title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เปิดให้ลูกค้าเดิมที่รายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยื่นคำขอลงทะเบียนเข้ามาตรการระยะที่ 2 ผ่าน APP GHB ALL ระหว่าง 2 - 29 ต.ค. 63
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ธอส.เปิดให้ลูกค้าเดิมที่รายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยื่นคำขอลงทะเบียนเข้ามาตรการระยะที่ 2 ผ่าน APP GHB ALL ระหว่าง 2 - 29 ต.ค. 63 ธอส.ประกาศให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ และยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะที่ 2 โดยขยายระยะเวลาความช่วยเหลือไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 รวม 4 มาตรการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศให้ลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ และยังคงได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการระยะที่ 2 โดยขยายระยะเวลาความช่วยเหลือไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 รวม 4 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชำระเงินต้น 3 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท มาตรการที่ 3 พักชำระเงินต้น 3 เดือน จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับ 3.90% ต่อปี มาตรการที่ 8 และมาตรการที่ 8.5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 เดือน เปิดให้ลงทะเบียนผ่าน APP GHB ALL ในวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 15.00น. เป็นต้นไป จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 เวลา 20.00 น. นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าธนาคาร ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 ได้มีมติตามที่ฝ่ายจัดการเสนออนุมัติให้ ธอส. ขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 2 เฉพาะลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการที่ -1, มาตรการที่ 0, มาตรการที่ 1, มาตรการที่ 3, มาตรการที่ 8 และมาตรการที่ 8.5 และรายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งนี้ ลูกค้าเดิมที่รายได้ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สามารถแจ้งความประสงค์ขอใช้มาตรการขยายความช่วยเหลือ ระยะที่ 2 ได้ผ่านทาง Application : GHB ALL ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2563 เริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 เวลา 20.00 น. พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่ายังมีผลกระทบทางรายได้จริงให้ธนาคารพิจารณา อาทิ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย และ Statement เป็นต้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้โรงพยาบาลราชวิถี ช่วยดูแลผู้ได้รับผลกระทบสิทธิบัตรทองเข้าถึงการรักษา
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 สธ.ให้โรงพยาบาลราชวิถี ช่วยดูแลผู้ได้รับผลกระทบสิทธิบัตรทองเข้าถึงการรักษา กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดูแลผู้ป่วยบัตรทองส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ กทม. กว่า 2 ล้านคน เข้าถึงบริการดูแลรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัด ผู้ป่วยที่ต้องรับยาต่อเนื่อง กระทรวงสาธารณสุข ให้โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดูแลผู้ป่วยบัตรทองส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ กทม. กว่า 2 ล้านคน เข้าถึงบริการดูแลรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัด ผู้ป่วยที่ต้องรับยาต่อเนื่อง วันนี้ (5 ตุลาคม 2563) ที่ตึกอายุรกรรม ชั้น 1 โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และนายแพทย์จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดคลินิกบัตรประกันสุขภาพ มาตรา 8 โรงพยาบาลราชวิถี และให้สัมภาษณ์ว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการเอกชนบางแห่งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้รับผลกระทบประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เร่งจัดหาหน่วยบริการระดับปฐมภูมิแห่งใหม่ ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ที่มีโรงพยาบาลหลายแห่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกันรองรับให้การดูแลผู้ได้รับผลกระทบ และกรมการแพทย์ได้เปิดคลินิกบัตรประกันสุขภาพ มาตรา 8 ที่โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อดูแลผู้ป่วยบัตรทองส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับการดูแลและรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีนัดผ่าตัด ผู้ป่วยที่ต้องรับยาต่อเนื่อง เป็นต้น โดยกรณีการเข้ารับบริการที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ขอให้เป็นผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น เพื่อให้การบริหารจัดการเกิดประโยชน์สูงสุด ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ เป็นโรงพยาบาลในระดับตติยภูมิ ให้การรักษาพยาบาลที่ยุ่งยากซับซ้อน และด้านพัฒนาวิชาการ อย่างไรก็ตาม ได้ให้โรงพยาบาลราชวิถี จัดตั้งคลินิกบัตรประกันสุขภาพ มาตรา 8 ขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน สามารถเข้าถึงบริการ โดยตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2563 ได้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบในสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามมาตรา 8 แล้ว จำนวน 9,191 ราย ************************************** 5 ตุลาคม 2563 **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35704
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อินเดีย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย, บาห์เรน 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ (อินเดีย 2 ราย, มาเลเซีย 1 ราย, บาห์เรน 1 ราย, ญี่ปุ่น 1 ราย) ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้, สถานกักตัวที่รัฐกำหนด มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 2 ราย ทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,390 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.43 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 141 ราย หรือร้อยละ 3.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 59 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,590 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ เป็นผู้ที่เดินทางมาจาก อินเดีย 2 รายทั้ง 2 ราย มีสัญชาติอินเดีย - รายที่ 1 เพศชาย อายุ 27 ปี อาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 25 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 2 ตุลาคม 2563 (วันที่ 7 ของการกักตัว) เริ่มมีอาการเจ็บคอ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานครโดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 6 ราย ทุกรายได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาล -รายที่ 2 เพศชาย อายุ 33 ปี อาชีพเชฟทำอาหาร เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) รายนี้ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร มาเลเซีย 1 รายเพศชาย อายุ 34 ปี สัญชาติโปรตุเกส อาชีพลูกเรือสายการบินเช่าเหมาลำ มาจากโปรตุเกส ไปอินเดีย ไปมาเลเซีย ก่อนมาประเทศไทย ถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในจังหวัดสมุทรปราการ พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม 2563 (วันที่ 3 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสมุทรปราการ บาห์เรน 1 รายเพศชาย อายุ 50 ปี สัญชาติบาห์เรน อาชีพธุรกิจส่วนตัว (มีภรรยาเป็นคนไทย) เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 27 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรก วันที่ 2 ตุลาคม 2563 (วันที่ 5 ของการกักตัว) ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร ญี่ปุ่น 1 รายเพศหญิง อายุ 55 ปี สัญชาติไทย อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่30 กันยายน 2563 เข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจาการตรวจครั้งแรก วันที่ 4 ตุลาคม 2563 (วันที่ 4 ของการกักตัว) โดยวันที่ 3 ตุลาคม 2563 เริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใน จังหวัดชลบุรี ก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 1 ราย เป็นสามีของผู้ป่วยได้เข้าสู่ระบบกักกันและส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ที่น่ากังวลและอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยขณะนี้คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาครัฐได้กวดขันผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทางด่านพรมแดน เฝ้าระวัง ตรวจจับ แรงงานต่างชาติที่ลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านมาตรการคัดกรองโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ และประชาชนช่วยกันสอดส่องหากพบผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือมีแรงงานผิดกฎหมาย ขอเข้าทำงานให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว เนื่องจากกลุ่มนี้ถือว่ามีความเสี่ยงที่อาจนำเชื้อมาแพร่ให้กับคนในประเทศซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงสาธารณสุขมีความห่วงใยสุขภาพของคนไทยทุกคน ขอย้ำให้ประชาชนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเข้มข้น เป็นนิสัย โดยเฉพาะการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ นอกจากช่วยป้องกันการป่วยด้วยโรคโควิด 19 แล้ว ยังช่วยลดอัตราการป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่และโรคระบบทางเดินหายใจด้วย ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่ และ โควิด 19 จะมีอาการป่วยที่ใกล้เคียงกัน ทั้งอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ หรืออาการระบบทางเดินหายใจ แต่ที่แตกต่างกันคือ ผู้ติดเชื้อโควิด 19 อาจมีอาการลิ้นรับรส หรือกลิ่นลดลง ขอแนะนำว่าหากป่วยภายหลังจากเดินทางไปในที่ชุมชน สถานที่แออัด ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ตั้งแต่เดือน มกราคม – กันยายน 2562 มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 304,4225 ราย เสียชีวิต 20 ราย มีผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปีที่ผ่านมา โดยมีผู้ป่วยเพียง 110,930 ราย เสียชีวิต 4 ราย นอกจากนี้การล้างมือบ่อยๆ ยังช่วยลดอัตราการป่วยด้วยโรคโรคอุจจาระร่วง โดยในปีนี้มีผู้ป่วย 621,445 ราย ลดลงจากในช่วงเดียวกันปี 2562 ที่พบ 883,449 ราย แสดงให้เห็นว่ามาตรการป้องกันตนเองสามารถช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคทั้ง 2 กลุ่ม กระทรวงสาธารณสุขจึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่องเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี และลดอัตราการป่วยจากโรคดังกล่าว ************************************** 5 ตุลาคม 2563 **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดทำกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 การจัดทำกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การจัดทำกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายอำพล จินดาวัฒนะ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้ถาม : นายอำพล จินดาวัฒนะ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมซึ่งเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๖ ประเด็นปฏิรูปที่ ๔ ระบบส่งเสริมชุมชนเข้มแข็งกิจกรรมที่ ๔ ข้อ ๒ จัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... ที่กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ ปี ๒๕๖๑ - ๒๕๖๓ ให้รัฐบาลมีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนและขั้นตอนการปฏิรูปดังกล่าว บัดนี้ ระยะเวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ขอเรียนถามว่า รัฐบาลได้ดำเนินการจัดทำกฎหมายดังกล่าวไปถึงขั้นตอนใดแล้ว รวมทั้งได้ดำเนินการ ให้ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ อย่างไร และคาดว่าจะเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่ การพิจารณาของรัฐสภาได้เมื่อใด ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ และได้รับความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติจากคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ หลังจากนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งได้มีข้อสังเกตจากในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จากการหารือได้มีมติให้ตัดเรื่องของกองทุนออกไปเพื่อมิให้เป็นภาระแก่งบประมาณของแผ่นดิน ประกอบกับรัฐบาลได้มีการจัดสรรงบประมาณให้บางส่วนแล้ว จึงได้นำร่างพระราชบัญญัติเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ซึ่งได้รับความเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทั้งนี้ หลังจากที่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้นำความคิดเห็นมาปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมที่จะเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในเดือนกันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35696
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา อ.ต.ก.ครบรอบ 46 ปี
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา อ.ต.ก.ครบรอบ 46 ปี รมช.ธรรมนัส ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา อ.ต.ก.ครบรอบ 46 ปี พร้อมมอบนโยบายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง รมช.ธรรมนัส ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา อ.ต.ก.ครบรอบ 46 ปี พร้อมมอบนโยบายในการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา สำนักงานองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ครบรอบ 46 ปี พร้อมมอบแนวทางการปฏิบัติงานตามนโยบาย ปีงบประมาณ 2564 ณ สำนักงานองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาการเกษตร เพราะอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตอาหารและเป็นฐานวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารของไทยและก้าวไปสู่การเป็นครัวโลก “กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินงานที่สำคัญไปแล้วหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนวัตกรรมและดิจิทัลมาปรับใช้กับการส่งเสริมตลาดนำการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต สนับสนุนให้เกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้ชีวิตเกษตรกรเป็นไปในทางที่ดีขึ้นและมั่นคง” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ ทางสำนักงานองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ดำเนินงานตามนโยบายของทางกระทรวงเกษตรฯโดยเป็นช่องทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตร และเป็นตัวกลางในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการจัดหาช่องทางการตลาดเพื่อจำหน่ายผลผลิต ผลิตภัณฑ์การการเกษตร โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นการลดต้นทุนและสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกร อีกทั้งมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรด้วยการแปรรูปสินค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ ยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดระดับสากล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35699
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เนื่องในงานครบรอบ 18 ปี พร้อมดึงภาคเอกชนร่วมทำ CSR สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เนื่องในงานครบรอบ 18 ปี พร้อมดึงภาคเอกชนร่วมทำ CSR สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ พม. มอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เนื่องในงานครบรอบ 18 ปี พร้อมดึงภาคเอกชนร่วมทำ CSR สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ วันที่ 3 ต.ค. 63 เวลา 10.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในงานประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ครบรอบ 18 ปี พร้อมทั้งมอบโล่ประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. ที่มีผลงานเป็นเลิศจำนวน 18 รางวัล หน่วยงานบริษัทหรือภาคธุรกิจเอกชนที่มีผลงาน CSR เป็นเลิศ จำนวน 18 รางวัล หน่วยงาน บริษัทหรือภาคธุรกิจเอกชนที่สนับสนุน พม.ห่วงใยสู้ภัยโควิด 19 จำนวน 36 รางวัล รวมจำนวน 72 รางวัล และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและใบประกาศเกียรติคุณแก่บุคลากรที่ได้รับการคัดเลือกเป็น 1 คนดีมีจริยธรรม 1 หน่วยงาน พม. จำนวน 9 รางวัล นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดนิทรรศการของหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานต่างๆ และการประมูลทรัพย์หลุดจำนำ โดยมี คณะผู้บริหาร และบุคลากร กระทรวง พม. รวมทั้งผู้แทนภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมงาน ณ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมที่ต้องดูแลกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และขอทาน รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย และผู้ด้อยโอกาส โดยต้องอาศัยการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในสังคม ตามวิสัยทัศน์ สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ ผสานกับเจตนารมณ์ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานที่มีผลสัมฤทธิ์ รองรับนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม นำพาสังคมไทยไปสู่เป้าหมาย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อจะนำสังคมก้าวไปสู่ความเจริญงอกงาม ซึ่งกระทรวง พม. ได้ขับเคลื่อนภารกิจด้านการพัฒนาสังคมตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2545 เป็นต้นมา ทั้งนี้ การไปสู่เป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากบุคลากรของกระทรวง พม. ที่มุ่งบริการประชาชนอย่างมืออาชีพ และจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม สร้างประโยชน์ในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะความร่วมมือจากหน่วยงาน บริษัทหรือองค์กรภาคเอกชน ที่ทำ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการดำเนินกิจกรรมที่ให้ความสำคัญและคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม นับเป็นการบูรณาการภารกิจไปสู่เป้าหมายที่กำหนด โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางและได้รับประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศของภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีส่วนร่วมในงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน และเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง พม. ครบรอบ 18 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม 2563 จึงได้จัดงานประกาศเกียรติคุณผลงานด้านการพัฒนาสังคมเป็นเลิศ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวง ครบรอบ 18 ปี และในโอกาสนี้ตนขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับผู้รับโล่ประกาศเกียรติคุณทุกคน ซึ่งการให้ความสำคัญ สนใจดูแล และสร้างแรงบันดาลใจที่จะดำเนินกิจการ เพื่อพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจในการทำความดี และขยายผลไปสู่การดำเนินธุรกิจการงานให้คงอยู่ต่อไป นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขับเคลื่อนงานของกระทรวง พม. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ยังมุ่งเน้น การ สร้างสังคมดี คนมีคุณภาพ และเพิ่มความเข้มข้นที่มุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันได้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อเป็นบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน กระทรวง พม. จึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคกลาง สำหรับช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 รวมทั้ง เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมร่วมกับกระทรวง พม. มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาหนุนเสริมร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมไปด้วยกัน เช่น การสมัครเป็น อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) การบริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค รวมถึงการช่วยเฝ้าระวังปัญหาทางสังคมต่างๆ หากพบเห็นผู้ประสบสังคมก็สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือจะโทรศัพท์แจ้งมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทุกคนจะช่วยกันลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมให้ลดน้อยลงได้ อันจะนำไปสู่การสร้างคนให้มีคุณภาพและสังคมที่ดีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35700
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 ดัน MoU ต่ออายุในประเทศ เลี่ยงโควิด-19 หวังแก้ปัญหาขาดแรงงานต่างด้าว
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 จับกัง1 ดัน MoU ต่ออายุในประเทศ เลี่ยงโควิด-19 หวังแก้ปัญหาขาดแรงงานต่างด้าว รมว.แรงงาน เผย คบต.เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU และกำลังจะครบวาระการจ้างงาน 4 ปี ในเดือน พ.ย. 2563 สามารถอยู่และทำงานต่อไปได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคโควิด-19 และอาจก่อให้เกิดการระบาดซ้ำในประเทศไทย ขณะนี้เตรียมนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป วันที่ 5 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2563 โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินการให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานต่อไป นายสุชาติ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางกลับประเทศต้นทางเพื่อดำเนินการตามขั้นตอน MoU ตามปกตินั้น ทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ตามนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นรองรับการฟื้นฟูและขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อมิให้นายจ้างและสถานประกอบการที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าว ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน กระทรวงแรงงานจึงได้เสนอแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลของกรมการจัดหางาน ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวที่ใบอนุญาตทำงานกำลังจะสิ้นสุดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 – ธันวาคม 2564 จำนวนถึง 131,587 คน เป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 34,053 คน ลาว 24,597 คน และเมียนมา 72,937 คน ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวถึงขั้นตอนดำเนินการว่า แรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 – 31 ธันวาคม 2564 สามารถดำเนินการดังนี้ 1. ตรวจสุขภาพ เพื่อนำใบรับรองแพทย์ไปยื่นขออนุญาตทำงานและขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไป 2. ยื่นขออนุญาตทำงานกับกรมการจัดหางาน (มีอายุไม่เกินครั้งละ 2 ปี) 3. ขอตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจัก (Visa) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ครั้งละไม่เกิน 1 ปี ค่าธรรมเนียมคำขอ 1,900 บาท 4. จัดทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ณ สำนักเขตกรุงเทพมหานคร ศูนย์ทะเบียนภาคจังหวัดสาขาหรือที่กรมการปกครองกำหนดในพื้นที่ที่คนต่างด้าวทำงาน ทั้งนี้นายจ้าง/สถานประกอบการ และแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @service_workpermit หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร แนะนำวิธีการทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. หารือเครือข่ายคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ร่วมทำงานเชิงรุกให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่กลุ่มเป้าหมาย
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รมว.พม. หารือเครือข่ายคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ร่วมทำงานเชิงรุกให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่กลุ่มเป้าหมาย รมว.พม. หารือเครือข่ายคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ร่วมทำงานเชิงรุกให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่กลุ่มเป้าหมาย วันที่ 3 ต.ค 63เวลา 11.30 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)หารือกับสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย โดย นางสุทธินี เมธีประภา นายกสมาคมฯ และนางสาวศิริพร ไชยสุต กรรมการบริหารสมาคมฯ และ ผู้แทน Act Now Children's Fund เพื่อความร่วมมือในการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมหารือ ณ ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า วันนี้ มีการหารือร่วมกันเรื่องความร่วมมือในการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ซึ่งนางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้เตรียมงานและดำเนินการในระดับหนึ่งแล้ว สำหรับสิทธิเด็กที่มีปัญหาต่างๆ เกิดจากสภาพแวดล้อมของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ซึ่งมีกฎหมายใหม่เพิ่มเติม ทำให้ครูในสถานศึกษา ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องมักจะไม่ทราบเรื่องของกฎหมาย ฉะนั้น ตนจึงอยากทำเรื่องดังกล่าวทั้งระบบเป็นการถาวรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเรามีฝ่ายกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญ ในขณะเดียวกัน จะไปติดต่อเครือข่าย คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการทำงานร่วมกับนักศึกษาสำหรับกิจกรรมการให้ความรู้ในชุมชน สถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครองและส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกลุ่มเป้าหมายในต่างจังหวัดด้วย เพื่อให้ทราบถึงองค์ประกอบความผิด การคุ้มครองสิทธิต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็ก รวมถึงการละเมิดสิทธิทางเพศของเด็กอีกด้วย นอกจากนี้ จะไปขอความร่วมมือจากสำนักงานอัยการสูงสุดอีกด้วย รวมถึงเครือข่ายภาคประชาชนและองค์กรเอกชน เพื่อให้สามารถทำงานอย่างเป็นรูปธรรมและสำเร็จได้โดยเร็ว โดยวันนี้ ขอให้ภาคประชาชนมีความมั่นใจว่า เราจะจัดการปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น และจะไม่ปล่อยให้มีการสร้างบาดแผลทางใจกับเด็กซึ่งจะเป็นอนาคตของประเทศ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่าจะทำงานนี้อย่างดีที่สุด เพื่อฟูมฟัก บ่มเพาะบุตรหลานของเรา ให้เติบโตเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพในอนาคต นางสาวศิริพรกล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาสังคมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากและมีความซับซ้อน ทั้งเรื่องเด็ก เยาวชน สตรี และผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้นกฎหมายและสังคมจำเป็นต้องไปด้วยกัน ดังนั้น สมาคมฯ มีบทบาทในการให้ความรู้ด้านกฎหมายทั้งผู้ถูกกระทำและผู้ที่อาจจะเป็นผู้กระทำ หากตนรู้ว่ากระทำผิดก็อาจจะไม่ทำ ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ไม่ใช่เพียงการเยียวยา ซึ่งเราต้องทำงานในเชิงรุก ด้วยการให้ความรู้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่ในวัยต้นๆ รวมทั้งการหารือร่วมกันทั้งแผนระยะสั้นและยาว นางสุภัชชากล่าวว่า สำหรับกรณีเด็กอนุบาลถูกทำร้ายร่างกาย ทางกระทรวง พม. โดย ดย. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจัดให้มีจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และเชิญผู้ปกครองพร้อมเด็กเข้ามาปฐมพยาบาลสภาพจิตใจเด็ก หลังจากที่มีการตั้งกลุ่มไลน์ อีกทั้งจะมีการวางแผนการทำงานร่วมกัน โดยทางอัยการจังหวัดและตำรวจจะดูแลเรื่องคดีกฎหมาย กระทรวงศึกษาดูแลเรื่องการศึกษา เพราะมีเด็กบางรายลาออกและย้ายโรงเรียน รวมถึงดูแลเรื่องการคุ้มครองเด็ก ในขณะที่กระทรวงสาธารณะสุขจะดูแลในเรื่องการฟื้นฟูจิตใจ โดยมีทีมนักจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ ดูแลอย่างใกล้ชิดพร้อมติดตามและประเมินเด็ก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ นำระบบดิจิทัลมาใช้-เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการนักลงทุน
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 บีโอไอปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ นำระบบดิจิทัลมาใช้-เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการนักลงทุน บีโอไอปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ นำระบบดิจิทัลมาใช้-เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการนักลงทุน บีโอไอปรับโครงสร้างองค์กรใหม่นำระบบดิจิทัลมาใช้-เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการนักลงทุน บีโอไอเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการลงทุนสมัยใหม่ สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พร้อมเพิ่มบุคลากรเร่งอนุมัติโครงการให้เร็วขึ้น ปรับโฉม กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย หนุนลงทุนไทยในต่างประเทศ และตั้งทีมยกระดับการให้คำปรึกษาแก่นักลงทุนอย่างรวดเร็วครบวงจร นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า สำนักงานได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ มีผลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่รัฐบาลมอบหมายในการเร่งส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการจัดโครงสร้างกองส่งเสริมการลงทุนใหม่ แบ่งเป็น Sector 1-4 ดังนี้ กองส่งเสริมการลงทุน 1 รับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ เช่น เกษตรและแปรรูปอาหาร การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ กองส่งเสริมการลงทุน 2 รับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่องจักรกล ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กองส่งเสริมการลงทุน 3 รับผิดชอบด้านอุตสาหกรรมพื้นฐาน และอุตสาหกรรมสนับสนุน เช่น แร่ โลหะ และวัสดุ เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี พลังงาน สาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรม กองส่งเสริมการลงทุน 4 รับผิดชอบอุตสาหกรรมดิจิทัล สร้างสรรค์ และบริการที่มีมูลค่าสูง เช่น ดิจิทัล เมืองอัจฉริยะ โลจิสติกส์ การบริการเฉพาะทาง การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มกองติดตามและประเมินผลการลงทุนอีก 2 กอง เพื่อทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ที่จะต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในบัตรส่งเสริม เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี เป็นต้น พร้อมกันนี้ได้รวมกองพัฒนาและเชื่อมโยงการลงทุนกับกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ เป็น “กองพัฒนาผู้ประกอบการไทย” เพื่อดูแลพัฒนาผู้ประกอบการไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ งานส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศ การกำหนด กลยุทธ์การพัฒนาผู้ประกอบการไทย การสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงการลงทุน การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการไทย การสนับสนุนให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบในประเทศ ครอบคลุมทั้งกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับการลงทุนในประเทศไทยและการลงทุนไทยในต่างประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สำนักงานได้เปิดให้บริการผ่านระบบออนไลน์ อาทิ e-Submission ซึ่งเป็นระบบการส่งจดหมาย และเอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงมีบริการ e-Service ที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของบีโอไอ ผ่านเว็บไซต์ www.boi.go.th และเร็วๆนี้บีโอไอจะเปิดตัวหน่วย CSU (Customer Service Unit) เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่นักลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มบุคลากรรองรับการติดต่อของนักลงทุนผ่านระบบโทรศัพท์ มีระบบการนัดหมายออนไลน์ และ การให้บริการรับส่งเอกสารเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสำนักงานได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35705
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รับฟังเกษตรกร! จุรินทร์ นำทีมจิบกาแฟคุยเกษตรกร แจ้งเตรียมความพร้อมประกันรายได้ปาล์มปี2
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รับฟังเกษตรกร! จุรินทร์ นำทีมจิบกาแฟคุยเกษตรกร แจ้งเตรียมความพร้อมประกันรายได้ปาล์มปี2 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายวันชัย วราวิทย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ และคณะร่วมทวง"จิบกาแฟและเสวนาสถานการณ์ปาล์มนำ้มัน" กับตัวแทนเกษตรกรต่อสถานการณ์ปาล์มน้ำมันในปัจจุบัน ณ Sky Hill Bar & Restaurant อําเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยแกนนำเกษตรกรแสดงความพอใจต่อนโยบายรัฐบาล เรื่องโครงการประกันรายได้และขอให้ยืนยันว่าจะมีต่อไป นอกจากนั้น มาตรการเสริมสำหรับการดึงปริมาณปาล์มออกไปใช้ตามมาตรการต่างๆหรือเป็นที่พอใจแต่อยากให้ส่งเสริมการใช้น้ำมัน บี 20 เป็นนโยบายคู่ขนานต่อไปด้วยนอกจากนั้นยังสะท้อนปัญหาเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีรายได้และอยากให้ผลักดันนโยบายพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันให้รวดเร็วขึ้น อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้ชี้แจงเกษตรกรว่า นายจุรินทร์เดินหน้าโครงการประกันรายได้สำหรับปาล์มน้ำมันนั้น ผ่านที่ประชุมนโยบายปาล์มแล้วเตรียมเข้าคณะรัฐมนตรี ขณะนี้ให้เกษตรกรเตรียมตัว ขั้นตอนการลงทะเบียนตามกฎเกณฑ์โดยจะประกันรายได้ที่ราคา 4 บาท ที่เปอร์เซ็นต์น้ำมัน 18% ไม่เกิน 25 ไร่ต่อราย และมาตรการเชิงรุกทุกด้านทั้งการใช้บี 10 และให้ B20 ไบโอดีเซลเป็นทางเลือก การติดตั้งเครื่องวัดปริมาณปาล์มน้ำมัน การบริหารการนำเข้าโดยกำหนดด่านศุลกากร และการผลักดันนโยบายปาล์มยั่งยืน นอกจากนั้นยังปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศซึ่งขณะนี้ราคาทางการอยู่ที่ 4.20-5 บาทต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นที่พอใจของเกษตรกรและเชื่อว่าจะยืนระยะยาวต่อไปได้อีก สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันปีที่สองนี้เกษตรกรผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการประมาณ 3.7 แสนครัวเรือน รอบนี้ใช้งบประมาณที่บอร์ดเห็นชอบ 8,807 ล้านบาทและได้มีการปรับปรุงการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างทุก 30 วัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35687
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงิน ของหน่วยงานของรัฐขึ้นใหม่ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 กรมบัญชีกลางกำหนดรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงิน ของหน่วยงานของรัฐขึ้นใหม่ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานการเงินประจำปี เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้สำหรับการจัดทำรายงานการเงินของหน่วยงานของรัฐตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2564 เป็นต้นไป นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานการเงินประจำปี เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้สำหรับการจัดทำรายงานการเงินของหน่วยงานของรัฐตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2564 เป็นต้นไป โดยข้อ 5.1 ของหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ (ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน) จัดทำรายงานการเงินตามรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงินตามที่กรมบัญชีกลางกำหนด ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐมีรูปแบบในการนำเสนอรายงานการเงินของหน่วยงานของรัฐเป็นไปในแนวทางเดียวกันและสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด จึงขอยกเลิกหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0410.3/ว 357 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2564 เป็นต้นไป และให้นำรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงินตามที่กำหนดขึ้นใหม่ ไปใช้ในการจัดทำรายงานการเงินตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2564 เป็นต้นไป โดยให้พิจารณาจากรายการที่เกิดขึ้นจริงของหน่วยงานของรัฐภายใต้หลักความมีสาระสำคัญ ซึ่งหน่วยงานของรัฐแต่ละแห่ง ไม่จำเป็นต้องมีรายการทั้งหมดตามรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงินที่แสดงไว้นี้ ในทางกลับกัน หน่วยงานของรัฐอาจมีรายการเฉพาะที่ไม่ปรากฏในรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงินตามที่กำหนด ดังนั้น หน่วยงานของรัฐต้องนำรูปแบบการนำเสนอรายงานการเงินนี้ไปปรับใช้ในการจัดทำรายงานการเงิน “สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดทำรายงานการเงินประจำปี 2564 โดยไม่ต้องแสดงข้อมูลของงวดก่อนเปรียบเทียบ เนื่องจากเป็นการจัดทำรายงานการเงินตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐ สามารถดาวน์โหลดรูปแบบดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35689
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการคนละครึ่งลงทะเบียนร้านค้าวันแรกคึกคัก มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 1.6 แสนร้านค้า
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 โครงการคนละครึ่งลงทะเบียนร้านค้าวันแรกคึกคัก มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 1.6 แสนร้านค้า ความคืบหน้าของการเปิดลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในวันแรก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 มีผู้ประกอบการร้านค้าสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 1.6 แสนร้านค้า นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าของการเปิดลงทะเบียนร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งในวันแรก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 มีผู้ประกอบการร้านค้าสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 1.6 แสนร้านค้า รองโฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่าการเปิดลงทะเบียนวันแรก มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการสะสมจำนวน 162,316 ร้านค้าแบ่งเป็นร้านค้าเดิมที่เคยเข้าร่วมมาตรการหรือโครงการของรัฐ จำนวน 113,488 ร้านค้าและร้านค้าใหม่จำนวน48,828 ร้านค้าทั้งนี้ เป็นร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วจำนวน 140,254 ร้านค้า รองโฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำว่า ผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนได้อย่างต่อเนื่องผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.comระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. ของทุกวัน หรือลงทะเบียนผ่านทางสาขาธนาคารกรุงไทย ในวันและเวลาทำการ โดยธนาคารกรุงไทยจะช่วยติดตั้งและแนะนำการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน”เพื่อรับชำระเงินจากการขายสินค้าจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเพื่อรองรับการใช้จ่ายของประชาชนภายใต้โครงการดังกล่าว สำหรับการลงทะเบียนของประชาชนที่จะใช้จ่ายร่วมกับรัฐ “คนละครึ่ง”จะเริ่มลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 06.00 น. – 23.00 น. ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ไม่เกิน 10 ล้านคน และเมื่อผู้ได้รับสิทธิยืนยันตัวตนผ่าน g-Wallet แอปพลิเคชัน“เป๋าตัง” แล้ว จะสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อรับสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 06.00 น. – 23.00 น. โครงการคนละครึ่ง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังโทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 35273548 3509 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35690
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค ย้ำรัฐบาลจะเร่งช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม นัดประชุมถกปัญหาภายในตุลาคมนี้
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค ย้ำรัฐบาลจะเร่งช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม นัดประชุมถกปัญหาภายในตุลาคมนี้ รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค ย้ำรัฐบาลจะเร่งช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม นัดประชุมถกปัญหาภายในตุลาคมนี้ วันนี้ (5 ต.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ บริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ (United Nations) นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนในนามรัฐบาลรับมอบหนังสือข้อเรียกร้องจากเครือข่ายสลัม 4 ภาค เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก 5 ตุลาคม 2563 ซึ่งเครือข่ายสมาชิกประกอบด้วย ศูนย์รวมพัฒนาชุมชน กลุ่มพัฒนาชุมชนใต้สะพาน เครือข่ายชุมชนริมทางรถไฟสายใต้-ตะวันตก เครือข่ายสลัมพระราม 3 เครือข่ายคนไร้บ้าน เครือข่ายชุมชนเพื่อการพัฒนา เครือข่ายฟื้นฟูประชาสร้างสรรค์ เครือข่ายพัฒนาสิทธิชุมชนภาคใต้ และชุมชนอื่น ๆ โดยมีผู้แทนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย สำหรับการเดินทางมายื่นข้อเรียกร้องของเครือข่ายสลัม 4 ภาค มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนข้อเรียกร้องของภาคประชาชนในเรื่องการปฏิรูปที่ดินเมืองเพื่อสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยของคนจน พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนจนเมืองให้ดีขึ้น และร่วมผลักดันเชิงนโยบายที่เป็นธรรมทางสังคม โดยทางกลุ่มมีการยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลกเป็นประจำทุกปี และเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้ส่งหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการให้เป็นรูปธรรม 4 ข้อ คือ 1. หยุดข่มขู่คุกคามประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหว แสดงความเห็นทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ 2. ให้มีกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยึดโยงการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากทั่วประเทศ 3. ให้นำเอานโยบายโฉนดชุมชน และนโยบายธนาคารที่ดิน กลับมาเป็นนโยบายการแก้ปัญหาของประชาชนผู้ไร้ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ นโยบายทั้ง 2 ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธศาสตร์และทิศทางในการบริหารด้วย 4. ให้นำร่างพระราชบัญญัติบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ของภาคประชาชน ที่ผ่านการล่ารายชื่อครบ 10,000 รายชื่อ นำเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรทันทีที่มีการเปิดประชุมสภา ภายหลังการรับข้อเรียกร้อง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กรณีที่เครือข่ายฯ เรียกร้องให้เกิดการจัดสรรที่ดินทำกินอย่างเป็นธรรมนั้น รัฐบาลจะเร่งดำเนินการ โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนในฐานะรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เคยอาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีความเข้าใจสภาพปัญหานี้เป็นอย่างดี และเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคม จึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหานี้ให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดความเหลื่อมล้ำให้กับประชาชน ส่วนกรณีประชาชนออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยืนยันรัฐบาลไม่ได้คุกคามเพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ละเมิดเสรีภาพ สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ด้าน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เปิดเผยว่า ภายในเดือนตุลาคม 2563 จะมีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาตามที่เครือข่ายสลัม 4 ภาคเสนอ ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35697
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 1 - 2 ตุลาคม 2563
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 1 - 2 ตุลาคม 2563 ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค.ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทน รมว.คลัง เข้าร่วมการประชุม ASEAN Finance Ministers’ Meeting ครั้งที่ 24 การประชุม ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า นางสาวเกตสุดา สุประดิษฐ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สศค. ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ Meeting: AFMM) ครั้งที่ 24 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 1- 2 ตุลาคม 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นประธานร่วม โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 24 และ AFMGM ครั้งที่ 6 เห็นชอบประเด็นหลักเพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ (Chair’s Priorities) ปี 2563 ในด้านความร่วมมือด้านการเงินการคลัง ได้แก่ (1) การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน (Sustainable Financing in ASEAN) และ (2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในภูมิภาค (Promote Regional Payment Connectivity) ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ดำเนินการผลักดันต่อเนื่องจากที่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเมื่อปี 2562 ได้วางแนวทางไว้ 2. ที่ประชุม AFMM ครั้งที่ 24 ได้ติดตามความคืบหน้าความร่วมมือในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านศุลกากร ด้านภาษีอากร ด้านการประกันภัย และด้านการพัฒนาตลาดทุน เป็นต้น โดยที่ประชุมได้รับทราบความสำเร็จในการเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ATIGA e-Form D) ผ่านระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window: ASW) ระหว่างกันได้ครบทั้ง 10 ประเทศ ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาตลาดทุน นางสาวเกตสุดาฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พันธบัตรเพื่อสังคม และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน วงเงินรวมไม่เกิน 30,000 ล้านบาท โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนบนพื้นฐานการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป ซึ่งถือเป็นการดำเนินการด้านการเงินยั่งยืนตามแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอาเซียน (ASEAN Capital Markets Forum: ACMF) 3. ที่ประชุม AFMGM ครั้งที่ 6 ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการในสาขาต่างๆ ภายใต้แผนงานการรวมกลุ่มด้านการเงินของอาเซียน (Roadmap for Monetary and Financial Integration of ASEAN เช่น การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน การเข้าถึงบริการทางการเงิน การส่งเสริมการเงินเพื่อความยั่งยืน เป็นต้น โดยที่ประชุมได้รับรองรายงานของคณะทำงานเพื่อพัฒนาตลาดทุน เรื่อง การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน (Report on Promoting Sustainable Finance in ASEAN) ซึ่งรายงานดังกล่าวได้ระบุถึงประเด็นที่ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมวาระการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน อนึ่ง นางสาวเกตสุดาฯ ได้เน้นย้ำต่อที่ประชุมเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในรอบที่ 9 ตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการเงินของอาเซียน เพื่อยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนไทยในการขยายการค้าการลงทุนในสาขาบริการด้านการเงินออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นได้สะดวกยิ่งขึ้น 4. นอกจากนี้ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (AMRO) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของอาเซียนและของโลก โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2563 เศรษฐกิจอาเซียนจะหดตัวประมาณร้อยละ 4.9 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่จะกลับมาขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 6.0 ในปี 2564 และเน้นย้ำว่า การสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทาน (Resilient Economy) ควรเป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่ (New Normal) หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลง ทั้งนี้ ในส่วนของอาเซียนแต่ละประเทศได้มีมาตรการรับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงที ตลอดจนได้มีความร่วมมือ เช่น การก่อตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับ COVID-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund) การจัดทำร่าง ASEAN Comprehensive Recovery Framework เป็นต้น อย่างไรก็ดี เห็นว่า ยังมีความท้าทายอยู่ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เศรษฐกิจอาเซียนจะต้องอาศัยความร่วมมือระดับประเทศที่แข็งแกร่งจากหลายภาคส่วน การพัฒนาระบบสาธารณสุข การเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อให้อาเซียนพัฒนาได้อย่างยั่งยืนและเป็นแบบอย่างแก่ประชาคมโลกต่อไป ทั้งนี้ การเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวของประเทศไทยเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) โดยเฉพาะในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงิน และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน อันจะเป็นการยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องและยั่งยืน อีกทั้งยังจะส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศเพื่อร่วมกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกต่อไป สำหรับการประชุม AFMM และ AFMGM ครั้งต่อไปในปี 2564 จะมีบรูไนดารุสซาลามเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 -30 มีนาคม 2564 สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3615
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ ๑๘ ประจำปี ๒๕๖๓
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ ๑๘ ประจำปี ๒๕๖๓ รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ ๑๘ ประจำปี ๒๕๖๓ วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ ๑๘ ประจำปี ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง นายกิจ หลีกภัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ คณะกรรมการจัดงาน และประชาชนชาวจังหวัดตรัง เข้าร่วมพิธี ณ ลานเรือพระทุ่งแจ้ง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม บูรณาการร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง เทศบาลนครตรัง หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ ๑๘ ประจำปี ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๓ – ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ลานเรือพระทุ่งแจ้ง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดประเพณีโบราณของภาคใต้ที่มีมาอย่างยาวนาน โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้ การแสดงดนตรีโดยศิลปินเยาวชน การละเล่นกีฬาพื้นบ้าน การประกวดด้านต่าง ๆ อาทิ สำนวนโวหารของถิ่นใต้ การเล่านิทานพื้นบ้าน และกิจกรรมที่สำคัญคือการประกวดเรือพระ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประกาศขับเคลื่อน EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคต เล็งจัดมหกรรมจัดหางาน EEC Job and Skill Expo ในพื้นที่ EEC ในเร็วๆ นี้
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีประกาศขับเคลื่อน EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคต เล็งจัดมหกรรมจัดหางาน EEC Job and Skill Expo ในพื้นที่ EEC ในเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรีประกาศขับเคลื่อน EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคต เล็งจัดมหกรรมจัดหางาน EEC Job and Skill Expo ในพื้นที่ EEC ในเร็วๆ นี้ วันนี้ เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 4/2563 โดยย้ำผลักดันให้เกิดการลงทุน เพื่อร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคต นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อพบปะนักลงทุนไทยและต่างประเทศ และติดตามแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติที่ผ่านมา เห็นถึงโอกาสและศักยภาพไทยในการสร้างความเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมครอบคลุมบก น้ำ อากาศ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ภายในภูมิภาค รวมทั้งระหว่างภูมิภาคอีกด้วย โดยนายกรัฐมนตรีเน้นในที่ประชุมว่า “รัฐบาลจริงจังต่อการขับเคลื่อน EEC ต้องผลักดันให้เกิดการลงทุน วางแผนอนาคต สร้างการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคตให้เกิดขึ้นได้จริง” นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลจริงจังในการขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการลงทุนในพื้นที่ EEC ทั้งในช่วงก่อน ระหว่างการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 ทุกหน่วยงานต้องเร่งสื่อสารและสร้างการรับรู้ ร่วมกันเดินหน้าตามแผนการลงทุน โดยเน้นความโปร่งใส สร้างความสมดุลในการลงทุนทั้งการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยขณะเดียวกันต้องไม่ลืมนักลงทุนไทยที่มีศักยภาพพร้อมที่จะลงทุนเองหรือร่วมลงทุนกับต่างประเทศด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรียังเห็นว่า การพัฒนา “คน” สำคัญที่สุด ต้องยกระดับและปรับฝีมือแรงงาน (Re-skill) เตรียมความพร้อมแรงงานเพื่อรองรับการลงทุนและความต้องการของผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมทั้งให้สอดคล้องกับอนาคตของประเทศ ซึ่งที่ประชุมยังได้รับทราบ การเตรียมจัดมหกรรมจัดหางาน หรือ EEC Job and Skill Expo ในพื้นที่ EEC ในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบเห็นชอบวาระสำคัญ ได้แก่ แนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ซึ่งประกอบด้วยโครงการท่าเรือบก (Dry port) ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณสินค้าเข้าท่าเรือแหลมฉบังได้ถึง 2 ล้านตู้สินค้า/ปี โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน (ท่าเรือชุมพร ท่าเรือระนอง Land Bridge) เพิ่มศักยภาพท่าเรือน้ำลึกทั้งสองแห่ง ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า และโครงการสะพานไทย เพื่อเชื่อมโยงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC กับเขตพัฒนาพิเศษภาคใต้ SEC ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะสร้างประโยชน์ทั้งในเชิงการท่องเที่ยวและลดต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างภาคใต้และท่าเรือแหลมฉบังด้วย โอกาสนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบแต่งตั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานอนุกรรมการบริหารใน กพอ. และแต่งตั้งนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กพอ.ด้วย โฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรีได้เปิดเผยในช่วงท้ายว่า นายกรัฐมนตรียังได้ฝากข้อคิดเห็นแก่ที่ประชุม โดยย้ำถึงการดูแลเกษตรกรและประชาชนที่อยู่รอบด้านและในพื้นที่ EEC สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่ในการพัฒนา เพราะรัฐบาลต้องการเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรไทยด้วย -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35695
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครงการ “ตลาดไท ซีเล็ค”
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ​รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครงการ “ตลาดไท ซีเล็ค” ​รมช.ธรรมนัส เยี่ยมชมโครงการ “ตลาดไท ซีเล็ค” ส่งเสริมผลักดันสินค้าเกษตรปลอดภัย มีคุณภาพ ตรวจสอบได้ สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมชมโครงการ “ตลาดไท ซีเล็ค” (TALAADTHAI SELECT) ณ ตลาดไท อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการส่งเสริมสินค้าทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ และสินค้าแปรรูป ที่มีคุณภาพ สด สะอาด ปลอดภัย และได้ใบรับรองมาตรฐาน GAP, Thai GAP, Organic Thailand หรือมาตรฐานรับรองอื่นจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งให้เกษตรกร มีพื้นที่จำหน่ายและมีช่องทางกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคและภาคธุรกิจได้มากขึ้น ในราคาที่ยุติธรรมเหมาะสม ตลอดจนส่งเสริมและช่วยเหลือให้เกิดการเชื่อมโยงและสร้างโอกาสจับคู่การค้าให้เกิดการเจรจาซื้อ-ขายระหว่างเกษตรกรและผู้ซื้อ “โดยในวันนี้ เป็นวันสถาปนา อ.ต.ก. ครบรอบ 46 ปี พอดีจึงได้ทำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาร่วมศึกษาดูแนวทางการทำงานของตลาดไท เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม และหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในส่วนของการจัดหาตลาด พื้นที่จำหน่ายสินค้าทางการเกษตร โดยโครงการตลาดไท ซีเล็ค เป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรที่ปลูกผัก ผลไม้ หรือมีสินค้าแปรรูป ที่ได้ใบรับรองมาตรฐานไม่ว่าจะเป็น GAP, Thai GAP, Organic Thailand ตลาดไทจะสนับสนุนให้มีพื้นที่จำหน่ายและช่องทางกระจายสินค้า ซึ่งผู้บริโภคสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) เพื่อตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งเพาะปลูกสร้างความมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยได้” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ โครงการตลาดไท ซีเล็ค ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง นับจากได้มีการนำสินค้าผักปลอดภัย GAP ของเกษตรกรเข้าร่วมเป็นสินค้านำร่องภายใต้ตราสินค้า “ผักร่วมใจ ผักปลอดภัย” ซึ่งได้รับความสนใจและ การตอบรับเป็นอย่างดี จากทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค โดยมีจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการถึง 96 กลุ่ม จาก 32 จังหวัดทั่วประเทศไทย นายอดิศร์ ภัทรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้า บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด (ตลาดไท) กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดไท เป็นศูนย์กลางการค้าส่งสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อาหารที่สำคัญของจังหวัดปทุมธานี และมีปริมาณสินค้าเกษตรและพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้เห็นความสำคัญ ในการเป็นแหล่งรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย พร้อมสนับสนุนเกษตรกรให้ได้พบกับผู้ซื้อโดยตรง และผู้ซื้อสามารถหาผลผลิตที่สดใหม่ในราคาที่ยุติธรรม ซึ่งความปลอดภัยในสินค้าเป็นปัจจัย ที่ช่วยผลักดันให้การผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของประเทศไทย มีความสามารถในการแข่งขัน เกิดความยั่งยืนในการดำรงวิถีเกษตรกรรม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สำหรับเกษตรกรที่สนใจโครงการตลาดไท ซีเล็ค สินค้าเกษตรกลุ่มปลอดภัย GAP ทั้งผัก ผลไม้ สมุนไพรสดและเครื่องเทศสด สามารถดูข้อมูลได้ที่ www.talaadthai.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ตลาดไท-TalaadThai หรือ LINE: @talaadthai หรือติดต่อ ตลาดไท คอลเซ็นเตอร์ 02-264-6264
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จัด รพ.ในสังกัดพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ดูแลประชาชนจากผลกระทบยกเลิกสัญญาคลินิกบัตรทอง
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 สธ.จัด รพ.ในสังกัดพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล ดูแลประชาชนจากผลกระทบยกเลิกสัญญาคลินิกบัตรทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จัดโรงพยาบาลในสังกัดพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรองรับประชาชนจากผลกระทบกรณี สปสช.ยกเลิกสัญญาคลินิกที่ตรวจสอบพบการทุจริต แจงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จากผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด สปสช. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จัดโรงพยาบาลในสังกัดพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรองรับประชาชนจากผลกระทบกรณี สปสช.ยกเลิกสัญญาคลินิกที่ตรวจสอบพบการทุจริต แจงตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จากผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ด สปสช. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับห้วงเวลาทุจริต ยันตรวจสอบเข้มทุกภาคส่วน บ่ายวันนี้ (5 ตุลาคม 2563) ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานครศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่พบการทุจริตเบิกจ่ายงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยบริการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า การยกเลิกสัญญาคลินิกต่างๆ ย่อมส่งผลกระทบ แต่ได้รีบแก้ไขทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยกระทรวงสาธารณสุขให้หน่วยบริการในสังกัดที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมารองรับให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย เพราะถือเป็นหน่วยงานพี่น้องกันที่ต้องให้ความช่วยเหลือ “เมื่อพบธุรกรรมที่ไม่ปกติและส่อไปในทางไม่สุจริตคงไม่สามารถดำเนินการร่วมกันต่อได้ โดยต้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง สำหรับคลินิกเอกชนใดที่จะขึ้นทะเบียนมารับเป็นหน่วยบริการเพิ่มเติม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.มีความยินดี ขณะที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็ขอให้ สปสช.ตั้งระเบียบและข้อปฏิบัติต่างๆ ขึ้นมา เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการทุจริตขึ้นได้อีก” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาดำเนินการ ซึ่งตนได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ มาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ บอร์ด สปสช. ซึ่งมีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย อัยการ ดีเอสไอ และตำรวจ ที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบอยู่แล้ว และเป็นกรรมการที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับห้วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการจากภายนอกเข้ามา ถือว่าตนทำอย่างเต็มที่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ และการสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้สอบสวนแค่คลินิกที่ตรวจสอบพบการทุจริตเท่านั้น แต่จะสอบสวนภายในองค์กรด้วยว่าทั้งหมดมีที่มาที่ไปอย่างไร ********************************* 5 ตุลาคม 2563 *********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดวัคซีนชาติไฟเขียว แนวทางการจัดหาวัคซีนโควิดล่วงหน้า
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 บอร์ดวัคซีนชาติไฟเขียว แนวทางการจัดหาวัคซีนโควิดล่วงหน้า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันประชาชนต้องเข้าถึงวัคซีน โควิด 19 โดยดำเนินการผ่านการออกประกาศตาม ม.18 พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 พร้อมเข้าร่วมองค์การอนามัยโลกโครงการ "COVAX facility" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันประชาชนต้องเข้าถึงวัคซีน โควิด 19 โดยดำเนินการผ่านการออกประกาศตาม ม.18 พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 พร้อมเข้าร่วมองค์การอนามัยโลกโครงการ "COVAX facility" และเจรจาทวิภาคีเพื่อทำความตกลงการจัดหาวัคซีนล่วงหน้า วันนี้ (5 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 ว่า วันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุม คณะกรรมการวัคซีนฯ เห็นชอบนโยบายในการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า ซึ่งมีโอกาสทั้งได้วัคซีนหรือไม่ได้วัคซีนดังกล่าว แต่เพื่อให้การจัดหาวัคซีนมีความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และประชาชนมีโอกาสเข้าถึงวัคซีน จึงมีการยกร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็น พ.ศ. 2563 ตามมาตรา 18 (4) แห่งพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการทำข้อตกลงร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนของ COVAX facility และการทำความร่วมมือแบบทวิภาคีกับผู้ผลิตวัคซีน ที่กำลังทำการทดสอบในคนระยะที่ 3 ทั้งในเอเชียและยุโรป โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขในลักษณะเดียวกันกับ COVAX facility คือ ต้องลงนามทำสัญญาสำหรับการร่วมพัฒนาศักยภาพการผลิตวัคซีนเพื่อจัดหาวัคซีนและมีการจ่ายเงินในการร่วมพัฒนาล่วงหน้าก่อนที่จะมีวัคซีน นอกจากนี้ในที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าแผนเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19ของประชาชนไทย ในโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำ และเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโรคโควิด 19 วงเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการจัดสรรจากงบกลางปี 2563 โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำในประเทศไทยชนิด mRNA โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 365 ล้านบาท การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนชนิด Viral vector โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด จำนวน 600 ล้านบาท และการเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านสัตว์ทดลอง ดำเนินการโดยศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 35 ล้านบาท ************************************** 5 ตุลาคม 2563 **************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น”
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 “ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น” “ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น” เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development: IMD) ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก (IMD World Digital Competitiveness Ranking) ประจำปี 2563 โดยในภาพรวมประเทศไทยถูกจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ ซึ่งดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1 อันดับ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกประเทศจะสามารถรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ เนื่องจาก การที่ประเทศต่าง ๆ จะรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันให้คงที่หรือถูกจัดอันดับให้ดีขึ้นเพียง 1 อันดับ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะนั่นหมายถึงการที่ประเทศนั้นจะต้องเร่งพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกด้านให้ก้าวหน้าเท่าทันกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งล้วนยกให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแกนหลักสำคัญ (Backbone) ในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า “ประเทศไทย เราทำได้” ทั้งนี้ การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลนั้น IMD ประเมินจากปัจจัยหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) 2. ด้านเทคโนโลยี (Technology) และ 3. ด้านความพร้อมรองรับอนาคต (Future readiness) ปัจจัยหลักที่ดีขึ้นและช่วยยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ได้แก่ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี (Technology) และปัจจัยด้านความพร้อมรองรับอนาคต (Future readiness) โดยปี 2563 ดีขึ้นจากปีที่ 2562 อย่างก้าวกระโดดถึง 5 อันดับ ทั้ง 2 ปัจจัย โดยอยู่ในอันดับที่ 22 และอันดับที่ 45 ตามลำดับ เป็นการสะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผ่านกองทุนดีอี การผลักดันเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การเตรียมความพร้อม Disruptive Technology ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย การพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐสู่การที่ทุกภาคส่วนสามารถนำข้อมูลภาครัฐไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต และการผลักดันนโยบายและแผนด้านดิจิทัลในประเด็นต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยหลักด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 43 ซึ่งเป็นอันดับเดิมของปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยไม่ได้พัฒนาด้านองค์ความรู้ แต่หมายถึง เราพัฒนา แต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่คงตัว ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ชี้เป้าให้ประเทศไทยจะได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาปัจจัยดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้ร่วมมือกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศ (TMA) ซึ่งเป็น Partner ที่สำคัญของสถาบัน IMD ในการร่วมกันยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและติดตามผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน IMD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการที่ท่านรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวข้างต้น กระทรวงดีอีเอสให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุกปัจจัยหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริง และสะท้อนออกมาในผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยให้ดีขึ้นในทุก ๆ ปี ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศรับนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ภายใต้กฎระเบียบที่รัดกุม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังคงควบคุมโควิด-19 ด้วย
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศรับนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ภายใต้กฎระเบียบที่รัดกุม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังคงควบคุมโควิด-19 ด้วย รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศรับนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว ภายใต้กฎระเบียบที่รัดกุม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ยังคงควบคุมโควิด-19 ด้วย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้อนุมัติให้นักธุรกิจและผู้มีใบอนุญาตทำงานเดินทางเข้าประเทศมาแล้ว จำนวนประมาณ 11,000คน และคนกลุ่มนี้ได้ยอมรับการเข้ากักตัวในสถานกักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine: ASQ) 14วัน โดยขณะนี้ ศบค. ได้อนุมัติให้มีนักท่องเที่ยวแบบ Long Stay โดยใช้ Special Tourist Visa (STV) ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 แล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวจะต้องเข้ารับ การกักตัวในสถานกักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine: ASQ) 14วัน ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป รัฐบาลเห็นความจำเป็นที่ควรอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจที่จะเข้ามาเจรจาธุรกิจ และพิจารณาตัดสินใจด้านการลงทุน เดินทางเข้ามาในประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ แต่ทั้งนี้ เนื่องจากนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาเป็นระยะสั้น จึงควรต้องมีมาตรการพิเศษในการกำกับดูแล ซึ่งในเบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้เตรียมนำเสนอมาตรการในการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน เพื่อนำข้อสรุปเสนอท่านนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยคาดว่ามาตรการที่เตรียมเสนอมีดังนี้ 1) มีผลตรวจโควิด-19 (RT-PCR) ไม่เกิน 72ชั่วโมงก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย 2) มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 ในวงเงินไม่น้อยกว่า 1 แสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ 3) ตรวจหาเชื้อ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึงและเมื่อเดินทางออกจากประเทศไทย ที่ช่องทางเข้า-ออกประเทศไทย 4) ให้มีผู้ติดตามด้านการแพทย์และสาธารณสุขตลอดระยะเวลาที่พำนักในประเทศไทย หรือเงื่อนไขอื่นๆที่เหมาะสม 5) ให้เดินทางโดยยานพาหนะที่เตรียมไว้ ตามแผนการเดินทางที่กำหนดเท่านั้น 6)ให้มี ติดตั้ง Application ติดตามตัวเพื่อสามารถตรวจสอบได้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ รายละเอียดของมาตรการอาจมีเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19) จะมีการประชุมเพื่อหาข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ และในขั้นตอนต่อจากนี้ จะมีการพิจารณาเพิ่มเติมเพื่ออนุมัติให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นลำดับต่อไป -----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ควรใช้เจลแอลกอฮอล์กับเด็กทารกหรือไม่ ??
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563 ควรใช้เจลแอลกอฮอล์กับเด็กทารกหรือไม่ ?? ควรใช้เจลแอลกอฮอล์กับเด็กทารกหรือไม่ Q : ควรใช้เจลแอลกอฮอล์กับเด็กทารกหรือไม่ ?? A : ไม่ควรใช้ เพราะทารกมีผิวที่บอบบางและแพ้ง่าย ควรใช้สบู่ที่มีค่าความเป็นกรดอ่อนๆ ในการทำความสะอาดจะเหมาะสมกว่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35710
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุชาติ' มอบ เลขารัฐมนตรีฯ ติดตามความก้าวหน้าโครงการ Co - payment ขับเคลื่อนจ้างงานเด็กจบใหม่ให้มีงานทำ
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 สุชาติ' มอบ เลขารัฐมนตรีฯ ติดตามความก้าวหน้าโครงการ Co - payment ขับเคลื่อนจ้างงานเด็กจบใหม่ให้มีงานทำ รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น มอบหมาย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมติดตามความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ขับเคลื่อนจ้างงานเด็กจบใหม่ให้มีงานทำ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย นายสุเทพ ชิตยวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมเชิงปฎิบัติการเพื่อจัดทำฐานข้อมูลการจ้างงานนักเรียนนักศึกษาที่จบใหม่ในปีการศึกษา 2561 -2563 ณ ห้องประชุมชั้น 5 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยเลขารัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 และนักเรียนนักศึกษาจบใหม่ให้มีงานทำ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ผมมาประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อติดตามผลการจ้างงานภาครัฐ โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) ว่าขนาดนี้มีความคืบหน้าในการดำเนินการอย่างไรบ้าง ตลอดจนการพูดคุยหารือกันในรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้เกิดการจ้างงานให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่จบใหม่ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการมีงานทำแก่ประชาชนวัยทำงาน และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาการว่างงาน – ตกงาน ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 สำหรับโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) มีเป้าหมายดำเนินการ 260,000 คน ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – เดือนกันยายน 2564 คุณสมบัติของนายจ้างและสถานประกอบการที่ต้องการร่วมโครงการจะต้องอยู่ในระบบประกันสังคม ไม่มีการเลิกจ้างลูกจ้างเดิมเกินกว่าร้อยละ 15 ภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่ได้รับพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการและทำสัญญาจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่เข้าทำงาน เป็นระยะเวลา 1 ปี หรือหากผู้จบการศึกษาใหม่ลาออกในระหว่างโครงการสถานประกอบการสามารถหาผู้จบการศึกษาใหม่ทดแทนได้ ในส่วนของผู้จบการศึกษาใหม่ ต้องมีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคมมาก่อน อายุไม่เกิน 25 ปี หรือหากอายุเกินกว่า 25 ปี ต้องเป็นผู้จบการศึกษาประจำปีการศึกษา พ.ศ.2562 หรือ พ.ศ.2563 ผู้สนใจที่สำเร็จการศึกษาระดับ ป.ตรี ปวส. ปวช. และ ม.6 สามารถลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ “ไทยมีงานทำ.com” และคลิ๊กแบนเนอร์จ้างงานเด็กจบใหม่ จากนั้นลงทะเบียนตามขั้นตอนที่กำหนด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 รมช.ธรรมนัส มอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องเกษตรกร ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการมอบนโยบายแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาล และมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 พร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกร ณ ห้องแกรนด์ภูคำ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า จากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการดำเนินงานโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยจากการได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัลโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีนโยบายช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ในอัตราไร่ละ2,000บาทไม่เกิน5ไร่/ครัวเรือนและลำไยต้องมีอายุ5ปีขึ้นไป โดยข้อมูลการขึ้นทะเบียนของเกษตรกรผู้ผลิตลำไยจังหวัดเชียงใหม่ณวันที่15ตุลาคม2563มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนฯจำนวน68,595ครัวเรือนเป็นพื้นที่447,801.80ไร่โดยมีเกษตรกรที่ยืนยันสิทธิ์เพื่อเข้าร่วมเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี2563จำนวน61,616ครัวเรือนเป็นพื้นที่406,154.91ไร่รวมเป็นเงิน812,309,820บาทธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เริ่มดำเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรชาวสวนลำไยตั้งแต่วันที่16ตุลาคมถึง15ธันวาคม2563และรับฟังปัญหาต่างๆที่เกษตรกรได้รับและมอบแนวทางการดำเนินการแก้ไขของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยด้วย อีกทั้ง ยังได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกร จำนวน 14 ราย 14 แปลง พื้นที่ 39-1-16 ไร่ เป็นเกษตรกรในพื้นที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอแม่วาง และอำเภอจอมทอง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ยังไม่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย ให้ได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางได้มีที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมพัฒนาด้านการเกษตรซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36169
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-23 ตุลาคม วันปิยมหาราช
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทย ที่ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งในการวางรากฐานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเมืองสยาม (ประเทศไทย) ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระองค์ ทรงริเริ่มพระราชกรณียกิจ ที่สำคัญกลายเป็นรากฐานสำคัญให้กับประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง ทัดเทียมนานาอารยประเทศ มาจนทุกวันนี้ #23ตุลา#วันปิยมหาราช#รัชกาลที่5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36166
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 23 ตุลาคม "วันปิยมหาราช"
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 "สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ 23 ตุลาคม "วันปิยมหาราช" “วันปิยมหาราช” ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศไทยหลายด้านทั้งในการปกครองบ้านเมือง พระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่าและสิ่งที่โดดเด่นคือ การประกาศเลิกทาส สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีถวายสักการะ และวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ณ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (พื้นที่ศรีสมาน) โดยมี คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ในทุกๆ ปีหน่วยงานราชการรวมทั้งประชาชนจะมาวางพวงมาลาดอกไม้สักการะ และถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้าอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ (23 ต.ค.63)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5 เตรียมจัดสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 รมต.อนุชา นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5 เตรียมจัดสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รมต.อนุชา นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5 เตรียมจัดสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ วันนี้(23ต.ค.63)เวลา17.00น.ณวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามกรุงเทพมหานครพระครูวิจิตรธรรมคุณประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยนายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีฝ่ายฆราวาสร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว23ตุลาคม2563เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติและถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ของปวงชนชาวไทย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว23ตุลาคม2563ครั้งนี้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมให้ดำเนินการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาพร้อมกันทั่วประเทศโดยในส่วนของกรุงเทพมหานครจัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามส่วนต่างจังหวัดกำหนดจัดพิธีณบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดและสถานที่ที่เหมาะสมซึ่งในวันนี้เป็นวันที่คนไทยได้ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่5ที่ทรงได้สร้างสิ่งต่างๆอันเป็นคุณูปการแก่ประชาชนชาวไทยเช่นการมีสิ่งสาธารณูปโภคที่ดีในทุกวันนี้การเป็นสังคมประชาธิปไตยของประเทศชาติซึ่งการที่พุทธศาสนิกชนได้มาร่วมสวดมนต์ในวันนี้แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และเป็นการร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าอยากให้ลูกหลานไทยได้ระลึกถึงสิ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงสร้างไว้ให้จวบจนทุกวันนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธสาสนาแห่งชาติจัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่5ธันวาคม2563 ซึ่งตรงกับ“วันพ่อแห่งชาติ”เป็นวันประวัติศาสตร์ที่เราชาวไทยจะได้ร่วมน้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่9จึงขอเรียนเชิญพี่พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นกุศลนี้โดยพร้อมเพรียงกัน ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 รมช.ธรรมนัส เดินหน้ามอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 ทั้งมอบเงินเยียวยาพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไย เพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ฟิ้นฟูทรัพยากร และบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรพร้อมมอบนโยบายแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาล และมอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน อ.เมือง จ.ลำพูน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาเพื่อเกษตรกรรมด้วยวิธีปฏิรูปที่ดิน โดยจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร ตลอดจนช่วยเหลือในด้านการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ฟิ้นฟูทรัพยากร และปัจจัยการผลิต พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้นต่อไป สำนักงานการปฏิรูปที่ดินลำพูนมีพื้นที่ดำเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดลำพูนประมาณ103,489ไร่ดำเนินการจัดที่ดินไปแล้ว99,504ไร่พื้นที่ค้างจัด3,985ไร่มีพื้นที่ที่ดินเอกชนจำนวน125แปลงจำนวน6,908ไร่และในวันนี้ได้ทำการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรกรจำนวน40ราย44แปลงเนื้อที่177-3-09ไร่ ทั้งนี้ยังได้มอบเงินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563โดยข้อมูลการขึ้นทะเบียนของเกษตรกรผู้ผลิตลำไยจังหวัดลำพูนมีเกษตรกรจาก8อำเภอ51ตำบลมีเกษตรกรผู้ปลูกลำไยจำนวน49,739ครัวเรือน99,044แปลงเป็นพื้นที่353,145.95ไร่โดยมีเกษตรกรที่ยืนยันสิทธิ์เพื่อเข้าร่วมเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไยปี2563จำนวน45,284ครัวเรือน88,731แปลงเป็นพื้นที่321,037.68ไร่รวมเป็นเงิน642,075,360บาทธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เริ่มดำเนินการจ่ายเงินเข้าบัญชีให้แก่เกษตรกรชาวสวนลำไยตั้งแต่วันที่15ตุลาคมถึง15ธันวาคม2563และรับฟังปัญหาต่างๆที่เกษตรกรได้รับและมอบแนวทางการดำเนินการแก้ไขของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36171
รัฐบาลไทย-รัฐบาลเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ ในวันพรุ่งนี้เวลา 19.00 น.
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 รัฐบาลเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ ในวันพรุ่งนี้เวลา 19.00 น. รัฐบาลเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศ ในวันพรุ่งนี้เวลา 19.00 น. นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยว่ารัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศและเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยในวันพรุ่งนี้(24ต.ค. 63)เวลา19.00น.ส่วนกลางจัดขึ้นณพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามโดยมีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานในพิธีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีเข้าร่วมในพิธี จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาวเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างพร้อมเพรียงกันณวัดหรือสถานที่จัดพิธีใกล้บ้านทั่วประเทศในวันพรุ่งนี้เวลา19.00น. .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี วางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต 23 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี วางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต 23 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรี วางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบรมราชานุสรณ์ พระลานพระราชวังดุสิต 23 ตุลาคม 2563 วันนี้(23ต.ค. 63)เวลา15.30น.ณพระบรมราชานุสรณ์พระลานพระราชวังดุสิตพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานพิธีวางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยมีประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญคณะรัฐมนตรีส่วนราชการรัฐวิสาหกิจภาคเอกชนเข้าร่วมพิธี เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึงบริเวณพิธีฯนายกรัฐมนตรีถวายความเคารพด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจากนั้นนายกรัฐมนตรีวางพวงมาลาจำนวน2พวงในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีณหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีพร้อมผู้เข้าร่วมพิธีถวายบังคม3ครั้งเสร็จพิธีนายกรัฐมนตรีเดินทางไปเฝ้าฯรับเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวังในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชพุทธศักราช2563 ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ ที่จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนแม่สอดควบคุมโรคได้ดี
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 สธ.พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ ที่จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนแม่สอดควบคุมโรคได้ดี กระทรวงสาธารณสุขเผยควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ชายแดนแม่สอดได้ดี เตรียมผ่อนปรนมาตรการให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย ที่สุราษฎร์ธานี เป็นหญิงฝรั่งเศส ส่งตรวจเลือดรอผลพรุ่งนี้ กระทรวงสาธารณสุขเผยควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ชายแดนแม่สอดได้ดี เตรียมผ่อนปรนมาตรการให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย ที่สุราษฎร์ธานี เป็นหญิงฝรั่งเศส ส่งตรวจเลือดรอผลพรุ่งนี้ วันนี้ (23 ตุลาคม 2563) ที่กรมควบคุมโรค นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และการพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จ.สุราษฎร์ธานี นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า จากการดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด 19 เชิงรุกในพื้นที่ จ.ตาก โดยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน ตั้งแต่วันที่ 12-22 ตุลาคม 2563 ค้นหาผู้ติดเชื้อกลุ่มเสี่ยงแล้ว 10,607 ตัวอย่างใน 4 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สอด จำนวน 8,656 ตัวอย่าง อยู่ระหว่างรอผล 1,138 ตัวอย่าง อำเภอแม่ระมาด จำนวน 480 ตัวอย่าง ให้ผลลบ 298 ตัวอย่าง รอผล 182 ตัวอย่าง อำเภอท่าสองยาง จำนวน 1,194 ตัวอย่าง อยู่ระหว่างรอผล และอำเภออุ้มผาง จำนวน 277 ตัวอย่าง อยู่ระหว่างรอผล นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้การควบคุมป้องกันโรคในพื้นที่ จ.ตาก สามารถดำเนินการได้ดี ทั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือของประชาชน โดยร้านค้าและหน่วยงานราชการมีเจลแอลกอฮอล์และใช้ล้างมือ 100 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน 95 เปอร์เซ็นต์ และมีการเว้นระยะห่างเมื่อเข้าห้าง ตลาด และร้านค้าต่างๆ 85 เปอร์เซ็นต์ และบ่ายวันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก ได้ประชุมหารือผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เช่น การปิดด่านชั่วคราวด่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 การล็อกดาวน์ชุมชนย่อย 2 แห่ง การปิดโรงเรียนและศาสนสถานต่างๆ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า ได้รับรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 เป็นหญิงสัญชาติฝรั่งเศส อายุ 57 ปี เริ่มมีอาการป่วยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ ปวดกล้ามเนื้อ เข้ารับการรักษาที่ รพ.กรุงเทพ สมุยจ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ด้วยรถยนต์ส่วนตัว ตรวจอุณหภูมิไม่มีไข้ ผลเอกซเรย์ปอดปกติ จึงเก็บตัวอย่างในระบบทางเดินหายใจส่งตรวจที่ รพ.เกาะสมุย ผลพบเชื้อ และส่งตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 จ.สุราษฎร์ธานี อีกครั้ง ผลเป็นบวกเช่นกัน ซึ่งจะมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อโดยละเอียดอีกครั้งที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ คาดว่าจะทราบผลในวันพรุ่งนี้ ขณะนี้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในห้องแยกโรค รพ.เกาะสมุย โดยบ่ายวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปเยี่ยมผู้ติดเชื้อรายนี้ พร้อมนำยาต้านไวรัสไปสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับ รพ.เกาะสมุย สำหรับผู้ติดเชื้อรายนี้เดินทางจากประเทศฝรั่งเศสพร้อมครอบครัว 2 ราย เป็นสามีและลูก ถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน 2563 ด้วยสายการบินไทย TG 933 เข้ารับการกักตัวในสถานที่รัฐกำหนด (Alternative State Quarantine) จ.สมุทรปราการ อาการปกติ ได้รับการตรวจเชื้อ 2 ครั้ง วันที่ 3 ตุลาคม และวันที่ 11 ตุลาคม ผลเป็นลบทั้ง 2 ครั้ง เมื่อครบกำหนดออกจากสถานที่กักกัน วันที่ 15 ตุลาคม ไปสถานทูตฝรั่งเศส และช่วงบ่ายเดินทางไป เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบิน PG 167 เมื่อถึงมีเพื่อน 1 คน มารับด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปส่งบ้านพัก ขณะนี้ทีมสอบสวนโรคได้เข้าไปติดตามผู้สัมผัส โดยเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 15 ราย ได้แก่ สามีและลูก ผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกัน 10 ราย และลูกเรือ 2 ราย และเพื่อนที่ไปรับที่สนามบิน 1 ราย เบื้องต้นผลการตรวจสมาชิกในครอบครัวไม่พบเชื้อและรับไว้ในห้องแยกโรค รพ.เกาะสมุยแล้ว อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังอาการ ส่วนเพื่อนอยู่ระหว่างการรอผลตรวจ ขณะที่ผู้โดยสารและลุกเรือกำลังติดตามมารับการตรวจ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำมีทั้งหมด 21 ราย คาดว่าผู้ติดเชื้อรายนี้มีโอกาสเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ เนื่องจากเริ่มป่วยหลังออกจากสถานกักกันโรค อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคโดยละเอียดนอกจากนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ได้ส่งทีมสอบสวนโรคเข้าเก็บตัวอย่างบุคลากรในสถานกักกันโรคที่รัฐกำหนดจำนวน 40 คน เพื่อเฝ้าระวังตามมาตรการสอบสวนโรค และจะส่งทีมเข้าไปในสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อได้ไปเพื่อให้ทราบสาเหตุของการติดเชื้อที่แท้จริง ขอความร่วมมือประชาชนอย่าตื่นตระหนก กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการควบคุมป้องกันโรคตามมาตรการอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตามทุกคนยังคงต้องอยู่กับโควิด 19 ไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดเปรียบเสมือนวัคซีนช่วยป้องกันการติดเชื้อคือ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง เข้ารับบริการสถานที่ต่างๆ ลงทะเบียนด้วย "ไทยชนะ" ทุกครั้ง ************************************** 23 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36172
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้ว! โครงการคนละครึ่ง เริ่มใช้จ่ายวันนี้วันแรก 23 ตุลาคม 2563
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 เริ่มแล้ว! โครงการคนละครึ่ง เริ่มใช้จ่ายวันนี้วันแรก 23 ตุลาคม 2563 เริ่มแล้ว! โครงการคนละครึ่ง เริ่มใช้จ่ายวันนี้วันแรก 23 ตุลาคม 2563 นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้ประชาชนที่ผ่านการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งสามารถใช้จ่ายได้แล้วโดยเริ่มวันนี้เป็นวันแรกจนถึงวันที่31ธันวาคม2563ทั้งนี้ประชาชนสามารถจ่ายค่าอาหารเครื่องดื่มและสินค้าทั่วไปไม่รวมสลากกินแบ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยาสูบและบริการต่างๆในลักษณะการร่วมจ่าย(Co-pay) นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมว่าณปัจจุบันมีประชาชนลงทะเบียนแล้วจำนวน6,733,557คนในจำนวนนี้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบซึ่งได้รับสิทธิใช้จ่ายตามโครงการจำนวน6,402,927คนดังนั้นจึงยังคงเหลือสิทธิให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้อีกกว่า3ล้านคน ประชาชนที่ได้รับSMSยืนยันสิทธิแล้วขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน“เป๋าตัง”และยืนยันตัวตนให้เรียบร้อยจากนั้นเติมเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ตามต้องการโดยไม่จำเป็นต้องเติมครั้งเดียว3,000บาทจากนั้นจึงเข้าไปในแอปพลิเคชัน“เป๋าตัง”ก็จะสามารถใช้สิทธิจ่ายค่าอาหารเครื่องดื่มและสินค้าทั่วไปกับผู้ประกอบการร้านค้าที่มีแอปพลิเคชัน“ถุงเงิน”ที่เข้าร่วมโครงการได้ทันทีตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่31ธันวาคม2563ในช่วงเวลา06.00น. – 23.00น.โดยสำหรับการใช้จ่ายแต่ละครั้งรัฐจะร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งแต่ไม่เกิน150บาทต่อวันและไม่เกิน3,000บาทตลอดระยะเวลาโครงการเช่นการใช้จ่ายในครั้งแรกหากต้องการจ่ายค่าอาหาร200บาทก็ต้องมีเงินใน“เป๋าตัง”อย่างน้อย100บาทเพื่อสแกนจ่ายเงินกับร้านค้า“ถุงเงิน”และรัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้าอีก100บาทหรือหากจะใช้จ่ายค่าสินค้าจำนวน400บาทก็ต้องมีเงินใน“เป๋าตัง”อย่างน้อย250บาทรัฐจะร่วมจ่ายให้ร้านค้า150บาท สำหรับร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบเข้าร่วมโครงการและมีแอปพลิเคชัน“ถุงเงิน”แล้วขอให้อัพเดทแอปพลิเคชันให้เป็นปัจจุบันและกดปุ่มยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขโครงการผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวก่อนด้วยเพื่อให้พร้อมรับการสแกนจ่ายเงินด้วยแอปพลิเคชัน“เป๋าตัง”ของประชาชนได้อย่างราบรื่นโดยขณะนี้มีร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า300,000ร้านค้าทั่วประเทศซึ่งประชาชนสามารถสังเกตร้านค้าดังกล่าวจากสัญลักษณ์โครงการคนละครึ่งที่หน้าร้านค้าหรือค้นหารายชื่อและที่ตั้งร้านค้าได้จากเว็บไซต์www.คนละครึ่ง.comอีกทางหนึ่ง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำว่า“ขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์www.คนละครึ่ง.comได้ต่อเนื่องทุกวันในช่วงเวลา06.00 - 23.00น.จนกว่าจะครบ10ล้านคนส่วนผู้ประกอบการร้านค้าสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ผ่านเว็บไซต์www.คนละครึ่ง.comหรือณสาขาและจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยจำกัด(มหาชน)ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยกำลังเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกในการรับสมัครผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจโดยเฉพาะหาบเร่แผงลอยเข้าร่วมโครงการในทุกพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อให้มีร้านค้ารองรับการใช้จ่ายของประชาชนจำนวนมากที่สุด" ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 ตุลาคม 2563
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 ตุลาคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (20 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่างของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 [แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522] 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมพ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ เศรษฐกิจ - สังคม 8. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150) 9. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2563 10. เรื่อง (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ พ.ศ. 2562 - 2565 11. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 (คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง) 12. เรื่อง การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 13. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2563 14. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์ 15. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 16. เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งคำสั่งข้อกำหนดและประกาศที่เกี่ยวข้อง 17. เรื่อง รายงานการเงินโอนงบประมาณรายจ่าย ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต่างประเทศ 18. เรื่อง การรับรองเอกสารผลการประชุมทางไกลรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 9 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศ คู่เจรจา 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล 20. เรื่อง ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และการปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 24. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน) 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง) 28. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงยุติธรรม) ....................... (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบางตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สาระสำคัญของร่างพระราชกษฎีกา กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) มีส่วนแคบที่สุด 200 เมตร และส่วนกว้างที่สุด 600 เมตร เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องได้มาโดยแน่ชัด อันจะเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง ซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภค ทั้งนี้ คค. เสนอว่า 1. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) ในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนกาญจนาภิเษกและถนนบรมราชชนนี ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่และผู้ใช้เส้นทางมีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สามารถรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและจังหวัดนครปฐม อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาพื้นที่สองข้างทางให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น กรมทางหลวงชนบทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจพบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 10,662.85 ล้านบาท อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) มีค่า 2.63 และอัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจของโครงการ (EIRR) มีค่า 23.74% ถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ 2. ลักษณะของโครงการ เป็นการก่อสร้างถนนใหม่ขนาด 6 ช่องจราจร ชนิดผิวจราจรลาดยาง ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 4.00 เมตร (มีเฉพาะเขตชุมชน) เกาะกลางแบบยกกว้าง 2.00 เมตร เขตทางกว้าง 40.00 – 50.00 เมตร ระยะทางยาวประมาณ 12.00 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 350 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 87 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 8,722.000 ล้านบาท (ค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 29.000 ล้านบาท ค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 4,392.000 ล้านบาท และค่าก่อสร้างประมาณ 4,301.000 ล้านบาท) 3. กรมทางหลวงชนบทมีแผนการดำเนินการเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ มีดังนี้ 3.1 สำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2563 3.2 จ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2565 – 2566 3.3 เริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2567 – 2569 ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมมีผู้เห็นด้วยกับโครงการ ร้อยละ 83.8 และสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบทตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงจำนวน 4 ฉบับ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เพื่อยกระดับการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตลอดจนยกเว้นค่าธรรมเนียมคำร้องขอและค่าแบบพิมพ์คำร้องขอเพื่อรองรับระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้ 1) เพิ่มเงินทุนที่ชำระแล้ว เพื่อคัดกรองบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ 2) ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน เพื่อป้องกันผู้ที่เคยก่อให้เกิดความเสียหายแก่การค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน ไม่ให้สามารถขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐานได้อีก 3) ยกเว้นการพิจารณาคุณสมบัติเป็นสมาชิกของสมาคมการค้าที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าสินค้ามาตรฐานที่ขอจดทะเบียน และทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วให้กับกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้ 1) เพิ่มเงินทุนที่ชำระแล้ว เพื่อคัดกรองบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ 2) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าต้องมีผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าประเภท ก (วิเคราะห์คุณภาพสินค้าในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์) เพิ่มขึ้นจากเดิม 1 คน เป็นไม่น้อยกว่า 2 คน 3) ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เพื่อป้องกันผู้ที่เคยก่อให้เกิดความเสียหายแก่การค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน ไม่ให้สามารถกลับมาขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าได้อีก 4) ปรับปรุงช่องทางและยกเลิกเอกสารประกอบการขอรับอนุญาตบางรายการ 5) กำหนดให้แสดงหลักฐานเพื่อรองรับว่าผลการทดสอบและสอบเทียบอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นในการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ 6) กำหนดให้จัดองค์กรในรูปแบบที่คงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยใช้หลัก ธรรมาภิบาล 3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. .... 1) ปรับปรุงวุฒิการศึกษาผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าประเภท ก และประเภท ข (ปฏิบัติงานตรวจสอบคุณภาพสินค้า ณ สถานที่จัดเก็บสินค้าของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน) 2) กำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้ขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เช่น ไม่เป็นผู้ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ยกเว้นถูกเพิกถอนเนื่องจากขาดคุณสมบัติ 3) การต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอภายในวันที่ 31 ตุลาคม ของปีที่ใบอนุญาตนั้นจะหมดอายุ 4) กำหนดหน้าที่ของผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้มีความชัดเจนมากขึ้น 5) ปรับปรุงช่องทางและยกเลิกการขอเอกสารประกอบการขอรับอนุญาตบางรายการ 4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำร้องขอและค่าแบบพิมพ์คำร้องขอเพื่อให้รองรับระบบอิเล็กทรอนิกส์และลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ อว.เสนอว่า 1. ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง รวม 10 สาขาวิชา ได้แก่ (1) การบัญชี (2) การแพทย์แผนไทย (3) การศึกษา (4) นิติศาสตร์ (5) นิเทศศาสตร์ (6) บริหารธุรกิจ (7) รัฐประศาสนศาสตร์ (8) วิทยาศาสตร์ (9) ศิลปศาสตร์ และ (10) สาธารณสุขศาสตร์ 2. ต่อมามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงได้เปิดสอนสาขาวิชาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจึงจำเป็นต้องกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ได้มมีมติเห็นชอบหลักสูตรสาขาวิชาดังกล่าว และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้รับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว 3. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 2 แล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดปริญญาในสาขาวิชาเทคโนโลยี อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ อว. เสนอว่า 1. ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ รวม 15 สาขาวิชา ได้แก่ (1) การบัญชี (2) การศึกษา (3) เทคโนโลยี (4) นิติศาสตร์ (5) นิเทศศาสตร์ (6) บริหารธุรกิจ (7) รัฐประศาสนศาสตร์ (8) รัฐศาสตร์ (9) วิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ (10) วิทยศาสตร์ (11) วิศวกรรมศาสตร์ (12) ศิลปศาสตร์ (13) เศรษฐศาสตร์ (14) สาธารณสุขศาสตร์ และ (15) อุตสาหกรรมศาสตร์ 2. ต่อมามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ได้เปิดสอนสาขาวิชาศึกษาศาสตร์เพิ่มขึ้น โดยกำหนดหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตในสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ จึงจำเป็นต้องกำหนดปริญญาในสาขวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรครุศาสตร์ อุตสาหกรรมบัณฑิต และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาชาวิชาศึกษาศาสตร์เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว 3. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 2 แล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาของสาขาดังกล่าว 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 [แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522] คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ดังนี้ 1. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ผนังทึบ” “แนวอาคาร” และ “เขตแหล่งน้ำสาธารณะ” 2. กำหนดให้การก่อสร้างห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถวในที่ดิน หากเป็นการก่อสร้างขึ้นเพื่อทดแทนอาคารเดิมหรือดัดแปลงอาคาร ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำข้อกำหนดเกี่ยวกับความกว้างของอาคารแต่ละคูหา ความยาวรวม ที่ว่างด้านข้าง ที่ว่างด้านหลัง และจำนวนคูหาของอาคารที่ต่อเนื่องกันตามกฎกระทรวงนี้มาใช้บังคับ แต่ต้องไม่เป็นการเพิ่มความสูงของอาคาร ไม่เป็นการเพิ่มพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นเกินร้อยละ 2 และไม่เป็นการเพิ่มพื้นที่ปกคลุมดิน 3. กำหนดให้สิ่งก่อสร้างประเภทถังเก็บของ เสาสัญญาณโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ และสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นเป็นอาคารที่มีความสูงจากระดับฐานตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ต้องมีระยะห่างจากเขตที่ดินทุกด้านไม่น้อยกว่า 1 ใน 8 ส่วนของความสูงของสิ่งที่สร้างขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมากกว่า 6 เมตร แต่ต้องไม่น้อยกว่า 3 เมตร ทั้งนี้ ไม่รวมฐานรากและอุปกรณ์ยึดรั้ง ยกเว้นกรณีเสาสัญญาณตั้งอยู่บนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคาร ไม่ต้องนำมาคิดรวมเป็นความสูงของอาคารนั้น 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคารเก่าที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินหรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้สอยอาคารมากยิ่งขึ้น และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม ดังนี้ 1.1 ตัดบทนิยาม “อาคารสูง” และ “อาคารขนาดใหญ่พิเศษ” 1.2 แก้ไขบทนิยาม “อาคารขนาดใหญ่” หมายความว่า อาคารที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้น หรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 2,000 ตารางเมตร หรืออาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15.00 เมตรขึ้นไป และมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 1,000 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้าสำหรับอาคารจั่วหรือปั้นหยาให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงยอดผนังของชั้นสูงสุด “อาคารสาธารณะ” หมายความว่า อาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมได้โดยคนทั่วไป เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม โรงพยาบาล หอสมุด สนามกีฬากลางแจ้ง สถานกีฬาในร่ม ตลาด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน สถานกวดวิชาหรือกิจกรรมอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น “อาคารอยู่อาศัยรวม” หมายความว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว โดยแบ่งออกเป็นหน่วยแยกจากกันสำหรับแต่ละครอบครัว 1.3 เพิ่มบทนิยาม “อาคารชุด” หมายความว่า อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด “หอพัก” หมายความว่า อาคารสำหรับใช้เป็นหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก “วัสดุไม่ติดไฟ” หมายความว่า วัสดุที่ใช้งานและเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ใช้งานแล้วจะไม่สามารถไม่ติดไฟ ไม่เกิดการเผาไหม้ ไม่สนับสนุนการเผาไหม้ หรือไม่ปล่อยไอที่พร้อมจะลุกไหม้เมื่อสัมผัสกับเปลวไฟหรือความร้อน เช่น อิฐ อิฐมวลเบา ยิปซั่มทนไฟ ซีเมนต์บอร์ด กระจกทนไฟ เป็นต้น “การอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนัง” หมายความว่า การป้องกันช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนังเพื่อป้องกันไม่ให้ควันและไฟลุกลามและเพิ่มความสมบูรณ์ของส่วนกั้นแยกของพื้นหรือผนังทนไฟให้ใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์ 2. แก้ไขเพิ่มเติมประเภทอาคารที่บังคับใช้ โดยเพิ่มอาคารชุมนุมคน อาคารชุด และหอพัก 3. กำหนดให้การสั่งการให้แก้ไขอาคาร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการได้ตามลักษณะที่จำเป็นต้องมีสำหรับอาคารนั้น ๆ ในกรณีดังต่อไปนี้ 3.1 อาคารที่มีความสูงตั้งแต่สี่ชั้นขึ้นไปหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีความสูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป ให้ติดตั้งบันได้หนีไฟที่ไม่ใช่บันไดแนวดิ่งเพิ่มจากบันไดหลัก ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของอาคารแต่ละชั้น โดยไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร แต่ต้องยื่นแบบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบ และบันไดหนีไฟต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 3.2 อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้มีผนังและประตูที่ทำด้วยวัสดุไม่ติดไฟที่สามารถปิดกั้นมิให้เปลวไฟหรือควันเมื่อเกิดเพลิงไหม้เข้าไปใบบริเวณบันได ที่มิใช่บันไดหนีไฟของอาคาร 3.3 อาคารสูงหรืออาคารชนิดใหญ่พิเศษเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น ห้องเก็บสิ่งของหรือวัสดุจำนวนมาก ฯลฯ ให้มีการกั้นแยกของอาคาร โดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หรือเป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยการกั้นแยกของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติ 3.4 อาคารสูง ให้มีระบบป้องกันเพลิงไหม้ ซึ่งประกอบด้วยระบบท่อยืนและหัวรับน้ำดับเพลิงตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง 3.5 ให้มีการอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนังโดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 3.6 ให้มีการติดตั้งแบบแปลนแผนผังของอาคารแต่ละชั้นตามทิศทางการวางตัวของอาคาร แสดงตำแหน่งห้องต่าง ๆ ตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ประตูหรือทางหนีไฟของชั้นนั้นติดไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่บริเวณห้องโถงหรือหน้าลิฟต์ทุกแห่งทุกชั้นของอาคาร และบริเวณพื้นที่ชั้นล่างของอาคารต้องจัดให้มีแบบแปลนแผนผังของอาคารทุกชั้นเก็บรักษาไว้ที่ห้องควบคุมหรือห้องที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้โดยสะดวก 3.7 ให้ติดตั้งเครื่องดับเพลิงยกหิ้วตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามชนิดและขนาดที่เหมาะสมสำหรับดับเพลิงที่เกิดจากประเภทของวัสดุที่มีในแต่ละชั้น 3.8 อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารขนาดใหญ่ และอาคารชุมนุมคนให้ติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทุกชั้น โดยระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 3.9 ให้ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรองเพื่อให้มีแสงสว่าง สามารถมองเห็นช่องทางเดินได้ขณะเพลิงไหม้ และมีป้ายบอกชั้นและป้ายบอกทางหนีไฟที่ด้านในและด้านนอกประตูหนีไฟทุกชั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลา 3.10 อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้ติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ซึ่งประกอบด้วยตัวนำล่อฟ้า ตัวนำลงดิน และหลักสายดินที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบโดยให้เป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือมาตรฐานอื่นที่คณะกรรมการควบคุมอาคารให้การรับรอง 4. กำหนดให้ในกรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการแก้ไขอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นแต่งตั้งคณะนายช่างเพื่อตรวจสอบสภาพ หรือการใช้อาคารหรือระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย ซึ่งเดิมกำหนดเพียงนายช่างเพียงคนเดียวก็สามารถตรวจสอบได้ 5. กำหนดให้เจ้าของอาคารที่ได้รับคำสั่งให้แก้ไขอาคาร กรณีที่อาคารเป็นภยันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย ที่เกิดจากความไม่มั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร ต้องยื่นแบบที่รับรองโดยวิศวกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1.1 กำหนดให้การยื่นคำขอ การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การแจ้งเป็นหนังสือการแสดงความจำนงต่อผู้อนุญาต การชำระค่าธรรมเนียม หรือการชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามกฎกระทรวงนี้ ในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่น ตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด หากไม่สามารถยื่นคำขอหรือหนังสือแจ้งได้ด้วยตนเอง ให้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอหรือหนังสือแจ้งแทนและในการมายื่นคำขอ หรือหนังสือแจ้งแทนให้ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานและบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอด้วย 1.2 กำหนดให้สมุดทะเบียนสถานพยาบาล ผู้อนุญาตอาจจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบอื่นตามที่ผู้อนุญาตกำหนดก็ได้ 2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการสถานพยาบาล (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ กำหนดให้การยื่นคำขอ การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต หรือการชำระค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงนี้ ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่นตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด กรณีไม่สามารถยื่นคำขอได้ด้วยตนเอง ให้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอแทน และในการมายื่นคำขอให้ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานและบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอด้วย 3. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้ กำหนดให้ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการส่งรายงานประจำปีของสถานพยาบาลต่อผู้อนุญาตภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป กรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีอื่นตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด ทั้งนี้ สธ. เสนอว่า 1. ตามที่ได้มีกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ดังนี้ 1.1 กฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545 1.2 กฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545 1.3 กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2545 รวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นกฎกระทรวงเกี่ยวกับการขอและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต การชำระค่าธรรมเนียมรายปี การขอและการออกใบแทนใบอนุญาต และการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล โดยกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับ ไม่ได้กำหนดช่องทางในการยื่นคำขอหรือแจ้งเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการบันทึกประวัติของสถานพยาบาลในสมุดทะเบียนสถานพยาบาลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แต่อย่างใด 2. สธ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจครบวงจร (Doing Business Portal) เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ประกอบกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การกระทำจะต้องได้รับอนุญาต ผู้อนุญาตจะต้องจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข (ถ้ามี) ในการยื่นคำขอ ขั้นตอน และระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตและรายงานเอกสาร หรือหลักฐานที่ผู้ขออนุญาตจะต้องยื่นมาพร้อมกับคำขอและจะกำหนดให้ยื่นคำขอผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนการมายื่นคำขอด้วยตนเองก็ได้ ดังนั้น จึงเห็นสมควรแก้ไขกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับ ตามข้อ 1. เพื่อกำหนดช่องทางในการยื่นคำขอหรือแจ้งเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการบันทึกประวัติของสถานพยาบาลในสมุดทะเบียนสถานพยาบาลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในการจัดทำกฎกระทรวงดังกล่าว รวม 3 ฉบับ สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้วยแล้ว 3. ในคราวประชุมคณะกรรมการสถานพยาบาล ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ เศรษฐกิจ - สังคม 8. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เสนอ ดังนี้ 1. พิจารณา จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ (1) ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018 : AEDP2018) (2) ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (Power Development Plan : PDP2018 Rev.1) (3) ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 – 2580 (Energy Efficiency Plan : EEP2018) (4) ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 (Gas Plan 2018) (5) แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 ซึ่งเป็นแผนระดับ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 2. รับทราบ จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ (1) แนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station Mapping) (2) การศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า (3) โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) (4) การกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และ (5) ขอปรับปรุงหลักการและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก สาระสำคัญของเรื่อง พน. รายงานว่า ในคราวประชุม กพช. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาและมีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้รับรองมติการประชุมเรียบร้อยแล้ว จำนวน 10 เรื่อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018 : AEDP2018) เพื่อรักษาเป้าหมายรวมในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2580 (ตามแผน AEDP2015) โดยปรับกรอบระยะเวลาให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) สรุปได้ดังนี้ 1.1 เป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก จำนวน 10 ประเภทเชื้อเพลิง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 18,696 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้ 52,894 ล้านหน่วย ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ณ ปี พ.ศ. 2580 เป็นร้อยละ 34.23 ซึ่งมากกว่าแผน AEDP2015 ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 20.11 ในปี พ.ศ. 2579 ได้แก่ ประเภทพลังงาน กำลังการผลิต (เมกะวัตต์) แผน AEDP2015 แผน AEDP2018 พลังงานแสงอาทิตย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน เปิดรับแรงงานไปทำงานเกาหลี ในประเภทกิจการเกษตร/ปศุสัตว์ และก่อสร้าง
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 กรมการจัดหางาน เปิดรับแรงงานไปทำงานเกาหลี ในประเภทกิจการเกษตร/ปศุสัตว์ และก่อสร้าง กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครทดสอบภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน (Point System) ครั้งที่ 9 เพื่อไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ในประเภทกิจการเกษตร/ปศุสัตว์ และก่อสร้าง มีโควตาผู้สอบผ่านทั้งหมด 2,691 คน โดยจะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทย โดยกระทรวงแรงงาน และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี โดยกระทรวงแรงงาน และการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงานไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System for Foreign Workers : EPS) โดยกรมการจัดหางาน เป็นหน่วยงานผู้ส่ง ทำหน้าที่ในการรับสมัครคัดเลือก และจัดส่งคนหางานไปทำงาน คนหางานที่จะเดินทางไปทำงานต้องผ่านการทดสอบภาษาเกาหลี (EPS – TOPIK) และทักษะการทำงาน ตามที่ทางการเกาหลีกำหนด โดยสำนักบริการพัฒนาบุคลากรแห่งเกาหลี (Human Resources Development Service of Korea : HRD Korea) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดสอบ โดยในรอบนี้ได้รับโควตาผู้สอบผ่านทั้งสิ้น 2,691 คน เป็นประเภทงาน เกษตร/ ปศุสัตว์ จำนวน 710 คน และงานก่อสร้าง จำนวน 1,981 คน สำหรับการรับสมัครในครั้งนี้ ได้เปิดรับสมัครประเภทงาน เกษตร/ ปศุสัตว์ รับสมัครทั้งเพศชาย และเพศหญิง และงานก่อสร้าง รับสมัครเฉพาะเพศชาย คุณสมบัติของผู้สมัครงานมีดังนี้ อายุระหว่าง 18 – 39 ปีบริบูรณ์ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สายตาไม่บอดสี ร่างกายสมบูรณ์ สุขภาพแข็งแรง และไม่เป็นโรคที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานหรือเป็นโรคติดต่อตามที่ทางการเกาหลีกำหนด เช่น ไวรัสตับอักเสบบี ซิฟิลิส และวัณโรค มีความประพฤติดี ไม่มีประวัติกระทำผิดทางอาญาหรือเป็นภัยต่อสังคม และความมั่นคง และไม่มีประวัติการถูกลงโทษจำคุก เป็นบุคคลซึ่งไม่ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ไม่มีประวัติการถูกเนรเทศหรือเคยถูกปฏิเสธการเข้าสาธารณรัฐเกาหลี หรือเคยกระทำผิดกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี เป็นบุคคลซึ่งไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด ไม่เคยพำนักอาศัยในสาธารณรัฐเกาหลีด้วยวีซ่า E-9 หรือ E-10 หรือ วีซ่า E-9 และ E-10 รวมกัน 5 ปี หรือมากกว่า 5 ปีขึ้นไป หลักฐานและเอกสารที่ใช้ประกอบการสมัคร ได้แก่ สำเนาหนังสือเดินทาง (ถ้ามี) ต้องระบุวัน เดือน ปีเกิดให้ครบถ้วน จำนวน 2 ฉบับ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ต้องชัดเจนและระบุวัน เดือน ปีเกิดให้ครบถ้วนจำนวน 2 ฉบับ รูปถ่ายสีขนาด 3.5 x 4.5 เซนติเมตร ฉากด้านหลังสีขาว ไม่สวมเสื้อสีขาว และรวบผมให้เห็นใบหู ถ่ายมาแล้วไม่เกิน 3 เดือน จำนวน 3 ใบ ผู้สนใจสามารถยื่นใบสมัครพร้อมหลักฐานด้วยตนเอง ณ ศูนย์การรับสมัคร ซึ่งมีทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ 1.ศูนย์การรับสมัครกรุงเทพมหานคร ณ อาคารเดอะฮับ รังสิต ชั้น 3 บริเวณศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี 2.ศูนย์การรับสมัครจังหวัดลำปาง ณ โรงแรมบุษย์น้ำทอง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง 3.ศูนย์การรับสมัครจังหวัดอุดรธานี ณ ศูนย์การค้าบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ อุดรธานี 2 จังหวัดอุดรธานี 4.ศูนย์การรับสมัครจังหวัดขอนแก่น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ระหว่างวันที่ 28 – 31 ตุลาคม 2563 ระหว่างเวลา 09.00 – 16.00 น. และ 5.ศูนย์การรับสมัครจังหวัดนครราชสีมา ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 28 – 30 ตุลาคม 2563 ระหว่างเวลา 09.00 – 16.00 น. ซึ่งผู้สมัครงานสามารถลงทะเบียนเพื่อแจ้งความประสงค์ในการสมัคร เพื่อเลือกวันที่ที่จะสมัครได้ที่ toea.doe.go.th โดยไม่ต้องใส่ www. ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2563 จนถึงวันปิดรับสมัคร ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โทร. 0-2245-9429 0-2245-6716 สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นายสุชาติฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36075
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม หารือการปฏิรูปตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม หารือการปฏิรูปตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา กระทรวงยุติธรรม หารือการปฏิรูปตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ พร้อมทั้ง พิจารณาข้อเสนอเพื่อปรับปรุงรายละเอียดตัวชี้วัดประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยปลื้มคว้ารางวัลสุดยอดผู้นำบริหารจัดการตอบสนองโควิด19 ดีเยี่ยมแห่งปี จาก The Asian Banker
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 กรุงไทยปลื้มคว้ารางวัลสุดยอดผู้นำบริหารจัดการตอบสนองโควิด19 ดีเยี่ยมแห่งปี จาก The Asian Banker ธนาคารกรุงไทยประสบความสำเร็จคว้าทีเดียว 5 รางวัลรวดจากเวทีใหญ่ 2 รางวัลจาก The Asian Banker รางวัล Thailand Digital Excellence Awards 2020 จาก TMA และอีก 2 รางวัล จาก LINE ประเทศไทย ธนาคารกรุงไทยประสบความสำเร็จคว้าทีเดียว 5 รางวัลรวดจากเวทีใหญ่ 2 รางวัลสุดยอดผู้นำและองค์กรที่บริหารจัดการและตอบสนองสถานการณ์ COVID-19 ได้อย่างดีเยี่ยม จาก The Asian Banker รางวัล Thailand Digital Excellence Awards 2020 จาก TMA ด้วยผลงานการสร้าง Krungthai Innovation Lab เป็นศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง และอีก 2 รางวัล จาก LINE ประเทศไทย ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ตรงกลุ่ม และบริการครบวงจร นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินดิจิทัล เพื่อสอดรับกับกระแสดิจิทัลดิสรัปชันและพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งรวมถึงกลุ่ม 5 Ecosystems ตลอดจนการสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐด้วยเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารได้รับ 2 รางวัลสุดยอดผู้นำและองค์กรที่บริหารจัดการและตอบสนองสถานการณ์ COVID-19 ได้อย่างดีเยี่ยม ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลางและแอฟริกาจาก The Asian Banker นิตยสารชั้นนำด้านการเงินการธนาคารในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ The Asian Banker Leadership Achievement Award for The Best Managed Bank during COVID-19 in Thailand และ รางวัล The Asian Banker Leadership Achievement Award for The Best CEO Response to COVID-19 in Thailand “จากความโดดเด่นในการสร้างแพลตฟอร์ม เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้า ประชาชนในการเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 เช่น เราไม่ทิ้งกัน ไทยชนะ เราเที่ยวด้วยกัน การพัฒนาแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ให้รองรับปริมาณธุรกรรมที่เติบโตถึง 70-80% รวมถึงการออก 5 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ ในวงเงินรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้บริหารความเสี่ยงเพื่อลดการแพร่ระบาดโควิด19 โดยให้พนักงานปฏิบัติงานที่บ้าน ปรับรูปแบบสาขาดิจิทัลให้พนักงานลดการสัมผัสเงินสด เว้นระยะห่างในสาขา และนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาปรับใช้ในการทำงาน เช่น Google Meet Google Drive เพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก ภายใต้ยุทธศาสตร์ 2-Banking Model เน้นการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ แบบ Agile รวดเร็ว และวิเคราะห์ข้อมูลบน Digital Platform / Open Banking” นอกจากนี้ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) มอบรางวัล Thailand Digital Excellence Awards 2020 สาขา Thai Digital Champion for Tech Innovation & AI จากการสร้าง Krungthai Innovation Lab เป็นศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อวางรากฐานบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนทุกมิติ โดยธนาคารเป็นผู้นำดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยียืนยันตัวตน (e-KYC) มาใช้กับโครงการภาครัฐ เช่น VAT Refund for Tourist ชิมช้อปใช้ เราเที่ยวด้วยกัน LINE ประเทศไทยมอบ 2 รางวัล ได้แก่ Krungthai Connext รับรางวัล Best Official Account of the Year ด้วยบริการครบวงจร ทั้งการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวบัญชี Krungthai Travel Card และ G-Wallet บนแอปเป๋าตัง บริการ CHATBOT ตอบคำถามผลิตภัณฑ์และบริการ และโครงการภาครัฐ และ Krungthai Care ได้รับรางวัล Best Smart Channel in Finance & Insurance จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จับมือ กคช. ชวนลูกค้าโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ครบกำหนด ค้ำประกัน 5 ปี ในปี 2563 ยื่นคำร้องโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองก่อนเสียสิทธิ์!!
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ธอส. จับมือ กคช. ชวนลูกค้าโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ครบกำหนด ค้ำประกัน 5 ปี ในปี 2563 ยื่นคำร้องโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองก่อนเสียสิทธิ์!! กคช. และ ธอส.ประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมการให้บริการ อำนวยความสะดวก และเชิญชวนลูกค้าเอื้ออาทรทั่วประเทศที่ทำสัญญากู้เงินครบ 5 ปี ในปี 2563 ติดต่อยื่นคำร้องโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองให้เรียบร้อยก่อนที่มาตรการช่วยเหลือฯ สิ้นสุด 24 ธ.ค.2563 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดประชุมร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการ อำนวยความสะดวก และประชาสัมพันธ์เชิญชวนลูกค้าเอื้ออาทรทั่วประเทศที่ทำสัญญากู้เงินครบ 5 ปี ในปี 2563 ให้เข้ามาติดต่อยื่นคำร้องโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองให้เรียบร้อยก่อนที่มาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนของรัฐบาลเรื่องการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือ 0.01% จะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์เหลือเพียง 0.01 % จากเดิม 2 % และลดค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียง 0.01 % จากเดิม 1% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 24 ธันวาคม 2563 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ จึงขอเชิญชวนให้ลูกค้าเร่งติดต่อขอยื่นคำร้องนัดวันโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 เพื่อที่ทางธนาคารอาคารสงเคราะห์จะดำเนินการนัดวันไปโอนกรรมสิทธิ์และ จดจำนองให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เนื่องจากต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าก่อนที่จะหมดระยะเวลาตามมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ซึ่งลูกค้าที่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ “ทำสัญญาซื้อบ้านหรือห้องชุดกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยการเคหะแห่งชาติเป็นผู้ค้ำประกันครบ 5 ปี รวมทั้งไม่มีหนี้ค้างชำระกับธนาคาร และคู่สมรสสามารถมาเซ็นยินยอมได้ในวันโอนกรรมสิทธิ์” “อยากให้ลูกค้ารีบมาเร่งโอนกรรมสิทธิ์ เพราะใกล้จะสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดทะเบียนจดจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือเพียง 0.01 % ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวได้ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID - 19 ลูกค้าจึงควรเร่งเข้ามาติดต่อ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองพร้อมกันจำนวนมากในช่วงท้ายมาตรการ เพื่อให้เป็นไปตามหลัก Social Distancing” นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลจากการเคหะแห่งชาติมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยกำหนดจับสลากด้วยการสุ่มรายชื่อผู้โชคดีจากคอมพิวเตอร์ (Random) 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 จับสลากในวันที่ 21 ตุลาคม 2563 สำหรับลูกค้าที่มีการโอนแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2562 - 30 กันยายน 2563 (ประกาศรายชื่อในวันที่ 26 ตุลาคม 2563) และครั้งที่ 2 จับสลากในเดือนมกราคม 2564 ซึ่งจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการเคหะแห่งชาติทั่วประเทศ หรือ Call Center 1615 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. ในฐานะผู้รับจำนอง ได้ให้ความร่วมมือกับการเคหะแห่งชาติในฐานะผู้โอนกรรมสิทธิ์โครงการบ้านเอื้ออาทรอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเอื้ออาทรทั่วประเทศที่ทำสัญญากู้เงินครบ 5 ปี ในปี 2563 และปฏิบัติตามเงื่อนไข และขั้นตอนของโครงการเรียบร้อยแล้ว มาดำเนินการรับโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะนี้ถือเป็นช่วงสุดท้ายก่อนที่มาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดลง ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้ลูกค้าที่ทำสัญญาเงินกู้ครบ 5 ปี ในปี 2563 และไม่อยากพลาดประโยชน์ในการลดภาระค่าใช้จ่ายในค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองของรัฐบาลจากเดิม ที่ต้องชำระรวมกันเป็นจำนวนประมาณ 12,000 บาท ลดเหลือเพียง 80 บาทเท่านั้น ขอให้ติดต่อกับการเคหะแห่งชาติภายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ลูกค้าโครงการบ้านเอื้ออาทรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อติดต่อสำนักงานสาขาของการเคหะแห่งชาติในพื้นที่โครงการเพื่อนัดหมาย และหากผ่านการตรวจสอบข้อมูลพร้อมได้รับการยืนยันวันที่ต้องการนัดหมายเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าสามารถเดินทางไปโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนอง ณ สำนักงานที่ดินได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางมาทำธุรกรรมที่ธนาคารก่อนได้อีกด้วย และหลังจากนี้ ธอส. จะเพิ่มการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าโครงการบ้านเอื้ออาทรได้รับทราบเพื่อไม่ให้พลาดสิทธิ์ตามมาตรการของรัฐบาลผ่านช่องทางการสื่อสารของธนาคารต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36084
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บันทึกสถานการณ์
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 บันทึกสถานการณ์ บันทึกสถานการณ์ ​ ​ ​​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36099
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ห่วงลูกจ้างชาวลาวถูกเครื่องตัดไม้ตัดปลายนิ้วบาดเจ็บที่สมุทรปราการ สั่งหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ทดแทนตามขั้นตอน
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ‘จับกัง1’ห่วงลูกจ้างชาวลาวถูกเครื่องตัดไม้ตัดปลายนิ้วบาดเจ็บที่สมุทรปราการ สั่งหน่วยงานในสังกัดเร่งช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ทดแทนตามขั้นตอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยลูกจ้างชาวลาวประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเนื่องจากถูกเครื่องตัดไม้ตัดปลายนิ้วมือซ้ายสามนิ้วได้รับบาดเจ็บที่จังหวัดสมุทรปราการ กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเร่งช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิประโยชน์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีลูกจ้างชาวลาวประสบอุบัติเหตุจากการทำงานเนื่องจากโดนเครื่องตัดไม้ตัดปลายนิ้วซ้ายสามนิ้วได้รับบาดเจ็บที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีนี้แม้ว่าจะเป็นแรงงานต่างด้าวที่ได้รับบาดเจ็บ แต่รัฐบาลไม่ได้ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ เพราะแรงงานทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การที่เขาเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะต้องได้รับการดูแลคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับแรงงานไทยทุกประการเช่นกัน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ผมได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลช่วยเหลือเพื่อให้ลูกจ้างที่บาดเจ็บได้รับทราบสิทธิประโยชน์คุ้มครองตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งจากการตรวจสอบของสำนักงานประกันสังคมและสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า กรณีนายสิทธิพร บุลมี ลูกจ้างชาวลาว ซึ่งมีใบอนุญาตทำงานถูกต้องได้ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับค่าจ้างวันละ 331 บาท เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมาประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานถูกเครื่องตัดไม้ ตัดปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง มือซ้ายสามนิ้ว แต่สถานประกอบการไม่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนประกันสังคมไว้ และไม่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนกับจัดหางาน โดยนายสิทธิพรได้เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบางพลี ปัจจุบันสิ้นสุดการรักษาแล้ว ค่ารักษาพยาบาล นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย และปัจจุบันนายจ้างให้ออกจากงาน สำหรับการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรปราการกรณีดังกล่าว นายสิทธิพร ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ได้ดำเนินการบันทึกถ้อยคำลูกจ้าง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงประกอบการวินิจฉัยเงินทดแทน ประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล ค่าหยุดงาน และค่าสูญเสียอวัยวะ การนัดลูกจ้างประเมินความสูญเสียของอวัยวะกับคณะอนุกรรมการการแพทย์ หน่วยที่ 1 ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคมนี้ เพื่อจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทน โดยในวันที่ 21 ตุลาคมนี้จะเข้าไปตรวจสถานประกอบการ เพื่อตรวจสอบการขึ้นทะเบียนของลูกจ้างทุกคน ในสถานประกอบการ ว่าดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการจะดำเนินการตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวในสถานประกอบการ ทั้งนี้ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการจะเข้าตรวจความปลอดภัยในการทำงานภายในสัปดาห์นี้ต่อไปด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าว กอร.ฉ.
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 แถลงข่าว กอร.ฉ. บันทึกสถานการณ์ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 20 ตุลาคม 2563 ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 19 ตุลาคม 2563 กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 18 ตุลาคม 2563 ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 17 ตุลาคม 2563 ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 17 ตุลาคม 2563 เวลา 19.00 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 15.05 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 17.05 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 18.45 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลา 22.20 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 22.00 น. ​ กอร.ฉ. แถลงสถานการณ์การชุมนุม จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 15 ตุลาคม 2563 เวลา 22.20 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36100
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓ ในวันจันทร์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สำนักงาน ป.ป.ส. เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๓ โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยกรรมการ ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมที่ดิน กรมบังคับคดี กรมศุลกากร กรมสรรพากร และธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาสำนวนคดีตรวจสอบทรัพย์สิน จำนวน ๒๙ คดี ทรัพย์สิน จำนวน ๑๖๒ รายการ รวมมูลค่า ๔๖,๖๖๐,๔๙๐.๓๒ บาท สำหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ และไม่ให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน และสังคมจากปัญหายาเสพติด *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36082
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ปล่อยโปรเด็ด รีไฟแนนซ์ “มีแต่ได้” อัตรากำไรพิเศษเริ่มต้น 1.99 เขย่ามหกรรมการเงินกรุงเทพ
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ไอแบงก์ ปล่อยโปรเด็ด รีไฟแนนซ์ “มีแต่ได้” อัตรากำไรพิเศษเริ่มต้น 1.99 เขย่ามหกรรมการเงินกรุงเทพ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยรีไฟแนนซ์ “มีแต่ได้” อัตรากำไรพิเศษเริ่มต้น 1.99% ต่อปี นาน 2 ปี โดยสามารถขอสินเชื่อเพิ่มได้ ลดค่างวดการผ่อนชำระได้ ขยายระยะเวลาได้ เลือกชำระเฉพาะกำไรได้ ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยรีไฟแนนซ์ “มีแต่ได้” อัตรากำไรพิเศษเริ่มต้น 1.99% ต่อปี นาน 2 ปี โดยสามารถขอสินเชื่อเพิ่มได้ ลดค่างวดการผ่อนชำระได้ ขยายระยะเวลาได้ เลือกชำระเฉพาะกำไรได้ ให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม และค่าประเมินราคาหลักประกัน เตรียมเปิดตัวในงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ พร้อมขนโปรโมชั่น เงินฝาก และตะกาฟุลร่วมงานอีกมากมาย สินเชื่อที่อยู่อาศัยรีไฟแนนซ์ “มีแต่ได้”เป็นสินเชื่อเพื่อไถ่ถอนที่อยู่อาศัย ไถ่ถอนสินเชื่อวงเงินอเนกประสงค์แบบมีหลักประกัน และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ได้แก่ วงเงินอเนกประสงค์เพื่ออุปโภคบริโภค รีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อบุคคลจากสถาบันการเงินอื่น หรือเพื่อชำระเงินสมทบตะกาฟุล MRTA/MLTA มีวงเงินขั้นต่ำ 500,000 บาท ต่อราย และให้วงเงินสูงสุด 20 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย และให้วงเงินสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับสินเชื่ออเนกประสงค์แบบมีหลักประกัน คิดอัตรากำไรพิเศษสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเริ่มต้นที่ 1.99% ต่อปี ใน 2 ปีแรก และปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRL- 2.75% (ปัจจุบัน SPRL = 7.40% ต่อปี) ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี และสินเชื่อวงเงินอเนกประสงค์แบบมีหลักประกัน คิดอัตรากำไร SPRL - 2.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ผ่อนได้นานสูงสุด 30 ปี โดยผู้ขอสินเชื่อยังสามารถขอสินเชื่อเพิ่มได้จากส่วนต่างของหลักประกัน เพิ่มหรือลดผู้ขอสินเชื่อและผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ เลือกชำระเฉพาะกำไรได้ (Grace Period) ได้นานสูงสุด 1 ปี และสามารถขยายระยะเวลาการผ่อนชำระได้ อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end-Fee และค่าประเมินราคาหลักประกัน (เงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งผู้สนใจแคมเปญนี้สามารถติดต่อได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 22 – 31 ตุลาคม 2563 พิเศษ! สำหรับผู้ขอสินเชื่อภายในงาน มหกรรมการเงิน ครั้งที่ 20 (Money expo 2020) ยื่นเอกสารครบ รับฟรี กล่องอเนกประสงค์ 1 ใบ นอกจากนี้ ไอแบงก์ ยังได้นำโปรโมชั่นและบริการทางการเงินอีกมากมายร่วมในงานมหกรรมการเงินครั้งที่ 20 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 23 ตุลาคม 2563 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-2 อิมแพคเมืองทองธานี อาทิ บริการด้านสินเชื่อ ที่มีทั้งสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อธุรกิจ ยื่นเอกสารครบภายในงานรับฟรี กล่องอเนกประสงค์ สำหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล และรับฟรี หมอนผ้าห่ม สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ ในด้านเงินฝาก มีเงินรับฝากประจำพิเศษ ที่ให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับสูงสุด 1.00% ต่อปี เงินฝากออมทรัพย์ “ibank Step” ให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับสูงสุด 1.10% ต่อปี จองสิทธิ์ภายในงานและไปเปิดบัญชีที่สาขาธนาคารที่สะดวก รับฟรีร่ม ไอแบงก์ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์ตะกาฟุลทั้งตะกาฟุลออมทรัพย์และตะกาฟุลอุบัติเหตุ/อัคคีภัย ทำสัญญาตะกาฟุลภายในงานรับของที่ระลึกและบัตรกำนัลจากบริษัทพันธมิตร ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานและร่วมกิจกรรมที่บูธไอแบงก์ โซน M5 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-2 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ibank Call Center 1302 *หมายเหตุ: 1. "อัตรากำไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคำเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม" 2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คำนวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกำหนดการฝาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ยืนยันการปิดโซเชียลผิด กม.ไม่กระทบผู้ใช้ออนไลน์ในภาพรวม
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส ยืนยันการปิดโซเชียลผิด กม.ไม่กระทบผู้ใช้ออนไลน์ในภาพรวม ดีอีเอส ยืนยันการปิดโซเชียลผิด กม.ไม่กระทบผู้ใช้ออนไลน์ในภาพรวม ดีอีเอส ย้ำกับประชาชน การปิดโซเชียลผิดกฎหมายพุ่งเป้าเฉพาะ “รายการที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย” ไม่ใช่เป็นการปิดแพลตฟอร์มทั้งระบบตามข่าวลือ ยึดหลักการทำงานที่ให้ความเคารพสิทธิการเข้าถึงสื่อทุกประเภทของประชาชนโดยเสรี ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวระหว่างการ แถลงข่าวร่วมกับกองอำนวยการร่วมแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (กอร.ฉ.) วันนี้ (20 ต.ค.63) ว่า จากการที่ดีอีเอส จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การชุมนุม ในการประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคง พิจารณาการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และประสานงานการตรวจพบการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และดำเนินการร้องขอคำสั่งศาลในการระงับหรือลบข้อมูลผิดกฎหมายนั้น ล่าสุดแม้มีการตรวจพบข้อความที่มีการละเมิดกฎหมายกว่า 3 แสนเรื่อง แต่ในแง่การแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในช่วง 2 วันที่ผ่านมามีเพียง 58 ราย โดยในจำนวนดังกล่าว ประกอบด้วย เข้าข่ายผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ มาตรา 14 จำนวน 24 ราย โดยเป็นการนำเข้าข้อความเป็นเท็จ หลอกลวง เกิดความเสียหายและมีผลกระทบต่อประเทศในวงกว้าง และยุยุงปลุกปั่น เป็นต้น ที่เหลือเป็นการละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 32 ราย และอื่นๆ 2 ราย ซึ่งกระจายเผยแพร่อยู่ในหลากหลายแพลตฟอร์มโซเชียล “ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนและผู้ใช้งานออนไลน์/โซเชียลว่า ในการดำเนินการตามกฎหมายนั้น เราจะดูเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง และกระทบคนส่วนใหญ่ที่มีการใช้ช่องทางเหล่านี้ในกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ หรือการทำธุรกิจ ในการขอความร่วมมือแพลตฟอร์มเพื่อระงับ/ปิดกั้นการเข้าถึง เรามุ่งดำเนินการเฉพาะกับเฉพาะรายการโพสต์/ยูอาร์แอลที่มีข้อความผิดกฎหมาย ไม่ใช่การขอคำสั่งศาลเพื่อปิดแพลตฟอร์มทั้งระบบ แต่จะเป็นบางรายการที่มีความผิดชัดแจ้ง ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำเรื่องผิดกฎหมาย ไม่ต้องกังวลใจ” นายภุชพงค์กล่าว ล่าสุดในจำนวน 58 รายที่เข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมายมีการปิดกั้นไปบางส่วนแล้ว ขณะที่ ความคืบหน้าของการระงับการเผยแพร่ของสื่อที่เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีคำสั่งตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้ดีอีเอส ดำเนินการตรวจสอบและระงับการเผยแพร่ของสื่อที่เข้าข่ายฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น ทางดีอีเอสได้ตรวจสอบ ประมวลโดยฝ่ายกฎหมาย เสนอศาลปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ของสื่อ 4 องค์กร ได้แก่ วอยซ์ทีวี ประชาไท The Reporters และ The Standard วันนี้ (20 ต.ค. 63) ศาลมีคำสั่งปิดทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ของวอยซ์ทีวี แล้ว ส่วนอีก 3 สื่อยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา ส่วนกรณีแอปพลิเคชั่นเทเลแกรม (Telegram) จากการที่ศูนย์เฝ้าระวังฯ ของดีอีเอส ตรวจพบการใช้แอปดังกล่าวในการนัดหมาย เชิญชวนชุมนุม ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืน ข้อกำหนดออกตามความใน มาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จึงแจ้งเรื่องไปยัง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อรับทราบและพิจารณาข้อมูลดังกล่าว หลังจากนั้น ฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ได้มีคำสั่งที่ 11/2563 เรื่อง ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะ โดยให้สำนักงาน กสทช. และดีอีเอส ดำเนินการเพื่อให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ (เทเลแกรม) นายภุชพงค์ กล่าวย้ำว่า การที่ กอร.ฉ. มีคำสั่งดังกล่าว ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การปิดระบบหรือการเข้าถึงแอปเทเลแกรมทั้งหมด ในส่วนผู้ใช้งานทั่วไป ยังคงสามารถใช้งานได้ปกติ แต่จะดำเนินการตามกฎหมายเฉพาะกลุ่มสนทนา หรือกลุ่มผู้ใช้งาน ที่ใข้แอปนี้เพื่อเชิญชวนหรือนัดหมายการชุมนุม ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ “ขอเรียนว่ากระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด ตามขั้นตอนตามกฎหมาย และมีการขอความเห็นชอบต่อศาลมาโดยตลอด ไม่มีการทำเกินอำนาจหน้าที่ หรือเลือกปฏิบัติ โดยเคารพสิทธิการเข้าถึงสื่อทุกประเภทของประชาชนโดยเสรี ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายอย่างเคร่งครัด” นายภุชพงค์กล่าว ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลุยสระแก้ว ติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ‘รมว.สุชาติ’ ส่ง ‘ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ลุยสระแก้ว ติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีสุชาติ’ มอบหมายให้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน รับฟังสภาพปัญหา ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญด้านแรงงาน พร้อมตรวจเยี่ยมกลุ่มอาชีพ/ กลุ่มผู้สูงอายุศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต วันที่ 20 ตุลาคม 2563 เวลา 10.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ร่วมลงพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ตรวจเยี่ยมราชการ เพื่อประชุมติดตามการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมทั้งประชุมหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสระแก้ว และรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์และการขับเคลื่อนนโยบายด้านแรงงานที่สำคัญ รวมถึงปัญหาอุปสรรคด้านแรงงานในพื้นที่ ณ ห้องประชุมอาคารอำนวยการ ชั้น 2 สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานสระแก้ว ทั้งนี้ นายสุรชัย ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการสาธิตการขับรถโฟลฺคลิฟท์ด้วยเครื่องจำลองการฝึก Simulator สถานที่ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 และระดับ 2 และการฝึกอบรม เพื่อเตรียมความพร้อมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ สาขาช่างเชื่อม Tig และสาขาช่างเชื่อม Max ณ สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานแห่งชาติ พร้อมชมกิจกรรมของกลุ่มอาชีพ/ กลุ่มผู้สูงอายุศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลวัฒนานคร อ.วัฒนานคร จ.สระแก้วอาทิ การทำมาลัยกร ผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อเชื่อมโยงตลาด OTOP ของจังหวัดสระแก้ว ปัจจุบัน โรงเรียนผู้สูงอายุ อบต.วัฒนานครได้เปิดรับนักเรียน จำนวน 2 รุ่น โดยรุ่นแรก จำนวน 70 คน และรุ่นที่ 2 จำนวน 30 คน จากนั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ยังได้ตรวจเยี่ยม พร้อมมอบของเยี่ยมผู้ป่วยประกันสังคม ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวน 10 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36096
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานมหกรรมชุมชน คนภาคกลางและตะวันตก เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก 2563 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 พม. จัดงานมหกรรมชุมชน คนภาคกลางและตะวันตก เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก 2563 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี พม. จัดงานมหกรรมชุมชน คนภาคกลางและตะวันตก เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก 2563 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี วันนี้ (20 ต.ค. 63) เวลา 13.30 น. นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงานมหกรรมชุมชน คนภาคกลางและตะวันตก ตอน...การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน (Local Sustainable Development Goals) เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ภาคกลางและตะวันตก ปี 2563 โดยมีผู้บริหารสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำชุมชนภาคกลางและตะวันตก และเครือข่ายการพัฒนาที่อยู่อาศัยภาคกลางและตะวันตก เข้าร่วมงาน ณ วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี นายสากล กล่าวว่า เนื่องด้วย องค์การที่อยู่อาศัยแห่งสหประชาชาติ (UN – HABITAT) กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็น “วันที่อยู่อาศัยโลก” หรือ “World Habitat Day” ตั้งแต่ปี 2528 เพื่อให้ประเทศต่างๆ ในโลกให้ความสำคัญกับสถานการณ์การอยู่อาศัยและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตลอดจนตระหนักถึงสิทธิพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของประชากรทุกคนบนโลก สำหรับ ปี 2563 วันที่อยู่อาศัยโลกตรงกับวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย UN – HABITAT ได้มีคำขวัญว่า “Housing for all A better urban future” หรือ “ที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคน เพื่ออนาคตเมืองที่ดีขึ้นกว่าเดิม” ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศ จัดมหกรรมบ้านมั่นคง : ที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคนเพื่ออนาคตเมืองที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อรณรงค์ให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยและพัฒนาคุณภาพชีวิตรอบด้าน โดยมีการจัดงานระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2563 ในพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ 1) กรุงเทพมหานคร 2) ภาคกลางและตะวันตก ณ จังหวัดสุพรรณบุรี 3) ภาคตะวันออก ณ จังหวัดปราจีนบุรี 4) ภาคเหนือ ณ จังหวัดน่าน 5) ภาคอีสาน ณ จังหวัดขอนแก่น และ 6) ภาคใต้ ณ จังหวัดชุมพร นายสากล กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีครัวเรือนทั้งหมดประมาณ 21.4 ล้านครัวเรือน แต่ยังขาดแคลนที่อยู่อาศัยและมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกประมาณ 5 ล้านครัวเรือน โดยรัฐบาลมีแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และได้มอบหมายให้ กระทรวง พม. โดย พอช. รับผิดชอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยอาศัยให้แก่ประชาชนที่มีรายได้น้อยทั่วประเทศประมาณ 1,050,000 ครัวเรือน ซึ่งขณะนี้ ได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยทุกประเภทไปแล้วกว่า 3,000 ชุมชนเมืองและชนบททั่วประเทศ หรือ ประมาณ 249,000 ครัวเรือน ทั้งนี้ การพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีการขับเคลื่อนงานทั้งแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับชาติ กลไกคณะกรรมการทั้งระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการร่วมกับเครือข่ายองค์กรชุมชนและท้องถิ่น เพื่อช่วยกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนในเชิงพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณผ่านหน่วยงานต่างๆ ไปสู่ท้องถิ่น สำหรับกระทรวง พม. โดย พอช. ได้ผลักดันการคลี่คลายปัญหาข้อติดขัด เรื่องระเบียบ กฎหมาย ให้เอื้อต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย การอนุญาตให้ใช้และให้เช่าที่ดินของรัฐ โดยชุมชนร่วมรับผิดชอบในรูปแบบกลุ่มหรือสหกรณ์ ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทการพัฒนาที่กำหนดไว้ และนำสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ อีกทั้งภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันพัฒนาชุมชนและสังคมในมิติต่างๆ ไปพร้อมกัน นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการจัดงานครั้งนี้ จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ระหว่างเครือข่ายชุมชนและภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อร่วมกันระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนแผนพัฒนาโดยชุมชนเป็นแกนนำ ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องและขอให้ช่วยกันหนุนเสริมในการขับเคลื่อนงานพัฒนาในภาคกลางและตะวันตกทั้ง 13 จังหวัด ภายใต้แผนยุทธศาสตร์จังหวัด เพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการ รมว.กษ. ชี้แจงกรณีกระแสข่าวการวิ่งเต้นตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 เลขานุการ รมว.กษ. ชี้แจงกรณีกระแสข่าวการวิ่งเต้นตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน เลขานุการ รมว.กษ. ชี้แจงกรณีกระแสข่าวการวิ่งเต้นตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน ยืนยัน รมว.กษ. ไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่งโดยเด็ดขาด นายธนาชีรวินิจเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่าจากการที่มีข่าวการวิ่งเต้นแต่งตั้งตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทานนั้นไม่เป็นความจริงเพราะนับตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.เฉลิมชัยศรีอ่อน)เข้ามารับตำแหน่งเป็นระยะเวลา1ปีกว่าอยากให้สอบถามกับข้าราชการทุกคนว่ามีการซื้อขายตำแหน่งจริงหรือไม่เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้นโยบายอย่างชัดเจนในวันที่เข้ารับตำแหน่งว่าจะไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่งโดยเด็ดขาดถือเป็นนโยบายที่สำคัญและถือปฏิบัติมาโดยตลอด ซึ่งจากประเด็นที่อธิบดีกรมชลประทานได้รับแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำให้ตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทานว่างลงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ดร.ทองเปลวกองจันทร์)จึงได้เสนอแนะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายนายสัญญาแสงพุ่มพงษ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นรักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการตามที่ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร้องขอเนื่องจากเป็นการตั้งบุคคนที่จะสามารถกำกับดูแลในช่วงการแต่งตั้งอธิบดีกรมชลประทานได้เป็นอย่างดีเพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามการดำเนินการแต่งตั้งอธิบดีกรมชลประทานเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหรือก.พ.ซึ่งมีการพิจารณาชื่อผู้ที่มีความเหมาะสมระดับกรมโดยรักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานเป็นคนเสนอชื่อเข้ามา2ชื่อและจะนำชื่อเข้าคณะกรรมการอ.ก.พ.ของกระทรวงโดยมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานนายสัญญาแสงพุ่มพงษ์รักษาการอธิบดีกรมชลประทานนายสรวิศธานีโตอธิบดีกรมปศุสัตว์ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายจากสำนักงานอัยการสูงสุดและตัวแทนจากสำนักงานกพ.เป็นกรรมการเพื่อมาดำเนินการพิจารณาคัดเลือกต่อไปโดยคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในการประชุมแต่อย่างใดจึงไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและแทรกแซงการแต่งตั้งตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทานตามระเบียบที่กพ.กำหนดไว้ซึ่งขณะนี้ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ นอกจากนี้จากการที่ปรากฎเป็นข่าวดังกล่าวนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้วโดยให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกรรมการว่ามีข้อเท็จตามที่ปรากฏเป็นข่าวหรือไม่หากมีข้อเท็จจริงจะมีการดำเนินการเอาผิดและลงโทษผู้ทำผิดอย่างเด็ดขาดต่อไปไม่เว้นว่าจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการประจำอีกทั้งยังสามารถให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ว่ามีเจตจำนงชัดเจนว่าอยากให้ข้าราชการมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานโดยห้ามมีการซื้อขายตำแหน่งโดยเด็ดขาด “สุดท้ายนี้ขอแจ้งให้ทราบว่าขณะนี้มีแรงกดดันจากภายนอกกระทรวงที่จะมีการผลักดันในการแต่งตั้งตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทานซึ่งจะขอให้คณะกรรมการที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานนี้ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องการมีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่”นายธนากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดเชียงราย
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดเชียงราย รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จังหวัดเชียงราย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายทิศทางการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดเชียงราย ณ โรงแรม เฮอริเทจ เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย ว่า จากคำสั่งการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ของนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ และเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยแนวทางการให้นโยบายท่ีสำคัญเพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย ได้แก่ 1. การพัฒนาแหล่งน้ำอย่างยั่งยืนมีการผันน้ำและกักเก็บน้ำแม่น้ำกก ให้เพียงพอต้องการใช้อุปโภค บริโภคในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา พร้อมเร่งรัดโครงการชลประทาน เช่น อ่างเก็บน้ำแม่คำ อ่างเก็บน้ำโป่งขาม อ่างเก็บน้ำแม่สลอง อ่างเก็บน้ำยางมื้น อ่างเก็บน้ำปูนหลวงและอ่างเก็บน้ำแม่แสลบ 2. โครงการรถไฟรางคู่ เด่นชัย-พะเยา-เชียงราย-เชียงของ จะประมูลงานปี 2564 3. โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มทฤษฎีใหม่ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมพัฒนาชุมชน 4. เร่งแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำโดยการตลาด สร้างแบรนด์ ข้าวเหนียวและข้าวหอมมะลิ ให้ อ.ต.ก. นำรูปแบบ พะเยาโมเดล มาปรับใช้ ทาง อ.ต.ก. รับซื้อข้าวเปลือก มาแปรรูปเป็นข้าวสาร จัดหาช่องทางการตลาด แบรนด์ อ.ต.ก. “ข้าวหอมมะลิเชียงราย”“ข้าวเหนียวเชียงราย”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- "น้องบีม" เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม หลังคดีถูกรถพ่วงชนนาน ๑๕ ปี จบ "สมศักดิ์" ชี้เป็นคดีตัวอย่างการเร่งช่วยประชาชน แนะชาวบ้านหากเดือดร้อนไม่มีที่พึ่งสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานยุต
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 "น้องบีม" เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม หลังคดีถูกรถพ่วงชนนาน ๑๕ ปี จบ "สมศักดิ์" ชี้เป็นคดีตัวอย่างการเร่งช่วยประชาชน แนะชาวบ้านหากเดือดร้อนไม่มีที่พึ่งสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานยุต ในวันพุธที่ ๑๔ ตุล "น้องบีม" เข้าขอบคุณ รมว.ยุติธรรม หลังคดีถูกรถพ่วงชนนาน ๑๕ ปี จบ "สมศักดิ์" ชี้เป็นคดีตัวอย่างการเร่งช่วยประชาชน แนะชาวบ้านหากเดือดร้อนไม่มีที่พึ่งสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ข้าราชการทุกคนพร้อมช่วยเหลือ ในวันพุธที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นางอรัญญา ทองน้ำตะโก อธิบดีกรมบังคับคดี และ นางสาวภัทรลดา แก้วผ่อง หรือน้องบีม พร้อมด้วย นางสาวพรทิพย์ จันทรัตน์ มารดา ร่วมแถลงข่าวฯ นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า คดีของน้องบีมเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ ถูกรถบรรทุก ๑๘ ล้อ พุ่งชนรถกระบะ ที่น้องบีมนั่งมากับบิดาและมารดา จนทำให้บิดาเสียชีวิต และน้องบีมบาดเจ็บสาหัสจนเดินไม่ได้ เหตุเกิดที่ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้มีการฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่งและศาลพิพากษาให้น้องบีมชนะคดี ได้ค่าเสียหายรวม ๕ ล้านบาท ซึ่งได้เงินก้อนแรกมา ๒๘๐,๐๐๐ บาท แต่ทางทนายความคนเก่าได้ใช้หนังสือมอบอำนาจไปแอบเจรจายอมความกับจำเลย ทำให้ครอบครัวน้องบีมไม่ได้รับเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษา จึงได้มาร้องเรียนต่อกระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๖๐ และได้รับการช่วยเหลือจนในที่สุด เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมให้แก่ครอบครัวน้องบีม แต่ได้มีการประนีประนอมและทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้ จำนวน ๓,๘๑๕,๙๑๕ บาท โดยให้สั่งจ่ายเป็นเช็ค ๒๙ ฉบับดังเดิม เริ่มฉบับแรกเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นเช็คจำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท จากนั้นให้ทยอยชำระหนี้ซึ่งจะครบจำนวนในปี พ.ศ.๒๕๖๖ หากชำระเสร็จครบถ้วนจึงจะมีการถอนบังคับคดี "ในเรื่องนี้หากครอบครัวของน้องบีมไม่ได้รับการชำระเงินตามที่กำหนด ขอให้กลับมาร้องเรียน ตนจะตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ซึ่งการติดตามให้บังคับคดี มีความรวดเร็วเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน ซึ่งคดีนี้ถือเป็นตัวอย่างของการทำงานของกรมบังคับคดีที่มีความรวดเร็วและติดตามจนสำเร็จ ทั้งนี้หากประชาชนเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ท่านมาที่กระทรวงยุติธรรม หรือสำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ข้าราชการทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ" นายสมศักดิ์ กล่าว ด้าน นางสาวภัทรลดาฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณกระทรวงยุติธรรม และกรมบังคับคดีที่ช่วยเหลือตั้งแต่แรกจนจบคดี ตนดีใจมากที่ได้รับความเป็นธรรม ตนพูดไม่ออกไม่มีอะไรจะบอกนอกจากคำว่าขอบคุณมากๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดการฝึกสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดการฝึกสัมมนาเชิงปฏิบัติการให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) วันนี้ ( 20 ตุลาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการฝึกสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด พร้อมมอบแนวนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งหลักสูตรดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 21 ตุลาคม 2563 เพื่อบริหารจัดการข้อมูล เชื่องโยง แลกเปลี่ยนและบูรณาการข้อมูล พร้อมยกระดับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้สามารถอำนวยความสะดวกในการให้บริการแก่ประชาชนต่อไป โดยมี นางสาวณิรดา วิสุทธิชาติธาดา ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้การต้อนรับ ณ ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) #กระทรวงอุตสาหกรรม #อุตสาหกรรมจังหวัด #แลกเปลี่ยนและบูรณาการข้อมูล #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36085
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะทำงานพิจารณากำหนดประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลของโรงงาน ครั้งที่ 2/2563 (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์)
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 การประชุมคณะทำงานพิจารณากำหนดประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลของโรงงาน ครั้งที่ 2/2563 (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพิจารณากำหนดประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลของโรงงาน ครั้งที่ 2/2563 (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) ณ ห้องประชุม ชั้น 1 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย วันนี้ (20 ตุลาคม 2563) นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะทำงานพิจารณากำหนดประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลของโรงงาน ครั้งที่ 2/2563 (ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์) โดยมี นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายประสิทธิ์ วงษาเทียมผู้อำนวยการกองอุตสาหกรรมอ้อย น้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 1 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36086
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้ทบทวนคำสั่งระงับการออกกาศสื่อออนไลน์ต่าง ๆ วอนสื่อมวลชนระมัดระวังไม่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีให้ทบทวนคำสั่งระงับการออกกาศสื่อออนไลน์ต่าง ๆ วอนสื่อมวลชนระมัดระวังไม่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ นายกรัฐมนตรีให้ทบทวนคำสั่งระงับการออกกาศสื่อออนไลน์ต่าง ๆ วอนสื่อมวลชนระมัดระวังไม่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ วันนี้ (20 ต.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงต่อสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล กรณีเอกสารสำคัญคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อการตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการของสื่อ สื่อออนไลน์ ที่มีเนื้อหาสาระกระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ำว่าสื่อมวลชนล้วนเป็นภาคส่วนสำคัญของสังคมไทย คือพลังสำคัญที่จะสร้างความชอบธรรม สร้างสรรค์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประเทศได้ บทบาทของสื่อที่ทำหน้าที่อย่างมีสิทธิ เสรีภาพ มีความเป็นกลาง ได้สร้างคุณประโยชน์มากมายต่อประเทศไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ด้วยการเฝ้าระวัง ตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ในสังคม การตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจ วันนี้ ได้สั่งการพร้อมมอบแนวทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผู้ตัดสินใจออกคำสั่งดังกล่าว ขอให้ทบทวนคำสั่งระงับการออกอากาศต่าง ๆ และขอให้พิจารณาคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นสำคัญ ยกเว้นบางกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริง ยุยงปลุกปั่น หรือ Fake News ที่ชัดเจน นำเสนอข่าวที่ตั้งใจบิดเบือนมีเนื้อหาก้าวล่วง ละเมิดสิทธิตามกฎหมายของผู้อื่น ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดหลักการตามกฎหมาย และดำเนินการเฉพาะเป็นเรื่อง ๆ ไปทั้งนี้ จึงอยากสร้างความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน บางอย่างที่มีความจำเป็นต้องถูกระงับการออกกาศตามคำสั่งก็ต้องปฏิบัติตาม “หน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องช่วยกันป้องกันกำจัดการกระทำที่มีเจตนาร้ายต่อประเทศ ความพยายามที่จะยุยงปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายและความแตกแยกในประเทศไม่ต้องยอมให้เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีไม่เคยละเมิดสิทธิใคร แต่ทุกฝ่ายก็ต้องระวังการละเมิดสิทธิของผู้อื่นด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำในตอนท้าย .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ‘สุชาติ’ มอบ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนในสถานประกอบการ จ.เพชรบุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานเปิดการประชุมมาตรการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์เชิงรุกในช่วงโควิด -19 ยกระดับคุณภาพชีวิตและผลิตภาพแรงงาน ส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน และบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมมาตรการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์เชิงรุกในภาวะวิกฤต COVID-19 ยกระดับคุณภาพชีวิตและผลิตภาพแรงงาน ส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน และบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง ณ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด สาขาเพชรบุรี ตำบลสมอพลือ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายอำเภอบ้านลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสมอพลือ ผู้บริหารบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดเพขรบุรี ให้การต้อนรับ โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมระบบการจ้างงานเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดิฉันมาเป็นประธานเปิดการประชุมมาตรการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์เชิงรุกในภาวะวิกฤต COVID-19 ยกระดับคุณภาพชีวิตและผลิตภาพแรงงาน ส่งเสริมระบบแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน และบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง ซึ่งระบบแรงงานสัมพันธ์มีความสำคัญต่อระบบการจ้างงานและควรน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาปรับใช้ในการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่ดีภายใต้กรอบแนวคิด” นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันเป็นหุ้นส่วนการทำงาน” และร่วมมือในการพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ในองค์กร การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง โดยนำหลักสุจริตใจมาใช้เป็นหลักการเจรจาต่อรอง ตลอดจนการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีและมิตรภาพที่ยั่งยืน และเกิดความสันติสุขในแวดวงแรงงาน โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 นางธิวัลรัตน์ กล่าวอีกว่า การจัดการประชุมในวันนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการบริหารแรงงานสัมพันธ์ นายจ้างลูกจ้างได้ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนความคิด หุ้นส่วนชีวิตและหุ้นส่วนการทำงาน เกิดความมั่นคงก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในยุคโควิด -19 นี้ นายจ้างลูกจ้างต้องร่วมมือกันในเชิงรุก ไม่ก่อให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้ง ต้องประดับประคอง ให้สถานประกอบกิจการดำเนินการต่อไปโดยไม่มีการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ ควรมีการใช้ระบบทวิภาคีในการปรึกษาหารือ หรือเจรจากันหากมีความจำเป็น ต้องลดจำนวนลูกจ้าง ขอให้นำมาตรการและแนวทางบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทแรงงานและข้อขัดแย้ง และร่วมมือกันในการพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ในองค์กรต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36097
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่นที่ ๑๖ (ยธก.๑๖) ภายใต้หัวข้อ​ "เสริม​สร้าง​ความ​รู้​ สู่ความก้าวหน้า​ของกระบวนการยุติธรรม"
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่นที่ ๑๖ (ยธก.๑๖) ภายใต้หัวข้อ​ "เสริม​สร้าง​ความ​รู้​ สู่ความก้าวหน้า​ของกระบวนการยุติธรรม" ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่นที่ ๑๖ (ยธก.๑๖) ในวันจันทร์ที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓​ เวลา ๑๐.๐๐ น.​ ณ ห้องประชุมสำนักงานกิจการยุติธรรม ชั้น ๕ วิทยาลัยกิจการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่นที่ ๑๖ (ยธก.๑๖) พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในหัวข้อ "ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ : มิติด้านกระบวนการยุติธรรม"​ เพื่อเสริมสร้าง​องค์​ความรู้​ ทักษะ​ และทัศนคติ​ให้แก่บุคลากร​ระดับกลางในกระบวนการ​ยุติธรรม​ เพื่อ​ส่งเสริม​การคิดวิเคราะ​ห์ และร่วมกันอภิปราย​ ถึงสภาพ​ปัญหาต่างๆ​ ในกระบวนการ​ยุติธรรม​และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหา​ โดยเน้นการหาความร่วมมือ​ สร้างเครือข่ายเพื่อพัฒนา​กระบวนการ​ยุติธรรม​ โดยมีหัวข้อหลัก​ คือ​ "เสริมสร้าง​ความรู้​ สู่ความ​ก้าวหน้า​ของกระบวนการ​ยุติธรรม" โดยมี​ผู้เข้ารับการอบรม​ประกอบด้วยบุคลากรในกระบวนการ​ยุติธรรม​ จำนวน​ ๕๐​ คน​ โอกาสนี้​ ปลัดกระ​ทรวง​ยุติธรรม​ กล่าวใจความ​ตอนหนึ่งว่า​ บทบาทหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยแต่ละหน่วยงานจะมีกลไกการดำเนินงานที่ต่างกัน ดังนั้น การทำงานจึงต้องมีการบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ตลอดจนการพัฒนาทักษะทางด้านนวัตกรรม และนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนางานด้านกระบวนการยุติธรรม หลักสูตรนี้จึงเป็นหลักสูตรที่เสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์และสร้างวิสัยทัศน์ให้แก่บุคลากรระดับกลาง ที่จะก้าวไปเป็นบุคลากรระดับสูงในอนาคตต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมรับฟังความเห็นต่อมาตรการยกเลิกการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุดิบในการผลิต (กลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องและท่อซีเมนต์ใยหิน)
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 การประชุมรับฟังความเห็นต่อมาตรการยกเลิกการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุดิบในการผลิต (กลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องและท่อซีเมนต์ใยหิน) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน การประชุมรับฟังความเห็นต่อมาตรการยกเลิกการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุดิบในการผลิต (กลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องและท่อซีเมนต์ใยหิน) ณ ห้องประชุม 509 ชั้น 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม วันที่ 19 ตุลาคม 2563 เวลา 13.30 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน การประชุมรับฟังความเห็นต่อมาตรการยกเลิกการใช้แร่ใยหินไครโซไทล์เป็นวัตถุดิบในการผลิต (กลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องและท่อซีเมนต์ใยหิน) โดยมี นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาการ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นางสาวรัตนา รักษ์ตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย นายศุภชัย โปฎก ผู้อำนวยการกองบริการงานอนุญาตโรงงาน 1 ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 509 ชั้น 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมงาน “ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ”
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมงาน “ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ” กระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมงาน “ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ” ในวันจันทร์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมงาน “ ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ” เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณในห้วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๓ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์​ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36079
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ปรับเงื่อนไข-ขยายเวลา โครงการกำลังใจ-เราเที่ยวด้วยกัน
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ​ปรับเงื่อนไข-ขยายเวลา โครงการกำลังใจ-เราเที่ยวด้วยกัน วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับรายละเอียดของแพ็คเกจ“กำลังใจ”และ“เราเที่ยวด้วยกัน” โดยอนุมัติให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่งานสาธารณสุขมูลฐานภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้ ส่วนผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน สามารถใช้บริการโรงแรมที่พักและใช้ E-Voucher สำหรับค่าอาหาร ค่าสินค้า OTOP ในจังหวัดตามภูมิลำเนาได้ รวมทั้งขยายเวลาใช้สิทธิ์โครงการกำลังใจและเราเที่ยวด้วยกัน จากเดิมถึงวันที่ 31 ธ.ค. 63 ให้ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค. 64 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรด้านสาธารณสุขอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36072
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุชา” เผยความเห็นที่แตกต่างในสังคมประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ระบุการบังคับขู่เข็ญไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง วอนหันหน้าหาทางออกร่วมกัน เพื่อประเทศชาติ
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 “อนุชา” เผยความเห็นที่แตกต่างในสังคมประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ระบุการบังคับขู่เข็ญไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง วอนหันหน้าหาทางออกร่วมกัน เพื่อประเทศชาติ “อนุชา” เผยความเห็นที่แตกต่างในสังคมประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ระบุการบังคับขู่เข็ญไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง วอนหันหน้าหาทางออกร่วมกัน เพื่อประเทศชาติ วันนี้ (20 ตุลาคม 2563) เวลา 08.00 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ จะมีการหารือในที่ประชุมครม.หรือไม่นั้นว่า จากที่เข้าร่วมประชุมกับนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านที่ประชุมเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีความคิดเห็นตรงกันสมควรที่จะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพูดคุยกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะมีการลงรายชื่อเพื่อให้เปิดประชุม แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าให้นายชวนทำหนังสือเสนอมายัง ครม. เพื่อขอความเห็นชอบเปิดประชุมวิสามัญ อภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 165 โดย เมื่อวานนี้ นายชวน หลีกภัยฯ ได้ทำหนังสือส่งมายังนายกฯเพื่อให้ทันในการประชุมครม.วันนี้ แล้ว รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า มติที่ประชุมเพียงยื่นมาแค่ขอเปิดประชุมรัฐสภาเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าเป็นวันไหนเพราะต้องมีขั้นตอน ในการออกพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุมวิสามัญ ซึ่งยังไม่ทราบขั้นตอนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่ง ครม. จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะใช้เวลากี่วัน ซึ่งเมื่อเปิดประชุมฯ แล้วต้องพูดคุยกัน โดยยังไม่ได้สรุปประเด็นว่าจะพูดคุยหารือในประเด็นใดบ้าง แต่ทุกปัญหาจะนำเข้าสู่ที่ประชุม สำหรับกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมอาจจะยังไม่รอการประชุมของรัฐสภา เพราะมีการยื่นเงื่อนไข ให้ทำตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ ภายใน 24 ชั่วโมงนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นความเห็นที่แตกต่าง ยืนยันว่าความเห็นที่แตกต่างจะต้องนำไปพิจารณาในสภา เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องของรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เป็นเพียงข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ตนพูดในฐานะสมาชิกรัฐสภา ทั้งนี้ ในสังคมประชาธิปไตยการเรียกร้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าการบังคับหรือขู่เข็ญไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และบางเรื่องแต่ละพรรคการเมืองมีจุดยืนอยู่แล้ว เช่น ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสถาบัน จึงอยากฝากถึงผู้ชุมนุมและนักศึกษาว่าสิ่งที่เราพยายามทำนั้นทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่ทุกความเห็นจะต้องไปในทิศทางเดียวกันคงต้องมาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน อย่างไรก็ตามทุกคนอยากเห็นว่าเวทีรัฐสภา สามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้หรือไม่ในฐานะนักการเมืองเราอยากทำตรงนั้นให้เกิดขึ้น ส่วนตัวคิดว่าอาจใช้เวลาพูดคุยในสภาประมาณ 1-3 วัน เชื่อว่าคงได้ข้อสรุปว่าจะไปในทิศทางไหน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้เวลาแค่ 1-2 ชั่วโมง เราก็เห็นตรงกันว่ามีค่าสำหรับการพูดคุยกันเพื่อหาทางออกร่วมกัน เราจะมีมติออกมาร่วมกัน ซึ่งนักการเมืองทุกคนก็อยากเห็นความสงบสุข หากการประชุมผ่านไปแล้วแต่ม็อบยังคงอยู่ ค่อยหาวิธีที่จะมีบทสรุปร่วมกันอย่างสันติวิธีต่อไป -----------------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมพิจารณาร่างตัวชี้วัดการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการระดับกระทรวง และระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 การประชุมพิจารณาร่างตัวชี้วัดการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการระดับกระทรวง และระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างตัวชี้วัดการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการระดับกระทรวง และระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วันนี้ (20 ตุลาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมพิจารณาร่างตัวชี้วัดการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการระดับกระทรวง และระดับกรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 เพื่อให้ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36090
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 ธ.ก.ส.เตรียมจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2563/64 เพื่อช่วยเหลือและสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยประกันรายได้หัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน วงเงินกว่า 9,500 ล้านบาท ธ.ก.ส. เตรียมจ่ายเงินประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 เพื่อช่วยเหลือและสร้างความมั่นคงด้านรายได้แก่ผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ โดยประกันรายได้หัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน วงเงินกว่า 9,500 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 524,000 ครัวเรือน ดีเดย์ 1 ธันวาคมนี้ พร้อมจัดสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังมีรายได้ที่แน่นอนจากการประกันรายได้ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำและสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 524,000 ครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 9,570 ล้านบาท โดยประกันรายได้หัวมันสำปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องขึ้นทะเบียนผู้ปลูกและแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 จึงจะได้รับสิทธิ์ประกันรายได้ในโครงการนี้ โดยมีระยะเวลาใช้สิทธิ์ตามช่วงการเก็บเกี่ยวที่ระบุไว้ในทะเบียนเกษตรกร ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรจะทำการตรวจสอบข้อมูล แล้วส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินประกันรายได้ดังกล่าวเป็นส่วนต่างระหว่างราคามันสำปะหลังที่ประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงที่กำหนดโดยคณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์การอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง โดยใช้ราคาเฉลี่ยรับซื้อหัวมันสำปะหลังจากจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งนี้ เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างการประกันรายได้ครั้งแรก วันที่ 1 ธันวาคม 2563 และจ่ายต่อไปทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 12 ครั้ง (ถึงเดือนพฤศจิกายน 2564) ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ผ่านโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2563/64 วงเงินสินเชื่อรวม 1,500 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจุชมชนที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลังหรือสถาบันเกษตรกรที่มีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลัง รวมทั้งเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์หรือใช้ในกิจการของสถาบันเกษตรกร อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือนนับแต่วันรับเงินกู้ เริ่มตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2564 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2563/64 วงเงินสินเชื่อรวม 1,150 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตของเกษตรกร ควบคู่การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มคุณภาพของมันสำปะหลัง รวมถึงลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร เป้าหมายเกษตรกร หรือสมาชิกสหกรณ์การเกษตร จำนวน 5,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.50 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือนนับแต่วันรับเงินกู้ เริ่มจ่ายสินเชื่อตั้งแต่บัดนี้ ถึง 30 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีเชิญชวนเที่ยวงาน “สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทงปี 2563” พร้อมมอบคำอธิษฐานให้ประเทศมีความสุข สงบ ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม 2563 ​นายกรัฐมนตรีเชิญชวนเที่ยวงาน “สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทงปี 2563” พร้อมมอบคำอธิษฐานให้ประเทศมีความสุข สงบ ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า ​นายกรัฐมนตรีเชิญชวนเที่ยวงาน “สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทงปี 2563” พร้อมมอบคำอธิษฐานให้ประเทศมีความสุข สงบ ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า วันนี้ (20 ต.ค. 63) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการงานสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง ประจำปี 2563 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โอกาสนี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนำคณะ ประชาสัมพันธ์ “สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทงปี 2563” ซึ่งในปีนี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะจัดงาน CHAO PHRAYA RIVER OF ETERNAL PROSPERITY ณ ริเวอร์พาร์ค ไอคอนสยาม และ Bangkok River Festival 2020 ณ 9 ท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและพื้นที่เอกลักษณ์ 5 แห่ง ประกอบไปด้วย“ประเพณียี่เป็งเชียงใหม่” รอบเมืองเชียงใหม่ ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2563 ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1,000 ดวง ประจำปี 2563 ประเพณีงานลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง ประจำปี 2563 และ ประเพณี สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป ครั้งที่ 22 ประจำปี 2563 ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. – 1 พ.ย. 63 ซึ่งปีนี้จะเป็นการจัดงานในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ New Normal เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาทิ จำกัดจำนวนคนเข้าชมงาน การจองเข้าร่วมงานล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน การคัดกรองผู้เข้าร่วมงาน เป็นต้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอให้ทุกคนรวมพลังความรัก ความสามัคคี ร่วมกันสืบสานอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยให้คงอยู่ยาวนาน นอกจากนี้ ยังกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้ให้แก่คนในท้องถิ่นอีกด้วยจึงอยากเชิญชวนประชาชนคนไทยเที่ยวงานลอยกระทงที่จัดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดขึ้นต่าง ๆ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังได้ยกกระทงขึ้นกล่าวอธิษฐานจิต “ขอให้ประเทศไทยมีแต่ความสุข สงบ ประเทศไทยเจริญก้าวหน้า” อีกด้วย --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36077
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล จับมือ ธรรมนัส ร่วมแก้ปัญหาจัดการน้ำจังหวัดน่าน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 นฤมล จับมือ ธรรมนัส ร่วมแก้ปัญหาจัดการน้ำจังหวัดน่าน รมช.แรงงาน และ รมช. เกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดน่าน ติดตามงานด้านการเกษตร เน้นย้ำ พร้อมขับเคลื่อนแรงงานเกษตรสู่แรงงานฝีมือ มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน วันที่ 29 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรจังหวัดน่าน ร่วมกับร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมรับฟังข้อมูล การบริหารจัดการน้ำ การจัดที่ดินทำกินแก่เกษตรกร ณ วัดโป่งคํา อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยกระทรวงแรงงานได้ร่วมจัดกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภารกิจของหน่วยงาน ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะฝีมือ การจัดหางาน การเชิญชวนสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 และให้คำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานแก่กลุ่มเกษตรกร ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแล 2 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดน่านและจังหวัดแพร่ โดยได้เน้นย้ำให้ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้มั่นคง ซึ่งจากการลงพื้นที่ทำให้ได้เห็นว่าจังหวัดน่านเป็นจังหวัดตัวอย่างในการพลิกฟื้นพื้นที่ป่า โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้มีโอกาสลงพื้นที่ในโครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และได้พบกับหัวหน้าส่วนราชการเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ และมีผลการดำเนินงานที่ก้าวหน้าไปบางส่วนโดยเฉพาะการทำฝาย ซึ่งในวันนี้จะนำข้อมูลจากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม กลับไปรายงานให้ท่านนายกรัฐมนตรีทราบเช่นกัน เพื่อจะได้หาแนวทางในการช่วยเหลือชาวโป่งคำ เบื้องต้น กระทรวงแรงงานจะได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการฝึกอาชีพ ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว มีการจัดหลักสูตรที่หลากหลาย เช่น การให้ความรู้ทางด้านการเกษตรแนวใหม่ การทำการเกษตรอัจฉริยะ หรือ Smart Farmer โดยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เช่น การพ่นสารเคมีผ่านโดรน เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ นอกจากอาชีพเกษตรแล้ว ช่วงที่ไม่มีการเพาะปลูก สามารถเข้ารับการฝึกอาชีพเสริมได้ ซึ่งสามารถจัดอบรมด้านการพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับบริบทของจังหวัดน่านในแต่ละพื้นที่ เพื่อสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น กระทรวงแรงงานยังได้ร่วมมือกับ ETDA จัดทำทำหลักสูตรด้าน e-commerce เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่มีผลผลิตทางการเกษตร หรือมีสินค้าด้านหัตถกรรมที่ทำนอกฤดูการเกษตร ได้เรียนรู้และสามารถสร้างช่องทางการกระจายสินค้าผ่านออนไลน์ให้เกิดรายได้อีกด้วย รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จังหวัดน่านได้เสนอโครงการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดน่าน ประกอบด้วย การทำฝายห้วยเฮี้ยพร้อมระบบส่งน้ำ ฝายห้วยโป่งพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งจะสามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรประมาณ 300 ไร่ การปฏิรูปที่ดินเพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทำกิน นอกจากนี้ยังมีโครงการระบบส่งน้ำบ้านศรีบุญเรือง เป็นแผนงานช่วยเหลือจัดหาน้ำสนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวงโป่งคำ ซึ่งมีฝายทดน้ำอยู่ที่บ้านนาเลาและได้ดำเนินการก่อสร้างไว้แล้ว แต่ปัญหาคือ ฝายดังกล่าวถูกออกแบบไว้นานแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเหมาะสม สำรวจและออกแบบ รวมไปถึงโครงการการขุดลอกอ่างเก็บน้ำที่ได้รับงบประมาณเมื่อปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แต่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอก เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายนที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากพายุ ซึ่งตอนนี้จะได้ประสานการใช้น้ำไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ว่าจะใช้น้ำอย่างไร เพื่อสงวนน้ำส่วนนี้ให้กับการเกษตรในช่วงฤดูแล้งก่อน ถ้ามีการปรับแผน มีการใช้น้ำเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะเริ่มลงมือดำเนินการโดยศูนย์เครื่องจักรกลที่ 1 ของกรมชลประทาน 1 “ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลจังหวัดน่าน จึงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของจังหวัดน่านที่ได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะการสร้างแรงงานเกษตรให้เป็นแรงงานฝีมือ เพื่อให้สามารถทำการเกษตรภายใต้ความรู้การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปัญหาและข้อเสนอที่ได้รับฟังในวันนี้จะนำไปหาแนวทางและผลักดันงบประมาณในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนจังหวัดน่านต่อไป” รมช.แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36329
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เปิดตัวโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำ โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมและศูนย์ Big Data Experience จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง ทิศทางการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เปิดตัวโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำ โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมและศูนย์ Big Data Experience จัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง ทิศทางการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ทิศทางการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning และเทคโนโลยี Big Data เพื่อพัฒนามาตรฐานการอำนวยความยุติธรรม” ในวันอังคารที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ Big Data Experience Center (BX) อาคาร Knowledge Exchange Center (KX) ชั้น ๑๐ ห้อง X๐๑AB ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ในงานเสวนาวิชาการ เรื่อง “ทิศทางการใช้ประโยชน์จาก Machine Learning และเทคโนโลยี Big Data เพื่อพัฒนามาตรฐานการอำนวยความยุติธรรม” โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นักวิชาการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) นักวิชาการด้านกระบวนการยุติธรรมในส่วนของการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ ภายในงานได้มีการเปิดตัวโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำของกระทรวงยุติธรรม ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการอำนวยความยุติธรรมต่อไป ตามนโยบายของรัฐบาล ให้หน่วยงานภาครัฐ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการพัฒนาองค์กรและการให้บริการประชาชน โมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำ เป็นผลลัพธ์จากโครงการพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) กลุ่มภารกิจพัฒนาพฤตินิสัย กระทรวงยุติธรรมโดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลของกลุ่มภารกิจพัฒนาพฤตินิสัยมาวิเคราะห์ ซึ่งประกอบ ด้วย ๓ ส่วนราชการ คือ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนโดยโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำ สามารถทำนายโอกาสของผู้ที่จะกระทำผิดซ้ำรายบุคคลและแสดงปัจจัยหรือสาเหตุที่ส่งผลต่อการเกิดการกระทำผิดซ้ำทั้งนี้เพื่อให้กระทรวงยุติธรรม ได้ดูแล บำบัด และแก้ไขฟื้นฟู ผู้กระทำผิด ได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด ก่อนการปล่อยตัวผู้กระทำผิดกลับคืนสู่สังคมตามภารกิจหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการเสวนา หัวข้อ “ทิศทางการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Big Data เพื่อตอบสนองภารกิจในการอำนวยความยุติธรรม” โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องร่วมเสวนา ประกอบด้วย รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐดร.ขัตติยา รัตนดิลก ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการ​ยุติธรรม ดร.พร พันธ์จงหาญ ผู้อำนวยการศูนย์ Big Data Experience และ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ดำเนินการเสวนาซึ่งการเสวนาดังกล่าวมีการหยิบยกนโยบายของรัฐบาล ในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และความคาดหวังในการใช้ประโยชน์จากโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำเพื่อการแก้ไข ฟื้นฟู ผู้กระทำผิด และกิจกรรมการประชุมระดมความคิดเห็นโดยมีการนำเสนอโมเดลทำนายการกระทำผิดซ้ำ เพื่อรับฟังความคิดเห็น แนวทางในการพัฒนาประสิทธิภาพของโมเดลฯ ในอนาคต โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า การพัฒนางานโดยใช้ระบบดิจิตอลจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการยุติธรรม โดยปรับเปลี่ยนการทำงานที่ใช้ระบบกระดาษให้มาเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลให้ต่อเนื่องถึงกันได้อย่างง่ายดาย รวดเร็วเร็ว และมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่ากรมบังคับคดีก็ได้มีการดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการบังคับคดี อันจะทำให้กระบวนการยุติธรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยถ้าเราสามารถนำข้อมูลต่างๆมาประมวลผลได้ จะทำให้เราสามารถคาดการณ์อะไรได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ถ้าเรามีฐานองค์ความรู้ ที่มีการเอาข้อมูลเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ที่มีความแตกต่างกันมีระบบความคิดที่ดี มีฐานข้อมูลที่เพียงพอ เราน่าจะเริ่มทำในเรื่องนี้ได้ ซึ่งการพัฒนาโมเดลทำนายการกระทำความผิดซ้ำ เพื่อใช้แสวงหาสาเหตุหรือปัจจัยและสามารถทำนายโอกาสของผู้ที่อยู่ในการดูแลบำบัดฟื้นฟูของกระทรวงยุติธรรม ที่จะกลับมากระทำความผิดซ้ำอีกโดยนำผลลัพธ์ของการทำนายมาปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาให้ตรงกับเหตุหรือปัจจัยของแต่ละบุคคลดังกล่าวผมเชื่อว่านี้จะเป็นจุดเริ่ม ที่จะทำให้ระบบพัฒนาพฤตินิสัยดีขึ้น ลดจำนวนผู้ที่จะกลับมากระทำผิดซ้ำให้มีจำนวนน้อยลง ทั้งนี้ยังเป็นการอำนวยความยุติธรรมแบบเชิงรุก และเป็นการคืนคนดีสู่สังคมสร้างสังคมที่ปลอดภัยและสงบสุขต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36328
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดทัพสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs สู้โควิด-19 ร่วมงาน SMART SME EXPO 29 ต.ค.- 1 พ.ย. 63 ณ อิมแพค เมืองทองธานี
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ออมสินจัดทัพสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs สู้โควิด-19 ร่วมงาน SMART SME EXPO 29 ต.ค.- 1 พ.ย. 63 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ธนาคารออมสินออกบูทงาน SMART SME EXPO 2020 ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2563 ณ ฮอลล์ 9-10 อิมแพคเมืองทองธานี ธนาคารออมสินได้นำเสนอสินเชื่อธุรกิจ SMEs และ SMEs Startup เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า การจัดงาน SMART SME EXPO 2020 ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน 2563 ณ ฮอลล์ 9-10 อิมแพคเมืองทองธานี ธนาคารออมสินได้นำเสนอสินเชื่อธุรกิจ SMEs และ SMEs Startup เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นำโดย สินเชื่อที่เพิ่งเปิดตัวให้บริการไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา สินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน ให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เป็น SMEs สามารถใช้โฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกันการกู้เงิน วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปเสริมสภาพคล่องให้กับกิจการ หรือนำไปไถ่ถอนจากสัญญาขายฝากที่ทำไว้ โดยธนาคารจะพิจารณาให้กู้ได้สูงถึง 70% ของราคาประเมินที่ดินของราชการ ไม่พิจารณาภาระผู้กู้และไม่วิเคราะห์รายได้ คิดอัตราดอกเบี้ย 5.99% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา และผู้กู้สามารถนำเงินต้นมาไถ่ถอนที่ดินคืนได้เมื่อมีความพร้อม ภายในเวลา 3 ปี ทั้งนี้ ขอแนะนำ สินเชื่อธุรกิจ GSB D-VERs เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร หรือเพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น ธนาคารฯ ให้เงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวนเงินให้กู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยวงเงินกู้ 1-20 ล้านบาท หากทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีที่ 1 = 3.99 ต่อปี ปีที่ 2 = 4.99 หลังจากนั้นกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+0.75% (ปัจจุบัน MOR ของธนาคารฯ = 5.995% และ MLR = 6.150%) และกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ร้อยละ 30 คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+1.25% แต่หากกู้ในวงเงิน 20-100 ล้านบาท แล้วประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก = 4.00 ต่อปี หลังจากนั้นกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันเต็มวงเงิน คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+0.75% และกรณีหลักทรัพย์ค้ำประกันตั้งแต่ร้อยละ 30 คิดอัตราดอกเบี้ย MOR/MLR+1.00% ด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการท่องเที่ยว สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก/ขนาดย่อม ของภาคการผลิต การบริการ การพาณิชย์ และ Supply Chain ในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อให้ธุรกิจได้ใช้วงเงินสินเชื่อเป็นทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง โดยผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี ให้วงเงินสูงสุดรายละไม่เกิน 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.99% ต่อปีตลอดอายุสัญญา (5 ปี) ใช้บุคคลค้ำประกัน และปลอดชำระเงินต้น 1 ปี นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อที่น่าสนใจภายในงานอีกมากมาย อาทิ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 วงเงินกู้สูงสุดรายละ 20 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินทั้งที่เป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐ ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี เพื่อที่สถาบันการเงินนั้นจะนำไปปล่อยสินเชื่อต่อให้กับผู้ประกอบการ ในอัตราดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี หรือจะเป็น สินเชื่อ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) สำหรับธุรกิจ 10 S-Curve ที่ต้องการยกระดับปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี หรือธุรกิจอื่น เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อรวมทุกสถาบันการเงินต่อราย ไม่เกิน 100 ล้านบาท ณ วันยื่นคำขอกู้ หรือเป็นผู้ประกอบการใหม่/เดิมที่เคยรับการอนุมัติ และใช้วงเงินสินเชื่อในโครงการ Soft Loan ระยะที่ 1-2 และ Soft Loan เครื่องจักร โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36322
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ลงพื้นที่ติดตามน้ำท่วมปักธงชัย โคราช แจกถุงยังชีพ-หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ ลงพื้นที่ติดตามน้ำท่วมปักธงชัย โคราช แจกถุงยังชีพ-หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน ‘รมช.ประภัตร’ ลงพื้นที่ติดตามน้ำท่วมปักธงชัย โคราช แจกถุงยังชีพ-หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอปักธงชัย พร้อมให้กำลังใจพี่น้องเกษตรกร ตลอดจนได้มอบถุงยังชีพ สิ่งของที่จำเป็นและหญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน โดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ตำบลงิ้ว อำเภอปักธงชัย จ.นครราชสีมา ที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมรับฟังปัญหาความเดือดร้อน โอกาสนี้ได้ลงพื้นที่สำรวจนาข้าวที่ได้รับความเสียหาย โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้การช่วยเหลือเร่งด่วน นายประภัตร กล่าวว่า อ.ปักธงชัย มีเกษตรกร 3,836 ราย พื้นที่ได้รับผลกระทบ 19,233 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 7,186 ไร่ พืชไร่ 11,463 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 584 ไร่ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว จะเข้าไปสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ต่อไป โดยรัฐบาลมีค่าชดเชยความเสียหายตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ไร่ละ 1,113 บาท ตลอดจนเตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรปลูกหลังจากนี้ เพื่อให้มีรายได้เสริม รวมถึงโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว) 2) โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพประมงในบ่อดิน (ปลาดุก, ปลาตะเพียนขาว) 3) โครงการเพิ่มผลผลิตกุ้งก้ามกราม 4) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่พื้นเมือง, เป็ดไข่, เป็ดเทศ) 5) โครงการส่งเสริมปลูกพืชอาหารสัตว์ 6) โครงการสร้างรายได้และพัฒนาอาชีพการเกษตรให้แก่สมาชิกสถาบันเกษตรกร และ 7) โครงการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ซึ่งจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ได้รับรายงานความเสียหายเบื้องต้น จ.นครราชสีมา มีพื้นที่ประสบภัย 22 อำเภอ ผลกระทบด้านการเกษตร (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ต.ค.63) 1. ด้านพืช เกษตรกร 50,183 ราย พื้นที่ได้รับผลกระทบ 151,796 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว 67,250 ไร่ พืชไร่ 82,260 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 2,286 ไร่ อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย 2. ด้านประมง ไม่ได้รับผลกระทบ และ 3. ด้านปศุสัตว์ เกษตรกร 17 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 957 ตัว แบ่งเป็น โค 567 ตัว แพะ-แกะ 90 ตัว สัตว์ปีก 300 ตัว อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36324
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทีมหมอครอบครัว และอสม. ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “โมลาเบ”
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 สธ.ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทีมหมอครอบครัว และอสม. ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “โมลาเบ” กระทรวงสาธารณสุข ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “โมลาเบ” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ไม่ให้ขาดยา ส่งทีมหมอครอบครัวอสม. เยี่ยมบ้าน ให้คำแนะนำป้องกันโรคที่มากั กระทรวงสาธารณสุข ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “โมลาเบ” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ไม่ให้ขาดยา ส่งทีมหมอครอบครัวอสม. เยี่ยมบ้าน ให้คำแนะนำป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด พร้อมส่งยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนแล้ว 58,500 ชุด วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยผู้ประสบภัยจากพายุ “โมลาเบ” ซึ่งมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และยังน้ำท่วมขัง 6 จังหวัด คือ จ.อบุลราชธานี จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครปฐม และจ.สุพรรณบุรี ได้กำชับให้สถานบริการทุกแห่งให้การดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ เฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ำท่วม และหลังน้ำลด สั่งการให้ส่วนกลางสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ลงไปช่วยเหลือ ได้ส่งยาและเวชภัณฑ์ให้จังหวัดที่ได้รับผลกระทบแล้ว 58,500 ชุด ขณะนี้มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบ 15 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาล 1 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 13 แห่ง ศูนย์สุขภาพชุมชน 1 แห่ง ทุกแห่งเปิดให้บริการปกติ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ได้กำชับนายแพทย์สาธารณสุขทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และส่งเจ้าหน้าที่ ทีมหมอครอบครัว อสม. เยี่ยมบ้าน ให้การดูแลผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ ให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่อง แนะนำให้ความรู้ในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการจมน้ำ ไฟดูด โรคที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู และเฝ้าระวังโรคติดต่อที่มีผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อุจจาระร่วงนอกจากนี้ หลายพื้นที่มีน้ำท่วมขังจากฝนที่ตกหนักติดต่อกันตั้งแต่ต้นเดือน ทำให้พบโรคน้ำกัดเท้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นหลังลุยน้ำให้รีบล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง หากผิวหนังที่เท้า ซอกนิ้ว เปื่อย แดง และลอกมีอาการคัน ให้ทายารักษาโรคน้ำกัดเท้า อย่าเกาเพราะจะทำให้เป็นแผล เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย ************************************* 29 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36333
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.-วธ. จัดงานฉลอง ยูเนสโกประกาศให้ “นวดไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 สธ.-วธ. จัดงานฉลอง ยูเนสโกประกาศให้ “นวดไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” พร้อมฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เตรียมยกระดับนวดไทยสู่ Thai Wellness ให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ดูแลตนเอ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” พร้อมฉลองนวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เตรียมยกระดับนวดไทยสู่ Thai Wellness ให้ประชาชนนำไปใช้ประโยชน์ดูแลตนเองและสังคม วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดงานฉลองนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ประจำปี 2563 โดยความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเฉลิมฉลองนวดไทยได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ พร้อมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” ปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย รวมถึงนำไปใช้ประโยชน์ดูแลตนเองและสังคมได้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงคุณค่าของศาสตร์แห่งการนวดไทยและภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และอนุรักษ์นำมาใช้ประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในปีที่ผ่านมา องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศให้ “นวดไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ซึ่งศาสตร์การนวดไทยที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่สุด คือ “เส้นประธานสิบ” ปรากฏในแผ่นศิลาจารึก จำนวน 60 ภาพ มากกว่า 100 ปี ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร จึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ยกระดับสู่ Thai Wellness จัดอบรมนวดไทย 372 ชั่วโมง เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี เป็น “วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ” คณะรัฐมนตรีได้ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหาเจษฎาราชเจ้า เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติต่อคุณูปการที่พระองค์ทรงทำนุบำรุงการแพทย์แผนไทยให้รุ่งเรือง จึงได้จัดกิจกรรมทั้งด้านเวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย การนวดไทย ดังปรากฏในแผ่นจารึกต่างๆ ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นฐานรากให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้และใช้ประโยชน์ในการดูแลสุขภาพถึงปัจจุบัน ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย ฯ กล่าวว่า จากการที่ยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียนนวดไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้กำหนด โดยมีแนวทางสำคัญคือ การสร้างมาตรฐานนวดไทย ทั้งด้านองค์ความรู้ หลักสูตร รวมถึงการบริการนวดไทยให้เป็นที่ยอมรับ ตั้งแต่ในระดับชุมชน โดยดำเนินการใน 2 ประเด็นคือ ได้แก่ การอบรมหมอนวดครู ก จำนวน 188 คน เพื่อสืบสานรักษา​ และต่อยอดการผลิตบุคลากรให้เป็นครูสอนคนในชุมชนนวดไทย​ นวดพื้นบ้านไทยแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ และยังต่อยอด​ ฟื้นฟู การอบรมหมอนวดไทยสร้างงานสร้างอาชีพ 1,000 คน โดยร่วมกับโรงเรียนนวดแผนไทยวัดโพธิ์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มอบรมในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2563 พร้อมมอบใบประกาศให้กับผู้เข้ารับการอบรมนวดเพื่อต่อยอดในการประกอบวิชาชีพด้านการนวดไทย การจัดงานสัปดาห์วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติในปีนี้ ขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “นวดไทย” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ กิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย”, ประวัติศาสตร์นวดไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน, นวดไทยมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ โดยได้จัดทำนวดอัตลักษณ์แต่ละภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ตอกเส้น, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขิดเส้น, ภาคกลาง เหยียบเหล็กแดง ตบเหล็กแดง ,โอสถศาลา, การจัดเวที ทางวิชาการในประเด็นต่างๆ, การออกหน่วยบริการด้านสุขภาพ โดยหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการออกร้านของภาคเอกชน โดยมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพร กินอาหารเป็นยา สะอาด สดใหม่ ปลอดภัย ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2563 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.30 น. ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร *************************************** 29 ตุลาคม 2563 ***************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36338
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจประสานติดตาม และเฝ้าระวังสถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจประสานติดตาม และเฝ้าระวังสถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจประสานติดตามและเฝ้าระวัง สถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ ในวันพุธที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจประสานติดตามและเฝ้าระวัง สถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย กระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ ๓๖๙/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ เรื่อง จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจประสานติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์เพื่อความสงบเรียบร้อย กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งพิจารณาแนวทางการดำเนินการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ และแก้ไขปัญหาการชุมนุมและการก่อความไม่สงบฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36330
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. แนะ DMHT วัคซีนประจำวัน ป้องกันโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ปลัดสธ. แนะ DMHT วัคซีนประจำวัน ป้องกันโควิด 19 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชน ยึดหลัก DMHT สร้างภูมิคุ้มกันโควิด 19 ตนเองและคนรอบข้าง ชี้ผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพประชาชนรอบล่าสุด พบการสวมหน้ากาก ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 67.1 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชน ยึดหลัก DMHT สร้างภูมิคุ้มกันโควิด 19 ตนเองและคนรอบข้าง ชี้ผลสำรวจพฤติกรรมสุขภาพประชาชนรอบล่าสุด พบการสวมหน้ากาก ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 67.1 นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวในสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้และสถานที่กักตัวที่รัฐกำหนด จากรายงานผู้ป่วยโควิด 19 กว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มวัยรุ่นและ วัยทำงาน อายุ 20-49 ปี ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ซึ่งกลุ่มนี้มักใช้ชีวิตประจำวัน มีกิจกรรมนอกบ้าน ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว เป้าหมายกระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่ทำให้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นศูนย์ แต่เมื่อมีผู้ติดเชื้อจะค้นพบได้เร็ว จำกัดวงการแพร่กระจาย ควบคุมโรคได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เรามีบทเรียน พร้อมรับมือการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป และประชาชนต้องปลอดภัย “ในขณะที่ยังไม่มีวัคซีน สิ่งที่ประชาชนจะใช้เป็นเกราะป้องกันโควิด 19 คือ วัคซีน DMHT โดย D : Social Distancing เว้นระยะห่าง M : Mask สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน อยู่ในพื้นที่สาธารณะ H : Hand ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และ T : Testing การตรวจเร็ว รักษาเร็ว ควบคุมโรคได้เร็ว ปฏิบัติให้ต่อเนื่องจะช่วยป้องกันโรคได้” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว ทั้งนี้ ผลสำรวจการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนเรื่องโรคโควิด 19 (ดีดีซีโพล) ของกรมควบคุมโรคครั้งล่าสุด เก็บข้อมูลออนไลน์วันที่ 1 – 14 ตุลาคม 2563 ผู้ตอบแบบสอบถาม 2,670 คน พบว่า ประชาชนมีแนวโน้มพฤติกรรมสุขภาพลดลง ทั้งการสวมหน้ากากเมื่อไม่มีอาการป่วยลดลงมาอย่างต่อเนื่องเหลือเพียงร้อยละ 67.1 จากที่เคยสูงถึงร้อยละ 93.5 ในช่วงต้นที่พบการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง, สวมหน้ากากเมื่อมีอาการป่วยลดลงอย่างเห็นได้ชัดเหลือเพียงร้อยละ 81.8 และจะสวมหน้ากากต่อเนื่องลดลงเหลือร้อยละ 51.4 ส่วนการล้างมือหลังเข้าห้องสุขา และก่อน-หลังรับประทานอาหาร แนวโน้มคงที่ อยู่ในระดับดี ประมาณร้อยละ 70 - 86 การออกไปในที่ชุมชน ไปท่องเที่ยวมากขึ้น โดยการออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็นเพิ่มจากร้อยละ 19.6 เป็นร้อยละ 30 นอกจากนี้ พบว่าประชาชนยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด 19 อยู่ โดยกังวลระดับมากร้อยละ 29.2 ปานกลางและน้อยร้อยละ 65.6 ส่วนความเชื่อมั่นมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่ร้อยละ 85.7 เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อน และเพิ่มจากช่วงแรกที่เกิดสถานการณ์ซึ่งความเชื่อมั่นอยู่ที่ร้อยละ 61.8 ********************************** 29 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ทส. แถลง “ไทยลดโลกร้อนได้ตามเป้า” พร้อมก้าวสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นในปี 2573’
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ‘ทส. แถลง “ไทยลดโลกร้อนได้ตามเป้า” พร้อมก้าวสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นในปี 2573’ ‘ทส. แถลง “ไทยลดโลกร้อนได้ตามเป้า” พร้อมก้าวสู่เป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นในปี 2573’ วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) เวลา 13.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานแถลงความสำเร็จผลการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย NAMA และเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย NDC ณ ห้องประชุม Infinity 1-2 ชั้น G โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ รมว.ทส. กล่าวว่า “เป็นที่น่ายินดีที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ร่วมแรงร่วมใจกัน จนทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เป็นการแสดงออกให้นานาประเทศได้เห็นว่า ประเทศไทยของเรานั้น ตั้งใจที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกในการแก้ปัญหาโลกร้อน และร่วมรักษาโลกใบนี้ไว้ให้ลูกหลานของพวกเราต่อไปในอนาคต” ปัจจุบัน ประเทศไทยได้แบ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกเป็น 2 ระยะ โดยในระยะแรก คือ การดำเนินงานตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Action: NAMA) ภายในปี 2563 ซึ่งได้ดำเนินงานบรรลุเป้าหมายภายในประเทศแล้ว ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อยู่ระหว่างร้อยละ 7-20 หรือ 25– 73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) เมื่อเทียบเคียงกับกรณีพื้นฐาน (BAU) เมื่อปี 2548 โดยในปี 2561 มีปริมาณลดลงอยู่ที่ 57.84 MtCO2eq คิดเป็นร้อยละ 15.76 สำหรับเป้าหมายในระยะต่อไปนั้น คือ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ภายในปี 2573 ซึ่งมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ร้อยละ 20-25 นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังกล่าวเสริมอีกว่า “เป้าหมาย NDC นับว่ามีความท้าทายเป็นอย่างมาก แต่ไม่เกินความสามารถ เพราะเราจะมีความร่วมมือกันอย่างดี มีความเข้าใจในเป้าหมายร่วมกันมากขึ้น มีกฎหมายที่จะออกรองรับในอนาคต และมีการติดตามประเมินผลที่ชัดเจน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36335
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อฯ ไฟเขียวนโยบายการกักกันโรคระดับชาติ รองรับเปิดประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 คกก.โรคติดต่อฯ ไฟเขียวนโยบายการกักกันโรคระดับชาติ รองรับเปิดประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบนโยบายกักกันโรคระดับชาติ 3 ด้าน มีระบบการกักกันโรคและสถานที่กักกันผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ กลไกการบริหารจัดการเชื่อมโยงการทำงานระดับชาติและจังหวัด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเห็นชอบนโยบายกักกันโรคระดับชาติ 3 ด้าน มีระบบการกักกันโรคและสถานที่กักกันผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ กลไกการบริหารจัดการเชื่อมโยงการทำงานระดับชาติและจังหวัด และมีระบบการบริหารจัดการข้อมูลแบบบูรณาการ วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2563 ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่พบในขณะนี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างประเทศ แม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อภายในประเทศบ้าง ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่จากประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ต้นปี ทำให้เราสามารถควบคุมโรคได้ดี ตั้งแต่การตรวจคัดกรองอย่างละเอียด ทำให้ค้นพบเร็ว ควบคุมโรคได้ดี ทีมงานสาธารณสุขมีความเข้มแข็ง ค้นหาเชิงรุกและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อย่างครอบคลุม สามารถป้องกันควบคุมไม่ให้มีการระบาดในวงกว้าง ภาพรวมในเวลานี้ ประเทศไทยมีศักยภาพในการต่อสู้โควิด 19 ทั้งทรัพยากร เวชภัณฑ์ แล็บ ยา แพทย์พยาบาล ที่สำคัญไม่มีผู้ป่วยหนักในไอซียู และอัตราการเสียชีวิตต่ำมากน้อยกว่าร้อยละ 2 ทำให้ประชาชนมั่นใจได้ “โจทย์สำคัญในวันนี้ คือการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจบนพื้นฐานความปลอดภัยประชาชน ช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาต่างชาติ การเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติให้สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว หรือการค้าการลงทุน จะช่วยให้เศรษฐกิจของเรากลับมาเดินหน้าอีกครั้ง เรื่องเศรษฐกิจสุขภาพเป็นนโยบายสำคัญทีจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยยังคงความปลอดภัยให้กับประชาชนและสังคมด้วย” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบ ร่างนโยบายการกักกันโรคในประเทศ (National Quarantine Policy) รองรับการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในระยะยาว ประกอบด้วย 3 หลักการ คือ 1.จัดให้มีระบบการกักกันโรค และสถานที่กักกันผู้สัมผัสโรคหรือพาหะ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน เหมาะสมกับบริบทของการปฏิบัติงานและกลุ่มเป้าหมาย และเพียงพอทุกพื้นที่ 2.พัฒนากลไกการบริหารจัดการระบบการกักกันโรคและสถานที่กักกันโรคให้เป็นเอกภาพ ทั้งในระดับชาติ และระดับจังหวัด ที่สามารถทำงานเชื่อมโยงกันได้ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร 3.เร่งพัฒนาระบบการบริหารจัดการข้อมูลแบบบูรณาการ เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง ได้กำหนดระบบการจัดการในสถานที่กักกันโรค 10 ข้อ ทั้งด้านการจัดการสถานที่พัก พื้นที่ส่วนกลางและสถานที่เฉพาะ, มีผู้รับผิดชอบทุกขั้นตอนครบตามจำนวนวันที่กำหนด, การคัดกรองการเจ็บป่วย หรือสงสัยติดเชื้อโควิด 19, การจัดการสิ่งแวดล้อม, การบริการพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิต, การรวบรวม จัดเก็บข้อมูล, ระบบรายงานเหตุการณ์, การพัฒนาทักษะผู้ปฏิบัติงาน, การตรวจประเมินสถานที่กักกันโรค และมีวิธีการการตรวจสอบย้อนหลังเมื่อพบเหตุการณ์ผิดปกติ รวมทั้งมีการกำกับติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงาน ทั้งในระดับชาติและพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เห็นด้วยกับหลักการ เรื่องการลดเวลาการกักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน และให้ข้อเสนอแนะให้เน้นเรื่องความปลอดภัย การติดตามตัวได้ มีอาการป่วยหรือไม่ เข้มข้นการปฏิบัติตัวแบบ New normal โดยจะเสนอ ศบค. พิจารณาต่อไป *************************************** 29 ตุลาคม 2563 **********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมเพื่อพิจารณารายงาน เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมเพื่อพิจารณารายงาน เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กระทรวงยุติธรรม ประชุมเพื่อพิจารณารายงาน เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณารายงาน เรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อรับทราบข้อสั่งการรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รวมทั้งพิจารณา รายงานเรื่อง แนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36337
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด พร้อมเปิดงานครบรอบ 33 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ​รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด พร้อมเปิดงานครบรอบ 33 ปี ​รมช.มนัญญา ติดตามการดำเนินงานสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด พร้อมเปิดงานครบรอบ 33 ปี วันก่อตั้งสหกรณ์อิสลามแห่งแรกในประเทศไทย บูรณาการหลักศาสนาอิสลามร่วมกับหลักสหกรณ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตสมาชิกอย่างมั่นคงยั่งยืน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานครบรอบ 33 ปี วันสถาปนาสหกรณ์อิสลาม “33 SAHUN KOPERASI” พร้อมลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สำนักงานสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด ตำบลตะลุโบะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ว่า งานในวันนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการระลึกถึงวันก่อตั้งสหกรณ์อิสลามแห่งแรกในประเทศไทย และถือเป็นโอกาสอันดีในการพบปะ แลกเปลี่ยน รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างขบวนการสหกรณ์อิสลามในประเทศไทย โดยมีนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายปรีชา ชนะกิจกำจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นางรอซนานี สันหมุด สหกรณ์จังหวัดปัตตานี นายอาแว เจ๊ะมะ ประธานกรรมการสหกรณ์ฯ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ สมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรในพื้นที่ รมช.มนัญญา กล่าวถึงความสำคัญของขบวนการสหกรณ์ว่า สหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อให้สมาชิกดำเนินกิจการร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพของสมาชิก และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกให้ดีขึ้น โดยนำหลักการศาสนาอิสลามบูรณาการร่วมกับหลักการสหกรณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันที่เป็นไปตามหลักศาสนา โดยหลักการสำคัญที่สหกรณ์ดำเนินการ คือ การดำเนินธุรกิจปลอดดอกเบี้ย ผ่านธุรกิจสินเชื่อของสหกรณ์ นับว่าเป็นสถาบันการเงินที่ปลอดดอกเบี้ยแห่งแรกในประเทศไทย และพยายามผลักดันให้มีสถาบันการเงินที่ปลอดดอกเบี้ยในรูปแบบธนาคารต่อไป อีกทั้งสหกรณ์ยังช่วยรักษาระดับของราคาสินค้าและบริการ ช่วยเหลือสมาชิก และรักษาคงไว้ซึ่งเงินซะกาตสำหรับผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยให้ทุนหรืออุปกรณ์ในการประกอบอาชีพแก่บุคคลที่ศาสนาได้กำหนดไว้ ซึ่งนับตั้งแต่มีการจัดตั้งสหกรณ์ได้มีการให้ซะกาตแล้ว เป็นจำนวน 19,633,010 บาท ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม ด้วยวิสัยทัศน์ “สหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด เป็นสหกรณ์แบบอย่างที่เน้นหลักชารีอะฮ์ สู่ธุรกิจเครือข่ายและมุ่งสู่สากลอย่างมั่นคง เพื่อคุณภาพ ชีวิตที่ดีของมวลสมาชิก และเป็นที่พึ่งของสังคม” กิจกรรมภายในงาน มีการมอบโล่ห์ที่ระลึกงานครบรอบ 33 ปี วันสถาปนาสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด ให้กับผู้แทนหน่วยงานราชการ และหน่วยงานเครือข่ายที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสหกรณ์ฯ จำนวน 13 ราย และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “กว่าจะมาเป็นสหกรณ์ที่ปลอดดอกเบี้ย” โดยนายเด่น โต๊ะมีนา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นผู้ก่อตั้งสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด จากนั้น รมช.มนัญญา เป็นประธานเปิดมัสยิดในบริเวณสำนักงานสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด ที่สร้างจากเงินบริจาคของสมาชิกสหกรณ์ บุคคลทั่วไป และงบประมาณบางส่วนของสหกรณ์ฯ เพื่อให้สมาชิกที่มาติดต่อใช้บริการกับสหกรณ์ฯ และบุคคลอื่น ๆ ได้ปฏิบัติศาสนกิจการทำละหมาด ทั้ง 5 เวลา สำหรับสหกรณ์อิสลามปัตตานี จำกัด จัดตั้งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2530 เป็นสหกรณ์ที่ดำเนินในรูปแบบธุรกิจอิสลามแห่งแรกในประเทศไทย มีสำนักงานทั้งหมด 7 สาขา สมาชิก จำนวน 57,128 คน ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 1,072,945,025 บาท กำไร จำนวน 29,069,815 บาท สหกรณ์ได้ดำเนินกิจการในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การระดมทุนจากสมาชิกในลักษณะทุนเรือนหุ้น หรือเงินฝากต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการออมเงินของสมาชิก ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพของสมาชิกผ่านรูปแบบสินเชื่อต่าง ๆ หรือหลักการซื้อขายเงินผ่อน เป็นต้น สหกรณ์ยังมีการยกระดับคุณภาพชีวิตสมาชิกผ่านระบบซะกาตที่ให้แก่บุคคลตามที่ศาสนากำหนดเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพ และที่สำคัญสหกรณ์ยังมีการช่วยเหลือสังคมและชุมชนผ่านทุนสาธารณประโยชน์ของสหกรณ์เพื่อเป็นการสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม บรรยายพิเศษ "แนวทางเอาชนะยาเสพติด โครงการฝึกอบรมหลักสูตร "อัยการผู้ช่วย" รุ่นที่ ๖๐ ยืนยันรัฐบาลเอาจริงทุกหน่วยงานต้องทำงานบูรณาการไปในทิศทางเดียวกัน ชี้อยากให้แก้ปัญห
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 รมว.ยุติธรรม บรรยายพิเศษ "แนวทางเอาชนะยาเสพติด โครงการฝึกอบรมหลักสูตร "อัยการผู้ช่วย" รุ่นที่ ๖๐ ยืนยันรัฐบาลเอาจริงทุกหน่วยงานต้องทำงานบูรณาการไปในทิศทางเดียวกัน ชี้อยากให้แก้ปัญห นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "อัยการผู้ช่วย" รุ่นที่ ๖๐ พ.ศ.๒๕๖๓ (สนามจิ๋ว) ภาควิชาการ ในวันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ สถาบันวิชาการ ทีโอที ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร "อัยการผู้ช่วย" รุ่นที่ ๖๐ พ.ศ.๒๕๖๓ (สนามจิ๋ว) ภาควิชาการ โดยมี นายธนาวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายอุทัย สินมา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค ๓ รักษาการตำแหน่ง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วม นายสมศักดิ์ฯ กล่าวบรรยายว่า เรื่องของยาเสพติดรัฐบาลได้แก้ไขปัญหามาเป็นเวลานาน และส่วนใหญ่ที่ได้เห็นจะเป็นการจับกุม องค์กรสากลที่ต่อต้านยาเสพติด อย่าง UNODC ระบุว่า มูลค่ายาเสพติดที่สามเหลี่ยมทองคำส่งออกขายทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ ๑.๘ ล้านล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าช่องทางขนส่งหลีกเลี่ยงพื้นที่ประเทศไทยไม่ได้ เมื่อขนส่งผ่านประเทศไทยจึงมีการจำหน่ายด้วย ดังนั้นสากลมองประเทศไทยว่า จะช่วยอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมามีหลายประเทศได้หารือกับประเทศไทย ทั้งฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา มีนักค้ายาเสพติดนำเงินมาฟอกในประเทศไทย ตนได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของต่างประเทศอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ตนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่สการกระทรวงยุติธรรมเป็นระยะเวลาปีเศษ ได้คุ้นเคยกับนายอุทัยฯ ท่านเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติด แต่วันนี้ผลิตยาบ้าง่ายมาก เครื่องมือเมื่อก่อนเป็นหัวตอกธรรมดา ผลิตได้วันละ ๒ แสนกว่าเม็ด แต่มาในช่วงปี ๒๕๕๙ เปลี่ยนเป็นไฮดรอลิค ผลิตได้วันละ ๖ ล้านกว่าเม็ด เป็นเพิงไม้เล็กๆ เท่านั้นไม่ต้องตั้งโรงงานใหญ่ ต้นทุนแค่ ๕๕ สตางค์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถ้ามองดูว่าแค่ต้องการจับเอาเม็ดยาแล้วมาดำเนินคดีกับคนขน คนขาย ไม่มีวันไปหยุดยั้งและทำให้คนไทยไม่ติดยาได้ เพราะเราดำเนินการที่ปลายทาง นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ต้องขัง จำนวน ๓๘๐,๐๐๐ คน โดย ๘๐ % เป็นคดียาเสพติด แต่ถ้าสร้างคุกเพิ่มคงไม่ได้ จึงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนล้นคุก ตนคิดอยู่ตลอดตั้งแต่มาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้มี ๓ แนวทาง คือ ๑. การทำเตียงนอน ๒ ชั้น ซึ่งมีที่นอนเกือบครบ ๓ แสนคน ตามความจุเรือนจำทั่วประเทศที่รองรับได้ แต่ ๒ แสนกว่าคน เป็นนักโทษยาเสพติด หากปราบปรามและป้องกันได้ ปัญหาคนล้นคุกจะลดลงไปได้มาก ๒. การติดกำไล EM ให้กับผู้ต้องขัง ตอนนี้มี ๓ หมื่นชุด และ ๓. การแก้ประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งอยู่ในกาพิจารณาของสภา โดยนำกฎหมายเก่าๆ ทั้งหมดรวมเป็นฉบับเดียว โดยโทษขั้นต่ำ ขั้นสูงจะสมดุลขึ้น เช่น นำยาบ้าเม็ดหรือสองเม็ดเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โทษเก่า คือ ๑๐ ปี ถึงตลอดชีวิต แต่ของใหม่จะเปลี่ยนมาตรฐานขั้นต่ำเป็น ๐ - ๑๕ ปี อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ซึ่งจะช่วยลดปัญหาคนล้นคุกได้ "การปราบยาเสพติดต้องมีเทคโนโลยีสมัยใหม่กฎหมายที่เกี่ยวข้องต้องถูกแก้ให้เหมาะสม โดยเฉพาะการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด เพื่อให้สามารถสาวถึงผู้บงการทั้งหลาย งานของผม คือ การบูรณาการทั้งตำรวจ ทหาร อัยการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงาน ป.ป.ส. ให้ทำงานในทิศทางเดียวกัน เมื่อตนได้เห็นแนวทางในการหยุดยั้งยาเสพติดได้ จึงประกาศเป็นนโยบายให้ผู้เกี่ยวข้องตระหนักรู้ว่าจะต้องยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติดให้ได้มากกว่าเดิม ๑๐ เท่า คือ ๖,๐๐๐ ล้านบาท เป็นอย่างน้อย ผมเป็นนักการเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นรัฐมนตรี ๑๔ ครั้ง พื้นฐานตนไม่เคยเรียนกฎหมาย แต่รู้เรื่องการบริหารบ้าง เลยคิดว่าหากมองให้เป็นรูปธรรมแล้วตนเข้าใจ และอยากทำให้การแก้ปัญหายาเสพติดเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังแก้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องยืนด้วยลำแข้งของตนเองก่อน ไม่เช่นนั้นประเทศเราจะเป็นทาสของยาเสพติดไปอีกนาน" นายสมศักดิ์ฯ กล่าว ---------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จับมือ แกร็บ เพิ่มหน่วยบริการรับสมัครสมาชิก พร้อมส่งเสริมให้กลุ่มพาร์ทเนอร์ผู้ประกอบอาชีพอิสระในระบบของแกร็บได้วางแผนการออมเงินเพื่อการเกษียณ”
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 “กอช. จับมือ แกร็บ เพิ่มหน่วยบริการรับสมัครสมาชิก พร้อมส่งเสริมให้กลุ่มพาร์ทเนอร์ผู้ประกอบอาชีพอิสระในระบบของแกร็บได้วางแผนการออมเงินเพื่อการเกษียณ” กอช. ร่วมกับ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. และรับชำระเงินออมสะสมผ่านศูนย์บริการพาร์ทเนอร์คนขับ (Grab Driver Centre) เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. และรับชำระเงินออมสะสมผ่านศูนย์บริการพาร์ทเนอร์คนขับ (Grab Driver Centre) เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) ณ โถงวายุภักษ์ ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเพิ่มหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. และรับชำระเงินออมสะสมผ่านศูนย์ให้บริการพาร์ทเนอร์คนขับ (Grab Driver Centre) โดยมี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และ ดร.เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายของ กอช. ได้เข้าถึงการออมครอบคลุมทุกมิติเพิ่มมากขึ้น นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมการออมภาคสมัครใจให้ประชาชนทั่วไปที่ยังไม่มีสวัสดิการรองรับในวัยเกษียณอายุ ได้เริ่มเก็บออมตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมให้คนไทยได้มีเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณเพิ่มมากขึ้น ไม่เป็นภาระผู้อื่นในยามชรา โดย กอช. ร่วมกับ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพิ่มหน่วยรับสมัครสมาชิก กอช. และรับชำระเงินออมสะสมผ่านศูนย์บริการพาร์ทเนอร์คนขับ (Grab Driver Centre) พร้อมส่งเสริมให้กลุ่มพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ อาทิ คนขับรถส่งอาหาร คนขับรถแท็กซี่รับจ้าง คนขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รวมถึงเจ้าของร้านอาหารและธุรกิจต่างๆ กว่าหนึ่งแสนร้านค้า ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของ กอช. ได้เข้าถึงการออมให้ครอบคลุมทุกมิติเพิ่มมากขึ้น และอำนวยความสะดวกในการให้บริการสมาชิกในการส่งเงินออมสะสม ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภูมิภาคให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ดร.เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แกร็บ ในฐานะผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันของเราได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ปัจจุบัน แกร็บมีพาร์ทเนอร์คนขับที่อยู่ในระบบนับหลายแสนรายซึ่งสร้างรายได้เสริมจากการให้บริการการเดินทาง และบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ รวมถึงพาร์ทเนอร์ร้านอาหารอีกกว่าแสนราย ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยและไม่สามารถสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากถูกจัดเป็นแรงงานนอกระบบ ดังนั้น การออมเงินกับกองทุนการออมแห่งชาติจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถวางแผนทางการเงินเพื่อเตรียมรับกับชีวิตหลังเกษียณได้ โดยสามารถส่งเงินออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ทั้งยังได้รับเงินสมทบจากรัฐบาล นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อการลดหย่อนภาษีด้วย การสมัคร การส่งเงิน และการตรวจสอบยอดก็ทำได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันของ กอช. ซึ่งพาร์ทเนอร์คนขับและพาร์ทเนอร์ร้านค้าของแกร็บก็มีความคุ้นชินกับการใช้แอปพลิเคชันอยู่แล้ว ทั้งนี้ แกร็บคาดหวังว่าการประกาศความร่วมมือกับ กอช. ในครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้พาร์ทเนอร์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการออม โดยในเฟสแรกจะเป็นมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์คนขับแกร็บทำการสมัครเป็นสมาชิก กอช. ผ่านศูนย์ให้บริการของแกร็บ ที่ชั้น 30 อาคารธนภูมิ โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 และในอนาคตจะได้ทำการขยายขอบเขตการรับสมัครให้ครอบคลุมและมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36326
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า วันนี้ (29 ตุลาคม 2563) บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Credit Rating) ที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีความเข้มแข็งภาคการคลังและภาคการเงินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง ซึ่งมีส่วนช่วยรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) และความผันผวนของวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เป็นอย่างดี 2) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง ทั้งนี้ การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินนโยบายการคลังจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ดี Fitch เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวและเติบโตในระยะปานกลางได้ โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 3.8 เป็นผลจากการดำเนินมาตรการทางการคลังของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว สร้างความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศมีความเปราะบางได้ 3) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความเข้มแข็ง โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง 4) ประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐและการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง สำนักนโยบายและแผน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5521
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี ๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 กฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี ๒๕๖๓ กฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี ๒๕๖๓ กฐินพระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจำปี ๒๕๖๓ ​ในวาระที่ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานผ้าพระกฐินให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา ณ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และ เป็นสิริมงคลอันใหญ่หลวงแก่บรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของกระทรวงกลาโหม ​การทอดกฐินเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชนได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจในการสร้างบุญกุศล สร้างความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งเป็นการจรรโลงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคงดำรงอยู่และวัฒนาถาวรสืบไป สำหรับวัดราชสิทธาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เดิมเรียกว่า วัดพลับ เป็นวัดอรัญญวาสี (วัดป่า) เก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เริ่มมีความสำคัญขึ้นมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้สร้างพระอารามหลวงใหม่ติดกับวัดพลับ แล้วโปรดให้รวมเป็น วัดเดียวกัน เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระญาณสังวรเถร (สุก) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ทรงเคารพเลื่อมใส และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์มาศึกษากรรมฐานกับพระญาณสังวรเถร ทำให้วัดราชสิทธารามเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญมาแต่ครั้งนั้น แม้ต่อมาพระญาณสังวรเถรจะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช ย้ายไปประทับ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ศิษย์ของพระองค์ยังคงสืบทอดกรรมฐานต่อมา​ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โปรดให้บูรณะและสร้างเสนาสนะเพิ่มเติม เช่น พระเจดีย์ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ และตำหนักเก๋งจีน เนื่องจากเคยมาประทับ จำพรรษาที่วัดแห่งนี้เมื่อทรงผนวช เป็นเวลา ๑ พรรษา และพระราชทานนามใหม่ว่าวัดราชสิทธารามตั้งแต่ ปีพุทธศักราช ๒๓๗๔ โดยเฉพาะพระเจดีย์นั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้บูรณะและพระราชทานนามว่า พระสิริจุมภฏะเจดีย์ ภายในวัดราชสิทธารามมีสิ่งก่อสร้างสำคัญ คือ พระตำหนักจันทร์ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงสร้างพระราชทานให้รัชกาลที่ ๓ ประทับเมื่อทรงผนวช เป็นพระตำหนักเล็กขนาด ๒ ห้อง ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนสร้างด้วยไม้จันทร์ทั้งหมดติดช่อฟ้า ใบระกา ประดับกระจกสวยงาม ต่อมารัชกาลที่ ๓ ทรงย้ายไปปลูกเคียงพระตำหนักเก๋งจีนและเปลี่ยนเครื่องไม้ที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นไม้เนื้อแข็งอื่นๆ เช่น ไม้เต็งรัง ไม้สัก ทำให้เหลือส่วนที่เป็นไม้จันทร์ อยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36339
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับสภาการพยาบาล ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับพยาบาลวิชาชีพในสถานที่ควบคุม
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับสภาการพยาบาล ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับพยาบาลวิชาชีพในสถานที่ควบคุม กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับสภาการพยาบาล ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับพยาบาลวิชาชีพในสถานที่ควบคุม ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ทัศนา บุญทอง นายกสภาการพยาบาล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การยกระดับพยาบาลวิชาชีพในสถานที่ควบคุม โดยมี นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน รองศาสตราจารย์ ดร. ศิริอร สินธุ อุปนายกสภาการพยาบาล และผู้ช่วยศาสตราจารย์อังคณา สริยาภรณ์ เลขาธิการสภาการพยาบาล ร่วมลงนามเป็นสักขีพยานฯ พร้อมทั้งคณะผู้บริหารจากกรมราชทัณฑ์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมคุมประพฤติ และสภาการพยาบาล เข้าร่วม สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการยกระดับพยาบาลวิชาชีพในสถานที่ควบคุมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับสภาการพยาบาล เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถเฉพาะทาง รวมถึงสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานการดูแลสุขภาพผู้ถูกควบคุมตัวในสถานที่ควบคุม สร้างความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจเพื่อดำเนินการแก้ไข บำบัดฟื้นฟู ผู้ถูกควบคุมในสถานที่ควบคุม เพื่อให้ผู้กระทำผิดกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข โดยสภาการพยาบาล มีบทบาทในการศึกษา วิเคราะห์ กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการฝึกอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางในสถานที่ควบคุม พร้อมทั้งสนับสนุนเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพ รวมถึงการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางในสถานที่ควบคุม สำหรับในส่วนของกระทรวงยุติธรรม โดยกลุ่มภารกิจด้านพัฒนาพฤตินิสัย ซึ่งประกอบไปด้วยกรมราชทัณฑ์ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เป็นกรมที่มีบทบาทในการสนับสนุนแลกเปลี่ยนข้อมูลแก่สภาการพยาบาล เพื่อประกอบการศึกษา วิเคราะห์สำหรับการจัดทำเกณฑ์มาตรฐานการฝึกอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางในสถานที่ควบคุม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลสุขภาพของผู้ถูกควบคุมตัวได้อย่างมีคุณภาพมีมาตรฐาน และปลอดภัย ตลอดจนพัฒนาเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพให้มีความเหมาะสม โดยบุคลากรวิชาชีพการพยาบาลที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานสังกัดกระทรวงยุติธรรม ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะในการดูแลด้านสุขภาพให้กับผู้ถูกคุมขังภายใต้ข้อจำกัดการควบคุม นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและเกิดประโยขน์สูงสุดต่อบุคลากรวิชาชีพการพยาบาล โดยเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดูแลสุขภาพของผู้ถูกควบคุมตัวได้อย่างมีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลอดภัย ตลอดจนพัฒนาเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพให้แก่พยาบาลวิชาชีพผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทางในสถานที่ควบคุมอีกด้วย --------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36336
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ รมช.ธรรมนัส ตรวจเยี่ยมงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกร พร้อมมอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่พี่น้องเกษตรกร จ.น่าน ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังลงตรวจเยี่ยมงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรพร้อมมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรณวัดโป่งคำอ.สันติสุขจ.น่านว่าคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.)จัดตั้งขึ้นโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อพ.ศ.2558โดยคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้วางกฎเกณฑ์ในการจัดที่ดินทำกินเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่มีมาในอดีตโดยการจัดที่ดินให้แก่ชุมชนป้องกันการโอนสิทธิหรือซื้อขายสิทธิมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีการอนุรักษ์ดินและน้ำมีการพัฒนาอาชีพและการตลาด “ทางกระทรวงเกษตรฯได้วางแนวทางการดำเนินงานภายใต้คณะทำงานการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาดให้ใช้การตลาดนำการผลิตในการพัฒนาร่วมกับชุมชนโดยวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วม(Particpatory Rural Apppraisal : PRA)เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจร่วมกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆในการพัฒนาไม่ว่าจะเป็น1)ด้านการตลาดเช่นกลุ่มเกษตรกรการผลิตสินค้าชนิดสินค้าแหล่งตลาดเป็นต้น2)ด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้แก่การอนุรักษ์ดินและน้ำระบบน้ำสาธารณูปโภคเส้นทางลำเลียงและ3)ด้านเกษตรอินทรีย์มุ่งเน้นเกษตรปลอดภัยเกษตรผสมผสานและสู่แหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย”ร้อยเอกธรรมนัสกล่าว ทั้งนี้จังหวัดน่านมีพื้นที่ประมาณ7,581,035ไร่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา87.2 %พื้นที่ราบ12.8 %ประกอบด้วย15อำเภอ99ตำบล924หมู่บ้านเป็นพื้นที่ป่าไม้ตามกฎหมาย5,965,337ไร่(79%)พื้นที่เอกสารสิทธิ์/สาธารณประโยชน์/ราชพัสดุ/อื่นๆ1,614,662ไร่(21%)การดำเนินการและความก้าวหน้าของการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.)ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดน่านมีราษฎรอาศัยอยู่และทำกินจำนวน1,357,551ไร่และในพื้นที่อ.สันติสุขจ.น่านได้รับอนุญาตตามนโยบายรัฐบาลคทช.ให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตกตอนใต้จำนวน3พื้นที่ได้แก่ต.ป่าแลวหลวงเนื้อที่10,452ไร่ต.พงษ์เนื้อที่5,256ไร่และต.ดู่พงษ์เนื้อที่7,126ไร่รวม22,834ไร่ ต่อมาภายในงานยังได้มีการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน(ส.ป.ก.4-01)แก่พี่น้องเกษตรจำนวน20รายมอบปัจจัยการผลิตกลุ่มเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม(PGS)ต.ดู่พงษ์และต.ป่าแลวหลวงอ.สันติสุขจำนวน2กลุ่ม มอบแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำจำนวน2แห่งและมอบสระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานขนาด1,260ลบ.ม.ปีงบประมาณ2563ในพื้นที่จังหวัดน่าน163แห่ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36334
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๓ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๓ ในวันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ เพื่อรับทราบการรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบทรัพย์สิน​ รวมทั้งพิจารณาการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินจำนวน ๒๔ คดี โดยแยกเป็นคดีที่มีมูลค่าเกิน ๑ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓ คดี​ รวมมูลค่าทรัพย์สิน​ ๑๐๙,๒๘๓,๔๘๓.๔๒​ บาท และเป็นคดีที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑ ล้านบาท จำนวน ๒๑ คดี​ รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๔,๗๐๐,๒๔๑.๙๙ บาท สำหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย​ ตามมาตรการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด​ เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ​ และไม่ให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนและสังคมจากปัญหายาเสพติด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ รมว.วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการดำเนินงานถวายพระสมัญญาแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36331
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร ชื่นชมดีอีเอส สานต่อนโยบายของรัฐบาล นำประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความตระหนักรับรู้อย่างทั่วถึงและรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประวิตร ชื่นชมดีอีเอส สานต่อนโยบายของรัฐบาล นำประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความตระหนักรับรู้อย่างทั่วถึงและรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์ พล.อ.ประวิตร ชื่นชมดีอีเอส สานต่อนโยบายของรัฐบาล นำประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความตระหนักรับรู้อย่างทั่วถึงและรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์ เมื่อวันนี้ 29 ตุลาคม 2563 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางติดตามผลการดำเนินงานและมอบนโยบายสำคัญกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยมีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม กระทรวงดิจิทัลฯ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมผลการดำเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างดี และถือเป็นกำลังสำคัญของรัฐบาลในการดำเนินการ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในโอกาสนี้ได้มอบหมายแนวทางทำงาน 8 ข้อ เพื่อให้กระทรวงฯ ดำเนินการต่อเนื่อง รองรับเป้าหมายให้คนไทยทั้งประเทศสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ในระบบดิจิทัล หนุนสร้างความตระหนักรับรู้อย่างทั่วถึง และรู้เท่าทันภัยจากสื่อออนไลน์ **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/36321
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง 1’กำชับด่านดูแลแรงงานไทยกลับจากสวีเดน ชื่นชมทุกคนเป็นฮีโรนำรายได้เข้าประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ‘จับกัง 1’กำชับด่านดูแลแรงงานไทยกลับจากสวีเดน ชื่นชมทุกคนเป็นฮีโรนำรายได้เข้าประเทศ รมว.แรงงาน เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ ชื่นชมแรงงานไทยมีทักษะฝีมือเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ กำชับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดูแลอำนวยความสะดวกแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากการไปทำงานเก็บผลไม้ป่าฯ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ โดยจะจัดส่งไปอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ซึ่งขณะนี้ มีหลายประเทศแสดงความสนใจแรงงานไทย เนื่องจากแรงงานไทย มีวินัยในการทำงานและมีทักษะฝีมือดี และประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ได้ ทั้งนี้ ในการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศนั้น จะดำเนินการโดยยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้มีแรงงานไทยเดินทางกลับจากสวีเดนจำนวน 2 กลุ่มกลุ่มแรกเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 05.00 น. จำนวน 335 คน และกลุ่มที่ 2 เดินทางมาถึงเวลา 11.20 น. จำนวน 163 คน รวมทั้งสองกลุ่มจำนวนทั้งสิ้น 498 คน ซึ่งแรงงานเหล่านี้ได้เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยได้รับค่าจ้างเดือนละประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ แรงงานไทยทุกคนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้วจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการกักตัว 14 วันตามสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ต่อไป “ท่านนายกฯ ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศและชื่นชมแรงงานไทยทุกคนที่มีทักษะฝีมือจนเป็นที่ยอมรับของนายจ้างต่างชาติ และประเทศไทยเป็นประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ได้ ในวันนี้ผมได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ กรมการจัดหางาน ดูแลอำนวยความสะดวกแรงงานไทยทุกคนที่เดินทางกลับจากการไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่สวีเดน เพราะพวกเขาเหล่านี้ถือว่าเป็นฮีโร่ที่เสียสละไปทำงานในต่างแดนนำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมปศุสัตว์ จับมือ บ.บีเวอร์เทค จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาการใช้งานแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย (e-Catt)
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯโดยกรมปศุสัตว์จับมือบ.บีเวอร์เทคจำกัดร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาการใช้งานแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt) กระทรวงเกษตรฯโดยกรมปศุสัตว์จับมือบ.บีเวอร์เทคจำกัดร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาการใช้งานแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)ยกระดับการผลิตปศุสัตว์ของประเทศสู่ยุคดิจิทัล4.0 นายประภัตรโพธสุธนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนาและใช้งานแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)ระหว่างกรมปศุสัตว์กับบริษัทบีเวอร์เทคจำกัด ณตึกอำนวยการกรมปศุสัตว์ว่าพิธีลงนามในครั้งนี้เป็นนโยบายการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)ถือเป็นโครงการที่สำคัญเนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมเพิ่มขีดความสามารถการผลิตภาคปศุสัตว์เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำจากธ.ก.ส.เพื่อนำมาประกอบอาชีพสร้างอาชีพสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวอีกทั้งยังกำหนดให้มีการทำประกันภัยโคเนื้อเพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยงในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย “ต้องยอมรับว่าข้อมูลต่างๆด้านโคเนื้อของไทยนั้นเกษตรกรยังไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนดังนั้นหากจะพัฒนายกระดับให้เกษตรกรมีการเลี้ยงโคที่ดีได้มาตรฐานจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อให้เกษตรกรได้ทราบประเภทพันธุ์วัวจำนวนวัวแต่ละพื้นที่มีมากน้อยแค่ไหนตลอดจนราคาซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกรในการส่งเสริมเลี้ยงวัวให้มีรายได้ในช่วงภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงอีกทั้งเกษตรกรมั่นใจได้ว่าไม่มีความเสี่ยงเพราะได้ร่วมมือกับบริษัทประกันภัยสร้างความมั่นใจให้กับผู้เลี้ยงซึ่งการลงนามในวันนี้จึงถือเป็นมิติใหม่ของกรมปศุสัตว์ที่จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้”นายประภัตรกล่าว นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโตอธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่าการพัฒนาแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)ระหว่างกรมปศุสัตว์และบริษัทบีเวอร์เทคจำกัดมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯรวมทั้งโครงการอื่นในภาพรวมของกรมปศุสัตว์เพื่อบริหารจัดการสินเชื่อของธ.ก.ส.และบริหารจัดการข้อมูลการประกันภัยของเกษตรกรอันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตปศุสัตว์อีกทั้งยังเป็นการยกระดับการผลิตปศุสัตว์ของประเทศให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล4.0โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)ตลอดจนอำนวยความสะดวกแก่เกษตรกรด้วยการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์(E-Commerce)เพื่อเพิ่มช่องทางการซื้อขายโคเนื้อระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่เน้น“ตลาดนำการผลิต”อีกด้วยถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการทำประกันภัยโคเนื้อ “ขอขอบคุณบริษัทบีเวอร์เทคจำกัดที่ได้พัฒนาแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับกรมปศุสัตว์ซึ่งภายในระยะเวลา2ปีนี้บริษัทบีเวอร์เทคจำกัดจะมีหน้าที่ดูแลแก้ไขปรับปรุงและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคในระหว่างการใช้งานการดำเนินการฝึกอบรมการจัดทำคู่มือการใช้งานเพื่อให้บุคลากรกรมปศุสัตว์มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง”อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าว นายสุรพงษ์วัฒนานนท์กรรมการบริษัทบีเวอร์เทคจำกัดกล่าวว่าบริษัทบีเวอร์เทคจำกัดดำเนินการพัฒนาแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)เพื่อใช้ในการบริหารโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องฯเชื่อมโยงการบริหารจัดการสินเชื่อกับธ.ก.ส.อีกทั้งยังเชื่อมโยงระบบการบริหารจัดการข้อมูลการประกันภัยของเกษตรกรกับบริษัทประกันภัยซึ่งถือว่าเป็นการบริหารจัดการในอีกรูปแบบหนึ่งอันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานการผลิตปศุสัตว์โดยในระยะเวลา2ปีนับจากวันทำลงนามในบันทึกความร่วมมือนี้บริษัทบีเวอร์เทคจำกัดจะประสานความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ในการพัฒนาควบคุมกำกับการใช้แพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)ประสานความร่วมมือด้านข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแพลตฟอร์มโคเนื้อไทย(e-Catt)เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์และนำผลการวิเคราะห์ไปช่วยเป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อช่วยกำหนดนโยบายและพัฒนาโครงการต่างๆนำไปพัฒนาอาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายการเปิดเทอมเป็นปกติในการจัดการเรียนการสอน
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 นโยบายการเปิดเทอมเป็นปกติในการจัดการเรียนการสอน สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง นโยบายการเปิดเทอมเป็นปกติในการจัดการเรียนการสอน ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายตวง อันทะไชย ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ถาม : นายตวง อันทะไชย ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ จากการที่ได้ลงพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ได้รับการสอบถาม จากผู้ปกครองว่าเมื่อใดกระทรวงศึกษาธิการจะมีคำสั่งให้โรงเรียนเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เนื่องจากการหยุดเรียนเป็นระยะเวลายาวนาน ได้ส่งผลกระทบต่อการเรียนของนักเรียนในหลายด้าน รวมทั้งทำให้ผู้เรียนต้องออกนอกระบบของการเรียน ตามปกติ ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียน ขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง อีกทั้งทำให้ ครูผู้สอนต้องประสบปัญหาในการออกแบบการเรียนการสอน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อผู้ปกครอง ที่ต้องดูแลบุตร ขอเรียนถามว่า กระทรวงศึกษาธิการจะมีนโยบายที่จะให้โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ปกติ เปิดการเรียนการสอนตามปกติได้เมื่อใด ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบชี้แจงว่า ภายในสัปดาห์นี้กระทรวงศึกษาธิการจะเสนอเรื่องต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพื่อให้โรงเรียนทั่วประเทศมีการเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติ เนื่องจากในขณะนี้ประเทศไทยไม่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ แล้ว ประกอบกับครูผู้สอนมีความพร้อมในการสอน ซึ่งหากมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในแต่ละโรงเรียนก็จะมีมาตรการในการควบคุมที่แตกต่างกัน ดังนั้น โรงเรียนจะมีการเปิดการเรียนการสอนได้ตามปกติแน่นอน อย่างไรก็ดีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ จะต้องมีการรับฟังข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขเพื่อมีการประเมินสถานการณ์ด้วย (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35582
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาการดำเนินโครงการระบบตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ปัญหาการดำเนินโครงการระบบตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะ สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ปัญหาการดำเนินโครงการระบบตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะ (เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓) ผู้ตั้งกระทู้ถาม พลเอก ยอดยุทธ บุญญาธิการ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ผู้ถาม : พลเอก ยอดยุทธ บุญญาธิการ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยในปัจจุบันกรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีปัญหาการจราจรติดขัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม โดยประชาชนยังคงเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลมากกว่าการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากมีความสะดวกสบายและระบบขนส่งมวลชนยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ อีกทั้งการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่าง ๒ ระบบขึ้นไปไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายสูง รัฐจึงได้มีแนวคิด ในการนำระบบตั๋วร่วมมาใช้ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้ทุกระบบ ซึ่งระบบตั๋วร่วมจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเชื่อมต่อการเดินทางโดยไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนในการเดินทางมากกว่าหนึ่งเส้นทาง ทั้งนี้ การดำเนินโครงการจัดการระบบตั๋วร่วมได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นผู้ดำเนินการ ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนหน่วยงานที่รับผิดชอบหลายครั้ง จากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ส่งผลให้การดำเนินงานล่าช้าและไม่มีความต่อเนื่อง รวมถึงมีข้อครหาที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ขอเรียนถามว่า กระทรวงคมนาคมมีมาตรการแก้ปัญหาการดำเนินโครงการระบบตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะที่มีความล่าช้า และจะเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนได้เมื่อใด รวมทั้งจะมีมาตรการแก้ปัญหาการดำเนินโครงการระบบตั๋วร่วมขนส่งสาธารณะที่เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนที่ไม่เหมาะสมรวมถึงการดำเนินการที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายถาวร เสนเนียม) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมตอบชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่รัฐต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ทั้งนี้เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓ รัฐบาลได้มีการจัดประชุมผู้ประกอบการและได้มีข้อตกลงในเบื้องต้นว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ การเดินทางโดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วงและสายสีเขียว จะใช้บัตรโดยสารร่วมกันเพียงใบเดียวโดยอยู่ในขั้นตอนของการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะทั้งทางบก ทางน้ำและทางราง จะใช้บัตรโดยสารร่วมกันเพียงใบเดียว อย่างไรก็ตามขณะนี้ คค. ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างกฎหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ในการดำเนินการซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเวลา ๑๘ เดือน หรือ ๒๔ เดือน (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีเปิดรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 “พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีเปิดรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน “พุทธิพงษ์” เป็นประธานพิธีเปิดรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 ซึ่งจัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ในระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2563 ณ ฮอลล์ 8 ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า อิมแพค เมืองทองธานี โดยมีนายวรวุฒิ กาญจนกูล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้การต้อนรับ สำหรับภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2020 ครั้งนี้ ได้รวบรวมบริษัทรับเหมาสร้างบ้านชั้นนำมากว่า 30 บริษัท และกลุ่มพันธมิตรวัสดุก่อสร้างจำนวนมากมาร่วมออกบูธ โดยผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมและขอคำปรึกษาได้จากสถาปนิกช่วยตอบทุกปัญหาของการก่อสร้างบ้านให้กับผู้บริโภคโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35615
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส.ร่วมการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 5/2563
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ​รมว.ทส.ร่วมการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 5/2563 ​รมว.ทส.ร่วมการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 5/2563 รมว.ทส.ร่วมการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 5/2563 วันนี้ (23 ก.ย. 63) เวลา 10.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 5/2563 โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการแทนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ร่างแนวทางปฏิบัติงานเพื่อขับเคลื่อนการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน 2. การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยตลาด และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพภายใต้โครงการความร่วมมือพันธมิตรสำหรับการอนุรักษ์นกและใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย และ 3. กรอบและแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติบึงโขงหลงอำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ทั้งนี้ เพื่อให้ส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน และมีการบริหารจัดการพื้นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นาเพื่อสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางอาหาร ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จังหวัดสุพรรณบุรี ของมูลนิธิข้าวขวัญ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชและสัตว์ ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และสร้างความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ระบบเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพัฒนากลุ่มและเครือข่ายเกษตรกรให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้พิจารณาให้ความเห็นชอบรายงาน การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดบุรีรัมย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35603
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.คนใหม่เข้ารับตำแหน่ง เร่งงานด่วน 4 ด้าน
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ปลัด สธ.คนใหม่เข้ารับตำแหน่ง เร่งงานด่วน 4 ด้าน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่เข้ารับตำแหน่งวันแรก สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง พบปะผู้บริหารและสื่อมวลชน เตรียมเร่งขับเคลื่อนงานเร่งด่วน 4 ด้าน รับมือสถานการณ์โควิด 19ขอชาวสาธารณสุขสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่เข้ารับตำแหน่งวันแรก สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง พบปะผู้บริหารและสื่อมวลชน เตรียมเร่งขับเคลื่อนงานเร่งด่วน 4 ด้าน รับมือสถานการณ์โควิด 19ขอชาวสาธารณสุขสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้นแบบประชาชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ พัฒนาระบบบริการเชื่อมต่อปฐมภูมิ-โรงพยาบาลชุมชน นำร่อง 30 บาทรักษาทุกที่ในกทม.และเขตสุขภาพที่ 9 บริหารด้วยธรรมาภิบาล สร้างอัศวิน สธ. วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นทางการวันแรก สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง ทำบุญตักบาตร โดยมีผู้บริหารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมแสดงความยินดี พร้อมพบปะสื่อมวลชน นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันที่ 6 ตุลาคม จะแถลงนโยบายการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขอย่างเป็นทางการ ผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังส่วนภูมิภาค โดยนำนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปสู่การปฏิบัติ และจะเร่งงานด่วน 4 ด้าน คือ การรับมือกับโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ มีการทำฉากทัศน์ที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการระบาดที่อาจเกิดขึ้น เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการของประเทศมากขึ้น แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการปิดบ้านปิดเมือง เนื่องจากประเทศไทยยังคงมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเข้มแข็ง หากมีการติดเชื้อหรือระบาดเกิดขึ้น สามารถควบคุมโรคได้ให้อยู่ในวงจำกัด ไม่ให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างหรือในระดับวิกฤติ นอกจากนี้ จะเดินหน้าทุกวิถีทางให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 โดยช่วงปีแรกต้องมีวัคซีนให้ได้ร้อยละ 50ของประชากร ที่สำคัญ คือ ขอมอบนโยบายให้ชาวกระทรวงสาธารณสุขให้สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชน นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งอาหาร และเครื่องสำอาง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กัญชง และกัญชา รวมทั้งกิจการสปา การรักษาพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน ความร่วมมือด้านสุขภาพต่างๆ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ นอกจากนี้จะพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค การเชื่อมต่อไปกับโรงพยาบาลชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ตอบสนองการกระจายอำนาจ เพื่อเพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะการขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ ที่เตรียมนำร่องในเขตสุขภาพที่ 9 และกรุงเทพมหานคร โดยมีคณะกรรมการระดับเขตที่ประชาชนเข้าร่วม และจะร่วมกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ออกแบบให้ผู้ให้บริการหน้างานมีความยืดหยุ่นในการจัดระบบให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะศึกษาความเป็นไปได้ใน 2 ปี หากได้ผลดีจะขยายต่อไป หากไม่ดีจะได้เรียนรู้และปรับปรุง นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า เรื่องธรรมาภิบาล จะพัฒนาบุคลากร สร้างคนรุ่นใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข ฝึกอบรมหลักสูตรเป็น "อัศวิน สธ." เพื่อให้เป็นหน่วยซีลของกระทรวง ทั้งเรื่องของความอดทน การคิดการจัดการ การสื่อสารต่างๆ และปลูกฝังค่านิยมแนวคิด "รัก สามัคคี มีวินัย ใฝ่ใจสาธารณสุข" เข้าใจว่าในกระทรวงสาธารณสุขมีชมรมในสาขาวิชาชีพ ขอให้ใช้กระบวนการสร้างสรรค์ในการเข้ามาพูดคุยทำความเข้าใจกันซึ่งตนพร้อมรับฟังทุกวิชาชีพ ขอให้มองเป็นพี่หรือครู และใช้ศักยภาพมาช่วยเหลือกัน สำหรับเรื่องของขวัญ กำลังใจ และความก้าวหน้าของบุคลากร ตนพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนสาธารณสุข ทั้งค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) การบรรจุข้าราชการ แม้ที่ผ่านมาจะได้รับการบรรจุ 4.5 หมื่นตำแหน่ง แต่ก็ยังไม่พอดี จากนี้จะใช้ตำแหน่งเกษียณจำนวน 3 พันตำแหน่งมาจัดสรรสำหรับกลุ่มตกหล่นเพื่อให้ครอบคลุมที่สุด แต่ต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงและตามเนื้องาน ******************************** 1 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” ร่วมประชุม กบส. เล็ง 3 อาคาร เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 “พุทธิพงษ์” ร่วมประชุม กบส. เล็ง 3 อาคาร เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ “พุทธิพงษ์” ร่วมประชุม กบส. เล็ง 3 อาคาร เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ “พุทธิพงษ์” ร่วมประชุม กบส.เล็ง 3 อาคาร กีฬาไปรษณีย์ไทย - Cosmo Office Park - CAT Tower บางรัก เป็นสถานที่ทำงานชั่วคราวของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ระหว่างปี 64-65 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม Think Big ชั้น 20 สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) อาคารเดอะไนน์ พระรามเก้า โดยที่ประชุมได้พิจารณาวาระที่น่าสนใจ อาทิ แผนการดําเนินงานของคณะกรรมการบริหารสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมันคงปลอดภัยไซเบอร์ ปีงบประมาณ 2563, (ร่าง) คําขอจัดกลุ่มองค์การมหาชนของสํานักงานฯ, สถานที่ตั้งของสํานักงานฯ, (ร่าง) แผนปฏิบัติการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) และเรื่องคําขอรับการจัดสรรทุนประเดิมเพื่อจัดตั้งสํานักงานฯ เป็นต้น ทั้งนี้มีความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่สำหรับการปฏิบัติงานชั่วคราวที่เหมาะสม ซึ่งที่ประชุมได้ศึกษาไว้จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ อาคารกีฬาไปรษณีย์ไทย อาคาร Cosmo Office Park และอาคาร CAT Tower บางรัก เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ระหวางปี พ.ศ. 2564–2566 โดยเกณฑ์การพิจารณาสถานที่ ประกอบด้วย 1. ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 2. ด้านศักยภาพของพื้นที่ 3. ค่าใช้จ่าย 4. ด้านอื่น ๆ เช่น ความพึงพอใจของบุคลากร *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35612
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"วราวุธ" รมว.ทส. ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี​เปิดงาน "ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่" โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร​ ครั้งที่ 39​ ณ​ จังหวัดเชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 "วราวุธ" รมว.ทส. ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี​เปิดงาน "ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่" โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร​ ครั้งที่ 39​ ณ​ จังหวัดเชียงราย "วราวุธ" รมว.ทส. ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี​เปิดงาน "ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่" โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร​ ครั้งที่ 39​ ณ​ จังหวัดเชียงราย "วราวุธ" รมว.ทส. ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี​เปิดงาน "ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่" โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 โรงเรียนทั่วราชอาณาจักร​ ครั้งที่ 39​ ณ​ จังหวัดเชียงราย วันนี้​ (24 กันยายน​ 2563) นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วยนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ลงพื้นที่ร่วมกับ​ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา และคณะ ในโอกาสตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย​ โดยเวลา 09.00 น.​ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี​ ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดและปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 แห่งทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2563​ ​ครั้งที่​ 39​ "ไทยรัฐวิทยากับชีวิตวิถีใหม่" พร้อมทั้งเยี่ยมชมบูธนิทรรศการเพื่อให้กำลังใจนักเรียนและครู​ และมอบโล่รางวัลชนะเลิศ​ Best​ Practice การจัดการเรียนการสอนสื่อมวลชนศึกษา​ แก่โรงเรียนไทยรัฐวิทยา​จำนวน​ 13​ โรงเรียน​ ณ ห้องเชียงรุ้ง​ โรงแรมเวียงอินทร์​ อำเภอเมืองเชียงราย​จังหวัดเชียงราย​ โดยโอกาสนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า​ สิ่งจำเป็นและสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา​ คือ​ ต้องสร้างพลเมืองให้มีความเข้มแข็ง​ มีภูมิต้านทาน​ มีความรอบรู้นอกเหนือจากเรื่องวิชาการ​ ให้สามารถปรับตัวและนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น​ โดยมีหลักคิด​ มีวิสัยทัศน์​ มีภูมิคุ้มกันที่ดีในสิ่งที่ถูกต้องในการก้าวสู่ยุคต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35606
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปัญหาการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ปัญหาการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ปัญหาการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายออน กาจกระโทก ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ถาม : นายออน กาจกระโทก ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ ที่ให้ควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ส่งผลกระทบต่อนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนค่อนข้างมาก เนื่องจากการควบรวมโรงเรียนอาจส่งผลให้โรงเรียนมีคุณภาพลดลง อีกทั้งยังทำให้ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายในกำรรับ – ส่งบุตรหลานไปกลับโรงเรียนเพิ่มมากขึ้น การควบรวมโรงเรียนจึงควรพิจารณาถึงประสิทธิภาพของโรงเรียนภายหลังการควบรวมแล้ว และพิจารณาด้วยว่าโรงเรียนลักษณะใดไม่ควรมีการควบรวม หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแต่มีการจัดการโดยชุมชนอย่างเข้มแข็งและมีคุณภาพก็ควรให้ดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องควบรวม และเพิ่มทรัพยากรให้โรงเรียนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ขอเรียนถามว่า กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวหรือไม่ เมื่อสถานการณ์การจัดการศึกษาของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป และมีแนวทางจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนทุกขนาดให้เป็นปกติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตอบชี้แจงว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่มีนโยบายทบทวนมติคณะรัฐมนตรี และจากการไปตรวจดูโรงเรียนขนาดเล็ก ๑๐๐ กว่าโรงเรียน พบว่ามีโรงเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ที่นักเรียนไม่ได้รับการเรียนการสอน ที่มีคุณภาพขั้นพื้นฐานและสามารถแข่งขันในโลกปัจจุบันได้ ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียน จำนวนไม่เกิน ๑๒๐ คน ประมาณ ๑๕,๐๐๐ โรงเรียน โดยมีโรงเรียนที่จะไม่ควบรวม ๕,๐๐๐ โรงเรียน ส่วนโรงเรียนที่ควบรวมจะเป็นโรงเรียนที่มีสถานที่ใกล้กัน มีจำนวนครูกับนักเรียนไม่สอดคล้องกันไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะมีการจัดสรรงบประมาณให้แก่นักเรียนที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น รวมถึงมีแนวทางบริหารจัดการให้แก่ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูที่ได้รับผลกระทบ ส่วนการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ นั้น หากมีการแพร่ระบาดในวงกว้างโรงเรียนขนาดเล็กจะมีครูไม่เพียงพอที่จะสอนทุกชั้นเรียนและไม่ครอบคลุมการเรียนการสอนออนไลน์ได้ทั่วทุกโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนขนาดเล็กที่จะไม่ควบรวมจึงต้องเป็นโรงเรียนที่ได้รับงบประมาณ มีครูสอนครบทุกชั้นเรียนหรือมีความสามารถในการสอนควบชั้นได้ (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35581
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และมหาดไทยชี้แจงการปรับแก้ผังเมืองจะนะ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และมหาดไทยชี้แจงการปรับแก้ผังเมืองจะนะ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และมหาดไทยชี้แจงการปรับแก้ผังเมืองจะนะ วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563 นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ โฆษกศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ชี้แจงประเด็นที่นายกสมาคมรักษ์ทะเลจะนะ คัดค้านการปรับแก้ผังเมืองจะนะเป็นสีม่วงหรือเขตอุตสาหกรรมว่า ศอ.บต. เป็นหน่วยรับผิดชอบและสนับสนุนผลักดันให้ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นเมืองต้นแบบที่ 4 พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ได้มีกระบวนการขั้นตอนการสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยมีการนำคณะผู้แทนภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชนที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย ในโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศมาเลเซียและจังหวัดระยอง ของประเทศไทย ในส่วนของท่าเรือ โรงไฟฟ้าถ่านหิน รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ให้เห็นถึงผลดีและผลเสีย เพื่อให้ประชาชนนำข้อมูลดังกล่าวไปประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจสู่การตัดสินใจในการดำเนินงานในพื้นที่ รวมทั้งได้มีการ เคาะประตูบ้านนำโดยบัณฑิตอาสาในพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจพร้อมสอบถามความคิดเห็นถึงการขับเคลื่อน มีการเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซด์ และที่สำคัญคือมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน 3 ตำบล เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง และให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ รวมทั้งหน่วยงานองค์กรในระดับต่าง ๆ รับทราบและตรวจดูรายละเอียดการดำเนินการของโครงการ เช่น เหตุผลความจำเป็นและวัตถุประสงค์ของโครงการ สาระสำคัญของโครงการ สถานที่ที่จะดำเนินการ การวางผังเมือง แผนการลงทุนของภาคเอกชน ขั้นตอนและระยะเวลาการดำเนินการ พร้อมทั้งรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน หน่วยราชการทั้งส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น องค์กร เอกชน มาเป็นใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดกรอบการขับเคลื่อนแผน ในระยะต่อไป จากการกระบวนการทำงานของ ศอ.บต. ในทุกขั้นตอนนั้น ได้ดำเนินการร่วมกับประชาชน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมาโดยตลอด ซึ่งถือว่าประชาชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่กับหน่วยงานภาครัฐอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหากโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งจะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเมืองต้นแบบอีกแห่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นกลไกการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ที่สำคัญให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าทางเศรษฐกิจจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งระบบไปสู่การพัฒนาที่ก้าวหน้าขึ้นอีกระดับ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคตต่อไป นอกจากนี้ นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงเพิ่มเติมถึงการเปลี่ยนผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา พ.ศ. 2559 เพื่อให้เกิดการพัฒนาจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อการขับเคลื่อนโครงการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา จึงต้องดำเนินการขอแก้ไขกฎกระทรวงผังเมืองรวมจังหวัดสงขลา พ.ศ. 2559 ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 เพื่อให้ผังสอดคล้องกับแผนงานโครงการ 4 ประเภทการลงทุน ได้แก่ สวนอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมสมัยใหม่และเทคโนโลยีแห่งอนาคตเมืองอัจฉริยะ ท่าเรือน้ำลึก ศูนย์กลางการขนส่งและกระจายสินค้า และศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าสะอาด โดยต้องนำประเด็นการขอแก้ไขกฎกระทรวงฯ เสนอ คณะกรรมการที่ปรึกษาผังเมืองรวมในเขตจังหวัดสงขลา คณะกรรมการผังเมือง เพื่อพิจารณาให้ความเห็น โดยเมื่อคณะกรรมการผังเมืองให้ความเห็นชอบแล้ว จะต้องปิดประกาศ 30 วันโดยปิดประกาศแผนที่แสดงเขตของผังเมืองรวมที่แก้ไขและรายละเอียดของการแก้ไขไว้ในที่เปิดเผยภายในเขตของผังเมืองรวม โดยในประกาศให้มีคำเชิญชวนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงข้อคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษร ภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ในประกาศ skd เครือข่ายจะนะรักษ์ท้องถิ่น หากมีความเห็นต่างอย่างไร ก็สามารถแสดงข้อคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรได้ (ยื่นคำร้อง(เดิม)) ตามกระบวนการแก้ไขกฎกระทรวงฯ ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการผังเมืองพ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นการแก้ไขผังเมืองรวมเฉพาะบริเวณหรือเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในจังหวัดมีสิทธิในการแสดงข้อคิดเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรภายในระยะเวลาที่ระบุในประกาศ เพื่อให้คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาคำร้อง และจะได้มีการแจ้งผลการพิจารณาข้อคิดเห็นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไป .................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35613
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 การเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง การเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (เป็นเรื่องที่เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๕ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันจันทร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓) ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ถาม : นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามที่ได้มีพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป และกฎหมายหรือระเบียบการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นได้ประกาศใช้ครบถ้วนแล้ว แต่ต้องรอให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งหรือทิศทางที่ชัดเจนก่อน ขอเรียนถามว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีแผนการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในเรื่องเกี่ยวกับการจัดทำแผนดำเนินการเลือกตั้ง การเตรียมการด้านงบประมาณ บุคลากรและการอบรมข้อกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง การเตรียมด้านข้อมูลทะเบียนราษฎร และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งและการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งอย่างไร และคาดว่าจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละรูปแบบได้เมื่อใด ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ พลเอก อนุพงศ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตอบชี้แจงว่า หลังจากที่ได้มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นได้มีการออกระเบียบแล้ว จำนวน ๑๐ ฉบับ และการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งในท้องถิ่น การอบรมเจ้าหน้าที่รวมถึงการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งท้องถิ่นในภาพรวมในส่วนของกระทรวงมหาดไทยนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามอำนาจหน้าที่ของตนเอง เช่น การแบ่งเขตการเลือกตั้งดำเนินการใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ยังคงเหลือพื้นที่ที่ยกฐานะการแบ่งเขตการปกครองจึงยังไม่เรียบร้อย การประกาศจำนวนราษฎร และเรื่องการรวมหมู่บ้านที่มีราษฎรรวมกันไม่ถึง ๒๕ คน จะต้องรวมหมู่บ้านที่มีเขตติดต่อกันเป็นเขตเลือกตั้ง รวมเป็น ๑๕๐ เขตเลือกตั้ง ซึ่งได้ประกาศไปแล้วในเดือนมกราคม ๒๕๖๓ ดังนั้น เมื่อมีการประกาศจัดการเลือกตั้งแล้วก็จะมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งประจำหน่วยเลือกตั้ง สำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบ ซึ่งจะดำเนินการเลือกตั้งและใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอง อาจจะต้องใช้เงินสำรอง เงินสะสมของจังหวัดบ้าง และหากไม่เพียงพอก็สามารถเบิกจากงบกลาง นอกจากนี้ได้รับการประสานจากคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าในช่วงการระบาดของโควิด ๑๙ ขอให้ลดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อหน่วยเลือกลง จาก ๑,๐๐๐ คน เหลือ ๖๐๐ คน ซึ่งจะทำให้มีหน่วยเลือกตั้งเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ต้องมีเจ้าหน้าที่และงบประมาณที่ดำเนินการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้องเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือเกี่ยวกับการป้องกันโรคโควิด ๑๙ ไว้ด้วย จึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา กระทรวงมหาดไทยจะเสนอเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดการเลือกตั้งโดยประสานงานร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อทุกฝ่ายมีความพร้อมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35585
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อสุขอนามัยที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ปรับพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อสุขอนามัยที่ดี มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมรับมือป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ​รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมรับมือป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ​รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมรับมือป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รมว.ทส.​ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะนายกรัฐมนตรี เตรียมพร้อมรับมือป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ ตั้งเป้าลดจุดความร้อนโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน วันนี้​ (24 กันยายน 2563)​ เวลา​ประมาณ​ 10.45 น.​ นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วยนายจตุพร​ บุรุษพัฒน์​ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ​ ร่วมรับฟังการมอบนโยบายเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ จาก​ พลเอก​ ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเปิดการประชุมเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันพื้นที่ภาคเหนือ​ แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด​ 17​ จังหวัดภาคเหนือ​ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น​ ณ​ ห้องดอยตุง​ โรงแรมเดอะ​ ริเวอร์รี่บาย​ กะตะธานี​ จังหวัดเชียงราย​ โดยโอกาสนี้​ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองทัพภาคที่ 3 ทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน และทุกระดับ ป้องกันไม่ให้เกิดการเผา หากเกิดภัย ให้ร่วมกันรับมือภายใต้การบูรณาการ สั่งการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ให้จัดชุดลาดตระเวนเฝ้าระวังและร่วมดับไฟป่าในพื้นที่เสี่ยง ตลอด 24 ชั่วโมง และให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลสุขภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ​ โดยตั้งเป้าจุดความร้อนต้องลดลงและสถานการณ์หมอกควันต้องดีขึ้นกว่าปี 2563 และในปี 2564 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณฯ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน สนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน ภายใต้โครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า มีเป้าหมายฝึกอบรมหลักสูตร “จิตอาสา” ให้ครบ 12 จังหวัด ภายในเดือนธันวาคม 2563 และทั่วประเทศ ภายในปี 2570 พร้อมตั้งเป้าหมายฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมกว่า 2.68 ล้านไร่ ทั่วประเทศ ภายในปี 2570 นอกจากนี้​ นายกรัฐมนตรี​ ยังได้เน้นย้ำความจริงใจและแน่วแน่ในการที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยจะสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยงาน อุดหนุนหมู่บ้านเสี่ยงไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ และเร่งรัดการออกระเบียบและแนวทางปฏิบัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเบิกจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เครือข่ายอาสาสมัครป้องกันไฟป่า อีกทั้ง รัฐบาลจะเร่งจัดที่ดินทำกินตามโครงการ คทช. พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 โดยหมู่บ้านที่ไม่เผาป่า จะได้รับการพิจารณาให้สิทธิ์ก่อน และหากพบการเผาป่าหรือทำลายป่าจะพิจารณาเพิกถอนสิทธิ์ทันที​ ส่วนเรื่องการปลูกป่า​ การบริหารจัดการน้ำ​ และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง​ ได้มอบหมายให้​ ผู้ว่าราชการจังหวัด​ ดำเนิ​นการ​ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาป่า​ต้นน้ำ​ ป้องกันภัยแล้ง​อย่างยั่งยืนสืบไป สำหรับเรื่องการบัญชาการเหตุการณ์ ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ภายใต้คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ รับผิดชอบการกำหนดนโยบาย และบัญชาการรับมือสถานการณ์ในภาวะวิกฤต โดยใช้กลไกระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามกลไกของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาหมอกควันและไฟป่าต่อเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ ปี 2564 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและ GISTDA จะรายงานปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เชิงพื้นที่ ร่วมกับการพยากรณ์ปริมาณฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการและแจ้งเตือนประชาชนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35607
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา – หนองคาย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา – หนองคาย สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา – หนองคาย (เลื่อนมาจากการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันจันทร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๓) ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ผู้ถาม : นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ตามที่กระทรวงคมนาคมมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทาง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา - หนองคาย เพื่อเชื่อมต่อกับประเทศจีน โดยใช้งบลงทุนถึง ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท นั้น เส้นทางช่วงที่หนึ่ง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา ผ่านจังหวัดที่มีประชากรอาศัยจำนวนมาก จึงคาดได้ว่าเมื่อเปิดบริการจะมีประชาชนให้ความสนใจและใช้บริการจำนวนมาก ส่วนเส้นทางช่วงที่สอง นครราชสีมา - หนองคาย เห็นว่าเมื่อเปิดใช้บริการแล้ว ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่า เนื่องจากประชาชนนิยมโดยสารเครื่องบินไปยังขอนแก่นหรืออุดรธานีมากกว่ารถไฟ อีกทั้งการเดินทางโดยรถไฟจากหนองคายผ่านประเทศลาวเพื่อไปยังประเทศจีน อาจไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะโครงการรถไฟจีน - ลาว ที่ประเทศจีนสร้างให้ประเทศลาวเป็นเพียงรถไฟความเร็วปานกลางที่ใช้ขนส่งทั้งคนและสินค้า ผู้โดยสารจึงไม่ได้รับความสะดวกและรวดเร็วเท่าที่ควร นอกจากนี้ การระบาดของโควิด ๑๙ ส่งผลให้พฤติกรรมการเดินทางของผู้คนลดลง และโอกาสที่ผู้คนจะเดินทางจากประเทศจีนมาประเทศไทยด้วยรถไฟความเร็วสูงก็จะน้อยลง ขอเรียนถามว่า โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา - หนองคาย ต้องใช้งบลงทุนทั้งหมดจนสามารถให้บริการลูกค้าได้จำนวนเท่าไร อีกทั้งปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้าร้อยละเท่าไร และมีการเบิกจ่ายเงินไปแล้วเท่าไร รวมถึงมีการประเมินผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ก่อนเริ่มโครงการเท่าไร และปัจจุบันหลังจากปัญหาโรคระบาดโควิด ๑๙ คาดว่าผลตอบแทนการลงทุน (ROI) จะเป็นเท่าไรตลอดจนจะมีการทบทวนให้มีการควบรวมโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ กับโครงการรถไฟทางคู่ ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมตอบชี้แจงว่า โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา - หนองคาย ใช้งบประมาณทั้งหมด ๔๓๑,๗๕๙ ล้านบาท โดยช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา ระยะทาง ๒๕๓ กิโลเมตร ใช้งบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบ ๑๗๙,๔๑๒ ล้านบาท และมีความคืบหน้าโครงการตามการแบ่งสัญญาเป็น ๑๔ สัญญาย่อย ดังนี้ ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว ๒ สัญญา อยู่ระหว่างรอลงนาม ๘ สัญญา อยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการรถไฟอนุมัติจ้าง ๒ สัญญา อยู่ระหว่างพิจารณาเอกสารประกวดราคา ๑ สัญญา และอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา ๑ สัญญา ส่วนช่วงนครราชสีมา - หนองคาย ระยะทาง ๓๕๖ กิโลเมตร ใช้งบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบ ๒๕๒,๓๔๗ ล้านบาท และโครงการอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดทั้งหมด สำหรับการประเมินผลตอบแทนการลงทุน (ROI) นั้น ในปี ๒๕๖๒ จากการทบทวนรายงานการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางการเงินและรูปแบบการลงทุนโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ไทย - จีนพบว่า มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) ร้อยละ ๑๒.๑๐ มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ๓,๒๘๙.๗๐ ล้านบาท และอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C ratio) อยู่ที่ ๑.๐๑ ทั้งนี้ การเกิดโควิด ๑๙ มีผลให้การขนส่ง การนำเข้าวัสดุ และแรงงานล่าช้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไม่กระทบต่อการลงทุนและผลตอบแทน นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวได้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทย - จีน แล้ว การขอให้ทบทวนสัญญาที่ลงนามแล้ว อาจเกิดปัญหาต่อภาครัฐ ส่วนสัญญาที่ยังไม่ลงนามต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ สำหรับการควบรวมกับโครงการอื่นอาจเกิดปัญหาตามมาหลายประการ เนื่องจากมีความแตกต่างทั้งในส่วนของระบบ การใช้งาน การเข้าพื้นที่ เทคโนโลยีขนาดทาง และการทำความเร็ว (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35587
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงวัฒนธรรม และบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงวัฒนธรรม และบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงวัฒนธรรม และบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๙ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงวัฒนธรรม และบริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ให้การต้อนรับ ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สปอตโทรทัศน์ กฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 สปอตโทรทัศน์ กฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้กระทรวงกลาโหมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษา วันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ณ วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร ถนนอิสรภาพ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ กระทรวงกลาโหมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมบริจาคทุนทรัพย์ได้ที่ ธนาคารทหารไทย สาขากระทรวงกลาโหม บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 039-2-82349-8 ชื่อบัญชี “การถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน กห. ประจำปี 2563”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เดินหน้าแผนพัฒนากำลังคน รองรับ S-Curve
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 ก.แรงงาน เดินหน้าแผนพัฒนากำลังคน รองรับ S-Curve รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ขับเคลื่อนแผนพัฒนากำลังคน ให้มีความรู้และทักษะฝีมือรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve สู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและการประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สำนักงานปลัดนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) รวมถึงร่วมพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ปี พ.ศ. 2564-2565 ของหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมของส่วนราชการ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยกล่าวว่า กพร.ปช มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาแรงงานรวมถึงประสานงานการฝึกอาชีพของผู้อยู่ในกำลังแรงงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ตลอดจนเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพ โดยเฉพาะการเพิ่มทักษะด้านภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อให้เกิดการผลักดันการไปทำงานกับต่างประเทศ รวมถึงให้กระทรวงแรงงานเพิ่มการบูรณาการของทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงที่ต้องการใช้แรงงาน เพื่อให้ทราบจำนวนความต้องการด้านแรงงานที่แท้จริง ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระหว่างปี 2561 - 2563 คณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพจังหวัด (กพร.ปจ.) ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้การดำเนินงานของ กพร.ปช. สามารถพัฒนากำลังแรงงานได้กว่า 19 ล้านคน เป็นการสร้างแรงงานใหม่กว่า 7 หมื่นคน การยกระดับทักษะแรงงานที่อยู่ในตลาดแรงงานให้ได้มาตรฐานฝีมือ กว่า 19 ล้านคน และให้โอกาสกลุ่มเปราะบางทางสังคมเข้ารับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพอิสระหรือการเป็นผู้ประกอบการใหม่กว่า 8 แสนคน นอกจากนี้ยังได้ร่วมบูรณาการระบบข้อมูลด้านแรงงานเพื่อรองรับการพัฒนากำลังคนในระดับชาติระหว่างภาครัฐและเอกชนมากกว่า 200 หน่วยงาน การฝึกอบรมของสถานประกอบกิจการในพื้นที่ EEC เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานไทยให้เป็นแรงงานฝีมือชั้นสูง จำนวน 1,252 คน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรสาขาเทคโนโลยีการผลิตอัตฺโนมัติและหุ่นยนต์ (MARA) รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ไทย ยกระดับฝีมือเพื่อเพิ่มทักษะกำลังแรงงานในตลาดแรงงานให้ได้มาตรฐาน สอดคล้องกับความต้องการ และเพิ่มผลิตภาพแรงงานของสถานประกอบกิจการ จำนวน 1,839 คน โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์ (AHRDA) รมช. แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า แนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ปี 2564-2565 ของหน่วยงานที่ภารกิจด้านการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมของส่วนราชการจะได้ร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือของแรงงานให้ทันต่อเทคโนโลยีการผลิตและบริการที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ร่วมดำเนินการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมถึงอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ เพื่อให้มีความรู้และทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ในส่วนของแนวทางการพัฒนาอาชีพคนพิการ จะเป็นการให้สัมปทานจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการ จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงานในหลักสูตรที่เป็นการเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ภาษาล่ามมือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นๆ แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ เช่น การสนับสนุนด้านการเงิน วัสดุ ครุภัณฑ์ เครื่องมือ หรือทรัพย์สินอื่น รวมทั้งซื้อสินค้าจากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรง ให้มีอาชีพหรือการฝึกอาชีพ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35595
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ ป้องกันโรคติดต่อ
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2563 โฆษก สธ. ย้ำสวมหน้ากาก ล้างมือ ป้องกันโรคติดต่อ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชนสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ป้องกันโรคติดต่อ ชี้การปฏิบัติอย่างจริงจังที่ผ่านมา ช่วยรักษาสถานการณ์โควิด 19 ให้อยู่ในระดับต่ำ และยังช่วยลดโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วงได้ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ย้ำประชาชนสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ป้องกันโรคติดต่อ ชี้การปฏิบัติอย่างจริงจังที่ผ่านมา ช่วยรักษาสถานการณ์โควิด 19 ให้อยู่ในระดับต่ำ และยังช่วยลดโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วงได้ วันนี้ (1 ตุลาคม 2563) แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่อง วันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 313,858 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกกว่า 34 ล้านราย ส่วนประเทศไทย ผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ 5 ราย ทุกรายเข้ากักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ และสถานกักตัวที่รัฐกำหนด ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,569 ราย อยู่ในลำดับที่ 138 ของโลก ซึ่งประชาชนจะต้องมีวินัย การ์ดอย่าตก เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดระลอกใหม่ แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้สำรวจการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนเรื่องโรคโควิด 19 (ดีดีซีโพล) ทั้งหมด 21 ครั้ง ตั้งแต่ก่อนการระบาดของ โรคโควิด 19 ในประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคม - เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ระหว่างการระบาดเป็นวงกว้างในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2563 จนถึงครั้งล่าสุด เก็บข้อมูลจากการสำรวจออนไลน์ระหว่างวันที่ 16 - 28 กันยายน พ.ศ. 2563 มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,729 คน พบว่า ประชาชนมีแนวโน้มในการมีพฤติกรรมสุขภาพลดลง ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากในช่วงไม่มีอาการที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยสูงสุดร้อยละ 93.5 เหลือร้อยละ 66.9 ส่วนการสวมหน้ากากเมื่อมีอาการป่วยมีแนวโน้มคงที่คือร้อยละ 91 แต่ก็น้อยกว่าช่วงที่มีการระบาดภายในประเทศ (มีนาคม - พฤษภาคม) ที่สูงถึงร้อยละ 94.9 เมื่อสอบถามว่าจะเลิกสวมหน้ากากเมื่อไหร่ ประชาชนตอบว่าจะสวมหน้ากากต่อเนื่องลดลง เหลือเพียงร้อยละ 55.3, จะเลิกสวมหน้ากากเมื่อไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศร้อยละ 43.7, ไม่มีรายงานในต่างประเทศ ร้อยละ 37.7 นอกจากนี้พบว่า ประชาชนมีแนวโน้มเลือกสวมหน้ากากอนามัยเมื่อไม่มีอาการป่วยเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายและราคาถูกลง แพทย์หญิงพรรณประภากล่าวต่อไปว่า ขอย้ำให้ประชาชนร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดอย่างเข้มข้น เป็นนิสัย โดยเฉพาะการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ กินร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว เว้นระยะห่างลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด และลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ที่ใช้บริการด้วยแพลตฟอร์มไทยชนะ เพื่อช่วยกันรักษาสถานการณ์ให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป และยังช่วยทำให้การเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจลดลงด้วย โดยในปีนี้ตั้งแต่ 1 มกราคม–26 กันยายน 2563 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลง มีรายงานผู้ป่วยเพียง 110,930 ราย เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่ในช่วงเดียวกันของปี 2562 มีรายงานผู้ป่วย 304,4225 ราย โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 621,445 ราย เสียชีวิต 2 ราย ลดลงจากในช่วงเดียวกันปี 2562 ที่พบ 883,449 ราย เสียชีวิต 5 ราย ************************** 1 ตุลาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35609