title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยวตักบาตรเทโวโรหณะพระสงฆ์ 350 รูป สืบทอดประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563 รมต.อนุชา นำชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยวตักบาตรเทโวโรหณะพระสงฆ์ 350 รูป สืบทอดประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน รมต.อนุชา นำชาวพิจิตรและนักท่องเที่ยวตักบาตรเทโวโรหณะพระสงฆ์ 350 รูป สืบทอดประเพณีอันดีงาม ส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน วันนี้(4ตุลาคม2563)เวลา08.00น.ณวัดเขาทรายต.เขาทรายอ.ทับคล้อจ.พิจิตรนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดงานบุญประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะพระสงฆ์350รูปโดยมีน.ส.ณัฐธ์ภัสส์ยงใจยุทธที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนายภูดิทอินสุวรรณ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตรเขต2 นายสุรชาติ ศรีบุศกรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตรเขต3นายสิริรัฐชุมอุปการผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรและพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรู้สึกปราบปลื้มที่เห็นประชาชนออกมาทำบุญร่วมกันเป็นจำนวนมากแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติขอให้ร่วมกันทำนุบำรุงรักษาให้พุทธศาสนาเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปสำหรับงานบุญประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะวัดเขาทรายเป็นประเพณีที่ได้กระทำต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานกว่า60ปีจะจัดขึ้นในวันแรม2ค่ำเดือน11ของทุกปี ถือได้ว่าเป็นมรดกประเพณีวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของจังหวัดพิจิตรเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้คงอยู่และน้อมรำลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีอันทรงคุณค่าที่ควรได้รับการสืบทอดให้คงอยู่สืบไปรวมถึงเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัดกระตุ้นการบริโภคสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับชุมชนโดยหวังให้การจัดงานครั้งนี้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการและประชาชนชาวจังหวัดพิจิตรขอให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาท่องเที่ยวในงานประเพณีฯในครั้งนี้ได้รับประสบการณ์ที่ดีนำไปเผยแพร่บอกต่อๆกันไปและกลับมาเยี่ยมเยือนจังหวัดพิจิตรอีกครั้งพร้อมกับขอให้ท้องถิ่นต่างๆส่งเสริมการท่องเที่ยวในลักษณะพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นต่อไป โอกาสนี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมตักบาตรเทโวโรหณะพระสงฆ์จำนวน350รูปและเยี่ยมชมสินค้าOTOPของชุมชนในพื้นที่ก่อนเดินทางกลับ ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2563
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 ตุลาคม2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อังกฤษ 1 ราย แอฟริกาใต้ 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,388 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.5 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 138 ราย หรือร้อยละ 3.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,585 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก อังกฤษ 1 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 27 ปี อาชีพนักเรียน เดินทางถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดสมุทรปราการ พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 2 ก.ย. 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกัน แอฟริกาใต้ 1 ราย เป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 19 ปี อาชีพนักเรียน เดินทางถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 2 ก.ย. 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพมหานคร ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกัน ผู้ป่วยมีประวัติอยู่โรงเรียนประจำ พักในหอพักห้องละ 4 คน ไม่ได้ออกไปข้างนอกโรงเรียนและสวมหน้ากากอนามัยตลอด ยกเว้นช่วงที่มีการละหมาด วันละ 5 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมละหมาด 200 – 250 คน และไม่มีการเว้นระยะห่าง นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกรายงานวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 294,378 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 35,127,596 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 1,037,941 ราย สำหรับประเทศไทยมีผู้เดินทางเข้าประเทศจาก 68 ประเทศทั่วโลก จำนวน 104,975 คน ในจำนวนนี้ตรวจพบเชื้อ 647 คน จาก 42 ประเทศ รักษาหายแล้ว 509 คน อย่างไรก็ตามไม่ว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดจะเป็นเช่นไร มาตรการสำคัญในการป้องกันโรคและคงความเสี่ยงต่ำ ด้วยการไม่ประมาท การ์ดอย่าตก สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น เลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และเลี่ยงการนำมือสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก และล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือน้ำและสบู่ เมื่อเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียนเข้า-ออก ผ่าน “ไทยชนะ” จะทำให้ ลดความเสี่ยงที่จะติดชื้อโควิด 19 และป้องกันการแพร่ระบาดครั้งใหม่ ************************************** 4 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯปลื้ม สาธารณสุข-เกษตร-พาณิชย์ ผนึกกำลังดันส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 อาเซียน เป้า 3.6แสนลบ. สวนกระแสโควิด19
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563 นายกฯปลื้ม สาธารณสุข-เกษตร-พาณิชย์ ผนึกกำลังดันส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 อาเซียน เป้า 3.6แสนลบ. สวนกระแสโควิด19 นายกฯปลื้ม สาธารณสุข-เกษตร-พาณิชย์ ผนึกกำลังดันส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 อาเซียน เป้า 3.6แสนลบ. สวนกระแสโควิด19 นางสาวรัชดาธนาดิเรกรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่ารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการปลูกและการผลิตสินค้าสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากลเพราะเล็งเห็นศักยภาพในการเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ประเทศทุกวันนี้สมุนไพรถูกใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาทิอาหารและเครื่องดื่มเครื่องสำอางอาหารเสริมและยารักษาโรคดังนั้นตลาดสมุนไพรจึงเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องและยังคงมีคู่แข่งน้อยรายแม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์โควิด19ยอดการส่งออกยังขยายตัวกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเฉพาะตลาดจีนอเมริกาและเวียดนามทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและพร้อมให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานในการต่อยอดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่1ปี2560-2564ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้เพิ่มมูลค่าการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรจาก1.8แสนล้านบาทเป็น3.6แสนล้านบาทในปี2564และให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ฯเป็นอันดับ1ในอาเซียนสมุนไพรที่ได้รับความนิยมระดับProduct Championได้แก่ขมิ้นชันไพลกระชายดำและใบบัวบกและที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเช่นฟ้าทะลายโจรขิงกระเทียม ที่ผ่านมาหน่วยงานทั้งระหว่างภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าและคุณภาพของสมุนไพรไทยสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรและลดความยุ่งยากในการขออนุญาตผลิตของผู้ประกอบการกระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศการจับคู่เจรจาธุรกิจการออกงานแสดงสินค้าการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสู่ตลาดต่างประเทศซึ่งในปีหน้ากระทรวงฯจะจัดงานส่งเสริมเครื่องสำอางไทยในตลาดใหญ่ๆอาทิเยอรมนีญี่ปุ่นและรัสเซียมากไปกว่านั้นยังมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งได้เดินหน้าขยายพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์เพราะจะทำให้ได้วัตถุดิบที่ปลอดสารพิษสามารถขายได้ราคาดีขึ้นรวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็น“แปลงใหญ่พืชสมุนไพร”เพื่อจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบครบวงจรภายใต้หลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ดำเนินการและความต้องการของเกษตรกรเช่นการผลิตสมุนไพรคุณภาพเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพตรงความต้องการของตลาดโดยเน้นเรื่องการจัดทำแผนการผลิตการวิเคราะห์พื้นที่ปลูกและการจัดการหลังเก็บเกี่ยวรวมถึงเพิ่มมูลค่าของผลผลิตเป็นต้น “สมุนไพรเป็นพืชที่ตลาดโลกมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปีนับเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทั้งในเรื่องของนโยบายและงบประมาณเพื่อการพัฒนาการผลิตสมุนไพรอย่างครบวงจรอีกทั้งได้สร้างระบบการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ปลูกผู้ผลิตผู้บริโภคตลาดกลางสมุนไพรที่มีคุณภาพมาตรฐานตลาดสมุนไพรออนไลน์และอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพรเพื่อให้อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน”นางสาวรัชดากล่าว ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 ตุลาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (12 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... 2. เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมาย 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ รวม 4 ฉบับ 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียวช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสมอแข ตำบลอรัญญิก และตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลโพนทรายและตำบลคำอาฮวน อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เศรษฐกิจ - สังคม 10. เรื่อง โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2563 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) 11. เรื่อง ขออนุมัติยกเว้นการจำกัดความสูงในการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 12. เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (แผนปฏิบัติการประจำปี 2564) 13. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 2/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 3/2563 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2563 14. เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 4/2563 15. เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 16. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 24/2563 17. เรื่อง มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ต่างประเทศ 18. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (TOR of ACWC) ฉบับแก้ไข 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 20. เรื่อง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรเกรตบริเตนและนอร์เทิร์นไอร์แลนด์เรื่องแผนงานสร้างเสริมสุขภาพ 21. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการความร่วมมือไทย - สปป.ลาว เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน (โครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อปลูกพืชทดแทนพืชเสพติด หมู่บ้านอุดมไซ เมืองเวียงทอง แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2565) 22. เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการเข้าร่วมงาน The International Horticultural Expo (EXPO 2020 Floriade Almere) 23. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 52 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง 24. เรื่อง (ร่าง) การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ฉบับปรับปรุงของประเทศไทย (Thailand’s Updated NDC) 25. เรื่อง ร่างปฏิญญาพิเศษของการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดโดยวิธีออนไลน์ในช่วงเดียวกับการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 75 แต่งตั้ง 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) 28. เรื่อง การแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสถาบันหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการผังเมืองเป็นกรรมการในคณะกรรมการผังเมือง ******************* สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กำหนดนิยาม “พืชกระท่อม” “ผลิต” “นำเข้า” และ “ส่งออก” 2. กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกพืชกระท่อม เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ห้ามขายพืชกระท่อมให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ จ้าง วาน หรือยินยอมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ขายพืชกระท่อม ห้ามมิให้ขายพืชกระท่อมในสถานที่บางแห่ง เช่น โรงเรียน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านอินเทอร์เน็ต หรือเร่ขาย ห้ามโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาดพืชกระท่อม 3. กำหนดห้ามผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป เสพพืชกระท่อมในลักษณะ 4x100 (ผสมกับยา ยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์) ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เสพพืชกระท่อม ห้ามมิให้ผู้ใดยุยงส่งเสริมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสตรีมีครรภ์เสพพืชกระท่อม 4. กำหนดให้กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช้บังคับกับ (1) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร (2) ยาที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตามกฎหมายว่าด้วยยา (3) อาหารที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร และ (4) เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง 5. กำหนดให้เลขาธิการ ป.ป.ส. หรือผู้ได้รับมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบปรับในกรณีความผิดที่มีอัตราโทษปรับสถานเดียว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ 6. กำหนดบทเฉพาะกาล โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้อนุญาตผลิต นำเข้า และส่งออก พืชกระท่อม รวมถึงมีอำนาจเปรียบเทียบปรับ แทนเลขาธิการ ป.ป.ส. เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 10 ปี เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ยธ. เสนอว่า 1. ปัจจุบัน “พืชกระท่อม” ถูกควบคุมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดยจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ซึ่งกฎหมายกำหนดกรอบวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์ไว้เฉพาะเพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย หรือการศึกษาวิจัยและพัฒนาเท่านั้น ซึ่งการควบคุมพืชกระท่อมในลักษณะของยาเสพติดให้โทษดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับบริบทและสภาพแวดล้อมของสังคมไทย ซึ่งพบว่ามีการใช้พืชกระท่อมในรูปแบบวิถีชาวบ้าน เช่น การเคี้ยวใบกระท่อมสด หรือการนำมาชงชาหรือต้มน้ำดื่มสำหรับตนเองในกลุ่มชาวไร่ ชาวสวน กลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับในต่างประเทศพบว่า พืชกระท่อมไม่ได้ถูกประกาศกำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ที่ต้องควบคุมตามกฎหมายระหว่างประเทศด้านยาเสพติดตาม (1) อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961) (2) อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 (Convention on Psychotropic Substances, 1971) และ (3) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 (United Nations Convention against Illicit Trafficking in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances, 1988) ดังนั้น การที่ประเทศไทยถือว่าพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษจึงถือว่าเป็นการควบคุมในระดับเข้มงวด 2. ผลการศึกษาการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จำนวน 90 ประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 สิงหาคม 2563) สามารถจัดกลุ่มการควบคุมพืชกระท่อมออกได้เป็น 3 ระดับ คือ 2.1 ควบคุมแบบยาเสพติด คือ มีการควบคุมด้วยกฎหมายยาเสพติดจำนวน 5 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ ไทย เมียนมา อิตาลี และอินเดีย 2.2 ควบคุมแต่ไม่ใช่กฎหมายยาเสพติด คือ มีการควบคุมโดยกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายเกี่ยวกับยา กฎหมายเกี่ยวกับสารพิษ หรือกฎหมายเกี่ยวกับสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ฯลฯ จำนวน 37 ประเทศ ได้แก่ คอซอวอ โครเอเชีย ซีเรีย เซอร์เบีย ญี่ปุ่น ฯลฯ 2.3 ไม่ควบคุม คือ ไม่มีการควบคุม จำนวน 48 ประเทศ ได้แก่ กรีซ กัมพูชา กัวเตมาลา กายอานา คอสตาริกา คิวบา แคนาดา ฯลฯ 3. โดยที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิกถอนพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และยกเลิกบทกำหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อม) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่ ยธ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาฯ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 10) ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ควรให้มีกฎหมายควบคุมพืชดังกล่าวเป็นการเฉพาะด้วย 4. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 10) ยธ. จึงเห็นควรให้มีกฎหมายควบคุมพืชกระท่อมตามข้อสังเกตดังกล่าว ประกอบกับในปัจจุบันแม้จะมีกฎหมายที่เกี่ยวกับพืชกระท่อม เช่น พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 หรือพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 แต่พระราชบัญญัติทั้งสามฉบับดังกล่าวก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการนำพืชกระท่อมไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่สามารถนำมาใช้ใน การควบคุมการปลูกและการเสพพืชกระท่อมที่ไม่ได้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ได้ 5. ยธ. โดยสำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้ร่วมกับสำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม จัดทำร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ขึ้น โดยจะเป็นการกำหนดมาตรการควบคุมพืชกระท่อม การป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงพืชกระท่อม และการป้องกันมิให้มีการนำพืชกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด ตลอดจนเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมในเชิงพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 6. ยธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ป.ส. (www.oncb.go.th) ทางโทรสารหมายเลข 0 2245 9413 และนำส่งด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ของสำนักงาน ป.ป.ส. ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 10-24 กรกฎาคม 2563 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม – 3 กันยายน 2563 และจัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกฎหมายดังกล่าว พร้อมเปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ www.oncb.go.th และได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ 2. เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมาย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอแนวทางการขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมายที่เสนอปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาสามารถแก้ไขปรับปรุงแนวทางดังกล่าวในส่วนที่เป็นรายละเอียดและไม่กระทบหลักการสำคัญ และแจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก สคก. เสนอว่า 1. แนวทางปฏิบัติในการขอให้ สคก. แปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมายที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นไปตามหลักการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีกำหนด ตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ สร. 0101/ว. 1982 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2510 ประกอบกับหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ สร. 0403/ว. 43 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2512 และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0405/ว 107 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2546 ดังนี้ 1.1 กฎหมายที่จะขอความร่วมมือจาก สคก. ช่วยแปลให้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่จำเป็นจริง ๆ 1.2 เพื่อความสะดวกในการแปล ขอให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องส่งกฎหมาย และถ้อยคำที่แปลแล้วไปพร้อมกัน 2. เมื่อได้ตรวจสอบรับรองคำแปลใดแล้ว จะเผยแพร่คำแปลฉบับทางการไว้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ สคก. เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้ นอกจากนี้ นับแต่มีการก่อตั้งประชาคมอาเซียน สคก. เห็นถึงความจำเป็นในการจัดทำคำแปลกฎหมายที่จำเป็นเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนแต่บุคลากรของ สคก. ไม่เพียงพอจะจัดทำคำแปลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว จึงได้ดำเนินการจ้างบุคคลภายนอกดำเนินการ และลงเผยแพร่ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ สคก. ในลักษณะเป็นคำแปลอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 400 ฉบับ 3. ต่อมาพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ ซึ่งในมาตรา 36 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายใด ต้องจัดให้มีและเผยแพร่ข้อมูลคำแปลของกฎหมายนั้นเป็นภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียนไว้ในระบบกลาง (กรณีระบบกลางยังใช้งานไม่ได้ ให้เผยแพร่ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐนั้นไปพลางก่อน) และในกรณีกฎหมายใดไม่มีหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโดยตรง ให้เป็นหน้าที่ของ สคก. ที่จะเป็นผู้จัดทำ ประกอบกับ สคก. ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ได้ออกหลักเกณฑ์การจัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 36 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งในข้อ 5 และข้อ 6 (2) ของหลักเกณฑ์ดังกล่าวกำหนดให้หน่วยงานของรัฐจัดทำคำแปลของกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษ โดยพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับรูปแบบคำแปลของกฎหมายที่ สคก. เผยแพร่ไว้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และอย่างน้อยต้องมีข้อความเป็นหมายเหตุในคำแปล เพื่อให้เข้าใจว่าคำแปลนี้ใช้เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงข้อมูลกฎหมายเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้ การอ้างอิงให้ใช้ตัวบทกฎหมายที่เป็นภาษาไทยเท่านั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับความมุ่งหมายของการจัดทำคำแปลกฎหมาย ซึ่งการจัดทำและเผยแพร่คำแปลกฎหมาย รวมถึงกรณีที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนั้นด้วย โดยกำหนดระยะเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จไว้ด้วย 4. โดยที่แนวทางในการจัดทำคำแปลกฎหมายในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่หน่วยงานของรัฐจะส่งคำแปลมาให้ สคก. ตรวจสอบรับรอง มาเป็นการกำหนดเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐนั้นจัดให้มีคำแปลและเผยแพร่คำแปลในระบบกลางหรือผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐไปพลางก่อนได้เอง โดยต่อมาได้มีการออกหลักเกณฑ์การจัดทำคำอธิบายสรุปสาระสำคัญของกฎหมายที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ รวมถึงระยะเวลาในการจัดทำคำแปลให้แล้วเสร็จไว้ด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงแนวทางดังกล่าว ก่อให้เกิดปัญหาว่าคำแปลที่หน่วยงานของรัฐจัดทำได้เองนั้นยังจำเป็นจะต้องจัดส่งให้ สคก. ตรวจสอบรับรองก่อนที่จะลงเผยแพร่หรือไม่ นอกจากนี้อาจเกิดปัญหากรณีการเผยแพร่คำแปลในระหว่างที่ยังไม่มีระบบกลาง ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่จัดทำคำแปลสามารถเผยแพร่คำแปลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของตนได้ อันจะทำให้การเผยแพร่ข้อมูลคำแปลของประเทศไทยมีอยู่อย่างกระจัดกระจายตามระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานแต่ละแห่ง ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่อการเข้าถึงกฎหมายของประชาชน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงแนวทางการขอให้ สคก. แปลกฎหมายและตรวจสอบรับรองคำแปลกฎหมาย สำหรับให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ขชอง สคก. และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 รวมทั้งเกิดความชัดเจนและเป็นระบบเดียวกัน อันจะทำให้การจัดทำคำแปลของกฎหมายและการเผยแพร่กฎหมายเพื่อบริการประชาชนมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้ 4.1 ยกเลิกแนวทางการขอให้ สคก. แปลกฎหมาย ตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ สร. 0101/ว. 1982 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2510 และหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/ว 107 ลงวันที่ 18 เมษายน 2546 4.2 ให้หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่จัดทำและเผยแพร่คำแปลกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและประกาศทุกฉบับที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นภาษากลางของอาเซียน ไม่ต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบรับรองคำแปลอีก ทั้งนี้ ให้ระบุหมายเหตุท้ายคำแปลด้วยข้อความต่อไปนี้ “This translation is provided by (ชื่อหน่วยงานของรัฐฯ เป็นภาษาอังกฤษ) as the competent authority for information purposes only. Whilst (ชื่อหน่วยงานของรัฐฯ เป็นภาษาอังกฤษ) has made efforts to ensure the accuracy and correctness of the translation, the original Thai text as formally adopted and published shall in all events remain the sole authoritative text having the force of law.” 4.3 ให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานจัดทำคำแปลตาม 4.2 ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติและให้เผยแพร่คำแปลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงาน กับให้จัดส่งคำแปลกฎหมายดังกล่าวมายัง สคก. เพื่อนำไปเผยแพร่ในระบบฐานข้อมูลกฎหมายกลางของประเทศด้วย 4.4 ให้ สคก. จัดทำคำแปลของกฎหมายที่ไม่มีหน่วยงานของรัฐใดรับผิดชอบโดยตรงตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 จัดทำคำแปลกฎหมายเพื่อประกอบการให้ความเห็นทางกฎหมาย หรือตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี มอบหมาย 4.5 ในกรณีที่ สคก. ตรวจสอบพบข้อผิดพลาดหรือผิดหลงของคำแปลของกฎหมายที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้นและส่งมาเผยแพร่ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ สคก. หรือระบบกลาง ให้ สคก. แจ้งหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเพื่อดำเนินการแก้ไขและส่งคำแปลฉบับแก้ไขให้ สคก. เผยแพร่แทนคำแปลเดิม 4.6 ให้ สคก. พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการแปลกฎหมาย เช่น อภิธานศัพท์ ที่ใช้บ่อย รูปแบบประโยคมาตรฐาน เกณฑ์การแปลกฎหมายที่สำคัญ ตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำด้านการแปลกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างมาตรฐานงานแปลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ รวม 4 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค) 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ) 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค) และ 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ) รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ เพื่อปรับปรุงทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น – ลง สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการบริเวณสถานีต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้ใช้ทางเท้าอื่นในการสัญจรไปมา ดังนี้ 1. ช่วงหัวลำโพง – บางแค ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร 2. ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คค. เสนอว่า 1. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าบริเวณบันไดขึ้น – ลง ทางเท้า และทางลาดของคนพิการว่า โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายของ รฟม. ไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะการก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ จากการตรวจสอบบริเวณบันไดขึ้น – ลง สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการบริเวณสถานีต่าง ๆ ของรถไฟฟ้าแต่ละสาย ปรากฏว่า มีการใช้พื้นที่ทางเท้าก่อสร้างจนเกือบเต็มพื้นที่ เป็นการรอนสิทธิของผู้ใช้ทางเท้า บางจุดทางเท้าเหลือพื้นที่เพียง 50 – 80 เซนติเมตร ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย ได้แก่ กฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. 2548 กฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ หรือบริการสาธารณะอื่น เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2556 โดยมีการกำหนดทางเท้าต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร จึงขอให้ รฟม. ดำเนินการหรือสั่งการให้มีการตรวจสอบ หรือแจ้งให้ผู้รับเหมาดำเนินการแก้ไข รื้อถอนหรือทุบทิ้งบันไดขึ้น – ลง สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือตามกฎหมายข้างต้นทุกประการ 2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสั่งการให้ รฟม. สำรวจทางเดินคนพิการในทุกสถานีรถไฟใต้ดินและปรับปรุงแก้ไขให้ใช้งานได้จริง เพื่อไม่ให้มีข้อร้องเรียนอีก ซึ่ง รฟม. ได้ตรวจสอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อจัดทำทางเท้าให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ในโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค และ ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ แล้ว ปรากฏว่ามีอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืนเพิ่มเติม ประกอบด้วยที่ดิน ประมาณ 98 แปลง และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 114 หลัง/รายการ โดยในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใช้ระยะเวลาประมาณ 400 วัน นับตั้งแต่วันที่แจ้งเข้าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 3. เนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค) พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ) พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง – บางแค) และ พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตบางซื่อ เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางกอกใหญ่ และเขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2558 (โครงการรถฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ) ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2558 มีกำหนดระยะเวลา 4 ปี ได้สิ้นผลใช้บังคับแล้ว ซึ่ง รฟม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สามารถดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อจัดให้มีทางเท้าความกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ให้แล้วเสร็จได้ทัน ดังนั้น เพื่อให้การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสามารถดำเนินการได้จนแล้วเสร็จสมบูรณ์ต่อไป จึงจำเป็นต้องเสนอพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ รวม 4 ฉบับ 4. คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ได้มีมติอนุมัติให้ รฟม. ดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ รวม 4 ฉบับ เพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 5. สำนักงบประมาณแจ้งว่า จะจัดสรรงบประมาณให้ รฟม. ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ) 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต) 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ) 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... (โครงการรถฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต) รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต เพื่อปรับปรุง ทางเท้าบริเวณบันไดขึ้น – ลง สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการบริเวณสถานีต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการและผู้ใช้ทางเท้าอื่นในการสัญจรไปมา ดังนี้ 1. ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 2. ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้ คค. เสนอว่า 1. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รับการร้องเรียนจากสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของ รฟม. บริเวณบันไดขึ้น – ลง สถานีรถไฟฟ้า ลิฟต์ ตอม่อ และทางลาดของคนพิการในบริเวณสถานีต่าง ๆ มีการใช้พื้นที่ทางเท้าก่อสร้างจนเกือบเต็มพื้นที่ เป็นการรอนสิทธิของผู้ใช้ทางเท้า ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย ได้แก่ กฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. 2548 กฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ หรือบริการสาธารณะอื่น เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวด หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. 2556 โดยมีการกำหนดทางเท้าไว้ไม่ถึง 1.50 เมตร จึงขอให้ รฟม. ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไข ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร ได้แจ้งให้ รฟม. ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขตามข้อร้องเรียนดังกล่าวในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ รฟม. สำรวจทางเดินคนพิการในทุกสถานีรถไฟใต้ดิน และปรับปรุงแก้ไขให้ใช้งานได้จริงเพื่อไม่ให้มีข้อร้องเรียนอีก 2 รฟม. ได้ตรวจสอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อจัดทำทางเท้าให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร ปรากฏว่า มีอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืนเพิ่มเติม ดังนี้ 2.1 โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ มีอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืน ประกอบด้วยที่ดิน ประมาณ 17 แปลง และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 17 รายการ 2.2 โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต ปรากฏว่า มีอสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกเวนคืน ประกอบด้วยที่ดินประมาณ 34 แปลง และสิ่งปลูกสร้างประมาณ 8 หลัง 19 รายการ ทั้งนี้ ในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ใช้ระยะเวลาประมาณ 400 วัน นับตั้งแต่วันที่แจ้งเข้าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง รฟม. พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สามารถดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แล้วเสร็จได้ เนื่องจาก พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2553 พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2557 และ พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่เขตจตุจักร เขตบางเขน เขตหลักสี่ เขตสายไหม เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2557 ได้สิ้นผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557 และวันที่ 25 ธันวาคม 2561 ตามลำดับ 3. ดังนั้น เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ลักษณะ และการเข้าใช้ประโยชน์บน เหนือ หรือใต้พื้นดินหรือพื้นน้ำ เพื่อการวางแผนหรือออกแบบกิจการขนส่งมวลชนในบริเวณโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต ต่อไปได้อีก 4 ปี จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ 4. คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในคราวการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติให้ รฟม. ดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนและร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ - คูคต รวม 4 ฉบับ เพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 5. สำนักงบประมาณแจ้งว่า จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ รฟม. ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 4 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสมอแข ตำบลอรัญญิก และตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลสมอแข ตำบลอรัญญิก และตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสมอแข ตำบลอรัญญิก และตำบลหัวรอ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 กับถนนธรรมบูชา เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค คค. เสนอว่า 1. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 กับถนนธรรมบูชาเนื่องจากจังหวัดพิษณุโลกเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญและเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือตอนล่าง เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานราชการเกือบทุกกระทรวง และมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ปัจจุบันในเขตตัวเมืองพิษณุโลกมีการจราจรหนาแน่น ดังนั้น เพื่อช่วยลดปริมาณการจราจรบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 โดยไม่ต้องผ่านตัวเมือง แก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในตัวเมือง และเป็นการรองรับความเจริญเติบโตของตัวเมืองพิษณุโลกในอนาคต รวมทั้ง เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมในเขตตัวเมืองและนอกเมืองให้มีความสมบูรณ์ 2. กรมทางหลวงชนบทได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 692.96 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 21.37% อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 1.96 ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ และหากพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางอ้อมที่เกี่ยวกับการรองรับการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต โครงการก็จะมีความเหมาะสมมากขึ้นอีก 3. การคาดการณ์ปริมาณการจราจรในอนาคต กรณีที่ไม่มีโครงการฯ กับกรณีที่มีโครงการฯ บนถนนโครงข่ายคือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 ผลการคาดการณ์พบว่า เส้นทาง จำนวน ช่องจราจร ปริมาณการจราจร (pcu/วัน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ลงนามความร่วมมือหนุนเครือซีพี-ซีพีเอฟ สร้างโลกสีเขียว
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ทส.ลงนามความร่วมมือหนุนเครือซีพี-ซีพีเอฟ สร้างโลกสีเขียว ทส.ลงนามความร่วมมือหนุนเครือซีพี-ซีพีเอฟ สร้างโลกสีเขียว นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือ "การปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)" ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เพื่อดำเนินการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกป่าบกและป่าชายเลน ระยะที่ 2 ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 26,000 ไร่ มุ่งสู่การมีส่วนร่วมปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อความมั่นคงทางอาหารและสร้างสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์เรื่อง "การบริหารจัดการและร่วมปกป้องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน" ว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้ เป็นความร่วมมือในการพัฒนาประเทศไทยในระยะยาว โครงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกป่าบกและป่าชายเลน ระยะที่ 2 ในโครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง จังหวัดลพบุรี และโครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน พื้นที่อ่าวไทย ตัว ก.จังหวัดสมุทรสาคร จะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ และการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านมาตรการต่างๆ ตามเป้าหมายความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้ตระหนักรู้ต่อผลกระทบของก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ทำให้พื้นที่กลับมาอุดมสมบูรณ์ ช่วยสร้างสมดุลทางธรรมชาติ และส่งเสริมการอยู่ร่วมกับป่า มีการพัฒนาป่าให้เป็นแหล่งเรียนรู้ สร้างอาชีพและรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย จ้างงาน 60,000 อัตรา
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย จ้างงาน 60,000 อัตรา วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ หรือโครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย เพื่อจ้างงานประชาชนในพื้นที่ 3,000 ตำบล รวม 60,000 อัตรา โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป ที่ว่างงานและไม่ได้รับค่าตอบแทน ค่าจ้าง จากหน่วยงานอื่นของภาครัฐและเอกชน จ้างในอัตรา 9,000 บาท/เดือน บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 3 ปี จ้างในอัตรา 15,000 บาท/เดือน และนักศึกษาหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรืออาชีวศึกษา จ้างในอัตรา 5,000 บาท/เดือน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในเดือน พ.ย. 63 และต่อเนื่องไปอีก 1 ปี “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ก.อุตฯ”ลุยถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานตามนโยบายรัฐ ฟุ้งปี63เดินเครื่องถ่ายโอนโรงงานเข้าข่าย2.2พันแห่ง
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 “ก.อุตฯ”ลุยถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานตามนโยบายรัฐ ฟุ้งปี63เดินเครื่องถ่ายโอนโรงงานเข้าข่าย2.2พันแห่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” เด้งรับนโยบายรัฐบาล เดินหน้าถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานให้ท้องถิ่น หวังกระจายอำนาจการควบคุมดูแลกิจการในพื้นที่ ด้าน “กรอ.” โชว์ผลงานปี 2563 ลุยถ่ายโอนโรงงานเข้าข่ายไปแล้ว 2,200 แห่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” เด้งรับนโยบายรัฐบาล เดินหน้าถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานให้ท้องถิ่น หวังกระจายอำนาจการควบคุมดูแลกิจการในพื้นที่ ด้าน “กรอ.” โชว์ผลงานปี 2563 ลุยถ่ายโอนโรงงานเข้าข่ายไปแล้ว 2,200 แห่ง พร้อมจัดทัพเสริมแกร่งสร้างความรู้ เติมความเข้าใจขอบเขตการบังคับใช้กฎหมาย ช่วยเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถท้องถิ่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยานั้น เป็นไปตามเจตนารมณ์และหลักการของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ. โรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ในการกระจายอำนาจการบริหารในส่วนที่จำเป็นแก่ท้องถิ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และดูแลประชาชน ซึ่งภารกิจดังกล่าวเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ภายใต้ 3 ภารกิจหลักที่สำคัญ ได้แก่ การกำกับดูแลโรงงานจำพวกที่1และจำพวกที่2 การรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 และการตรวจสอบกรณีโรงงานก่อเหตุเดือดร้อน ตรวจสอบการดำเนินกิจการให้เป็นไปตามกฎหมาย “การถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานดังกล่าวเป็นไปตามหลักการของกฎหมาย และถือเป็นการให้อิสระและอำนาจแก่ อปท. ในการควบคุมดูแลกิจการโรงงานในพื้นที่ การตัดสินใจและตรวจสอบกรณีโรงงานมีปัญหา หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ กำกับดูแล และตรวจสอบโรงงานได้ ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ยังมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ให้คำแนะนำ และคำปรึกษาทางเทคนิควิชาการ ดำเนินการฝึกอบรมจนกว่า อปท. จะมีความพร้อมและเข้าใจขอบเขตในการรับการถ่ายโอนภารกิจ จนสามารถปฏิบัติภารกิจให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณะที่ดีขึ้น มีคุณภาพมาตรฐาน และประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานงานเพื่อเป็นหลักการบริการสาธารณะให้มีคุณภาพอีกด้วย” นายสุริยะ กล่าว นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ. โรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 พบว่า ในปี 2563 มีโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 ที่ใช้เครื่องจักรมีกำลังรวมตั้งแต่ 50 แรงม้า หรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป โดยใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม ที่เข้าข่ายการโอนภารกิจดูแลโรงงานให้ไปอยู่ในการกำกับดูแลของกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา ทั้งสิ้น 2,200 โรงงาน โดยแบ่งเป็น โรงงานในกรุงเทพมหานคร จำนวน 500 โรงงาน และโรงงานในจังหวัดต่าง ๆ อีกประมาณ 1,700 โรงงาน โดยกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา จะมีหน้าที่รับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 เก็บค่าธรรมเนียมรายปีสำหรับโรงงานจำพวกที่ 2 กำกับดูแลโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 รวมถึงตรวจสอบกรณีโรงงานก่อเหตุเดือดร้อน และตาม พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด จึงมีหน้าที่ในการให้คำแนะนำกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา แล้วแต่กรณี ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโรงงานให้เป็นไปอย่างถูกต้อง นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เตรียมแผนงานเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถของกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยา ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโรงงาน และในการกำกับโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และแนวทางการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโรงงาน ในมาตราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรงงานจำพวกที่ 1 และจำพวกที่ 2 เพื่อให้การดำเนินภารกิจมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลสูงสุด “ในปีนี้ได้มีการถ่ายโอนภารกิจดูแลโรงงานให้ อปท. ไปแล้ว 2,200 โรงงาน และในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยโรงงานและการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ให้กับข้าราชการกรุงเทพมหานคร จำนวน 50 เขต รวมทั้งสิ้น 200 คน และในเดือน ก.ย. 2563 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้ระบบสารสนเทศ สำหรับการรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงานจำพวกที่ 2 ให้กับข้าราชการกรุงเทพมหานคร 50 เขต รวมทั้งสิ้น 100 คน โดยในปี 2564 กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ยังได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดการฝึกอบรมเพิ่มเติมให้กับกรุงเทพมหานคร เทศบาล และเมืองพัทยาอีกด้วย” นายประกอบ กล่าว ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บ้านมือสอง ธอส. ขายดีอีกแล้ว!! ในมหกรรม 10.10 แค่ชั่วโมงเดียว ลูกค้าแห่ประมูลซื้อบ้านออนไลน์ทะลุ 32 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 บ้านมือสอง ธอส. ขายดีอีกแล้ว!! ในมหกรรม 10.10 แค่ชั่วโมงเดียว ลูกค้าแห่ประมูลซื้อบ้านออนไลน์ทะลุ 32 ล้านบาท ธอส.เผยผลการจัดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือน ต.ค. ประมูลผ่านแอป GH Bank Smart NPA เปิดประมูล 1 ชม. ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. พบว่าจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 22 รายการ คิดเป็นจำนวนทรัพย์ที่จำหน่ายได้มากกว่า 50% มูลค่ารวม 32.05 ลบ. ธอส.เผยผลการจัดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือนตุลาคม ประมูลผ่านแอป GH Bank Smart NPA เปิดประมูล 1 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. พบว่าจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 22 รายการ คิดเป็นจำนวนทรัพย์ที่จำหน่ายได้มากกว่า 50% มูลค่ารวม 32.05 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 5 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 17 รายการ NPA พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในครั้งนี้ จะได้รับส่วนลดราคาพิเศษเพิ่มให้อีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือนตุลาคม โดยธนาคารได้คัดทรัพย์ใหม่สภาพดีทั่วประเทศรวม 40 รายการ มาเปิดประมูลพร้อมกันเพื่อให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านได้เลือกซื้อแบบ New Normal ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ในวันนี้(10 ตุลาคม 2563) ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎว่าการจัดประมูลได้รับความสนใจจากลูกค้าประชาชนเข้าร่วมประมูลกันอย่างคึกคัก โดยภายหลังปิดการประมูลพบว่าธนาคารสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 22 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 32.05 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 5 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 17 รายการ โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาด 105.4 ตารางวา ในโครงการภาณิชา วิลล์ ตำบลวังไผ่ อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร จำหน่ายได้ในราคาตั้งต้นประมูลที่ 3,785,000 บาท ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ที่ดินเปล่าขนาด 135 ตารางวา ในโครงการไทรโยคการเด้นฮิลล์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นทรัพย์รายการที่มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลมากที่สุด จำนวน 7 ราย โดยปิดประมูลที่ราคา 180,000 บาท จากราคาตั้งต้นประมูลที่ 105,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ประเภทห้องชุด ขนาด 34.74 ตารางเมตร ในโครงการเมโทรพาร์ค สาทร กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพย์เด่นที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า MRT เพชรเกษม 48 เพียงแค่ 800 เมตรเท่านั้น ซึ่งธนาคารนำมาเปิดประมูลในครั้งนี้ด้วยส่วนลดราคาพิเศษถึง 40% ราคาเริ่มต้นประมูลที่ 895,000 บาท มีผู้สนใจเข้าร่วมประมูล 5 ราย ก่อนที่จะจำหน่ายได้ในราคาปิดประมูลที่ 995,000 บาท “การที่ธนาคารยังคงสามารถจำหน่ายทรัพย์ได้มากถึง 22 รายการ ซึ่งสูงกว่า 50% ของจำนวนทรัพย์ทั้งหมดที่นำมาเปิดประมูลออนไลน์ทั้งหมดในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันคุณภาพของบ้านมือสองของ ธอส. ที่ยังเป็นทางเลือก ที่น่าสนใจ และมีราคาจำหน่ายที่คุ้มค่าสำหรับคนที่ต้องการมีบ้าน ก็ฝันเป็นจริงได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ธนาคาร เพียงดาวน์โหลดและปฏิบัติตามเงื่อนไขของ Application : G H Bank Smart NPA และผู้ชนะการประมูลบ้านมือสองออนไลน์ในครั้งนี้ยังมีสิทธิ์รับส่วนลดพิเศษเพิ่มให้อีก 10% จากราคาที่ปิดประมูลอีกด้วย เพียงทำสัญญาและทำนิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563” นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่พลาดมหกรรม 10.10 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส.ประจำเดือนตุลาคม ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA สามารถดาวน์โหลด Application และลงทะเบียนเพื่อเตรียมเข้าร่วมประมูลทรัพย์ NPA สภาพใหม่ คุณภาพดี ราคาพิเศษของธนาคารได้เฉพาะในวันที่ ๆ ตรงกับเลขเดือน โดยการประมูลครั้งต่อไปประจำเดือนพฤศจิกายนกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2563 หรือ 11.11 สอบถามรายละเอียด และดูข้อมูลทรัพย์ NPA ของธนาคารได้ที่ www.ghbhomecenter.com กรณีทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โทร 0-2202-1016, 0-202-1582 ส่วนทรัพย์ในภูมิภาค โทร 0-202-1170 หรือ 0-202-2036 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้า​ "ไทยไปด้วยกัน" พื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี​ กาญจนบุรี​ และนครปฐม​
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 "วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้า​ "ไทยไปด้วยกัน" พื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี​ กาญจนบุรี​ และนครปฐม​ "วราวุธ" รมว.ทส. ลงพื้นที่ขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้า​ "ไทยไปด้วยกัน" พื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี​ กาญจนบุรี​ และนครปฐม​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.)​ ลงพื้นที่ประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าและให้แนวทางในการดำเนินการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี​ และนครปฐม​ โดยก่อนการประชุม​ รมว.ทส. ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช)​ ในพื้นที่​จังหวัดสุพรรณบุรี​ จำนวน​ 350 ไร่​ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี​ โดยมีนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ ผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวง​ฯ​ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม​ ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี​ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมและเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ฯ​ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2563​ เวลา 13.30 น. ณ ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี​ โอกาสนี้​ รมว.ทส.​ ได้กล่าวขอบคุณทุกๆ​ ฝ่าย​ที่ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงาน​ พร้อมทั้ง​เปิดเผยว่า​ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี​ ได้มีแนวทางโครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน​ โดยในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ได้รับมอบหมายให้ตรวจติดตามและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่​ 3 จังหวัด​ ประกอบด้วย​ จังหวัดสุพรรณบุรี​ กาญจนบุรี​ และนครปฐม​ โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้​ เป็นการติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง​ โดยการดำเนินงานในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น​ 2 ส่วน​ ดังนี้​ ส่วนที่ 1 การดำเนินงานที่อยู่ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ทั้งในเรื่องปัญหาด้านที่ดินทำกินและด้านทรัพยากรธรรมชาติ​ ปัญหาภัยแล้ง​และการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร​ และน้ำอุปโภคบริโภค​ ทั้งน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน​ การแก้ไขปัญหาผักตบชวากีดขวางทางน้ำ​ รวมถึงการบริหารจัดการคุณภาพน้ำดี​ น้ำเสีย​ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม​ ซึ่งหากสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้​ ขอให้ดำเนินการทันที​ สำหรับในส่วนที่​ 2 ที่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของกระทรวงฯ​ ๆ​ จะเป็นผู้ประสานงานและจัดทำข้อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส.​ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน​ ประจำปี​ 2563​ ณ​ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร​ จังหวัดสุพรรณบุรี​
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ​ทส.​ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน​ ประจำปี​ 2563​ ณ​ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร​ จังหวัดสุพรรณบุรี​ ​ทส.​ ถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน​ ประจำปี​ 2563​ ณ​ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร​ จังหวัดสุพรรณบุรี​ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ น้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ​ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร​ ตำบลรั้วใหญ่​ อำเภอเมือง​สุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี​ โดยในวันที่ 11​ ตุลาคม​ 2563 เวลา​ 09.50​ น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส​ พระธรรมพุทธิมงคล​ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร​ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์​ ​ในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน​ ประจำปี​ 2563​ ​​ โดยมี คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ​ พนักงาน​ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ​ ส่วนราชการต่างๆ​ ในพื้นที่​ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศัทธา พร้อมใจร่วมกันประกอบพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน​ และปวารณาถวายจตุปัจจัย​ เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บูรณะพระอาราม และส่วนหนึ่งเป็นทุนการศึกษา​ให้แก่โรงเรียนในพื้นที่จังหวัดสุพรรณ​บุรี​ จำนวน​ 4 โรงเรียน​ประกอบด้วย​ วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ​ โรงเรียนกรรณสูตรศึกษาลัย โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยสุพรรณบุรี​ โรงเรียนอนุบาลวัดป่าเลไลยก์ อนึ่ง วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร​ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่​ 249 หมู่ที่​ 2 ตำบลรั้วใหญ่​ อำเภอเมือง​สุพรรณบุรี​ จังหวัดสุพรรณบุรี​ ทางฝั่งด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ​ หรือ​ แม่น้ำท่าจีน​ โดยวัดป่าเลไลยก์ แห่งนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง​ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่​ 21​ เมษายน​ พ.ศ.​2462 ซึ่งในทุกปีจะมีงานเทศกาลสมโภช​ และนมัสการหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ 2 ครั้ง​ คือ​ ในวันขึ้น 5 -​ 9​ ค่ำ​ เดือน​ 5 และเดือน​ 12​ ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เป็น 1 ใน 3 มาตรการ เพื่อรักษาระดับการบริโภคในประเทศ
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เป็น 1 ใน 3 มาตรการ เพื่อรักษาระดับการบริโภคในประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เป็น 1 ใน 3 มาตรการ เพื่อรักษาระดับการบริโภคในประเทศ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นายอรรถพล อรรถวรเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับข้อวิจารณ์โครงการช้อปดีมีคืน ว่าเป็นการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจไม่ตรงจุดและขณะนี้ประชาชนไม่มีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อเอาภาษีคืน และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) อาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงนั้นว่า มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เป็น 1 ใน 3 มาตรการเพื่อรักษาระดับการบริโภคในประเทศ นอกเหนือจาก โครงการคนละครึ่งและโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ของกระทรวงการคลัง ซึ่งทั้ง 3 มาตรการจะครอบคลุมประชาชนทุกภาคส่วนกว่า 28 ล้านคน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 192,000 ล้านบาท และคาดว่า GDP เพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 0.54 • มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภค ในประเทศ โดยสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี และประชาชนผู้ที่มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงการส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น ซึ่งเป็นเศรษฐกิจระดับฐานราก และส่งเสริมการอ่าน อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ • มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการ ที่อยู่ในระบบภาษี ไม่มีข้อกำหนดใดๆ ในเรื่องขนาด ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทุกรายล้วนแล้วอยู่ในข่ายที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการทั้งสิ้น • “โครงการคนละครึ่ง”ซึ่งเป็นอีกโครงการภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังที่จะดูแลช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าขนาดเล็กที่ประกอบกิจการขายสินค้าหาบเร่แผงลอยที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งขณะนี้มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการกว่า 226,161 ร้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2563) • “โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคน โดยการเพิ่มวงเงินพิเศษสำหรับซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคสำหรับซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น 500 บาท/คน/เดือน 3 เดือน (ต.ค. - ธ.ค. 63) ซึ่งกระทรวงการคลังได้ทำการโอนเงินงวดแรกแล้วเมื่อวัน 8 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา • กระทรวงการคลังดูแลประชาชนทุกคนให้โดยความสำคัญแก่ทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน กระทรวงการคลังจะมีการติดตามทุกมาตรการ/โครงการอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ ขอให้ติดตามรายละเอียดมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ภายหลังผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“วราวุธ รมว.ทส. มอบโล่ให้ FSAT ในการจัดแข่งฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้ง 2020 แบบรักษ์โลก”
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ​“วราวุธ รมว.ทส. มอบโล่ให้ FSAT ในการจัดแข่งฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้ง 2020 แบบรักษ์โลก” ​“วราวุธ รมว.ทส. มอบโล่ให้ FSAT ในการจัดแข่งฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้ง 2020 แบบรักษ์โลก” วันที่ 11 ตุลาคม 2563 เวลา 19.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล "โครงการขยายผลกิจกรรมชดเชยคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศ ปีที่ 8 ในการแข่งขัน 2020 Thailand National Figure Skating Championship" และมอบโล่รางวัลเกียรติคุณให้กับ ดร.สีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ นายกสมาคมกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งแห่งประเทศไทย (Figure & Speed Skating Association Of Thailand หรือ FSAT) ในโอกาสที่สมาคมเข้าร่วมโครงการขยายผลกิจกรรมชดเชยคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศ ปีที่ 8 ในครั้งนี้ ตลอดการจัดการแข่งขันนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้ทำการตรวจสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ( Carbon Footprint) จากการดำเนินกิจกรรมในทุกขั้นตอน พบว่า มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 24 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และผู้จัดการได้มีการกำหนดมาตรการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) จนนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ต่อไป โอกาสนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณคณะผู้จัดงานและผู้ปกครองที่นำบุตรหลานมาร่วมการแข่งขันในโครงการนี้ว่า “ผมขอชื่อชมและขอบคุณ ที่ทุกท่านเล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสาเหตุหลักของปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมาย การแข่งขันในครั้งนี้เป็นกีฬาชนิดแรกที่เข้าร่วมชดเชยการปล่อยคาร์บอนภาคสมัครใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะต่อยอดไปสู่กีฬาประเภทอื่นต่อไป เพื่อร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีของพวกเราทุกคนให้คงอยู่ตลอดไป” นอกจากนั้น รมว.ทส. ยังได้เป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่นักกีฬาฟิกเกอร์และสปีดสเก็ตติ้งและทีมบุคลากร จำนวน 14 คน ที่เป็นตัวแทนประเทศไทย ในการเข้าร่วมรายการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ณ ประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พร้อมกับเป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขัน 2020 Thailand National Figure Skating Championship อีกด้วย ณ ลานสเก็ตน้ำแข็ง Imperial World Ice Skating (IWIS) ชั้น 5 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ นายอำเภอชายแดนเมียนมาดำเนินมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นเพื่อสกัดกั้นโควิด-19
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ นายอำเภอชายแดนเมียนมาดำเนินมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นเพื่อสกัดกั้นโควิด-19 ศบค.มท. กำชับผู้ว่าฯ นายอำเภอชายแดนเมียนมาดำเนินมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นเพื่อสกัดกั้นโควิด-19 เมือวันที่ 11 ต.ค. 63 ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศบค.มท. ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดชายแดนด้านเมียนมา เพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวังไม่ให้มีการลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้บูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ติดตามค้นหาแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบกลับเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากปรากฏข่าวสารทางสื่อมวลชนว่า มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นพนักงานขับรถชาวเมียนมา ซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศไทยผ่านด่านชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และมีผู้ที่สัมผัสผู้ติดเชื้ออยู่ระหว่างการกักตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย เพื่อเป็นการป้องกัน เฝ้าระวัง และสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนด้านเมียนมา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนด้านเมียนมา 10 จังหวัด (กาญจนบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี แม่ฮ่องสอน ระนอง และราชบุรี) ให้กำชับและเน้นย้ำนายอำเภอรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามมาตรการและแนวทางปฏิบัติของการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านจุดผ่านแดนในพื้นที่รับผิดชอบโดยเคร่งครัด พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวด เฝ้าระวัง ป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศของบุคคลจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน หากพบกรณีดังกล่าวให้ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทั้งนี้ ให้รายงานสถานการณ์และจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบจากการเดินทางผ่านแดนด้านเมียนมา หรือผู้ที่สัมผัสกับผู้ที่เดินทางผ่านแดนด้านเมียนมาและตรวจพบการติดเชื้อให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยเร่งด่วน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการ เพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 40
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ครม.อนุมัติหลักการ เพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ครม.อนุมัติหลักการ เพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน ซึ่งสาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ เป็นการปรับปรุงอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนเกี่ยวกับเงินค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีถึงแก่ความตาย สำหรับบุคคลซึ่งไม่ใช่ลูกจ้าง แต่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคมพ.ศ.2533 สำหรับอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนใหม่ที่ปรับปรุงเป็นดังนี้สำหรับผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 70 บาท หรือเดือนละ 100 บาท ถึงแก่ความตาย อัตราเดิมจะได้เงินค่าทำศพ 20,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 25,000 บาท และเงินสงเคราะห์อัตราเดิม 3,000 บาท เพิ่มเป็น 8,000 บาทส่วนผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 300 บาท ถึงแก่ความตาย อัตราเดิมจะได้เงินค่าทำศพ 40,000 บาท อัตราใหม่ 50,000 บาท ทั้งนี้กระทรวงแรงงานได้ประมาณการรายรับของกองทุนประกันสังคมจากการจัดเก็บเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย. 2563 รวมมีผู้ประกันตนทั้งหมด 3,353,939 คนจัดเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนในปี 2562 ได้จำนวน 1,557 ล้านบาท และเงินสมทบจากรัฐบาล 779 ล้านบาท มีการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้กับผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายเป็นเงินค่าทำศพและเงินสงเคราะห์ประจำปี 2562 จำนวน 200 ล้านบาท และเมื่อจ่ายประโยชน์ทดแทนในอัตราใหม่คาดว่าในปี 2563-2564 กองทุนประกันสังคมจะต้องจ่ายเงินค่าทำศพเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 77 ล้านบาท และเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นปีละ 93 ล้านบาท ---------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส หนุน เอ็ตด้า เปิดหลักสูตรอีคอมเมิร์ซออนไลน์ง่ายสำหรับทุกคน “EASY E-COMMERCE CADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มรายได้
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส หนุน เอ็ตด้า เปิดหลักสูตรอีคอมเมิร์ซออนไลน์ง่ายสำหรับทุกคน “EASY E-COMMERCE CADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มรายได้ ดีอีเอส หนุน เอ็ตด้า เปิดหลักสูตรอีคอมเมิร์ซออนไลน์ง่ายสำหรับทุกคน “EASY E-COMMERCE CADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มรายได้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นเกียรติพิธี “ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ” เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2563 ณ ห้องอีเทอร์นิตี้บอลรูม โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมี ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ โดยเอ็ตด้า มุ่งส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุมถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาศักยภาพของคนเพื่อให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับการซื้อขายทางออนไลน์ทั้งในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้ประกอบการ คนในชุมชน รวมถึงประชาชนที่สนใจมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยอีคอมเมิร์ซอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของชีวิต (พม.) สมาคมอีคอมเมิร์ซและสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรด้านอีคอมเมิร์ซ ปูทางความพร้อมให้กับนักเรียน นักศึกษา ป้อนสู่ตลาดแรงงานยุคดิจิทัล ในการลงนามครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับหลักสูตรอีคอมเมิร์ซ “EASY E-COMMERCE ACADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ให้มีมาตรฐานเพื่อเป็นที่ยอมรับของสากล เป็นความร่วมมือกับ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และเครือข่ายความร่วมมือ เช่น กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและธนาคารออมสิน เป็นต้น ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม. อนุมัติร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ห้ามโฆษณา ห้ามขายเด็กต่ำกว่า 18
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ​ครม. อนุมัติร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ห้ามโฆษณา ห้ามขายเด็กต่ำกว่า 18 ​ครม. อนุมัติร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม ห้ามโฆษณา ห้ามขายเด็กต่ำกว่า 18 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ว่า ตามที่ ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่.. พ.ศ. .... เป็นการเพิกถอนพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และยกเลิกบทกำหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับพืชกระท่อม ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ควรให้มีกฎหมายควบคุมพืชกระท่อมเป็นการเฉพาะด้วย ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯอยู่ระหว่างการเข้าสู่การพิจารณาวาระรับหลักการของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น เพื่อให้การใช้พืชกระท่อมเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ และไม่เปิดช่องให้มีการนำไปใช้ในเยาวชน ครม. จึงอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... ตามที่กระยุติธรรมเสนอ ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรการควบคุมพืชกระท่อม เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงพืชกระท่อมและป้องกันไม่ให้มีการนำพืชกระท่อมไปใช้ในทางที่ผิด โดยมีสาระสำคัญ เช่น 1.กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกพืชกระท่อม เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท 2.ห้ามขายพืชกระท่อมให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และสตรีมีครรภ์ ห้ามใช้ จ้างวาน หรือยินยอมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ขายพืชกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ห้ามมิให้ขายพืชกระท่อมในสถานที่บางแห่ง เช่น โรงเรียน หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านอินเตอร์เน็ต หรือเร่หาย ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท 3.ห้ามโฆษณาหรือทำการสื่อสารการตลาดพืชกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 500,000 บาท 4.ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เสพพืชกระท่อม และห้ามผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เสพพืชกระท่อมแบบ 4 x 100 (ผสมกับยา ยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์) รวมทั้งห้ามมิให้ผู้ใดยุยงส่งเสริมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสตรีมีครรภ์เสพพืชกระท่อม ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท 5.กำหนดให้กฎหมายฉบับนี้ไม่มีผลบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสำอาง ที่มีส่วนประกอบของพืชกระท่อม ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรยา อาหาร และเครื่องสำอาง ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน ป.ป.ส. www.oncb.go.th จำนวน 2 ครั้ง และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามกฎหมายผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบเรียบร้อยแล้ว นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในลำดับต่อไป จะส่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งใน 37 ประเทศทั่วโลกที่ควบคุมพืชกระท่อมโดยไม่ใช้กฎหมายยาเสพติดแต่ใช้กฎหมายอื่น เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น เซอร์เบีย โครเอเชีย ซีเรีย เป็นต้น -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35912
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมตั้ง Warroom เพื่อรายงานสถานการณ์เร่งด่วนตลอด 24 ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ปลัดเกษตรฯ มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมตั้ง Warroom เพื่อรายงานสถานการณ์เร่งด่วนตลอด 24 ชั่วโมง ปลัดเกษตรฯ มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมตั้ง Warroom เพื่อรายงานสถานการณ์เร่งด่วนตลอด 24 ชั่วโมง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ จึงได้มอบหมายให้สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดแต่ละจังหวัด ติดตามและรายงานสถานการณ์น้ำและปัญหาอุทุกภัย รวมทั้งรายงานความเสียหาย เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปบูรณาการช่วยเหลือ โดยในเบื้องต้นได้รับฟังและติดตามสถานการณ์จากสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดแต่ละจังหวัด อาทิ จังหวัดเพชรบุรี สระแก้ว นครราชสีมา กาญจนบุรี ราชบุรี และจันทบุรี เป็นต้น ผ่านการประชุมทางไกล Video Conference เพื่อให้สามารถติดตามและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ได้สั่งการให้จัดตั้ง Warroom เพื่อรายงานสถานการณ์เร่งด่วนตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะทำหน้าที่รายงาน แจ้งเตือน รวมถึงออกมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันความเสียหายและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ต่อประชาชน เพื่อลดความเสียหายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35908
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินปีงบประมาณ 2563 ได้ตามเป้าหมาย”
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 “สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินปีงบประมาณ 2563 ได้ตามเป้าหมาย” ในเดือน ก.ย.2563 สคร.จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 จำนวน 6,573 ลบ. ส่งผลให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 (1 ต.ค.2562 – 30 ก.ย.2563) มีเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมจำนวน 188,861 ลบ. นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในเดือนกันยายน 2563 สคร. จัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่าร้อยละ 50 (กิจการฯ) จำนวน 6,573 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 (1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563) มีเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการฯ รวมจำนวน 188,861 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายเงินนำส่งรายได้แผ่นดินตามเอกสารงบประมาณจำนวน 188,800 ล้านบาท โดยรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 10 อันดับแรก มีดังนี้ หน่วย : ล้านบาท ลำดับที่ รัฐวิสาหกิจ เงินนำส่งรายได้แผ่นดิน 1 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 46,598 2 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 29,198 3 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 28,619 4 ธนาคารออมสิน 18,000 5 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 10,500 6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) 8,890 7 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6,715 8 การท่าเรือแห่งประเทศไทย 6,230 9 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 5,922 10 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 5,660 อื่นๆ 22,529 รวม 188,861 หมายเหตุ : ข้อมูลเงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลัง โดย สคร. จัดเก็บ ซึ่งไม่รวมเงินนำส่งรัฐประเภทอื่น เช่น ภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปีงบประมาณ 2564 สคร. มีเป้าหมายการจัดเก็บจำนวน 159,800 ล้านบาท ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ได้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ และอาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินด้วย อย่างไรก็ดี สคร. จะกำกับติดตามการนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เงินนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจช่วยรักษาเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาวต่อไป สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ โทร. 0 2298 5880 - 7 ต่อ 3156
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35909
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกรัฐมนตรี” หัวหน้าทีมเศรษฐกิจนำทีมพบสื่อฯ เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผลักดันไทยเติบโตหลังโควิด-19 วอนประชาชนช่วยกันรักษาความสงบ ก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกันภายใต้ “รวมไทย สร้างชาติ”
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 “นายกรัฐมนตรี” หัวหน้าทีมเศรษฐกิจนำทีมพบสื่อฯ เดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผลักดันไทยเติบโตหลังโควิด-19 วอนประชาชนช่วยกันรักษาความสงบ ก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกันภายใต้ “รวมไทย สร้างชาติ” “นายกรัฐมนตรี” หัวหน้าทีมเศรษฐกิจนำทีมพบสื่อมวลชน ย้ำเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ พร้อมผลักดันไทยเติบโตหลังโควิด-19 วอนประชาชนช่วยกันรักษาความสงบและก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกันตามนโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” วันนี้ (12 ต.ค. 63) เวลา 12.40 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พบปะสื่อมวลชนหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นลง เพื่อสร้างความเข้าใจและมั่นใจถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจครอบคลุมทุกกลุ่มคนในสังคม ย้ำเดินหน้า 3 มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชนจำนวน 14 ล้านคน คนละ 1,500 บาท มาตรการ “คนละครึ่ง” รัฐบาลออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง (Co-pay) ผ่านระบบ E-Wallet ให้แก่ประชาชนเพื่อซื้อของจากร้านค้าปลีกย่อยที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งภารกิจสำคัญขณะนี้ คือ การบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของคนไทยให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้ รวมทั้งมีการทยอยนำคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้วกว่าแสนคน ทั้งนี้ ได้ปรับปรุงมาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น รวมถึงจัดทำมาตรการใหม่ ๆ เพิ่มเติมควบคู่กัน เป้าหมายหลักคือการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีเงินใช้จ่าย สนับสนุนให้ผู้ที่มีรายได้มากออกมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการซื้อ-ขาย กระจายเงิน ช่วยเหลือผู้ผลิต ก่อให้เกิดการผลิต การแปรรูป และการจ้างงาน สร้างรายได้ แก่ลูกจ้าง พนักงาน นายกรัฐมนตรีขอบคุณภาคเอกชน สมาคมภาคธุรกิจ และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ที่เข้าร่วม Workshop กับรัฐบาล และได้นำเสนอความคิดเห็น ความต้องการ ปัญหาและอุปสรรคในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างสูงต่อคณะทำงานและรัฐบาล โดยจะนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการทุกภาคส่วน ประเทศไทยเช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศที่ ได้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ ต้องมีจัดทำมาตรการ ซึ่งต้องคำนึงให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายตามนโยบาย “รวมไทย สร้างชาติ” ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ให้ประเทศไทยสามารถก้าวไปข้างหน้า โดยในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรียังฝากให้ประชาชนและทุกภาคส่วน ช่วยกันรักษาความสงบของบ้านเมือง เคารพกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการแก้ไปปัญหาโควิด-19 ของประเทศ หรือทำลายศักยภาพของไทยที่จะฟื้นตัวหลังโควิด-19 จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวเพิ่มเติมขอให้มั่นใจและไม่ต้องวิตกกังวล ในการดำเนินการมาตรการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้คณะรัฐมนตรีช่วยกันสนับสนุนมาตรการต่าง ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งโครงการจะมีต่อเนื่องไปถึงปลายปีนี้ โดยมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบถึง 2 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันก็พร้อมรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ เพื่อให้มีความเข้มแข็งทางการเงินด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี รุดเยี่ยมผู้ประกันตนที่บาดเจ็บและมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติคนขับรถบัสที่ผู้เสียชีวิตจากรถไฟชนที่ฉะเชิงเทรา
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี รุดเยี่ยมผู้ประกันตนที่บาดเจ็บและมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติคนขับรถบัสที่ผู้เสียชีวิตจากรถไฟชนที่ฉะเชิงเทรา รมว.แรงงาน มอบหมายให้ ที่ปรึกษา รมว.แรงาน รุดเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันแก่ผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บและมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ญาติคนขับรถบัสผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟชนรถบัสขณะไปงานกฐินที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแก่ผู้ประกันตน จำนวน 9 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนรถบัสขณะเดินทางไปงานกฐิน ณ โรงพยาบาลพระพุทธโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความเสียใจมายังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและมีความห่วงใยผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 19 ราย และได้รับบาดเจ็บ 41 ราย โดยได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเร่งด่วน ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะ ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแก่ผู้ประกันตน จำนวน 9 ราย ที่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระพุทธโสธร จากนั้น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้ไปวัดบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ทดแทนแก่ครอบครัวของนายบุญส่ง สวนยิ้ม ซึ่งเป็นพนักงานขับรถบัสที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เป็นค่าทำศพ 40,000 บาท สิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีเสียชีวิตจากการทำงาน 1,260,000 บาท และเงินบำเหน็จชราภาพ 57,467.40 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,357,467.40 บาท นางธิวัลรัตน์ยังกล่าวต่อว่า จากรายงานของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการมวลชนสัมพันธ์และเฝ้าระวังเพื่อผู้ประกันตนให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเร่งด่วน ร่วมกับสำนักงานประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทราและสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ รายงานว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 19 ราย เป็นผู้ประกันตนใช้สิทธิกองทุนประกันสังคม 14 ราย เป็นแรงงานต่างด้าว 2 ราย และอีก 6 รายกำลังอยู่ระหว่างการพิสูจน์ตัวตน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 41 ราย เป็นผู้ประกันตน 38 ราย ในส่วนการให้ความช่วยเหลือ ในเบื้องต้นกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้ออกเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแก่ผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว และมีแพทย์ด้านจิตเวชมาดูแลสภาพจิตใจของญาติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในครั้งนี้ด้วย ในส่วนของผู้เสียชีวิตจะได้ประสานญาติพี่น้องหรือบุคคลในครอบครัวเพื่อจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคตในหลวง รัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคตในหลวง รัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของแผ่นดินไทย เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม ของทุกปี พสกนิกรทุกหมู่เหล่าล้วนมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา โดย พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร และพิธีสวดพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมีพิธีสวดพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหาร และจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์จำนวน 10 รูป และพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 89 รูป ทั้งนี้ ข้าราชการของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจักน้อมนำแนวทางตามที่พระองค์ได้พระราชทานไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติตน เพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนสืบไป(12 ต.ค. 63)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีฯ หนุน ดีอีเอส ชูแอปพลิเคชัน ‘ThailandPlus’ เตรียมพร้อมไทยเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวปลอด COVID-19
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีฯ หนุน ดีอีเอส ชูแอปพลิเคชัน ‘ThailandPlus’ เตรียมพร้อมไทยเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวปลอด COVID-19 นายกรัฐมนตรีฯ หนุน ดีอีเอส ชูแอปพลิเคชัน ‘ThailandPlus’ เตรียมพร้อมไทยเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวปลอด COVID-19 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการสาธิตการใช้ ‘ThailandPlus’ หรือแอปพลิเคชันสำหรับนักท่องเที่ยว โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้การต้อนรับ ณ ทำเนียบรัฐบาล สำหรับแอปพลิเคชัน ‘ThailandPlus’ เป็นส่วนหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯ โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์กรมหาชน) สพร.หรือ DGA พร้อมหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน ที่สามารถระบุความเสี่ยง ติดตามและแจ้งเตือน นักท่องเที่ยว และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อช่วยควบคุมการระบาดข้องโรคตั้งแต่ประเทศต้นทาง เพื่อหนุนการท่องเที่ยวช่วยผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวปลอด COVID -19 โดยเป็นความร่วมมือของแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข จะช่วยประชาสัมพันธ์ผู้เดินทางและบริษัทตัวแทนนำเที่ยว ทราบถึงมาตรการป้องกัน และขั้นตอนการปฏิบัติตนก่อนเดินทางมายังประเทศไทย ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35915
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม. เปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ปรับ “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ถึง 31 มกราคม 2564 พร้อมให้ใช้สิทธิในภูมิลำเนาได้
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ​ครม. เปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ปรับ “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ถึง 31 มกราคม 2564 พร้อมให้ใช้สิทธิในภูมิลำเนาได้ ​ครม. เปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ปรับ “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” ถึง 31 มกราคม 2564 พร้อมให้ใช้สิทธิในภูมิลำเนาได้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบหลักการโครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และการปรับปรุง “โครงการกำลังใจ และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว 1.โครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนและยานยนต์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และทักษะสำหรับการทำงานร่วมกับกระบวนการผลิตบนแพลตฟอร์มอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ 34 ราย ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรจำนวน 9,500 คน จากภาคอุตสาหกรรมเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรระยะสั้นร่วมงานผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) จัดอบรมหลักสูตร technology management for technical supervisors ให้กับ supervisors และพนักงานในระดับผู้จัดการของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวน 2,300 คน (2) จัดอบรมหลักสูตรอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับพนักงานระดับปฏิบัติการให้กับพนักงานระดับปฏิบัติการของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวน 3,600 คน (3) จัดอบรมหลักสูตรอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับพนักงานระดับแรงงานให้กับพนักงานระดับแรงงานของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวน 3,600 คน โดยมีกรอบวงเงินโครงการฯ 186.2845 ล้านบาท 2. โครงการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยวโดยปรับปรุงรายละเอียดของโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทั้งนี้ เพื่อให้ “โครงการกำลังใจ” และ “โครงการเราเที่ยวด้วยกัน” สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยได้อย่างทั่วถึง บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนี้ 1) อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน ให้สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้ 2) อนุมัติให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พักและใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้ 3) อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกำลังใจและเราเที่ยวด้วยกัน ไปถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว กข43 เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว กข43 เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการบริโภคข้าวเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะข้าว กข43 ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการตลาด เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และมีความต้านทานต่อโรค โดยคุณสมบัติของพันธุ์ข้าวนี้ คือ มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 95 วัน มีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และดีต่อสุขภาพ ซึ่งจากการศึกษาวิจัยของกรมการข้าว ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ ม.มหิดล พบว่า ข้าวพันธุ์ กข43 ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ๆ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่ใส่ใจน้ำตาลในอาหาร หรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีผลักดันแอปพลิเคชัน Thailand Plus รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเชิญชวนประชาชน “ถือศีล กินผัก” เนื่องในเทศกาลกินเจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีผลักดันแอปพลิเคชัน Thailand Plus รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเชิญชวนประชาชน “ถือศีล กินผัก” เนื่องในเทศกาลกินเจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง นายกรัฐมนตรีผลักดันแอปพลิเคชัน Thailand Plus รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมเชิญชวนประชาชน “ถือศีล กินผัก” เนื่องในเทศกาลกินเจ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง วันนี้ (12 ต.ค. 63) เวลา 08.30 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย กิจกรรมก่อนเริ่มประชุมคณะรัฐมนตรีว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมนิทรรศการสาธิตการใช้แอปพลิเคชัน Thailand Plus : มีมากกว่าที่คุณคิด โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และร่วมประชาสัมพันธ์เทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี พ.ศ. 2563 โดยกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมมี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีชมสาธิตการใช้แอปพลิเคชัน Thailand Plus : มีมากกว่าที่คุณคิด โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล พัฒนาแอปพลิเคชันติดตามชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) เสมือนบันทึกการเดินทางประจำตัว โดยสามารถระบุความเสี่ยงในสถานที่ต่าง ๆ พร้อมแจ้งเตือนหน่วยงานภาครัฐ โดยจะไม่มีการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Thailand Plus : มีมากกว่าที่คุณคิด ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวในการจะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ขณะเดียวกันคนในประเทศก็จะยิ่งมั่นใจมากยิ่งขึ้นด้วน เพราะเรามีระบบติดตาม คัดกรองและกักตัว 14 วันแล้ว ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการป้องกันโรค จากนั้น นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นำผู้แทนชุมชนในจังหวัดต่าง ๆ เสนอกิจกรรมเทศกาลถือศีลกินผัก (กินเจ) ประจำปี พ.ศ. 2563 อาทิ เยาวราช จ.กรุงเทพมหานคร ศาลเจ้าพ่อ - เจ้าแม่ หน้าผา ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ศาลเจ้าหนาจาซาไทจื้ออ่างศิลา จ.ชลบุรี และศาลเจ้าต่าง ๆ ใน จ.ภูเก็ต ซึ่งปีนี้เทศกาลถือศีล กินผัก (กินเจ) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 25 ตุลาคม 2563 รูปแบบการจัดงานมีการปรับเปลี่ยน เป็นขบวนแห่ด้วยรถแทนการเดินเท้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมทั้งยังมีการตรวจคัดกรองผู้เข้าร่วมงาน ด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังชมการแสดงเชิดสิงโต จากคณะสิงโตฮกเกี้ยนเต้ออี้ถัง จ.นครสวรรค์ และคณะเยาวชนจากจากรณรงค์โรงเรียนวุฒิวิทยา จังหวัดชลบุรี พร้อมกำชับผู้จัดงานให้มีการประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเทศกาล ถือศีล กินผัก (กินเจ) ที่แท้จริง เพื่อจิตใจที่เบิกบานและสุขภาพกายที่แข็งแรง โดยทั้งเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมในพื้นที่ในจังหวัดของตนเองด้วย ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35887
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบ
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีฯ สุริยะ ให้สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย เข้าพบ ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (12 ตุลาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายวชิระ เรืองมาลัย นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย นำคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าพบ เพื่อหารือพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ ประเด็นทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบันและอนาคต และการผลักดันมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยมี นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35917
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๑๓ ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ๑๓ ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง สังกัดกระทรวงกลาโหม ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ๑๓ ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35916
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.​ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ทส.​ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 ทส.​ จัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 วันนี้ (12 ตุลาคม 2563) เวลา​ 07.00 น.​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ จัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล​ และกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร​ (13​ ตุลาคม​ 2563) เพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้​ โดยในโอกาสนี้​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย​ นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ นำคณะผู้บริหารระดับสูง​ หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ​ พนักงาน​ และเจ้าหน้าที่ในสัง​กัดกระทรวง​ฯ​ ร่วมประกอบพิธีสงฆ์​ โดยคณะสงฆ์​จากวัดบวร​นิเวศราชวรวิหาร​ จำนวน​ 10​ รูป ณ​ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์​ ตรีเดช​ หลังจากนั้น​ รมว.ทส.​ และคณะผู้บริหาร ได้ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ​ บริเวณหน้าอาคาร​กรมควบคุมมลพิษ​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35905
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุด 19-20 พ.ย. และ 11 ธ.ค.เป็นกรณีพิเศษ
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 กสร. ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างหยุด 19-20 พ.ย. และ 11 ธ.ค.เป็นกรณีพิเศษ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการให้กำหนดวันหยุดให้ลูกจ้างในวันที่ 19-20 พฤศจิกายน และ 11 ธันวาคม 2563 ตามมติครม.เป็นกรณีพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 กำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 19 และวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ และให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ จากเดิมคือวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 เป็นวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดราชการต่อเนื่องกัน 4 วัน คือตั้งแต่วันที่ 19-22 พฤศจิกายน และวันที่ 10-13 ธันวาคม 2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น นายอภิญญา กล่าวต่อไปว่า กสร.จึงขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการภาคเอกชน กำหนดให้วันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2563 และวันที่ 11 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดเป็นกรณีพิเศษ หรือจัดให้เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีเพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องและสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุดดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างด้วย หากนายจ้าง ลูกจ้าง มีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร ทั้ง 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 ​การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศระยะยาว 5-10 ปี หรือ Excellence Center เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงของระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ลดช่องว่างการเข้าถึงบริการสุขภาพส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวกและทั่วถึง อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนการกระจายบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ขาดแคลน นอกจากนี้จะจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ฯ ให้กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมทุกภาค ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนแล้วยังช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการแพทย์ในระดับภูมิภาคอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35896
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอย้ำไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 บีโอไอย้ำไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่ บีโอไอย้ำไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่ บีโอไอย้ำไทยเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่ จากที่ได้มีข่าวเผยแพร่ในลักษณะว่า ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตจากไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากประเทศไทยไม่มีปัจจัยที่ดึงดูดการผลิต รวมทั้งมีการทุ่มเททรัพยากรไปกับการพัฒนาในทิศทางเดิมๆ ทำให้ประเทศไทยไม่มีความได้เปรียบในสายตานักลงทุนนั้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ขอชี้แจงดังนี้ 1. รัฐบาลได้ตระหนักถึงสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป จึงได้ปรับเปลี่ยนนโยบายให้มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและบริการของประเทศไปสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง โดยใช้เทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา นโยบายส่งเสริมการลงทุนได้ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการลงทุนที่จะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมและบริการ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น และจูงใจให้เอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด และสนับสนุนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ ทั้งการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอัตโนมัติ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมาตรการเหล่านี้จะช่วยพัฒนาฐานรายได้ใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะเป็นการสร้างฐานผลิตและบริการใหม่ๆ รวมถึง EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลมุ่งเน้นเพื่อให้เป็นแหล่งรองรับอุตสาหกรรมใหม่เหล่านี้ เป็นการต่อยอดฐานผลิตเดิมที่แข็งแกร่งและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2. ในช่วงที่ผ่านมา การย้ายฐานผลิตของบริษัทข้ามชาติ ทั้งด้วยเหตุผลด้านสงครามการค้า หรือต้นทุนการผลิตในแหล่งผลิตเดิมสูงเกินไป ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญของอาเซียน แม้ว่าปัจจัยสนับสนุนบางประการจะลดความสำคัญลง เช่น ค่าแรง สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) และโครงสร้างสังคมสูงวัย แต่ไทยยังคงมีความได้เปรียบในปัจจัยที่บริษัทข้ามชาติให้ความสนใจ เช่น ความเข้มแข็งของ Supply Chain ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการแพทย์ เป็นต้นนอกจากนี้ ไทยยังมีทำเลที่ตั้งที่เป็นยุทธศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญ เพื่อส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนและการขนส่งในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยยังพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีจากการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่กระทบต่อการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม ทำให้โรงงานไม่ต้องหยุดการผลิตเหมือนที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ส่งผลให้ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและมีการโยกย้ายคำสั่งซื้อมายังประเทศไทย 3. จากข้อมูลของบีโอไอ พบว่า โครงการลงทุนจากต่างประเทศที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2563 มีทั้งสิ้น 170 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่าแสนล้านบาท โดยนักลงทุนมาจากหลากหลายประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และยุโรป ทั้งนี้ ร้อยละ 90 มาจากจีน ไต้หวัน และฮ่องกง โดยอุตสาหกรรมหลักที่ย้ายฐานการลงทุนมาครั้งนี้ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์โลหะ 4. บีโอไอได้มีมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุน หรือมาตรการ Thailand Plus Plus เพื่อรองรับการลงทุนที่จะสร้างฐานรายได้ใหม่ โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษีนิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หลังจากสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้ 5. ในช่วงที่ผ่านมา บีโอไอได้ออกมาตรการใหม่ๆ ที่จะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น กิจการตามแนวทาง BCG (Bio Circular Green Economy) และอุตสาหกรรมทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนได้จากตัวเลขขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการแพทย์มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมี 52 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 174 มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บีโอไอยังคงมุ่งมั่นที่จะปรับตัวเพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน นายกฯ เตือนประชาชนพายุลูกใหม่ ที่มีกำลังแรง ให้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ระมัดระวังการเดินทาง ดูแลชีวิตและทรัพย์สิน (12 ตุลาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์สภาพอากาศ จังหวัดและการบรรเทาสาธารณภัย เตรียมพร้อมรับมือกับพายุลูกใหม่ ที่คาดว่ามีกำลังแรง ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนภัย ทั้งนี้ พายุระดับดีเปรสชัน “หลิ่นฟา” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง บริเวณเมืองอัตตะปือ ประเทศลาวแล้ว ทำให้ด้านตะวันออกและตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ อนึ่ง พายุระดับดีเปรสชัน บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ในระยะต่อไป คาดว่า จะเคลื่อนเข้าใกล้เกาะไหหลำในช่วงวันที่ 13 – 14 ตุลาคม 2563 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับและสั่งการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่เตรียมรับมือและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและผลกระทบกับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน หากพื้นที่ใดคาดว่าจะได้ผลกระทบรุนแรงให้รีบแจ้งเตือน เช่น การยกสิ่งของขึ้นพื้นที่สูง หรือเตรียมอพยพหากจำเป็น เพื่อความปลอดภัย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัญจรหากไม่จำเป็นเร่งด่วน นายกรัฐมนตรีขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลได้เฝ้าระวัง และสั่งทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชม -------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางน้ำลายได้มากแค่ไหน ??
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางน้ำลายได้มากแค่ไหน ?? โควิด-19 ขับออกมาทางน้ำลายได้มากแค่ไหน Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางน้ำลายได้มากแค่ไหน ?? A : ประมาณ 88.6%
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ลุยอุบลฯ มอบสิทธิประโยชน์ช่วยเหลือ ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ มีขวัญกำลังใจดำรงชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 ‘จับกัง1’ลุยอุบลฯ มอบสิทธิประโยชน์ช่วยเหลือ ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ มีขวัญกำลังใจดำรงชีวิต รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น พร้อมด้วย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่อุบลราชธานี มอบเงินสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ จำนวน 2 ราย เป็นเงินมูลค่ากว่า 200,000 บาท พร้อมมอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการดำรงชีวิต เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ เพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังผู้ประกันตน รวมทั้งติดตามคุณภาพชีวิต และมอบสิ่งของเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ จำนวน 2 ราย รายแรก คือ นายอาทิตย์ศักดิ์ แสงงาม อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 87 หมู่ 10 บ้านท่าช้างน้อย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพเนื่องจากแขน ขาไม่มีแรง ตรวจพบเป็นโรคกล้ามเนื้ออักเสบ อาการปัจจุบันเหนื่อยง่าย สามารถช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันได้ทุพพลภาพเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2559 มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพเดือนละ 2,400 บาท ตลอดชีวิต รับเงินมาแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2559 ถึงเดือนกันยายน 2563 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 122,400 บาท รายที่สอง คือ นายสุนทร ธุลีผง อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 150 หมู่ 2 ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี เป็นผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพเนื่องจากประสบอุบัติเหตุขับรถจักรยานยนต์ล้มเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2558 มีอาการสมองบวม ปัจจุบันสามารถช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว สื่อสารปกติ แต่ยังมีปัญหาด้านความจำ ทุพพลภาพเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพเดือนละ 2,400 บาท ตลอดชีวิต รับเงินมาแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ถึงเดือนกันยายน 2563 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,240 บาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามโครงการ Zoning by Agri - Map พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครพนม
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ติดตามโครงการ Zoning by Agri - Map พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครพนม รมช.ธรรมนัส ติดตามโครงการ Zoning by Agri - Map พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ให้แก่พี่น้องเกษตรกร จ.นครพนม ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม(Zoning by Agri - Map)พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)บัตรดินดีและปัจจัยการผลิตแก่พี่น้องเกษตรกรณบ้านยอดชาดหมู่ที่2ตำบลยอดชาดอำเภอวังยางจังหวัดนครพนมว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายในการช่วยเหลือส่งมอบความรู้แก่เกษตรกรเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดบนพื้นฐานของความสมัครใจของเกษตรกรและให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ กระทรวงเกษตรฯมีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนการผลิตซึ่งในพื้นที่นี้ไม่มีความเหมาะสมในการปลูกข้าวทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว(ทำนาอย่างเดียว)ผลผลิตข้าวต่ำต้นทุนการผลิตสูง คันนากระทงนามีขนาดเล็กทำให้การบริหารจัดการแปลงนาลำบากและเกษตรกรมีความสนใจทำการเกษตรแบบผสมผสานจึงวางเป้าหมายดำเนินการในปีงบประมาณ2563ไว้จำนวน5แปลงพื้นที่รวม2,500ไร่เกษตรกรร่วมโครงการแล้ว133รายโดยในพื้นที่ต.ยอดชาดอ.วังยางมีเป้าหมายดำเนินการจำนวน500ไร่เกษตรกรร่วมโครงการ34ราย “ตอนนี้ได้มีการประสานหน่วยงานร่วมบูรณาการเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบผสมผสานให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากการปรับเปลี่ยนการผลิตพร้อมส่งเสริมการปรับปรุงบำรุงดินให้มีความเหมาะสมต่อการทำการเกษตรแบบผสมผสานสามารถลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากพืชเดิมอีกด้วย”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว ทั้งนี้ยังได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก. 4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรจำนวน40ราย49แปลงเนื้อที่ประมาณ279-3-10ไร่บัตรดินดีและปัจจัยการผลิตเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ส.ป.ก.นครพนมมีพื้นที่ประกาศเขตปฏิรูปที่ดินจำนวน11อำเภอ40ตำบล(ยกเว้นอำเภอเรณูนคร)เนื้อที่รวม460,548ไร่ดำเนินการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรแล้วจำนวน24,170ราย29,526แปลงเนื้อที่348,509ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.โพธาราม จ.ราชบุรี เปิดบริการรับยาผ่าน Drive Thru ลดแออัด
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 รพ.โพธาราม จ.ราชบุรี เปิดบริการรับยาผ่าน Drive Thru ลดแออัด โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี เปิดบริการรับยาแบบ Drive Thru ช่วยลดเวลารอคอยจาก 1-2 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 นาที ลดความแออัดร้อยละ 50 ในคลินิกเบาหวาน ความดัน จักษุ จิตเวช และโรคกระดูก ชูเป็น New Normal ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี เปิดบริการรับยาแบบ Drive Thru ช่วยลดเวลารอคอยจาก 1-2 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 นาที ลดความแออัดร้อยละ 50 ในคลินิกเบาหวาน ความดัน จักษุ จิตเวช และโรคกระดูก ชูเป็น New Normal ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี ได้พัฒนาระบบบริการ "Drive Thru Medicine รับยาบนรถไม่พบแพทย์" เพื่อลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ที่ต้องมีมาตรการเว้นระยะห่าง ในการลดความแออัดและลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อภายในโรงพยาบาล จากการให้บริการพบว่า ช่วยลดความแออัดลงได้ร้อยละ 50 ในกลุ่มโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ขณะนี้มีการขยายผลการรับยาด้วยวิธี Drive Thru ไปยังคลินิกจักษุ คลินิกจิตเวช และคลินิกกระดูกผู้รับบริการมีความพึงพอใจร้อยละ 96 เนื่องจากลดเวลารอคอยจากเดิมใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง แต่ใช้เวลารับยาเพียง 5 นาที และลดความเสี่ยงในการมารับเชื้อภายในโรงพยาบาล ถือเป็นการให้บริการวิถีใหม่หรือ New Normal เพื่อลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 ด้านแพทย์หญิงถิรนัน สาสุนีย์ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี กล่าวว่าผู้ป่วยที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้ป่วยเก่าที่รับการรักษาอยู่ก่อนและมีอาการคงที่ โดยพยาบาลจะติดต่อว่า สนใจรับยาด้วยวิธี Drive Thru หรือไม่หากคนไข้สะดวกรับยาด้วยวิธีนี้ พยาบาลจะนัดหมายวันและเวลาในการมารับยา และส่งข้อมูลไปยังเภสัชกร เพื่อจัดยาตามลำดับคิวไว้เป็นชุดๆ และติดใบนัดหมายไว้ที่ถุงยา เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลสามารถแจ้ง รปภ.ว่ามารับยาด้วยวิธีดังกล่าว รปภ.จะติดบัตรคิวไว้ที่หน้ารถ เมื่อขับเข้ามาในเส้นทางที่กำหนดไว้จนถึงจุดรับบริการ ก็จะรับยาที่จัดเตรียมไว้จากเภสัชกร ซึ่งจะมีการสอบถามและตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายยาที่ผิดพลาด ให้คำแนะนำเรื่องของการใช้ยา และนัดหมายการรับบริการในครั้งต่อไป เมื่อรับยาเสร็จก็สามารถขับรถกลับบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องลงจากรถ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3-5 นาทีต่อคัน ญาติผู้ป่วยสามารถขับรถมารับยาแทนได้ แต่จะมีการตรวจสอบความถูกต้องด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ดำเนินการเรื่องนี้ได้ เนื่องจากการจราจรไม่ติดขัด ประกอบกับโรงพยาบาลมีพื้นที่ แต่จะต้องจัดบริการในช่วงเวลาบ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงความหนาแน่นจากการมีผู้ป่วยมาพบแพทย์และรักษาในช่วงเช้า โดยเฉลี่ยมีผู้ป่วยรับยาด้วยวิธีนี้ 40 รายต่อวัน ใช้เวลาดำเนินการให้ยาผู้ป่วยจนครบทุกรายประมาณ 1-2 ชั่วโมง *************************************** 11 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35880
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บกปภ.ช.สั่งการทุกจังหวัดเตรียมรับมือพายุโซนร้อนหลิ่นฟา (LINFA) พร้อมช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 บกปภ.ช.สั่งการทุกจังหวัดเตรียมรับมือพายุโซนร้อนหลิ่นฟา (LINFA) พร้อมช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง บกปภ.ช.สั่งการทุกจังหวัดเตรียมรับมือพายุโซนร้อนหลิ่นฟา (LINFA) พร้อมช่วยเหลือประชาชน 24 ชั่วโมง วันนี้ (11 ต.ค. 63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ติดตามสภาพอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาพบว่า พายุระดับ 3 (โซนร้อน) "หลิ่นฟา" ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองกวางงาย ประเทศเวียดนามแล้ว มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งพายุนี้มีแนวโน้มอ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) และพายุระดับ 1 (หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง) ตามลำดับ และส่งผลกระทบให้ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงในช่วงวันที่ 11-12 ตุลาคม 63 ทำให้ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อให้การรับมือผลกระทบจากสถานการณ์พายุ "หลิ่นฟา" เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้สั่งการไปยังกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามแนวทางการเผชิญเหตุโดยเคร่งครัด และให้ความสำคัญในการดำเนินการตามแนวทาง 5 ด้าน ได้แก่ 1) ให้คณะทำงานติดตามสถานการณ์ของจังหวัด ติดตาม ประเมินสถานการณ์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจของผู้อำนวยการในแต่ละระดับ และหากมีแนวโน้มเกิดสถานการณ์รุนแรงในพื้นที่ ให้สั่งการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่จัดเตรียมไว้โดยทันที 2) แจ้งเตือนให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแจ้งแนวทางการปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ พร้อมกำชับให้ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายอาสาสมัคร และประชาชนจิตอาสา ให้ความสำคัญกับการจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยสำหรับรองรับประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ 3) ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับ เตรียมความพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เครื่องจักรกลสาธารณภัย อาทิ เครื่องสูบน้ำ เรือยนต์กู้ภัย เรือท้องแบน รถสูบส่งน้ำระยะไกล รถปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัย ฯลฯ ให้มีความพร้อมในการเผชิญเหตุช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง 4) ให้แบ่งมอบพื้นที่ ภารกิจ หน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจนตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย โดยให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยซ้ำ ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยในพื้นที่ ให้ระดมสรรพกำลังเร่งเข้าคลี่คลายสถานการณ์ และให้ความสำคัญกับการจัดระบบดูแลประชาชนให้มีสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพตามวงรอบ การจัดตั้งโรงครัวพระราชทานในการประกอบเลี้ยงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ และ 5) ในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายทะเล ให้ฝ่ายปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำชับสถานประกอบการ โรงแรมในพื้นที่ชายทะเล เร่งสื่อสารให้นักท่องเที่ยวระมัดระวัง และห้ามลงเล่นน้ำในช่วงที่มีคลื่นลมแรง พร้อมประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานของกรมเจ้าท่า กองทัพเรือ และตำรวจน้ำในพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนด ในการนำเรือเข้าที่กำบัง และห้ามการเดินเรือช่วงมีคลื่นลมแรงโดยเคร่งครัด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า บกปภ.ช. ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเร่งดำเนินการเตรียมการรับมือตามแผนเผชิญเหตุ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยพี่น้องประชาชนสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35884
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 อนุทิน ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมมอบเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค กำชับทีมแพทย์ให้บริการและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมมอบเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภค กำชับทีมแพทย์ให้บริการและดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ วันนี้ (11 ตุลาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยพื้นที่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมมอบเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภคที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลขนงพระใต้, บริษัท ทีโอที จำกัด สาขาปากช่อง และศาลาวัดท่ามะนาว ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยพื้นที่อำเภอปากช่อง ได้รับทราบความเสียหายที่เกิดขึ้น และกำชับให้ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทีมแพทย์และสาธารณสุขให้บริการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างเต็มที่ รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้การดูแลครอบคลุมทุกด้านให้มากที่สุด นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชน และขอยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งในพื้นที่ อ.ปากช่อง และทุกภาคของประเทศในการให้บริการดูแลสุขภาพอนามัยและรักษาพยาบาล โดยเฉพาะช่วงภายหลังน้ำลด มักมีโรคที่ตามมากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู ต้องรักษาร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ และต้องระวังอันตรายจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ปลั๊กไฟ ที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับอำเภอปากช่อง มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล ได้แก่ ต.หมูสี ต.ขนงพระใต้ ต.หนองสาหร่าย ต.จันทึก ต.ปากช่อง และเทศบาลเมืองปากช่อง มีสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ คือ คลินิกหมอครอบครัวประปา ต.ประปา ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมพื้นอาคาร ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ ทั้งนี้ ทีมแพทย์และสาธารณสุขได้จัดหน่วยบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่ โดยมีทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ จากโรงพยาบาลปากช่องนานา ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา ดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง ให้ได้รับยาต่อเนื่อง พร้อมทีมสุขภาพจิต จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 นครราชสีมา รพ.จิตเวชนครราชสีมา เยียวยา ฟื้นฟูจิตใจและประเมินความเครียดเบื้องต้น แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 2 จุด ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลขนงพระใต้ และศาลาวัดท่ามะนาว ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง *************************************** 11 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล เดินหน้าศึกษาแลนด์บริดจ์ เชื่อมทะเลชุมพร-ระนอง
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 รัฐบาล เดินหน้าศึกษาแลนด์บริดจ์ เชื่อมทะเลชุมพร-ระนอง รัฐบาล เดินหน้าศึกษาแลนด์บริดจ์ เชื่อมทะเลชุมพร-ระนอง เมื่อวันที่ 11 ต.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก พึงพาตนเอง พร้อมมุ่งที่การลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข็งขัน โดยขณะนี้กระทรวงคมนาคม กำลังทำการศึกษาโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน หรือ แลนด์บริดจ์ ระหว่างท่าเรือจังหวัดชุมพรกับท่าเรือจังหวัดระนอง ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร คาดว่าจะช่วยย่นเวลาเดินทางของเรือสินค้าจากเส้นทางปกติได้กว่า 2 วัน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ จะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี ศึกษาแล้วจะสามารถเริ่มโครงการได้ภายใน 2 ปีครึ่ง จากแผนจะมีการสร้างท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน ที่จังหวัดชุมพรและระนอง เชื่อมต่อกันด้วยการสร้างเส้นทางขนส่งทางบก โดยมีทั้งรถไฟทางคู่ และทางหลวงพิเศษ(มอเตอร์เวย์) ซึ่งจะทำให้เรือสินค้าที่ใช้เส้นทางปกติ หันมาขนส่งเส้นทางนี้แทน คาดว่าจะส่งผลในทางด้านเศรษฐกิจมหาศาล ก่อให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้แนวทางการศึกษาโครงการ โดยต้องดูอย่างสมบูรณ์ รอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น ความคุ้มค่า ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความเห็นของประชาชนในพื้นที่ โดยโครงการแลนด์บริดจ์ เป็นโครงการที่สอดคล้องกับแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (Southern Economic Corridor: SEC) ที่ครอบคลุม 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบน คือ ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงการขนส่งและคมนาคมอย่างครบถ้วนต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำคัญของโครงการนี้ คือการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ภูมิภาค คือการเชื่อมตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมัน ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ ไปสู่เอเซียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฯลฯ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้บริโภคน้ำมันและโรงงานโลก โดยผ่านไทย โดยโครงการนี้มีแผนที่จะร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งนายศักดิ์ สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ให้แนวทางการร่วมลงทุนว่า ภาคเอกชนที่สนใจต้องร่วมลงทุนทั้ง ท่าเรือน้ำลึก รถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถบัส ขณะเดินทางไปทำบุญ
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถบัส ขณะเดินทางไปทำบุญ นายกฯ เสียใจและสั่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุรถไฟชนกับรถบัส ขณะเดินทางไปทำบุญ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบเหตุรถไฟบรรทุกสินค้าชนกับรถบัสของประชาชนในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา หน่วยงานบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบริหารการแพทย์ฉุกเฉิน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งดูแลและให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และอำนวยความสะดวกแก่ญาติผู้เสียชีวิตให้ดีที่สุด นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบหาสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคต นายกรัฐมนตรียังแสดงความห่วงใยประชาชน ในการเดินทางช่วงวันหยุดและอยู่ในช่วงการทำบุญทอดกฐิน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีพายุเข้าไทยอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง ที่ลำบากขึ้นและต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และขอให้หน่วยงาน เช่น กระทรวงคมนาคม ตำรวจ ทหาร ดูแลทั้งเส้นทางคมนาคม ให้เดินทางได้อย่างสะดวก และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง นอกจากนั้น ทหารและพลเรือนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องเตรียมพร้อมสำหรับบรรเทาภัยหากเกิดขึ้น จะได้รีบช่วยเหลือได้ทันที รวมทั้งขอให้ประชาชนใช้ถนน ยานพาหนะขับขี่อย่างปลอดภัยด้วยความไม่ประมาท --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง และร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง และร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง และร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 นี้ ประชาชนทุกหมู่เหล่าล้วนรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดนับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตราบจนกระทั่งเสด็จสวรรคต ซึ่งพสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างมีความตั้งใจที่จะร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐโดยพร้อมเพรียงกัน รัฐบาลจึงเห็นสมควรดำเนินการจัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 โดยดำเนินการอย่างสมพระเกียรติ และคำนึงถึงความเหมาะสมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และในต่างประเทศ ประกอบด้วย 1. พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 เวลา 07.30 น. ส่วนกลาง จัดพิธี ณ ท้องสนามหลวง พระสงฆ์ จำนวน 89 รูป มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ส่วนภูมิภาคมอบหมายกระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม โดยจัดพิธีพร้อมกันกับส่วนกลาง และสำหรับในต่างประเทศ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศแจ้งสถานเอกอัครราชทูต และสถานกงสุลพิจารณาการจัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม 2. พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 เวลา 08.30 น. ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ส่วนกลาง จัดพิธี ณ ท้องสนามหลวง ส่วนภูมิภาค มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัด จัดพิธี ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม โดยจัดพิธีพร้อมกันกับส่วนกลาง และสำหรับในต่างประเทศ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลพิจารณาการจัดพิธีตามที่เห็นสมควรและเหมาะสม 3. การจัดกิจกรรมจิตอาสา ประกอบด้วย 3.1 การจัดกิจกรรมจิตอาสาในนามรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ร่วมกิจกรรมจิตอาสาน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันที่ 13 ตุลาคม 2563 ประกอบด้วย การพัฒนาพื้นที่เรียนรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ การปลูกต้นไม้ และการทำผลิตภัณฑ์ครัวเรือน ร่วมกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนักเรียนจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 ระหว่างเวลา 09.00 - 12.00 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 3.2 การจัดกิจกรรมจิตอาสา “ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา” โดยให้สถาบันการศึกษาและสถานสงเคราะห์ทุกแห่งเชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคม และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สร้างความรักความสามัคคี สร้างจิตสาธารณะ เสียสละร่วมกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม โดยมีหน่วยงานร่วมจัดกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และกรุงเทพมหานคร ฯลฯ โดยจัดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เช่น การพัฒนาศาสนสถาน การพัฒนาสถานที่สาธารณะ ชุมชน วัด โรงเรียน แม่น้ำคูคลอง การปลูกต้นไม้ การเก็บขยะ เก็บผักตบชวา การกำจัดวัชพืช การปรับปรุงภูมิทัศน์ การจัดกิจกรรมซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix it Center เป็นต้น ทั้งนี้ กิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ กำหนดดำเนินการได้ตลอดเดือนตุลาคม 2563 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมเครื่องราชสักการะ (เครื่องทองน้อย) ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงานและบ้านเรือน ระหว่างวันที่ 13 - 22 ตุลาคม 2563 พร้อมทั้งจัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล พิธีวางพวงมาลา พิธีจุดเทียนน้อมรำลึกฯ และร่วมแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่มีต่อปวงชนชาวไทยทุกคนโดยพร้อมเพรียงกัน *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35877
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เชิงรุกคัดกรองโควิด 19 ชายแดน อ.แม่สอด พบพนักงานขับรถชาวเมียนมาติดเชื้อ 3 ราย
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 สธ.เชิงรุกคัดกรองโควิด 19 ชายแดน อ.แม่สอด พบพนักงานขับรถชาวเมียนมาติดเชื้อ 3 ราย กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมควบคุมโรคตรวจคัดกรองเชิงรุกโรคโควิด 19 ฟรี บริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตรวจพบพนักงานขับรถชาวเมียนมา 3 ราย ส่งตัวรักษาโรงพยาบาลเมียวดี เร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งฝั่งไทยและเมียนมา พร้อมส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชท กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมควบคุมโรคตรวจคัดกรองเชิงรุกโรคโควิด 19 ฟรี บริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตรวจพบพนักงานขับรถชาวเมียนมา 3 ราย ส่งตัวรักษาโรงพยาบาลเมียวดี เร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งฝั่งไทยและเมียนมา พร้อมส่งรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 3 คัน ทีมสอบสวนโรค ชุดตรวจน้ำยา PCR และชุดตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันจากส่วนกลางสนับสนุน บ่ายวันนี้ (11 ตุลาคม 2563) ที่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยกองโรคติดต่อทั่วไป ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ชาวเมียนมาบริเวณชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เตรียมพร้อมยา-เวชภัณฑ์ -ห้องปฏิบัติการ โดยพื้นที่ชายแดนแม่สอดสามารถรองรับผู้ติดเชื้อได้ 20-30 คน นอกจากนี้ ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษด้านสาธารณสุข พร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินทันที และได้รับความร่วมมือจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรค เครือข่ายภาคประชาชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ช่วยสื่อสารข้อมูลกับประชาชนทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน สำหรับการตรวจพบพนักงานขับรถขนส่งสินค้าชาวเมียนมาติดเชื้อโควิด 19 นั้น กรมควบคุมโรคสามารถดำเนินการติดตามได้ภายใน 24 ชั่วโมง ถือว่าทันเหตุการณ์ และมีความเสี่ยงน้อย เนื่องจากปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด ขอความร่วมมือประชาชนการ์ดอย่าตก คงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง โดยเฉพาะช่วงประเพณีทอดกฐินและลอยกระทง สามารถจัดงานได้ แต่ขอให้รักษามาตรการป้องกัน ตระหนักแต่ไม่ตระหนกขอให้รับฟังข่าวสารทางการจากกระทรวงสาธารณสุขและจังหวัด ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การตรวจพบพนักงานขับรถชาวเมียนมาติดโควิด 19 ในครั้งนี้ เกิดจากการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งจากการคาดการณ์เหตุการณ์การระบาดที่อาจเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบ เหตุการณ์นี้ถือว่าอยู่ในรูปแบบที่ 1 คือ พบผู้ติดเชื้อ สามารถตรวจจับและควบคุมได้ สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ การเฝ้าระวังเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยได้ส่งทีมสอบสวนโรคจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าไปสนับสนุนการดำเนินงาน รวมถึงจัดรถตรวจเชื้อชีวนิรภัยพระราชทาน 3 คัน ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างผู้สัมผัสในฝั่งไทยที่โกดังอาลี และโกดังสิงห์รุ่งเรือง ส่วนอีกคันพื้นที่จะเป็นผู้เลือกจุดให้บริการ สนับสนุนชุดตรวจน้ำยา PCR จำนวน 1,000 ชุด และชุดตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันหรือ Rapid Test จำนวน 2,000 ชุด เพื่อให้มีวัสดุอุปกรณ์ใช้อย่างเพียงพอ ควบคุมสถานการณ์ให้เร็วที่สุด “กรณีนี้คล้ายกับกรณีทหารอียิปต์ที่ จ.ระยอง ปัจจัยที่ทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว คือ การตรวจเชิงรุก และความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น หากพบการเข้าประเทศผิดกฎหมายขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ ซึ่งการนำชาวต่างชาติผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทั้งผิดกฎหมายและเสี่ยงนำเชื้อโรคเข้าประเทศไทย สำหรับประชาชนที่สงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”นายแพทย์โอภาส กล่าว ในการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในพื้นที่อำเภอแม่สอดในครั้งนี้ ดำเนินการในกลุ่มพนักงานขับรถขาเข้าไทยและเมียนมา ระหว่างวันที่ 8-9 ตุลาคม 2563 จำนวน 115 ราย ใช้การตรวจด้วยวิธี RT-PCR พบผลเป็นบวก 2 ราย เป็นชาวเมียนมา ไม่มีอาการ ทั้งสองรายเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเมียวดี โดยผลการตรวจยืนยันให้ผลบวกตรงกันกับประเทศไทย จากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ติดเชื้อทั้งสองรายเดินทางมาจากเมืองเมียวดี โดยรายที่ 1 เดินทางเข้าไทย รอบเช้า 10.00 น. รอบบ่าย 15.00 น. ไปที่โกดังอาลี แยกขายปลาตลาดพาเจริญ และโกดังสิงห์รุ่งเรือง รายที่ 2 เดินทางเข้า 10.00 น. ออกจากด่าน 16.00 น. ไปยังโกดังสิงห์รุ่งเรืองแห่งเดียว อยู่ในประเทศไทยไม่เกิน 7 ชั่วโมงตามมาตรการที่กำหนด ทั้งนี้ ในฝั่งของเมียวดี มีผู้สัมผัสที่ทำงานในโรงงานเดียวกัน 100 คน ทั้งหมดได้ถูกส่งเข้า state quarantine ของเมียนมา สำหรับวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ได้เชิงรุกคัดกรองแรงงานเมียนมาและคนไทยในชุมชนฝั่งไทยจำนวน 74 คน ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี RT-PCR พบผลเป็นลบแล้ว 60 ราย ผลเป็นบวก 1 ราย เป็นพนักงานขับรถชาวเมียนมาเช่นกัน นับเป็นรายที่ 3 สำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิดพนักงานขับรถชาวเมียนมาทั้ง 3 ราย ในฝั่งไทยพื้นที่จะดำเนินการสอบสวนโรคให้ได้ข้อมูลต่อไป เบื้องต้นคาดว่ามีประมาณหลักร้อยคน ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อยู่ระหว่างหารือมาตรการควบคุมพื้นที่เสี่ยงที่พบผู้ติดเชื้อ เพื่อการป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มแข็ง และดำเนินการค้นหาผู้สัมผัสเพิ่มเติมในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการสอบสวนและมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่และประชาชนชาวไทยทุกคน ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีการประสานงานและมีความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นอย่างดีในการป้องการแพร่เชื้อข้ามพรมแดนด้วยระบบเฝ้าระวังกักกันที่มีประสิทธิภาพ จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรคที่มีความเข้มแข็งและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 *************************************** 11 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเข้มป้องกันการลักลอบปาล์ม รัฐบาลผนึกกำลังดันราคาพุ่ง พร้อมพัฒนาระยะยาว
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563 นายกฯ สั่งเข้มป้องกันการลักลอบปาล์ม รัฐบาลผนึกกำลังดันราคาพุ่ง พร้อมพัฒนาระยะยาว นายกฯ สั่งเข้มป้องกันการลักลอบปาล์ม รัฐบาลผนึกกำลังดันราคาพุ่ง พร้อมพัฒนาระยะยาว นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากที่ระดับราคาปาล์มน้ำมันตั้งแต่เดือนก.ย.ที่ผ่านมาได้ขยับตัวสูงขึ้น สูงกว่าราคาที่รัฐบาลได้ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ปัจจัยสำคัญมาจากการดำเนินการของภาครัฐที่ได้ออกมาตรการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด ได้แก่ 1) กำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันมาตรฐาน แทน B7 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา คาดว่าจะช่วยดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณปีละ 2.2 ล้านตัน และส่งเสริม B20 ให้เป็นพลังงานทางเลือก 2) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 3.6 แสนตัน ซึ่งได้ดำเนินการครบแล้ว 3) ผลักดันการส่งออกนำ้มันปาล์มส่วนเกิน 3 แสนตัน ภายในปี 2564 และ 4) เดินหน้าติดตั้งมิเตอร์วัดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบของโรงงาน เพื่อทราบปริมาณน้ำมันที่มีอยู่จริงซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการบริหารสต๊อกให้มีเสถียรภาพ ส่วนเรื่องการป้องกันการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพราะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ราคาพืชผลเกษตรลดลง และชาวสวนปาล์มมีความกังวลอยู่ ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีมาตรการป้องกันไว้ คือ การกำหนดด่านเฉพาะ 3 ด่าน ที่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์ม ได้แก่ 1) ด่านศุลกากรมาบตาพุด 2) สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ และ 3) สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง สำหรับการนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มไปยังประเทศอื่น อนุญาตให้มีด่านต้นทางเพียงแห่งเดียว คือ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ มีด่านปลายทาง 3 แห่ง ได้แก่ 1) ด่านศุลกากรจันทบุรี 2)ด่านศุลกากรหนองคาย และ 3) ด่านศุลกากรแม่สอด ไม่เพียงแค่นั้น นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กวดขันเรื่องการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าตามด่านสินค้าชายแดน มีหน่วยงานหลัก อาทิ กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ประสานการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อสกัดกั้นมิให้มีการลักลอบนำเข้าสินค้าและผลิตผลทางการเกษตร ไม่ว่าจะผ่านทางด่านหรือช่องทางตามธรรมชาติ อนึ่ง ในระยะยาว รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตโดยไม่ขยายพื้นที่ปลูก การเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันให้ไม่ต่ำกว่า 18% การเพิ่มนวัตกรรมในการผลิตและแปรรูปปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมโอลิโอเคมิคอล ซึ่งเน้นการใช้ปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิตเครื่องสำอาง เคมีภัณฑ์ กลีเซอรีน สบู่ น้ำยาซักล้าง “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลมีมาตรการดูแลเกษตรกรชาวสวนปาล์มทั้งระยะสั้นและระยะยาวครบทั้งระบบ เพียงแต่ในหลายเรื่องต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลลัพธ์ตามที่ตั้งเป้าไว้ ส่วนการดูแลเรื่องผลกระทบจากการผันผวนของราคาปาล์ม รัฐบาลได้ต่ออายุโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน จากสิ้นสุด ก.ย. เป็นสิ้นสุด ธ.ค. ซึ่งโครงการฯในรอบปี 62/63 ได้อนุมัติกรอบวงเงินไว้ 13,000 ล้านบาท แต่จ่ายชดเชยส่วนต่างราคาตลาดกับราคาประกันเพียง ประมาณ 6,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาปาล์มอยู่ในเกณฑ์ดี และเมื่อสิ้นสุดเดือนธ.ค. รัฐบาลจะมีการพิจารณาเรื่องโครงการการประกันรายได้ต่อไป” นางสาวรัชดา กล่าว -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ” เดินหน้าเยียวยาผู้ประกอบการกระทบโควิด เว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. กว่า 10,000 ราย เริ่ม 10 ตุลาคม 2563 นี้
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 “สุริยะ” เดินหน้าเยียวยาผู้ประกอบการกระทบโควิด เว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. กว่า 10,000 ราย เริ่ม 10 ตุลาคม 2563 นี้ ​กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด หลัง ครม. เห็นชอบมาตรการเยียวยายกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ของ สมอ. เริ่ม 10 ตุลาคม 2563 นี้ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ สมอ. เสนอมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 โดยให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต มอก. และค่าธรรมเนียมใบรับรองระบบงาน ISO เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 10,000 ราย รวมมูลค่ากว่า 110 ล้านบาท ซึ่ง ครม. ได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2563 นี้ จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด 19 และการชะลอตัวของภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในประเทศ ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “สมอ. จะดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เข้าสู่สภาวะปกติได้ในไม่ช้า ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการยกเว้นจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการให้มาติดต่อขอรับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นขอใบอนุญาต มอก. ทางออนไลน์ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ www.tisi.go.th ทั้งการยื่นขอใบอนุญาต มอก. ผ่านระบบ e-License ที่ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอได้ทุกมาตรฐาน ซึ่งผลทดสอบผลิตภัณฑ์และผลตรวจโรงงานจะถูกส่งตรงจากห้อง LAB และหน่วยงาน Outsource ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยผู้ประกอบการไม่ต้องมีภาระเรื่องเอกสารดังกล่าวอีกต่อไป” นอกจากนี้ สมอ. ยังอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและประชาชนภายใต้สถานการณ์โควิด โดยสามารถชําระค่าบริการและค่าธรรมเนียมงานบริการด้านอื่นๆ ได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment สําหรับการตรวจติดตามผลผู้ได้รับใบอนุญาต มอก. เป็นการตรวจติดตามผ่านระบบ e-Surveillance เพื่ออํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ สมอ. ให้มากยิ่งขึ้น ด้านการรับรองระบบงาน ISO สมอ. ได้นําระบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Accreditation มาใช้ตั้งแต่การยื่นคําขอ การประสานงาน การตรวจประเมินทางไกล (Remote assessment) และการรับรองตนเอง (Self declaration) แทนการออกไปตรวจประเมินสถานที่จริง โดยผู้ตรวจประเมินจะประสานงานการตรวจประเมินทางออนไลน์ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และแอปพลิเคชั่นต่างๆ บนเว็บไซต์ และสมาร์ทโฟน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลตามมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย ----- 6 ตุลาคม 2563 -----
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงาน The 5th Singapore International Cyber Week พร้อมร่วมเวทีเสวนาระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงาน The 5th Singapore International Cyber Week พร้อมร่วมเวทีเสวนาระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงาน The 5th Singapore International Cyber Week พร้อมร่วมเวทีเสวนาระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีเปิดงาน The 5th Singapore International Cyber Week พร้อมร่วมเวทีเสวนาระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน เรื่อง การปรับเปลี่ยนโลกไซเบอร์สู่ความปกติใหม่ รับมือสถานการณ์โรคโควิด - ๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ นายเนวิน ช่อชัยทิพย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม ได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน The 5th Singapore International Cyber Week โดยมี Mr. Heng Swee Keat รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านความมั่นคงของสิงคโปร์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งในปีนี้ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “ความร่วมมือในอนาคตภายหลังโรคโควิด” (Co - operation in a Post - COVID Future) โดยภายหลังจากพิธีเปิดงาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เข้าร่วมการประชุมสัมมนา SICW Ministerial Roundtable Opening Session ซึ่งเป็นเวทีเสวนาเพื่ออภิปรายร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งในและองค์กรภายนอกภูมิภาคอาเซียน ในประเด็นการปรับเปลี่ยนโลกไซเบอร์สู่ความปกติใหม่ (Adapting to the New Normal: Innovation, Opportunities, Cooperation) ภายหลังสถานการณ์โรคโควิด – ๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ณ ห้องประชุม Brain Storming ชั้น ๒๒ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความร่วมมือเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เพื่อร่วมกันรับมือกับปัญหาและความท้าทายของความมั่นคงปลอดไซเบอร์ในโลกปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ขอบคุณเสียงตอบรับสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. ขอบคุณเสียงตอบรับสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 ธ.ก.ส. ปลื้มสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 หน่วยละ 100 บาท ลุ้นรางวัล 10 ล้านบาท จำหน่ายหมดภายใน 6 สัปดาห์ พร้อมขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ธ.ก.ส. ปลื้มสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 หน่วยละ 100 บาท ลุ้นรางวัล 10 ล้านบาท จำหน่ายหมดภายใน 6 สัปดาห์ พร้อมขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่ให้การตอบรับ เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกฝากผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีรางวัลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน หน่วยละ 20 บาทลุ้นรางวัล 2 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค ลุ้นรางวัล เป็นสิ่งของมากมาย เป็นต้น นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากการที่ ธ.ก.ส. ได้เปิดรับฝาก “สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5” จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท มีอายุการรับฝาก 3 ปี ลุ้นรางวัลสูงสุด 10 ล้านบาท รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 91 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเริ่มเปิดรับฝากมาตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 นั้น สลากดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ทำให้ยอดรับฝากเต็มวงเงินอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น โดยมียอดรับฝากผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile จำนวน 36,188 ล้านบาท และยอดรับฝากผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคาร จำนวน 63,812 ล้านบาท ธ.ก.ส. ขอขอบคุณเกษตรกรลูกค้าผู้มีอุปการะคุณทุกท่านผู้ฝากสลากทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคาร ซึ่งเงินทุก ๆ บาทที่ท่านฝากไว้ ธ.ก.ส. จะนำไปใช้เป็นทุนสนับสนุน ภาคเกษตรกรรม การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งสู่ธุรกิจชุมชน อันเป็นฐานรากที่สำคัญของประเทศ ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการฝากเงินกับ ธ.ก.ส. สามารถเลือกใช้บริการผลิตภัณฑ์เงินฝากอื่น ๆ ที่น่าสนใจได้ อาทิ สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน หน่วยละ 20 บาท อายุรับฝาก 2 ปี ฝากขั้นต่ำ 20 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท/ครั้ง เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.20 บาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี (ไถ่ถอนคืนได้เมื่อครบกำหนด) โดยผู้ฝากสามารถลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 2,000,000 บาท และรางวัลเลข 4 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท ได้ในงวดแรกที่ฝาก และลุ้นรางวัลเลข 4 ตัว มูลค่า 20 บาท ตลอดระยะเวลารับฝาก 24 งวด ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน ซึ่งสามารถฝากได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile หรือออมเงินกับเงินฝากออมทรัพย์ทวีโชค สมุดเล่มแดงที่มีสิทธิ์ลุ้นโชค รับรางวัลจากยอดเงินฝากทุก 2,000 บาท ติดต่อกัน 3 เดือน จะได้ 1 สิทธิ์ และยอดเงินฝากทุก 10,000 บาทติดต่อกัน 7 เดือน จะได้รับเพิ่ม 1 สิทธิ์ และหากฝากติดต่อกัน 10 เดือน จะได้รับเพิ่ม 2 สิทธิ์ โดยลุ้นจับรางวัลในระดับจังหวัดปีละ 2 ครั้ง และลุ้นรับรางวัลระดับประเทศอีกปีละ 1 ครั้ง โดยสามารถค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ตรงตามความต้องการของท่านได้ที่ www.baac.or.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center 02 555 0555 หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ขยายเวลาลดเบี้ยปรับถึง 31 มี.ค. 64
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 กยศ. ขยายเวลาลดเบี้ยปรับถึง 31 มี.ค. 64 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายเวลามาตรการชำระหนี้ลดเบี้ยปรับ 75-80% จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อช่วยเหลือและให้โอกาสผู้กู้ยืมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ได้เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจึงได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการลดเบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมกรณีผิดนัดชำระเงินคืน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 เป็นให้สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อเป็นการช่วยเหลือและให้โอกาสผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้ ดังนี้ 1. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชีในครั้งเดียว กรณีผู้กู้ยืมที่ยัง ไม่ถูกดำเนินคดี ติดต่อชำระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กรณีผู้กู้ยืมถูกดำเนินคดี ลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชี ได้ที่เว็บไซต์ กยศ. (www.studentloan.or.th) โดยผู้กู้ยืมต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี 2. ลดเบี้ยปรับ 75% สำหรับผู้กู้ยืมกลุ่มก่อนฟ้องคดีมาชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ) โดยติดต่อชำระหนี้ที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ กองทุนขอเชิญชวนผู้กู้ยืมที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าวไม่ทัน ให้มาขอใช้สิทธิเพื่อรับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนด และเพื่อเป็นการป้องกันการถูกดำเนินคดีหรือบังคับคดี และยังเป็นผู้ส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-18 ปี ทส.มุ่งยกระดับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคนไทยทุกคน
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 18 ปี ทส.มุ่งยกระดับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคนไทยทุกคน 18 ปี ทส.มุ่งยกระดับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคนไทยทุกคน 18 ปี ทส.มุ่งยกระดับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อคนไทยทุกคน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรมว.ทส. ดร.ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารมว.ทส. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ทส. ร่วมพิธีสักการะพระพุทธสยัมภู พระประจำกระทรวง และศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้น ร่วมประกอบพิธีสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวิหาร เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 18 ปี นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้กล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ทุกท่าน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุมานะ อดทน และตั้งใจทำงานเสมอมา นับตั้งแต่วันนี้ ถือเป็นการก้าวสู่ปีที่ 2 ในการทำงาน ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานต่อไปด้วยความเข้มข้น โดยยึดหลักการทำงานตามกฎหมายและนโยบายรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และน้อมนำแนวทางตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานของกระทรวงฯ มีการวางแผนในการดำเนินงาน ใช้งบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งบทบาทของกระทรวงฯจากนี้ จะต้องทำให้สังคมเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความตระหนักให้ประชาชนร่วมมือในการดำเนินงาน และสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุด คือ เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่จะต้องปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ มีการร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการทำงาน ไม่มีการแบ่งแยก แต่จับมือเดินไปด้วยกันอย่างมั่นคง เพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนดำรงชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้คุณภาพแวดล้อมที่ดี และทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่คงอยู่อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน ตลอดระยะเวลากว่า 449 วัน การเดินทางตรวจเยี่ยม และติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ กว่า 47 จังหวัด อุทยานแห่งชาติ 28 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 5 แห่ง นั้น ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ พัฒนา และแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึง การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน อาทิ การจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID 19, การนำระบบการ จองล่วงหน้าผ่าน Application QueQ มาใช้ในการให้บริการอุทยานแห่งชาติและสวนสัตว์ทั่วประเทศ, แก้ไขปัญหาช้างป่าออกนอกเขตป่า หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ด้วยกลไก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.) และ คปป. จังหวัด, จัดที่ดินป่าสงวนให้ราษฎรทำกินภายใต้กลไก คทช, ปลูกต้นไม้ ตามโครงการรวมใจไทย ปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน ดำเนินการปลูกป่าและป่าชายเลน, การเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ไฟป่าภาคเหนือ, การเตรียมความพร้อมของอนุบัญญัติ กฎหมายลำดับรอง กฎระเบียบและคู่มือการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562, ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ (PM10และ PM2.5) ดำเนินโครงการอนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนาแหล่งน้ำ (น้ำผิวดิน) และระบบกระจายน้ำ ขุดเจาะบ่อบาดาลและก่อสร้างระบบกระจายน้ำ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. แรงงาน เตือน สถานศึกษารัฐ-เอกชน ต้องยื่นขออนุญาตทำงานให้ ”ครูต่างชาติ” ไม่มียกเว้น
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รมว. แรงงาน เตือน สถานศึกษารัฐ-เอกชน ต้องยื่นขออนุญาตทำงานให้ ”ครูต่างชาติ” ไม่มียกเว้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายกรมการจัดหางาน เข้มงวด ตรวจสอบครูชาวต่างชาติและสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ที่มีการจ้างครูต่างชาติเข้าทำงาน หากพบทำงานในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย นายสุชาติ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ในตำแหน่งครูผู้สอนในโรงเรียนหรือสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนว่า ได้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงาน (Work permit) อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีครูชาวต่างชาติทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน ในโรงเรียนหรือสถานศึกษา ครูชาวต่างชาตินั้นต้องถูกดำเนินคดีในข้อหา เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันกลับประเทศ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และถ้ายังพบกระทำผิดซ้ำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีครูชาวต่างชาติทั่วประเทศ จำนวน 11,200 คน โดยสัญชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ฟิลิปปินส์ 4,360 คน 2. อังกฤษ 1,569 คน 3. สหรัฐอเมริกา 1,143 คน 4. จีน 778 คน 5. ญี่ปุ่น 351 คน และอื่นๆ 2,999 คน (ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน) ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ได้กำชับสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดและสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ดำเนินการตรวจสอบและควบคุมการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงานในตำแหน่งครูผู้สอนในสถานศึกษา ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง (NON-IMMIGRANT VISA) โดยมิใช่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางผ่าน (TOURIST/TRANSIT VISA) มีเอกสารการประกอบวิชาชีพครู ใบรับรองแพทย์ซึ่งรับรองว่าผู้ขอไม่มีโรคต้องห้ามตามกฎหมาย (มีอายุไม่เกิน 6 เดือน) และไม่เคยต้องโทษจำคุกในความผิดตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หรือกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวในระยะเวลา 1 ปี ก่อนวันขอรับใบอนุญาต โดยยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงาน ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1-10 ที่เป็นสถานที่ตั้งของสถานศึกษา รอพิจารณาคุณสมบัติและตรวจสอบเอกสาร 3 วันทำการ และชำระค่าธรรมเนียมการอนุญาตทำงานตามระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต คือ ไม่เกิน 3 เดือน จำนวน 750 บาท ไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 1,500 บาท และไม่เกิน 1 ปี จำนวน 3,000 บาท ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @service_workpermit และสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามภาษาอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร แนะนำวิธีการทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน! ดีเปรสชันเข้าไทย ฝนตกหนัก 7-9 ต.ค. นี้
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 เตือน! ดีเปรสชันเข้าไทย ฝนตกหนัก 7-9 ต.ค. นี้ -- #ไทยคู่ฟ้าแจ้งเตือนประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ระมัดระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก จากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน ในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63 สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ด้านตะวันออกและภาคตะวันออก ควรเพิ่มความระมัดระวังคลื่นลมที่มีกำลังแรงและควรงดการเดินเรือ ผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลสภาพอากาศตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยาhttp://www.tmd.go.thหรือโทร.สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35757
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังแจงรัฐบาลออกมาตรการดูแล SMEs ครอบคลุมทุกกลุ่ม
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 คลังแจงรัฐบาลออกมาตรการดูแล SMEs ครอบคลุมทุกกลุ่ม นายอรรถพล อรรถวรเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงรัฐบาลได้ออกมาตรการดูแลช่วยเหลือ SMEs ครอบคลุมทุกกลุ่ม วันนี้ (7 ต.ค.63) นายอรรถพล อรรถวรเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs กว่า 90% เข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลว่า รัฐบาลให้ความสำคัญและมีมาตรการด้านการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ SMEs อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 1.พ.ร.ก.Soft Loan ของ ธปท. โดย ธปท.ให้สถาบันการเงินกู้ยืมในอัตรา 0.01% ต่อปี เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้แก่ SMEs และการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้กับ SMEs เป็นระยะเวลา 6 เดือน 2.โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส โดย บสย.ค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ที่มีคุณสมบัติตาม พ.ร.ก.Soft Loan คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี 3.มาตรการช่วยเหลือผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ อาทิ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อ Extra Cash โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางฯ เป็นต้น 4. โครงการช่วยเหลือ SMEs รายย่อยผ่านกองทุน สสว. โดยให้สินเชื่อแก่ SMEs ทั่วไป รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยว ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ จัดทำเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน-ด้านการเงิน.com และ ธปท. ได้จัดทำเว็บไซต์ www.bot.or.th/covid19 เพื่อรวบรวมมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือฯ ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลและมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนแก้ไขปัญหาข้อติดขัดในการดำเนินมาตรการต่างๆ และพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันการณ์ต่อไป -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-4 ข้อควรรู้ก่อนวิ่งออกกำลังกาย
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 4 ข้อควรรู้ก่อนวิ่งออกกำลังกาย ควรรู้อะไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35747
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'สมาคม ร.พ.เอกชน' เข้าพบ ‘จับกัง1’ รับทราบนโยบายแรงงาน ร่วมมือยกระดับบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 'สมาคม ร.พ.เอกชน' เข้าพบ ‘จับกัง1’ รับทราบนโยบายแรงงาน ร่วมมือยกระดับบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และคณะ รับทราบนโยบายด้านแรงงานและข้อเสนอแนะแนวทางพัฒนายกระดับบริการทางการแพทย์แก่ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ เฉลิม หาญพานิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อมอบกระเช้าแสดงความยินดีในวาระที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้ารับตำแหน่ง พร้อมขอรับทราบนโยบายและข้อเสนอแนะจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาบริการทางการแพทย์และการประสานงานร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้บรรลุนโยบายและยุทธ์ศาสตร์ของประเทศต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติให้การต้อนรับในครั้งนี้ด้วย นายสุชาติ กล่าวว่า จากการหารือกับนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ทางสมาคมฯ มีข้อเสนอให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นการจัดระบบบริการทางการแพทย์ของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งอาจเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแพทย์ ประเด็นการทำเส้นล้างไต ของผู้ประกันตนที่ต้องสำรองจ่าย หรือให้โรงพยาบาลตั้งเบิกกับสำนักงานประกันสังคม ในเรื่องนี้ต้องการให้โรงพยาบาลตั้งเบิกกับสำนักงานประกันสังคมโดยผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย สำนักงานประกันสังคมควรมีการประชาสัมพันธ์สิทธิล้างไตทางเส้นเลือด ที่ดีกว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ให้ล้างทางช่องท้อง นอกจากนี้ รมว.แรงงาน ต้องการให้โรงพยาบาลจัดบริการแก่ผู้ประกันตน แบบ Premium เช่น มีห้องรอระหว่างรอพบแพทย์ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35781
รัฐบาลไทย-อร่อย สะอาด แบบ NEW NORMAL
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 อร่อย สะอาด แบบ NEW NORMAL สะอาด ปลอดภัย ทั้งผู้เสิร์ฟ และผู้ปรุง ระหว่างการเตรียม ปรุงอาหาร -ทำบนโต๊ะที่ยกสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 ซม. -ล้างอาหารดิบก่อนปรุง และปรุงให้สุกอย่างทั่วถึง -สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย -ถ้าชิมอาหารต้องตักใส่ถ้วยหรือช้อนชิม เตรียมก่อนปรุง -สวมเสื้อมีแขน ใส่ผ้ากันเปื้อนและหมวก -ล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหารทุกครั้ง -ตัดเล็บให้สั้น ไม่ทาเล็บ -ถ้ามีบาดแผลต้องรีบรักษา และปิดพลาสเตอร์ให้มิดชิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. มอบสิทธิพิเศษแทนคำขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ สินเชื่อ “HOME FOR MEDICAL” ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 0.67% ต่อปี
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ธอส. มอบสิทธิพิเศษแทนคำขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ สินเชื่อ “HOME FOR MEDICAL” ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 0.67% ต่อปี ธอส.มอบสิทธิพิเศษแทนคำขอบคุณกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “HOME FOR MEDICAL” กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 0.67% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขอมอบสิทธิพิเศษแทนคำขอบคุณกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง จัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ “HOME FOR MEDICAL” กรอบวงเงิน 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 0.67% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี!!! กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นปีแรกเพียง 2,900 บาท/เดือน ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองพร้อมสร้างขวัญกำลังใจในฐานะที่เป็นแกนหลักในการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักเพื่อรักษาและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดเตรียมวงเงิน 1,000 ล้านบาท จัดทำผลิตภัณฑ์ สินเชื่อ HOME FOR MEDICAL อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เพียง 0.67% ต่อปี ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.50 % ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.65 (ปัจจุบันเท่ากับ 3.50%) ต่อปี และปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR–1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยที่หน่วยงานทำ MOU กับ ธอส. อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี กรณีรายย่อยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีซื้ออุปกรณ์ อัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.150% ต่อปี) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.55% เท่านั้น ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนอง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยพร้อมกับเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนจำนอง และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซม ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นปีแรกเพียงเดือนละ 2,900 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้กู้ต้องเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพ แพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์ รังสีวิทยา เภสัชกร เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ซักประวัติ พนักงานช่วยเหลือคนไข้ เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วย/เวรเปล พนักงานผู้ช่วยวิชาชีพ นักรังสีเทคนิค พนักงานล้างเครื่องมือแพทย์ เจ้าหน้าที่ประสานงานแปลภาษา เจ้าหน้าที่การเงินในสถานพยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพ เจ้าหน้าที่ห้องดับจิต นักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ พนักงานขับรถฉุกเฉินของสถานพยาบาล นักกิจกรรมบำบัด และตำแหน่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการแพทย์และสาธารณสุข และเปิดใช้บริการ Application : GHB ALL ได้ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35768
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อเสนอเครือข่ายเยาวชนฯ พร้อมเร่งแก้ปัญหาพนันออนไลน์
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รมว.พม. รับข้อเสนอเครือข่ายเยาวชนฯ พร้อมเร่งแก้ปัญหาพนันออนไลน์ รมว.พม. รับข้อเสนอเครือข่ายเยาวชนฯ พร้อมเร่งแก้ปัญหาพนันออนไลน์ วันที่ 6 ต.ค. 63 เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ให้ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง จำนวน 50 คน เข้าพบ เพื่อนำเสนอสถานการณ์ของปัญหาการพนันออนไลน์และหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากการพนันออนไลน์ นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงได้มีการยื่นข้อเสนอต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและผลกระทบจากพนันออนไลน์ ดังนี้ 1. ขอให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2505 ให้มีบทลงโทษที่รุนแรงรวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 2. สร้างกลไกจัดการที่ดีและเข้มแข็ง โดยรัฐบาลกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง มีแผนงานตัวชี้วัด รวมถึงการปฎิบัติงานที่ชัดเจน และมีการจัยัยเสี่ยงเสี่ยงสรุปรายงานผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรม มีคณะกรรมการกำกับติดตามและประเมินผลที่มาจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ ยังขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นหน่วยงานหลักในการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันออนไลน์ โดยเป็นศูนย์กลางการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้เครือข่ายเยาวชนจัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาและผลกระทบจากการพนันออนไลน์ รวมถึงกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างการรู้เท่าทันในกลุ่มเด็กและเยาวชนด้วยกันเอง รวมทั้งพัฒนาระบบให้ความช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการพนันออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการดำเนินภารกิจของกระทรวง พม. ตามข้อเสนอของเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง ตนได้สั่งการให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จัดตั้งคณะทำงานจากกระทรวง พม. และขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันออนไลน์ อีกทั้งขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมอบรมให้ความรู้แก่เครือข่ายเยาวชนฯ เก่ี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายตามกระบวนการนิติบัญญัติ นอกจากนี้ กระทรวง พม. จะจัดอบรมให้ความรู้ด้านจิตวิทยาแก่เครือข่ายเยาวชนฯ เพื่อนำไปช่วยให้คำปรึกษาแนะนำและเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพนันออนไลน์ ซึ่งต่อไป จะมีการใช้แอปพลิเคชั่นในการจัดตั้งกลุ่มให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องดังกล่าว โดยจะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้บริการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กป้อม เคาะรับชื่อเลขา กมช. ตามผลการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 บิ๊กป้อม เคาะรับชื่อเลขา กมช. ตามผลการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา บิ๊กป้อม เคาะรับชื่อเลขา กมช. ตามผลการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา บิ๊กป้อม ประธานบอร์ดไซเบอร์แห่งชาติ เห็นชอบแต่งตั้ง ดร.ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เป็นเลขาธิการ กมช. ตามผลการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานการประชุมคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ครั้งที่ 3/2563 วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) พร้อมด้วยคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) โดยที่ประชุมวันนี้ มีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง ดร.ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) ตามผลการคัดเลือกของคณะกรรมการสรรหา พลเอกประวิตร กล่าวว่า ในวันนี้ถือได้ว่าเป็นการสร้างและผลักดันความคืบหน้าในการขับเคลื่อนกลไกการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมีการแต่งตั้งเลขาธิการ เพื่อให้เกิดกลไกการขับเคลื่อน สกมช. และทำหน้าที่ที่กฎหมายไซเบอร์กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป พร้อมทั้งมอบหมายให้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กบส.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการทำสัญญาว่าจ้างเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อให้สามารถเข้าปฏิบัติงานได้โดยเร็ว โดยวาระพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ กมช. ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการตามที่กฎหมายไซเบอร์กำหนดคือ เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบการปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งถือเป็นอำนาจหน้าที่ที่สำคัญในช่วงแรกของคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ “ในการทำงานที่ผ่านมาของบอร์ดไซเบอร์ฯ เราได้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กบส.) เรียบร้อยแล้ว และได้มีการอนุมัติโครงสร้างของสำนักงานฯ แล้ว และมีการดำเนินการในส่วนของการจัดสร้างที่ตั้งของสำนักงาน งบประมาณและข้อบังคับต่างๆ ที่ /เกี่ยวข้องแล้ว จึงสามารถแต่งตั้งเลขาธิการได้” พลเอกประวิตรกล่าว นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่ผ่านมาระหว่างเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2563 ในการเตรียมการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กกม.) ภารกิจจัดทำแผนการดำเนินงานตามมาตรา 13 ตามอำนาจหน้าที่ของ กกม. มีการจัดทำกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และจัดทำแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์บริการที่จัดเป็นบริการที่สำคัญ (Critical Services) และหน่วยงานควบคุมกำกับหรือดูแลหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ อีกทั้งมีการเตรียมการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กบส.) อาทิ จัดทำร่างกรอบโครงสร้างและอัตรากำลัง จัดทำร่างแผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี (พ.ศ.2563 - 2565) จัดทำกรอบวงเงินงบประมาณปี 2564 - 2565 ในการขอทุนประเดิม จัดทำร่างคำขอจัดกลุ่มองค์การมหาชนของ สกมช. จัดทำร่างข้อบังคับ กบส. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล และจัดทำร่างข้อบังคับ กบส. ว่าด้วยการบริหารงานการเงิน บัญชี งบประมาณ และทรัพย์สิน และภารกิจที่สำคัญอีกด้านคือ การจัดทำกฎหมายลำดับรอง ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงฯ อยู่ระหว่างดำเนินขั้นตอนการดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 สธ.เดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขนัดแรกรับปีงบประมาณใหม่ มอบรางวัลเขตสุขภาพร่วมโครงการก้าวท้าใจ Season 2 และใบประกาศเกียรติคุณโครงการเทคนิคการแพทย์อาสาค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุก ห่วงพื้นที่ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขนัดแรกรับปีงบประมาณใหม่ มอบรางวัลเขตสุขภาพร่วมโครงการก้าวท้าใจ Season 2 และใบประกาศเกียรติคุณโครงการเทคนิคการแพทย์อาสาค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุก ห่วงพื้นที่ชายแดนให้เข้มเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมือง ย้ำรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาและจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้คนไทยเข้าถึง เดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาได้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2564 ว่า ในที่ประชุมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่เขตสุขภาพที่ร่วมขับเคลื่อนโครงการก้าวท้าใจ Season 2 ต้านภัยโควิด 19 โดยเขตสุขภาพที่ 10 มีผู้เข้าร่วมโครงการมากที่สุด จำนวน 108,041 คนและมอบใบประกาศเกียรติคุณโครงการเทคนิคการแพทย์อาสาค้นหาผู้ป่วยโควิด 19 เชิงรุก จำนวน 93 คน พร้อมกันนี้ยังได้แสดงความยินดีกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีและผู้บริหารที่ได้รับตำแหน่งใหม่ โดยย้ำถึงภารกิจสำคัญ คือ การพัฒนาการดำเนินงานด้านสาธารณสุข เพื่อสนองพระราชดำริ และโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ 2564 สำหรับการดำเนินงานโรคโควิด 19 นายอนุทินมีความห่วงใยพื้นที่ชายแดน ได้ขอให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขกำกับดูแลเรื่องการเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงการเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ประชาชน โดยยืนยันว่า รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาและจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ส่วนการชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ได้มอบหมายกรมการแพทย์เป็นแกนหลักดำเนินการจัดตั้งหน่วยบริการ การคัดกรอง จัดหาหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์รองรับสถานการณ์ ลดความเสี่ยงโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการใช้งบประมาณปี 2564 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อว่า สำหรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้เห็นชอบข้อเสนอยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ 4 เรื่อง คือ ให้ประชาชนที่เจ็บป่วยเข้ารับบริการกับหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิทุกที่ที่อยู่ในระบบบัตรทอง โดยนำร่องในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตสุขภาพที่มีศักยภาพ ผู้ป่วยในที่ต้องนอนโรงพยาบาลต่อเนื่อง ไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัวเมื่อใบส่งตัวครบกำหนด ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกที่ที่อยู่ในระบบบัตรทองและมีศักยภาพในการรักษา และประชาชนสามารถย้ายสิทธิบัตรทองได้ทันที โดยไม่ต้องรอ 15 วัน ที่จะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศวันที่ 1 มกราคม 2564 รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ยังเห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (5-10ปี) หรือ Excellence Center วงเงินรวม 62,622,817,100 บาท ************************************ 7 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2564"
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2564" รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2564" พัฒนาระบบการรับรองฮาลาลไทยสู่ระดับสากล รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2564" พัฒนาระบบการรับรองฮาลาลไทยสู่ระดับสากล นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2564” ณ ภัตตาคารสินธร ถนนศรีนครินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมฮาลาลโลก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพหลายด้าน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศที่มีความโดดเด่นและเป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งประเทศไทยมีวัตถุดิบพื้นฐานโดยเฉพาะภาคการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ เป็นต้น มีการรับรองฮาลาลอย่างมีระบบมาตรฐานการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ทำให้ฮาลาลของประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกด้วยการรับรองฮาลาลตามศาสนบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม รมช.มนัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันประชาคมโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรมุสลิม มีความต้องการและตระหนักถึงหลักการแห่งศาสนาอิสลามในการอุปโภคบริโภคสิ่งที่ฮาลาลและปลอดภัย มาตรฐานฮาลาลเป็นมาตรฐานที่มาจากหลักการแห่งศาสนาอิสลาม และประเทศไทยมีมาตรฐานฮาลาลเป็นที่ยอมรับของประชาคมมุสลิมโลก มีการรับรองฮาลาลมากกว่า 150,000 ผลิตภัณฑ์ ด้วยความร่วมมือของหน่วยตรวจรับรองฮาลาลทั้ง 40 จังหวัดทั่วประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเป็นอีกหนึ่งพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย ด้านความร่วมมือขององค์กรศาสนา กับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงด้านอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ การจัดทำโครงการ “อบรมสัมมนาหน่วยรับรองทั่วราชอาณาจักร” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาศักยภาพหน่วยรับรองฮาลาลทั่วราชอาณาจักร ให้มีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และมาตรฐานการรับรองฮาลาลให้องค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนประชาคมโลกได้เข้าใจบทบาทหน้าที่ขององค์กรรับรองฮาลาลของประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ประธานฝ่ายฮาลาลทั้ง 40 จังหวัด คณะตรวจ/ที่ปรึกษาประจำสถานประกอบการส่วนกลาง จำนวน 350 ท่าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs โดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ชี้แจงประเด็นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs โดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs จากการแชร์ข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในสื่อโซเชียลมีเดีย สาระสำคัญ : ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลดูแล SMEs จากการแชร์ข้อมูลของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในสื่อโซเชียลมีเดีย 1) เนื่องด้วยมีข้อเสนอแนะจากหลายภาคส่วน ให้รัฐบาลช่วยเหลือ SMEs ที่ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในปัจจุบัน เช่น Soft Loan 500,000 ล้านบาท ของ ธปท. SMEs กว่า 90% เข้าไม่ถึง และขอให้รัฐบาลเร่งดูแลธุรกิจ SMEs อาทิ การพักชำระหนี้เป็นเวลา 2 ปี ปรับมาตรการให้ SMEs ที่อยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์สามารถกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องได้จริง ตั้งกองทุน SMEs เพื่อให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่อยู่ในระบบธนาคารพาณิชย์ 2) เห็นควรใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์แนวทาง/มาตรการ และผลการดำเนินการช่วยเหลือ SMEs เพื่อเสริมสร้างการรับรู้ต่อประชาชน ข้อเท็จจริง : • ปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการด้านการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ SMEs ดังนี้ 1. พ.ร.ก. Soft Loan ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยแบ่งการให้ความช่วยเหลือได้ ดังนี้ 1) มาตรการสินเชื่อเพิ่มเติม วงเงินรวม 500,000 ล้านบาท โดย ธปท. ให้สถาบันการเงินกู้ยืมในอัตรา0.01% ต่อปี เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้แก่ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 500 ล้านบาท วงเงินไม่เกิน 20% ของยอดสินเชื่อคงค้างของลูกหนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 คิดดอกเบี้ย 2% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี โดย SMEs ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก 2) พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้กับ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 62 เพื่อให้ SMEs ไม่ต้องมีภาระในการชำระหนี้แก่สถาบันการเงินเป็นระยะเวลา 6 เดือน 2. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส วงเงินค้ำประกัน 57,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ที่มีคุณสมบัติตาม พ.ร.ก. Soft Loan คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกัน 8 ปี โดยเริ่มค้ำประกันและเก็บค่าธรรมเนียมในต้นปีที่ 3 นับจากวันที่ได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft Loan เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เพิ่มขึ้น และสามารถปล่อยสินเชื่อในแก่ SMEs ได้ยาวขึ้น ทำให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อ และให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อตาม พ.ร.ก. Soft Loan ได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ • รัฐบาลยังได้ดำเนินมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือ SMEs ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ดังนี้ 1. ธนาคารออมสินดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น SMEs ทั่วไปและ SMEs ในธุรกิจท่องเที่ยวกลุ่มละ 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี และสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อต่อให้ SMEs วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ดอกเบี้ยร้อยละ 2% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี โดยธนาคารออมสินจะปล่อยสินเชื่อให้ SMEs โดยตรงจำนวน 3,000 ล้านบาท และยังมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs ขนาดเล็กในธุรกิจท่องเที่ยวและ Supply Chain วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท วงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ 5 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี 2. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ดำเนินโครงการสินเชื่อ Extra Cash วงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับ SMEs ขนาดย่อมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี 3. บสย. ดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ 8 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดย บสย. ค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs ทั่วไป วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ในอัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ค้ำประกัน 10 ปี 4. รัฐบาลยังมีโครงการช่วยเหลือ SMEs รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. โดยให้สินเชื่อแก่ SMEs ทั่วไป รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี • นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ร่วมกับสมาคมสถาบันการเงินของรัฐจัดทำเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน-ด้านการเงิน.com และ ธปท. ได้จัดทำเว็บไซต์ www.bot.or.th/covid19 เพื่อรวบรวมมาตรการด้านการเงินของสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลและมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดยกระทรวงการคลังได้มีติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนแก้ไขปัญหาข้อติดขัดในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ และพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลเศรษฐกิจไทยได้อย่างทันการณ์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35749
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รมว.ยุติธรรม ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๔/๒๕๖๓ ในวันพุธที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น.ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๓๔/๒๕๖๓ โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม โดยที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในประเด็นการตรวจสอบการครอบครองที่ดินศรีพันวา จังหวัดภูเก็ต การเผยแพร่รายการ "เรื่องเล่าชาวเรือนจำ" ทางสถานีโทรทัศน์ รวมทั้งการวิเคราะห์อัตรากำลังข้าราชการราชทัณฑ์ เพื่อให้การควบคุม ดูแลผู้ต้องขังภายในเรือนจำมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-130 ปี แห่งความมุ่งมั่น กรมบัญชีกลางเปิดตัว “CGD Application” ยกระดับองค์กรสู่ดิจิทัล พัฒนาการทำงานด้วยนวัตกรรม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 130 ปี แห่งความมุ่งมั่น กรมบัญชีกลางเปิดตัว “CGD Application” ยกระดับองค์กรสู่ดิจิทัล พัฒนาการทำงานด้วยนวัตกรรม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ในวันที่ 7 ต.ค.ของทุกปี จะเป็นวันคล้ายวันสถาปนาของกรมบัญชีกลาง ในปีนี้ครบรอบ 130 ปี ซึ่งที่ผ่านมากรมบัญชีกลางยังดำเนินภารกิจต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่น ภายใต้วิสัยทัศน์ “กำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 ต.ค. ของทุกปี จะเป็นวันคล้ายวันสถาปนาของกรมบัญชีกลาง โดยในปีนี้กรมบัญชีกลางครบรอบ 130 ปี ซึ่งที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางยังดำเนินภารกิจต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่น ภายใต้วิสัยทัศน์ “กำกับดูแลและบริหารการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด” เพื่อขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญในหลากหลายด้าน ทั้งภารกิจหลักและภารกิจตามนโยบายของกระทรวงการคลังและนโยบายของรัฐบาล โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้สานต่อนโยบายและภารกิจของกรมในหลายด้าน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้สอดรับกับสภาวะปัจจุบัน มุ่งเน้นการดำเนินการให้มีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน และหน่วยงานของรัฐ เช่น ด้านการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายเงิน การรับเงิน และการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) เพื่อรองรับเทคโนโลยีทางการเงินอย่างครบวงจร การเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติการขอกันเงินงบประมาณปี 63 ไว้เบิกเหลื่อมปี การออกวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ปี 64 สำหรับเทศบาลนคร และเทศบาลเมือง เป็นต้น ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เร่งพิจารณาข้ออุทธรณ์ร้องเรียน โดยในปี 2563 กรมบัญชีกลางสามารถตอบเรื่องอุทธรณ์ร้องเรียนจำนวนกว่า 2,600 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 121,700 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการได้รวดเร็วกว่าปีที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ 40 นอกจากนี้กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการดำเนินงานให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิขอขึ้นทะเบียนการประกาศใช้แบบหนังสือค้ำประกัน 12 แบบ เพื่อหน่วยงานของรัฐใช้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ถูกต้อง เป็นมาตรฐานเดียวกัน การประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับใช้เป็นเกณฑ์คำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และตาราง Factor F ใหม่ และกำหนดสินค้าเพิ่มเติมในระบบ e-market อีก 15 รายการ เป็นต้น ด้านสวัสดิการรักษาพยาบาล ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายารักษาโรคไตโดยการเพิ่มสิทธิการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน การเพิ่มเติมรายการยาในระบบ OCPA สำหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ให้สามารถเบิกจ่ายตรงได้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง การเพิ่มเติมรายการยาหรือสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังให้สามารถเบิกและนำไปใช้นอกสถานพยาบาลของทางราชการได้ และการปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการทางรังสีวิทยา เป็นต้น มาตรการที่บรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน กรมบัญชีกลางได้กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติ รวมทั้งการอนุมัติกรณีต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้อย่างคล่องตัว ต่อเนื่อง และเป็นการบรรเทาผลกระทบในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เช่น การอนุมัติหลักการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายกรณียกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางไปราชการ การจัดฝึกอบรม การจัดงาน และการจัดประชุมระหว่างประเทศ การกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติม ให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่มีความเสี่ยง หรือเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 และกำหนดอัตราการเบิกค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ ห้องควบคุม ค่ายา และค่าอุปกรณ์ป้องกันให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน รวมถึงเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน สำหรับผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 ให้สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลเอกชนได้ การอนุมัติให้กระทรวงแรงงานขยายระยะเวลาการจ้างงานในโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ กิจกรรมจ้างงาน ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 การอนุมัติให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และจังหวัด สามารถใช้จ่ายเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีโควิด-19 ที่ได้รับการขยายวงเงินเป็นค่าตอบแทนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานทุกประเภทได้เป็นกรณีพิเศษ การกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา หรืออุปกรณ์การแพทย์ แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดค่าปรับ หรือการขยายระยะเวลาทำการ มุ่งสร้างความเป็นธรรมให้แก่คู่สัญญาที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นต้น สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th นอกจากนี้กรมบัญชีกลางยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้พัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อลดภาระงาน และช่วยให้การทำงานคล่องตัว รวดเร็ว สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน อาทิ การให้บริการหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่ออิเล็กทรอนิกส์ e-Credit Confirmation ในระบบ e-GP ด้วยเทคโนโลยี Blockchain การนำร่องพัฒนาระบบบริหารการเงินการคลังด้วยอิเล็กทรอนิกส์แบบใหม่ (New GFMIS Thai) และโครงการระบบการรับชำระเงินกลางของบริการภาครัฐ (e-Payment Portal of Government) เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เป็นโอกาสอันดีในการเปิดตัว CGD Application เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน สามารถเข้าถึงข้อมูลบริการต่าง ๆ ของกรม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว สามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาติดต่อราชการในยุค New Normal นี้ โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ Android และ iOS พิมพ์ค้นหาคำว่า “CGD” “กรมบัญชีกลางพร้อมก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ โดยมีความตั้งใจที่จะให้เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง (The year of CGD transformation) โดยมุ่งเน้นการพัฒนา ปรับปรุงระบบงานของกรมบัญชีกลางในทุกมิติ ปรับภาพลักษณ์สู่ความทันสมัย นอกเหนือไปจากการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงการคลังและรัฐบาล ภายใต้หลักเกณฑ์ กฎ ระเบียบ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลาง พร้อมทั้งส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในงานด้านต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น มุ่งเน้นการเป็น Data-Driven Organization เดินหน้ายกระดับขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และสามารถตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที ควบคู่กับการดูแลทุกภาคส่วนของสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม มุ่งเน้นการให้บริการอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานให้ตอบสนองต่อความคาดหวังของทุกภาคส่วนในสังคม พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนสิงหาคม 2563
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนสิงหาคม 2563 ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 846 ราย ใน 72 จังหวัด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ภาพรวมการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) มีผู้ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิดดำเนินการแล้วสะสมสุทธิ 846 ราย ใน 72 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (501 ราย) รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง (132 ราย) ภาคเหนือ (113 ราย) ภาคตะวันออก (59 ราย) และภาคใต้ (41 ราย) ตามลำดับ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังได้เปิดให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 307,501 บัญชี รวมเป็นวงเงิน 7,771.26 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 25,272.29 บาทต่อบัญชี ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิทั้งสิ้น 847 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 766 ราย ใน 72 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (67 ราย) กรุงเทพมหานคร (56 ราย) และขอนแก่น (43 ราย) (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกพลัสสะสมสุทธิทั้งสิ้น 94 ราย ใน 32 จังหวัด และมีจำนวนผู้เปิดดำเนินการแล้ว 80 ราย ใน 29 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้เปิดดำเนินการมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (14 ราย) อุบลราชธานี (7 ราย) และอุดรธานี (7 ราย) (3) ภาพรวมสถานะสินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวนทั้งสิ้น 143,303 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 3,358.58 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อค้างชำระ 1 - 3 เดือน สะสมรวมทั้งสิ้น 17,776 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 464.49 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.83 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวมจำนวน 23,924 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงินสะสมรวม 557.53 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16.60 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับยอด NPL ของเดือนมิถุนายน 2563 (ร้อยละ 16.84) นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2559 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 7,355 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2563 จำนวน 342 ราย การลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย การเพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และ การสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th และสามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่ • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศปน.ตร. โทร. 0 2255 1898 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344 สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน โทร. สายด่วน 1359
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดมาตรการใหม่ ! “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีได้ พร้อมขยาย “เราเที่ยวด้วยกัน/กำลังใจ” ถึง 31 ม.ค. 64
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 เปิดมาตรการใหม่ ! “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีได้ พร้อมขยาย “เราเที่ยวด้วยกัน/กำลังใจ” ถึง 31 ม.ค. 64 เปิดมาตรการใหม่ ! “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีได้ พร้อมขยาย “เราเที่ยวด้วยกัน/กำลังใจ” ถึง 31 ม.ค. 64 วันนี้ (7 ต.ค. 63) เวลา 16.30 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงข่าวผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 4/2563 โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่ารัฐบาลได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือหลายภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์ ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศโดยรวมถือว่ามีความคืบหน้า ที่ผ่านมาที่ประชุม ศบศ. ได้อนุมัติหลักการ/มาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนที่ 1 การแก้ไขปัญหาว่างงาน โดยนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งส่งเสริมการจ้างงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ และผู้ว่างงาน จึงได้มีการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ผู้เข้าร่วมงานกว่าแสนคน ทั้งนี้ เว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ ” ยังคงเปิดให้ผู้ประกอบการสามารถประกาศรับลูกจ้างเพิ่มเติม ส่วนที่ 2 การกระตุ้นเศรษฐกิจแก่ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อน อาทิ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการกำลังใจ ได้ขยายเวลาโครงการถึงวันที่ 31 ม.ค. 2564 ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้ประชาชนคนไทยช่วยกันสนับสนุนธุรกิจโรงแรม อย่างไรก็ตาม ยังมีโครงการกระตุ้นการเดินทาง Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย จัดทำแพคเกจโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้แก่บริษัทหรือหน่วยงานที่ต้องการเข้าพักในจำนวนหลายห้อง ในราคาพิเศษ ซึ่งมีภาคเอกชนให้ความสนใจจำนวนมาก ส่วนที่ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เป็นเวลา 3 เดือน ในวงเงิน 2.1 หมื่นล้านบาท “โครงการคนละครึ่ง” โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการกว่า 2 แสนราย ซึ่งจะมีผู้ได้รับสิทธิ 10 ล้านคน รัฐบาลสนับสนุนในวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท และอีกครึ่งหนึ่งเป็นวงเงินจากผู้ได้รับสิทธิ 3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 6 หมื่น ล้านบาท รวมทั้งหมดแล้วจะมีเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 8.1 หมื่นล้านบาท วันนี้ ที่ประชุม ศบศ. เห็นชอบในหลักการ มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เพื่อให้กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือกลุ่มผู้ประกอบการสามารถลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 เมื่อใช้จ่ายถึง 3 หมื่น บาท คาดว่าจากโครงการจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อนำเสนอแก่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 2 แสนล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ประคับประคองธุรกิจ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ยังได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ ที่ประชุม ศบศ. ยังหารือถึงมาตรการเปิดประเทศในอนาคต ดึงดูดนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมถึงผู้บริหารระดับสูง เพื่อหารายได้ให้แก่ประเทศ โดยภาพรวมแล้วในช่วง 4 – 5 เดือนที่ผ่านมา อัตราความมั่นของผู้บริโภค อัตราการผลิต อัตราการเข้าพักในโรงแรม ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญคือการปรับโครงสร้างหนี้ของจำนวนหนี้ที่พักชำระในช่วงล็อคดาวน์ ยอดเงินกว่า 6-7 ล้านล้านบาท มีผู้เกี่ยวข้องจำนวน 12.5 ล้านราย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้วางกรอบแนวทางแก้ไขปัญหา โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสมาคมโรงแรมไทย ร่วมบูรณาการเพื่อจัดหามาตรการแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็ว โอกาสนี้ เลขาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงานว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเคลื่อนตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ทั้งการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าจากการเกษตรที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อัตราการเข้าพักห้องพักต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 26.9 ในส่วนของแรงงาน ผู้ใช้สิทธิตามมาตรา 75 ขณะนี้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ การผ่อนคลายมาตรการยังส่งผลให้ธุรกิจขยับตัวดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ในส่วนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (1) การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้ รายย่อย SMEs Corporate ได้แก่ ลูกหนี้ รายย่อยรวมมูลค่า 3.84 ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ corporates รวมมูลค่า 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี (2) การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ ซึ่งเป็นระบบ one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เดิม และมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่ และ (3) สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง จะหมดในปลายเดือนนี้ จะมีมาตรการต่อเนื่องต่อไป สำหรับความคืบหน้าการปรับปรุงมาตรการ Smart Visa ที่สำคัญ ดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กว้างขึ้น นอกเหนือจากด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) เพิ่มเติมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ไม่มีสัญญาจ้างงานในประเทศ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิ ทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (3) ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงบางกลุ่มในธุรกิจวิสาหกิจและขนาดย่อม(SMEs) และผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประสบการณ์ การทำงาน และวุฒิการศึกษาของผู้ บริหารระดับสู ง และ (4) การอนุญาตให้ผู้ ถือ Smart Visa ทำงานนอกเหนือจากที่ได้รับการรับรองได้ในบางกรณี โดยให้สามารถทำงานในกิจการอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการหรือความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบขยายเวลามาตรการเราเที่ยวด้วยกันไปจนถึง 31 มกราคม 2564 และได้มีการปรับเงื่อนไขบางประการเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทาง และใช้สิทธิโครงการให้มากขึ้น เลขาสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังเผยถึงมาตรการกระตุ้นการบริโภค เพิ่มเติมคือ “มาตรการช้อปดีมีคืน” เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี สำหรับประชาชนซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท สามารถที่จะไปลดหย่อนภาษีได้ โดยมาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ในเดือนมีนาคม 2564 ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“รมว.วราวุธ นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ วางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ ในโอกาสครบรอบ 18 ปี กรมอุทยานฯ”
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ​“รมว.วราวุธ นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ วางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ ในโอกาสครบรอบ 18 ปี กรมอุทยานฯ” ​“รมว.วราวุธ นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ วางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ ในโอกาสครบรอบ 18 ปี กรมอุทยานฯ” “รมว.วราวุธ นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ วางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ ในโอกาสครบรอบ 18 ปี กรมอุทยานฯ” นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในงานวันคล้ายวันสถาปนากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ครบรอบ 18 ปี ภายใต้ชื่องาน“เพิ่มป่า เติมชีวิต คืนสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ” โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กรมอุทยานฯ ผู้บริหารจากภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ประชาชน ที่ได้รับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “พิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้”ผู้เกษียณอายุราชการ ผู้ช่วยเหลือราชการกรมอุทยานแห่งชาติฯ,โครงการประกวดหมู่บ้าน สสอ.ดีเด่น เข้าร่วมงานฯ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์วีรชนป่าไม้ และห้องประชุม ชั้น 4 อาคารเอนกประสงค์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รมว.ทส. ได้นำคณะผู้บริหารและผู้เข้าร่วมพิธีฯ ประกอบพิธีบูชาพระพุทธไตรสสตวรรษานุสรณ์ พิธีบูชาท้าวมหาพรหม พิธีถวายเครื่องราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตักบาตรพระสงฆ์ 9 รูป และร่วมพิธีสงฆ์ โดยสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมมธโช) จากวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร พิธีสดุดีและวางพวงมาลาวีรชนป่าไม้ นอกจากนั้น ได้เป็นประธานมอบโล่ให้แก่ข้าราชการเกษียณอายุราชการ ข้าราชการพลเรือนและลูกจ้างประจำดีเด่น และผู้ปฎิบัติงานดีเด่น ประจำปี 2563 มอบโล่รางวัลเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ “พิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้” และผู้ช่วยเหลือราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประจำปี 2563 โครงการประกวดหมู่บ้าน สสอ.ดีเด่น “การดำเนินงานกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์” โดยรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ หมู่บ้าน สสอ. บ้านโนนทอง จังหวัดสุรินทร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเปิดตัว e-Stamp Duty ทำธุรกรรม 5 ประเภท ไม่ต้องติดอากรแสตมป์แบบเดิม
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 กรมสรรพากรเปิดตัว e-Stamp Duty ทำธุรกรรม 5 ประเภท ไม่ต้องติดอากรแสตมป์แบบเดิม กรมสรรพากรยกระดับบริการจัดทำระบบการชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ อ.ส.9 หรือ e-Stamp Duty รองรับการทำธุรกรรม 5 ตราสารอย่างเต็มรูปแบบ เพิ่มความสะดวก ลดขั้นตอนการจัดทำเอกสารด้วยกระดาษ ประหยัดการเดินทางให้กับผู้ประกอบธุรกิจ นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรได้ผลักดันกระบวนการทำงานโดยใช้ Digital มากขึ้น โดยเปิดกว้างการให้บริการผ่านระบบ Open API เพื่อให้เข้าถึงบริการที่รวดเร็วและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ระบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ อ.ส.9 หรือ e-Stamp Duty ถือเป็นระบบที่ช่วยให้การชำระอากรแสตมป์เป็นเรื่องง่าย ลดปัญหาความยุ่งยากในการเดินทางไปชำระอากรแสตมป์ และการคำนวณอากรแสตมป์ผิดพลาด เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการได้มากขึ้น ผู้มีหน้าที่เสียอากรที่ประสงค์จะนำตราสารที่สามารถชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถยื่นคำขอผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและชำระค่าอากร ก่อนกระทำตราสารหรือภายใน 15 วัน นับแต่วันถัดจากวันกระทำตราสารโดยไม่เว้นวันหยุดราชการ และชำระเงินค่าอากรโดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของกรมสรรพากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment) ทั้งนี้ ต้องเป็นตราสารที่จัดทำขึ้นตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ประกอบด้วยตราสาร ๕ ลักษณะ ได้แก่ 1. จ้างทำของ 2. กู้ยืมเงินหรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร 3. ใบมอบอำนาจ 4. ใบมอบฉันทะสำหรับให้ลงมติในที่ประชุมของบริษัท 5. ค้ำประกัน สำหรับการยื่นขอเสียอากรเป็นตัวเงิน ตาม “แบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์” (อ.ส.9) โดยผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร ที่ www.rd.go.th > e – Filing > ระบบขอเสียอากรแสตมป์ เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ยังสามารถยื่นผ่านทาง Application Programming Interface (API) ของกรมสรรพากร ซึ่งระบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์จะเปิดให้บริการเฉพาะการขอเสียอากรฉบับปกติภายในกำหนดเวลา หากต้องการขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารที่เกินกำหนดเวลาหรือยื่นแบบเพิ่มเติม ต้องยื่นด้วยแบบ อ.ส.4, อ.ส.4ข ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้ยื่นขอเสียอากรด้วย e – Stamp Duty โอนเงินค่าอากรเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของกรมสรรพากรแล้ว เมื่อกรมสรรพากรได้ออกรหัสรับรองการเสียอากรแสตมป์พร้อมใบเสร็จรับเงินตามจำนวนเงินค่าอากร และเจ้าหน้าที่รับชำระเงินได้ลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้เสียอากรแล้ว ถือว่าตราสารตามรายการข้อมูลในแบบขอเสียอากรแสตป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ (อ.ส.9) ได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์แล้ว” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Officials Meeting : ASLOM)
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Officials Meeting : ASLOM) การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Officials Meeting : ASLOM) ในวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ ระหว่างเวลา ๐๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๑๙ (The 19th ASEAN Senior Law Officials Meeting : ASLOM) ผ่านทางระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย สำหรับประเด็นการหารือที่สำคัญ ประกอบด้วย การจัดทำสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน การรายงานการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการในเรื่องการพัฒนาข้อเสนออนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ การพัฒนาความร่วมมือด้านการโอนตัวนักโทษ และประเทศไทยได้เสนอให้ทบทวนความถี่ในการจัดประชุม ASLOM และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านกฎหมาย (ASEAN Law Ministerial Meeting: ALAWMM) จากเดิมทุก ๑๘ เดือนและ ๓๖ เดือน เป็นทุก ๑๒ เดือนและ ๒๔ เดือน เพื่อตอบรับภาระงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและให้เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่ ปลัดกระทรวง อว. เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่ ปลัดกระทรวง อว. เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563 ร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่ ปลัดกระทรวง อว. เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563 ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา ประธานกรรมการศูนย์ความเป็นเลิศด้านซีววิทยาศาสตร์, รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ที่ปรึกษาคณะกรรมการศูนย์ความเป็นเลิศด้านซีววิทยาศาสตร์ และ ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.พรชัย มาตังคสมบัติ ที่ปรึกษาคณะกรรมการศูนย์ความเป็นเลิศด้านซีววิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านซีววิทยาศาสตร์ มอบกระเช้าดอกไม้ ร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในโอกาสเกษียณอายุราชการ ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านซีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ชั้น 9 อาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ พญาไท กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเตรียมความพร้อมการตรวจราชการและการติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ณ จังหวัดมุกดาหาร อุดรธานี และหนองคาย
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 การประชุมเตรียมความพร้อมการตรวจราชการและการติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ณ จังหวัดมุกดาหาร อุดรธานี และหนองคาย นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการตรวจราชการและการติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมการตรวจราชการและการติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ณ จังหวัดมุกดาหาร อุดรธานี และหนองคาย โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมพล โนดไธสง นายบรรจง สุกรีฑา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ป่วยบัตรทองเฮ! รักษาได้ทุกที่ นำร่อง กทม. – ปริมณฑล
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ผู้ป่วยบัตรทองเฮ! รักษาได้ทุกที่ นำร่อง กทม. – ปริมณฑล -- #ไทยคู่ฟ้า ข่าวดีสำหรับพี่น้องประชาชนที่มีสิทธิบัตรทอง ล่าสุด บอร์ด สปสช. หรือคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เห็นชอบการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ใน 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้ >> . 1. ประชาชนที่เจ็บป่วยสามารถไปหาหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือรักษาโรคเบื้องต้นได้ทุกที่ในระบบบัตรทอง โดยจะนำร่องในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป พร้อมเชื่อมต่อข้อมูลคลินิกหมอครอบครัวและผู้ป่วย พัฒนาระบบตรวจสอบสิทธิผ่านแอปพลิเคชันและยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน . 2. ผู้ป่วยในที่ไปรับการรักษายังสถานพยาบาลแห่งใหม่ ไม่ต้องกลับไปขอรับใบส่งตัวที่เดิม โดยสามารถรักษาต่อเนื่องได้ทันที เพียงใช้บัตรประชาชนตรวจสอบตัวตน จะนำร่องในพื้นที่เขต 9 นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 63 เป็นต้นไป ส่วนใน กทม. และปริมณฑล จะเริ่ม 1 ม.ค. 64 ก่อนขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป . 3. ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ เพื่อความรวดเร็วป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม โดยผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง จะได้ใบรับรองและประวัติ หรือ Code เพื่อเลือกเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลอื่น ผ่าน 3 ช่องทาง คือ สายด่วน สปสช. 1330, แอปพลิเคชัน สปสช. หรือติดต่อที่โรงพยาบาลโดยตรง เริ่ม 1 ม.ค. 64 . 4. ประชาชนที่ย้ายหน่วยบริการจะได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วันเหมือนเดิม และสามารถย้ายหน่วยบริการได้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน สปสช. เพียงมีบัตรประชาชน Smart card โดยจะเริ่มพร้อมกันทั่วประเทศ 1 ม.ค. 64 Cr. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนใต้
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 นโยบายเร่งด่วน การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนใต้ วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนใต้ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ ยกร่างกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด นอกจากนี้ ยังขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนภาษาไทยจังหวัดชายแดนภาคใต้ พัฒนาฝีมือแรงงานตอบสนองความต้องการสำหรับการลงทุนในพื้นที่ของภาคเอกชน รวมถึงอำนวยความยุติธรรมและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบ ขับเคลื่อนงานตามมาตรการด้านสตรี ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง จัดทำสื่อให้ความรู้เพื่อดูแลตนเองและครอบครัวต่อการป้องกันโรคระบาด ตามหลักศาสนาอิสลาม เป็นต้น ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ นั่งหัวโต๊ะประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จ.ขอนแก่น ดันอาชีพทางเลือกเลี้ยงสัตว์-ปลูกพืชน้ำน้อยส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ ผวจ.ขานรับเร่งเดินหน้าโครงการฯ
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ นั่งหัวโต๊ะประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จ.ขอนแก่น ดันอาชีพทางเลือกเลี้ยงสัตว์-ปลูกพืชน้ำน้อยส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ ผวจ.ขานรับเร่งเดินหน้าโครงการฯ ‘รมช.ประภัตร’ นั่งหัวโต๊ะประชุมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จ.ขอนแก่น ดันอาชีพทางเลือกเลี้ยงสัตว์-ปลูกพืชน้ำน้อยส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้ ผวจ.ขานรับเร่งเดินหน้าโครงการฯ นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดขอนแก่นร่วมกับนายสมศักดิ์จังตระกุลผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนายอำเภอเกษตรอำเภอในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อรับฟังบรรยายสรุปและประเด็นปัญหาในพื้นที่พร้อมมอบนโยบายในการปฏิบัติราชการณห้องประชุมแก่นเมืองศาลากลางจังหวัดขอนแก่นอ.เมืองจ.ขอนแก่นว่าตามที่พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานมีหน้าที่กำกับติดตามเร่งรัดช่วยเหลือเยียวยาและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ซึ่งตนรับผิดชอบในระดับพื้นที่จ.ขอนแก่นและจ.ร้อยเอ็ด นอกจากนั้นยังให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัดซึ่งจังหวัดขอนแก่นได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัดโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธานมีรองผู้ว่าราชการขอนแก่นทุกคนเป็นหัวหน้าคณะทำงานที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่วมกันโดยสรุปปัญหาต่างๆในพื้นที่อาทิภัยแล้งที่ดินทำกินการเลี้ยงปลาในกระชังในอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้านแรงงานเป็นต้นตลอดจนมีประเด็นการพัฒนาที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาความยากจนSmart Farmerการเพิ่มผลผลิตปลาในพื้นที่ดินเค็มที่ไม่สามารถทำการเกษตรประเภทอื่นได้(เพิ่มทางเลือกในการประกอบอาชีพด้านการเกษตร)เป็นต้น นายประภัตรกล่าวว่าอย่างไรก็ตามภาคการเกษตรประสบปัญหาจากฝนทิ้งช่วงภัยแล้งและอุทกภัยดังนั้นเกษตรกรจึงต้องหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ได้ตลอดทั้งปีซึ่งอาชีพด้านปศุสัตว์และการปลูกพืชสำหรับอาหารสัตว์นั้นสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้โดยวันนี้ได้มอบนโยบายในการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจ.ขอนแก่นในทุกอำเภอกระจายอย่างทั่วถึงคือ1.เลี้ยงสัตว์(วัวแพะแกะไก่หมูกระบือ2.ปลูกถั่วเขียวใช้น้ำน้อย3.ปลูกขิง4.หญ้าเนเปียร์ข้าวโพดมันสำปะหลัง(เพื่อผลิตอาหารสัตว์) 5.แหนแดงและ6.เลี้ยงจิ้งหรีดซึ่งอาชีพดังกล่าวใช้เวลาไม่เกิน4เดือนสามารถสร้างรายได้และยังเป็นที่ต้องการของตลาดพร้อมกันนี้ให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.)เข้ามาตรวจสอบและรับรองให้เครื่องหมายQเพื่อให้ผู้รับซื้อมีความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย “จ.ขอนแก่นมีพื้นที่6.8ล้านไร่พื้นท่ีทางการเกษตร4.22ล้านไร่เขตการปกครอง26อำเภอ199ตำบล2,334หมู่บ้านมีประชากร1.8ล้านคน6.2แสนครัวเรือนครึ่งนึงเป็นคนเมืองดังนั้นจะต้องเร่งช่วยคนที่เหลือที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่ทอ้งใครไว้ข้างหลังและให้มีรายได้มีอาชีพ เพราะหลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่ฝนทิ้งช่วงและภัยแล้งวันนี้จึงได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งหาอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกรตั้งเป้าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า6,000บาท/เดือนซึ่งเป็นอาชีพที่ใช้น้ำน้อยหากทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนโครงการจะประสบความสำเร็จ”นายประภัตรกล่าว ทั้งนี้รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินโครงการภายใต้บันทึกความเข้าใจ(MOU)โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯเพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย(โคขุนกู้วิกฤตCOVID-19)ในวงเงินสินเชื่อ50,000ล้านบาทโดยเกษตรกรต้องรวมกลุ่มจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนอย่างน้อย7คนกู้ได้ไม่เกินกลุ่มละ10ล้านบาทหรือกู้1ล้านบาทดอกเบี้ย100บาทโดยมีตลาดรองรับตลอดจนมีประกันราคาให้หากสัตว์เสียชีวิตจึงเป็นโอกาสของพี่น้องเกษตรกรได้มีอาชีพสร้างรายได้ในช่วงวิกฤต”นายประภัตรกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นประธานประชุม ศบศ. ครั้งที่ 4 มั่นใจประเทศไทยมีตัวเลขการฟื้นตัวที่ดี
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 นายกฯ เป็นประธานประชุม ศบศ. ครั้งที่ 4 มั่นใจประเทศไทยมีตัวเลขการฟื้นตัวที่ดี นายกฯ เป็นประธานประชุม ศบศ. ครั้งที่ 4 มั่นใจประเทศไทยมีตัวเลขการฟื้นตัวที่ดี วันนี้ (วันที่ 7 ตุลาคม 2563) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปภายหลังการประชุมดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการประชุมว่า ห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาสำคัญเพราะเป็นรอยต่อการดูแลมาตรการเพื่อรักษาสุขภาพของคนในชาติที่เป็นไปด้วยดี และถึงเวลาต้องดำเนินการเพื่อฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดี ยังมีสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่างประเทศที่ยังน่าห่วงกังวล รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือดูแลทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมเพื่อให้เดินต่อไปได้ แต่ด้วยข้อจำกัดในการดูแล จึงขอความร่วมมือของทุกภาคส่วนหากมีกำลังในการสนับสนุนดูแลกันได้ก็จะช่วยให้ภาพรวมของประเทศกลับสู่สภาวะที่ดี เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงานภาพรวมสถานการณ์โควิด-19ล่าสุด และสถานการณ์เศรษฐกิจไทยซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีตัวเลขที่ปรับตัวดีขึ้น อาทิ ตัวเลขการใช้จ่ายที่สูงขึ้น การส่งออกติดลบลดลง ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น และรายได้เกษตรกรสูงขึ้นใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ตลอดจนมีอัตราการท่องเที่ยวในประเทศสูงขึ้น ถึงแม้ว่าจะกระจุกตัวบริเวณจังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และมีดัชนีการเคลื่อนย้ายที่สูงขึ้นทุกตัว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ทำความเข้าใจกับเอกชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่รัฐบาลได้ดำเนินไปแล้ว ซึ่งส่งผลให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างไร และขอรับความร่วมมือจากภาคธุรกิจให้ร่วมมือสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางการดำเนินงานต่อไปของรัฐบาล ที่ประชุมได้พิจารณาการดำเนินมาตรการของรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ ได้แก่ ข้อเสนอแนะมาตรการเศรษฐกิจรายสาขา โดยคณะอนุกรรมการวิเคราะห์และสนับสนุนข้อมูลเศรษฐกิจรายสาขา โครงการ DR BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง ของธนาคารแห่งประเทศไทย การจัดงาน Job Expo/แพลตฟอร์มเรามีงานทำ ของกระทรวงแรงงาน มาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวกรณีพิเศษ (Smart Visa) มาตรการคนละครึ่งของกระทรวงการคลัง มาตรการเราเที่ยวด้วยกัน/ การเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) /มาตรการ Elite card ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในที่ประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชนพิจารณาการทำงานร่วมกัน และร่วมหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ อาทิ การพักชำระหนี้ และปรับโครงสร้างหนี้ ขอให้ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย พิจารณาร่วมกัน ซึ่งอาจมีการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ก่อนการเสนอให้รัฐบาลพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมทำงานกันอย่างหนักดังที่ได้เห็นผลในตัวเลขการพัฒนาต่างๆ ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลอย่างมีนัยยะต่อการฟื้นฟูประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนการเสนอเรื่องเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณามาตรการเพิ่มเติม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้เสนอมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้มีกำลังซื้อสูง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน และมาตรการกระตุ้นการเดินทางผ่านการทำงาน (Workation Thailand) นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการทำงานให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และผ่านการจัดการที่เป็นระบบ มีการบูรณาการทำงานของทุกภาคส่วน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้หยุดแนวทางในการทำงานเพียงเท่านี้ แต่พยายามคิดหาวิธี ที่จะส่งเสริม เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินตามมาตรการต่างๆ ได้เร็วขึ้น อาทิ การตรวจคัดกรองโรคที่ได้ผลชัดเจนเร็วขึ้น และแม่นยำมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผย “เอฟเอโอ” ชื่นชมความสำเร็จของประเทศไทย
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เผย “เอฟเอโอ” ชื่นชมความสำเร็จของประเทศไทย กระทรวงเกษตรฯ เผย “เอฟเอโอ” ชื่นชมความสำเร็จของประเทศไทย เปิดตัวโครงการหมอดินโลก ใช้โมเดลหมอดินไทยเป็นต้นแบบทั่วโลก “เฉลิมชัย” เดินหน้าอัพเกรดเพิ่มประสิทธิภาพ Agrimap ด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้(7ต.ค.)ว่า นายเอดัวร์โด แมนซูร์(Eduardo Mansur)ผู้อำนวยการด้านดิน น้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ( FAO )ได้แสดงความชื่นชมในความสำเร็จของประเทศไทย และยังแสดงความขอบคุณต่อกรมพัฒนาที่ดินในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในการดำเนินโครงการหมอดินของไทยจนนำไปสู่โครงการหมอดินโลก (Global Soil Doctors Programme) และFAO ยังได้นำชุดทดสอบดินที่พัฒนาโดยคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ศูนย์AICกรุงเทพมหานคร) และเอกสารการถ่ายทอดความรู้ด้านดินของกรมพัฒนาที่ดินเป็นต้นแบบในการขยายโครงการหมอดินโลกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่อไป ทั้งนี้เป็นรายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงโรมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2563 เวลา 14.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโรม) กรณีที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และ สมัชชาความร่วมมือดินโลก (Global Soil Partnership หรือ GSP) ได้จัดงานเปิดตัวโครงการหมอดินโลก (Global Soil Doctors Programme) โดย FAO ได้นำประสบการณ์และความสำเร็จของ “โครงการหมอดินอาสา” ของกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปขยายโครงการหมอดินโลก (Global Soil Doctors Programme) เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรให้ความสำคัญในการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 600 คนจากทั่วโลก นายธนวรรษ เทียนสิน อัครราชทูต (ฝ่ายเกษตร) ผู้แทนถาวรไทยประจำ FAO/IFAD/WFP และประธานคณะกรรมการความมั่นคงอาหารโลก (Committee on World Food Security หรือ CFS) ได้กล่าวถึงความสำคัญของโครงการหมอดิน กับความมั่นคงอาหารและเกษตรยั่งยืน โดย หมอดินอาสา มีบทบาทที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ด้านดินแก่พี่น้องเกษตรกร องค์ความรู้ของหมอดินเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมจากการลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่มาเป็นเวลานาน ปัจจุบันมีหมอดินอาสาจำนวนกว่า 80,000 คน ทั่วประเทศ หมอดินอาสาทำงานร่วมกับกรมพัฒนาที่ดินในระดับหมู่บ้าน เพื่อให้ความรู้ด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืนให้แก่พี่น้องเกษตรกร ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพดินเบื้องต้น การเก็บตัวอย่างดิน และช่วยสำรวจจัดทำข้อมูลพื้นฐานด้านคุณภาพดินในระดับหมู่บ้าน หมอดินอาสา คือ ครูและเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเกษตรกร การเรียนรู้จากประสบการณ์จากเกษตรกรด้วยกันเอง (Farmer-to-farmer learning) ทำให้เกษตรกรสามารถนำความรู้ไปใช้ได้จริงในพื้นที่ หมอดินอาสาของไทยยังได้เรียนรู้ในการน้อมนำศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกษตรทฤษฎีใหม่ และความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ในการทำเกษตรในพื้นที่ของตนจนเกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และนางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ได้มอบหมายให้ ดร.บรรเจิดลักษณ์ จินตฤทธิ์ เป็นผู้แทนจากกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำเสนอผลความสำเร็จของการดำเนินงานโครงการหมอดินอาสาในหัวข้อ “ประสบการณ์ความสำเร็จของหมอดินอาสาไทย” และได้เล่าถึงบทบาทของเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหมอดินเพื่อสนับสนุนความช่วยเหลือทางวิชาการและปัจจัยการผลิตที่สำคัญแก่เกษตรกร พร้อมได้นำเสนอวิดีทัศน์ผลความสำเร็จของหมอดินอาสาของไทย นายยวง เขียวนิลให้แก่ประเทศสมาชิกและผู้ร่วมประชุมได้ร่วมรับทราบข้อมูล สำหรับโครงการ Global Soil Doctors Programme นี้ FAO เป็นกิจกรรมที่เป็นต้นแบบที่ดี (Best practice) ในการสร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรด้วยกัน และระหว่างเกษตรกรกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ในการร่วมมือแก้ไขปัญหาดินในภาคเกษตร สามารถสร้างผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ในการจัดการทรัพยากรดินสู่ความยั่งยืน และนำไปสู่การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกร ความมั่นคงทางอาหาร โดย FAO ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมศึกษาดูงานการดำเนินงานโครงการหมอดินอาสาของประเทศไทย พร้อมทั้งนำองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการดินและการเกษตรที่ กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เผยแพร่ให้แก่เกษตรกรไปศึกษาและแปลเพื่อจัดทำเป็นเครื่องมือและคู่มือสำหรับเกษตรกร อีกทั้งขยายผลโครงการเป็นเครือข่ายหมอดินระดับโลก เปิดโอกาสให้สมาชิกได้เรียนรู้แลกเปลี่ยน และนำไปประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละประเทศ นายอลงกรณ์กล่าวว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติให้การยกย่องการบริหารจัดการดินตามแนวทางศาสตร์พระราชา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้โครงการหมอดินอาสาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จนนำไปเป็นต้นแบบให้กับประเทศต่างๆทั่วโลกและดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ.ได้ใช้นโยบายเกษตร4.0และเกษตรกรรมยั่งยืนยกระดับอัพเกรดระบบAgimapโดยร่วมกับสวทช.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการดินโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences) ได้ถวายเหรียญ นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตรเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2555 และได้เสนอให้ วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันดินโลก ผ่านทางองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations – FAO) โดยได้รับความเห็นชอบจากองค์การสหประชาชาติ ( United Nations- UN)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับสมัครโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที่ 1 และ 2
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 รับสมัครโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที่ 1 และ 2 กระทรวงเกษตรฯ เผยผลการรับสมัครโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที่ 1 และ 2 พร้อมเตรียมเปิดรับสมัครรอบที่ 3 โครงการฯ 8 - 22 ตุลาคมนี้ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ครั้งที่ 5/2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาเป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 บรรเทาปัญหาการว่างงาน ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคการเกษตรกรรมไปสู่ภาคอื่น ๆ และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนในท้องถิ่นให้มีความมั่นคงในการเป็นแหล่งผลิตอาหาร มีทางเลือก มีอาหาร มีอาชีพ มีความอุดมสมบูรณ์ มีความอบอุ่นจากครอบครัว แล้วความสุขตามวิถีชีวิตพอเพียงก็จะเกิดขึ้นกับชุมชน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เป็นทางรอดของเกษตรกรไทย เพื่อมุ่งสู่ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว นอกจากจะช่วยฟื้นฟู เศรษฐกิจในระยะสั้นแล้ว ยังช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เกษตรกรสามารถเลี้ยง ตนเองและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้อย่างพอเพียงและยั่งยืน โดยกำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 96,216 ราย แบ่งเป็นเป้าหมายเกษตรกร 64,144 ราย เป้าหมายการจ้างงานเกษตรกร 32,072 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 4,009 ตำบล 75 จังหวัด โดยในวันนี้ ที่ประชุมมีมติขยายเวลารับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที 3 รวมถึงยังได้มีมติพิจารณาปรับปรุงคุณสมบัติในการรับสมัครเกษตรกรและการจ้างงานระดับตำบลให้มีการผ่อนปรนในเรื่องของหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ลงจากในรอบที่ 1 และ 2 โดยสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ http://ntag.moac.go.th และกระทรวงเกษตรฯ และจะเริ่มรับสมัครในรอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 8 - 22 ตุลาคม 2563 สำหรับเกษตรกรที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสมัครได้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ http://ntag.moac.go.th ยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ที่เจ้าหน้าที่เกษตรตำบล หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ ขณะที่การรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการในรอบที่ 1 และ 2 ได้ปิดรับสมัครลงแล้ว สรุปผลการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในรอบที่ 1 เกษตรกร 20,357 คน ผู้จ้างงาน 25,137 คน และรอบที่ 2 เกษตรกร 13,143 คน ผู้จ้างงาน 6,477 คน รวมทั้ง 2 รอบ มีจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 65,114 คน แบ่งเป็น เกษตรกร 33,500 คน ผู้จ้างงาน 31,614 คน ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ ระดับจังหวัด อยู่ระหว่างเร่งพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัคร โดยคาดว่าจะเริ่มขับเคลื่อนโครงการและเริ่มจ้างงานได้ภายในวันที่ 30 ตุลาคมนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แถลงความพร้อมรับมือโควิด 19
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 สธ.แถลงความพร้อมรับมือโควิด 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหารแถลงความพร้อมรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 ระยะถัดไปเน้นสร้างสมดุลสุขภาพและเศรษฐกิจ จากการแง้มเปิดประตูประเทศ เผย 3 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น ขอคนไทยใส่หน้ากากเกิน 85 เปอร์เซ็นต์ เฝ้าระวังอาการป่วยตนเอง ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำทีมผู้บริหารแถลงความพร้อมรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 ระยะถัดไปเน้นสร้างสมดุลสุขภาพและเศรษฐกิจ จากการแง้มเปิดประตูประเทศ เผย 3 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น ขอคนไทยใส่หน้ากากเกิน 85 เปอร์เซ็นต์ เฝ้าระวังอาการป่วยตนเอง ช่วยป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ได้ดี หากติดเชื้อจะควบคุมการระบาดใน 4 สัปดาห์ เร่งขยายทีมสอบสวนโรคอีก 3 เท่า ขณะที่ทรัพยากรเตียง ยา เวชภัณฑ์การตรวจแลปมีความพร้อมรับมือ วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหารทุกกรม แถลงข่าวการเตรียมความพร้อมรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกถัดไป กล่าวว่า การระบาดระลอกแรกมีการทำแบบจำลองการระบาดหรือฉากทัศน์ 3 รูปแบบ คือ ระบาดสูงและรวดเร็วมากติดเชื้อราว 16 ล้านคน ชะลอได้มีผู้ป่วย 9.9 ล้านคน และควบคุมได้ มีผู้ป่วย 3 แสนคน แต่ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ของไทยมีเพียง 3,615 คน ถือว่าทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเรารู้จักโรคมากขึ้น มีองค์ความรู้ ทรัพยากร และประสบการณ์ในการรับมือ ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนให้ความร่วมมือ ในการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสแกนไทยชนะ ทำให้ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศมายาวนานพอสมควร อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจประเทศพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออก จึงต้องเริ่มแง้มประตูประเทศ และมีมาตรการต่างๆ รองรับ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่า สามารถดูแลและควบคุมโรคโควิด 19 ได้ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในระยะถัดไปที่จะมีการเปิดประเทศ มีความแตกต่างจากการระบาดครั้งแรก คือ ไม่มีการระบาดวงกว้าง โดยสถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้ 3 รูปแบบ คือ 1.ป้องกันโรคได้ดี มีผู้ติดเชื้อเป็นครั้งคราว 1-2 ราย ควบคุมไม่ให้แพร่กระจายได้ โดยประชาชนต้องสวมหน้ากากมากกว่าร้อยละ 85 เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ เฝ้าระวังอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ไม่ได้กลิ่นหรือรส ให้รีบไปตรวจรักษา 2.ควบคุมโรคได้เร็ว อาจติดเชื้อ 10-20 คนต่อวัน แต่ควบคุมโรคได้ในเวลาสั้น 3-4 สัปดาห์ ตรงนี้เกิดขึ้นได้หากประชาชนบางส่วนไม่สวมหน้ากาก ผู้ประกอบการละเลยมาตรการป้องกันโรค และ 3.ควบคุมโรคได้ช้า คือ มีคนติดเชื้อเป็นกลุ่ม 100 คนต่อวัน เกิดขึ้นได้หากประชาชนไม่ร่วมมือป้องกันโรค ผู้ประกอบการไม่จัดมาตรการป้องกันโรค และไม่ได้รับความร่วมมือในการติดตามผู้สัมผัสโรค สำหรับข้อเสนอเรื่องของการลดระยะเวลากักตัว 14 วันนั้น อยู่ระหว่างการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลคาดว่าอีก 2 สัปดาห์ จะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) เพื่อพิจารณา นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การควบคุมโรคโควิด 19 ต่อจากนี้ เน้นการสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสุขภาพ ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ โดยมาตรการควบคุมโรคยังเน้นเรื่องการป้องกัน ควบคุมให้ได้เร็ว การดูแลรักษา และให้ข้อมูลสื่อสารประชาชน ขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น กิจการเสี่ยงในประเทศทยอยเปิดแล้วโดยมีมาตรการควบคุม ส่วนกิจการต่างประเทศ เช่น การท่องเที่ยว ต้องค่อยๆ ผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง โดยแผนการจัดการในระยะถัดไป คือ การจัดสถานกักกันเพื่อไม่ให้เชื้อเข้าสู่ประเทศ วางระบบเฝ้าระวังและตรวจจับในหลายระดับ หากมีสัญญาณต้องตรวจจับและควบคุมให้ไม่เกิดการระบาดรุนแรง โดยจะควบคุมโรคให้สงบภายใน 4 สัปดาห์ ขยายหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรค 3 เท่าจากที่มีอยู่ 1,000 ทีม เตรียมความพร้อมระบบบัญชาการเหตุการณ์ทุกระดับ เร่งรัดมาตรการที่ด่านควบคุมโรค พื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะที่ติดกับเมียนมาและมาเลเซีย และสร้างความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันโรค นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการ คือ ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ อาการคล้ายหวัดใหญ่ทุกโรงพยาบาล ผู้ต้องขังแรกรับ แรงงานต่างด้าวพื้นที่ชายแดน กลุ่มพิเศษตามสถานการณ์ เช่น นักกีฬาฟุตบอลไทยลีก กรณีพบผู้ป่วยยืนยัน จะติดตามคนสัมผัสใกล้ชิด ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชน นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การเตรียมพร้อมรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 มีการบริหารจัดการเตียงโดยโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีเตียงรองรับจำนวน 2 หมื่นกว่าเตียง แบ่งเป็น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2 พันกว่าเตียง ซึ่งการระบาดระลอกแรกผู้ป่วยนอนไอซียูเฉลี่ย 17 วัน ดังนั้น พื้นที่กรุงเทพมหานครจะรับคนไข้ได้ 230-400 คนต่อวัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวโรค ส่วนทั่วประเทศรองรับได้ 1,000 - 1,740 คนต่อวัน อย่างไรก็ตาม นอกจากโรคโควิด 19 แล้ว ยังต้องเตรียมความพร้อมดูแลการเจ็บป่วยโรคอื่น ด้วยการแพทย์วิถีใหม่ โดยทุกเขตสุขภาพมีแผนดำเนินการใน 3 เดือน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รักษาการอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงความคืบหน้าฟ้าทะลายโจร ซึ่งจากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า ฟ้าทะลายโจรไม่มีฤทธิ์การป้องกันติดเชื้อโควิด 19 แต่หากมีเชื้อไวรัสโควิด 19 ในเซลล์ จะยับยั้งไม่ให้เพิ่มจำนวนได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการศึกษาในมนุษย์ ซึ่งจากการทดลองกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ โรงพยาบาลชลบุรี และโรงพยาบาลบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่รับผู้ติดเชื้อจากสถานกักกัน พบว่าได้ผลดี 3 วันหลังติดเชื้อ อาการต่างๆ ลดลงชัดเจนไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย การทำงานของตับและไตอยู่ในเกณฑ์ปกติ จากนี้จะร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ศึกษาเรื่องเภสัชจลนศาสตร์ของฟ้าทะลายโจรต่อไป ส่วนสมุนไพร "กระชาย" มีการทดลองในหลอดทดลองพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งตัวไวรัสโควิด 19 ที่น่าสนใจ โดยจะร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดีพัฒนาต่อไป นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาการอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถตรวจเชื้อโควิด 19 ด้วยวิธีมาตรฐาน โดยปัจจุบันตรวจแล้ว 1,008,000 ตัวอย่าง เจอผู้ติดเชื้อ 3 พันกว่ารายมีห้องปฏิบัติการที่ตรวจได้ 230 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัด เหลืออีก 4 จังหวัดที่จะพัฒนาให้ตรวจได้ทั้งหมด ขณะที่การสำรองน้ำยาการตรวจเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานมีประมาณ 5 แสนชุด ดังนั้น หากมีผู้ป่วยวันละ 1 พันคน โดยต้องตรวจ 5-10 เท่าของผู้ป่วยก็สามารถรองรับได้ ไม่มีปัญหา สำหรับพื้นที่ชายแดนจะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อมั่นใจ ซึ่งที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจกว่า 1 แสนราย ก็พบผลบวกรายเดียวในอดีต ถือว่าประเทศไทยค่อนข้างปลอดภัยพอสมควร นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ประกาศราคากลางของการตรวจเชื้อด้วยวิธีมาตรฐานอยู่ที่ 1,600 บาท จากเดิมที่การตรวจเคยมีราคา 2,500-3,000 บาท ก็จะช่วยให้คนเข้าถึงการตรวจมากขึ้น นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า อุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และยารักษาสำหรับโรคโควิด 19 ถือว่ามีเพียงพอ โดยหน้ากาก N95 ระดับประเทศมี 2.2 ล้านชิ้น ดูแลผู้ป่วยได้ 15,500 ราย ชุด PPE มี 1.9 ล้านชิ้น รองรับผู้ป่วย 13,000 ราย และผลิตได้ในประเทศได้ โดยมีโรงงาน 40 แห่ง อัตรากำลังผลิตอยู่ที่ 60,000 ชุดต่อวัน สำหรับหน้ากากอนามัยมี 50 ล้านชิ้น ใช้ได้นาน 120 วัน มีโรงงานผลิต 56 แห่ง กำลังการผลิต 4.7 ล้านชิ้นต่อวัน ยาฟาวิพิราเวียร์คงเหลือ 6.2 แสนเม็ด ใช้กับผู้ป่วยได้ 8,900 ราย นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมมีการสำรองยาและเวชภัณฑ์ และกำลังต่อยอดพัฒนายาสูตรตำรับฟาวิพิราเวียร์ของไทยเอง โดยจะทดลองชีวสมมูลของยาในปี 2564 คาดว่าจะขึ้นทะเบียนยาได้ในเดือนตุลาคม 2564 นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ดำเนินการใน 3 เรื่อง คือ 1.การสนับสนุนการดำเนินการศึกษาวิจัยวัคซีนภายในประเทศ 2.การเจรจาขอความร่วมมือรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศ ซึ่งหลายประเทศมีการวิจัยในระยะที่ 3 คือการทดสอบประสิทธิผลของวัคซีนในคน เช่น อังกฤษ จีน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย และ 3. การจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า ทั้ง COVAX Facility และการตกลงแบบ Bilateral เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศที่ผลิตวัคซีนสำเร็จ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า มาตรการรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Special tourist visa หรือ STV มีการจัดสถานกักกันทางเลือกทั้งระดับประเทศ (ASQ) 84 แห่ง และระดับท้องถิ่น (ALSQ) 12 แห่ง ในจังหวัดแหล่งท่องเที่ยว หากมีความพร้อมก็สามารถรองรับกลุ่มแรกที่จะเข้ามาได้เป็นการผ่อนคลายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศภายใต้หลักการความปลอดภัยของชุมชนและประชาชน ขณะที่การรับผู้ป่วยชาวต่างชาติโรคอื่นๆ มารักษาในโรงพยาบาลกักกันทางเลือก (AHQ) ดำเนินการแล้ว 1,242 คน เป็นระบบปิดมีความปลอดภัย สามารถสร้างรายได้จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังประสานชมรม อสม.พื้นที่ชายแดนทุกจังหวัดในการร่วมเฝ้าระวังควบคุมโรคด้วย นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การประเมินตนเองของสถานประกอบการผ่าน Thai Stop COVID พบว่า มาตรการที่ต้องเพิ่มความเข้มข้น คือ การสแกนไทยชนะก่อนเข้าพื้นที่ กิจการประเภทที่พักยังขาดความเข้มข้นเรื่องการคัดกรองพนักงาน การจำกัดจำนวนผู้มาใช้บริการ และล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้ง โดยไม่ผ่านเกณฑ์ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ขอให้สถานประกอบการทุกประเภทยังคงเข้มเรื่องวิถีใหม่ โดยเน้นการลงทะเบียนจัดคิวล่วงหน้า มีการคัดกรองผู้รับบริการ จัดเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ จัดสถานที่บริการแบบเว้นระยะห่าง ลดความแออัด ทำความสะอาดสม่ำเสมอ มีระบบระบายอากาศที่ดี และจำกัดจำนวนผู้รับบริการหรือกิจกรรมที่ใกล้ชิด นายแพทย์ชิโนรส ลี้สวัสดิ์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ช่วงนี้กลุ่มวัยแรงงานอาจมีความเครียดจากสถานการณ์ผลกระทบของโรคโควิด 19 จึงขอให้ยึดหลัก อึด ฮึด สู้ และดูแลครอบครัวด้วยพลังบวกมองเห็นข้อดีหรือทางออกในทุกปัญหา พลังยืดหยุ่น เมื่อถึงเวลาหนึ่งต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย ปรับเปลี่ยนบทบาททำงาน แก้ปัญหา หากมีความขาดแคลน รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ต้องรู้จักหาแหล่งสนับสนุนหรือขอความช่วยเหลือ ส่วนคนที่มีมากพอแล้วก็ต้องแบ่งปันเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และพลังความร่วมมือ ต้องเป็นทีมเดียวกันในการสู้ปัญหา ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง จับมือกันก็จะสู้ปัญหาไปได้ ************************************ 7 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'จับกัง1' ส่ง 'เลขารัฐมนตรี' รับ 7 ข้อเรียกร้อง คสรท.สร้างความเท่าเทียมแรงงานทุกระดับ เนื่องในวัน"งานที่มีคุณค่าสากล"
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 'จับกัง1' ส่ง 'เลขารัฐมนตรี' รับ 7 ข้อเรียกร้อง คสรท.สร้างความเท่าเทียมแรงงานทุกระดับ เนื่องในวัน"งานที่มีคุณค่าสากล" 'รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น' มอบหมายให้ เลขานุการรัฐมนตรีแรงงาน เป็นผู้รับหนังสือข้อเรียกร้อง ในวัน "งานที่มีคุณค่าสากล" ปี พ.ศ.2563 จากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) สร้างความเท่าเทียมแรงงานทุกระดับ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับหนังสือยื่นข้อเรียกร้อง ในวัน "งานที่มีคุณค่าสากล" ปี พ.ศ.2563 จากนายสมพร ขวัญเนตร ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ณ สำนักงานประกันสังคม จังหวัดนนทบุรี โดยกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกกลุ่ม ให้ได้มีงานทำ ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ มีสวัสดิการที่เหมาะสม ได้รับการดูแลคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคม เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานที่สูงขึ้น รวมทั้งเป็นการสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมตามนโยบายรัฐบาล ในวันนี้ ท่าน รมว.แรงงานได้มอบหมายให้ผมมารับหนังสือข้อเรียกร้องในวัน "งานที่มีคุณค่าสากล" ปี พ.ศ.2563 จากประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ซึ่งได้ร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้มีการจัดกิจกรรมเนื่องในวันงานที่มีคุณภาพ (World Day for Decent Wok) ที่กำหนดจัดขึ้นทุกวันที่ 7 ตุลาคมของทุกปี โดยในปีนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยได้ขอใช้สถานที่ของสำนักงานประกันสัดม จังหวัดนนทบุรี เป็นสถานที่จัดงาน มีการเคลื่อนขบวนมายังสำนักงานประกันสังคม จำนวน 400 คนโดยประมาณ และมีองค์กรสมาชิกเข้าร่วม จำนวน 12 องค์กร นายสุเทพ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเรียกร้องเนื่องในวันงานที่มีคุณค่าสากล (Decent Work Day) 2020 ทั้ง 7 ข้อ ได้แก่ 1) ต้องการให้รัฐบาลปฏิรูปการจ้างงาน ปฏิรูประบบประกันสังคมเพื่อความมั่นคงของคนทำงาน ให้รัฐมีสวัสดิการถ้วนหน้าด้านสาธารณสุขและการศึกษา 2) จัดให้ประชาชนวัยทำงานมีงานทำและมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ 3) ต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรม 4) ต้องปฏิรูปโครงสร้างการบริหารสำนักงานประกันสัดมให้เป็นองค์กรอิสระ โปร่งใส 5) ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 5% และเร่งชำระเงินสมทบที่ค้างจ่าย 6) การจัดตั้งสถาบันการเงินเพื่อให้บริการผู้ประกันตน และ 7) จัดสร้างโรงพยาบาลเพื่อให้บริการผู้ประกันตน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ร่วมเปิดตัว “หมูชีวา” นวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพ
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ร่วมเปิดตัว “หมูชีวา” นวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพ กระทรวงเกษตรฯ ร่วมเปิดตัว “หมูชีวา” นวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพ มีไขมันดีและโอเมก้า 3 สูง ต่อยอดมาตราฐานปศุสัตว์ OK นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมเปิดตัว “หมูชีวาหรือCheevaPork”นวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพแบรนด์U-Farmโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ ร่วมกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือCPFณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ว่า การเปิดตัว “หมูชีวา”นวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพแบรนด์U-Farmในวันนี้ ถือเป็นการเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพของสินค้าปศุสัตว์เพื่อผู้บริโภค สอดรับกับนโยบายในการพัฒนามาตรฐานการผลิตสินค้าปศุสัตว์ภายในประเทศเพื่อผู้บริโภค ซึ่งการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการผลิตและการบริโภคนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประสานงานร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐ อีกทั้งนวัตกรรมหมูเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์U-Farmนี้ ยังสะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์และCPFเป็นอย่างดี จึงถือว่าเป็นการพัฒนาความร่วมมือเพื่อพัฒนาประเทศร่วมกับภาครัฐอีกทางหนึ่ง สำหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์กำกับดูแลงานด้านปศุสัตว์ ตั้งแต่การส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ การจัดการด้านสุขภาพสัตว์ การจัดการสวัสดิภาพสัตว์ การเชือดชำแหละเนื้อสัตว์ การขนส่งสินค้าปศุสัตว์ รวมถึงการจำหน่ายเนื้อสัตว์ เพื่อให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ได้มีโอกาสบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงสถานที่จำหน่าย ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มตื่นตัวและให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าและอาหารมากขึ้น ซึ่งในส่วนของสินค้าปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ได้วางแผนและริเริ่มส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ให้สอดคล้องกับกระแสความต้องการของผู้บริโภค เช่น โครงการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โครงการปศุสัตว์อินทรีย์ และโครงการมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ได้สัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคและสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ผ่านกระบวนการเชือดและชำแหละเนื้อสัตว์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโรงฆ่าสัตว์ที่มีศักยภาพ พัฒนาโรงฆ่าสัตว์ให้ได้รับการรับรองGMPเพื่อให้กระบวนการเชือดและชำแหละเนื้อสัตว์ได้มาตรฐานปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้รองรับการตรวจสอบย้อนกลับอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการส่งออกต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบหรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์ได้ ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้พยายามส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเข้าถึงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานการผลิต และส่งเสริมให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิต ที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากการประกอบอาชีพและธุรกิจที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทย จึงได้จัดทำ “โครงการปศุสัตว์OK”ขึ้น เพื่อบูรณาการงานผลิตสินค้าปศุสัตว์ทั้งหมด ภายใต้ตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์OKซึ่งปัจจุบันได้ให้การรับรองสินค้าทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อโค ไข่ไก่สด ไข่เป็ดสด และไข่นกกระทาสด และมีสถานที่จำหน่ายที่ได้รับการรับรองจำหน่ายสินค้า ที่ผ่านการผลิตตามมาตรฐานที่กรมปศุสัตว์กำหนดแล้วไม่น้อยกว่า 7,000 ราย ประกอบด้วย สถานที่จำหน่ายทั่วไปในตลาดสดและห้างสรรพสินค้า รวมถึงModern tradeโดยสถานที่จำหน่ายที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ต้องผ่านหลักเกณฑ์ 4 ข้อ ได้แก่ 1) สินค้าปศุสัตว์ที่นำมาขายต้องมาจากฟาร์มมาตรฐาน (GAP) 2)มาจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับใบอนุญาต หรือผลิตจากสถานที่รวบรวมไข่ที่ได้รับการรับรอง 3) จำหน่ายในสถานที่จำหน่ายที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ และ 4) ต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของสินค้าได้ ซึ่งถือเป็นการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์อย่างครบวงจร "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งมั่นที่จะนำภาคเกษตรไทยก้าวสู่ความมั่นคงและยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนโดยร่วมมือกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ภายใต้กรอบการทำงาน 3 ด้าน คือ ความปลอดภัยของอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนภาคเกษตร เพื่อสนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก ซึ่งการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารของCPFในครั้งนี้ ถือป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานรองรับ และตรงตามความต้องการของตลาด อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ประเทศ และต่อยอดนวัตกรรมที่นำไปสู่ความยั่งยืนภาคเกษตรและอาหาร ที่มีการวิจัยพัฒนา บนมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรฐานปศุสัตว์OKของกรมปศุสัตว์ ที่ได้วางรากฐานฟาร์มที่ดีให้แก่ทั้งเกษตรกรและภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมถึงช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร เกิดเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคยุคใหม่ที่สนใจในสุขภาพและสวัสดิภาพการเลี้ยงสัตว์" นายเฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกนายกรัฐมนตรีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย ษายกกำลังสอง” สนับสนุนแรงงาน พัฒนาทักษะสู่ความเป็นเลิศ สอดรับตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศ
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกนายกรัฐมนตรีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย ษายกกำลังสอง” สนับสนุนแรงงาน พัฒนาทักษะสู่ความเป็นเลิศ สอดรับตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศ นายกรัฐมนตรีเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” สนับสนุนแรงงาน พัฒนาทักษะสู่ความเป็นเลิศ สอดรับตลาดแรงงานทั้งในและนอกประเทศ วันนี้ (7 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมปทุมมาศ อาคารเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี ถนนรังสิต-ปทุมธานี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน “การขับเคลื่อนนโยบาย อาชีวศึกษายกกำลังสอง” โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาพิเศษ ความตอนหนึ่งว่า การศึกษาและการพัฒนามนุษย์เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ สร้างประเทศ ผลิตบุคลากรให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน คนไทยสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคง มีรายได้ และสามารถยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาและอาชีวะไทย รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างและพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ให้ได้มีโอกาสทบทวนองค์ความรู้ในการปฏิบัติงานด้านวิชาชีพที่เป็นระดับสากลและทันสมัย ตลอดจนสามารถนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า การผลิตบุคลากรให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน ยังเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จำเป็นต้องปรับรูปแบบให้สอดรับกับบริบทโลก และทันต่อการเปลี่ยนแปลง พัฒนาให้เกิดความเป็นเลิศ และมีฝีมือในสาขาวิชาชีพ ตลอดจนมีทักษะที่เป็นที่ต้องการ และมีความคิดสร้างสรรค์นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ในการแก้ไข ขจัดปัญหาและอุปสรรค ที่เป็นสิ่งกีดขวางการดำเนินภารกิจด้านการศึกษา รวมถึงด้านการจัดสรรงบประมาณ หากคิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรูปแบบ ปรับแนวทางการบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน เช่นเดียวกับปัญหาอื่น ๆ ที่เป็นข้อติดขัดในการขับเคลื่อนด้านการศึกษา ให้เดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวมากขึ้น ทั้งนี้ ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วน จะเป็นสิ่งสำคัญในการร่วมกันผลิตกำลังคนอาชีวะทักษะสูง ที่เข้าถึงความต้องการที่เกิดขึ้น และตอบโจทย์ประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การพัฒนาอาชีวศึกษาในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศไทย จากการมีบุคลากรที่มีองค์ความรู้ พร้อมต่อการปฏิบัติงาน และสามารถปฏิบัติงานได้จริง และยังสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมพัฒนาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งในระยะยาวจะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายหลังพิธีฯ นายกรัฐมนตรีชมนิทรรศการอาชีวะยกกำลังสอง ณ บริเวณภายในห้องประชุมปทุมมาศ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ อาทิ เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Technology) หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม (Industrial Robotics) นวัตกรรม เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) และรถยนต์ไฟฟ้า ELECTRIC VEHICLE (EV) …………………………………………… กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางลำคอได้มากแค่ไหน ??
วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางลำคอได้มากแค่ไหน ?? ไวรัสโควิด-19 ออกมาทางลำคอได้มากแค่ไหน ?? Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 ขับออกมาทางลำคอได้มากแค่ไหน ?? A : ประมาณ 60%
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงกลาโหมอบเจตนารมณ์และแนวทางการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงกลาโหมอบเจตนารมณ์และแนวทางการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ปลัดกระทรวงกลาโหมอบเจตนารมณ์และแนวทางการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ปลัดกระทรวงกลาโหมอบเจตนารมณ์และแนวทางการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 https://www.youtube.com/watch?v=mFaDEp_zPBY&feature=youtu.be&fbclid=IwAR1g0DE7vFyN9VblpVzkk-uQPigQTU-0HeP3VRjIDCpIxUrdFeVW6kB99_A
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างใกล้ชิด นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีว่า ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ได้กล่าวรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยในช่วงพายุโนอึล ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2563 เป็นต้นมา และจากอิทธิพลร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ทำให้มีฝนตกในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี และพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางของกรมชลประทานในเขตจังหวัดอุทัยธานีมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเพิ่มมากขึ้น โดยอ่างเก็บน้ำหลักของจังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ อ่างเก็บน้ำทับเสลา มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างสะสมรวม 86.01 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำในอ่าง ณ ปัจจุบัน 116.04 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 72.52 (ของความจุ 160 ล้าน ลบ.ม.) จากเดิมก่อนพายุเข้ามีน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียง 35.12 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 21.95 และ อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างสะสมรวม 38.40 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำในอ่าง ณ ปัจจุบัน 38.91 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 74.83 (ของความจุ 52 ล้าน ลบ.ม.) จากเดิมก่อนพายุเข้ามีน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียง 6.62 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 12.73 และจากอิทธิพลร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ช่วงวันที่ 14-16 ตุลาคม 2563 ทำให้เกิดฝนตกหนักในเขตทางตอนบนของลุ่มน้ำสะแกกรังและในเขตจังหวัดอุทัยธานี วัดปริมาณน้ำฝนสูงสุดในเขตอำเภอเมืองอุทัยธานี เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 จำนวน 123.5 มิลลิเมตร และในเขตอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 100 มิลลิเมตร ส่งผลกระทบทำให้มีปริมาณน้ำทางตอนบนของลุ่มน้ำสะแกกรังในลำห้วยคลองโพและลำห้วยสาขาเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดน้ำไหลล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ตั้งแต่วันที่ 15-20 ตุลาคม 2563 จำนวน 5 ตำบล 26 หมู่บ้าน ได้แก่ ตำบลสว่างอารมณ์ ตำบลบ่อยาง ตำบลไผ่เขียว ตำบลหนองหลวง และตำบลพลวงสองนาง บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 162 หลังคาเรือน พื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 21,084 ไร่ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายแล้ว รมช.มนัญญา กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที โดยจังหวัดอุทัยธานีได้สั่งการให้ทุกอำเภอแจ้งประสานองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัยทุกแห่ง และได้แจ้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น หากงบประมาณไม่เพียงพอให้แจ้งอำเภอเพื่อประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามระเบียบ ซึ่งโครงการชลประทานอุทัยธานีได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยได้เร่งระบายน้ำจากเขื่อนวังร่มเกล้าสู่พื้นที่ด้านท้ายเขื่อนลงแม่น้ำสะแกกรัง เพื่อให้มวลน้ำจำนวนมากจากตอนบนของลำห้วยคลองโพและลำห้วยสาขาไหลลงสู่เขื่อนวังร่มเกล้าได้สะดวก ลดผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่บ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร ซึ่งปริมาณน้ำที่ระบายท้ายเขื่อนวังร่มเกล้า โครงการชลประทานอุทัยธานีได้ควบคุมการระบายน้ำเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านท้ายน้ำในลุ่มน้ำสะแกกรัง เขตอำเภอเมืองอุทัยธานี นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้พบปะเกษตรกรพี่น้องประชาชน รับฟังปัญหาและให้กำลังใจแก่เกษตรกรและประชาชนผู้ประสบอุทกภัย พร้อมฟังรายงานสถานการณ์เขื่อนวังร่มเกล้า และติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำสะแกกรังอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแจกหญ้าหมัก 20 ถัง หญ้าแพงโกล่า 120 ฟ่อน และเกลือแร่ 30 ก้อน สำหรับโคกระบือแก่เกษตรกรอีกด้วย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทาน มีแผนการแก้ไขปัญหาอุทกภัยเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ในเขตอำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี ปีงบประมาณ 2566-2568 ดังนี้ โครงการคันกั้นน้ำคลองโพในเขตจังหวัดอุทัยธานี งบประมาณ 150 ล้านบาท โครงการคันกั้นน้ำคลองลำปาง งบประมาณ 80 ล้านบาท และโครงการคันกั้นน้ำคลองข่อยเป้า งบประมาณ 120 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในโอกาสวันสหประชาชาติ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในโอกาสวันสหประชาชาติ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ คำปราศรัย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ในโอกาสวันสหประชาชาติ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ คำปราศรัย พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในโอกาสวันสหประชาชาติ ๒๔ตุลาคม๒๕๖๓ พี่น้องชาวไทยที่รัก วันที่๒๔ตุลาคมของทุกปีเป็นวันสหประชาชาติซึ่งถือเป็นวันแห่งการก่อตั้งองค์การสากลระหว่างประเทศที่มีความสำคัญที่สุดภายหลังสงครามโลกครั้งที่๒โดยมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความท้าทายต่างๆเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงส่งเสริมสิทธิมนุษยชนตลอดจนดำเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่มวลมนุษยชาติ วันสหประชาชาติในปีนี้มีความสำคัญเนื่องจากครบรอบ๗๕ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าความร่วมมือร่วมใจของรัฐสมาชิกเป็นหนทางที่จะนำพวกเราไปสู่การหลุดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆได้อย่างยั่งยืนและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปในบริบทของความท้าทายใหม่ๆที่นับวันจะทวีความซับซ้อนและมีพลวัตที่ผันแปร ประเทศไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๘๙และจะครบรอบ๗๕ปีของการเป็นสมาชิกในปีหน้าที่ผ่านมาไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคีนิยมและสนับสนุนสหประชาชาติโดยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแบ่งปันแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศผ่านเวทีระหว่างประเทศต่างๆโดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอันล้ำค่าของเรารวมถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมซึ่งประเทศต่างๆชื่นชมไทยในประเด็นเหล่านี้ ผมเชื่อมั่นว่าความมุ่งมั่นของไทยที่จะต่อยอดความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศการมีส่วนร่วมของประชาชนและหุ้นส่วนต่างๆในการสนับสนุนพันธกิจของไทยในสหประชาชาติจะส่งเสริมให้ไทยมีบทบาทที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสหประชาชาติสู่การบรรลุเป้าประสงค์ใน๓เสาหลักด้านการรักษาสันติภาพและความมั่นคงการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาผมได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญครั้งที่๗๔ซึ่งปีนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำทั่วโลกเข้าร่วมการประชุมแบบทางไกลผมได้กล่าวถ้อยแถลงในการอภิปรายทั่วไปโดยย้ำถึงความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐสมาชิกในการฟันฝ่าความท้าทายต่างๆพร้อมย้ำว่าวัคซีนและยารักษาโควิด-๑๙ต้องเป็นสินค้าสาธารณะของโลกที่ทุกประเทศจะต้องมีสิทธิในการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกันซึ่งสหประชาชาติจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ในการประชุมระดับสูงเพื่อฉลองการครบรอบ๗๕ปีของสหประชาชาติผมได้ย้ำบทบาทของไทยในการส่งเสริมภารกิจของสหประชาชาติในทั้งสามเสาหลักและในการประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในช่วงสัปดาห์เดียวกันผมแจ้งว่ารัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว ที่สำคัญไทยเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนความร่วมมือส่วนภูมิภาคและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลไกพหุภาคีมีเป้าหมายเดียวกัน ในโอกาสวันสหประชาชาติปี๒๕๖๓นี้ผมขอย้ำว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนสหประชาชาติและทำงานร่วมกันกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อให้โลกของเรากลับมาดีขึ้นกว่าเดิมเปี่ยมไปด้วยความผาสุกและมีการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้เป็นโลกที่น่าอยู่สำหรับพวกเราและอนุชนคนรุ่นหลังต่อไปสุดท้ายนี้ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนไทยทุกคน ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 มท.1 ลงพื้นที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน มท.1 ลงพื้นที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน วันนี้ (24 ต.ค. 63) เวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมจามเทวี ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดลำพูน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า การดำเนินงานคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด เป็นการติดตามการขับเคลื่อนงานตามแผนงานของทุกส่วนราชการในจังหวัด โดยมุ่งเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชนและภาควิชาการในการร่วมเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนงานยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดที่สอดคล้องตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติลงสู่แผนงานระดับพื้นที่ รวมถึงการนำเสนอแผนจากระดับล่าง ตั้งแต่แผนหมู่บ้านขึ้นสู่ระดับนโยบาย เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดตามความต้องการของประชาชน และแผนงานที่กำหนดไว้สามารถขับเคลื่อนได้ตามวัตถุประสงค์ของแผนงาน/โครงการ นายวรยุทธ เนาวรัตน์ กล่าวว่า จังหวัดลำพูน มีพื้นที่ประมาณ 4,505.88 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ จำนวนประชากร 402,363 คน 177,017 ครัวเรือน โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการเป็น "เมืองแห่งความสุข บนความพอเพียง" โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมืองหัตถนวัตกรรมสร้างสรรค์ เมืองเกษตรสีเขียว เมืองจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์วัฒนธรรม และเมืองแห่งคุณภาพชีวิต นายสรสิทธิ์ ชลิศราพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน นำเสนอประเด็น "การบริหารจัดการน้ำเพื่อการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของจังหวัดลำพูน" ได้แก่ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในนิคมอุตสาหกรรม การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค และการต่อยอดขยายผลโครงการชุมชนพัชรธรรม ฟื้นฟูจิตวิญญาณลุ่มน้ำกวง โดยในระยะเร่งด่วน ควรดำเนินการขุดลอกแก้มลิงในลำน้ำกวง ความจุ 600,000 ลูกบาศก์เมตร งบประมาณ 10 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจโดยโครงการชลประทานลำพูน เพื่อเพียงพอต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำของจังหวัดลำพูน นายณรงค์ ธรรมจารี ประธานหอการค้าจังหงัดลำพูน นำเสนอประเด็น "แนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืน" ในพื้นที่ดอยขะม้อ ต.มะเขือแจ้ อ.เมืองลำพูน และพื้นที่บ้านก้อแซนด์บ๊อกซ์ ต.ก้อ อ.ลี้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การลงทุน และสุขภาพของประชาชนชาวลำพูน โดยแก้ปัญหาด้วยการสร้างความตระหนัก การมีส่วนร่วมของประชาชน การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลในพื้นที่ระดับจังหวัดลำพูน จะได้ติดตาม เร่งรัด การแก้ไขปัญหาทั้งสองประเด็นดังกล่าว และขอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดลำพูน เร่งดำเนินการสำรวจปัญหาความต้องการของประชาชนเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่กับสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งจะได้มีการติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป https://youtu.be/1eb5VBopCzk
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36190
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 มท.1 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ มท.1 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้ (24 ต.ค. 63) เวลา 17.00 น. ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบในการกำกับ ติดตาม เร่งรัด การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ ผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด ซึ่งในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันนี้เป็นการติดตามการขับเคลื่อนงานตามแผนงานของส่วนราชการในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนงานยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดที่ได้จัดทำคำของบประมาณและได้รับการจัดสรรงบประมาณตามที่ได้บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดตามความต้องการของประชาชน และสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนงานที่กำหนดไว้ทุกระดับ เพื่อสามารถขับเคลื่อนได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ประมาณ 20,107.057 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 13,865,388.61 ไร่ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของภาคเหนือ และเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา จำแนกเป็นพื้นที่ป่าไม้ 69.92% (8,787,656 ไร่) พื้นที่ทางการเกษตร 12.82% (1,835,425 ไร่) พื้นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ 17.26% (2,167,971 ไร่) แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ 204 ตำบล และ 2,066 หมู่บ้าน มีประชากร จำนวน 1,734,320 คน แบ่งเป็นเพศชายจำนวน 864,364 คน และเพศหญิงจำนวน 869,956 คน นายธัญญานุภาพ อานันทนะ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอแนวทางขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดเชียงใหม่ 3 ประเด็น คือ 1) การเพิ่มพลังการบริโภคและใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่ (Chiangmai's Consumption Power-up) ด้วยการสร้างแรงดึงดูดเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ชวนอยู่เชียงใหม่ให้นานขึ้น เร่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจ และจ้างงานและสร้างอาชีพ 2) การเตรียมพร้อมจัดการสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 โดยตั้งเป้าหมายลดจุด Hotspot/พื้นที่เผาไหม้ ลงร้อยละ 25 ด้วยการจัดทำแผนระดับหมู่บ้าน และแผนบริหารจัดการไฟฟ้าระดับจังหวัด และการกำหนดพื้นที่ Certified Safe Zone เป็นต้น และ 3) การสร้างความสามัคคีปรองดองภายในจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านกิจกรรมสำนักวัฒนธรรมเชียงใหม่ และกิจกรรมจิตอาสา นอกจากนี้ ได้นำเสนอความจำเป็นของเชียงใหม่ในระยะต่อไป ได้แก่ รถไฟฟ้าเชียงใหม่ ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 การเชื่อมโยงเมืองเก่าและเมืองใหม่ และส่วนต่อขยายอาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ นายณรงค์ ตนานุวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดเชียงใหม่ ผ่านการจัดงานพืชสวนโลก 2563 (Chaingmai Flower Expo 2020) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการท่องเที่ยว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด จังหวัดเชียงใหม่ ทุกคนที่ได้ร่วมกันจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลในพื้นที่ระดับจังหวัดเชียงใหม่ จะได้กำกับ ติดตาม เร่งรัด ข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ต่อไป ทั้งนี้ ขอให้เร่งจัดทำข้อเสนอผ่านช่องทางคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) มายังกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งพิจารณาให้การสนับสนุน ซึ่งจะได้มีการติดตามผลการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในโอกาสถัดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.สวรรค์ประชารักษ์ พัฒนาเวรเปลออนไลน์ ส่งผู้ป่วยถูกคน ถูกที่ ทันเวลา
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 รพ.สวรรค์ประชารักษ์ พัฒนาเวรเปลออนไลน์ ส่งผู้ป่วยถูกคน ถูกที่ ทันเวลา รพ.สวรรค์ประชารักษ์ เขตสุขภาพที่ 3 พัฒนาระบบเวรเปลออนไลน์ ส่งผู้ป่วยถูกคน ถูกที่ ทันเวลา เจ้าหน้าที่เวรเปลเดินน้อย ได้งานเพิ่มจาก 380 เที่ยวต่อวัน เพิ่มเป็น 700 เที่ยวต่อวัน เวลารอคอยส่งผู้ป่วยกลับบ้านลดลงจาก 87 น. เหลือ 34 น. โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ เขตสุขภาพที่ 3 พัฒนาระบบเวรเปลออนไลน์ ส่งผู้ป่วยถูกคน ถูกที่ ทันเวลา เจ้าหน้าที่เวรเปลเดินน้อย ได้งานเพิ่มจาก 380 เที่ยวต่อวัน เพิ่มเป็น 700 เที่ยวต่อวัน เคลียร์จบในบ่าย 3 โมง เวลารอคอยส่งผู้ป่วยกลับบ้านลดลงจาก 87 นาทีเหลือ 34 นาที แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ได้นำเสนอนวัตกรรมระบบเวรเปลออนไลน์ ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2563 ซึ่งเกิดจากการระดมสมองผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ป่วย เจ้าหน้าที่เวรเปล และเจ้าหน้าที่ผู้ขอใช้บริการ เพื่อแก้ไขปัญหาการรับส่งผู้ป่วยผิดคน ส่งผิดที่ รอนาน และส่งไม่ทันเวลา จากจำนวนผู้ป่วยที่ต้องใช้เปลนอน/รถนั่งเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่เวรเปลมีจำนวนไม่เพียงพอ ตั้งเป้าหมายผู้ป่วยจะต้องถูกคน ถูกที่ ทันเวลา เจ้าหน้าที่เวรเปลจะต้องเดินน้อย แต่ได้งานเยอะ เจ้าหน้าที่ผู้ขอใช้บริการใช้งานง่าย ตรวจสอบง่าย โดยเพิ่มระบบเวรเปลออนไลน์พัฒนาต่อยอดในแอปพลิเคชัน SPR Care ซึ่งเป็นแอปพลิเคชัน back office ของโรงพยาบาล ที่ใช้สำหรับการบันทึกวันลา การสแกนเข้างาน ซึ่งผลการดำเนินงานพบว่าได้ผลดี พนักงานเวรเปลไม่เกิดความผิดพลาดในการรับส่ง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งความรวดเร็ว และปริมาณงาน นายแพทย์ชนินทร์ จารุวัฒนมงคล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ กล่าวว่า หลังจากใช้ระบบเวรเปลออนไลน์ พบว่าได้ผลดี ไม่เกิดความผิดพลาดในการรับส่ง จากเดิมที่เคยส่งผิดคนผิดที่เฉลี่ยเดือนละ 8 ครั้ง ช่วยให้ทำงานได้เพิ่มขึ้นเป็น 600-700 เที่ยวต่อวัน เสร็จสิ้นภายใน 15.00 น. ขณะที่ระบบเดิมที่ใช้การจดบันทึกในสมุดที่มีประมาณ 380 เที่ยวต่อวัน จะเหลืออีกประมาณ 20 เที่ยวที่ต้องจัดเจ้าหน้าที่นอกเวลาช่วง 16.00-18.00 น. และทำให้ผู้ป่วยรับบริการเร็วขึ้น เช่นผู้ป่วยรอกลับบ้านที่จะลำดับบริการไว้หลังสุดใช้เวลารอเฉลี่ย 87 นาที หลังใช้ระบบออนไลน์เหลือเวลารอคอย 34 นาที หรือกรณีผู้ป่วยหนักเร่งด่วน เดิมส่วนใหญ่ต้องรอเวรเปลเกิน 10 นาที ใช้เวลาลดลงเหลือน้อยกว่า 5 นาที ทั้งนี้ การใช้งานระบบเวรเปลออนไลน์ พยาบาลที่ขอใช้เวรเปลจะเข้าแอปพลิเคชัน SPR Care ใส่ HNของผู้ป่วย ระบุใบงานให้ชัดเจนว่า จะขอส่งไปทำอะไร ที่ไหนอย่างไร และบันทึก งานจะถูกส่งเข้ามายังศูนย์จ่ายงานเวรเปลซึ่งจะเห็นสถานะของเจ้าหน้าที่เวรเปลแบบเรียลไทม์ ที่ว่างและอยู่ใกล้งานนั้นที่สุด เพื่อจ่ายงานนั้นให้ ทำให้เจ้าหน้าที่เวรเปลไม่ต้องเสียเวลาและกำลังในการเดินกลับมาที่ศูนย์จ่ายงาน ผู้ป่วยได้รับบริการเร็วขึ้น ด้านเจ้าหน้าที่เวรเปลเมื่อได้รับการแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันจะกดรับทราบ ใบงานก็จะแสดงขึ้นมา เมื่อไปถึงตัวผู้ป่วยจะสแกนคิวอาร์โค้ดบนป้ายข้อมือผู้ป่วย ตรวจสอบความถูกต้องว่ารับถูกคนหรือไม่ หากถูกต้องให้กดยืนยัน หากไม่ถูกก็จะแจ้งเตือนว่าไม่ถูกคน เมื่อไปถึงจุดหมายจะสแกนส่งตัว และกดยืนยันการส่งได้ หากส่งผิดที่จะมีการแจ้งเตือน เมื่อทำครบกระบวนการก็ถือเป็นการปิดงาน 1 งาน หากมีงานที่เกิดขึ้นใกล้กัน ศูนย์ฯ เห็นสถานะว่าว่างแล้วก็จะส่งงานใหม่ให้ ทำให้ไปรับผู้ป่วยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ******************************************24 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-23 ตุลาคม วันปิยมหาราช น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ปวงข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36184
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงสาธารณสุข น้อมนำไปถวายพระสงฆ์ ณ วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงสาธารณสุข น้อมนำไปถวายพระสงฆ์ ณ วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงสาธารณสุข น้อมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงสาธารณสุข น้อมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดเขาแก้ววรวิหาร อ.เสาไห้ จ.สระบุรี เพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พร้อมมอบยาตำราหลวง ตู้ยา และทุนการศึกษาแก่โรงเรียนในความอุปถัมภ์ของวัดเขาแก้ววรวิหาร วันนี้ (24 ตุลาคม 2563) ที่วัดเขาแก้ววรวิหาร ต.ต้นตาล อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2563 โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ พุทธศาสนิกชน ร่วมพิธี ดร.สาธิต กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงสาธารณสุข น้อมนำไปถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดเขาแก้ววรวิหาร อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี เพื่อสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนิกชนในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และบำรุงพระอาราม มีผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมทำบุญสมทบถวายผ้าพระกฐินพระราชทานเป็นเงินทั้งสิ้น 1,361,999 บาท (หนึ่งล้านสามแสนหกหมื่นหนึ่งพันเก้าสิบเก้าบาทถ้วน) และมอบตู้ยา ยาตำราหลวง และทุนการศึกษาให้แก่โรงเรียนในอุปถัมภ์จำนวน 5 โรงเรียน ๆ ละ 5,000 บาท ได้แก่ 1.โรงเรียนวัดต้นตาล 2.โรงเรียนปริยัติเขาแก้ววรวิหาร 3.โรงเรียนวัดพระยาทด 4.โรงเรียนวัดโพธิ์นาควิทยานุสรณ์ 5.โรงเรียนเสาไห้วิมลวิทยานุกูล และวงดุริยางค์โรงเรียนเสาไห้วิมลวิทยานุกูล 5,000 บาท สำหรับเครื่องพระกฐินพระราชทานประจำปีพุทธศักราช 2563 ประกอบด้วย 1.เครื่องสักการะบูชา ได้แก่ ผ้าห่มพระประธาน 1 ผืน เทียนพระปาติโมกข์ 1 ชุด 2.องค์พระกฐิน ได้แก่ ไตรจีวร บาตรอย่างดีพร้อมถุงบาตร โคมไฟตั้งโต๊ะ ช้อนส้อมคาว-หวานพร้อมซองบรรจุ ปิ่นโตสแตนเลส กระติกน้ำไฟฟ้า ขนาดบรรจุ 2.5 ลิตร พรม หมอนหนุนพร้อมปลอกหมอนสีเหลือง ผ้าแพรสีเหลือง อย่างละ 1 ชุด 3.เครื่องมือโยธา ได้แก่ ชุดอุปกรณ์เครื่องมืองานช่างทั่วไป 1 กล่อง ประกอบด้วย ไขควง ค้อน คีม วัดเขาแก้ววรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอ 6 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 24 ไร่ 3 งาน 75 ตารางวา ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ มีลักษณะรูปทรงกลม เป็นหินปูนสูงจากพื้นล่าง 15 เมตร เป็นวัดราษฎร์สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถขึ้นใหม่ มีลักษณะทรงไทย ฐานประดับด้วยสิงห์ปูนปั้น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย โบราณสถานประกอบด้วย พระเจดีย์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุสาวก พระพุทธบาทจำลอง พระปรางค์ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอระฆัง ศาลาทับบุญอนุสรณ์ (หลวงพ่อสร้อยวิจาโร) กุฎีสงฆ์ เมรุ ศาลาธรรมสังเวช ปัจจุบันท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิโสภณ เจ้าคณะอำเภอเสาไห้ เป็นเจ้าอาวาส วัดเขาแก้ววรวิหาร มีพระจำพรรษา 13 รูป เณร 8 รูป รวม 21 รูป วัดแห่งนี้ยังมีคำร่ำลือกันว่าบางวันจะมีคนเห็นดวงแก้วเหนือวิหาร เชื่อกันเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในองค์พระเจดีย์ ******************************************24 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ วันนี้ (24 ต.ค.63) เวลา 19.00 น. ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม พระธรรมรัตนากร เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และพระเถรานุเถระ ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และพุทธศาสนิกชนร่วมในพิธีจำนวนมาก สำหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย ผ่านพ้นอุปสรรคและอันตรายทั้งปวง โดยใช้บทเจริญพระพุทธมนต์ที่ใช้ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ใช้เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งประยุกต์มาจากพิธีพราหมณ์กับพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อป้องกันภัยพิบัติและอุปัทวันตรายทั้งปวง อีกทั้ง ให้เกิดความสุข ความสามัคคี ความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและประเทศชาติ ----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36189
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 เป็นประธานเปิดสัมมนาวิชาการ “พลังอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เน้นย้ำ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 มท.1 เป็นประธานเปิดสัมมนาวิชาการ “พลังอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เน้นย้ำ มท.1 เป็นประธานเปิดสัมมนาวิชาการ “พลังอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เน้นย้ำ "ต้องบูรณาการทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการทำงานโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" วันนี้ (24 ต.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาทางวิชาการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัยและส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เรื่อง “พลังอุดมศึกษากับการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” และบรรยายพิเศษพร้อมมอบนโยบายเรื่อง "การพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ศาสตราจารย์ ดร. สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ลำปาง ตาก พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ผู้บริหารที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักบริหารมหาวิทยาลัยสายวิชาการระดับสูง (นบม.) และนักศึกษา ร่วมรับฟัง จำนวน 200 คน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า การบริหารราชการของรัฐบาล “รวมไทยสร้างชาติ” เป็นนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวทางการดำเนินงาน คือ "ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานแบบใหม่ (New Normal)" โดยดึงทุกภาคส่วนและทุกระดับในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทในการช่วยกำหนดอนาคตของประเทศ "ประเมินผลงานภาครัฐ" โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐว่าสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ และ "ปรับการทำงานเชิงรุก" กำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงแนวคิดขับเคลื่อน “ไทยไปด้วยกัน” เพื่อให้เกิดการติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือเยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ เริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ตอบสนองความต้องการของประชาชน และสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้เห็นความจำเป็นในการร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ "ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการทำงานโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" ถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันและประชาชนมีส่วนร่วมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในประเทศก็จะบรรลุผล พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า ในสภาวะปัจจุบันมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของโลกในหลายด้าน เช่น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างพลิกผัน (Disruption) การเข้าสู่โลกดิจิทัล สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องเร่งพัฒนาการศึกษาวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ดังกล่าว เพื่อนำมาสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และกำหนดแนวปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ ในด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการพัฒนาระดับพื้นที่ ต้องมีความสอดคล้องกันตั้งแต่แผนพัฒนาหมู่บ้าน ตำบล ท้องถิ่น ให้มีความเชื่อมโยงจากล่างขึ้นไปถึงระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค และระดับชาติ และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และอื่น ๆ ในลักษณะ Bottom-up Approach พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาควิชาการ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และทิศทางการพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมาย โดยอาศัยสถาบันอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากำลังคนในศตวรรษที่ 21 ที่ตอบโจทย์การพัฒนาของประเทศ งานวิจัยที่สามารถนำไปสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ท้ายที่สุดนี้ ความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้ คือ การเปิดพื้นที่รับฟัง เน้นการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ส่งผลให้การพัฒนาพื้นที่ และพัฒนาประเทศ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และเกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน จากนั้น ในเวลา 12.00 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียคลองแม่ข่า ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ https://youtu.be/Bh0R9n2muuA
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสหประชาชาติ ย้ำไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคีนิยม และพร้อมสนับสนุนเวทีสหประชาชาติ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสหประชาชาติ ย้ำไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคีนิยม และพร้อมสนับสนุนเวทีสหประชาชาติ นายกฯ กล่าวคำปราศรัยวันสหประชาชาติ ย้ำไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคีนิยม และพร้อมสนับสนุนเวทีสหประชาชาติ วันนี้ (24 ต.ค.63) เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวคำปราศรัยผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยอันจะสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของสหประชาชาติให้ประชาชนชาวไทย เนื่องในวันสหประชาชาติ ประจำปี 2563 โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันที่ 24 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันสหประชาชาติ คือวันแห่งการก่อตั้งองค์การสากลระหว่างประเทศที่มีความสำคัญที่สุด มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ เสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคง ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนดำเนินงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งในปีนี้เป็นวาระครบรอบ 75 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ โดยที่ผ่านมา ไทยยึดมั่นในระบบพหุภาคีนิยมและสนับสนุนสหประชาชาติ โดยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแบ่งบันแนวปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของหลักปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุม ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ไทยมุ่งมั่นที่จะต่อยอดความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ จะส่งเสริมให้ไทยมีบทบาทที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ เป็นกำลังสำคัญในสหประชาชาติเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ใน 3 เสาหลัก 1.การรักษาสันติภาพและความมั่นคง 2.การพัฒนาอย่างยั่งยืน และ 3.การส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 74 ผ่านการประชุมทางไกล และได้ย้ำว่า วัคซีนและยารักษาโควิด-19 ต้องเป็นสินค้าสาธารณะของโลกที่ทุกประเทศจะต้องมีสิทธิในการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงบทบาทของไทยที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) หรือ BCG และมุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์เพื่อสนับสนุนสหประชาชาติและทำงานร่วมกันกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อให้โลกของเรากลับมาดีขึ้นกว่าเดิม และมีการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นโลกที่น่าอยู่สำหรับทุกคนและอนุชนคนรุ่นหลังต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้บาดเจ็บจากกรณีท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ รักษาตัวอยู่ในรพ. 24 ราย กลับบ้านได้ 38 ราย
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 สธ.เผยผู้บาดเจ็บจากกรณีท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ รักษาตัวอยู่ในรพ. 24 ราย กลับบ้านได้ 38 ราย กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ กรณีท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในรพ. 24 ราย กลับบ้านได้แล้ว 38 ราย เบื้องต้นตรวจสอบคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ กรณีท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในรพ. 24 ราย กลับบ้านได้แล้ว 38 ราย เบื้องต้นตรวจสอบคุณภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน วันนี้ (24 ตุลาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ได้รับรายงานจาก นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 6 ถึงกรณีเหตุการณ์ท่อส่งแก๊สระเบิดในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) ที่จังหวัดสมุทรปราการ นั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและได้รับบาดเจ็บ 62 ราย ขณะนี้กลับบ้านได้แล้ว 38 ราย บาดเจ็บและรับการรักษาอยู่ 24 รายโดยแบ่งอาการตามระดับความรุนแรง สีแดงจำนวน 6 ราย (ใส่ท่อช่วยหายใจ 4 ราย) สีเหลือง 9 ราย และสีเขียว 9 ราย ซึ่งทั้งหมดเข้ารับการรักษารพ.ในพื้นที่ และส่งต่อไปยังรพ.จังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ 1. โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 เป็นเพศชาย 1 ราย เพศหญิง 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีเขียว 2. โรงพยาบาลบางบ่อ เป็นเพศชาย 1 ราย เพศหญิง 2 ราย อาการอยู่ในระดับสีเหลือง 3. โรงพยาบาลรามาธิบดี วิทยาเขตพญาไท เป็นเพศหญิง 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 4. โรงพยาบาลพุทธโสธร เป็นเพศชาย 3 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 1 ราย,สีเหลือง 2 ราย 5. โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เป็นเพศชาย 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 6. โรงพยาบาลไทยนครินทร์ เป็นเพศชาย 2 ราย เพศหญิง 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 1 ราย ,สีเหลือง 2 ราย 7. โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ เป็นเพศชาย 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 8. โรงพยาบาลลาดกระบัง เป็นเพศชาย 3 ราย เพศหญิง 3 ราย อาการอยู่ในระดับสีแดง 1 ราย,สีเหลือง 1 ราย,สีเขียว 4 ราย 9. โรงพยาบาลสิรินธร เป็นเพศชาย 1 ราย อาการอยู่ในระดับสีเหลือง 10. โรงพยาบาลรวมชัยประชารักษ์ เป็นเพศชาย 1 ราย เพศหญิง 2 ราย อาการอยู่ในระดับสีเขียว นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอย่างเต็มที่ รวมทั้งส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สอบสวนโรค คัดกรองสุขภาพประชาชน และตรวจคุณภาพอากาศ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าพื้นที่นั้นปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสุขภาพประชาชน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และแพทย์อาชีวเวชศาสตร์จากโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ลงพื้นที่สอบสวนเพื่อเฝ้าระวังและคัดกรองสุขภาพประชาชน ในพื้นที่จุดเกิดเหตุตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พบว่าส่วนใหญ่มีอาการแสบตา แสบคอ แสบจมูก เท้าบวม และมีอาการแสดงเล็กน้อย อาทิ เหนื่อยง่าย ปวดศรีษะ คัดจมูก มีผื่นแดง คันตามร่างกาย นอกจากนี้ยังได้ลงพื้นที่ตรวจวัดคุณภาพอากาศจำนวน 5 จุด ได้แก่ 1.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านตะวันใหม่ 2.โรงเรียนเปร็งวิสุทยาธิบดี 3.อบต.เปร็ง 4.บ้านเลขที่ 114/1 หมู่ 4 ตำบลเปร็ง และ5. วัดเปร็ง ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร โดยเครื่องตรวจวิเคราะห์คุณภาพอากาศภายในอาคารแบบอ่านค่าโดยตรง (IAQ) ตรวจวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซฟอร์มัลดีไฮด์ ไฮโดรเจนซัลไฟล์ ก๊าซโอโซน ฝุ่น PM10 และ ฝุ่น PM2.5 พบว่าไม่เกินค่ามาตรฐานในทุกจุดตรวจวัด (อ้างอิงตามมาตรฐานคุณภาพภายในอาคารประเทศสิงคโปร์ 2009 ) และผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายนอกอาคาร โดยเครื่องมือตรวจวัดปริมาณแก๊สในอากาศ ตรวจวัดเบนซีน, เอทิลีน, โทลูอีน, ไซลีน, สไตรีน พบว่าทั้ง 5 จุดปริมาณสารเคมีดังกล่าว ไม่เกินค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจ ระดับ 1 ตามประกาศกรมควบคุมมลพิษเรื่องค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจแบบเฉียบพลัน *********************24 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี สั่งเดินหน้า 3 แนวทางเร่งจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้คนไทย ยืนยันประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี สั่งเดินหน้า 3 แนวทางเร่งจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้คนไทย ยืนยันประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก นายกรัฐมนตรี สั่งเดินหน้า 3 แนวทางเร่งจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้คนไทย ยืนยันประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก (24 ตุลาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เร่งรัดให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาวัคซีนโควิด 19 เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนใช้ในเวลาใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท ให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติแล้วโดยขณะนี้ได้ทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ผ่านการดำเนินการ 3 แนวทาง ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองภายในประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 400 ล้านบาท) 2) การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ (รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแล้ว 600 ล้านบาท) และ 3) การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การวิจัยและพัฒนาวัคซีนเองในประเทศไทย แนวทางแรกนี้เป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มโอกาสความสำเร็จในการมีวัคซีนป้องกันโควิด 19 ใช้ ในภาวะที่มีความต้องการใช้วัคซีนสูง ในขณะที่การผลิตในช่วงแรกอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรโลก ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนในประเทศไทยที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด และอยู่ระหว่างเตรียมเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 1 ได้แก่ วัคซีนชนิด mRNA ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วัคซีนชนิด DNA โดย บริษัท ไบโอเนท-เอเซีย จำกัด และ วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดโปรตีนจากพืช โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งผู้วิจัยได้เข้าหารือกับหน่วยงานด้านควบคุมกำกับคุณภาพวัคซีนของประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ดำเนินอยู่บนกฎเกณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และอยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือหรือพัฒนาศักยภาพในด้านการขยายขนาดการผลิต เพื่อทำการผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในมนุษย์ ตามแผนที่วางไว้คือ ในไตรมาสแรกของปี 2564 2. การทำความร่วมมือวิจัยและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศ แนวทางนี้เป็นการเจรจาเพื่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด 19 จากผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 และวัคซีนมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จทั้งในเอเชียและยุโรป เช่น บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ที่มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด โดยเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมาได้มีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ในการผลิตและจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ร่วมกับบริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด ระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่สำคัญ ดังนี้ คือ กระทรวงสาธารณสุข, บริษัทสยาม ไบโอไซเอนซ์ จำกัด, บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด และ บริษัท แอสตราเซเนกา จำกัด โดยขอบข่ายของหนังสือแสดงเจตจำนงครอบครอบคลุมถึงความร่วมมือ ในด้านการพัฒนาศักยภาพการผลิตวัคซีนของหน่วยงานภายในประเทศ โดยให้บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด 19 แห่งหนึ่งของบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด และมีการตกลงที่จะยอมรับความเสี่ยงในการผลิตร่วมกัน รวมทั้งการประสานกับหน่วยงานควบคุมกำกับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีนได้ ทั้งนี้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด คือ บริษัทผู้ผลิตยาชีววัตถุผ่านเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งเดียวของคนไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คิดค้น พัฒนา ผลิตวัตถุดิบยา ผลิตยา บรรจุยา และจัดจำหน่ายยาชีววัตถุ ตั้งแต่ก้าวแรกของการผลิตจนนำส่ง โดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบยาจากภายนอกก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2552 เพื่อสานต่อพระราชปณิธานใน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงริเริ่มเรื่องการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพของคนไทยไว้ ตามพระราชดำรัสที่เคยพระราชทานไว้ว่า “ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง” แนวทางนี้มีการเจรจาเพื่อให้เกิดการลงนามความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทแอสตราเซเนกา จำกัด ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 เพื่อเตรียมการจัดหาวัคซีนจำนวน 26 ล้านโด๊ส (ร้อยละ 20 ของประชากร) ให้แก่ประชากรไทย ขณะนี้ ทุกภาคส่วนได้เร่งดำเนินการเจรจาต่อรองในประเด็นสำคัญ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 3. การจัดซื้อ จัดหาวัคซีนด้วยการนำเข้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศแนวทางนี้เป็นการจองล่วงหน้าผ่าน COVAX Facility และการตกลงแบบทวิภาคี ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งหนังสือแสดงเจตนารมณ์เข้าร่วมใน COVAX facility เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 และได้มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติร่วมกับกรมควบคุมโรค กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีนในประเทศ เร่งประสานความร่วมมือ เพื่อให้ประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ได้ นายอนุชา กล่าวย้ำว่า “รัฐบาลโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้กับประชากรไทยในทุกช่องทาง เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้โดยเร็วที่สุด” -----------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36178
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​‘ก.แรงงาน’ จับมือ ‘หัวเว่ย’ สร้างแรงงานดิจิทัล สู่การขับเคลื่อนประเทศยุค 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 ​‘ก.แรงงาน’ จับมือ ‘หัวเว่ย’ สร้างแรงงานดิจิทัล สู่การขับเคลื่อนประเทศยุค 4.0 ‘นฤมล’ มอบ กพร. ร่วมกับ บ.หัวเว่ย สร้างแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลป้อนตลาดแรงงาน สู่การขับเคลื่อนประเทศยุค 4.0 เน้นย้ำ ให้คนไทยมีงานทำ มีฝีมือที่ได้มาตรฐาน เพื่อเดินหน้าประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันที่ 22 ตุลาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือสูงขึ้น ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงานด้านดิจิทัล รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในอนาคต และประเทศไทย 4.0 โดยมีนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และนายเทา หลิว รองกรรมการผู้จัดการบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ลงนาม มีนายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย ประเทศไทย และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธีฯ ณ อาคาร จีทาวเวอร์ ชั้น 39 กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวว่า รัฐบาลโดยการนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในทุก ๆ มิติ สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะต้องได้รับการปฏิรูปไปควบคู่กัน ซึ่งการสร้างแรงงานที่จะมีความรู้ด้านเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านดิจิทัล จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายของไทยแลนด์ 4.0 ได้ นอกจากนั้นท่านนายกฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาฝีมือแรงงานในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานปรับตัวจากกระทรวงทางสังคมสู่การเป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ สอดคล้องกับภารกิจหลักของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ในการพัฒนาและยกระดับฝีมือให้แก่กำลังแรงงานให้มีความรู้และทักษะฝีมือที่สูงขึ้น สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ การลงนามความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงาน มีเป้าหมายในการบูรณาการภารกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนาบุคลากรฝึกของ กพร. นำไปขยายผลให้ความรู้แก่แรงงานในแต่ละพื้นที่ต่อไป นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร ของหัวเว่ย ประเทศไทย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาสามปีข้างหน้า จะร่วมกันสร้างโอกาสการเรียนรู้และจัดการฝึกอบรมที่เน้นการพัฒนาทักษะแรงงาน รวมไปถึงการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงาน (ReSkill) และการยกระดับทักษะเดิมให้ดียิ่งขึ้น (UpSkill) เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน ช่วยลดอัตราการว่างงาน เพิ่มรายได้แรงงานไทย และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรให้ดีขึ้น พัฒนาด้านดิจิทัลให้แข็งแกร่ง เพิ่มจำนวนแรงงานที่มีทักษะสูงให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 “เราเชื่อมั่นว่าแรงงานที่แข็งแกร่งและมีทักษะสูง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมไอซีที จะเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลได้สำเร็จ หัวเว่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ และช่วยพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายเติ้ง กล่าว ในวันนี้ ยังได้จัดพิธีมอบวุฒิบัตรให้แก่ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมอาชีพเสริม สาขาการติดตั้งระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ 4G และ 5G รุ่นแรก ที่ได้ผ่านการฝึกอบรมเป็นเวลา 18 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม ที่ผ่านมา การจัดฝึกอบรมดังกล่าว เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องภายใต้ความร่วมมือนี้ ตั้งเป้าที่จะฝึกอบรมให้แก่ผู้ที่สนใจ จำนวน 300 คน ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยครอบคลุมหัวข้อหลัก ๆ อาทิ เครือข่าย 4G และ 5G รวมไปถึงการลงพื้นที่จริง ณ สถานีฐาน (Base Station) อีกด้วย นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าฝึกอบรมให้กับบุคลากรฝึกของกรม จำนวน 120 คน และฝึกอบรมหลักสูตรออนไลน์ให้แก่บุคคลทั่วไปจำนวน 3,000 คน ซึ่งภายหลังการฝึกอบรมครบตามข้อกำหนด ผู้จบหลักสูตรจะได้รับวุฒิบัตรรับรองทักษะความรู้ที่สามารถนำไปเป็นหลักฐานในการ สมัครงานและยกระดับการประกอบอาชีพในอนาคต “ขอขอบคุณหัวเว่ย ที่ได้มาผนึกกำลังกับภาครัฐในวันนี้ ทั้งสองฝ่าย นับว่ามีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อพัฒนาบุคลากรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นำไปขยายผลและจัดโครงการให้ความรู้แก่แรงงานในแต่ละพื้นที่ต่อไป เรามุ่งมั่นที่จะกระตุ้นทั้งเศรษฐกิจและสังคมให้มีการเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อม ๆ ไปกับการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศไทย 4.0”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36152
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คลัง” กดปุ่มพัฒนาระยะแรกโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มอบกองทัพบกเข้าก่อสร้าง พ.ย.นี้ พร้อมเฉลิมพระเกียรติวันแม่ปี 64
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 “คลัง” กดปุ่มพัฒนาระยะแรกโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มอบกองทัพบกเข้าก่อสร้าง พ.ย.นี้ พร้อมเฉลิมพระเกียรติวันแม่ปี 64 “คลัง” ไฟเขียว กรมธนารักษ์-กองทัพบก ลงนามข้อตกลงโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มั่นใจ “เฟสแรก” ลุยปรับภูมิทัศน์-เพิ่มพื้นที่สีเขียวเต็มพื้นที่ก่อสร้างระยะแรกแล้วเสร็จ เพื่อเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง “คลัง” ไฟเขียว กรมธนารักษ์-กองทัพบก ลงนามข้อตกลงโครงการจัดสร้าง “สวนป่าเบญจกิติ” มั่นใจ “เฟสแรก” ลุยปรับภูมิทัศน์-เพิ่มพื้นที่สีเขียวเต็มพื้นที่ ก่อสร้างระยะแรกแล้วเสร็จ เพื่อเตรียมการ จัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ครั้งที่ 1/2563 ว่า ทาง กรมธนารักษ์ ได้รายงานความคืบหน้าการสร้างสวนป่าเบญจกิติ ในพื้นที่โรงงานยาสูบ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย ภายหลังการส่งมอบพื้นที่ 259 ไร่ เป็นที่เรียบร้อย โดยงบประมาณในการก่อสร้างกว่า 652 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยเตรียมลงนามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือในการดำเนินงานในวันที่ 26 ตุลาคม 2563 เพื่อดำเนินการก่อสร้างในโครงการทั้งหมด สำหรับแผนการพัฒนาโครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ โดยระยะ1 เริ่มเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นไปตามแนวทางการออกแบบทั้งหมด และปลูกต้นไม้เพิ่มในพื้นที่สีเขียว คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2564 เพื่อให้มีช่วงเวลาสำหรับเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ส่วนระยะ 2 ทางกองทัพบกจะเข้าไปก่อสร้างในส่วนของอาคารและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประชาชนเข้าชมได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2565 “ผมได้ย้ำให้ผู้ออกแบบดูเรื่องหอชมเมือง เพราะมีความจำเป็นมาก เนื่องจากจะเป็นDestination ของกรุงเทพฯ โดยให้เตรียมกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมไว้ก่อน ส่วนเรื่องงบประมาณทางรัฐบาลจะมาดูอีกครั้ง นอกจากนี้ได้กำชับให้กรมธนารักษ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบ หาแนวทางในการนำระบบโซลาร์เซลล์มาติดตั้งในพื้นที่สวนป่าโดยเฉพาะการผลิตพลังงานกังหันน้ำชัยพัฒนาเพื่อบำบัดน้ำเสีย จะมีการติดตั้งไว้ในบึงบริเวณพื้นที่โครงการ ขณะที่ระบบไฟฟ้าที่ใช้ส่องสว่างภายในสวนทั้งหมดจะมีการใช้ระบบโซลาร์เซลล์ด้วยเช่นกัน ถือเป็นการช่วยรักษาระบบนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายสันติ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36147
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรจับมือ ADB เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัล
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 สรรพากรจับมือ ADB เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัล กรมสรรพากรร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย พัฒนานวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัลภายใต้ชื่อ taxliteracy.academy โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ สร้างสรรค์และให้บริการคอนเทนต์ทางโซเชียลมีเดีย กรมสรรพากรร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย พัฒนานวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัลภายใต้ชื่อ taxliteracy.academy โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป ผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ สร้างสรรค์และให้บริการคอนเทนต์ทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Youtube และบุคคลทั่วไปที่มีความประสงค์ที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับภาษีและการประกอบธุรกิจ ณ ห้องประชุมพระอุเทน 1 ชั้น 2 กรมสรรพากร เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “วัตถุประสงค์ของการพัฒนานวัตกรรมนี้เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจทั่วไปโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และธุรกิจรายใหม่สามารถเข้าถึงความรู้ทางภาษีขั้นพื้นฐานได้โดยง่ายผ่านสื่อดิจิทัลที่รวดเร็ว สะดวก และสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ในวงกว้าง โดยปัจจุบันตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ได้เติบโตขึ้นเป็นช่องทางหลักของธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการรายเดิม และผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดในอนาคต การเป็นผู้ประกอบการ SMEs หรือ ผู้ประกอบรายใหม่ มีความท้าทาย และไม่ใช่เรื่องง่ายในการเข้าใจเรื่องภาษี กรมสรรพากรจึงได้ร่วมมือกับ ธนาคารพัฒนาเอเชีย พัฒนานวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัล ภายใต้ชื่อ taxliteracy.academy ที่ทันสมัย เข้าใจง่าย และตอบโจทย์ผู้เสียภาษี เพื่อให้เป็นสื่อในการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างผู้มีหน้าที่เสียภาษีกับกรมสรรพากรเพื่อส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการต่อไป สำหรับนวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัลนี้ เป็นกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ หรือ Experiential Learning ซึ่งแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ • การทดลองเล่น เลือกรูปแบบและเส้นทางการวางแผนภาษีสำหรับการประกอบธุรกิจของคุณผ่านการ ตอบคำถามง่ายๆ ในผลิตภัณฑ์การให้ความรู้ภาษี (Digital tax literacy product) สามารถย้อนกลับไป เลือกคำตอบได้ใหม่เมื่อเล่นจบ • การเรียนรู้ มีคำอธิบายและการเปรียบ เทียบระหว่างการเสียภาษี บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ระหว่างการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม • ความเข้าใจ คุณจะมีความรู้ความเข้าใจ เรื่องภาษี และการบริหารเงินสดในมือดีขึ้น พร้อมกับได้รับ tax checklist ไว้อ้างอิงในการวางแผนภาษีในอนาคต” นายฮิเดอะกิ อิวาซากิ ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า “ธนาคารพัฒนาเอเชียมีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนประเทศไทยในการเพิ่มทักษะความรู้ทางภาษีเบื้องต้นแก่กลุ่มเป้าหมายผู้เสียภาษี ผ่านความร่วมมือกับกรมสรรพากรในการพัฒนานวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัลดังกล่าว ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้ความช่วยเหลือทางวิชาการของธนาคารพัฒนาเอเชียเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง (financial inclusion) ที่ให้กับกระทรวงการคลัง โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก Japan Fund for Poverty Reduction นวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีดังกล่าวมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องภาษี ส่งผลให้เกิดการบริหารจัดการเงินสดและโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ดีขึ้นแก่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหม่ที่ประกอบธุรกิจค้าขายสินค้าและบริการทั่วไปและออนไลน์ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป” ผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้นวัตกรรมการให้ความรู้ทางภาษีในรูปแบบดิจิทัลได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ที่ www.taxliteracy.academy ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารภาษีธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โทร 02-2729821 หรือ email.sme@rd.go.th หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36149
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรม และศิลปะ ครั้งที่ ๙ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts: AMCA)
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรม และศิลปะ ครั้งที่ ๙ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts: AMCA) รมว.วธ.ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรม และศิลปะ ครั้งที่ ๙ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts: AMCA) วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรม และศิลปะ ครั้งที่ ๙ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts: AMCA) และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา หัวข้อ “ผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และหนทางต่อไปของภาควัฒนธรรมและศิลปะ” (Impact of COVID-19 & Way Forward for the Culture and Arts Sector) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยนายอิทธิพล คุณปลื้ม เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเซียน (AMCA) ครั้งที่ ๙ ในวาระที่ ๑ และวาระที่ ๒ การประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเซียนและประเทศ คู่เจรจา+๓ (AMCA+๓) ครั้งที่ ๙ และในเวลา ๑๓.๐๐ น. มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมการประชุมวาระที่ ๓ รัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเซียน และจีน (AMCA+China) ครั้งที่ ๕ การประชุมวาระที่ ๔ รัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเชียน และญี่ปุ่น (AMCA+Japan) ครั้งที่ ๔ และการประชุมวาระที่ ๕ รัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเซียน และสาธารณรัฐเกาหลี (AMCA+ROK) ครั้งที่ ๔ โดยมี นายดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ๊อก ฮอย (Dato Paduka Lim Jock Hoi) เลขาธิการอาเซียน นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรีทางด้านวัฒนธรรม และศิลปะระหว่างประเทศในอาเซียน และประเทศคู่เจรจา จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และผู้แทนของกระทรวงวัฒนธรรมประเทศไทย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36162
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้การดูแลผู้บาดเจ็บและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 สธ. ให้การดูแลผู้บาดเจ็บและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุท่อส่งแก๊สระเบิด จ.สมุทรปราการ กระทรวงสาธารณสุข ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุท่อแก็สระเบิดในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) จ.สมุทรปราการ และดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เบื้องต้นได้รับรายงานผู้บาดเจ็บ 51 ราย เสียชีวิต 3 ราย ตั้งจุดคัดกรอง และดูแลประชาชนที่ศูนย์อพยพที่ อบต.เป กระทรวงสาธารณสุข ดูแลผู้บาดเจ็บจากเหตุท่อแก็สระเบิดในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) จ.สมุทรปราการ และดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เบื้องต้นได้รับรายงานผู้บาดเจ็บ 51 ราย เสียชีวิต 3 ราย ตั้งจุดคัดกรอง และดูแลประชาชนที่ศูนย์อพยพที่ อบต.เปร็ง พร้อมสนับสนุนหน้ากากป้องกันแก๊ส และควันไฟ วันนี้ (22 ตุลาคม 2563) นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 6 กล่าวว่า บ่ายวันนี้ เกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้บริเวณท่อส่งแก๊สเป็นวงกว้างในชุมชนพื้นที่ ตำบลคลองสวนเปร็ง บ้านประกาศ และบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน เบื้องต้นได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ว่า ณ เวลา 16.30 น. เบื้องต้นมี ผู้เสียชีวิตรวม 3 ราย (เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ 1 ราย) ผู้บาดเจ็บ 51 ราย โดย รพ.สมุทรปราการ ได้ส่งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่ระดมเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ รพ.บางบ่อ และ รพ.บางเสาธง ได้ตั้งหน่วยดูแลรักษา คัดกรอง และปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บ เพื่อลำเลียงส่ง รพ.ในพื้นที่ และรพ.จังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ 1. รพ.บางบ่อ 11 ราย (เสียชีวิต 2 ราย) 2. รพ.บางเสาธง 8 ราย 3. รพ.จุฬารัตน์11 4 ราย 4. รพ.รวมชัยประชารักษ์ 8 ราย 5. รพ.บ้านโพธิ์ 6 ราย 6. รพ.บางปะกง 10 ราย 7. รพ.ลาดกระบัง 5 ราย 8. รพ.พุทธโสธร 2 ราย นอกจากนี้ได้ประสานหอผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวกกรณีต้องดูแลผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเพิ่มเติมที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ บางพลี, รพ.รามาธิบดี พญาไท ,รพ.นพรัตน์ราชธานี กรมการแพทย์,รพ. ชลบุรี และ รพ.ระยอง รวมถึง ประสานให้กองโรคจากการประกอบอาชีพฯ และสำนักงานป้องกันและควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี ร่วมตรวจคุณภาพอากาศพื้นที่โดยรอบจุดเกิดเหตุ และคัดกรอง ประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ ช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และประชาชนในศูนย์อพยพ อบต.เปร็ง อ.บางบ่อ สนับสนุนหน้ากากคาร์บอน 200 ชิ้น หน้ากาก N 95 จำนวน 50 ชิ้น และหน้ากาก N 95 คาร์บอน จำนวน 60 ชิ้น รวมทั้งหมด 310 ชิ้น ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากแก๊สและควันไฟในพื้นที่ ************************************** 22 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ ๑๒๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ ๑๒๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รมว.วธ. ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล และทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ ๑๒๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ ๑๒๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม องคมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เนื่องใน “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ” เยี่ยมชมนิทรรศการและการให้บริการทางการแพทย์ โดยมูลนิธิถันยรักษ์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) รวมทั้ง เข้าชมบ้านจำลอง พิพิธภัณฑ์ A “ห้องสร้อยสังวาลย์สวรรค์” และพิพิธภัณฑ์ B “ห้องสร้างสรรค์สว่างไสว”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมสภากาชาดไทย สร้างมติใหม่จัดงานสภากาชาดปี 2563 แบบ New Normal ภายใต้แนวคิด "Connectivity of Giving #ให้ด้วยใจไร้พรมแดน”
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม 2563 “ดีอีเอส” ร่วมสภากาชาดไทย สร้างมติใหม่จัดงานสภากาชาดปี 2563 แบบ New Normal ภายใต้แนวคิด "Connectivity of Giving #ให้ด้วยใจไร้พรมแดน” “ดีอีเอส” ร่วมสภากาชาดไทย สร้างมติใหม่จัดงานสภากาชาดปี 2563 แบบ New Normal ภายใต้แนวคิด "Connectivity of Giving #ให้ด้วยใจไร้พรมแดน” เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดีอีเอส ร่วมประชุมกรรมการแผนกประชาสัมพันธ์งานกาชาดประจำปี 2563 ครั้งที่ 1 ณ ห้องประชุมอำนวยนรธรรม ชั้น 4 สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย โดยร่วมพิจารณาวาระสำคัญ ได้แก่ รูปแบบการจัดงานกาชาดออนไลน์ กิจกรรมพิเศษภายในงาน และแนวทางการประชาสัมพันธ์งานกาชาดออนไลน์ ซึ่งในปีนี้สภากาชาดกำหนดจัดงานในรูปแบบแพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.งานกาชาด.com ภายใต้แนวคิด "Connectivity of Giving #ให้ด้วยใจไร้พรมแดน” ระหว่างวันที่ 19-29 ธันวาคม 2563 รวม 11 วัน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสร้างมติใหม่ของการจัดงานสภากาชาด แบบ New Normal แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของงานกาชาดประจำปีและเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาด ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36146