title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน จับมือ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผนึกกำลังช่วย SMEs ภาคการท่องเที่ยว ปล่อยกู้ไม่วิเคราะห์รายได้ วงเงิน 3,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ธนาคารออมสิน จับมือ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผนึกกำลังช่วย SMEs ภาคการท่องเที่ยว ปล่อยกู้ไม่วิเคราะห์รายได้ วงเงิน 3,000 ล้านบาท ธนาคารออมสินจึงร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เดินหน้าเร่งให้ความช่วยเหลือ โดยจัดสรรวงเงิน 3,000 ล้านบาท ตามโครงการ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยถึงกรณีที่ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ภาคการท่องเที่ยวประสบปัญหาสภาพคล่องเนื่องจากขาดรายได้ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่จะใช้ประคับประคองกิจการให้ดำเนินต่อได้ เนื่องจากข้อจำกัดของเงื่อนไขกระบวนการปล่อยสินเชื่อที่ต้องมีการวิเคราะห์รายได้และพิจารณาภาระของผู้กู้ เป็นต้น ดังนั้น เพื่อปลดล็อกดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ธนาคารออมสินจึงร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เดินหน้าเร่งให้ความช่วยเหลือ โดยจัดสรรวงเงิน 3,000 ล้านบาท ตามโครงการ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” ให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สามารถนำที่ดินมาเป็นหลักประกันการกู้ด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน กล่าวคือธนาคารจะไม่พิจารณาภาระผู้กู้และไม่วิเคราะห์รายได้ โดยพร้อมให้กู้สูงถึง 70% ของราคาประเมินที่ดินของทางราชการ ให้วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทสำหรับบุคคลธรรมดา และ 50 ล้านบาทสำหรับนิติบุคคล ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 5.99% ต่อปี ให้ผู้กู้มาไถ่ถอนที่ดินคืนเมื่อไหร่ก็ได้ที่พร้อม ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งการที่ธนาคารออมสินได้รับการสนับสนุนให้สามารถปล่อยกู้ด้วยเงื่อนไขผ่อนปรน เชื่อว่าจะช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่เดือดร้อนจากผลกระทบการระบาดโควิด-19 ให้ได้รับวงเงินกู้ไปหมุนเวียนประคับประคองกิจการต่อไป ด้านนายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ สทท. กล่าวว่า จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทำให้ภาคการท่องเที่ยวชะงักงัน สร้างความเดือดร้อนแก่ธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างมาก ประเมินว่าธุรกิจท่องเที่ยวมีแนวโน้มปิดกิจการถาวรเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 30 ของธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหมดในไทย ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเริ่มเห็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวบางรายประกาศขายกิจการแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการคาดหวังว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 จะดีขึ้นได้บ้างเนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานเร่งหามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่แม้จะยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป แต่ก็คาดหวังว่าจะสามารถช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ “สำหรับความร่วมมือกับธนาคารออมสินในครั้งนี้ เป็นความพยายามช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ได้มีทุนเสริมสภาพคล่องในการทำธุรกิจให้เดินหน้าต่อได้โดยไม่ต้องปิดกิจการ โดยสามารถใช้ที่ดินเป็นหลักประกันขอกู้เงื่อนไขผ่อนปรน ในโครงการ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” จากวงเงิน 3,000 ล้านบาทที่ได้รับจัดสรรเพื่อผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของ สทท. เป็นกรณีพิเศษ” นายชัยรัตน์กล่าวเสริม ทั้งนี้ สมาชิกของ สทท. ที่ประสงค์ขอสินเชื่อโครงการ “สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน” สามารถติดต่อได้ที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ที่ www.gsb.or.th ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB SMEs Call Center โทร. 02-299-8899 https://www.gsb.or.th/news/gsbpr69/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. การกีฬาแห่งประเทศไทย เห็นชอบแผนการกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร ปี 64 พร้อมอนุมัติการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยสากลมาตรฐาน ระดับสากล สนามกีฬาหัวหมาก
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 คกก. การกีฬาแห่งประเทศไทย เห็นชอบแผนการกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร ปี 64 พร้อมอนุมัติการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยสากลมาตรฐาน ระดับสากล สนามกีฬาหัวหมาก คกก. การกีฬาแห่งประเทศไทย เห็นชอบแผนการกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร ปี 64 พร้อมอนุมัติการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยสากลมาตรฐาน ระดับสากล สนามกีฬาหัวหมาก วันนี้ (30 ต.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องวิจิตรวาทการ ชั้น 3 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 11/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการประเมินการบริหารจัดการอย่างมีมาตรฐานของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ตามเงื่อนไขของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ประจำปี พ.ศ. 2563 โดยการประเมินแบ่งออกเป็น 4 ระบบ ได้แก่ ระบบการบริหารจัดการ ระบบการพัฒนานักกีฬา ระบบการพัฒนาบุคลากรกีฬา และระบบการจัดการแข่งขัน โดยสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยเกิน 4 ปีขึ้นไป จำนวน 73 สมาคมกีฬา ผ่านเกณฑ์การประเมินจำนวน 73 สมาคม และสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยที่เข้าร่วมการประเมินในปี 2563 เป็นครั้งแรก จำนวน 11 สมาคม ผ่านเกณฑ์การประเมิน จำนวน 6 สมาคม ซึ่งผลการประเมินเท่ากับร้อยละ 84.1 ผ่านเกณฑ์ที่ สคร. กำหนดไว้ โอกาสนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบแผนการกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กร (Corporate Governance & Leadership: CG & Leadership) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อยกระดับสมาคมกีฬา สู่มาตรฐานสากล และเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแล กิจการของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยแผนการดำเนินงานจำนวน 10 ด้าน ได้แก่ 1) การสนองบทบาทของรัฐ 2) บทบาทของรัฐวิสาหกิจเพื่อการตลาดที่เป็นธรรม 3) สิทธิและความเท่าเทียมกันของผู้ถือหุ้น 4) บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 5) การเปิดเผยข้อมูล 6) บทบาทคณะกรรมการ 7) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน 8) จรรยาบรรณ 9) ความยั่งยืนและนวัตกรรม และ 10) การติดตามผลการดำเนินงาน นอกจากนี้ได้เห็นชอบการใช้งบประมาณสะสมดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์ฝึกกีฬามวยสากลมาตรฐาน ระดับสากล สนามกีฬาหัวหมาก เพื่อพัฒนานักกีฬาประเภทมวยสากลให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าแข่งขัน กับประเทศอื่นๆในระดับโลกต่อไป ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงระบบการประเมินการบริหารจัดการของสมคมกีฬาแห่งประเทศไทย ตามแนวทางการพัฒนากีฬาสู่ความเป็นเลิศ ให้การกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาตัวชี้วัดให้เหมาะสม ให้สอดคล้องตามความแตกต่างของแต่ละสมาคมอย่างแท้จริง และให้ความช่วยเหลือสมาคมพี่เลี้ยงที่ไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน รวมถึงการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผลในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งให้ดำเนินงานตามระบบการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจด้านการกำกับดูแลที่ดีและการนำองค์กรตามที่กำหนดอย่างเคร่งครัดทุกรายการ โดยเฉพาะหัวข้อการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ด้วย ----------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36369
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 22 - 29 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 22 - 29 ตุลาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 22 - 29 ตุลาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 574 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.66 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 22 - 29 ตุลาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 574 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.66 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 337 คดี ค่าปรับ 3.24 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 174 คดี ค่าปรับ 4.30 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 17 คดี ค่าปรับ 0.29 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 20 คดี ค่าปรับ 0.47 ล้านบาท น้ำหอม 4 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.40 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 9 คดี ค่าปรับ 1.82 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 54,268.760 ลิตร ยาสูบ จำนวน 24,506 ซอง ไพ่ จำนวน 1,135 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 32,510.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 6,000 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 15 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 29 ตุลาคม 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 2,286 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 43.42 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 1,274 คดี ค่าปรับ 11.86 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 758 คดี ค่าปรับ 19.64 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 62 คดี ค่าปรับ 0.70 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 55 คดี ค่าปรับ 3.41 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 10 คดี ค่าปรับ 0.32 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 83 คดี ค่าปรับ จำนวน 2.16 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 44 คดี ค่าปรับ 5.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 62,769.120 ลิตร ยาสูบ จำนวน 89,804 ซอง ไพ่ จำนวน 3,131 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 120,147.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 47,637 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 98 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จจ.ร้อยเอ็ด ‘รมช.ประภัตร’ตรวจเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จจ.ร้อยเอ็ดชี้แจงโครงการโคขุนกู้วิกฤติโควิด19ปล่อยสินเชื่อแล้ว16ล้านบาท นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสตรวจเยี่ยมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรแปลงใหญ่โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จบ้านเหล่าดอนไฮหมู่8ตำบลเมืองเปลือยอ.ศรีสมเด็จจ.ร้อยเอ็ดว่ากลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จได้รับสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.)ในการดำเนินงานตามหลักของเกษตรแปลงใหญ่โคแม่พันธุ์อำเภอศรีสมเด็จจังหวัดร้อยเอ็ดคือการลดต้นทุนการผลิตเพิ่มผลผลิตเพิ่มคุณภาพผลผลิตการตลาดและการจัดการโดยการเลี้ยงโคแม่พันธุ์เพื่อการผลิตลูกจำหน่าย(โคต้นน้ำ)ตามหลักตลาดนำการผลิตเช่นพันธุ์บราห์มันชาร์โรเล่ห์ และแองกัสโดยมีการเชื่อมโยงตลาดกับกลุ่มผู้ผลิตโคขุนในพื้นที่จึงสามารถดำเนินงานได้เป็นอย่างดีมีสมาชิกจำนวน46ราย มีแม่โคภายในกลุ่ม468ตัว เป็นการเลี้ยงโคแม่พันธุ์ต้นน้ำเพื่อผลิตลูกโคตามสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการเชื่อมโยงกับกลุ่มที่รับซื้อลูกโคไปเลี้ยงขุนระยะสั้นและมีการเชื่อมโยงกับตลาดอย่างครบวงจร นอกจากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้นำเสนอโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง(โคเนื้อสร้างชาติ) แก่พี่น้องประชาชนที่มาร่วมงานเพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพทั้งนี้ในจังหวัดร้อยเอ็ดมีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมโครงการดังกล่าว และได้รับการอนุมัติสินเชื่อไปแล้วจำนวน6กลุ่มเป็นจำนวนเงิน16,300,000บาทตลอดจนโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้งปี2563/2564ที่ทางกระทรวงเกษตรฯเตรียมนำเสนอครม. อาทิการปลูกพืชใช้น้ำน้อย(ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถั่วเขียว)การสนับสนุนการแปรรูปสินค้าเกษตรการส่งเสริมการเลี้ยงปลาดุก(ปลาตะเพียนขาว)การปลูกพืชอาหารสัตว์ และการเลี้ยงไก่พื้นเมือง(ไก่พื้นเมือง,เป็ดไข่,เป็ดเทศ)เป็นต้น ทั้งนี้จ.ร้อยเอ็ดมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์จำนวน100,335ราย ชนิดสัตว์โคเนื้อ259,162ตัวโคนม608ตัวกระบือ60,919ตัวสุกร100,074ตัวและไก่จำนวน4,108,902ตัว พื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์9,145ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.พังงา-ภูเก็ต ก่อนประชุม ครม. สัญจร ช่วยกลุ่มเปราะบาง ซ่อม-สร้างบ้านผู้มีรายได้น้อย เปิดศูนย์เลี้ยงเด็ก 24 ชม.ฟรี
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.พังงา-ภูเก็ต ก่อนประชุม ครม. สัญจร ช่วยกลุ่มเปราะบาง ซ่อม-สร้างบ้านผู้มีรายได้น้อย เปิดศูนย์เลี้ยงเด็ก 24 ชม.ฟรี รมว.พม. เตรียมลงพื้นที่ จ.พังงา-ภูเก็ต ก่อนประชุม ครม. สัญจรช่วยกลุ่มเปราะบาง ซ่อม-สร้างบ้านผู้มีรายได้น้อย เปิดศูนย์เลี้ยงเด็ก 24 ชม.ฟรี เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 63นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กำหนดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งนี้ ตนจึงจะลงพื้นที่ด้วยตัวเองก่อนการประชุมดังกล่าว เพื่อเยี่ยมกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่จังหวัดพังงา ในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 และจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายน 2563 นายจุติ กล่าวต่อไปว่า จังหวัดพังงาได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดหนึ่งที่ประชาชนมีความสุขสูงสุดในภาคใต้ โดยมีการขับเคลื่อนงาน “พังงาแห่งความสุข” ซึ่งตนจะลงพื้นที่ ณ นิคมสร้างตนเองท้ายเหมือง เพื่อรับฟังการขับเคลื่อนงานและร่วมหาแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความสุขของคนพังงาอย่างยั่งยืน อีกทั้งจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ด้วยการซ่อมแซมและสร้างบ้านใหม่ในโครงการบ้านพอเพียงชนบท รวมทั้งมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง (น.ค. 3) นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดภูเก็ตได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ตนจึงจะลงพื้นที่ ณ โครงการเอื้ออาทรภูเก็ต (ถลาง) เพื่อรับฟังปัญหาและช่วยกันหาแนวทางแก้ไขร่วมกับชาวชุมชน และชุมชนสะพานร่วมพูนผล 1 เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชนของเทศบาลนครภูเก็ต อีกทั้งเปิด “บ้านเด็กฮอลแลนด์” Day care Night care 24 ชั่วโมง สำหรับรับเลี้ยงเด็กอายุ 2-5 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจจ้างแรงงาน ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ช่วงฤดูการผลิตปี 2563/2564 กว่า 30,000 อัตรา
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจจ้างแรงงาน ในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ช่วงฤดูการผลิตปี 2563/2564 กว่า 30,000 อัตรา กระทรวงอุตสาหกรรม ขานรับนโยบายของภาครัฐเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจจ้างแรงงานในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ในฤดูการผลิตปี 2563/2564 กว่า 30,000 อัตรา สร้างรายได้ กว่า 900 ล้านบาท หวังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมเร่งเดินหน้าการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อให้เกิดการจ้างแรงงาน ในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในฤดูการผลิตปี 2563/2564 ได้เตรียมงบประมาณเพื่อจ้างลูกจ้างชั่วคราวในช่วงของการหีบอ้อยทั่วประเทศ จำนวน 1,342 อัตรา เป็นเงิน จำนวน 83,360,800 บาท จากเงิน กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ถือเป็นการนำเงินจากกองทุนฯ มากระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้แก่ประชากรในชุมชนท้องถิ่น ซึ่งการจ้างลูกจ้างชั่วคราวในการดำเนินการในช่วงของการ หีบอ้อยนั้น สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ได้ดำเนินการจ้างแรงงานมาอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูการหีบอ้อย ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้นำไปพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่น “ทั้งนี้ นอกจากในส่วนของภาครัฐที่มีการจ้างแรงงานชั่วคราวในระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ช่วงของการหีบอ้อย ในฤดูการผลิตปี 2563/2564 ที่คาดว่าจะเปิดหีบในช่วงเดือนธันวาคมแล้วนั้น ทางโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศรวม 57 แห่ง ก็ได้เตรียมแผนการจ้างงานเพื่อเข้ามาทำงานในช่วงของการหีบอ้อย โดยคาดว่าแต่ละโรงงานจะมีการจ้างแรงงานชั่วคราวกว่า 500 อัตรา รวมการจ้างแรงงานชั่วคราวทั่วประเทศในโรงงานน้ำตาลกว่า 29,000 อัตรา สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนกว่า 800 ล้านบาท ตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ”นายสุริยะ กล่าว.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนกินข้าวเหนียวทั้งคาว – หวาน ช่วยพี่น้องเกษตรกร
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ชวนกินข้าวเหนียวทั้งคาว – หวาน ช่วยพี่น้องเกษตรกร -- #ไทยคู่ฟ้าจากสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกเหนียวตกต่ำ กระทบต่อรายได้ของพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ปลูกข้าวเหนียวอย่างเร่งด่วน โดยการเชื่อมโยงการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียวอย่างครบวงจร และรณรงค์ให้คนไทยบริโภคข้าวเหนียวให้มากขึ้น ส่งผลให้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคารับซื้อข้าวเปลือกเหนียวในตลาดปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1,000 บาทต่อตัน . มาตรการกระตุ้นการรับซื้อข้าวเปลือกเหนียว เริ่มตั้งแต่การรวบรวมข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ และสนับสนุนค่าบริหารจัดการรวบรวมข้าวเปลือกเหนียวของโรงสี ตันละ 500 บาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค. - พ.ย. 63 นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าจัดพื้นที่จำหน่ายข้าวเหนียวเป็นกรณีพิเศษ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงงานสุรา โรงงานแป้งข้าวเหนียว ที่ต้องใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ รับซื้อข้าวเหนียวเพิ่มขึ้นกว่า 2,200 ตัน และขอให้ภาคเอกชนอื่น ๆ รับซื้อข้าวเหนียวจากโรงสีในราคาที่เหมาะสม รวมทั้งร่วมมือกับ ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านโครงการต่าง ๆ . สำหรับประชาชนทั่วไปอย่างเรา ๆ ก็สามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวได้ เพียงแค่หันมาบริโภคข้าวเหนียวทั้งในแบบที่เป็นอาหารคาวและอาหารหวาน โดยเฉพาะข้าวเหนียวนาปรัง พันธุ์สันป่าตอง ที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ มีประโยชน์ หาซื้อง่าย และราคาไม่สูง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36345
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ เกาะสมุย และประชุมครม.สัญจร ภูเก็ต 2-3 พ.ย. นี้ พบผู้ประกอบการท่องเที่ยวชูมาตรการปลอดภัยเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ยกระดับภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ เกาะสมุย และประชุมครม.สัญจร ภูเก็ต 2-3 พ.ย. นี้ พบผู้ประกอบการท่องเที่ยวชูมาตรการปลอดภัยเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ยกระดับภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ เกาะสมุย และประชุมครม.สัญจร ภูเก็ต 2-3 พ.ย. นี้ พบผู้ประกอบการท่องเที่ยวชูมาตรการปลอดภัยเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ยกระดับภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก วันนี้ (30 ต.ค. 63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะนำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2563 พร้อมเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 ณ จังหวัดภูเก็ต ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดอันดามัน สร้างความเชื่อมั่นภาคเอกชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ครั้งนี้นอกจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร การประชุมการขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันร่วมกับผู้ว่าราชการ 6 จังหวัดอันดามัน ได้แก่ กระบี่ ตรัง ภูเก็ต ระนองและสตูล เร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงอ่าวไทยกับอันดามันแล้ว นายกรัฐมนตรีจะประชุมร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจภาคท่องเที่ยว โดยมีวาระสำคัญ เช่น โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก มาตรการส่งเสริมการจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการจัดสัมมนาของภาครัฐในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงด้วย สำหรับภารกิจนายกรัฐมนตรีมีดังนี้ วันที่ 2 พ.ย. 63 ตรวจมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างประเทศ รับฟังข้อเสนอแนะแผนรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินเข้ามาท่องเที่ยวใน อ.เกาะสมุย การบริหารจัดการของโรงแรมเชอราตันภายใต้ระบบ ALSQ (Alternative Local State Quarantine) ชมระบบติดตามผู้เดินทางเข้าออกภายในเกาะสมุย ณ ศูนย์ควบคุมกล้องโทรทัศน์วงจรผิด (Samui Smart City Command Center) และพบปะกับประชาชนและร่วมปล่อยพันธุ์ปลาสัตว์น้ำ ปูทะเล เต่าทะเล ณ วัดพระเจดีย์แหลงสอ บ่ายวันเดียวกันจะเดินทางต่อไปที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพื่อตรวจเยี่ยมมาตรการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างและชมการสาธิตขั้นตอนการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ก่อนเป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของภูเก็ตจากผลกระทบโควิด-19 ร่วมกับผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต รุ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) และการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 ณ โรงแรมสแปลช บีช รีสอร์ต ไม้ขาว ภูเก็ต อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต และเยี่ยมร้านค้าในย่านการค้าเมืองเก่าภูเก็ต ก่อนเดินทางกลับ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเที่ยวท่องของไทยอย่างมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงตั้งใจลงพื้นที่เพื่อหารือร่วมทั้งภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ เพื่อเห็นสภาพปัญหาข้อเท็จด้วยตนเอง ให้กำลังใจผู้ประกอบและประชาชน สร้างความเชื่อมั่นแก่ทั้งนักท่องเที่ยวที่และประชาชนในพื้นที่ถึงความพร้อมและมาตรการสาธารณสุขในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ส่วนตัวเชื่อว่ากิจกรรมเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น บวกกับการขยายระยะเวลาโครงการเราเที่ยวด้วยกัน จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตและกลุ่มจังหวัดอันดามันรวมทั้งหลายพื้นที่ของไทยด้วยช่วงปลายปีนี้ อนึ่ง ภารกิจคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ครั้งนี้ อาทิ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิด “กระทรวงแรงงานพบประชาชน@ภูเก็ต” เยี่ยมชมโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ณ สำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค สาขาภูเก็ต นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ติดตามการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านในไร่ และเยี่ยมชมกิจการรีสอร์ทประชารัฐตำบลนาเตย อ. ท้ายเหมือง จ. พังงา รัฐมนตรีศึกษาธิการ ติดตามการจัดการศึกษาอาชีวศึกษากำลังสอง ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต เป็นต้น ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36352
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หารือทวิภาคีไทย-สิงคโปร์ เพิ่มความเข้มแข็งความปลอดภัยไซเบอร์
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 “ดีอีเอส” หารือทวิภาคีไทย-สิงคโปร์ เพิ่มความเข้มแข็งความปลอดภัยไซเบอร์ “ดีอีเอส” หารือทวิภาคีไทย-สิงคโปร์ เพิ่มความเข้มแข็งความปลอดภัยไซเบอร์ “พุทธิพงษ์” ประชุมทวิภาคีร่วมกับ รมว.ไอซีทีสิงคโปร์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล แลกเปลี่ยนพัฒนาการและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เตรียมผลักดันการทำเอ็มโอยู เพื่อส่งเสริมและต่อยอดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงพัฒนาศักยภาพบุคลากรไซเบอร์ในอาเซียน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (29 ก.ย. 63) ได้มีการประชุมหารือทวิภาคีกับนายเอส อิสวารัน (H.E. Mr. S. Iswaran) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศ ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อเตรียมการก่อนการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity : The 5th AMCC) และงาน The 5th Singapore International Cyber Week (SICW) ที่กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 9 ตุลาคม 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยการหารือครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งความท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา (โควิด -19) ทำให้ประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของภูมิภาคผ่านการปกป้อง โครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ รวมทั้งแนวทางการจัดทำแผนงานด้านบรรทัดฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค “จากการประชุมหารือครั้งนี้ ไทยและสิงคโปร์ได้มีการแลกเปลี่ยนพัฒนาการ และยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นทิศทางการดำเนินงานเพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือในอนาคตต่อไป” นายพุทธิพงษ์กล่าว นอกจากนี้ รมว.ดีอีเอส ได้ผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ กับ กระทรวงสื่อสารและสารสนเทศ (กระทรวงไอซีที) ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อส่งเสริมและต่อยอดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกัน ตลอดจนความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรไซเบอร์ในภูมิภาคอาเซียน ในโอกาสนี้ รมว.ไอซีที ของสิงคโปร์ กล่าวเรียนเชิญ รมว.ดีอีเอส เข้าร่วมการประชุม The 5th AMCC และงาน SICW ที่จะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2563 ด้วย **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมพลังในการสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธี ยุค New Normal
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 กระทรวงยุติธรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมพลังในการสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธี ยุค New Normal กระทรวงยุติธรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมพลังในการสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธี ยุค New Normal ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมพลังในการสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธี ยุค New Normal รวมทั้งบรรยายพิเศษให้หัวข้อ "New Normal กับการอำนวยความยุติธรรม" โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัดหรือผู้แทนจาก ๑๘ จังหวัด และบุคลากรจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้นจำนวน ๗๑ คน เข้าร่วมฯ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธียุค New Normal แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน และสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการเสริมเสร้างความสมานฉันท์ และสันติวิธี ยุค New Normalรวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการเสริมสร้างความสมานฉันท์และสันติวิธี โดยการประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ และ โรงแรมดี วารี จอมเทียน บีช พัทยา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยืนยันระบบลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งพร้อมเต็มที่
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 กรุงไทยยืนยันระบบลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งพร้อมเต็มที่ นาคารกรุงไทยมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรองรับพี่น้องประชาชนจำนวน 10 ล้านคนที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการรองรับพี่น้องประชาชนจำนวน 10 ล้านคนที่จะลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม นี้เป็นต้นไป โดยเมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์แล้ว จะมี SMS แจ้งผลการลงทะเบียน จากนั้นให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง เพื่อยืนยันตัวตนใช้สิทธิ์ผ่าน G-wallet โดยสามารถรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ใช้จ่ายตามร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ร้านค้าและประชาชนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่สาขาทั่วประเทศทั้ง 1,014 แห่ง ซึ่งพนักงานทุกสาขามีความพร้อมในการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าและประชาชน นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เตรียมสื่อประชาสัมพันธ์ทั้ง Banner Leaflet ธงติดหน้าร้าน ให้กับร้านค้าหรือร้านหาบเร่แผงลอยต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อเป็นจุดสังเกตให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้สิทธิ์ ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ผ่านโครงการชิมช้อปใช้ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการไทยชนะ และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถรองรับการลงทะเบียนได้รวมกว่า 30 ล้านคน โดยธนาคารยังคงยืนหยัดเคียงข้าง และร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ในการดูแลลูกค้าและประชาชน เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด ธนาคารกรุงไทย โทร.0-2208 4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแก้ไขปัญหาช้างป่าบุกรุกพื้นที่ชุมชน
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 การแก้ไขปัญหาช้างป่าบุกรุกพื้นที่ชุมชน สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่องการแก้ไขปัญหาช้างป่าบุกรุกพื้นที่ชุมชน ผู้ตั้งกระทู้ถามนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถาม : นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยภาพรวมของจำนวนช้างป่าในพื้นที่อนุรักษ์หลายพื้นที่ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในขณะที่แหล่งอาหารตามธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้ช้างขาดแคลนอาหาร จึงต้องออกมาหากินนอกเขตพื้นที่ป่า กัดกินพืชผลทางการเกษตรหรือทำร้ายคนในชุมชน สร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินและก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่อย่างมาก ขอเรียนถามว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาช้างล้นป่า และปัญหาคนที่เข้าไปบุกรุกพื้นที่อยู่อาศัยของช้างหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งมีมาตรการเยียวยา หากประชาชนได้รับความเสียหายหรืออันตรายจากการหากินนอกเขตพื้นที่ของช้างป่าอย่างไร ตลอดจนมีแนวทางในการพัฒนาแหล่งอาหาร แหล่งน้ำของช้าง เพื่อให้ช้างสามารถหากินได้ โดยไม่ต้องออกนอกพื้นที่ป่าหรือไม่ อย่างไร และจะบริหารจัดการให้ช้างและคนในพื้นที่อยู่ร่วมกัน โดยไม่ขัดแย้งหรือกระทบกระทั่งกันได้หรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตอบชี้แจงว่า การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้มีเป้าหมายว่าจะทำอย่างไรให้ช้างอยู่ในพื้นที่ และควบคุมไม่ให้มีจำนวนประชากรเกินศักยภาพในการรองรับได้ของพื้นที่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการสร้างคูกันช้าง รั้วไฟฟ้า รั้วไผ่หนาม รั้วคอนกรีต กึ่งถาวร เพื่อป้องกันไม่ให้ช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเสียหายหรืออันตราย จากการหากินนอกเขตพื้นที่ของช้างป่าได้ให้ความช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย กรณีช้างป่าทำลายทรัพย์สินหรือพืชผลทางการเกษตรเสียหายผ่านทางกองทุนพืชอาหารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้ดำเนินงานภายใต้กิจกรรมการแก้ไขปัญหาช้าง (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สำหรับการหารือระดับผู้นำ 1 (Leaders Dialogue 1) ในการประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Summit on Biodiversity) วันที่ 30 กันยายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี สำหรับการหารือระดับผู้นำ 1 (Leaders Dialogue 1) ในการประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Summit on Biodiversity) วันที่ 30 กันยายน 2563 หัวข้อหลัก: “Addressing biodiversity loss and mainstreaming biodiversity for sustainable development” ท่านประธาน ผมยินดีอย่างยิ่งที่ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในวันนี้ ปัจจุบัน ทั่วโลกประสบปัญหาการลดลงและความเสื่อมโทรมของความหลากหลายทางชีวภาพในทุกพื้นที่โดยสาเหตุสำคัญมาจากมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหานี้เป็นสิ่งท้าทายรูปแบบใหม่ซึ่งกระทบทุกชีวิตในวงกว้าง ไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงแห่งหนึ่งของโลก แต่ปัจจุบันถูกคุกคามโดยมนุษย์ เช่น การรุกล้ำผืนป่าและการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งไทยตระหนักดีถึงผลกระทบ จึงได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ดังนี้ หนึ่ง ไทยมีนโยบายเพื่ออนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู และจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยได้บรรจุประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีแผนแม่บทบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนงานตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สอง ไทยย้ำว่าการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม คือกุญแจสู่ความสำเร็จ และส่งเสริมการบูรณาการของหน่วยงานในทุกระดับ เพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และสนับสนุนการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยไทยอยู่ระหว่างการจัดทำร่างพระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ สาม ไทยได้เรียนรู้จากช่วงวิกฤติโควิด-19 ว่า เมื่อคนเว้นระยะจากธรรมชาติ ธรรมชาติและระบบนิเวศ ก็สามารถฟื้นตัวได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงอยู่ระหว่างการจัดทำแผนเพื่อปิดอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศเป็นเวลา ๓ เดือนเป็นประจำทุกปีเพื่อฟื้นฟูผืนป่า ทรัพยากรธรรมชาติ และสัตว์ป่า รวมถึงจะบริหารจัดการกิจกรรมและนักท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้ ไทยยังกำลังขับเคลื่อน Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG โดยมุ่งหวังให้มีการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชีวิตกับธรรมชาติมากขึ้น สุดท้ายนี้ ขอยืนยันว่าไทยจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเต็มความสามารถ และขอเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมมือกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจัง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเจรจากรอบงานความหลากหลายทางชีวภาพของโลกหลังปี ค.ศ. ๒๐๒๐ จะมีข้อสรุปได้ในปีหน้า เพื่อให้ทุกประเทศมีแนวทางร่วมกันในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพให้อยู่คู่กับอนุชนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อ ๆ ไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – มิถุนายน 2563)
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – มิถุนายน 2563) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – มิถุนายน 2563) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,342,103 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 269,155 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.3 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – มิถุนายน 2563) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – มิถุนายน 2563) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,342,103 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 269,155 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.3 โดยเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และความจำเป็นของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการทางภาษีเพื่อบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีต่าง ๆ ออกไปเป็นภายในเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2563 และการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับด้านรายจ่ายมีจำนวนทั้งสิ้น 2,956,492 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 299,908 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.3 จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 614,389 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.9 ของ GDP และดุลการคลังเบื้องต้นของภาครัฐบาล (Primary Balance) ขาดดุล 471,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.0 ของ GDP ทั้งนี้ ฐานะการคลังในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 เป็นข้อมูลสถิติที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลการดำเนินนโยบายรายได้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมซึ่งเป็นห้วงระยะเวลาที่สถานการณ์ไม่เป็นปกติ จึงขอให้ระมัดระวังในการนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับช่วงสถานการณ์ปกติด้วย General Government Fiscal Balance Report (GFS Basis) : The First 9 months of Fiscal Year 2020 In the first 9 months of fiscal year 2020 (October 2019 – June 2020), general government revenue (central government, extrabudgetary fund, and Local Authority Organizations) was 2,342,103 million Baht, which dropped 10.3 per cent (269,155 million Baht) from the same period of last year. This significant drop of revenue was mainly due to the economic impact of COVID-19 pandemic and the implementation of government’s relief measures to support individuals and businesses such as tax filing extension and reduction of withholding tax rate. Whilst, the expenditure was 2,956,492 million Baht, which surged 11.3 per cent (299,908 million Baht) from the same period of last year. As a result, Thailand general government balance for the first 9 months of FY2020 was in deficit of 614,389 million Baht or 3.9 per cent of GDP. Conclusively, the consolidated general government primary balance, which excludes interest payment to reflect the substantive performance and the direction of fiscal policy, was in deficit of 471,000 million Baht, or 3.0 per cent of GDP. According to the certain situation, the implementation of this data must be cautious due to the abnormalities being affected by the spread of COVID-19 and government relief’s measures.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นฤมล’ ดัน ‘ศักยภาพสตรี’ สู่แรงงานฝีมือคุณภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ‘นฤมล’ ดัน ‘ศักยภาพสตรี’ สู่แรงงานฝีมือคุณภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เดินหน้าพัฒนาศักยภาพสตรี ตามนโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ เน้นย้ำ ความเป็นผู้นำของสตรีมีบทบาทต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วันที่ 30 กันยายน 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมงาน A Women’s Empowerment Principles Signature Ceremony for Companies in Thailand ซึ่งเป็นพิธีลงนามของ WEPs (WeEmpowerAsia) ระหว่าง UN Women กับผู้นำทางธุรกิจของไทย ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค๊อก โดยมี Ms.Hohmmad Naciri จาก UN Women H.E. Mr.Pirkka Taplol จาก European Union Delegation to Thailand Mr.Abhisit Vejjajiva และคณะฑูตจาก 7 ประเทศ ประกอบด้วย แคนนาดา นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ เดสมาร์ค ผู้แทนจากประเทศญี่ปุ่นและสวิตเซอแลนด์ และ UN ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า ในฐานะรัฐมนตรีหญิงหนึ่งในสี่คนของคณะรัฐมนตรี จึงเป็นโอกาสที่สามารถทำงานร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของสตรีและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการกำหนดนโยบายบทบาทของสตรีเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันทางสังคม อันเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการกำหนดรูปแบบการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำของสตรีในสังคมเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองมากขึ้น อีกทั้ง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยังให้ความสำคัญกับแรงงานหญิง ด้านการปกป้อง ช่วยเหลือ สร้างความมั่นคงและรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานสตรีอย่างต่อเนื่องผ่านการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถและการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง ทักษะเหล่านี้สตรีจะได้รับการฝึกฝนจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รณรงค์เพื่อส่งเสริมให้สตรีวัยทำงาน ทุกคนสร้างครอบครัวที่เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงผ่านโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการภายใต้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตระหนักถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด -19 ในตลาดแรงงาน จึงได้ดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวโดยใช้แนวทาง 3 แนวทาง ภายใต้แนวคิด 3 ประการ คือ “สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ด้วยการสร้างแรงงานสตรี ให้เป็นแรงงานที่มีทักษะใหม่และมีทักษะเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานสตรี เพื่อให้ได้ค่าจ้างสูงขึ้นตามแบบทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานในแต่ละอาชีพ รวมถึงเปิดโอกาสให้แรงงานหญิงกลุ่มเปราะบาง ได้ประกอบอาชีพอิสระเป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กที่สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน นอกจากนี้ ยังให้โอกาสแรงงานสตรีที่ถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ได้ประกอบอาชีพ “อย่างที่ทราบกันดีว่าเราไม่สามารถป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกๆ วิกฤตได้ แต่แนวทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือ การสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นให้กับผู้หญิง และแน่นอนว่าการเพิ่มขีดความสามารถของสตรีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วน กระทรวงแรงงานรู้สึกปลื้มปีติที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ หน่วยงาน และยินดีที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างพลังให้กับสตรีในประเทศไทยต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุม กดยช. ผลักดันเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า พร้อมพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านเด็กและเยาวชน
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 พม. จัดประชุม กดยช. ผลักดันเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า พร้อมพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านเด็กและเยาวชน พม. จัดประชุม กดยช. ผลักดันเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า พร้อมพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านเด็กและเยาวชน เมื่อวันที่29 กันยายน 2563เวลา 14.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน เป็นเลขานุการการประชุม พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (0-6 ปี) แบบถ้วนหน้า รายละ 600 บาทต่อคนต่อเดือน เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยให้ กระทรวง พม. นำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป อีกทั้งที่ประชุมมีมติให้กระทรวง พม. จัดประชุมหารือเรื่องการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านเด็กและเยาวชน ร่วมกับ 14 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเพิ่มกระทรวงยุติธรรม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสภาเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานที่ชัดเจนและเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการพัฒนาข้อมูล ให้สามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลในการพัฒนาและคุ้มครองเด็กและเยาวชนร่วมกันทุกหน่วยงาน โดยให้นำเสนอกรอบแนวคิดที่ชัดเจน ในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35569
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เสริมทักษะ สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ ให้กลุ่มเป้าหมายขายออนไลน์ในยุค New normal
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 พม. เสริมทักษะ สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ ให้กลุ่มเป้าหมายขายออนไลน์ในยุค New normal พม. เสริมทักษะ สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ ให้กลุ่มเป้าหมายขายออนไลน์ในยุค New normal วันนี้ (30 ก.ย. 63) เวลา 11.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)กล่าวให้โอวาทแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 150 คน ที่เข้าร่วมโครงการอบรมการขายออนไลน์และการประกอบธุรกิจขั้นพื้นฐานรุ่นที่ 1 ภายใต้โครงการ โอกาสลอยมาแล้ว เพื่อส่งเสริมการมีอาชีพและเพิ่มรายได้เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทั่วประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม จึงทำให้วิธีคิดและการทำงานเกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นตัวเร่งอัตราการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจด้วย และขอเน้นย้ำว่า New Normal ทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ซึ่งกระทรวง พม. ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จึงได้จัดโครงการอบรมดังกล่าว เพื่อสร้างโอกาสองค์ความรู้ใหม่ และความพร้อมให้กับตนเอง เพื่อทุกคนจะได้มีโอกาสเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดังนั้น ทุกคนที่เข้าร่วมอบรมครั้งนี้ จะเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจใหม่ เพราะธุรกิจไม่มีพรหมแดน หากสามารถจับชีพจรตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ จะสามารถเดินไปได้อย่างต่อเนื่อง นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนอยากให้กำลังใจทุกคน เพราะการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของชีวิตไม่มีอะไรง่าย แต่ถ้าเดินด้วยหัวใจและมีความรักในสิ่งที่ทำ มีความอดทนกับการเปลี่ยนแปลงและความยุ่งยากซ้ำซ้อนของชีวิต หากเราฝ่าฟันไปได้ จะเป็นผู้นำแรกๆ และจะสร้างรุ่นต่อๆ ไป ทั้งนี้ กระทรวง พม. อยากเข้าถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด เพื่อให้สามารถสร้างโอกาสกับตนเอง เป็นการเปิดประตูใหม่ในมิติที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นได้ ตนขอให้ทุกคนคิดว่าความแน่นอนของชีวิตคือความไม่แน่นอน และหวังว่าทุกคนจะนำความรู้ไปปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้กับตัวเองในการขายสินค้าและบริการออนไลน์ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความอดทนและต้องต่อสู้อย่างไม่ท้อแท้ โดยใช้ความรู้ แรงบันดาลใจ และสรรค์สร้างความคิดสิ่งใหม่ๆ ที่ได้รับจากการอบรบในวันนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคนในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอให้ยกระดับนกนางแอ่นที่ทำรังในสิ่งปลูกสร้างบ้าน รังนกนางแอ่นเป็นสัตว์เศรษฐกิจของเกษตรกร และให้ภาคธุรกิจสามารถจำหน่ายรังนกนางแอ่นส่งออกต่างประเทศได้อย่างเสรี
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ขอให้ยกระดับนกนางแอ่นที่ทำรังในสิ่งปลูกสร้างบ้าน รังนกนางแอ่นเป็นสัตว์เศรษฐกิจของเกษตรกร และให้ภาคธุรกิจสามารถจำหน่ายรังนกนางแอ่นส่งออกต่างประเทศได้อย่างเสรี สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ขอให้ยกระดับนกนางแอ่นที่ทำรังในสิ่งปลูกสร้างบ้านรังนกนางแอ่นเป็นสัตว์เศรษฐกิจของ เกษตรกรและให้ภาคธุรกิจสามารถจำหน่ายรังนกนางแอ่นส่งออกต่างประเทศได้อย่างเสรีเพื่อนำเงินรายได้เข้ามาฟื้นฟู ๔ ประเทศหลังระบาดของไวรัสโคโรนา โควิด – ๑๙ ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถาม : นายสวัสดิ์ สมัครพงศ์ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ จากข้อมูลในรายงานการวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัย ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในปีพ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ และ ปีพ.ศ. ๒๕๕๗ ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปัตตานีจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสมุทรสาคร มีจำนวนนกนางแอ่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทำให้มีผลผลิตรังนกนางแอ่นที่ทำรังในสิ่งปลูกสร้าง และมีปริมาณบ้านรังนกนางแอ่นหรือคอนโดนกเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก และจากการสำรวจครั้งหลังสุดของนักวิจัยพบว่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ มีบ้านรังนกนางแอ่นหรือคอนโดนก จำนวน ๑๗,๗๒๐ หลัง และมีปริมาณนกนางแอ่นเพิ่มขึ้นประมาณ ๙,๖๐๐,๐๐๐ ตัว และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงโดยกำหนดให้นกนางแอ่นกินรังที่อาศัยในสิ่งปลูกสร้างของเกษตรกรเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่เช่นเดียวกันกับการเลี้ยงผึ้งในขณะนี้ ขอเรียนถามว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีแนวทางที่จะยกระดับเกษตรกรที่ประกอบอาชีพบ้านรังนกนางแอ่น ให้สามารถผลิตรังนกนางแอ่นเพื่อเศรษฐกิจที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น โดยการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทยหรือไม่อย่างไร รวมทั้งมีนโยบายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรไทยได้มีทุนในการก่อสร้างบ้านรังนกนางแอ่นอย่างไร และจะมีการแก้ไขกฎหมายให้นกนางแอ่นกินรังเป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ของประเทศไทยที่สามารถสร้างรายได้ภายในประเทศและกลุ่มเกษตรไทยหรือไม่อย่างไรอีกทั้งมีแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายลำดับรอง เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรสร้างบ้านรังนกนางแอ่นสามารถขึ้นทะเบียนได้ถูกต้องตามกฎหมายรวมทั้งสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของรังนกนางแอ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของประเทศไทยหรือไม่ อย่างไร นอกจากนี้มีแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับในเรื่องของความแตกต่างระหว่างการรับสัมปทานรังนกนางแอ่นที่มาจากถ้ำในเกาะและภูเขากับการประกอบกิจการทางเศรษฐกิจและสังคมกับรังนกนางแอ่นที่มาจากสิ่งปลูกสร้างบ้านรังนกนางแอ่นหรือคอนโดนก รวมทั้งระบบการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและเป็นธรรมกับเกษตรกรบ้านรังนกนางแอ่นไว้หรือไม่ อย่างไร และมีแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบกิจการเกี่ยวกับธุรกิจรังนกนางแอ่นได้อย่างครบวงจรและสามารถส่งออกรังนกนางแอ่นเพื่อการแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างเสรีเพื่อนำรายได้มาพัฒนาประเทศไว้หรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงว่า ขณะนี้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อยู่ระหว่างการยกร่างระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตให้เก็บ ทำอันตราย และมีไว้ครอบครองซึ่งรังของนกนางแอ่นกินรัง จากบ้านหรือที่อยู่อาศัยโดยแยกระเบียบและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรังนกนางแอ่นกินรังในถ้ำและรังนกนางแอ่นกินรังจากบ้านหรือที่อยู่อาศัยออกจากกันอย่างชัดเจน และเพื่อความชัดเจนในการตีความและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในการจัดทำร่างระเบียบดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการเก็บรังนกนางแอ่นกินรังเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยการออกระเบียบดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนสามารถมีไว้ในครอบครองซึ่งรังนกนางแอ่นได้อย่างถูกกฎหมาย และเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถประกอบกิจการเกี่ยวกับธุรกิจรังนกนางแอ่นเพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ติดตามพระราชบัญญัติป้องกันและไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ติดตามพระราชบัญญัติป้องกันและไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่องติดตามพระราชบัญญัติป้องกันและไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเจตน์ ศิรธรานนท์ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ถาม : นายเจตน์ ศิรธรานนท์ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามที่พระราชบัญญัติป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ กฎหมายฉบับนี้สอดคล้องกับการพัฒนา ที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ทั้งนี้ สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยมีการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๕ กระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แต่กระทรวงที่เป็นหน่วยงานหลัก คือ กระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องจัดทำหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องเพศวิถีศึกษาเพื่อสอนในสถานศึกษาสำหรับเด็กในทุกระดับ ประเด็นปัญหาของกฎหมายฉบับนี้ คือ เมื่อมีการตรากฎหมายแล้วสิ่งสำคัญคือการผลักดันให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ การให้สถานศึกษาจัดหาผู้สอนให้มีทักษะความรู้ความสามารถ และทัศนคติที่ดีเพื่อให้สามารถสอนและให้คำปรึกษาได้ การพัฒนาการเรียนการสอนในคณะศึกษาศาสตร์และคณะอื่นที่เกี่ยวข้อง มีระบบดูแลช่วยเหลือคุ้มครองนักเรียนนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษา ให้คำปรึกษา ร่วมกับบิดามารดา หรือผู้ปกครองของนักเรียนนักศึกษา ขอเรียนถามว่า หลังกฎกระทรวงศึกษาธิการมีผลบังคับใช้แล้วกระทรวงศึกษาธิการได้มีการดำเนินการอย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบชี้แจงว่า สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาคือ การรายงานข้อมูลที่เป็นจริงเพื่อประเมินสถานการณ์ ประกอบกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับ ๕ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านข้อมูลและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้เกิดเอกภาพในการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ ทุกโรงเรียนต้องมีครูที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ และจิตวิทยา ซึ่งการพัฒนาครูผู้สอนด้านนี้อาจผ่านศูนย์การพัฒนาครูโดยให้ครูมีทักษะและความรู้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีรูปแบบการพัฒนาและมีการประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้ได้คุณภาพอย่างแท้จริง นอกจากนี้ หลักสูตรเพศวิถีศึกษาจะมีการดำเนินการให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ กำหนดไว้ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดีจนเป็นนิสัย
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ปรับพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อสุขอนามัยที่ดีจนเป็นนิสัย คู่มือชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตดีเริ่มที่เรา อาหารที่ซื้อหรือสั่งมากินที่บ้าน ควรเทใส่จาน ไม่ควรกินอาหารจากห่อหรือกล่องบรรจุอาหารที่ร้านส่งมา เพราะการใช้ของที่บ้านช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้ และอุ่นอาหารให้ร้อนก่อนกินทุกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานเปิดกิจกรรม ฝึกทักษะอาชีพ สร้างรายได้ กระจายโอกาสสู่ชุมชน หลักสูตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานเปิดกิจกรรม ฝึกทักษะอาชีพ สร้างรายได้ กระจายโอกาสสู่ชุมชน หลักสูตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรม ฝึกทักษะอาชีพ สร้างรายได้ กระจายโอกาสสู่ชุมชน หลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ การทำผ้ามัดย้อม ณ วัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขตบางแค กรุงเทพฯ วันนี้ (30 กันยายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรม ฝึกทักษะอาชีพ สร้างรายได้ กระจายโอกาสสู่ชุมชน หลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ การทำผ้ามัดย้อม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมให้การต้อนรับ ณ วัดพรหมสุวรรณสามัคคี เขตบางแค กรุงเทพฯ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการ “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ : การทําผ้ามัดย้อม ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้น เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับชุมชน มุ่งเน้นการช่วยเหลือทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการว่างงาน ให้กับชุมชนในพื้นที่ ให้สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพ และเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชน ตามแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยในครั้งนี้ได้ผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมการย้อมผ้า มาช่วยเสริมทักษะพัฒนาอาชีพให้กับชุมชน ซึ่งการทําผ้ามัดย้อมเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ด้วยฝีมือและสามารถหาวัตถุดิบได้ง่ายและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการนําเทคนิคการมัดย้อม สร้างลวดลาย ในรูปแบบเป็นที่นิยมของตลาด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าปูโต๊ะ ซึ่งปัจจุบันตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีประชาชนพื้นที่แขวงบางไผ่ เขตบางแค และพื้นที่ใกล้เคียง จํานวนกว่า 300 คนเข้าร่วมฝึกอบรม ซึ่งคาดว่าในการจัดกิจกรรมอบรมหลักสูตรครั้งนี้ จะมีส่วนสําคัญต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเป็นเม็ดเงิน ราว 1.5 ล้านบาทต่อเดือนหรือคิดเป็นกว่า 18 ล้านบาทต่อปี เกิดการหมุนเวียนทางระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง #การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ #การทําผ้ามัดย้อม #กระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการในการจัดการปัญหาการปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบ
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 มาตรการในการจัดการปัญหาการปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง มาตรการในการจัดการปัญหาการปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบ ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายวันชัย สอนศิริ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถาม : นายวันชัย สอนศิริ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยปัญหาการปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบที่เจ้าหนี้เอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ และทวงถามหนี้ โดยผิดกฎหมายปรากฏในสังคมไทยมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีการนำเทคโนโลยี สมัยใหม่มาใช้ในการปล่อยกู้และติดตามทวงถามหนี้ โดยนายทุนผู้ปล่อยเงินกู้ได้จัดทำแอปพลิเคชัน ปล่อยเงินกู้ ให้ผู้กู้ดาวน์โหลดและสมัครเข้าร่วม พร้อมทั้งกรอกข้อมูลส่วนตัว สถานที่ทำงาน และบุคคลที่รู้จักเพื่อความสะดวกในการติดตามทวงถามหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดสัญญาหรือจ่ายเงินช้ากว่าที่กำหนด กลุ่มทวงหนี้จะนำข้อมูลไปโพสต์ประจานในโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ มีการเปลี่ยนรูปแบบจากการปล่อยเงินกู้ เป็นปล่อยรถหรือปล่อยทองด้วย ขอเรียนถามว่า รัฐบาลได้รับทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับเงินกู้หนี้นอกระบบ รวมถึงขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบโดยเฉพาะการปล่อยกู้เงินรูปแบบใหม่ ๆ หรือไม่ อย่างไร และจะมีมาตรการหรือดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการจัดการเพื่อไม่ให้เกิดขบวนการ ปล่อยเงินกู้หนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมายหรือให้มีจำนวนน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านช่องทางใหม่ ๆ หรือไม่ อย่างไร รวมถึงมีแนวทางในการช่วยเหลือเยียวยากับลูกหนี้ที่ตกไปอยู่ ในวงจรเหล่านี้ได้อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาเงินกู้หนี้นอกระบบมาโดยตลอด และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนประเด็นการปล่อยเงินกู้ผ่านทางเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเต็มที่ ในส่วนของการปราบปราม เมื่อมีการร้องเรียนถึงการทำผิดกฎหมายของเจ้าหนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการแต่หากพบว่ามีการดำเนินการเป็นขบวนการขนาดใหญ่ก็จะมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการและตั้งเป็นคดีพิเศษ และนำมาตรการทางภาษีและฟอกเงินของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาดำเนินการ สำหรับแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้จะดำเนินคดีกับเจ้าหนี้ที่ปล่อยเงินกู้แล้วเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ช่วยประสานหาแหล่งเงินทุนใหม่ให้ลูกหนี้และปล่อยเงินกู้หรือสินเชื่อรายย่อยฉุกเฉินให้แก่ลูกหนี้ โดยให้บุคคลค้ำประกัน มีเบี้ยประกัน ๓๐๐ บาท ดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๘๕ ต่อเดือน (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ชูงานสัมมนาเชิงวิชาการโครงการ September Series 2020 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีพัฒนาระบบข้อมูลด้านสาธารณสุข-หลักสูตรการศึกษา
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 “ดีอีเอส” ชูงานสัมมนาเชิงวิชาการโครงการ September Series 2020 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีพัฒนาระบบข้อมูลด้านสาธารณสุข-หลักสูตรการศึกษา “ดีอีเอส” ชูงานสัมมนาเชิงวิชาการโครงการ September Series 2020 เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีพัฒนาระบบข้อมูลด้านสาธารณสุข-หลักสูตรการศึกษา เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมเวทีเสวนางาน September Series 2020 ซึ่งประกอบด้วยงาน Education ICT Forum งาน Healthcare Technology Summit งาน AI & IOT summit และงาน Smart City summit เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ณ อาคารศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ห้องวายุภักษ์ 2- 4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทราศูนย์รชการและคอนวนชันซ็นตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ สำหรับงานสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีสำคัญในการเรียนรู้ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในกระบวนการการจัดการและการให้บริการสาธารณสุข โดยมีระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพแห่งชาติ สร้างเสริมนวัตกรรมบริการ และการวิจัยระบบเครื่องมือ และอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด ผลักดันให้เพิ่มคุณภาพหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เทียบเท่าระดับนานชาติ สอดรับกับทิศทางของโลก เป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยน ร่วมทรัพยากร digital technology ในการสร้าผลงานวิจัย ผลงานสร้างสรรค์ เพื่อการขยายผลการตอบประเด็นของสังคม รวมถึงเป็นเวทีสำคัญในการร่วมระดมสมอง เพื่อร่วมกำหนดยุทธศาสตร์หรือนโยบายการใช้งานเทคโนโลยี AI+ IoT ในการส่งเสริมให้สองนวัตกรรมสำคัญนี้ ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและคนในประเทศอย่างแท้จริง ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ ไทยเริ่มจัดส่งแรงงานไปทำงานเกษตรที่อิสราเอลล็อตแรก นำรายได้กลับหลังโควิดคลี่คลาย
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ดีเดย์ ไทยเริ่มจัดส่งแรงงานไปทำงานเกษตรที่อิสราเอลล็อตแรก นำรายได้กลับหลังโควิดคลี่คลาย รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในประเทศอิสราเอล เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ นำรายได้กลับประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด - 19 คลี่คลาย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในภาคเกษตรที่ประเทศอิสราเอล ณ ด่านตรวจคนหางาน กรมการจัดหางาน อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยที่ปรึกษา รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากในแต่ละปีประเทศไทยมีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศกว่า 100,000 คน มีรายได้ส่งกลับประเทศกว่า 100,000 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ทำให้ต้องชะลอการจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลง เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ นางธิวัลรัตน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้จัดส่งแรงงานไปทำงานภาคเกษตร ในประเทศอิสราเอลแบบรัฐต่อรัฐ ตามโครงการความร่วมมือไทย-อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและอิสราเอลที่ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน และในวันนี้เป็นการจัดส่งแรงงานไทยจำนวน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มจ้างงานใหม่ จำนวน 131 คน และแรงงานที่กลับมาพักชั่วคราวในประเทศไทย ที่เคยมีการชะลอการเดินทางเข้าประเทศอิสราเอลเนื่องจากสถานการณ์โควิด - 19 มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 และนายจ้างรับกลับไปทำงานในประเทศอิสราเอลตามเดิม จำนวน 83 คน รวมจำนวน 214 คน โดยเดินทางด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำ สายการบิน Air Asia X เที่ยวบิน XJ 208 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เวลา 12.40 น. ถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Ben Gurion ประเทศอิสราเอล เวลา 19.45 น. นางธิวัลรัตน์ กล่าวกับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปอิสราเอลว่า ท่านรัฐมนตรี ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ ได้ฝากความห่วงใยมายังแรงงานไทยทุกคนที่จะเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล โดยขอให้ศึกษากฎหมายวัฒนธรรมประเพณีของประเทศอิสราเอล ที่สำคัญให้หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เสียงานได้ เนื่องจากกฎหมายของประเทศอิสราเอลมีการลงโทษที่รุนแรง นอกจากนี้ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ รู้จักเก็บออมเพื่อนำรายได้ส่งกลับให้ครอบครับ รวมทั้งให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จะได้รับการสงเคราะห์และช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาในต่างประเทศ ตามอัตราที่กองทุนฯ กำหนด และเน้นย้ำให้แรงงานไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่ทางการกำหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 การถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ณ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ กระทรวงกลาโหมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคทุนทรัพย์ได้ที่ ธนาคารทหารไทย สาขากระทรวงกลาโหม บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 039-2-82349-8 ชื่อบัญชี “การถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การปฏิบัติรูปประเทศด้านการศึกษา ตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 การปฏิบัติรูปประเทศด้านการศึกษา ตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การปฏิบัติรูปประเทศด้านการศึกษา ตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ถาม : นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ มาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อดำเนินการศึกษา จัดทำข้อเสนอแนะ และร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปี ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสระได้กำหนดแนวทางปฏิรูปการศึกษาไว้ ๗ ประเด็น โดยที่ผ่านมาได้มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้ จำนวน ๓ ฉบับ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายลูก ในขณะที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... แล้วเสร็จในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างแล้วส่งให้กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทบทวนความสอดคล้องของร่างพระรำชบัญญัติ เมื่อวันที่ ๖ สิงหำคม ๒๕๖๒ โดยขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ขอเรียนถามว่า ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... อยู่ในขั้นตอนใด และคาดว่าจะนำเสนอให้รัฐสภาพิจารณาได้เมื่อใด และร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีรายละเอียดที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษาใน ๗ ประเด็นปฏิรูปอย่างไร อีกทั้ง จะมีกลไกหรือระบบการคัดกรอง พัฒนา ผู้ประกอบวิชาชีพครูให้ได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู อย่างไร รวมถึงหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อตอบสนองในศตวรรษที่ ๒๑ รวมถึงการปฏิรูปการศึกษา ด้วยระบบดิจิทัลซึ่งเกิดปัญหาในการเรียนการสอนออนไลน์ในช่วงโควิด ๑๙ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จะมีแนวทาง ปฏิรูปการศึกษาอย่างไร โดยไม่ต้องรอให้มีการตราพระราชบัญญัติปฏิรูปการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า แต่เดิมมีการเสนอให้ตราเป็นพระราชกำหนดแต่มีการพิจารณาให้ออกเป็น พระราชบัญญัติการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล สำหรับความล่าช้าในการนำเสนอต่อรัฐสภา นั้น เนื่องจากต้องพิจารณารายละเอียดและกระบวนการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงการขับเคลื่อนประเทศในอนาคตเพื่อที่จะให้เป็นพระราชบัญญัติการศึกษาที่ครบถ้วนในทุกประเด็น ในส่วนกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานั้น ได้มีการนำมาขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถนำผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด ๑๙ รวมถึง เรื่องต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาการศึกษา รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมต่าง ๆ มาพิจารณาประกอบเพื่อให้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน สำหรับกรณีในช่วงโควิด ๑๙ ได้มีการนำกลไกและใช้เทคโนโลยีมาผสมผสานในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้กับทั้งในส่วนของครูและนักเรียน ซึ่งอาจยังไม่มีความพร้อม อย่างไรก็ตาม ครูได้รับโอกาสในการฝึกและพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในการสอนผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างศูนย์พัฒนาครูในทุกพื้นที่เพื่อให้ครูได้มีโอกาสรับความรู้ และเพิ่มทักษะในหลายเรื่อง รวมทั้งมีการประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ต้องรอการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35573
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทยยืนยันดำเนินการเต็มความสามารถเพื่อแก้ไขปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 รัฐบาลไทยยืนยันดำเนินการเต็มความสามารถเพื่อแก้ไขปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ รัฐบาลไทยยืนยันดำเนินการเต็มความสามารถเพื่อแก้ไขปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพ วันนี้ (30 ก.ย.63) เวลา 16.00 น. ตามเวลานครนิวยอร์ก (หรือวันที่ 1 ตุลาคม 2563 เวลา 03.00 น. เวลาไทย) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถ้อยแถลงในการหารือระดับผู้นำ 1 (Leader Dialogue 1) การประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Summit on Biodiversity) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ภายใต้หัวข้อหลัก “Addressing biodiversity loss and mainstreaming biodiversity for sustainable development” นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ระบุว่าไทยตระหนักดีถึงผลกระทบจากปัญหาการลดลงและความเสื่อมโทรมของความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในทุกพื้นที่ทั่วโลก ถือเป็นสิ่งท้าทายรูปแบบใหม่ที่กระทบทุกชีวิต พร้อมเสนอการเตรียมรับมือกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้ ดำเนินนโยบายเพื่ออนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยบรรจุประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพไว้ในรัฐธรรมนูญและมีแผนแม่บทบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนงานตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ย้ำการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งส่งเสริมการบูรณาการของหน่วยงานในทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน การเรียนรู้จากช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งพบว่า “เมื่อคนเว้นระยะจากธรรมชาติ ธรรมชาติและระบบนิเวศก็สามารถฟื้นตัวได้” โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทำแผนเพื่อปิดอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศเป็นเวลา 3 เดือนเป็นประจำทุกปี เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงการขับเคลื่อน Bio-Circular-Green Economy (BCG) มุ่งหวังให้กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ชีวิตกับธรรมชาติมากขึ้น พร้อมยืนยันว่าไทยจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถ และขอเรียกร้องให้ทุกประเทศร่วมกันปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพให้อยู่คู่กับอนุชนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อ ๆ ไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35557
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. คว้าคะแนน ITA อันดับ 1 ประเภทกองทุน สองปีซ้อน ในโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประจำปี 2563 โดย ป.ป.ช.
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 กบข. คว้าคะแนน ITA อันดับ 1 ประเภทกองทุน สองปีซ้อน ในโครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประจำปี 2563 โดย ป.ป.ช. กบข.ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ประเภทกองทุนของรัฐ ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ป.ป.ช. โดย กบข. ทำคะแนนได้ 93.70 ในระดับ A ยืนหยัดมุ่งเน้นการกำกับดูแลกิจการที่ดี กบข. ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ประเภทกองทุนของรัฐ ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปี 2563 ของสำนักงาน ป.ป.ช. โดย กบข. ทำคะแนนได้ 93.70 ในระดับ A ยืนหยัดมุ่งเน้นการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตอกย้ำจุดยืนการเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใสและรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างรับผิดชอบในระดับโลก ดร. ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. เข้ารับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดย กบข. ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของหน่วยงานประเภทกองทุน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ได้รับ 93.70 คะแนน จัดอยู่ในระดับ A โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วมประเมินทั่วประเทศทั้งสิ้น 8,303 หน่วยงาน ความสำเร็จในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถของผู้บริหารและพนักงาน กบข. โดยยึดแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี ทั้งด้านการลงทุน งานบริการสมาชิก และการบริหารสำนักงาน เพื่อเสริมสร้างการเป็นองค์กรแห่งธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ตอกย้ำจุดยืนการเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใสและรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างรับผิดชอบในระดับโลก ทั้งนี้ กบข. จะนำผลการประเมินที่ได้รับไปใช้ในการวางแผน ตรวจสอบ ปฏิบัติและกำกับการดำเนินงานของกองทุน เพื่อยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ที่ส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน ทั้งในระดับหน่วยงานและในระดับประเทศ อันจะนำไปสู่การเป็นกองทุนต้นแบบที่เติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1,000,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ส.ค. 2563) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , raviwan@gpf.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เป็นสักขีพยานร่วมลงนาม MOU ช่วยเหลือผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รมต.อนุชา เป็นสักขีพยานร่วมลงนาม MOU ช่วยเหลือผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ รมต.อนุชา เป็นสักขีพยานร่วมลงนาม MOU ช่วยเหลือผู้บริโภคได้คืนเงินจอง กรณีสินเชื่อบ้านไม่ได้รับการอนุมัติ วันนี้ (30 กันยายน 2563) เวลา 13.30 น. ณ ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) แนวทางการช่วยเหลือผู้บริโภค กรณีสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อผนึกกำลังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้บริโภคด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมลงนาม MOU เพื่อเป็นการยืนยันว่าจะปฏิบัติตามกรอบแนวทางของ สคบ. กรณีที่ผู้บริโภคประสบปัญหาที่ทางสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อเพื่อชำระค่าอสังหาริมทรัพย์ เป็นผลให้เกิดการริบเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริโภค โดยมี ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนกว่า 300 คน เข้าร่วม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีที่ภาครัฐบาลและภาคเอกชนได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม โดยเฉพาะการค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นผู้นำทางธุรกิจ เพราะเป็นการค้าที่มีมูลค่าสูง นับว่าเป็นธุรกิจชั้นนำที่เป็นปัจจัย 4 ที่ประชาชนต้องมี โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อคุ้มครองประชาชนไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะเดียวกันการช่วยเหลือเยียวยาจากผู้ค้าด้วยความเห็นอกเห็นใจ จะเป็นต้นแบบในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบการ พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณภาคีเครือข่าย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ทั้ง 13 แห่ง ที่ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นลำดับแรก แม้ข้อตกลงคงามร่วมมือดังกล่าวไม่ได้มีการบังคับใช้ในรูปแบบกฎหมาย แต่ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ภาคเอกชนได้ร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง ....................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ ในวันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยพันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ ในการนี้ ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตั้ง และผลการจัดโครงการสัมมนาเครือข่ายนิติวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (TFSN) พร้อมทั้งพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๐ กรณีการปรับมาตรฐานการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ การแก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับ คณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการเก็บรักษาและทำลายข้อมูล พ.ศ. ๒๕๖๐ "กรณีเก็บรักษาข้อมูลในระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์" และหารือแนวทางการปฏิบัติงานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับการให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรยุคใหม่ มุ่งสู่องค์กรคุณธรรม พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โปร่งใส และรับผิดชอบต่อสังคม
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 สรรพากรยุคใหม่ มุ่งสู่องค์กรคุณธรรม พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โปร่งใส และรับผิดชอบต่อสังคม สรรพากรยุคใหม่มุ่งเน้นการทำงานแบบเป็นหุ้นส่วนกับผู้เสียภาษี โดยยึดหลักความโปร่งใส ให้ความสำคัญกับผู้เสียภาษีทุกกลุ่ม (Citizen Centric) บุคลากรสรรพากรต้องเป็น คนเก่ง คนดี และมีความสุข ตามคุณธรรมอัตลักษณ์และจริยปฏิบัติของบุคลากร สรรพากรยุคใหม่มุ่งเน้นการทำงานแบบเป็นหุ้นส่วนกับผู้เสียภาษี โดยยึดหลักความโปร่งใส ให้ความสำคัญกับผู้เสียภาษีทุกกลุ่ม (Citizen Centric) บุคลากรสรรพากรต้องเป็น คนเก่ง คนดี และมีความสุข ตามคุณธรรมอัตลักษณ์และจริยปฏิบัติของบุคลากร (ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มอบใจบริการ : HAS) นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรเน้นการทำงานที่เปิดเผยโปร่งใส ตามประกาศคุณธรรมอัตลักษณ์ “ซื่อสัตย์โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความรับผิดชอบ และมอบใจบริการ (HAS)” ยกระดับการให้บริการจากยักษ์เป็นยิ้ม และเป็นยิ้มที่มาจากใจ ก้าวสู่ยุคใหม่กรมสรรพากรเพื่อมอบบริการที่ตรงใจและตอบโจทย์ของทุกกลุ่มผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ความสำคัญในการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ หรือข้อร้องเรียนจากช่องทางต่าง ๆ เช่น การสำรวจความพึงพอใจของผู้เสียภาษีผ่าน QR Code บน Smartphone/Tablet ณ จุดให้บริการที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทั่วประเทศ ใช้เครื่องมือ Sentiment Analysis เพื่อรับรู้ความต้องการของผู้เสียภาษีบนโลก Social Media และสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีโดยการเปิดรับการแจ้งเบาะแสแหล่งภาษีบนเว็บไซต์กรมสรรพากร รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรผ่านการขับเคลื่อนคุณธรรมอัตลักษณ์และจริยปฏิบัติของบุคลากร (ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ มอบใจบริการ : HAS) อย่างเป็นรูปธรรม เน้นพัฒนาบุคลากรสรรพากรให้เป็นคนเก่ง (Up-Skill และ Re-Skill) ซึ่งจากการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและเป็นระบบ ส่งผลให้ผู้เสียภาษีมีความพึงพอใจในการยกระดับการให้บริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากร เป็นผลให้กรมสรรพากรคว้ารางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ระดับดีเด่น ในด้านความเป็นผู้นำองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี 2563 ที่ผ่านมา” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในขณะนี้กรมสรรพากรได้เพิ่มความเข้มข้นยกระดับการให้บริการโดยการนำ User Experience (UX) และ User Interface (UI) ของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาออกแบบระบบการให้บริการให้ตรงตามความต้องการ รวมถึง Rebrand องค์กรให้เป็นสรรพากรยุคใหม่ สร้างมาตรฐานโดยกำหนด Service Standard ด้านบุคลากรและสถานที่การให้บริการ สร้างวัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม ทำให้เกิดนวัตกรรมในองค์กร รวมถึงการใช้เครื่องมือในการบริหารรูปแบบใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น Design Thinking, Agile Methodology และการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อให้ภาษีเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้รับบริการทุกราย” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ป.ป.ช.ประกาศผลประเมินคะแนนคุณธรรมความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ (ไอทีเอ) ประจำปี 2563 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ 94.16 คะแนน
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ป.ป.ช.ประกาศผลประเมินคะแนนคุณธรรมความโปร่งใสฯ หน่วยงานภาครัฐ (ไอทีเอ) ประจำปี 2563 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ 94.16 คะแนน ป.ป.ช.ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ไอทีเอ) ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยผลปรากฏว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้รับคะแนน 94.16 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 89.68 คะแนน พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ไอทีเอ) ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยผลปรากฏว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้รับคะแนน 94.16 คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 89.68 คะแนน และได้รับการประเมินให้อยู่ในหน่วยงานระดับ A และเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นลำดับ 7 จากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 53 แห่ง พ.ต.อ.บุญส่ง กล่าวด้วยว่า ผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯครั้งนี้ เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่คณะกรรมการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ที่ให้ความสำคัญในการนำหลักธรรมาภิบาลเข้ามาปรับใช้กับหน่วยงานอย่างจริงจัง และในอนาคตสำนักงานสลากฯ ยังคงมุ่งมั่นในการนำหลัก ธรรมาภิบาลเข้ามาใช้พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน สังคมส่วนรวม และประเทศชาติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี นำทัพนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC ติดตามความคืบหน้า เชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง 1 ต.ค. 63 นี้
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 นายกรัฐมนตรี นำทัพนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC ติดตามความคืบหน้า เชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง 1 ต.ค. 63 นี้ โฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีนำทัพนักลงทุนเข้าพื้นที่ EEC ติดตามความคืบหน้า เชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมรับรถไฟฟ้าโมโนเรลขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง 1 ต.ค. 63 นี้ วันนี้ (30 ก.ย.63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยในวันพรุ่งนี้ (1 ต.ค. 63) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดชลบุรีเพื่อไปติดตามความก้าวหน้าการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน EEC ในยุค New Normal โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีรับขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโครงการภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมระบบรางของไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยกำหนดการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจดังนี้ ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อเป็นประธานการประชุมแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง โดยรับฟังรายงานสรุปโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ท่าเรือแหลมฉบัง และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภายใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน พร้อมทั้งเป็นประธานการประชุมกับนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ เช่น ปตท. จำกัด Mitsubishi Motor (Thailand) QMB Co., Ltd เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีรับขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ขบวนแรก โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งเป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เป็นผู้กำกับการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในรูปแบบ PPP Net Cost ตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 พร้อมเยี่ยมชมขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรล ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในช่วงเที่ยง “แนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ซึ่งประกอบไปด้วยหลายโครงการ อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (PPP) การเชื่อมโยงอ่าวไทยและทะเลอันดามัน รวมทั้ง โครงการท่าเรือบก (Dry Port) ท่าเรือแหลมฉบัง ถือเป็นความก้าวหน้าในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสู่การขนส่งสินค้าด้วยระบบราง มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค (กลุ่มประเทศ CLMV) นักลงทุนไทยและต่างประเทศเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการลงทุน โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ร่วมกับภาครัฐ นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่นักลงทุนไทยและต่างประเทศ มุ่งสู่การลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมด้านการแพทย์ อีกด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีประกาศเกียรติคุณสำหรับกำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ 2563
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีประกาศเกียรติคุณสำหรับกำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ 2563 พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี ประกาศเกียรติคุณกำลังพล สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ 2563 ณ บริเวณลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (พื้นที่ศรีสมาน) เพื่อเป็นการให้เกียรติกับข้าราชการในทุกระดับชั้นที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ที่ได้ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดคุณูปการต่อ กระทรวงกลาโหม กองทัพ และประเทศชาติ โดยมี พลอากาศเอก ปรเมศร์ เกษโกวิท รองปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอก กู้เกียรติ ศรีนาคา รองปลัดกระทรวงกลาโหม รวมถึงนายทหารที่เกษียณอายุราชการในปีนี้จำนวน 246 นายเข้าร่วม โดยมีพิธีถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิธีมอบหนังสือประกาศเกียรติคุณและของที่ระลึก รวมถึงพิธีสวนสนามเทิดเกียรติ จากทหารกองผสม 3 เหล่าทัพ แสดงความเคารพแก่ผู้เกษียณอายุราชการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 27 ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค.ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทน รมว.คลัง เข้าร่วมการประชุม รมว.คลังเอเปค (APEC Virtual Finance Ministers’ Meeting: APEC VFMM) ครั้งที่ 27 ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ณ สศค. นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นางสาวเกตสุดา สุประดิษฐ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Virtual Finance Ministers’ Meeting: APEC VFMM) ครั้งที่ 27 ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ณ สศค. โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหพันธรัฐมาเลเซีย (นาย Tengku Zafrul Tengku Abdul Aziz) เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้แทนระดับสูงจากสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ และผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) กลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม ซึ่งแนวคิดหลักของการประชุมเอเปคประจำปี 2563 คือ การใช้ประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพมนุษย์เพื่ออนาคตที่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความรุ่งเรืองร่วมกัน ผ่านการกำหนดความสำคัญ การจัดลำดับความสำคัญ และความก้าวหน้า (Optimizing Human Potential towards a Resilient Future of Shared Prosperity: Pivot. Priorities. Progress.) โดยมีการหารือที่สำคัญ ดังนี้ 1. การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของโลกอย่างมาก ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการทั้งในและต่างประเทศ ระบบห่วงโซ่อุปทาน ความผันผวนของตลาดการเงิน ฐานะทางการคลัง และปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่มีต่อวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) และจากการที่สมาชิกเอเปคดำเนินนโยบายด้านการเงินและการคลังเพื่อการรับมือและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ความโปร่งใสและความยั่งยืนทางการคลังเป็นสิ่งต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจาก COVID-19 ที่ได้ก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดนับแต่ปี 2473 (ค.ศ. 1930) ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบาง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการนำมาใช้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลก จะฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2564 และกลุ่มธนาคารโลกคาดการณ์ตัวเลขคนยากจนมาก (Extreme Poverty) จะเพิ่มจาก 100 ล้านคนในปี 2563 เป็น 150 ล้านคน ในปี 2564 2. การประชุม APEC VFMM ในครั้งนี้สมาชิกได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการรับมือและใช้มาตรการต่าง ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 เพื่อที่เขตเศรษฐกิจต่าง ๆ จะนำไปพิจารณาปรับใช้ตามความเหมาะสม โดยผู้แทนไทยได้ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงมาตรการด้านการคลังและการเงินในการรับมือและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการให้เงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ การบรรเทาค่าใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภค การขยายระยะเวลาการยื่นแบบชำระภาษี รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับโครงสร้างหนี้ และการออกกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประสบการณ์ในการรับมือกับวิกฤต COVID-19 ของสมาชิกแสดงให้เห็นว่า ทุกเขตเศรษฐกิจดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้งบประมาณจำนวนมาก โดยต่างให้ความสำคัญกับการรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเพื่อการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับไทยที่ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยระดับหนี้สาธารณะของไทยยังคงอยู่ภายใต้กรอบความมั่นคงทางการคลัง โดยร้อยละ 98 ของแหล่งเงินกู้มาจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ พร้อมกันนี้ เอเปคยังให้ความสำคัญกับการดำเนินการด้านสุขภาพ สาธารณสุข และการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบการเงิน ซึ่งได้มีบทบาทที่สำคัญในช่วงของการระบาดของ COVID-19 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคส่วนต่างๆ รวมไปถึงการควบคุมการระบาดของ COVID-19 เอเปคยังคงมุ่งมั่นต่อการดำเนินการในอนาคต (APEC post-2020 vision) และให้ความสำคัญกับความร่วมมือในทุกรูปแบบต่อไป จึงกล่าวได้ว่า การประชุมครั้งนี้ทำให้ไทยได้เห็นมุมมองต่อการรับมือ COVID-19 ของสมาชิกเอเปค ขณะเดียวกันก็ได้เห็นทิศทางการดำเนินการร่วมกันของสมาชิกเอเปคต่อไปในอนาคต การประชุม APEC FMM ครั้งที่ 28 จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2564 โดยมีนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพ สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3613
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม มอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รมว.ยุติธรรม มอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓ รมว.ยุติธรรม มอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์ บอลรูม ชั้น ๔ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานประกาศรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓ โดยมี ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวานิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รวมทั้งผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ ภาครัฐ ภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ เข้าร่วมงาน นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้แทนองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ที่ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน แสดงให้เห็นว่าทุกท่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานด้วยความเคารพสิทธิมนุษยชน ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของประเทศ โดยระดับนโยบายรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนงานและมาตรการต่างๆ ในการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีการนำงานสิทธิมนุษยชนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงกำกับ ติดตาม ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ต่อการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยและในระดับปฏิบัติ กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มีการจัดทำแผนที่สำคัญ ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑. แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐยึดถือเป็นกรอบในการทำงาน โดยให้ความคุ้มครองประเด็นสิทธิมนุษยชนใน ๑๐ ด้าน ๑๒ กลุ่มเป้าหมาย อาทิ กระบวนการยุติธรรม การศึกษา สาธารณสุข กลุ่มเด็ก สตรีและผู้พิการ นายสมศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า ๒. แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๖๒ - ๒๕๖๕) มุ่งนำหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนหรือ หลักการ UNGPs มาเป็นแนวทางส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจ และภาคธุรกิจ ดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดประเด็นสำคัญเพื่อเร่งแก้ไข ๔ ประเด็น ได้แก่ ๑. แรงงาน ๒. ชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ๓. นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ๔. การลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ ทั้งนี้รัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนระดับชาติทั้ง ๒ ฉบับ จะเป็นหลักประกัน และเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานให้กับทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมต่อไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นให้องค์กรทุกภาคส่วน มีความรู้ ความเข้าใจ เห็นถึงความสำคัญของการนำหลักการสิทธิมนุษยชน และแผนทั้ง ๒ ฉบับ มาเป็นพื้นฐานในการบริหารจัดการและปฏิบัติงานในทุกระดับ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จึงได้จัดทำโครงการองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนขึ้น เปิดรับสมัครองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เข้าร่วมโครงการ กำหนดให้ใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินของภาครัฐ และหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เป็นเกณฑ์พิจารณาตัดสินของรัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จนได้องค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนในวันนี้ โอกาสนี้ นายสมศักดิ์ฯ เป็นผู้มอบรางวัลแก่องค์กรผู้ที่ได้รับรางวัลองค์กรต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี ๒๕๖๓ ประเภทดีเด่น โดยรางวัลองค์กรภาครัฐแบ่งเป็น ๑. ราชการส่วนกลาง ได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกรมการจัดหางาน ๒. ราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ สำนักงานคุมประพฤติ สาขานาทวี จังหวัดสงขลา ๓. องค์กรรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด รางวัลองค์กรธุรกิจ ได้แก่ ๑. ธุรกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ๒. ธุรกิจขนาดเล็ก ได้แก่ บริษัท โซป เอ็น เซนท์ จำกัด และรางวัลในส่วนขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ได้แก่ มูลนิธิวัฒนเสรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผยครม. เห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในรูปแบบเฉพาะกิจรองรับผลกระทบจากโรคติดเชื้อโควิด–19 ช่วงปี 64 -65
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 โฆษกรัฐบาลเผยครม. เห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในรูปแบบเฉพาะกิจรองรับผลกระทบจากโรคติดเชื้อโควิด–19 ช่วงปี 64 -65 โฆษกรัฐบาลเผยครม. เห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในรูปแบบเฉพาะกิจรองรับผลกระทบจากโรคติดเชื้อโควิด–19 ช่วงปี 64 -65 พร้อมจัดงบบูรณาการ เดินหน้า 571 โครงการสำคัญในปี 65 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า วานนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ โดยเป็นการปรับแนวทางการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) และมอบหมายให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด - 19 พ.ศ. 2564 - 2565 ฉบับสมบูรณ์เพื่อเสนอครม.ภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ ร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ มีเป้าประสงค์เพื่อให้ “คนสามารถยังชีพอยู่ได้ มีงานทำ กลุ่มเปราะบางได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง สร้างอาชีพและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะปกติ และมีการวางรากฐานเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (Economic Transformation)” ซึ่งจะมีการพัฒนาที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในระยะ 2 ปีหน้า ด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) ยกระดับขีดความสามารถของประเทศเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) พัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ (Human Capital) และปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) ให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพของประเทศ โดยมีโครงการรองรับตามร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ประกอบด้วย 1) โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 2) โครงการประจำปีงบประมาณปี 2564 และ3) โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณประจำปี 2565 ทั้งนี้ จะได้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อนำเสนอแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ ฉบับสมบูรณ์ ต่อคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะรัฐมนตรี ภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 เพื่อพิจารณาต่อไป สำหรับโครงการสำคัญประจำปี 2565 รวม 571 โครงการ แบ่งเป็น 1. โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ 2565 ตามแผนแม่บทเฉพาะกิจฯหรือโครงการ Top Priorities จำนวน 250 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่ (1.1) การเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ (Local Economy) เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาต่างประเทศ อาทิ โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs และโครงการส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ (1.2) การยกระดับขีดความสามารถเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว (Future Growth) อาทิ ขยายตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวสีในต่างประเทศ และสร้างอุตสาหกรรมการแพทย์ใหม่บนฐานการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีด้านชีววิทยาศาสตร์ (1.3) การพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคน (Human Capital) ให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ อาทิ โครงการส่งเสริมการเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) และแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่ออันตรายแบบบูรณาการ (1.4) การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ (Enabling Factors) อาทิ โครงการบริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะสู่ชุมชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และโครงการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสังคมและชุมชน 2. โครงการสำคัญรองรับการพัฒนาประเทศ 321 โครงการ อาทิ โครงการ Smart Tourism Village และเพิ่มโอกาสการค้าด้วย e-Commerce เป็นต้น ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่ายุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะมีประเด็นการพัฒนาที่ครอบคลุมถึงการรับมือและปรับตัวต่อโรคอุบัติใหม่ไว้แล้ว แต่รัฐบาลยังเห็นถึงความจำเป็นในการยกร่าง “แผนแม่บทเฉพาะกิจฯ” เพื่อกำหนดกรอบเป้าหมายระยะต่อไปให้ชัดเจน คือ “ล้มแล้วลุกไว (Resilience)” ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ภูมิคุ้มกัน ความรู้ และคุณธรรม เพื่อให้ไทยสามารถกลับสู่ระดับการพัฒนาก่อนการระบาดโควิด-19 ยกระดับการพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม ...........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกการประกวด "การต่อต้านการทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน" ประจำปี ๒๕๖๓
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกการประกวด "การต่อต้านการทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน" ประจำปี ๒๕๖๓ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกการประกวด "การต่อต้านการทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน" ประจำปี ๒๕๖๓ วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกการประกวด "การต่อต้านการทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน" ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมีนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ยกย่อง อสม.ชื่ออินเตอร์ระดับโลก ประชาชนเชื่อถือ รุกแนะนำป้องกันโควิด 19
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 สธ. ยกย่อง อสม.ชื่ออินเตอร์ระดับโลก ประชาชนเชื่อถือ รุกแนะนำป้องกันโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ยกย่อง อสม. เป็นผู้เสียสละ สร้างชื่อเสียงระดับอินเตอร์ รุกให้เป็นหมอประจำครอบครัว ประชาชนไว้ใจทำตามคำแนะนำด้านสุขภาพป้องกันโควิด 19 จากการเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กระทรวงสาธารณสุข ยกย่อง อสม. เป็นผู้เสียสละ สร้างชื่อเสียงระดับอินเตอร์ รุกให้เป็นหมอประจำครอบครัว ประชาชนไว้ใจทำตามคำแนะนำด้านสุขภาพป้องกันโควิด 19 จากการเปิดประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ วันนี้ (30 กันยายน 2563) ที่ จังหวัดอุทัยธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดการประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ภาคเหนือ กับ “อสม. เจ้าหน้าที่ สามัคคี ต้านโควิด-19” นายอนุทินกล่าวว่า อสม.ช่วยทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุขในการเป็นด่านหน้าช่วยเฝ้าระวัง คัดกรองโรคโควิด 19 ทำให้ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ ส่งผลให้ อสม.เป็นชื่ออินเตอร์ระดับโลก สร้างเกียรติยศ ชื่อเสียงให้ประเทศไทยว่า มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุด ซึ่งประเทศใดที่ได้รับการยกย่องเชื่อถือว่ามีระบบสาธารณสุขที่ดี ทำให้ได้รับความสนใจจากต่างชาติในการมาท่องเที่ยว ลงทุน และมาพำนักถิ่นฐาน ทั้งนี้ ขอให้ อสม.รักษาเกียรติยศ ชื่อเสียงต้นทุนของความน่าเชื่อถือนี้ไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องของความภาคภูมิใจ แต่เราต้องการให้ อสม.เป็นที่เชื่อถือในประชาชน ในการเป็นหมอประจำครอบครัว เมื่อพูดเรื่องสุขภาพแล้วประชาชนทำตาม เช่น การสร้างกระแสให้คนสวมหน้ากาก การล้างมือ การเว้นระยะห่าง เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด 19 เนื่องจากเรายังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่เราจำเป็นที่จะต้องเปิดประเทศมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ สำหรับการลดการกักตัวจาก 14 วันนั้น ขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาถึงการเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกัน ซึ่งสามารถตรวจเจอได้หลังติดเชื้อ 4-5 วัน ว่ามีความแม่นยำเช่นเดียวกับการตรวจหาเชื้อตามมาตรฐาน ก็เป็นเหตุผลหนึ่งในการเสนอให้ลดการกักตัวจาก 14 วัน อาจเหลือเพียง 10 วัน หรือ 7 วัน เนื่องจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการกักตัวลงได้ แต่ยังอยู่ระหว่างการศึกษา อย่างไรก็ตาม หากอนาคตมีวัคซีนโควิด 19 ประเทศไทยจะฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดประชุมวิชาการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ครั้งที่ 4 โดยจัดครบทุกพื้นที่ 4 ภาค เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบปะพี่น้อง อสม. ภาคเหนือ โดยการประชุมทั้ง 4 ภาค ยังคงมีการเน้นตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย เพื่อไม่ให้มีการรวมตัวเป็นจำนวนมาก ในพื้นที่ภาคเหนือมีจุดเด่นในด้านภาษา วัฒนธรรม การสื่อสาร ที่เข้าใจกัน มีผลงานนวัตกรรมที่โดดเด่น โดยท่านอนุทินได้มอบรางวัลให้กับอสม. ดีเด่น ระดับจังหวัด เขต ภาคภาคเหนือ และระดับชาติ 2563 พื้นที่ต้นแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ประจำปี 2563 ระดับเขตสุขภาพที่ 1, 2 และ3 สร้างขวัญและกำลังใจให้กับพี่น้อง อสม. เพราะการทำงานของ อสม. ในพื้นที่ได้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ คนในชุมชน เชื่อใจ มีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นตัวแทนของชุมชน เป็นหมอของชุมชนอย่างแท้จริง ************************** 30 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35579
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันกิจกรรมทางกีฬา ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันกิจกรรมทางกีฬา ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ พลเอก ประวิตรฯ รองนายกรัฐมนตรี ผลักดันกิจกรรมทางกีฬา ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ วันนี้ (30 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10/2563 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย โดยที่ประชุมพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่น่าสนใจได้แก่ ประกาศกำหนดชนิดกีฬาเพิ่มเติม คือ คิกบ็อกซิ่ง (Kickboxing) แนวทางแก้ปัญหาอุปสรรคการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชียลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) แผนการบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นต้น ที่ประชุมได้รับรองแผนงานของผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (นายก้องศักด ยอดมณี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 10 แผนงาน ดังนี้ 1. แผนยกระดับการให้บริการของการกีฬาแห่งประเทศไทย SMART NATIONAL SPORTS PARK 2. แผนยกระดับหน่วยงานด้านกฎหมายของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORTS LAW) 3. แผนการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรทั้งระบบตามเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ 4. แผนการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลด้านการกีฬา (SPORTS DIGITAL PLATFORM) 5. แผนการยกระดับกิจกรรมและการแข่งขันกีฬา เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 6. แผนการจัดตั้งเมืองกีฬา (SPORTS CITY) 7. แผนการพัฒนานักกีฬาคนพิการอย่างครบวงจร 8. แผนการส่งเสริมกิจกรรมกีฬา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 9. แผนการยกระดับการบริการทางการแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของการกีฬาแห่งประเทศไทย (SPORT MEDICAL SERVICES) และ 10. แผนยกระดับการจัดสวัสดิการบุคลากรการกีฬาแห่งประเทศไทย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายโดยถึงการบริหารงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งเป็นการเริ่มปีงบประมาณใหม่ ให้ดำเนินการไปตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้อย่างถูกต้อง โปร่งใส ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญที่สุดคือต้องติดตามการใช้จ่ายให้ทันระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนด รวมทั้งให้การกีฬาแห่งประเทศไทยได้เร่งพัฒนาบุคลากร และการบริหารจัดการภายในให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนด้านการกีฬาของประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของสมาคมกีฬาต่าง ๆ ให้เกิดความรวดเร็ว เป็นระบบอย่างชัดเจน ให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา การเตรียมพร้อมนักกีฬาก่อนการเข้าแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ กิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน การออกกำลังกาย และการจัดการแข่งขันกีฬาภายในให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจให้แต่ละภูมิภาคมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในส่วนของสมาคมกีฬาให้พิจารณาสนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยเพื่อเปิดกว้างให้มีการพิจารณานักกีฬาที่มีศักยภาพตามความต้องการของแต่ละสมาคมกีฬาอย่างแท้จริงด้วย *********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดทัพนักธุรกิจรายใหญ่พบนายก เร่งเครื่องลงทุนในอีอีซี
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 บีโอไอจัดทัพนักธุรกิจรายใหญ่พบนายก เร่งเครื่องลงทุนในอีอีซี บีโอไอจัดทัพนักธุรกิจรายใหญ่พบนายก เร่งเครื่องลงทุนในอีอีซี บีโอไอจัดทัพนักธุรกิจรายใหญ่พบนายก เร่งเครื่องลงทุนในอีอีซี บีโอไอ ดึงนักลงทุนรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ 16 ราย ประชุมร่วมนายกรัฐมนตรี เรียกเชื่อมั่นนักลงทุน เร่งเครื่องอีอีซีขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่าในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 บีโอไอร่วมกับสำนักงานอีอีซี (สกพอ.) จะเชิญผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่อีอีซี จำนวน 16 ราย ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน เครื่องจักรกลขั้นสูง เคมีภัณฑ์ขั้นสูง โลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรม เข้าพบและประชุมร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสตรวจเยี่ยมพื้นที่ เพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากนักลงทุนในพื้นที่ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี “การพัฒนาพื้นที่อีอีซี เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยบีโอไอมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษ สำหรับพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในกิจการเป้าหมาย สร้างมูลค่าเพิ่มและขีดความสามารถในการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทย” นางสาวดวงใจกล่าว ทั้งนี้ เมื่อเดือนมกราคม 2563 บีโอไอได้ออกแพ็คเกจใหม่ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ พื้นที่ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ให้ดึงดูดการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยปรับสิทธิประโยชน์และเพิ่มประเภทกิจการเป้าหมายให้ครอบคลุมกว้างขึ้น ได้แก่ (1) กิจการในกลุ่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี ตามสิทธิพื้นฐานเกือบทุกประเภท (กลุ่ม A1, A2, A3) ยกเว้นกิจการบางกลุ่ม เช่น กิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการชัดเจน กิจการที่มีเงื่อนไขบังคับเรื่องที่ตั้งสถานประกอบการซึ่งไม่อยู่ใน 3 จังหวัดอีอีซี เป็นต้น (2) กิจการในกลุ่มการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ ไบโอเทค นาโนเทค วัสดุขั้นสูง และดิจิทัล และ (3) กิจการที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย เช่น กิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ กิจการวิจัยและพัฒนา กิจการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น สำหรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้มีการกำหนดเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ใน 2 ทางเลือก ได้แก่ เกณฑ์ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเกณฑ์ที่ตั้ง โดยสามารถเลือกดำเนินการทั้งสองเกณฑ์ควบคู่กันเพื่อรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสูงสุด หรือเลือกเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งก็ได้ โดยจะได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติที่ได้รับตั้งแต่ 1-3 ปี แล้วแต่กรณี ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2563) การขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีมีจำนวนทั้งสิ้น 225 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 85,480 ล้านบาท แบ่งเป็นจังหวัดชลบุรี จำนวน 120 โครงการ เงินลงทุน 39,990 ล้านบาท จังหวัดระยอง จำนวน 76 โครงการ เงินลงทุน 33,320 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 29 โครงการ เงินลงทุน 12,170ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 30 กันยายน 2563 วันนี้ (30 กันยายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (ซูดานใต้ 1 ราย, อินเดีย 3 ราย, คูเวต 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 4 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,374 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.67 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 131 ราย หรือร้อยละ 3.68 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,564 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก ซูดานใต้ 1 รายเป็นเพศชาย สัญชาติไทย อายุ 34 ปี อาชีพรับราชการทหาร (ปฏิบัติภารกิจทางทหาร) เดินทางถึงประเทศไทยโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดชลบุรี ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) ผลไม่ชัดเจน ตรวจซ้ำอีกครั้ง วันที่ 29 กันยายน 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารที่กรุงเทพมหานคร ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 23 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล อินเดีย 3 รายรายแรก เป็นเพศชาย อายุ 31 ปี สัญชาติอินเดีย อาชีพพนักงานบริษัท มีใบอนุญาตทำงาน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 23 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 28 กันยายน 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 6 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล อีก 2 ราย เป็นเพศชาย อายุ 26 และ 64 ปี สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่จังหวัดสมุทรปราการ พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 28 กันยายน 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล คูเวต 1 รายเป็นเพศชาย อายุ 41 ปี สัญชาติไทย อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 22 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ที่กรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากตรวจครั้งแรก วันที่ 26 กันยายน 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว ) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร มีประวัติเคยติดเชื้อโควิด 19 ถูกแยกกัก 14 วันในสถานที่ที่โรงงานจัดให้ ก่อนเดินทางมาไทยตรวจไม่พบเชื้อ นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด 19 ประเทศไทยขณะนี้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ แต่สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ประเทศไทยยังมีโอกาสกลับมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้อีก เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกับไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้บูรณาการทำงานทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายความมั่นคง ปกครอง สาธารณสุข ในการกวดขัน ระวังตรวจจับ แรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านการคัดกรองโควิด 19 ตามมาตรการ และเตรียมความพร้อมรองรับทั้งในจังหวัดต้นทาง และปลายทางที่คาดว่าจะมีแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศและเข้ามาทำงาน โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ฝ่ายปกครอง ภาคเอกชน และประชาชนร่วมสอดส่องแรงงานที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ และขอความร่วมมือภาคเอกชน โรงงาน สถานประกอบการ หอพัก หลีกเลี่ยงการรับแรงงานต่างชาติเข้าทำงานในช่วงนี้เพื่อความปลอดภัย นายแพทย์ธนรักษ์กล่าวต่อว่า เป้าหมายในการควบคุมโรคโควิด 19 ไม่ใช่การป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้น แต่เป็นการตรวจพบผู้ติดเชื้อให้ได้โดยเร็ว และควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัด ไม่ให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างหรือในระดับวิกฤติ เพื่อสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นระหว่างสุขภาพ วิถีชีวิต วิถีทางสังคม และเศรษฐกิจ สำหรับมาตรการกักตัวผู้เดินทางเข้าประเทศเป็นเวลา 14 วัน เป็นการป้องกันนำเชื้อจากต่างประเทศมาแพร่ให้กับคนในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา หลังจากที่การกักกันตัวครบ 14 วันตามมาตรฐาน และทำการตรวจเชื้อซ้ำก่อนปล่อยตัว ยังไม่พบรายงานการแพร่เชื้อจากผู้เดินทางสู่ประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ หากผู้เดินทางมีประวัติการติดเชื้อมาก่อนหน้าที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว เช่น 2 หรือ 3 เดือนก่อนที่จะเดินทางเข้าประเทศ การกลับมาตรวจพบเชื้อใหม่อีกครั้งหนึ่งของการติดเชื้อครั้งเดิมในสถานกักกัน หรือหลังจากออกจากสถานกักกัน ไม่ได้หมายความว่าเชื้อที่ตรวจพบจะเป็นเชื้อที่สามารถแพร่ไปยังบุคคลอื่นได้ เนื่องจากโดยทั่วไปเชื้อที่มีชีวิตและสามารถแพร่จากผู้ป่วยไปยังบุคคลอื่นได้ มักจะสามารถตรวจพบบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ป่วยได้ไม่เกิน 9 วัน หลังเริ่มมีอาการ หรือหลังจากวันที่ตรวจพบเชื้อครั้งแรกเท่านั้น “การพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ไม่เหมือนกับการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งประเทศไทยอาจกลับมาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ จึงต้องมีการจัดการกับปัญหาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และที่สำคัญประชาชนต้องมีความระมัดระวัง ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่เข้มแข็ง จะทำให้เกิดการระบาดยากขึ้น หรือหากเกิดมีการแพร่โรคในประเทศเกิดขึ้นก็จะมี ผู้ติดเชื้อน้อย สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว” นายแพทย์ธนรักษ์กล่าว ************************** 30 กันยายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35578
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สั่งการ ดย. จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทดสอบสุขภาพจิตผู้ดูแลเด็ก ช่วยป้องกันเด็กถูกละเมิดในโรงเรียน
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รมว.พม. สั่งการ ดย. จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทดสอบสุขภาพจิตผู้ดูแลเด็ก ช่วยป้องกันเด็กถูกละเมิดในโรงเรียน รมว.พม. สั่งการ ดย. จับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทดสอบสุขภาพจิตผู้ดูแลเด็ก ช่วยป้องกันเด็กถูกละเมิดในโรงเรียน เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 63เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยถึงกรณีเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 1 ถูกครูประจำชั้นทำร้ายในห้องเรียน โดยคุณครูคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครห้าม ที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ว่า ขณะนี้ ตนได้มอบนโยบายให้กับกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) เร่งดำเนินการเชิงรุกว่าควรจะต้องให้สถานสงเคราะห์เด็กทุกจังหวัดขอความร่วมมือไปยังกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ โดยขอให้ช่วยกันดูแลในเรื่องนี้ หากเกิดการละเมิดเด็กไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตาม แม้กระทั้งในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาที่มีการละเมิดทั้งเด็กชายและเด็กหญิง ขอให้แจ้งมายัง ดย. ซึ่งทาง อธิบดี ดย. จะไปตั้งอีเมล์ไว้สำหรับรับข้อมูลเพื่อเป็นการปิดบัง ไม่เปิดเผยผู้ร้องเรียน และตั้งเบอร์โทรศัพท์ขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยจะมีการส่งข้อความและส่งไลน์ โดยเราจะดำเนินการร่วมกับสมาคมครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการโรงเรียน รวมไปถึงนักเรียนด้วย เพื่อให้ได้รับทราบปัญหาและดำเนินการร่วมกันกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่ไม่เพียงเฉพาะการเยียวยาเด็กซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุเท่านั้น นายจุติกล่าวต่อไปว่า วันนี้ เราต้องมองไปถึงว่าคนที่จะเข้ามาทำงานด้านเด็กในอนาคตหรือที่ผ่านมาแล้ว ทุกคนควรจะต้องมีการทดสอบโครงสร้างทางจิตวิทยาด้วย ผ่านระบบดิจิตอลหรือระบบตอบคำถาม และใช้วิธีให้เด็กแสดงกิจกรรมผ่านศิลปะหรือเพลง เพื่อเป็นการแสดงออก โดยเรามีนักจิตวิทยาที่สามารถวิเคราะห์ได้ ซึ่งตนเชื่อว่า ถ้าทำให้เป็นระบบและต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นผลได้ภายในระยะเวลาประมาณ 3 - 6 เดือน และอาจจะต้องมีการปรับให้เข้มข้นขึ้นและดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอาจจะต้องมีการแก้ไขระเบียบข้อบังคับของศูนย์ดูแลเด็กเล็กและโรงเรียนเอกชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะต้องแก้ไขในเรื่องของระเบียบโรงเรียนทั้งของเอกชนและรัฐด้วยว่า ผู้ที่จะต้องมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเด็ก แม้กระทั่งครูผู้สอนดนตรี ศิลปะ หรือพละ ทุกคนควรจะต้องมีการทดสอบโครงสร้างจิตวิทยาด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35568
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'เฉลิมชัย' แถลงนโยบายด้านเกษตรต่างประเทศแก่คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ชูนโยบาย 3 ด้าน "ความปลอดภัยของอาหาร ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร และความยั่งยืนของภาคการเกษตร"
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 'เฉลิมชัย' แถลงนโยบายด้านเกษตรต่างประเทศแก่คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ชูนโยบาย 3 ด้าน "ความปลอดภัยของอาหาร ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร และความยั่งยืนของภาคการเกษตร" รัฐมนตรีเกษตรฯ 'เฉลิมชัย' แถลงนโยบายด้านเกษตรต่างประเทศแก่คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ชูนโยบาย 3 ด้าน รัฐมนตรีเกษตรฯ'เฉลิมชัย'แถลงนโยบายด้านเกษตรต่างประเทศแก่คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทยชูนโยบาย3ด้าน"ความปลอดภัยของอาหารความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหารและความยั่งยืนของภาคการเกษตร"พร้อมจับมือนานาประเทศผ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้มแข็งและมั่นคง วันพุธที่30กันยายน2563 (เวลา13.00น.)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดการแถลงนโยบายด้านการเกษตรให้แก่คณะทูตานุทูตประเทศต่างๆประจำประเทศไทยและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับเกียรติจากคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทยรวม62ประเทศได้แก่เอกอัครราชทูต25ประเทศอุปทูต11ประเทศผู้แทนจำนวน27ประเทศและผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศจำนวน5องค์กรรวม107คนโอกาสนี้ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวสุนทรพจน์ เนื่องในโอกาสการแถลงนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านการเกษตรต่างประเทศของไทยโดยมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้บริหารกระทรวงฯและผู้แทนหน่วยงานภาครัฐร่วมงานในครั้งนี้จากนั้นคณะผู้บริหารกระทรวงฯได้นำคณะทูตานุทูตและผู้แทนหน่วยงานต่างประเทศเดินชมบูธนิทรรศการภายใต้แนวคิด“Safety, Security & Sustainability for Resilience Agriculture”ซึ่งจัดโดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ณห้องแกรนด์บอลรูมโรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณกรุงเทพฯโดยเอกอัครราชทูตอุปทูต/กงสุลตลอดจนผู้แทนกลุ่มสหภาพยุโรปและองค์การระหว่างประเทศได้ให้ความสนใจบูธนิทรรศการซึ่งแสดงถึงศักยภาพการเกษตรของไทยและผลสำเร็จของสินค้าเกษตรในเวทีตลาดโลกเป็นอย่างมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวถ้อยแถลงว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความมุ่งมั่นที่จะนำพาภาคเกษตรไทยสู่ความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนโดยต่อยอดและปรับเปลี่ยนจากฐานเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของพี่น้องเกษตรกรในทุกมิติและวางรากฐานโครงสร้างให้เกิดผลทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตลอดจนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติร่วมกับภาครัฐภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมโดยมีนโยบายด้านการเกษตรและอาหารที่สนับสนุนและมุ่งเป้าให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกโดยมีกรอบการทำงานในการขับเคลื่อนร่วมกันใน3ด้านหรือที่เรียกว่า“3 S”คือความปลอดภัยของอาหาร(Safety)โดยจะต้องมีการผลิตสินค้าเกษตรที่มีความปลอดภัยได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับโดยการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยอาหารครบตลอดห่วงโซ่อาหารจากไร่นาถึงโต๊ะอาหารโดยการใช้มาตรฐานGAPและGMPโดยมีหน่วยงานต่างๆในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงไปกำกับดูแลตามสอบทั้งระดับฟาร์มระดับไร่นาและตรวจสินค้าเกษตรที่ส่งออกอย่างไรก็ตามได้สนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบตรวจสอบย้อนกลับในทุกขั้นตอนการผลิตเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ในด้านของความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร(Security)ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สามารถส่งออกทั้งในรูปแบบแปรรูปและผลิตภัณฑ์ไปยังนานาประเทศตอกย้ำศักยภาพของการเป็นครัวของโลกและความพร้อมของการเป็นแหล่งสำรองอาหารของอนุภูมิภาคอาเซียนโดยในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19นี้ประเทศไทยไม่มีนโยบายห้ามการส่งออกมีแต่มาตรการที่จะทำให้เป็นไปอย่างปลอดภัยอีกทั้งยังสนับสนุนให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินการได้ตามกลไกของการตลาดและพร้อมที่จะร่วมมือผ่านกลไกภาครัฐหากมีความจำเป็น นอกจากนี้ได้มุ่งเน้นทั้งในเรื่องของความมั่นคงทางชีวภาพซึ่งสามารถป้องกันและควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรการป้องกันควบคุมหนอนกระทู้ลายจุดเป็นต้นซึ่งได้สนับสนุนและตัดสินใจในมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการร่วมกับองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและมิตรประเทศทั้งหลายด้วย อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการลดความยากจนของเกษตรกรการขจัดความหิวโหยความมั่นคงในอาชีพเกษตรรวมถึงความมั่นคงของรายได้ของเกษตรกรจึงได้มีนโยบายตลาดนำการผลิตโดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กระทรวงอุตสาหกรรมและภาคเอกชนที่จะเข้ามาเพิ่มช่องทางในการตลาดทั้งในและต่างประเทศให้กับผู้ผลิตสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นรูปแบบสหกรณ์เกษตรแปลงใหญ่วิสาหกิจชุมชนและกลุ่มเกษตรกรถือเป็นการใช้กลไกทางการค้าเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยจนถึงเกษตรอุตสาหกรรม นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯยังพัฒนาเกษตรกรและผู้ประกอบการในการใช้แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์โดยร่วมมือกับผู้นำแพลตฟอร์มออนไลน์อาทิลาซาด้าช๊อปปี้อาลีบาบาและตลาดเกษตรกรออนไลน์ในการยกระดับและพัฒนาทักษะใหม่เพื่อเข้าสู่ตลาดออนไลน์การขายสินค้าเกษตรโดยตรงรวมถึงการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าและสำหรับตลาดออฟไลน์กระทรวงเกษตรฯยังมีการลงนามMOUร่วมกับซุบเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ของไทยเช่นแม็คโครเทสโก้โลตัสบิ๊กซีและตลาดไทมุ่งเน้นสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานมีระบบตรวจสอบย้อนกลับอีกทั้งยังพัฒนาศักยภาพเกษตรกรโดยการตั้งศูนย์เทคโนโลยีทางการเกษตร(AIC)โดยมีการตั้งศูนย์AICทั้ง77จังหวัดทั่วประเทศและการจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการเกษตร(Big Data)เป็นต้น สำหรับในส่วนของความยั่งยืนของภาคการเกษตร(Sustainability)กระทรวงเกษตรฯมีการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนทั้งทรัพยากรน้ำทรัพยากรดินทรัพยากรประมงและการจัดสรรที่ดินเพื่อการเกษตรการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบการเพิ่มแหล่งน้ำขนาดใหญ่ขนาดกลางและขนาดเล็กรวมถึงการบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืนซึ่งประเทศไทยประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาIUUด้วยนอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังได้ริเริ่มโครงการในหลายๆด้านโดยการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเกษตรกรรมที่มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากโลกร้อนและการสร้างมาตรฐานสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืนเช่นโครงการข้าวลดโลกร้อนการทำมาตรฐานข้าวยั่งยืนและการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนเป็นต้น "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศและองค์การระหว่างประเทศในทุกกรอบความร่วมมือที่เกี่ยวข้องเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรโดยการพัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกรสู่เกษตรกรมืออาชีพสร้างความเข้มแข็งและเชื่อมโยงเครือข่ายของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตลอดโซ่อุปทานโดยส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานรองรับความต้องการของตลาดส่งเสริมการบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมรวมทั้งมีการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืนซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะไม่หยุดยั้งที่จะเดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตรของไทยให้ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในสายตาโลกพร้อมเคียงข้างร่วมคิดร่วมตัดสินใจร่วมลงมือทำร่วมแก้ไขปัญหาและร่วมรับผลประโยชน์สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งพร้อมก้าวเดินร่วมกันในทุกๆสถานการณ์เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องเกษตรกรไทยและความมั่นคงทางอาหารของผู้บริโภคทั่วโลก"ดร.เฉลิมชัยกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา เชิญชวน ปชช.ร่วมทำบุญวันสำคัญทางศาสนา แนะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา พลิกฟื้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 รมต.อนุชา เชิญชวน ปชช.ร่วมทำบุญวันสำคัญทางศาสนา แนะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา พลิกฟื้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ รมต.อนุชา เชิญชวน ปชช.ร่วมทำบุญวันสำคัญทางศาสนา แนะร่วมกันส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนา พลิกฟื้นการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ วันนี้ (30 กันยายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธัมมจิตโต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร พร้อมด้วย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าวเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมเนื่องในวันออกพรรษา 2563 "ออกพรรษา ใส่บาตร เติมบุญ หนุนชีวิต" โดยการสร้างกุศลตักบาตรเทโวโรหณะ และเป็นเจ้าภาพถวายผ้ากฐินทานตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โอกาสนี้ เจ้าประคุณ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธัมมจิตโต) กล่าวว่า ในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ชาวพุทธได้ทำหน้าที่สำคัญ 4 ประการ คือ ศึกษาธรรมมะ ปฏิบัติธรรมมะ เผยแผ่ธรรมมะ และอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เมื่อกระทำมาตลอดแล้ว ในช่วงออกพรรษา ก็ควรทำความดีต่อไปเหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม ทำความดีต่อเนื่องให้เป็นนิสัย เป็นพุทธบูชา ในส่วนของกิจกรรมสำคัญภายหลังจากวันออกพรรษา 1 วัน คือ การตักบาตร ที่เรียกว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ และภายหลังการออกพรรษา 1 เดือน จะเป็นเทศกาลกฐิน หรือที่เรียกว่ากฐินสามัคคี ซึ่งเป็นการแสดงถึงพลังความสามัคคีของชาวพุทธ โดยขอเดินทางไปทอดกฐินอย่างมีธรรมะ. เหมือนในสมัยพุทธกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ในอาการเยื้องย่างที่งดงามเหมือนพระพุทธรูปปางลีลา ด้านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กิจกรรมสำคัญต่าง ๆ ในวันออกพรรษา เป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของชาวพุทธ โดยเฉพาะบทบาทของ "บ้าน วัด และโรงเรียน" หรือ บวร เป็นแรงผลักดันให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง ซึ่งในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การท่องเที่ยวหลายพื้นที่ซบเซา ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าเมื่อมีการจัดงานบุญใหญ่ เช่น วันออกพรรษา หรือ วันมหาปวารณา รวมถึงงานบุญประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะ และงานเทศกาลกฐิน จะเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ต่อไป พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานบุญใหญ่เพื่อเป็นพุทธบูชาช่วยทำนุบำรุงพระศาสนาให้อยู่ยั่งยืน รวมถึงให้สร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงพุทธระหว่างหน่วยงานภาครัฐ บ้าน วัด โรงเรียน เพื่อร่วมกันส่งเสริมกิจกรรมในทุกวันสำคัญทางพุทธศาสนา ระดมทรัพยากรทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงพุทธ พลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนา อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตใจเป็นสำคัญ รวมถึงเป็นการแสวงบุญในมิติทางศาสนาและความเชื่ออีกด้วย จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนา มุ่งมั่นทำความดีเพื่อเป็นกุศลผลบุญแก่ตนเองและครอบครัว พร้อมกับขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่รัฐบาลกำหนด “การ์ดอย่าตก” สวมใส่หน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือ รวมทั้งเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่อต้องอยู่ในคนหมู่มาก .................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35547
รัฐบาลไทย-ประเทศไทยจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่เมื่อไร ??
วันพุธที่ 30 กันยายน 2563 ประเทศไทยจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่เมื่อไร ?? ประเทศไทยจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อไร ?? Q : ประเทศไทยจะมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่เมื่อไร ?? A : นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแรกที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย จะเข้ามาในวันที่ 8 ต.ค.63 เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนจากกว่างโจว 150 คน และวันที่ 1 พ.ย.63 จะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย และเชงเก้น จำนวน 120 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 ทส. ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2 ทส. ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง วันนี้ (13 ต.ค.2562) เวลา 07.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณพิธีท้องสนามหลวง โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะบุคคลสำคัญ คณะรัฐมนตรี ผู้แทนองค์กรอิสระ ผู้นำเหล่าทัพ ข้าราชการทุกหน่วยงาน นักเรียนนักศึกษา และประชาชนทุกหมู่เหล่า เข้าร่วมในพิธี เพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีและน้องรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเมื่อเวลา 07.30 น. เป็นพิธีทำบุญตักบาตร โดยมีสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ พระภิกษุ-สามเณร จำนวน 89 รูป รับบิณฑบาต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ซึ่งสิ่งของที่ตักบาตรหลังจากเสร็จสิ้นพิธีนี้ จะนำไปส่งมอบให้กับสถานสงเคราะห์ต่างๆ ในสังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สถานสงเคราะห์ในสังกัดกรุงเทพมหานคร และวัดที่ขาดแคลนต่อไป จากนั้นเวลา 08.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงฯ ได้ร่วมพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคม เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35932
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหาร ก.อุตฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 ผู้บริหาร ก.อุตฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร . นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง วันนี้ (13 ตุลาคม 2563) เวลา 07.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธี ณ บริเวณท้องสนามหลวง #กระทรวงอุตสาหกรรม #พิธีบำเพ็ญกุศลและทำบุญตักบาตร #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2563
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 คำกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2563 คำกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2563 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ที่ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ณ ที่แห่งนี้ และสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างน้อมจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี แห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีทั่วราชอาณาจักร ต่างประจักษ์ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาที่ได้ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกายและกำลังพระสติปัญญา ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงพสกนิกร โครงการในพระราชดำริน้อยใหญ่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกอนันต์แก่ประเทศชาติ ทั้งได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางให้อาณาประชาราษฎร์ได้ดำเนินชีวิตโดยใช้ความรู้และสติปัญญาเป็นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนของประเทศต่าง ๆ ที่ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานไปปฏิบัติ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลขจรขจายไปทั่วทิศานุทิศ แสงแห่งดวงประทีปที่ส่องไสวอยู่ทั่วแผ่นดินนี้ เปรียบประดุจดั่งจิตอันบริสุทธิ์ของปวงพสกนิกร ที่ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าจักน้อมนำแนวทางพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติหน้าที่และดำรงตนเพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติสืบไป เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันนี้ ขอให้ผู้ที่ร่วมชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งนี้และสถานที่ต่าง ๆ พร้อมใจกันยืนสงบนิ่ง เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ ---------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35937
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สั่งเตรียมพร้อมและแจ้งเตือนประชาชน รับมือกับฝนตกหนักต่อเนื่อง จากพายุที่ทวีความแรงขึ้น"
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 "สั่งเตรียมพร้อมและแจ้งเตือนประชาชน รับมือกับฝนตกหนักต่อเนื่อง จากพายุที่ทวีความแรงขึ้น" ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ได้ประสานศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทุกเหล่าทัพ ให้เฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ อยู่ในที่ตั้งดูแลทรัพย์สิน เตรียมรับมือกับพายุดีเปรสชั่น ที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ระหว่าง 14-16 ต.ค.63 ซึ่งจะมีผลให้ฝนตกหนักเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคอีสานตอนบน ภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคใต้ โดยขอให้หน่วยทหารในพื้นที่ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์ในพื้นที่ ที่อาจมีมวลน้ำสะสม เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน ทั้งนี้ขอให้เตรียมพื้นที่ปลอดภัยจัดตั้งจุดอพยพและเตรียมการช่วยเหลือขนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงไปยังพื้นที่ปลอดภัยให้ทันกับเหตุการณ์ พร้อมทั้งให้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วให้การช่วยเหลือเร่งด่วนกับประชาชนในพื้นที่วิกฤตอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อลดความเสียหายและการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.​ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรค
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 ทส.​ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรค กระทรวงทรัพยากรฯ ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีถวายบังคม เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต 13 ตุลาคม 2563 ณ ท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล-วางพวงมาลาและพิธีถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล-วางพวงมาลาและพิธีถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศล-วางพวงมาลาและพิธีถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่13ตุลาคม2563นายพุทธิพงษ์ปุณณกันต์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)และภริยา พร้อมด้วยนายภุชพงค์โนดไธสงรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและพนักงานข้าราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลและทำบุญตักบาตรพระสงฆ์89รูปถวายเป็นพระราชกุศลจากนั้นคณะฯเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาและพิธีถวายบังคมเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหาร ก.อุตฯ ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 ผู้บริหาร ก.อุตฯ ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ บริเวณท้องสนามหลวง วันนี้ (13 ตุลาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธี ณ บริเวณท้องสนามหลวง #กระทรวงอุตสาหกรรม #วางพวงมาลาและถวายบังคม #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ (13 ต.ค.63) เวลา 20.15 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีจุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการตุลาการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและภริยา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่า ปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ/ภริยา ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงท้องสนามหลวง และเข้าประจำจุดยืน นายกรัฐมนตรีและผู้ร่วมพิธีถวายความเคารพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ความว่า “เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันนี้ ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ และพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ที่ได้มาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ณ ที่แห่งนี้ และสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างน้อมจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี แห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงพสกนิกรใต้ร่มพระบารมีทั่วราชอาณาจักร ต่างประจักษ์ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตา ที่ได้ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกายและกำลังพระสติปัญญา ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงพสกนิกร โครงการในพระราชดำริน้อยใหญ่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกอนันต์แก่ประเทศชาติ ทั้งได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแนวทางให้อาณาประชาราษฎร์ได้ดำเนินชีวิตโดยใช้ความรู้และสติปัญญาเป็นภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนของประเทศต่าง ๆ ที่ได้น้อมนำแนวทางพระราชทานไปปฏิบัติ พระเกียรติคุณแผ่ไพศาลขจรขจายไปทั่วทิศานุทิศ แสงแห่งดวงประทีปที่ส่องไสวอยู่ทั่วแผ่นดินนี้ เปรียบประดุจดั่งจิตอันบริสุทธิ์ของปวงพสกนิกร ที่ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าจักน้อมนำแนวทางพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติหน้าที่และดำรงตน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติสืบไป เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันนี้ ขอให้ผู้ที่ร่วมชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งนี้และสถานที่ต่าง ๆ พร้อมใจกันยืนสงบนิ่ง เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยตราบกาลนิรันดร์” โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพร้อมผู้ร่วมพิธีถือเทียนและยืนสงบนิ่งน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นเวลา 89 วินาที จากนั้น นายกรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมพิธีชมวีดิทัศน์น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อด้วยชมการแสดงอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) แปรอักษรน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ จำนวน 700 ลำ โดยสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ร่วมกับบริษัทในเครือบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) แล้วนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางกลับ ------------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดนับตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ตราบจนกระทั่งเสด็จสวรรคต ซึ่งพสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างมีความตั้งใจที่จะร่วมกันแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐโดยพร้อมเพรียงกัน และดำเนินการอย่างสมพระเกียรติ และคำนึงถึงความเหมาะสมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และในต่างประเทศ (13 ต.ค.63)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35935
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ (13 ต.ค.63) เวลา 08.30 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และถวายบังคมเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพ/ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน เข้าร่วมในพิธี เมื่อนายกรัฐมนตรีถึงบริเวณพิธี นายกรัฐมนตรีประจำจุดยืน เข้าวางพวงมาลาและนำผู้ร่วมพิธีถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (3 ลา) โดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้น ผู้เข้าร่วมพิธีแต่ละหน่วยงานเข้าวางพวงมาลาตามลำดับ เสร็จพิธี ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรีและภริยา เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ (13 ต.ค.63) เวลา 07.30 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและภริยา รองนายกรัฐมนตรีและภริยา หน่วยราชการในพระองค์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและภริยา ผู้บัญชาการเหล่าทัพ/ตำรวจและภริยา เข้าร่วมในพิธี ตามลำดับพิธีดังนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงปะรำพิธี สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระสงฆ์ ในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ จำนวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เจ้าหน้าที่ปฏิบัติพิธีสงฆ์อาราธนาศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ประธานองคมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ถวายเครื่องไทยธรรม แล้วนายกรัฐมนตรีทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ พระสงฆ์อนุโมทนา/ถวายอดิเรก นายกรัฐมนตรีกรวดน้ำ กราบนมัสการพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา แล้วนายกรัฐมนตรีถวายความเคารพหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา นำผู้เข้าร่วมพิธี ร่วมพิธีตักบาตร สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และพระสงฆ์ จำนวน 89 รูป รับบิณฑบาต เสร็จพิธี ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี คิกออฟ บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผู้ประกันตน อายุ 50 ปีขึ้นไป รพ.เครือข่ายทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ ส่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรี คิกออฟ บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผู้ประกันตน อายุ 50 ปีขึ้นไป รพ.เครือข่ายทั่วประเทศ รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ผู้ประกันตน ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เริ่มดีเดย์ 15 ต.ค.ที่โรงพยาบาลเครือ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Healthy Thailand เพื่อผู้ประกันตน) ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี โดยมี นางเอกรัตน์ นาคาคง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายแพทย์ชุมพล เดชะอำไพ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี และนายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานประกันสังคม ร่วมให้การต้อนรับ โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯกล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 แม้ว่าประเทศไทยจะควบคุมการแพร่ระบาดได้ก็ตาม แต่การมีสุขภาพที่ดีของทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้ดิฉันมาตรวจเยี่ยมและกำลังใจผู้ประกันตนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากในแต่ละปีพบว่า มีกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนมาก กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Healthy Thailand เพื่อผู้ประกันตน) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ประกันตนให้ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ลดอัตราการเจ็บป่วยของผู้ประกันตนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มุ้งเน้นให้การคุ้มครองดูแลผู้ประกันตนซึ่งเป็นแรงงานสำคัญของประเทศ โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันมากกว่าการรักษา ที่สำนักงานประกันสังคมร่วมกับโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเพชรบุรี จัดให้มีขึ้นในวันนี้ นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ หรือโรงพยาบาลตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด โดยในวันนี้สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้จัดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตน ณ คลินิกประกันสังคมชั้น 2 อาคารนวราชจักรี นับเป็นนิมิตรหมายอันดีของความร่วมมือระหว่างสำนักงานประกันสังคมและพันธมิตรสถานพยาบาลประกันสังคม ในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อให้ลูกจ้าง ผู้ประกันตน มีสุขภาพพลานามัยที่ดี มีความปลอดภัยในการทำงาน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ (New Normal) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคระบาดจากเชื้อ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยสำนักงานประกันสังคมจะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในปี 2563 ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ให้บริการได้ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคมของทุกปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับสิทธิบัตรทองรักษาได้ทุกที่
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ยกระดับสิทธิบัตรทองรักษาได้ทุกที่ วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยกระดับการให้บริการประชาชนที่มีสิทธิบัตรทอง เพื่อช่วยลดขั้นตอนและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคในการเข้ารับบริการรักษาพยาบาล 4 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย ประชาชนที่เจ็บป่วยสามารถไปหาหมอประจำครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือรักษาโรคเบื้องต้นได้ทุกที่ในระบบบัตรทอง /ผู้ป่วยใน ที่ไปรับการรักษายังสถานพยาบาลแห่งใหม่ ไม่ต้องกลับไปขอรับใบส่งตัวที่เดิม สามารถรักษาต่อเนื่องได้ทันที เพียงใช้บัตรประชาชนตรวจสอบตัวตน /ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถเข้ารับบริการได้ทุกที่ เพื่อความรวดเร็วป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม และได้สิทธิทันทีเมื่อย้ายหน่วยบริการโดยไม่ต้องรอ 15 วัน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 1 ม.ค. 2564 “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านต่างๆ ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) เวลา 08.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านต่างๆ โดยที่ประชุมฯ ได้แจ้งกำหนดการเพื่อให้ทุกหน่วยงานเตรียมการ อาทิ การประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2563 ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน การจัดงาน OUTLET เพื่อประชาชน ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ในช่วงปลายปี 2563 การบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงแรงงงาน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำหนดการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานกระทรวงอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ณ วัดคฤหบดี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยมีนางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เข้ม สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์น้ำ ผ่านวอร์รูมอย่างใกล้ชิด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เข้ม สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์น้ำ ผ่านวอร์รูมอย่างใกล้ชิด กระทรวงเกษตรฯ เข้ม สั่งทุกหน่วยงานเกาะติดสถานการณ์น้ำ ผ่านวอร์รูมอย่างใกล้ชิด พร้อมเร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ การเกษตร นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)มีความห่วงใยพี่น้องเกษตรกรและประชาชน ได้มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(นายทองเปลว กองจันทร์)จัดตั้งวอร์รูมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยปัจจุบันในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมีการรับฟังรายงานสถานการณ์ประจำวันจากเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและกรมชลประทานที่มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาอุทกภัยขึ้นทั่วประเทศ พร้อมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครองในจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกันจัดทำแผนเตรียมความพร้อม ตลอดจนวางแผนปฏิบัติงานในสภาวะวิกฤติ โดยมีการกำหนดพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงานและจัดสรรทรัพยากร เครื่องจักร เครื่องมือ ให้พร้อมเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนได้ในทันที ​นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเจ้าหน้าที่เร่งสำรวจพื้นที่ความเสียหายหลังน้ำลด ทั้งนี้หากเกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกพืช มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละรอบการผลิต ขอให้มาแจ้งปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน หรือหากเป็นเกษตรกรรายใหม่ให้มาขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ณ ที่ตั้งแปลงพร้อมเอกสารสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ให้บริการ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายเดิมสามารถปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรได้ด้วยตนเองผ่านทางแอปพลิเคชันFarmbookเพื่อที่เกษตรกรจะได้รับความสะดวกในการใช้สิทธิขอรับการสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือรับบริการต่าง ๆ จากภาครัฐ เช่น กรณีการขอรับความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในด้านพืช ตามระเบียบกระทรวงการคลัง “อย่างไรก็ตามศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะติดตามสถานการณ์ปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตรอย่างใกล้ชิดทั้งในส่วนของอุทกภัยและภัยแล้ง ซึ่งจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว ดร.ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาอุทกวิทยา กรมชลประทานกล่าวเพิ่มเติมว่าจากประกาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) พายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุระดับ 1 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว บริเวณแขวงหัวพัน ประเทศลาว โดยพายุนี้จะทำให้บริเวณภาคเหนือด้านตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นซึ่งอิทธิพลพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่งผลให้เกิดอุทกภัย น้ำไหลหลาก น้ำเอ่อล้นตลิ่ง และวาตภัย ช่วงวันที่ 7 ต.ค.63 - ปัจจุบัน จำนวน 14 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด นครราชสีมา ชัยนาท เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ราชบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง สระแก้ว พังงา ตรัง และจังหวัดสตูล สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 8 จังหวัด ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ตรัง และจังหวัดสตูล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ทส. จัดประชุมแก้ปัญหาขยะพลาสติกครั้งที่ 3/63 ลั่น ประเทศไทยต้องไม่ใช่ถังขยะของโลก”
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ​“ทส. จัดประชุมแก้ปัญหาขยะพลาสติกครั้งที่ 3/63 ลั่น ประเทศไทยต้องไม่ใช่ถังขยะของโลก” ​“ทส. จัดประชุมแก้ปัญหาขยะพลาสติกครั้งที่ 3/63 ลั่น ประเทศไทยต้องไม่ใช่ถังขยะของโลก” วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) เวลา​ 10.​00 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ (รมว.ทส.)​ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ อาคารกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยมี นายจตุพร​ บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) และ นางอัษฎาพร ไกรพานนท์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย รมว.ทส. กล่าวว่า “ผมมุ่งหวังให้การบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของประเทศไทยมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม การประชุมวันนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อเร่งสำรวจปริมาณขยะพลาสติกภายในประเทศ ว่ามีความจำเป็นต้องนำขยะเข้ามาในแผ่นดินไทยหรือไม่ หากต้องนำเข้าก็ต้องอยู่ในปริมาณที่ควบคุมได้ และขยายผลไปสู่การห้ามนำเข้าขยะแบบ 100% คณะทำงานชุดนี้จะใช้เวลาสำรวจไม่เกิน 60 วัน เพื่อนำข้อมูลเข้าที่ประชุมดำเนินการต่อไป” “นอกจากนั้น ยังได้ให้กรมศุลกากร ศึกษากฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจยึดขยะที่มีผู้ลักลอบนำเข้า เพื่อเร่งแก้ไขกฎระเบียบนั้น ให้สามารถผลักดันขยะคืนสู่ประเทศต้นทางได้โดยเร็ว และจากนี้ไป การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องพัฒนาควบคู่กัน โดยที่ประเทศไทยจะต้องไม่ใช่ถังขยะของโลก” รมว.ทส. กล่าวเพิ่มเติม ปกท.ทส. กล่าวเสริมอีกว่า “สิ่งที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มิใช่เพียงแค่ต้องการตรวจจับการลักลอบนำเขาขยะผิดกฎหมายเท่านั้น แต่เรามองภาพรวมไปถึงเรื่องสุขอนามัยของประชาชนเป็นสำคัญ” ท้ายที่สุดปัญหาขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ คงไม่สามารถแก้ได้ด้วยใครเพียงคนใดคนหนึ่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยากเชิญชวนให้ประชาชนทุกคนหันมาช่วยกันคัดแยกขยะตั้งแต่ที่บ้าน เพื่อให้การดำเนินการรีไซเคิลทำได้โดยง่าย และส่งผลให้ประเทศไทยไม่ต้องนำเข้าขยะอีกต่อไป นับเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน สนับสนุนจังหวัดอำนาจเจริญเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพร
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 อนุทิน สนับสนุนจังหวัดอำนาจเจริญเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนอำนาจเจริญเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพร นำร่องปลูกกัญชาทางการแพทย์ร่วมวิสาหกิจชุมชน เริ่ม 16 ตุลาคมนี้ ฝาก อสม.ช่วยรณรงค์ประชาชนการ์ดอย่าตก จนกว่าจะมีวัคซีนโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนอำนาจเจริญเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพร นำร่องปลูกกัญชาทางการแพทย์ร่วมวิสาหกิจชุมชน เริ่ม 16 ตุลาคมนี้ ฝาก อสม.ช่วยรณรงค์ประชาชนการ์ดอย่าตก จนกว่าจะมีวัคซีนโควิด 19 วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานเปิดอาคารทันตกรรมและแพทย์แผนไทย สำนักสาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ ว่า ในปี 2564 รัฐบาลมีแผนสนับสนุนให้จังหวัดอำนาจเจริญเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพร และอนุมัติให้เป็นพื้นที่นำร่องในการปลูกกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่และวิสาหกิจชุมชน เพื่อขายให้กับองค์การเภสัชกรรม โดยจะเริ่มวันที่ 16 ตุลาคม 2563 และจะมีการอบรม อสม. เกี่ยวกับการปลูกและการใช้กัญชาทางการแพทย์ด้วย นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 อสม.ได้เข้ามาช่วยบุคลากรสาธารณสุขในชุมชนและโรงพยาบาล รวมทั้งเฝ้าระวังคนต่างถิ่นที่เข้ามาในพื้นที่ คัดกรองความเสี่ยง สอบถามอาการป่วย ให้คำแนะนำประชาชน รณรงค์ให้ใส่หน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทำให้ประเทศไทยควบคุมโรคโควิด 19 ในชุมชนได้เป็นอย่างดีจนทั่วโลกยอมรับและชื่นชม โดยเรียก อสม.ว่าเป็น Village Health Volunteers (VHV) ดังนั้น ขอให้ อสม.ช่วยรณรงค์ให้ประชาชนการ์ดอย่าตกอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันโควิด 19 ช่วงนี้จึงควรใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าไว้ก่อน เป็นการสร้างสุขภาพที่ดี ช่วยป้องกันโรคโควิด 19 วัณโรค และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ เมื่อการเจ็บป่วยจากโรคเหล่านี้ลดลงก็จะช่วยประหยัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาลให้แก่ประเทศ เรียกว่าความรู้ด้านสุขภาพที่ อสม.ถ่ายทอดแก่ประชาชนไม่มีวันหมดอายุ ต่างจากวัคซีนที่มีวันหมดอายุได้ ทั้งนี้ ภายในเดือนธันวาคม 2563 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ จะเปิดให้บริการทันตกรรมและแพทย์แผนไทยเต็มรูปแบบ เพิ่มการเข้าถึงบริการประชาชน ลดความแออัดของโรงพยาบาลทั่วไป รวมทั้งภายในอาคารทันตกรรมและแพทย์แผนไทย ยังเปิดจำหน่ายสินค้าสมุนไพรจากศูนย์แพทย์แผนไทยพนา โรงพยาบาลพนา เป็นทางเลือกให้กับประชาชน ********************************** 15 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35997
รัฐบาลไทย-ดีอีเอส” ประสาน กสทช. หารือไอเอสพี- ค่ายมือถือ เอาจริงโซเชียล ละเมิด พรก.ฉุกเฉิน
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส” ประสาน กสทช. หารือไอเอสพี- ค่ายมือถือ เอาจริงโซเชียล ละเมิด พรก.ฉุกเฉิน ดีอีเอส” ประสาน กสทช. หารือไอเอสพี- ค่ายมือถือ เอาจริงโซเชียล ละเมิด พรก.ฉุกเฉิน “พุทธิพงษ์” ร่วมกับ กสทช. หารือกับผู้ให้บริการมือถือทุกราย และไอเอสพี ถึงแนวทางการดำเนินการต่อข้อมูลและเว็บไซต์ไม่เหมาะสมในช่วง พรก.ฉุกเฉิน เตือนเกรียนคีย์บอร์ดอย่าโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) ได้เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อซักซ้อมความใจในแนวทางปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยได้ประสานกับนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เชิญผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายร่วมหารือด้วย โดยถือเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากการบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาการเผยแพร่และนำเข้าข้อมูลผิดกฎหมายลงในระบบคอมพิวเตอร์ ที่ทุกฝ่ายประสานการทำงานร่วมกันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อเวลา 04.00 น.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 2563 เวลา 04.00 น. เป็นต้นไป โดยข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ข้อ 2 ระบุไว้ว่า “ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร ขณะที่ ในส่วนบทบาทของกระทรวงฯ ที่ผ่านมาก็มุ่งแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลหรือนำเข้าข้อมูลผิดกฎหมายสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่เกี่ยวข้องกับสถานการ์ช่วงนี้ คือ มาตรา 14 (2), 14 (3) และมาตรา 27 ทั้งนี้ มาตรา 14 ระบุว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และ (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อกระทรวงฯ มีคำสั่งศาลถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังไม่ดำเนินการนำข้อมูลที่ผิดกฎหมายออก มาตรา 27 ระบุว่า ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เพื่อขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันเฝ้าระวัง และดำเนินการต่อข้อมูลและเว็บไซต์ไม่เหมาะสม รวมทั้งให้ความร่วมมือทำการลบ/ปิดกั้นข้อมูลและเนื้อหาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผิดกฎหมาย ทั้งในส่วนของการละเมิด พรก.ฉุกเฉินฯ และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ “ทุกคนสามารถแสดงสิทธิเสรีภาพ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะการโพสต์ข้อความผ่านโซเชียล เว็บไซต์ต่างๆ ขอให้กระทำด้วยความระมัดระวัง งดเผยแพร่ข้อความที่เป็นเท็จ บิดเบือนหรือข่าวปลอม รวมถึงต้อง ไม่ยุยง ปลุกปั่น สร้างความแตกแยกในสังคม ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ต้องไม่ละเมิดสถาบันหลักของประเทศ เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ รวมถึง พรก.ฉุกเฉินฯ ที่ประกาศใช้ล่าสุด” นายพุทธิพงษ์กล่าว ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกตู่” สั่งกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผนึกกำลัง ดูแลแรงงานเก็บผลไม้ หาเงินเข้าไทย
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 “นายกตู่” สั่งกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผนึกกำลัง ดูแลแรงงานเก็บผลไม้ หาเงินเข้าไทย รมว.แรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี สั่งการกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดมาตรการดูแลคนงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 กำชับต้องยึดความปลอดภัยทั้งแรงงานที่หาเงินเข้าประเทศและส่วนรวม รมว.แรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานดำเนินการตามนโยบายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการส่งเสริมให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองคนงานไทยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จึงได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กำหนดมาตรการในการดูแลและคุ้มครองคนงานไทยที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์และสวีเดน ฤดูกาลปี 2020 ซึ่งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 – ถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้พิจารณาอนุญาตการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า ฤดูกาลปี 2020 โดยมีบริษัทนายจ้างในประเทศไทยยื่นขออนุญาตพาลูกจ้างไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดน จำนวน 7 บริษัท มีคนงานที่เดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนจำนวนทั้งสิ้น 3,040 คน สำหรับการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ มีคนงานไทยแจ้งการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ จำนวนทั้งสิ้น 2,214 คน และมีบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์ จำนวน 15 บริษัท โดยกรมการจัดหางานได้ดำเนินการอบรมและชี้แจงทำความเข้าใจให้คนงานไทยทุกคนทราบและเข้าใจในเงื่อนไขและความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ที่อาจเกิดขึ้นก่อนเดินทาง ซึ่งเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลเก็บผลไม้ป่าปี 2020 แรงงานส่วนใหญ่ได้ทยอยเดินทางกลับถึงประเทศไทย ระหว่างวันที่ 1 – 22 ตุลาคม 2563 โดยสายการบินไทย สายการบิน Emirates Airline สายการบิน Qatar Airline และสายการบิน Finnair จำนวน 21 เที่ยวบิน มีคนงานไทย คนงานสนับสนุน ตัวแทนของบริษัทรับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์ และตัวแทนของบริษัทนายจ้างในประเทศไทยเดินทางกลับประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้น 5,293 คน จากประเทศฟินแลนด์ จำนวน 2,240 คน และประเทศสวีเดน จำนวน 3,053 คน โดยทุกคนต้องเข้ารับการกักกันโรคเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ในสถานที่กักกันแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) และสถานที่กักกันรูปแบบเฉพาะองค์กร (OQ) ตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคที่รัฐบาลกำหนด ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานให้ความสำคัญด้านการดูแลสุขภาพ สภาพความเป็นอยู่ การป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 การรับรองรายได้และค่าใช้จ่ายของคนงาน ตลอดจนการจัดการเดินทางกลับประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของรมว.แรงงาน โดยให้บริษัทรับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์และบริษัทนายจ้างสวีเดนและบริษัทนายจ้างในประเทศไทย ต้องดำเนินการจัดทำประกันสุขภาพให้คนงานไม่จำกัดวงเงินความคุ้มครอง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกักตัวในประเทศไทยระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน จ่ายเงินชดเชย จำนวน 1,000,000 บาท กรณีเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด - 19 การตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ก่อนไปและกลับประเทศ รวมทั้งจัดทำกรมธรรม์คุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาลโรคติดเชื้อโควิด-19 ในฟินแลนด์เพิ่มเติม การรับรองรายได้ขั้นต่ำให้คนงาน และค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างรอเดินทางกลับประเทศไทย โดยบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าฟินแลนด์ต้องประกันรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้คนงานไทยไม่ต่ำกว่า 82,500 บาท และวางหลักประกันรายได้ หากคนงานไทยมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ถึงจำนวนเงินดังกล่าว บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบให้คนงานไทยมีรายได้เท่ากับ 82,500 บาท สำหรับประเทศสวีเดนนายจ้างสวีเดน/บริษัทนายจ้างในประเทศไทยต้องรับรองรายได้ขั้นต่ำรายเดือนให้คนงานไทยตามที่สหภาพแรงงานส่วนท้องถิ่นแห่งสวีเดน (Swedish Municipal Worker’s Union หรือ Kommunal) ประกาศกำหนด เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 22,049 โครนา สวีเดน คิดเป็นเงินไทยจำนวน 71,659 บาท (เจ็ดหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบเก้าบาทถ้วน) “ จากข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2563 มีคนงานไทย คนงานสนับสนุน และตัวแทนบริษัทนายจ้างเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว จำนวน 4,841 คน (คิดเป็นร้อยละ 91.5) เดินทางจากประเทศฟินแลนด์ จำนวน 1,788 คน และประเทศสวีเดน จำนวน 3,053 คน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 618,341,720 บาท ทั้งยังสร้างรายได้ให้สถานประกอบการธุรกิจโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่กักตัวของคนงานไทย มากกว่า 135,020,500 บาท ส่งผลให้มีการจ้างพนักงานเพื่อให้บริการคนงานไทยกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการว่างงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อีกทางหนึ่ง” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36003
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สปสช.จับมือกรุงไทยใช้แอปเป๋าตังเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพ ดีเดย์ 15 ต.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 สปสช.จับมือกรุงไทยใช้แอปเป๋าตังเข้าถึงสิทธิสร้างเสริมสุขภาพ ดีเดย์ 15 ต.ค.นี้ เลขาธิการ สปสช. และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมแถลงข่าวโครงการพัฒนาระบบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ด้วย Krungthai Digital Health Platform ที่ Krungthai Innovation Lab อาคารสำนักงานใหญ่ (วันนี้ 15 ต.ค.63) นายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมแถลงข่าว โครงการพัฒนาระบบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ด้วย Krungthai Digital Health Platform ที่ Krungthai Innovation Lab อาคารสำนักงานใหญ่ นายแพทย์ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะองค์กรด้านสุขภาพ มีหน้าที่ดูแลประชาชนให้เข้าถึงสิทธิบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยเฉพาะบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่เป็นสิทธิประโยชน์ที่มอบให้กับคนไทยทุกคน ทุกสิทธิการรักษาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้ารับบริการ มีความปลอดภัย เพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการสุขภาพให้กับประชาชน โดยร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยพัฒนาแพลตฟอร์มกระเป๋าตังสุขภาพ หรือ Health Wallet บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง เพื่อรับสิทธิใช้บริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้ “ ที่ผ่านมาได้นำร่องบริการจองฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในกลุ่มเสี่ยง โดยร่วมกับ รพ.ศิริราช และในวันนี้ได้เปิดสิทธิให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถรับสิทธิประโยชน์บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 16 รายการ ไม่ว่าจะเป็น วัคซีน, คัดกรองความเสี่ยงในกลุ่มภาวะโรคเมตาบอลิก, คัดกรองมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก, วางแผนครอบครัว คุมกำเนิด, คัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ, กระตุ้นพัฒนาการเด็ก, ฝากครรภ์, ตรวจสุขภาพหญิงหลังคลอด และคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งเป็นบริการสุขภาพที่ประชาชนสิทธิบัตรทองสามารถเข้ารับบริการโดยนัดหมายเพื่อจองคิวรับบริการพร้อมเลือกหน่วยบริการล่วงหน้าผ่านเป๋าตังสุขภาพได้ สำหรับประชาชนสิทธิบัตรทองกรณีที่หน่วยบริการถูกยกเลิกสัญญาสปสช.ได้หารือกับธนาคารกรุงไทย ในการบรรเทาความเดือดร้อน โดยให้ใช้ช่องทางแอปเป๋าตังในการเปิดให้ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีนัดรับยาต่อเนื่อง สามารถจองคิวเลือกหน่วยบริการใกล้บ้านเพื่อรับยาผ่านแอปเป๋าตังได้ ซึ่งวิธีนี้จะสะดวกทั้งกับผู้ป่วยและหน่วยบริการที่ทราบล่วงหน้าจะทำให้ได้เตรียมยาไว้ให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ” นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สปสช.ให้ความไว้วางใจธนาคารกรุงไทยเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศ โดยธนาคารได้พัฒนาระบบ Krungthai Digital Health Platform เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้ขึ้นทะเบียนบัตรทอง และประชาชนที่ได้รับสิทธิสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้ เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิการรักษาพยาบาลของภาครัฐที่มอบให้กับประชาชนในการดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยสูงอายุ ผ่าน Health Wallet หรือ กระเป๋าตังสุขภาพ บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งที่ผ่านมา สปสช.ได้ให้ประชาชนจองสิทธิฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ผ่าน Health Wallet ไปแล้ว 15,000 สิทธิ และในครั้งนี้จะเปิดสิทธิอื่น ๆ ที่เป็นบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอีก 16 รายการ “การใช้งาน Health Wallet ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เป็นบริการที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับประชาชนผู้ขึ้นทะเบียนบัตรทอง โดยสามารถจองตารางนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้ารับบริการในโรงพยาบาล สถานพยาบาลและหน่วยบริการจำนวน 346 แห่งในกรุงเทพมหานคร โดยตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้ง ดูประวัติการใช้สิทธิย้อนหลัง มี QR Health ID ที่ยืนยันตัวตนแทนบัตรประชาชน รวมทั้งชำระค่าบริการส่วนเกินที่อยู่นอกเหนือสิทธิผ่าน Wallet ได้ทันที ส่วนโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการ สามารถใช้ระบบ Krungthai Digital Health Platform ในการบริหารจัดการผู้ได้รับสิทธิ บริหารงานบุคลากร ซึ่งจะช่วยลดความผิดพลาดการบันทึกข้อมูลของโรงพยาบาลในระบบการส่งเคลมค่าใช้จ่ายให้กับสปสช.ได้แบบเรียลไทม์ส่งผลให้การเบิกจ่ายเป็นไปอย่างรวดเร็ว เป็นไปตามที่สปสช.กำหนด จากเดิมที่ต้องใช้เวลาภายใน 45 วัน นอกจากนี้ ยังช่วยโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการบริหารจัดการและควบคุมปริมาณยาหรือวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายผยง ศรีวณิช กล่าวในตอนท้ายว่า ในเร็วๆ นี้ ธนาคารจะขยายสิทธิการให้บริการบน Application เป๋าตังเพิ่มเติม ในส่วนของสปสช. สำหรับสิทธิคนในครอบครัวการเพิ่มสมาชิกในครอบครัว เพื่อตรวจสอบสิทธิและนัดหมายเข้ารับบริการ ในส่วนของประชาชนที่ต้องการใช้บริการสิทธิและยังไม่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถดาวน์โหลดได้ที่ App Store และ Play Store โดยยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า กรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นสามารถใช้งาน Health Wallet และเข้าถึงสิทธิประกันสุขภาพของตนเองได้ทันที และหากมีค่าบริการส่วนเกินที่อยู่นอกเหนือสิทธิ สามารถเติมเงินเข้า Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ด้วย Wallet ID และ QR PromptPay ผ่าน Mobile Banking ทุกธนาคาร ทีม Marketing Strategy โทร 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35996
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" แจงเป้าหมายคุมโควิด 19 ไม่ได้ทำให้การติดเชื้อเป็นศูนย์ แต่ต้องคุมไม่ให้ระบาด ถึงเวลาต้องรุกจัดการ
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 "อนุทิน" แจงเป้าหมายคุมโควิด 19 ไม่ได้ทำให้การติดเชื้อเป็นศูนย์ แต่ต้องคุมไม่ให้ระบาด ถึงเวลาต้องรุกจัดการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยันเป้าหมายคุมโควิด 19 ไม่ใช่ปิดประเทศ แล้วทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ ไทยมีระบบตรวจจับและคัดกรองที่ดีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาด ถึงเวลารุกโควิดกลับ ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เร่งศึกษ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยันเป้าหมายคุมโควิด 19 ไม่ใช่ปิดประเทศ แล้วทำให้ผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ ไทยมีระบบตรวจจับและคัดกรองที่ดีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาด ถึงเวลารุกโควิดกลับ ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ เร่งศึกษาตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันเพื่อเสนอลดวันกักตัว เผยสยามไบโอไซเอนซ์เป็น Ideal Vaccine Factory นำมาสู่ความร่วมมือ ม.ออกซ์ฟอร์ด และแอสตราเซนเนกา ร่วมพัฒนาวัคซีนโควิดให้คนไทยเข้าถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทย ว่า ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ต่อสู้กับโรคโควิด 19 ทำให้วันนี้เรารู้จุดแข็งจุดอ่อนของไวรัสนี้แล้ว รู้ว่าการสวมหน้ากากอนามัยไวรัสทำอะไรเราไม่ได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีหลุดก็แค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งเรารับมือได้ ดังนั้นการทำทุกอย่างไม่ให้มีการติดเชื้อในประเทศ เป็น 0 เปอร์เซนต์จึงไม่ใช่เป้าหมายที่ถูกต้อง เราต้องเล็งเป้าหมายใหม่ ทุกวันนี้เรามีระบบการตรวจจับและคัดกรองที่ดีเยี่ยม ขอให้มีการเข้าประเทศอย่างถูกวิธีเราตรวจจับได้ทั้งหมด สามารถจัดการโรคโควิด 19 ได้ ขอเพียงเราสวมหน้ากากและล้างมือบ่อยๆ ส่วนการเข้ามาอย่างผิดวิธี เป็นหน้าที่ฝ่ายปกครองและความมั่นคง รวมถึงเป็นการสนับสนุนของ อสม.และประชาชนในการเฝ้าระวังคนแปลกปลอม อย่างไรก็ตาม แม้จะพบผู้ติดเชื้อเข้ามา ก็อย่าได้ตื่นตระหนก เรามีระบบตรวจจับและควบคุมโรคที่รวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในวงกว้าง นายอนุทินกล่าวต่อว่า สำหรับการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้แก่คนไทย ขณะนี้มีการลงนามเซ็นสัญญาร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสตราเซนเนกา จำกัด ซึ่งมาจากการที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซนเนกามาตรวจโรงงานของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์แล้วบอกว่านี่คือ "Ideal Vaccine Factory" ถือว่าเป็นโรงงานผลิตวัคซีนดีเลิศสมบูรณ์แบบ ทำให้เกิดความร่วมมือกัน โดยการพัฒนาค้นคว้าทดลองวิจัยเป็นเรื่องผู้ผลิตวัคซีน เมื่อได้สูตรต้องนำมาให้สยามไบโอไซเอนซ์ผลิต ซึ่งจะเป็นการผลิตวัคซีนในประเทศเอง โดยผลิตได้ 100-200 ล้านโดสในระยะเวลาที่กำหนดสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคใกล้เคียง และกระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรัดหน่วยงานในสังกัด เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ทั้งการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัย รวมถึงการขึ้นทะเบียน และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเตรียมงบประมาณ “จากนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องบุกโควิด 19 บ้าง แม้ในวันที่ไม่มีวัคซีนต้องปฏิบัติตนอย่างไร ดูแลประเทศอย่างไร ต้องเข้าใจว่าจะอยู่กับโรคนี้อย่างไร และอีก 1-2 สัปดาห์ การศึกษาระหว่างกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกัน หากมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ ก็จะเสนอเพื่อลดวันกักตัวลง นี่คือสิ่งที่ทำอยู่ ไมใช่ทำทุกอย่างเป็น 0 แล้วปิดประเทศ นี่ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล การที่เรามีการตรวจที่ประสิทธิภาพ แม่นยำ และช่วยให้ลดเวลากักตัวลงได้ถือเป็นข่าวดีมาก ซึ่งผมต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้นำบ้าง ไม่ใช่ตามวิธีการของประเทศอื่น ถึงเวลาที่เราต้องเป็นตัวอย่างแล้วให้ประเทศอื่นบอกว่าประเทศไทยเขาไปอย่างนี้แล้ว ต้องเป็นผู้นำบ้าง อย่าไปกลัว คิดอะไรได้ดี และทุกคนเห็นชอบก็ต้องเดินหน้า เราต้องกล้าเป็นคนนำในทุกมิติ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัย และก้าวออกจากยุคโควิด 19 ด้วยความมั่นใจ มั่นคง เป็นที่ยอมรับในทุกประเทศ” นายอนุทินกล่าว **************************** 15 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ส่ง เลขารัฐมนตรี คิกออฟ บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผู้ประกันตน อายุ 50 ปีขึ้นไป รพ.เครือข่ายทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ ส่ง เลขารัฐมนตรี คิกออฟ บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ผู้ประกันตน อายุ 50 ปีขึ้นไป รพ.เครือข่ายทั่วประเทศ รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมาย เลขานุการรัฐมนตรีฯ ตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ผู้ประกันตน ณ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี เขตคันนายาว กรุงเทพฯ ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เริ่มดีเดย์ 15 ต.ค. เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Healthy Thailand เพื่อผู้ประกันตน) ณ โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ถนนรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยเลขานุการรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด – 19 แม้ว่าประเทศไทยจะควบคุมการแพร่ระบาดได้ก็ตาม แต่การมีสุขภาพที่ดีของทุกคนจึงเป็นสิ่งสำคัญ และในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ผมมาตรวจเยี่ยมและกำลังใจผู้ประกันตนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากในแต่ละปีพบว่า มีกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนมาก กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ (Healthy Thailand เพื่อผู้ประกันตน) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ประกันตนให้ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ลดอัตราการเจ็บป่วยของผู้ประกันตนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มุ้งเน้นให้การคุ้มครองดูแลผู้ประกันตนซึ่งเป็นแรงงานสำคัญของประเทศ โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันมากกว่าการรักษา ที่สำนักงานประกันสังคมร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานีจัดให้มีขึ้นในวันนี้ นายสุเทพ กล่าวต่อว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ หรือโรงพยาบาลตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด โดยในวันนี้สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 ร่วมกับโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้จัดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตน ณ คลินิกประกันสังคมชั้น 2 อาคารนวราชจักรี นับเป็นนิมิตรหมายอันดีของความร่วมมือระหว่างสำนักงานประกันสังคมและพันธมิตรสถานพยาบาลประกันสังคม ในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคเพื่อให้ลูกจ้าง ผู้ประกันตน มีสุขภาพพลานามัยที่ดี มีความปลอดภัยในการทำงาน โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับวิถีการดำรงชีวิตแบบใหม่ (New Normal) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคระบาดจากเชื้อ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยสำนักงานประกันสังคมจะเริ่มให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ในปี 2563 ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ให้บริการได้ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคมของทุกปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35983
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน มอบหมอประจำตัว 3 คนสำหรับคนไทยทุกครอบครัว
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 อนุทิน มอบหมอประจำตัว 3 คนสำหรับคนไทยทุกครอบครัว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมอประจำตัว 3 คนดูแลสุขภาพคนไทย ทุกครอบครัว เจ็บป่วยได้รับการรักษาใกล้บ้าน จากหมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ต่อยอดให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมอประจำตัว 3 คนดูแลสุขภาพคนไทย ทุกครอบครัว เจ็บป่วยได้รับการรักษาใกล้บ้าน จากหมอประจำบ้าน หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว ต่อยอดให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) ที่ศาลากลางจังหวัดอำนาจเจริญ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจำตัว 3 คน) พร้อมมอบรางวัล อสม. ดีเด่น จำนวน 12 รางวัล และมอบชุดเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์สาหรับศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ให้แก่ตัวแทน อสม. 7 อำเภอๆ ละ 1 คน โดยมีประธาน อสม. จังหวัดอำนาจเจริญ ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมประชุม 600 คน นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ต้องการให้คนไทยมีหมอประจำตัว 3 คนดูแลสุขภาพใกล้บ้าน ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการรักษาพยาบาล สร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งเป็นเครือข่ายบริการสุขภาพที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน โดยมี “คลินิกหมอครอบครัว” ที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพดูแลประชาชนแบบองค์รวม ประชาชนรู้จักและเข้าถึงหมอประจำตัวทั้ง 3 คน เมื่อเจ็บป่วยหรือจำเป็นต้องได้รับบริการสุขภาพจะได้รับบริการจากหมอทั้ง 3 คนตามลำดับความรุนแรงของโรค ซึ่งทำงานร่วมกัน เชื่อมต่อข้อมูลของผู้ป่วยให้การรักษามีความต่อเนื่อง และส่งต่อผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อ เป็นการต่อยอดให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) ช่วยลดความแออัดและภาระงานของบุคลากรในโรงพยาบาล ทั้งนี้ หมอประจำตัว 3 คน ได้แก่ 1.หมอประจำบ้านคือ อสม. 1 คนรับผิดชอบ 8-15 หลังคาเรือน ขณะนี้มี อสม.ได้รับการอบรมเป็น อสม.หมอประจำบ้านแล้ว 84,793 คน มีหน่วยบริการปฐมภูมิและเครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิครอบคลุมประชากรร้อยละ 36.32.หมอสาธารณสุขคือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข/พยาบาล 1 คน รับผิดชอบประชาชน 1,250 คน และ3.หมอครอบครัวคือ แพทย์ที่มีองค์ความรู้หรือจบด้านเวชศาสตร์ครอบครัว 1 คนรับผิดชอบประชาชน 10,000 คน ทำงานร่วมกันในการดูแลให้ความรู้ ส่งเสริมสุขภาพประชาชนในพื้นที่ สำหรับจังหวัดอำนาจเจริญ มี อสม.ทั้งหมด 7,249 คน คลินิกหมอครอบครัวที่ขึ้นทะเบียน 20 หน่วย แพทย์ประจำคลินิกหมอครอบครัว 20 คน และบุคลากรสาธารณสุขปฏิบัติงาน รพ.สต. จำนวน 402 คน ************************************** 15 ตุลาคม 2563 ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35986
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Monthly Customs Press 1/2564
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 Monthly Customs Press 1/2564 อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่าง ๆ โดยคณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมดำเนินการแถลงข่าวเป็นประจำทุกเดือน วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร มีนโยบายให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย โครงการ และประเด็นต่าง ๆ โดยคณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมดำเนินการแถลงข่าวเป็นประจำทุกเดือนและสำหรับประเด็นที่น่าสนใจในการแถลงข่าวประจำเดือนตุลาคม 2563 ได้แก่ ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนกันยายน 2563 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนกันยายน 2563 ตามที่อธิบดีกรมศุลกากรมีนโยบายให้การเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทหาร กอ.รมน. ป.ป.ส. บช.ปส. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล(Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน สำหรับเดือนกันยายน 2563 กรมศุลกากรตรวจพบการกระทำผิดตามกฎหมายศุลกากรหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร จำนวน 1,460 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 243 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรตรวจพบการกระทำความผิดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) ทั้งสิ้น 24,508 คดี คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,258 ล้านบาท ผลงานที่น่าสนใจในช่วงเดือนกันยายน 2563 มีดังนี้ 1.1 การจับกุมยาเสพติดให้โทษประเภทเอ็กซ์ตาซี่ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 กรมศุลกากร ได้ตรวจพบพัสดุต้องสงสัย ต้นทางจากต่างประเทศ จำนวน 1 หีบห่อ จึงประสานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ศรภ. กองบัญชาการกองทัพไทยและพนักงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ร่วมกันเปิดตรวจพัสดุดังกล่าว ผลการตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เอ็กซ์ตาซี่) เม็ดสีฟ้า จำนวนประมาณ 50,070 เม็ด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 16.17 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 มีจำนวนคดี 223 คดี มูลค่ากว่า 1,340 ล้านบาท 1.2 การจับกุมน้ำมันดีเซล เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2563 กรมศุลกากร ได้ทำการตรวจสอบรถบรรทุกน้ำมัน จำนวน 2 คัน โดยคันที่ 1 ริมถนนพระราม 2 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบน้ำมันดีเซล 16,000 ลิตร คันที่ 2 ริมถนนหมายเลข 2020 ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร พบน้ำมันดีเซล 16,000 ลิตร มีเมืองกำเนิดต่างประเทศที่ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น รวมประมาณ 32,000 ลิตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 แสนบาท ทั้งนี้สถิติการจับกุมน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 ได้แก่ น้ำมันดีเซล จำนวน 315 คดี ปริมาณ 5.66 แสนลิตร มูลค่ากว่า 12.2 ล้านบาท น้ำมันเบนซิน จำนวน 367 คดี ปริมาณ 1.57 แสนลิตร มูลค่ากว่า 3.8 ล้านบาท 1.3 การจับกุมสินค้าเกษตร เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 กรมศุลกากรได้ตรวจค้นห้องเย็นแห่งหนึ่ง ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พบสินค้าเกษตรประเภทมันฝรั่ง มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ โดยไม่มีเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการทางศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น ปริมาณกว่า 15 ตัน มูลค่ากว่า 4 แสนบาท เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 กรมศุลกากรได้ทำการตรวจค้นบริเวณป่าสวนยาง ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผลการตรวจค้นพบ กระเทียมบรรจุกระสอบจำนวน 1,000 กระสอบ โดยไม่พบเอกสารหลักฐานการผ่านพิธีการทางศุลกากร มูลค่ากว่า 320,000 บาท เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 กรมศุลกากรได้ออกลาดตระเวนเพื่อป้องกันการกระทำความผิดทางกฎหมายศุลกากร บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 43 หาดใหญ่- ปัตตานี พบรถบรรทุกสิบล้อจำนวน 2 คัน มีคลุมผ้าใบมิดชิด ขับมุ่งหน้าเข้า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบมะพร้าว จำนวนรวมประมาณ 27 ตัน โดยไม่มีเอกสารหลักฐานการนำเข้าหรือเอกสารประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มูลค่ากว่า 430,000 บาท ทั้งนี้ สถิติการตรวจยึดสินค้าเกษตรในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 มีจำนวนคดี ทั้งสิ้น 627 คดี มูลค่ากว่า 44.8 ล้านบาท 1.4 การจับกุมบุหรี่ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2563 กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ได้ทำการตรวจสอบสินค้าที่นำเข้าทางเรือ พบบุหรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยได้รับแจ้งจากตัวแทนฯ เครื่องหมายการค้า ว่ามีการละเมิดเครื่องหมายการค้า ดังกล่าว จำนวน 1,040 หีบห่อ (CT) ปริมาณ 520,000 ซอง ถือเป็นการนำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงข้อห้าม อันเป็นความผิดฐานสำแดงเท็จหลีกเลี่ยงข้อห้าม ตามมาตรา 202 และมาตรา 244 ประกอบ มาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ.2560 พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 และ พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ได้ทำการตรวจสอบพบบุหรี่ละเมิดเครื่องหมายการค้า จำนวน 1,000 หีบห่อ (50 COTTON/หีบห่อ) (10 ซอง/COTTON) ปริมาณรวม 500,000 ซอง (20 มวน/ซอง) ถือเป็นการนำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงข้อห้าม อันเป็นความผิดฐานสำแดงเท็จหลีกเลี่ยงข้อห้าม ตามมาตรา 202 และมาตรา 244 ประกอบ มาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ.2560 พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 และ พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 43.9 ล้านบาท ทั้งนี้สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 มีจำนวนคดี ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 849 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 248.5 ล้านบาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 656 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 15.1 ล้านบาท 1.5. ผลการจับกุมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 กรมศุลกากรตรวจพบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่แสดง(สำแดง) เป็นสิ่งปรุงแต่งที่มีกลิ่นหอม ผ่านทางสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อส่งสินค้าตัวอย่างให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตรวจสอบ พบว่า เป็นสินค้าที่เข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ ตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งแก้ไขและเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 สินค้าเข้าข่ายเป็นยา ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และสินค้าที่เข้าข่ายเป็นอาหาร ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นการนำของต้องกำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ตั้งเป้าไทยเป็นฮับโปรตีนแมลงโลก ส่งเสริมเกษตรทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรยุคโควิด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 “เฉลิมชัย” ตั้งเป้าไทยเป็นฮับโปรตีนแมลงโลก ส่งเสริมเกษตรทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรยุคโควิด “เฉลิมชัย” ตั้งเป้าไทยเป็นฮับโปรตีนแมลงโลก ส่งเสริมเกษตรทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรยุคโควิด “อลงกรณ์” เร่งขับเคลื่อนนโยบายจับมือเครือข่ายมหาวิทยาลัยตั้ง “ศูนย์เทคโนโลยีแมลง” นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร4.0แถลงวันนี้(15ต.ค.)ว่าดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดนโยบายตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตโปรตีนจากแมลงหรือฮับแมลงโลกโดยมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดให้แก่เกษตรกรเพื่อสร้างรายได้โดยได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดเร่งส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดซึ่งมีกว่า20,000ฟาร์มเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลผลิตให้ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศนายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่านโยบายดังกล่าวสอดรับกับแนวทางขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO: Food and Agriculture Organization)ที่ประกาศให้“แมลงเป็นแหล่งอาหารในอนาคตของโลก”โดยFAOคาดการณ์ว่าจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ของโลกซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนเพิ่มขึ้น30%ภายใน15ปีข้างหน้าการสนับสนุนการบริโภคโปรตีนจากแมลงจึงเป็นหนึ่งในแนวทางในการรับมือกับอาหารในอนาคตที่ดีที่สุดซึ่งผลการวิจัยเรื่องอาหารแห่งอนาคต(Future Food)และอาหารใหม่(Novel Food)พบว่า“แมลง”มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งแคลเซียมซิงค์วิตามินบี2บี12ในปริมาณสูงมีโอเมกา3 6 9รวมทั้งไฟเบอร์ซึ่งเป็นไฟเบอร์จากสัตว์เพียงชนิดเดียวช่วยปรับสมดุลในลำไส้นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกายอีกกว่า10ชนิดสำหรับแมลงที่มีอยู่นับล้านชนิด“จิ้งหรีด”เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดและข้อมูลจากบริษัทResearch and Marketsระบุว่าตลาดแมลงรับประทานได้ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตระหว่างปี2018-2023คิดแบบCompound Annual Growth Rate (CAGR)ที่ร้อยละ23.8และคาดว่าในปี2023ตลาดจะมีขนาด37,900ล้านบาทโดยตลาดเอเชียมีสัดส่วนถึง30-40%ของทั้งโลกที่เหลือกระจายตัวอยู่ทั้งในยุโรปตะวันออกกลางแอฟริกาลาตินอเมริกาและอเมริกาเหนือจากข้อมูลของกรมวิชาการเกษตรพบว่าประเทศไทยมีแมลงที่มีคุณค่าอาหารอย่างน้อย194ชนิดเช่นจิ้งหรีดจิ้งโกร่งตั๊กแตนหนอนและดักแด้ไหมปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นตลาดหลักในการส่งออกแมลงไปขายทั่วโลก นายอลงกรณ์กล่าวว่าโปรตีนจากแมลงจัดเป็นซูเปอร์ฟู้ด(Super Food)และเป็นอาหารแห่งอนาคต(Future Food)ที่ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตการแปรรูปและการตลาดรวมทั้งส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยทั้งนี้จะมีการจัดตั้ง“ศูนย์เทคโนโลยีแมลง”ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC: Agritech and Innovation Center)โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับอีกอย่างน้อย4มหาวิทยาลัยได้แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มหาวิทยาลัยแม่โจ้และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กระบวนการผลิตการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆทั้งแบบสดแช่แข็งทอดคั่วหรือบรรจุกระป๋องรวมถึงทำเป็นผงบดเพื่อเป็นส่วนผสมในการทำเบเกอรี่และแปรรูปเป็นแป้งจำพวกเส้นพาสต้าโปรตีนบาร์ผงแป้งขนมขบเคี้ยวและprotein shakesซึ่งกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปสหรัฐอเมริกาแคนาดาเอเชียตะวันออกละตินอเมริกาแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างให้ความสนใจต่อการบริโภคเป็นอย่างมากซึ่งตลาดส่งออกไทยไปต่างประเทศได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วเติบโตถึงร้อยละ23ต่อปีโดยเฉพาะสหรัฐฯสหภาพยุโรปญี่ปุ่นและจีนและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมกอช.ได้ประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตรเรื่องการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี(GAP)สำหรับฟาร์มจิ้งหรีด(มกษ.8202-2560)เป็นมาตรฐานทั่วไป นอกจากนี้กรมส่งเสริมการเกษตรส่งเสริมให้เกษตรกรรวมตัวกันเป็นกลุ่มแปลงใหญ่ผู้เลี้ยงแมลงโดยเฉพาะจิ้งหรีดปัจจุบันมีแปลงใหญ่จิ้งหรีดทั้งหมดจำนวน11แปลงเกษตรกรสมาชิก469รายพื้นที่รวมประมาณ848.5ไร่ใน10จังหวัดได้แก่ได้แก่จังหวัดกาฬสินธุ์ขอนแก่นนครพนมบุรีรัมย์พิจิตรพิษณุโลกมหาสารคามลพบุรีสระแก้วและจังหวัดสุโขทัยโดยมีกำลังการผลิตรวมกว่า1.1พันตันรวมทั้งส่งเสริมเกษตรกรที่สนใจเพื่อยกระดับมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีดส่งเสริมให้เกษตรกรไทยหันมาเลี้ยงจิ้งหรีดทั้งสายพันธุ์ทองดำทองแดงและสะดิ้งเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการประกอบอาชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรในยุคโควิด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตจิ้งหรีดรวมมากกว่า7,000ตันต่อปีและสามารถป้อนตลาดภายในและต่างประเทศรวมทั้งกรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมเกษตรกรหม่อนไหมกว่า20,000รายในการพัฒนาดักแด้ไหมเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มาแรงเป็นที่ต้องการอย่างมากในขณะนี้ นายอลงกรณ์กล่าวว่าประเทศไทยมีบริษัทสตาร์อัพของคนไทยที่ผลิตและทำตลาดผลิตภัณฑ์ผงโปรตีนจากจิ้งหรีดเป็นรายแรกๆของโลกส่งออกไปยังกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปแคนาดาญี่ปุ่นและออสเตรเลียและมีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับการแปรรูปแมลงทยอยเกิดขึ้นตามมาแมลงถือเป็นSuper foodมีสารอาหารสูงในต่างประเทศมีการแปรรูปเพื่อนำไปใช้ในหลายรูปแบบเช่นเป็นส่วนผสมในยาทำเป็นผงแป้งผสมในขนมกรุบกรอบหรืออาหารแม้แต่เครื่องสำอางค์และอาหารเสริมฯลฯซึ่งกระทรวงเกษตรสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยตลอดห่วงโซ่อุปทานเน้นการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆสร้างมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมทำการตลาดแบบไฮบริดทั้งออฟไลน์และออนไลน์โดยขณะนี้มีการจำหน่ายบนตลาดออนไลน์เช่นShopee Lazadaฯลฯ “ปัจจุบันมีบริษัทไทยและบริษัทต่างชาติลงทุนทำฟาร์มเพาะเลี้ยงในพื้นที่ภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางและตั้งโรงงานแปรรูปแมลงเพื่อส่งออกมีแบรนด์ของตัวเองเช่นแบรนด์ProteGoผงโปรตีนจากจิ้งหรีด(Cricket Powder)ที่ขอนแก่นและบริษัทคริกเกทแลบจำกัดตั้งอยู่ที่อำเภอสารภีจังหวัดเชียงใหม่เป็นฟาร์มจิ้งหรีดระบบปิดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและยังเป็นโรงงานผู้ผลิตผงโปรตีนจากจิ้งหรีดตามมาตรฐานยุโรปเช่นเดียวกับบริษัทโกลบอลบั๊คที่อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นับเป็นสินค้าเกษตรและอาหารที่มีอนาคตและตอบโจทย์ความต้องการโปรตีนรูปแบบใหม่ที่มีโภชนาการสูงประเภทอาหารใหม่(Novel Food)ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ”นายอลงกรณ์กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35984
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เปิดตัว BAAC Connect บริการแจ้งเตือนเงินเข้าออกบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. เปิดตัว BAAC Connect บริการแจ้งเตือนเงินเข้าออกบัญชีผ่าน LINE Official BAAC Family ธ.ก.ส. ตอบรับกระแส Digital Banking เปิดตัว BAAC Connect บริการแจ้งเตือนเงินเข้าออกบัญชีบนสมาร์ทโฟนผ่าน LINE Official BAAC Family เพียงคลิกเมนู “ลงทะเบียน BAAC Connect” ทาง LINE Official BAAC Family ไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่ม 20 ตุลาคมนี้ ธ.ก.ส. ตอบรับกระแส Digital Banking เปิดตัว BAAC Connect บริการแจ้งเตือนเงินเข้าออกบัญชีบนสมาร์ทโฟนผ่าน LINE Official BAAC Family รู้ทุกความเคลื่อนไหวของเงินในบัญชี สมัครได้ง่าย ๆ เพียงคลิกเมนู “ลงทะเบียน BAAC Connect” ทาง LINE Official BAAC Family ตั้งเป้ายอดใช้งาน 200,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่ม 20 ตุลาคม นี้ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธ.ก.ส. ได้เปิดตัวบริการ LINE Official บนเครื่องมือสื่อสารใกล้ตัว เช่น สมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต ภายใต้ชื่อ “BAAC Family” เพื่อใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารผลิตภัณฑ์ บริการ ข้อมูลข่าวสารไปยังลูกค้า และยังสามารถตรวจผลสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ข้อมูลบริการทางการเงินที่สนใจ การดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile บริการ A Rewards การติดต่อ Call Center การค้นหาสาขาใกล้บ้านและความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมถึงยังเป็นช่องทางแจ้งความประสงค์ขอรับการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สินเชื่อ New Gen Hug บ้านเกิด และสินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งปัจจุบันมียอดผู้ติดตามกว่า 7 ล้านคน เพื่อเป็นการขยายบริการที่หลากหลายให้กับลูกค้า ธ.ก.ส. ได้เปิดตัว “BAAC Connect” บริการ แจ้งเตือนเงินเข้า - ออกจากบัญชีเงินฝาก ผ่านทาง Line Official BAAC Family ซึ่งสามารถแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝาก เช่น ฝาก โอน ถอน จ่ายบิล พร้อมแจ้งยอดเงินคงเหลือ อีกทั้งยังมีความปลอดภัยเนื่องจากเป็นเพียงบริการแจ้งเตือนและให้ข้อมูลกับลูกค้าโดยตรง ที่สำคัญลูกค้าไม่ต้องเสียใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้ลูกค้าเข้าถึงทุกการเคลื่อนไหวของเงินในบัญชีของท่าน โดยจะเปิดให้บริการในวันที่ 20 ตุลาคม 2563 โดย ธ.ก.ส. ตั้งเป้าหมายลูกค้าที่เข้าถึงบริการเบื้องต้น 200,000 คน ภายในสิ้นปีนี้ และ 500,000 คน ภายใน 31 มีนาคม 2564 สำหรับการสมัครใช้บริการสามารถสมัครได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเดินทางไปสาขา เพียงใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บแล็ต ผ่านช่องทาง LINE Official BAAC Family คลิก “ลงทะเบียน BAAC Connect” ทาง Rich Menu กรณียังไม่ได้เพิ่มเพื่อน LINE Official BAAC Family สามารถเพิ่มเพื่อนได้โดยสแกน QR Code หรือค้นหาไอดี @baacfamily ทางแอปพลิเคชัน LINE นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเปลี่ยนบัญชีหรือยกเลิกบริการแจ้งเตือนได้ด้วยตนเอง ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35988
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ปิดให้บริการสาขาบิ๊กซี ราชดำริ ชั่วคราว วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ธอส.ปิดให้บริการสาขาบิ๊กซี ราชดำริ ชั่วคราว วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งปิดการให้บริการธุรกรรมทางการเงินทุกประเภทที่สาขาบิ๊กซี ราชดำริ เป็นการชั่วคราว ในวันพฤหัสที่ 15 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นสาขาที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งปิดการให้บริการธุรกรรมทางการเงินทุกประเภทที่สาขาบิ๊กซี ราชดำริ เป็นการชั่วคราว ในวันพฤหัสที่ 15 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นสาขาที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางไปใช้บริการ โดยลูกค้าสามารถติดต่อใช้บริการธนาคารได้ที่สาขาใกล้เคียง (สาขาสยามสแควร์ โทร 02-115-1322 ถึง 27, สาขาไมตรีจิต โทร 0-2623-3034 ถึง 8, สาขาสุขุมวิท โทร 02-260-6345, สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 โทร 0-2160-3426 ถึง 9 และสำนักงานใหญ่ พระราม 9) หรือสาขาอื่น ๆ ที่ท่านสะดวก ทั้งนี้ ธนาคารได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการให้บริการ ณ สาขาใกล้เคียง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าทุกท่านแล้ว และหากมีการเปลี่ยนแปลงจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร 0-2645-9000 และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ขอความร่วมมือทุกฝ่ายค้ำจุนพระพุทธศาสนา
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ขอความร่วมมือทุกฝ่ายค้ำจุนพระพุทธศาสนา นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ขอความร่วมมือทุกฝ่ายค้ำจุนพระพุทธศาสนา วันนี้ (15ต.ค.63)เวลา13.00น. ณ ห้องประชุม302ตึกบัญชาการ1ทำเนียบรัฐบาลนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร นำคณะ เข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำหรับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมฯ ประกอบด้วย1)ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา2)ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา พ.ศ. ....3)ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพุทธแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....4)ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน พ.ศ. ....5)เรื่องแนวทางการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้แก่พระภิกษุและสามเณรที่ได้รับ ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) 6)เรื่องแนวทางการรณรงค์ส่งเสริม สนับสนุนให้วัดจัดทำบัญชีการเงินและทรัพย์สินของวัด เพื่อความโปร่งใสและสร้างศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชน7)เรื่องแนวทางการยกเลิกการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลด ปัญหาความเดือดร้อนให้แก่วัดที่มีขนาดเล็กทั่วประเทศ ซึ่งมีรายรับที่ได้จากการท าบุญบริจาคไม่เพียงพอ ต่อการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้วยังจะต้องกำหนดให้วัดต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และ8)เรื่องแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนการสร้างพุทธมณฑลจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัด นครศรีธรรมราช โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับฟังข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ และสอบถามในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยความสนใจ พร้อมมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นคณะกรรมาธิการที่มีความสำคัญอย่างมากซึ่งทำงานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับด้านศาสนาซึ่งศาสนาพุทธเป็นหนึ่งในศาสนาสำคัญของชาติ และศาสนายังเป็นเสาหลักของประเทศ คือ“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”ศาสนายังเป็นที่พึ่งของคนสังคมไทยในทุกมิติและทุกสถานการณ์ทั้งยามสุขและยามทุกข์ เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ทุกอย่างไปได้ด้วยดี รวมทั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณคณะกรรมาธิการฯ และที่ปรึกษาทุกคน ที่ได้มีโอกาสร่วมหารือในประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าวและยินดีที่จะร่วมมือทำงานกับทุกคนในทุกมิติอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อเนื่องต่อไป ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ ส่งที่ปรึกษารัฐมนตรี ลุยเมืองกาญจน์ ส่งเสริมอาชีพแรงงานอิสระ สร้างรายได้ที่มั่นคง
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ ส่งที่ปรึกษารัฐมนตรี ลุยเมืองกาญจน์ ส่งเสริมอาชีพแรงงานอิสระ สร้างรายได้ที่มั่นคง รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมายให้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เยี่ยมและให้กำลังใจกลุ่มแรงงานนอกระบบ รับฟังข้อมูลการขับเคลื่อนนโยบายด้านแรงงาน ประชุมหัวหน้าส่วน ส่งเสริมอาชีพแรงงานอิสระกลุ่มผู้สูงอายุ ให้มีรายได้ที่มั่นคง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจกลุ่มแรงงานนอกระบบ ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองทราย ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โอกาสนี้ได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่กลุ่มอาชีพที่มาร่วมออกบูธ ได้แก่ กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน 1 กลุ่ม คือ กลุ่มจักรสานเส้นพลาสติก กลุ่มผู้สูงอายุจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มขนมกล้วยอบเนย ขนมทองม้วน ขนมนางเล็ด พริกแกง ผ้าขาวม้าทอมือ ข้าวสารบรรจุถุง กลุ่มการทำพรมเช็ดเท้า และไม้กรวดดอกหญ้า เป็นต้น ในช่วงบ่าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติราชการกระทรวงแรงงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้กับหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) ที่เปิดบริการให้นายจ้างพาแรงงานต่างด้าวมาดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 ตุลาคมนี้ และเยี่ยมชมร้านค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งได้เปิดพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายสินค้าของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและกลุ่มผู้สูงอายุภายในจังหวัดอีกด้วย ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดกาญจนบุรี ถ.แม่น้ำแม่กลอง ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอาชีพให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และมีรายได้ที่มั่นคง เป็นการกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่น ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อมาประชุมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการของกระทรวงแรงงาน พร้อมรับฟังข้อมูลสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ตลอดจนเยี่ยมเยียนพบปะพูดคุยเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการพัฒนาอาชีพของกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านและกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่อีกด้วย โอกาสนี้ ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน ได้กำชับให้หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่เข้าไปดูแลส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานอิสระตามภารกิจของหน่วยงาน ทั้งการให้สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ในระบบประกันสังคม การสมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน การรณรงค์ส่งเสริมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน การส่งเสริมการพัฒนาทักษะฝีมือและฝึกอาชีพตามความต้องการ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่กลุ่มอาชีพ ตลอดจนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานอิสระให้ดียิ่งขึ้น จากนั้น ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ และคณะ ยังได้ไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานลงทะเบียนสิทธิเพื่อขอรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ การมอบใบรับรองแก่เครือข่าย “บวร” (บ้าน วัด โรงเรียน) จำนวน 3 ราย และมอบสิ่งของเพื่อการดำรงชีวิตประจำวันแก่ผู้ทุพพลภาพ จำนวน 1 ราย ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดกาญจนบุรี ถนนแม่น้ำแม่กลอง ตำบลปากแพรก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี สำหรับสถานการณ์ด้านแรงงาน พบว่า ในไตรมาส 2 ปี 2563 มีประชากร 796,705 คน อยู่ในวัยทำงาน 648,172 คน อยู่ในกำลังแรงงาน 464,099 คน ผู้มีงานทำ 446,959 คน อยู่ในภาคเกษตร 189,206 คน อยู่นอกภาคเกษตร 257,726 คน ผู้ว่างงาน 13,763 คน มีแรงงานนอกระบบ 290,962 คน มีสถานประกอบการกองทุนเงินทดแทน 3,276 แห่ง ลูกจ้าง 69,924 คน กองทุนประกันสังคม 3,118 แห่ง ลูกจ้าง 128,721 คน ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยโควิด -19 จำนวน 12,259 ราย เป็นเงิน 113,204,326 บาท มีแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ 26,404 คน ชนกลุ่มน้อย 5,795 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35998
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 โครงการคนละครึ่งเริ่มลงทะเบียนพรุ่งนี้ ระบบการลงทะเบียนและแอปพลิเคชันต่างๆ ของโครงการคนละครึ่งมีความพร้อมแล้วสำหรับการเปิดรับลงทะเบียนของประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (16 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 23.00 น. นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ระบบการลงทะเบียนและแอปพลิเคชันต่างๆ ของโครงการคนละครึ่งมีความพร้อมแล้วสำหรับการเปิดรับลงทะเบียนของประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (16 ตุลาคม 2563) เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 23.00 น. การลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้มีขั้นตอนง่ายๆ เพียง 3 ขั้นตอน คือ 1) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยกรอกข้อมูลชื่อ-สกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสหลังบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 2) รอรับ SMS แจ้งผลการลงทะเบียน 3) ติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และยืนยันตัวตน และเมื่อดำเนินการครบก็สามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ซึ่งผู้ได้รับสิทธิจะต้องเริ่มใช้จ่ายภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ตนได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิหรือวันที่เปิดให้เริ่มใช้จ่ายตามโครงการ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิและไม่สามารถลงทะเบียนได้อีก รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่า ระบบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้มีการพัฒนาโดยมีการขยาย bandwidth เพื่อรองรับการลงทะเบียนของประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการได้พร้อมกัน 100,000 คนต่อวินาที และไม่ได้มีการจำกัดผู้เข้าลงทะเบียนต่อวัน จึงขอเชิญชวนประชาชนที่มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปในวันลงทะเบียน มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งได้รับสิทธิจากโครงการอื่นแล้ว ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยสามารถลงทะเบียนได้ต่อเนื่องจนกว่าจะครบ10 ล้านคน อย่างไรก็ดี ผู้ได้รับสิทธิและใช้สิทธิตามโครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการช้อปดีมีคืนได้ จึงขอให้พิจารณาเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการที่เหมาะสมกับการใช้จ่ายของท่าน สำหรับการลงทะเบียนของผู้ประกอบการร้านค้า ตั้งแต่วันที่ 1 – 14 ตุลาคม 2563 มีผู้ประกอบการร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการสะสมจำนวน 236,648 ร้านค้า แบ่งเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มจำนวน 115,824 ร้านค้า ร้านธงฟ้าจำนวน 42,382 ร้านค้า ร้าน OTOP จำนวน 9,564 ร้านค้า และร้านค้าทั่วไปและอื่นๆ จำนวน 68,878 ร้านค้า โดยผู้ประกอบการร้านค้ายังสามารถลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ของทุกวัน หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือจุดรับลงทะเบียนในวันและเวลาทำการ โดยธนาคารกรุงไทยจะช่วยติดตั้งและแนะนำการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อรับชำระเงินจากการขายสินค้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดรับสมัคร “1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” รอบ 3
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 เปิดรับสมัคร “1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่” รอบ 3 วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลรับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ รอบที่ 3 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บรรเทาปัญหาการว่างงาน ลดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคการเกษตรไปสู่ภาคอื่น ๆ และส่งเสริมแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่เน้นการพึ่งพาตนเองลงไปถึงระดับหมู่บ้าน สร้างภูมิคุ้มกันต่อวิกฤติต่าง ๆ และสร้างความมั่นคงทางอาหารในตำบล สำหรับเกษตรกรที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นใบสมัครด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือยื่นใบสมัครกับเจ้าหน้าที่เกษตรตำบล หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ตั้งแต่บัดนี้ – 22 ต.ค. 2563 โดยคาดว่าจะเริ่มจ้างงานได้ภายในวันที่ 30 ต.ค. นี้ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35977
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“โฆษกรัฐบาล” ระบุจำเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ป้องกันมิให้เกิดรุนแรง เตือนใช้สื่อโซเชียลด้วยความระมัดระวัง เชื่อมีเวทีหารือร่วมกันในกรอบของกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ​“โฆษกรัฐบาล” ระบุจำเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ป้องกันมิให้เกิดรุนแรง เตือนใช้สื่อโซเชียลด้วยความระมัดระวัง เชื่อมีเวทีหารือร่วมกันในกรอบของกฎหมาย ​“โฆษกรัฐบาล” ระบุจำเป็นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ป้องกันมิให้เกิดรุนแรง เตือนใช้สื่อโซเชียลด้วยความระมัดระวัง เชื่อมีเวทีหารือร่วมกันในกรอบของกฎหมาย วันนี้ เวลา 12.45 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยความจำเป็นการออกประกาศและคำสั่งทั้งหมด 4 ฉบับ เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในอนาคต โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นที่ต้องออกประกาศและคำสั่ง 4 ฉบับ เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในอนาคต จากกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการกระทบกับขบวนเสด็จพระราชดำเนินฯ มีการกล่าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้วาจาปลุกปั่น รวมทั้งป้องกันมิให้เกิดการเผชิญหน้าของประชาชนคนไทยด้วยกันเองทั้งนี้ ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ดังเช่นวานนี้อีก ดังนั้น รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อย และป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต จึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้ระมัดระวังในเรื่องต่าง ๆ ที่จะต้องดำเนินการจากนี้ไปตามคำสั่งที่เป็นข้อกำหนด อันได้แก่ ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือการกระทำใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ห้ามเสนอข่าว ห้ามจำหน่ายหรือห้ามเผยแพร่ซึ่งหนังสือสิ่งพิมพ์และสิ่งอื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ข้อความที่อาจจะทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั่วราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ห้ามใช้ยานพาหนะที่มีเงื่อนไขตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบกำหนดไว้ ห้ามใช้ หรือเข้าไป หรืออยู่ในอาคารหรือสถานที่ใด ๆ และให้ออกจากอาคารหรือสถานที่ใด ๆ ตามที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบประกาศกำหนดไว้ ทั้งหมดนี้มีเงื่อนเวลาในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและมีการแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควรแล้ว เชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะมีเวทีในการรับฟังความคิดเห็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า รัฐบาลต้องการให้ผู้ชุมนุมเคารพในสิทธิและเสรีภาพของส่วนรวม เนื่องจากปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และดูแลเศรษฐกิจ โดยหลายประเทศได้กล่าวชื่นชมไทยที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ และเห็นว่ามาตรการเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมา ร่วมกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการเศรษฐกิจที่จะออกมาเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี จะไม่เป็นผลสำเร็จหากในประเทศไม่สงบเรียบร้อย ในช่วงท้าย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ระมัดระวังการใช้โซเชียลมีเดีย ในการโพสต์ข้อความหรือแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมพูดคุยกัน ด้วยความเรียบร้อยและอยู่ในกรอบของกฎหมายทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยของเราได้เดินหน้าต่อไปได้ ตามแนวคิด “รวมไทย สร้างชาติ” ---------------------------------- กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการมุ่งเยียวยาความเดือดร้อนอย่างครอบคลุมและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการมุ่งเยียวยาความเดือดร้อนอย่างครอบคลุมและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ระเบียบ ก.คลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 ข้อ 27 กำหนดให้การจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่ ก.คลังกำหนด นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ข้อ 27 กำหนดให้การจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยบทเฉพาะกาลได้กำหนดให้ระหว่างที่ยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราในการจ่ายเงินทดรองราชการตามระเบียบนี้ ให้ใช้หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่ออกตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 ไปพลางก่อน “กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางอาศัยอำนาจตามความข้อ 27 ของระเบียบดังกล่าว กำหนดหลักเกณฑ์ การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ด้านการดำรงชีพ 2.ด้านสังคมสงเคราะห์ 3.ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข 4.ด้านการเกษตร 5.ด้านบรรเทาสาธารณภัย และ 6.ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์แต่ละด้านให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน เช่น สามารถเบิกจ่ายค่าจัดหาวัสดุ ได้แก่ กระสอบ ทราย ดิน ลูกรัง เสาเข็ม ไม้แบบ เพื่อนำไปแก้ไขเหตุการณ์กรณีเร่งด่วนฉุกเฉินจากภัยพิบัติที่จะทำความเสียหายต่อสิ่งสาธารณประโยชน์ หรือความเสียหายต่อประชาชนโดยส่วนรวม เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม สำหรับการดำเนินการช่วยเหลือในลักษณะที่จ่ายเป็นเงินมีการปรับปรุงบางรายการ เช่น ค่าวัสดุซ่อมแซมที่อยู่อาศัยประจำซึ่งผู้ประสบภัยพิบัติเป็นเจ้าของที่ได้รับความเสียหายเท่าที่จ่ายจริง จากเดิมหลังละไม่เกิน 33,000 บาท ปรับเพิ่มขึ้นเป็นหลังละไม่เกิน 49,500 บาท ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองกฎหมาย กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 127 7000 ต่อ 4320 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ลงพื้นที่ให้กำลังใจ อสม.และเจ้าหน้าที่ ร่วมกันเฝ้าระวังป้องกันจ.สุราษฎร์ธานีจากโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 สาธิต ลงพื้นที่ให้กำลังใจ อสม.และเจ้าหน้าที่ ร่วมกันเฝ้าระวังป้องกันจ.สุราษฎร์ธานีจากโควิด 19 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมการจัดการโควิด 19 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี อสม. เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกับชุมชน เฝ้าระวัง ป้องกันโรค ทำให้ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมการจัดการโควิด 19 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี อสม. เจ้าหน้าที่ทำงานร่วมกับชุมชน เฝ้าระวัง ป้องกันโรค ทำให้ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม วันนี้ (15 ตุลาคม 2563) ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ​ดร.สาธิต​ ปิตุ​เต​ชะ​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​สาธารณสุข​ พร้อมด้วย นายแพทย์​พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้​ตรวจราชการ​กระทรวง​สาธารณสุข​เขต​สุขภาพ​ที่​ 11​ และคณะ ลง​พื้นที่​ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่โรงพยาบาลบ้านนาเดิม โรงพยาบาลท่าชนะ โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ดร.สาธิตกล่าวว่า อสม.เป็นกำลังสำคัญ ที่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะช่วยสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา อสม.ได้ลงเคาะประตูบ้านให้ความรู้ เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคโควิด 19 และทำงานร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมตำบล โรงพยาบาลชุมชน ผู้นำชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยที่รพ. ท่าชนะ พบผู้ติดเชื้อ 1 รายเป็นผู้สัมผัสจากกรณีการติดเชื้อที่สนามมวย โรงพยาบาลท่าชนะได้ติดตามผู้สัมผัสมาตรวจหาเชื้อเกือบ 100 ราย ไม่พบการติดเชื้อ และผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อสม. ได้ช่วยกันเฝ้าระวังต่อที่บ้านจนครบ 1 เดือนหลังจากออกจากโรงพยาบาล ส่วนผู้สัมผัสได้ช่วยกันติดตามสอดส่องเฝ้าระวังอาการจนครบ 14 วันอย่างเข้มแข็ง ส่งผลให้ท่าชนะไม่มีผู้ติดเชื้อในอำเภอเพิ่ม เป็นตัวอย่างความสำเร็จของการจัดการแบบบูรณาการและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง ขอให้รักษาแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ต่อไป นอกจากนี้ การเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระดับอำเภอ/ จังหวัด เข้มข้นมาตรการคัดกรองและติดตามกลุ่มต้องเฝ้าระวัง ทั้งในประชาชนทั่วไป อสม. และบุคลากรทุกคนในโรงพยาบาลมีการบังคับใช้มาตรการทางสังคมป้องกันโรคควบคู่กับการใช้มาตรการทางกฎหมาย การจัดบริการหน่วยบริการแบบ New normal อาทิ การให้บริการจัดส่งยาผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงที่บ้านและการให้บริการโรคระบบทางเดินหายใจแยกจากผู้ป่วยอื่น ส่งผลให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ “เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.จะต้องมีสุขภาพดี กินอาหารที่มีประโยชน์ ลดหวานมันเค็ม ร่วมกับการออกกำลังกาย เป็นต้นแบบคนในชุมชนในการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซนต์ ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง เมื่อทุกคนช่วยกันจะช่วยป้องกันโควิด 19 ได้” ดร.สาธิตกล่าว ****************************************** 15 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยประสบความสำเร็จผลักดันการจัดตั้งเครือข่าย AN-IUU
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 ไทยประสบความสำเร็จผลักดันการจัดตั้งเครือข่าย AN-IUU วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ IUU ที่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปมาก โดยไทยมีบทบาทนำในการจัดตั้งเครือข่ายอาเซียนเพื่อต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย หรือ AN-IUU ซึ่งถือเป็นกลไกแรกของอาเซียนเพื่อเพิ่มความร่วมมือ ควบคุมและเฝ้าระวัง ไม่ให้เกิดการกระทำผิด นอกจากนี้ ไทยยังได้รับตำแหน่งผู้ประสานงานเครือข่าย AN-IUU ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับภาคีภายนอก และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเครือข่าย AN-IUU ครั้งที่ 1 ในเดือน ธ.ค. นี้ โดยข้อริเริ่มดังกล่าวจะช่วยให้การแก้ปัญหา IUU ในภูมิภาคประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ​ “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35978
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ พบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มันสำปะหลังอินทรีย์ จ.อุบลราชธานี
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ พบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มันสำปะหลังอินทรีย์ จ.อุบลราชธานี รมช.มนัญญา ขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ พบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มันสำปะหลังอินทรีย์ จ.อุบลราชธานี พร้อมเยี่ยมชมการผลิตชีวภัณฑ์ เพื่อใช้กำจัดแมลง ศัตรูพืช นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังกล่าวมอบนโยบายและรับฟังบรรยายสรุปของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4 จังหวัดอุบลราชธานี (สวพ 4) อำเภอ สว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี ว่าได้รับฟังในเรื่องของภารกิจการดำเนินงานและแผนการดำเนินงานในอนาคต โดยมีแผนสร้างและขยายเครือข่ายพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ไปยังจังหวัดใกล้เคียง ทั้งปัจจัยการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ การตรวจรับรองการจัดทำแปลงมันสำปะหลังอินทรีย์ให้ได้มาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับแผนงานตามยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ ขับเคลื่อนพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ในจังหวัดกลุ่มอีสานล่าง ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร และจังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 1,000,000 ไร่ และได้รับฟังการรายงานปัญหาโรคใบด่างในมันสำปะหลัง พร้อมเยี่ยมชมการผลิตชีวภัณฑ์ เพื่อใช้ในการกำจัดแมลง ศัตรูพืช การผลิตปุ๋ยชีวภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช และสนับสนุนโครงการเกษตรอินทรีย์ต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกทั้งได้เยี่ยมชมบูธจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรจากอำเภอต่างๆ ในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ กลุ่มเกษตรอินทรีย์สว่างวีรวงศ์ กลุ่มผักอินทรีย์วิถีบุณฑริก และกลุ่มผักอินทรีย์สำโรง จากนั้นได้พบปะกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มันสำปะหลังอินทรีย์ ของนางสมพิศ นารัตน์ บ้านนาโพธิ์ อำเภอ พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ให้เครือข่ายผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ อีกทั้งมีแปลงต้นแบบ และนวัตกรรมการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านพันธุ์และเทคโนโลยีการผลิต โดยเป็นต้นแบบการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองถึง 6 มาตรฐาน คือ Organic Thailand, NOP, EU Organic, China, Korea และ Jas และยังเป็นกลุ่มแปลงใหญ่มันสำปะหลังอินทรีย์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดปี 2563 และได้รับรางวัลชมเชยในระดับภาค พร้อมชมการกำจัดวัชพืชด้วยผานในการไถกลบ และเยี่ยมชมโรงปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ความสำเร็จของการทำเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและพื้นที่การเกษตร จะทำให้เกษตรกรที่สามารถผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ได้ตามมาตรฐาน จะได้ราคาตันละ 4,000 บาท ในขณะที่ผลิตมันสำปะหลังทั่วไปจะได้ราคาเฉลี่ยตันละ 2,500 บาท ราคาขายต่อตันเพิ่มขึ้น ร้อยละ 62.5 โดยมีประเทศคู่ค้าแป้งมันสำปะหลังที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความมั่นคงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเกษตรกรผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์มีรายได้เพิ่มมากกว่าการผลิตในระบบทั่วไป เนื่องจากราคารับซื้อสูงกว่า 1.50 บาท/กิโลกรัม ส่งเสริมการทำเกษตรกรรมยั่งยืนให้เห็นผลในทางปฏิบัติ ซึ่งกลุ่มเกษตรกรผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ เป็นเกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบหนึ่งที่ได้การรับรองมาตรฐานอินทรีย์ Organic Thailand, NOP และ EU organic พัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกรสู่เกษตรกรมืออาชีพ สร้างความเข้มแข็งและเชื่อมโยงเครือข่ายของเกษตรกร และสถาบันเกษตรกร จากเดิมผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ พื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดอุบลราชธานี คือ พิบูลมังสาหาร วารินชำราบ นาเยีย และสว่างวีระวงศ์ ปัจจุบันได้ขยายไปสู่เกษตรกรในพื้นที่เพิ่มเป็น 3 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ รวม 16 อำเภอ เกษตรกร 965 ราย พื้นที่รวม 5,777 ไร่ และขับเคลื่อนการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตรสนับสนุนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ด้านพันธุ์ การปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศ การอนุรักษ์และบำรุงดินด้วยการปลูกปอเทืองระหว่างร่องปลูกมันสำปะหลัง การแช่ท่อนพันธุ์ด้วยปุ๋ยชีวภาพพีจีพีอาร์ 3 (PGPR 3) การกำจัดวัชพืชด้วยผาลกำจัดวัชพืชแบบติดรถไถเดินตาม การให้ความรู้ด้านมาตรฐานการผลิตอินทรีย์ ทำให้เกษตรกรผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์มีผลผลิตเฉลี่ย 4.5 ตัน/ไร่ สูงกว่าค่าเฉลี่ยการผลิตมันสำปะหลังทั่วไปของจังหวัดอุบลราชธานีที่ได้ผลผลิต 3.5 ตัน/ไร่ มีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตรและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบมีการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร และส่งเสริมการนำงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ งานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรและกรมพัฒนาที่ดิน ได้นำลงสู่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางองค์ความรู้ที่ส่งถึงพื้นที่ และจะมีการอบรมเกษตรกรต้นแบบที่เป็นเครือข่ายการผลิตที่ศูนย์ฯ เพื่อนำไปปรับใช้และเป็นต้นแบบในพื้นที่ นอกจากนี้ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 4 จังหวัดอุบลราชธานี ยังมีแผนจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ทุกอำเภอ มีการพัฒนาโรงปุ๋ยหมักเติมอากาศด้วยนวัตกรรมใหม่ให้สามารถลดเวลาในการหมักและพัฒนาให้สามารถผลิตปุ๋ยให้เพียงพอกับพื้นที่ผลิตพืชอินทรีย์ ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนด้านปุ๋ยลงถึงร้อยละ 50 พัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ด้านเครื่องจักรกล และเครือข่ายการใช้เครื่องจักรกล และมีเครือข่ายการผลิตชีวภัณฑ์ ตัวห้ำ ตัวเบียน เพื่อลดต้นทุนในการป้องกันกำจัดโรค และแมลง โดยเฉพาะใบด่างมันสำปะหลัง ทั้งนี้ เกษตรกรเริ่มกลุ่มปลูกมันสำปะหลังอินทรีย์ในปี 2559 โดยได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีการผลิตและการอบรมจากหน่วยงานภาครัฐและกลุ่มบริษัทอุบลไบโอเอทานอล เนื่องจากมีความต้องการแป้งมันสำปะหลังอินทรีย์เพื่อจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกา 20,000 ตันแป้ง ซึ่งต้องใช้พื้นที่การผลิตประมาณ 20,000 ไร่ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจึงร่วมบูรณาการพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่รัศมีรอบโรงงานของบริษัทเป็นพื้นที่ 4 อำเภอ ในจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ อำเภอพิบูลมังสาหาร วารินชำราบ นาเยีย และสว่างวีระวงศ์ จึงเกิดเป็น ROAD MAP การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ของจังหวัดอุบลราชธานี และนำไปสู่แผนจังหวัดและแผนภาค ในปี 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35995
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกไทย – นายหวัง อี้ ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน จีนชื่นชมไทยสนับสนุนสภาพแวดล้อมการลงทุนในประเทศได้อย่างดี
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 นายกไทย – นายหวัง อี้ ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน จีนชื่นชมไทยสนับสนุนสภาพแวดล้อมการลงทุนในประเทศได้อย่างดี นายกไทย – นายหวัง อี้ ยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน จีนชื่นชมไทยสนับสนุนสภาพแวดล้อมการลงทุนในประเทศได้อย่างดี วันนี้ (วันที่ 15 ตุลาคม 2563) เวลา 11.15 น. ณ ห้องสีงาช้าง ทำเนียบรัฐบาล นายหวัง อี้ (H.E. Mr. Wang Yi) มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับในโอกาสที่นายหวัง อี้ มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในวาระครบรอบ 45 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และยังเป็นโอกาสในการยืนยันความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทยกับจีน พร้อมขอฝากความระลึกถึงและความปรารถนาดีไปยังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ซึ่งการพบกันในครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่ทั่วโลกประสบกับความท้าทายร่วมกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่จะยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมของทั้งสองประเทศ นายหวัง อี้ กล่าวยินดีและขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเสมอมา ในโอกาสนี้รัฐบาลจีน ขอถวายพระพรแด่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นายหวัง อี้ กล่าวว่า เป็นเกียรติที่เป็นรัฐมนตรีคนแรกที่เดินทางเยือนไทยหลังสถานการณ์โควิด เป็นการแสดงความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในไทย โดยเชื่อว่ามิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีนจะช่วยเพิ่มพูนความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ทั้งนี้ แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีที่ดำเนินมาตรการป้องกัน และควบคุมโรคด้วยดี ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชาชนไทยด้วย ซึ่งสถานการณ์ในจีน จากการควบคุมจัดการอย่างดีของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทำให้การควบคุมโรคตามยุทธศาสตร์ประสบความสำเร็จอย่างดี ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำถึงความร่วมมือในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมความสำเร็จของจีนในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ก้าวหน้าไปสู่ระยะที่ 3 แล้ว โดยชื่นชมวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสีฯ ที่กำหนดให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็น “สินค้าสาธารณะของโลก” ฝ่ายจีนได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนของจีน ว่าขณะนี้กำลังเข้าสู่กระบวนการทดลองในมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาวัคซีนมีแนวโน้มที่ดี ซึ่งจีนจะพิจารณาให้ความสำคัญแก่ประเทศในภูมิภาคและมิตรประเทศร่วมกัน อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การติดเชื้อในโลก ทุกประเทศต้องคำนึงถึงมาตรการควบคุมโรค พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจไปด้วยกัน ประเทศจีนพิจารณาระบบที่เรียกว่า fast lane เพื่อสนับสนุนการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน และระบบที่เรียกว่า Green lane เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างกัน ซึ่งในการหารือ ทั้งสองฝ่ายยืนยันการสนับสนุนการจัดทำ Fast lane ระหว่างกันในโอกาสแรก ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยที่ไทยคำนึงถึงจีนในฐานะคู่ค้าที่สำคัญ มีตัวเลขการค้าระหว่างกันที่สูง และเป็นนักลงทุนสำคัญใน EEC ซึ่งไทยพร้อมจะร่วมมือกับจีนด้านการค้าการลงทุนแบบพหุภาคี ตลอดจนขอบคุณฝ่ายจีนที่ร่วมลงทุนในไทยในสาขาใหม่ๆ ได้แก่ ด้าน Digital Big Data และ 5G ทั้งนี้ ฝ่ายจีน พร้อมเดินหน้าการพัฒนาด้าน Digital Economy กับไทย ชื่นชมไทยที่สนับสนุนสภาพแวดล้อมการลงทุนในประเทศอย่างเปิดกว้าง โปร่งใส ยืนยันว่ารัฐบาลจีนพร้อมสนับสนุนการลงทุนในไทย และจีนพร้อมสนับสนุนความเชื่อมโยง เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor - EEC) กับเขตอ่าวกวางตุ้ง - ฮ่องกง - มาเก๊า (Guangdong - Hong Kong - Macao Greater Bay Area - GBA) ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีฝากคำขอบคุณถึงประธานาธิบดีสีฯ ที่ได้ให้คำมั่นในการดูแลข้อห่วงกังวลของประเทศในอนุภูมิภาคเกี่ยวกับระดับน้ำในแม่น้ำโขง พร้อมชื่นชมพัฒนาการความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำล้านช้าง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation-MLC) ที่ได้ประชุมร่วมกัน และไทยยินดีสนับสนุนงาน China International Import Expo (CIIE) ครั้งที่ 3 และงานแสดงสินค้าอาเซียน-จีน (CAEXPO) ครั้งที่ 17 ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ประเทศจีน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35987
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลุย​ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม​ ม่อนแจ่ม​ ย้ำ!! การดำเนินการตามกฎหมาย​ ควบคู่กับการอนุรักษ์ฯ และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลุย​ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม​ ม่อนแจ่ม​ ย้ำ!! การดำเนินการตามกฎหมาย​ ควบคู่กับการอนุรักษ์ฯ และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ รมว.ทส. 'วราวุธ'​ ลุย​ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ริม​ ม่อนแจ่ม​ ย้ำ!! การดำเนินการตามกฎหมาย​ ควบคู่กับการอนุรักษ์ฯ และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 พิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รองปลัด กษ. ร่วมพิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ เขื่อนแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยมีนายจรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี เป็นประธานในพิธี เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ครั้งเมื่อทรงอำนวยการสาธิตการทำฝนหลวงให้แก่ผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปร์ ณ เขื่อนแก่งกระจาน เมื่อปี พ.ศ. 2515 และเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านเทคโนโลยีฝนหลวง จากนั้นร่วมกันปล่อยปลา พร้อมมอบอุปกรณ์ทำความสะอาดให้แก่จิตอาสาเพื่อร่วมกันทำความสะอาด และเก็บเศษวัชพืช ณ บริเวณสันเขื่อนแก่งกระจาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดเต็มโปรโมชั่น ร่วม Money Expo 2020 กรุงเทพฯ 22-25 ต.ค.นี้
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 ออมสินจัดเต็มโปรโมชั่น ร่วม Money Expo 2020 กรุงเทพฯ 22-25 ต.ค.นี้ ออมสินจัดเต็มโปรโมชั่น ร่วม Money Expo 2020 กรุงเทพฯ 22-25 ต.ค.นี้ เท่านั้น ชวนออมเงินฝาก 107 วัน ดอกเบี้ยสูงสุด 10% ต่อปี ยกเว้นภาษีสินเชื่อเคหะ ดอกเบี้ยปีแรก 0% พร้อมลุ้นอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1% นาน 3 ปี นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ได้นำนวัตกรรมทางการเงินครบวงจรเข้าร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2020 ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 22-25 ตุลาคม 2563 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 อิมแพคเมืองทองธานี โดยมีรูปแบบการจัดบูธที่สะท้อนความเป็นตัวตนของธนาคารออมสิน “GSB Social Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อสังคม” ซึ่งดำเนินบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการออมเคียงคู่สังคมไทย พร้อมไปกับความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพื่อยกระดับรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดหลัก “Wealth Being” ของการจัดการครั้งนี้ สำหรับปีนี้ ธนาคารฯ ได้นำเสนอ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 107 ในโอกาสที่ปีนี้ธนาคารออมสินมีวาระครบ 107 ปี โดยมีระยะเวลาฝาก 107 วัน อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (Step Up) วันที่ 1-45 = 1.00% ต่อปี วันที่ 46- 88 = 2.00% ต่อปี และ วันที่ 89-107 = 10.00% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยสุทธิเฉลี่ย 3.00% ต่อปี ดอกเบี้ยได้รับยกเว้นภาษี รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ฝากได้คนละ 1 บัญชี เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ฝากสูงสุดไม่เกินรายละ 500,000 บาท โดยผู้ฝากสามารถรับใบจองสิทธิ์ภายในงานทั้ง 4 วัน รวม 1,400 สิทธิ์ แบ่งเป็น 7 รอบๆ ละ 200 สิทธิ์ (ผู้ฝากทั่วไป 100 สิทธิ์ ผู้ฝากอายุ 60 ปีขึ้นไป 100 สิทธิ์) ซึ่งจะเปิดบัญชีภายในงานหรือนำไปเปิดบัญชีที่สาขาใดก็ได้ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 ทั้งนี้ผู้ฝากต้องใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) และบัตรเดบิตของธนาคารออมสินควบคู่ไปด้วย ด้านโปรโมชั่นเงินกู้ ประกอบด้วย สินเชื่อเคหะ สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยปีแรกคงที่ 0% ปีที่ 2 = 3.00% ต่อปี ปีที่ 3 = 3.750% ต่อปี จากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1.250% ต่อปี (ปัจจุบัน MRR ของธนาคารฯ = 6.245%) รวมแล้วอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 2.250% ซึ่งนอกจากโปรโมชั่น 0% แล้ว สำหรับลูกค้าที่จะจองสิทธิ์สินเชื่อเคหะวงเงินสินเชื่อสูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ในวันที่ 22 และ 24 ตุลาคม 2563 เวลา 16.00 น. จำนวน 50 รายแรกต่อวัน จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 1 ปี เฉลี่ย 3 ปี 1.00% อีกด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าต้องได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ขณะเดียวกัน ยังมี สินเชื่อธุรกิจ GSB Smoot Biz+ ซึ่งเป็นสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือเพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ธนาคารฯ ให้เงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีที่ 1-2 = 1.99% ต่อปี หลังจากนั้นกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+0.50% (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995% และ MLR = 6.150%) และกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ร้อยละ 30 คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+1.25% ขณะที่ สินเชื่อเสริมพลังฐานราก เป็นสินเชื่อสำหรับบุคคลที่มีอาชีพค้าขาย ประกอบอาชีพอิสระ และผู้มีรายได้ประจำรวมถึงบุคคลในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้รายได้ลดลงหรือขาดรายได้ วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน อีกทั้งยังปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก “นอกจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นำมาเสนอพร้อมโปรโมชั่นพิเศษแล้ว ยังมีบริการทางการเงิน กิจกรรม และของที่ระลึกต่างๆ อีกมากมายที่เตรียมไว้รองรับความต้องการของผู้เข้าชมงาน ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าและประชาชนเข้าร่วมงานและสนใจบูธธนาคารเป็นจำนวนมาก” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36059
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดีอีเอส สรุปตัวเลขช่วงการชุมนุม รอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 13 – 18 ต.ค. 2563
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดีอีเอส สรุปตัวเลขช่วงการชุมนุม รอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 13 – 18 ต.ค. 2563 ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดีอีเอส สรุปตัวเลขช่วงการชุมนุม รอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 13 – 18 ต.ค. 2563 ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดีอีเอส สรุปตัวเลขช่วงการชุมนุม รอบสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 13 – 18 ต.ค. 2563 พบมี แกนนำ นักการเมือง ผู้ใช้โซเชียล โพสต์ผิดกฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตรียมทยอยส่งดำเนินคดี พร้อมเตือนประชาชนใช้สื่อออนไลน์อย่างระมัดระวัง ตามที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ให้นโยบายในการตั้งศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ เฝ้าติดตามมอนิเตอร์การกระทำความผิดในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม – 18 ตุลาคม 2563 โดยที่มีทั้งประชาชนแจ้งเข้ามา และทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ ว่าเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งหมด 324,990 เรื่อง แบ่งเป็น Twitter 75,076 เรื่อง Facebook 245,678 เรื่อง และ Web board 4,236 เรื่อง ซึ่งรวมทั้งผู้โพสต์คนแรก และแชร์ รีทวิตข้อความที่ผิดกฎหมาย แต่ลำดับแรกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอาผิดเฉพาะผู้โพสต์คนแรกๆ ที่นำเข้าซึ่งข้อความสู่ระบบคอมพิวเตอร์ก่อนจำนวนหนึ่ง โดยพบว่ามีทั้งเป็นแกนนำกลุ่มมวลชน นักการเมืองและผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย คนหลักๆ อาทิ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Pavin chachavalpongpun” และทวิตเตอร์ที่พบว่าเป็นของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์,เพจเฟซบุ๊กของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง แกนนำมวลชน รวมถึงสื่อและการรายงานสถานการณ์ทางออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์ Voice TV และเพจเยาวชนปลดแอก Free Youth ที่เข้าข่ายผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินส่วนก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำสั่งให้ปิดกั้น เพจ Royalist Market Place (ตลาดหลวง) ไปแล้ว 2 ครั้ง หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือแพลตฟอร์ม ไม่ทำการปิดกั้นภายใน 15 วัน กระทรวงดีอีเอส จะดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้เอาผิดตามมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ต่อไป และล่าสุดมีเพจที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวและบุคคลมีชื่อเสียง อาจเข้าข่ายการกระทำความผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยรัฐมนตรีดีอีเอส กำชับและมีความห่วง่ใย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การชุมนุม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ทยอยส่งหลักฐานเก็บรวบรวมได้ ส่งให้ทางกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงขออำนาจศาล ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจังเด็ดขาด ทั้งนี้ ฝากเตือนประชาชน ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย จะโพสต์ข้อความ ภาพสถานการณ์ใดๆ ต้องระมัดระวังไม่ให้ผิดต่อกฎหมาย เจ้าหน้าที่ได้ติดตามและมอนิเตอร์ ความเคลื่อนไหว การใช้โซเชียลมีเดีย รวมถึงผู้ที่ทำการแชร์ข้อมูล รีทวิตที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการเอาผิดทางคดีตามขั้นตอนของกฎหมายทันที ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน -รพ.กล้วยน้ำไท ผลิตนักบริการผู้สูงอายุ รับสังคมสูงวัย
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 ก.แรงงาน -รพ.กล้วยน้ำไท ผลิตนักบริการผู้สูงอายุ รับสังคมสูงวัย 19 ต.ค. 63 ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท อาคารมิ่งประชา โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงาน สาขาการดูแลผู้สูงอา ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังจากเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวว่า ในปี 2564 สังคมไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่าง เต็มรูปแบบ จะมีประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปี จำนวนถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สูงอายุต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ การบริการและการดูแลรักษา แต่ปัจจุบันบุคลากรหรือผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้สูงอายุยังขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อความต้องการ กพร. กระทรวงแรงงาน ซึ่งมีภารกิจมุ่งเน้นพัฒนายกระดับทักษะฝีมือเป็นแรงงานคุณภาพเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานหรือการประกอบอาชีพ สร้างความมั่นคงทางรายได้ ให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ได้ร่วมกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ผลิตกำลังแรงงานคุณภาพป้อนสู่ตลาด มุ่งแก้ปัญหาการว่างงาน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งผู้ให้บริการดูแลและผู้สูงอายุ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันจัดฝึกอบรม หลักสูตรวิชาพนักงานโรงพยาบาล สาขาวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุตาม “โครงการให้ทุนสร้างอาชีพพัฒนาฝีมือแรงงานไทยขับเคลื่อนไปด้วยกัน” ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 เดือน ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ณ โรงเรียนฝึกพนักงานโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ในปี 2563-2564 ทางโรงพยาบาลได้มอบทุนเพื่อการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว จำนวน 377 ทุน ทุนละ 95,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 35 ล้านบาท โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายผู้ว่างงาน ผู้ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส จึงขอเชิญชวนผู้สนใจ เพศหญิง อายุระหว่าง 18-35 ปี จบการศึกษาระดับม.3 ม.6 ปวช. ปวส. ป.ตรี และกศน. สมัครเข้ารับการฝึกอบรม ผู้ผ่านการฝึกอบรมจะได้รับการบรรจุเข้าทำงานกับกลุ่มบริษัทในเครือโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จะได้รับค่าตอบแทนประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจ facebook : @kluaynamthaischool หรือโทร 098-983-0414 , 02-7692000 ต่อ 1077 , 1079 ด้านนายชาคริตย์ เดชา รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า กพร. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทผลิตกำลังแรงงานในสาขานี้ซึ่งจะเป็นไปตามนโยบายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน นอกจากความร่วมมือในการฝึกอบรมแล้ว กพร. และโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทจะได้ขยายผลความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานในการทดสอบฯ บุคลากรในสาขานี้ จะช่วยยกระดับแรงงานในสาขานี้ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการและตลาดแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ผุด พิษณุโลกโมเดล เร่งช่วยเหลือคนพิการด้วยข้อมูลดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 รมว.พม. ผุด พิษณุโลกโมเดล เร่งช่วยเหลือคนพิการด้วยข้อมูลดิจิทัล รมว.พม. ผุด พิษณุโลกโมเดล เร่งช่วยเหลือคนพิการด้วยข้อมูลดิจิทัล วันที่ 17 ต.ค. 63 เวลา 16.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมหารือเรื่องความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อร่วมกันจัดทำข้อมูลดิจิทัลของคนพิการจำนวนกว่า 30,000 คน ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งคนพิการที่ตกสำรวจอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มคนพิการดังกล่าวสามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมของรัฐและการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เพิ่มรายได้อย่างทั่วถึงด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การพัฒนาข้อมูลดังกล่าวจะใช้บล็อกเชน (Block Chain) เป็นจัดการข้อมูลในการเข้าถึงคนพิการในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า การช่วยเหลือคนพิการให้เป็นรูปแบบใหม่นี้ด้วยข้อมูลดิจิทัล จะเริ่มดำเนินการที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นจังหวัดแรก เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36067
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส รับฟังทิศทางการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดินกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส รับฟังทิศทางการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดินกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รมช.ธรรมนัส รับฟังทิศทางการดำเนินงาน ความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดินกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ภายใต้กรอบการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนพื้นที่ลุ่มน้ำโขงล้านช้าง ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมรับฟังบรรยายสรุปยุทธศาสตร์และทิศทางด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และความร่วมมือกับกรมพัฒนาที่ดิน ภายใต้กรอบการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนพื้นที่ลุ่มน้ำโขงล้านช้าง ณ สถานีพัฒนาที่ดินเชียงราย อ.แม่จัน จ.เชียงราย ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน มีนโยบายที่สำคัญด้านการพัฒนาที่ดินและการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยมีการวางแผนการใช้ที่ดิน และการบริหารจัดการดินให้มีศักยภาพในการผลิต อันเกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มและลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดิน กับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี โดยกำหนดกรอบความร่วมมือทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และศึกษาวิจัย ในประเด็นการศึกษาการปนเปื้อนสารก่อมลพิษทางดินที่ส่งผลต่อการบริการเชิงนิเวศ และการลดใช้สารเคมีในพื้นที่เกษตรกรรม การพัฒนานวัตกรรมและเทคนิคการวิเคราะห์ดินสำหรับเกษตรกรที่เหมาะสมกับทรัพยากรดินของประเทศไทย การบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และชุมชน รวมถึงจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำในพื้นที่สูงซึ่งปลูกพืชเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้เป็นการส่งเสริมองค์ความรู้ในด้านการจัดการที่ดินเพื่อการเกษตร ให้องค์กร สถาบันการศึกษา หน่วยงาน และประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและจัดการการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสมและยั่งยืน อีกทั้ง ยังได้ลงดูโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ โดย กรมพัฒนาที่ดินเชียงราย สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 7 ในพื้นที่ดำเนินการ 10 ไร่ โดยแบ่งเป็น พื้นที่สระน้ำเดิมประมาณ 3 ไร่ 1 งาน พื้นที่ปลูกไม้ผลประมาณ 2 ไร่ พื้นที่สระน้ำเพิ่มเติมประมาณ 1 ไร่ และพื้นที่ปลูกข้าวอีกประมาณ 4 ไร่ โดยมีเป้าหมายในการดำเนินการ 18 อำเภอ 122 ตำบล เกษตรกร 1,952 ราย จ้างแรงงาน 976 ราย พร้อมรับฟังสรุปผลการดำเนินการโครงการจัดที่ดินให้ชุมชน (คทช) ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 - 2563 ในท้องที่จังหวัดเชียงราย โดยแบ่งเป็น 1.เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ปืมและป่าแม่พุง ท้องที่อ.พาน อ.ป่าแดด ป่าแงะ เนื้อที่1,805-0-59 ไร่ จำนวน 406 ราย 518 แปลง 2.เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยสักและป่าแม่กกฝั่งขวา ท้องที่อ.เมือง อ.เวียงชัย และอ.เวียงเชียงรุ้ง เนื้อที่ 14,891-0-45 ไร่ จำนวน 1,697 ราย 2,238 แปลง 3. เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าห้วยแดง ป่าห้วยป่าตาล และป่าห้วยไคร้ ท้องที่ อ.เทิง เนื้อที่ 1,604-3-48 ไร่ จำนวน 607 ราย 768 แปลง 4. เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่อิงฝั่งขวาและป่าแม่งาว ท้องที่อ.เชียงของ และอ.เวียงแก่น เนื้อที่ 9,867-3-48 ไร่ จำนวน 2,020 ราย 2,921 ไร่ 5. เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำหงาวฝั่งซ้าย ท้องที่ต.ตับเต่า ต.หงาว อ.เทิง เนื้อที่ 3,613 ไร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36058
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ธนาคารโลก” จับมือ “กบข.” เผยรายงานวิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ ตามแนวทางที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 “ธนาคารโลก” จับมือ “กบข.” เผยรายงานวิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ ตามแนวทางที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กบข. เปิดเผยข้อมูลจากรายงานภายใต้หัวเรื่อง “วิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนของ กบข. ตามหลักการที่คำนึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” อันเป็นผลมาจากโครงการความร่วมมือทางเทคนิคด้านการบริหารเงินทุนเพื่อความยั่งยืน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยข้อมูลจากรายงานภายใต้หัวเรื่อง “วิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนของ กบข. ตามหลักการที่คำนึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” (Thailand’s Government Pension Fund Environmental, Social & Governance Weight and Score: Asset Valuation Methodology©) อันเป็นผลมาจากโครงการความร่วมมือทางเทคนิคด้านการบริหารเงินทุนเพื่อความยั่งยืนระหว่างกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ ธนาคารโลก ประจำปี 2563 ดร. ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในฐานะหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “รายงานฉบับนี้ได้จัดทำขึ้นภายใต้คำแนะนำทางด้านเทคนิคจาก ดร. รอรี ซัลลิแวน แห่งองค์การ Chronos Sustainability และได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญภาคการเงินอาวุโสของธนาคารโลก อาทิ มิส ฟิโอน่า สจ๊วต และคุณรัชฎา อนันตวราศิลป์ โดยทาง กบข. ได้จับมือกับธนาคารโลกในการจัดทำรายงาน “วิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนของ กบข. ตามหลักที่คำนึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” (ESG Weight and Score: Asset Valuation Methodology©) ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยรายงานฉบับนี้กล่าวถึงกระบวนการคัดเลือกหลักทรัพย์ลงทุนของกบข. ซึ่งมี 3 ขั้นตอนหลักที่ผ่านการพัฒนามาอย่างถี่ถ้วน ได้แก่ 1) กระบวนการก่อนการประเมินสินทรัพย์ (Pre-assessment process) 2) กระบวนการคำนวณน้ำหนัก ESG (ESG Weight Calculation Process) และ 3) กระบวนการคำนวณคะแนน ESG (ESG Score Calculation Processes)” โดยทาง กบข. กำลังเตรียมการนำวิธีการประเมินน้ำหนักและคะแนนมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนแบบใหม่ตามรายละเอียดในรายงานนี้ มาใช้แทนวิธีการแบบเดิม เนื่องจากวิธีการประเมินตามกระบวนการใหม่นี้จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะสามารถแสดงให้เห็นถึงมูลค่าทางการเงินของสินทรัพย์ลงทุน รวมถึงมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการบูรณาการข้อมูลจาก MSCI ESG Database และปรับน้ำหนักตามเกณฑ์จากข้อมูลวิเคราะห์ภายในของ กบข. เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการลงทุนของประเทศไทยมากขึ้น “เราใช้ข้อมูลจาก MSCI ESG เป็นข้อมูลดิบในกระบวนการที่สองและที่สาม จากนั้นข้อมูลจะถูกปรับให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติด้าน ESG ของ กบข. รวมถึงข้อมูลภายในประเทศไทย และข้อมูลจากการวิเคราะห์ภายในองค์กรของเรา วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงข้อมูลจาก MSCI ESG ให้เป็นข้อมูลภาพรวมทั่วโลกน้อยลงและมีเนื้อหาในระดับท้องถิ่น (Local content) มากขึ้น หลังจากนั้น เราจะนำข้อมูลน้ำหนักและคะแนน ESG ที่ปรับปรุงแล้วเหล่านี้รวมเข้ากับข้อมูลอื่นๆ จากการวิเคราะห์ทางการเงินในกระบวนการกำหนดราคาสินทรัพย์ลงทุนของเราต่อไป” ดร. ศรีกัญญา กล่าวเพิ่มเติม ในปี 2561 กบข. ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นนักลงทุนอย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงการสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นและให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนของสังคมโลกไปพร้อมกัน โดย กบข. ได้ริเริ่มหลากหลายแผนงานนับตั้งแต่ปี 2561 อาทิ เข้าร่วมเป็นสมาชิก PRI, จัดทำ ESG – Integrated Due diligence เพื่อเป็นแนวทางในการติดตามการดำเนินงานเรื่อง ESG ของผู้จัดการกองทุนภายนอกทั้งในประเทศและต่างประเทศ, การปรับกระบวนการลงทุนของ กบข. โดยนำปัจจัยด้าน ESG เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในทุกขั้นตอน, การนำปัจจัยด้าน ESG มาเป็นหนึ่งในเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกผู้จัดการกองทุนภายนอก, การจัดตั้ง ESG-Focused Portfolio และเป็นผู้ริเริ่มโครงการลงนามประกาศเจตนารมณ์แนวปฏิบัติ “การระงับลงทุน” (Negative List Guideline) ร่วมกับนักลงทุนสถาบันรวม 32 ราย เป็นต้น เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กำหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1,000,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 2563) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , raviwan@gpf.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36061
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ณ โรงแรมมีพรสวรรค์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ณ โรงแรมมีพรสวรรค์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดงานสัมมนา“ทิศทางการขับเคลื่อนภารกิจกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ปี ๒๕๖๔” ส่งเสริมสหกรณ์เข้มแข็งด้านการบัญชี ผลักดันเกษตรกรไทยมีภูมิคุ้มกันทางการเงิน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “ทิศทางการขับเคลื่อนภารกิจกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ปี ๒๕๖๔” พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ โรงแรมมีพรสวรรค์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ว่าการจัดสัมมนาฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจสามารถปฏิบัติงานตามกรอบแนวทางการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับประชาชนและเกษตรกร สามารถจัดทำบัญชีและงบการเงินได้ ช่วยให้เกษตรกรรู้รายรับ รายจ่าย มองเห็นช่องทางในการลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการออม และสร้างวินัยทางการเงินที่ดี พร้อมชมนิทรรศการผลการดำเนินงานของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยขับเคลื่อนกระบวนงานสอบบัญชีอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว และทันสมัยมากยิ่งขึ้น อาทิ การบัญชีนิติวิทยา แนวทางใหม่ในการสอบบัญชี การสอบบัญชีวิถีใหม่ รู้เท่าทันธุรกิจสหกรณ์โคนม สหกรณ์บริการแท็กซี่ และระบบบัญชีสหกรณ์ในยุคดิจิทัล เป็นต้น รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร และเกษตรกร เพื่อช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนผ่านระบบสหกรณ์ โดยจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ และช่วยส่งเสริมการออม เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย มีวินัยทางการเงินที่ดี สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จึงเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้กับสถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในด้านของการสอบบัญชีและวางระบบบัญชีให้กับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร สามารถจัดทำบัญชีและงบการเงินได้ และในด้านการบัญชีให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการต่างๆ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อช่วยให้เกษตรกรรู้รายรับ รายจ่าย มองเห็นช่องทางในการลดต้นทุนการผลิต ลดรายจ่าย ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ช่วยส่งเสริมการออม และสร้างวินัยทางการเงินที่ดี ช่วยให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมไปถึงการสร้างเสริมองค์ความรู้ทางบัญชีสู่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ได้เรียนรู้การจัดทำบัญชีเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินและวางแผนการจัดระเบียบรายรับ รายจ่าย ช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน รู้จักความพอมี พอกิน พอใช้ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งแก่ตนเองและครอบครัว ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งชูโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั่วประเทศกว่า 7,500 คน ซึ่งกรมตรวจบัญชีสหกรณ์จะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง สร้างความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนและเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสหกรณ์ได้เข้ามามีบทบาทในภาคการเงินของประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของเงินรับฝากและสินเชื่อ ซึ่งหากธุรกิจของสหกรณ์เกิดความคลอนแคลน อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินและการธนาคารของประเทศ และเนื่องจากเป็นสถาบันที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน หากเกิดการทุจริตจะก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนโดยตรง จึงมอบนโยบายให้กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มุ่งเน้นการทำงานตรวจสอบระบบการเงิน การบัญชี การควบคุมภายใน และการดำเนินงานของสหกรณ์ ให้โปร่งใส ปราศจากการทุจริต เป็นไปตามมาตรฐาน และมีความรู้เท่าทันเทคโนโลยี ซึ่งหากสามารถตรวจพบแต่เนิ่นๆ และทันท่วงที จะสามารถระงับยับยั้ง หรือบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชนได้ นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยต่างๆ มีการพัฒนาตนเองสู่ความเป็นมืออาชีพ รวมทั้งเตรียมความพร้อมสู่การปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล เพื่อให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และรูปแบบการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน และร่วมกันบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและนำพาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของพี่น้องเกษตรกรไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36062
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ‘ จับกัง1 ’ ไม่ทิ้งแรงงานนอกระบบ ตั้งเป้าปล่อยกู้ 7 ล้านบาท เพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 ‘ จับกัง1 ’ ไม่ทิ้งแรงงานนอกระบบ ตั้งเป้าปล่อยกู้ 7 ล้านบาท เพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ตั้งเป้าส่งเสริมการมีงานทำให้แรงงานนอกระบบ กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน หลังสถานการณ์แพร่ระบาด โรคโควิด-19 วางแผนปีงบฯ 64 ปล่อยกู้เงินกองทุนฯ วงเงิน 7,000,00 บาท นายสุชาติ กล่าวว่า แรงงานนอกระบบถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้น เพื่อให้แรงงานนอกระบบที่เป็นกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมาย อัตราดอกเบี้ยต่ำ กรมการจัดหางานมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินกองทุนหมุนเวียน สำหรับให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านกู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบ หรืออุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิตเพื่อสร้างอาชีพ ก่อเกิดรายได้ที่เหมาะสม ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และในปีงบประมาณ 2564 ตั้งเป้าปล่อยกู้ให้แก่ผู้รับงานไปทำที่บ้าน วงเงิน 7,000,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564 สำหรับประเภทบุคคล วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และกลุ่มบุคคลวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาการปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 4 งวด ตั้งแต่งวดที่ 1 - งวดที่ 4 ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้านที่ต้องการกู้เงินจากกองทุนฯ กรณีรายบุคคล ต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ไม่เป็นบุคคลล้มละลายและต้องไม่เคยเป็นผู้ถูกดำเนินคดีหรืออยู่ในระหว่างดำเนินคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกองทุน กรณีกลุ่มบุคคล ต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียน (กลุ่มบุคคล) กับกรมการจัดหางาน มีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน ในกรณีกู้ไม่เกิน 200,000 บาท และกรณีกู้ 200,001 ถึง 300,000 บาท ผู้นำกลุ่มและสมาชิกกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 6 คน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกัน ไม่น้อยกว่า 10,000 บาท และไม่เคยเป็นผู้ถูกดำเนินคดีหรืออยู่ในระหว่างดำเนินคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกองทุน สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2548 – สิงหาคม 2563 มีผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จำนวน 988 ราย/กลุ่ม สมาชิกจำนวน 5,679 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จำนวน 491 ราย/กลุ่ม (28 ราย/463 กลุ่ม) เป็นเงิน 49,746,000 บาท โดยเป็นลูกหนี้อยู่ระหว่างผ่อนชำระ จำนวน 199 ราย/กลุ่ม (23 ราย/176 กลุ่ม) เป็นเงินทั้งสิ้น 15,823,912.33 บาท และในปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) ปล่อยกู้ จำนวน 57 ราย/กลุ่ม (14 ราย/43 กลุ่ม) เป็นเงิน 7,000,000 บาท แยกเป็นราย/กลุ่ม ที่กู้เงินไม่เกิน 50,000 บาท จำนวน 14 ราย/3 กลุ่ม 50,001 – 100,000 บาท จำนวน 11 กลุ่ม และ 100,001 – 200,000 บาท จำนวน 29 กลุ่ม ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ติดตามรายงานสถานการณ์น้ำ
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ติดตามรายงานสถานการณ์น้ำ กระทรวงเกษตรฯ ติดตามรายงานสถานการณ์น้ำ พร้อมเตรียมเสนอโครงการสร้างรายได้และพัฒนาอาชีพเกษตรฯ นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ติดตาม และแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมได้มีการรับฟังการรายงานสถานการณ์อุทกภัย น้ำไหลหลาก น้ำเอ่อล้นตลิ่งและวาตภัย จากเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ โดยตั้งแต่ช่วงวันที่ 7 ต.ค.63 - ปัจจุบัน มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวจำนวน26จังหวัดซึ่งขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว 10 จังหวัด และยังคงมีอีก16 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ชัยภูมิ บุรีรัมย์ กำแพงเพชร อุทัยธานี ลพบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว กาญจนบุรีเพชรบุรี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และจังหวัดสตูล อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯโดยกรมชลประทาน ได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยได้มีการรายงานปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ต.ค. 63) มีจำนวน 44,982 ล้าน ลบ.ม. เป็นน้ำใช้การได้ 21,050 ล้าน ลบ.ม. สามารถรับน้ำได้อีก 31,115 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจความเสียหายและประสิทธิภาพการรองรับน้ำของเขื่อน โดยใช้เครื่องมือวัดพฤติกรรมเขื่อนซึ่งขณะนี้สามารถรับมือและควบคุมสถานการณ์ได้และได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ให้ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ดังกล่าวทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้มีการสร้างการรับรู้และสร้างความมั่นใจต่อพี่น้องประชาชนให้มากที่สุดด้วย สำหรับการรายงานสถานการณ์การเพาะปลูกข้าวนาปีรอบที่ 1ปีการผลิต 2563กรมชลประทานและกรมส่งเสริมการเกษตร ได้รายงานพื้นที่เป้าหมายการส่งเสริมการปลูกข้าวจำนวน 59.883ล้านไร่แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทาน 16.787 ล้านไร่ได้มีการเพาะปลูกไปแล้ว 14.04 ล้านไร่และนอกเขตชลประทาน 43.096 ล้านไร่สำหรับในส่วนของผลกระทบด้านการเกษตร(ด้านพืช)มี12จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี สุพรรณบุรีฉะเชิงเทรา สตูล และจังหวัดตรังมีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ75,834ราย พื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย281,964ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 116,099ไร่ พืชไร่ 120,043ไร่ พืชสวนและอื่นๆ45,822ไร่ นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังเตรียมเสนอโครงการสร้างรายได้และพัฒนาอาชีพเกษตรให้แก่สมาชิกสถาบันเกษตรกรมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสมาชิกสถาบันเกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วงในปี 2563/64 ประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยให้สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่อไปได้ รวมถึงเพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาสในครัวเรือน และส่งเสริมพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำในแปลงเกษตรกรรมของสมาชิกของสถาบันเกษตรกรให้เกิดประสิทธิภาพ โดยวางเป้าหมาย51 จังหวัด ไปยังสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร 161 แห่ง และวางเป้าหมายเข้าถึงสมาชิกสถาบันเกษตรกร 3,000 รายทั้งนี้จะมีการรวบรวมข้อมูลและประชุมสรุปทางการดำเนินงาน โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัตร โพธสุธน) เป็นประธานและจะนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)พิจารณาเห็นชอบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36063
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมธนารักษ์เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสวัสดิการที่พักอาศัยข้าราชการทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำที่ราชพัสดุมาสนับสนุนโครงการสำคัญของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 กรมธนารักษ์เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสวัสดิการที่พักอาศัยข้าราชการทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำที่ราชพัสดุมาสนับสนุนโครงการสำคัญของรัฐบาล อธิบดีกรมธนารักษ์ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาทรัพย์สิน จำกัด ร่วมแถลงข่าวโครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือนสามัญ วันนี้ (19 ตุลาคม 2563) ณ กรมธนารักษ์ นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ และนายนาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาทรัพย์สิน จำกัด ร่วมแถลงข่าวโครงการบูรณาการสวัสดิการที่พักอาศัยกับสถานที่ทำงานและศูนย์บริการของข้าราชการพลเรือนสามัญ พร้อมทั้งเปิดเผยว่าโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมธนารักษ์ สำนักงาน ก.พ. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ในการพัฒนาที่พักอาศัยเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่ข้าราชการพลเรือนสามัญได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ในลักษณะอาคารพักอาศัยรวม (คอนโด) 7 ชั้น มีผู้สนใจจองโครงการจำนวนมาก ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ เอกสารหลักฐาน และคัดเลือกผู้ได้รับสิทธิ ให้เข้าร่วมโครงการเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างธนาคารพิจารณาสินเชื่อเบื้องต้น (Pre approve) โดยระหว่างที่ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและเอกสารหลักฐาน บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ก็ดำเนินการคู่ขนานในการสรรหาบริษัทผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการ ประกอบด้วย 1. แปลง กท.0475 (บางส่วน) แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ บริษัท กิจการร่วมค้าแสงเจริญและพรพิศาล 2. แปลง กท.1060 ถนนเพชรบุรี เขตบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ บริษัท กิจการร่วมค้าไลก้า บิวดิ้ง 3. แปลง กท.2918 (บางส่วน) ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ อยู่ระหว่างการคัดเลือกของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) 4. แปลง นบ.380 (บางส่วน) ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี อยู่ระหว่างการคัดเลือกของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) อย่างไรก็ตามกรณีแปลงที่ยังมีผู้จองไม่เต็มจำนวน คณะกรรมการฯ ได้มีการปรับเพิ่มคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ จากข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญหรือข้าราชการประเภทอื่น และขยายระยะเวลา การรับจองจนถึงวันที่ 22 ตุลาคม 2563 สำหรับโครงการบ้านสวัสดิการกรมธนารักษ์ บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่นม.2612 (บางส่วน) ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 31–1-89 ไร่ ก็ได้ผู้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเช่นกัน คือ บริษัท กลอรี่ เมคเกอร์ จำกัด อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจโครงการฯ จำนวนมาก กรมธนารักษ์จึงมีแนวคิดในการจัดสวัสดิการเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ข้าราชการ โดยนำที่ราชพัสดุมารองรับการพัฒนาสวัสดิการ ที่พักอาศัยของข้าราชการเพิ่มเติม ภายใต้โครงการสวัสดิการที่พักอาศัยของข้าราชการในที่ราชพัสดุ อีก 9 พื้นที่ ประกอบด้วย 1) กรุงเทพมหานคร 2) นครนายก 3) สงขลา 4) สุราษฎร์ธานี 5) ประจวบคีรีขันธ์ 6) เชียงราย 7) อุบลราชธานี 8) อุดรธานี 9) มหาสารคาม คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และข้าราชการประเภทอื่น โดยไม่ต้องมีสถานที่ทำงานหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ของโครงการ แต่หากผู้เข้าร่วมโครงการมีสถานที่ทำงานหรือมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่โครงการฯ จะได้รับการพิจารณาก่อนเป็นลำดับแรกและจะได้รับสิทธิการเช่า 30 ปี อีกด้วย นอกจากนี้ นายยุทธนา ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในวันที่ 26 ตุลาคม 2563 กรมธนารักษ์จะร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ระยะที่ 2-3 ระหว่าง กรมธนารักษ์ กับ กองทัพบก ณ สวนสาธารณะเบญจกิติ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อให้การก่อสร้างสวนป่า “เบญจกิติ” ให้แล้วเสร็จ เพื่อเตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 และในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 กรมธนารักษ์จะมีพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.153 ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 141-2-64 ไร่ ระหว่าง กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กับ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก (Phuket Medical Tourism into a World Class Medical and Wellness Tourist Destination) โดยจัดสร้างศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับนานาชาติครบวงจร (International Health Plaza) ศูนย์อภิบาลสุขภาพผู้สูงอายุนานาชาติ (Premium Long Term Care) ศูนย์ใจรักษ์ (Hospice Care) และศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร (Rehabilitation Center) ภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ นายยุทธนากล่าวทิ้งท้าย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36064
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ขยายผลตรวจโควิด 19 เชิงรุกแม่สอด และอีก 4 อำเภอ จ.ตาก รวมกว่าหมื่นราย
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 สธ.ขยายผลตรวจโควิด 19 เชิงรุกแม่สอด และอีก 4 อำเภอ จ.ตาก รวมกว่าหมื่นราย กระทรวงสาธารณสุขเตรียมขยายตรวจโควิด 19 เชิงรุก ใน อ.แม่สอด จ.ตาก ให้ได้อีก 5 พันคนภายในสัปดาห์นี้ พร้อมตรวจกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดตาก ได้แก่ อุ้มผาง พบพระ แม่ระมาด และท่าสองยาง อีก 3-4 พันคน กระทรวงสาธารณสุขเตรียมขยายตรวจโควิด 19 เชิงรุก ใน อ.แม่สอด จ.ตาก ให้ได้อีก 5 พันคนภายในสัปดาห์นี้ พร้อมตรวจกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดตาก ได้แก่ อุ้มผาง พบพระ แม่ระมาด และท่าสองยาง อีก 3-4 พันคน เผยพนักงานคนไทยที่มาต่อรถขนส่งสินค้ากับคันที่เจอคนขับรถชาวเมียนมาติดโควิด 19 ผลตรวจให้ผลเป็นลบ และกักตัวเองที่บ้านจนครบกำหนด ยันไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ วันนี้ (19 ตุลาคม 2563) ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ นพ.รเมศ ว่องวิไลรัตน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตาก (ด้านเวชกรรมป้องกัน) ให้สัมภาษณ์ถึงการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 จังหวัดตาก ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ชาวเมียนมาที่เป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันจำนวน 5 คน ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องแยกโรคของโรงพยาบาลแม่สอด โดยทั้งหมดไม่มีอาการ อยู่ในการดูแลของแพทย์และพยาบาล ขณะที่ผู้สัมผัสใกล้ชิดต่างๆ เช่น ผู้ที่ร่วมละหมาดที่อยู่ติดกันจำนวน 4 ราย ผลการตรวจเชื้อเป็นลบ ผู้ร่วมละหมาดที่เหลือถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ได้ให้กักตัวเองที่บ้านเพื่อเฝ้าระวังอาการ สำหรับการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ขณะนี้ตรวจไปแล้ว 4 พันกว่าคนให้ผลเป็นลบ โดยภายในสัปดาห์นี้จะมีการตรวจเชิงรุกเพิ่มในพื้นที่เสี่ยงที่เหลืออยู่อีก 6-7 จุด รวมประมาณ 5 พันคน เช่น ห้างสรรพสินค้าต่างๆ เป็นต้น โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน และขยายการตรวจเพิ่มออกไปยังกลุ่มเสี่ยง เช่น ตำรวจตระเวนชายแดน ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดตาก อีก 3-4 พันคน ได้แก่ อำเภออุ้มผาง พบพระ แม่ระมาด และท่าสองยาง นายแพทย์ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันควบคุมโรคที่ 2 พิษณุโลก กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2563 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้รถขนส่งสินค้าจากเมียนมาส่งสินค้าในจุด Safety Zone เท่านั้น โดยให้เข้ามาคันละ 1 คน โดยมีรถขนส่งสินค้าของไทยมารับช่วงถ่ายสินค้า มีพนักงานขนส่งสินค้าคนไทย 2-3 คนดำเนินการ เมื่อขนเสร็จก็ให้ขับกลับออกไป ทั้งหมดอยู่ภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 ชั่วโมงตามที่กำหนด โดยระหว่างนั้นจะมีการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาเชื้อด้วย ขณะที่รถขนส่งสินค้าของไทยที่ข้ามไปยังฝั่งเมียนมาก็จะทำแบบเดียวกัน เมื่อกลับเข้ามาจะได้รับการตรวจหาเชื้อ ซึ่งวันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมา ตรวจคัดกรองเจอพนักงานขับรถขนส่งสินค้าชาวเมียนมาติดโควิด 19 อีก 1 ราย ได้กลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลฝั่งเมียนมาแล้ว ส่วนพนักงานคนไทยที่มาต่อรถส่งสินค้าด้วยนั้นได้ดำเนินการตรวจแล้วให้ผลเป็นลบ โดยให้กักตัวเองที่บ้านจนครบกำหนด แต่ปัจจุบันผู้ว่าราชการจังหวัดตากได้ให้ทำการปิดด่านตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม โดยปิดเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยจะเปิดด่านอีกครั้งวันที่ 26 ตุลาคมนี้ นายแพทย์ศรายุธกล่าวต่อว่า การปิดด่านไม่ใช่เพื่อลดโรคโควิด 19 แต่เพื่อปรับปรุงระบบของจุด Safety Zone เนื่องจากพบว่ายังมีบางจุดที่ต้องพัฒนา เช่น เรื่องของการสวมหน้ากากอนามัย ยังพบคนขับรถบางส่วนไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ปริมาณรถมีจำนวนมาก 600-700 คันต่อวัน พนักงานควบคุมมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพื้นที่อำเภอแม่สอดไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถดำเนินการกิจการได้ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ สามารถเปิดช่องได้เล็กน้อย ถ้าหากปิด การขนส่งสินค้าจำเป็น เช่น น้ำมัน แก๊ส เป็นต้น ก็จะชะงักทั้งหมด ************************************** 19 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36069
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วม จ. นครราชสีมา ให้สำรวจความเสียหาย เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชน พร้อมฟื้นฟูสาธารณูปโภคทันที
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วม จ. นครราชสีมา ให้สำรวจความเสียหาย เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชน พร้อมฟื้นฟูสาธารณูปโภคทันที นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมพื้นที่น้ำท่วม จ. นครราชสีมา ให้สำรวจความเสียหาย เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชน พร้อมฟื้นฟูสาธารณูปโภคทันที วันนี้ (19 ตุลาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมคณะ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ. นครราชสีมา เพื่อติดตามการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน โดยจุดแรก คือ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า จ.นครราชสีมา แก้ไขปัญหาน้ำท่วม อำเภอปักธงชัย ซึ่งนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวรายงานสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาว่า ยังคงมี 9 อำเภอที่ยังได้รับผลกระทบ ได้แก่ อ.ปากช่อง อ. โชคชัย อ. สูงเนิน อ. เนินสูง อ. เมือง อ. พิมาย อ. ขามทะเลสอ อ. เสิงสาง อ. ปักธงชัย ซึ่งจังหวัดได้ร่วมกับองค์กรส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน สมาคม มูลนิธิ ได้ให้ความช่วยเหลือและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเองติดตามรายงานทุกวันและทราบดีว่าทุกคนทำงานอย่างหนัก จึงตั้งใจมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งมหาดไทย กรมชลประทาน คมนาคมและหน่วยงาน ทราบว่าจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมและคลี่คลายแล้วเหลือเพียง 11 จังหวัดจาก 28 จังหวัดสาเหตุมาจากอิทธิพลพายุดีเพรสชั่น รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่ประสบภัย ขณะเดียวกันก็ต้องเดินหน้าตามภาระหน้าที่หลายอย่าง ทั้งการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย การควบคุมการสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังคงมีอยู่รอบประเทศ รวมทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ สำหรับสถานการณ์ในกรุงเทพ ฯ นั้น ทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวังอย่าให้เหตุการณ์บานปลาย รัฐบาลไม่มุ่งหวังใช้ความรุนแรงทั้งสิ้นและดำเนินการทุกอย่างตามมาตรฐานสากล ขอเพียงให้ทุกคนช่วยกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมทั้งดูแลประชาชนให้ทั่วถึง ก็จะทำให้ไทยผ่านพ้นไปด้วยดี นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการถอดบทเรียนการทำงานว่า แม้วันนี้อ่างเก็บน้ำจะมีน้ำมากขึ้น แต่จำเป็นต้องมีการพร่องน้ำในบางแหล่งเก็บน้ำที่มีปริมาณมากเกินความจุ ซึ่งการระบายน้ำ การพร่องน้ำจะต้องไม่กระทบต่อพี่น้องประชาชนหรือสถานที่สำคัญ อาทิ ชุมชน หมู่บ้าน โรงพยาบาล พร้อมเสนอแนะให้พื้นที่จัดหาทุ่งรับน้ำ เช่นเดียวกับที่จังหวัดอยุธยาหรือ อยุธยาโมเดล ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงห่วงใยและรับสั่งว่า เราบังคับธรรมชาติไม่ได้แต่ต้องอยู่กับน้ำให้ได้ ทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม รัฐบาลจึงมีนโยบายสร้างแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็กกระจายไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมเช่นเดียวกับเบ้าขนมครก เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง รวมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการสำรวจเส้นทางระบายน้ำ ดูแลการจราจรไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการสัญจรของประชาชน การแจกจ่ายเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับประชาชน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์เพื่อการสื่อสารให้ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ได้ เช่น เครือข่ายวิทยุ นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน ในการเตรียมความพร้อมรองรับภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งความปลอดภัยจากน้ำ จากไฟ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อจัดสรรงบประมาณในการเยียวยา ช่วยเหลือประชนและฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคได้ทันที นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายว่า อยากใช้โอกาสนี้สร้างการรับรู้แก่ประชาชนว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำงานตามที่วางยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ ขณะนี้ไทยอยู่ในระดับประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ผ่านมาไม่มีอะไรเสียหาย และมั่นใจว่าไทยจะดีขึ้นเรื่อย แม้รัฐบาลต้องเผชิญสถานการณ์โควิด-19 น้ำท่วม วิกฤตเศรษฐกิจและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะใช้หลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้สามารถแก้ไขผ่านกลไกรัฐสภา พร้อมย้ำในช่วงท้ายว่าไม่เคยทำอะไรเพื่อตนเอง ฝากให้ทุกคนช่วยกันคิดร่วมกันเดินหน้าบ้านเมือง จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางต่อไปที่เทศบาลนครเมือง เมืองปักธงชัยเพื่อมอบ อาหาร น้ำดื่มและของใช้จำเป็นให้แก่ประชาชน พร้อมทักทายให้กำลังใจประชาชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานครหลังเสร็จภารกิจ ........
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เปิดยุทธศาสตร์ปี 64-65 รักษาความเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อบ้าน ยกระดับการให้บริการลูกค้าขึ้นสู่ Digital Platform รองรับการเป็น Digital Bank ในอนาคต
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ธอส.เปิดยุทธศาสตร์ปี 64-65 รักษาความเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อบ้าน ยกระดับการให้บริการลูกค้าขึ้นสู่ Digital Platform รองรับการเป็น Digital Bank ในอนาคต ธอส.เปิดยุทธศาสตร์ปี 64-65 รักษาความเป็นผู้นำตลาดสินเชื่อบ้าน ยกระดับการให้บริการลูกค้าขึ้นสู่ Digital Platform รองรับการเป็น Digital Bank ในอนาคต ตั้งเป้าหมายให้มี Digital Transaction ไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวน Transaction ทั้งหมดในปี 65 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยแผนยุทธศาสตร์ ปี 2564-2565 มุ่งดำเนินการตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้วยสินเชื่อคงค้าง 1 ใน 3 ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งระบบสถาบันการเงิน ล่าสุด ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้แล้ว 156,650 ล้านบาท คาดทำได้ตามเป้าหมายที่ 210,000 ล้านบาท พร้อมยกระดับการให้บริการลูกค้าขึ้นสู่ Digital Platform เพื่อรองรับการเป็น Digital Bank ในอนาคต อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของธนาคารได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตั้งเป้าหมายให้มี Digital Transaction ไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวน Transaction ทั้งหมดในปี 2565 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงแผนยุทธศาสตร์ ธอส. ปี 2564-2565 ว่า ธนาคารยังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” รักษาความเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้วยการมีสินเชื่อคงค้างจำนวน 1 ใน 3 ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งระบบสถาบันการเงิน โดยล่าสุด ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้แล้ว156,650 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมายปี 2563 ที่ 210,000 ล้านบาท ด้วยปัจจัยสนับสนุนคืออัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการขายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้เป็นโอกาสของประชาชนที่รายได้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้มีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ขณะที่ในปี 2564 ธอส. ยังคงตั้งเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ 215,641 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 222,110 ล้านบาท ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นปีละ 3% ตามลำดับ ด้วยสินเชื่อคงค้างในปี 2564 ที่ 1.374 ล้านล้านบาท และเพิ่มเป็น 1.444 ล้านล้านบาท ในปี 2565 โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับการให้บริการลูกค้าขึ้นสู่ Digital Platform เพื่อรองรับการเป็น Digital Bank ในอนาคต อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของธนาคารได้อย่างสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของธนาคาร เพื่อดึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้ต่ำลงอีก โดยตั้งเป้าหมายให้มี Digital Transaction ไม่ต่ำกว่า 80% ของจำนวน Transaction ทั้งหมดในปี 2565 ด้วยแผนงาน/โครงการสำคัญที่สนับสนุนการเป็น Digital Bank ประกอบด้วย 1.โครงการ New Normal Services พัฒนาบริการใหม่ของธนาคารบน Mobile Application : GHB ALL เพื่อรองรับ Lifestyle ลูกค้าแบบ New Normal ตามที่ธนาคารได้เปิดให้บริการใน Phase ที่ 1 จำนวน 6 บริการไปแล้วเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 ประกอบด้วย 1.ซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ให้บริการได้ทั้งการซื้อสลากครั้งแรกหลังเปิดบัญชีสลากที่สาขา หรือลูกค้าเดิมที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม รวมถึงสลากออมทรัพย์ชุดใหม่ล่าสุด ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท แต่มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลมากยิ่งขึ้น โดยรางวัลที่ 1 มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านบาท รวมถึงยังมีรางวัลเลขท้าย 2 ตัว เลขท้าย 3 ตัว และรางวัลเลขสลับเลขท้าย ซึ่งจะเริ่มเปิดให้ซื้อครั้งแรกภายในเดือนตุลาคม 2563 2.ขอ Statement บัญชีเงินฝาก สำหรับลูกค้าที่ต้องการนำข้อมูลบัญชีประเภทออมทรัพย์ไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในการอนุมัติธุรกรรมต่าง ๆ ตามที่ต้องการ 3.จองคิวใช้บริการล่วงหน้า เพื่อไปรอรับบริการที่สาขาในวันเวลาที่นัดหมายได้ทันที 4.ใบเสร็จชำระเงินกู้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แทนรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษและจัดส่งทางไปรษณีย์ 5.ชำระเงินดาวน์ทรัพย์ NPA โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สาขา และ 6.แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่จัดส่งเอกสาร/การติดต่อกับธนาคารเพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อหรือรับข้อมูลสำคัญจากธนาคาร และจะเปิดให้บริการใน Phase ที่ 2 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 อาทิ เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเงินกู้ แจ้งความประสงค์กู้เพิ่ม 2.โครงการ Tollway Loan Plus เป็นการยกระดับความร่วมมือกับฝ่าย HR ของบริษัทหรือหน่วยงานที่มีสวัสดิการเงินกู้กับธนาคารจะเป็นผู้ส่งข้อมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งรายได้ หลักฐานส่วนตัว และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกอบการยื่นกู้ให้แก่พนักงานที่ประสงค์ยื่นกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร โดยที่พนักงานไม่ต้องลางาน เพื่อเดินทางไปติดต่อยื่นเรื่องกู้ที่สาขาธนาคาร หลังจากนั้นธนาคารจะเป็นผู้ติดต่อและสัมภาษณ์ข้อมูลรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อทางโทรศัพท์ต่อไป และเดินทางเข้ามาธนาคารเพียงครั้งเดียวเพื่อทำสัญญาภายหลังได้รับแจ้งอนุมัติสินเชื่อแล้วเท่านั้น และ 3.โครงการ Virtual Branch หน่วยบริการสินเชื่อไร้ที่ทำการ โดยลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา แต่ยังคงได้รับบริการเสมือนอยู่ที่สาขา “ขณะเดียวกันธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้แก่ผู้บริหารและพนักงานให้สามารถทำงานภายใต้การเปลี่ยนแปลงไปสู่ Digital Bank สร้างสรรค์ทัศนคติด้านบวกและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นหนึ่งเดียว และมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันตามโครงการ GHB 1 TEAM รวมถึงจัดทำโครงการ Digitizer พัฒนาระบบการอนุมัติและจัดการเอกสารในลักษณะ Workflow โดยสร้างแบบฟอร์มต่าง ๆ ผ่านระบบดิจิทัล ลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้กระดาษ เป็นต้น” นายฉัตรชัยกล่าว ทั้งนี้ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของธนาคาร ทำให้ปัจจุบันธนาคารยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมีความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ โดย ณ เดือนสิงหาคม 2563 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2562 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,273,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.30% สินทรัพย์รวม 1,351,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.55% เงินฝากรวม 1,110,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.74% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน 51,559 ล้านบาท คิดเป็น 4.05% ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 2,044 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35708
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สารคดีสั้น ตอน 3 โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 สารคดีสั้น ตอน 3 โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ สารคดีสั้น ตอน 3 โครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"หรอยแรง" จุรินทร์ เปิดงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า แข่งเรือยาวสุราษฎร์ธานี คนหลายหมื่นร่วมคึกครื้น
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 "หรอยแรง" จุรินทร์ เปิดงานประเพณีชักพระ ทอดผ้าป่า แข่งเรือยาวสุราษฎร์ธานี คนหลายหมื่นร่วมคึกครื้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานงานประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่าและแข่งเรือยาวฯ ประจำปี 2563 ณ บริเวณริมเขื่อนแม่น้ําตาปี(สะพานนริศ) อําเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีประชาชนหลายหมื่นคนร่วมงานประเพณีซึ่งเป็นงานประจำปีเต็มไปด้วยวัฒนธรรมและสีสันท้องถิ่นมีการจัดการแข่งขันเรือยาว ทอดผ้าป่าร่วมด้วย โดยมีนายบัญญัติบรรทัดฐาน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด สุราษฎร์ธานี 1. สินิตย์ เลิศไกร 2.ภานุ ศรีบุศยกาญจน์ 3. นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี 4.นายสมชาติ ประดิษฐพร5.นายชุมพล-นางโสภา-นางสาววชิราภรณ์ กาญจนะ และ 6.นายธีรภัทร พริ้งศุลกะ ร่วมด้วย โดยมีประชาชนให้ความสนใจทักทาย ถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด นายจุรินทร์ กล่าวว่า งานประเพณีชักพระ-ทอดผ้าป่า และแข่งเรือยาวฯ ถือเป็นงานบุญของพุทธศาสนิกชนที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของพี่น้องชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี มาตั้งแต่อดีต ที่พี่น้องได้ร่วมสืบสานอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน และการจัดงานในวันนี้ ถือเป็นอีกปีที่มีการเชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างภาคใต้และภาคอีสาน ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญและความเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิดของประเพณี และวัฒนธรรมที่พี่น้องประชาชนทั้ง 2 จังหวัด ได้ร่วมกันสร้างขึ้น "ผมขอขอบคุณคณะกรรมการจัดงานทุกท่านที่ได้ให้ความร่วมมือ เสียสละ ทุ่มเท ในการร่วมกันจัดงานนี้ให้สำเร็จขึ้นมาได้ ตลอดจนขอขอบคุณพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและประเพณีที่มีค่ายิ่งของพวกเรา จนทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วทั้งประเทศ และขอให้ทุกคนร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันดีงาม และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด" สำหรับประเพณีนี้เป็นงานประจำปี ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่รวมประชาชนภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานีและใกล้เคียงมากที่สุด จะมีพ่อค้าประชาชนหัวหน้าส่วนราชการทั้งหมดมาร่วมกิจกรรมกับภาคประชาชนทั้งวัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35686