title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
29
179k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ชี้แจงการเปลี่ยนแปลง TOR โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ​การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ชี้แจงการเปลี่ยนแปลง TOR โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ​การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ชี้แจงการเปลี่ยนแปลง TOR โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ชี้แจงกรณีคณะกรรมการคัดเลือกได้มีมติเห็นชอบเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเอกสารประกวดราคาใหม่ (TOR) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม หลังจากที่มีการขายซองประกวดราคาไปแล้วว่า การปรับปรุงเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของประกาศเชิญชวนและเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) เป็นแนวทางปฏิบัติโดยทั่วไปที่หน่วยงานของรัฐอื่นได้เคยดำเนินการในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน ทั้งนี้ การปรับปรุงวิธีการประเมินข้อเสนอในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่รัฐจะได้รับจากการได้ผู้ร่วมลงทุนที่มีศักยภาพในการดำเนินงานด้านเทคนิคในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า ส่งผลให้ประชาชนได้รับการให้บริการระบบขนส่งมวลชนที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูงที่สุด และบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดทำบริการสาธารณะของ รฟม. นอกจากนี้ การดำเนินการต่าง ๆ ของ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกในทุกขั้นตอน ได้มีการพิจารณาและคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรี ประกอบการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 กฎหมายลำดับรอง และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ”
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายอำพล จินดาวัฒนะ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ถาม : นายอำพล จินดาวัฒนะ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ สืบเนื่องจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ๒๐๑๙ (Covid - 19) (ศบค.) ได้มีการจัดทำระบบปฏิบัติการที่มีชื่อว่า “ไทยชนะ” ใช้ในการลงทะเบียนสำหรับผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของ Covid - 19 ในช่วงผ่อนปรนระยะที่ ๒ นั้น ปรากฏว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมนั้นส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคล โดยผู้ลงทะเบียนต้องให้ความยินยอมให้หน่วยงานเจ้าของมาตรการ คือ กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข เก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่ผู้ลงทะเบียนได้ให้ไว้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค Covid – 19 และโรคติดต่ออื่น จากการกำหนดเงื่อนไขและความยินยอมดังกล่าว ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความกังวล และมีข้อห่วงใยว่า หากมีการนำข้อมูลไปใช้นอกขอบวัตถุประสงค์ของการควบคุมและป้องกันการระบาดของ Covid - 19 หรือหากมีการนำข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไปใช้แสวงหาประโยชน์อันมิใช่ประโยชน์สาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและป้องกันการระบาดของ Covid - 19 หรือโรคระบาดอื่น จะทำให้เกิดความเสียหายและกระทบสิทธิของประชาชนได้ ขอเรียนถามว่า รัฐบาลมีมาตรการป้องกันหรือการควบคุมมิให้มีการนำข้อมูลของผู้ลงทะเบียนในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” ไปใช้นอกขอบวัตถุประสงค์ของการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค Covid - 19 หรือโรคระบาดอื่นหรือไม่ อย่างไร รวมทั้ง จะเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ลงทะเบียนในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” ไว้นานเพียงใด และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาแล้ว รัฐบาลจะดำเนินการกับข้อมูลของผู้ลงทะเบียนอย่างไร ตลอดจนเมื่อได้ดำเนินการตามระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” แล้ว ได้มีการนำไปใช้ในการติดตามผู้ติดเชื้อได้หรือไม่ และได้ผลดีหรือไม่อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid - 19 ในขณะนี้จึงต้องให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” เพื่อลงทะเบียนเช็คอิน - เช็คเอาท์ ด้วยหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้บริการ ข้อมูลของผู้ลงทะเบียนในระบบปฏิบัติการ “ไทยชนะ” ได้มีการเก็บไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน หน่วยงานที่สามารถเข้าถึงเข้าถึงมูลได้มีเพียงกรมควบคุมโรคเท่านั้น และต้องเป็นกรณีที่มีการติดเชื้อจากโรคระบาดเท่านั้น จึงจะสามารถเปิดข้อมูลของผู้ลงทะเบียนได้เพื่อติดตามมาดำเนินการสอบสวนโรค ในกรณีที่พบผู้ติดเชื้อ Covid - 19 ไปแพร่เชื้อที่จังหวัดระยอง สามารถนำข้อมูลของผู้ลงทะเบียนมาใช้เพื่อติดตามมาสอบสวนโรคได้ จำนวน ๓๐๐ คน รัฐบาลได้มีการจัดเก็บข้อมูลอย่างระมัดระวัง และดำเนินการอย่างรอบคอบที่สุด ทั้งนี้ การจัดเก็บข้อมูลต้องใช้เวลาเกิน ๖๐ วัน เพื่อให้ทราบถึงต้นทางของบุคคลที่เป็นผู้แพร่เชื้อ จึงต้องขยายเวลาในการเก็บข้อมูลจาก ๖๐ วัน เป็น ๙๐ วัน เพื่อเป็นการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด และทราบถึงที่มาและที่ไปของเชื้อที่แพร่ระบาด หลังจากระยะเวลาผ่านไป ๙๐ วันแล้ว จึงจะลบข้อมูลและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด ดังนั้น หากประชาชนให้ความร่วมมือในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ เพื่อเช็คอิน - เช็คเอำท์ เมื่อเข้าใช้บริการในร้านค้าหรือสถานประกอบบริการจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมโรคอย่างมาก (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ปูทางพัฒนาฝีมือผู้ต้องขัง สร้างอาชีพหลังพ้นโทษ
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นฤมล ปูทางพัฒนาฝีมือผู้ต้องขัง สร้างอาชีพหลังพ้นโทษ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ปูทางเสริมทักษะให้แก่ผู้ต้องขัง เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ให้มีอาชีพ มีรายได้ หาเลี้ยงตนเองและครอบครัวหลังพ้นโทษ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีเป้าหมายส่งเสริมและให้โอกาสการมีงานทำแก่ผู้ที่อยู่ในระหว่างกระบวนการพัฒนาพฤตินิสัย ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้หลังพ้นโทษ ประกอบด้วย ผู้ที่อยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ กรมควบคุมความประพฤติ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เพื่อให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นพลเมืองดี มีความรู้ความสามารถด้านวิชาชีพ นำไปสู่การประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ดูแลตนเองและครอบครัว ตลอดจนการเป็นกำลังแรงงานที่มีฝีมือต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไป รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวทางนโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง สังคมไทยมีความสงบสุข สามัคคีและเอื้ออาทร ให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น การพัฒนาศักยภาพแรงงานให้มีความรู้ความสามารถ จึงไม่จำกัดอยู่เพียงแรงงานในระบบ นอกระบบหรือภาคเกษตรเท่านั้น แรงงานในกลุ่มเปราะบางอย่าง เช่น ผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ควรได้รับโอกาสพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อเป็นแรงงานใหม่ที่มีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของสังคม การเสริมทักษะฝีมือในระหว่างการพัฒนาพฤตินิสัยในเรือนจำ จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้แรงงานเหล่านี้ได้พัฒนาตนเอง สามารถประกอบอาชีพอิสระได้เมื่อพ้นโทษ รวมถึงอยู่ร่วมกับสังคมอย่างปกติสุข นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2563 มีเป้าหมายการฝึกอบรมให้แก่ผู้ต้องขังและเยาวชนในสถานพินิจ ผ่านโครงการฝึกอบรมแรงงานกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ จำนวน 1,440 คน ซึ่งมีผู้เข้ารับและผ่านการอบรม จำนวน 2,053 คน จากการสำรวจข้อมูลการติดตามการมีงานทำ พบว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 2,552 คน มีงานทำ 306 คน คิดเป็นร้อยละ 11.99 และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 6,890 บาท หลักสูตรที่ดำเนินการฝึก เช่น การปูกระเบื้อง ช่างเดินสายไฟฟ้าภายในอาคาร การทำและปูพื้นด้วยอิฐคอนกรีตตัวหนอน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงานสุรินทร์ มีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 110 คน การตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส มีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 77 คน ช่างเย็บจักรอุตสาหกรรม(เสื้อผ้าสำเร็จรูป) เทคนิคการทำทองรูปพรรณ โดยสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานตาก มีผู้ผ่านการอบรมจำนวน 73 คน เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้กลุ่มผู้ต้องขังสามารถสร้างอาชีพ มีรายได้หลังพ้นโทษ และได้รับโอกาสกลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง “หลักสูตรต่างๆ ที่ดำเนินการฝึกอบรมนั้น มีความสำคัญยิ่งต้องการส่งเสริมและให้โอกาสแก่ผู้ที่อยู่ในกระบวนการพัฒนาพฤตินิสัย ผู้ต้องขัง ตลอดจนผู้ถูกควบคุมความประพฤติในกรณีต่าง ๆ ที่ใกล้พ้นโทษ ให้มีโอกาสกลับคืนสู่สังคม สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จะได้เดินหน้าสานต่อ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มคนดังกล่าว ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 มหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2563 วันนี้ (6 ต.ค.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และกิจกรรมน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านงานเฉลิมพระเกียรติและงานกิจการพิเศษ เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งหน่วยงานในสังกัดและทุกจังหวัดจัดกิจกรรมฯ ดังกล่าวพร้อมกับส่วนกลาง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการจัดกิจกรรมของทุกจังหวัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติ และเป็นไปตามมติที่ประชุมฯ ดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการจัดพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีน้อมรำลึกเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563 โดยมีกิจกรรม ดังนี้ เวลา 07:00 น. พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ ศาลากลางจังหวัดหรือสถานที่เหมาะสม เวลา 08:15 น. พิธีวางพวงมาลาและถวายบังคม เวลา 19:00 น. พิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมจิตอาสาถวายพระราชกุศล “ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา” ในวันดังกล่าว นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมจัดกิจกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมกำชับการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดดีอีเอส” ร่วมแสดงความยินดีวันคล้ายวันสถาปนาศูนย์ไซเบอร์ทหารครบรอบ 3 ปี
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 “ปลัดดีอีเอส” ร่วมแสดงความยินดีวันคล้ายวันสถาปนาศูนย์ไซเบอร์ทหารครบรอบ 3 ปี “ปลัดดีอีเอส” ร่วมแสดงความยินดีวันคล้ายวันสถาปนาศูนย์ไซเบอร์ทหารครบรอบ 3 ปี เมื่อวันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส ร่วมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาศูนย์ไซเบอร์ทหาร สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย ครบรอบ 3 ปี โดยมี พลตรี ชาติชาย ชัยเกษม ผู้อำนวยการศูนย์ไซเบอร์ทหาร สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้การต้อนรับ ณ ห้องเอนกประสงค์ ชั้น 1 อาคาร 7 กองบัญชาการกองทัพไทย (แจ้งวัฒนะ) ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ความคืบหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง ความคืบหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัทร โพธสุธน) ผู้ถาม : นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ด้วยเขื่อนภูมิพลเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้ในการอุปโภคและบริโภคของประชาชน ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๒๒ จังหวัดโดยเขื่อนสามารถรองรับน้ำได้สูงสุด ๑๓,๔๖๒ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำอยู่ที่ ๔,๔๓๗ ล้านลูกบาศก์เมตร และนำมาใช้ได้จริงเพียง ๖๓๖ ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ทั้งยังเหลือพื้นที่เก็บน้ำได้อีก จึงมีโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่เขื่อนภูมิพล โดยผันน้ำจากแม่น้ำยวมมาเก็บไว้ยังเขื่อนภูมิพล ซึ่งโครงการนี้จะแบ่งออกเป็น ๓ งาน คือ งานเขื่อนน้ำยวม และอาคารประกอบงานสถานีสูบน้ำบ้านสามเงาและอาคารประกอบ และงานระบบอุโมงค์และถังพักน้ำ มูลค่า โครงการ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการ ๕ ปี เมื่อโครงการนี้สำเร็จจะช่วยเพิ่มพื้นที่ เพาะปลูกในลุ่มน้ำเจ้าพระยาในฤดูแล้งได้ถึง ๑.๖ ล้านไร่ เพิ่มน้ำอุปโภคและบริโภคได้ ประมาณ ๓๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีและเพิ่มปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอีก ๒๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นอกจากนี้ จากผลการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์พบว่า มีความคุ้มค่าอยู่ที่ ร้อยละ ๑๑.๑๙ ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสมในการลงทุน ประกอบกับเป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การชลประทานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปีของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อีกด้วย ขอเรียนถามว่า รัฐบาลมีความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลหรือไม่อย่างไร และโครงการนี้มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดนอกจากนี้ ขอเสนอให้รัฐบาลก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแบบพวงหรืออ่างหลุมขนมครกในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัทร โพธสุธน) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายประภัทร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า ในเวลาปกติเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์กักเก็บน้ำได้รวมกันประมาณ ๒๔,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร นำมาใช้ได้ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรสามารถหล่อเลี้ยงพื้นที่ ๒๒ จังหวัด และทำนาในเขตชลประทาน ได้ประมาณ ๑๒ ล้านไร่ อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เป็นต้นมา เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมีน้ำใช้ได้ ประมาณ ๑๐,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร และในปี ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓ เหลือน้ำใช้เพียง ๓,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่พื้นที่ทำนาเท่าเดิม ทำให้ปีที่ผ่านมาบางพื้นที่ไม่มีโอกาสทำนาหรือทำการเกษตรและปัจจุบันทำนาได้เพียง ๕ ล้านไร่ ดังนั้น การหาน้ำมาเติมให้เขื่อนจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยแม่น้ำยวมและแม่น้ำเงาที่ไหลผ่านประเทศไทยประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร มิได้มีการนำน้ำไปใช้ประโยชน์ จึงสมควรที่จะผันน้ำมาเติมให้เขื่อนภูมิพลโดยสร้างเขื่อนทดน้ำที่อำเภอขุนยวมและใช้เครื่องสูบน้ำ ๖ เครื่อง ซึ่งขณะนี้ออกแบบเสร็จแล้ว ทำการปั๊มน้ำขึ้นไป ๑๗๐ เมตร ให้ไหลลงอุโมงค์ ใช้งบประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่า และขณะนี้อยู่ระหว่างตั้งงบประมาณ โดยจะดำเนินการสร้างเขื่อน สถานีสูบน้ำ และอุโมงค์ตามลำดับ นอกจากนี้ เห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านสมาชิกวุฒิสภา (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำเลือกตั้ง อบจ. ต้องโปร่งใส สุจริต วอนทุกคนร่วมกันเรียนรู้ เลือกคนดีมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อท้องถิ่น
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ำเลือกตั้ง อบจ. ต้องโปร่งใส สุจริต วอนทุกคนร่วมกันเรียนรู้ เลือกคนดีมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีย้ำเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ต้องโปร่งใส สุจริต วอนทุกคนร่วมกันเรียนรู้ เลือกคนดีมาปฏิบัติหน้าที่เพื่อท้องถิ่น วันนี้ (6 ต.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เนื่องจากมีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งมากที่สุดคือ โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเป็นผู้กำหนดวันที่ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งคาดว่าอาจจะอยู่ภายในเดือนธันวาคม สำหรับ การเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นที่เหลือทั้ง เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จะทยอยให้มีการเลือกตั้งต่อไปโดยมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 ไว้แล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นไปด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อคัดเลือกผู้แทนที่ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ มาปฏิบัติหน้าที่เพื่อท้องถิ่น โดยเผยว่า เป็นประสบการณ์ที่ทั้งรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และประชาชน ต้องเรียนรู้ไปด้วยกันให้สอดคล้องตามหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง เช่นเดียวกับ การนำเสนอโครงการ/แผนงาน ของทุกกระทรวง เป็นไปตามลำดับผ่านรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง คณะกรรมการกลั่นกรองฯ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ตามกระบวนการเพื่อความถูกต้อง ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงกระแสข่าวกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออ ว่า ตนในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีความตั้งใจในการบริหารประเทศ สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน ปฏิบัติงานตามกฎหมาย ระเบียบ กติกา เป็นหลักเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยเสถียรภาพ สามารถก้าวผ่านวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 วิกฤตทางการเมือง และวิกฤตเศรษฐกิจ เพราะประเทศไทยสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่น ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยตั้งบริษัทร่วมทุน อินฟินิธัส รุกธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 กรุงไทยตั้งบริษัทร่วมทุน อินฟินิธัส รุกธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ ธนาคารได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้จัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด (Infinitaas by Krungthai) ด้วยวิสัยทัศน์ Infinity as a Service โดยเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้จัดตั้ง บริษัท อินฟินิธัส บาย กรุงไทย จำกัด (Infinitaas by Krungthai) ด้วยวิสัยทัศน์ Infinity as a Service โดยเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นการให้บริการด้านการพัฒนา Innovation & Digital Platform ต่างๆ เพื่อเข้าสู่ Open Banking, Virtual Digital Banking Service รวมถึง New Business Model อย่างเต็มรูปแบบ นับเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้กับองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ทั้งในส่วนของธนาคารกรุงไทยและบริษัทในเครือ ลูกค้าของธนาคาร และพันธมิตรทางธุรกิจอื่นๆ ตลอดจนผลักดัน Platform ขนาดใหญ่ เช่น แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง เป็นโครงสร้างดิจิทัลพื้นฐานของประเทศ อันจะนำไปสู่การวางรากฐานทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงินดิจิทัล และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งนี้ เป็นขั้นตอนตามแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์คู่ขนานระหว่างการดำเนินธุรกิจ 2 รูปแบบไปพร้อมๆ กัน (2 Banking Model) โดยแบ่งออกเป็น เรือบรรทุกเครื่องบิน (Carrier) แนวทางการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม และ แบบเรือเร็ว (Speed Boat) แนวทางการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ ที่เป็นลักษณะของการทำงานแบบ Agile เพื่อให้การปฏิรูปองค์กรภายใต้ Perfect Storm เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุภารกิจที่ตั้งไว้ ทีม Marketing Strategy โทร.0-2208 4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม.ไฟเขียวร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ กำหนดหลักเกณฑ์ทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ​ครม.ไฟเขียวร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ กำหนดหลักเกณฑ์ทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ​ครม.ไฟเขียวร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับ กำหนดหลักเกณฑ์ทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ปี2562 จำนวน 5 ฉบับประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงการให้กู้และการให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มีสาระสำคัญคือการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้และให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เช่น กำหนดให้สหกรณ์จะให้เงินกู้แก่สมาชิกได้ 3 ประเภทคือ เงินกู้เพื่อเหตุฉุกเฉิน จะกำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 12 งวด, เงินกู้สามัญเป็นการให้เงินกู้แก่สมาชิกเพื่อใช้จ่าย หรือการอันจำเป็นหรือมีประโยชน์ กำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 150 งวด และ เงินกู้พิเศษ มีวัตถุประสงค์ของการกู้เพื่อประกอบอาชีพหรือการเคหะ หรือประโยชน์ในความมั่นคงหรือพัฒนาคุณภาพชีวิต กำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 360 งวด อายุสูงสุดของผู้กู้ชำระหนี้แล้วเสร็จไม่เกินอายุ 75 ปี เป็นสมาชิกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน การกู้ยืมเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป กำหนดให้สมาชิกต้องส่งข้อมูลเครดิตบูโร เป็นต้น 2.ร่างกฎกระทรวงการรับฝากเงิน การก่อหนี้ และการสร้างภาระผูกพัน รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกันของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มีสาระสำคัญคือ การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ก่อหนี้ และสร้างภาระผูกพัน รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกันของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เช่น สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ไม่เกิน3 ปี กำหนดให้สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์จะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 1.5 เท่าของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ ส่วนสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 5 เท่าของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ 3.ร่างกฎกระทรวงการบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มีสาระสำคัญคือการกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพื่อให้ทั้ง 2 สหกรณ์ มีสภาพคล่องเพียงพอและดำรงสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วโดยที่มูลค่าไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การกำหนดให้สหกรณ์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องที่ปราศจากภาระผูกพัน อาทิ เงินสด เงินฝากธนาคาร โดยเฉลี่ยรายเดือนไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของยอดเงินรับฝากทุกประเภท ส่วนชุมนุมสหกรณ์กำหนดไว้ที่ร้อยละ 6 4.ร่างกฎกระทรวงการจัดชั้นสินทรัพย์และกันเงินสำรองของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดชั้นสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพื่อให้สามารถจัดชั้นการให้เงินกู้และการให้สินเชื่อหรือสินทรัพย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้อย่างแท้จริงและการกันเงินสำรอง เช่น กำหนดให้สหกรณ์ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากต้นเงินคงเหลือสำหรับลูกหนี้จัดชั้นดังนี้ ลูกหนี้จัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษร้อยละ 2, ลูกหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานร้อยละ 20, ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยร้อยละ 50, ลูกหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญและลูกหนี้จัดชั้นสูญร้อยละ 100 5.ร่างกฎกระทรวงการกำกับการกระจุกตัวธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจำกัดปริมาณการทำธุรกรรมกับลูกหนี้และเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งเพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวความเสี่ยงไม่ให้สูงจนเกินไป เช่น สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์จะฝากเงินหรือให้กู้แก่สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภทรวมกันแล้วแต่ละแห่งได้ไม่เกินร้อยละ10 ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ผู้ฝากเงินหรือให้กู้เงิน แต่ไม่นับรวมถึงการฝากเงินในชุมนุมสหกรณ์ที่สหกรณ์นั้นเป็นสมาชิก และกำหนดด้วยว่า สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ก่อหนี้และภาระผูกพันกับสหกรณ์ทุกประเภทหรือชุมนุมสหกรณ์ทุกประเภทรวมกันแล้วแต่ละแห่งได้ไม่เกินร้อยละ 25 ของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรอง ยกเว้นกรณีสหกรณ์ก่อหนี้และภาระผูกพันกับชุมนุมสหกรณ์ที่สหกรณ์นั้นเป็นสมาชิกรวมกันแล้ว ให้ทำได้ไม่เกินร้อยละ 50 -------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35736
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ครม. เคาะ “โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” กระตุ้นการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ นักศึกษา รวม 60,000 ราย ในพื้นที่ 3,000 ตำบล
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 โฆษกรัฐบาลเผย ครม. เคาะ “โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” กระตุ้นการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ นักศึกษา รวม 60,000 ราย ในพื้นที่ 3,000 ตำบล โฆษกรัฐบาลเผย ครม. เคาะ “โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” กระตุ้นการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ นักศึกษา รวม 60,000 ราย ในพื้นที่ 3,000 ตำบล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ เห็นชอบโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ภายในกรอบวงเงิน 10,629.600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นค่าจ้างงาน 60,000 อัตรา งบประมาณ 7,920 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการ/กิจกรรมที่จะเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ 3,000 ตำบล จำนวน 2,400 ล้านบาท (800,000 บาท/ตำบล) และค่าบริหารจัดการโครงการ 309.600 ล้านบาทเพื่อให้เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ นักศึกษา รวม 60,000 รายทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือ เยียวยา จากมาตรการของภาครัฐที่ผ่านมาได้ แต่จะต้องไม่เป็นบุคคลที่ได้รับจ้างงานภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีจุดเน้นเกี่ยงกับการจ้างงานในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้วโดยจะดำเนินการผ่านกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ 1. การจ้างงานตำบลละ20 คน(จ้างนักศึกษา/บัณฑิตจบใหม่/ประชาชนทั่วไป) เพื่อดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การเฝ้าระวังประสางานและติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19การจัดทำข้อมูลราชการในพื้นที่เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์การจ้างงานเพื่อการพัฒนาสัมมาชีพและสร้างอาชีพใหม่การสร้างและพัฒนา Creative Economy การนำองค์ความรู้ไปช่วยบริการชุมชนและการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทักษะอาชีพใหม่ และการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม 2. การสนับสนุนการดำเนินโครงการ/กิจกรรมตามรูปแบบกิจกรรมที่จะเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ที่สถาบันอุดมศึกษารับผิดชอบตามบริบทของพื้นที่ให้แก่ชุมชน 3,000 ตำบล ได้แก่ การพัฒนาสัมมาชีพ และการสร้างอาชีพใหม่ (ยกระดับสินค้า OTOP /อาชีพอื่นๆ ) การสร้างและพัฒนา Creative Economy (การยกระดับการท่องเที่ยว) 3. การนำองค์ความรู้ไปช่วยบริการชุมชน (Health Care/ เทคโนโลยีด้านต่างๆ) และการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม /Circular Economy (การเพิ่มรายได้หมุนเวียนให้แก่ชุมชน) 3. สนับสนุนการบริหารจัดการและการดำเนินการของ National System Integrator และ Regional System Integrator และการดำเนินการของ System Integrator เพื่อบูรณาการโครงการและข้อมูลในภาพรวมของการดำเนินการ สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ประชาชนทั่วไป เป็นประชาชนในพื้นที่หรือใกล้เคียงที่ว่างงานและไม่ได้รับค่าตอบแทน ค่าจ้าง จากหน่วยงานอื่นของภาครัฐและเอกชน จ้างในอัตรา 9,000 บาท/เดือน บัณฑิตจบใหม่ที่สำเร็จการศึกษาไม่เกิน 3 ปี และมีความรู้ความสามารถที่ตรงต่อภารกิจในการปฏิบัติงานจ้างในอัตรา 15,000 บาท/เดือน และนักศึกษาหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษาในระดับอุดมศึกษา อาชีวศึกษา จากสถาบันการศึกษาต่างๆ และมีความรู้ความสามารถที่ตรงต่อภารกิจในการปฏิบัติงาน โดยจ้างในอัตรา 5,000 บาท/เดือนโดยผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ตามปัญหาและความต้องการของชุมชน ส่งผลต่อการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของตำบลเป้าหมายเกิดการจ้างงานที่ตอบสนองต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ และเกิดเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและชุมชน ทั้งนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเผยว่า อว.จะดำเนินการจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีการเชื่อมโยงข้อมูลการจ้างงานกับแพลตฟอร์มแรงงาน(Labour Platform) ของกระทรวงแรงงาน เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเป้าหมายของโครงการ ฯ ซ้ำซ้อนกับโครงการ/มาตรการอื่นๆ ของภาครัฐทั้งหมดต่อไป ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางวาระการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางวาระการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางวาระการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ในวันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องประชุมพินิจ ๑ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ชั้น ๕ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางวาระการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม โดยมี ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดสำนักงานรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนผู้แทนจากส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ เพื่อกำหนดแนวทางวาระการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมประจำสัปดาห์ ตามนโยบาย และข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรม เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงยุติธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ซับคอนไทยแลนด์ 2020” ไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่น จับคู่ธุรกิจชื่นมื่นทะลุ 3.8 พันล้านบาท
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 “ซับคอนไทยแลนด์ 2020” ไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่น จับคู่ธุรกิจชื่นมื่นทะลุ 3.8 พันล้านบาท “ซับคอนไทยแลนด์ 2020” ไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่น จับคู่ธุรกิจชื่นมื่นทะลุ 3.8 พันล้านบาท “ซับคอนไทยแลนด์ 2020” ไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่นจับคู่ธุรกิจชื่นมื่นทะลุ 3.8 พันล้านบาท บีโอไอเผยผลจัดงานซับคอนไทยแลนด์ 2020 รูปแบบใหม่ “ไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่น” ตอบโจทย์ยุคนิวนอร์มอล ใช้เทคโนโลยีความรู้เพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม เกิดการจับคู่ธุรกิจจำนวน 1,277 คู่คิดเป็นมูลค่า 3,889 ล้านบาท มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.2 หมื่นคน นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยถึงผลการจัดงานซับคอนไทยแลนด์ 2020 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 26 กันยายน ที่ผ่านมาณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ว่า การจัดงานก่อให้เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจ 1,277 คู่ มูลค่าการเชื่อมโยง 3,889 ล้านบาท โดยมีผู้เข้าร่วมงานตลอด 4 วัน จำนวน 12,487 คน “การเจรจาจับคู่ทางธุรกิจในงานซับคอนไทยแลนด์ มีมูลค่าสูงถึง 3,889 ล้านบาท ถือเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย เนื่องจากมีระยะเวลาในการเตรียมงานเพียง 2 เดือน เพราะผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19โดยอุตสาหกรรมที่มีการจับคู่ธุรกิจมากที่สุด คืออุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้าร่วมจับคู่เจรจาธุรกิจแบบออนไลน์กับผู้ประกอบการไทย ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา” นางสาวซ่อนกลิ่นกล่าว สำหรับงานซับคอนไทยแลนด์ 2020 เป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่รวมความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตแบบครบวงจร และงานจับคู่ธุรกิจครั้งสำคัญแห่งปี รวบรวมผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมกว่า 200 ราย โดยในปีนี้จัดงานในรูปแบบไฮบริด เอ็กซ์ซิบิชั่น ที่ใช้เทคโนโลยีออนไลน์ดิจิทัล ผสมผสานกับการจัดงานแสดงสินค้าทั่วไปตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคนิวนอร์มอล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35735
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลั่นดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีบอส อยู่วิทยา หากพบหลักฐานโยงว่ากระทำความผิดหรือทุจริต
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีลั่นดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีบอส อยู่วิทยา หากพบหลักฐานโยงว่ากระทำความผิดหรือทุจริต นายกรัฐมนตรีลั่นดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส หากพบหลักฐานโยงว่ากระทำความผิดหรือทุจริต วันนี้ (6 ต.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงถึงคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน กรณีการลักลอบค้าสัตว์ป่า ซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง พร้อมกำชับให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งสืบหาข้อเท็จจริง นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดำเนินคดีอาญาต่อนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทราบว่า ขณะนี้ อินเตอร์โพลได้ออกหมายแดงแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที เพื่อนำตัวเข้าสู่การดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบหลักฐานว่าดำเนินการผิดกฎหมายร่วมด้วย นายกรัฐมนตรียังได้ตอบคำถามกรณีการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ต.ค. นี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นดูแล ซึ่งกำชับให้ทุกฝ่ายปฏิบัติงานด้วยความละมุนละม่อม ไม่ใช้ความรุนแรง นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า รัฐบาลเร่งดำเนินคดีแก่ผู้ที่กระทำผิด ทุจริต เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน หากมีหลักฐานข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ ..................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35733
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปลัดกระทรวงยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 “ปลัดกระทรวงยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓ ในวันจันทร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สำนักงาน ป.ป.ส. เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๓ โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมด้วยคณะกรรมการเข้าร่วมประชุมฯ เพื่อทราบการรายงานผลการดำเนินงานตรวจสอบทรัพย์สิน รวมทั้งพิจารณาการดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินจำนวน ๕๔ คดี โดยแยกเป็นคดีที่มีมูลค่าเกิน ๑ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒ คดี และเป็นเป็นคดีที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑ ล้านบาท จำนวน ๕๒ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๑๓,๗๔๕,๑๗๖.๓๗ บาท ซึ่งการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ตามมาตรการริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำ และไม่ให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้รับประโยชน์ใด จากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด อันจะนำมาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน และสังคมจากปัญหายาเสพติด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35723
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัด
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ครม. เห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัด ครม. เห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัด นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 จังหวัด โดยให้ กกต. เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้งตามความเหมาะสม หลังจากที่ได้รับแจ้งจาก ครม. ภายใน 60 วัน ปัจจุบันสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้ครบวาระการดำรงตำแหน่งทั่วประเทศแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2561แต่ยังคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ความพร้อมของกระทรวงมหาดไทย 1) ข้อมูลจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ได้ประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร 2) การรวมหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนตำบล กรณีหมู่บ้านใดในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมีราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนไม่ถึง 25 คน ให้รวมหมู่บ้านนั้นกับหมู่บ้านที่มีพื้นที่ติดต่อกัน ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 3) การเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งจังหวัดกำชับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเตรียมการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2564 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้เป็นการล่วงหน้า โดยเฉพาะการจัดเตรียมงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไว้พร้อมแล้ว ความพร้อมของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง 1) ออกระเบียบและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว 2) ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดครบทุกแห่งและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 3) ดำเนินการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นครบทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว 4) ดำเนินการอบรมผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดและระดับอำเภอ จำนวน 10,749 คน ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในเดือนกันยายน 2563 สำหรับการอบรมคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง จะดำเนินการเมื่อมีการประกาศให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ครม.เห็นชอบเลื่อนการเสนอตัวไทยเป็นเจ้าภาพยูธโอลิมปิก
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ​ครม.เห็นชอบเลื่อนการเสนอตัวไทยเป็นเจ้าภาพยูธโอลิมปิก ​ครม.เห็นชอบเลื่อนการเสนอตัวไทยเป็นเจ้าภาพยูธโอลิมปิก น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเลื่อนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 5 จากเดิมในปี พ.ศ. 2569 หรือปี 2026 เป็นปีพ.ศ.2573 หรือปี 2030 สืบเนื่องมาจาก คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา แจ้งการเลื่อนจัดการแข่งขันยูธโอลิมปิกครั้งที่ 4ที่สาธารณรัฐเซเนกัล จากเดิมกำหนดจัดขึ้นในปี พ.ศ.2565 หรือปี 2022 เป็นปี พ.ศ. 2569 หรือปี 2026 จึงทำให้ประเทศไทยต้องเลื่อนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันยูธโอลิมปิกครั้งที่ 5 ออกไปก่อน ทั้งนี้สำนักเลขาธิการครม.ให้ความเห็นว่า การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันยูธโอลิมปิก มีหลายขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมความพร้อม เช่น การเตรียมข้อมูลความพร้อมในการจัดการแข่งขัน การประสานงานกับต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการเตรียมการ ดังนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการในด้านต่างๆให้ครบถ้วนทุกมิติ รวมทั้งจัดทำรายละเอียดของแผนงาน และกิจกรรมที่ต้องดำเนินการ และประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอครม.พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนตอบรับการเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการต่อไป --------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วน การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นโยบายเร่งด่วน การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ผ่านมา ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้บริการประชาชน เช่น พัฒนาระบบร้องทุกข์ผู้บริโภคออนไลน์ /จัดทำฐานข้อมูลการถือครองที่ดินทั้งประเทศ /โปรแกรมคำนวณภาษีอากรและค่าธรรมเนียมผ่านเว็บไซต์ /รับชำระภาษีรถประจำปีผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ /พัฒนาระบบและกลไกดูแลความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของหน่วยงานรัฐ /ยกเลิกการขอรับสำเนาเอกสารจากประชาชน นอกจากนี้ ยังพัฒนาการให้บริการสำหรับแรงงานและผู้ประกอบการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบยอดเงินสะสมกรณีชราภาพ เงินสมทบ การเบิกจ่ายสิทธิประโยชน์และเปลี่ยนสถานพยาบาลของผู้ประกันตน ที่มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 7,200,000 ราย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์ “อร่อยล้นฟ้า@สีลม ไม่ต้องบิน ก็ฟินได้” ขณะที่ บ. การบินไทย จำกัด (มหาชน) เล็งเพิ่มช่องทางจำหน่ายปาท่องโก๋-สังขยาเจ้าจำปี สูตรพิเศษ
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์ “อร่อยล้นฟ้า@สีลม ไม่ต้องบิน ก็ฟินได้” ขณะที่ บ. การบินไทย จำกัด (มหาชน) เล็งเพิ่มช่องทางจำหน่ายปาท่องโก๋-สังขยาเจ้าจำปี สูตรพิเศษ นายกรัฐมนตรีร่วมประชาสัมพันธ์ “อร่อยล้นฟ้า@สีลม ไม่ต้องบิน ก็ฟินได้” ขณะที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เล็งเพิ่มช่องทางจำหน่ายปาท่องโก๋-สังขยาเจ้าจำปี สูตรพิเศษ วันนี้ (6 ต.ค. 63) เวลา 08.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภารกิจของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วงเช้าก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ โดย นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ เบเกอรี่ Puff & Pie ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยฯ นางวรางคณา ลือโรจน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายครัวการบิน นำเชฟการบินไทยร่วมประชาสัมพันธ์ “อร่อยล้นฟ้า@สีลม ไม่ต้องบิน ก็ฟินได้” นายกรัฐมนตรีชมขนมประเภทต่าง ๆ รวมทั้งทดลองชิมปาท่องโก๋และสังขยา มันม่วงการบินไทย พร้อมชมว่า “อร่อย” ทั้งนี้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ปรับกลยุทธ์ ครัวการบินไทย สร้างรายได้ โดยจัดจำหน่ายเบเกอรีรวมทั้งปาท่องโก๋และสังขยาเจ้าจำปีสูตรพิเศษ ในร้าน Puff & Pie สาขาต่าง ๆ และร่วมมือกับสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด เพื่อให้บริการปาท่องโก๋และสังขยาเจ้าจำปีสูตรพิเศษบนเที่ยวบินอีกด้วย .......................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35718
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว ช่วยประชาสัมพันธ์ ข้าวกข43 ดีกับคนต้องการลดน้ำหนัก/เบาหวาน
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 นายกฯ ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว ช่วยประชาสัมพันธ์ ข้าวกข43 ดีกับคนต้องการลดน้ำหนัก/เบาหวาน นายกฯ ส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าว ช่วยประชาสัมพันธ์ ข้าวกข43 ดีกับคนต้องการลดน้ำหนัก/เบาหวาน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนเริ่มการประชุมครม. นายกรัฐมนตรี ได้มอบข้าวกข43 แก่คณะรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมประชุม อีกทั้งยังฝากให้ทีมโฆษกรัฐบาลประชาสัมพันธ์ข้าวพันธุ์นี้ด้วย เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการตลาด และเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีความต้านทานต่อโรค สำหรับข้าวพันธุ์กข43 เป็นพันธุ์ข้าวจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างพันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรี (พันธุ์แม่) กับพันธุ์สุพรรณบุรี1 (พันธุ์พ่อ) มีความความนุ่มอร่อย กลิ่นหอมอ่อนๆ ได้รับการรับรองพันธุ์ข้าวตั้งแต่ปี 2552 คุณสมบัติที่โดดเด่นคือเป็นพันธุ์ข้าวที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น เพียง 95 วันก็เก็บเกี่ยวได้ อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมากไปกว่านั้น ยังมีคุณสมบัติเชิงสุขภาพด้วย จากการศึกษาวิจัยของกรมการข้าว ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ข้าวพันธุ์ กข43ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ๆ มีค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ที่ 57.5 จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ผู้ที่ใส่ใจน้ำตาลในอาหาร หรือผู้เป็นโรคเบาหวานเป็นอย่างยิ่ง --------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น ดีอีเอส ปลื้ม อันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยดีขึ้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา สถาบันการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development: IMD) ได้ประกาศผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก (IMD World Digital Competitiveness Ranking) ประจาปี 2563 โดยในภาพรวมประเทศไทยถูกจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ ซึ่งดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา 1 อันดับ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกประเทศจะสามารถรักษาอันดับ ความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลให้ดีขึ้นอย่าง ต่อเนื่องได้เนื่องจาก การที่ประเทศต่าง ๆ จะรักษาอันดับความสามารถในการแข่งขันให้คงที่หรือถูกจัดอันดับให้ดีขึ้นเพียง 1 อันดับ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะนั่นหมายถึงการที่ประเทศนั้นจะต้องเร่งพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในทุกด้านให้ก้าวหน้าเท่าทันกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งล้วนยกให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแกนหลักสาคัญ (Backbone) ในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า “ประเทศไทย เราทาได้” ทั้งนี้ การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลนั้น IMD ประเมินจากปัจจัยหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านองค์ความรู้ (Knowledge) 2. ด้านเทคโนโลยี (Technology) และ 3. ด้านความพร้อมรองรับอนาคต (Future readiness) ปัจจัยหลักที่ดีขึ้นและช่วยยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ได้แก่ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี (Technology) และปัจจัยด้านความพร้อมรองรับอนาคต (Future readiness) โดยปี 2563 ดีขึ้นจากปีที่ 2562 อย่างก้าวกระโดดถึง 5 อันดับ ทั้ง 2 ปัจจัย โดยอยู่ในอันดับที่ 22 และอันดับที่ 45 ตามลาดับ เป็นการสะท้อนความสาเร็จในการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมผ่านกองทุนดีอี การผลักดันเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การเตรียมความพร้อม Disruptive Technology ให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศไทย การพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐสู่การที่ทุกภาคส่วนสามารถนาข้อมูลภาครัฐไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต และการผลักดันนโยบายและแผนด้านดิจิทัลในประเด็นต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสาหรับปัจจัยหลักด้านองค์ความรู้ (Knowledge) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 43 ซึ่งเป็นอันดับเดิมของปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยไม่ได้พัฒนาด้านองค์ความรู้ แต่หมายถึง เราพัฒนา แต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่คงตัวดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ชี้เป้าให้ประเทศไทยจะได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาปัจจัยดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้น นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา สานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้ร่วมมือกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศ (TMA) ซึ่งเป็น Partner ที่สาคัญของสถาบัน IMD ในการร่วมกันยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และติดตามผลการจัดอันดับความ สามารถในการแข่งขันของสถาบัน IMD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการที่ท่านรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวข้างต้น กระทรวงดีอีเอสให้ความสาคัญกับการพัฒนาทุกปัจจัยหลักอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแท้จริง และสะท้อนออกมาในผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทยให้ดีขึ้นในทุก ๆ ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ต้องมีลักษณะเช่นไร ??
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563 ผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ต้องมีลักษณะเช่นไร ?? ผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยมีลักษณะเช่นไร ?? Q : ผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ต้องมีลักษณะเช่นไร ?? A : 1. ประสงค์จะเดินทางมาพำนักระยะยาวภายในประเทศไทย 2. ยอมรับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ภายในประเทศไทย และยินยอมกักตัวรวม 14 วัน 3. มีหลักฐานสถานที่พักอาศัยระยะยาวภายในประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/35732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563 พบการกระทำผิด จำนวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 4 - 8 ธันวาคม 2563) พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 412 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.88 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 246 คดี ค่าปรับ 2.05 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 126 คดี ค่าปรับ 2.54 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 3 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 15 คดี ค่าปรับ 0.85 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.01 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 13 คดี ค่าปรับ 0.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 7 คดี ค่าปรับ 2.14 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 5,047.286 ลิตร ยาสูบ จำนวน 8,900 ซอง ไพ่ จำนวน 67 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 9,695.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 89 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 15 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 8 ธันวาคม 2563 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 5,483 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 105.72 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 3,072 คดี ค่าปรับ 29.59 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 1,720 คดี ค่าปรับ 40.04 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 136 คดี ค่าปรับ 1.40 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 178 คดี ค่าปรับ 13.33 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 24 คดี ค่าปรับ 0.86 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 241 คดี ค่าปรับ จำนวน 6.27 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 112 คดี ค่าปรับ 14.23 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 83,428.786 ลิตร ยาสูบ จำนวน 142,489 ซอง ไพ่ จำนวน 9,081 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 416,467.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 58,450 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 332 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนำจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจำปี 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจำปี 2563 ‘รมช.มนัญญา’ เปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้ง ประจำปี 2563 มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันมรดกโลกห้วยขาแข้งประจำปี2563ณสนามที่ว่าการอำเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานีพร้อมด้วยนายนพดลพลเสนผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนเข้าร่วมว่าการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมแบบยั่งยืนตลอดจนเพื่อปลูกจิตสำนึกของประชาชนให้เห็นถึงความสำคัญในการรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติให้มีคุณภาพสูงสุดและเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยจัดขึ้นระหว่างวันที่1 – 9ธันวาคม2563ณสนามที่ว่าการอำเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานี รมช.มนัญญากล่าวต่อไปว่าจังหวัดอุทัยธานีมีพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติรวมทั้งสิ้น9ป่าเนื้อที่รวม2,828,185ไร่คิดเป็นร้อยละ67ของเนื้อที่จังหวัดพื้นที่ดังกล่าวส่วนหนึ่งได้กำหนดเป็นป่าอนุรักษ์ในรูปของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่รวมทั้งสิ้น1,737,587ไร่จึงได้รับการประเมินคุณค่าจากองค์การUNESCOให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่4กรกฎาคม2538กำหนดให้วันที่9ธันวาคมของทุกปีเป็นวัน“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง–ทุ่งใหญ่นเรศวรมรดกโลก”จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาวไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างยิ่ง “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเป็นแหล่งป่าไม้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าชุกชุมปัจจุบันป่าไม้ของชาติได้ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วจากอดีตที่ผ่านมาจนอยู่ในขั้นวิกฤติทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ป่าก่อให้เกิดปัญหาความแห้งแล้งการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติปัญหาการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่าจึงเป็นหน้าที่ที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อรักษาพื้นที่ป่าที่ยังสมบูรณ์ผืนนี้มิให้ถูกทำลายอีกต่อไปเพื่อคงสภาพให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างปลอดภัยสมกับเป็นมรดกทางธรรมชาติของชาวจังหวัดอุทัยธานีและชาวโลกตลอดไป”รมช.มนัญญากล่าว โอกาสนี้รมช.เกษตรฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรมจำนวน7อำเภอพร้อมมอบรางวัลขบวนแห่รณรงค์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติรางวัลนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้สิ่งดีดีวิถีวัฒนธรรม ตลอดจนพบปะเกษตรกรและประชาชนที่เข้าร่วมงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 กสร. สร้างมืออาชีพช่วยขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงาน ให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ กสร. พัฒนาความรู้ และทักษะให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานช่วยให้เป็นมืออาชีพในการกำหนดแผนงาน โครงการ และกิจกรรมการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน ขับเคลื่อนภารกิจการคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้อง และบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายของกระทรวงแรงงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ ภารกิจด้านการคุ้มครองแรงงานที่ส่งผลให้ลูกจ้างทั้งแรงงานไทย และแรงงานข้ามชาติให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้นั้น ย่อมมาจากการขับเคลื่อนของบุคลากรที่มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการเขียนแผนงานโครงการให้เชื่อมโยงกับ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ และแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงนโยบายต่าง ๆ ทั้งของรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้ยังต้องมีความรู้ ความเข้าใจในหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำงบประมาณ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่จะดำเนินการ อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านแผนงานของกรม มาพัฒนาความรู้ ทักษะ เพิ่มสมรรถนะให้เป็นมืออาชีพในการเขียนโครงการขับเคลื่อนภารกิจด้านคุ้มครองแรงงานเพื่อให้หน่วยปฏิบัตินำไปดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งหวังให้ประเทศไทยปราศจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย และการค้ามนุษย์ด้านแรงงานทุกรูปแบบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37486
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง และการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐนั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ได้ประกาศรายชื่อผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน กรมบัญชีกลางจึงได้กำหนดแนวทางการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลางและการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ สำหรับผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลาง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ คุณสมบัติของผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่สามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ 1. ประเภทคุณสมบัติทั่วไปและคุณสมบัติเฉพาะ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง ยกเว้นหน่วยงานของรัฐ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทรัพยากรน้ำ และกรมเจ้าท่า 2. ประเภทคุณสมบัติทั่วไป คุณสมบัติเฉพาะ และคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้ทุกแห่ง รวมทั้งหน่วยงานของรัฐ จำนวน 6 แห่ง ตามข้อ 1 วิธีการยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ 1. วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ในกรณีที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างมีใบทะเบียนฯ ตรงตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกำหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) จะแนบใบทะเบียนดิจิทัล (Digital Certificate) ของผู้ประกอบการในสาขางานนั้นให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ประกอบการไม่ต้องแนบไฟล์ (File) ใบทะเบียนฯ ประกอบการยื่นข้อเสนอแต่อย่างใด 2. วิธีสอบราคา วิธีคัดเลือก และวิธีเฉพาะเจาะจง ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสามารถสั่งพิมพ์ใบทะเบียนฯ ในระบบ e-GP ตามสาขางานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกำหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น เพื่อนำไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ 3. กรณีผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่ประสงค์จะยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในนามกิจการร่วมค้า จะต้องมีคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมค้าหลักเป็นผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนตรงตามสาขา และชั้นของงานก่อสร้างที่หน่วยงานของรัฐกำหนดในการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนั้น “สำหรับรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ และการกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอและการนำใบทะเบียนฯ ไปยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ นั้น สามารถ Download ได้ที่ www.gprocurement.go.th หัวข้อคู่มือ/คู่มือสำหรับหน่วยงานของรัฐ/ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ e-GP ส่วนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง Download ได้ที่ หัวข้อคู่มือ/คู่มือสำหรับผู้ค้ากับภาครัฐ/คู่มือการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ งานก่อสร้าง หรือ Download ได้ที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9 คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9 วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9 วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 08.30 – 10.00 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ผ่านระบบการประชุมทางไกล ฯพณฯ สมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ฯพณฯ ทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฯพณฯ อู วิน มยิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ฯพณฯ เหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฯพณฯ ดาโต๊ะ ปาดูกา ลิม จ็อก ฮอย เลขาธิการอาเซียน และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมยินดีที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังการประชุมผู้นำอาเซียน และขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ได้จัดการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ 9 ซึ่งผมเชื่อว่าผลการประชุมครั้งนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะขับเคลื่อน ACMECS ให้ก้าวหน้า มีพลวัต และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และความท้าทายรูปแบบใหม่ต่อไป ท่ามกลางวิกฤต Covid-19 ในปัจจุบัน ผมภูมิใจที่ประชาคมโลกยอมรับว่าอนุภูมิภาคนี้เป็นแบบอย่างของการรับมือกับวิกฤตนี้ได้อย่างดี ทั้งเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดและการร่วมมือกันเฝ้าระวังตามแนวชายแดน ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างกันที่มีมานาน ถือเป็นจุดแข็งหนึ่งของอนุภูมิภาคที่อยากจะขอให้ทุกท่านช่วยกันรักษาเอาไว้ ประการสำคัญผมเชื่อว่าการที่เรามุ่งมั่นดำเนินการตาม 3 เสาหลักของแผนแม่บท ACMECS ได้ส่งผลให้เรารับมือกับวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมยินดีที่ทุกท่านเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง“อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS โดยผมเห็นว่าเราต้องให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาในอนาคต เช่น การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจพร้อมกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ในอนาคต เราต้องพลิกวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ตลอดจนสามารถสัญจรไป-มาระหว่างกันได้อย่างมั่นใจ นอกจากนั้น เราต้องยกระดับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความท้าทายอื่น ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาหมอกควัน และการส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ เพื่อนำไปสู่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นผมขอเสนอให้ ACMECS กระชับความร่วมมือกันใน 3 ประเด็น ดังนี้ ประการแรก ผมเห็นว่า “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน ACMECS และความร่วมมือ 3 เสาภายใต้แผนแม่บท ที่เราได้ร่วมรับรองในการประชุมผู้นำครั้งที่แล้วที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เพราะถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเสริมสร้างประชาคมอาเซียน ผ่านการสอดประสานกับแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนได้อย่างไร้รอยต่อ ผมยินดีที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นพัฒนาการของความเชื่อมโยงด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกันได้ นอกจากนี้ เพื่อเชื่อมโยงอนุภูมิภาคของเราเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าของโลก ไทยจะใช้จุดแข็งเรื่องที่ตั้งของอนุภูมิภาคผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทยกับอันดามัน และโครงการสะพานไทย เพื่อเชื่อมโยง EEC กับ SEC ด้วย นอกจากนี้ ผมยินดีที่การเชื่อมโยงประเทศสมาชิก ACMECS และมิตรประเทศอื่น ๆ มีความแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขณะที่การดำเนินการตามแผนแม่บท ACMECS ในมิติอื่น ๆ ก็คืบหน้าไปมาก เมื่อปีที่แล้ว เราได้ตกลงร่วมกันในการจัดทำเอกสารสำคัญที่จะขับเคลื่อน ACMECS อาทิ เอกสารขอบเขตการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS เอกสารกลไกการทำงานของคณะกรรมการประสานงาน 3 เสา และการรวบรวมรายชื่อโครงการจำเป็นเร่งด่วน ที่สำคัญคือ เราได้รับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สองอีกด้วย โดยไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาจะเร่งประสานงานกับประเทศสมาชิก ในการจัดทำแผนความร่วมมือระหว่างกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ประเทศภายนอกภูมิภาคมีต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงของเราอย่างเป็นรูปธรรม ทุกท่านครับสำหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ผมเห็นว่าเราต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วภายใต้เสาที่ 3 ของแผนแม่บท ขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นและมีความยั่งยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเรามีโครงการแบ่งปันประสบการณ์ และถ่ายทอดความรู้ผ่านเครือข่ายการแพทย์ข้ามพรมแดน และการสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน แต่ผมอยากให้เรานึกถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขร่วมกันในระยะยาวด้วย ทั้งการพัฒนาบุคลากรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถด้านการค้นคว้าวิจัยวัคซีนและยารักษาโรค เพื่อให้เราพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางสาธารณสุขในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น โอกาสนี้ ผมมีความยินดีที่จะเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ไทยได้ ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งคาดว่า น่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และเมื่อถึงเวลานั้น ไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล ประการที่สอง เราต้องมีกลไกทางการเงินที่จะสนับสนุน การพัฒนา ACMECS โดยผมยินดีที่เราได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS ในการประชุมผู้นำครั้งที่ผ่านมา และวันนี้ผมขอย้ำความสำคัญของการจัดตั้งกองทุนนี้ เพื่อเป็นกลไก การพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค ผมยินดีที่ทุกประเทศเห็นชอบในหลักการของการร่วมสนับสนุนเงินทุน และขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดำเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยไทยขอยืนยันคำมั่นที่จะสนับสนุนเงินจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่ออนุภูมิภาคและประชาชนของเรา ประการสุดท้าย เพื่อให้ ACMECS สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผมเห็นว่าเราต้องมีกลไกกลาง เพื่อทำหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ดังนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เราจะเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะเล็งเห็นถึงความ สำคัญของการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS เช่นเดียวกับผม และจะสนับสนุนให้การจัดตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ผมเชื่อว่าการพบปะของพวกเราสมาชิก ACMECS และท่านเลขาธิการ อาเซียนในวันนี้ เป็นการส่งสัญญาณสำคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน ให้สมกับการเป็นสมาชิกประชาคมระหว่างประเทศที่มีความรับผิดชอบ มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ของไทย ในการทำงานร่วมกับประเทศสมาชิก ACMECS ทั้งในด้านการสอดประสานเชิงนโยบายและการส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เราบรรลุข้อตกลงที่สำคัญต่าง ๆ ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างประชาคมแม่โขงที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และมีความยืดหยุ่น เพื่อให้เป็นอนุภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนพลวัตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37489
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว เม็ดเงินโครงการ “ออมสินเพื่อสมุย” กว่า 1,500 ล้านบาท ลงพื้นที่สมุยแล้ว หวังเป็นต้นแบบจุดประกายทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นภาคการท่องเที่ยว ออมสินภารกิจลุล่วง ใส่เม็ดเงินเสริมสภาพคล่องกว่า 1,500 ล้านบาทลงพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรียบร้อยแล้ว หลังปฏิบัติการลงพื้นที่สำรวจความต้องการ และความเดือดร้อนชาวสมุยแบบปูพรมยกเกาะ ภายใต้โครงการ “ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL มาร่วม 2 เดือน เผย ผู้ประกอบการธุรกิจรายเล็กรายใหญ่ และประชาชนลูกค้ารายย่อย กลุ่มลูกจ้างและอาชีพอิสระ กว่า 2,500 ราย ที่ได้รับความช่วยเหลือ สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ช่วยเสริมสภาพคล่อง และบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง พร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพี่น้องชาวสมุย อาทิ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค การอบรมอาชีพ มอบทุนการศึกษา สิ่งของเครื่องใช้ แก่นักเรียนโรงเรียนและชุมชน รวมถึง จัดพื้นที่ให้ออกร้านฟรี สำหรับร้านค้าทั่วไปและ Street Food ขอเชิญชวนคนไทยทุกภาคส่วน ร่วมด้วยช่วยกันพลิกฟื้นสมุย และพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศไทย นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า จากที่ธนาคารออมสินได้ประกาศจัดทำโครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL เพื่อช่วยเหลือ และพลิกพื้นเศรษฐกิจของสมุยให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และที่เกี่ยวเนื่องนั้น ตลอดช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ เริ่มต้นโดยระดมสรรพกำลังทั้งกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานธนาคารออมสิน กว่า 500 ชีวิต ลงพื้นที่แบบเข้าถึงและทั่วถึงในลักษณะปูพรมทั่วทั้งเกาะสมุย เพื่อสำรวจความเดือดร้อน สำรวจความต้องการทั่วทั้งเกาะของลูกค้า ประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเงินทุน เพื่อการประกอบอาชีพ เพื่อหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องให้กิจการ จึงเกิดปรากฏการณ์การอนุมัติสินเชื่อ อนุมัติเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประชาชนฐานราก ลูกค้ารายย่อย SMEs ลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือให้การสนับสนุน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (CSR) ในหลากหลายโครงการ โดยตั้งใจช่วยพี่น้องชาวสมุยให้สามารถยืนหยัดในช่วงเวลายากลำบาก และเตรียมพร้อมให้สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ต่อไปเมื่อถึงเวลา โดยงานออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี “จากผลสำเร็จของการลงพื้นที่ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ในวันที่ 8 – 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน อยู่ในพื้นที่เกาะสมุย เพื่อประชุมพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเสริมสภาพคล่องเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ประกอบการและรายย่อย ให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้เลยทันที สามารถนำเงินไปหมุนเวียนประคองธุรกิจให้อยู่ได้โดยไม่ต้องปิดกิจการ ซึ่งโครงการออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL สามารถอนุมัติสภาพคล่อง หรือสินเชื่อกว่า 2,500 ราย แบ่งเป็นผู้ได้รับวงเงินเสริมสภาพคล่อง 2,000 ราย วงเงิน 1,500 ล้านบาท และเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือด้านภาระหนี้ จำนวน 500 ราย มูลค่าหนี้รวม 446 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินได้โอนเงินสินเชื่อเพื่อสภาพคล่องลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อ Soft Loan ช่วย SMEs ภาคการท่องเที่ยว สินเชื่อ Soft Loan สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด สินเชื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจท่องเที่ยว SAMUI MODEL และสินเชื่อ SMEs มีที่ มีเงิน จำนวนรวมกัน 194 ราย วงเงินกว่า 1,300 ล้านบาท และสินเชื่อรายย่อย จำนวน 1,826 ราย วงเงิน 176 ล้านบาท นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ช่วยเหลือลูกค้าเดิมกว่า 500 ราย ที่มีปัญหาชำระไม่ได้ตามเงื่อนไขเดิมเมื่อครบกำหนดพักหนี้ ภาระหนี้รวม 446 ล้านบาท รวมถึงการไกล่เกลี่ยลูกหนี้หลังการฟ้องที่กรมบังคับคดีอีกจำนวนกว่า 30 ราย ภาระหนี้รวม 2.6 ล้านบาท” นอกจากนี้ ภายใต้โครงการนี้ ธนาคารยังมอบความช่วยเหลืออื่นๆ แก่ชุมชนและประชาชนบนเกาะสมุย อาทิ • มอบทุนการศึกษาแก่บุตรที่ผู้ปกครองเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด-19 จำนวน 320 ทุน • สนับสนุนกิจกรรมตามวิถีพอเพียงให้แก่โรงเรียน อาทิ การมอบฟาร์มไก่ไข่ โรงเรียนเพาะเห็ด และพืชผักสวนครัว เป็นการตั้งต้นให้ครูและนักเรียนสามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในระยะยาว • อุดหนุนสินค้าของชุมชน เช่น ผลิตภัณฑ์จากปลา ไข่ไก่ ปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์พืช เพื่อให้ชุมชนมีรายได้ แล้วนำไปแจกจ่ายแก่ประชาชนที่ได้รับไปจำนวนทั้งสิ้น 1,500 ชุด • ให้การสนับสนุนเครื่องมือทำกินและความรู้เพื่อต่อยอดการดำรงชีพ เช่น มอบรถเข็นร้านค้า 10 คัน ฝึกอบรมอาชีพ 300 ราย สนับสนุนเครื่องจำเป็นแก่ชุมชนประมง (ธนาคารปู) รวมถึงการจัดพื้นที่ออกร้านจำหน่ายสินค้าให้ฟรี สำหรับร้านค้าในพื้นที่ และ Street Food นายวิทัย กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการ ออมสินเพื่อสมุย : SAMUI MODEL นับเป็นอีก 1 โครงการดีๆ ที่เป็นความตั้งใจจริงของธนาคารออมสิน ที่จะช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวสมุยสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากครั้งนี้ไปได้ เป็นกิจกรรมเพื่อสังคมที่จัดใหญ่ทิ้งท้ายของปี 2563 หลังจากนี้ไปมีงานที่ต้องทำต่อเนื่อง คือ “ออมสินชวนเที่ยวสมุย” โดยธนาคารเตรียมจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้าของบัตรเครดิตของธนาคารออมสิน เพื่อกระตุ้นและต่อยอดให้มีความต้องการของตลาดในการเดินทางท่องเที่ยวโดยมีจุดหมายปลายทางที่เกาะสมุย ทั้งนี้ คาดหวังเป็นโครงการต้นแบบแก่ทุกภาคส่วนหรือหน่วยงานอื่น ในการช่วยเหลือพื้นที่เศรษฐกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ต่างจากเกาะสมุย โดยเฉพาะที่เป็นจังหวัดรอง 50-60 จังหวัด ให้สามารถฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ให้สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด จ่ายอีก! ส่วนต่างช่วยชาวนา จุรินทร์ ประกาศเกณฑ์กลางข้าวงวดที่ 5 พบข้าวหอมมะลิได้รับชดเชยสูงสุดกว่า 38,700 บาท ชาวนาได้โชคจากข้าวทั้ง 5 ชนิด 9 ธันวาคม 2563 เวลา 9.30 น.นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้แจ้งชาวนาหรือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกรณีประกาศกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 63 อนุมัติให้ปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการจากที่อนุมัติไว้เบื้องต้น จำนวน 18,096 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711 ล้านบาท เป็น 46,807 ล้านบาท ดังนั้นสำหรับเกษตรกรที่แจ้งวันที่คาดว่าเก็บเกี่ยวในช่วงวันที่ 15 - 29 พ.ย.2563 (งวดที่ 2 บางส่วน งวดที่ 3, 4) ซึ่งยังไม่ได้รับเงินชดเชย จำนวน 2.22 ล้านครัวเรือน ขอแจ้งให้ทราบว่า ธ.ก.ส.จะโอนเงินให้เกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นเงิน จำนวน 20,218 ล้านบาท ในวันนี้ คือ วันที่ 9 ธ.ค. 2563 ส่วนงวด ที่ 5 จะโอนประมาณวันจันทร์ 14 ธันวาคม 2563 เนื่องจากประชุมอนุเกณฑ์กลางอ้างอิงประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 แล้ว ธ.ก.ส. จะโอนเงินใน 3 วันทำการหลังจากประชุม ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่องกำหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2563 / 2564 งวดที่ 5 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายนถึง 6 ธันวาคม 2563 ราคาเกณฑ์กลางต่อตันช่วงนี้คือ เข้าหอมมะลิ 12,232.86 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 11,726 .91 บาท ข้าวเปลือกเจ้า 9,189.93 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 10,079.73 บาทข้าวเปลือกเหนียว 11,213.54 บาท เนื่องจากข้าวเปลือกหอมมะลิ ประกันรายได้ตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,767 บาท จึงได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 38,739 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ประกันรายได้ตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 2,273 บาทได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 36,369 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 810 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 24,302 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ประกันรายได้ตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 920 บาท ได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 23,006 บาท และ ข้าวเหนียวประกันรายได้ตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ได้ส่วนต่างตันละ 786 บาท จะได้รับชดเชยสูงสุดครัวเรือนละ 12,583 บาท " ทั้งนี้ชาวนาจะได้ส่วนต่างจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับปริมาณการแจ้งปลูกไว้ตอนขึ้นทะเบียนและการจ่ายก็ไม่เกินจำนวนตันที่รัฐระบุไว้ สำหรับงวดนี้มีเกษตรกรได้รับชดเชยตามข้อมูลที่ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 300,227 ครัวเรือน สำหรับประกันรายได้ชานนา หรือประกันรายได้ผู้ปลูกข้าวปี 2 นี้นั้น เริ่มจ่ายส่วนต่างมาร่วมเดือนแล้ว โดยงวดที่1 จ่ายเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 มาแล้วจากนั้นทะยอยจ่ายทุกสัปดาห์และเริ่มจ่ายหลังจากเก็บเกี่ยวตามเวลาเก็บเกี่ยวที่ไว้ " ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37495
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​​"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ​​"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ​"กระทรวงทรัพยากรฯ ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต พร้อมกำหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย) วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริต ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ภายใต้แนวคิด “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใสสะอาดร่วมต้านทุจริต (MNRE Zero Tolerance)” ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวเปิดงานว่า คำว่าทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเงิน แต่หมายรวมถึงการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้องร่วมด้วย ดังนั้น ขอให้ข้าราชการในทุกระดับดำรงตนด้วยความมีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นคนดี มีคุณธรรม ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ อดทน กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน เพื่อให้ ทส.เป็นความหวังและที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งนี้ รมว.ทส. ได้กล่าวนำการประกาศเจตนารมณ์ ว่า "จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดีด้วยหัวใจ” ในการนี้ ทส. ได้กำหนดมาตรการ 3 ป. 1 ค. (ปลุกจิตสํานึก ป้องกัน ปราบปรามและสร้างเครือข่าย) รวมถึงกำหนดจัดกิจกรรม “ทส. สุขใจ ธรรมะนำทาง ห่างไกลทุจริต” เพื่อกล่อมเกลาจิตใจด้วยธรรมะ ปลุกจิตสำนึกแห่งคุณธรรมและความดี จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นในวันที่ 5 มกราคม 2564 โดยนิมนต์พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กลฺยาโณ) มาแสดงธรรมเทศนาการต่อต้านการทุจริต ในวันดังกล่าวด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37498
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต ย้ำ มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ดร.สาธิต ย้ำ มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ำนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ชวนคนไทยตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และปฏิบัติตามหลัก 5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” พร้อมทั้งสื่อสารนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” ดร.สาธิตกล่าวว่า วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” ซึ่งโรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย มีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เฉลี่ย 122,757 รายต่อปี เสียชีวิตเฉลี่ย 80,665 ราย เฉลี่ยวันละ 221 ราย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงประกาศนโยบาย “มะเร็งรักษาได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม” เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้ารับบริการได้ทันทีเมื่อแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการ มีโปรแกรม Thai Cancer-based plus เป็นเครื่องมือในการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยมะเร็ง และพัฒนาแพลทฟอร์ม The ONE สำหรับโรงพยาบาลสืบค้นข้อมูลและประเมินศักยภาพการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ และจองคิวการรักษาผ่านแพลทฟอร์มนี้ได้ทันที ผู้ป่วยมะเร็งจะได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ ได้รับความสะดวก ไม่แออัด และลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ป่วยมะเร็งได้ นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ เร่งรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง ปฏิบัติตามหลัก 5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง สังเกต 7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง และเชิญชวนให้ไปการตรวจสุขภาพประจำปี รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีโอกาสการรักษาให้หายขาดสูง ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์ ได้จัดกิจกรรม “DMS Cancer Prevention Day เนื่องในวันต่อต้านโรคมะเร็งแห่งชาติ” 10 ธันวาคม นี้ เพื่อตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง และรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องการป้องกันและการคัดกรองโรคมะเร็งให้กับบุคลากรด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นบุคลากรที่ช่วยขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพของประเทศ นำไปถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพแก่ประชาชน สำหรับหลัก “5 ทำ 5 ไม่ ห่างไกลมะเร็ง” 5 ทำ ได้แก่ 1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 2.ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด 3.กินผักผลไม้ 4.กินอาหารหลากหลาย 5.ตรวจร่างกายเป็นประจำ ส่วน 5 ไม่ ได้แก่ 1.ไม่สูบบุหรี่หรือสูดดม ควันบุหรี่ 2.ไม่มั่วเซ็กซ์ 3.ไม่ดื่มสุรา 4.ไม่ตากแดดจ้า 5.ไม่กินปลาน้ำจืดดิบ รวมทั้งหมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองจาก 7 สัญญาณอันตรายโรคมะเร็ง ได้แก่ 1.ระบบขับถ่าย ที่เปลี่ยนแปร 2.แผล ที่ไม่รู้จักหาย 3.ร่างกาย มีก้อนตุ่ม 4.กลุ้มใจเรื่องการกลืนกินอาหาร 5.ทวารทั้งหลาย มีเลือดไหล 6.ไฝ หูด ที่เปลี่ยนไป และ7.ไอ และเสียงแหบ จนเรื้อรัง หากมีอาการเหล่านี้เกิน 3 สัปดาห์ควรรีบไปพบแพทย์ ************************************* 9 ธันวาคม 2563 ***********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37516
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ำท่วมภาคใต้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 นฤมล-ธรรมนัส ควงคู่ช่วยเหลือผู้ถูกน้ำท่วมภาคใต้ นฤมล-ธรรมนัส จัดแพ็คคู่ ลุยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี รับฟังปัญหา ความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ำลด พร้อมมอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด แก่ผู้ประสบภัย สร้างขวัญและกำลังใจสู่ชาวใต้ วันที่ 9 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำทีมคณะเจ้าหน้าที่มอบถุงยังชีพกว่า 1,000 ชุด ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมรับฟังปัญหาและความต้องการความช่วยเหลือหลังน้ำลด โดยเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ จำนวน 500 ชุด โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 นครศรีธรรมราช จัดหน่วยบริการเคลื่อนที่ซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วมอีกด้วย สำหรับ อ.ปากพนัง เป็นพื้นที่รองรับน้ำจากตัวจังหวัดชั้นในก่อนไหลออกสู่แม่น้ำปากพนังและระบายออกสู่อ่าวไทย พบอุปสรรคในการระบายน้ำเนื่องจากมีน้ำทะเลหนุนสูงเป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และจัดเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมบ้านเรือนที่ขาดที่พักอาศัยชั่วคราว หลังจากนั้น รมช.แรงงาน และ รมช.เกษตรฯ ได้เดินทางพบปะกลุ่มเกษตรที่ประสบภัยน้ำท่วม ณ ที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด (นายวิชวุทย์ จินโต) และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้การต้อนรับ พร้อมมอบถุงยังชีพแก่ผู้สบภัยอีก 500 ชุด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยัง ชุมชนคลองไทรพัฒนาและชุมชนเพิ่มทรัพย์ ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเยี่ยมชมการบริหารจัดการพื้นที่ของชุมชน โดย รมช.เกษตรฯ ได้มอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ ส.ป.ก.ของชุมชนทั้ง 2 แห่ง ด้าน รมช.แรงงาน ได้กล่าวถึงการบูรณาการร่วมกันของกระทรวงแรงงานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีแนวทางการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ ต้องการแก้ปัญหาให้แรงงานหลุดพ้นจากความยากจน มีความรู้ไปประกอบอาชีพและไม่เป็นหนี้ รมช.แรงงาน กล่าวต่อว่า ในกรณีที่แรงงานภาคเกษตรมีความต้องการหาความรู้เพิ่มเติม หรือต่อยอดด้านอาชีพ สามารถติดต่อหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ ซึ่งมีหลายหลักสูตรที่เป็นด้านเทคโนโลยีและช่างฝีมือ รวมถึงงานศิลปะหัตกรรมที่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่แรงงานภาคการเกษตรได้ เช่น การขายสินค้าเกษตรผ่านออนไลน์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า สำหรับด้านช่างฝีมือที่สามารถนำไปประกอบอาชีพส่วนตัวช่วงว่างจากฤดูกาล เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างเครื่องปรับอากาศ ช่างซ่อมเครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายด้านแหล่งเงินทุน อาทิ ธนาคารออมสินที่จับมือกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งทำหน้าที่ค้ำประกันการกู้ยืมอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง"
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 "การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง" "การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง" "การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ADMM) มุ่งเสริมความแน่นแฟ้นและพร้อมตอบสนอง" พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 9 ธ.ค.63, 0930 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. เป็นผู้แทน รมว.กห. เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 14 (14th ASEAN-Defence-Ministers’-Meeting:-14th ADMM) ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม โดย กห. สาธารณรัฐเวียดนาม เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น มีผลการประชุมโดยสรุป ดังนี้ การประชุมครั้งนี้ จัดภายใต้แนวคิด “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานการดำเนินงานร่วมกันที่ผ่านมา และได้แลกเปลี่ยนมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคร่วมกัน ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและลงนามร่วมกันในร่างปฏิญญาร่วมของ รมว.กห.อาเซียน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อความแน่นแฟ้นและพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน โดยมีสาระสำคัญ ในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันส่งเสริมความแน่นแฟ้น และความพร้อมต่อการตอบสนองของอาเซียน ในการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิยุทธศาสตร์ และภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศสมาชิก รวมทั้งระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยดำรงไว้ซึ่งความเป็นแกนกลางของอาเซียน เคารพในอธิปไตย และหลักการฉันทามติ นอกจากนั้น ยังได้ร่วมกันให้การรับรองแผนงาน 3 ปีของ กห.อาเซียน ปี 63-65
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรผู้ประสบภัย พร้อมแจกถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 500 ชุด ประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้ง และเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น พร้อมมอบหญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่พี่น้องเกษตรกร และประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว องค์การบริหารส่วนตำบลหูล่อง ต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช วิทยาลัยการอาชีพ ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และที่ว่าการอำเภอกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีการเร่งเยียวยา โดยให้ทางเกษตรจังหวัดเร่งเข้าสำรวจความเสียหาย ทั้งภาคการเกษตร ภาคการประมง และภาคปศุสัตว์ พืชไร่พืชสวนที่ได้รับความเสียหาย จะมีมาตรการเยียวยาตามระเบียบของกระทรวงต่อไป และจากนโยบายของทางรัฐบาล จะต้องหาแนวทางดำเนินการสร้างโครงการต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับระบบการจัดการน้ำที่ยังไม่สำเร็จ ก็จะต้องเร่งดำเนินการ เพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในครั้งหน้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน “พม. โปร่งใส” (ANTI-CORRUPTION) เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่บริเวณลานพระประชาบดี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ภายใต้แนวคิด “พม. โปร่งใส”(ANTI-CORRUPTION) เพื่อให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนมีแนวทางในการปฏิบัติราชการตามเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวง พม. เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ตนได้นำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ร่วมประกาศเจตนารมณ์ว่า จะน้อมนำเอาพระราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราโชวาทแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้บังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ จะทำหน้าที่นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ให้ประพฤติปฏิบัติตนให้ตั้งมั่นในความดีตามรอยพระยุคลบาท มุ่งมั่น แน่วแน่แก้ไขปัญหาของชาติและประชาชน เสริมสร้างคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน ปฏิบัติงานด้วยความอุตสาหะ เสียสละ ยึดหลักกฎหมาย หนักแน่น เที่ยงตรง มีเกียรติ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ กล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ไม่คดโกงแผ่นดิน ไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ และไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง จะปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลังความสามารถ มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มุ่งประโยชน์ส่วนรวม นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ (The United Nation - UN)ได้ประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (International Anti - Corruption Day) สำหรับ ปี 2563 ประเทศไทยโดยรัฐบาล ร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมทั้ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รณรงค์เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง และเป็นการปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37507
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการจัดหางาน กำหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทำงานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 กรมการจัดหางาน กำหนดส่งแรงงานไทยกว่าพันคน ทำงานภาคเกษตร รัฐอิสราเอลส่งท้ายปี 63 วันที่ 9 ธันวาคม 2563 กรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จำนวน 264 คน เดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” เตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตร จำนวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จำนวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นผู้นำรายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนำทักษะประสบการณ์การทำงานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ยิ่งย้ำให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ สำหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทำงาน ตามข้อกำหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอลโพสต์ละเมิดผิดกฎหมาย ดีอีเอส ยื่นดำเนินคดี 496 ยูอาร์แอล พบหลักฐานชัดเจนโพสต์ละเมิดผิดกฎหมายความมั่นคงฯ และ พรบ.คอมพ์ฯ ช่วง 13 ต.ค.- 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา เตือนใช้สื่อโซเชียลอย่างสร้างสรรค์ เพราะแม้จะใช้บัญชีอวตาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถสืบทราบตัวบุคคลได้ วันนี้ (9 ธ.ค. 63) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้แถลงข่าวการดำเนินคดีเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 13 ต.ค. – 4 ธ.ค. 63 ได้รวบรวมหลักฐานและดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด ทั้งสิ้น 496 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 284 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 81 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 130 ยูอาร์แอล และอื่นๆ 1 ยูอาร์แอล ในส่วนนี้ ได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลแล้ว จำนวน 19 บัญชี แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 15 ราย และ ทวิตเตอร์ 4 ราย โดยส่งข้อมูลผู้กระทำความผิดให้ บก.ปอท. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายแล้ว สำหรับผลการทำงานดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปท.) กองกฎหมาย ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งได้ร่วมกันตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 13 ต.ค. - 4 ธ.ค. 63 “ขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นบัญชีจริงหรืออวตาร เจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลได้ การโพสต์ใดๆ ควรเป็นไปอย่างมีวิจารณญาณสร้างสรรค์และเคารพกฎหมาย” นายพุทธิพงษ์กล่าว ขณะที่ การดำเนินการของเพจอาสา จับตา ออนไลน์ ในเดือน พ.ย. 63 ได้รับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดกฎหมายจากประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 11,914 ยูอาร์แอล โดยจากการตรวจสอบ พบว่า ซ้ำซ้อน/ไม่พบยูอาร์แอลนั้นๆ /ไม่เข้าข้อกฎหมาย จำนวน 11,088 ยูอาร์แอล และมีจำนวนที่เข้าข้อกฎหมาย 826 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 357 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 231 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 160 ยูอาร์แอล, Tiktok 4 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 74 ยูอาร์แอล โดยศาลมีคำสั่งแล้วจำนวน 765 ยูอาร์แอล และอยู่ระหว่างประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 61 ยูอาร์แอล นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (แพลตฟอร์ม) ที่ไม่ดำเนินการปิด/ลบเนื้อหาผิดกฎหมายภายใน 15 วัน ตามที่มีการส่งหนังสือไปแจ้งเตือนให้ดำเนินการ โดยในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มีการดำเนินการส่งหนังสือแจ้งเตือนไปแล้ว 2 ชุด และคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีการทำหนังสือแจ้งเตือนอีก 1 ชุด โดยเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนชุดที่ 5 และครบกำหนดไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 63 จำนวน 718 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 487 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 98 ยูอาร์แอล คงเหลือ 389 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 137 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 81 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 8 ยูอาร์แอล คงเหลือ 73 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 13 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 7 ยูอาร์แอล โดยในชุดที่ 5 นี้ อยู่ระหว่างขอความเห็นชอบมอบหมายผู้แทนร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 ต่อ ปอท. ต่อไป สำหรับชุดที่ 6 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนไปเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 63 และครบกำหนด 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา จำนวน 312 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 167 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 49 ยูอาร์แอล คงเหลือ 118 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 111 ยูอาร์แอล ปิดแล้วทั้งหมด, ทวิตเตอร์ 28 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 5 ยูอาร์แอล คงเหลือ 23 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 6 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 1 ยูอาร์แอล คงเหลือ 5 ยูอาร์แอล จากนี้เตรียมรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอความเห็นชอบร้องทุกข์กล่าวโทษตามมาตรา 27 กับเจ้าของแพลตฟอร์มที่ไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลต่อไป ขณะที่ ภายในสัปดาห์นี้ เตรียมทำหนังสือแจ้งเตือนต่อแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นชุดที่ 7 จำนวน 607 รายการ แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 331 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 22 ยูอาร์แอล คงเหลือ 309 ยูอาร์แอล, ยูทูบ 144 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 65 ยูอาร์แอล คงเหลือ 79 ยูอาร์แอล, ทวิตเตอร์ 128 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 6 ยูอาร์แอล คงเหลือ 122 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์/อื่นๆ 4 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 2 ยูอาร์แอล คงเหลือ 2 ยูอาร์แอล ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประชุม การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) พร้อมด้วย นายสมพล โนดไธสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย นายประชา มีธรรม อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี นายณัฐ อารีกุล อุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย นายกิติพงษ์ ชลิทธิกุล อุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร และคณะผู้บริหาร เข้าร่วม โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ณ ห้องประชุมศูนย์ภาษา-คอมพิวเตอร์ อาคาร 17 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้ จ่ายแล้ว! จุรินทร์ เผย ครม.เห็นชอบ โอนเงินส่วนต่าง “ยางพารา” ทั้งบัตรเขียว-บัตรสีชมพู 1.3 ล้านรายทั่วประเทศ เริ่ม 11 ธ.ค. นี้ 8 ธันวาคม 2563 เวลา 13.00 น. ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็น ประกันรายได้ยางพารา ซึ่งมีเกษตรกรได้สอบถามมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ว่าสำหรับผู้ถือบัตรสีชมพูจะสามารถได้รับเงินส่วนต่างหรือไม่นั้น วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอ ซึ่งมีผลชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะได้รับเงินส่วนต่างจะมีทั้งเกษตรกรชาวสวนยางที่ถือบัตรสีเขียว และที่ถือบัตรสีชมพูด้วย โดยผู้ถือบัตรสีเขียวมีประมาณ 9.6 แสนราย ส่วนผู้ถือบัตรสีชมพู จะมีประมาณ 3.4 แสนราย รวมแล้วจะมีเกษตรกรชาวสวนยางที่จะได้รับเงินส่วนต่างประมาณ 1.3 ล้านรายทั่วประเทศจากทุกภาค การจ่ายเงินส่วนต่างจะแบ่งเป็น 6 งวด เดือนละ 1 งวด โดยจะเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรกในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ส่วนเงินส่วนต่างที่ได้มีการคำนวนออกมาสำหรับงวดแรกนั้นก็จะเป็นดังนี้ คือ น้ำยางข้น จะมีเงินส่วนต่าง กก.ละ 4.14 บาท ยางก้อนถ้วย ได้ กก.ละ 3.19 บาท ส่วนยางแผ่นดิบ จะไม่มีเงินส่วนต่างเพราะขณะนี้ราคายางแผ่นดิบทะลุเลย 60 บาทเลยเพดานประกันรายได้ไปแล้ว โดยราคาที่เป็นทางการเมื่อวานนี้ ยางแผ่นดิบชั้น 3 กก.ละ 65 บาท ชาวสวนได้ประโยชน์ สำหรับภาพรวมทั้งหมดของเงินส่วนต่างงวดแรกรวม 1,789 ล้านบาท ซึ่งราคายางในปัจจุบันถือว่ากระเตื้องดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว เพราะปีที่ผ่านมา ราคายางแผ่นดิบโดยเฉลี่ย กก.ละ 40 บาท แต่ช่วงเวลานี้มีราคาทรงตัวมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 60 กว่าบาท ส่วนราคาน้ำยาง กก.ละ 55-57 บาท ยางก้อนถ้วยราคาวานนี้ กก.ละ 21.25 บาท บางช่วงมีราคา 22-23 บาท ซึ่งถือว่าราคายางในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม การยางแห่งประเทศไทยรายงานว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะ Kick off จ่ายเงินส่วนต่างพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 11 ธันวาคม 2563 เวลา 10.30 น.โดยจะมีการจัดงานที่อำเภอท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ด้วย ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการรับรู้ประชาชนและเกษตรกรชาวสวนยาง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563 ‘รมช.มนัญญา’ เปิดงาน “วันดินโลก ปี 2563 รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” จ.อุทัยธานี เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 รมช.มนัญญาไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดงานวันดินโลกปี2563 “Keep soil alive, protect soil biodiversity :รักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”พร้อมด้วยนายอัชฌาสุวรรณนิตย์รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์นางสาวอัญมณีถิรสุทธิ์รองอธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ดร.อาทิตย์เพ็ชรรัตน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายอลงกตวรกีรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีหัวหน้าส่วนราชการประชาชนและเกษตรกรเข้าร่วมณสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยธานีตําบลหนองพังค่าอําเภอเมืองอุทัยธานีจังหวัดอุทัยธานีเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรตลอดจนสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ำให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้มีมติเมื่อวันที่20ธันวาคม2556รับรองให้วันที่5ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก(World Soil Day)ซึ่งประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติกว่า200ประเทศจะจัดงานเฉลิมฉลองวันดินโลกพร้อมกันสืบเนื่องจากการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรได้รับการถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรมจากสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติหรือIUSSเป็นพระองค์แรกของโลกทรงมีพระอัจฉริยะภาพด้านทรัพยากรดินและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆที่เกี่ยวกับการเกษตรโดยทรงให้ความสำคัญกับทรัพยากรดินและเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ถึงวิสัยทัศน์พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนกระทรวงเกษตรฯโดยสถานีพัฒนาที่ดินอุทัยร่วมกับจังหวัดอุทัยธานีและหน่วยงานภาคเอกชนจึงได้กำหนดจัดงานวันดินโลกเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร “การจัดนิทรรศการวันดินโลกปี2563ของจังหวัดอุทัยธานีในครั้งนี้เป็นการสร้างการรับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดินและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและการอนุรักษ์ดินและน้ำให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างเพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนต่อไปนอกจากนี้ยังต้องส่งเสริมสร้างความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยเป็นการช่วยให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์โดยภายในงานมีกิจกรรมและนิทรรศการที่น่าสนใจอาทินิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดำริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินตลอดจนนิทรรศการของหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง”รมช.เกษตรฯกล่าว ในการนี้ รมช.มนัญญาร่วมเปิดป้ายโครงการ1ตำบล1กลุ่มทฤษฎีใหม่รวมทั้งมอบบัตรดินดีต้นแบบและมอบปุ๋ยหมักและผลิตภัณฑ์สารเร่งซุปเปอร์พด.ให้กับเกษตรกรจากนั้นเปิดป้ายแปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ต้นแบบกิจกรรมปล่อยปลาก่อนเดินพบปะเกษตรกรและเยี่ยมชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9สืบสานแนวพระราชดำริรักษาและต่อยอดนิทรรศการKeep soil alive, protect soil biodiversityรักษ์ปฐพีคืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดินและนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37499
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ธอส. ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยชาวใต้ พร้อมมอบค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกำลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ำดื่ม จำนวน 400 ถุง ในพื้นที่ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย นครศรีธรรมราช : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลงพื้นที่ส่งกำลังใจมอบความห่วงใยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพร้อมน้ำดื่ม จำนวน 400 ถุง ในพื้นที่ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมมอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขัง จำนวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการพิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และวาตภัยในพื้นที่ภาคใต้ ฃึ่งปัจจุบันแม้ระดับน้ำท่วมขังจะลดลงทุกจังหวัด แต่ก็ยังคงพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมีที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เร่งให้ความช่วยเหลือชาวใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง และนอกจากความช่วยเหลือทางด้านการเงินผ่าน 7 มาตรการ ตาม “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติปี 2563” แล้ว ในวันนี้ (9 ธันวาคม 2563) จึงได้นำทีมผู้บริหาร พร้อมด้วยผู้ปฏิบัติงานของธนาคารในสำนักงานเขตและสาขาในพื้นที่ ลงพื้นที่ไปพบกับลูกค้าประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนจำนวน 400 ชุด เพื่อส่งกำลังใจพร้อมกับส่งมอบความห่วงใยให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยที่เดือดร้อนทุกคน นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมกับ บมจ.อาคเนย์ประกันภัย บมจ.นวกิจประกันภัย และบมจ.ทิพยประกันภัย มอบสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้าที่ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยเหลือเยียวยาบ้านเรือนของลูกค้าธนาคารที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขัง จำนวน 8 หลัง ตามเงื่อนไขของมาตรการที่ 7 พิจารณาสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ รวมถึงกรณีน้ำท่วม หรือ ลมพายุ พิจารณาจ่ายค่าสินไหมให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัยทุกรายอย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ โดยผู้เอาประกันยื่นเอกสารแจ้งความเสียหาย จ่ายตามความเสียหายจริงตามภาพถ่าย รวมทุกภัยธรรมชาติไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี และสำหรับลูกค้าที่มีกรมธรรม์เริ่มความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติตามความเสียหายจริงจากหลักฐานภาพถ่าย แต่ไม่เกินภัยละ 30,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ยังให้คำแนะเกี่ยวกับมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ของธนาคารอีก 6 มาตรการที่เหลือ ประกอบด้วย 1) ลดดอกเบี้ยเหลือ 0% ต่อปีนาน 4 เดือนแรก 2) ให้กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก 3) ประนอมหนี้ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 4 เดือน ดอกเบี้ย 0% ต่อปี 4 เดือน ไม่ต้องชำระเงินงวด 4) ประนอมหนี้ไม่เกิน 1 ปี ดอกเบี้ย 1% ต่อปี 5) เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรให้ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี และ 6) ที่อยู่อาศัยเสียหายทั้งหลังซ่อมแซมไม่ได้ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคาร ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “โครงการเงินกู้ที่อยู่อาศัยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ ปี 2563” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถึงภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด โดยตลอดระยะเวลากว่า 67 ปี ธนาคารสร้างโอกาสให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน และการปลูกจิตอาสาช่วยเหลือสังคมของพนักงานในองค์กร รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชุมชน และสร้างสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37501
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกำลังใจในการทำงาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ครูพี่โอ๊ะ เดินหน้าผลักดันความมั่นคงให้ “ครูสอนเด็กบนท้องถนน” ทั่วประเทศ หวังสร้างกำลังใจในการทำงาน ส่งต่อศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจสู่กลุ่มเป้าหมาย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น.นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานปิดโครงการสรุปและนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมมอบโล่เกียรติคุณให้กับภาคีเครือข่าย โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศธ. นายพะโยม ชิณวงศ์ ประธานคณะทำงาน รมช.ศธ. นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. ดร.ปรเมศวร์ ศิริรัตน์ ผอ.สำนักงาน กศน.กรุงเทพมหานคร รศ.ดร.ชูเกียรติ ลีสุวรรณ์ ที่ปรึกษาโครงการ Children in Street และ รศ.ดร.นิตติยา ปภาพจน์ หัวหน้าโครงการ Children in Street ให้การต้อนรับ ที่ ห้องกรุงธนบอลล์รูม โรงแรมรอยัลริเวอร์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า สำหรับนโยบายการช่วยเหลือเด็กบนท้องถนน จะดำเนินการเพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ การทำงานในเรื่องนี้มีความจำเป็นต้องร่วมมือกันหลายองค์กร โดยในมิติของกระทรวงศึกษาธิการ มีครู กศน.ทำงานร่วมกับองค์กรเครือข่ายในทั้ง 22 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องขอขอบคุณองค์กรมูลนิธิต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง และในส่วนของงานวิจัยและข้อสรุปงานวิจัยระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้ สำหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งที่เกิดจากการเก็บข้อมูล ประเด็นปัญหา เพื่อนำสู่การค้นคว้าวิจัยหาวิธีการจัดระบบช่วยเหลือในรูปแบบที่เหมาะสมและครบถ้วนในทุกมิติ โดยในส่วนของสำนักงาน กศน. ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้เลขาธิการ กศน.หารือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางดูแลความมั่นคงในการทำงานของครูที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 30 คน ซึ่งข้อสรุปของผลการวิจัย ถือว่ามีประโยชน์ในการสนับสนุนและเป็นเหตุผลความจำเป็นต่อการผลักดันให้ครูกลุ่มนี้ได้รับการประเมินเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งพนักงานราชการ ที่จะเกิดความมั่นคงในอาชีพโดยเร็วที่สุด พร้อมมีกำลังใจในการพัฒนาทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะอื่น ที่จะสามารถสร้างศรัทธาและความไว้เนื้อเชื้อใจกลุ่มเป้าหมายในความดูแลได้มากขึ้น “จากข้อสรุปงานวิจัย พบว่าปัจจุบันมีเด็กบนท้องถนนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5,029 คน แบ่งเป็น เด็กเร่ร่อน 477 คน และเด็กในภาวะยากลำบาก 4,552 คน แต่ข้อมูลเด็กกลุ่มนี้ทั่วทั้งประเทศมีถึงประมาณ 1 แสนคน (ในจำนวนนี้เป็นเด็กเปราะบาง 30,000 คน) ในส่วนของการพัฒนาครู แม้งานวิจัยนี้จะเก็บกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็ตาม แต่จะเป็นโมเดลที่กระทรวงศึกษาธิการนำไปใช้พัฒนาครู กศน.กลุ่มนี้ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบทของพื้นที่ อาทิ ศูนย์สร้างโอกาสเด็กและเยาวชน (บ้านเรา) จังหวัดขอนแก่น ที่ได้มีการพัฒนาจนเกิดระบบดูแลที่ลงตัวและเป็นไปด้วยดี ด้วยความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพราะเด็กเร่ร่อนและเด็กข้างถนน กว่าจะเชื่อใจใครได้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ดังนั้น ครู กศน. ครูอาสา ตลอดจนครูข้างถนนและผู้ที่ปฏิบัติงานในองค์กรต่าง ๆ จะต้องร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจให้ได้ พร้อมขยายเครือข่ายการทำงานในหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนเติมเต็มงบประมาณในการขับเคลื่อน โดยใช้ข้อสรุปของงานวิจัยเป็นฐานข้อมูลหลักในการขับเคลื่อนเป็นรูปธรรม และขอย้ำว่า งานวิจัยนี้นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้สนับสนุนการผลักดันความมั่นคงให้กับครู กศน.ที่ดูแลกลุ่มเด็กบนท้องถนนต่อรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี โดยมีความตั้งใจที่จะพยายามขับเคลื่อนให้เกิดผลเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะครูกลุ่มนี้ถูกทอดทิ้งมานาน และในวันนี้ก็ถือเป็นวันสำคัญในการนำเสนอผลการดำเนินโครงการพัฒนาระบบการช่วยเหลือและส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเด็กบนท้องถนน (Children in Street ) ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในอาชีพครูของเด็กบนถนน ให้สามารถสร้างสรรค์สังคมของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ด้วยศรัทธาและความไว้เนื้อเชื่อใจ พร้อมก้าวออกไปเผชิญโลกด้วยทักษะความสามารถด้านวิชาชีพ เพื่อดูแลตนเองและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข” รมช.ศึกษาธิการ กล่าว จันทนา เชียงทอง: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง สถาพร ถาวรสุข, อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37497
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ณ โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เฝ้ารับเสด็จฯ และกราบบังคมทูลถวายรายงาน และมีนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ รมช.ศึกษาธิการ กราบบังคมทูลถวายรายงาน ดังนี้ ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองพระบาท ข้าพระพุทธเจ้า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคณะกรรมการจัดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 คณาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนศูนย์ภูมิศาสตร์โอลิมปิก สอวน. ที่เฝ้าทูลละอองพระบาทอยู่ ณ ที่นี้ รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินมา ทรงเปิดงานการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ. 2563 ในวันนี้ การแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ เป็นการเปิดเวทีให้นักเรียนที่มีความสนใจ มีความรู้ความสามารถในวิชาภูมิศาสตร์ ได้มีสนามในการทดสอบความรู้ ฝึกประสบการณ์ในการแข่งขัน และเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปเข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งปีนี้จัดที่สาธารณรัฐตุรกี การแข่งขันครั้งนี้มีนักเรียนตัวแทนจากทุกศูนย์ทั่วประเทศ จำนวน 15 ศูนย์ ประกอบด้วย ศูนย์โรงเรียน 8 ศูนย์, ศูนย์มหาวิทยาลัย 7 ศูนย์ รวมทั้งสิ้น 99 คน อาจารย์หัวหน้าทีม และรองหัวหน้าทีม จำนวน 31 คน และมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการจัดการสอบแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ด้านการดำเนินการจัดการแข่งขันมีการจัดสอบ โดยสอดคล้องและใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับนานาชาติ กล่าวคือ ใช้เวลาในการสอบ 4 วัน มีการสอบ 3 หัวเรื่อง คือ ภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์ และภูมิศาสตร์เทคนิค โดยการสอบข้อเขียน การสอบภาคสนาม และการสอบแบบมัลติมิเดีย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของนักเรียนที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป การจัดการแข่งขันในครั้งนี้โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐานระดับนานาชาติ มีความยุติธรรม โปร่งใส และให้ความเสมอภาคแก่ผู้เข้าแข่งขันจากศูนย์ต่าง ๆ ทุกคน บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตกราบบังคมทูลเบิก นายวัลลพ สงวนนาม ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และนายอุดม ชูลีวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย และกราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท พระราชทานพระราชดำรัสเปิดการแข่งขันภูมิศาสตร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 3 ประจำปีพุทธศักราช 2563 เพื่อเป็นสิริสวัสดิ์แก่คณะผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมการแข่งขันสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอบคุณภาพข่าว: ประชาสัมพันธ์โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37496
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนช่วงหยุดยาวนี้ วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 10.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งเพิ่มสิ่งกีดขวางระหว่างชายแดน การใช้เทคโนโลยีบินโดรนสำรวจอย่างต่อเนื่อง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือให้ชาวไทยที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ขอให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง รัฐบาลยินดีที่จะดูแลเพื่อเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine 14 วัน สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ Super Spreader เพราะกระบวนการทางสาธารณสุขสามารถติดตามและยังควบคุมได้ ส่วนผู้ที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยในช่องทางธรรมชาติก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยวานนี้ (8 ธ.ค. 63) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางตรวจราชการที่ชายแดนจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนถึงความปลอดภัย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแต่ยังต้องยึดหลัก ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และเว้นระยะห่าง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง “โครงการคนละครึ่ง เฟส 2” ซึ่งเปิดเพิ่มอีก 5 ล้านสิทธิ โดยเพิ่มวงเงินให้แก่ 10 ล้านสิทธิเดิมด้วย ซึ่งโครงการจะดำเนินไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีแสดงความกังวลถึงการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบของคนบางกลุ่ม ที่หาผลประโยชน์แทนการใช้จ่ายตามจุดประสงค์ กระทรวงการคลังได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีแล้ว สำหรับกรณีการเสนอมติของสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ประชาธิปไตยในไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นเพียงมติจากสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ บางคน ที่อาจได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน ซึ่งไม่ใช่ท่าทีโดยรวมของรัฐสภาสหรัฐฯทั้งหมด พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเหมาะสม ส่วนการชุมนุมนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมไม่มีใครถูกดำเนินคดีเพียงเพราะการชุมนุมอย่างสงบ สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลมีความจริงใจและจะดำเนินการตามกระบวนการ ทั้งนี้ อาจมีการทำประชามติหากจำเป็น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหวังว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เป็นมิตรประเทศกับไทยมาอย่างยาวนาน จะเข้าใจกระบวนการประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนการดำเนินการของไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวในตอนท้ายว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ที่ออกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 10 – 13 ธ.ค. 63 นี้ ขอให้ระมัดระวังถึงความปลอดภัยบนท้องถนน เพราะอาจเกิดความหนาแน่นในหลายพื้นที่ ที่สำคัญ ขอให้งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากต้องขับขี่ยานพาหนะ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลด้วย ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทำงานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ‘สุชาติ’ มอบที่ปรึกษาฯ ส่ง 264 แรงงานไทยไปทำงานเกษตรในรัฐอิสราเอลเป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 63 ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ส่งแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล จำนวน 264 คน เป็นล็อตสุดท้ายปลายปี 2563 สร้างโอกาสทำรายได้ให้ครอบครัว เผย นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ นำ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในภาคเกษตรที่รัฐอิสราเอลภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC)” สร้างรายได้ต่อหัวเดือนละ 48,073 บาท โดยมีนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยที่ปรึกษา รมว.แรงงานกล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งในปี 2564 ประเทศไทยมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในต่างประเทศ 100,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีรายได้ส่งกลับประเทศกว่า 140,000 ล้านบาท จากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทำให้ต้องชะลอการจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลง เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้ และในวันนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จัดส่งแรงงานไทย จำนวน 264 คน เป็นชาย 257 คน หญิง 7 คน เดินทางไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” และเตรียมทยอยเดินทางภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 800 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ทั้งสิ้น 2,000 คน นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากถือว่าแรงงานที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นผู้นำรายได้เข้าสู่ประเทศ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งยังสามารถนำทักษะประสบการณ์การทำงานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกพบความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ยิ่งย้ำให้เห็นว่าแรงงานไทยมีทักษะเป็นที่ต้องการ รวมทั้งประเทศไทยมีนโยบายการบริหารจัดการโรคโควิด-19 เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ นางธิวัลรัตน์กล่าวกับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปอิสราเอลว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ฝากความห่วงใยมายังแรงงานไทยทุกคนที่จะเดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล โดยขอให้ศึกษากฎหมายวัฒนธรรมประเพณีของประเทศอิสราเอล ที่สำคัญให้หลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อบายมุข เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เสียงานได้ เนื่องจากกฎหมายของประเทศอิสราเอลมีการลงโทษที่รุนแรง นอกจากนี้ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ รู้จักเก็บออมเพื่อนำรายได้ส่งกลับให้ครอบครับ รวมทั้งให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ จะได้รับการสงเคราะห์และช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาในต่างประเทศ ตามอัตราที่กองทุนฯ กำหนด และเน้นย้ำให้แรงงานไทยปฏิบัติตามขั้นตอนที่ทางการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด -19 อีกด้วย ทั้งนี้รัฐบาลอิสราเอลได้แจ้งความต้องการให้แรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตร จำนวน 2,000 คน โดยกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรฯตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จำนวน 858 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลำพิเศษ สายการบิน El Al เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกำหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟเวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น และเตรียมทยอยเดินทางไปอีกในวันที่ 17 และ 24 ธันวาคม 2563 ประมาณ 800 คน สำหรับโครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทำงาน ตามข้อกำหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ำก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) ทั้งนี้ ผู้สนใจเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37494
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหา รัฐมนตรีเกษตรฯ เปิดโอกาสให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ พร้อมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหาจากทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุญาตให้สมาคมประมงแห่งประเทศไทยเข้าพบ โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้มีการหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดโอกาสให้ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชี้แจงแนวทางและประเด็นที่ทางสมาคมประมงแห่งประเทศไทยเรียกร้อง รวมถึงได้มอบหมายให้ทั้งสองธนาคารนำประเด็นที่สามารถทบทวนใหม่ได้ นำไปหารือกับผู้บริหารของธนาคารต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงการติดตามการออกประกาศกฎกระทรวง การขอเพิ่มวันทำการประมง และการขอผ่อนผันมาตรการต่าง ๆ ด้วย “รัฐบาลให้ความสำคัญกับพี่น้องชาวประมง จึงออกมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ เข้ามาเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อน ซึ่งการหารือร่วมกันในวันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่จะนำเรือประมงมาเป็นหลักค้ำประกัน จึงต้องมีการพูดคุยและปรับปรุงแก้ไขเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องชาวประมงและรักษากติกาของธนาคารร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม พร้อมรับข้อเสนอจากทุกฝ่าย และจะนำประเด็นต่าง ๆ ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 รมว.ยุติธรรม แถลงข่าวเปิดตัวแอป "U-NAI" (อยู่ไหน) ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคนหายได้อย่างรวดเร็ว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน) ในวันพุธที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ แถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน U-NAI (อยู่ไหน) โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารส่วนราชการในสังกัด รวมถึงสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง ชั้น ๒ อาคารที่ทำการกระทรวงยุติธรรมแห่งใหม่ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ฯ กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการอำนวยความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยต้องการให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งส่วนหนึ่งของการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนคือ กรณีที่มีคนหาย คนนิรนาม หรือศพนิรนาม สังคมมีคำถามว่ามีการติดตามคนหายอย่างไร หรือมีหน่วยงานใดรับผิดชอบ หรือกรณีคนหาย ถูกฆาตกรรม และถูกลักพาตัว และพบศพในพื้นที่ที่ญาติไม่ทราบ และผู้ที่พบก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร อีกทั้งสภาพของศพไม่สามารถบ่งบอกเพศและบอกไม่ได้ว่าเป็นใครทำให้ยากต่อการสืบสวนติดตามผู้ที่ถูกฆาตกรรม ดังนั้น การพัฒนาระบบแอปพลิเคชัน "U-NAI" ถือเป็นกลไกที่มีมาตรฐานทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลคนหาย และเข้าถึงงานบริการของภาครัฐได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยสามารถค้นหาคนหาย แจ้งคนหายได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังสามารถแชร์ภาพและข้อมูลของคนหายไปยังสื่อสังคมออนไลน์ และติดตามสถานะคดีได้ตลอดเวลาด้วย นายสมศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้รับแจ้งคนสูญหาย จำนวน ๓,๑๗๐ ราย คนนิรนาม จำนวน ๑,๕๐๒ ราย และศพนิรนาม จำนวน ๕,๓๖๐ ศพ ซึ่งแอปพลิเคชัน "U-NAI" จะช่วยติดตามคนหายได้ เช่น กรณีนายสยาม ธีรวุฒิ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่หายตัวไป ขณะนี้ไม่ทราบว่าหายที่ไหน อย่างไร โดยสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้มีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะใช้แอป "U-NAI" เป็นข้อมูลในการติดตามจนกว่าจะพบ อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงยุติธรรมต้องการพัฒนางานด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรได้อย่างเสมอภาค เท่าเทียม และสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การพัฒนาแอปพลิเคชั่น "U-NAI" จะมีการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อรองรับการทำงาน ซึ่งจากการทดลองใช้งานก็มีผลในระดับที่น่าพอใจ โดยวันนี้กระทรวงยุติธรรมได้เปิดใช้งาน "U-NAI" อย่างเป็นทางการ ซึ่งประชาชนทุกคนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น "U-NAI" (อยู่ไหน) ได้แล้ววันนี้ที่ Google Play และ App Store ************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37517
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64”
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม (Fake News) เรื่อง “มาแล้วลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่ของขวัญปีใหม่ 64” ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวแชร์ทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการเปิดลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันรอบใหม่เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับปี 2564 นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง รองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า พาดหัวข่าวและเนื้อหาข่าวดังกล่าวเป็นข้อมูลความคืบหน้าในการลงทะเบียนโครงการเราไม่ทิ้งกันที่ได้ดำเนินการในระหว่างเดือนมีนาคม - เดือนพฤษภาคม 2563 โดยโครงการเราไม่ทิ้งกันได้ดำเนินการเสร็จสิ้นและมีผู้ได้รับสิทธิ์ทั้งสิ้นจำนวน 15.3 ล้านคนแล้ว และขณะนี้กระทรวงการคลังได้ดำเนินการโครงการคนละครึ่งระยะที่ 2 และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 30/2563 ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งดำเนินโครงการข้างต้นให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อจะได้เป็นของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลที่มอบให้แก่ประชาชน จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งนี้ สามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆของกระทรวงการคลังได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง” สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3569 3566 3557 3558
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37519
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 การประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม การประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (9 ธันวาคม 2563) เวลา 13.30 น. นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงานในภาพรวมของหน่วยงาน โดยมีผู้อำนวยการกองต่างๆ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ปี 64 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม” นายกรัฐมนตรี มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม” พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2564 “ เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม” ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564 ดีอีเอส ประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ หารือแผนงานจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคำมินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารประจำถิ่นวาระพิเศษ เพื่อหารือในการเตรียมการประชุมคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยการไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ในประเด็นการกำหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแผนการดำเนินงานในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรของวิทยาลัยฯ ประจำปี 2564 รองรับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านไปรษณีย์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และสำนักงานใหญ่สหภาพไปรษณีย์แห่งเอเชียและแปซิฟิก ณ ห้องประชุม 702 ชั้น 7 สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ คณะกรรมการเกษตรกรรมยั่งยืนพอใจผลงานปี 63 เพิ่มพื้นที่กว่า 4 แสนไร่ เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 64-65 ยืนยันเดินหน้าร่าง พรบ.เกษตรกรรมยั่งยืน พร้อมอนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองรับมือผลกระทบโควิด19 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนวันนี้ (9 ธ.ค) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ครั้งที่ 3/2563 โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล zoom cloud meeting พร้อมด้วย คณะกรรมการและผู้แทน เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุม ได้พิจารณาและมีมติดังนี้ 1) พิจารณาเห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการด้านเกษตรกรรมยั่งยืน ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2564 – 2565) เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงาน ซึ่งได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ และทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมออนไลน์ โดยมอบฝ่ายเลขานุการ นำร่างแผนปฏิบัติการ นี้ เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อกลั่นกรอง ปรับปรุงในรายละเอียดของ ก่อนนำเสนอให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรม พิจารณา เห็นชอบขั้นสุดท้ายภายในเดือนธันวาคมนี้ 2) พิจารณาเห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนโดยมอบหมายให้คณะทำงานขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ จัดรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ส่วนได้เสียในการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์ (องค์การมหาชน) 3) เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางสำหรับระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) ซึ่งนำเสนอโดย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมอบคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน จัดทำแนวทางการดำเนินการจัดระบบ PGS โดยใช้หลักเกณฑ์กลางที่จัดทำขึ้น เพื่อจะเสนอต่อ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป 4) เห็นชอบโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) ต่อยอดนโยบาย Green City ของรัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีเป้าหมายดำเนินการครอบคลุม 77 จังหวัด เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองภายใต้ 5 แนวทางของเกษตรยั่งยืนได้แก่วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ ทั้งนี้ คณะกรรมการได้มอบหมาย ฝ่ายเลขานุการ ยกร่างคำสั่งแต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง" นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาลงนามต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนปีงบประมาณ 2563 “ที่ประชุมพอใจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานในปี 2563 ซึ่งสามารถเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนและจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้และยังเห็นชอบแผนและเป้าหมายสำหรับปี2564ด้วย” ในรายงานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ2563ระบุว่ามีพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้น 468,223 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 200,835 ราย โดยในแผนปี2564ได้กำหนดเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน จำนวน 465,750 ไร่ นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งถือเป็นการขยายพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ใหญ่ที่สุดภายใต้รัฐบาลชุดนี้ครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศโดยกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบ 4,009 ตำบลที่เหลืออีกกว่า 3,000 ตำบลอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย โดยที่ประชุมได้เสนอแนะให้คณะกรรมการบริหารโครงการที่มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานปรับหลักเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อให้เกษตรกรที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการสามารถสมัครเข้าร่วมได้เพิ่มขึ้นหากต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงโครงการก็ให้ดำเนินการ “นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีความเห็นให้ยืนยันมติเดิมในการตราพระราชบัญญัติเกษตรกรรมยั่งยืนต่อคณะรัฐมนตรีโดยปรับปรุงร่างเดิมให้สมบูรณ์มากขึ้นและทำความเข้าใจกับคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีข้อสังเกตให้กระทรวงเกษตรฯ ทบทวน” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37504
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 วันที่ 8 ธันวาคม 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2565 ในการจัดทำโครงการที่เน้นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้มีการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การลดต้นทุนด้านบริหารจัดการ และต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังให้ทบทวนตัวชี้วัดด้านโลจิสติกส์ในภาคอุตสาหกรรมใหม่ให้สะท้อนการลดต้นทุนเชิงประสิทธิภาพ โดยใช้ตัวชี้วัดเป็น “ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของสถานประกอบการให้ลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2565 ทั้งนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการในการประเมินผลกระทบระดับมหภาคจากการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภาคอุตสาหกรรมด้วยวิธีการประเมินผลกระทบของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมด้วยแบบจำลอง CGE (Computable General Equilibrium Model) และหลักการในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ปี 2566-2570 โดยตั้งคณะทำงานจัดทำร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2566 – 2570 นอกจากนี้ยังได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2563 และรายงานผลการดำเนินงานพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมและแผนการดำเนินงานปี 2564 ได้แก่ สถานการณ์ต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม และแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเร่งรัดติดตามผลการดำเนินการและรายงานต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม พม. ร่วมกับ MBK Center เปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ร่วมส่งเสริมงานฝีมือกลุ่มเป้าหมาย ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม วันนี้ (9 ธ.ค. 63) เวลา 11.15 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็กเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และคนไร้ที่พึ่ง รวมทั้งภาคีเครือข่าย มาออกร้านจำหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9–11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ที่บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า MBK Center เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า กระทรวง พม. มีภารกิจหลักในการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่แรกเกิด เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อีกทั้งการเสริมสร้างชุมชนให้มีความเข้มแข็งและสร้างระบบที่เอื้อต่อการพัฒนาคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และการส่งเสริมภาคีเครือข่ายอย่างเป็นระบบสู่การเป็นหุ้นส่วนทางสังคม ซึ่งขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษกิจและสังคมต่อประชาชนคนไทยในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของ กระทรวง พม. ที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ร่วมกับบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) จัดงาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ ได้บุญ” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เพื่อเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายมาออกร้านจำหน่ายสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าและสร้างรายได้ให้กลุ่มบุคคลที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. และภาคีเครือข่าย นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมทำบุญบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อส่งต่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับกลุ่มเด็กในสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศ จำนวน 6,464 คน อีกทั้งมีการเปิดรับสมัครอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เพื่อร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมต่อไป นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ขอเชิญชวนแต่งชุดไทยมาช้อปสินค้าฝีมือคนไทย ชิมอาหารไทย และชมโชว์แบบไทย จากกลุ่มบุคคลที่ต้องการโอกาสจากสังคม ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวง พม. พร้อมอิ่มบุญอิ่มใจกับการส่งมอบความสุขได้ที่งาน “Gift to Give มหกรรมของขวัญถูกใจ...ได้บุญ” ระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น. ณ บริเวณลาน Avenue โซน A ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 ๑๐ ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37515
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน สั่งดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 รมว.แรงงาน สั่งดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน ซ้ำเติมคนหางานช่วงโควิด หลอกไปแคนาดา นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แจง กรณีปรากฏข่าวทางสื่อโทรทัศน์ช่อง 3 HD รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ กรณีคนงานไทยร้องทุกข์เนื่องจากถูกหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ มอบหมายกรมการจัดหางานตรวจสอบข้อเท็จจริง พบ คนหางานถูกหลอกไปทำงานประเทศแคนาดา จำนวน 40 คน ค่าเสียหายกว่า 7 ล้านบาท เบื้องต้นประสานสอบปากคำพร้อมส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแล้ว นายสุชาติฯ เปิดเผยว่า รู้สึกห่วงใยคนหางานไปทำงานต่างประเทศที่ถูกหลอกลวง ฉวยโอกาสหาประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ทั้งจากความไม่รู้ และความหวังที่ต้องการจะเดินทางไปทำงานในต่างประเทศ เพื่อมีรายได้ส่งกลับมายกระดับฐานะครอบครัว เพราะมีอัตราค่าตอบแทนสูง ซึ่งกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้สั่งการกรมการจัดหางานให้เร่งรัดตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มแรงงานที่นำรายได้เข้าประเทศไทย เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ เร่งตรวจสอบไปที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิ พบคนหางานไปทำงานต่างประเทศถูกหลอกลวงจำนวน 40 คน ค่าเสียหายทั้งสิ้น 7,570,880 บาท ซึ่งทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดชัยภูมิได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ สอบปากคำคนหางาน และส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน “อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางานมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบอย่างเข้มงวด และทำรายงานการสืบสวน ตาม พรบ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 การหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน มีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ดำเนินคดีสาย/นายหน้าเถื่อน จำนวน 78 ราย มีคนหางานร้องทุกข์ กรณีถูกสาย/นายหน้าเถื่อนหลอกลวง จำนวน 204 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 16,454,698 บาท และกรมการจัดหางานร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ ดำเนินคดีผู้โฆษณาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งสิ้น จำนวน 234 เรื่อง (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 30 กันยายน 2563) โดยประเทศที่คนหางานตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ แคนาดา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว กรมการจัดหางานแนะนำให้คนหางานที่สนใจจะไปทำงานต่างประเทศ ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงาน นายจ้าง ประเทศที่จะไป และต้องเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 5 วิธี คือ 1.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตนเอง 2.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยบริษัทจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 3.การเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ได้แก่ โครงการจ้างตรง :ไต้หวัน โครงการ IM : ประเทศญี่ปุ่น โครงการ EPS: เกาหลี โครงการ TIC 4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศ และ5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางาน ได้ที่ www.doe.go.th และสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2245 6763 สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร รมว.เกษตรฯ ยืนยันจะอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกร พร้อมแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในทุกพื้นที่ โดยไม่ขัดต่อมติ ครม. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี ถึงความกังวลใจที่กรมชลประทานจะไม่สนับสนุนน้ำในการทำนาปรัง ว่า จากมติ ครม. ให้บริหารจัดการน้ำในช่วงหน้าแล้งและไม่ให้ทำนาปรังนั้น ทางกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน จึงต้องทำตามมติ ครม. แต่จะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรด้วย จึงต้องขอนำเรียนในเบื้องต้นว่ามติ ครม. ถือเป็นกฎหมายที่ต้องบังคับใช้ทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายกรมชลประทานหาวิธีการแก้ไขและต้องมีคำตอบให้พี่น้องเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ส่วนไหนที่สามารถดำเนินการได้จะให้ดำเนินการในทันที และให้จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมสำหรับเข้าไปดูแลพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่ "อยากให้พี่น้องเกษตรกรแต่ละพื้นที่ จัดเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำ เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งจะมอบหมายให้กรมชลประทานเข้าไปช่วยเติมน้ำให้ และหากสามารถเพิ่มพื้นที่แหล่งกักเก็บน้ำได้ ก็จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการ นอกจากนี้ จะขอรับเอาข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากพี่น้องเกษตรกรเข้าไปหารือกับนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงขอยืนยันกับพี่น้องเกษตรกรว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเกษตรกร” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาการแทนอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สิ่งที่กรมชลประทานสามารถดำเนินการได้ในทันที คือ ในช่วงเวลานี้ยังมีแผนการส่งน้ำตามปกติ ตามแผนการส่งน้ำนาปี จึงขอให้เกษตรกรสำรองน้ำในพื้นที่ให้เต็มพิกัด ถ้าติดขัดอะไรจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลให้เรียบร้อย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีมาตรการต่าง ๆ เข้ามาช่วงเหลือ เช่น การส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย หรือการส่งเสริมการทำประมงและการเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ซึ่งโครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในช่วงสถานการณ์ภัยแล้งได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37510
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เน้นย้ำการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2563 นายกฯ เน้นย้ำการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง นายกฯ เน้นย้ำการส่งเสริมความเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง วันนี้ (วันที่ 9 ธันวาคม 2563) เวลา 8.30 น. ณ อาคารภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี – เจ้าพระยา – แม่โขง (Ayeyawady – Chao Phraya – Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS ) ครั้งที่ 9 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ร่วมกับผู้นำประเทศสมาชิกอีก 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม และเลขาธิการอาเซียน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการประชุม ดังนี้ การประชุม ACMECS ครั้งที่ 9 เป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้ 3 สาขาหลักของแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี ได้แก่ (1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ (Seamless Connectivity) (2) การสอดประสานด้านเศรษฐกิจ (Synchronized ACMECS Economies) และ (3) การพัฒนาภูมิภาคในลักษณะยั่งยืนและมีนวัตกรรม (Smart and Sustainable ACMECS) นอกจากนี้ ยังมีการติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS และการมีปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ซึ่งหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มแรก ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลีย และในปีนี้ นิวซีแลนด์และอิสราเอลก็จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนากลุ่มที่สอง ผู้นำสมาชิก ACMECS ยังเห็นพ้องกับหลักการใหม่ที่ไทยเสนอ เรื่อง “อนุภูมิภาคที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้” ให้เป็นอีกหนึ่งสาขาความร่วมมือภายใต้แผนแม่บท ACMECS เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงภาพลักษณ์ของอนุภูมิภาค และส่งเสริมให้ภูมิภาคนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยโอกาสที่หุ้นส่วนภายนอกจะเข้ามาร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้รับรอง “ปฏิญญาพนมเปญ” ซึ่งให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมยุคหลังโควิด-19 เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคตและความท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง ๆ การส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุข และการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเน้นย้ำการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอ 3 ประเด็น ดังนี้ ประการแรก “การพัฒนาความเชื่อมโยงในทุกมิติ” ทั้งด้าน hardware software และ digital ที่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในในระยะยาว โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนข้ามพรมแดน การเร่งปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับ Micro SMEs เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการ สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างกัน สำหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บท ACMECS ในระยะต่อไป ต้องยกระดับความร่วมมือด้านสาธารณสุขให้สูง และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งที่ประชุมว่า ไทยได้ลงนามกับบริษัทแอสทราเซเนกาเพื่อจัดหาวัคซีนต้านโควิด-19 คาดว่าจะได้รับอนุญาตให้ใช้และผลิตได้ในช่วงกลางปี 2564 และไทยพร้อมสนับสนุนให้ยาและวัคซีนดังกล่าวเป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชาชนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ในราคาที่สมเหตุสมผล ประการที่สอง “การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา ACMECS” เพื่อเป็นกลไกในการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของอนุภูมิภาค โดยขอความร่วมมือให้แต่ละประเทศเร่งดำเนินกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จ และยืนยันคำมั่นที่จะสนับสนุนเงินจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุน เพื่อใช้ขับเคลื่อนโครงการที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและต่ออนุภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยยังส่งเสริมการจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จัดทำยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนโครงการ และประสานการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สาม “การจัดตั้งสำนักเลขาธิการ ACMECS” ต้องมีกลไกกลางเพื่อทำหน้าที่ผู้ประสานงานหลัก ทั้งในกลุ่ม ACMECS เอง และระหว่าง ACMECS กับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณสำคัญให้ประชาคมโลกได้รับทราบว่า ในวันที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะควบคุม ACMECS พร้อมที่จะผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างแข็งขัน มีบทบาทที่สร้างสรรค์ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ ในการปิดประชุม นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ส่งมอบตำแหน่งประธานให้นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวในฐานะประธานวาระต่อไป (วาระปี 2564-2566) ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ นฤมล ชวน สปก. เสริมศักยภาพด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม ฟรี!
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ​ นฤมล ชวน สปก. เสริมศักยภาพด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม ฟรี! รมช.แรงงาน ชวนสถานประกอบกิจการ ร่วมโครงการเสริมศักยภาพด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม ในสถานประกอบกิจการ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม วันที่ 16 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงต้นปี 2563 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม และภาคการให้บริการ แม้ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ได้ แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบอาจต้องใช้เวลา และทรัพยากรมากกว่าภาวะปกติ ซึ่งอาจจะทำให้สถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ มีการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานมีประสิทธิภาพลดลง ส่งผลให้ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการไม่ได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยฯ เท่าที่ควร ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เกิดการเจ็บป่วย และโรคจากการทำงาน รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานด้านความปลอดภัยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงได้จัดทำโครงการเสริมศักยภาพด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมในสถานประกอบกิจการ ประจำปี 2564 เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือนร้อนของสถานประกอบกิจการ และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการสามารถป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกจ้าง ด้วยการเสริมศักยภาพด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมให้แก่สถานประกอบกิจการในระยะยาว สำหรับคุณสมบัติของสถานประกอบกิจการในการเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นสถานประกอบกิจการ ที่อยู่ในเขตภาคกลาง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 และสถานประกอบกิจการจะต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง หรือระดับวิชาชีพ อย่างใดอย่างหนึ่ง ประจำสถานประกอบกิจการ ในส่วนของประโยชน์ที่สถานประกอบกิจการจะได้รับคือ คำแนะนำทางวิชาการ และการสนับสนุนเครื่องมือ (ความร้อน แสงสว่าง เสียง ฝุ่น และฟูมโลหะหนัก) ในการดำเนินงานทางสุขศาสตร์อุตสาหกรรม สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tosh.or.th และ ส่งใบสมัครผ่านทางอีเมล์ noppakorn.s@tosh.or.th หรือ duangrat.s@tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2448 9111 ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 18 มกราคม 2564 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุริยะ ให้ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย และคณะเข้าพบ
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 รมว.สุริยะ ให้ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย และคณะเข้าพบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย และคณะเข้าพบ ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สปอ. วันนี้ (15 ธ.ค. 63) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายอันเดรอาส ริชเตอร์ ประธานหอการค้าเยอรมัน-ไทย และคณะเข้าพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การดำเนินงาน และกิจกรรมของหอการค้าเยอรมัน-ไทย โดยมีนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สปอ.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศเร่งปลดล็อกอำนวยความสะดวกนักลงทุน
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศเร่งปลดล็อกอำนวยความสะดวกนักลงทุน บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศเร่งปลดล็อกอำนวยความสะดวกนักลงทุน บีโอไอเปิดเวทีถกหอการค้าต่างประเทศเร่งปลดล็อกอำนวยความสะดวกนักลงทุน บีโอไอ เปิดเวทีพบตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะรับฟังความเห็น เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมเร่งแก้ไขปัญหา อุปสรรค อำนวยความสะดวกธุรกิจต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 ธันวาคม 2563 บีโอไอจัดประชุมหารือร่วมกับตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย โดยมีตัวแทนหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยจากทั่วทุกภูมิภาคของโลก จำนวน 35 คน เข้าร่วมการประชุม โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ ประชุมครั้งนี้ นายสุพัฒนพงษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลบีโอไอ จะประชุมร่วมกับตัวแทนหอการค้าต่างประเทศ เพื่อรับฟังข้อเสนอะแนะเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของนักลงทุนที่เกิดขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้กิจกรรมด้านการลงทุนไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย รวมทั้งมีความชัดเจนเรื่องวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทยจึงมีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนการลงทุนด้วยการแก้ไขปัญหาอุปสรรคและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างประเทศ “ที่ผ่านมา ทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน แต่ด้วยการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดได้ค่อนข้างดี ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตของไทยค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว และมีคำสั่งซื้อกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงมีความพร้อมรองรับการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจภายในประเทศฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว” นางสาวดวงใจกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37647
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“รมว.ทส. มอบนโยบาย อส. ชูประเด็นสำคัญ การพัฒนาจะต้องเดินคู่กับการอนุรักษ์”
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ​“รมว.ทส. มอบนโยบาย อส. ชูประเด็นสำคัญ การพัฒนาจะต้องเดินคู่กับการอนุรักษ์” ​“รมว.ทส. มอบนโยบาย อส. ชูประเด็นสำคัญ การพัฒนาจะต้องเดินคู่กับการอนุรักษ์” นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานประชุมสรุปผลการดำเนินงาน พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ให้แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) ซึ่งในการประชุม ได้มีการถ่ายทอดสัญญาณสดผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไปยังหน่วยงานของกรม อส. ยังทั่วประเทศ รวมถึงพูดคุยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในป่าเขตอุทยานฯ ผ่านโปรแกรม Smart Patrol ด้วยในการนี้ได้มี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ (ปกท.ทส.) คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อส. รมว.ทส. ได้เน้นย้ำว่า “อส. ต้องดูแลพื้นที่อุทยานซึ่งเป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้ประเทศ สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน เป็นสถานที่พักผ่อนให้กับทุกคน ความสำเร็จของ อส. ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่อยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ สัตว์ป่า และความสุขของนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้วางมาตรการในการกำหนดปริมาณนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปในแต่ละจุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย และได้รับความสุขอย่างเต็มที่ทุกคน ความประทับใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์เกินกว่าที่คาดหวังไว้ เราต้องดูแลอุทยานที่รับผิดชอบให้ดี” นอกจากนั้น ยังได้กล่าวถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของอุทยานว่า “การอนุรักษ์กับการพัฒนา เป็นเรื่องคนละขั้วกัน แต่มันจะต้องไปควบคู่กัน” และย้ำอีกว่า “ทส ยกกำลัง 2 บวก 4 เราอาจจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสร้างความสุขให้ประชาชนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว” ปกท.ทส. ได้กล่าวเสริมในช่วงท้ายว่า “ต่อไปอาจจะต้องให้นักท่องเที่ยวกรอกข้อมูลโรคประจำตัว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของอุทยานเฝ้าระวังและสามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที เมื่ออาการของโรคเกิดขึ้น นั่นคือความใส่ใจที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีให้กับนักท่องเที่ยว” ในโอกาสนี้ รมว.ทส. ได้เดินเยี่ยมชมนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กรม อส. ได้นำมาจัดแสดงนิทรรศการ พร้อมชมการสาธิตการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กู้ภัย อส. ในการช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวหากเกิดเหตุร้าย เพื่อเตรียมความพร้อมสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37660
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​แนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM​ 2.5 ของรัฐบาล​
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ​แนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM​ 2.5 ของรัฐบาล​ ​แนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM​ 2.5 ของรัฐบาล​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมให้การแถลงสถานการณ์และแนวทางการจัดการฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาล โดยมีนายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย และร้อยตำรวจเอก พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร ร่วมให้การแถลงข่าว เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล โดยโอกาสนี้ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้กล่าวถึงสาเหตุปัญหาและภาพรวมการแก้ไขปัญหาการเกิดฝุนละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ห่วงใยและให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้กำหนดเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดยได้มึการเตรียการและกำหนดมาตรการแนวทาง โดยเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ได้กำหนดมาตรการ แผนปฏิบัติการวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการแก้ปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 และตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง รวมทั้ง ครม.เห็นชอบแนวทางเฉพาะกิจ 12 ประการ ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจัยสภาพอากาศที่ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก.ต่อ ลบ.ม.) ต่อเนื่องมาแล้ว 3-4 วัน ซึ่งในช่วงเวลานี้ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ได้บูรณาการการทำงานกับทุกหน่วยงาน และเมื่อเช้านี้หลังเกิดค่ามลพิษฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน 14 พื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งประสานงานกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ปัญหาและบรรเทาผลกระทบ โดยได้มีการกำหนดขอบเขตการยกระดับการปฏิบัติให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในวันนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ปรับแผนการปฏิบัติ ทั้งเรื่องการตรวจควันดำ ตรวจแหล่งกำเนิดภาคการจราจร โดยเฉพาะให้ความสำคัญของรถยนต์ที่ไม่ได้ตรวจสภาพและก่อให้เกิดควันดำ และจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น รวมทั้งการเผาในที่โล่งที่เพิ่มฝุ่น PM 2.5 ร้อยละ 30 ได้แก่ การเผาขยะ การเผาในพื้นที่ไร่นา หรือไร่อ้อย และขอให้งดการเผาที่โล่งในพื้นที่จังหวัดรอบกรุงเทพฯ นับตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 17 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง นอกจากนี้ ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ พร้อมใจลดราคาร้อยละ 30-50 ทั้งค่าอะไหล่และค่าแรงของช่างในการตรวจสภาพรถยนต์เก่าอายุ 15 ปีขึ้นไป เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่รายได้น้อย หรือใช้รถเก่าอยู่ กรณีที่ค่าฝุ่นเป็นสีแดงในหลายจุดนั้น กรอบวาระแห่งชาติฯ ระบุว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ 50-75 มคก./ลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องพิจารณาการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่หากใกล้ 100 มคก./ลบ.ม. ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจาณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ยกระดับมาตรการให้เข้มข้นมากขึ้น เบื้องต้นขอความร่วมมือประชาชนเพื่อลดฝุ่น PM 2.5
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กระทรวงทรัพยากรฯ​ ยกระดับคุณภาพการดำเนินงาน​ เตรียมพร้อมส่งมอบ​​"ของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน​ ประจำปี​ พ.ศ. 2564"
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ​กระทรวงทรัพยากรฯ​ ยกระดับคุณภาพการดำเนินงาน​ เตรียมพร้อมส่งมอบ​​"ของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน​ ประจำปี​ พ.ศ. 2564" ​กระทรวงทรัพยากรฯ​ ยกระดับคุณภาพการดำเนินงาน​ เตรียมพร้อมส่งมอบ​​"ของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน​ ประจำปี​ พ.ศ. 2564" วันนี้ (16 ธันวาคม 2563) เวลา 12.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ​ ศิลปอาชา​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมพิจารณา​ "ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน​ ประจำปี​ พ.ศ.2563" ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ เพื่อมอบความสุขให้แก่ประชาชน​ เช่น​ การจัดจุดแวะพักของ ทส.​ (Rest Area) เพื่อรับรองประชาชน​ที่เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่​ การจัดตั้งหน่วยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือประชาชน​ นักท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ​ การจัดที่ดินทำกินให้กับประชาชนตามโครงการ คทช. โดยกำหนดเป้าหมายจัดที่ดินทำกิน 1 ล้านไร่ และสำรวจแล้วเสร็จ 100% การจัดทำโครงการ "พฤกษามหามงคล" แจกกล้าไม้ 10 ล้านกล้า​ การจ้างงานประชาชน 5,500 อัตรา เพื่อสร้างสวนป่าของ อ.อ.ป.​ การจัดหาพัฒนาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค​ การจัดงาน Botanic Festival Inspiration การเปิดให้บริการฟรีสถานที่ท่องเที่ยวของกระทรวงฯ​ การลดราคาค่าเข้าชม ค่าสินค้า​ บ้านพักและผลิตภัณฑ์​ อ.อ.ป.ฯลฯ​ เป็นต้น​ ทั้งนี้​ ข้อเสนอของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนของกระทรวงฯ​ จะเสนอต่อคณะรัฐมตรี​ ทราบต่อ​ไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37662
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ.
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรมว.วธ. วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางอานา มาเรีย ปริเอโต อาบัด (H.E. Mrs. Ana Maria Prieto Abad) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อปรึกษาหารือเรื่องความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐโคลอมเบีย โดยมี นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือ ณ ห้องรับรอง ชั้น ๗ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พุทธิพงษ์” จัดระเบียบสายสื่อสารลงดิน ชูกรุงเทพฯมหานครอัจฉริยะ
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 “พุทธิพงษ์” จัดระเบียบสายสื่อสารลงดิน ชูกรุงเทพฯมหานครอัจฉริยะ “พุทธิพงษ์” จัดระเบียบสายสื่อสารลงดิน ชูกรุงเทพฯมหานครอัจฉริยะ วันนี้ (16 ธันวาคม 2563) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ลงตรวจพื้นที่มอบนโยบายจัดระเบียบสายสื่อสารของ บมจ.ทีโอที พร้อมด้วย นายมรกต เธียรมนตรี รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ทีโอที โดยเป็นการตรวจสภาพความเรียบร้อยสายสื่อสารและมอบนโยบายการจัดระเบียบสายสื่อสารในพื้นที่กรุงเทพชั้นในพื้นที่เขตปทุมวัน และเขตบางรัก จำนวน 3 จุด บริเวณถนนหลังสวน ปากซอยศาลาแดง และปากซอยคอนแวนต์ รองรับเป้าหมายการเป็นมหานครอัจฉริยะ Smart Metro ช่วยปรับทัศนียภาพให้สวยงาม มีความปลอดภัย ภายใต้การใช้งานโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน (Infrastructure Sharing) โดยตั้งเป้าหมายการดำเนินการในโครงการจัดระเบียบสายสื่อสารตามแผนงานแล้วเสร็จ เดือนสิงหาคม 2564 ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ปลื้ม ศูนย์บริหารแรงงาน EEC ปี 63 ผลงานด้านการจัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรม ทะลุเป้า 144%
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 รมว.แรงงาน ปลื้ม ศูนย์บริหารแรงงาน EEC ปี 63 ผลงานด้านการจัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรม ทะลุเป้า 144% รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พอใจ ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) มีผลการดำเนินงานประจำปีงบ 63 สำเร็จเกินเป้า สอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การจัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างรายได้และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับการพัฒนาให้กลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงาน ศูนย์ฯ ทำหน้าที่ในนามกระทรวงแรงงาน มีการบูรณาการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนในพื้นที่ ซึ่งในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานด้านการให้บริการจัดหางาน จำนวน 3 กิจกรรม ได้แก่ จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน ประกอบด้วย อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) และอุตสาหกรรมดั้งเดิม โดยมีเป้าหมาย 28,000 คน ผลการดำเนินงาน 40,464 คน คิดเป็นร้อยละ 144.51 แนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา เป้าหมาย 48,838 คน ผลการดำเนินงาน 70,401 คน คิดเป็นร้อยละ 144.15 และ ตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทำงาน เป้าหมาย 13,000 คน ผลการดำเนินงาน 10,372 คน คิดเป็นร้อยละ 79.78 “ในส่วนผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 2 กิจกรรม ได้แก่ ฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน 10 อุตสาหกรรม เป้าหมาย 10,095 คน ผลการดำเนินงาน 11,357 คน คิดเป็นร้อยละ 112.50 และส่งเสริมสถานประกอบการยกระดับทักษะแรงงาน 739,305 คน ด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จำนวน 3 กิจกรรม ได้แก่ ตรวจแรงงานในระบบ เป้าหมาย 1,305 แห่ง แรงงาน 55,800 คน ผลการดำเนินงาน 1,353 แห่ง แรงงาน 107,506 คน คิดเป็นร้อยละ 103.68 และ 199.66 ตรวจและกำกับสถานประกอบการ เป้าหมาย 870 แห่ง แรงงาน 61,700 คน ผลการดำเนินงาน 871 แห่ง แรงงาน 174,820 คน คิดเป็นร้อยละ 100.11 และ 283.34 สำรวจความต้องการแรงงานของสถานประกอบการ เป้าหมาย 10,224 แห่งผลการดำเนินงาน 11,872 แห่ง และด้านประกันสังคม มี 4 กิจกรรม ได้แก่ ให้คำปรึกษาแนะนำด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคมฯ เป้าหมาย 2,280,300 คน ผลการดำเนินงาน 2,728,602 คน คิดเป็นร้อยละ 119.66 ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 เป้าหมาย 55,577 คน ผลการดำเนินงาน 100,922 คน คิดเป็นร้อยละ 181.59 ส่งเสริม e-service และ e-Payment เป้าหมาย 21,664 คน ผลการดำเนินงาน 28,879 คน คิดเป็นร้อยละ 133.30 และตรวจสุขภาพประจำปีแก่ผู้ประกันตน เป้าหมาย 143,032 คน ผลการดำเนินงาน 161,139 คน คิดเป็นร้อยละ 112.66 ” รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Center) จัดตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2562 สถานที่ตั้งอยู่ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี เพื่อให้บริการด้านข้อมูลแรงงาน ส่งเสริมการมีงานทำ คุ้มครองแรงงานและสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ (Super Worker) อำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการตรวจลงตราและอนุญาตทำงานแก่ผู้บริหาร ช่างฝีมือ ผู้ชำนาญ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม และกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียม รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในการวางแผนการผลิต การพัฒนากำลังแรงงาน “ นอกจากผลการดำเนินงานที่เป็นภารกิจหลักแล้ว ในปีงบประมาณ 2563 ศูนย์ฯ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่ การประชุมบูรณาการร่วมขับเคลื่อนศูนย์กับหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 88 ครั้ง ประชาสัมพันธ์รูปแบบเอกสารให้กับประชาชนในพื้นที่ จำนวน 2,040 ฉบับ และรูปแบบอื่น ๆ เช่น วิทยุชุมชน แนะนำในสถาบันการศึกษา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รถบริการจัดหางานเคลื่อนที่ เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ (Facebook / Youtube) จำนวน 537 ครั้ง และการจัดงาน Job Expo Thailand 2020 ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายน 2563 สถานประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกแจ้งตำแหน่งงานว่าง จนวน 86,848 อัตรา มีผู้สมัครงาน จำนวน 13,351 คน และได้รับการบรรจุงาน จำนวน 4,025 คน ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37652
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.ธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอนบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบ New Normal
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 รพ.ธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอนบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบ New Normal โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน ปรับรูปแบบบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบ New Normal ขยายเครือข่ายบริการคลินิกเมทาโดนไปโรงพยาบาลชุมชน ให้ผู้ป่วยรับบริการใกล้บ้าน ลดแออัดในโรงพยาบาล บริการออนไลน์ ให้คำปรึกษายาเสพติด คลินิกบุหรี่ออนไลน์ ติดตามผู้ป่วยหลังบำ โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน ปรับรูปแบบบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแบบ New Normal ขยายเครือข่ายบริการคลินิกเมทาโดนไปโรงพยาบาลชุมชน ให้ผู้ป่วยรับบริการใกล้บ้าน ลดแออัดในโรงพยาบาล บริการออนไลน์ ให้คำปรึกษายาเสพติด คลินิกบุหรี่ออนไลน์ ติดตามผู้ป่วยหลังบำบัด ญาติเยี่ยมออนไลน์ รับยาทางไปรษณีย์ พร้อมจัดระบบดูแลผู้เสพฝิ่นแบบชุมชนมีส่วนร่วม มีอสม.ร่วมทีมค้นหา/คัดกรอง/ติดตามดูแลต่อเนื่องในชุมชน ป้องกันการติดซ้ำ วันนี้ (16 ธันวาคม 2563) ที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานบำบัดรักษายาและสารเสพติด และแนวทางการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิด 19 ดร.สาธิตกล่าวว่า ในวันนี้ ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายที่สำคัญ รวมทั้งการให้ บริการผู้ป่วย ผู้ติดสารเสพติดต่าง ๆ ในช่วงสถานการณ์โรคโควิด 19 ซึ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากนอกประเทศ และเป็นพื้นที่สูง ห่างไกล ประชาชนเข้าถึงบริการค่อนข้างลำบาก กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดบริการเฉพาะด้านการบำบัดรักษาสารเสพติดที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับการรักษาใกล้บ้าน และปรับระบบบริการแบบ New Normal ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ลดความเสี่ยงของบุคลากรและผู้รับบริการ โดยเพิ่มบริการออนไลน์ อาทิ การให้คำปรึกษายาเสพติดทางเฟสบุ๊คของโรงพยาบาล, ไลน์กลุ่ม คลินิกปอดยิ้ม ให้คำปรึกษาเรื่องบุหรี่, ไลน์กลุ่ม ธัญญารักษ์ COC-MHS ติดตามผู้ป่วยหลังบำบัด, ญาติเยี่ยมออนไลน์และกิจกรรมบำบัดทางโปรแกรม ZOOM บริการรับยาทางไปรษณีย์ให้ผู้ป่วยที่บ้าน และเตรียมหอผู้ป่วยแยกไว้รองรับผู้ป่วยโรคโควิด 19 รวมทั้งขยายการให้บริการคลินิกเมทาโดนไปโรงพยาบาลชุมชน 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลปางมะผ้า โรงพยาบาลแม่ลาน้อย และเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลขุนยวม และโรงพยาบาลสบเมย ในปี 2564 เพื่อให้ผู้ป่วยรับบริการใกล้บ้าน ลดรอคอย ลดแออัดในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ได้จัดระบบดูแลผู้เสพฝิ่นแบบชุมชนมีส่วนร่วม ซึ่งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาจำนวนผู้ป่วยนอกที่มารับบริการส่วนใหญ่เป็นผู้ติดฝิ่น โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขร่วมกับชุมชนสำรวจค้นหาผู้ป่วยรายใหม่/ติดซ้ำ ส่งต่อมาคัดกรอง/รับการบำบัดรักษาที่โรงพยาบาล และติดตามดูแลทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการบำบัดต่อเนื่องในชุมชนป้องกันกลับไปติดซ้ำ และมีเครือข่ายภาคประชาสังคม อบต. ทหาร ตำรวจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต จิตใจ และสังคม ฟื้นฟูสภาพและทักษะการใช้ชีวิตเมื่อกลับสู่ชุมชน นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอนเป็นโรงพยาบาลขนาด 90 เตียง ในสังกัดกรมการแพทย์ จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีด้านการบำบัดรักษายาเสพติด ให้บริการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติดให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข ไม่พึ่งพายาเสพติด โดยเน้นประชากรกลุ่มเป้าหมายในเขตพื้นที่ รวมทั้งมอบให้เป็นศูนย์กลางโรงพยาบาลของกรมการแพทย์ในการดูแลประชาชนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและแนวชายแดนของจังหวัดข้างเคียง ทั้งนี้ ในปี 2563 ผู้รับบริการ 5 อันดับแรก แผนกผู้ป่วยนอกได้แก่ ฝิ่น 1,784 ราย เฮโรอีน 224 ราย, สุรา 268 ราย บุหรี่ 49 ราย และกัญชา 8 ราย ส่วนผู้ป่วยใน ได้แก่ ยาบ้า 252 ราย ฝิ่น 81 ราย เฮโรอีน 102 ราย สุรา 238 ราย กัญชา 3 ราย ****************************** 16 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการของเวทีการประชุมเศรษฐกิจโลก (WEF) ภายใต้หัวข้อ “Cross - border data flows in Thailand” ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ดีอีเอส ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการของเวทีการประชุมเศรษฐกิจโลก (WEF) ภายใต้หัวข้อ “Cross - border data flows in Thailand” ผ่านระบบการประชุมทางไกล ดีอีเอส ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการของเวทีการประชุมเศรษฐกิจโลก (WEF) ภายใต้หัวข้อ “Cross - border data flows in Thailand” ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเวทีการประชุมเชิงปฏิบัติการ การประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ของ WEF ภายใต้หัวข้อ “Cross - border data flows in Thailand” ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งเป็นครั้งที่ ๒ ตามกำหนดการจัดการประชุมฯ ในปี ๒๕๖๓ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม และอินเดีย ในโอกาสนี้ ได้ร่วมเป็นผู้แทนกล่าวในช่วง Opening Panel ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ โดยได้นำเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย รวมถึงการดำเนินงานและมาตรการต่าง ๆ ในการตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – ๑๙ ที่ถือเป็นตัวเร่งในการพัฒนาการให้บริการออนไลน์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ในส่วนของการพัฒนาด้าน Digital Trust ได้นำเสนอความก้าวหน้าของการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลการใช้ข้อมูลอย่างเหมาะสมในระบบนิเวศทางดิจิทัลและสร้างความสมดุลระหว่างการใช้ข้อมูล และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวสนับสนุนกลไกการไหลเวียนของข้อมูลข้ามพรมแดน เช่น APEC, CBPR และมาตรฐานระหว่างประเทศต่าง ๆ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายลำดับรอง ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการยกร่างกฎหมาย แนวทางการดำเนินงาน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวได้รับความสนใจและประสบความสำเร็จอย่างดีจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ โดยที่ประชุมฯ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ในประเด็นธรรมาภิบาลการไหลเวียนของข้อมูล (data flow governance) ในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศ โดยมีหน่วยงานของกระทรวงฯ ที่เข้าร่วมการประชุมฯ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ 64 ไตรมาส 1 ณ สิ้นเดือน พ.ย. เกินเป้าหมายที่กำหนด
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 กรมบัญชีกลางเผยผลใช้จ่ายเงินปีงบประมาณ 64 ไตรมาส 1 ณ สิ้นเดือน พ.ย. เกินเป้าหมายที่กำหนด กรมบัญชีกลางรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ใช้จ่ายแล้ว 750,508 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.84 ของวงเงินงบประมาณ นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 30 พ.ย. 63 สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ 2563 จำนวน 189,192 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.30 โดยงบประมาณภาพรวมใช้จ่ายแล้ว จำนวน 750,508 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.84 (เป้าหมาย ร้อยละ 21.33) ของวงเงินงบประมาณ 3,285,963 ล้านบาท จำแนกเป็น 1) รายจ่ายลงทุน จำนวน 100,849 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.54 ของวงเงินงบประมาณ 649,062 ล้านบาท (เป้าหมาย ร้อยละ 13.33) 2) รายจ่ายประจำ จำนวน 649,659 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.64 ของวงเงินงบประมาณ 2,636,900 ล้านบาท สำหรับเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี มีการใช้จ่าย จำนวน 204,609 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 96.45 ของวงเงินงบประมาณ 212,136 ล้านบาท “ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ ที่จะต้องเร่งรัด สนับสนุนให้มีเม็ดเงินจากระบบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ลงสู่ระบบเศรษฐกิจให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการการคลังด้านการใช้จ่ายภาครัฐ นั้น กรมบัญชีกลางได้ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยจัดทีมคณะทำงานเฉพาะกิจในการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อสนับสนุนหน่วยรับงบประมาณทุกแห่งให้ดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” สร้างโอกาสประเทศยุคโควิด มุ่งตลาดฮาลาล 48 ล้านล้าน
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 “เฉลิมชัย” สร้างโอกาสประเทศยุคโควิด มุ่งตลาดฮาลาล 48 ล้านล้าน “เฉลิมชัย” สร้างโอกาสประเทศยุคโควิด มุ่งตลาดฮาลาล 48 ล้านล้าน เล็งกลุ่มประเทศมุสลิม 2 พันล้านคน ประกาศ 1 วิสัยทัศน์ 5 นโยบายฮาลาล วางเป้าไทยผู้นำอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาล นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” นายสมศักดิ์ เมดาน รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และ รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร. ปกรณ์ ปรียากร ผู้อำนวยการสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวที่กระทรวงเกษตรฯ วันนี้ (16 ธ.ค) ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เล็งเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยภายใต้วิกฤติการณ์โควิด 19 ในการเป็นประเทศผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและผลผลิตเกษตรมาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดเป้าหมายใหม่กลุ่มประเทศมุสลิม 2,000 ล้านคน และผู้บริโภคสินค้าฮาลาลที่ไม่ใช่มุสลิมทั่วโลก โดยในปี 2020 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่า 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (48,004,350 ล้านบาท) และประเมินว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 71,545,354 ล้านบาท) ในปี 2026 และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (16.8 ล้านล้านบาท) ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมนี้ จึงได้เห็นชอบวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐานฮาลาล ซึ่งเสนอโดยคณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายฮาลาลที่มี รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน เป็นประธานเพื่อเป็นเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาลสำหรับประเทศไทยต่อไป รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฯกล่าวว่า การจัดทําวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” สอดคล้องกับแผนระดับชาติซึ่งเป็นทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยมีแผนที่สําคัญ 3 แผน ประกอบด้วย 1) แผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 2) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเกษตร พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐ และ 3) แผนพัฒนาการเกษตรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 ทั้งนี้ ได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นําในการพัฒนา ผลิต และส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล สู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย โดยใช้หลักศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในปี 2570 โดยมีแนวทางการส่งเสริมการค้าผลผลิตการเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาล 5 นโยบาย ดังนี้ 1. นโยบายเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล 2. นโยบายยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร 3. นโยบายเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค 4. นโยบายเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์ 5. นโยบายยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยมีแนวทางสำคัญๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Halal Hub) การจัดตั้งสถาบันฮาลาล(Halal Academy) การพัฒนาฐานข้อมูลฮาลาล (Thailand Halal Big Data) และการส่งเสริมฐานข้อมูลวัตถุดิบฮาลาล (H Number) รวมทั้งระบบศูนย์ข้อมูลกลางการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอิเล็คทรอนิกส์ด้านฮาลาล (System Protocol for Halal Electronic Resources Exchange หรือ SPHERE) “ศูนย์วิทยาศาสตร์ ฮาลาล จุฬาลงกรณ์ มหา วิทยาลัย พัฒนางานทางด้านการตรวจวิเคราะห์นิติวิทยาศาสตร์ จำนวน 13 4,509 การวิเคราะห์ และได้พัฒนา ระบบ H-Number ขึ้นมาเพื่อเพิ่มความสามารถ ด้านการแข่งขัน ของผลิตภัณฑ์ฮาลาลไทย” รศ.ดร.วินัย กล่าว รศ.ดร.ปกรณ์ ปรียากร ผู้อำนวยการสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรฐานฮาลาลของไทย มีความสอดคล้องต้องกันและเป็นที่ยอมรับของมาตรฐานฮาลาลโลก การกำหนดวิสัยทัศน์และนโยบายฮาลาลในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยเป็นเป้าหมาย และโรดแม็ปสำหรับการพัฒนาสินค้ามาตรฐานฮาลาลสู่ตลาดโลก ด้านนายสมศักดิ์ เมดาน รองเลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มาตรฐานฮาลาลไทย “ตามหลักการอิสลาม โดยองค์กรศาสนา ด้วยมาตรฐานสากล” วันนี้ เรามีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฮาลาลมากกว่าแสนห้าหมื่นรายการ ถือว่ามากที่สุดในโลก เครื่องหมายรับรองฮาลาลไทยเป็นเครื่องหมายรับรองฮาลาลเครื่องหมายแรกของโลก ระบบการตรวจรับรองฮาลาลไทยก็ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก อีกทั้งมาตรฐานฮาลาลไทยใช้หลักการศาสนาอิสลามเป็นหลักในการกำหนดมาตรฐานตรวจรับรองและใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมเป็นเครื่องมือในการตรวจรับรองในกรณีที่มีความจำเป็น เช่นการตรวจส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์หรือ DNA ของสัตว์ประเทศไทยเรามีเครื่องหมายรับรองเครื่องหมายเดียว และมาตรฐานเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการยอมรับของนานาประเทศทั่วโลก ภูมิใจในความเป็นมุสลิมไทย ที่ได้มีส่วนช่วยเหลือทุกภาคส่วนในเรื่องของฮาลาล สำหรับรายละเอียดของ5นโยบายและแนวทางต่างๆมีดังนี้ 1. นโยบายเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาลมุ่งเน้นสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการดําเนินกิจการของหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล ตามแนวทางศาสนารับรองและวิทยาศาสตร์รองรับ ตลอดกระบวนการรับรองมาตรฐานฮาลาล รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในประเด็นมาตรฐานฮาลาลไทย เพื่อเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ SMEs ในการผลิตและการค้าสินค้าเกษตร และอาหาร มาตรฐานฮาลาล โดยดําเนินการ7แนวทางดังนี้1.1 เพิ่มขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการหน่วยงานรับรองฮาลาลในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้อง 1.2 เพิ่มขีดความสามารถด้านบุคลากรของหน่วยงานรับรองฮาลาล1.3 เพิ่มประสิทธิภาพด้านฐานข้อมูล Thailand Halal Big Data1.4 เพิ่มขีดความสามารถเครือข่ายหน่วยตรวจรับรองฮาลาล1.5 เชื่อมโยงและบูรณาการทํางานของหน่วยงานต่างๆ และปรับระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์1.6 เพิ่มจํานวนห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนที่ต้องห้ามตามหลักศาสนบัญญัติ1.7 ศึกษาและติดตามกฎระเบียบข้อบังคับ กติกาการนําเข้า-ส่งออกของประเทศคู่ค้า เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และประสานความร่วมมือกันหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อลดข้อกีดกันทางการค้า 2.นโยบายยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร ด้วยหลักศาสนา มาตรฐาน ฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมุ่งเน้นส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ SMEs ให้ใช้ ประโยชน์พื้นที่ทางการเกษตร ซึ่งมีความได้เปรียบในเรื่องสภาพพื้นที่และภูมิอากาศที่เหมาะสมทางการเกษตร และการผลิตอาหาร โดยนําหลักศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร และอาหารมาตรฐานฮาลาล ซึ่งประกอบด้วย5แนวทางการพัฒนา ดังนี้2.1 สนับสนุนและส่งเสริมผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ให้ผลิตสินค้าที่ได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาลเพื่อขยายตลาดผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลทั้งในและต่างประเทศ2.2นําหลักศาสนา มาตรฐานฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรมีคุณภาพ มีมาตรฐานความปลอดภัย 2.3สนับสนุนและส่งเสริมการนําฐานข้อมูลวัตถุดิบฮาลาล (H Number)รวมทั้งระบบศูนย์ข้อมูลกลางการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอิเล็คทรอนิกส์ด้านฮาลาล (System Protocol for Halal Electronic Resources Exchange หรือ SPHERE) เพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดฮาลาลภูมิภาคIMT-GT GMS และอาเซียน2.4 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับการรับรองฮาลาลของประเทศไทย (Thailand Halal Big Data ) และแอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับฮาลาล ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อประโยชน์ของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ประชาชน ผู้ใช้บริการทั่วไปและประเทศ2.5 บริหารจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับการผลิตให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยการใช้หลักศาสนามาตรฐานฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต 3.นโยบายเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภคมุ่งพัฒนาเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ SMEs ให้ได้รับความรู้ในการผลิต ที่มีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการที่ดี และกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามหลักมาตรฐานฮาลาล ตลอดจนการนําความรู้ไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพโดยดําเนินการ3แนวทาง ดังนี้3.1 เร่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งความรู้และทักษะเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาล ตั้งแต่เกษตรกร สถาบัน เกษตรกร ผู้ประกอบการ ภาครัฐ และเอกชน และเร่งผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง Halal Academy3.2 เพิ่มช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีข้อมูลข่าวสาร สินค้าเกษตรและอาหารฮาลาล สามารถปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง3.3 ส่งเสริมสนับสนุนให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการ ได้เรียนรู้และเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์ของพระราชา และน้อมนําไปเป็นแนวปฏิบัติในการประกอบอาชีพเพื่อความมั่นคงและยั่งยืน 4. นโยบายเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์มุ่งเน้นให้เกิดการขยายตัวของสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลของไทยทั้งภายในประเทศ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นชาวมุสลิมและไม่ใช่ชาวมุสลิมเพิ่มมากขึ้น โดยใช้ศักยภาพเรื่องความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของอาหารฮาลาล และเครื่องหมายฮาลาลของไทย ตลอดจนการเป็นประเทศที่มีที่ตั้งเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคอาเซียน โดยดําเนินการ4แนวทางดังนี้4.1 ขยายการค้าสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลไทยไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมเพิ่มมากขึ้น โดยยังคงเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวมุสลิมอย่างต่อเนื่อง4.2 จัดตั้งศูนย์แสดงสินค้าฮาลาล (Halal Mart/Halal Outlet/Halal Showcase) เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ต้องการสินค้าฮาลาล มีความสะดวกและเกิดความเชื่อมั่นในการเลือกซื้อสินค้า และเป็นที่รองรับสินค้าที่ผลิตโดยเกษตรกร ผู้ประกอบการ และ SMEs ตลอดจนการติดต่อธุรกิจการค้าสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาล4.3 ส่งเสริมค่านิยมในการบริโภคและใช้สินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าฮาลาลไทย เพื่อกระตุ้นการ บริโภคภายในประเทศตรวจสอบสถานะฮาลาลของวัตถุเจือปนอาหารบางประเภทในกระบวนการตรวจรับรองฮาลาลเพื่อลดค่าใช้จ่ายโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ แอพพลิเคชั่นและนวัตกรรมเพื่อการจัดทําฐานข้อมูลและสนับสนุนการรับรองฮาลาล4.4 จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า (Halal Hub) เพื่อกระจายสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเชียน) 5.นโยบายยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศยกระดับความน่าเชื่อมั่นในสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลไทย ในเรื่องคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยทางอาหาร โดยเฉพาะสินค้าฮาลาลไทยอย่างต่อเนื่องให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้4แนวทางดังนี้5.1 เร่งส่งเสริมประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าเกษตรและอาหารมาตรฐานฮาลาลไทย ให้เป็นที่ต้องการทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยผ่านกิจกรรมทางการสื่อสารการตลาด การแสดงสินค้าและนิทรรศการนานาชาติ (MICE) ทั้ง Offline และ Online5.2 พัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรและอาหาร ให้ได้มาตรฐานและความปลอดภัย โดยใช้จุดแข็งในเรื่องความสามารถในการผลิตของไทยและการได้รับการยอมรับในระดับสากลถึงคุณภาพสินค้าเกษตรและอาหารไทย เพื่อลดอุปสรรคหรือข้อกีดกันทางการค้า5.3 พัฒนาการผลิตแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรซึ่งเป็นวัตถุดิบสําคัญในการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร และสินค้าเกษตรฮาลาล โดยยกระดับคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของสินค้าที่ตรงต่อความต้องการของตลาด5.4 ประชาสัมพันธ์มาตรฐานฮาลาลไทย และเครื่องหมายรับรองฮาลาลของไทย เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายอลงกรณ์กล่าวว่าคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล”จะนำเสนอรายงานต่อดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาเห็นชอบและเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบวิสัยทัศน์ฮาลาลในลำดับต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ มอบนโยบายกรมป่าไม้ ย้ำ “ปัญหายากที่สุดก็ยังแก้ได้ด้วยการปลูกต้นไม้”
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 รมว.วราวุธ มอบนโยบายกรมป่าไม้ ย้ำ “ปัญหายากที่สุดก็ยังแก้ได้ด้วยการปลูกต้นไม้” รมว.วราวุธ มอบนโยบายกรมป่าไม้ ย้ำ “ปัญหายากที่สุดก็ยังแก้ได้ด้วยการปลูกต้นไม้” นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานประชุมสรุปผลการดำเนินงาน พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ให้แก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กรมป่าไม้ โดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีฯ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุม 1 อาคารสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ กรมป่าไม้ รมว.ทส. ได้ให้นโยบายที่สำคัญในหลายประเด็น ได้แก่ การเร่งดำเนินการจัดหาที่ดินทำกิน ตามนโยบาย คทช. ของรัฐบาล โดยจะต้องให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชน การให้เร่งศึกษานวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง ยังกล่าวถึงหน่วยงานต่างๆ ในส่วนภูมิภาคว่าจะต้องสอดประสานการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) เป็นศูนย์กลางในการประสานงาน นอกจากนั้น ได้ย้ำว่า การแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าใจถึงหัวใจของปัญหาและความรู้สึกของประชาชนอย่างแท้จริง เน้นสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ย้ำ “ข้าราชการกระทรวงทรัพยากรฯ มีหน้าที่แก้ปัญหาให้ประชาชน ไม่ได้มาเพิ่มปัญหา ซึ่งเราจะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน โดยนำแนวพระราชดำรัสมาปรับใช้ในการแก้ปัญหา” นอกจากนั้น รมว.ทส. ยังได้กล่าวกว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้นั้น สามารถทำได้ แต่จะต้องอยู่บนความเหมาะสมกับการฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ด้วย” “ปัญหาที่ยากที่สุด ก็สามารถแก้ได้ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด นั่นคือการปลูกต้นไม้” รมว.ทส. กล่าวในตอนท้าย ในโอกาสนี้ รมว.ทส. ได้เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ณ ลานวงเวียนหน้ากรมป่าไม้ ทำนุบำรุงต้นไม้ (รุกขกร) และเดินเยี่ยมชมนิทรรศการต่าง ๆ อีกด้วย โดยมี อธิบดีกรมป่าไม้ คณะผู้บริหาร และข้าราชการของกรม ร่วมให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “จุรินทร์”จัดหนัก!!! “ลดกระหน่ำ ข้ามปี” 45 วันเต็ม เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งสินค้ากว่า 22,000 รายการ บริการกว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 87 % หากใช้ร่วมกับ”คนละครึ่ง”
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 “จุรินทร์”จัดหนัก!!! “ลดกระหน่ำ ข้ามปี” 45 วันเต็ม เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งสินค้ากว่า 22,000 รายการ บริการกว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 87 % หากใช้ร่วมกับ”คนละครึ่ง” “จุรินทร์”จัดหนัก!!! “ลดกระหน่ำ ข้ามปี” 45 วันเต็ม เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ทั้งสินค้ากว่า 22,000 รายการ บริการกว่า 500 รายการ ลดสูงสุด 87 % หากใช้ร่วมกับ”คนละครึ่ง” ควัก 100 บาทซื้อของได้ 1,000 บาท 16 ธันวาคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงข่าวโครงการ “พาณิชย์ลดกระหน่ำ ข้ามปี! New Year Grand Sale 2021” ในวันนี้ 16 ธันวาคม 2563 ที่กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนมาโดยตลอด และในโอกาสขึ้นปีใหม่ในครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนและทุกภาคส่วนช่วยกันลดราคาสินค้าและบริการเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 รวมระยะเวลา 45 วัน นายจุรินทร์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปช่วยดูแลค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนโดยต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการพาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชนได้ดำเนินการมา 7 Lot ด้วยกัน ครั้งนี้จะเป็นอีก Lot หนึ่งเป็นพาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน Lot 8 แต่เนื่องในโอกาสที่จะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ช่วยสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงขอเรียกว่า"พาณิชย์ลดกระหน่ำ ข้ามปี! New Year Grand Sale 2021 " โดยจะมีความแตกต่างจากที่ผ่านมา 4 ประเด็น 1.ก่อนหน้านี้ลดเฉพาะราคาสินค้าครั้งนี้ลดราคาทั้งสินค้าและบริการในช่วงปีใหม่ 2.ลดทั้งการขายออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นรูปแบบเฉพาะออฟไลน์ 3.ครั้งนี้ลดมากที่สุดนานที่สุดมีหมวดรายการสินค้าและบริการเข้าร่วมมากที่สุด มีภาคเอกชนทุกภาคส่วนเข้าร่วมมากที่สุด 4.มีร้านธงฟ้าซึ่งกระจายอยู่ในชนบททั่วทั้งประเทศเข้าร่วมถึง 2,159 แห่ง กระจายอยู่ทั่วภูมิภาค ครั้งนี้เป็นการลดราคาใน 4 กลุ่มสินค้าและบริการหลักคือ 1.สินค้าต่างๆ ที่มีสินค้าเข้าร่วมกว่า 22,000 รายการ ใน 15 หมวดสินค้า เช่น อาหารและเครื่องดื่ม อาหารปรุงสำเร็จ ซอสปรุงรส ของใช้ในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์ชำระร่างกาย ผลิตภัณฑ์ซักล้าง อาหารเสริม เครื่องครัว เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มาเข้าร่วมเป็นครั้งแรก และยังมียารักษาโรค เวชภัณฑ์ ยางรถยนตร์ อุปกรณ์งานช่าง วัสดุก่อสร้าง รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและหมวดอื่นๆที่เกี่ยวข้องรวม 15 หมวด ลดสูงสุดถึง 85% 2.หมวดบริการ มีมาเข้าร่วมกว่า 500 รายการ ลดราคาสูงสุดถึง 87% ใน 4 หมวดบริการสำคัญ ประกอบด้วย 1.บริการทางการแพทย์ 2.ศูนย์บริการยานยนต์ 3.โรงแรมที่พัก และ 4.ร้านอาหารซึ่งมีสมาคมภัตตาคารเป็นหัวเรือใหญ่ร่วมกับร้านอาหารทั่วประเทศเข้าร่วม 3.หมวดแพลตฟอร์มสำคัญ 4 แพลตฟอร์ม ประกอบด้วย 1.ไปรษณีย์ไทยมหาชนจำกัด ซึ่งลดราคาสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทย หรือ thaipostmart.com ลดทั้งค่าสินค้าและค่าขนส่ง 2. grab food ลดทั้งราคาสินค้าและค่าขนส่ง โดยลดในส่วนของคูปองถึง 50% 3.ลาซาด้า ลดราคาสินค้าในลาซาด้ามากกว่าที่ลดปกติ และ4.ชอบไทย ลดราคาสินค้าถึง 60% โดยแพลตฟอร์มจะลดทั้งราคาสินค้าและค่าขนส่ง และหมวดที่ 4.โลจิสติกส์จะมีสายการบิน 3 สายการบินที่เข้าร่วมรายการกับพาณิชย์ลดกระหน่ำข้ามปี คือ นกแอร์ ไทยสมายล์และไลออนแอร์ เพิ่มน้ำหนักโดยไม่คิดมูลค่าให้กับผู้โดยสาร 5-15 กิโลกรัม โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ผ่านคิวอาร์โค้ดที่ติดอยู่ในป้าย พาณิชย์ลดกระหน่ำ ข้ามปี! New Year Grand Sale 2021 ที่ปรากฏอยู่ในห้างร้านสินค้าต่างๆ ตั้งแต่วันนี้วันที่ 16 ธันวาคมถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 " หวังว่างานนี้จะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องคนไทยทั่วทั้งประเทศไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และขอฝากพาณิชย์จังหวัดทั่วทั้งประเทศ ให้ช่วยติดตามเพื่อให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในตำบลหมู่บ้าน ให้เข้าใจและได้รับรู้ถึงโครงการ พาณิชย์ลดกระหน่ำ ข้ามปี! New Year Grand Sale 2021 และช่วยตรวจตราราคาสินค้าให้เป็นไปตามภารกิจทั่วทั้งประเทศ โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมการค้าส่ง – ปลีกไทย ห้างค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ห้างท้องถิ่น รวมมากกว่า 16,900 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ประกอบการธุรกิจขนส่ง ผู้ประกอบการยานยนต์ ยางรถยนต์ โรงพยาบาล โรงแรม และสมาคมภัตตาคารไทย โดยในงานมีการลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการต่างๆ และมีการจำหน่ายสินค้าผ่านร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในระดับตำบลทั่วประเทศ ซึ่งสามารถช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้บริโภคในวงกว้างได้อย่างแท้จริง" นายจุรินทร์ กล่าว และครั้งนี้ มีการจำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สินค้าหมวดยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องเขียน ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ บริการทางการแพทย์ ร้านอาหารชื่อดัง สายการบิน โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา บริการโลจิสติกส์ ดิจิตอลแพลตฟอร์ม รวมทั้งสินค้าจากร้านธงฟ้า และห้างท้องถิ่น รวมสินค้าและบริการมากกว่า 22,000 รายการ ลดราคาสูงสุดถึงร้อยละ 87 ซึ่งคาดว่าสามารถช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนประมาณ 1,000 ล้านบาท และจะมีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่าย และกระตุ้นให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยให้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย กรมการค้าภายใน ระบุด้วยว่ากระทรวงพาณิชย์ ยังได้นำร่องออกร้านจัดงานเพื่อบริการประชาชนร้านอเนกประสงค์ของกระทรวงเองตั้งแต่ 16-18 ธันวาคม 2563 นี้ด้วย ซึ่งพี่น้องประชาชนและพี่น้องราชการที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสามารถมาจับจ่ายได้นอกจากการลดราคาแล้วยังมีบริการร้านคนละครึ่งมาออกบูธร่วมอยู่ด้วย ส่วนการลดกระหน่ำ ข้ามปี! นั้นจะดำเนินการตั้งแต่วันนี้ คือวันที่ 16 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 พร้อมกันทั้งประเทศใกล้ที่ไหนไปที่นั่นได้เลย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ตรวจความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ และทดลองนั่งรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สถานีบางซื่อถึงสถานีรังสิต
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรี ตรวจความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ และทดลองนั่งรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สถานีบางซื่อถึงสถานีรังสิต นายกรัฐมนตรี ตรวจความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ และทดลองนั่งรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สถานีบางซื่อถึงสถานีรังสิต วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ และทดลองนั่งรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สถานีบางซื่อถึงสถานีรังสิต โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรี ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรม ณ สถานีกลางบางซื่อ ถนนกำแพงเพชร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ทั้งนี้ สถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางขนส่งระบบรางที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นศูนย์รวมการเดินทางจุดเชื่อมต่อทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน และรถขนส่งสาธารณะต่างๆ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จะเริ่มทดสอบเดินรถเสมือนจริงภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๔ เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริม สร้างโอกาสทางการกีฬา พัฒนาวงการกีฬาและนักกีฬาทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง ให้มีความพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและสากล
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริม สร้างโอกาสทางการกีฬา พัฒนาวงการกีฬาและนักกีฬาทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง ให้มีความพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและสากล นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริม สร้างโอกาสทางการกีฬา พัฒนาวงการกีฬาและนักกีฬาทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง ให้มีความพร้อมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและสากล วันนี้ (16 ธ.ค. 63) เวลา 17.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณแก่นักกีฬาดีเด่น ผู้ฝึกสอน และบุคลากรในวงการกีฬาที่ทำคุณประโยชน์ให้กับวงการกีฬา เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2563 รวม 21 รางวัล โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นักกีฬาดีเด่น ผู้ฝึกสอน และบุคลากรในวงการกีฬา ที่ได้รับรางวัลเข้าร่วมงาน โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล พร้อมกล่าวว่า งานประกาศเกียรติคุณนักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬาดีเด่น เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ประจำปี 2563 เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย และได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาเรือใบ ในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้คนไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่า ปี 2563 วงการกีฬาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID –19) ทำให้การแข่งขันกีฬาทั้งในระดับชาติและนานาชาติต้องเลื่อนการแข่งขันออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่จะเห็นได้ว่าแม้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย การกีฬาของประเทศไทยก็สามารถปรับตัวให้สามารถดำเนินกิจกรรมภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดได้ อีกทั้ง ศบค. ยังได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้นักกีฬาได้มีการซ้อม ทำให้ยังคงปรากฏผลงานของนักกีฬาและบุคลากรทางการกีฬา ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาวงการกีฬาของชาติ โดยจะพัฒนาวงการกีฬาและนักกีฬาทุกประเภทอย่างต่อเนื่อง ให้มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งต้องมีการเตรียมการตั้งแต่รุ่นเยาว์ให้มีการแข่งขันกันในประเทศและต่างประเทศ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นส่งเสริม สร้างโอกาสทางการกีฬา ให้การสนับสนุนนักกีฬาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการกีฬาเพื่อประชาชน ตลอดจนสร้างนักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศและพัฒนาการกีฬาสู่การสร้างเศรษฐกิจอย่างครบวงจร นายกรัฐมนตรีได้แนะแนวทางแก่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในเรื่องการแข่งขันวิ่งเทรล ซึ่งมีความพร้อมในการจัดการแข่งขันอยู่แล้วในขณะนี้ โดยต้องการให้ผู้จัดรายเล็กและรายใหญ่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันด้วย เพื่อสร้างรายได้สร้างอาชีพให้กับคนทั่วประเทศ พร้อมกับนายกรัฐมนตรีแนะให้มีการนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัล การนำปัญญาประดิษฐ์ AI มาเสริมการกีฬา และสนับสนุนการแข่งขันกีฬา รวมทั้งขอให้นักกีฬาได้เน้นเรียนรู้วิทยาศาสตร์การกีฬาให้มากที่สุด และต้องคำนึงถึงสภาพร่างกายของตนเองเพื่อความปลอดภัยในการเล่นกีฬา และขอให้นักกีฬาทุกคนเป็นแบบอย่างของความตั้งใจความพากเพียร และความมานะให้แก่เด็กและเยาวชนไทยต่อไป นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงหลักคิดเรื่องนาฬิกาแห่งชีวิต ซึ่งเป็นหลักในการทำงานให้สำเร็จเพื่อประเทศไทยของนายกรัฐมนตรี ว่า นาฬิกาต้องเดินทุกเรือน เพราะนาฬิกาเป็นนาฬิกาแห่งชีวิตไม่มีการทวนเข็ม ต้องเดินไปข้างหน้า เหมือนโลกทุกวันที่เปลี่ยนแปลงทุกวินาที ขณะเดียวกันการพัฒนาในโลกที่เปลี่ยนไปคือเวลาชีวิตของทุกคนที่จะลดลง แต่ในขณะเดียวกันในชีวิตที่เรามีอยู่ต้องเร่งทำความดี มีการพัฒนา มีการสร้างความเพียร นาฬิกาแห่งชีวิตของเราลดน้อยลงทุกวันแล้ว เราห้ามไม่ได้ แต่ความก้าวหน้าของเราสามารถจะเดินไปข้างหน้าทุกวัน โดยต้องเดินให้ทันเข็มนาฬิกาของเราให้ได้ พร้อมกับเราต้องสืบสาน รักษา ต่อยอดทุกอย่างตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งทรงสืบสานแนวพระราชดำริจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยทุกคนต้องมีศรัทธา ต้องมีกำลังใจ มีความเข้มแข็งอดทนในการเดินหน้าประเทศไทย โลกเปลี่ยน ประเทศไทยต้องปรับ ทั้งวิธีการ กลไก วิธีการบริหาร บุคลากร ต่าง ๆ ต้องมีการพัฒนาตนเอง คิดให้นอกกรอบบ้าง โดยไม่คิดทำแบบเดิม ต้องคิดไปข้างหน้า เพื่อส่งทอดสิ่งเหล่านี้ให้กับอนาคตของเรา ลูกหลานเยาวชนคนรุ่นใหม่ของเราในวันข้างหน้า ด้วยความรักและความสามัคคี โดยมีหลักชัย แกนหลักของประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นพลังในการทำงาน “รวมใจไทยสร้างชาติ” ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ จ.ระยอง เยี่ยมชมโรงงานผลิตกรดแล็คติกและเป็นผู้นำพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ปลัดฯ กอบชัย ลงพื้นที่ จ.ระยอง เยี่ยมชมโรงงานผลิตกรดแล็คติกและเป็นผู้นำพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท พูแรค (ประเทศไทย) จำกัด อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ระยอง : วันนี้ (16 ธันวาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะลงพื้นที่เยี่ยมชมบริษัท พูแรค (ประเทศไทย) จำกัด อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ผู้ผลิตกรดแล็คติกรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีกำลังการผลิตกว่า 160,000 ตัน ต่อปี โดยมีนายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกิติกร สุขสม รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมลงพื้นที่ และมี Mr.Simon Goldney Plant Director Mr.Sander van der Linden Site Director ให้การต้อนรับ สำหรับการผลิตกรดแล็คติกจะใช้วัตถุดิบหลักคือ น้ำตาลในประเทศ จำนวนกว่า 150,000 - 180,000 ตัน โดยภายในปี 2568 จะมีการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 320,000 ตัน เฉลี่ยแต่ละปีใช้น้ำตาลมากกว่า 185,000 ตัน ซึ่งการผลิตกรดแล็คติกในประเทศไทยจะกระตุ้นให้มีการซื้อวัตถุดิบ (น้ำตาลและแป้งมันสำปะหลัง) ในประเทศไทย เกิดการสร้างงานให้แก่เกษตรกร มีการให้ความรู้ และฝึกอบรมพนักงานคนไทยให้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีชีวเคมี เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศจากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศกว่า 95% คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังนำกรดแล็คติกไปผ่านขบวนการสกัดเพื่อผลิตไบโอพลาสติกกว่า 50,000 - 100,000 ตันต่อปี ทำให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ การผลิตกรดแล็คติกในประเทศไทยจะเป็นชนิดแอลบวกชนิดเดียวกันกับที่พบอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการสร้างพลังงานของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ กรดแล็คติกของบริษัทพูแรคเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตขึ้นจากการหมักน้ำตาลจากอ้อยหรือน้ำตาลจากแป้งมันสำปะหลัง มีกลิ่นหอมของกรดอ่อนๆ ซึ่งถูกนำไปใช้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ น้ำสลัด เครื่องดื่ม ผักผลไม้ดอง และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เพื่อปรับค่าความเป็นกรดด่าง ถนอมอาหาร และ การเพิ่มรสชาติอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์ ใช้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ผลิตภัณฑ์ยา ใช้เป็นสารปรุงแต่งในการผลิตยา ผลิตตัวทำละลาย (โซเวนท์) ธรรมชาติซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้เป็นสารทำความสะอาด และ เป็นสารเคมีภัณฑ์อื่นๆ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ทส. กับ AIS ทำ MOU มุ่งดึง ทสม. ร่วมแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ ในโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste”
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ​ทส. กับ AIS ทำ MOU มุ่งดึง ทสม. ร่วมแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ ในโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ​ทส. กับ AIS ทำ MOU มุ่งดึง ทสม. ร่วมแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วประเทศ ในโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” วันที่ 16 ธันวาคม 2563 เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) ในโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ระหว่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) ซึ่งมี นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้ลงนาม โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหาร และเครือข่าย ทสม. ร่วมเป็นเกียรติภายในงาน ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รมว.ทส. กล่าวว่า “ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อมีการกำจัดอย่างไม่ถูกต้องนั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษอย่างมาก ซึ่งคนที่จะได้รับผลกระทบต่อไปก็คือสุขภาวะของพวกเราทุกคนนั่นเอง ปัจจุบัน เราได้มีกฎหมายห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์หลายรายการ เมื่อเรามีการทิ้งอย่างถูกต้อง คัดแยกอย่างเหมาะสม ในปี 2565 เราจะได้ไม่ต้องมีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อีกต่อไป ไทยจะต้องไม่เป็นถังขยะของโลก” นอกจากนั้น รมว.ทส. ยังได้กล่าวอีกว่า “วันนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกัน สร้างความตระหนักรู้ สร้างการมีส่วนร่วม และนำไปสู่การกำจัดอย่างถูกต้อง ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อที่จะให้ลูกหลานได้มีอากาศที่สดใส แผ่นดินที่งดงาม ต้นหญ้าที่เขียวขจี” โดยทั้งนี้ นายสมชัย ได้กล่าวว่า เอไอเอส ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่มีเป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ จึงมุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ICT เพื่อร่วมรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย สำหรับโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” นั้น เป็นความร่วมมือกันบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการสร้างพลังเครือข่ายทั่วทั้งประเทศ ในการสร้างความตระหนักรู้ และการมีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่าน 2 ความร่วมมือหลัก คือ ขยายจุดวางถังรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ณ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และร่วมกับ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) เพื่อเป็นตัวแทนสื่อสาร สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บและทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 4 แสนตันต่อปี แต่มีการทิ้งอย่างไม่เหมาะสม สามารถคัดแยกไปใช้ประโยชน์ต่อได้เพียงแค่ 500 ตันต่อปี ทำให้ต้องมีการนำเข้าขยะกว่า 5 หมื่นตันต่อปี ซึ่งโครงการนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาการนำเข้าขยะดังกล่าวได้ในอนาคต โดยในพิธีลงนามนี้ รมว.ทส. พร้อมกับนายสมชัย ได้ทำการหย่อยขยะอิเล็กทรอนิกส์ลงในถังขยะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเริ่มโครงการอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ย้ำเตือนนายจ้างยื่นแบบ คร.11 ภายใน ม.ค. 64 พบฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2563 กสร. ย้ำเตือนนายจ้างยื่นแบบ คร.11 ภายใน ม.ค. 64 พบฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท กสร. ย้ำเตือนนายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องยื่นแบบแสดงสภาพการจ้างและสภาพการทำงาน (คร.11) ด้วยตนเอง หรือผ่านช่องทาง E-service ภายใน ม.ค. 64 ทั้งนี้ หากลูกจ้างลดลงไม่ครบ 10 คน ขอให้แจ้งแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ฝ่าฝืนปรับ 2 หมืน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 กำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างรวมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องยื่นแบบแสดงสภาพการจ้างและสภาพการทำงาน (คร.11) ภายในเดือนมกราคมของทุกปี ซึ่งขณะนี้เหลือระยะเวลาดำเนินการเพียงเดือนเศษ จึงขอย้ำเตือนมายังนายจ้างให้เร่งดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลและยื่นแบบ คร.11 ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถยื่นแบบได้ 2 ช่องทาง คือนำส่งด้วยตนเองที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่ หรือยื่นออนไลน์โดยการกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (www.labour.go.th) ช่องทาง E-service (https://eservice.labour.go.th) เพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้างดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากตรวจพบว่าสถานประกอบกิจการใดฝ่าฝืนไม่ยื่นแบบแสดงสภาพการจ้างและสภาพการทำงานภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท อธิบดี กสร. กล่าวต่อว่า ในส่วนของสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างลดลงไม่ครบ 10 คน หรือไม่มีลูกจ้าง หรือเลิกกิจการขอให้กรอกแบบฟอร์มดังกล่าวด้วย เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานนำไปปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน สำหรับสถานประกอบกิจการที่เพิ่งมีลูกจ้างครบ 10 คน ก็สามารถยื่นแบบ คร.11 ได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง เน้นคืนความสุขให้ประชาชนในการเดินทาง
วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเปิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง เน้นคืนความสุขให้ประชาชนในการเดินทาง นายกรัฐมนตรีเปิดการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทอง เน้นคืนความสุขให้ประชาชนในการเดินทาง วันนี้ (16 ธ.ค. 63) เวลา 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต และโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง สายสีทองระยะที่ 1 (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี - สถานีคลองสาน) พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และคณะผู้บริหาร BTS ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยสาระสำคัญคำกล่าวนายกรัฐมนตรีในพิธีเปิด สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ – คูคต ว่า เป็นส่วนต่อขยายช่วงสุดท้ายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด อย่างไร้รอยต่อ คือ จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานครและปทุมธานี จากความร่วมมือจาก 3 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร เมื่อเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตลอดเส้นทาง จะเชื่อมต่อการเดินทางที่สำคัญของระบบขนส่งมวลชน ลดปัญหาการจราจรในเขตเมืองและพื้นที่โดยรอบ ประชาชนเดินทางสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเป็นการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดมลพิษบนท้องถนน ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ำถึงการเดินหน้าตามนโยบายพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสำคัญในเมืองใหญ่ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลักดันและเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลสายต่างๆ ให้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ และเชื่อมกับบริการขนส่งมวลชนในรูปแบบอี่นๆ ทั้ง รถ เรือ ราง เพื่อกระจายความเจริญและกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกสู่นอกเมือง ทำให้เกิดการกระจายตัวของเมือง และการพัฒนาชุมชนเมืองใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต สร้างความอยู่ดีมีสุขให้พี่น้องประชาชนคนไทย จากนั้น นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากสถานีคูคตไปยังสถานีกรุงธนบุรี เพื่อเชื่อมต่อการเดินรถไฟฟ้าสายสีทองไปยังสถานีคลองสาน และเมื่อถึงสถานีกรุงธนบุรี นายกรัฐมนตรีกล่าวเปิด โครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทองว่าเป็นรถไฟฟ้าระบบไร้คนขับสายแรกของประเทศไทย เป็นนวัตกรรมที่สร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว เชื่อมการเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปริมณฑลแบบไร้รอยต่อ และจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงในอนาคต สอดคล้องกับการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เดินทางได้สะดวก พัฒนากิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกระจายในพื้นที่ให้เติบโตที่ก้าวกระโดด จึงได้ต้องพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเพื่อรองรับนวัตกรรม เศรษฐกิจ และที่อยู่อาศัย ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในอนาคต จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้เยี่ยมชมร้านภูฟ้าและผู้ประกอบการ ภายในศูนย์การค้าไอคอนสยาม พร้อมทักทายร้านค้าและรวมถ่ายรูปกับประชาชนอย่างเป็นกันเองด้วย ............................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรคว้าอีก 2 รางวัลในงานรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2563 (DG Awards 2020)
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 สรรพากรคว้าอีก 2 รางวัลในงานรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2563 (DG Awards 2020) กรมสรรพากรได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Awards) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีผลงานด้านรัฐบาลดิจิทัลที่มีความโดดเด่น และรางวัลหน่วยงานดีเด่นด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) ผลจากความมุ่งมั่นพัฒนาบริการดิจิทัลที่หลากหลาย กรมสรรพากรได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Awards) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ที่มีผลงานด้านรัฐบาลดิจิทัลที่มีความโดดเด่น และรางวัลหน่วยงานดีเด่นด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) ผลจากความมุ่งมั่นพัฒนาบริการดิจิทัลที่หลากหลาย ให้ผู้เสียภาษีได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ช่วยให้ทำธุรกรรมด้านภาษีได้ง่ายในทุกที่ ทุกเวลา และพร้อมเข้าสู่การเป็นกรมสรรพากรดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ได้สำรวจระดับความพร้อมของรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๓ รวมจำนวนทั้งสิ้น ๑,๙๒๖ หน่วยงาน ในปีนี้กรมสรรพากรเป็น 1 ใน 10 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Awards) ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มุ่งมั่นพัฒนาการบริการดิจิทัล จนประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น นอกจากนี้ยังได้รับอีก 1 รางวัล สำหรับหน่วยงานดีเด่นด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) การได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลในครั้งนี้ เป็นผลมาจากกรมสรรพากรได้นำ Digital Transformation ปรับปรุงกระบวนงานให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดยยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง ดังนี้ Tax from Home ช่วยให้ภาคธุรกิจและประชาชนเข้าถึงการทำธุรกรรมภาษีในทุกมิติได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ใด ๆ ก็ตาม My Tax Account /e-Donation บัญชีรายการค่าลดหย่อนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพ ข้อมูลการบริจาคผ่านระบบ e-Donation ข้อมูลเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ข้อมูลเงินสมทบกองทุนประกันสังคม Aree Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร มาช่วยตอบคำถาม ให้คำแนะนำ และแก้ปัญหาให้แก่ผู้เสียภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ Open API การเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพเข้ามามีส่วนร่วม โดยเชื่อมโยงระบบกับกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยให้การยื่นแบบและเสียภาษีเป็นเรื่องง่ายแม้ไม่รู้เรื่องภาษีเลย VRT on Blockchain ระบบการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เป็นที่แรกของโลก e-Tax Invoice & e-Receipt ใบกำกับภาษี รวมถึงใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ และใบรับ ที่จัดทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ช่วยลดต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายและเวลาให้กับผู้ประกอบการในการจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีในรูปแบบใหม่ e-Withholding Tax ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อมีการจ่ายเงินได้ให้แก่ผู้รับเงิน ทั้งในและต่างประเทศ โดยนำส่งข้อมูลและภาษีพร้อมการชำระเงินผ่านธนาคารที่เป็นผู้ให้บริการระบบ e-WHT แทนการยื่นด้วยแบบกระดาษ ช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุน ลดภาษี ทั้งยังสามารถตรวจสอบหลักฐานได้ตลอดเวลา e-Stamp การชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต Digital TAX Literacy เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องภาษีอากรให้แก่ผู้เสียภาษี ผู้ประกอบการ และประชาชน โดยได้รวบรวมการสัมมนาออนไลน์ในรูปแบบรายการ TAX Station ซึ่งเป็นการอัพเดทความรู้เรื่องภาษีผสานกับองค์ความรู้จาก Partner ทั้งในรูปแบบคลิปวิดีโอ และ Podcast เป็น Webinar เผยแพร่บนเว็บไซต์กรมสรรพากร เพื่อเพิ่มความหลากหลาย เพิ่มช่องทาง เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลความรู้ภาษีอากร ได้ง่ายขึ้น” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับรางวัลหน่วยงานดีเด่นด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) กรมสรรพากรให้ความสำคัญในการจัดทำธรรมภิบาลข้อมูล โดยดำเนินการให้สอดคล้องตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 และประกาศคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เรื่องธรรมาภิบาลภาครัฐ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลให้เป็นมาตรฐานสากลมีความปลอดภัย สามารถป้องกันภัยคุกคามทางดิจิทัล ทำให้ผู้เสียภาษี และผู้ประกอบการ มั่นใจในการใช้บริการอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ของกรมสรรพากร ไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกคุกคาม หรือ ถูกเปิดเผยโดยมิชอบแต่อย่างใด ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการให้บริการของกรมสรรพากรมุ่งสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบต่อไป” ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวในท้ายที่สุดว่า “จากการนำยุทธศาสตร์ D2RIVE มาใช้ในการขับเคลื่อนองค์กรจนได้รับรางวัลเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จดังกล่าว และในเดือนกันยายนที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้รับรางวัลหน่วยงานราชการ “เลิศรัฐยอดเยี่ยม” ในปี2563 และอีก 4 รางวัลเลิศรัฐ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นหน่วยงาน ที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศ กรมสรรพากรยังคงเดินหน้าพัฒนา ยกระดับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง สร้างประสบการณ์ใหม่ให้การเสียภาษีอากรเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว สร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี และส่งเสริมการแข่งขันของภาคธุรกิจไปพร้อมกัน” กรมสรรพากร สำนักงานเลขานุการกรม โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37297
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดงาน วันชาติ วันพ่อ และวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 รัฐบาลร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดงาน วันชาติ วันพ่อ และวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัฐบาลร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดงาน วันชาติ วันพ่อ และวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัฐบาลร่วมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดงาน วันชาติ วันพ่อ และวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (5 ธันวาคม 2563) ตั้งแต่วันที่ 1- 6 ธันวาคม 2563โดยใช้สถานที่บริเวณหน้ากระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย ทำเนียบองคมนตรี สวนสราญรมย์ มิวเซียมสยาม ตั้งแต่เวลา 10.00- 21.30 นาฬิกา รวมทั้งได้เปิดวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดราชประดิษฐ์ และ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมารามให้พี่น้องประชาชนได้เข้าสักการะ ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรม ได้แก่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนงานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ภายใต้ประเด็น “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในโลกหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019”
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนงานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ภายใต้ประเด็น “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในโลกหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” กระทรวงยุติธรรม ขับเคลื่อนงานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ภายใต้ประเด็น “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในโลกหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องโลตัสสวีท ๑ - ๔ ชั้น ๒๒ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายนพปฎล เดชอุดม เลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย Ms. Lovita Ramguttee, Deputy Resident Representative, UNDP Thailandเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๔ ภายใต้ประเด็น “ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในโลกหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” (The 4th National Dialogue on Business and Human Rights in the Post COVID -19 World) โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และผู้แทนธุรกิจกว่า ๑๐๐ คน เข้าร่วมฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นั้นเป็นวิกฤติการณ์ระดับโลกที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้ประเทศสามารถก้าวผ่านระยะการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนมุมมองการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในรูปแบบวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง สำหรับการประชุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ ๑ (พ.ศ.๒๕๖๒-๒๕๖๕) เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ส่งผลให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในฐานะหน่วยงานหลักรับผิดชอบแผนปฏิบัติการฯ มีหน้าที่สำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ให้กับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชน โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ และสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ก แห่งประเทศไทย เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีให้ภาคธุรกิจได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และเผยแพร่ข้อมูลการดำเนินงานที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ตลอดจนเพิ่มพูนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้แก่ภาคธุรกิจ ***********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ล่องใต้ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ต่อยอดความรู้ทางการเงินอิสลามแก่นักศึกษา มอ.ปัตตานี
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ไอแบงก์ล่องใต้ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ต่อยอดความรู้ทางการเงินอิสลามแก่นักศึกษา มอ.ปัตตานี ไอแบงก์จัดกิจกรรมภายใต้โครงการเปิดโลกการเงินอิสลาม ตามแผน CSR ประจำปี 2563 จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ความรู้ทางการเงิน สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานคริทร์ วิทยาเขตปัตตานี” ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) โดย นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคาร และอนุกรรมการธรรมาภิบาล (CG&CSR) ให้เกียรติกล่าวเปิดกิจกรรมภายใต้โครงการเปิดโลกการเงินอิสลาม ตามแผน CSR ประจำปี 2563 จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “ความรู้ทางการเงิน สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานคริทร์ วิทยาเขตปัตตานี” พร้อมกันนี้ ผศ.ดร.มะรอนิง สาแลมิง ประธานคณะที่ปรึกษา (ด้านศาสนา) ให้เกียรติปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ความสำคัญของการเงินการธนาคารในโลกอิสลาม” โดยมี ผู้แทนอธิการบดี อาจารย์นุรชาร์ฮิดาห์ อุเซ็ง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคลและพัฒนาองค์กร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พร้อมด้วย ดร.มูฮัมมัดอาฟีฟี อัซซอลีฮีย์ รองคณบดี ฝ่ายวิชาการและวิจัย คณะวิทยาการอิสลาม ร่วมให้การต้อนรับ กิจกรรมนี้ธนาคารจัดต่อเนื่องปีที่ 3 โดยในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) กับคณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแบ่งปันความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนทางการเงิน และด้านการเงินการธนาคารตามหลักศาสนาอิสลาม (ชะรีอะฮ์) แก่นักศึกษาและผู้สนใจได้มีความรู้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนความเข้าใจถึงการเงินการธนาคารอิสลาม (Islamic Banking and Finance) ได้อย่างถูกต้อง และสามารถถ่ายทอดไปยังคนใกล้ชิดด้วย การอบรมเชิงปฏิบัติและบรรยายโดยบุคลากรของไอแบงก์ที่มีความรู้และความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งการอบรมดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงเช้าอบรมหัวข้อเรื่อง“การวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล” และ “การเงินการธนาคารอิสลาม” ต่อด้วยช่วงบ่ายเรื่อง “ผลิตภัณฑ์และการบริการของธนาคารเหมือนหรือต่างกับธนาคารทั่วไป” และมี Workshop แบ่งกลุ่มค้นหาคำตอบจากความรู้ที่ได้รับเสริมทักษะแนวคิดหลักการเงินอิสลามบูรณาต่อยอดความคิดร่วมกัน ซึ่งได้รับความสนใจจากน้องๆนักศึกษาที่เข้าร่วมอบรมเป็นอย่างมาก และปิดท้ายด้วยหัวข้อเรื่อง “การให้บริการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา” (กยศ.) เพื่อร่วมสานฝันทางการศึกษาและส่งเสริมทุนทางปัญญาให้กับนักศึกษาด้วยการให้บริการกองทุนให้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งจัดขึ้น เมื่อวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม อัล-อิมาม อัล-บุคอรีย์ ชั้น 1 คณะวิทยาการอิสลาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37255
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563 ถ้อยแถลงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31 ถ้อยแถลงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31 ว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถ้อยแถลงของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 31 ว่าด้วยการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ฯพณฯ ประธานสมัชชาสหประชาชาติ ฯพณฯ เลขาธิการสหประชาชาติ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ และยินดีที่ได้มีการจัดการประชุมฯ ขึ้นตามข้อริเริ่มของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM) เพื่อให้รัฐสมาชิกและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแสวงหาความร่วมมือในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 วิกฤติโรคระบาดต่าง ๆ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเราตระหนักว่า ประชาคมโลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบความมั่นคงทางสาธารณสุขเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต โดยประเด็นสำคัญ คือประชาชนควรได้รับความคุ้มครองภายใต้ระบบสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทางสังคมและเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศและประชาชนฟื้นกลับมาจากวิกฤติการณ์ได้โดยเร็ว ท่านประธานครับ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมมีความยินดีที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ของไทยในการรับมือกับโควิด-19 ในพิธีปิดการประชุมสืบเนื่องของการประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 73 ซึ่งผมระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด คือ ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึง ความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนของประเทศ และโอกาสนี้ ผมขอเพิ่มเติมความเห็นที่เป็นประโยชน์ ดังนี้ ประการแรก คือ การสนับสนุนการดำเนินมาตรการป้องกันระดับพื้นฐานตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือเป็นประจำ และ การรักษาระยะห่างอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งการสนับสนุนและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะ อ.ส.ม. ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ประการที่สอง ความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับโควิด-19 รวมถึงการผลักดันให้วัคซีนและยาสำหรับโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เพื่อให้ประชาคมโลกสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบ new normal ได้อย่างปลอดภัย โดยรัฐบาลไทยยินดีที่ได้มีส่วนร่วมโดยการมอบเงินผ่านองค์การอนามัยโลกเพื่อสนับสนุนงานด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประเทศต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ประการสุดท้าย การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาบริหารจัดการข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่ รวมถึงการให้คำปรึกษาการแพทย์ทางไกลแก่ชุมชน ซึ่งไทยได้ริเริ่มโครงการระบบวิถีใหม่ทางด้านสาธารณสุขไประยะหนึ่งแล้ว และจะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2564 เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุข และรับมือกับวิกฤติการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ท่านประธานครับ การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นความท้าทายต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. 2030 ดังนั้น ประเทศไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของสหประชาชาติเพื่อผลักดันให้ 10 ปีข้างหน้าเป็นทศวรรษแห่งการลงมือปฏิบัติ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายเพื่อบรรลุ 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเป้าหมายด้านสาธารณสุข ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โอกาสนี้ ผมขอเน้นย้ำว่า การยึดมั่นในระบบพหุภาคีและความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐสมาชิกคือหนทางหลักที่จะทำให้เราผ่านพ้นวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน โดยในกรณีของไทยและประเทศสมาชิกอาเซียน เรามีมาตรการที่เข้มแข็งในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด 19 ผ่านข้อริเริ่มต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 การรับรองแผนการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน และการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุข สนับสนุนการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาวให้แก่ภูมิภาคต่อไป สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ผมขอส่งกำลังใจไปยังประเทศต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ผมเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ขอบคุณครับ / สวัสดีครับ ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อติดตามการดำเนินงาน โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม อก.1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ชื่นชมพี่เลี้ยง อสร. อุทิศตน ช่วยเหลือ อสร. ให้แรงงานมีความมั่นคงในการทำงาน บรรลุตามพันธกิจของ ก.แรงงาน
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ‘ปลัดแรงงาน’ ชื่นชมพี่เลี้ยง อสร. อุทิศตน ช่วยเหลือ อสร. ให้แรงงานมีความมั่นคงในการทำงาน บรรลุตามพันธกิจของ ก.แรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน ชื่นชมพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานที่ได้อุทิศตนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยเหลือในการปฏิบัติงานแก่อาสาสมัครแรงงาน ช่วยให้แรงงานมีความมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงแรงงาน วันนี้ (3 ธ.ค. 63) เวลา 13.30 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ ห้องปรินซ์บอลรูม 3 ชั้น 11 อาคาร 1 โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร โดย ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “ผมขอแสดงความชื่นชมพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานทุกท่านที่ได้อุทิศตนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยเหลือในการปฏิบัติงานแก่อาสาสมัครแรงงานปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืองานกระทรวงแรงงานในด้านต่างๆ ให้บรรลุผลสำเร็จลุล่วงด้วยดี งานอาสาสมัครแรงงานเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงานลงสู่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง จึงมีความคาดหวังว่าพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานจะนำความรู้ และประสบการณ์ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้ไปขับเคลื่อนงานอาสาสมัครแรงงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และชุมชนได้อย่างแท้จริง และปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป นอกจากนี้กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาพี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานให้มีศักยภาพรองรับการทำงานตามนโยบายกระทรวงแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยคาดหวังให้สำนักงานแรงงานแต่ละจังหวัดซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบงานอาสาสมัครแรงงานนำผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ไปพัฒนาภาพรวมของงานอาสาสมัครแรงงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในส่วนภูมิภาค เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน และบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน ช่วยให้แรงงานมีความมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันและมีคุณภาพชีวิตที่ดี บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงแรงงานที่ได้กำหนดไว้ประกอบกับความตั้งใจที่ทุกท่านได้เข้ามาสัมมนาในวันนี้ จะทำให้ทุกท่านได้รับทราบทิศทางการปฏิบัติงานอาสาสมัครแรงงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และงานอาสาสมัครแรงงานในพื้นที่ต่อไปในอนาคต” โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานเชิงบูรณาการ เพื่อเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงของสำนักงานแรงงานจังหวัดให้เป็นพี่เลี้ยงให้แก่อาสาสมัครแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางการบริหารงานอาสาสมัครแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา จำนวน 115 คน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงอาสาสมัครแรงงานหรือผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับงานเครือข่ายแรงงาน 76 จังหวัด เจ้าหน้าที่ส่วนกลางที่เกี่ยวข้อง วิทยากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้สังเกตการณ์ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 3 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37281
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดรับสมัครเด็กติดเกม ร่วมโครงการค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” ช่วยปรับพฤติกรรมสร้างการตระหนักรู้การเล่นเกม
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดรับสมัครเด็กติดเกม ร่วมโครงการค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” ช่วยปรับพฤติกรรมสร้างการตระหนักรู้การเล่นเกม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดรับสมัครเด็กติดเกม ร่วมโครงการค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” ช่วยปรับพฤติกรรมสร้างการตระหนักรู้การเล่นเกม กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดรับสมัครเด็กติดเกม ร่วมโครงการค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” ช่วยปรับพฤติกรรมสร้างการตระหนักรู้การเล่นเกม“หมอจิตเวชเด็กและวัยรุ่น” เผย “โรคติดเกม” ทำลายสมองไม่ต่างติดยาเสพติด เด็กไทยอาการน่าห่วงอัตราติดเกมอย่างหนักสูงกว่ายุโรปและอเมริกา พบเด็กเริ่มติดเกมอายุต่ำลงเรื่อย ๆ ส่งผลต่อพัฒนาการด้านภาษา กล้ามเนื้อ การคิดวิเคราะห์ การควบคุมตัวเองให้ลดต่ำลง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แถลงข่าวโครงการ ค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” (Cyber Avengers Camp)โดยร่วมกับสำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคม คิวบิกครีเอทีฟ ดำเนินการรับสมัครเยาวชนอายุ 9-14 ปี หรือกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ป.3-ม.2 จำนวน 200 คนที่ผ่านการคัดเลือก เข้าค่ายติดอาวุธป้องกันปัญหาติดเกม พร้อมเรียนรู้การใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผ่านฐานกิจกรรมสุดสนุก สอดแทรกความรู้ผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพัฒนาทักษะชีวิตไปกับนักกิจกรรมและนักจิตวิทยาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน ระหว่างวันที่ 3-8 พฤษภาคม 2564 ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ดร. ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมกำหนดทิศทางการทำงานเตรียมสังคมไทยให้พร้อมรับมือปัญหาการใช้สื่ออย่างไม่เหมาะสม และมีบทบาทการทำงานร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยเห็นถึงความสำคัญของการทำงานของกองทุนฯ เรื่องเด็กและเยาวชนกับการเล่นเกม ซึ่งหากมากเกินความพอดี และเล่นเกมที่มีเนื้อหาที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของประเทศในทางที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนไทย นางสาวลัดดา ตั้งสุภาชัย ประธานคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีภารกิจในการส่งเสริม ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานด้านการรู้เท่าทันสื่อและพัฒนาระบบเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ ในปี 2563 คณะอนุกรรมการฯ มีการดำเนินงานภายใต้ภารกิจรวมทั้งสิ้น 7 กิจกรรม โครงการ ค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” (Cyber Avengers Camp) เป็น 1 ในกิจกรรมภายใต้ภารกิจดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นโดยคณะอนุกรรมการที่มีข้อห่วงใยต่อสถานการณ์การใช้สื่อของเด็ก เยาวชน พ่อแม่ และผู้ปกครอง ที่อาจรู้ไม่เท่าทันสื่อจนนำไปสู่ปัญหาการใช้สื่ออย่างไม่เหมาะสมโดยเฉพาะปัญหาการติดเกม ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนควรเล่นเกมโดยมีภูมิคุ้มกัน มีการตระหนักรู้ และมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า สำนักงานกองทุนฯ ได้ขับเคลื่อนงานตามแนวคิดของคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ โดยได้ร่วมมือกับสำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกลุ่มวิสาหกิจเพื่อสังคม คิวบิกครีเอทีฟ ซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดค่ายสำหรับเด็กและเยาวชนมาอย่างยาวนาน จัดค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” (Cyber Avengers Camp) ขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ป้องกันปัญหาการติดเกม และสร้างภูมิคุ้มกันในโลกอินเทอร์เน็ตให้แก่เด็กและเยาวชน โดยนอกจากการจัดค่ายแล้ว ยังมีการต่อยอด ขยายให้สังคมเกิดการรับรู้และเข้าใจถึงการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยใช้สื่อเกมอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยจะได้จัดทำซีรีส์จากค่าย “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” อีกด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และภารกิจของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อในสังคมไทย รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล อาจารย์สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่นประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ กล่าวว่า ในปี 2561 องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization: WHO ได้ประกาศให้การติดเกมเป็นโรคทางจิตเวช เพราะเมื่อสแกนสมองผู้ที่ติดสารเสพติดเปรียบเทียบกับผู้ป่วยติดเกม มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สมองและมีจุดที่สมองทำงานบกพร่องเหมือนกัน แม้จะไม่มีการใช้สารเสพติดก็ตาม ซึ่งสถานการณ์ความรุนแรงโรคติดเกมของประเทศไทยนั้น พบว่า เด็กและวัยรุ่นไทยร้อยละ 15-20 มีปัญหาการเล่นเกมในจำนวนนี้ ร้อยละ 5 อยู่ในภาวะติดเกมอย่างหนัก ซึ่งมีอัตราที่สูงกว่าประเทศทางยุโรป ที่มีเด็กติดเกมอยู่เพียง ร้อยละ 1 ส่วนสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ ร้อยละ 2 โดยจำนวนเด็กติดเกมของไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ซึ่งการดูแลและปกป้องเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไม่ให้เป็นโรคติดเกมมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสมองของมนุษย์จะพัฒนาในอัตราเร่งช่วงอายุ 1-6 ปี และพัฒนาต่อไปถึง 18 ปี หากเด็กในช่วงวัยดังกล่าวติดเกมจะกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษา ด้านกล้ามเนื้อ การคิดวิเคราะห์ การควบคุมตนเอง หรือความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ที่จะลดน้อยลง สิ่งที่น่าห่วง พบว่าอายุของเด็กที่เริ่มติดเกมในประเทศไทยลดน้อยลงเรื่อย ๆ จากปี 2543 เริ่มที่ระดับอุดมศึกษาปีที่ 1-2 ปัจจุบันพบเด็กติดเกมตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 4-6 รศ.นพ.ชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า ค่ายเด็กติดเกม “ไซเบอร์ อเวนเจอร์ แคมป์” (Cyber Avengers Camp) ต้องการปรับพฤติกรรมการเล่นเกมที่พอดีและเหมาะสม ส่งเสริมทักษะชีวิตในด้านต่าง ๆ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันการติดเกมให้กับเด็กและวัยรุ่นเนื่องจากแนวโน้มการใช้สื่ออินเทอร์เน็ตของเด็กไทย พบว่า เด็กวัยประถมศึกษาตอนปลาย ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นกลุ่มที่มีการใช้งานมากที่สุดอีกกลุ่มหนึ่ง แต่มักขาดทักษะการรู้เท่าทันสื่อ แยกแยะวิเคราะห์ และกำกับตัวเองในการเสพสื่อเหล่านี้อย่างสร้างสรรค์และพอดีซึ่งการปรับพฤติกรรมการเล่นเกม เสริมสร้างภูมิคุ้มกันการติดเกมให้กับเด็กและวัยรุ่น ผ่านกิจกรรมค่ายฯ ในครั้งนี้ไม่เพียงแค่การทำกิจกรรมร่วมกับเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เพื่อมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบุตรหลาน และให้สามารถดูแลเด็กในครอบครัวได้ด้วยความเข้าใจ ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียด และกรอกใบสมัครได้ที่ www.ku.ac.th/cyberavengers ตั้งแต่วันที่ 3ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้าสู่รอบออดิชั่นในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกต่อไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-562-0951 ถึง 6 ต่อ 622588, 622597 หรืออีเมล cyberavengers@ku.ac.th QR code ใบสมัคร หรือ https://bit.ly/37gXvCd -------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.สำรวจสถานบริการสาธารณสุข จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน ขณะนี้เปิดให้บริการได้
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 สธ.สำรวจสถานบริการสาธารณสุข จ.นครศรีธรรมราช ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน ขณะนี้เปิดให้บริการได้ กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง จ.นครศรีธรรมราช สำรวจ ประเมินความเสียหายสถานพยาบาล ปรับแผนไม่ให้กระทบบริการประชาชน ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. เยี่ยมบ้านดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนท กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง จ.นครศรีธรรมราช สำรวจ ประเมินความเสียหายสถานพยาบาล ปรับแผนไม่ให้กระทบบริการประชาชน ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. เยี่ยมบ้านดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ดูแลผู้ประสบภัย ขณะนี้สถานบริการสาธารณสุขเปิดบริการได้ตามปกติ วันนี้ (3 ธันวาคม 2563 ) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ กรณีสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก จากฝนตกหนักในช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2563 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่า วันนี้ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช มีสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 45 แห่ง ได้แก่ สสจ. 1 แห่ง, สสอ. 2 แห่ง, รพ. 2 แห่ง และรพ.สต. 40 แห่ง ขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว สถานบริการสาธารณสุขส่วนใหญ่เปิดให้บริการได้ตามปกติได้ และให้สำรวจประเมินความเสียหายสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ สนับสนุนการซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารสถานที่ที่ได้รับความเสียหาย และประสานกองสาธารณสุขฉุกเฉินหากต้องการการสนับสนุนจากส่วนกลาง สำหรับโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เมื่อวานนี้ได้รับผลกระทบ น้ำท่วมบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของรพ. วันนี้ระดับน้ำได้ลดลงแล้ว สามารถให้บริการได้ตามปกติ เหลือเพียงถนนหน้าโรงพยาบาลยังคงมีระดับน้ำสูงอยู่ โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยทหารได้สนับสนุนรถยกสูงมาให้บริการรับส่งผู้ป่วยและผู้มารับบริการ ส่วนบ้านพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ถูกน้ำท่วมชั้นหนึ่งทุกหลังได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยทางโรงพยาบาลได้เปิดศูนย์พักพิง พร้อมจัดอาหารและน้ำดื่มดูแลเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วยและญาติที่ไม่สามารถเดินทางกลับบ้าน จำนวน 30 คน ส่วนโรงพยาบาลท่าศาลา เปิดให้บริการได้ตามปกติ ยังมีน้ำท่วมถนนโดยรอบพื้นที่ ทั้งในโรงพยาบาลและคลินิกโรคเรื้อรังชั้นล่าง ได้ย้ายจุดบริการ จัดรถยกสูงรับส่งผู้ป่วยถึงห้องฉุกเฉิน และตึกผู้ป่วยนอกชั้น 2 และโรงพยาบาลทุ่งสง ขณะนี้ระดับน้ำลดลงแล้ว มีความเสียหายหลายจุดในโรงพยาบาล อยู่ระหว่างการตรวจสอบความเสียหาย คาดจะสามารถเปิดให้บริการได้ในวันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563 นี้ ส่วนโรงพยาบาลทุ่งสงแห่งใหม่ไม่ได้รับผลกระทบ ให้บริการตามปกติ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทุกแห่ง ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ออกเยี่ยมบ้านดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ โดยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เตรียมพร้อมดูแลประชาชนหากมีเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำหลากซ้ำ เพื่อป้องกันความเสียหายสถานพยาบาล ไม่กระทบบริการประชาชน จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการดูแลประชาชนที่ประสบภัยจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้พื้นที่ ได้แก่ ยาน้ำกัดเท้า 5,500 ชุด ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 500 ชุด ส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการผู้ประสบภัยอำเภอพระพรหม มีผู้รับบริการจำนวน 185 คน ส่วนใหญ่เป็นโรคน้ำกัดเท้า เวียนศีรษะ ความดันโลหิตสูง และไข้หวัด ที่อำเภอขนอมและอำเภอเฉลิมพระเกียรติ พบผู้ประสบภัยมีภาวะเครียด 15 ราย ************************************** 3 ธันวาคม 2563 **********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37275
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก 10 ราย อยู่ในแผนการควบคุมโรคแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก 10 ราย อยู่ในแผนการควบคุมโรคแล้ว สธ.ยันผู้ป่วยโควิด 19 จากท่าขี้เหล็ก 10 ราย อยู่ในแผนการควบคุมโรคแล้ว กระทรวงสาธารณสุขแจงสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 จำนวน 10 ราย ข้ามมาจากท่าขี้เหล็ก ขณะนี้เข้าสู่ระบบการรักษา ติดตามผู้สัมผัสได้มีทั้งหมด 699 คน ขณะนี้ยังไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม ภายใน 14 วันหากไม่พบการติดเชื้อถือว่าจบการระบาด ยันประชาชนทั่วไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขอหน่วยงานต่าง ๆ ควบคุมโรคอย่างเหมาะสมตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวความคืบหน้าการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีการติดเชื้อเกือบ 65 ล้านคน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านยังมีแนวโน้มการติดเชื้อมากขึ้น สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิด 19 จำนวน 10 ราย ที่มาจากท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติ ทั้งหมดอยู่ในแผนการควบคุมโรคแล้ว คือ อยู่ในสถานที่เพื่อกักกันและรักษา สามารถสอบสวนโรคได้อย่างละเอียด ค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ขณะนี้ยังไม่พบผู้ใดติดเชื้อ หากภายใน 7 วันยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ หาก 10 วันไม่มีผู้ติดเชื้อเรียกว่าปลอดภัย และ 14 วันไม่พบการติดเชื้อเป็นการจบการระบาด อย่างไรก็ตาม คนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ ขอให้เดินทางกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง การลอบเดินทางเข้ามาจะเพิ่มความเสี่ยงการนำเชื้อเข้ามาในประเทศไทย และขอความร่วมมือผู้ที่กลับเข้ามาโดยไม่ผ่านการกักกัน 14 วัน ให้มารายงานตัวกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข เพื่อรับการตรวจหาเชื้อและติดตามเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 ทั้ง 10 รายนี้ ยืนยันว่า ยังมีความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน แต่เป็นคนละตำบลก็ถือว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย ดังนั้น ความเสี่ยงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ แต่อยู่ที่ว่าไปสัมผัสตรงไหนและกับใคร ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานหรือสถานที่ต่างๆ มีการควบคุมโรคที่เหมาะสมกับสถานการณ์ สำหรับการเฝ้าระวังการข้ามแดนตามธรรมชาติมีการเตรียมความพร้อมแล้วในชายแดนทุกภูมิภาค ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงาน โรงเรียน และสถานประกอบการต่างๆ แล้ว นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อโควิด 19 จำนวน 10 รายที่มาจากท่าขี้เหล็ก อยู่ที่เชียงใหม่ 3 ราย เชียงราย 3 ราย กรุงเทพมหานคร 1 ราย พะเยา 1 ราย พิจิตร 1 ราย และราชบุรี 1 ราย ส่วนใหญ่เมื่อเดินทางกลับเข้ามามีการไปเที่ยวและกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิม จากการติดตามสอบสวนโรคพบผู้สัมผัสเสี่ยงรวม 699 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 175 ราย ผลการตรวจไม่พบผู้ติดเชื้อ และจะมีการตรวจซ้ำจนกว่าจะพ้นระยะฟักตัว มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 524 ราย ได้คุมไว้สังเกตอาการ โดยในการพิจารณาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ ขึ้นกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล หากผู้ติดเชื้อใส่หน้ากากความเสี่ยงจะน้อยลง และถ้าผู้สัมผัสใส่หน้ากากด้วย ความเสี่ยงก็จะลดน้อยลงอีก แต่ถ้าไม่ใส่หน้ากากเลยและพูดคุยกันเกิน 5 นาที จะเข้าข่ายมีความเสี่ยงสูง หรือการอยู่กับผู้ติดเชื้อในสถานที่แคบอากาศไม่ถ่ายเทเป็นเวลา 15 นาทีถือว่ามีความเสี่ยงสูงเช่นกัน สำหรับเครื่องบิน ผู้ที่นั่งอยู่ 2 แถวหน้าและ 2 แถวหลังผู้ป่วยโดยไม่ใส่หน้ากากถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่เนื่องจากข้อบังคับบนเครื่องบิน กำหนดให้ผู้โดยสารและพนักงานทุกคนต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน โอกาสเสี่ยงจึงน้อยลง “มาตรการป้องกันควบคุมโรคผู้เดินทางมาจากเมียนมา ฝ่ายความมั่นคงจะป้องกันตามแนวชายแดน นอกจากนี้ ได้มีการสำรวจความต้องการเดินทางกลับของคนไทยที่ทำงานในฝั่งท่าขี้เหล็ก เพื่อจัดระบบรองรับการกักกัน ฝ่ายปกครองจะช่วยสอดส่องค้นหาภายในประเทศและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงทั้งในโรงพยาบาลและชุมชน โดยมี อสม.เคาะประตูบ้านช่วยดูแลชุมชน หากพบมีคนกลับมาจากท่าขี้เหล็กให้รายงานทันที และขอให้ประชาชน โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน บ้านเช่า โรงแรม คอนโด สถานประกอบการ สถานบันเทิง ถ้าพบใครมาจากท่าขี้เหล็กตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ เพราะความเสี่ยงจะอยู่กับตัวเอง ครอบครัว และชุมชน รวมถึงคงมาตรการป้องกันส่วนบุคคล ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ ติดตามข่าวราชการและปฏิบัติตามที่ราชการกำหนด ถ้าคนไทยร่วมมือกันจะควบคุมโรคได้ดี” นายแพทย์โอภาสกล่าว ************************************** 3 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37288
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ ห่วงใยวิกฤติน้ำท่วมใต้ สั่งหน่วยงานเร่งระดมช่วยเหลือแรงงาน สถานประกอบการ
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง1’ ห่วงใยวิกฤติน้ำท่วมใต้ สั่งหน่วยงานเร่งระดมช่วยเหลือแรงงาน สถานประกอบการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งหน่วยงานสังกัดในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม เร่งระดมให้การช่วยเหลือดูแลผู้ใช้แรงงาน สถานประกอบการ และประชาชน บรรเทาความเดือดร้อนและเยียวยาด้านการประกอบอาชีพและการมีงานทำภายหลังน้ำลด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคใต้ จนทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและกำชับให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ติดตามสถานการณ์และมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง สถานประกอบการ และประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จึงได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ เร่งให้การช่วยเหลือดูแลเพื่อให้มีสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการดำรงชีพในเบื้องต้น การตรวจสอบติดตามผู้เสียชีวิตเพื่อให้การช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ทดแทนตามกฎหมายประกันสังคม การเข้าไปฟื้นฟูเยียวยาด้านการประกอบอาชีพและการมีงานทำ รวมถึงบริการซ่อมแซมบ้านเรือน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเครื่องยนต์เล็กทางการเกษตร การฝึกอาชีพการดูแลสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย ทั้งในเรื่องสิทธิประกันสังคม สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานภายหลังน้ำลด เป็นต้น นายสุชาติ ยังกล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่เข้าไปดูแลช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตามภารกิจหน้าที่ โดยเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วไป ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง และสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานประจำตำบลเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์ให้ทราบอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ พี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ หรือติดต่อได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรฯ ประจำปี 2564 มุ่งพัฒนาบุคคลากรให้เป็นทั้ง “คนดีและคนเก่ง” พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563 มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรฯ ประจำปี 2564 มุ่งพัฒนาบุคคลากรให้เป็นทั้ง “คนดีและคนเก่ง” พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน มหาดไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรฯ ประจำปี 2564 มุ่งพัฒนาบุคคลากรให้เป็นทั้ง “คนดีและคนเก่ง” พร้อมรับทุกการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564-2565 และแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564-2565 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้แทนจากกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่รับผิดชอบงานบริหารทรัพยากรบุคคล และงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล และสำนักงานจังหวัดที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โอกาสนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรภาครัฐสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศภายใต้บริบทความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ประกอบกับการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ทั้งตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 การพัฒนาด้านดิจิทัลเพื่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม การเตรียมความพร้อมของภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนแนวทางการพัฒนาบุคลากรภาครัฐของสำนักงาน ก.พ. ทำให้บุคลากรภาครัฐจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะสูงในการปฏิบัติงาน ในขณะเดียวกันการพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นที่จะต้องมีแผนการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับอำนาจ หน้าที่ บทบาท ยุทธศาสตร์ และความต้องการของหน่วยงาน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้จะมีการแลกเปลี่ยน และระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นหรือความต้องการในการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน เพื่อกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย อันจะนำไปสู่การพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นทั้ง “คนดีและคนเก่ง” พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติงานที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานอย่างยั่งยืนสืบไป สำหรับโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2563 โดยได้รับความอนุเคราะห์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน ได้แก่ ร้อยโทสิทธิชัย ตัณฑสิทธิ์ นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ. และ ดร.เกริกเกียรติ ศรีเสริมโภค ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัท GBC Overseas Consultant จำกัด ซึ่งจะมาให้ข้อมูลและแนวทางที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการ รวมถึงกลยุทธ์ และกรอบแผนงานโครงการ อันจะนำไปสู่การกำหนดแผนด้านการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภา นำโดย พลตำรวจเอก ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ เพื่อรับทราบข้อมูลการดำเนินงานของกระทรวงยุติธรรม ดังนี้ ๑) บทบาทอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ การดำเนินการตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการยุติธรรม ของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (DXC) และการดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรม ๒) การบริหารจัดการผู้ต้องขังภายในเรือนจำ หลักเกณฑ์ และกระบวนการเกี่ยวกับการพักการลงโทษ และลดวันต้องโทษจำคุกของกรมราชทัณฑ์ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๓) แนวทางการดำเนินการในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ “ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน” ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. ๒๕๖๒ ๔) ความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติระบบนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ. .... และประเด็นปฏิรูปที่ ๘ : การปฏิรูประบบนิติวิทยาศาสตร์เพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อเท็จจริงแห่งคดี เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศชาติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“คลัง” ส่งมอบ ที่ราชพัสดุ พื้นที่ภูเก็ต ให้ สธ. 141 ไร่ หนุนโครงการเมดิคอลพลาซ่ากระตุ้นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 “คลัง” ส่งมอบ ที่ราชพัสดุ พื้นที่ภูเก็ต ให้ สธ. 141 ไร่ หนุนโครงการเมดิคอลพลาซ่ากระตุ้นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ส่งมอบหนังสือที่ราชพัสดุ กว่า 141 ไร่ สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก กระตุ้นความเชื่อมั่น ดึงการท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจไทย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังจากการเป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.153 (บางส่วน) ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ว่า วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ได้ส่งมอบหนังสืออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ภก.153 (บางส่วน) ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ประมาณ 141-2-64 ไร่ ให้กับ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เพื่อไปดำเนินโครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก (Phuket Medical Tourism into a World Class Medical and Wellness Tourist Destination) ให้เป็นเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขระดับนานาชาติครบวงจร (International Health Plaza) ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้กรอบการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ “รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการดูแลด้านสุขภาพให้กับประชาชนในจังหวัดภูเก็ตและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดจากทั่วโลก ซึ่งภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทย และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการมอบที่ดินเพื่อการพัฒนาเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ในครั้งนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบสาธารณสุขไทยมากขึ้น”พลเอก ประวิตร กล่าว นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกรมธนารักษ์ ที่มีการจัดสรรที่ดินราชพัสดุให้กับกระทรวงสาธารณสุขในครั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลกของเมืองภูเก็ต ที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์แบบครบวงจร กระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลกรมธนารักษ์ และดูแลที่ราชพัสดุทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้านการดูแลสุขภาพ เพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงทางการแพทย์ ซึ่งไทยมีศักยภาพด้านการให้บริการทางการแพทย์อันดับต้นๆ ของโลก “โครงการนี้เป็นโครงการใหญ่ที่จะสร้างความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวของภูเก็ต ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีมูลค่าสูง ที่จะรองรับการท่องเที่ยววิถีใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งการใช้พื้นที่ในที่ดินราชพัสดุตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง เนื้อที่ 141-2-64ไร่ เป็นพื้นที่สวยงามติดชายทะเลชายหาดไม้ขาว ซึ่งเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนในพื้นที่ภูเก็ตมีสุขภาพที่ดีและเกิดการจ้างงานในพื้นที่มากขึ้น” นายสันติ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมหารือแนวทางการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมหารือแนวทางการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ปลัดวธ.เป็นประธานประชุมหารือแนวทางการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานประชุมหารือแนวทางการเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ โดยมี นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้บริหาร กรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ. เผย ครม.อนุมัติเครื่องฉายรังสี รักษาผู้ป่วยมะเร็งในสถานการณ์โควิด
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 โฆษก สธ. เผย ครม.อนุมัติเครื่องฉายรังสี รักษาผู้ป่วยมะเร็งในสถานการณ์โควิด โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 898 ล้านบาท ลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการเดินทางรักษาในกรุงเทพของผู้ป่วยและญาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 898 ล้านบาท ลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการเดินทางรักษาในกรุงเทพของผู้ป่วยและญาติ ลดเวลารอคอยการรักษา แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แจ้งในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 2 ธันวาคม 2563 ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด 19 ด้านการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 898 ล้านบาท เพื่อให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์ นำไปจัดหาเครื่อง LINAC ซึ่งเป็นเครื่องฉายรังสีที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางเข้ามารับการรักษาโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพมหานคร ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 จากการเดินทางรักษาของผู้ป่วยและญาติ ลดเวลารอคอยการรักษา ทำให้ได้รับการรักษาในระยะเวลาที่เหมาะสม และสามารถเปลี่ยนวิธีการรักษาจากการผ่าตัดเป็นฉายรังสี ช่วยลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ในการสัมผัสเชื้อโควิด 19 จากการอยู่ในระยะประชิดกับผู้ป่วยขณะผ่าตัดเป็นเวลานาน รวมทั้งสนับสนุนนโยบายมะเร็งรักษาในโรงพยาบาลได้ทุกที่ ที่มีความพร้อม สำหรับการจัดหาเครื่อง LINAC ตามโครงการนี้ จะจัดหาให้กับโรงพยาบาล 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก โรงพยาบาลสุรินทร์ โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลสมุทรสาคร และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ********************************** 3 ธันวาคม 2563 **********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง 1’ ลุยเพชรบุรี ขอบคุณบริษัทแคล – คอมพ์ ฯ ช่วยลูกจ้าง 3 จังหวัดชายแดนใต้มีงานทำ
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง 1’ ลุยเพชรบุรี ขอบคุณบริษัทแคล – คอมพ์ ฯ ช่วยลูกจ้าง 3 จังหวัดชายแดนใต้มีงานทำ ‘สุชาติ ชมกลิ่น’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เพชรบุรี ขอบคุณผู้บริหารบริษัท แคล – คอมพ์ ฯ และ ศอ.บต.พร้อมพบปะให้กำลังใจลูกจ้างซึ่งเป็นเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้าร่วมโครงการ Co – Payment สนับสนุนให้คนชายแดนใต้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายไ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อขอบคุณผู้บริหารบริษัท แคล – คอมพ์ ฯ และพบปะพูดคุยและให้กำลังใจลูกจ้าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน (Co- Payment) ณ บริษัท แคล – คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และที่ปรึกษาเลขาธิการ ศอ.บต. เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวต้อนรับ นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแคล – คอมพ์ฯ ให้การต้อนรับ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีงานทำเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 ให้กลับมามีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ และระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเร็ว ซึ่งกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมการจ้างงานโดยเฉพาะเยาวชนส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีงานทำ ซึ่งโครงการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีเยาวชนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เดินทางมาทำงานที่บริษัท แคล-คอมพ์ ฯ แล้วจำนวนทั้งสิ้น 881 คน มาจากจังหวัดปัตตานี 211 คน ยะลา 76 คน และนราธิวาส 594 คน ได้เดินทางมากับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จำนวน 210 คน และที่เหลือจำนวน 671 คน ได้เดินทางมาด้วยตนเอง และในอนาคตจะทยอยเดินทางมาเรื่อยๆ ซึ่งการที่ ศอ.บต.และหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส บูรณาการดำเนินการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการตกงาน ว่างงาน ของประชาชนในพื้นที่และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานของประเทศได้เป็นอย่างดี นายสุชาติกล่าวต่อว่า สำหรับกรณี บริษัท แคล – คอมพ์ฯ ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ไม่มีการเลิกจ้าง แต่กลับมีความต้องการแรงงานมากขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งการรับเด็กจาก 3 จังหวัดเข้าทำงานถือเป็นนิมิตรหมายอันดีในการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนที่จะช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน ตกงาน และเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง ซึ่งผมต้องขอขอบคุณบริษัท แคล-คอมพ์ฯ ที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงมีระบบบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามกำหนด
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 สธ.แจงมีระบบบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามกำหนด กระทรวงสาธารณสุขแจงมีระบบบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 อย่างดี ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการฉีดวัคซีนตามที่กำหนด ไม่มีการนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่น รวมถึงมีการตรวจสอบคุณภาพไม่ให้วัคซีนเกิดปัญหา และติดตามอาการหลังรับวัคซีน ขอประชาชนมั่นใจประเทศไทยมีปร กระทรวงสาธารณสุขแจงมีระบบบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 อย่างดี ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการฉีดวัคซีนตามที่กำหนด ไม่มีการนำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่น รวมถึงมีการตรวจสอบคุณภาพไม่ให้วัคซีนเกิดปัญหา และติดตามอาการหลังรับวัคซีน ขอประชาชนมั่นใจประเทศไทยมีประสบการณ์ด้านนี้มากว่า 30 ปี ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นประเทศต้นแบบ วันนี้ (3 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวประเด็นข้อสงสัยการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า รัฐบาลได้เร่งจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้แก่ประชาชน โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการจองและซื้อวัคซีนโควิด 19 กับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ทำให้คนไทยจะได้รับวัคซีนโควิด 19 ประมาณกลางปี 2564 ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมระบบบริหารจัดการรองรับ เพื่อให้คนไทยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนตามแผนที่กำหนดไว้ ซึ่งประเทศไทยมีประสบการณ์ดำเนินงานแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคมามากกว่า 30 ปี จนได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกให้เป็นประเทศต้นแบบในการศึกษาดูงานด้านวัคซีน โดยมีคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการกำหนดทิศทางบริหารจัดการ มีระบบอำนวยการ ประเมินผล และระบบการติดตามดูแลอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังจากการรับวัคซีน การขนส่งมีระบบรักษาความเย็น (Cold Chain) ที่ทำได้ดีมาก ที่ผ่านมาไม่เคยพบการฉีดวัคซีนปลอม หรือนำน้ำเกลือมาฉีดแทนแต่อย่างใด ขณะที่การลงไปฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องทำงานอย่างหนักในการเตรียมความพร้อมให้ความรู้บุคลากร ทำความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ และติดตามเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเราทำอย่างดีที่สุด ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีการให้วัคซีนขนาดใหญ่ทั่วประเทศมาแล้ว เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบจำนวน 22 ล้านเข็ม ทำให้สามารถกำจัดโรคคอตีบจนไม่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ หรือโรคโปลิโอที่เคยเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขอย่างมากถูกกวาดล้างไป วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกช่วยลดอัตราเสียชีวิตปีละ 7 พันราย หรือวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องปีละ 4 ล้านโดสต่อปี ช่วยลดความรุนแรงและการเสียชีวิตในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ ภูมิคุ้มกันต่ำ แต่การป้องกันได้ ไม่ได้เกิดจากวัคซีนเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยมาตรการป้องกันส่วนบุคคลด้วย ได้แก่ Social Distancing การเว้นระยะห่าง Mask Wearing การสวมหน้ากาก Hand Washing การล้างมือ และRapid Testing การตรวจรักษาที่รวดเร็ว” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนโควิด 19 มีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เป็นหน่วยงานหลักในการหาข้อมูลและความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด 19 ให้แก่คนไทยไม่ช้ากว่าประเทศอื่น ตั้งเป้าให้ครอบคลุมร้อยละ 50 ของประชากร ซึ่งการลงนามร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้า จะได้วัคซีนครอบคลุมประมาณร้อยละ 20 ของประชากร คือ 13 ล้านคน จำนวน 26 ล้านโดส ซึ่งเป็นการจองซื้อบนเงื่อนไขการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมาด้วย ส่วนการเจรจากับ COVAX Facility ขณะนี้ยังไม่มีการทำสัญญา อยู่ระหว่างการเจรจา ตั้งเป้าให้ได้วัคซีนครอบคลุมอีกร้อยละ 20 ของประชากร สำหรับร้อยละ 10 ของประชากรที่เหลือ จะพยายามประสานบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังคงสนับสนุนผู้พัฒนาวัคซีนภายในประเทศไทยด้วย นายแพทย์ศุภกิจกล่าวต่อว่า วัคซีนโควิด 19 ที่จะร่วมผลิตกับแอสตร้าเซนเนก้า มีแผนดำเนินงานร่วมกันชัดเจนเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับการฉีดวัคซีน ไม่มีการนำวัคซีนไปใช้ในเหตุผลอื่นที่ไมได้กำหนดแน่นอน และมีการควบคุมไม่ให้วัคซีนเกิดปัญหา เช่น การนำน้ำหรือน้ำเกลือมาสับเปลี่ยน แล้วนำวัคซีนจริงไปขาย ซึ่งก็คงไม่สามารถนำไปขายได้ เนื่องจากประชาชนทราบว่าวัคซีนนี้ดำเนินการและใช้งบประมาณภาครัฐ โดยฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ โดยไม่คิดมูลค่า อย่างไรก็ตาม อาจมีภาคเอกชนที่จัดหาวัคซีนเข้ามาดำเนินการขายเอง ส่วนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ภาครัฐจะควบคุมคุณภาพมาตรฐาน โดยภาคเอกชนต้องนำวัคซีนมาขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจสอบคุณภาพ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมการรณรงค์ให้วัคซีนโควิด 19 มี 6 ด้าน ได้แก่ 1.การเตรียมวัคซีนโควิด 19 เช่น การทำสัญญาซื้อขาย จัดทำของบประมาณ จัดซื้อวัคซีน พัฒนาระบบการเบิกจ่ายและบริหารวัคซีน การเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีน และตรวจสอบคุณภาพ Lot Release 2.การเตรียมสถานพยาบาล ทั้งอุปกรณ์สำหรับการฉีด ระบบลูกโซ่ความเย็น ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ และสำรวจกลุ่มเป้าหมายและลงทะเบียนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการพิจารณากลุ่มเป้าหมายหลัก จะเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วย กลุ่มที่ติดเชื้อแล้วเสี่ยงเสียชีวิตสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือกลุ่มที่มีโอกาสแพร่กระจายสูง โดยมีคณะกรรมการพิจารณา ไม่ขึ้นกับคนใดคนหนึ่งมาสั่งการได้ 3.สื่อสารประชาชนให้เข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ควรรับวัคซีน ให้ความรู้ประชาชนเรื่องวัคซีนก่อนรับบริการ ประกาศรณรงค์ 4.การรณรงค์ฉีดวัคซีน โดยจัดส่งไปยังหน่วยบริการทุกแห่ง ซึ่งมีองค์การเภสัชกรรมดำเนินการจัดส่งวัคซีนตามปกติอยู่แล้ว นัดหมายประชาชนกลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีน โดยอาจฉีดในสถานพยาบาลหรือเข้าไปฉีดในชุมชน พร้อมรายงานและติดตามผลการให้บริการ 5.การติดตามผลการให้วัคซีน โดยมีการติดตามผลเป็นรายสถานพยาบาลและรายสัปดาห์ กำหนดเป้าหมายการให้บริการมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ หารือแนวทางให้วัคซีนเพิ่มเติมในพื้นที่เข้าถึงยาก และ 6.ติดตามอาการหลังได้รับวัคซีน ซึ่งจะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญมาทบทวน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37271
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ออกมาตรการช่วยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ 3 เดือนทันที พร้อมให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี และ 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ออมสิน ออกมาตรการช่วยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ 3 เดือนทันที พร้อมให้กู้ฉุกเฉินไม่คิดดอกเบี้ย 1 ปี และ 3 เดือนแรกไม่ต้องผ่อน ออมสินจัดมาตรการเร่งด่วนช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ทันที 3 ด. เน้นช่วยเหลือพื้นที่ตามหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งให้กู้ฉุกเฉินสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติรายละ 50,000 บ. โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายคืน ธนาคารออมสินจัดมาตรการเร่งด่วนช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ พักชำระหนี้ทันที 3 เดือน เน้นช่วยเหลือพื้นที่ตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ พร้อมทั้งให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องหลายวันในช่วงนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสร้างความเสียหายต่อลูกค้าและประชาชนเป็นวงกว้าง ธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือ โดยนำถุงยังชีพและน้ำดื่มออกไปแจกจ่ายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าเป็นการด่วนแล้วกว่า 3,500 ชุด และหน่วยบริการอาหารฟรีทุกวัน ซึ่งเบื้องต้นจังหวัดที่ประสบภัยพิบัติ คือ จ.นครศรีธรรมราช กับ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีลูกค้าเงินฝากและสินเชื่อธนาคารออมสินกว่า 957,000 ราย และพื้นที่ใกล้เคียง โดยได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ ธนาคารฯ ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับตามความหนักเบาของผลกระทบที่ได้รับ โดยเฉพาะระดับความรุนแรงสูง และทางการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารฯ ผ่อนปรนให้พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน สำหรับระดับความรุนแรงปานกลาง ที่มีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชำระเงินต้นและชำระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี และระดับความรุนแรงขั้นต้น ที่ถูกภัยน้ำท่วมและมีน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชำระเงินต้นไม่เกิน 2 ปี และชำระเงินแต่ดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชำระเงินต้น ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ยังให้ประชาชนที่ประสบภัยกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม/ภัยพิบัติ รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ชำระเงินเป็นรายเดือน 3-5 ปี โดยปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก นอกจากนี้ ยังให้สินเชื่อเคหะแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ เพิ่มเติมสำหรับลูกค้าเดิมและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบเพื่อซ่อมแซมต่อเติมที่อยู่อาศัยส่วนที่เสียหายได้ถึง 100% ของราคาประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยดอกเบี้ยปีแรก 0% ปีที่ 2-3 = 3.00% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี และสินเชื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร วงเงินกู้สูงสุด 10% ของวงเงินกู้เดิมแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 5 ปี โดยปลอดชำระเงินต้น 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยธนาคาร MRR = 6.245% และ MLR = 6.150% ต่อปี). https://www.gsb.or.th/news/gsbpr74/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ชั้น ๓ ตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๕๗/๒๕๖๓ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓ และการขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามข้อเสนอโครงการแก้ไขผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาดโควิด ๑๙ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและชุมชนชนบทของสมัชชาคนจน นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของสมัชชาคนจน จำนวน ๖ กรณี พร้อมทั้ง พิจารณาผลความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ/คณะทำงาน ภายใต้คำสั่งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมพิธีสวดเจริญมหามงคลรวมศาสนา สืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี”รวมใจภักดิ์ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ “พ่อแห่งแผ่นดิน”
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 ปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมพิธีสวดเจริญมหามงคลรวมศาสนา สืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี”รวมใจภักดิ์ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ “พ่อแห่งแผ่นดิน” ปลัดฯ ดีอีเอส ร่วมพิธีสวดเจริญมหามงคลรวมศาสนา สืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี”รวมใจภักดิ์ น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ “พ่อแห่งแผ่นดิน” เมื่อวันที่3ธันวาคม2563นางสาวอัจฉรินทร์พัฒนพันธ์ชัยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดีอีเอสเข้าร่วมพิธีสวดเจริญมหามงคลรวมศาสนา3ธันวาคม2563สืบสานพระราชปณิธาน“ธรรมราชินี”รวมใจภักดิ์น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ“พ่อแห่งแผ่นดิน”เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร5ธันวาคม2563ณพระลานพระราชวังดุสิตโดยพิธีดังกล่าวประกอบด้วยการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรและสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชการเจริญพระพุทธมนต์และสวดถวายพระพรชัยมงคล5ศาสนาได้แก่ศาสนาพุทธศาสนาอิสลามศาสนาคริสต์ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาซิกข์ตั้งแต่เวลา17.00น.เป็นต้นไป *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37299
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงยุติธรรม” จัดประชุมคณะอนุกรรมการติดตามการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม 2563 “กระทรวงยุติธรรม” จัดประชุมคณะอนุกรรมการติดตามการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ “กระทรวงยุติธรรม” จัดประชุมคณะอนุกรรมการติดตามการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37290