title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เผยการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ เป็นไปตามกรอบงบประมาณ พร้อมย้ำการดูแลสวัสดิการของทหารชั้นผู้น้อย คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 นายกฯ เผยการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ เป็นไปตามกรอบงบประมาณ พร้อมย้ำการดูแลสวัสดิการของทหารชั้นผู้น้อย คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน นายกฯ เผยการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ เป็นไปตามกรอบงบประมาณ พร้อมย้ำการดูแลสวัสดิการของทหารชั้นผู้น้อย คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 24.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในประเด็นเกี่ยวกับกระทรวงกลาโหม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการจัดซื้ออาวุธของกระทรวงกลาโหมว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการที่กองทัพได้ดำเนินการจัดซื้อจัดหาตามงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยมีการย้ำเตือนอยู่เสมอถึงการระมัดระวังป้องกันการทุจริต มีขั้นตอนการตรวจสอบ มีการกำกับดูแลและกำชับมาโดยตลอด ทั้งนี้ กรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นการยึดตามระเบียบและกฎเกณฑ์ของกองทัพ เพื่อความมั่นคงของประเทศ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นการจัดซื้อจัดหาจากรัฐบาลจีนโดยตรง กรณีที่ดินราชพัสดุ นายกรัฐมนตรีย้ำว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินของกองทัพบก หากหน่วยงานใดต้องการใช้พื้นที่ต้องขออนุญาตผ่านกรมธนารักษ์เพื่อประสานและดูแลร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามความจำเป็นและปรับพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสม ยืนยันว่าทหารเป็นผู้ดูแลเท่านั้น ไม่ใช่เจ้าของ รวมทั้งกรณีของสนามกีฬาต่าง ๆ เป็นการให้บริการให้แก่ทหารชั้นผู้น้อยเพื่อให้ได้รับประโยชน์ตามสวัสดิการที่พึงมี โดยยึดตามหลักกฎหมายของกระทรวงการคลังว่าจะมีการแบ่งสัดส่วนตามรายได้และสวัสดิการอย่างไรบ้าง กรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในทหารชั้นผู้น้อย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น รวมไปถึงกรณีการดูแลสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อยเป็นไปตามตำแหน่งและลำดับขั้น ทั้งนี้ ต้องประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วย ส่วนกรณีการทุจริตในกลุ่มทหาร ย่อมต้องได้รับการแก้ไข นายกรัฐมนตรีได้รับทราบคำชี้แจงจากกองทัพแล้วยืนยันว่าพร้อมทำหน้าที่ดูแลด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลทำงานอย่างครอบคลุม ครบถ้วน ทันท่วงที ย้ำชัดดูแลสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีจนหลายประเทศใช้ไทยเป็นแบบอย่าง
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลทำงานอย่างครอบคลุม ครบถ้วน ทันท่วงที ย้ำชัดดูแลสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีจนหลายประเทศใช้ไทยเป็นแบบอย่าง นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลทำงานอย่างครอบคลุม ครบถ้วน ทันท่วงที ย้ำชัดดูแลสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีจนหลายประเทศใช้ไทยเป็นแบบอย่าง วันนี้ (17 ก.พ. 64) เวลา 14.20 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เกี่ยวกับประเด็นการทำงานของรัฐบาลเพื่อบริหารควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ารัฐบาลรับรู้ถึงความเดือดร้อนของทุกภาคส่วน ประชาชน นักธุรกิจ ภาคเอกชน คนมีรายได้น้อย รับรู้และรับฟังความเห็นตามบริบทของประเทศไทย โดยได้ปรึกษา รับฟังแนวความคิดของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้มีประสบการณ์ ซึ่งเป็นคณะทำงานในศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มาโดยตลอด ควบคุมสถานการณ์ การแพร่ระบาด การรักษา จนถึงมาตรการการรับวัคซีน ทั้งนี้ทราบดีว่ายังมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจึงพยายามมากขึ้น ทำให้ดีขึ้น เชื่อมั่นว่าภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ประชาชน จะทำได้ดีขึ้นอีกในเร็ววัน และสถานการณ์ในประเทศไทยดีกว่าในหลายประเทศในโลก ทั้งนี้ ในส่วนของการฉีดวัคซีนว่าจะได้ผลป้องกันที่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ยังมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาร่วมกัน เนื่องจากเป็นวัคซีนที่อนุมัติให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินไม่ใช่ในช่วงเวลาปกติ สิ่งที่สำคัญนายกรัฐมนตรีชื่นชมความทุ่มเท สปิริตในการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของบุคลากรทางการแพทย์ บริการ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัวทำงานเพื่อประชาชน และความร่วมมือของชาวไทยที่ร่วมกันปฏิบัติตนตามหลักอนามัย ถูกสุขลักษณะ สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง แม้จะมีวัคซีนมาตรการเหล่านี้ยังเป็นเรื่องสำคัญตามหลักวิถีชีวิตใหม่ เพื่อความปลอดภัย สถานการณ์โรคระบาดนี้ส่งผลกระทบถึงทั่วโลก ทำอย่างไรที่จะควบคุมผลกระทบให้ไม่ลุกลาม จึงต้องดำเนินการควบคุมตรวจสอบติดตาม ดำเนินการแบบมีแบบแผน เป็นระยะ หากเกิดปัญหาก็ปรับแก้การทำงานไป เนื่องจากประเทศไทยประกอบด้วยประชาชนถึง 67 ล้านคน นายกรัฐมนตรีชี้แจงเพื่อให้เข้าใจแนวทางการทำงานของรัฐบาลว่า ในส่วนของรายได้ไทยที่ลดลงเป็นส่วนมาจากประเทศไทยพึ่งพิงการท่องเที่ยว และการส่งออก รัฐบาลจึงพยายามเพิ่มตัวเลขการส่งออกให้มากขึ้น ปรับเพิ่มราคา คุณภาพสินค้าส่งออกให้สูงขึ้น ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ BCG ทำให้สินค้าเกษตรมีราคารสูงขึ้น เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค อย่างเป็นระบบของรัฐบาลแก้ไขทั้งเศรษฐกิจในประเทศ และระหว่างประเทศ ด้านการท่องเที่ยว มีอีก 4 ประเทศนอกจากไทยที่พึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยว ได้แก่ สเปน ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และอิตาลี ซึ่งทั้ง 4 ประเทศนี้ เศรษฐกิจถดถอย ถึงร้อยละ 10 โดยสเปนถดถอยถึงร้อยละ 12 แต่ประเทศไทยเศรษฐกิจถดถอยร้อยละ 6.6 สถานการณ์จากโรคระบาดทำให้รายได้เราลดลง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่รัฐบาลจำเป็นต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้ได้ และเป็นแผนงานที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ จึงไม่อยากให้ประเด็นนี้กลายเป็นความขัดแย้ง และไม่อยากให้ประเด็นเรื่องวัคซีนเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองเนื่องจากห่วงว่าจะมีผลกระทบถึงวัคซีนที่ไทยได้สั่งจองไว้ ประเทศไทยดำเนินการเร็วในช่วงแรกของสถานการณ์โควิด ปิดประเทศเร็วจึงรับผลกระทบ แต่ผ่านมาได้อย่างสวยงาม ส่วนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระยะที่สอง รัฐบาลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี และหากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ก็จะดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ขอให้เห็นใจหน่วยงานและบุคลากรที่ทำงานด้านสาธารณสุขด้วย ซึ่งส่วนตัวนายกรัฐมนตรีได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แพทย์ และประชาชน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและออกข้อกำหนดต่าง ๆ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปัจจุบันมีการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนได้มากขึ้นแล้ว แม้ในหลายประเทศจะยังมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน และยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในประเทศรอบบ้าน แต่รัฐบาลไม่เคยชักช้าในการหารือเพื่อเจรจาลงนามจัดซื้อวัคซีนต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลาในการพูดคุย มีการเจรจาต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ศบค. ได้เน้นย้ำเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ ทุกเรื่องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเลือกสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดให้กับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีชี้แจงแผนการใช้วัคซีนว่ากำลังดำเนินการซึ่งถือว่าไทยโชคดีที่จะมีการผลิตภายในประเทศ และจะเร่งดำเนินการให้ต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ยังได้รับข้อมูลจากผลสำรวจเพิ่มเติมว่า คนไทยพร้อมฉีดวัคซีนกว่า 80% ไม่อยากฉีดวัคซีน 10% และมีความลังเล 10% ซึ่งมีกว่าครึ่งหนึ่งของประชาชนในประเทศที่มีความต้องการฉีดวัคซีน พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะเร่งจัดหาวัคซีนให้ได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในช่วงแรก ๆ อาจพบปัญหาด้านราคาบ้าง เนื่องจากการแข่งขันด้านราคา แต่คาดว่าอีกระยะหนึ่งจะจัดหาได้สะดวกยิ่งขึ้นตามสถานการณ์ที่ดีขึ้นและมีการผลิตที่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเทศที่มีสัดส่วนผู้อยากฉีดวัคซีนสูงสุดคือ ประเทศจีน รองลงมาได้แก่ บราซิล แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อินเดีย และสเปน ตามลำดับ ขณะที่ 5 ประเทศรั้งท้ายได้แก่ รัสเซีย ฝรั่งเศส โปแลนด์ ไนจีเรีย สวีเดน ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ใน 5 อันดับแรกของโลกที่มีทัศนคติทางบวกในการยอมรับการฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ในเรื่องการฉีดวัคซีนมีรายละเอียดเฉพาะของบุคคลซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย โดยเราต้องมองในแง่หลักการ เหตุผล ทั้งในและต่างประเทศ กฎหมาย กระบวนการ และการรับฟังประชาชน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการใช้หน้ากาก มีการศึกษาในต่างประเทศที่พบว่า การใช้หน้ากากสามารถป้องกันอันตรายได้มากถึง 96.5% แต่ต้องใส่ให้ถูกวิธี หากสวมใส่ไม่ถูกวิธีจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงเหลือเพียงร้อยละ 56 จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบการสวมใส่หน้ากากทั้งหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยให้ถูกต้อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกให้แก่ประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ความคืบหน้าการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกให้แก่ประชาชนที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ ความคืบหน้าของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 15 – 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 327,066 คน (ข้อมูล ณ เวลา 15.30 น.) นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ (โครงการฯ) สำหรับประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองไม่สำเร็จเนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง ระหว่างวันที่ 15 – 17 กุมภาพันธ์ 2564 มีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 327,066 คน (ข้อมูล ณ เวลา 15.30 น.) ทั้งนี้ ประชาชนในกลุ่มดังกล่าวที่สนใจและประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปลงทะเบียนที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารกรุงไทย) ด้วยตนเอง ไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยืนยันตัวตน อันจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของผู้ลงทะเบียนเอง และป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิ์ โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อขอคัดกรองคุณสมบัติได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2564 และไม่มีการจำกัดจำนวนสิทธิ์ โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง (กลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลฯ) และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com (กลุ่มประชาชนทั่วไปฯ) ที่ตรวจสอบสถานะแล้วพบว่าผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและมีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเราชนะจะได้รับการโอนวงเงินสิทธิ์ครั้งแรกในวันพรุ่งนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2564) จำนวน 2,000 บาท ทั้งนี้ ประชาชนทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวสามารถยืนยันการใช้สิทธิ์ผ่านแถบ (Banner) “เราชนะ” ที่ปรากฏอยู่ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และจะได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดีจนวงเงินสิทธิ์ครบ 7,000 บาท โดยสามารถสะสมวงเงินสิทธิ์ได้ และใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการ/ร้านค้าและบริการรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูลฯ และกลุ่มประชาชนทั่วไปฯ ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้น แต่ไม่สามารถขอรับสิทธิ์โครงการฯ ได้ เนื่องจากคุณสมบัติของผู้สมัครเข้าร่วมโครงการไม่เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 กรณีข้าราชการการเมือง ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐที่รับค่าตอบแทนโดยตรงจากหน่วยงานของรัฐ และไม่มีลักษณะของงานที่เป็นอาสาสมัครหรือเป็นการจ้างรายวัน รวมถึงผู้รับบำนาญปกติ สามารถสละสิทธิ์ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ หากผู้ปฏิบัติงานในหน่วยของรัฐที่มีลักษณะงานเป็นอาสาสมัครหรือการจ้างรายวัน และได้รับค่าตอบแทนจากหน่วยงานของรัฐโดยตรง ผ่านเกณฑ์การคัดกรองของโครงการฯ สามารถยืนยันการใช้สิทธิ์ผ่านแถบ (Banner) “เราชนะ” ที่ปรากฏในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ ทั้งนี้ โครงการฯ ได้มีการโอนวงเงินสิทธิ์ให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (กลุ่มผู้ถือบัตรฯ) จำนวน 13.69 ล้านคน ไปแล้วจำนวน 2 ครั้ง โดยจากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 กลุ่มผู้ถือบัตรฯ มียอดการใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยไปแล้วมากกว่า 14,000 ล้านบาท สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 3427 3429 3430 3431 และ 3444 (เฉพาะวันและเวลาราชการ) Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมประชุมชี้แจงแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ของสำนักนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ดีอีเอส ร่วมประชุมชี้แจงแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ดีอีเอส ร่วมประชุมชี้แจงแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการฯ รอบที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ของสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่17กุมภาพันธ์ 2564นางคนึงนิจคชศิลาหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการประชุมชี้แจงแนวทางการตรวจราชการรอบที่1ตามแผนการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำปีงบประมาณพ.ศ.2564 (การตรวจราชการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) ผ่านการประชุมทางไกลณห้องประชุมMOCชั้น6สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การประชุมครั้งนี้จัดโดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบแนวทางปฏิบัติในการตรวจราชการแบบบูรณาการฯประจำปี2564ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด19)ระลอกใหม่และเป็นการปรับการปฏิบัติราชการให้สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่(New Normal)รวมทั้งรับทราบการขยายกรอบระยะเวลาของการตรวจราชการที่ปรับเปลี่ยนใหม่อาทิ ระยะเวลาในการติดตามจากเดิมภายในวันที่ 15มีนาคม2564เป็นภายในวันที่15เมษายน2564 การรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจกระทรวงฯจากเดิมภายในวันที่31มีนาคม2564เป็น30เมษายน2564และการรายงานผลการตรวจติดตามในลักษณะภาพรวมทั้งประเทศจากเดิมภายในวันที่30เมษายน2564เป็น31พฤษภาคม2564เป็นต้น ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจงรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้านอย่างเป็นระบบ แย้งปัญหาที่น่าห่วงคือความขัดแย้งในประเทศ
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรีชี้แจงรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้านอย่างเป็นระบบ แย้งปัญหาที่น่าห่วงคือความขัดแย้งในประเทศ นายกรัฐมนตรีชี้แจงรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจทุกด้านอย่างเป็นระบบ แย้งปัญหาที่น่าห่วงคือความขัดแย้งในประเทศ วันนี้ (16 ก.พ.64) เวลา 22.45 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล กรณีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเด็นต่างๆ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดจากหลายปัจจัย เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจจุลภาค การส่งออก อย่างไรก็ดี มีการติดต่อกับเอกชนหลายส่วนที่ติดต่อ ผ่านการประชุมทางไกล พร้อมลงทุนกับไทยเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น มีการพูดคุยรูปแบบทวิภาคี และพหุภาคี ผ่านเอกอัครราชทูต กระทรวง รองนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญในช่วงนี้คือตลาดการท่องเที่ยวที่ยังไม่พร้อมเพราะสถานการณ์โควิดยังคงมีอยู่ รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาอย่างดีที่สุด ทั้งเรื่อง Disruption จากเทคโนโลยี และดิจิทัล ปัญหาจากค่าเงินบาท นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า รัฐบาลมีโครงการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทยกระดับการเกษตรกรรม ซึ่งมีสัดส่วนใน GDP น้อยมาก เพราะราคาไม่คงที่ สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งจุดเด่นประเทศไทยเรามีอยู่พร้อม ทั้งในเรื่องการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน แต่ต่างชาติยังมีข้อห่วงกังวลเรื่องความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันด้วย ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น เรื่อง Unicon เพื่อสนับสนุนธุรกิจ Startup รัฐบาลกำลังเร่งขับเคลื่อนอยู่เช่นกัน นายกรัฐมนตรีเผยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลดลงประมาณร้อยละ 6.0 ซึ่งก็ลดลงน้อยกว่าหลายประเทศ อาทิ ฟิลิปปินส์ลดลงร้อยละ 9.5 ฮ่องกงลดลงร้อยละ 6.1 ขณะที่ไทยมีอัตราการพึ่งพิงการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูง รายรับการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงขึ้นถึงร้อยละ 13.0 ต่อ GDP เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีสัดส่วนรายรับการท่องเที่ยวต่อ GDP เพียงร้อยละ 12.5, 5.7, 1.5 และ 0.05 ตามลำดับ รัฐบาลจึงมีการปฏิรูปการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เฉพาะกลุ่ม เฉพาะกิจกรรม ซึ่งรัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมไว้พอสมควรเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ประกอบกับประชากรไทยมีอัตราการขยายตัวต่ำ โดยในปี 2562 ประชากรวัยสูงอายุอยู่ที่ร้อยละ 14.6 ของประชากรวัยแรงงาน ซึ่งในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะคาดแคลนประชากรวัยแรงงาน รวมทั้ง การบริโภคภายในประเทศยังมีข้อจำกัด เพราะมีการขยายตัวของประชากรที่ต่ำ สัดส่วนการลงทุน ในปี 2560-2562 เกิดผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ปัญหาสงครามการค้า สถานการณ์โควิด-19 และมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดังนั้น อย่านำสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของประเทศไทยไปเทียบกับประเทศอื่นๆ เพราะมีความแตกต่างกันทั้งในระบอบการปกครองและกฎระเบียบ ซึ่งไทยพยายามปรับแก้หลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ปรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และอุตสาหกรรมใหม่ การให้บริการต่างๆ ที่รวมถึงช่องทางออนไลน์ จนมีความพร้อมในการดำเนินการด้านเศรษฐกิจมากขึ้นแล้ว ในส่วนของตัวเลขทางเศรษบฐกิจที่สภาพัฒฯ แถลงในไตรมาสที่ 4 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ทำให้เศรษฐกิจปี 2563 ติดลบน้อยลงจากที่มีการคาดการณ์ไว้ เป็นเพราะการบริโภคของภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 0.9 ซึ่งก็เกิดจากการดำเนินมาตรการของรัฐบาล เช่น โครงการคนละครึ่ง ซึ่งช่วยเหลือการจับจ่าย ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของประชาชน นายกรัฐมนตรีย้ำต้องมีการปรับตัวในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เคยกล่าวว่าใครไม่เสียภาษี มีแต่กล่าวว่าใครเสียมากเสียน้อย แต่ทุกคนก็ได้รับการดูแลจากรัฐบาล ขออย่าได้ยุยงให้เกิดความแตกแยกในประเทศชาติ ในปี 2563-2564 รัฐบาลมีมาตรการลดภาษี ลดดอกเบี้ย ทำให้รายได้ของประเทศลดลง จึงมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็น มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจึงต้องนำงบประมาณมาช่วยเหลือ กรณีสินค้าเกษตรกรรม ป่าไม้ ประมงกลับมาขยายตัวเป็นเรื่องที่ดี ดัชนีสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้น อัตราการว่างงานลดลง รัฐบาลดูแล มีมาตรการรองรับ ช่วยเหลือตามกลไกที่เหมาะสม นายกรัฐมนตรีย้ำว่าคิดว่าเป็นรัฐบาลแรกที่มีการจ่ายเงินตรง เตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือผ่าน big data พร้อมยืนยันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานดำเนินการตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้กำหนดไว้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอเชิญชวน ชายไทย อายุ 18 - 20 ปี สมัครเป็นทหารกองประจำการ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ขอเชิญชวน ชายไทย อายุ 18 - 20 ปี สมัครเป็นทหารกองประจำการ โดยสมัครทางออนไลน์ ได้ที่ rcm64.rta.mi.th ระหว่างวันที่ 1 - 28 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39204
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. ร่วมโครงการ “เราชนะ” จ่ายค่าตั๋วรถ บขส. ด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ Application เป๋าตัง ได้แล้วทุกสถานีฯ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 บขส. ร่วมโครงการ “เราชนะ” จ่ายค่าตั๋วรถ บขส. ด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ Application เป๋าตัง ได้แล้วทุกสถานีฯ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564 ดร. สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า บขส. ได้เข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” ในฐานะร้านค้า เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ในการลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ โครงการ “เราชนะ” และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะได้รับวงเงินสิทธิ์ผ่านบัตรโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้ผู้ใช้บริการ รถโดยสาร บขส. สามารถใช้สิทธิโครงการ “เราชนะ” ชำระค่าโดยสารรถโดยสาร บขส. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ที่ ช่องจำหน่ายตั๋ว สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ สถานีเดินรถ และจุดจอดรถโดยสาร ของ บขส. ทั่วประเทศ (ยกเว้นซื้อตั๋วผ่านระบบออนไลน์ และเคาน์เตอร์เซอร์วิส) ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564 โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิ์ ได้พร้อมกันทั้ง 2 สิทธิ์ แต่ต้องแจ้งพนักงานจำหน่ายตั๋วก่อนซื้อตั๋วโดยสาร และหากเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เพียงพอสามารถใช้เงินจากโครงการ “เราชนะ” ชำระค่าโดยสารได้อีกด้วย การซื้อตั๋วรถโดยสาร บขส. โดยใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” เมื่อออกบัตรโดยสารเรียบร้อยแล้วจะไม่สามารถขอคืนตั๋ว หรือแลกเป็นเงินสดได้ แต่สามารถเลื่อนการเดินทางได้ ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ และCall Center เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง #กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมความพร้อมการร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เตรียมความพร้อมการร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ก.เกษตรฯ ร่วมมือสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยเตรียมความพร้อมการร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 (วันพุธที่ 17 ก.พ. 64) นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกระทรวงเกษตรฯ เห็นชอบให้ความร่วมมือกับสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทยในการร่วมจัดกิจกรรมในงานมหกรรมพืชสวนโลก 2021 ระหว่างวันที่ 8 เมษายน - 8 ตุลาคม 2564 ณ เมืองหยางโจว มณฑลเจียงชู สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้สนใจนำสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชนไปจัดแสดงและจำหน่ายภายในงาน อีกทั้งให้ประสานหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ คัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพมีมาตรฐานเพื่อส่งข้อมูลให้สมาคมฯ ประสานเกษตรกรหรือผู้ประกอบการโดยตรงเพื่อนำสินค้าไปจำหน่าย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังพิจารณาแผนในการจัดแสดงนิทรรศการในงาน จำนวน 4 ครั้ง เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรไทยให้เป็นที่รู้จักและสร้างช่องทางการตลาดเพิ่มในประเทศจีนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39208
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. แจงแนวปฏิบัติผู้เข้าสอบบรรจุข้าราชการ ภาค ข ป้องกันติดโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 กสร. แจงแนวปฏิบัติผู้เข้าสอบบรรจุข้าราชการ ภาค ข ป้องกันติดโควิด-19 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงชี้แจงข้อปฏิบัติสำหรับผู้เข้าสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ ภาค ข กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้มีประกาศการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคล เข้ารับราชการในตำแหน่งนักวิชาการแรงงานปฏิบัติการ ตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีปฏิบัติงาน และตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการสอบภาค ข กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ในช่วงเวลา 09.00 – 12.00 น. ณ อาคารศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต จังหวัดปทุมธานี จึงมีผู้เข้าสอบเดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จึงขอให้ผู้เข้าสอบทุกท่านดูแลตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมในการเข้าสอบและปฏิบัติตามข้อปฏิบัติการเข้าสอบอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยปฏิบัติดังนี้ 1. สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่อยู่ในพื้นที่ 2. ผู้มาสอบต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ควบคู่กับการใช้แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ก่อนออกเดินทาง จนถึงเดินทางกลับ 3. ระหว่างเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ เครื่องบิน หรือรถไฟ จะต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาการเดินทาง ละเว้นการเปิดหน้ากากโดยไม่จำเป็น ควรงดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเดินทาง และหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ 4. งดพฤติกรรมเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการพูดคุยโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร งดกิจกรรมการรวมกลุ่มและการสังสรรค์ 5. เพื่อลดการรวมกลุ่ม ไม่อนุญาตให้ผู้ติดตามเข้าบริเวณพื้นที่ศูนย์สอบ ทั้งนี้ จังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด จึงขอให้ศึกษาแนวปฏิบัติพื้นที่ควบคุมสูงสุดอย่างเคร่งครัดเพื่อสร้างความมั่นใจร่วมกันในการสอบแข่งขันครั้งนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีน "ChulaCov19" เตรียมวิจัยในคน
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สธ.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีน "ChulaCov19" เตรียมวิจัยในคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด 19 "ChulaCov19" ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เผยความก้าวหน้า เตรียมวิจัยในคนระยะที่ 1 เดือนพฤษภาคมนี้ วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2564) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด 19 "ChulaCov19" ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาล พร้อมสนับสนุนการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของทีมไทยแลนด์ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีและขอเป็นกำลังใจให้โครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หรือ "ChulaCov19" ที่ขณะนี้มีความก้าวหน้าอย่างมาก จะช่วยเสริมฐานที่แข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น พึ่งพาตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอความสำเร็จที่เชื่อมั่นว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน รัฐบาลไทยได้จัดหาวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส ฉีดสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชาชน ที่ผ่านมาเรามีศักยภาพสามารถผลิตหน้ากากอนามัย ชุด PPE น้ำยาตรวจหาเชื้อได้เอง รวมทั้งมีความพร้อม ทั้งเตียง โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ยารักษา อย่างเพียงพอและมีความมั่นคง หวังว่าวัคซีน ChulaCov19 จะมาช่วยเสริมการป้องกันควบคุมและรักษาโรคโควิด 19 ของประเทศให้สมบูรณ์ครบวงจร "ขณะนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ถ้าจะให้ได้วัคซีนต้องจ่ายเงิน ต้องซื้อตามที่เขากำหนด ดังนั้นประเทศไทยต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ โดยโครงการพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิด 19 ของจุฬาฯ ใกล้ความสำเร็จ และเราพร้อมสนับสนุนทุกโครงการพัฒนาวัคซีนของประเทศด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นคงของระบบสุขภาพไทยในอนาคต” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ วัคซีน ChulaCov19 เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่มีความก้าวหน้า สามารถป้องกันและลดจำนวนเชื้อได้อย่างมากในหนูทดลอง และเก็บรักษาในอุณหภูมิตู้เย็นปกติ 2-8 องศาเซลเซียสได้อย่างน้อย 1 เดือน ส่วนการเก็บวัคซีนให้ได้ระยะ 3 เดือนอยู่ระหว่างรอผลการวิจัย ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมต่อการขนส่งและกระจายวัคซีน คาดว่าจะได้รับวัคซีนต้นแบบนำมาทดสอบในอาสาสมัครได้ประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้ และเตรียมพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อรองรับเชื้อกลายพันธุ์ในอนาคต ************************** 18 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีหญิงต่างด้าวและเด็กนั่งขอทานบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 พม. ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีหญิงต่างด้าวและเด็กนั่งขอทานบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย พม. ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีหญิงต่างด้าวและเด็กนั่งขอทานบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย วันนี้ (18 ก.พ. 64) เวลา 16.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากกรณีมีพลเมืองดีโพสต์เรื่องราวผ่านเฟซบุ๊กพบเห็นหญิงต่างด้าว และเด็ก มานั่งบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัย ฝั่งวัดธาตุทองนั้น ภายหลังรับทราบข้อมูลดังกล่าว ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 จึงได้ประสานศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการตามภารกิจ ล่าสุดวันนี้ (18 ก.พ. 64) กระทรวง พม. โดยเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้แก่ นางสาวขวัญชนก ผลประดิษฐ์ หัวหน้ากลุ่มการส่งเสริมและพัฒนา พร้อมด้วยนางสาวฐาปนีย์ ศิริสมบูรณ์ หัวหน้าบ้านมิตรไมตรีห้วยขวาง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตามที่ได้รับแจ้ง พบผู้หญิงสัญชาติกัมพูชาและเด็กหญิง ดังกล่าว จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. คลองตัน เชิญตัวไปยังสถานีตำรวจ ทำการสอบประวัติ ตรวจทรัพย์สิน ทำบันทึกจับกุม เปรียบเทียบปรับ ในข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 13 พ.ร.บ.ควบคุมการขอทาน พ.ศ. 2559 และหลบหนีเข้าเมือง ตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และเนื่องจากผู้ถูกจับกุมไม่มีเอกสารประจำตัวบุคคลและเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ทางสายโลหิต จึงส่งตัวเข้ารับการตรวจสารพันธุกรรม (DNA) เเละเข้ารับการคุ้มครองในหน่วยงานกระทรวงของ พม. ต่อไป นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับพลเมืองดีได้เดินทางไปร่วมสังเกตการกระบวนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พูดคุย ชี้แจงกระบวนการดำเนินงานตามกฎหมาย และการดำเนินการเพื่อการคุ้มครองเด็ก โดยการตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต ตลอดจนกล่าวขอบคุณพลเมืองดีที่ได้แจ้งเบาะแสเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นผู้ทำการขอทาน คนไร้ที่พึ่ง และประสบปัญหาทางสังคม สามารถแจ้งมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคมสายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเวลา “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 5 มี.ค.
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ขยายเวลา “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 5 มี.ค. ... ข่าวดี..โครงการ "เราชนะ" ขยายเวลาการลงทะเบียน สำหรับประชาชนกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน และกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเดิมที่ปิดรับลงทะเบียนวันที่ 25 ก.พ. 64 เป็นสิ้นสุดในวันที่ 5 มี.ค. 64 . โดยสามารถลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ที่สาขาของ ธ.กรุงไทย กว่า 1,000 สาขา รวมถึงจุดบริการพิเศษทั้ง 871 จุดทั่วประเทศ ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 218,344 คน . สำหรับผู้เดินทางไปที่สาขา ธนาคารจะแจกบัตรคิว ตามจำนวนลูกค้า ที่สาขาสามารถให้บริการได้สูงสุดในแต่ละวัน กรณีติดต่อลงทะเบียนเกินจำนวน ธนาคารจะแจกบัตรคิว และนัดหมายเพื่อมาลงทะเบียนในวันหลัง โดยกำหนดวันและช่วงเวลาที่แน่นอนอีกครั้ง . ขอย้ำว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องรีบลงทะเบียน หากมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์จะได้รับสิทธิทุกคน . กรณีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ โทร. 0 2111 1144 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถาม-ตอบ นายกรัฐมนตรี จากเวทีอภิปรายฯ 16 - 17 ก.พ. 64
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ถาม-ตอบ นายกรัฐมนตรี จากเวทีอภิปรายฯ 16 - 17 ก.พ. 64 ... Q : การจัดซื้อเครื่องแต่งกายทหาร และกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน ราคาสูงเกินจริงหรือไม่ ? A : การจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามระเบียบราชการ โดยการจ้างผลิตเครื่องแต่งกายใช้วิธีสืบราคา จากผู้ประกอบการที่สามารถผลิตได้ครั้งละมาก ๆ ทันเวลา และมีคุณภาพ ใช้งานได้ทั้งกองทัพ และไม่สามารถหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป ส่วนกล้องตรวจการณ์แบบตาเดียว ใช้ในหน่วยทหารราบและหน่วยรบพิเศษ เพื่อลาดตระเวนกลางคืน ปี 2561 จัดซื้อด้วยวิธี E-bidding ปี 2563 ใช้วิธีเฉพาะเจาะจง เพราะตรวจสอบแล้วมีผู้ผลิตรายเดียวที่ทำได้แบบเดิม ซึ่งมีราคาเท่ากับปี 2561 - 2562 . Q : การใช้คำสั่งมาตรา 44 ยกเลิกสัมปทานเหมืองแร่อัครา ไม่ถูกต้องตามหลักสากล ทำให้ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย ? A : คำสั่งมาตรา 44 ไม่ใช่การปิดเหมือง แต่เป็นการระงับการต่อสัมปทาน เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม ขณะนี้เรื่องยังอยู่ขั้นตอนทางกฎหมาย การนำมาพูดภายนอก เป็นการคาดการณ์เองทั้งสิ้น . Q : รัฐบาลบกพร่องในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ? A : รัฐบาลได้หาแนวปฏิบัติที่ดีและเหมาะสมตามสถานการณ์ จนเป็นที่ยอมรับ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดผลดีต่อประเทศ แม้ว่าจะมีอุปสรรคบ้าง แต่มีมาตรการเสริมเพื่อช่วยเหลือ โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด . Q : รัฐบาลปล่อยให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง โดยทุจริตและเรียกรับผลประโยชน์ ? A : นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ไม่เคยเรียกรับเงิน และรังเกียจคนทำผิดกฎหมาย รังเกียจเงินชั่ว ๆ และหากพบการทุจริต ขอให้ใช้ข้อเท็จจริงเพื่อนำไปตรวจสอบ . Q : รัฐบาลไม่ให้ความสนใจเฝ้าระวังด้านความมั่นคง ? A : รัฐบาลและเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังความมั่นคงตามแนวชายแดนเชิงรุก และบริหารจัดการอย่างอย่างยั่งยืนตามแนวทาง Bubble and Seal มีโรงพยาบาลสนาม และเฝ้าระวังอย่างครอบคลุม โดยจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายประชาชนให้มากขึ้น และไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์อย่างแน่นอน . Q : การขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวผิดกฎหมาย โดยไม่เปิดประมูล ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ? A : โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีสัญญาการดำเนินงานที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง ไม่มีความเป็นเอกภาพ หากต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายร่วมทุน อาจทำให้โครงการล่าช้าออกไปอีก 2 - 3 ปี รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการเดินรถเหมือนกับบางโครงการในอดีต . Q : รัฐบาลปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนพนัน ? A : รัฐบาลเข้มงวดกวาดล้างการพนันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตั้งแต่ปี 2561 – 2563 จับกุมได้ 35,000 คดี มีผู้ต้องหากว่า 74,000 ราย และได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงสืบหาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์ โดยดำเนินคดีแล้ว 51 ราย ส่วนปัญหาบ่อนพระราม 3 มีการดำเนินคดี 22 ราย บางรายถูกพิพากษาแล้ว . Q: การดำเนินงานของกองทัพไม่โปร่งใส ? A : ขณะนี้มีการปฏิรูปกองทัพให้มีขนาดเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และยืดหยุ่น การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เป็นไปตามระเบียบ ผ่านการพิจารณาเป็นขั้นตอนตามลำดับชั้นและโปร่งใส ส่วนการจัดสวัสดิการให้กำลังพลมีการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ ไม่ใช่การอนุมัติผ่านกองทัพบกเพียงผู้เดียว . Q : ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของรัฐบาลแย่ลง ? A : ปี 2563 ประเทศไทยได้ 36 จากคะแนนเต็ม 100 เท่ากับปี 2562 คะแนน CPI เป็นการวัดความรู้สึก ไทยได้คะแนนเพิ่มจาก 4 องค์กร เท่าเดิม 4 องค์กร และลดลง 1 องค์กร รัฐบาลจริงจังในการแก้ปัญหาทุจริต ออกกฎหมายป้องกัน เช่น พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ ปี 2560 พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ปี 2558 รวมทั้งพัฒนาการบริการภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ และแก้ไขกฎหมายการปรับเป็นพินัยแทนการกักขัง หรือบันทึกประวัติอาชญากรรม เป็นต้น . Q : นายกรัฐมนตรีแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมกรณียื่นบัญชีทรัพย์สิน ? A : ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรียื่นบัญชีทรัพย์สินถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่างเปิดเผยได้ และไม่เคยก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม ไม่มีอำนาจสั่งแก้กฎหมาย หากใครกล่าวอ้างว่าตนเรียกรับผลประโยชน์ ขอให้หาพยานหลักฐานมายืนยัน #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เฮ! 22 ก.พ. เพิ่ม 3 แบงค์รัฐ รับลงทะเบียน “เราชนะ” ขยายเวลา “เราชนะ” กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน ถึง 5 มี.ค. How to แจ้งเบาะแสเอาผิดคนโกง “เราชนะ” ผู้พิการ ผู้สูงอายุ “เราชนะ” รับลงทะเบียนถึงบ้าน คลายปม! ไทยตกขบวนวัคซีน COVAX จริงหรือ?
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 3
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 กรมทางหลวงแจ้งเบี่ยงการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 3 สาย อ.บางปู – อ.บางปะกง พื้นที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยแขวงทางหลวงสมุทรปราการ แจ้งประชาสัมพันธ์เบี่ยงการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 3 สาย อ.บางปู - อ.บางปะกง ตอนบางตำหรุ – คลองด่าน กม. ที่ 60+600 – กม. ที่ 62+600 (ด้านซ้ายทาง) ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เพื่อทำการรื้อผิวจราจรเดิม ปูยางใหม่ และขยายผิวจราจร ในระหว่างดำเนินการอาจทำให้ไม่ได้รับความสะดวก ทล. ต้องขออภัย ณ โอกาสนี้ และขอให้ประชาชนใช้เส้นทางอย่างระมัดระวัง หรือหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางในวันดังกล่าว รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้เส้นทางปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำทางเลี่ยง ป้ายเสริมจากโครงการ และสัญญาณจราจรที่ติดตั้งไว้ เพื่อประโยชน์ต่อการเดินทาง ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุต่างๆ ระหว่างดำเนินการได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือน ใช้แอปฯ "Clubhouse" ด้วยความระมัดระวัง อย่าละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ไม่ทำผิดกฎหมาย ชี้ เจ้าหน้าที่พร้อมติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีทันที เหมือนทุกแพลตฟอร์ม
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ดีอีเอส เตือน ใช้แอปฯ "Clubhouse" ด้วยความระมัดระวัง อย่าละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ไม่ทำผิดกฎหมาย ชี้ เจ้าหน้าที่พร้อมติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีทันที เหมือนทุกแพลตฟอร์ม ดีอีเอส เตือน ใช้แอปฯ "Clubhouse" ด้วยความระมัดระวัง อย่าละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ไม่ทำผิดกฎหมาย ชี้ เจ้าหน้าที่พร้อมติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีทันที เหมือนทุกแพลตฟอร์ม หลังจากที่พบว่ามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียได้เริ่มเข้าไปใช้งาน แอปพลิเคชัน "Clubhouse" กันอย่างแพร่หลาย โดยในแอปพลิเคชันดังกล่าว มีลักษณะการใช้งานที่ผู้ใช้จะตั้งกลุ่มพูดคุยแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ เป็นรูปแบบการใช้เสียง ไม่มีภาพ ซึ่งจากการสังเกตการณ์และติดตาม จากสื่อมวลชนรายงาน พบว่า มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง และกลุ่มต่าง ๆ ได้ใช้แอพพลิเคชันนี้แสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่เข้าข่ายบิดเบือน สร้างความเสียหาย และอาจนำไปสู่การกระทำความผิดกฎหมายได้นั้น โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า กระทรวงดิจิทัลฯ และเจ้าหน้าที่รัฐได้ติดตาม การใช้งานของ แอพพลิเคชัน Clubhouse ตั้งแต่แรกที่มีผู้เริ่มใช้งาน ซึ่งแม้ว่าการใช้งานเป็นลักษณะกลุ่มปิดที่ต้องมีเพื่อนเชิญเข้าร่วมกลุ่มก็ตาม แต่การใช้โซเชียลมีเดียทุกรูปแบบ หากใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะส่งผลดีต่อการใช้งาน เกิดผลดีต่อสังคม แต่ทั้งนี้ ก็ฝากเตือนไปยังผู้ใช้แอปพลิเคชันดังกล่าว ว่า หากไม่ระมัดระวังใช้ในทางที่ผิด เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอื่น สร้างความเสียหาย ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2563 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทันที เช่นเดียวกับที่ได้ติดตามตรวจสอบการใช้งานโซเชียลมีเดียในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เปิด DISDA ยกระดับแรงงานดิจิทัล ป้อนภาคอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ก.แรงงาน เปิด DISDA ยกระดับแรงงานดิจิทัล ป้อนภาคอุตสาหกรรม ก.แรงงาน เปิดสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล ป้อนแรงงานสู่ภาคอุตสาหกรรม ยกระดับธุรกิจ และขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน Building Thailand Digital Workforce ซึ่งภายในงานประกอบด้วย 3 กิจกรรม ได้แก่ การเปิดตัวสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล (Digital Skill Development Academy: DISDA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อดูแลการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้แก่แรงงาน การเปิดตัว DSD App ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่รวบรวมการให้บริการของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานไว้ในที่เดียว และเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับธุรกิจ พร้อมมอบโอวาทให้แก่ผู้เข้ารับการสัมมนาจำนวน 100 คน ณ ห้องประชุม จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระทรวงแรงงาน ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกำกับดูแลของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้หน่วยงานรัฐดำเนินงานภายใต้การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายตามแนวทางประชารัฐ และมุ่งเน้นพัฒนาทักษะแรงงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อปฏิรูปประเทศไทยสู่ดิจิทัลไทยแลนด์ 4.0 โดยได้กำหนดทิศทางให้กำลังคนในประเทศต้องมีความรอบรู้ สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการทำงานในทุกด้าน ทั้งการทำงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางธุรกิจ การประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติและอุปกรณ์อัจฉริยะ การทำงานรูปแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล ไปจนถึงรองรับทักษะและอาชีพในอนาคต เพื่อให้แรงงานไทยสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์การทำงานในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกได้ จึงได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล เพื่อจัดทำแผนพัฒนากำลังคน ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม และเชื่อมโยงความร่วมมือพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล ให้รองรับความต้องการของภาคเอกชนในการปรับเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพิ่มรูปแบบการเรียนรู้ทักษะด้านดิจิทัล จัดให้บริการทั่วประเทศ ทั้งรูปแบบ online และ offline ด้วย DSD Application ซึ่งเป็นช่องทางการเข้าถึงที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้เราได้รับความร่วมมือจากบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและสมาร์ทดีไวซ์ระดับโลก พร้อมจะร่วมช่วยสร้างโอกาสการเรียนรู้และจัดการฝึกอบรมที่เน้นการพัฒนาทักษะแรงงาน รวมไปถึงการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงาน (Re Skill) และการยกระดับทักษะเดิมที่ดียิ่งขึ้น (Up Skill) เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน ช่วยลดอัตราการว่างงาน เพิ่มรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรให้ดีขึ้น พัฒนาด้านดิจิทัลให้แข็งแกร่ง เพิ่มจำนวนแรงงานที่มีทักษะสูงให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 และในวันนี้ยังได้ส่งวิทยากรมาบอกเล่าเรื่องราวของ 5G, ไอโอที, Cloud กับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาทักษะและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในความร่วมมือในการพัฒนาแรงงานในอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว ยังมีการเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับนวัตกรรมในอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ด้วย และเปิดโอกาสให้ผู้นำด้านเทคโนโลยีได้นำเสนอแนวทางและข้อเสนอแนะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับธุรกิจและอุตสาหกรรม ให้ผู้ประกอบกิจการได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาทักษะแรงงาน และให้สถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล ในฐานะผู้ให้บริการ มีข้อมูลในการวางแผนพัฒนากำลังคนต่อไป “ขอบคุณหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและมีส่วนรวมในการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะทักษะด้านดิจิทัลเป็นทักษะที่แฝงอยู่ในทุกภาคอุตสาหกรรม มีบทบาทอย่างยิ่งในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศ เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจในอนาคต” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แสดงความเสียใจกับครอบครัว นพ.ปัญญา
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 สธ.แสดงความเสียใจกับครอบครัว นพ.ปัญญา กระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจกับครอบครัวนายแพทย์ปัญญา หาญพาณิชย์พันธุ์ ที่เสียชีวิตจากการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดมหาสารคาม วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของนายแพทย์ปัญญา หาญพาณิชย์พันธุ์ แพทย์จังหวัดมหาสารคาม ที่เสียชีวิตจากโรคโควิด 19หลังจากให้การรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่คลินิกส่วนตัว จำนวน 3 ราย แพทย์ท่านนี้เคยรับราชการเป็นแพทย์อายุรกรรมประจำโรงพยาบาลมหาสารคาม เป็นแพทย์ที่ดี เป็นที่รักใคร่ เคารพนับถือของประชาชน ภายหลังเกษียณอายุราชการยังคงให้การดูแลรักษาประชาชน และทำงานช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการสูญเสียบุคลาการแพทย์ที่มีความความตั้งใจทำงานสร้างประโยชน์ให้กับสังคมมาโดยตลอด นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ขอความร่วมมือประชาชนเมื่อป่วยขอให้ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงที่ชุมชน อยู่ให้ห่างจากผู้อื่น ที่สำคัญเมื่อไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลขอให้แจ้งความเสี่ยงของตนเอง อย่าปกปิด ให้ข้อมูลที่เป็นจริงแก่แพทย์ผู้รักษาและบุคลากรการแพทย์ทราบด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้ขึ้นอีก ***************************** 18 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเล
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 มาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเล ก.เกษตรฯ เร่งขับเคลื่อนการตรวจประเมินมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเล นายอำพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเตรียมความพร้อมการตรวจประเมินตามมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเลครั้งที่2-2/2564ณห้องประชุมOperation Roomกรมส่งเสริมการเกษตรซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานการตรวจประเมินมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกลือทะเลตามร่างคู่มือการปฏิบัติงานStandard Operating Procedure (SOP)การตรวจรับรองแหล่งผลิตGAPการทำนาเกลือและเกลือทะเลธรรมชาติโดยพิจารณาปรับและลดกระบวนการขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้กระชับรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยมีมติให้มอบฝ่ายเลขาฯปรับแก้ร่างคู่มือฯตามมติที่ประชุมให้แล้วเสร็จภายในวันที่1มีนาคม2564คาดจะประกาศใช้ภายในเดือนมีนาคม2564เพื่อให้การดำเนินงานทันต่อฤดูการผลิตของเกษตรกรต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการอ้างชื่อรับผลประโยชน์ จากงานขององค์การทหารผ่านศึก
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการอ้างชื่อรับผลประโยชน์ จากงานขององค์การทหารผ่านศึก รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการอ้างชื่อรับผลประโยชน์ จากงานขององค์การทหารผ่านศึก วันนี้ (18 ก.พ.64) เวลา 17.40 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึงกรณีการกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวกับองค์การทหารผ่านศึก ว่า องค์การทหารผ่านศึกเป็นองค์กรการกุศลเพื่อดูแลทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2556 ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติให้องค์การทหารผ่านศึกได้รับสิทธิพิเศษ ประเภทไม่บังคับในการรับจ้างงานพัฒนา การก่อสร้าง ปรับปรุง ฟื้นฟูแหล่งน้ำ และได้เริ่มรับจ้างทำงานการฟื้นฟูแหล่งน้ำ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ซึ่งในการทำงานพบปัญหาข้อขัดข้องโดยส่วนรวม ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ จนนำไปสู่การเรียกร้องให้องค์การทหารผ่านศึกชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการชี้ข้อมูลความผิดในส่วนของ องค์การทหารผ่านศึก ต่อมาเมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติระงับสิทธิพิเศษในปี พ.ศ. 2560 องค์การทหารผ่านศึกก็ไม่ได้รับงานขุดคลองมาจากหน่วยใดอีกเลยจนถึงปัจจุบัน รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า การที่มีการอ้างชื่อตนว่าไปรับผลประโยชน์เงินทองนั้นตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะทุจริตหรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และยืนยันว่า ไม่มีรายรับจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ..! กรณีน้องน้ำมนต์ รองนางสาวไทย ปี 2562 ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 คปภ. ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือ..! กรณีน้องน้ำมนต์ รองนางสาวไทย ปี 2562 ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต • เผยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเพื่อช่วยเยียวยาเบื้องต้นแล้ว เนื่องจากไม่มีประกันภัย พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 4 กย 4074 กรุงเทพมหานคร เสียหลักพลิกคว่ำ บริเวณสี่แยกสาธิตศึกษาศาสตร์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ นางสาวมนชนิตว์ ช่วยบุญ รองนางสาวไทย ปี 2562 รวมอยู่ด้วย เบื้องต้น เลขาธิการ คปภ. ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ บูรณาการร่วมกับสายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค โดยสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น เร่งสำรวจความเสียหายผ่าน Platform การรายงานข้อมูลกรณีอุบัติภัยกลุ่มหรือรายใหญ่ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และลงพื้นที่ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกด้านการประกันภัยให้กับครอบครัวของผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ทั้งนี้ ได้รับรายงานจากสำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) และสำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น พบว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 กย 4074 กรุงเทพมหานคร ไม่ได้จัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และไม่ได้จัดทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ดังนั้น เพื่อให้ทายาทผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาและเป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที สำนักงาน คปภ. จังหวัดขอนแก่น จึงแนะนำและอำนวยความสะดวกให้ทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยที่เสียชีวิตทั้ง 3 ราย และผู้บาดเจ็บ จำนวน 1 ราย ยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ซึ่งทายาทโดยธรรมของผู้เสียชีวิต จะได้รับค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท ส่วนผู้บาดเจ็บสามารถมอบอำนาจให้โรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเบิกจ่ายโดยตรงจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยได้ตามที่จ่ายจริงรายละไม่เกิน 30,000 บาท โดยไม่ต้องสำรอง และหากผู้ประสบภัยที่เข้ารับการรักษาการบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ก็มีสิทธิได้รับค่าเสียหายเบื้องต้น ซึ่งเป็นค่าปลงศพอีกรายละ 35,000 บาท รวมเป็น 65,000 บาท จากการติดตามช่วยเหลือด้านประกันภัยดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) ได้รับทราบความประสงค์ของครอบครัวผู้ประสบภัยที่เสียชีวิต ต้องการนำศพของผู้เสียชีวิตกลับไปบำเพ็ญกุศล ณ ภูมิลำเนาของผู้ประสบภัย ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม และประสงค์ที่จะใช้สิทธิเบิกค่าเสียหายเบื้องต้น ซึ่งเป็นค่าปลงศพจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยที่จังหวัดภูมิลำเนา สำนักงานคปภ. ภาค 3 (ขอนแก่น) จึงได้ประสานงานไปยังสำนักงาน คปภ. ภาค 5 (อุบลราชธานี) และสำนักงาน คปภ.จังหวัดอุบลราชธานี สำนักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ และสำนักงาน คปภ. จังหวัดมหาสารคาม ที่รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสำนักงาน คปภ. จังหวัดอุบลราชธานี สำนักงาน คปภ. จังหวัดกาฬสินธุ์ และสำนักงาน คปภ. จังหวัดมหาสารคาม ได้เร่งรัดการดำเนินการและส่งข้อมูลทางระบบออนไลน์ไปยังกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ซึ่งได้มีการอนุมัติการจ่ายเงินและโอนเงินเข้าบัญชีแก่ทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย ทั้ง 3 ราย เป็นค่าปลงศพ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 105,000 บาท ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลทายาทมอบอำนาจให้โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เบิกจ่ายจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยแล้ว จำนวน 30,000 บาท นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในอุบัติเหตุครั้งนี้มีการทำประกันภัยประเภทอื่น ๆ ไว้ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นางสาวกชฎา เสียงใส ได้ทำประกันภัยประกันภัยอุบัติเหตุไว้กับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กรมธรรม์ประกันภัยเลขที่ 14001-108-20001421 เริ่มคุ้มครองวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ด้วยจำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท จึงได้ประสานงานให้ทายาทผู้เสียชีวิตยื่นเอกสารเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนแล้ว ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะช่วยติดตามให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว “สำนักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุดังกล่าว จึงขอฝากเตือนประชาชน ควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ซึ่งการทำประกันภัยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม อย่างน้อยที่สุดควรจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เพื่อสามารถนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและเยียวยาความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการประกันภัย สามารถสอบถามได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” เดินหน้ายกระดับการให้บริการประชาชนตามหลักเกณฑ์ศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ของหน่วยงานรัฐที่มีมาตรฐานเดียวกัน มุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 “ยุติธรรม” เดินหน้ายกระดับการให้บริการประชาชนตามหลักเกณฑ์ศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ของหน่วยงานรัฐที่มีมาตรฐานเดียวกัน มุ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือหลักเกณฑ์วิธีการประเมินผลและการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ชั้น ๘ อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือหลักเกณฑ์วิธีการประเมินผล และการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (GECC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยมี นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. พร้อมด้วยผู้อำนวยการกอง/สำนัก และผู้ปฏิบัติงานด้านการให้บริการประชาชน ของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วม โดยที่ประชุมได้พิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการประเมินผล และการรับรองมาตรฐาน การสมัครขอรับการรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) ประจำปี ๒๕๖๔ เพื่อวางแผนและกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน ในการยกระดับเพื่อพัฒนาการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ให้พร้อมสำหรับการขอรับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) ของกระทรวงยุติธรรม ทั้งในส่วนของข้อกำหนดพื้นฐาน และหลักเกณฑ์ด้านคุณภาพ ที่ครอบคลุมทั้งด้านสถานที่ ด้านบุคลากร รวมถึงด้านงานบริการที่ต้องมีมาตรฐาน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการยกระดับการให้บริการประชาชนของกระทรวงยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการนำพาประชาชนเข้าสู่บริการภาครัฐ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการเป็นที่พึ่งด้านความเป็นธรรม ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเสมอภาคต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” สามารถใช้งานในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกสถานีได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พฤษภาคม 2564
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” สามารถใช้งานในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกสถานีได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ - 31 พฤษภาคม 2564 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง (G-Wallet) สามารถใช้งานในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วงทุกสถานีได้ ตั้งแต่วันนี้ (18 กุมภาพันธ์ 2564) - 31 พฤษภาคม 2564 โดยสามารถติดต่อออกเหรียญโดยสารได้ที่ห้องออกบัตรโดยสาร MRT สายสีน้ำเงิน และ สายสีม่วง ทุกสถานี ตั้งแต่เวลา 06.00 - 23.00 น. เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ 1. หากผู้ใช้สิทธิ์ออกเหรียญโดยสารแล้ว จะไม่สามารถนำเหรียญโดยสารเปลี่ยนหรือคืนได้ทุกกรณี 2. ไม่สามารถใช้ออกเหรียญโดยสารประเภทเด็ก/ผู้สูงอายุ และไม่สามารถใช้เติมเงิน เติมเที่ยวโดยสาร ชำระค่าที่จอดรถ หรือชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของรถไฟฟ้า MRT ได้ ในกรณีที่ผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ พบปัญหาการใช้งานแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือ สอบถามเกี่ยวกับโครงการ “เราชนะ” สามารถติดต่อได้ที่ธนาคารกรุงไทย โทร. 0 2111 1111 หรือ 0 2111 1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดให้ผู้ใช้บริการที่มีสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” สามารถนำมาซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกประเภท ณ จุดจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ “เราชนะ” วันนี้ ถึง 31
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเปิดให้ผู้ใช้บริการที่มีสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” สามารถนำมาซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกประเภท ณ จุดจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ “เราชนะ” วันนี้ ถึง 31 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดให้ผู้ใช้บริการที่มีสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” สามารถนำมาซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกประเภท ณ จุดจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ “เราชนะ” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2564 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดให้ผู้ใช้บริการที่มีสิทธิ์โครงการ “เราชนะ” สามารถนำมาซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกประเภท ณ จุดจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ “เราชนะ” ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2564 ประกอบด้วย 1. กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 1.1 ยื่นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้พนักงาน 1.2 แจ้งประเภทบัตรโดยสารล่วงหน้าที่ต้องการซื้อ 1.3 พนักงานระบุราคาบัตรโดยสารล่วงหน้า 1.4 ผู้ใช้บริการกดรหัส PIN เพื่อยืนยันการชำระเงิน 2. กลุ่มผู้ได้สิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 2.1 เปิดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 2.2 แจ้งประเภทบัตรโดยสารล่วงหน้าที่ต้องการซื้อ 2.3 พนักงานระบุราคาบัตรโดยสารล่วงหน้า 2.4 ผู้ใช้บริการสแกน QR Code ที่โทรศัพท์ของพนักงาน ​ เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้บัตรโดยสารล่วงหน้าของท่านขึ้นรถโดยสารของ ขสมก. ได้เลย!! และอย่าลืมเข้าไปลงทะเบียนที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรโดยสารล่วงหน้าของท่าน สามารถสแกนแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เช็คอินการขึ้น-ลงรถโดยสารผ่านเครื่อง EDC ได้ง่าย ๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อดึงดูดการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ยืนยันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อดึงดูดการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ยืนยันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ยืนยันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร วันนี้ (18 ก.พ.64) เวลา 15.52 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ถึงกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาภาคใต้ ว่า ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้ จากที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมา ทั้งการจัดซื้อที่ดิน การทำธุรกรรม ความไม่ชอบธรรมต่าง ๆ นั้นได้มีการดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว ทั้งนี้ ในแง่ของนโยบาย หากมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วจะให้ล้มเลิกโครงการใหญ่ ๆ ทั้งหมดคงไม่ใช่ ต้องแยกออกจากกันว่าสิ่งใดที่ทำได้ ทำถูกหรือไม่ถูก เพราะต้องมีการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลมุ่งเน้นพัฒนาสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ หากมีรายได้อยู่ร้อยล้าน รัฐบาลก็จะหาทางเพิ่มรายได้เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน หรือแสนล้านในพื้นที่ที่มีศักยภาพให้กับประชาชน ซึ่งในส่วนของการซื้อที่ดินสามารถทำได้ตามกฎหมาย โดยปัญหาการซื้อที่ดินต้องมีการตรวจสอบที่การซื้อที่ดินว่าถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่นำมาพันกับโครงการอื่น ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใคร แต่ใครจะได้ประโยชน์และถูกต้องหรือไม่ ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาทับซ้อนในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะพื้นที่ จึงต้องมีการแก้ปัญหาอย่างละเอียดอ่อน รัฐบาลจึงมีนโยบายเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้เดิมใน 3 พื้นที่ และเพิ่มพื้นที่ที่ 4 คือ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งได้แต่งตั้งคณะกรรมการเข้าไปดูแลเพื่อนำสู่กระบวนการแก้ไขพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดความเรียบร้อย ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นการเตรียมการที่ต้องรอระยะเวลาเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต โดยระหว่างที่รอการเจริญเติบโต ต้องมีการศึกษาศักยภาพ ขยายช่องทางเพิ่มเติมในเขตพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับประเทศอื่น เช่น เมียนมา ลาว ที่จะต้องพัฒนาหาจุดที่เชื่อมต่อให้ได้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนผังสีของที่ดิน ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ไม่ใช่ว่าใครจะไปกำหนดสีใด ๆ ได้ เพราะจะต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือต้องสร้างศักยภาพให้เกิดในประเทศไทย ใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่า มีมูลค่า เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนในทุกพื้นที่ ทุกภาค โดยไทยมีพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษรวม 10 พื้นที่ทั่วประเทศ ที่จะต้องส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานให้มีความพร้อมเพื่อดึงดูดการลงทุน อาทิ ถนน ไฟฟ้า พลังงาน ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับใน 4 พื้นที่ 3 เหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ถ้ามีความพร้อม นักลงทุนก็พร้อมที่จะมาลงทุน โดยจะต้องมีการลงทุนที่โปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตนได้ย้ำสั่งการทุกครั้งว่าต้องตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มีกลไกในการตรวจสอบ สามารถร้องทุกข์ กล่าวโทษ แจ้งองค์กรอิสระตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกติกาการทำงานมาโดยตลอด นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลเร่งพัฒนาประเทศ มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พ้นจากการเป็นประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ทั้งนี้ ในการพัฒนาไปข้างหน้าอาจจะมีปัญหา ถ้าพบการทุจริตตรงไหนก็ต้องแก้ไข แต่ไม่อยากให้การอภิปรายส่งผลกระทบต่อโครงการขนาดใหญ่ที่มีการริเริ่มดำเนินการแล้ว เพราะจะส่งผลต่อการลงทุนของต่างประเทศด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมบรรยาย “บทบาทและการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ” ในหลักสูตรข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ รุ่นที่ 54 โรงเรียนรักษาความปลอดภัยฯ
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมบรรยาย “บทบาทและการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ” ในหลักสูตรข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ รุ่นที่ 54 โรงเรียนรักษาความปลอดภัยฯ ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส ร่วมบรรยาย “บทบาทและการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ” ในหลักสูตรข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ รุ่นที่ 54 โรงเรียนรักษาความปลอดภัยฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นวิทยากรบรรยายวิชา “บทบาทและการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” ซึ่งเป็นหลักสูตรข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ รุ่นที่ 54 ประจำปี 2564 โรงเรียนรักษาความปลอดภัย ศูนย์รักษาความปลอดภัย ในการนี้เพื่อให้ผู้เข้าอบรมรับทราบถึงบทบาทและการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ภารกิจ การจัดนโยบาย วิสัยทัศน์ และการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี รวมถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติในบทบาทของกระทรวงดิจิทัลฯ โดยมีผู้บริหารจากโรงเรียนรักษาความปลอดภัยฯ ให้การต้อนรับ ณ ห้องเรียนข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ อาคาร 204 ชั้น 3 ถนนพระราม 5 เขตดุสิต กรุงเทพฯ *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะปิดปรับปรุงอาคารจอดรถโซน 2 เป็นการชั่วคราว เริ่ม 22 กุมภาพันธ์ นี้
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะปิดปรับปรุงอาคารจอดรถโซน 2 เป็นการชั่วคราว เริ่ม 22 กุมภาพันธ์ นี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จะปิดให้บริการอาคารจอดรถโซน 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 00.01 น. เป็นต้นไป เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมพัฒนาอาคารจอดรถให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) จะปิดให้บริการอาคารจอดรถโซน 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 00.01 น. เป็นต้นไป เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมพัฒนาอาคารจอดรถให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยในระหว่างที่ ทสภ. ดำเนินการปิดพื้นที่อาคารจอดรถโซน 2 ดังกล่าว ผู้ใช้บริการสามารถนำรถมาจอดได้ที่อาคารจอดรถโซน 3 และลานจอดรถโซน 4 ซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารได้ตามปกติ และมีพื้นที่จอดรถโซนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ ได้แก่ ลานจอดรถโซน 5 บริเวณด้านข้างโรงแรมโนโวเทล และลานจอดรถโซน 6 และ 7 บริเวณด้านหน้าฝั่งตรงข้ามโรงแรมโนโวเทลสุวรรณภูมิ และลานจอดรถระยะยาว (Long Term Parking) บริเวณโซน A ที่อยู่ใกล้กับศูนย์การขนส่งสาธารณะ (Bus Terminal) ทั้งนี้ ทสภ. ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ และผู้ใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการอาคารจอดรถยนต์ โทรศัพท์ 0 2132 9511 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภรรยาหมวดบอล ร้อยโท รุ่งเฉลิม พันธุ์สวัสดิ์ ผู้บังคับหมวดดุริยางค์ มลฑลทหารบกที่ 210 ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตในค่ายทหาร เข้าร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรมให้รับเป็นคดีพิเศษ ขอคุ้มครองพยา
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ภรรยาหมวดบอล ร้อยโท รุ่งเฉลิม พันธุ์สวัสดิ์ ผู้บังคับหมวดดุริยางค์ มลฑลทหารบกที่ 210 ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตในค่ายทหาร เข้าร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรมให้รับเป็นคดีพิเศษ ขอคุ้มครองพยา ภรรยาหมวดบอล ร้อยโท รุ่งเฉลิม พันธุ์สวัสดิ์ ผู้บังคับหมวดดุริยางค์ มลฑลทหารบกที่ 210 ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตในค่ายทหาร เข้าร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรมให้รับเป็นคดีพิเศษ ขอคุ้มครองพยาน และรับเงินเยียวยา ในวันพุธที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจาก น.ส.กณิศฐ์ฐา พันธุ์สวัสดิ์ ผู้เสียหายในคดีอาญามาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกรณี ร้อยโท รุ่งเฉลิม พันธุ์สวัสดิ์ หรือหมวดบอล ตำแหน่งผู้บังคับหมวดดุริยางค์ มลฑลทหารบกที่ ๒๑๐ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. เหตุเกิดที่ มลฑลทหารบกที่ ๒๑๐ ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต กล่าวว่า ผู้ร้องเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมาร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรม ขอให้กระทรวงยุติธรรมส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินการสืบสวนคดีอาญาและดำเนินการเพื่อเสนอให้เป็นคดีพิเศษ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานต่างๆ ในคดี และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ช่วยในการคุ้มครองพยาน ทั้งนี้ในเบื้องต้น ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต ได้ประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๔ ให้ดูแลและติดตามคดีแล้ว ส่วนเงินเยียวยาผู้เสียหายในคดีอาญาได้แนะนำให้ยื่นคำร้องกับสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิวิชาหนังสือ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิวิชาหนังสือ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิวิชาหนังสือ และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย ระหว่าง กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มูลนิธิวิชาหนังสือ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โอกาสนี้ นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายมกุฏ อรฤดี เลขานุการมูลนิธิวิชาหนังสือ ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วธ. กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และแผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม ซึ่งเน้นการสร้างเสริมชุมชนเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาคนในทุกมิติและทุกวัยให้เป็นคนมีคุณภาพ รับผิดชอบสังคมและผู้อื่น ใฝ่ใจการเรียนรู้ พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต กระทรวงวัฒนธรรมจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้คนไทยมีค่านิยมที่พึงประสงค์ สนับสนุนให้ภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความรู้ พัฒนาความคิด ถ่ายทอดภูมิปัญญา และร่วมสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเพื่อให้บรรลุผลตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวนั้น สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยหนังสือเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ เป็นบ่อเกิดขององค์ความรู้ เป็นกลไกในการพัฒนาการเรียนรู้ พัฒนาความคิดที่เป็นระบบ พัฒนาจิตใจและศักยภาพของมนุษย์รวมทั้งสร้างจินตนาการก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนเราสามารถเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อสภาพสังคมและเหตุการณ์ของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างเหมาะสม อันจะส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติโดยรวมในที่สุด ด้าน นายชาย นครชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เล็งเห็นความสำคัญของหนังสือว่าเป็นเครื่องมือแห่งการพัฒนาวัฒนธรรม อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมแนวคิดทางเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรมจึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้คนไทยมีค่านิยมที่รู้คุณค่าและประโยชน์ของการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาคุณภาพคนไทยและเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในระดับภูมิภาคและระดับสากล ดังนั้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้ร่วมกับมูลนิธิวิชาหนังสือ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันไทยศึกษา จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย ฉบับนี้ขึ้น เพื่อจัดทำแผนพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) ให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการอ่านหนังสือ และสื่อการเรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง อีกทั้งเพื่อส่งเสริมรากฐานของวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศ และกลไกการเผยแพร่หนังสือทุกรูปแบบ โดยมุ่งหวังว่าการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จะมีประโยชน์แก่สาธารณชนอย่างกว้างขวาง สร้างวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศได้ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ด้าน นายมกุฏ อรฤดีเลขานุการมูลนิธิวิชาหนังสือ กล่าวว่า มูลนิธิวิชาหนังสือจัดตั้งขึ้นเพื่อศึกษา ค้นคว้า วิจัยเชิงวิชาการด้านหนังสือ ทั้งรูปแบบและเนื้อหา สนับสนุนวิชาชีพหนังสือ ระบบหนังสือ รวมทั้งสนับสนุนการอ่าน ระบบหนังสือสาธารณะและระบบหนังสือหมุนเวียน มูลนิธิวิชาหนังสือตระหนักว่าหนังสือเป็นหลักฐานสำคัญแห่งยุคสมัยของมนุษยชาติ เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความคิด สติปัญญาของมนุษย์ให้งอกงามสมบูรณ์ การอ่านหนังสือนับเป็นกิจกรรมอันสำคัญยิ่งของมนุษยชาติ ด้วยหนังสือคือสิ่งจรรโลงมนุษย์ให้พัฒนาขึ้น เป็นเครื่องมือถ่ายทอดความคิดและความบันเทิง หนังสือจึงไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยแต่เป็นอาหารสมอง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือให้เกิดขึ้นในประเทศไทย สร้างระบบหนังสือและระบบความรู้ให้ประชาชนในประเทศได้มีโอกาสเข้าถึงอย่างเสมอภาค ส่งเสริมให้คนในชาติเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมหนังสือ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย มูลนิธิวิชาหนังสือ จึงยินดีร่วมมือกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันไทยศึกษา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย โดยร่วมมือกันจัดทำแผนพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย ให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงหนังสือและการอ่านหนังสือ รวมทั้งสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ส่งเสริมพื้นฐานของวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศ ร่วมกันเผยแพร่และประกาศนโยบาย ‘หนังสือคือวัฒนธรรมของชาติ’ รณรงค์เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมหนังสือ รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือทุกรูปแบบ เพื่อการพัฒนาตนเองของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติ จากนั้น ศ.ดร.จักรพันธุ์ สุทธิรัตน์รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงบทบาทและแนวทางความร่วมมือของสถาบันการศึกษาว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ “ผู้นำการสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างเสริมสังคมสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีพันธกิจในสร้างและพัฒนาคน สร้างวัฒนธรรม การเรียนรู้ตลอดชีวิต เพิ่มความร่วมมือในสังคม รัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตระหนักว่า การพัฒนาคุณภาพของคนไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมหนังสือ เพื่อสร้างคุณภาพคนไทยให้มีความรู้และจินตนาการที่ทันยุคสมัยพร้อมจะแข่งขันในเวทีโลก เนื่องด้วยการอ่านสร้างองค์ความรู้ นำไปสู่การคิดต่อยอด การพัฒนา และนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลง หนังสือสามารถสร้างคุณภาพคนและสร้างพื้นฐานที่ดีของชาติได้ แม้ในยุคสมัยปัจจุบันบทบาทของหนังสือ สิ่งพิมพ์ จะลดลงไป แต่การอ่านยังคงเป็นปัจจัยสำคัญและเป็นกลไกในการขับเคลื่อนพัฒนาการของสังคมไม่ด้อยไปกว่าในอดีต ดังนั้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงมีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทย งานวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จมหาวิทยาลัย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือการส่งเสริมวัฒนธรรมหนังสือ และระบบหนังสือของประเทศไทยในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นและส่งผลกระทบในวงกว้างให้วัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสังคมไทยต่อไป การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ของทั้ง ๓ หน่วยงาน นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะเป็นการร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่พร้อมจะขับเคลื่อนให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และการส่งเสริวัฒนธรรมหนังสือและระบบหนังสือของประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ........................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เฮ! 22 ก.พ. เพิ่ม 3 แบงค์รัฐ รับลงทะเบียน “เราชนะ”
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เฮ! 22 ก.พ. เพิ่ม 3 แบงค์รัฐ รับลงทะเบียน “เราชนะ” ... ข่าวดีจากการประชุมสภาฯ ล่าสุด นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ระบุ วันจันทร์ที่ 22 ก.พ. เป็นต้นไป ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถนำบัตรประชาชนแบบ Smart card ไปลงทะเบียนโครงการ “เราชนะ” ได้ที่ ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. ทุกสาขา . เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน ลดความแออัด ให้ประชาชนที่มีสิทธิสามารถร่วมโครงการเราชนะได้ทั่วถึง #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันของนักเรียนอีกร้อยละ 5
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันของนักเรียนอีกร้อยละ 5 วันที่พฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันของนักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อีกร้อยละ 5 รวมเป็นเงิน 25,400 ล้านบาท เพื่อให้เด็กไทยทุกคนได้รับอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างเหมาะสม มีคุณภาพ และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยให้ปรับอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนทุกคน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป ครอบคลุมโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และโรงเรียนเอกชนกว่า 49,800 โรงเรียน และนักเรียนที่จะได้รับประโยชน์กว่า 5,890,000 คน โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งบประมาณอัตราใหม่ได้ทันภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่ม 22 ก.พ. นี้ นอกจาก ธ.กรุงไทย สามารถลงทะเบียน “เราชนะ” ที่ ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาสำหรับกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 เริ่ม 22 ก.พ. นี้ นอกจาก ธ.กรุงไทย สามารถลงทะเบียน “เราชนะ” ที่ ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาสำหรับกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน เริ่ม 22 ก.พ. นี้ นอกจาก ธ.กรุงไทย สามารถลงทะเบียน “เราชนะ” ที่ ธ.ออมสิน และ ธ.ก.ส. ทุกสาขาสำหรับกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการ “เราชนะ” เปิดจุดลงทะเบียนเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน ณ ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นอกเหนือจาก ธ.กรุงไทย ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ จนถึงวันที่ 5 มีนาคม โดยให้นำบัตรประชาชนแบบ Smart card มาลงทะเบียนได้ที่สาขาธนาคารดังกล่าว รวมถึงหน่วยเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยด้วย โดยขอให้ประชาชนทยอยไปลงทะเบียนที่สาขาของทั้ง 3 ธนาคาร ซึ่งจะช่วยประชาชนประหยัดเวลารอคอย ลดความแออัด ส่วนกลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง รวมทั้งประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางไปที่สาขาของธนาคารได้ จะมีหน่วยเคลื่อนที่ของ ธ.กรุงไทย ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกด้วย ซึ่งรัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ประชาชนได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการเราชนะได้อย่างทั่วถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-AOT ปรับประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ คาดฟื้นตัวปี 67
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 AOT ปรับประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ คาดฟื้นตัวปี 67 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) ปรับประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยและทั่วโลก โดยได้ปรับประมาณการผู้โดยสารรวมปี 2564 ลงจากประมาณการครั้งก่อน (พฤศจิกายน 2563) ร้อยละ 33.4 และปรับประมาณการปริมาณเที่ยวบินรวมลงร้อยละ 25.0 ทั้งนี้ AOT คาดว่าจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารจะกลับมามีปริมาณเท่ากับปี 2562 (ก่อนเกิด COVID-19) ในปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) และ S&P Global จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้โดยสารในภาพรวมที่เดินทางผ่านสนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ลดลงอย่างมีนัย โดย AOT ได้ปรับประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ ระหว่างปีงบประมาณ 2564 - 2567 โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2564 จะมีปริมาณเที่ยวบินรวม 335,459 เที่ยวบิน ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อน (พฤศจิกายน 2563) ร้อยละ 25.0 และน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 (ก่อนเกิด COVID-19) ร้อยละ 62.6 และมีผู้โดยสารรวม 31.90 ล้านคน ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อน (พฤศจิกายน 2563) ร้อยละ 33.4 และน้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 (ก่อนเกิด COVID-19) ร้อยละ 77.5 ปีงบประมาณ 2565 จะมีปริมาณเที่ยวบินรวม 547,226 เที่ยวบิน และผู้โดยสารรวม 73.17 ล้านคน ปีงบประมาณ 2566 จะมีปริมาณเที่ยวบินรวม 824,915 เที่ยวบิน และผู้โดยสารรวม 128.85 ล้านคน และปีงบประมาณ 2567 มีปริมาณเที่ยวบินรวม 923,925 เที่ยวบิน และผู้โดยสารรวม 146.40 ล้านคน หรือคาดว่าปริมาณการจราจรทางอากาศจะกลับสู่ระดับเดียวกับปี 2562 ในปี 2567 ซึ่งประมาณการดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ IATA และ S&P Global อย่างไรก็ตาม การประมาณการนี้ตั้งอยู่บนข้อสมมติฐานที่มีการเปิดน่านฟ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข เช่น ไม่มีการกักกันตัว ในเดือนธันวาคม 2564 แต่หากมีการเปิดประเทศอย่างมีเงื่อนไข AOT จะต้องประเมินเงื่อนไขจากการเปิดประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเพิ่มเติมในทางลบ (Downside Risk) จากประมาณการนี้ต่อไป ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทย ทำให้ผู้โดยสารในภาพรวม ที่เดินทางผ่านสนามบินทั้ง 6 แห่งของ AOT ลดลงอย่างมากจากเดิมก่อนการระบาดระลอกใหม่ (เดือนพฤศจิกายน 2563) ที่มีผู้โดยสารภายในประเทศเฉลี่ยประมาณ 127,000 คนต่อวัน ขณะที่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2564 ผู้โดยสารลดลงเหลือเฉลี่ยประมาณ 15,000 คนต่อวัน แม้ว่าในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผู้โดยสารเริ่มฟื้นตัวกลับมามีจำนวนประมาณ 37,000 คนต่อวันแล้วก็ตาม อนึ่ง AOT คาดว่าแม้ว่าจะมีการเปิดประเทศแล้ว แต่การจัดสรรตารางการบินฤดูหนาว 2564/65 ซึ่งเริ่มจัดสรรในเดือนพฤษภาคม 2564 จะไม่สมบูรณ์เนื่องจากผลกระทบข้างต้น ประกอบกับความเสียหายในห่วงโซ่อุปทาน ทางการบิน (Supply Chain Damage) อาทิ การลดฝูงบิน หรือการเข้าแผนฟื้นฟูกิจการของหลายสายการบิน หรือ สายการบินที่ยังฟื้นตัวไม่ทัน เป็นต้น จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะปานกลาง (หลังปี 2565) ที่ต้องทำการประเมินอีกครั้งต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วม บก.สอท. และกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ศึกษาแนวทางการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมและบังคับใช้กฎหมาย PDPA
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ดีอีเอส ร่วม บก.สอท. และกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ศึกษาแนวทางการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมและบังคับใช้กฎหมาย PDPA ดีอีเอส ร่วม บก.สอท. และกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ศึกษาแนวทางการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมและบังคับใช้กฎหมาย PDPA เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (บก.สอท.) ซึ่งเป็นการหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับ กลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการนี้ที่ประชุมหารือประเด็นสำคัญ อาทิ 1. แนะนำหน่วยงาน และหน้างานที่รับผิดชอบ 2. Roadmap การพัฒนาเรื่อง Data Privacy & Protection ในประเทศไทย 3. แนวปฏิบัติหรือ Guideline แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดทำกลไกภายในให้เป็นไปตาม กฎหมาย PDPA 4. หารือแนวทางการสร้างกลไกการทำงานร่วมกันในการส่งเสริมและบังคับใช้กฎหมาย PDPA หลังจากวันที่ 1 พ.ค. 2563 และ 5. สรุปประเด็นการหารือที่สำคัญ และกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมในดำเนินการร่วมกันในครั้งต่อไป ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่าเร่งขุดลอกร่องน้ำหาดนางกำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แก้ไขปัญหาเรือเข้า - ออกไม่สะดวก
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 กรมเจ้าท่าเร่งขุดลอกร่องน้ำหาดนางกำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แก้ไขปัญหาเรือเข้า - ออกไม่สะดวก นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมเจ้าท่า (จท.) ได้เปิดหน่วยขุดลอกร่องน้ำในหลายพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประกอบอาชีพประมงและการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้สามารถใช้ร่องน้ำเดินทางเข้า - ออกได้อย่างสะดวกและปลอดภัย สำหรับร่องน้ำหาดนางกำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นร่องน้ำที่มีความสำคัญอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ซึ่งสภาพภูมิอากาศบริเวณดังกล่าว มีคลื่นลมแรง ทำให้กระแสน้ำพัดตะกอนมาทับถมทำให้ร่องน้ำตื้นเขิน จท. โดยสำนักงานพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 6 สำนักพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำ ได้ปฏิบัติงานขุดลอกร่องน้ำหาดนางกำให้มีความกว้างและความลึกตามเกณฑ์ มีระยะทาง 600 เมตร ความกว้างก้นร่องน้ำ 10 - 15 เมตร ความลึก 1 เมตร (จากระดับน้ำลงต่ำสุด) ปริมาณวัสดุขุดลอก 28,355 ลูกบาศก์เมตร ระยะเวลาปฏิบัติงาน 50 วัน ซึ่งร่องน้ำดังกล่าวอยู่ติดบริเวณแนวภูเขา วัสดุที่ขุดลอกเป็นหินส่งผลผลกระทบต่อเครื่องจักร โดยผลการปฏิบัติงาน ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขุดลอกได้ระยะทาง 220 เมตร คิดเป็นร้อยละ 36 คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนงานในเดือนมีนาคม 2564 ทั้งนี้ เมื่อขุดลอกร่องน้ำหาดนางกำ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วเสร็จ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการประมงและการท่องเที่ยว คาดว่าเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลายลง จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ การเยี่ยมชมโลมาสีชมพู ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับแล้ว “เราชนะ”! เงินก้อนแรก 2,000 บาท โอนเข้าแอป “เป๋าตัง” และผู้ลงทะเบียนเว็บไซต์ “เราชนะ”
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 รับแล้ว “เราชนะ”! เงินก้อนแรก 2,000 บาท โอนเข้าแอป “เป๋าตัง” และผู้ลงทะเบียนเว็บไซต์ “เราชนะ” รับแล้ว “เราชนะ”! เงินก้อนแรก 2,000 บาท โอนเข้าแอป “เป๋าตัง” และผู้ลงทะเบียนเว็บไซต์ “เราชนะ” วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ กลุ่มผู้รับสิทธิ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” คือ กลุ่มผู้ลงทะเบียนโครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และกลุ่มผู้ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “เราชนะ” (www.เราชนะ.com) ได้รับวงเงินงวดแรก จำนวน 2,000 บาทจากโครงการ “เราชนะ” ซึ่งเป็นมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพจำนวน 7,000 บาท ให้กับประชาชน ซึ่งประชาชนที่ได้สิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายที่ร้านธงฟ้าที่มีเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ร้านถุงเงินธงฟ้า ร้านค้าคนละครึ่ง และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้ นอกจากนี้ยังมีการขยายสิทธิให้สามารถใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถแท็กซี่ รถตู้โดยสารประจำทาง สามล้อเครื่อง (ตุ๊กตุ๊ก) รถจักรยานยนต์รับจ้าง (วินมอเตอร์ไซค์) รถสองแถว รถเมล์ ขสมก. รถทัวร์ บขส. รถไฟฟ้า รวมทั้งบริการในกลุ่มสุขภาพและความงาม เช่น ร้านนวด สปา ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ร้านทำเล็บ รวมถึงบริการด้านสุขภาพและการแพทย์ เช่น สถานพยาบาลที่ไม่รับผู้ป่วยค้างคืน (คลินิก) แพทย์แผนจีน คลินิกรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ รวมถึงงานรับเหมา งานช่างและงานทำความสะอาด ได้แก่ งานก่อสร้างขนาดเล็ก บริการทำสวน ตกแต่งสวน ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ ฉีดปลวก ซักรีด ตัดเย็บซ่อมสินค้า/เสื้อผ้า ซ่อมรถยนต์/จักรยานยนต์/จักรยาน ซ่อมประปา ไฟฟ้า แอร์ และบริการที่พัก เช่น หอพัก อพาร์ตเมนท์ แฟลต ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ใช่นิติบุคคลที่สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ซึ่งไม่จำกัดยอดใช้จ่ายและสามารถสะสมวงเงินได้จนถึงวันที่ 31 พ.ค. นี้ โดยมีผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะแล้วกว่าเกือบ 1 ล้านราย สำหรับไทม์ไลน์การโอนเงินให้กับผู้ได้รับสิทธิโครงการเราชนะในกลุ่มต่าง ๆ นั้น กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้รับวงเงินแล้วเมื่อวันที่ 5 และ 12 ก.พ. และจะได้รับวงเงินอีกครั้ง ๆ ละ 675 หรือ 700 บาทในวันที่ 19 และ 25 ก.พ. และ 5,12,19,26 มีนาคม กลุ่มผู้มีสิทธิที่เคยลงทะเบียนโครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และกลุ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “เราชนะ” ได้รับเงินงวดแรก จำนวน 2,000 บาทในวันนี้ (18 ก.พ.) และจะได้รับเงินอีก ครั้งละ 1,000 บาท ในวันที่ 25 ก.พ. และ 4,11,18,25 มีนาคม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำว่า โครงการ “เราชนะ” เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่จะออกมาตรการในลักษณะ “ไฮบริด” คือ ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของประชาชน พร้อม ๆ กับการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในเวลาเดียวกัน ซึ่งผู้ประกอบการรายย่อย ได้แก่ พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย และผู้ประกอบการอิสระต่าง ๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทฯ ห้าง/ร้านแบบนิติบุคคล จะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่ได้รับสิทธิในครั้งนี้ รวมทั้งการโอนเงินตรงให้แก่ผู้รับสิทธิผ่านระบบแอปพลิเคชัน เป็นการใช้เทคโนโลยีในการยกระดับการบริหารงบประมาณแผ่นดินให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด และเป็นส่วนหนึ่งของการให้ประชาชนได้มีความคุ้นเคยกับการนำไปสู่สังคมไร้เงินสดในอนาคตอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/39209
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ทส. ร่วมประชุม กบร. เพื่อพิจารณาจัดตั้ง สำนักงาน คทช. ประสานทุกหน่วยงานแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ”
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 “ทส. ร่วมประชุม กบร. เพื่อพิจารณาจัดตั้ง สำนักงาน คทช. ประสานทุกหน่วยงานแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ” “ทส. ร่วมประชุม กบร. เพื่อพิจารณาจัดตั้ง สำนักงาน คทช. ประสานทุกหน่วยงานแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ” วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) โดยในที่ประชุมได้มีการรับทราบถึงการผลการดำเนินงานของ กบร. ดังนี้ 1. เรื่องสรุปผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐจังหวัดต่างๆ (กบร.จังหวัด) ที่ได้แก้ไขปัญหากรณีราษฎรมีข้อโต้แย้งสิทธิในที่ดินของรัฐ ได้แก่ ที่สาธารณประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และที่ป่าไม้ จำนวน 5,011 ราย เนื้อที่ 90,786 ไร่ โดยการพิสูจน์สิทธิตามมาตรการของ กบร. ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ราษฎรมีการครอบครองที่ดินมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ 2. เรื่องการโอนกองแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฝ่ายเลขานุการของ กบร.) ไปสังกัดสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) สำนักนายกรัฐมนตรี ตามร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่..) พ.ศ..... ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา และที่ประชุมได้พิจารณาจำนวน 1 เรื่อง คือ เรื่องการเตรียมการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ.2545 ซึ่งที่ประชุม มีมติเห็นชอบส่งเรื่องให้สำนักงาน คทช. พิจารณาตามข้อเสนอดังนี้ 1) นำมาตรการของ กบร.เรื่องการพิสูจน์สิทธิฯ และเรื่องขั้นตอนและวิธีการดำเนินงาน ของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ ไปเป็นมาตรการหนึ่งภายใต้มาตรการของ คทช. 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการใหม่ภายใต้ คทช. เพื่อทำหน้าที่แทน กบร.จังหวัด คณะอนุกรรมการ-อ่านภาพถ่ายทางอากาศ และคณะอนุกรรมการที่สำคัญของ กบร.ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38963
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจสอบสิทธิ์ โครงการ เราชนะ
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ตรวจสอบสิทธิ์ โครงการ เราชนะ วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเราชนะไว้ วันนี้เป็นวันแรกที่ทุกคนสามารถตรวจสอบสถานะการได้รับสิทธิ์ผ่านเว็บไซต์ www.เราชนะ.com โดยผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติได้รับสิทธิ์ในโครงการ จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้าเพื่อเปิดใช้งานระบบ และเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปเป๋าตังได้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.64 เป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนแล้วได้รับข้อความผ่าน SMS ว่า ลงทะเบียนไม่สำเร็จ สามารถลงทะเบียนใหม่ผ่านเว็บไซต์ เราชนะ.com ได้ทันทีหลังได้รับ SMS จนถึงวันที่ 12 ก.พ. 2564 กรณีมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ โทร 0 2273 9020 หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนโครงการ “เราชนะ” ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนโครงการ “เราชนะ” ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนโครงการ “เราชนะ” ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กรมการขนส่งทางบก กลุ่มรถโดยสารที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา ประกอบด้วย รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก รถจักยานยนต์รับจ้าง รถสองแถว ให้ลงทะเบียนด้วยตนเองทาง http://www.xn--b3c4a2a6ch6f.com/ หรือธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา กรมเจ้าท่า กลุ่มเรือโดยสารที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา ประกอบด้วย เรือข้ามฟาก เรือโดยสารในแม่น้ำ ลำคลอง ทะเล ให้ลงทะเบียนด้วยตนเองทาง http://www.xn--b3c4a2a6ch6f.com/ หรือธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ขสมก. สามารถใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” ผ่านแอป “เป๋าตัง” ซื้อบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกประเภท ณ จุดจำหน่ายบัตรโดยสารที่มีสัญลักษณ์เราชนะ 38 แห่ง บขส. สามารถใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” ชำระค่าตั๋วโดยสารผ่านแอป “เป๋าตัง” ได้ ณ ช่องจำหน่ายตั๋ว สถานีเดินรถ และจุดจอดรถของ บขส. ทั่วประเทศ ยกเว้นซื้อตั๋วผ่านระบบออนไลน์และเคาน์เตอร์เซอร์วิส รถไฟ สามารถใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” ซื้อตั๋วโดยสารรถไฟได้ทุกสถานีทั่วประเทศ โดยสแกน QR Code จากห้องจำหน่ายตั๋วเพื่อยืนยันการชำระเงิน รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สามารถใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” สามารถชำระเงินค่าเหรียญโดยสารผ่านแอป “เป๋าตัง” กับเจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋ว รถไฟฟ้า MRT สามารถใช้สิทธิ์โครงการ “เราชนะ” ชำระเงินผ่านแอป “เป๋าตัง” แล้วรับเหรียญโดยสารได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ทุกสถานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38950
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวบันทึกเทป พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานกล่าวมอบนโยบาย ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 คำกล่าวบันทึกเทป พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานกล่าวมอบนโยบาย ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 คำกล่าวบันทึกเทป พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานกล่าวมอบนโยบาย ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 คำกล่าวบันทึกเทป พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานกล่าวมอบนโยบาย ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรรมการ และผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ผมขอขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน รวมถึงผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องที่ได้ ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญของชาติ ที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด ที่ผ่านมาทุกท่านได้บูรณาการการทำงานร่วมกันภายใต้กรอบนโยบาย ด้านยาเสพติด โดยได้มุ่งเน้นการปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายใหญ่ การตัดวงจรทางการเงิน รวมทั้งการสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ ซึ่งในปี 2564 นี้ ได้กำหนดเป้าหมายการขยายผลและยึดอายัดทรัพย์สินคิดเป็นมูลค่ากว่า 6,000ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ดังนี้ 1) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถทั้งทางด้านการสืบสวนสอบสวน รวมไปถึงความสามารถในการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการติดตามผู้กระทำความผิด 2) ความพร้อมของเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น 3) การปรับปรุงระเบียบข้อกฎหมายต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน และเอื้อต่อการปฏิบัติงาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขประมวล ร่างกฎหมายยาเสพติด รวมทั้งแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สิน ดังนั้น ผมขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เร่งรัดติดตาม เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็ว นอกจากนี้ ผมขอให้ทุกส่วนราชการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดย น้อมนำพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ในด้านการป้องกันและบำบัดผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งใช้แนวทางการพัฒนาทางเลือกและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างยั่งยืน มาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สุดท้ายนี้ ผมขอให้การประชุมประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และขออวยพรให้ทุกท่านและครอบครัว มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บโดยทั่วกัน ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. ร่วมโครงการ “เราชนะ” ซื้อบัตรโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 รฟท. ร่วมโครงการ “เราชนะ” ซื้อบัตรโดยสารผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินมาตรการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ภายใต้โครงการ “เราชนะ” จ่ายเงินเยียวยาวงเงิน 7,000 บาท ให้กับแรงงานนอกระบบประกันสังคม ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อนำไปใช้จ่ายบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขณะนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม พร้อมให้บริการแก่ผู้ได้รับสิทธิโครงการ “เราชนะ” โดยใช้แอพพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซื้อตั๋วโดยสารรถไฟได้ทุกสถานีทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อตั๋วโดยสารรถไฟได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพการเดินทางแก่ประชาชน และส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการเปลี่ยนวิธีการชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด เพื่อลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการ “เราชนะ” สามารถซื้อตั๋วโดยสารรถไฟได้โดยยื่นบัตรประชาชนและแจ้งจุดหมายปลายทางที่จะไปแก่เจ้าหน้าที่ ในการชำระเงินให้เปิดแอพพลิเคชันเป๋าตัง และกดใช้สิทธิที่ช่องโครงการ “เราชนะ” เมื่อเข้ามาหน้าโครงการเราชนะแล้ว ให้กดช่องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อใช้สิทธิ และสแกนคิวอาร์โค้ดหน้าห้องจำหน่ายตั๋วโดยสาร หลังจากนั้นแอพพลิเคชันจะทำการสรุปยอดเงิน เพื่อให้ตรวจสอบราคาตั๋วโดยสารว่าตรงตามที่ระบุหรือไม่ หากถูกต้องให้กดยืนยันการชำระเงินด้วยการกดรหัสผ่านหกหลักเพื่อยืนยันการใช้สิทธิ และระบบจะขึ้นหน้าสลิปเป็นหลักฐานการหักวงเงินตามจำนวนที่ใช้ไป ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิซื้อตั๋วโดยสารรถไฟโดยมีขั้นตอนง่าย ๆ เพียงยื่นบัตรประชาชนแนบกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วรถไฟ และแจ้งจุดหมายปลายทางที่จะไปแก่เจ้าหน้าที่ จากนั้นให้ตรวจสอบความถูกต้องของตั๋วโดยสาร และค่าโดยสารที่ถูกหักไป หากถูกต้องถือว่าเป็นการเสร็จขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สิทธิซื้อตั๋วโดยสารด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือสิทธิโครงการเราชนะ จะต้องเป็นเจ้าของบัตรเท่านั้น ไม่สามารถซื้อตั๋วแทนกันได้ และจะต้องเลือกใช้สิทธิโครงการใดโครงการหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถคืนตั๋วโดยสารหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด แต่สามารถเปลี่ยนแปลงการเดินทางตามระเบียบที่ รฟท. กำหนดได้ ทั้งนี้ ประชาชนที่มีข้อสงสัย หรือมีความประสงค์จะเดินทางโดยรถไฟ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย # กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รับลูก BCG Model ของนายกรัฐมนตรี เร่งปรับแผนงานวัฒนธรรมสร้างมูลค่า พัฒนาชุมชนคุณธรรมฯ-ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า สร้างงาน สร้างรายได้ ขณะที่ สวจ.ปทุมธานี
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 วธ.รับลูก BCG Model ของนายกรัฐมนตรี เร่งปรับแผนงานวัฒนธรรมสร้างมูลค่า พัฒนาชุมชนคุณธรรมฯ-ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า สร้างงาน สร้างรายได้ ขณะที่ สวจ.ปทุมธานี วธ.รับลูก BCG Model ของนายกรัฐมนตรี เร่งปรับแผนงานวัฒนธรรมสร้างมูลค่า พัฒนาชุมชนคุณธรรมฯ-ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า สร้างงาน สร้างรายได้ ขณะที่ สวจ.ปทุมธานี ผลิตสื่อให้ความรู้ต้านโควิด 19 มากที่สุด เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบVideo Conferenceร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด (สวจ.) ทั่วประเทศ โดยมีผู้บริหารและข้าราชการระดับชำนาญการพิเศษ เข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมชั้น 8 กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ปลัดวธ. กล่าวว่า ได้แจ้งต่อที่ประชุมให้รับทราบถึงแนวทางปรับใช้งบประมาณปี 2564ให้สอดคล้องกับนโยบายพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจBCGพ.ศ.2564-2569พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model)ซึ่งในส่วนของ วธ. เกี่ยวข้องในเรื่องของการอนุรักษ์ฟื้นฟู สร้างคุณค่าความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand: CPOT)เช่น งานผ้า เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย ของตกแต่งบ้าน ของที่ระลึก อาหารขอให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ทุกจังหวัดปรับงานพื้นที่ให้สอดคล้องกับBCGโมเดลด้วยอย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานปลัด วธ. ขอความร่วมมือ สวจ. ส่งรายชื่อชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทยCPOTอย่างน้อยจังหวัดละ 10 ชุมชน ๆ ละ 10 ชิ้น ภายในวันที่ 8 ก.พ.นี้ เพื่อพัฒนาชุมชนคุณธรรมฯ และCPOTอย่างน้อย 500 ชุมชนทั่วประเทศ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาพัฒนาต่อยอด ให้คำแนะนำ โดยจะมีการจัดงานมหกรรมแกรนด์CPOTเพื่อเปิดโอกาสชุมชนคุณธรรมฯ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำสินค้ามาจำหน่าย สร้างงาน สร้างรายได้ ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ขอให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อย่างเคร่งครัด พร้อมจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจรณรงค์ป้องกันเฝ้าระวังควบคุมโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้รับรายงานว่า วธ. ทำสื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโรคโควิด 19ภายใต้การนำพลัง บวร ชุมชนคุณธรรมฯ และ สวจ.ทั่วประเทศทั้งในรูปแบบรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ช่องทางออนไลน์ คลิ๊ปวิดิโอ อินโฟกราฟิก ไปยังภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานการดำเนินงานไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ด้วย โดยภาพรวมจังหวัดที่จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์โควิด 19 มากที่สุด ได้แก่ สวจ.ปทุมธานี 329 ชิ้นรองลงมา สวจ.ขอนแก่น 133 ชิ้น และ สวจ.ระยอง 81 ชิ้น ซึ่งต้องขอชื่นชมและขอบคุณในความร่วมมือดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้แจ้งให้ สวจ.ทั่วประเทศ ทราบว่าขณะนี้ทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยสร้างสรรค์ กำลังเปิดเพื่อขอรับทุนสนับสนุนการผลิตสื่อสร้างสรรค์และการจัดกิจกรรมการเฝ้าระวังและรู้เท่าทันสื่อ ดังนั้น ขอให้แต่ละจังหวัดพิจารณาว่ามีโครงการใดที่เหมาะสมในการรับทุน พร้อมกับเร่งดำเนินงานตามแผนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นรูปธรรมมากที่สุดด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จากบริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามโครงการ พม. Mobile “ปันสุข สู่ชุมชน”
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จากบริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามโครงการ พม. Mobile “ปันสุข สู่ชุมชน” พม. รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จากบริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามโครงการ พม. Mobile “ปันสุข สู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม วันนี้ (8 ก.พ. 64) เวลา 11.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีรับมอบเครื่องบริโภค รวมมูลค่า 778,604 บาท จากคุณสุชาดา กุลตันติกร ผู้จัดการ บริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ พม. Mobile "พม. ปันสุข สู่ชุมชน" ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม.จะตามไปเยี่ยม และตู้ “พม. ปันสุข” สำหรับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้ดำเนินโครงการ พม. Mobile “ปันสุข สู่ชุมชน” ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน พม. จะตามไปเยี่ยม เพื่อเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง อาทิ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส เป็นต้น รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยรถ พม. Mobile จะนำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เข้าไปในชุมชนที่เป็นพื้นที่ปิดและมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต โดยในวันนี้ บริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด ได้นำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นมาบริจาค เพื่อสนับสนุนโครงการฯ และ ตู้ “พม. ปันสุข” ประกอบด้วย 1) ข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม จำนวน 2,500 ถุง 2) น้ำมันพืช จำนวน 2,400 ขวด 3) ปลากระป๋อง จำนวน 25,000 กระป๋อง 4) น้ำดื่ม จำนวน 2,400 ขวด 5) น้ำปลา จำนวน 1,800 ขวด และ 6) นมกล่องรสจืด จำนวน 7,308 กล่อง ทั้งนี้ สำหรับตู้ “พม. ปันสุข” จะมีบริการตั้งอยู่หน้าบริเวณกระทรวงฯ โดยการนำสิ่งของที่ได้รับจากการบริจาค ใส่ในตู้แจกจ่ายให้กลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านการดำรงชีวิตให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณ บริษัท แอคท์นาว ชิลเดรนส์ คอนซัลติ้ง จำกัด สำหรับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ด้วยการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น โดยกระทรวง พม. จะนำไปส่งมอบโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ขอเชิญชวนร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาเดือดร้อนและอยู่ในภาวะยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ศูนย์รับบริจาคกระทรวง พม. โทร. 0 2659 6476 หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมลงนามความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูป่า และพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในเขตป่า
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 พม. ร่วมลงนามความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูป่า และพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในเขตป่า พม. ร่วมลงนามความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟูป่า และพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนในเขตป่า วันนี้ (8 ก.พ. 64) เวลา 13.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วย นางพัชรี อารยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวง พม. โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทั้งนี้ มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายจุติกล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันเป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม โดยมีการลงนามความร่วมมือรวมทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ฉบับที่เกี่ยวข้องกับที่ดินในเขตอุทยาน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ฯลฯ ที่กรมอุทยานรับผิดชอบดูแล 2. ฉบับที่เกี่ยวข้องที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่กรมป่าไม้รับผิดชอบดูแล และ 3. ฉบับที่เกี่ยวกับที่ดินป่าชายเลนที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรับผิดชอบดูแล โดยทั้ง 6 หน่วยงาน มีความร่วมมือ ดังนี้ 1. การส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงาน หรือการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเล ป่าชายเลน ที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ และ 2. การปรับปรุง การพัฒนา การส่งเสริมอาชีพหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลและชุมชนที่อยู่อาศัยและทำกินภายในเขตพื้นที่โครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตพื้นที่ชายฝั่งป่าชายเลน และ พ.ร.บ. กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดไว้ นายจุติกล่าวต่อไปว่า สำหรับกระทรวง พม. โดย พอช. มีความร่วมมือด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน ดังนี้ 1. ร่วมสนับสนุนการจัดทำแผนและการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 2. ร่วมสนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรชุมชนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย 3. ร่วมสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตและแผนพัฒนาที่อยู่อาศัย ของชุมชน ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง การจัดกลุ่มออมทรัพย์ พัฒนาความเข้มแข็งของกลุ่มองค์กรชุมชน 4) ร่วมสนับสนุนกระบวนการออกแบบวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินและที่อยู่ อาศัยโดยคำนึงถึงระบบนิเวศ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และ 5) สนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรชุมชนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน ระบบ สาธารณูปโภคที่จำเป็น คุณภาพชีวิต การสร้างกระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามความจำเป็น นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ 6 หน่วยงานที่ลงนามบันทึกความร่วมฉบับนี้ จะร่วมมือกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ในการกำหนด ขยาย หรือเพิกถอนเขตป่าประเภทต่างๆ แผนการบริหารจัดการพื้นที่เขตป่า และชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตป่าประเภทต่างๆ การกระทำการหรืองดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตป่าประเภทต่างๆ เพื่อรักษาสภาพธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือป้องกันภัยพิบัติอันเป็นสาธารณะ ส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานและงบประมาณเพื่อการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และฟื้นฟูป่าประเภทต่างๆ ที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำแผนการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งแผนการป้องกันและควบคุมไฟป่าที่อยู่ในเขตพื้นที่ ที่รับผิดชอบเพื่อบรรจุไว้ในแผนพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การปรับปรุงการพัฒนา การส่งเสริมอาชีพหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล และชุมชนที่อยู่อาศัยหรือทำกิน โครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าประเภทต่างๆ ให้มีความเหมาะสมตามมาตรการอนุรักษ์ดิน และน้ำ ฯลฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถูกทำร้ายร่างกาย...เรียกค่าสินไหมทดแทนได้
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ถูกทำร้ายร่างกาย...เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ... ในชีวิตจริง คงไม่มีใครอยากถูกทำร้าย หรือตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม แต่ถ้าต้องกลายเป็น “ผู้เสียหาย” ท่านก็สามารถเรียกร้องสิทธิ ตาม พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลย ในคดีอาญา พ.ศ. 2544 . กรณีทั่วไป : - ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 30,000 บาท - ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย และจิตใจ ไม่เกิน 20,000 บาท - ค่าขาดประโยชน์ในช่วงที่ ไม่สามารถประกอบอาชีพ วันละไม่เกิน 200 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี . กรณีเสียชีวิต : - หากเสียชีวิตจะได้รับ ตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท - ค่าจัดการศพ จำนวน 20,000 บาท - ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูไม่เกิน 30,000 บาท - ค่าเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการ เห็นสมควรแต่ไม่เกิน 30,000 บาท . การยื่นคำขอรับเงินตอบแทน ต้องยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับจากวันเกิดเหตุ . สอบถามเพิ่มเติมโทร สายด่วนยุติธรรม 1111 กด 77 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38948
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุ่งขึ้น! 4 อันดับ ดัชนีนวัตกรรมไทย
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 พุ่งขึ้น! 4 อันดับ ดัชนีนวัตกรรมไทย ... บลูมเบิร์กจัดอันดับเขตเศรษฐกิจ ที่มีนวัตกรรมมากที่สุดประจำปี 2564 ยกให้ไทยเป็นที่ 36 จาก 60 แห่ง ซึ่งดีขึ้นจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ . สะท้อนว่าการใช้นวัตกรรมต่าง ๆ ของไทย มีประสิทธิภาพในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีตรวจคัดกรองและติดตามโรค และยังประกาศโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 ด้วย . ที่สำคัญนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ทำมาตั้งแต่ต้น ได้ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตนวัตกรรม ล่าสุดบริษัทอวกาศระดับโลก Swedish Space Corporation (SSC) เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.ชลบุรี แล้ว . สำหรับปีนี้เกณฑ์พิจารณาของบลูมเบิร์ก มีทั้งค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนานวัตกรรมต่อ GDP มูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมการผลิต สัดส่วน GDP ต่อประชากรผู้มีงานทำ สัดส่วนบริษัทเทคโนโลยีสูง สัดส่วนผู้เรียนและบัณฑิตสายวิทย์และวิศวกรรม จำนวนนักวิจัย และจำนวนการได้รับสิทธิบัตร #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พาณิชย์ แจงกรณีข้อสังเกตล้งเอาเปรียบชาวสวนลำไย สั่งการสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ก.พาณิชย์ แจงกรณีข้อสังเกตล้งเอาเปรียบชาวสวนลำไย สั่งการสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น กระทรวงพาณิชย์ แจงกรณีข้อสังเกตล้งเอาเปรียบชาวสวนลำไย สั่งการสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 64 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเฟซบุ๊กระบุข้อสังเกตล้งเอาเปรียบชาวสวนลำไยว่า พฤติการณ์ของล้งในประเด็นการกำหนดระดับคุณภาพ ปรับลดราคาซื้อ และการไม่เข้าเก็บลำไยตามสัญญา ที่ปรากฏตามข่าว อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ โดยคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ได้มีประกาศเรื่อง แนวทางการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจรับซื้อผลไม้ ลงวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งการปฏิบัติทางการค้าของผู้รับซื้อผลไม้ที่อาจเข้าข่ายเป็นพฤติกรรมที่มิใช่การประกอบธุรกิจที่เสรีและเป็นธรรมอันเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่เกษตรกร มีแนวทางในการพิจารณา ดังนี้ มีการกำหนดหรือปรับลดราคารับซื้อ หรือกำหนดเงื่อนไขใดๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมภายหลังการทำสัญญา ซึ่งส่งผลต่อการปรับลดราคารับซื้ออย่างไม่เป็นธรรม ทั้งการปรับลดราคารับซื้อผลไม้ให้แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร การกำหนดระดับคุณภาพ (เกรด) ของผลไม้หรือเงื่อนไขอื่นใดอย่างไม่เป็นธรรม ในขณะที่เก็บผลไม้หรือภายหลังเข้าเก็บผลไม้ เช่น ขนาดของผล ลักษณะของผล หรือสีของเปลือก เป็นต้น ให้ต่ำกว่าความเป็นจริงและแตกต่างจากมาตรฐานที่กำหนดเพื่อการปรับลดราคารับซื้อให้แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในสัญญา มีการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยชะลอการเข้าเก็บผลไม้ให้แตกต่างจากเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร การเก็บผลไม้ไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงไว้ในสัญญา หรือเลือกเก็บผลไม้บางสวนในกรณีที่มีการทำสัญญารับซื้อแบบเหมาสวน ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถขายผลไม้ให้ผู้รับซื้อรายอื่นได้หรือขายได้ในราคาที่ลดลง ซึ่งเกษตรกรผู้เสียหายสามารถร้องเรียนแจ้งข้อเท็จจริงและรายละเอียดของการกระทำความผิดได้ที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า โดยผู้ที่กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว ต้องระวางโทษต้องชำระค่าปรับทางปกครอง ในอัตราไม่เกิน ร้อยละ 10 ของรายได้ในปีที่กระทำความผิดในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดในปีแรกของการประกอบธุรกิจ ให้ชำระค่าปรับทางปกครองในอัตราไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับพฤติกรรมการเอาเปรียบด้านน้ำหนักสินค้า หรือใช้กลวิธีในการเอาเปรียบเกษตรกรผู้ขายสินค้า ซึ่งเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 280,000 บาท นอกจากนี้ หากผู้รับซื้อไม่ปิดป้าย แสดงราคารับซื้อให้เกษตรกรได้รับทราบเพื่อตัดสินใจก่อนการขาย หรือรับซื้อไม่ตรงกับราคาที่แสดง รวมถึงมีพฤติกรรมจงใจที่จะทำให้ราคาต่ำเกินสมควร หรือสูงเกินสมควร หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนซึ่งราคา ซึ่งเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ ได้สั่งการสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งประสานหน่วยงาน ก.เกษตรฯ ดำเนินการด้านการรับรองมาตรฐานล้งด้วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ได้มอบหมายกรมการค้าภายในประสานผู้ส่งออกเตรียมความพร้อมเข้ารับซื้อลำไยในกรณีที่เกษตรกรถูกกดราคารับซื้อหรือถูกล้งปฏิเสธการรับซื้อตามสัญญาซื้อขายที่ทำไว้ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วกันว่า หากมีผู้พบเห็นพฤติกรรมของล้งตามที่กล่าว สามารถร้องเรียนได้ทางสายด่วน 1569 หรือร้องเรียนได้โดยตรง ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายทันที --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38951
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับโฉมท่าเรือเกาะสมุยรับ นทท. คาดพร้อมใช้ปี 2567
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ปรับโฉมท่าเรือเกาะสมุยรับ นทท. คาดพร้อมใช้ปี 2567 ... เริ่มแล้วนะครับ กับการปรับโฉมครั้งใหญ่ ของท่าเรือเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางไปยังเกาะยอดฮิต อย่างเกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะม้า . ขานรับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาด้านคมนาคมขนส่ง ให้ได้มาตรฐานและปลอดภัย พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะเดินทางมาบ้านเราเป็นจำนวนมาก หากสถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลาย . ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างท่าเทียบเรือเกาะสมุย 864 ตร.ม. การเพิ่มพื้นที่สะพานทางเดิน 2,340 ตร.ม. สร้างอาคารพักคอยรองรับผู้โดยสารเรือครุยส์ 1,800 ตร.ม. และอาคารพักคอยด้านหลังท่าเทียบเรือ 182.25 ตร.ม. ด้วยรูปแบบที่ทันสมัย ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2567 . ท่าเรือเกาะสมุยโฉมใหม่นี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจฝั่งอ่าวไทย ให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมคาดการณ์ตัวเลขการส่งออก เม็ดพลาสติกชีวภาพ (PLA) ของไทย ปี 2564 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับที่ 3 ของโลก
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงอุตสาหกรรมคาดการณ์ตัวเลขการส่งออก เม็ดพลาสติกชีวภาพ (PLA) ของไทย ปี 2564 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับที่ 3 ของโลก กระทรวงอุตสาหกรรมคาดการณ์ตัวเลขการส่งออก เม็ดพลาสติกชีวภาพ (PLA) ของไทย ปี 2564 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับที่ 3 ของโลก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลและวิจัยตลาดอุตสาหกรรมพลาสติก สถาบันพลาสติก ได้วิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยปี 2564 โดยคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะมีมูลค่าของอุตสาหกรรมพลาสติกประมาณ 1.043 ล้านล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.1% มีมูลค่าตลาดประมาณ 1.01 ล้านล้านบาท โดยไทยจะมีการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมดประมาณ 2.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 2.7% ที่มีการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมดประมาณ 2.53 แสนล้านบาท สำหรับเม็ดพลาสติกชีวภาพที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดคือ เม็ดพลาสติกชนิดพอลิแลคติคแอซิด (PLA) โดยคาดว่า ปี 2564 มูลค่าการส่งออกจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 16.6% จะสร้างรายได้กว่า 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ส่งออกมูลค่า 2,331 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยเม็ดพลาสติก PLA จะมีการนำไปผลิตเป็นสินค้าประเภทใช้ครั้งเดียว เช่น แก้วน้ำ หลอด ช้อน-ส้อม และในต่างประเทศมีการนำไปผลิตก้นกรองบุหรี่ เป็นต้น เนื่องจากมีสมบัติในการย่อยสลายทางชีวภาพได้ภายใน 6 เดือน ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม จึงนับเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพของไทยในอนาคต “แนวโน้มการใช้พลาสติกชีวภาพที่จะเติบโตขึ้นนี้สอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) หรือบีซีจี โมเดล ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนั้นสถาบันพลาสติก จึงนำโมเดลดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมพลาสติกของประเทศไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมพลาสติกเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนที่สำคัญ” นายสุริยะ กล่าว นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถาบันพลาสติก กล่าวว่า ปี 2563 สถาบันได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เศรฐกิจ จำนวน 36 ผลิตภัณฑ์ เช่น ถุงมือพลาสติกย่อยสลายได้ สารลดการอักเสบจากชานอ้อย แผ่นกรองฝุ่นย่อยสลายได้ใช้กับหน้ากากอนามัย เป็นต้น พัฒนาบุคลากรในสาขาพลาสติกชีวภาพจำนวน 323 คน และเพิ่มผลิตภาพให้แก่สถานประกอบการเข้าสู่อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ จำนวน 30 ราย ซึ่งช่วยลดการสูญเสียจากการผลิตคิดเป็นมูลค่ากว่า 17.9 ล้านบาท ในการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันพลาสติก มีบริการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงคุณสมบัติของวัตถุดิบชีวภาพ การพัฒนากระบวนการผลิต การพัฒนาทักษะผ่านระบบออนไลน์ www.plaskills.com ซึ่งเป็นการส่งเสริมการปรับตัวของผู้ประกอบการให้สอดรับกับกระแสความต้องการของโลก ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ประเทศไทยมีขยะพลาสติกปีละกว่า 2 ล้านตัน ถูกนำกลับมารีไซเคิลเพียง 0.5 ล้านตัน ที่เหลือต้องไปอยู่ในหลุมฝังกลบและบางส่วนหลุดรอดสู่สิ่งแวดล้อม เพื่อลดปัญหาที่ส่งผลกระทบในระบบนิเวศ จึงเกิดโครงการ มือวิเศษ x วน ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันพลาสติก ร่วมกับ “พีพีพี พลาสติก” (Public Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management) และโครงการ “วน” (WON project) มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐที่จะนำพลาสติกเป้าหมายกลับมารีไซเคิลให้ได้ 100% ภายในปี 2570 นอกจากนั้น ยังมีการส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกพลาสติกจากต้นทางและพัฒนาระบบซื้อขายพลาสติกอย่างครบวงจร โดยปัจจุบันได้ดำเนินการติดตั้งจุดรับขยะพลาสติก ประเภท PE ฟิล์มที่ใช้แล้ว กว่า 350 จุด มีปริมาณขยะพลาสติกที่รวบรวมได้เพื่อนำกลับไปรีไซเคิลใช้ใหม่กว่า 10,000 กิโลกรัม และกระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนจะให้สถาบันพลาสติกและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องติดตั้งจุดรับขยะเพิ่มขึ้นในประเทศ เพื่อรวบรวมพลาสติกที่ยังไม่กลับเข้าสู่ระบบซึ่งมีอยู่มากถึง 1.9 ล้านตัน นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ด้านเศรษฐกิจสีเขียว สถาบันพลาสติกนำเทคโนโลยีให้ความร้อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากการเหนี่ยวนำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาใช้กับเครื่องขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก โดยช่วยลดการใช้พลังงานของเครื่องจักรได้มากกว่า 40% นอกจากนั้นยังมีการนำระบบอินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์ มาใช้ในการติดตามประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อลดอัตราการสูญเสียทางการผลิต ซึ่งสามารถแสดงผลแบบเรียลไทม์ และที่สำคัญนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องจักรเดิมที่มีอยู่ได้ จะช่วยลดการลงทุน ลดต้นทุนการผลิต ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ สถาบันพลาสติก 7 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมคณะทำงานโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นางนนทพร พรประยุทธ วันงาม ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นายประสพ เรียงเงิน รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนโครงการ “เราชนะ” ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กระทรวงคมนาคมร่วมสนับสนุนโครงการ “เราชนะ” ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ทส. MOU กับ สำนักนายก มหาดไทย และ พม. เพื่อยกระดับให้ท้องถิ่น สามารถดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน”
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 “ทส. MOU กับ สำนักนายก มหาดไทย และ พม. เพื่อยกระดับให้ท้องถิ่น สามารถดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน” “ทส. MOU กับ สำนักนายก มหาดไทย และ พม. เพื่อยกระดับให้ท้องถิ่น สามารถดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน” “ทส. MOU กับ สำนักนายก มหาดไทย และ พม. เพื่อยกระดับให้ท้องถิ่น สามารถดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน” วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 13.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึความร่วมมือ (MOU) ในการสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สำหรับการลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการลงนามระหว่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) มีจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ การบริหารจัดการควบคุมไฟป่า การบริหารจัดการคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ป่า และ การจัดทำข้อมูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระจายอำนาจและยกระดับการทำงาน ให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถบริหารจัดการ รวมถึงดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืนในอนาคต นายวิษณุ กล่าวว่า “การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในระดับท้องถิ่นนั้น เป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนอยู่มาก แต่การลงนามความร่วมมือนี้ จะยกระดับการทำงานของท้องถิ่น ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เกิดเป็นการนำร่อง ที่สามารถประยุกต์ไปสู่การดำเนินงานในด้านอื่น ๆ ได้” อนึ่ง ในพิธีดังกล่าว ยังได้มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล รวมถึงผู้บริหารของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือนี้ด้วย ก่อนที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะนำรองนายกรัฐมนตรี เดิมเยี่ยมชมนิทรรศการของแต่ละหน่วยงานที่นำมาจัดแสดง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบกแจ้งผู้ต้องการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป สามารถอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ได้แล้ว สะดวก ลดขั้นตอน ลดระยะเวลา
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กรมการขนส่งทางบกแจ้งผู้ต้องการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป สามารถอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ได้แล้ว สะดวก ลดขั้นตอน ลดระยะเวลา นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้พัฒนาระบบการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com สำหรับการอบรมเพื่อขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถล่วงหน้าก่อนวันสิ้นอายุไม่เกิน 90 วัน หรือการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถกรณีใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุไม่เกิน 1 ปี โดยมีการอบรม 3 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ พบว่าช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบอนุญาตขับรถ เนื่องจากสามารถเข้าอบรม e-Learning ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น ขบ. ได้พัฒนาการอบรมออนไลน์เพิ่มอีก 1 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป ใช้ระยะเวลาในการอบรมจำนวน 2 ชั่วโมง รองรับผู้ต้องการต่ออายุใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล และรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป หลังจากอบรมเรียบร้อยแล้วต้องบันทึกผลการอบรมไว้เป็นหลักฐาน และมาดำเนินการตามขั้นตอนการต่ออายุใบอนุญาตขับรถที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ โดยขั้นตอนจะแตกต่างจากการอบรม 3 ประเภทก่อนหน้านี้ เนื่องจากการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป จะต้องเข้ารับการทดสอบข้อเขียนหรือทดสอบขับรถเพิ่มเติมแล้วแต่กรณีด้วย การอบรมผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไปที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นั้น นอกจากจะเป็นการลดขั้นตอนและระยะเวลาการมาติดต่อกับทางราชการของประชาชนแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มคนในห้องอบรมเป็นระยะเวลานาน สอดคล้องตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยผลการอบรมออนไลน์มีอายุ 90 วัน นับแต่วันที่ผ่านการอบรม เพื่อให้มีระยะเวลาในการจองคิวล่วงหน้าและเตรียมเอกสารประกอบการดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ทั้งการขอใหม่ เปลี่ยนชนิด และต่ออายุต้องใช้ใบรับรองแพทย์เป็นเอกสารประกอบในการดำเนินการด้วย ส่วนการอบรมสำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่ที่ยังไม่เคยมีใบอนุญาตขับรถมาก่อนนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการบรรจุไว้ในการอบรมออนไลน์ เนื่องจากจำเป็นต้องมีความเข้มข้นทั้งเรื่องของการอบรมและการสอบปฏิบัติที่ผู้ขอรับต้องเข้ามาแสดงตน ต้องผ่านการอบรมและทดสอบด้วยตนเอง สำหรับผู้ต้องการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถขอให้จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ดาวน์โหลดฟรี iOS: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์: http://bit.ly/2IkLpyO หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก #กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหาร ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม จ.อยุธยา
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้บริหาร ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม จ.อยุธยา ผู้บริหาร ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม จ.อยุธยา วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายกฤชนนท์ อัยยะปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ประธานคณะกรรมาธิการวัตถุอันตราย สภาผู้แทนราษฎร ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อศึกษาระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมของโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่มีระบบการจัดการที่ดี และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม นายกฤชนนท์ อัยยะปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการประกอบกิจการของภาคเอกชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การลงพื้นที่ครั้งนี้ก็เพื่อเยี่ยมชมโรงงานที่มีระบบการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการจัดการที่ดี มีมาตรฐานและไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งตรงกับนโยบายรัฐบาล เรื่องแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green (BCG) Economy) หรือ BCG ซึ่งนับเป็นโรงงานอุตสาหกรรมรายแรกๆที่มีระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร และเป็นต้นแบบให้โรงงานอื่น ๆ ในอนาคตได้ โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ประกอบด้วย โรงงาน 3 แห่ง ได้แก่ 1)บริษัท รีคัฟเวอรี่ เฮ้าส์ จำกัด ประกอบกิจการโรงไฟฟ้า โดยใช้ระบบแปรรูปกากอุตสาหกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน Refuse Derived Fuel (RDF) or Solid Recovered Fuel (SRF) โดยคัดแยกและแปรรูปกากอุตสาหกรรมที่มีคุณสมบัติเหมาะสม นำไปผลิตเชื้อเพลิงทดแทน ในการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เชื้อเพลิงจากขยะอุตสาหกรรม เช่น เศษไม้ เศษผ้า มาแปรสภาพเป็นพลังงาน ซึ่งมีกำลังการผลิต 7 เมกะวัตต์ต่อวัน เพื่อนำมาใช้ภายในโรงงาน 1.5 เมกะวัตต์ และจำหน่ายให้ กฟผ. 5.5 เมกะวัตต์ 2)บริษัท เบตเตอร์ เวสท์ แคร์ จำกัด ประกอบกิจการ ทำเชื้อเพลิงผสมจากของเหลวที่มีค่าพลังงานความร้อน นำสารละลายเคมีที่ผ่านการใช้งานแล้ว สารเคมีจำพวกกรดและด่างที่ไม่ใช้แล้วมาผ่านกรรมวิธีทางอุตสาหกรรมเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ และ 3)บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) ประกอบกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากขยะอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38977
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. เผยช่องทางการเติมเงินและเช็คยอดเงินคงเหลือบัตร Easy Pass ผ่านช่องทางต่าง ๆ
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กทพ. เผยช่องทางการเติมเงินและเช็คยอดเงินคงเหลือบัตร Easy Pass ผ่านช่องทางต่าง ๆ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการบัตร Easy Pass สามารถเติมเงินสำรองค่าผ่านทางพิเศษบัตร Easy Pass ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่หลากหลายดังนี้ ผ่านทาง Application ธนาคาร Krungthai NEXT ธนาคารกรุงไทยฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) Bualuang iBanking และ Bualuang mBanking ธนาคารกรุงเทพฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) SCB Easy Net และ SCB Easy App ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) Krungsri Online และ Krungsri Mobile App ธนาคารกรุงศรีอยุธยาฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) K PLUS และ K Cyber Service ธนาคารกสิกรไทยฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) Mobile Banking และ Internet Banking ธนาคารยูโอบีฯ (ฟรีค่าธรรมเนียม) Mobile Banking (MyMo) และ Internet Banking ธนาคารออมสิน (ฟรีค่าธรรมเนียม) TMB Mobile Banking และ Internet Banking ธนาคารทหารไทยฯ (ค่าธรรมเนียม 5 บาท/รายการ) ผ่านทาง Application อื่นๆ Cenpay บริษัทเครือเซนทรัลฯ (ค่าธรรมเนียม 7 บาท/รายการ) TrueMoney Wallet (ฟรีค่าธรรมเนียม) AirPay Application (ฟรีค่าธรรมเนียม) easyBills by 2C2P (ค่าธรรมเนียม 6 บาท/รายการ) mPay Wallet ,My AIS App ,Rabbit LINE Pay (ค่าธรรมเนียม 5 บาท/รายการ) mPay STATION (ค่าธรรมเนียม 10 บาท/รายการ) ผ่านทางห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ 7-11 เคาน์เตอร์เซอร์วิส (ค่าธรรมเนียม 10 บาท/รายการ) Tesco Lotus (ค่าธรรมเนียม 10 บาท/รายการ) เคาน์เตอร์รับชำระ Big C (ค่าธรรมเนียม 10 บาท/รายการ) รวมถึงช่องทางเติมเงินสำรองค่าผ่านทางพิเศษบัตร EasyPass ผ่านศูนย์บริการลูกค้า Easy Pass ของ กทพ. ได้แก่ One Stop Service (สำนักงานใหญ่) กทพ. วันจันทร์-ศุกร์ 08.30 น. - 15.30 น. Easy Pass Fast Service (ศูนย์ควบคุมทางพิเศษฉลองรัช CCB3) วันจันทร์-ศุกร์ 08.30 น. - 15.30 น. Easy Pass Fast Service (จุดพักรถปั้ม ปตท. บางนา(ขาออก)) วันจันทร์-เสาร์ 09.00 น. – 15.30 น. และสามารถเติมเงินสำรองค่าผ่านทางพิเศษบัตรEasy Pass ได้ที่อาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกด่านฯ ของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ศรีรัช ฉลองรัช บูรพาวิถี อุดรรัถยา กาญจนาภิเษก ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการบัตร Easy Pass สามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ ได้จากป้ายแสดงค่าผ่านทางและยอดเงินคงเหลือด้านหลังตู้เก็บค่าผ่านทางในขณะขึ้นใช้บริการ หรือผ่านทางเว็ปไซต์ www.thaieasypass.com รวมถึงสามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ ตรวจสอบการใช้ Easy Pass และเติมเงินบัตร Easy Pass ผ่านทาง Application "EXAT Portal" ได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 1543 ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 การประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-1/2564 ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 09.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-1/2564 ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมมือกันพิจารณาแนวทางการบูรณาการภารกิจร่วมกับหน่วยงานทีมประเทศไทย เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน โดยมี นายวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงเกษตรฯ ผนึกทุกภาคส่วน เตรียมความพร้อมประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก 2021 (UNFSS)
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ​กระทรวงเกษตรฯ ผนึกทุกภาคส่วน เตรียมความพร้อมประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก 2021 (UNFSS) ​กระทรวงเกษตรฯ ผนึกทุกภาคส่วน เตรียมความพร้อมประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก 2021 (UNFSS) ระดมความคิดเห็นเพื่อขับเคลื่อนแผนงานของไทยให้สอดคล้องกับสหประชาชาติ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานงานกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การประชุมในครั้งนี้เพื่อรับทราบผลการประชุมที่เกี่ยวข้องในรอบปี 2563 ซึ่งถึงแม้ว่าจะประสบกับสถานการณ์ COVID-19 แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations หรือ FAO) ซึ่งที่ผ่านมามีการประชุมที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ผ่านระบบออนไลน์ อาทิ การประชุมสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership Plenary Assembly: GSP PA) ครั้งที่ 8 การประชุมสภามนตรี FAO (FAO Council) ครั้งที่ 164 การประชุมสมัชชา เอฟ เอ โอ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (FAO Conference for Asia and the Pacific: APRC) ครั้งที่ 35 การประชุมคณะกรรมการด้านเกษตร (Committee on Agriculture: COAG) ครั้งที่ 27 การประชุมคณะกรรมการด้านป่าไม้ (Committee on Forestry: COFO) ครั้งที่ 25 การประชุม the 3rd Global Conference of the One Planet Sustainable Food Systems (SFS) Programme การประชุมสภามนตรี FAO (FAO Council) ครั้งที่ 165 ตลอดจนการจัดกิจกรรมวันดินโลกและการมอบรางวัลเหรียญภูมิพลวันดินโลก ประจำปี 2563 อีกทั้งได้รับทราบกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ ความเป็นมา FAO Hand in Hand Initiative โครงการการประเมินผลกระทบของมาตรการควบคุมโรค COVID-19 ต่อระบบอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร การบริโภคอาหาร และความเป็นอยู่ของคนไทย ความก้าวหน้าโครงการภายใต้กรอบความร่วมมือไทย-FAO (Country Programming Framework ฉบับปี 2018-2021) ความคืบหน้าการดำเนินการตามตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDG) ที่ 2 ยุติความหิวโหย (Zero Hunger) และความคืบหน้าการขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จ.พัทลุง เป็นระบบมรดกทางเกษตรโลก ดร.ทองเปลว กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาแผนงานในปี พ.ศ. 2564 ที่สำคัญ ได้แก่ การเตรียมความพร้อมของไทยสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำระบบอาหารโลก (UN Food Systems Summit 2021: UNFSS) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2564 ณ สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เห็นความสำคัญของการประชุมที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารของโลกให้มีความยั่งยืน และเข้าร่วมกิจกรรมของการประชุมโดยการจัดทำ National Dialogues การระดมความคิดเห็นทุกภาคส่วนที่จะช่วยขับเคลื่อนแผนงานของไทยให้สอดคล้องกับสหประชาชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการแต่งตั้งให้รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์) ทำหน้าที่ผู้ประสานงานหลักของประเทศไทย (National Dialogues Convenor) ตลอดจนผู้เข้าร่วมประชุมได้แลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการเตรียมความพร้อมของไทยอีกด้วย “การประชุมครั้งนี้นับว่าเป็น National Dialogues ครั้งที่ 1 สำหรับการประชุม UNFSS ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามที่สำนักการเกษตรต่างประเทศ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เสนอ และดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอทิศทางประเทศไทยโดยสอดคล้องกับทิศทางที่ UN กำหนด ต่อไป” ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุฯ ผลักดันการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำร่องแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า ลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุฯ ผลักดันการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำร่องแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า ลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม ผลักดันการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำร่องแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า ลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันพัฒนาองค์การชุมชน (องค์การมหาชน) และกรมการส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมความร่วมมือระหว่าง 6 ที่ทำให้เกิดการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 ฉบับ ประกอบไปด้วย 1) บันทึกความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการ อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเล การส่งเสริมอาชีพและชุมชนที่ทำกินและอยู่ที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้สมดุลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2) บันทึกความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนงานควบคุมป้องกัน และดับไฟป่า และงานพัฒนาป่าชุมชน โดยเฉพาะชุมชนที่ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และ 3) บันทึกความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงาน หรือการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคลและชุมชนที่อยู่อาศัยและทำกินภายในเขตพื้นที่โครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืนในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีย้ำถึงความสำคัญในการกระจายอำนาจทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านอื่น ๆ เพื่อให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ พร้อมมุ่งหวังให้การลงนามบันทึกข้อตกลงฯ จะเป็นการนำร่องแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดจากหมอกควันและไฟป่าที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน และเพื่อเป็นแบบอย่างแนวทางให้หน่วยงานอื่นนำไปปฏิบัติใช้อีกด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ลูกจ้างหยุดงานเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ ตามมติครม.
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 กสร. ขอความร่วมมือนายจ้าง ให้ลูกจ้างหยุดงานเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ ตามมติครม. กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการกำหนดวันหยุดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างเป็นกรณีพิเศษ และวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมในแต่ละภูมิภาคให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเศรษฐกิจในภาพรวม นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ได้กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ และกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 ซึ่งกำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 และวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ และกำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคเหนือ (ประเพณีไหว้พระธาตุประจำปี) วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ประเพณีงานบุญบั้งไฟ) วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคใต้ (ประเพณีสารทเดือนสิบ) และวันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 เป็นวันหยุดราชการประจำภาคกลาง (เทศกาลออกพรรษา) รวมถึงให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันปิยมหาราชจากวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม 2564 เพื่อเป็นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวอันจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ นั้น กสร. จึงขอความร่วมมือนายจ้าง สถานประกอบกิจการภาคเอกชน กำหนดให้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ วันที่ 12 เมษายน วันที่ 27 กรกฎาคม และวันที่ 24 กันยายน2564 เป็นวันหยุดเพิ่มเติมให้ลูกจ้างเป็นกรณีพิเศษ และกำหนดวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมให้ลูกจ้างในแต่ละภูมิภาคโดยให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น รวมถึงในกรณีวันหยุดตามประเพณี (วันปิยมหาราช) หากวันที่ 23 ตุลาคม ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง นายจ้างอาจตกลงกับลูกจ้างให้ได้หยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณีในวันทำงานถัดไป หรืออาจประกาศให้วันที่ 22 ตุลาคม เป็นวันหยุดเพิ่มเติมได้เพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องและสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยวต่างจังหวัด เพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งนี้นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างในวันหยุดดังกล่าวให้แก่ลูกจ้างด้วย หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร ทั้ง 10 พื้นที่ หรือสายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. MOU “โครงการ Life Begins with GHB” ร่วมกับ แพทยสภา จัดทำแพ็คเกจพิเศษสำหรับแพทย์กว่า 60,000 ราย สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ 2.39% ต่อปี พร้อมเงินฝากพิเศษดอกเบี้ยสูง 1.10%ต่อปี
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ธอส. MOU “โครงการ Life Begins with GHB” ร่วมกับ แพทยสภา จัดทำแพ็คเกจพิเศษสำหรับแพทย์กว่า 60,000 ราย สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ 2.39% ต่อปี พร้อมเงินฝากพิเศษดอกเบี้ยสูง 1.10%ต่อปี พิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) “โครงการ Life Begins with GHB” ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับ แพทยสภา มุ่งส่งเสริมให้สมาชิกของแพทยสภาที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกว่า 60,000 ราย ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) “โครงการ Life Begins with GHB” ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับ แพทยสภา มุ่งส่งเสริมให้สมาชิกของแพทยสภาที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกกว่า 60,000 ราย ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” รวมถึงได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการออมเงินด้วยผลิตภัณฑ์อัตราดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. ทั้งทางด้านสินเชื่อและเงินฝาก ภายใต้โครงการ Life Begins with GHB นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้สมาชิกของแพทยสภาซึ่งถือเป็นผู้ที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้มีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงสนับสนุนการออมเงินเพื่อเพิ่มความมั่นคงของชีวิต ด้วยผลิตภัณฑ์ภายใต้“โครงการ Life Begins with GHB” ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ (กรอบวงเงินโครงการรวม 5,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เพียง 2.39% ต่อปี ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 2.59% ต่อปี ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.36% ต่อปี (ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับ 6.150% ต่อปี) และปีที่ 4 เป็นต้นไป กรณีลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี และกรณีซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย MRR วัตถุประสงค์การให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจำนอง ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยพร้อมกับเพื่อซื้อหรือไถ่ถอนจำนอง และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซม ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นปีแรกเพียงเดือนละ 3,400 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้กู้ ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ประเภท 1.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม) 2.ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม(1,000 บาท) และ 3.ค่าประเมินราคาหลักประกัน(ผู้กู้สำรองจ่ายก่อน โดยธนาคารจะชำระคืนให้เฉพาะผู้กู้ที่ทำนิติกรรมกับธนาคารแล้วเสร็จ) ยื่นคำขอกู้ อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ผลิตภัณฑ์เงินฝาก กับผลิตภัณฑ์เงินฝาก “ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 1.1% ต่อปี (เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษตามประกาศบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี เป็นระยะเวลา 12 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชีเงินฝาก หลังจากนั้นใช้อัตราดอกเบี้ยซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษตามประกาศปกติของธนาคาร) โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปีละ 2 ครั้ง และได้รับการยกเว้นภาษี สามารถเปิดบัญชีผ่านสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ด้านศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา กล่าวว่า ในนามของแพทยสภาต้องขอขอบคุณ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. เป็นอย่างสูงที่ให้การสนับสนุน และร่วมส่งกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในการเสียสละดูแลรักษาผู้ป่วยและต่อสู้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19 ) ใน“โครงการ Life Begins with GHB” ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับ แพทยสภา เพื่อให้สมาชิกของแพทยสภามีจำนวนสมาชิกกว่า 60,000 คน ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในส่วนของแพทยสภาจะช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ไปยังสมาชิกที่มีความต้องการออมเงินและสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยราคาพิเศษต่อไป ทั้งนี้ แพทย์ที่มีความประสงค์จะใช้ผลิตภัณฑ์อัตราดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. ทั้งทางด้านสินเชื่อและเงินฝาก ภายใต้ “โครงการ Life Begins with GHB” ต้องเป็นสมาชิกแพทยสภา โดยสามารถยื่นกู้ ทำนิติกรรม และเปิดบัญชีเงินฝาก ได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง”
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” ปลัดวธ.บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม บันทึกเทปรายการ “เล่าเรื่องไทยๆ กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่ง” โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมชมการบันทึกเทป ณ บริเวณอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยรายการจะออกอากาศระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ๒๕๖๔ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๓ HD (๓๓)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38971
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เช็กสิทธิ ‘เราชนะ’ ถ้าไม่ได้รับสิทธิ ต้องทำอย่างไร?
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เช็กสิทธิ ‘เราชนะ’ ถ้าไม่ได้รับสิทธิ ต้องทำอย่างไร? ... เริ่มเปิดให้ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ "เราชนะ" สำหรับกลุ่มประชาชนที่อยู่ในระบบฐานข้อมูล ของแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ในโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน . 5 ขั้นตอน เช็กสิทธิ “เราชนะ” มีดังนี้ 1. เข้าสู่เว็บไซต์ www.เราชนะ .com 2. คลิกคำว่า "ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ" (ปุ่มสีน้ำเงิน) 3. กรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ – นามสกุล เลขบัตรประชาชน 13 หลัก วัน/เดือน/ปีเกิด 4. กด "ตรวจสอบสถานะ" 5. ระบบจะแสดงสถานะว่าได้รับสิทธิหรือไม่ *** หากไม่ได้รับสิทธิ ระบบจะแจ้งเหตุผลให้ทราบด้วย . ผู้ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติและได้รับสิทธิเราชนะ จะได้รับโอนวงเงินสิทธิครั้งแรก วันที่ 18 ก.พ. 64 จำนวน 2,000 บาท และจะได้รับเพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดี จนวงเงินสิทธิครบ 7,000 บาท . กรณีที่ตรวจสอบแล้ว ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ กระทรวงการคลัง ยืนยันว่า สามารถแจ้งขอทบทวนสิทธิได้ ที่เว็บไซต์ www.เราชนะ .com ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ. – 8 มี.ค. 64 และสามารถตรวจสอบผลการทบทวนสิทธิ ได้ที่เว็บไซต์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน . โดยกระทรวงการคลัง จะนำข้อมูลของท่าน ไปคัดกรองคุณสมบัติใหม่อีกครั้ง และจะถือว่าผลการพิจารณาทบทวนสิทธิเป็นอันสิ้นสุด . หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการเราชนะ โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3250 3423 3424 3425 หรือ Call Center ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 0 2111 1144 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ แก้ปัญหาราคาดาวเรืองตกต่ำ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานพาณิชย์จังหวัด หาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มเติมพร้อมกับจัดทำแผนบริหารสินค้า ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ก.เกษตรฯ แก้ปัญหาราคาดาวเรืองตกต่ำ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานพาณิชย์จังหวัด หาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มเติมพร้อมกับจัดทำแผนบริหารสินค้า ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แก้ปัญหาราคาดาวเรืองตกต่ำ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานพาณิชย์จังหวัด หาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มเติมพร้อมกับจัดทำแผนบริหารสินค้า ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป เมื่อวันที่ 7 ก.พ.64 นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีแก้ปัญหาราคาดาวเรืองตกต่ำในสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ว่า สำนักงานเกษตร จ.นครราชสีมา ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเกษตรกรในพื้นที่ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งปลูกดอกดาวเรือง รวมประมาณ 79 ไร่ ซึ่งปกติจะมีพ่อค้ามารับซื้อจากเกษตรกรไปจำหน่ายที่ปากคลองตลาด กทม. แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 วัดบางแห่งปิด และวัดที่สั่งซื้อเป็นประจำ ลดจำนวนการซื้อลง ทำให้พ่อค้าไม่รับซื้อจากเกษตรกร อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการเกษตรได้ประสานงานกับพาณิชย์จังหวัด เพื่อหาช่องทางการระบายสินค้าเพิ่มเติมพร้อมกับจัดทำแผนบริหารสินค้า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ด้าน กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ดอกดาวเรืองมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ด้านความต้องการใช้ลดลงค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ เนื่องจากดอกดาวเรืองจะใช้มากในด้านวัฒนธรรม-ศาสนา-การท่องเที่ยว จากการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาดอกดาวเรืองปัจจุบัน (7 ก.พ.64) ราคาดอกดาวเรืองปรับขึ้นตามภาวะตลาดรองรับเทศกาลตรุษจีน โดยราคามีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีกระดับหนึ่ง ทั้งนี้ สำนักงานพาณิชย์ จ.นครราชสีมา จะร่วมกับเกษตรจังหวัดลงพื้นที่แหล่งปลูกดอกดาวเรือง เพื่อสำรวจสถานการณ์ข้อเท็จจริง และเชื่อมโยงการจำหน่ายดอกดาวเรืองที่มีปัญหาด้านตลาดรองรับ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกดอกดาวเรืองต่อไป --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทะเบียนรถรูปแบบพิเศษ ใส่ชื่อบุคคลได้
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ทะเบียนรถรูปแบบพิเศษ ใส่ชื่อบุคคลได้ วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเป็นการกำหนดให้มีป้ายทะเบียนรูปแบบพิเศษ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลขนาดไม่เกิน 7 ที่นั่ง ให้มีตัวอักษรได้มากกว่า 2 ตัว มีสระและวรรณยุกต์ผสมได้ เพื่อเป็นป้ายทะเบียนประมูลรูปแบบใหม่ โดยอาจใส่เป็นชื่อเฉพาะของบุคคล ที่ไม่ซ้ำกับหมวดอักษรเดิม ไม่ใช้คำหยาบและไม่ขัดต่อศีลธรรม ซึ่งป้ายทะเบียนชุดใหม่นี้จะไม่กระทบต่อการออกป้ายทะเบียนรถแบบปกติที่ประชาชนจองได้ผ่านเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก และเลขทะเบียนสวยที่เปิดประมูลเป็นการทั่วไปในปัจจุบัน โดยรายได้จากการประมูลจะนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผลเชิงรุกตลาดรถไฟ "สมุทรสาคร" พบติดเชื้อ 87 ราย ไม่พบรายงานเพิ่ม 4 วันแล้ว
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 สธ.เผยผลเชิงรุกตลาดรถไฟ "สมุทรสาคร" พบติดเชื้อ 87 ราย ไม่พบรายงานเพิ่ม 4 วันแล้ว กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์แม่ค้าในตลาดรถไฟ จ.สมุทรสาคร ติดเชื้อในครอบครัว 1 ราย เป็นลูกสะใภ้ ส่วนการคัดกรองเชิงรุกพบติดเชื้อรวม 87 ราย ระบุตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม ย้ำจังหวัดที่คุมโรคได้แล้วอาจเจอผู้ติดเชื้อใหม่ได้ แนะประช กระทรวงสาธารณสุข เผยคลัสเตอร์แม่ค้าในตลาดรถไฟ จ.สมุทรสาคร ติดเชื้อในครอบครัว 1 ราย เป็นลูกสะใภ้ ส่วนการคัดกรองเชิงรุกพบติดเชื้อรวม 87 ราย ระบุตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม ย้ำจังหวัดที่คุมโรคได้แล้วอาจเจอผู้ติดเชื้อใหม่ได้ แนะประชาชนต้องร่วมมือ สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 186 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังในโรงพยาบาล141 ราย คัดกรองเชิงรุกในชุมชน 35 ราย และมาจากต่างประเทศ 10 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม หายป่วยเพิ่มขึ้น 468 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 -8 กุมภาพันธ์ 2564 มีผู้ติดเชื้อสะสม 19,320 ราย หายสะสม 13,470 ราย เสียชีวิตสะสม 19 ราย ยังรักษาอยู่ 5,831 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่มาจากสมุทรสาคร 163 ราย ปทุมธานีและสมุทรสงครามจังหวัดละ 4 ราย กทม. 3 รายเพชรบุรีและนครปฐมจังหวัดละ 1 ราย ทั้งนี้ ภาพรวมยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี ซึ่งการพบผู้ติดเชื้อในจังหวัดที่ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มาหลายวันสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น นครปฐมและเพชรบุรี ทีมสอบสวนโรคได้ลงพื้นที่เพื่อควบคุมโรคอย่างรวดเร็วและเต็มที่ เพื่อค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเสี่ยงต่ำ ดังนั้นประชาชนคงเข้มมาตรการป้องกันตนเองอย่างเต็มที่ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างและการ์ดไม่ตก นายแพทย์เฉวตสรร กล่าวต่อว่า กรณีผู้ติดเชื้อบริเวณตลาดรถไฟ ต.มหาชัย จ.สมุทรสาคร พบการติดเชื้อในครอบครัวลูกสะใภ้เพียงรายเดียว เริ่มต้นจากผู้ป่วยหญิงอายุ 46 ปี อาชีพขายหมู ให้ประวัติรับเนื้อหมูจาก อ.โพธาราม จ.ราชุบรี มาขายที่ตลาดรถไฟ เดินทางกลับบ้านที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงครามทุกวัน เริ่มมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่นตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2564 ไปตรวจหาเชื้อวันที่ 28 มกราคม 2564 ผลพบติดเชื้อ ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2564 พบลูกสะใภ้อายุ 26 ปีมีอาการป่วยเช่นกัน ทราบผลว่าติดเชื้อวันที่ 31 มกราคม 2564 จากกรณีดังกล่าว ได้เร่งค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมโดยนำรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัยพระราชทานไปเชิงรุกค้นหา ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2564 พบผู้ติดเชื้อรวม 87 ราย แบ่งเป็นคนไทย 33 ราย อยู่ใน จ.สมุทรสาคร 22 ราย เพชรบุรี 5 ราย กรุงเทพมหานคร นครปฐม และสุพรรณบุรี จังหวัดละ 1 ราย ที่เหลือ เป็นคนเมียนมา 52 ราย และลาว 2 ราย ใน จ.สมุทรสาคร "ส่วนผู้ติดเชื้อใน จ.เพชรบุรี 5 ราย มาจากอ.บ้านลาด 3 ราย ชะอำ 1 ราย และยังไม่ทราบอำเภออีก 1 ราย โดยรายหนึ่งมีอาชีพขายผักที่ตลาดแม่น้อย มีประวัติไปซื้อผักจากตลาดศรีเมือง จ.ราชบุรี ซึ่งผู้ติดเชื้อทั้ง 5 ราย ไม่มีอาการป่วย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด 8 ราย ผลการตรวจหาเชื้อรอบแรกให้ผลเป็นลบ ทั้งนี้หลังเจอผู้ติดเชื้อรายสุดท้ายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ก็ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม คาดว่าสถานการณ์น่าจะควบคุมได้ แต่ยังไม่วางใจทั้งหมด ยังต้องติดตามต่อเนื่อง " นายแพทย์เฉวตสรรกล่าว ****************************8 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งจัดทำโครงการเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (one map) เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ดินของรัฐไม่ชัดเจน
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งจัดทำโครงการเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (one map) เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ดินของรัฐไม่ชัดเจน รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เร่งจัดทำโครงการเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (one map) เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ดินของรัฐไม่ชัดเจน วันนี้ (8 ก.พ. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ครั้งที่ 1/2564 ผ่านวิดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมด้วย โดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเร่งจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐตามโครงการเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (one map) เพื่อทำให้แนวเขตพื้นที่ดินของรัฐมีความชัดเจนได้ พร้อมกำชับให้เร่งแก้ไขขั้นตอนและระยะเวลาในการอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศที่ต้องใช้เวลานานให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โอกาสนี้ กบร. ได้รายงานผลการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ 2563 สรุปได้ดังนี้ มีการพิจารณากรณีราษฎรโต้แย้งสิทธิในที่ดินของรัฐ รวม 32,574 ราย เนื้อที่ 308,634 ไร่ และได้ข้อยุติรวม 16,178 ราย เนื้อที่ 128,598 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 49 โดยสถิติประเภทที่ดินของรัฐที่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหา มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. ที่สาธารณประโยชน์ เนื้อที่รวม 120,450 ไร่ 2. ที่ราชพัสดุ เนื้อที่รวม 110,239 ไร่ และ 3. ที่ป่าไม้ เนื้อที่รวม 69,551 ไร่ พร้อมรับทราบความคืบหน้าของ ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้บังคับใช้เป็นกฎหมายได้ ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบเพิ่มเติม 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การแก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตามมาตรการของ กบร. ที่ได้วางแนวทางไว้ จำนวน 2 เรื่อง คือ เรื่องการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ และเรื่อง ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ ไปเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการของ คทช. 2) อำนาจหน้าที่ของ กบร.จังหวัด กบร.กทม. และคณะอนุกรรมการพิจารณาการพิสูจน์สิทธิของ กบร. จังหวัดนครสวรรค์ ให้ถ่ายโอนไปเป็นอำนาจหน้าที่เพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด) และ 3) อำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งเป็นภารกิจเฉพาะด้านที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ให้เสนอสำนักงาน คทช. ก่อนนำเสนอให้ คทช. พิจารณาต่อไป -------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38957
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดตรุษจีนและของดีวิถีชุมชน หนุนสินค้าเกษตรกร ฝ่าวิกฤตโควิด-19
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดตรุษจีนและของดีวิถีชุมชน หนุนสินค้าเกษตรกร ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดรับเทศกาลตรุษจีน ระหว่าง 9 – 11 กุมภาพันธ์นี้ และพบกับตลาดนัดของดี วิถีชุมชน ซึ่งนำสินค้าจากเกษตรกรลูกค้า วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร กว่า 50 บูธ มาจำหน่าย วันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ บริเวณหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ ธ.ก.ส.จัดตลาดนัดรับเทศกาลตรุษจีน รวบรวมสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาทิ กุ้งก้ามกราม ส้มโอ เมล่อนญี่ปุ่น ขนมเทียน ขนมเข่ง ช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่เกษตรกรลูกค้า ระหว่าง 9 – 11 กุมภาพันธ์นี้ และพบกับตลาดนัดของดี วิถีชุมชน ซึ่งนำสินค้าจากเกษตรกรลูกค้า วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร กว่า 50 บูธ มาจำหน่าย วันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ บริเวณหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. จัดตลาดสินค้าจากเกษตรกรช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 9 – 11 กุมภาพันธ์ 2564 ณ บริเวณหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ โดยนำผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร ได้มีสถานที่และช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า อันเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และกระตุ้นให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยในครั้งนี้มีบูธจำหน่ายสินค้ากว่า 10 บูธ อาทิ กุ้งก้ามกราม และไก่-หมูต้ม จังหวัดราชบุรี ส้มโอ จังหวัดพิจิตร เมล่อนญี่ปุ่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนมเทียน ขนมเข่ง จังหวัดสงขลา และปอเปี๊ยะสด จังหวัดระยอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตลาดนัดของดี วิถีชุมชน ระหว่างวันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ บริเวณหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ เพื่อให้เกษตรกร ทายาทเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร นำสินค้ามาจำหน่ายรวมกว่า 50 บูธ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการป้องกันโรคของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ธ.ก.ส. ได้จัดเตรียมมาตรการรักษาความสะอาดที่รัดกุม มีการจัดที่นั่งและอาคารสถานที่ตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าใช้ตลาด การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การสแกน QR Code “ไทยชนะ” ในการลงทะเบียนเข้าออกตลาด การสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ “ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมชิม ชม ช้อป สินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง ในงานเทศกาลตรุษจีน วันที่ 9 - 11 กุมภาพันธ์ 2564 และตลาดนัดของดี วิถีชุมชน วันที่ 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 ณ บริเวณหน้า ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ บางเขน เพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพ และเป็นกำลังใจให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ SMEs เกษตร ให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 และผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป” นายสมเกียรติกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38970
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ติดตามมาตรการ Bubble and Seal สมุทรสาคร เข้าดำเนินการแล้วใน 9 โรงงานขนาดใหญ่
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 สธ.ติดตามมาตรการ Bubble and Seal สมุทรสาคร เข้าดำเนินการแล้วใน 9 โรงงานขนาดใหญ่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามมาตรการ Bubble and Seal ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ส่งผลให้แนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น อัตราครองเตียงในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามลดลง ยังค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในโรงงานขนาดกลาง ขนาดเล็ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามมาตรการBubble and Seal ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ส่งผลให้แนวโน้มสถานการณ์ดีขึ้น อัตราครองเตียงในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามลดลง ยังค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในโรงงานขนาดกลาง ขนาดเล็ก และชุมชนเสี่ยงต่อเนื่อง วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) ที่ จ.สมุทรสาคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์โควิด 19 และมาตรการBubble and Seal จ.สมุทรสาคร โดยนายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า จากมาตรการ Bubble and Seal ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนควบคุมโรคในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างและการแพร่เชื้อสู่ชุมชนพบว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมเป็นอย่างดี ดำเนินการในโรงงานขนาดใหญ่ไปแล้ว 9 แห่ง มีพนักงานรวมกว่า 52,000 คน ส่วนโรงงานขนาดกลาง/ขนาดเล็ก ตลาดสด และในชุมชนเสี่ยง ยังคงเฝ้าระวังค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง เพื่อติดตามและค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุด นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า จากการทำงานอย่างหนักของทีมกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวัง คัดกรอง ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก และการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนทำให้สถานการณ์ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลและในโรงพยาบาลสนามลดลง ข้อมูล ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวนเตียงในโรงพยาบาลรัฐ เอกชน ศูนย์ห่วงใยคนสาคร และศูนย์ห่วงใยแรงงานสาคร รวมทั้งหมด 8,030 เตียง มีผู้ติดเชื้อนอนรักษา 2,607 คน คิดเป็นร้อยละ 32.5 หากสถานการณ์ยังคงดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ คาดว่าจะปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์โรงพยาบาลสนามเป็น Factory Quarantine ช่วยอำนวยความสะดวกกับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เป็นที่พักของพนักงาน เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมโรคตามมาตรการ Bubble and Seal นอกจากนี้ได้สั่งการให้จังหวัดเตรียมแผนการจัดฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป *****************************8 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38978
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 พ.ศ.2564 และแผนการกระจายวัคซีน 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 ระยะแรก กพ.- พค. จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด19 พ.ศ.2564 และแผนการกระจายวัคซีน 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 ระยะแรก กพ.- พค. จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และระยะที่ 2 มิ.ย. – ธ.ค. อีก 61 ล้านโดส วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติครั้งที่ 2/2564 โดยมีนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด19 ภาพรวมมีการบริหารจัดการได้ดี ควบคุมโรคได้แล้ว ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่บ้าง ในจังหวัดสมุทรสาคร ตาก และกทม. ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม. และทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างหนักทั้งการลงพื้นที่สอบสวนโรคและควบคุมการระบาด วางแผนการจัดการกับสถานการณ์ระบาด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพียงพอ และ Bubble and Sealed Factory-Accommodation Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร ให้อยู่ในพื้นที่แยกผู้ติดเชื้อออกมารักษา ถือว่าสถานการณ์ควบคุมได้ รวมทั้ง ศบค.ได้ออกประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หากการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคได้ผลดี มีผู้ติดเชื้อลดลงมาก กระทรวงสาธารณสุข จะได้เสนอมาตรการผ่อนคลายต่อ ศบค.เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในวันนี้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้หารือถึงนโยบายการให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ซึ่งในเร็วๆ นี้ จะได้วัคซีนของบริษัทซิโนแวค จำนวน 2 ล้านโดส และเดือนมิถุนายนมีวัคซีนที่สั่งซื้อจากบริษัทแอสตราเซนเนกา 26 ล้านโดส และที่จองเพิ่ม 35 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส ถือว่าครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และได้วางแผนการบริหารจัดการการให้วัคซีนมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย มีคุณภาพให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ตามนโยบายรัฐบาล โดยได้แต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีน ซึ่งมีการประชุมเตรียมการคณะทำงานทั้ง6 คณะเป็นอย่างดี และได้เตรียมขั้นตอนการให้บริการวัคซีนโควิด 19 แก่ประชาชนอย่างเป็นระบบ นายอนุทินกล่าวต่อว่า คณะกรรมการได้เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด19 พ.ศ.2564 ซึ่งมี 2 ระยะ โดยในระยะแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 รักษาระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้ 5 กลุ่ม ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน, ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งที่อยู่ในระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมหรือ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, ประชาชนที่มีอายุ 60 ขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งประชาชนทั่วไปและแรงงานในพื้นที่ระบาดของโควิด 19และระยะที่2 เมื่อวัคซีนมากขึ้นและเพียงพอ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับ 7 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป, แรงงานในภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม สถานบันเทิง มัคคุเทศก์,ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ, นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ, กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ในจังหวัดที่เหลือ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนโควิด19 ระยะแรก เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดที่ยังพบผู้ป่วย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด และตาก ระยะที่ 2 เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2564 จำนวน 61 ล้านโดส โดยมีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้บริการกว่า 1,000 แห่ง วางแผนฉีดวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 นายอนุทินกล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการได้เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... โดยจัดตั้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ สะพานมิตรภาพไทย– เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 อ.แม่สอด จ.ตาก เพิ่มอีก 1 แห่ง เป็นด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ด่านที่ 69 ของประเทศ เพื่อให้มีบุคลากรด้านการป้องกันควบคุมโรคปฏิบัติหน้าที่ประจำที่ด่านฯ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการเดินทางผ่านเข้า-ออกเป็นจำนวนมาก ***************************** 8 กุมภาพันธ์ 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38958
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โทษว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 โทษว่าด้วยการปรับเป็นพินัย วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ... ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎหมายให้เป็นธรรมมากขึ้น โดยเปลี่ยนความผิดเล็กน้อยที่เป็นโทษปรับทางปกครองและอาญา เช่น ไม่แสดงใบขับขี่ สูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ จอดรถขายของริมถนนสาธารณะ ให้เป็นการปรับเป็นพินัย และลงโทษด้วยการปรับเป็นเงินตามความรุนแรงของความผิด หรือกำหนดให้ทำงานบริการสังคมแทน โดยไม่มีการจำคุกหรือกักขัง และไม่ลงบันทึกในประวัติอาชญากรรม เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ขณะนี้ร่างกฎหมายได้ผ่านความเห็นชอบของ ครม. แล้ว จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยการจำคุกจะเป็นโทษเฉพาะความผิดร้ายแรงเท่านั้น “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรมให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าพบ
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรมให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าพบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรมให้สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าพบ วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 13.00 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ให้นายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยและคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรมในการช่วยเหลือหรือผลักดันให้มีการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ในกลุ่มอาชีพผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง รวมทั้ง หารือเกี่ยวกับแหล่งเงินกู้ และนำเงินกู้ที่ได้ไปใช้ในการจัดหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในการประกอบอาชีพ และเพื่อช่วยลดมลพิษต่อไป ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันฉวยโอกาสขึ้นราคา
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 คุมราคาสินค้าช่วงตรุษจีน ป้องกันฉวยโอกาสขึ้นราคา ... ช่วงสัปดาห์เทศกาลตรุษจีนนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสม โดยร้านค้าจะต้องมีป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน . รวมถึงสินค้าที่จำหน่ายทางออนไลน์ จะต้องคุมเข้มทั้งราคาและการโฆษณา ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค . หากประชาชนพบร้านค้ากระทำผิด ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า – บริการ สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค 1166 . นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนประชาชน จับจ่ายใช้สอยผ่าน “คนละครึ่ง” หรือ “เราชนะ” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ร้านค้าอย่างทั่วถึงอีกด้วย #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง ถูกทำร้ายร่างกาย...เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ปรับโฉมท่าเรือเกาะสมุยรับ นทท. คาดพร้อมใช้ปี 2567 เช็กสิทธิ ‘เราชนะ’ ถ้าไม่ได้รับสิทธิ ต้องทำอย่างไร? พุ่งขึ้น! 4 อันดับ ดัชนีนวัตกรรมไทย IOC ยก ไทย ต้นแบบจัดแข่งกีฬา รับมือโควิดยอดเยี่ยม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบอุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตจีน อวยพรปีใหม่ให้ชาวจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนพบกับความสุข ความสมหวัง สุขภาพแข็งแรง
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 นายกฯ พบอุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตจีน อวยพรปีใหม่ให้ชาวจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนพบกับความสุข ความสมหวัง สุขภาพแข็งแรง นายกฯ พบอุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตจีน อวยพรปีใหม่ให้ชาวจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนพบกับความสุข ความสมหวัง สุขภาพแข็งแรง วันนี้ (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 10.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายหยาง ซิน (Mr. Yang Xin) อุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออวยพรในโอกาสเทศกาลตรุษจีน ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสรุป ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับ นายหยาง ซิน ขอบคุณที่มาขอเข้าพบเพื่ออวยพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีน และขอส่งความปรารถนาดีไปยัง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง และผู้บริหารของรัฐบาลจีน ตลอดจนประชาชนจีน และชาวไทยเชื้อสายจีนทุกคน ให้ทุกคนพบกับความสุข มีความสมหวัง สุขภาพแข็งแรง ในโอกาสมงคลนี้ อุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญ ในโอกาสปีใหม่จีนนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ฝากความปรารถนาดีมาถึงนายกรัฐมนตรีและภริยา ขออวยพรให้นายกรัฐมนตรี และประชาชนชาวไทยมีความสุข ประสบความสำเร็จ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นปีที่ยากลำบาก แต่ความร่วมมือระหว่างไทย-จีนไม่ได้หยุดนิ่ง สะท้อนความผูกพันและมิตรภาพระหว่างกัน ซึ่งส่งผลให้ไทยและจีนมีความร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ได้อย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีชื่นชมจีนที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับจีนในทุกด้าน โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ของทั้งสองประเทศ จากผลกระทบของสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งความร่วมมือกันนี้จะส่งผลต่อยอดสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคต่อไป ซึ่งอุปทูตรักษาราชการจีนย้ำความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกันว่าในช่วงปี 2563 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนก็ขยายตัว และมีตัวเลขการลงทุนที่ไทยมากที่สุดในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายต่างชื่นชม และขอบคุณความร่วมมือและความช่วยเหลือที่มีต่อกันในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ทราบว่าทุกหน่วยงานระหว่างไทย-จีนได้หารือกันผ่านความสัมพันธ์ฉันมิตร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไทยยืนยันที่จะจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 50 ของประชาชนอย่างเร็วที่สุด โดยจะเริ่มฉีดวัคซีนแก่ประชาชนตามที่ได้ กำหนดกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการฉีดเร่งด่วนก่อน ซึ่งฝ่ายจีนแจ้งว่า วัคซีนจากบริษัท Sinovac ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลจีนให้ส่งออกแล้ว และพร้อมจะส่งมายังประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะมีความร่วมมือกันในสาขาที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้าน E-commerce เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้จีนพิจารณาลงทุนด้านเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG ) ซึ่งประเทศไทยให้ความสำคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38956
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ทส. มอบหนังสือแสดงป่าชุมชน 5 ชุมชน พร้อมชื่นชมป่าชุมชนโคกป่าชี หนองห้าง เป็นป่าชุมชนต้นแบบ”
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 “ทส. มอบหนังสือแสดงป่าชุมชน 5 ชุมชน พร้อมชื่นชมป่าชุมชนโคกป่าชี หนองห้าง เป็นป่าชุมชนต้นแบบ” “ทส. มอบหนังสือแสดงป่าชุมชน 5 ชุมชน พร้อมชื่นชมป่าชุมชนโคกป่าชี หนองห้าง เป็นป่าชุมชนต้นแบบ” “ทส. มอบหนังสือแสดงป่าชุมชน 5 ชุมชน พร้อมชื่นชมป่าชุมชนโคกป่าชี หนองห้าง เป็นป่าชุมชนต้นแบบ” วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานมอบหนังสือแสดงป่าชุมชน พร้อมมอบเงินอุดหนุน โครงการสร้างเศรษฐกิจชุมชนจากป่าชุมชนจังหวัดกาฬสินธุ์ และ ร่วมทำกิจกรรมทำแนวกันไฟเพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิง ตามนโยบายชิงเก็บก่อนเผา โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ร่วมในกิจกรรม ณ ป่าชุมชนโคกป่าชี บ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ นายวราวุธ ได้กล่าวว่า “เป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงฯ ก็คือการเพิ่มพื้นที่ป่าให้ถึงร้อยละ 40 ของประเทศ ซึ่งวันนี้ได้มาเห็นถึงความรักที่มีต่อป่าชุมชน ของชาวบ้านหนองห้าง เมื่อเราดูแลป่า ป่าก็จะดูแลเรา” นอกจากนั้น นายวราวุธ ยังได้กล่าวเพิ่มอีกว่า ตั้งใจจะเดินทางไปให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรับทราบถึงปัญหาที่แท้จริงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประชาชน ทั้งนี้ ป่าชุมชนโคกป่าชี บ้านหนองห้าง นี้ เป็นต้นแบบโครงการป่าชุมชน ได้รับพระราชทานธงราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) จาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งปัจจุบันป่าแห่งนี้มีความสมบูรณ์อยู่มาก มีศูนย์ฝึกอบรม และการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ เปิดโครงการน้ำบาดาลสุดล้ำ ช่วยเกษตรกร กาฬสินธุ์ สนองนโยบายสู้ภัยแล้งของรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 รมว.วราวุธ เปิดโครงการน้ำบาดาลสุดล้ำ ช่วยเกษตรกร กาฬสินธุ์ สนองนโยบายสู้ภัยแล้งของรัฐบาล รมว.วราวุธ เปิดโครงการน้ำบาดาลสุดล้ำ ช่วยเกษตรกร กาฬสินธุ์ สนองนโยบายสู้ภัยแล้งของรัฐบาล รมว.วราวุธ เปิดโครงการน้ำบาดาลสุดล้ำ ช่วยเกษตรกร กาฬสินธุ์ สนองนโยบายสู้ภัยแล้งของรัฐบาล วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่บ้านกุดหว้า หมู่ที่ 2 ตำบลกุดหว้า อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อติดตามผลการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พร้อมเปิดโครงการ โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้การต้อนรับ และมี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นผู้บรรยายให้ข้อมูลรายละเอียดของโครงการดังกล่าว นายวราวุธ กล่าวว่า “โครงการด้านน้ำบาดาลแห่งนี้ นับเป็นโครงการที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ต้องขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เห็นถึงความสำคัญในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องประสบภัยแล้งอย่างหนัก จึงได้อนุมัติงบประมาณให้กระทรวงฯ มาดำเนินโครงการดังกล่าว” “การทำเกษตรกรรมจะต้องเป็นการเกษตรแบบใช้น้ำน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของการนำน้ำบาดาลมาใช้ และเป็นการลดต้นทุนในการผลิต เพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือน ขอให้ทุกคนใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ในเบื้องต้น กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะเป็นพี่เลี้ยงในการดูแลระบบให้ ก่อนที่จะส่งต่อให้หน่วยงานในพื้นที่ดูแลต่อไป” นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติม โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นโครงการบ่อน้ำบาดาลขนาดความจุ 120 ลบ.ม./ ถัง จำนวน 4 ถัง ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5,120 วัตต์ จำนวน 4 ชุด ติดตั้งพร้อมเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ จำนวน 4 เครื่อง ทำการขุดลึกจากผิวดินเพียง 80 เมตร สามารถสูบน้ำบาดาลขึ้นมาได้มากถึง 12 ลบ.ม./ชั่วโมง มีระยะในการส่งน้ำไกลถึง 3 กิโลเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นทางการเกษตร จำนวนกว่า 760 ไร่ ผลิตปริมาณน้ำได้กว่า 2 แสน ลบ.ม./ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38932
รัฐบาลไทย-
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2513
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เป็นห่วงประชาชน ขอเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบริเวณประเทศไทยตอนบน ตั้งแต่วันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2564
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 นายกฯ เป็นห่วงประชาชน ขอเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบริเวณประเทศไทยตอนบน ตั้งแต่วันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2564 นายกฯ เป็นห่วงประชาชน ขอเฝ้าระวังพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบริเวณประเทศไทยตอนบน ตั้งแต่วันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้นจากสภาพอากาศในช่วงวันที่ 7- 9 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่า บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะเริ่มมีผลกระทบบริเวณภาคเหนือในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีผลกระทบในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2564 จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย หลังจากนั้นอุณภูมิจะลดลง 4-6 องศาเซลเซียส ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ที่เว็บไซต์ http://www.tmd.go.th หรือสอบถามได้ที่สายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ตลอด 24 ชั่วโมง ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สิรินธร มุ่งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาที่สำคัญ
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 รมว.ทส. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สิรินธร มุ่งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาที่สำคัญ รมว.ทส. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สิรินธร มุ่งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาที่สำคัญ รมว.ทส. เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สิรินธร มุ่งให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยาที่สำคัญ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 14:00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์สิรินธร อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ในการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ในส่วนหลุมขุดค้นไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว อาคารนิทรรศการ และห้องปฏิบัติการทางบรรพชีวินวิทยา เพื่อรับฟังบรรยายสรุป และปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานห้วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา และบรรพชีวินวิทยาที่สำคัญ สำหรับพิพิธภัณฑ์สิรินธรนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรธรณี ได้สร้างอาคารวิจัยขึ้นบริเวณหลุมที่มีการขุดค้นพบไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว ที่มีอายุกว่า 130 ล้านปี นอกจากนั้น ยังมีอาคารปฏิบัติการเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการอนุรักษ์ ศึกษาค้นคว้า และเก็บรวมรวมซากดึกดำบรรพ์ที่สำรวจพบในประเทศไทย ซึ่งศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว หรือ พิพิธภัณฑ์สิรินธร แห่งนี้ นับว่าเป็นศูนย์วิจัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์และพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์แห่งแรกของประเทศไทย โดยได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “พิพิธภัณฑ์สิริธร”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โควิดไม่หยุดโคดดิ้ง รัฐบาลเดินหน้าอบรมครู ปูพื้นฐานสู่การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์สอดรับยุคดิจิทัล
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 โควิดไม่หยุดโคดดิ้ง รัฐบาลเดินหน้าอบรมครู ปูพื้นฐานสู่การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์สอดรับยุคดิจิทัล โควิดไม่หยุดโคดดิ้ง รัฐบาลเดินหน้าอบรมครู ปูพื้นฐานสู่การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์สอดรับยุคดิจิทัล นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดให้วาระการพัฒนาคนสู่ศตวรรษที่21 เป็นวาระเร่งด่วน การส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รายงานความก้าวหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ได้ดำเนินการพัฒนาการเรียนการสอนที่เป็นการปูพื้นฐานทักษะในระดับเด็กเล็ก ก่อนที่จะเข้าสู่การสอนภาษาคอมพิวเตอร์ในชั้นเด็กโต ซึ่งตั้งแต่เล็กเด็กจะต้องมีทักษะในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ การแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยเหตุด้วยผล และเมื่อโตขึ้นในระดับมัธยมและอุดมศึกษา พื้นฐานการคิดวิเคราะห์ที่ดีนี้จะส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจในการเรียนวิชาภาษาคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ร่วมกับ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดอบรมครูออนไลน์หลักสูตรการเรียนรู้ วิทยาการคำนวณ-โคดดิ้งสำหรับครูไปแล้ว 1.4 แสนคน และจะเดินหน้าต่อ ซึ่งขณะนี้มีครูลงทะเบียนขอรับการอบรมทั้งหมด 2 แสนกว่าคน มากไปกว่านั้น สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล จะมีการสาธิตการประยุกต์ใช้โค้ดดิ้งกับสาระวิชาทั่วไป เพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันที่มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น ในขณะที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อีกหน่วยงานสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ในระดับมัธยม ได้พัฒนาสื่อการสอนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศแล้วกว่า 2,200 โรงเรียน นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเสมอว่าในยุคดิจิทัลนี้ เยาวชนไทยต้องมีทักษะในเรื่องการคิดวิเคราะห์ให้มาก ทั้งเพื่อเป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันด้วยเหตุด้วยผล และการคิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นทักษะและความรู้ที่ภาคเอกชนต้องการอย่างมาก รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้านที่จะเป็นการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีทักษะสอดรับกับสังคมในยุคดิจิทัล และรู้จักการใช้ศักยภาพของตนเองเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยกสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน พร้อมวิเคราะห์ เรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2564 นายกรัฐมนตรี ยกสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน พร้อมวิเคราะห์ เรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน นายกรัฐมนตรี ยกสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน พร้อมวิเคราะห์ เรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบัน วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2564) เวลา 8.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดคุยถึงการบริหารจัดการกับการระบาดใหม่ของโควิด-19 ในประเทศ ผ่าน PM PODCAST สรุปประเด็นดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการระบาดโควิด-19 ในประเทศครั้งนี้ ไม่ได้เชื่อมโยงกับการระบาดในรอบแรก ที่ไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ภายในสองเดือน การระบาดในรอบปัจจุบันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จึงต้องนำสถานการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน วิเคราะห์ ประมวลสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเรียนรู้ เชื่อมั่น สามารถรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้มากขึ้น รวมทั้งใช้มาตรการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยตั้งอยู่บนหลักวิชาการและบริบทของประเทศไทย เช่น การปิดสถานประกอบการที่ต้องคำนึงถึงตัวเลขสถิติเพื่อออกมาตรการที่เหมาะสม ปัจจุบันรัฐบาลสามารถเลี่ยงการล็อคดาวน์ เปลี่ยนเป็นการแบ่งพื้นที่และกำหนดมาตรการควบคุมให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของพื้นที่ในแต่ละระดับ ลดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน และลดผลกระทบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้มากที่สุด นายกรัฐมนตรีเผยช่วงแรกของการระบาดครั้งนี้ หนักหน่วงกว่าที่ผ่านมา เพราะเกิดการระบาดในกลุ่มแรงงานต่างด้าว บ่อนการพนัน ซึ่งระดมสรรพกำลังติดตามสอบสวนโรคทุกราย เพิ่มการตรวจเชิงรุกในพื้นที่โรงงาน ชุมชน โดยใช้มาตรการ Bubble and Seal ไม่ให้มีการระบาดออกนอกพื้นที่ ไม่ต้องปิดโรงงาน และเศรษฐกิจก็ยังสามารถดำเนินต่อไป เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงรัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมให้สอดคล้องกับความเป็นจริง พร้อมทั้งกำชับหน่วยงานความมั่นคงให้เฝ้าระวังพื้นที่แนวชายแดน ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างเข้มงวด นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการทำงานของหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทยได้สร้างกลไกเสริมเชื่อมโยงกับ ศบค. ระดับประเทศ ระดับตำบล บูรณาการร่วมกับกับหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อสร้างโครงข่ายเฝ้าระวังทั่วประเทศ ขณะที่กระทรวงกลาโหมและตำรวจ จัดชุดตรวจดูแลสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้ดำเนินตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ ศบค. กำหนด โดยเฉพาะการเร่งติดตามกลุ่มบุคคลมั่วสุมทำผิดกฎหมาย ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด พร้อมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด สำหรับการทำงานในส่วนของ ศบค. คือการตรวจเชิงรุกควบคู่กับการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ติดตามสอบสวนผู้ที่มีความเสี่ยง นายกรัฐมนตรียังย้ำในช่วงท้ายถึงความสำคัญของโรงพยาบาลสนามว่า เป็นทางออกหนึ่งที่สร้างความเชื่อมั่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหมอ พยาบาล ในการดูแลทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน ผู้ป่วยโควิด ให้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม รวมทั้งจัดพื้นเหมาะสมให้กับผู้ติดเชื้อ ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ชุมชน ซึ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้แล้วเพื่อให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรกภายใต้การทำงานร่วมกันของกระทรวงสาธารณสุข ……………………………….. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก Your browser does not support the video tag.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/38926