text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (15-21 พ.ค. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเริ่มมีแรงกลับเข้ามาซื้อ ทำให้หลาย ๆ บริษัทหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น  กองทุนไหนกลับมาทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 22 พ.ค. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเริ่มมีแรงกลับเข้ามาซื้อ ทำให้หลาย ๆ บริษัทหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนไหนกลับมาทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (15-21 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564) 1.LHESPORT-A – กองทุนเปิด แอล เอช อีสปอร์ต ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.78% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -3.65% 2.LHINNO-A – กองทุนเปิด แอล เอช อินโนเวชั่น ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.30% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -27.66% (NAV เริ่มนับ 21/01/2564) 3.K-ATECH – กองทุนเปิดเค เอเชีย เทคโนโลยี หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.96 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -4.84% (NAV เริ่มนับ 19/04/2564) ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : LHESPORT-A, LHESPORT-E, LHINNO-E, LHINNO-A, K-ATECH, PRINCIPAL GCLOUD-A, TNEWENGY, PRINCIPAL GCLEAN-A, TMB-ES-GENOME, ONE-GECOM หมายเหตุ: กองทุนอันดับที่ 1 และ 2 และกองทุนอันดับที่ 3 และ 4 เป็นกองทุนเดียวกันแต่คนละคลาสกัน ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (15-21 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.56 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : -1.70 % 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.38 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +6.46 % 3.ONE-GECOM : กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.38 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -0.49 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, ONE-GECOM, TMBCOF, TMB-ES-GINNO, B-INNOTECH, K-USA-A(A), K-VIETNAM, K-CHANGE-A(A), TMBAGLF 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (15-21 พ.ค. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA และบน Social Media กองทุน ONE-UGG-RA ก็ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน (สัปดาห์ที่แล้วเป็น K-USA-A(A)) โดยอันดับรองลงมาคือ TMBGQG และ B-INNOTECH เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 21 พ.ค. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบว่า ONE-UGG-RA มีการพูดบนถึง Facebook มากที่สุด ขณะที่ TMBGQG มีการพูดถึงบน YouTube มากที่สุด และ K-USA-A มีการพูดถึงบน Forum (เช่น กระทู้ Pantip) มากที่สุด หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (8-14 พ.ค. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยังคงมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย กองทุนไหนยังทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 15 พ.ค. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยังคงมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาทั้งในดัชนี Dow Jones, S&P500, และ Nasdaq กองทุนไหนยังทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (8-14 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 14 พ.ค. 2564) 1.KT-MINING – กองทุนเปิด เคแทม เวิลด์ เมทัล แอนด์ ไมน์นิ่ง ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +5.84% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +27.76% 2.WE-GOLD – กองทุนเปิด วี โกลด์ แอนด์ ซิลเวอร์ อิควิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.18% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +5.04% 3.UOBSC – กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมโมดิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.06 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +27.75% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : KT-MINING, WE-GOLD, UOBSC, K-GOLD-A(A), UOBSG – H, TMBCHEQ, ASP-NGF, I-GOLD, TISCOCHA-A, KF-GOLD หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (8-14 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 14 พ.ค. 2564) สัปดาห์นี้ กองทุน TMBAGLF ขึ้นมาติด 10 อันดับกองทุนยอดนิยม ขณะที่ K-CHINA-A(D) หลุดจาก 10 อันดับแรกไป 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.36 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : -4.16 % 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -3.46 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +3.98 % 3.ONE-GECOM : กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -7.85 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -6.46 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, ONE-GECOM, K-USA-A(A), TMB-ES-GINNO, TMBCOF, K-VIETNAM, B-INNOTECH, K-CHANGE-A(A), TMBAGLF 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (8-14 พ.ค. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 14 พ.ค. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา บน Social Media กองทุน K-USA-A กลับเป็นกองที่มีการพูดถึงมากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรองลงมาคือ ONE-UGG-RA และ TMBGQG เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 14 พ.ค. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media จะพบว่า K-USA-A มีการพูดถึงบนช่องทาง Forum (เว็บบล็อค เช่น Pantip) มากที่สุด ขณะที่ช่องทาง Facebook จะเป็นกองทุน ONE-UGG-RA และ TMBGQG ในช่องทาง YouTube หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
3 ปัจจัยหลักที่จะทำให้ทองไป 30,000 บาทอีกครั้ง - FINNOMENA ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาทองได้ทำการทะยานขึ้นทะลุโซน 1,800 ซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยามาได้ ส่งผลให้ทั่วโลกกลับมาสนใจทองคำอีกครั้ง คำถามคือราคาทองคำจะกลับไปสู่แนวโน้มขาขึ้นได้อีกครั้งเหมือนในช่วงปี 2019-2020 ได้อีกหรือไม่ ขอสรุป 3 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองเด้งกลับไป 30,000 บาทได้อีกครั้ง 13 พ.ค. 2564 หลังจากที่นักลงทุนทั่วโลกได้รอคอยการขึ้นของราคาทองคำกันมานับตั้งแต่ต้นปี แต่ก็ผิดหวังกันมาตาม ๆ กัน จนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาทองก็ได้ทำการทะยานขึ้นทะลุโซน 1,800 ซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยามาได้ ส่งผลให้ทั่วโลกกลับมาสนใจทองคำอีกครั้ง คำถามคือราคาทองคำจะกลับไปสู่แนวโน้มขาขึ้นได้อีกครั้งเหมือนในช่วงปี 2019-2020 ได้อีกหรือไม่ ทางอินเตอร์โกลด์ขอสรุป 3 ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองเด้งกลับไป 30,000 บาทได้อีกครั้ง ปัจจัยที่หนึ่ง การอัดเงินเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาล ทั้งจากฝั่งการเงินและการคลังของสหรัฐฯ อย่างที่เราทราบกันดี ว่าขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 นอกจากปัญหาด้านสุขภาพที่ต้องห่วง สิ่งหนึ่งที่รัฐต้องทำควบคู่กันไปคือการประคับประคองเศรษฐกิจให้กลับมาอยู่ในสภาวะเดิมก่อนการเกิดวิกฤตโควิด และวิธีที่สหรัฐฯ นิยมใช้และเป็นไพ่ตายมาตลอดคือการปั๊มเงินเข้าสู่ระบบผ่านทางธนาคารกลาง หรือที่เรารู้จักกันดีคือการทำ QE การทำเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนลง แถมยังเป็นการกระตุ้นเงินเฟ้อระยะยาวจากการที่เงินในระบบถูกเติมขึ้นมาในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจที่ควรจะเป็น ประกอบกับทางฝั่งโจไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้มีการอัดฉีดเงินเพิ่มเข้ามาอีกผ่านโปรแกรมเยียวยาที่มีจำนวนถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งสองการอัดฉีดนี้ ส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นการวิ่งนำเงินเฟ้อในอนาคตไปแล้ว ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาประเด็นเงินเฟ้อจะเป็นประเด็นที่พูดกันอยู่ตลอด แต่ไม่ถูกจัดเป็นสิ่ง ๆ แรกที่คนทั้งโลกห่วงกัน เพราะ ณ จังหวะนั้นคนคาดหวังเศรษฐกิจให้กลับมาเหมือนเดิมก่อน ส่วนเงินเฟ้อยังคงเป็นเรื่องรอง แต่ถ้าเมื่อใดเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เมื่อนั้นทองคำก็จะกลับมาเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่ทั่วโลกอยากจะครอบครอง ปัจจัยที่สอง การขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ต่าง ๆ ทั่วโลก จากตารางเป็นการเปรียบเทียบทองคำตั้งแต่เริ่มปี 2021 จนถึงปัจจุบัน ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อย่างเดียว ณ ตอนนี้ที่ไม่สามารถปิดอยู่ในโซนบวกได้ และรั้งท้ายชาวบ้านสุด ทั้ง ๆ ที่สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่สามารถบอกระดับเงินเฟ้อได้ ซึ่งการที่สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น มันก็ได้เป็นการชี้ให้เห็นแล้วว่าเงินเฟ้อได้มาแล้ว แต่ตัวทองคำเองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวป้องกันเงินเฟ้อหรือเอาไว้ต่อสู้กับเงินเฟ้อโดยเฉพาะ กลับไม่ปรับตัวขึ้นเลยแถมปรับตัวลงนำชาวบ้านไปด้วย ด้วยเหตุนี้หากทองคำกลายเป็นม้าตีนปลายขึ้นมาอีกครั้ง ก็สามารถวิ่งมาเท่าเพื่อน ๆ ได้ หากเป็นกรณีเช่นนั้น การที่เราจะได้เห็นทองกลับมาสู่ระดับ 1,900-2,000 เหรียญ หรือในช่วง 29,000-30,000 บาทนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ปัจจัยที่สาม กราฟเทคนิค หลังจากที่ราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลงมาต่อเนื่องตลอด 3 เดือน ทำให้ตลาดทองคำสั่นคลอนและเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจอยู่ไหม จนกระทั้งในปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาทองคำก็สามารถปิดเป็นสัญญาณบวกได้เป็นเดือนแรกในปีนี้ ซึ่งตลาดหลังจากได้เห็นสัญญาณดังกล่าวก็ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นทะลุ 1,800 ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญเชิงจิตวิทยา เพียงแค่เวลาอันสั้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ทำให้มุมมองขาลงตลอด 3 เดือน เริ่มอ่อนแรงลง และเริ่มปรับตัวเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ประกอบกับแพทเทิร์น Cup and Handle หรือถ้วยกับหูถ้วย ซึ่งในสัญญาณราคาทองคำระดับใหญ่ได้มีการฟอร์มตัวชัดขึ้น แพทเทิร์นนี้มีโอกาสเป็นตัวส่งให้ราคาทองทำจุดสูงสุดใหม่ได้เหนือ 2,100 ซึ่งต้องมาจับตาดูการว่าในเดือนพฤษภาคมหากราคาทองคำปิดบวกต่อ ในเดื่อนต่อ ๆ มาจะส่งต่อโมเมนตั้มขาขึ้นได้ต่อไปได้ไหม เทรดเดอร์ อินเตอร์โกลด์ แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ทอง ทองคำ ราคาทอง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เอาอย่างไรกับ ARK Family ที่เราถืออยู่ดี? - FINNOMENA สิ่งที่นักลงทุนที่มีกองทุนไทยที่ไปซื้อตระกูล ARK อยู่ในพอร์ตน่าจะอยากรู้ก็คือ "เราควรวางกลยุทธ์อย่างไรดีหลังจากนี้?" ไปดูชุดข้อมูลที่ผมจะบอกกัน 14 พ.ค. 2564 ARK Invest คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เป็นที่กล่าวถึงในวงกว้างเป็นอย่างมากในโลกของการลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนที่โดดเด่นในปี 2020 ที่ผ่านมา หุ้นที่กองทุน ARK เข้าไปลงทุน ต่างได้รับผลบวกจากการปิดเมือง และมาตรการรักษาระยะห่าง ทำให้เม็ดเงินลงทุนหลั่งไหลเข้าไปลงทุนจนติดอันดับ 1 ใน 10 กองทุนที่มีเงินลงทุนไหลเข้าลงทุนมากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่เป็น Fund House เล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2014 เท่านั้น ความที่ ARK Invest มองในมุมที่ต่าง และมีวิธีการนำเสนอโอกาสการลงทุนในแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหน ผ่าน CEO ของบริษัทที่ชื่อว่า เคที วู้ด (Cathie Wood) ที่เล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “Innovation is key to growth” ทำให้นักลงทุนต่างเห็นภาพ และเชื่อมั่นว่า การลงทุนของ ARK คือ สิ่งที่น่าจะสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ขอเกริ่นถึง ARK Invest เพียงเท่านี้ เพราะเชื่อทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ รู้จัก ARK มาก่อน และสามารถหารายละเอียดได้ตาม Internet แต่ที่จะหยิบมาวิเคราะห์ครั้งนี้ ผมเชื่อว่ายังไม่มีใครได้เขียนถึงมาก่อน และ สาวกของคุณป้าเคทีที่มีกองทุนไทยที่ไปซื้อตระกูล ARK อยู่ในพอร์ตน่าจะอยากรู้ก็คือ “เราควรวางกลยุทธ์อย่างไรดีหลังจากนี้?” ไปดูชุดข้อมูลที่ผมจะบอกกัน 1. เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว ที่หากเราแบ่งการลงทุนในหุ้นออกเป็น 2 ธีมการลงทุน ระหว่าง Value Play กับ Growth Play เราจะพบว่า หุ้นสไตล์ Growth Play ประเภท ยอดขายโต กำไร ฐานลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ หุ้นเหล่านี้ ผลตอบแทนชนะกลุ่ม Value Play ที่อาจไม่มีการเติบโต กำไรนิ่ง ๆ ปันผลสม่ำเสมอ แต่นับตั้งแต่เข้าไตรมาส 1/2021 เทรนด์ที่เราเห็นในระยะยาวนั้น เหมือนจะเริ่มเปลี่ยนไปในระยะสั้น เพราะ หุ้นกลุ่ม Value Play กลับมาทำผลตอบแทนได้ดีกว่า Growth Play 2. เหตุผลหนึ่งเลยก็เพราะ หุ้น Growth Play ซึ่งหลัก ๆ คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี วิ่งหน้าตั้งขึ้นมาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่เมื่อปิดเมือง และหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่ม Old Economy ก็วิ่งช้ากว่า 3. พอ Vaccine Rollout รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณขนาดใหญ่ กระแส Fund Flow ก็เปลี่ยนทิศมาเข้าหุ้นกลุ่ม Value Play และไหลออกจาก Growth Play ตรงนี้ กระทบกับกองทุนของ ARK โดยตรง เพราะ หุ้นในพอร์ตของ ARK คือ หุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด แถมเป็นหุ้นที่ยังมีขนาดกิจการไม่ใหญ่มาก และวิ่งมาแรงมากก่อนหน้านี้ ก็เลยโดยแรงเทขายมากกว่าดัชนี NASDAQ ชัดเจน 4. ปรับฐานรอบนี้ ARK ลงมาลึกแค่ไหน? ยกตัวอย่าง กองทุน Flagship อย่าง ARKK ค่าเฉลี่ยการปรับฐานหนัก (Max Drawdown) จะอยู่ที่ -23% ขณะที่ปรับฐานหนักสุดคือตอนโควิด-19 ระบาดรอบแรกในสหรัฐฯ ARKK ติดลบไป -42.50% มารอบนี้ ARKK ปรับฐานไปแล้ว -33.59% มากกว่า Average Max DD. ในอดีต แต่ก็ยังไม่ลึกเท่าตอนเดือนมี.ค. ปี 2020 5. ที่ ARK ลงมาลึกมากกว่ากองทุนเทคโนโลยีกองอื่น ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะขึ้นมาเยอะกว่าคนอื่นไม่กี่รู้เท่า โดยปี 2020 ARKK ผลตอบแทน +153%, ARKW +157% และ ARKG +181% 6. ถ้าดูในแง่ราคา เหมือนจะลงมาเยอะแล้วใช่ไหม? พาไปดูในแง่ Fund Flow จะพบว่า กอง Flagship อย่าง ARKK มีเงินนักลงทุนไหลเข้าไปลงทุนสูงถึงเกือบ ๆ $6 Billion แต่นับตั้งแต่ต้นปี 2021 มีเงินนักลงทุนขายออกจาก ARKK ไปประมาณ $1.5 Billion ซึ่งมันก็มองได้ 2 มุมนะครับ ยังมีคนเชื่อมั่นใน ARK อีกเยอะ ที่ขายน่ะขายน้อย แต่อีกมุม ถ้าแรงขายมีมากกว่าที่เราเห็น และหุ้นในพอร์ต ARK ที่มีขนาด Market Cap ไม่ได้ใหญ่อะไร เวลาโดนแห่ขาย ราคาจะลงได้ลึกไหม อันนี้ก็ต้องคิดเหมือนกัน 7. ดึงมาเฉพาะหุ้นใน Top 10 ของ ARKK เพื่อมาดูว่า หลังจากทยอยประกาศงบกันออกมา นักวิเคราะห์มองอนาคตของหุ้นกันยังไงบ้าง ก็พบว่า ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะ 8 ใน 10 ตัว โดนปรับลด Target Price ลง แปลว่า นักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในพอร์ตลดลง (แต่ก็ยังมี Upside นะครับ ไม่ได้ปรับราคาเป้าหมายต่ำกว่าราคาปัจจุบัน) 8. ไปดูการวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็จะเห็นว่า ARKK เพิ่งทำ New Low ในรอบ 6 เดือน และหลุดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันไปหมาด ๆ ดังนั้น ในแง่ Momentum ก็ชัดเจนว่าไม่ใช่ขาขึ้น ต้องหารูปแบบการกลับตัวกันสักระยะเวลาหนึ่งถึงจะเห็นความหวัง สรุป กองทุนตระกูล ARK ปรับฐานจากจุดสูงสุดมาเยอะแล้วก็จริง แต่ในอดีต ARK ก็ไม่เคยวิ่งแรงขนาดที่วิ่งในปี 2020 มาก่อน ดังนั้น อย่าประมาทว่า การปรับฐานจะสิ้นสุดในเร็ววัน ขณะที่กระแสเงินทุนของโลกชัดเจนว่า อยู่ในช่วงที่ยังชอบหุ้น Value Play หรือหุ้นกลุ่มวัฏจักร จากความหวังการเปิดเมืองในอนาคต และมาตรการจากทั้งกระทรวงการคลังและเฟดเอง ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งาน Platform ของบริษัทหรือหุ้นที่ ARK เข้าลงทุน อาจมีการเติบโตลดลง จนเป็นที่มาที่มีการปรับลดคาดการณ์ราคาเป้าหมาย ด้วยเหตุผลนี้ ยังเชื่อว่า Downside Risk ของตระกูล ARK ในระยะสั้นน่าจะยังมีอยู่ เราอาจใช้ Greatest Max DD. เป็นจุดเข้าซื้อหนัก ๆ ก็ได้สำหรับคนต้องการถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือไม่ ก็ต้องรอสัญญาณการกลับทิศของ Fund Flow ในภาพใหญ่ แต่ยังไง ส่วนตัว ผมก็เชื่อว่า ระยะยาวมากกว่า 5-10 ปี หุ้นสไตล์ Growth Play จะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า Value Play และหัวใจสำคัญของ Growth ก็คือ Innovation ซึ่ง ARK ลงทุนในบริษัทเหล่านั้นอยู่ แหล่งที่มาข้อมูล : จากที่ประชุม Investment Consultant Committee ใน FINNOMENA https://www.tradingview.com/chart Mr.Messenger รายงาน ที่มาบทความ: https://www.blockdit.com/posts/609a9a9d9f2b2b0c522d4728 แท็ก: ARK ARK Invest Cathie Wood เคที วู้ด แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr.Messenger "ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ รู้จักกันในนามแฝงในเว็บบอร์ดพันทิพย์ ห้องสินธร ว่า “Mr.Messenger” เจ้าของ Blog http://iammrmessenger.com ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management และ กรรมการบริหาร บลน.ฟินโนมีนา"
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปเนื้อหา Live: ส่องหุ้นเกาหลีใต้ทำ All-time high กลุ่มการเงินสหรัฐฯ ยังน่าสนใจหรือไม่? - The Opportunity (10/05/2564) - FINNOMENA บทความนี้ จะขอพาผู้อ่าน มาสรุปเนื้อหา Live The Opportunity “ส่องหุ้นเกาหลีใต้ทำ All-time high กลุ่มการเงินสหรัฐฯ ยังน่าสนใจหรือไม่? ที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 กันครับ 10 พ.ค. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ทำ All Time High ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงินสหรัฐฯ ก็ยังสร้างผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้เมื่อตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ก็ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอีกครั้ง บทความนี้ จะขอพาผู้อ่าน มาสรุปเนื้อหา Live The Opportunity “ส่องหุ้นเกาหลีใต้ทำ All-time high กลุ่มการเงินสหรัฐฯ ยังน่าสนใจหรือไม่? เมื่อวันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 กันครับ 1. Market Highlights 1.1 Eye on Fear & Greed Index Fear and greed index เป็นดัชนีที่จัดทำขึ้นโดย CNN Money เพื่อบ่งชี้สภาวะของตลาดหุ้น ณ ขณะนี้ว่ามีความโลภหรือกลัวในระดับใด ในช่วงสัปดานห์ที่ผ่าน ดัชนี Fear and Greed ลดลง 6 จุด จาก 61 มาอยู่ที่ 55 (ยังอยู่ในช่วง Greed ที่ตลาดยัง risk on) รูปภาพที่ 1 Fear and Greed index source: FINNOMENA as of 10/05/2564 1.2 Zoom In Performance รูปภาพที่ 2 S&P500 Sector Performance Source: Bloomberg As of 09/05/2021 ในส่วนของสินทรัพย์ทั่วโลก สัปดาห์ที่ผ่านมา ทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 2.1% เนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาด ขณะที่กลุ่มการเงินในดัชนี S&P500 สร้างผลตอบแทนได้ถึง 3.7% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนั้นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นเกาหลี ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วทำผลตอบแทนได้ 2.4% 2. Zoom in Assets: เจาะลึกสินทรัพย์ 2.1 KOSPI รูปภาพที่ 3 KOSPI Index normalized relative index Source: Bloomberg As of 23/04/2021 ตลาดหุ้นเกาหลีมีการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ดีกว่าดัชนี S&P500 เนื่องจากที่ผ่านมา เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกิจกรรมการเปิดเมือง กลุ่มอุตสาหกรรมและวัสดุ ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ยัง underperform อยู่คือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ Samsung Electronics, SK Hynix ซึ่งในปี 2020 ราคาได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วในช่วงโควิด-19 อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่ม Semiconductor อย่าง Samsung ที่เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่อันดับสองของโลก รองลงมาจาก TSMC ของไต้หวัน ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อจากอานิสงส์ของการขาดแคลนชิปทั่วโลก นอกจากนี้ จาก MSCI South Korea หรือตลาดหุ้นเกาหลี หุ้น Samsung Electronics มีสัดส่วนในดัชนีถึง 20% ของตลาด และในไตรมาสที่สองนี้ ถูกคาดการณ์ว่ารายได้ Samsung Electronics จะโต 26.5% และกำไรต่อหุ้นโต 39.1% (YoY) ดังนั้นแล้ว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเกาหลีที่ยัง underperform อยู่ จึงมีความน่าสนใจ และรอการปรับประมาณการในอนาคต ทำให้มี Upside เหลือที่น่าสนใจ 2.2 Gold รูปภาพที่ 4 U.S. Economy added only 266,000 jobs in April Source: Bloomberg As of 10/05/2021 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทองคำปรับตัวขึ้นมา 2.4% เนื่องจากตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ เดือนเมษายนออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด โดยอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ (คาดการณ์ที่ 5.8% แต่ตัวเลขออกมาที่ 6.1%) ตลาดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้ฟื้นตัวมากถึงขนาดที่ทาง FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ณ ขณะนี้ ส่งผลให้ bond yield ไม่ปรับตัวขึ้น แต่ตลาดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อยังจะเกิดขึ้น ทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อ (Breakeven Inflation) ยังเพิ่มขึ้นอยู่ ส่งผลให้ Real yield (อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง) ปรับลดลง ซึ่งหนุนให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ในระยะยาวเรามองว่า bond yield มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น และจะส่งแรงกดดันราคาทองคำต่อเนื่อง 2.3 FINANCE รูปภาพที่ 5 S&P 500 EPS Revision Source: Bloomberg As of 10/05/2021 ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ที่ออกมาดีในไตรมาส 1 ได้รับแรงหนุนจากการตั้งสำรองหนี้เสียที่ลดลง ตลาดการเงินคึกคัก และการเกิดขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง ทำให้จนถึงตอนนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ได้รับการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) อย่างต่อเนื่อง อาทิตย์ที่ผ่านมา มีการปรับ EPS ขึ้น 0.9% และ EPS ปัจจุบันอยู่ที่ 27% จากมุมมองของเราที่มองว่า bond yield ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นในออดีต ทำให้คาดว่าหุ้นกลุ่ม value ยังคงเหนือกว่าหุ้นกลุ่ม growth ต่อไป ด้วยการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) และมุมมองด้าน Bond yield ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน จึงยังเป็นกลุ่มที่มีความน่าสนใจ ณ ขณะนี้ 3. Opportunity Fund: แนะนำกองทุนประจำสัปดาห์ ด้วยความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน ในช่วง Opportunity Fund สัปดาห์นี้ของรายการ จึงแนะนำให้ทยอยสะสมกองทุน KT-FINANCE ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก Fidelity Funds – Global Financial Services Fund (Class A) มีนโยบายการลงทุนทั่วโลกในบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน โดยกลุ่มการเงินนั้นมีรายได้หลักจากหลากหลายช่องทาง อาทิ การปล่อยสินเชื่อ, บริการด้านการซื้อขายหลักทรัพย์ ตราสารหนี้ รวมไปถึงการออกหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งจัดอยู่ในรูปแบบของ Non-interest income ซึ่งเป็นส่วนที่กลุ่มการเงินขนาดใหญ่อย่าง Goldman Sachs, JPMorgan, BofA ทำรายได้ดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้เมื่อพิจารณาสัดส่วนการลงทุนพบว่าหุ้นไม่ได้มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว และมีรายได้จากทั่วโลกประมาณ 50% ช่วยกระจายสัดส่วนรายได้ของพอร์ตการลงทุนของกองทุน 4. Long Term Opportunity Long Term Opportunity เป็นกองทุนแนะนำจาก FINNOMENA ที่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับ Mega Trend ทางเศรษฐกิจ และ Sector ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต และเหมาะกับการลงทุน 3-5 ปี โดยกองทุนที่เราแนะนำได้แก่: ONE-UGG-RA, K-USA-A(A), TMBCOF / K-CHINA, WE-CYBER, K-CHANGE-A (A), MRENEW, UESG, WE-GESECURE 4.1 ผลตอบแทน Long Term Opportunity สำหรับผู้อ่านที่อยากจะรับชมย้อนหลัง The Opportunity Live แบบเต็ม ๆ พร้อมรับชมช่วงตอบคำถาม Q&A กองทุนที่น่าสนใจ สามารถคลิกเพื่อรับชมได้ที่ : https://youtu.be/-ekANnrzUbc สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://link.finnomena.com/open-plan-live คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article K-CHANGE-A(A) K-CHINA-A(D) K-USA-A(A) KT-FINANCE MRENEW-A MRENEW-D ONE-UGG-RA TMBCOF UESG WE-CYBER แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (1-7 พ.ค. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 1-7 พ.ค. 2564 ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ที่มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมา กองทุนไหนยังทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 9 พ.ค. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 1-7 พ.ค. 2564 ตลาดหุ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาเนื่องจากความกังวลเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย กองทุนไหนยังทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (1-7 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 07 พ.ค. 2564) 1.KT-ENERGY – กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.89% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +28.31% 2.PRINCIPAL iGOLD-X – กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลด์ อินคัม ชนิดผู้ลงทุนพิเศษ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.14% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): – 2.91% 3.KF-GOLD – กองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.10 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +0.35% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : KT-ENERGY, PRINCIPAL IGOLD-X, PRINCIPAL IGOLD-E, KF-GOLD, KF-HGOLD, TGOLD, LHGOLDH-E, LHGOLDH-A, I-SEQS-IA, I-SEQS-RA หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (1-7 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 07 พ.ค. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -5.26 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +1.01 % 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -1.76 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +7.26 % 3.ONE-GECOM : กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: -6.91 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +0.94 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, ONE-GECOM, TMBCOF, K-USA-A(A), B-INNOTECH, K-VIETNAM, K-CHANGE-A(A), TMB-ES-GINNO, K-CHINA-A(D) 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (1-7 พ.ค. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุน K-USA-A กลับเป็นกองทุนที่มีการพูดถึงมากที่สุดบน Social Media โดยที่อันดับสองและสามคือ ONE-UGG-RA และ K-CHINA-A เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media จะพบว่า K-USA-A มีการพูดถึงบนช่องทาง Forum (เว็บบล็อค เช่น Pantip) มากที่สุด ขณะที่ช่องทาง Facebook จะเป็นกองทุน ONE-UGG-RA และ TMBGQG ในช่องทาง YouTube หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปเนื้อหา Live: ถาม ตอบกองทุนรวมประจำสัปดาห์ - The UpTrend Q&A (05/05/64) - FINNOMENA บทความนี้จะขอสรุปเนื้อหาบางส่วน ถาม-ตอบจากใน Live The Uptrend Q&A: ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 13 เมื่อวันพุธที่ 05 พฤษภาคม 2564 ให้นักลงทุน FINNOMENA ได้อ่านกันครับ 25 พ.ย. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าลงทุนไหม กองทุนกัญชาที่เพิ่ง IPO อย่าง MCANN ควรมีกี่เปอร์เซ็นต์ในพอร์ต T-ES-GGREEN และ MRENEW ถือว่าครอบคลุมกองทุนธีมพลังงานสะอาดทั้งหมดแล้วหรือยัง? และคำถามอื่น ๆ ที่มีนักลงทุนถามเข้ามาใน Live The Uptrend Q&A: ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 13 เมื่อวันพุธที่ 05 พฤษภาคม 2564 บทความนี้จะขอสรุปเนื้อหาบางส่วนจากใน Live ให้นักลงทุน FINNOMENA ได้อ่านกันครับ 1.อนาคต MCANN จะโตเร็วหรือเปล่า ควรมีกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน ตลาดกัญชายังมีศักยภาพเติบโตได้สูงทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดกัญชง และกัญชาเพื่อการสันทนาการที่ถูกคาดว่าจะเติบโตได้อีกมากกว่า 50% ใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ตลาดกัญชงและกัญชาเพื่อการแพทย์ยังถูกคาดว่าจะเติบโตได้ที่ประมาณ 30% เมื่อพิจารณามูลค่าตลาดของการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการที่ถูกกฏหมาย ยังคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-15% ของมูลค่าตลาดกัญชาที่ไม่ถูกกฏหมายทั่วโลกเท่านั้น นั่นหมายถึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระยะสั้นในตลาดสหรัฐฯ ที่การปฏิรูปกฏหมายกัญชาเป็นอีก 1 วาระที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันระบุไว้ ทำให้เรามองว่าตลาดกัญชายังมีอนาคตเติบโตได้อีกมาก รูปที่ 1 : คาดการณ์การเติบโตของตลาดกัญชาทั่วโลก | Source : Marijuanna Business Daily As of 12/20 ประกอบกับสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน ที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชา เมื่อพิจารณาจากดัชนีแล้วพบว่า มีการปรับฐานลงมาแล้วมากกว่า 50% มองว่าเป็นการปรับฐานครั้งใหญ่แล้ว ทำให้การเข้าทยอยสะสมลงทุนในจังหวะช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามด้วยความผันผวน และความไม่แน่นอนของการแก้ไขกฏหมายในนานาประเทศ ที่อาจถูกเลื่อนออกไป หรือเปลี่ยนแปลงได้ จึงแนะนำแค่ประมาณ 5-10% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นการรับความผันผวนที่มาจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะตัวมากจนเกินไป รูปที่ 2 : เส้นอัตราผลตอบแทนของดัชนี POTX, POTX ETF, CNBS ETF, MJ ETF | Source : Bloomberg As of 04/05/2021 ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update 2. TNEXTGEN และ TCHCON ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐฯ และ จีนหรือไม่ รูปที่ 3 : Top 10 holding ของกองทุน ARKW (Master Fund TNEXTGEN) และ Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF (Master Fund TCHCON) | Source : ARK-funds.com, globalxetfs.com As of 04/05/2021 TNEXTGEN และ TCHCON เป็นกองทุนที่ลงทุนในลักษณะ Thematic เป็นหลัก โดยแยกออกเป็น TNEXTGEN ธีม Innovation ที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนโครงสร้างของเทคโนโลยีเป็นหลัก TCHCON เป็นธีมของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้าฟุ่มเฟือยในประเทศจีน ซึ่งทั้ง 2 กองนี้มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งจีนและสหรัฐฯ บางส่วน อย่าง Tesla และ NIO เนื่องจากรถยนต์นั้นจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และ เกี่ยวข้องกับ Innovation แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ทำให้หากต้องการโฟกัสที่รถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่ตอบโจทย์นัก อาจแนะนำเป็นกองทุน UEV ซึ่งโฟกัสที่รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะแทน อย่างไรก็ตาม อาจมีความผันผวนที่สูงมากกว่า จากความโฟกัสเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นหากต้องการกระจายการลงทุนควบคู่ไปด้วย การถือครอง 2 กองทุนเดิมสามารถทำได้ แต่หากต้องการโฟกัสไปที่รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะอาจไม่ตอบโจทย์นัก 3. T-ES-GGREEN และ MRENEW ทั้งสองกองทุน ครอบคลุมเรื่องพลังงานสะอาดแล้วหรือไม่ รูปที่ 4 : Sector Breakdown Brookfield global renewables and sustainable infrastructure (T-ES-GGREEN Master Fund), & BGF Sustainable Energy Fund (MRENEW Master Fund) | Source : .blackrock.com,.brookfield.com/ As of 04/05/2021 โดยรวมจะถือว่าครอบคลุมในแง่ของ Sector โดยจะหนักไปในด้านพลังงานสะอาดมากกว่า หากถือครอง 2 กองทุนในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน ในส่วนของสัดส่วนการลงทุน จะเน้นหนักไปที่กลุ่มหุ้นใหญ่เป็นหลัก ซึ่งมีความผันผวนต่ำกว่า ดังนั้นหากถือครอง 2 กองทุนเท่านี้ถือว่าครอบคลุมแล้ว 4. กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ตอนนี้ยังลงทุนได้หรือไม่ หรือควรรอย่อก่อน รูปที่ 5 : 10 Year Breakeven inflation & S&P 500 Index | Source : Bloomberg As of 04/05/2021 การมาถึงของวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงินและการคลัง ช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มองไปยังอนาคต ปธน.สหรัฐฯ นายโจ ไบเดน เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นอีก 1 ปัจจัยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวต่อไป เมื่อความคาดหวังเศรษฐกิจฟื้นตัว จะหนุนไปยังความคาดหวังอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ความคาดหวังอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวนั้นมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนความคาดหวังในอนาคต อย่างไรก็ตามในอนาคต จะมีความกังวลเรื่องของการลดขนาดมาตรการทางการเงิน หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้ามากดดันได้เป็นระยะ ๆ สร้างความผันผวนให้กับตลาดการลงทุน จึงแนะนำทยอยเข้าลงทุนได้ แต่อาจมีความผันผวนมาควบคู่กันเป็นระยะๆ 5.กระแสงตลาดหุ้น USA ที่มีแรงเทขายและอาจปรับฐาน มีมุมมองต่อกองทุน ONE-UGG-RA และ AKRW อย่างไร (สำหรับคนที่เพิ่งถือมา 3 เดือน) รูปที่ 6: ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 5/05/64 ในช่วงไตรมาสที่ 1 ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาค่อนข้างดี แต่เนื่องจาก ONE-UGG-RA และ ARKW (WE-CYBER, TNEXTGEN, TMB-ES-INTERNET) มีหุ้น Growth ค่อนข้างเยอะ และตัว bond yield ที่วิ่งขึ้นมาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อที่มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะยังกกดดันหุ้นกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีไปอีกสักระยะ ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ bond yield เริ่มทรงตัว ถือว่าคลี่คลายไประดับหนึ่ง ทำให้กลุ่มหุ้น Growth เริ่มมีแรงฟื้นตัวกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่า bond yield จะดีดเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอนาคต เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว คนจะขายตราสารหนี้มาซื้อหุ้นเพิ่ม หรือคนจะกลัวการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคนที่มีตราสารหนี้เดิมอยู่แล้ว ไม่อยากถือครองตราสารหนี้เดิมที่ดอกเบี้ยต่ำ ก็จะทำการขาย ทำให้ bond yield ดีดกลับขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าถือมาแล้วประมาณ 3 เดือน อาจต้องรับความผันผวนไปอีกสักระยะ แนะนำให้เตรียมแบ่งไม้ สำหรับการทยอยสะสมในอนาคตอันใกล้เมื่อมีจังหวะที่ตลาดย่อตัว (FINNOMENA จะมีการบอกจังหวะการเข้าสะสมอีกที) เนื่องจากกลุ่มหุ้น Growth ทั้งใน One-UGG-RA และ ARKW มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว อาทิ Tesla เป็นต้น ซึ่งมีแนวโน้มที่กำไรในระยะยาวจะเติบโตด้วย แต่ระยะสั้นอาจมีปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อและ bond yield มากดดันได้ สำหรับผู้อ่านที่อยากจะถามคำถามเกี่ยวกับกองทุนรวม ให้คุณพีท ณัฐนันท์ Senior Portfolio Specialist ของทาง FINNOMENA ตอบ ก็สามารถติดตามรายการ Live The UpTrend Q&A ได้ทุกวันพุธ เวลา 19.00 – 20.00 น. และถ้าอยากชมย้อนหลัง T้he Uptrend Live แบบเต็ม ๆ สามารถคลิกเพื่อรับชมได้ที่ : https://youtu.be/0TtY7xtsXvY ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (24-30 เม.ย. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 24-30 เม.ย. 2564 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 พ.ค. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 24-30 เม.ย. 2564 มีกองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (24-30 เม.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 30 เม.ย. 2564) 1.WE-TENERGY – กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +9.47 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -8.78% (Nav เริ่มตั้งแต่วันที่ 01/03/21) 2.MN-USBANK-A – กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ ยูเอส แบงค์ อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.83 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +35.82% 3.TGHDIGI – กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.68 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +3.06% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : WE-TENERGY, MN-USBANK-A, TGHDIGI, K-GPE19A-UI, KT-ENERGY, WE-GIHEALTH, ASP-IHEALTH, TNEWENGY, BCAP-CTECH, WE-DEWORLD หมายเหตุ: ข้อมูลหน่วยราคากองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (24-30 เม.ย 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 30 เม.ย. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.25 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +6.63 % 2.ONE-GECOM : กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล อีคอมเมิร์ซ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.50 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +8.44 % 3.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.61 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +9.18 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, ONE-GECOM, TMBGQG, K-VIETNAM, TMBCOF, TMB-ES-GINNO, K-CHINA-A(D), K-CHANGE-A(A), K-USA-A(A), B-INNOTECH 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (24-30 เม.ย. 64) เปรียบเทียบ10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 30 เม.ย. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA และบน Social Media กองทุน ONE-UGG-RA ก็ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ขณะที่รองลงมาคือกองทุน K-CHINA-A และ K-USA-A เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 30 เม.ย. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media จะพบว่า K-CHINA-A ได้รับการพูดถึงบนช่องทาง Facebook มากที่สุด ขณะที่ ONE-UGG-RA ได้รับการพูดถึงมากที่สุดบนช่องทาง YouTube หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group ลงทุนกองไหนดี ? อ่านโพยกองทุน แนะนำกองทุนสำหรับลงทุนระยะยาว 3-5 ปี คลิก: https://finno.me/cheat-sheet-update คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปผลการดำเนินงาน "5 บิ๊ก เทค" ทำไมโตระเบิด พร้อมกองทุนแนะนำ - FINNOMENA สรุปผลการดำเนินงาน 5 หุ้นเทคโนโลยี พร้อมกองทุนแนะนำ จะเป็นอย่างไรติดตามกันได้เลยครับ 30 เม.ย. 2564 Tesla (ไตรมาส 1/ 2021) Tesla ของ อีลอน มัสก์ ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกเหนือความคาดหมายด้วยรายได้ที่เติบโตถึง 74% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว อีกทั้งยังสร้างกำไรต่อหุ้นสูงสุดนับตั้งแต่มีมาที่ $0.93/หุ้น เทียบกับการคาดการณ์ของเหล่านักวิเคราะห์ที่ $0.79/หุ้น การปรับตัวของกำไรและรายได้ในครั้งนี้ เป็นการปรับตัวท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบตามฤดูกาล ความไม่เสถียรของ Supply chain ด้านการผลิต และการปรับเปลี่ยนรถโมเดล S และ โมเดล X สาเหตุของการที่รายได้และกำไรเติบโตในครั้งนี้มีผลมาจากกำลังการผลิตและยอดการขนส่งรถยนต์ที่ปรับตัวขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนในส่วนของรถยนต์ที่ทำได้ดีจนทำให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น รถยนต์ Model 3 ที่มีต้นทุนเฉลี่ยต่อคันที่ราว ๆ 84,000 ดอลลาร์/คัน ได้ปรับลดต้นทุนลงมาเหลือเพียงราว ๆ 38,000 ดอลลาร์/คัน ในไตรมาสแรกของปี 2021 สะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมต้นทุนที่น่าทึ่งจนทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นจากการขายรถในส่วนนี้ รวมไปถึงยอดขายรถยนต์ Model 3 ที่ขึ้นแท่นกลายเปนรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก แซงหน้ารถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมอย่าง BMW Series 3 รวมถึง Mercedes Benz E-class เป็นที่เรียบร้อย ภาพยอดขายรถยนต์ชั้นนำที่ Tesla ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 นอกจากนั้นระบบรถยนต์ไร้คนขับก็ได้มีการพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกันจากการพัฒนาการใช้กล้องในการตรวจจับแทนการใช้เรดาร์ซึ่งให้ความแม่นยำที่สูงกว่า แบตเตอรี่ที่ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในด้านต่าง ๆ รวมไปถึงยอดการจำหน่าย Powerwall อุปกรณ์กักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ฉุกเฉินที่ปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการของลูกค้าและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ภาพแสดงความอึดของแบตเตอรี่ Tesla ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และท้ายที่สุดราชาแห่งการเชียร์บิทคอยน์ ก็ยังสามารถทำกำไรจากการขายบิทคอยน์ได้ถึง 101 ล้านเหรียญในไตรมาสนี้อีกด้วย กองทุนที่ลงทุนใน Tesla WE-CYBER KT-WTAI ONE-UGG-RA Apple (ไตรมาส 2/ 2021) ทางด้าน Apple บริษัท เทคโนโลยีสุดครีเอทของ Tim Cook มาพร้อมกับผลประกอบการอันเหนือความคาดหมายเช่นเดียวกัน Tim Cook มาพร้อมกับยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์และบริการที่เติบโตแบบสองหลักกันถ้วนหน้า นำทีมมาโดยยอดขายไอแพดและคอมพิวเตอร์แมคที่เติบโตสูงถึง 78.90% และ 70.10% ตามลำดับ ตามมาด้วยไอโฟนที่เติบโตถึง 65.50% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการอื่น ๆ ที่เติบโตแบบสองหลักเช่นเดียวกัน ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตถึง 53.70% และทำให้กำไรต่อหุ้นออกมาที่ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น เทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 0.99 ดอลลาร์/หุ้น สาเหตุจากการที่ยอดขายปรับตัวสูงขึ้นอย่างโดดเด่นนี้อาจมีผลมาจากแนวโน้มเมกะเทรนด์ในช่วงโรคระบาดที่ทุกคุนต่างใช้ชีวิตและทำงานกันที่บ้าน ทำให้ผู้คนหันมาซื้ออุปกรณ์ต่าง เช่น คอมพิวเตอร์ มากขึ้น เพื่อการทำงานและความบันเทิง รวมไปถึงการที่ Mac บุ๊คและไอแพด หันมาใช้ชิป M1 ของตนเองแทนการใช้ชิปของ Intel จนทำให้แบตเตอรี่มีอายุยืนยาวมากกว่าปกติจนทำให้ยอดขายปรับตัวขึ้น จากคำกล่าวของ Tim Cook กองทุนที่ลงทุนใน Apple K-USXNDQ-A(A) K-USXNDQ-A(D) B-INNOTECH KFHTECH-A Microsoft (ไตรมาส 3/ 2021) รายได้รายไตรมาส Microsoft เติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2018 โดยเติบโตถึง 19% และมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาสล่าสุดที่ 1.95 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 1.78 ดอลลาร์/หุ้น สาเหตุของการปรับตัวขึ้นของรายได้มีผลมาจากยอดขาย PC ที่เพิ่มขึ้น จากการขาดแคลนของในช่วงวิกฤติโควิด-19 นอกจากนั้นระบบ Cloud ของ Microsoft ยังเติบโตได้อย่างโดดเด่นเหนือความคาดหมาย Azure นั้นมีรายได้เติบโตถึง 50% สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 46% ซึ่งถือได้ว่าเติบโตได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เพราะ ในไตรมาสก่อนหน้าก็มีการเติบโต 50% เช่นเดียวกัน พร้อมแข่งขันกับระบบของ Amazon อย่าง AWS ที่มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน สาเหตุของการเติบโตในครั้งนี้ยังมีผลมาจากรายได้ในส่วนอื่น ๆ ที่มีการเติบโตเช่น Cloud (Azure, Windows Server, SQL, และอื่น ๆ) ที่เติบโต 23% (YoY), ส่วนสนับสนุนภาคธุรกิจ (Office, Linkedin และอื่น ๆ) ที่เติบโต 15%, PC (Windows, Gaming และอุปกรณ์ต่าง ๆ) ที่เติบโตถึง 19% กองทุนที่ลงทุนใน Microsoft K-USXNDQ-A(A) K-USXNDQ-A(D) KFGBRAND-A KFGBRAND-D KFHTECH-A Facebook (ไตรมาส 1/ 2021) Facebook ของ Mark Zuckerberg มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรเช่นเดียวกัน โดยรายได้เติบโตที่ 48% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิเติบโตถึง 94% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเช่นเดียวกัน การเติบโตของรายได้ในครั้งนี้เกิดจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นถึง 30% ในส่วนของราคาโฆษณาเฉลี่ยที่ปรับตัวขึ้น และปริมาณการปล่อยโฆษณาที่เพิ่มขึ้นอีก 12% แต่ถึงแม้รายได้ในไตรมาสนี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทางเฟสบุ๊คเองก็ไม่ได้มั่นใจว่าไตรมาสถัดไปจะเติบโตในอัตราเท่าเดิม โดยเปิดเผยว่าในไตรมาส 2 นี้การเติบโตของรายได้อาจเป็นไปอย่างคงที่หรือเติบโตในอัตราปกติไม่สูงมาก อีกทั้งยังเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้การเติบโตของรายได้อาจช้าลงไปอีก หากเทียบกับช่วงที่เกิดโรคระบาดซึ่งเป็นปัจจัยเร่งรายได้สำคัญของการปรับตัวมาใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ของผู้คน กำไรต่อหุ้นของ Facebook อยู่ที่ 3.30 ดอลลาร์/หุ้น เทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.37 ดอลลาร์/หุ้น กองทุนที่ลงทุนใน Facebook K-USXNDQ-A(A) K-USXNDQ-A(D) SCBS&P500 TMBGQG Alphabet (ไตรมาส 1/ 2021) Alphabet กำไรทะลุโลก รายได้โฆษณาพารวย ทะลุเป้าต่ำสุดและสูงสุด ประกาศกำไรต่อหุ้นที่ 26.29 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 15.82 ดอลลาร์/หุ้น พร้อมรายได้ที่เติบโตทะลุเป้าที่ 5.531 หมื่นล้านเหรียญ เทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 5.170 หมื่นล้านเหรียญ สาเหตุของการปรับตัวขึ้นของกำไรในครั้งนี้มาจากรายได้ในส่วนโฆษณาที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยรายได้โฆษณาของ Google เติบโตถึง 34% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 4 ปี รายได้โฆษณาจาก Youtube เติบโต 49% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหนุนมาจากยอดการรับชมวิดิโอในสหรัฐผ่านกลุ่มผู้ใหญ่ที่ปรับตัวจากสัดส่วน 73% ในปี 2019 เป็น 81% ในปี 2021 Google Cloud มีรายได้เติบโต 46% ตรงตามการคาดการณ์ อีกทั้งยังมีแรงสนับสนุนจากการซื้อหุ้นขึ้นของบริษัทถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ช่วยลดปริมาณหุ้นและช่วยผลักดันราคาอีกด้วย กองทุนที่ลงทุนใน Alphabet K-USXNDQ-A(A) K-USXNDQ-A(D) B-INNOTECH TMBGQG References https://www.apple.com/newsroom/2021/04/apple-reports-second-quarter-results/ https://www.cnbc.com/2021/04/26/tesla-tsla-earnings-q1-2021-.html https://www.cnbc.com/2021/04/27/alphabet-goog-earnings-q1-2021.html https://www.cnbc.com/2021/04/27/microsoft-msft-earnings-q3-2021.html https://www.cnbc.com/2021/04/28/apple-aapl-earnings-q2-2021.html https://www.cnbc.com/2021/04/28/facebook-fb-earnings-q1-2021.html https://tesla-cdn.thron.com/static/R3GJMT_TSLA_Q1_2021_Update_5KJWZA.pdf?xseo=&response-content-disposition=inline%3Bfilename%3D%22TSLA-Q1-2021-Update.pdf%22 แท็ก: Article earning call Long Content Picture Slide Product Recommend ประกาศงบ แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปเนื้อหา Live: ถาม ตอบกองทุนรวมประจำสัปดาห์ - The UpTrend Q&A (28/04/64) - FINNOMENA บทความนี้จะขอสรุปเนื้อหาบางส่วน ถาม-ตอบจากใน Live The Uptrend Q&A: ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 12 เมื่อวันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ให้นักลงทุน FINNOMENA ได้อ่านกันครับ 25 พ.ย. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> กองทุนหุ้นญี่ปุ่น น่าลงทุนไหม? จะทำ Asset Allocation แบ่งตามแต่ละประเทศ ควรจะแบ่งกี่เปอร์เซ็นต์ และกองไหนดี? TCHCON ต่างจากกองทุน All China อย่างไร? และคำถามอื่น ๆ ที่มีนักลงทุนถามเข้ามาใน Live The Uptrend Q&A: ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 12 เมื่อวันพุธที่ 28 เมษายน 2564 บทความนี้จะขอสรุปเนื้อหาบางส่วนจากใน Live ให้นักลงทุน FINNOMENA ได้อ่านกันครับ 1. กองทุนหุ้นญี่ปุ่น น่าลงทุนไหมช่วงนี้ ? รูปภาพที่ 1 Relative PE & Price & EPS Revision: Nikkei225 to S&P500 | source: Bloomberg As of 28/04/21 รูปภาพที่ 2 Global EPS Revision Since Beginning of 2021 & population pyramid | source : Bloomberg, populationpyramid.net As of 28/04/21 (Data population pyramid as of 2019) ในเชิง Valuation ญี่ปุ่นถือว่าอยู่ในจุดที่ถูกเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ สอดคล้องกับ Performance และ การปรับประมาณการณ์กำไร (EPS) ที่ Underperform กว่าอย่างต่อเนื่อง ระยะยาว Demographic ยังเป็นปัญหา ด้วยปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ที่สร้างแรงกดดันต่อการบริโภคภายในประเทศ แต่ยังดีที่ญี่ปุ่นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ช่วยลดผลกระทบลงมาได้บางส่วน ในแง่ของการคุม COVID-19 ยังคงมีปัญหาเรื่องการฉีดวัคซีน ทำให้ล่าช้า และมีโอกาสเกิด Herd Immunity ช้ากว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การปรับ EPS ที่ Underperform นั้น ไม่ใช่ไม่ถูกปรับ แต่ถูกปรับขึ้นมาน้อยกว่าเท่านั้น ตามทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สะท้อนว่ายังมีโอกาสในการลงทุนอยู่ แต่อาจไม่มากเท่ากับประเทศผู้นำหรือประเทศอื่นๆ เมื่อประกอบกับการที่ธนาคารกลางเหลือเครื่องมือทางการเงินไม่มาก (ดอกเบี้ยติดลบมานานแล้ว ยังเลิก QQE ไม่ได้ ต่างจากประเทศสหรัฐฯ และยุโรปที่หยุดไปได้แล้ว แล้วกลับมาทำใหม่) ทำให้มองว่าอาจแนะนำหาโอกาสที่อื่นดีกว่า 2. ถ้าจะทำ Asset Allocation แบ่งตามตลาด เช่น ตลาดสหรัฐอเมริกา ตลาดพัฒนาแล้ว ตลาดเกิดใหม่ ควรจัดสรรเปอร์เซ็นต์การลงทุนอย่างไร และแต่ละตลาด แนะนำกองทุนไหนบ้าง? รูปภาพที่ 3 Asset Class Return from 2006 – 2020 | Source novelinvestor.com จากข้อมูลทางสถิติระหว่างตลาดเกิดใหม่ (EM) กับ ตลาดพัฒนาแล้ว (DM) นับตั้งแต่ปี 1998 จะพบว่า กลุ่ม EM จะมีระดับความผันผวนที่สูงกว่า โดยตลาด EM จะมีอัตราการเคลื่อนไหวต่อวันมากกว่า 1% (ทั้งบวกและลบ) อยู่ที่ประมาณ 29% ด้วยกัน ขณะที่ DM จะอยู่ที่ 21% เท่านั้น สะท้อนความผันผวนที่มากกว่า ขณะที่ด้านผลตอบแทน เมื่อคิดย้อนกลับไปพบว่า DM ให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 2.8 เท่า ขณะที่ EM ให้ได้ประมาณ 6.6 เท่า สะท้อนโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับที่สูงกว่าเป็นเงาตามตัว ศักยภาพการเติบโตที่สูง แต่ความผันผวนที่แรง ทำให้แนะนำมีน้ำหนักในฝั่ง EM ที่ต่ำกว่า เพื่อรับโอกาสเติบโต ภายใต้ความผันผวนที่ไม่มากเกินไปนัก หากพิจารณาเป็นช่วง ๆ จะพบว่าช่วงที่เศรษฐกิจดี จะพบว่า EM ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้อย่างโดดเด่น ด้วยความที่ EM เป็นตลาดที่ยังไม่มีเสถัยรภาพในตนเอง ยังพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ สูง และมีเครื่องมือทางการเงินการคลังที่น้อยกว่า จึงได้รับผลกระทบจากวิกฤติต่าง ๆ มากกว่า หากพิจารณาระยะยาวจะพบว่า ความน่าสนใจน้อยกว่า เหมาะแก่การลงทุนเป็นรอบ ๆ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปในอนาคตจะพบว่า EM เป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตสูง นำโดยประเทศจีนที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด และพร้อมที่จะพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจาก GDP ของประเทศทั่วโลก ที่ 75% มาจาก EM แต่ตลาดหุ้นคิดเป็นเพียง 13% ของ Market Cap ทั้งหมดเท่านั้น ทำให้ยังคงแนะนำให้มีกองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่ในพอร์ตอยู่ เพื่อรับโอกาสการเติบโต แต่ในระดับที่น้อยกว่า เพื่อลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง โดยอาจแนะนำที่ (DM) 60:40 (EM) กองทุนที่แนะนำได้แก่ Global (DM) = TMBGQG (Large + Growth) / ONE-UGG-RA (Growth play) EM = M-EM (EM Growth) / Principal APDI (Large + Growth) / SCBAOA (High Conviction Growth) US = KF-US / K-USA-A(A) All China = K-CHINA-A(A) / TMBCOF China A-shares = KT-Ashares-A 3. กองทุน TCHCON มีความแตกต่างจากกองทุน All China ทั่วไปอย่างไร รูปภาพที่ 4 MSCI China & MSCI China Consumer Discretionary 10/50 Index Sector Component | Source:MSCI.com As of 28/4/2021 (Data MSCI As of 31 March 2021) รูปภาพที่ 5 MSCI China & MSCI China Consumer Discretionary 10/50 Index Top 10 Holding & Characteristics | Source:MSCI.com As of 28/4/2021 (Data MSCI As of 31 March 2021) จุดต่าง TCHCON เป็นกองทุนหมวดอุตสาหกรรมที่อยู่ใน All China (เท่ากับว่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ All China) ความที่โฟกัสอยู่ที่หมวดเดียว ทำให้ถือครองหุ้นน้อยตัวกว่า แต่หุ้นหลาย ๆ ตัวนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนอยู่ในระดับ Big Cap ด้วยตัวหารที่น้อยกว่าทำให้ดูเหมือนกองจะไปโฟกัสที่หุ้นใหญ่ แต่จริง ๆ แล้วจุดประสงค์ของกองไม่ใช่แบบนั้น กลับกัน กองทุน All China ทั่วไป มีหุ้นใน Universe ให้เลือกมากกว่า ทำให้สามารถกระจายการลงทุนได้มากกว่าทั้ง Big, Mid, Small, Mega Cap จุดเหมือน ลง All China เช่นเดียวกับกอง All China อื่น ๆ ลงทุนได้ทั้งที่จดทะเบียนอยู่ในแผ่นดินใหญ่ Nasdaq ฮ่องกง และตลาดอื่นๆ หน้าหุ้นคล้ายคลึงกันบางส่วน เพราะหุ้นกลุ่ม consumer discretionary จำนวนมากเติบโตไว และมีศักยภาพการเติบโตสูงตามทิศทางเศรษฐกิจจีนที่เติบโตต่อเนื่อง สรุป TCHCON มีความโฟกัสแค่กลุ่มเดียว ทำให้อาจมีความเสี่ยงเฉพาะตัวตามมา แต่หากการบริโภคโตไว กลุ่มนี้จะได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเช่นกัน 4. ถือกอง Health Care อย่าง K-GHEALTH แต่เพิ่งรู้ว่า K-Change-A(A) ที่ถืออยู่ ก็มีหุ้น Health Care ด้วย สามารถถือคู่กันได้ไหม ต้องระวังอะไรบ้าง ? กอง K-GHEALTH และ K-Change-A(A) มีการเคลื่อนไหวตามกัน แต่กอง K-Change-A(A) จะ Outperform มากกว่าเพราะถือหุ้นเทคโนโลยีอยู่เยอะด้วย ในกองทุน K-Change-A(A) จะมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Health Care อยู่ประมาณ 32 % ถ้ามีกองทุน K-GHEALTH และ K-Change-A(A) ในสัดส่วนเท่ากันของพอร์ต จะทำให้มีสัดส่วนกลุ่ม Health Care เกินครึ่งของพอร์ต ถ้าเทียบกับมูลค่าทั้งพอร์ตแล้ว Health Care ให้ลองดูว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์พอร์ต ถ้าไม่เกิน 10-15 % สามารถถือคู่กันได้ กองทุน K-Change-A(A) ในระยะยาว สามารถย้ายการลงทุนจากกลุ่ม Health Care ไปยังกลุ่มอื่นได้ เมื่อทิศทางหรือแนวโน้มเทรนด์เกิดเปลี่ยนแปลง 5. ตอนนี้ยังสามารถเข้าซื้อ K-EUSMALL ได้อยู่ไหม? เห็นราคาขึ้นค่อนข้างสูงแล้ว ถ้าในส่วนของตลาดหุ้นยุโรป เชิงกราฟแล้ว มีจุดที่ย่อลงมาทดสอบจุดสูงสุดเดิมเป็นที่เรียบร้อย และสามารถยืนอยู่ได้ จึงมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะไปได้ต่อ ในขณะที่เชิง Valuation แม้ว่าจะ Outperform ในช่วงที่ผ่าน แต่กระแสการเปิดเมืองมาค่อนข้างแรง แม้ว่าหลายประเทศยุโรปจะยังล็อคดาวน์อยู่บางส่วน แต่ด้วยการแจกจ่ายและการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างรวดเร็ว และอัตราการเสียชีวิตที่ค่อนข้างต่ำ ตลาดเลยมองข้ามเรื่องโควิดไปแล้ว นอกจากนี้ มีการปรับประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นยุโรป ที่กลับมา Outperform ตลาดหุ้น S&P500 อีกครั้งหนึ่ง ณ จุดนี้ จึงยังสามารถเข้าลงทุนได้ ทั้งในปัจจัยพื้นฐานและเชิงเทคนิค สำหรับผู้อ่านที่อยากจะถามคำถามเกี่ยวกับกองทุนรวม ให้คุณพีท ณัฐนันท์ Senior Portfolio Specialist ของทาง FINNOMENA ตอบ ก็สามารถติดตามรายการ Live The UpTrend Q&A ได้ทุกวันพุธ เวลา 19.00 – 20.00 น. และถ้าอยากชมย้อนหลัง T้he Uptrend Live แบบเต็ม ๆ สามารถคลิกเพื่อรับชมได้ที่ : https://youtu.be/z0ZBkpBdN1k คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Live เจาะพอร์ตลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนของคนไทย ด้วยกลยุทธ์การลงทุนระดับโลก FINNOMENA x Franklin Templeton - FINNOMENA เตรียมพบกับ Special Live ที่จะมาให้คำตอบเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมโดยใช้กลยุทธ์ระดับโลก เน้นปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับคนไทย เพื่อยกระดับการลงทุนของคุณให้อยู่ในระดับ World Class พานักลงทุนไทยสู่มาตรฐานการลงทุน โดยการออกแบบพอร์ตจาก FINNOMENA และ Franklin Templeton 28 เม.ย. 2564 เตรียมพบกับ Special Live ที่จะมาให้คำตอบเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมโดยใช้กลยุทธ์ระดับโลก เน้นปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับคนไทย เพื่อยกระดับการลงทุนของคุณให้อยู่ในระดับ World Class พานักลงทุนไทยสู่มาตรฐานการลงทุน โดยการออกแบบพอร์ตจาก FINNOMENA และ Franklin Templeton รับชม Live พร้อมกัน วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 เวลา 13.30 – 14.30 น. ทาง Facebook และ YouTube: FINNOMENA เนื้อหา Special Live เจาะพอร์ตการลงทุน ด้วยกลยุทธ์การลงทุนระดับโลก พบกับพอร์ตการลงทุนที่คิดเพื่อคนไทย บนกลยุทธ์การลงทุนระดับโลก สิทธิพิเศษที่คิดเพื่อนักลงทุนไทย มุ่งบริการจากผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรจัดการทรัพย์สินระดับโลก ที่แรกที่เผยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เจาะกลุ่มลูกค้า Private Banking ที่ Exclusive ที่สุด เท่าที่ FINNOMENA เคยมีมา <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> เกี่ยวกับ FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA ผนึกกำลังกับองค์กรบริหารสินทรัพย์ระดับโลก Franklin Templeton สู่การเป็นผู้นำด้าน Digital Wealth Management Platform เพื่อมุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพแก่นักลงทุนไทย และยังสามารถลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ออกแบบเฉพาะโดยทีมงาน Investment Strategist จาก Franklin Templeton ที่มีความชำนาญในการบริหารสินทรัพย์มากว่า 70 ปี และมีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 165 ประเทศทั่วโลก โดยการผสาน Investment Engine ของ Franklin Templeton เข้ามาในวิธีการออกแบบพอร์ต จัดว่าเป็นการนำ Global Know-how และข้อมูลเชิงลึก (Insight) มาปรับให้เหมาะกับนักลงทุนไทย รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton พอร์ตการลงทุนระดับโลก : https://finno.me/gor-port-ft FINNOMENA Franklin Templeton อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เมื่อ TSMC เกทับ Intel ลงทุน 100,000 ล้าน เป็นเวลา 3 ปี - FINNOMENA เมื่อ TSMC ออกมาประกาศลงทุนจำนวน 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 3 ปี เกทับ Intel ที่ประกาศลงทุนสร้างโรงงานใหม่แค่ 20,000 ล้านดอลลาร์ มาดูกันว่าแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังคืออะไร? 28 เม.ย. 2564 ล่าสุด TSMC ออกมาประกาศลงทุนจำนวน 100,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเวลา 3 ปี เกทับ Intel ที่ประกาศลงทุนสร้างโรงงานใหม่แค่ 20,000 ล้านดอลลาร์ (แค่หรอ…?) เมื่อเดือนมกราคม TSMC เพิ่งประกาศแผนจะลงทุนในโรงงานผลิตชิปสูงถึง 25,000 – 28,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ปีเดียว (เรียกว่าลงทุนแค่ปีเดียวมากกว่าแผนลงทุนระยะยาวของ Chip Manufacturer หลาย ๆ บริษัทซะอีก) แต่ล่าสุดมาเหนือกว่าเดิม ประกาศงบ 3 ปีรวดจะลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ !! การตัดสินใจนี้มาจากปัญหา Chip Shortage ที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจทั่วโลก TSMC เห็นว่ายังมี Demand เหลือเฟือ พร้อมยังกล่าวอีกด้วยว่า 5G และ High-Performance Computing ทำให้ความต้องการ Chip เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้มีจดหมายจาก CEO ที่ยืนยันว่าโรงงานของเราผลิตสินค้าเกินกำลังการผลิต (Overcapacity) มามากกว่า 1 ปีแล้ว แต่ Demand ยังมากกว่า Supply อยู่มาก และโรงงานใหม่ในสหรัฐจะเริ่มสร้างเดือนพฤษภาคมนี้ด้วยงบประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ สุดยอดบริษัทไต้หวันที่ทั่วโลกต้องง้อ !! BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/4401861069828993 แท็ก: Article Basic Intel Knowledge Short Content TSMC แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปเนื้อหา LIVE: วิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน vs อินเดีย vs ไทย ในวันที่โควิดกลับมาอีกครั้ง (26/04/2564) - FINNOMENA บทความนี้ จะขอพาผู้อ่าน มาสรุปเนื้อหา Live The Opportunity “วิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน vs อินเดีย vs ไทย ในวันที่โควิดกลับมาอีกครั้ง” ที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 กันครับ 27 เม.ย. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยและอินเดียมีการปรับตัวลง เนื่องจากการกลับมาของโควิดระลอกใหม่ ที่ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นจีน A-Shares เอง มีการปรับประมาณการณ์ EPS ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีความน่าสนใจ บทความนี้ จะขอพาผู้อ่าน มาสรุปเนื้อหา Live The Opportunity “วิเคราะห์ตลาดหุ้นจีน vs อินเดีย vs ไทย ในวันที่โควิดกลับมาอีกครั้ง” ที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 กันครับ 1. Market Highlights 1.1 Eye on Fear & Greed Index Fear and greed index เป็นดัชนีที่จัดทำขึ้นโดย CNN Money เพื่อบ่งชี้สภาวะของตลาดหุ้น ณ ขณะนี้ว่ามีความโลภหรือกลัวในระดับใด ในช่วงสัปดานห์ที่ผ่าน ดัชนี Fear and Greed เพิ่มขึ้นมา 5 จุด จาก 56 ขึ้นมาอยู่ที่ 61 (More Greed) โดยปัจจัยที่หนุนให้ดัชนีเพิ่มขึ้นคือ Stock Price Strength ซึ่งวัดจากผลต่างระหว่างจำนวนหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ทำราคาสูงสุดกับราคาต่ำสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยอื่นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดที่มีนัยยะ รูปภาพที่ 1 Fear and Greed index source: FINNOMENA as of 26/04/2564 1.2 Zoom In Performance รูปภาพที่ 2 Global Asset Performance Source: Bloomberg As of 23/04/2021 ในส่วนของสินทรัพย์ทั่วโลก กลุ่ม Global REIT (อสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก) สร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน สามารถสร้างผลตอบแทนได้ +1.7% ขณะที่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้รองลงมาคือทองคำ โดยทำผลตอบแทนได้ +1.3% ซึ่ง Bloomberg รายงานว่ามีแรงซื้อจากประเทศอินเดียและจีน ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีน A-Shares ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุด +2.9% และรองลงมาคือตลาดหุ้นไทย SET Index ที่ทำผลตอบแทนได้ +1.9% US REIT ทำผลตอบแทนได้ดีสุดในกลุ่ม REIT อยู่ที่ +2% เนื่องจากมุมมองการเปิดเมือง หลังการฉีดวัคซีนทำได้รวดเร็ว 2. Zoom in Assets: เจาะลึกสินทรัพย์ 2.1 SET Index รูปภาพที่ 3 Source: Bloomberg As of 23/04/2021 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การที่ประเทศมีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร และมีโอกาสหรือความน่าสนใจไหม? จำนวนการติดเชื้อโควิดในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยกลับไม่ได้ปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับโควิดระลอกที่ผ่านมาเมื่อเดือนธันวาคม หรือเมษายน ปี 2020 ตลาดหุ้นไทยมีการย่อตัวในกลุ่มหุ้น SET50 และ SET100 ขณะที่กลุ่มหุ้นขนาดเล็กมีแรงเก็งกำไรเข้ามา ทำให้ MAI Index ยังทำผลตอบแทนได้โดดเด่น เมื่อเทียบ PE (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ดัชนี SET กับ S&P 500 แล้วดัชนี SET มีราคาที่ถูกลงเมื่อเทียบกับ S&P 500 อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยมีการปรับประมาณ EPS (Earnings per Share) ที่น้อยกว่าดัชนี S&P500 ดังนั้นแม้ว่าเมื่อเทียบ PE ของตลาดหุ้นไทยจะลดลงเทียบกับ S&P500 แต่เมื่อนำการปรับประมาณการ EPS มาพิจารณาด้วยแล้วพบว่า S&P500 มีความน่าสนใจมากกว่า สรุป: การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง มีระดับมูลค่าที่ลดลง แต่มี Upside ไม่เยอะ เพราะกำไรของบริษัทไม่ได้เติบโต นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องการฉีดวัคซีนที่คาดการณ์ว่า ต้องใช้เวลากว่า 3.8 ปี ถึงจะฉีดวัคซีนครอบคลุม 75% ของประชากรไทยทั้งหมด 2.2 NIFTY Index รูปภาพที่ 4 IMF GDP Forecast Source: Bloomberg As of 23/04/2021 PE (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ตลาดหุ้นอินเดีย เทียบกับตลาดหุ้น S&P 500 มีราคาที่ลดลง แต่ EPS ยังมีความโดดเด่น เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์โควิดในอินเดียเริ่มทรงตัว ตลาดหุ้นอินเดียจะมีความน่าสนใจ และมี Upside พอสมควร นอกจากนี้แล้ว การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย (GDP Forecast) มีอัตราการเติบโตที่น่าสนใจ คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2021 อินเดียจะเติบโตได้มากถึง 27.3% ขณะที่ปัจจัยแจกจ่ายวัคซีน คาดการณ์ว่า อินเดียจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี เพื่อแจกจ่ายวัคซีนให้ครอบคลุม 75% ของประชากรทั้งหมด 2.3 CHINA A-Shares รูปภาพที่ 5 CSI 300 EPS Growth Source: Bloomberg As of 23/04/2021 ในปี 2021 ธนาคารกลางจีนลดสภาพคล่อง ทำให้ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของแต่ละบริษัท PE (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) ตลาดหุ้นจีน เมื่อเทียบกับตลาดหุ้น S&P 500 แล้ว ลดความกดดันด้านมูลค่าไปได้มาก ตั้งแต่ปธน. โจ ไบเดนของสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่ง การปรับประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นจีน A-Shares ยังเป็นรองตลาดหุ้น S&P500 อย่างไรก็ตาม EPS ของจีนยังปรับขึ้นสูงกว่าช่วงที่มี COVID-19 ด้าน Earning Yield Gap กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง สะท้อนมูลค่าที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับหาก EPS ปรับตัวขึ้นตามที่คาดไว้ จะทำให้ตลาดหุ้นจีนมี Upside มากขึ้น ในการปรับประมาณการกำไร EPS กลุ่มธุรกิจที่อิงเศรษฐกิจโลก เสริมด้วยการบริโภคที่ฟื้นตัว มีการปรับประมาณการที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น เช่นกลุ่ม Consumer Discretionary ที่ปีนี้มีอัตราเติบโต EPS ที่ 56% จากปีที่ผ่านมาหดตัว สุดท้าย จีนไม่ประสบกับปัญหาโควิดระลอกใหม่ พร้อมมูลค่าและการขยายตัวของ EPS ที่เหนือกว่าช่วงก่อนเกิด COVID-19 ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนตลาด 3. Opportunity Fund: แนะนำกองทุนประจำสัปดาห์ ด้วยความน่าสนใจของตลาดหุ้นจีนดังที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น ในช่วง Opportunity Fund ของรายการ จึงแนะนำให้ทยอยสะสมกองทุน KT-Ashares-A ซึ่งมีกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares class PT สกุลเงิน USD เป็นกองทุนหลัก มุ่งเน้นการลงทุนที่เติบโตระยะยาวในตลาดหุ้น China A-Shares กองทุนใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Sector neutral จัดสัดส่วนพอร์ตในระดับอุตสาหกรรม (Sector) ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง (MSCI China A Onshore Total Return) โดยจะเพิ่มหรือลดสัดส่วนแต่ละ Sector ไม่เกิน 5% (+/-5%) จากดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนีอ้างอิงมีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการสินค้าจำเป็นอยู่ที่ 10% และทีมบริหารกองทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น ก็จะเพิ่มสัดส่วนได้สูงสุดที่ประมาณ 15% จากนั้นใช้การค้นหาหุ้นแบบ bottom up เพื่อสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนีอ้างอิง รูปภาพที่ 6 Top Holdings Allianz A-Shares (Class PT) as of 31-03-2021 Source: https://lu.allianzgi.com/en-gb/our-funds/funds/list/allianz-china-a-shares-pt-usd 4. Long Term Opportunity Long Term Opportunity เป็นกองทุนแนะนำจาก FINNOMENA ที่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว สอดคล้องกับ Mega Trend ทางเศรษฐกิจ และ Sector ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต และเหมาะกับการลงทุน 3-5 ปี โดยกองทุนที่เราแนะนำได้แก่: ONE-UGG-RA, K-USA-A(A), TMBCOF / K-CHINA, WE-CYBER, K-CHANGE-A (A), MRENEW, UESG, WE-GESECURE 4.1 ผลตอบแทน Long Term Opportunity สำหรับผู้อ่านที่อยากจะรับชมย้อนหลัง The Opportunity Live แบบเต็ม ๆ พร้อมรับชมช่วงตอบคำถาม Q&A กองทุนที่น่าสนใจ สามารถคลิกเพื่อรับชมได้ที่ : https://youtu.be/K9M2uGBWp_M คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article K-CHANGE-A(A) K-CHINA-A(D) K-USA-A(A) KT-Ashares-A MRENEW-A MRENEW-D ONE-UGG-RA TMBCOF UESG WE-CYBER แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงต้องลงทุน - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงเป็นตลาดที่ต้องลงทุน ผ่านมุมมองของ FINNOMENA และ Franklin Templeton ในเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist FINNOMENA 26 เม.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงเป็นตลาดที่ต้องลงทุน ผ่านมุมมองของ FINNOMENA และ Franklin Templeton ในเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist FINNOMENA <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase Emerging Market, equity outlook, FINNOMENA Franklin Templeton, ตลาดเกิดใหม่, หุ้นเอเชีย อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงต้องลงทุน - FINNOMENA FINNOMENA x Franklin Templeton เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงต้องลงทุน คุณ ศดิศกฤษฏิ์ ศิริสมภพ สัมภาษณ์คุณ Alistair Macdonald, CFA, Senior Vice President, Institutional Portfolio Manager, Franklin Templeton Emerging Market Equity 26 เม.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ เจาะลึกโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ทำไมถึงเป็นตลาดที่ต้องลงทุน คุณ ศดิศกฤษฏิ์ ศิริสมภพ สัมภาษณ์คุณ Alistair Macdonald, CFA, Senior Vice President, Institutional Portfolio Manager, Franklin Templeton Emerging Market Equity <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase Emerging Market, equity outlook, FINNOMENA Franklin Templeton, ตลาดเกิดใหม่, หุ้นเอเชีย อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หรือทองคำจะตอบโจทย์? หลังบิตคอยน์ร่วงหนัก - FINNOMENA ราคาบิตคอยน์ร่วงจาก 2,000,000 บาท สู่ 1,800,000 บาท ภายในเวลา 1 ชม. จนหลายคนตั้งตัวไม่ทัน  หรือตอนนี้ “ทองคำ” จะเป็นการลงทุนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม? คือ สภาพคล่องที่สูง ความเสี่ยงต่ำ 22 เม.ย. 2564 อินเตอร์โกลด์คาด ทองคำตอบโจทย์ หลังบิตคอยน์ร่วงหนัก คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด เผยว่า ราคาบิตคอยน์ร่วงจาก 2,000,000 บาท สู่ 1,800,000 บาท ภายในเวลา 1 ชม. จนหลายคนตั้งตัวไม่ทัน ทำให้ระหว่างนี้ “ทองคำ” จึงเป็นการลงทุนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือ สภาพคล่องที่สูง ความเสี่ยงต่ำ นายธีรรัฐ กล่าวว่า ภายหลังที่ราคาบิตคอยน์ร่วงลงไปแตะ 1,800,000 บาทนั้น เราได้เห็นการล้างพอร์ตของนักลงทุนรวมกันกว่า 2.37 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบว่าเว็บเทรดคริปโตต่าง ๆ ก็ประสบปัญหาทั้งการเทรด และการถอนในทันที และต่างก็ได้ออกประกาศว่าในขณะนี้ระบบหลังบ้านกำลังมีปัญหาอยู่ เพื่อไม่ให้นักลงทุนกังวล แต่อย่างไรก็ดีปัญหาต่าง ๆ ก็ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดคริปโตมากขึ้นเรื่อย ๆ และมองหาสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง หากพูดถึงเทรนด์การลงทุนสำหรับคนที่อยากลดความเสี่ยงลงจากพอร์ตบิตคอยน์ ก็มักจะหันไปสนใจกับทรัพย์สิน ได้แก่ หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ เป็นต้น นั่นหมายความว่าหากต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากบิตคอยน์ แต่ยังอยู่ในกลุ่มของการลงทุน ก็ต้องซื้อสินทรัพย์ดังที่กล่าวมาแล้ว นายธีรรัฐ แนะนำต่อว่า ถ้าเป้าหมายคือแค่ลดความเสี่ยงจากบิตคอยน์ และรอโอกาสที่จะกลับเข้าไปซื้อบิตคอยน์ใหม่ ระหว่างนี้ “ทองคำ” ก็เป็นการลงทุนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม คือ สภาพคล่องที่สูง ความเสี่ยงต่ำ และสวนทางกับเงินเฟ้อ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อยกว่าบิตคอยน์หลายเท่าตัว หากเปรียบเทียบกันแล้วความเสี่ยงระหว่างบิตคอยน์และทองคำ ยกตัวอย่างเช่น หากบิตคอยน์ร่วงลงมาแรง ๆ ร่วงลงถึง 30% ถ้าเทียบกันแล้วทองคำอาจจะไม่ลงเลยหรือถ้าลงก็ลงไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ปรับสมดุลพอร์ตโดยการขายทองคำแล้วกลับเข้าซื้อบิตคอยน์ใหม่ นายธีรรัฐ กล่าวทิ้งทายว่าจากประวัติศาสตร์ไม่มีสินทรัพย์ใดมีแต่วิ่งขึ้นอย่างเดียว มันมีจุดพักตัวทั้งสิ้น และหากพูดถึงปัจจัยเสี่ยงของบิตคอยน์ นอกจากที่เราเพิ่งเจอกันไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ในอนาคตมันจะต้องมีความเสี่ยงอื่น ๆ อีกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงอื่น ๆ ที่เรายังไม่เคยเห็น หรือจากสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก…เพราะวิกฤติจะมาตอนที่เราไม่รู้เสมอ หากเรารู้ก่อน มันจะไม่เกิดวิกฤติจริงไหม? Intergold Gold Trade แท็ก: Article Basic Bitcoin Cryptocurrency Knowledge Short Content ทอง ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Intel ลงเดิมพันหมดหน้าตัก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานชิปชนผู้ผลิตเอเชีย - FINNOMENA สถานการณ์ Intel ตอนนี้คือ CEO ประกาศเตรียมลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานผลิตชิปรุ่นใหม่ และจะทำตัวเป็น Foundry รับจ้างบริษัทอื่นผลิตด้วย ชนกับ TSMC, Samsung โดยตรง !! แต่ประเด็นอยู่ที่ Intel จะหาลูกค้ามาจ้างเหมือน TSMC ได้หรือไม่ ?! 16 เม.ย. 2564 หลังการรับตำแหน่ง CEO Intel คนใหม่ เขาได้สร้างเรื่อง surprise ให้อุตสาหกรรมชิป เมื่อประกาศตั้งแต่วันแรกว่า “Intel จะยังมุ่งมั่นให้บริษัทเป็นผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของโลกให้ได้” !! ต้องย้อนเรื่องราวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากันก่อน Intel ราวกับเล่นตลก CPU ที่เคยเป็นเบอร์ 1 ถูกคู่แข่ง AMD แย่งตลาดไปได้อย่างสนุกสนาน ด้วยการนำเสนอพลังประมวลผลสุดโหดแบบ Multi-Core ซึ่งทำให้ตลาดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ (Desktop) มีส่วนแบ่งแซง Intel ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีชิปแบบอื่น Intel ถือว่าเลวร้ายมาก ตัวอย่างเช่น ชิป 5G Modem ที่จับมือพัฒนาร่วมกับ Apple ก็ล่มไม่เป็นท่าไม่สามารถผลิตชิปมาใช้งานได้จริง ซึ่งสุดท้าย Intel ต้องยอมขายธุรกิจนี้ถูก ๆ ให้ Apple ไปพัฒนาต่อคนเดียว เกร็ดความรู้: Apple กลับไปง้อขอซื้อชิป Qualcomm (คู่อริในอดีต) มาใช้ใน iPhone 12 ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่แพงที่สุดของมือถือ 5G ทางด้านภาคการผลิตที่มีคู่แข่งหลักคือ TSMC กับ Samsung สองบริษัทยักษ์ภูมิภาคเอเชีย ฝั่ง Intel ก็ค่อนข้างสาหัส เนื่องจาก Intel ประกาศจะผลิตชิปขนาด 10 nm ให้ได้ตั้งแต่ปี 2016 แต่เจอโรคเลื่อนเล่นงานมาตลอด เพิ่งทำได้จริงในปี 2019 ซึ่งผลิตได้น้อยกว่าคาดด้วย ล่าสุดโรคเลื่อนก็ยังเล่นงานไม่เลิก ประกาศเลื่อนแผนเปิดตัวชิปรุ่นใหม่ 7 nm ไปที่ปี 2023 เกร็ดความรู้: ขนาดชิปในปัจจุบันค่อนข้างเป็นการเล่น marketing โดยความจริงแล้วชิปขนาด 7 nm ของ Intel เทียบได้กับ 5nm ของ TSMC เท่ากับว่าเทคโนโลยี Intel จะช้ากว่าราว 3 ปี (ใน case ที่ไม่เลื่อนออกไปอีก) กลับมาที่ไฮไลท์ในปัจจุบัน สถานการณ์ Intel ตอนนี้คือ CEO ประกาศเตรียมลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ สร้างโรงงานผลิตชิปรุ่นใหม่ และจะทำตัวเป็น Foundry รับจ้างบริษัทอื่นผลิตด้วย ชนกับ TSMC, Samsung โดยตรง !! โดยหนึ่งในเบื้องหลังที่ทำให้ Intel กล้าลุยต่อเพราะรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มจะอนุมัติงบประมาณอุดหนุนอุตสาหกรรมการผลิตชิปในประเทศ ภายใต้ชื่อ “CHIPS for America Act” ที่คาดว่าให้งบฟรี 40% ของเงินลงทุนสำหรับโรงงานใหม่ในสหรัฐ (เข้าทาง Intel เต็ม ๆ) แต่ประเด็นอยู่ที่ Intel จะหาลูกค้ามาจ้างเหมือน TSMC ได้หรือไม่ ?! เงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ถือว่าลงทุนใหญ่มาก ดังนั้นบริษัทต้องหาลูกค้ามาให้ได้เยอะ ๆ แต่ปัญหาคือ Intel มีสินค้าในเครือตัวเองหลากหลายโดยเฉพาะชิปคอมพิวเตอร์ (CPU, GPU, FPGA มาครบ) จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่คู่แข่งจะยอมมาจ้างง่าย ๆ (กลัวโดนลอกเทคโนโลยี) หรือถัดไปอย่างชิปในรถยนต์ Intel ยังมีบริษัทลูกชื่อ Mobileye ที่เป็นสร้างชิปสำหรับ Self-driving car (บริษัทดีไซน์ชิปรถยนต์ก็อาจเลี่ยง ๆ ไม่จ้าง) เกร็ดความรู้: ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วว่า Samsung ที่มีแบรนด์มือถือของตัวเอง ทำให้ Apple เลือกหันไปซบ TSMC ผลิตชิป iPhone ให้แทน ดังนั้นส่วนที่ Intel มีลุ้นหน่อยก็คือชิปมือถือที่ไม่ได้มีสินค้าของตัวเอง (เคยทำแต่ล่มอีกนั่นแหละ) ซึ่ง Apple หรือ Qualcomm อาจสนใจ แต่ทั้งคู่ต้องการชิปที่ไฮเทคที่สุด ซึ่งปัจจุบัน Intel ยังไม่สามารถผลิตได้ เรียกได้ว่าอนาคตค่อนข้างคลุมเครือ ถ้าสุดท้ายแล้ว Intel ทำไม่สำเร็จ (ไม่ว่าจะผลิตชิปรุ่นใหม่ไม่ได้หรือหาลูกค้าไม่ได้) ย่อมเป็นการละลายเงิน 2 หมื่นล้านทันที แต่ถ้าทำได้สำเร็จเราอาจเห็นหุ้น Intel กลายเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าสุดยอดหุ้น Turnaround (และ CEO ก็คงดังสุด ๆ) หนึ่งในตัวแปรที่เราอาจไม่สามารถตัด Intel ออกจากการแข่งขันได้ก็เพราะรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มจะทำทุกทางเพื่อให้ชิปรุ่นใหม่ต้องถูกผลิตโดยบริษัทสหรัฐ (หรืออย่างน้อยก็ในดินแดนสหรัฐ) ที่แน่ ๆ เหล่าโรงงานขายเครื่องจักรยิ้มกว้างเลย (ASML, LRCX, AMAT, KLAC) BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/1366426383372492/posts/4382633801751720/ แท็ก: Article Basic Intel Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Apple เตรียมลุยสังเวียน 6G หวังลดการพึ่งพิง Qualcomm - FINNOMENA Apple ประกาศจ้างพนักงานทางด้านวิศวกรรมเพื่อวิจัยระบบ 5G และ 6G ประจำสำนักงานที่ San Diego และ Silicon Valley หลังจาก Apple เปิดตัว iPhone 12 ที่รองรับ 5G ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าจะหันมาพึ่งพาชิปที่สร้างเองมากขึ้น! 9 เม.ย. 2564 Apple ประกาศจ้างพนักงานทางด้านวิศวกรรมเพื่อวิจัยระบบ 5G และ 6G ประจำสำนักงานที่ San Diego และ Silicon Valley หลังจาก Apple เปิดตัว iPhone 12 ที่รองรับ 5G ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าจะหันมาพึ่งพาชิปที่สร้างเองมากขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักคงมาจากการที่ Apple พิจารณาแล้วว่าบริษัทพึ่งพาชิป RF และ 5G Modem จากทาง Qualcomm มากเกินไป (เกร็ดความรู้: ชิพ RF หรือ Radio Frequency เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อไร้สายที่ทำให้มือถือสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ โดยเฉพาะในยุค 5G ที่ชิพ RF มีราคาแพงมากเพราะต้องรองรับความถี่สูงกว่า 4G) ในอดีต Apple และ Qualcomm มีการฟ้องร้องกันเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรมากมาย (มีเคสที่ Apple ฟ้องศาลว่า Qualcomm ขายชิปแพงเกินไป!!) ซึ่งสุดท้ายศาลตัดสินให้ Qualcomm ชนะ และบังคับ Apple ต้องจ่ายเงินค่าปรับด้วย หลังจูบปากกันได้ Apple ก็ขอทำสัญญาระยะยาวรับมอบชิป RF และ 5G Modem จาก Qualcomm ต่อเนื่องเป็นเวลา 6 ปี นับตั้งแต่ เมษายน 2019 (มีเงื่อนไขให้ต่ออายุได้อีก 2 ปีด้วย ลากยาวไปได้ถึง 2027) ในอดีต Intel เคยพยายามคิดค้น 5G Modem ให้ Apple เพื่อลดการพึ่งพา Qualcomm แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่รอด ส่งผลให้ Intel ต้องยอมขายธุรกิจนี้ให้ Apple ไปพัฒนาต่อ จึงมีแนวโน้มว่าถ้าทำสำเร็จ จะได้ใช้ชิปในเครือตัวเองจริง ๆ อย่างไรก็ตาม Qualcomm และกองเชียร์ก็ยังไม่ต้องเสียวสันหลังมากกับข่าวนี้ เพราะว่าดีลกับ Apple ยังมีสัญญาระหว่างกันอีกหลายปี และสุดท้าย Apple อาจวิจัยชิปเองไม่สำเร็จก็ได้ BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/4357214534293647 แท็ก: 6G Apple Article Basic Knowledge Qualcomm Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุป Clubhouse Xiaomi Talk ของทีม BottomLiner - FINNOMENA รายได้รวม Xiaomi เติบโต +24% YoY ซึ่งธุรกิจที่โตแรงที่สุดยังมาจากการขายมือถือทั้งจากแบรนด์ Mi และ Redmi ที่จำนวนเครื่องขายได้มากขึ้น เป็นแบรนด์จีนเบอร์ 1 ไปแล้ว ไล่ตาม Apple, Samsung ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในสรุป Clubhouse Xiaomi Talk ของทีม BottomLiner ได้เลยครับ 7 เม.ย. 2564 เริ่มต้น: เป็นช่วงเล่างบที่เพิ่งประกาศ รายได้รวม Xiaomi เติบโต +24% YoY ซึ่งธุรกิจที่โตแรงที่สุดยังมาจากการขายมือถือทั้งจากแบรนด์ Mi และ Redmi ที่จำนวนเครื่องขายได้มากขึ้น 31% YoY (รวมขายได้ 43.4 ล้านเครื่อง) เป็นแบรนด์จีนเบอร์ 1 ไปแล้ว ไล่ตาม Apple, Samsung ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และที่น่าสนใจคือตลาดในจีน Xiaomi สามารถพลิกกลับมาเติบโตได้แล้ว ซึ่งในช่วงเทศกาล 11.11 Single day มียอดขายอันดับ 2 เป็นรองเพียง iPhone เท่านั้น ผู้บริหารให้ความสำคัญกับตลาด Premium มากขึ้น (มือถือราคาเกิน 12,000 บาท) โดยจากตัวเลขในปี 2020 สามารถขายมือถือกลุ่มนี้ได้ 10 ล้านเครื่อง เป็นตัวช่วยเพิ่มราคาขายเฉลี่ยต่อเครื่องได้อย่างมาก พา Gross margin เพิ่มไปด้วย จากการเก็บข้อมูลยอด Search ใน WeChat ช่วงเปิดตัวมือถือ Mi 11 พบว่ามีการค้นหามากกว่า 200 ล้านครั้งภายในวันเดียว แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Xiaomi เริ่มติดกระแสในจีน เริ่มบุกตลาดขาย Offline ในจีนมากขึ้นด้วยการเร่งเปิด Mi Store เพิ่มขึ้น 2,200 สาขาภายในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน ซึ่งเป้าหมายคือจะต้องมี Mi Store ทุกเมืองในจีน แต่ความลับคือบริษัทใช้การ Partner ให้บริษัทอื่นลงทุนสร้างสาขา ส่วน Xiaomi จะเป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยีในสาขาให้สามารถ operate ได้มีประสิทธิภาพ (ได้เงินลงทุนใหม่ฟรี ๆ) ขณะที่การขายในต่างประเทศก็สามารถโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดยุโรปตะวันตกที่คนมีกำลังซื้อสูง ปัจจุบันมี Market share อยู่อันดับที่ 3 แล้ว และมือถือที่ขายได้เยอะในโซนนี้คือแบรนด์ Premium ที่มี Gross margin สูง ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าการที่ Huawei ถูกแบนเป็นตัวช่วยให้ Xiaomi แย่งตลาดตรงนี้มาได้เยอะมาก ธุรกิจที่ค่อนข้างโตช้าคือ IoT ยอดขายเพิ่มเพียง 8% YoY ชะลอจากปีก่อนมาก แต่สินค้าที่มีแนวโน้มจะสร้างประโยชน์ให้บริษัทได้มากอย่าง Smart TV ยังคงครองแชมป์ market share อันดับ 1 ในจีนเป็นปีที่สองติดต่อกัน เนื่องจากระบบ Smart TV และ Mi box (กล่องทีวี) สามารถเป็นตัวคุมช่องทางโฆษณา connect TV ได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมี MAU (Monthly active user) 41 ล้านคน เป็นน้อง ๆ Roku ของฝั่งสหรัฐเลย (นักวิเคราะห์ยังแทบไม่พูดถึงเรื่องนี้) ธุรกิจส่วนสุดท้าย Internet Services ได้ประโยชน์จากการที่ยอดขายมือถือเพิ่มขึ้นหนุนรายได้จากโฆษณาให้โต 23% YoY ดัน Gross margin รวมของธุรกิจนี้ขึ้นมาเป็น 68% และเริ่มมีสัดส่วนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ Gross margin รวมทั้งบริษัทอยู่ในช่วงขาขึ้นทีเดียว ล่าสุดเพิ่มมาเป็น 16% ส่วนใหญ่มาจากการขายมือถือราคาแพงได้มากขึ้น และรายได้จากโฆษณาเพิ่มขึ้น Xiaomi ลงทุนในบริษัทอื่นรวม 310 บริษัท เน้นที่บริษัทสัญชาติจีน ซึ่งเมื่อปีที่แล้วลูก ๆ เหล่านี้มีตัวดังที่เข้า IPO แล้วด้วย เช่น Roborock, Kingsoft Cloud, Xpeng และการที่ตลาดหุ้นจีนกับฮ่องกงพุ่งแรงในไตรมาส 4 ช่วยให้เงินลงทุนของ Xiaomi เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อราคาหุ้นด้วย (แต่ตอนนี้หุ้นจีน ฮ่องกงก็ถล่มลงมาค่อนข้างเยอะ) สถานการณ์คำสั่งแบนเป็นอย่างที่รู้กันคือ ศาลสหรัฐปลดแบนให้ Xiaomi ชั่วคราว และบริษัทกำลังพยายามยื่นเรื่องให้เป็นคำสั่งถาวร ปัญหาหลักในช่วง 3 เดือนนี้เป็นเรื่องชิปขาดแคลน ซึ่งกระทบทั้งอุตสาหกรรมมือถือ แบรนด์ดังทุกเจ้าทั้ง Apple, Xiaomi, Oppo, Vivo ต่างมีสินค้ามาขายลดลง แต่แน่นอนเรื่องนี้มีคนได้ประโยชน์ถ้าเราหาเจอ ช่วง Q&A Question: การแข่งขันจากเครือ BBK Electronics (เจ้าของ Oppo, Vivo, Realme, Oneplus) มองยังไงบ้าง ? Answer: ตลาดมือถือคงแบ่ง ๆ กันไป แต่ Xiaomi ได้เปรียบในกลุ่มมือถือราคาแพงพอสมควร เพราะวางตัวแบรนด์ให้เด่นในตลาดนี้ตั้งแต่ Huawei โดนแบน เช่นเดียวกับ IoT ที่มี partner เยอะกว่าแบรนด์อื่น Question: ชิปขาดตลาดแล้วผู้บริหาร Xiaomi บอกว่าส่วนต้นทุนที่ขึ้นมาจะผลักภาระให้ผู้บริโภคจะทำได้ไหม ? Answer: คิดว่าได้บางส่วนแต่ต้องยอมรับว่าตลาดแข่งขันกันหนัก ราคาอาจขึ้นได้ไม่เยอะ (แต่หลังจาก BottomLiner มาทบทวนเพิ่ม คิดว่ามีโอกาสที่ Xiaomi จะฉวยโอกาสเปิดตัวมือถือราคาแพงช่วงนี้ อาศัยจังหวะที่ตลาดมือถือผลิตไม่ทันทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกไม่มากนัก) หลังจากนี้มีการถามไปถึงหุ้น Intel, Twitter, หุ้นจีน ซึ่งมีผู้รู้ท่านอื่นเข้ามาช่วยตอบด้วย เพจ BottomLiner ต้องขอขอบคุณสังคมนักลงทุนดี ๆ แบบนี้ด้วยนะครับ BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/4379278235420610 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content Xiaomi แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Alibaba ในวันที่รัฐบาลจีนไม่อยากให้ใครใหญ่เกินหน้าเกินตา - FINNOMENA คำสั่งล่าสุดที่หนึ่งในบริษัทลูกของ Alibaba อย่าง “UC browser” ถูกลบออกจากมือถือหลายค่ายในจีน และประเด็นที่สำนักข่าวรายใหญ่ “South China Morning Post” กำลังถูกรัฐบาลจีนบังคับให้ Alibaba ขายทิ้ง ยิ่งเป็นการตอกย้ำการคุมเข้ม 5 เม.ย. 2564 คำสั่งล่าสุดที่หนึ่งในบริษัทลูกอย่าง “UC browser” ถูกลบออกจากมือถือหลายค่ายในจีน และประเด็นที่สำนักข่าวรายใหญ่ “South China Morning Post” กำลังถูกรัฐบาลจีนบังคับให้ Alibaba ขายทิ้ง ยิ่งเป็นการตอกย้ำการคุมเข้มธุรกิจหลักของ Alibaba อย่าง e-commerce ในจีน แน่นอนว่าพื้นฐานยังแข็งแกร่ง รายได้ไตรมาส 4 โตถึง 39% YoY ขณะที่แผนหันมาทำแพลตฟอร์มเป็น first-party seller มากขึ้น (Alibaba ขายเอง เก็บ Margin ได้เยอะกว่า) สามารถเติบโตแรงตามเป้า รายได้รวมทั้งเครือ Alibaba เริ่มชะลอลงต่อเนื่อง โดยถ้าตัดการควบรวมบริษัทลูก Sun Art เข้ามา รายได้จะโตเพียง 27% YoY เท่านั้น และนี่จะเป็นสิ่งที่เราจะเห็นเรื่อย ๆ ต่อจากนี้ คือ Alibaba จะเข้าซื้อหุ้นบริษัทลูกตัวสำคัญให้เกิน 50% เพื่อที่จะได้บันทึกงบแบบ consolidate ให้รายได้ที่เห็นในงบการเงินมี Growth เยอะอยู่ (เกร็ดความรู้ทางบัญชี: ถ้าบริษัทแม่ถือหุ้นลูกเกิน 50% จะสามารถบันทึกรายได้และรายจ่ายทั้งหมดเข้าตัว (consolidate) ซึ่งเราก็จะเห็นรายได้แม่โตแรงนั่นเอง ถ้าถือน้อยกว่า 50% บันทึกรายได้ไม่เต็ม) ธุรกิจที่ดูจะเป็น s-curve ใหม่ให้ Alibaba ได้ก็คือ Cloud ซึ่งยังโตถึง 50% YoY และทำกำไรทางบัญชีให้บริษัทได้แล้ว แต่คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 7% เท่านั้น ขณะที่ประเด็น Ant Group ที่นักลงทุนจับตามอง จนถึงปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน แต่การตัด UC browser หรือบังคับขาย South China Morning Post อาจเป็นการบอกใบ้ว่าในอนาคต Ant Group จะต้องกลับไปทำเพียงระบบการชำระเงินออนไลน์เท่านั้น (ซึ่งก็จะเหลือแต่ธุรกิจ Alipay) ส่วนธุรกิจการปล่อยกู้หรือนายหน้าการลงทุนและประกันอาจไม่ยอมให้บริษัทขยายเข้าไปแล้ว เรื่องนี้คนวงนอกก็ได้แต่เดา ๆ ตามข้อมูลที่มีอยู่นะครับ ประเด็นที่พอจะเป็นข่าวดีได้หน่อยก็คือผู้บริหารอนุมัติเงินซื้อหุ้นคืนรวมทั้งหมด 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คงช่วงพยุงให้ราคาไม่ไหลลงมากจากนี้ หรืออาจมองไปถึงว่าราคาหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือไม่ ? หุ้น Alibaba เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สอนนักลงทุนว่าแค่บริษัทพื้นฐานดีแล้วไปไล่ซื้อหุ้นโดยไม่วิเคราะห์ให้ครอบคลุม ก็อาจจะต้องขาดทุนกลับมา BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/4363827663632334 แท็ก: Advance Alibaba Article Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน LHTPROP เป็นนักลงทุนอสังหาฯ หมื่นล้าน ด้วยเงินหลักร้อย - FINNOMENA ถ้าจะพูดถึงกองทุนอสังหาฯ ไทยที่เน้นลงทุนในประเทศไทย และกำลังเป็นกองที่หลาย ๆ คนพูดถึงอยู่ในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นกองทุนจาก บลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์อย่าง LHTPROP หรือกองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ กองทุนอสังหาฯ ที่ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน ร้อยเดียวก็ลงทุนในอสังหาฯ หมื่นล้านได้ ! มาดูรายละเอียดของกองนี้กันเลยครับ 28 ม.ค. 2565 เมื่อพูดถึงกองทุนอสังหาฯ (หรือที่เรียกกันแบบเป็นทางการว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT คนมักจะนึกถึงกองทุนในตำนานอย่าง Principal iProp ซึ่งเป็นกองทุนที่มีการลงทุนทั้งในโรงแรม ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน Data Center ศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้าจะพูดถึงกองทุนอสังหาฯ ไทยที่เน้นลงทุนในประเทศไทย และกำลังเป็นกองที่หลาย ๆ คนพูดถึงอยู่ในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นกองทุนจาก บลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ LHTPROP หรือกองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ กองทุนอสังหาฯ ที่ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน ร้อยเดียวก็ลงทุนในอสังหาฯ หมื่นล้านได้ ! กองนี้ลงทุนแต่ในอสังหาฯ แบรนด์ชั้นนำทั้งนั้น นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนของกองถือเป็นเจ้าของ อสังหาฯ ดังต่อไปนี้ครับ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลจำนวน 14 ศูนย์การค้า พื้นที่เช่าในห้างโลตัสจำนวน 23 สาขากระจายทั่วประเทศไทย อาคารคลังสินค้าและโรงงานคุณภาพสูง ในโซนใกล้ EEC 578 ยูนิต มีผู้เช่าดัง ๆ อย่าง Lazada, Makro, Amway, Samsung, DHL และ Watson ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ 29 ศูนย์ กระจายตัวอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ทางการขนส่ง เช่น รังสิต-อยุธยา ชลบุรี บางนา และสมุทรสาคร ลูกค้าที่มาใช้บริการก็เช่น กลุ่มเซ็นทรัล คาโอ และ เครือเบียร์ช้าง ศูนย์แสดงสินค้า IMPACT บางนาและ IMPACT Arena ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ไปกี่ครั้งก็หาที่จอดรถยากมาก ๆ แต่จัดงานทีไรคนก็ไปกันเต็มตลอด งานดัง ๆ ก็ไปจัดแต่ที่นี่กันหมด แทบจะเป็นตัวเลือกเดียวในการจัดงานระดับประเทศ เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีมากกว่า 10 บลจ. คลิก https://finno.me/open-plan คอนเสิร์ตวง Girl Group ระดับโลก BlackPink จัดที่ Impact Arena ที่มา: Twitter @ZEXIONOXIOUS ทำไมคนถึงสนใจกองทุน LHTPROP? ถ้ามาดูกันไว ๆ จะเห็นว่า LHTPROP เป็นกองทุนที่ค่อนข้างแน่นในหลาย ๆ จุดไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนที่ทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวช่วง 3-5 ปี และการขาดทุนสูงสุดที่กองทุนสามารถควบคุมได้ดีกว่ากองเพื่อนบ้าน ผลประกอบการของกองทุน LHTPROP ข้อมูลวันที่: 26 มีนาคม 2564 ที่มา: FINNOMENA โอกาสเข้าซื้อจากการปรับฐานของตลาดหุ้น การลงมาของตลาดหุ้นไทย ณ ตอนนี้ได้ลากเอากองทุนอสังหาฯ หลาย ๆ กองลงมาด้วย ซึ่งถ้าเรามาคิดดูดี ๆ แล้วจะพบว่า กองทุนอสังหาฯ ลงทุนในพื้นที่ให้เช่า ซึ่งตอนนี้แม้จะโดนผลกระทบจาก COVID-19 และการปิดเมือง รวมไปถึงความจำเป็นในการลดค่าเช่าให้กับผู้เช่าในบาง Sector … แต่ COVID-19 และการปิดเมืองจะไม่อยู่กับเราตลอดไปแน่นอน การฟื้นตัวของกองทุนอสังหาฯ เรานี้จะต้องมาในอนาคต !!! การลงมาในครั้งนี้ทำให้ผมมองว่าเป็นโอกาสของการซื้อของถูกเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนระยะยาว ส่วนเหตุผลที่ทำให้ผมคิดแบบนั้นมีอะไรบ้าง? เตรียมใจกันไว้เลยนะครับ เรื่องนี้เล่ากันยาว …. ก่อนจะไปเข้าเรื่องเน้น ๆ ผมขอเท้าความสั้น ๆ ก่อนว่า ทำไมคนถึงชอบลงทุนในกองทุนอสังหาฯ กัน จุดเด่นของกองทุนอสังหาฯ ที่ทำให้หลายคนต้องมีไว้ในพอร์ต เป็นเจ้าของอสังหาฯ พันล้านทางอ้อม หลายคนอยากจะซื้ออสังหาฯ ซื้อที่ดินต้องไปซื้อตามชานเมือง ต่างจังหวัดที่ราคาจับต้องได้ แต่ราคาที่ดินที่ขึ้นเอา ๆ ดันไปอยู่ที่กลางเมือง การเป็นเจ้าของกองทุนอสังหาฯ ที่ลงทุนในอสังหาฯ ชั้นนำกลางเมืองคือวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้หาประโยชน์จากการขึ้นราคาของที่ดินกลางเมืองได้ โดยไม่ต้องมีเงินหลักร้อยล้านพันล้าน แค่หลักพัน หลักร้อยก็ลงทุนได้แล้ว กระแสเงินสดต่อเนื่อง รายได้ของอสังหาฯ หลัก ๆ มาจากค่าเช่าที่ผู้เช่าต้องจ่ายทุกเดือน และมักจะมีการปรับค่าเช่าอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ด้วยเหตุนี้ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนอสังหาฯ มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น อสังหาฯ ราคาขึ้นต่อเนื่อง หากลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีพอ อยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยม ก็แทบจะการันตีได้เลยว่าราคาจะขึ้นแน่ ๆ ในอนาคต การลงทุนในกองทุนอสังหาฯ มีผู้จัดการกองทุนช่วยเหลือสินทรัพย์ด้วย ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ลงทุนว่าของที่ได้มานั้นเป็น “ของดี” จริง ๆ ซื้อกองทุนอสังหาฯ ไม่ต้องปวดหัวกับการจัดการ ถ้าซื้ออสังหาฯ ของจริง อย่างคอนโด หรืออาคารแล้วไปปล่อยเช่า หน้าที่ที่คุณต้องทำคือต้องคอยดูแลสินทรัพย์ให้สภาพดีอยู่เสมอ ต้องคอยไปเก็บค่าเช่า ต้องมาคิดว่าจะขึ้นค่าเช่าดีไหม ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบ COVID-19 แล้วผู้เช่าเลิกเช่า ก็ต้องคอยหาคนเช่ามาใหม่ ซึ่งถ้าซื้อกองทุนอสังหาฯ แทน ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป นั่งรับผลตอบแทนอย่างเดียวโดยไม่ต้องเสียเวลา เปลืองแรงกับการจัดการ กระจายความเสี่ยงได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจัยทั้งหมดคือการกระจายความเสี่ยง เราสามารถลงทุนในอสังหาฯ ชั้นนำหลัก 20-50 ที่ได้ด้วยการลงทุนครั้งเดียว ทำให้ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องแบกรับยิ่งน้อยลงไปอีก ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นสาเหตุให้กองทุนอสังหาฯ มักจะเป็นกองทุนที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนส่วนใหญ่ตลอดเวลา ไม่มากก็น้อย ความท้าทายของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาเปิดโอกาสให้นักลงทุนเป็นเจ้าของกองทุนอสังหาฯ ดี ๆ ได้ และมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว LHTPROP หนึ่งในกองทุนอสังหาฯ ตัวจี๊ดที่ต้องจับตา LHTPROP เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่น่าสนใจ การกระจายความเสี่ยงในหลากหลายอุตสาหกรรม นโยบายการลงทุนที่ลงทุนในกองทุน Property ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะมองกองทุนอสังหาฯ เป็นกลุ่มอสังหาฯ โดยรวม แต่ในความเป็นจริงแล้ว กองทุนอสังหาฯ นี่แยกออกเป็นหลายสายมากนะครับ สายหลัก ๆ ก็จะมี ศูนย์การค้า คลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์ประชุม อาคารสำนักงาน พื้นที่เช่าสนามบิน และในบางครั้งจะมีพวกโครงสร้างพื้นฐานอย่างทางด่วน หรือเสาสื่อสารแถมให้มาด้วย ดังนั้นการดูกองทุนอสังหาฯ ต้องศึกษาลงลึกไปด้วยว่า กองทุนอสังหาฯ กองนั้น ๆ มีการลงทุนในแต่ละธุรกิจเป็นสัดส่วนเท่าไหร่บ้าง สัดส่วนการลงทุนของ LHTPROP LHTPROP เป็นกองทุนที่ค่อนข้างสมดุลเพราะมีการลงทุนในอสังหาฯ หลายสาย มีแทบจะทั้งหมดที่กล่าวมาด้านบน แต่โดยหลัก ๆ แล้ว LHTPROP ลงทุนเป็นสัดส่วนมากในกองทุนอสังหาฯ ดังต่อไปนี้ครับ (ข้อมูลวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564) 1. CPNREIT หรือ หน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท สัดส่วน 14.27% กองนี้เน้นลงทุนในพื้นที่เช่าของศูนย์การค้าเซ็นทรัล ซึ่งเน้นเฉพาะศูนย์การค้าที่มีอัตราการเช่า 90% ขึ้นไป หรือเกือบเต็มเท่านั้น ! นอกจากจะเป็นกองศูนย์การค้าอันดับหนึ่งแล้ว กองทุนนี้ยังเป็นกอง ทุนอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่าตลาดสูงกว่า 53,415.11 ล้านบาท (วันที่ 1 เมษายน 2564) ภาพรวมข้อมูล CPNREIT ที่มา: ข้อมูลจากกองทุน CPNREIT ข้อมูลประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นอกจากนั้นยังมีการจ่ายปันผลท่ามกลางวิกฤติที่กองทุนอสังหาฯ ได้รับผลกระทบแบบจัง ๆ อีกด้วย พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำในกลุ่มกองทุนอสังหาฯ !! ภาพแสดงการจ่ายปันผลต่อหน่วย CPNREIT ที่มา: ข้อมูลจากกองทุน CPNREIT ข้อมูลประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2564 2. TLGF หรือ หน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท สัดส่วน 12.15% กองนี้เน้นลงทุนในพื้นที่เช่าในเทสโก้ โลตัส (ตรงที่เป็นร้านขายของ ร้านชานมไข่มุก ร้านทอง ที่อยู่นอกโซน Hypermarket ครับ) ลักษณะคล้าย ๆ พวกที่เช่าที่ปั๊มปตท.ให้ร้านขายของเช่าอารมณ์นั้น ซึ่งที่ผ่านมาอัตราการเช่าอยู่ที่ 93%++ ทั้งนั้นเลย แม้แต่ในช่วงโควิด(เอาจริง ๆ ก็เรียกว่ามีผู้เช่าเต็มตลอดได้นะครับ) ภาพรวมข้อมูล Tesco Lotus ที่มา: ข้อมูลจากกองทุน TLGF ข้อมูลประจำไตรมาส 3 ปี 2563-2564 3. FTREIT หรือ หน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ สัดส่วน 10.06% อันนี้ลงทุนหลัก ๆในคลังสินค้าและโรงงานโซนบางนา ซึ่งเป็นโซนอุตสาหกรรมที่มีบริษัทต่างชาติมากมาย ที่สำคัญอันนี้ถือเป็นกองทุนอสังหาฯ ในเครือเสี่ยเจริญ การลงทุนในกองทุนนี้เหมือนการเกาะเสี่ยเจริญไปกลาย ๆ ครับ เสี่ยแกทำได้ดี เราก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย 4. WHART หรือ หน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท สัดส่วน 9.92% กองนี้เน้นศูนย์กระจายสินค้าในจุดยุทธศาสตร์ด้านการขนส่ง ได้ประโยชน์จากเทรนด์ขนส่งสินค้าและ E-Commerce ในประเทศ รวมไปถึงการเป็นศูนย์กลาง Logistic ของประเทศไทยในอนาคต ตำแหน่งศูนย์กระจายสินค้าของ WHART ที่มา: ข้อมูลจากกองทุน WHART ข้อมูลประจำ ไตรมาส 4 ปี 2563 ศูนย์กระจายสินค้าของ WHART มีความโดดเด่นในแง่การสร้างสินทรัพย์ตามความต้องการพิเศษของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดความเสี่ยงในการไม่ต่อสัญญาของลูกค้าได้ ซึ่งสะท้อนในตัวเลข Average Occupancy Rate ที่สูง อัตราการเช่าของกองทุนอสังหาสายอุตสาหกรรม ที่มา: เอกสารนำเสนอ WHART ข้อมูลประจำ ไตรมาส 4 ปี 2563 5. IMPACT หรือ หน่วยลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อิมแพ็คโกรท สัดส่วน 8.60% ตัวนี้ทุกคนคงรู้จักกันดีเพราะเวลาเราไปดูงานแสดงสินค้าก็มักจะไปที่ IMPACT เมืองทองธานี กองนี้มีรายได้มาจากค่าเช่าพื้นที่ของ IMPACT Challenger และ IMPACT Arena ที่ใช้ในการจัดงานแสดงสินค้าราว ๆ 70-80% ส่วนที่เหลือเป็นค่าเช่าของ IMPACT Arena ที่ไว้จัดคอนเสิร์ต และ IMPACT Forum ที่ไว้จัดสัมมนา ถ้านัดตามจำนวนขนาดพื้นที่ถือว่า IMPACT เป็นเบอร์ 1 ในตลาดศูนย์แสดงสินค้า เบอร์ 2 คือ BITEC แต่มีพื้นที่น้อยกว่า IMPACT ถึงครึ่งหนึ่ง จะเห็นว่าการซื้อ LHTPROP กองเดียวเราจะได้ทั้งศูนย์การค้า คลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ศูนย์กระจายสินค้า และศูนย์แสดงสินค้า รวมไปถึงอาคารสำนักงานต่าง ๆ ด้วย ทั้ง 5 กองทุนอสังหาฯ หลักที่ LHTPROP ลงทุนรวมกันเป็นสัดส่วนมากถึง 53.48% หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกอง ดังนั้นถ้ากองจะนี้จะทำผลตอบแทนได้ดีหรือไม่ดีจะขึ้นอยู่กับการลงทุนหลักทั้ง 5 ตัวนี้อย่างมาก ในฐานะของนักลงทุน เราควรจะต้องทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่เราลงทุนให้ดี ผมเลยอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจ ศึกษารายละเอียดและ ประเมินความคิดของผู้จัดการกองทุนว่าเขาเห็นอะไรในกองทุนทั้ง 5 กองนี้ในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างสถานการณ์ COVID-19 ที่ (หวังว่า) กำลังจะผ่านไปครับ กองทุนอสังหาฯ กับผลกระทบของ COVID-19 เริ่มต้นจากข่าวร้ายก่อน … สำหรับคนที่คิดว่าการกินค่าเช่าคือการลงทุนที่ปลอดภัย 100% การมาของ COVID-19 อาจทำให้คุณต้องคิดใหม่ เพราะถ้าร้านค้าอยู่ไม่ได้ ศูนย์การค้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ถ้าใครดูงบไตรมาส 1 ของกองอสังหาฯ CPNREIT จะพบว่ารายได้ลดลงเล็กน้อยประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โรงแรม Hilton Pattaya ที่เป็นส่วนหนึ่งของกอง CPNREIT ด้วยต้องปิดตัวชั่วคราว แถมทางกองทุนยังมีการปันผลเป็นอัตราส่วนที่ลดลงจากการที่เคยปันผลได้ 90%++ จากกำไรสุทธิ รอบนี้ปันผลน้อยลงเหลือเพียง 74% ของกำไรสุทธิเท่านั้น เพื่อเตรียมสภาพคล่องรองรับ COVID-19 จากที่เราเห็นกันเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม เป็นเดือนที่ศูนย์การค้าปิดแทบจะทั้ง 2 เดือน ดังนั้นผลกระทบของ COVID-19 จะส่งผลไปถึงไตรมาส 2 ของปีซึ่งกำลังจะประกาศออกมาช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ปันผลลดลงมากกว่าในไตรมาส 1 ถ้าวิกฤตมีโอกาส ข่าวดีก็มีซ่อนอยู่ในข่าวร้ายนั่นแหละ เพราะถ้าคิดดูดี ๆ สถานการณ์ ณ ตอนนี้ศูนย์การค้ากลับมาเปิดแล้ว แม้อาจจะยังต้องช่วยลดค่าเช่าให้กับร้านค้าอยู่ แต่หลังจากนี้มีแต่สถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ปี 2563 นี้สูงมาก การเข้าลงทุนใน CPNREIT ณ ตอนนี้คือการเข้าในจุด (แทบจะ) ต่ำสุด การฟื้นตัวน่าจะแน่นอน ส่วนช้าเร็วเป็นเรื่องที่ต้องตามดูกันต่อ ถ้ามีการฟื้นตัวจนสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ปันผลก็คงกลับเป็นปกติเช่นกัน แต่ถ้าเราไปซื้อเอาตอนที่ทุกอย่างเป็นปกติแล้วราคาก็คงกลับไปช่วงปกติด้วย นอกจากจะต้องซื้อแพงแล้ว เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ กลุ่มกองทุนอสังหาฯ สายอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร? ในกองทุน LHTPROP มีกองทุนอสังหาฯ สายอุตสาหกรรมหลัก ๆ มีอยู่ 2 กอง คือ WHART และ FTREIT มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่น่าจะจำกัดในวงแคบ แนวโน้มในการลดค่าเช่าเพื่อช่วยเหลือผู้เช่ามีผลกระทบต่อกองทุนน้อยกว่ากองประเภทอื่น ๆ นอกจากนั้นอัตราค่าเช่าโรงงานหรือคลังสินค้ามีสัดส่วนไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในมุมอื่น ๆ ของผู้เช่า นอกจากนั้นสัญญาการเช่ายังเป็นสัญญาระยะยาว ดังนั้นโอกาสที่จะเปลี่ยนหรือยกเลิกสัญญาจึงมีน้อย ในขณะที่การเติบโตของกลุ่ม E-Commerce ที่จำเป็นต้องใช้คลังสินค้ายังเติบโตดี วิกฤต COVID-19 ครั้งนี้สำหรับกลุ่มกองทุนอสังหาฯ สายอุตสาหกรรมแล้ว นับว่าเบากว่าช่วงน้ำท่วมใหญ่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนมาก และเมื่อ COVID-19 ผ่านไป การเติบโตของกลุ่มนี้ยังมีโอกาสได้รับปัจจัยผลักดันเชิงบวกจากนโยบายรัฐบาล และ EEC ที่กำลังออกตามมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจของ BOT ที่มา: Bank of Thailand ข้อมูลประจำ เดือน มีนาคม 2021 ถ้าเราดูประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจจะพบว่าตัวเลขในปีนี้จะดูแย่แต่จะแย่แค่ปีเดียวหลังจากนั้นจะเป็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน ดังนั้นครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนระยะยาวที่หาไม่ได้บ่อยๆนัก เพราะปกติกลุ่มนี้ไม่ค่อยโดนผลกระทบอะไรสักเท่าไหร่ ทำให้หาจังหวะเข้าซื้อที่ได้ราคาดี ๆ ไม่ค่อยได้ กลุ่มกองทุนอสังหาฯ สายศูนย์การค้าจะฟื้นไหม? ศูนย์การค้าเป็นภาคที่โดนผลกระทบค่อนข้างหนักเพราะรัฐบาลจำเป็นต้องปิดเมืองเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ถ้าเป็นร้านอาหาร หรือร้านค้าทั่ว ๆ ไป รายได้คงกลายเป็น 0 ไปแล้ว แต่พอเป็นศูนย์การค้าที่เป็นค่าเช่ารายได้จึงไม่ได้ลดมากนักแม้จะมีการลดค่าเช่าให้กับผู้เช่าบ้าง ด้วยความที่กองทุนลงทุนเป็นศูนย์การค้าอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยอย่าง Central Plaza และ Tesco Lotus ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการสกรีนผู้เช่าก่อนที่จะให้เช่าว่าสินค้าเป็นอย่างไร สายป่านมากพอไหม ทำให้ปัญหาในเรื่องการจ่ายค่าเช่าแม้มีปัจจัยเรื่อง COVID-19 น่าจะน้อย นอกจากนั้นตอนนี้เราเริ่มกลับมาเปิดเมือง เปิดศูนย์การค้ากันแล้ว ทำให้รวม ๆ ผลกระทบน่าจะเป็นระยะสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น ๆ สรุปแล้วจากข้อมูลที่รวบรวมมา ทั้ง 2 อุตสาหกรรมหลักอย่างศูนย์การค้าและอุตสาหกรรมที่กองทุน LHTPROP ลงทุนน่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวมากกว่า การปรับตัวเป็นขาลง จะมีก็เพียง IMPACT ที่เป็นศูนย์แสดงสินค้าที่จะเป็นการค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่ก็มีข้อดีคือเป็นศูนย์แสดงสินค้าเบอร์ 1 ที่เมื่อกลับมาเปิดเมืองเต็มที่เมื่อไหร่ จะได้รับผลประโยชน์แน่นอน เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีมากกว่า 10 บลจ. คลิก https://finno.me/open-plan ปัจจัยผลักดันราคากองทุนอสังหาฯ ดอกเบี้ยที่จะต่ำไปอีกระยะใหญ่ ๆ ทำให้ผู้ที่ฝากเงินทั้งรายย่อยและรายใหญ่จำเป็นต้องหาการลงทุนทางเลือกที่มีลักษณะการจ่ายปันผลที่ต่อเนื่อง (คล้าย ๆ ดอกเบี้ยที่ได้ตลอด) จึงมีโอกาสสูงที่หวยจะมาออกที่กองทุนอสังหาฯ ซึ่งมี Character คล้าย ๆ กันแม้มีความเสี่ยงมากกว่าแต่ก็ทดแทนด้วยเสถียรภาพของกระแสเงินสดที่ออกมาต่อเนื่อง Earning Yield Gap ที่กว้างขึ้น ทำให้กองทุนอสังหามีความน่าสนใจ เวลานักลงทุนเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนก็มักจะมองไปที่ส่วนต่างของผลตอบแทนเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงอย่างพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี การลดดอกเบี้ยทำให้ส่วนต่างผลตอบแทนสูงถึง มีความจูงใจในการให้นักลงทุนปรับมาหาสินทรัพย์อย่างกองทุนอสังหาฯ มากขึ้น การกลับมาเปิดเมืองบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID ที่ทำได้ดีและตลาดหุ้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้ต่อจากนี้ตลาดจะเริ่มเห็นข่าวดีออกมาเรื่อย ๆอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งจะช่วยในเชิงของจิตวิทยาการลงทุน นโยบายกระตุ้นของรัฐบาล ที่จะตามออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และการบริโภคภายในประเทศ กองทุนอสังหาฯ เป็นสินทรัพย์ที่ประเมินรายได้และกำไรได้ชัดเจนที่สุด พอจุดต่ำสุดผ่านไปก็สามารถที่จะประเมินได้เลยว่าปีหน้า หรือปีต่อไปจะเป็นอย่างไร พอเริ่มประเมินได้ ความไม่แน่นอนหายไป ตลาดก็จะกลับขึ้นมาอีกครั้ง BuffettCode Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ References http://cpnreit.listedcompany.com/misc/presentation/20210225-cpnreit-oppday-am-4q2020.pdf https://investor.whareit.com/misc/presentation/20210301-whart-quarterly-report-4q2020.pdf http://lpf.listedcompany.com/misc/PRESN/20210120-tlgf-financialResults-3q2020.pdf https://www.bot.or.th/English/MonetaryPolicy/MonetPolicyComittee/MPR/Pages/default.aspx คำเตือน ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนมีนโยบายการลงทุนเฉพาะเจาะจงในหมวดอุตสาหกรรม จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่วไปที่มีการ กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW LHTPROP Long Content Product Info กองทุนอสังหาฯ อสังหาริมทรัพย์ แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ปั่นหุ้นด้วยธีมกัญชา - FINNOMENA ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็คือ  การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่มีฟรีโฟลทต่ำโดยอาศัย “ธีม” อย่างเช่นเรื่องของ “กัญชง-กัญชา” ที่เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาผสมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ขายให้แก่ผู้ใช้หรือผู้บริโภคได้ ธีมนี้จะอยู่ต่อไปนานแค่ไหน? 23 มี.ค. 2564 ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและดูเหมือนว่าจะเข้มข้นขึ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็คือ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่มีฟรีโฟลทต่ำโดยอาศัย “ธีม” หรือเรื่องราวที่คนพูดถึงกันทั่วไปว่าจะเป็น “แนวโน้มใหม่” ของธุรกิจที่จะเติบโตและทำเงินให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่เข้าไปทำหรือเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นเรื่องของ “กัญชง-กัญชา” ที่เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาผสมหรือสร้างผลิตภัณฑ์ขายให้แก่ผู้ใช้หรือผู้บริโภคได้จากการที่เคยเป็นพืชที่เป็น “ยาเสพติด” ต้องห้ามที่คนรุ่นเก่าหลายคนโดยเฉพาะที่เป็น “ศิลปิน” ชอบที่จะใช้เพื่อช่วยเสริม “จินตนาการ” ในการทำงาน ว่าที่จริงในอดีต ช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ “เสรีนิยม” ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านสงครามเวียตนามของเหล่า “ฮิปปี้” หรือ “บุปผาชน” ที่ “ต่อต้านสังคม” โดยการไว้ผมยาวและทำตัวสกปรก “ไร้สาระ” ในช่วงทศวรรษ 1960-1970 หรือเมื่อประมาณ 50-60 ปีมาแล้วนั้น กัญชาก็คือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็น “ยากล่อมประสาท” หลัก ประเทศไทยในช่วงนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศ “อนุรักษ์นิยม” สุด ๆ แต่เราก็มีเด็กวัยรุ่นบางส่วนที่ทำตัวเป็น “ฮิปปี้” อยู่เหมือนกันแม้จะไม่ค่อยรู้ความหมายที่แท้จริงว่าฮิปปี้คืออะไร ส่วนตัวผมเองนั้น ช่วงที่กำลังเติบโตเป็นวัยรุ่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ปรากฏการณ์ของฮิปปี้ก็เริ่มซาลงแล้ว ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าสงครามเวียตนามกำลังจบลง อย่างไรก็ตาม กัญชาก็กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยเริ่มรับรู้ว่าเป็น “ยาเสพติดแบบอ่อนที่ไม่ได้ติดง่าย ๆ” และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายโดยเฉพาะถ้าเสพเป็นครั้งคราว นอกจากนั้น การหาก็ไม่ได้ยาก ว่าที่จริงผมเองก็เคยลองสูบกัญชากับเพื่อน ๆ เป็นครั้งคราวโดยเฉพาะเวลาไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมต่างจังหวัด ถ้าจำไม่ผิด ในสมัยนั้นการปลูกหรือใช้กัญชาน่าจะมีโทษน้อยมาก ซึ่งต่อมาเมื่อประเทศไทยมีปัญหาเรื่องยาเสพติดรุนแรง กัญชากลับกลายเป็นยาเสพติดร้ายแรงจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร กัญชาก็กลายเป็นพืชที่มีความ “คลาสสิก” และ “ท้าทาย” ให้คนอยากลองใช้ อย่างน้อยก็คนรุ่นผมในช่วงนั้น และนั่นก็ทำให้เกิดกระแส “กัญชง-กัญชา” ขึ้นในสังคมไทยเมื่อรัฐบาลบอกว่าบริษัทต่าง ๆ สามารถผลิตและขายผลิตภัณฑ์ของมันได้แล้ว ความ “กระตือรือร้น” เกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน คนคิดว่าบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีความพร้อมที่จะผลิตและขายผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถที่จะนำไปผสมกับอาหารและเครื่องดื่มสารพัดนอกเหนือจาก “ยา” จำนวนมาก จะสามารถสร้างรายได้และกำไรมหาศาล พวกเขามองไกลออกไปถึงตลาดทั่วโลกที่ “น่าจะ” มีความต้องการผลิตภัณฑ์กัญชง-กัญชาจำนวนมากจากประเทศไทยที่จะมีเหลือเฟือจากการปลูกในพื้นที่ประเทศไทยที่ “เหมาะสม” กับพืชชนิดนี้มากไม่แพ้ที่ใดในโลก นักการเมืองเองก็ “ขายความฝัน” ให้กับคนไทยว่าอาจจะมีโอกาสปลูกกัญชากันบ้านละ 4-5 ต้นซึ่งจะทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำโดย “ไม่ต้องออกแรง” ดังนั้น “กัญชง-กัญชา จึงเป็น ยาวิเศษ แก้ปัญหาได้สารพัด” ราคาหุ้นของบริษัทที่พร้อมและประกาศว่าจะทำผลิตภัณฑ์กัญชาขายต่างก็วิ่งกันเป็นว่าเล่น และนั่นก็ทำให้บริษัทที่ไม่ได้มีความพร้อมอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เช่น มีแค่ที่ดินว่างเปล่าเหลืออยู่และประกาศว่าจะเข้ามาปลูกและทำผลิตภัณฑ์กัญชาราคาหุ้นก็ขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงบริษัทผลิตเครื่องดื่มทั้งหลาย ที่ต่างก็ออกมาประกาศว่าเตรียมออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมกัญชง-กัญชา ซึ่งก็ทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปทันที และก็แน่นอนว่าบริษัทผลิตอาหารจำนวนมากต่างก็ขอ “เกาะ” กระแสกัญชา โดยการเตรียมออกผลิตภัณฑ์อาหารผสมกัญชา ถึงจุดนี้ทุกบริษัทที่สามารถเกี่ยวข้องกับกัญชง-กัญชาได้ ต่างก็ประกาศว่าจะทำกัญชา ซึ่งรวมถึงบริษัทขายเครื่องสำอาง โรงพยาบาล และแม้แต่คนทำซอสต่างก็บอกว่าจะทำผลิตภัณฑ์นี้ และ สุดท้ายก็คือ บริษัทที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกัญชาเลยแต่เจ้าของเน้น “การเติบโต” โดยเฉพาะของราคาหุ้น ก็ขอทำธุรกิจกัญชาด้วย โดยรวมแล้ว น่าจะไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท ส่วนเหตุผลที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแทบจะทุกตัวก็คือ ประการแรก ตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้เป็นตลาดหุ้นที่มีการเก็งกำไรร้อนแรงจากนักลงทุนส่วนบุคคล แต่หุ้นขนาดใหญ่นั้นราคาปรับตัวน้อยมากเนื่องจากคนเล่นส่วนใหญ่คือต่างชาติ ดังนั้น นักลงทุนจึงมองหาหุ้นที่จะสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น “ทุกวัน” ซึ่งหุ้นที่จะเป็นแบบนั้นได้จะต้องมีความต้องการหรือแรงซื้อมากกว่าจำนวนที่จะขายมากในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งหุ้นที่เข้าข่ายนั้นควรจะต้องมีฟรีโฟลทน้อยในขณะเดียวกันจะต้องมีเรื่องราวน่าสนใจในแง่ผลประกอบที่จะต้องดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้นในสายตาของนักเล่นหุ้น และปรากฏการณ์ของธุรกิจกัญชง-กัญชา ก็คือคำตอบ นั่นก็คือ เป็นหุ้นที่มีธีมหรือมี “สตอรี่” ที่จะ “โตจากกัญชา” และเป็นหุ้นตัวเล็กมีฟรีโฟลทน้อย หุ้นที่ “เข้าข่าย” แม้ว่าจะมีจำนวนมากก็ไม่ได้มีปัญหา เพราะคนที่ “เล่นหุ้นเก็งกำไร” มีเป็นหมื่นเป็นแสนคน และแม้ว่าจะลงทุนกันคนละไม่มาก แต่รวมกันแล้วปริมาณเม็ดเงินที่เข้ามาเล่นหุ้นเป้าหมายก็จะมากมหาศาล ผลก็คือ เกิดสภาวะการณ์การ “Corner” หุ้นแทบจะโดยอัตโนมัติ ราคาหุ้นจึงมีแต่จะต้องวิ่งขึ้นอย่างแรง เวลาที่หุ้นขึ้นไปแรงนั้น โดยธรรมชาติของ “นักเก็งกำไร” พวกเขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นมากกว่าที่จะขาย การประเมินมูลค่าพื้นฐานของกิจการว่าควรจะเป็นเท่าไรนั้น เป็นประเด็นรอง ดังนั้น ราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก การเพิ่มสูงขึ้นไปของราคาก็จะยิ่งดึงดูดให้นักเก็งกำไรกลุ่มต่อไปเข้ามาซื้อหุ้นทำให้หุ้นมีราคาวิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนที่ทำกำไรได้มากแล้วเริ่มขายหุ้นทำให้หุ้นปรับตัวลงมาบ้าง เช่นเดียวกับคนที่วิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นและลงทุนในหุ้นนั้นก็อาจจะขายหุ้นเมื่อ “ราคาเกินพื้นฐานไปแล้ว” อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคนกลุ่มน้อย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่คิดถึงเรื่องมูลค่าพื้นฐานจำนวนมากนั้น ก็มักจะมีความ “ลำเอียง” เมื่อตนเองถือหุ้นไว้แล้วและเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากก็มักคิดว่าหุ้นขึ้นไปเพราะพื้นฐานของมัน “ดีขึ้นมาก” จนเหมาะสมกับราคาที่ขึ้นไปสูงมากนั้น ผลก็คือ เมื่อราคาหุ้นขึ้น “Corner” ก็ไม่ “แตก” คนไม่ขายแม้ว่าหุ้นจะขึ้นไปเกินพื้นฐานมากและมากขึ้นเรื่อย ๆ และอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานตราบที่เรื่องราวหรือ Story “ยังไม่จบ” ตลาดหุ้นไทยในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานั้น มี “ธีม” มากมายเกิดขึ้นและก็ผ่านไปและก็มีธีมใหม่ขึ้นมารองรับกับนักเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยหยุดแม้เกิดภาวะวิกฤติโควิด-19 อานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลบ่าเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและคนไม่มีช่องทางลงทุนที่ดีให้เลือกนอกจากตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้อยู่และมีแรงดึงดูดจากการที่มีโอกาสทำผลตอบแทนสูงผิดปกติจากการเล่นหุ้นเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กหรือมีฟรีโฟลทต่ำ ผลจากการนี้ก็คือ หุ้นที่มีธีมและ “เข้าสเป็ค” ของหุ้นเก็งกำไรนั้น มักจะมีราคาที่สูงหรือแพงผิดปกติ กลายเป็น “หุ้นปั่น” และแม้ว่าในที่สุด เมื่อธีมของหุ้นผ่านพ้นไปและ Corner อาจจะ “แตก” ไปแล้ว ราคาหุ้นที่ตกลงลงมาอย่าง “หายนะ” ก็อาจจะยังสูงเกินกว่าพื้นฐานไปมากอยู่ดี ลองย้อนหลังกลับไปดูราคาของหุ้นเหล่านั้นก็มักจะพบว่าค่า PE ก็ยังสูงระดับ 30-40 เท่าขึ้นไปเป็นเรื่องปกติ นั่นอาจจะเป็นเรื่องของภาพพจน์และความทรงจำของนักลงทุนที่มีเกี่ยวกับตัวหุ้นและราคาหุ้นที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปหมด ตัวอย่างเช่น ถ้าหุ้นเคยขึ้นไปที่ราคาเกือบ 100 บาท ราคาปัจจุบันที่ต่ำกว่า 20-30 บาทจึงไม่น่าจะแพงได้ ดังนั้น จึง “ขายไม่ลง” ราคาหุ้นจึงยังแพงอยู่ได้ มองในแง่ของคนที่คำนึงถึงพื้นฐานของกิจการเองนั้น บ่อยครั้ง ถ้าเขาเคย “เชื่อ” เสียแล้วว่าหุ้นนั้นเป็นบริษัทที่ “ดีเยี่ยม” เป็นหุ้นที่เคยมีสตอรี่และราคาหุ้นขึ้นไปราวกับ “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีการเติบโตสูงมาก แต่วันนี้ความจริงดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่เคยเข้าไปลงทุนแล้ว นี่ก็ยังเป็นบริษัทที่ดีเมื่อเทียบกับหุ้นที่ไม่เคยปรับตัวโดดเด่นเป็น “ดารา” เลย ดังนั้น “คุณภาพ” ของบริษัทก็น่าจะยังโดดเด่นเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น วันดีคืนดีหุ้นก็มีโอกาส “กลับมาใหม่” ราคาหุ้นที่ PE 30-40 เท่าก็อาจจะ “ไม่แพง” และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า หุ้นที่ “เคยวิ่ง” เป็นจรวดมักจะไม่เคยถูกเลยแม้ว่าเหตุผลต่าง ๆ ที่ทำให้มันวิ่งนั้นผ่านไปนานแล้ว ผมเองเชื่อว่าหุ้นที่เล่นกันด้วยธีม “กัญชง-กัญชา” ก็คล้าย ๆ กับธีมในอดีตที่ผ่านมา แล้วในที่สุดก็จะผ่านไป คือหุ้นขึ้นไปมากแล้วสุดท้ายก็ตกลงมาแรงมากพอ ๆ กัน คนที่ได้กำไรมหาศาลมีน้อยรายและเป็น “ผู้นำ” ในการ “ปั่น” ส่วนผู้ที่ขาดทุนนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้ขาดทุนมากแต่มีจำนวนมาก พวกเขาคือคนที่อาจจะ “หาหุ้นเล่นทุกวัน” และมีความสุขที่ได้เล่น หมดจากธีมกัญชาก็จะหาธีมใหม่ไปเรื่อย ๆ วัฎจักรของการลงทุนหรือเล่นหุ้นของตลาดหุ้นไทยก็เป็นแบบนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/03/22/2482 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content กัญชา หุ้นกัญชา แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน ONE-GECOM: เมื่อ E-Commerce กำลังเติบโตแบบสองหลัก - FINNOMENA E-commerce ถือเป็นอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยีที่มองข้ามไม่ได้ จากข้อมูลการเติบโตที่ไม่ได้ขายฝันและไม่ได้มาเล่น ๆ มาสำรวจกันว่าหากเราต้องการลงทุนในธุรกิจ E-commerce กองทุนอย่าง ONE-GECOM จะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังในอุตสาหกรรมนี้อย่างไรบ้าง 8 ก.ย. 2564 E-commerce ถือเป็นอุตสาหกรรมผ่านเทคโนโลยีที่มองข้ามไม่ได้ จากข้อมูลการเติบโตที่ไม่ได้ขายฝันและไม่ได้มาเล่น ๆ มาสำรวจกันว่าหากเราต้องการลงทุนในธุรกิจ E-commerce กองทุนอย่าง ONE-GECOM จะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวังในอุตสาหกรรมนี้อย่างไรบ้าง 5 เหตุผลทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น E-commerce E-commerce เป็นทางเลือกที่ปฏิเสธไม่ได้ของธุรกิจรายย่อย ที่ต้องการความคล่องตัวสูง ทุนไม่จม ไม่เจ็บหนัก หรือ ไม่เจ็บเลยหากไม่สต็อคสินค้า รวมไปถึงรายใหญ่ที่ต้องปรับตัวเข้ามาต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ในตลาดนี้มากขึ้น หลังตลาด E-commerce เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัตราที่สูงมาก ๆ ยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบแบบทบต้นที่ 20% ต่อปี ในช่วงปี 1999-2020 จากรายงานของกระทรวงการค้าสหรัฐฯ* มีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักช้อปออนไลน์จะเติบโตที่ 25% ต่อปี ในช่วงปี 2019-2023** E-commerce กำลังเข้ามาแย่งพื้นที่ในโลกของการค้าขายแบบมีหน้าร้าน โดยครองพื้นที่สัดส่วนอยู่ที่ 21.3% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดในปี 2020 และมีแนวโน้มเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลในอดีต*** ตลาด E-commerce เติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2020 หลัง COVID-19 เข้ามาเร่งอัตราการเติบโตในระดับที่สูงมาก ๆ E-commerce จึงอาจเป็นแนวโน้มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มปัจจัยพื้นฐานยืนยันอย่างชัดเจน**** สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan *ข้อมูลจาก กระทรวงการค้าสหรัฐฯ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2020 ที่มา: amplifyetfs.com **ข้อมูลจาก eMarketer ณ เดือน พฤษภาคม 2019 ที่มา: amplifyetfs.com *** ภาพแสดงข้อมูลสัดส่วนยอดขายแบบออนไลน์กับยอดขายจากร้านที่มีหน้าร้าน ณ เดือน มกราคม 2021 ที่มา: digitalcommerce360.com **** ข้อมูลอัตราการเติบโตของยอดขายใน E-commerce เทียบกับการเติบโตของยอดค้าปลีกปกติ ณ เดือน มกราคม 2021 ที่มา: digitalcommerce360.com “ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต” สัดส่วนลงทุนหลักกองทุน ONE-GECOM ภาพแสดงสัดส่วนลงทุนกองทุน ONE-GECOM วันที่ 29 มกราคม 2564 ที่มา: Fund Fact Sheet บลจ.วรรณ หากเรามาเช็คสัดส่วนหลัก ๆ ของกองทุนจะเห็นได้ว่าหลัก ๆ แล้วจะมีส่วนผสมทั้งการลงทุนใน Amplify Online Retail ETF ที่เป็นสัดส่วนหลักถึง 82.45% รวมไปถึงการลงทุนในหุ้นโดยตรงอย่างยอดบริษัทค้าปลีกและ cloud อย่าง Amazon ไปจนถึง Amazon เมืองจีนอย่าง Alibaba รวมไปถึง Paypal ยอดระบบใช้จ่ายออนไลน์และ Chegg ผู้ให้บริการเช่าหนังสือ รวมถึงติวหนังสือออนไลน์ เจาะลึกสัดส่วนหลักเน้น ๆ ของ Amplify Online Retail ETF ภาพแสดงสัดส่วนมูลค่าตลาดของหุ้นใน Amplify Online Retail ETF วันที่ 31 ธันวาคม 2020 ที่มา: amplifyetfs.com หลัก ๆ แล้วมีการลงทุนในหุ้นใหญ่ซะส่วนใหญ่ ซึ่งหุ้นใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีความมั่นคงสูงกว่าหุ้นเล็ก ในขณะที่หุ้นเล็กและหุ้นขนาดกลาง ก็ยังมีสัดส่วนผสมให้เห็นในปริมาณที่พอเหมาะพอดีและสมดุล โดยเหล่าหุ้นเล็กและหุ้นขนาดกลางหากคัดสรรได้อย่างถูกต้องก็อาจมีโอกาสเติบโตเป็นหุ้นเด้ง ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต จึงเรียกได้ว่าในพอร์ตการลงทุนของ ETF ตัวนี้มีส่วนผสมทั้งการเติบโตและความมั่นคงจากธุรกิจที่มีรากฐานเรียบร้อย สัดส่วนหุ้นหลักและข้อมูลหุ้นรายตัว ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักใน Amplify Online Retail ETF วันที่ 8 มีนาคม 2021 ที่มา: amplifyetfs.com GROUPON INC (สัดส่วน 5.23%) บริษัท E-commerce ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์ในราคาที่ถูกกว่า ตามพื้นที่ท้องถิ่นในแต่ละภาคส่วนของโลกทั้งใน อเมริกาเหนือ ดินแดนผู้นำที่มั่งคั่ง ยุโรป ตะวันออกกลาง ไปจนถึงในแอฟริกา และประเทศอื่น ๆ มีจุดเด่นอย่างการมีสินค้าและบริการจากทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงแพคเกจการท่องเที่ยวแบบลดราคา TRIPADVISOR INC (สัดส่วน 4.66%) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ ที่ให้คุณจองและเปรียบเทียบราคาทั้งโรงแรม เที่ยวบิน เรือสำราญ แพคเก็จทัวร์ กิจกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยมีการแตกแขนงเว็บไซต์ออกไปนอกสหรัฐฯ และปรับให้เข้ากับบุคคลท้องถิ่นในที่ต่าง ๆ บนโลก โดยปัจจุบัน TripAdvisor มี 48 เว็บไซต์ท้องถิ่น และใช้งานได้ 28 ภาษาทั่วโลก REVOLVE GROUP INC (สัดส่วน 4.45%) ผู้ให้บริการค้าปลีกสินค้าแฟชั่นต่าง ๆ สำหรับคนรุ่นใหม่อย่างมิลเลนเนียลและเจน z มีสินค้ามากกว่า 45,000 แบบทั้งในส่วนของเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับต่าง ๆ จากแบรนด์สินค้ากว่า 500 แบรนด์ ให้บริการสองรูปแบบสำหรับลูกค้าสองกลุ่มผ่าน REVOLVE ที่คัดสรรเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ และ FORWARD ที่ให้บริการสินค้าแบรนด์หรูสำหรับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง LYFT INC (สัดส่วน 3.92%) คู่แข่งคนสำคัญของ Uber ในการให้บริการเรียกพาหนะเดินทางแสนสะดวก มีจุดเด่นอย่างการทำ ride sharing หรือการไปด้วยกันในทางเดียวกันที่ช่วยลดค่าโดยสาร ค่าบริการที่ถูกกว่าและให้รายได้กับคนขับสูงกว่า Uber รวมถึงมีการคัดกรองทางด้านความปลอดภัยตามมาตรฐาน STITCH FIX INC (สัดส่วน 3.76%) ผู้ให้บริการเสริมสวยออนไลน์และให้คำแนะนำผ่านอัลกอริทึมเฉพาะตัว เพื่อเลือกชุดเสื้อผ้า ขนาด สไตล์ ที่เหมาะสมที่สุดให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ใช้ ตามงบหรือเงินที่เหมาะสมกับผู้ใช้ อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง หุ้นอื่น ๆ ที่ ONE-GECOM ลงทุนโดยตรง Amazon (สัดส่วน 2.80%) ผู้ให้บริการ E-commerce ขนาดใหญ่อันเลื่องชื่อ รวมไปถึงระบบ cloud มาแรงซึ่งคงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับหุ้นตัวนี้ Chegg (สัดส่วน 2.38%) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเกี่ยวกับการศึกษาออนไลน์ทั้งบริการติวหนังสือ รวมถึงหนังสือแบบออนไลน์และออฟไลน์ Alibaba (สัดส่วน 2.34%) อีกหนึ่งแพลตฟอร์ม E-commerce ชื่อดังของจีน หรือ อาจเรียกง่าย ๆ ได้ว่า Amazon เมืองจีน ผลตอบแทนย้อนหลัง Amplify Online Retail ETF ผลตอบแทนย้อนหลัง Amplify Online Retail ETF วันที่ 5 มีนาคม 2021 ที่มา: amplifyetfs.com “ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต” ผลตอบแทนย้อนหลัง Amplify Online Retail ETF วันที่ 5 มีนาคม 2021 ที่มา: amplifyetfs.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากสัดส่วนการลงทุน และผลตอบแทนข้างต้น ทำให้เห็นว่า Amplify Online Retail ETF ยังทำผลตอบแทนได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นอเมริกาอย่าง S&P 500 ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการลงทุนในกลุ่ม E-commerce นั้นมีการเติบโตที่เหนือกว่าการลงทุนเฉลี่ยในหุ้นแบบปกติ ทำไมถึงต้องลงทุนใน ONE-GECOM มีการจัดการแบบ Active มุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนให้เหนือค่าเฉลี่ย สามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศโดยตรงได้ตามความเหมาะสมของผู้จัดการกองทุน ช่วยสร้างผลตอบแทนผ่านการเกาะไปกับแนวโน้มของแต่ละช่วง มีการลงทุนแบบกระจายไปในหุ้นหลาย ๆ ตัว ผ่าน ETF ที่เป็นสัดส่วนหลักในการลงทุน ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี ลงทุนทั้งหุ้นใหญ่ กลาง เล็ก ให้ทั้งความมั่นคงและโอกาสเติบโต ลงทุนในหุ้นได้ทั่วโลกลดกรอบ และสร้างโอกาสเติบโตที่มากขึ้น นโยบายการลงทุนและความเสี่ยง ลงทุนในหุ้นจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่ทำธุรกิจ มีรายได้หรือได้ประโยชน์จากธุรกิจอีคอมเมิร์ซจากทางตรงหรือทางอ้อม เช่น บริษัทที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์ ลงทุนในหุ้นต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอีทีเอฟ (ETF) ต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดโดยกองทุนจะมี net exposure ในตราสารทุนต่างประเทศตามลักษณะข้างต้น รวมกันโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ระดับความเสี่ยงระดับ 6 References https://amplifyetfs.com/Data/Sites/6/media/docs/IBUY_Fact_Card.pdf https://amplifyetfs.com/ibuy https://www.digitalcommerce360.com/article/us-ecommerce-sales/ https://www.monsterinsights.com/50-breathtaking-online-shopping-statistics-you-never-knew/ https://www.one-asset.com/doc_fund/Fund%20Summary%20Prospectus/ONE-GECOM_summary_prospectus.pdf สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง | ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article e-commerce FINNOMENA Fund FINNOMENA FUND REVIEW Long Content ONE-GECOM Product Info กองทุน e-commerce แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton ถาม-ตอบ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 - FINNOMENA FINNOMENA x Franklin Templeton ถาม-ตอบ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 คุณ ธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist, FINNOMENA สัมภาษณ์คุณ Ajay Dayal, CFA, Director, Global Product Management, Franklin Templeton 12 มี.ค. 2564 FINNOMENA x Franklin Templeton ถาม-ตอบ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 คุณ ธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist, FINNOMENA สัมภาษณ์คุณ Ajay Dayal, CFA, Director, Global Product Management, Franklin Templeton <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase #FINNOMENA #FranklinTempleton #ลงทุน equity outlook, FINNOMENA Franklin Templeton อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 - FINNOMENA FINNOMENA x Franklin Templeton พบกับ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 คุณ ธัชพล ปาละบรรจง สัมภาษณ์คุณ Ajay Dayal, CFA, Director, Global Product Management, Franklin Templeton 12 มี.ค. 2564 FINNOMENA x Franklin Templeton พบกับ กลยุทธ์การลงทุนหุ้นโลกหลังโควิด-19 คุณ ธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist, FINNOMENA สัมภาษณ์คุณ Ajay Dayal, CFA, Director, Global Product Management, Franklin Templeton <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase equity outlook, FINNOMENA Franklin Templeton อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน TMB-ES-AUTOMATION: เมื่อระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลก - FINNOMENA จะเป็นอย่างไรหากระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก! ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกกองทุนน้องใหม่ป้ายแดงซึ่งเป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKQ อย่างกองทุน TMB-ES-AUTOMATION ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกด้วยนวัตกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 8 ก.ย. 2564 จะเป็นอย่างไรหากระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก! ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกกองทุนน้องใหม่ป้ายแดงซึ่งเป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKQ อย่างกองทุน TMB-ES-AUTOMATION ที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกด้วยนวัตกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สารบัญ ทำไมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์จึงมีความน่าสนใจ? เปลี่ยนแปลงโลกสู่ระบบอัตโนมัติไปพร้อมกับกองทุน TMB-ES-AUTOMATION Investment Focus ของ ARKQ Robotics & Automation 3D Printing Autonomous Transportation ลงทุนในกองทุน TMB-ES-AUTOMATION แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทอะไรบ้าง? ผลการดำเนินงาน ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน สรุป 5 ข้อ กองทุน TMB-ES-AUTOMATION กองทุน TMB-ES-AUTOMATION เหมาะกับใคร ? ทำไมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์จึงมีความน่าสนใจ? หุ่นยนต์มีความแม่นยำและความสม่ำเสมอมากกว่ามนุษย์ ซึ่งคุณลักษณะทั้งสองประการนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับกระบวนการผลิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการผลิตที่ต้องการผลผลิตจำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถทำงานให้เสร็จได้เร็วขึ้นเป็นอย่างมาก หุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการทำงานแบบเดิมซ้ำ ๆ จึงสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานานโดยที่คุณภาพของผลผลิตไม่ลดลง หุ่นยนต์สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นอันตรายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพดังเช่นแรงงานมนุษย์ หุ่นยนต์ไม่ต้องการเงินเดือน โบนัส สวัสดิการ การลาพักร้อน หรือค่าตอบแทนในรูปแบบอื่น ๆ ดังนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในการนำมาใช้งาน แต่อาจจะมีค่าบำรุงรักษาตามระยะเวลาเท่านั้น สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan เปลี่ยนแปลงโลกสู่ระบบอัตโนมัติไปพร้อมกับกองทุน TMB-ES-AUTOMATION กองทุน TMB-ES-AUTOMATION หรือกองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Autonomous Technology and Robotics จาก บลจ.ทหารไทย (TMB) มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) และหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ และ/หรือ กองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศ เมื่อรวมกันแล้วโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 สำหรับกองทุน ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) มีนโยบายการลงทุนแบบเชิงรุก (active management) เน้นลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรม (disruptive innovation theme) ทางด้านเทคโนโลยีการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ (autonomous technology and robotics companies) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการในสาขาต่าง ๆ Investment Focus ของ ARKQ Investment Focus ของ ARKQ ที่มา: ark-invest.com Robotics & Automation จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดพบว่าประมาณ 47% ของงานทั้งหมดในสหรัฐฯ กำลังจะดำเนินไปด้วยระบบอัตโนมัติในช่วง 10 ถึง 20 ปีข้างหน้า ทางด้าน ARK ก็คาดการณ์ว่าภายในปี 2035 หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่งานตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมการเกษตรกว่า 316,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 60% ของตำแหน่งงานทั้งหมด 530,000 ตำแหน่งในช่วงเวลานั้น แม้ว่า แนวโน้มดังกล่าวจะดูเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีสำหรับแรงงานสหรัฐฯ สักเท่าไร แต่จากการศึกษา แบบเชิงลึกพบว่า ระบบอัตโนมัติจะกระตุ้นผลิตภาพการผลิตและเพิ่ม GDP ต่อแรงงานอย่างมหาศาล ต้นทุนเริ่มต้นของหุ่นยนต์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ประมาณ $250,000 โดยมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการบำรุงรักษาอยู่ที่ประมาณ $10,000 ต่อปี และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12 ปี ในขณะที่ค่าจ้างรายชั่วโมงของพนักงานโรงงานโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ระหว่าง $2 – $47 ต่อชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ) โดยไม่นับรวมถึงค่าฝึกอบรม ค่าสวัสดิการด้านสุขภาพ และวันลาหยุดพักร้อนอื่น ๆ แม้ในตอนแรกหุ่นยนต์จะมีราคาที่สูงกว่าการจ้างแรงงานมนุษย์ แต่จุดคุ้มทุนเกิดขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว บริษัทในเยอรมนีหรือในสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนจากการใช้แรงงานคนสู่การใช้หุ่นยนต์เกิดจุดคุ้มทุนในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น ข้อดีอีกประการหนึ่งของระบบหุ่นยนต์คือสามารถทำงานให้เสร็จสิ้นได้แม้อยู่ในสภาพแวดล้อม การผลิตที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ตัวอย่างเช่น KUKA Robotics ผลิตหุ่นยนต์ทนความร้อนที่สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมการผลิตที่มีความร้อนสูง นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังสามารถลด ข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการผลิตได้ เนื่องจากมีเทคโนโลยีในการตรวจจับขั้นสูง แม้ว่าจะมีผู้ผลิตอีกหลายรายที่ยังไม่ได้นำหุ่นยนต์มาใช้ในอุตสาหกรรม เนื่องจากมีต้นทุนล่วงหน้าค่อนข้างสูงแต่ปัจจัยค่าจ้างแรงงานคนที่สูงขึ้นและความสามารถในการลดต้นทุนการผลิตใน ระยะยาวของระบบอัตโนมัติจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการนำหุ่นยนต์มาใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าแรงงานหุ่นยนต์อาจเป็นตัวกระตุ้นกำลังการผลิตในสหรัฐฯ ให้กลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมการผลิตเท่านั้น แม้แต่อุตสาหกรรม Healthcare ก็มีการนำหุ่นยนต์มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยดูแลผู้สูงอายุเช่นกัน สืบเนื่องจากโครงสร้างประชากรโลกที่กำลังจะเปลี่ยนสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้จำนวนพยาบาลมีไม่เพียงพอต่อการให้บริการ แม้ว่าหุ่นยนต์จะไม่ได้ถูกใช้สำหรับการผ่าตัด แต่ก็สามารถเติมเต็มปัญหาการขาดแคลนพยาบาลได้เป็นอย่างดี ด้วยหุ่นยนต์ ผู้ช่วยพยาบาลทำให้พยาบาลมนุษย์สามารถทำงานได้มากขึ้น เพิ่มคุณภาพในการดูแลผู้ป่วยพร้อมลดค่าใช้จ่ายในเวลาเดียวกันซึ่งเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรม Healthcare เป็นอย่างมาก โดยในปี 2013 มีการขายหุ่นยนต์ทางการแพทย์มูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วทั่วโลก กราฟแท่งแสดงอัตราการเติบโตของ Real GDP สหรัฐฯ ปี 2020-2025 ที่มา: ARK Research ระบบอัตโนมัติสามารถเพิ่ม 5% หรือ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับ GDP ของสหรัฐฯ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดย ARK เชื่อว่าระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงของสหรัฐฯโดยเฉลี่ยต่อปีเป็น 3.4% มูลค่าตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลก ปี 2018-2025 ที่มา: Statista สำหรับการคาดการณ์การเติบโตของตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลก ทาง Statista ได้คาดการณ์ว่าตลาดหุ่นยนต์ทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ราว 26% และมีมูลค่าตลาดแตะ 210 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 3D Printing การพิมพ์ 3 มิติเป็นรูปแบบหนึ่งของการผลิตแบบเติมแต่งที่สร้างวัตถุทีละชั้น ซึ่งต่างจากการผลิตแบบเดิมที่นำวัสดุออกจากบล็อกขนาดใหญ่ โดยการพิมพ์ 3 มิตินี้จะช่วยลดระยะเวลาระหว่างการออกแบบและการผลิตให้สั้นลง เปลี่ยนอำนาจให้กับนักออกแบบ และลดห่วงโซ่อุปทานที่มีความซับซ้อนของต้นทุนการผลิตแบบดั้งเดิม โดย ARK เชื่อว่าอุตสาหกรรม 3D Printing ทั่วโลกจะขยายตัวในอัตรา 60% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้าจาก 12 พันล้านดอลลาร์ เป็นประมาณ 120 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 ตัวอย่างการนำ 3D Printing มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ Airbus คาดว่าการพิมพ์ 3 มิติจะช่วยประหยัดต้นทุนได้ถึง 60-70% พร้อมลดน้ำหนักได้กว่า 50% สำหรับชิ้นส่วนเครื่องบิน โดยแอร์บัสได้ทำการทดสอบเที่ยวบินด้วย A350 XWB ซึ่งใช้เครื่องยนต์ของโรลส์รอยซ์ที่มีส่วนประกอบการบินและอวกาศจากการพิมพ์ 3 มิติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยการผลิตแบบเติมแต่งโรลส์รอยซ์นี้สามารถลดเวลาในการผลิตเครื่องยนต์ลงได้ถึงหนึ่งในสาม นอกจากนี้แอร์บัสยังใช้ซอฟต์แวร์ของ Autodesk ในการออกแบบผนังกั้นเครื่องบินที่ใช้การพิมพ์ 3 มิติ โดยชิ้นส่วนที่ได้นั้นเบากว่าพาร์ติชั่นปัจจุบันถึง 45% และหากใช้กับเครื่องบิน A320 จะสามารถประหยัดการปล่อย CO2 ได้ 465,000 เมตริกตันต่อปี ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้วจะเท่ากับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนนถึง 96,000 คัน Airbus A350 XWB ที่มา: Airbus Nike และ Adidas นำเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติมาใช้เพื่อพลิกโฉมในการออกแบบและผลิตรองเท้า ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิตินี้ทำให้สามารถผลิตรองเท้าได้ด้วยน้ำหนักที่เบากว่าการผลิตแบบปกติ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานด้วยความสามารถในการยึดเกาะบนสนามหญ้าได้ดีขึ้น นอกจากเรื่องประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว การพิมพ์ 3 มิติยังช่วยลดต้นทุนแรงงานได้ถึง 50% พร้อมลดการใช้วัสดุในการผลิตได้ถึง 20% ส่งผลให้ Nike สามารถลดขยะที่จากการผลิตได้มากกว่าสองล้านปอนด์ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา Nike’s 3D Printed Shoes ที่มา: Nike Ford Motor ใช้การพิมพ์ 3 มิติในการผลิตแม่พิมพ์และต้นแบบ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรอสินค้าลง จากเดือนหรือสัปดาห์เป็นวันหรือชั่วโมง พร้อมลดต้นทุนชิ้นส่วนอะไหล่ให้เหลือเพียงเศษเสี้ยวของการพิมพ์แบบปกติ ฟอร์ดได้ทดลองใช้การพิมพ์ 3 มิติเป็นเวลากว่า 25 ปี ในปัจจุบันฟอร์ดมีศูนย์การพิมพ์ 3 มิติ 5 แห่งโดยแต่ละแห่งสามารถพิมพ์ชิ้นส่วนได้ 20,000 ชิ้นต่อปี ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้หลายพันล้านดอลลาร์และลดชั่วโมงแรงงานหลายล้านชั่วโมง นอกจากนี้ฟอร์ดยังมองเห็นอนาคตที่จะนำการพิมพ์ 3 มิติไปใช้กับตัวแทนจำหน่ายสำหรับชิ้นส่วนอะไหล่ และจะทำให้ลูกค้าสามารถออกแบบอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์แบบกำหนดเองได้ด้วยการพิมพ์ 3 มิติ โรงพยาบาล Holy Family General ในประเทศเบลเยียมได้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมโดยใช้วิธีการเอกซเรย์หัวเข่าของ Materialise เป็นครั้งแรก ซอฟต์แวร์นี้จะแปลงภาพเอกซเรย์ 2 มิติเป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งจะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการสแกน MRI หรือ CT เพื่อสร้างแบบจำลอง 3 มิติ (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการสแกน MRI อยู่ที่ $2,700 และค่าใช้จ่ายสำหรับการสแกน CT อยู่ระหว่างช่วง $270 – $5,000) นอกจากนี้โมเดล 3 มิติยังช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนขั้นตอนทางการแพทย์ได้อย่างแม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุนอีกด้วย 3D Printed Knee Replacement Surgery ที่มา: 3dprint.com Autonomous Transportation Autonomous Mobility-as-a-Service (MaaS) กำลังจะกลายเป็นอนาคตของระบบขนส่งทั่วโลก เนื่องจากความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่เหนือกว่าการขนส่งประเภทอื่น ๆ ซึ่ง MaaS ครอบคลุมตั้งแต่รถแท็กซี่ไร้คนขับไปจนถึง Logistics-as-a-Service การขนส่งสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่สามารถลดต้นทุนได้เกินกว่าครึ่งของค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่งสินค้าในปัจจุบัน ARK คาดการณ์ไว้ว่ารถแท็กซี่ไร้คนขับมีค่าเดินทางอยู่ที่ $0.35 ต่อไมล์ ด้วยความสามารถในการลดต้นทุนการเดินทางนี้ทำให้แท็กซี่ไร้คนขับมีความสามารถในการแข่งขันค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่น ๆ ค่าโดยสารต่อไมล์ของยานพาหนะประเภทต่าง ๆ ที่มา: ark-invest.com นอกจากความสามารถในการลดต้นทุนการเดินทางแล้วแท็กซี่ไร้คนขับยังสามารถลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจราจรได้ถึง 28,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี สามารถลดอัตราการอุบัติเหตุทางรถยนต์ลงได้ถึง 80% โดยคาดว่าจะลดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนนได้ถึง 5.5 ล้านครั้งทั่วโลกภายในปี 2035 และมีโอกาสที่จะลดการเสียชีวิตจากสาเหตุเมาแล้วขับหรือการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถจนตัวเลขใกล้เคียงศูนย์ และช่วยให้ผู้ที่ไม่สามารถขับรถยนต์ได้ เช่น ผู้สูงอายุ คนตาบอด ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์มีทางเลือกในการเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย และประหยัดมากขึ้น ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้ ARK เชื่อว่าจะสามารถชดเชยรายได้ที่หายไปจากการขายน้ำมันตลอดจนค่าประกันและค่ารักษาพยาบาลรวมไปถึงค่าซ่อมบำรุงรักษาที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ทุกปี การคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ เมื่อมีรถแท็กซี่ไร้คนขับ ที่มา: ask-invest.com การลดลงของยอดขายรถยนต์ในอนาคตที่อาจดูเหมือนเป็นข่าวร้ายสำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ แต่จากการวิจัยของ ARK แสดงให้เห็นว่าแท็กซี่ไร้คนขับสามารถเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจได้ประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 ARK เชื่อว่ามูลค่าตลาดของผู้ให้บริการยานยนต์ไร้คนขับจะมีมูลค่ามากกว่าตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปประมาณเก้าเท่า ซึ่ง ARK มองว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไร้คนขับยังอยู่ในช่วงต้นน้ำอยู่จึงเหลือโอกาสในการลงทุนอยู่จำนวนมาก ความก้าวหน้าด้านความปลอดภัยของยานยนต์ไร้คนขับจะเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไร้คนขับอย่างรวดเร็ว โดยจีนมีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในตลาด MaaS ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ลงทุนในกองทุน TMB-ES-AUTOMATION แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทอะไรบ้าง? สัดส่วนเทคโนโลยี ARKQ ลงทุน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKQ Fund Factsheet สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภาคอุตสาหกรรมของ ARKQ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKQ Fund Factsheet Top 10 Holdings ของ ARKQ (ข้อมูล ณ วันที่ 05/03/2021) ที่มา: ark-funds.com Baidu Inc — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตในจีน Baidu.com ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาข้อมูลออนไลน์รวมถึงรูปภาพ ข่าวสาร วีดีโอ ฯลฯ ผ่านแพลตฟอร์มของบริษัทได้ทุกที่ทุกเวลา นอกเหนือจากการให้บริการแพลตฟอร์มค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตแล้ว บริษัทยังที่มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาใช้ริเริ่มธุรกิจใหม่ ๆ เช่น DuerOS Apollo และ Baidu Cloud DuerOS: เป็นระบบปฏิบัติการที่สั่งการด้วยเสียง DuerOS ถูกติดตั้งบนอุปกรณ์อัจริยะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น โคมไฟ สมาร์ทโฟน ลำโพง เครื่องซักผ้า และอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมาย โดยในปี 2018 ได้เปิดตัวอุปกรณ์ลำโพงอัจริยะ “Xiaodu Smart Speaker” ที่ใช้ระบบปฏิบัติการของ DuerOS ซึ่งเป็นลำโพงอัจริยะตัวแรกในประเทศจีนที่มีจอแสดงผล ด้วยฟังก์ชันการใช้งานมากกว่า 1,000 ประเภท Baidu’s Smart Speaker Xiaodu Zaijia X8 ที่มา: scmp.com Apollo: แพลตฟอร์มยานยนต์ไร้คนขับที่รวบรวมความสามารถในการขับขี่ต่าง ๆ ไว้เสมือนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ความสามารถในการจอดรถ ความสามารถในการเปลี่ยนเลน ฯลฯ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจราจรติดขัดและลดการเกิดอันตรายบนท้องถนน ซึ่งในเดือนกรกฎาคมปี 2017 Apollo ได้เปิดตัวรถมินิบัส Apolong L4 ซึ่งเป็นรถรับส่งอัตโนมัติแบบไม่มีพวงมาลัยคันแรกที่วางจำหน่ายในประเทศจีน Apollo Minibus Apolong L4 ที่มา: iot-automotive.news Baidu Cloud: ให้บริการโซลูชั่น AI โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และบริการอื่น ๆ แก่องค์กรและบุคคลเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในการนำเสนอเครื่องมือ ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ครอบคลุมเพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สาามารถปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ ตัวอย่างเช่น การใช้โซลูชัน Baidu AI เพื่อทำให้ศูนย์บริการลูกค้าเป็นระบบอัตโนมัติแทนระบบ IVR และทีมงานคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก Baidu’s AI ที่มา: WackyTechTips JD.com Inc — ผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีนที่เปิดให้บริการทั่วโลก โดย JD.com ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น ระบบสมาร์ทโลจิสติกส์ สมาร์ทซับพลายเชน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ AR/VR ความก้าวหน้าในนวัตกรรมต่าง ๆ นี้ทำให้ JD.com กลายเป็นผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซระดับต้น ๆ ของโลก โดยได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลกหลังจากธุริจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเกิดโรคระบาด COVID-19 Top 10 Largest E-Commerce Companies by Market Cap (ข้อมูล ณ วันที่ 09/03/2021) ที่มา: companiesmarketcap.com/ JD ได้นำนวัตกรรมโดรนมาใช้ขยายเครือข่ายการจัดส่งสินค้าของบริษัท โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโซลูชันโลจิสติกส์อัจฉริยะเพื่อให้การขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปสู่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น ต้นทุนการขนส่งที่ต่ำลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเริ่มจากพื้นที่ชนบท 4 แห่งในจีน เนื่องจากผู้อยู่อาศัยในชนบทจำนวนมากมักมีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อยกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง ผู้อยู่อาศัยในชนบทสามารถซื้อสินค้าได้จากร้านค้าในพื้นที่เท่านั้น ซึ่งมักพบว่ามีราคาสูงกว่าราคาสินค้าโดยทั่วไป ด้วยโปรแกรม JD Drone นี้จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในชนบทได้รับประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผลได้ JD Drone Delivery ที่มา: jdcorporateblog.com นอกจากโดรนส่งสินค้าแล้ว JD ยังพัฒนาสถานีขนส่งอัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์จัดส่งสินค้าที่สามารถบรรจุของได้ถึง 30 ชิ้น โดยหุ่นยนต์จัดส่งสินค้านี้สามารถวางแผนเส้นทาง หลีกเลี่ยงอุปสรรคสิ่งกีดขวาง และมีความสามารถในการรับรู้ไฟจราจรได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีในการจดจำใบหน้าซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถรับพัสดุได้อย่างสะดวกสบายและมีความปลอดภัย โดยสามารถจัดส่งพัสดุได้มากถึง 2,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งนวัตกรรมนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์ให้กับบริษัทได้เป็นอย่างมาก JD Smart Delivery Station ที่มา: jdcorporateblog.com สำหรับนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ JD ได้มีการนำนวัตกรรม AI มาประยุกต์ใช้เข้ากับทุกภาคส่วนของธุรกิจ ตั้งแต่การออกแบบอัลกอริทึมเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมและคาดการณ์แนวโน้มความต้องการของผู้ใช้บริการ ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถจดจำเสียงและลายนิ้วมือที่มีความซับซ้อน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้โดยใช้คำสั่งเสียง ผลการดำเนินงาน Fund Performance ของ ARKQ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKQ Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** เนื่องจากกองทุน TMB-ES-AUTOMATION เป็นกองทุนน้องใหม่ป้ายแดงเลยยังไม่มีข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง ในที่นี่จึงขอหยิบยกผลตอบแทนของหลักทรัพย์ที่กองทุน TMB-ES-AUTOMATION เข้าลงทุนอย่าง ARKQ มาให้ได้ดูกัน โดย ARKQ สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีไปได้ถึง 107.23% ในขณะที่ดัชนีหุ้นระดับโลกอย่าง S&P 500 Index และ MSCI World Index สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีไปได้เพียง 18.40% และ 15.90% ตามลำดับ สมมติการเติบโตของเงิน $10,000 เมื่อลงทุนใน ARKQ ตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKQ Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** สงสัยกันไหมว่าถ้าเราลงทุนใน ARKQ ตั้งแต่กองทุนเข้าจดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2014 แล้ววันนี้เงินลงทุนนั้นจะงอกเงยไปได้เท่าไร? หากใครที่กำลังสงสัยอยู่ก็ไม่ต้องไปหาสูตรคำนวณที่ไหนไกลเพราะทาง ARK เขาก็ได้จำลองกราฟมาให้เราได้เห็นภาพชัดขึ้นแล้ว จากรูปสมมติให้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่ากับ $10,000 จะเห็นได้ว่าหากเราเริ่มลงทุนใน ARKQ ด้วยเงินลงทุนจำนวน $10,000 ตั้งแต่ที่กองทุนเข้าจดทะเบียน ถ้าเงินลงทุนนั้นสามารถงอกเงยไปได้ถึง $40,000 ในสิ้นปี 2020 ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ถือว่า ARKQ สามารถสร้างผลตอบแทนไปได้กว่า 300% เลยทีเดียว ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION กองทุน TMB-ES-AUTOMATION จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Information Technology ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน TMB-ES-AUTOMATION ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.070% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.00% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.2585% เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท สรุป 5 ข้อ กองทุน TMB-ES-AUTOMATION มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรม (disruptive innovation theme) ทางด้านเทคโนโลยีการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ (autonomous technology and robotics companies) เน้นการลงทุนใน ARKQ โดยเป็นกองทุนแรกในไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKQ ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Information Technology จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาทก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกสู่ระบบอัตโนมัติไปพร้อมกับ TMB-ES-AUTOMATION ได้ กองทุน TMB-ES-AUTOMATION เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม Autonomous Technology and Robotics ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ — planet 46. อ่านเพิ่มเติม พาสำรวจจักรวาล ARK ผู้นำ ETF แห่งทศวรรษ อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน WE-CYBER และ ARKW: ลงทุนใน Next Generation Internet ที่จะเติบโตในโลกยุคใหม่ อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน TGENOME และ ARKG: เมื่อสุขภาพและเทคโนโลยีถึงคราวมาบรรจบกัน อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน MFTECH: ก้าวไปอีกขั้นกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงิน อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan อ้างอิง http://ark-invest.com/ http://ark-funds.com/ https://ark-invest.com/big-ideas-2021/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/3d-printed/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/nurse-assistant-robots/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/robots-will-save-manufacturing-billions/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/automation-growing-economy-creating-jobs/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/autonomous-vehicle-safety/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/autonomous-taxis-cheaper-walking/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/self-driving-cars/ https://ela-newsportal.com/how-will-robots-change-the-world/ https://corporate.jd.com/ourBusiness https://ir.baidu.com/Baidu-Core คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance ARK ARKQ Article Disruptive Innovation FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Product Info Technology TMB-ES-AUTOMATION กองทุนเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน planet 46 มีความเชื่อว่าไม่ว่าการลงทุนใด ๆ จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้าง “โอกาส” ให้กับชีวิตได้เสมอ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน ASP-POWER: เติบโตไปกับธุรกิจ 3 พลังงานแห่งอนาคต - FINNOMENA พลังงานทางเลือก แบตเตอรี่แบบลิเธียม รถยนต์ไฟฟ้า กำลังจะกลายเป็นแหล่งพลังงานแห่งอนาคต เลือกลงทุนผ่าน 3 พลังงานหลักในที่เดียวได้ผ่านกองทุน ASP-POWER ได้เลยครับ 8 ก.ย. 2564 โลกเปลี่ยนวิถีเปลี่ยน พลังงานรูปแบบใหม่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง ในประสิทธิภาพที่สูงกว่า ภาพแสดงการคาดการณ์แนวโน้มการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในอนาคต ที่มา: เอกสารการขายกองทุน ASP-POWER (IPO) การใช้พลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยพลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตถึง 3 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้า พลังงานแสงอาทิตย์อาจลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้แบบเหลือเชื่อในอนาคตจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จากต้นทุน $1.59 ต่อวัตต์ในปี 2011 เป็น $0.37 ดอลลาร์ต่อวัตต์ ภาพแสดงการคาดการณ์แนวโน้มการการเติบโตของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในอนาคต ที่มา: เอกสารการขายกองทุน ASP-POWER (IPO) การใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนกำลังเป็นที่แพร่หลายในวงการสมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้า และอาจเติบโตสูงถึง 5-6 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้า จากคุณสมบัติชาร์จง่าย ชาร์จเร็ว ใช้ได้นาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภาพแสดงการคาดการณ์การเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (เฉลี่ย) ที่มา: เอกสารการขายกองทุน ASP-POWER (IPO) อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และอาจส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดงที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตแบตเตอรี่ หรือ semidonductor ต่าง ๆ ในอีก 10 ปีข้างหน้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าอาจเติบโตถึง 7-14 เท่า และอาจแซงรถยนต์แบบปกติได้ในปี 2037 สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan ASP-POWER ลงทุนใน 3 พลังงานแห่งอนาคต ASP-POWER ลงทุนในธุรกิจที่ผลิตและใช้ประโยชน์จากพลังงานแห่งอนาคต 3 รูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าน้ำมัน ลงทุนผ่านบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับลิเธียมซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนมือถือ จากการที่มีความจุที่สูงกว่า ชาร์จได้เร็วกว่า รวมไปถึงไม่ต้องเสียแรงชาร์จให้เต็มในครั้งแรกเหมือนแบตเตอรี่มือถือรุ่นก่อน ๆ ลงทุนในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนกว่ารถแบบใช้น้ำมัน ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า ASP-POWER ลงทุนผ่าน 3 กองทุนพร้อมการจัดการแบบยืดหยุ่นเพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุด 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) กองทุน ETF จากค่าย iShares ที่เน้นลงทุนในพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานสะอาดในรูปแบบอื่น ๆ 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ลงทุนแบบจัดเต็มในเทคโนโลยีลิเธียมจากการขุดและการกลั่นแร่ดังกล่าว ไปจนถึงการผลิตแบตเตอรี่ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF เฟ้นหาการลงทุนในบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าหรือมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนา ในส่วนของการผลิต เทคโนโลยีไร้คนขับ แบตเตอรี่แบบลิเธียม รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า *กองทุนอาจลงทุนในแต่ละธีมในสัดส่วนเท่า ๆ กัน แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุนในแต่ละกองทุน 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) สัดส่วนหุ้นหลักกองทุน iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) ที่มา: ishares.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 1.1) PLUG POWER INC ผู้ให้บริการเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก ผลิตเซลล์พลังงานแบบไฮโดรเจนที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมและสำหรับตลาดพลังงานสะอาด ซึ่งมีสินค้าและบริการหลัก ๆ อย่าง Genkey ที่ช่วยให้คำปรึกษาในการปรับเปลี่ยนในการใช้เซลล์พลังงานทางเลือก, GenDrive เซลล์พลังงานสำหรับพาหนะ, GenFuel ระบบการขนส่งพลังงานแบบไฮโดรเจน, และ GenCare สำหรับให้บริการการดูแลผลิตภัณฑ์จาก GenDrive และ GenFuel 1.2) ENPHASE ENERGY INC ผู้ให้บริการการจัดการพลังงานทางเลือกตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การดีไซน์ระบบ การพัฒนา การผลิต ไปจนถึงการขาย อย่างครบครัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์อย่างอุปกรณ์ Microinverter ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับแผงโซลาร์เซลล์รูปแบบใหม่ ซึ่งใช้แผงวงจรแบบแยกที่จะช่วยลดการขัดข้อง จากเดิมที่เป็นการต่อรวมกันรวดเดียว 1.3) DAQO NEW ENERGY ADR REPRESENTING บริษัทผู้ผลิต Polysilicon (ใช้ในแผงโซลาร์เซลล์ แผงวงจรและอุปกรณ์ semiconductor) และ wafer (ซิลิคอนเกรดที่ใช้สำหรับ semiconductor) ในจีนซึ่งใช้เป็นฉนวนสำหรับอุตสาหกรรมมาแรงอย่าง semiconductor และแผงโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 12,150 เมตริกตันในเขต ซินเจียง 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) สัดส่วนหุ้นหลักกองทุน Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ที่มา: globalxetfs.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 2.1) ALBEMARLE CORP บริษัท ผู้ให้บริการระดับโลกในการพัฒนา การผลิต ในส่วนของสารเคมีเฉพาะทาง เช่น ลิเธียม ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เปรัยบเสมือนแขนขาของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนและรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน 2.2) GANFENG LITHIUM CO LTD-A บริษัทจากจีนที่เน้นวิจัย พัฒนา และผลิต ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับลิเธียมโดยเฉพาะ มีทั้งแบบเป็นสารประกอบ เหล็กลิเธียมไปจนถึงแบตเตอรี่ลิเธียม 2.3) SAMSUNG SDI CO LTD บริษัท จากเกาหลีชื่อคุ้นหูอย่าง SAMSUNG ที่หันมาทำในส่วนของแบตเตอรี่ที่ทั้งผลิต จัดจำหน่าย แบตเตอรี่มือถือ แบตเตอรี่ยานยนต์ รวมไปถึงอุปกรณ์เก็บพลังงาน ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF สัดส่วนหุ้นหลักกองทุน KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF ที่มา: kraneshares.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 3.1) NIO INC – ADR บริษัท ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ที่มีระบบไร้คนขับและเทคโนโลยี AI โดยมีสินค้าอย่างรถ SUV 7 ที่นั่งที่เร่งความเร็วถึง 100 กม/ชม. ในเวลา 4.4 วินาที 3.2) INFINEON TECHNOLOGIES AG บริษัทเทคโนโลยีจากเยอรมันที่ออกแบบ พัฒนาและผลิต semiconductor สำหรับยานยนต์ อุตสาหกรรมต่าง ๆ และชิปต่าง ๆ 3.3) SOUTHERN COPPER CORP บริษัท ผู้ผลิตโลหะทองแดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งการใช้ทองแดงกำลังมีการเติบโตล้อไปกับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ภาพแสดงแนวโน้มความต้องการแร่ทองแดงในรถยนต์ไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ ที่มา: copperalliance.org วันที่: 17 มิถุนายน 2017 ผลตอบแทนของทั้ง 3 กองทุน 1) iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) ผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน iShares Global Clean Energy ETF (ICLN) ที่มา: ishares.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 (Fact Sheet 31 ธันวาคม 2020) ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 2) Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) ที่มา: globalxetfs.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 3) KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF ผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน KraneShares Electric Vehicles & Future Mobility ETF ที่มา: kraneshares.com วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2021 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ASP-POWER เหมาะกับใคร? เหมาะกับผู้ที่สนใจลงทุนในเทรนด์พลังงานแห่งอนาคตสามรูปแบบอย่าง พลังงานทางเลือก แบตเตอรี่แบบลิเธียม และธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการใช้พลังงานแห่งอนาคต เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนล้อไปกับแนวโน้มของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่เตรียมงบประมาณสนับสนุนพลังงานทางเลือก และรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในหุ้นหรือธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแห่งอนาคตทั้งโดยตรงและที่เกี่ยวข้อง ไม่เน้นลงทุนในบริษัท ที่มีชื่อเสียงหลัก ๆ เพียงอย่างเดียว สร้างข้อได้เปรียบในเชิงมูลค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกองทุนที่มีการจัดการแบบยืดหยุ่น สัดส่วนภายในปรับเปลี่ยนได้ตามผู้จัดการกองทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan References ASP-POWER-Sales-kit-IPO-Final2.pdf https://batteryuniversity.com/learn/archive/is_lithium_ion_the_ideal_battery https://copperalliance.org/wp-content/uploads/2017/06/2017.06-E-Mobility-Factsheet-1.pdf https://kraneshares.com/resources/factsheet/2021_01_31_kars_factsheet.pdf https://www.globalxetfs.com/funds/lit/ https://www.ishares.com/us/literature/fact-sheet/icln-ishares-global-clean-energy-etf-fund-fact-sheet-en-us.pdf https://www.ishares.com/us/products/239738/ishares-global-clean-energy-etf https://www.reuters.com/companies/006400.KS https://www.reuters.com/companies/002460.SZ https://www.reuters.com/companies/ALB.N https://www.reuters.com/companies/DQ https://www.reuters.com/companies/ENPH.OQ https://www.reuters.com/companies/IFXGn.DE https://www.reuters.com/companies/NIO.N https://www.reuters.com/companies/PLUG.OQ https://www.reuters.com/companies/SCCO.N คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article ASP-POWER FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Product Info แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ทองคำทำจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือน เข้าสู่ขาลงแล้ว จริงหรือ?? - FINNOMENA เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาทองหลุด 25,200 บาท ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 7 เดือน จากก่อนหน้านี้เริ่มมีการมองราคาทองจะถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือประมาณ 40,000 บาทต่อบาททองคำ ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนทองมากขึ้น แต่ต้องผิดหวังเพราะราคาปรับลงต่อเนื่อง 4 มี.ค. 2564 ทองคำทำจุดต่ำสุดรอบ 7 เดือน เข้าสู่ขาลงแล้วจริงหรือ แนะเป็นโอกาสลงทุนทองถูก คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด เผยว่า เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาทองหลุด 25,200 บาท ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 7 เดือน จากก่อนหน้านี้เริ่มมีการมองราคาทองจะถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หรือประมาณ 40,000 บาทต่อบาททองคำ ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนทองมากขึ้น แต่ต้องผิดหวังเพราะราคาปรับลงต่อเนื่อง นายธีรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้เกิดคำถามว่าทองคำจะลงไปถึงไหน หากดูจากหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นภาพเงินกำลังไหลไปสู่สินทรัพย์เสี่ยงเป็นหลัก สังเกตจากดัชนีหุ้นทั่วโลกกำลังทำจุดสูงสุดใหม่เรื่อย ๆ ซึ่งเงินจำนวนมากที่ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ก็มาจากการเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงทองคำ “ผลจากการที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดนเทขายอย่างหนัก ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตร 10 ปี ปรับตัวขึ้นจาก 0.5% สู่ 1.2% และตลาดคาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวสูงขึ้นอีก หากเป็นจริง ทองคำต้องโดนเทขาย เพราะหากเปรียบเทียบกับการถือพันธบัตร ทองคำไม่มีดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนใด ๆ ขณะที่พันธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนสถาบันมีความสนใจทองคำลดลง” นายธีรรัฐกล่าว นายธีรรัฐ กล่าวว่า คำถามต่อมาคือผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ ส่วนตัวมองว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นขณะนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เปรียบเสมือนการรีบาวด์ทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ได้จะเป็นขาขึ้น เพราะหากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเป็นขาขึ้นได้จริง ๆ ระบบการเงินโลกคงมีปัญหาอย่างมาก เช่น จากต้นปีให้ผลตอบแทน 0.5% หากขึ้นไปที่ 2% บ่งบอกว่าภาระการจ่ายดอกเบี้ยของรัฐบาลกำลังเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยไหว “ผมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น และเมื่อไรที่เฟดออกประกาศควบคุมผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เงินก็จะไหลกลับสู่ทองคำอีกครั้ง และส่งผลให้ราคาทองกลับเป็นขาขึ้น” นายธีรรัฐกล่าว นายธีรรัฐ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กระแสเทขายทองคำขณะนี้ยังมีอยู่ ทำให้ระยะสั้นราคาทองคำยังสามารถลงตามได้ โดยทางเทคนิคระยะสั้น แนวรับสำคัญจะอยู่บริเวณ 24,900 บาท หากราคาลงถึงระดับนี้ แนะนำซื้อ ถือเป็นราคาที่ได้เปรียบในระยะยาว เพราะอาจไม่มีโอกาสได้ซื้อทองราคา 25,000 บาทอีกแล้ว ก็เป็นได้ Intergold Gold Trade แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ทอง ทองคำ ราคาทอง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน UCHI: การผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน - FINNOMENA ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วยอัตราการเติบโต 13% ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกองทุน UCHI ที่จะมาผนึกกำลังเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน 7 ธ.ค. 2564 สำหรับช่วงนี้ที่กองทุน IPO ดูจะร้อนแรงเป็นพิเศษในบทความนี้จึงเลือกหยิบยกอีกหนึ่งกองทุนที่อาจจะไม่ใช่ IPO ซะทีเดียวแต่เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องที่เพิ่ง IPO กันไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 15 – 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา กองทุนนั้นก็คือกองทุน UCHI จากบลจ. UOB นั่นเอง กองทุนนี้ลงทุนเกี่ยวกับอะไร มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามได้ในบทความนี้ การระบาดของ COVID-19 ทำให้ตลาด Healthcare เป็นที่ต้องการ Mindray ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจชั้นนำในประเทศจีน ผลิตเครื่องช่วยหายใจกว่า 3,000 เครื่องต่อเดือน ซึ่งบริษัทได้ขยายขอบเขตในการเข้าถึงไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจากการขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หลังจากได้รับอนุญาตจาก FDA Jiangsu Yuyue ได้รับอนุญาตจาก FDA ให้ขายเครื่องช่วยหายใจให้กับสหรัฐฯ ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเป็นผู้จัดหาเครื่องวัดอุณหภูมิและยาพ่นแบบฝอยละอองรายใหญ่ WuXi Apptec and WuXi Biologics เป็นองค์กรที่รับทำวิจัยตามสัญญา (CROs) ซึ่งให้บริการ R&D ด้านเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ ตลอดจนการบริการด้านการผลิตทั้งในและต่างประเทศ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนน่าสนใจอย่างไร? ประเทศจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรม Healthcare มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลกด้วยอัตราการเติบโต 13% ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตที่ 3% และ 2% ตามลำดับ 5 อันดับประเทศที่มีอัตราการเติบโตของตลาด Healthcare สูงสุด ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) อุตสาหกรรม Healthcare ของจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกด้วยมูลค่าการใช้จ่ายรวมในด้าน Healthcare กว่า 1.02 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2019 เพิ่มขึ้นประมาณ 87% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โอกาสในการเติบโตสำหรับอุตสาหกรรม Healthcare ยังมีอีกมาก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในด้าน Healthcare ของจีนยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ $501 เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 ประเทศที่มีรายจ่ายด้าน Healthcare สูงสุดที่ประมาณ $5,700 ต่อคน อัตราการใช้จ่ายด้าน Healthcare ของ GDP ในสหรัฐฯ และจีน ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China ณ วันที่ 31/12/2017) โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรชนชั้นกลาง และการขยายตัวของประชากรเมือง เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม Healthcare ในประเทศจีน อัตราประชากรในประเทศจีนที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่มา: KraneShares (ข้อมูลจาก World Bank ณ วันที่ 31/12/2019) รัฐบาลจีนส่งเสริมอุตสาหกรรม Biotech อย่างเต็มกำลัง กรุงปักกิ่งได้ระบุให้เทคโนโลยีชีวภาพหรือ Biotech เป็นหนึ่งใน 10 ภาคส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมมีแผนเปลี่ยนจีนให้เป็นโรงไฟฟ้าในอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูง ออกใบอนุญาตสำหรับการจำหน่ายยาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่และสารเคมีที่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เพิ่มการเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ สรรหาผู้ที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีชีวภาพ สร้างสวนสาธารณะ Biotech ทั่วประเทศ ผนึกกำลังเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนไปพร้อมกับ UCHI กองทุน UCHI หรือกองทุน United China Healthcare Innovation Fund จากบลจ.ยูโอบี (UOB) มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare) ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้านเฮลท์แคร์ (Healthcare Innovation) ของประเทศจีน เช่น การพัฒนาและค้นคว้าด้านเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารสถานพยาบาล การผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาจีนแผนโบราณ ระบบไอทีด้านการดูแลสุขภาพ เป็นต้น อุตสาหกรรม Healthcare ของประเทศจีนที่มีความหลากหลาย ที่มา: KraneShares กองทุน UCHI ลงทุนในหลักทรัพย์อะไรบ้าง? สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุน UCHI ลงทุนเป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีอยู่ 2 กองทุนด้วยกัน ได้แก่ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF กองทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 โดยดัชนีดังกล่าวเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในตลาดตราสารทุนของบริษัทจีนที่มีธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare หลักทรัพย์ในดัชนีประกอบด้วยหุ้นซึ่งจดทะเบียนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตราสารที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกจะต้องได้รับการจัดประเภทภายใต้ มาตรฐานการจัดประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก (Global Industry Classification Standard) ให้อยู่ในอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ออกที่รวมอยู่ในดัชนีอ้างอิงอาจรวมถึงบริษัทขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดใหญ่ KURE Portfolio Characteristics (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) ที่มา: KraneShares Top 10 Holdings ของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: https://kraneshares.com/kure/ WuXi Biologics Cayman — บริษัทดำเนินธุรกิจหลักในการจัดหา วิจัย พัฒนา และการบริการด้านชีววิทยา นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อจำหน่ายทั่วโลก โดยดำเนินธุรกิจทั้งในจีนและต่างประเทศ เช่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และประเทศอื่น ๆ Jiangsu Hengrui Medicine — บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายยาเม็ด ยาฉีด และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยา กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วย ยาต้านมะเร็ง, ยา angiomyocardiac, ยาที่ใช้ในการผ่าตัด, ยาปฏิชีวนะ และอื่น ๆ โดย จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ Shenzhen Mindray Bio-Medical Electronics — ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย พัฒนา ผลิต รวมไปถึงการจำหน่าย นอกจากนี้บริษัทยังมีส่วนร่วมในการจัดหาโซลูชั่นแบบครบวงจรให้กับสถาบันทางการแพทย์อีกด้วย Global X China Biotech ETF เป็นกองทุน ETF แบบ Passive ที่มีวัตถุประสงค์ให้ผลการดำเนินงานก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสอดคล้องไปผลการดำเนินงานของ Solactive China Biotech Index NTR โดยดัชนีดังกล่าวกำหนด Universe การลงทุนต้องเป็นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในประเทศจีนหรือฮ่องกงที่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด Industry Breakdown ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 29/01/2021) ที่มา: Global X China Biotech ETF Factsheet Top 10 Holdings ของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: https://www.globalxetfs.com.hk/funds/china-biotech-etf/ BeiGene — บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับชีวเภสัชภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนา การผลิตและการขายยาที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในระดับโมเลกุลและภูมิคุ้มกันวิทยาสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง WuXi AppTec — บริษัทผู้ผลิต จัดหา วิจัยและพัฒนายาที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ (R&D) พร้อมให้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทมีศูนย์การศึกษาขนาดเล็กในการวิจัย พัฒนา ผลิตยา ตลอดจนการให้บริการทดสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ Shenzhen Kangtai Biological Products — บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายวัคซีน ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีชนิดรีคอมบิแนนท์, วัคซีนรวมฮีโมฟิลัสอินฟลูเอนเซชนิดบี, วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยดำเนินธุรกิจเฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ผลการดำเนินงานของ KraneShares MSCI All China Health Care Index ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020 และ วันที่ 31/01/2021) ที่มา: https://kraneshares.com/kure/ ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** ผลการดำเนินงานของ Global X China Biotech ETF (ข้อมูล ณ วันที่ 19/02/2021) ที่มา: https://www.globalxetfs.com.hk/funds/china-biotech-etf/ ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** อย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า Master Fund ของกองทุน UCHI ทั้ง 2 กองทุนล้วนแล้วแต่มีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบ Passive นั่นคือมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนให้ผลการดำเนินงานสอดคล้องไปกับดัชนี MSCI China All Shares Health Care 10/40 Index และ ดัชนี Solactive China Biotech Index NTR ดังนั้นผลการดำเนินงานของ Master Fund จึงใกล้เคียงกับดัชนีเปรียบเทียบทั้ง 2 ดัชนี ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน UCHI กองทุน UCHI จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Healthcare ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: >80% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน UCHI ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขายและ Switching-in: 1.50% ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.8532% เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน UCHI มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: ไม่กำหนด มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด สรุป 4 ข้อกองทุน UCHI มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน Healthcare ของประเทศจีน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากการพัฒนานวัตกรรมด้าน Healthcare ของประเทศจีน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 7 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีนพร้อมกับ UCHI ได้ กองทุน UCHI เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้าน Healthcare ในประเทศจีน ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังอุตสาหกรรม Healthcare ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan อ้างอิง https://www.globalxetfs.com.hk/funds/china-biotech-etf/ https://www.globalxetfs.com.hk/campaign/biotechnology/#p5 https://kraneshares.com/kure/ https://www.reuters.com/companies/2269.HK https://www.reuters.com/companies/600276.SS https://www.reuters.com/companies/300760.SZ https://www.reuters.com/companies/6160.HK https://www.reuters.com/companies/603259.SS https://www.reuters.com/companies/300601.SZ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Healthcare Long Content Product Info UCHI กองทุน Healthcare กองทุนจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน planet 46 มีความเชื่อว่าไม่ว่าการลงทุนใด ๆ จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้าง “โอกาส” ให้กับชีวิตได้เสมอ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เหตุการณ์ Short Squeeze จะเกิดขึ้นในทองคำได้หรือไม่? - FINNOMENA การเกิด Short Squeeze เกิดจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้คนที่ทำการ Short Sell ไว้ขาดทุนมหาศาลจนต้องยอม Cut Loss ไป หลายคนสงสัยว่ามันจะลุกลามมาถึงทองคำได้หรือไม่ 23 ก.พ. 2564 การเกิด Short squeeze เกิดจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้คนที่ทำการ Short sell ไว้ขาดทุนมหาศาลจนต้องยอม Cut loss ไป ซึ่งการ Cut loss ของกลุ่ม Short sell ก็คือการเข้าซื้อหุ้นนั่นเอง จึงเกิดปรากฏการณ์ไล่ซื้อหุ้นทุกราคา ทำให้ราคาหุ้นพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรุนแรง ยิ่งจำนวน Short sell ในระบบมีมากแค่ไหน หุ้นก็จะยิ่งพุ่งทะยานได้ไกล ซึ่งในกรณีของหุ้น GameStop ที่ราคาพุ่งขึ้นไปกว่า 1,000% ในเวลา 1 สัปดาห์ เป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ Short squeeze หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ Gamestop มันก็เหมือนจะเริ่มลุกลามไปที่หุ้นตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวรวมถึง Silver ด้วย หลายคนจึงสงสัยว่ามันจะลุกลามมาถึงทองคำได้หรือไม่ ผมมองว่าโอกาสเกิด Short Squeeze ในตลาดทองคำ ถือว่ายากมากแต่ก็พอมีโอกาส ถึงโอกาสจะน้อยก็ตาม มาลองวิเคราะห์กัน ณ ปัจจุบันมูลค่าตลาดทองคำอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หากมองให้ลึกลงไปอีกหน่อย ตัวเลข 11.7 ล้านล้านดอลลาร์นี้ มีประมาณ 47% ที่ใช้ทำเครื่องประดับ หากเรามองว่าตลาดเครื่องประดับไม่เน้นเก็งกำไร ไม่เน้นเทรดกัน และเราสมมติว่าตลาดที่เทรดกันจริง ๆ คือ 53% ของทั้งหมด ดังนั้นมูลค่าตลาดที่ใช้เก็งกำไรกันจะอยู่ที่ประมาณ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าของคนที่กำลังเล่น Short ทั้งหมด อยู่ที่ 8.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 140% ของมูลค่าการเทรดทั้งหมดเลยทีเดียว ในจุดนี้บอกได้ว่าหากมีการปั่นราคาขึ้นไปได้รุนแรงพอ โอกาสเกิด Short squeeze ที่รุนแรงก็จะเกิดขึ้นได้ และหากมองจากการกระจายตัวของทองคำทั่วโลกแล้ว แน่นอนว่าหากจะมีเจ้ามือในการปั่นราคาก็ต้องเป็นระดับรัฐบาลรัสเซีย จีน และสหรัฐอเมริการ่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครมาทุบราคาแข่งได้ ในขณะที่กำลังปั่นราคาขึ้นไป Short squeeze ก็จะเกิดได้นั้นเอง แต่การที่จีนกับสหรัฐจะมาร่วมมือกันเห็นจะเป็นเรื่องยาก เหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จึงมองว่าโอกาสจะทำ Short squeeze ในทองคำถือว่ายากมาก ในทางกลับกันการที่จะทุบราคาทองคำก็จะเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน จากปัจจัยเรื่องเจ้ามือนั่นเอง ตราบใดที่รายใหญ่ระดับ สหรัฐฯ จีน รัฐเซีย ไม่เคลื่อนไหว ใครก็ไม่สามารถปั่นราคาทองคำได้ดั่งใจ นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทองคำมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ธนาคารกลางทั่วโลกยอมรับมาหลายร้อยปี การลงทุนในทองคำที่ดีคือต้องมองที่พื้นฐานจริง ๆ ระยะยาว หลายคนไปสนใจการเคลื่อนที่ระยะสั้นมากเกินไป ทำให้ทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว กลายเป็นสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นได้ ดั่งคำพูดที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนจะลงทุน” หากเราไม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรก็เสี่ยงทั้งนั้น คุณว่าจริงไหมครับ…. เครดิต : เทรดเดอร์ อินเตอร์โกลด์ ที่มาบทความ: https://www.intergold.co.th/investor_core/ทองคำมีโอกาสเกิด-short-squeeze-ได้ห/ แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content Short Squeeze ทอง ทองคำ แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน WE-TENERGY: เมื่อโลกต้องเปลี่ยนการใช้พลังงาน เพื่อความยั่งยืนมากขึ้น - FINNOMENA อีกหนึ่งกองทุน IPO อย่าง WE-TENERGY ซึ่งลงทุนในธีม “การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงาน (Energy Transition)” จากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สร้างมลภาวะให้กับโลก เปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนขึ้น รายละเอียดกองนี้จะเป็นอย่างไรไปดูกัน 8 ก.ย. 2564 มาพบกันกับอีกหนึ่งกองทุน IPO อย่าง WE-TENERGY ซึ่งลงทุนในธีม “การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงาน (Energy Transition)” จากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สร้างมลภาวะให้กับโลก เปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนขึ้น รายละเอียดกองนี้จะเป็นอย่างไรไปดูกัน ทำไมธีม Energy Transition ถึงน่าสนใจ เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงคิดถึงคำว่า “โลกร้อน” เป็นคำแรก ๆ เราต่างก็ได้ยินสภาวะนี้มานานแล้ว การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แบบผิดปกตินั้น เป็นเหตุมาจากการที่มนุษย์ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้นสุด ๆ ในช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือ Industrial Revolution) ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์นี่ ก็เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของก๊าซเรือนกระจกที่ห่อหุ้มโลกเราอยู่ จริง ๆ แล้วก๊าซเรือนกระจกไม่ใช่สิ่งแย่ เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่โลกเรามี เพราะก๊าซเรือนกระจก คือกลุ่มก๊าซในชั้นบรรยากาศโลกที่เปรียบเสมือนฟิลเตอร์ช่วยคุมไม่ให้อุณหภูมิของโลกเหวี่ยงแรงเกินไป ในตอนกลางวันก๊าซนี้จะดูดความร้อนไว้ เพื่อค่อย ๆ ปล่อยในตอนกลางคืน กระบวนการนี้ช่วยให้ในวัน ๆ หนึ่งโลกเราไม่หนาวหรือร้อนกะทันหันฉับพลันจนมนุษย์ปรับตัวไม่ทัน ก๊าซเรือนกระจกนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือแบบตามธรรมชาติ กับแบบที่มาจากภาคอุตสาหกรรม โดย CO2 นี่นับเป็น 75% ของก๊าซเรือนกระจกเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อกิจกรรมทางอุตสาหกรรมของมนุษย์เพิ่มขึ้น การปล่อย CO2 ก็มากขึ้นตาม ทำให้เกิดการสะสมความร้อนมากตามมา ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน หรือถ้าให้เรียกแบบครอบคลุมกว่า ก็คือ “การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ” (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตโดยรวม แต่เหล่าประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ก็ไม่นิ่งนอนใจ เหล่ารัฐบาลต่างสนับสนุน สหรัฐฯ: กลับเข้าสู่ Paris Agreement ที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมอุณหภูมิโลก สะท้อนผ่านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่มีแผนลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม จีน: ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ตั้งเป้าว่าในปี 2060 จะไม่มีการปล่อยก๊าซ CO2 เลย และมีแผนสนับสนุนเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมในอีก 5 ปีข้างหน้า สหภาพยุโรป: อีกหนึ่งภูมิภาคที่ตั้งเป้าว่าจะไม่ปล่อยก๊าซ CO2 เลยในปี 2050 ตอนนี้ก็มีการเพิ่มเงินสนับสนุนสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก เป็นผลมาจาก Paris Agreement และแผน European Green Deal และยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ที่ตั้งเป้าลดก๊าซ CO2 เช่นกัน 3 ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุน Energy Transition ประชากรที่เพิ่มขึ้น: ปัจจุบัน (ก.พ. 2021) ประชากรโลกอยู่ที่ 7.8 พันล้านคน ข้อมูลจากเว็บ Our Word in Data คาดการณ์ว่าในปี 2050 ประชากรทั่วโลกจะอยู่ระดับ 9.7 พันล้านคน และในปี 2100 จะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านคน ความต้องการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้น: ผลจากข้อที่แล้ว ยิ่งมีคนมากขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจเติบโตขึ้น พลังงานก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น แต่ถ้าจะให้พึ่งเชื้อเพลิงที่ทำให้โลกร้อนต่อไปก็คงไม่ไหว เป้าหมายลด CO2: จากที่แต่ละประเทศตั้งปณิธานกันว่าจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซ CO2 ก็จะยิ่งช่วยให้แต่ละธุรกิจต้องหาวิธีใช้พลังงานแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ทำร้ายโลก ซึ่งปัจจุบันนั้น CO2 จากอุตสาหกรรมนั้นนับเป็น 70% ของการปล่อย CO2 ทั้งหมด แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจพลังงานสีเขียวที่จะเข้ามาช่วยลดสัดส่วนตรงนี้ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan ลงทุนในการเปลี่ยนแปลงโลก ผ่านกองทุน WE-TENERGY WE-TENERGY หรือชื่อเต็มคือ กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี เป็นกองทุนใหม่สด ๆ ร้อน ๆ จากบลจ. วี เสนอขายครั้งแรก 18-24 กุมภาพันธ์ 2021 นี้ ซึ่งจะลงทุนในกองทุนต่างประเทศอย่าง BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION FUND อีกทีหนึ่ง โดยกองทุน WE-TENERGY จะป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน รายละเอียดกองทุน BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION FUND กองทุนลงทุนสไตล์ Active นั่นก็คือผู้จัดการมุ่งเน้นเอาชนะดัชนีชี้วัด ปรับเปลี่ยนหุ้นตามสถานการณ์ตลาด อีกทั้งยังจัดพอร์ตแบบ High Conviction นั่นคือ เมื่อไรก็ตามที่กองทุนมองว่าอุตสาหกรรมหรือประเทศใดมีความน่าสนใจมากหรือน้อย เขาสามารถปรับน้ำหนักการลงทุนให้มากกว่า หรือน้อยกว่าปกติได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุนมีโอกาส Outperform ได้ 3 ธีมการลงทุนหลัก ๆ Decarbonising ลงทุนในธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อย CO2 หรือธุรกิจที่สร้างพลังงานหมุนเวียนและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ การผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ อุปกรณ์ผลิตพลังงานลม การผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น Digitalising ลงทุนในธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในภาคส่วนพลังงาน หรือธุรกิจที่เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น วัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงาน วัสดุพลังงานทดแทน เป็นต้น Decentralizing ลงทุนในธุรกิจที่ข้องเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานในภาคส่วนพลังงาน รวมถึงด้านการขนส่งและการจัดเก็บพลังงานด้วย เช่น รถยนต์ไฟฟ้า วัสดุทางเลือกที่เกี่ยวกับการขนส่ง เครือข่ายพลังงานอัจฉริยะ เป็นต้น ตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน (ข้อมูลสัดส่วน ณ วันที่ 29 มกราคม 2021) PLUG POWER (4.48%): บริษัทผู้พัฒนาและผลิตแบตเตอรี่พลังงานไฮโดรเจนที่ใช้กันในอุปกรณ์และรถยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะพวกรถยกของในโรงงาน ที่พอใช้แบตเตอรี่แบบไฮโดรเจนแล้วก็ทำให้การทำงานลื่นไหลขึ้น ไม่มีสะดุด บริษัทมีลูกค้าเป็นบริษัทรายใหญ่ ๆ เช่น Amazon, BMW, Carrefour และ WalMart เป็นต้น GENERAL MOTORS (4.35%): บริษัทผลิตรถยนต์ที่หลายคนคุ้นชื่อกันดี สาเหตุหลักที่ GM ได้เข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุน ก็คือ การตั้งเป้าว่าภายในปี 2025 สัดส่วนโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องนับเป็น 40% ของโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ทั้งหมด สอดคล้องไปกับธีมการลงทุน บวกกับยอดขายรถเริ่มฟื้นตัวหลังช่วงโควิด-19 แปลว่าเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณฟื้นบ้างแล้ว SUNNOVA ENERGY (3.80%): บริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดหาเงินทุน การติดตั้ง และการให้บริการต่าง ๆ ขายสินค้าอย่างแผงพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ที่บ้าน มีลูกค้าอยู่ทั่วสหรัฐฯ มีตัวอย่างสินค้าที่น่าสนใจคือ Adaptive Home ซึ่งสามารถปรับการรับแหล่งพลังงานและการใช้พลังงานได้แบบ Real-Time ในเดือนธันวาคม 2020 บริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.15 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ BYD (3.28%): บริษัทผลิตแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนมือถือ และรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ตอนแรกก็ยังผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่ แต่เริ่มมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2008 นอกจากรถยนต์แล้ว ยังมีรถบรรทุกไฟฟ้าและรถบัสไฟฟ้าที่เผลอ ๆ ได้รับความนิยมมากกว่ารถยนต์ เพราะมีการใช้งานในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังสร้างระบบรถรางไฟฟ้าไร้คนขับอย่าง Skyrail ที่มีโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต แม้ว่าจำนวนหุ้นทั้งหมดที่กองทุนถือ จะมีมากถึง 101 หุ้น แต่กองทุนก็ไปเน้นกลยุทธ์ High Conviction ผ่านน้ำหนักที่ลงทุนในประเทศและอุตสาหกรรมต่าง ๆ แทน เมื่อดูรูปด้านล่าง จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของกองทุนในบางประเทศ/อุตสาหกรรม มีความต่างจากดัชนีค่อนข้างเยอะทีเดียว ลงทุนในสหรัฐฯ เป็นหลัก แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าดัชนี และมีการกระจายไปลงทุนในจีนมากกว่าดัชนี ข้อมูล ณ วันที่ 29 มกราคม 2021 ที่มา: Fund Factsheet เน้นลงทุนในอุตสาหกรรม Industrial และ Utility ในสัดส่วนที่สูงกว่าดัชนีมาก ข้อมูล ณ วันที่ 29 มกราคม 2021 ที่มา: Fund Factsheet ผลการดำเนินงานย้อนหลัง ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION FUND ข้อมูล ณ วันที่ 29 มกราคม 2021 ที่มา: Fund Factsheet ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนย้อนหลังถือว่าโดดเด่น ยิ่งในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาด้วยแล้ว พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัดอย่าง MSCI ACWI จุดหนึ่งที่น่าสังเกตคือหากเทียบเป็นรายปีแล้ว กองทุนเพิ่งจะมา Perform เหนือดัชนีสุด ๆ ก็ปี 2020 นี่ละ โดยก่อนหน้านั้นยังไม่ได้โดดเด่นเท่าไรนัก ค่อนข้าง Underperform ด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้กองทุนลงทุนในพลังงานแบบเก่า ๆ (เช่น หุ้นน้ำมัน) แต่ในช่วงปลายปี 2019 มีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุน และเปลี่ยนธีมการลงทุน จากพลังงานแบบเก่า สู่การเปลี่ยนผ่านไปยังพลังงานสะอาดทำให้ผลตอบแทน Outperform แรงมาก ทว่าหากเทียบกับผลการดำเนินงานย้อนหลังแบบปักหมุดแล้ว ก็จะเจอว่ากองทุนทำผลงานได้ค่อนข้างดี ถ้าลงทุนตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว จะได้ผลตอบแทนเกือบถึง 200% แน่ะ Maximum Drawdown ของกองทุนหลัก ข้อมูล ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 202 ที่มา: FINNOMENA ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ในฝั่งของ Maximum Drawdown เนื่องจากกองทุนมีความ Thematic หรือลงทุนเฉพาะธีมสูงมาก แม้จะเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนและธีมการลงทุนแล้ว เมื่อมีสถานการณ์อะไรที่มากระทบ จึงส่งผลเชิงลบค่อนข้างแรง เช่น ในปี 2015 ติดลบแรงกว่าดัชนีถึง 20% เลยทีเดียว แม้จะเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนแล้ว ก็ยังติดลบแรงกว่าดัชนีถึง 10% แสดงให้เห็นว่ากองนี้มีความผันผวนที่ต้องพิจารณา ถือว่าแลกกับโอกาสรับผลตอบแทนที่สูง ความเสี่ยงของกองทุน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน: เนื่องจากกองทุนลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งจะป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม: เพราะกองทุนเน้นลงทุนในธีมการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทางเลือก จึงอาจจะเจอความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรม เนื่องจากไม่ได้กระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ หากใครกลัวความเสี่ยง อาจจะต้องใช้วิธี Asset Allocation กระจายเงินลงทุนในภาคส่วนอื่น ๆ ด้วย (แต่ถ้าใครสายซิ่ง จะลงกองนี้เน้น ๆ ก็ไม่ว่ากัน) ความเสี่ยงด้านนโยบายจากรัฐบาล: แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นไม่มาก แต่ก็เป็นไปได้ว่าหากรัฐบาลถัด ๆ ไปกลับลำนโยบายขึ้นมา เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งกลับมา เอาพลังงานถ่านหินและฟอสซิลกลับมาใช้ ก็จะสร้างแรงกดดันต่อ Energy Transiton ความเสี่ยงด้านหุ้นขนาดเล็ก: ส่วนใหญ่กองทุนลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เรื่องของกำไรจึงไม่สม่ำเสมอ หากเกิดวิกฤตขึ้น บริษัทที่ไม่มีกำไรก็อาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างแรง กองธีม ESG ที่ใกล้เคียงกับ WE-TENERGY: K-CHANGE-A(A), MRENEW-A, T-ES-GGREEN, T-GLOBALENERGY อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน K-CHANGE-A (A) กองทุนผลตอบแทนเยี่ยมที่ให้คุณ “ช่วยโลก” ได้ เพียงแค่ลงทุน อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน MRENEW: นับหนึ่งช่วงเวลาที่พลังงานกับความยั่งยืนมาบรรจบกันอย่างลงตัว อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน T-ES-GGREEN และ MRENEW-D: เขียวทั้งพอร์ตกับ 2 กองทุน 2 สไตล์ รายละเอียดอื่น ๆ ของ WE-TENERGY ขั้นต่ำการซื้อครั้งแรก 5,000 บาท ครั้งถัดไป 1 บาท ค่าธรรมเนียมการขาย (ขาเข้า) 1.605% ค่าธรรมเนียมรับซื้อคืน (ขาออก) ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการจัดการ 1.605% รวมค่าใช้จ่ายกองทุน 1.95275% เพื่อนผู้ใจดี สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan Sources https://www.bnpparibas-am.lu/intermediary-fund-selector/fundsheet/equity/bnp-paribas-funds-energy-transition-classic-d-lu0823414718/?tab=overview https://www.weasset.co.th/th/fund/summary/we-tenergy https://actionforclimate.deqp.go.th/ https://ngthai.com/science/25344/greenhouse-gases/ https://www.blognone.com/node/101115 https://www.magcarzine.com/byd-vs-tesla-007/ https://en.wikipedia.org/wiki/Plug_Power https://www.byd.com/en/Rail.html https://ourworldindata.org/future-population-growth คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดพลังงานทางเลือก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article Energy Transition FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Picture Slide Product Info Short Content WE-TENERGY พลังงานสะอาด แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ฟรี! ดาวน์โหลด Presentation FINNOMENA LIVE - "เมื่อบอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดในรอบ 1 ปี ตลาดหุ้นจะไปต่อได้หรือไม่?" - FINNOMENA ฟรี! ดาวน์โหลด Presentation FINNOMENA LIVE - "เมื่อบอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดในรอบ 1 ปี ตลาดหุ้นจะไปต่อได้หรือไม่?" 18 ก.พ. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> ดูผ่าน Facebook: https://www.facebook.com/finnomena/posts/1465174917161474 ดูผ่าน Youtube: https://youtu.be/E-EFUjpVoO0 พิเศษ! สำหรับสมาชิก FINNOMENA ดาวน์โหลดฟรี! Presentation – FINNOMENA LIVE ตอนล่าสุด (ลิ้งค์หมดอายุใน 7 วัน) กด “ที่นี่” เพื่อดาวน์โหลดได้เลย เปิด Valuation ตลาดหุ้นทั้งโลก หลังเดินหน้าทำ New High ไม่หยุด!! โดย FundTalk และ Mr. Messenger ข่าวเด่นรอบสัปดาห์ บอนด์ยีลด์พุ่งสูงสุดในรอบ 1 ปี Facebook ห้ามออสเตรเลีย ดู-แชร์ข่าว จีน เบียด สหรัฐฯ ขึ้นแท่นคู่ค้าหลักยุโรป หุ้นบริษัทสื่อ Clubhouse พุ่งแรง 1,026% ติดตาม FINNOMENA LIVE ตอนอื่นๆ ได้ที่ : https://www.youtube.com/playlist?list=PLhZeb_wAvs-uop แท็ก: FINNOMENA CHANNEL FINNOMENA LIVE กองทุน ค่าเงิน จัดพอร์ต ตลาด เศรษฐกิจ แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ส่อง ETF ที่ชนะ ARK 2 ปีซ้อน ! - FINNOMENA ตระกูล ARK ETF กำลัง HOT มาก ๆ กองทุนไทยนำมาเป็น master fund กันมากมายช่วงนี้ แต่คุณรู้ไหมว่า มี ETF เอาชนะ ARK ได้ 2 ปีติดต่อกัน 15 ก.พ. 2564 ตระกูล ARK ETF กำลัง HOT มาก ๆ กองทุนไทยนำมาเป็น master fund กันมากมายช่วงนี้ แต่คุณรู้ไหมว่า มี ETF เอาชนะ ARK ได้ 2 ปีติดต่อกัน ETF ตัวนั้นชื่อ “PBW” PowerShares WilderHill Clean Energy เรามาดู Performance ที่ผ่านมา ระหว่าง วันที่ 9 Feb-2018 และ 12-Feb-2021 รูปจาก koyfin.com PBW มีผลตอบแทนแบบ CAGR ไปถึง 81.64% ชนะตระกูล ARK ทุกตัว เรามาดูผลตอบแทนในแต่ละปี ข้อมูลจาก https://www.etfreplay.com/ ข้อมูล ณ วันที่ 12-Feb-2021 จะเห็นว่า PBW ETF ชนะตระกูล ARK ทุกตัวในปี 2019-2020 โดยกองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนใน clean energy ซึ่งจะลงทุนเกี่ยวกับพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ เชื้อเพลิงชีวภาพ และความร้อนใต้พิภพ (ข้อมูลจาก https://www.etfreplay.com/ ข้อมูล ณ วันที่ 12-Feb-2021) โดยมีสัดส่วนการลงทุนในภาพ ข้อมูลจาก etf.com ข้อมูล ณ วันที่ 12-Feb-2021 ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่คือ โจ ไบเดน มีนโยบายโครงการสีเขียว (Green Recovery) ที่รองรับด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาลถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ อาจจะเป็นตัว catalyst สำคัญต่อกลุ่มพลังงานสะอาด หนึ่งในกุญแจหลักในการจัดพอร์ตช่วง COVID-19 คือ ต้องกระจายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น และลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะเติบโตในอนาคต การลงทุนใน ETF เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ WealthGuru **สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/port/wealthguru/ แท็ก: Advance ARK ARK Investment Article ETF GURUPORT Knowledge PBW PowerShares WilderHill Clean Energy Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน WealthGuru คุณ สมพจน์ พัดสุวรรณ CEO BMK Wealth Management ผู้ก่อตั้งเพจ WealthGuru
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน MFTECH: ก้าวไปอีกขั้นกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงิน - FINNOMENA ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกองทุนน้องใหม่แกะกล่องอย่าง MFTECH ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมการเงิน 8 ก.ย. 2564 เป็นที่ทราบกันดีว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีถูกนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลาย และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ก็คืออุตสาหกรรมการเงิน จากที่แต่ก่อนเราต้องเดินทางไปที่ธนาคารเพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราสามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามผ่านระบบดิจิทัล ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกองทุนน้องใหม่แกะกล่องอย่าง MFTECH ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมการเงิน แต่ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับกองทุน MFTECH เรามาทำความรู้จักกับ “Fintech” กันสักหน่อยดีกว่าว่า “Fintech” คืออะไร ทำความรู้จักกับ Fintech Fintech เป็นการผสมผสานระหว่างคำว่า Financial + Technology ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “เทคโนโลยีทางการเงิน” โดยคำว่า Fintech หมายถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือทำให้บริการและกระบวนการทางการเงินเป็นไปโดยอัตโนมัติ หลัก ๆ แล้ว Fintech ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ประกอบการรายย่อย และผู้บริโภคสามารถจัดการการดำเนินกระบวนการและชีวิตทางการเงินของตนได้ดีขึ้นโดยใช้ซอฟต์แวร์และอัลกอริทึมเฉพาะทางที่ใช้กับคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน โดยคำว่า Fintech ยังรวมไปถึงการพัฒนาและการใช้สกุลเงินดิจิตอล เช่น Bitcoin อีกด้วย Fintech ไม่ใช่อุตสาหกรรมใหม่แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นตลอดจนผลพวงของวิกฤตการณ์ทางการเงินในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินจำนวนมากกลายเป็นดิจิทัล เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของโลกการเงินมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวบัตรเครดิตในปี 1950 หรือตู้เอทีเอ็ม รวมไปถึงแอปการเงินส่วนบุคคล ทำไมการลงทุนใน Fintech ถึงมีความน่าสนใจ? นอกเหนือจากการที่ Fintech ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นเรื่องง่ายแล้ว Fintech ยังได้พิสูจน์ตัวเองจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยสามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ นอกจากนี้ Fintech ยังกลายเป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบัน Fintech ได้รับความนิยมมากขึ้นดึงดูดนักลงทุนเข้าตลาดจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้านการลงทุนในภาค Fintech เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าการลงทุนในบริษัท Fintech มีมูลค่าประมาณ 112 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์สำหรับอุตสาหกรรมนี้ โดยคาดว่าภาคอุตสาหกรรม Fintech จะมีมูลค่ากว่า 26.5 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2022 สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan ปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงินไปพร้อมกับกองทุน MFTECH กองทุน MFTECH หรือกองทุน MFC Fintech Innovation Fund จากบลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) มี นโยบายลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน (Financial Services) หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) รวมถึงบริษัทที่สร้างรายได้หรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการวิจัย การพัฒนา การผลิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมการบริการด้านการเงิน โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุน MFTECH จะลงทุนในหลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้ ARK FINTECH INNOVATION ETF (ARKF) เน้นการเติบโตในระยะยาวด้วยการบริหารแบบเชิงรุก (Active Management) โดยเฟ้นหาบริษัทที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากนวัตกรรม Fintech AXA WF Framlington Fintech กองทุน Fintech ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และ/หรือ Amplify Transformational Data Sharing ETF (BLOK) ที่เน้นการลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จาก Blockchain Technology หุ้นต่างประเทศทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน (Financial Services) และ/หรือ เทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับกองทุน โดยจะเน้นการลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 70-100% ใน ARK FINTECH INNOVATION ETF (ARKF) และส่วนที่เหลืออีกประมาณ 0-30% ลงทุนใน AXA WF Framlington FinTech และ/หรือ Amplify Transformational Data Sharing ETF (BLOK) และ/หรือ หุ้นต่างประเทศของบริษัทด้านการเงิน หรือ เทคโนโลยีด้านการเงิน ซึ่งกองทุน MFTECH ถือเป็นกองทุนแรกในประเทศไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKF จุดเด่นของ ARKF มีเป้าหมายในการเปิดรับนวัตกรรม Fintech ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Mobile Payments, Digital Wallets, Peer-to-Peer Lending, Blockchain Technology และ Risk Transformation มีศักยภาพในการเติบโต โดยเน้นการเติบโตในระยะยาว เป็นเครื่องมือสำหรับการกระจายความเสี่ยง วิจัยอย่างมีพื้นฐาน โดยใช้เทคนิคในการวิเคราะห์ทั้งแบบ Top-down และ Bottom-up ในการจัดพอร์ตการลงทุน พร้อมระบุบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม Fintech มีความคุ้มค่าในต้นทุน เลือกต้นทุนที่ต่ำกว่าเสมอด้วยการบริหารจัดการแบบ Active ใน ETF ที่ลงทุนในธีมนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขั้นตอนการลงทุนของ ARKF การวิเคราะห์การลงทุนของ ARK จะใช้ทั้งแบบ Top-down และ Bottom-up ในการตรวจหานวัตกรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุหานวัตกรรมตั้งแต่ต้นน้ำ รวมถึงใช้ประโยชน์จากโอกาสเพื่อให้คุณค่าการลงทุนในระยะยาวแก่นักลงทุน รูปที่ 1 ขั้นตอนการลงทุนของ ARK ที่มา: ark-invest.com เริ่มจากการวิเคราะห์แบบ Top-down ในการตรวจสอบว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและกำลังมุ่งหน้าไปในที่ใดเพื่อทำความเข้าใจกับนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดย ARK จะใช้ Open Research Ecosystem เพื่อทำการรวมรวบข้อมูล รวมถึงช่วยในการกำหนดและปรับแต่งกระบวนการวิจัยต่าง ๆ พร้อมปรับขนาด “โอกาส” หาจุดที่ดีที่สุดที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุน รูปที่ 2 Open Research Ecosystem ของ ARK ที่มา: ark-invest.com ส่วนการวิเคราะห์แบบ Bottom-up จะเริ่มจากปรับแต่งกลุ่มการลงทุนที่มีศักยภาพ โดย ARK จะประเมินการลงทุนที่มีศักยภาพตามเมตริกหลักเพื่อค้นหาบริษัทสำหรับการลงทุนในบริบทของ “โอกาส” ซึ่งรวมไปถึงการสร้างรูปแบบการประเมินมูลค่าและรายได้ของแต่ละบริษัทในช่วงอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนและบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน Investment Focus ของ ARKF รูปที่ 3 Investment Focus ของ ARKF ที่มา: ark-invest.com Digital Wallet & Mobile Payment เป็นระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์จัดเก็บข้อมูลการชำระเงินและรหัสผ่านของผู้ใช้อย่างปลอดภัย ด้วยการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ใช้สามารถดำเนินการชำระค่าสินค้าหรือบริการได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว กระเป๋าเงินดิจิทัลสามารถใช้ร่วมกับระบบชำระเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าด้วยสมาร์ทโฟนของตนเองได้ พร้อมสร้างรหัสผ่านที่รัดกุมขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะจำได้ในภายหลังหรือไม่ด้วยระบบ Face ID หรือ Touch ID นอกจากนี้ยังสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อเก็บข้อมูลบัตรสะสมคะแนนและคูปองดิจิทัล โดยในปัจจุบันกระเป๋าเงินดิจิทัลมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้บริการและตอบรับกับโลกสังคมไร้เงินสดในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปที่ 4 มูลค่าการชำระเงินผ่านมือถือในจีน เปรียบเทียบกับ GDP จีน ที่มา: ARK Research ปริมาณการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านมือถือในจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 15 เท่าในเวลาเพียง 5 ปีจากประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2015 เป็นประมาณ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า GDP ของจีนในปี 2020 เกือบ 3 เท่า รูปที่ 5 ค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งราย (CAC) ของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่มา: ARK Research การเติบโตอย่างรวดเร็วของกระเป๋าเงินดิจิทัลมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งราย (CAC) จากการวิจัยของ ARK พบว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมต้องใช้ต้นทุนกว่า $1,000 เพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งราย ในขณะที่กระเป๋าเงินดิจิทัลใช้ต้นทุนเพียง $20 เท่านั้น ในสหรัฐฯ ผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลมีจำนวนมากกว่าผู้ถือบัญชีเงินฝากในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุด โดย ณ สิ้นปี 2020 จำนวนผู้ถือบัญชีเงินฝาก J.P. Morgan Chase มีทั้งหมดประมาณ 60 ล้าน ในขณะที่ Annual Active Users (AAUs) ของ Cash App และ Venmo อยู่ที่ 59 ล้านและ 69 ล้านตามลำดับ ในขณะที่ธนาคารแบบดั้งเดิมกำลังเผชิญกับความเสี่ยงต่าง ๆ เนื่องจากกระเป๋าเงินดิจิทัลกำลังเข้าสู่ตลาดการให้กู้ยืมที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าการให้กู้ยืมของธนาคารแบบเดิมไม่น่าจะฟื้นตัวถึงจุดสูงสุดในปี 2019 ตามประมาณการของ ARK คาดว่ารายได้ดอกเบี้ยของธนาคารจากบัตรเครดิตลดลงมากกว่า 10% หรือประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 และมีแนวโน้มที่จะลดลงมากกว่า 25% จาก 130 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 เป็น 95 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 โดยผู้ให้กู้ดิจิทัลเช่น Square, PayPal, Affirm, Klarna และ LendingClub มีแนวโน้มที่จะได้รับส่วนแบ่งการตลาดจากธนาคารแบบดั้งเดิม รูปที่ 6 กราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้ Digital Wallet ในสหรัฐฯ (รูปซ้าย) รูปที่ 7 กราฟแสดงการประเมินมูลค่าที่เป็นไปได้ต่อผู้ใช้งาน Digital Wallet (รูปขวา) ที่มา: ARK Research จากการวิจัยของ ARK พบว่าหากผู้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลในปี 2025 มีประมาณ 230 ล้านคนในสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ $19,900 ต่อคน โอกาสที่กระเป๋าเงินดิจิทัลของสหรัฐฯ จะมีมูลค่าถึง 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ Peer-to-Peer Lending (P2P Lending) ธุรกรรมสินเชื่อระหว่างบุคคลกับบุคคลโดยจะมีแพลตฟอร์มทำหน้าที่เป็นตัวกลางสนับสนุนให้เกิดการกู้ยืมระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ โดยจับคู่ระหว่างผู้ที่ต้องการกู้เงินและผู้ที่ต้องการให้กู้ รวมถึงอำนวยความสะดวกในการทำสัญญาสินเชื่อ การนำส่งเงินกู้และจ่ายคืนเงินกู้ หรือติดตามหนี้ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องให้สถาบันการเงินเป็นคนกลาง ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มผู้ให้บริการกู้ยืมแบบ P2P จะมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของผู้สมัคร ซึ่งการกู้ยืมแบบ P2P นี้ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ในการระดมทุน รูปที่ 8 กระบวนการกู้ยืมแบบ Peer-to-Peer ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ตามรายงานที่เผยแพร่โดย Allied Market Research กล่าวว่าตลาดการให้กู้ยืมแบบ P2P ทั่วโลกสร้างรายได้ 67.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 และคาดว่าจะสูงถึง 558.9 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 พร้อมคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 29.7% สำหรับปี 2020-2027 E-Commerce อีคอมเมิร์ซ หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือกิจกรรมการซื้อหรือขายผลิตภัณฑ์ทางอิเล็กทรอนิกส์บนบริการออนไลน์หรือทางอินเทอร์เน็ต อีคอมเมิร์ซจะพึ่งพาเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการดำเนินงาน เช่น การค้าบนมือถือ การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทานการตลาดทางอินเทอร์เน็ต การประมวลผลธุรกรรมออนไลน์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (EDI) ระบบการจัดการสินค้าคงคลัง และระบบรวบรวมข้อมูลอัตโนมัติ อีคอมเมิร์ซถูกขับเคลื่อนโดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2021 รายได้ในตลาดอีคอมเมิร์ซคาดว่าจะสูงถึง 2,723,991 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) สำหรับปี 2021-2025 อยู่ที่ 6.3% ส่งผลให้การคาดการณ์ปริมาณตลาดอยู่ที่ 3,477,296 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025 โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในตลาดคือกลุ่มแฟชั่น มีปริมาณตลาดที่คาดการณ์ไว้ที่ 759,466 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2021 ลงทุนในกองทุน MFTECH แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทอะไรบ้าง? รูปที่ 9 สัดส่วนเทคโนโลยี ARKF ลงทุน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKF Fund Factsheet รูปที่ 10 สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภาคอุตสาหกรรมของ ARKF (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKF Fund Factsheet รูปที่ 11 Top 10 Holdings ของ ARKF (ข้อมูล ณ วันที่ 05/02/2021) ที่มา: ark-funds.com Square Inc — บริษัทชำระเงินออนไลน์ที่ให้บริการโซลูชัน ณ จุดขาย (POS) ซึ่งผู้ขายสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นระบบรับชำระเงินได้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วย Square Stand, Square Magstripe Reader, Square Terminal, Cash App และอื่น ๆ โดยผู้ขายสามารถรับชำระเงินได้ผ่าน Europay, MasterCard, Visa, Europay, NFC หรือผ่านระบบออนไลน์ต่าง ๆ นอกจากนี้ผู้ขายยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่หลากหลาย ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการขาย เช่น การรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูล ใบแจ้งหนี้และใบเสร็จดิจิทัล เป็นต้น รูปที่ 12 Square Reader for magstripe ที่มา: amazon.com/ นอกจากผลิตภัณฑ์ POS แล้ว Square ยังให้บริการแอปพลิเคชันสำหรับส่งและรับเงินที่มีชื่อว่า “Cash App” ที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล ผู้ใช้สามารถสร้างบัญชีการใช้งานเพื่อส่งหรือรับเงินจากผู้ใช้รายอื่นภายในประเทศเดียวกันได้ทันทีด้วยการทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟน โดยผู้ใช้งานสามารถเติมเงินในบัญชี Cash App ได้โดยการใช้บัตรเดบิตที่เชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารที่มีอยู่ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งในปี 2018 ทาง Square ก็ได้ประกาศรองรับการให้บริการซื้อขาย Bitcoin ผ่าน Cash App ไปเป็นทื่เรียบร้อย พร้อมทั้งเปิดบริการรับเงินคืน (Cashback) เป็น Bitcoin เมื่อสิ้นปี 2020 ที่ผ่านมาเพื่อผลักดันการเข้าถึง Bitcoin ให้มากขึ้น รูปที่ 13 กราฟเส้นเปรียบเทียบผู้ใช้งานรายเดือน (MAU) ของ Cash App และ Venmo ที่มา: ark-invest.com Cash App ของ Square จัดว่าเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตามที่ Square เปิดเผยจำนวนผู้ใช้งาน Cash App รายเดือน (MAU) เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าในรอบสองปี จาก 7 ล้านคนในปลายปี 2017 เป็น 24 ล้านคนในปลายปี 2019 Tencent Holdings Ltd — บริษัทโฮลดิ้งกลุ่มเทคโนโลยีข้ามชาติของจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 มีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับตลาดบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตทั่วโลก รวมไปถึงการให้บริการในด้านความบันเทิง ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บพอร์ทัล อีคอมเมิร์ซ กระเป๋าเงินดิจิทัล แพลตฟอร์มโซ เชียลมีเดีย แอปพลิเคชันสตรีมมิงเพลงและวีดีโอ เกมบนมือถือและเกมออนไลน์ เป็นต้น ตัวอย่างบริการของ Tencent ในประเทศไทย sanook.com — แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์อันดับ 1 ของประเทศไทยสำหรับข่าวสารและ ข้อมูล JOOX — แอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมเพลงออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย WeTV — แอปพลิเคชันแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่นำเสนอซีรีส์จีน-ไทย และรายการวาไรตี้ที่พร้อมให้คุณทุกที่ทุกเวลา Tencent Games — ผู้ให้บริการเกมออนไลน์ชั้นนำของโลกและ สตูดิโอเกมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด Topspace — เอเจนซี่โฆษณาดิจิทัลสำหรับธุรกิจออนไลน์ที่ให้บริการแบบครบวงจรสำหรับกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์และการตลาดทั้งหมดของคุณ Tencent Cloud — ระบบประมวลผลบนคลาวด์ของ Tencent ที่สร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยและมาตรฐานคุณภาพ รูปที่ 14 ธุรกิจที่ Tencent มีสัดส่วนเป็นเจ้าของ ที่มา: PGM Capital Tencent มีมูลค่าตลาดทะลุ 500 พันล้านเหรียญในปี 2018 ทำให้ Tencent กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งแรกในเอเชียที่มีมูลค่ามากกว่า 500 พันล้านเหรียญ นับตั้งแต่นั้นมา Tencent จึงกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในเอเชียและเป็นหนึ่งในบริษัท เทคโนโลยีชั้นนำของโลก และเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021 Tencent มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 909.51 พันล้านเหรียญ ซึ่งทำให้ Tencent เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับ 6 ของโลก รูปที่ 15 Top 10 Largest Companies by Market Cap (ข้อมูล ณ วันที่ 08/02/2021) ที่มา: companiesmarketcap.com PayPal Holdings Inc — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ Paypal จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อและผู้ค้าออนไลน์ทั่วโลก ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถชำระค่าสินค้าและบริการ ตลอดจนการโอนเงินและถอนเงิน สำหรับด้านผู้ค้าช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับชำระเงินจากผู้ซื้อได้ ผู้ใช้บริการสามารถทำธุรกรรมได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยสามารถใช้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ทำธุรกรรมได้กว่า 23 สกุลเงินทั่วโลก รูปที่ 16 กราฟแท่งแสดงการเติบโต Total Payment Volume และ Net Revenues ของ Paypal ที่มา: Paypal Third Quarter 2020 Results ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2020 PayPal มีอัตราการเติบโตสูงสุดในฐานะบริษัทมหาชน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้รับแรงหนุนจากบัญชีใหม่สุทธิที่ใช้งานอยู่ 15.2 ล้านบัญชีในช่วงเวลานั้น (รวมบัญชีทั้งหมด 361 ล้านบัญชี) และปริมาณการทำธุรกรรมชำระเงินรวมเพิ่มขึ้นถึง 36% โดยในเดือนมกราคม 2021 PayPal มี Market Cap มูลค่า 278.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ PayPal กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดอันดับที่ 28 ของโลก ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น รูปที่ 17 Fund Performance ของ ARKF (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKF Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** เนื่องจากกองทุน MFTECH เป็นกองทุนน้องใหม่แกะกล่องจึงยังไม่มีข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังให้ได้ดูกัน แต่อย่างนั้นเราก็สามารถไปดูผลการดำเนินงานของกองทุนที่มีน้ำหนักลงทุนมากที่สุดในกองทุน MFTECH ได้ ซึ่งกองทุนนั้นคือ ARKF โดย ARKF สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีไปได้ถึง 108.07% ในขณะที่ดัชนีหุ้นระดับโลกอย่าง S&P 500 Index และ MSCI World Index สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีไปได้เพียง 18.40% และ 15.90% ตามลำดับ จากตัวเลขดังกล่าวก็ถือเป็นการพิสูจน์ได้ว่า ARKF สามารถสร้างผลตอบแทนที่มีการเติบโตได้อย่างโดดเด่น รูปที่ 18 สมมติการเติบโตของเงิน $10,000 เมื่อลงทุนใน ARKF ตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2020) ที่มา: ARKF Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** สงสัยกันไหมว่าถ้าเราลงทุนใน ARKF ตั้งแต่กองทุนเข้าจดทะเบียนเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 แล้ววันนี้เงินลงทุนนั้นจะงอกเงยไปได้เท่าไร? หากใครที่กำลังสงสัยอยู่ก็ไม่ต้องไปหาสูตรคำนวณที่ไหนไกลเพราะทาง ARK เขาก็ได้จำลองกราฟมาให้เราได้เห็นภาพชัดขึ้นแล้ว จากรูปสมมติให้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่ากับ $10,000 จะเห็นได้ว่าหากเราเริ่มลงทุนใน ARKF ด้วยเงินลงทุนจำนวน $10,000 ตั้งแต่ที่กองทุนเข้าจดทะเบียน ถ้าเงินลงทุนนั้นสามารถงอกเงยไปได้ถึง $25,000 ในสิ้นปี 2020 ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ถือว่า ARKF สามารถสร้างผลตอบแทนไปได้กว่า 150% เลยทีเดียว ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุน MFTECH กองทุน MFTECH จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีปัจจัยความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ความเสี่ยงจากความผันผวนของผลการดำเนินงาน (SD): >25% (สูง) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรม Information Technology ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่ง: 20-50% โดยมีการลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้ด้วยการจัดพอร์ตการลงทุน โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ของกองทุน MFTECH ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.605% ค่าธรรมเนียมการขาย: 1.0% (ช่วง IPO) และ 1.50% (หลัง IPO) ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวม: 1.9635% เงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน MFTECH มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท สรุป 5 ข้อ กองทุน MFTECH มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน (Financial Services) หรือเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) เน้นการลงทุนใน ARKF ประมาณ 70-100% โดยเป็นกองทุนแรกในไทยที่มีนโยบายลงทุนใน ARKF ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Information Technology จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทก็สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงินไปพร้อมกับ MFTECH ได้ กองทุน MFTECH เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้ — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan อ้างอิง http://ark-invest.com/ http://ark-funds.com/ https://ark-invest.com/articles/analyst-research/cash-app-monthly-active-users/ https://www.alliedmarketresearch.com/peer-to-peer-lending-market https://www.statista.com/topics/2404/fintech/ https://www.statista.com/outlook/243/100/ecommerce/worldwide https://link.medium.com/6fnLdOVNKdb https://www.investopedia.com/terms/f/fintech.asp http://www.tencent.co.th/en/overview https://www.reuters.com/companies/0700.HK https://www.reuters.com/companies/SQ.N https://www.reuters.com/companies/PYPL.OQ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance ARK ARKF Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content MFTECH Product Info Technology กองทุนเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน planet 46 มีความเชื่อว่าไม่ว่าการลงทุนใด ๆ จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้าง “โอกาส” ให้กับชีวิตได้เสมอ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
YOLO Investors กับปรากฏการณ์ GameStop - FINNOMENA โลกการลงทุนกลับมาคึกคักอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่ากระแสการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งตลาดการเงิน เราจึงควรรู้ให้ทันอารมณ์ตลาดการเงินช่วงนี้ เพื่อจะได้วางกลยุทธ์การลงทุนไว้ให้พร้อม 11 ก.พ. 2564 โลกการลงทุนกลับมาคึกคักอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่ากระแสการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งตลาดการเงิน ที่ผมพูดถึงคือเรื่องบริษัท GameStop และการทำ Gamma Squeeze ที่ทุกท่านคงได้อ่านจากหลากหลายสื่อไปบ้างแล้ว ผมจึงอยากชวนคิดในอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือวลี YOLO ย่อมาจาก You Only Live Once หรือแปลเป็นไทยคงประมาณ “ชีวิตเรา ใช้ซะ!” ที่หมู่รายย่อย r/WallStreetBet ใช้เป็น “เหตุผล” ในการซื้อ บังเอิญจริง ๆ ว่าเมื่อช่วงเดียวกันนี้เมื่อสามปีที่แล้ว (2018) ผมเคยเขียนเกี่ยวกับอารมณ์ FOMO และเกริ่นถึง YOLO ไว้บ้าง ในตอนนั้นไม่ถึงสองสัปดาห์ต่อมา ตลาดการเงินทั่วโลกก็ปรับฐานราว 5-7% เราจึงควรรู้ให้ทันอารมณ์ตลาดการเงินช่วงนี้ เพื่อจะได้วางกลยุทธ์การลงทุนไว้ให้พร้อม ประเด็นแรก YOLO ครั้งนี้สะท้อนภาวะ Liquidity Bubble ที่จุดเริ่มต้นของการซื้อขายไม่ได้เกิดจากความโลภ ผมเชื่อว่าเหตุการณ์แบบเกิดขึ้นได้เพราะนักลงทุนได้รับสภาพคล่องส่วนเกิน ขณะที่ติดอยู่ในบ้านจากมาตรการล็อกดาวน์ เมื่อไม่ใช่เงินส่วนตัว ก็อยากใช้เงินที่รัฐให้มาซื้อความสนุกและความหวังบ้าง การเก็งกำไรรูปแแบบ Online Option จึงตอบโจทย์ ไม่เพียงเท่านั้น รายย่อยเหล่านี้ถูกทำให้เชื่อว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือ “การต่อสู้กับนายทุนที่เอาเปรียบคนอื่นมาตลอด” แม้จะต้องเสียเงินก็คือ “การเสียสละ” ทำให้ยิ่งกล้ารับความเสี่ยงโดยไม่สนใจความเสียหาย อารมณ์เช่นนี้มักทำให้ขาขึ้นไปได้ไกลเกินจินตนาการ เพราะทัพหน้ากล้าตายโดยเชื่อว่าเป็นการตายอย่างมีศักดิ์ศรี ประเด็นที่สอง เหตุการณ์อย่าง GameStop อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะจบ เพราะ YOLO Investors ยังอยู่ และไม่ได้มีเป้าหมายที่จะหาความจริงมาตั้งแต่ต้น ต่อจากนี้ ผมเชื่อว่าทั้งตลาดจะต้องเพิ่มความเข้มงวดของ Risk Management ผู้กำหนดนโยบายอาจเข้ามาปรับกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อให้ตลาดกลับสู่ความสงบ แต่สำหรับนักลงทุน YOLO แล้วการจะให้ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่อนาคตไม่รู้ว่าจะกลับไปมีงานทำหรือไม่ และตัวเองเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่สามารถต่อกรกับระบบที่โหดร้ายได้ ดูจะไม่ใช่ความจริงที่อยากเชื่อ เหมือนกับฉากหนึ่งในหนังคลาสสิคไซไฟเรื่อง Metrix ที่ Neo ถาม Morpheus ว่า “Matrix คืออะไร” และ Morpheus ยื่นยาสีฟ้ากับสีแดงขึ้นมาให้เลือก ถ้ากิน “ยาสีฟ้า” ทุกอย่างจะจบ คุณจะตื่นขึ้นบนเตียงและได้เชื่อในสิ่งที่คุณอยากเชื่อ แต่ถ้าคุณหยิบ “ยาสีแดง” คุณก็จะกลับเข้าสู่โลกความเป็นจริง และต้องยอมรับกับผลที่ตามมา และ Morpheus ให้ได้แค่ความจริงสองอย่างนี้ แน่นอนว่า YOLO Investor จะหยิบ “ยาสีฟ้า” เข้าปากอย่างรวดเร็ว ในภาวะแบบนี้ นักลงทุนที่มีเหตุผลควรตั้งสติให้ดี ไม่เผลอไปกับความผันผวน แต่ก็ต้องรู้จักหาโอกาสจากสถานการณ์แบบนี้ด้วย เราต้องเป็นให้ได้อย่าง Neo ที่หยิบ “ยาสีแดง” แต่ต้องจำไว้ด้วยว่าแม้จะเป็นถึง Neo ก็ยังต้องมีคนคอยช่วยเหลือ ขั้นแรกคือ “อย่าคิดคนเดียว” อยู่กับกลุ่มนักลงทุนที่ถูกต้อง รับข้อมูลจริง และ ประมวลผลไปพร้อมกับตลาด ขั้นต่อมาคือ “ต้องรู้ตัว” เมื่อเข้าสู่โลกการเงินในช่วงนี้ หุ้นของบริษัทกับพื้นฐานของบริษัทจะแยกขาดจากกันได้มากผิดปรกติ เพราะนักลงทุนเข้ามาด้วยหลากหลายเป้าหมายมากกว่าแค่การทำกำไร จึงต้องไม่ลืมนึกก่อนว่ากำลังลงทุนในอะไร และพื้นฐานของสิ่งนั้นกับราคาปัจจุบันต่างกันแค่ไหน และสุดท้ายก็ต้อง “ตั้งใจมองหาความแตกต่าง” ระหว่างกฎเกณฑ์บนโลกความจริงและโลกการเงิน เพราะนั่นคือสิ่งที่สร้างกำไรและบริหารความเสี่ยงให้เรา เช่น สภาพคล่องที่สูงเกินไป แต่ไม่มีใครคิดว่าต้องลด ควรทำให้เรากล้าลงทุนมากขึ้น หรือ ไวรัสกลายพันธุ์ แต่ตลาดเชื่อว่าวัคซีนจะรักษาได้ทั้งหมด ทำให้เราไม่ควรหวังกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากเกินไป ขณะเดียวกัน ก็ควรระวังมุมมองว่ากำไร 100% ต่อปีจากการลงทุนเป็นทำได้ง่าย ทั้งที่ในโลกความจริงผลตอบแทนระดับนั้นไม่เคยเป็นสิ่งที่ยั่งยืน โดยสรุป ผมมองว่าภาวะ YOLO ทำให้การเก็งกำไรกลายไปเป็นการพนัน นักลงทุนจึงต้องหมั่นตรวจสอบเหตุผลของตลาดบ่อยกว่าปรกติ ในกรณี GameStop จากการเคลื่อนไหวของหุ้นที่พุ่งขึ้นเป็น 100 เท่า แต่สุดท้ายก็ปรับตัวลงมาติดลบเกือบ 100% ต้องบอกว่ายังดีที่ทั้งตลาดไม่ได้อยู่ในอารมณ์ YOLO ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เราคงอยู่ในวิกฤติการเงินรอบใหม่ไปแล้ว และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เราต้องจำไว้เตือนตัวเองเสมอว่า แม้เราจะเกิดครั้งเดียวตายครั้งเดียวก็จริง แต่ความจริงนี้ไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมหรือเกี่ยวข้องกับการรับความเสี่ยงหรือการลงทุนของเราครับ ราคาหุ้น GameStop ขึ้นจากระดับ 4ดอลลาร์ไปเป็น 483 ดอลลาร์และกลับตัวลงอย่างรวดเร็ว ที่มา: S&P Global และ SCB Securities ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ แท็ก: Advance Article GameStop Knowledge Short Content YOLO แชร์บทความ: ผู้เขียน DR.JITIPOL PUKSAMATANAN นักกลยุทธ์ตลาดการเงินและการลงทุน ผู้มีความสนใจในความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์การเงินทุกประเภท ปัจจุบันพยายามเพิ่มบทบาทด้วยการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ตั้งใจเปลี่ยนโลกการเงินที่ซับซ้อนให้กลายเป็นความสนุกสนานที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน WE-CYBER และ ARKW: ลงทุนใน Next Generation Internet ที่จะเติบโตในโลกยุคใหม่ - FINNOMENA รีวิวกองทุน WE-CYBER และ ARKW ซึ่งจะลงทุนใน Next Generation Internet ที่จะเติบโตในโลกยุคใหม่ สำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะ! 10 มี.ค. 2566 หลังจากที่เราได้รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO และ TGENOME ซึ่งล้วนแล้วแต่ลงทุนในกองทุนอีทีเอฟตระกูล ARK กันไปแล้ว วันนี้ก็มีกองทุนอีกหนึ่งกองที่อยากมารีวิว เป็นอีกกองที่มีธีมระยะยาวน่าสนใจ เหมาะกับใครที่ชื่นชอบด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ นั่นก็คือกอง ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งกองที่ทาง FINNOMENA เขาแนะนำให้ลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนไทยอย่าง WE-CYBER ที่เพิ่ง IPO กันไป รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปดูกัน แต่ก่อนจะไปดูรายละเอียดกองทุน เรามาเข้าใจธีมที่กองทุนนี้จะไปลงทุนกันแบบคร่าว ๆ ก่อนดีกว่า นวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต (The Next Generation Internet) มีอะไรบ้าง? Big Data & Artificial Intelligence (AI) ในยุคที่ระบบการเก็บข้อมูลดีขึ้น ผลก็คือเรามีข้อมูลมากมายมหาศาล ซึ่ง Big Data ก็คือข้อมูลปริมาณมหาศาลเหล่านั้นที่เพียงมนุษย์ลำพังหรือระบบดั้งเดิมอาจจะไม่สามารถประมวลผลได้อย่างเต็มที่ เราจึงต้องให้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยจัดการ ซึ่งการมี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ก็จะช่วยจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นอย่างละเอียดและรวดเร็ว ไม่ตกหล่น ทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ไม่ลำเอียง ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่า โดยปกติแล้ว AI จะเรียนรู้จากสิ่งที่เราป้อนมันไป เรียกว่าวิธี Machine Learning ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของ AI ก็ว่าได้ แต่การที่ Machine Learning นั้นจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องใช้โปรแกรม หรือ Algorithm ที่มนุษย์เป็นผู้ออกแบบ โดยอัลกอริธึมที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Deep Learning ซึ่งเลียนแบบการทำงานของโครงข่ายประสาทมนุษย์ (Neurons) ส่งผลให้สามารถเกิดการเรียนรู้แบบอัตโนมัติได้ สิ่งนี้จะทำให้ AI สามารถเขียนโปรแกรมเองได้ ไม่ต้องง้อมนุษย์แล้วละ AI นั้นถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไร้คนขับ ลำโพงอัจฉริยะ ระบบจดจำใบหน้า เครื่องมือวินิจฉัยโรค หรือแม้กระทั่งการแนะนำคอนเทนต์ที่คิดว่าเราน่าจะชอบ (ใครมี Netflix หรือ Spotify น่าจะเข้าใจดี) ข้อมูลจาก ARK นั้นเผยว่า ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI จะสามารถสร้างมูลค่าตลาดได้ถึง 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว ทั้งในส่วนของ AI Accelerator Chips (ชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูง) หรือระบบ Deep Learning ในปี 2037 ที่จะสร้างมูลค่าเหนืออินเทอร์เน็ตทั่ว ๆ ไปกว่า 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ การเติบโตของมูลค่าตลาดที่มี AI มาเกี่ยวข้อง Source: ARK Cloud Computing & Cyber Security Cloud Computing คือบริการที่จะทำให้เราสามารถประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนระบบออนไลน์ได้ง่าย ๆ โดยที่เราไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเติมในฝั่งของเรา ช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดกำลังการดูแลระบบ (โดยรวมคือประหยัดเวลาในการ Maintainance) หลัก ๆ จะมีอยู่ 3 ประเภทคือ IaaS (Infrastructure as a Service), PaaS (Platform as a Service) และที่หลายคนน่าจะคุ้นหูสุดก็คือ SaaS (Software as a Service) เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือพวกบริการอย่าง Google Drive, Office 365, Dropbox ที่หลายคนน่าจะใช้กันอยู่ ส่วน Cyber Security ก็คือความปลอดภัยทางไซเบอร์ แน่นอนว่าพอหลาย ๆ กิจกรรมย้ายไปอยู่บนออนไลน์มากขึ้น ความปลอดภัยของการรักษาข้อมูลก็ต้องมากขึ้นด้วย Social Platforms & Digital Media สื่อบันเทิงต่าง ๆ ก็ขยับขยายขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์กันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มโซเชียล หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ที่ทุกคนสามารถมาร่วมสร้างเนื้อหาหรือออกความคิดเห็นได้อย่างอิสระ แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็มีทั้ง Facebook, YouTube, TikTok ซึ่งเป็นที่นิยมมาก ๆ รวมไปถึง WeChat ที่นิยมกันในประเทศจีนด้วย นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ ที่เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาคอนเทนต์ได้ผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น Netflix, Spotify สตรีมมิ่งนั้นถือว่าได้เข้ามา Disrupt วิธีการเสพสื่อแบบดั้งเดิมของเรามาก ๆ เพราะจากแต่ก่อนเราทำได้เพียงรอคอยหน้าทีวีว่าเมื่อไรรายการที่ชอบจะมา แต่ตอนนี้เราสามารถเลือกได้เองว่าเราจะดูรายการไหนเมื่อไร ในฐานะบริษัทสตรีมมิ่งเองก็กลายเป็นบริษัทที่ผลิตสื่อเองด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าทั้งสร้างคอนเทนต์ ทั้งครอบครองช่องทางเผยแพร่ไปเลยในตัว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ผู้ผลิตคอนเทนต์ก็จะเป็นบริษัทหนึ่ง เจ้าของช่องก็แยกเป็นอีกบริษัทหนึ่ง ไม่ใช่บริษัทเดียวกัน จากงานวิจัยของ ARK ระบุว่าสตรีมมิ่งจะเข้ามาช่วยอุตสาหกรรมบันเทิงดั้งเดิม รวมถึงเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามารายได้โฆษณาในระบบสตรีมมิ่งเหล่านี้ก็จะเติบโตมากกว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้าทีวีแบบดั้งเดิมด้วย จำนวนรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นของธุรกิจสตรีมมิ่ง Source: We Asset Management, ARK Internet of Things (IoT) IoT จะช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลกันได้ ลองนึกภาพว่ารถยนต์ไร้คนขับมีเซ็นเซอร์รอบคัน สามารถส่งสัญญาณให้รถคันอื่น ๆ ที่ติดตั้งระบบเดียวกันได้ ก็จะช่วยให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง นอกจากนี้ยังสามารถสั่งควบคุมอุปกรณ์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ด้วย เช่น พวก อุปกรณ์ Smart Home ต่าง ๆ จำนวนเม็ดเงินใช้จ่ายในด้าน Internet of Things มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แตะระดับ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2023 ที่มา: Statista E-Commerce จากสมัยก่อนที่เราต้องไปซื้อของที่หน้าร้านอย่างเดียว ตอนนี้เราสามารถซื้อของได้ผ่านออนไลน์ ธุรกิจก็ขายของออนไลน์ได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ซึ่งประสบการณ์ของ E-Commerce ยิ่งก้าวล้ำยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้นวัตกรรมอื่น ๆ เข้ามาเสริม เช่น ความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality, AR) ที่ให้ลูกค้าเห็นสินค้าเสมือนจริงก่อนซื้อได้ (เคสนี้ Amazon เคยทำแล้ว) หรือการนำโดรน (Drone) มาส่งของ ซึ่งเคสนี้ Amazon ก็ได้รับอนุญาตให้สามารถทำได้แล้วเช่นกัน รายงานจาก eMarketer ได้คาดการณ์ว่ารายได้จากการค้าขายผ่าน E-Commerce นั้นจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และจะแตะระดับ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 คิดเป็น 22% ของยอดขายทั้งหมด Source: We Asset Management, eMarketer Blockchain Blockchain คือระบบการกระจายข้อมูลโดยไม่ผ่านคนกลาง จัดเก็บข้อมูลเป็นบล็อก ๆ ซึ่งแต่ละบล็อกก็จะมีสิ่งที่เปรียบเสมือนสายโซ่เชื่อมโยงกันหมด โดยข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้องแล้วจะถูกกระจายไปบันทึกในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่าย ทุกคนจะเห็นข้อมูลเหมือนกันหมด ทำให้มีความโปร่งใส ใครมีการเคลื่อนไหวอย่างไรก็รู้กันหมด มีความน่าเชื่อถือเพราะหากใครคิดอยากแก้ไขให้มีความคลาดเคลื่อนก็ทำได้ยากเพราะต้องไปแก้ในทุก ๆ Block ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก Block มีการเชื่อมโยงถึงกันนั่นเอง คาดว่าขนาดของตลาด Blockchain จะมีการเติบโตเรื่อย ๆ แตะระดับ 3.97 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2025 Source: We Asset Management, Statista ทำความรู้จักกองทุน WE-CYBER ได้รู้จักเทรนด์ของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่กันไปแล้ว ต่อมาเรามาทำความรู้จักกับกองทุน WE-CYBER ที่จะไปลงทุนในนวัตกรรมเหล่านี้กัน นโยบายการลงทุน WE-CYBER จะลงทุนใน ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) ซึ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเติบโต พัฒนา นวัตกรรมที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ โดยกองนี้ก็เป็นอีทีเอฟอีกกองที่บริหารแบบเชิงรุก (Active) นั่นหมายความว่าผู้จัดการกองทุนจะต้องพยายามเอาชนะดัชนีชี้วัดให้ได้ จุดเด่นของ ARKW 1. เข้าถึงนวัตกรรม: เข้าถึงนวัตกรรมอย่างด้านอินเทอร์เน็ตยุคใหม่อย่าง Cloud Computing, Big Data, Digital Media, E-Commerce, Blockchain, IoT ซึ่งถ้าใครอิน ๆ กับเทคโนโลยีละก็น่าจะชื่นชอบธีมของกองนี้อยู่ไม่น้อย 2. มีแนวโน้มการเติบโต: มุ่งหวังการเติบโตระยะยาว ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่ากลยุทธ์การเติบโตทั่ว ๆ ไป และสวนทางกับกลยุทธ์ที่เน้นมูลค่า (Value Strategies) 3. กระจายความเสี่ยง: เพราะกองทุนเป็น Active ETF จึงไม่ได้ถือหุ้นที่ทับซ้อนกับดัชนีทั่ว ๆ ไปเท่าไรนัก หากถือกองนี้ร่วมกับกองอื่น ๆ ที่เป็นหุ้นตามดัชนีทั่วไป ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี 4. วิจัยมาอย่างละเอียด: มีการทำวิจัยทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up เพื่อค้นหาธุรกิจที่โดดเด่นด้านนวัตกรรมซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมได้ ขั้นตอนการเลือกหุ้นของ ARKG Source: We Asset Management, ARK 1. Ideation: เป็นการค้นหานวัตกรรมที่จะมา Disrupt ของเดิม ผ่าน ARK Open Research System ซึ่งไม่ได้พึ่งพิงแค่ข้อมูลทางการเงินทั่วไป แต่ยังมีการควบรวมข้อมูลจาก Social Media และ Crowdsourcing ด้วย สมกับเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการหาข้อมูล 2. Sizing The Opportunity: ประเมินว่าโอกาสนั้น ๆ โตได้ขนาดไหน ผ่านการดูว่ามีความสามารถในการลดต้นทุนไหม หรือมีโอกาส Disrupt ธุรกิจเก่า ๆ ขนาดไหน 3. Stock Selection & Valuation: คัดเลือกบริษัทดาวเด่น แต่ก็ไม่ลืมที่จะดู Valuation ด้วยว่าถูกแพงแค่ไหน 4. Portfolio & Risk Management: ปรับกลยุทธ์ตามสภาพตลาด หาจังหวะในช่วงตลาดผันผวน ติดตามพอร์ตอย่างใกล้ชิดและจัดตั้งการประชุม ARKW ลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง? (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020) หุ้น 10 อันดับใน ARKW ที่มา: ARKW Factsheet ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 Tesla (10.1%): บริษัทเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดี โดยล่าสุดนั้นมียอดขายปี 2020 ทะลุ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว และยังเป็นปีแรกที่ทำกำไรตลอดปีอีกด้วย โดย Tesla นั้นดูแลตั้งแต่การออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงขายส่วนประกอบระบบส่งกำลังไฟฟ้าให้รถยนต์เจ้าอื่น ๆ นอกจากนั้นขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโซลาร์เซลล์อีกด้วย ข้อได้เปรียบของ Tesla เมื่อเทียบกับคู่แข่ง (เช่น Waymo) คือข้อมูลการขับขี่ที่เหนือกว่าหลายเท่าตัว ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้างรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ดียิ่งกว่า เปรียบเทียบระยะทางและจำนวนรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติระหว่าง Tesla และ Waymo Source: wheelsjoint.com Roku (6.2%): บริษัทเจ้าของฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อกับระบบ Digital Media เช่น ทีวี รีโมท ลำโพงไร้สาย ซึ่งช่วยให้เราสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ในระบบสตรีมมิ่งจากเจ้าต่าง ๆ ผ่านทีวีได้เลย หากนับเป็นชั่วโมงของสตรีมมิ่งนั้น Roku ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งผ่านทีวีอันดับ 1 ในสหรัฐฯ Square (4.3%): บริษัทที่จะช่วยให้ทั้งบริษัทและผู้คนสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายขึ้น มี CEO ก็คือ Jack Dorsey ผู้เป็น CEO ของ Twitter ด้วยเช่นกัน ซึ่ง Square ก็มีทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับระบบ Point-of-Sale ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบธุรกิจได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงมี Cash App ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถส่งเงินหากันได้ง่าย ๆ ซึ่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2020 นั้นจำนวนการทำธุรกรรมผ่าน Cash App เพิ่มขึ้นแบบคูณสอง หากนับจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้านั้น Grayscale Bitcoin Trust (3.7%): กองทุนจากบริษัท Grayscale ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล มี AUM อยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในส่วนของกองนี้นั้นจะลงทุนใน Bitcoin ล้วน ๆ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่สนใจอยากลงทุนใน Bitcoin แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงถือ Bitcoin ในมือจริง ๆ เหมือนกองทุนทองที่ให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนในทองได้ โดยที่ไม่ต้องถือทองจริง ๆ Teladoc Health (3.5%): บริษัทด้านโทรเวชกรรม ที่จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการพบแพทย์และขอคำปรึกษาด้านสุขภาพ ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์ได้แบบ Real-Time ซึ่ง Teladoc ก็ให้บริการกันแบบ 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ล่าสุดก็ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทและสถาบันเจ้าใหญ่ ๆ ในตลาดสุขภาพอย่าง GuideWell, Johns Hopkins และ Telefonica Spotify (3.2%): แอปฯ สตรีมมิ่งเพลงกว่า 60 ล้านเพลงที่หลายคนรู้จักกันดี ผู้ฟังสามารถจ่ายค่าบริการรายเดือนได้หากต้องการตัดโฆษณาออก หรือเข้าถึงฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ ซึ่ง Spotify นี้ก็เป็นอีกแอปฯ ที่นำ AI เข้ามาช่วยเรื่องการแนะนำเพลงแบบ Personalized ให้กับเราด้วย โดย ณ กันยายน 2020 Spotify มีสมาชิกที่จ่ายค่าบริการอยู่ที่ 144 ล้านคน มี Monthly Active Users อยู่ที่ 320 ล้านคน Pure Storage (2.9%) บริษัทที่ให้บริการเก็บข้อมูล (Data Storage) อำนวยความสะดวกทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ปัจจุบันมีลูกค้าอยู่กว่า 8,000 รายทั่วโลก ซึ่งก็เป็นบริษัทดัง ๆ ทั้งนั้นอย่าง ServiceNow, T-Mobile, Domino’s Pizza เป็นต้น Tencent (2.6%) บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของจีน ให้บริการครอบคลุมหลายอย่าง ทั้งแอปฯ สายโซเชียล อย่าง WeChat หรือ Weixin ที่เรียกได้ว่าเป็น SuperApp ของจีน โดยเมื่อไตรมาส 3 ปี 2020 นั้นมี Monthly Active User อยู่ที่ 1.2 พันล้านคนแล้ว แต่สิ่งที่สร้างรายได้อันดับ 1 ให้บริษัท (สัดส่วนถึง 33%) คือเกมออนไลน์ต่างหาก ตัวอย่างเกมที่มาจาก Tencent ก็เช่น RoV, PubG Mobile, League of Legends (LoL) เป็นต้น Facebook (2.5%) บริษัท Social Media เจ้าใหญ่ของโลก ล่าสุดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีผู้ใช้งานกว่า 2.8 พันล้านคน แต่ถ้ารวมผู้ใช้แอปฯ ในเครืออย่าง Instagram, Whatsapp และ Messenger เข้าไปด้วยก็จะมีถึง 3.3 พันล้านคนเลยทีเดียว ในฝั่งกำไรใน Q4 2020 ก็เติบโต 53% จากปีก่อน ซึ่งบริษัทได้รับอานิสงส์จากคนที่เข้ามาใช้งานในช่วงโควิดมากขึ้น มีการทำ E-Commerce และโฆษณาบน Facebook มากขึ้นเช่นกัน Snap (2.2%) เจ้าของแอปฯ Snapchat ที่ฮิตกันในหมู่วัยรุ่นต่างชาติ และ Snap Camera ที่หลายคนชอบเปิดเวลาประชุมทางไกล มีฟีเจอร์เด็ดคือ Filter แบบต่าง ๆ ที่ให้เลือกกันแบบไม่หวาดไม่ไหว โดยในไตรมาส 3 ปี 2020 Snap มี Daily Active User (DAU) อยู่ที่ 249 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มอายุ 13-24 ปี สัดส่วนเทคโนโลยีที่กองทุนไปลงทุน ค่อนข้างกระจายในน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน โดยมี E-Commerce และ Cloud Computing เป็นตัวนำ ที่มา: ARKW Factsheet ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 สัดส่วนอุตสาหกรรมที่กองทุนไปลงทุน หลัก ๆ แล้วลงทุนใน Information Technology, Communication Services, Consumer Discretionary ที่มา: ARKW Factsheet ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 ผลการดำเนินงานย้อนหลังของ ARKW เนื่องจากกองทุน WE-CYBER เป็นกองน้องใหม่แกะกล่อง เราจึงยังไม่มีผลตอบแทนย้อนหลังมาให้ดูกัน เลยต้องดูของ ARKW ไปพลาง ๆ ก่อนนะ ผลการดำเนินงานย้อนหลังแบบปักหมุด ที่มา: ARKW Factsheet ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนทำผลงานได้สวยงามเมื่อเทียบกับดัชนีเปรียบเทียบกับ S&P 500 และ MSCI World พิสูจน์ได้ว่าสามารถเอาชนะดัชนีได้จริง และสามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากการลงทุนตามดัชนีได้ โดยผลตอบตอบแทนในช่วงปี 2020 นั้นสูงถึง 157% เลยทีเดียว สอดคล้องกับกระแสออนไลน์ที่มาแรงในช่วงโควิด-19 พอดี การเติบโตของเงินลงทุน 10,000 ดอลลาร์ หากลงทุนใน ARKW ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ที่มา: ARKW Factsheet ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุน ARKW จัดตั้งมาตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2014 นับเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งถ้าลงทุนตั้งแต่วันแรกนั้น ณ สิ้นปี 2020 เงินจำนวน 10,000 (ประมาณ 300,000 บาท) ดอลลาร์จะเติบโตสูงเกินกว่า 80,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 2.4 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงกว่า 8 เท่าเลยทีเดียว ความเสี่ยงของกองทุน ARKW ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งจะป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ความเสี่ยงในด้านนวัตกรรม เนื่องจากกองทุนเน้นลงทุนในบริษัทที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะมา Disrupt หรือทดแทนสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทว่านี่เป็นเพียงการคาดการณ์ของ ARK เท่านั้น ความเสี่ยงจึงเป็นการที่นวัตกรรมเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงของเดิมได้ นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงด้านอื่น ๆ อีกเช่นความผันผวนของตลาด ความไวในการ Disrupt ของนวัตกรรม กฏระเบียบข้อบังคับจากหน่วยงานหรือรัฐบาล รวมถึงความเสี่ยงเฉพาะของนวัตกรรมนั้น ๆ ด้วย นอกจากกองทุน WE-CYBER แล้ว มีกองไหนในไทยที่ลงทุนใน ARKW บ้าง? TNEXTGEN: กองทุนจาก บลจ.ทิสโก้ ที่มีมาอยู่ก่อนแล้ว จัดตั้งตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมานี้เอง โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2021 คำนวณ ถึง วันที่ 26 ม.ค. 2021 อยู่ที่ 18.25% ถือว่าน่าประทับใจ และถ้านับตั้งแต่จัดตั้งละก็ผลตอบแทนอยู่ที่ 38.85% เลยทีเดียว ดูผลตอบแทนปัจจุบันของ TNEXTGEN ได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/TNEXTGEN ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อกอง TNEXTGEN แทนก็ได้หากไม่สะดวกซื้อ WE-CYBER เพราะอย่างไรสิ่งที่ลงทุนก็เหมือนกัน จะมีต่างกันก็ตรงค่าธรรมเนียม ซึ่ง TNEXTGEN เก็บค่าธรรมเนียมขาเข้า (ขาย) อยู่ที่ 1% ขาออก (รับซื้อคืน) อยู่ที่ 0.15% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้าและออก ยกเว้นการเรียกเก็บ มีค่าธรรมเนียมการจัดการอยู่ที่ 1.07% และมีค่าใช้จ่ายรวมกองทุนอยู่ที่ 1.43719% มีมูลค่าการซื้อขั้นต่ำอยู่ที่ 1,000 บาท สรุปความน่าสนใจของการลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคต ผ่านกองทุน WE-CYBER และ ARKW สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับกองทุน WE-CYBER และ ARKW คือเทรนด์การลงทุนที่อยู่ใกล้ตัวเรา เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างคุ้นเคยกับมันในระดับหนึ่งแล้วผ่านชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้อิน เทอร์เน็ต ใช้คลาวด์ ใช้ระบบสตรีมมิ่งเพื่อดูหนังฟังเพลง ซื้อของผ่าน E-Commerce รวมถึงใช้อุปกรณ์ที่มีคำนำหน้าด้วย Smart ต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กองทุน WE-CYBER ที่ลงทุนใน ARKW จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับใครที่สนใจจะเกาะกระแสเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลกนี้ไปในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เราจึงขอย้ำอีกครั้งให้ทุกคนศึกษารายละเอียดกองทุนและสิ่งที่ลงทุนให้ดี ๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนนะ ข้อมูลอื่น ๆ ของกองทุน WE-CYBER มูลค่าขั้นต่ำการซื้อ (ช่วง IPO) = 5,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำการซื้อ (หลัง IPO) = 1 บาท ค่าธรรมเนียมขาเข้า (ขายและสับเปลี่ยนเข้า) = สูงสุดไม่เกิน 2.14% เก็บจริง 1.07% ค่าธรรมเนียมขาออก (รับซื้อคืน) = สูงสุดไม่เกิน 2.14% ตอนนี้ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ = 1.07% ต่อปี รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 1.420425% ต่อปี เพื่อนผู้ใจดี Appendix: รายได้ และกำไรต่อหุ้น ของบริษัท 3 อันดับแรก พร้อมคาดการณ์ 2 ไตรมาสหน้า (ข้อมูลจาก Bloomberg) Tesla Roku Square เพื่อนผู้ใจดี คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดเทคโนโลยี ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299 แท็ก: Advance ARK ARK Investment ARKW Article ETF FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Product Info TNEXTGEN WE-CYBER กองทุนเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bitcoin ทะลุ 1.4 ล้านบาท หลัง Tesla ร่วมทัพ! - FINNOMENA เมื่อช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ปรับขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,280,000 บาท และเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,400,000 บาท โดยการปรับตัวทะลุจุดสูงสุดเดิมของ Bitcoin ครั้งนี้ มาจากการเข้าซื้อของ Tesla บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลก! 9 ก.พ. 2564 เมื่อช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ปรับขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 1,280,000 บาท และเมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1,400,000 บาท บนกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลของไทยอย่าง Bitkub หรือประมาณ 46,794 ดอลลาร์ฯ บนกระดานเทรดต่างประเทศ Tesla ร่วมทัพถือ Bitcoin! การปรับตัวทะลุจุดสูงสุดเดิมของ Bitcoin ครั้งนี้ มาจากการเข้าซื้อของ Tesla บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลก ซึ่งมีบุคคลที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk ผู้เป็น CEO ของ Tesla โดยทาง Tesla ได้เข้าซื้อ Bitcoin เป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท! ทาง Tesla ได้ให้เหตุผลของการเข้าซื้อครั้งนี้ว่า “เพื่อความยืดหยุ่นทางการเงินและเพื่อเป็นการเก็งกำไรให้กับบริษัทฯ” นอกจากนี้ Tesla ยังระบุด้วยว่า “จะมีการพัฒนาระบบรับชำระเงินด้วย Bitcoin เพื่อซื้อสินค้าและบริการของ Tesla ผ่านกระดานเทรดต่าง ๆ ” ซึ่งจะทำให้ Tesla กลายเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บริษัทแรกของโลกที่รับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ก่อนหน้านี้ นาย Elon Musk ก็เคยส่งสัญญาณสนับสนุน Bitcoin โดยการเปลี่ยนสถานะบนบัญชีทวิตเตอร์ของเขาเป็นสัญลักษณ์ของ Bitcoin และกล่าวให้การสนับสนุน Bitcoin ผ่านทางนิตยสาร Forbes โดยระบุว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ดี และกำลังจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างจากสังคมในอีกไม่นาน ราคา Bitcoin ขึ้นเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคา Bitcoin ปรับสูงขึ้นโดยมีแรงหนุนมาจากข่าวการเข้าซื้อของบริษัทระดับโลก โดยก่อนหน้านี้ราคา Bitcoin ก็เคยปรับสูงขึ้นจากการเข้าซื้อของ Microstrategy บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่เข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นทรัพย์สินสำรองรวมกันแล้วมากกว่า 70,470 เหรียญ หากลองคิดมูลค่าเป็นเงินบาทไทยคร่าว ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 9.2 หมื่นล้านบาท หรือ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจาก Tesla กับ Microstrategy แล้วยังมีบริษัทหรือองค์กรที่ตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรองอีกมากมาย ไม่ว่าจะ Grayscale บริษัทการเงินรายใหญ่ในสหรัฐฯ ที่มี Bitcoin ในความครอบครองสูงถึง 64,000 เหรียญ หรือแม้แต่สถาบันด้านการศึกษาอย่าง Harvard University ที่ถือครอง Bitcoin รวมกันเป็นมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำไมบริษัทระดับโลกเลือกถือ Bitcoin? การที่บริษัทระดับโลกเหล่านี้ตัดสินใจเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือเป็นสินทรัพย์สำรอง เหมือนกับการที่ธนาคารกลางถือทองคำหรือสกุลเงินต่างประเทศ มาจากความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 จนเศรษฐกิจซบเซา ผลกระทบดังกล่าวทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Federal Reserve) ตัดสินใจใช้มาตรการ Unlimited QE หรือมาตรการพิมพ์เงินไม่จำกัดจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะถึงระดับเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรดาบริษัทและผู้คนทั่วโลกต่างมองหาสินทรัพย์ที่พวกเขาสามารถถือครองและปกป้องความมั่งคั่งของพวกเขาเอาไว้ได้ หนึ่งในตัวเลือกก็คือ Bitcoin นั่นเอง การเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของ Bitcoin นับเป็นอีกสัญญาณที่ชัดเจนว่า Bitcoin กำลังได้รับความนิยมและการยอมรับจากองค์กรระดับโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่เราเรียกว่า “ยุคดิจิทัล” ผู้คนโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับคุณสมบัติของ Bitcoin ที่ได้รับการยอมรับให้เป็น “ทองคำดิจิทัล” อนาคตของ Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลจึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง! อ้างอิง: CNBC, Cointelegraph, Decrypt, Coindesk Bitkub.com แท็ก: Article Basic Bitcoin Knowledge Short Content Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน T-ES-GGREEN และ MRENEW-D: เขียวทั้งพอร์ตกับ 2 กองทุน 2 สไตล์ - FINNOMENA "โจ ไบเดน เป็นผู้ที่มีแพสชั่นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงมาเป็นเวลานานและเชื่อมั่นในสิ่งนี้เสมอมา เชื่อว่าความถูกต้องและความมั่งคั่งต้องไปด้วยกัน" - ข้อความจากเว็บไซต์หลักโจ ไบเดน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของโจ ไบเดน เราจึงขอแนะนำ 2 กองทุน 2 สไตล์ที่เติบโตล้อไปกับแพสชั่นของประธานาธิบดีผู้นี้! 8 ก.ย. 2564 โจ ไบเดน “ผู้บุกเบิกการเปลี่ยนเกมปัญหาสิ่งแวดล้อม” “โจ ไบเดน เป็นผู้ที่มีแพสชั่นเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงมาเป็นเวลานานและเชื่อมั่นในสิ่งนี้เสมอมา เชื่อว่าความถูกต้องและความมั่งคั่งต้องไปด้วยกัน” – ข้อความจากเว็บไซต์หลักโจ ไบเดน ที่มา: https://joebiden.com/climate-plan/ ประโยคข้างต้นคงพิสูจน์ได้ว่า โจ ไบเดน “เอาจริง” และไม่ได้มาเล่น ๆ กับปัญหาสิ่งแวดล้อม สำหรับประธานาธิบดีอุดมการณ์น้ำดีคนนี้ ต่อไปเรามาดูกันถึงข้อพิสูจน์ชี้ชัดที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าโจ ไบเดน ให้ความสำคัญและ “เอาจริง“ กับการแก้ปัญหานี้มาอย่างช้านาน ไทม์ไลน์การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโจ ไบเดน 1986: หนึ่งในผู้บุกเบิกเสนอ “ร่างกฎหมายแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในสภา” ย้อนไปเมื่อครั้งปี 1986 โจ ไบเดน ถือได้ว่าเป็นคนแรก ๆ ที่ทำการเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในสภา และเมื่อไม่นานมานี้ Politifact เว็บไซต์ไม่แสวงผลกำไร ตรวจสอบการกระทำของนักการเมือง ก็ได้กล่าวไว้ว่า โจ ไบเดน “เป็นผู้บุกเบิกการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม” และให้สมญานามการกระทำครั้งนี้ของไบเดนว่า “เป็นการบุกเบิกที่สำคัญ” 1998: หัวเรือหลักในการออกกฎ “อนุรักษ์ป่าเขตร้อน” ในปี 1998 โจ ไบเดน เป็นหัวเรือหลักในการผลักดันการออกกฎหมาย “อนุรักษ์ป่าเขตร้อน” ซึ่งกฎหมายดังกล่าวก็ส่งผลให้ทางสหรัฐฯ ทำข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลชาติอื่น ๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าเขตร้อนได้ โดยเสียสละตนแลกเปลี่ยนกับการผ่อนผันหนี้สินให้ประเทศอื่น ๆ 2006: ไม่ชอบน้ำมัน เน้นลดมลพิษ ในปี 2006 ในสมัยที่โจ ไบเดน ยังเป็นวุฒิสมาชิกในสภา โจ ไบเดน ได้ออกกฎสำหรับการทำอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยคุมเข้มการปล่อยคาร์บอนที่ระดับสูงสุด และลงโทษให้บริษัท Chevron และ BP จ่ายเงินชดเชยเมื่อมีการสร้างมลพิษ อีกทั้งในสมัยที่เป็นรองประธานาธิบดีคู่กับบารัค โอบามา ก็ยังสร้างปรากฏการณ์อย่างการคุมเข้มการปล่อยคาร์บอนในระดับที่สูงสุดที่เคยมีมา ปรับมาตรการคุมเข้มรถและรถบรรทุกในการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็น 2 เท่า และมุ่งเน้นการใช้พลังงานแบบหมุนเวียนไปจนถึงพลังงานสะอาดอีกด้วย สิ่งเหล่านี้คงเป็นจุดชี้ชัดพิสูจน์ให้เห็นว่าโจ ไบเดน คงไม่เสนอนโยบายขายฝันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นต่อไปเราจะมาดูนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของโจ ไบเดน ในยุคปัจจุบันกัน โจ ไบเดน กับ นโยบายพิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกับการลงทุนในกองทุน T-ES-GGREEN และ MRENEW-D เท่าที่ผมได้รวบรวมมาหลัก ๆ นโยบายของโจ ไบเดน เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่อาจส่งผลกับการลงทุนใน T-ES-GGREEN และ MRENEW-D อาจมีดังนี้… ตั้งเป้าจัดงบอัดฉีด 2 ล้านล้านเหรียญ นโยบายด้านพลังงานสะอาด ส่งผลโดยตรงกับ T-ES-GGREEN และ MRENEW-D ที่มีสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งคู่ โดยเฉพาะ T-ES-GGREEN ตั้งเป้าเตรียมงบคลัง 1.7 ล้านล้านเหรียญ เพื่อทำการวิจัยเรื่องเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจสมทบกับงบพัฒนาเศรษฐกิจที่มีส่วนอยู่แล้ว และแผนการนี้จะเป็นการใช้จ่ายในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อ MRENEW-D ที่มีสัดส่วนการลงทุนกลุ่มเทคโนโลยีสายสิ่งแวดล้อม ในระยาวยาว ตั้งเป้าสร้าง “สังคมไร้มลพิษ” ซึ่งมุ่งเน้นให้มีการปล่อยมลพิษเป็น 0 ภายในปี 2050 ส่งผลเชิงบวกกับทั้ง T-ES-GGREEN ที่เน้นการลงทุนในกลุ่มพลังงานทางเลือกและ MRENEW-D ที่มีสัดส่วนเช่นเดียวกัน เข้าร่วม “สนธิสัญญาปารีส” อีกครั้ง (สนธิสัญญาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ) โดยมีชนชาติสำคัญอย่างจีน และยุโรปเข้าร่วม จึงอาจทำให้ทั้ง T-ES-GGREEN และ MRENEW-D ที่มีการลงทุนในสหรัฐได้รับผลเชิงบวกมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชาติพันธมิตรมากขึ้น ส่งผลต่อกองทุน T-ES-GGREEN และ MRENEW-D โดยตรงเพราะ Top Holdings มีบริษัทจากยุโรปซึ่งเป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan สองกองทุนยอดเยี่ยมแทคติคต่างสไตล์ นโยบายที่แตกต่างตอบโจทย์นักลงทุน 2 สไตล์ T-ES-GGREEN นโยบายการลงทุนของ T-ES-GGREEN นั้นจะเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกองทุนต่างประเทศเป็นหลักซึ่งก็คือกองทุน Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure UCITS Fund เป็นหลัก ซึ่งกองทุนที่ว่ามีจุดมุ่งหมาย คือ การสร้างการเติบโตของเงินทุนไปพร้อม ๆ กับเน้นสร้างกระแสเงินสด MRENEW-D นโยบายการลงทุนของ MRENEW-D เน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกองทุนต่างประเทศเป็นหลักเช่นเดียวกัน กองทุนที่ว่าก็คือกองทุน BGF Sustainable Energy Fund ของ BlackRock ซึ่งเป็นกองทุนที่มีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การจัดการสูงที่สุดในโลกถึง 7.32 ล้านล้านเหรียญ (ข้อมูลจาก statista.com ณ สิ้นปี 2019) เข้าใจความแตกต่าง ผ่านสัดส่วนการลงทุนปัจจุบัน กองไหนเน้น “รุก” กองไหนเน้น “รับ” T-ES-GGREEN สัดส่วน Sector การลงทุนของกองทุน Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure UCITS Fund ที่มา: morningstar.com วันที่: 30 กันยายน 2020 หากเรามาดูที่หมวดหมู่อุตสาหกรรม (Sector) ตัว T-ES-GGREEN ก็ดูจะมีความผันผวนน้อยกว่าและมีความมั่นคงมากกว่าสังเกตได้จากสัดส่วนหมวดธุรกิจปัจจุบันที่ลงทุนนั้นยังคงเป็นในหมวด “เชิงรับ” โดยลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภคซะเป็นส่วนใหญ่ (สัดส่วนถึง 82.01%) ธุรกิจในหมวดหมู่สาธารณูปโภคส่วนใหญ่นั้นจะเป็นอะไรที่คนใช้กันโดยทั่วไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ตัวอย่างอาจจะเป็นพวกพลังงานไฟฟ้าต่าง ๆ หรือ น้ำ ซึ่งจะให้รายได้ที่คงที่มากกว่าและผันผวนน้อยกว่า เพราะเป็นสิ่งที่แม้เกิดวิกฤติคนก็ยังต้องใช้ ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ ๆ ท่ามกลางวิกฤติ หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจแบบ “ของมันต้องใช้” ขาดไม่ได้แม้จะย่ำแย่เพียงไหน! แต่ T-ES-GGREEN ก็ยังมีส่วนผสมของหุ้นที่อาจเติบโตได้ในระยะยาวอย่างหุ้นกลุ่ม “เทคโนโลยี” (Technological Sector) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องการให้ราคาไปกับการเติบโตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีหุ้นกลุ่ม “อุตสาหกรรม” (Industiral Sector) ที่อาศัยการผลิตสินค้าต่าง ๆ ซึ่งหากมีคนซื้อเยอะขึ้นรายได้ก็จะเติบโตตามไปด้วย จึงสร้างการเติบโตได้ในอนาคต ดังนั้นหากสรุปแนวทางการลงทุนแล้วตัวกองทุน T-ES-GGREEN ก็ดูจะเป็นไปในเชิง Defensive หรือเชิงรับมากกว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนมั่นคง ผัวผวนน้อย MRENEW-D สัดส่วน Sector การลงทุนของกองทุน BGF Sustainable Energy Fund ที่มา: morningstar.com วันที่: 31 ธันวาคม 2020 หากคุณเป็นสายบู๊วัยรุ่นไฟแรง หรือเป็นวัยทำงานสายเปรี้ยว MRENEW-D อาจจะเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนสาย ESG ที่มองหาการลงทุนที่มีความเป็น “เชิงรุก” สังเกตได้จากข้อแตกต่างในสัดส่วนการลงทุนปัจจุบันที่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม “อุตสาหกรรม” และ “เทคโนโลยี” รวมกันเป็นสัดส่วนถึง 64.57% (เทคโนโลยี 36.89% และ กลุ่มอุตสาหกรรม 26.68%) อีกทั้งยังมีการลงทุนในกลุ่ม วัสดุทั่วไป (Basic Materials) ซึ่งส่วนใหญ่จะอิงตามพวกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งราคามีการเติบโตล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหัวใจสำคัญของการลงทุนใน Sector นี้ก็คือจังหวะเวลา Timing ที่เหมาะสม ในการเข้าร่วมช่วงวัฏจักรขาขึ้น สอดคล้องกับภาวะในตอนนี้ที่เศรษฐกิจค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยที่ราคาสินค้าเหล่านี้ยังไม่สูงเกินไปนัก หวังการ Turnaround ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้น MRENEW-D ก็ยังมีส่วนผสมเชิงรับ ลดความผันผวนอยู่ประมาณหนึ่งอย่างการลงทุนในหุ้นกลุ่ม “สาธารณูปโภค” รวมไปถึง “ของใช้ต่าง ๆ” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน เพราะของเหล่านี้มันต้องใช้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม! ดังนั้นหากสรุปแนวทางการลงทุนแล้วตัวกองทุน MRENEW-D ก็ดูจะเป็นไปในเชิง Offensive หรือเชิงรุกมากกว่า ซึ่งมีส่วนผสมทั้งในรูปแบบของ Growth และ Cyclical Play (จับจังหวะลงทุนหุ้นวัฏจักร) จึงอาจเหมาะสำหรับนักลงทุนเชิงรุกที่เน้นสร้างผลตอบแทนให้เติบโตมากกว่าค่าเฉลี่ย? เทียบตัวชี้วัดความรักษ์โลก T-ES-GGREEN คะแนน Sustainability score ของกองทุน Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure UCITS Fund ที่มา: morningstar.com วันที่: 30 พฤศจิกายน 2020 หากเรามาดูที่ Sustainability Ranking หรือตัวจัดอันดับความยั่งยืนกองทุนที่ใช้วัดความเสี่ยงทางด้าน ESG T-ES-GGREEN นั้นมีอันดับอยู่ที่อันดับ 7 หากเทียบกับการลงทุนในหมวดหมู่เดียวกัน ซึ่งก็ถือได้ว่าติดอันดับ TOP 10 จากทั้งหมด 347 กองทุนทั้งหมดในหมวดหมู่เดียวกัน จึงถือได้ว่าเป็นตัว TOP ทั้งในเรื่องการลงทุนและในเรื่องของความรักษ์โลก MRENEW-D คะแนน Sustainability score ของกองทุน BGF Sustainable Energy Fund ที่มา: morningstar.com วันที่: 30 พฤศจิกายน 2020 หันมาดูทางด้านกองทุนหลักของ MRENEW-D กันบ้างในส่วนของ Sustainability Ranking นั้นถือได้ว่ายืนเป็นอันดับ 1! หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุดในเรื่องรักษ์โลกก็ว่าได้ คะแนนชี้วัดในเชิง ESG ของกองทุน BGF Sustainable Energy Fund ที่มา: BlackRock Fundfact Sheet วันที่: 31 ธันวาคม 2020 นอกจากนั้นกองทุนหลัก MRENEW-D ยังได้รับการการันตีอีกขั้นหนึ่งจาก MSCI หน่วยงานการลงทุนคุณภาพในสหรัฐฯ โดยได้ rating ในระดับ AA จากระดับสูงสุดที่ AAA ในส่วนของ MSCI ESG Fund Rating (AAA-CCC) อีกทั้งยังได้คะแนนคุณภาพในด้าน ESG (MSCI ESG Quality Score) ถึง 7.75 คะแนนเต็ม 10 จึงถือได้ว่า MRENEW-D เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ไปสุดในเรื่องของความรักษ์โลก สัดส่วนหุ้นหลักของ T-ES-GGREEN สัดส่วนหุ้นหลักของกองทุน Brookfield Global Renewables and Sustainable Infrastructure UCITS Fund ที่มา: Brookfield Fundfact Sheet วันที่: 30 พฤศจิกายน 2020 ต่อไปเรามาดูสัดส่วนหุ้นหลัก ๆ ของกองทุนกันบ้าง ซึ่งหากลองดูดี ๆ หุ้นหลัก ๆ แทบทั้งหมดล้วนลงทุนใน sector พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั้งสิ้นสอดคล้องกับการลงทุนใน sector สาธารณูปโภคเชิงรับที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ในที่นี้พลังงานลมและแสงอาทิตย์อาจมาเหนือกว่าการผลิตพลังงานในรูปแบบเดิม ๆ สังเกตได้จากข้อมูลด้านล่างที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ล้วนใช้ต้นทุนที่ต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่าเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่ภาคธุรกิจอาจนำมาปรับใช้อย่างแท้จริง ภาพแสดงต้นทุนของพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ที่มา: รายงาน Industrial Revolution 4.0 Brookfield รีวิวหุ้นหลักของ T-ES-GGREEN 1) EDP Renováveis SA ภาพแสดงกังหันลมผลิตพลังงานของ EDP Renovaveis SA ที่มา: evwind.es วันที่: 19 พฤศจิกายน 2020 บริษัท ผลิตพลังงานทางเลือก สัญชาติกระทิงดุอย่างสเปน ที่เน้นการทำและพัฒนาพลังงานไฟฟ้า จากน้ำ พลังงานลม แสงอาทิตย์ไปจนถึง คลื่น ซากพืช และขยะชีวภาพ โดยดำเนินการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกทั้งในแถบยุโรปและอเมริกา และอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าพลังงานทางเลือกในหมวดนี้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าการสร้างพลังงานในรูปแบบทั่ว ๆ ไป เพราะฉะนั้นพลังงานทางเลือกอาจจะเป็นธุรกิจทางเลือกแห่งอนาคตและสร้างกำไรได้อย่างแท้จริง 2) Orsted A/S บริษัท จากเดนมาร์กเน้นผลิตและจัดจำหน่ายพลังงานทางเลือกแบบครบวงจร มีบริการดูแลลูกค้าสำหรับการจัดจำหน่ายโดยเฉพาะ เชี่ยวชาญทั้งการสร้าง การก่อสร้าง ดูแล และควบคุมการใช้พลังงาน ภาพโลโก้ Amazon ในประเทศเยอรมัน ที่มา: reuters.com วันที่: 10 ธันวาคม 2020 อีกทั้งยังมีแรงสนับสนุนล่าสุดที่ Amazon เข้าเซ็นต์สัญญาสิบปีในการซื้อพลังงานไฟฟ้า พลังงานลมจากฟาร์ม พลังงาน MW Borkum Riffgrund 3 ของ Orsted ผลักดันแผนการอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งไว้อย่างการใช้พลังงานทางเลือก 100% ภายในปี 2030 ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของ Orsted อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ผลักดันราคาหุ้น และชี้ชัดว่าบริษัทเทคโนโลยีผู้นำโลกยังหันมาใช้พลังงานทางเลือกซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ธุรกิจพลังงานทางเลือกจึงอาจเป็นแนวโน้มในอนาคตที่เกาะไปกับกระแสเทคโนโลยีหลักได้เป็นอย่างดี 3) NextEra Energy Inc บริษัท ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสหรัฐฯ ที่เพิ่งสร้างกำไรเพิ่มขึ้น 40% ในไตรมาส 3 ปีที่แล้ว หลังการลงทุนใน Florida Power and Light เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย และลดต้นทุนได้มากขึ้น ส่งผลให้งบปิดปีของ NextEra มีกำไรหลังการปรับ (Adjusted Earnings) เพิ่มขึ้นถึง 10.5% จากปีที่แล้ว ผ่านการสร้างกำไรเพิ่มขึ้นอีก 4.552 พันล้านเหรียญ งบกระแสเงินสด NextEra Energy Inc ที่มา: reuters.com วันที่: 31 ธันวาคม 2019 อีกทั้งทางบริษัท ยังมีการเพิ่มการลงทุนขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้จากรายจ่ายการลงทุน (Capital Expenditures) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทางบริษัทเองก็ยังมีรายได้ที่เป็นบวกอยู่ถึงแม้จะมีการลงทุนต่อเนื่องก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการสร้างรายได้ที่ดีในอดีต จนทำให้บริษัทสามารถลงทุนพัฒนาได้แบบต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด! สัดส่วนหุ้นหลักของ MRENEW-D สัดส่วนหุ้นหลักของกองทุน BGF Sustainable Energy Fund ที่มา: BlackRock Fundfact Sheet วันที่: 31 ธันวาคม 2020 Top Holdings หลัก ๆ ของกองทุนนี้มีความน่าสนใจตรงที่ ตัวกองทุนมีส่วนผสมทั้งความเป็นเทคโนโลยีเน้นเติบโตและความเป็นกลุ่มสาธารณูปโภคเชิงรับ โดยมีบริษัทอย่าง SCHNEIDER ELECTRIC SE ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดการพลังงานโดยใช้เทคโนโลยี SAMSUNG SDI CO LTD ที่พัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์แบบลดการปล่อยมลภาวะ รวมถึงแบตเตอรี่แบบลิเธียม ไอออน ชาร์จซ้ำ ที่กำลังเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมมือถือ ในขณะที่ยังมีความเป็นเชิงรับผ่านบริษัทที่สร้างและพัฒนาพลังงานสะอาดอย่าง NEXTERA ENERGY INC และ ENEL SPA รีวิวหุ้นหลักของ MRENEW-D 1) NEXTERA ENERGY INC บริษัท ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากลมและแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในสหรัฐฯ และมีการลงทุนรวมถึงมีกระแสรายได้ที่ต่อเนื่อง ดังที่กล่าวไว้ในส่วนก่อนหน้า 2) ENEL SPA บริษัท พลังงานทางเลือกน้ำดีจากอิตาลี ดำเนินการอยู่ในยุโรปและประเทศอื่น ๆ อีกกว่า 30 ประเทศไม่ว่าจะเป็น อเมริกา แอฟริกา เอเชีย ไปจนถึงโอเชียเนีย เป็นเสาหลักของธุรกิจและครัวเรือนกว่า 74 ล้านแห่ง ในด้านของการจ่ายพลังงาน อีกทั้งยังมีรายได้ที่เรียกได้ว่าเติบโตแบบต่อเนื่องแบบขาขึ้นอย่างแท้จริง ภาพแสดงรายได้และกำไรต่อหุ้นของ ENEL SPA ที่มา: reuters.com รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง 3) SCHNEIDER ELECTRIC SE บริษัทให้บริการจัดการ การใช้พลังงานโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย สำหรับครัวเรือน ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ไปจนถึง data centers และอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการเติบโตทั้งกำไร รายได้แบบต่อเนื่อง ภาพแสดงรายได้และกำไรต่อหุ้นของ SCHNEIDER ELECTRIC SE ที่มา: reuters.com มีการเติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร สรุปความเห็นกองทุนสีเขียวต่างสไตล์ ทั้งสองกองทุนเป็นกองทุนในธีม ESG ที่สอดคล้องล้อไปกับนโยบายการกระตุ้นอัดฉีดพัฒนาของโจ ไบเดน ที่ นโยบายกระชับความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรอย่างยุโรปอาจช่วยสนับสนุนกองทุนหลัก ๆ ของทั้งสองกองทุน MRENEW-D มีความเป็นเชิงรุกมากกว่า T-ES-GGREEN ที่เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนเชิงรับในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดออกมาได้ด้วย MRENEW-D สามารถลงทุนล้อไปกับโจ ไบเดน ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าได้เป็นอย่างดีจากนโยบายสนับสนุนเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม T-ES-GGREEN เป็นกองทุนที่น่าสนใจจากการจัดงบของ โจ ไบเดน ถึง 2 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งส่งผลโดยตรงกับกองทุน MRENEW-D เป็นกองทุนแบบจ่ายปันผล ในขณะที่ T-ES-GGREEN ไม่จ่ายปันผล ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” References https://www.advratings.com/top-asset-management-firms https://www.bbc.com/news/election-us-2020-53575474 https://www.blackrock.com/americas-offshore/en/literature/fact-sheet/bgf-sustainable-energy-fund-class-e2-usd-factsheet-lu0124386052-lm-en-intermediaries.pdf https://www.evwind.es/2020/11/19/edp-renewables-signs-63-mw-ppa-with-novartis/78190 https://joebiden.com/climate-plan/ https://www.morningstar.co.uk/uk/funds/snapshot/snapshot.aspx?id=F000015OBX&tab=3 https://www.morningstar.co.uk/uk/funds/snapshot/snapshot.aspx?id=F0GBR04KF3&tab=3 https://www.nexteraenergy.com/sustainability/overview/about-this-report/by-the-numbers.html https://publicsecurities.brookfield.com/~/media/Files/B/Brookfield-BIM-V4/documents/ucits/brookfield-global-rewewable-sustainable-infrastructure-ucits-fund/Brookfield%20Global%20Renewables%20and%20Sustainable%20Infrastructure%20UCITS%20Fund%20Brochure_Web.pdf https://www.reuters.com/article/idUSKBN28K1NV https://www.reuters.com/article/idUSL4N2HC2LZ https://www.reuters.com/companies/SCHN.PA/profile https://www.thanachartfundeastspring.com/PDF/FIF/FFS/IE00BKVDGT87.pdf แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW Long Content MRENEW-D Product Info T-ES-GGREEN แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน KFGBRAND-A เพราะ "มูลค่า" ให้คุณได้มากกว่าผลตอบแทน - FINNOMENA การลงทุนในสินทรัพย์ที่ซ่อนมูลค่าที่แท้จริงอย่าง “มูลค่าในเชิงแบรนด์” (Brand Value) ถือว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่มีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ราคาของหุ้น แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นมูลค่าที่ว่านั้นได้ และกองทุนที่มองเห็นเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่นั้นอาจจะเป็น KFGBRAND-A กองทุนที่ลงทุนในธุรกิจแข็งแรงโดยที่เราไม่ต้องเปลืองแรงหาหุ้นเอง 8 ก.ย. 2564 การลงทุนในสินทรัพย์ที่ซ่อนมูลค่าที่แท้จริงอย่าง “มูลค่าในเชิงแบรนด์” (Brand Value) ถือว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจชั้นเยี่ยมที่มีศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใต้ราคาของหุ้น แต่จะมีสักกี่คนที่มองเห็นมูลค่าที่ว่านั้นได้ อย่างไรก็ตามกองทุนที่มองเห็นเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่อาจจะเป็น KFGBRAND-A ที่ลงทุนใน Morgan Stanley – Global Brand Funds จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามได้ในการรีวิวครั้งนี้เลยครับ ทำไมต้อง “Brand” เป็นสินค้าที่มีความต้องการอยู่เสมอ ๆ ผู้คนให้คุณค่า โดดเด่นเหนือคู่แข่งทำกำไรได้ต่อเนื่องมากกว่า จากความต้องการอันเหลือล้นของลูกค้า ธุรกิจมีความยั่งยืนแข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดที่ยั่งยืนต่อเนื่อง จากความต้องการของลูกค้า เป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้า และเป็น “Top of Mind” เวลาคนนึกถึงสินค้าประเภทนั้น ๆ เสมอ เช่น สมาร์ทโฟนต้อง IPhone เป็นต้น ขายสินค้าใหม่ ๆ ได้ทุกเมื่อไม่ต้องกลัวขายไม่ออก ธุรกิจที่มีมูลค่าในเชิง Brand สูง สามารถขึ้นราคาสินค้าได้สูง ทำให้รายได้สูงตามไปด้วย KFGBRAND-A ลงทุนในอะไร? KFGBRAND-A ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brand Funds ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในบริษัทระดับโลกต่างๆ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีความมั่นคง ทำไมถึงต้องลงทุนใน KFGBRAND-A 1) ลงทุนในหุ้นคุณภาพเยี่ยม เลือกลงทุนใน บริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน และลดความเสี่ยงของการขาดทุน โดยตัวกองทุนมีการสร้างสมดุลให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ได้รับ 2) มีมูลค่าใน Brand ที่แข็งแกร่ง ทางกองทุนเฟ้นหาบริษัท ที่ยากจะมีใครเหมือน มีสินทรัพย์ในเชิงมูลค่า เช่น แบรนด์, ลิขสิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงโครงข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยธุรกิจที่มีทรัพย์สินเหล่านี้มักจะสร้างยอดขายและรายได้อย่างต่อเนื่อง มีความมั่นคงยั่งยืนอีกทั้งยังมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของนักลงทุนจะถูกนำไปขยายธุรกิจได้อย่างคุ้มค่า และเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3) มีความแข็งแกร่งแม้ภาวะตลาดไม่เป็นใจ ทางกองทุนพิสูจน์ผ่านวิกฤติมาแล้วว่าถึงแม้ภาวะตลาดจะเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือไม่เป็นใจเพียงใด การขาดทุนนั้นยังถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ปกป้องผลตอบแทนได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการรักษาผลตอบแทน สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan เป้าหมายการลงทุนของ KFGBRAND-A สร้างการเติบโตในระยะยาวผ่านบริษัทที่มีศักยภาพสูง มีความสามารถในการครองตลาด ไม่ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจ มีมูลค่าในเชิงแบรนด์หรือมีผลกระทบในเชิงมูลค่าต่อความรู้สึกของลูกค้า เพื่อให้ได้หุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้แบบเหนือชั้น มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่อง ผลตอบแทนโดดเด่นเหนือดัชนีชี้วัด (Benchmark) ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ภาพแสดงผลตอบแทนกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds (กองทุนแม่ของ KFGBRAND-A) เทียบกับดัชนีหุ้นโลก (MSCI World) ที่มา : www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 ในด้านของผลตอบแทนก็ถือได้ว่าทำได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงขนาดที่เทียบกับดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI World Index ก็อยู่ในระดับที่เหนือกว่ามาโดยตลอด อีกทั้งยังแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ และขาดทุนน้อยกว่า โดยผ่านบทพิสูจน์มาทั้งช่วงวิกฤติปี 2008 รวมถึงวิกฤติล่าสุดอย่างวิกฤติ COVID-19 ที่มีการลดลงของเงินทุนที่น้อยกว่า นอกจากนั้นในช่วงที่ภาวะตลาดเป็นใจทางกองทุนเองก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อย่างเหนือชั้นและเอาชนะ “ดัชนีหุ้นโลก” ไปได้ด้วยเช่นกัน ทำไม KFGBRAND-A ถึงเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ ภาพแสดงสัดส่วน Sector หลักของกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds ที่มา :.www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 สัดส่วนหลัก ๆ เน้นหนักของกองทุน KFGBRAND-A ในตอนนี้ก็ถือได้ว่าลงทุนเน้นหนักในกลุ่ม Concumer Staples (สินค้าจำเป็น) ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในช่วงขาลง ของภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนในตอนนี้ เนื่องจากกลุ่มสินค้าจำเป็น เป็นธุรกิจที่ยังสามารถสร้างรายได้ ได้ในยามวิกฤติจากข้าวของ เครื่องใช้ ที่ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างใดก็จำเป็นกับความเป็นอยู่ของผู้คน หรือจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่เล่นกับ “ปัจจัย 4” ของคนก็ว่าได้ อีกทั้งยังมีการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นกลุ่มผู้นำเหนือชั้น การเติบโตเยี่ยม ที่ฝ่าฟันทะลุผ่านวิกฤติมาได้ ดังนั้นจึงถือได้ว่าสัดส่วนในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมและน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะมีสัดส่วนหลักอย่างการลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้นำอย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีการลงทุนในหุ้นที่สร้างรายได้ ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของกองทุนอย่างการสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง! ป้องกันการปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยีที่ขึ้นมาแบบมองข้ามช็อต ไม่สนมูลค่า! ลงทุนในธุรกิจฐานแข็งแรง มีมูลค่าในเชิง Brand ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักของกองทุน Morgan Stanley – Global Brand Funds ที่มา : www.morganstanley.com ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 ของมันต้องใช้! ธุรกิจใน KFGBRAND-A อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด ต่อไปเราจะมาเจาะลึกธุรกิจหลัก ๆ ที่ทาง KFGBRAND-A กำลังลงทุนอยู่ในตอนนี้ว่ามีศักยภาพและใกล้ตัวทุกคนขนาดไหน 1) Reckitt Benckiser บริษัท ขายสินค้าใกล้ตัวยามจำเป็นแม้ยามวิกฤติ Reckitt Benckiser เป็นบริษัท จากเมืองผู้ดีมีสินค้าชั้นนำคุ้นหูมากมายไม่ว่าจะเป็น Dettol ผู้นำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผู้คนต้องมีติดบ้าน, Veet สินค้าสำหรับคุณผู้หญิงที่แม้ยามวิกฤติก็ยังต้องใช้ เพราะ คงไม่มีใครอยากให้ขนมาเป็นปัญหากวนใจ และส่งผลต่อภาพลักษณ์ หรือจะเป็น Brasso สินค้าที่หากใครได้ยินก็คงนึกถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมสมัยวัยรุ่น และ Durex ของที่ขาดไม่ได้ เพราะ คงไม่มีใครอยากติดโรคร้ายรักษาไม่หาย โดยรวมแล้ว Reckitt Benckiser จึงเป็นผู้นำของใช้ที่ยากจะหยุดซื้อ และเป็นหนึ่งในบริษัทที่แข็งแกร่ง 2) Microsoft หนึ่งในหุ้นกลุ่มผู้นำสุดแกร่งนำทีมโดย CEO หัวใสก้าวไกลอย่าง Satya Nadella ผู้นำบริษัทที่ทำให้ Microsoft เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤติ อีกทั้งยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Cloud ธุรกิจเก็บข้อมูลแห่งอนาคต ที่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ในธุรกิจ เพราะ คงไม่มีธุรกิจไหนไม่ต้องเก็บข้อมูล ดังนั้นหาก Cloud ของ Microsoft มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในอนาคตคงไปเข้า Gap กับธุรกิจ “ขายจอบ” หรือธุรกิจที่สร้างเครื่องมือสนับสนุนธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างการเติบโตของธุรกิจเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว 3) Philip Morris สิ่งหนึ่งที่ Philip Morris ยากที่จะมีใครเหมือนคือการขายสินค้าที่มีความต้องการต่อเนื่อง ไม่แพ้ Coca-cola อย่างบุหรี่ เพราะ หากว่ากันถึงสารพิเศษที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้โดดเด่น และทำให้ทุกคนติดอกติดใจอย่าง “กาเฟอีน” ใน โค้กแล้ว “นิโคติน” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของสินค้าอย่างบุหรี่ Philip Morris เป็นเจ้าของยาสูบแบรนด์ดังอย่าง Marlboro ที่มีชื่อติดหูนักสูบหลาย ๆ ท่าน อีกทั้งยังเคยติดอันดับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สูงจากรายได้ในอันดับที่ 108 ของ Fortune 500 มาแล้วอีกด้วย 4) Accenture บริษัท ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ (Business Consulting) สัญชาติไอริชที่ใช้เทคโนโลยีมาประสานงานกับการให้คำปรึกษาควบคู่กันไปด้วย มีความเชี่ยวชาญในกว่า 40 อุตสาหกรรม และลูกค้าถึง 513,000 รายในกว่า 120 ประเทศทั่วโลกที่ไว้วางใจให้ Accenture เสริมสร้างและพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น Apple, Amazon ในบริการ Web Services, Facebook, Alphabet, Microsoft รวมถึง SAP หรือจะเรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว Accenture ล้วน partner กับธุรกิจเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ที่พร้อมเติบโตทั้งสิ้น! 5) Visa ผู้ให้บริการระบบจ่ายเงินและทำธุรกรรมออนไลน์อันเลื่องชื่อ เติบโตสอดคล้องและล้อไปกับเทรนด์ธุรกิจมาแรงในปัจจุบันอย่างธุรกิจ E-commerce ซึ่งถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามอง หลัง COVID-19 เข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักสำคัญสำหรับสังคมไร้เงินสดใช้จ่ายออนไลน์ในอนาคต สรุปจุดเด่นกองทุน KFGBRAND-A เป็นกองทุนที่มีความมั่นคงจากมูลค่าในเชิงแบรนด์ ซึ่งเป็นศักยภาพเชิงแฝงที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจ ลงทุนในบริษัท ที่ยั่งยืนแข็งแกร่งลดการขาดทุนยามวิกฤติ เหมาะสำหรับรักษาผลตอบแทน ลงทุนในบริษัทที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่องแข็งแกร่ง สามารถนำเงินที่ได้ไปพัฒนาธุรกิจสร้างการเติบโตเพิ่มเติม ได้รับรางวัลการันตี 5 ดาว จาก Morningstar* *ข้อมูลจาก Morgan Stanley Factsheet วันที่ 31 กรกฎาคม 2020 สรุปโดยรวมแล้ว KFGBRAND-A เป็นกองทุนหนึ่งที่ดีกองหนึ่งสำหรับปกป้องผลตอบแทนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลงทุนในบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง มั่นคงทนทานต่อสภาวะตลาด อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมเหนือดัชนีหุ้นโลก และหากใครสนใจศึกษาข้อมูลเบื้องลึก ถึงคำแนะนำเพิ่มเติมของ FINNOMENA สำหรับลูกค้า DIY ที่ปรับการลงทุนเพิ่มเติมเข้ามาใน KFGBRAND-A คลิกที่นี่ ได้เลยครับ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan References https://www.morganstanley.com/im/en-be/intermediary-investor/funds-and-performance/morgan-stanley-investment-funds/equity/global-brands.shareClass.Z0.html https://www.morganstanley.com/im/publication/msinvf/factsheet/g1/fs_msinvf_globalbrands_z_fr.pdf?1599114339882 https://www.morganstanley.com/im/publication/msinvf/investmentidea/ii_msinvf_globalbrands_en.pdf?1598931793864 Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน I ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ I สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW KFGBRAND-A Long Content Product Info แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สำรวจกำไรของหุ้น 5 ลำดับแรกใน ARKK - FINNOMENA ช่วงนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง ETF สุด Hot !! ARKK ETF โดยปี 2020 ที่ผ่านมา ARKK ETF ทำผลตอบแทนไปถึง 152.51% แต่จะมีใครกี่คน ที่ลงไปดูหุ้นใน ARKK ว่ามีกำไรมากน้อยแค่ไหน บทความนี้เรามาสำรวจกันว่า หุ้น 5 ลำดับแรก ใน ARKK มีกำไรหรือยัง? 15 ก.พ. 2564 ช่วงนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง ETF สุด Hot !! ARKK ETF ปี 2020 ที่ผ่านมา ARKK ETF ทำผลตอบแทนไปถึง 152.51% (Fact Sheet December 31, 2020) แต่จะมีใครกี่คน ที่ลงไปดูหุ้นใน ARKK ว่ามีกำไรมากน้อยแค่ไหน บทความนี้เรามาสำรวจกันว่า หุ้น 5 ลำดับแรก (ตามตารางข้างล่าง) ใน ARKK มีกำไรหรือยัง หมายเหตุ: ตัวเลขต่าง ๆ เป็นการประมาณการณ์ ไม่ใช่ตัวเลขจริงในอนาคต สัดส่วน ณ วันที่ 29 ม.ค. 2021 ที่มา: https://ark-funds.com/arkk TESLA INC Tesla, Inc. ออกแบบ พัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และผลิตภัณฑ์กักเก็บพลังงาน ข้อมูลจาก stockpedia วันที่ 1-Feb-2021 Tesla, Inc. แม้ว่าจะมี PE ที่สูงมากกว่า 150 แต่ EPS เติบโตในอนาคตกลับมีโอกาสเติบโตมากขึ้น ปี 2021 นักวิเคราะห์ประเมินว่าจะมี EPS ประมาณ USD 4.1 ซึ่งจะเติบโตมากขึ้นไปอีกในปี 2021 สรุปคือ มีกำไรและมีแนวโน้มเติบโตขึ้น Roku Inc “Roku” เป็น Streaming Device ที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือ และอีกหลายทวีปทั่วโลก เป็น Platform สตรีม TV ช่องต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบรายการสด และวีดีโอ รวมถึงดูหนัง หรือรายการทีวีที่ท่านชื่นชอบ มี function ที่ค่อนข้างคล้ายกับ Apple TV แต่ Roku มีราคาค่อนข้างต่ำกว่ามาก รวมถึงช่องรายการที่หลากหลายกว่า และการใช้งานที่ง่ายกว่า ในปี 2013 CNET ได้จัดให้ Roku เป็น TV Streaming Device ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเมื่อเทียบกับ Apple TV, Chromecast และ Amazon Fire ข้อมูลจาก stockpedia วันที่ 1-Feb-2021 ROKU ยังไม่มีกำไรในปี 2020 แต่ยอดขายมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงมากกว่า 30% และมีการคาดการณ์ว่าจะขาดทุนน้อยลง สรุปคือ ยังไม่มีกำไร TELADOC HEALTH INC “Teladoc” ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาระบบเครือข่ายโทรศัพท์และ video conferencing ที่เข้ามาช่วยเชื่อมโยงระหว่างคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ ผ่านโทรศัพท์ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในชื่อ “Telehealth” เพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ทั่วโลกเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 โดยที่ มี brand เป็น Teladoc, Advance Medical, Best Doctors, BetterHelp และ HealthiestYou ข้อมูลจาก stockpedia วันที่ 1-Feb-2021 Teladoc ยังไม่กำไรในปี 2020 แต่ยอดขายมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงมากกว่า 60% และมีการคาดการณ์ว่าจะขาดทุนน้อยลง สรุปคือ ยังไม่มีกำไร SQUARE INC SQUARE เป็น commerce ecosystem บริษัทช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเริ่มต้นดำเนินธุรกิจและขยายธุรกิจได้ ให้บริการระบบการขายหน้าร้าน (Point of sale) การชำระเงินต่าง ๆ โดยทาง CIO ของ ARK บอกว่า Square เป็นการ Disruption ของ bank ข้อมูลจาก stockpedia วันที่ 1-Feb-2021 SQUARE มีกำไรแล้วในปี 2020 และยอดขายมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงมากกว่า 40% สรุปคือ มีกำไร CRISPR THERAPEUTICS AG นอกจาก AI แล้ว หนึ่งในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต ก็มี genomics ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมการแพทย์ ครีสเปอร์ (CRISPR) หรือ Clustered Regularly Interspaced Palindromic Repeats เป็นเครื่องมือด้านชีววิทยา (Biology) เพื่อใช้ในการตัดต่อพันธุกรรม (DNA) ของสิ่งมีชีวิตที่มีความแม่นยำ ทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีอื่น ข้อมูลจาก stockpedia วันที่ 1-Feb-2021 CRISPR THERAPEUTICS ยังไม่มีกำไร สรุปคือ ยังไม่มีกำไร โดยสรุป มีแค่ TESLA และ SQUARE ที่มีกำไรในปี 2020 ส่วนหุ้นตัวอื่นมีแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้นแม้ยังไม่มีกำไร ดังนั้นนักลงทุนจะต้องเข้าใจในการลงทุนใน ARKK ETF ว่าเขาเน้นลงทุนใน Growth Stock ที่มีแนวโน้มกำไรในอนาคต ความเสี่ยงจะสูงกว่า ETF กลุ่มอื่น ๆ เป็น High Risk มาคู่กับ High Return WealthGuru **สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ สามารถดูรายละเอียดและลงชื่อรับบริการได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/port/wealthguru/ แท็ก: Advance ARK ARK Investment ARKK Article ETF GURUPORT Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน WealthGuru คุณ สมพจน์ พัดสุวรรณ CEO BMK Wealth Management ผู้ก่อตั้งเพจ WealthGuru
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
GameStop: สงคราม (หุ้น) ประชาชน - FINNOMENA ปรากฏการณ์หุ้น GameStop (GME) ปรับตัวขึ้นจากราคาประมาณ 17 เหรียญตอนต้นปีเป็น 325 เหรียญในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 19 เท่าในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้น  เป็นข่าวที่ดังไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก มาทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้กันครับ 1 ก.พ. 2564 ปรากฏการณ์หุ้น GameStop (GME) ปรับตัวขึ้นจากราคาประมาณ 17 เหรียญตอนต้นปีเป็น 325 เหรียญในวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 19 เท่าในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้น เป็นข่าวที่ดังไปทั่วอเมริกาและทั่วโลกและไม่ใช่เฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น ว่าที่จริงย้อนหลังไปเพียง 1 ปี หุ้นตัวนี้มีราคาแค่ประมาณ 4 เหรียญ ซึ่งเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นตัวนี้จะได้กำไรถึง 80 เท่าในเวลาเพียง 1 ปี และ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 680,000 ล้านบาท จากมูลค่าประมาณ 8,500 ล้านบาทเมื่อ 1 ปีก่อน GME เป็นบริษัทขายปลีกวิดีโอเกมและอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสาขาประมาณ 5,500 แห่งทั่วสหรัฐ และประเทศอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทก็ขาดทุนมาตลอดเนื่องจากธุรกิจถูก Disrupt เพราะผู้บริโภคหันมาซื้อเกมออนไลน์แทนที่จะไปซื้อแผ่นที่ร้าน ราคาหุ้น GME เมื่อประมาณ 7 ปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 55 เหรียญต่อหุ้นจึงตกต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เฮดจ์ฟันด์ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้มาเรื่อย ๆ จนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทำให้มีรายการขายชอร์ตค้างอยู่ถึง “ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์” ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งหมายความว่าหุ้นบางหุ้นถูกยืมมาขายมากกว่า 1 ครั้ง และคนที่ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้ ซึ่งมักจะเป็นเฮดจ์ฟันด์ผู้เชี่ยวชาญการชอร์ตหุ้นก็คงทำกำไรไปไม่น้อยมาตลอด การระบาดของโควิด-19 เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิด “นักลงทุนรุ่นใหม่” จำนวนมากที่มาจากคนที่ตกงานและคนที่ต้องทำงานที่บ้าน พวกเขาไม่ค่อยได้ไปไหนและไม่มีงานทำมากนักแต่ยังต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในเวลาเดียวกันนั้น ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กลับปรับตัวขึ้นแรงและเร็วมาก อานิสงส์จากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือเนื่องจากการอัดฉีดของรัฐบาลเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ตามมาจากโควิด ทำให้ดูเหมือนว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นจะง่ายและเร็วกว่าการทำอย่างอื่น ดังนั้น คนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่ทำได้ง่ายมากเนื่องจากระบบที่เอื้ออำนวยให้กับนักลงทุนรายย่อยเช่น Platform การซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood ที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมากไม่ว่าจะซื้อหรือขายกี่หุ้น คนหนุ่มสาวที่เข้ามาลงทุนหรือ “เล่นหุ้น” นั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความรู้หรือข้อมูลที่จะช่วยตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากนัก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็หวังที่จะเทรดหุ้นหรืออ็อปชั่นที่มีราคาผันผวนมาก ๆ เพื่อให้ได้กำไรเร็วและมากที่สุด ดังนั้น สิ่งที่เขาทำก็คือการเข้าไปในเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Reddit และเข้าไปดูหรือพูดคุยในห้องที่เกี่ยวกับการเทรดหรือซื้อขายหุ้นแนวเก็งกำไรที่ชื่อว่า WallstreetBets และสิ่งที่เขาพบเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือการพูดคุยคอมเม้นต์หุ้นตัวหนึ่งที่ชื่อว่า GameStop ที่หลายคนมีความเห็นว่าน่าสนใจและ “น่าเล่น” แต่สิ่งที่น่าจะเป็นตัว “จุดชนวน” ให้หุ้นตัวนี้ “ระเบิด” หรือราคาวิ่ง “ทะลุฟ้า” ก็คือการที่มีคนออกมาโพสท์ว่าหุ้น GME นั้นมีการชอร์ตไว้เกินกว่าจำนวนหุ้นที่มีคือประมาณ 70 ล้านหุ้น และนี่น่าจะประกอบกับการที่ Ryan Cohen อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท Chewy ที่ขายปลีกสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผ่านออนไลน์ได้สำเร็จ ได้เข้ามาซื้อหุ้นกว่า 10% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และได้เป็นกรรมการของบริษัทในวันที่ 11 มกราคมและบอกว่าจะปรับให้ GME ขายออนไลน์แบบเดียวกัน สิ่งที่คนใน WallstreetBets ซึ่งมีจำนวนสมาชิกถึง 3 ล้านราย “บอกต่อ ๆ กัน” ก็คือ หุ้น GME นั้น ที่ไม่ได้ไปไหนเลยและทำให้รายย่อยที่เล่นขาดทุนหนักเพราะถูกพวกขาใหญ่หรือเฮดจ์ฟันด์ ขายชอร์ตเซลอย่างหนัก การที่จะต่อสู้หรือ “แก้แค้น” กับคนพวกนี้ก็คือ พวกเราต้องซื้อหุ้นและไม่ให้ใครยืม ซื้อไปเรื่อย ๆ และเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งคนที่ชอร์ตไว้ก็จะต้องมาซื้อหุ้นคืน แต่จะซื้อได้อย่างไรถ้าจำนวนหุ้นที่มีอยู่มีไม่พอ ผลก็คือ ราคาหุ้น GME ปรับตัวขึ้นไปเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์ต่อวันและขึ้นไปเรื่อย ๆ ภายในเวลา 10 วันหุ้นขึ้นไป 10 เท่า สิ่งนี้ในภาษาของชาวหุ้นก็คือการทำ “Short Squeeze” คนที่ขายชอร์ตหุ้นไว้ต้องซื้อหุ้นคืนในราคาแพงขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อ “หนีตาย” คนที่ขายชอร์ตหุ้นไปในราคา 30 เหรียญอาจจะต้องซื้อคืนในราคา 300 เหรียญ “เจ๊ง” ไปตาม ๆ กัน กองทุนเฮดจ์ฟันด์บางกองต้องปิดตัวลง เซียนชอร์ตเซล เช่น Citron Research ซึ่งเคยสร้างชื่อไว้มากมายในการชอร์ตหุ้นและได้เข้ามาชอร์ต GME ด้วยก็เจ็บตัวอย่างหนัก และผู้บริหารบอกว่า “ขาดทุน 100%” โดยรวมแล้ว คนที่ทำชอร์ตหุ้น GME ขาดทุนไปประมาณ 150,000 ล้านบาท ความสำเร็จของการ “ต่อสู้” ของนักเล่นหุ้นรายย่อยในกรณีของหุ้น GME เริ่มลามต่อไปในหุ้นตัวอื่น ๆ ที่อาจจะมีคุณลักษณะคล้าย ๆ กัน ตัวอย่างเช่น หุ้น AMC ที่ทำโรงหนังและหุ้นตกย่ำแย่เนื่องจากโควิด-19 ซึ่งผลก็คือ หุ้นขึ้นจาก 5 เป็น 20 เหรียญ ในที่ 27 มกราคม 64 หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าในวันเดียว เช่นเดียวกับหุ้นอย่างผู้ผลิตโทรศัพท์แบล็คเบอรี่ที่เคยโด่งดังในอดีตก็กำลังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นอกจากนั้น ข่าวล่าสุดจากตลาดหุ้นมาเลเซียก็คือ มีคนตั้งห้องหุ้นเลียนแบบ WallstreetBets ชื่อว่า Bursabets เพื่อที่จะขับดันราคาหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มโดยเฉพาะที่ผลิตถุงมือยางที่พวกเขาบอกว่าราคาหุ้น “ถูกเกินไป” ผมไม่รู้ว่าในตลาดหุ้นไทยจะมีแบบนี้ไหม เพราะดูไปแล้วนักเล่นหุ้นรายย่อยของเราน่าจะมีฝีมือไม่แพ้นักเล่นหุ้นมาเลเซียในด้านของการเก็งกำไร หลังเหตุการณ์ GME เพียงไม่กี่วัน จำนวนสมาชิก WallstreetBets เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนกลายเป็น 5 ล้านคน พวกเขาคุยกันถึงกำไรที่ได้มาง่าย ๆ และมีความสุข คนตกงานที่มีลูกอ่อนและต้องกลับมาเลี้ยงลูกที่บ้านพูดว่า “วันนี้ได้เตียงใหม่ให้ลูก” เด็กอายุ 16 ปีใช้ชื่อพี่ชายซื้อขายหุ้นได้กำไรวันเดียวหลายหมื่นบาท และก็มีบางคนที่ถูกกล่าวขวัญถึงว่าทำเงินจาก 5 หมื่นเหรียญเป็น 22 ล้านและอีกวันเป็น 48 ล้านเหรียญเพราะถือหุ้น GME มาเป็นปี ทั้งหมดนี้พวกเขาคิดว่า “เราทำได้” ไม่ใช่เฮดจ์ฟันด์หรือคนในวอลสตรีทฝ่ายเดียวที่จะรวยแบบง่าย ๆ เพราะได้เปรียบและมี “อภิสิทธ์” เหนือ “ประชาชน” แน่นอนว่า “คนดัง” จำนวนมากต่างก็เข้ามา “เกาะกระแส” อีลอนมัสก์ออกมา “เชียร์” ว่า รายย่อยเหล่านี้ “โคตรเจ๋ง” มันคงคล้าย ๆ กับหุ้นเทสลาที่โดนกองทุนและรายใหญ่ขายชอร์ตก่อนที่จะต้อง “เจ๊ง” เพราะหุ้นเทสลาขึ้นเอา ๆ จนมัสก์กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก หลังจากคอมเม้นต์ของมัสก์ออกไป หุ้น GME ก็วิ่งขึ้นไปอีก 100% ทางฝ่ายการเมืองเองนั้น Elizabeth Warren ผู้นำของสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครทก็ออกมาเชียร์สนับสนุน “เม่า” ทั้งหลายว่า “ไม่ได้ทำอะไรผิด” ในอีกซีกหนึ่งก็คือผู้นำและฝ่ายที่คุมกฎที่เป็น “เจ้าหน้าที่” รวมถึงผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งก็คือผู้บริหารกองทุนทั้งหลายต่างก็ออกมา “โจมตี” และกล่าวโทษว่ากรณีของ GME นั้น อาจจะมีการ “แฮ็ค” ข้อมูลหรือมีการร่วมกัน “ปั่นหุ้น” ที่ผิดกฎของตลาด จะต้องมีการตรวจสอบและเอาผิดตามกฎหมายมิฉะนั้นตลาดหลักทรัพย์ก็จะหมดความน่าเชื่อถือและจะไม่สามารถเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็คงเอาผิดได้ยากกับคนเป็น “ล้าน” กรณี GME ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแตกแยกทางความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวที่มักเป็นคน “ด้อย” กว่าในสังคมที่มักจะถูก “กดขี่” ถูก “เอารัดเอาเปรียบ” โดยคนสูงอายุกว่าและมีอำนาจกว่าและมี “ความโลภ” มากกว่า ที่ทำอะไรก็ “ไม่ผิด” เพราะอาศัยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์รวมถึงการตีความจากฝ่ายเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ขาใหญ่สามารถ “รวมหัวกัน” ชอร์ตเซล แล้วก็ออกมาป่าวประกาศว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องลงเพราะเหตุผลต่าง ๆ รวมถึงการที่นักวิเคราะห์ช่วยกันแนะนำให้ขายหุ้นโดยไม่มีความผิด แต่พอนักลงทุนรายย่อยคุยปรึกษากันในเว็บกลับถูกข่มขู่ว่าจะถูกเล่นงาน เป็นต้น ดังนั้น นี่เป็นเวลาที่คนตัวเล็ก ๆ จะต้องรวมพลังผ่านสื่อสังคมเพื่อตีโต้กลับ และ “เราจะต้องเป็นฝ่ายชนะ!” และทั้งหมดนั้นก็คือ “กระแส” ของโลกยุคใหม่ที่จะมีความเป็น “ประชาธิปไตย” มากขึ้นมากในทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง-และตลาดหุ้น ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น มีสิทธิมีเสียงมากขึ้น คน “ตัวเล็ก” ทุกคนจะมีความหมายด้วยการรวมพลังผ่านสื่อที่ทรงประสิทธิภาพนั่นก็คืออินเตอร์เน็ตที่จะสามารถล้ม “ระบบเก่า” ที่เป็นอยู่มาช้านานได้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/02/01/2456 แท็ก: Advance Article GameStop Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน B-INNOTECH เทคโนโลยีไม่ใช่แค่กระแส แต่คือมาตรฐานใหม่ - FINNOMENA กองทุน B-INNOTECH เป็นหนึ่งในกองเด็ดของ บลจ. บัวหลวง เพิ่งตั้งกองทุนมาได้ 3 ปี แต่ผลงานถือว่าเก๋าไม่แพ้กองเก่าๆ ด้วยผลตอบแทนเกือบ 30% ในปีที่ผ่านมา (ใช่ครับ ปีที่เราร่วมกันฝ่าโควิด) กองนี้ดีอย่างไร? ทำไมถึงน่าสะสมลงทุนในพอร์ต? เชิญอ่านบทความรีวิวครับ 8 ก.ย. 2564 B-INNOTECH เป็นหนึ่งในกองเด็ดของ บลจ. บัวหลวง เพิ่งตั้งกองทุนมาได้ 3 ปี แต่ผลงานถือว่าเก๋าไม่แพ้กองเก่าๆ ด้วยผลตอบแทนเกือบ 30% ในปีที่ผ่านมา (ใช่ครับ ปีที่เราร่วมกันฝ่าโควิดกองยังโตขึ้นอีก) กองนี้ดีอย่างไร? ทำไมถึงน่าสะสมลงทุนในพอร์ต? เชิญอ่านบทความรีวิวครับ ปี 2020 ถามคนร้อยทั้งร้อยทุกคนคงตอบว่าตอนนี้ชีวิตไม่เหมือนแต่ก่อน จากเดิมที่เวลาจะโทรศัพท์ต้องเก็บเหรียญหยอดตู้ ตอนนี้เราพกโทรศัพท์ติดตัวไปได้ทุกที่ จากเดิมที่เวลาจะเดินทางไปไหนมาไหนต้องซื้อแผนที่ ต้องใช้เวลาวางแผน ตอนนี้เปิด Google Map ก็เรียบร้อย (เอาจริงๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มี Google Map ไปไหนไม่ถูกละนะ) วิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปในเวลาไม่กี่สิบปี และคงไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็คือ “เทคโนโลยี” คำนี้คำเดียว ยินดีต้อนรับเข้าสู่ยุคตื่นเทคฯ 5 อันดับบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 2009 และ 2018 ที่มา: apnews.com จากข้อมูลของ FactSet ในปี 2009 ใน 5 อันดับแรกของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดสหรัฐมีแค่ 1 บริษัทเท่านั้นที่เป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยี นั่นก็คือ Microsoft แต่ผ่านมาไม่ถึงสิบปี ในปี 2018 กลายเป็นว่า 5 อันดับบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดมีบริษัทเทคโนโลยีถึง 4 บริษัท แถมเป็นบริษัทหน้าใหม่ทั้งนั้นที่กระโดดขึ้นมาแทนที่ธุรกิจเก่าๆ ในอดีตบริษัท Exxon Mobil ที่ทำธุรกิจครบวงจรเกี่ยวกับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเคยเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ปัจจุบันลิสต์ TOP 10 ยังไม่ได้แตะ จากข้อมูลตรงนี้ทำให้เห็นว่า เทคโนโลยีคือของจริง มันเข้ามาเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเราจริงๆ ไม่ใช่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป เทคโนโลยีเปลี่ยนจากสิ่งที่มีก็ดี (nice to have) กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีไม่ได้ (must have) เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนเศรษฐกิจ เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างต่างๆ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ในฐานะนักลงทุน นี่คือโอกาส ถ้าอยากเข้าไปอยู่ในกระแสของตลาดปัจจุบัน วิธีที่คนไทยอย่างเราๆ จะเข้าไปลงทุนในบริษัทระดับโลกได้ก็คือ “การซื้อกองทุน” และถ้าจะพูดถึงกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม กองทุน B-INNOTECH ของ บลจ.บัวหลวง เป็นหนึ่งในกองทุนที่โดดเด่นในกลุ่มนี้ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan B-INNOTECH ลงทุนในบริษัทอะไรบ้าง? B-INNOTECH ชื่อเต็มคือ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี เป็นกองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (เจาะหุ้นเฉพาะกลุ่ม มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 7) ลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก โดยกอง B-INNOTECH ลงทุนตามกองแม่ (Feeder Fund) คือ Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD ถ้าเราต้องการจะรู้ว่ากองทุนนี้ลงทุนในบริษัทอะไร ก็ต้องแงะไส้กองออกมาดู บริษัท Top 10 ที่ Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD เข้าไปลงทุน ที่มา: Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD Fact Sheet (ข้อมูลวันที่ 31/12/2020) ชัดเลยว่ากองนี้ถือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเป็นส่วนใหญ่ หลายบริษัททุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น Apple ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1 ล้านล้านเหรียญเป็นบริษัทแรกของสหรัฐฯ และตอนนี้ก็ยังอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เรียกได้ว่าโตวันโตคืน, Samsung Electronics บริษัทที่ทุกคนรู้ว่าผลิตมือถือ แต่รายได้จากการขายมือถือมีสัดส่วนไม่ถึงครึ่ง รายได้ส่วนใหญ่มาจาก Semiconductor ต่างหาก, Alphabet ทุกวันนี้เว็บไซต์ที่คนเข้าเยอะสุดทุกวัน 2 อันดับแรกคือ Google และ Youtube ซึ่งทั้งสองเว็บเป็นของ Alphabet ทั้งหมด และตัวอย่างบริษัทอื่นๆ ที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อ เช่น NXP, Analog Devices หรือแม้แต่บริษัทที่เรารู้จักคุ้นหูกันเป็นดีอย่าง Intel บริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Semiconductor และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์ไอทีที่เราใช้อยู่ทุกวันล้วนต้องอาศัยชิ้นส่วนเหล่านี้ทั้งนั้น ถามว่าทำไมบริษัทเทคฯ อย่างบริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ ถึงโตไว คำว่า “Scalability” คือคำตอบของคำถามนี้ บริษัทเทคโนโลยีมีความสามารถในการขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ต้นทุนที่น้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ลองนึกถึงธุรกิจเชนร้านอาหาร ถ้าอยากจะขยายสาขาก็ต้องหาพื้นที่ใหม่ ตั้งร้านใหม่ ทำโปรโมชั่นเรียกลูกค้าใหม่ ต้องใช้ต้นทุนมากมาย กลับกันถ้าเป็นบริษัทที่อยู่บนออนไลน์ ลูกค้าสามารถใช้บริการได้จากทั่วโลกเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต ทำให้บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เติบโตได้อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่างที่เห็นกัน ซึ่งเราสามารถเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกทั้งหมดตามตารางด้านบนได้ง่ายๆ เพียงแค่เรามีกองทุน B-INNOTECH อยู่ในพอร์ต ซึ่งกองทุน B-INNOTECH จะไปลงทุนในกอง Fidelity Funds – Global Technology Fund Y-Acc-USD อีกที ซึ่งกองนี้จะไปคัดเลือกและซื้อหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพมาสะสมไว้อย่างที่เห็นในตาราง กองทุนใช้วิธีอะไรในการเลือกหุ้น ถามว่าแล้วหุ้นเทคโนโลยีพวกนี้เลือกมาโดยใช้เกณฑ์อะไร? รู้ได้ไงว่าดี? อันนี้เราสามารถเข้าไปอ่านใน Fund Factsheet ของกองแม่ได้ ซึ่งในนั้นจะบอกข้อมูลที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้หมดเลยว่าใครเป็นผู้จัดการกองทุน นโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร ผลการดำเนินงานในอดีตดีหรือไม่ ตรงนี้ขอสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับหลักการที่กองแม่กองนี้ใช้คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตก่อนว่าเค้าคิดมาจากอะไร กลยุทธ์ในการคัดเลือกหุ้นของกองนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ Growth, Cyclical และ Special Situation 1. Growth หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัย หรือสร้างเทคโนโลยีที่เข้ามา disrupt วงการ หุ้นกลุ่มนี้มีแน้วโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่นบริษัทที่เคยเป็นสตาร์ทอัพมาก่อน 2. Cyclical หุ้นกลุ่มที่เติบโตเป็นวัฏจักรตามสภาพเศรษฐกิจ อย่างเช่นหุ้นที่เกี่ยวกับการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยหุ้นนั้นต้องเป็นผู้นำในตลาด 3. Special Situation สุดท้ายเป็นกรณีพิเศษเมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่มันควรจะเป็น ถ้ากองทุนมองว่าบริษัทนั้นมีโอกาสฟื้นตัวได้สูงก็จะลงทุนเก็บสะสมไว้ กองทุนหลักกองนี้เป็นกอง Active Fund กลยุทธ์การลงทุนต่างๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด เป็นการลงทุนเชิงรุก แถมเป็นการลงทุนเจาะเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย เพราะฉะนั้น B-INNOTECH ถือว่าเป็นกองทุนที่เสี่ยงสูง อาจมีความผันผวนได้มาก นอกจากผู้ลงทุนควรเข้าใจลักษณะการลงทุนของกองนี้แล้ว ผู้ลงทุนควรเข้าใจตัวเองว่าสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหนด้วย Performance ของกอง B-INNOTECH เป็นอย่างไร? กราฟราคา NAV ของกองทุน B-INNOTECH ที่มา: finnomena.com (ข้อมูลวันที่ 25/01/2021) ผลตอบแทนย้อนหลังและ Max Drawdown ของกองทุน B-INNOTECH ที่มา: finnomena.com (ข้อมูลวันที่ 25/01/2021) ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ถึงจะมีกลยุทธ์ดูดีแค่ไหน ผลลัพธ์ก็วัดกันที่ผลตอบแทน สำหรับ B-INNOTECH จากสถิติ 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้สร้างผลตอบแทนสูงถึง 38.04% หรือคิดเป็นผลตอบแทน 22.03% ต่อปีในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์โดดเด่นเมื่อเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกัน สำหรับค่า Max Drawdown หรือตัวเลขการขาดทุนสูงสุดในอดีต กอง B-INNOTECH ถือว่าบริหารได้เป็นอย่างดีเพราะ Max Drawdown ต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนอื่นๆ ในกลุ่ม ค่า Max Drawdown นี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารของผู้จัดการกองทุนซึ่งสามารถบริหารความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี สังเกตจากกราฟช่วงที่เกิดวิกฤต COVID-19 ราคา NAV สามารถฟื้นตัวกลับมาที่เดิมอย่างรวดเร็วและทะลุทำ New High ขึ้นไปได้ ถึงแม้ว่ากองทุนจะเพิ่งเปิดมาได้ไม่นาน (กองทุนนี้เพิ่งเปิดเมื่อปี 2017) แต่ตัวเลขผลการดำเนินการต่างๆ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กองทุน B-INNOTECH เป็นกองเด็ดกองหนึ่งในบรรดากองทุนกลุ่มเทคโนโลยี กองทุน B-INNOTECH เหมาะกับใคร ผู้ที่สนใจอยากลงทุนและเติบโตไปกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงการลงทุนในพอร์ตไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความผันผวนที่เกิดจากความเสี่ยงของอุตสาหกรรมและความเสี่ยงของค่าเงินได้ กองทุน B-INNOTECH ไม่เหมาะกับใคร ผู้ที่ต้องการได้รับผลตอบแทนในจำนวนที่แน่นอน ผู้ที่ต้องการรักษาเงินต้นให้อยู่ครบไม่ผันผวน สนใจลงทุนในกองทุน B-INNOTECH ถ้าหากว่าผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลกองทุนมาอย่างดีแล้ว สำรวจตัวเองแล้วว่ามีเงินเย็นที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และสำรวจตัวเองแล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงได้สูง กองทุน B-INNOTECH ถือว่าเป็นตัวเลือกการลงทุนที่ดี เพราะเทรนด์ของเทคโนโลยีมาแล้วจริงๆ ยิ่งพอผ่านพ้นวิกฤตไวรัสแพร่ระบาดยิ่งยืนยันให้เห็นว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคือหุ้นกลุ่มผู้ชนะในตลาด สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน สามารถเปิดบัญชีลงทุนกับ FINNOMENA ได้ที่ เปิดบัญชีลงทุน ใช้เวลาเพียง 1-3 วันก็สามารถเริ่มลงทุนได้เลย และสามารถซื้อกองทุนเด่นๆ จาก บลจ. ต่างๆ มาสะสมในพอร์ตได้ด้วย เปิดบัญชีที่เดียวซื้อได้พร้อมกันทั้งหมด 19 บลจ. สำหรับผู้ที่มีบัญชีของ FINNOMENA อยู่แล้วสามารถสร้างพอร์ต DIY แล้วเลือกลงทุนผ่านหน้ากองทุน B-INNOTECHได้เลยครับ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan เขียนโดย TUM SUPHAKORN References: https://apnews.com/bb69a7acc60f43d0946729c2aa0b196d https://www.bblam.co.th/application/files/3515/9532/4498/Professional_Factsheet_FF_-_Global_Technology_Fund_Y-ACC-USD_062020.pdf https://www.morningstar.co.uk/uk/funds/snapshot/snapshot.aspx?id=F00000YJZO&tab=3 https://www.finnomena.com/fund/B-INNOTECH https://www.bblam.co.th/application/files/1115/9558/2232/BINNOTECH_FactSheet_Th.pdf Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article B-INNOTECH FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Picture Slide Product Info Technology แชร์บทความ: ผู้เขียน TUM SUPHAKORN สมาชิกทีม Content Developer ของ FINNOMENA สนใจเรื่องจิตวิทยา ว่าทำไมคนถึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเงิน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เหรียญน้องหมา Dogecoin ทำไมถึงขึ้นกว่า 400% !? - FINNOMENA เมื่อไม่นานมานี้ ราคาเหรียญน้องหมาชิบะ Dogecoin (DOGE) ได้ปรับสูงขึ้นกว่า 400% จากประมาณ 0.5 บาท ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 2 บาทภายในวันเดียว อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการปรับขึ้นครั้งนี้กันแน่? 29 ม.ค. 2564 เมื่อไม่นานมานี้ ราคาเหรียญน้องหมาชิบะ Dogecoin (DOGE) ได้ปรับสูงขึ้นกว่า 400% จากประมาณ 0.5 บาท ขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ประมาณ 2 บาทภายในวันเดียว บนกระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยอย่าง Bitkub อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของการปรับขึ้นครั้งนี้กันแน่? Dogecoin คืออะไร? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักเหรียญ Dogecoin กันก่อน โดยเจ้าเหรียญ Dogecoin มีที่มาจากมีม (Meme) Doge ที่ล้อเลียนคำว่า Dog บนโลกอินเทอร์เน็ต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ Knowyourmeme มีมนี้เกิดขึ้นมาในปี 2013 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถูกยกย่องให้เป็น “Meme of the year” ของปีนั้นเลยทีเดียว สำหรับเหรียญ Dogecoin ถูกสร้างขึ้นโดยนาย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และนาย Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe โดยมีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และปราศจากค่าธรรมเนียมธนาคาร” แรกเริ่มนั้น นาย Jackson แค่กล่าวติดตลกเกี่ยวกับ Dogecoin บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ก่อนที่นาย Billy จะติดต่อเข้ามา ทั้งคู่เลยตัดสินสร้าง Dogecoin ขึ้นมาจริง ๆ เสียอย่างนั้น Dogecoin ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2013 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work เหมือนกัน ส่งผลให้ Dogecoin ไม่มีฟีเจอร์สำคัญอะไรที่แตกต่างไปจากสกุลเงินดิจิทัลสกุลอื่น ๆ ในช่วงนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญของ Dogecoin ด้วยความที่เป็นเหรียญที่ดูเป็นมิตร ทำให้ Dogecoin มีชุมชนที่ให้สนับสนุนอยู่เป็นจำนวนมากพอสมควร ส่งผลให้เกิดการนำ Dogecoin มาใช้กันจริง ๆ โดยหลัก ๆ จะใช้ในการ “ให้ทิป” บนโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Reddit หรือ Twitch แก่ผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้น่าสนใจ คล้าย ๆ กับการกด Like บน Facebook หมายความว่ามูลค่าของ Dogecoin ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง แต่มาจากเครือข่ายการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง และในช่วงต้นปี 2018 นั่นเอง Dogecoin ได้กลายเป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนต่างประเทศ เนื่องจากมูลค่าตลาดรวมของ Dogecoin ได้ขึ้นแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับ Dogecoin ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จึงส่งผลให้มีนักลงทุนหน้าใหม่ ๆ ไหลเข้ามากันอย่างล้นหลาม ปัจจุบัน Dogecoin กลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลจาก Coinmarketcap สาเหตุที่แท้จริงของการขึ้นครั้งล่าสุด? หากติดตามข่าวตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเห็นกรณีของหุ้น Gamestop ที่ถูกเข้าซื้อโดยนักลงทุนรายย่อยจนราคาขึ้นกว่า 1,700% ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เกิดจากการที่ผู้ใช้ในกลุ่ม Wall Street Bets (WSB) ของเว็บบอร์ด Reddit ที่มีสมาชิกในกลุ่มถึง 3 ล้านคน พยายามปลุกกระแสต่อต้านนายทุนในตลาด Wall Street ที่พากันตั้งสถานะ Short Selling ในหุ้น Gamestop มาโดยตลอด (การ Short Selling อธิบายง่าย ๆ ได้ว่าเป็นการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะตก เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาตกลงมาจริงๆ) กลุ่ม WSB ต้องการที่จะ “สั่งสอน” พวกนายทุนเหล่านี้ จึงปลุกกระแสให้คนในกลุ่ม WSB และทั้งเว็บบอร์ด Reddit พากันไปซื้อหุ้นของ Gamestop เพื่อหนุนให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมา ส่งผลให้เหล่านายทุนขาดทุนกันไปอย่างยับเยิน ใช่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาของ Dogecoin พุ่งสูงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ นี้มาจากการที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์นามว่า WSB Chairman ที่มีผู้ติดตามเกือบ 7 แสนคน เป็นผู้เริ่มปลุกกระแส โดยทวีตข้อความสั้น ๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า “Doge เคยขึ้นไปถึง 1 ดอลลาร์หรือเปล่านะ?” จากนั้นไม่นานก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวภายในกลุ่ม WSB ไม่ว่าจะเป็นในเว็บบอร์ด Reddit หรือแม้กระทั่งในกลุ่ม Telegram ไม่ใช่แค่ WSB Chairman เท่านั้น แต่บุคคลที่ทั้งโลกกำลังจับตามองอย่างนาย Elon Musk CEO ของ Tesla ก็มีการทวีตข้อความถึง Dogecoin เมื่อไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน โดยเป็นการทวีตรูปปกนิตยสารที่เป็นรูปสุนัขเท่านั้น แต่ก็เป็นการช่วยหนุนกระแสเข้าซื้อ Dogecoin ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Elon Musk กล่าวถึง Dogecoin โดยในเดือน ธ.ค. ปีที่ผ่านมา Elon Musk ได้ทวีตข้อความสั้น ๆ ว่า “ขอคำเดียว: Doge” แต่ก็ทำให้ราคา Dogecoin ในช่วงนั้นปรับขึ้นไปถึง 20% และหากย้อนกลับไปอีกในเดือน ก.ค. นาย Elon Musk ก็ได้ทวีตรูปเกี่ยวกับ Dogecoin และครั้งนั้นก็ทำให้ราคา Dogecoin พุ่งขึ้นไปถึง 14% เลยทีเดียว ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของเหรียญ Dogecoin ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 443% จากระดับ 0.5 บาท ทำระดับสูงสุดที่ 2.0589 บาท บนกระดานเทรด Bitkub ขณะที่ยอดแฮชแท็ก #Dogecoin บนโลกอินเทอร์เน็ตก็พุ่งสูงขึ้นถึง 1800% กลายเป็น Altcoin เหรียญแรกที่มีคนกล่าวถึงมากกว่า Bitcoin ในระยะเวลา 24 ชม. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าจดจำของวงการคริปโทเคอร์เรนซี การที่มูลค่าของสินทรัพย์จะสามารถปรับขึ้นได้อย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้น ๆ จากการเข้าซื้อจากนักลงทุนรายย่อย แสดงให้เห็นถึงพลังของโซเชียลเน็ตเวิร์คและคนตัวเล็ก ๆ ที่มารวมตัวกัน ทำให้สามารถสั่นคลอนได้แม้กระทั่งตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Wall Street รวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นตลาดที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ อ้างอิง: Cointelegraph, Commodity.com, CNN, Coinmarketcap Bitkub.com แท็ก: Advance Article Cryptocurrency Dogecoin Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน TMBCOF: คว้าโอกาสเติบโตระยะยาวจากหุ้นจีน - FINNOMENA หุ้นมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แม้ยังบอกไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจอันหนึ่งที่แฟนคลับเมืองจีนไม่ควรมองข้าม รีวิวนี้จะมาเจาะลึกกองทุน TMBCOF แบบละเอียดในทุกแง่มุมครับ 8 ก.ย. 2564 ปลายปี 2018 ผมมีสัญญากับเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะเขียนรีวิวกองทุน TMBCOF ให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ค่อยมีเวลา บวกกับผมยังไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลอย่างมีนัยเท่าไหร่เลยผลัดมาเรื่อย ๆ ต้องขออภัยด้วยครับ ครั้งนี้ที่ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะเข้าลงทุนในกองทุนจีนกองนี้อยู่พอสมควร เพราะหุ้นมีการปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แม้ยังบอกไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจอันนึงที่แฟนคลับเมืองจีนไม่ควรมองข้ามครับ จุดเด่นของกองทุน TMBCOF เป็นกองทุนแบบ Active เลือกหุ้นที่ทำธุรกิจในจีนและมีการเติบโตสูง มีหุ้นเด่น ๆ ของเมืองจีนครบ ในสัดส่วนที่มีนัยมาก ๆ (คือถือเยอะนั่นแหละครับ) ผู้จัดการกองทุน Bin Shi ถือเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจเมืองจีนดีมาก ๆ เพราะเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ดังนั้นจะใช้วิธีคิดแบบเดียวกับเศรษฐกิจทุนนิยมทั่ว ๆ ไปทั้งหมดไม่ได้ เป็นกองทุนที่เพียบพร้อมด้วยผลตอบแทน การคุมความเสี่ยงและความผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกองทุนที่เป็น RMF สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ถือเป็นโอกาสในการสะสมเพื่อผลตอบแทนในอนาคต ภาพรวมของกองทุนหุ้นจีน จริง ๆ แล้วประเทศไทยมีกองทุนที่ลงทุนหุ้นจีนอยู่ราว ๆ 30 กองด้วยกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็น Feeder Fund คือกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีหนึ่ง ซึ่งกองทุนเหล่านั้นแบ่งออกเป็นกองทุนมีนโยบายแบบ Active คือคัดเลือกหุ้นลงทุนเอง กับกองทุนที่มีนโยบายแบบ Passive ลงทุนอิงกับดัชนี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อ ETF ในเชิงนโยบายการลงทุนที่ชัดที่สุดดูจะแยกออกได้เป็น 2-3 ประเภทด้วยกันคือ 1.ลงทุนเลือกหุ้นเอง 2.ลงทุนแบบ Passive ใน ETF 3.ลงทุนในหุ้นใหญ่ตามดัชนีเช่น CSI300 (หุ้นใหญ่ 300 ตัวในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้) หรือ A50 (หุ้นจีน A-Share ใหญ่ที่สุด 50 ตัวแรกในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan รายละเอียดกองทุน TMBCOF TMBCOF มีชื่อเต็ม ๆ ว่า TMB China Opportunity Fund เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนแม่ (Master Fund) UBS (Lux) Equity Fund – China Opportunity ไม่น้อยกว่า 80% ของสินทรัพย์สุทธิ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า TMBCOF ลงทุนในหุ้นจีนที่ Listed อยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลก เน้นการคัดเลือกหุ้นจากมุมมองของผู้จัดการกองทุน ไม่เน้นลงทุนตามดัชนี โดยคำจำกัดความแล้วถือว่ากองทุนนี้เป็น Active Fund โดยสมบูรณ์ ข้อดีของการเป็น Active คือโอกาสที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นจีนจะมีสูงกว่า การลงทุนแบบ Passive ซึ่งเน้นตามดัชนี ถ้าในระยะยาวผู้จัดการกองทุนสามารถคัดเลือกหุ้นได้อย่างเหมาะสม ผลตอบแทนจะมีแนวโน้มสูงกว่าแบบ Passive มาก แต่ในทางกลับกันถ้าผู้จัดการกองทุนไม่ค่อยเก่ง ก็อาจจะพลาดพลั้งทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ได้ ดังนั้นผู้จัดการกองทุนและบริษัทจัดการกองทุนจึงมีความสำคัญสำหรับกองทุนแบบ Active มาก ๆ นอกจากเรื่องผลตอบแทนที่มีแนวโน้มสูงกว่าแล้ว ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและบริหารจัดการของกองทุนก็สูงกว่ากองทุนแบบ Passive ด้วย เพราะต้องใช้ทีมงานการลงทุนมาช่วยดูแล และตัดสินใจลงทุน ด้วยปัจจัยแบบนี้จึงทำให้กองทุน Active ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กับการซื้อ ๆ ขาย ๆ เพราะค่าธรรมเนียมมันสูง แต่เหมาะกับการถือยาว ๆให้ได้ผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ย ตามการเติบโตของหุ้นในกองทุนมากกว่า เมื่อจ่ายค่าธรรมเนียมสูงแล้วผลตอบแทนก็ควรจะต้องสูงตาม มาดูผลงานของ TMBCOF กันว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร? ผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุน TMBCOF เมื่อดูผลตอบแทนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนมาในปี 2014 จะเห็นว่ากองทุนนี้สามารถทำผลตอบแทน (เส้นสีแดง) ชนะดัชนีชี้วัด (เส้นประสีเทา) ได้เสียเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันยังคงทำผลตอบแทนชนะดัชนีชี้วัดอย่าง MSCI China 10/40 ได้อยู่อย่างต่อเนื่อง ที่มา: Fund Factsheet UBS Equity China Opportunity ธันวาคม 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เมื่อเทียบระยะกลางที่ช่วงเวลา 3 ปีกองทุนก็ทำผลตอบแทนได้ที่ 54.66% ต่อปีเทียบกับดัชนีชี้วัดที่ทำได้ 30.59% ต่อปี ถือว่าชนะเยอะอย่างต่อเนื่อง ระยะสั้น ช่วง 1 ปี กองทุนทำผลตอบแทนได้ 28.28% เทียบกับดัชนีชี้วัดที่ 30.75% ถือว่าไม่ห่างกันเกินไป UBS (Lux) Equity Fund – China Opportunity ที่มา: UBS.com ธันวาคม 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต สรุปรวม ๆ เป็นภาษาง่าย ๆ คือ กองทุนยังสามารถทำผลตอบแทนเหนือดัชนีชี้วัดได้เหมือนเดิม วิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นับว่าหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง ตอนนี้หวยออกแล้วคือผ่านมาได้แบบชิวๆ การขึ้นครั้งนี้คือโอกาสครั้งใหม่ของการเติบโตของหุ้นจีน ปัจจุบัน TMBCOF ลงทุนใน Sector ไหน? ดูจาก Fund Factsheet ของกองแม่ UBS (Lux) Equity Fund – China Opportunity กองทุนมีการลงทุนใน Sector ต่อไปนี้ สัดส่วนการลงทุนตาม Sector ที่มา: UBS.com ธันวาคม 2020 หลัก ๆ จะเห็นว่ากองทุนลงทุนในกลุ่ม Financial, Consumer และ Communication เยอะ คือเกินครึ่งของกองทุน ดังนั้นผลตอบแทนของกองจะตามหุ้นกลุ่มเหล่านี้เป็นหลัก TMBCOF ลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง? หุ้นที่ TMBCOF เข้าลงทุน 10 ตัวแรกจากข้อมูล Fund Factsheet (ธันวาคม 2020) หุ้น 10 อันดับแรก ที่มา: UBS.com ธันวาคม 2020 มารู้จักหุ้นหลักที่กองทุน TMBCOF ลงทุนกันครับ Tencent ทำธุรกิจอะไรบ้าง? บริษัททำธุรกิจหลัก ๆ คือเป็นผู้ให้บริการ Social Platform อันดับ 1 ของประเทศจีน WeChat ถ้าไม่รู้จักว่า WeChat คืออะไร? ลองนึกภาพ LINE + Facebook + Instagram + Grab + Shopee + Booking รวม ๆ กัน WeChat เติบโตจากการเป็น Messaging Platform สู่ Super-App ที่ทำได้แทบทุกอย่างตั้งแต่ส่งข้อความ จองโรงแรม แจกอั่งเปา จนไปถึงจีบสาว WeChat มีจำนวนผู้ใช้สูงถึง 1,100 ล้านคน หรือคนจีน 90% ใช้ WeChat ในจำนวนคน 1,100 คนนั้น มีคน 1,000 ล้านคนเข้า WeChat ทุกวัน ตัวเลขคนเข้าใช้ทุกวันแบบนี้แม้แต่ Facebook ยังทำไม่ได้ ว่ากันว่าคนจีนตอนนี้ “Meet กันใน WeChat” มากกว่าในชีวิตจริง UBER แอป Ride-Hailing ในจีนเคยต้องพ่ายแพ้ให้กับ Didi Chuxing เพราะถูก WeChat ถอดออกจากแอป 1 ใน 3 ของปริมาณการใช้ข้อมูลทั้งหมดในจีนคือการใช้งาน WeChat มีคน 900 ล้านคนใช้ WeChat ในการจ่ายเงินเป็นประจำทุกเดือน คนจีนใช้เวลากว่าครึ่งในโลกออนไลน์เพื่อใช้ WeChat ส่วนที่เหลือเป็นของแอปฯ อื่น ๆ สัดส่วน Time Consumption ของการใช้งาน Smart Phone ที่มา: www.businessofapps.com ด้วยสถิติเหล่านี้ ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า Tencent บริษัทเจ้าของแอปมหากาพย์อันนี้ไม่ต่างอะไรกับมาเฟียคุมโลก Digital ของจีนเลยทีเดียว ที่ผมบอกว่าเหมือนมาเฟียเพราะ Tencent ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่มอมเมาประชาชน ให้ติดกันงอมแงมไม่ใช่แค่ในจีน แต่ทั่วโลก ธุรกิจนั้นคือธุรกิจ “เกมส์ออนไลน์” Tencent บริษัทเกมส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สัดส่วนรายได้ของ Tencent ที่มา: www.tencent.com วันที่: 18 มีนาคม 2020 รายได้ราว ๆ 1 ใน 3 ของ Tencent มาจากค่าสมาชิกและค่าซื้อไอเท็มในเกมส์ออนไลน์ … ฟังไม่ผิดครับ “ซื้อไอเท็มในเกมส์ออนไลน์” ไม่แม้แต่จะซื้อเกมส์ คนที่จะขายอากาศได้ราคาขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ขายไอเท็มในเกมส์ก็คงมีแค่ธุรกิจค้ายาเสพติด ต่างกันคือธุรกิจเกมส์นั้นมอมเมาอย่างถูกกฎหมาย คล้าย ๆ พวกธุรกิจเหล้า บุหรี่ ด้วยรายได้ระดับนี้ส่งผลให้ Tencent กลายเป็นบริษัทเกมส์อันดับหนึ่งของโลก เอาชนะ Sony, Nintendo, Microsoft ที่เคยครองตลาดเกมส์ในโลกมาก่อนอย่างขาดลอย คำตอบของการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากคำว่า “Takeover” ครับ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทเกมส์จากเมืองจีนจะทำเกมส์ให้คนทั่วโลกติดกันงอมแงม ดังนั้นสิ่งที่ Tencent ทำคือการใช้ความแข็งแกร่งด้านการเงิน และกระแสเงินสดที่ได้จากธุรกิจในจีนไปซื้อบริษัทเกมส์ชื่อดังต่าง ๆ ของโลกมา ผลจึงทำให้เกมส์ดัง ๆ ทั่วโลกตกอยู่ในมือของยักษ์ใหญ่จากจีนแผ่นดินใหญ่รายนี้ โดย Gamer ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่านี่คือเกมส์ที่มีเจ้าของเป็นคนจีน อันดับเกมส์ยอดนิยม 10 อันดับแรกของโลก ที่มา: www.tencent.com วันที่: 18 มีนาคม 2020 ความสำเร็จในตลาดเกมส์โลกของ Tencent พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนเมื่อเกมส์ที่ Tencent เป็นเจ้าของติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกมาถึง 5 เกมส์หรือครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เกมส์ที่ดังมาก ๆในเมืองไทยอย่าง PUBG ก็เป็นหนึ่งในเกมส์ที่ Tencent เป็นเจ้าของเช่นกัน Tencent ธนาคารแห่งอนาคต นอกจาก Social Media และ Game แล้ว Tencent ยังเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีความสำคัญ เป็นแกนหลักในการทำธุรกรรมการเงินในอนาคต นั่นก็คือธุรกิจการเงินออนไลน์ครบวงจรที่เริ่มต้นจากการทำแอพกระเป๋าเงินออนไลน์ Tencent Pay และ WeChat Pay ในปี 2019 ธุรกิจด้านการเงินครบวงจรของ Tencent ทำรายได้สูงถึง 1 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 6 แสนล้านบาทไทย เติบโต 39% ธุรกิจหมวดเดียวของ Tencent มีมูลค่าเท่ากับ KBANK, SCB และ BBL รวมกัน Tencent เริ่มต้นทำธุรกิจการเงินอื่น ๆ เช่น บริการ Wealth Management เพื่อบริหารสินทรัพย์และการลงทุนให้กับลูกค้า และ Micro-Finance ให้บริการปล่อยสินเชื่อรายย่อย เป็นธนาคารแห่งโลกอนาคตที่มา Disrupt ธนาคารในโลกดั้งเดิม ปัจจุบันแอพ WeChat Pay และ Tencent Pay มี Market share ในจีนเป็นสัดส่วนถึง 39% เป็นอันดับสองรองจาก Alipay ของ Alibaba ที่มี Market share 54% แต่ ๆ อย่างที่รู้กัน TMBCOF มีทั้ง Tencent และ Alibaba ดังนั้นใครจะชนะใครจะแพ้ คนถือ TMBCOF ก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน การเป็นเจ้าของ Tencent คือการเป็นเจ้าของบริษัท Social Media ที่ใหญ่ที่สุดในจีน บริษัทเกมส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และระบบการเงิน Social Banking แห่งโลกอนาคต มังกรคู่เมืองจีนเมื่อมี Tencent ก็ต้องไม่พลาด Alibaba เมื่อพูดถึง Alibaba คนมักคุ้นหน้าแจ๊ค หม่า ต่อมาจะนึกถึงเว็บไซต์ขายของราคาส่งสั่งตรงจากเมืองจีนได้ แต่ในปัจจุบันธุรกิจของ Alibaba ก้าวหน้าไปมากกว่านั้นมากมาย แถมแจ๊ค หม่าก็ไม่ได้บริหารงานแล้วด้วย (แต่ก็ยังคุมบริษัทอยู่ดีแหละ เหมือนที่คุณธนินท์ CP ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ แต่ยังก็ยังมีสิทธิ์ มีเสียงในบริษัทอยู่ดี) Alibaba ทำธุรกิจอะไรบ้าง? แม้ Alibaba กับ Tencent จะทำธุรกิจเหมือนกันหลายอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว 2 บริษัทนี้มีจุดเด่นที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง Tencent เด่นด้าน Social Media และ Game ส่วน Alibaba กินขาดในเรื่อง E-commerce และระบบ Cloud ถ้า Tencent เปรียบเหมือน Facebook Alibaba จะเหมือน Amazon มากกว่า Platform E-commerce ของ Alibaba เรียกได้ว่าครบวงจรเลยทีเดียว ไม่ได้มีแต่ค้าส่ง แต่มี Market Place ที่คนจีนขายของผ่านเป็นประจำชื่อ Taobao มีเว็บห้างสรรพสินค้าออนไลน์ชื่อ T-Mall 2 Platform นี้รวมกันมีคนเข้าใช้บริการถึงเดือนละ 755 ล้านคนเลยทีเดียว Alibaba ยังมีการขยายธุรกิจมาใน S.E. Asia ด้วยการเป็นเจ้าของซื้อของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย Lazada Alibaba มีการทำธุรกิจที่ไม่เหมือน Amazon อย่างหนึ่งคือ Amazon ใช้วิธี Outsource ให้ Partner ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องเช่นขนส่ง แต่ Alibaba เน้นทำเองหมดทุกอย่างตั้งแต่ ขาย-จัดส่ง-เก็บเงิน และนี่คือสาเหตุว่าทำไม การซื้อของจากเมืองจีนใน Lazada ถึงส่งเร็วกว่าในอดีตมาก หนึ่งในเหตุผลคือการทำ Vertical Integration ในทุก ๆ Service นี่แหละครับ ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่แปลกใจที่นับวันสัดส่วนของค้าปลีกดั้งเดิมในจีนจึงลดลงเรื่อย ๆ กลายเป็นซื้อของออนไลน์มากขึ้น ปัจจุบันเกือบ ๆ 1 ใน 5 ของสินค้าอุปโภคบริโภคที่คนซื้อทั้งหมดในจีนซื้อผ่าน Platform Online แล้ว จากเมื่อ 5 ปีก่อนยังอยู่แถวๆ 1 ใน 20 อยู่เลย การเติบโตของ FMCG Online ที่มา: www.alibabagroup.com วันที่: 24 กันยายน 2019 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ผมเชื่อมาก ๆ ว่าในอนาคต E-commerce Platform ของ Alibaba จะเข้ามาแทนค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างเสร็จสรรพ อย่างตอนนี้ก็เริ่มมีข่าวมาเรื่อย ๆ ว่าห้างดังหลายห้างในจีนขายกิจการ และคนซื้อก็คือ Alibaba นั่นเอง จุดเด่นของประเทศจีนคือความรวดเร็ว ผมเห็นสิ่งนั้นใน Alibaba ธุรกิจ Cloud ได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจใหม่ นำโดยผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Amazon Web Service (AWS) และ Microsoft แต่เชื่อหรือไม่ว่าเพียงระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี Alibaba กลายเป็นผู้เล่นอันดับ 3-4 ในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างสูงนี้ สัดส่วน Market Share ของตลาด Cloud ทั่วโลกในปี 2018 ที่มา: www.alibabagroup.com วันที่: 24 กันยายน 2019 ธุรกิจ Cloud คือบริการจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ลองนึกภาพสมัยก่อนถ้าเราอยากจะเก็บรูปที่ถ่ายไว้เราต้องไปหา Harddisk มาเก็บใช่ไหมครับ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ต้องแล้ว ทุกอย่างถูกเก็บอยู่บนระบบ Cloud ที่อัพเกรดเรื่องความเร็ว และการประมวลผลอย่างต่อเนื่อง ยิ่งอินเตอร์เน็ตเร็วแค่ไหน คนยิ่งใช้ข้อมูลมากขึ้น ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลบนเครือข่ายก็ต้องใหญ่ขึ้น ตอนนี้แบรนด์ใหญ่ ๆในจีนมักจะใช้บริการ AliCloud ของ Alibaba เจ้าดัง ๆ ก็เช่น ByteDance เจ้าของแอปฯ Tiktok, Xiaomi บริษัท Gadget / มือถือชื่อดัง หม้อไฟเมืองจีน Haidilao หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่จองโรงแรม Booking.com เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่คนจีนที่ใช้บริการ Alibaba แต่บริษัทจีนก็ต้องพึ่งพิง Alibaba เช่นกัน ธุรกิจสุดท้ายของ Alibaba ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบริษัท Ant Financial เจ้าของแอปฯ จ่ายเงินออนไลน์ชื่อดัง AliPay ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ทำได้แค่การจ่ายเงินแล้ว แม้จำนวนผู้ใช้งานของ Alipay จะใกล้เคียงกับของกลุ่ม Tencent มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในเชิงลึกผมยังเชื่อว่าระบบการเงินของ AliPay นั้น Advance กว่าของ Tencent หลายเท่าตัว เงินของคนเกิน 1,200 ล้านคนอยู่บนระบบของ Ant Financial คนจีนเกือบทั้งประเทศใช้ Alipay แยกแบบละเอียดคือเป็นคนจีน 900 ล้านคนและประเทศอื่น ๆ อีก 300 ล้านคน (ซึ่งอาจจะเป็นคนจีนที่อยู่ต่างประเทศก็ได้) ซึ่งตอนนี้มีบริการซื้อประกัน สินเชื่อ บริการตรวจสอบเครดิต และบริการบริหารสินทรัพย์ บริการเสริมเหล่านี้มีผู้ใช้รวม ๆ กันประมาณ 700 ล้านคน 80% ของผู้ใช้ Alipay ใช้บริการ Alipay มากกว่า 3 หมวดบริการ คือนอกจากใช้เป็นแอพจ่ายเงินแล้ว ยังกู้เงินและซื้อประกันใน Alipay ด้วย และประมาณ 40% ของผู้ใช้ทั้งหมดใช้บริการมากถึง 5 หมวดบริการ สถิติของผู้ใช้ถือเป็นบททดสอบหนึ่งที่บอกว่าบริการใหม่ที่ Alipay ออกมาได้โดนใจผู้ใช้มากๆ สาเหตุที่ผมพอเดาได้คือการใช้ Big Data มาวิเคราะห์บอกถึงพฤติกรรมของผู้ใช้และความน่าจะเป็นของบริการใหม่ ๆ ที่ออกมาว่าบริการไหนน่าจะ “โดน” รูปแบบการทำธุรกิจของ Ant Financial ที่มา: www.alibabagroup.com วันที่: 9 มิถุนายน 2017 เพราะ Alipay คือ Digital Financial Infrastructure บริษัทโครงสร้างพื้นฐานศูนย์กลางการเงินของทุก ๆ บริการใน Alibaba ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดจึงมารวมศูนย์ที่นี่ ไม่ว่าคนจะเงินเยอะ เงินน้อย ทำธุรกิจประเภทไหน ซื้อ-ขายอะไรในชีวิตประจำวัน ข้อมูลเชิงพฤติกรรมเหล่านี้ถูกนำไปเก็บและเอามาวิเคราะห์เพื่อใช้ในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดเวลา ที่สำคัญตอนนี้ Ant Financial ยังมีการไปถือหุ้นร่วมเป็นเจ้าของแอพจ่ายเงินในอีก 8 ประเทศ คือ Kakao Pay ในเกาหลีใต้, GCash ฟิลิปปินส์, TouchnGo มาเลเซีย, Dana อินโดนีเซีย, bKash บังกลาเทศ, easypaisa ปากีสถาน, paytm รายใหญ่จากอินเดีย และ Truemoney แอปฯ ยอดนิยมของคนไทย ซึ่งปัจจุบันแอปฯ เหล่านี้ครอบคลุมประชากรกว่าครึ่งโลกเป็นจำนวนคน 3,600 ล้านคนเลยทีเดียว ธุรกิจของ Alibaba มีหลากหลายมากๆทั้งบริษัทขนส่งดิจิตอล ซูเปอร์มาร์เก็ตแบบไร้คน ธุรกิจส่งสินค้าและอาหาร คล้าย ๆ LINEMAN ขออนุญาตนำไปพูดในอีกบทความหนึ่งนะครับ ไม่งั้นจะยาวเกินไปติดตามกันไว้ได้ครับ โดยรวม Alibaba กับ Tencent นี่เคยติดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับของโลก เทียบเคียง Google, Microsoft หรือ Apple เลยนะครับ ยุคนี้กลับมาเป็นยุคปลายักษ์ Digital กินปลาใหญ่ กินปลาเล็ก ถือว่าเป็น 2 ยักษ์ใหญ่ของจีนที่คนลงทุนในจีนห้ามพลาดจริง ๆ หุ้นอื่น ๆ ของ TMBCOF ต่างก็เป็นหุ้นที่เติบโตและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง TAL Education บริษัทติวเตอร์ออฟไลน์และออนไลน์ขนาดยักษ์ อันดับหนึ่งของโลก อันนี้ผมไม่มีข้อมูล Backup แต่คิดว่าในโลกนี้ไม่น่ามีบริษัทติวเตอร์ขนาดใหญ่ระดับนี้อีกแล้ว ด้วยระดับ Market Cap 30,000 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 990,000 ล้านบาท เทียบเท่าบริษัทอย่าง PTT และ AOT ได้เลย รูปแบบการเรียนการสอนของ TAL Education ที่มา: 100tal.com วันที่: มกราคม 2020 TAL รับติวเด็กตั้งแต่ชั้นประถมไปจนถึงจบมัธยม มีวิชาที่ติวตั้งแต่วิชาพื้นฐานอย่างเลขและอังกฤษไปจนถึงวิชาอย่างเคมีและชีวะ บริษัททำรายได้ปีละ 3,200 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 105,600 ลบ.ไทย รายได้ปีละแสนล้านจะไม่ให้ขึ้นแท่นบริษัทติวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างไร? ที่สำคัญถ้าเรารู้จักคนจีนดีพอ เราจะรู้ว่าคนจีนเป็นคนที่จริงจังและเอาเป็นเอาตายกับการเรียนมาก ๆ ประเทศจีนเป็นประเทศที่ลำบากมาก ๆในอดีตมากก่อน ถ้าเราเคยดูหนังจีนจะรู้ว่า ย้อนเวลากลับไปสัก 50 ปีที่แล้วคนที่จะมีชีวิตที่ดีได้ในประเทศจีนต้องเป็นข้าราชการเท่านั้น หรือถ้าย้อนกลับไปเยอะ ๆ หน่อยก็คือต้องไปสอบเป็นจอหงวน การจะเข้าเป็นข้าราชการได้ต้องมีความรู้ สิ่งนี้เลยติดหัวคนจีนในสมัยนั้นมาว่าถ้ามีลูกจะต้องมีความรู้มาก ๆ เพื่อชีวิตโตไปจะได้ไม่ลำบาก คนจีนจึงแข่งขันกันเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ผนวกกับจำนวนประชากรมหาศาลในจีน ทำให้บริษัทที่ทำธุรกิจกับความรู้ใหญ่มาก ๆ Momentum การเติบโตของรายได้ที่ยังโตไม่หยุด ที่มา: 100tal.com วันที่: มกราคม 2020 แม้ปัจจุบันคนจะเปลี่ยนโหมดการเรียนรู้มาเป็นออนไลน์แทน คลาสเรียนแบบสอนฟรีมีเต็มไปหมด จะทำให้ธุรกิจของ TAL กระทบหรือไม่? ผมคิดว่ามีโอกาสเหมือนกันแต่ในปัจจุบัน Momentum การเติบโตยังดี และ TAL ก็มีการปรับตัวมาสอนออนไลน์มากขึ้น จึงคิดว่าในระยะสั้นอาจมีผลกระทบบ้าง แต่ในระยะยาวยังไม่มีนัยกระทบ Ping An Insurance ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่เจ้าสัวธนินท์เลือกแล้ว ! คนไทยอาจไม่เคยได้ยินชื่อประกันผิงอัน แต่ถ้าเป็นคนจีนจะรู้จักกันดีเพราะ Ping An เป็นประกันอันดับ 1 ของจีน และอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียง Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ในปี 2012 กลุ่ม CP ของเจ้าสัวธนินท์ได้เข้าซื้อหุ้น Ping An จาก HSBC โดยถือหุ้นรวมเป็นสัดส่วน 9.9% มูลค่าประมาณ 5.9 แสนล้านบาท คาดว่าจะเป็น Wealth หลักของกลุ่ม CP เลยทีเดียว Ping An เป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและประกันทั่วไปของจีนซึ่งกำลัง Digitalized ตนเองเพื่อเข้าสู่ยุค Internet เต็มตัว Ping An เป็นเจ้าของธุรกิจ Digital ยุคใหม่หลายธุรกิจด้วยกัน เช่น Lufax – ธุรกิจ Digital Wealth Management ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีลูกค้ากว่า 20 ล้านราย และเงินลงทุนภายใต้การจัดการ 60,000 ล้านเหรียญ Lufax ยังมีธุรกิจสินเชื่อออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนด้วย Ping An Wanjia Clinic – Platform เบื้องหลังการทำงานของคลินิก 50% ทั่วเมืองจีน Ping An Health Connect – Platform บริหารจัดการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ซึ่งครอบคลุม 50% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนจีนทั่วประเทศ Ping An Good Doctor – Platform Telemedicine ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ใช้แล้ว 250 ล้านคน ซึ่งบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงด้วย ปัจจุบันมูลค่าประมาณ 490,000 ล้านบาท (ใหญ่กว่า BDMS) ล่าสุดรายได้จากธุรกิจ Online Medical Service โตสูงถึง 109% ตู้โรงพยาบาลและจ่ายยาของ Ping An Good Doctor ที่มา: caixinglobal.com Lee Yuansiong Co-CEO ของ Ping An Insurance ได้กล่าวไว้ว่า “รูปแบบธุรกิจของเราคือการเป็น 7-11 ของผลิตภัณท์ทางการเงินครบวงจร” นอกจากนั้นยังขยายไปในธุรกิจ Healthcare ยุคใหม่ด้วย เป็นอีก Deal ของเจ้าสัวธนินท์ที่ผมว่าคู่ควรแก่การติดตามมาก ๆ ครับ Kweichow Moutai เหล้าจีนดีกรี Blue Label “ถ้าพระเจ้าสร้างโลก ที่เหลือสร้างโดยจีน” คือคำกล่าวติดตลกที่ผมเคยได้ยินนักลงทุนรุ่นพี่บอก ดูในความเป็นจริงก็อาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะจีนคือประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่กำลังเป็นว่าที่เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจีนทำอะไร มักจะทำให้ธุรกิจนั้น ๆใหญ่ที่สุดในโลกได้ไม่ยากนัก ขนาดและรูปแบบต่าง ๆ ของเหมาไถ ที่มา: Nikkei Asian Review หุ้นตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่มาพร้อมกับดีกรีใหญ่ที่สุดในโลก “เหล้าขาวเหมาไถ” และน่าจะเป็นบริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในพอร์ตของ TMBCOF ด้วยเพราะเหมาไถนั้นมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปี ตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ฉิง เลยทีเดียว เหมาไถเป็นเหล้าขาวประเภทหนึ่งที่ผลิตจากน้ำในแม่น้ำฉื่อสุ่ย เมืองเหมาไถ มณฑลกุ้ยโจว ในประเทศจีนเท่านั้น แบบเดียวกับที่เหล้าคอนญัคต้องผลิตมาจากเมืองคอนญัค ประเทศฝรั่งเศส และวิสกี้ที่ต้องมาจากสก็อตแลนด์เท่านั้น ประธานาธิบดี Nixon ที่มา: caixinglobal.com เหมาไถเป็นต้นแบบสุราจีนที่มีความหอมแบบดั้งเดิม จึงถึงยกย่องว่าเป็น “สุราประจำชาติจีน” และเป็นเครื่องดื่มที่ใช้รับรองแขกระดับประเทศเช่นประธานาธิปดีริชาร์ด นิกสันและ บิล คลินตันเป็นต้น จากตอนนั้นเป็นต้นมาเหมาไถกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจรจาและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “ทุกปัญหาและความขัดแย้งแก้ไขได้ ด้วยเหมาไถ” – เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ กล่าวกับ เติ้งเสี่ยวผิง เหมาไถผลิตด้วยกระบวนการดั้งเดิม ผลิตเพียงปีละครั้ง ใช้วัตถุดิบเช่นข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ผ่านกระบวนการ 165 ขั้นตอน ใช้เทคนิคเฉพาะ 82 วิธี นึ่ง 9 ครั้ง หมัก 8 ครั้ง กลั่น 7 ครั้ง และใส่ไว้ในหม้อดินเป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้ได้รสชาติแอลกอฮอลล์ที่นุ่มนวล ด้วยตำนาน กระบวนการผลิตที่ซับซ้อน และปริมาณการผลิตที่จำกัด ทำให้เหมาไถ 1 ขวดมีราคาเริ่มต้นที่สูงถึง 9,000 บาท วิธีการผลิต Moutai แบบดั้งเดิม ที่มา: moutaithailand.com ปี 2019 กำไรของ Moutai ยังเติบโต 17% จากรายได้ที่เติบโต และอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น ในปี 2020 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังเติบโตได้ Double-Digit ปกติจะหายากในประเทศไทย แต่พอไปจีนแล้วการเติบโตระดับนี้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย Yihai International Holding เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทสุกี้และหม้อไปทั่วโลก เนื่องจากบริษัทนี้เป็นบริษัทที่อยู่เบื้อหลังเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกที่คนมักจะไม่ค่อยรู้จัก แต่ถ้าพูดถึงลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทนี้ ผมคิดว่าทุกคนต้องร้องอ๋อ ! บริษัทเป็น Supplier ของเชนหม้อไฟรายใหญ่ของจีน Haidilao สินค้าหลักของบริษัทคือเครื่องปรุงสำเร็จต่างๆที่ใช้ในหม้อไฟ สัดส่วน 65.7% เครื่องปรุงต่าง ๆ 9.2% และอาหารสำเร็จรูป Ready-to-Eat 23.3% รายได้เครื่องปรุงหม้อไฟราว ๆ 38% มาจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกันคือ Haidilao นั่นเอง นั่นก็หมายความว่าการเติบโต 1 ใน 3 ของบริษัทนี้อิงอยู่กับ Haidilao ที่กำลังขยายสาขาแบบดุดัน ทำให้ได้ประโยชน์ยอดขายโตตามไปด้วย ภาพราคาหุ้น Yihai International ที่มา: tradingview.com รายได้ปี 2019 ของ Yihai โตสูงถึง 59% ที่ผ่านมาหุ้นขึ้นมาจากแถว ๆ 4 ฮ่องกงดอลลาร์ มาเป็น 60 ฮ่องกงดอลลาร์ มีการลงไปปรับฐานช่วง COVID-19 เล็กน้อย หลังจากนั้นดีดตัวอย่างรุนแรงกลับมาปิดที่ราคา All-time-high ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หุ้นตัวนี้มีโอกาสเป็นหุ้นนำตลาดในช่วงหลัง COVID-19 เลยทีเดียวเพราะแม้สถานการณ์จะดูลบ แต่หุ้นกลับไม่ลงเลยแม้แต่น้อยนับว่าแข็งแกร่งมาก ๆ โดยภาพรวมหุ้นที่กองทุน TMBCOF ถือค่อนข้างหลากหลาย แต่ละตัวเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตนเองอย่างชัดเจน การเติบโต 2-Digit มีให้เห็นแทบทุกตัว ทั้งนี้ต้องให้ Credit กับผู้จัดการกองทุนคุณ Bin Shi ด้วยที่เลือกหุ้นได้อย่างแม่นยำ Bin Shi ผู้จัดการกองทุนจีนแท้ เรทติ้ง AAA Bin Shi เป็นหนึ่งในสมาชิกทีม Global Emerging Market and Asia-Pacific Equities ที่ UBS Asset Management ในฮ่องกง โดยเขาเป็นคนดูแลกองทุนหุ้นจีนทั่วโลก ก่อนเขามาทำงานที่ UBS เขาเคยทำงานที่ Boshi Fund Management ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดในจีนแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเขาเคยทำงานอยู่ในสหรัฐฯ ถึง 8 ปี ในฐานะ Portfolio Manager และ นักวิเคราะห์ ปัจจุบันเขาทำงานอยู่กับ UBS มาได้ 14 ปีแล้ว Bin Shi ดูแลกองทุนของ UBS ทั้งสิ้น 4 กอง UBS (Lux) Equity Fund China Opportunity UBS (Lux) Investment China A Opportunity UBS (Lux) Equity Fund Greater China UBS (Lux) Equity Sicav All China Opportunity ทุกกองทุนทำผลตอบแทน 1 ปีติดอันดับที่ 8-14 จากกองทุนจีนทั้งสิ้น 133 กอง ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา ส่วนตัว Bin Shi เองนอกจากจะมีเรทติ้ง AAA แล้วยังทำผลตอบแทนติดอันดับ 3 ของโลก จากผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในจีนทั้ง 105 คน ภาพเรทติ้งของ Bin Shi ที่มา: citywireasia.com ด้วยความที่ผลตอบแทนของกองทุนโดดเด่น ผู้จัดการกองทุนมีความสามารถ ทำให้กองทุนแม่ของ TMBCOF กองทุน UBS (Lux) Equity Fund China Opportunity มีเงินไหลเข้าในช่วง 3 เดือนถึงกุมภาพันธ์ เป็นจำนวนเงิน 802 ล้านเหรียญ ติดอันดับกองทุนที่เงินไหลเข้ามากที่สุดแห่งหนึ่ง TMBCOF อยู่ในมือของผู้จัดการกองทุนที่พร้อมทั้งความสามารถและประสบการณ์ ภาพรวมการเติบโตของประเทศจีน แม้การเติบโตของจีนจะชะลอตัวลง แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจจีนยังไม่เปลี่ยน จีนยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงสุดอยู่ดี ขนาดประชาการมากที่สุดในโลก เทคโนโลยีล้ำสมัย การบริหารจัดการนโยบายที่แม้จะเป็นสไตล์ “รวบรัดอำนาจการตัดสินใจ” ไว้ที่รัฐบาลกลาง แต่ก็อาจจะเป็นระบบที่เหมาะสมในการบริหารจัดการประชากรกว่า 1,300 ล้านคนแล้วก็ได้ ไม่มีทฤษฎีไหนบอกว่าประเทศต้องเป็นระบอบทุนนิยมประชาธิปไตยแบบ 100% ถึงจะประสบความสำเร็จ ประเทศยุโรปหลายๆประเทศก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตย 100% แต่ประชาชนก็มีชีวิตที่ดี มีการศึกษาที่ดีได้ ประเทศจีนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมคิดว่าค่อนข้างมี “เอกลักษณ์เฉพาะตัว” สูง ดังนั้นจะมองเศรษฐกิจจีนด้วยสายตาชาวตะวันตก ก็อาจจะไม่เหมาะสมนัก มีแต่คนจีนแบบ Bin Shi ที่จะเข้าใจเมืองจีน และเศรษฐกิจจีนได้ดีพอ ความเสี่ยงของประเทศจีน ความเสี่ยงของประเทศจีนมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Shadow Banking, ปริมาณหนี้ที่สูงกว่าที่รายงาน, การปกครองแบบเบ็ดเสร็จของสี จิ้นผิงและพรรคคอมมิวนิสต์ที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะยังสำเร็จในระดับเดิมไหมในอนาคต ในยุคที่ Internet เป็นใหญ่ กำแพงเมืองจีน Digital จะบล๊อค Internet และชาวจีนออกจากโลกได้ไปอีกกี่ปี และถ้าบล็อกไม่ได้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่น่าจับตามองของประเทศจีน ซึ่งผมจะขออนุญาติสรุปความเสี่ยงและภาพรวมการเติบโตของจีนอีกครั้งในบทความหน้าครับ รายละเอียดมากจริง ๆ ขอทิ้งท้ายด้วยสิ่งที่น่าสนใจของบทความหน้าสั้น ๆ ว่า หลังจากการแพร่ระบาดของโรค SARS ในปี 2003 GDP จีนโตไป 4 เท่าครับ นั่นหมายความว่าถ้าเศรษฐกิจมันจะโต ให้มีโรคระบาดก็ทำอะไรการเติบโตไม่ได้ ตอนนี้การใช้ถ่านหินซึ่งเป็น Indicator หลักในการบ่งบอกถึงการใช้พลังงาน หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนกำลังมีการกลับตัวอย่างรวดเร็ว ความหนาแน่นของการจราจรบนท้องถนนจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างเร็วเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคของจีนที่เปลี่ยนจาก Offline ไปเป็น Online จะทำให้หลาย ๆ Sector อย่าง ติวเตอร์ออนไลน์ บริการทางการเงิน และบริการสุขภาพได้ประโยชน์ บริษัทใหญ่ ๆจะได้ประโยชน์จากการล้มตายของบริษัทคู่แข่งเล็ก ๆ นี่เป็นภาพรวมคร่าว ๆ ของบทความถัดไป แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า รับรองว่าเจาะลึก รายละเอียดจัดเต็มอีกแน่นอนครับ ! BuffettCode สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan ที่มา: https://www.ubs.com/au/en/asset-management/insights/emerging-markets-and-china/2020/china-out-of-lockdown-recovery.html https://www.zdnet.com/article/daily-active-user-of-messaging-app-wechat-exceeds-1-billion/ https://www.statista.com/statistics/255778/number-of-active-wechat-messenger-accounts/ https://www.businessofapps.com/data/wechat-statistics/ https://www.businessinsider.com/china-fintech-alipay-wechat https://www.digitalinsuranceagenda.com/thought-leadership/the-vision-behind-ping-ans-success-story/ https://www.scmp.com/business/money/investment-products/article/2043685/ping-adds-10000-china-clinics-its-health-care https://www.caixinglobal.com/2019-03-01/ping-an-healthcare-still-in-the-red-despite-strong-revenue-growth-101386135.html Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Product Info TMBCOF กองทุนจีน หุ้นจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สถิติชี้หุ้นเล็กไปได้อีก 25% ในปีนี้ - FINNOMENA หากมองการลงทุนในปี 2021 แล้ว สิ่ง ๆ หนึ่งที่สำคัญมาโดยตลอดในยุคนี้ คงหนี้ไม่พ้นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเรื่อย ๆ จนทำให้การคิดมูลค่าของหุ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไป เรามาดูกันว่าในเชิงมูลค่านั้นหุ้นขนาดเล็ก ในตอนนี้เป็นอย่างไร และจะไปได้ไกลอีกสักแค่ไหน? 11 ก.พ. 2564 หากมองการลงทุนในปี 2021 แล้ว สิ่ง ๆ หนึ่งที่สำคัญมาโดยตลอดในยุคนี้ คงหนี้ไม่พ้นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเรื่อย ๆ จนทำให้การคิดมูลค่าของหุ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไป และน่าเสียดายที่นักลงทุนในหุ้นหลาย ๆ คน ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดมูลค่าหุ้นของตนเองและอาจทำให้พลาดโอกาสการลงทุนไป เรามาดูกันว่าในส่วนของการประเมินมูลค่าหุ้นขนาดเล็กนั้น ในตอนนี้เป็นอย่างไร และหุ้นเล็กจะไปได้ไกลอีกสักแค่ไหน? ว่ากันคร่าว ๆ มูลค่าของหุ้นคิดอย่างไร? โดยปกติแล้วเวลาเราคิดมูลค่าของหุ้นสักตัวหนึ่ง เราก็คงจะคิดกระแสเงินสดของบริษัทนั้น ๆ ย้อนกลับมาจนถึงปัจจุบันเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงในตอนนี้ ผ่านการนำกระแสเงินสดของบริษัทที่ได้ มาคิดย้อนผ่านอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถ้ายิ่งน้อยหรือยิ่งต่ำก็จะทำให้กระแสเงินสดที่คิดออกมาสูงขึ้น (ยิ่งเยอะยิ่งดี) และหากว่ากันถึงมูลค่าของหุ้นเล็กในตอนนี้แล้ว หากเรานำผลตอบแทนของกระแสเงินสด (Free cash flow yield) ที่คิดลดจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี เราก็จะได้ Equity risk premium หรือผลตอบแทนที่ต้องการเพิ่มเติมจากความเสี่ยงอยู่ที่ 1% กว่า ๆ ในตอนนี้ ภาพแสดง Equity risk premium ผ่านการคิดลดดด้วยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีสหรัฐในดัชนีหุ้นเล็ก Russell 2000 และสิ่งที่น่าสนใจก็คือจากสถิติย้อนหลัง 20 ปี นั้นหาก Equity risk premium ของหุ้นเล็กหันหน้ามายืนเหนือระดับที่สูงกว่า 1% ได้ ผลตอบแทนเฉลี่ยในปีถัดไปจะสูงถึง 25.5%! แต่การลงทุนที่ดีเราอาจจะไม่สามารถนำข้อมูลในอดีตมาฟันธงว่าสิ่ง ๆ นั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนได้แบบ 100% เพราะ เราทำได้เพียงหาจังหวะที่มีโอกาสสำเร็จสูงสุด ดังนั้นเราอาจจะต้องดูความเสี่ยงหรือปัจจัยหนุนอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้ามาประกอบด้วย ปัจจัยหนุนนำหุ้นเล็ก แพคเกจกระตุ้นในลอตถัดไป เป็นที่รู้ผลกันแล้วว่า Democrat ถือเป็นพรรคผู้ชนะในการเลือกตั้งสหรัฐครั้งนี้ และอาจทำให้มีมาตรการกระตุ้นทางการคลังออกมาเพิ่มเติม ถึงแม้จะมีการเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่ต้องจับตามอง ความไม่แน่นอนในเรื่องของวัคซีน วัคซีนถือเป็นพระเอกหลักสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาจากต้นตอ ดังนั้นหากวัคซีนมีปัญหาในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือการขนส่ง ก็อาจทำให้หุ้นเล็กถูกกดดันได้ จากการที่หุ้นส่วนใหญ่ในหุ้นเล็กเป็นหุ้นวัฎจักรที่ต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปริมาณของมาตรการกระตุ้น หากปริมาณของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาไม่มาก หรือไม่เกิดขึ้นจริงก็อาจทำให้การลงทุนในหุ้นเล็กที่เกาะไปกับแนวโน้มเศรษฐกิจถูกกดดันได้ หุ้นเล็กแบบไหนที่ตอบโจทย์ ในเมื่อหุ้นเล็กแบบวัฎจักรดูมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน ดังนั้นการลงทุนในหุ้นเล็กผ่านหมวดหมู่ธุรกิจดังนี้อาจมีความน่าสนใจ หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนบริษัทใหญ่ เช่น ผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นสำหรับธนาคารต่าง ๆ, หุ้นที่ช่วยสนับสนุนการเข้าถึงตลาด E-commerce ต่าง ๆ หุ้นเทคโนโลยีที่ช่วยจัดการระบบ Supply chain และการขนส่ง หุ้นในหมวดหมู่สินค้าพักผ่อนหย่อนใจ จากการที่ผู้คนมีเวลาว่างมากขึ้น สรุปโดยรวมแล้วทั้งในเชิงพื้นฐาน มูลค่า และโมเมนตัมของนักลงทุน หุ้นเล็กอาจให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดในปีถัด ๆ ไป หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนหุ้นขนาดเล็กต่อไป เนื้อหาต้นฉบับโดย Royce Investment Partners เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.ftinstitutionalapac.com/content-ftthinks/common/gio/2021-global-investment-outlook/2021-outlook-vulnerability-and-resiliency-through-upheaval-a.pdf Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Infographic, Knowledge, Long Content อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
การเดินทางมาถึงของผู้เปลี่ยนเกม - FINNOMENA หากเรียกว่า Pfizer และ Moderna เป็นผู้เปลี่ยนเกมโลกก็คงจะดูไม่เกินจริงสักเท่าไร เพราะการออกมาประกาศถึงความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีนก็คงเป็นเหมือนกับการประกาศ “จุดจบ” ให้กับ COVID-19 แบบกลาย ๆ แล้ว 11 ก.พ. 2564 “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีจุดจบ” — L. Frank Baum, The Marvelous Land of Oz เกมพลิกหลังจากบริษัท Pfizer (Moderna ก็ประกาศตามมาแบบติด ๆ) ออกมาประกาศเกี่ยวกับวัคซีนที่ทางบริษัทอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากถึง 95% ซึ่งก็เหมือนกับการประกาศจุดจบให้กับ COVID-19 แบบกลาย ๆ ก่อนหน้านี้หลาย ๆ คนอาจนึกภาพไม่ออกว่าโลกนี้จะตกอยู่ในการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้อย่างไร แต่หลังจากนี้ทุกคนคงจะไม่สามารถนึกภาพโลกที่ไม่มี COVID-19 ได้อีกแล้ว วัคซีนคิดค้นได้สำเร็จในเวลาที่เหมาะสมเพราะ COVID-19 กำลังกระจายออกไปทั่วโลก ยุโรปสั่งล็อคดาวน์รอบใหม่ในหลายพื้นที่ สหรัฐฯ เองก็กำลังพิจารณาการล็อคดาวน์แบบไม่ให้มีการเดินทางข้ามรัฐ เป็นความโชคดีที่อัตราการเสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราผู้ติดเชื้อกลับสูงเป็นภูเขาทำให้ยังคงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ในบทบาทนักลงทุน ความท้าทายเราคือชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์ของอนาคตที่ไม่มี COVID-19 ด้วยความยากลำบากที่จะพาเราไปจุดนั้นได้ รูปที่ 1 กราฟแสดงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ และยุโรป ที่มา: Bloomberg, Western Asset. As of 11 Nov 20 แนวโน้มของตลาดคือการมองการณ์ไกล หลังจากความเสี่ยงตลาดกำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากภาวะวิกฤตที่หนักข้อมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทุกคนต่างเชื่อและคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จะสามารถช่วยให้เราชนะในสงครามที่หนักหนานี้กับ COVID-19 ได้ ถึงแม้ว่าการกลับมาของ COVID-19 จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ระมัดระวังมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจโลกซบเซายังคงอยู่ในระดับที่อันตราย แต่ตลาดต่าง ๆ ก็ต่างพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับอนาคตที่คาดว่าจะแตกต่างไปจากตอนนี้อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือไทม์ไลน์ หน่วยปฎิบัติการเฉพาะกิจไวรัสโคโรน่าของเราเชื่อว่ามันยังมีความลำบากอยู่ในการที่จะผลิตวัคซีน การยอมรับ การแจกจ่าย และการที่ทุกคนทั่วโลกจะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงคงจะใช้เวลาเป็นครึ่งปี แต่หลังจากที่ทางการแพทย์ให้วัคซีนกับผู้ที่ทำงานในแนวหน้า คนที่มีอาการอยู่ก่อนแล้ว และคนชราไปแล้ว การฉีดวัคซีนก็จะแผ่วงกว้างไปเรื่อย ๆ และนั่นน่าจะทำให้ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจของสังคม และความคิดที่จะล็อคดาวน์นั้นหายไป เราคิดว่าความเสี่ยงต่าง ๆ ในภาคตราสารหนี้ถูกนำไปพูดเกินจริงจนทำให้ผู้คนตระหนกจากการระบาดใหญ่ของโรคนี้ แต่พวกเราเชื่อว่าในสุดท้ายแล้วด้วยนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อฟื้นตัวจากสถาการณ์อันน่าเศร้านี้จะเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน ต่อไปจากนี้ พวกเรารู้สึกว่าตลาดจะมองตราสารหนี้ในแง่ที่ดีมากขึ้น เราคาดว่าหนี้สินของประเทศกำลังพัฒนา (EM) จะดีขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเหล่าประเทศกำลังพัฒนาจะกำลังเจอกับความท้าทายที่ใหญ่หลวงทางด้านการแพทย์และการคลังแต่การเติบโตที่ดูเหมือนจะมั่นคงของเศรษฐกิจโลกจะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ของ EM วิกฤตโควิดคงจะยังไม่จบลงง่าย ๆ และอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอันใกล้อนาคต แต่หลังจากที่เรามีการใช้วัคซีนกันอย่างแพร่หลายแล้วนโยบายช่วยเหลือทางการคลังมากมายคงจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนในระยะยาวอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดความจำเป็นในการผ่อนปรนทางการคลัง และการเก็บภาษีที่สูงขึ้น แล้วอะไรบ้างที่จะไม่เปลี่ยนไปเลย? สิ่งนั้นคือความไม่สมดุลในนโยบายทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ พวกเขาอาจจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมาก ๆ เป็นปี ๆ นักธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วต่าง ๆ ทั่วโลกเองก็แสดงออกกันอย่างชัดเจนว่าอยากให้เก็บภาษี ในอัตราที่ “น้อย ๆ แต่นาน ๆ” สิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดและสำคัญที่สุดตอนนี้คืออัตราการว่างงานที่ดูเหมือนจะคงที่และไม่ลดลงเลย ผู้คนยังคง “หวาดกลัว” ต่อการไม่ได้งานเก่าหรืองานเสริมคืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคนก็จะยิ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านการจ้างแรงงานแบบเดิมอีกด้วย สหรัฐฯ คงจะเป็นประเทศที่ใช้นโยบายทางด้านการเงินได้ชัดเจนมากที่สุดแล้วในตอนนี้ จากเหตุการณ์เงินเฟ้ออย่างเรื้อรังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 ปีเพื่อขยายตัวทางเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ขยายบัญชีงบดุลแบบมากมายมหาศาลโดย 3 เดือนที่ผ่านมาพวกเขาใช้งบไปมากกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลก Fed เผยว่า “พวกเราจะยอมแลกด้วยทุกอย่าง” และพวกเขาได้ทบทวนนโยบายระยะยาวในการเปลี่ยนแปลงบทบาทการตอบสนองต่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ (dovish) ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นอีกด้วย Fed ยอมรับว่ามีแนวโน้มที่เงินจะเฟ้ออย่างน้อย 2% และจะไต่ระดับขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ แต่ถึงยังไงมันก็คงจะต้องถูกจัดให้อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสูงกว่าเกณฑ์อย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ (อาจจะ 1 ปี? 2 ปี?) หากเกิดภาวะเงินเฟ้อระดับสูงร่วมด้วยแบบนี้ Fed ก็คงต้องยกระดับของอัตราการว่างงานเช่นกัน การจ้างงานเต็มที่จะต้องเกิดขึ้นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวไว้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจนี้ใช้เวลาไปแล้วกว่า 6-7 ปี แน่นอนว่าถ้ามีอะไรติดขัด Fed ก็จะต้องรีบแก้ไขและหากการฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว Fed น่าจะต้อง “คิดให้ถี่ถ้วนมาก ๆ ก่อนที่จะขึ้นค่าภาษีต่าง ๆ” ทั้งข่าวดีจากการคิดค้นวัคซีน การเคลื่อนไหวอย่างมีเหตุผลของเศรษฐกิจปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของมาตราการช่วยเหลือทางการคลังเพิ่มขึ้นมาจะสามารถช่วยพยุงตลาดสเปรดตราสารหนี้ไว้ได้ Fed ตั้งความหวังไว้ว่าพวกเขาจะสามารถลดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงนี้ได้ถึงแม้ว่ามันจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม ความมุ่งมั่นที่ยิ่งใหญ่ของ Fed ในแนวทางการจัดการกับความไม่สมดุลของพวกเขานั้นดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนถึงแม้ว่าจะต้องเจอกับวิกฤตโควิดที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม แถมนโยบาย ”น้อย ๆ แต่นาน ๆ” ยังช่วยให้เห็นอีกว่าอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (Treasury duration) สามารถช่วยเสริมให้พอร์ตของสินทรัพย์ดูสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เนื้อหาต้นฉบับโดย Ken Leech Chief Investment Officer, Western Asset เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.franklintempletonglobal.com/franklintempletonglobal/article?contentPath=html/ftthinks/common/western-asset/the-gamechanger-has-arrived.html แท็ก: Advance Article FINNOMENA Franklin Templeton Franklin Templeton Outlook Knowledge Long Content ตราสารหนี้ เงินเฟ้อ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton ยกระดับกลยุทธ์การลงทุนของคุณให้เป็นระดับโลก FINNOMENA ร่วมกับ Franklin Templeton ออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะกับคนไทย พร้อมส่งต่อบทวิเคราะห์การลงทุนจากศูนย์วิจัยด้านการลงทุนระดับโลกให้คุณได้รู้ก่อนใคร
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
อสังหาริมทรัพย์กับโอกาสในปี 2021: สู้เงินเฟ้อ พร้อมเกาะติดการเติบโต - FINNOMENA ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันทั่วโลกได้ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการถือครองอสังหาฯ สู่จุดที่มากกว่า 10% โดยเฉลี่ย แล้วในปี 2021 อสังหาฯ จะยังน่าสนใจหรือไม่? 11 ก.พ. 2564 อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์ แต่จะต่ำอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร? Moody’s Analytics ได้คาดการณ์ไว้ว่า Real GDP ของสหรัฐฯ จะเติบโต 4.0% ในปี 2021 และ 4.5% ในปี 2022 ซึ่งการเติบโตนี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการเงินการคลังที่เอื้ออำนวย อุปสงค์ของผู้บริโภคที่อัดอั้นมานาน และการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาคเอกชน อย่างไรก็ดี การคาดการณ์การเติบโตที่แข็งแกร่งนั้นก็ค่อนข้างจะสวนทางกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั้งดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่างก็ต่ำกันทั้งคู่ ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้อยู่ เพราะเหล่าธนาคารกลางใหญ่ ๆ ทั่วโลกได้อัดฉีดสภาพคล่องมูลค่าเฉลี่ย 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้ามาในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของวิกฤตโควิด-19 จุดนี้ทำให้หลาย ๆ คนเกิดความกังขาเกี่ยวกับเงินเฟ้อในอนาคต การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ 5 ปีของ Bloomberg นั้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 0.9% ในเดือนเมษายน 2020 เป็น 1.9% ในเดือนพฤศจิกายน 2020 คำถามสำคัญที่หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยคือ ถ้านโยบายการเงินสามารถช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วได้ ควรจะจัดพอร์ตอย่างไรท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจเช่นนี้? ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสถานการณ์การลงทุน ณ ปัจจุบันช่างท้าทายเหลือเกิน สังคมผู้สูงอายุและการเก็บออมที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้คนต้องการรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หลายเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกล้วนวิ่งแตะระดับจุดสูงสุดกัน สวนทางกับอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่อยู่ระดับต่ำมาก นอกเหนือจากนั้น ยังมีเงินสดหลงเหลืออยู่อีกไม่น้อย (แค่ในสหรัฐฯ ก็ปาไป 4.5 ล้านล้านเหรียญแล้ว) ที่วางกองไว้เฉย ๆ รอวันแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ อสังหาริมทรัพย์: ที่สุดของสองโลก ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันทั่วโลกได้ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการถือครองอสังหาฯ สู่จุดที่มากกว่า 10% โดยเฉลี่ย โดยทั่วไปแล้ว อสังหาฯ มักถูกมองเป็นสินทรัพย์ลูกครึ่งระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ ในจุดหนึ่ง อสังหาฯ คล้ายตราสารหนี้ตรงที่เจ้าของสามารถเก็บค่าเช่าเรื่อย ๆ ตามสัญญาได้ ส่วนอีกจุดหนึ่ง เจ้าของที่สามารถเพิ่มค่าเช่าได้ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ อสังหาฯ จึงไม่ผันผวนเท่าหุ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอยเพราะยังมีค่าเช่าเข้ามาเรื่อย ๆ อยู่ ในขณะเดียวกัน ช่วงที่เศรษฐกิจดีขึ้น อสังหาฯ ก็ทำผลงานได้ดีกว่าตราสารหนี้ เพราะสามารถเพิ่มค่าเช่าไปสู้กับเงินเฟ้อหรือดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้นได้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกได้ว่า อสังหาฯ นอกจากจะเป็นแหล่งรายได้ประจำแล้ว ยังมีการเติบโตอีกด้วย รูปที่ 1: เปรียบเทียบการเติบโตของอัตราค่าเช่าโดยเฉลี่ย กับ อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ย ใน 3 ช่วงเวลาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มา: CBRE-EA, Bureau of Labor Statistics, Clarion Partners Investment Research, Q3 2020 ในอดีตที่ผ่านมา อัตราการเติบโตเฉลี่ยของค่าเช่านั้น หากไม่เท่ากับอัตราเงินเฟ้อ ก็จะสูงกว่า ในรูปที่ 1 แสดงให้เห็นการเปรียบเทียบนี้ผ่าน 3 ช่วงเวลาแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นเกี่ยวเนื่องกันถึง 95% เลยทีเดียว อสังหาริมทรัพย์: เครื่องมือการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของเรา ไม่ใช่ทุกอย่างในปี 2020 จะแย่ไปเสียทั้งหมด แม้ว่าอสังหาฯ อย่างโรงแรมและห้างสรรพสินค้าจะโดนผลกระทบไปมิใช่น้อย แต่อสังหาฯ อื่น ๆ อย่างโกดัง วิทยาศาสตร์ด้านคุณภาพชีวิต (Life Sciences) และบ้านเช่าก็ยังได้รับผลดี หรือไม่ก็ยังได้รับผลกระทบน้อยอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าในปี 2021 นี้จะถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของวงจรตลาดอสังหาฯ ด้านฝั่งอุปสงค์ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัว ส่วนในฝั่งอุปทานก็จะได้รับผลดีจากอัตราห้องว่างที่มากขึ้น และค่าเช่าที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราปันผลและราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วนอสังหาฯ เข้าไปในพอร์ตจึงน่าจะส่งผลดี เพราะมีกระแสเงินสดที่สูง ความผันผวนในอดีตก็ต่ำ และถือเป็นการรับประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เราคงไม่อาจคาดหวังอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมหาศาลได้ แต่ถ้าเป็นอัตราเงินเฟ้อระดับปานกลางก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ในระยะกลางนี้ ดังนั้น กลยุทธ์ “แหล่งรายได้+เติบโต” จึงเป็นส่วนสำคัญของพอร์ต ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจและภาวะเงินล้นโลกนี้ เนื้อหาต้นฉบับโดย Tim Wang, Ph.D. Head of Investment Research, Clarion Partners เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin อ่านเพิ่มเติม คู่มือกองทุนรวมอสังหาฯ รวมข้อมูลที่นักลงทุนต้องรู้!! ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.ftinstitutionalapac.com/content-ftthinks/common/gio/2021-global-investment-outlook/2021-outlook-vulnerability-and-resiliency-through-upheaval-a.pdf Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Infographic, Knowledge, Short Content, ดอกเบี้ย, อสังหา, อสังหาริมทรัพย์, อสังหาฯ, เงินเฟ้อ อ่านอะไรต่อดี FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
อัตราผู้ติดเชื้อส่งผลอย่างไรกับหุ้นและพันธบัตร - FINNOMENA อัตราผู้ติดเชื้อกับพันธบัตรมีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร? ติดตามได้ผ่านบทความนี้เลยครับ 11 ก.พ. 2564 ตลาดตราสารหนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป? หลัก ๆ แล้วมี 3 ปัจจัยที่เราอาจจะต้องดูประกอบกันไปสำหรับตลาดตราสารหนี้ในปี 2021 ผลกระทบจาก COVID-19 ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ นโยบายการเงินจากทั่วโลก ผลกระทบจาก COVID-19 แนวโน้มผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลายอย่างไรก็ตามมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ในเชิงของการลงทุนนั้นอาจแตกต่างไปจากตอนช่วงวิกฤติ อัตราผู้ติดเชื้อส่งผลอย่างไรกับหุ้นและพันธบัตร ที่มา: มุมมองการจัดสินทรัพย์ A brighter year ahead ในช่วงก่อนอัตราผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแตะจุดสูงสุดที่ 60,000 ราย ในเดือน เมษายน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงเป็นอย่างมาก โดยมีผลมาจากการเข้าซื้อของนักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤติ อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน ธันวาคมที่ผ่านมาถึงแม้อัตราผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาจะทำจุดสูงสุดใหม่ นักลงทุนก็ดูจะมองไปข้างหน้าในปี 2021 ด้วยความคาดหวังที่ว่าวัคซีนจะได้ผล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มมีความกังวลต่อความเสี่ยงในส่วนนี้น้อยลง โดยอัตราผู้ติดเชื้ออาจส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนน้อยลง หรือจะสรุปได้ว่าความสัมพันธ์เชิงลบของทั้งสองปัจจัยเริ่มไม่สัมพันธ์กัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ หลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ออกมาว่าเป็น โจ ไบเดน ที่ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีคนถัดไป แนวโน้มการใช้นโยบายต่อรองแบบรุนแรงจึงอาจลดลง ส่งผลให้ความผันผวนทางการเมืองทั่วโลกอาจมีทิศทางที่ดีขึ้น และหากวุฒิสภาอยู่ภายใต้การควบคุมของรีพับลิคกันดังที่คาดการณ์ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจก็อาจลดลง จากการกระจายอำนาจไปยังพรรคการเมืองที่เน้นความเป็นกลางระหว่างความเท่าเทียมและการแบ่งฐานะในสังคม สรุปโดยรวมแล้วภาวะเศรษฐกิจและการเมืองอาจมีความแน่นอนที่มากขึ้น นโยบายการเงินจากทั่วโลก แนวโน้มนโยบายการเงินจากทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นแบบผ่อนคลายสนับสนุน และอาจแตกตากจากช่วงปี 2008 ที่ต้องเร่งรีบลดแพ็คเกจกระตุ้น จากความกังวลในเรื่องของเงินเฟ้อ อีกทั้งธนาคารกลางยังมีแนวโน้มปรับเป้าหมายเงินเฟ้อให้ลอยตัวได้สูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็จะทำให้การดำเนินนโยบายเป็นไปในเชิงผ่อนคลายต่อเนื่องและต่อไป ตราสารหนี้ที่น่าสนใจ ตราสารหนี้ตลาดกำลังพัฒนา ในรูปแบบสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ เหตุผลความเป็นไปได้ ตราสารหนี้กว่า 17 ล้านล้านเหรียญในตอนนี้ให้ผลตอบแทนติดลบ ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงมากกว่าอาจเป็นเป้าหมายถัดไปจากการที่ยังมีผลตอบแทนเหลืออยู่ให้กับนักลงทุน เนื้อหาต้นฉบับโดย Francis A. Scotland Director of Global Macro Research, Brandywine Global Jack P. McIntyre, CFA Portfolio Manager, Brandywine Global เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.ftinstitutionalapac.com/content-ftthinks/common/gio/2021-global-investment-outlook/2021-outlook-vulnerability-and-resiliency-through-upheaval-a.pdf Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Knowledge, Long Content อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
2021 ปีแห่งความชัดเจน - FINNOMENA ตัวชี้วัดระดับมหภาคชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในปี 2021 โดยมีอิทธิพลของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ลดลง ราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ และอัตราการออมของครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั้งในจีน สหรัฐ และยุโรป เป็นตัวชี้วัดการเติบโต สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบอกได้ว่าพวกเขามีอำนาจในการซื้อแต่แค่ “ยังไม่เอาออกมาใช้” 15 ก.พ. 2564 ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค: จะดีขึ้นไหมหลังจบการระบาด? ตัวชี้วัดระดับมหภาคแบบดั้งเดิมชี้ให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในปี 2021 สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดการเติบโตนี้มีทั้งอิทธิพลของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ลดลง ผลลัพธ์จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่าน ๆ มา ราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ และอัตราการออมของครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงทั้งในจีน สหรัฐ และยุโรป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นตัวบอกเราได้ว่าพวกเขามีอำนาจในการซื้อแต่แค่ยังไม่เอาออกมาใช้ การฟื้นตัวนั้นเป็นไปได้ดีกว่าที่เราคิดไว้ แต่ถึงอย่างไรผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วต่างก็ยังคงต้องการที่จะลดความคลาดเคลื่อนทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เกิดจากการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการช่วยให้อัตราการจ้างงานฟื้นตัวอย่างเต็มที่ การระบาดของโรคกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบอบการปกครองมากพอสมควร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาพรวมที่อาจจะดีขึ้นในอีกไม่นาน เป็นเวลากว่า 40 ปีที่นโยบายเศรษฐกิจมหภาค ของสหรัฐฯ มีไว้เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเงินเฟ้อ ใช้เพื่อดุลการคลัง และเอาไว้แยกระหว่างนโยบายการเงินและการคลังออกจากกัน แต่ระบอบการปกครองนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วในตอนนี้ เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน Paul Volcker ได้ประกาศไว้ว่า Fed จะใช้ปริมาณเงิน (monetary aggregates) ทำลายสภาวะเงินเฟ้อ ในส่วนของประธาน Fed อย่าง Jay Powell ก็ได้ยืนกรานว่าเขาจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0% จนกว่าภาวะเงินเฟ้อจะขึ้นสูงกว่า 2% และเขายังบอกต่อสภานิติบัญญัติอีกว่าการมีแผนกระตุ้นทางการคลังจำนวนมากย่อมเสี่ยงน้อยกว่าการมีแผนจำนวนน้อย หนทางที่จะช่วยให้ Fed ไปถึงจุดหมายในเรื่องอัตราเงินเฟ้อนี้ก็คือการประสานงบประมาณทางการคลัง ระบอบการปกครองแบบนี้คงจะเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงของเหล่านักการเมือง เรื่องที่เราไม่รู้ในสถานการณ์ตอนนี้คือเรื่องของไวรัส COVID-19 รวมถึงปฎิกิริยาของรัฐบาลและประชาชน แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาวัคซีนที่มีแนวโน้มเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญจะนำไปสู่การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งแบบเกินคาดในปีนี้ โดยจีนได้ทำให้เราเห็นถึงผลลัพธ์นั้นแล้ว พวกเขาควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการปฏิบัติตามมาตรการ เว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดและการบุกตรวจโรคแบบวงกว้าง หลายภาคส่วนในเศรษฐกิจจีนตอนนี้ฟื้นตัวสู่สภาพปกติแล้ว ในขณะที่ภาคส่วนที่เหลือก็กำลังอยู่ในระยะฟื้นตัวเช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีจนถึงขั้นที่ทางการจีนเริ่มลดแผนกระตุ้นธุรกิจต่าง ๆ ลงแล้ว ถ้าวัคซีนถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพจริง การที่ทั่วโลกจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติในปลายปี 2021 คงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ ความไม่แน่นอนที่ลดลงของพันธบัตรทั่วโลก ในการพิจารณาว่าตลาดพันธบัตรจะเคลื่อนไปในทิศทางใด เราจะต้องใช้ 3 ปัจจัยหลัก ๆ ด้วยกัน ปัจจัยที่หนึ่งคืออิทธิพลของ COVID-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก การระบาดจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกและอาจจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในครึ่งหลังของปี แต่มันคงจะไม่ได้กระทบในทุก ๆ ภาคส่วนของเศรษฐกิจ เราก็คงต้องยอมรับว่าอัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตจะยังเพิ่มสูงขึ้น จนกว่าจะมีการใช้วัคซีนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็เปรียบเหมือนคำกล่าวที่ว่า “ฟ้ากลางคืนจะมืดมิดที่สุดก่อนรุ่งอรุณ” แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องพิจารณาว่าสถานการณ์ใดที่สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดพันธบัตรในตอนนี้บ้าง ดูเหมือนว่าตลาดพันธบัตรจะตั้งความหวังไว้กับปี 2021 เพราะข่าววัคซีนที่พร้อมใช้งาน ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้อัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลยังอยู่ที่ราว ๆ 60,000 ราย และล่าสุดพุ่งขึ้นไปแตะที่ 100,000 ราย โดยคาดว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เหมือนเป็นตัวส่งสัญญาณว่าตลาดพันธบัตรกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ 2021 ด้วยความหวังว่าความแพร่หลายของการใช้วัคซีนจะช่วยให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ รูปที่ 1 การเข้ารักษา COVID-19 ในโรงพยาบาลสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2020) ที่มา: Brandywine Global, Macrobond, The COVID Tracking Project, SPDJI, ICE, Macrobond. ปัจจัยที่ 2 ที่จะช่วยให้เรารู้ทิศทางของตลาดพันธบัตรทั่วโลกคือเราต้องวิเคราะห์ความไม่แน่นอนให้กว้างขึ้นโดยการรวมความไม่แน่นอนทางด้าน “การเมืองและเศรษฐกิจ” เข้าไปด้วย ถึงแม้ว่าปัจจัยนี้จะเน้นไปที่สหรัฐฯ ซะส่วนใหญ่แต่มันก็มีความเกี่ยวโยงทั่วโลก ในช่วงต้นเดือนมกราคมนี้เราจะได้รู้ผลการเลือกตั้งวุฒิสภาในรัฐจอร์เจียร์ซึ่งนั่นจะเป็นส่วนที่สำคัญมากต่อระเบียบวาระของการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อถึงสถานการณ์คับขันเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจภายในทำเนียบขาวในกลางมกราคมนี้ เป็นที่รู้กันว่าว่าที่ประธานาธิบดีไบเดนนั้นแตกต่างไปจากทรัมป์ตรงที่เขาไม่ค่อยใช้ความไม่แน่นอนต่าง ๆ เป็นอาวุธ ดังนั้นเราจึงคาดว่าความผันผวนต่าง ๆ ทางการเมืองคงจะลดน้อยลงในปี 2021 และในปีต่อ ๆ ไป และถ้าวุฒิสภายังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค Republicans แบบคาดไว้ เราก็อาจจะได้เห็นความผันผวนทางเศรษฐกิจที่น้อยลงเช่นกัน Gridlock จะแบ่งสรรอำนาจให้กลุ่ม “ผู้แก้ปัญหา” ต่าง ๆ ซึ่งก็คือกลุ่มของนักการเมืองที่มีความคิดเห็นเป็นกลางนั่นเอง ปัจจัยที่ 3 นั้นเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเราคาดหวังว่าจะได้เห็นการผันผวนที่น้อยลงจากอิทธิพล 2 อย่าง อย่างแรกและสำคัญมากคือสภาวะเงินเฟ้อไม่ควรจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ในปี 2021 ซึ่งจะทำให้นโยบายทางการเงินของทั่วโลกเอนเอียงไปทางนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น การคาดการณ์ในครั้งนี้ต่างจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของวิกฤตการเงินโลก (GFC) โดยสิ้นเชิงตรงที่ในสถานการณ์นั้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจถูกยกเลิกไปอย่างรวดเร็ว การใช้นโยบายที่ “แตกต่างไปจากปกติ” ในตอนนั้นสร้างความหวาดกลัวว่ามันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดภาวะเงินเฟ้อแม้ในท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่ได้เกิดขึ้น ก้าวเข้าสู่ปี 2021 นี้เหล่านักธนาคารกลางต่างก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อราคาที่สูงขึ้นไปทางที่ดีกว่าเดิม แต่ถ้าหากราคาตลาดพุ่งสูงขึ้นอีกละก็เราน่าจะได้ยินวาทศิลป์เกี่ยวกับความสามารถในการจัดการกับ Yield curve ของพวกเขาอย่างแน่นอน อะไรคือผลกระทบของตลาดต่อ “ฟังก์ชันขั้นบันได” (step function) ที่ลดลงในทางการแพทย์ การเมือง เศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนของนโยบายทางการเงิน? จริง ๆ แล้วมันสามารถสื่อได้ว่าความผันผวนในตลาดพันธบัตรจะยังคงอยู่ในระดับต่ำซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการหาอัตราผลตอบแทนโดยรวมในปี 2021 ซึ่งจะเข้ากันได้ดีกับอัตราผลตอบแทนที่ขาดหายไปในช่วงก่อนหน้านี้ ในขณะนี้มีพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนเชิงลบมากกว่า 17 ล้านล้านดอลลาร์ และสุดท้ายคือตราสารหนี้แบบอัตราผลตอบแทนที่มีการปรับค่าความเสี่ยงเทียบกับกลุ่มพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนเชิงลบนี้จะสามารถดึงดูดเงินทุนได้อย่างมหาศาล แม้ว่าสเปรดของเครดิตของภาคเอกชนนั้นแคบลงแล้ว แต่มันสามารถลดลงกว่านี้ได้อีก อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จาก capital flow เป็นกลุ่มแรก ๆ คือกลุ่มตราสารหนี้สกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนา (EM) โดยหากมองจากพื้นฐานของดอกเบี้ยแท้จริงแล้ว ตราสารหนี้เหล่านี้ค่อนข้างที่จะน่าสนใจมากทีเดียวเมื่อเทียบกับตลาดพันธบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื้อหาต้นฉบับโดย Francis A. Scotland, Brandywine Global และ Jack P. McIntyre, CFA, Brandywine Global เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.franklintempletonglobal.com/franklintempletonglobal/article?contentPath=html/ftthinks/common/brandywine-global/the-year-of-less-uncertainty-more-certainty.html Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Knowledge, Long Content, พันธบัตรรัฐบาล อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เส้นทางจากวิกฤตสู่การฟื้นตัว - FINNOMENA แม้ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจาก COVID-19 แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่น่าทึ่งในการฟื้นตัวจากวิกฤต อัตราเงินออมส่วนบุคคลที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และสถานะทางสินเชื่อของหลาย ๆ ครัวเรือนต่างมีคะแนนเครดิตที่สูง สิ่งเหล่านี้จึงเหมือน “เชื้อเพลิงชั้นดี” สำหรับกำลังในการจับจ่ายใช้สอยในอนาคต 11 ก.พ. 2564 “ฉันระแวงนิดหน่อยแต่ก็ยังเชื่อว่า 2021 จะเป็นปีที่ดี การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่ามันมีความยืดหยุ่นในการกลับตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดมาจาก COVID-19 อย่างไรก็ตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้นได้ถูกทำให้เสียหายไปบางส่วนและการล็อคดาวน์ครั้งใหม่ก็อาจจะเป็นอีกอุปสรรคของการฟื้นตัวในครั้งนี้ ด้วยศักยภาพที่เต็มเปี่ยมของเศรษฐกิจมหภาค การปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่ทำไปบ้างแล้ว ความสำคัญของการไต่ตรองอย่างรอบคอบ และการวิเคราะห์พื้นฐานด้วยความเชี่ยวชาญจึงจำเป็นมากสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ โดยการเลือกสรร active asset จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำให้กลยุทธ์ในการลงทุนต่าง ๆ สำเร็จได้ด้วยดี” การโต้กลับที่หนักแน่นขึ้นต่ออุปสรรคที่ยาวไกล เศรษฐกิจสหรัฐฯ แสดงให้เห็นแล้วว่ามันสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างน่าทึ่ง แม้ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจาก COVID-19 หลังจากที่สหรัฐฯ สั่งล็อคดาวน์ไปเมื่อช่วงต้นปี 2020 ในตอนนี้กลุ่มผู้บริโภคก็กลับมาใช้จ่ายอีกครั้ง ซึ่งก่อให้เกิดการฟื้นตัวแบบ v-shape ทั้งใน GDP และอัตราการจ้างงาน นโยบายช่วยเหลือทางการคลังและการเงินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจะยังคงมีประโยชน์มากขี้นเรื่อย ๆ ด้วยอัตราเงินออมส่วนบุคคลที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเกือบถึง 15% รวมถึงสถานะทางสินเชื่อของหลาย ๆ ครัวเรือนต่างมีคะแนนเครดิตที่สูงตั้งแต่มีการเริ่มเก็บข้อมูลในปี 2005 สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับกำลังในการจับจ่ายใช้สอยในอนาคต เชื้อเพลิงที่ผู้บริโภคสร้างสำหรับการใช้จ่ายในอนาคต รูปที่ 1 อัตราเงินออมส่วนบุคคล และค่าเฉลี่ย FICO Score ในสหรัฐฯ (ตุลาคม 2005 – กันยายน 2020) ที่มา: Franklin Templeton Fixed Income Research, U.S. Bureau of Economic Analysis, Fair Isaac Corp. As of September 2020 and July 2020 (FICO). การฟื้นตัวของการบริโภคและอัตราการจ้างงานได้ฝ่าฝันภาวะอันตรายมาแล้วถึง 2 ภาวะด้วยกัน เริ่มจากการระบาดระลอก 2 ของ COVID-19 ในช่วงซัมเมอร์และการช่วยเหลือทางด้านการเงินที่สิ้นสุดลงในเดือนกรกฎาคม 2020 สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นแล้วว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะตอบสนองไปในทางที่ดีในช่วงฤดูหนาวที่อาจจะมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มเชิงบวกในการติดต่อของโรคเพราะจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นลดน้อยลงเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้ติดเชื้อรายใหม่ ๆ เป็นคนอายุน้อย และช่วงอายุของผู้ติดเชื้อก็เริ่มหลากหลายปะปนกันไป ทั้งนี้เราก็คงจะต้องขอบคุณการพัฒนาความรู้ในด้านการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เส้นทางสู่การฟื้นตัว ผลจากการศึกษาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของพวกเรายืนยันแล้วว่าคนอเมริกันยินยอมที่จะทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การไปซื้อของ การไปร้านอาหาร และการทำงานนอกบ้าน สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความยืดหยุ่นต่อการระบาดของ COVID-19 ทั้งระลอกที่ 2 และ 3 แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การประกาศความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีนก็มีผล กระทบที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้คนส่วนใหญ่อุ่นใจมากพอจนสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติได้ หลังจากผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา เราก็ได้รับข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนจากการประกาศของบริษัท Pfizer และ Moderna ที่อ้างว่าวัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพในการรักษามากถึง 95% ในการทดสอบทางการแพทย์ และดูเหมือนว่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงไม่เกินฤดูใบไม้ผลินี้ ในขณะที่เขียนบทความนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่โจ ไบเดน คงจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปแน่ ๆ อย่างไรก็ตามพรรค Democratic กลับต้องเห็นคนของพรรคตัวเองถูกถอดถอนจากสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) และคนของพรรค Republicans คงจะรักษาตำแหน่งในวุฒิสภาได้มากกว่าหากพวกเขาชนะอย่างน้อย 1 ใน 2 ของการเลือกตั้งที่ล่าช้าในรัฐจอร์เจียร์ในเดือนมกราคม 2021 การแบ่งขั้วรัฐบาลอาจมีประโยชน์ในมุมมองทางเศรษฐกิจโดยการลดความน่าจะเป็นที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับกฏและนโยบายต่าง ๆ ที่อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในบางภาคส่วนหรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด ฉันคาดว่าจะมีการปล่อยนโยบายช่วยเหลือทางการเงินออกมาในช่วงปลายปี 2020 หรือไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ถ้าคนของพรรค Republicans ในวุฒิสภามีเยอะกว่า เงินเยียวยาที่จะได้รับคงจะน้อยกว่าที่คาดไว้ว่าหากเกิด “Blue sweep” ซึ่งก็คือการที่พรรค Democratic คุมเกมทุกอย่างทั้งในวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และประธานาธิบดี แต่ถึงยังไงเงินเยียวยานั่นยังคงมีนัยสำคัญอยู่มาก ข่าวดีเรื่องวัคซีนก็คงจะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะในยุโรปที่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 กำลังบีบให้รัฐบาลต่าง ๆ ต้องกลับมาใช้ข้อบังคับที่เข้มงวดกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมอีกครั้ง มองโลกในแง่ดีแบบระแวดระวัง ถ้าหากประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนได้รับการยืนยันจริง ๆ พวกเขาจะต้องทำการผลิตและแจกจ่ายออกไปทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่ความท้าทายเล็ก ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น จากงานที่เราศึกษาร่วมกับ Gallup แสดงให้เห็นว่ามีเพียงแค่ 1/3 และ 1/2 ของคนอเมริกันที่มีความพร้อมในการเข้ารับวัคซีนเท่านั้น ถ้ามีประชากรจำนวนไม่มากพอยินยอมที่จะเข้ารับวัคซีนก็หมายความว่าต่อให้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากก็คงจะไม่สามารถช่วยลดการระบาดของโรคหรือช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ในขณะเดียวกัน แม้แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความยืดหยุ่นมากแต่ก็ยังคงได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แถมในบางภาคส่วนอาจจะต้องฝืนทนอย่างนี้ไปอีกสักพัก ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอัตราการว่างงานของพนักงานประจำพุ่งสูงถึง 2.4 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งนึงของการว่างงานที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการเปิดรับสมัครงานเพิ่มมากขึ้นสูงกว่าตอนก่อนเกิดโรคระบาดแล้วก็ตาม นี่อาจจะเป็นสัญญาณของโครงสร้างทางทักษะที่บิดเบี้ยวซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าวิกฤตโควิดนั้นส่งผลกระทบต่อบางภาคส่วนหนักกว่าส่วนอื่น ๆ การสั่งปิดยาวของโรงเรียนอาจจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงในระยะยาวเพราะ Remote learning (การเรียนแบบไม่ได้เจอตัวกันเป็น ๆ) ได้ถูกทดสอบแล้วว่าด้อยประสิทธิภาพกว่าการเรียนการสอนแบบ ที่ได้เจอหน้ากันโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนวัยเด็กและกลุ่มที่มีพื้นฐานรายได้น้อย สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวในด้านของทักษะที่น้อยลง ประสิทธิภาพในการหารายได้ของนักเรียนจะถูกลดลง และนั่นอาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการลดลงของกำลังการผลิตทางเศรษฐกิจมากกว่าที่เราคาดไว้เสียอีก ถ้าประเทศจะต้องเข้าสู่สภาวะล็อคดาวน์กันทั้งประเทศ ผลกระทบที่ไม่พึ่งประสงค์ต่างๆ เหล่านี้จะขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (double-dip recession) วิธีการที่ผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ ใช้บริหารจัดการจึงมีความสำคัญมากในช่วงหลายเดือนนี้ ไม่ใช่แค่เฉพาะการฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้ และภาพรวมปี 2021 แต่อาจจะต้องนับรวมไปถึงการฟื้นตัวในระยะยาวด้วย เรายังคงมุ่งหน้าไปสู่ปี 2021 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากมาย ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจและมาตรการเชิงนโยบายครั้งยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ทั้งในด้านการเงินและการคลัง จึงน่าแปลกใจที่ราคาหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะผันผวนจากข่าวการเมืองและข่าวด้านสุขภาพ ตลาดอาจจะประเมินความเป็นไปได้ของการเกิดภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือมีความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้ทรัพยากรภายใน (in-sourcing) และการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน (supply chains) เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตโควิดและความตึงเครียดระหว่างคู่ค้า (ฉันเชื่อว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะยังอยู่ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะเปลี่ยนผู้บริหารแล้วก็ตาม) ด้วยเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงสามารถในการฟื้นตัวบวกกับมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนนึงที่ถูกนำมาใช้และส่วนที่อยู่ระหว่างการพิจารณานั้นก็คงจะเป็นสิ่งที่บอกได้ถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็วกว่ากำหนดทั้งในการเติบโตทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ราคาแบบ Dynamic Pricing คงจะไม่ไกลเกินเอื้อม ฉันไม่ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินจะเฟ้อสูงขึ้นอย่างมาก แต่ถ้ากลยุทธ์ราคาแบบ Dynamic Pricing มีการเพิ่มขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวก็คงจะทำให้ผู้ร่วมตลาดหลาย ๆ คนสมหวังกันไปตาม ๆ กันและจะทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในปี 2021 ด้วย สุดท้ายนี้ ด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจมหภาคร่วมกับการแก้ไขปรับเปลี่ยนโครงสร้างในระยะยาวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะโรคระบาดยิ่งเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ฉันมีมุมมองว่าการเลือกสรร active asset บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ที่หลักแหลมจะเป็นตัวแปรที่จะช่วยให้ทุก ๆ กลยุทธ์การลงทุนประสบความสำเร็จ การกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed income allocations) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตของนักลงทุนต่าง ๆ ตลอดจนสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตราสารทุน อย่างไรก็ตามหากมองในมุมของเครดิต การเลือกเฟ้นโดยใช้เทคนิคแบบ Bottom-up จะไม่สำคัญไปกว่าในมุมมองของฉัน สิ่งที่น่าเป็นกังวลในหลาย ๆ ภาคส่วนคือการประเมินมูลค่า เพราะตลาดไม่มีความพร้อมในการรับมือกับความผันผวนขนาดนี้ แต่เราแทบไม่เห็นการประเมินมูลค่าที่ต่ำเกินจริงยังคงหลงเหลืออยู่ในตลาด และในทางกลับกัน บางภาคส่วนอย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์กลับยังคงมีความอ่อนแออยู่ เนื่องจากในหลาย ๆ รัฐมีแนวโน้มที่จะต้องมีการขึ้นภาษีเพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้นจึงทำให้หุ้นกู้เทศบาล (municipal bond) แบบปลอดภาษีกลายเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับเหล่านักลงทุน รวมถึงตราสารหนี้ที่ไม่ใช่ของสหรัฐก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเช่น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในยุโรปบวกกับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรปจะช่วยพยุงพันธบัตรรัฐบาลไว้ได้ แม้ว่าปี 2021 จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่มันก็จะเป็นปีที่มีค่ามากเหมือนกัน เนื้อหาต้นฉบับโดย Sonal Desai, Ph.D. Executive Vice President, Chief Investment Officer, Franklin Templeton Fixed Income เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.franklintempletonglobal.com/franklintempletonglobal/article?contentPath=html/ftthinks/common/gio/from-crisis-to-recovery-the-road-ahead.html Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Knowledge, Long Content, ตราสารหนี้, พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เปิดคู่มือลงทุนหลังช่วงวิกฤติ เรากำลังเผชิญกับอะไร? - FINNOMENA ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ธนาคารกลางและรัฐบาลจากหลาย ๆ ประเทศต้องเผชิญในตอนนี้ จากการเมืองและเศรษฐกิจ เรามาดูกันว่าคู่มือการลงทุนสำหรับปี 2021 นี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร? 11 ก.พ. 2564 ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ธนาคารกลางและรัฐบาลจากหลาย ๆ ประเทศต้องเผชิญในตอนนี้ จากการเมืองและเศรษฐกิจ เรามาดูกันว่าคู่มือการลงทุนสำหรับปี 2021 นี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร? แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจมีมาอย่างต่อเนื่อง แม้ยากที่จะคาดเดา มีแนวโน้มว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งการเงินและการคลังอาจมีมาอย่างต่อเนื่อง 2021 แต่ถึงอย่างนั้นอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจยังเป็นที่น่ากังขา จากความไม่แน่นอนของการพัฒนาวัคซีน ดังนั้นเรื่อง “วัคซีน” จะเป็นกุญแจสำคัญในการออกมาตรการอัดฉีดเพิ่มเติม นอกจากนั้นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำนี้อาจจะยังคงอยู่ต่อไปในปี 2021 แต่สิ่งที่ยากจะคาดเดาก็คือมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของทั้งจากทางรัฐและธนาคารกลาง หากจะยกตัวอย่างขึ้นมาสักเหตุการณ์หนึ่งคงเป็นเหตุการณ์ช่วยเหลือเหล่า “Fallen Angels” หรือบริษัทนางฟ้าตกสวรรค์ที่ก่อนหน้ามีความน่าเชื่อถืออันยอดเยี่ยมในระดับ “เกรดลงทุน” ได้ถูก downgrade ลดหลั่นลงมาเป็น “เกรดเก็งกำไร” ได้รับการอัดฉีดสนับสนุนช่วยพยุงไม่ให้เกิดการล้มเป็นโดมิโน ซึ่งไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาว่าการสนับสนุนนี้จะยังคงอยู่ไปอีกนานเท่าใด สิ่งที่ต้องน่าจับตามองอีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องของ “ปริมาณ” ของมาตรการอัดฉีดที่หากไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบเป็นโดมิโนขึ้นมาได้ (บริษัทล้มละลายจนผู้คนแห่นำเงินลงทุนออกจากบริษัทต่าง ๆ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลง) ความไม่แน่นอนทั้งหมดทั้งมวลที่ว่าอาจทำให้ความรวดเร็วในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเรามองว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาสำหรับการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อคว้าโอกาสสุดพิเศษในช่วงนี้จากตลาดการเงินทั่วโลก ว่ากันด้วยเรื่องของความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ในส่วนของความคาดหวังเงินเฟ้อนั้นอาจยังถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานที่สูง ดังนั้นมาตรการอัดฉีดที่ออกมาอาจทำให้เงินเฟ้อในอนาคตอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล อย่างไรก็ตามธนาคารกลางอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น (สังเกตุได้จากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เริ่มฟื้นตัว) อีกทั้งยังมีแรงหนุนเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นที่ออกมา ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะในสหรัฐฯ มาไวกว่าที่เราคาดคิด จากการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในระดับต่ำ ถึงแม้จะปรับตัวขึ้นมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา ถึงอย่างนั้นเรายังคงมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปในปี 2021 นี้ หุ้นเทคโนโลยีอาจพ่ายแพ้ให้กับหุ้นมูลค่า ที่มา: มุมมองการจัดสินทรัพย์ A brighter year ahead ในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีใครปฏิเสธว่าหุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม FAANG เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งและปรับตัวได้อย่างโดดเด่น อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน ตุลาคม และ เดือน พฤศจิกายน ปีที่แล้ว ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 แบบที่มีการแบ่งน้ำหนักหุ้นแบบเท่า ๆ กัน เริ่มแซงหน้าดัชนี S&P 500 ที่แบ่งตามมูลค่าตลาด (Market cap) ที่ถูกฉุดกระฉากมาด้วยหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลักจาก Market cap ที่เพิ่มขึ้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นมูลค่าแบบดั้งเดิมเริ่มกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีสัดส่วนเป็นส่วนใหญ่ในดัชนีเริ่มให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า สินทรัพย์แนะนำจาก Franklin Templeton สินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ และ พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (TIPS) จะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกในการช่วยลดความเสี่ยงเงินเฟ้อในอนาคต พันธบัตรรัฐบาล (ประเทศพัฒนาแล้ว), ทองคำ, หุ้นพื้นฐานดี จะเป็นตัวช่วยลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) และกลุ่มการเงิน (Finance) มีความน่าสนใจหลังเริ่มทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากลุ่มเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) มีความน่าสนใจในเชิงมูลค่าหากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ และตราสารหนี้ อีกทั้งยังให้ผลตอบแทนที่มั่นคงไม่แพ้ตราสารหนี้ หุ้นกลุ่มการเงิน (Finance) อาจเป็นคีย์แมนคนสำคัญในการช่วยฟื้นฟูวิกฤติในครั้งนี้มากกว่าเป็นปัญหาดังเช่นปี 2008 อีกทั้งยังมีสถานะที่ดูดีกว่าในปี 2008 มาก เนื้อหาต้นฉบับโดย Edward D. Perks, CFA Chief Investment Officer, Franklin Templeton Investment Solutions เรียบเรียงโดย FINNOMENA Admin ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล https://www.ftinstitutionalapac.com/content-ftthinks/common/gio/2021-global-investment-outlook/2021-outlook-vulnerability-and-resiliency-through-upheaval-a.pdf Advance, Article, FINNOMENA Franklin Templeton, Franklin Templeton Outlook, Infographic, Knowledge, Long Content อ่านอะไรต่อดี FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ARK Invest กับการลงทุน Innovation ที่แรงทะลุชั้นบรรยากาศ - FINNOMENA ช่วงนี้ ARK Invest กลายเป็นชื่อที่คุ้นหูนักลงทุนทั่วโลก บทความนี้จึงถือโอกาส แนะนำให้รู้จักบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ปรัชญาการลงทุน และชวนคิดว่าอะไรกันแน่คือโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนในนวัตกรรมแบบ ARK 25 ม.ค. 2564 ช่วงนี้ ARK Invest กลายเป็นชื่อที่คุ้นหูนักลงทุนทั่วโลก เพราะปี 2020 ที่ผ่านมาเป็นปีทองของกองทุนแนว Disruptive Technology ซึ่ง ARK ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนหลายท่านอยากมีส่วนร่วมกับการลงทุนแห่งอนาคตเหล่านี้บ้าง ผมจึงถือโอกาส แนะนำให้รู้จักบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ปรัชญาการลงทุน และชวนคิดว่าอะไรกันแน่คือโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนในนวัตกรรมแบบ ARK ในประโยคเดียว ARK คือ Active Research Knowledge ที่สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ARK เป็น บลจ. เชื้อสายอเมริกันที่ Catherine Wood อดีต CIO ของ AllianceBernstein ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ไม่ผันผวนไปตามตลาดด้วยการเน้นไปที่ Disruptive Technology ทั่วโลก ความพิเศษของ ARK คือเป็น Thematic Manager ตั้งแต่ต้น จึงมีนักวิเคราะห์จากนอกภาคการเงินเป็นส่วนใหญ่ วิธีการลงทุนคือเฟ้นหาธีม และบริษัทที่เป็นผู้นำในแต่ละธีม โดยในปี 2020 ARK มีธีมการลงทุนที่โดดเด่น 4 อย่างได้แก่ Genomic Revolution (ARKG) ลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการตัดต่อพันธุกรรม หรือนวัตกรรมด้านบริการสุขภาพ ยารักษาโรค หรือธุรกิจที่สร้างเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์ ข้อมูลจาก Morningstar กองทุนนี้ให้ผลตอบแทนถึง 180% ในช่วงปีที่ผ่านมา สอง Next Generation Internet (ARKW) ลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถด้านการบริหารนวัตกรรมข้อมูลข่าวสาร AI, Deep Learning, Cloud Computing ไปจนถึง Blockchain สร้างผลตอบแทนสูงไม่แพ้กันที่ 157% ในปีที่แล้ว สาม Fintech Innovation (ARKF) เลือกบริษัทผู้นำนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการเงิน เช่นธุรกิจ Moblie Payments, Digital Wallet, Peer-to-Peer Lending โดยในปี 2020 กองทุนนี้ก็ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 108% สี่ Autonomous Technology & Robotics (ARKQ) สร้างผลตอบแทน 107% ในปี 2020 จากการลงทุนใน EV, Automation, 3D Printing ผสมกับ Space Exploration นอกจากนี้ ARK ยังมีการลงทุนที่ประกอบด้วยธีมทั้งหมดรวมกันในชื่อ Disruptive Innovation ซึ่งสร้างผลตอบแทนเกิน 100% ในปีที่ผ่านมาอีกด้วย อ่านถึงตรงนี้ เราจะเห็นความแตกต่างของ ARK กับ บลจ. ทั่วไปอย่างชัดเจน และรู้สึกเหมือนกำลังทะลุออกไปนอกโลก แต่ก่อนจะวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส ผมขอพลิกมาดูตัวเลขที่น่าสนใจทางการเงินกันบ้าง เพราะสิ่งที่เด่นไม่แพ้กัน คือธีมที่บริษัทมีกำไรมีแค่ Fintech และ Autonomous Technology จากข้อมูลของ FactSet และ ETF Action พบว่าบริษัทที่ ARK ลงทุนนั้นมักอยู่ในขั้นทดลอง และยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจ บริษัทในกองทุนหลักทั้ง ARKG และ ARKW นั้น “ไม่มีกำไร” ส่วน ARKF และ ARKQ แม้จะมีกำไรบ้างแต่ก็มี ROE เพียง 4-6% และ P/E เฉลี่ยเกิน 50เท่า เทียบกับ S&P 500 ที่หลายคนกลัวว่าแพงยังมี ROE สูงถึง 15% และมี P/E เฉลี่ย 28เท่า แปลได้ว่าระดับราคาของการลงทุนนวัฒกรรมเหล่านี้เป็นการซื้ออนาคตจริง ๆ เพราะ “แพงมาก” เมื่อเทียบกับพื้นฐานในปัจจุบัน ต่อให้เราไม่สนใจตัวแดงบนงบกำไรขาดทุน มองไปที่ยอดขายหรือกระแสเงินสด การลงทุนใน Disruptive Innovation เหล่านี้ก็ยังไม่ถูก เช่นกองทุนหลัก ARK Innovation มี P/S สูงถึง 13 เท่า เทียบกับ S&P 500 และ NASDAQ ที่ 3-5 เท่า หรือ P/CF ของ ARKG และ ARKW ที่ 60-80 เท่า เทียบกับหุ้นใน NASDAQ ที่ 23 เท่า ก็ชี้ว่าบริษัทเหล่านี้ต้องทำรายได้หรือสร้างกระแสเงินสดให้เพิ่มขึ้นได้อย่างน้อย 300% จากปี 2020 ถึงจะบอกได้ว่ามีราคาใกล้เคียงกับการบระกอบธุรกิจปรกติ (ซึ่งตอนนี้ตลาดคาดว่ายอดขายของบริษัทเหล่านี้จะเติบโตราว 30-50% ในปี 2021) ถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าผู้อ่านคงเห็นทั้ง “สองด้าน” ของการลงทุนในนวัตกรรมมากขึ้น สำหรับใครที่สนใจลงทุน ต่อจากนี้ผมเชื่อว่ากลยุทธ์และพื้นฐานคือสองสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในเชิงกลยุทธ์ การลงทุนประเภท Innovation มักโดดเด่นในช่วง “หลังวิกฤติ” เนื่องจากตลาดกำลังเปลี่ยนพฤติกรรม ขณะเดียวกันนโยบายเศรษฐกิจที่ผ่อนคลายก็สามารถลดความกังวลเรื่องสภาพคล่องของบริษัทเหล่านี้ลง ถ้าเหตุผลเหล่านี้ไม่เปลี่ยน กองทุนของ ARK ก็ควรได้รับความสนใจจากนักลงทุนอยู่ต่อเนื่อง แต่ในเชิงพื้นฐาน Innovation มักลดความร้อนแรงลงเมื่อเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ช่วง “เติบโตปรกติ” เพราะว่าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะฟื้นตัว สังคมจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในวงกว้างจนเกิดคู่แข่ง ส่วนผู้กำหนดนโยบายก็จะลดการผ่อนคลายลงสู่ภาวะปรกติ ซึ่งหมายความว่าถ้าบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถเป็นผู้นำการเติบโตได้จริง ก็จะกลายเป็นเพียงฟองสบู่ที่ต้องแตกลงในระยะยาว นักลงทุนบางท่าน เห็นกองทุนปรับตัวขึ้นปีนี้ดีก็อยากซื้อตาม ส่วนบางท่านบอกว่ารอบริษัทมีกำไรก็ช้าไปแล้ว แน่นอนว่าเหตุผลในการซื้อของแต่ละคนแตกต่างกันได้ แค่ต้องจำไว้ว่า เมื่อเราซื้อสินทรัพย์ไหน เราจะได้พื้นฐานและอนาคตของสินทรัพย์นั้นพร้อมกับป้ายราคาตอนที่เราซื้อติดมาด้วย ผมเองไม่มีข้อสงสัยในความสามารถของ ARK และเชื่อว่านวัตกรรมหลายอย่างที่ ARK มองเห็นจะกลายเป็นอนาคตของโลกแน่นอน ผมแค่สงสัยกับความสามารถในการตีมูลค่าการลงทุนของตลาดในตอนนี้เท่านั้นเองครับ ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ แท็ก: Advance ARK ARK Investment Article Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน DR.JITIPOL PUKSAMATANAN นักกลยุทธ์ตลาดการเงินและการลงทุน ผู้มีความสนใจในความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์การเงินทุกประเภท ปัจจุบันพยายามเพิ่มบทบาทด้วยการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ตั้งใจเปลี่ยนโลกการเงินที่ซับซ้อนให้กลายเป็นความสนุกสนานที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ผลจากการปรับเกณฑ์น้ำหนักดัชนี จะทำให้เงินจะไหลเข้า/ออกเท่าไหร่? - FINNOMENA สืบเนื่องจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการคำนวณดัชนี จากวิธีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการคำนวณ (Full Market Capitalization) เป็นการใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) สิ่งนี้จะมีผลต่อเงินไหลเข้า/ออกอย่างไร? 22 ม.ค. 2564 อธิบายเรื่องปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการคำนวณดัชนี ตลาดจะปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการคำนวณดัชนี จากเดิมที่ใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการคำนวณ (Full Market Capitalization) เป็นการใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) เพื่อให้ดัชนีสามารถสะท้อนสภาพการณ์ตลาดได้ดีมากขึ้น และเป็นไปในแนวทางเดียวกับสากล ขออธิบายวิธีการนะครับ น้ำหนักของ Mkt Cap ของแต่ละบริษัท จะถูกลดอิทธิพลลงตาม %Free float สมมติตลาดมีหุ้นแค่ 2 ตัวคือ A และ B โดยทั้งสองตัวมี mkt cap เท่ากันที่ 100,000 ล้าน ดังนั้นตลาดจะมี mkt cap รวมที่ 200,000 ล้าน อิทธิพลของ A และ B ที่มีต่อตลาด (Weighted) จะอยู่ที่ 50% เท่ากันทั้งคู่ กฎใหม่คือให้อิงกับ Free float หาก A มี Freefloat ที่ 90% และ B มี %Free float ที่ 20% ขนาด Mkt Cap ที่จะถูกนำมาคำนวณดัชนี ของ A จะกลายเป็น 100,000 x 90% เท่ากับ 90,000 ล้านบาท ส่วน B จะกลายเป็น 100,000 x 20% = 20,000 ล้านบาท (mkt cap ของ A และ B ยังคงมูลค่าที่ 100,000 ล้าน เท่ากันทั้งคู่) น้ำหนักของ A ที่จะมีผลต่อตลาดจะเท่ากับ Mkt Cap A หารด้วย (Mkt Cap A + B = 90,000 / (90,000 + 20,000) x 100 = 82% ส่วน B จะมีน้ำหนักเพียง 20,000 /(90,000+20,000) x 100 = 18% ด้วยวิธีการนี้ DELTA น้ำหนักของ Mkt Cap ที่มีผลต่อตลาดจากเดิมที่ 6.4% จะเหลือเพียง 4.9% ผลจากการปรับเกณฑ์น้ำหนักดัชนี จะทำให้เงินจะไหลเข้า/ออกเท่าไหร่? สืบเนื่องจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจปรับหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการคำนวณดัชนี จากวิธีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการคำนวณ (Full Market Capitalization) เป็นการใช้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float (Free Float Adjusted Market Capitalization) หนึ่งในผลกระทบที่จะเกิดขึ้นคือ Passive Fund หรือกองทุนรวมที่เน้นการรักษาผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนี เช่น SET50 Index Fund ต่าง ๆ จะต้องมีการปรับน้ำหนักการลงทุนตามวิธีการใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยวิธีใหม่นี้จะต้องมีบางหุ้นที่มีน้ำหนักหรือมีอิทธิต่อดัชนีสูงขึ้นก็จะถูก Passive Fund ทำการซื้อเข้าพอร์ตตัวเองเพิ่มเพื่อให้ได้สัดส่วนน้ำหนักเหมือนดัชนี ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่มีน้ำหนักหรือมีอิทธิต่อดัชนีน้อยลง ก็จะถูก Passive Fund ลดน้ำหนักลงตามเช่นกัน ทีนี้พอไปดู % ของการเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก ตัวอย่างเช่น GPSC จากเดิมมี Mkt Cap ที่มีน้ำหนักต่อดัชนี SET50 2.0% ด้วยวิธีใหม่จะเหลือ 1.1% เท่ากับว่าหายไป 0.9% หรือเทียบเป็น %การเปลี่ยนแปลงคือ -45% มันจะทำให้ Passive Fund ต้องขายออกหนักหน่วงมากหรือไม่ คำถามนี้มีกุญแจสำคัญอยู่ 2 ข้อคือ ข้อแรก เกณฑ์ใหม่นี้ยังอยู่ในระหว่างการถกเถียงหาข้อสรุป ยังไม่แน่นอนว่าจะประกาศใช้จริงหรือไม่ ข้อที่สอง ก่อนจะตกใจ ต้องดูก่อนว่า Passive Fund ประเภท SET50 Index เฉพาะกองทุนในประเทศไทยมีขนาด NAV (Net Asset Value) รวมกันแล้วเท่าไหร่ จากรูปประกอบด้านล่างจะพบว่า บรรดากองทุนประเภท SET50 Index Fund มีขนาด NAV รวมกันเพียง 5.33 หมื่นล้านบาท ดังนั้น GPSC น้ำหนักจาก 2.0% เหลือ 1.1% ส่วนต่าง 0.9% ที่หายไป จึงคิดเป็นเม็ดเงินเพียง 480 ล้านบาท ในทางตรงกันข้าม SCB ซึ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจาก 2.7% กลายเป็น 4.5% ส่วนเพิ่ม 1.8% คิดเป็นวงเงิน 960 ล้านบาท ตัวอย่าง GPSC และ SCB เกิดจากมีนักลงทุนโทรมาสอบถามด้วยความตื่นตระหนกว่าควรขาย GPSC แล้วไปซื้อ SCB ดีหรือไม่ จากตัวเลขต่าง ๆ ที่ผมได้นำมาอธิบายตามข้อความข้างต้นและรูปประกอบด้านล่าง เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้นักลงทุนท่านนั้นตัดสินใจได้ ประกิต สิริวัฒนเกตุ ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/1430927110469897/posts/2980524585510134/ https://www.facebook.com/1430927110469897/posts/2981377918758134/ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ดัชนีหุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน ประกิต สิริวัฒนเกตุ อยู่ในอาชีพนักวิเคราะห์ เทคนิค อนุพันธ์ และเป็นนักกลยุทธ์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานมา 12 ปี ผู้ต้องการเปิดกะลาของตัวเองออกสู่โลกการลงทุนที่แท้จริง ใฝ่ฝันที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่งคั่งยั่งยืน เพื่อการเป็นอิสรภาพทางการเงินโดยสมบูรณ์
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ตลาดหุ้นที่ไหนจะรุ่ง ที่ไหนจะร่วง ในปี 2021? - FINNOMENA ก่อนจะไปเดากันว่า ปี 2021 นี้ เราควรโยกเงินไปอยู่ในสินทรัพย์ประเภทไหนที่น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าบ้าง ขอพากลับไปย้อนดูกันอีกรอบว่าอีก 2020 ที่ผ่านมา หน้าตาผลตอบแทนแต่ละประเภทสินทรัพย์เป็นอย่างไร 21 ม.ค. 2564 ก่อนจะไปเดากันว่า ปี 2021 นี้ เราควรโยกเงินไปอยู่ในสินทรัพย์ประเภทไหนที่น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าบ้าง ขอพากลับไปย้อนดูกันอีกรอบว่าอีก 2020 ที่ผ่านมา หน้าตาผลตอบแทนแต่ละประเภทสินทรัพย์เป็นอย่างไร สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2020 ที่ผ่านมา อันดับ 1 ก็คือ ทองคำ (+24%) อันดับ 2 ตลาดหุ้นโลก (+15%) อันดับ 3 ตราสารหนี้โลก (+5%) อันดับ 4 ตราสารหนี้ไทย (+3%) ส่วนหุ้นไทย ปิดลบไป -6% นี่คือผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีนะครับ ถ้านับตั้งแต่จุดต่ำสุดหลังจาก WHO ประกาศให้ไวรัสโควิด-19 เป็นการระบาดครั้งใหญ่ (Pandemic) ผลตอบแทนแต่ละสินทรัพย์บวกกว่านี้เยอะเลยทีเดียว ซึ่งอย่างที่เรารู้กันว่า สำหรับผลตอบแทนตลาดหุ้น ถือว่า สวนทางกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจที่โลกเรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ค่อนข้างมากทีเดียว เพราะผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นทะลุ 85 ล้านคนแล้ว หลายประเทศจำใจต้องกลับมาใช้มาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง ขณะที่การทยอยผลิตและแจกจ่ายวัคซีน ก็ยังห่างไกลจากการเข้าถึงคนหมู่มาก โดยล่าสุด ประเทศที่ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนในสัดส่วนมากที่สุดก็คืออิสราเอล สัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19 ต่อจำนวนประชากรอยู่ที่ 12.59% ส่วนที่เหลือทั้งที่เป็นประเทศผู้พัฒนาวัคซีน และประเทศมหาอำนาจ ยังไม่มีประชาชนประเทศไหนได้รับวัคซีนเกิน 4% ของจำนวนประชากรเลย ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตเป็นอย่างมาก เพราะแค่สะดุดเพียงเล็กน้อยจากเรื่องอะไรก็แล้วแต่ อาจหมายถึงการเลื่อนฉีดวัคซีน หรือถึงมีการระงับการฉีดหากพบว่าเป็นอันตราย เพราะต้องอย่าลืมว่า วัคซีนที่เห็นอยู่ตอนนี้ ผ่านขั้นตอนการอนุมัติแบบฉุกเฉินมาเท่านั้น ไม่ได้ถูกทดสอบเต็มกระบวนการปกติอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถึงอย่างนั้น “หุ้น” ก็ยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เราต้องมีในพอร์ตระยะยาวต่อไป เพราะอะไรมาดูกัน ย้อนกลับไปดูปี 2020 อีกครั้งว่า ตลาดหุ้นทั้งโลกที่ไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด อันดับ 1 คือ NASDAQ (+44%) อันดับ 2 คือ KOSPI ของเกาหลีใต้ (+34%) อันดับ 3 คือ A-Share ของจีน (+29%) อันดับ 4 คือ Taiwan Weighted ของไต้หวัน (+24%) และอันดับ 5 คือ Vietnam Index (+16%) อย่างที่เรารู้กันว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ถูกเร่งให้ราคาวิ่งรวดเร็วและรุนแรงมาก ๆ ในปีนี้ โดยเฉพาะหลังการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา จากแนวโน้มกระแสการหันไปใช้ Cloud Technology โดยที่การปรับตัวขึ้น ไม่ได้มาจาก Fund Flow ไหลเข้าเพียงอย่างเดียว แต่เราจะพบว่ากำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้ ก็เติบโตในช่วงการระบาดได้สวนทางกับธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อคดาวน์ แต่หากพิจารณาตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 2 ถึง 5 จะพบว่า ต่างก็เป็นตลาดหุ้นฝั่งเอเชียทั้งสิ้น เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะ 1. จากการคาดการณ์ของ IMF หลังจากนี้ไป การเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะมาจากตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก โดย Growth Rate จะสูงกว่าตลาดพัฒนาแล้วถึง 2 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้าทีเดียว 2. ตลาดเกิดใหม่มีสัดส่วนเกิน 60% ของ GDP ของโลกและยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันส่วนแบ่งของตลาดพัฒนาแล้วใน GDP โลกได้ลดลงเหลือ 40% และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง 3. โครงสร้างประชากรที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยประเทศในตลาดเกิดใหม่หลายประเทศมีแรงงานที่อายุน้อย กำลังเติบโตและมีการศึกษาดีมากขึ้น พร้อม ๆ กับชนชั้นกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประมาณ 90% ของประชากรโลกที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี อาศัยอยู่ในตลาดเกิดใหม่ทั้งสิ้น 4. ตลาดเกิดใหม่อยู่ในแถวแนวหน้าของ Technology Disruption โดยมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่กุมอำนาจหลายแห่ง เช่น Huawei, Samsung, TSMC และ Tencent ที่ถือเป็นกลุ่มบริษัทที่มีนวัตกรรมและมีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกโดยได้รับแรงหนุนจากชนชั้นแรงงาน ชนชั้นกลาง ที่มีอำนาจการจับจ่ายดีขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกอยู่ที่อเมริกา แต่ว่าตลาดใหญ่ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของโลก ดูเหมือนจะอยู่ที่เอเชีย และตลาดหุ้นปี 2020 ก็บอกร่องรอยเอาไว้ค่อนข้างชัดว่า เหล่า Smart Money ชอบสินทรัพย์ประเทศไหน ถ้าไม่ใช่หุ้นเทคฯ ของสหรัฐฯ และหากดูสถิติย้อนหลังไป 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไหนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดของปีนั้น ปีต่อมา ก็ไม่เคยกลับมาติด Top 3 ได้เลยซักปี ดังนั้น ใครที่คิดว่า จะลงทุนในหุ้นเทคฯ แล้วกำไรงาม ๆ อย่างปี 2020 ขอให้คิดใหม่นะครับ ตลาดลากหุ้นเหล่านี้มาเทรดที่ Valuation ของปี 2021 ไปเรียบร้อยแล้ว สะดุดนิดหนึ่ง ก็มีโอกาสปรับฐานได้แรง ซึ่งเมื่อถึงตรงนั้น มันถึงจะเป็นโอกาสซื้อครับ Mr.Messenger แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ตลาดหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr.Messenger "ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ รู้จักกันในนามแฝงในเว็บบอร์ดพันทิพย์ ห้องสินธร ว่า “Mr.Messenger” เจ้าของ Blog http://iammrmessenger.com ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management และ กรรมการบริหาร บลน.ฟินโนมีนา"
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ - FINNOMENA TMB-ES-GINNO กองทุนที่ไม่เพียงแต่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมธรรมดา แต่เป็นกองทุนที่ “มองไปข้างหน้า” กับการลงทุนใน 5 กลุ่ม “นวัตกรรมแห่งอนาคต” 8 ก.ย. 2564 ในขณะที่โลกกำลังหมุนไปทุกวัน ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ นั้นได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจากการระบาดของ COVID-19 ในปี 2020 ที่ผ่านมาก็ทำให้เราต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning) การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ฯลฯ รูปที่ 1 การเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยี ที่มา: arcgis.com โดยการเติบโตแบบทวีคูณของเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็ได้ทำให้เกิดนวัตกรรมที่เรียกว่า “Disruptive Innovation” ที่จะเข้าไป “ก่อกวน” คู่แข่งเดิมที่อยู่ในตลาดจนสามารถก้าวขึ้นมาแทนที่คู่แข่งนั้นได้ และด้วยนวัตกรรมก่อกวนนี้เองจึงนำไปสู่ธีมการลงทุนของกองทุน TMB-ES-GINNO ที่จะแนะนำให้ได้รู้จักกันในบทความนี้ เพราะกองทุน TMB-ES-GINNO ไม่เพียงแต่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมธรรมดา แต่เป็นกองทุนที่ “มองไปข้างหน้า” กับการลงทุนใน 5 กลุ่ม “นวัตกรรมแห่งอนาคต” สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan ลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตด้วยกองทุน TMB-ES-GINNO กองทุน TMB-ES-GINNO หรือ กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง Global Innovation จาก บลจ. ทหารไทย (TMB) มีนโยบายลงทุนในกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ในหน่วยลงทุนชนิด Class A USD (Class ที่เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน) เป็นกองทุนหลัก (Master Fund) มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนผ่านการลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก โดยเน้นลงทุนในหุ้น 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่เกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruptive Innovation theme) รูปที่ 2 5 กลุ่มนวัตกรรมหลักที่กองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ลงทุน ที่มา: nikkoam.com.sg/ ขั้นตอนการลงทุนของ Master Fund เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เป็นกองทุนประเภท Feeder Fund จึงขอหยิบยกขั้นตอนการลงทุนที่น่าสนใจของกองทุน Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่เป็น Master Fund มากล่าวถึงในหัวข้อนี้ โดยเทคนิควิเคราะห์การลงทุนจะใช้ทั้งแบบ Top-down และ Bottom-up เพื่อคัดสรรบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน รูปที่ 3 ขั้นตอนการลงทุนของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund ที่มา: emea.nikkoam.com Top-down: เพื่อกำหนดขอบเขตในการลงทุน ตรวจสอบว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เพื่อทำความเข้าใจกับรูปแบบของนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทำการรวบรวมข้อมูลจาก Open Research Ecosystem เพื่อปรับขนาดโอกาส Bottom-up: เพื่อปรับแต่งโอกาสในการลงทุน เริ่มต้นด้วยการคัดสรรการลงทุนในกลุ่มที่มีศักยภาพ โดยการให้คะแนนบริษัท พร้อมทั้งประเมินมูลค่าผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เพื่อจัดพอร์ตการลงทุนและบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน ลงทุนใน TMB-ES-GINNO แล้วจะได้ลงทุนในบริษัทไหนบ้าง ? รูปที่ 4 สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามภาคอุตสาหกรรมของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Class A USD (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ตามชื่อบทความที่ได้กล่าวไว้ว่ากองทุนนี้เป็น “กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่” สัดส่วนการลงทุนจึงเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology เป็นหลัก โดยให้น้ำหนักการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งสองนี้เกินกว่าครึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่กองทุนนี้เข้าไปลงทุน รูปที่ 5 Top 10 Holdings ของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ส่วนหุ้นที่ Master Fund เข้าไปลงทุนจะขอเลือกมา 4 บริษัทให้ได้รู้จักกันมากขึ้นว่าถ้าลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO แล้วเราจะได้ลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตอะไรกันบ้าง Tesla, Inc. — ออกแบบ พัฒนา ผลิต จำหน่าย และให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งเป็นผู้ให้บริการในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน รูปที่ 6 10 อันดับบริษัทผลิตรถยนต์ที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก (ข้อมูล ณ วันที่ 31/12/2020) Tesla ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในบรรดาอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี ด้วยมูลค่ามากถึง 668.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่ามากกว่า Toyota ที่เป็นอันดับ 2 ด้วยมูลค่า 215.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว รูปที่ 7 ผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงาน Powerwall ของ Tesla ที่มา: tesla.com/powerwall Invitae Corp — ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทข้อมูลทางพันธุกรรม มีความเชี่ยวชาญในการให้ข้อมูลสำหรับการวินิจฉัยทางพันธุกรรมก่อนการฝังตัว การตรวจคัดกรองพาหะสำหรับความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การวิเคราะห์การแท้งบุตร และมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม Roku, Inc. — ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม Streaming Television พร้อมผลิตเครื่องเล่นสื่อดิจิทัลหลายประเภทสำหรับ Video Streaming นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโฆษณา และการให้ใบอนุญาตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์แก่บริษัทอื่น ๆ รูปที่ 8 Roku Streaming Player ที่มา: roku.com/ Teladoc Health, Inc. — ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพด้วยระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) โดยมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่หลากหลายตั้งแต่ภาวะทางการแพทย์ที่ไม่เร่งด่วน เช่น โรคไข้หวัด ไปจนถึงภาวะทางการแพทย์ที่เรื้อรังและซับซ้อน เช่น มะเร็ง และภาวะหัวใจล้มเหลว รูปที่ 9 ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่มา: forbes.com สร้างผลตอบแทนได้อย่างก้าวกระโดด รูปที่ 10 ผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เทียบ MSCI World Net Total Return Index (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ที่มา: tmbameastspring.com/funds/mutual-funds/funddetails?fundcode=I33f ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** มาดูกันที่ผลตอบแทนย้อนหลังกันบ้าง เนื่องจากกองทุน TMB-ES-GINNO เพิ่งเข้าจดทะเบียนกองทุนในวันที่ 29 ต.ค. 2563 จึงยังไม่มีผลตอบแทนย้อนหลังให้ดูมากนัก แต่จากข้อมูลที่มีนับตั้งแต่วันที่กองทุนจดทะเบียนมาจนถึงปัจจุบัน กองทุน TMB-ES-GINNO สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 45.60% (ข้อมูล ณ วันที่ 08/01/2021) ท่ามกลางยุคที่ต้องเผชิญกับวิกฤตที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากมายแต่กองทุนนี้สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ในอัตราที่ถือว่าดีมากสำหรับกองทุนที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนได้เพียงแค่ 2 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน TMB-ES-GINNO เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index (Benchmark ของ Master Fund) จากรูปที่ 10 จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกที่กองทุนเข้าจดทะเบียนอาจสร้างผลตอบแทนได้ต่ำกว่า Benchmark แต่หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนก็สามารถเอาชนะ Benchmark ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของกองทุนนี้ได้เป็นอย่างดี รูปที่ 11 ผลการดำเนินงานของ Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เทียบ Benchmark (ข้อมูล ณ เดือน พฤศจิกายน 2020) ที่มา: Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund Factsheet ** ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ** สำหรับผลการดำเนินงานของ Master Fund อย่าง Nikko AM ARK Disruptive Innovation Fund เปรียบเทียบกับ MSCI World Net Total Return USD Index (Benchmark) พบว่า Master Fund สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้ถึง 118.83% ในขณะที่ Benchmark สร้างผลตอบแทนไปได้เพียง 14.52% ถือว่า Master Fund เอาชนะได้แบบขาดลอยเลยทีเดียว ค่าธรรมเนียมและเงินลงทุนขั้นต่ำ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลาย ๆ คนคงเริ่มมีความสนใจในกองทุน TMB-ES-GINNO กันบ้างแล้ว แต่เรื่องค่าธรรมเนียมกองทุนก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาประกอบก่อนตัดสินใจซื้อกองทุนใด ๆ สำหรับกองทุน TMB-ES-GINNO มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ 1.605% ต่อปี ส่วนค่าธรรมเนียมการขายและ switching in อยู่ที่ 1.5% โดยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายรวมจะเท่ากับ 1.7881% ต่อปี และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการลงทุน เพราะด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในกองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่อย่างกองทุน TMB-ES-GINNO ได้ ความเสี่ยงที่ต้องเจอเมื่อลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO กองทุน TMB-ES-GINNO จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีค่าความผันผวนของผลการดำเนินงานสูงมากกว่า 25% และเนื่องจากกองทุนนี้มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศจึงต้องพบกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน นอกจากความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนในกองทุน TMB-ES-GINNO จะต้องเจอคือความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัว ทั้งความเสี่ยงจากการกระจุกตัวที่เกิดจากการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เนื่องจากกองทุนนี้มีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology ดังนั้นผู้ลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในการจัดพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนเองด้วยเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในส่วนนี้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนจากฟินโนมีนาได้ที่ https://www.finnomena.com/port/ สรุป 5 ข้อกองทุน TMB-ES-GINNO มีนโยบายการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องหรือได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีผ่าน 5 กลุ่มนวัตกรรมหลัก เน้นการลงทุนในระยะยาว โดยเลือกเฟ้นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและได้เปรียบในการแข่งขัน ให้น้ำหนักกับสัดส่วนการลงทุนไปที่ภาคอุตสาหกรรม Healthcare และ Information Technology จัดเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงระดับ 6 โดยมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1 บาท ก็สามารถลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคตได้ กองทุน TMB-ES-GINNO เหมาะกับใคร ? ผู้ที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแห่งอนาคต ผู้ที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ ผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ผู้ที่สามารถลงทุนในระยะยาวได้ และทั้งหมดนี้ก็เป็นรีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO ที่นำมาฝากกัน หากผู้ใดสนใจกองทุนนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวนกองทุน หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก https://www.finnomena.com/fund/TMB-ES-GINNO ส่วนผู้ที่ศึกษาข้อมูลของกองทุนนี้โดยละเอียดแล้วและพร้อมที่จะเติบโตไปกับนวัตกรรมแห่งอนาคตกับกองทุน TMB-ES-GINNO ก็สามารถเปิดบัญชีกับ FINNOMENA เพื่อเริ่มลงทุนได้เลย — planet 46. สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan —————————- อ้างอิง: https://www.finnomena.com/fund/TMB-ES-GINNO https://www.tmbameastspring.com/funds/mutual-funds/funddetails?fundcode=I33 https://emea.nikkoam.com/institutional/equity-strategies/nikko-am-ark-disruptive-innovation-strategy https://markets.ft.com/data/funds/tearsheet/holdings?s=LU1861556378:USD https://www.tesla.com/ https://www.invitae.com/ https://www.roku.com/ https://teladochealth.com/ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance ARK Article Disruptive Innovation FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Long Content Product Info Technology TMB-ES-GINNO กองทุนเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน planet 46 มีความเชื่อว่าไม่ว่าการลงทุนใด ๆ จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้าง “โอกาส” ให้กับชีวิตได้เสมอ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน K-CHANGE-A (A) กองทุนผลตอบแทนเยี่ยมที่ให้คุณ "ช่วยโลก" ได้ เพียงแค่ลงทุน - FINNOMENA ทุกวันนี้จะมีกองทุนสักกี่กองทุนที่เลือกหุ้นรายตัวเข้าพอร์ต โดยผู้จัดการกองทุนที่มีความหลงใหลในบริษัทและธุรกิจอย่างแท้จริง? แต่วันนี้มันได้เกิดขึ้นแล้วกับ K-CHANGE-A (A) กองทุนที่ไม่เพียงแต่ให้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ จากการสนับสนุนธุรกิจด้วย "เงินลงทุนของคุณ" 23 พ.ย. 2564 “หากคุณใช้สีเทียน วาดผังธุรกิจของบริษัทที่คุณลงทุนไม่ได้ คุณอาจจะไม่เข้าใจธุรกิจนั้นอย่างแท้จริง” – Peter Lynch ประโยคข้างต้นเป็นหนึ่งในประโยคที่ Peter Lynch หนึ่งในผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยม ในช่วงเวลาหนึ่งโดยการทุ่มเทและใส่ใจในธุรกิจอย่างแท้จริง หลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้จัก อาจจะไม่รู้ว่าคุณ Peter lynch เป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างเหนือชั้นถึงปีละ 29.20% ตอนที่เขาจัดการกองทุนอย่าง Megellan Fund ของ Fedelity จากการเลือกหุ้นรายตัว โดยศึกษาและเข้าเยี่ยมชมบริษัท เพื่อเจาะลึกหาข้อมูลเพื่อจะได้ธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต หากเรามาดูกองทุนหลาย ๆ กอง ณ ปัจจบันเราก็จะพบว่าผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มักจะมองภาพรวมเศรษฐกิจ และเลือกภูมิภาคที่จะลงทุน ซึ่งมีน้อยรายนักที่จะมาขุดและเลือกหุ้นรายตัวด้วย Passion อย่างแท้จริง หลาย ๆ คนอาจจะนึกถึงกองทุน ONE-UGG ที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา มาเลือกธุรกิจในสาขาที่ตนเองชื่นชอบจริง ๆ แต่คุณอาจจะยังไม่รู้ว่ามีอีกหนึ่งกองทุนจาก Baillie Gifford ที่ใช้ความหลงใหลในการเลือกหุ้นเข้ากองไม่ต่างกัน กองทุนนั้นคือ K-CHANGE-A(A) กองทุนที่ลงทุนในกองทุนแม่อย่าง Baillie Gifford Positive Change ซึ่งมีปรัชญาการลงทุนในธุรกิจที่จะเปลี่ยนโลกเรา “ให้ดีขึ้น” ในระยะยาว ที่ไม่เพียงแต่ให้ผลตอบแทนกับนักลงทุน แต่ให้ผลตอบแทนกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ก่อนอื่นเลยหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าธุรกิจที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโลกให้ดีขึ้นเติบโตได้จริงหรือ? ดังนั้นเรามาเช็กผลตอบแทนย้อนหลังกัน… ดูรีวิวกองทุนประหยัดภาษีธีม ESG คุณภาพทั้ง K-CHANGE-SSF และ K-CHANGERMF ได้ ที่นี่ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก:https://finno.me/open-plan ผลตอบแทนย้อนหลังกองทุนแม่ Baillie Gifford Positive Change Fund ของกองทุน K-CHANGE-A(A) เอาชนะดัชนีต่อเนื่อง ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Baillie Gifford Positive Change เทียบกับดัชนี MSCI AC World +2% (ข้อมูลวันที่ 31 ธันวาคม 2020 จาก Fund Fact Sheet กองทุน) ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.bailliegifford.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากภาพข้างต้นจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมากและอาจจะเรียกได้ว่า Outperform ดัชนีเทียบเคียงอย่างดัชนี MSCI AC World (ดัชนีหุ้นโลก) โดยผลตอบแทนนับตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุน (Since inception) นั้นทำผลตอบแทนไปแล้วถึง 30.70% เทียบกับดัชนี MSCI AC World ที่ 8.80% ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Baillie Gifford Positive Change (ข้อมูลวันที่ 31 ธันวาคม 2020 จาก Fund Fact Sheet กองทุน) ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.bailliegifford.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ส่วนที่ให้อยากโฟกัสในภาพนี้คือผลตอบแทนนับตั้งแต่ปีที่แล้วก่อนเกิดวิกฤติโควิด จนถึงหลังวิกฤติผลตอบแทนของกองทุนปรับตัวเป็นบวกมากถึง 51.00% จากดัชนีหลักที่อยู่ที่ 5.70% เท่านั้น เรียกได้ว่าการเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนแต่ละท่านนั้นทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีเทียบเคียงมาก ๆ เลยทีเดียว ก่อนที่เราจะลงไปในหมวดหมู่ธุรกิจที่กองทุนได้ลงทุน เรามาดูผู้จัดการกองทุนแต่ละท่านกันก่อนว่ามีความสนใจและ Passion ในธีมธุรกิจรักษ์โลกด้านไหนกันบ้าง สัดส่วนหุ้นหลักของกองทุน ภาพแสดงสัดส่วนหลักกองทุน Baillie Gifford Positive Change (ข้อมูลวันที่ 31 ธันวาคม 2020 จาก Fund Fact Sheet กองทุน) ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.bailliegifford.com หลัก ๆ แล้วอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น คงหนีไม่พ้นอุตสาหกรรมสุดแกร่งเติบโตสูงอย่าง “เทคโนโลยี” และ “Healthcare” ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมนั้นจะเรียกว่าเป็นพี่น้องกันก็ว่าได้ เพราะ Healthcare เองก็มีส่วนผสมอย่างการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อพลิกวงการและโลกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Dexcom เจ้าของเทคโนโลยีเครื่องตรวจระดับน้ำตาล โดยไม่ต้องเจาะเลือดให้เจ็บตัว หรือจะเป็น Teledoc ผู้ให้คำปรึกษาทางการแพทย์แบบออนไลน์ที่พร้อมเข้ามาฉีกข้อจำกัดของการให้คำปรึกษาแบบเดิม ๆ นอกจากนั้น Top Holding หลักของกองทุนยังเป็นหุ้นเทคโนโลยีฟอร์มร้อนแรง อย่าง Tesla ที่พร้อมเปลี่ยนโลกด้วยการใช้พลังงานต้นทุนถูกกว่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างพลังงานไฟฟ้า แทนที่นำ้มันซึ่งสร้างผลกระทบเชิงลบให้กับสิ่งแวดล้อมของโลก ผู้จัดการกองทุนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์: www.bailliegifford.com 1) Kate Fox เชื่อว่าภาคธุรกิจการเงินมีส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาโลกและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ดีขึ้นในอนาคต โดยเชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์บริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว อีกทั้งยังหลงไหลในธุรกิจที่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่และให้ประสบการณ์ใหม่ ๆ กับผู้บริโภค โดยคุณ Kate ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายลงทุนและวางกลยุทธ์สำหรับพอร์ตธีม Positive Change และจบการศึกษาในระดับปริญญาโทจาก University of Edinburgh ในสาขาเศรษฐศาสตร์และคณิตศาสตร์ 2) Lee Qian คุณ Lee เติบโตในประเทศจีนในช่วงเปลี่ยนถ่ายระบบเศรษฐกิจและสังคม และได้เห็นคนนับล้านรอบข้างอาศัยอยู่กับความยากจนและสภาวะความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จนมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังที่เราเห็นประเทศจีนในทุกวันนี้ และได้เห็นมากับตาว่าภาคธุรกิจนั้นมีความสำคัญต่อการยกระดับสภาพความเป็นอยู่และสังคมของผู้คน จึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจกระบวนการยกระดับคุณภาพชีวิตคนผ่านธุรกิจต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณ Lee ก็ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการลงทุนเช่นเดียวกันในโปรเจค Positive change และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก BA (Hons) สาขาเศรษฐศาสตร์และการจัดการจากมหาวิทยาลัย Oxford 3) Julia Angeles ด้วยประสบการณ์การทำงานจาก McKinsey & Co บริษัท Consulting ชื่อดังและได้ให้คำปรึกษาธุรกิจกับประเทศต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Denmark, Russia รวมถึง Hungary จึงทำให้มีความรู้และความเข้าใจในกลยุทธการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีความหลงไหลในธุรกิจเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งคุณ Julia มองว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงโลก เพราะ โลกกำลังจะเปลี่ยนจากการรักษาแบบเชิงรับ (Reactive) หรือการรอให้เกิดเหตุการณ์แล้วค่อยแก้ไข เป็นการป้องกันเชิงรุก (Proactive) หรือล่วงหน้าแทนซึ่งจะถูกผลักดันด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์นั่นเอง 4) Kirsty Gibson คุณ Kirsty มีพื้นเพการศึกษาในระดับปริญญาโทในสาขา การจัดการมลพิษและหลงไหลในการจัดการปัญหาภาวะโลกร้อนรวมถึงการพัฒนาโลกอย่างยั่งยืน (Sustainability) และเชื่อว่าสองปัจจัยหลักนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนที่จะเติบโตในระยะยาว 5) Kieran Murray เป็นหนึ่งในผู้จัดการพอร์ต Positive Change เช่นเดียวกัน โดยรับหน้าที่การวิเคราะห์ธุรกิจแบบ Bottom-up และมีความเชื่อว่าธุรกิจที่ให้คุณค่ากับ Stakeholders (ผู้มีส่วนเกี่ยวของกับธุรกิจทั้งหมด) และสิ่งแวดล้อมจะเป็นธุรกิจที่เติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต ซึ่งการให้ความสำคัญกับ Stakeholders นั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าของแบรนด์ให้เข้าไปอยู่ในใจของทุกคนได้เช่นกัน 6) Michelle O’Keeffe คุณ Michelle มีความเชี่ยวชาญในเรื่องปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Climate change), การจัดการทรัพยากร, รวมถึงกฎเกณฑ์นโยบายต่าง ๆ ในยุโรป โดยจบการศึกษาจาก University College London’s Institute for Sustainable Resources, MSc in Climate Change, Risk Management จากมหาวิทยาลัย Exeter, และ BSc (Hons) สาขาสัตววิทยาจากมหาวิทยาลัย Cardiff 7) Will Sutcliffe คุณ Will อาจจะมีพื้นเพแตกต่างจากคนอื่นสักหน่อยตรงที่มาสายการลงทุนโดยตรง โดยเป็นนักลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) มาก่อน แต่สิ่งที่แตกต่างสำหรับนักลงทุนทั่วไปก็คือ Will มีความสนใจในการเปลี่ยนถ่ายฐานะทางสังคมของผู้คนจากผู้มีรายได้น้อยมาเป็นผู้มีรายได้มาก และเลือกที่จะมองหาบริษัทและสภาบันต่าง ๆ ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้สิ่ง ๆ นี้เกิดขึ้น หากดูพื้นเพรวมถึงความหลงไหล (Passion) ของผู้จัดการแต่ละคนแล้วก็จะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีสิ่ง ๆ หนึ่งที่เหมือนกันคือ “ต้องการเห็นสิ่งต่าง ๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น” แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่ลงตัว อย่างความรู้ทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ที่จะช่วยเสริมคม Passion ของแต่ละคนเพื่อให้ได้ธุรกิจที่ดีที่สุดมาใส่ในพอร์ตการลงทุน “Positive Change” กองนี้ ธีมการลงทุนหลักของกองทุน “เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาสังคม” ทางกองทุนเองแบ่งธีมการเลือกหุ้นรายตัวเป็นธุรกิจที่ทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลง (Positive change) ในหมวดหมู่ต่อไปนี้ ข้อมูลภาพจากรายงาน Positive Change Impact Report ปี 2018 ของกองทุน Baillie Gifford 1) ธุรกิจที่สนับสนุนการพัฒนาสังคมและการศึกษา (Social Inclusion and Education) ในส่วนนี้จะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่พัฒนาสังคมและระบบการศึกษาผ่านเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยต้องเป็นธุรกิจที่สามารถลดความเหลื่อมลํ้าในด้านของโอกาสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล หรือโอกาสในการได้รับการศึกษาซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการลดความเหลื่อมลํ้าทางสังคม ตัวอย่างธุรกิจที่อยู่ในขอบเขตการลงทุนดังกล่าวก็จะเป็น Alphabets ที่มีบริการสำหรับการเข้าถึงข้อมูล แหล่งเรียนรู้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น Google Search ที่วัน ๆ หนึ่งคนเราต้องเปิดหาข้อมูลอะไรบางอย่างสักครั้งหนึ่ง, Google Maps คู่หูนักเดินทางสายไร้จุดหมายหรือสายหลงที่อาจช่วยชีวิตผู้คนมานักต่อนัก อีกทั้ง Youtube แหล่งความรู้ชั้นเยี่ยมที่ไม่ว่าคุณจะทำอะไรสักอย่างแล้วเกิดติดขัด ขอเพียงแค่คุณ Search หาวิธีทำก็ทำตามได้แบบไม่ยากเย็น โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทไปเข้าคอร์สเรียนยาก ๆ แพง ๆ หรือจะเป็น Tencent ที่เชื่อมต่อการสื่อสารของคนนับล้านเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกทางด้านการใช้จ่ายออนไลน์ ทำให้ผู้คนหลาย ๆ คนใช้ชีวิตในระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่กันได้อย่างเท่าเทียม ภาพแสดงความเหลื่อมลํ้าทางรายได้ที่เกิดขึ้น ซึ่งเราเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือได้ผ่านการลงทุนในธุรกิจ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาและเข้าถึงข้อมูล (ข้อมูลจากรายงาน Positive Change Impact Report ปี 2018 ของกองทุน Baillie Gifford) นอกจากนั้นในส่วนนี้ยังมีการสนับสนุนธุรกิจที่มีส่วนสำคัญในการลดต้นทุน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมลํ้าได้ จากการผลิตที่อาจจะทำได้มากขึ้นและคุ้มทุนกว่าเดิม รวมถึงราคาสินค้าที่อาจลดลง จากต้นทุนที่ลดลง โดยตัวอย่างธุรกิจก็จะเป็น ASML หรือ TSMC ที่ผลิตชิพต่าง ๆ ในราคาถูกซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการผลิตอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ข้อมูลภาพจากรายงาน Positive Change Impact Report ปี 2018 ของกองทุน Baillie Gifford 2) ธุรกิจที่สนับสนุนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร (Environment and Resource Needs) ในส่วนนี้ทางกองทุนเลือกลงทุนในธุรกิจที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน อาทิ Kingspan ที่ผลิตฉนวนกันความร้อนสำหรับโครงสร้างตึกที่จะช่วยลดอุณหภูมิและลดการใช้พลังงานหรือเครื่องปรับอากาศให้ลดลงได้ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังลงทุนในธุรกิจเปลี่ยนอนาคตทางอุตสาหกรรมการเดินทาง เช่น Tesla ที่ผลิตรถยนต์สุดลํ้าโดยใช้พลังงานไฟฟ้า ภาพแสดงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Tesla Model 3 (วันที่ 19 มกราคม 2019) หรือแม้แต่ธุรกิจที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับภาคส่วนที่ขาดแคลน เช่น การขนส่งพื้นฐานหรือการเข้าถึงนํ้าสะอาด ที่นอกจากจะได้ช่วยคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งจำเป็นเหล่านี้ยังมีความต้องการอย่างมากในเชิงธุรกิจอีกด้วย เพราะ เป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของผู้คน 3) ธุรกิจ Healthcare และธุรกิจที่ช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้น (Healthcare and Quality of Life) ธุรกิจกลุ่ม Healthcare ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ยืนหยัดได้ไม่แพ้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมา และมีผลตอบแทนที่ติดลบไม่มาก จากการที่ช่วงวิกฤติที่ผ่านมาการพัฒนาวัคซีนและการรักษามีความสำคัญ ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์ Seeking Alpha (วันที่ 24 เมษายน 2020) โดยหลัก ๆ แล้วในส่วนนี้จะเป็นการลงทุนในธุรกิจกลุ่ม Healthcare ที่เน้นการวิจัยโรคต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนและรักษาได้ยาก ธุรกิจที่ช่วยในการตรวจโรคต่าง ๆ ให้มีความแม่นยำและรวดเร็วขึ้น ธุรกิจที่ช่วยพัฒนาการรักษาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ธุรกิจที่ช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุนการรักษาเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น ซึ่งหากสังเกตจากธีมหลัก ๆ ดังนี้แล้ว จะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจแห่งอนาคตก็คงไม่ผิดนัก เพราะ เป็นการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาสิ่งที่ยังไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย 4) ธุรกิจพัฒนาความเป็นอยู่พื้นฐาน (Base of the Pyramid) หลัก ๆ แล้วในส่วนนี้จะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ให้การเข้าถึงบริการพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นและควรจะมี โดยให้บริการในราคาที่ถูกกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น Sysmex ที่ให้คำแนะนำและตรวจสุขภาพผ่านมือถือในระบบออนไลน์ที่มีประโยชน์กับประเทศที่อาจจะไม่มีระบบโครงสร้างสาธารณสุขที่ดีนัก (โรงพยาบาลหรือคลีนิคอยู่ไกล เข้าถึงยาก เป็นต้น) ข้อมูลภาพจากรายงาน Positive Change Impact Report ปี 2018 ของกองทุน Baillie Gifford สร้างเงินทุนของเราให้เติบโต ไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนที่ดีขึ้น ไปด้วยกันดีกว่า… หลังจากนี้ผมขอเสริมมุมมองการวิเคราะห์ส่วนตัวจากภาพใหญ่ ๆ (Top-down) เพิ่มสักนิดว่าช่วงนี้ภูมิภาคหลัก ๆ ที่ทางกองทุนได้ลงทุนในช่วงนี้เป็นจังหวะที่น่าเข้าซื้อหรือไม่ สำหรับคนที่ต้องการมุมมองเชิงลึก หลังมุมมองแบบการวิเคราะห์หุ้นรายตัว (Bottom-up) ทางกองนั้นทำได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับใครที่ชอบข้อมูลเชิงลึกก็ลองอ่านต่อก่อนได้ครับ ก่อนตัดสินใจ… สัดส่วนภูมิภาคการลงทุนหลักของกองทุน ภาพแสดงสัดส่วนภูมิภาคการลงทุนหลักของกองทุน Baillie Gifford Positive Change (ข้อมูลวันที่ 31 ธันวาคม 2020) ที่มา : www.bailliegifford.com มุมมองเชิงพื้นฐาน เนื่องด้วยกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในอเมริกาเป็นหลัก หลังจากนี้จะเป็นการให้มุมมองภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มุมมองสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนและตลาดหุ้นอาจได้รับรู้ความกังวลในส่วนนี้และอาจสะท้อนราคาในช่วงขาลงของตลาดที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากการระบาดเกิดขึ้นอีกรอบผู้คนอาจมีความกังวลลดลง และออกมาดำเนินกิจกรรมตามปกติ เว้นเสียแต่ว่าเชื้อไวรัสมีการทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเราจึงอาจสรุปโดยรวมได้ว่า ผู้คนได้รับรู้ความกังวลไปแล้ว แต่หากเกิดการพัฒนาของเชื้อ ซึ่งประมาณการไม่ได้ ก็อาจทำให้เกิดวิกฤติรุนแรงอีกครั้ง ดังนั้นหากเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้การระบาดของโควิด-19 ถือว่ามีทิศทางดีขึ้นมากจากยอดผู้ติดเชื้อที่ลดลง ตลาดอาจกำลังวิ่งขึ้นรอบวัฎจักรใหม่ อย่างร้อนแรง สาเหตุที่ผมมองเช่นนั้นก็เนื่องมาจากวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ตลาดอาจไม่ได้พักฐานรุนแรงอย่างที่ควรจะเป็น (หากเทียบกับสถานการณ์ที่เลวร้าย) รวมถึงยังมีมาตรการอัดฉีดที่เข้ามาจำนวนมากซึ่งอาจทำให้บริษัท ต่าง ๆ นั้นได้เงินทุนเยียวยาจัดการเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ก็เป็นการเพิ่มหนี้ในอนาคตเช่นเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตาต่อไปอาจจะต้องเป็นทาง Jerome Powell และทางรัฐ ว่าจะจัดการปัญหาหนี้ต่าง ๆ ได้ดีแค่ไหนและทันก่อนเกิดภาวะถดถอยในรอบถัดไปหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้นมาตรการเข้าช่วยแบบสุดโต่งด้วยวิธีต่าง ๆ ของ Fed ก็อาจช่วยหนุนนำให้บริษัทต่าง ๆ ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเข้าช่วยตราสารหนี้เอกชน หรือการให้เงินกู้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง สำหรับการฟื้นตัว จึงอาจทำให้วิกฤติครั้งนี้เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และอาจเป็นรอบขาขึ้นรอบใหม่ของตลาดหุ้นที่ร้อนแรง จากมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่ผมได้กล่าวมาก่อนหน้า สัญญาณการเริ่มต้นของวัฎจักรตลาด “ใหม่” (The New Market Cycle) ดอกเบี้ยติด 0 หนุนการพัฒนาที่ “ร้อนแรง” ช่วงที่ผ่านมาทาง Fed เองต้องลดดอกเบี้ยให้มาอยู่ในระดับที่ตํ่า เช่นเคยหลังเกิดวิกฤติ เพื่อหนุนการกู้ยืมให้ผู้คนกลับมานำเงินทุนไปขยับขยายธุรกิจเพิ่มเติมกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ตํ่าเป็นพิเศษก็ว่าได้ โดยอยู่ในระดับที่เเทบจะเรียกได้ว่าติด “0” (0.00%-0.25%) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นทุนการกู้ที่โคตรถูกและอาจทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว หากบวกกับการอัด QE แบบจัดเต็มในช่วงที่ผ่านมา มองผ่านสายตาประธานธนาคารกลาง สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว เป็น “ช่วงที่ดีในการเข้าซื้อหุ้น” ผมเชื่อว่าในตอนนี้หากเราลองมองในมุมของผู้ว่าการแบงก์ ก็จะเรียกได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมนั้นทำให้ “อุ่นใจ” แล้วก็ว่าได้ 3 เป้าหมายของธนาคารกลางกำลังฟื้นตัว 1) การจ้างงานรากฐานหลักเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว หากว่ากันถึงส่วนที่เรียกได้ว่าแทบจะสำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจ ก็คงหนีไม่พ้นภาคการจ้างงาน ที่หากออกมาในทิศทางดี ก็จะทำให้ผู้คนมีรายได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย จับจ่ายใช้สอยดัน GDP ให้ผู้ผลิตรีบผลิตสินค้าออกมา หรือ CPI รวมถึงดัชนีทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ให้พลุ่งพล่านในอนาคต ดังนั้นผมเชื่อว่าการจ้างงานที่ดีขึ้นอาจแสดงให้เห็นถึง ตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ในอนาคตและอาจนำไปสู่สัญญาณการกลับตัว โดยล่าสุดตัวเลขผู้ว่างงานขอรับสวัสดิการในสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และส่งผลเชิงบวกกับอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) ให้ดีขึ้นในทันควัน หลังช่วงที่ผ่านมาอัตราการว่างงานพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 14.7% และปรับตัวดีขึ้นในท้ายที่สุด อีกทั้งการประชุมของ Fed ในช่วงที่ผ่านมา ทาง Jerome Powell เองก็ได้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานในปี 2020 นี้อาจจะอยู่ที่ 9.3% ซึ่งก็ยังเป็นในทิศทางที่ดีขึ้นถึงแม้จะอยู่ในระดับที่สูงก็ตาม ดังนั้นเราอาจจะสรุปได้ว่าตลาดแรงงานที่เรียกได้ว่าเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ กำลังฟื้นตัวก็คงจะไม่ผิดนัก ภาพแสดงอัตราการว่างงาน (Unemployment rate) ในสหรัฐฯ (วันที่ 6 พฤศจิกายน 2020) 2) ความคาดหวังเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ภาพแสดงความคาดหวังเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปัจจุบันความคาดหวังเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นมาที่เกือบ ๆ 1.86% และจะถึงเป้าหมายที่ 2.00% ในอีก 0.14% โดยรวมอัตราเงินเฟ้ออาจมีแรงหนุนมาจากมาตรการกระตุ้นต่อเนื่องของทาง Fed อย่าง unlimited qe ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในอนาคต ทาง Fed เองก็ได้เปิดเผยว่าอาจมีการใช้มาตรการกระตุ้นอีกราว ๆ 500 ล้านดอลลาร์ในอนาคตรวมถึงมาตรการทางการคลังแบบจัดเต็มที่จะมีมาอีกด้วย ดังนั้นหากดูจากแนวโน้มท่าทีของ Fed มาตรการกระตุ้นอาจมีต่อเนื่องจนกว่าจะทำให้การจ้างงาน เงินเฟ้อ และ เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ และอาจส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในอนาคต หลังปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลเหลือพื้นที่ผลตอบแทนที่น้อยมาก ๆ จนทำให้เงินทุนไหลเข้าสู่หุ้น 3) ตลาดหุ้นที่กำลังฟื้นตัว ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกาปรับตัวฟื้นขึ้นมาได้อย่างร้อนแรง ซึ่งทางกองทุน K-CHANGE-A(A) ก็มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มผู้นำเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น Tesla หรือ Google ที่นอกจากจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ยังช่วยพัฒนาโลกให้ดีขึ้น (การช่วยให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูล) และอนุรักษ์ทรัพยากรอันมีค่าให้กับคนรุ่นหลังอีกต่างหาก (รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla) หรือแม้แต่ Moderna เองที่ช่วงวิกฤติก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่เรียกได้ว่า เป็นที่พูดถึงอย่างมาก ในการช่วยพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ดังนั้นจะเรียกได้ว่าการเลือกหุ้นรายตัวของผู้จัดการกองทุนแต่ละท่านด้วย Passion ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ และด้วยสามปัจจัยบวกข้างต้นนี้เอง อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของอเมริกากำลังฟื้นตัว… รัฐพร้อมสนับสนุนกระตุ้นธุรกิจเล็กใหญ่ต่อเนื่อง ข่าวเด่นดังล่าสุดทางสภาสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบมาอีก 2 ล้านล้านเหรียญ! เข้าช่วยธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ หลังมาตรการกระตุ้นชุดเก่ากำลังจะหมดลง รวมถึงจะมีการเข้าซื้อหุ้นยักษ์ใหญ่อีกต่อเนื่อง นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสอันดีหลังทางรัฐและ Fed ดูจะไม่ยอมผ่อนการกระตุ้นง่าย ๆ จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอาจหนุนให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นต่อไปได้ในอนาคต! มุมมองเชิงเทคนิคอล ในมุมมองทางเทคนิคผมขอใช้ดัชนีที่เป็นตัวเทียบเคียง (Benchmark) ผลตอบแทนของกองทุน อย่างดัชนี MSCI AC World Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นทั่วโลก สอดคล้องกับทางกองทุนที่เฟ้นหาหุ้นที่ดีที่สุดจากหลาย ๆ ภูมิภาคทั่วโลก ภาพแสดงราคาดัชนี ISHARES TRUST MSCI ACWI ETF ที่เป็นดัชนีเทียบเคียงหลักของกองทุน จากภาพจะเห็นได้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ MA 50 (สีฟ้า) กับ MA 200 (สีส้ม) ยังไม่ตัดกันลงมาสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังมีอยู่ อีกทั้งราคายังทะลุ High เดิม และได้ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นที่เรียบร้อย! แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นที่ยังอาจมีอยู่ หรือหลัก ๆ รวม ๆ แล้วระหว่างทางราคาอาจจะมีพักบ้าง แต่ยังอยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นอยู่ จะมีกองทุนสักกี่กองที่ผู้จัดการกองทุนใช้ “หัวใจ” ในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ต อีกทั้งยังเติบโตได้อย่างโดดเด่น ดังนั้นการลงทุนในกองทุน K-CHANGE-A(A) นอกจากจะเพิ่มความมั่งคั่งให้คุณอย่างโดดเด่นแล้ว ยังทำให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนธุรกิจที่พัฒนาโลกให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วย ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin ดูรีวิวกองทุนประหยัดภาษีธีม ESG คุณภาพทั้ง K-CHANGE-SSF และ K-CHANGERMF ได้ ที่นี่ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุน K-CHANGE-A (A) มีการลงทุนแบบกระจุกตัว จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่้วไปที่มีการกระจายตัวในหุ้นจำนวนมาก ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” References https://fred.stlouisfed.org/series/T5YIFR https://news.cgtn.com/news/2020-07-30/The-2nd-stimulus-package-is-just-a-bandit-to-U-S-s-pandemic-economy-SxrzcQ1aog/index.html https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/funds/positive-change-fund/about-the-fund/ https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/funds/positive-change-fund/performance/portfolio/ https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/literature-library/funds/oeics/positive-change-fund/positive-change-fund-monthly-factsheet/ https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/literature-library/positive-change-impact-report/positive-change-impact-report-full-year-2018/ https://www.investing.com/economic-calendar/federal-budget-balance-369 https://www.investing.com/economic-calendar/unemployment-rate-300 https://www.investopedia.com/terms/p/peterlynch.asp https://www.kingspan.com/us/en-us/product-groups/insulation/insulation-boards https://seekingalpha.com/article/4339708-healthcare-stocks-lead-this-year-for-u-s-equity-sector-returns https://www.teslarati.com/tesla-model-3-destroys-ev-prejudice-germany-review/ แท็ก: Advance Article bottom-up FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW K-CHANGE-A(A) Long Content Product Info แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุป LIVE พิเศษกับคุณ Andrew Stotz: เผยมุมมองปี 2021 พร้อมอัปเดตพอร์ต All-Weather Strategy - FINNOMENA คุณ A. Stotz เจ้าของพอร์ต All Weather Strategy กลับมาอีกครั้ง มาดูกันว่าในครั้งนี้จะมีกลยุทธ์หรือมุมมองอะไรที่น่าสนใจในปี 2021 นี้ 20 ม.ค. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> สมัครสมาชิก FINNOMENA ฟรี! เพื่อดูบทความนี้ และบทความ Premium ลงชื่อเข้าใช้ สมัครสมาชิก สิทธิพิเศษ สำหรับสมาชิก FINNOMENA โดยเฉพาะที่คุณจะได้รับ ไม่พลาดข่าวสารหุ้นเด่น สัมมนาพิเศษสำหรับสมาชิก ห้องเรียนลงทุนออนไลน์ รับโพยกองเเด็ดรายเดือน ดูราคาหุ้นย้อนหลัง 10 ปี รายงานพิเศษเศรษฐกิจ แท็ก: Advance Article FINNOMENA LIVE GURUPORT GURUPORT-AWS Long Content Product Recommend Video แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เดลต้า VS เทสลา - FINNOMENA ทั้งหุ้น Delta และ Tesla ต่างก็โตขึ้นเกือบ 10 เท่า ในเวลาเพียงปีเดียว แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  ทั้งสองบริษัทหรือสองหุ้นยังมีอะไรเหมือนกันมากกว่านั้น  เรามาดูกัน 18 ม.ค. 2564 สิ้นปี 2562 หุ้นเดลต้ามีราคา 53.5 บาท ต้นปี 2563 เกิดวิกฤติโควิด-19 และต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ที่ 15 มกราคม 2564 เป็นเวลาประมาณ 1 ปีเศษ หุ้นเดลต้ามีราคา 580 บาท มูลค่าหุ้นทั้งหมดหรือ Market Cap. เพิ่มขึ้นจากประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาทเป็น 7.2 แสนล้านบาท คิดแล้วเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 เท่าในเวลาเพียงปีเดียว และทำให้หุ้นเดลต้ากลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จากหุ้นขนาดกลางที่ยังไม่ติดเข้ามาในดัชนี SET 50 ที่ไม่ไปไหนมาหลายปี ในเวลาเดียวกันนั้น หุ้นเทสลา มีราคาประมาณ 86 เหรียญสหรัฐและก็ไม่ได้ไปไหนมานานก็ขยับขึ้นฝ่าวิกฤติโควิด-19 มาจนถึงวันนี้มีราคา 826 เหรียญหรือโตขึ้นเกือบ 10 เท่า ในเวลาเพียงปีเดียว และทำให้หุ้นมี Market Cap. หรือมูลค่าตลาดประมาณ 7.8 แสนล้านเหรียญหรือ 23.5 ล้านล้านบาท กลายเป็นหุ้นใหญ่ประมาณอันดับ 5-6 ของตลาดหุ้นอเมริกาและของโลกจากบริษัทระดับกลาง ๆ ที่ยังไม่ถูกคำนวณในดัชนี S&P 500 และนี่ก็คือความเหมือนกันของหุ้นทั้งสองตัวที่ทุกคนต่างก็ “ตะลึง” แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทั้งสองบริษัทหรือสองหุ้นยังมีอะไรเหมือนกันมากกว่านั้น เรามาดูกัน เทสลาเป็นผู้นำในการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่กำลังเป็นกระแสหรือเมกาเทรนด์ใหม่ของโลก อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์ของบริษัทก็ยังน้อยมากเพียงประมาณ 500,000 คัน ในปีที่ผ่านมาเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้าที่ขายถึงประมาณ 10 ล้านคันต่อปี กำไรของบริษัทก็น้อยมากและเพิ่งจะเริ่มกำไรหลังจากที่ขาดทุนมานานและก่อนหน้านั้นแค่ 1-2 ปี ยังทำให้อีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทต้องประกาศขายอสังหาริมทรัพย์และอื่น ๆ เพื่อ “พยุง” ตัวให้รอดจากภาวะยากลำบากทางการเงิน แต่ภายหลังหุ้นเทสลาดีดตัวขึ้นมาแรงกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกเพราะถือหุ้นเทสลาประมาณ 25% ของบริษัท หุ้นเทสลาขึ้นมาแรงมากในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมาจากสตอรี่หรือข่าวดีต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการที่บริษัทเริ่มมีกำไรและโรงงานที่จีนประสบความสำเร็จในการผลิตอย่างสูง นอกเหนือจากนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าคนหรือนักลงทุนเริ่มเห็นว่าบริษัทจะเริ่ม “Take of” หรือตั้งตัวได้เต็มที่พร้อมที่จะ “ออกบิน” แล้วจึงเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นกันอย่างหนักซึ่งส่งผลให้หุ้นวิ่งขึ้นอย่างแรงหลังจากที่หุ้นนิ่งและประสบกับอุปสรรคมานานไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ และเมื่อหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นแรง นักเก็งกำไรก็คงตามแห่เข้ามาซื้อเพราะกลัว “ตกรถ” กลัวจะพลาดโอกาสในการทำเงินจาก “กระแสใหม่” ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของรถยนต์ไปตลอดกาลคล้าย ๆ กับกระแสของการ “ปฏิวัติดิจิตอล” ที่ทำให้ผู้นำโลกอย่างเฟซบุคและอะเมซอนมีมูลค่าหุ้นสูงมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ในสายตาของนักวิเคราะห์จำนวนมากรวมทั้งผมเองนั้นคิดว่าเทสลาอาจจะมีความแตกต่างในแง่ที่ว่ามันเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จับต้องได้ที่มักจะไม่สามารถทำกำไรได้แบบ “ทวีคูณ” เมื่อยอดขายมากขึ้น เหตุผลก็เพราะว่าทุกครั้งที่ยอดขายเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็จะเพิ่มตามในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับของเดิม ดังนั้น กำไรก็จะเพิ่มตามกันไปในอัตราส่วนใกล้เคียงกับของเดิม ในขณะที่หุ้นดิจิตอลนั้น เวลามีคนใช้บริการมากขึ้น ต้นทุนที่เพิ่มจะน้อยมากเพราะต้นทุนในการทำระบบนั้นได้จ่ายไปหมดแล้ว ทำให้เมื่อถึงจุดเริ่มกำไรแล้ว หลังจากนั้นกำไรจะโตมากเป็นทวีคูณ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตเสียเปรียบก็คือ มันจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “Network Effect” นั่นก็คือ คู่แข่งสามารถเข้ามาแข่งขันได้เสมอตราบที่สามารถเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน ในขณะที่หุ้นดิจิตอลอย่างเฟซบุคเองนั้น คู่แข่งจะเข้ามายากมากเพราะผู้ใช้บริการต้องการใช้บริการของบริษัทที่มีเครือข่ายที่ใหญ่กว่า มากกว่าเรื่องของคุณภาพและราคา ดังนั้น โดยสรุปแล้ว มีคนจำนวนมากไม่เชื่อว่าราคาหุ้นเทสลาที่ขึ้นไปนั้นสอดคล้องกับ “พื้นฐาน” ที่ควรเป็นของเทสลา คนเชื่อว่านี่เป็นราคาที่เกิดจากการเก็งกำไรสุดโต่งอานิสงส์ส่วนหนึ่งจากการที่สภาพคล่องทางการเงินของโลกสูงลิ่ว อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคิดว่าหุ้นตัวนี้มีคนปั่นหรือหุ้นถูก “Corner” อย่างตั้งใจโดยคนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าหุ้นเทสลานั้นมีผู้ถือหุ้นกระจายตัวมากและประวัติเรื่องการคอร์เนอร์หุ้นในอเมริกานั้นมีน้อยมาก บริษัทเดลต้ามีความคล้ายกับเทสลาในแง่ที่ว่าเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์ให้แก่บริษัทผู้ผลิตสินค้า “ไฮเท็ค” ทั่วโลก โดยเฉพาะด้านของการสำรองพลังงาน ว่าที่จริงเทสลาก็น่าจะเป็นลูกค้าด้วยเพราะชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าก็คือพลังงานจากแบตเตอรี่ที่ถูกสำรองไว้ ดังนั้น สตอรี่ของเดลต้าก็คือการเกาะไปกับเมกาเทรนด์ส่วนนี้ด้วย ข่าวที่ว่ารายได้และกำไรของบริษัทกำลังจะโต “ก้าวกระโดด” หลังจากที่นิ่งมาไม่น้อยกว่า 4-5 ปีจึงไป “ปลุกหุ้น” ให้วิ่งขึ้นมาและก็คงคล้าย ๆ กับเทสลาที่เมื่อนักลงทุนเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมารุนแรงก็แห่กันเข้ามาซื้อส่งผลให้หุ้นวิ่งขึ้นไปอีกและวิ่งขึ้นไปมากเสียยิ่งกว่าหุ้นเทสลา ซึ่งคนดูว่า “ไม่น่าเป็นไปได้” เพราะเทสลานั้นเป็นผู้นำที่ขายความไฮเท็ค ในขณะที่เดลต้านั้นเป็นแค่ผู้ผลิตชิ้นส่วน ไม่ได้เป็นคนที่จะ “เปลี่ยนโลก” แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ หุ้นเดลต้านั้นมีหุ้น Free Float หรือหุ้นที่อยู่ในมือนักลงทุนที่พร้อมขายน้อยมาก ในขณะที่หุ้นเทสลาอาจจะมีฟรีโฟลท 75% หุ้นเดลต้าน่าจะมีฟรีโฟลทไม่เกิน 25% ดังนั้น โอกาสที่หุ้นเดลต้าจะถูก Corner ทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจจึงสูงกว่ามาก ว่าที่จริงก่อนเริ่มวิ่งนั้น หุ้นเดลต้าหรือหุ้นฟรีโฟลทของเดลต้านั้นไม่ได้สูงเลย และอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนรายใหญ่ของไทยสามารถที่จะคอร์เนอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น ว่าที่จริงหุ้นตัวอื่นที่มีฟรีโฟลทระดับเดียวกันหลาย ๆ ตัวก็น่าจะเคยหรือกำลังถูกคอร์เนอร์กันมาแล้วจนมีมูลค่าหุ้นเป็นแสนล้านบาท หุ้นเดลต้าก็อาจจะเป็นเพียงอีกตัวหนึ่งที่ถูกคอร์เนอร์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าการคอร์เนอร์อาจจะรุนแรงกว่ามาก อาจจะเนื่องจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการเป็นหุ้นของ “ต่างชาติ” ที่ทำให้ราคาหุ้น “หลุดโลก” หุ้นเทสลากับหุ้นเดลต้ายังมีความคล้ายกันในแง่ที่ว่า หลังจากที่หุ้นขึ้นไปสูงมากและปริมาณการซื้อขายสูงลิ่วอานิสงส์จากการเก็งกำไรกันอย่างรุนแรง ทำให้เข้าเกณฑ์ที่จะถูกรวมอยู่ในดัชนี S&P 500 และ SET 50 ตามลำดับ ผลจากการนั้นจะทำให้กองทุนอิงดัชนีทั้งหลายที่มีจำนวนมากต้องเข้ามาซื้อหุ้นไม่ว่าจะมีราคาเท่าไร กองทุนจะต้องซื้อหุ้น “ตามสัดส่วน” ของ Market Cap. ซึ่งในขณะนี้มูลค่าของหุ้นทั้งสองก็สูงมากเมื่อเทียบกับดัชนี ผลก็คือ จะมี “แรงซื้อ” หุ้นทั้งสองตัวเข้ามามหาศาลในวันที่มันถูกนำเข้ามาคำนวณ ผลก็คือ ถ้าหุ้นถูกคอร์เนอร์อยู่แล้ว มันก็จะถูกคอร์เนอร์แน่นเข้าไปอีก ราคาหุ้นก็อาจจะต้องวิ่งขึ้นไปอีกจนกว่าคอร์เนอร์จะ “แตก” และเมื่อถึงวันนั้น ความเสียหายหรือกำไรที่จะได้รับสำหรับบางคนก็จะมหาศาล หุ้นเทสลานั้น กำลังถูกชอร์ตอย่างแรงโดยคนที่คิดว่าหุ้นเทสลานั้น “แพงหลุดโลก” และจะต้องตกลงมาอย่าง “หายนะ” ปริมาณการขายชอร์ตในขณะนี้น่าจะ “มากที่สุดในโลก” ที่ประมาณ 3.7 หมื่นล้านเหรียญหรือกว่า 1 ล้านล้านบาท เซียนหรือ “ตำนานนักชอร์ต” ที่เคยทำกำไรมหาศาลจากการชอร์ตตราสารซับไพร์มคือ Michael Burry กำลังพนันอย่างเต็มที่ว่าหุ้นเทสลาจะต้อง “พังทลาย” เราคงต้องดูกันว่าใครจะพัง ว่าที่จริงคนที่เคยชอร์ตหุ้นเทสลาในปีก่อน “เจ๊ง” ไปแล้วประมาณ 3.8 หมื่นล้านเหรียญเพราะหุ้นขึ้นไปเรื่อยและแพงเวอร์มาทั้งปี นักวิเคราะห์หลายคนรวมถึงอีลอน มัสก์ บอกว่าคนที่ชอร์ตต่างหากที่จะต้องพังเพราะจะถูก “บี้” ให้ต้องกลับไปซื้อหุ้นที่ราคาแพงขึ้นไปอีก คนทั่วโลกกำลังหลงรักเทสลา หุ้นเดลต้านั้น ตั้งแต่มีประเด็นว่าอาจจะถูกปั่นหรือคอร์เนอร์หุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็มีการปรับตัวลงมาบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงมาก ตลาดหลักทรัพย์และคนที่เกี่ยวข้องเองต้องออกมาเสนอมาตรการเกี่ยวกับเรื่องฟรีโฟลทเพื่อป้องกันไม่ให้การเกิดการคอร์เนอร์หุ้นอย่างง่าย ๆ ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนก็ยังเล่นกันอย่างหนัก ราคาหุ้นผันผวนวันละเป็น 10% บวกลบเป็นเรื่อง “ปกติ” ผมเองไม่แน่ใจว่าเมื่อมาตรการออกมาจะทำให้หุ้นสงบลงและราคาสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงเมื่อไร และเคยสงสัยว่าเราจะ “ขายชอร์ต” หุ้นเดลต้าได้ไหม เพราะผมรู้สึกว่าราคานี้ยังไงก็รับไม่ได้ แต่เมื่อตรวจสอบกับโบรกเกอร์ของผมดูแล้วก็พบว่า ในกรณีของหุ้นเดลต้าไม่น่าจะทำได้ เพราะไม่มีคนให้ยืมหุ้นหรือถ้าให้ยืมแล้วมาขอคืนเราก็ “ตาย” ดังนั้น สำหรับผมแล้ว กรณีของหุ้นเดลต้าก็ไม่ต้องสนใจที่จะเข้าไป “หาเงินจากความผิดพลาดของตลาด” แต่แค่เอาไว้ศึกษาว่าความคิดของเราถูกต้องไหม แค่นั้น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/01/18/2449 แท็ก: Advance Article DELTA Knowledge Short Content Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ปี 2021 เลิก Home Bias ด้วยพอร์ตแบบ Global Technology Focus ETF - FINNOMENA Sector ที่เป็นผู้ชนะในปี 2020 คือ Technology แต่น่าเสียดายที่คนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่กล้าที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ วันนี้ ผมจะขอแนะนำการจัดพอร์ตแบบ Global Technology Focus ETF เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการลงทุนปี 2021 กัน 5 ม.ค. 2564 สวัสดีปีใหม่ 2021 ผู้อ่านที่ติดตามบทความของ Wealthguru ทุกท่าน ผมหวังว่าการลงทุนของท่านจะผ่านช่วงเวลา COVID-19 ไปได้ด้วยดี ปีที่ผ่านมา 2020 ถือว่าเป็นปีที่ Good Year ในการลงทุน ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจปากท้องทั่วไป และ Sector ที่เป็นผู้ชนะในปี 2020 คือ Technology แต่น่าเสียดายที่คนไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่กล้าที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งตรงกับงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (Issue 181) ที่พบว่า “คนไทยยัง Home Bias” ในตราสารทุน (หุ้น) นักลงทุนไทยยังเลือกลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุนรวม มีเพียง 3.9% ที่ผ่านลงทุนผ่านตัวแทน (ลงทุนผ่าน broker) ข่าวดีสิ้นปี 2020 เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เริ่มโครงการ FX Ecosystem คนไทยสามารถเปิดบัญชี FCD ได้เสรีโดยไม่จำกัดวงเงินฝาก เพิ่มวงเงินกรณีจะไปลงโดยตรง ได้ USD5,000,000 (ลงทุนโดยตรง) จากเดิมได้เพียง USD200,000 ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรภายใต้ ก.ล.ต (ผ่านกองทุนและ broker) นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้นักลงทุนไทยมีความยืดหยุ่นและทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศมากขึ้น วันนี้ ผมขอแนะนำการจัดพอร์ตแบบ Global Technology Focus ETF กลยุทธ์การลงทุน เลือกจาก ETF เป็นหลักก่อน แล้วค่อยดูกองทุน feeder fund ผสม Passive ETF และ Smart Beta ETF (Active Management) ใส่น้ำหนักลงทุนใน Sector ETF ที่มีการเติบโตในอนาคต ได้แก่ E-Com, Game, Cloud และ GENOMIC หุ้น 100% คือ เสี่ยงสูง ใครรับความเสี่ยงไม่ได้ ให้ผ่านไปเลย *** ยกเว้น WCLD ผลตอบแทนถึงวันที่ 30Nov2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 1. K-USXNDQ-A(A) / K-USXNDQ-A(D) จะลงทุนใน Invesco QQQ ETF (5 ดาวของ Morningstar) ซึ่งจะลงทุนใน Nasdaq-100 Index โดยมี Top 10 Stock ที่ถือ Source: fund factsheet QQQ 30 Sep 2020 Source: fund factsheet QQQ 30 Sep 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูรายละเอียด QQQ ETF ได้ที่ https://www.invesco.com/qqq-etf/en/home.html 2. TNEXTGEN จะลงทุนใน ARKW ETF (5 ดาวของ Morningstar) ซึ่งจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต เช่น Cloud, Big Data, E-commerce, Blockchain และ Internet of Things(IoT) โดยมี Top 10 Stock ที่ถือ Source: fund factsheet ARKW 30 Sep 2020 Source: fund factsheet ARKW 30 Sep 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูรายละเอียด ARKW ETF ได้ที่ https://ark-funds.com/arkw 3. LHESPORT-A จะลงทุนใน ESPO ETF ซึ่งจะลงทุนในเฉพาะอุตสาหกรรมเกมและ Esport เท่านั้น โดยมี Top 10 Stock ที่ถือ Source: fund factsheet ESPO 30 Nov 2020 Source: fund factsheet ESPO 30 Nov 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูรายละเอียด ESPO ETF ได้ที่ https://www.vaneck.com/etf/equity/espo/overview/ 4. ONE-GECOM จะเน้นลงทุนใน Amplify Online Retail ETF (5 ดาวของ Morningstar) ถึง 66% ที่เหลือจะลงทุนใน Booking Holdings 3.4%, Amazon 3.19% , Alibaba 3.16% (fund factsheet ของ ONE-GECOM) Amplify Online Retail ETF เน้นลงทุนใน Online Retail โดยมี Top 20 Stock Source: fund factsheet Amplify Online Retail ETF 30 Sep 2020 Source: fund factsheet Amplify Online Retail ETF 30 Sep 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูรายละเอียด Amplify Online Retail ETF ได้ที่ https://amplifyetfs.com/ibuy 5. TGENOME จะเน้นลงทุนใน ARK GENOMIC REVOLUTION ETF (ARKG) (5 ดาวของ Morningstar) มุ่งเน้นลงทุนใน Bioinformatics, Stem Cells, Agricultural Biology และ Molecular Diagnostics โดยมีสัดส่วนดังรูป Source: fund factsheet ARKG ETF 30 Sep 2020 โดยมี top 10 stock ดังนี้ Source: fund factsheet ARKG ETF 30 Sep 2020 Source: fund factsheet ARKG ETF 30 Sep 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูรายละเอียด ARKG ETF ได้ที่ https://ark-funds.com/arkg 6. PRINCIPAL GCLOUD-A จะเน้นลงทุนใน WisdomTree Cloud Computing Fund ETF (WCLD) ที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่ทำ Cloud Computing โดยจะลงทุนตาม BVP Nasdaq Emerging Cloud Index โดยมีหุ้น top 10 ดังนี้ Source: wisdomtree.com 31-Dec-2020 Source: wisdomtree.com ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต พอร์ตแบบ Global Technology Focus ETF เป็นเพียงไอเดียการจัดพอร์ตโดยใช้ ETF เป็นหลัก คุณสามารถจะลงทุนผ่านกองทุนที่เป็น Feeder Fund ที่เป็นกองทุนไทย หรือ อาจจะเปิดบัญชี Offshore ที่ลงทุนใน ETF โดยตรงก็ได้ การลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่แค่ Option อีกต่อไป แต่เป็น Must ที่จะต้องทำ ปี 2021 ขอให้คนไทยเลิก Home Bias กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้น ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนในปี 2021 WealthGuru *สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถสร้างแผนได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-wealthguru-hybrid-create/ คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article ETF GURUPORT K-USXNDQ-A(A) K-USXNDQ-A(D) Knowledge LHESPORT-A ONE-GECOM PRINCIPAL GCLOUD-A Short Content TGENOME TNEXTGEN กองทุนเทคโนโลยี จัดพอร์ต แชร์บทความ: ผู้เขียน WealthGuru คุณ สมพจน์ พัดสุวรรณ CEO BMK Wealth Management ผู้ก่อตั้งเพจ WealthGuru
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้นสหรัฐขึ้น All-Time High…แต่ระวัง! มันจะไม่ได้ขึ้นแบบเหมาเข่งต่อจากนี้ - FINNOMENA หุ้นสหรัฐขึ้น All-Time High…แต่ระวัง! มันจะไม่ได้ขึ้นแบบเหมาเข่งต่อจากนี้ แล้วหุ้นไหนบ้างล่ะที่จะขึ้น? 4 ม.ค. 2564 บทความนี้อย่าได้หวังเห็น PE เทียบค่าเฉลี่ย SD ใด ๆ เพราะคุณควรเทียบ growth ที่คาดหวังต่างหาก หากนำข้อมูลเหล่านั้นไปเทียบ growth ก็จะพบว่านั่นละคือสิ่งที่ผลักดัน ให้ PE ดีดไปมาแล้วเราค่อยเอาอดีตของมันมาหา SD .. คำถามสำคัญคือ แล้ว growth เป็นอย่างไร? หุ้นก็คือบริษัท ต้องยอมรับว่า Megatrend ใหญ่ ๆ ของโลกที่เรารู้สึกตื่นเต้น เช่น Artificial Intelligence, Semiconductor, e-Commerce, Social Media บริษัทเกือบทั้งหมดจดทะเบียนในสหรัฐหรือมาซื้อขายในตลาดสหรัฐได้ เช่น Alibaba ของแจ็ค หม่า และ TSMC โรงงานผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ตลาดสหรัฐ แต่ทำรายได้ไปทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยี และขายความเหนือชั้น คู่แข่งหลัก ๆ ตอนนี้เห็นจะมีเพียงจีน ยุโรปบางประเทศ มากอบโกยรายได้จากประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา ขึ้นชื่อว่า Megatrend แน่นอนครับ มันจะต้องไม่ธรรมดา รายได้เติบโตกัน 20-30% เป็นว่าเล่น … ที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ใหญ่มาก ๆ หากคุณนำ Facebook และ Amazon ไปรวมกับหุ้นเทค FANGMAN จะมีน้ำหนักถึง ⅓ ของดัชนี S&P500 แล้วคิดว่าถ้าผู้นำมันดี (ขึ้นเอา ๆ) เพื่อน ๆ ก็ขึ้นตามครับ เทรดหุ้นบ้านเรายังดูเพื่อนบ้านเลยยย ความยากของมันคือ ไม่ใช่ทุกตัวที่หุ้นขึ้น เราจะเห็นแล้วว่าหุ้นขวัญใจมหาชนที่เม่า ๆ รู้จักกัน ไม่ได้ทำ high ใหม่สักเท่าไหร่ แต่เป็นหุ้นคุณภาพคับแก้วอีกจำนวนมาก บ้างก็มี money game เข้ามาเกี่ยว แล้วหุ้นไหน? ก็พวกหุ้นในกลุ่ม megatrend นั่นละครับ เลือกหุ้นเองอ่านต่อด้านล่าง ถ้าเลือกไม่ถูก ก็เลือกผ่านกองทุนครับ ยกตัวอย่างเช่น… 1. ONE-UGG-RA (ONE-UGG-ASSF สำหรับ SSF หรือ ONE-UGERMF สำหรับ RMF) กองทุนยอดฮิตที่สร้างผลตอบแทนบวกประมาณ 90% ภายในปีเดียว (ข้อมูลวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563) ผ่านการลงทุนในหุ้นสหรัฐโดยเฉพาะฝั่ง Tech มีตัวดัง ๆ อย่าง Amazon, Facebook, Netflix, Shopify หรือหุ้นตามกระแส Tesla, Zoom (ช่วงหลังเพิ่มหุ้นจีนเข้าพอร์ตไปด้วย ตามเทรนด์ Tech Boom) เราเคยเขียนรีวิวถึงไปแล้วในโพสต์นี้ (มาอัปเดตกองทุน of the year กันเถอะ ONE-UGG ราคาวิ่งขนาดนี้ยังน่าลงทุนไหม !! และกำลังจะอัปเดตอีกหลังงบไตรมาส 3 ประกาศครบแล้ว 2. TMBGQG (TMBGQGRMF สำหรับคนที่ต้องการ RMF) กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นชั้นนำระดับโลก ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นหุ้นสหรัฐ มีครบทั้ง Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet, Facebook จุดเด่นของ TMBGQG คือมีการกระจายความเสี่ยงเยอะแต่ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี ตามไปอ่านรีวิว TMBGQG ได้ที่ “โควิดอยู่หรือไปจะคิดมากทำไม ถ้าเราเลือกกองทุนที่เหมาะสม” 3. อีกกองคือ TMBUS500 เรากำลังจะเขียนถึงเร็ว ๆ นี้ ฝากติดตามด้วยนะครับ ถ้าหากอยากเลือกซื้อหุ้นเอง ก็ให้เราหาว่า Trend อะไรกำลังมา แบบจะต้องมาแน่ ๆ (ต้องมาจริง ๆ นะ ไม่ใช่เราแค่มโน) ทั้งจากนโยบายของ Biden (เวลานโยบายมา วิ่งแรงเสมอ) ซึ่งบางอย่างก็ไหลไปตาม timeline เช่น 5G และกระแสรักษ์โลก (ดู valuation กันเองนะ) และจาก covid-19 ซึ่ง ณ จุดนี้ เคยเล่าแล้วว่าเป็นก๊อก 2 … มันจะอยู่กับเราจนวัคซีนอนุมัติ ก่อนชะลอความร้อนแรง คำว่าก๊อก 2 คือบริษัทลดรายจ่ายกันสุด ๆ โดยเฉพาะฝั่ง operation แต่สิ่งที่ยังลดไม่ได้ คือรายจ่ายเพื่อให้เกิดรายได้ เราจึงเห็นหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับรายได้วิ่งกันยกแผง โดยเฉพาะ Digital Ads หรือบ้างจะไปเน้นหุ้นที่รอดจาก covid-19 จะได้ตลาดจากคู่แข่งที่ล้มหายตายจากในอุตสาหกรรมเดียวกันไป ก็ high risk high return ครับ ตอนนี้เม็ดเงินเก็งกำไรพุ่งเข้าไปแล้วครับ งบน่าจะยังจืด ๆ กัน ข้อได้เปรียบหนึ่งที่ดีมาก แม้เราจะเป็นเม่า คือ คุณไม่ต้องเป็นนักวิเคราะห์ชั้นนำ ขอแค่เป็นผู้ใช้งาน Facebook หรือ Instagram บ่อย ๆ ก็พอจะประเมินได้ว่าอนาคตหุ้น FB จะเป็นยังไง หรือกลุ่มสาว ๆ ที่ชอบใช้ Pinterest แอปฯ ใหม่มาแรงในไทย อาจเห็นโอกาสจากหุ้น PINS ก่อนนักวิเคราะห์ใน Wall Street ด้วยซ้ำ !! (วิ่งมาพร้อม ๆ snap twitter เรียกว่า millennials น่าจะคุ้นเคยกว่านักวิเคราะห์อายุเยอะ ๆ ที่มี power) ส่วนท่านใด ส.ว. หรือ รุ่นบูมเมอร์ ก็แอบดูลูก ๆ เอานะครับ ว่าเค้าใช้อะไรกัน เฮโลกันไปทางไหน ฮาาา และทิ้งท้ายแถม macro ให้ สถานการณ์หลายอย่างชี้ไปว่าตลาดหุ้นสหรัฐมีปัจจัยบวกรออยู่ เช่น คนในประเทศจะได้รับวัคซีนก่อนชาติอื่น รวมถึงนโยบายรัฐต่อจากนี้จะเน้น American First และประชานิยมเอาใจสุด ๆ นี่คือตัวช่วยที่ทำให้หุ้นขึ้นต่อไปได้ครับ ป.ล. ความเสี่ยงทางราคาช่วงสั้น ก็เห็นจะเป็นการอนุมัติวัคซีนครับ อ่านเหตุผลทาง macro ทำไมหุ้นสหรัฐขึ้น? BottomLiner ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/uncategorized/us-stock-all-time-high-but-not-for-all-stocks/ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article Knowledge ONE-UGERMF ONE-UGG-ASSF ONE-UGG-RA Short Content TMBGQG TMBGQGRMF TMBUS500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bitcoin แตะ 1 ล้านบาท ฉลองวันเกิดครบรอบ 12 ปี - FINNOMENA 3 มกราคม 2021 ที่ผ่านมา คือวันเกิดครบรอบ 12 ปีของ Bitcoin และในโอกาสคล้ายวันเกิดนี้เอง Bitcoin ก็ได้เฉลิมฉลองด้วยการขึ้นทะลุราคา 1 ล้านบาทต่อ 1 Bitcoin! บทความนี้จะมาทบทวนกันอีกครั้งถึงต้นกำเนิดของ Bitcoin และเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีมูลค่า? 4 ม.ค. 2564 เมื่อ 12 ปีที่แล้ว (3 มกราคม 2009) คือวันที่บล็อกแรกของเครือข่าย Bitcoin ถูกสร้างขึ้น หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ Bitcoin Genesis เท่ากับว่า 3 มกราคม 2021 ที่ผ่านมา คือวันเกิดครบรอบ 12 ปีของ Bitcoin และในโอกาสคล้ายวันเกิดนี้เอง Bitcoin ก็ได้เฉลิมฉลองด้วยการขึ้นทะลุราคา 1 ล้านบาทต่อ 1 Bitcoin บนกระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยอย่าง Bitkub หรือที่ประมาณ 32,127 ดอลลาร์บนกระดานเทรดต่างประเทศไปเป็นที่เรียบร้อย หากมองย้อนกลับเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2020 ราคา Bitcoin อยู่ที่ระดับ 820,000 บาท เรียกได้ว่าราคา Bitcoin ขึ้นเกือบ 2 แสนบาทภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ นับเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ต้องจารึกบนประวัติศาสตร์ของ Bitcoin วันเกิดของ Bitcoin? ผู้ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin ผ่าน White Paper เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2008 โดยระบุว่า Bitcoin คือสกุลเงินดิจิทัลแบบ Peer-to-Peer หรือ การเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายด้วยกันเองแบบไม่มีตัวกลาง โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain Blockchain ก็คือเทคโนโลยีที่ใช้เก็บข้อมูลธุรกรรมแบบไม่มีตัวกลาง โดยทุกเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะเก็บชุดข้อมูลที่เหมือนกัน ข้อมูลในเครือข่ายจะถูกเก็บชุด ๆ หรือเรียกว่าเป็น Block ที่ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ส่วนการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นบนเครือข่ายจะถูกตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากทั้งเครือข่ายผ่านระบบที่เรียกว่า Proof-of-Work หมายความว่ายิ่งเป็นเครือข่าย Blockchain ที่ใหญ่แค่ไหน ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ข้อมูลธุรกรรมชุดแรกของ Bitcoin (Block 0 หรือ Genesis Block) ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2009 โดยมีรางวัลในการสร้าง Block ที่ 50 Bitcoin ถือเป็นวันที่เครือข่าย Bitcoin ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ และพลิกโฉมประวัติศาสตร์การเงินของโลกมานับตั้งแต่นั้น มูลค่าของ Bitcoin มาจากไหน? การที่ Bitcoin มีเทคโนโลยีหลังบ้านที่เรียกว่า Blockchain ในการเก็บข้อมูลธุรกรรม ทำให้ Bitcoin คือสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกที่เป็น “Decentralized” แตกต่างกับสกุลเงินที่เราใช้กันในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า Fiat Currency ที่เป็นแบบ “Centralized” มูลค่าของ Bitcoin จึงขึ้นอยู่กับปริมาณอุปสงค์-อุปทานของตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ยังถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin ด้วยความมั่นคงของเครือข่าย การใช้งานที่กว้างขวาง และจำนวนที่จำกัด Bitcoin จึงได้รับการยอมรับว่าเป็น Digital Gold สำหรับระบบการเงินในยุคใหม่ และด้วยคุณสมบัตินี้เอง ทำให้บรรดาสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือ Federal Reserve รวมถึงบริษัทเอกชนต่าง ๆ เช่น MicroStrategy, Square และ Skybridge พากันถือ Bitcoin เป็นทรัพย์สินสำรอง ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin ได้ขึ้นแตะระดับ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท) ด้านปริมาณการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีบนกระดานเทรด Bitkub ก็ขึ้นเหนือระดับ 2 พันล้านบาทไปได้เป็นครั้งแรกภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากที่ราคา Bitcoin ยืนเหนือ 1 ล้านบาท Bitkub.com แท็ก: Advance Article Bitcoin Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
กรณีศึกษา Delta “ขายเมื่อหุ้นทำ Climax Top” - FINNOMENA หลายคนเวลาขายหุ้น จะขายถ้าราคาเกินราคาเป้าหมายที่คิดไว้ หรือ overvalue วันนี้ ผมจะมา share วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion พร้อมกรณีศึกษาจากหุ้น DELTA 30 ธ.ค. 2563 Let profit run หลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ หลายคนเวลาขายหุ้นอาจจะมี Lock profit ต้องได้ไม่ต่ำกว่า 25% แล้วขาย หลายคนเวลาขายหุ้น จะขายราคาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ก็จะขาย หลายคนเวลาขายหุ้น จะขายถ้าราคาเกินราคาเป้าหมายที่คิดไว้ หรือ overvalue แต่วันนี้ ผมจะมา share วิธีการขายหุ้นของ Mark Minervini จากหนังสือ Think & Trade Like a Champion หุ้นนำตลาดมักจะจบรอบหลังจากราคาเร่งตัวขึ้นอย่างรุนแรง เพราะสถาบันหรือกองทุนต้องการให้เกิดแรงซื้อมากที่สุด เพื่อให้มีคนมารับซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลต่อจากพวกเขา อาจจะเหมือนหุ้นบางตัวที่ขึ้นแรงในไม่กี่วัน แท่งเขียวยาว บวกวันละร้อยบาท คือ ตอนที่เขาออกของนั่นเอง และเมื่อแรงขายจำนวนมากของกองทุนมากกว่าแรงซื้อของรายย่อย หุ้นตัวนั้นก็ถล่มลงมา ถ้าเรารอให้เห็นการถล่มก่อนก็อาจจะไม่ทันการณ์ ดังนั้นคือ คุณควรจะขายออกมาบ้าง ถ้าเห็นหุ้นนำตลาดที่ขึ้นมาอย่างแข็งแรงหลายเดือน เริ่มวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงกว่าเดิม เพราะนั่นคือ สัญญาณของ Climax Top ตัวอย่างหุ้น RBF ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต Checklist ในการขายแบบ Climax Top ราคาวิ่งจากฐานเดิมเยอะ จะมีการสร้างฐานราคา มากกว่า 4-5 ฐาน ก็ควรจะระวัง PE Expend ขึ้นมาจากเดิมสูงมาก ถ้าสูงกว่าการเติบโตในอนาคตจะต้องระวัง การเติบโตของ EPS เริ่มจะลดลง แนวโน้ม Q ต่อไปลดลงจากเดิม ถ้าลดลงมากจะต้องระวังให้จงมาก มีการเร่งราคาขึ้นแบบอย่างรุนแรง เป็นลักษณะของ Climax Top เราลองมาดูกรณีของ DELTA ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จุดที่ทำ Climax Top ชัดเจนมาก ราคาเร่งขึ้นแบบรวดเร็ว PE สูงขึ้นผิดปกติ มากกว่า %การเติบโตของกำไร นี่เป็นจุดที่จะต้องขาย ห้ามซื้อ ก็ซื้อเหมือนคุณไปรับของแพงจากคนอื่นมา ขายหุ้นทำกำไรบ้างไม่ผิด ผิดที่ยังถือหุ้นเน่าอยู่ ถือหุ้นระยะยาวได้ ตราบเท่าที่ กำไรของหุ้นตัวนั้นยังคงเติบโตมากกว่า ตลาดคาดหวัง ดังนั้นไม่จำเป็นหุ้นขายตอนหมด Trend แต่ขายเมื่อหุ้นทำ Climax Top WealthGuru *สนใจลงทุนในพอร์ต Global Aggressive Hybrid พอร์ตกองทุนที่จัดโดย WealthGuru ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้เงินสร้างความมั่งคั่งในอนาคต สามารถสร้างแผนได้ที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-wealthguru-hybrid-create/ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แท็ก: Advance Article DELTA Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน WealthGuru คุณ สมพจน์ พัดสุวรรณ CEO BMK Wealth Management ผู้ก่อตั้งเพจ WealthGuru
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
DELTA จะมีผลอย่างไรต่อ SET50? - FINNOMENA ถามกันมามากเหลือเกินว่า เมื่อ DELTA เข้าคำนวณใน SET50 Index แล้ว ด้วย Mkt Cap มหาศาลกว่า 8.5 แสนล้านของ DELTA จะทำให้ SET50 Index พุ่งขึ้นเลยหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ มาดูกันว่าเพราะอะไร? 28 ธ.ค. 2563 ถามกันมามากเหลือเกินว่า เมื่อ DELTA เข้าคำนวณใน SET50 Index แล้ว ด้วย Mkt Cap มหาศาลกว่า 8.5 แสนล้านของ DELTA จะทำให้ SET50 Index พุ่งขึ้นเลยหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะตลาดจะทำการปรับดัชนีด้วยวิธีการเพิ่มสัดส่วนของปีฐานด้วย ภาษาต่างดาวเข้าใจยาก จึงขอยกตัวอย่างง่าย ๆ หลักการคำนวณดัชนีคือ ดัชนี = มูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน / มูลค่าตลาดปีฐาน จากสมการข้างต้น หากเอา DELTA เข้ามาใน SET50 Index จะทำให้มูลค่าตลาดของ SET50 Index เพิ่มขึ้นทันทีอีก 7.7% แล้วทำไม SET50 Index ถึงไม่ปรับเพิ่มขึ้นทันที เพราะ… ตลาดจะทำการปรับมูลค่าตลาดปีฐานด้วยการคูณ 1.077 หรือปรับเพิ่มมูลค่าตลาดปีฐานขึ้น 7.7% ด้วยเช่นกัน ดัชนี = มูลค่าตลาดรวม DELTA / มูลค่าตลาดคูณ 1.077 มันจึงได้ดัชนีเท่าเดิม แต่ปัญหามันจะอยู่ตรงที่ DELTA ขึ้นซาดิสต์มานาน ธ.ค. 63 บวก 196% ทั้งปี 2563 บวก 1,178% เมื่อเข้า SET50 Index จึงมีโอกาสที่จะเจอแรงขายทำกำไรแบบกระหน่ำ Summer Sale ด้วยขนาดมูลค่าตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ SET50 หากโดน Take จริง จะมีอิทธิพลเชิงลบต่อดัชนีไม่น้อยเลยทีเดียว ทุกการเคลื่อนไหว 1% ของ DELTA จะมีผลต่อ SET50 กว่า 0.7 จุด แล้วโอกาสที่หลังปีใหม่จะโดนสอยที -10% ถึง -20% ในวันเดียว มันต้องมีเกิดขึ้นสักวันอยู่แล้ว SET50 ก็เตรียมเจอแรงกดดันทันที 7 ถึง 14 จุด ตอน DELTA ขึ้น SET50 ไม่ได้ประโยชน์อะไร หลังปีใหม่เกิด DELTA คิดจะลง ความบรรลัยก็จะเกิดกับ SET50 Index ทันที เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอแท้ ๆ ป.ล. ภาพของดัชนีที่จะถูกกดดัน อาจทำให้บรรยากาศการลงทุนแย่ลงไปบ้าง แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อพื้นฐานของหุ้นอีก 49 บริษัทที่เหลือนะครับ ประกิต สิริวัฒนเกตุ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แท็ก: Advance Article DELTA Knowledge SET50 Short Content หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน ประกิต สิริวัฒนเกตุ อยู่ในอาชีพนักวิเคราะห์ เทคนิค อนุพันธ์ และเป็นนักกลยุทธ์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานมา 12 ปี ผู้ต้องการเปิดกะลาของตัวเองออกสู่โลกการลงทุนที่แท้จริง ใฝ่ฝันที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่งคั่งยั่งยืน เพื่อการเป็นอิสรภาพทางการเงินโดยสมบูรณ์
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หยุดไม่อยู่! ราคา Bitcoin เหนือ 820,000 บาท จารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ - FINNOMENA Bitcoin สร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้งเมื่อช่วงสายของวันที่ 27 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา โดยราคาได้ปรับขึ้นเหนือแนวต้านสำคัญที่ 800,000 บาท และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 822,100 บาท มาดูกันว่าสาเหตุที่ทำให้ราคา Bitcoin ขึ้นคืออะไร? แล้วทิศทางต่อไปของ Bitcoin จะเป็นอย่างไร? 19 ม.ค. 2565 Bitcoin สร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้งเมื่อช่วงสายของวันที่ 27 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา โดยราคาได้ปรับขึ้นเหนือแนวต้านสำคัญที่ 800,000 บาท และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 822,100 บาท บนกระดานเทรดของไทยอย่าง Bitkub เรียกได้ว่าเป็นของขวัญรับปีใหม่กันเลยทีเดียว! ด้านกระดานเทรดต่างประเทศอย่าง Binance ราคา Bitcoin ได้ทะลุเหนือระดับ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 25,945 ดอลลาร์ ในช่วงเวลาที่เขียนบทความนี้ สาเหตุที่ทำให้ราคา Bitcoin ขึ้น การปรับขึ้นของราคา Bitcoin มีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาก้าวข้ามกำแพง 800,000 บาทขึ้นมา คือการเข้าซื้อของบรรดานักลงทุนระดับสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น Grayscale, Square, MicroStrategy, MassMutual, SkyBridge และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก COVID-19 ทำไมบรรดานักลงทุนสถาบันถึงเลือกถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง? นั่นเป็นเพราะเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวน Bitcoin สูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ หมายความว่าอุปทานของ Bitcoin มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่อุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Bitcoin ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะ “Decentralized Digital Currency” หรือ สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ สกุลแรกของโลก ตามรายงานจาก CoinTelegraph ระบุว่าการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของสถาบัน ล่าสุดได้ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นมาที่ประมาณ 4.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่าตลาดรวมของยักษ์ใหญ่ด้านการเงินอย่าง Visa ที่ประมาณ 4.60 แสนล้านดอลลาร์เสียอีก ปัจจุบันมี Bitcoin อยู่ในระบบประมาณ 18.5 ล้านเหรียญ โดย Bitcoin เหรียญใหม่จะออกมาก็ต่อเมื่อมีนักขุดสามารถแก้สมการและสร้างบล็อกใหม่ขึ้นบนเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ได้สำเร็จ นักขุดคนนั้นก็จะได้รับ Bitcoin ที่ยังไม่ออกมาในระบบเป็นรางวัล ซึ่งบล็อกใหม่จะเกิดขึ้นทุก ๆ 10 นาทีโดยประมาณ และรางวัลในการขุดอยู่ที่ครั้งละ 6.25 Bitcoin ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ 4 ปีโดยประมาณจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Bitcoin Halving ที่จะทำให้รางวัลในการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รางวัลในการขุดถูกลดลงครึ่งหนึ่งจาก 12.5 Bitcoin เหลือ 6.25 Bitcoin นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 ทิศทางต่อไปของ Bitcoin ในภาพรวม บรรดานักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างมองทิศทางของ Bitcoin ในปี 2021 เป็นเชิงบวก โดยนักวิเคราะห์จาก Intotheblock ได้ประเมินแนวรับสำคัญของราคา Bitcoin ไว้ที่ระดับ 23,069 ดอลลาร์ และ 23,377 ดอลลาร์ (ประมาณ 693,684 บาท กับ 702,946 บาทโดยประมาณ) หากราคายังยืนเหนือแนวรับนี้ได้ ภาพรวมก็มีแนวโน้มจะขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ Bitcoin จะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย แต่ในปี 2021 นี้เอง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินอย่าง Paypal กำลังจะเปิดให้บริการแลกเปลี่ยนและชำระเงินด้วย Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ หมายความว่าผู้ใช้งาน Paypal กว่า 289 ล้านบัญชีและร้านค้านับล้านทั่วโลกสามารถเข้าถึง Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลได้มากขึ้น Bitkub.com แท็ก: Advance Article Bitcoin Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน MRENEW: นับหนึ่งช่วงเวลาที่พลังงานกับความยั่งยืนมาบรรจบกันอย่างลงตัว - FINNOMENA รีวิวกองทุน MRENEW กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน! 8 ก.ย. 2564 โทมัส เอดิสัน นำพาโลกให้รู้จักกับระบบไฟฟ้า… จากนั้นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าก็เป็นหุ้นที่ขาดไม่ได้ในพอร์ตเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ ทำให้โลกเล็กลงด้วยโทรศัพท์… ครั้งหนึ่ง Nokia เคยครองโลกโทรศัพท์ และยังอยู่ในความทรงจำใครหลายคน คาร์ล เบนซ์ พลิกโฉมพาหนะจากรถม้าเป็นรถยนต์… สร้างงาน สร้างรายได้มหาศาล จนบริษัทรถยนต์กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในทุกวันนี้ สตีฟ จ๊อปส์ ใช้ iPhone ย่อโลกทั้งใบมาอยู่ในกำมือทุกคน… Apple นับหนึ่งเรื่องราวที่เปลี่ยนชีวิตประจำวันทุกคนไปตลอดกาล รูปที่ 1 Steve Jobs เปิดตัว iPhone เมื่อปี 2007 I Source: youtube.com as of 19/12/2020 เวลาเดินต่อไป สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนวัตกรรมกลับถูกแซงหน้าด้วยคำว่านวัตกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า จนปี 2020 ไวรัส COVID-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก สร้างจุดเปลี่ยนอีกครั้งที่ทำให้ธุรกิจและตลาดการเงินรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วกับ Next Normal ซึ่งหนึ่งในกระแสที่เริ่มเด่นชัดในปรากฏการณ์ครั้งนี้ ก็คือการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน (Sustainable Energy) ประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ได้แค่จินตนาการถึงอนาคต แต่เริ่มนับหนึ่งแล้วเมื่อนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้ประเด็นพลังงานสะอาดเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญ รูปที่ 2 อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาและนายโจ ไบเดน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเยี่ยมชมแผงโซลาร์เซลล์เมื่อปี 2016 I Source: https://www.technologyreview.com/2016/01/12/163900/sotu-2016-obamas-energy-and-climate-legacy/ as of 19/12/2020 ความสำคัญของประเด็นดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะไม่เพียงแต่สหรัฐฯ เท่านั้นที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาทำให้เกิดขึ้นจริง แต่หลายประเทศที่สำคัญทั่วโลกให้ความสำคัญในระดับที่เข้าไปอยู่ในนโยบายหรืออุตสาหกรรมที่ได้รับการอุดหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ที่ประชุมผู้นำประเทศสหภาพยุโรปมีมติว่าภายในปี 2030 จะลดการปล่อยคาร์บอนลงให้ได้อย่างน้อย 55% ของระดับเมื่อปี 1990 ส่วนญี่ปุ่นที่อัดฉีดมาตรการกระตุ้นอีกระลอกจะมีงบส่วนหนึ่งถูกจัดสรรให้กับการพัฒนาพลังงานสะอาดอีกด้วย รูปที่ 3 สัดส่วนรถยนต์แต่ละประเภทที่ขายได้แบบรายเดือนในยุโรป I Source: https://www.jato.com/in-september-2020-for-the-first-time-in-european-history-registrations-for-electrified-vehicles-overtook-diesel/ การพิสูจน์ตัวเองที่ชัดเจนที่สุดหนีไม่พ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งในยุโรปที่แซงหน้ารถยนต์ดีเซลไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับยอดขายในประเทศจีนที่เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan แนะนำกองทุน MRENEW เมื่อมีความน่าสนใจขนาดนี้ ถึงเวลาแนะนำกองทุน MRENEW จากบลจ. MFC ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุน BGF Sustainable Energy Fund (กองทุนหลัก) ในชนิดหน่วยลงทุน (share class) “D2” ในสกุลเงิน เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จาก BlackRock รูปที่ 4 ธีมการลงทุนหลักของกองทุน BlackRock Sustainable Energy Fund I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of October 2020 กองทุน BGF Sustainable Energy Fund เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ภายใต้ 3 ธีมหลัก ประกอบด้วย Clean Power Energy Efficiency Clean Transportation รูปที่ 5 ขั้นตอนพิจารณาการลงทุนของกองทุน BlackRock Sustainable Energy Fund I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of October 2020 ภายใต้การบริหารพอร์ตจาก BlackRock มี 4 ขั้นตอนที่ใช้พิจารณาคัดเลือกหุ้นเพื่อลงทุน ดังนี้ Investment universe ประชุมทีมบริหารกองทุนรายสัปดาห์โดยพิจารณาข้อมูลเชิงลึกของภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งหมด Macro and industry view เยี่ยมชมและพบทีมบริหารของบริษัท พิจารณาโครงสร้างการเงินรวมไปถึงมาตรฐาน ESG Company template ขั้นตอนที่ทีมบริหารจะถกเถียงทุกด้านทุกมุมของหุ้นที่กำลังพิจารณา นอกจากนั้นยังใช้ Risk & Quantitative Analysis (RQA) เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงทั้งแบบ forward looking และย้อนหลังด้วยข้อมูลสถิติ เพื่อชี้ให้ Portfolio manager เห็นว่าการมีหุ้นดังกล่าวเป็นองค์ประกอบในพอร์ตจะมีความเสี่ยงอะไร และต้องระมัดระวังอย่างไร Portfolio หลังผ่านขั้นตอนการคัดเลือกแล้ว จะได้พอร์ตการลงทุนแบบ High conviction เน้นลงทุนหุ้นเพียง 30-60 บริษัท ตรวจสอบเหตุการณ์ที่จะสร้างผลกระทบต่อหุ้นในพอร์ตการลงทุน รูปที่ 6 สัดส่วนการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมของกองทุน BlackRock Sustainable Energy Fund Class D2 USD I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of November 2020 พอร์ตการลงทุนมีสัดส่วนใน 3 ธีมหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยมีสัดส่วนหลักในระดับอุตสาหกรรมอยู่ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและสาธารณูปโภค รูปที่ 7 Top 10 holdings ของกองทุน BlackRock Sustainable Energy Fund Class D2 USD I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of November 2020 สำหรับหุ้นใน Top 10 holdings ของกองทุนก็มีธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาก ซึ่งต้องขอพาไปรู้จักกันหน่อย รูปที่ 8 ธุรกิจหลักของ Samsung SDI I Source: samsungsdi.com as of 19/12/2020 เริ่มกันที่ Samsung SDI ดำเนินธุรกิจแบตเตอรี่ Li-ion ทั้งขนาดเล็กและสำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมด้วยระบบจัดเก็บพลังงาน นอกจากนี้ยังผลิตวัสดุที่ใช้กับเซมิคอนดักเตอร์ หน้าจอ LCD และ OLED โดยรายได้บริษัทเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016 เช่นเดียวกับกำไรสุทธิ มีเพียงปี 2019 ที่กำไรสุทธิหดตัวจากการลงทุนขยายกำลังการผลิต รูปที่ 9 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Hyundai ที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จาก ON Semiconductor I Source: onsemi.com as of 19/12/2020 ไปต่อกันที่ ON Semiconductor ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน บริหารการใช้พลังงาน เซนเซอร์ รวมไปถึงการประมวลผล ซึ่งตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงระบบพลังงานกลุ่มอุตสาหกรรมและ Cloud ในด้านรายได้ก็เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016 เช่นเดียวกับกำไรสุทธิ ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิต ทำให้กำไรสุทธิของปี 2019 ลดลง แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าหุ้นจะมีความน่าสนใจขนาดไหน ผลตอบแทนยังเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน รูปที่ 10 ผลตอบแทนย้อนหลังในแต่ละปีของกองทุน BlackRock Sustainable Energy Fund Class D2 USD I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of October 2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต พิจารณาผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี พบว่ากองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าดัชนีอ้างอิงอย่าง MSCI ACWI สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ที่กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิงได้อย่างโดดเด่น สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตและทำกำไรของหุ้นในกลุ่มพลังงานยั่งยืนที่เริ่มพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว รูปที่ 11 ระยะเวลาและสัดส่วนครัวเรือนในสหรัฐฯ ที่ใช้แต่ละนวัตกรรมในอดีต I Source: BlackRock Sustainable Energy Fund as of October 2020 40 คือระยะเวลาในหลักปี นับตั้งแต่บ้านในสหรัฐฯ เริ่มใช้ไฟฟ้าจนได้ใช้กันครบทุกบ้าน 32 คือระยะเวลาในหลักปี นับตั้งแต่บ้านในสหรัฐฯ เริ่มใช้ตู้เย็นจนได้ใช้กันครบทุกบ้าน 10 คือระยะเวลาในหลักปี นับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มใช้อินเทอร์เน็ตจนเข้าถึงแล้วกว่า 90% ของผู้คนทั่วประเทศ ส่วน Smart phone ใช้เวลาเพียง 7 ปี ทำให้ผู้คนในสหรัฐฯ 80% หันมาใช้กัน แล้วกับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมแม้อาจไม่รวดเร็วจนเป็นปรากฏการณ์เหมือนอย่างที่ Smart phone เคยทำไว้ แต่ก็คงไม่ต้องเสียเวลายาวนานเหมือนอย่างไฟฟ้าหรือตู้เย็น และก็เริ่มนับ 1 ไปแล้วในปี 2020 นี้เอง CrisisMan อ่านเพิ่มเติม – ลงทุนแบบ “ESG” คว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน อ่านเพิ่มเติม – ESG การลงทุนเพื่ออนาคต ทางเลือกใหม่จากความ ‘ยั่งยืน’ สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan Source: BlackRock Sustainable Energy Fund presentation October 2020 https://www.blackrock.com/americas-offshore/en/products/229878/blackrock-new-energy-d2-usd-fund https://www.mckinsey.com/industries/oil-and-gas/our-insights/the-future-is-now-how-oil-and-gas-companies-can-decarbonize https://www.mckinsey.com/business-functions/sustainability/our-insights/powering-up-sustainable-energy https://www.energydigital.com/sustainability/innova-energy-secures-pound30-million-debt-funding-natwest https://www.blackrock.com/americas-offshore/en/products/229878/blackrock-new-energy-d2-usd-fund คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW MRENEW-A MRENEW-D Product Info Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน CrisisMan ไม่ได้เรียนการเงิน แต่มีความเชื่อว่าเรื่องของการเงินต้องใช้เวลา และการจัดพอร์ต ทำให้เริ่มศึกษาและลงทุนด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงาน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้นเทคฯ จีน กำลังเจอความท้าทายครั้งใหญ่ - FINNOMENA เมื่อช่วงเช้าวันนี้ มีข่าวการที่รัฐบาลจีนเริ่มต้นขั้นตอนการสอบสวนกรณีการผูกขาดของ Alibaba Group มาดูกันว่าอาลีบาบา และหุ้นเทคฯ จีนกำลังเจอกับอะไร? แล้วผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน และกองทุนหุ้นเทคฯ จีน จะเป็นอย่างไร 24 ธ.ค. 2563 เมื่อช่วงเช้าวันนี้ มีข่าวหนึ่งที่สำคัญต่อนักลงทุนที่กระจายการลงทุนในต่างประเทศออกมา นั่นก็คือ ข่าวการที่รัฐบาลจีนเริ่มต้นขั้นตอนการสอบสวนกรณีการผูกขาดของ Alibaba Group ทั้งนี้ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงธนาคารกลาง จะเรียก Ant Group และบริษัทในเครือแยกกันเข้าร่วมการประชุมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันกฎระเบียบทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ราคาหุ้นอาลีบาบา ที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงมากกว่า -8% ในช่วงเช้า อาลีบาบา กำลังเจอกับอะไร? จริง ๆ เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียวสำหรับอาลีบาบา กลับไปเมื่อปลายเดือนพ.ย. ซึ่งทางการจีนสั่งระงับการขายหุ้น IPO ของ Ant Group เพียง 2 วัน ก่อนถึงกำหนดการ ทั้ง ๆ ที่มีนักลงทุนเข้ามาจองซื้อถล่มทลายจนมีการคาดการณ์ว่าจะทุบสถิติ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 3.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตอนนั้น นักวิเคราะห์ต่างก็ให้ความเห็นออกมาว่า เป็นผลจากการที่รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานต่อต้านการผูกขาดตลาด (SAMR) เริ่มร่างกฎหมายป้องกันไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีมีขนาดใหญ่และผูกขาดมากเกินไป ซึ่งจะไปมีผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศในระยะยาว หลัง แจ็ก หม่า ได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกฎหมายนี้ เขาได้พูดบรรยายโจมตีหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินค่อนข้างรุนแรง เรื่องนี้อาจสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับรัฐบาลจีนที่มองว่า อิทธิพลของ Platform ของ Ant Group อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินของจีน จึงได้สั่งตรวจสอบ และน่าจะเป็นที่มาของการเริ่มต้นขั้นตอนการสอบสวนที่ออกข่าววันนี้ ไม่ใช่แค่อาลีบาบา ที่กำลังโดนรัฐบาลจีนตรวจสอบ สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานต่อต้านการผูกขาดตลาด (SAMR) ได้มีการสอบสวนและสั่งปรับ Alibaba และ Tencent บริษัทละ 500,000 หยวน (ราว ๆ 2.3 ล้านบาท) หลังจากทั้ง 2 บริษัท ได้ทำการละเมิดกฎหมายป้องกันการผูกขาดทางการค้า เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทไม่ได้ทำการประกาศที่เหมาะสมต่อหน่วยงานเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการในอดีต ในรายละเอียด SAMR สั่งปรับ Tencent เนื่องจากใช้บริษัทลูก China Literature ทำการเข้าซื้อกิจการสื่อและสิ่งบันเทิง New Classics Media โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากทางการ ส่วนด้าน Alibaba ถูกปรับเนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Intime Retail บริษัทเครือห้างสรรพสินค้า โดยไม่ได้แจ้งให้ทางการทราบเช่นกัน จากข้อมูลของ Bloomberg จะพบว่า Tencent, Alibaba และ บริษัทในเครืออย่าง Ant Group มีการเข้าไปถือหุ้น หรือ ลงทุนในธุรกิจ Startup ต่าง ๆ มากมายตั้งแต่ social media ไปจนถึง e-commerce platform ซึ่งดูจากจำนวนบริษัทที่ทั้ง 2 บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน ก็จะเข้าใจได้มากขึ้นว่า เหตุใดรัฐบาลจีนถึงกังวล และเริ่มร่างกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่ไม่ใช่แค่ Alibaba หรือ Tencent เท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากร่างกฎหมายนี้ งานวิจัยจาก Morgan Stanley บอกว่า อีก 3 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน ก็จะได้รับผลกระทบด้วย ไม่ว่าจะเป็น Pinduoduo ซึ่งเป็น E-Commerce น้องใหม่ที่ท้าชน Alibaba และ JD.com มีโอกาสถูกจำกัดในเรื่องของการอนุญาตให้ platform ข้างนอก เข้ามาทำการตลาดส่งเสริมการขายใน App JD.com ที่อาจจะถูกลดอำนาจการต่อรองที่มีกับบรรดาซัพพลายเออร์ในอนาคตเพื่อป้องกันการผูกขาด Meituan ซูเปอร์แอปฯ ยอดฮิตซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การค้นหาร้านอาหาร รีวิวร้านและบริการอื่น ๆ แบบครบวงจรแถมยังเป็น Food Delivery ที่ขึ้นอันดับหนึ่งของประเทศ อาจถูกกดดันให้ลดราคาค่าบริการในการส่งอาหารให้ถูกลงเพื่อให้แข่งขันได้ ผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน และกองทุนหุ้นเทคฯ จีน เมื่อมีข่าวเปิดเผยออกมาเช้าวันนี้ พบว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น Alibaba ร่วงในทันทีกว่า 8% และจากข้อมูลในข้อก่อนหน้านี้ก็จะพบว่าราคาหุ้นของ Tencent และ Meituan Dianping ได้รับแรงกดดันดังกล่าวเช่นกัน โดยปรับตัวลงประมาณ 2.6% และ 2.72% ตามลำดับ เช่นเดียวกับ JD.com ที่ร่วง 2.28% กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นจีน New economy และบริษัทเทคโนโลยีจีน ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะได้รับแรงกดดันจากการบังคับใช้กฎหมายในช่วงเวลาต่อจากนี้ และจะเกิดขึ้นเป็นระยะไปจนกว่าจะทราบผลการตรวจสอบจากหน่วยงานสอบสวน โดยจากข้อมูลเบื้องต้นคาดว่าการสืบสวนต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน จากการสอบถามมุมมองของผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในเอเชียโดยเฉพาะจีน สรุปได้ใจความดังนี้ การสอบสวนและบังคับใช้กฎหมายจะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีจีนโดยเฉพาะกลุ่ม E-Commerce โดยทีมบริหารยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้คาดว่าการสอบสวนจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน อย่างไรก็ตามในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นกับ Tencent ที่ทางการจีนได้เข้ามาควบคุมอุตสาหกรรมเกมส์ออนไลน์ ซึ่งหลังจากการสอบสวนผ่านไปแรงกดดันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันการปรับฐานของหุ้นในช่วงที่ผ่านได้สะท้อนแรงกดดันต่อรายได้และกำไรในปีหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงยังตัดสินใจคงสัดส่วนการลงทุนและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด มุมมองของ FINNOMENA Investment Team จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา FINNOMENA Investment Team ยังติดตามสถานการณ์ที่นับว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักของปีหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาทิศทางการเติบโตของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของประเทศจีน โดยเรามีมุมมองว่าการสอบสวนการผูกขาดดังกล่าวอาจทำให้เกิดการแทรกแซงจากหน่วยงานภาครัฐของจีน ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตในต่างประเทศ เนื่องด้วยในปัจจุบันทั้งรัฐบาลและผู้บริโภคของต่างประเทศยังมีความกังวลต่อความมั่นคงโดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคล ที่อาจรั่วไหลผ่าน platform ของบริษัทเทคโนโลยีจีน ไปยังรัฐบาลจีน นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและการบริโภคภายในยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ FINNOMENA Investment Team มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยีจีน ในส่วน FINNOMENA Port นั้น มีคำแนะนำสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับความเสี่ยงดังกล่าวไว้แล้ว ขณะเดียวกัน FINNOMENA Investment Team ได้ติดตามสัดส่วนการลงทุนของกองทุนที่อยู่ใน FINNOMENA Port พร้อมทั้งติดต่อไปยังกองทุนในช่วงที่ผ่านมา พบว่าทีมบริหารติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทำให้ FINNOMENA Investment Team ยังแนะนำคงสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนทั้ง New Economy และ Technology FINNOMENA Investment Team คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Alibaba Article Product Recommend Short Content หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
บันทึกในวันที่ Kerry Express มีมูลค่า 1 แสนล้าน - FINNOMENA KEX IPO ที่ราคา 28 บาท เข้าตลาดวันแรกราคาพุ่งไปมากกว่า 60 บาท มีหุ้นทั้งหมด 1740 ล้านหุ้น นั่นหมายความว่าตอนนี้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านแล้ว ! ส่วนประเด็นที่ทำให้นักลงทุนสนใจหุ้นตัวนี้มีอยู่ 4-5 ประเด็นด้วยกัน 24 ธ.ค. 2563 KEX IPO ที่ราคา 28 บาท เข้าตลาดวันแรกช่วงเช้าราคาพุ่งไปมากกว่า 60 บาท KEX มีหุ้นทั้งหมด 1740 ล้านหุ้น นั่นหมายความว่าบริษัทได้ไปแตะมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านแล้ว ! ส่วนประเด็นที่ทำให้นักลงทุนสนใจหุ้นตัวนี้มีอยู่ 4-5 ประเด็นด้วยกัน 1. ตลาดขนส่งด่วนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Character อย่างหนึ่งของตลาดนี้คือจะมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามามาก เพราะทุก ๆ คนก็เห็นโอกาสเหมือน ๆ กัน พอมีคนทำสำเร็จ ก็ Copy & Paste Model มาเลย ทีนี้ก็วัดกันที่ใครบริหารดีกว่ากัน ใครจัดการได้เร็วกว่ากัน ใครเงินทุนหนากว่ากัน เดี๋ยวนี้เรื่องไอเดียก๊อปกันง่าย แต่การทำให้มันเกิดวิธีไหนนั้น อันนี้เป็นสูตรสำเร็จของแต่ละบริษัทครับ 2. รายได้ของ KEX เติบโตสูง แต่เมื่อต้นปีเจอ COVID เลยสะดุดไปเล็กน้อย แต่เทรนด์การซื้อของออนไลน์ยังไงก็มา เพราะฉะนั้นจบรอบนี้ไปก็น่าจะกลับมาโตใหม่ไม่ยากครับ 3. บริษัทเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของธุรกิจส่งด่วน เบอร์ 2 คือ Flash Express ที่กำลังเติบโตเร็วเช่นกัน อุตสาหกรรมเติบโตดี ผู้เล่นในอุตสาหกรรมก็โตง่ายกันทุกคน 4. KEX ถือเป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ เวลาคนนึกถึงการส่งด่วน เรียกได้ว่าเป็น Top of Mind หุ้นที่เป็นผู้นำตลาด ถ้าเติบโตได้ จะได้ราคา Premium สูงมาก อย่างที่เราเห็นกับ KEX ในวันนี้ 5. อย่างไรก็ตามโอกาสมีเยอะ แต่ความเสี่ยงก็มีไม่น้อย เพราะการแข่งขันในอนาคตคงสูงขึ้น เจาะลึกหุ้น KEX หุ้น IPO ผู้นำเทคโนโลยีจัดส่งพัสดุด่วน ยุค Social Commerce BuffettCode คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แท็ก: Article Basic Kerry Express KEX Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
9 ข้อคิดลงทุน จากการระบาดของ COVID รอบใหม่ กับผลกระทบหุ้นไทย - FINNOMENA การระบาดของ COVID ครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งแรกอยู่มากพอสมควร และอาจไม่ได้ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นมากอย่างที่ใคร ๆ คิดกัน มาดู 9 ข้อคิดลงทุน จากการระบาดของ COVID รอบใหม่ กับผลกระทบหุ้นไทยกันครับ 23 ธ.ค. 2563 เมื่อวานได้ยินข่าวการระบาดของ COVID ที่จังหวัดสมุทรสาคร มีการตรวจคนไปพันกว่าคน ติด COVID ไป 500 กว่าคนทั้งแบบมีอาการและแบบไม่มีอาการ ตัวเลขน่ากลัวมาก เพราะอะไร? เพราะอัตราการตรวจพบ COVID เมื่อเทียบกับจำนวนการตรวจสูงจนน่าตกใจ เปรียบได้กับการตรวจ 2 คนเจอ 1 คนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หาก COVID กลับมาระบาดหนักอีกครั้ง รัฐบาลไทยคงไม่พ้นต้องกลับมาปิดเมืองกันใหม่ คนทำงานต้องกลับไป Work From Home แน่นอน Sentiment ครั้งนี้ต้องกระทบถึงตลาดหุ้น อย่างไรก็ตามผมคิดว่าการระบาดของ COVID ครั้งนี้มีความแตกต่างจากครั้งแรกอยู่มากพอสมควร และอาจไม่ได้ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นมากอย่างที่ใคร ๆ คิดกัน 1. การระบาดเมื่อต้นปีเราไม่มีวัคซีน ไม่แม้แต่จะมีวิธีแก้ที่เป็นชิ้นเป็นอัน เปรียบเหมือนวิกฤตที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน แต่ตอนนี้เรามีวัคซีนแล้ว วิธีการรับมือก็รู้แล้วต้องทำยังไง เป็นวิกฤตครั้งใหม่ที่มีกระดาษคำตอบให้แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าจะกระทบกับตลาดหุ้นหนักเหมือนครั้งแรกในเชิง Sentiment ถ้าตลาดหุ้นตกก็คิดว่าไม่หนักและมีโอกาส Rebound กลับเร็ว 2. ประเทศไทย ณ ตอนนี้กลายเป็นที่จับจ้องของนักลงทุนต่างชาติเยอะมาก เพราะ 10 กว่าปีที่ผ่านมาขายหุ้นไทยไปเยอะ ไม่ค่อยมีของมานาน มาปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณกลับมาลุยซื้อ เพราะปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ฟื้นตัวโดดเด่นมาก ๆ เพราะเราถูกกระทบจาก COVID รอบแรกมาเยอะ ตอนฟื้นตัวก็จะดูฟื้นตัวแรง ดังนั้นผมเชื่อว่าต่างชาติมีโอกาสมองการระบาดรอบนี้เป็นโอกาสในการเข้ามาช้อนซื้อหุ้นไทยที่จะฟื้นตัวสวย ๆในปีหน้า 3. ถ้าเป็นไปได้รอบนี้ผมว่าหุ้นใหญ่มีภาษีกว่าเพราะเรื่องเงินฝรั่งเข้านี่แหละครับ ดังนั้นหาหุ้นใหญ่ดี ๆ ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจติดไว้ในพอร์ตด้วยนะครับ ผมว่ามุมมองปีหน้ามีสะดุดถ้า COVID ระบาด 4. ถ้าตลาดหุ้นตกอาจจะไม่เห็นการกลับมาซื้อในระยะสั้นนะครับ เพราะฝรั่งหลาย ๆ คนเขาพักร้อนกันหมดแล้วจ้า รอหลังปีใหม่กันเนอะ 5. พูดถึงฝรั่งก็ต้องพูดถึงค่าเงิน ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพของค่าเงินในสายตาฝรั่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเราก็แข็งแรง เงินสำรองดีเยี่ยม ไม่ได้ปรินต์เงินรัว ๆ เหมือนหลาย ๆ ประเทศ ผมว่าเล่นง่ายในสายตานักลงทุนฝรั่งรายใหญ่นะ ไม่ซับซ้อนมาก เชื่อว่ายังไงก็ต้องมีเงินกระเด็นกลับมาบ้างแหละ (เงินฝรั่งเขาใหญ่กระเด็นมานิดเดียว ผมว่าตลาดหุ้นไทย All Time High ได้เลยนะ) 6. นักลงทุนหลายคนที่ผ่านวิกฤตต้นปีมา มีการศึกษาไว้พอสมควรแล้วว่า ถ้า COVID มา หุ้นตัวไหนได้ประโยชน์ หุ้นตัวไหนเสียผลประโยชน์ ดังนั้นเราจะเห็นการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้ชัด ๆในวันนี้ ก็เล็ง ๆ กันไว้ได้ให้ดีครับ กลุ่มที่ดีดขึ้นมารอบที่แล้วก็แก๊งถุงมือยาง โรงไฟฟ้า ค้าปลีกตกแต่งบ้าน อาหารส่งออก ประกัน ส่วนกลุ่มที่โดนก็พวกแบงค์ คอนโด โรงแรม ท่องเที่ยว ร้านอาหาร 7. แต่ ๆ หุ้นหลาย ๆ ตัวก็ปัจจัยเปลี่ยนไปพอสมควร เช่นแบงค์ส่วนใหญ่น่าจะตั้งสำรอง Cover ไว้พอสมควรไม่น่ามีตั้งเพิ่ม หุ้นก็คงไม่ได้ปรับตัวลงมาเยอะแยะ อสังหาฯ มีการปล่อยของออกมาบ้างแล้ว รอบนี้อาจไม่กระทบมาก ส่วนถุงมือยางผมเชื่อว่าเป็น Demand โลกมากกว่าไทย จะมี COVID ในไทยหรือไม่ ไม่ได้กระทบงบมากมาย (ยกเว้นต้องปิดโรงงาน) อาหารส่งออกก็ได้ประโยชน์จากรอบที่แล้วเยอะ แต่รอบนี้อาจจะไม่ได้อะไรมาก 8. ในมุมของผู้ประกอบการผมเชื่อว่าตอนนี้ทุกที่มี Business Continuity Plan กันหมดแล้ว พร้อมรับมือได้พอสมควร หลาย ๆ ที่ยังไม่ได้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบเต็มตัว บางที่ก็ Work From Home กันถาวรไปเลย อันนี้ผมว่าไม่ได้เกี่ยวกับ COVID แต่เกี่ยวที่การปรับตัวของแต่ละบริษัท บริษัทเก่งๆยังไงก็เก่งครับ รอบนี้ถ้าหุ้นตกลงมาหาบริษัทในใจให้เจอ แล้วเคาะขวาไปเลย ในวิกฤตมีโอกาสเสมอสำหรับคนที่มีความสามารถครับ 9. อาจารย์นิเวศน์เคยบอกไว้ว่าปีหน้า หุ้นไทย 1800 ผมยังเชื่อว่ามีโอกาสไปถึง การลงมารอบนี้คิดว่า 70% คือโอกาสซื้อ ถ้าปรับฐานไม่น่าเกิน 1380-1400 จุด …. แล้วอีก 30% ที่เหลือล่ะ? 30% ที่เหลือคือถ้าวันนี้รัฐบาลประกาศว่าติด COVID เพิ่มอีก 4,000 คน หรือดันมาเจอว่าที่ผ่านมาพี่ไทยติด COVID น้อยเพราะไม่ยอมตรวจ ก็อาจจะทำให้นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นได้ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ลืมที่ผมเขียนข้างหมดทั้งหมดได้เลยครับ ถามว่าหุ้นตัวไหนดี? ชั่วโมงนี้ ตัวใคร ตัวมันครับ ! BuffettCode แท็ก: Article Basic COVID-19 Knowledge Picture Slide Short Content ตลาดหุ้นไทย หุ้นไทย โควิด-19 แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bitcoin ทะลุแนวต้านสำคัญ สู่ระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ - FINNOMENA เมื่อคืนที่ผ่านมาราคา Bitcoin ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 20,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 บาท) ลองมาดูมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญกันเลย! 19 ม.ค. 2565 เมื่อคืนที่ผ่านมาราคา Bitcoin ได้ทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 20,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 600,000 บาท) และทำระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ที่ระดับ 21,569 ดอลลาร์บนกระดานเทรด Coinbase หรือปรับขึ้นมาประมาณ 12.51% ในขณะที่กระดานเทรดในประเทศไทยอย่าง Bitkub ขึ้นทำระดับสูงสุดที่ 659,780 บาท การปรับขึ้นของราคาในครั้งนี้สามารถทะลุเหนือจุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 19,857 ดอลลาร์ หรือ 587,900 บาท เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมรายปีปรับขึ้นได้ประมาณ 200% นับเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีผลประกอบการดีที่สุดสำหรับปี 2020 Gunnar Jaerv, COO จาก First Digital Trust บริษัทผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ ประเมินว่า การพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin น่าจะสอดคล้องกันรายงานข่าวที่ว่าบรรดานักลงทุนระดับสถาบันเริ่มเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น MicroStrategy ที่ได้ทำการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อนำมาซื้อ Bitcoin เพิ่มเป็นมูลค่ากว่า 650 ล้านดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้ และก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าซื้อ Bitcoin ไปแล้วเป็นมูลค่าถึง 425 ล้านดอลลาร์ อีกตัวอย่างหนึ่งของนักลงทุนระดับสถาบันก็คือ สถาบัน Grayscale ที่มีการเข้าซื้อ Bitcoin รวมกันมากกว่า 7,000 เหรียญ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์ นั่นจึงเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรงในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางด้านมุมมองของ Pedro Febrocas นักวิเคราะห์จาก Quantum Economics มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับ 23,000 ดอลลาร์ หากขึ้นไปถึงระดับนี้ก็น่าจะมีแรงเทขายตามเข้ามาค่อนข้างสูง โดยราคาอาจย่อลงมาได้ถึงระดับ 19,500 บาทเลยทีเดียว ขณะที่ Rob Viglione, Co-founder และ CEO ของ Horizen labs มองว่าการที่ราคา Bitcoin สามารถผ่านแนวต้านที่ 20,000 ดอลลาร์ขึ้นมาได้ถือเป็นการเข้าสู่วัฎจักรใหม่ของ Bitcoin เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นในปี 2017 ส่วน Alex Mashinsky, CEO แห่ง Celsius Network มองว่า ราคา Bitcoin น่าจะย่อตัวลงมาในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็จะเป็นโอกาสสำหรับการเข้าซื้ออีกเช่นกัน โดยมองว่าราคาจะย่อกลับมาแถว 20,000 ดอลลาร์ที่จะกลายมาเป็นแนวรับสำคัญสำหรับ 2021 ส่วนเป้าหมายต่อไปของขาขึ้นปี 2021 จะอยู่ที่ระดับ 30,000 ดอลลาร์ **ความเห็นนักวิเคราะห์ด้านบนมีขึ้นเพื่อนำเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในตลาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด** อ้างอิง Decrypt, Cointelegraph, MarketWatch Bitkub.com แท็ก: Advance Article Bitcoin Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ซื่อ และซื่อบื้อ - FINNOMENA แม้ในยามที่ตลาดหุ้นสดใส ก็ยังต้องมีคำถามให้ได้คิดกัน ล่าสุดในห้องไลน์คอร์ส TFEX มีคำถามมาว่า “ถ้าจะเล่นใน serie H กันเหนียว เผื่อติด จะได้ถือข้ามไปปีใหม่เลย ถึงราคาสูงก็ต้องซื้อไม๊คะ อ. แล้วที่ราคาสูงเพราะ Z ใกล้หมดอายุด้วยรึเปล่าคะ เกี่ยวมั้ย?” ถามแบบนี้ผมตอบอย่างไร มาอ่านไปพร้อมๆ กันได้เลยครับ 9 ธ.ค. 2563 แม้ในยามที่ตลาดหุ้นสดใส ก็ยังต้องมีคำถามให้ได้คิดกัน ล่าสุดในห้องไลน์คอร์ส TFEX มีคำถามมาว่า “ถ้าจะเล่นใน serie H กันเหนียว เผื่อติด จะได้ถือข้ามไปปีใหม่เลย ถึงราคาสูงก็ต้องซื้อไหมคะ อ. แล้วที่ราคาสูงเพราะ Z ใกล้หมดอายุด้วยรึเปล่าคะ เกี่ยวมั้ย?” คำถามข้างต้นเกิดมาจากมีสมาชิกในห้องไลน์ถามผมมาก่อนว่า สามารถ Long ใน series H ตอนนี้ได้หรือไม่ ซึ่งผมตอบกลับไปว่า ไม่ค่อยเหมาะเพราะราคาค่อนข้างแพง basis แค่ -1.6 จุด กลับมาที่คำถามที่เป็นประเด็นในวันนี้ หลังจากที่อ่านคำถามแล้ว ผมมองเห็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของสมาชิกคนดังกล่าว “ถ้าจะเล่นใน serie H กันเหนียว เผื่อติด” ผมถามกลับไปว่าทำไมต้องมี “เผื่อติด” ติดไม่ติด มันเกี่ยวอะไรกับการเล่นใน series Z หรือ H หรือจะซีอะไรก็ตามแต่ ที่เกี่ยวมันคือนิสัยเราล้วน ๆ ผมตอบกลับไปอีกว่า อย่าสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง เล่นให้ง่ายที่สุด ขายตัดขาดทุน ง่ายและดีที่สุด สมาชิกคนนั้นตอบกลับมาว่า “5555 เคยติดมาก่อนค่ะ เลยคิดมาก” ผมอ่านแล้วตอบกลับแบบทันควันว่า อย่าเรียกติด ต้องเรียกว่า ดื้อ ฝืน รู้น้อย และ ไร้วินัย และถ้าให้ผมเขียนต่อ ผมจะเขียนให้แรงขึ้นเพื่อจะได้เข้าใจไปให้ถึงกระดูก การเล่น Derivative มันแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นแบบคนละเรื่องเลย การลงทุนในหุ้น ถ้าได้ของถูกต้องกล้าถือ ถ้าราคาสูงเกินมูลค่าหรือพื้นฐานเปลี่ยน ต้องกล้าขาย แต่ Derivative ไม่มีคำว่ากล้าถือ มีแต่คำว่า ต้องกล้าขาย ขายทั้งในตอนกำไร และกล้าขายตอนขาดทุน แต่ทั้งการลงทุนในหุ้นและ Derivative นักลงทุนมักจะชอบทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่ควรจะทำ หุ้น นักลงทุนไม่เคยกล้าถือของถูกนาน เมื่อมีกำไรต้องขอขายทำกำไร จะไปกล้าอีกทีตอนมันขึ้นมาใกล้จุดยอด และพอมันลงทีนี้ก็จะมากล้าซื้อเพิ่ม กล้าถือ ไม่เคยคิดจะขายอีก ส่วน Derivative ไม่ต้องพูดถึง พลาดติดปุ๊บมีแต่จะชอบยื้อ ชอบดื้อ ทำไมนักลงทุนถึงเป็นแบบนั้น ทำไมถึงทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ควรจะทำ คำตอบคือ เพราะนักลงทุนไม่กล้ายอมรับความผิดพลาด และไม่กล้ายอมรับความเจ็บปวดจากความผิดพลาดนั้น การไม่ยอมรับความผิดพลาด หากเป็นหุ้นมันยังไม่ทำร้ายอะไรเรามากนัก อย่างมากเราก็ถือหุ้นนั้นไป วันดีคืนดี ผีฟ้ามาโปรดหุ้นมันก็คงขึ้นเอง แต่ Derivative มันไม่ได้เป็นแบบนั้น มันไม่เคยปราณีใครโดยเฉพาะเวลาที่เราหาข้ออ้างกับมัน มันจะยิ่งฆ่าเราด้วยความโหดซาดิสต์ ยิ่งกว่าหนังเรื่อง “ลองของ” ทั้งภาค 1 และ 2 ผมเขียนในห้องไลน์คอร์ส TFEX ลงไปอีกว่า ไม่มีใครทำร้ายเราได้ มีแต่เราทำร้ายตัวเองทั้งนั้น เมื่อเครียด เมื่อทุกข์ต้องหาทางปล่อย เช่นเดียวกับ Derivative เมื่อพลาด เสียหาย ก็ต้องหยุดสิ คนไม่คัท เพราะคิดว่า คัทคือความทุกข์ ซื่อบื้อ มาก คัทเนี่ยแหละ สุขสุดๆๆๆ ผมยกตัวอย่างตัวเองให้สมาชิกทุกคนได้อ่าน ผมยกกรณีที่ผมกำหนดกลยุทธ์เข้า Long ให้ทุกคนเข้าตามเมื่อ 26 พ.ย. ที่ผ่านมาที่ 932 จุด ผมถามทุกคนว่า ผมต้องแบกความคาดหวังขนาดไหน คนมาสมัครเรียน อยู่ห้องไลน์เล่นตาม เข้า Long ปุ๊บแล้วมันลง คำถามคือผม ต้องทำยังไง ทำเนียนเงียบ ๆ ไป หลอกตัวเอง หลอกคนอื่น ถือทนไปเดี๋ยวมันมา คัท และยอมรับผิด เสียหน้าในฐานะอาจารย์ อี๋ เข้าแล้วขาดทุน ผมเลือก แมน ๆ หยุดปัญหาแล้วสั่งคัท ใครจะว่าผมก็ช่างมัน ผมถือคติผมคัท ผมยังเหลือเงิน ครั้งหน้าเอาใหม่ ผมเชื่อว่าผมทำได้ ก็ต้องทำได้ ด้วยวินัย ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ผมถึงกลับมาได้และได้มากกว่าที่เสียในทุกครั้ง และทุกครั้งมีการบันทึกเป็นทางการทุกครั้ง ไม่มีหรอกคำว่า “ติด” มีแต่คำว่า “ดื้อ ฝืน ไร้วินัย” หวังเป็นอย่างยิ่งในวันที่โลกของการลงทุนสดใส เราจะไม่หลงระเริง ประมาท และเอาตัวเองเข้าสู่วงจรอุบาทว์ของมัน ประกิต สิริวัฒนเกตุ แท็ก: Article Basic Knowledge Short Content TFEX แชร์บทความ: ผู้เขียน ประกิต สิริวัฒนเกตุ อยู่ในอาชีพนักวิเคราะห์ เทคนิค อนุพันธ์ และเป็นนักกลยุทธ์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานมา 12 ปี ผู้ต้องการเปิดกะลาของตัวเองออกสู่โลกการลงทุนที่แท้จริง ใฝ่ฝันที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่งคั่งยั่งยืน เพื่อการเป็นอิสรภาพทางการเงินโดยสมบูรณ์
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน TMB-ES-CHINA-A: เรื่องจริงไม่อิงนิยาย สรุปปาฏิหาริย์ประเทศจีน - FINNOMENA รีวิวกองทุน TMB-ES-CHINA-A พร้อมสรุปปาฏิหาริย์ประเทศจีน มาดูกันว่าทำไม TMB-ES-CHINA-A ถึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนในจีน? 8 ก.ย. 2564 ว่าจะไม่เขียนเรื่องเกี่ยวกับเมืองจีนแล้วในปีนี้ แต่ก็อดไม่ได้เพราะรอบนี้ดูเหมือนมีเหตุการณ์ใหญ่ที่มันทำให้คันไม้คันมือ ต้องเขียนเสียหน่อยครับ ทุกคนรู้แล้วว่าประเทศจีนคือประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19… แต่ก็เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครคาดว่าหุ้นจีนจะขึ้นมาเร็วและแรงขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นปาฏิหาริย์ GDP ไตรมาส 2 ของจีนกลับมาเติบโต 3.2% เกินกว่าที่ทุกคนจะคาดคิดไว้ ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ นักวิเคราะห์ยังคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว กลายเป็นว่าประเทศจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกกลายเป็นเศรษฐกิจเดียวที่กำลังแบกกำลังซื้อที่กำลังถล่มลงอย่างหนัก จากที่จีนเคยต้องพึ่งพากำลังซื้อของโลก ตอนนี้โลกต้องพึ่งพากำลังซื้อของจีน (และแน่นอนนักท่องเที่ยวจีนด้วย) ข้อมูลการเติบโตของ GDP จาก CNBC Shanghai Composite Index (ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้) วิ่งจาก 2,984 จุดในวันที่ 30 มิ.ย. ไปปิดที่ 3,450 จุดในวันที่ 9 ก.ค. เพิ่มขึ้น 15.6% ใช้เวลาเพียงแค่ 7 วัน ! การเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นระดับนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยมาก ๆ อยู่เบื้องหลัง ตัวผมเองก็บอกแบบ Exactly ไม่ได้ แต่อยากชวนมา Guestimate กันครับ สถานการณ์ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมา GDP อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Sentiment หรือมุมมองของนักลงทุนเปลี่ยนไป แต่ตัวเลขอื่น ๆ ที่รายงานมาของประเทศจีนก็ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกันไม่ว่าจะเป็น …. จำนวนตู้คอนเทนเนอร์ส่งของที่ท่าเรือหลักทั้ง 8 ของจีน มีการเติบโตที่ 3.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตัวเลขดูไม่เยอะนะครับ แต่ลองนึกภาพว่าในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังปิดเมืองแต่ปริมาณจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ส่งของกลับมากขึ้น อันนี้น่าจะ Surprise ตลาดพอสมควร ยอดขายรถของเมืองจีน: เดือนเมษายนโต 4.4% พฤษภาคมโต 14.5% Goldman Sachs ออกมาเชียร์หุ้นจีนว่าจะขึ้นอีก 15% ใน 2-3 เดือนข้างหน้าด้วยเหตุผลคือการที่เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้งและ ท่าทีเชิงบวกของรัฐบาลจีนต่อตลาดหุ้นในประเทศ ซึ่งมันก็มาเกี่ยวกับการที่หนังสือพิมพ์ของรัฐบาลจีนออกพูดเกี่ยวกับ “Wealth Effect ของตลาดหุ้น” และ “ตลาดหุ้นขาขึ้น” ฝรั่งเอาไปเปรียบเทียบว่าถ้าสหรัฐฯ มี Fed จีนก็มีสื่อฯ ของรัฐบาลเนี่ยแหละที่จะ Manipulate ตลาดได้ CNN ได้เขียนบอกไว้ว่าสาเหตุที่ต้องใช้สื่อมาชี้นำตลาดหุ้นเพราะตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะกระทบภาพลักษณ์ของประเทศจีน ผู้นำกำปั้นเหล็กอย่างสี จิ้นผิงจะไม่มีวันยอมให้ภาพลักษณ์ของประเทศจีนที่ออกไปสู่ชาวโลกดูเป็นเหมือนระบบการปกครองและสังคมที่ล้มเหลว การทำแบบนี้ ยิ่งในระยะเวลานี้จะทำให้ประเทศจีนดูเป็นประเทศที่โคตรประสบความสำเร็จและแข็งแกร่งมาก ๆ (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ) นักวิเคราะห์บางคนเอาขาขึ้นตลาดจีนครั้งนี้ไปเปรียบกับขาขึ้นเมื่อปี 2015 ที่พุ่งขึ้นไปแรง และก็ตกลงมาแรงเช่นกัน แม้เรื่องรัฐบาลใช้สื่อจีนในการประโคมข่าวเรื่องตลาดหุ้น แต่ในความจริงก็คือตัวเลขเศรษฐกิจจีนก็ทำได้ดีจริง ๆ แบบที่ผมกล่าวไปแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นยังเละอยู่ ดังนั้นขาขึ้นครั้งนี้จึงเป็นขาขึ้นที่ไม่ควรมองข้าม ในฐานะนักลงทุนถ้าอยากจะหาประโยชน์จากขาขึ้นครั้งนี้ก็มีหลายกองทุนที่สามารถซื้อได้เช่น ASP-EVOCHINA, TMBCOF, SCBCHA, K-CHX, TMB-ES-CHINA-A และกองอื่น ๆ อีกหลายบลจ. แต่วันนี้ผมจะขอหยิบหนึ่งในกองทุนจีน ซึ่งก็คือ TMB-ES-CHINA-A มาเจาะลึกกันว่ากองนี้มันมีอะไรดี? ทำไม TMB-ES-CHINA-A ถึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนในจีนตอนนี้? ที่น่าสนใจคือ 6 เดือนที่ผ่านมากองนี้ทำผลตอบแทนมาแล้วเกือบ 30% ได้เรทติ้งดีมากใน FINNOMENA หมายความว่าเมื่อนำผลตอบแทนของกองมาเทียบกับเฉลี่ยกองอื่น ๆ ในกลุ่มถือว่ากองนี้ทำได้ดีกว่านะครับ กราฟราคาและผลตอบแทน 6 เดือนของ TMB-ES-CHINA-A ที่มา: FINNOMENA ข้อมูล ณ วันที่ 26 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ดูในเชิงนโยบายกองนี้เป็นกองทุน Feeder Fund ลงทุนในกองแม่ต่างประเทศชื่อ UBS (Lux) IS – China A Opportunity ซึ่งเน้นลงทุนในประเทศจีนเป็นหลัก บริษัทที่ลงทุนก็ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่น่าสนใจ เช่น Kweichow Moutai 9.14% – บริษัทสุรายักษ์ใหญ่ “Blue Label แห่งประเทศจีน” เหมาไถเป็นต้นแบบสุราจีนที่มีความหอมแบบดั้งเดิม ได้รับการยกย่องว่าเป็น “สุราประจำชาติจีน” และเป็นเครื่องดื่มที่ใช้รับรองแขกระดับประเทศเช่นประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันและ บิล คลินตันมาแล้ว Ping An Insurance 5.87% – คนไทยอาจไม่เคยได้ยินชื่อประกันผิงอัน แต่ถ้าเป็นคนจีนจะรู้จักกันดีเพราะ Ping An เป็นประกันอันดับ 1 ของจีน และอันดับ 2 ของโลกเป็นรองเพียง Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ในปี 2012 กลุ่ม CP ของเจ้าสัวธนินท์ได้เข้าซื้อหุ้น Ping An จาก HSBC โดยถือหุ้นรวมเป็นสัดส่วน 9.9% มูลค่าประมาณ 5.9 แสนล้านบาท คาดว่าจะเป็น Wealth หลักของกลุ่ม CP เลยทีเดียว Tencent Holding 5.17% – ผู้ให้บริการ Social Platform อันดับ 1 ของประเทศจีน WeChat ถ้าไม่รู้จักว่า WeChat คืออะไร? ลองนึกภาพ LINE + Facebook + Instagram + Grab + Shopee + Booking รวม ๆ กัน WeChat เติบโตจากการเป็น Messaging Platform สู่ Super-App ที่ทำได้แทบทุกอย่างตั้งแต่ส่งข้อความ จองโรงแรม แจกอั่งเปา จนไปถึงจีบสาว หน้าพอร์ตของ UBS (Lux) IS – China A Opportunity ที่มา: UBS ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2020 กองทุนนี้ลงทุนในอุตสาหกรรม Financial Services, Consumer Discretionary, Health Care และ Consumer Staples ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ถือว่าอยู่ในอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่กำลังเติบโตและเป็นจุดเด่นของเศรษฐกิจจีนเลยทีเดียว ลงกองนี้เท่ากับได้ลงทุนในธุรกิจหลักของจีนยุคใหม่ ! สนใจ TMB-ES-CHINA-A สามารถซื้อได้ผ่าน FINNOMENA ข้อดีคือ ถ้าวันหนึ่งไม่ชอบกองทุนของ TMB แล้วอยากย้ายไปบลจ.ไหนก็ทำได้แบบไม่มีข้อจำกัด เพราะเปิดบัญชีออนไลน์กับ FINNOMENA หนึ่งครั้ง เท่ากับเปิดบัญชีกับ 19 บลจ.พร้อม ๆ กัน ยิงปืนนัดเดียวได้นก 19 ตัว ! เห็นว่ากองทุนจีนตอนนี้เพื่อน ๆ หลายคนคงกำลังสนใจ เลยอยากสรุปข้อมูลมาให้เพื่อเอาไปพิจารณาครับ เก็งกำไรระยะสั้นในประเทศจีน TMB-ES-CHINA-A ถือว่าเป็นกองทุนหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ TMBCOF เลยครับ BuffettCode สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW Product Info Short Content TMB-ES-CHINA-A กองทุนจีน หุ้นจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน KT-Ashares-A: ลงทุนจีน A-Shares ‘เมื่อถึงคราวมังกรฟ้อนเมฆเหินหาว’ - FINNOMENA “หนึ่งไตรมาสควบคุม หนึ่งไตรมาสฟื้นฟู หนึ่งไตรมาสเติบโต” นี่คือคำบรรยายสภาพเศรษฐกิจจีนในปีนี้ ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทำให้ตลาดหุ้นจีน A-Shares เป็นที่น่าจับตามอง วันนี้ CrisisMan จะมารีวิวกองทุน KT-Ashares-A มาดูกันว่ากองนี้มีจุดเด่นอย่างไร? 8 ก.ย. 2564 “หนึ่งไตรมาสควบคุม หนึ่งไตรมาสฟื้นฟู หนึ่งไตรมาสเติบโต” และนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดว่าจะเติบโตได้ต่อ นี่คือคำบรรยายสภาพเศรษฐกิจจีนในปีนี้ ซึ่งสวนทางสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังไม่สามารถเปิดเมืองได้อย่างเต็มที่ ส่งผลต่อไปยังกำลังการบริโภคและการค้าระหว่างประเทศ ทำให้คำว่าฟื้นตัวแทบจะไม่ค่อยพูดถึง แล้วอะไรทำให้จีนฟื้นตัวสวนทางประเทศอื่นได้ขนาดนี้? เราไปเจาะลึกกันหน่อยครับ!!! สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan รูปที่ 1 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน I Source : CNBC as of 18/10/2020 เมื่อดูรายละเอียดตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ก็พบว่าภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนหลักที่หนุนการขยายตัวของ GDP ซึ่งเกิดจากภาคการลงทุนและการส่งออก โดยจีนก็ใช้ช่วงเวลาที่ศึกนอกลดความตึงเครียดหันกลับมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการส่งออกก็มาจากความต้องการอุปกรณ์การแพทย์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รูปที่ 2 สัดส่วนและโครงสร้างรายได้ของประชากรจีน I Sorce : McKinsey as of 28/11/2020 ด้านกำลังซื้อภายในประเทศก็ฟื้นตัวกลับมาเช่นกัน สะท้อนผ่านตัวเลขค้าปลีกที่กลับมาขยายตัวเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เกิดจากการปรับโครงสร้างรายได้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาจนทำให้ชนชั้นกลางมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อกลับมาเปิดเมือง กำลังซื้อที่เคยอัดอั้นจึงกลับมาอีกครั้ง ส่วนมาตรการกระตุ้นก็มีเช่นกันโดยคาดการณ์ว่านโยบายการคลังในปี 2020 จะมีขนาดราว 11% ของ GDP จากปี 2019 ซึ่งอยู่ที่เพียง 6% ของ GDP รูปที่ 3 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง I Source : qz.com as of 28/11/2020 ล่าสุดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ฉบับที่ 14 ที่จะใช้ในปีหน้า มีเนื้อหาที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งเสริมเศรษฐกิจภายในให้แข็งแกร่ง พร้อมกับขยายการค้ากับต่างชาติ ที่น่าสนใจอยู่ที่ต้องการพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยี โดยที่ผ่านมาจีนต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นประเทศผู้ผลิตอุตสาหกรรมขั้นสูง อาทิเช่น Semiconductor และ EV ตลาดหุ้นจีน A-Shares เป็นหนึ่งในกลุ่มสินทรัพย์ที่ได้รับผลดีจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ประกอบกับในปัจจุบันที่ตลาดมองว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวด้วยมาตรการกระตุ้นที่กำลังจะมา พร้อมข่าวดีจากวัคซีน หนุนให้มีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในกลุ่มที่เสียประโยชน์จากการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเงิน พลังงาน หรืออุตสาหกรรม ก็เป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นจีน A-Shares ซึ่งมีสัดส่วนของหุ้นกลุ่มดังกล่าวอยู่กว่าครึ่งหนึ่งเช่นกัน รูปที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีตลาดหุ้นด้วยสถิติย้อนหลัง 10 ปี I Source : Allianz Global Invastors as of 28/11/2020 อีกความน่าสนใจของตลาดหุ้นจีน A-Shares คือ มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นอื่นในระดับต่ำ ซึ่งช่วยลดความผันผวนให้พอร์ตการลงทุน พูดถึง A-Shares แล้ว…ก็ขอแนะนำให้รู้จักกับกองทุน KT-Ashares-A จาก KTAM กองทุน KT-Ashares-A มีกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares class PT สกุลเงิน USD เป็นกองทุนหลัก มุ่งเน้นการลงทุนที่เติบโตระยะยาวในตลาดหุ้น China A-Shares การใช้กลยุทธ์แบบ Sector neutral จัดสัดส่วนพอร์ตในระดับอุตสาหกรรม (Sector) คล้ายกับดัชนีอ้างอิง (MSCI China A Onshore Total Return) โดยจะเพิ่มหรือลดสัดส่วนแต่ละ Sector ได้ไม่เกิน 5% (+/-5%) จากดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนีอ้างอิงมีสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการสินค้าจำเป็นอยู่ที่ 10% และทีมบริหารกองทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็นก็จะเพิ่มสัดส่วนได้สูงสุดที่ประมาณ 15% รูปที่ 5 สัดส่วนการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมของกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares class PT I Source : Allianz Global Investors as of 28/11/2020 โดยเหตุผลที่กองทุนหลักเลือกใช้กลยุทธ์ดังกล่าว เพราะข้อมูลในอดีตของตลาดหุ้น A-Shares ชี้ให้เห็นว่าบ่อยครั้งที่อุตสาหกรรมซึ่งทำผลตอบแทนได้ดีในปีใด ปีถัดมาอาจทำผลตอบแทนที่ได้ไม่ดีเลย ดังนั้นจึงวางสัดส่วนให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม รูปที่ 6 ผลตอบแทนของกองทุน Allianz China A-Shares class PT (สีเข้ม) และดัชนี MSCI China A Total Return (สีอ่อน) Source : Allianz Global Investors as of 24/11/2020 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ในเมื่อจัดสัดส่วนในระดับอุตสาหกรรมคล้ายกับดัชนีอ้างอิง แล้วกองทุนหลักสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าดัชนีอ้างอิงได้อย่างไร รูปที่ 7 Top 10 holdings ของกองทุน Allianz Global Investors Fund – Allianz China A-Shares class PT I Source : Allianz Global Investors as of 31/10/2020 กองทุนหลักใช้การคัดเลือกหุ้นเด่น (Stock selection) ในแต่ละ Sector เพื่อสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าดัชนีอ้างอิง ซึ่งเริ่มสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นนับตั้งแต่ประมาณกลางปี 2019 และชัดเจนที่สุดหลังการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 รูปที่ 8 การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของกองทุน KT-Ashares-A I Source : Fund Fact Sheet as of 24/07/2020 สำหรับกองทุน KT-Ashares-A ซึ่งมีกองทุนหลักเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ก็มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ (โดยทีมงานให้ข้อมูลมาว่าอยู่ที่ระดับ 70-80% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด) รูปที่ 9 ค่าธรรมเนียมของกองทุน KT-Ashares-A I Source : Fund Fact Sheet as of 24/07/2020 ส่วนค่าธรรมเนียมการขายและการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้าอยู่ที่ 1.50% ด้านค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.309% ต่อปี เมื่อดูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน แนวทางการพัฒนาต่อจากนี้ที่เน้นพึ่งพาตนเองมากขึ้น จุดเด่นของตลาดหุ้น A-Shares และแนวทางการบริหารงานของกองทุน Allianz China A-Shares แล้วทำให้ KT-Ashares-A มีความน่าสนใจไม่น้อยที่จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาว CrisisMan สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.finnomena.com/fund/KT-Ashares-A/ https://www.ktam.co.th/fif-fund-detail-document.aspx?IdF=71 อ้างอิง: https://www.scmp.com/economy/china-economy/article/3106048/china-gdp-economy-grew-49-cent-third-quarter-2020 https://www.cnbc.com/2020/10/19/china-economy-q3-gdp-2020.html http://www.stats.gov.cn/english/PressRelease/202010/t20201021_1795384.html https://qz.com/1030850/all-the-signs-that-chinas-xi-jinping-is-planning-on-a-third-term/ https://www.ktam.co.th/fif-fund-detail-document.aspx?IdF=71 https://lu.allianzgi.com/en-gb/our-funds/funds/list/allianz-china-a-shares-pt-usd https://hk.allianzgi.com/en/retail/our-products/fund-in-focus-landing/allianz-china-a-shares-fund-rdb คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: A-Share Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW KT-Ashares-A Picture Slide Product Info Short Content กองทุนจีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน CrisisMan ไม่ได้เรียนการเงิน แต่มีความเชื่อว่าเรื่องของการเงินต้องใช้เวลา และการจัดพอร์ต ทำให้เริ่มศึกษาและลงทุนด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงาน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ประชันกองทุน KFGBRANSSF vs KFGBRANRMF vs KFGTECHRMF คู่หูกองประหยัดภาษีที่ต้องมีไว้ประดับพอร์ต - FINNOMENA มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีกันแล้ว มาดูกันว่า 3 กองทุนประหยัดภาษีตัว Top จาก บลจ.กรุงศรี แต่ละกองทุนน่าสนใจอย่างไรบ้าง ติดตามกันในบทความสรุป FINNOMENA REVIEW LIVE กันได้เลยครับ 4 พ.ย. 2564 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> ปลายปีกันแล้วก็ไม่แคล้วต้องพูดถึงเรื่องกองประหยัดภาษี หลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ หรือพี่เลี๊ยก ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือกของ บลจ.กรุงศรี เรื่องการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศผ่านกองทุนประหยัดภาษีทั้ง 3 กองทุนที่เรียกได้ว่ามีความโดดเด่น มีความเก่งคนละอย่าง KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนในผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ดังที่อยู่รอบตัวเราเช่น Dettol, Strepsils และ Durex รวมไปถึงสินค้าในชีวิตประจำวันต่าง ๆ สำหรับคุณผู้ชายอย่าง Gillette หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่แม่บ้านต้องมีติดตัวอย่าง Vanish ส่วน KFGTECHRMF ก็เป็นกองทุนที่ลงทุนเน้นหุ้นเทคโนโลยีสาย Software, Internet และ Semiconductor ชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Amazon, Netflix และ Salesforce กองไหนดีกว่า เด่นกว่ายังไง ผมขออนุญาตเป็นตัวแทนนักลงทุนในการเจาะลึกข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีในช่วงโค้งสุดท้ายของปีครับ กองทุนแรก KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF หลายๆท่านน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะถือเป็นกองทุนที่มี Theme การลงทุนหลักคือ “แบรนด์” ลงทุนในบริษัทข้าวของแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง เลียนแบบยากและมีฐานลูกค้าทั่วโลก อีกทั้งยังลงทุนในบริษัทที่มีสินค้าที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้กระแสรายได้ของบริษัท มีความมั่นคงกว่า และผันผวนต่ำกว่าหากเกิดวิกฤติ กลยุทธ์การลงทุนของ KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF KFGBRANSSF และ KFGBRANRMF มีกลยุทธ์ในการเลือกลงทุน 3 อย่างด้วยกันคือ ลงทุนในบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและมี Loyalty – ข้อดีของการมีแบรนด์แข็งแกร่ง และ Loyalty สูงคือ ลูกค้าจะติดสินค้าของบริษัทมากๆ จนราคาไม่ใช่ประเด็นหลักในการเลือกซื้อ และทำให้สุดท้ายแม้บริษัทจะขึ้นราคาสินค้าก็ยังขายดีอยู่ ลงทุนในบริษัทที่ทำสินค้าหรือบริการที่คนใช้ในชีวิตประจำวัน – สินค้าที่คนใช้ในชีวิตประจำวันหมายความว่าไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีคนก็ยังต้องใช้ เศรษฐกิจดีหรือไม่คนก็ยังต้องใช้สบู่อาบน้ำ คนก็ยังต้องซื้อน้ำยาถูพื้นมาถูพื้น เลือกหุ้นคุณภาพสูง แบบ High Conviction – กองทุนนี้ลงทุนในหุ้นเน้น ๆ เพียง 32 ตัวเท่านั้นนะครับ โดยหุ้น 10 ตัวแรกของกองทุนมีสัดส่วนสูงถึง 57.4% KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนในอะไรบ้าง? KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ลงทุนใน Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ซึ่งลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ที่เป็นแบรนด์ที่เราคุ้นหูกันดีอยู่แล้ว มีสัดส่วนหุ้นที่ลงทุนสูงสุด 5 ลำดับแรกตามนี้ครับ Reckitt Benckiser 9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product แบรนด์ดังจากสหราชอาณาจักร Microsoft 8.5% – บริษัท IT ที่แทบทุกคนในไทยต้องรู้จัก เจ้าของซอฟท์แวร์ชื่อดังอย่าง Windowsและ Office Phillip Morris 7.6%- เจ้าของบุหรี่ Marlboro, L&M, Phillip Morris และบุหรี่ไฟฟ้าอย่าง IQOS Visa 5.3% – หนึ่งในสองของผู้นำตลาดบัตรเครดิตที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,100 ล้านคนทั่วโลก Procter & Gamble 4.9% – ยักษ์ใหญ่ Consumer Product อีกรายที่มีแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง มีดโกน Gillette, แชมพู Head & Shoulders และยาสีฟัน Oral-B จะเห็นว่าไม่ว่าจะทั้งแบรนด์หรือสินค้าที่บริษัทผลิตล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่ต้องใช้ทุกวัน และมีการทำตลาดไปทั่วโลก ความแข็งแกร่งของแบรนด์นั้นสูงมากๆ สัดส่วนการลงทุนของ Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 2563 คุณภาพสูงในสไตล์แบบ KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ไม่ได้มีแค่แบรนด์ เพราะการมี “แบรนด์” ไม่ใช่แค่การมี “เครื่องหมายการค้า” การจะบอกได้ว่าแบรนด์นั้นทรงพลังหรือไม่อยู่ที่การที่สินค้าของบริษัทเรียกกำไรจากลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน กำไรมากแปลว่าแบรนด์แข็งแกร่งมาก กำไรน้อยก็อาจจะแปลได้ว่าแบรนด์ไม่แข็งแรงพอ ทำให้เกิดการแข่งขันและลูกค้าตัดสินใจด้วยราคา ใครถูกกว่าเอาอันนั้น การจะรู้ว่าแบรนด์นั้นดีจริงหรือไม่สามารถดูได้ผ่านอัตราส่วนทางการเงิน ROOCE (Return on Operating Capital Employed) – ผลตอบแทนจากเงินลงทุน ยิ่งสูงยิ่งดี หุ้นที่กองทุนลงทุนมี ROOCE เฉลี่ยที่ 54.7% เทียบกับค่าเฉลี่ยในตลาดโลกผ่านดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI World Index GPM (Gross Profit Margin) – อัตรากำไรขั้นต้นยิ่งสูงยิ่งดี ซึ่งหุ้นที่กองทุนลงก็มีกำไรขั้นต้นในระดับ 52.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 27.4% Capex/Sales – หรือมูลค่าการลงทุนต่อรายได้ อันนี้ยิ่งน้อยยิ่งดีแปลว่าแบรนด์ติดแล้วไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมมากก็สามารถทำยอดขายได้ Capex/Sales ของกองทุนอยู่ที่ 4.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยตลาดที่ 6.9 เท่า ซึ่งประสิทธิภาพทางการเงินเหล่านี้ส่งผลต่อมาที่ราคาหุ้น ทำให้เมื่อต้องเผชิญกับความผันผวนในตลาด หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงที่เป็นตลาดขาลง สังเกตได้จากภาพประกอบด้านล่างไม่ว่าจะเป็นช่วงวิกฤติปี 2008 หรือช่วงที่ตลาดมีการปรับฐาน ทางกองทุนก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีผลตอบแทนลดลงที่น้อยกว่าเยอะมาก ๆ แถมบางปีตลาดหุ้นติดลบแต่กองทุนนี้กลับเป็นบวกได้ สมแล้วที่เรียกว่าเป็นกองทุนที่นักลงทุนลงทุนแล้ว “ร่มเย็น เป็นสุข” ผลตอบแทนย้อนหลังของ Morgan Stanley Investment Funds – Global Brands Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 ก.ย. 2563 KFGBRANSSF/KFGBRANRMF เหมาะกับนักลงทุนแบบไหน? กองทุนทั้งสองจะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากการลงทุนในไทย อาจจะเพิ่งเริ่มต้นลงทุนต่างประเทศไม่นาน ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเสี่ยงไป เพราะกองทุนนี้ไม่ได้ผันผวนมาก รวมไปถึงนักลงทุนที่ยังไม่มีพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) สามารถถือกองทุนนี้เป็นพอร์ตหลักได้เลย ต่อมาอีกกองทุนหนึ่งที่ผลตอบแทนโดดเด่นมากๆ เป็นกองทุนกลุ่มเทคโนโลยีที่มีผลตอบแทนมากกว่า 50% และเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มกองทุน RMF ในปีนี้ กองทุนนี้เหมาะกับการถือคู่กับKFGBRANSSF/KFGBRANRMF เพราะเป็นกองทุนที่มีความดุดัน เน้นการทำผลตอบแทนผ่าน Mega Trend ระยะยาวอย่าง Technology ลงทุนกับ Technology Mega Trend กับกองทุนของผู้ชนะ KFGTECHRMF ที่บอกว่าเป็นกองทุนผู้ชนะเพราะว่าปีนี้กองทุน KFGTECHRMF เป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 1 ของกลุ่ม RMF (ที่มา: Morningstar ณ 24 พ.ย. 63) Theme ลงทุนที่น่าสนใจสำหรับ KFGTECHRMF ก็คือ Technology Mega Trend ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และแทบจะเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เมื่อต้นปี สิ่งที่น่าสนใจคือหากวัดผลตอบแทนของดัชนี S&P500 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนกว่าครึ่งที่ดัชนี S&P500 ทำได้มาจากกลุ่ม Technology ซึ่งเทรนด์การเติบโตแบบนี้คาดว่าจะยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 มาจากกลุ่ม Technology เป็นส่วนใหญ่ KFGTECHRMF ลงทุนในอะไร? KFGTECHRMF ลงทุนในกองทุนหลัก T.Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund ซึ่งมีจุดเด่นหลักๆ 4 อย่างด้วยกันคือ เป็นกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน มุ่งหาการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่ยึดติดกับดัชนีชี้วัด ลงทุนในหุ้นที่เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว และเช่นเดียวกันกับ KFGBRANSSF / KFGBRANRMF กองทุน KFGTECHRMF เป็นกองทุนที่มีการลงทุนแบบ High Conviction เช่นกัน ทั้งกองถือหุ้นเพียง 50 บริษัทเท่านั้น และลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 3 กลุ่มเป็นหลักคือกลุ่ม Software, Internet และ Semiconductors โดยมีหุ้นที่ลงทุนเป็นหลัก 5 ตัวแรกดังนี้ Alibaba 5.8% – ยักษ์ใหญ่ E-Commerce จากเมืองจีน ผู้ครองสถิติตัวเลข Gross Merchandise Value หรือขายสินค้าเป็นมูลค่ามากที่สุดในโลก ว่ากันว่ามากกว่า Amazon และ Ebay รวมกัน Amazon 5.6% – ยักษ์ใหญ่ E-Commerce ฝั่งสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีดีแค่ E-Commerce แต่ยังมีธุรกิจ Cloud ที่เป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งกำไรดีมากๆด้วยครับ SEA 4.7% – เจ้าของเกมส์มือถือชื่อดังที่คนไทยเล่นกันจนติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง ROV Shopify 4.4% – บริษัททำระบบการบริหารงาน E-commerce ครบวงจรจากประเทศแคนาดา Netflix 3.9% – เจ้าของแพลตฟอร์มรับชมซีรี่ย์ ภาพยนตร์ ชื่อดัง จะเห็นว่ากองทุนลงทุนในหุ้นที่หลากหลายแต่ก็มีความ Specific อย่างชัดเจนว่าเน้น Internet, Softwareและ Semiconductors และสิ่งนี้เองทำให้กองทุนนี้มีความแตกต่างจากกองทุนหุ้น Technology อื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุน RMF นี้ดีที่สุดในปีนี้ด้วย (ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต) การปรับพอร์ตการลงทุนที่รวดเร็วและแม่นยำ ข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจลงทุนในกองทุนคือการปรับพอร์ตของผู้จัดการกองทุน การปรับพอร์ตของ T.Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund ที่มา: บลจ.กรุงศรี ณ 30 มิ.ย. 2563 หุ้น Technology เป็นหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงมากๆ ถ้าผู้จัดการกองทุนปรับพอร์ตไม่ทัน ไม่ใช่แค่ผลตอบแทนจะไม่ดีแต่อาจจะต้องเจอกับการขาดทุนได้ จะเห็นว่ากองทุนมีการปรับพอร์ตที่มีความ Dynamic พอสมควร และเห็นเทรนด์การปรับเปลี่ยนที่ชัดเจน ทำให้อุ่นใจได้ระดับนึงว่าปรับเปลี่ยนรับการเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน ตอนนี้ใช่จังหวะเวลาในการลงทุนในกองทุน Technology หรือไม่? หลายคนคงมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมาดูเหมือนจะสูง แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่บ่งบอกว่าในระยะยาวหุ้น Technology ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดได้ หุ้น Technology มีการเติบโตในระยะยาวที่ดีกว่าหุ้นทั่วๆไป อัตราการเติบโตของกำไรในหุ้นในกองทุน KFGTECHRMF ในปีหน้ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 22.9% เทียบกับ MSCI All Country Information Technology Index ที่ 12.5% แล้วสูงกว่ามาก พอเติบโตดีนักลงทุนก็พร้อมที่จะให้ Premium กับราคาหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาขึ้นไปได้เรื่อยๆ ยิ่งในสภาวะดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องล้น ธนาคารกลางอัดฉีดสภาพคล่องอย่างไม่ยั้ง ยิ่งเป็นผลดีกับหุ้น Technology ที่ผ่านมาแม้จะมีการปรับฐานบ้าง 10-20% แต่ก็ใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวเร็ว และสามารถทำราคา New High ได้เกือบทุกครั้ง ยุคนี้กลายเป็นยุคของปลายักษ์กินปลาใหญ่ เกิดปรากฏการณ์ของหุ้น Tech ขนาดยักษ์ เติบโตดี สถานะการเงินแข็งแกร่ง มีคู่แข่งรายใหม่ขึ้นมาก็จับ Takeover กลืนกินมาเป็นส่วนหนึ่งของตน ทำให้การแข่งขันกับหุ้น Tech ขนาดยักษ์เหล่านี้ยากมาก จนหลายๆครั้งกลายเป็น Winner-Take-All คือผู้ชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง KFGTECHRMF เหมาะกับใคร? กองทุนนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี สามารถทนความผันผวนได้เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว เรียกได้ว่าถ้าเทียบกับ KFGBRANSSF/KFGBRANRMF ที่เป็น Core Port กองทุน KFGTECHRMF ถือเป็นกองหน้าทะลุทะลวง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมให้พอร์ตการลงทุนโดยรวม เกร็ดความรู้กับการเลือกลงทุน SSF/RMF ขอแชร์ประสบการณ์เลือก บลจ. สำหรับการลงทุน SSF/RMF เวลาผมเลือก ผมมักจะเลือก บลจ.ใหญ่ที่มีกองทุนหลากหลายประเภทมาก่อน เพราะการลงทุนใน SSF/RMF ระยะยาวนั้นเราสามารถปรับพอร์ตการลงทุนเปลี่ยนไปมาระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ได้ เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม บลจ.กรุงศรี ถือเป็นอีกหนึ่ง บลจ.ที่มีกองทุนคุณภาพ และค่อนข้างครบถ้วนในมุมมองของผม SSF เพิ่งออกมาแต่ก็มีถึง 8 กองทุนแล้ว ส่วน RMF มีถึง 24 กองทุน ค่าธรรมเนียมก็ถือว่าไม่ได้สูง อาจจะคุ้มค่ากว่าการไปลงทุนกองทุนธรรมดาในบางมุมด้วยซ้ำไป ถือเป็นโอกาสดีของการลงทุนในต่างประเทศครับ ตอนนี้ใครมีบัตรเครดิตกรุงศรีฯเอา Point ไปแลกเป็นกองทุนได้ด้วยผ่าน @ccess Online Service ถือเป็นอีก Gimmick หนึ่งที่ดีมากๆ สุดท้ายขอให้ทุกคนอย่าลืมว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่เดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการลดหย่อนภาษีด้วย SSF และ RMF อย่ามัวแต่รอเวลาจนลืมซื้อกันนะครับ หากสนใจลงทุนในกองประหยัดภาษีตัวท็อป จาก บลจ.กรุงศรี KFGBRANSSF, KFGBRANRMF และ KFGTECHRMF” สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ บลจ.กรุงศรี www.krungsriasset.com โทร. 026575757 หรือ FINNOMENA ได้เลยครับ คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การจัดอันดับของ Morningstar ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด SSF เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออม I RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ กองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ | KFGBRANSSF , KFGBRANRMF ระดับความเสี่ยง: 6-เสี่ยงสูง KFGTECHRMF ระดับความเสี่ยง: 7-เสี่ยงสูง กองทุนลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนการลงทุน แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW KFGBRANRMF KFGBRANSSF KFGTECHRMF Long Content Product Info Tax Saving Fund แชร์บทความ: ผู้เขียน BuffettCode นักลงทุนผู้หลงไหลในหุ้นเติบโต ชื่นชอบการศึกษากลยุทธทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และพัฒนาการของบิสสิเนสโมเดลใหม่ๆ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bitcoin ทะลุจุดสูงสุดเดิม ทำ All-Time High ใหม่! - FINNOMENA เมื่อคืนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ทะลุจุดสูงสุดเดิมของปี 2017 ที่ระดับ $19,666 และทำ All-Time High ใหม่ที่ $19,857 มาดูกันเลยว่ามุมมองนักวิเคราะห์เป็นอย่างไรกันบ้าง 19 ม.ค. 2565 เมื่อคืนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้ทะลุจุดสูงสุดเดิมของปี 2017 ที่ระดับ $19,666 และทำ All-Time High ใหม่ที่ $19,857 (ที่ระดับ 589,700 บาท บนกระดาน Bitkub) การปรับขึ้นของราคา Bitcoin เมื่อคืนทำให้ภาพรวมรายปี ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้มากถึง 177% และในภาพรวมเฉพาะเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นได้ถึง 30% เพียงแค่เดือนเดียว เหตุการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของวงการคริปโตเคอร์เรนซี โดยเหตุผลหลักที่ราคา Bitcoin สามารถปรับขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้มาจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve เช่นการปรับลดดอกเบี้ย หรือพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจจากวิกฤติ COVID-19 แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่อาจทำให้สกุลเงินดอลลาร์สูญเสียมูลค่าไปได้ และไม่ใช่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น หลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่บรรดาสถาบันทางการเงินรายใหญ่ ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจใน Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีต่าง ๆ เพื่อถือเป็นทรัพย์สินสำรอง เช่นสถาบัน Greyscale ที่เข้าถือ Bitcoin มากกว่า 500,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8.3 พันล้านดอลลาร์ แต่ข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการคริปโตมากที่สุด ก็คือข่าวที่ Paypal ประกาศเตรียมเปิดให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตเคอร์เรนซีภายในปี 2021 นี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ Paypal เกือบ 300 ล้านรายสามารถเข้าถึงคริปโตได้นั่นเอง มุมมองนักวิเคราะห์ Sergey Nazarov ผู้ร่วมก่อตั้ง Chainlink มีมุมมองว่า “ราคา Bitcoin มีโอกาสที่จะสามารถขึ้นไปสูงกว่าระดับ 100,000 ดอลลาร์ได้ เนื่องจากตลาดเริ่มคุ้นเคยกับคำว่า ทองคำดิจิทัล ที่เป็นอีกฉายาหนึ่งของ Bitcoin แล้ว ทำให้เกิดกระแสเงินทุนส่วนหนึ่งไหลออกจากตลาดทองคำเข้าสู่ตลอด Bitcoin แทน และนอกจากนี้ มีปัจจัยอยู่ 2 ปัจจัยที่สนับสนุนราคา Bitcoin ซึ่งได้แก่ 1) สัญญาณของภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และความเชื่อมั่นในนโยบายการเงินปัจจุบันที่เริ่มอ่อนแอลง จึงทำให้นักลงทุนพยายามมองหาทางเลือกการลงทุนที่จะสามารถรักษามูลค่าของสินทรัพย์เอาไว้ และ 2) ความต้องการลงทุนใน Decentralized Finance หรือ DeFi ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการทำ Yield Farming ที่สูงขึ้นตามการเติบโตของตลาด DeFi” – Sergey Nazarov, Co-founder of Chainlink, Market Insider, 30 Nov 2020 John Todaro ผู้บริหารสถาบัน TradeBlock มองว่า “ทิศทางขาขึ้นของ Bitcoin ครั้งนี้ แตกต่างกับขาขึ้นในปี 2017 และเชื่อว่าขาขึ้นครั้งนี้น่าจะคงอยู่ได้นานกว่า อันเนื่องมาจากการขึ้นของราคาครั้งนี้มีปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้อ Bitcoin เพื่อถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองของบรรดาสถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันในแถบอเมริกาเหนือ” – John Todaro, CEO of TradeBlock, Coinbase, 30 Nov 2020 Cameron Winklevoss หนึ่งในฝาแฝดผู้ร่วมก่อตั้งกระดานเทรดคริปโต Gemini มองว่า Bitcoin มีโอกาสที่จะสามารถชิงบัลลังก์สินทรัพย์สำรองอันดับ 1 มาจากทองคำได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นราคา Bitcoin ก็จะยิ่งปรับสูงขึ้นไปอีก – Cameron Winklevoss, Co-founder of Gemini, Market Insider, 30 Nov 2020 Christopher Bendiksen หัวหน้าฝ่ายวิจัยจาก CoinShares เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าการขึ้นของ Bitcoin รอบนี้เป็นการเข้าซื้อจากทั้งฝั่งสถาบันและนักลงทุนทั่วไป พร้อมเสริมว่าสาเหตุที่ราคา Bitcoin ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นเพราะการที่ตลาดสหรัฐฯ เพิ่งกลับมาเปิดทำการหลังจากผ่านช่วงวันหยุดยาวในเทศกาล Thanksgiving เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน – Christopher Bendiksen, head of research at CoinShares, Reuters, 30 Nov 2020 ความเห็นนักวิเคราะห์ด้านบนมีขึ้นเพื่อนำเสนอมุมมองของผู้เชี่ยวชาญในตลาดเท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด อ้างอิง Coindesk, Decrypt, Bloomberg, Cointelegraph, Reuters Bitkub.com แท็ก: Advance Article Bitcoin Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้น Value กำลังจะกลับมา - FINNOMENA การปรับตัวขึ้นของหุ้น Growth ในตลาดเกิดใหม่ดูเหมือนว่าจะจบลงพร้อม ๆ  กับการมาของวัคซีนโควิด-19 ที่จะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นดิจิตอลและไฮเท็คก่อนหน้านี้และทำให้หุ้นเหล่านั้นปรับตัวขึ้นแรงและถูกขาย “ทำกำไร”  ไหลออกมาลงทุนในหุ้น Value ที่ถูกกระทบแรงจากโควิดทั่วโลก 30 พ.ย. 2563 แนวความคิดเรื่อง Value Investing หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นมาหลังปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ในช่วงแรก ๆ นั้น หุ้นที่ “เข้าข่าย” เป็นหุ้น “Value” ซึ่งก็คือหุ้นที่มี “มูลค่าพื้นฐาน” สูงกว่าราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ มี “เต็มตลาด” หรือพูดให้ชัดก็คือ ราคาหุ้นในตลาดเกือบทุกตัวตกลงมามากจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ดังนั้น เกือบทุกคนที่เข้าไปลงทุนในช่วงนั้นก็คือ “Value Investor” และถ้าเขาถือหุ้นเป็นพอร์ตโฟลิโอและถือยาวพอ โอกาสที่จะทำกำไรก็สูงมาก แต่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น Value Investor หรือ “VI” ในช่วงนั้น ไม่ได้กวาดซื้อหุ้น VI ทุกตัว พวกเขาเน้นลงทุนแบบ Focus หรือถือหุ้นน้อยตัวในสไตล์ของวอเร็น บัฟเฟตต์ และหุ้นที่เลือกก็เป็นหุ้นของบริษัทที่ดีหรือดีเยี่ยม ในแง่ที่ว่ามันมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในเชิงของการตลาดสูง มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ดี และมีศักยภาพที่จะ “เติบโตอย่างรวดเร็ว” ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอานิสงส์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศไทย เวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี ในระหว่างนั้น หุ้นแทบทุกตัวก็ปรับตัวขึ้นกันหมด ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยรวมให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณไม่น้อยกว่า 10% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นที่เหล่า VI ตั้งแต่ยุคบุกเบิกสนใจและลงทุนกันเป็นหลัก กลับปรับตัวขึ้นมากกว่ามาก โดยเฉลี่ยอาจจะมากถึง 20% แบบทบต้นต่อปี หุ้นจำนวนหนึ่งปรับตัวขึ้นกว่า 26% ต่อปี หรือสามารถปรับตัวขึ้นถึงกว่า 10 เท่าในเวลา 10 ปี ซึ่งผมเรียกว่าเป็น “Super Stock” ส่งผลให้ “VI” หลาย ๆ คนร่ำรวยกลายเป็น “เศรษฐีหุ้น” และความคิดและวิธีการลงทุนแบบ “VI” ในแนวของวอเร็น บัฟเฟตต์เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในตลาดหุ้นไทย หุ้น VI ในนิยามของนักลงทุนไทยกลายเป็นหุ้นที่ “ดีในแง่ของธุรกิจ” และจะต้อง “เติบโตเร็ว” โดยที่เรื่องของราคาหุ้นนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องถูกหรือต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน สิ่งสำคัญก็คือ ผลประกอบการจะต้องโตและราคาหุ้นจะต้องปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งนี่ก็คือนิยามของหุ้น “Growth” หรือหุ้น “เติบโตเร็ว” ไม่ใช่หุ้น “Value” แบบดั้งเดิมของเบน เกรแฮม ที่เน้นว่าราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และการเติบโตนั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งของพื้นฐานในแง่ที่ว่ามันทำให้มูลค่าพื้นฐานสูงขึ้น แต่ในแนวคิดของเบน เกรแฮมก็คือ มันจะต้องเป็นการเติบโตระยะยาวเป็นสิบปี ไม่ใช่การเติบโตระยะสั้นแค่ 2-3 ปีและความแน่นอนก็ต่ำอย่างที่มักจะเกิดขึ้นกับบริษัททั่ว ๆ ไป การที่หุ้นที่ “เติบโตเร็ว” ในตลาดหุ้นไทยทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะในตลาดหุ้นที่เรียกว่า Emerging Market หรือตลาดเกิดใหม่ของประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในช่วงประมาณ 20 ที่ผ่านมาเหมือนกันก็ทำผลงานดีมากเมื่อเทียบกับ “หุ้น Value” ตามนิยามของเบน เกรแฮม ที่เน้นในเรื่องความถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ หุ้น Value ในความหมายที่เป็น “สากล” นั้น มักจะเป็นหุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเก่าและ “โตช้า” และราคาหุ้นก็ไม่ปรับตัวขึ้นหวือหวา เป็นแนวหุ้น “น่าเบื่อ” หรือหุ้น “แบกะดิน” ที่ราคาถูกมากแต่ไม่มีใครสนใจ นักลงทุนที่มักจะอนุรักษ์นิยมจำนวนมากสนใจซื้อหุ้นเพื่อรอรับปันผลที่ “งดงาม” ปีละครั้งหรือสองครั้ง การปรับตัวขึ้นของหุ้น Growth ในตลาดเกิดใหม่ดูเหมือนว่าจะจบลงพร้อม ๆ กับการมาของวัคซีนโควิด-19 ที่จะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นดิจิตอลและไฮเท็คก่อนหน้านี้และทำให้หุ้นเหล่านั้นปรับตัวขึ้นแรงและถูกขาย “ทำกำไร” ไหลออกมาลงทุนในหุ้น Value ที่ถูกกระทบแรงจากโควิดทั่วโลก โดยประเทศหรือตลาดเกิดใหม่ที่เป็นตลาดของหุ้น Growth อย่างจีนและไต้หวันถูกมองว่าจะชะลอตัวในขณะที่ตลาดหุ้นไทยและบราซิลที่เป็นตลาดแนวเศรษฐกิจเก่าและมีหุ้นยุคเก่ามากก็น่าจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินเหล่านี้ ตัวเลขการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยที่ติดลบมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นแสน ๆ ล้านบาทนั้นกลับกลายเป็นซื้อสุทธิในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาถึง 37,000 ล้านบาท และหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงก็คือหุ้น “Value” เช่นธนาคารพาณิชย์และหุ้นวัฎจักรอย่างปิโตรเคมีเป็นต้น ว่าที่จริง หุ้น Value สามารถเอาชนะหุ้น Growth ในตลาดเกิดใหม่มากถึง 8% ในเดือนนี้ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ปี 2001 หรือเกือบ 20 ปีมาแล้ว ผมเองไม่รู้ว่าการปรับตัวของหุ้นกลุ่ม “Value” ของไทยรอบนี้จะต่อเนื่องไปยาวแค่ไหน เป็นไปได้ว่าอาจจะสามารถดึงให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับไปเท่ากับสิ้นปีที่แล้วที่ประมาณ 1,580 จุดได้ภายในเวลาอีกซัก 2-3 เดือน หรือถ้ามองไปข้างหน้าอีก 2-3 ปีที่การฟื้นตัวของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะทำให้ GDP ของไทยกลับมาที่จุดเท่ากับสิ้นปี 2562 ได้ ดัชนีตลาดหุ้นก็น่าจะสามารถกลับไปที่จุดสูงสุดตลอดกาลประมาณ 1,800 จุดได้ โดยที่ทั้งหมดนั้น ก็น่าจะนำโดยหุ้นขนาดใหญ่ที่มีราคาไม่แพงที่เข้าข่ายเป็นหุ้น Value และถ้าเป็น Scenario นี้ เราก็จะเห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เหงาหงอยมา 3 ปีเต็ม กลับมาฟื้นตัวเป็น “ขาขึ้น” ต่อเนื่อง 2-3 ปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวิกฤติครั้งก่อน ๆ ทุกครั้ง แต่ถ้าจะให้ผมคาดการณ์ต่อไปอีกในระยะยาวเช่น อีก 10 ปีข้างหน้าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่จะสร้างอนาคตทางการเงินของตนเองเพื่อการเกษียณ หรือบางคนที่ทุ่มเทและอยากมีอิสรภาพทางการเงินหรือรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่นักลงทุน VI รุ่น 10-15 ปีก่อนทำได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาก เหตุผลก็คือ สังคมไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและคนรุ่นใหม่เกิดน้อยลงมาก จำนวนคนไทยกำลังจะลดลงอย่างรวดเร็วในขณะที่คนที่ยังอยู่ก็ทำงานได้น้อยลงเพราะแก่ลง ซึ่งก็ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง นอกจากนั้น ค่าที่ว่าโครงสร้างและพื้นฐานต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและการเมืองของไทยนั้นถูกออกแบบและใช้มานานและเริ่ม “ล้าสมัย” ไม่สามารถปรับตัวให้ทันสมัยและแข่งขันกับประเทศหรือเศรษฐกิจที่ทันสมัยกว่า ดังนั้น เศรษฐกิจของไทยจึงมีโอกาสที่จะ “ติดหล่ม” หรือติด “กับดักคนชั้นกลาง” หรือ “Middle Income Trap” คือเศรษฐกิจโตถึงจุดที่ “เกือบรวย” แล้วก็หยุดโตอย่างถาวร ซึ่งนั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่เพิ่มขึ้นต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้น ทางออกก็คือ การลงทุนในต่างประเทศที่ดัชนีตลาดหุ้นยังคงเติบโตต่อไปยาวนาน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเศรษฐกิจก็จะยังเติบโตต่อไปอีกนาน นั่นก็แปลว่า จำนวนคนทำงานหรือประชากรยังเพิ่มขึ้น สังคมไม่แก่ตัวเร็วซึ่งหมายความว่าคนยังมีลูกโดยเฉลี่ยอย่างน้อย 2.1 คน หรือไม่ก็มีคนอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศมากพอ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น และคนยังแก่ตัวลง พวกเขาก็จะต้องมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ซึ่งวิธีสำคัญก็คือ ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการทำงานมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็ต้องอาศัยคนที่มีความรู้ดีและมีระบบการเมืองการปกครองที่เอื้ออำนวย ซึ่งในวันนี้ผมเองคิดว่ามีอย่างน้อย 3 ประเทศในโลกนี้ที่น่าสนใจลงทุน หนึ่งก็คือสหรัฐอเมริกาที่คนยังไม่แก่เนื่องจากมีผู้อพยพที่มีการศึกษาดีเข้าเมืองอยู่มากและมีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสูง สองก็คือจีน ซึ่งคนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วแต่มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสูงมากที่จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทำให้ GDP ยังสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วไปอีกน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไป และสุดท้ายก็คือเวียตนาม ซึ่งผมคิดว่า GDP น่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วไปอีกอย่างน้อย 20 ปี เนื่องจากประชากรยังไม่แก่และสังคมยังมีความสามารถในการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีได้ดี อานิสงส์จากการที่เพิ่งเปิดประเทศต้อนรับการลงทุนจากต่างชาติไม่นานและเศรษฐกิจยังเล็กมาก ผมเองเริ่มลงทุนในเวียตนามมาน่าจะ 4-5 ปีแล้ว ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังไม่โดดเด่นนักแต่ก็ดีกว่าตลาดหุ้นไทยในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในภาวะปัจจุบันผมเองคิดว่าการลงทุนในเวียตนามเวลานี้น่าจะเป็น “Deep Value Play” คือราคาหุ้นส่วนใหญ่และดัชนีตลาดหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก และในขณะเดียวกันก็มีหุ้น Value หลายตัวที่คุณภาพดีและมีการเติบโตสูงคล้ายกับ “Super Stock” ของไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนก็สูงตามไปด้วย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2020/11/23/2419 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content Value Investing Value Investor แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปประเด็นสำคัญ มุมมองตลาดและเศรษฐกิจจาก Fed ผ่านรายงานการประชุมเมื่อคืนวาน - FINNOMENA เมื่อคืนวานทาง Fed ได้ปล่อยรายงานการประชุมวันที่ 4-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรามาดูกันว่าทาง Fed จะมีทิศทางและมุมมองการดำเนินนโยบายในอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง 26 พ.ย. 2563 เมื่อคืนวานทาง Fed ได้ปล่อยรายงานการประชุมวันที่ 4-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรามาดูกันว่าทาง Fed จะมีทิศทางและมุมมองการดำเนินนโยบายในอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง สรุปสภาวะตลาดการเงิน ตลาดมีความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นทางการคลัง ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น และกำไรของบริษัทที่ออกมาในทิศทางดี จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อในยุโรปและสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีความกังวล ผู้คนในตลาดบางส่วนมีการคาดหวังให้ Fed เข้าซื้อสินทรัพย์ (พันธบัตรต่าง ๆ) ในอายุที่ยาวยิ่งขึ้น เพื่อรักษาสภาพคล่องของตลาดต่อไป ตลาดพันธบัตรและ MBS อยู่ในภาวะคงที่และมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยกลับมาเป็นปกติใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด กระบวนการซื้อตราสารหนี้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าขาย (CMBS) ในสัดส่วนที่ไม่มากกำลังถูกดำเนินการเป็นรายสัปดาห์ เพื่อรักษาสมดุล งบดุล (Balance Sheet) หรือการเข้าซื้อสินทรัพย์กระตุ้นเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นไม่มาก หลังปัญหาสภาพคล่องของเงินดอลลาร์มีทิศทางดีขึ้น สรุปประเด็นการเข้าซื้อสินทรัพย์กระตุ้นเศรษฐกิจ ผู้ร่วมประชุมมีมุมมองว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์ในระดับปัจจุบันเพียงพอต่อการสนับสนุนภาวะทางการเงิน หากต้องมีการกระตุ้นเพิ่มเติม อาจมีการเข้าซื้อในปริมาณที่มากขึ้นอีกครั้งหรือเข้าซื้อพันธบัตรที่มีอายุยาวขึ้น อีกนัยหนึ่ง ทาง Fed อาจเลือกใช้วิธีการเข้าซื้อสินทรัพย์ในอัตราความถี่เท่าเดิม แต่เข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุยาวขึ้นเข้าช่วย สรุปมุมมองภาวะเศรษฐกิจ มุมมองการเติบโตของ GDP และการลดลงของอัตราการว่างงานยังเหมือนที่ประมาณการไว้ตอนเดือน กันยายน (ปรับลดลงในปีนี้ฟื้นตัวในปีหน้า) ถึงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ จะปรับตัวดีขึ้น มาตรการกระตุ้นทางการคลังยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน จึงไม่เพิ่มมุมมองเชิงบวกในส่วนนี้เพิ่มเติม หากไม่มีมาตรการกระตุ้นทางการคลัง ทางคณะกรรมการยังให้มุมมองว่าผู้คนยังมีเงินเก็บสะสมที่มากเพียงพอที่จะใช้ไปจนถึงสิ้นปีนี้ จากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อยังคงอ่อนแรงซึ่งมีผลมาจากตลาดแรงงานและสินค้าที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงราคาพลังงานที่ลดลงอย่างมากในช่วงต้นปี ความไม่แน่นอนจากภาวะโรคระบาดซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับสูง จึงยังคงมุมมองเศรษฐกิจในอนาคตแบบเชิงลบดังเดิม นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและการเว้นระยะห่างทางสังคมที่ผ่อนคลายมากขึ้น อาจส่งผลให้ในระยะกลาง GDP อาจปรับตัวร้อนแรงกว่าคาด แท็ก: Advance FED Investment Outlook Knowledge Long Content Picture Slide แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
โพยเปรียบเทียบกองทุนหุ้นกลุ่มการเงิน: KT-FINANCE V.S. TUSFIN-A แบบดูง่าย ๆ - FINNOMENA เปรียบเทียบกองทุน KT-FINANCE และ TUSFIN-A ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร มีนโยบายการลงทุนแบบไหน พร้อมแจกแหล่งเปรียบเทียบข้อมูลแบบดูง่าย ๆ ! 26 พ.ย. 2563 ดูข้อมูลเปรียบเทียบผลตอบแทนของทั้ง 2 กองนี้ และข้อมูลเปรียบเทียบอื่น ๆ เพิ่มเติม อัปเดตเรื่อย ๆ คลิกเลย! Tactical Call ลุ้น Value Play และ Cyclical Play ฟื้นตัวต่อ จังหวะเข้า KT-FINANCE ระยะสั้น เพื่อนผู้ใจดี ข้อมูลอ้างอิง https://www.ktam.co.th/fif-fund-detail.aspx?IdF=35 https://www.tiscoasset.com/th/historicalnavs/init.action?navData.fundCode=TUSFIN-A https://www.fidelityinternational.com/legal/documents/HK-zh_en/hffs.HK-zh_en.HK.G-FNS.pdf https://www.ssga.com/us/en/individual/etfs/funds/the-financial-select-sector-spdr-fund-xlf Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัว ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Basic KPicture Slide KT-FINANCE Product Info Short Content TUSFIN-A หุ้นกลุ่มการเงิน แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
อัปเดตกองทุน TMBGQG: เลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ของโลก! - FINNOMENA วันนี้เราขอแนะนำกองทุน อึด ถึก ทน “TMBGQG” (TMBGQGRMF สำหรับเวอร์ชั่น RMF) ที่เลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ของโลกและได้ประโยชน์จาก Megatrend ในอนาคต ซึ่ง TMBGQG ลงทุนในบริษัทที่จะอยู่ได้สบาย ๆ ในยุควิกฤต Covid 23 พ.ย. 2563 โควิดอยู่หรือไปจะคิดมากทำไม ถ้าเราเลือกกองทุนที่เหมาะสม ข่าววัคซีนโควิดของ Pfizer รวมถึงวัคซีนจากอีกหลายบริษัทที่ทุ่มเงินวิจัยกันมาทั้งปี มีโอกาสจะได้รับอนุมัติให้ใช้งานเร็ว ๆ นี้ ซึ่งแม้ผลลัพธ์ยังไม่แน่ชัด แต่โลกการลงทุนเกิดการทำ Sector Rotation ครั้งใหญ่ ทิ้งหุ้นเทควิ่งหากลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักจากโควิด หนุนให้ราคาหุ้นโรงแรม โรงหนังวิ่งกันระเบิด นักลงทุนหุ้นต่างประเทศสาย Hardcore คงมีหุ้นดี ๆ ในใจให้เลือกเก็บแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือกลุ่มที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามหุ้นต่างประเทศย่อมเกิดคำถามในใจว่า “ภาวะผันผวนรุนแรง” ควรทำอะไรกับพอร์ตลงทุนดี ? วันนี้เราเลยขอแนะนำกองทุน อึด ถึก ทน “TMBGQG” (TMBGQGRMF สำหรับเวอร์ชั่น RMF) ที่เลือกลงทุนในหุ้นใหญ่ของโลกและได้ประโยชน์จาก Megatrend ในอนาคต ซึ่ง TMBGQG ลงทุนในบริษัทที่จะอยู่ได้สบาย ๆ ในยุควิกฤต Covid เล่าให้ง่าย ๆ ก็คือ สินค้าหรือบริการจากหุ้นกลุ่มนี้เป็นสินค้าจำเป็นที่คนทั่วโลกยังไงก็ต้องใช้ ไม่ว่า Covid จะอยู่หรือไปมันก็เติบโต ! จุดเด่นของ TMBGQG ลงทุนในกองแม่ (Master Fund) ชื่อ Wellington Global Quality Growth Fund ที่มีการ กระจายลงทุนไปทั่วโลก แต่ยังเน้นหุ้นกลุ่มเทคโลยีที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว กองทุนลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้ชนะในแต่ละอุตสาหกรรม ครองสัดส่วนการตลาดสูง และเหลือโอกาสการเติบโตในอนาคตอีกมาก กระจายน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยง เหมาะสำหรับสายเน้นปลอดภัยแต่ยังได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม หุ้นที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับเเรก (% ที่กองทุนถือเป็นค่าประมาณ) ข้อมูลของวันที่ 31 สิงหาคม 2563 อ้างอิงจากหนังสือชี้ชวนกองทุนหลัก 1. Apple Inc. (NASDAQ: APPL) ถือ 5% ผู้ผลิต iPhone และเจ้าของระบบ iOS ที่แม้ผู้บริหารแห่งยุคอย่าง Steve Jobs ได้จากไปแล้ว แต่ทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ก็ยังสามารถสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งต่อเนื่อง หนุนให้บริษัทมีมูลค่าถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ (เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ทำได้) แม้ยอดขาย iPhone, iPad, Mac จะตัน ๆ แต่ Apple กำลังได้เครื่องยนต์สร้างการเติบโตของรายได้ตัวใหม่ซึ่งก็คือธุรกิจ Service โดยเฉพาะการเก็บค่า Commission สำหรับทุกการใช้จ่ายใน Ecosystem ของบริษัท 2. Microsoft Corp. (NASDAQ: MSFT) ถือ 4% บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ Office 365 และระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งแม้มีโควิดระบาด แต่ก็ไม่ได้กระทบกับรายได้รวมของ Microsoft มากนัก ในด้านบวกโควิดช่วยให้ธุรกิจบริการ Cloud Computing “Azure” เติบโตเร็วขึ้นด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจแห่งทศวรรษที่หาไม่ได้จากหุ้นไทยเลย 3. Amazon.com Inc. (NASDAQ: AMZN) ถือ 4% ผู้ให้บริการ E-commerce ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ ได้อานิสงส์จากยอดสั่งของออนไลน์ในช่วงเกิดโควิด และบริษัทยังเป็นเจ้าของบริการ Cloud Computing อย่าง “AWS” นอกจากนี้ Amazon ยังมีบริการ Streaming อย่าง Amazon Prime Video ที่แม้คนไทยจะไม่ค่อยรู้จัก แต่ในระดับโลกนั้นมันไม่ได้เป็นรอง Netflix เลย ถ้านับจำนวนผู้ใช้งาน !! 4. Alphabet Inc (NASDAQ: GOOG) ถือ 3% เจ้าของ Search Engine รายใหญ่ที่สุดในโลก “Google” รวมถึงเว็บดูวิดีโอ “YouTube” ซึ่งบริษัทมีรายได้เกือบทั้งหมดมาจากค่าโฆษณาและให้บริการ Google Cloud Service ที่กำลังไล่แย่งส่วนแบ่งการตลาดจาก AWS (Amazon) และ Azure (Microsoft) ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี คนก็ต้องใช้ Google และ YouTube อยู่เหมือนเดิม แค่รายได้จากโฆษณาอาจลดลงไปบ้าง เกร็ดความรู้: Google อาจมีปัญหากับ Apple ในอนาคต เนื่องจาก Apple จะลดการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ไม่ยอมให้ Apps ต่าง ๆ สามารถเก็บข้อมูลได้เหมือนเดิม ส่งผลให้ Google จะยิงโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมายยากขึ้น (แต่มีข่าวแว่วมาว่า Apple มีแผนที่จะพัฒนา Search Engine ของตัวเอง มายิงโฆษณาแข่ง !!) 5. Facebook Inc (NASDAQ: FB) ถือ 2% Social Media Platform ที่คนใช้กันมากสุดทั่วโลก มีรายได้ค่าโฆษณาหลักจากทั้งใน Facebook และ Instragram ซึ่งกำลังจะสร้างระบบให้แพลตฟอร์มในเครือทุกอันสามารถเชื่อมต่อกันได้โดยตรง เช่น ประกาศขายของบน IG แต่ผู้ใช้งานจาก Facebook และ WhatsApp ก็เห็นด้วย เหตุผลสำคัญคือบริษัทหวังดันธุรกิจ Social Commerce ให้สำเร็จ หุ้นที่ TMBGQG ถือมากสุดในอันดับถัด ๆ มาก็จะมี Tencent, UnitedHealth Group, Alibaba, Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) เรียกได้ว่ามีแต่ตัวน่าจับตามองทั้งนั้นเลย TMBGQG มีค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุน / สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า = 1.5% และค่าใช้จ่ายของกองทุนทั้งหมด = 1.7% ต่อปี เหมาะมากครับสำหรับคนที่หากองทุนที่กระจายความเสี่ยง ไม่ลงทุนกระจุก แต่มีอนาคตเติบโตได้เรื่อย ๆ #เราไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆจากการเขียนบทความนี้ #การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าชอบบทความนี้ช่วยแชร์ให้เพื่อนคุณอ่านด้วย !! BottomLiner ที่มาบทความ: https://bottomliner.co/fund/tmbgqg-1/ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Article Basic Product Info Short Content TMBGQG TMBGQGRMF แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ระเบิดเวลาของนักขี่กระทิง - FINNOMENA ลงทุนในหุ้นตอนนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ปลอดภัยแค่ไหน เราลองมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงผ่านส่วนเผื่อความปลอดภัยในตอนนี้กันครับ 18 พ.ย. 2563 หลังช่วงที่ผ่านมาตัวผมเองได้ลองมาเขียนบทความหุ้นรายตัวมากขึ้น และก็คงจะเขียนต่อไปเรื่อย ๆ แหละครับ แต่ในฐานะที่ผมเองเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อตลาดเกิดความไม่สมเหตุสมผลหรือความผิดปกติ ผมจะนำข้อเท็จจริงขึ้นมาให้ทุกคนได้ฉุกคิดอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้ผมก็มองว่าเป็นเวลาอันควรที่ผมควรจะนำข้อมูลที่ว่ามาเปิดเผยให้กับทุกคนครับ ก่อนอื่นผมขอเกริ่นและอธิบายคร่าว ๆ ถึง Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยกันก่อน Margin of Safety คืออะไร? ทำไมตอนนี้ถึงสำคัญมาก ๆ Margin of Safety ถ้าแปลเป็นไทยก็คือส่วนเผื่อความปลอดภัย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนได้ในการหา Bargain หรือข้อต่อรอง ที่เราจะหาได้ในเวลาที่ตลาด ราคาพังครืนร่วงลงมาแรง ๆ จนทำให้หุ้นบางตัวหรือแม้แต่ตราสารหนี้มี “มูลค่านำราคา” และอาจทำให้หุ้นตัวนั้น ๆ นำพาราคากลับไปสู่มูลค่าที่แท้จริงได้ในเวลาถัดไป ซึ่งในส่วนของตราสารหนี้เราอาจจะหาตราสารเราอาจจะหาตราสารหนี้ที่มีเครดิตที่ดีมีศักยภาพจ่ายหนี้ได้สูง ในจังหวะที่ราคาร่วงลงมาจนตำ่กว่าราคาตั้งต้น (ราคา par) และยิ่งราคาต่ำกว่าราคาตั้งต้นเท่าไรส่วนเผื่อความปลอดภัยที่ว่าก็จะมากขึ้นเท่านั้น และในส่วนของหุ้นเราอาจจะหาหุ้นที่มีมูลค่า “ถูก” จากมูลค่าสินทรัพย์หรือจากศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทหรือที่เราชอบใช้กันในรูปแบบของ PE และ PBV แต่ในวันนี้ผมขอพูดในเชิงมุมมองของภาพรวมตลาดที่หากเราดูในเรื่องส่วนของ Margin of Safety แล้ว ณ จุด ๆ นี้ อาจจะค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียวครับ ซึ่งโดยปกติแล้วในเชิงของตลาดผลตอบแทนของหุ้นก็ควรอยู่ในระดับที่สูงกว่าตราสารหนี้หรือพันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และยิ่งส่วนต่างนี้สูงมากเท่าไรก็หมายความว่าส่วนเผื่อความปลอดภัยของเราก็จะยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น สิ่งที่ผมเชื่อและเข้าใจก็คือเหล่านักลงทุนเน้นคุณค่าหรือนักลงทุน VI จะใส่ใจกับเรื่องดังกล่าวมากเป็นพิเศษ จนทำให้เขาเข้าซื้อในจุดที่ได้เปรียบและถึงแม้นักลงทุนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เขาก็จะมีส่วนเผื่อความปลอดภัยและขาดทุนได้ยากกว่านักลงทุนแนวเก็งกำไร ผลตอบแทนของหุ้นเทียบพันธบัตรเริ่มเข้าสู่จุดที่ย่ำแย่ และหากเรามาว่ากันถึง Margin of Safety ในตอนนี้ เราก็อาจจะเห็นได้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอาจอยู่ในช่วงที่มีความอันตรายก็ว่าได้ เราต่างคาดหวังให้พลังของ Fed กดผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำจนทำให้ตลาดหุ้นเดินหน้าต่อไปอย่างสมเหตุสมผล แต่ Fed เองจะสู้กับความคาดหวังและความไม่สมเหตุสมผลของคนได้ไปตลอดจริง ๆ หรือ? หากวันใดวันหนึ่งผู้คนแห่การเปิดโหมดการลงทุนที่เรียกว่า “Risk On” หรือการลงทุนแบบเสี่ยงเต็มสูบ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็อาจจะเหวี่ยงกระชากได้แรงกว่านี้ก็เป็นได้ และอาจทำให้ส่วนเผื่อความปลอดภัยที่ว่าดูย่ำแย่ลงไปอีก และถ้าหากเรามาเทียบกับข้อมูลในตอนนี้ที่ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลแบบ 10 ปีของสหรัฐเริ่มกระชากขึ้นมาที่ 0.89% ในขณะที่ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 2.77% ก็เท่ากับว่าเราจะมี Margin of Safety อยู่เพียงแค่ 1.88% เพียงเท่านั้น! หรือ เท่ากับว่าพันธบัตรเองต้องการแรงเทขายให้ผลตอบแทนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาอีกเพียง 1% หรือ 1% กว่า ๆ เพียงเท่านั้น ความไม่สมเหตุสมผลก็จะเกิดขึ้นจนทำให้ตลาดมีความเสี่ยงสูงที่จะพังลงมาอีกรอบ ภาพแสดงผลตอบแทนของหุ้น Earning Yield วันที่ 16 พฤศจิกายน 2020 ที่มา: multpl.com ภาพแสดงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีสหรัฐ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2020 ที่มา: multpl.com ในขณะเดียวกันก็มีคนเชื่อว่าทาง Fed เองจะพยายามควบคุมทุกอย่างเอาไว้ ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับว่าเขาคงจะทำเช่นนั้น แต่เราจะรู้อนาคตได้อย่างไรว่า Fed จะสามารถประคองอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไปได้ตลอด แม้ในวันที่นักลงทุนเปลี่ยนใจเป็น Risk On กระทันหันพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่ง ๆ นี้ผมมองว่ามันก็คงไม่ต่างอะไรกับตอนปี 2008 ที่ทุก ๆ คนเชื่อว่า “ซื้อบ้านยังไงเดี๋ยวราคาก็ขึ้น” คล้าย ๆ กับประโยคในใจใครหลาย ๆ คนตอนนี้อย่าง “ซื้อหุ้นยังไงเดี๋ยว Fed ก็ช่วยเอง” Warren Buffett เริ่มลงทุนแล้วตลาด = ขาขึ้นจริงหรือ? ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเราอาจได้เห็นนักลงทุนหลาย ๆ ท่านเริ่มเข้ากลับมาลงทุน และหนึ่งในนักลงทุนที่ผู้คนต่างจับตามองก็คงหนีไม่พ้นนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ที่ได้เริ่มเข้าซื้อหุ้น และผมเองก็เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงจะมีคำถามหรือเริ่มทยอยซื้อหุ้นตามกันไป โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า Warren Buffett เป็นนักลงทุนที่แสวงหา Bargain (ข้อต่อรอง) และอาจจะไม่ใช่นักคาดการณ์ตลาด รวมถึงการที่ Warren Buffett ดูจะให้ความสำคัญกับ Margin of Safety แล้วดังนั้นสิ่งที่คุณ Warren Buffett ทำอาจเป็นการลงทุนตามมูลค่าที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูง ไม่ใช่การคาดการณ์ว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในอนาคต แล้วหุ้นแบบไหนที่น่าสนใจในช่วงนี้? ถ้าถามว่าช่วงนี้หุ้นอะไรน่าสนใจ หุ้นกลุ่มการบิน ดู ๆ แล้วก็ถือได้ว่าน่าสนใจมาก ๆ ทีเดียวครับ ในช่วงนี้หุ้นกลุ่มการบินบางตัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูกหากเทียบกับสินทรัพย์ ถึงแม้จะดูแพงหากมองในแง่ของ PE เนื่องจากรายได้และกำไรที่หดหายไป และด้วยความถูกนี้เอง หุ้นเหล่านี้เวลาตลาดเกิดพังลงมาความผันผวนทางด้านราคาก็อาจจะน้อยกว่าหุ้นที่แพง และซื้อขายกันในระดับราคาที่เกินตัว จึงทำให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้ดู ๆ แล้วก็น่าสนใจไม่เลวเลยทีเดียวครับ อีกเรื่องหนึ่งอย่างเรื่องที่ว่ากันว่า ธุรกิจการบินกำลังจะเปลี่ยนไป โดยส่วนตัวจากที่ผมฟังมุมมองจากหลาย ๆ คนที่เดินทางต่างประเทศบ่อย ๆ พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยากที่จะหยุดบินและนอนเฉย ๆ อยู่บ้านเล่นเกม ดูซีรี่ย์ ไปตลอด แต่กลับกันแล้วผมกลับได้ยินหลาย ๆ คน กลับพูดถึงและโหยหาการที่จะกลับไปบิน ท่องเที่ยวและใช้ชีวิตแบบเดิม ดังนั้นหากเรื่องโควิดจบลงสักวันหนึ่ง หรือแม้แต่มีการเปิดประเทศอีกครั้งท่ามกลางความไม่แน่นอนของโรคระบาด ส่วนตัวแล้วผมมองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีรายได้ที่กลับมาพรุ่งพรวด และอาจจะค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียวครับ ส่วนใครอยากดูข้อมูลหุ้นกลุ่มการบินที่น่าสนใจ คลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างได้เลยครับ คลิกที่นี่ ก่อนจะจากกันผมก็ขอสรุปทิ้งท้ายไว้สั้น ๆ ว่า ผมไม่ได้มองว่าการเก็งกำไรเป็นเรื่องที่ผิดและไม่ควรทำ ในโลกนี้มีนักเก็งกำไรหลาย ๆ ท่านที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมและน่าประทับใจอีกมาก ความสนุกในการลงทุนสำหรับผมแล้วคือการได้เรียนรู้มุมมองที่แตกต่างจากหลาย ๆ ฝ่าย แลกเปลี่ยนรวมถึงนำศาสตร์ความรู้ต่าง ๆ มาประกอบเป็นกลยุทธ์ส่วนตัว หรือแม้แต่ทำให้ตัวเองพัฒนาเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ๆ ขึ้นไปในอนาคต ในช่วงที่ตลาดอยู่ในจุดที่ย่ำแย่นักเก็งกำไรหลาย ๆ คนอาจจะรอทำกำไรจากการพังทลายของตลาด หรือหยุดพักการเทรดและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความผันผวน ในขณะเดียวกันนักลงทุนแนววีไออาจรอจังหวะที่ใช่อย่างการที่ราคาปรับตัวลงมาและแสวงหา Bargain หรือดีลที่ยอดเยี่ยม แต่สำหรับผมแล้วในตอนนี้หรือในอีก 2-3 ปีข้างหน้าการลงทุนในหุ้นดู ๆ แล้วน่าจะอันตรายมาก ๆ เลยครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.cnbc.com/quotes/?symbol=US10Y https://www.multpl.com/s-p-500-earnings-yield แท็ก: Advance Article Earning Yield Gap Knowledge Short Content แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Samsung จากเส้นก๋วยเตี๋ยว สู่หนึ่งในบริษัท เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก - FINNOMENA คุณรู้หรือไม่? ก่อน Samsung จะยิ่งใหญ่ ทางบริษัทได้เคยขายก๋วยเตี๋ยวมาก่อน บทความจะพาทุกคนไปสำรวจเรื่องราวของหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ดีที่สุด รวมถึงพาไปส่องงบการเงินแบบจัดเต็ม 12 พ.ย. 2563 จากเส้นก๋วยเตี๋ยว สู่หนึ่งในบริษัท เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก เชื่อหรือไม่ว่าแรกเริ่มแต่เดิมที Samsung ไม่ได้เป็นบริษัท เทคโนโลยีอย่างที่เราเห็น? Samsung นั้นถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อราว ๆ ช่วงปี 1930 หลังช่วงวิกฤติถดถอยรุนแรง (Great Depression) โดยแรกเริ่มแต่เดิมที Samsung นั้นเริ่มต้นการทำธุรกิจโดยการขายเส้นก๋วยเตี๋ยว! รวมไปถึงสินค้าอารมณ์ที่แบบที่เราเห็นได้ตามร้านโชว์ห่วยต่าง ๆ (สินค้าของชำทั่ว ๆ ไป) น้ำตาล ไปยันขนสัตว์เสียด้วยซ้ำ จนในปี 1950 ทาง Samsung ได้หันมาทำธุรกิจประกันภัยและค้าปลีก เปลี่ยนผ่านมาอีกหน่อยในช่วงปี 1960 Samsung เริ่มหันมาแตะผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิคส์ ทีวี คอมพิวเตอร์ Smart watch กล้องดิจิตอล ชิปมือถือและสมาร์ทโฟน สินค้าหัวเรือหลักในทุกวันนี้ที่เราเห็น จนในปี 1993 Samsung ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก และนี่ก็คือเรื่องราวคร่าว ๆ ทั้งหมดก่อน Samsung จะก้าวมาถึงจุดยิ่งใหญ่อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้… ธุรกิจหลักของ Samsung ในทุกวันนี้ Consumer Electronics ในส่วนนี้หลาย ๆ คนคงเคยเห็นและคุ้นชินกันอยู่แล้ว และผมเชื่อว่าหลาย ๆ บ้านคงมีอุปกรณ์เหล่านี้จาก Samsung ติดบ้านกันมาบ้างในช่วงชีวิตวัยเด็ก หรือแม้จะในตอนนี้ก็ตาม สินค้าจาก Samsung ที่ว่านี้ก็เป็นของใช้จิปาถะที่มีความจำเป็นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ภายในบ้านต่าง ๆ ที่ครบครันไม่ต่างกับรถรับซื้อของเก่า ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น ทีวี จอคอม เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ รวมไปถึงอาวุธลับที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนยังไม่รู้อย่างเครื่องเอ็กซ์เรย์ผ่านมือถือ ระบบอัลตร้าซาวด์ หรือจะเรียกได้ว่า Samsung มีตั้งแต่ของใช้ทั่ว ๆ ไปภายในบ้าน จนไปถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์เลยก็ว่าได้ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังคงเห็นสินค้าจาก Samsung อยู่รอบตัวเราเสมอ ๆ IT & Mobile Communications มาถึงอีกส่วนที่ทำให้ Samsung ฮอตฮิตคุ้นหูจนเป็นภาพจำกับทุกคนและเป็นส่วนสร้างสรรค์รายได้หลักที่สำคัญของ Samsung อีกด้วยสิ่ง ๆ นั้นก็คือ “โทรศัพท์มือถือ” นั่นเองครับ แต่ถึงแม้รายได้จากการขายโทรศัพท์จะเป็นส่วนสำคัญ แต่รายได้ของ Samsung ก็ไม่ได้มาจากการขายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว แต่ Samsung ยังมีสินค้าอย่างอุปกรณ์สำหรับโครงข่ายสื่อสาร อุปกรณ์จิปาถะต่าง ๆ รวมถึงบริการรวมทุกอย่างตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำอย่างบริการเชื่อมโยงทุกอย่างเข้ากับอินเทอร์เน็ต (Internet of Things) Semiconductor ในส่วนของการผลิตชิปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผลในมือถือ การ์ดความจำต่าง ๆ และอื่น ๆ ก็ถือว่าเป็นรายได้หลักอีกทางหนึ่งของ Samsung โดยที่ Samsung เองก็ยังคงครองตำแหน่งผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รวมถึงยังมีบริษัทอย่าง Apple เป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่อีกด้วย แล้วทุกวันนี้ Samsung มีรายได้หลักมาจากการทำธุรกิจอะไร? หากดูจากภาพข้างต้นหลัก ๆ แล้วเราก็จะเห็นได้ว่า Samsung มีรายได้หลัก ๆ มาจากส่วนของ IT & Mobile Communication ซะส่วนใหญ่ เมื่อการชิงความได้เปรียบในตลาดสูงขึ้น Samsung จะยืนอยู่ตรงไหน? เมื่อเรารู้แล้วว่าตำนานบทใหม่ของ Samsung คือการโลดแล่นไปกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้เติบโตได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่ง แต่ก็แลกมาด้วยการแข่งขันที่สูงเช่นกัน หากมาเทียบในส่วนของสมาร์ทโฟนซึ่งเปรียบเสมือนรายได้หลักทางหนึ่งของ Samsung แล้วแต่ก่อนเราคงนึกถึง Apple เจ้าของ IPhone เพียงอย่างเดียวที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับ Samsung ได้ แต่ในปัจจุบันแบรนด์จีนอย่าง Huawei ก็เริ่มปรับตัวมาเขมือบส่วนแบ่งตลาดได้เป็นอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนของโลก ด้วยราคาที่ไม่แพง พร้อมกับระบบที่ลื่นไหล ฟังก์ชั่นที่กั๊กน้อยกว่าสมาร์ทโฟนเจ้าหนึ่ง ก็ส่งผลให้ Huawei ออกตัวแรงขึ้นมาได้มายาก และยิ่งประกอบกับการที่เราได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง “โจ ไบเดน” ด้วยแล้ว เราอาจได้เห็นการเปิดกว้างที่มากขึ้น ซึ่งทาง Huawei เองอาจจะไม่ได้โดนแบนกีดกันอย่างหนักหน่วงเช่นเดียวกับยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ดังนั้นแล้ว Huawei จึงเป็นอีกหนึ่งบริษัท ที่น่าจับตามองหลังการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในครั้งนี้ก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นเองตัว Samsung ก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้เป็นอันดับ 2 แซงหน้า Apple ที่อยู่อันดับ 3 ซึ่งเป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งว่า สมาร์ทโฟนของ Samsung เองก็ยังไม่ได้แพ้แบรนด์ใดในโลก และคงความเป็นผู้นำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องราวบทต่อไปที่อาจช่วยขับเคลื่อน (ประคอง) รายได้ให้ก้าวไปข้างหน้า หากมองไปในมุมของนักลงทุนเชิงรุกแล้วนอกจากราคาและมูลค่าที่สมเหตุสมผล การมองเกมธุรกิจและสตอรี่ในอนาคต คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรามาดูกันว่าในตอนนี้ทาง Samsung เอง มีสตอรี่เรื่องราวพัฒนาธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง หลัก ๆ แล้ว Samsung อาจมองไปที่การผลักดันระบบ 5G ทั้งในส่วนของชิป มือถือและเครือข่ายสัญญาณ ซึ่งการพัฒนาในส่วนนี้อาจเป็นส่วนที่ทำให้ Samsung มีความทัดเทียมกับคู่แข่งมากขึ้น พยายามสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมพยายามตั้งราคามือถือที่รองรับ 5G ให้ถูกลง ซึ่งอาจทำให้ทัดเทียมคู่แข่งได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากตลาดสมาร์ทโฟนมีการแข่งขันสูง หากใครมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ จ้าวอื่น ๆ คงพยายามไล่ตามให้ทันโดยไว ความแน่นอนเรื่องโรคระบาดในเอเชียที่ควบคุมได้ดีกว่ายุโรปและอเมริกา อาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของคนเอเชียมีความแน่นอนที่มากกว่า และอาจทำให้ผู้คนกลับมาซื้อสินค้าผลักดันรายได้อีกครั้ง ทั้งนี้และทั้งนั้นที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงมุมมองส่วนตัวนะครับ และเรื่องราวเหล่านี้เป็นข้อมูลในเชิงคุณภาพ ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสิ่งสำคัญของข้อมูลข้างต้นก็คือ Facts หรือข้อเท็จจริง ที่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงนำไปประกอบการตัดสินใจต่อยอดลงทุนเองได้ (ไม่มากก็น้อย) งบการเงินเบา ๆ จาก Samsung หลังจากเราได้ดูสตอรี่ธุรกิจของ Samsung กันไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการลงทุน ก็คงเป็นพื้นฐานทางการเงินของบริษัท ที่บ่งบอกได้ทั้งการเติบโต และความปลอดภัย เพราะฉะนั้นผมจึงขอรวม Financial Ratios (อัตราส่วนทางการเงิน) คร่าว ๆ ที่ผมคิดว่าสำคัญของ Samsung มาให้ทุกคนดูละกันครับ กำไรเติบโต (Earning Growth) 5 ปีย้อนหลัง (เฉลี่ย) -9.26% กำไรเติบโต (Earning Growth) 7 ปีย้อนหลัง (เฉลี่ย) -13.73% ค่า P/E (รายปี) 19.12 เท่า ค่า P/BV (รายปี) 1.60 เท่า หนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) (รายปี) 7.22 สินทรัพย์ระยะสั้นเทียบหนี้สินระยะสั้น (Current Ratio) 2.85 เท่า มูลค่าตลาด (Market Capitalisation) ราว ๆ 3 แสนล้านเหรียญ** *ข้อมูลสัดส่วนทางการเงินจาก reuters.com วันที่ 11 พฤศจิกายน 2020 **ข้อมูลเมื่อ 12 มกราคม 2020 ที่มา: koreaherald.com ข้อจำกัดของ Samsung ด้วยขนาดมูลค่าตลาดที่ใหญ่และมีการตีตลาดไปทั่วโลกแล้ว จึงอาจทำให้ทุกหน่วยการขายสินค้าของ Samsung นั้นขยายตัวได้ไม่มาก จึงอาจทำให้ในส่วนของการเติบโต Samsung อาจต้องพึ่งพาเรื่องราวสตอรี่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่ ๆ เพื่อที่จะทำให้ราคาหุ้นเติบโตต่อไปได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นความยิ่งใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็คงเหมือนดาบสองคม ที่ทำให้บริษัทนั้น ๆ ขยายตัวได้ยากหากไม่มีธุรกิจใหม่ ๆ โดยส่วนตัวแล้วบริษัทใหญ่ ๆ แบบนี้รอราคาร่วงลงมา จนมูลค่าน่าสนใจแล้วรับซื้อก็ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียวครับ เพราะ มีความมั่นคงจากงบการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง (เงินสดเยอะ ทรัพย์สินเทียบกับหนี้ระยะสั้น ๆ ค่อนข้างสูง) ข้อจำกัดอีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญก็คือ Huawei ที่เคยเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ในส่วนของชิป Samsung ได้ลงบัลลังก์การเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ อีกทั้งยังมี Apple ที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง มีมูลค่าในเชิงแบรนด์สูง ปล่อย Iphone X และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ รวมไปถึงคู่แข่งอื่น ๆ อีกมากมายอย่าง Oppo, Vivo และ Xiaomi จนทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้กำไรต่อหุ้นของ Samsung ค่อนข้างน่าหดหู่ในรอบปี 2018 และ 2019 ครับ และเราก็คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Samsung จะมีทีเด็ดอะไรขึ้นมางัดสู้ใหม่กันบ้าง ดู ๆ แล้วทุกอย่างดูเหมือนจะแย่ไปเสียหมด แต่ถึงอย่างนั้นก้อย่างที่บอกไปครับ เราอาจไม่ต้องเล่น Samsung ในแง่ของการเติบโต แต่ไปเล่นในแง่ของสินทรัพย์และงบการเงินที่แข็งแกร่ง ยามที่ราคาร่วงลงมาก็ดูจะเป็นวิธีที่น่าสนใจและสมเหตุสมผลเลยทีเดียวครับ กองทุนอะไรถือ Samsung บ้าง? เชื่อว่ามาถึงจุด ๆ นี้หลายคนคงเริ่มมีคำถามกันแล้วว่า ถ้าอยากลงทุนในกองทุนที่มี SAMSUNG มีกองทุนอะไรบ้าง? คำตอบก็อยู่ตามรายชื่อด้านล่างนี้เลยครับ TMBAGLF สรุปแล้วสตอรี่ของ Samsung ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการอาศัยโอกาสในช่วงวิกฤติที่หนักหน่วง และอาศัยการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงนั้น จนสร้างเนื้อสร้างตัว ปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจ จนกลายมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://koreajoongangdaily.joins.com/2020/05/17/industry/Samsung-Electronics-Apple-ATT/20200517180400178.html https://www.cnbc.com/2018/08/13/samsung-shares-39-billion-wiped-off-this-year.html https://whatcompetitors.com/samsung/ https://www.counterpointresearch.com/global-smartphone-share/ http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20200112000166 https://www.reuters.com/companies/005930.KS/key-metrics แท็ก: Advance Article Long Content Product Recommend Samsung แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เปิดนโยบาย "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีคนใหม่ สหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง!? - FINNOMENA เปิดนโยบาย "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีคนใหม่ สหรัฐอเมริกา พร้อมทิศทางในอนาคต จะเป็นอย่างไร? กระทบบ้านเราหรือไม่? ติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ! 7 พ.ย. 2563 เปิดนโยบาย “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนใหม่ สหรัฐอเมริกา พร้อมทิศทางในอนาคต จะเป็นอย่างไร? กระทบบ้านเราหรือไม่? ติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ! ทำความรู้จักพรรคการเมืองหลัก ๆ ของสหรัฐกันก่อน หลัก ๆ แล้วพรรคการเมืองสหรัฐมีอยู่สองพรรคที่ห้ำหั่นกันมาอย่างช้านานอย่าง “เดโมแครต” (Democrat) ซึ่งมีตัวอย่างประธานาธิบดีเด่น ๆ อย่าง บารัค โอบามา (Barack Obama), โคตรตระกูลคลินตันอย่าง ฮิลารี คลินตัน (Hillary Clinton), บิล คลินตัน (Bill Clinton) กับ “รีพับลิคกัน” (Republican) ที่มีประธานาธิบดีหัวโจกเลือดร้อนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หรือจะเป็น จอร์จ บุช (George Bush) ประวัติคร่าว ๆ ของประธานาธิบดีสหรัฐ “โจ ไบเดน” โจ ไบเดน เกิดในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1942 โดยเติบโตในเมืองกลุ่มชนชั้นแรงงานอย่าง Scranton ในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ Pennsylvania โดยคุณพ่อของ โจ ไบเดน อย่าง โจเซฟ ไบเดน เคยทำงานเป็นคนทำความสะอาดเตาเผาและทำความสะอาดรถของพนักงานขายต่าง ๆ ไบเดน ชื่นชมในพ่อและแม่ของเขาเป็นอย่างมากที่สอนให้เขาเป็นคนเข้มแข็ง ทำงานให้หนัก และมีความอดทนอดกลั้น โดยมีประโยคที่ตัวเขาเองจดจำมาได้ขึ้นใจจากคุณพ่อของเขาอย่าง ความสำเร็จของคน ๆ หนึ่งไม่ได้วัดจากการที่เขาคนนั้นล้มลงกี่ครั้ง แต่มาจากการที่เขาลุกขึ้นเร็วแค่ไหน – โจเซฟ ไบเดน นอกจากนั้นโจ ไบเดนในวัยเด็กยังเคยถูกบูลลี่โดยเด็กที่ตัวใหญ่กว่าเขาในระแวกเพื่อนบ้านมาก่อนอีกด้วย แต่แม่ของเขาก็มีประโยคทีเด็ดที่ทำให้เขาสู้ต่อไปเช่นเดียวกัน ต่อยพวกมันให้เลือดอาบซะสิ เธอจะได้เดินบนถนนได้อย่างสบายใจ ในวันถัดไปยังไงล่ะ – เเคเทอรีน ฟินนาเกน เห็นแบบนี้แล้ว โจ ไบเดน ก็ถือเป็นอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตบากบั่น ต่อสู้กับโชคชะตา ก่อนจะประสบความสำเร็จดังที่เราเห็น “โจ ไบเดน” คือใคร? โจ ไบเดนในตอนนี้ถือว่าได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐพอดิบพอดี และเคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคนที่ 47 เคียงข้างประธานาธิบดีอย่างบารัค โอบามา (Barack Obama) มาแล้ว โดยแรกเริ่มแต่เดิมทีไบเดนเองก็ลงสมัครเป็นตัวแทนลงแข่งขันเลือกตั้งจากพรรคเดโมแครตในช่วงปี 2008 เช่นเดียวกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท้ายที่สุดแล้วโจ ไบเดน ก็ดันไปเข้าตาบารัค โอบามา จนได้รับเลือกเป็นคู่หูคู่คิดในที่สุด นอกจากนั้นตอน โจ ไบเดน เข้าสู่วงการการเมือง ยังมีดีกรีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในสภาสหรัฐที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์อีกด้วย ส่องนโยบายหลักจัดเต็มโจ ไบเดน (Joe Biden) 1. นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ Joe Biden เก็บภาษีเพิ่มสำหรับผู้มีรายได้สูง และนำมาใช้ลงทุนในระบบสาธารณะ โดยจะเพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตลาดหุ้นอาจตอบสนองเชิงลบกับนโยบายการเก็บภาษี และการเพิ่มค่าแรงอาจทำให้ต้นทุนของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลต่อหุ้นใหญ่ ๆ ในตลาด 2. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการ COVID-19 Joe Biden ร่างสัญญาระดับชาติ ผ่าน 10 ศูนย์วิจัยวัคซีนในทุกรัฐ พร้อมแจกชุดตรวจโควิดฟรี ออกกฎและสนับสนุนให้คนใส่หน้ากาก สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตลาดอาจจับตามองไปที่การควบคุมยอดผู้ติดเชื้อ นโยบายของโจไบเดนอาจดูไม่รวดเร็วทันใจ แต่อาจจะควบคุมโรคได้อยู่หมัดมากขึ้น ไบเดนอาจทำให้เกิดการตีความแบบสมเหตุสมผล มีความแน่นอนมากกว่า 3. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม Joe Biden สนับสนุนให้ทางสหรัฐเข้าร่วม “สัญญาตกลงปารีส” อีกครั้ง ตั้งเป้าพาสหรัฐเข้าสู่ยุคไร้มลพิษภายในปี 2050 และแบนการใช้พื้นที่สำหรับขุดเจาะน้ำมันและก๊าส รวมถึงสนับสนุนเม็ดเงินลงทุน 2 ล้านล้านเหรียญในโครงการพลังงานสะอาด สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พวกหุ้นกลุ่มพลังงานอาจได้ผลเชิงลบ 4. นโยบายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข Joe Biden ปกป้องและพัฒนานโยบาย Affordable Care Act (ACA) เพิ่มเติม ลดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำสำหรับโครงการ Medicare (โครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ) จากเดิมที่ 60-65 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะให้ชาวอเมริกันทั้งหมดมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Medicare สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาจส่งผลเชิงกลาง ๆ กับหุ้นกลุ่ม Healthcare เนื่องจากนโยบายโดยรวมสนับสนุนระบบ Healthcare ของรัฐ 5. นโยบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Joe Biden สร้างความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐใหม่อีกครั้ง ยกเลิกการขึ้นภาษีกับจีนแบบเห็นชอบฝ่ายเดียว และเปลี่ยนเป็นข้อตกลงร่วมกันแทน แต่เพิ่มข้อต่อรองที่อาจทำให้ทางจีนเองปฏิเสธไม่ได้ สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หุ้นประเทศต่าง ๆ ในหลายภูมิภาคอาจตอบสนองในเชิงบวกมากขึ้น จากนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง? ต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าตลาดหุ้นก็คือตลาดที่อุดมไปด้วยเหล่านักลงทุนที่มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ๆ และในความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “อารมณ์” เข้ามาเกี่ยวเนื่อง ดังนั้นเราอาจจะเรียกได้ว่าตลาดหุ้นมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง แต่เราอาจจะใช้ข้อมูลที่เรามีในอดีตมาและหลักการมาช่วยตัดสินใจได้ ซึ่งการตีความความคิดของผู้คนนั้นมีเป็นอะไรที่มีโอกาสพลิกโผได้ เพราะคนทุกคนไม่สามารถมองอะไรเป็นมุมเดียวกันได้หมด ตัวอย่างเช่น หาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี แทนที่ตลาดจะตีความว่า ไบเดน จะขึ้นภาษีทำให้กำไรของบริษัทลดลงตลาดหุ้นลงแน่ ๆ ตลาดก็อาจจะตีความไปในเชิงอีกแบบหนึ่งอย่างเช่น “ถ้า ไบเดน ได้เป็นการเมืองน่าจะนิ่งขึ้น ความสัมพันธ์กับจีนดีขึ้น คิดดูอีกที… ในระยะยาวน่าจะดี เราลงทุนดีกว่า” อะไรแบบนี้ก็เป็นได้ครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.biography.com/political-figure/joe-biden แท็ก: Advance Article Knowledge Long Content Picture Slide ตลาดหุ้น เลือกตั้งสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ทำไมกองทุนตราสารหนี้ถึงลงในช่วง COVID-19: กรณีศึกษา - FINNOMENA หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า ทำไมตราสารหนี้ในช่วงนี้ถึงปรับตัวลง โดยไม่ใช่แค่ในส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้นเพียงเท่านั้น โดยหากคุณเป็นผู้ลงทุนในตราสารหนี้ คุณจะเห็นได้ว่าตราสารหนี้ ณ ตอนนี้มีการปรับตัวลงทั้งในส่วนของ “สั้น”,”กลาง”, และ “ยาว” พร้อมๆกัน เรียกได้ว่าใครที่ลงทุนในตราสารหนี้ ณ ตอนนี้นั้น “เจ็บทุกทาง” เรามาดูกันว่าอะไรที่ทำให้ตราสารหนี้ในช่วงนี้ปรับตัวลง รวมถึงวิธีการแก้เกม ว่าในช่วงนี้เราควรลงทุนในตราสารหนี้รูปแบบไหน? 9 พ.ย. 2563 หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่า ทำไมตราสารหนี้ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ถึงปรับตัวลง โดยไม่ใช่แค่ในส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้นเพียงเท่านั้น โดยหากคุณเป็นผู้ลงทุนในตราสารหนี้ คุณจะเห็นได้ว่าตราสารหนี้ ณ ตอนนี้มีการปรับตัวลงทั้งในส่วนของ “สั้น”,”กลาง”,และ “ยาว” พร้อมๆกัน เรียกได้ว่าใครที่ลงทุนในตราสารหนี้ ณ ตอนนั้นก็คือ “เจ็บทุกทาง” เรามาดูกันว่าอะไรที่ทำให้ตราสารหนี้ในช่วงนี้ปรับตัวลง รวมถึงวิธีการแก้เกม ว่าในช่วงนี้เราควรลงทุนในตราสารหนี้รูปแบบไหน? ทำความเข้าใจเบื้องต้นราคาตราสารหนี้ขึ้นลงสลับกับผลตอบแทน เพราะอะไร? โดยปกติแล้วตราสารหนี้ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อนในความเข้าใจระดับนึง ดังนั้นจุดแรกผมขอแบ่งประเด็นสำคัญตราสารหนี้ออกเป็นสองจุดก่อน 1. ราคา ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ในแง่ของราคาตราสารหนี้ก็เหมือนกับหุ้นนี่แหละครับ คนขายราคาก็ลง คนซื้อราคาก็ขึ้น 2. ผลตอบแทน (Yield) ส่วนที่ซับซ้อนคือในส่วนของ Yield หรือ อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ซึ่งมีความสัมพันธ์ “เชิงลบ” กับราคา “ถ้าราคาตราสารหนี้ลง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น” “ถ้าราคาตราสารหนี้เพิ่ม ผลตอบแทนจะลดลง” อยากให้ทุกคนจำหลักการตรงนี้ไว้ก่อนครับและลองดูคำอธิบายเพิ่มเติมในส่วนถัดไป แล้วทำไมตราสารหนี้ถึงมีความสัมพันธ์เช่นนั้น? คงต้องเล่ากันก่อนว่าตอนตราสารหนี้นั้นถูกปล่อยออกมาให้นักลงทุนได้ซื้อเค้าจะให้มาเป็นราคาตั้งต้นหรือราคาพาร์ (Par value) โดยตัวอย่างธรรมดาสามัญที่ใคร ๆ ชอบใช้กันก็คือขายที่ “1,000 บาท” ประเด็นสำคัญต่อมาก็คือคนไม่ได้ซื้อตราสารหนี้ 1,000 บาทที่ว่าและถือไปตลอดชีวิต บางคนอาจจะมองว่าตราสารหนี้ช่วงนี้ไม่น่าจะมีคนซื้อแล้ว เค้าอาจจะเงินไปทำอย่างอื่น เช่น ลงทุนในหุ้น คน ๆ นั้นก็จะเอาไปขายต่อ และจังหวะที่ตราสารหนี้ถูกขายต่อนี่แหละ เป็นจังหวะที่ “Yield (ผลตอบแทน)” จะเข้ามามีบทบาท และทุกคนอาจเริ่มสงสัยกันในส่วนนี้ ตัวอย่างที่ 1: ตราสารหนี้ถูกขายตอนราคาลดลง จากตอนแรกที่เราสมมติตัวอย่างราคาขึ้นมาที่ 1,000 บาทในที่นี้ ผมจะให้ทุกคนลองคิดต่อมาว่าในจุดที่นักลงทุนคนหนึ่งขายตราสารหนี้ออกไปเขาได้ขายออกไปที่ราคา 700 บาท ปกติแล้วตราสารหนี้ที่ชื่อก็บอกอยู่ว่า “หนี้” ซึ่งหนี้จะต้องมีการตกลงการให้ดอกเบี้ยเงินกู้กันแต่แรก ๆ ในที่นี้เราอาจจะสมมติขึ้นมาว่าตกลงจะจ่ายให้กับคนซื้อตราสารหนี้ที่ 50 บาท ต่อปี ซึ่งอัตราตกลงที่จะจ่ายผลตอบแทนตลอดช่วงอายุการใช้งาน(ตัว 50 บาท) เราอาจจะเรียกเป็นศัพท์ที่ดูซับซ้อนขึ้นมาหน่อยซึ่งก็คือ “Coupon rate ” ซึ่งหากเราดูจากข้อตกลงที่ว่าตราสารหนี้ตัวนี้ก็ควรจะให้ผลตอบแทนที่ 5% ของราคา 1,000 บาทในตอนแรก เพื่อที่จะสามารถจ่ายผลตอบแทนที่ 50 บาทพอดีเป๊ะ แต่ประเด็นก็คือต่อมาราคามันลดลงมาจากการที่คนเทขายจนเหลือ 700 บาท และการที่เราจะคิดผลตอบแทนเหมือนเดิมที่5% ก็คงจะไม่ได้ เพราะ ในตอนแรกเราตกลงกันไว้ว่าจะจ่ายกันที่ 50 บาท ดังนั้นผลตอบแทนก็ควรจะปรับตัวขึ้นมาที่ประมาณ 7.1428% เพื่อที่จะได้คูณกับราคาในตอนนั้นแล้วออกมาได้อัตราที่เราตกลงกันตั้งแต่แรกที่ 50 บาท (700×7.1428% = 49.9996%) ตัวอย่างที่ 2: ตราสารหนี้ถูกขายตอนราคาขึ้น อันนี้ก็จะกลับกันจากตัวอย่างข้างต้นครับ สมมติว่าราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,300 บาท ผลตอบแทนของตราสารหนี้ก็ควรที่จะปรับตัวขึ้นมาเป็น 3.8462% เพื่อที่จะได้จ่ายหนี้ในอัตราที่ตกลงกันไว้แต่แรกที่ 50 บาท (1,300×3.8462% = 50.0006 บาท) และทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาของการที่ผู้คนในหมู่นักลงทุนชอบพูดกันว่า Yield ดีดแล้วตราสารหนี้ถูกเทขาย หรือ จะเป็นประโยคที่ฮอตฮิตในช่วงนี้อย่างการที่ Fed กดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเพื่อให้ดอกเบี้ยต่ำ จนทำให้พันธบัตรรัฐบาลราคาไม่ผันผวนเหมือนเช่นช่วงวิกฤติ COVID-19 เมื่อเข้าใจดังนี้แล้วในส่วนต่อไปผมก็ขอยกตัวอย่างเป็น Case Study ให้เห็นภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ใกล้ตัวทุกคนมากที่สุด ซึ่งก็คือช่วงวิกฤติ COVID-19 นั่นเองครับ เพราะอะไรตราสารหนี้ถึงปรับตัวลงในช่วงวิกฤติ COVID-19? หากเรามองเป็นมุมมองกว้างๆ ทั่วโลกในตอนนี้ตลาดอยู่ในภาวะ risk off จึงทำให้คนเทขายหุ้นกู้และโยกย้ายเงินทุนเข้ามาพักในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลแทน ซึ่งโดยปกติแล้วควรจะส่งผลให้หุ้นกู้ราคาลง และพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะตัวระยะยาวปรับตัวขึ้น (ในภาวะปกติ) แต่เนื่องด้วยในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ส่งผลให้ตลาดไม่สมเหตุสมผล จากปกติหากเกิดความเสี่ยงในเรื่องของภาวะถดถอย นักลงทุนจะนำเงินเข้าไปในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (หลีกหนีการถดถอยในระยะสั้น) แต่กลับกันแล้วเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 16 มีนาคม 2563 มีการเทขายพันธบัตรระยะยาวมาเข้าตัวระยะสั้นแทน รวมถึงหุ้นสหรัฐที่บวกลบวันละถึง 10% เลยทีเดียว เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขายอย่างตื่นตระหนก (panic sell) และภาวะตลาดที่ไม่สมเหตุสมผล คาดเดาได้ยากในช่วงนี้ ในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลไทยเองโดนแรงกดดันค่อนข้างหนักหน่วง เพราะ นอกจากหุ้นกู้จะโดนเทขายจากความเสี่ยงในเรื่องของ หนี้สูญ (Default risk) แล้วตัวพันธบัตรรัฐบาลไทยเองยังโดนเทขายอีกส่วนด้วย ภาพแสดงปริมาณการซื้อขายสุทธิของตราสารหนี้ในไทยของชาวต่างชาติ (Source: ThaiBMA) โดยจากภาพจะสังเกตได้ว่า มีแรงเทขายมาจากนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เกิดเงินทุนไหลออก จึงทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลง โดยอาจทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในด้านของ…. 1. ความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยน (fx risk) เพราะ การที่ค่าเงินอ่อนลงนั้นหมายถึงกำไรที่ลดลงหากมีการขายทำกำไร และแลกกลับมาเป็นเงินสกุลตนเอง จึงอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์ในสกุลเงินบาทออก เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของ “ค่าเงิน” 2. ความเสี่ยงในด้านของราคา (Capital gain) อันเนื่องมาจากการเทขายจำนวนมากที่อาจทำให้ราคาลดลง และด้วยสองเหตุผลข้างต้นนี้เองจึงอาจทำให้เกิดการเทขายตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา และทำให้กองทุนตราสารหนี้ที่มีสัดส่วนในไทยเป็นส่วนใหญ่ “เจ็บทุกทาง” ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว… แต่อย่างไรก็ตามจากการเทขายนั้น ส่งผลให้ตัว ผลตอบแทน (yield) เพิ่มขึ้น ในอนาคตเม็ดเงินลงทุนจึงอาจจะกลับมาได้ ด้วยอัตรา yield ที่น่าดึงดูด สังเกตได้จากภาพด้านล่าง ภาพแสดงอัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาว (มากกว่า 3 ปี) (Source: World Government Bonds) ภาพแสดงอัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรรัฐบาลไทยระยะกลาง (1-3 ปี) (Source: World Government Bonds) ภาพแสดงอัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้น (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปี) (Source: World Government Bonds) จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่า อัตราผลตอบแทน (Yield) มีการปรับตัวขึ้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้น กลาง และยาว อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมาทางแบงค์ชาติได้ประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนลงได้สังเกตุได้จาก อัตราผลตอบแทน (Yield) ช่วงปลายที่มีการลดลง ซึ่งแสดงถึงการเข้าซื้อช่วยเหลือของทางแบงค์ชาตินั่นเอง อธิบายเพิ่มเติมสักนิด.. ทำไม Yield เพิ่มตราสารหนี้ถึงลง? หากอ่านมาถึงจุดนี้แล้วคุณยังสงสัยว่าทำไมตอน Yield เพิ่มตราสารหนี้ถึงลง ผมจะมาอธิบายแบบรวดรัดให้ทุกคนได้เข้าใจกัน โดยปกติแล้วเวลาเราซื้อตราสารหนี้ เราจะได้ผลตอบแทนระหว่างถือเป็น อัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) ซึ่งคล้ายๆกับเงินปันผล แต่ในที่นี้ในฐานะที่เราเป็นผู้ปล่อยกู้เราเลยเรียกมันว่า อัตราดอกเบี้ยแทน ซึ่งอัตราที่ว่าจะถูกตกลงไว้ตั้งแต่คุณซื้อเป็นอัตราคงที่ ดังนั้นหาก Yield หรืออัตราผลตอบแทนของตลาดเพิ่ม ราคาที่ลดลงจะถูกชดเชยด้วยตัว Yield เพื่อให้คุณได้รับอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม เช่น หากคุณซื้อตราสารหนี้ที่ 1,000 บาท Yield 7% คุณจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ 70 บาท แต่หากวันดีคืนดี Yield ดันดีดขึ้นไปเป็น 10% เพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมราคาจึงลดลงมาที่ 700 บาท และด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาเราเห็น Yield เพิ่ม ตราสารหนี้ถึงได้ทำผลตอบแทนยํ่าแย่ ซึ่งเป็นเพราะมูลค่าหรือราคาที่ลดลงนั่นเอง แล้วในช่วงเวลานี้ เราควรลงทุนอย่างไรในตราสารหนี้ โดยเราอาจจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้ 1. ถ้ารับความเสี่ยงได้ตํ่าเราอาจจะเข้าตัวพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ระยะเวลาน้อยกว่า 3 เดือน) เพราะ ในเชิงของตราสารหนี้แล้ว ระยะเวลา (duration) ถือเป็นความเสี่ยงประเภทหนึ่ง ดังนั้นระยะเวลาการถือครองที่น้อยลงความผันผวนระหว่างทางก็จะน้อยลงไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็หมายถึงผลตอบแทนที่น้อยลงเช่นกัน 2. หากรับความเสี่ยงได้สูงเราอาจจะเข้าตัวพันธบัตรระยะกลาง เพราะ ด้วยระยะเวลา (duration) ที่มากกว่า ก็หมายถึงความผันผวนระหว่างทางที่มากกว่าตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามในจุดนี้ก็ถูกชดเชยด้วยตัว ผลตอบแทน (yield) ที่สูงกว่า แล้วนอกจากตราสารหนี้ มีทางเลือกอื่นอีกไหม? นอกจากตราสารหนี้แล้วการลงทุนในตลาดเงินถือเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในช่วงนี้ เพราะ ค่อนข้างปลอดภัย อีกทั้งยังผันผวนน้อยกว่าตราสารหนี้อีกด้วย ตลาดเงินจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้ตํ่า ที่ต้องการพักเงินหรือหาสินทรัพย์ลงทุนในช่วงนี้ โดยการลงทุนในตลาดเงิน เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อาธิเช่น เงินฝาก ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่ตํ่าก็หมายถึงผลตอบแทนที่น้อยตามกันไปด้วย สรุปส่งท้าย ในภาวะที่ตลาดไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เป็นใจ หลายๆคนอาจจะเรียกมันว่าวิกฤติ แต่หากเราคิดว่าตลาดมันย่อตัวมาให้เราซื้อ มันก็จะกลายเป็นโอกาส ผมขอทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ และหวังว่าบทความนี้จะช่วยเสริมแนวคิดด้านการลงทุนให้กับทุกคน ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr.Serotonin ดูรายละเอียดพอร์ต Money Plus ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่ออกโดยภาครัฐบาลไม่ต่ำกว่า 80% เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินหลบภัย ได้ที่ https://www.finnomena.com/money-plus/ แท็ก: Advance Article Knowledge Long Content ตราสารหนี้ ตลาดตราสารหนี้ แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เจาะลึกนโยบาย ไบเดน vs. ทรัมป์: หุ้นขึ้นหรือลง? - FINNOMENA ถึงเวลาเลือกตั้งกันแล้ว มาดูกันว่าหากทรัมป์ หรือ ไบเดน เข้าวินจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น! 8 พ.ย. 2563 ถึงเวลาเลือกตั้งกันแล้ว มาดูกันว่าหากทรัมป์ หรือ ไบเดน เข้าวินจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น! ทำความรู้จักพรรคการเมืองหลัก ๆ ของสหรัฐกันก่อน หลัก ๆ แล้วพรรคการเมืองสหรัฐมีอยู่สองพรรคที่ห้ำหั่นกันมาอย่างช้านานอย่าง “เดโมแครต” (Democrat) ซึ่งมีตัวอย่างประธานาธิบดีเด่น ๆ อย่าง บารัค โอบามา (Barack Obama), โคตรตระกูลคลินตันอย่าง ฮิลารี คลินตัน (Hillary Clinton), บิล คลินตัน (Bill Clinton) กับ “รีพับลิคกัน” (Republican) ที่มีประธานาธิบดีหัวโจกเลือดร้อนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หรือจะเป็น จอร์จ บุช (George Bush) เทียบนโยบายหลักจัดเต็มโจ ไบเดน (Joe Biden) กับ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) 1. นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ Donald Trump ให้คำมั่นว่าจะสร้างงานจำนวน 10 ล้านตำแหน่งใน 10 เดือน และเร่งการสร้างธุรกิจขนาดเล็กอีก 1 ล้านธุรกิจเพิ่มเติม ใช้นโยบายลดภาษีเพิ่มเติม และ ให้เครดิตภาษี (ใช้สำหรับลดภาษี) กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อรักษาการจ้างงานเอาไว้ Joe Biden เก็บภาษีเพิ่มสำหรับผู้มีรายได้สูง และนำมาใช้ลงทุนในระบบสาธารณะ โดยจะเพิ่มการเก็บภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจากเดิมที่ 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์อาจหนุนนำให้ตลาดหุ้นเดินหน้าต่อไป จากการลดภาษี การเร่งการจ้างงาน และสร้างธุรกิจ หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีตลาดหุ้นอาจตอบสนองเชิงลบกับนโยบายการเก็บภาษี และการเพิ่มค่าแรงอาจทำให้ต้นทุนของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลต่อหุ้นใหญ่ ๆ ในตลาด 2. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการ COVID-19 Donald Trump ตั้งเป้าเดดไลน์ให้โควิดจบภายในสิ้นเดือน มกราคมปีหน้า และเริ่มเปิดประเทศ เร่งพัฒนาการพัฒนาวัคซีนแบบเร่งด่วน และใช้งบถึง 1 หมื่นล้านเหรียญ Joe Biden ร่างสัญญาระดับชาติ ผ่าน 10 ศูนย์วิจัยวัคซีนในทุกรัฐ พร้อมแจกชุดตรวจโควิดฟรี ออกกฎและสนับสนุนให้คนใส่หน้ากาก สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นตลาดอาจจะจับตามองไปที่การเร่งพัฒนาวัคซีนต่อไป หากโจ ไบเดนได้เป็นตลาดอาจจับตามองไปที่การควบคุมยอดผู้ติดเชื้อ นโยบายของทรัมป์มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูงเช่นกันหากทำได้ นโยบายของโจไบเดนอาจดูไม่รวดเร็วทันใจ แต่อาจจะควบคุมโรคได้อยู่หมัดมากขึ้น สรุปแล้วทรัมป์อาจสร้างความคาดหวังในอนาคตที่ตีความได้สองแง่และไม่แน่นอน แต่เป็นผลดีหากทได้ ส่วนไบเดนอาจทำให้เกิดการตีความแบบสมเหตุสมผล มีความแน่นอนมากกว่า 3. นโยบายเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม Donald Trump ไม่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้ผู้คนใช้พลังงาน เช่น น้ำมันและก๊าสต่าง ๆ ต่อไป และผ่อนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นและยึดมั่นการถอนตัวออกจาก “สัญญาตกลงปารีส” (Paris accord) ซึ่งเป็นสัญญาเกี่ยวกับการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทางสหรัฐจะมีการถอนตัวในปีนี้ Joe Biden สนับสนุนให้ทางสหรัฐเข้าร่วม “สัญญาตกลงปารีส” อีกครั้ง ตั้งเป้าพาสหรัฐเข้าสู่ยุคไร้มลพิษภายในปี 2050 และแบนการใช้พื้นที่สำหรับขุดเจาะน้ำมันและก๊าส รวมถึงสนับสนุนเม็ดเงินลงทุน 2 ล้านล้านเหรียญในโครงการพลังงานสะอาด สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พวกหุ้นกลุ่มพลังงานอาจได้ผลเชิงบวกหากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี และอาจได้ผลเชิงลบหาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี 4. นโยบายเกี่ยวกับการแพทย์และสาธารณสุข Donald Trump อาจปรับเปลี่ยนนโยบาย Affordable Care Act (ACA) ของประธานาธิบดีโอบามา ที่สร้างกฎเกณฑ์ข้อบังคับเพิ่มเติมให้กับระบบประกันสุขภาพรัฐ เช่น ข้อบังคับในการให้สิทธิกับคนที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยยืนยันว่ามีอาการป่วย ตั้งเป้าลดราคายา และนำเข้ายาในราคาที่ถูกกว่าจากต่างประเทศ Joe Biden ปกป้องและพัฒนานโยบาย Affordable Care Act (ACA) เพิ่มเติม ลดเงื่อนไขอายุขั้นต่ำสำหรับโครงการ Medicare (โครงการประกันสุขภาพผู้สูงอายุ) จากเดิมที่ 60-65 ปี มีความมุ่งมั่นที่จะให้ชาวอเมริกันทั้งหมดมีโอกาสเข้าร่วมโครงการ Medicare สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลเชิงลบกับหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยอาจได้รับผลกระทบจากการนำเข้ายาจากต่างชาติ และการลดกฎเกณฑ์เงื่อนไขการเข้าระบบรัฐที่อาจทำให้ผู้คนมารับการรักษาผ่านรัฐมากขึ้น หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลเชิงกลาง ๆ กับหุ้นกลุ่ม Healthcare เนื่องจากนโยบายโดยรวมสนับสนุนระบบ Healthcare ของรัฐ 5. นโยบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Donald Trump แข่งขันกับชาติพันธมิตรต่อไป และคงนโยบายขึ้นการขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน ลดการตั้งมั่นกองกำลังในต่างประเทศ และลงทุนเกี่ยวกับการทหารเพิ่มเติม Joe Biden สร้างความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรของสหรัฐใหม่อีกครั้ง ยกเลิกการขึ้นภาษีกับจีนแบบเห็นชอบฝ่ายเดียว และเปลี่ยนเป็นข้อตกลงร่วมกันแทน แต่เพิ่มข้อต่อรองที่อาจทำให้ทางจีนเองปฏิเสธไม่ได้ สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี หุ้นประเทศต่าง ๆ อาจได้รับแรงกดดันต่อไป หากโจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี หุ้นประเทศต่าง ๆ ในหลายภูมิภาคอาจตอบสนองในเชิงบวกมากขึ้น 6. นโยบายเกี่ยวกับศาลสูงสุด (Supreme Court) Donald Trump เคลมว่าตนมีสิทธิ์ที่จะนั่งตำแหน่งที่ว่างในศาลสูงสุดต่อไป ตามสิทธิรัฐธรรมนูญที่ยังมีระยะเวลาเหลืออยู่ และสนับสนุน Amy Coney Barrett ผู้ตัดสินแนวอนุรักษ์นิยม ไม่สนับสนุนการทำแท้งในสหรัฐ ร่วมกับ Amy Coney Barrett Joe Biden ต้องการให้ตำแหน่งที่ว่างในศาลสูงสุดถูกเติมเต็มจนครบที่นั่ง ถ้าดำรับเลือกตั้งจะผลักดันให้การทำแท้งถูกกฎหมาย สรุปผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเดินเกมเข้าข้าง Amy Coney Barrett เพื่อให้ตนมีสิทธิเสียงในศาลสูงสุดต่อไป ในขณะที่ โจ ไบเดน ใช้นโยบายตรงกันข้ามและผลักดันให้ที่นั่งในศาลสูงสุดเต็ม เพื่อกดดันสิทธิการออกเสียงของอีกฝ่าย ผลกระทบต่อตลาดหุ้นอาจขึ้นอยู่กับการตีความของตลาดโดยรวมต่อประธานาธิบดีแต่ละคน โดยนโยบายในส่วนนี้อาจสนับสนุนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินหน้าบริหารได้สะดวกยิ่งขึ้น ไบเดนเป็นหุ้นลงแน่ ๆ ทรัมป์เป็นหุ้นขึ้นแน่ ๆ จริงหรือ? ต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าตลาดหุ้นก็คือตลาดที่อุดมไปด้วยเหล่านักลงทุนที่มีความเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ๆ และในความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “อารมณ์” เข้ามาเกี่ยวเนื่อง ดังนั้นเราอาจจะเรียกได้ว่าตลาดหุ้นมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่นั่นเอง การที่เราจะการันตีว่าใครได้เป็นและหุ้นขึ้นแน่ ๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ยากครับ แต่เราอาจจะใช้ข้อมูลที่เรามีในอดีตมาและหลักการมาช่วยตัดสินใจได้ ซึ่งการตีความความคิดของผู้คนนั้นมีเป็นอะไรที่มีโอกาสพลิกโผได้ เพราะ คนทุกคนไม่สามารถมองอะไรเป็นมุมเดียวกันได้หมด ตัวอย่างเช่น หาก โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดี แทนที่ตลาดจะตีความว่า ไบเดน จะขึ้นภาษีทำให้กำไรของบริษัทลดลงตลาดหุ้นลงแน่ ๆ ตลาดก็อาจจะตีความไปในเชิงอีกแบบหนึ่งอย่างเช่น “ถ้า ไบเดน ได้เป็นการเมืองน่าจะนิ่งขึ้น ความสัมพันธ์กับจีนดีขึ้น คิดดูอีกที… ในระยะยาวน่าจะดี เราลงทุนดีกว่า” อะไรแบบนี้ก็เป็นได้ครับ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ผมขอให้ทุกคนโชคดี มีความสุขกับชีวิตและการลงทุนครับ… Mr. Serotonin แท็ก: Advance Article Knowledge Long Content Picture Slide ตลาดหุ้น เลือกตั้งสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้นเทคจะฟองสบู่แตกหรือไม่? หลังเลือกตั้งสหรัฐฯ - FINNOMENA ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในฤดูเลือกตั้งประธานาธิบดี คำถามสำคัญของนักลงทุนที่ถือหุ้นเทค หรือกำลังสนใจจะลงทุนหุ้นเทค ณ เวลานี้ก็คือหุ้นเทค ณ ตอนนี้จัดว่าเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่นี้จะแตกหรือไม่หลังเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 พ.ย. 2563 พูดได้เต็มปากเลยว่าหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม Big Tech ที่จดทะเบียนใน NASDAQ เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยล่าสุดผลประกอบการของ Big Tech ขนาดใหญ่ที่สุด 5 ตัวแรก ณ สิ้นไตรมาส 3 / 2563 ได้ประกาศออกมาแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในฤดูเลือกตั้งประธานาธิบดี คำถามสำคัญของนักลงทุนที่ถือหุ้นเทค หรือกำลังสนใจจะลงทุนหุ้นเทค ณ เวลานี้ก็คือหุ้นเทค ณ ตอนนี้จัดว่าเป็นภาวะฟองสบู่หรือไม่ และฟองสบู่นี้จะแตกหรือไม่หลังเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่มา dogsofthedow.com หากเราเรียงลำดับบริษัทที่มีขนาดสูงที่สุดในดัชนี้ S&P500 ณ 30 ตุลาคม 2563 พบว่ากิจการที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet และ Facebook ซึ่งทั้งหมดเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั้งสิ้น ดังนั้นการจะดูว่าหุ้นกลุ่มเทคกำลังอยู่ในฟองสบู่หรือไม่ การดูผ่านหุ้น 5 ตัวนี้จึงเป็นภาพสะท้อนได้เป็นอย่างดี ที่มา seekingalpha.com ทั้งนี้ล่าสุดผลประกอบการไตรมาส 3 / 2563 ของหุ้น TOP5 ทั้ง 5 ตัวได้ประกาศออกมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งทั้ง 5 ตัวต่างทำผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาด ทั้งรายได้และผลกำไร เริ่มจาก Apple ที่ทำผลตอบแทนไตรมาส 3 ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ยอดขาย iPhone จะตกลง แต่ก็สามารถทดแทนมาด้วยรายได้จากการบริการต่าง ๆ อย่าง Music และ Video Streaming รวมไปถึงยอดขายหูฟัง Airpods และนาฬิกา iWatch ขณะที่ Amazon มีผลกำไรของไตรมาส 3 / 2563 ที่ผ่านมาสูงโดยขึ้นถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีกำไร 6.3 พันล้านดอลลาร์ และมีรายได้เติบโตถึง 37% มาที่ 96.1 พันล้านเหรียญสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนของ Microsoft มีกำไรเติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยหลักมาจากธุรกิจ Cloud คือ Microsoft Azure และ Microsoft 365 Suite รวมไปถึง Microsoft Team ที่ใช้สำหรับการประชุมทางไกลที่มีผู้ใช้งานรายวัน หรือ Daily Active User ทะลุ 100 ล้านคน Google มีรายได้โต 14% และมีกำไรโต 59% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากรายได้โฆษณา โดยเฉพาะจากช่องทาง Youtube ที่เติบโตกว่าที่ตลาดคาด และสุดท้ายคือ Facebook ที่มีรายได้เติบโตกว่า 20% ในไตรมาส 3 / 2563 ที่ผ่านมา แม้เฟสบุ๊คจะถูกแบนจากหลายแบรนด์ชั้นนำในโลก ที่มา seekingalpha.com เมื่อแนวโน้มรายได้และกำไรของกลุ่มเทคยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คำถามต่อไปคือที่ Valuation ณ วันนี้นั้นแพงเกินไปหรือไม่ หากดูจากระดับ Forward P/E นั้น เมื่อไม่รวม Amazon แล้วพบว่าหุ้นยักษ์ใหญ่ อีก 4 ตัวมีระดับ P/E อยู่ที่ประมาณ 30 เท่าบวกลบเล็กน้อย ซึ่งจัดว่าไม่ได้แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับระดับการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัทที่ดีกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ อย่างชัดเจน ที่มา Bloomberg อีกหนึ่งอัตราส่วนที่มักใช้ในการดูความถูกแพงของหุ้นเทคโนโลยีคือการดู Enterprise Value-to-Sales หรือมูลค่ากิจการเทียบกับยอดขาย โดย Enterprise Value นั้นคำนวณจาก Market Cap + หนี้สิน – เงินสด แปลว่าถ้ายิ่งมีหนี้เยอะจะทำให้อัตราส่วนนี้ชี้ว่าหุ้นแพง ขณะที่ถ้ายิ่งเงินสดเยอะอัตราส่วนนี้จะยิ่งชี้ว่าหุ้นมีราคาถูก ซึ่งข้อเท็จจริงคือวันนี้หุ้น Big Tech ทั้ง 5 ตัวนั้นมีเงินสดเยอะมาก และมีหนี้สินน้อย เมื่อเทียบ Enterprise Value-to-Sales ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงพีคก่อนวิกฤตดอทคอมพบว่าอัตราส่วนนี้อยู่ที่ระดับ 5 – 10 เท่านับว่าเป็น Valuation ที่ถูกว่าช่วงวิกฤตดอทคอมอยู่มาก โดยสรุปคือเมื่อมองจากปัจจัยพื้นฐาน และ Valuation ของหุ้น Big Tech ในปัจจุบันน่าจะยังสนับสนุนให้หุ้นกลุ่มนี้เติบโตได้ในระยะกลางถึงระยะยาว โดยความผันผวนใด ๆ ที่อาจเกิดได้ในฤดูกาลเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเข้าลงทุนครับ FundTalk รายงาน แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ฟองสบู่ ฟองสบู่ตลาดหุ้น หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ เลือกตั้งสหรัฐ เลือกตั้งสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน FundTalk คุณเจษฎา สุขทิศ, CFA เจ้าของนามปากกา FundTalk ปฏิบัติหน้าที่เป็น CEO ของ FINNOMENA โดยคุณเจษฎา มีประสบการณ์ยาวนานในสายงานผู้จัดการกองทุน มีความเชี่ยวชาญในการจัดพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก และการเจาะลึกเพื่อเลือกหุ้นรายตัว
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เริ่มแล้ว! รัฐบาลเซินเจิ้นแจก! สุ่มแจกหยวนดิจิทัลให้กับผู้โชคดีที่ลงทะเบียนไว้ 50,000 กระเป๋า - FINNOMENA ทางเมืองเซินเจิ้นได้ทำการทดลองนำร่อง “โครงการหยวนดิจิทัล” เป็นที่แรก โดยเบื้องต้นมีประชาชนได้สมัครเข้ามาลงทะเบียนมากถึง 1,193,800 ราย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางรัฐบาลเซินเจิ้นจะมีการสุ่มแจกหยวนดิจิทัลให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับฟรี 50,000 ราย 19 ม.ค. 2565 ขณะที่ช่วงต้นปีเอง ประเทศไทยได้มีข่าวดีที่ทางธนาคารกลางได้ประกาศความคืบหน้าของโปรเจค “บาทดิจิทัล” ของโครงการอินทนนท์ ที่ได้มีการเริ่มทดสอบระบบในการซื้อสินค้าและชำระเงินแบบอัตโนมัติของบริษัทมหาชน SCG เพื่อนำร่องในการพัฒนาระบบการชำระเงินที่สามารถใช้ในภาคประชาชนต่อไปในอนาคต ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ทางประเทศจีนเองก็มีความคืบหน้าที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “โครงการหยวนดิจิทัล” ด้วยเล็งเห็นการพัฒนาสังคมไร้เงินสดที่สามารถบันทึกและตรวจสอบเงินทุกหยวนที่ผู้คนต่างใช้จ่ายในระบบได้อย่างสมบูรณ์ โดยทางเมืองเซินเจิ้นได้ทำการทดลองนำร่องเป็นที่แรก โดยมีการเปิดให้ประชาชนที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบระบบหยวนดิจิทัลได้ลงทะเบียนรับหยวนดิจิทัลมูลค่า 200 หยวนไปทดลองใช้กับร้านค้าต่าง ๆ กว่า 3,300 แห่งภายในช่วงวันที่ 18 ตุลาคม ผ่านโครงการ “Luohu Digital RMB Red Packet” โดยเบื้องต้นมีประชาชนได้สมัครเข้ามาลงทะเบียนมากถึง 1,193,800 ราย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางรัฐบาลเซินเจิ้นจะมีการสุ่มแจกให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับหยวนดิจิทัลฟรี เพียง 50,000 ราย โดยเริ่มทำการสุ่มรายชื่อผู้โชคดีขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าทางองค์กรรวมถึงสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเล็งเห็นประโยชน์และโอกาสในการต่อยอดแบบมหภาคของเทคโนโลยีบล็อกเชน และเริ่มมีการประยุกต์ใช้ประกาศพัฒนาระบบการเงินโลกใหม่นี้ขึ้นมากันถ้วนหน้า สำหรับประเทศไทยเองก็มีการตื่นตัวและเริ่มมีการทดลองในระบบธุรกิจมหาชนแล้วเช่นกัน ส่วนในอนาคตจะมีการเปิดให้ประชาชนได้ทดลองใช้ “บาทดิจิทัล” หรือไม่ ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป Bitkub.com แท็ก: Article Basic Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล หยวนดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Bitkub Exchange ภารกิจเราคือการปฏิวัติวิถีทางการเงินของทุกคน โดย Bitkub ก่อตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 และเป็น Exchange Platform รุ่นใหม่สำหรับการซื้อขาย Cryptocurrency และสินทรัพย์ Digital โดยให้บริการเหนือระดับแก่บุคคลทั่วไปให้สามารถซื้อ, ขายและเก็บ Cryptocurrency ได้ตามต้องการ บริษัทเราได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ - FINNOMENA เงื่อนไขในการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ของ ดร.นิเวศน์ มีอะไรบ้าง? แล้วมีหุ้นกลุ่มไหนบ้างที่เข้าข่ายน่าลงทุนตอนนี้? 2 พ.ย. 2563 ในช่วงเร็ว ๆ นี้แทบทุกคนในตลาดหุ้นต่างก็พูดกันว่าเราควรเลือกลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กและหลีกเลี่ยงหุ้นตัวใหญ่ที่มักจะถือโดยนักลงทุนต่างประเทศ พวกเขามักจะพูดว่าหุ้นตัวเล็กและกลางนั้นจะเติบโตเร็วและดังนั้นมันจึงน่าลงทุน คนที่ฟังก็มักจะ “เชื่อ” เพราะหุ้นที่ยังวิ่งดีในภาวะที่เศรษฐกิจยังย่ำแย่และอนาคตที่จะฟื้นตัวและกลับมาโตยังไม่ชัดเจนก็มักจะเป็นหุ้นตัวเล็กและกลางที่มี Free Float ต่ำและมีการเก็งกำไรกันสูงมากโดยอาศัยสตอรี่ที่ว่าผลประกอบการยังดีหรือตกลงมาน้อย โดยที่หุ้นเหล่านั้น แทบทั้งหมดก็มักจะมีราคา “แพงเวอร์” หลาย ๆ ตัวมีราคาสูงกว่าก่อนวิกฤติโควิด-19 ไปมากแล้ว ส่วนหุ้นตัวใหญ่ที่มีนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันถือในปริมาณที่สูงนั้น คนที่พูดให้หลีกเลี่ยงผมเชื่อว่าเป็นเพราะหุ้นเหล่านั้นต่างก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่องอานิสงส์จากการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องคิดเป็นแสน ๆ ล้านบาทในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แทบจะไม่มีหุ้นตัวไหนที่วิ่งขึ้นมาได้เลย หลายกลุ่ม โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่นั้น หุ้นตกลงมาต่ำยิ่งกว่าช่วงเกิดโควิด-19 ใหม่ ๆ ที่ดัชนีตลาดตกลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 1,000 จุดเศษ ๆ ไปแล้ว การตกลงมาอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักวิเคราะห์และ “ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน” แนะนำให้ “หลีกเลี่ยง” เพราะพวกเขามักจะเน้นการลงทุน “ระยะสั้น” ที่หุ้นจะขึ้นหรือลงมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหรือภาวะของอุตสาหกรรมหรือของตัวหุ้นเอง แต่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับ “ปัจจัยพื้นฐานระยะยาว” ของบริษัท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ คนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่นั้น แนะนำหรือเชื่อว่าหุ้นที่วิ่งขึ้นคือหุ้นที่ดีและน่าซื้อลงทุน ส่วนหุ้นที่วิ่งลงคือหุ้นที่แย่และควรที่จะขาย นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นระยะเวลายาวนานมากตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นไทย แต่ผมเองกลับคิดว่า หุ้นที่น่าสนใจลงทุนโดยเฉพาะระยะยาวอย่างผมก็คือหุ้นที่มีราคาตกลงมามาก ไม่ใช่หุ้นที่มีราคาขึ้นไปมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็น “VI พันธุ์แท้” ที่มักจะ “อนุรักษ์นิยม” คือเน้นที่ความปลอดภัยหรือ “Margin of Safety” ในการลงทุนค่อนข้างมาก ในขณะที่ปัจจัยเรื่องของการเติบโตหรือ Growth เป็นเรื่องรอง ดังนั้น หุ้นที่มีราคาแพงวัดจากค่ามาตรฐานต่าง ๆ เช่น ค่า PE อัตราการจ่ายปันผลและมูลค่าหุ้นหรือ Market Cap. ของหุ้นจะเป็นหุ้นที่ผมหลีกเลี่ยง พูดง่าย ๆ ผมชอบหุ้นที่ “ถูกสุด ๆ” มากกว่าหุ้นที่อาจจะโตแต่หุ้นแพงสุด ๆ และนี่ก็นำไปสู่ความคิดเห็นของผมต่อหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงเวลานี้ที่มีราคาลดลงมากและอาจจะเป็นโอกาสในการลงทุน เงื่อนไขของการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของผมก็คือ ข้อแรก กิจการจะต้องไม่ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีถึงขนาดที่จะ “ล่มสลาย” ในระยะอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า ข้อสอง ขนาดของธุรกิจหรือรายได้และกำไรของกิจการอย่างน้อยจะต้องประมาณเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ปี 2562) ภายในระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้า คือภายในปี 2566 ข้อสาม ความ “แข็งแกร่ง” มองในแง่ของความสามารถในการแข่งขันและการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในอุตสาหกรรมจะต้องไม่ลดลง และสุดท้ายก็คือ ราคาหุ้นในปัจจุบัน จะต้องต่ำมากเทียบกับราคาหุ้นช่วงก่อนโควิดหรือราคาปิดของหุ้นเมื่อสิ้นปี 2562 และต้องต่ำกว่าไม่น้อยกว่า 15% ถ้าหุ้นเข้าข่ายเกณฑ์ขั้นต่ำทุกข้อดังกล่าว เราก็น่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างต่ำปีละประมาณ 7-8% ในช่วงเวลา 3-4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็จะเป็นผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่น่าจะขึ้นไปเฉลี่ยปีละ 5% บวกกับปันผลอีกปีละ 2-3% ซึ่งในความคิดของผมก็คือ เป็นการลงทุนที่ดีพอสำหรับตลาดหุ้นไทยและดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรและการฝากเงินมาก และนี่ก็เป็นผลตอบแทน “ขั้นต่ำ” ที่เราน่าจะได้ แต่ถ้าเราเลือกหุ้นที่มีเงื่อนไขดีกว่านั้น เช่น บริษัทกลับมามีผลประกอบการเท่าเดิมได้ภายใน 2 ปี คือภายในปี 2565 และ/หรือราคาหุ้นตกลงมาเกิน 15% หลังโควิดมาก ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะสูงขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังตั้งอยู่ในสมมติฐานที่ว่าภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยและโลกจะผ่านวิกฤติการและสถานการณ์ของโควิดและเรื่องของการเมืองของไทยไปแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ลองมาดูว่าหุ้นขนาดใหญ่แต่ละกลุ่มจะเข้าเงื่อนไขที่ผมกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นที่สุดก็คือ การที่ราคาหุ้นของกลุ่มนี้ลดลงมากที่สุดและน่าจะลดลงไปถึง 40-50% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ดังนั้น ถ้าเงื่อนไขอื่นผ่านก็จะทำให้การลงทุนให้ผลตอบแทนที่ดีมากถึงกว่า 10% หรืออาจจะถึง 15% ต่อปีในเวลา 3-4 ปีได้ ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว แบงค์ขนาดใหญ่ของไทยน่าจะยังสามารถรักษาธุรกิจหลายอย่างเช่น การบริหารเงินและการปล่อยสินเชื่อไว้ ไม่ถูก Disrupt ได้ ส่วนในด้านของผลประกอบการเองนั้น ผมคิดว่าปัญหาหนี้เสียซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้น น่าจะสามารถประคองตัวให้ผ่านพ้นไปได้ อานิสงส์จากการที่สภาพคล่องการเงินในระบบล้น ดอกเบี้ยต่ำ และการที่แบงค์มีสำรองสำหรับหนี้เสียค่อนข้างมาก ประกอบกับการที่ทางการอนุญาตให้ผ่อนปรนการรับรู้ได้ ก็จะช่วยให้แบงค์สามารถฝ่าวิกฤติไปได้และภายใน 3 ปีหรืออาจจะต้องเป็น 4 ปีก็น่าจะกลับมาทำกำไรได้เหมือนเดิมโดยที่แทบทุกแห่งก็สามารถรักษาสถานะและความเข้มแข็งของตนเองได้ หุ้นกลุ่มสื่อสารหลัก ๆ น่าจะตกลงมาประมาณ 20-40% ดังนั้น ก็เข้าข่ายการลงทุนในเบื้องต้น และเมื่อมองจากลักษณะของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของดิจิตอลแล้ว ผมเองก็คิดว่าไม่น่าจะถูก Disrupt ในด้านของผลประกอบการผมก็คิดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3 ปี ซึ่งน่าจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3-4 ปีเช่นเดียวกัน ส่วนความแข็งแกร่งของบริษัทแต่ละแห่งนั้น ก็ต้องระวังว่าบางบริษัทอาจจะด้อยลงได้อานิสงส์จากการไม่ได้ลงทุนเพิ่มเพราะฐานะการเงินอาจจะไม่ดีนัก ดังนั้น ก็คงต้องดูหากจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ซึ่งจะต้องมองถึงราคาที่ลดลงมาด้วยเพราะมีความแตกต่างกันระหว่างบริษัท กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีและพลังงานที่มาจากปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้น หุ้นก็น่าจะตกลงมาระดับ 30-40% อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มนี้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่การคาดการณ์ผลประกอบการเป็นไปได้ยาก เพราะแม้ว่ารายได้น่าจะกลับมาเท่าเดิมได้ในเวลา 3-4 ปี กำไรก็ไม่มีความแน่นอน ดังนั้น ผมเองจึงไม่แนะนำให้ซื้อแม้ว่ากำไรอาจจะดีขึ้นมากก็ได้ถ้าภาวะเศรษฐกิจโลกดีขึ้นและราคาของสินค้าของบริษัทปรับตัวกลับมาเท่าเดิมหรือดีขึ้น คนที่จะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ก็ควรเป็นคนที่กล้ารับความเสี่ยงสูงกว่าปกติ หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่น่าจะลดลงซัก 20-30% จากช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งอาจจะดูว่าไม่ได้มากนักและอาจจะคล้าย ๆ หุ้นสื่อสารที่ถูกกระทบทางอ้อมจากการที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก และก็เช่นเดียวกับสื่อสาร ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวและทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาเท่าเดิมก่อนโควิด ในส่วนของความสามารถในการแข่งขันหรือความแข็งแกร่งของบริษัทก็น่าจะเหมือนเดิม ดังนั้น การลงทุนในหุ้นของค้าปลีกก็น่าจะให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน คือปีละน่าจะไม่ต่ำกว่า 10% โดยเฉลี่ยใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยเป็นการเติบโตของราคาหุ้น 7-8% และปันผล 2-3% ต่อปี สุดท้ายก็คือหุ้นท่องเที่ยวเดินทางขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นตกลงมา 30-50% เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ถูกกระทบหนักที่สุดในวิกฤติโควิด-19 การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะต้องมีความระมัดระวัง เหตุผลก็คือ เรายังไม่รู้ว่าโรคติดต่อนี้จะจบลงเมื่อไรแม้ว่าโอกาสที่จะมีวัคซีนออกมาจะเป็นไปได้สูงพอสมควร อย่างไรก็ตาม การที่การท่องเที่ยวเดินทางจะปลอดภัยจริง ๆ ก็อาจจะใช้เวลามากกว่าที่คิด ดังนั้น ที่คิดว่าผลประกอบการจะกลับมาเท่าเดิมภายในเวลาประมาณ 3-4 ปีก็อาจจะไม่ใช่ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความแข็งแกร่งหรือฐานะทางการตลาดและการแข่งขันก็อาจจะไม่เหมือนเดิมเนื่องจากฐานะการเงินที่อาจจะอ่อนแอลงมากอานิสงส์จากการขาดทุนหรือกำไรที่หายไปมากในช่วงที่ยังต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากโควิด นอกจากนั้น ก็ยังมีปัจจัยในด้านของพฤติกรรมการท่องเที่ยวเดินทางที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น การใช้เทคโนโลยี “ซูม”แทนที่การปรากฏตัวหรือการแข่งขันที่มาจาก Airbnb เป็นต้น ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้น ยังมีหุ้นอีกหลายกลุ่มที่มีหุ้นขนาดใหญ่ที่มีราคาตกลงมามากที่ผมไม่ได้พูดถึง เช่นโรงพยาบาลหรือกลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นต้น แต่การวิเคราะห์ก็จะเป็นแบบเดียวกัน และผมคิดว่า การลงทุนในหุ้นเหล่านั้นอย่างถูกต้องก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้เช่นเดียวกัน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2020/11/02/2407 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นใหญ่ หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ราคาทองคำจะไปได้ไกลแค่ไหน? - FINNOMENA ช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ราคาทองคำได้ทะลุระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นที่เรียบร้อย ผู้คนมากมายหลายสำนักได้ปรับเป้าราคาทองคำในอีก 12 เดือนข้างหน้าไปที่ระดับ 2,100-3,000 ดอลลาร์ สรุปแล้ว… ราคาทองคำไปต่อได้อีกแค่ไหน? 30 ต.ค. 2563 ช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ราคาทองคำได้ทะลุระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นที่เรียบร้อย ผู้คนมากมายหลายสำนักได้ปรับเป้าราคาทองคำในอีก 12 เดือนข้างหน้าไปที่ระดับ 2,100-3,000 ดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่านักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินผู้คลั่งไคล้ในทองคำเริ่มถกเถียงกันในเรื่องราคาทองคำที่อาจพุ่งสูงไปได้มากกว่านั้นและอาจไปถึง 5,000-25,000 ดอลลาร์/ออนซ์เลยทีเดียว โดยมีเหตุผลสนับสนุนอย่างการล่มสลายของระบบการเงินแบบเดิม ๆ และการย้อนกลับไปใช้ระบบเงินตราที่ใช้สินทรัพย์อย่างทองคำเป็นตัวค้ำมูลค่าของเงิน และหากเราใช้วิกฤติการเงินปี 2008 ที่มีการทำมาตรการ QE เช่นเดียวกันกับตอนนี้ ก็จะเห็นได้ว่าในช่วงนั้นราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้น ในกรอบเวลารายเดือน ดัชนี S&P ทำจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม ปี 2007 โดยราคาทองคำในตอนนั้นอยู่ที่ระดับ 797 ดอลลาร์/ออนซ์ ราคาทองคำทำจุดสูงสุดในเดือนสิงหาคมปี 2011 ที่ระดับ 1,826 ดอลลาร์/ออนซ์ (ปรับตัวขึ้น 129%!) และถ้าหากการปรับตัวแบบ 129% จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ราคาทองคำในยุคนี้อาจทะลุระดับ 4,400 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือราคาทองคำกำลังชดเชยปริมาณเงินในระบบแบบ M2 ราคาทองคำทำจุดสูงสุดในเดือนสิงหาคมปี 2011 ที่ระดับ 1,826 ดอลลาร์/ออนซ์ นับตั้งแต่นั้นมา ปริมาณเงินแบบ M2 ในหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 94% และหากเราตั้งสมมติฐานว่าปริมาณเงินแบบ M2 จะเพิ่มขึ้น 94% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 ทองคำอาจมุ่งหน้าไปยังจุดหมายถัดไปที่ 3,500 ออนซ์/ดอลลาร์ สรุปแล้ว… ราคาทองคำไปต่อได้อีกแค่ไหน? เอาจริง ๆ แล้วดูเหมือนว่าราคาทองคำจะสามารถข้ามผ่านระดับ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ไปได้ โดยการทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบที่แล้วเกิดจากการที่เหล่านักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบการเงิน ดังนั้นการที่ทองคำจะไปต่ออีก 50% อาจต้องการปัจจัยหนุนอย่างการที่เหล่านักลงทุนเริ่มมีความเชื่อว่าระบบการเงินในยุคปัจจุบันนี้ได้มาถึงจุดสิ้นสุดเป็นที่เรียบร้อยหรือการที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่การระบุเป้าหมายหรือให้คำแนะนำ แต่เป็นเพียงการแสดงภาพให้เห็นเท่านั้นครับ Andrew Stotz แปลและเรียบเรียงจาก: https://becomeabetterinvestor.net/how-high-can-the-gold-price-go/ **All Weather Strategy พอร์ตกองทุนรวมจัดโดย Andrew Stotz ซึ่งจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว ในขณะที่ลดความรุนแรงของการขาดทุนในช่วงภาวะตลาดขาลง หากสนใจสร้างแผนการลงทุน สามารถคลิกที่นี่ https://www.finnomena.com/guruport-andrew-all-weather-create/ หรือแบนเนอร์ข้างล่างได้เลยครับ แท็ก: Advance Article GURUPORT Product Recommend Short Content ทองคำ ราคาทอง แชร์บทความ: ผู้เขียน Andrew Stotz นักวิเคราะห์และนักวิจัยที่มีประสบการณ์ในวงการการเงินการลงทุนกว่า 20 ปี ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง A. Stotz Investment Research (ASIR)
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Ant Group ไม่ใช่แค่ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่อาจจะเปลี่ยนโลกการเงินทั้งใบ - FINNOMENA เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า Ant Group ได้รับการอนุมัติการยื่นขอไฟลิ่ง IPO ในตลาดฮ่องกง ซึ่งทำให้ Ant Group จ่อเป็นการเสนอขายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก 27 ต.ค. 2563 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า Ant Group ได้รับการอนุมัติจาก China Securities Regulatory Commission (CSRC) สำหรับการยื่นขอไฟลิ่ง IPO ในตลาดฮ่องกง ซึ่งทำให้ Ant Group จ่อเป็นการเสนอขายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ที่มูลค่าประมาณ 34.4 พันล้านดอลล่าร์ โดยจะจดทะเบียนใน 2 ตลาด ทั้งตลาดหุ้นฮ่องกง และ จีนแผ่นดินใหญ่เอง โดย IPO รอบนี้ จะเป็นการแซงการ IPO มูลค่า 29.4 พันล้านดอลลาร์ของหุ้น Saudi Aramco ที่เพิ่งทำการระดมทุนไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี้เอง Ant Group ทำอะไร? จุดเริ่มต้นของ Ant Group มาจาก เมื่อปี 2014 ผู้บริหารของ Alibaba ตัดสินใจแยก Business Unit ด้านการชำระค่าสินค้าออนไลน์ (Alipay) ออกจากธุรกิจหลัก แล้วตั้งเป็นบริษัทให้ชื่อว่า Ant Financial Services Group แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงอย่างที่เราเรียกในปัจจุบันว่า Ant Group ทั้งนี้นอกจาก Alipay แล้ว ธุรกิจในเครือ Ant ก็ยังมี Yu’e Bao ที่เป็นบริการซื้อกองทุนรวมผ่าน Alipay, Huabei บริการสินเชื่อรายย่อย และ MYbank ธนาคารออนไลน์ ถามว่า ถ้า Ant Group สามารถ IPO สำเร็จตามเป้าหมาย ขนาดจะใหญ่แค่ไหน? คร่าวๆ หากมี Demand ล้นตามที่ผู้บริหารให้ข่าวจริง หลัง IPO สำเร็จ Ant Group จะมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นไปอยู่ที่ 320,000 ล้านดอลลาร์ หรือ ราวๆ 9.9 ล้านล้านบาททีเดียว และกลายเป็นสถาบันการเงินที่มีมูลค่ากิจการใหญ่ที่สุดในโลกแซงหน้าทั้ง JPMorgan และ ICBC ทันที และมีขนาดใหญ่มากกว่า 4 เท่าของ Goldman Sachs!! จากที่ Ant Group รายงาน ตามกำหนดการ บริษัทฯ คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในทั้งตลาดเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงในสัปดาห์หน้านี้แล้ว ซึ่งถือเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นในฐานะศูนย์กลางการจัดหาเงินทุนของฮ่องกง ที่ถูกสั่นคลอนมาตลอดจากความไม่สงบและการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ การเดินหมากที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ย้อนกลับไป นับตั้งแต่ตเนปี 2018 เป็นต้นมา ทำเนียบขาว นำโดยปธน.โดนัล ทรัมป์ ได้ทำการเปลี่ยนการดำเนินนโยบายทางการค้าต่างประเทศ ด้วยการตั้งกำแพงภาษีกับประเทศจีนมาเรื่อยๆ กีดกันเทคโนโลยีที่พัฒนาจากบริษัทสัญชาติจีน รวมถึง มีการขู่ว่าจะจำกัดการเข้าถึงตลาดทุนของบริษัทในจีน ในการเข้าระดมทุน หรือจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายต่างๆของสหรัฐฯ ทำไปก็เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายในประเทศของตัวเอง ที่กำลังสูญเสีย Competitiveness เพราะสิทธิบัตรและเทคโนโลยีในยุคต่อไปอย่าง 5G ไปอยู่ในมือของบริษัท Huawei เป็นส่วนใหญ่ รวมถึง การที่ GDP ของสหรัฐฯ เองมีสิทธิโดนจีนแซงภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า เกมส์สกัดขา และทำทุกวิถีทางไม่ให้อำนาจใหม่เงยหน้าอ้าปากจึงเริ่มต้นขึ้น แต่ก็อย่างที่เห็นครับ การรับมือในเชิงนโยบายของประเทศจีนนั้น ทำด้วยความยืดหยุ่น นิ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยนัยยะ เพราะไม่ใช่แค่ IPO ของ Ant Group เพียงเท่านั้น เหล่าบริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง NetEase และ JD.Com ก่อนหน้านี้ ก็ปรับแผนกลับมาระดมทุนหลายพันล้านจากการ IPO ผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง คำพูดของแจ็ค หม่าที่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ IPO ครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดขึ้นนอกเมืองนิวยอร์ก และ เราคงไม่กล้าคิดเรื่องนี้เมื่อห้าปีหรือสามปีที่แล้ว” ซึ่งเขาได้กล่าวในงาน Bund Summit ที่จีนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ตีความได้ว่า โลกเราได้เปลี่ยนไปแล้ว Ant Group น่าสนใจขนาดนั้นเลยหรือ? ต้องบอกว่า จังหวะเวลาที่ Ant Group เลือกที่จะ IPO ในครั้งนี้ น่าจะผ่านการคิดและไตร่ตรองมาอย่างดี ไม่แพ้ยุทธศาสตร์ด้านทำเล เพราะ เป็นจังหวะที่นักลงทุนในตลาดทั้งโลกหันหน้าหนีให้กับหุ้นสถาบันการเงินแบบเดิมๆ ซึ่งจะเห็นได้จาก ดัชนีหุ้นกลุ่ม Financials Select Sector ที่สหรัฐฯ ที่ยังต่ำกว่าระดับตอนต้นปีถึง -17% หรือ ถ้าดูหุ้นธนาคารในไทย จาก Infographic ของลงทุนแมน ก็จะเห็นว่า ปรับตัวลงมาเฉลี่ยมากกว่า -30-40% ทีเดียวในรอบ 1 ปี สะท้อนว่า ธนาคารกำลังเจอวิกฤตครั้งใหญ่ และนักลงทุนก็มองไม่เห็นอนาคตของธุรกิจนี้จากผู้เล่นรายเดิม การ IPO รอบนี้ของ Ant Group ต้องบอกว่าร้อนแรงมากๆ เพราะ เหล่าผู้จัดการการเงินรายใหญ่ของโลกไม่ว่าจะเป็น T. Rowe Price Group Inc. , UBS Asset Management และ FMR LLC ต่างก็ให้ความสนใจในการขอเสนอซื้อ IPO รวมไปถึงกองทุนแห่งชาติ หรือ sovereign wealth fund ของสิงคโปร์ อย่าง Temasek และกองทุนประกันสังคมแห่งชาติของประเทศจีนเอง ก็ให้ความสนใจลงทุนใน Ant Group เช่นเดียวกัน และแน่นอนว่าบริษัทแม่อย่าง Alibaba เองก็ตั้งใจที่จะซื้อหุ้น Ant Group ใหม่ด้วยเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ประมาณ 32% จะหา FinTech ตัวอื่นนอกประเทศจีน ที่มีขนาดใหญ่ได้เท่ากับ Ant Group ณ ตอนนี้ ต้องถือว่ายากมากจริงๆ และความสำเร็จในการ IPO ครั้งประวัติศาสตร์ ก็จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศจีนและเกาะฮ่องกงในสายตาของนักลงทุนที่ยังกังวลอยู่ว่า เกมส์สงครามการค้าจะดำเนินต่อไป แล้วจีนจะไปสู้อะไรกับสหรัฐฯได้? ให้กลายเป็น โอกาส สำหรับนักลงทุนที่พร้อมจะยืนอยู่ข้างจีนในอนาคต เดินหมากเดียว อาจทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่นอกตลาดที่จ่อจะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ หันมาหาจีน ซึ่งมีทั้งเงินถุงเงินถัง และยังผ่อนปรนกฏ และเกมสม์ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับนโยบายของสหรัฐฯแบบนี้ไปเรื่อยๆ แถมพี่จีนยัง… สามารถจัดการวิกฤตโควิด-19 ได้ดี จนมีลักษณะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ V-Shape และไม่เจอตัวเลขติดลบเหมือนที่อื่นในโลกในปีนี้ แถมมาตราการหรือนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ก็ยังคงมี Room ในการกระตุ้นอีกมาก ใช้กระสุนไปไม่เยอะเท่าฝั่งสหรัฐฯ หรือ ยุโรป มีเเผนปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเข้าสู่ New Economy ชัดเจน และ วางยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลงมาตั้งแต่ปธน.ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง และเน้นการเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศ บอกแล้ว Ant Group จะไม่ใช่แค่ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่อาจจะเปลี่ยนแกนโลกการเงินทั้งใบหลังจากนี้เลยก็เป็นไปได้นะครับ แหล่งข้อมูล : https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-10-26/jack-ma-s-ant-raises-about-34-5-billion-from-asian-ipos https://www.bloombergquint.com/markets/ant-group-has-set-pricing-for-world-s-largest-ipo-jack-ma-says https://www.cnbc.com/2020/06/11/netease-hong-kong-listing-shares-rise-at-open-on-first-day-of-trading.html https://www.spglobal.com/spdji/en/indices/equity/financial-select-sector-index/#overview https://www.longtunman.com/25795 Mr.Messenger รายงาน แท็ก: แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr.Messenger "ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ รู้จักกันในนามแฝงในเว็บบอร์ดพันทิพย์ ห้องสินธร ว่า “Mr.Messenger” เจ้าของ Blog http://iammrmessenger.com ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management และ กรรมการบริหาร บลน.ฟินโนมีนา"
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
อัปเดตกองทุน TMBCOF กองทุนหุ้นจีนยอดฮิต ! - FINNOMENA เมื่อดูเศรษฐกิจรายประเทศในปีนี้ที่โควิดแพร่กระจายไปทั้งโลก จะเห็นชัดเลยว่าจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่สามารถฟื้นตัวแบบ V-Shape สำเร็จ ส่งผลดีมายัง TMBCOF ที่หุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่พึ่งพาเศรษฐกิจจีน แล้วหุ้นในพอร์ต TMBCOF ที่ได้ผลดีจากเศรษฐกิจจีน V-Shape มีอะไรบ้างมาดูกัน 26 ต.ค. 2563 จุดเด่นของ TMBCOF เป็น Active Fund (มีผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นให้) ข้อดีคือ หุ้นจีนหลายตัวยังอยู่ในช่วงการแข่งขันที่รุนแรงและนโยบายรัฐมักเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หุ้นที่เคยเป็นดาวเด่นกลายเป็นดาวดับ ดังนั้นการมีผู้จัดการกองทุนช่วยเลือกหุ้นให้จะสามารถปรับพอร์ตตามสถานการณ์ได้เร็วขึ้น กองทุนลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้ชนะอย่างชัดเจนและยังเหลือขนาดตลาดอีกมหาศาลให้ขยายต่อ นโยบายกองทุนจะลงทุนในหุ้นที่มีรายได้เติบโตสูงจากในประเทศจีน แต่ไม่ได้ถูกจำกัดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ช่วยให้สามารถลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มักเลือกเข้าตลาดหลักของโลกอย่าง Nasdaq และ Hong Kong ตัวอย่างเช่น Alibaba เลือกจดทะเบียนในสหรัฐและฮ่องกง (ถ้าเลือกกองทุนหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่จะอด) แล้วทำไมต้องหุ้นจีน ?! เมื่อดูเศรษฐกิจรายประเทศในปีนี้ที่โควิดแพร่กระจายไปทั้งโลก จะเห็นชัดเลยว่าจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่สามารถฟื้นตัวแบบ V-Shape สำเร็จ (หดตัวแล้วฟื้นแรงเลย) GDP จีนหดตัวเพียงช่วงไตรมาส 1 แล้วฟื้นตัวดีมาตลอด สวนทางกลับเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐคู่ปรับสำคัญที่กำลังลุ้นว่าจะต้องรออีกกี่ไตรมาสกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ชัดเจน การฟื้นตัวแบบ V-Shape ส่งผลดีมายัง TMBCOF ที่หุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่พึ่งพาเศรษฐกิจจีน หนุนให้ผลตอบแทนกองทุน +21% แล้ว (นับตั้งแต่ต้นปี) แต่ถ้าเริ่มดูจากจุดต่ำสุดในปีนี้ (เดือนมีนาคม) กองทุนจะ +44% เลย ! (ข้อมูลจาก FINNOMENA วันที่ 18 ตุลาคม 2563 นะครับ ดูข้อมูล TMBCOF ปัจจุบัน แล้วหุ้นในพอร์ต TMBCOF ที่ได้ผลดีจากเศรษฐกิจจีน V-Shape มีอะไรบ้างมาดูกัน หุ้นที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับเเรก (% ที่กองทุนถือเป็นค่าประมาณ) ข้อมูลของเดือนสิงหาคม 2563 1. Alibaba Group ถือ 10% E-Commerce ใหญ่อันดับ 1 ในแดนมังกรนั่นเอง มีทั้ง Platform อย่าง Taobao และเว็บไซต์ห้างสรรพสินค้าอย่าง T-Mall ซึ่งล่าสุดเทศกาล 618 เพียงวันเดียวก็ได้ยอดสั่งสินค้าผ่านระบบไปกว่า 7 แสนล้านหยวน มีการขยายธุรกิจมาในอาเซียนด้วยการลงทุนใน Lazada ที่เป็น E-Commerce อันดับต้น ๆ ในไทย ซึ่ง Alibaba ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ดูแลระบบขนส่งสินค้าไปจนถึงการเก็บเงิน ทำให้สินค้าส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว 2. Tencent ถือ 10% บริษัทเจ้าของ Social Platform อันดับ 1 ของจีน นั้นก็คือ “WeChat” นั่นเอง มีผู้ใช้งานถึง 1,100 ล้านคน ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คงเหมือนกับ LINE ที่รวมร่างกับ Facebook+Instagram+Shopee+Grab+Agoda เรียกว่าแอปฯ เดียวครบหมดทุก Social ทำให้คนจีนใช้เวลาในโลกออนไลน์ผ่าน WeChat เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้รายได้อีกส่วนหนึ่งของ Tencent นั้นมาจากเกมด้วย พูดชื่อไปคนไทยจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน เพราะนี่คือบริษัทที่สร้าง RoV นั้นเอง 3. TAL Education Group 9% ชื่อเต็มคือ Tomorrow Advancing Life บริษัทติวเตอร์ยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีการติวหนังสือแบบสอนในห้องเรียนและติวผ่านทางออนไลน์ โดยมี AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมเด็กเพื่อแนะนำหลักสูตรที่เหมาะสมที่สุด เพราะการเเข่งขันทางการศึกษาในจีนสูงมาก ธุรกิจติวเตอร์จึงมีความต้องการมากเช่นกัน รายได้ตั้งแต่ปี 2011 มีการเติบโตสูงเฉลี่ยปีละ 46% แม้จะเกิด Covid ทำให้ต้องสั่งปิดโรงเรียน แต่ TAL ก็ไม่หวั่น หุ้นยังคงทำ High ได้เรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นผู้ได้ประโยชน์จากเด็กเรียนออนไลน์ 4. Ping An Insurance ถือ 6% บริษัทประกันรายใหญ่ที่สุดของจีน มีการใช้เทคโนโลยีมาเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ เเละมีการขายประกันออนไลน์ด้วย ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ถ้าพิจารณาเพียงธุรกิจประกันภัยของ Ping An บริษัทได้ประโยชน์จากการปิดเมือง (Lockdown) เนื่องจากเมื่อไม่มีคนออกมานอกบ้าน อุบัติเหตุจึงไม่เกิด ไม่มีคนเคลมประกัน ทำให้ Ping An จึงได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้ยังลงทุนธุรกิจอีกมาก เช่น Lufax ให้บริการบริหารทรัพย์สินมีฐานลูกค้ากว่า 20 ล้านคน และเป็นเจ้าของ Ping An Good Doctor ที่เป็น Telemedicine Platform หรือบริการพบแพทย์ออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานถึง 250 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีการเตรียมพร้อมกับโลกยุค Digital จริง ๆ 5. Kweichow Moutai ถือ 5% ชื่อที่คนไทยคุ้นเคย คือ เหมาไถ บริษัทจำหน่ายสุราเกรดพรีเมี่ยมที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในประเทศ ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มประจำชาติ และด้วยเหตุผลนี้กับความนิยมดื่มที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางในจีนจากการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เหมาไถได้รับความนิยมอย่างมาก จึงไม่แปลกเลยที่ Moutai นั้นได้ทำ All-Time High ตลอดแม้จะเป็นยุคโควิดก็ตาม กองทุน TMBCOF เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากตัดใจพอกันทีกับ “หุ้นไทย” แล้วเราจะทยอยอัปเดตกองทุนหุ้นต่างประเทศที่เด็ด ๆ ออกมาเรื่อย ๆ คอยติดตามกันเลย ! #เราไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ จากการเขียนบทความนี้ BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/3943207659027672 Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article Product Info Short Content TMBCOF กองทุนจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หมากเกมนี้ - FINNOMENA SET Index มาถึง 1,200 จุดแล้ว ผมตกใจหรือไม่ กับการลงมาเที่ยวนี้ คำตอบคือไม่ตกใจเลย มันเป็นระดับที่ผมรอคอยมานานเกือบ 4 เดือน นับตั้งแต่ 1,450 จุด ผมได้ Live ไปหลายต่อหลายครั้งว่า SET Index กำลังจะเป็น Sideway Down และจะกลายร่างเป็น Down Trend ในไม่ช้า 28 ต.ค. 2563 SET Index มาถึง 1,200 จุดแล้ว ผมตกใจหรือไม่ กับการลงมาเที่ยวนี้ คำตอบคือไม่ตกใจเลย มันเป็นระดับที่ผมรอคอยมานานเกือบ 4 เดือน นับตั้งแต่ 1,450 จุด ผมได้ Live ไปหลายต่อหลายครั้งว่า SET Index กำลังจะเป็น Sideway Down และจะกลายร่างเป็น Down Trend ในไม่ช้า แม้ว่าดัชนีลงมาตามนั้น แต่เรื่องราวที่ดึงมันลงมากลับไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะผมไม่ใช่หมอดูที่จะมาทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ คำถามคือจากนี้ 1,200 จุด จะเป็นอย่างไรต่อ และ การเมืองจะทำให้ตลาดพังหรือไม่ ? ผมมองว่าสถานการณ์การเมืองตอนนี้มันก้าวข้ามผ่านคำว่าเกมง่ายมาแล้ว มันไม่ใช่แค่เกม เธอต่อยมาฉันสวนกลับ ไม่ใช่แค่เกมใครมีกำลังมากกว่าก็ชนะแน่นอน แต่มันเข้าสู่โหมดเกมกลยุทธ์ชิงไหว ชิงพริบ การเดินหมากแต่ล่ะก้าว เต็มไปด้วยความนัยซับซ้อน ทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น เพราะต่างฝ่าย ต่างมีจุดแข็ง มีจุดอ่อน และมีสิ่งที่ทำได้ กับทำไม่ได้ อยู่ ? ฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน มีจุดแข็งอยู่ตรงที่ ยังคงกุมเสียงข้างมากในสภาฯ (หรือมีฝ่ายนิติบัญญัติเป็นพวก) มีแรงสนับสนุนจากสถาบันฯต่างๆ เช่น ทหาร ตำรวจ หรือ สถาบันตราชั่ง ซึ่งไม่ได้เหมือนสมัย รัฐบาลอดีตนายกฯสมัคร หรือ อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ด้วยพลังเข้มแข็งเช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลจึงเป็นไปได้ยาก เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล หรือเปลี่ยนสภาฯ ทำได้ยาก การไปเร่งเกมแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่กลุ่มผู้ชุมนุมต้องการจึงเป็นไปได้ยากเช่นกัน ขณะที่จุดอ่อนอยู่ที่ ภาพลักษณ์ ที่สลัดคราบ คสช. ไม่พ้น และการดำเนินการใช้กฎหมาย หรือการดำเนินการที่จะไปปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม สุ่มเสี่ยงที่จะเจอกระแสต่อต้านจากภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะนอกประเทศ ซึ่งกระแสต่อต้านจากต่างประเทศนี่แหละที่ผมคิดว่าทำให้เกิดการปราบปรามโดยใช้กำลังทหารมันเกิดไม่ได้ เพราะภาพของกลุ่มผู้ชุมนุมเน้นไปที่คนรุ่นใหม่เป็นน้องๆนักเรียน นักศึกษา การจะไปปราบก็เตรียมเจอการแบนจากต่างประเทศได้เลย เหมือนอย่างที่สหรัฐแบนเจ้าหน้าที่จีนจากกรณีปราบม็อบที่ฮ่องกง ขณะที่ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรปที่หลายๆประเทศยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนก็เลือกที่จะนิ่งเฉย แต่นั่นคือจีนที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่วนไทยหากจะมีการแบนผมเชื่อว่าเราจะโดนรุมยำแน่นอน มันจะไม่ใช่แค่สหรัฐ แต่จะมีหลายๆประเทศในยุโรปแบนเรา ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส และ… เยอรมัน ดังนั้นการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจึงเกิดขึ้นได้ยาก ขณะที่การใช้กำลังตำรวจก็ต้องทำบนหลักสากล แต่จะให้ปราบยังไงในเมื่อคนเยอะขนาดนี้ เราจึงได้เห็นการปรับยุทธวิธีของรัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ชุมนุม แม้จะดำเนินเร่งเกมตีเหล็กตอนร้อน แต่จากประกาศล่าสุดของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมวันนี้ (21 ต.ค.63) การชุมนุมในวันนี้เราทุกคนคือแกนนำ ซึ่งหน้าที่สำคัญของแกนนำทุกคนคือ อำนวยการชุมนุมให้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ให้มีการกระทำหรือยั่วยุที่จะนำพาไปสู่ความรุนแรง การทำลายทรัพย์สิน หรือการทำร้ายร่างกาย ร่วมกันยับยั้งเมื่อพบเห็นการสร้างสถานการณ์ หรือการใช้ความรุนแรง ด้วยวิธีการที่สงบ เพื่อระงับเหตุให้ยุติลงอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพยายามเน้นไปที่การแสดงเชิงสัญลักษณ์หลีกเลี่ยงความรุนแรง แต่การชุมนุมในลักษณะนี้ต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดหมาย จุดอ่อนจึงอยู่ที่ความยากในการควบคุม ขณะที่รัฐบาลเดินเกมเบาด้วยการประกาศตราพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ เพื่อหารือแก้ปัญหา โดยไม่ลงมติในวันที่ 26-27 ต.ค.63 ผมมองการประชุมสภาฯ ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนัก รัฐบาลเองก็คงยืนยัน นายกฯและ ครม. ไม่ลาออก ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยก็คงเน้นให้นายกฯลาออกโดยไม่ยุบสภา ส่วนก้าวไกลก็เน้นปฎิรูปสถาบันฯ มันก็คุยกันคนล่ะอย่างอีกน่ะแหละ แต่อย่างไรก้ตามเชื่อว่าน่าจะเห็นข้อสรุปการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 และการยกเลิก พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรง เป็นทางออกในการแก้ปัญหา เกมระหว่างรัฐบาลและผู้ชุมนุม จึงมีแนวโน้มเป็นไปในลักษณะ ลากยาวๆ ภาพของตลาดหุ้นก็จะเหมือนฮ่องกงโมเดล คือเดี๋ยวตลาดก็จะชิน SET Index จึงมีแนวโน้มที่จะแกว่งออกข้างเลียดพื้นบริเวณ 1,200 จุดไปอีกเรื่อยๆ ผมคาดว่าถ้าเป็นไปตามนี้ หลังจากตลาดพ้นแรงกดดันเรื่องการประกาศงบแล้ว และการเมืองเป็นไปตามที่บอกไว้ข้างต้นคือต่างฝ่ายต่างเดินเกมยาว SET Index ควรจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 4 และฟื้นต่อในปีหน้า โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลเปิด Travel Bubble และโลกมีวัคซีนใช้ มีความหวังกับประเทศไทยเสมอ ประกิต สิริวัฒนเกตุ แท็ก: แชร์บทความ: ผู้เขียน ประกิต สิริวัฒนเกตุ อยู่ในอาชีพนักวิเคราะห์ เทคนิค อนุพันธ์ และเป็นนักกลยุทธ์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานมา 12 ปี ผู้ต้องการเปิดกะลาของตัวเองออกสู่โลกการลงทุนที่แท้จริง ใฝ่ฝันที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่งคั่งยั่งยืน เพื่อการเป็นอิสรภาพทางการเงินโดยสมบูรณ์
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุป LIVE: เจาะลึกธุรกิจ Gaming Industry ไปกับกองทุน LHESPORT - FINNOMENA ปัจจุบันยอดผู้ชมกีฬา Esports แซงหน้ายอดผู้ชมกีฬาดังอย่าง NBA ไปแล้ว นี่คือโอกาสที่นักลงทุนจะได้ลงทุนในอุตสาหกรรมเกมง่าย ๆ ผ่านกองทุนรวม เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจ Gaming Industry ไปกับกองทุน LHESPORT กันครับ 23 ต.ค. 2563 <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> “84 ล้านคน” ประเทศอเมริกามีผู้ชมกีฬาฮ็อกกี้น้ำแข็ง (NHL: National Hockey League) อยู่ 32 ล้านคน มีผู้ชมกีฬาบาสเก็ตบอล (NBA: National Basketball Association) อยู่ 63 ล้านคน มีผู้ชมกีฬาเบสบอล (MBL: Major League Baseball) อยู่ 79 ล้านคน แต่ “84 ล้านคน” คือตัวเลขผู้ชมกีฬา Esports ในสหรัฐอเมริกาฯ เอาชนะทุกลีคกีฬา เป็นรองแค่อเมริกันฟุตบอลหรือ NFL (National Football League) เท่านั้น จากตัวเลขก็คงบอกได้ว่ากระแส Esports ที่พูดถึงกันมานาน ตอนนี้มันมาแล้วแน่ ๆ Esports สามารถดึงดูดผู้คนได้เป็นจำนวนมาก เมื่อดึงดูดผู้คนมาก เม็ดเงินก็ไหลเข้ามามาก ทั้งการจับจ่ายของผู้บริโภคเอง รวมถึงเม็ดเงินจากโฆษณา เมื่อเม็ดเงินเข้ามามาก ก็มีโอกาสเติบโตมาก และเมื่อมีโอกาสเติบโตมาก นั่นก็คือ “โอกาสในการลงทุน” นั่นเอง เมื่อก่อนถ้าจะลงทุนใน Gaming Industry ต้องไปลงใน ETF ซึ่งเลือกลงทุนเองยาก แต่ตอนนี้นักลงทุนสามารถลงทุนใน Gaming Industry ผ่านกองทุนรวมได้แล้ว โดยลงทุนผ่านกอง LHESPORT กองทุน IPO ใหม่จาก บลจ. LHFund ซึ่ง FINNOMENA Review เทปนี้เราได้ผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน คือ คุณณัฐพล คำวงษา นักกลยุทธ์ฝ่ายการลงทุน บลจ. LHFund และคุณพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการกองทุน บลจ. LHFund มาเล่าให้เราฟังแบบเจาะลึก กองทุนนี้เป็นยังไงบทความนี้จะมาสรุปให้ฟัง 1. อุตสาหกรรมนี้น่าสนใจยังไง เม็ดเงินใหญ่แค่ไหน สมัยก่อนเล่นเกมเราต้องมีเครื่องเล่นเกม (Console) ซึ่งราคาสูง ถ้าอยากได้เกมใหม่เพิ่มก็ต้องไปซื้อเกมใหม่ ส่วนตอนนี้คนจำนวน 8,000 ล้านคนทั่วโลก 4,500 ล้านคนมีสมาร์ทโฟน (ที่เล่นเกมได้) อุตสาหกรรมเกมถูกส่งตรงเข้ามือถือ ยังไม่ได้นับคอมพิวเตอร์ที่เดี๋ยวนี้ก็มีกันแทบทุกบ้าน เปรียบเทียบให้เห็นคือโอกาสในอุตสาหกรรมมันใหญ่มาก แถมอุตสาหกรรมเกมไม่ได้มีแค่ผู้ผลิตเกมแล้วขึ้นมาแล้วก็จบ แต่ยังสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตอุปกรณ์เล่นเกม อย่างเช่น หน้าจอ, คีย์บอร์ด, หูฟัง, เก้าอี้นั่ง สถานที่จัดอีเวนต์แข่งขันเกม ช่องทางการรับชม เช่น Youtube หรือ Twitch ทีมนักกีฬา Esports นอกจากนี้ ส่วนที่มีมูลค่ามากที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ ก็คือเม็ดเงินจากสปอนเซอร์ และแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนวงการนี้ ซึ่งจากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้รายได้ของอุตสาหกรรม Esports โตขึ้นถึงปีละ 15% 2. ปัจจัยหนุนให้เติบโตไปข้างหน้า หลังจาก COVID-19 ทำให้คนดาวน์โหลดเกมมาเล่นเยอะขึ้น คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มออนไลน์ พฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางนี้ Revenue Model ของอุตสาหกรรมเกมมีความหลากหลายมากขึ้น เมื่อก่อนต้องขายเกมให้ได้อย่างเดียว แต่ ณ ตอนนี้มีเปิดให้เล่นเกมฟรี แล้วใช้วิธีให้ไปเติมเงินเพื่อซื้อของในเกมแทน หรือโมเดลรายได้แบบ Subscription ซึ่ง Reed Hastings, CEO ของ ทางNetflix ถึงกับบอกว่า ทางเขาไม่ได้มอง HBO เป็นคู่แข่ง แต่มองว่า Fornite (เกมออนไลน์ที่โด่งดังมากในอเมริกา) นี่แหละคือคู่แข่ง เนื่องด้วยระบบ Subscription แล้วให้สิทธิพิเศษ ทำให้คนเล่นติดงอมแงมเล่นได้ทั้งวันยิ่งกว่าติดดูซีรีส์เสียอีก ณ ตอนนี้เกมในโทรศัพท์ ถือว่ามาแรงมาก และเทคโนโลยีในโทรศัพท์ก็พัฒนามากขึ้น จนมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ PC นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ 3. ปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุน การเลือกตั้งของประเทศสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2020 นี้ เนื่องจากหุ้นที่เกี่ยวกับ Esports ส่วนใหญ่เป็นหุ้นสหรัฐฯ ดังนั้นอาจจะเกิดความผันผวนได้ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวจาก COVID-19 อาจจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคลดลง สปอนเซอร์รัดเข็มขัดมากขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวอาจกินเวลานาน 4. กองทุน LHESPORT ลงทุนในอะไร พูดถึงตัวอุตสาหกรรมไปเยอะ เรามามาเจาะลึกกันที่ตัวกองทุนที่เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนี้กันบ้างกันครับ กองทุน LHESPORT เป็น Feeder Fund ที่เข้าไปลงทุนใน ETF ตัวหนึ่ง ชื่อ VanEck Vectors Video Gaming and eSports ETF (ESPO) ซึ่ง ETF ตัวนี้ลงทุนอ้างอิงกับดัชนี MVIS® Global Video Gaming and eSports Index (MVESPOTR)ไม่ต้องจำชื่อครับ รู้แค่ว่าดัชนีนี้มีหลักเกณฑ์ในการคัดสรรหุ้น คือ ต้องเป็นหุ้นที่มีรายได้มากกว่า 50% มาจากเกมหรือ Esports และหุ้นต้องมีมูลค่าตลาดมากกว่า 150 ล้าน USD โดยสรุป พูดได้เลยว่ากองทุน LHESPORT เข้าไปลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Gaming Industry โดยเฉพาะ เน้นเจาะเข้าไปลงทุนในเซกเตอร์เลย ก่อนที่จะไปดูว่าแต่ละบริษัทที่กองทุนนี้ ถือทำธุรกิจอะไร ทางเราจะขอแวะไปดูผลการดำเนินการก่อนว่า การลงทุนเจาะรายเซกเตอร์แบบนี้ให้ผลตอบแทนอย่างไรบ้าง 5. ผลตอบแทนย้อนหลัง ดูผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี 2020 ของ ESPO จะเห็นว่าเป็นขาขึ้นมาเรื่อย ๆ มีย่อตัวนิดหน่อยตอนเดือนมีนาคมช่วง COVID-19 ระบาดหนัก แต่เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ถือว่าย่อตัวไม่มากเพราะเป็นเซกเตอร์ที่ได้รับผลกระทบน้อย และเมื่อผ่านวิกฤตไปได้ก็สามารถเติบโตต่อแซงหน้าดัชนี S&P 500 ไปไกล ตรงนี้หมายความว่าหุ้นอุตสาหกรรมเกมเป็นผู้ชนะในวิกฤตนี้อย่างแท้จริง และเป็นส่วนนึงที่ดันตัวดัชนีหลักขึ้นมาด้วย แล้วมันโตได้เฉพาะตอนคนอยู่บ้านช่วงกักตัวหรือเปล่า? อันนี้จะต้องย้อนไปดูในช่วงก่อนเกิดวิกฤตกันครับ ย้อนมาดูช่วงปี 2019 ตัว ESPO ก็ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ให้เห็นว่าคนไม่ได้สนใจเกมแค่ช่วงกักตัวเท่านั้น แต่สนใจเกมกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าเราเริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2019 ไปจนถึงเดือนตุลาคมปี 2020 ผลตอบแทนที่เราจะได้ จะสูงถึง 100% เลยทีเดียวครับ 6. เจาะไส้ในกองทุน LHESPORT ภาพด้านบนคือ รายชื่อบริษัท Top 10 ที่กองทุนนี้ลงทุนในสัดส่วนมากที่สุด สำหรับสายเกมจะคุ้นเคยกันดีกับโลโก้พวกนี้ แต่สำหรับท่านที่ไม่ใช่สายเกม บริษัทเหล่านี้ทำอะไรบ้าง? เรามาลองดูรายละเอียดแต่ละบริษัทกันเลยดีกว่า Tencent บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของจีน ถ้า Facebook ใหญ่แค่ไหน Tencent ก็ถือว่าตีคู่กันมาเลย บางคนอาจจะรู้จัก Tencent ในฐานะเจ้าของ WeChat แต่รายได้หลักเกินครึ่ง จริงๆ แล้วมาจากเกมทั้งนั้น ทั้ง League of Legends, PlayerUnknown’s Battlegrounds, Arena of Valor รวมถึง Fornite ด้วย ซึ่ง Tencent เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Epic Games ผู้ผลิตเกม Fortnite อีกที AMD 1 ใน 2 ผู้ผลิตกราฟิกการ์ด หรือ “การ์ดจอ” รายใหญ่ที่ผูกขาดตลาดโลกอยู่ในตอนนี้ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องใช้การ์ดจอ และยิ่งเกมที่ต้องการภาพสวยๆ ยิ่งต้องใช้การ์ดจอที่แพงขึ้น นอกจากเกมแล้วพวก Machine Learning หรือการขุด Bitcoin ก็ต้องใช้การ์ดจอในการประมวลผลด้วยเช่นกัน NVIDIA อีกหนึ่งผู้ผลิตการ์ดจอที่ผูกขาดตลาดนอกจาก AMD ลักษณะธุรกิจเหมือนกันคือผลิตการ์ดจอขาย ถ้าพูดถึงการ์ดจอแล้วยังไงก็หนีไม่พ้น 2 ยี่ห้อนี้แน่นอน ไม่ NVIDIA ก็ AMD ซึ่งกองทุน LHESPORT ลงทุนอยู่ทั้ง 2 ตัว Nintendo บริษัทผู้ผลิตเกมอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ผลิตเครื่องเล่นเกมมากมายที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ GameBoy, เครื่อง Wii, Nintendo 3DS, Nintendo Switch และเป็นผู้ผลิตเกมในมือถือด้วย โดยรายได้หลักของบริษัทตอนนี้มาจากเครื่อง Nintendo Switch ที่ยอดขายโตขึ้นเร็วมากในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา Activision Blizzard อีกหนึ่งผู้ผลิตเกมชื่อดัง เจ้าของซีรีส์เกม Call of Duty, Guitar Hero, เครือ Warcraft และ Star Craft, Hearthstone, Overwatch และ Candy Crush หลายเกมมีการนำไปจัดแข่งขันเป็นลีคใหญ่ ทำให้ความนิยมของเกมเหล่านี้นิยมขึ้นอีก Electronic Arts (EA) คงไม่มีใครไม่เคยเล่นเกม The Sims ใช่มั้ยครับ EA Games นี่แหละที่เป็นเจ้าของเกม The Sims ทุกภาค ถึงตอนนี้จะไม่นิยมเท่าไรแล้ว แต่ EA ก็มีเกมดังๆ ที่ขายดีอีกมายมาย ทั้ง FIFA, Battlefields, Need for Speed ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปซื้อแผ่นมาลง แค่จ่ายเงินซื้อออนไลน์ก็สามารถดาวน์โหลดเกมมาเล่นได้ทันที SEA บริษัทสิงคโปร์ที่สามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ได้ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ได้แก่ Shopee, Airpay, Garena ซึ่ง Garena เป็นผู้ให้บริการเกมดัง เช่น FreeFire และ ROV (จริงๆ เป็นของ Tencent แต่ Garena เป็นผู้นำเข้าและทำการตลาด) เป็นบริษัทที่กำลังโตอย่างรวดเร็วและจะสามารถเทียบชั้นบริษัทอื่นได้ในอนาคต Bilibili แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งวิดิโอ เรียกได้ว่าเป็น Youtube ของแดนมังกร ในประเทศจีนมีคนใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากเป็นเว็บไซต์สำหรับดูคลิปวิดิโอต่างๆ ก็มีการผลิตเกมบนมือถือด้วย ล่าสุดบริษัท Sony ก็เข้าไปลงทุนเป็นจำนวนเงิน 400 ล้านเหรียญด้วย NetEase คนไทยอาจจะไม่คุ้นชื่อเท่าไร แต่ NetEase ผู้ให้บริการเกมรายใหญ่อีกรายหนึ่งในจีน และเป็นพาร์ตเนอร์กับ Blizzard Entertainment ด้วย Take-two Interactive บริษัทผู้ผลิตเกมในสหรัฐอเมริกาฯ เจ้าของเกมซีรีส์ Civilization และ GTA เกมยอดฮิตตลอดกาล นอกจาก Top 10 แล้วกองทุน LHESPORT ยังกระจายการลงทุนในหุ้นเกมอีก 15 ตัว รวมเป็น 25 ตัว อยู่ในภูมิภาคหลักคือ อเมริกา จีน และญี่ปุ่น หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วไม่มี PlayStation กับ Xbox เลยเหรอ? สาเหตุที่ไม่มีการลงทุนในเครื่อง Console ชื่อดังสองเครื่องนี้เป็นเพราะว่า ทั้งบริษัท Sony ที่เป็นเจ้าของเครื่อง PlayStation และบริษัท Microsoft ที่เป็นเจ้าของเครื่อง Xbox รายได้หลักของบริษัทไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมเกม ซึ่งผิดเงื่อนไขในการลงทุนของกองทุน ที่ต้องการเลือกเฉพาะบริษัทที่รายได้เกินกว่า 50% มาจากเกมเท่านั้น เพื่อจำกัดการลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมเกม เลยไม่มีการลงทุนในเครื่อง Console เหล่านี้ครับ สำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุน LHESPORT กองทุน LHESPORT กำลังจะเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 20-28 ตุลาคม 2563 สำหรับนักลงทุนที่เห็นโอกาสใน Gaming Industry และต้องการลงทุน สามารถดาวน์โหลดหนังสือชี้ชวนสรุปข้อมูลสำคัญเพื่อศึกษาดูก่อนได้ โดหากต้องการซื้อสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. LHFund โทร 02 286 3484 หรือติดต่อเข้ามาที่ FINNOMENA โทร 02 026 5100 พิเศษ! นอกจากกองทุน LHESPORT-A (คลาส A ชนิดสะสมมูลค่า) และ LHESPORT-D (คลาส D ชนิดจ่ายปันผล) ทาง บลจ. LHFund ยังเปิดขายกอง LHESPORT-E (คลาส E) ด้วย สำหรับนักลงทุนที่ติดต่อซื้อกองทุนเข้ามาโดยตรงโดยไม่ผ่านผู้แนะนำ โดยคลาส E จะละเว้นค่าธรรมเนียม Front-End ให้กับนักลงทุน เหมาะกับนักลงทุนอิสระที่เลือกลงทุนด้วยตนเองครับ แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW LHESPORT Long Content Product Info แชร์บทความ: ผู้เขียน TUM SUPHAKORN สมาชิกทีม Content Developer ของ FINNOMENA สนใจเรื่องจิตวิทยา ว่าทำไมคนถึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง รวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเงิน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
มาไม่มา? 12 ข้อเจาะลึกหุ้นสนามบินจีน 19 บาท - FINNOMENA ธุรกิจการบินใกล้ตายไปแล้ว New normal กำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างไป เป็นประโยคที่เราได้ยินผ่านช่วงวิกฤติที่ผ่านมา เรามาดูกันว่าหากพิสูจน์ผ่าน Checklists 12 ข้อเหล่านี้หนึ่งในธุรกิจการบินราคาแสนถูกจะหายไปจากเราจริง ๆ หรือ? 21 ต.ค. 2563 ธุรกิจการบินใกล้ตายไปแล้ว New normal กำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างไป เป็นประโยคที่เราได้ยินผ่านช่วงวิกฤติที่ผ่านมา เรามาดูกันว่าหากพิสูจน์ผ่าน Checklists 12 ข้อเหล่านี้หนึ่งในธุรกิจการบินราคาแสนถูกจะหายไปจากเราจริง ๆ หรือ? งัดข้อเท็จจริง 12 ข้อสนามบิน Beijing Capital International Airport มาไม่มา? บริษัทนี้เป็นบริษัทภายใต้การดูแลของ CAHC ซึ่ง CAHC หรือ Capital Airports Holding Company เป็นบริษัททางรัฐของจีนอีกทีที่ถูกถือครองโดย CAAC (Civil Aviation Administration of China) หรือกระทรวงการขนส่งทางอากาศของจีน หรือเราจะสื่ออีกนัยหนึ่งได้ว่าหนี้สินจำนวนมากนั้น มีหลักประกันชั้นเยี่ยมอย่างการที่ทางรัฐเองมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นหลัก ดังนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมาความเป็นไปได้ที่ทางรัฐอาจยื่นมือนำเงินช่วยเหลือมาให้ มีข่าวแว่ว ๆ มาว่าทางรัฐจะปั้นสนามบินแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในสนามบินยิ่งใหญ่สุดไฮเทคในอนาคต ยิ่งหนุนนำการสนับสนุนช่วยเหลือที่กล่าวไว้ก่อนหน้า หากเกิดปัญหาขึ้นมา (ยังหาที่มาไม่เจอครับ คนที่อยู่จีนบอกมาอีกที) การเติบโตของกำไรถือว่าก้าวกระโดดมากในช่วงรอบ 10 ปีที่ผ่านมา กำไรต่อหุ้นเฉลี่ย 3 ปีในช่วงปี 2006-2008 อยู่ที่ 0.19 ในขณะที่กำไรต่อหุ้นเฉลี่ยในช่วงสามปีล่าสุด (2017-2019) อยู่ที่ 0.60 หรือจะเรียกได้ว่าเติบโตมาแบบ 300%! คิดเป็นโดยเฉลี่ยปีละราว ๆ 30% แต่ก็ต้องระวังนิดนึงนะครับเพราะ ต้องอย่าลืมว่ากำไรข้างต้นที่ผมได้เอ่ยมาเป็นกำไรตอนปี 2019 ที่ยังไม่ได้คิดถึงในปี 2020 นี้ที่เป็นปีที่หนักหน่วงของบริษัทจากการปิดประเทศ Current Ratio หรือ สินทรัพย์ระยะสั้นซื้อมาขายไวใช้เพิ่มสภาพคล่องหากบริษัทมีปัญหาเทียบกับหนี้สินระยะสั้นที่ต้องจ่ายภายใน 1 ปี อาจมีสัดส่วนที่ดูแล้วอาจจะไม่ปลอดภัยนัก โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 0.48 หรือได้ว่าสินทรัพย์ระยะสั้นของบริษัทแทบจะมีเท่า ๆ กับหนี้สินระยะสั้น หนี้ระยะสั้นส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนถึง 79.07% ของหนี้สินระยะสั้นทั้งหมดมาจาก CAHC ซึ่งหมายความว่าหนี้สินของบริษัทแทบทั้งหมดมาจากบริษัทหลักที่แบคโดยรัฐอีกที แต่ถึงอย่างนั้นระยะยาวแล้วหากเรามาลองดูหนี้สินต่อทุนทั้งหมด บริษัทนี้มีโครงสร้างหนี้แบบสุดแกร่งและหาได้ยากโดยสัดส่วนหนี้สินทั้งหมดเทียบทุนทั้งหมด (Total Debt/ Total Equity) (D/E) นั้นอยู่ที่ 13.68 หรือเรียกอีกในหนึ่งว่ามีภาระหนี้ที่แบบเข้ม ๆ จัดเต็มก็อยู่แค่เพียง 13.68% ในสัดส่วนที่เทียบกับหนี้ที่มาจากนักลงทุนซึ่งเป็นหนี้ที่ทางบริษัท แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต้องเสียอะไรหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าราคาหุ้นต่อสินทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ 0.76 เท่าเพียงเท่านั้นซึ่งถือว่าไม่ได้สูงมากมาย PE หรือราคาหุ้นเทียบกำไรนั้นถือได้ว่าโคตรถูก! โดย PE รายปีแบบปรับความผันผวน (Normalized) นั้นอยู่ที่ 7.28 เท่าเพียงเท่านั้น และหากจะคิดแบบแฟร์เพลย์ขึ้นมาอีกหน่อยและเอาราคาหุ้นในตอนนี้มาเทียบกับกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยในช่วง 3 ปีล่าสุดก็จะอยู่ที่ 8.02 เท่า กำไรเติบโตย้อนหลังเฉลี่ย 5 ปี (2015-2019) และ 7 ปีย้อนหลัง (2013-2019) อยู่ที่ 12.06% และ 11.70% ตามลำดับ และถือว่าสูงกว่าค่า PE แบบรายปีที่ 7.28 เท่า มาถึงจุดนี้แล้วหลายคนอาจจะสงสัยว่าสนามบินแห่งนี้จะกลับมาได้จริง ๆ เหรอ ก็ต้องบอกกันก่อนว่าจุดพีคของสนามบินนี้ก็คือผู้ใช้บริการหลัก ๆ ไม่ได้มาจากฝรั่งหรือชาวต่าวชาติ แต่มาจากการบินภายในประเทศ! สิ่งนี้หมายความว่าอะไร? มันหมายความว่าหนึ่งในประเทศที่ควบคุมโรคระบาดได้ดีที่สุดในโลกอย่างจีนที่ได้เริ่มมีการปลด Lockdown เป็นที่เรียบร้อย จนทำให้ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกตินั้น อาจทำให้การเดินทางข้ามโพ้นภายในประเทศกลับขึ้นมาอีกครั้ง จึงอาจทำให้รายได้และกำไรกลับมาได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเร่งราคาหุ้นให้ดีดตัวขึ้น โดยสัดส่วนของคนที่บินในประเทศที่ยังไม่รวมฮ่องกง มาเก๊าและไต้หวัน คิดเป็นถึง 68.58% หรือจะเรียกได้ว่าพึ่งพาตนเองเป็นหลักก็คงจะไม่ผิดนัก ข่าวล่าสุดเมื่อต้นเดือน ตุลาคม มีข้อมูลชี้ให้เห็นว่าประชากร 40% ในจีน (คิดเป็นราว ๆ 600 ล้านคน) จะเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศหลังเก็บกฎอัดอั้นกันมานานจากโรคระบาด ซึ่งลดลงหากเราเทียบกับปีที่แล้วที่มีคนท่องเที่ยวภายในประเทศที่ราว ๆ 782 ล้านคน (ลดลงมา 25%) แต่ถึงอย่างนั้นสิ่ง ๆ นี้ก็อาจจะดีพอที่ช่วยพลิกฟื้นรายได้ให้กลับมา หลุมพรางจากมุมมอง (Pitfall) ข้อมูลอย่างการที่ทางรัฐจะพัฒนาสนามบินต่อไป จะเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative) ก็ว่าได้ครับ ดังนั้นเราอาจต้องระลึกไว้เสมอว่าข้อมูลแบบนี้ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ และการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้มุมมองพื้นฐานในส่วนนี้เปลี่ยนไปได้เช่นกัน ค่า PE ที่ดูไม่แพงยังไม่ได้รวมช่วงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ถึงอย่างนั้นยังมีข้อมูลสนับสนุนอย่างการที่ประชากรอาจเริ่มกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้ง วันนี้ผมก็เปลี่ยนแนวมาส่องหุ้นรายตัวบ้าง และก็ต้องขอบคุณคนที่แนะนำหุ้นตัวนี้มาให้ผมด้วยครับ ที่ทำให้ผมได้มาต่อยอดจิ้มงบแต่ละตัวอีกที หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วย สำหรับวันนี้ก็ประมาณนี้ละกันครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin *อัตราแลกเปลี่ยนราคาหุ้นใช้อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 19 ตุลาคม 2020 เวลา 05:39 (UTC) โดยแปลงจากฮ่องกงดอลลาร์เป็นเงินบาท References https://apnews.com/article/virus-outbreak-travel-hong-kong-holidays-china-04a9409e2c1fe0d1b947a8de39297f46 https://www1.hkexnews.hk/listedco/listconews/sehk/2008/0427/ltn20080427096.pdf https://www1.hkexnews.hk/listedco/listconews/sehk/2015/0422/ltn20150422463.pdf https://www1.hkexnews.hk/listedco/listconews/sehk/2020/0911/2020091100406.pdf https://www.reuters.com/companies/0694.HK/key-metrics แท็ก: Advance Article Beijing Capital International Airport Knowledge Long Content แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เปิดโผ! กองทุนหุ้นผลตอบแทนเกิน 15% ใน 3 เดือน...มีตัวไหนบ้างมาดูกัน - FINNOMENA ใครว่ากองทุนทำผลตอบแทนช้า ไม่เร็วดังใจ ? วันนี้จะขอชวนมาดูกองทุนหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้เกิน 15% ภายใน 3 เดือนเท่านั้น! มาดูกันว่ามีกองทุนหุ้นประเภทไหนบ้าง? 20 ต.ค. 2563 ใครว่ากองทุนทำผลตอบแทนช้า ไม่เร็วดังใจ ? วันนี้จะขอชวนมาดูกองทุนหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้เกิน 15% ภายใน 3 เดือนเท่านั้น! มาดูกันว่ามีกองทุนหุ้นประเภทไหนบ้าง? ข้อมูลจัดอันดับ ณ วันที่ 14 ต.ค. 2563 ทุกกองทุนอัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 9 ต.ค. 2563 ยกเว้น TGHDIGI อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 8 ต.ค. 2563 กองทุนที่ไม่มีข้อมูลขาดทุนสูงสุดในรอบ 1 ปี คือกองทุนที่ยังจัดตั้งไม่ครบ 1 ปี ณ วันคำนวณผลการดำเนินงาน สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Basic FINNOMENA Fund Cheatsheet Infographic KF-JPSCAPD LHGLIFE-E ONE-GECOM Product Info SCBJPSMA SCBJPSMP Short Content T-GlobalEnergy TGHDIGI TMBINDAE WE-GOLD กองทุนผลตอบแทนดี กองทุนหุ้น กองทุนหุ้นผลตอบแทนสูง แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เจาะลึกกองทุนเปิดใหม่ Principal Global Cloud Computing Fund (PRINCIPAL GCLOUD-A) - FINNOMENA หุ้นที่เกี่ยวข้องกับระบบ Software และ Cloud สามารถสร้างรายได้มหาศาลพร้อมกับแนวโน้มเติบโตในอนาคตที่ถูกเร่งตัวขึ้น เราเลยอยากพามารู้จักกองทุนเปิดใหม่ PRINCIPAL GCLOUD-A เป็นกองทุนหุ้น ลงทุนเฉพาะในอุตสาหกรรม Cloud Computing กันครับ 20 ต.ค. 2563 Theme การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ต้องยกให้หุ้นกลุ่ม Technology ที่นับตั้งแต่โควิดระบาดไปทั่วโลก หุ้นกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างชัดเจน ขณะที่หุ้นกลุ่ม Traditional อื่นอย่างห้างฯ หรือโรงแรมกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก และถ้าเจาะลึกไปมากกว่านั้นจะพบว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับระบบ Software และ Cloud สามารถสร้างรายได้มหาศาลพร้อมกับแนวโน้มเติบโตในอนาคตที่ถูกเร่งตัวขึ้น เนื่องจากการเกิดโควิดเป็นการบังคับให้เราต้องเปลี่ยนแปลงกิจกรรมที่เราเคยทำบนโลก Physical เข้าสู่โลก Digital ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ตัวอย่างที่ใกล้ตัวซึ่งหลายคนต้องพบเจอคือ การประชุมในทีมต้องใช้ระบบออนไลน์เท่านั้น หรือสาขาธนาคารไม่สามารถเปิดทำการได้ต้องใช้การโอนเงินออนไลน์ทดแทน คนทั่วไปอาจจะรู้จักแค่เพียงหุ้นยอดฮิตอย่าง Zoom ระบบประชุมออนไลน์ที่กำลังเป็นที่นิยมสุด ๆ แต่ความจริงแล้วยังมีหุ้นอีกหลายตัวมากที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัท Zoom หรือกำลังได้รับประโยชน์จากการเกิดโควิดไม่แพ้บริษัท Zoom เลย เราเลยอยากพามารู้จักกองทุนเปิดใหม่ PRINCIPAL GCLOUD-A เป็นกองทุนหุ้น ลงทุนเฉพาะในอุตสาหกรรม Cloud Computing ลงทุนในกองแม่ (Master Fund) ชื่อ WisdomTree Cloud Computing UCITs ETF Share Class USD Acc ลงทุนแบบ Passive Fund อ้างอิงตามดัชนี BVP NASDAQ Emerging Cloud Index ที่เป็นดัชนีสำหรับบริษัทเกิดใหม่ในตลาดที่สร้างรายได้หลักจากการให้บริการระบบ Cloud และ Software ธุรกิจในอุตสาหกรรม Cloud และ Software มีลักษณะเฉพาะตัวคือ บริษัทเกิดใหม่ที่สามารถให้บริการตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด จะสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วมากเนื่องจากธุรกิจทำอยู่บนโลก Digital ทั้งหมด บริษัทที่กองทุน PRINCIPAL GCLOUD-A เข้าลงทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทเกิดใหม่ที่มีการเติบโตสูงเเละมีช่องว่างในตลาดให้เติบโตอีกมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแบบ SaaS (Software as a Service) ทำรายได้จากการเก็บ Subscription ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงมาก หุ้นที่ลงทุนมากสุด 5 อันดับเเรก (Source: Bloomberg ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2563) 1. Zoom Video Communications Inc (ZM:US) Zoom คือผู้ให้บริการระบบประชุมออนไลน์ เป็นหนึ่งในธุรกิจประเภท SaaS มีจุดเด่นที่คุณภาพของเสียงเเละคุณภาพของวีดีโอที่ส่งไปถึงผู้รับนั้นอยู่ในระดับสูง เเละใช้งานง่าย ผู้ใช้งานสามารถจัดการประชุมที่มีผู้เข้าร่วมพร้อมกันสูงสุดถึง 500 คน อยากรู้เรื่อง Zoom มากกว่านี้ ตามไปอ่านได้ที่ https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/3797698290245277 2. Anaplan Inc (PLAN:US) Anaplan เเพลตฟอร์มด้านการวางเเผนเเละการบริหารจัดการประสิทธิภาพองค์กร (EPM) ช่วยกำหนดเเผนการดำเนินงานกลยุทธ์เเละเป้าหมายขององค์กรให้ชัดเจนสะท้อนงบประมาณที่มีอยู่ทำให้สามารถคาดการณ์ธุรกิจเเละตัดสินใจได้ดีขึ้น ข้อมูลจาก appsruntheworld บ่งบอกว่า ลูกค้าองค์กรของ Anaplan เป็นบริษัทระดับโลก 77% เป็นองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2020) 3. Crowdstrike Holdings Inc (CRWD:US) บริษัท Cyber Security ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการป้องกันความปลอดภัยทาง Cyber โดยเฉพาะในยุคที่ทุกธุรกิจล้วนอยู่บน Cloud บริษัท Crowdstrike ถือเป็นเบอร์ต้น ๆ ในเรื่อง End Point Protection ซึ่งเติบโตขึ้นสอดคล้องกับธุรกิจ Cloud-Computing ที่บูมเป็นพลุแตก 4. Salesforce Inc (CRM:US) Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่จำเป็นต่อธุรกิจยุคดิจิทัล โดยปัจจุบันเป็นการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับ 1 ของโลก ช่วยในการจัดการข้อมูลของลูกค้า และการขาย รวมถึง Workflow ต่าง ๆ ของการทำงาน ก็สามารถจัดการได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว แค่นั้นยังไม่พอ บริษัทยังเติบโตอย่างมากในฝั่ง Cloud Commerce 5. Datadog Inc (DDOG:US) Datadog นั้นคือ SaaS ในการตรวจสอบเเละวิเคราะห์ระบบสำหรับเหล่านักเขียนโปรแกรม Dev เเละฝ่าย IT เพื่อการตรวจสอบประสิทธิภาพของเเอปพลิเคชัน ทำให้ Dev สามารถรู้ว่าแอปขององค์กรทำงานช้าหรือไม่เสถียรตรงไหน หรือนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติมได้อีก เมื่อลองไปไล่ดูราคาหุ้นแต่ละตัวก็จะเห็นว่ากลุ่ม Cloud ทั้งหมดบูมสุด ๆ ในตอนนี้ ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงนั้นต้องลองไปวิเคราะห์กันต่อดู ! บทความนี้ไม่ได้เชียร์ซื้อขายแต่อย่างใด เป็นเพียงการแนะนำกองทุนและหุ้นที่น่าสนใจ ใครจะลอกหุ้นไปก็ระวัง ๆ นะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง #เราไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ จากการเขียนบทความนี้ BottomLiner ที่มาบทความ: https://www.facebook.com/bottomlinerglobal/posts/3904820346199737 Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article PRINCIPAL GCLOUD-A Product Info Short Content กองทุนเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน BottomLiner BottomLiner - บทสรุปการลงทุน เพจที่เน้นการแชร์ความรู้ เรื่องการลงทุนแบบนอกตำรา
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
“กฎแห่งกำไร” คัดกองทุนธุรกิจเปลี่ยนโลก - FINNOMENA นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมองหาวิธีการลงทุนด้วยการอ่าน How to การเงินแบบกว้างๆ อีกต่อไปแล้ว ถ้าต้องการจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เหนือตลาดตอนนี้ คุณจำเป็นต้องรู้จัก “กฎแห่งกำไร” ที่จะช่วยให้โฟกัสแผนการลงทุนในกองทุนรวมได้ดีขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ปี 2563 19 ต.ค. 2563 นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมองหาวิธีการลงทุนด้วยการอ่าน How to การเงินแบบกว้างๆ อีกต่อไปแล้ว ถ้าต้องการจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เหนือตลาดตอนนี้ คุณจำเป็นต้องรู้จัก “กฎแห่งกำไร” ที่จะช่วยให้โฟกัสแผนการลงทุนในกองทุนรวมได้ดีขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ปี 2563 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา การลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เราต่างรู้กันดีว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ตลาดการลงทุนทั้งโลกได้รับผลกระทบอย่างมาก จนสะเทือนไปถึงธุรกิจดั้งเดิม ที่เคยเป็นดาวเด่นในพอร์ต กระทั่งถึงตอนนี้ บางธุรกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก และด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทฤษฎีการลงทุนแบบดั้งเดิม เช่น การจัดพอร์ตด้วยวิธี Asset Allocation หรือแม้กระทั่ง How to เพื่อสร้างความเข้าใจต่อภาวะตลาดในเชิงกว้าง จึงไม่สามารถตอบโจทย์การสร้างผลตอบแทนในยุคนี้ได้อีกต่อไป โดย “คุณวรสินี เศรษฐบุตร” Head of Wealth Product Development อธิบายว่า หากต้องการลงทุนในกองทุนรวม เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดในเวลานี้ จำเป็นจะต้องคัดกรองด้วย “กฎแห่งกำไร” 2 ข้อ นั่นก็คือ กฎข้อที่ 1 เลือกธุรกิจที่อัตรากำไรขั้นต้นโตต่อเนื่อง 1-2 เท่า “คุณวรสินี เศรษฐบุตร” ระบุว่า ในภาวะนี้ แม้หลายบริษัททั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่สามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้ (Gross Profit Margin) ได้ดี …แต่แค่อยู่ในระดับ “ดี” ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับเวลานี้ เพราะหากต้องการจะเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาด บริษัทที่เลือกมานั้นควรจะ “สร้างอัตรากำไรขั้นต้นได้ 1-2 เท่าตัว ต่อเนื่องไปในระยะ 5 ปีข้างหน้า” ซึ่งปัจจัยนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในระดับหนึ่งได้ว่า นักลงทุนกำลังเลือกธุรกิจที่มีอนาคต ทำให้ไม่ต้องลุ้นว่าแต่ละปี ธุรกิจที่ลงทุนไปจะมีกำไร หรือ ขาดทุน กฎข้อที่ 2 เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน ธุรกิจที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุคนี้ เพราะนั่นหมายความว่า ธุรกิจนั้น ๆ จะเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีโอกาสที่จะสร้างความได้เปรียบด้านผลประกอบการอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “Tesla Motors, Inc.” บริษัทผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตรายอื่นทั่วโลก ยังไม่สามารถสร้างความโดดเด่นด้านนวัตกรรมยานยนต์ประเภทนี้ได้เท่า Tesla จึงทำให้ธุรกิจนี้ มี Competitive Advantage ที่เหนือคู่แข่งอย่างมาก ธุรกิจไหนผ่านการเข้ารอบ ? จากการคัดกรองด้วยกฎข้อที่ 1 คือ “เลือกธุรกิจที่อัตรากำไรขั้นต้นโตต่อเนื่อง 1-2 เท่า” และสแกนอีกครั้งด้วยกฎข้อที่ 2 คือ “เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน” นั้น “คุณวรสินี” ระบุว่า บริษัทที่เข้ารอบการพิจารณานั้น ถือได้ว่ามีจำนวนหลายบริษัท (ตามตารางด้านล่าง) โดยบริษัทส่วนใหญ่ นับได้ว่าเป็นธุรกิจที่สร้างผลเชิงบวกต่อสังคม (Positive Impact) และช่วยให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในทั้งในด้านการศึกษา คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และสังคม แล้วกองทุนรวมที่อยู่ในพอร์ตของคุณล่ะ พร้อมที่จะผ่านช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2563 แล้วหรือยัง ? TISCO Advisory ———————- ที่มา : https://www.tisco.co.th/th/advisory/2020-10-14-rule-of-profit-choose-the-technology-fund.html แท็ก: Article Basic Knowledge Short Content กองทุน กองทุนรวม แชร์บทความ: ผู้เขียน TISCO Advisory ทิสโก้ตั้งปณิธานที่จะใช้ความรู้ความชำนาญของเรา ในการสร้างโอกาสที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยทิสโก้มุ่งมั่นที่จะทำความรู้ความเชี่ยวชาญทางการเงินมาแบ่งปันสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ บนความเชื่อที่ว่า 'โอกาส สร้างได้' และ เราจะเป็นองค์กรหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่ง 'โอกาส' ในสังคมไทย
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
NASDAQ กลับมาใกล้ระดับ All Time High แพงไปหรือยังที่จะซื้อกองทุนเทคฯ ตอนนี้? - FINNOMENA เมื่อ NASDAQ นั้นกลับมาใกล้ระดับ All Time High ได้อีกครั้ง ทั้งๆที่เพิ่งร่วงไปมากกว่า -10% เมื่อเดือนที่แล้ว คำถามเกิดขึ้น คือ... มันแพงไปหรือยัง? บทความนี้ขอตอบคำถามนี้ด้วยข้อมูล 10 อย่าง เพื่อให้นักลงทุนได้พิจารณาได้รอบด้านมากขึ้นครับ 13 ต.ค. 2563 เมื่อคืนนี้ ดัชนี Dow Jones ปิดที่ 28,837.52 จุด เพิ่มขึ้น 250.62 จุด หรือ 0.88% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,534.22 จุด เพิ่มขึ้น 57.09 จุด หรือ 1.64% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,876.26 จุด เพิ่มขึ้น 296.32 จุด หรือ 2.56% ที่น่าสนใจคือ ดัชนีกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ นั้นกลับมาใกล้ระดับ All Time High ได้อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งร่วงไปมากกว่า -10% เมื่อเดือนที่แล้ว สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนทั่วโลกไปไม่น้อย เพราะได้ประโยชน์จาก Fund Flow ที่ไหลเข้าลงทุนหลังวิกฤตการณ์ COVID-19 ไปเต็ม ๆ แต่ทั้งนี้ ก็มีคำถามเกิดขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ยังลงทุนไม่เต็มพอร์ต หรือ คิดจะเริ่มต้นลงทุนเกาะกระแสเทคโนโลยีในตอนนี้ว่า มันแพงไปหรือยัง? ผมขอตอบคำถามนี้ด้วยข้อมูล 10 อย่าง เพื่อให้นักลงทุนได้พิจารณาได้รอบด้านมากขึ้นครับ 1. สาเหตุหลักที่หุ้น NASDAQ กลับมา Outperform ได้นับตั้งแต่ย่างเข้าเดือนต.ค. เป็นต้นมา สาเหตุมาจาก ปัจจัยในภาพรวม ซึ่งสหรัฐฯ และยุโรป กำลังเผชิญกับการระบาดรอบ 2 และทำให้รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการหลายอย่างเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อ สิ่งนี้เข้าทางหุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งเราจะเห็นว่า ได้ประโยชน์จากทั้ง Lockdown และ Social Distancing มาตั้งแต่ช่วงต้นของการระบาดในเดือนมี.ค. 2. โดยล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 สะสมทั่วโลก สูงถึง 38 ล้านคน และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน โดยในยุโรป เหมือนจะเริ่มหนักขึ้น หลังผู้ติดเชื้อรายวันในฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน เบลเยี่ยม เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมโควิด-19ทั่วโลก ณ วันที่ 12 ต.ค. 2020 3. ปัจจัยอีกข้อที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคฯ ได้ประโยชน์ก็คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ ที่ล่าช้า และคุยกันไม่จบสักที โดยทั้งนี้ สภาคองเกรส ต้องการอนุมัติวงเงินช่วยเหลือจำนวน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ทำเนียบขาวต้องการอนุมัติเพียง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งล่าสุด ตัวเลขขยับขึ้นมาที่ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เริ่มใกล้เคียงความเป็นไปได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ นับจากวันที่ 30 ก.ย. เป็นต้นมา มาตรการช่วยเหลือ Stimulus Bill นั้นหมดเป็นที่เรียบร้อย แปลว่า จนถึงตอนนี้ มีคนเดือดร้อนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเงินช่วยเหลือล็อตใหม่จากรัฐบาลอยู่ 4. ในส่วนของทิศทางของการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. คะแนนของนายโจ ไบเดน กลับมาห่าง ปธน.โดนัล ทรัมป์ อีกครั้ง หลังจากที่นายทรัมป์ติด COVID-19 ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนและเลือกที่จะออกจากโรงพยาบาลเร็วกว่ากำหนดกลับมาทำงานที่ทำเนียบขาว โดยล่าสุด Financial Times และ BBC ให้นายโจ นำอยู่ที่ 51.7%:41.9% และ 53%:42% Polls สำรวจคะแนนนิยมการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2020 5. ความท้าทายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ไม่น้อย โดยถ้าไปดูข้อมูลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จาก Oxford Economics พบว่า หลังมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนพ.ค. – ก.ค. สัญญาณการฟื้นตัวก็ชะลอตัวลงในเดือนส.ค. จนถึงปัจจุบันชัดเจน สะท้อนว่า เศรษฐกิจโลกอาจผ่านช่วงการฟื้นตัวอย่างง่ายไปแล้ว หลังจากนี้ จะยากขึ้น และ ผู้ที่จะมีส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้าคนสำคัญก็คือ รัฐบาลของแต่ละประเทศ (ผ่านนโยบายกระตุ้นต่าง ๆ) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นับตั้งแต่ต้นปี ถึงสิ้นเดือนก.ย. 2020 6. ณ ระดับปัจจุบัน PE Ratio ของ NASDAQ อยู่ที่ 26.44x ซึ่งก็ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 1 ปี ที่เราเห็น P/E ของ NASDAQ แพงกว่านี้ ก็มีตอนเดือนก.ย. ปี 2019 ที่อยู่ที่ระดับ 30.88x แต่ก็ลดลงมาเหลือต่ำกว่า 22.80x ได้ในสิ้นเดือนต.ค. 2019 หลังบริษัททยอยประกาศงบออกมาดีกว่าคาด เมื่อ Earnings ดีขึ้น และ Price อยู่เท่าเดิม PE ก็ลดลงโดยปริยาย ราคาดัชนี NASDAQ เปรียบเทียบกับ PE Ratio นับตั้งแต่ปี 2008 7. ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราพิจารณาแค่ PE Ratio หรือ ระดับราคาเพียงอย่างเดียว แล้วตัดสินว่า อะไรถูก อะไรแพง ก็คงจะเป็นการตัดสินที่ไม่ถูกต้องในโลกของการลงทุนยุคนี้สักเท่าไหร่ เพราะ นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักกับกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมากกว่าในอดีต และหุ้นเทคฯ ยัง Deliver กำไรได้อย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้ 8. ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ด้านดีด้านเดียว ข้อมูลจาก ตลาด Futures ที่สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ย. ที่ผ่านมา ชี้ชัดว่า นักลงทุนรายย่อยในสหรัฐฯ เปิดสัญญา Short ดัชนี Nasdaq 100 มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2006 ข้อมูล Net Position ของ NASDAQ 100 Mini Futures แต่ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนักลงทุนเปิด Short Position เยอะ ๆ ในปี 2016 ก็ต้องตอบว่า ตอนนั้น NASDAQ กลับมา All Time High อีกรอบ แต่แรงซื้อยังมากกว่าแรงขาย เลยทำให้ขา Short ต้องมอบตัวหลังจากนั้นไม่นาน และส่งผลให้ดัชนี NASDAQ ทะยานขึ้นหลังจากนั้นถึงสิ้นปีร่วม ๆ +30% ทีเดียว 9. ในด้าน Valuation คาดการณ์ EPS ของหุ้นราย Sector พบว่า หุ้นกลุ่ม Information Technology ถูกปรับเพิ่มประมาณการมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น หากนับตั้งแต่สิ้นไตรมาส 2/2020 โดยถูกปรับเพิ่ม EPS Growth ถึง 6.6% เป็นรองก็แค่กลุ่ม Consumer Discretionary และ Materials ซึ่ง 2 Sector หลังนี้ ถูกปรับลดประมาณการ EPS หนักมากในไตรมาส 2/2020 มาก่อน 10. มุมมอง Technical Analysis – จุดสูงสุดเดิมของ NASDAQ ทำราคาปิดไว้ที่ 12,056 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ แต่ถึงแม้จะผ่านไปแล้ว หากดูจาก Daily Chart จะพบว่า Indicator อย่าง RSI และ MACD ไม่ทำจุดสุงสุดใหม่ตามดัชนีได้แน่ ๆ บ่งชี้ว่า การปรับตัวขึ้นรอบนี้ อ่อนกำลังลงเมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้า กราฟราคาดัชนี NASDAQ รายวัน ใครมีของอยู่ ถือต่อไปก่อนได้ แต่ส่วนใครคิดจะเข้าลงทุนในตอนนี้ไม้ใหญ่ๆ แนะนำว่า หาจุด Stop Loss ดี ๆ เพราะตลาดขึ้นมาเยอะแล้ว รับรู้ข่าวดีเข้าไปในราคาเยอะแล้ว จนกว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นเป็นเรื่องใหม่ ๆ การขึ้นรอบใหม่รอบใหญ่ถึงจะมีกำลังอีกครั้ง แหล่งที่มาข้อมูล :- https://www.investing.com/indices/major-indices https://www.worldometers.info/coronavirus/?utm_campaign=homeAdvegas1? https://www.macrotrends.net/stocks/charts/NDAQ/nasdaq/pe-ratio https://www.ft.com/content/183ca929-3cbe-4705-a92a-d65a806741b5 https://www.bbc.com/news/election-us-2020-53657174 https://www.zerohedge.com/markets/unprecedented-reversal-nasdaq-shorts-hit-second-highest-ever https://www.tradingview.com/chart/c8MwA5Rw/ Mr.Messenger รายงาน แท็ก: Advance Article Knowledge NASDAQ Short Content ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr.Messenger "ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ รู้จักกันในนามแฝงในเว็บบอร์ดพันทิพย์ ห้องสินธร ว่า “Mr.Messenger” เจ้าของ Blog http://iammrmessenger.com ปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหารสูงสุดสายงาน Wealth Management และ กรรมการบริหาร บลน.ฟินโนมีนา"
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เล่นหุ้นท่ามกลางมรสุม - FINNOMENA เราแทบจะไม่มีหุ้นที่เรียกว่าเป็นหุ้นไฮเท็คที่มีขนาดที่มีนัยสำคัญเลยในตลาดหุ้น ตรงกันข้าม หุ้นแทบทุกตัวนั้นประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ลดทอนกำลังซื้อของคนไทยในประเทศ มาดูหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเป็นกลุ่มดูบ้างเพื่อจะดูว่ามีเหตุผลเพียงพอและสอดรับกับพื้นฐานของกิจการหรือไม่? 12 ต.ค. 2563 วิกฤติโควิด-19 นั้น เมื่อเวลาผ่านมาประมาณ 8-9 เดือนแล้วก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าที่ทุกคนคิด เพราะการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ “ล่าสุด” นั้น บ่งบอกว่าวิกฤติครั้งนี้น่าจะรุนแรงไม่แพ้ “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดขึ้นในปี 2540 คือปีแรกที่เกิด เศรษฐกิจติดลบถึงประมาณเกือบ 10% และหลังจากนั้นก็จะฟื้นตัวดีขึ้นประมาณ 4-5% ต่อปีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า สิ่งที่อาจจะแตกต่างกันก็คือ ความ “เจ็บปวด” ของผู้คนในวิกฤติปี 2540 คือ “คนรวย” ที่เป็นเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่บริษัทแทบล้มละลายและขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากและธนาคารไม่มีเงินจะให้กู้ ตรงกันข้าม วิกฤติโควิด-19 นั้น คนที่เจ็บปวดก็คือ “คนจน” ที่ต้องตกงานหรือต้องลดเงินเดือนลงเพราะ “ไม่มีงานจะทำ” และธุรกิจ SME ที่อาจจะต้องเจ๊งเพราะขายของไม่ได้ สิ่งที่ตามมาจากความแตกต่างของวิกฤติทั้งสองครั้งนั้นก็คือตลาดหุ้น หลังวิกฤติปี 2540 อานิสงส์จากการที่ระบบการเงิน “ล่มสลาย” และคน “เคยรวย” ต่างก็ไม่มีเงินที่จะมาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ปริมาณการซื้อขายหุ้นจึงลดลงมากและส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนาน จริงอยู่ ดัชนีก็มีการปรับตัวขึ้นบ้างเป็นระยะ แต่ปริมาณการซื้อขายก็มีน้อยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนต่างก็ย่ำแย่แทบเอาตัวไม่รอด เหตุผลที่จะลงทุนซื้อหุ้นจึงแทบไม่มีแม้ว่าราคาหุ้นบางตัวจะต่ำมากจนแทบไม่น่าเชื่อ หุ้นระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” บางตัวอาจจะขายในราคา PE ไม่เกิน 10 เท่าเนื่องจากราคาหุ้นตกลงมามากแต่ก็ไม่มีใครต้องการ นักลงทุนส่วนบุคคลทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างก็หายไปจากตลาด ในตอนนั้นไม่มีใครพูดว่า “วิกฤติคือโอกาส” วิกฤติโควิด-19 นั้น ตลาดหุ้นกลับคึกคักขึ้น อานิสงส์จากการที่มีเม็ดเงินและสภาพคล่องในระบบสูงขึ้น “คนรวย” มีเงินสดเหลือเฟืออานิสงส์จากการที่ประเทศไทยลดระดับการลงทุนในธุรกิจลงมานาน ส่วนคนชั้นกลางระดับสูงต่างก็เก็บเงินเพื่อการเกษียณ และอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น พวกเขาจึงย้ายเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น นับเฉพาะจากต้นปีถึงวันนี้ นักลงทุนส่วนบุคคลซื้อหุ้นสุทธิไปแล้วกว่า 200,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ซื้อสุทธิไปกว่า 70,000 ล้านบาท คำพูดที่ว่า “วิกฤติคือโอกาส” ได้รับการกล่าวขวัญกันทั่วไป ราคาของหุ้นหลายกลุ่มและหลายตัว “ทะลุเพดาน” คือปรับตัวขึ้นสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 มากมายทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการ “ปกติ” นั้น แม้ว่าจะไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น ว่าที่จริงในตลาดหุ้นไทยนั้น แทบไม่มีบริษัทที่ได้ประโยชน์ระยะยาวจากโควิดเลย การที่หุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มปรับตัวขึ้นไปมากในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังตกต่ำลงมากนั้น ถ้ามองอย่างผิวเผินก็อาจจะดูว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” สำหรับวิกฤติครั้งนี้ที่โลกเต็มไปด้วยสภาพคล่องทางการเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบโดยรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ และเม็ดเงินเหล่านั้นต่างก็ต้องวิ่งหาทรัพย์สินที่มีอย่างจำกัดซึ่งก็ผลักดันให้ทรัพย์สินต่าง ๆ โดยเฉพาะหุ้นมีราคาเพิ่มขึ้น แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่หุ้นทุกตัว ว่าที่จริงหุ้นส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่ได้ขึ้นเลย มันอาจจะตกลงมาเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้บริษัทขายสินค้าได้น้อยลงและกำไรก็ลดลงมาก และดังนั้น ราคาหุ้นก็ตกลงมามากเป็น “วิกฤติ” อย่างไรก็ตาม บริษัทและกลุ่มบริษัทบางกลุ่ม เช่น หุ้นในกลุ่มดิจิตอลหรือไฮเท็คนั้น ยอดขายและกำไรอาจจะปรับตัวขึ้นมากเนื่องจากโควิด-19 ที่ทำให้คนต้องปรับพฤติกรรมซึ่งต้องอาศัยสินค้าหรือบริการของบริษัทเพิ่มขึ้น ดังนั้น หุ้นเหล่านั้นก็มีราคาเพิ่มขึ้นมาก และในประเทศหรือตลาดที่พัฒนาอย่างในสหรัฐหรือในจีน ราคามันขึ้นไปมากเสียจนสามารถชดเชยการตกลงมาของหุ้น “ยุคเก่า” ได้ ผลก็คือ ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำ ประเทศหรือตลาดหุ้นไทยเองนั้น ถึงวันนี้เราก็มีหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นไปมากคล้าย ๆ กับในตลาดหุ้นของอเมริกาแม้ว่าการปรับตัวขึ้นจะไม่สามารถชดเชยการตกลงมาของหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นตัวใหญ่ ๆ ในตลาดได้ เพราะหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมา “สวนกระแส” นั้น แทบทั้งหมดเป็นหุ้นตัวเล็กหรือกลางที่มีการ “เก็งกำไร” สูงมาก เห็นได้จากการที่หุ้นเหล่านั้นมีปริมาณการซื้อขายสูงติดอันดับ 1 ใน 10 หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด บ่อยครั้ง ซึ่งก็มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นไทยยังมีความคึกคักและดึงดูดให้นักลงทุนหน้าใหม่เข้ามา “เล่นหุ้น” ในตลาดเพิ่มขึ้นมากทั้ง ๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยรวมนั้นค่อนข้างแย่ ประเด็นก็คือ หุ้น “ยอดนิยม” ที่มีราคาเพิ่มขึ้นมากเกินกว่าช่วงก่อนโควิด 19 และมีราคาที่แพงมากวัดจากค่า PE และค่าอื่น ๆ นั้น มีเหตุผลเพียงพอไหม? เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ มันคล้าย ๆ กับหุ้นไฮเท็คในสหรัฐหรือจีนที่มีผลประกอบการและพื้นฐานในระยะยาวดีขึ้นไหม? คำตอบของผมก็คือ ไม่! เหตุผลก็เพราะว่า เราแทบจะไม่มีหุ้นที่เรียกว่าเป็นหุ้นไฮเท็คที่มีขนาดที่มีนัยสำคัญเลยในตลาดหุ้น ตรงกันข้าม หุ้นแทบทุกตัวนั้นประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ลดทอนกำลังซื้อของคนไทยในประเทศ ดังนั้น บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดที่มักจะเป็นผู้ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคจึง “เจ็บตัว” กันถ้วนหน้า และดังนั้นราคาหุ้นจึงลดลงและน่าจะมีมูลค่าที่เหมาะสม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ หุ้นเหล่านี้ต่างก็ถูกถือและลงทุนโดยนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศ ดังนั้น หุ้นตัวใหญ่จึงแทบจะไม่มีตัวไหนที่ปรับตัวขึ้นเลย มาดูหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเป็นกลุ่มดูบ้างเพื่อจะดูว่ามีเหตุผลเพียงพอและสอดรับกับพื้นฐานของกิจการหรือไม่ กลุ่มแรกก็คือหุ้นที่ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ส่งออกเป็นหลัก เหตุผลหรือสตอรี่ที่ใช้ก็คือ มันมีความต้องการมากขึ้นเนื่องจากคนต้องการอุปกรณ์ไฮเทคมากขึ้น แต่นี่อาจจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” เพราะธุรกิจนี้มักมีผู้แข่งขันกันมากในตลาดโลก ภายในระยะเวลาหนึ่ง ราคาของสินค้าก็จะลดลง ผู้ผลิตก็จะมีกำไรลดลง ในระยะยาวแล้วก็เป็นไปได้ว่ายอดขายของบริษัทอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรแต่ไม่มาก แต่ที่สำคัญก็คือ กำไรของบริษัทก็จะไม่โตเร็วเหมือนช่วงที่สินค้ากำลังเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นมากในช่วงนี้ ดังนั้น หุ้นจึงไม่ควรมีราคาที่แพงเกินไป เพราะนี่คือสินค้า “โภคภัณฑ์” ค่า PE ไม่ควรเกิน 10-15 เท่า ไม่ใช่กว่า 40-50 เท่า อย่างที่เป็นอยู่ กลุ่มต่อมาก็คือผู้ผลิตและขายสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะที่ได้ประโยชน์จากโควิดซึ่งก็คือผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อเช่น ถุงมือยาง นี่ก็คล้าย ๆ กับสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ เพียงแต่ว่าการเพิ่มขึ้นของความต้องการแรงกว่ามาก ส่งผลให้ผลประกอบการดีเยี่ยมในช่วงเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ผลิตและกำลังการผลิตใหม่ ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเร็วมากและผลประกอบการจะถดถอยกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะกำลังการผลิตจะล้น ดังนั้น ราคาหุ้นที่ขึ้นไปเกินพื้นฐานระยะยาวมากก็จะถอยกลับมาอย่างแรงได้ หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคที่ขายสินค้าหรือบริการซึ่งรวมถึงการเงินให้กับคนทั่วไปบางตัวก็มีราคาปรับตัวขึ้นไปรุนแรงแม้ว่าจะไม่เท่าสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว หุ้นในกลุ่มนี้มักจะเป็นบริษัทที่ยังมีรายได้และกำไรที่ “น่าพอใจ” เพราะไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากเหมือนหุ้นอื่น ๆ ที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคเหมือนกัน ดังนั้น มันจึงถูกมองว่าเป็นหุ้นที่ “ดีเยี่ยม” ในภาวะที่คนอื่นลำบากกันหมด เหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อพ้นภาวะโควิดระบาดไปแล้ว มันก็อาจจะกลับมาโตเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ได้ เพราะมันเป็น “ผู้นำ” ในธุรกิจที่มี “แบรนด์” หรือมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและโตต่อไปได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นาทีนี้ “นักเก็งกำไร” ทุกคนต่างก็มองหุ้นที่จะเข้าไป “เล่น” เก็งกำไรทุกวัน หุ้นตัวไหนที่เข้าข่าย เช่น มีสตอรี่ หุ้นมี Free Float ต่ำ มี “เจ้ามือ” ที่เป็นที่ยอมรับ มีราคาที่ขึ้นลงรวดเร็วและหวือหวาแทบทุกวัน ก็จะได้รับความสนใจ ดังนั้น ราคาหุ้นก็ขึ้นไปเกินราคาก่อนโควิด หุ้นกลุ่มสุดท้ายก็คือ IPO ซึ่งช่วงนี้เป็น “สุดยอด” ของการเล่นหุ้นเก็งกำไร และแน่นอนว่าต้องเป็น IPO ตัวเล็กและ Free Float น้อยที่จะสามารถปรับตัวขึ้นไปสูงมากถึง 200% ในวันแรกได้ แต่ถ้าเป็นตัวใหญ่และถูกซื้อโดยนักลงทุนสถาบันและต่างชาติ ก็จะไม่เข้าเกณฑ์นี้ ทั้งหมดนั้น ผมก็เพียงแต่อยากเตือนว่า การเล่นหุ้นในภาวะที่เหมือนอยู่ท่ามกลาง “มรสุม” ทางเศรษฐกิจนั้น มันไม่ใช่การลงทุนที่มักกล่าวกันว่า “มีโอกาสในวิกฤติ” แต่มันคือการ “เก็งกำไร” ที่โอกาสได้หรือเสียมีพอ ๆ กัน ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว เราควรจะหลีกเลี่ยง เพราะโอกาสในวิกฤตินั้นหมายความว่าเราซื้อหุ้นที่ดีเยี่ยมในราคาที่ต่ำกว่าที่มันเคยเป็นมาก ไม่ใช่ในราคาที่สูงกว่าที่เคยเป็น ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/10/12/2399 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เปิดโพย! กองทุนผลตอบแทนเกิน 10% ใน 3 เดือน ขาดทุนน้อยกว่า 10% ใน 1 ปี! - FINNOMENA ต้อนรับวันที่ 10 เดือน 10 ด้วยการเปิดโพย กองทุนผลตอบแทนเกิน 10% ใน 3 เดือน ขาดทุนน้อยกว่า 10% ใน 1 ปี! จากการจัดอันดับจาก FINNOMENA Fund Filter 9 ต.ค. 2563 ต้อนรับวันที่ 10 เดือน 10 ด้วยการเปิดโพยกองทุนผลตอบแทนเกิน 10% ใน 3 เดือน ขาดทุนน้อยกว่า 10% ใน 1 ปี! จากการจัดอันดับจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2563 UOBSGC ลงทุนในอะไร: บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในเขตปกครองพิเศษ ฮ่องกง จีน และไต้หวัน ลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดฮ่องกง ตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาดไต้หวัน Master Fund: United Greater China Fund Class A SGD Acc ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI AC Golden Dragon ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ สิงหาคม 2563 ที่มา: สาระสำคัญของกองทุน ดูผลตอบแทนล่าสุด: https://www.finnomena.com/fund/UOBSGC ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.uobam.co.th/th/mutual-fund/00142/UOBSGC ASP-EVOCHINA ลงทุนในอะไร: บริษัทจีน เน้นอุตสาหกรรม Consumer, Health Care และ E-Commerce Master Fund: Mirae Asset China Growth Equity Fund ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI China Total Return ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่มา: เอกสารข้อมูลนำเสนอ (Presentation) ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/ASP-EVOCHINA ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.assetfund.co.th/home/fundfact-template02.aspx?id=145 ABCG ลงทุนในอะไร: บริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้ง หรือประกอบกิจการในจีน หรือ Holding Company ที่ถือหุ้นบริษัทดังกล่าว Master Fund: Aberdeen Standard SICAV I – All China Equity Fund ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI China All Shares Gross TR สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ที่มา: สรุปสาระสำคัญของกองทุน ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/ABCG ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.aberdeenstandard.com/th-th/thailand/fund-centre#literature PWIN ลงทุนในอะไร: กองทุนหรือ ETF ต่างประเทศ ที่ลงทุนในบริษัททั่วโลก เน้นที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม ดัชนีชี้วัดของกองไทย: Morningstar Global Mkts Index NR USD ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุน: ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่มา: Fact Sheet ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/PWIN ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.phillipasset.co.th/pwin-data KF-GTECH ลงทุนในอะไร: หุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เน้นกลุ่มผู้นำซึ่งอาจรวมไปถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ Master Fund: T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund (Class Q) ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI AC World Information Technology Index ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่มา: สรุปสาระสำคัญของกองทุนหลัก ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/KF-GTECH ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.krungsriasset.com/th/FundDetail.html?fund=KF-GTECH TGHDIGI ลงทุนในอะไร: บริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก Master Fund: Credit Suisse (Lux) Global Digital Health Equity Fund IB USD ACC ดัชนีชี้วัดของกองไทย: ค่าเฉลี่ยระหว่างผลการดำเนินงานของ Master Fund ปรับเป็นสกุลเงินบาท (95%) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี วงเงินน้อยกว่า 5 ล้านบาท เฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ หลังหักภาษี (5%) สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่มา: Fund Fact Sheet ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/TGHDIGI ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.tiscoasset.com/th/historicalnavs/init.action?navData.fundCode=TGHDIGI B-FUTURE ลงทุนในอะไร: บริษัทที่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในอนาคต หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ ที่รองรับการบริโภคในอนาคต ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI All Country World Daily Total Return Net ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุน: ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่มา: Monthly Fund Update ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/B-FUTURE ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/foreign-investment-fund/b-future/fund-summary B-CHINE-EQ ลงทุนในอะไร: เน้นบริษัทที่จัดตั้งหรือดำเนินการธุรกิจในจีน และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ หรือสหรัฐฯ เป็นต้น ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI China All Shares (Net Returns) ปรับเป็นสกุลเงินบาท สัดส่วนการลงทุน: ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่มา: Monthly Fact Sheet ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/B-CHINE-EQ ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/foreign-investment-fund/b-chine-eq/summary K-CHANGE-A(A) ลงทุนในอะไร: บริษัททั่วโลกที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม หรือสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ Master Fund: Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI All Country World ปรับเป็นสกุลเงินบาท ตามสัดส่วนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (75%) และตามสัดส่วนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (25%) สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่มา: หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/K-CHANGE-A(A) ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://kasikornasset.com/th/mutual-fund/fund-template/Pages/K-CHANGE-A(A).aspx GC ลงทุนในอะไร: เน้นลงทุนในบริษัทที่จัดตั้งในจีน ฮ่องกง และไต้หวัน Master Fund: NN (L) Greater China Equity ปรับเป็นสกุลเงินบาท ดัชนีชี้วัดของกองไทย: MSCI Golden Dragon 10/40 (NR) สัดส่วนการลงทุนของ Master Fund: ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ที่มา: สาระสำคัญของกองทุน ดูผลตอบแทนล่าสุดได้ที่: https://www.finnomena.com/fund/GC ดูเอกสารกองทุนล่าสุด: https://www.uobam.co.th/th/mutual-fund/90200/GC เพื่อนผู้ใจดี ใครสนใจอยากดูรายชื่อจัดอันดับกองทุนล่าสุด ลองไปใช้ระบบ FINNOMENA Fund Filter ค้นหาดูกันได้เลย Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: ABCG Article ASP-EVOCHINA B-CHINE-EQ B-FUTURE Basic FINNOMENA Fund Cheatsheet GC Infographic K-CHANGE-A(A) KF-GTECH Product Info PWIN Short Content TGHDIGI UOBSGC แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
The New Normal ของทองคำหลัง COVID-19 - FINNOMENA อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าเหตุการณ์ COVID – 19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนอย่างมหาศาล โลกหลังจากจบเหตุการณ์ COVID – 19 จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป หรือที่ทุกคนเรียกว่า New Normal นั่นเอง ซึ่งรวมถึงการลงทุนทองคำด้วยเช่นกัน 12 ต.ค. 2563 อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าเหตุการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนอย่างมหาศาล ทำให้โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าโลกหลังจากจบเหตุการณ์ COVID-19 จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป หรือที่ทุกคนเรียกว่า New Normal นั่นเอง ซึ่งรวมถึงการลงทุนทองคำด้วยเช่นกัน โดยผมจะแบ่งหัวข้อออกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ แนวโน้มของราคาทองคำ และ ในส่วนของภาพรวมธุรกิจทองคำ สำหรับประเด็นแรกคือ “แนวโน้มของราคาทองคำ” แนวโน้มระยะสั้นนั้นต่อไปการเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงของราคาทองคำในระดับ 50 – 100 $ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป นี่คือ New Normal แรกที่นักลงทุนทุกท่านต้องปรับตัว ซึ่งก็คือ ความผันผวนของราคานั่นเอง ซึ่งในส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นทั้ง “วิกฤต” และ “โอกาส” ของนักเก็งกำไรทองคำทุกคน ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ในการเก็งกำไรของแต่ละคน แต่สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้สำหรับ ตลาดที่มีความผันผวนสูงแบบนี้ก็คือเรื่องการ Money Management และการใช้ Margin Trade เพราะถ้าใคร OverTrade หรือ ไม่มีการวาง Money Management ให้ดี มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินที่นำมาลงทุน ส่วนแนวโน้มระยะกลางถึงยาวนั้น ผมเชื่อว่าทองคำมีแนวโน้มที่ขึ้นต่อได้อีก เพราะ New Normal ที่ 2 ที่นักลงทุนทุกคนต้องเจอก็คือเรื่อง “Low – Yield World” เนื่องจาก COVID – 19 ทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนักจนธนาคารกลางทั่วโลกต่างพากันลดดอกเบี้ยแบบจัดหนัก ทำให้ผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรนั้นต่ำมาก ซึ่งพอผลตอบแทนลดลงมาต่ำมากก็ทำให้ความน่าสนใจในตลาดพันธบัตรนั้นลดน้อยลงด้วย ทีนี้พอหันไปมองที่ตลาดหุ้น ก็ดูไม่ค่อยสดใสนักเช่นกันเนื่องจาก COVID ทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบหนักมาก ๆ กว่าจะฟื้นตัวได้ก็คงต้องใช้เวลาเป็นหลักปี จากทั้ง 2 ข้อด้านบนที่ผมให้เหตุผลไปทำให้ตลาดทองคำยังดูดีกว่าทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น เท่านั้นยังไม่พอพวกเราทุกคนกำลังต้องเผชิญกับ New Normal ที่ 3 ก็คือ “Money Printing” หรือ การพิมพ์เงินนั่นเอง อย่างที่รู้กันว่า สหรัฐอเมริกาประกาศ Unlimited QE หรือ แปลง่าย ๆ ก็คือเค้าจะพิมพ์เงินออกมาเท่าไรก็ได้ตามที่เค้าต้องการ จากกฎพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ อะไรก็แล้วแต่ที่ความต้องการไม่เพิ่มขึ้นเท่ากับปริมาณของมัน ของสิ่งนั้นย่อมด้อยค่าลง ซึ่งในกรณีนี้สิ่งนั้นก็คือเงิน US Dollar นั่นเอง ดังนั้นเมื่อ US Dollar ด้อยค่าลง ทองคำก็จะมีค่ามากขึ้นโดยเปรียบเทียบนั่นเอง เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า ในระยะกลางถึงยาว ทองคำยังคงมี Gap การขึ้นได้อยู่อีกเยอะ ส่วนประเด็นต่อมาก็คือเรื่อง ภาพรวมธุรกิจทองคำ ในส่วนนี้นั้นอาจจะเกี่ยวกับนักลงทุนรายย่อยน้อยหน่อย แต่จะเกี่ยวกับเรื่องร้านทองมากกว่า อย่างที่รู้กันว่า COVID – 19 ทำให้เกิดกระแส New Normal ขึ้นก็คือเรื่องของ “การซื้อขาย Online” ที่จากเดิมเติบโตอยู่แล้ว กลายเป็นเติบโตมากขึ้นไปอีก เนื่องจากความกังวลของประชาชนที่ไม่ค่อยอยากจะออกไปสถานที่ที่แออัดประกอบกัน นั่นทำให้ร้านทองเองก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน โจทย์ก็คือจะทำอย่างไรให้ผู้ที่ต้องการซื้อขายทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าที่มีราคาสูงนั้นเชื่อใจทางร้านได้ว่า การซื้อขายผ่านช่องทาง Online ของลูกค้าปลอดภัยและลูกค้าเชื่อมั่นว่าฝากทองหรือฝากเงินไว้กับที่ร้านนั้นจะปลอดภัยแน่นอน 100 % เหมือนฝากไว้กับ Bank รวมถึง ขยาย Channel การขายให้ Online มากขึ้นผ่าน Platform E-Commerce ต่าง ๆ แต่ที่ผมกล่าวไปไม่ได้หมายความว่าตลาด Physical จะถึงจุดจบนะ ผมเชื่อว่ามันก็ยังคงค้าขายได้เหมือนเดิมเมื่อสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติเพียงแต่การเติบโตของตลาด Physical นั้นมันไปต่อค่อนข้างยากแล้ว สรุปเรื่อง New Normal ของทองคำ ในฝั่งของแนวโน้มราคามี 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่ เรื่องความผันผวนของราคาที่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน Low Yield World อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์อื่น ๆ อยู่ในช่วงต่ำมาก Money Printing การพิมพ์เงินแบบจัดหนักจะทำให้เงินด้อยค่าลง ส่วน New Normal ในส่วนของภาพรวมธุรกิจทองคำก็คือเรื่องของ “การซื้อขาย Online” ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพราะฉะนั้นอยากให้มองว่าช่วงหลัง COVID-19 ไม่ได้มีเพียงวิกฤตเท่านั้น แต่หากเรามองโอกาสของนักลงทุนทองคำหรือผู้ประกอบการณ์ในธุรกิจนี้ก็พอจะมีทางออกของสถานการณ์นี้ได้ InterGold แท็ก: Advance Article COVID-19 Knowledge Short Content ทอง ทองคำ โควิด-19 แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
SET VS VN Index - FINNOMENA ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีตลาดหุ้น และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด และก็แน่นอนว่า ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย 28 ก.ย. 2563 ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ดัชนีตลาดหุ้น และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด และก็แน่นอนว่า ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย ในการเปรียบเทียบนั้น ผมจะดูดัชนีหุ้นของทั้งสองแห่งเป็นหลัก ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินของเวียตนามเพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2000 ปี และเนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่ การ “เก็งกำไร” จึงน่าจะรุนแรงมาก ดัชนีตลาดวิ่งจาก 100 จุด ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,140 จุดหรือ 11 เท่าภายใน 7 ปีและนั่นเกิดขึ้นตอนต้นปี 2007 ซึ่งก็ถือเป็น “ฟองสบู่ลูกแรก” ของเวียตนาม ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นของไทยเอง ก็ปรับตัวขึ้นสูงสุด จากประมาณ 200 จุด ซึ่งเป็นดัชนีต่ำสุดหลังวิกฤติปี 2540 หรือปี 1997 กลายเป็นประมาณ 910 จุดในช่วงปลายปี 2007 เหมือนกัน จากปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นทั้งไทยและเวียตนามปรับตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดหลังวิกฤติปี 1997 ดัชนีตลาดหุ้นทั้งสองแห่งก็ประสบกับวิกฤติปี 2008 หรือวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอีกประมาณ 10 ปีต่อมาหลังวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ดัชนีของตลาดหุ้นไทยตกลงมาต่ำสุดที่ประมาณ 400 จุดในปลายปี 2008 และตลาดหุ้นเวียตนามก็ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 250 จุดในต้นปี 2009 เช่นเดียวกัน การตกลงมาของตลาดหุ้นไทยนั้นคิดแล้วประมาณ 50% จากช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ถ้าคิดจากจุดสูงสุดก็ประมาณ 56% แต่ในกรณีของเวียตนามนั้น เนื่องจากตกลงมาจากจุดสูงสุดที่เป็น “ฟองสบู่” ดัชนีตลาดจึงตกลงมาแรงถึงประมาณเกือบ 80% อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของตลาดทั้งสองแห่งก็รวดเร็วมาก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าวิกฤติครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็น “วิกฤติเทียม” ที่เกิดจากวิกฤติของอเมริกาและส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยและเวียตนามไม่มาก ดังนั้น ดัชนีของทั้งสองตลาดก็ปรับตัวขึ้นแบบ “V-Shape” คือขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน ดัชนีตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนับจากปี 2009 จนถึงต้นปี 2018 เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวขึ้นถึงจุดสูงสุดใหม่ หรือ All Time High ที่ประมาณ 1,840 จุด ในเวลาใกล้เคียงกัน คือห่างกันแค่ 1-2 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็ทำ High ใหม่ที่ประมาณ 1,180 จุด ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนแล้ว ดัชนีหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.6 เท่าในเวลาประมาณ 9 ปี หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณ 17.9% ต่อปี ในขณะที่ตลาดเวียตนามให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.8 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณปีละ 18.8% ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ผลตอบแทนระยะยาวในช่วงหลังซับไพร์มของทั้งสองตลาดนั้นดีพอ ๆ กันและดีเลิศ- ในประวัติศาสตร์ และเมื่อ “ครบรอบ 10 ปี” ของวิกฤติครั้งก่อน วิกฤติครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นก็คือวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2020 หรือประมาณ 12 ปีนับจากซับไพร์ม ก่อนที่จะเกิดวิกฤตินั้น ทั้งตลาดหุ้นไทยและเวียตนามต่างก็อยู่ในช่วงเหงาหงอย และหุ้นที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ทยอยตกลงมาประมาณ 2 ปีแล้ว ดัชนีตลาดช่วงสิ้นปี 2019 ของหุ้นไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 1,580 จุด ในขณะที่ดัชนีหุ้นเวียตนามนั้นอยู่ที่ประมาณ 965 จุด โดยที่ดัชนีหุ้นไทยนั้นลดลงจากจุดสูงสุดประมาณ 14% ในขณะที่ดัชนีหุ้นเวียตนามลดลงประมาณ 18% และเมื่อเกิดโควิด-19 ตอนต้นปี 2020 พอถึงเดือนมีนาคม ดัชนีตลาดหุ้นทั้งของไทยและเวียตนามก็ตกลงมาแบบ “วิกฤติ” ดัชนีหุ้นไทยลดลงมาต่ำสุดที่ประมาณ 1,034 จุดหรือลดลงประมาณ 35% จากสิ้นปีก่อนในขณะที่ดัชนีเวียตนามลดลงมาเหลือ 663 จุดหรือลดลงประมาณ 31% ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นอย่างที่รู้กัน ดัชนีตลาดหุ้นของไทย Rebound หรือฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วคล้าย ๆ กับจะเป็น V-Shape ภายในไม่กี่เดือน ดัชนีขึ้นไปที่ประมาณ 1,439 จุด หรือเท่ากับการติดลบจากปลายปีก่อนแค่ประมาณ 8.9% ในช่วงต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ เช่นเดียวกัน ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็ปรับตัวขึ้นมาเป็นประมาณ 900 จุดหรือเท่ากับติดลบประมาณแค่ 6.7% จากปลายปีก่อน การปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นครั้งนั้นทำให้นักลงทุนต่างก็มีความหวังว่าทั้งไทยและเวียตนามคงจะผ่านเรื่องของโควิด-19 ไปอย่างดีและก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดหุ้นในสหรัฐที่ดัชนีทุกตัวต่างก็ปรับตัวขึ้นกันหมดเนื่องจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นดิจิตอลและไฮเท็คที่กำลังมีรายได้เพิ่มขึ้นมากอานิสงค์จากโควิดที่ทำลายเศรษฐกิจยุคเก่าแต่เอื้อประโยชน์แก่เศรษฐกิจยุคใหม่ การปรับตัวขึ้นของหุ้นรอบสั้น ๆ นี้ ถ้าคิดว่าคนเริ่มเข้าตลาดในช่วงต่ำสุดของวิกฤติโควิดในตลาดหุ้นไทย พวกเขาจะได้กำไรเฉลี่ยถึงประมาณ 39% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน ในตลาดหุ้นเวียตนามตัวเลขก็จะเป็นประมาณ 36% ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมตัวเลขการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นของนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงนี้ แต่แล้ว ก็เช่นเดียวกับทุกครั้งในประวัติศาสตร์ หุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปแรงมากก็ปรับตัวลงอย่าง “ไม่คาดคิด” ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงมาต่อเนื่องนับจากเดือนมิถุนายนจนเหลือ 1,245 จุด ในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 หรือเท่ากับว่าดัชนีลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 21% และหลายคนอาจจะกำลังกลัวว่ามันอาจจะลดลงอีกเนื่องจากตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจและปัญหาหลายอย่างรวมถึงการเมืองไทยกำลังถาโถมเข้ามากระทบกับตลาดหุ้น ตรงกันข้าม ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น แม้ว่าช่วงแรกจะปรับตัวลงบ้างแบบเดียวกับดัชนีหุ้นไทย แต่ในที่สุดก็ปรับตัวขึ้นกลับมาเป็น “ขาขึ้น” ที่ 908 จุดในวันเดียวกันนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจของเวียตนามถูกคาดการณ์ดีว่าจะเติบโต 3-4% ในปีนี้และทุกอย่างดูสดใส ข้อสรุปของผมจากการมองและวิเคราะห์ดัชนีตลาดหุ้นไทยและเวียตนามมาตลอดและโดยเฉพาะหลังจากวิกฤติซับไพร์มนั้น ผมมีความรู้สึกว่าดัชนีตลาดทั้งสองแห่งนั้นมีความคล้ายกันมากจนแทบไม่น่าเชื่อ ระดับและผลตอบแทนของดัชนีรวมถึงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นแทบจะตรงกัน ความแตกต่างที่พอเห็นได้บ้างก็คือ ผลตอบแทนของเวียตนามวัดจากดัชนีนั้นที่ผ่านมาดีกว่าของไทยเล็กน้อย แต่ในระยะไม่กี่เดือนหลังการเกิดขึ้นของโควิด-19 ดูเหมือนว่าดัชนีหุ้นของเวียตนามจะเริ่ม “ฉีก” ออกจากตลาดหุ้นไทยนั่นก็คือ หุ้นเวียตนามสามารถทนทานต่อวิกฤติได้ในขณะที่หุ้นไทยเองนั้นอาจจะ “ไปไม่รอด” ทั้งหมดนั้น สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะว่า เศรษฐกิจของเวียตนามและไทยในอดีตที่ผ่านมานั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากในแง่ที่ว่าต่างก็โตขึ้นมาด้วยการลงทุนจากต่างประเทศและอาศัยการส่งออกเป็นหลัก ผู้คน สังคม จำนวนประชากรและภูมิประเทศเองก็คล้าย ๆ กัน เพียงแต่ว่าไทยเริ่มต้นก่อน ดังนั้น ดัชนีตลาดหุ้นจึงสะท้อนออกมาในรูปแบบที่สอดคล้องกันมาก อย่างไรก็ตาม มาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ บางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นซึ่งทำให้สองประเทศนี้อาจจะกำลัง “แยก” ออกจากกัน นั่นก็คือ คนไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิด “ปัญหา” สารพัดจนทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถโตอย่างที่เคยเป็นมาได้ ตรงกันข้าม เวียตนามกำลังอยู่ในช่วง “Prime” นั่นก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงเรื่องอายุของประชากรกำลังเอื้ออำนวยอย่างที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งไม่มีอะไรมาขวางได้รวมถึงเรื่องของโควิด-19 ประมาณ 5 ปีมาแล้วที่ผมเขียนบทความชื่อ “The Next Thailand And Beyond” ซึ่งกล่าวถึงเวียตนาม และส่วนตัวก็เริ่มไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนาม โดยวิธีการซื้อหุ้น “ทั้งตลาด” เพราะผมเชื่อว่าถ้าเวียตนามเติบโต หุ้นของผมก็จะเติบโตไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผ่านไป 4 ปีครึ่ง ดูเหมือนว่าพอร์ตหุ้นเวียตนามผมจะ “ไม่ไปไหน” ผมคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับเวียตนามที่ผมคิดไว้นั้น “ไม่ผิดเลย” เพราะประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง ดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้น “พอไปได้” สิ่งที่ผิดก็อาจจะเป็นการเลือกหุ้นลงทุนที่ผมเลือกหุ้นตัวเล็กและไม่ได้เลือกเป็นรายตัว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มโควิด-19 จนถึงปัจจุบันนั้น พอร์ตเวียตนามของผมกลับดีขึ้นมาก ทุกพอร์ตมีผลตอบแทนดีและเป็นบวกเมื่อเทียบกับต้นทุน ไม่ได้เป็นผลตอบแทนที่ดีเลิศเมื่อคิดถึงระยะเวลาที่ลงไป แต่ก็ดีพอที่จะทำให้ “ความผิดหวัง” ของผมลดลงไปมาก ว่าที่จริง ลึก ๆ แล้วผมกลับเริ่มมีความหวังกับตลาดหุ้นเวียตนามอีกครั้งหนึ่ง เพราะดู ๆ แล้ว หุ้นเวียตนามรวมถึงหุ้นที่มีศักยภาพสูงมากในตลาดยังมีราคาที่ “ถูกมาก” ถ้าวันไหนคนเวียตนามหันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากเหมือนอย่างในตลาดหุ้นไทย และ/หรือวันไหนที่ตลาดหุ้นเวียตนามได้รับการยอมรับจากสถาบันการลงทุนระดับโลก ก็มีโอกาสว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีกมาก ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://portal.settrade.com/blog/nivate/2020/09/28/2392 แท็ก: Advance Article Knowledge SET Index Short Content VN Index ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นไทย หุ้นเวียดนาม หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }