้งให้กับประชาชนต่อไป ...................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 พร้อมมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย บรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดลำปาง
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 พร้อมมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย บรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดลำปาง รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 พร้อมมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย บรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกรจังหวัดลำปาง ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)บัตรดินดี แก่พี่น้องเกษตรกร พร้อมมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง อ.เกาะคา จ.ลำปาง ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ด้วยวิธีการปฏิรูปที่ดิน โดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิต สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดลำปาง(ส.ป.ก.ลำปาง)มีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินประมาณ284,055ไร่และดำเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วแบ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมจำนวน37,582ราย54,893แปลงเนื้อที่252,668ไร่และพื้นที่ที่อยู่อาศัยจำนวน2,008ราย2,102แปลงเนื้อที่1,376ไร่ซึ่งในวันนี้ได้นำหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01)มามอบแก่พี่น้องเกษตรกรเป็นจำนวน30ราย32แปลงเนื้อที่160-0-51ไร่และมอบบัตรดินดีให้แก่เกษตรกรอำเภอเมืองและอำเภอเกาะคาจำนวน12ราย ทั้งนี้จังหวัดลำปางนั้นถือว่าเป็นแหล่งปลูกลำไยที่มีคุณภาพมีการบริหารจัดการผลผลิตสินค้าเกษตรเชิงรุกในระดับพื้นที่โดยใช้กลไกความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐและการขับเคลื่อนนโยบาย การตลาดนำการผลิตของกระทรวงเกษตรฯแต่จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัลโควิด-19ทำให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนลำไยเป็นอย่างมากดังนั้นทางคณะรัฐมนตรีจึงมีมติอนุมัติโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี2563ซึ่งจังหวัดลำปางมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจำนวน5,331ครัวเรือน6,802แปลงเนื้อที่18,996ไร่รวมเป็นเงินประมาณ38ล้านบาททางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เริ่มดำเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรชาวสวนลำไยตั้งแต่วันที่15ตุลาคมถึง15ธันวาคม2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36195
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 9 พัฒนา Smart Hospital เชื่อมแผนจัดการโรค NCDs
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 เขตสุขภาพที่ 9 พัฒนา Smart Hospital เชื่อมแผนจัดการโรค NCDs โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยเขตสุขภาพที่ 9 "นครชัยบุรินทร์" พัฒนาความเป็นเลิศโรงพยาบาลทุกแห่งสู่ Smart Hospital บูรณาการแผนพัฒนาบริการสุขภาพจัดการโรค NCDs เปิด Fast Track ส่งต่อผู้ป่วยทุกระดับ พัฒนางานฉุกเฉินช่วยรักษาทันเวลา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยเขตสุขภาพที่ 9 "นครชัยบุรินทร์" พัฒนาความเป็นเลิศโรงพยาบาลทุกแห่งสู่ Smart Hospital บูรณาการแผนพัฒนาบริการสุขภาพจัดการโรค NCDs เปิด Fast Track ส่งต่อผู้ป่วยทุกระดับ พัฒนางานฉุกเฉินช่วยรักษาทันเวลา เชื่อมโยงข้อมูลทุก รพ.เป็นหนึ่งเดียว จัดโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วัน PLUS ช่วยแม่และเด็กสุขภาพแข็งแรง แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 9 ได้พัฒนาความเป็นเลิศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในพื้นที่ ตามยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี ที่มีเป้าหมาย "ประชาชนสุขภาพสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน" โดยด้านการส่งเสริมสุขภาพกลุ่มแม่และเด็ก จัดทำโครงการมหัศจรรย์ 1,000 วัน PLUS โดยดูแลสตรีก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ และหลังคลอด พัฒนาห้องคลอดคุณภาพ ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงสมวัย ขณะที่กลุ่มวัยทำงาน มีการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กลุ่มเสี่ยงได้รับการคัดกรองเพิ่มขึ้น กลุ่มผู้สูงอายุ ขับเคลื่อนงานด้วยวิสัยทัศน์ "นครชัยบุรินทร์ สุขเพียงพอ ชะลอชรา ชีวายืนยาว" เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความสุขตามแนววิถีใหม่ มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ได้พัฒนาการดำเนินงานกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs Cluster) โดยเชื่อมโยงแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยลดอัตราเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อที่ป้องกันได้ เช่น พัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยช่องทางด่วน (Fast Track) ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฐมภูมิในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน ไปจนถึงโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ พัฒนาระบบรักษาพยาบาลฉุกเฉิน (Emergency Care System : ECS) ครอบคลุม 4 จังหวัด เพื่อให้ผู้ป่วยบาดเจ็บได้รับการรักษาทันเวลา พัฒนาระบบ Teleline/Telehelp เพื่อจัดบริการผู้ป่วยโรคเรื้อรังตามแนววิถีชีวิตใหม่ พัฒนาระบบข้อมูลเชื่อมโยงตั้งแต่โรงพยาบาลศูนย์ถึงโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ H 9 Help Connect Platform เข้ามาช่วยดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งต่อให้แก่หน่วยบริการ และก้าวสู่การเป็น Smart Hospital ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 9 "นครชัยบุรินทร์" ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ดูแลประชากรในพื้นที่กว่า 6.7 ล้านคน มีโรงพยาบาลทุกระดับ 90 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์ 3 แห่ง โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาลทั่วไป 5 แห่ง และโรงพยาบาลชุมชน 80 แห่ง มีหน่วยบริการปฐมภูมิ 969 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 953 แห่ง ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพชุมชน 16 แห่ง และศูนย์วิชาการสาธารณสุข 5 แห่ง มีบุคลากรด้านสาธารณสุขรวม 38,118 คน ได้แก่ แพทย์ 2,122 คน ทันตแพทย์ 552 คน เภสัชกร 916 คน พยาบาล 11,372 คน และสาขาวิชาชีพอื่นๆ รวม 7,751 คน *********************************** 25 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2563
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2563 ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (บาห์เรน 2 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, ฝรั่งเศส 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย) ได้รับการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรค กักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และในสถานก รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (บาห์เรน 2 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, ฝรั่งเศส 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย) ได้รับการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรค กักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และในสถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 รายทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,530 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.49 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 147 ราย หรือร้อยละ 3.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,736 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก บาห์เรน 2 รายมีสัญชาติไทย เป็นเพศหญิง อายุ 36 ปี อาชีพพนักงานร้านสะดวกซื้อ และ 39 ปี อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ทั้ง 2 ราย ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 3 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาลตามระบบ สหราชอาณาจักร 1 รายเพศหญิง อายุ 52 ปี สัญชาติไทย อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่19 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ฝรั่งเศส 1 รายเพศหญิง อายุ 60 ปี สัญชาติฝรั่งเศส เป็นนักท่องเที่ยว เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 22 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจหาเชื้อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 (วันแรกของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งผู้เดินทางเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยคิดจากประกันโควิด 19 ที่ทำไว้ก่อนเดินทางเข้าประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 รายเพศหญิง อายุ 40 ปี สัญชาติไทย อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 ตุลาคม 2563 ตรวจพบเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังอาการ (PUI) ที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีอาการ ไอ เจ็บคอ จึงตรวจหาเชื้อ ผลพบเชื้อ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลกขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 43 ล้านราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 8,827,932 ราย, อินเดีย 7,863,892 ราย, บราซิล 5,381,224 ราย และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับรายงานมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจริงค่อนข้างมาก โดยผู้ติดเชื้อประมาณร้อยละ 50 เป็นผู้ที่ไม่แสดงอาการ สำหรับประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดี โดยมีกลไกสำคัญคือ อสม. ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เคาะประตูบ้านคัดกรองให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่ทำให้ประเทศสามารถผ่านพ้นวิกฤติมาได้จนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ แม้ว่าหลังจากนั้นประเทศไทยจะพบผู้ติดเชื้อที่เดินทางเข้าประเทศไทยหรือการติดเชื้อในประเทศบ้าง แต่ด้วยระบบการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพสามารถนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบรักษาที่รวดเร็ว และติดตามผู้สัมผัสเพื่อเฝ้าระวังโรคทำให้ไม่เกิดการแพร่เชื้อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามระหว่างรอวัคซีนโควิด 19 สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ คือการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น เลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก และล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำและสบู่บ่อยๆ จะช่วยให้ทุกคนปลอดภัย และเมื่อเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียนเข้า-ออกผ่าน “ไทยชนะ” เพราะเมื่อหากพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้สัมผัสมาเฝ้าระวังโรค จากมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้วิถีชีวิต สังคม และเศรษฐกิจของประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ********************* 25 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36198
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จ.แพร่ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จ.แพร่ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จ.แพร่ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกร พร้อมมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงศิลปะวัฒนธรรมล้านนาตะวันออกและกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงGMS (กอเปา)จ.แพร่ว่าหระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีความต้องการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและต้องการให้มีการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพและให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิตตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรให้เกิดผลดียิ่งขึ้น ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวว่าในวันนี้การมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)ให้แก่เกษตรกรจำนวน60ราย107แปลงเนื้อที่610ไร่โดยกระทรวงเกษตรฯจะเข้ามาดูแลและส่งเสริมการประกอบอาชีพอย่างครบวงจรเพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้พัฒนาอาชีพและสร้างรายได้สร้างแรงจูงใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยกระดับคุณภาพของเกษตรกรเป็นไปตามเจตนารมณ์และนโยบายของรัฐบาลในการเร่งแก้ไขปัญหาที่ดินให้แก่เกษตรกร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดแพร่(ส.ป.ก.แพร่)มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินเนื้อที่ประมาณ370,621ไร่และเป็นพื้นที่ดำเนินการเนื้อที่ประมาณ237,827ไร่ดำเนินการจัดที่ดินไปแล้ว25,950ราย36,314แปลงเนื้อที่ประมาณ230,375ไร่คงค้างดำเนินการจัดที่ดินเนื้อที่ประมาณ7,452ไร่ซึ่งปีงบประมาณ2563มีเกษตรกรได้รับคัดเลือกให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน490ราย674แปลงเนื้อที่4,545ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเร่งรัดการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งในภาคอีสาน เพื่อความกินดี อยู่ดี มีความสุข
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 นายกฯ สั่งเร่งรัดการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งในภาคอีสาน เพื่อความกินดี อยู่ดี มีความสุข นายกฯ สั่งเร่งรัดการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่งในภาคอีสาน เพื่อความกินดี อยู่ดี มีความสุข เมื่อวันที่25ต.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้สั่งการให้นายศักดิ์สยามชิดชอบรมว.คมนาคมเร่งรัดกำกับติดตามการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคอีสานทั้งทางถนนทางรางทางน้ำและทางอากาศให้เกิดประโยชน์ด้านการคมนาคมได้อย่างเต็มศักยภาพโดยมีโครงการสำคัญไม่ว่าจะเป็น1.โครงข่ายการคมนาคมทางถนนในการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมาระยะทาง196กิโลเมตร,มอเตอร์เวย์สายนครราชสีมา-ขอนแก่นระยะทาง202กิโลเมตร,โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่6อุบลราชธานี-สาละวันเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดนพร้อมบูรณาการพัฒนาโครงข่ายมอเตอร์เวย์กับไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง 2.โครงข่ายคมนาคมทางรางทั้งการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-หนองคาย,ผลักดันการก่อสร้างรถไฟทางคู่9เส้นทางเพื่อช่วยให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวกปลอดภัยและรวดเร็ว3.โครงข่ายคมนาคมทางอากาศโดยพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง9แห่งในภาคอีสานแบ่งเป็นท่าอากาศยานที่เชื่อมสู่ประเทศเพื่อนบ้าน5แห่ง ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง3แห่งรองรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา1แห่ง น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำให้เร่งรัดการพัฒนาการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคอีสาน3จังหวัดได้แก่จ.ยโสธรจ.อำนาจเจริญและจ.มุกดาหารโดยมีโครงการสำคัญไม่ว่าจะเป็นจ.อำนาจเจริญในการพัฒนาโครงข่ายถนน7โครงการ235กิโลเมตรพร้อมศึกษาเส้นทางรถไฟสายใหม่ช่วงวารินชำราบ-เลิงนกทาส่วนจ.ยโสธรมีการพัฒนาโครงข่ายถนน9โครงการ230กิโลเมตรพร้อมศึกษาเส้นทางรถไฟสายใหม่ช่วงร้อยเอ็ด-ยโสธร-ศรีสะเกษและจ.มุกดาหารมีการพัฒนาโครงข่ายถนน7โครงการ128กิโลเมตรเตรียมก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนมและศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าอากาศยานมุกดาหารเพื่อรองรับการเดินทางจากภาคอีสานตอนกลางและประเทศเพื่อนบ้าน น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ฯยืนยันการพัฒนาโครงข่ายการคมนาคมภาคอีสานจะส่งผลดีทางด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ชาวอีสานกินดีอยู่ดีมีความสุขมีความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป ..............
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชื่อ หากคลายปัญหาการเมืองได้ โอกาสประเทศรออยู่
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 รัฐบาลเชื่อ หากคลายปัญหาการเมืองได้ โอกาสประเทศรออยู่ รัฐบาลเชื่อ หากคลายปัญหาการเมืองได้ โอกาสประเทศรออยู่ นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากสถานการณ์ความเห็นต่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้เวทีรัฐสภาเป็นกลไกในการคลี่คลายสถานการณ์โดยพร้อมรับฟังข้อมูลและความเห็นจากผู้แทนทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของคนส่วนมากทั้งนี้ควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาทางการเมืองรัฐบาลได้ดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านมาตรการระยะสั้นและระยะยาวเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด19และให้ประเทศเดินหน้าต่อได้อย่างเต็มศักยภาพซึ่งขณะนี้เริ่มมีสัญญาณของการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นการประเมินจากIMFที่เห็นว่าไทยมีการหดตัวทางเศรษฐกิจลดน้อยกว่าเดิมจากที่คาดไว้เมื่อกลางปีที่ติดลบ7.7%เป็นติดลบ7.1%และยอดการส่งออกสินค้าไทยเดือนก.ย.ก็หดตัวน้อยลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามแล้ว มากไปกว่านั้นยังมีอีกหลายโครงการที่เชื่อว่าจะส่งผลต่อการเติบโตทางการค้าและการลงทุนหลังผ่านช่วงโควิด19อย่างแน่นอนอาทิโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก(EEC)ซึ่งในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมามีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมเงินลงทุน6.8หมื่นล้านบาทโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน(SEC)ที่เดินหน้าแล้วเรื่องการพัฒนาท่าอากาศยานท่าคือโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกลุ่มประเทศเอเซียใต้ที่มีประชากรกว่า1.5พันล้านคนสำหรับด้านการขยายตลาดต่างประเทศรัฐบาลได้เป็นตัวกลางจับคู่ผู้ประกอบการไทย-ต่างประเทศพาสินค้าเกษตรไทยขึ้นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนและอินเดียและล่าสุดได้มีการตกลงที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนกับรัสเซียเพื่อผลักดันการเพิ่มมูลค่าการค้า10,000ล้านเหรียญสหรัฐให้ได้ในอีกสามปีข้างหน้ายังมีเรื่องการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด19 เพื่อประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้เพียงพอและทันกับประเทศอื่นๆรัฐบาลอนุมัติงบประมาณจำนวน1,000ล้านบาทให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนมากไปกว่านั้นนโยบายบายประกันรายได้เกษตรกรที่สร้างความแน่นอนเรื่องรายได้แก่เกษตรกร7.3ล้านครัวเรือนทั่วประเทศได้ดำเนินการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยและเดินหน้าต่อในะรอบปีการผลิต63/64 นางสาวรัชดากล่าวว่าท่ามกลางบรรยากาศของความเห็นต่างรัฐบาลรับทราบความคิดเห็นของทุกฝ่ายและมีความตั้งใจที่จะหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกับสมาชิกรัฐสภาซึ่งจะมีการประชุมในวันที่26-27ต.ค.นี้ อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คาดว่าจะมีในกลางเดือนพ.ย.อนึ่งพร้อมกันไปกับการคลี่คลายปัญหาทางการเมืองรัฐบาลได้บริหารราชการโดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนโครงการระยะยาวจำนวนมากได้เริ่มต้นไปแล้วและมีความจำเป็นต้องได้รับการสานต่อจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยจะสามารถหาทางออกร่วมกันรับทราบสิ่งดีๆที่เป็นโอกาสของประเทศและหันมาร่วมมือกันทำให้โอกาสนั้นเกิดเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองอย่างแท้จริง ................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว นายกรัฐมนตรี สั่งคลายล็อกบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว (25ตุลาคม2563)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการยกระดับระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุขด้วยการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกรณีประชาชนผู้มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง)สามารถเข้ารับการรักษาที่ใดก็ได้และยกเลิกการต้องใช้ใบส่งตัวของผู้ป่วยในกรณีมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานที่รักษาพยาบาลโดยมีรายละเอียดการคลายล็อกดังนี้ 1.ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้ โดยทดลองให้ประชาชนในกรุงเทพมหานครสามารถไปรับบริการที่“หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น”อันประกอบด้วยคลินิกชุมชนอบอุ่นและหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่นได้ทุกแห่งซึ่งที่ผ่านมาผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะถูกจับคู่กับหน่วยบริการประจำ(คลินิก)เพียงแห่งเดียวเท่านั้นเมื่อเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษาที่คลินิกประจำนั้นๆหากป่วยหนักจนคลินิกรักษาไม่ไหวคลินิกก็จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพให้รักษาต่อ แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองในพื้นที่กทม.จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการที่หลากหลายมากขึ้นโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ตั้งเป้าที่จะประสานหน่วยบริการจำนวน500แห่งให้เข้ามาเป็น“หน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” (คลินิกชุมชนอบอุ่นและหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น) ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่1พ.ย. 2563เป็นต้นไปผู้ใช้สิทธิบัตรทองในกทม.จะสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการชุมชนอบอุ่นในเขตของตัวเองได้ทุกแห่งและสามารถนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าได้โดยสปสช.ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาระบบนัดหมายการเข้ารับบริการล่วงหน้าผ่านAppเป๋าตังซึ่งจะเริ่มให้บริการในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่นเบาหวานความดันและจะขยายไปในกลุ่มผู้ป่วยนอกทั้งหมดในระยะต่อไป 2. “ผู้ป่วยใน”ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป ทั้งนี้“ใบส่งตัว”เป็นเอกสารที่ใช้สื่อสารลักษณะโรคอาการป่วยการรับการรักษาเบื้องต้นซึ่งที่ผ่านมาหากหน่วยบริการประจำ(คลินิก)วินิจฉัยและส่งตัวผู้ป่วยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพผู้ป่วยต้องไปรับใบส่งตัวจากคลินิกหรือโรงพยาบาลก่อนซึ่งทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก แต่นโยบายใหม่นี้หากผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพแล้วโรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องแอดมิท(นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล)ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอีกเนื่องจากสปสช.จะจัดทำระบบออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคลินิกกับโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเองโดยอัตโนมัติ 3.ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใดรักษาที่ใหม่ได้ทันที ที่ผ่านมาเมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการจะต้องรออีก15วันจึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ป่วยไม่ต้องรอ15วันอีกต่อไปกล่าวคือเมื่อมีความประสงค์ที่จะย้ายเมื่อใดก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันทีประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองจึงอุ่นใจได้ว่าเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานก็จะสามารถย้ายหน่วยบริการและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันทีอย่างแน่นอน 4.ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและไม่แออัด ทั้งนี้มะเร็งเป็นโรคที่สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนอย่างมากเนื่องจากอัตราการเสียชีวิตสูงค่าใช้จ่ายก็สูงด้วยและที่สำคัญคือโรงพยาบาลบางแห่งเท่านั้นที่มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งจึงเกิดปัญหาคอขวดในการเข้ารับบริการเกิดความแออัดต้องรอการนัดหมายที่ค่อนข้างนานซึ่งเมื่อผู้ป่วยเข้าถึงบริการรักษาล่าช้าก็อาจทำให้มะเร็งลุกลามได้โดยไม่จำเป็น ทั้งนี้สปสช.จึงมีแนวคิดในการยกระดับการรักษาใหม่โดยเมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหน่วยบริการผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายังสปสช.เพื่อให้สปสช.ประสานจัดหาโรงพยาบาลที่ไม่แออัดและมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งประเภทนั้นๆได้ทันทีประชาชนก็จะได้รับบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานพร้อมทั้งบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้านพร้อมด้วยการติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล(Telehealth)ภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดอีกด้วย นายอนุชากล่าวย้ำว่า“การคลายล็อกข้อจำกัดต่างๆของบัตรทองในครั้งนี้คือนโยบายของรัฐบาลในความพยายามที่จะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อการดูแลรักษาพยาบาลที่ดีมีมาตรฐานง่ายและสะดวกสำหรับประชาชนคนไทยทุกคน” ...................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน เยือนอำนาจเจริญ หนุนเกษตรกรยุคใหม่
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 รมช.แรงงาน เยือนอำนาจเจริญ หนุนเกษตรกรยุคใหม่ - - วันที่10ตุลาคม2563ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญแจงรัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเสริมช่วงรอฤดูกาลผลักดันทำเกษตรแนวใหม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดเวลาการทำงานและเพิ่มผลผลิต ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่าแรงงานงานที่อยู่ในภาคการเกษตรเป็นแรงงานที่มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเนื่องจากกำลังแรงงานในวัยทำงาน68ล้านคนมีงานทำ37ล้านคนอยู่ในภาคการเกษตรประมาณ11.47ล้านคนรองจากภาคบริการมีจำนวน19.28ล้านคนและจังหวัดอำนาจเจริญมีประชากรอยู่ในกำลังแรงงานจำนวน117,362คน มีงานทำ114,766คนและพบว่าทำงานในภาคเกษตรกรรม44,934คนคิดเป็นร้อยละ39.15ดังนั้นการส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานที่อยู่ในภาคการเกษตรมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคงจะเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกทั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและมอบหมายให้กระทรวงแรงงานดำเนินการช่วยเหลือให้มีงานทำอย่างมั่นคง รมช.แรงงานกล่าวต่อว่าการลงพื้นที่พบกับพี่น้องประชาชนจังหวัดอำนาจเจริญเพื่อต้องการรับฟังปัญหาข้อเสนอแนะและความต้องการของแรงงานในพื้นที่เพื่อรัฐบาลจะได้ให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุดนอกจากนี้ต้องการนำภารกิจของกระทรวงแรงงานเผยแพร่ให้พี่น้องประชาชนได้ใช้บริการซึ่งมีหน่วยงานให้บริการในทุกจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่การให้บริการด้านพัฒนาทักษะฝีมือการจัดหางานการดูแลด้านสวัสดิการการสมัครเป็นผู้ประกันตนเพื่อรับสิทธิสวัสดิการเมื่อเป็นพนักงานในบริษัทแรงงานที่อยู่ในภาคการเกษตรก็สามารถใช้บริการดังกล่าวของกระทรวงแรงงานได้เช่นกันโดยเฉพาะการพัฒนาทักษะฝีมือที่สามารถส่งเสริมการทำงานของเกษตรกรได้เช่นการให้ความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำด้วยระบบเปิด-ปิดน้ำอัตโนมัติผ่านโทรศัพท์มือถือการติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์การใช้โดรนเพื่อการเกษตรเป็นต้นการฝึกอบรมที่กล่าวมารัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายกรณีไม่สะดวกเดินทางไป-กลับมีที่พักให้ฟรีอีกด้วย “สิ่งที่ท่านพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงแรงงานบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนใน3ประเด็นคือประเด็นเรื่องของที่ดินทำกินประเด็นที่สองคือเรื่องของการพัฒนาทักษะฝีมือและประเด็นที่3คือให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบการลงพื้นที่ครั้งนี้ของทั้งสองคนจึงต้องการให้ความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวในส่วนของกระทรวงแรงงานยินดีให้บริการแก่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถติดต่อขอรับบริการได้ทุกเรื่องดังกล่าวมาหรือหากต้องการให้เป็นสื่อกลางในเรื่องใดสามารถแจ้งความต้องการนั้นผ่านอาสาสมัครแรงงานที่อยู่ในชุมชนของท่านและวันนี้มีอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่มารับมอบป้ายการทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงแรงงานจึงขอขอบคุณและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถทุกคนมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ”รมช.กล่าวท้ายที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ จ. อำนาจเจริญ เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ จ. อำนาจเจริญ เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่ จ. อำนาจเจริญ เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 พร้อมปัจจัยการผลิต 
ให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการและเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)มอบบัตรดินดีรวมทั้งแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานแก่เกษตรกรณศูนย์ประชุมพุทธอุทยานอ.เมืองอำนาจเจริญจ.อำนาจเจริญว่าด้วยนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยผลผลิตต่างๆรวมถึงนโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยกำหนดให้ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบแหล่งน้ำชุมชนในการเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงได้เร่งแก้ไขปัญหาที่ดินด้านการเกษตรและงานพัฒนาด้านแหล่งน้ำจังหวัดอำนาจเจริญซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและยั่งยืนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมก่อให้เกิดประโยชน์การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน “ในวันนี้มีความยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกรจำนวน150ราย150แปลงเนื้อที่590-2-64ไร่มอบบัตรดินดีจำนวน10รายแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานจำนวน10รายทำให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมมีที่ดินในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วเกษตรกรยังได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว ทั้งนี้เกษตรกรที่ได้รับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินมีหน้าที่ที่จะต้องทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินจนทำให้ไม่เหมาะสมแก่การเกษตรกรรมรวมทั้งต้องมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆในการใช้ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินอย่างเคร่งครัดต่อไป ดร.วิณะโรจน์ทรัพย์ส่งสุขเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)กล่าวเพิ่มเติมว่าสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอำนาจเจริญได้ดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดอำนาจเจริญตั้งแต่ปีพ.ศ.2536เป็นต้นมามีเกษตรกรได้รับการคัดเลือกเข้าทำประโยชน์และรับมอบเอกสารสิทธิส.ป.ก. 4-01แล้วจำนวน31,650ราย38,879แปลงเนื้อที่ประมาณ364,468ไร่นอกจากการจัดที่ดินทำกินให้เกษตรกรแล้วทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอำนาจเจริญยังมีภารกิจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากได้รับการจัดที่ดินไม่ละทิ้งถิ่นฐานและอยู่กินในพื้นที่อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2563
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ญี่ปุ่น 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, เยอรมนี 1 ราย, คูเวต 1 ราย, อินเดีย 2 ราย) ตรวจพบจากการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานฯ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ญี่ปุ่น 1 ราย, สหราชอาณาจักร 1 ราย, เยอรมนี 1 ราย, คูเวต 1 ราย, อินเดีย 2 ราย) ตรวจพบจากการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานฯ และจากสถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 4 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,445 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.80 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 130 ราย หรือร้อยละ 3.58 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,634 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ญี่ปุ่น 1 รายเพศชาย อายุ 57 ปี สัญชาติญี่ปุ่น อาชีพ พนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 20 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 1 ตุลาคม 2563 (วันที่ 11 ของการกักตัว) มีอาการไอ ปวดศีรษะ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร สหราชอาณาจักร 1 รายเพศหญิง อายุ 32 ปี สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 8 ตุลาคม 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ได้เข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาล เยอรมนี 1 รายเพศชาย อายุ 53 ปี สัญชาติเยอรมัน อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 8 ตุลาคม 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนนทบุรี โดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ได้เข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาล คูเวต 1 รายเพศชาย อายุ 34 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 4 ตุลาคม 2563 ได้รับการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค (PUI) มีอาการไอ เจ็บคอ ทำการตรวจหาเชื้อผลพบเชื้อ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ อินเดีย 2 รายมีสัญชาติอินเดีย เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 25 กันยายน 2563 ทั้ง 2 รายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 8 ราย ทุกรายเข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาล รายแรก เพศหญิง อายุ 31 ปี เดินทางมาพร้อมบุตร เพื่อมาหาสามี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 8 ตุลาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนนทบุรี รายที่ 2 เพศชาย อายุ 36 ปี อาชีพพนักงานบริษัท พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 3 วันที่ 8 ตุลาคม 2563 (วันที่ 13 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร มีประวัติเคยติดเชื้อโควิด 19 ในเดือน สิงหาคม 2563 นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก ขณะนี้มีประเด็นน่าสนใจที่นายกรัฐมนตรีของอิตาลีได้ประกาศให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะทั่วอิตาลี “เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ” ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจต้องชำระค่าปรับสูงสุดครั้งละ 1,000 ยูโร (36,750.38 บาท) มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 “เป็นอย่างน้อย” แสดงให้เห็นว่ามาตรการการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้จนเป็นที่ยอมรับและประจักษ์ให้เห็นในหลายประเทศ สำหรับประเด็นการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้รับรายงานจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากว่า จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในพื้นที่ อำเภอแม่สอด โดยการตรวจด้วยวิธี RT-PCR ใน 5 อำเภอชายแดน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลแม่สอด และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก ตั้งจุดตรวจโควิด 19 บริการฟรี ตรวจในกลุ่มคนขับรถขาเข้าทั้งไทย และเมียนมา โดยให้คนขับรถทุกคนลงจากรถเพื่อเก็บตัวอย่างส่งตรวจ รพ.แม่สอด รวมจำนวน 115 คน ผลการดำเนินงานแต่วันที่ 8 – 9 ตุลาคม 2563 ตรวจพบสารพันธุกรรมจำนวน 2 ราย ขณะนี้ทางการเมียวดี ได้รับตัวผู้ป่วยทั้ง 2 ราย เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเมียวดีแล้ว สำหรับผู้สัมผัสที่ทำงานในโรงงานเดียวกัน 100 คน ทั้งหมดได้ถูกส่งเข้า State Quarantine ของประเทศเมียนมา ส่วนฝั่งประเทศไทยกำลังเร่งติดตามค้นหาผู้สัมผัสเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดประสานงานและให้ความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นอย่างดี ในการป้องการแพร่เชื้อข้ามพรมแดนด้วยระบบเฝ้าระวังกักกันที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลสุขภาพอนามัยประชาชน ขอเน้นย้ำว่าความปลอดภัยของบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ขอให้บุคลากรสาธารณสุข อสม.ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความปลอดภัย และเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน ************************************** 10 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เผย แรงงานไทยในต่างประเทศ ส่งเงินกลับบ้านแล้ว กว่า 2 แสนล้านบาท
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ก.แรงงาน เผย แรงงานไทยในต่างประเทศ ส่งเงินกลับบ้านแล้ว กว่า 2 แสนล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผยรายได้ที่แรงงานในไทยต่างประเทศส่งกลับ ผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ 2563 ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 จัดส่งแรงงานไปแล้ว 58,673 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 200,254 ล้านบาท นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า นับจากช่วงที่ประเทศไทยเข้าสู่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศในภาพรวม เนื่องจากหลายประเทศที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางไปทำงานของแรงงานไทย ชะลอการรับคนต่างชาติเข้าประเทศ ทำให้การพิจารณาจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศนั้น กระทรวงแรงงานต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และประโยชน์ที่แรงงานไทยจะได้รับเป็นอันดับแรก แต่จากการที่รัฐบาลโดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทำให้แรงงานไทยซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีวินัยในการทำงานและมีทักษะฝีมือดี มีโอกาสในการไปทำงานต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศลำดับแรกๆ ที่ตลาดแรงงานในต่างประเทศต้องการ จากข้อมูลของกรมการจัดหางาน พบว่า ในปีงบประมาณ 2563 ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 ได้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศแล้ว 58,673 คน โดยเดินทางไปทำงานประเทศไต้หวันมากที่สุด จำนวน 16,465 คน รองลงมาเป็นสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 6,082 คน ญี่ปุ่น จำนวน 5,573 คน มาเลเซีย จำนวน 5,068 คน อิสราเอล จำนวน 3,353คน และประเทศอื่นๆ 27,200 คน ซึ่งรายได้ที่แรงงานไทยในต่างประเทศส่งกลับบ้าน ผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย มีมูลค่าถึง 200,254 ล้านบาท ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การไปทำงานต่างประเทศ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีทั้งหมด 5 วิธี คือ 1.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง 2.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 3.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ได้แก่ โครงการจ้างตรง :ไต้หวัน โครงการ IM : ประเทศญี่ปุ่น โครงการ EPS: เกาหลี โครงการ TIC 4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ และ5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจและเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ 1-10 หรือที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามการปลูกข้าวหอมมะลิในทุ่งกุลาร้องไห้ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติการฝนหลวง
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ติดตามการปลูกข้าวหอมมะลิในทุ่งกุลาร้องไห้ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติการฝนหลวง รมช.ธรรมนัส ติดตามการปลูกข้าวหอมมะลิในทุ่งกุลาร้องไห้ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติการฝนหลวง ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การเพาะปลูกข้าวหอมมะลิในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้และฟังบรรยายสรุปผลการปฏิบัติการฝนหลวงณสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัยอำเภอเกษตรวิสัยจังหวัดร้อยเอ็ดว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตรได้ช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยแล้งการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจากการปฏิบัติการฝนหลวงของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ตอนล่าง)มีหน่วยปฏิบัติการ4หน่วยคือหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจ.บุรีรัมย์จ.อุบลราชธานีจ.นครราชสีมาและจ.สุรินทร์ในระหว่างวันที่3กุมภาพันธ์ถึง7ตุลาคม2563มีการขึ้นบินปฏิบัติการรวม188วันจำนวน1,129เที่ยวบินทำให้เกิดฝนตกคิดเป็นร้อยละ94.68มีพื้นที่การเกษตรได้รับประโยชน์จำนวน43.56ล้านไร่รวมถึงภารกิจเติมน้ำต้นทุนในเขื่อนกับเก็บน้ำระหว่างวันที่3กุมภาพันธ์ถึง30กันยายน2563จำนวน83เขื่อนรวม172,023ล้านลูกบาศก์เมตรและช่วงระหว่างวันที่1 – 5ตุลาคม2563จำนวน20เขื่อนรวม53,528ล้านลูกบาศก์เมตร ในปัจจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเพาะปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ในพื้นที่5จังหวัดได้แก่จ.ร้อยเอ็ดจ.สุรินทร์จ.ศรีสะเกษจ.มหาสารคามและจ.ยโสธรมีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันประมาณ2,707,390ไร่โดยในปี2562จังหวัดร้อยเอ็ดมีเนื้อที่เพาะปลูกมากที่สุดประมาณ826,724ไร่ให้ผลผลิตรวม276,953ตันมีพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด5อำเภอได้แก่อ.เกษตรวิสัยอ.สุวรรณภูมิอ.หนองฮีอ.ปทุมรัตน์และอ.โพนทรายซึ่งพันธุ์ที่นิยมปลูกคือข้าวขาวดอกมะลิ105,ข้าวหอมมะลิกข15,ข้าวเหนียวกข6,ข้าวหอมนิล,ข้าวหอมมะลิแดงและข้าวเหนียวดา(ข้าวก่า)ส่วนช่องทางการตลาดของเกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกข้าวหอมมะลิGIมีตลาดรองรับผลผลิตที่ชัดเจนรวมถึงยังมีการเพิ่มช่องทางการจาหน่ายผ่านตลาดออนไลน์และตลาดโมเดิร์นเทรดรวมถึงการออกบูธงานแสดงสินค้าในงานสำคัญของจังหวัดโดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้บริโภคที่ใส่ใจด้านสุขภาพซึ่งผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรสามารถขายสินค้าเกรดพรีเมี่ยมได้ในราคาที่ค่อนข้างสูงเนื่องจากมีการขายในลักษณะของฝากและของที่ระลึก นายสุรสีห์กิตติมณฑลอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตรกล่าวเพิ่มเติมว่าสภาพภูมิอากาศของทุ่งกุลาร้องไห้นั้นเป็นอย่างทุ่งหญ้าทำให้มีฝนตกเป็นช่วงๆหากเกิดฝนตกจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้ดังนั้นเมื่อฝนทิ้งช่วงจะทำให้พื้นที่แห้งแล้งทันทีแม้ว่าทุ่งกุลาร้องไห้จะมีลำน้ำไหลผ่านหลายสายแต่เพราะมีพื้นที่เทลาดต่ำจากตะวันตกไปตะวันออกจึงทำให้น้ำไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วดังนั้นกระทรวงเกษตรฯจึงได้เร่งสั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรประสานความร่วมมือกับกองทัพบกและกองทัพอากาศในการช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรและเติมน้ำลงเขื่อนและอ่างเก็บน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงจนสิ้นสุดฤดูการเพาะปลูกในปีนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห สั่งกองทัพ กระจายกำลังคงความต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโคราช จันทบุรีและเพชรบุรี
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 นรม.และ รมว.กห สั่งกองทัพ กระจายกำลังคงความต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโคราช จันทบุรีและเพชรบุรี นรม.และ รมว.กห สั่งกองทัพ กระจายกำลังคงความต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโคราช จันทบุรีและเพชรบุรี นรม.และ รมว.กห สั่งกองทัพ กระจายกำลังคงความต่อเนื่องช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโคราช จันทบุรีและเพชรบุรี พล.ท. คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ห่วงผลกระทบประชาชนในหลายพื้นที่จากฝนตกหนัก น้ำไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำล้นตลิ่งในหลายจังหวัด โดยเฉพาะ จว.นครราชสีมา จันทบุรี และเพชรบุรี กำชับกองทัพ ให้คงความต่อเนื่องการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบร่วมกับทุกหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและจิตอาสาในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดจนกว่าสถานการณ์จะปกติ พร้อมทั้งให้ติดตามสถานการณ์นำ้และสภาพอากาศช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ปลายฝนต้นหนาว โดยให้เตรียมให้การช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่องกันไป โฆษก.กห.กล่าวเพิ่มเติมว่า การช่วยเหลือประชาชนที่ผ่านมา กห.โดยทุกเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารในแต่ละพื้นที่ที่ประสบภัย ได้จัดกำลังพลชุดเคลื่อนที่เร็วและเครื่องมือช่าง กระจายให้การช่วยเหลือเร่งด่วน ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงและสิ่งของขึ้นที่สูง การแจกจ่ายอาหารปรุงสุกและถุงยังชีพให้กับประชาชนที่อพยพออกมาและยังคงอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งการจัดชุดแพทย์สนามเข้าไปดูแลต่อเนื่องกันมา ขณะเดียวกัน การลดความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ภาพรวม กำลังทหารได้ช่วยกันก่อกระสอบทรายจัดทำแนวกั้นน้ำและใช้เครื่องมือช่างเปิดทางระบายน้ำ เพื่อลดความเสียหายไม่ให้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง พร้อมทั้งได้ใช้เครื่องมือช่างเปิดเส้นทางจากดินโคลนถล่ม และวางสะพานเครื่องหนุนมั่นในจุดสะพานขาด เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถสัญจรไปมาได้ สำหรับพื้นที่ อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา อ.โป่งน้ำร้อน และ อ.สอยดาว จว.จันทบุรี รวมทั้ง อ.หนองหญ้าปล้อง จว.เพชรบุรี ที่มีมวลน้ำป่าไหลเชี่ยวและมีปริมาณมาก ส่งผลให้ประชาชนหลายหมู่บ้านได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างนั้น กำลังทหารจากหลายหน่วยในพื้นที่ ได้ระดมกำลังเข้าไปช่วยเหลืออพยพประชาชนเร่งด่วนออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ปลอดภัย ที่จัดตั้งเป็นจุดอพยพชั่วคราว และทำงานร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่ติดตามเส้นทางมวลน้ำ เฝ้าระวังแจ้งเตือนและดูแลความปลอดภัยประชาชนในภาพรวม พร้อมทั้งจัดกำลังเข้าช่วยอำนวยความสะดวกปัญหาการจราจรในเส้นทางหลัก และดำรงการช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างในพื้นที่เส้นทางถูกตัดขาดอย่างต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์อุทกภัยใกล้ชิด สั่งเฝ้าระวังและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์อุทกภัยใกล้ชิด สั่งเฝ้าระวังและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์อุทกภัยใกล้ชิด สั่งเฝ้าระวังและช่วยเหลือประชาชนเร่งด่วน นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้(10ตุลาคม2563)พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและนำ้ป่าไหลหลากในหลายพื้นที่เช่นปากช่องจังหวัดนครราชสีมาเพชรบุรีและพื้นที่อื่นๆพร้อมทั้งรับรายงานการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชนและบรรเทาสาธารณภัย สำหรับพื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรและบ้านเรือนประชาขนนายกฯได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยงข้องทั้งพลเรือนทหารและท้องถิ่นทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์และเร่งช่วยเหลือพร้อมรีบระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันน้ำที่จะไหลมาสมทบ นอกจากนั้นนายกฯยังได้สั่งการเพื่อแก้ปัญหาเช่นให้เร่งเพิ่มการขุดลอกลุ่มน้ำสาขาทำพนังกั้นน้ำทั้งนี้นายกฯยังกำชับให้ทุกหน่วยงานที่ได้สั่งการให้เตรียมความพร้อมไว้ก่อนหน้านี้แล้วได้ให้ความสำคัญกับการบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่องไม่ทอดทิ้งให้ประชาชนที่ประสบกับความลำบากจากอุทกภัยฉับพลันนี้และหากประชาชนต้องการความช่วยเหลือให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐที่พร้อมให้การช่วยเหลือตลอด24ชม. .............. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยประสบความสำเร็จผลักดันการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนเพื่อต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (AN-IUU)
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 ไทยประสบความสำเร็จผลักดันการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนเพื่อต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (AN-IUU) ไทยประสบความสำเร็จผลักดันการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนเพื่อต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (AN-IUU) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับความก้าวหน้าของไทยและภูมิภาคอาเซียนในการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนเพื่อต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ASEAN Network for Combating Illegal Unreported and Unregulated Fishing: AN-IUU) AN-IUU มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความร่วมมือของภูมิภาคในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ได้อย่างทันท่วงทีและความร่วมมือการใช้ข้อมูลจากระบบติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (Monitoring, Control and Surveillance: MCS) เพิ่มขีดความสามารถของประเทศสมาชิกและความสามารถการติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวัง และการต่อต้านการทำประมง IUU ผ่านแนวทางปฏิบัติที่ดีในการเผยแพร่ขัอมูล โดยเฉพาะการเฝ้าระวังทางทะเล การสืบสวนสอบสวน และประสบการณ์ของเครือข่าย นอกจากนี้ ไทยยังได้รับตำแหน่งผู้ประสานงานเครือข่าย AN-IUU ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับภาคีภายนอก รวมทั้งเป็นเจ้าภาพในการจัดทำ online interactive platform สำหรับกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรือประมงผิดกฎหมายในอาเซียน และการเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมเครือข่าย AN-IUU ครั้งที่ 1 ในเดือนธันวาคม 2563 นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่าเครือข่าย AN-IUU ถือเป็นกลไกแรกของอาเซียนในการจัดการปัญหา IUU โดยบทบาทนำของไทยได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งข้อริเริ่มดังกล่าวนับเป็นพัฒนาการที่สำคัญที่สามารถขยายไปสู่ความร่วมมือในประเด็นการแก้ปัญหา IUU ในภูมิภาคได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงแรมที่จะสามารถเข้าร่วมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอย่างไร ??
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 โรงแรมที่จะสามารถเข้าร่วมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอย่างไร ?? โรงแรมสามารถเข้าร่วมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอย่างไร ?? Q : โรงแรมที่จะสามารถเข้าร่วมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นอย่างไร ?? A : จะต้องผ่านการรับรองและประกาศให้เป็น ALSQ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลัง-กรมธนารักษ์ ลงนามกองทัพบก เดินหน้าเนรมิต “สวนป่าเบญจกิติ” ผุดพื้นที่สีเขียวใจกลางกรุง แหล่งเรียนรู้พระราชกรณียกิจ-พันธุ์ไม้หายาก
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 คลัง-กรมธนารักษ์ ลงนามกองทัพบก เดินหน้าเนรมิต “สวนป่าเบญจกิติ” ผุดพื้นที่สีเขียวใจกลางกรุง แหล่งเรียนรู้พระราชกรณียกิจ-พันธุ์ไม้หายาก คลังเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงกองทัพบก เดินหน้าพัฒนาโครงการสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะ 2- 3 บนพื้นที่ 259 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ใจกลางกรุงเทพ ปรับภูมิทัศน์เนรมิตเป็นสวนป่า แหล่งพันธุ์ไม้หายาก คลังเปิดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงกองทัพบก เดินหน้าพัฒนาโครงการสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะ 2- 3 บนพื้นที่ 259 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ใจกลางกรุงเทพ ปรับภูมิทัศน์เนรมิตเป็นสวนป่า แหล่งพันธุ์ไม้หายาก เพิ่มคุณค่าศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง กำหนดเปิดให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ระยะแรก เพื่อเฉลิมพระเกียรติวันแม่ 12 สิงหาคม ปี 2564 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ (26 ต.ค. 2563) ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการก่อสร้างสวนป่า“เบญจกิติ”ระยะที่2–3 ระหว่าง กรมธนารักษ์กับ กองทัพบก โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทั้งนี้โครงการจัดสร้างสวนสาธารณะ “เบญจกิติ” เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ ที่สำคัญของกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่มีวัตถุประสงค์ในการเปิดให้กับประชาชนได้มาใช้ประโยชน์ในกิจกรรมด้านต่างๆ ภายหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 โดยแบ่งพื้นที่สีเขียวอาคารนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ที่จะให้เกิดการเรียนรู้งานพระราชกรณียกิจให้ประชาชนได้เข้ามาศึกษาดูงาน รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนออกกำลังกายของคนกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันยังเป็นแหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ ที่หาได้ยาก โดยเฉพาะพันธุ์ไม้ประจำพระองค์ พร้อมทั้งการนำเทคโนโลยีติดตั้งพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) เพื่อใช้เป็นพลังงานส่องสว่างภายในพื้นที่ และติดตั้งกังหันน้ำชัยพัฒนาทำให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพื่อเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ สำหรับการพัฒนาก่อสร้างโครงการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ภายหลังจากที่การยาสูบแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ส่งมอบพื้นที่เพื่อน้อมเกล้าถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ใช้ประโยชน์ ในพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม ที่ได้มีการส่งมอบ คือ ส่วนที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ออกแบบเป็นสวนน้ำ ตามแนวพระราชดำริ “ป่ารักน้ำ” ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งนี้กระทรวงการคลัง โดย กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการก่อสร้างสวนน้ำแล้วเสร็จในปี 2547 และส่งมอบพื้นที่สวนน้ำให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการ ส่วนที่ 2 เนื้อที่ประมาณ 320 ไร่ การก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” โดยกรมธนารักษ์ ได้ดำเนินการในระยะที่ 1 เนื้อที่ 61 ไร่ เป็นที่เรียบร้อย เมื่อปี 2559 และได้ส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้เป็นการออกแบบและก่อสร้างระยะที่ 2-3 บนพื้นที่ 259 ไร่ ด้วยงบประมาณ 652 ล้านบาท ได้ให้บริษัท สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม อาศรมศิลป์ จำกัด เป็นผู้ออกแบบ ภายใต้แนวคิด “การสืบสานพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในการปลูกป่าในใจคน ด้วยการเป็นสวนป่าสำหรับคนเมือง เป็นแหล่งเรียนรู้มีชีวิตที่สร้างการมีส่วนร่วม ความผูกพัน และสำนึกรักหวงแหนในคุณค่าของป่า น้ำ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งแบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ระยะ คาดว่า จะเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565โดยระยะ 1 เริ่มก่อสร้างเดือนพฤศจิกายน 2563 แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2564 เพื่อมีช่วงเวลาสำหรับเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ส่วนระยะ 2 ทางกองทัพบกจะเข้าไปก่อสร้างในส่วนของอาคารและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประชาชนเข้าชมได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36233
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท. ประสานกระทรวงการต่างประเทศประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นขออนุญาตอยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 มท. ประสานกระทรวงการต่างประเทศประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นขออนุญาตอยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 มท. ประสานกระทรวงการต่างประเทศประชาสัมพันธ์ให้คนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักร ยื่นขออนุญาตอยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 วันนี้ (26 ต.ค. 63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ลงวันที่ 7 เมษายน 2563 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 22 เมษายน 2563 ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ 3) ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 30 กันยายน 2563 อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ โดยให้มาดำเนินการตามมาตรา 35 และมาตรา 37(5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า การดำเนินการตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 4 จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 แต่ยังมีคนต่างด้าวจำนวนหนึ่งยังไม่มาดำเนินการตามประกาศดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยจึงขอความร่วมมือจากกระทรวงการต่างประเทศ ประสานสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ดำเนินการแจ้งให้คนสัญชาติของตนทราบและดำเนินการ โดยคนต่างด้าวที่ประสงค์จะอยู่ในราชอาณาจักรหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ต้องไปดำเนินการยื่นขออยู่ต่อที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 หากดำเนินการขออยู่ต่อหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ต้องดำเนินการภายใน 90 วัน โดยเสียค่าปรับ ทั้งนี้หากพ้นระยะเวลา 90 วัน แล้วยังไม่เดินทางกลับออกไปหรือไม่ยื่นคำร้องขออยู่ต่อ จะถือเป็นผู้ที่อยู่เกินเวลาที่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วส่งตัวกลับออกไป และถูกประกาศเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand Plus แอปเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปลอดโควิด
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 Thailand Plus แอปเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติปลอดโควิด วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ แอปพลิเคชัน ‘ThailandPlus’ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและภาคีเครือข่าย เพื่อสนับสนุนนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ Special Tourist Visa ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยสถานทูตไทยที่ประเทศต้นทางจะเป็นผู้ให้ข้อมูลการติดตั้งแอปฯ เมื่อเดินทางมาถึงด่านควบคุมโรค ก็จะตรวจสอบการติดตั้ง และแจ้งให้ใช้งานตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศ ผ่านเทคโนโลยี GPS และ Bluetooth โดยเป้าหมายมีไว้ใช้ระบุความเสี่ยง ติดตาม แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวและหน่วยงานภาครัฐ ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวไทยในการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แค่ 127 วินาที!! สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี ของ ธอส. เต็ม 650 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 แค่ 127 วินาที!! สินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี ของ ธอส. เต็ม 650 ล้านบาท ธอส.เปิดให้ประชาชนจองสิทธิ์สินเชื่อช่วง Platinum Period อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 0.1% ต่อปี ผ่าน Application : GHB ALL ในวันอาทิตย์ที่ 25 ต.ค.2563 มีลูกค้าให้ความสนใจจองสิทธิ์สินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 650 ล้านบาทเรียบร้อยแล้วภายใน 127 วินาที ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยหลังจากที่ธนาคารได้เปิดให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้าน จองสิทธิ์สินเชื่อช่วง Platinum Period อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 0.1% ต่อปี ผ่าน Application : GHB ALL ในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ล่าสุดพบว่า มีลูกค้าประชาชนให้ความสนใจจองสิทธิ์สินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 650 ล้านบาทเรียบร้อยแล้วภายในระยะเวลาเพียง 2.07 นาที หรือ 127 วินาทีเท่านั้น โดยมีผู้ได้สิทธิ์ จำนวน 213 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่ยังคงให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำของ ธอส. เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองและครอบครัวเข้าถึงได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบ New Normal ทั้งนี้ สินเชื่อช่วง Platinum Period อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก คงที่ 0.1% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR ลบ 6.05% ต่อปี(ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ณ ปัจจุบันเพียง 0.1 % ต่อปี พิเศษ! 3 ฟรีค่าธรรมเนียม ให้กู้รายละไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหลักประกัน ให้สิทธิ์เฉพาะลูกค้าที่จองสิทธิ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. ในงาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20 ภายในวันที่ 25 ตุลาคม 2563 ก่อนเวลา 12.00 น.เรียบร้อยแล้วเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จัดโปรดีไม่มีกั๊กร่วมงาน ‘Smart SME Expo 2020’ เติมทุน เสริมสภาพคล่อง ดอกเบี้ยพิเศษ ตอบโจทย์เอสเอ็มอีไทย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 SME D Bank จัดโปรดีไม่มีกั๊กร่วมงาน ‘Smart SME Expo 2020’ เติมทุน เสริมสภาพคล่อง ดอกเบี้ยพิเศษ ตอบโจทย์เอสเอ็มอีไทย SME D Bank จัดหนักจัดเต็มรับโค้งสุดท้ายปี 2563 ขนผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน “Smart SME Expo 2020” ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-1 พ.ย. 63 ณ บูธ I 1 A (ไอ หนึ่ง เอ) ฮอลล์ 9-10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จัดหนักจัดเต็มรับโค้งสุดท้ายปี 2563 ขนผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้าร่วมงาน “Smart SME Expo 2020” ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-1 พ.ย. 63 ณ บูธ I 1 A (ไอ หนึ่ง เอ) ฮอลล์ 9-10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตอบโจทย์ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครอบคลุมทุกธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยพิเศษ พบกับไฮไลท์ เช่น “สินเชื่อรายเล็ก Extra Cash” ครอบคลุมทุกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ต่อปีใน 2 ปีแรก ที่สำคัญไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน “สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.875% ต่อปี 3 ปีแรก และ “สินเชื่อ SMART SMEs” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 5% ต่อปี แถมยังรับรีไฟแนนซ์ (Refinance) เป็นต้น พิเศษ! ยื่นกู้ภายในงาน รับฟรี “SME D Gift” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตรจีน ณ กรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๕ และ สัปดาห์แลกเปลี่ยนภาพยนตร์จีน-ไทย 2020
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตรจีน ณ กรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๕ และ สัปดาห์แลกเปลี่ยนภาพยนตร์จีน-ไทย 2020 รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตรจีน ณ กรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๕ และ สัปดาห์แลกเปลี่ยนภาพยนตร์จีน-ไทย 2020 วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมพิธีเปิดเทศกาลภาพยนตรจีน ณ กรุงเทพฯ ครั้งที่ ๑๕ และ สัปดาห์แลกเปลี่ยนภาพยนตร์จีน-ไทย 2020 โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ผู้บริหารศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ดารา นักแสดงไทยและจีน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมพิธี ณ โรงละคร ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ถนนเทียมร่วมมิตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงไข้หวัดใหญ่-โควิด 19 อาการคล้ายกัน ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 สธ.แจงไข้หวัดใหญ่-โควิด 19 อาการคล้ายกัน ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาว ชี้ไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 อาการคล้ายกัน แต่ไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูง ไอ มีน้ำมูกเป็นอาการเด่น โรคโควิด 19 มักมีไข้ต่ำๆ สูญเสียการรับรสและกลิ่น ย้ำป้องกันตนเอง สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาว ชี้ไข้หวัดใหญ่และโควิด 19 อาการคล้ายกัน แต่ไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูง ไอ มีน้ำมูกเป็นอาการเด่น โรคโควิด 19 มักมีไข้ต่ำๆ สูญเสียการรับรสและกลิ่น ย้ำป้องกันตนเอง สวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง ลดความเสี่ยงได้ทั้งสองโรค วันนี้ (26 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรีนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และแพทย์หญิงเปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์ปอด สถาบันโรคทรวงอก ร่วมกันแถลงข่าวการดูแลรักษาสุขภาพช่วงฤดูหนาวให้ห่างไกลโรคโควิด 19 นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว หลายพื้นที่เริ่มมีอุณหภูมิลดลง อากาศเย็น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจระบาดได้ง่าย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น รวมทั้งประเทศไทยยังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ ซึ่งทั้งไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 มีอาการคล้ายคลึงกัน ดังนั้นหากอยู่แต่ในบ้าน มีพฤติกรรมป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ โอกาสที่จะเป็นโรคโควิด 19 จะน้อยมาก แต่หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เช่น สถานที่กักกัน หรือสถานที่เคยติดโรคมาก่อน ใกล้ชิดกับคนต่างประเทศในภาวะกักกัน หากป่วยควรไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 นายแพทย์ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี สามารถป้องกันได้ทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 ซึ่งแต่ละปีโรคไข้หวัดใหญ่จะแพร่ระบาดสูง 2 ช่วง คือ ช่วงต้นปี จากนั้นลดลงช่วงฤดูร้อน และกลับมาระบาดอีกครั้งช่วงต้นฤดูหนาว แต่จากมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่ลดลงอย่างมาก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน และยังลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อที่ติดจากมือด้วย เช่น โรคระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ด้านแพทย์หญิงเปี่ยมลาภ แสงสายัณห์ หัวหน้ากลุ่มงานอายุรศาสตร์ปอด สถาบันโรคทรวงอก กล่าวว่า ข้อแตกต่างระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 คือ โรคไข้หวัดใหญ่ใช้ระยะเวลาการฟักตัวของโรค 1-4 วันจึงจะเริ่มมีอาการ และสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนมีอาการ 1 วัน แต่ไม่เกิน 7 วัน อาการเด่น คือ ระยะแรกจะมีไข้สูง เกิน 38 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล และไอ สามารถหายได้เองใน 7 วัน อาจเกิดปอดอักเสบได้ขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อที่ติดและภูมิคุ้มกันของร่างกาย การรักษามียาต้านไวรัส และมีวัคซีนป้องกัน ส่วนโรคโควิด 19 หลังรับเชื้อระยะเวลาเกิดโรคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5-6 วัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 14 วัน เริ่มแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นานถึง 14 วัน ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์มักไม่แสดงอาการ แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่คือ อาการไข้ น้ำมูก และไอไม่เด่นเท่าไข้หวัดใหญ่ โดยมีไข้ต่ำๆ ประมาณ 37.5 หรือ 37.8 องศาเซลเซียส อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวและไอร่วม แต่ที่เด่นชัดคือ สูญเสียการรับรสและกลิ่น สามารถหายเองได้ใน 10-14 วัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือมีโรคอื่นร่วมด้วย มีความเสี่ยงที่จะเกิดปอดอักเสบรุนแรงได้ ส่วนอาการจมูกไม่ได้กลิ่นจากภูมิแพ้ที่เกิดจากอากาศเย็นและฝุ่น PM 2.5 จะมีอาการเด่น คือ คัดจมูกและมีน้ำมูก หากสงสัยให้ไปพบแพทย์ “โรคไข้หวัดใหญ่และโรคโควิด 19 ติดต่อได้เหมือนกัน ผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสถูกน้ำมูก เสมหะของผู้ป่วย มือที่สัมผัสเชื้อ การป้องกันตนเองจากทั้ง 2 โรค ทำได้เหมือนกัน คือ การใส่หน้ากาก ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วยจะช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อ เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ล้างมือบ่อยๆ กินของร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เน้นการอยู่พื้นที่โล่งและมีแดดก็จะช่วยป้องกันได้” แพทย์หญิงเปี่ยมลาภกล่าว *********************************** 26 ตุลาคม 2563 ****************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36238
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2563 วันนี้ (26 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2563 วันนี้ (26 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (บาห์เรน 1 ราย, ออสเตรีย 1 ราย, จอร์แดน 1 ราย, อิรัก 1 ราย, กาตาร์ 1 ราย, ตุรกี 1 ราย, คูเวต 1 ราย) ทุกรายอยู่ในสถานกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 13 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,543 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.66 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 141 ราย หรือร้อยละ 3.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,743 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก บาห์เรน 1 รายเพศชาย อายุ 67 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 5 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาลตามระบบ ออสเตรีย 1 รายเพศหญิง อายุ 49 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 18 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร ตรวจหาเชื้อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ ก่อนหน้านี้มีผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ได้เข้าสู่ระบบกักตัวและรับการรักษาที่โรงพยาบาลตามระบบ จอร์แดน 1 รายเพศชาย อายุ 25 ปี สัญชาติไทย อาชีพนักศึกษา เดินทางจากกาตาร์ถึงประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี อิรัก 1 รายเพศหญิง อายุ 39 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานนวด เดินทางจากกาตาร์ถึงประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี กาตาร์ 1 รายเพศหญิง อายุ 40 ปี สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ตุรกี 1 รายเพศหญิง อายุ 42 ปี สัญชาติไทย เดินทางจากกาตาร์ถึงประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี คูเวต 1 รายเพศชาย อายุ 49 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางจากกาตาร์ถึงประเทศไทยวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 24 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวว่า สถานการณ์ทั่วโลกขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 43 ล้านราย มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1.1 ล้านราย จากรายงานพบว่าประเทศที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐอเมริกาและในทวีปยุโรป และบางประเทศกลับมาพบการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 อีกครั้งซึ่งมากกว่าในรอบแรก สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศซึ่งทุกคนจะต้องเข้ารับการกักตัวตามมาตรการของภาครัฐ และพบการติดเชื้อในประเทศบ้างเล็กน้อย โดยมี 2 เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ได้แก่ การพบผู้ติดเชื้อชาวเมียนมา ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จากการตรวจหาเชื้อเชิงรุกในชุมชนด้วยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทานใน อ.แม่สอด จำนวน 8,818 ราย พบติดเชื้อ 6 ราย และตรวจหาเชื้อใน อ.แม่ระมาด, อ.ท่าสองยาง, อ.อุ้มผาง และ อ.พบพระ รวม 3,021ราย ทั้งหมดไม่พบติดเชื้อ อย่างไรก็ตามพื้นที่แม่สอดยังคงเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งภาครัฐได้บริหารจัดการปรับปรุงระบบการดูแลระบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคให้รัดกุม บริหารจัดการการเปิดด่านพรมแดนให้มีความปลอดภัยสูงสุด และยังคงค้นหาผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ขณะนี้ได้ติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 40 ราย ส่งตรวจหาเชื้อแล้ว 28 ราย ผลไม่พบเชื้อ 27 ราย อยู่ระหว่างรอผล 1 ราย และติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำได้ 80 ราย ทุกรายไม่มีอาการ ได้แนะนำให้เฝ้าระวังสังเกตอาการตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ที่มีคนรวมกันจำนวนมาก และสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา สำหรับสถานการณ์ใน อ.เกาะสมุย พบว่าประชาชนมีความตื่นตัวสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยกว่าร้อยละ 80 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่สวมประมาณร้อยละ 50 สำหรับประเด็นลดวันกักตัว จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของประเทศที่ผู้เดินทางซึ่งต้องรอความเห็นชอบจาก ศบค. อีกครั้ง ขณะนี้ยังยืนยันการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศอยู่ที่ 14 วัน อย่างไรก็ตาม การพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศมีโอกาสเป็นไปได้ แต่การพบผู้ติดเชื้อและผู้สัมผัสให้ได้โดยเร็ว และควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดจะสามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนการเปิดประเทศ-เปิดเศรษฐกิจให้กว้างขวางขึ้นอย่างปลอดภัย สร้างสมดุลระหว่างสุขภาพ-วิถีชีวิต-วิถีทางสังคม-เศรษฐกิจ ดังนั้นการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะยังมีความจำเป็น และทำร่วมกับมาตรการป้องกันตนเองอื่นๆ จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยได้ หากพบผู้ติดเชื้อกระทรวงสาธารณสุขจะเข้าไปดำเนินการทันที ************************* 26 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วงเงินกู้เพื่อส่งเสริมอาชีพ สำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้าน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 วงเงินกู้เพื่อส่งเสริมอาชีพ สำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้าน วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ที่ว่างงาน ในรูปแบบของการรับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน และเป็นการผลิตในครัวเรือน เช่น งานตัดเย็บเสื้อผ้า งานปัก ถัก ทอ งานจักสานต่าง ๆ เป็นต้น โดยเปิดโอกาสให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน สามารถกู้ยืมเงินผ่านกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อนำไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต สร้างอาชีพและสร้างรายได้ แบ่งเป็นประเภทบุคคลวงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนกลุ่มบุคคลวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และมีเวลาพักชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 งวด ผู้สนใจขอรับบริการได้ที่ กรมการจัดหางาน และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคลียร์คัท! ช้อปดีมีคืน คืนภาษีเท่าไรกันแน่
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 เคลียร์คัท! ช้อปดีมีคืน คืนภาษีเท่าไรกันแน่ -- #ไทยคู่ฟ้า"ช้อปดีมีคืน" มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2563 ตามจำนวนเงินค่าซื้อสินค้าและบริการที่จ่ายจริง ตั้งแต่ 23 ต.ค. - ธ.ค. 63 แต่ไม่เกิน 30,000 บาท . ได้ฟังหรืออ่านมาแบบนี้แล้ว ใช่ว่าเราจะได้ภาษีคืนครบ 30,000 บาท หรือตามค่าใช้จ่ายที่เสียไปแบบเป๊ะ ๆ เพราะความจริงเราจะได้รับเงินภาษีคืนตามฐานของเงินได้สุทธิต่อปี ซึ่งแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้จะซื้อสินค้าหรือบริการเต็มเพดาน 30,000 บาทก็ตาม แต่ใครจะได้เท่าไรลองเทียบดูตามตารางข้างล่างนี้ . อย่างไรก็ตาม แม้การเข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืน จะไม่ต้องลงทะเบียนก่อนใช้สิทธิ์ แต่อย่าลืมขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบจากร้านค้า ยกเว้นการซื้อ e-book หรือสินค้า OTOP ที่ใช้หลักฐานอื่นแทนได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมเปิดสภาวิสามัญ ถกแก้วิกฤต
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 เตรียมเปิดสภาวิสามัญ ถกแก้วิกฤต -- เตรียมเปิดสภาวิสามัญ ถกแก้วิกฤต #ไทยคู่ฟ้าเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2563 เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 63 นี้ นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นว่า ช่วงนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่จะนำความคิดของทุกคนในสังคมไทยมาพิจารณาหาแนวทางและความเห็นชอบร่วมกัน ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา โดยขอให้เคารพกฎหมาย และก้าวไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อผลดีในระยะยาวของประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กต. แจงไทยยึดมั่นพันธกรณีและกติการะหว่างประเทศ เคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ขณะที่ โฆษก ตร. เผย “แผนการชุมนุม 63” ยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 กต. แจงไทยยึดมั่นพันธกรณีและกติการะหว่างประเทศ เคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ขณะที่ โฆษก ตร. เผย “แผนการชุมนุม 63” ยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย กต. แจงไทยยึดมั่นพันธกรณีและกติการะหว่างประเทศ เคารพสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ขณะที่ โฆษก ตร. เผย “แผนการชุมนุม 63” ยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจง ข้อห่วงกังวลที่ปรากฏในแถลงข่าวร่วม อาทิ เรื่องการจับกุม การใช้น้ำฉีดแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ฯลฯ ได้รับการชี้แจงในการบรรยายสรุปต่อคณะทูตและองค์การระหว่างประเทศแล้ว เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศบรรยายสรุปและตอบคำถามร่วมกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้แทนสำนักงาน OHCHR ประจำประเทศไทย ได้เข้าฟังด้วย ในวันเดียวกันกับที่มีการเผยแพร่แถลงข่าวร่วม (22 ตุลาคม 2563) เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้หารือกับนาง Michelle Bachelet ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ ผ่านการสื่อสารทางไกล เกี่ยวกับสถานการณ์ชุมนุมในประเทศไทย และการแถลงข่าวร่วมข้างต้น เพื่อชี้แจงเพิ่มเติม โดยเฉพาะการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 และได้ย้ำว่า (1) ไทยยึดมั่นในพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) (2) รัฐบาลไทยรับมืออย่างสมดุลระหว่างข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่เป็นพลังเงียบ (silent majority) และ (3) ที่สำคัญคือกระบวนการทางยุติธรรมและศาลมีความเป็นอิสระ โดยล่าสุดศาลมีคำสั่งยกเลิกคำร้องของกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อปิดสื่อบางแห่งแล้ว ขณะเดียวกัน พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. ชี้แจงว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำต้องดำเนินการตาม พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ซึ่งมีบทกำหนดให้ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อดูแลการชุมนมสาธารณะดังกล่าว ภายใต้ “แผนการชุมนุม 63” โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย และหลักปฏิบัติในการควบคุมฝูงชนที่เป็นสากล ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป การชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ โดยเหตุดังกล่าวรัฐบาลได้พิจารณาแล้วและเห็นว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่เป็นไปโดยสงบอันอาจทำให้เกิดเหตุเงื่อนไขลุกลามบานปลาย จึงได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ต.ค.63 โดยให้ใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ แม้ภายหลังจะได้มีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ต.ค.63 ดังนี้แล้ว ถือได้ว่าสถานการณ์ตั้งแต่ 15-22 ต.ค.63 ในระหว่างที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินถือเป็นการชุมนุมที่มีความร้ายแรง สำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย แต่ทั้งนี้ก็ยังคงยึดหลักการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมภายใต้ “แผนการชุมนุม 63” ซึ่งเป็นแผนการปฏิบัติฉบับเดียวกันกับในสถานการณ์ปกติ และมีขั้นตอนตามหลักสากล ไม่มีการใช้กำลังเกินกว่าความจำเป็นแต่อย่างใด ทั้งนี้ การดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมรวมถึงการจับกุมและการควบคุมตัว สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กระทำการไปตามอำนาจหน้าที่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยอาศัยอำนาจศาลในการขออนุมัติหมายจับ การควบคุม การคุมขัง ดังนั้น ในส่วนของการปล่อยตัวหรือการดำเนินการอื่นใดอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของศาลยุติธรรมในการดำเนินการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่อาจก้าวล่วงได้แต่อย่างใด ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รวมใจไทยเจริญพระพุทธมนต์ สร้างสิริมงคลให้บ้านเมือง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รวมใจไทยเจริญพระพุทธมนต์ สร้างสิริมงคลให้บ้านเมือง -- #ไทยคู่ฟ้า รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ในวันเสาร์ที่ 24 ต.ค. 63 เวลา 19.00 น. ส่วนกลางจัดขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธี พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาวเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ณ วัดหรือสถานที่จัดพิธีใกล้บ้านทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กู้สูงสุด 3 แสนบาท สนับสนุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 กู้สูงสุด 3 แสนบาท สนับสนุนผู้รับงานไปทำที่บ้าน -- #ไทยคู่ฟ้า อีกหนึ่งแนวทางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่ว่างงาน แรงงานนอกระบบ ที่เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน ซึ่งเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน และเป็นการผลิตในครัวเรือน เช่น งานตัดเย็บเสื้อผ้า งานดอกไม้ประดิษฐ์ งานปัก ถัก ทอ งานจักสานต่าง ๆ เป็นต้น ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ . ล่าสุด กระทรวงแรงงาน จัดสรรเงินเพื่อปล่อยกู้วงเงินรวม 7,000,000 บาท ผ่านกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพื่อให้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต เพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค. 63 – 30 ก.ย. 64 แบ่งเป็น ประเภทบุคคลกู้ไม่เกิน 50,000 บาท ชำระคืนภายใน 2 ปี ส่วนกลุ่มบุคคลวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ชำระคืนภายใน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และมีเวลาพักชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 งวด ผู้สนใจขอรับบริการได้ที่ กรมการจัดหางาน และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานงานสัมมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีฯ สุริยะ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานงานสัมมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานงานสัมมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ วันนี้ (26 ตุลาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงานสัมมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วย นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจำกระทรวงอุตสาหกรรม จัดโดย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดยมี นายสมชาย มีเสน รองประธานกรรมการบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ สำหรับงานสัมมนา EEC GO เดินหน้าลงทุน จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 เพื่อเป็นการติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ EEC พร้อมทั้งเป็นกระจายข้อมูลข่าวสารของโครงการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างเข้มแข็ง มั่งคั่ง และยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษา ณ วัดชิโนรสารามวรวิหาร
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษา ณ วัดชิโนรสารามวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษา ณ วัดชิโนรสารามวรวิหาร วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษา ณ วัดชิโนรสารามวรวิหาร เพื่อทำนุบำรุง และสืบทอดพระพุทธศาสนา โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน และมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมในพิธี ณ วัดชิโนรสารามวรวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน”
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของมุมมองความคิด และความต้องการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในสังคม เพื่อให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันได้ รวมทั้งยึดแนวทางการบริหารประเทศบนพื้นฐานของกฎหมาย และการตัดสินใจจากรัฐสภาในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชนไทย โดยขอให้ทุกฝ่ายถอยกันคนละก้าว เพราะนอกจากปัญหาทางการเมืองแล้วยังมีภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่ต้องร่วมมือกัน นั่นคือ การบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาปากท้อง ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่ควรเป็นนับจากนี้คือการนำเอาประเด็นต่าง ๆ มาพูดคุยกัน เพื่อผลดีในระยะยาวและช่วยรักษาบาดแผลของประเทศให้ทุเลาลง “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก “บ้านเพิ่มสุข” จังหวัดพิษณุโลก ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 พม. เปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก “บ้านเพิ่มสุข” จังหวัดพิษณุโลก ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19 พม. เปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก “บ้านเพิ่มสุข” จังหวัดพิษณุโลก ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวในสถานการณ์โควิด-19 วันที่ 24 ต.ค. 63เวลา 13.30 น. ที่บ้านเอื้ออาทรจังหวัดพิษณุโลก (พลายชุมพล) ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดสถานรับเลี้ยงเด็ก “บ้านเพิ่มสุข” จังหวัดพิษณุโลก เพื่อช่วยเหลือพ่อ แม่ และผู้ปกครอง ที่ต้องเลี้ยงบุตรโดยลำพัง และประสบปัญหาการเลี้ยงดูบุตรในช่วงเวลาทำงาน ได้มีโอกาสในการประกอบอาชีพและหารายได้ให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่ ในขณะที่บุตรหลานมีสถานรับเลี้ยงเด็กที่เหมาะสม ปลอดภัย ตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ พร้อมทั้งมอบแนวทางการดำเนินงานและเยี่ยมชมสถานรับเลี้ยงเด็กดังกล่าว โดยมีนายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบครัวผู้ปกครองเด็ก และชาวชุมชน เข้าร่วมงาน นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสถาบันครอบครัว จากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวที่มีเพียงพ่อ แม่ และลูก นอกจากนี้ ยังมีครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงบุตรโดยลำพัง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ครอบครัวมีรายได้ไม่เพียงพอในการเลี้ยงดูบุตร โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย ช่วงอายุระหว่าง 3 เดือน - 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ต้องได้รับการพัฒนาทางด้านสติปัญญาการเรียนรู้ สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่สมวัย เพื่อจะเป็นรากฐานในการพัฒนาเด็กให้เติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จึงได้จัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก "บ้านเพิ่มสุข" จังหวัดพิษณุโลก ในรูปแบบ Day care สำหรับดูแลเด็กอายุ 3 เดือน ถึง 2 ปี ในช่วงเวลากลางวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. โดยให้บริการทุกวันและไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ภายในบริเวณโครงการบ้านเอื้ออาทรพลายชุมพล จังหวัดพิษณุโลก นับเป็นแห่งที่ 3 ของประเทศ ต่อจากจังหวัดเชียงใหม่และชลบุรี ขณะนี้ มีผู้ปกครองนำบุตรมาฝากเลี้ยงจำนวน 8 ราย แบ่งเป็นเด็กชาย 6 ราย เด็กหญิง 2 ราย ซึ่งมีผู้ดูแลเด็กปฐมวัยที่ผ่านการอบรม จำนวน 31 คน นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทุนมนุษย์ตามนโยบายของรัฐบาล คือการลงทุนเรื่องเด็ก เพราะเด็กเป็นทุนทรัพย์ที่เป็นทุนมนุษย์ที่มีค่ามากและให้ผลตอบแทนตลอดเวลา ถ้าเราลงทุนทั้งเวลา หัวใจ และกายภาพ เพื่อช่วยให้เด็กมีสภาพแวดล้อมที่ดี เราจะสามารถสร้างสังคมที่ดีได้ ดังนั้น ถ้าเราสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เด็กจะเป็นเด็กที่เข้มแข็งและมีคุณธรรม มีความรู้ ความสามารถ ในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สำหรับสถานรับเลี้ยงเด็ก “บ้านเพิ่มสุข” ทางกระทรวง พม. ได้ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคประชาชนในท้องถิ่น ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทรพลายชุมพล การเคหะแห่งชาติ ทีม พม. One Home จังหวัดพิษณุโลก เทศบาลตำบลพลายชุมพล คณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก และสมาคมอาสาสมัครประชาสงเคราะห์จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิตวิทยาเด็ก ในการดูแลเด็กอย่างถูกต้อง และสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมให้เป็นเด็กที่มีความสุข เพราะหัวใจที่สำคัญที่สุดคือสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยเหลือเด็กและคนพิการในพื้นที่จังหวัดระยอง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 สธ.มอบอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยเหลือเด็กและคนพิการในพื้นที่จังหวัดระยอง กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มอบอุปกรณ์รถเข็นและอุปกรณ์การแพทย์พระราชทาน ในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยเหลือคนพิการทางการเคลื่อนไหวในจังหวัดระยอง ประจำปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมอบอุปกรณ์รถเข็นและอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีช่วยเหลือคนพิการทางการเคลื่อนไหวในจังหวัดระยองประจำปี2563 วันนี้(26ตุลาคม2563)ที่วัดป่าประดู่พระอารามหลวงอ.เมืองจ.ระยองดร.สาธิตปิตุเตชะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยนายชาญนะเอี่ยมแสงผู้ว่าราชการจังหวัดระยองแพทย์หญิงพรรณพิมลวิปุลากรอธิบดีกรมสุขภาพจิตและคณะผู้บริหารมอบอุปกรณ์รถเข็นและอุปกรณ์การแพทย์พระราชทานในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีช่วยเหลือเด็กและคนพิการในพื้นที่จังหวัดระยองภายใต้โครงการ“การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์มอบอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการสำหรับคนพิการทางการเคลื่อนไหวในจังหวัดระยอง”ประจำปี2563ประกอบด้วยรถเข็นวีลแชร์จำนวน73คันเป็นรถเข็นสำหรับเด็กจำนวน16คันรถเข็นสำหรับผู้สูงอายุ27คันและเป็นคนพิการทั่วไปจำนวน30คันมูลค่า2,318,210บาท ดร.สาธิตกล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการพัฒนางานสาธารณสุขตามแนวพระราชดำริและโครงการเทิดพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ในการดูแลประชาชนในถิ่นทุรกันดารห่างไกลกลุ่มผู้พิการและด้อยโอกาสโดยสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์จังหวัดเชียงใหม่กรมสุขภาพจิตได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจัดทำโครงการจัดหาและสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการให้แก่เด็กพิการและคนพิการตั้งแต่ปีพ.ศ.2543จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา20ปีมีผู้ได้รับอุปกรณ์กว่า30,000คนในปี2549ได้มอบอุปกรณ์ภายใต้พระนามสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์และในปีพ.ศ.2553โครงการฯได้รับโปรดเกล้าฯจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีให้มอบอุปกรณ์ในพระนามาภิไธยสมเด็จพระเทพราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีแก่ประชาชนที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้หรือสูญเสียโอกาสในการอยู่ในสังคมอาทิผู้ป่วยทางจิตผู้ป่วยทางสมองคนพิการด้านการเคลื่อนไหวคนพิการทางสายตาคนพิการทางการได้ยินเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าเด็กพิการทางสมองและออทิสติกได้รับการช่วยเหลือยืนหยัดได้ด้วยตัวเองมีความภูมิใจในตนเองมากขึ้น “ขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในโครงการนี้ทั้งองค์กรการกุศลจากต่างประเทศและภาคีเครือข่ายการมอบอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันทำให้คุณภาพชีวิตผู้พิการดีขึ้น”ดร.สาธิตกล่าว ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมลวิปุลากรอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่าผลการดำเนินงานโครงการฯได้ขยายความร่วมมือและส่งมอบรถเข็นและอุปกรณ์ช่วยเหลือให้กับเด็กพิการคนพิการและครอบครัวมาแล้วจำนวนกว่า35,000รายพบว่าคนพิการมีความสุขมีความพอใจที่ได้รับรถเข็นคุณภาพชีวิตครอบครัวดีขึ้นและมีโอกาสในสังคมมากขึ้นเช่นการเรียนร่วมของเด็กพิการในโรงเรียนการได้ออกนอกบ้านการได้ออกไปทำงานเป็นต้นการได้เห็นรอยยิ้มของผู้รับเป็นคุณค่าทางจิตใจที่ประเมินค่าไม่ได้สิ่งเหล่านี้คือผลลัพธ์ของความสำเร็จและคุณค่าทางใจที่ประเมินได้จากการดำเนินโครงการนี้ ******************************** 26ตุลาคม2563 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่ง 3 วันแรกมียอดใช้จ่ายรวมกว่า 500 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 โครงการคนละครึ่ง 3 วันแรกมียอดใช้จ่ายรวมกว่า 500 ล้านบาท โครงการคนละครึ่งเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 8.5 ล้านคน และมีร้านค้าร่วมโครงการกว่า 3.5 แสนร้านค้า โดยในช่วงเที่ยงของวันที่ 26 ต.ค.2563 มีผู้ใช้สิทธิแล้ว 1,245,528 คน ยอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 502.9 ล้านบาท นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายวันแรกตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา ขณะนี้มีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 8.5 ล้านคน และมีร้านค้าร่วมโครงการกว่า 3.5 แสนร้านค้า โดยในช่วงเที่ยงของวันที่ 26 ตุลาคม 2563 มีผู้ใช้สิทธิแล้ว 1,245,528 คน ยอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 502.9 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 259.4 ล้านบาท และรัฐช่วยจ่ายอีก 243.5 ล้านบาท โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 234 บาทต่อครั้ง เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของการใช้จ่ายพบว่า มีการใช้จ่ายมากที่สุดเรียงลำดับ ได้แก่ ร้านธงฟ้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ร้านค้าทั่วไป และร้าน OTOP โดยใช้จ่ายครบทุกจังหวัด ซึ่งจังหวัดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครศรีธรรมราช และสงขลา รองโฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวย้ำว่า ประชาชนยังสามารถลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในช่วงเวลา 06.00 – 23.00 น. ต่อเนื่องทุกวัน จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน โดยท่านที่ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว จะต้องใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ หรือนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2563 สำหรับผู้ที่ได้รับ SMS ก่อนวันดังกล่าว มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในช่วงเวลา 06.00 – 23.00 น. หรือ ณ สาขาหรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการคลังได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกในการรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านเข้ามาช่วยในการยืนยันข้อมูลผู้ประกอบกิจการร้านค้า เพื่อให้มีร้านค้ารองรับการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มมากขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โครงการคนละครึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัตรทองรักษาทุกที่เฉพาะศูนย์สาธารณสุข และคลินิกใกล้บ้าน นำร่องก่อนใน กทม. เริ่ม 1 พ.ย. 63 นี้
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 บัตรทองรักษาทุกที่เฉพาะศูนย์สาธารณสุข และคลินิกใกล้บ้าน นำร่องก่อนใน กทม. เริ่ม 1 พ.ย. 63 นี้ บัตรทองรักษาทุกที่เฉพาะศูนย์สาธารณสุข และคลินิกใกล้บ้าน นำร่องก่อนใน กทม. เริ่ม 1 พ.ย. 63 นี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นโยบายยกระดับบัตรทองที่จะเริ่ม 1 พ.ย. 63 นี้ ประชาชนในกรุงเทพมหานคร รักษาทุกที่เฉพาะศูนย์สาธารณสุข และคลินิกใกล้บ้านเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว นำร่องในเขต 9 นครชัยบุรินทร์ เริ่ม 1 พ.ย. 63 นี้เช่นกัน ขณะที่อีก 2 ด้านคือ มะเร็งส่งตรงถึง รพ.เฉพาะด้านที่ไม่แออัด และย้ายสถานพยาบาลเมื่อใดรักษาที่ใหม่ได้ทันที เริ่ม 1 ม.ค. 64 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน สำหรับนโยบายการยกระดับบัตรทอง ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกระดับบริการ 4 ด้านได้แก่ 1.คนกทม.รักษาทุกที่ ณ เครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่น 2.ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว นำร่องในเขต 9 นครชัยบุรินทร์ 3.มะเร็งส่งตรงถึง รพ.เฉพาะด้าน ที่ไม่แออัด 4.ประสงค์จะย้ายหน่วยบริการเมื่อใดก็สามารถรักษาที่ใหม่ได้ทันที นั้น ในส่วนของบริการที่จะเริ่มในวันที่ 1 พ.ย. 63 นั้น มี 2 ด้าน คือ 1.ประชาชนในกทม.รักษาทุกที่ ณ เครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่น และ 2. ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ทดลองนำร่องในเขต 9 นครชัยบุรินทร์ ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายที่ประชาชนในกทม. สามารถรักษาทุกที่ ณ เครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่นนั้น ที่ผ่านมา ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะถูกจับคู่กับคลินิกประจำเพียงแห่งเดียว เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษาที่คลินิกนั้นๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะสามารถเข้ารับบริการได้ที่ “เครือข่ายหน่วยบริการชุมชนอบอุ่น” ซึ่งเครือข่ายบริการชุมชนอบอุ่นใน กทม. กระจายในทุกเขต แบ่งออกเป็น 1.คลินิกชุมชนอบอุ่น และ 2.คลินิกเฉพาะทางชุมชนอบอุ่น โดยผู้มีสิทธิบัตรทองสามารถใช้บริการได้ทุกแห่ง ภายในเขตของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ สปสช.ให้ความมั่นใจผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองว่า ทุกคนจะมีหน่วยบริการ หรือสถานพยาบาลดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป ประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองในกรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับบริการรักษาปฐมภูมิทุกที่ในเครือข่ายหน่วยบริการในกทม. โดยมี “ศูนย์บริการสาธารณสุข” ของกทม. ทั้ง 69 แห่งใน 50 เขต เป็นหน่วยบริการแม่ข่ายของแต่ละเขต ทั้งนี้ได้จัดกลุ่ม “หน่วยบริการ” เป็น “เครือข่ายบริการ” ทำให้ผู้มีสิทธิ์บัตรทองใน กทม. มีหน่วยบริการดูแลเพิ่มขึ้น และสามารถเข้ารับบริการปฐมภูมิที่หน่วยบริการปฐมภูมิใดก็ได้ในเครือข่ายแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้เพิ่ม “หน่วยบริการร่วม” ในระบบบริการรูปแบบใหม่ อาทิ คลินิกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง คลินิกทันตกรรม คลินิกการพยาบาลและผดุงครรภ์ คลินิกกายภาพบำบัด และร้านขายยา ขย.1 โดยเปิดในหรือนอกเวลาราชการ ทำให้ผู้มีสิทธิ์บัตรทองในกทม. ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพจากสหวิชาชีพด้านต่างๆ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการ เจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เจ็บ ไข้ ไอ ปวด โรคเรื้อรังที่ต้องรับยาต่อเนื่อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ รวมถึงการบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค 16 รายการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ (กายภาพบำบัด) สามารถเข้ารับบริการได้ที่ ”หน่วยบริการปฐมภูมิ” บัตรทองใกล้บ้านใน กทม.ได้ทุกแห่ง นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการบริการที่ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว นำร่องในเขต 9 นครชัยบุรินทร์ นั้น จะเป็นการยกเลิกการกลับมาขอใบส่งตัวในกรณีที่ต้องนอนรักษาตัว(แอดมิท)ในโรงพยาบาลที่ไม่ใช่โรงพยาบาลประจำ ซึ่งที่ผ่านมา นำมาสู่ความยุ่งยาก เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป ผู้ป่วยจะไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกแล้ว โดย สปสช. จะจัดทำระบบออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคลินิกกับ รพ.เอง โดยเบื้องต้นจะนำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ขณะที่การยกระดับการบริการบัตรทองอีก 2 ด้าน คือ 1.การรักษาโรคมะเร็ง และ 2.การย้ายสถานที่บริการ โดยจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 64 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1.โรคมะเร็งนั้นเป็นโรคที่ละเอียดอ่อน มีความซับซ้อนและมีหลายชนิด โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีศักยภาพในการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เท่ากัน บางแห่งมีความแออัดทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยมายังศูนย์ส่งต่อด้านมะเร็ง จากนั้น ศูนย์ส่งต่อจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานจัดหา รพ.ที่ไม่แออัด และมีศักยภาพรักษาโรคมะเร็งนั้นๆ ให้เป็นการเฉพาะราย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ยังสนับสนุนการจัดบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน การติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล(Telehealth) 2.การย้ายหน่วยบริการหรือสถานพยาบาลประจำนั้น ที่ผ่านมา เมื่อผู้ใช้สิทธิบัตรทองขอย้ายหน่วยบริการ จะต้องรออีก 15 วัน จึงจะไปรักษาที่หน่วยบริการแห่งใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป ผู้ใช้สิทธิทั่วประเทศ จะไม่ต้องรอ 15 วันอีกต่อไป กล่าวคือเมื่อมีความประสงค์จะย้ายเมื่อใดก็สามารถไปรักษาที่ใหม่ได้ทันที .......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ ชู เกษตรตามแนวพระราชดำริ ควบคู่การท่องเที่ยว เป็นทางรอดทุกวิกฤติ
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 จุรินทร์ ชู เกษตรตามแนวพระราชดำริ ควบคู่การท่องเที่ยว เป็นทางรอดทุกวิกฤติ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พบปะเกษตรกรชาวสวนมะพร้าว สวนมะพร้าวบ้านพังกา ตําบลตลิ่งงาม อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะมาช่วยจัดงานร่วมกับการท่องเที่ยวเพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่มากขึ้น จะมีส่วนช่วยให้คนมาเที่ยวมากขึ้น ส่งเสริมไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก ถ้าฝรั่งมาก็ต้องมีมาตรการตรวจโรค สมุยถือว่าทำได้ดี แต่กรณีมีข่าวว่าชาวฝรั่งเศสติดโควิดหนึ่งคนแต่เราจัดการได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างเรียบร้อย " อย่าตกใจอย่ากลัว ไม่ใช่เรื่องลบแต่เป็นเรื่องบวก ให้เห็นว่าสมุยมีมาตรการแก้ปัญหาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงมันใจได้ มาเที่ยวได้ ต่อไปเวลาที่จะต้องดึงนักท่องเที่ยวไทยมาก็ประสานกับกระทรวงพาณิชย์มาจัดกิจกรรมต่างๆดึงคนมาเที่ยวสมุย เช่น สมุยราคาพิเศษ มากินซีฟู้ดซื้อของราคาถูก ก็จะค่อยๆดีขึ้น เราอย่าฝากชีวิตไว้กับพืชเกษตรตัวเดียวบางจังหวัดฝากชีวิตไว้กับการท่องเที่ยว การเกษตรโค่นหมด พอมีปัญหาโควิดจึงไม่มีรายได้จากทางอื่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี และที่นี่ยังฝากอนาคตทางเศรษฐกิจไว้กับสองตัวคือการท่องเที่ยว กับ การเกษตรช่วยให้เรามีทางรอดเวลาที่การท่องเที่ยวตกต่ำยังสามารถเอายาง ปาล์ม ผลไม้ พืชเกษตรตัวอื่นไปขายได้ " เวลาทำการเกษตรก็อย่าทำตัวเดียวให้ทำแบบผสมผสาน ถ้ามีพืชเกษตรตัวอื่น ก็ยังมีพืชเกษตรตัวอื่นขายได้เหมือนที่ในหลวงสอนไว้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องเราต้องเดินไปในแนวทางนี้ เราต้องทำไปเสริมรายได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว" นายจุรินทร์ กล่าว นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนมารับผิดชอบพืชเกษตรหลายตัวร่วมกับกระทรวงเกษตรถือว่าปีที่ผ่านมาเราทำราคาพืชผลทางการเกษตรได้ดีพอสมควร ยางราคาก็กระเตื้องขึ้นทั้งปาล์ม ทุเรียน มังคุด เช่น ที่นี่มีมังคุดอินทรีย์ขายได้กิโลกรัมละ 150 บาทซึ่งเป็นความต้องการของตลาด มันมังคุดชนิดอื่นราคาก็ดีขึ้นขอให้เราทำให้มีคุณภาพ การทำพืชเกษตรทุกชนิดต้องทำให้มีคุณภาพ และช่วงนี้ได้มี นางเตือนใจ สมวงศ์ เกษตรดรสวนผสม ตามแนวพระราชดำริในหลวงร.9 กล่าวต่อรองนายกฯและรมว.พาณิชย์ว่าเธอเป็นชาวสวนเกษตนอินทรีย์และปลูกผลไม้หลายชนิดล้วนได้ราคาดี และยึดหลักการปลูกแบบปลอดสารพิษทำให้เป็นทางเลือกของตลาด ส่วนการที่เกษตรกรได้แลกเปลี่ยนเรื่องปัญหาโรคระบาดในพืช นายจุรินทร์ บอกว่าปัญหาใหญ่ของพวกเราตอนนี้เป็นเรื่องด้วงได้พูดกับผู้แทนเกษตรจังหวัดแล้วว่าต้องมีมาตรการเข้ามาดูแลแบบทั่วและมอบหมายให้นายอำเภอบูรณาการแนวทางและข้อเสนอแนะรวมทั้งอุปสรรคปัญหาที่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย รายงานเกาะสมุย ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีพื้นที่ที่แมลงศัตรูมะพร้าวเหล่านั้นระบาดทำความเสียหาย และความเดือดร้อนให้แก่ชาวสวน ซึ่งการระบาดของแมลงศัตรูมะพร้าวในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย ในปี 2555 ที่มีการระบาดอย่างหนัก พบแมลงศัตรูมะพร้าว ทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ ด้วงแรดมะพร้าว ด้วงงวง แมลงดำหนามมะพร้าว และหนอนหัวดำมะพร้าว และยังมีแนวโน้มที่จะระบาดเพิ่มขึ้นอีก และส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวอย่างรุนแรง การลงพื้นที่ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีคณะร่วมด้วยนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุญยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี ส.ส. เขต 2 จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอำเภอเกาะสมุย นายจุรินทร์ ยังได้ขอบคุณพี่น้องชาวสมุยที่เลือกตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ และในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเลือกผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ครบทั้ง 6 คน 6 เขตเลือกตั้งขอขอบคุณในฐานะหัวหน้าพรรคและสั่งการไปแล้วว่าต้องดูแลประชาชน เมื่อชาวบ้านเลือกไปแล้วอย่าทิ้ง ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ทั้งงานในพรรค งานในสภา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มีมาตั้งแต่ปี 2548 ยืนยันรัฐบาลใช้อย่างระมัดระวัง พร้อมแจงยกบทสวดมนต์เพื่อเตือนตนเอง ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี ย้ำพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มีมาตั้งแต่ปี 2548 ยืนยันรัฐบาลใช้อย่างระมัดระวัง พร้อมแจงยกบทสวดมนต์เพื่อเตือนตนเอง ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท นายกรัฐมนตรี ย้ำพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ มีมาตั้งแต่ปี 2548 ยืนยันรัฐบาลใช้อย่างระมัดระวัง พร้อมแจงยกบทสวดมนต์เพื่อเตือนตนเอง ไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท วันนี้ (26 ต.ค.63) เวลา 17.22 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ว่าขอทำความเข้าใจ กรณีที่ตนได้กล่าวถึงพญามัจจุราชนั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ได้ไปร่วมงานศพบ่อยครั้ง และได้ฟังบทพระสวด ทำความเข้าใจ เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ประมาท ไม่ได้มีเจตนาที่จะขู่ใคร ในส่วนของ การอภิปรายเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนั้น มีบทบัญญัติ มีกฎหมายลูก การเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 14 ต.ค. 2563 นั้น ไม่ต้องการระบุถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่สาเหตุที่ต้องออกกฎหมายพิเศษในวันที่ 15 ต.ค. 2563 นั้น เกิดจากการข่าวที่มีการระบุว่าอาจมีเหตุการณ์ลุกลาม จึงต้องออกกฎหมายพิเศษเพื่อป้องกัน ดูแล ยุติการลุกลามของเหตุการณ์ อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2548 แล้ว และเมื่อรัฐบาลพิจารณาแล้วก็ได้มีการยกเลิกประกาศตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ลั่น “ยางหล่อดอกซ้ำ” ต้องเป็นสินค้าควบคุม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และรถยนต์นั่ง เวลาชน คนในรถต้องปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 สมอ. ลั่น “ยางหล่อดอกซ้ำ” ต้องเป็นสินค้าควบคุม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน และรถยนต์นั่ง เวลาชน คนในรถต้องปลอดภัย “สุริยะ” จี้ สมอ. เร่งประกาศยางหล่อดอกซ้ำ เป็นสินค้าควบคุม เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หลังบอร์ด สมอ. เห็นชอบ พร้อมรถยนต์ขนาดเล็กต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยจากการชนของรถยนต์ ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง รวมมาตรฐานอื่นๆ อีก 64 มาตรฐานวานนี้ (20 ตุลาคม 2563 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับให้ สมอ. เร่งดำเนินการประกาศให้ยางหล่อดอกซ้ำต้องเป็นสินค้าควบคุม พร้อมกับรถยนต์ขนาดเล็กต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยจากการชนของรถยนต์ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง หลังจากที่บอร์ด สมอ. เห็นชอบมาตรฐานดังกล่าว สืบเนื่องจากมีการนำยางรถยนต์เก่าไปหล่อดอกยางซ้ำโดยไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะยางรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถขนสินค้า และรถพ่วง จึงกำหนดให้ยางหล่อดอกซ้ำต้องเป็นสินค้าควบคุม โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้า ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้ทำ และผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าว จะต้องขออนุญาตจาก สมอ. เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าก่อน หากไม่เป็นไปตามมาตรฐานจะไม่สามารถนำมาจำหน่ายในท้องตลาดได้ สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหล่อดอกยางภายในประเทศ จะต้องขออนุญาตในการทำจาก สมอ. ก่อน และจะต้องทำสินค้าให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ มิฉะนั้น จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี ประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานยางหล่อดอกซ้ำฉบับนี้ ครอบคลุมยางรถยนต์ที่ใช้กับรถยนต์สำหรับขนส่งผู้โดยสารเกิน 9 ที่นั่ง รวมคนขับ รถขนสินค้า และรถพ่วง โดยยางที่จะนำมาหล่อดอกซ้ำได้ จะต้องเป็นยางที่เคยได้มาตรฐานตาม มอก. 2719-2560 และมีอายุการใช้งานมาแล้วไม่เกิน 7 ปี ดูจากปีผลิตข้างแก้มยาง และเมื่อหล่อดอกยางซ้ำมาแล้ว จะไม่สามารถนำมาหล่อซ้ำได้อีก นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากบอร์ด สมอ. จะเห็นชอบมาตรฐานยางหล่อดอกซ้ำ และมาตรฐานรถยนต์ต้องมีความปลอดภัยจากการชนทั้งด้านหน้าและด้านข้าง เป็นสินค้าควบคุมรวม 3 มาตรฐานแล้ว ยังได้เห็นชอบมาตรฐานอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เช่น ชุดคลุมปฏิบัติการสำหรับแพทย์ เครื่องมือวัดอุณหภูมิร่างกาย และกล้องวัดอุณหภูมิร่างกาย รวมทั้งมาตรฐานอื่นๆ อีกรวม 64 มาตรฐาน” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เชื่อมั่นเกิดการลงทุนเพิ่มกว่า 500 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เชื่อมั่นเกิดการลงทุนเพิ่มกว่า 500 ล้านบาท ​กระทรวงอุตสาหกรรม ผลักดันอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ เชื่อมั่นเกิดการลงทุนเพิ่มกว่า 500 ล้านบาท พร้อมจัดงาน Green Scrap Metal Thailand 2020 วันที่ 30 ตุลาคมนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) และสนับสนุนในเกิดการลงทุนจากภาคธุรกิจเอกชนไปพร้อมกัน โดยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนได้มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการ เหมืองแร่เตรียมจัดงานประชาสัมพันธ์โครงการจัดการเศษโลหะอย่างยั่งยืน หรือ Green Scrap Metal Thailand 2020 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะลดการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ลดการสร้างของเสียในภาคอุตสาหกรรม ด้วยการนำกลับมาผลิตในรูปแบบใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูนิโด) กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะ การดำเนินโครงการดังกล่าวคาดว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรีไซเคิลตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานให้เข้าร่วมโครงการ 1,889 ราย และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เป็นโรงงานนำร่อง 5-10 ราย ซึ่งคาดว่าจะสร้างให้เกิดมูลค่าการลงทุนของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการในการปรับปรุงเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิตมากกว่า 560 ล้านบาท โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินสนับสนุนส่วนหนึ่งจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility) เพื่อลดการปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานประเภทที่ปลดปล่อยไม่จงใจในกลุ่มที่เรียกว่า ยูป๊อป (U-POPs) เช่น ไดออกซิน และฟิวแรน เป็นต้น ได้ไม่น้อยกว่า 20% ซึ่งสารดังกล่าวมีพิษสูง สลายตัวยาก เกิดการตกค้างในสิ่งแวดล้อม และขณะเดียวกันคาดว่าจะสร้างความตระหนักแก่บุคลากรที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น 50% สำหรับการดำเนินงานโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก ระยะเวลาการดำเนินงาน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2561-2566 โดยได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินจากหน่วยงานร่วมดำเนินโครงการอีกรวมเป็นเงิน 33.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยกิจกรรมหลักของโครงการจะมีการทบทวนกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง การประชาสัมพันธ์ความรู้เกี่ยวกับยูป๊อป รวมทั้งส่งเสริมการใช้แนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุด (Best Available Technique) และแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด (Best Environmental Practice) เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการติดตามประเมินผลโรงงานนำร่องที่มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป “การจัดการเศษโลหะอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมหาศาล เพราะนำกลับมารีไซเคิลได้ ลดของเสียในระบบอุตสาหกรรม การใช้พลังงานในกระบวนการผลิตก็ลดลง ซึ่งงาน Green Scrap Metal Thailand 2020 จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ เพื่อให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลอดจนเพื่อสร้างประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมต่อไป” นายสุริยะ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด วันนี้ (26 ต.ค.63) เวลา 15.45 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ว่า หลังจากรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอจากสมาชิกรัฐสภาทั้งกรณีให้นายกรัฐมนตรีลาออก ยุบสภาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจในทุกเรื่องพร้อมพยายามหาทางแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุดเร็วที่สุด ทั้งนี้ ได้มีการปรึกษาคณะทำงานด้านกฎหมาย กรณีหากนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง จะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 (1) ความว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ และจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่จากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยต้องมีมติเสี่ยงกึ่งหนึ่ง ซึ่งต้องรวมทั้งส.ส.และ ส.ว. ด้วย ซึ่งยังไม่มีพรรคการเมืองใดมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงจำเป็นต้องมี ส.ว. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย กรณีการยุบสภาจะส่งผลให้ ครม. พ้นตำแหน่ง ส.ส. พ้นจากตำแหน่งและสิ้นสุดลง ด้วยเช่นกัน ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36237
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.การต้อนรับ ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งรายงานการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำหรับเยาวชนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมกับช่วงวัย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.การต้อนรับ ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งรายงานการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำหรับเยาวชนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมกับช่วงวัย รมว.วธ.การต้อนรับ ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งรายงานการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำหรับเยาวชนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมกับช่วงวัย วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และภริยา พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒธรรม ให้การต้อนรับ รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งรายงานการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ สำหรับเยาวชนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมกับช่วงวัย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมภายในห้องจัดแสดงอาคารหมู่พระวิมานและให้แนวทางการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับเยาชนในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียม(ร่าง)แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 พร้อมผลักดัน 7โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เตรียม(ร่าง)แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 พร้อมผลักดัน 7โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง กระทรวงเกษตรฯ เตรียม(ร่าง)แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 พร้อมผลักดัน 7โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า คณะทำงานวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ได้พิจารณาวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ศักยภาพน้ำ ความเหมาะสมของพื้นที่ พันธุ์ข้าว แนวโน้มการตลาด และโครงการต่างๆของรัฐบาล ที่จะดำเนินการในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งได้มี (ร่าง) แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2563/64 โดยในเบื้องต้น ได้มอบหมายกรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน หารือร่วมกันถึงพื้นที่ทำการเพาะปลูกต่อไป นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัตร โพธสุธน) ได้มีการหารือร่วมกับส่วนราชการ พิจารณาโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 เพื่อขอจัดสรรงบกลางในการสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว) 2) โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพประมงในบ่อดิน (ปลาดุก, ปลาตะเพียนขาว) 3) โครงการเพิ่มผลผลิตกุ้งก้ามกราม 4) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่พื้นเมือง, เป็ดไข่, เป็ดเทศ) 5) โครงการส่งเสริมปลูกพืชอาหารสัตว์ 6) โครงการสร้างรายได้และพัฒนาอาชีพการเกษตรให้แก่สมาชิกสถาบันเกษตรกร และ 7) โครงการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ทั้งนี้จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ จัดเตรียมรถแบคโฮล รถบรรทุก กระสอบทราย และเครื่องฉีดน้ำปูน (Grout) นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ได้จัดเตรียมเสบียงอาหารสัตว์ ถุงยังชีพสำหรับสัตว์ คอกสัตว์สำหรับตั้งจุดอพยพสัตว์ และทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่ ได้ดำเนินการอพยพสัตว์แล้ว 4,062 ตัว และแจกจ่ายเสบียงอาหารสัตว์พระราชทาน 39.2 ตัน รวมถึงได้สนับสนุนเรือตรวจประมงน้ำจืดพร้อมเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างไรก็ตาม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนและประเมินความเสียหายหลังน้ำลดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานกิจกรรมแสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยร่วมร้องเพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา เพลงอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.เป็นประธานกิจกรรมแสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยร่วมร้องเพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา เพลงอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี รมว.วธ.เป็นประธานกิจกรรมแสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยร่วมร้องเพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา เพลงอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี และกล่าวคำปฏิญาณตน วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกิจกรรมแสดงความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยร่วมร้องเพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงสดุดีจอมราชา เพลงอยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี และกล่าวคำปฏิญาณตน โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ผู้แทนองค์การมหาชน และเครือข่ายวัฒนธรรม เข้าร่วมกิจกรรม ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 แผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศไทยในระยะยาว เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านพลังงานของประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก, แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยปี 2561–2580, แผนการส่งเสริมการใช้ก๊าชธรรมชาติในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ การสำรวจ และแผนการจัดหาก๊าชธรรมชาติให้มีความสมดุลและเพียงพอ รวมทั้งแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยคาดว่า การเดินหน้าตามแผนงานฯ ดังกล่าว จะสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ รองรับเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลกในอนาคต ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีแจงเหตุรัฐบาลมีความจำเป็นประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมยืนยันรัฐบาลได้ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมด้วยแล้ว
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรีแจงเหตุรัฐบาลมีความจำเป็นประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมยืนยันรัฐบาลได้ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมด้วยแล้ว รองนายกรัฐมนตรีแจงเหตุรัฐบาลมีความจำเป็นประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมยืนยันรัฐบาลได้ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมด้วยแล้ว วันนี้ (26 ต.ค.63) เวลา 16.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ว่า รัฐบาลมีความจำเป็นในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง สืบเนื่องจากผู้ชุมนุมมีขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ประกอบกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาด และสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งอาจจะทำให้เกิดโรคไข้หวัดที่อาจจะพัฒนาบานปลายเกิดเป็นปัญหาต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ดี รัฐบาลได้ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมแล้ว ได้แก่ 1) กรณีเรียกร้องขอให้มีการเปิดสภาสมัยวิสามัญ 2) กรณีเรียกร้องให้มีการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศยกเลิกแล้วตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันที่ 22 ต.ค. 2563 และ 3) กรณีขอให้เร่งดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ซึ่งอยู่ในการพิจารณาของสภาแล้ว อีกทั้งประธานวิปฝ่ายรัฐบาลได้ชี้แจงแล้วว่า จะเปิดสภาสมัยสามัญตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 อีกไม่กี่วันนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้ทำ Timeline ว่าหากจะเร่งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเร็วที่สุดนั้น จะกระทำได้อย่างไร ซึ่งหากนำเอาร่างรัฐธรรมนูญของพรรคฝ่ายค้าน 1 ฉบับ ของพรรคร่วมรัฐบาล 1 ฉบับ รวมเป็น 2 ฉบับ และที่พรรคฝ่ายค้านได้เสนอแก้ไขเป็นรายมาตราอีก 4 ฉบับ รวมเป็น 6 ฉบับ มาพิจารณา ก็สามารถพิจารณาได้เลยทันทีที่มีการเปิดสมัยสามัญในต้นเดือน พ.ย. 2563 ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมถึงประเด็นการยุบสภาว่า รัฐบาลได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวเช่นกัน แต่ยังไม่ทราบว่าสภามีความผิดอะไรถึงจะต้องยุบสภา เนื่องจากการยุบสภาจะต้องเกิดความขัดแย้งอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้เกิดเรื่องดังกล่าว ส่วนกรณีที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออก รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า จะต้องคิดต่อไปว่าการพิจารณาเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะมาจากขั้นตอนใดอย่างไร ซึ่งต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ที่ระบุว่า นายกรัฐมนตรีนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มาจากรายชื่อที่ได้เสนอไว้ตั้งแต่สมัยที่มีการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งหากสมาชิกวุฒิสภางดออกเสียงทั้งหมดดังที่มีผู้เรียกร้อง จะทำให้จำนวนการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ถึง 366 เสียง ซึ่งจะถือว่าคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา ซึ่งจะทำให้เกิดทางตัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.นำข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 ปลัดวธ.นำข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ปลัดวธ.นำข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นำข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม วางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยร่วมประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรล้านช้าง – แม่โขง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 ไทยร่วมประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรล้านช้าง – แม่โขง ไทยร่วมประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรล้านช้าง – แม่โขง หารือและรายงานความก้าวหน้าในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมหารือแผนงานในระยะต่อไป นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะทำงานฝ่ายไทยในการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านการเกษตรล้านช้าง – แม่โขง ครั้งที่ 3 (The 3rd Meeting of Lancang – Mekong Cooperation (LMC) Joint Working Group on Agriculture) โดยการประชุมทางไกลผ่าน Video Conference ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ ได้มีการหารือและรายงานความก้าวหน้าของความร่วมมือด้านการเกษตรภายใต้ LMC ในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง โดยประเทศสมาชิก LMC ประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา จีน ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม ร่วมรายงาน พร้อมทั้งหารือเกี่ยวกับแผนงานในระยะต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อทั้งประเทศสมาชิกลุ่มแม่น้ำโขงและสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนานโยบายด้านการเกษตรและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสินค้าเกษตรและเทคโนโลยีการเกษตร เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ๆ ไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 ประกาศ ๆ ไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว -- #ไทยคู่ฟ้าช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย....กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศการเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูหนาวของประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 63 เป็นต้นไป เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ปกคลุมภาคเหนือและภาคอีสาน ทำให้ประเทศไทยตอนบนรวมถึงภาคกลางมีอุณหภูมิลดลง 1 - 2 องศาเซลเซียส
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กสิทธิ์-จองคิว-ตรวจโรค สิทธิบัตรทอง ผ่านแอปเป๋าตัง
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 เช็กสิทธิ์-จองคิว-ตรวจโรค สิทธิบัตรทอง ผ่านแอปเป๋าตัง วันพุทธที่ 21 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ผู้มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะได้รับความสะดวกในการบริการสาธารณสุขของภาครัฐมากขึ้น เพราะล่าสุด สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย พัฒนา “กระเป๋าตัง สุขภาพ” หรือ “Health Wallet” เพื่อให้ประชาชนเข้ารับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเป๋าตัง และเข้าไปที่เมนู Health Wallet เพื่อตรวจสอบสิทธิและเงื่อนไขการรับบริการ จองคิวล่วงหน้ากับหน่วยบริการ ค้นหาหน่วยบริการที่อยู่ใกล้หรือแจ้งเตือนนัดหมาย และอื่น ๆ ได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเริ่มนำร่องใช้งานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 63 และจะขยายไปจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36201
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 พร้อมลงตรวจพื้นที่ทับซ้อน แก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกร จ.พิษณุโลก
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 พร้อมลงตรวจพื้นที่ทับซ้อน แก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกร จ.พิษณุโลก รมช.ธรรมนัส มอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 พร้อมลงตรวจพื้นที่ทับซ้อน แก้ไขปัญหาให้แก่เกษตรกร จ.พิษณุโลก ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกร และลงตรวจพื้นที่ทับซ้อน ณ ห้องประชุมพลับพลาองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เขตพิษณุโลกตำบลแก่งโสภาอำเภอวังทองจังหวัดพิษณุโลกว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินมีความมุ่งเน้นที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการจัดการทรัพยากรที่ดินเพื่อกระจายการถือครองลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น สำหรับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิษณุโลก(ส.ป.ก.พิษณุโลก)มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน612,724ไร่โดยมีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิษณุโลกจำนวน8อำเภอเนื้อที่ประมาณ443,924ไร่และได้ดำเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน27,944ราย42,110แปลงเนื้อที่415,149ไร่และในวันนี้ได้ทำการมอบหนังสืออนุญาตให้กับเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินอำเภอวังทองรวมจำนวน50ราย50แปลงเนื้อที่176–3–82ไร่เป็นแปลงเกษตรกรรมและแปลงชุมชน จากนั้นได้ลงตรวจพื้นที่ทับซ้อนบริเวณพื้นที่ที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวรชื่อ“ป่าไม้หมายเลข4 (ลุ่มแม่น้ำวังทอง)”สำหรับพื้นที่ที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวรซึ่งอยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติเพื่อเป็นที่ทำกินของประชาชนและเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นเนื้อที่รวมประมาณ65,770ไร่ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติรับไปดำเนินการโดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วดังนี้1.เพื่อเป็นที่ทำกินของประชาชนและเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นเนื้อที่ประมาณ62,587ไร่โดยมอบให้กรมที่ดินเนื้อที่ประมาณ32,751ไร่และมอบให้ส.ป.ก.เนื้อที่ประมาณ29,836ไร่และ2.เพื่อเป็นป่าชุมชนจำนวน14แห่งเนื้อที่ประมาณ3,183ไร่ได้มอบให้กรมที่ดินรับไปดำเนินการเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(นสล.)เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36241
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยืนยันสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเสนอร่าง พ.ร.บ. ประชามติเข้ารัฐสภาสัปดาห์หน้า
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี ยืนยันสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเสนอร่าง พ.ร.บ. ประชามติเข้ารัฐสภาสัปดาห์หน้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเสนอร่าง พ.ร.บ. ประชามติเข้ารัฐสภาสัปดาห์หน้า วันนี้ (26 ต.ค.63) เวลา 15.25 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) ว่าเมื่อวันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 โดยได้เชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อมาหารือร่วมกันว่า ควรจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐสภาอย่างไร ซึ่งได้แจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบแล้ว ว่าในเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐสภาจะพิจารณารัฐธรรมนูญ ซึ่งน่าจะเสร็จในวาระที่ 1 2 3 ในธันวาคมโดยประมาณ แต่ยังประกาศใช้ไม่ได้เพราะต้องรอลงประชามติก่อน โดยสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะเสนอ(ร่าง) พ.ร.บ.ประชามติเข้าสภา เมื่อ (ร่าง) พ.ร.บ. เสร็จเมื่อใด ก็ต้องไปทำประชามติกันเมื่อนั้น แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญสนับสนุนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดงาน “ร่วมใจ สร้างความสุข” ผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา เปิดงาน “ร่วมใจ สร้างความสุข” ผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย รมช.มนัญญา เปิดงาน “ร่วมใจ สร้างความสุข” ผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย แจกเมล็ดพันธุ์พืช พันธุ์ไม้ผล ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร มอบเงินอุดหนุนสหกรณ์ พร้อมพบปะตัวแทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานหลานเกษตรกรกลับบ้าน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “ร่วมใจ สร้างความสุข” ผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย พร้อมมอบนโยบายส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ณ สหกรณ์นิคมศรีสำโรง อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ว่างานดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย ซึ่งในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 พื้นที่จังหวัดสุโขทัยได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทำให้พืชผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ ประกอบกับการตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันพุธที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา ณ วัดคลองกระจง หมู่ที่ 3 ตำบลคลองกระจง อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปราศรัยกับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในประเด็นที่รัฐบาลจะบรรเทาความเดือดร้อนโดยให้การสนับสนุนพันธุ์พืชแก่เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จึงได้ดำเนินโครงการ “ร่วมใจ สร้างความสุข” ผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดสุโขทัย โดยแจกเมล็ดพันธุ์พืช พันธุ์ไม้ผล และถ่ายทอดองค์ความรู้ในการเก็บเมล็ดพันธุ์ การขยายพันธุ์ไม้ผล และการลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยให้กลับมาสามารถเพาะปลูกพืชได้ มีพืชผัก ผลไม้ไว้รับประทาน จ​ำ​หน่ายผลผลิตเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว และสามารถนำองค์ความรู้ด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์เก็บไว้ใช้ในครัวเรือน และพัฒนาเป็นธุรกิจต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มอบเงินอุดหนุนอุปกรณ์การตลาด สิ่งก่อสร้าง แก่สหกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์นิคมศรีสำโรง จำกัด 53,100,000 บาท และสหกรณ์นิคมหนองบัวพัฒนา จำกัด 1,519,600 บาท พร้อมมอบใบรับรองเกษตรอินทรีย์ แก่เกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือกจากกรมวิชาการเกษตร จำนวน 3 ราย มอบใบรับรองเกษตรดี ที่เหมาะสม (GAP) แก่เกษตรกรที่ผ่านการคัดเลือกจากกรมวิชาการเกษตร จำนวน 3 ราย มอบถุงปัจจัยการผลิตพร้อมผลิตภัณฑ์นมจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดสุโขทัย จำนวน 500 ชุด จากนั้นได้เยี่ยมชมนิทรรศการจากหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร นำเสนอการผลิตชีวภัณฑ์เพื่อใช้ทางการเกษตร การผลิตพืชอินทรีย์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ นำเสนอโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร จังหวัดสุโขทัย จำนวน 5 ราย สหกรณ์นิคมศรีสำโรง นำเสนอผลการดำเนินงานสำคัญสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์สุโขทัย นำเสนอการบริหารจัดการบัญชี ชี้ทางรวย ช่วยเกษตรกรไทย และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยภาคเหนือตอนล่างจังหวัดสุโขทัย นำเสนอประวัติความเป็นมา และผลิตภัณฑ์นมไทยเดนมาร์ก รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อยกระดับสหกรณ์เข้มแข็ง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์อย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนโครงการ “นำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร” สนับสนุนให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์หรือบุคคลทั่วไปที่จากบ้านไปประกอบอาชีพในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด กลับมาทำการเกษตรที่บ้านเกิด ส่งเสริมการประกอบอาชีพร่วมกับหน่วยภาคีและสถาบันเกษตรกร สนับสนุนการรวมกลุ่มการผลิต ตลอดจนการจัดหาตลาดรองรับ พร้อมทั้งส่งเสริมการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิต เพื่อให้เกษตรกรได้มีอาชีพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้เยี่ยมชมนิทรรศการและการจัดแสดงและจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าแปรรูป ของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกลับบ้าน สานต่ออาชีพเกษตรกร จังหวัดสุโขทัย อาทิ ผักสด ผลไม้สด สินค้าเกษตรแปรรูป เป็นต้น รวมทั้งพบปะผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 5 ราย ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 76 ราย มีสหกรณ์สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 7 แห่ง มีผู้เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ 7,559 ราย จาก 77 จังหวัด จำนวนสหกรณ์เข้าร่วมโครงการ 691 สหกรณ์ ที่ผ่านมา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสุโขทัย ได้จัดการประชุมชี้แจงและจัดโครงการฝึกอบรมและศึกษาดูงาน โครงการสร้างเครือข่ายลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพทางการเกษตร นำผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ศึกษาดูงานกิจกรรมกิจกรรมการเกษตรที่ประสบความสำเร็จ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรต่างๆ ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือตลาดทิพย์นิมิตร เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าเกษตร
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ จับมือตลาดทิพย์นิมิตร เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรฯ จับมือตลาดทิพย์นิมิตร เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าเกษตร จากเกษตรกรตรงถึงผู้ซื้อและผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตลาดทิพย์นิมิตร เพื่อหารือแนวทางสนับสนุนการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางตลาดทิพย์นิมิตร ณ ห้องประชุมตลาดทิพย์นิมิตร อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด - 19 ที่ส่งผลกระทบกับภาคเกษตรโดยตรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ได้มีนโยบายการเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมถึงพี่น้องเกษตรกร ซึ่งทางตลาดทิพย์นิมิตรเองก็มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สินค้าเกษตรเข้าถึงผู้ซื้อและผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ "ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดัน ขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งตรงตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเรื่องของตลาดนำการผลิต และในส่วนของแผนงานต่าง ๆ ที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมประมง กรมการข้าว และกรมส่งเสริมสหกรณ์ เริ่มดำเนินการส่งรายชื่อเกษตรกรที่จะเข้าร่วมให้กับทางตลาดทิพย์นิมิตร ภายในวันที่ 28 - 30 ตุลาคมนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มโครงการได้ในวันที่ 13 -17 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งได้เน้นย้ำกับทั้ง 6 หน่วยงาน ในเรื่องของการคัดสรรและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่กลุ่มเกษตรกรจะนำมาจำหน่ายภายในงานต้องได้มาตรฐาน" ดร.ทองเปลว กล่าว นอกจากนี้ ยังได้หารือมาตราการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการ โดยในระยะแรก โดยทางตลาดทิพย์นิมิตรจะฟรีในส่วนของกิจกรรมประชาสัมพันธ์ และคิดค่าน้ำและค่าไฟในราคาเหมาจ่าย วันละ 50 บาท ระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤศจิกายน 2563 และหากผู้จำหน่ายสินค้ามีความสนใจขายสินค้าต่อจากระยะเวลากิจกรรม ทางตลาดจะไม่เก็บค่าเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 - 20 กุมภาพันธ์ 2564 และในระยะสุดทาย ทางตลาดจะลดค่าเช่าแผง 50% เป็นระยะเวลา 10 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ที่มีความสนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมประมง กรมการข้าว และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในพื้นที่ใกล้บ้านท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึง 28 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยภายในปี 64 มีหน่วยบริการปฐมภูมิทั่วประเทศ 2,500 หน่วย ดูแล 25 ล้านคน พร้อมหมอประจำบ้าน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 สธ.เผยภายในปี 64 มีหน่วยบริการปฐมภูมิทั่วประเทศ 2,500 หน่วย ดูแล 25 ล้านคน พร้อมหมอประจำบ้าน กระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ปี 2563 มีหน่วยบริการขึ้นทะเบียนและเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 1,991 หน่วย ในพื้นที่ 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ตั้งเป้าภายในปี 2564 เพิ่มเป็น 2,500 หน่วยรวม กทม. กระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ปี 2563 มีหน่วยบริการขึ้นทะเบียนและเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 1,991 หน่วย ในพื้นที่ 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ตั้งเป้าภายในปี 2564 เพิ่มเป็น 2,500 หน่วยรวม กทม. เพื่อเพิ่มการเข้าถึง เพิ่มความเท่าเทียม พร้อมติดอาวุธทางปัญญา ให้หมอประจำบ้าน เสริมทัพการทำงานดูแลสุขภาพองค์รวม ทุกกลุ่มวัย ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งระยะท้ายของชีวิต นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ ครั้งที่ 4/2563 ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ ได้ให้ความสำคัญการขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิ ด้วยการยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิให้เข้มแข็ง โดยคนไทยทุกคนจะต้องมีหมอ 3 คน เป็นหมอประจำตัว ประกอบด้วย หมอประจำบ้าน (อสม.) หมอสาธารณสุข(บุคลากรสาธารณสุขปฐมภูมิใน รพ.สต./เทศบาล/คลินิกอบอุ่น ฯลฯ) และหมอครอบครัว(แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว) และพัฒนาหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อรองรับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาท รักษาทุกที่) ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างมีคุณภาพ ลดเหลื่อมล้ำของหน่วยบริการ นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาปี 2563 มีหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิใน 12 เขตสุขภาพ จำนวน 1,991 หน่วย ครอบคลุมประชาชน 19,626,529 คน คิดเป็นร้อยละ 29.26 ส่วนเป้าหมายปี 2564 จะมีหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิฯ จำนวน 2,500 หน่วย ครอบคลุมประชาชน 25 ล้านคนได้รับการดูแล โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ (หมอ 3 คน) นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมด้านสุขภาพ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขเรือนจำ (อสรจ.) ให้ได้รับการอบรมเพิ่มเติมระยะสั้นด้านสุขภาพปฐมภูมิของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นและทำหน้าที่สนับสนุนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการดูแลสุขภาพประชาชน ที่จะทำให้การทำงานในหน่วยปฐมภูมิหรือการดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ******************************** 26 ตุลาคม 2563 ****************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทำศพให้ผู้ประกันตน ม.40
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 ​ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทำศพให้ผู้ประกันตน ม.40 วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. อนุมัติประโยชน์ทดแทนเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์ ให้แก่แรงงานอิสระ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้าง ฟรีแลนซ์ ที่เป็นผู้ประกันตนภาคสมัครใจตามมาตรา 40 ของ พ.ร.บ. ประกันสังคม โดยหากผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 70 บาท และเดือนละ 100 บาท เสียชีวิต จะได้เงินค่าทำศพเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 บาท และเพิ่มเงินสงเคราะห์เป็น 8,000 บาท โดยต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนเดือนที่เสียชีวิต ส่วนผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 300 บาท จะได้รับเงินค่าทำศพเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 บาท โดยต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายใน 1 ปี ก่อนเดือนที่เสียชีวิต เพื่อสร้างหลักประกันให้กับผู้ประกันตนทุกคน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบที่ดินทำกิน จังหวัดกำแพงเพชร ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบที่ดินทำกิน จังหวัดกำแพงเพชร ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบที่ดินทำกิน จังหวัดกำแพงเพชร ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกร ณ องค์การบริหารส่วนตำบลนาบ่อคำอำเภอเมืองจังหวัดกำแพงเพชรว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินมีความต้องการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัยให้มีที่ดินทำกินพร้อมสร้างแรงจูงใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเพิ่มศักยภาพในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุดและพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวว่าในวันนี้มีรวามยินดีที่ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)จำนวน500รายและยังได้ดำเนินงานตามนโยบายโครงการ1ชุนชน1แหล่งน้ำสร้างปี2563รับน้ำหน้าฝนปี2563ใช้แล้งปี2564ได้ดำเนินการขุดขยายสระเก็บน้ำสาธารณะจำนวน4แห่งปริมาณกักเก็บน้ำ128,900ลบม.ก่อสร้างฝายชะลอน้ำชั่วคราวจำนวน30แห่งสามารถกักเก็บน้ำได้รวม7,500ลบ.มพื้นที่ใช้ประโยชน์500ไร่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกำแพงเพชรปัจจุบันได้มีการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินรวมทั้งสิ้น33โครงการครอบคลุมพื้นที่11อำเภอ73ตำบลมีเนื้อที่ตามประกาศพระราชกฏษฏีกา1,984,543ไร่เป็นพื้นที่กันออกสาธารณประโยชน์354,139ไร่ดำเนินการจัดที่ดินแล้ว1,543,307ไร่เกษตรกรได้ประโยชน์114,860รายคงเหลือพื้นที่ดำเนินการ81,098ไร่ในปีงบประมาณ2563สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกำแพงเพชรได้ดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการจัดที่ดินให้กับเกษตรกรตามระเบียบหลักเกณฑ์ข้อกฎหมายและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกำแพงเพชรจำนวน1,066ราย1,161แปลง9,314ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าคลายล็อกสิทธิบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 เดินหน้าคลายล็อกสิทธิบัตรทอง รักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องมีใบส่งตัว -- #ไทยคู่ฟ้า นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีมอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับ หรือคลายล็อกระบบสวัสดิการแห่งรัฐด้านสาธารณสุข สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ดังนี้ . 1. ประชาชนสามารถรับการรักษาพยาบาลที่ใดก็ได้ โดยจะเริ่มทดลองกับประชาชนใน กทม. ให้สามารถไปรับบริการที่คลินิกชุมชนอบอุ่น และหน่วยบริการเฉพาะทางชุมชนอบอุ่นได้ทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป . 2. “ผู้ป่วยใน” ไม่ต้องใช้ใบส่งตัวอีกต่อไป หากผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพแล้ว โรงพยาบาลวินิจฉัยว่าต้องแอดมิท หรือนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวอีก . 3. ประชาชนแจ้งย้ายหน่วยบริการเมื่อใด รักษาที่ใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอกระบวนการ 15 วัน อีกต่อไป . 4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและไม่แออัด โดยหน่วยบริการผู้วินิจฉัยจะส่งข้อมูลผู้ป่วยไปให้ สปสช. เพื่อประสานจัดหาโรงพยาบาลได้ทันที พร้อมทั้งบริการให้ยาเคมีบำบัดที่บ้าน และติดตามอาการและแนะนำการทานยาผ่านระบบสื่อสารทางไกล (Telehealth)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในคนไทย แม้มุมมองการเมืองแตกต่าง ทุกคนยังคงรักชาติ รักษ์วัฒนธรรม รากเหง้า และคุณค่าของความเป็นไทยอยู่ พร้อมใช้เวทีการประชุมรัฐสภาร่วมเพื่อหาทางออกร่วมกัน
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในคนไทย แม้มุมมองการเมืองแตกต่าง ทุกคนยังคงรักชาติ รักษ์วัฒนธรรม รากเหง้า และคุณค่าของความเป็นไทยอยู่ พร้อมใช้เวทีการประชุมรัฐสภาร่วมเพื่อหาทางออกร่วมกัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในคนไทย แม้มุมมองการเมืองแตกต่าง ทุกคนยังคงรักชาติ รักษ์วัฒนธรรม รากเหง้า และคุณค่าของความเป็นไทยอยู่ พร้อมใช้เวทีการประชุมรัฐสภาร่วมเพื่อหาทางออกร่วมกัน วันนี้ (26 ต.ค.63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ชั้น 2 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) รัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกรัฐสภา เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หวังใช้เวทีการประชุมรัฐสภาร่วมหาทางออกร่วมกัน เชื่อทุกฝ่ายมีความรักบ้านเมืองและแก้ปัญหาให้ผ่านไปด้วยกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 ว่า เสนอการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีข้อเท็จจริง คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 (COVID-19) มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการที่ห้ามหรือควบคุมการเดินทางเข้าประเทศของนักเดินทางต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาลงทุนด้านธุรกิจ รวมถึงเรื่องการท่องเที่ยว การแข่งขันกีฬา หรือการใช้บริการสาธารณสุขในประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังหามาตรการผ่อนปรน เพื่อให้มีผลทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ ยังมี สถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และในต่างจังหวัด รวมทั้งปัญหาน้ำท่วมทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ในสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังในการบริหารราชการแผ่นดิน ลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ และการเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุม โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 การชุมนุมมีการพักค้างคืน อาจยืดเยื้อ มีความผิดตามพระราชบัญญัติชุมนุมสาธารณะ 2558 และอาจมีผู้ฉวยโอกาสเข้ามาแทรกซึมทำให้เกิดความวุ่นวายได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 มาตรา 11 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการที่จะออกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และประกาศไว้ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 04.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเป็นเวลา 30 วันจนถึง 23 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งได้ยกเลิกแล้ว นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อ รวมถึงการเรียกร้องให้ปล่อยผู้ที่ถูกควบคุมตัว ได้แก่ การยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปสถาบันนั้นว่า หลายเรื่องอยู่ในขั้นตอนการการดำเนินการอยู่แล้ว ปัจจุบันศาลได้ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวหลายราย แม้การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่บางแห่งมีความรุนแรงเกิดขึ้น รัฐบาลมีหน้าที่ในการรักษาสิทธิของคนไทยทุกคนทั้งประเทศซึ่งมี 70 ล้านคน ยืนยันเจ้าหน้าที่ตำรวจ รัฐบาล พยายามที่จะดูแลสถานการณ์การชุมนุมอย่างอะลุ่มอล่วยและผ่อนผัน ยึดหลักการใช้กฎหมาย ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าวันนี้คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะมีมุมมองด้านการเมืองอย่างไร แบบไหน แต่เชื่อว่าทุกคนยังคงรักชาติ รักษ์วัฒนธรรม รากเหง้า และคุณค่าของความเป็นไทยอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องการอนาคตที่ดีสำหรับประชาชนและประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลก็ยังดำเนินการอยู่มาอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ซึ่งเป็น 2 มิติ ทั้งรักในรากเหง้าความเป็นไทย และความต้องการอนาคตที่ดีสำหรับลูกหลานเยาวชนซึ่งเราต้องร่วมกันแก้เพื่อที่นำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล มีความถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ทำลายอดีตที่มีคุณค่าของเรา เพื่อให้สังคมที่แข็งแรง และเป็นสังคมที่มีรากเหง้าอย่างล้ำลึกเข้าไปในหัวใจของคนไทยทุกคน ทั้งนี้สังคมที่ดีมีรากเหง้าที่ดีจะหยั่งรากลึก และมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. ตั้งเป้าเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2563 เพิ่มเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ”
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 “สคร. ตั้งเป้าเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2563 เพิ่มเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ” เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2564 แล้วโดยรัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแล 44 แห่ง มีวงเงินลงทุน จำนวน 292,938 ล้านบาท นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนปีงบประมาณ 2564 แล้วโดยรัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแล 44 แห่ง มีวงเงินลงทุน จำนวน 292,938 ล้านบาท แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ จำนวน 163,515 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน จำนวน 129,424 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนให้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ซึ่ง สคร. ได้เตรียมความพร้อมในการติดตามรัฐวิสาหกิจให้เร่งจัดทำแผนการเบิกจ่ายที่สอดคล้องกับวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว สำหรับการติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2563 ตามปกติ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจำนวน 191,280 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 80 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม และในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการล่าช้ามาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ในภาพรวมรัฐวิสาหกิจมีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมจะประมาณร้อยละ 96 ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ทั้งนี้ สคร. ยังคงติดตามดูแลโครงการลงทุนในปี 2563 ที่เบิกจ่ายล่าช้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ผลการเบิกจ่ายสะสมของรัฐวิสาหกิจ ปี 2563 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 รัฐวิสาหกิจ เบิกจ่ายจริงสะสม (ล้านบาท) ร้อยละเบิกจ่ายจริงสะสม/ แผนเบิกจ่ายสะสม ปีงบประมาณ (ต.ค. 62 – ก.ย. 63) จำนวน 34 แห่ง (สิ้นสุดการดำเนินการแล้ว) 101,038 67% ปีปฏิทิน (ม.ค. 63 – ธ.ค. 63) จำนวน 10 แห่ง (9 เดือน) 90,242 103% รวม 44 แห่ง 191,280 80% นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมของรัฐวิสาหกิจ 44 แห่ง แบ่งเป็นรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ ซึ่งสิ้นสุดการดำเนินการแล้ว จำนวน 34 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 101,038 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 67 ของกรอบลงทุนทั้งปี และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – กันยายน 2563) จำนวน 10 แห่ง เบิกจ่ายจริงสะสม 90,242 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 103 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม นอกจากนี้ ในกรณีที่ไม่รวมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ติดประเด็นทางเทคนิคและดำเนินการล่าช้ามาอย่างต่อเนื่อง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 โครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกตะวันตก ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จะทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมมากกว่าร้อยละ 96 ของแผนการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสม อย่างไรก็ตาม ก็มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเบิกจ่ายได้ดีกว่าเป้าหมาย เช่น โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันตกและภาคใต้ตอนล่างเพื่อเสริมความมั่นคงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้กระทรวงการคลังโดย สคร. กำกับและติดตามให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2563 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้มีเม็ดเงินช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2563 และในปี 2564 ให้รัฐวิสาหกิจเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะช่วยสนับสนุนนโยบายการจ้างงานในภาคต่างๆ ของประเทศด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36373
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จัดงานวันออมแห่งชาติ มอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม 34 รางวัล พร้อมตั้งเป้าปี 64 เดินหน้าเพิ่มสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษา”
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 “กอช. จัดงานวันออมแห่งชาติ มอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม 34 รางวัล พร้อมตั้งเป้าปี 64 เดินหน้าเพิ่มสมาชิก กอช. ครอบคลุมทุกสถานศึกษา” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 เนื่องในวันออมแห่งชาติ จำนวน 34 รางวัล เพื่อเป็นการขอบคุณภาคีเครือข่าย หน่วยรับสมัครสมาชิก และตัวแทน กอช. ที่มีอยู่กว่า 160,000 หน่วยทั่วทั้งประเทศ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 เนื่องในวันออมแห่งชาติ จำนวน 34 รางวัล เพื่อเป็นการขอบคุณภาคีเครือข่าย หน่วยรับสมัครสมาชิก และตัวแทน กอช. ที่มีอยู่กว่า 160,000 หน่วยทั่วทั้งประเทศ และพร้อมเดินหน้าส่งเสริม การออมในสถานศึกษาครอบคลุมทุกสถาบันในปี พ.ศ.2564 วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) ณ โถงวายุภักษ์ 4 ชั้น 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 เนื่องในวันออมแห่งชาติ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 โดยมี นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นประธาน ในพิธีมอบรางวัล พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อขอบคุณเครือข่าย หน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. ทั่วทั้งประเทศ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบการออมที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ รวมถึงรองรับสภาพสังคมของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 - 2564 ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ในเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี กอช. จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้คนไทย ที่ไม่มีสวัสดิการด้านบำนาญได้เข้าถึงการออมกับ กอช. เพื่อความมั่นคงทางการเงินได้เหมือนข้าราชการ โดยในปี พ.ศ. 2563 กอช. ได้มุ่งพัฒนาความยั่งยืนระดับประเทศผ่านการสร้างวินัยการออมของประชาชน อันเป็นปัจจัยของความสําเร็จ ที่เป็นเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ และสร้างหลักประกันเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณรายเดือนหลังอายุ 60 ปี ผ่านโครงการการขับเคลื่อนและส่งเสริมวินัยการออม การพัฒนาเครือข่ายตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้าน ในการลงพื้นที่ให้ความรู้วางแผนทางการเงิน รับสมัครสมาชิก และเพิ่มเครือข่ายหน่วยบริการสมาชิกทั่วประเทศ รวมทั้งได้จัดทำสมุดเงินออมสะสม (Pass book) ให้สมาชิก สืบเนื่องจากความต้องการของประชาชนส่วนใหญ๋ได้สะท้อนความคิดเห็นผ่านการลงพื้นที่ของ กอช. โดยสมาชิกสามารถติดต่อขอรับได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เนื่องในวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันออมแห่งชาติ” ซึ่งในปีนี้ กอช. ได้จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยมประจำปี 2563 ในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 นับเป็นการสร้างเสริมวินัยการออมให้กับประชาชนได้ตระหนักถึงการออม ถือเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ ทาง กอช. ได้จัดให้มีการมอบรางวัลเกียรติยศแก่หน่วยงานความร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการออม และรางวัลผลงานส่งเสริมการออมยอดเยี่ยมแก่องค์กร หน่วยงานที่ดำเนินการประชาสัมพันธ์ พร้อมขับเคลื่อนการเพิ่มจำนวนสมาชิก กอช. ดีเด่น ในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2563 เป็นต้นมา และเพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานความร่วมมือที่มีการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ที่ได้ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณกับ กอช. นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า ในปี 2563 กอช. ได้มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น ผ่านตัวแทน กอช. ที่เป็นบุคคลประจำหมู่บ้านเพื่ออำนวยความสะดวกให้สมาชิกและประชาชนได้เข้าถึงการออมกับ กอช. เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเป็นหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. แก่เสมียนตราจังหวัด และเสมียนตราอำเภอ ทั่วประเทศ ในโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้รับผิดชอบงาน กอช. ในพื้นที่ ซึ่งมีการอบรมให้ความรู้ ครู ก และ ครู ข ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องทางบริการผ่าน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจากเดิม กอช. มีช่องทางรับสมัครสมาชิกผ่านทาง ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาหารสงเคราะห์ ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน เทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์เซอร์วิส และตู้บุญเติม รวมแล้วกว่า 160,000 หน่วยทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิก กอช. ยังพัฒนาช่องทางแอปพลิเคชัน ให้สมาชิกสามารถเข้าถึงเงินออมได้ทุกที่ ทุกเวลา ตรวจสอบสิทธิ สมัครส่งเงินออมสะสม ในการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน กอช. เปิดดำเนินการมาแล้ว 5 ปี มีจำนวนสมาชิกประมาณ 2.38 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) โดยสมาชิกส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.96 ประกอบอาชีพเกษตรกร รองลงมาเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ร้อยละ 30.67 และอาชีพค้าขาย ร้อยละ 6.39 และงานนี้เป็นการมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ประจำปี 2563 จำนวน 34 รางวัล โดยแบ่งเป็น 1. รางวัลเกียรติยศหน่วยงานภาครัฐ / ภาคเอกชน จำนวน 8 รางวัล 2. รางวัลระดับจังหวัด รวมทั้งสิ้น 13 รางวัล จำแนกเป็น 2.1 รางวัลยอดสมาชิกสูงสุดระดับจังหวัด ประจำปี 2563 ตามภูมิภาค จำนวน 6 รางวัล 2.2 รางวัลจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานการส่งเสริมวินัยการออมดีเด่นที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายสูงสุด ตามภูมิภาค จำนวน 6 รางวัล 2.3 รางวัลจังหวัดที่ส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม จำนวน 1 รางวัล 3. รางวัลระดับเครือข่ายที่มียอดเงินออมสูงสุดประจำปี 2563 จำนวน 8 รางวัล 4. รางวัลประกวดเรียงความส่งเสริมการออมกับ กอช. ระดับเยาวชน หัวข้อ “ออมกับ กอช. เพื่อความมั่นคงในอนาคต” ในโครงการส่งเสริมการออมกับ กอช. กลุ่มนักเรียนในสถานศึกษา ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จำนวน 5 รางวัล ทั้งนี้ กอช. ขอขอบคุณภาคีเครือข่าย และผู้เข้าร่วมรับรางวัลทุกๆ ท่าน ที่ร่วมกันขับเคลื่อนและส่งเสริมการออมให้กับสมาชิก โดย กอช. จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนา ขยายช่องทางการรับสมัครสมาชิกให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และสมาชิก กอช. ทั้งในพื้นที่ และจากช่องทางต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนา ปรับปรุง กองทุนการออมแห่งชาติ ที่ถือเป็นกองทุนบำนาญภาคประชาชนอย่างแท้จริง ทั่วถึง เท่าเทียม และในปี พ.ศ. 2564 กอช. จะเร่งสร้างเสริมวินัยการออมในกลุ่มเยาวชนให้ครอบคลุมทุกสถานศึกษา ได้สมัครเป็นสมาชิก กอช. โดยความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านโครงการการขับเคลื่อนการสร้างวินัยการออม ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ กับ สถานศึกษาส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. กลุ่มนักเรียน นักศึกษา สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิก กอช. เพียงมีอายุ 15 – 60 ปี เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีสวัสดิการบำนาญจากรัฐ หรือเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ทางเลือก 1 สามารถสมัครสมาชิก โดยสามารถตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช” หรือที่ www.nsf.or.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36368
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการที่ดิน ครั้งที่ 2/2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ​ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการที่ดิน ครั้งที่ 2/2563 ​ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการที่ดิน ครั้งที่ 2/2563 ทส.ประชุมคณะอนุกรรมการที่ดิน ครั้งที่ 2/2563 วันนี้ (30 ต.ค. 63) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ครั้งที่ 2/2563 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 202 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รมว.ทส. ได้กล่าวเปิดการประชุม ขอให้คณะอนุกรรมการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานด้วยความรวดเร็วและรอบคอบ เพราะการดำเนินงานในส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะขยายผลไปยังส่วนอื่นต่อไป โดยที่ประชุมได้พิจารณาในเรื่อง ดังนี้ 1.การพิจารณาพื้นที่เป้าหมายดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนของ คทช.จังหวัด 2.กำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2564 รวมถึงการขอปรับปรุงพื้นที่เป้าหมาย ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 และกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพิ่มเติม ปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 3.คทช.จังหวัดเสนอพื้นที่เป้าหมายดำเนินการในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ท้องที่จังหวัดน่านและจังหวัดตาก 4.พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในภาพรวมรายจังหวัดที่จะต้องนำมาดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน 5.การแก้ไขปัญหาราษฎรอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 6.การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ราษฎรผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ในพื้นที่สวนป่าคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ป่าสงวนแห่งชาติที่อนุญาตให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีใช้ประโยชน์ จังหวัดนครราชสีมา และป่าสงวนแห่งชาติ จังหวัดสุพรรณบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. มอบโชคปีที่ 2 ให้กับเกษตรกรในโครงการออมเงินเพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. มอบโชคปีที่ 2 ให้กับเกษตรกรในโครงการออมเงินเพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค ธ.ก.ส. มอบโชคพิเศษกับ “โครงการออมเงินเพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค” ให้เกษตรกรที่เข้าโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้และโครงการขยายเวลาชำระหนี้ที่ฝากเงินระหว่าง 1 สิงหาคม 2562 – 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินผ่านการออมเงินเสริมความมั่นคงในชีวิต ธ.ก.ส. มอบโชคพิเศษกับ “โครงการออมเงินเพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค” ให้เกษตรกรที่เข้าโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้และโครงการขยายเวลาชำระหนี้ที่ฝากเงินระหว่าง 1 สิงหาคม 2562 – 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินผ่านการออมเงินเสริมความมั่นคงในชีวิตเมื่อสิ้นสุดโครงการฯ มีเกษตรกรผู้ร่วมโครงการกว่า 2.2 ล้านราย รวมเงินออมกว่า 41,066 ล้านบาท จับรางวัลในโอกาสวันสถาปนา ธ.ก.ส. ครบรอบ 54 ปี วันที่ 2 พฤศจิกายนนี้ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการ รักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุนมาตรการปฏิรูปภาคการเกษตร ตามแนวทางเกษตรประชารัฐ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนนโยบายดังกล่าวผ่านการจัดทำโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้และโครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้า เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสฟื้นฟูการประกอบอาชีพโดยการปรับเปลี่ยนและพัฒนาการผลิตที่นำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงและยังได้จัดทำโครงการออมเงินเพื่อลดภาระหนี้กับทวีโชค โดยสนับสนุนให้เกษตรกรนำรายได้ส่วนเหลือจากค่าใช้จ่ายในครัวเรือนมาออมไว้ในโครงการฯ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินผ่านการออมเงินที่นำไปสู่ความมั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เมื่อสิ้นสุดโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้และโครงการขยายระยะเวลาชำระหนี้ โดยดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 – 31 กรกฎาคม 2564 เป็นระยะเวลา 3 ปี นอกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับดอกเบี้ยเงินฝาก ได้รับสิทธิ์จับรางวัลระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง และระดับประเทศปีละ 1 ครั้งแล้ว เมื่อออมเงินเพิ่มสะสมทุก ๆ 1,000 บาท และคงเงินไว้ในบัญชีติดต่อกันตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปของแต่ละรอบดำเนินการ จะได้รับสิทธ์จับรางวัลในรอบพิเศษทันทีอีกจำนวน 1 สิทธิ์ โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2561 – 31 กรกฎาคม 2562 รอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 – 31 กรกฎาคม 2563 และรอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 – 31 กรกฎาคม 2564 ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 2.2 ล้านราย รวมเงินออมกว่า 41,066 ล้านบาท สำหรับปี 2563 จะเป็นการมอบโชคในรอบที่ 2 จะมีการจัดงานจับรางวัลในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ในช่วงวันสถาปนาครบรอบ 54 ปี ธ.ก.ส. โดยมีผู้เข้าเกณฑ์และได้รับสิทธิ์จับรางวัลจำนวน 381,888 ราย รวมจำนวนเงินออมกว่า 6,900 ล้านบาท และสิทธิ์ที่ร่วมลุ้นโชคกว่า 6.9 ล้านสิทธิ์ ซึ่งของรางวัลในครั้งนี้ประกอบด้วย รางวัลทองคำแท่ง น้ำหนัก 10 บาท จำนวน 10 รางวัล และรางวัลทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท จำนวน 100 รางวัล รวมทั้งสิ้น 110 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36346
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-UNDP ประเทศไทยจับมือกรุงไทย มูลนิธิรักษ์ไทย เปิดตัวตัวโครงการ Koh Tao, Better Together
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 UNDP ประเทศไทยจับมือกรุงไทย มูลนิธิรักษ์ไทย เปิดตัวตัวโครงการ Koh Tao, Better Together โครงการ BIOFIN ภายใต้ UNDP ประเทศไทยจับมือ ธ.กรุงไทยและมูลนิธิรักษ์ไทย เปิดตัวโครงการ Koh Tao, Better Together ตั้งเป้าระดมทุนเพื่อช่วยจ้างงานคนขับเรือท่องเที่ยวขนาดเล็กบนเกาะเต่า ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักขาดรายได้หลักดูแลครอบครัวจากโควิด-19 โครงการ BIOFIN ภายใต้ UNDP ประเทศไทยจับมือธนาคารกรุงไทยและมูลนิธิรักษ์ไทย เปิดตัวโครงการ Koh Tao, Better Together ตั้งเป้าระดมทุนเพื่อช่วยจ้างงานคนขับเรือท่องเที่ยวขนาดเล็กบนเกาะเต่า ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักขาดรายได้หลักดูแลครอบครัวจากสถานการณ์โควิด-19 ทำความสะอาดชายหาดและเก็บขยะในทะเล ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล นายเรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย หรือ UNDP ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งโครงการการเงินเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ The Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN) ภายใต้การดำเนินงานของ UNDP ประเทศไทย ธนาคารกรุงไทยและมูลนิธิรักษ์ไทย ได้ร่วมมือดำเนินโครงการ Koh Tao, Better Together เพื่อนำรายได้จากการระดมทุนมาพัฒนาสิ่งแวดล้อมบริเวณเกาะเต่าและฟื้นฟูความยั่งยืนสู่ชุมชน “โครงการนี้ตั้งเป้าระดมทุน 1.944 ล้านบาท เพื่อสร้างอาชีพให้คนขับเรือท่องเที่ยวขนาดเล็กในเทศบาลตำบลเกาะเต่า จำนวน 200 คน ทำความสะอาดและเก็บขยะ โดยมีค่าจ้างเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2563 - วันที่ 31 มกราคม 2564 รวมทั้งการปลูกจิตสำนึกให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสมดุลในการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติอย่างยั่งยืน” นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภารกิจสำคัญของธนาคารกรุงไทย คือ การร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการสร้างการเติบโตของธุรกิจเพื่อก้าวสู่ Digital Banking เต็มรูปแบบ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุค Technology Disruption บนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ธนาคารมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการ Koh Tao, Better Together โดยเป็นการระดมทุนผ่าน QR Code ครั้งแรกของ UNDP ประเทศไทย ผ่านกรุงไทย e-Donation ซึ่งข้อมูลการบริจาคจะถูกส่งเข้าระบบลดหย่อนภาษีของกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ “ นอกจากนี้ในด้านสังคม ธนาคารได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือลูกค้า ผู้ประกอบการในเกาะเต่าด้วยการสนับสนุนสินเชื่อผ่านมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่ และได้เชิญชวนเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ด้านสิ่งแวดล้อม ได้ส่งเสริมการสร้างอาชีพให้คนในชุมชนทำความสะอาดและเก็บขยะ เพื่อนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มโดยทำอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ และระดมทุนบนหลักธรรมาภิบาลที่สามารถตรวจสอบได้ และยังได้สนับสนุนโครงการในฐานะผู้บริจาคเริ่มต้น 30 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้โครงการสามารถขับเคลื่อนและประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมทบทุน ผ่านกรุงไทย e-Donation มูลนิธิรักษ์ไทย UNDP กรุงไทยรักเกาะเต่า หรือ โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทยเลขที่ 034-1-81121-1 ชื่อบัญชี มูลนิธิรักษ์ไทย” นายไชยันต์ ธุระสกุล นายกเทศมนตรีตำบลเกาะเต่า เปิดเผยว่า เกาะเต่าได้ชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำอันดับต้น ๆ ของโลก ทำให้แต่ละปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมธรรมชาติใต้ท้องทะเล ไม่น้อยกว่า 5 แสนคน โดยในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้การท่องเที่ยวบนเกาะเต่าได้รับผลกระทบ ประชาชนขาดรายได้ แต่ผลดีที่เกิดขึ้นคือ ธรรมชาติใต้ท้องทะเลได้ฟื้นตัว กลับมาสวยงามอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 2561 ที่โครงการ BIOFIN เข้ามาช่วยพัฒนา ฟื้นฟูและดูแลความหลากหลายทางชีวภาพบนเกาะเต่า และล่าสุดโครงการ Koh Tao, Better Together ซึ่งนอกจากจะช่วยชาวชุมชนให้พ้นวิกฤติแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้สิ่งแวดล้อมบนเกาะเต่าสะอาดสวยงามและพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36376
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ติดตามงานส่งเสริมอาชีพเกษตรกร จ.ขอนแก่น
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ติดตามงานส่งเสริมอาชีพเกษตรกรจ.ขอนแก่น ‘รมช.ประภัตร’ติดตามงานส่งเสริมอาชีพเกษตรกรจ.ขอนแก่นสร้างรายได้ลดรายจ่ายตั้งเป้า25,000ครัวเรือนมุ่งยกระดับขอนแก่นเป็นจังหวัดต้นแบบด้านการเกษตร วันนี้(30ต.ค.63)นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดขอนแก่นร่วมกับนายสมศักดิ์จังตระกุลผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนายอำเภอเกษตรอำเภอณห้องประชุมแก่นเมืองศาลากลางจังหวัดขอนแก่นอ.เมืองจ.ขอนแก่นว่าตามที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันซึ่งตนรับผิดชอบในระดับพื้นที่จ.ขอนแก่นและจ.ร้อยเอ็ดและได้มีการประชุมร่วมกันพร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจราชการเมื่อวันที่7 – 8ตุลาคมที่ผ่านมาและได้มอบนโยบายเกี่ยวกับอาชีพที่ส่งเสริมรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่6อาชีพได้แก่1)เลี้ยงสัตว์เช่นวัวแพะแกะไก่หมูและกระบือ 2)ปลูกถั่วเขียว3 )ปลูกขิง 4)ปลูกหญ้าเนเปียร์(หญ้าอาหารสัตว์) ข้าวโพด มันสำปะหลัง5)ปลูกแหนแดง และ6)เลี้ยงจิ้งหรีดนั้น นายประภัตรกล่าวเพิ่มเติมว่าที่ประชุมได้รายงานความก้าวหน้าในการส่งเสริมอาชีพแต่ละด้านซึ่งมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจอาทิโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯมีกลุ่มที่ยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน145กลุ่มได้รับการเห็นชอบแผนธุรกิจแล้ว35กลุ่มวงเงินสินเชื่อธุรกิจรวม96.7ล้านบาทโคเนื้อ32กลุ่มวงเงินสินเชื่อธุรกิจ90.9ล้านบาทแพะ2กลุ่ม วงเงินสินเชื่อธุรกิจ4.8ล้านบาทไก่เนื้อ1กลุ่มวงเงินสินเชื่อธุรกิจ1.0ล้านบาทได้รับอนุมัติสินเชื่อธุรกิจแล้วรวม5กลุ่มวงเงินสินเชื่อธุรกิจ 17ล้านบาท,ปลูกขิงมีพื้นที่ปลูกทั้งหมด11.5ไร่ผลผลิตรวม5.75ตันโดยส่งเสริมสนับสนุนการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อกำหนดราคาและวางแผนการผลิตกับผู้รับซื้อผลผลิตคัดเลือกพื้นที่การผลิตให้เหมาะสมกับการผลิตขิงการให้ความรู้เกษตรกรในการผลิตขิงเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้รับซื้อในการรับซื้อผลผลิต,ปลูกหญ้าเนเปียร์(หญ้าอาหารสัตว์)ศูนย์วิจัยและพัฒนามาตรฐานอาหารสัตว์เคี้ยวเอื้องติดตามตรวจเยี่ยมพร้อมให้คำแนะนำด้านการปลูกการจัดการแปลงการบำรุงรักษาและบริการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาของพืชอาหารสัตว์และปลูกแหนแดงดำเนินการเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์แหนแดงใน26อำเภอเพื่อเตรียมสถานที่เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์แหนแดงในศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.)เพื่อเป็นจุดเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงแหนแดงให้กับเกษตรกรในพื้นที่ เป็นต้น “เกษตรกรจังหวัดขอนแก่นมีทั้งหมด250,000ครัวเรือนต้องส่งเสริมให้ได้10%หรือประมาณ25,000ครัวเรือนเน้นพื้นที่ที่ลำบากเพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยต้องช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ในระยะสั้นเพื่อลดรายจ่ายภายใน4เดือนผ่านโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้งปี2563/2564ที่ทางกระทรวงเกษตรฯเตรียมนำเสนอครม. อาทิการปลูกพืชใช้น้ำน้อย(ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถั่วเขียว)การสนับสนุนการแปรรูปสินค้าเกษตรการส่งเสริมการเลี้ยงปลาดุก(ปลาตะเพียนขาว)การปลูกพืชอาหารสัตว์ และการเลี้ยงไก่พื้นเมือง(ไก่พื้นเมือง,เป็ดไข่,เป็ดเทศ)พร้อมกันนี้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆสำรวจพื้นที่การเกษตรที่เหมาะสมเพื่อเข้าไปสนับสนุนเกษตรกรให้มีรายได้ตลอดจนมุ่งส่งเสริมและพัฒนาให้จ.ขอนแก่นเป็นพื้นที่นำร่องในโครงการต่างๆที่สำคัญด้านการเกษตรเพื่อเป็นต้นแบบของประเทศต่อไป”นายประภัตรกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-’สุชาติ’ มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลุยราชบุรี สร้างหลักประกันทางสังคมแรงงานนอกระบบ
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ’สุชาติ’ มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลุยราชบุรี สร้างหลักประกันทางสังคมแรงงานนอกระบบ รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี ประชุมมอบนโยบายติดตามผลการปฏิบัติราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมเยี่ยมกลุ่มอาชีพเสริมสร้างหลักประกันทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดราชบุรีเพื่อมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการกระทรวงแรงงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ณ ห้องประชุม H 201 สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 4 ราชบุรี อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดราชบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวว่าท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ได้มอบหมายให้ดิฉัน และคณะที่ปรึกษาฯ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรีในวันนี้ เพื่อมาติดตามผลการปฏิบัติราชการของกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้ง รับฟังปัญหาต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง และประชาชนทั่วไป ตลอดจนการเสริมสร้างหลักประกันทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ นางธิวัลรัตน์ ยังได้กล่าวมอบนโยบายในประเด็นการแก้ปัญหาในแนวทางที่ยั่งยืน โดยการสนับสนุนการจ้างงาน ออกกฎหมายการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ สร้างแรงจูงใจในการจ้างงาน โดยการยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานสากล มีมาตรการสินเชื่อ เพื่อส่งเสริมการจ้างงาน และการส่งเสริมด้านความปลอดภัยในการทำงาน ส่งเสริมโครงการประกันสังคมทั่วไทย สู่แรงงานภาคอิสระ การสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ติดตามผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน (Co - Payment) “ขอให้ร่วมกันทำงาน ติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานอย่างใกล้ชิด ขอให้แรงงานจังหวัดในฐานะผู้แทนกระทรวงระดับภูมิภาคทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางจัดทำแผนปฏิบัติการ การจัดทำข้อมูลแรงงานในระดับจังหวัด การบูรณาการทำงานกับหน่วยงานในจังหวัดและภาคีเครือข่าย รวมทั้งอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ซึ่งเป็นตัวเชื่อมประสานการให้บริการของกระทรวงแรงงานสู่ชุมชน” นางธิวัลรัตน์ กล่าวในท้ายสุด จากนั้นในช่วงบ่าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ และคณะ ยังได้ติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายมาตรการส่งเสริม คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันทางสังคมแรงงานนอกระบบ จำนวน 2 แห่ง คือ กลุ่มหัตถกรรมทอเสื่อกก หมู่ที่ 4 ตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอโพธาราม และวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านหัวสระพัฒนา ตั้งอยู่เลขที่ 31/24 หมู่ที่ 5 ตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36367
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๓ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภา สบช. เห็นชอบเปิด 2 หลักสูตรปริญญาโทการพยาบาล รองรับสังคมปัจจุบันและอนาคต
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 สภา สบช. เห็นชอบเปิด 2 หลักสูตรปริญญาโทการพยาบาล รองรับสังคมปัจจุบันและอนาคต ภาสถาบันพระบรมราชชนก มีมติเห็นชอบเปิด 2 หลักสูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต ด้านการพยาบาลผู้ใหญ่ผู้สูงอายุ และเวชปฏิบัติชุมชน เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการพยาบาลขั้นสูง ตอบโจทย์ความต้องการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของสังคมปัจจุบันและอนาคต สภาสถาบันพระบรมราชชนก มีมติเห็นชอบเปิด 2 หลักสูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต ด้านการพยาบาลผู้ใหญ่ผู้สูงอายุ และเวชปฏิบัติชุมชน เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการพยาบาลขั้นสูง ตอบโจทย์ความต้องการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของสังคมปัจจุบันและอนาคต วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกสภาสถาบันพระบรมราชชนก เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันพระบรมราชชนก ครั้งที่ 7/2563 ให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยได้กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุสมบูรณ์แบบ (Completed Aged Society) มีความต้องการบริการด้านสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และนโยบายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ใกล้บ้าน สอดคล้องกับการสำรวจของคณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สถาบันพระบรมราชชนก ที่พบว่าบุคลากรและหน่วยงานด้านสุขภาพ ต้องการศึกษาพัฒนาความรู้ด้านการพยาบาลขั้นสูง ในการดูแลผู้สูงอายุและส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกในชุมชน ดังนั้นที่ประชุมสภาสถาบันพระบรมราชชนกมีมติเห็นชอบให้เปิดหลักสูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต 2 หลักสูตรแรก คือด้านการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ และหลักสูตรเวชปฏิบัติชุมชน เพื่อดูแลครอบคลุมทุกระยะของการเจ็บป่วย รองรับความต้องการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของสังคมปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเป็นการตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ 20 ปีของกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาระบบบริการสุขภาพชุมชน ป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคระบาด และภาวะฉุกเฉินในทุกช่วงอายุ ซึ่งต้องอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของทีมบุคลาการทางการแพทย์ และพยาบาลวิชาชีพ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สถาบันพระบรมราชชนก ได้เปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทหลักสูตรแรก คือสาธารณสุขศาสตรมหาบัณทิตที่วิทยาลัยสาธารณสุขสิรินทร จังหวัดขอนแก่น จะเปิดภาคการศึกษาในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 และที่ประชุมสภาวิชาการ ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ได้เห็นชอบให้เปิดหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต 2 สาขา โดยสาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจะเปิดสอน ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ, วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พุทธชินราช จ.พิษณุโลก และวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา เริ่มในปีการศึกษา 2564 ส่วนสาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติชุมชน เปิดสอน ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น เปิดหลักสูตรในปีการศึกษา 2564 และวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ เปิดหลักสูตรในปีการศึกษา 2565 ซึ่งผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษามาต่อยอด เพิ่มโอกาสในอาชีพด้านการพยาบาลขั้นสูง ทั้งในภาครัฐ เอกชน เช่น เป็นอาจารย์พยาบาล ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย ผู้ประกอบการด้านสุขภาพหรือประกอบอาชีพอิสระ ************************** 30 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36378
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผย 5 หลักป้องกันโควิด 19 พบสวมหน้ากากปฏิบัติจริงเพียงร้อยละ 50
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 สธ.เผย 5 หลักป้องกันโควิด 19 พบสวมหน้ากากปฏิบัติจริงเพียงร้อยละ 50 กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนยึดมาตรการหลัก 5 ด้านเกราะป้องกันโควิด 19 โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก ล้างมือ ชี้ผลสำรวจกรมอนามัยพบประชาชนยังกังวลสถานการณ์ เกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับการสวมหน้ากาก ปฏิบัติจริงเพียงร้อยละ 52 รับรู้เรื่องการเว้นระยะห่าง กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนยึดมาตรการหลัก 5 ด้านเกราะป้องกันโควิด 19 โดยเฉพาะการสวมหน้ากาก ล้างมือ ชี้ผลสำรวจกรมอนามัยพบประชาชนยังกังวลสถานการณ์ เกือบทั้งหมดเห็นด้วยกับการสวมหน้ากาก ปฏิบัติจริงเพียงร้อยละ 52 รับรู้เรื่องการเว้นระยะห่าง แต่ทำเป็นประจำเพียงร้อยละ 59 ย้ำลอยกระทงสวมหน้ากากตลอดเวลา พกเจลล้างมือ เลี่ยงจุดที่แออัด วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุขรองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวมาตรการหลักในการป้องกันการระบาดซ้ำโรคโควิด 19 สำหรับประชาชนว่า ในการป้องกันการระบาดซ้ำของโรคโควิด 19 สิ่งสำคัญคือความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนและผู้ประกอบการ ในการปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข โดยนำแบบจำลอง Swiss Cheese Model ที่ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่าเป็นแนวทางที่ทำให้เห็นภาพของแต่ละขั้นตอนในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเปรียบเทียบแต่ละมาตรการเสมือนชีส 1 แผ่น ความผิดพลาดของมาตรการคือ รูที่แผ่นชีส ซึ่งความผิดพลาดแต่ละมาตรการมักเกิดไม่พร้อมกัน รูที่แผ่นชีสจึงไม่ตรงกัน แต่หากทุกมาตรการล้มเหลวพร้อมกัน ก็จะเกิดรูตรงกันทุกแผ่นชีส จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ ดังนั้นมาตรการหลัก 5 ด้านสำคัญที่เป็นเกราะป้องกันโควิด 19 ของไทยเปรียบเสมือนชีส 5 แผ่น ได้แก่ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล สถานประกอบการต้องมีที่ล้างมือ, สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาในที่สาธารณะ, เว้นระยะห่าง, มีระบบระบายอากาศ, ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมบ่อยครั้ง อย่างไรก็ดี ในบางสถานที่หรือสถานการณ์อาจทำไม่ได้ครบทั้ง 5 ด้าน ขอให้เข้มด้านใดด้านหนึ่ง ที่สำคัญคือการสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ นายแพทย์สราวุฒิกล่าวว่า กรมอนามัยได้สำรวจมุมมองประชาชนต่อสถานการณ์โรคโควิด 19 ผ่านระบบออนไลน์ระหว่างวันที่ 23 – 27 ตุลาคม 2563 มีผู้ตอบแบบสอบถาม 8,112 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 94.71 มีความกังวลต่อสถานการณ์โรคโควิด 19 ส่วนใหญ่ร้อยละ 98.42 เห็นด้วยกับมาตรการสวมหน้ากากป้องกันโควิด 19 เมื่อออกจากบ้าน ขณะที่ในทางปฏิบัติมีเพียงร้อยละ 52.58 ที่สวมหน้ากากตลอดเวลา แม้ไม่มีอาการไอ จาม มีน้ำมูก และเป็นไข้ และร้อยละ 43.85 สวมหน้ากากเป็นบางเวลา สำหรับสถานที่ที่ประชาชนสวมหน้ากากมากที่สุดคือห้างสรรพสินค้า/ ร้านค้าร้อยละ 92 รองลงมาคือสถานที่แออัด เช่น การจัดประชุม/อบรม/ สัมมนา/ ตลาดนัด หรือการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ร้อยละ 90, โรงพยาบาล ฟิตเนส ร้อยละ 83, สถานที่ทำงานร้อยละ 78, สถานศึกษาร้อยละ 62.44, โรงแรม รีสอร์ทร้อยละ 60 ที่น่ากังวลคือ สถานบันเทิง และยานพาหนะสาธารณะสวมเพียงร้อยละ 49 สำหรับการรับรู้ต่อแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคม พบว่า ร้อยละ 92 รับรู้ครบถ้วนทั้ง 8 ข้อ คือเว้นระยะห่าง 1-2 เมตรจากผู้อื่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่นและพื้นผิววัสดุ/การเดินทางออกนอกบ้าน/ การใช้ขนส่งสาธารณะ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องพบปะโดยตรงกับผู้อื่น ทำงานที่บ้าน เมื่อมีอาการไข้ ไอ จามจะแยกตัวจากผู้อื่น และกักตนเอง 14 วันหลังเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่มีการปฏิบัติในการเว้นระยะห่างทางสังคม เป็นประจำ-ค่อนข้างบ่อยร้อยละ 59, ปฏิบัติบางครั้ง-น้อยครั้งร้อยละ 29 และไม่เคยทำเลยร้อยละ 12 ทั้งนี้ ประชาชนที่ไปเที่ยวงานลอยกระทง แนะนำให้พกแอลกอฮอล์เจลติดตัวและล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงจุดที่มีคนหนาแน่นมาก หากไม่สบายมีไข้ให้พักอยู่บ้าน หรือลอยกระทงออนไลน์ ********************************** 30 ตุลาคม 2563 **********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36380
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 มท.1 นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2563 มท.1 นำคณะผู้บริหารร่วมพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2563 วันนี้ (30 ต.ค. 63) เวลา 14.00 น. ที่พระอุโบสถ วัดเศวตฉัตร วรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2563โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ จากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนบริษัท ห้างร้าน และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เข้าร่วมในพิธีฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงมหาดไทยนำมาถวายพระสงฆ์จำพรรษาถ้วนไตรมาส ณ วัดเศวตฉัตร วรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานในวันนี้ ประกอบด้วย พิธีถวายเครื่องบริวารพระกฐินพระราชทาน ได้แก่ บาตร เครื่องอัฐบริขาร ตาลปัตรฯ และเครื่องไทยธรรม แด่พระสงฆ์รูปที่ครองผ้า และถวายปัจจัยที่ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลแด่เจ้าอาวาสเพื่อถวายแด่พระภิกษุ สามเณร เพื่อนำไปบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม หรือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของวัด โดยมียอดเงินที่ถวายผ้าพระกฐินพระราชทานถวายเป็นพระราชกุศล เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น จำนวน 5,317,839 บาท พร้อมทั้งมอบเงินให้โรงเรียนวัดเศวตฉัตรเพื่อเป็นทุนบำรุงการศึกษาแก่นักเรียน วัดเศวตฉัตร วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อ วัดบางลำพูล่าง สันนิษฐานว่าก่อสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งต่อมาได้รับการบูรณะโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต้นราชสกุลฉัตรกุล ในช่วงปี พ.ศ. 2359–2373 ต่อมาได้รับการปฏิสังขรณ์โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อวัดใหม่ว่า วัดเศวตฉัตร โดยกรมศิลปากรได้ประกาศกำหนดให้วัดเศวตฉัตร วรวิหาร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนที่ 75 วันที่ 16 สิงหาคม 2520
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปังไม่หยุด!! ลงทะเบียน “คนละครึ่ง” เต็มโควตา 10 ล้านคนแล้ว
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ปังไม่หยุด!! ลงทะเบียน “คนละครึ่ง” เต็มโควตา 10 ล้านคนแล้ว -- #ไทยคู่ฟ้าได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น สำหรับมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่เปิดให้ประชาชนที่สนใจร่วมลงทะเบียนโครงการ ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา ล่าสุด เมื่อกดตรวจสอบสิทธิผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง .com จะพบว่า จำนวนสิทธิคงเหลือนั้นเป็น 0 แล้ว เท่ากับว่า มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเต็มจำนวน 10 ล้านคน ซึ่งระบบจะทำการตรวจสอบและส่ง SMS แจ้งยืนยันสิทธิโดยเร็ว . ข้อมูล ณ วันที่ 28 ต.ค. 63 เวลา 12.00 น. มียอดการใช้จ่ายสะสม 1,225.44 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 626.97 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 598.47 ล้านบาท คำนวณเป็นยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 229 บาทต่อครั้ง และมีการใช้จ่ายครบทุกจังหวัด โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ สำหรับร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการยังลงทะเบียนได้ต่อเนื่อง ผ่านทางเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง .com และสาขาธนาคารกรุงไทยโดยไม่มีการปิดรับลงทะเบียน ซึ่งขณะนี้มีร้านค้าเข้าร่วมแล้วกว่า 400,000 ร้านค้า . ขอย้ำเตือนกันตรงนี้ว่า หากผู้ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบแล้ว ไม่ใช้สิทธิครั้งแรกภายใน 14 วัน จะถูกตัดสิทธิ โดยกระทรวงการคลัง จะนำยอดผู้ลงทะเบียนแต่ไม่ได้ใช้สิทธิไปเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรอบใหม่อีกครั้ง . อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีพฤติกรรมโฆษณาชวนเชื่อ เช่น สแกนคิวอาร์โค้ดแลกเป็นเงินสด จึงขอย้ำเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง และผู้ที่กระทำผิดจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย หากต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำผิด สามารถส่งข้อมูลไปได้ที่ halfhalf@fpo.go.th หรือ โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36344
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวสวนยางเฮ! ราคายางพารายังแรงไม่หยุด
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ชาวสวนยางเฮ! ราคายางพารายังแรงไม่หยุด -- #ไทยคู่ฟ้ามีข่าวดีมาบอกครับ...สัปดาห์นี้ราคายางพารายังแรงไม่หยุด โดยยางแผ่นรมควันพุ่งแตะสูงสุด 77.85 บาท/กก. ที่ตลาดกลางยางพารา จ.นครศรีธรรมราช ส่วนตลาดกลางฯ จ.สงขลา และตลาดกลางฯ จ.สุราษฎร์ธานี ราคาอยู่ที่ 77.72 บาท/กก. หลังจากเปิดตลาดสัปดาห์นี้เพียง 2 วัน ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 11 บาท คาดการณ์ว่าราคาสามารถพุ่งสูงต่อเนื่องแตะ 80 บาท/กก. ได้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งราคายางจะยังคงอยู่ในแนวบวกอย่างต่อเนื่อง และทะลุแนวต้านสูงสุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน . สาเหตุที่ราคายางปรับตัวสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น ปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติน้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ ความต้องการยางในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสินค้าประเภทยุทธภัณฑ์ ถุงมือยาง ยางยืด การจำหน่ายรถยนต์ของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ายางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ เป็นต้น . นอกจากนี้ ยังเป็นผลพวงมาจากการดำเนินงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโมเดล “เกษตรพาณิชย์ทันสมัย” ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ทั้งโครงการประกันรายได้ชาวสวนยาง และล่าสุดคือ 6 มาตรการปฏิรูปยางพารา เพื่อเพิ่มราคา สร้างเสถียรภาพราคา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เน้นลงทุนแปรรูปส่งเสริมวิจัยสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ใช้กลยุทธ์ใหม่การขายการตลาดเชิงรุกเจาะจีนทุกมณฑลและเปิดตลาดใหม่ๆ ในประเทศต่างๆ Cr : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36341
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ป้องกันไข้หวัด สกัดโควิด ต้องดูแลตัวเอง อย่าการ์ดตก
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ป้องกันไข้หวัด สกัดโควิด ต้องดูแลตัวเอง อย่าการ์ดตก -- #ไทยคู่ฟ้า ตอนนี้บ้านเราเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว หลายพื้นที่เริ่มมีอุณหภูมิลดลง อากาศเย็น เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีการระบาดของโรคโควิดอยู่ด้วย สิ่งที่แอดมินอยากจะมาเตือนกันก็คือ โรคไข้หวัดใหญ่กับโรคโควิด มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น มีไข้ ไอ ปวดศีรษะ ฉะนั้นถ้าเรารู้จักป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ โอกาสที่จะเป็นโรคโควิดจะน้อยมาก . ไข้หวัดใหญ่และโควิด ติดต่อได้เหมือนกัน ผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสถูกน้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย แต่อาการของโควิดจะมีไข้ น้ำมูก และไอไม่เด่นเท่าไข้หวัดใหญ่ ระดับของไข้จะต่ำ ๆ ประมาณ 37.5 หรือ 37.8 องศาเซลเซียส อาจรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและมีไอร่วม แต่ที่เด่นชัดคือ จะสูญเสียการรับรสและกลิ่น แต่สามารถหายได้เองใน 10-14 วัน . สรุป ก็คือ ถ้าไม่อยากเป็นทั้งไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด ก็ต้องป้องกันตัวเอง อย่าการ์ดตก ใส่หน้ากาก ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ล้างมือบ่อย ๆ กินของร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เน้นการอยู่พื้นที่โล่งและมีแดดก็จะช่วยป้องกันได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36343
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 การประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) เวลา 10.00น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีผู้บริหารหน่วยงานเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯ ได้มีการรายงานผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2563 ในด้านต่างๆ อาทิ ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปี 2563 รายงานผลการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ 2564 #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36363
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ร่วมกับม.เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เปิดงานลอยกระทงวิถีใหม่ ผสานนวัตกรรมและประเพณี พร้อมโชว์ลอยกระทง 5 ภาค และลอยโคมวิถีใหม่
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 วธ.ร่วมกับม.เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เปิดงานลอยกระทงวิถีใหม่ ผสานนวัตกรรมและประเพณี พร้อมโชว์ลอยกระทง 5 ภาค และลอยโคมวิถีใหม่ วธ.ร่วมกับม.เทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เปิดงานลอยกระทงวิถีใหม่ ผสานนวัตกรรมและประเพณี พร้อมโชว์ลอยกระทง 5 ภาค และลอยโคมวิถีใหม่ โดยใช้แสงเทียนจากไฟ LED ปลัด วธ.ปลื้ม คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีไทยและเผยแพร่สิ่งที่ดีงามสู่เยาวชนรุ่นหลัง ช่วงค่ำของวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงานลอยกระทงวิถีใหม่ ผสานนวัตกรรมและประเพณี โดยมีนายสมพร ปิยะพันธ์ รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไปเข้าร่วม ณ บริเวณหน้าสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ภายในงานมีการออกร้านของนักศึกษา ศิษย์เก่า สินค้าโอทอป การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม วงโปงลางศิลป์สาธร การแสดงเส็งประทีปบูชาพระเพ็ง รอบสระน้ำ ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ร่วมลอยกระทงด้วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า มีความยินดีที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานลอยกระทงวิถีใหม่ ผสานนวัตกรรมและประเพณี ที่ดำเนินการโดย สถาบันศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ในวันนี้ ทางกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีภารกิจในการสืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของประเทศไทย จึงเป็นที่น่ายินดีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ได้ให้ความสำคัญในการสืบสานอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามให้อยู่คู่กับชาวไทย เพื่อให้ประชาชนได้เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีไทยและเผยแพร่สิ่งที่ดีงามสู่เยาวชนรุ่นหลังสืบไป “ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยกันจัดงานครั้งนี้ อาทิ กระทรวงวัฒนธรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คณะผู้จัดงานบิ๊กเม้าเทนส์ และหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกันสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีลอยกระทงของไทย นอกจากนี้ยังต้องการกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวขึ้นภายในพื้นที่เขตสาทร ตลอดจนส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ ศิษย์เก่านักศึกษา ผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ได้มีพื้นที่ขายสินค้าและบริการในช่วงเทศกาล เช่น การขายสินค้า อาหาร การจัดซุ้มกิจกรรม การจัดแสดงดนตรี เป็นต้น เป็นการนำมิติวัฒนธรรมมาสร้างคุณค่าและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของชุมชนโดยรอบสถานศึกษาอีกด้วย” ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าว ได้มีการจำลองบรรยากาศวัฒนธรรมการลอยกระทงจากทั้ง5ภาคเช่นการลอยกระทงสาย จังหวัดตาก การลอยกระทงกาบกล้วย เมืองแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม การลอยกระทงสี อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีเป็นต้น และพิเศษกับการลอยโคมวิถีใหม่ โดยใช้แสงเทียนจากไฟ LED ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ระดมความคิดเห็นหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัย 54 แห่ง เกี่ยวกับ“(ร่าง) แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เตรียมพัฒนาแผนร่วม อว.เสนอ ครม.ภายในเดือนธันวาคมฯ
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส ระดมความคิดเห็นหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัย 54 แห่ง เกี่ยวกับ“(ร่าง) แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เตรียมพัฒนาแผนร่วม อว.เสนอ ครม.ภายในเดือนธันวาคมฯ ดีอีเอส ระดมความคิดเห็นหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัย 54 แห่ง เกี่ยวกับ“(ร่าง) แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เตรียมพัฒนาแผนร่วม อว.เสนอ ครม.ภายในเดือนธันวาคมฯ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 จากหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัย จำนวน 54 แห่ง เพื่อหารือ “(ร่าง) แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยมีกรอบประเด็นในการรับฟังความเห็นครั้งนี้ ได้แก่ 1) เป้าหมายและกรอบแผนแม่บท AI 2) แผนงานหลักภายใต้ยุทธศาสตร์AI 3) กลไกขับเคลื่อนสำคัญ AI ของไทย ณ ห้องประชุม MDES1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ จากนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. จะร่วมพัฒนาแผนฯ และนำเสนอขอรับความเห็นชอบอนุมัติจาก ครม. ภายในเดือนธันวาคม 2563 ต่อไป ส่วนผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมระดมความคิดเห็นในครั้งนี้ อาทิ สำนักงานปลัดฯ ทุกกระทรวง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) เป็นต้น ทั้งนี้การผลักดัน (ร่าง) แผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศ (พ.ศ.2564 –2570) เพื่อให้ประเทศไทยจะเป็นประเทศชั้นนำในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ภายในปี พ.ศ. 2570 ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ออท.แอฟริกาใต้ ชื่นชมรัฐบาลแก้ปัญหา COVID พร้อมยืนยันถึงมิตรภาพและพัฒนาความร่วมมือกับไทย"
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 "ออท.แอฟริกาใต้ ชื่นชมรัฐบาลแก้ปัญหา COVID พร้อมยืนยันถึงมิตรภาพและพัฒนาความร่วมมือกับไทย" พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.ได้ให้การต้อนรับการเยี่ยมคำนับของ นาย Geoffrey Quinton Mitchell Doidge ( เจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชลล์ ดอยจ์ ) ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้/ไทย ณ ศาลาว่าการกลาโหม ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันถึงแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือทางทหารระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกันที่เป็นรูปธรรม ภายหลังแผนการลงนามในข้อตกลงร่วมกันที่กำลังจัดทำและลงนามร่วมกัน พล.อ.ชัยชาญ’ รมช.กห. ได้ย้ำว่า ไทยพร้อมผลักดันความร่วมมือดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมต่อเนื่องกันไปภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลและเป็นกำลังใจกับแอฟริกาใต้ในการรับมือกับความท้าทายของการแพร่ระบาดของโรคที่กำลังเกิดขึ้นไปด้วยกัน นาย Geoffrey’ ได้กล่าวขอบคุณถึงพัฒนาการความร่วมมือทางทหารอย่างดีจากทุกหน่วยงานของ กห.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือกัน ขณะเดียวกันก็พร้อมขยายความร่วมมือคู่ขนานทั้งทางวิชาการและด้านอื่นๆควบคู่กันไป พร้อมกันนี้ขอชื่นชมรัฐบาลไทย ที่ประสบความสำเร็จในการดูแลป้องกันและแก้ปัญหา COVID-19 อย่างดียิ่งที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ชาวแอฟริกาใต้ที่พำนักในไทยรู้สึกปลอดภัย ตลอดทั้งช่วยสนับสนุนอำนวยความสะดวกการเดินทางกลับของทั้งชาวไทยและชาวแอฟริกากลับประเทศที่ผ่านมาเป็นอย่างดี ทั้งนี้แอฟริกาใต้ขอยืนยันความเป็นมิตรที่ดีกับไทยและเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนที่กำลังเกิดขึ้นในไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ หรือสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 15 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,585 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ หรือสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 15 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,585 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.97 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 131 ราย หรือร้อยละ 3.47 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,775 ราย สำหรับรายละเอียดผู้ติดเชื้อรายใหม่ 12 รายวันนี้ เป็นคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 7 ราย แบ่งเป็น เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) 6 ราย เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย, อินเดีย 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 4 ราย ทั้งหมดตรวจพบเชื้อ ไม่แสดงอาการ พบจากการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบเข้าเกณฑ์ เฝ้าระวังโรค (PUI) 1 ราย เดินทางมาจากจอร์แดน มีน้ำมูก จึงตรวจหาเชื้อ ผลพบเชื้อ เป็นชาวต่างชาติเดินทางมาจากต่างประเทศ5 ราย แบ่งเป็น เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) 3 ราย เดินทางจากฟิลิปปินส์ 1 ราย, อินเดีย 2 ราย ทั้งหมดตรวจพบเชื้อไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยผู้กักตัวเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยคิดจากประกันโควิด 19 ที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ เป็นชาวต่างชาติ ที่เดินทางมารักษาด้วยโรคอื่น เข้ากักตัวในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) 2 ราย จากเอธิโอเปีย 1 ราย, พม่า 1 ราย ตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อทั่วโลกยังคงพบการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง วันนี้มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ 531,552 ราย ผู้ป่วยสะสม 45,299,015 ราย ประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร สำหรับประเทศไทยยังคงควบคุมสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้ดี สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ การรักษามาตรการด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนอาคารสถานที่ พื้นที่สาธารณะ ขอความร่วมมือให้จัดรอบทำความสะอาดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบริเวณจุดสัมผัสร่วมต่างๆ จะช่วยทำลายเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่บนพื้นผิวและในสิ่งแวดล้อมได้ รวมถึงจัดตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอ ที่สำคัญขอให้ประชาชนการ์ดไม่ตก สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด และหลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสบริเวณใบหน้า นายแพทย์โสภณกล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายลดระยะเวลากักตัวของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน สำหรับผู้เดินทางมาจากประเทศที่เสี่ยงต่ำ ที่มีอัตราการติดเชื้อต่ำในประเทศต้นทาง ซึ่งในเบื้องต้นเป็นมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยจะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พิจารณาต่อไป ทั้งนี้ จากการศึกษาของคณะกรรมการวิชาการ ภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติพบว่า การกักตัว 14 วันและ 10 วัน มีอัตราการติดเชื้อหลัง 14 วันต่ำมาก และไม่แตกต่างกัน โดยหลังวันที่ 10 ต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสามารถติดตามตัวได้รู้ว่ามีอาการป่วยหรือไม่ ทั้งนี้ มีหลายประเทศได้ลดวันกักตัวเหลือ 10 วัน ได้แก่ ฮังการี สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สโลวีเนีย และลัตเวีย ซึ่งมาตรการลดวันกักตัว ได้อาศัยข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนตามสถานการณ์ความเสี่ยง ร่วมกับการประเมินสถานการณ์รายประเทศและความจำเป็นในการดูแลผู้เดินทางมาจากต่างประเทศให้อยู่ในสถานที่ป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี ก่อนกำหนดเป็นนโยบายใหม่ **************************30 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36365
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ Green Scrap Metal Thailand 2020
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ Green Scrap Metal Thailand 2020 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ Green Scrap Metal Thailand 2020 ณ โรงแรม ปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ Green Scrap Metal Thailand 2020 ภายใต้โครงการ Greening the Scrap Metal Value Chain through Promotion of BAT/BEP to Reduce U-POPs Releases from Recycling Facilities พร้อมด้วย นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ Mr. Stein R. Hansen ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคและผู้แทนถาวร UNIDO ประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับ ณ โรงแรม ปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ สำหรับงานสัมมนาดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานดำเนินงานโครงการในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสำรวจข้อมูลของอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะ เพื่อกำหนดนโยบายการจัดการเศษโลหะอย่างยั่งยืน การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุดไปใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมรีไซเคิลเศษโลหะ รวมถึงการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับ U-POPs และ BAT/BEP ทั้งนี้ได้มีพิธีลงนามในสัญญาการสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ระหว่าง UNIDO และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว!! ธอส. มหกรรมบ้านมือสองราคาพิเศษ ครั้งที่ 1 ลดสูงสุด 50%
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 เริ่มแล้ว!! ธอส. มหกรรมบ้านมือสองราคาพิเศษ ครั้งที่ 1 ลดสูงสุด 50% เอาใจคนอยากมีบ้านในราคาสุดคุ้ม จัดงาน “มหกรรมบ้านมือสองราคาพิเศษครั้งที่ 1” นำทรัพย์ NPA ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 200 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ เอาใจคนอยากมีบ้านในราคาสุดคุ้ม จัดงาน “มหกรรมบ้านมือสองราคาพิเศษครั้งที่ 1” นำทรัพย์ NPA ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 200 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และห้องชุด จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นต่ำสุดเพียง 35,000 บาทเท่านั้น ผู้ซื้อทรัพย์ในงานมีสิทธิ์เลือกใช้มาตรการผ่อนดาวน์หรือสินเชื่อดอกเบี้ย 0% ทั้งนี้ มหกรรมบ้านมือสองราคาพิเศษ ครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2563 ระหว่างเวลา 10.00-20.00 น. ณ ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ สอบถามรายละเอียด และดูข้อมูลทรัพย์ NPA ของธนาคารได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย พร้อมคณะรัฐมนตรี ประชาชนและสื่อมวลชน ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย พร้อมคณะรัฐมนตรี ประชาชนและสื่อมวลชน ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีและภริยา ร่วมลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย พร้อมคณะรัฐมนตรี ประชาชนและสื่อมวลชน ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (30 ต.ค. 63) เวลา 17.30น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานงานสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 "ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย"ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ซึ่งจัดโดยสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อสืบสานเอกลักษณ์ความเป็นไทย และร่วมรักษาประเพณีอันดีงามที่เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตและสังคมไทยมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา โดยมีคณะรัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล แต่งกายด้วยชุดผ้าไทยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรี ชมการแสดงรำวงลอยกระทง จากนั้น นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานการจัดงานสืบสานประเพณีลอยกระทงพุทธศักราช 2563 "ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย"ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา คณะรัฐมนตรี ชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับประเพณีลอยกระทง และการรักษาสิ่งแวดล้อม ก่อนร่วมถ่ายภาพและร่วมลอยกระทงพร้อมคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ สื่อมวลชนและประชาชน โดยรอบบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม .............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดงานวันออมแห่งชาติ 2563 “รากฐานสังคมดี เริ่มที่การออม” พร้อมออกแคมเปญจูงใจเด็กฝากต่อเนื่อง รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ ชวน สมาชิกธนาคารโรงเรียน “แข่งกันออม” ลุ้นทุนการศึกษา
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ออมสิน จัดงานวันออมแห่งชาติ 2563 “รากฐานสังคมดี เริ่มที่การออม” พร้อมออกแคมเปญจูงใจเด็กฝากต่อเนื่อง รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ ชวน สมาชิกธนาคารโรงเรียน “แข่งกันออม” ลุ้นทุนการศึกษา พิธีเปิดงานวันออมแห่งชาติ ประจำปี 2563 ด้วยแนวคิด “รากฐานสังคมดี เริ่มที่การออม” ซึ่งธนาคารออมสินในฐานะสถาบันเพื่อการออมได้จัดกิจกรรมมากมายเกี่ยวกับการออมในปีนี้ โดยมี นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน วันนี้ (30 ตุลาคม 2563) ณ หอประชุมบุรฉัตร ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ ได้มีพิธีเปิดงานวันออมแห่งชาติ ประจำปี 2563 ด้วยแนวคิด “รากฐานสังคมดี เริ่มที่การออม” ซึ่งธนาคารออมสินในฐานะสถาบันเพื่อการออมได้จัดกิจกรรมมากมายเกี่ยวกับการออมในปีนี้ ได้แก่ การแจกกระปุกเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับการฝากเงินในวันนี้ การรับฝากเงินสำหรับเด็กในกิจกรรมพิเศษ “เด็กดี มีวินัย ได้ลุ้นโชค” และพิธีมอบรางวัลการประกวดวาดภาพการ์ตูนส่งเสริมการออม ทั้งในประเภทเยาวชนจนถึงประชาชนทั่วไป โดยมี นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงการจัดงานวันออมแห่งชาติของธนาคารออมสินในปีนี้ ว่า มีกิจกรรมส่งเสริมการออมเป็นพิเศษสำหรับเด็ก คือ กิจกรรม “เด็กดี มีวินัย ได้ลุ้นโชค” สำหรับผู้ที่มีอายุ 7-15 ปี เปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียก Youth Savings ขั้นต่ำ 100 บาท โดยฝากในวันนี้ (30 ตุลาคม 2563) และฝากเงินต่อเนื่องทุกเดือนๆ ละ 50 บาทขึ้นไป จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 จะได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ คือ ต่อที่ 1 ได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.25% ต่อปี โดยต้องมียอดเงินฝากสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ต่อที่ 2 ได้รับเงินขวัญถุง 100 บาท และต่อที่ 3 ลุ้นรับของรางวัลมูลค่า 10,000 บาท จำนวน 108 รางวัล รวมมูลค่า 1,080,000 บาท หรือถ้าฝากในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 และฝากเงินต่อเนื่องทุกเดือนๆ ละ 50 บาทขึ้นไป จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 ได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 0.50% ต่อปี และได้รับสิทธิ์ลุ้นของรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ด้วยเช่นกัน โดยกำหนดจับรางวัลในวันที่ 30 กันยายน 2564 ขณะที่กิจกรรมการออมในสถานศึกษา ได้จัด โครงการแข่งกันออมกับออมสิน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง วันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นกิจกรรมกระตุ้นการออมต่อเนื่องในกลุ่มสถานศึกษา นักเรียน-นักศึกษา ที่เป็นสมาชิกธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ให้มีความตื่นตัวกับการออมและมีส่วนร่วมกันวางแผนการออมอย่างสม่ำเสมอ โดยมี “รางวัลยอดนักออม” สำหรับนักเรียนที่มีวินัยการออมดีเด่น พิจารณาจากความถี่ในการฝากเงิน-ถอนเงิน พร้อมด้วยส่งผลงานคลิปส่งเสริมการออมสำหรับเยาวชน โดยมีรางวัลทุนการศึกษา โล่ และ เกียรติบัตร จำนวน 100 รางวัล เงินรางวัลรวม 800,000 บาท และ “รางวัลสถานศึกษาส่งเสริมการออม” สำหรับสถานศึกษาที่ส่งเสริมการออม พิจารณาจากจำนวนรายการเคลื่อนไหวในการฝากเงิน-ถอนเงิน สะสมตลอดช่วงโครงการ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการออมอย่างสม่ำเสมอ ธนาคารฯ ให้รางวัลทุนการศึกษา โล่ และ เกียรติบัตร จำนวน 100 รางวัล เงินรางวัลรวม 1,480,000 บาท นอกจากนี้ ยังได้จัดทำของที่ระลึกชิ้นพิเศษคู่กับกิจกรรมวันออมเหมือนเช่นทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็น “กระปุกออมสิน 107 ปี ธนาคารออมสิน” มอบให้ผู้ฝากเงินด้วยตัวเองหรือเปิดบัญชีใหม่ ตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป จำนวน 1 ชิ้น ต่อ 1 ราย ในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 นี้เท่านั้น ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 3/2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 3/2563 คณะกรรมการ PPP ไฟเขียว 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 19,000 ล้านบาท หนุนเอกชนร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะพร้อมเห็นชอบกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 รองรับการดำเนินโครงการอย่างครบถ้วน นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบในหลักการของโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP Net Cost จำนวน 2 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 18,961 ล้านบาท ได้แก่ 1.1 โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) มูลค่ารวม 16,096 ล้านบาท ในรูปแบบการให้เอกชนบริหารจัดการโดยให้สัมปทาน โดย กนอ. จะมอบสิทธิแก่เอกชนเข้าใช้ทรัพย์สินเดิมของโครงการและดำเนินโครงการ ทั้งนี้ เอกชนจะเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระการลงทุนในโครงการ ตลอดระยะเวลาร่วมลงทุน 30 ปี เพื่อสนับสนุนการประกอบกิจการของผู้ประกอบการในพื้นที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียง 1.2 โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ของกรมการขนส่งทางบกมูลค่ารวม 2,865 ล้านบาท โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สำนักงานและส่วนประกอบ และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ รวมถึง O&M ทั้งหมด ตลอดระยะเวลาโครงการ 15 ปี เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งระหว่างประเทศบริเวณพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน รวมถึงเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากทางถนนไปสู่ทางรถไฟ โดยให้ไปพิจารณาผลตอบแทนของรัฐอย่างรอบคอบในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน รวมถึงการขอรับสิทธิประโยชน์ BOI 2. คณะกรรมการ PPP เห็นชอบร่างกฎหมายลำดับรองและแนวทางปฏิบัติภายใต้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในเรื่องหลักเกณฑ์ในการพิจารณาใช้การคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูล รวมถึงแนวทางการพิจารณาความสำคัญของโครงการร่วมลงทุนที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 - 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกฎหมายลำดับรองที่ใช้สำหรับการจัดทำและดำเนินโครงการครบถ้วน 3. คณะกรรมการ PPP ยังได้วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ตามมาตรา 20 (9) ตามที่มีหน่วยงานหารือในกรณีปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36355
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศผลรางวัลโครงการ GHB Creative Innovation Contest นักศึกษาจาก ม.ทักษิณ วิทยาเขตสงขลา คว้ารางวัลชนะเลิศ
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ธอส. ประกาศผลรางวัลโครงการ GHB Creative Innovation Contest นักศึกษาจาก ม.ทักษิณ วิทยาเขตสงขลา คว้ารางวัลชนะเลิศ ธอส.ประกาศผลรางวัล “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” โครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ในการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศผลรางวัล “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” โครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในหัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ในการคิดค้นนวัตกรรมสิ่งใหม่ ๆ ทั้งทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ หรืออื่น ๆ ได้แบบไม่มีข้อจำกัด และสามารถดำเนินการต่อได้จริง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าประชาชนได้มีบ้านหรือเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เหมาะสมกับยุค New Normal ชิงรางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา คว้ารางวัลชนะเลิศ รับทุนการศึกษามูลค่า 50,000 บาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้เปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาระดับชั้นปีที่ 3 และ 4 ในสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ คิดค้นนวัตกรรมใหม่ทางด้านผลิตภัณฑ์ บริการ หรืออื่น ๆ ได้แบบไม่มีข้อจำกัด และสามารถดำเนินการต่อได้จริง ส่งผลงานเข้าประกวดกับ “โครงการ GHB Creative Innovation Contest” หัวข้อ “นวัตกรรมแบบไหน ที่ทำให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น” เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ทันสมัยในการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารได้สะดวก รวดเร็ว เหมาะสมกับการทำให้คนไทยได้มีบ้านในยุค New Normal ชิงรางวัลทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท โดยเปิดให้นักศึกษาส่งผลงานในรูปแบบ Clip VDO ความยาวไม่เกิน 3 นาที มาที่ www.ghbcreativeinnovationcontest.com ในระหว่างวันที่ 1 กันยายน – 9 ตุลาคม 2563 ซึ่งมีนักศึกษาส่งผลงานเข้าประกวดจำนวนถึง 108 ผลงาน ก่อนที่ธนาคารจะคัดเลือกผลงานที่ดีที่สุดเข้ารอบสุดท้ายจำนวน 10 ทีมมาร่วมกิจกรรม Workshop เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการพัฒนานวัตกรรมให้มากยิ่งขึ้น และจัดให้มีกิจกรรมในรอบตัดสินขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 โดยเปิดโอกาสให้ทั้ง 10 ทีมที่ผ่านเข้ารอบได้นำเสนอผลงานต่อหน้าคณะกรรมการตัดสินทั้ง 6 คน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจาก ธอส. จำนวน 3 คน 1.นายวิทยา แสนภักดี รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานการตลาด 2.นายอภิรัตน์ อรุณวิไลรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการเทคโนโลยี และรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการสารสนเทศ และ 3.นายณรงค์พล ประภานิรินธน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานกลยุทธ์ พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 คน คือ 1.นางวราพรรณ (หงุ่ยตระกูล) ทรัพย์ธนะอุดม นักแสดงเจ้าของรางวัลหน้ากากทองคำและตุ๊กตาทอง 2.สมาร์ท - นายกฤษฎา พรเวโรจน์ นักแสดง พระเอกละครที่มีดีกรีจบการศึกษาในระดับปริญญาโทด้านการออกแบบจากวิทยาลัยศิลปะและการดีไซน์จาก The Savannah College of Art and Design สหรัฐอเมริกา และ 3.นายพีรพัฒน์ อัญญะโพธิ์ รองผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนฝ่ายข่าว สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยเกณฑ์การตัดสินให้ความสำคัญในการพิจารณา 5 ด้าน คือ 1.เป็นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อธนาคาร 2.แนวความคิดของโครงการ 3.ความเป็นไปได้ทางเชิงเทคนิค 4.การออกแบบ และ 5.การนำเสนอผลงานนวัตกรรม ซึ่งมีผลการตัดสินดังนี้ รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ : ผลงาน GHB Gift House โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา ประกอบด้วย นางสาววรดา หมัดอุหมาด, นางสาวอานีต้า จิตภาค, นางสาวโซเฟีย หมัดร่วม, นางสาวกรนิสา เบ็นหมาน และนางสาวภูรินทร์ สายหยุด นำเสนอให้จัดทำ Application เรื่องการออมเงินเพื่อลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 20 ปี จูงใจผู้ออมด้วยดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ได้รับเงินคืนตามระยะเวลาที่กำหนด และสามารถนำเงินออมมาวางเป็นเงินดาวน์บ้านได้ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ : ผลงาน GHB Home Loan Planner โดยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นางสาวสุรัสดา กิระวิทยา และนางสาวชัญญา โพธิ์พิทักษ์ธานนท์ ซึ่งนำเสนอให้มีการพัฒนาบริการใหม่ใน Application GHB All เพื่อช่วยให้ลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อยและฟรีแลนซ์ที่ต้องการมีบ้านสามารถวางแผนทางการเงินอย่างมีระบบ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ : ผลงาน GHB one for Gen Y โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ประกอบด้วยนางสาวรวิภา ไชยรบ และนายพิจักษณ์ สาทรสัมฤทธิ์ผล โดยพัฒนา Application เจาะกลุ่มคน Gen Y ที่ต้องการมีบ้าน ให้สามารถยื่นเอกสารการกู้แบบออนไลน์ พร้อมกับมีบริการค้นหาผู้รับเหมาก่อสร้างหรือโครงการที่อยู่อาศัย รางวัลชมเชย เงินรางวัล 5,000 บาท และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ จำนวน 7 รางวัล : ประกอบด้วยผลงานออมเพื่อบ้าน(Saving for home) โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดล, ผลงาน Application GHB Repay You โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา, ผลงาน GHB Kiosk โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, ผลงานตู้เทคโนโลยี โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, ผลงานบ้านในฝันอยู่ไม่ไกลแค่ปลายนิ้ว โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา, ผลงาน Application GHB SMART SAVER โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และผลงาน SAVING UP FOR HOME ออมความฝันสร้างความจริง โดยนักศึกษาจากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ “การที่มีนักศึกษาให้ความสนใจส่งผลงานเข้าประกวดกับโครงการ GHB Creative Innovation Contest มากถึง 108 ผลงาน สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของเยาวชนที่ต้องการพัฒนานวัตกรรมที่ทันสมัยโดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้าประชาชน ซึ่ง ธอส. พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงเข้ามาร่วมงานกับธนาคารหลังจบการศึกษา เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการทำให้คนไทยมีบ้านและนำความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมในครั้งนี้มาต่อยอดพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของธนาคารต่อไป” นายฉัตรชัยกล่าว ทั้งนี้ ธอส. ถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ ทำให้คนไทยมีบ้าน โดยตลอดระยะเวลา 67 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารเมื่อปี พ.ศ.2496 ธอส. สามารถสานฝันให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว และยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับบริการที่ดี เหมาะสมต่อยุคสมัย และสอดคล้องกับความต้องการให้แก่ลูกค้าของธนาคาร เพื่อก้าวไปสู่การเป็น “ธนาคารที่ดีที่สุด สำหรับการมีบ้าน” ตามวิสัยทัศน์ของธนาคารต่อไป ติดตามข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมต่าง ๆ ของธนาคารได้ที่ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เปิดงาน “สวัสดีข้าวสาร” ภายใต้แนวคิด “The Modern Thainess” พร้อมโชว์การทำ “ผัดไทย” ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 นายกฯ เปิดงาน “สวัสดีข้าวสาร” ภายใต้แนวคิด “The Modern Thainess” พร้อมโชว์การทำ “ผัดไทย” ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต นายกรัฐมนตรี เปิดงาน “สวัสดีข้าวสาร” ภายใต้แนวคิด “The Modern Thainess” พร้อมโชว์การทำ “ผัดไทย” ร่วมกับนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วันนี้ (30 ต.ค.63)นายอนุชาบูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานพิธีเปิดงาน“สวัสดีข้าวสาร” เปิดตัวถนนข้าวสารโฉมใหม่ภายใต้แนวคิด“The Modern Thainess”เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ ด้วยการจัดกิจกรรมในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ ซึ่งกิจกรรมถนนข้าวสารวันนี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19อย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังคงควบคุมและจำกัดการแพร่ระบาดได้ในระดับที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขภาพ เพื่อป้องกัน โรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัดโดยใช้ชีวิตแบบNew Normal ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า รัฐบาลสนับสนุนเม็ดเงินในระบบเพื่อหมุนเวียน กระตุ้นให้กลุ่มคนที่มีศักยภาพให้ มีการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระบบเศรษฐกิจฐานรากผู้มีรายได้น้อยซึ่งจะต้องมีการพัฒนารายได้ต่อไป เพื่อให้มีความเข้มแข็งและใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขและพอเพียงตามศักยภาพและกำลังของแต่ละบุคคล และไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินในอนาคตโดยในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีฝากให้คนไทยรักสามัคคีด้วยการยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำให้ประเทศไทยเจริญมาตั้งแต่อดีตและจะเติบโตก้าวหน้าต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมร้านค้าผู้ประกอบการบริเวณถนนข้าวสาร และสินค้าBangkok Brandโดยตลอดทางประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบและผู้ประกอบการได้ให้กำลังใจโดยการมอบช่อดอกไม้และบอกให้นายกรัฐมนตรีสู้ ๆ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้ประกอบอาหารเมนู “ผัดไทย” ที่บูธของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตและร่วมพูดคุยกับนักศึกษาอย่างเป็นกันเองก่อนเดินทางไปเปิดงานสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช2563 "ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย" ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาลต่อไป ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36381
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นฤมล สานฝันคนพิการจังหวัดน่าน สร้างอาชีพ มีรายได้ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ​นฤมล สานฝันคนพิการจังหวัดน่าน สร้างอาชีพ มีรายได้ ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน รมช.แรงงาน เยือนจังหวัดน่าน ติดตามผลการดำเนินงาน พร้อมดันแรงงานกลุ่มคนพิการให้มีอาชีพ มีรายได้อย่างมั่นคง สู่การขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน วันที่ 30 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อติดตามความคืบหน้า และให้คำปรึกษาแนะนำการดำเนินงานการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของจังหวัดน่าน และร่วมกิจกรรมการจ่ายเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี 2563 จังหวัดน่าน และโครงการประชาสัมพันธ์การผลิตลำไยคุณภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไย ณ ห้องประชุมจังหวัดน่าน โดยมีนายนิพันธ์ บุญหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ หอประชุมจังหวัดน่าน ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัด เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ซึ่งกระทรวงแรงงานและส่วนราชการต้องร่วมกันทำงาน เพื่อให้เกิดการจ้างงานหรือสามารถประกอบอาชีพอิสระ มีรายได้อย่างยั่งยืน มีการประกอบอาชีพอิสระได้มากขึ้น ต้องอาศัยภาคีเครือข่ายในจังหวัดน่าน เช่น ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ซึ่งกระทรวงแรงงาน มีความร่วมมือกับภาคเอกชนหลายแห่ง ที่สามารถให้ความช่วยเหลือในการฝึกอบรมได้ เช่น โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ซึ่งเป็นการดำเนินงานรองรับสังคมผู้สูงอายุ จึงขอฝากจังหวัดน่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ และเร่งดำเนินการในส่วนนี้ด้วย การฝึกอบรมนั้นให้คัดเลือกผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นลำดับแรก เพื่อให้มีความรู้ สามารถประกอบอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น โครงการที่จังหวัดน่านได้เสนอขอรับการสนับสนุนภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม อาทิ โครงการพัฒนาอัตลักษณ์น่านสู่เมืองสร้างสรรค์ โครงการยกระดับเศรษฐกิจน่านสู่นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ และโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคนในชุมชนและสังคมเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นเมืองอัจฉริยะ มาตรการการฝึกอาชีพระยะสั้นที่จังหวัดดำเนินการ เช่น สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานน่าน (สนพ.น่าน) และพัฒนาชุมชนจังหวัด เข้ามาร่วมดำเนินการฝึก ในปี 64 สนพ.น่าน มีเป้าหมายฝึกอบรมให้แรงงาน เสนอโครงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด ผ่านหลักสูตรฝึกอบรม อาทิ ช่างซ่อมเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ระยะเวลาการฝึก 5 วัน ให้ความช่วยเหลือคนพิการด้วยการสนับสนุนเงินอุดหนุนช่วยเหลือคนพิการอีกด้วย ด้านความช่วยเหลือการจ้างงาน รมช.แรงงาน ขอให้มีการจ้างงานกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ด้วย หลังจากนั้น รมช.แรงงาน ได้เยี่ยมชมศูนย์ฝึกอาชีพแก่คนพิการจังหวัดน่าน ณ สมาคมคนพิการทุกประเภท จ.น่าน เลขที่ 304 หมู่ 5 ต.ผาสิงห์ อ.เมืองน่าน จ.น่าน มีสมาชิกกลุ่มประมาณ 200 คน โดยมีนางสาวศิริลักษณ์ ธุรกิจเสรี เป็นนายกสมาคมคนพิการจังหวัดน่าน ในปี 2553 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการจ้างงานเร่งด่วนของสำนักงานแรงงานจังหวัดน่าน บูรณาการร่วมกับ สนพ.น่าน จัดวิทยากรให้ความรู้การทำพรหมเช็ดเท้าและการตัดเย็บเสื้อผ้า พร้อมมอบจักรเย็บผ้าและอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพของกลุ่มคนพิการด้วย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้การสนับสนุนการฝึกอาชีพอย่างต่อเนื่อง เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฝึกทำเบเกอรี จัดหาตลาดเพื่อจำหน่ายตามร้านค้าในพื้นที่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเทสโก้โลตัส สนับสนุนการฝึกอาชีพ สานตะกร้าหวายโดยใช้หวายแท้และหวายเทียม เย็บกระเป๋าลดโลกร้อน เย็บหมวก และรับซื้อสินค้าไปวางจำหน่ายอีกด้วย เป็นการปฏิบัติตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นรูปแบบของการจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงาน ฝึกงาน หรือให้การช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การช่วยเหลือและดูแลคนพิการให้มีอาชีพ มีงานทำ เป็นอีกเรื่องที่ต้องขับเคลื่อน ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” และนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) ที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง ทั้งสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ ให้ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการมากกว่า 2 ล้านคน ในส่วนของจังหวัดน่าน มีคนพิการที่จดทะเบียนและมีบัตรประจำตัว พบว่ามีจำนวน 22,626 คน อยู่ในวัยแรงงาน 7,589 คน วัยเด็ก 876 คน และวัยชรา 14,057 คน ซึ่งได้มอบหมายให้จังหวัด และ สพร.น่าน สำรวจความต้องการเพื่อให้ความช่วยเหลือ เช่น การเพิ่มช่องทางการจำหน่วยผลิตภัณฑ์ การให้ความรู้เรื่องการขายของออนไลน์ “คนพิการที่กระจายอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ยังต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน จึงขอเชิญชวนภาคเอกชนที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและขับเคลื่อนการพัฒนาอาชีพแรงงานคนพิการ เพื่อให้คนพิการสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤตการณ์ มีรายได้อย่างยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายตรงกระทรวงแรงงาน 1506” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36361
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 และมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จ.น่าน
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ​รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 และมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จ.น่าน ​รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสืออนุญาต ส.ป.ก.4-01 และมอบเงินเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จ.น่าน เพื่อพัฒนาอาชีพของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่เกษตรกร และมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน มีนโยบายที่ต้องการให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสิทธิ และหน้าที่ของเกษตรกร ในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน พัฒนาอาชีพของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยจากการได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัลโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีนโยบายช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ในอัตราไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 5 ไร่/ครัวเรือน และลำไยต้องมีอายุ 5 ปี ขึ้นไป “ ในวันนี้ได้มามอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) ให้แก่เกษตรกร จำนวน 30 ราย และก่อนที่เกษตรกรจะได้รับมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) เกษตรกรต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับสิทธิการใช้ประโยชน์ในที่ดินและหน้าที่ของเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน การพัฒนาอาชีพ และการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอีกด้วย และยังได้มีการมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 จำนวน 11,252 ราย เป็นจำนวนเงิน 102,921,025 บาท” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ จังหวัดน่านมีพระราชกฤษฏีกากำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน 14 อำเภอ เนื้อที่ 475,565 ไร่ พื้นที่ดำเนินการ 460,968 ไร่ และจัดให้เกษตรกรไปแล้วจำนวน 351,588 ไร่ คงเหลือ เนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ ผลการจัดที่ดิน ดังนี้ เป็นที่ดินแปลงเกษตรกรรม จำนวน 41,241 ราย 65,095 แปลง เนื้อที่ 348,727 ไร่ และเป็นที่ดินแปลงที่อยู่อาศัย จำนวน 6,580 ราย 6,831 แปลง เนื้อที่ 2,856 ไร่ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ส.ป.ก.น่าน ดำเนินการจัดที่ดินได้ทั้งสิ้น 341 ราย 404 แปลง เนื้อที่ 1,045-2-56 ไร่ แบ่งเป็น ที่ดินแปลงเกษตรกรรม จำนวน 308 ราย 371 แปลง เนื้อที่ 1,035-1-55 ไร่ ที่ดินแปลงชุมชน จำนวน 33 ราย 33 แปลง เนื้อที่ 10-1-1 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36358
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กษ. นำทีม กยท. พบปะสมาชิกชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัด
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 รมว.กษ.นำทีมกยท.พบปะสมาชิกชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัด รมว.กษ.นำทีมกยท.พบปะสมาชิกชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดพร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐและเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเสาหลักนำทางยางพารา รมว.กษ.นำทีมกยท.พบปะสมาชิกชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดพร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐและเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเสาหลักนำทางยางพารา นายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำทีมผู้บริหารการยางแห่งประเทศไทยพบปะพูดคุยกับสมาชิกชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดมอบเงินรายได้เพิ่มแก่เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์ที่จำหน่ายน้ำยางสดแก่สหกรณ์เพื่อผลิตเสาหลักนำทางยางพาราจำนวน11สหกรณ์สมาชิกนอกจากนี้ยังร่วมพิธีลงนามซื้อขายน้ำยางสดเพื่อแปรรูปเป็นน้ำยางข้นผลิตเสาหลักนำทางยางพาราระหว่างประธานชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดกับผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยพร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐและเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเสาหลักนำทางยางพาราณชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังตำบลหนองปรืออำเภอรัษฎาจังหวัดตรัง ทั้งนี้ชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดเป็นการรวมตัวของสหกรณ์ทั้ง11สหกรณ์ได้ร่วมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อสร้างการเชื่อมโยงและช่วยเหลือซึ่งกันและกันสนับสนุนการผลิตเสาหลักนำทางของสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหนองครกจำกัดและต่อมาได้ขอจัดตั้งเป็นชุมนุมสหกรณ์ที่เน้นเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพาราการขับเคลื่อนการผลิตเสาหลักนำทางยางพาราหมอนที่นอนยางพาราและผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นๆเป็นองค์กรทำหน้าที่ด้านการตลาดให้แก่สหกรณ์ที่ผลิตคือสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหนองครกจำกัดจะรับเป็นองค์กรของการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์จากยางพาราเป็นการแก้ไขจุดอ่อนของการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่มีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนในการผลิตและการบริหารจัดการตลาดเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการเชิงรุกด้านการผลิตและการตลาดและการรับซื้อน้ำยางสดเพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราที่มีลักษณะครบวงจรและสามารถเชื่อมโยงกับเกษตรกรสมาชิกได้จำนวนมากยิ่งขึ้นในการส่งน้ำยางสดผลิตเป็นน้ำยางข้นเป็นวัตถุดิบเพื่อจัดทำเสาหลักนำทาง ยางพาราหรือผลิตภัณฑ์อื่นเป็นนวัตกรรมที่จะยกระดับรายได้แก่สมาชิกสหกรณ์รวม11สหกรณ์จำนวน4,810รายเนื้อที่ยางพาราที่เปิดกรีดจำนวน50,664ไร่ สำหรับการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทั้งโครงการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกรและโครงการส่งเสริมการใช้ยางในภาครัฐอีกทั้งยังสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาภาคชุมนุมสหกรณ์อุตสาหกรรมการยางตรังจำกัดและสอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรในการรวมตัวเป็นสถาบันของเกษตรกรและการยกระดับรายได้แก่เกษตรกรผ่านกลไกสหกรณ์ด้วย "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะกำกับดูแลการยางแห่งประเทศไทยได้มุ่งมั่นที่จะพัฒนายางพาราทั้งระบบสิ่งสำคัญคือการทำให้ยางพารามีราคาสูงขึ้นซึ่งนโยบายการประกันรายได้ถือเป็นแนวทางที่ช่วยเกษตรกรอีกทางหนึ่งนอกจากนี้จะต้องมีมาตรการให้ภาครัฐใช้ยางภายในประเทศให้มากที่สุดต้องมีการแปรรูปเพิ่มมากขึ้นตัดSupplyออกจากตลาดให้มากที่สุดเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯได้มีการนำยางพารามาใช้ในส่วนต่างๆอาทิการนำยางพารามาใช้ในการทำเขื่อนยางและการทำถนนราดยางในพื้นที่ของกรมชลประทานเป็นต้นอีกทั้งยังได้ร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมในการทำอุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอำนวยความปลอดภัยจากยางพาราด้วยอย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อพัฒนายางพาราให้เกิดความยั่งยืนต่อไป"นายเฉลิมชัยกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.มนัญญา เยี่ยมชมกระบวนการผลิตแบริเออร์ ของสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ​รมช.มนัญญา เยี่ยมชมกระบวนการผลิตแบริเออร์ ของสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด ​รมช.มนัญญา เยี่ยมชมกระบวนการผลิตแบริเออร์ ของสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด พร้อมสนับหนุนโครงการใช้ยางในภาครัฐ เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และการผลิตเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ณ สหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ว่า สหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการแปรรูปยางพารา เพื่อใช้ในหน่วยงานภาครัฐตามโครงการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ซี่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงคมนาคม ขับเคลื่อนให้สถาบันเกษตรกรผลิตเสาหลักนำทาง และแผ่นยางครอบแบริเออร์เพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการใช้ยางในประเทศให้สูงขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ในส่วนราคายาง ณ วันนี้ (30 ต.ค. 63) ราคากลางปิดตลาดยางแผ่นดิบ อยู่ที่ 73.50 บาท/กก. ราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 อยู่ที่ 80.01 บาท/กก. ราคาน้ำยางสด 74.50 บาท/กก. และราคายางก้อนถ้วย 44.70 บาท/กก. ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคายางขยับตัวสูงขึ้นตามลำดับอย่างมีเสถียรภาพ เป็นไปตามกลไกและนโยบายที่รัฐบาลส่งเสริมและกระตุ้นการใช้ยางพาราภายในประเทศ รมช.มนัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นย้ำเรื่องการดำเนินงานของสหกรณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิก ส่งเสริมให้มีการผลิตสินค้าปลอดภัยและมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านรายได้และการประกอบอาชีพ โดยเฉพาะการสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่เป็นสิ่งสำคัญ โครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ได้ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้เรียนมาบริหารจัดการสหกรณ์และชุมชนของตนเองต่อไป ด้านการตลาด กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อให้กลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรได้นำสินค้าของตนเองมาจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรม ผู้บริโภคได้สินค้าที่สะอาดปลอดภัย ซึ่งจะเชื่อมโยงกับโครงการเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย จนนำไปสู่แนวทาง “ตลาดนำการผลิต” โดยทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนา สนับสนุน และขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สู่พี่น้องเกษตรกร นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างมั่นคงและยั่งยืน มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมการผลิต การแปรรูป และการตลาด รวมทั้งการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมสหกรณ์ให้กลุ่มเกษตรในพื้นที่จังหวัดยะลาด้วย” นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้เยี่ยมชมบูธจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และพบปะเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพทางการเกษตร ในพื้นที่จังหวัดยะลา จำนวน 5 ราย นำโดย นางสาวฮามีดะ สาเมาะ ได้นำผลผลิตทางการเกษตรของตนเองมาร่วมจัดแสดงและจำหน่าย ได้แก่ ผักสด และผลไม้สด ทุเรียน ลองกอง มะละกอ ข้าวโพด มะพร้าว เสาวรส กล้วย กระวาน ตะไคร้ บวบ มะนาว เป็นต้น ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดยะลามีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการนำลูกหลานหลานเกษตรกรกลับบ้านฯ จำนวน 43 ราย รวมทั้งเยี่ยมชมบูธโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. ยะลา จำกัด ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรยะลา จำกัด ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรได้ร่วมกันขับเคลื่อนในการเป็นศูนย์กลางในการรวบรวม และกระจายผลผลิตของสมาชิกสหกรณ์นำสินค้าและผลผลิตการเกษตรของสมาชิกมาจัดแสดง ภายใต้แนวคิด “Fresh From Farm” รวมทั้งเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ยางพาราของกลุ่มเกษตรกรทำสวนและผลิตภัณฑ์ยางพาราตาชี กิจกรรมฟาร์มตัวอย่าง ตามโครงการพระราชดำริ อำเภอธารโต จังหวัดยะลา กิจกรรมของสหกรณ์หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 จำกัด สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัดยะลา สำนักงานการยางแห่งประเทศไทย จังหวัดยะลา จากนั้น ได้พบปะสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ สหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ดำเนินการรวบรวมน้ำยางพาราสด จากนั้นได้รับงบประมาณจากศูนย์อำนวยการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ในการจัดสร้างอาคารโรงงานและเครื่องจักรกลในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราในพื้นที่ และแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ จึงได้จัดตั้งกลุ่มเกษตรกร เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559 เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา และได้มีมติจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ยกระดับกลุ่มเกษตรกร เป็นสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด มีสมาชิกจำนวน 55 ราย ดำเนินธุรกิจรวบรวมน้ำยางพารา และแปรรูปยางพารา ยางแผ่นรมควัน แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เม็ดยางดำ แผ่นพื้นสนามฟุตซอล หมอนยางพารา แผ่นนวดเท้าคุณภาพ ซึ่งมีปริมาณธุรกิจ ด้านการจำหน่ายมากกว่า 11 ล้านบาท ทั้งนี้สหกรณ์ฯ มีความพร้อมในการแปรรูปยางพาราเพื่อใช้ในหน่วยงานภาครัฐตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยการผลิตเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ และแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต จำหน่ายให้กับกรมทางหลวงชนบทต่อไป คำบรรยายภาพข่าว เยี่ยมชม : นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และการผลิตเสาหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ณ สหกรณ์แปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราบ้านถ้ำทะลุ จำกัด อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน “ฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน “ฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน “ฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีเปิดงาน “ฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม” และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ พร้อมทั้ง กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงวัฒนธรรมในการนำเสนอ “นวดไทย” ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ จากองค์การยูเนสโก โดยมี พระธรรมรัตนากร เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ซึ่งวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ร่วมกับ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มูลนิธิทุนพระพุทธยอดฟ้า ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพน มูลนิธิสิริวัฒนภักดี และภาคีเครือข่ายด้านการนวดไทย จัดงาน “ฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” เพื่อเฉลิมฉลองในวาระที่องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรองขึ้นทะเบียนนวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ที่เมืองโปโกตา ณ สาธารณรัฐโคลอมเบีย เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา โดยจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ ๒๙ ต.ค. - ๒ พ.ย. ๒๕๖๓ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36348
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พร้อมแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้ประชาชน ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการแก้มลิงบ้านไร่ออก
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ พร้อมแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้ประชาชน ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการแก้มลิงบ้านไร่ออก กระทรวงเกษตรฯ พร้อมแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้ประชาชน ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการแก้มลิงบ้านไร่ออก ต.บ่อหิน อ.สิเกา และโครงการอ่างเก็บน้ำคลองซา ต.บางดี อ.ห้วยยอด จ.ตรัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการแก้มลิงบ้านไร่ออก ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ.ตรัง ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นที่นี้กำลังประสบกับปัญหาสถานการณ์ภัยแล้งและยิ่งจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และจากการคาดการณ์มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการใช้น้ำก็มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เพราะการขยายตัวของครัวเรือนและภาคเกษตรเพิ่มมากขึ้น แหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำบาดาลที่อยู่ในปัจจุบันไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ในปริมาณที่มากพอสำหรับความต้องการใช้น้ำของประชาชน จึงส่งผลกระทบกับประชาชนคือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค เพื่อการเกษตร และน้ำเพื่อการประกอบอาชีพ จึงจำเป็นต้องจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำผิวดินเพิ่มเพื่อการรวมน้ำจากแหล่งธรรมชาติให้ได้มากพอ จึงจะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนพ้นจากสถานการณ์ภัยแล้งได้อย่างถาวรตลอดทั้งปี กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จึงดำเนินการสำรวจแหล่งน้ำในพื้นที่ หมู่ที่ 5 บ้านไร่ออก ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ.ตรัง เพื่อกักเก็บน้ำผิวดินไว้ใช้ในฤดูแล้ง และเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชนในพื้นที่ประมาณ 369 ครัวเรือน จำนวน 1,187 คน ได้มีน้ำใช้ในการอุปโภค-บริโภค เพื่อการเกษตรและเพื่อการประกอบอาชีพ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมการก่อสร้าง ด้านการสำรวจและออกแบบคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ใน ปี 2566 จากนั้นได้เดินทางไปรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าในการดำเนินงานโครงการอ่างเก็บน้ำคลองซา ต.บางดี อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนเนื่องจากขาดแคลนน้ำทำการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้ทำการตรวจสอบสภาพภูมิประเทศ และศึกษาวางโครงการ พบว่า มีแนวทางให้ความช่วยเหลือได้ โดยการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำคลองซา บ้านคลองซา ตำบลบางดี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ลักษณะโครงการประกอบด้วย การก่อสร้างทำนบดินขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 288 เมตร สูง 23.70 เมตร ความจุที่ระดับเก็บกักประมาณ 13.43 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำ ความยาว 15.25 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนใน ต.บางดี อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ได้ประมาณ 5,000 ไร่ เพื่อการอุปโภคและบริโภคของราษฎร จำนวน 4 หมู่บ้าน ประมาณ 1,600 ครัวเรือน ตลอดจนสามารถบรรเทาอุทกภัยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงได้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาทำความเข้าใจกับราษฎร เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งน้ำ หากราษฎรส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการ กรมชลประทานจะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านการสำรวจ ออกแบบ การขออนุญาตใช้พื้นที่ และจัดเข้าแผนงานก่อสร้างตามความเหมาะสมต่อไป "ดีใจที่วันนี้มีโอกาสมาดูสภาพพื้นที่จริง สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั่นคือสามารถสัมผัสและจับต้องได้ จึงขอยืนยันว่าจะดำเนินการที่จะสร้างในส่วนของแก้มลิงบ้านไร่ออกอย่างแน่นอน และสำหรับในส่วนของโครงการอ่างเก็บน้ำคลองซาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น จะขอให้ทุกฝ่ายเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อยากให้ประชาชนในพื้นที่มีความเห็นร่วมกัน ให้มีการพูดคุยกัน และได้มอบหมายให้กรมชลประทานประสานและสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชน โดยต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าสามารถพูดคุยได้ โครงการนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะให้กรมชลประทานประเมินความคุ้มค่าต่อไป ทั้งนี้ ในนามของรัฐบาลจะดูแลพี่น้องเกษตรกรเป็นหลัก ทั้งในเรื่องของแหล่งน้ำ ราคาพืชผล และด้านการตลาด จะทำให้พี่น้องเกษตรกรอยู่ดีกินดี และขอให้มั่นใจว่าพื้นที่ภาคใต้ จะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ดูแลและรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชน เพื่อมาร่วมกันแก้ไข โดยไม่มีแบ่งแยกพรรค พร้อมกำชับให้ข้าราชการพยายามเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด โดยช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้เหมือนคนในครอบครัว" นายเฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มปีหน้า! ผู้ขับขี่ใช้บิ๊กไบค์ ต้องอบรมและสอบใบขับขี่เพิ่มเติม
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 เริ่มปีหน้า! ผู้ขับขี่ใช้บิ๊กไบค์ ต้องอบรมและสอบใบขับขี่เพิ่มเติม -- #ไทยคู่ฟ้าผู้ขับขี่บิ๊กไบค์ฟังทางนี้...เว็บไซต์ราชกิจจาบุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงฉบับใหม่ ว่าด้วยการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ.2563 ซึ่งมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ขับขี่บิ๊กไบค์ หรือรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง หรือรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 400 cc ทั้งผู้ที่จะขอใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคลชั่วคราว ใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคล หรือผู้ที่ต่ออายุใบอนุญาตขับขี่ส่วนบุคคล จะต้องมีหลักฐานผ่านการอบรมและทดสอบการขับขี่ เพิ่มเติมจากปกติ โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. 64 เป็นต้นไป . โดยปกติแล้วผู้ที่ยื่นขอใบอนุญาตขับขี่ จะต้องใช้เอกสารหลักฐานต่าง ๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ใบรับรองแพทย์ ใบผ่านการอบรมการขับขี่ แต่สำหรับผู้ขับขี่บิ๊กไบค์มีเงื่อนไขใหม่ว่าจะต้องมีหลักฐานผ่านการอบรมและทดสอบการขับขี่เพิ่มเติม ซึ่งรายละเอียดจะมีระเบียบที่ชัดเจนออกมาอีกครั้งหนึ่ง เหตุผลก็เพราะ “บิ๊กไบค์” เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ผู้ขับขี่จึงต้องมีทักษะและความพร้อมในการขับขี่ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้อื่นที่ใช้ทางร่วมกัน ช่วยลดอุบัติเหตุที่นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ อ่านประกาศฯ ฉบับเต็ม คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../2563/A/088/T_0006.PDF
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36342
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เทศกาลลอยกระทงประจำปี 2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 เทศกาลลอยกระทงประจำปี 2563 วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ความเป็นไทย ด้วยการสืบสานประเพณีลอยกระทง ภายใต้แนวคิด “เทศกาลสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง ปี 2563” เพื่อส่งเสริมประเพณี วัฒนธรรม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์และคุณค่าตามแบบวิถีไทย โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการจัดงานในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ New Normal เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่ยาวนาน พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม สร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36340