title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท ประชุมร่วม รมว.คลัง ขับเคลื่อน “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รมว.มท ประชุมร่วม รมว.คลัง ขับเคลื่อน “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชน รมว.มท ประชุมร่วม รมว.คลัง ขับเคลื่อน “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากให้ประชาชน วันนี้ (22 ต.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดโครงการคนละครึ่งผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VCS) ร่วมกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ร่วมการประชุม โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด คลังจังหวัด นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุมผ่านระบบ VCS พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจฐานรากที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในระดับพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบ “โครงการคนละครึ่ง” มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับฐานราก ช่วยให้ภาคประชาชนลดค่าใช้จ่ายของตนเอง ทั้งค่าอาหารและเครื่องดื่มและอื่นๆ รวมทั้งผู้ประกอบการ/ร้านค้ารายย่อย ร้านค้าทั่วไป เช่น หาบเร่แผงลอย ร้านโชว์ห่วย เป็นต้น ที่ไม่ใช่นิติบุคคลและร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจเฟรนไชส์ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนฐานรากอย่างแท้จริง จึงขอให้ผู้ว่าราชการ นายอำเภอ ปลัดอำเภอในพื้นที่ได้ร่วมกันทำงานกับกระทรวงการคลังเพื่อให้โครงการสำเร็จตามเป้าหมาย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบและอนุมัติ “โครงการคนละครึ่ง” ของกระทรวงการคลัง ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือดูแลพ่อค้าแม่ค้าขนาดเล็กที่ประกอบกิจการขายสินค้าหาบเร่แผงลอยที่เป็นบุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563) ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยที่รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง นางสาวกาญจนา ตั้งปกรณ์ ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า โครงการคนละครึ่ง เป็นหนึ่งในมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ครอบคลุม 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร โดยกลุ่มประเภทร้านค้าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าของบุคคลธรรมดา หาบเร่ แผงลอย ที่ไม่ใช่นิติบุคคลและไม่ใช่ธุรกิจแฟรนไชส์ (ไม่รวมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกฮอล์และการบริการ) ด้วยการชำระเงินผ่าน G-Wallet แอปพลิเคชั่น "ถุงเงิน" โดยประชาชนจะชำระเงินร้อยละ 50 และภาครัฐจะชำระอีกร้อยละ 50 วันละไม่เกิน 150 บาท/คน รวมไม่เกินคนละ 3,000 บาท ตลอดโครงการ โดยผู้ประกอบการจะได้รับเงินคืนในวันรุ่งขึ้น ทั้งนี้ ในขั้นตอนการลงทะเบียนร้านค้า และการตรวจสอบร้านค้า เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว ในการลงทะเบียนร้านค้าให้มากยิ่งขึ้น จึงขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ และรับรองผู้ประกอบการร้านค้า ตามที่กำหนด เพื่ออำนวยความสะดวก และความรวดเร็ว ของการลงทะเบียนร้านค้า ในโครงการคนละครึ่ง ต่อไป นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งเป็นโครงการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก มีเป้าหมายผู้ประกอบการร้านค้า จำนวน 1 ล้านราย และเป้าหมายประชาชน (ผู้ซื้อ) 10 ล้านราย ดังนั้น ทุกจังหวัด/อำเภอ จะต้องทำให้ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยและประชาขนเข้าใจการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ยืนยันสถานะการเป็นผู้ประกอบการรายย่อย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่า ขอให้นายอำเภอ และปลัดอำเภอประจำตำบล เร่งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านกลไกช่องทางการสื่อสารทั้งหอกระจายข่าวและการประชุมทุกระดับ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือ คำแนะนำ และอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการในการเข้าร่วมโครงการ โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องเป็นผู้ยืนยันสถานะร้านค้าและผู้ประกอบการในพื้นที่ นอกจากนี้ ต้องสนับสนุนและอำนวยความสะดวกธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่ จัดชุดเคลื่อนที่ (Mobile Unit) เชิงรุกเข้าไปในพื้นที่ในแต่ละตำบลเพื่อรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ พัฒนากร รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยในการเข้าร่วม “โครงการคนละครึ่ง” เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้เดินไปได้ เมื่อผู้ประกอบการร้านค้าลงทะเบียนมากขึ้น ประชาชนจะมีช่องทางใช้เงินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36157
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.สต.หนองสีดา จ.สระบุรี ต้นแบบศูนย์ร่วมสุข ดูแลฟื้นฟูใกล้บ้าน ลดแออัดในโรงพยาบาลใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รพ.สต.หนองสีดา จ.สระบุรี ต้นแบบศูนย์ร่วมสุข ดูแลฟื้นฟูใกล้บ้าน ลดแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมรพ.สต.หนองสีดา เป็นต้นแบบศูนย์ร่วมสุขในพื้นที่ ดูแลบำบัดฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยทุกกลุ่มวัย ทั้งผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง เด็กพัฒนาการช้า ผู้สูงอายุ และคนพิการ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมรพ.สต.หนองสีดา เป็นต้นแบบศูนย์ร่วมสุขในพื้นที่ ดูแลบำบัดฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยทุกกลุ่มวัย ทั้งผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง เด็กพัฒนาการช้า ผู้สูงอายุ และคนพิการ โดยการมีส่วนร่วมของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ชุมชนอสม. และจิตอาสา ทำให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูใกล้บ้าน คุณภาพชีวิตดีขึ้น ช่วยลดแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ วันนี้ (22 ตุลาคม 2563) ที่จังหวัดสระบุรี นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 และคณะผู้บริหาร ลง​พื้นที่​ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสีดา และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคชสิทธิ์ นายวัชรพงศ์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลง​พื้นที่​ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรสาธารณสุขที่ทุ่มเท ดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จังหวัดสระบุรี ซึ่งต้องขอชื่นชมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสีดา ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์ร่วมสุข ดูแลบำบัดฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง เด็กพัฒนาการช้า ผู้สูงอายุ และคนพิการในพื้นที่และโดยรอบ มีนักกายภาพบำบัดจาก โรงพยาบาลหนองแซง เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และจิตอาสาในชุมชนช่วยกันดูแล สำหรับ อสม.และจิตอาสาฟื้นฟู จะทำหน้าที่ตรวจคัดกรองผู้ป่วย ช่วยนักกายภาพบำบัดและเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยด้วยเครื่องพยุงฝึกเดิน เตียงฝึกยืน นวดกดจุด ราวฝึกเดินและยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และพอกเข่าและตาด้วยสมุนไพร ส่งผลให้ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการมีอาการดีขึ้นกว่าร้อยละ 30 และยังช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาลใหญ่ได้ นอกจากนี้ รพ.สต. หนองสีดา ได้รับความร่วมมือจาก อบต.หนองหัวโพนำรถกู้ชีพเพื่อใช้รับส่งผู้ป่วย ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางรักษา ถือได้ว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง และร่วมมือร่วมใจกันดูแลคนในชุมชน ทั้งนี้ ศูนย์ร่วมสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสีดา เปิดให้บริการทุกวันพฤหัสบดี ให้บริการผู้ป่วยได้วันละ 30 คน ซึ่งศูนย์ฯ ได้สนับสนุนกายอุปกรณ์ให้ผู้ที่เข้ารักษานำไปใช้ในชีวิตประจำวันจำนวน 15 ราย เข้าไปปรับปรุงสภาพบ้านและสิ่งแวดล้อมจำนวน 7 หลัง และขึ้นทะเบียนผู้พิการ 8 ราย **********************22 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถูกกว่านี้ก็ให้ฟรีแล้ว!! ธอส.จัดสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 3 ปีแรก 0.1% ต่อปี ในช่วง Platinum Period ที่งาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 ถูกกว่านี้ก็ให้ฟรีแล้ว!! ธอส.จัดสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 3 ปีแรก 0.1% ต่อปี ในช่วง Platinum Period ที่งาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20 ธอส.จัดโปรโมชั่นพิเศษ สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี เฉพาะที่งาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2563 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารบ้านของคนไทย จัดโปรโมชั่นพิเศษ สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี และพลาดไม่ได้กับสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษที่สุดในงาน ช่วง Platinum Period ในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 15.00 – 15.15 น. ด้วยอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก คงที่ 0.1% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 6.05% ต่อปี ปัจจุบันเฉลี่ย 3 ปีแรก อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.1% ต่อปี จองสิทธิ์ผ่าน Application : GHB ALL เท่านั้น ด้านเงินฝากนำเสนอ สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน เงินฝากออมทรัพย์ New Flexi For Welfare and Corporate รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.10% ต่อปี และทรัพย์ NPA ลดราคาพิเศษสูงสุด 50% ราคาต่ำสุดเพียง 42,000 บาทเท่านั้น เฉพาะที่งาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2563 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคาร พร้อมกับร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ธอส. ซึ่งมีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทำโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับงาน “Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 20” ที่กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2563 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นำโดย 1.สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการเท่ากับ MRR ลบ 1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป MOU เท่ากับ MRR ลบ 0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไปเท่ากับ MRR ลบ 0.50% ต่อปี วัตถุประสงค์การให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร ทั้งนี้ เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ พิเศษ! 3 ฟรีค่าธรรมเนียม ประกอบด้วย 1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 2.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ 3.ค่าประเมินราคาหลักประกัน โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคำขอกู้ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 และพลาดไม่ได้สำหรับสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่สุดในงาน ช่วง Platinum Period ด้วยอัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก คงที่ 0.1% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 6.05% ต่อปี ปัจจุบันเฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.1 % ต่อปี เท่านั้น หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด (กรณีปิดบัญชีหรือไถ่ถอนจำนองก่อนกำหนดระยะเวลาการกู้ 10 ปี นับจากวันทำสัญญากู้ ผู้กู้ต้องชำระค่าปรับดอกเบี้ยย้อนหลัง ค่าเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียม และเงื่อนไขอื่น ๆ ตามที่ธนาคารกำหนด) ให้กู้รายละไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อหลักประกัน ซึ่งธนาคารจะเปิดให้เฉพาะลูกค้าที่จองสิทธิ์สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษในงาน Money Expo กรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้วภายในวันที่ 25 ตุลาคม 2563 ก่อนเวลา 12.00 น. จากนั้นจะสามารถจองสิทธิ์สินเชื่อช่วง Platinum Period ได้ผ่าน Application : GHB ALL ในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 15.00 – 15.15 น. จองก่อนได้ก่อน (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการปิดจองก่อนเวลา 15.15 น. เมื่อมีการจองเต็มกรอบวงเงินรวม 650 ล้านบาท และห้ามกู้เกินวงเงินที่จองสิทธิ์) ทั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อที่มีวงเงินทำนิติกรรมสูงสุด 21 อันดับแรก ยังมีสิทธิ์ได้รับของสมนาคุณพิเศษจากธนาคารอีกด้วย 2. สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท จำหน่ายรวม 3 ล้านหน่วย แบ่งเป็น 3 หมวด ๆ ละ 1 ล้านหน่วย ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี อายุสลาก 2 ปี ออกรางวัลทุกเดือนรวม 24 ครั้ง ได้ลุ้นรางวัลมากมาย แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 รางวัลละ 50,000 บาท 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 รางวัลละ 5,000 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 รางวัลละ 500 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท พิเศษสำหรับผู้ที่จองสิทธิ์และซื้อสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาวภายในงานหรือภายในระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับกระเป๋าผ้าลดโลกร้อน 1 ราย ต่อ 1 ใบ 3.เงินฝากออมทรัพย์ New Flexi for Welfare and Corporate สำหรับลูกค้าที่มีเงินเดือนประจำจากหน่วยงานหรือบริษัท หากเปิดบัญชีและมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อปี พิเศษ!! หากเดือนใดไม่มีการถอนจะได้รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 1.1% ต่อปี) จองสิทธิ์ภายในงาน และเปิดบัญชีระหว่างวันที่ 22 – 31 ตุลาคม 2563 ได้ที่สาขาของ ธอส. ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น พิเศษสำหรับลูกค้าที่ เปิดบัญชีตามระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับตุ๊กตาหมี 1 ตัว ต่อ 1 ราย 4.บ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA โดยนำทรัพย์ 300 รายการ สภาพใหม่ ทำเลเด่น เดินทางสะดวก ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มาจำหน่ายภายในงานด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติจำนวนถึง 22 รายการ โดยรายการที่มีราคาจำหน่ายต่ำสุดคือ ห้องชุดขนาด 26.25 ตารางเมตร ในโครงการปลาทอง 22 อ.เมือง จ.ปทุมธานี ราคาเพียง 42,000 บาทเท่านั้น พิเศษ ผู้ซื้อสามารถผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุดถึง 60 เดือน หรือยื่นกู้กับสินเชื่ออัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 4 ปี(เฉพาะรายการทรัพย์ที่ธนาคารถือครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป) และสามารถกู้เพื่อต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 คงที่ 2.80% ต่อปี พิเศษ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินที่ทำนิติกรรม สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. เตรียมจับมือ ทีโอที เล็งเปิดพื้นที่ศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่ ปั้นไอเดียจัดแข่งขันสตาร์ทอัพ ขานรับนโยบาย รมว.คลัง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 ธพส. เตรียมจับมือ ทีโอที เล็งเปิดพื้นที่ศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่ ปั้นไอเดียจัดแข่งขันสตาร์ทอัพ ขานรับนโยบาย รมว.คลัง ธพส. เตรียมเจรจาบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดพื้นที่สนับสนุนการแข่งขันสตาร์ทอัพที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ เชียงใหม่ หวังสานธุรกิจใหม่ สร้างรายได้สู่ชุมชน ขานรับนโยบาย รมว.คลัง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เตรียมเจรจาบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดพื้นที่สนับสนุนการแข่งขันสตาร์ทอัพที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ เชียงใหม่ หวังสานธุรกิจใหม่ สร้างรายได้สู่ชุมชน ขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้ารับนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ธพส. มีแผนเข้าเจรจากับ ทีโอที เตรียมจัดกิจกรรมการแข่งขันสตาร์ทอัพขึ้น เพื่อค้นหานวัตกรรมและแนวธุรกิจใหม่ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดย ธพส. จะให้การสนับสนุนพื้นที่จัดกิจกรรม ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดการจัดงาน ปัจจุบันศูนย์ประชุมฯ เชียงใหม่ มีความพร้อมในการรองรับการประชุม การจัดงานนิทรรศการ และงานแสดงสินค้าในระดับประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการที่ทันสมัย ทั้งนี้ หากมีการจัดกิจกรรมแข่งขันสตาร์ทอัพขึ้น ย่อมจะช่วยสร้างสีสันและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ ทั้งยังผลักดันให้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมีเวทีในการโชว์ไอเดีย เปิดโอกาสการขยายตัวทางธุรกิจให้เติบโตเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญจะช่วยกระตุ้นกระแสเม็ดเงินให้ไหลเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนประชาสัมพันธ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) โทร. 0 2142 2264
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช่วยส่งออก! จุรินทร์ จับมือภาคเอกชน ลุยคลายปมปัญหาส่งออก เดินหน้าดันตัวเลขการส่งออก นำเงินเข้าประเทศให้มากที่สุดในช่วงวิกฤติของประเทศและโลกในปัจจุบัน
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 ช่วยส่งออก! จุรินทร์ จับมือภาคเอกชน ลุยคลายปมปัญหาส่งออก เดินหน้าดันตัวเลขการส่งออก นำเงินเข้าประเทศให้มากที่สุดในช่วงวิกฤติของประเทศและโลกในปัจจุบัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุญยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีทุกกรมและข้าราชการระดับ10 ร่วมกับภาคเอกชน ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ สมาคมธนาคารไทย และเอ็กซิมแบงค์ ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยนายจุรินทร์มุ่งให้เกิดการจับมือกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนเป้าหมายเพื่อผลักดันการส่งออกนำรายได้เข้าประเทศ ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศกำลังประสบกับปัญหาทั้งเรื่องโควิด-19และด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับในหลายประเทศทั้งนี้เพื่อร่วมกันจับมือแก้ปัญหาให้ปรากฏผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม หลังการประชุมนายจุรินทร์ กล่าวว่า การร่วมมือเพื่อแก้ปัญหานั้นแบ่งเป็น 3 หมวด ค่อ การเร่งรัดการส่งออก การค้าชายแดน-การค้าข้ามแดน และยุทธศาสตร์การเจรจาข้อตกลงทางการค้าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน สรุปรวม 15 ประเด็น คือ 1.การเร่งรัดการส่งออกข้าว โดยเฉพาะผ่านการทำ MOU ระหว่างไทยกับจีน มีข้อตกลงที่จะนำเข้าข้าวจากไทย 1,000,000 ตันได้ดำเนินการไปแล้ว 700,000 ตัน ค้างอยู่อีก 300,000 ตัน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกำลังดำเนินการเสนอราคาอยู่ 2.การผลักดันการส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศเวียดนาม ที่ติดขัดเรื่องการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์ที่ส่งออกไปยังประเทศเวียดนาม มีกฎเกณฑ์รายละเอียดในการตรวจสอบ เช่น การตรวจทุกรุ่น ทำให้การส่งออกของไทยติดขัดมีอุปสรรค ขณะนี้กลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันได้มีข้อตกลงที่จะยอมรับการตรวจรถยนต์นำเข้าหรือส่งออกระหว่างกันโดยไม่ต้องตรวจซ้ำซ้อน และเห็นชอบร่วมกันทั้ง 10 ประเทศ โดยทั้งไทยและเวียดนามอยู่ในนั้นด้วย อยู่ในขั้นตอนการลงนามร่วมกันของแต่ละประเทศ คาดว่าภายในกลางปีหน้าจะเสร็จสิ้น จะช่วยให้การส่งออกรถยนต์ไทยไปเวียดนามคล่องตัวขึ้น 3.การส่งออกของไทยไปอินเดีย มีการตรวจสอบรายโรงงานและรายสินค้า ทำให้เกิดปัญหาอุปสรรคในการส่งออก ที่ประชุมมอบให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หารือทางไกลในวันที่ 29 ตค.นี้ให้สะดวกรวดเร็วและเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายมากขึ้น 4.การส่งออกรถยนต์ รถยนต์ที่ผลิตใหม่ภายในประเทศไทยเวลาจะส่งออกนั้นจะติดขัดเรื่องยังไม่มีทะเบียนต้องไปทำทะเบียน อันนี้เป็นปัญหาอุปสรรคในการส่งออก ได้มอบให้กรมการค้าต่างประเทศไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เป็นต้น 5.ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐช่วยประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าไทยว่าปลอดโควิดซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการไปล่วงหน้าแล้ว มีการลงนาม MOU ร่วมกัน 4 กระทรวง ระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย โดยจะมีการออกเอกสารรับรองว่าสินค้าปลอดโควิด-19และกระทรวงพาณิชย์จะจัดงานประชาสัมพันธ์เป็นคลิปVODหลายภาษาออกไปทั่วโลกเพื่อประชาสัมพันธ์ว่าสินค้าของเรามีกระบวนการผลิตที่ปลอดโควิด-19 6.เรื่องต้นทุนการขนส่ง เช่น ค่าระวางเรือกับค่าทำเนียมเรือที่มีราคาสูง และที่อาจมีการยกเลิกตู้ที่ประเทศไทยจองไว้หรือที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยบังคับให้ภาคเอกชนหรือผู้ส่งออกต้องไปใช้ท่าเรือชายฝั่ง A0 ซึ่งค่อนข้างคับแคบ ทำให้ติดอุปสรรคที่ต้องการความรวดเร็วการเรียกเก็บค่าการใช้ร่องน้ำ กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับภาคเอกชนในการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางคลี่คลายปัญหานี้โดยเร็วต่อไป 7.เรื่องค่าเงินบาทได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ไปพูดในที่ประชุม ศบศ.หรือศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจต่อไป 8.การที่เวียดนามได้มีการไต่สวนกล่าวหาว่าน้ำตาลไทยทุ่มตลาดในเวียดนาม มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกน้ำตาลของไทยหารือร่วมกันในการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อไป 9.การช่วยผู้ส่งออกรายย่อยหรือเอสเอ็มอีนั้น จะให้เอ็กซิมแบงค์ช่วยเพิ่มช่องทางและเพิ่มเป้าหมายที่จะช่วยเอสเอ็มอีให้เพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 และเอ็กซิมแบงค์ช่วยเพิ่มชนิดของสินทรัพย์หรือทรัพย์สินที่นำไปเป็นหลักประกันเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อให้สามารถกู้ได้สะดวกขึ้น 10.การค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน อยากให้มีการเปิดด่านหรือจุดผ่อนปรนเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะไทยลาวมีทั้งหมด 39 จุดไทยกัมพูชามี 10 จุด มอบหมายให้ผู้แทนของกรมการค้าต่างประเทศไปหาหรือกับหอการค้า กำหนดจุดเร่งด่วนที่เป็นเป้าหมาย ที่จะเร่งช่วยผลักดันให้มีการเปิดด่านต่อไปเพื่อส่งเสริมตัวเลขการส่งออกให้มากขึ้นโดยเร็ว 11.ให้มีการเชื่อมเขตเศรษฐกิจพิเศษ 3 ประเทศ ไทย ลาว และจีน เพราะทั้งสามประเทศมีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถ้าสามารถเชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งสามเขตนี้ได้ เส้นทางคมนาคมความร่วมมือและการให้สิทธิพิเศษทางการค้าระหว่างกัน จะช่วยส่งเสริมการส่งออกให้ทั้งสามประเทศ 12.ต้องการให้มีการพัฒนาส่งเสริมผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ของไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะร่วมมือกับภาคเอกชนว่าทำเป็นรูปธรรมได้อย่างไร 13.การอำนวยความสะดวกการส่งสินค้าข้ามแดนและสินค้าชายแดนในการออกใบ C/O ซึ่งเอกชนร้องเรียนว่าอาจติดปัญหาอุปสรรค ถึงมอบเป็นนโยบายว่าให้ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีปริมาณการจราจรทาง C/O มากน้อยแค่ไหน ให้ถือหลักว่ากระทรวงพาณิชย์ยินดีให้บริการให้ดีที่สุด แม้แต่ในช่วงวันหยุด เพื่อที่จะเร่งรัดการส่งออกในช่วงวิกฤติ 14.ในเรื่องของยุทธศาสตร์การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป้าหมายคือ 1.เราจะเร่งรัดการทำ FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ไทยกับสหราชอาณาจักร ไทยกับแคนาดา ไทยกับ EFTA และไทยกับกลุ่มประเทศยูเรเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง RCEP ซึ่งจะร่วมมือให้มีการลงนามให้ได้ภายใน พฤศจิกายน 2563 และผมมอบให้มีการทำFTA รายมณฑล คือการทำ MOU ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของไทย ภาคเอกชน ประกอบกับมนฑลต่างๆหรือรัฐต่างๆของประเทศใหญ่ๆ เพื่อลงลึกในการที่จะให้มีข้อตกลงพิเศษทางการค้าระหว่างกัน ขณะนี้มีความคืบหน้าของกระทรวงพาณิชย์ไทยกับมณฑลไหหลำ ซึ่งไหหลำจะกลายเป็นเมืองปลอดภาษีแห่งถัดไปของจีนหรือจะเป็นฮ่องกงสองในอนาคต เราจะเข้าไปเป็นกลุ่มแรกๆ อีกไม่นานนี้จะลงนามข้อตกลงได้ เพราะยกร่างเสร็จแล้วรอทั้งสองฝ่ายปรับปรุงแก้ไขระหว่างกันจะนำไปสู่การลงนามได้ภายในเวลาเร็ว และข้อตกลงระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยกับรัฐเตลังกานาของประเทศอินเดียซึ่งมีความก้าวหน้ามาก ได้มีการกำหนดวันที่จะลงนามร่วมกันแล้วเครื่องวันที่ 18 มกราคมปีหน้า ซึ่งครบรอบหนึ่งปีที่ผมนำเอกชนไปเยือนรัฐเตลังกานาที่ประเทศอินเดีย 15.เมื่อ FTA บรรลุผลมากขึ้น จะมีผู้ได้รับผลกระทบจากการทำ FTA อยู่บ้างในบางกลุ่มของผู้ส่งออกหรือผู้ประกอบการรวมทั้งประชาชนภาคการเกษตร ควรมีการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อไปเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเลขานุการยกร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งกองทุน FTA ขึ้นมา และต่อไปนี้ภาครัฐกับเอกชนจะจับมือร่วมกันร่วมกันแก้ปัญหา เดินหน้าด้วยกัน เพื่อทำตัวเลขการส่งออกให้ดีที่สุดและนำเงินเข้าประเทศให้มากที่สุดในช่วงวิกฤติของประเทศและวิกฤติโลกในปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ห่วงประชาชนที่ได้ผลกระทบจากเหตุท่อส่งก๊าซรั่ว และเกิดเพลิงไหม้ จ.สมุทรปราการ สั่งบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมเร่งตรวจสอบสาเหตุ
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี ห่วงประชาชนที่ได้ผลกระทบจากเหตุท่อส่งก๊าซรั่ว และเกิดเพลิงไหม้ จ.สมุทรปราการ สั่งบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมเร่งตรวจสอบสาเหตุ นายกรัฐมนตรี ห่วงประชาชนที่ได้ผลกระทบจากเหตุท่อส่งก๊าซรั่ว และเกิดเพลิงไหม้ จ.สมุทรปราการ สั่งบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมเร่งตรวจสอบสาเหตุ วันนี้(22ตุลาคม2563)นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบเหตุท่อแก๊สรั่วจนเกิดเพลิงไหม้และเหตุระเบิดในพื้นที่ตำบลเปร็งอำเภอบางบ่อจังหวัดสมุทรปราการจนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ในระยะใกล้เคียงทำให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นแล้วพร้อมกันนี้ยังได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียดโดยเฉพาะผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทั้งนี้ให้จัดตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉินแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบและเร่งแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่และให้รายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- บีโอไอหารือนักลงทุนเกาหลี
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 บีโอไอหารือนักลงทุนเกาหลี บีโอไอหารือนักลงทุนเกาหลี บีโอไอหารือนักลงทุนเกาหลี นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วยทีมผู้บริหารของบีโอไอ ร่วมประชุมกับนายคิม โดซูน ประธานหอการค้าเกาหลี-ไทย ผู้บริหารหอการค้าฯ และนายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนของซัมซุง และแอลจี เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกาหลีมีศักยภาพ รวมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่มีผลต่อการลงทุนของกลุ่มบริษัทเกาหลีในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อรักษาและขยายฐานการลงทุนของเกาหลีในไทย ณ โรงแรมดุสิต ธานี พัทยา จังหวัดชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36156
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ รัฐบาล โดย วธ. จัดงาน “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ จัดแสดงนิทรรศการ-การแสดงศิลปวัฒนธรรม-จำลองวิถีชีวิต ๓ ชาติพันธุ์ ตั้งแต่บัดนี้ถึง ๒๕ ต.ค.๖๓ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ พร้อมทั้งชมนิทรรศการ “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” การแสดงชุด “สืบสาน รักษา ต่อยอด พัฒนา เเม่ฟ้าหลวง” โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ การแสดงชุด คารวะพระแม่ย่า จาก ๓ ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อาจารย์ปรีชา เถาทอง และอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี การแสดง ชุด รำอาข่าโบราณ โดยชนเผ่าอาข่า อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย การแสดงการขับร้องเพลง โดย ตำรวจตระเวนชายแดน โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารไอคอนสยาม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมงาน ณ ICON Art & Culture Space ชั้น ๘ ไอคอนสยาม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล มอบหมายให้ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ดำเนินการจัดกิจกรรมน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณ เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เพื่อเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และเพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณ และเผยแพร่พระเกียรติคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ซึ่ง วธ. มีนโยบายและยุทธศาสตร์หลักในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และเสริมสร้างค่านิยม อัตลักษณ์ไทยและความเป็นไทย รวมทั้งอนุรักษ์สืบทอดและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทย จึงบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรม และภาคประชาชน จัดงาน “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๑ – ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ICON Art & Culture Space ชั้น ๘ ไอคอนสยาม นายวิษณุ กล่าวอีกว่า สำหรับกิจกรรมภายในงานฯ ประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยแบ่งเป็น ๕ โซน ได้แก่ โซนที่ ๑ น้อมรำลึก “สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์” เนื่องในวาระ ๑๒๐ ปี วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งจะมีการประดับประดาดอกไม้นานาพันธ์จากดอยตุงอย่างงดงาม โซนที่ ๒ จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระราชดำรัส โดยในส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจจะจัดแสดงผ่านระบบเทคนิคพิเศษ Interactive wall screen จอใหญ่ แสดงผลการรับรู้ สร้างความเข้าใจ เข้าถึงได้ง่าย และมีความตื่นตา ตื่นใจ โซนที่ ๓ การสาธิต และการประดิษฐ์ของที่ระลึกตามรอยสมเด็จย่า ได้แก่ การประดิษฐ์การ์ดจากดอกไม้แห้ง และการปักครอสติส โซนที่ ๔ การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประกอบด้วย ๑.การแสดงโดยกลุ่มชาติพันธ์ ตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น. ได้แก่ ฟ้อนรำไหว้สาแม่ฟ้าหลวง รำอาข่าโบราณ ฟ้อนรำอาข่าร่วมสมัย และฟ้อนไตเก่า ๒.การแสดงโดยสมาคมศิลปินเพื่อเยาวชน ตั้งแต่เวลา ๑๗.๐๐ น. ได้แก่ การบรรเลงดนตรีไทย การแสดงเชิดหุ่นตอนจับนาง การแสดงนาฏศิลป์พื้นบ้าน ชุด เก็บใบชา ฟ้อนล้านนา ภูไทเรณู ฟ้อนขันดอก ฟ้อนที ระบำเปี้ยว และรำวรเชษฐ์ เป็นต้น และโซนที่ ๕ การนำวิถีชีวิตของชนเผ่าต่างๆ ในประเทศไทย ที่ได้รับพระกรุณาธิคุณในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากชนเผ่าอาข่า ชนเผ่าไทใหญ่ และชนเผ่าลาหู่ โดยการจำลองวิถีชีวิต เครื่องแต่งกาย การสาธิตของ ๓ ชาติพันธุ์ เช่น การปักผ้า การชงชา และการจำหน่ายของที่ระลึกจากธรรมชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือเว็บไซต์ www.m-culture.go.th --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ กำชับหน่วยงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม พร้อมเตรียมแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ กำชับหน่วยงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม พร้อมเตรียมแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำชับหน่วยงานเร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม พร้อมเตรียมแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 วันนี้ (22 ต.ค.63) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 3/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมี นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุและร่องความกดอากาศต่ำส่งผลให้หลายพื้นที่ยังประสบปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบัน จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน และบริหารจัดการน้ำเพื่อลดผลกระทบให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งยังได้สั่งการให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ พร้อมมาตรการรับมือน้ำหลากในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคมอย่างใกล้ชิดด้วย พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบกลางเพื่อไปดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่ยังไม่ได้ดำเนินการให้เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามห้วงเวลาและเป้าหมายที่กำหนดไว้ และทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการวางแผนการจัดสรรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2563/64 และมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำให้ทุกภาคส่วนและประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของการกำหนดปริมาณน้ำในการจัดสรรน้ำในฤดูแล้งให้ชัดเจนและควบคุมน้ำให้เป็นไปตามที่ต้องการ โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกันการปลูกข้าวรอบ 2 ไม่ให้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้การจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 (1 พ.ย. 63 - 30 เม.ย. 64) ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนตามลำดับความสำคัญของกิจกรรมการใช้น้ำ ได้แก่ 1.เพื่ออุปโภค-บริโภค 2.รักษาระบบนิเวศ 3.เพื่อการเกษตรกรรม และ 4.เพื่อการอุตสาหกรรม โดยจากการประเมินปริมาณน้ำต้นทุน (ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563) พบว่า จะมีปริมาณน้ำใช้การทั้งประเทศ จำนวน 41,879 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) สามารถนำมาจัดสรรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2563/64 ทั้งประเทศ รวม 22,847 ล้านลบ.ม. ที่เหลือเป็นปริมาณน้ำสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2564 จำนวน 19,032 ล้าน ลบ.ม. พร้อมมีมติเห็นชอบ 9 มาตรการหลักรับรองสถานการณ์ขาดแคลนน้ำก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง โดยเน้นจัดการน้ำให้สมดุลระหว่างน้ำต้นทุน และความต้องการใช้น้ำ พร้อมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลและสร้างการรับรู้ให้ทุกภาคส่วนต่อเนื่อง โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบชัดเจน ได้แก่ 1.เร่งเก็บกักน้ำไว้ในแหล่งน้ำต่าง ๆ ก่อนสิ้นสุดฤดูฝน 2.จัดหาแหล่งสำรองน้ำดิบในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมวางแผนวางท่อน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคสาขาข้างเคียง และแผนรับน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำโดยตรง 3.ปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 4. กำหนดปริมาณน้ำจัดสรรในฤดูแล้งที่ชัดเจน มีการติดตามกำกับให้เป็นไปตามแผน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภค พร้อมจัดทำทะเบียนผู้ใช้น้ำ 5.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก สายรอง 6.วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งที่ชัดเจน รวมถึงมาตรการควบคุมการสูบน้ำ การแย่งน้ำ กรณีไม่อาจสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตรได้ให้มีการกำหนดมาตรการเยียวยาผลกระทบที่รวดเร็วและชัดเจน 7.ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า 8.ติดตามประเมินผลการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และ 9.สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและแผนการจัดสรรน้ำอย่างต่อเนื่อง ให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัด ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) รวมทั้งมีแนวทางที่ชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และลูกหนี้รายย่อยที่อยู่ระหว่างได้รับการพักชำระหนี้ตามมาตรการของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการชะลอการชำระหนี้ตาม พ.ร.ก. Soft Loan กระทรวงการคลังมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งติดต่อและหารือกับลูกหนี้แต่ละรายเพื่อกำหนดการช่วยเหลือที่สอดรับกับสถานการณ์ของลูกหนี้แต่ละราย (tailor-made) ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีกรอบการดำเนินงานสำหรับผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังได้รับผลกระทบสูงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) และยังไม่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้หรือมีรายได้ไม่แน่นอน สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถขยายระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวมีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย 1.2 ผู้ประกอบการ SMEs ที่เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจได้แต่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวเนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถาบันการเงินเฉพาะกิจจะเร่งปรับโครงสร้างหนี้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพื่อให้เงื่อนไขการจ่ายหนี้เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้และลดภาระของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวในระยะยาว 1.3 ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความพร้อมและสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจจะรับชำระหนี้ตามปกติ เพื่อลดภาระของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาสัญญาเนื่องจากลูกหนี้ยังต้องรับภาระดอกเบี้ยในช่วงที่ได้รับการพักชำระหนี้ 2. แนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับการพักหนี้ตามมาตรการอื่น ๆ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ กระทรวงการคลังมีนโยบายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการพักชำระหนี้ภายใต้มาตรการอื่น ๆ ตามสถานการณ์ของลูกหนี้แต่ละรายและบริบทของระบบเศรษฐกิจ ดังนี้ 2.1 การขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ให้กลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้หรือมีรายได้ไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น พักชำระหนี้เงินต้นและ/หรือดอกเบี้ยในระยะเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ลูกหนี้แต่ละราย เป็นต้น แต่ไม่ควรเกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 เพื่อบรรเทาภาระในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจติดตามเพื่อดูแลลูกหนี้แต่ละรายอย่างใกล้ชิดและคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกหนี้ในระยะยาวด้วย 2.2 การปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้เงื่อนไขการชำระหนี้สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ในช่วงเวลานี้และให้ลูกหนี้ดำเนินชีวิตหรือธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง สถาบันการเงินเฉพาะกิจจะเร่งปรับโครงสร้างหนี้ ให้แก่ลูกหนี้ ทั้งผู้ประกอบการ SMEs และรายย่อย โดยให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกหนี้ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ และเสนอแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เช่น การลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เป็นต้น และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเข้าร่วมโครงการ DR BIZ สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ธุรกิจ พร้อมทั้งให้ความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับบริบทของระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป 2.3 การให้สินเชื่อเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจให้เหมาะสมกับพัฒนาการของแต่ละอุตสาหกรรม และเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่ประชาชนรายย่อยเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพหรือใช้จ่ายในการดำรงชีพ เช่น การเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการที่เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการในพื้นที่หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง การเพิ่มแหล่งทุนให้องค์กรการเงินชุมชนและวิสาหกิจชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก การเพิ่มแหล่งทุนให้แก่แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต้องการผันตัวเองเป็นผู้ประกอบการ การเป็นแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการในการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เป็นต้น 2.4 การให้แรงจูงใจแก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพกลับมาชำระหนี้ตามปกติเพื่อลดภาระหนี้ของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาสัญญาและป้องกันปัญหาวินัยทางการเงิน (Moral Hazard) เช่น การลดดอกเบี้ย การคืนเงินบางส่วนเพื่อเป็นรางวัลให้ลูกหนี้ที่กลับมาชำระหนี้เป็นปกติหรือมีประวัติการชำระหนี้ดี เป็นต้น เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อีกด้วย ทั้งนี้ ความร่วมมือของลูกหนี้และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อให้การดำเนินการตามแนวทางข้างต้นมีประสิทธิภาพสูงสุดและบรรลุวัตถุประสงค์ กระทรวงการคลังมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจถือเป็นภารกิจสำคัญในการติดตามช่วยเหลือลูกหนี้ทุกรายอย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือให้ลูกหนี้ติดต่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที กระทรวงการคลังมีความมุ่งหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างเต็มกำลังความสามารถและคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกหนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และลูกหนี้รายย่อยได้อย่างตรงจุดและตอบสนองความต้องการของลูกหนี้ได้อย่างแท้จริง และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เปลี่ยนสถานะเป็น NPLs ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs มีเวลาเพียงพอในการปรับตัว ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังและการปรับโครงสร้างธุรกิจของตัวเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม • ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) โทร 1213 หรือ https://www.1213.or.th/App/DebtCase • ธนาคารออมสิน โทร 1115 • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร 0-2555-0555 • ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร 0-2202-2000 • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร 0-2271-2929 • ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร 1357 • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร 1302 • บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร 0-2890-9999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36158
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี วันที่ 21 ตุลาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี วันที่ 21 ตุลาคม 2563 ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน Sorry, your browser doesn't support HTML5 video, but you can download this video from the Internet Archive วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแถลงการณ์ เรื่อง สถานการณ์และการร่วมกันนำพาประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย พี่น้อง ประชาชนคนไทยที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมมาพูดกับทุกท่าน เป็นช่วงเวลาที่ผมหวังว่า ในอนาคต เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ช่วงเวลานี้ เราจะสามารถพูดได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง สละความรู้สึกส่วนตัว และความต้องการส่วนตัวบางอย่าง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ หน้าที่ของผม ในฐานะผู้นำประเทศ คือผมต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ผมต้องพยายามรักษาสมดุล ระหว่างมุมมองความคิด และความต้องการต่างๆ ที่แตกต่างกันในสังคม และบางอย่างก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก นั่นเพื่อที่จะทำให้คนไทยทุกคน สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกัน บนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ แผ่นดินของพวกเราทุกคน ที่ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน ผมเชื่อว่าทุกคน รักผืนแผ่นดินนี้ด้วยกันทั้งสิ้น อีกหน้าที่ของผมในฐานะผู้นำประเทศ ผมต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของแต่ละคน ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า และผมต้องปกป้องประเทศจากพลังมืดที่ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยของเรา ผมต้องทำให้แน่ใจว่า ประเทศไทยยังคงมีความยุติธรรมในสังคม มีความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคน ที่อยู่ร่วมกันภายใต้กฏหมายเดียวกัน ทุกสิ่งที่ผมทำ ผมคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศเสมอ คนส่วนใหญ่ที่นิ่งเงียบ ที่กำลังพยายามทำมาหากินอย่างหนัก หาเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ผมต้องบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ละเลยที่จะดูแลประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศด้วย ผมต้องบริหารประเทศบนพื้นฐานหลักการตามกฏหมาย และตามแนวทางและการตัดสินใจจากรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนไทย นั่นคือระบบรัฐสภาที่เราต้องเคารพเราไม่สามารถบริหารประเทศตามเสียงประท้วงหรือความต้องการของผู้ประท้วงกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มประท้วงได้ แม้ผมจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมได้ยินเสียงความต้องการของผู้ประท้วง ก็ตามวงจรที่เราเคยเห็นกันมาตลอดว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ก็จะต้องเจอกับม๊อบอีกฝ่ายเสมอ และในที่สุด การบริหารประเทศก็ทำไม่ได้ และประเทศก็ไหลลงไปสู่ทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและหายนะ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันทำลายวงจรนี้ พวกเรา ต้องร่วมทำ ด้วยกันครับ ในเวลานี้ เราต้องถอยกันคนละก้าว เพื่อออกห่างจากทางที่จะนำไปสู่ปากเหว เส้นทางที่จะพาประเทศไทยของเราค่อยๆ ตกลงไปสู่หายนะ และสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจะเริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นๆ การใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ก็จะยิ่งสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น และการใช้ความรุนแรง จะยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงที่มากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้สอนเรามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตอนจบของทุกครั้งก็คือความเสียหายที่ทิ้งไว้กับประเทศ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คนไทยเป็นคนไทย ก็คือสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย ที่เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและคุณค่าของความเป็นไทย มายาวนานหลายร้อยปี ถ้าหากเราทำลายมรดกที่มีค่าจากบรรพบุรษ เราก็จะสูญเสียสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นคนไทย และเป็นประเทศที่พิเศษประเทศหนึ่งของโลก เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอยากเห็นว่าเกิดขึ้นในประเทศไทยเราได้เห็นการกระทำ ที่น่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจ มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ เป็นการตั้งใจทำร้ายคนไทยด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองให้ลึกลงไปกว่านั้น แม้เราจะเห็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเจตนาร้าย และปฏิบัติตัวไม่ดีอย่างรุนแรง แต่เวลาเดียวกัน เราก็เห็นว่า ยังมีคนอีกมากมายที่แม้ว่าจะกำลังทำผิดกฏหมาย แต่ก็ปฏิบัติตนด้วยความสงบ มีเจตนาดีที่ต้องการขอความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และมีความจริงใจที่อยากจะเห็นประเทศดีขึ้น เรามองเห็นคนกลุ่มนี้ด้วย เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจการหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการขอคืนพื้นที่ ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ด้วยเช่นเดียวกัน รัฐบาลพยายามผ่อนปรน หลีกเลี่ยง มีการประกาศให้ทราบก่อนทุกครั้ง ตามมาตรฐานสากล เราจะทำให้เกิดสังคมแบบที่เราต้องการได้ ด้วยการพูดคุยกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังและเข้าใจกัน และพร้อมที่จะประนีประนอม วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหา ที่จะยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทั้งสำหรับประชาชนที่ออกมาอยู่บนท้องถนน และสำหรับประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้ออกมา คือการพูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบ และกระบวนการของรัฐสภา ผมรู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะต้องใช้เวลาและอาจจะไม่รวดเร็วทันใจ แต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ซึ่งเราต้องแสดงความใจเย็น และความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของเราทุกคนออกมา กล้าที่จะเดินในเส้นทางสายกลาง หากผู้ประท้วงคิดว่าจะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้ โดยการออกมาบนท้องถนน พวกเค้าอาจจะชนะ และสามารถก้าวข้ามหัวรัฐสภาได้สำเร็จ หรือพวกเค้าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างมีให้เราเห็นมาแล้วว่าเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหรือฝ่ายรัฐ ถ้าหวังว่าปัญหาต่างๆ จะหายไปได้ ด้วยการใช้ไม้แข็งเพียงอย่างเดียว รัฐอาจจะประสบความสำเร็จตามนั้น หรืออาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เราเห็นมาแล้ว เช่นเดียวกันมีวิธีเดียว ที่เราจะก้าวผ่านปัญหาไปได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นจากการพูดคุยกัน จากการเคารพกระบวนการของกฏหมาย และจากการมองเห็นความต้องการของประชาชน ที่แสดงออกมา ผ่านทางกระบวนการรัฐสภา นี่คือวิธีการเดียวผู้ประท้วงได้แสดงความคิดของเค้าแล้ว เสียงและความคิดของพวกเค้า ถูกได้ยินโดยทุกฝ่ายและทุกคนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะนำความคิด และความต้องการของผู้ประท้วง มาพิจารณาร่วมกับความต้องการของประชาชนส่วนอื่นๆ ในสังคมไทย หาเส้นทางที่เหมาะสมและเห็นชอบร่วมกันส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชน โดยคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการเปิดประชุมวิสามัญ และได้ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาแล้ว คาดว่าจะเปิดประชุมสภาได้ประมาณวันจันทร์ที่ 26 และวันอังคารที่ 27 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วง หรือจะเป็นประชาชนที่นิ่งเงียบ ไม่ว่าเค้าจะมีความคิดความรู้สึกแบบไหนก็ตาม วันนี้ ผมจะเป็นคน ที่เริ่ม ก้าวแรก เพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง ผมกำลังเตรียมที่จะยกเลิก พรก สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้น หากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอให้ผู้ประท้วง แสดงความจริงใจในเจตนาดีของท่านที่มีต่อประเทศดังที่ท่านพูด โดยการเคารพกฏหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขอให้ท่านแสดงความคิดความต้องการผ่านผู้แทนราษฎรของท่าน ซึ่งมีขั้นตอน กำหนดเวลา ไปตามลำดับ ผมขอพวกท่าน ด้วยความจริงใจของผม เมื่อผมยอมก้าวไปในแนวทางนี้ ผมก็ขอให้พวกท่านก้าวไปในแนวทางเดียวกันด้วย และลดระดับเสียงของการสาดถ้อยคำที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม สร้างความเจ็บปวดให้กับคนในสังคม ผมขอให้ทุกคนร่วมใจกัน ทำให้เมฆดำที่กำลังเคลื่อนมาปกคลุมประเทศไทยของเรา ให้หายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เร่งด่วน นั่นคือ การช่วยกันบรรเทาปัญหาปากท้อง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเดือดร้อน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิดทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ภารกิจที่ต้องเริ่มทำคู่ขนานกันไป ก็คือ เราต้องนำเอาประเด็นต่างๆ ที่ถูกพูดถึงว่าควรได้รับการแก้ไข เพื่อผลดีในระยะยาวของประเทศ มาเริ่มพูดคุยกันเราต้องรักษาบาดแผลให้ทุเลาลง ก่อนที่มันจะบาดลึกมากไปกว่านี้ ขอบคุณครับ —————————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ เห็นชอบ 4 แนวทางสร้างรายได้ปลอดภัยจากโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 "อนุทิน" ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ เห็นชอบ 4 แนวทางสร้างรายได้ปลอดภัยจากโควิด 19 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพนัดแรก เห็นชอบในหลักการลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน การกักกันในสนามกอล์ฟ การท่องเที่ยวแบบ Exclusive Travel Area กักตัวในพื้นที่เฉพาะ 14 วันโดยให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพนัดแรก เห็นชอบในหลักการลดวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน การกักกันในสนามกอล์ฟ การท่องเที่ยวแบบ Exclusive Travel Area กักตัวในพื้นที่เฉพาะ 14 วันโดยให้ท่องเที่ยวในเส้นทางที่กำหนด เปิดสนามบินเพิ่ม 17 แห่ง ด่านบก 2 แห่งและด่านน้ำ 2 แห่ง รองรับต่างชาติเข้ามารักษาและท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยยังคงมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ประชาชนมีความปลอดภัย เตรียมเสนอ ศบค. วันนี้ (22 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ ภายใต้นโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยคณะกรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวง อธิบดี และผู้บริหารจาก 3 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงคมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพฯ ครั้งแรก หลังได้รับการแต่งตั้งตามมติคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เพื่อกำหนดกรอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อให้รายได้กระจายไปสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศ และคงความปลอดภัยของประชาชน นายอนุทินกล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาใช้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ อาทิ การลดจำนวนวันกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วันตามข้อเสนอของกรมควบคุมโรค, การดำเนินงานสถานกักกันในสนามกอล์ฟ (Golf Quarantine) ซึ่งเป็นสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพกลุ่มที่ 3 ต่อจากกลุ่มสปาทางการแพทย์/รีสอร์ทเพื่อสุขภาพ/สปารีสอร์ท และกลุ่ม Long Term Care สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีชาวต่างชาติให้ความสนใจจำนวนมาก โดยมีมาตรการเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา คือ ต้องมีการนัดหมายจองสถานที่ล่วงหน้า มีผลตรวจปลอดเชื้อโควิด 19 ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ระหว่างกักตัว 14 วัน มีการตรวจคัดกรอง 3 ครั้ง จัดระบบการเล่นกอล์ฟ ต้องยึดหลักเว้นระยะห่าง การทำความสะอาดยานพาหนะ อุปกรณ์ และสถานที่ คาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 1 แสนบาทต่อราย นอกจากนี้ ยังเห็นชอบการท่องเที่ยวแบบ Exclusive Travel Area (ETA) โดยให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกักกันตัวในพื้นที่เฉพาะ (Area Quarantine) และสามารถท่องเที่ยวในช่วงเวลากักตัว 14 วัน ได้ในเส้นทางที่กำหนด ซึ่งจะนำร่องในจังหวัดท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ 6 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงราย บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี และกระบี่ โดยคัดเลือกนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศหรือเมืองที่มีความเสี่ยงต่ำ มีระบบการจัดการระบาดของโรคโควิด 19 ที่ดี มีผลการตรวจว่าปลอดเชื้อโควิด 19 ก่อนเดินทาง 72 ชั่วโมง ผ่านการกักกันตนเองที่บ้านก่อนเดินทางในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อถึงประเทศไทยมีการคัดกรองและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาเชื้อโควิด 19 จำนวน 3 ครั้ง โดยจะจัดให้มีสายการบินตรงไปยังพื้นที่ มีระบบ Seal นักท่องเที่ยวและกำหนดเส้นทางท่องเที่ยวไว้ เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการในจังหวัด ที่พัก ร้านอาหาร และแหล่งท่องเที่ยว สถานพยาบาลต้องความพร้อมในการรักษา และมีระบบการติดตามตัว รวมทั้งเห็นชอบหลักการเปิดสนามบินนานาชาติและสนามบินในประเทศเพิ่มเติม จำนวน 17 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (ระยอง-พัทยา) ท่าอากาศยานสมุย ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานตราด ท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานี ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานขอนแก่น ท่าอากาศยานกบินทร์บุรี ท่าอากาศยานพิษณุโลก ท่าอากาศยานแม่สอด ท่าอากาศยานระนอง ท่าอากาศยานนครพนม ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ เปิดด่านทางบกเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ ด่านบ้านแหลม และด่านบ้านหาดเล็ก เพื่อมาจังหวัดจันทบุรี และด่านทางน้ำ 2 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรีและระยอง และท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง เพื่อรองรับชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลด้วยโรคอื่นและเข้ามาท่องเที่ยวที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยให้เปิดศูนย์บริการข้อมูลสุขภาพ (Counter Service) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยและผู้ติดตามชาวต่างชาติ และเห็นชอบการเตรียมจัดงาน Thailand Health Expo เพื่อแสดงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งในรูปแบบ Virtual และ on site ตลอดจนการพิจารณาให้จัดหาสายการบินเพิ่มเติม เพื่อเตรียมรับผู้ป่วยและผู้ติดตามประมาณ 2700 ราย เดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาลใน Alternative Hospital Quarantine โดยทั้งหมดจะเสนอ ศบค.เพื่อพิจารณาต่อไป *********************************** 22 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo 2020 ครั้งที่ 20
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. ร่วมงาน Money Expo 2020 ครั้งที่ 20 ธ.ก.ส. นำเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ผลิตภัณฑ์เงินฝาก สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด บริการทางการเงิน พร้อมแคมเปญพิเศษมากมาย ร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo ครั้งที่ 20 Money Expo 2020 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-2 อิมแพค เมืองทองธานี 22 – 25 ตุลาคม 2563 นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในงาน Money Expo 2020 ครั้งที่ 20 ที่จัดขึ้น ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-2 อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. ได้นำผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อต่าง ๆ เปิดให้บริการภายในงาน เช่น เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ซึ่งเป็นเงินฝากที่ได้รับดอกเบี้ยและรางวัลในระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง โดยฝากทุก ๆ 2,000 บาท ติดต่อกันทุก ๆ 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์จับรางวัล 1 สิทธิ์ และลุ้นรางวัลระดับประเทศ ปีละ 1 ครั้ง โดยฝากทุก ๆ 10,000 บาท ติดต่อกันทุกๆ 7 เดือน จะได้รับ 1 สิทธิ์ เงินฝาก A-Savings ออมเงินในรูปแบบ Digital ดอกเบี้ยร้อยละ 0.45 ต่อปี เงินฝากผู้สูงอายุ Senior Savings สำหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ต่อปี หากยอดเงินฝากคงเหลือตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป รับดอกเบี้ย ร้อยละ 0.45 ต่อปี ฝากได้คนละ 1 บัญชี สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ เปิดบัญชี 10,000 บาท ครั้งต่อไป ฝากเงินขั้นต่ำ 1,000 บาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 0.45 ต่อปี ไม่เสียภาษี เงินฝากประจำปลอดภาษี 24 เดือน ฝากตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน รับดอกเบี้ยร้อยละ 1.63 ต่อปี และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิต ธ.ก.ส. เพิ่มรัก 2 12/10 กรมธรรม์การฝากเงินสงเคราะห์เพื่อคุ้มครองชีวิตและออมทรัพย์แบบมีระยะเวลาส่งชำระ 10 ปี คุ้มครอง 12 ปี สำหรับเกษตรกรหรือครอบครัว นายกษาปณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับด้านสินเชื่อ ธ.ก.ส. มีบริการให้คำปรึกษาที่หลากหลาย เช่น สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายและหรือค่าลงทุนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจทำอาชีพเกษตรกรรมและทายาทเกษตรกร และสินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการประกอบอาชีพการเกษตรหรือประกอบการเกษตรตามแนวพระราชดำริหรือตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ใน 3 ปีแรก นอกจากนี้ยังมีบริการผ่านแอปพลิเคชันธ.ก.ส. A-Mobile เพื่อให้การโอนเงินบนมือถือสะดวกรวดเร็วและง่ายเพียงปลายนิ้ว บริการ SMS Alert บริการทำ พ.ร.บ. และบริการต่าง ๆ อีกมากมาย พิเศษ! พบกับแคมเปญ “สวัสดีทวีโชค” สำหรับลูกค้าใหม่ เพียงเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ฝากเงินตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป คงยอดไว้ 3 เดือน หรือเลือกแคมเปญ “New Gen Smart Life” ฝากและคงยอดเงิน 3 เดือน ในบัญชี A-Savings ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป พร้อมทำตามเงื่อนไขของแคมเปญ รับของที่ระลึก กระเป๋าเป้ เที่ยวเพลินหรือหมอนผ้าห่มพร้อมกระเป๋าผ้า ธ.ก.ส. A-Mobile แคมเปญ “Senior 54 ปี ธ.ก.ส.” เปิดบัญชีหรือ ฝากเงินเพิ่มในบัญชี Senior Savings รับผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 1.54 ต่อปี หรือ แคมเปญ “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน Double Bonus” ฝากสลากฯ 2 แสนบาท รับโบนัสสลากฯ 400 บาท และยังมีสิทธิ์รับของที่ระลึกอื่น ๆ เมื่อร่วมกิจกรรมและทำธุรกรรมที่บูธ ธ.ก.ส. ไม่ว่าจะเป็น ชุดช้อน-ตะเกียบ Go Green กล่องข้าว Go Green ถุงผ้าน้องหอมจัง เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36159
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.สิ่งแวดล้อมแห่ชาติ เห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 คกก.สิ่งแวดล้อมแห่ชาติ เห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คกก.สิ่งแวดล้อมแห่ชาติ ที่ประชุมเห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง วันนี้ (22 ต.ค.63) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณารายงาน EIA จำนวน 3 โครงการ โดยมีมติ ดังนี้ 1) เห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทอง ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โดยเพิ่ม 2 สถานีเพื่อเข้าสู่เมืองทองธานี ( สถานี MT-01 อยู่บริเวณหน้าอาคารอิมแพ็คชาเลนเจอร์ และสถานี MT-02 อยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบเมืองทองธานี ใกล้กับเอส ซี จี สเตเดี้ยม มีระยะทางรวมประมาณ 3 กิโลเมตร) 2) เห็นชอบรายงาน EIA โครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี-นครราชสีมา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการส่วนที่เป็นอุโมงค์ การปรับโครงสร้างโครงการบางช่วง การปรับตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุง และการปรับรูปแบบสถานีนครราชสีมา ให้สอดคล้องกับโครงการรถไฟทางคู่ ทั้งนี้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของที่ประชุมไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และ 3) เห็นชอบโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย จังหวัดเพชรบุรี (โพไร่หวาน) ของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการอาคารอยู่อาศัยรวมสำหรับเช่า จำนวน 246 ห้อง นอกจากนี้ ที่ประชุม ได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดการขยะ ได้แก่เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ เพื่อให้การจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะ โดยเฉพาะเกาะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ บริหารจัดการขยะมูลฝอยบนเกาะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ลดปัญหาการขนส่งขยะข้ามไปกำจัดบนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งที่ประชุมเห็นชอบมาตรการการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยการจัดการสถานที่รับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์และนำไปจัดการอย่างถูกต้อง และการยกเลิกนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ 428 รายการ เป็นต้น ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36154
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน Executive Breakfast Forum 2020 Ep.1 Privacy and Security Law in Action
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน Executive Breakfast Forum 2020 Ep.1 Privacy and Security Law in Action ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน Executive Breakfast Forum 2020 Ep.1 Privacy and Security Law in Action ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน Executive Breakfast Forum 2020 Ep.1 Privacy and Security Law in Action ต่อผู้บริหารจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างความตระหนักการรักษาความปลอดภัยข้อมูลไซเบอร์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปาฐกถาพิเศษในงาน Executive Breakfast Forum 2020 Ep.1 Privacy and Security Law in Action ณ ห้อง Grand Ballroom 3 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ จัดโดยสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย(DUGA) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยข้อมูลไซเบอร์และข้อมูลส่วนบุคคล ต่อกลุ่มผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทางสมาคมเฉพาะเจาะจนเชิญกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการใช้ข้อมูลสำหรับ Digital Transformation ขับเคลื่อนธุรกิจ องค์กร เศรษฐกิจและสังคมโดยรวม เข้าร่วมงาน โดยมีรูปแบบการจัดงานแบบพบปะแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็น ทั้งนี้ผู้บริหารองค์กรจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์และเห็นความสำคัญของการลงทุนเพื่อสร้างเสถียรภาพและความปลอดภัยบนบริการดิจิทัล เพื่อความไว้วางใจสูงสุดที่ลูกค้ามีต่อองค์กร ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35632
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนอ.เดินหน้าเต็มสูบนิคม“Smart Park” หลัง ครม.ไฟเขียวตั้งนิคมฯ 1.38 พันไร่
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 กนอ.เดินหน้าเต็มสูบนิคม“Smart Park” หลัง ครม.ไฟเขียวตั้งนิคมฯ 1.38 พันไร่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการลงทุนในโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค บนพื้นที่ 1,383 ไร่ มูลค่าการลงทุนระยะแรก 2,370 ล้านบาท การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) พร้อมเดินหน้าโครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการลงทุนในโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค บนพื้นที่ 1,383 ไร่ มูลค่าการลงทุนระยะแรก 2,370 ล้านบาท ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ไตรมาส 1 ปี 2564 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 มีมติเห็นชอบการลงทุนในโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ที่ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง พื้นที่รวม 1,383 ไร่ มูลค่าการลงทุน 2,370 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี “หลังจาก ครม.เห็นชอบให้มีการลงทุนในโครงการแล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 1/2564 และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 3 ปี โดยเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและมีการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park จะสามารถสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อปี อยู่ที่ 52,934.58 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะเกิดการจ้างงาน ประมาณ 7,459 คน ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ประมาณ 1,342,620,000 บาทต่อปี (คิดฐานเงินเดือนขั้นต่ำเดือนละ15,000 บาท) นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินค่าได้โดยตรง เช่น มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง น้ำมันเชื้อเพลิง และอื่นๆ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในท้องถิ่น เกิดประโยชน์ทางอ้อมต่อหน่วยงานปกครองท้องถิ่น หรือประฌโยชน์ต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม หรือคุณภาพชีวิตด้านอื่นๆ”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว ด้านนางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)กล่าวเสริมว่า นิคมฯสมาร์ท ปาร์ค เป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบันเป็นเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation & Logistics) กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ (Medical Device) กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) ซึ่งตามแผนการพัฒนาโครงการ คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนาปรับพื้นที่ดำเนินการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ประมาณ 3 ปี โดยในช่วงระยะการก่อสร้างคาดว่าจะทำให้มีการจ้างงานประมาณ 200 คน และเกิดเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในชุมชน ประมาณ 23.7 ล้านบาท/ปี (คิดอัตราฐานเงินเดือนขั้นต่ำ 330 บาท)อีกด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของทำเลที่ตั้งของโครงการฯ ถือว่าอยู่ตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ดี โดยอยู่ห่างจากท่าเรือมาบตาพุด 7 กม. ห่างจากสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 17 กม. และห่างจากท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ 29 กม. ห่างจากท่าเรือแหลมฉบัง 53 กม. และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 150 กม. อีกทั้งมีความได้เปรียบในแง่ของการเป็นแหล่งผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบ (Raw materials sources ) และอยู่ในเขตส่งเสริมของอีอีซี “หลังก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่าพื้นที่จะถูกเช่าหมดภายในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากเป็นนิคมฯที่รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) ที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งนอกจากรวมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในที่เดียวกันแล้ว ยังเป็นนิคมอุตสาหกรรมต้นแบบที่มีระบบสาธารณูปโภคเพียบพร้อมรวมทั้งอาคารต่างๆ ต้องมีมาตรฐานระดับสากล และก่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในท้องถิ่น คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตในด้านอื่นๆ”ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวปิดท้าย ----------------------------------------------- กองประชาสัมพันธ์ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35623
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม” ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานด้านกิจการอวกาศ พร้อมหนุน พ.ร.บ. กิจการอวกาศฯ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศของไทย
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 “บิ๊กป้อม” ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานด้านกิจการอวกาศ พร้อมหนุน พ.ร.บ. กิจการอวกาศฯ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศของไทย “บิ๊กป้อม” ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงานด้านกิจการอวกาศ พร้อมหนุน พ.ร.บ. กิจการอวกาศฯ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศของไทย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/ 2563 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวในระหว่างการประชุม ถึงผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ประจำปี 2563 ว่าประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม 1 ลำดับ มาอยู่ที่อันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ ซึ่งสะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทย ในขณะเดียวกัน ภาครัฐเร่งจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวัง และบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ รวมทั้ง (ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... ที่จะทำให้ประเทศไทยมีองค์กรกลางในการกำหนดนโยบายและแผนกิจการอวกาศในภาพรวม เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและบริการด้านอวกาศ รองนายกรัฐมนตรี ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานด้านกิจการอวกาศของประเทศ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการการทำงานโดยคำนึงถึงเป้าหมายที่ได้กำหนดในนโยบายรัฐบาล นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และไม่ให้เกิด ผลกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ประชาชนผู้ใช้บริการ และเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1' ห่วงชาวสวนลำไย เร่งหามาตรการนำเข้าแรงงานกัมพูชาเก็บผลผลิตที่จันทบุรี
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 จับกัง1' ห่วงชาวสวนลำไย เร่งหามาตรการนำเข้าแรงงานกัมพูชาเก็บผลผลิตที่จันทบุรี รมว.แรงงาน ห่วงใยชาวสวนลำไยในจังหวัดจันทบุรี เร่งหามาตรการการนำเข้าแรงงานกัมพูชาเข้ามาเก็บผลผลิตลำไยที่จังหวัดจันทบุรี ร่วมกับภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ในโอกาสที่เอกอัครราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ หารือประเด็นการนำเข้าแรงงาน เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงาน ให้การต้อนรับ นายอูก ซอร์พวน (H.E. Mr.Ouk Sorphorn) เอกอัครราชทูตอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเยี่ยมคารวะและหารือประเด็นการนำเข้าแรงงานกัมพูชามาเก็บลำไยในจังหวัดจันทบุรี ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์น ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย - กัมพูชา และสมาคมชาวสวนลำไยจันทบุรี เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยที่ประชุมได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการเร่งรัดให้แรงงานที่ใช้บัตรผ่านแดน (Border Pass) จำนวน 500 คน เดินทางเข้ามาทำงานโดยเร็ว และดำเนินการแก้ไขร่างบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อกำหนดให้มีการจ้างงานระยะสั้นได้ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่จังหวัดจันทบุรีกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะลำไยที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ในวันนี้ กระทรวงแรงงาน จึงได้หารือกับผู้แทนภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือ สนับสนุนให้มีการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ตลอดจนนายจ้าง สถานประกอบการ สามารถฝ่าฟันสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ พร้อม ๆ กับการดูแลคุ้มครองของแรงงานทุกภาคส่วน ให้ยังคงสิทธิ์ที่พึงได้รับอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเกษตรกรรม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลกัมพูชาในการให้ความร่วมมือ ส่งเสริม และให้ความช่วยเหลือด้านกำลังแรงงาน ทั้งนี้ ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรีมีความต้องการนำแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาเพื่อเข้ามาเก็บลำไยที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 34,000 คน แบ่งเป็นแผนกคัดบรรจุ 20,000 คน และแรงงานในสวน 14,000 คน โดยในระยะแรกจะมีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว จำนวน 2,000 - 3,000 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๖๓ สำนักงานวัฒนธรรมดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๓ และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๒
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๖๓ สำนักงานวัฒนธรรมดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๓ และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๒ รมว.วธ.เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๖๓ สำนักงานวัฒนธรรมดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๓ และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๒ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๒.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานมอบโล่เชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี ๒๕๖๓ สำนักงานวัฒนธรรมดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๓ และข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๒ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ ๑๘ ปี โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด ภาคีเครือข่ายวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ๓ ตุลาคม ของทุกปี กระทรวงวัฒนธรรมจัดพิธีมอบรางวัล “วัฒนคุณาธร” เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม รวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเครือข่ายวัฒนธรรมที่ร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๖๒ มอบรางวัล “วัฒนคุณาธร” มาแล้ว จำนวน ๒,๖๔๙ ราย และในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ มีบุคคล องค์กร ได้รับคัดเลือก ให้รับรางวัล “วัฒนคุณาธร” ๔๗๕ รางวัล ได้แก่ ประเภทเด็กหรือเยาวชน ๑๕๖ ราย ประเภทบุคคล ๑๖๔ ราย ประเภทนิติบุคคล หรือคณะบุคคล ๑๕๕ แห่ง/คณะ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ๘ จังหวัด ผู้เกษียณอายุราชการ ๑๘๖ ราย ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ๑๑ ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 องคมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา องคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา เพิ่มการเข้าถึงบริการดูแลประชาชน ผ่าตัดตาต้อกระจก โรคผิวหนัง คัดกรองมะเร็งลำไส้ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองและผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน องคมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการพัฒนาโรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา เพิ่มการเข้าถึงบริการดูแลประชาชน ผ่าตัดตาต้อกระจก โรคผิวหนัง คัดกรองมะเร็งลำไส้ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองและผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน HA มาตรฐานงานเทคนิคการแพทย์ (LA) วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอพระทองคำ จังหวัดนครราชสีมา ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และคณะ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และติดตามการดำเนินงาน นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 กล่าวว่า โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง ผ่านการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลมาตรฐาน HA มาตรฐานงานเทคนิคการแพทย์ (LA) ส่งผลดีในการตรวจวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องแม่นยำ ดำเนินงานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกผักสวนครัวสำหรับผู้ป่วยและชุมชน เป็นแหล่งสาธิตการปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพร จัดตลาดนัดสีเขียว กิจกรรมจิตอาสา กิจกรรมบำบัดยาเสพติด รวมทั้งส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล นำยาสูดพ่นหลอดเก่ามาแลกรับยาใหม่ เป็นโรงพยาบาลสีเขียว ประหยัดพลังงาน อาทิ ติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ จัดทำระบบกระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ร้อยละ 15.17 ดำเนินงานร่วมกับชุมชนในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และช่วยเหลือผู้ยากไร้ ตามโครงการ “โอบ ไออุ่น ทำความดีตามรอยพ่อของแผ่นดิน” เพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการมากขึ้น โดยร่วมกับกรมการแพทย์ จัดทำโครงการคลินิกตาต้อกระจก ในปี 2563 มีผู้รับบริการ 149 ราย ให้บริการตรวจรักษาทางไกลกับแพทย์เฉพาะทางจากสถาบันโรคผิวหนัง มีผู้รับบริการ 139 ราย คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ 44 ราย พัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative Care) และเป็นศูนย์บริการให้ยืมอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปใช้ที่บ้าน อาทิ ที่นอนลม รถเข็นออกซิเจน บริการพาหมอไปหาผู้ป่วยให้การดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง/ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในชุมชน พร้อมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ บริการหมอฟันเดินดินตรวจสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยที่บ้าน บริการแพทย์แผนไทยบริการฝังเข็มและครอบแก้วโดยแพทย์เวชศาสตร์ นายแพทย์พงศ์เกษมกล่าวต่อว่า โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ได้รับการสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างอาคารจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ปี 2562 จำนวน 3 รายการ รวมวงเงินงบประมาณ 2,129,000 บาท ได้แก่ 1.อาคารระบบกรองน้ำประปา กรองน้ำประปาได้ 2397.60 ลบ.ม. คิดเป็นปริมาณการกรองน้ำเข้าระบบร้อยละ 33 อยู่ระหว่างผันน้ำเข้าระบบจากระบบเชื่อมต่อเดิมน้ำผิวดินเป็นน้ำบาดาลแทน 2.อาคารอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ อบสมุนไพรได้ 668.52 ก.ก. ลดการสั่งซื้อยาสมุนไพรได้ร้อยละ 15 และ 3.อาคารอบไอน้ำสมุนไพรและอุปกรณ์ ให้บริการอบสมุนไพรจำนวน 116 คน ส่วนปีงบประมาณ 2563 ได้รับการสนับสนุนรายการก่อสร้าง 2 รายการ ได้แก่ 1.ระบบก๊าซทางการแพทย์ 32 จุด เพื่อให้บริการผู้ป่วยที่มีภาวะเหนื่อยหอบ และภาวะพร่องออกซิเจนภายในอาคารผู้ป่วยในพิเศษ และอาคารอุบัติเหตุฉุกเฉิน กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 2 ธันวาคม 2563 และ 2.ปรับปรุงทางเดินเชื่อมอาคาร เพื่อให้บริการผู้ป่วยและญาติเดินทางเข้ารับบริการระหว่างอาคารผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน และอาคารผู้ป่วยในพิเศษ กำหนดแล้วเสร็จวันที่ 1 มกราคม 2564 และในส่วนการลงทุน และการพัฒนาทั่วไป ตลอดจนเรื่องบุคลากร ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ****************************** 2 ตุลาคม 2563 ข่าวเพื่อมวลชน Home ข่าวเพื่อมวลชน รายละเอียด พิมพ์ย้อนกลับRefresh องคมนตรี ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35643
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-วธ. แนะทำบุญตักบาตรเทศกาลออกพรรษา ปลอดโควิด 19
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 สธ.-วธ. แนะทำบุญตักบาตรเทศกาลออกพรรษา ปลอดโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม แนะนำข้อปฏิบัติแบบวิถีชีวิตใหม่สำหรับศาสนสถาน ผู้จัดงาน พระสงฆ์ และผู้ร่วมงานเทศกาลวันออกพรรษา ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข และกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม แนะนำข้อปฏิบัติแบบวิถีชีวิตใหม่สำหรับศาสนสถาน ผู้จัดงาน พระสงฆ์ และผู้ร่วมงานเทศกาลวันออกพรรษา ป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 บ่ายวันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม และนายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวเรื่อง การจัดศาสนพิธี ทำบุญตักบาตร แบบวิถีชีวิตใหม่ เทศกาลวันออกพรรษา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เชิญชวนคนไทยไม่ประมาท การ์ดอย่าตก อาจมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการปะปนอยู่ในชุมชน สังคม และนำเชื้อไปแพร่ให้กับผู้อื่นได้ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา คือ เทศกาลออกพรรษา สถานที่ต่างๆ จะมีการจัดงานทำบุญตักบาตร และหลังจากนี้จะมีงานประเพณีของแต่ละท้องถิ่น เช่น งานตักบาตรเทโว รวมทั้งเทศกาลทอดกฐิน ซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากมาร่วมกิจกรรมในวัดกว่า 42,000 วัดทั่วประเทศ จึงต้องเข้มทั้งการป้องกันตนเอง และการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ซึ่งกรมการศาสนาได้ให้คำแนะนำในการจัดศาสนพิธีแบบวิถีชีวิตใหม่ ให้กับศาสนสถานและผู้จัดงาน อาทิ ภายในศาสนสถานต้องมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ร่วมคัดกรอง ตรวจวัดไข้ จัดจุดปฐมพยาบาลดูแลรักษาเบื้องต้น จัดที่ล้างมือ หรือบริการแอลกอฮอล์เจล รวมทั้งสำรองหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยไว้บริการผู้มาร่วมกิจกรรม หากมีการจัดโรงทาน ผู้ประกอบอาหารต้องสวมหมวกคลุมผม ผ้ากันเปื้อน หน้ากาก และถุงมือ สำหรับผู้ร่วมงาน ต้องสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ตลอดที่ร่วมกิจกรรม รักษาระยะห่าง ก่อนหยิบจับอาหารควรล้างมือให้สะอาด เมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที นายแพทย์อรรถพลกล่าวว่า กรมอนามัยได้ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมจัดทำคู่มือการจัดพิธีทางศาสนาและการจัดกิจกรรมทางประเพณี เผยแพร่ แจกจ่าย ประชาสัมพันธ์ไปแล้ว เพื่อเป็นแนวทางสำหรับพระภิกษุสงฆ์ นักบวช พราหมณ์ บาทหลวง และประชาชน แบบวิถีชีวิตใหม่ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกำหนดมาตรการสำหรับศาสนสถาน/ สถานที่จัดงาน, ผู้ประกอบพิธี/ ผู้นำปฏิบัติพิธี/ ผู้เข้าร่วมพิธีหรือร่วมกิจกรรม, การเตรียมอุปกรณ์สิ่งของเครื่องใช้ประกอบพิธี โดยมีแนวทางปฏิบัติศาสนสถานคือ คัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิและลงชื่อผู้เข้าร่วมพิธี ย้ำว่าหากวัดแล้วอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ให้นั่งพักและวัดซ้ำ หากไข้ยังไม่ลดลง งดเข้าร่วมกิจกรรม, กำหนดจำนวนผู้เข้าร่วม, จัดอุปกรณ์ป้องกันตนเองเจ้าหน้าที่ และเตรียมเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ จัดที่นั่งเว้นระยะห่าง โดยผู้เข้าร่วมพิธี ต้องลงชื่อเข้าร่วม ลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เพื่อสะดวกในการติดตามหากพบมีความเสี่ยง สวมหน้ากากตลอดเวลา และอาบน้ำ/ เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับถึงที่พัก ขอความร่วมมือประชาชน หากเจ็บป่วย มีอาการไอ จาม เป็นหวัด มีไข้ ควรพักผ่อนอยู่บ้าน งดร่วมงานบุญ และงานประเพณีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น รวมถึงลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 ******************************************** 2 ตุลาคม 2563 ********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35649
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ บสย. หนุนสินเชื่อ ปั้นแรงงานสู่ Startup
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ก.แรงงาน จับมือ บสย. หนุนสินเชื่อ ปั้นแรงงานสู่ Startup รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานลงนาม MoU พัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพ ดันแรงงานคุณภาพสู่ผู้ประกอบการ วันที่2ตุลาคม2563ศาสตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาทักษะและส่งเสริมการประกอบอาชีพระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน(กพร.)กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)โดยมีนายธวัชเบญจาทิกุลอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและนายรักษ์วรกิจโภคาทรกรรมการผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ลงนามรวมถึงหม่อมหลวงปุณฑริกสมิติที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและนางต้องใจสุทัศน์ณอยุธยาผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงานให้เกียรติเข้าร่วมพิธีณโรงแรมมิราเคิลแกรนด์คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ ศาสตราจารย์นฤมลกล่าวว่าสืบเนื่องจากรัฐบาลโดยการนำของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการให้การช่วยเหลือจัดสวัสดิการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นอาชีพที่มีอิสระในการกำหนดรูปแบบและวิธีดำเนินงานของตนเองโดยเลือกอาชีพที่ชอบหรือคิดว่าตัวเองถนัดต้องพัฒนาความสามารถของตัวเองศึกษารายละเอียดของอาชีพและเข้าฝึกอบรมจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่สำคัญทำให้ประชาชนมีงานทำมีรายได้และบรรเทาปัญหาการว่างงานกพร.และบสย.จึงได้ตกลงร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบกิจการให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งผ่านการฝึกอบรมฝีมือแรงงานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเช่นช่างชุมชนช่างไฟฟ้าช่างประปาช่างซ่อมรถช่างเครื่องปรับอากาศช่างตัดผมช่างก่อสร้างเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะความสามารถจนสามารถไปประกอบอาชีพหรือประกอบกิจการของตนเองและให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้รวมถึงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวลดความเหลื่อมล้ำและรองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย รมช.แรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่าท่านรองนายกรัฐมนตรีพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณได้เน้นย้ำถึงการมีงานของแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบโดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการพัฒนาทักษะแรงงานรองรับอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายs-curveซึ่งคณะอนุกรรมการจะต้องเร่งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมซึ่งปัจจุบันยังมีแรงงานบางกลุ่มโดยเฉพาะแรงงานกลุ่มอาชีวะและปริญญาตรีที่ยังมีทักษะแรงงานที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมนอกจากนี้ยังเห็นชอบแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการเนื่องจากปัจจุบันยังมีคนพิการกว่า5.5แสนคนที่มีข้อจำกัดในการทำงานซึ่งอาจเกิดจากตำแหน่งงานที่มีไม่สอดคล้องกับคนพิการหรือคนพิการไม่สะดวกในการเดินทางไปทำงานทั้งนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงแรงงานจะวางแผนให้ความช่วยเหลือคนพิการให้มีทักษะอาชีพโดยอาจจะเป็นอาชีพอิสระซึ่งการประกอบอาชีพอิสระนี้จำเป็นต้องใช้แหล่งเงินทุนจึงหวังว่าการลงนามMoUในวันนี้จะเกิดประโยชน์แก่แรงงานกลุ่มนี้เช่นกัน “ความร่วมมือดังกล่าวกพร.จะได้สนับสนุนการจัดฝึกอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ประกอบกิจการต่างๆโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและจะรวบรวมรายชื่อผู้ผ่านการฝึกอบรมและมีความต้องการกู้ยืมเงินจากธนาคารที่เข้าร่วมโครงการโดยบสย.จะประสานสถาบันการเงินต่างๆจำนวน19แห่งเช่นธนาคารออมสินธกส.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยธนาคารกรุงไทยธนาคารกสิกรไทยเป็นต้นในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินดังกล่าวและบสย.จะเป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อแก่ผู้ที่สนใจจะประกอบอาชีพและสนับสนุนวิทยากรให้คำปรึกษาการบริหารเงินรวมถึงการเริ่มต้นธุรกิจเป็นผู้ประกอบการรายใหม่(Startup)”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด สำหรับกิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อ โดยบสย.ตัวอย่างการประกอบอาชีพได้แก่ช่างเชื่อมช่างไฟฟ้าช่างประปาและสุขภัณฑ์ช่างเครื่องปรับอากาศอาชีพอิสระในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหารโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและนิทรรศการการดำเนินงานด้านสินเชื่อSMEsของสถาบันการเงินประกอบด้วยธนาคารออมสินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.)ธนาคารทิสโก้ธนาคารไทยเครดิตเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อแก่ผู้ที่สนใจ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 ห่วงใย สั่ง กสร.รุดช่วยเหลือลูกจ้าง “ดาราเทวี” ทวงถามเงินค้างจ่ายเพิ่มเติม เผยออกคำสั่งให้จ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างไปแล้วกว่า 2 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 จับกัง1 ห่วงใย สั่ง กสร.รุดช่วยเหลือลูกจ้าง “ดาราเทวี” ทวงถามเงินค้างจ่ายเพิ่มเติม เผยออกคำสั่งให้จ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างไปแล้วกว่า 2 ล้านบาท รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้าง "ดาราเทวี" สั่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งให้ความช่วยเหลือรับคำร้องลูกจ้างกรณีนายจ้างค้างจ่ายเงินช่วงหยุดกิจการชั่วคราวเดือนกันยายน เป็นเงินกว่า 5 แสนบาท พร้อมเผยพนักงานตรวจแรงงานเคยสั่งนายจ้างจ่ายค่าจ้างกว่า 2 ล้านบาท นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึง กรณีที่ลูกจ้างบริษัท โรงแรมดาราเทวี จำกัด ได้รวมตัวที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะนายทะเบียนโรงแรมตาม พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2547 ให้พิจารณาสั่งปิดโรงแรมเนื่องจากใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ หมดอายุ เพื่อจะได้ใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยในเรื่องดังกล่าว ได้สั่งการให้ กสร. ดำเนินการช่วยเหลือโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ให้พนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่เข้าไปดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างกลุ่มนี้ตามอำนาจหน้าที่แล้ว โดยได้ดำเนินการรับคำร้องจากลูกจ้าง จำนวน 60 คน กรณีนายจ้างค้างจ่ายเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ให้กับลูกจ้างในช่วงเดือนกันยายน 2563 ที่นายจ้างได้ใช้สิทธิหยุดกิจการชั่วคราว ตามมาตรา 75 ของพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน รวมเป็นเงิน 579,960.84 บาท นายอภิญญา กล่าวต่อว่า กสร.ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกจ้าง บริษัท โรงแรมดาราเทวี จำกัด มาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนเดือนพฤษภาคม 2563 พนักงานตรวจแรงงานได้รับคำร้องจากลูกจ้าง จำนวน 110 คน กรณีนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง และได้มีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้าง เป็นเงิน 2,025,054.01 บาท ซึ่งนายจ้างได้นำคดีขึ้นสู่ศาลและสามารถตกลงกับลูกจ้างได้ และเมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาลูกจ้างของบริษัทฯ จำนวน 65 คน ได้มายื่นคำร้องกับพนักงานตรวจแรงงานให้บริษัทฯ จ่ายเงินค้างจ่ายในช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ที่นายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว เป็นเงินรวม 620,658 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ได้สั่งการให้พนักงานตรวจแรงงานเร่งดำเนินการวินิจฉัยคำร้องทั้ง 2 กรณี ภายใน 30 วัน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ ๑๘ ปี
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ ๑๘ ปี รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ ๑๘ ปี วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๙ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม ครบรอบ ๑๘ ปี โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด เครือข่ายวัฒนธรรม หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมงานและร่วมแสดงความยินดี ณ กระทรวงวัฒนธรรม ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๕ โดยได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องการสืบสาน รักษา และต่อยอดมาเป็นแนวทางดำเนินงานวัฒนธรรม ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี โดยยึดหลักธรรมาภิบาล บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ขับเคลื่อนภารกิจด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน และประเทศชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. อาสาช่วยลดขั้นตอนระบบราชการ เร่งแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่เร็วขึ้น
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 รมว.พม. อาสาช่วยลดขั้นตอนระบบราชการ เร่งแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่เร็วขึ้น รมว.พม. อาสาช่วยลดขั้นตอนระบบราชการ เร่งแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่เร็วขึ้น วันที่ 1 ต.ค. 63 เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนงานนโยบายสำคัญและการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร (Chief of Operation) ระดับจังหวัดของจังหวัดพิษณุโลก ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยมีหัวหน้าหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวนกว่า 40 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุม นายจุติ กล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาและอุปสรรค์ของหน่วยงานและต้องแก้ไขในระดับนโยบาย นั้น จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการการบูรณาการร่วมกัน โดยตนขออาสาเข้ามาช่วยเพื่อทำให้ลดขั้นตอนในการทำงาน และการแก้ปัญหาจะได้มีผลสำเร็จเร็วขึ้นเพื่อพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ โดยจะขอความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประชาชน ด้วยการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานราชการ ซึ่งบางครั้ง ปัญหาไม่สามารถแก้ไขในระดับจังหวัดได้จำเป็นต้องรอเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจึงได้ส่งรัฐมนตรีมาช่วยกันดูแลทั้ง 77 จังหวัด สำหรับตนจะเข้ามาช่วยดูแลอีกทางหนึ่งเพื่อลดขั้นตอนของปัญหาระบบราชการ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการทำความเข้าใจของข้อสั่งการของคณะรัฐมนตรีที่จะมีผลต่อหน่วยงานราชการและประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 แจงยิบลูกจ้างแห่ลาออกบ.มิตซูบิชิฯ เหตุได้ค่าตอบแทนสูง ในโครงการสมัครใจ
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 จับกัง1 แจงยิบลูกจ้างแห่ลาออกบ.มิตซูบิชิฯ เหตุได้ค่าตอบแทนสูง ในโครงการสมัครใจ รมว.แรงงาน ยันเศรษฐกิจไทย ไม่ได้ตกต่ำจนโรงงานแห่เลิกจ้าง เผย บ.มิตซูบิชิฯ ชลบุรี เปิดโครงการเออร์ลี่รีไทร์ ให้ค่าตอบแทนสูงถึง 16-37 เดือน ทำลูกจ้างตบเท้าเข้าโครงการ ชี้คนอยากได้เงินก้อน หรือ อาจจะมีแผนทำธุรกิจส่วนตัว รวมทั้งอาจจะกลับไปทำเกษตรที่บ้าน วันที่ 2 ต.ค. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวพนักงานบริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เอเชีย จำกัด จ.ชลบุรี กอดคอกันอำลา เนื่องจากถูกเลิกจ้างว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความเป็นห่วงลูกจ้างของบริษัท มิตซูบิชิฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างในครั้งนี้ จึงกำชับให้กระทรวงแรงงานเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ไม่ได้เป็นการเลิกจ้างปิดกิจการ แต่เป็นโครงการให้ลูกจ้างสมัครใจลาออก โดยมีผลตอบแทนเป็นเงินชดเชยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด คือ 16-37 เดือน ทำให้ลูกจ้างสนใจสมัครเข้าโครงการจำนวนมากถึง 970 คนเกินยอดที่ตั้งเป้าไว้แค่ 686 คน โดยส่วนใหญ่ต้องการนำเงินก้อนไปเปลี่ยนแผนชีวิต หรือไปประกอบอาชีพด้านอื่นแทน จึงไม่อยากให้คนที่ได้รับทราบข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง และคนไม่ทราบข้อมูลที่เป็นจริงจะตกใจว่าเศรษฐกิจไทยตกต่ำจนมีการเลิกจ้างงานจำนวนมาก ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น นายสุชาติ กล่าวว่า รายละเอียดและที่มาที่บริษัทมิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ เอเชีย จำกัด ต้องเปิดโครงการให้ลูกจ้างสมัครใจลาออก มีดังนั้น บริษัทฯมีลูกจ้างจำนวน 2,400 คน มีการปรับลดจำนวนลูกจ้างเนื่องจากมีคำสั่งซื้อลดลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีประกาศโครงการให้ลูกจ้างสมัครใจลาออก มีการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษเท่ากับค่าชดเชยตามกฎหมายและยังมีเงินเพิ่มพิเศษมากกว่ากฎหมายกำหนด โดยต่ำสุดที่ได้รับคนละ 16 เดือน สูงสุดได้รับคนละ 37 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563 จุดนี้จึงทำให้มีลูกจ้างสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 970 คน ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทอนุมัติ ให้สมัครใจลาออกจำนวน 686 คน ซึ่งบริษัทได้จ่ายเงินค่าช่วยเหลือพิเศษและเงินเพิ่มพิเศษให้กับลูกจ้างแล้วจำนวนประมาณ 560 ล้านบาท “เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า ทางบริษัทฯยังมีศักยภาพในการจ้างงานได้อีก เพียงแต่เสนอผลตอบแทนเป็นค่าชดเชยที่สูง จึงทำให้ลูกจ้างสนใจที่จะได้รับเงินก้อน ไม่ได้กลัวตกงาน และไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาจนมีการเลิกจ้างจำนวนมาก ทั้งนี้ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้จัดงาน JOB EXPO โดยรวบรวมงานกว่าล้านตำแหน่งมาให้กับนักศึกษาจบใหม่ และผู้ไม่มีงานทำได้สมัครเข้าทำงาน ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยกระทรวงแรงงานไม่เคยทอดทิ้งแรงงานที่ได้รับความเดือดร้อน” รมว.แรงงาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งระดมทุกหน่วยงานในสังกัด จัดทำข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Data) บูรณาการข้อมูลเน้นความสะดวกผู้ใช้งาน
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งระดมทุกหน่วยงานในสังกัด จัดทำข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Data) บูรณาการข้อมูลเน้นความสะดวกผู้ใช้งาน กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งระดมทุกหน่วยงานในสังกัด จัดทำข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Data) บูรณาการข้อมูลเน้นความสะดวกผู้ใช้งาน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดทำข้อมูลเปิดภาครัฐ ( Open Data) ของทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ณ ห้องประชุม MOC ชั้น 6 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ หลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประชุม อาทิ บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นต้น โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงฯได้ร่วมพิจารณาถึงการจัดเตรียมข้อมูลเปิดภาครัฐ และร่วมพิจารณาการจัดทำข้อมูลที่จะจัดส่งหรือเชื่อมโยงเพื่อเปิดเผยยังศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลเปิดภาครัฐ คือ “ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยต่อสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงและใช้ได้อย่างเสรี ไม่จำกัดแพลตฟอร์ม ไม่เสียค่าใช้จ่าย เผยแพร่ ทำซ้ำ หรือใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์” หรือสรุปได้ว่า คือ ข้อมูลภาครัฐที่ผ่านกระบวนการจัดลำดับชั้นความลับของข้อมูลแล้วว่าเป็น “ข้อมูลสาธารณะ” ผู้ใช้งานสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้งาน วิเคราะห์ หรือดัดแปลงได้ตามความต้องการ *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันร่างพ.ร.บ. กิจการอวกาศ สร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ​พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันร่างพ.ร.บ. กิจการอวกาศ สร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน ​พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันร่างพ.ร.บ. กิจการอวกาศ สร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 ต.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมด้วย รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งที่ประชุมว่า ไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก ประจำปี 2563 อยู่ที่ลำดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ สูงขึ้นกว่าเดิม 1 ลำดับ จากการประกาศผลของสถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development: IMD) สะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทย ที่พร้อมผลักดันนโยบายและขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศให้ดียิ่งขึ้น โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินการเฝ้าระวังและบริหารจัดการการจราจรทางอวกาศ (Space Situational Awareness and Space Traffic Management) ครั้งที่ 1/2563 และได้พิจารณา (ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศ พ.ศ. .... เพื่อให้ไทยสามารถก้าวสู่ยุคใหม่ของกิจการอวกาศ หรือ New Space Economy โดยมีการปรับปรุงแก้ไข 9 ประเด็น ได้แก่ 1. เพิ่มการพัฒนากิจการอวกาศเชิงพาณิชย์และความมั่นคงปลอดภัย 2. เพิ่มรายละเอียดการอนุญาต/การให้ใบอนุญาตในการดำเนินกิจการอวกาศและโครงสร้างพื้นฐานอวกาศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น 3. เพิ่มคำนิยามโครงสร้างพื้นฐานกิจการอวกาศและประเภทของดาวเทียมให้รวมถึงสิ่งที่อยู่ในอวกาศและภาคพื้นดิน 4. เพิ่มลักษณะประเภทอุตสาหกรรมดาวเทียม 5. เพิ่มวิธีการกำกับดูแล แบ่งปันข้อมูล การเรียกดูข้อมูล และสิทธิประโยชน์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการอวกาศ 6. เพิ่มรายละเอียดการดำเนินการเกี่ยวกับด้านวัตถุอวกาศ ได้แก่การค้นหาและการส่งคืน หรือยึดไว้ให้อยู่ในอำนาจของผู้แทนของรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศ 7. เพิ่มความรู้ด้านการศึกษา เป้าหมาย และแนวทางในการกำหนดนโยบายของกิจการอวกาศ 8. เพิ่มรายละเอียดอำนาจหน้าที่ของกิจกรรมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ให้มีอำนาจในการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ในประเด็นที่มีนัยสำคัญ เพื่อให้เกิดการดำเนินการต่อไปในทางปฏิบัติที่ชัดเจน และ 9. เพิ่มอำนาจหน้าที่ของสำนักงานกำกับดูแลกิจการอวกาศแห่งชาติ ให้เป็นหน่วยงานที่สามารถให้ทุนสนับสนุน และดำเนินกิจการอวกาศได้ นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศของประเทศ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการการทำงานโดยคำนึงถึงเป้าหมายที่ได้กำหนดในนโยบายรัฐบาล นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม ประชาชนผู้ใช้บริการ และเพื่อประโยชน์ของสาธารณะต่อไป ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35636
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 4)
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 4) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 4) ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 4) โดยมี นายพฤกษ์ ศิโรรัตนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 4 กรมโรงงานอุตสาหกรรม นายพิรัฐพล ตนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง Mr. Fujigaki Satoshi ผู้อำนวยการแผนกสิ่งแวดล้อม Ms. Yurugi Yoshiko ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชีย และเจ้าหน้าที่องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (NEDO) พร้อมทั้งผู้บริหารจากกลุ่มบริษัท โตโยต้าฯ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำหรับการประชุมรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ (ครั้งที่ 4) ที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าของโครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำคู่มือขั้นตอนการถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์ที่คำนึงถึงความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมฉบับสมบูรณ์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการซากรถยนต์ภายในประเทศต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด สสว. ไฟเขียวงบประมาณ 1,113 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด สสว. ไฟเขียวงบประมาณ 1,113 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ด สสว. ไฟเขียวงบประมาณ 1,113 ล้านบาท วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของการประชุมดังนี้ บอร์ด สสว. ได้เห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม งบประมาณปี 2564 ตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงินงบประมาณ 1113.0944 ล้านบาท สำหรับดำเนินการ 7 กิจกรรมตามแผนการดำเนินงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประกอบด้วย 1. ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ 2. พัฒนาวิสาหกิจรายย่อยให้ประกอบธุรกิจอย่างมืออาชีพ (Micro) 3. พัฒนาวิสาหกิจขนาดย่อมให้ก้าวสู่ธุรกิจสมัยใหม่ (Small) 4. สนับสนุนให้บริการคำปรึกษา องค์ความรู้และข้อมูลสำหรับการประกอบธุรกิจของ MSME 5. จัดทำแผน พัฒนาฐานข้อมูลและสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนการส่งเสริม SME 6. ยกระดับการพัฒนาระบบข้อมูล SME และ 7. พัฒนาระบบการส่งเสริม SME ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่สำคัญของ สสว. มีเป้าหมาย ให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและผู้ประกอบการชุมชนได้รับการยกระดับเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จำนวน 216,562 ราย และมีตัวชี้วัดคือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและผู้ประกอบการชุมชนที่ได้รับการพัฒนา สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่น้อยกว่า 3,887.9100 ล้านบาท นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2563 และรับทราบเรื่องการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมรัฐมนตรีเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (APEC SME Ministerial Meeting) ครั้งที่ 28 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 4-9 กันยายน พ.ศ. 2565 โดยจะกำหนดสถานที่จัดงานในลำดับต่อไป ซึ่งการประชุมรัฐมนตรีเอเปควิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นการประชุมระดับนโยบายด้านการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ในด้านบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ และในด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท รางวัลเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ในด้านบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ และในด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท รางวัลเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ในด้านบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ และในด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท รางวัลเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) ในวันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมถอดบทเรียนพัฒนางานสู่รางวัลแห่งความเป็นเลิศ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์พัฒนางาน และผลักดันการดำเนินงาน สู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ในโอกาสที่สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จาก สำนักงาน ก.พ.ร. จำนวน ๒ รางวัล ประกอบด้วย ๑) รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ชื่อผลงาน "Justice Care ยุติธรรมใส่ใจ" อยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐ ที่มีผลการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อประชาชน ได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นที่พึงพอใจ และ ๒) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภท รางวัลเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) อยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับหน่วยงานของรัฐเพื่อสร้างแรงจูงใจและขวัญกำลังใจ ในการเปิดระบบราชการให้ประชาชน และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่การให้ข้อมูลข่าวสาร (Inform) การรับฟังความคิดเห็น (Consult) การเข้ามาเกี่ยวข้อง (Involve) ไปจนถึง การสร้างความร่วมมือ (collaboration) สำหรับ "รางวัลเลิศรัฐ" เป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มอบให้กับหน่วยงานของรัฐที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจในการพัฒนาประสิทธิภาพ การบริหารราชการ บนพื้นฐานความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อตอบสนองความต้องการ ของประชาชนได้อย่างแท้จริง ****************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัยร่วมงาน “วันคล้ายวันสถาปนากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ครบรอบ 18 ปี”
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ปลัดฯ กอบชัยร่วมงาน “วันคล้ายวันสถาปนากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ครบรอบ 18 ปี” นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน “วันคล้ายวันสถาปนากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ครบรอบ 18 ปี” ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน “วันคล้ายวันสถาปนากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ครบรอบ 18 ปี” และร่วมพิธีทางศาสนา โดยมี นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เป็นผู้แทนรับมอบ ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอรับรางวัลศูนย์ราชการสะดวก
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 บีโอไอรับรางวัลศูนย์ราชการสะดวก บีโอไอรับรางวัลศูนย์ราชการสะดวก บีโอไอรับรางวัลศูนย์ราชการสะดวก นายวรกาญจน์ โกศลพิศิษฐ์กุล ผู้อำนวยการศูนย์บริการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 2 จากซ้ายแถวหน้า) เป็นผู้แทนรับมอบโล่และตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานการให้บริการ “ศูนย์ราชการสะดวก (GECC)” ระดับสีฟ้า จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดยเป็นรางวัลสำหรับการให้บริการนักลงทุนในส่วนการอนุญาตผู้ชำนาญการต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ชำนาญการที่ปฏิบัติงานในโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงนามแสดงความเสียใจเนื่องจากเจ้าผู้ครองรัฐคูเวตเสด็จสวรรคต
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีลงนามแสดงความเสียใจเนื่องจากเจ้าผู้ครองรัฐคูเวตเสด็จสวรรคต นายกรัฐมนตรีลงนามแสดงความเสียใจเนื่องจากเจ้าผู้ครองรัฐคูเวตเสด็จสวรรคต วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) เวลา 11.00 น. ณ สถานเอกอัครราชทูตคูเวตประจำประเทศไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปลงนามแสดงความเสียใจ กรณี His Highness Sheikh Sabah Al-Ahmad Al-Jaber Al-Sabah เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตเสด็จสวรรคต โดยภายหลังการลงนามนายกรัฐมนตรีได้หารือกับ นายมุฮัมมัด ฮุซัยน์ เอ็ม เอ อัลฟัยลากาวี (Mr. Mohammad Husain Alfailakawi) เอกอัครราชทูตรัฐคูเวตประจำประเทศไทย นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจกับประเทศและประชาชนคูเวตต่อการสูญเสียนี้ และขอถวายพระพรแด่ เชค นาวาฟ อัลอะห์มัด อัลญาบิร อัศเศาะบาฮ์ (His Highness Sheikh Nawaf Al-Ahmad Al-Jaber Al-Sabah) เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตพระองค์ใหม่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันพร้อมกระชับความร่วมมือระหว่างไทย-คูเวตในทุกมิติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.และ รมว.กห. แสดงความเสียใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใน 3 จชต.
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นรม.และ รมว.กห. แสดงความเสียใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุลอบวางระเบิดใน 3 จชต. พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห.เปิดเผยวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้กล่าวแสดงความเสียใจกับกำลังพลและครอบครัวของทหาร ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จากเหตุลักลอบวางระเบิดของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ อ.เทพา จว.สงขลา เมื่อ 1 ต.ค.63 ที่ผ่านมา ระหว่างการปฏิบัติการสับเปลี่ยนกำลัง เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ 3 จชต. โดย นรม.และ รมว.กห. ได้กำชับ ผอ.รมน.ภาค 4 (ส่วนหน้า) ให้ช่วยเหลือดูแลการรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มกำลัง และให้การสนับสนุนช่วยเหลือครอบครัวกำลังพลที่เสียชีวิตในการประกอบพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติงานโดยไม่ประมาท และติดตามบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมความปลอดภัยของพื้นที่ 3 จชต.ในภาพรวม ให้เกื้อกูลกับความพยายามของรัฐบาลที่กำลังพัฒนาและยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35639
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนการจำหน่ายสินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขัง ผ่านช่องทางออนไลน์ " E-marketplace "
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนการจำหน่ายสินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขัง ผ่านช่องทางออนไลน์ " E-marketplace " กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนการจำหน่ายสินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของผู้ต้องขัง ผ่านช่องทางออนไลน์ " E-marketplace " ในวันศุกร์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าและเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ของผู้กระทำผิด ผ่านช่องทางออนไลน์ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ในระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) เพื่อพิจารณาความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผู้ต้องขังบนเว็บสื่อกลางการจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์ (E-marketplace) โดยมี คณะทำงานกำกับทิศทางและติดตามประเมินผลการดำเนินงานปรับปรุงภาพลักษณ์สินค้าฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารการขาย อาทิ การปรับเปลี่ยนราคาสินค้า การขนส่งสินค้ามายังคลัง การเก็บข้อมูลสินค้า เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35640
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี ในงาน "ชมจันทร์ สานสัมพันธ์ ไทย-จีน" เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี ในงาน "ชมจันทร์ สานสัมพันธ์ ไทย-จีน" เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี ในงาน "ชมจันทร์ สานสัมพันธ์ ไทย-จีน" เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี ในงาน "ชมจันทร์ สานสัมพันธ์ ไทย-จีน" เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ และวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี Mr.Gu Hongxing (นายกู้ หงชิง) ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ควบตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ให้การต้อนรับ และมี นายกร ทัพพะรังสี นายกสมาคมมิตรภาพไทย-จีน นายพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ คณะทูตานุทูต ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศจีน ณ กรุงเทพฯ ถนนเทียมร่วมมิตร กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การเตรียมคนไทยสู่ศตรวรรษที่ 21
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นโยบายเร่งด่วน การเตรียมคนไทยสู่ศตรวรรษที่ 21 วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ นโยบายเร่งด่วนการเตรียมคนไทยสู่ศตรวรรษที่ 21 ของรัฐบาล ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา ได้สร้างนักวิจัยและนวัตกรด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ผ่านโครงการพัฒนานโยบายกำลังคนและการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI for Thai /พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น จัดการเรียนรู้สะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพทางคณิตศาสตร์ครูผู้สอนระดับปฐมวัยด้วยจินตคณิต พัฒนาหลักสูตรออนไลน์ของสถาบันการศึกษา เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ยังปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่จำเป็นในการใช้ชีวิต เฝ้าระวังเว็บไซต์ไม่เหมาะสม และเปิดช่องทางเพจข่าวจริงประเทศไทย ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสารว่าจริงหรือเท็จภายใน 24 ชั่วโมง เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35626
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดเมดิคัล ฮับ เห็นชอบจัดตั้ง Wellness Quarantine เตรียมเสนอเปิดสนามบิน 4 แห่งรับต่างชาติรักษา
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 บอร์ดเมดิคัล ฮับ เห็นชอบจัดตั้ง Wellness Quarantine เตรียมเสนอเปิดสนามบิน 4 แห่งรับต่างชาติรักษา คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบจัดตั้งสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพ รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต เตรียมเสนอเปิดสนามบินหลัก 4 แห่ง ในจังหวัดท่องเที่ยว ด่านบกและด่านน้ำรวม 4 แห่ง รองรับผู้ป่วยต่าง คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบจัดตั้งสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพ รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต เตรียมเสนอเปิดสนามบินหลัก 4 แห่ง ในจังหวัดท่องเที่ยว ด่านบกและด่านน้ำรวม 4 แห่ง รองรับผู้ป่วยต่างชาติเข้ามารักษา เตรียมเสนอ ศบค.เห็นชอบต่อไป พร้อมจัดทำแพคเกจพิเศษ Shopping Online วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 2/2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการเรื่องการจัดตั้งสถานกักกันในกิจการเพื่อสุขภาพ (Wellness Quarantine :WQ) เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวตามนโยบาย Wellness Program โดยอยู่ระหว่างการรับสมัครกิจการเมดิคอลสปาและกิจการเพื่อสุขภาพอื่นๆ เข้าร่วมโดยจะต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนด และกักกันตัว 14 วัน ซึ่งประมาณการว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 195 ล้านบาท หลังจากที่มีการดำเนินการเรื่องสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine : AHQ) มาตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎราคม 2563 ในการรองรับผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามารับการรักษาในประเทศไทยแล้วมีผลการดำเนินการที่ดี โดยมีชาวต่างชาติเข้ามารับการรักษาแล้ว 1,120 ราย เกิดรายได้ 114 ล้านบาท และกำลังจะเดินทางเข้ามาอีก 2,220 ราย ประมาณการรายได้อีก 360 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเห็นชอบในหลักการเรื่องการเตรียมเปิดสนามบินหลักอีก 4 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย และอู่ตะเภา เพื่อรองรับการดำเนินการเรื่อง Medical Program รับผู้ป่วยชาวต่างชาติมารักษาในลักษณะของเที่ยวบินเช่าเหมาลำ การเปิดด่านทางบก 2 แห่ง คือ ด่านบ้านแหลม และด่านบ้านหาดเล็ก จ.จันทบุรี และด่านทางน้ำ 2 แห่ง คือ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด โดยจะต้องเสนอไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 หรือ ศบค.เห็นชอบต่อไป รวมถึงเห็นชอบการจัดทำแพคเกจพิเศษ Shopping Online สำหรับผู้ที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในโครงการ AHQ เน้นสินค้ากลุ่มสมุนไพรและโอทอป รวมทั้งยังรับทราบโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยว เชิงสุขภาพระดับโลก ************************** 2 ตุลาคม 2563 **************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมต. อนุชา มอบโล่และตรารับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกปี 63 หวังให้พัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศในรูปแบบของราชการดิจิทัล เน้นสร้างความน่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว ปชช.เข้าถึงง่าย
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ​รมต. อนุชา มอบโล่และตรารับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกปี 63 หวังให้พัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศในรูปแบบของราชการดิจิทัล เน้นสร้างความน่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว ปชช.เข้าถึงง่าย ​รมต. อนุชา มอบโล่และตรารับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกปี 63 หวังให้พัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศในรูปแบบของราชการดิจิทัล เน้นสร้างความน่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว ปชช.เข้าถึงง่าย วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมคอนเวนชั่น ชั้น 4 อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ นายอนุชานาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบโล่และตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี พ.ศ. 2563 ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวกประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการให้บริการประชาชนของหน่วยงานของรัฐที่มีการให้บริการ ด้วยความ “สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย” ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ส่วนราชการบริการพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการ เพราะข้าราชการคือกำลังหลักคือหัวใจสำคัญของหน่วยงาน ซึ่งภาครัฐต้องดูแลข้าราชการให้ดีที่สุดเช่นกัน เพราะในที่สุดแล้วการบริการดังกล่าวจะเป็นดัชนีชี้วัดความพึงพอใจของประชาชนต่อรัฐบาลและระบบราชการ โดยในปีนี้มีหน่วยงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน จำนวน 455 ศูนย์ ได้แก่ หน่วยงานราชการ จำนวน 143 ศูนย์ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจำนวน 312 ศูนย์ โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับทุกหน่วยงานที่ได้รับโล่และตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี พ.ศ. 2563 และขอให้ผู้บริหารแต่ละหน่วยงานตระหนักในการมุ่งมั่นพัฒนาปรับปรุงและรักษามาตรฐานการให้บริการประชาชนของศูนย์ราชการสะดวกให้ยั่งยืนตลอดไป รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย ปัจจุบันรัฐบาลมีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาการบริการประชาชนโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเน้นการปรับเปลี่ยนราชการสู่ความเป็นดิจิทัล โดยใชเนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย รวดเร็ว แม่นยำ ลดความซ้ำซ้อน และสามารถเชื่อมโยงการบริการของหน่วยงานรัฐได้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งการปรับเปลี่ยนราชการสู่ความเป็นดิจิทัลมีพื้นฐานสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ 1. การบูรณาการภาครัฐ 2. การดำเนินงานแบบอัจฉริยะ 3. การให้บริการโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และ 4. การสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ การขับเคลื่อนสู่การเป็นราชการดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญในการเสริมให้การบริการประชาชน เกิดความ “สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ การดำเนินการศูนย์ราชการสะดวกเป็นการดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการและประชาชนสามารถเข้าถึงการใหเบริการของภาครัฐ เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปการทำงานของราชการ หน่วยงานที่ได้รับการรับรองฯ ต้องรักษาการบริการให้มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ และพัฒนาแนวทางหรือนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในการบริการประชาชนเพื่อพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศในรูปแบบของราชการดิจิทัลมากขึ้น เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ ทำใหเประชาชนเชื่อมั่นว่าสถานที่ดังกล่าวสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย ได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี ---------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35631
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2563 วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2563 วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ซูดานใต้ 1 ราย, อินเดีย 2 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด,สถานกักกันรูปแบบเฉพาะขององค์กร และคัดกรองที่ด่านฯ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 5 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,384 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.66 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 132 ราย หรือร้อยละ 3.69 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,575 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ซูดานใต้ 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 34 ปี อาชีพรับราชการทหาร (ปฏิบัติภารกิจทางทหาร) เดินทางถึงประเทศไทยโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ผลไม่ชัดเจน ตรวจซ้ำอีกครั้ง วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 8 ของการกักตัว) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารที่กรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 24 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล อินเดีย 2 ราย ทั้งหมดมีสัญชาติอินเดีย รายแรกเป็นเพศชาย อายุ 7 เดือน เดินทางมาพร้อมกับมารดาและพี่สาว (ตรวจพบเชื้อเช่นเดียวกัน) เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 6 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล อีกราย เป็นเพศชาย อายุ 23 ปี อาชีพนักศึกษา เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานกักกันรูปแบบเฉพาะขององค์กร (Organization Quarantine) ที่จังหวัดปทุมธานี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 30 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 4 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 รายเป็นพี่-น้อง อายุ 29 และ 42 ปี สัญชาติไทย อาชีพพนักงานนวด เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 29 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ญี่ปุ่น 1 รายเป็นเพศชาย อายุ 56 ปี สัญชาติไทย อาชีพค้าขาย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 ด่านควบคุมโรคท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคัดกรองพบเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรค (PUI) จึงตรวจหาเชื้อในวันเดียวกัน ผลพบเชื้อ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ เริ่มป่วยวันที่ 29 กันยายน 2563 ด้วยอาการไข้ ไอ เจ็บคอ นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกรายงานวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 319,406 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกกว่า 34.5 ล้านราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับรายงานมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะต่ำกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจริงค่อนข้างมาก ซึ่งมีนักวิชาการคาดการณ์ว่าทั่วโลกน่าจะมีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 100 ล้านคน สำหรับประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ดี เนื่องจาก มีระบบควบคุมโรคที่เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับเอเชียและระดับโลก ทีมควบคุมโรคลงพื้นที่เริ่มปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคที่เร็วซึ่งมีผลโดยตรงต่อการควบคุมการแพร่ระบาด อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ช่วยทำงาน ทีมนักวิชาการที่ช่วยในด้านการตัดสินใจ ภาวะการนำตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับพื้นที่ที่เข้มแข็ง สำคัญที่สุดคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชน ประชาสังคม ชุมชน หมู่บ้าน ประชาชน ที่ปฏิบัติตามมาตรการและให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดในระลอกแรกได้เป็นอย่างดี และยังไม่เกิดการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 สำหรับสถานการณ์ที่น่าจับตามองในขณะนี้คือ สถานการณ์ในประเทศเมียนมาที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการระบาดเริ่มใกล้พรมแดนไทยมากขึ้น ซึ่งภาครัฐได้กวดขันผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทางด่านพรมแดน เฝ้าระวัง ตรวจจับ แรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านมาตรการคัดกรองโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ และประชาชนช่วยกันสอดส่องหากพบผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือมีแรงงานผิดกฎหมายขอเข้าทำงานให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว เนื่องจากกลุ่มนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และเศรษฐกิจของประเทศ “โควิดไม่ได้ส่งกระทบต่อสุขภาพทางตรงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยทางอ้อม ทั้งวิถีการดำรงชีวิต วิถีทางสังคม เศรษฐกิจ หรือรายได้ ดังนั้นขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ป้องกันตนเอง ครอบครัว ชุมชน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้มากที่สุด” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ********************************* 2 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข 5 กิจกรรม
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 สธ.สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข 5 กิจกรรม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขผ่าน 5 กิจกรรม ทั้งโรคระบาดอุบัติใหม่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สังคมผู้สูงอายุ ระบบหลักประกันสุขภาพ และเขตสุขภาพ ด้านคณะกรรมการปฏิรูปฯ เสนอแก้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 12 ข้อ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขผ่าน 5 กิจกรรม ทั้งโรคระบาดอุบัติใหม่ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สังคมผู้สูงอายุ ระบบหลักประกันสุขภาพ และเขตสุขภาพ ด้านคณะกรรมการปฏิรูปฯ เสนอแก้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 12 ข้อ แยกงบป้องกันโรคออกจากงบรักษาเพิ่มสัดส่วนเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ ขับเคลื่อนงาน HR ทุกองค์กรทำเรื่องส่งเสริมสุขภาพ เดินหน้าการรักษาที่บ้าน นำเสนอที่ประชุมร่วมปฏิรูปประเทศ 15 ตุลาคมนี้ วันนี้ (2 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ประชุมหารือขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข และกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ได้นำเสนอแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขฉบับปรับปรุงใหม่ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นไปแล้วเมื่อวันที่ 2-3 กันยายน 2563 โดยนำแผนปฏิรูปประเทศของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขชุดนายแพทย์เสรี ตู้จินดา เป็นประธาน ซึ่งมี4 ด้าน 10 ประเด็น มาปรับปรุงต่อยอดเป็นกิจกรรมการปฏิรูป 5 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โรคระบาดระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ 2.โรคไม่ติดต่อเรื้อรังและการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค 3.ระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุด้านการบริบาล การรักษาพยาบาลที่บ้านหรือชุมชน 4.ระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อความเป็นเอกภาพและยั่งยืน และ 5.ระบบบริหารจัดการเขตสุขภาพแบบบูรณาการให้มีความคล่องตัวร่วมกับท้องถิ่น นายอนุทินกล่าวว่า แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขดำเนินการเป็นทีม โปร่งใส เปิดเผย และชัดเจน โดยเป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขทั้งประเทศ ไม่ใช่การปฏิรูปแค่กระทรวงสาธารณสุข แต่รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน จะใช้จุดแข็งทุกด้านของระบบสาธารณสุขในการผลักดันให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งได้ให้ข้อเสนอว่า การปฏิรูปต้องคำนึงถึงเรื่องการวิจัยและพัฒนาระบบสาธารณสุข ทั้งด้านยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านสุขภาพของประเทศ รวมถึงต้องใช้วิกฤตของโรคโควิด 19 มาพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยให้เป็นตัวนำทุกสิ่งในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิต หากมีพื้นฐานระบบสาธารณสุขที่ดีจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ซึ่งตนพร้อมที่จะช่วยผลักดันในการนำเสนอแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ด้านศ.คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์อุดม คชินทร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่า การปฏิรูปการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โรคระบาดระดับชาติและโรคติดต่ออุบัติใหม่ มีเป้าหมายให้เกิดระบบการจัดการที่ครบวงจรและบูรณาการของประเทศ ตอบโต้ภาวะฉุกเฉินได้ทุกภัยในปี 2564 และมีข้อเสนอ 12 ข้อในการปรับปรุง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุม ไม่สามารถบัญชาหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดการบูรณาการขึ้นได้ จึงเป็นที่มาของการต้องใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งการแก้ไข พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จะเป็นการรับมือกับโรคระบาดอื่นๆ ในอนาคตด้วย สำหรับการปฏิรูปเรื่องโรคไม่ติดต่อ เนื่องจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลกและคนไทย โดยมากกว่าร้อยละ 50 มาจากพฤติกรรมสุขภาพ โดยประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วนรายใหม่ในรอบ 5 ปี จำนวน 1.5 ล้านคน และโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ 2 ล้านคน เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาจำนวนมาก หากมีการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคที่ดี จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก จึงเสนอปรับสัดส่วนงบประมาณ โดยงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคจากเดิมที่อยู่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ และงบรักษาพยาบาล 70 เปอร์เซ็นต์ เป็น 35 เปอร์เซ็นต์ และแยกงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคออกจากงบรักษาพยาบาล นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีนโยบายในที่ทำงาน (Workplace Policy) โดยให้ทุกองค์กรทั้งรัฐและเอกชนในส่วนของงานทรัพยากรบุคคล (HR) ดูแลส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคบุคลากรของตนเอง ขณะที่เรื่องผู้สูงอายุตั้งเป้าหมายให้มีการบริบาล การรักษาพยาบาลที่บ้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ โดยบูรณาการร่วมกับทีมแพทย์ประจำครอบครัว โดยนำระบบนี้ไปใช้ทั่วประเทศภายในปี 2565 ในการปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพจะบูรณาการระบบบริหารจัดการ 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ ได้แก่ กองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้เป็นเอกภาพ มีกลไกการจ่ายเพื่อใช้ร่วมกันในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการดูแลระยะยาวที่บ้านหรือชุมชน สำหรับการปฏิรูปเขตสุขภาพเน้นให้มีความคล่องตัว รับผิดชอบร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพประชาชน ทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และทรัพยากรต่างๆ โดยจะนำร่องในเขตสุขภาพ 4 แห่งในปี 2564 ทั้งนี้ แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขจะเสนอให้ที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะพิจารณาในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 หากผ่านจะนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาในต่อไป และนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 หากเห็นชอบจะรายงานรัฐสภาทราบและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือนธันวาคม 2563 ตามลำดับ ******************************** 2 ตุลาคม 2563 ********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35642
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. รับรางวัลหน่วยงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ประจำปี 2563
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 กกจ. รับรางวัลหน่วยงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ประจำปี 2563 กรมการจัดหางาน ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 2563 กรมการจัดหางาน ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี 2563 จำนวน 2 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย จังหวัดเชียงใหม่ (Chiangmai Provincial Smart Job Center) และ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 7 วันที่ 2 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุมคอนเวนชั่น ชั้น 4 อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน มอบหมาย นายยุทธนา บัวจุน ผู้ตรวจราชการกรมเข้ารับมอบโล่และตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก ประจำปี 2563 จากนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกรมการจัดหางานได้รับทั้งสิ้น จำนวน 2 รางวัล คือ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยจังหวัดเชียงใหม่ (Chiangmai Provincial Smart Job Center) ได้รับรางวัลระดับเงิน (ระดับก้าวหน้า) และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 7 ได้รับรางวัลระดับฟ้า (ระดับพื้นฐาน) โดยในปีนี้มีหน่วยงานส่งเข้ารับการประเมิน จำนวนทั้งสิ้น 1,461 ศูนย์ และหน่วยงานที่ผ่านการตรวจประเมิน และรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ประจำปี พ.ศ. 2563 จำนวน 455 ศูนย์ สำหรับการจัดหางานในครั้งนี้จัดขึ้นโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน จากคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก และเพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกหน่วยงานเกิดแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสู่การบริการประชาชนที่เป็นเลิศ รวมทั้งเพื่อเผยแพร่ผลงานของหน่วยงาน ที่มุ่งพัฒนา เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์ราชการสะดวกแก่ประชาชน "กรมการจัดหางานจะพัฒนาการทำงานของหน่วยงานในสังกัด ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น และบริการประชาชนให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย เพื่อรักษามาตรฐานในการเป็นศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ที่ยั่งยืนต่อไป" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นโยบายเร่งด่วน มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และสนับสนุนให้คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยเฉพาะ“เมืองหลัก”“เมืองรอง”และ“การท่องเที่ยวชุมชน” เพื่อกระจายรายได้ในรูปแบบเศรษฐกิจแบ่งปัน รวมถึงขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ให้เป็นวาระแห่งชาติ เสริมสร้างนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ส่งเสริมตลาดพาณิชย์ดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.com เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจทางออนไลน์ 354 คู่ สร้างมูลค่าการค้ารวม 1,845 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังออก พ.ร.ก. กูเงิน 1 ลานลานบาทเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และดูแลเศรษฐกิจของประเทศ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35627
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยฝึกซ้อมต่อเนื่อง แผนจัดการวิกฤตกระทบความมั่นคงประเทศ
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยฝึกซ้อมต่อเนื่อง แผนจัดการวิกฤตกระทบความมั่นคงประเทศ นายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยฝึกซ้อมต่อเนื่อง แผนจัดการวิกฤตกระทบความมั่นคงประเทศ วันที่ 2 ต.ค.63 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญและสั่งการให้ทุกส่วนราชการเตรียมความพร้อมในการบริหารราชการภายใต้สถานการณ์วิกฤต ซึ่งรัฐบาลได้มีการกำหนดและดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2562–2565 โดยมีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และในปี 2563 แม้มีช่วงของการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้การฝึกในบางเรื่องต้องเลื่อนออกไป แต่รัฐบาลได้จัดการฝึกบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ (C-MEX 20) ถึง 3 ครั้ง ประกอบด้วย 1) การฝึกประเด็นการบริหารจัดการสาธารณภัยจากปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ (เดือนมกราคม) 2) การฝึกประเด็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และ 3) การฝึกประเด็นการต่อต้านการก่อการร้าย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้นำแผนเผชิญเหตุของหน่วยงานมาทดสอบเพื่อทราบจุดแข็งและจุดอ่อน ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการภัยตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ สังคม และชุมชนภายหลังการแก้ไขปัญหา สำหรับการฝึกในอนาคตจะนำปัญหาอุปสรรคและแบบอย่างที่ดีที่ได้รับจากการฝึกครั้งที่ผ่านมาไปพัฒนาให้การฝึกในครั้งถัดไปมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น โดยอาจเพิ่มประเด็นการรับมือกับโรคที่อุบัติใหม่รวมถึงการป้องกัน และการปราบปรามการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอนุภาพทำลายล้างสูงทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ส่วนราชการเต็มที่กับการฝึกการบริหารภายใต้สถานการณ์วิกฤตด้านต่าง ๆ เพื่อประชาชนจะได้มีความเชื่อมั่นและสบายใจในศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐที่สามารถรับมือกับภัยคุกคามความมั่นคงทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ นายกฯ ยังได้กำชับด้วยว่า การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหัวใจสำคัญ ต้องสอดประสานกันอย่างชัดเจนตามแผนและแนวปฏิบัติ เพื่อช่วยป้องกันความสับสนเมื่อเกิดสถานการณ์จริง รวมทั้งเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน และเป็นไปตามมาตรฐานสากล การทบทวนฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องจำเป็นและรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) เป็นอย่างไร ??
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 การอนุญาตให้ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) เป็นอย่างไร ?? มาดูกันเลย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งจะเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 23 ต.ค. 63 นี้
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 โครงการคนละครึ่งจะเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 23 ต.ค. 63 นี้ ขณะนี้โครงการคนละครึ่งมีความพร้อมรองรับะเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 23 ต.ค.2563 เป็นต้นไป ซึ่งช่วงเช้าวันที่ 21 ต.ค.2563 มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 6,733,557 คน ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบซึ่งได้รับสิทธิใช้จ่ายตามโครงการจำนวน 6,402,927 คน นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการคนละครึ่งมีความพร้อมในการรองรับระบบการใช้จ่ายของประชาชนที่จะเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 23 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งช่วงเช้าของวันที่ 21 ตุลาคม 2563 มีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน 6,733,557 คน ในจำนวนนี้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบซึ่งได้รับสิทธิใช้จ่ายตามโครงการจำนวน 6,402,927 คน ยังคงเหลือสิทธิให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อีกกว่า 3 ล้านคน ประชาชนที่ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้ว ขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย จากนั้นเติมเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการเข้าไปในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ก็จะสามารถใช้สิทธิซื้อสินค้ากับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการได้ทันที ระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 ในช่วงเวลา 06.00 น. – 23.00 น. โดยสำหรับการใช้จ่ายแต่ละครั้งรัฐจะร่วมจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อวัน และไม่เกิน 3,000 บาท ตลอดระยะเวลาโครงการ เช่น การใช้จ่ายในครั้งแรกหากท่านต้องการจ่ายค่าอาหาร 200 บาทท่านต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” อย่างน้อย 100 บาท เพื่อสแกนจ่ายเงินกับร้านค้า “ถุงเงิน” และรัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้าอีก 100 บาท ซึ่งท่านจะเหลือวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐ 2,900 บาท หรือหากท่านจะใช้จ่ายค่าสินค้าจำนวน 400 บาท ท่านต้องมีเงินใน “เป๋าตัง” อย่างน้อย 250 บาท รัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้า 150 บาท และท่านจะเหลือวงเงินร่วมจ่ายจากรัฐ 2,850 บาท สำหรับร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบเข้าร่วมโครงการและมีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว ขอให้อัพเดทแอปพลิเคชันให้เป็นปัจจุบันและกดปุ่มยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขโครงการผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวก่อนด้วย เพื่อให้พร้อมรับการสแกนจ่ายเงินด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ของประชาชนได้อย่างราบรื่น โดยขณะนี้มีร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 300,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งประชาชนสามารถสังเกตร้านค้าดังกล่าวจากสัญลักษณ์โครงการคนละครึ่งที่หน้าร้านค้า หรือค้นหารายชื่อและที่ตั้งร้านค้าได้จากเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com อีกทางหนึ่ง รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวย้ำว่า ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ต่อเนื่องทุกวัน ในช่วงเวลา 06.00 - 23.00 น. จนกว่าจะครบ 10 ล้านคน ส่วนผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือ ณ สาขาหรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยกำลังเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกในการรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจโดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอยเข้าร่วมโครงการในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้มีร้านค้ารองรับการใช้จ่ายของประชาชนจำนวนมากที่สุด โครงการคนละครึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.แรงงาน ถกประเด็นเทรนผู้พิการ สร้างอาชีพ และความเสมอภาค
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 รมช.แรงงาน ถกประเด็นเทรนผู้พิการ สร้างอาชีพ และความเสมอภาค รมช.แรงงาน หารือตัวแทนคนพิการ 5 ประเภท หาแนวทางช่วยเหลือคนพิการ 3 มิติ ได้แก่ การฝึกอาชีพ การมีงานทำและความเสมอภาคทางสังคม ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือ ความต้องการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการรองรับการประกอบอาชีพ โดยมีผู้แทนคนพิการ 5 ประเภทเข้าร่วมประชุม เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ ปัญหา อุปสรรคและความต้องการความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทักษะเพื่อรองรับการประกอบอาชีพของคนพิการ ประกอบด้วย ผู้แทนจาก สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม(ไทย) ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมากต่อการช่วยเหลือดูแลคนพิการ โดยมอบหมายให้กระทรวงแรงงานบูรณาการกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือให้คนพิการและครอบครัว มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นไปตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ภายใต้ภารกิจของกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทักษะให้กับคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง แต่การดำเนินงานเพียงหน่วยงานเดียวนั้น ไม่สามารถช่วยเหลือผู้พิการที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้อย่างทั่วถึง จึงต้องบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จึงต้องร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมขึ้น โดยมีตัวแทนสมาคมคนพิการร่วมเป็นคณะอนุกรรมการร่วมดังกล่าวด้วย เพื่อเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช) พิจารณาแต่งตั้งอีกครั้ง และในวันนี้จัดประชุมขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่คนพิการ ความต้องการที่จะให้ภาครัฐช่วยเหลือ ทั้งการฝึกทักษะ การจ้างงานและการสร้างความเสมอภาค และจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นี้ ที่ประชุมได้เสนอข้อมูลและประเด็นต่างๆ เช่น ภาครัฐมีความต้องการจ้างงานคนพิการประมาณ 8,000 อัตรา แต่พบว่าไม่สามารถจัดหาคนพิการที่มีสมรรถนะตรงกับความต้องการได้ จึงเสนอให้มีการวิเคราะห์ตัวเลขดังกล่าวและหาแนวทางที่จะผลักดันให้คนพิการเข้าไปทำงานในภาครัฐได้ และภาครัฐควรเป็นตัวอย่างในการจ้างงานคนพิการ เพิ่มอัตราการจ้างให้สูงขึ้นเป็น 100 คน : 2 คน ขาดฐานข้อมูลการจ้างงานคนพิการ การส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการที่ต้องจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานเมื่อมีการจ้างคนพิการเข้าทำงาน นายจ้างบางส่วนที่ยังไม่ดำเนินการ จึงอยากให้กระทรวงแรงงานสร้างความเข้าใจให้นายจ้างกลุ่มดังกล่าว ส่วนกลุ่มคนพิการที่ไม่เห็นเชิงประจักษ์ เช่น ออทิสติก กลุ่มนี้ต้องการการฝึกอบรมอาชีพ เช่น การฝึกอาชีพหลัง New Normal รวมถึงการมีระบบ Job coach (มีพี่เลี้ยง) / Job Club ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเสนอให้ช่วยผลักดันให้เอกชนจ้างงานคนพิการทุกประเภท เพื่อให้คนพิการที่ไม่เห็นประจักษ์ได้มีโอกาสเข้าทำงาน โดยต้องเป็นการจ้างงานอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การจ้างแบบปีต่อปี บูรณาการ ร่วมกันระหว่างหน่วยงานฝึกอบรมคนพิการหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือองค์การคนพิการเข้ามาร่วมกำกับดูแล จัดการฝึกอบรมให้ได้มาตรฐาน พัฒนาทักษะอาชีพคนพิการให้มีทักษะอาชีพที่หลากหลายขึ้น เช่น คนตาบอด จะต้องประกอบอาชีพได้มากกว่าการเป็นพนักงานนวด เช่น อาชีพโปรแกรมเมอร์ การขายออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ หากคนพิการได้รับการฝึกอย่างจริงจัง จะสามารถเข้าทำงานในภาคเอกชนได้มากขึ้น ยกระดับคนพิการสู่ Social Enterprise มีการจัดมหกรรมสินค้าคนพิการเพื่อพิจารณาว่าสินค้าใดควรได้รับการสนับสนุนต่อไป โดยจัดหาตลาดรองรับการจำหน่ายสินค้าเหล่านั้น ตลอดจน ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ภาคเอกชนในการจ้างงานคนพิการ ประเด็นด้านอื่นๆ หากสามารถช่วยผลักดันและนำเสนอต่อรัฐบาลคือ ในเรื่องเบี้ยยังชีพ ให้คนพิการได้มีโอกาสเข้าถึงเบี้ยยังชีพคนพิการอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคนพิการ การแบ่งโควต้าฉลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับคนพิการ เพื่อให้คนพิการได้เข้าถึงการประกอบอาชีพได้อย่างแท้จริง “การขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือคนพิการ จะสำเร็จได้เกิดจากความร่วมมือของทุกๆ ฝ่าย เบื้องต้นขอให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ทำหน้าที่เป็นหลักและนำเสนอรายงานปัญหาอุปสรรคด้านการจ้างงานคนพิการในภาครัฐ เช่น เรื่องกรอบอัตรา งบประมาณ ให้นายกรัฐมนตรีรับทราบต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36103
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันแรกวันเดียว ยอดขาย 2,000 ล้านบาท!! สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 วันแรกวันเดียว ยอดขาย 2,000 ล้านบาท!! สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว ธอส.เผยยอดซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 24 เดือน หลังเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก (20 ต.ค. 63) ล่าสุด ณ เวลา 17.00 น. จำหน่ายได้แล้วเป็นจำนวนกว่า 400,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยยอดซื้อ “สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว” หน่วยละ 5,000 บาท ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 24 เดือน หลังเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก (20 ต.ค. 63) ล่าสุด ณ เวลา 17.00 น. จำหน่ายได้แล้วเป็นจำนวนกว่า 400,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว ซึ่งมีโอกาสถูกรางวัลสูง พร้อมลุ้นรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งเป็นรางวัลที่ไม่เคยมี ในสลากออมทรัพย์ที่ไหนมาก่อน นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ตามที่ธนาคารได้เปิดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท สลากชุดใหม่ล่าสุดของ ธอส. ที่ทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสลุ้นรางวัลมูลค่าสูงสุด 1 ล้านบาททุกเดือน ตลอดอายุสลาก 2 ปี โดยเริ่มจำหน่ายในวันนี้ (20 ตุลาคม 2563) เป็นวันแรก ผ่าน 2 ช่องทาง คือ Application : GHB ALL และที่ทำการสาขาทั่วประเทศ ล่าสุด ณ เวลา 17.00 น. พบว่า มีลูกค้าประชาชนซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส.ชุดเกล็ดดาว จำนวนกว่า 400,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว ซึ่งมีโอกาสในการถูกรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท/หมวด คิดเป็น 0.0045% นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว รางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว ซึ่งเป็นรางวัลที่ไม่เคยมีในสลากออมทรัพย์ที่ไหนมาก่อน หากซื้อสลาก 100 หน่วย หรือ 5 แสนบาท จะถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัวทุกงวด ทำให้เมื่อฝากครบ 2 ปี จะได้รับเงินรางวัลและผลตอบแทนหน้าสลากรวม 5,680 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 0.568% ต่อปี ไม่รวมผลตอบแทนที่อาจได้รับเพิ่มขึ้นจากการถูกรางวัลที่ 1-4 อีกด้วย ทั้งนี้ สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว จำหน่ายรวม 3 ล้านหน่วย กรอบวงเงิน 15,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 หมวด ๆ ละ 1 ล้านหน่วย อายุสลาก 2 ปี ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือน รวม 24 ครั้ง แบ่งเป็น รางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 มูลค่า รางวัลละ 50,000 บาท จำนวน 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 มูลค่ารางวัลละ 5,000 บาท จำนวน 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 มูลค่ารางวัลละ 500 บาท จำนวน 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท เริ่มออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ www.ghbank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36102
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน”
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแถลงการณ์ เรื่อง สถานการณ์และการร่วมกันนำพาประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย พี่น้อง ประชาชนคนไทยที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมมาพูดกับทุกท่าน เป็นช่วงเวลาที่ผมหวังว่า ในอนาคต เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ช่วงเวลานี้ เราจะสามารถพูดได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง สละความรู้สึกส่วนตัว และความต้องการส่วนตัวบางอย่าง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ หน้าที่ของผม ในฐานะผู้นำประเทศ คือผมต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ผมต้องพยายามรักษาสมดุล ระหว่างมุมมองความคิด และความต้องการต่างๆ ที่แตกต่างกันในสังคม และบางอย่างก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก นั่นเพื่อที่จะทำให้คนไทยทุกคน สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกัน บนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ แผ่นดินของพวกเราทุกคน ที่ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน ผมเชื่อว่าทุกคน รักผืนแผ่นดินนี้ด้วยกันทั้งสิ้น อีกหน้าที่ของผมในฐานะผู้นำประเทศ ผมต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของแต่ละคน ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า และผมต้องปกป้องประเทศจากพลังมืดที่ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยของเรา ผมต้องทำให้แน่ใจว่า ประเทศไทยยังคงมีความยุติธรรมในสังคม มีความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคน ที่อยู่ร่วมกันภายใต้กฏหมายเดียวกัน ทุกสิ่งที่ผมทำ ผมคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศเสมอ คนส่วนใหญ่ที่นิ่งเงียบ ที่กำลังพยายามทำมาหากินอย่างหนัก หาเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ผมต้องบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ละเลยที่จะดูแลประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศด้วย ผมต้องบริหารประเทศบนพื้นฐานหลักการตามกฏหมาย และตามแนวทางและการตัดสินใจจากรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนไทย นั่นคือระบบรัฐสภาที่เราต้องเคารพเราไม่สามารถบริหารประเทศตามเสียงประท้วงหรือความต้องการของผู้ประท้วงกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มประท้วงได้ แม้ผมจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมได้ยินเสียงความต้องการของผู้ประท้วง ก็ตามวงจรที่เราเคยเห็นกันมาตลอดว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ก็จะต้องเจอกับม๊อบอีกฝ่ายเสมอ และในที่สุด การบริหารประเทศก็ทำไม่ได้ และประเทศก็ไหลลงไปสู่ทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและหายนะ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันทำลายวงจรนี้ พวกเรา ต้องร่วมทำ ด้วยกันครับ ในเวลานี้ เราต้องถอยกันคนละก้าว เพื่อออกห่างจากทางที่จะนำไปสู่ปากเหว เส้นทางที่จะพาประเทศไทยของเราค่อยๆ ตกลงไปสู่หายนะ และสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจะเริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นๆ การใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ก็จะยิ่งสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น และการใช้ความรุนแรง จะยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงที่มากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้สอนเรามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตอนจบของทุกครั้งก็คือความเสียหายที่ทิ้งไว้กับประเทศ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คนไทยเป็นคนไทย ก็คือสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย ที่เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและคุณค่าของความเป็นไทย มายาวนานหลายร้อยปี ถ้าหากเราทำลายมรดกที่มีค่าจากบรรพบุรษ เราก็จะสูญเสียสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นคนไทย และเป็นประเทศที่พิเศษประเทศหนึ่งของโลก เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอยากเห็นว่าเกิดขึ้นในประเทศไทยเราได้เห็นการกระทำ ที่น่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจ มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ เป็นการตั้งใจทำร้ายคนไทยด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองให้ลึกลงไปกว่านั้น แม้เราจะเห็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเจตนาร้าย และปฏิบัติตัวไม่ดีอย่างรุนแรง แต่เวลาเดียวกัน เราก็เห็นว่า ยังมีคนอีกมากมายที่แม้ว่าจะกำลังทำผิดกฏหมาย แต่ก็ปฏิบัติตนด้วยความสงบ มีเจตนาดีที่ต้องการขอความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และมีความจริงใจที่อยากจะเห็นประเทศดีขึ้น เรามองเห็นคนกลุ่มนี้ด้วย เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจการหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการขอคืนพื้นที่ ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ด้วยเช่นเดียวกัน รัฐบาลพยายามผ่อนปรน หลีกเลี่ยง มีการประกาศให้ทราบก่อนทุกครั้ง ตามมาตรฐานสากล เราจะทำให้เกิดสังคมแบบที่เราต้องการได้ ด้วยการพูดคุยกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังและเข้าใจกัน และพร้อมที่จะประนีประนอม วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหา ที่จะยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทั้งสำหรับประชาชนที่ออกมาอยู่บนท้องถนน และสำหรับประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้ออกมา คือการพูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบ และกระบวนการของรัฐสภา ผมรู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะต้องใช้เวลาและอาจจะไม่รวดเร็วทันใจ แต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ซึ่งเราต้องแสดงความใจเย็น และความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของเราทุกคนออกมา กล้าที่จะเดินในเส้นทางสายกลาง หากผู้ประท้วงคิดว่าจะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้ โดยการออกมาบนท้องถนน พวกเค้าอาจจะชนะ และสามารถก้าวข้ามหัวรัฐสภาได้สำเร็จ หรือพวกเค้าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างมีให้เราเห็นมาแล้วว่าเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหรือฝ่ายรัฐ ถ้าหวังว่าปัญหาต่างๆ จะหายไปได้ ด้วยการใช้ไม้แข็งเพียงอย่างเดียว รัฐอาจจะประสบความสำเร็จตามนั้น หรืออาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เราเห็นมาแล้ว เช่นเดียวกันมีวิธีเดียว ที่เราจะก้าวผ่านปัญหาไปได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นจากการพูดคุยกัน จากการเคารพกระบวนการของกฏหมาย และจากการมองเห็นความต้องการของประชาชน ที่แสดงออกมา ผ่านทางกระบวนการรัฐสภา นี่คือวิธีการเดียวผู้ประท้วงได้แสดงความคิดของเค้าแล้ว เสียงและความคิดของพวกเค้า ถูกได้ยินโดยทุกฝ่ายและทุกคนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะนำความคิด และความต้องการของผู้ประท้วง มาพิจารณาร่วมกับความต้องการของประชาชนส่วนอื่นๆ ในสังคมไทย หาเส้นทางที่เหมาะสมและเห็นชอบร่วมกันส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชน โดยคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการเปิดประชุมวิสามัญ และได้ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาแล้ว คาดว่าจะเปิดประชุมสภาได้ประมาณวันจันทร์ที่ 26 และวันอังคารที่ 27 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วง หรือจะเป็นประชาชนที่นิ่งเงียบ ไม่ว่าเค้าจะมีความคิดความรู้สึกแบบไหนก็ตาม วันนี้ ผมจะเป็นคน ที่เริ่ม ก้าวแรก เพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง ผมกำลังเตรียมที่จะยกเลิก พรก สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้น หากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอให้ผู้ประท้วง แสดงความจริงใจในเจตนาดีของท่านที่มีต่อประเทศดังที่ท่านพูด โดยการเคารพกฏหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขอให้ท่านแสดงความคิดความต้องการผ่านผู้แทนราษฎรของท่าน ซึ่งมีขั้นตอน กำหนดเวลา ไปตามลำดับ ผมขอพวกท่าน ด้วยความจริงใจของผม เมื่อผมยอมก้าวไปในแนวทางนี้ ผมก็ขอให้พวกท่านก้าวไปในแนวทางเดียวกันด้วย และลดระดับเสียงของการสาดถ้อยคำที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม สร้างความเจ็บปวดให้กับคนในสังคม ผมขอให้ทุกคนร่วมใจกัน ทำให้เมฆดำที่กำลังเคลื่อนมาปกคลุมประเทศไทยของเรา ให้หายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เร่งด่วน นั่นคือ การช่วยกันบรรเทาปัญหาปากท้อง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเดือดร้อน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิดทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ภารกิจที่ต้องเริ่มทำคู่ขนานกันไป ก็คือ เราต้องนำเอาประเด็นต่างๆ ที่ถูกพูดถึงว่าควรได้รับการแก้ไข เพื่อผลดีในระยะยาวของประเทศ มาเริ่มพูดคุยกันเราต้องรักษาบาดแผลให้ทุเลาลง ก่อนที่มันจะบาดลึกมากไปกว่านี้ ขอบคุณครับ —————————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36140
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- บีโอไอร่วมเปิดงาน Thailand Smart City Week 2020
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 บีโอไอร่วมเปิดงาน Thailand Smart City Week 2020 บีโอไอร่วมเปิดงาน Thailand Smart City Week 2020 บีโอไอร่วมเปิดงาน Thailand Smart City Week 2020 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 1 จากซ้าย) เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “Thailand Smart City Week 2020” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งจัดโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างวันที่ 16-22 ตุลาคม 2563 ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ณ บริเวณสามย่าน เมื่อเร็วๆ นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลงานรัฐบาล 1 ปี
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ผลงานรัฐบาล 1 ปี ผลงานรัฐบาล 1 ปี ​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน ‘รัฐมนตรีสุชาติ’ มอบหมายให้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน รับฟังสภาพปัญหา ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านแรงงาน พร้อมติดตามการจ้างงานคนไทยมีงานทำ และการพัฒนาฝีมือแรงงาน (Upskill) วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน และนายไพโรจน์ โชติกเสถียร ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี ตรวจเยี่ยมราชการ เพื่อประชุมติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี และรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์และการขับเคลื่อนนโยบายด้านแรงงานที่สำคัญ รวมถึงปัญหาอุปสรรคด้านแรงงานในพื้นที่ ณ ห้องประชุมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานปราจีนบุรี ทั้งนี้ นายสุรชัย ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมบูธภารกิจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปราจีนบุรี อาทิ การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การส่งเสริมกลุ่มอาชีพแรงงานนอกระบบ การจ้างงานคนไทยมีงานทำ เป็นต้น จากนั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ยังได้ตรวจเยี่ยม พร้อมรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจาโนเม่ไดคาสติ้ง (ประเทศไทย) และการพัฒนาฝีมือแรงงาน (Upskill)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36118
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยมรพ.เบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 องคมนตรี ตรวจเยี่ยมรพ.เบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดศรีสะเกษ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยในชุมชน พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดศรีสะเกษมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางดูแลผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยในชุมชน วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 10 และคณะ ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจบุคลากรและติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดศรีสะเกษ นายแพทย์สุวิทย์ โรจนศักดิ์โสธร ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 10 กล่าวว่า โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดศรีสะเกษเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง เป็นโรงพยาบาลตัวอย่างการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ สร้างรูปแบบการบริหารจัดการโรงพยาบาลที่ดี มีระบบบริการสุขภาพที่ดี บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้พัฒนาศักยภาพบริการเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสะดวก ใกล้บ้าน โดยเฉพาะโรคที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ อาทิ โรคไต ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยมีคลินิกเฉพาะทางโรคไต คลินิกชะลอไตเสื่อม คลินิกล้างไตทางช่องท้อง แพทย์เฉพาะทางด้านโรคไต และเป็นหน่วยรับส่งกลับจากโรงพยาบาลแม่ข่ายก่อนกลับบ้าน สอนผู้ป่วยและญาติในการล้างไตทางช่องท้องได้เองที่บ้าน ในปีนี้ ให้การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในระยะที่การทำงานของไตเสื่อมจนถึงไตวายระยะสุดท้าย จำนวน 538 ราย และผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง 123 คน รวมทั้งคลินิกโรคผิวหนัง มีระบบปรึกษาทางไกลกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันโรคผิวหนัง ในปี 2563 มีผู้รับบริการ 382 ราย และผู้ป่วยโรคตาต้อกระจกได้รับการผ่าตัดทันเวลา ลดปัญหาตาบอด จำนวน 51 ราย ตั้งเป้าหมายในปี 2564 เปิดหน่วยไตเทียม ให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม 12 เตียง และพัฒนาโรงพยาบาลให้เป็น Smart Hospital ในทุกระบบ นอกจากนี้ ได้เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยในชุมชน โดยให้บริการสุขศาลาใน 3 หมู่บ้านห่างไกล ผู้รับบริการ 3,960 ครั้ง/ปี บริการจิตเวชสัญจร ค้นหาคัดกรองปัญหาสุขภาพจิต เพิ่มการเข้าถึงบริการผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ลดอัตราฆ่าตัวตาย ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ตรวจคัดกรองตา บริการแพทย์แผนไทย ทันตกรรม รวมทั้งบริการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ในกลุ่มผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงและผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทั้งนี้ ในปี 2562 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ในการก่อสร้างอาคารแพทย์แผนไทยและกายภาพบำบัด วงเงิน 3,620,000 บาท แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2563 เปิดให้บริการเฉพาะทางแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานครบวงจร และกายภาพบำบัด อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไมเกรน โรคข้อเข่าเสื่อม โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บริการนวดเพื่อสุขภาพ ดูแลมารดาหลังคลอด อบสมุนไพร สำหรับปีงบประมาณ 2563 ได้รับพระราชทานรถยนต์บรรทุกพร้อมหลังคาโดยสาร 6 ล้อ สำหรับบรรทุกเครื่องมือและ ยูนิตทันตกรรมเคลื่อนที่ และแพทย์แผนไทย สำหรับออกให้บริการหน่วยแพทย์หน่วยอำเภอยิ้ม *********************************** 21 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36131
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยคำสั่งโรงพยาบาลพร้อมบริการประชาชนชุมนุมทางการเมืองเป็นมาตรการปกติ
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 สธ.เผยคำสั่งโรงพยาบาลพร้อมบริการประชาชนชุมนุมทางการเมืองเป็นมาตรการปกติ กระทรวงสาธารณสุข ส่งหนังสือถึงโรงพยาบาลทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมรับมือให้บริการประชาชนในสถานการณ์ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง แจงเป็นการกำชับตามปกติ ส่วนการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง บุคลากรสาธารณสุข ทำได้ในนามส่วนตัว ให้ระมัดระวังไม่อ้างอิงหน่วยงาน กระทรวงสาธารณสุข ส่งหนังสือถึงโรงพยาบาลทั่วประเทศ เตรียมความพร้อมรับมือให้บริการประชาชนในสถานการณ์ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง แจงเป็นการกำชับตามปกติ ส่วนการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง บุคลากรสาธารณสุข ทำได้ในนามส่วนตัว ให้ระมัดระวังไม่อ้างอิงหน่วยงาน วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) ที่ทำเนียบรัฐบาล กทม.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2563 เรื่อง การให้หน่วยงานในสังกัด เตรียมพร้อมรับเหตุจากการชุมนุม ว่า เป็นมาตรการปกติที่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน ทั้งการปฐมพยาบาล การสำรองเลือด เพราะการประชุมขนาดเล็กกว่านี้ ยังต้องสั่งการให้เตรียมพร้อม เมื่อมีคนมาก โอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงตามมาด้วย ในความคิดเห็นส่วนตัว ต้องการเห็นหมอ พยาบาลรอเก้อ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ก็ขอให้ผู้ชุมนุมสวมหน้ากาก และพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัว ที่ผ่านมาเมื่อมีการชุมนุม หากไม่ใช่แฟลชม็อบ กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งหน่วยแพทย์ พยาบาล เข้าไปดูแลเรื่องสุขภาพตลอด สำหรับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ หากกระทำภายใต้กรอบกฎหมาย ด้านนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตยากร รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงผู้บริหารสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค กำชับใน 2 เรื่อง คือ การเตรียมความพร้อมให้บริการประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถรองรับได้ เป็นการดำเนินการตามปกติ ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวทางการเมือง เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ หรือเทศกาลต่างๆ ก็มีการออกหนังสือและซักซ้อมสถานการณ์เช่นเดียวกัน ถือเป็นบทบาทหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขในการดูแลการเจ็บป่วยของประชาชน สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินฯ ที่บูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และกรุงเทพมหานคร พร้อมรองรับการดูแลประชาชนเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ 2 การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ได้ห้ามในนามส่วนตัว เนื่องจากเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่ควรใช้ตำแหน่งในหน่วยงานหรือองค์กร อาจกลายเป็นการดึงหน่วยงานองค์กรของทางราชการไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งมีระเบียบกฎหมายอยู่ว่า ข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง จึงมีความเป็นห่วงบุคลากรทุกคน ขอให้มีความระมัดระวัง “การมีหนังสือกำชับดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น แต่การเจ็บป่วยทั่วไปก็สามารถพบเจอได้ เช่น เป็นลม หมดสติ หรือเจ็บป่วยจากโรคประจำตัว จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือดูแลประชาชน ส่วนการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ได้ห้าม แต่ในฐานะข้าราชการ ควรกระทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดียหรือสื่อออนไลน์ เนื่องจากอาจเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมาย” นายแพทย์ธงชัยกล่าว *********************************** 21 ตุลาคม 2563 **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36134
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมขับเคลื่อนภารกิจจิตอาสา 904
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ‘ปลัดแรงงาน’ ร่วมขับเคลื่อนภารกิจจิตอาสา 904 ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อาจารย์พิเศษโรงเรียนจิตอาสา 904 หารือแนวทางการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและการดำเนินงานของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริหาร ข้าราชการ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 เวลา 13.00 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อาจารย์พิเศษโรงเรียนจิตอาสา 904 ณ ห้องประชุมปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน พร้อมหารือแนวทางการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการดำเนินงานของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อให้ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงแรงงาน มีอุดมการณ์ความรักชาติ ศาสนา และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ ได้มอบหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย และคิวอาร์โค้ชวิดิทัศน์พระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่คนไทยยังไม่รู้ และ Facebook โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 21 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36124
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการวิทยุ
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 รายการวิทยุ ผลงานรัฐบาล 1 ปี รายการวิทยุ ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2563 ​เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การรับฟังความคิดเห็นฯ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 รายการวิทยุ ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนใต้ ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การเตรียมคนไทยสู่ศตรวรรษที่ 21 ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 29 กันยายน 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน ด้านการยกระดับศักยภาพของแรงงาน ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 28 กันยายน 2563 เรื่องนโยบายเร่งด่วน การปรับสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 27 กันยายน 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการฯ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 26 กันยายน 2563 เรื่อง นโยบายเร่งด่วน การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม ​ รายการวิทยุ ประจำวันที่ 25กันยายน 2563 เรื่องนโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36111
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันอุบัติภัยช่วงวันลอยกระทง 2563 บูรณาการทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ป้องกันอันตราย สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันอุบัติภัยช่วงวันลอยกระทง 2563 บูรณาการทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ป้องกันอันตราย สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน มท.1 สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันอุบัติภัยช่วงวันลอยกระทง 2563 บูรณาการทุกภาคส่วนทุกพื้นที่ป้องกันอันตราย สร้างความปลอดภัยให้ประชาชน วันนี้ (21 ต.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เปิดเผยว่า ด้วยในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2563 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เป็นวันลอยกระทงตามประเพณีไทย โดยในหลายพื้นที่ของจังหวัดและกรุงเทพมหานครจัดให้มีสถานที่ให้ประชาชนได้ลอยกระทงตามประเพณีในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ และจะมีประชาชนนิยมเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเพื่อร่วมประเพณีฯ โดยเฉพาะสถานที่ริมน้ำ โป๊ะ ท่าเทียบเรือโดยสาร ฯลฯ ซึ่งมักจะเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทั้งทางบก ทางน้ำ ตลอดจนเหตุจากอัคคีภัยอยู่เป็นประจำ เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการป้องกันอันตรายจากอุบัติภัยอันเกิดจากพลุ ประทัด ดอกไม้เพลิง และอุบัติเหตุจากการจราจรทั้งทางบก และทางน้ำที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ 1) ให้นายทะเบียนท้องที่เข้มงวดกวดขันการพิจารณาออกใบอนุญาตหรือต่ออายุใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง รวมทั้งตรวจสอบสถานที่เก็บ ทำ หรือค้าดอกไม้เพลิง ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พรบ.) อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 โดยเคร่งครัด 2) ให้ผู้อำนวยการหรือเจ้าพนักงานตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ตรวจตราอาคารสถานที่ ท่าเทียบเรือโดยสารที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง อาจก่อให้เกิดสาธารณภัยได้โดยง่าย พร้อมแจ้งหน่วยงานตามกฎหมายเข้าตรวจสอบ ซ่อมแซม ให้มั่นคงแข็งแรงตามอำนาจหน้าที่ 3) ให้หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคเอกชนที่จะจัดงานวันลอยกระทง เตรียมการป้องกันและระมัดระวังเพื่อมิให้เกิดอุบัติภัย ด้วยการตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณงานให้มีความมั่นคงแข็งแรง และจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตทางน้ำในบริเวณใกล้เคียงสถานที่ลอยกระทง รวมทั้งดำเนินการตามพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยเคร่งครัด และสำหรับพื้นที่ภาคใต้ ให้เข้มงวดในการดูแลสิ่งปลูกสร้างในบริเวณการจัดงานให้มีความมั่นคงแข็งแรง เนื่องจากมีโอกาสเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและวาตภัย 4) ให้ผู้อำนวยการท้องถิ่นตาม พรบ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที 5) เข้มงวดกวดขันปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนโดยดำเนินการกับผู้กระทำผิด 10 มาตรการเน้นหนักความปลอดภัยทางถนน ได้แก่ 1. ไม่สวมหมวกนิรภัย 2. สภาพยานพาหนะไม่พร้อมใช้งาน 3. เมาสุรา 4. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 5. ไม่มีใบขับขี่ 6. ความเร็วเกินกําหนด 7. ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร 8. ขับรถย้อนศร 9. แซงในที่คับขัน และ 10. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ อย่างเคร่งครัด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ให้ทุกจังหวัดจัดชุดเจ้าหน้าที่และสั่งใช้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) โดยประสานการปฏิบัติร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายทหาร และเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่า เฝ้าระวังสถานที่ที่เสี่ยงเกิดอัคคีภัยและอุบัติภัยอื่น ๆ โดยเฉพาะอุบัติภัยทางน้ำ พร้อมจัดระเบียบและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การรักษาความสงบเรียบร้อยและเฝ้าระวังความปลอดภัยบริเวณที่ประชาชนหนาแน่น และเฝ้าระวังตรวจสอบความปลอดภัยท่าเทียบเรือโดยสาร สถานที่ริมน้ำสำหรับใช้ลอยกระทง และเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่เป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย รวมทั้งความปลอดภัยของเรือโดยสารให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็วพร้อมอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์กู้ภัย ไฟฟ้าส่องสว่าง หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) เตรียมความพร้อมประจำ ณ สถานที่ที่มีผู้ไปร่วมลอยกระทง เพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทันที นอกจากนี้ ให้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้เข้าใจกับประชาชนตลอดจนภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แสดงออกในการประพฤติปฏิบัติตามแบบวัฒนธรรมอันดีงามแห่งท้องถิ่น และร่วมกันลอยกระทงตามประเพณีไทย งดเว้นการกระทำที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนจิตอาสาร่วมทำความสะอาด กำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล ตามสถานที่จัดงานและแหล่งน้ำ เพื่อช่วยรักษาความสะอาด ลดการเกิดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และช่วยรักษาระบบนิเวศต่อไป พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามแนวทางประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีพิธีทางศาสนาและพิธีการต่าง ๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดโดยเคร่งครัด เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค อันจะเกิดความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36128
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัตร “บสย. Digital+” สแกนง่าย จ่ายแม่น ชำระค่าธรรมเนียมได้แล้วที่ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” เซเว่น-อีเลฟเว่น
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 บัตร “บสย. Digital+” สแกนง่าย จ่ายแม่น ชำระค่าธรรมเนียมได้แล้วที่ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” เซเว่น-อีเลฟเว่น บสย.อำนวยความสะดวกลูกค้าผู้ถือบัตร บสย. Digital+ สแกนง่าย จ่ายแม่น เพิ่มช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ และธุรกรรมอื่นๆ ได้แล้ววันนี้ ณ จุดบริการ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” ใน เซเว่น-อีเลฟเว่น และที่ธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) อำนวยความสะดวกลูกค้าผู้ถือบัตร บสย. Digital+ สแกนง่าย จ่ายแม่น เพิ่มช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ และธุรกรรมอื่นๆ ได้แล้ววันนี้ ณ จุดบริการ “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” ใน เซเว่น-อีเลฟเว่น และที่ธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ สมัครขอใช้บริการบัตร บสย. Digital+ เฉพาะลูกค้า บสย. 1.ลงทะเบียนใช้บริการ บสย. Digital+ ได้ 2 ช่องทางคือ สแกน QR Code หรือ ดาวน์โหลด ลิงค์ https://card.tcg.or.th 2.กรอกข้อมูล ขอใช้บริการ จากนั้น ระบบจะแสดง QR Code ข้อมูลเฉพาะของลูกค้า บสย. 3.รับรหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน 4.สามารถจัดเก็บบัตร “บสย. Digital+” ใน e-wallet วิธีการชำระเงิน สำหรับลูกค้า บสย. ที่ลงทะเบียน บัตร “บสย. Digital+” แล้ว เพียงยื่น QR Code เพื่อชำระเงิน ได้ทันที ณ จุดบริการชำระเงิน “เคาน์เตอร์เซอร์วิส” ใน เซเว่น-อีเลฟเว่น และที่ธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐเน้นลอยกระทงให้ปลอดภัยจากโควิด ๑๙ ภายใต้แนวทาง “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐเน้นลอยกระทงให้ปลอดภัยจากโควิด ๑๙ ภายใต้แนวทาง “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” วธ.บูรณาการหน่วยงานภาครัฐเน้นลอยกระทงให้ปลอดภัยจากโควิด ๑๙ ภายใต้แนวทาง “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” (๒๐ ตุลาคม ๖๓) กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม แถลงข่าวแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชน อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กรมเจ้าท่า กรมควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร มูลนิธิเมาไม่ขับ และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รณรงค์ทุกภาคส่วนจัดงานประเพณีลอยกระทง ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เน้นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดจากเชื้อโควิด ๑๙ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า ประเพณีลอยกระทงเป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณ แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะน้ำที่ใช้ในการดำรงชีวิต สะท้อนถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยอันงดงาม ทั้งยังเป็นประเพณีที่มีสาระและคุณค่าต่อครอบครัว ชุมชน ศาสนา และสังคม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด ๑๙ ยังคงดำรงอยู่ จึงควรตระหนักในชีวิตวิถีใหม่ ในขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งการสืบสานประเพณีที่สำคัญ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ เสนอแนวทางและมาตรการจัดประเพณีลอยกระทง ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ดำเนินการจัดงานตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมไทยอันงดงามด้วยการจัดกิจกรรมตามประเพณีนิยมของแต่ละพื้นที่ ให้แสดงออกถึงอัตลักษณ์ตัวตนของท้องถิ่น เช่น การแสดงพื้นบ้าน แต่งกายด้วยผ้าไทยหรือผ้าพื้นเมือง ร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีที่ดีงาม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑) จัดกิจกรรมตามประเพณีนิยมของแต่ละท้องถิ่น ใช้กระทงทำจากวัสดุที่ย่อยสลายง่ายและไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รณรงค์ให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ๑๐๐ % และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำสะอาด สบู่เหลว ก่อนหรือหลังทำกิจกรรม ๒) สถานที่จัดงาน ควรปรับเปลี่ยนให้มีพื้นที่ที่เหมาะสม กว้างขวาง ไม่แออัด มีจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างาน และดำเนินการตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยจากเชื้อโควิด ๑๙ ของสาธารณสุข ๓) ผู้จัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยในการจราจรทางบกและทางน้ำ เช่น มีศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางน้ำ ตลอดจนบริเวณท่าน้ำให้มีความมั่นคง ปลอดภัย และเว้นระยะการลงลอยกระทง ๔) รณรงค์ลอยกระทงปลอดเหล้า ด้วยการงดจำหน่ายสุรา และเครื่องดื่มมึนเมา รณรงค์เมาไม่ขับ และงดการดื่มสุราในบริเวณงานหรือใกล้เคียง งดการเล่นดอกไม้ไฟ พลุ และโคมลอย หรือวัสดุที่ก่อนให้เกิดอันตรายในที่สาธารณะหรือชุมชน และขอให้ยึดหลัก “อย่าใกล้ขอบบ่อ อย่าเก็บกระทง/เงินในกระทง อย่าก้มไปลอยกระทง” ๕) จัดการแสดงต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะการจัดแสดงวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่จะทำให้เด็ก เยาวชน ประชาชนได้เรียนรู้มรดกภูมิปัญญาของไทย เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ควรจัดบริเวณที่นั่งให้มีการเว้นระยะห่าง และรักษามาตรการความปลอดภัยจากโควิด ๑๙ อย่างเคร่งครัด และหน่วยงานภาคเอกชนที่ร่วมบูรณาการกับกระทรวงวัฒนธรรม บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้จัดงานลอยกระทงและท่องเที่ยววิถีใหม่อย่างปลอดภัยด้วยมาตรฐาน SHA ในงาน “Bangkok River Festival 2020 สายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย” ในแนวคิด “รื่นเริง แสงศิลป์” ณ บริเวณ ๑๐ ท่าน้ำสำคัญในกรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกัน “แต่งไทย ไปลอยกระทง” เพื่อส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ผ้าพื้นเมือง เป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์การแต่งกายของแต่ละท้องถิ่น และช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ อีกด้วย โดยประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆ สามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของหน่วยงานที่จัดงาน โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม สอบถามได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ , เฟสบุ๊กกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ Line @ วัฒนธรรม ----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36110
รัฐบาลไทย-รัฐบาล โดย กระทรวงกลาโหม เตรียมช่วยเหลือประเทศรอบบ้านป้องกัน COVID -19 ขอประชาชนร่วมเฝ้าระวังและไม่ประมาท
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 รัฐบาล โดย กระทรวงกลาโหม เตรียมช่วยเหลือประเทศรอบบ้านป้องกัน COVID -19 ขอประชาชนร่วมเฝ้าระวังและไม่ประมาท พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID -19 ปัจจุบันในประเทศรอบบ้านที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเมียนมาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการแพร่เชื้อกระจายเข้าไทยจนอาจยากแก่การควบคุม รัฐบาล โดยกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นความสำคัญถึงความร่วมมือในภูมิภาค เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19 จึงสนับสนุนงบประมาณให้ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน จัดหา “ห้องความดันลบ สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อแบบเคลื่อนย้ายได้” จำนวน 20 ชุด สนับสนุนกิจการแพทย์ทหารของประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ประกอบด้วย เมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและมาเลเซีย เพื่อใช้ในการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการประสานงานในการขนส่งห้องความดันลบดังกล่าว ส่งมอบให้ประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม โดยกองกำลังป้องกันชายแดนของทุกเหล่าทัพ ยังคงประสานการทำงานร่วมกับทุกส่วนราชการในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นในอย่างใกล้ชิด ในการติดตามเฝ้าระวังควบคุมโรคอย่างเข้มข้นในทุกช่องทางผ่านแดนและช่องทางธรรมชาติตลอดแนวชายแดน ขณะเดียวกันต้องขอความร่วมมือประชาชน ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและให้ความร่วมมือกับมาตรการทางสาธารณสุขที่กำหนดต่อเนื่องกันไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1 ห่วงใย นายจ้าง และแรงงานต่างด้าว เตือน รู้เท่าทันนายหน้าเถื่อน
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 จับกัง 1 ห่วงใย นายจ้าง และแรงงานต่างด้าว เตือน รู้เท่าทันนายหน้าเถื่อน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ย้ำเตือนนายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าวที่ต้องการเข้ามาทำงานภายในประเทศไทยในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด - 19 นี้ ตรวจสอบข้อมูลสาย-นายหน้าก่อนโอนเงิน ป้องกันถูกหลอกลวงจากขบวนการนายหน้าเถื่อน “ขณะนี้มีขบวนการนายหน้าเถื่อน อาศัยความต้องการแรงงานต่างด้าวของนายจ้างและสถานประกอบการ อ้างว่าสามารถนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ โดยทำให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวแทนของบริษัทนำเข้าแรงงานต่างด้าวหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง ขอให้นายจ้างและสถานประกอบการอย่าใช้บริการจากนายหน้าเถื่อน นำเข้าแรงงานต่างด้าว นอกจากเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 เพราะไม่ผ่านมาตรการตรวจคัดกรองโรคตามขั้นตอนแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเสียเงินเป็นจำนวนมากจากการถูกหลอกลวง เกี่ยวกับเรื่องนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ให้ความสำคัญกับปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง หากพบผู้กระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ หรือสามารถหาลูกจ้างซึ่งเป็นคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 - 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 600,000 - 1,000,000 บาท ต่อคนต่างด้าว 1 คน หรือทั้งจำทั้งปรับ ” นายสุชาติ กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มี 2 วิธี คือ นายจ้างดำเนินการด้วยตนเอง หรือนายจ้างมอบอำนาจให้บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ (บริษัทนำเข้า) ที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมการจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งสิ้น 251 แห่ง เป็นผู้รับอนุญาตฯ ที่บริษัทตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร 75 แห่ง และส่วนภูมิภาค 176 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2563) พร้อมเน้นย้ำว่า การจ้างงานคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานนั้น ทำให้นายจ้าง/สถานประกอบการมีความผิดเช่นกัน ซึ่งจากผลการตรวจสอบและดำเนินคดี นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563 พบว่า มีการดำเนินคดีนายจ้าง/สถานประกอบการ จำนวน 1,569 ราย คนต่างด้าว ถูกดำเนินคดี จำนวน 1,955 คน และถูกผลักดันกลับประเทศ จำนวน 1,470 คน “ นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานฯ ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่ www.doe.go.th หรือหากต้องแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ ที่ถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการด้วย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรม “Follow the Father… เราจะทำแบบในหลวง” โดย นักพูดล่าความกตัญญู คุณเบส-อรพิมพ์ รักษาผล
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 กิจกรรม “Follow the Father… เราจะทำแบบในหลวง” โดย นักพูดล่าความกตัญญู คุณเบส-อรพิมพ์ รักษาผล ทอล์คโชว์สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ 88 พรรษา กิจกรรม “Follow the Father… เราจะทำแบบในหลวง” ทอล์คโชว์สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ 88 พรรษา ด้วยแนวคิดที่ต้องการสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกพลังคนรุ่นใหม่ให้เดินตามรอยพ่อของแผ่นดิน สร้างความเข้าใจให้เยาวชนได้รับรู้ว่า ”ทำไมคนไทยถึงรักในหลวง” โดย นักพูดล่าความกตัญูญู คุณเบส-อรพิมพ์ รักษาผล Sorry, your browser doesn't support HTML5 video, but you can download this video from the Internet Archive ข้อมูลที่มาจาก :https://www.youtube.com/watch?v=IqJfqlTmw2Y&feature=emb_logo
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36119
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย 2563 สานต่อพระราชปณิธาน "การให้" ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 พม. ร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย 2563 สานต่อพระราชปณิธาน "การให้" ที่ไม่มีวันสิ้นสุด พม. ร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย 2563 สานต่อพระราชปณิธาน "การให้" ที่ไม่มีวันสิ้นสุด วันนี้ (21 ต.ค. 63) เวลา 13.00 น.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถโปรดให้พลเอก หม่อมเจ้าเฉลิมศึก ยุคลเสด็จแทนพระองค์ ทรงประทานโล่ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 247 ราย โดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และพลตรีหญิง คุณหญิงอัสนีย์ เสาวภาพ ประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กราบทูลรายงาน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นางพัชรีกล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย เนื่องจากพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและเวลาเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก และสมควรนำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติตนและการปฏิบัติงานเพื่อสังคมส่วนรวม ซึ่งในปี 2542 องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้ทรงเป็น บุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ : การพัฒนามนุษย์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ร่วมกันจัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทยเป็นประจำทุกปี เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อีกทั้งเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจด้านการจัดสวัสดิการสังคม สังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาสังคม ตลอดจนเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและเป็นแบบอย่างแก่อาสาสมัครและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคม นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า งานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2563 จัดขึ้นเป็นปีที่ 28 นับตั้งแต่ปี 2544 โดยมีอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่นที่ได้รับรางวัล รวมทั้งสิ้น 4,085 ราย ประกอบด้วย อาสาสมัครดีเด่น จำนวน 3,850 คน และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จำนวน 235 องค์การ สำหรับ ปี 2563 มีการประทานโล่เกียรติคุณแก่อาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จำนวนทั้งสิ้น 247 ราย ได้แก่ 1) อาสาสมัครดีเด่น จำนวน 226 คน เป็นผู้ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องการพัฒนาสังคม และการจัดสวัสดิการสังคม ทั้งในด้านการให้คำปรึกษาปัญหาทางสังคม และประสานการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน โดยทำงานในทุกมิติ ทั้งการเฝ้าระวัง ป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูคุณภาพชีวิต อาทิ 1.1) นางทองเปาว์ นาคะสันต์ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี 1.2) นายชาติชาย โฆษะวิสุทธิ์ อาสาสมัครมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ 1.3) นางเทพี ไวประดับ อาสาสมัครดีเด่นจากจังหวัดสิงห์บุรี และ 1.4) นางสาวรัญชา บริบาลบุรีภัณฑ์ อาสาสมัครช่วยเหลือเด็ก เยาวชน และสตรีที่มีความเดือดร้อน เป็นต้น และ 2) องค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น จำนวน 21 องค์การ เป็นองค์การที่มีการจัดกิจกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การจัดสวัสดิการสังคม และเป็นที่ยอมรับจากสาธารณชน อีกทั้งยังมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และสามารถเป็นแบบอย่างให้แก่หน่วยงานต่างๆได้ ประกอบไปด้วย หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรสวัสดิการชุมชน และองค์กรภาคธุรกิจ อาทิ 2.1) บริษัท เทพผดุงพรมะพร้าว จำกัด (กะทิชาวเกาะ) 2.2) บริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด 2.3) นิคมสร้างตนเองท้ายเหมือง จังหวัดพังงา 2.4) เหล่ากาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี และ 2.5) กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลสมอทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นต้น นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จนครินทราบรมราชชนนี นิทรรศการอาสาสมัครดีเด่นและองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น และบูธของศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติ นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่น และองค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น นับเป็นแบบอย่างของสังคมที่แสดงให้เห็นถึงความวิริยะ อุตสาหะ และความเสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ด้วยความมุ่งมั่นในการตอบแทนคุณแผ่นดินและสานต่อพระราชปณิธาน "การให้"ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36127
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตร ครบรอบปีที่ 53
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 วันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตร ครบรอบปีที่ 53 ​รมว.กษ. ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตร ครบรอบปีที่ 53 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตร ครบรอบปีที่ 53 ณ กรมส่งเสริมการเกษตร ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายด้านการเกษตรและอาหารที่สนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก เน้นกรอบการทำงานในการขับเคลื่อนร่วมกันหรือที่เรียกว่า “3 S” คือ ความปลอดภัยของอาหาร (Safety) ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร (Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) ตลอดจนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมนโยบายตลาดนำการผลิต โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มช่องทางในการตลาดให้กับผู้ผลิตสินค้าเกษตร ดังนั้นการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรจึงเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องช่วยเหลือดูแลเกษตรกรและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและการปรับวิธีการทำงานสู่ความเป็น New Normal ยึดหลักตลาดนำการผลิต ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งเสริมการใช้และบริหารจัดการปัจจัยการผลิตเพื่อยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ใช้กลไกและเครือข่ายการทำงานส่งเสริมการเกษตรเชื่อมโยงทุกระดับ สร้างต้นแบบการส่งเสริมการเกษตรเชิงพื้นที่และการถ่ายทอดความรู้ รวมถึงการช่วยเหลือดูแลและให้บริการแก่เกษตรกร สร้างและขยายผลเกษตรกรรุ่นใหม่ ให้พร้อมเพื่อพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการและขยายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาการเกษตร ทั้งนี้ ได้มีการปล่อยขบวนรถส่งเมล็ดพันธุ์จากโครงการตู้เย็นข้างบ้าน ต้านภัย Covid-19 ไปให้สำนักงานเกษตรจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และจะกระจายไปให้แต่ละอำเภอเพื่อส่งถึงมือประชาชนและเกษตรกรที่ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ต่อไป นอกจากนี้ ได้มอบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลและหน่วยงานดีเด่น ประจำปี 2563 จำนวน 28 รางวัล จำนวน 6 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทเกษตรตำบลดีเด่น 2) ประเภทเกษตรอำเภอดีเด่น 3) ประเภทนักส่งเสริมการเกษตรระดับจังหวัดดีเด่น 4) ประเภทเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสนับสนุนดีเด่น 5) ประเภทนักส่งเสริมการเกษตรส่วนกลางดีเด่น และ 6) ประเภทหน่วยงานดีเด่น พร้อมมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ทำคุณประโยชน์บริจาคที่ดินเพื่อสร้างสำนักงานเกษตรอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 2 ท่าน "ข้าราชการถือเป็นตัวแทนของรัฐบาลต้องเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด จึงขอให้ทุกคนตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ที่สำคัญนี้ เพื่อปฏิบัติงานและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้งานผ่านไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการเกษตรมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนภาคการเกษตร ต้องมีพัฒนาทุกด้านอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกร และขอยืนยันว่ารัฐบาลเห็นความสำคัญต่อพี่น้องประชาชนและเกษตรกร จึงมีความพยายามที่จะกระจายเม็ดเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งพี่น้องเกษตรกรจะสามารถใช้เงินมาหมุนเวียน ต่อยอดเพิ่มผลผลิตและเพิ่มมูลค่าได้ นอกจากนี้ ยังขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรต่อไป" นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นหลักในปี 2564 ที่กรมส่งเสริมการเกษตรต้องขับเคลื่อน ได้แก่ การสืบสานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามที่ได้พระราชทานแนวทางการดำเนินการเน้นขยายผลและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการจัดทำแผนปฎิบัติงานในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน เพื่อให้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายมีอาชีพที่สอดคล้องกับพื้นที่และมีรายได้ที่มั่นคง การสานต่อภารกิจตลาดนำการผลิต โดยขับเคลื่อนผ่านกลไกการเกษตรแปลงใหญ่ให้ครอบคลุมสินค้าและกลุ่มเกษตรกรที่มีคุณภาพ การปรับระบบการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตร Agri – map ในพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง สัปปะรด ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว เป็นต้น พร้อมสนับสนุนให้เกษตรกรใช้พืชพันธุ์ดีและมีแหล่งผลิตพืชพันธุ์ดีในชุมชน รวมทั้งสร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าเกษตรจากการส่งเสริมการเกษตร มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ทั้งตลาดค้าส่ง ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และตลาดออนไลน์ รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปสินค้า พัฒนาบรรจุภัณฑ์และการสร้างตราสินค้า และส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้าเกษตร การยกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการเกษตร โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพเกษตรกร Young Smart Farmer Smart Farmer และวิสาหกิจชุมชน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิชาการ การนำเทคโนโลยี นวัตกรรมการเกษตร ให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ สร้างการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และการขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตร ต้องทำงานคู่กับพี่น้องเกษตรกร ทั้งการให้บริการทางการเกษตรและช่วยเหลือเกษตรกรในทุกมิติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36122
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศและคำสั่ง สถานการณ์ฉุกเฉิน
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ประกาศและคำสั่ง สถานการณ์ฉุกเฉิน บันทึกสถานการณ์ฉุกเฉิน พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๖๓ ณ วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ​ ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา ๙ ประกอบมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกาศออก ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน”
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแถลงการณ์ เรื่อง สถานการณ์และการร่วมกันนำพาประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย พี่น้อง ประชาชนคนไทยที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมมาพูดกับทุกท่าน เป็นช่วงเวลาที่ผมหวังว่า ในอนาคต เมื่อเรามองย้อนกลับมาที่ช่วงเวลานี้ เราจะสามารถพูดได้ว่า นี่คือช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง สละความรู้สึกส่วนตัว และความต้องการส่วนตัวบางอย่าง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ หน้าที่ของผม ในฐานะผู้นำประเทศ คือผมต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ผมต้องพยายามรักษาสมดุล ระหว่างมุมมองความคิด และความต้องการต่างๆ ที่แตกต่างกันในสังคม และบางอย่างก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก นั่นเพื่อที่จะทำให้คนไทยทุกคน สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกัน บนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ แผ่นดินของพวกเราทุกคน ที่ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน ผมเชื่อว่าทุกคน รักผืนแผ่นดินนี้ด้วยกันทั้งสิ้น อีกหน้าที่ของผมในฐานะผู้นำประเทศ ผมต้องทำให้แน่ใจว่าบ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของแต่ละคน ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า และผมต้องปกป้องประเทศจากพลังมืดที่ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยของเรา ผมต้องทำให้แน่ใจว่า ประเทศไทยยังคงมีความยุติธรรมในสังคม มีความเท่าเทียมกันของคนไทยทุกคน ที่อยู่ร่วมกันภายใต้กฏหมายเดียวกัน ทุกสิ่งที่ผมทำ ผมคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศเสมอ คนส่วนใหญ่ที่นิ่งเงียบ ที่กำลังพยายามทำมาหากินอย่างหนัก หาเลี้ยงปากท้องของตัวเองและครอบครัว ผมต้องบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ละเลยที่จะดูแลประชาชนคนอื่นๆ ของประเทศด้วย ผมต้องบริหารประเทศบนพื้นฐานหลักการตามกฏหมาย และตามแนวทางและการตัดสินใจจากรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนไทย นั่นคือระบบรัฐสภาที่เราต้องเคารพ เราไม่สามารถบริหารประเทศตามเสียงประท้วงหรือความต้องการของผู้ประท้วงกลุ่มต่างๆ ทุกกลุ่มประท้วงได้ แม้ผมจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ผมได้ยินเสียงความต้องการของผู้ประท้วง ก็ตามวงจรที่เราเคยเห็นกันมาตลอดว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ก็จะต้องเจอกับม๊อบอีกฝ่ายเสมอ และในที่สุด การบริหารประเทศก็ทำไม่ได้ และประเทศก็ไหลลงไปสู่ทางที่จะนำไปสู่ความวุ่นวายและหายนะ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันทำลายวงจรนี้ พวกเรา ต้องร่วมทำ ด้วยกันครับ ในเวลานี้ เราต้องถอยกันคนละก้าว เพื่อออกห่างจากทางที่จะนำไปสู่ปากเหว เส้นทางที่จะพาประเทศไทยของเราค่อยๆ ตกลงไปสู่หายนะ และสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจะเริ่มเกิดขึ้นมากขึ้นๆ การใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ก็จะยิ่งสร้างอารมณ์ความรู้สึกที่ร้อนมากยิ่งขึ้น และการใช้ความรุนแรง จะยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงที่มากกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ได้สอนเรามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตอนจบของทุกครั้งก็คือความเสียหายที่ทิ้งไว้กับประเทศ องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คนไทยเป็นคนไทย ก็คือสถาบันต่างๆ ในสังคมไทย ที่เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและคุณค่าของความเป็นไทย มายาวนานหลายร้อยปี ถ้าหากเราทำลายมรดกที่มีค่าจากบรรพบุรษ เราก็จะสูญเสียสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเป็นคนไทย และเป็นประเทศที่พิเศษประเทศหนึ่งของโลก เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เราได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอยากเห็นว่าเกิดขึ้นในประเทศไทยเราได้เห็นการกระทำ ที่น่าหดหู่ใจอย่างมากที่เกิดขึ้นกับตำรวจ มีการทุบตีทำร้ายตำรวจด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่ และพฤติกรรมรุนแรงอีกหลายอย่างต่อเจ้าหน้าที่ เป็นการตั้งใจทำร้ายคนไทยด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองให้ลึกลงไปกว่านั้น แม้เราจะเห็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีเจตนาร้าย และปฏิบัติตัวไม่ดีอย่างรุนแรง แต่เวลาเดียวกัน เราก็เห็นว่า ยังมีคนอีกมากมายที่แม้ว่าจะกำลังทำผิดกฏหมาย แต่ก็ปฏิบัติตนด้วยความสงบ มีเจตนาดีที่ต้องการขอความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และมีความจริงใจที่อยากจะเห็นประเทศดีขึ้น เรามองเห็นคนกลุ่มนี้ด้วย เราจะไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการใช้คีมเหล็กขนาดใหญ่ตีใส่กัน หรือด้วยการทำลายเศรษฐกิจการหาเลี้ยงปากท้องของคนไทยด้วยกัน หรือด้วยการโจมตีสถาบันอันเป็นที่รักและเคารพยิ่งของคนไทย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถได้มาซึ่งสังคมแบบที่เราต้องการ ด้วยการขอคืนพื้นที่ ใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ด้วยเช่นเดียวกัน รัฐบาลพยายามผ่อนปรน หลีกเลี่ยง มีการประกาศให้ทราบก่อนทุกครั้ง ตามมาตรฐานสากล เราจะทำให้เกิดสังคมแบบที่เราต้องการได้ ด้วยการพูดคุยกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังและเข้าใจกัน และพร้อมที่จะประนีประนอม วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหา ที่จะยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทั้งสำหรับประชาชนที่ออกมาอยู่บนท้องถนน และสำหรับประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้ออกมา คือการพูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบ และกระบวนการของรัฐสภา ผมรู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะต้องใช้เวลาและอาจจะไม่รวดเร็วทันใจ แต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ซึ่งเราต้องแสดงความใจเย็น และความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของเราทุกคนออกมา กล้าที่จะเดินในเส้นทางสายกลาง หากผู้ประท้วงคิดว่าจะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้นได้ โดยการออกมาบนท้องถนน พวกเค้าอาจจะชนะ และสามารถก้าวข้ามหัวรัฐสภาได้สำเร็จ หรือพวกเค้าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ ก็เป็นไปได้ ตัวอย่างมีให้เราเห็นมาแล้วว่าเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหรือฝ่ายรัฐ ถ้าหวังว่าปัญหาต่างๆ จะหายไปได้ ด้วยการใช้ไม้แข็งเพียงอย่างเดียว รัฐอาจจะประสบความสำเร็จตามนั้น หรืออาจจะไม่สำเร็จก็ได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เราเห็นมาแล้ว เช่นเดียวกันมีวิธีเดียว ที่เราจะก้าวผ่านปัญหาไปได้อย่างยั่งยืน แน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นจากการพูดคุยกัน จากการเคารพกระบวนการของกฏหมาย และจากการมองเห็นความต้องการของประชาชน ที่แสดงออกมา ผ่านทางกระบวนการรัฐสภา นี่คือวิธีการเดียวผู้ประท้วงได้แสดงความคิดของเค้าแล้ว เสียงและความคิดของพวกเค้า ถูกได้ยินโดยทุกฝ่ายและทุกคนเป็นที่เรียบร้อยตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะนำความคิด และความต้องการของผู้ประท้วง มาพิจารณาร่วมกับความต้องการของประชาชนส่วนอื่นๆ ในสังคมไทย หาเส้นทางที่เหมาะสมและเห็นชอบร่วมกันส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา ซึ่งถือเป็นตัวแทนของประชาชน โดยคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการเปิดประชุมวิสามัญ และได้ทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาแล้ว คาดว่าจะเปิดประชุมสภาได้ประมาณวันจันทร์ที่ 26 และวันอังคารที่ 27 ตุลาคมที่จะถึงนี้ ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพที่ดีของประชาชนคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วง หรือจะเป็นประชาชนที่นิ่งเงียบ ไม่ว่าเค้าจะมีความคิดความรู้สึกแบบไหนก็ตาม วันนี้ ผมจะเป็นคน ที่เริ่ม ก้าวแรก เพื่อที่จะลดอุณหภูมิความรุนแรง ผมกำลังเตรียมที่จะยกเลิก พรก สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้น หากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอให้ผู้ประท้วง แสดงความจริงใจในเจตนาดีของท่านที่มีต่อประเทศดังที่ท่านพูด โดยการเคารพกฏหมาย เคารพระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ขอให้ท่านแสดงความคิดความต้องการผ่านผู้แทนราษฎรของท่าน ซึ่งมีขั้นตอน กำหนดเวลา ไปตามลำดับ ผมขอพวกท่าน ด้วยความจริงใจของผม เมื่อผมยอมก้าวไปในแนวทางนี้ ผมก็ขอให้พวกท่านก้าวไปในแนวทางเดียวกันด้วย และลดระดับเสียงของการสาดถ้อยคำที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม สร้างความเจ็บปวดให้กับคนในสังคม ผมขอให้ทุกคนร่วมใจกัน ทำให้เมฆดำที่กำลังเคลื่อนมาปกคลุมประเทศไทยของเรา ให้หายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เรายังมีอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่เร่งด่วน นั่นคือ การช่วยกันบรรเทาปัญหาปากท้อง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเดือดร้อน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากโควิดทั่วโลก และในเวลาเดียวกัน ภารกิจที่ต้องเริ่มทำคู่ขนานกันไป ก็คือ เราต้องนำเอาประเด็นต่างๆ ที่ถูกพูดถึงว่าควรได้รับการแก้ไข เพื่อผลดีในระยะยาวของประเทศ มาเริ่มพูดคุยกันเราต้องรักษาบาดแผลให้ทุเลาลง ก่อนที่มันจะบาดลึกมากไปกว่านี้ ขอบคุณครับ —————————-
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลื้ม ญี่ปุ่นเลือก 7 โครงการในไทย มอบทุนพัฒนาดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ปลื้ม ญี่ปุ่นเลือก 7 โครงการในไทย มอบทุนพัฒนาดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ปลื้ม ญี่ปุ่นเลือก 7 โครงการในไทย มอบทุนพัฒนาดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ปลื้ม ญี่ปุ่นเลือก 7 โครงการในไทยมอบทุนพัฒนาดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ญี่ปุนคัดเลือก 7 บริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศไทย ภายใต้โครงการ “Asia Digital Transformation” หวังร่วมยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รับแจ้งจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ว่า รัฐบาลญี่ปุ่น โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนญี่ปุ่น (METI)ได้คัดเลือกให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อดำเนินโครงการสนับสนุนการนำระบบดิจิทัลเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนี้รวม 7 บริษัทจากทั้งหมด 23 โครงการ มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โครงการที่ได้รับอนุมัติดังกล่าว ครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ การเกษตร การประมง การแพทย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และพลังงาน ซึ่งทุกสาขาล้วนมีความสำคัญต่อประเทศไทย การอนุมัติของรัฐบาลญี่ปุ่นในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและความพร้อมทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม ทำให้บริษัทของประเทศญี่ปุ่นสนใจร่วมพัฒนาธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับโครงการสนับสนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมดิจิทัลในเอเชีย หรือ Asia Digital Transformation (ADX) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นร่วมงานกับบริษัทหรือหน่วยงานในอาเซียน ลงทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีโครงการนำร่องที่ได้รับคัดเลือกในอีกหลายประเทศ โดยมีโครงการในเมียนมา 4 โครงการ มาเลเซีย 3 โครงการ เวียดนาม 2 โครงการ อินโดนีเซีย 2 โครงการ กัมพูชา 2 โครงการ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และ สปป.ลาว ประเทศละ 1 โครงการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36105
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน”
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” นายกรัฐมนตรี “ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน” วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) เวลา 19.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีแถลงการณ์ เรื่องสถานการณ์และการร่วมกันนำพาประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรียืนยัน “หน้าที่ของผม ในฐานะผู้นำประเทศ คือผมต้องดูแลทุกคนในประเทศไทย ผมต้องพยายามรักษาสมดุล ระหว่างมุมมองความคิด และความต้องการต่างๆ ที่แตกต่างกันในสังคม และบางอย่างก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก นั่นเพื่อที่จะทำให้คนไทยทุกคน สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน ประเทศเดียวกัน และอยู่ร่วมกัน บนผืนแผ่นดินเดียวกันได้ แผ่นดินของพวกเราทุกคน ที่ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นไปทางไหน ผมเชื่อว่าทุกคน รักผืนแผ่นดินนี้ด้วยกันทั้งสิ้น... ผมต้องบริหารประเทศบนพื้นฐานหลักการตามกฏหมาย และตามแนวทางและการตัดสินใจจากรัฐสภา ในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชนไทย นั่นคือระบบรัฐสภาที่เราต้องเคารพ” นายกรัฐมนตรียัง กล่าวว่า “วิธีเดียวที่เราจะได้ทางออกของปัญหา ที่จะยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทั้งสำหรับประชาชนที่ออกมาอยู่บนท้องถนน และสำหรับประชาชนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่ได้ออกมา คือการพูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบ และกระบวนการของรัฐสภา ผมรู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะต้องใช้เวลาและอาจจะไม่รวดเร็วทันใจ แต่เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่จะไม่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ซึ่งเราต้องแสดงความใจเย็น และความเป็นผู้ใหญ่ในตัวของเราทุกคนออกมา กล้าที่จะเดินในเส้นทางสายกลาง” นายกรัฐมนตรีรับฟัง “ผู้ประท้วงได้แสดงความคิดของเค้าแล้ว เสียงและความคิดของพวกเค้า ถูกได้ยินโดยทุกฝ่ายและทุกคนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่จะนำความคิด และความต้องการของผู้ประท้วง มาพิจารณาร่วมกับความต้องการของประชาชนส่วนอื่นๆ ในสังคมไทย หาเส้นทางที่เหมาะสมและเห็นชอบร่วมกันส่วนใหญ่ ผ่านกระบวนการในระบบรัฐสภา” —————————————————— สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36138
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด สุรพลฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 รองปลัด สุรพลฯ ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เขตคลองสาน วันนี้ (21 ตุลาคม 2563 ) นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ครบรอบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยมี พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา ประธานรัฐสภา ครม.และหน่วยงานราชการ เข้าร่วมพิธี ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เขตคลองสาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36108
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการจิตอาสากระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งที่ประชุมได้รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 แผนปฏิบัติการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของพื้นที่คลองแสนแสบ คลองผดุงกรุงเกษม คลองเปรมประชากร คลองลัดหลวง และแม่น้ำท่าจีน โครงการจิตอาสารักษ์แม่น้ำประจำคณะกรรมการส่งเสริมการดำเนินงานการพัฒนาประสิทธิภาพองค์กร กลุ่มที่ 1-6 และโครงการ/กิจกรรมจิตอาสา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ของกรม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันเครือข่ายในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือแนวทางการดำเนินโครงการจิตอาสาของกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 2564 การบูรณาการทำงานของหน่วยงานในสังกัดและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสมพล โนดไธสง นายบรรจง สุกรีฑา นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36109
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 7 ตั้งแต่ 1 ถึง 30 พฤศจิกายน 2563
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 7 ตั้งแต่ 1 ถึง 30 พฤศจิกายน 2563 ศบค. เตรียมเสนอ ครม. พิจารณาขยายระยะเวลา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 7 ตั้งแต่ 1 ถึง 30 พฤศจิกายน 2563 วันนี้ (21 ต.ค. 63) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ความก้าวหน้าในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และผลการประชุม ศบค. สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9 รายอยู่ใน State Quarantine รวมผู้ป่วยสะสม 3,709 ราย ซึ่งตัวเลขผู้ป่วยสะสมที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผู้ป่วยที่มาจากต่างประเทศ 762 ราย มีผู้ที่หายป่วยแล้ว 3,495 ราย ผู้เสียชีวิตยังคงที่ 59 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ มาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย UAE 2 ราย โมร็อกโก 1 ราย โปรตุเกส 1 ราย ซูดานใต้ 3 ราย โอมาน 1 ราย ด้านสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของโลก มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มในวันเดียว 381,716 ราย โดยเฉลี่ย 3 วันมีผู้ป่วยใหม่ 1 ล้านคน รวมผู้เสียชีวิตทั้งโลก 1,129,591 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.8 โดย 6 อันดับประเทศที่มีผู้ป่วยจำนวนมากคือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย บราซิล รัสเซีย สเปน อาร์เจนตินา ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 144 โฆษก ศบค. กล่าวถึงตัวเลขผู้ป่วยสะสมรายวันยังมีทิศทางที่พุ่งขึ้นในหลัก 3 – 4 แสนคนต่อวัน ซึ่งอาจจะพุ่งถึงวันละ 5 แสนคนถึง 6 แสนคนได้ โดยประชากรโลกมี 7 พันล้านคน ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 41 ล้านคน ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าโรคนี้จะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไร แต่คงเหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กลายเป็นโรคประจำถิ่น ฉะนั้น จึงต้องมีการสื่อสารว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นที่ต้องมีการแพร่กระจายของโรค การติดเชื้อถือเป็นเรื่องปกติ และการที่ให้เป็นตัวเลขศูนย์ไม่มีการติดเชื้อไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริง ดังนั้นจะยึดติดตัวเลขที่เป็นศูนย์ต่อไปอีกไม่ได้ ทั้งนี้ มีโรคที่อันตรายกว่าโรคโควิด-19 อยู่หลายโรค เช่น วัณโรค ที่มีผู้ป่วยวัณโรคในไทย 70,000 – 80,000 คนต่อปี และมีผู้ป่วยวัณโรคทั่วโลกถึง 10 กว่าล้านคน จึงต้องพยายามยอมรับโรคโควิด-19 ให้อยู่ในประเทศไทยให้ได้ อย่างไรก็ตาม มีการควบคุมสถานการณ์ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้แล้ว ขณะที่ความคืบหน้าของการพัฒนาการผลิตวัคซีนโควิด-19 ขณะนี้ประเทศไทยมีการพัฒนาการผลิตวัคซีนเอง พร้อมกับมีความร่วมมือในการวิจัยกับต่างประเทศ รวมทั้งมีการจัดซื้อวัคซีนจากต่างประเทศ โดย ณ เวลานี้มีความคืบหน้าในการร่วมพัฒนาศักยภาพในการผลิตวัคซีนกับระดับนานาชาติ โดยวางเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 50 ของประชากร โฆษก ศบค. รายงานว่า ขณะนี้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงมั่นคง (ศปม.) ได้กวดขันเรื่องการเดินทางข้ามชายแดน โดยมีการลาดตระเวน การวางเครื่องกีดขวาง การตรวจ และการจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมือง มีการแจ้งข่าวสารผู้หลบหนี และตรวจสถานที่ตามมาตรการที่ผ่อนคลายด้วย ศบค. รับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายรวม 7 เรื่อง ได้แก่ 1. การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของคณะมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและคณะ 2. การอนุญาตให้ลูกเรือสัญชาติบริติชและสัญชาติเช็กเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางน้ำ 3. การกำหนดประเทศและเมืองต้นทางที่ได้รับการผ่อนผันให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยการขอรับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourism Visa (STV) ซึ่งในกลุ่มแรกได้รับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน 39 ราย โดยทั้งหมดจะต้องเข้ากักตัว 14 วันจึงสามารถท่องเที่ยวได้ โดยมีกำหนดอยู่ในประเทศไทยประมาณ 1 เดือน และจะมีการพิจารณานักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงปานกลางให้เดินทางเข้ามาในลำดับต่อไป 4. การอนุญาตให้สายการบินทำการบินแบบมีผู้โดยสารเปลี่ยนลำ (Transfer Passenger) 5. การอนุญาตให้เรือยอร์ชเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร โดยได้มีการเสนอว่ามีเรือซูเปอร์ยอร์ชและเรือ Cruiser ที่มีความต้องการเดินทางเข้ามาประมาณ 60 ลำ รวมคนที่จะเข้ามาประมาณ 600 - 650 คน คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 2,100 บาท โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติในการเข้ามาของเรือสำราญและกีฬา ดังนี้ เรือสำราญและกีฬา เข้ามาทอดสมอ ณ จุดที่กรมเจ้าท่าประกาศกำหนดเป็นจุดจอดชั่วคราว โดยกำหนดพื้นที่ฝั่งอันดามันที่จังหวัดภูเก็ต และฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดชลบุรี โดยที่ผู้ควบคุมยานพาหนะและผู้โดยสารกักตัวเองบนเรือเป็นระยะเวลา 14 วัน และให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 บนเรือ โดยวิธีการ RT-PCR จำนวน 3 ครั้ง เมื่อกักกันครบ 14 วันแล้วตรวจไม่พบเชื้อ ให้ดำเนินการออกหนังสือรับรองผู้โดยสารและลูกเรือเพื่อนำเรือเทียบท่าและเดินทางในราชอาณาจักรได้ 6. การอนุญาตให้เรือลูกเรือต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขึ้นเรือออกจากราชอาณาจักร (Sign on) โดยจะต้องกักตัว 14 วันก่อนลงเรือ และ 7. การผ่อนผันให้กลุ่มบุคคลเข้าประเทศไทยโดยเข้าสู่การกักกันตัวแบบ Wellness Quarantine โดยที่ประชุมได้มีการอนุมัติการเดินทางเข้ามา 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. กลุ่ม Medical Spa, Wellness Resort, Spa Resort 2. Long Term care หรือกลุ่มสำหรับดูแลสุขภาพผู้สูงอายุระยะยาว โดยในส่วนหัวข้อกีฬาให้ไปลงในรายละเอียดอีกครั้ง โดยให้มีการนำสินค้า OTOP เสนอขายได้ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ด้วย ซึ่งคาดว่าจะทำให้รายได้เข้าสู่ชุมชน พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ศบค. เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 นอกจากนี้ โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค. อนุมัติให้มีการเพิ่มกำหนดสัดส่วนจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมกีฬา ร้อยละ 50 จากที่เคยประกาศไว้เดิม โดยกีฬากลางแจ้ง การเชียร์เสียงดังสามารถมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 50 การเชียร์เสียงไม่ดังมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 70 ส่วนสนามกีฬาในร่มการเชียร์เสียงดังสามารถมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 30 และการเชียร์เสียงไม่ดังมีผู้เข้าชมได้ร้อยละ 50 ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36135
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​พล.อ. ประวิตร มอบระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้ง ชัยนาท อย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ​พล.อ. ประวิตร มอบระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้ง ชัยนาท อย่างยั่งยืน ​พล.อ. ประวิตร มอบระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้ง ชัยนาท อย่างยั่งยืน พล.อ. ประวิตร มอบระบบน้ำบาดาลใหญ่ที่สุดของไทย ผลงานกระทรวงทรัพยากรฯ แก้ภัยแล้ง ชัยนาท อย่างยั่งยืน วันที่ 21 ตุลาคม 2563 เวลา​ 09.​00 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ พร้อมด้วย นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) ให้การต้อนรับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาเป็นประธานมอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ หรือที่เรียกว่า Riverbank Filtration (RBF) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย ให้กับเทศบาลตำบลหาดท่าเสา อ.เมือง จ.ชัยนาท เพื่อบริหารจัดการแก้ไขปัญหาภัยแล้งด้านการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ในพื้นที่ จ.ชัยนาท ต่อไป รมว.ทส. กล่าวว่า “โครงการ RBF แห่งนี้สามารถผลิตน้ำได้ถึง 4,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็นน้ำคุณภาพดีที่ผ่านการกรองโดยกระบวนการทางธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ได้โดยไม่กระทบต่อน้ำผิวดิน สามารถช่วยเหลือประชาชนให้มีน้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงใช้ทางการเกษตรได้กว่า 8 หมู่บ้าน จำนวน 1,484 ครัวเรือน หรือประชาชนกว่า 5,000 คน ซึ่ง จ.ชัยนาท เป็น 1 ใน 3 พื้นที่ต้นแบบ ในการกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ และบริหารจัดการน้ำใต้ดินควบคู่ไปกับน้ำผิวดิน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเร่งพัฒนาขยายโครงการ RBF ไปยังพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศต่อไปในอนาคต” โอกาสนี้ รองนายก ได้กล่าวว่า “รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาภัยแล้งทั่วประเทศเป็นอย่างมาก เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีที่ทำกินที่ดีขึ้น และได้เร่งแก้ปัญหาด้านน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภัยแล้งซ้ำอีกในปีต่อไป” ก่อนที่ รองนายกจะเปิดน้ำ 1,000 ลิตร เข้าสู่ระบบ อันเป็นสัญลักษณ์ในพิธีเปิดโครงการ รวมถึงมอบน้ำแร่กระทรวงทรัพยากรฯ ให้กับตัวแทนชาวบ้าน และเดินเยี่ยมชมนิทรรศการ เยี่ยมชมระบบบริหารจัดการน้ำบาดาลขนาดใหญ่ริมแม่น้ำ พร้อมกับเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ด้านน้ำบาดาล และจุดบริการน้ำแร่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โครงการ RBF ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ที่สุดถึง 60 ซม. มีหอถังเหล็กส่งน้ำระยะไกลสูง 40 เมตร นอกจากนี้ พบว่า ยังมีปริมาณน้ำที่พัฒนาได้อีกกว่า 1.4 ล้านลูกบาสก์เมตรต่อปี ในการช่วยเหลือประชาชนได้มากถึง 8,000 โดยกระทรวงทรัพยากรธะรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเร่งดำเนินการต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข่าวดีจากรัฐบาล! “เฉลิมชัย” เร่งจ่ายเงินเยียวยาชาวสวนลำไย
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ข่าวดีจากรัฐบาล! “เฉลิมชัย” เร่งจ่ายเงินเยียวยาชาวสวนลำไย ข่าวดีจากรัฐบาล! “เฉลิมชัย” เร่งจ่ายเงินเยียวยาชาวสวนลำไย 2 แสนครัวเรือน 56 จังหวัด สูงสุดรายละ 5 หมื่นบาท ธกส. เริ่มโอนเงินภายในสัปดาห์นี้ “อลงกรณ์” เผยเตรียมจัดตั้งสถาบัน AIC ลำไย มุ่งวิจัยพัฒนาเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงวันนี้ (21 ต.ค) ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ฤดูกาลผลิตปี 2563 เพื่อช่วยเหลือชาวสวนลำไยที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านการผลิตและการตลาด ตามข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน โดยมีเป้าหมายเยียวยาชาวสวนลำไยที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 200,000 ครัวเรือนใน อัตรา ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ หรือคิดเป็นวงเงินเยียวยาไม่เกินรายละ 50,000 บาท นั้น กรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) รายงานล่าสุด เมื่อวานนี้ (20 ต.ค) ว่า มีเกษตรกรชาวสวนลำไยที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากคณะทำงานตรวจสอบสิทธิ์ 3ระดับ ได้แก่ ระดับตำบล ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด และกรมส่งเสริมการเกษตรได้ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 202,013 ราย คิดเป็นพื้นที่รวม 1,429,021 ไร่ ใน 56 จังหวัด ครอบคลุมชาวสวนลำไยในภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยรายชื่อทั้งหมดได้ส่งให้ ธกส. แล้ว และธกส.พร้อมจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรชาวสวนลำไยจำนวน 200,000 ราย ทันทีที่ ธกส. ตรวจสอบบัญชีธนาคารของเกษตรกรแล้วเสร็จภายในปลายสัปดาห์นี้ นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายให้ดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความโปร่งใสเป็นธรรมและดูแลชาวสวนลำไยอย่างทั่วถึงอย่าให้ตกหล่นเพราะชาวสวนลำไยในฤดูกาลผลิตปี 2563 ได้รับความเดือนร้อนอย่างมากจากผลกระทบทางด้านการผลิตและผลผลิตเพราะสภาพอากาศที่ร้อนแล้ง รวมทั้งเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาด้านตลาดและราคา สำหรับเกษตรกรชาวสวนลำไยที่ได้รับความเดือดร้อนและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติถูกต้องที่เกินจากกรอบของมติคณะรัฐมนตรีจำนวน 2,013 ราย นั้น คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่มี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานจะจัดประชุมเพื่อมีมติเสนอคณะรัฐมนตรีเพิ่มจำนวนเกษตรกรให้ครบถ้วน ทั้งนี้จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาโครงการเยียวยาที่ ธกส.จะต้องโอนเงินช่วยเหลือไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคมของปีนี้ นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งสถาบันลำไย ภายใต้ศูนย์แห่งความเป็นเลิศผลไม้เมืองร้อน ของศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ภายในเดือนหน้า โดยจะทำหน้าที่ในการวิจัยพัฒนา ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศเนื่องจากลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจ ซึ่งในปี 2562 มีมูลค่าการส่งออกลำไยสด 583,297 ตัน คิดเป็น 20,812 ล้านบาท การส่งออกลำไยอบแห้ง 164,575 ตัน คิดเป็นมูลค่า 8,780 ล้านบาท ประเทศคู่ค้าสำคัญได้แก่ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ โดยมีเกษตรกร 2 แสนครัวเรือน พื้นที่การผลิตกว่า 1.4 ล้านไร่ ครอบคลุม 56 จังหวัด กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ รมว.วธ.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ แสดงจุดยืนนโยบาย 3s (Safety- Security- Sustainability)
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ แสดงจุดยืนนโยบาย 3s (Safety- Security- Sustainability) กระทรวงเกษตรฯ แสดงจุดยืนนโยบาย 3s (Safety- Security- Sustainability)ในการประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียน พร้อมดันไทยเป็น Hub อาหารจากพืช(Plant-based Food) ​นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ครั้งที่42การประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียนบวกสาม ครั้งที่20และการประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่6ร่วมกับรัฐมนตรีเกษตรอาเซียนอีก10ประเทศได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอินเดียเป็นต้นผ่านระบบการประชุมทางไกลเมื่อวันที่21ตุลาคม2563โดยได้เน้นย้ำนโยบาย3ด้าน หรือ3Sของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนคือSafetyความปลอดภัยของอาหารSecurityความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร และSustainabilityความยั่งยืนของภาคการเกษตร รวมทั้งการให้ความร่วมมือกับอาเซียนและนานาประเทศ เพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19และวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยตั้งเป้าหมายสู่ความก้าวหน้าไปด้วยกันอย่างเข้มแข็งและมั่นคง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังเน้นย้ำการสร้างและผนึกกำลังการทำการเกษตรวิถีใหม่(Agricultural New Normal)เพื่อตอบสนองต่อปฏิญญาของการประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)โดยประเทศไทยได้เสนอโครงการASEAN NewNormalPlant-based Food Hubเนื่องจากเห็นว่าอาหารที่ทำมาจากพืช(Plant-based Food) เป็นสินค้าใหม่ที่มีความต้องการสูงในตลาดโลกประกอบกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมต่างๆ มาช่วยในการกำกับดูแลความมั่นคงอาหารและความปลอดภัยอาหารสามารถตอบสนองชีวิตวิถีใหม่และเป็นโอกาสใหม่ในการสร้างรายได้ให้แก่ภาคการเกษตรของไทยและของอาเซียนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ร่วมกับการบริหารทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน สามารถเพิ่มความมั่นคงด้านอาหาร แก้ไขปัญหาการอดอยากหิวโหย การขาดสารอาหาร และช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวถึงความคืบหน้าของไทยและอาเซียนในการแก้ไขปัญหาIUUโดยประเทศไทยได้พัฒนาระบบInteractive Platformของเครือข่ายอาเซียนเพื่อการต่อต้านการประมงไอยูยู(ASEAN Network IUU : AN-IUU)เป็นช่องทางในการสื่อสารออนไลน์แบบโต้ตอบได้ทันท่วงที ซึ่งสามารถใช้งานได้เรียบร้อยแล้ว และประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่ประสานงานของAN-IUUครั้งที่1ในเดือนธันวาคมนี้ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีไทย และของผู้นำอาเซียนที่เน้นย้ำและสนับสนุนให้ทำการประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งประเด็นทั้งหมดนี้ ได้เสนอผ่านที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ เมื่อวันที่20ตุลาคม2563ที่มีนายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36126
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี วอนช่วยกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย แจงยังไม่ลดการกักตัวเหลือ 10 วัน พร้อมเตรียมเพิ่มวิธีตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการเจาะเลือด สามารถทำได้บ่อยและค่าใช้จ่ายถูกลง
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี วอนช่วยกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย แจงยังไม่ลดการกักตัวเหลือ 10 วัน พร้อมเตรียมเพิ่มวิธีตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการเจาะเลือด สามารถทำได้บ่อยและค่าใช้จ่ายถูกลง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วอนช่วยกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย แจงยังไม่ลดการกักตัวเหลือ 10 วัน พร้อมเตรียมเพิ่มวิธีตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยการเจาะเลือด สามารถทำได้บ่อยและค่าใช้จ่ายถูกลง วันนี้ (21 ต.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงข้อเสนอลดการกักกันตัวผู้ที่เดินทางเข้าไทยจาก 14 วัน เหลือ 10 วันว่า ยังไม่มี กำลังหารือกันอยู่ เพราะต้องหามาตรการความพร้อมรองรับก่อน ว่าจะดำเนินการมาตรการทางสุขภาพอย่างไรได้บ้าง รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ สำหรับติดตามตัวผู้เดินทางที่มีมาตรฐานและทันสมัย โดยขณะนี้มีการเพิ่มการตรวจโรคโควิด-19 ผ่านการเจาะเลือด ซึ่งวิธีการแบบใหม่สามารถทำได้บ่อยขึ้นและค่าใช้จ่ายถูกลง จากเดิมใช้วิธีการตรวจหาเชื้อผ่านโพรงจมูกและคอ (SWAB) ทั้งนี้จะดำเนินการให้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตามฝากให้ทุกคนติดตามการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจด้วยและขอให้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองปลอดภัย ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ให้การต้อนรับอัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและคณะ
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ ให้การต้อนรับอัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและคณะ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับอัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและคณะ ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (21 ตุลาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ Mr. Oba Yuichi อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ ประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและคณะ เข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะ หารือความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36113
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมแลกเปลี่ยน นโยบาย การกำกับดูแล ICT และโทรคมนาคม ในเวทีสมาชิกองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก ผ่านการประชุมทางไกล
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 “ดีอีเอส” ร่วมแลกเปลี่ยน นโยบาย การกำกับดูแล ICT และโทรคมนาคม ในเวทีสมาชิกองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก ผ่านการประชุมทางไกล “ดีอีเอส” ร่วมแลกเปลี่ยน นโยบาย การกำกับดูแล ICT และโทรคมนาคม ในเวทีสมาชิกองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก ผ่านการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 20-22 ตุลาคม 2563 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดีอีเอส ได้เข้าร่วมการประชุม APT Policy and Regulatory Forum ครั้งที่ 20 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นการประชุมของสมาชิกองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก ในการแลกเปลี่ยน นโยบาย การกำกับดูแล ICT และโทรคมนาคม สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนและนำเสนอประสบการณ์ของประเทศไทย รวมถึงนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านดิจิทัล ภายใต้หัวข้อ การถอดบทเรียนจาก COVID-19 นโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องหลัง COVID-19 ณ ห้องประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัล แจ้งวัฒนะ ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมว. สุชาติ” ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ศูนย์ควบคุมเรือเข้า-ออก (PIPO) ชลบุรี
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 “รมว. สุชาติ” ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ศูนย์ควบคุมเรือเข้า-ออก (PIPO) ชลบุรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ พลตำรวจตรี นันทชาติ ศุภมงคล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประชุมหารือร่วมกับศูนย์ควบคุมเรือเข้า-ออก (PIPO) ชลบุรี วันที่ 21 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ พลตำรวจตรี นันทชาติ ศุภมงคล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแรงงานประมงทะเลผิดกฎหมาย ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก (Port In Port Out Controlling Center: PIPO) จังหวัดชลบุรี โดยมีหัวหน้าศูนย์ PIPO แรงงานจังหวัดชลบุรี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี และจัดหางานจังหวัดหวัดชลบุรี พร้องทั้งเจ้าหน้าที่ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ พลตำรวจตรี นันทชาติฯ และคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติหน้าที่ตรวจเรือประมงมัจฉาวารี ขนาดเรือ 42.38 ตันกรอส โดยมีลูกเรือทั้งหมด 13 คน เป็นชาวกัมพูชา 11 คน และชาวไทย 2 คน ในโอกาสนี้ได้กล่าวชื่นชมผู้ที่ปฏิบัติงานตรวจเรือประมงของศูนย์ฯ เป็นผู้ที่ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เสียสละในการปฏิบัติงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36132
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 16% 9 เดือนเพิ่มขึ้น 12%
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 กรุงไทยกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 16% 9 เดือนเพิ่มขึ้น 12% ธนาคารกรุงไทยและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานช่วง 9 เดือนปี 2563 เท่ากับ 54,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3 กำไรจากการดำเนินงาน เท่ากับ 16,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ธนาคารกรุงไทยและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานช่วง 9 เดือนปี 2563 เท่ากับ 54,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 3 กำไรจากการดำเนินงาน เท่ากับ 16,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง โดยธนาคารได้ตั้งสำรองเพื่อเสริมระดับ Coverage ratio รองรับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3/2563 เท่ากับ 16,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ นอกเหนือจากการบริหารจัดการทางการเงิน ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยขาลง ประกอบกับรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงาน ในไตรมาส 3/2562 ส่งผลให้ Cost to Income ratio ลดลงเป็นร้อยละ 45.3 จากร้อยละ 53.0 ในไตรมาส 3/2562 ธนาคารได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 12,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 103.6 เมื่อเทียบกับการตั้งสำรองในไตรมาสเดียวกันของปี 2562 ส่งผลให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลงเป็น 3,057 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 51.9 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงาน 9 เดือนปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเท่ากับ 68,023 ล้านบาท ขยายตัวขึ้นร้อยละ 0.6 ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยนโยบายที่ถูกปรับลดจนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสาเหตุหลักจากการได้รับรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ นอกเหนือจากการบริหารจัดการทางการเงิน จึงช่วยลดผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ นอกจากนี้ รายได้จากการดำเนินงานอื่นเติบโตร้อยละ 13.3 และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 13.8 จากรายการพิเศษสำรองด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายฯ และการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ Cost to Income ลดลงเป็นร้อยละ 42.2 จากร้อยละ 48.8 ในช่วงเดียวกันของปี 2562 จากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ประมาณการภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรงและมีความไม่แน่นอน ที่อาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารจึงได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 35,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.7 จากค่าใช้จ่ายสำรองในช่วงเดียวกันของปี 2562 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 13,279 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 39.2 ทั้งนี้ อัตราส่วน Coverage Ratio เพิ่มระดับขึ้นเป็นร้อยละ 135.6 จากร้อยละ 131.8 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มี NPLs Ratio-Gross ที่ร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 4.33 โดยธนาคารยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงเกณฑ์ของธปท.ในการผ่อนปรนการจัดชั้นลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการชั่วคราว ณ 30 กันยายน 2563 ธนาคารมียอดสินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิ 2,149,620 ล้านบาท โดยธนาคาร (งบการเงินเฉพาะ) มีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 15.01 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงที่ร้อยละ 18.42 ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อย ได้จัดตั้งบริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด (Infinitas by Krungthai) เป็นบริษัทย่อยเพิ่มเติม เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ให้บริการด้านการพัฒนา Innovation & Digital Platform เพื่อเข้าสู่ Open Banking, Virtual Digital Banking Service รวมถึง New Business Model อย่างเต็มรูปแบบ ทีม Marketing Strategy โทร. 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36120
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
วันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นายกรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันนี้ (21 ต.ค.63) เวลา 07.30 น. ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยมีองคมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส อาทิ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี เมื่อเดินทางถึงปะรำพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยา จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะและพระสงฆ์ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ นายกรัฐมนตรีและภริยา คณะรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ถวายเครื่องไทยธรรม นายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตร จำนวน 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระสงฆ์อนุโมทนา ถวายอดิเรก นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำรับพร จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาตักบาตรพระสงฆ์ กราบลาพระรัตนตรัยและถวายความเคารพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา วางพานพุ่มดอกไม้สดหน้าพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยารับมอบต้นไม้ต้นพะยูงจากกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจัดเตรียมกล้าไม้ ได้แก่ ต้นอินทนิล ต้นมะขาม ต้นพิลังกาสา ต้นกฤษณา ต้นพิกุล ต้นยางนา ต้นพุฒซ้อน และต้นคำมอกหลวง จำนวน 1,000 ต้น เพื่อมอบให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องใน “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ” เยี่ยมชมนิทรรศการและการให้บริการทางการแพทย์ โดยมูลนิธิถันยรักษ์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) รวมทั้ง เข้าชมบ้านจำลอง พิพิธภัณฑ์ A “ห้องสร้อยสังวาลย์สวรรค์” และพิพิธภัณฑ์ B “ห้องสร้างสรรค์สว่างไสว” ............................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36104
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลุยราชบุรี สร้างความมั่นคงแรงงานอิสระเข้าถึงหลักประกันสังคม
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลุยราชบุรี สร้างความมั่นคงแรงงานอิสระเข้าถึงหลักประกันสังคม รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี เปิดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระ รุ่นที่ 3 (ส่วนภูมิภาค) เสริมสร้างความมั่นคงแก่แรงงานอิสระเข้าถึงหลักประกันในชีวิตได้รับการคุ้มครองทางสังคม เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระ รุ่นที่ 3 (ส่วนภูมิภาค) ณ ห้องสัมมนาเวลาดี 2 โรงแรม ณ เวลา อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในครั้งนี้ด้วย นายประกอบ วงศ์มณีรุ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวต้อนรับ นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับพื้นที่ โดยเสริมสร้างหลักประกันสังคมความมั่นคงในชีวิตแก่แรงงานภาคอิสระ เพื่อสร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมในสังคม ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้ดิฉันลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี มาเปิดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระ รุ่นที่ 3 ในส่วนภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแก่แรงงานนอกระบบ หรือแรงงานภาคอิสระให้เข้าถึงหลักประกันในชีวิตได้รับการคุ้มครองทางสังคม กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จึงส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่อยู่ในวัยกำลังแรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน แรงงานผู้สูงอายุและคนพิการ ให้เห็นความสำคัญของการมีหลักประกันทางสังคม โดยการสมัครเข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคม เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมตามนโยบายของรัฐบาล นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า จากการสำรวจข้อมูลแรงงานภาคอิสระของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2562 พบว่ามีแรงงานภาคอิสระ 20.4 ล้านคนทั่วประเทศ แต่มีเพียงจำนวน 3.40 ล้านคน หรือร้อยละ 16.67 ที่เข้าถึงระบบความคุ้มครองประกันสังคมมาตรา 40 และยังมีแรงงานภาคอิสระ 17 ล้านคน ดังนั้น แนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนให้แรงงานภาคอิสระที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคมได้เข้าสู่ระบบความคุ้มครองประกันสังคมเพิ่มมากขึ้น คือการส่งเสริม ประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้แรงงานภาคอิสระมีหลักประกันความคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึง การจัดโครงการประกันสังคมทั่วไทยสู่แรงงานภาคอิสระ เป็นการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสวัสดิการภาครัฐด้านการประกันสังคม และส่งเสริมให้แรงงานภาคอิสระเข้าถึงการมีหลักประกันความคุ้มครองทางสังคม และยังเป็นการพัฒนาการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในระดับพื้นที่สนับสนุนการขับเคลื่อนให้ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรของจังหวัดราชบุรีมีหลักประกันความคุ้มครองทางสังคมมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36276
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารร้านค้าสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 เพื่อรับทราบรายงานผลการดำเนินงาน และพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการร้านค้าสวัสดิการ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พื้นที่อาคารสโมสรกระทรวงอุตสาหกรรม (อาคารนารายณ์) ชั้น 1 โดยมีนางสาวสุนีย์ โสภณ ผู้อำนวยการกองบริหารทรัพยากรบุคคล นางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อำนวยการกองกลาง นายสมชัย เอมบำรุง ผู้อำนวยกองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยร่วมประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 รับมือผลกระทบโควิด 19 ชูนโยบาย3S-เกษตร 4.0 ยืนยันความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียนและครัวโลก เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารแ
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ไทยร่วมประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 รับมือผลกระทบโควิด 19 ชูนโยบาย3S-เกษตร 4.0 ยืนยันความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียนและครัวโลก เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารแ ไทยร่วมประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 รับมือผลกระทบโควิด 19 ชูนโยบาย3S-เกษตร 4.0 ยืนยันความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียนและครัวโลก เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงถึงผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 วันนี้ (28ต.ค) ว่า ตามที่ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมด้วยนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค (APEC Virtual Ministerial Policy Dialogue on Food Security) ร่วมกับรัฐมนตรี และผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขต เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสหพันธรัฐมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุม โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ นายฉู ตงหยู (Mr. Qu Dongyu) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ทุกประเทศจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายที่จะเสริมสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร ทั้งด้านการตลาด การส่งเสริมเทคโนโลยี ความปลอดภัยทางด้านอาหาร รวมถึงการผลิตอาหารให้เพียงพอกับประชากรโลก สำหรับการประชุมผ่านระบบทางไกลดังกล่าว มีการรับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความสำคัญของการดำเนินงานเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งสมาชิกสามารถพิจารณาให้ความร่วมมือตามความสมัครใจ โดยสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ ได้กล่าวถึง ผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความมั่นคงอาหาร การเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมง รวมทั้งห่วงโซ่อาหารในภูมิภาค ตลอดจนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้เปราะบาง ทั้งนี้ สมาชิกเอเปคได้เน้นย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือที่ต่อเนื่อง การสนับสนุนในด้านการผลิตอาหารและการเข้าถึงอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบอาหารทั่วโลกยังคงเปิดกว้าง มีนวัตกรรม เชื่อถือได้ มีความยืดหยุ่น และยั่งยืน รวมทั้งการให้ความสำคัญของการทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ อาทิ FAO และ WHO เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเน้นการอำนวยความสะดวกของสินค้าและบริการ ผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตร รวมถึงปัจจัยการผลิตข้ามพรมแดนที่เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการค้าอาหารทั่วโลก โดยมาตรการฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรเพื่อรับมือต่อโรคโควิด-19 จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม โปร่งใส และต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบของ WTO อีกทั้ง ต้องเสริมความร่วมมือและการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนความสำคัญของเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม เช่น การเกษตรดิจิทัล การทำฟาร์มอัจฉริยะ และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากากรระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อตอบสนองการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ในครั้งนี้ด้วย “ประเทศไทย ได้เน้นย้ำนโยบาย 3 ด้าน หรือ 3S ของ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้แก่ ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร (Food Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นครัวโลก (Kitchen of the World) และมีความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียน(ASEAN Food Reserve) รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือ AIC ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เกษตรวิถีใหม่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Public-Private Partnership (PPP)” นายอลงกรณ์ กล่าว ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่กำหนดจัดขึ้นทุก 2 ปี เพื่อสร้างเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารภายในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก โดยการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงบทบาทของไทยในการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหาร ที่มีความพร้อมเป็นแหล่งสำรองอาหารของภูมิภาคอาเซียน และมาตรการรับมือต่อโรคโควิด-19 แล้ว ยังเป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย มาตรการ แผนงาน และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอาหารของสมาชิก อันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคครั้งถัดไป ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี 2565 ซึ่งถือความท้าทายที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพและนับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ทุกคน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย และแผนด้านวัฒนธรรมสู่การปฏิบัติเชิงบูรณาการ
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย และแผนด้านวัฒนธรรมสู่การปฏิบัติเชิงบูรณาการ รมว.วธ. เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย และแผนด้านวัฒนธรรมสู่การปฏิบัติเชิงบูรณาการ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายและแผนด้านวัฒนธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๕” วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนด้านวัฒนธรรมสู่การปฏิบัติเชิงบูรณาการ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “นโยบายและแผนด้านวัฒนธรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๕” โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงาน และบรรยายในหัวข้อ “การขับเคลื่อนและนำนโยบายด้านวัฒนธรรมสู่การปฏิบัติ” และมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ๗๖ จังหวัด สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานครและสภาวัฒนธรรมเขต ๕๐ เขต สภาวัฒนธรรมจังหวัดและเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรม รามาดา บาย วินแดม แบงคอก เจ้าพระยาปาร์ค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36294
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย”
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ร่วมให้การต้อนรับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสื่อมวลชน พร้อมทั้งนำชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์สืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช ๒๕๖๓ “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” อาทิ การแสดงทางวัฒนธรรมเพลงเรือ “ประเพณีลอยกระทง” โดยสมาคมศิลปะเพื่อเยาวชน การจัดแสดงกระทง ๔ ภาค การจัดแสดงโคมชัก โคมแขวน และโคมไฟประดิษฐ์ ในงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี ๒๕๖๓ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-สบช.-มูลนิธิ สอน. ลงนามความร่วมมือติดอาวุธทางปัญญาบุคลากรสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ฯ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันพระบรมราชชนก และมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 สธ.-สบช.-มูลนิธิ สอน. ลงนามความร่วมมือติดอาวุธทางปัญญาบุคลากรสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ฯ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันพระบรมราชชนก และมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา กระทรวงสาธารณสุข สถาบันพระบรมราชชนก และมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี ลงนามความร่วมมือพัฒนาบุคลากรสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ฯ และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม 93 แห่งทั่วประเทศ ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข มีหมอ 3 กระทรวงสาธารณสุข สถาบันพระบรมราชชนก และมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี ลงนามความร่วมมือพัฒนาบุคลากรสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ฯ และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม 93 แห่งทั่วประเทศ ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข มีหมอ 3 คนดูแลทุกครอบครัว ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้าน วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ประธานกรรมการมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมชาย ธรรมสารโสภณ อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการจัดทำหลักสูตรในระดับปริญญาโท การพัฒนาหลักสูตรผู้นำ และหลักสูตรปรับฐานวิชาการแพทย์แผนไทย พร้อมทั้งรับมอบรถพยาบาลฉุกเฉิน 2 คัน มูลค่า 2 ล้าน 6 แสนบาท จากบริษัทซัยโจ เด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อมอบให้ สอน.บ้านโป่งสา อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และสอน.ไอปาโจ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส และประชุมสามัญประจำปีคณะกรรมการพัฒนา สอน. ปี 2563 ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า มูลนิธิพัฒนา สอน.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานใน สอน. และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม ทั้ง 93 แห่งทั่วประเทศ ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิเข้มแข็งให้ทุกครอบครัว มีหมอ 3 คน ประชาชนได้รับการดูแลสุขภาพใกล้บ้าน ลดความเหลื่อมล้ำ ลดแออัดโรงพยาบาลใหญ่ จึงได้ลงนามความร่วมมือ 3 หน่วยงาน ร่วมกันติดอาวุธทางปัญญา พัฒนาองค์ความรู้การบริหารจัดการ สร้างเครือข่ายนักจัดการระบบสุขภาพ ดูแลสุขภาพประชาชนตามบริบทของพื้นที่ ตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน เป็นการพัฒนากำลังคนด้านการบริหารจัดการระบบสุขภาพของประเทศ ปฏิรูประบบสุขภาพให้เกิดความเข้มแข็ง รวมถึงการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนานาประเทศ โดยใช้แนวคิดการสาธารณสุขมูลฐาน และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับการประชุมสามัญประจำปี คณะกรรมการมูลนิธิ ฯ ได้เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการพัฒนา สอน. และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม ปี 2564 – 2565 และแผนดำเนินงานของมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ประจำปี 2564 เพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ องค์กรนำความรอบรู้ สง่างามสมพระเกียรติ ด้านนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการพัฒนา สอน. ซึ่งมี 82 แห่ง และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม 11 แห่งทั่วประเทศ คือ การบริการเชิงรุก สอดรับกับภาวะฉุกเฉินการระบาดโรคโควิด 19 และโรคอุบัติใหม่ รองรับการบริการที่จะลดแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ ให้บริการแบบ New normal เช่น การส่งยาโรคเรื้อรังที่บ้าน พัฒนาเครือข่ายอาสาสมัคร/ จิตอาสา ทำงานเชิงรุกในชุมชนแบบ New normal และวางระบบ 3P Safety ปลอดภัยทั้งผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และประชาชน รวมทั้งพัฒนามาตรฐานการทำงานในระบบบริการ การสร้างจิตสำนึกรักองค์กร ภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ มีการบริหารจัดการทรัพยากรและระบบกำกับติดตาม สำหรับ สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้คือ การพัฒนาหลักสูตรที่มีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ และสถานีอนามัยที่ได้รับพระราชทานนาม ได้แก่ หลักสูตรระดับปริญญาโท และหลักสูตรระยะสั้น 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร “สร้างผู้นำ” สำหรับผู้บริหารในการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิ และหลักสูตร “ปรับฐานวิชาการแพทย์แผนไทยเพื่อการทำงานในระบบสุขภาพปฐมภูมิ” ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น การมีส่วนร่วมของชุนชน และเป็นแหล่งเรียนรู้การจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิ **************************28 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ด่วน ! กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครสอบแข่งขัน เข้ารับราชการบรรจุครั้งแรก 15 อัตรา
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ด่วน ! กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครสอบแข่งขัน เข้ารับราชการบรรจุครั้งแรก 15 อัตรา กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ จำนวน 4 อัตรา ตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน จำนวน 5 อัตรา และตำแหน่งเจ้าพนักงานแรงงานปฏิบัติงาน จำนวน 6 อัตรา ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ จำนวน 4 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 15,000 – 16,500 บาท ตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน จำนวน 5 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 11,500 – 12,650 บาท และตำแหน่งเจ้าพนักงานแรงงานปฏิบัติงาน จำนวน 6 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 11,500 – 12,650 บาท รับสมัครตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งว่า กรมการจัดหางานเปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ จำนวน 3 ตำแหน่ง 15 อัตรา คือ 1.ตำแหน่งนักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ จำนวน 4 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 15,000 – 16,500 บาท คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันในสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาบริหารธุรกิจ และสาขาวิชาการจัดการ 2. ตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน จำนวน 5 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 11,500 – 12,650 บาท คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ได้รับคุณวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันในสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร สาขาวิชาการเลขานุการ สาขาการตลาด และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 3. ตำแหน่งเจ้าพนักงานแรงงานปฏิบัติงาน จำนวน 6 อัตรา อัตราเงินเดือนระหว่าง 11,500 – 12,650 บาท คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง ได้รับคุณวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันทุกสาขาวิชา หรืออนุปริญญาหลักสูตร 3 ปี ต่อจากประกาศนียบัตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันในทุกสาขาวิชา คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบ ได้แก่ เป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี เป็นผู้เสื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เช่น เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคลล้มละลาย เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น และต้องเป็นผู้สอบผ่านการวัดวามรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) ในระดับเดียวกันกับคุณวุฒิที่ใช้สมัครสอบ หรือสูงกว่าของสำนักงาน ก.พ. โดยสามารถสมัครสอบได้ที่ http://www.doe.go.th หัวข้อ "งานราชการกรมการจัดหางาน" หรือ https://doe.thaijobjob.com หัวข้อ "สมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ" วิธีการสอบ ใช้วิธีการสอบแข่งขันเพื่อวัดความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่งก่อน (ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60) และเมื่อสอบผ่านแล้ว จึงจะมีสิทธิเข้าสอบแข่งขันเพื่อวัดความเหมาะสมกับตำแหน่งต่อไป โดยมีเกณฑ์การตัดสินจะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และขึ้นบัญชีไว้เป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี นับตั้งแต่วันขึ้นบัญชี แต่ถ้ามีการสอบแข่งขันในตำแหน่งเดียวกันกับที่ได้ประกาศรับสมัครในครั้งนี้ และได้ประกาศบัญชีผู้สอบใหม่แล้ว บัญชีผู้สอบแข่งขันได้ครั้งนี้เป็นอันยกเลิก “ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครเข้าทำงานกับกรมการจัดหางาน อย่าหลงเชื่อ ผู้มาแอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้ท่านได้รับการขึ้นบัญชี หรือมีพฤติกรรมในทำนองเดียวกัน กรมการจัดหางานจะดำเนินการสอบแข่งขันด้วยความโปร่งใส ยุติธรรมและเสมอภาค โดยสามารถสมัครสอบได้ทางอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ค่าธรรมเนียมสมัครสอบ จำนวน 380 บาท และจะประกาศรายชื่อผู้สมัครสอบ วัน เวลา สถานที่สอบ และระเบียบเกี่ยวกับการสอบ ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ที่ https://www.doe.go.th หรือ https://doe.thaijobjob.com ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2248 6896 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ” นายสุชาติฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 ตุลาคม 2563
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 ตุลาคม 2563 วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 28 ตุลาคม 2563 วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13 ราย ทุกรายเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ และเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ หรือสถานที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 10 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,561 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.73 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 139 ราย หรือร้อยละ 3.7 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,759 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ 12 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) (สหรัฐอเมริกา 1 ราย, บังคลาเทศ 1 ราย, จอร์แดน 4 ราย, เยอรมนี 1 ราย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2 ราย, รัสเซีย 1 ราย, สหรัฐราชอาณาจักร 2 ราย) โดย 9 รายมีอาการป่วย เช่น ไอ มีน้ำมูก เสมหะ หอบเหนื่อย ถ่ายเหลว และอีก 3 ราย ไม่มีอาการ ทุกรายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามระบบ 1 ราย เป็นชาวต่างชาติ(สัญชาติฝรั่งเศส) เดินทางจากประเทศฝรั่งเศส เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน โดยผู้กักตัวเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายโดยคิดจากประกันโควิด 19 ที่ทำไว้ก่อนการเดินทางเข้าประเทศ นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อทั่วโลกขณะนี้ยังคงพบการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงโดยไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในวันนี้มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ 459,020 ราย โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปพบว่ามีการระบาดในระลอกที่ 2 รุนแรงกว่ารอบแรก สำหรับประเทศไทยเมื่อเทียบกับทั่วโลกถือว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเหตุการณ์สำคัญในช่วงนี้ได้แก่ สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนแม่สอด จ. ตาก ที่พบผู้ติดเชื้อในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 11 ราย ติดตามผู้สัมผัสได้ทั้งหมด 93 ราย และได้ค้นหาเชิงรุกในชุมชนอย่างต่อเนื่องโดยได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจแล้ว 12,713 ราย ยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม นับว่าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วสามารถควบคุมโรคในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี การพบผู้ติดเชื้อชาวฝรั่งเศส ที่ อ.เกาะสมุย ขณะนี้ได้ดำเนินการสอบสวนโรค ติดตามผู้สัมผัสได้เกือบทั้งหมด แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 46 ราย ได้ติดตามเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและเข้ารับการกักตัวแล้ว 41 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อ อยู่ระหว่างการติดตามอีก 5 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 80 ราย ยังคงเฝ้าระวังติดตามอาการต่อเนื่องจนครบ 14 วัน อย่างไรก็ตามการพบผู้ติดเชื้อ 1- 2 ราย เช่นใน อ.แม่สอด หรือ อ.เกาะสมุย สามารถทำให้เกิดรูปแบบการระบาดได้ 3 แบบ ดังนี้ สถานการณ์ที่ป้องกันโรคได้ดี ไม่พบผู้ติดเชื้อตามมาหลังจากพบผู้ติดเชื้อรายแรก สิ่งสำคัญคือความร่วมมือของคนไทยที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคทั้งส่วนบุคคล และส่วนองค์กร ได้เป็นอย่างดีและต่อเนื่อง สถานการณ์พบผู้ติดเชื้อแต่ควบคุมได้ โดยพบผู้ติดเชื้อตามมาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งการควบคุมโรคจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการพบผู้ติดเชื้อรายแรก และความร่วมมือ และวินัยในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน ควบคุมโรคของคนในพื้นที่ สถานการณ์พบผู้ติดเชื้อแต่ควบคุมโรคได้ช้า เป็นการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นกลุ่มก้อนหลังพบผู้ติดเชื้อรายแรก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคนในประเทศ แม้ว่าเป้าหมายการควบคุมโรคโควิด 19 ไม่ใช่ทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ เนื่องจากมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อได้ กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการสำคัญที่จะจัดการกับสถานการณ์ คือ ค้นพบผู้ติดเชื้อได้เร็วเข้าสอบสวนโรคอย่างละเอียดรอบคอบ และสิ่งสำคัญที่สุดคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการป้องกันตัวของประชาชนในการป้องกันควบคุมโรค เช่น หลีกเสี่ยงสถานที่แออัด สวมใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ กินร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว หากพบว่ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ ร่วมกับมีประวัติเสี่ยงให้รีบพบแพทย์ จะทำให้ประเทศสามารถควบคุมโรคได้ “การที่กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจประเทศ ไม่ว่าการเปิดด่านชายแดนหรือ การเปิดรับนักท่องเที่ยว สิ่งสำคัญที่สุดความปลอดภัยของประชาชน โดยไม่ลดมาตรฐานการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว *********************************** 28 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36295
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36317
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทำเนียบรัฐบาลร่วมสืบสาน “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ศุกร์ 30 ตุลาคม นี้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีร่วมลอยกระทง ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ทำเนียบรัฐบาลร่วมสืบสาน “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ศุกร์ 30 ตุลาคม นี้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีร่วมลอยกระทง ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาลร่วมสืบสาน “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ศุกร์ 30 ตุลาคม นี้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีร่วมลอยกระทง ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) ณ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ปีนี้ การจัดงานเทศกาล การแสดงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีในต่างประเทศ จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและกิจกรรมให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทั้งรณรงค์ใช้วัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายง่ายที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น เช่น หยวกกล้วย กาบกล้วย ขนมปัง และใบเตย มาประดิษฐ์กระทง เพื่อร่วมกันรักษาสายน้ำและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรณรงค์ให้แต่ละครอบครัว กลุ่มประชาชน หน่วยงานใช้กระทง 1 ใบ ตามแนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง” ลดปริมาณขยะในแม่น้ำลำคลอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาพร้อมคณะรัฐมนตรี จะร่วมงานสืบสานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2563 “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย” ในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 18.00 น. ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล สำหรับประเพณีลองกระทง ถือเป็นประเพณีที่สำคัญของชาติและอยู่คู่กับประชาชนชาวไทยนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน และเป็นประเพณีที่มีเรื่องของความเชื่อทางศาสนา มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และพิธีกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำ ลำคลอง และเพื่อเป็นการสื่อถึง “ความกตัญญู” การรู้จักสำนึกในบุญคุณของแม่น้ำลำคลอง ซึ่ง “น้ำ” ถือเป็นทรัพยากรและปัจจัยที่สำคัญในชีวิตของประชาชน ---------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36290
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ดันราคายางต่อเนื่องเดินหน้า “เกษตรฯ-พาณิชย์โมเดล”
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 “เฉลิมชัย” ดันราคายางต่อเนื่องเดินหน้า “เกษตรฯ-พาณิชย์โมเดล” “เฉลิมชัย” ดันราคายางต่อเนื่องเดินหน้า “เกษตรฯ-พาณิชย์โมเดล” ลุย 6 มาตรการเจาะตลาดจีนทุกมณฑลเปิดตลาดใหม่ เตรียมจัดงานเอ็กซ์โปยางโลกปลายปีนี้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายางแถลงวันนี้ (28 ต.ค.) ว่าสถานการณ์ความต้องการยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยางมีแนวโน้มสูงขึ้นทำให้ราคาในประเทศและในต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นปัจจัยกลไกตลาดและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลโดยเฉพาะการขับเคลื่อนโมเดล “เกษตรพาณิชย์ทันสมัย” ซึ่งเป็นความร่วมมือการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ดำเนินงานร่วมกันตั้งแต่ปีที่แล้วทั้งเรื่องโครงการประกันรายได้ชาวสวนยางและล่าสุดคือ 6 มาตรการปฏิรูปยางพาราตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มอลเพื่อเพิ่มราคาและสร้างเสถียรภาพราคารวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เน้นลงทุนแปรรูปส่งเสริมวิจัยสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ใช้กลยุทธ์ใหม่การขายการตลาดเชิงรุกเจาะจีนทุกมณฑลและเปิดตลาดใหม่ๆ ในประเทศต่างๆ ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1.มาตรการตลาดและราคา(Market & Price) 2.มาตรการการบริหารด้านอุปทาน (Supply Side Management) 3.มาตรการการบริหารด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) 4.มาตรการส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม 5.มาตรการลดสต็อกยางพารา และ 6.มาตรการเพิ่มรายได้ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ขยายตลาดส่งออกโดยเจรจาธุรกิจทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เพื่อซื้อขายยางพาราและ ช่วงวันที่ 30 กันยายน 2563 และ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา และในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2563 กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด Thailand Rubber Expo” เพื่อกระตุ้นการซื้อขายยาง รวมทั้งผลิตภัณฑ์ และสินค้านวัตกรรม ที่สามารถนำไปมอบเป็นของขวัญ เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2564 นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่าราคายางยังแรงไม่หยุด หลังปิดตลาดวันนี้ราคายางแผ่นรมควันพุ่งแตะสูงสุด 77.85 บาท/กก. ที่ตลาดกลางยางพารา จ.นครศรีธรรมราช ส่วนตลาดกลางฯ จ.สงขลา และตลาดกลางฯ จ.สุราษฎร์ธานี ราคาอยู่ที่ 77.72 บาท/กก. โดยหลังจากเปิดตลาดสัปดาห์นี้เพียง 2 วัน ราคาเพิ่มเพิ่มขึ้นกว่า 11 บาท คาดการณ์ว่าราคาสามารถพุ่งสูงต่อเนื่องแตะ 80 บาท/กก. ได้ภายในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ราคายางจะยังคงอยู่ในแนวบวกอย่างต่อเนื่อง และทะลุแนวต้านสูงสุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยด้านอุปสงค์อุปทานและมาตรการส่งเสริมการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศส่งผลทำให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นอ้างอิงได้จากปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ 4.4 แสนตัน น้อยกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ประมาณ ร้อยละ 10 ขณะเดียวกันความต้องการยางในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ สินค้าประเภทยุทธภัณฑ์ ถุงมือยาง ยางยืด โดยจีนเป็นประเทศผู้นำเข้ายางที่มากที่สุด มีการเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.9 ดัชนี PMI ของจีนยังอยู่ที่ 51.50 ซึ่งอยู่เหนือระดับ 50 สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัว คำสั่งซื้อยางของจีนจากต่างประเทศกลับมาฟื้นตัว การจำหน่ายรถยนต์ของจีนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 63 กำลังการผลิตของโรงงานผลิตยางรถยนต์เพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มใช้ยางมากขึ้นด้วย เชื่อว่าราคายางยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และเป็นที่น่าหวั่นใจว่า ต่อไปผลผลิตยางอาจจะไม่เพียงพอสำหรับความต้องการใช้ของตลาดต่างประเทศ รายละเอียดของ 6 มาตรการในการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุมรัษฎา การยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายประพันธ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทยและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง ภาคเอกชนผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราได้รับทราบถึงสถานการณ์ผลผลิตยางพาราโลกมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 3-6% ต่อปีจากพื้นที่เพาะปลูกใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดหลังจากเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูกในช่วงปี 2547-2555 โดยเฉพาะผลผลิตของจีนที่ปลูกในกลุ่มประเทศ CLMV ในขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราของโลกคาดว่าจะขยายตัว 4-5% ต่อปี ส่งผลให้ยังคงมีผลผลิตยางพาราส่วนเกินเฉลี่ยกว่า 3.5-4.5 แสนตันต่อปี และจะมีผลให้ค่าคาดการณ์สต๊อกยางพาราโลกสูงกว่า 4 ล้านตันในช่วงปี 2562- 2563 ซึ่งจะกดดันให้ราคายางพาราในตลาดโลกในช่วงปี 2563-2564 มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่าต่อเนื่องจากปลายปี 2561 ทั้งยังเผชิญวิกฤติโควิด 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลต่อการผลิต ตลาดและราคาทั่วโลก คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ปัญหาทั้งในเชิงโอกาสในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลกด้วยมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาทและส่งออก รถยนต์อันดับ4ของโลกส่งออกถุงมือยางอันดับ 2 ของโลกจึงมีมติกำหนด 6 มาตรการ ปฏิรูปยางพาราชุดแรกเพื่อตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มอลจากผลกระทบของโควิด 19 โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้ชาวสวนยางและสถาบันยางพร้อมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและแก้ไขปัญหาราคาทำให้เกิดเสถียรภาพราคายางพาราทั้งระยะสั้นและรายะยาว ตามนโยบายของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังนี้ 1. มาตรการตลาดและราคา (Market & Price) เนื่องจากตลาดซื้อขายล่วงหน้ามีอิทธิพลต่อราคาอ้างอิงในตลาดซื้อขายจริงโดยเฉพาะตลาดซื้อขายล่วงหน้า4ตลาดหลักคือตลาดเซี่ยงไฮ้ โตเกียว สิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดผู้ซื้อในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกและเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกแต่มีบทบาทน้อยมากต่อการกำหนดราคาซื้อขายยางพาราจึงเห็นควรให้เร่งศึกษาหาข้อสรุปการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง (Physical Forward Market) ของยางพาราที่เรียกว่า “ตลาดไทยคอม” (ThaiCom) ซึ่งเป็นตลาดลูกผสมแบบ ไฮบริด (Hybrid) ระหว่างตลาดซื้อขายจริง (Spot Market) กับตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Future Market) โดยดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของการยางแห่งประเทศไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM Bank) โดยให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่ประกอบไปด้วยผู้เขี่ยวชาญศึกษาจัดทำรายงานเสนอภายใน90วันและระหว่างนี้ให้ กยท. เสนอรายงานแนวคิดเบื้องต้น (Concept paper) เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อรับทราบแนวทางนโยบาย หากเห็นชอบในหลักการให้คณะทำงานจัดทำรายงานขั้นสุดท้ายเสนอคณะกรรมการฯเพื่อพิจารณาก่อนเสนอต่อแย่.และคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป 2. มาตรการการบริหารด้านอุปทาน (Supply Side Management) กำหนดให้ลดพื้นที่สวนยาง 2 ล้านไร่โดยลดพื้นที่สวนยางปีละ 2 แสนไร่เป็นเวลา10 ปีเพื่อลดปริมาณการผลิตโดยขอการสนับสนุนไร่ละ 10,000 บาทจากรัฐบาลเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน นอกจากนี้ ให้เร่งขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลที่ให้หน่วยงานภาครัฐเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศและมอบหมายกยท.เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราตามความต้องการของภาครัฐและตลาดทั้งในและต่างประเทศ 3. มาตรการการบริหารด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) เร่งขยายตลาดในจีนโดยให้ขยายการค้ายางพาราให้ครอบคลุมในทุกมณฑลของประเทศจีน เพื่อเพิ่มช่องทางการขายยางพาราต่อยอดจากในอดีตที่การค้ายางกระจุกตัวอยู่ในบางมณฑลรวมทั้งการขยายตลาดหลักอื่นๆ และเปิดตลาดใหม่ๆ โดยให้จัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการค้ายางพารากับจีนและตลาดหลักเป็นการเร่งด่วนเพื่อกำหนดแนวทางการตลาดและการขายเชิงรุกทั้งรูปแบบการค้าออนไลน์และออฟไลน์รวมทั้งการสร้างมาตรฐานของผลผลิตและผลิตภัณฑ์ยางพาราตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของอุตสาหกรรมยางพาราของไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า นอกจากนี้ยังมีมติให้ กยท. จัดงาน “ยางพาราเอ็กซ์โปบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเสมือนจริง (Virtual Platform) เพื่อเพิ่มช่องทางการค้าและการจับคู่ธุรกิจระหว่างประเทศ 4. มาตรการส่งเสริมการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเร่งส่งเสริมการลงทุนโรงงานผลิตถุงมือยางรวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆตอบโจทย์ความต้องการใหม่ในยุคนิวนอร์มอล (New Normal) จากผลกระทบของโควิด 19 โดยเร่งเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนในรับเบอร์ซิตี้ (Rubber City) และพื้นที่ใกล้แหล่งผลิตยางพาราพร้อมกับเร่งศึกษาโครงการรับเบอร์คอมเพล็กซ์(Rubber Complex) ที่นครศรีธรรมราชและให้ กยท. จัดโครงการประกวดนวัตกรรมการแปรรูปยางโดยเชื่อมโยงกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มมูลค่าและรายได้ให้กับชาวสวนยางและสถาบันยาง 5. มาตรการลดสต็อกยางพาราให้ กยท. เสนอแนวทางการบริหารจัดการสต็อกยางพาราที่คงค้างกว่า 1 แสนตัน โดยให้เสนอต่อคณะกรรมการในการประชุมครั้งต่อไปวันที่ 9 กรกฎาคมทั้งนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้ส่งผลกระทบด้านราคา 6. มาตรการเพิ่มรายได้มอบหมายให้ กยท. ขยายการส่งเสริมเกษตรผสมผสานเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวสวนยางซี่งเดิมพึ่งพารายได้จากยางพาราเพียงด้านเดียวและส่งเสริมการปลูกพืชที่มีอนาคตด้านตลาดและไม้เศรษฐกิจเพื่อทดแทนสวนยางพาราที่ถึงกำหนดต้องตัดทิ้งตามนโยบายลดพื้นที่สวนยางพารา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบข้อตกลงกลุ่มประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ว่าด้วยเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านน้ำ
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ครม. เห็นชอบข้อตกลงกลุ่มประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ว่าด้วยเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านน้ำ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อตกลงกลุ่มประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ว่าด้วยเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศด้านน้ำ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ว่า ด้วยประเทศไทยเป็นสมาชิกของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิกอีก 5 ประเทศ คือ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งแต่ละประเทศได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง (ส่วนช่วงแม่น้ำโขงที่ไหลผ่านประเทศจีน เรียกว่า แม่น้ำล้านช้าง) แต่ยังไม่มีข้อตกลงในการบูรณาการข้อมูลสารสนเทศด้านน้ำร่วมกัน ซึ่งข้อมูลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินสถานการณ์และป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนบริเวณแม่น้ำโขง วันนี้ ครม. จึงมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้สารสนเทศด้านน้ำของแม่น้ำล้านช้างตลอดทั้งปีโดยจีนแก่ประเทศสมาชิกคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ (Joint Working Group on Water Resources: JWG) ของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation: MLC) และร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการแบ่งปันสารสนเทศความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำของกรอบแม่โขง-ล้านช้าง โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1.ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการให้สารสนเทศด้านน้ำของแม่น้ำล้านช้างตลอดทั้งปี โดยจีนแก่ประเทศสมาชิกคณะทำงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ ของกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ และตอบสนองการบรรเทาอุทกภัยและภัยพิบัติของประเทศในแถบแม่น้ำโขง โดยคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของฝ่ายจีน ตกลงจะส่งข้อมูลด้านอุทกวิทยาเกี่ยวข้อมูลฝนและข้อมูลระดับน้ำของแม่น้ำล้านช้างตลอดปี จากสถานียุนจิ่นหง และสถานีหมานอัน ให้กับคณะทำงานร่วมสาขาทรัพยากรน้ำของประเทศสมาชิก 5 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม วันละ 2 ครั้ง แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 ส่งข้อมูลช่วงเวลาก่อน 09.00 น. (เวลาปักกิ่ง) รวมถึงข้อมูลที่สำรวจตั้งแต่เวลา 21.00 น. ของวันที่ผ่านมาถึงเวลา 08.00 น. ของวันรุ่งขึ้นด้วย ครั้งที่ 2 ก่อนเวลา 21.00 น. (เวลาปักกิ่ง) รวมถึงข้อมูลที่สำรวจตั้งแต่เวลา 09.00 - 20.00 น. ของวันนั้นด้วย ในส่วนของค่าใช้จ่ายนั้น ฝ่ายจีนตกลงที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาข้อมูลด้านอุทกวิทยาและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดส่งข้อมูลให้แก่คณะทำงานร่วมประเทศต่างๆ ทั้งนี้ เมื่อมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับนี้แล้ว จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป เป็นเวลา 5 ปี และจะขยายเวลาออกไปอีก 5 ปี โดยผ่านความเห็นชอบจากภาคี 2.ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการแบ่งปันสารสนเทศความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำของกรอบแม่โขง-ล้านช้าง เป็นการสนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลความร่วมมือทรัพยากรน้ำแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เสริมสร้างความร่วมมือที่ดีต่อกัน ความเสมอภาคผลประโยชน์ร่วมกัน ความเข้าใจและความไว้ใจในด้านทรัพยากรน้ำระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง 2)ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการและการอนุรักษ์น้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในประเทศสมาชิก 3)สนับสนุนการแบ่งปันและการใฝช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีระหว่างประเทศสมาชิก และ 4)พัฒนาการตอบสนองต่อความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างทันท่วงที รวมทั้งอุทกภัยและภัยแล้งในลุ่มแม่น้ำโขง-ล้านช้าง โดยกำหนดให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำแม่โขง-ล้านช้าง ประชาชนทั่วไปและผู้ใช้อื่น สามารถเข้าใช้งานแพลฟอร์ม ดังกล่าวได้ ...........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36291
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งมีผู้ลงทะเบียนครบ 10 ล้านคนแล้ว
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 โครงการคนละครึ่งมีผู้ลงทะเบียนครบ 10 ล้านคนแล้ว โครงการคนละครึ่งที่ได้เปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเต็มจำนวน 10 ล้านคนแล้ว เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ซึ่งระบบจะทำการตรวจสอบและส่ง SMS แจ้งยืนยันสิทธิโดยเร็ว นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการคนละครึ่งที่ได้เปิดให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเต็มจำนวน 10 ล้านคนแล้ว เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2563 ซึ่งระบบจะทำการตรวจสอบและส่ง SMS แจ้งยืนยันสิทธิโดยเร็ว ทั้งนี้ สำหรับยอดลงทะเบียนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและยอดผู้ได้รับสิทธิที่ถูกตัดสิทธิจากการไม่ใช้จ่ายภายใน 14 วัน จะมีการรวบรวมมาเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใหม่ต่อไป นอกจากนี้ ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 4 แสนร้านค้า และมียอดการใช้จ่ายสะสม 1,225.44 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 626.97 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 598.47 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายเฉลี่ย 229 บาทต่อครั้ง และมีการใช้จ่ายครบทุกจังหวัด โดยจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลำดับ รองโฆษกกระทรวงการคลังร่วมกับนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กล่าวย้ำว่า กระทรวงการคลังกับธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้ดูแลระบบของโครงการคนละครึ่งได้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อติดตามตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยธนาคารกรุงไทย ได้นำระบบการป้องกันการทุจริตในกิจกรรมที่เกี่ยวกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากลมาสนับสนุนโครงการเพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งหากพบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ หรือมีการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขโครงการจะมีการระงับการใช้แอปพลิเคชันตลอดจนการจ่ายเงินทั้งฝั่งร้านค้าและประชาชนทันที และหากตรวจสอบพบว่าการใช้จ่ายผิดเงื่อนไขโครงการจริงจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอให้ประชาชนและร้านค้าโปรดอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ในการช่วยดำเนินการโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งนี้ หากต้องการแจ้งเบาะแสการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการสามารถส่งข้อมูลมาที่ halfhalf@fpo.go.th หรือ โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 โครงการคนละครึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ รุกป้องกันผลกระทบ พายุ “โมลาเบ” คาดฝนตกหนักอีสานตอนล่าง 28-30ต.ค.63 นี้
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ รุกป้องกันผลกระทบ พายุ “โมลาเบ” คาดฝนตกหนักอีสานตอนล่าง 28-30ต.ค.63 นี้ กระทรวงเกษตรฯ รุกป้องกันผลกระทบ พายุ “โมลาเบ” คาดฝนตกหนักอีสานตอนล่าง 28-30ต.ค.63 นี้ “เฉลิมชัย” สั่งเข้ม ระดมทุกหน่วยงานเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เป็นประธานในการประชุมติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร เพื่อเฝ้าระวัง พายุใต้ฝุ่น “โมลาเบ” พายุระดับ 5 ซึ่งจะส่งผลกระทบ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตั้งแต่วันที่ 28 – 30 ตุลาคม 2563 ว่า ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ลงวันที่ 28 ต.ค. 63 พายุไต้ฝุ่น “โมลาเบ” (พายุระดับ 5) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือค่อนทางเหนือเล็กน้อยด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางในเช้าวันนี้ (28 ตุลาคม 2563) หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน (พายุระดับ 3) ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเป็นบริเวณกว้างและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในช่วงวันที่ 28-29 ตุลาคม 2563 ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรง ส่งผลทำให้ภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง สำหรับจังหวัดที่เสี่ยงฝนตกหนักมาก มี 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี และจังหวัดที่เสี่ยงภัยฝนตกหนัก มี 21 ได้แก่ จังหวัดเลย ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทรบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ในส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แสดงความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว จึงได้มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมป้องกันผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดความเสียหาย โดยกรมชลประทาน ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 138 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 96 เครื่อง รถแบคโฮ 15 คัน รถเครน 1 คัน รถบรรทุก 8 คัน กระสอบทราย 500 ใบ และเครื่องฉีดน้ำปูน (Grout) 1 เครื่อง กรมปศุสัตว์ จัดเตรียมเสบียงอาหารสัตว์ 5,600 ตัน ถุงยังชีพสำหรับสัตว์ 3,000 ถุง คอกสัตว์สำหรับตั้งจุดอพยพสัตว์ 30 ชุด และทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่ 325 หน่วย ได้ดำเนินการอพยพสัตว์แล้ว 4,082 ตัว แจกจ่ายเสบียงอาหารสัตว์พระราชทาน 39.2 ตัน (นครราชสีมา 12 ตัน เพชรบุรี 5.2 ตัน ประจวบคีรีขันธ์ 12 ตัน สระแก้ว 1 ตัน) สร้างเสริมสุขภาพสัตว์ 4,471 ตัว รักษาสัตว์ 19 ตัว และถุงยังชีพสำหรับสัตว์ 102 ถุง พร้อมทั้ง สนับสนุนเรือตรวจประมงน้ำจืด จำนวน 3 ลำ ได้แก่ เรือตรวจประมงน้ำจืดลำตะคอง 03 ลำตะคอง 04 และลำตะคอง 13 พร้อมเจ้าหน้าที่ 34 นาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตลอดจนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและประเมินความเสียหายหลังน้ำลด พร้อมกำชับให้หน่วยงานรายงานสถานการณ์มายังส่วนกลางเพื่อเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36284
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงทางคมนาคม และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงทางคมนาคม และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงทางคมนาคม และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน วันนี้ (28 ตุลาคม 2563) เวลา 15.00 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ของโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงคมนาคม นายหยาง ซิน อุปทูต รักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ผู้บริหารจากกระทรวงคมนาคม บริษัท ไชน่า เรลเวย์ อินเตอร์แนชันนัล (CHINA RAILWAY International Co., Ltd.) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ ดีไซน์ คอร์เปอเรชัน (China Railway Design Corporation) เข้าร่วม ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับโครงการความร่วมมือฯ นี้ เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเป็นกลไกในการพัฒนาประเทศ และภูมิภาค โดยเฉพาะหัวเมืองหลักตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะสามารถต่อยอดและพัฒนาเป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาค เส้นทางนี้เปรียบเสมือนสายใยเชื่อมโยงไทยกับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นระหว่างกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางคมนาคม ตลอดจนส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับประชาชนให้มากยิ่งขึ้น การลงนามนี้เป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคโนโลยีระหว่างกัน เชื่อมั่นว่าไทยจะนำองค์ความรู้มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศ และภูมิภาคต่อไป ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ และบริษัทคู่สัญญาของโครงการ ตลอดจนผู้ปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ที่ล้วนเป็น “กำลังสำคัญ” ในการผลักดันโครงการให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูง โดยสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เปรียบดังคำกล่าวที่ว่า “ถง ซิน เสีย ลี่, ซื่อ ซื่อ ซุ่น ลี่” หมายความว่า “น้ำหนึ่งใจเดียว ทุกเรื่องราบรื่น”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน แจงชัด เงื่อนไข+คุณสมบัติ ผู้มีสิทธิร่วมโครงการ Co-Payment
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 รมว.แรงงาน แจงชัด เงื่อนไข+คุณสมบัติ ผู้มีสิทธิร่วมโครงการ Co-Payment นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจง หลักเกณฑ์และคุณสมบัติของนายจ้าง/สถานประกอบการ และนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) หวังเชิญชวนภาคเอกชนและนักศึกษาจบใหม่ร่วมโครงการฯ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแก้ปัญหาตกงาน นายสุชาติฯ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) เป็นโครงการที่ดี มีวัตถุประสงค์ให้เกิดการจ้างงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวได้ และแก้ไขปัญหาการว่างงานที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือนายจ้าง/สถานประกอบการภาคเอกชนให้เกิดสภาพคล่องทางธุรกิจ และเพิ่มโอกาสให้ผู้จบการศึกษาใหม่ที่ไร้ประสบการณ์การทำงานได้รับการบรรจุงานเพิ่มขึ้น โดยภาครัฐอุดหนุนเงินเดือนครึ่งหนึ่งตามวุฒิการศึกษา จำนวน 260,000 อัตรา ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564 ทั้งนี้นายจ้าง/สถานประกอบการ ที่เข้าเงื่อนไขมีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นผู้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยมิใช่หน่วยงานภาครัฐ และต้องไม่มีการเลิกจ้างลูกจ้างเดิมเกินกว่าร้อยละ 15 นับจากวันที่ได้รับพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการฯ จนตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการฯ หากผู้จบการศึกษาใหม่ลาออกในระหว่างโครงการฯ สถานประกอบการจะต้องแจ้งให้กรมการจัดหางานทราบผ่านทางเว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com ภายใน 7 วัน เพื่อมีสิทธิในการจ้างผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ทดแทนได้ภายใน 30 วัน ในส่วนผู้จบการศึกษาใหม่ ที่เข้าเงื่อนไขมีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ต้องมีสัญชาติไทย และไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม ยกเว้นกรณีผู้จบการศึกษาใหม่ที่อยู่ในระบบประกันสังคม เนื่องจากการทำงานนอกเวลา (Part time) ในระหว่างที่กำลังศึกษา ซึ่งใช้เกณฑ์พิจารณาจากวันที่จบการศึกษา ผู้จบการศึกษาใหม่ยังเป็นผู้ว่างงานและไม่มีการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี, ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.), ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) มีอายุไม่เกิน 25 ปี หรือ ถ้าอายุเกิน 25 ปี ต้องจบการศึกษาในปีการศึกษา 2562 หรือปีพ.ศ. 2563 ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ลูกจ้างตามโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างตามระดับการศึกษา ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท รัฐอุดหนุน จำนวน 7,500 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดือนละ 11,500 บาท รัฐอุดหนุนจำนวน 5,750 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดือนละ 9,400 บาท รัฐอุดหนุน จำนวน 4,700 บาท มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดือนละ 8,690 บาท รัฐอุดหนุน จำนวน 4,345 บาท และสำหรับอัตราค่าจ้างที่กำหนดในโครงการหากต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่ นายจ้าง/สถานประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการอัตราค่าจ้าง โดยนายจ้าง/สถานประกอบการต้องเป็นผู้นำส่งเงินสมทบ โดยคำนวณค่าจ้างทั้งส่วนของนายจ้างและที่รัฐอุดหนุน เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่ต้องนำส่งประกันสังคม และจ่ายเงินเดือนผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทยของลูกจ้างไม่เกินวันสิ้นเดือนของทุกเดือน และเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานจะตรวจสอบข้อมูลเพื่อโอนเงินสนับสนุนค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป “ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ “ ไทยมีงานทำ.com” และคลิ๊กแบนเนอร์จ้างงานเด็กจบใหม่ จากนั้นลงทะเบียนตามขั้นตอนที่กำหนด นายจ้าง/สถานประกอบการตรวจสอบความคืบหน้าการอนุมัติเข้าร่วมโครงการ การยื่นเอกสารเพิ่มเติม ติดต่อสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่ระบุเป็นสถานที่ทำงาน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5/2563
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5/2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5/2563 ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 5/2563 ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์เงินกองทุนสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และร่วมกันพิจารณาแผนการจัดกิจกรรมในช่วงปีงบประมาณ 2564 และการใช้พื้นที่อาคารราชพัสดุเพื่อจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจ โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36285
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.สัมภาษณ์ในรายการ Thailand Today ในประเด็น ความสำคัญของวันลอยกระทงกับความเป็นไทย และการจัดกิจกรรมลอยกระทงแบบ New Normal
วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563 ผู้ช่วยรมว.วธ.สัมภาษณ์ในรายการ Thailand Today ในประเด็น ความสำคัญของวันลอยกระทงกับความเป็นไทย และการจัดกิจกรรมลอยกระทงแบบ New Normal ผู้ช่วยรมว.วธ.สัมภาษณ์ในรายการ Thailand Today ในประเด็น ความสำคัญของวันลอยกระทงกับความเป็นไทย และการจัดกิจกรรมลอยกระทงแบบ New Normal วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม สัมภาษณ์ในรายการ Thailand Today ในประเด็น ความสำคัญของวันลอยกระทงกับความเป็นไทย และการจัดกิจกรรมลอยกระทงแบบ New Normal ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ซึ่งจะออกอากาศ ในวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๒๑.๐๐ – ๒๑.๒๕ น. ทางสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ NBT World
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36296