text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
News Update: สหรัฐฯ แบน China Telecom บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน เหตุกังวลความมั่นคงของชาติ - FINNOMENA สหรัฐฯ เพิกถอนใบอนุญาตของ China Telecom บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน โดยอ้างความกังวลเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ส่งสัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นของ 2 มหาอำนาจ 27 ต.ค. 2564 สหรัฐฯ เพิกถอนใบอนุญาตของ China Telecom บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำของจีน โดยอ้างความกังวลเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ส่งสัญญาณความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นของ 2 มหาอำนาจ คณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหพันธรัฐของสหรัฐฯ (FCC) มีมติเป็นเอกฉันท์ 4 ต่อ 0 เสียง ให้ China Telecom หยุดให้บริการในสหรัฐฯ ภายใน 60 วัน โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลจีนมีความสามารถในการควบคุมบริษัท ทำให้มีโอกาสเข้าถึง จัดเก็บ หรือ ขัดขวาง การสื่อสารของสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่การสอดแนม หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อสหรัฐฯ โฆษกของ China Telecom ผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมในสหรัฐฯ มาเกือบ 20 ปี กล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของสหรัฐฯ นั้นน่าผิดหวัง โดยบริษัทวางแผนที่จะปฏิบัติตามตัวเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด ในขณะที่ยังคงให้บริการลูกค้าต่อไป China Telecom คือ 1 ใน 3 บริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดโทรคมนาคมของจีน มีลูกค้ามากกว่า 100 ล้านราย ในกว่า 110 ประเทศ ด้วยบริการหลากหลายตั้งแต่ อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ไปจนถึง เครือข่ายโทรศัพท์ การตัดสินใจเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ Janet Yellen รวม.คลังสหรัฐฯ พูดคุยกับ Liu He รองนายกฯ จีน เกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจโลก ก่อนหน้านี้ FCC ได้เตือนว่าจะปิดบริษัท China Telecom Americas ในเดือน เม.ย. 2020 เนื่องจากบริษัทอยู่ภายใต้การแสวงหาประโยชน์ และถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน Derek Scissors จาก American Enterprise Institute กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของ FCC ค้างคามานานแล้ว เพราะบริษัทโทรคมนาคมของจีนเป็นอาวุธของรัฐบาลจีนมากกว่าองค์กรการค้า China Telecom เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งล่าสุดของจีนที่ตกเป็นเป้าของสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงของชาติ หลังเมื่อปีที่แล้ว FCC ประกาศว่า Huawei และ ZTE เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ในปี 2019 FCC ได้เพิกถอนใบอนุญาตของ China Mobile และกำลังดำเนินการเช่นเดียวกันกับบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอีก 2 แห่ง ได้แก่ China Unicom Americas และ Pacific Networks ซึ่งในทุกกรณี สหรัฐฯ อ้างถึงเหตุผลเดียวกันคือ ความเสี่ยงที่รัฐบาลจีนอาจใช้บริษัทเหล่านี้สอดแนมหรือทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ John Byrne นักวิเคราะห์จาก GlobalData กล่าวว่า แม้จะไม่มีหลักฐานในการกระทำผิด แต่เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าบริษัทโทรคมนาคมเหล่านี้สามารถกระทำความผิดหรือสอดแนมตามคำสั่งของรัฐบาลจีน และตอนนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานกำกับดูแลสหรัฐฯใด ที่จะเข้าข้างรัฐบาลจีน อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-59055360 https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-26/china-telecom-s-permission-to-operate-in-u-s-revoked-by-fcc?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: China Telecom News Update จีน สหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Facebook รายได้โต สวนกระแสข่าวลบ เจอ Tiktok เป็นคู่แข่ง แย่งผู้ใช้งานวัยรุ่น เตรียมพัฒนา Metaverse สร้างการเติบโตในอนาคต - FINNOMENA เช้านี้ (26 ต.ค.) ราคาหุ้น Facebook ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังเวลาทำการซื้อขาย นักลงทุนตอบรับรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่สดใส โดยไม่สนข่าวด้านลบของบริษัท 26 ต.ค. 2564 เช้านี้ (26 ต.ค.) ราคาหุ้น Facebook ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หลังเวลาทำการซื้อขาย นักลงทุนตอบรับรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่สดใส โดยไม่สนข่าวด้านลบของบริษัท 📊 รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของ Facebook กำไรต่อหุ้น (EPS): $3.22 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $3.19 รายได้: เพิ่มขึ้น 35% อยู่ที่ 29,010 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 29,570 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้ใช้งานต่อวัน: 1,930 ล้านคน เท่ากับที่คาดการณ์ จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน: เพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 2,910 ล้านคน ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2,930 ล้านคน รายได้ต่อผู้ใช้: $10 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $10.15 📊 อดีตพนักงานเดินหน้าแฉ Facebook ต่อเนื่อง Frances Haugen อดีตพนักงานเผยว่า Facebook รับรู้ถึงเนื้อหาเชิงลบที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง แต่กลับเพิกเฉยและใช้อัลกอริทึมขยาย Hate Speech เพื่อสร้าง engagement แทน ซึ่งคาดว่าจะมีการเผยแพร่เอกสารอื่นๆ เพิ่มเติมตลอดช่วงสัปดาห์นี้ Mark Zuckerberg ออกมาโต้แย้งว่า มีความพยายามร่วมกันในการทำให้ภาพลักษณ์ของ Fcebook เสียหาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โซเชียลมีเดียไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักของปัญหาเหล่านั้น ดังนั้น โซเชียลมีเดียไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวมันเอง 📊 วัยรุ่นใช้งานน้อยลง เตรียมเน้นฟีเจอร์ Reels เอกสารอีกฉบับที่เผยแพร่โดย Frances Haugen รายงานว่า วัยรุ่นในสหรัฐฯ ใช้ Facebook ลดลง 13% จากปี 2019 ซึ่งคาดว่าจะลดลงถึง 45% ในอีก 2 ปีข้างหน้า และคาดว่ากลุ่มผู้ใช้อายุ 20-30 ปี จะลดลง 4% ในช่วงเวลาเดียวกัน TikTok คือคู่แข่งสำคัญของ Facebook โดยข้อมูลในเดือน มี.ค. รายงานว่า ผู้บริโภคใช้เวลาบน TikTok นานกว่า Facebook ถึง 2 เท่า และยังมีรายงานว่าวัยรุ่นใช้เวลาบน TikTok มากกว่า Instagram 2-3 เท่า แม้จะมีฟีเจอร์ Reels ที่เลียนแบบ Tiktok แล้วก็ตาม Mark Zuckerberg กล่าวว่า บริษัทเตรียมการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในปีหน้า โดยจะเน้นไปที่ฟีเจอร์ Reels วิดีโอแบบเต็มหน้าจอ ซึ่งแข่งขันโดยตรงกับ TikTok เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี อีกความท้าทายที่ Facebook และบริษัทต่างๆ ต้องเผชิญ คือ ระบบปฏิบัติการ iOS 14 ของ Apple ที่ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งานและกำหนดเป้าหมายในการโฆษณาได้ยากขึ้น 📊 Facebook เตรียมเข้าสู่โลก Metaverse Facebook มีแผนเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ โดยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะทำให้ Facebook กลายเป็นเพียงหนึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเหมือนกับ Instagram หรือ Messenger ซึ่ง Facebook จะไม่ใช่เพียงธุรกิจแพลตฟอร์มอย่างเดียวอีกต่อไป Facebook ได้จัดตั้งทีม Metaverse ขึ้นมาโดยเฉพาะ โดย Metaverse คือโลกดิจิทัลที่ผู้คนจำนวนมากสามารถโต้ตอบได้ในสภาพแวดล้อม 3 มิติ และมอบหมายให้ Andrew Bosworth หัวหน้าฝ่าย AR และ VR ดำรงตำแหน่ง CTO ในปี 2022 Mark Zuckerberg กล่าวว่า เป้าหมายของ Facebook คือการทำให้ Metaverse เข้าถึงผู้คนนับพันล้านคนรวมถึงร้านค้าดิจิทัลมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ ภายในทศวรรษหน้า อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/25/facebook-fb-q3-earnings-report.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-25/facebook-files-show-growth-struggles-as-young-users-in-u-s-decline?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-25/facebook-posts-robust-growth-warns-of-fourth-quarter-headwinds?sref=e4t2werz https://www.bbc.com/news/business-59046002 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Facebook Mark Zuckerberg News Update TikTok แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla มูลค่าทะลุ $1 ล้านล้าน ครั้งแรก ยืนหนึ่งบริษัทรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก หลัง Hertz สั่งซื้อรถ 1 แสนคัน - FINNOMENA มูลค่าบริษัท Tesla ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก กลายมาเป็นบริษัทที่ 5 ของโลกที่สามารถมีมูลค่าเกินล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ หลังบริษัทได้รับคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1 แสนคัน จาก Hertz 26 ต.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (25 ต.ค.) มูลค่าบริษัท Tesla ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก กลายมาเป็นบริษัทที่ 5 ของโลกที่สามารถมีมูลค่าเกินล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ หลังบริษัทได้รับคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 1 แสนคัน จาก Hertz Tesla ใช้เวลาน้อยที่สุดเพียง 18 ปี ในการก้าวมาเป็นบริษัทมูลค่าล้านล้านดอลลาร์ต่อจาก Apple, Microsoft, Amazon และ Alphabet ตอกย้ำความทะเยอทะยานของ Tesla ในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ Elon Musk ผู้ก่อตั้งบริษัท Tesla ทวีตข้อความ “Wild $T1mes!” ฉลอง Tesla มีมูลค่าทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ราคาหุ้น Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งขึ้น 12.66% ปิดที่ราคา $1,024.86 หลังบริษัทปิดดีลขายรถยนต์ Model 3s จำนวน 100,000 คันกับ Hertz บริษัทผู้ให้เช่ารถยนต์ได้สำเร็จ ดีลดังกล่าวทำให้ความเชื่อมั่นต่อ Tesa เพิ่มขึ้น โดย Hertz จะชำระเงินจำนวน 4,200 ล้านดอลลาร์ในอีก 14 เดือนข้างหน้า และ Hertz จะสร้างสถานีสำหรับชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วย Tesla สามารถเดินทางได้ 200 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จรถไฟฟ้าในสหรัฐฯ ยังไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารของปธน.โจ ไบเดน ต้องการเปลี่ยนแปลง Mark Fields ผู้บริหารชั่วคราวของ Hertz กล่าวว่า ตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าคือกระแสหลัก โดยเริ่มเห็นความต้องการและความสนใจจากทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Tesla เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลกมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเผชิญอุปสรรคในการเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์มาตลอดหลายปี ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มคาดการณ์ว่า Tesla อาจประสบความล้มเหลว ทิศทางของ Tesla เริ่มสดใสในปีที่ผ่านมา หลังสามารถยกระดับโดยการทำกำไรได้เป็นครั้งแรก กระตุ้นให้ราคาหุ้นของ Tesla พุ่งทะยานต่อเนื่อง Elon Musk ตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 50% ต่อปี โดยคาดว่ายอดขายจะแตะ 20 ล้านคันต่อปี ซึ่งนั่นจะมากกว่าสองเท่าของผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ในปัจจุบันอย่าง Volkswagen และ Toyota JATO Dynamics บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ รายงานว่า ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไปในตลาดหลักของโลก โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา Tesla Model 3 กลายมาเป็นรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในภูมิภาคยุโรป Morgan Stanley ปรับราคาเป้าหมายของหุ้น Tesla ขึ้น 33% อยู่ที่ $1,200 โดยคาดการณ์ว่า Tesla จะมียอดส่งมอบรถยนต์เกิน 8 ล้านคัน ในปี 2030 อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-59045100 https://www.reuters.com/business/autos-transportation/hertz-orders-100000-tesla-cars-bloomberg-news-2021-10-25/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EV News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs หั่นเป้า GDP จีน ปีหน้า เหลือขยายตัว 5.2% จาก 5.6% จากนโยบายภาครัฐกดดัน และเงินเฟ้อ - FINNOMENA Goldman Sachs หั่นประมาณการ GDP จีน ปี 2022 เหลือขยายตัวเพียง 5.2% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 5.6% 25 ต.ค. 2564 Goldman Sachs หั่นประมาณการ GDP จีน ปี 2022 เหลือขยายตัวเพียง 5.2% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 5.6% หลังรัฐบาลจีนยังคงยึดมั่นบรรลุเป้าหมายระยะยาว เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ภาคอสังหาฯ แม้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ Hui Shan และ ทีมนักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า GDP ที่ชะลอตัว และเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 3 เป็นผลจากการขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐและเป็นเรื่องชั่วคราว โดยคาดว่า GDP จีนจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4 อยู่ที่ +3.1% เมื่อเทียบกับใตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว Goldman Sachs กล่าวว่า ทิศทางการใช้โนบายเพื่อไปสู่เป้าหมายระยะยาวของจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเห็นได้จากข่าวล่าสุดที่ทางการจีนเริ่มทดลองเก็บภาษีทรัพย์สินในบางเมือง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-25/goldman-cuts-china-s-gdp-growth-forecast-for-next-year-to-5-2?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Goldman Sachs News Update จีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: JPMorgan ชี้ Bitcoin พุ่ง เพราะเงินเฟ้อ ไม่ใช่เพราะกระแส Bitcoin futures ETF นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยแทนทองคำ - FINNOMENA JPMorgan ชี้ว่า ปัจจัยที่ผลักดันให้ราคา Bitcoin พุ่งทำสถิติใหม่ เกิดจากความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อมากกว่ากระแสการเปิดตัว Bitcoin futures ETF 21 ต.ค. 2564 JPMorgan ชี้ว่า ปัจจัยที่ผลักดันให้ราคา Bitcoin พุ่งทำสถิติใหม่ เกิดจากความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อมากกว่ากระแสการเปิดตัว Bitcoin futures ETF Nikolaos Panigirtzoglou นักกลยุทธ์จาก JPMorgan Chase & Co. กล่าวว่า แค่เพียงการเปิดตัวของ ProShares Bitcoin Strategy ETF (BITO) ไม่ได้ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่สิ่งที่ทำให้ราคาปรับขึ้นจนทุบสถิติใหม่เกิดจากการมองว่า Bitcoin สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่สามารถเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงได้ ซึ่งก็คือ Bitcoin ในขณะที่ ทองคำล้มเหลวในการตอบสนองต่อความกังวลด้านเงินเฟ้อ ทำให้มีการย้ายเงินทุนจาก ETF ทองคำไปยัง Bitcoin ตั้งแต่เดือน ก.ย. นักกลยุทธ์จาก JPMorgan มองว่า การย้ายเงินทุนจากทองคำไปยัง Bitcoin ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และจะรองรับแนวโน้มขาขึ้นของ Bitcoin ยาวไปจนถึงปลายปี ข้อมูลจาก Bloomberg รายงานว่า มีแรงเทขายในกองทุน SPDR Gold Shares ETF (GLD) ต่อเนื่องเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน รวมแล้วกว่า 3,600 ล้านดอลลาร์ JPMorgan กล่าวว่านักลงทุน Bitcoin มีทางเลือกมากมายในการลงทุน โดยกระแสเปิดตัว BITO อาจหายไปภายใน 1 สัปดาห์ เหมือนกับตอนเปิดตัว Purpose Bitcoin ETF (BTCC) ในแคนาดา เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) ราคา Bitcoin ทะลุ $66,000 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยนักลงทุนและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นผลจากการเปิดตัวกองทุน Bitcoin futures ETF ครั้งแรกในสหรัฐฯ BITO ETF ของ ProShares เปิดตัวในวันอังคาร (19 ต.ค.) ทำสถิติอันดับ 2 ของสินทรัพย์ที่ถูกเทรดมากสุดในวันแรก และทำสถิติ ETF ที่ AUM แตะระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ เร็วที่สุดในประวัติการณ์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-20/jpmorgan-says-bitcoin-s-record-run-is-being-driven-by-inflation?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Bitcoin ETFs JPMorgan News Update กองทุน Bitcoin แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Evergrande ร่วงหนัก -12.88% หลังกลับมาซื้อขายวันแรก ธนาคารกลางจีนย้ำ ไม่กังวล - FINNOMENA หุ้น China Evergrande กลับมาเทรดวันแรก หลังถูกระงับการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ราคาร่วง 12.88% รับข่าวดีลขายหุ้นกับ Hopson Development ล้มเหลว 21 ต.ค. 2564 หุ้น China Evergrande กลับมาเทรดวันแรก หลังถูกระงับการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ราคาร่วง 12.88% รับข่าวดีลขายหุ้นกับ Hopson Development ล้มเหลว China Evergrande ยุติการเจรจากับ Hopson Development ในการเจรจาขายหุ้นบริษัทในเครืออย่าง Evergrande Property Services จำนวน 50.1% ของหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 2,580 ล้านดอลลาร์ Evergrande Property Services จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว และเป็นแหล่งรายได้ที่ดีของบริษัทแม่ที่มีปัญหาสภาพคล่องอย่าง Evergrande โดยมีรายได้สุทธิทั้งปีที่ 2,650 ล้านหยวน เทียบกับรายได้ 10,500 ล้านหยวน ของ Evergrande Hopson Development บริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่เช่นเดียวกับ Evergrande แสดงความผิดหวังที่ดีลดังกล่าวไม่สำเร็จ และเรียกร้องให้หุ้นของ Hopson กลับมาซื้อขายได้อีกครั้ง หลังการซื้อขายถูกระงับเพื่อรอแถลงการณ์เกี่ยวกับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ Evergrande กล่าวว่า ยอดขายอสังหาฯ ลดลง 97% แม้จะอยู่ในฤดูกาลที่ยอดขายบ้านสูงสุด ส่งผลให้สภาพคล่องของบริษัทย่ำแย่ ก่อนจะถึงเส้นตายครบกำหนดชำระหนี้ โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Evergrande ร่วงไปแล้วกว่า 80% ขณะที่ ราคาหุ้น Evergrande Property Services ลดลง 43% ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงแถลงการณ์ว่า Evergrande ไม่มีความคืบหน้าในการขายสินทรัพย์และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด โดยระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน สำหรับการจ่ายดอกเบี้ยมูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์ ที่ Evergrande ผิดนัดในเดือนที่แล้วจะหมดอายุในสุดสัปดาห์นี้ วิกฤติสภาพคล่อง Evergrande ได้กลายมาเป็นหนึ่งในความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจจีน และได้ทำลายความเชื่อมั่นในภาคอสังหาฯ ที่คิดเป็นสัดส่วน 25% ของ GDP จีน จนเกิดความกังวลว่าวิกฤติดังกล่าวอาจลามไปทั้งอุตสาหกรรม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ต.ค.) Sinic Holdings ผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้นมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ ตามหลังการผิดนัดชำระหนี้แบบไม่คาดคิดของ Fantasia Holdings ในช่วงต้นเดือน ขณะที่ผลตอบแทนตราสารหนี้ความเสี่ยงสูงของจีนใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ ยอดขายที่ลดลงอย่างหนักและโครงการจำนวนมากที่หยุดกลางคัน สร้างแรงกดดันให้ Evergrande ต้องหาวิธีอื่นเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่ผู้ถือหุ้นกู้ ธนาคาร และเจ้าหนี้รายอื่นๆ กังวลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ของ Evergrande ผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีหนี้สูงสุดในโลก หน่วยงานกำกับดูแลการเงินของจีนสนับสนุนให้ Evergrande ทำทุกวิถีทางเพื่อเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ระยะสั้น โดยให้เน้นดำเนินการในโครงการที่ยังไม่เสร็จสิ้น รวมถึงการขายสินทรัพย์บางส่วนก็เป็นอีกกลยุทธ์ในการเพิ่มสภาพคล่องแม้จะไม่คุ้มราคาก็ตาม Lisa Zhou นักกลยุทธ์จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า การขายบริษัทในเครือจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาวิกฤติในระยะสั้น ขณะที่ Daniel Fan กล่าวว่า ความพยายามดังกล่าวช่วยซื้อเวลาสำหรับการแก้ไขปัญหาการระดมทุนในต่างประเทศ การคุมเข้มภาคอสังหาฯ ของทางการจีนทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจีนในวงกว้าง ราคาบ้านเดือน ก.ย. ร่วงแรงในรอบ 6 ปี การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ชะลอตัวลงจากภาคอสังหาฯ และการก่อสร้างหดตั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด นายฟ่าน กงเฉิน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวว่า ตลาดตอบสนองต่อการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ไปบางส่วนแล้ว และเชื่อว่าภาคอสังหาฯ จีน กำลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-20/evergrande-ends-talks-on-hopson-deal-asks-to-resume-trading?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande News Update ธนาคารกลางจีน อสังหาจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla งบไตรมาส 3 ทำจุดสูงสุดใหม่ รายได้ และ กำไร ทุบสถิติ เอาชนะปัญหาขาดแคลนชิปและห่วงโซ่อุปทาน - FINNOMENA Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 โดยทุบสถิติใหม่ของบริษัททั้งรายได้ กำไร และยอดขาย เอาชนะปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ 21 ต.ค. 2564 Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอายุ 18 ปี รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 โดยทุบสถิติใหม่ของบริษัททั้งรายได้ กำไร และยอดขาย โดยแม้รายได้จะต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่มีผลกำไรสูงกว่าคาด แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Tesla ในการเอาชนะปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัท กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $1.86 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $1.59 รายได้เพิ่มขึ้น 57% (YoY) อยู่ที่ 13,790 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 13,630 ล้านดอลลาร์ รายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 12,060 ล้านดอลลาร์ รายได้จากธุรกิจพลังงานอยู่ที่ 806 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่รายได้จากการบริการ เช่น การซ่อมบำรุงอยู่ที่ 894 ล้านดอลลาร์ รายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าอื่น (Regulatory Credits) อยู่ที่ 279 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 354 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ 2 กำไรขั้นต้น (Gross Margin) เพิ่มขึ้น 28.8% (YoY) โดยไม่รวมรายได้จาก Regulatory Credits ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 241,300 คันทั่วโลก และ ยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 237,823 คัน โดย 96% ของยอดขายทั้งหมดคือรุ่น Model 3 และ Model Y ผลประกอบการดังกล่าว เป็นรายงานผลกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 9 ของ Tesla โดย Tesla กล่าวว่าปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ตั้งแต่การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงความแออัดที่ท่าเรือส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเพิ่มผลผลิต ในขณะที่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญปัญหาดังกล่าว แต่ยอดขายในไตรมาส 3 ของ Tesla ทำสถิติใหม่ ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นที่แม้จะสามารถรายงานผลกำไรในช่วงที่เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนได้ แต่ยอดขายไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดด้านซัพพลายเออร์ หลังการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวลดลง 1.5% ในช่วงหลังตลาดปิด โดยมีราคาปิดเมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) ที่ $865.80 และปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.64% ตั้งแต่ต้นปี Gene Munster จาก Loup Ventures กล่าวว่า การลดลงของราคาหุ้นเกิดจากผลประกอบการที่เป็นไปตามคาด แต่หากพิจารณาที่ความสามารถในการทำกำไรนั้น Tesla มีความก้าวหน้าอย่างมาก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-20/tesla-s-quarterly-revenue-trails-estimates-while-earnings-beat?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2021/10/20/tesla-tsla-earnings-q3-2021.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EV News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Ant Group หมดหวัง IPO ในปีนี้ แม้บริษัทยอมยกเครื่อง เปิดทางรัฐบาลร่วมทุน นักวิเคราะห์หั่นมูลค่า เหลือ 1 ใน 3 จากราคา IPO ปีที่แล้ว - FINNOMENA ดีล IPO มูลค่า 35,000 ล้านดอลลาร์ ของ Ant Group จะหมดอายุในวันนี้ (20 ต.ค.) เป็นเวลา 1 ปี หลังถูกทางการจีนระงับ IPO ในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ความหวังของ Ant Group ภายใต้ข้อความ ‘อย่าหมดศรัทธา’ กำลังจางหายไป 20 ต.ค. 2564 ดีล IPO มูลค่า 35,000 ล้านดอลลาร์ ของ Ant Group จะหมดอายุในวันนี้ (20 ต.ค.) เป็นเวลา 1 ปี หลังถูกทางการจีนระงับ IPO ในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง ความหวังของ Ant Group ภายใต้ข้อความ ‘อย่าหมดศรัทธา’ กำลังจางหายไป ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการเงินชั้นนำที่เคยคาดการณ์ว่า Ant Group จะกลับมา IPO อีกครั้งภายในปีนี้หรือปีหน้า ได้เปลี่ยนคาดการณ์สู่ปี 2023 ในขณะที่การประเมินมูลค่าบริษัทลดลงมากกว่า 2 ใน 3 จากระดับสูงลิ่วก่อนหน้านี้ที่ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ Ant Group คือจุดเริ่มต้นการคุมเข้มเทคโนโลยีของทางการจีนในการบรรลุเป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ ตามมาด้วยการปราบปรามในทุกภาคส่วน จนเกิดคำถามว่าการคุมเข้มดังกล่าวจะเสร็จสิ้นเมื่อใด Ant Group ถูกยกเครื่องโครงสร้างครั้งใหญ่จนขวัญกำลังใจของพนักงานเริ่มหมดลง ทั้งการถูกสั่งให้แยกธุรกิจย่อยออกจาก Alipay แอปชำระเงินครบวงจรที่มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคน หรือการบังคับให้คู่แข่งสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้บริโภคขนาดใหญ่โดยเสียค่าธรรมเนียม พนักงานคนหนึ่ง กล่าวว่า Ant Group เริ่มมีลักษณะคล้ายกับธนาคารแบบดั้งเดิมที่ แจ็ค หม่า เคยเย้ยหยันในการประชุม Bund Summit เมื่อปีที่แล้วว่าไม่ต่างจากโรงรับจำนำ และเตือนว่า การคุมเข้มที่ผิดเวลาของรัฐบาลจะส่งผลร้ายต่อนวัตกรรมจีน พนักงานกลุ่มหนึ่งมองว่า การเป็นเจ้าของโดยรัฐอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ขณะที่ทางการจีนได้หารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งตัวแทนจากรัฐบาลในตำแหน่งผู้บริหารของ Ant Group เพื่อควบคุมการดำเนินงานของบริษัท ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า ผู้บริหาร Ant Group กำลังปรับโครงสร้างบริษัทโดยแยกกิจการย่อยเพื่อร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่รัฐสนับสนุน ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลที่นำโดยแบงก์ชาติจีนได้ส่งแนวทางกว้างๆ แก่ Ant Group และปล่อยให้ดำเนินการแบบลองผิดลองถูก ทั้ง Ant Group และ Tencent ถูกทางการจีนสั่งให้ปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่ โดยการควบคุมได้ขยายขอบเขตจากเรื่องการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ ไปสู่การดำเนินงานที่ซับซ้อนขึ้น เช่น สั่งลดการครอบงำในบริการชำระเงิน รวมถึงการเปิดแพลตฟอร์มเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของผู้บริโภคได้รับการคุ้มครอง การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ Ant Group ทั้งที่เริ่มไปแล้วและกำลังวางแผน มีดังนี้ เพิ่มทุนจดทะเบียนสู่ 35,000 ล้านหยวน (5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากเงินทุนสำรองของบริษัท เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต อนุมัติแยกธุรกิจย่อย Jiebei และ Huabei สู่ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคแห่งใหม่ ด้วยทุนจดทะเบียน 8 พันล้านหยวน โดย Ant ถือหุ้น 50% และจำกัดการปล่อยสินเชื่อที่ 266,000 ล้านหยวน ทางการจีนต้องการให้ Ant Group สร้างแอปสำหรับธุรกิจสินเชื่อแยกออกจากแอป Alipay ผู้ใช้งาน Alipay ต้องกดยอมรับเงื่อนไขใหม่ในการเผยแพร่ประวัติเครดิตกับธนาคารกลางก่อนใช้งาน Jiebei และ Huabei ย้ายข้อมูลธุรกรรมของผู้บริโภคไปยังบริษัท Credit Scoring แห่งใหม่ที่ร่วมทุนกับบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ โดย Ant ถือหุ้นส่วนน้อยที่ 35% Alibaba เพิ่มระบบการชำระเงินของ Tencent ลงในบางแอปของ Alibaba เพื่อลดการผูกขาดของ Alipay ที่มีมาอย่างยาวนาน ข้อจำกัดมากมายของ Ant Group ทำให้ Fidelity Investments หั่นการประเมินมูลค่า Ant Group เหลือเพียง 78,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถาบันการเงินอื่นๆ ยังคงมีมุมมองบวก เช่น BlackRock ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ 174,000 ล้านดอลลาร์ และ T Rowe Price ประเมินไว้ที่ 189,000 ล้านดอลลาร์ Francis Chan นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า โมเดลธุรกิจของ Ant Group มีความเสี่ยงลดลงจากการถูกบังคับให้แยกแอปสินเชื่อออกจาก Alipay และจากการคำนวณคาดว่ากำไรจากสินเชื่อจะลดลงครึ่งหนึ่ง และประเมินมูลค่าบริษัทที่ 71,500 ล้านดอลลาร์ Ant Group ยังต้องเผชิญความท้าทายจากอุปสรรคด้านกฎระเบียบของทางการจีน ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า เจ้าหน้าที่หลายคนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ถูกสอบสวนถึงบทบาทของพวกเขาในกระบวนการ IPO ที่รวดเร็วของ Ant Group โดยตอนนี้ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าอนุมัติการเข้าสู่ตลาดของ Ant Group จนกว่า ปธน.สี จิ้นผิง จะอนุญาต Vincent Chan นักกลยุทธ์จาก Aletheia Capital กล่าวว่า ต้องรอจนกว่ารัฐบาลจีนจะรู้สึกสบายใจต่อบริษัทอินเทอร์เน็ตและพฤติกรรมของธุรกิจ e-commerce เหมือนกับที่รู้สึกกับบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งคงอีกนาน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-19/ant-s-record-ipo-remains-in-limbo-a-year-after-china-crackdown?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Ant Group News Update สีจิ้นผิง แจ็ค หม่า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Squid Game ดันงบ Netflix ไตรมาส 3 พุ่ง ยอดชมซีรีส์ทำสถิติใหม่ คนดู 142 ล้านใน 1 เดือน จำนวนสมาชิกใหม่เพิ่ม 4.4 ล้านบัญชี - FINNOMENA Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ความฮิตของซีรีส์เกาหลี Squid Game ดึงดูดสมาชิกใหม่จำนวนมาก ในขณะที่ราคาหุ้น Netflix เพิ่มขึ้น 0.16% (19 ต.ค.) 20 ต.ค. 2564 Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ความฮิตของซีรีส์เกาหลี Squid Game ดึงดูดสมาชิกใหม่จำนวนมาก ในขณะที่ราคาหุ้น Netflix เพิ่มขึ้น 0.16% (19 ต.ค.) รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัท กำไรต่อหุ้น (EPS): $3.19 สูงกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ $2.56 รายได้: 7,480 ล้านดอลลาร์ เท่ากับที่ Refinitive คาดการณ์ การเพิ่มขึ้นของสมาชิกแบบชำระเงินทั่วโลก: 4.4 ล้านบัญชี สูงกว่าคาดการณ์โดย StreetAccount ที่ 3.84 ล้านบัญชี จำนวนสมาชิกใหม่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีผู้ใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นอีก เนื่องจาก Netflix มีแผนฉายซีรีส์และภาพยนตร์ใหม่จำนวนมากยาวไปจนถึงสิ้นปี หลังคอนเทนต์เหล่านั้นถูกถ่ายทำและเผยแพร่ล่าช้าจากการแพร่ระบาดของโควิด คอนเทนต์เด่นในไตรมาสที่ผ่านมาคือ ซีรีส์เกาหลีสุตฮิต ‘Squid Game’ ซึ่งทำสถิติผู้ชมสูงสุดของ Netflix โดยมีผู้ชมถึง 142 ล้านคน ในช่วง 4 สัปดาห์แรก บริษัทกล่าวว่า วัฒนธรรมเกาหลีที่สอดแทรกใน Squid Game แพร่หลายไปยังแพลตฟอร์มอื่นๆ โดยมีคนดูคลิปและมีมต่างๆ เกี่ยวกับ Squid Game ใน Tiktok มากกว่า 42,000 ล้านครั้ง นอกจากนี้ ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับซีรีส์เพิ่มสูงขึ้นมาก Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง และ co-CEO ของ Netflix สวมชุดวอร์มสีเขียวแบบเดียวกับในซีรีส์ในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัท Reed Hastings กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ในจุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน โดยในไตรมาสที่ 4 จะมีคอนเทนต์เพิ่มขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2022 บริษัทคาดการณ์ว่า การเพิ่มขึ้นของสมาชิกแบบชำระเงินทั่วโลกจะสูงถึง 8.5 ล้านบัญชี ในไตรมาสที่ 4 และกล่าวว่า แผนออกคอนเทนต์ใหม่ในปี 2022 จะเป็นไปตามกำหนดมากขึ้น จากสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้น Netflix ประกาศว่าจะใช้ตัวชี้วัดใหม่สำหรับการรายงานจำนวนผู้ชม โดยจะเริ่มรายงานจำนวนชั่วโมงที่รับชมแทนการรายงานจำนวนบัญชีผู้ชมเพียงอย่างเดียว เช่น ภาพยนตร์ยอดนิยม Extraction มีบัญชี 99 ล้านบัญชี ที่รับชมอย่างน้อย 2 นาทีใน 28 วันแรกบน Netflix บริษัทได้อัพเดตเกี่ยวกับแผนการผลักดันเกมและเริ่มทดสอบในบางประเทศ โดนคาดหวังว่าการเพิ่มบริการเกมจะทำให้ผู้ใช้งานใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม Netflix นานขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทกล่าวว่า มันยังเร็วเกินไปสำหรับความคิดริเริ่มนี้ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/19/netflix-nflx-q3-2021-earnings.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update Squid Game Streaming TV แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนเขย่าวงการโฆษณา เตรียมสั่งบริษัทเทคฯ ห้ามปิดกั้นแสดงผลข้อมูล บน Search Engine คู่แข่ง หุ้น Baidu +4.53% - FINNOMENA จีนเตรียมพิจารณาให้บริษัทเทคโนโลยีตั้งแต่ Tencent ไปจนถึง ByteDance แสดงเนื้อหาบน Search Engine ของบริษัทคู่แข่ง เช่น Baidu ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่จะช่วยขจัดอุปสรรคออนไลน์ และสั่นสะเทือนวงการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต 19 ต.ค. 2564 จีนเตรียมพิจารณาให้บริษัทเทคโนโลยีตั้งแต่ Tencent ไปจนถึง ByteDance แสดงเนื้อหาบน Search Engine ของบริษัทคู่แข่ง เช่น Baidu ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่จะช่วยขจัดอุปสรรคออนไลน์ และสั่นสะเทือนวงการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) กำลังหารือในการทำให้บทความของ WeChat รวมถึงวิดีโอสั้นของ Douyin แสดงเนื้อหาบน Search Engine อื่นๆ เช่น Baidu โดยหน่วยงานกำกับดูแลจีนกำลังสำรวจความคิดเห็นของบริษัทต่างๆ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าทางการจีนจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หากมีการดำเนินนโยบายเกิดขึ้นจริง จะถือเป็นอีกก้าวสำคัญของรัฐบาลจีนที่ต้องการทำลายอุปสรรคในตลาดที่เกิดขึ้นจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Alibaba และ Tencent โดยผู้สังเกตการณ์ได้เตือนให้บริษัทเทคฯ อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถลิงก์ไปยังบริการของคู่แข่งได้ การบังคับให้ ByteDance หรือ Tencent แสดงเนื้อหาบนบริษัทคู่แข่งอย่าง Search Engine อื่นๆ เช่น Baidu ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนี่อาจทำให้รายได้จากการโฆษณาจาก Douyin ของ ByteDance หรือ WeChat ของ Tencent ย้ายไปสู่ผู้ให้บริการ Search Engine แทน กระบวนการดังกล่าวเหมือนกับตอนที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ สั่งให้ Facebook เปิดโพสต์สาธารณะของ Whatsapp บน Search Engine ของ Google เมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) ราคาหุ้นของ Baidu เพิ่มขึ้น 4.53% รับข่าวเชิงบวก โดยโฆษกของ Tencent ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น ในขณะที่ Bytedence, Baidu และ MIIT ไม่ตอบรับคำร้องขอความคิดเห็นจากสื่อ รัฐบาลจีนประกาศสงครามกับการดำเนินงานที่ปิดกั้นการแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมอำนาจในบริษัทเหล่านั้น โดยกล่าวหาว่าบริษัทจำนวนหนึ่งใช้วิธีการบล็อก หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อปกป้องขอบเขตของตัวเอง โดยแสดงผลการค้นหาเฉพาะบริษัทในเครือตัวเองเท่านั้น บทความบน WeChat แพลตฟอร์มเผยแพร่บทความขนาดใหญ่ที่สุดในจีน ถูกควบคุมโดย Tencent และบล็อกการค้นหาจาก Search Engine ที่ดำเนินการโดย ByteDance และ Baidu ในขณะที่ Taobao ของ Alibaba ได้ปิดกั้นการค้นหาของ Baidu โดยอ้างจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งทำให้ Alibaba เป็นผู้นำในตลาดออนไลน์ โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาให้กับ Baidu อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทเริ่มลดขอบเขตลง โดยเมื่อเดือนที่แล้ว Tencent อนุญาตให้ผู้ใช้งาน WeChat ลิงก์ไปยังคู่แข่งอื่นๆ ได้ เช่น วิดีโอ Douyin และร้าน Taobao ในขณะที่ Alibaba ได้เพิ่มระบบการชำระเงินของ WeChat ในบางแอป อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-18/china-said-to-weigh-opening-tencent-bytedance-content-to-search?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ใกล้แตะ $60,000 สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติกองทุน Bitcoin ฟิวเจอร์ส ProShares และ Invesco เตรียมขายสัปดาห์หน้า - FINNOMENA ก.ล.ต. สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติกองทุนซื้อขาย Bitcoin ฟิวเจอร์ส ในช่วงเวลาที่กระแสคริปโทฯ กำลังร้อนแรง ขณะที่ ราคา Bitcoin ล่าสุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ $59,961 ใกล้แตะ $60,000 15 ต.ค. 2564 ก.ล.ต. สหรัฐฯ เตรียมอนุมัติกองทุนซื้อขาย Bitcoin ฟิวเจอร์ส ในช่วงเวลาที่กระแสคริปโทฯ กำลังร้อนแรง ขณะที่ ราคา Bitcoin ล่าสุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ $59,961 ใกล้แตะ $60,000 ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า ก.ล.ต. สหรัฐฯ จะไม่ขัดขวางกองทุน Bitcoin ฟิวเจอร์ส เหมือนที่ทำกับกองทุน Bitcoin เพราะกองทุนของ ProShares และ Invesco ที่เตรียมอนุมัติในสัปดาห์หน้า จะอยู่ภายใต้กฎหมายที่ Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต. ต้องการให้เน้นคุ้มครองผู้ลงทุน อย่างไรก็ตาม โฆษก ก.ล.ต. สหรัฐฯ และ ProShares ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ การเปิดตัวกองทุน Bitcoin ฟิวเจอร์ส จะเป็นความพยายามที่ยาวนานเกือบทศวรรษในอุตสาหกรรม ETF มูลค่า 6.7 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่การยื่นขออนุมัติกองทุน Bitcoin ครั้งแรกในปี 2013 โดย ฝาแฝด Winklevoss มหาเศรษฐี Bitcoin ที่เคยฟ้องร้องคดีกับ Facebook ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้ออก ETF พยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลายรูปแบบเพื่อให้กองทุนผ่านอนุมัติ โดยต้องลดความผันผวนที่เกิดจากราคา Bitcoin ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ไม่อนุมัติ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า ราคาคริปโทฯ ผันผวนเกินไปสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยราคาอาจถูกควบคุมและมีสภาพคล่องไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าเกี่ยวกับการตรวจสอบความเป็นเจ้าของเหรียญที่ถือโดยกองทุน รวมทั้งการคุกคามจากแฮกเกอร์ นักลงทุนคริปโทฯ หลายคนรู้สึกยินดีเมื่อ Gary Gensler รับตำแหน่งประธาน ก.ล.ต. เพราะ Gary Gensler มีความสนใจในคริปโทฯ อยู่แล้ว โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยสอนเรื่องบล็อกเชนและการเงินที่ Sloan School of Management ของ MIT อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Gary Gensler ส่งสัญญาณว่าเขาต้องการกำกับดูแลตลาดอย่างเข้มงวดมากขึ้น สถานการณ์เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นในเดือน ส.ค. หลัง Gary Gensler กล่าวว่า จะเปิดกว้างมากขึ้นในการอนุมัติ Bitcoin Futures ETF ที่ซื้อขายผ่านตลาด CME ภายใต้กฎหมายการลงทุนปี 1940 ที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุน ทำให้ผู้ออก ETF จำนวนมากแห่จดทะเบียน Bitcoin Futures ETF ส่งผลให้ในสัปดาห์นี้ราคา Bitcoin พุ่งแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ค. ใกล้แตะ $60,000 โดยราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าจากระดับต่ำกว่า $30,000 ในปลายเดือน ก.ค. โดยจะมี 4 กองทุน Bitcoin Futures ETF ที่สามารถเริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภายในเดือนนี้ จากผู้ออก ETF ดังนี้ ProShares, Valkyrie, Invesco และ VanEck สำหรับกองทุน ARKA ของ Cathie Wood ที่ยื่นอนุมัติในกลางสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น คาดว่าจะผ่านอนุมัติในช่วงปลายเดือน ธ.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-15/bitcoin-futures-etf-said-not-to-face-sec-opposition-at-deadline?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARKA Bitcoin Bitcoin ETFs News Update กองทุน Bitcoin แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เปิดตัว ‘ARKA กองทุน ETF ใหม่ ลงทุนใน Bitcoin ฟิวเจอร์ส สถาบันฯ แห่ขอจดทะเบียน Bitcoin ETF หลัง ก.ล.ต. เปิดกว้าง - FINNOMENA Cathie Wood เปิดตัว ETF ใหม่ ‘ARKA’ ลงทุนใน Bitcoin ฟิวเจอร์ส โดยหวังว่าหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ จะอนุมัติกองทุนดังกล่าวเร็วๆ นี้ 14 ต.ค. 2564 Cathie Wood เปิดตัว ETF ใหม่ ‘ARKA’ ลงทุนใน Bitcoin ฟิวเจอร์ส โดยหวังว่าหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ จะอนุมัติกองทุนดังกล่าวเร็วๆ นี้ ตามรายงานที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ‘ARKA’ หรือชื่อเต็ม ‘ARK 21Shares Bitcoin Futures Strategy ETF’ วางแผนที่จะลงทุนใน Bitcoin ฟิวเจอร์ส ที่ซื้อขายผ่านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เหล่าผู้ออกกองทุน ETF ต่างพากันเร่งขออนุมัติเปิด ETF ที่ลงทุนใน Bitcoin ฟิวเจอร์ส หลัง Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ กล่าวว่า จะเปิดกว้างมากขึ้นในการอนุมัติ Bitcoin Futures ETF ภายใต้กฎหมายการลงทุนปี 1940 ที่ให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุน ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence รายงานว่า ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามี Bitcoin Futures ETF จำนวน 9 กองทุน ที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาอนุมัติอยู่ ก่อนหน้านี้ในเดือน มิ.ย. Cathie Wood ได้ยื่นขออนุมัติ ARK 21Shares Bitcoin ETF หรือ ARKB ที่จะลงทุนใน Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุด ตามดัชนี S&P Bitcoin อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ความพยายามของหลายบริษัทตั้งแต่ปี 2013 ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยังไม่เคยอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF มาก่อน โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการฉ้อโกง และการปั่นราคา ในขณะที่ Bitcoin Futures ETF มีโอกาสมากกว่า เพราะถูกควบคุมโดยตลาดอนุพันธุ์ขนาดใหญ่ CME ซึ่งนักลงทุนต้องวางเงินลงในบัญชีมาร์จิ้นก่อนการซื้อขาย เช่น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนใน CME Micro Bitcoin futures ต้องวางเงินหลักประกันอย่างน้อย 35% Eric Balchunas จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ Ark ในการที่จะบริหาร ARKA ได้ทันที เพราะเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์ของ Ark ลงทุนอยู่ใน Grayscale Bitcoin Trust แต่หาก Ark เป็นรายที่ 7 หรือ 8 ที่ได้รับการอนุมัติก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี นอกจากนี้ Ark ยังมีฐานนักลงทุนอายุน้อยที่อาจจะอยากลงทุนใน ETF ใหม่ ทั้งนี้ 21Shares คือบริษัทในยุโรปที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการซื้อขายคริปโทฯ จะไม่เป็นที่รู้จักมากนักในสหรัฐฯ แต่บริษัทได้รับการยอมรับในยุโรป สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เคลื่อนไหวตามสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่ Bitcoin ไปจนถึง Ripple และ Polkadot โดยในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา Cathie Wood เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของ Amun Holdings ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ 21Shares อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-13/cathie-wood-lends-name-to-new-etf-tracking-bitcoin-futures?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARK Investment ARKA Bitcoin Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นอินเดียใกล้แซงหน้าอังกฤษ มูลค่าพุ่ง 37% แตะ $3.5 ล้านล้าน ดอกเบี้ยต่ำและ นลท.รายย่อย ช่วยหนุน - FINNOMENA มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียใกล้แซงหน้าตลาดหุ้นอังกฤษ โดยตได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่ทำสถิติสูงสุด 12 ต.ค. 2564 มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียใกล้แซงหน้าตลาดหุ้นอังกฤษ ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกอันดับ 5 โดยตลาดหุ้นอินเดียได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ และการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่ทำสถิติสูงสุด ข้อมูลจาก Bloomberg รายงานว่า ในปีนี้มูลค่าตลาดหุ้นอินเดียพุ่งขึ้น 37% สู่ 3.46 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าได้ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอังกฤษที่เพิ่มขึ้น 9% ที่มูลค่า 3.59 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าดังกล่าวแสดงเพียงบริษัทที่จดทะเบียนในอินเดียเท่านั้น ซึ่งหากรวมบริษัทอินเดียที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ และ ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) มูลค่าจะสูงกว่านี้มาก หากมูลค่าตลาดหุ้นของทั้ง 2 ประเทศมาใกล้กัน ตลาดหุ้นอินเดียจะได้เปรียบจากทั้งศักยภาพในการเติบโต ความสดใสของภาคเทคโนโลยีที่มีธุรกิจจำนวนมากเข้าสู่ตลาดหุ้นในปีนี้ และยังได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนที่แย่ลง ในขณะที่ความไม่แน่นอนของ Brexit ยังคงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอังกฤษ Roger Jones จาก London and Capital Asset Management กล่าวว่า อินเดียถูกมองว่าเป็นตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุน เพราะมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวที่ดีจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนา และมีฐานทางการเมืองที่มั่นคง ในขณะที่อังกฤษถูกลดความสนใจตั้งแต่ผลประชามติ Brexit ดัชนี S&P BSE Sensex พุ่งขึ้นมากกว่า 130% นับตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว และทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสกุลเงินดอลลาร์เฉลี่ยต่อปี 15% ตลอด 5 ปี มากกว่าผลตอบแทนของดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษที่ 6% ต่อปี เมื่อเดือนที่ผ่านมา Sunil Koul จาก Goldman Sachs คาดว่า มูลค่าของตลาดหุ้นอินเดียจะพุ่งสู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2024 โดยมาจากการ IPO ของบริษัทต่างๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-11/roaring-india-stock-market-on-track-to-overtake-u-k-s-in-value?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นอินเดีย อังกฤษ อินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Ant Group กลับมาแล้ว เพิ่มทุนเองสู่ $5,400 ล้าน ไม่รอ IPO ยอมทำตามทางการจีนทุกอย่าง - FINNOMENA Ant Group เพิ่มทุนจดทะเบียนสู่ 5,400 ล้านดอลลาร์ หลังถูกหน่วยงานกำกับดูแลจีนระงับการ IPO และสั่งให้ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในช่วง พ.ย. 2020 11 ต.ค. 2564 Ant Group เพิ่มทุนจดทะเบียนสู่ 5,400 ล้านดอลลาร์ (35,000 ล้านหยวน) หลังถูกหน่วยงานกำกับดูแลจีนระงับการ IPO และสั่งให้ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ในช่วง พ.ย. 2020 เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา (30 ก.ย.) Ant Group บริษัทฟินเทคอันดับต้นของจีนได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 23,800 ล้านหยวน สู่ 35,000 ล้านหยวน อ้างอิงจากระบบข้อมูลเครดิตของธุรกิจที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ โฆษกของบริษัทกล่าวว่า Ant Group เพิ่มทุนจดทะเบียนตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต จากเงินทุนสำรองของบริษัท โดยไม่มีการระดมทุนหรือทาบทามนักลงทุนแต่อย่างใด การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ Ant Group ในความพยายามปรับโครงสร้างธุรกิจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด หลังบริษัทเทคโนโลยีจีนเจอมรสุมการคุมเข้มด้านกฎระเบียบจากทางการจีน Ant Group ยินยอมเปลี่ยนเป็นบริษัทโฮลดิ้งตามความต้องการของทางการจีน ซึ่งจะทำให้บริษัทถูกกำกับดูแลเหมือนธนาคารมากขึ้น นอกจากนี้ ทางการจีนยังขู่ว่าจะระงับอำนาจเหนือตลาดของ Ant Group ที่ขยายจากการชำระเงินออนไลน์ ไปสู่การปล่อยกู้และการบริหารความมั่งคั่งแก่ผู้บริโภค สัปดาห์ที่แล้ว นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) กล่าวว่า ทางการจีนจะดำเนินการเพื่อควบคุมพฤติกรรมผูกขาดบนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตต่อไป รวมถึงการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค และความปลอดภัยของข้อมูล โดยบริษัททางการเงินทั้งหมดจะต้องมีใบอนุญาต Francis Chan นักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Ant เกิดจากความจำเป็นในการเพิ่มทุนของบริษัทย่อยใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงบริการด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค กฎระเบียบที่ส่งผลกระทบต่อ Ant Group มากสุด คือ ผู้ให้กู้ออนไลน์ต้องมีเงินทุน 30% ในการร่วมออกเงินกู้กับธนาคาร ซึ่งธุรกิจ Jiebei และ Huabei ของ Ant ที่ปล่อยสินเชื่อแก่ผู้บริโภคจำนวน 500 ล้านคน คิดเป็นมูลค่า 1.7 ล้านล้านหยวน ในเดือนมิ.ย. ปีที่แล้วนั้น มีเงินทุนเพียง 2% ในงบดุล หน่วยงานกำกับดูแลจีนได้สั่งให้ Ant แยก Jiebei และ Huabei เป็นธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคแห่งใหม่ ด้วยทุนจดทะเบียน 8 พันล้านหยวน โดย Ant จะให้ทุน 50% และ อีก 50% ที่เหลือจะเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น นักวิเคราะห์ชี้ว่า เงินกู้ร่วมของบริษัทจะมีมูลค่า 10 เท่าของทุนจดทะเบียนที่ 266,000 ล้านหยวน Eric Jing ประธาน Ant Group ได้ให้คำมั่นกับพนักงานว่าจะพาบริษัท IPO ในตลาดหุ้น แต่การประเมินมูลค่าของบริษัทที่ลดลง ทำให้ยากต่อการเข้าถึงเงินทุนจากภายนอก โดย Fidelity ได้หั่นการประเมินมูลค่า Ant Group เหลือเพียง 78,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ BlackRock ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ 174,000 ล้านดอลลาร์ และ T Rowe Price ประเมินไว้ที่ 189,000 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-11/ant-boosts-capital-to-5-4-billion-one-year-after-botched-ipo?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Ant Group News Update จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Meituan พุ่งกว่า 9% จีนลงโทษปรับแค่ $543 ล้าน น้อยกว่าคาดเกือบครึ่ง ตลาดคลายกังวล หุ้นเทคจีนบวกยกแผง - FINNOMENA ราคาหุ้น Meituan แพลทฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่อันดับ 1 ของจีน พุ่งขึ้น 9.14% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หลังจาก Meituan ถูกทางการจีนสั่งปรับน้อยกว่าคาดการณ์ 11 ต.ค. 2564 เช้านี้ (11 ต.ค.) ราคาหุ้น Meituan แพลทฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่อันดับ 1 ของจีน พุ่งขึ้น 9.14% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หลังจาก Meituan ถูกทางการจีนสั่งปรับน้อยกว่าคาดการณ์ วันศุกร์ที่ผ่านมา (8 ต.ค.) หน่วยงานกำกับดูแลตลาดของรัฐบาลจีน (SAMR) กล่าวว่า Meituan ใช้อำนาจความเป็นผู้นำในตลาด บังคับให้ร้านค้าลงนามในข้อตกลงพิเศษเพื่อเลือกขายบนแฟลตฟอร์มเดียวเท่านั้น และยังลงโทษร้านค้าที่ไม่เข้าร่วมอีกด้วย การสอบสวนที่กินเวลานานหลายเดือนได้ข้อสรุปว่า Meituan ถูกสั่งปรับมูลค่า 543.3 ล้านดอลลาร์ (3,440 ล้านหยวน) คิดเป็น 3% ของรายได้ปี 2020 ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ โดยก่อนหน้านี้ในเดือน ส.ค. Wall Street Journal รายงานว่า ทางการจีนมีแผนสั่งปรับ Meituan ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ SAMR ยังสั่งให้ Meituan ลดค่าคอมมิชชั่นและปรับปรุงอัลกอริทึมให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าร้านค้าขนาดกลางและเล็ก รวมถึงไรเดอร์จะได้รับการคุ้มครองที่เป็นธรรม พร้อมสั่งให้บริษัทคืนเงินที่เรียกเก็บพิเศษจากร้านที่เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนเงิน 1,290 ล้านหยวน ก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. Alibaba ถูกสั่งปรับ 2,800 ล้านบาท หรือประมาณ 4% ของรายได้ปี 2019 ในโทษฐานการเข้าข่ายผูกขาดทางธุรกิจเช่นเดียวกัน Jefferies บริษัทวาณิชธนกิจ มีความเห็นว่า การตัดสินใจของ SAMR ได้กำจัดความกังวลของตลาดออกไป ในขณะที่ Meituan ได้สื่อสารกับทางการจีนเพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจ หุ้นเทคโนโลยีจีนอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดัชนี Hang Seng Tech +3.26% โดย Alibaba เพิ่มขึ้น 8% , kuaishou เพิ่มขึ้น 7.34%, Baidu เพิ่มขึ้น 6.87% และ Tencent เพิ่มขึ้น 3.1% Ken Wong จาก Eastspring Investments กล่าวว่า Valuation ที่ค่อนข้างต่ำของตลาดหุ้นจีน ทำให้ในภาพรวม ตลาดหุ้นจีนยังน่าดึงดูดกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย และ sentiment เชิงบวกของทางการจีนต่อภาคเทคโนโลยีจะนำไปสู่การซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ทางการจีนเพิ่มการสอบสวนบริษัทเทคโนโลยีจีนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้กวาดล้างมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีไปหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเน้นไปที่การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม การปกป้องข้อมูล และไปไกลจนถึงการควบคุมอัลกอริทึม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/11/china-tech-stocks-rise-after-meituan-hit-with-antitrust-fine.html https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3151675/china-fines-meituan-less-expected-us530-million-monopolistic#click=https://t.co/Rb6wIxprUD ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Hang Seng Tech Meituan Dianping News Update Tencent จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นบราซิลแซงหน้าจีน ผลตอบแทนยอดแย่ นักวิเคราะห์เตือน อย่าเพิ่งช้อน ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และเกาหลี หลุดขาขึ้นแล้ว - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนไม่ใช่ตลาดที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดอีกต่อไป หลัง EWZ Brazil ETF ร่วงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. โดยปรับตัวลงมา 12% ตั้งแต่ต้นปี 8 ต.ค. 2564 ตลาดหุ้นจีนไม่ใช่ตลาดที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดอีกต่อไป หลัง EWZ Brazil ETF ร่วงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. โดยปรับตัวลงมา 12% ตั้งแต่ต้นปี Boris Schlossberg ผู้เชี่ยวชาญจาก BK Asset Management เตือนนักลงทุนที่กำลังรอจังหวะช้อนซื้อ (Buy On Dip) ว่า แม้ราคาหุ้นบราซิลในตอนนี้จะน่าดึงดูดใจ แต่อยากให้พิจารณาถึงปัญหาต่างๆ ด้วย ปัญหาภายในประเทศที่บราซิลต้องเผชิญคือ ความไม่มั่นคงในอำนาจของปธน.ฌาอีร์ โบลโซนารู หลังประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจกับการบริหารงานของเขาในการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงเรื่อยๆ จนเกิดการประท้วงให้ถอดถอนปธน.บราซิล ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Boris Schlossberg แนะให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงหุ้นบราซิล จนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะสงบลง ซึ่งยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ อีกปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอกคือ การชะลอตัวในประเทศจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อบราซิลในฐานะคู่ค้าการส่งออกรายสำคัญ Miller Tabak ผู้เชี่ยวชาญจาก Matt Maley กล่าวว่า บราซิลไม่ใช่ตลาดหุ้นแห่งเดียวที่เผชิญกับปัญหาดังกล่าว เพราะการชะลอตัวของจีนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช่นกัน ด้าน ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้อยู่ต่ำกว่าระดับ 3,000 จุด และหลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นจากเดือน พ.ค. 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะที่ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น หลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นของปี 2020 และใกล้หลุดระดับต่ำสุดที่ 2,700 จุด ในเดือนที่ผ่านมา EWY South Korea ETF ลดลง 9% ในขณะที่ EWJ Japan ETF ลดลง 6% Miller Tabak กล่าวว่า ตลาดหุ้นมักเคลื่อนไหวล่วงหน้าเศรษฐกิจประมาณ 6 เดือน ซึ่งผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นกำลังส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุหลักมาจากการถดถอยของจีน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/07/stock-market-today-brazilian-stocks-are-trading-at-seven-month-lows.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update บราซิล หุ้นญี่ปุ่น หุ้นบราซิล หุ้นเกาหลี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Samsung กำไร Q3 โต 28% รายได้แนวโน้มทำสถิติใหม่ ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชิป - FINNOMENA Samsung Electronics ประกาศแนวโน้มกำไรและยอดขายในไตรมาสที่ 3 สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ 8 ต.ค. 2564 Samsung Electronics ประกาศแนวโน้มกำไรและยอดขายในไตรมาสที่ 3 สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ เป็นผลให้ราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง แม้ระหว่างวันราคาจะพุ่งมากกว่า 1% บริษัทรายงานแนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 15.8 ล้านล้านวอน (13,260 ล้านดอลลลาร์) เพิ่มขึ้น 28% จากปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่ายอดขายจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 73 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 9% จากปีที่แล้ว นี่เป็นรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่ดีที่สุดของ Samsung ในรอบ 3 ปี ตั้งแต่ 2018 ที่บริษัทรายงานกำไรในไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 17.5 ล้านล้านวอน โดยบริษัทไม่ได้รายงานผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจย่อย รวมถึงธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ที่ทำกำไรหลักให้บริษัท Samsung บริษัทผู้ผลิตชิปและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของโลกได้รับผลกระทบจากทั้งปัญหาขาดแคลนชิปทั่วโลก รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงงานของ Samsung หลายแห่งทั่วโลกต้องปิดตัวลง SK Kim กรรมการบริหารและนักวิเคราะห์อาวุโสจาก Daiwa Capital Markets กล่าวว่า รายได้และกำไรจากการดำเนินงานยังต่ำกว่าที่ Daiwa Capital Markets คาดการณ์ รวมถึงต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด แม้ Samsung จะได้รับผลกระทบบางส่วนจากปัญหาขาดแคลนชิปและปัญหาการขนส่ง แต่ SK Kim มองว่าราคาชิปที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขาดแคลน น่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจย่อยของบริษัท Daiwa Capital Markets กำหนดราคาเป้าหมายของหุ้น Samsung ไว้ที่ 110,000 วอน หรือเพิ่มขึ้น 53% จากราคาปัจจุบันที่ประมาณ 71,500 วอน โดยคาดว่าแนวโน้มของราคาชิปที่สูงขึ้นจะช่วยขับเคลื่อนรายได้และกำไรแก่บริษัท ปัญหาขาดแคลนชิปส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน เมื่อปลายเดือน ก.ย. Counterpoint Research ปรับลดคาดการณ์ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 เนื่องจากผู้ผลิตบางรายเผชิญปัญหามีส่วนประกอบไม่ครบสำหรับการผลิตสมาร์ทโฟน ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของ Samsung แบบเป็นทางการจะประกาศในปลายเดือนนี้ โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Samsung ร่วงไปแล้วถึง 13.73% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/08/samsung-q3-2021-guidance.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Samsung หุ้นเกาหลี หุ้นเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นจีนเปิดบวกหลังหยุดยาว พร้อมจับตา 5 ประเด็นใหญ่ต้องระวัง หุ้น วิกฤติพลังงาน และกำแพงหนี้ - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนเปิดทำการวันแรกในแดนบวก หลังหยุดไปตั้งแต่ 1-7 ต.ค. เนื่องในวันชาติจีน ขณะที่นักลงทุนกำลังเตรียมรับมือกับความผันผวน 8 ต.ค. 2564 ตลาดหุ้นจีนเปิดทำการวันแรกในแดนบวก หลังหยุดไปตั้งแต่ 1-7 ต.ค. เนื่องในวันชาติจีน ขณะที่นักลงทุนกำลังเตรียมรับมือกับความผันผวนจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาฯ กำแพงหนี้ของธนาคารกลาง และวิกฤติพลังงานทั่วโลก เช้านี้ (8 ต.ค.) ดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.75% ดัชนี Shenzhen Component ปรับตัวขึ้น 1.16% ในขณะที่ดัชนี CSI 300 เพิ่มขึ้น 1.22% Olivier d’Assier จาก Qontigo กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนจีนเพิ่งฟื้นคืนสู่ระดับปานกลาง แต่คาดว่าแนวโน้มเชิงบวกจะถูกจำกัดจากการผิดนัดชำระหนี้ของ Fantasia Group และยังมีแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่ถูกแก้ไข ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้รับความสนใจมากขึ้น หลังปธน.สหรัฐฯ โจ ไบเดน วางแผนพบ ปธน.จีน สี จิ้นผิง ภายในสิ้นปีนี้ ในขณะที่ แคเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เตรียมพูดคุยกับ หลิว เหอ รองนายกฯ จีน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยทั้ง 2 ประเทศยังคงไม่พอใจในข้อผูกมัดของจีนในข้อตกลงการค้า ม.ค. 2020 5 ประเด็นที่เกิดขึ้นและต้องระวัง 📈 หุ้น: ตลาดหุ้นฮ่องกงเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนปิดทำการ แรงเทขายในหุ้นเทคโนโลยีส่งผลให้ดัชนี Hang Seng Tech สู่จุดต่ำสุดในวันพุธ (6 ต.ค.) ก่อนฟื้นตัวกลับมาในวันรุ่งขึ้น โดยหุ้นเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ เช่น JD Health และ Alibaba Health ปรับตัวลงมากสุด ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Tencent และ Meituan ปรับตัวลงติดต่อกัน 5 วัน ก่อนฟื้นตัวในพฤหัสบดี (7 ต.ค.) หุ้นธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน หลัง Fantasia Group ผิดนัดชำระหนี้ในหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้น Sunac China และ China Aoyuan ต่างร่วงลงกว่า 10% ในวันอังคาร (5 ต.ค.) จากความกังวลมากขึ้นในธุรกิจอสังหาฯ ที่มี leverage สูง 📈 ตราสารหนี้: การผิดนัดชำระหนี้ของ Fantasia และความไม่แน่นอนของ Evergrande ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดตราสารหนี้ offshore อย่างรวดเร็ว นักลงทุนจับตาว่าการกลับมาเปิดทำการของตลาดการเงินจีนจะช่วยลดความผันผวนลงหรือไม่ 📈 กำแพงหนี้ของธนาคารกลาง: เงินกู้มูลค่ารวม 1.34 ล้านล้านหยวนของธนาคารกลางจีนจะครบกำหนวดในครึ่งแรกของเดือน ต.ค. ซึ่งรวมถึงหนี้ระยะสั้นมูลค่า 340,000 ล้านหยวน ที่จะครบกำหนดในวันนี้ (8 ต.ค.) ตั้งแต่ 17 ก.ย. ธนาคารกลางได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบต่อเนื่อง มูลค่าสุทธิอยู่ที่ 790,000 ล้านหยวน เป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ 10 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งเป็นการอัดฉีดระยะสั้นที่ยาวที่สุดนับตั้งแต่ ส.ค. 2020 ที่ธนาคารกลางจีนเพิ่มเงินสดเข้าสู่ระบบเป็นเวลา 13 วันติดต่อกัน 📈 วิกฤติพลังงาน: ราคาถ่านหินประเภทให้ความร้อน (Thermal Coal) ในจีนใกล้แตะระดับสูงสุดเเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ทางการจีนทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อกักตุนก๊าซและถ่านหิน ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติพลังงานเช่นเดียวกัน 📈 การใช้จ่ายของผู้บริโภค: นักลงทุนจับตาตัวเลขค้าปลีกและการบริโภคในช่วงวันหยุดอย่างใกล้ชิด เพื่อวัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของตลาดอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ข้อมูลกระทรวงคมนาคมรายงานว่า ผู้คนเดินทางลดลง 34% จากปี 2019 และลดลง 2.2% จากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม สื่อทางการจีนรายงานยอดขายตั๋วภาพยนตร์ในช่วงวันหยุดสดใส โดยคิดเป็นมูลค่า 4,250 ล้านหยวน จาก 5,050 ล้านหยวนในปี 2019 และ 3,700 ล้านหยวนในปี 2020 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-07/traders-hold-their-breath-as-china-markets-reopen-after-holiday?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ธนาคารกลางจีน พลังงานจีน หุ้นจีน อสังหาจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ย้ายสำนักงานมาฟลอริดา เลี่ยงค่าเช่า + ภาษีแพง ในนิวยอร์ก ชี้ Ark ไม่ใช่บริษัทแบบดั้งเดิมใน Wall Street - FINNOMENA Ark Investment ของ Cathie Wood เตรียมปิดสำนักงานที่นิวยอร์กอย่างถาวร ในปลายเดือน ต.ค. และเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ศูนย์รวมบริษัทการเงินในรัฐฟลอริดา 7 ต.ค. 2564 Ark Investment ของ Cathie Wood เตรียมปิดสำนักงานที่นิวยอร์กอย่างถาวร ในปลายเดือน ต.ค. และเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ศูนย์รวมบริษัทการเงินในรัฐฟลอริดา เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) Cathie Wood กล่าวในแถลงการณ์ว่า Ark Invest ไม่ใช่บริษัทจัดการสินทรัพย์แบบดั้งเดิมใน Wall Street โดยเตรียมย้ายพนักงานทั้งหมด 38 คนไปที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และจะสร้างศูนย์นวัตกรรมเพื่อรักษาและดึงดูดบุคคลความสามารถสูง โดย Ark Investment ร่วมกับ Elliott Investment ของ Paul Singer ในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่รัฐฟลอริดา ซึ่ง Elliott Investment ย้ายมาจากแมนฮัตตันในนิวยอร์ก การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐฟลอริดากลายมาเป็นจุดหมายปลายทางของบริษัทด้านการลงทุนหลายแห่ง เพราะการ work-from-home ได้ปฏิวัติรูปแบบการทำงาน และทำให้หลายบริษัทเริ่มพิจารณาย้ายสำนักงานจากศูนย์กลางธุรกิจที่ค่าเช่าที่แพงอย่างนิวยอร์กและซานฟรานซิสโก มายังปาล์มบีช และไมอามี ในรัฐฟลอริดาแทน ผู้นำรัฐฟลอริดาพยายามมาตลอดหลายปีเพื่อทำให้ฟลอริดากลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการเงินและการจัดการสินทรัพย์ และด้วยอัตราภาษีในระดับต่ำของฟลอริดาทำให้บริษัทการเงินส่วนใหญ่เริ่มตั้งสำนักงานย่อยที่ฟลอริดา ส่วนการตั้งสำนักงานใหญ่เลยแบบ Ark มีเพียงไม่กี่บริษัท ตามข้อมูลของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย. ฟลอริดามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทต่างๆ เพียง 1.4% เทียบกับ 22% ในนิวยอร์ก และยังน้อยกว่าหลายรัฐ ซึ่งรวมถึง แคลิฟอร์เนีย แมสซาชูเซตส์ และเพนซิลเวเนีย อ้างอิง: www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-06/cathie-wood-s-ark-leaving-nyc-in-shift-to-florida-headquarters ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARK Investment Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ทะลุ $55,000 สูงสุดรอบ 5 เดือน พบนักลงทุนสถาบันไล่ซื้อ หลังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันไม่แบนคริปโทฯ - FINNOMENA ราคา Bitcoin พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ทะลุ $55,000 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า หลังนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ 7 ต.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.) ราคา Bitcoin พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ทะลุ $55,000 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า หลังนักลงทุนสถาบันเริ่มเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ เช้านี้ (7 ต.ค.) ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้น 6.02% อยู่ที่ประมาณ $54,847 ขณะที่ Ether เพิ่มขึ้น 0.74% อยู่ที่ประมาณ $3,524 โดย Bitcoin เพิ่มขึ้น 13% ในสัปดาห์นี้ และเพิ่มขึ้น 87% ตั้งแต่ต้นปี Matt Hougan ผู้บริหารระดับสูงของ Bitwise Asset Management กล่าวว่า ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบคือ สิ่งที่กีดกันนักลงทุนออกจากตลาด และนักลงทุนจะมีปฏิกิริยาแบบนี้ในทุกครั้งที่ความชัดเจนด้านกฎระเบียบเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่คือสิ่งขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้ตลาดคริปโทฯ ร้อนแรง ก่อนหน้านี้ Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ กล่าวว่า ก.ล.ต. ไม่มีแผนแบนคริปโทฯ โดยการแบนจะขึ้นอยู่กับสภาคองเกรสเป็นหลัก สอดคล้องกับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวว่า เขาไม่มีแผนแบนคริปโทฯ เช่นกัน Matt Hougan กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ประกาศว่า พวกเขาจำเป็นต้องต้องสร้างกฎระเบียบใหม่สำหรับคริปโทฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล เพราะไม่รู้ถึงขอบเขตของความเป็นไปได้ ดังนั้น คำกล่าวของ Gary Gensler และ Jerome Powell จึงทำให้ราคาพุ่งแรงในสัปดาห์นี้ Noelle Acheson หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดจาก Genesis กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ของปีนี้ และมีสัญญาณบ่งชี้ว่ามาจากการขับเคลื่อนโดยสถาบัน Noelle Acheson กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม และกำลังไล่ตามโมเมนตัม โดยเมื่อเหล่านักลงทุนสถาบันเห็นราคาที่พุ่งขึ้น ก็เริ่มคิดว่าอาจพลาดอะไรไปจนทำให้ผลงานด้อยกว่าคู่แข่ง จึงต้องเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ บ้าง Noelle Acheson ตั้งข้อสังเกตว่า Bitcoin ยังคงรักษาอันดับใน Top 5 สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูงได้ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งนี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะ Top 5 ส่วนมากจะเป็นเหรียญอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่า หรือ Defi นี่จึงเป็นสัญญาณว่านักลงทุนสถาบันกำลังเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ และ Bitcoin คือเครื่องนำทางสู่ตลาด เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.) Bitcoin มี Basis Spread สูงสุด ซึ่ง Noelle Acheson มองว่ามันผิดปกติ เพราะโดยปกติแล้ว CME (Bitcoin Futures) จะตามรอยการแลกเปลี่ยนอื่นๆ โดย CME คือการแลกเปลี่ยนที่ให้ Leverage ต่ำที่สุด แม้มันจะไม่ใช่สินทรัพย์ที่นักลงทุนหรือเฮดจ์ฟันด์ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่เป็นสินทรัพย์ที่สถาบันดั้งเดิมมักเลือกใช้ เพราะเป็นอนุพันธ์คริปโทฯ เดียวที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นปรับตัวลงจากความกังวลในอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การเปิดเมืองอีกครั้ง และประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง นักลงทุนหลายคนมองว่า Bitcoin คือ สินทรัพย์ปลอดภัย เพราะสามารถยืนหยัดท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม Bitcoin ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะมีหลายครั้งที่ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น Janet Yellen เตือนว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกินเวลานานหลายเดือน โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอย หากสภาคองเกรสไม่ขยายเพดานหนี้ภายใน 2 สัปดาห์ Jim Cramer กล่าวในรายการ Squawk on the Street ว่า การอภิปรายของ Janet Yellen เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักลงทุนซื้อ Bitcoin และถ้ามันกลายเป็นเรื่องจริง เงินดอลลาร์เหมือนจะไม่มีค่าเท่าคริปโทฯ ขณะที่ Lisa Shalett ผู้บริหารระดับสูงของ Morgan Stanley Wealth Management ให้สัมภาษณ์ว่า คริปโทฯ ทำหน้าที่เหมือนลูกผสมระหว่างสินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงิน ดังนั้น ความผันผวนของคริปโทฯ จึงมากกว่าราคาหุ้นถึง 4 เท่า อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/06/bitcoin-jumps-to-nearly-5-month-high-topping-55000-on-wednesday.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Crypto Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ทิ้งหุ้น Nintendo ARKK เทขายเกือบหมดพอร์ต ไม่สนข่าวเปิดตัว Nintendo Switch รุ่นใหม่จอ OLED - FINNOMENA Cathie Wood ซีอีโอ Ark Invest เทขายหุ้น Nintendo เกือบทั้งหมด ก่อนการเปิดตัว Nintendo Switch OLED ในวันศุกร์นี้ (8 ต.ค.) 6 ต.ค. 2564 Cathie Wood ซีอีโอ Ark Invest เทขายหุ้น Nintendo เกือบทั้งหมด ก่อนการเปิดตัว Nintendo Switch OLED ในวันศุกร์นี้ (8 ต.ค.) ข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg ชี้ว่า กองทุนเรือธง ARKK (Ark Innovation ETF) ทยอยขายใบรับฝากหุ้น (ADR) ของ Nintendo ตั้งแต่เดือน ก.ค. จนตอนนี้เหลือเพียง 1,500 ADRs คิดเป็นมูลค่าประมาณ 82,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. กองทุน ARKK มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น Nintendo มากกว่า 4.7 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.55% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดในขณะนั้น ราคาหุ้น Nintendo ปรับตัวลงมา 24% ตั้งแต่ต้นปี จากความกังวลในยอดขายที่ชะลอตัวลงของเครื่องเล่นเกมรุ่นฮิตอย่าง Nintendo Switch รวมถึงความผิดหวังของนักลงทุนกับการเปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ที่ใช้หน้าจอ OLED แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ครั้งใหญ่ สัปดาห์ที่ผ่านมา Jay Defibaugh นักวิเคราะห์จาก CLSA Securities Japan มีคำแนะนำขายหุ้น Nintendo เช่นกัน โดยกล่าวว่า Nintendo Switch ชะลอตัวต่ำสุดในรอบหลายปี และคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานใน มี.ค. 2024 จะลดลงครึ่งนึงจากตอนนี้ กลยุทธ์ของ Ark คือ ขายผู้ชนะ เพื่อลงทุนเป้าหมายอื่น ในขณะที่ Ark ลดสัดส่วนการถือหุ้น Tesla นั้น Cathie Wood ได้กล่าวว่า นี่คือกลยุทธ์จัดการพอร์ตโฟลิโออย่างชาญฉลาด เพื่อควบคุม Position sizes รายงานการซื้อขายรายวันของ Ark สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพอร์ตเท่านั้น แต่ไม่ได้สะท้อนการซื้อขายทั้งหมดของบริษัท เพราะไม่ได้รวมกิจกรรมเพิ่มและไถ่ถอนหน่วยลงทุน รวมถึงการเสนอขายต่อสาธารณะ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-06/cathie-wood-dumps-most-of-her-nintendo-stock-before-oled-launch?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARK Investment ARKK Cathie Wood News Update Nintendo หุ้นเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กองทุน ‘จอร์จ โซรอส’ ประกาศงดลงทุนหุ้นจีน เตือนความเสี่ยงถูกแทรกแซงจากรัฐบาล ชี้บริษัทจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกบังคับกลับแผ่นดินใหญ่ - FINNOMENA ผู้จัดการกองของพ่อมดการเงิน ‘จอร์จ โซรอส’ Soros Fund Management และ กองทุนฝั่งตะวันตกกำลังถอยห่างจากตลาดหุ้นจีน เพราะประเด็นการเมืองและความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีน 6 ต.ค. 2564 ผู้จัดการกองของพ่อมดการเงิน ‘จอร์จ โซรอส’ Soros Fund Management และ กองทุนฝั่งตะวันตกกำลังถอยห่างจากตลาดหุ้นจีน เพราะประเด็นการเมืองและความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจีน เมื่อวานนี้ (5 ต.ค.) ตัวแทนผู้บริหารกองทุนของ Soros Fund Management, Man Group และ Elliott Management แสดงความกังวลต่ออนาคตของหุ้นจีนที่ซื้อขายในสหรัฐฯ และเอเชีย สอดคล้องกับหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่บริษัทการลงทุน Marshall Wace กล่าวว่า บริษัทจีนบางส่วนกำลังกลายเป็นธุรกิจที่ไม่สามารถลงทุนได้ Dawn Fitzpatrick หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Soros Fund Management ประกาศว่า ตอนนี้ บริษัทได้งดลงทุนในตลาดหุ้นจีน และแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังอย่างมาก สำหรับการลงทุนในบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ Dawn Fitzpatrick คาดว่า หลายบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ กำลังจะย้ายไปฮ่องกงเร็วๆ นี้ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ Alibaba, JD.com และ Didi Global คือบริษัทจีนขนาดใหญ่ที่เข้าข่ายจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 บริษัท เผชิญแรงกดดันมาตลอดทั้งปี จากการคุมเข้มกฎระเบียบของทางการจีน โดย Alibaba และ JD.com ปรับตัวลงมากกว่า 33% ตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. ในขณะที่ Didi ร่วงแรง 47% นับตั้งแต่ IPO ในสหรัฐฯ เมื่อปลายเดือน มิ.ย. ดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2.7% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ ดัชนี MSCI World ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12% คำเตือนสำหรับการลงทุนในจีนเริ่มขึ้นหลังการคุมเข้มหลายอย่างของทางการจีน ตั้งแต่ การต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยี ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึง การห้ามหากำไรในบริษัทกวดวิชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก ทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป Luke Ellis ซีอีโอของ Man Group กล่าวว่า นักลงทุนทุกคนสนใจตลาดหุ้นจีน แต่จากมุมมองของกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนระยะยาวในภาพ 10 ปี การลงทุนหุ้นจีนถือว่าไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากการแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงนโยบายเกิดขึ้นตลอดเวลา พร้อมแนะนำให้นักลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น Paul Marshall ผู้ร่วมก่อตั้ง Marshall Wace กล่าวในเดือน ส.ค. ว่า มีแนวโน้มที่บริษัทจีนส่วนใหญ่จะถูกจำกัดให้จดทะเบียนเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่ นักลงทุนในสหรัฐฯ และต่างประเทศจำนวนมากกังวลผลกระทบของการแทรกแซง โดยเฉพาะการแบน Didi หลัง IPO ในสหรัฐฯ ไม่นาน อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการกองทุนชั้นนำบางคนมองเห็นศักยภาพระยะยาวในตลาดหุ้นจีน Jon Gray จาก Blackstone กล่าวว่า จีนจะเติบโตเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยวัฒนธรรมแบบผู้ประกอบการ และการมีรัฐบาลที่ต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-05/smart-money-from-soros-to-elliott-sounds-alarm-on-chinese-stocks?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: George Soros News Update จีน ตลาดหุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Facebook ร่วง 5% หลังเวบล่ม 6 ชั่วโมง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สูญเงิน $7 พันล้าน อดีตพนักงานแฉ “เลือกกำไรก่อนความปลอดภัย” - FINNOMENA Facebook เผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หุ้น Facebook ร่วงเกือบ 5% หลัง Facebook, WhatsApp และ Instagram ล่มนานกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) 5 ต.ค. 2564 Facebook เผชิญแรงเทขายอย่างหนัก หุ้น Facebook ร่วงเกือบ 5% หลัง Facebook, WhatsApp และ Instagram ล่มนานกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) แพลตฟอร์ม Facebook, WhatsApp และ Instagram หยุดทำงานในช่วงก่อนเที่ยงตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 22:30 ตามเวลาไทย โดยมีผู้ใช้งานจำนวนมากเข้ามารายงานปัญหาบน DownDetector กว่า 10.6 ล้านครั้งทั่วโลก ล่าสุด Facebook, WhatsApp และ Instagram สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ระบบยังทำงานได้ไม่เต็มที่ และยังมีรายงานปัญหาจากผู้ใช้งานเกี่ยวกับโพสต์บน Instagram Facebook กล่าวขอโทษผ่านทาง Twitter ว่า “ ถึงผู้คนและธุรกิจทั่วโลกที่พึ่งพาเรา เราขอโทษ เรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อกู้คืนการเข้าถึงแอป และยินดีที่จะรายงานว่า ระบบกำลังกลับมาออนไลน์แล้ว ขอบคุณที่อดทนรอ” Facebook ไม่ได้เปิดเผยสาเหตุที่ทำให้ระบบล่ม แต่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครือข่ายคาดการณ์ว่า สาเหตุเกิดจาก BGP (Border Gateway Protocol) ทำงานผิดพลาด จนเครือข่ายหาทางเข้า DNS (Domain Name System) ไม่เจอ ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกไม่สามารถหา IP Address ของ Facebook ได้ นอกจากนี้ Facebook เผชิญอีกแรงกดดันหลังอดีตพนักงาน Facebook ออกมาเผยข้อมูลว่า Facebook มีนโยบาย ‘เลือกกำไรก่อนความปลอดภัย’ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (3 ต.ค.) Frances Haugen อดีตพนักงานของ Facebook กล่าวในรายการ 60 Minutes บนช่อง CBS ว่า Facebookให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และ Facebook คือสิ่งเลวร้ายที่สุดที่เธอเคยเจอมา Frances Haugen กล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏบน Facebook สร้างความแตกแยกในสังคม และก่อให้เกิดความรุนแรงทางชาติพันธุ์ พร้อมเปิดเผยเอกสารที่ชี้ว่า Instagram เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง โดย Facebook จะเลือกโพสต์ที่คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ใช้งานมากที่สุด และกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธมากกว่าอารมณ์อื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์และบริโภคเนื้อหาเหล่านั้นเพิ่มขึ้น Frances Haugen กล่าวว่า Facebook ใช้อัลกอริทึมเพื่อขยาย Hate Speech หรือ คำพูดแสดงความเกลียดชัง เพื่อสร้าง engagement มากขึ้น เพราะสิ่งนี้สร้างผลกำไรให้แก่บริษัท และเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงเพื่อจัดระเบียบ Facebook การล่มของระบบและข่าวเชิงลบดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น Facebook ปรับตัวลง 4.89% เมื่อวานนี้ (4 ต.ค.) หากนับตั้งแต่จุดสูงสุดเดิมกลางเดือน ก.ย. ราคาหุ้นร่วงไปแล้วกว่า 15% นอกจากนี้ การปรับตัวลงของหุ้น Facebook ทำให้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก CEO และผู้ก่อตั้ง สูญเงินกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ส่งผลให้อันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดลงมาอยู่อันดับ 5 ในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 121,600 ล้านดอลลาร์ โดยมีบิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft แซงหน้ามาอยู่ที่อันดับ 4 แทน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-04/facebook-instagram-whatsapp-having-issues-downdetector?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-04/zuckerberg-loses-7-billion-in-hours-as-facebook-plunges?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/facebook-whistleblower-says-firm-chooses-profit-over-safety-/6256586.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Facebook Instagram Mark Zuckerberg News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Market Alert: หุ้นญี่ปุ่นปรับฐาน Nikkei -3% ร่วงแล้ว 10% จากจุดสูงสุดเดือน ก.ย. รับนายกใหม่ หุ้น Uniqlo ร่วง 7% - FINNOMENA ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 3.21% ก่อนจะลดช่วงลบเหลือ 2.7% เช้านี้ (5 ต.ค.) ทำให้ล่าสุด ดัชนี Nikkei ลดลงแล้วมากกว่า 10% จากระดับสูงสุดในเดือน ก.ย. ขณะที่ดัชนี Topix ลดลง 2.05% 5 ต.ค. 2564 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงแรง ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 3.21% ก่อนจะลดช่วงลบเหลือ 2.7% เช้านี้ (5 ต.ค.) ทำให้ล่าสุด ดัชนี Nikkei ลดลงแล้วมากกว่า 10% จากระดับสูงสุดในเดือน ก.ย. ขณะที่ดัชนี Topix ลดลง 2.05% การปรับตัวลงในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เกิดจากแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก จากความกังวลเงินเฟ้อ และความหมดหวังในรัฐบาลญี่ปุ่นชุดใหม่ของนายฟูมิโอะ คิชิดะ ในขณะที่ หุ้น Fast Retailing ที่มีสัดส่วนสูงสุดในดัชนี Nikkei ร่วงแรงกว่า 7.15% แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวลงแรงมากสุดนับตั้งแต่มี.ค. 2020 หลังบริษัทรายงานยอดขายในประเทศของ Uniqlo ลดลง 19% การปรับตัวลงของ Tokyo Electron ที่ 3.46% และ SoftBank ที่ 4.15% ส่งผลต่อดัชนี Nikkei ลดลงเช่นกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเครื่องจักรและการขนส่งทางทะเลปรับลดลง เป็นผลให้ดัชนี Topix -2% ในช่วงที่นายโยชิฮิเดะ ซูงะ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งแรงตอบรับข่าวดังกล่าว แต่ความร้อนแรงของตลาดหุ้นหายไปอย่างรวดเร็ว หลังนายฟูมิโอะ คิชิดะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ ญี่ปุ่นคนที่ 100 อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (4 ต.ค.) เนื่องจากนโยบายของเขายังไม่สามารถปลุกระดมนักลงทุนได้ ทำให้ปัจจุบัน ดัชนี Nikkei ลงมาซื้อขายที่ระดับ 27,500 จุด ใกล้เคียงกับช่วงก่อนที่ นายโยชิฮิเดะ ซูงะ จะประกาศลาออกจากตำแหน่ง Hideyuki Ishiguro นักกลยุทธ์จาก Nomura Asset Management มองว่า ตลาดญี่ปุ่นน่าจะปรับฐานจนกว่าจะมีความชัดเจน ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทญี่ปุ่นในเดือนนี้อย่างไร อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/05/asia-markets-reserve-bank-of-australia-china-markets-closed-currencies-oil.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-05/japan-s-nikkei-225-falls-dropping-10-from-september-high ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Jeff Bezos ลุยอาเซียนครั้งแรก ร่วมลงทุน 87 ล้านดอลลาร์ ใน “Ula” สตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซีย - FINNOMENA Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ร่วมลงทุน 87 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series B ของ Ula สตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกของเขา 4 ต.ค. 2564 Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ร่วมลงทุน 87 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series B ของ Ula สตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกของเขา วันนี้ (4 ต.ค.) Ula ออกแถลงการณ์ว่าการลงทุนรอบ Series B ที่นำโดย Prosus Ventures, Tencent และ B-Capital นั้นมี Bezos Expeditions, Northstar group, AC Ventures และ Citius ร่วมลงทุนด้วย ก่อนหน้านี้ Ula สามารถระดมทุนได้ 10.5 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Seed Fund (มิ.ย. 2020) และ 20 ล้านดอลลาร์ ในรอบ Series A (ม.ค. 2021) ธุรกิจ Ula ช่วยแก้ไขปัญหาด้านเทคโนโลยีให้แก่ผู้ค้าปลีกรายย่อยที่ต้องการขยายฐานธุรกิจไปทั่วอินโดนีเซีย หรือทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย Ula พัฒนาระบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง สร้างห่วงโซ่อุปทานในพื้นที่ท้องถิ่น รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Ula มีร้านค้าแบบดั้งเดิมมากกว่า 70,000 ร้านค้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากกว่า 6,000 รายการ Ula แต่งตั้งให้ Pandu Sjahrir เป็นที่ปรึกษาของบริษัท ซึ่ง Pandu Sjahrir นั้นดำรงตำแหน่งกรรมาธิการทั้งในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย, PT Aplikasi Karya Anak Bangsa (Gojek) บริการเรียกรถโดยสาร และ Sea สาขาอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเจ้าของ Shopee และ Garena สตาร์ทอัพในอินโดนีเซียกำลังเป็นที่จับตามอง โดยไม่นานมานี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพ GoTo ที่ควบรวมกิจการ Gojek บริการเรียกรถ และ PT Tokopedia ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กำลังเร่งหารือเพื่อระดุมเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ ในการจดทะเบียนในตลาดหุ้น (IPO) อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-04/bezos-makes-first-ever-investment-in-southeast-asia-s-e-commerce?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Amazon Jeff Bezos News Update Ula สตาร์ทอัพ อาเซียน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla ตอกย้ำผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าโลก ยอดขาย-ส่งมอบ Q3 ดีกว่าคาด แม้เผชิญปัญหาชิปขาดแคลน - FINNOMENA Tesla ประกาศยอดส่งมอบและยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาส 3 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แม้เผชิญปัญหาขาดแคลนชิปที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตก็ตาม 4 ต.ค. 2564 Tesla ประกาศยอดส่งมอบและยอดผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาส 3 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แม้บริษัทจะเผชิญปัญหาขาดแคลนชิปที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตก็ตาม Tesla รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 อยู่ที่ 241,300 คัน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์จาก StreetAccount คาดการณ์ไว้ที่ 220,900 คัน ในขณะที่ ยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมดอยู่ที่ 237,823 คัน โดย 228,882 คัน คือ รถยนต์รุ่นราคาระดับกลางอย่าง Model 3 และ Model Y และอีก 9,275 คัน คือรุ่นท็อปอย่าง Model S และ Model X ยอดดังกล่าวเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2021 Tesla รายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่ 201,250 คัน และยอดผลิต 206,421 คัน โดยสามารถผลิตรถยนต์ Model S และ Model X ได้ต่ำกว่า 2,500 คัน Tesla กล่าวว่า ยอดส่งมอบรถยนต์ของบริษัทจะถูกนับเฉพาะรถยนต์ที่ถูกโอนไปยังลูกค้าและเอกสารทั้งหมดถูกต้องเท่านั้น ทำให้ตัวเลขที่แท้จริงอาจแตกต่างมากกว่า 0.5% จากที่รายงาน นอกจากรถยนต์ไฟฟ้า 4 รุ่นข้างต้น Tesla ยังมีแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น Cybertruck รถกระบะไฟฟ้า และ Semi รถบรรทุกหัวลาก แต่ Tesla อาจต้องเผชิญความท้าทายเพราะมีคู่แข่งรถยนต์ไฟฟ้าประเภทดังกล่าวในตลาดอยู่แล้ว เช่น F-150 Lightning ของ Ford ไตรมาสที่ 3 ลูกค้าของ Tesla เผชิญกับความล่าช้าในการจัดส่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดย Tesla รับรู้ถึงปัญหาดังกล่าว และอ้างถึงปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ทั่วโลก พร้อมขอบคุณลูกค้าที่อดทนรอ ปัจจุบัน Tesla มีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 4 แห่ง ประกอบไปด้วยในสหรัฐฯ 3 แแห่ง และในจีนอีก 1 แห่ง โดยบริษัทยังคงผลิตแบตเตอรี่กับ Panasonic ที่โรงงานในรัฐเนวาดาของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย. Tesla ได้เริ่มนำเข้าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟตจากจีน เพื่อนำไปใช้ในรถยนต์ Model 3 สำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ แม้ยอดส่งมอบและยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 จะดีกว่าที่คาด แต่ Tesla ยังคงเผชิญปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก จนทำให้บริษัทต้องระงับการดำเนินการบางส่วนชั่วคราว ในโรงงานประกอบรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งผลิตรถยนต์สำหรับลูกค้าในจีนและยุโรป รถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ของบริษัทคู่แข่งกำลังอยู่ระหว่างการผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น R1T ของบริษัท Rivian และ Lucid Air จาก Lucid Motors ซึ่งบ่งชี้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังร้อนแรง จากการสำรวจในเดือน มิ.ย. 2021 ของ Pew Research พบว่า คนอเมริกัน 39% มีแนวโน้มที่จะพิจารณาใช้รถไฟฟ้าอย่างจริงจัง ในขณะที่อีก 7% ใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฮบริดอยู่แล้ว ซึ่งความต้องการดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น รวมถึงกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ในประเทศจีน การซื้อป้ายทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าทำได้เร็วและถูกกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้ รัฐบาลยังเสนอเงินอุดหนุน ลดหย่อนภาษี และลงทุนในที่ชาร์จไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่สหรัฐฯ ปธน.โจ ไบเดนตั้งเป้าให้ยอดขายครึ่งหนึ่งของรถยนต์ใหม่ทั้งหมดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายที่ต้องการลดการปล่อยมลพิษลงครึ่งหนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.ย.) นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Alexander Potter ตั้งราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น Tesla ไว้ที่ $1,200 จากราคาปัจจุบันที่ $774 โดยแม้ว่าส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ BEV ของ Tesla จะลดลง เพราะจำนวนคู่แข่งที่ยังน้อยในตอนนี้ แต่ Alexander Potter คาดว่าส่วนแบ่งตลาดโดยรวมของ Tesla จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว Tesla ไม่ได้แข่งขันแค่กับรถยนต์ไฟฟ้า แต่แข่งขันกับรถยนต์ทุกประเภท Sam Fiorani รองประธาน Auto Forecast Solutions กล่าวเห็นด้วยว่า Tesla คือผู้นำในตลาด ที่ไม่น่ามีใครสามารถเอาชนะได้ในเร็วๆ นี้ เพราะผู้คนจะยึดติดกับภาพลักษณ์แบรนด์ Tesla ไปอีกหลายปี แม้กระทั่ง Audi หรือ Mercedes ยังเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน และเชื่อว่า Tesla จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำต่อไปได้ในอีกหลายปีข้างหน้า อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/02/tesla-tsla-q3-2021-vehicle-delivery-numbers.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EV News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Market Alert: Evergrande ถูกสั่งระงับซื้อขายชั่วคราว กดดันตลาดหุ้นฮ่องกง -2.70% หุ้นวัคซีนจีนร่วงยกแผงจากข่าวยาต้านโควิดตัวใหม่ - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 2.70% ก่อนลดช่วงลบเหลือ -2.50% เช้านี้ หลังหุ้น China Evergrande และบริษัทในเครือ ถูกระงับการซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว เนื่องจากผิดนัดชำระหนี้ 4 ต.ค. 2564 ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 2.70% ก่อนลดช่วงลบเหลือ -2.50% เช้านี้ หลังหุ้น China Evergrande และบริษัทในเครือ ถูกระงับการซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว เนื่องจากผิดนัดชำระหนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ประกาศระงับการซื้อขายชั่วคราวหุ้น China Evergrande และ หุ้น Evergrande Property Services Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน หลังมีข่าวว่า Evergrande ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยที่ครบกำหนดในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ แหล่งข่าวจาก Bloomberg ระบุว่า Evergrande ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยจากเงินต้น 260 ล้านดอลลาร์ให้กับ Jumbo Fortune Enterprises ที่ครบกำหนดเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทในเครือที่ทำธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า China Evergrande New Energy Vehicle Group ยังคงซื้อขายได้ตามปกติ ความกังวลปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ได้ลุกลาม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนเป็นวงกว้าง จากปัญหาหนี้สะสมที่คิดเป็นมูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ หาก Evergrande ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การฟ้องร้องบังคับคดี และนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด โดยปัจจุบัน Evergrande มีสินทรัพย์คิดเป็นสัดส่วน 2% ของ GDP จีน แรงกดดันดังกล่าว ทำให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นฮ่องกง ถูกขายออกมาอย่างหนักในเช้าวันนี้ เช่น Guangzhou R&F Properties ร่วง 7% Sunac China Holdings ร่วง 4% และ Country Garden ร่วง 4% เช่นกัน นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มยาและเวชภัณฑ์จีน ต่างปรับตัวลงแรงเช่นกัน โดย WuXi Biologics ปรับตัวลง 6% Sino Biopharmaceutical ผู้ผลิตวัคซีน ซิโนแวคปรับตัวลง 5% และ CSPC Pharmaceutical ลดลง 4% แรงกดดันในหุ้นกลุ่มผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก เกิดจากการเปิดตัวยาต้านโควิดที่ชื่อว่า “โมลนูพิราเวียร์” (Molnupiravir) ของบริษัท Merck ที่ผลการทดลองชี้ว่า สามารถลดอาการป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตจาก Covid-19 ได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งกำลังพัฒนาและขออนุญาตจดทะเบียนอย่างถูกต้องต่อไป ทั้งนี้ ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดการซื้อขายเป็นวันแรกของเดือน ต.ค. หลังปิดทำการในวันที่ 1 ต.ค. เนื่องจากเป็นวันหยุดวันชาติจีน ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปิดทำการตั้งแต่ 1-7 ต.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-04/share-trading-suspended-as-debt-test-looms-evergrande-update?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.reuters.com/business/china-evergrande-share-trading-halted-hong-kong-2021-10-04/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande FINNOMENA Market Alert Hang Seng Index แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
SVT IPO น้องใหม่แต่ไม่ใหม่ กับสงครามตู้สะดวกซื้อคู่ CP และ FORTH - FINNOMENA ตู้สะดวกซื้อดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่ผู้คนกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งหลังหุ้นเจ้าของตู้คาเฟ่สะดวกซื้ออย่าง FORTH ทำผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังได้อย่างโดดเด่นเป็นหลักร้อยกว่าเปอร์เซนต์ มาดูกันว่าหุ้นตู้ขายสินค้าหน้าใหม่แต่ไม่ใหม่อย่าง SVT จะเป็นอย่างไร มีกลยุทธ์แบบไหน และน่าสนใจแค่ไหน! 1 ต.ค. 2564 ตู้สะดวกซื้อดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่ผู้คนกลับมาให้ความสนใจอีกครั้งหลังหุ้นเจ้าของตู้คาเฟ่สะดวกซื้ออย่าง FORTH ทำผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังได้อย่างโดดเด่นเป็นหลักร้อยกว่าเปอร์เซนต์ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนเราจะได้เห็นหุ้น IPO หน้าใหม่แต่ไม่ใหม่อย่าง SVT ที่มีเจ้าของหลักเป็นเครือสหพัฒน์หนึ่งในบริษัทรุ่นเก๋าสุดแข็งแกร่งในไทย เรามาดูกันว่าธุรกิจตู้สะดวกซื้อของ SVT นั้นจะหน้าตาเป็นแบบไหนและจะมีส่วนไหนมาขับเคี่ยวกับ FORTH หรือไม่? SVT ถือเป็นหน้าใหม่แต่ไม่ใหม่? SVT เป็นบริษัทผู้บุกเบิกการขายสินค้าผ่านเครื่องอัตโนมัติในไทยที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 20 ปี เจ้าของ Market Share เบอร์ 1 ในไทย ผ่านการนำเข้าเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติจากต่างประเทศทั้งมือ 1 และมือ 2 จากญี่ปุ่นและจีนโดยเครื่องมือ 2 จะถูกนำมาปรับปรุงสภาพและประกอบใหม่โดยตัว SVT เอง ซึ่งน่าจะช่วยประหยัดต้นทุนลงไป SVT มีตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติที่เรียกได้ว่าค่อนข้างครอบคลุมสำหรับซื้อไวกินไว เช่น ตู่จำหน่ายเครื่องดื่ม (พวกน้ำและน้ำอัดลมต่าง ๆ) ตู้แบบบานกระจก (ขนมขบเคี้ยว) ตู้แบบถ้วยร้อนเย็น (กาแฟ โกโก้) ไปจนถึงตู้จำหน่ายอาหารสำเร็จรูป (มาม่า) ในขณะที่ FORTH จะใช้เป็นตู้ชูโรงอย่าง “ตู้เต่าบิน” ซึ่งเป็นเสมือนตู้คาเฟ่เคลื่อนที่ขนาดย่อม ๆ และมีความน่าสนใจเพิ่มเติมตรงที่มีเครื่องดื่มอย่างเวย์โปรตีนและน้ำเป๊ปซี่ เมื่อเห็นดังนี้แล้วตู้ของทั้ง 2 เจ้านี้ดูเหมือนจะมี Position ที่แตกต่างกัน โดยทาง SVT เหมือนจะเน้นตู้จำหน่ายสินค้าทั่วไป เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลมสามัญประจำบ้านและอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามีสัดส่วนเป็นรายได้หลักของของบริษัทก็ว่าได้ เพราะ เครื่องดื่มมีสัดส่วนคิดเป็น 80% ของสินค้าในตู้เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติทั้งหมด อีกทั้งบริษัทเองยังมีรายได้จากการขายสินค้าจากตู้อัตโนมัติถึง 97.66% ในช่วงสิ้นปี 2563 ในขณะที่ FORTH จะให้บริการเครื่องดื่มที่ออกไปทางแนวคาเฟต์ชงสดเสียมากกว่าจึงไม่น่าจะทับไลน์กันแต่อย่างใด ภาพแสดงสัดส่วนสินค้าตามประเภทของ SVT ที่มา: หนังสือชี้ชวนลักษณะการประกอบธุรกิจ เว็บไซต์ sec.or.th จุดที่น่าสนใจก็คือทาง SVT อาจจะต้องมีการขับเคี่ยวกับทางฝั่งของ CP ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของตลาดนี้ และมีตู้แนวคล้าย ๆ กันเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม SVT มีจุดเด่นทางกลยุทธ์ที่น่าสนใจเอามาก ๆ อย่างการเน้นไปตั้งตู้จำหน่ายสินค้าให้ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในต่างจังหวัดเป็นหลัก เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในโรงงานอุตสาหกรรม กลยุทธ์ที่ว่าอาจจะคล้าย ๆ กับเรื่องเล่าสนุก ๆ อย่างเรื่องเล่าเกี่ยวกับร้านขายน้ำข้างทางที่รู้สึกว่าตัวเองขายได้ไม่ค่อยดีและกล่าวโทษสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่คุณยายคนหนึ่งขายน้ำเหมือน ๆ กันในละแวกใกล้เคียงกันแต่อาศัยวิธีไปขายในสนามกีฬาที่ผู้คนกำลังเหน็ดเหนื่อยและต้องการเครื่องดื่มในทันที ซึ่งถ้าว่ากันง่าย ๆ กลยุทธ์ของ SVT ถือได้ว่าเข้าไปจี้ pain ของลูกค้าโดยตรงคล้ายกับเรื่องเล่าดังกล่าว โดยอาศัยความคล่องตัวของตู้สะดวกซื้อที่ติดตั้งง่าย ใช้เนื้อที่น้อยและต้นทุนต่ำกว่าเปิดร้านสะดวกซื้อขึ้นมาแบบเต็มตัว ให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในจุดที่ผู้คนกำลังเหน็ดเหนื่อยและต้องการเครื่องดื่มแบบถึงที่ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งอาจไม่ได้มีร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ มากมายและเรียงติด ๆ กันเท่าในเมือง หากคิดเป็นสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของรายได้รวมเลยทีเดียว ซึ่งผมเองมองว่ากลยุทธ์ดังกล่าวน่าสนใจเอามาก ๆ เพราะ เข้าถึง pain ลูกค้าได้โดยตรง ทุนไม่จมเหมือนกับตั้งร้านสะดวกซื้อใหญ่ ๆ เพราะ ตั้งตรงไหนแล้วไม่เวิร์คก็เอากลับมาแล้วไปลองติดตั้งที่ใหม่ซึ่งถือเป็นวิธีที่คล่องตัวกว่ามาก ๆ อย่างไรก็ตามการจะให้ของในตู้สะดวกซื้อครบเบ็ดเสร็จเหมือนยก “เซเว่น” ไปทั้งร้านก็คงจะเป็นไปได้ยาก อีกทั้งกลยุทธ์ต่าง ๆ ดังกล่าวหากว่ากันตามตรงก็เป็นสิ่งที่คู่แข่งสามารถทำตามได้ไม่ยากเช่นกันจึงอาจเป็นคำถามที่น่าสนใจและอาจจะต้องมาคิดกันอีกทีว่าทาง SVT จะมีการแก้เกมอย่างไร ซึ่งตามแผนกลยุทธ์ในอนาคตทาง SVT เองก็เหมือนจะมีการออกผลิตภัณฑ์ของตนเองออกมาซึ่งถ้าหากทำสำเร็จและตอบโจทย์ลูกค้าได้ ก็น่าจะช่วยเพิ่มความ Unique ให้กับ SVT และกำไรก็น่าจะเร่งตัวขึ้น แต่ก็คงเป็นประเด็นที่ยังต้องติดตามกันต่อไป อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือตัว SVT มีสัดส่วนสินค้าที่ใช้เติมของนำตู้มาจากเครือสหพัฒน์ด้วยกันเองที่ 10% และเป็นสัดส่วนหลักซึ่งถือเป็นอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะ เป็นการสนับสนุนไลน์ธุรกิจของตนเองเพิ่มเติม และจะยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีกหากทาง CP ลงมาเล่นตลาดนี้แบบเต็มสูบ เพราะ ทาง CP เองก็เรียกได้ว่ามีสินค้าอย่างครบวงจรอยู่แล้วจาก Makro และ Lotus ซึ่งได้มีการจัดทัพใหม่ไปในช่วงล่าสุด ซึ่งดูเหมือนในช่วงล่าสุด Lotus ก็มีตู้ Vending Machine ออกมาลงสนามแล้วเช่นเดียวกัน ภาพแสดงตู้สะดวกซื้อของ Lotus ที่มา: inf.news คำถามต่อมาที่ทุกคนน่าจะมีแวบขึ้นมาในหัวก็คือแล้วทำไมต้องลงมาเล่นในตลาดนี้ ก็คงต้องบอกก่อนว่าตลาดในละแวกเอเชียเดียวกันอย่างญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วมีอัตราส่วนจำหน่ายเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติอยู่ที่ 1 เครื่องต่อ 23 คน (ตามรายงานในลักษณะการประกอบธุรกิจ) โดยปัจจุบันญี่ปุ่นมีประชากรอยู่ที่ 125 ล้านคน และมีเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติอยู่ที่ 125 ล้านเครื่อง ในขณะที่ไทยเราเองปัจจุบันมีเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติอยู่ที่ 30,000 เครื่อง เทียบกับจำนวนประชากรที่ 67 ล้านคน หรือคิดเป็นราว ๆ 2,200 เครื่องต่อ 1 คน จึงชี้ให้เห็นว่าตลาดนี้น่าจะโตได้อีกมาก แต่ก็ต้องมาดูกันอีกทีว่าวัฒนธรรมการซื้อแบบนี้จะเหมาะกับคนไทยหรือไม่ และอาจต้องปรับอัตราส่วนให้เหมาะสมมากขึ้น นอกจากนั้นธุรกิจประเภทตู้สะดวกซื้ออาจไม่ได้รับผลกระทบจาก E-commerce เท่าไรนัก เพราะ เป็นการเอาตัวเองไปมอบสินค้าให้กับผู้ต้องการบริการถึงที่ แต่อาจจะต้องมีการปรับตู้ให้บริการให้ตอบโจทย์สำหรับ E-payment มากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจะเติบโตได้มากในอนาคตจากสัดส่วนการเข้าถึง E-payment ในอาเซียนที่ยังไม่มากตามข้อมูลจาก Franklin Templeton บวกกับการเติบโตของ Transactions ที่น่าจะเติบโตได้อีกจากการคาดการณ์ของ Nomura ภาพแสดงสัดส่วนการใช้ Digital Wallet ที่ยังไม่สูงในอาเซียน ที่มา: Franklin Templeton Insights ภาพแสดงการประมาณการมูลค่า Transactions ผ่านมือถือในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่มา: Nomura ซึ่งทาง SVT เองก็มีแผนที่จะปรับสัดส่วนตู้แบบ Smart ซึ่งรองรับการใช้จ่ายผ่าน E-payment มากขึ้นสอดคล้องไปกับแนวโน้มการเติบโตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ภาพแสดงการปรับสัดส่วนประเภทของตู้ที่ให้บริการของ SVT ที่มา: หนังสือชี้ชวนลักษณะการประกอบธุรกิจ เว็บไซต์ sec.or.th SVT กับข้อมูลเชิงตัวเลข มาต่อกันที่ในแง่ของตัวเลข SVT ถือได้ว่าเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจตู้ขายสินค้าอัตโนมัติในไทยโดยมี Market share คิดเป็นสัดส่วนถึง 44.04% ในขณะที่รายได้รวมตามรายงานจาก Executive Summary เดือน กันยายน เองก็ถือได้ว่าเติบโตทุกปี ดังนี้ ปี 2561 รายได้รวม 1,699.35 ล้านบาท ปี 2562 รายได้รวม 1,805.62 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 1,767.36 ล้านบาท กำไรสุทธิของบริษัท ปี 2561 กำไรสุทธิ 132.52 ล้านบาท ปี 2562 กำไรสุทธิ 93.33 ล้านบาท ปี 2563 กำไรสุทธิ 55.54 ล้านบาท เบื้องต้นเราจะเห็นได้ว่าในปี 2561 และ 2562 เป็นปีที่รายได้ของบริษัทเติบโต ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากการขยับขยายติดตั้งตู้ให้มากขึ้นต่อเนื่องซึ่งมาสะดุดในปี 2563 จากเรื่องโควิด-19 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเครื่องต่อวันอยู่ที่ 454 บาท/เครื่อง/วัน ในปี 2561, 440 บาท/เครื่อง/วัน ในปี 2562 และ 374 บาท/เครื่อง/วัน ในปี 2563 โดยมีสาเหตุมาจากโควิด-19 เช่นเดียวกัน รวมถึงคู่แข่งที่มากขึ้นและการแข่งขันทางด้านราคาซึ่งเป็นจุดที่น่าจับตามองว่าหลังจากโควิดจบทิศทางรายได้ในส่วนนี้จะเป็นไปอย่างไรทิศทางดีขึ้นหรือไม่ เพราะช่องทางนี้เปรียบเสมือนรายได้หลักของบริษัท ทางด้านกำไรสุทธิที่ลดลงมาจากการขยายตู้ได้มากขึ้นจนทำให้มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งต้นทุนในส่วนนี้หากมองดูแล้วน่าจะเป็นต้นทุนที่ค่อนข้าง Healthy ไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ควรสูงมากเพราะสะท้อนถึงการบริหารจัดการ SVT ถือเป็นอีกหนึ่งหุ้นตู้สะดวกซื้อที่บริหารโดยอีกหนึ่งเครือใหญ่ที่น่าจับตามองในฐานะบริษัทอันดับ 1 ด้านตู้ขายสินค้าอัตโนมัติที่มีกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าที่น่าสนใจ และกำลังอยู่ในช่วงที่สถานการณ์ธุรกิจกำลังมีความเข้มข้นน่าจับตามองว่าจะสามารถสร้างสตอรี่ไปต่อได้หรือไม่? หรือจะมีของใหม่มาขับเคี่ยวกับคู่แข่งอย่างไร? ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin SVT เทรดได้ตอนไหน? SVT ได้มีการเสนอขาย IPO และเปิดให้มีการจองซื้อไปเมื่อวันที่ 22-23 กันยายน และ 27 กันยายน 2564 และจะสามารถซื้อขายผ่าน SET ในวันที่ 5 ตุลาคมที่จะถึงนี้ References https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=338980 https://sun108.co.th/activities-svt-ipo-trade/ ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ Article, Bluebik, FINNOMENA Franklin Templeton, Knowledge, Long Content, OR, PTTOR อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton Insights I ลงทุนอย่างไรดีเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: ถึงเวลาของสินทรัพย์ลูกผสม คุณ Michael Hasenstab, Ph. D., Chief Investment Officer, Templeton Global Macro 30 ก.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: ลงทุนอย่างไรดีเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง คุณ Michael Hasenstab, Ph. D., Chief Investment Officer, Templeton Global Macro <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, global trend, market outlook อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: อัพเดตวันหยุดกองทุนจีน Golden Week ฉลอง ‘วันชาติจีน’ ตลาดหุ้นจีนหยุด 1-7 ต.ค. - FINNOMENA วันชาติจีน ตรงกับวันที่ 1 ต.ค. ของทุกปี โดยตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-shares) หยุดยาวตั้งแต่ 1-7 ต.ค. และตลาดหุ้นฮ่องกง (H-shares) หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. โดยมีกองทุนจีนที่หยุดทำการดังนี้ 30 ก.ย. 2564 วันชาติจีน ตรงกับวันที่ 1 ต.ค. ของทุกปี โดยตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-shares) หยุดยาวตั้งแต่ 1-7 ต.ค. และตลาดหุ้นฮ่องกง (H-shares) หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. โดยมีกองทุนจีนที่หยุดทำการดังนี้ ***หมายเหตุ: The Opportunity รวบรวมข้อมูลวันหยุดกองทุนจาก บลจ. ที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ 🇨🇳 บลจ. ทีเอ็มบี อีสท์สปริง (TMBAM Eastspring) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. TMBCOF: ทหารไทย China Opportunity TMBCORMF: ทหารไทย China Opportunity เพื่อการเลี้ยงชีพ TMB-ES-CHINA-A: ทีเอ็มบี อีสท์สปริง China A Active — 🇨🇳 บลจ. วรรณ (ONEAM) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. 1AM-GEM: วรรณเอเอ็ม โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต เอควิตี้ ONE-CHINA: วรรณไชน่าออโต้รีเด็มชั่นฟันด์ ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. ONE-ALLCHINA-RA: วรรณ ออล ไชน่า อิควิตี้ ONE-ALLCHINA-ASSF: วรรณ ออล ไชน่า อิควิตี้ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม — 🇨🇳 บลจ. ยูโอบี (UOBAM) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. UCI: ยูไนเต็ด ไชน่า เอ แชร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ UCHI: ยูไนเต็ด ไชน่า เฮลท์แคร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ UCHINA: ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ GC: เกรธเธอร์ ไชน่า UOBSGC: ยูโอบี สมาร์ท เกรธเธอร์ ไชน่า — 🇨🇳 บลจ. พรินซิเพิล (PRINCIPAL) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. PRINCIPAL CHTECH-A: พรินซิเพิล ไชน่า เทคโนโลยี ชนิดสะสมมูลค่า ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. PRINCIPAL CHEQ-A : พรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า — 🇨🇳 บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. SCBCE: ไทยพาณิชย์หุ้นจีน SCBCEH: ไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮ็ดจ์ ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-5 ต.ค. SCBCHA: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ SCBCHAA: กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (ชนิดสะสมมูลค่า) SCBCHA-SSF: ไทยพาณิชย์ หุ้นจีนเอแชร์ (ชนิดเพื่อการออม) SCBRMCHA: ไทยพาณิชย์หุ้นจีนเอแชร์ เพื่อการเลี้ยงชีพ SCBCHTG2: ไทยพาณิชย์ China Trigger 2 ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. SCBCHEQA: ไทยพาณิชย์ ออล ไชน่า อิควิตี้ SCBCHINA: ไทยพาณิชย์ Active All China Equity SCBMLCAA: ไทยพาณิชย์ Machine Learning China All Share SCBRMMLCA: ไทยพาณิชย์ Machine Learning China All Share เพื่อการเลี้ยงชีพ — 🇨🇳 บลจ. ธนชาติ (Thanachart Eastspring) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. T-ES-CHINA A: ธนชาต อีสท์สปริง China A Active T-ES-ChinaA-RMF: ธนชาต อีสท์สปริง China A เพื่อการเลี้ยงชีพ T-ES-ChinaA-SSF: ธนชาต อีสท์สปริง China A เพื่อการออม — 🇨🇳 บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFUND) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. LHCHINA: แอล เอช อิควิตี้ ไชน่า ออพพอร์ทูนิตี้ LHCHINARMF: แอล เอช อิควิตี้ ไชน่า ออพพอร์ทูนิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ — 🇨🇳 บลจ. ทิสโก้ (TISCO) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. TCHSTARP: ทิสโก้ ไชน่า สตาร์ พลัส — 🇨🇳 บลจ. บีแคป (BCAP) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 30 ก.ย – 5 ต.ค. BCAP-CTECH: บีแคป ไชน่า เทคโนโลยี — 🇨🇳 บลจ.กรุงศรี (KSAM) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. KFACHINA-A: กรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า KFACHINRMF: กรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ KFACHINSSF: กรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้เพื่อการออม — 🇨🇳 บลจ. คิงไว (KWI) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. KWI DRAGON: เคดับบลิวไอ ดรากอน โกรท เอฟไอเอฟ KWI APREIT: เคดับบลิวไอ เอเชีย แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ รีท KWI AEPLUS: เคดับบลิวไอ เอเชียน อิควิตี้ พลัส เอฟไอเอฟ — 🇨🇳 บลจ. กสิกรไทย (K Asset) ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1-7 ต.ค. K-CCTV: เค ไชน่า คอนโทรล โวลาติลิตี้ K-CHX: เค ดัชนีหุ้นจีน ➢ กองทุนที่หยุดทำการวันที่ 1 ต.ค. K-APB: กองทุนเปิดเค เอเชีย แปซิฟิก บอนด์ K-ATECH: เค เอเชีย เทคโนโลยี หุ้นทุน K-CHINA-A(A): เค ไชน่า หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า K-CHINA-A(D): เค ไชน่า หุ้นทุน-A ชนิดจ่ายเงินปันผล KCHINARMF: เค ไชน่า หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ K-CHINA-SSF: เค ไชน่า หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม K-FIXEDPRO: เค ตราสารหนี้ โปรแอคทีฟ K-GB: เค โกลบอล บอนด์ K-SGM: เค สตราทีจิค โกลบอล มัลติ-แอสเซ็ท K-GHEALTH: เค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน K-GHEALTH(UH): เค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน Unhedged KGHRMF: เค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ K-GINCOME-A(A): เค โกลบอล อินคัม–A ชนิดสะสมมูลค่า K-GINCOME-A(R): เค โกลบอล อินคัม-A ชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ K-GINCOME-SSF: เค โกลบอล อินคัม ชนิดเพื่อการออม ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กองทุนจีน กองทุนหุ้นจีน จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ถูกใจสิ่งนี้ อวยจีน ‘ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัล’ ยอมทุกอย่าง หวังขายรถยนต์ไฟฟ้า - FINNOMENA Elon Musk ยืนยันความมุ่งมั่นของ Tesla ที่จะขยายการลงทุนในประเทศจีน ในงาน World Internet Conference ที่จัดโดยสำนักงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) 27 ก.ย. 2564 Elon Musk ยืนยันความมุ่งมั่นของ Tesla ที่จะขยายการลงทุนในประเทศจีน ในงาน World Internet Conference ที่จัดโดยสำนักงานกำกับดูแลด้านไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) Elon Musk ชื่นชมจีนในฐานะผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัล ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ Elon Musk ได้ยกย่องว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจีนมีความสามารถในการแข่งขันมากที่สุดในโลก Elon Musk ตั้งข้อสังเกตว่า จีนทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำโลกด้านดิจิทัล และ Tesla ยืนยันที่จะขยายการลงทุน รวมถึงการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนต่อไป Tesla พยายามปรับปรุงชื่อเสียงในประเทศจีน หลังเผชิญข่าวเชิงลบจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ บริษัทต้องรับมือกับการตรวจสอบด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวผู้บริโภค และยังมีรายงานว่าทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐและทหารใช้รถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla Elon Musk อธิบายถึงการป้องกันข้อมูลของ Tesla พร้อมทั้งระบุประเภทข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในอุปกรณ์ และ กล่าวว่า Tesla รู้สึกยินดีที่ได้เห็นกฎหมายและข้อบังคับ ที่เสริมสร้างให้การจัดการข้อมูลแข็งแกร่งขึ้น Tesla ได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศจีน เพื่อจัดการข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ให้ถูกรักษาความปลอดภัยภายในประเทศจีนเท่านั้น ทั้งการผลิต, การขาย, การบริการ และการชาร์จไฟฟ้า รวมถึงข้อมูลส่วนตัวที่สามารถระบุตัวตนได้ทั้งหมด แต่จะมีเพียงกรณีพิเศษที่ข้อมูลจะถูกอนุมัติให้โอนไปต่างประเทศ เช่น การสั่งซื้ออะไหล่จากต่างประเทศ เมื่อปี 2019 Tesla ได้ก่อตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา Tesla มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนทั้งหมด 44,264 คัน (31,379 คัน ผลิตเพื่อการส่งออก) เพิ่มขึ้นจากจำนวน 32,968 คัน ในเดือน ก.ค. และ 33,155 คัน ในเดือน มิ.ย. อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/26/musk-praises-china-says-tesla-will-expand-investments-in-country.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla จีน ตลาดหุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Pick I วิเคราะห์กองทุนหุ้นนวัตกรรมแห่งอนาคต - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ FINNOMENA Pick วิเคราะห์กองทุนหุ้นนวัตกรรมแห่งอนาคต ผ่านมุมมองของ FINNOMENA และ Franklin Templeton โดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist FINNOMENA 27 ก.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ FINNOMENA Pick วิเคราะห์กองทุนหุ้นวัตกรรมแห่งอนาคต ผ่านมุมมองของ FINNOMENA และ Franklin Templeton โดยจิรัฐิติ ขันติพะโล และธัชพล ปาละบรรจง Portfolio Specialist FINNOMENA <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, หุ้นนวัตกรรม, หุ้นเทคโนโลยี อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton I 5 ธีมต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้นวัตกรรมแห่งอนาคต ตอนที่ 1 - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ 5 ธีมต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้นวัตกรรมแห่งอนาคตโดยคุณ George Russell, CFA, Institutional Portfolio Manager, Franklin Equity Group 25 ก.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: 5 ธีมต้องรู้ ก่อนลงทุนหุ้นวัตกรรมแห่งอนาคต ตอนที่ 1 คุณ George Russell, CFA, Institutional Portfolio Manager, Franklin Equity Group <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, หุ้นนวัตกรรม, หุ้นเทคโนโลยี อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: รวมรายชื่อกองทุน ลงทุนใน Evergrande พร้อมความเห็น บลจ. ต่อผลกระทบเศรษฐกิจจีน - FINNOMENA The Opportunity รวบรวมความเห็นจากข้อมูลของ บลจ. ต่อกรณีวิกฤติ Evergrande ที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 17-22 ก.ย. 24 ก.ย. 2564 ***หมายเหตุ: The Opportunity รวบรวมความเห็นจากข้อมูลของ บลจ. ต่อกรณีวิกฤติ Evergrande ที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 17-22 ก.ย. 🇨🇳 บลจ.กรุงศรี (KSAM) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนตราสารหนี้: KFAHYBON-A มีสัดส่วน 1.70% ⁃ กองทุนผสม: KFMINCOM มีสัดส่วน 0.32% ⁃ กองทุนหุ้น: KFCMEGA-A มีสัดส่วน 0.26% ⁃ กองทุนหุ้น: KF-CHINA มีสัดส่วน 0.07% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน ผู้จัดการกองทุนคาดว่าผลกระทบจากวิกฤติ Evergrande มีไม่มากนัก เพราะปัจจุบันราคาหุ้นกู้ซื้อขายที่ 20-30 % ของราคาพาร์ (Par) เท่านั้น เป็นระดับราคาที่สะท้อนถึงการ Default ไปแล้ว มีโอกาสที่อัตราการเรียกคืนหนี้ (Recovery Rate) อาจมากกว่าระดับปัจจุบันได้ ในขณะที่กองทุนหุ้นมีน้ำหนักการลงทุนไม่มากนัก พร้อมทั้งราคาหุ้นลงมากว่า 80% นับตั้งแต่ต้นปีแล้ว สำหรับทิศทางระยะสั้น ตราสารหนี้ High Yield อาจถูกกดดันจากข่าวที่รุนแรงมาก แต่ตลาด HY ในจีนเองได้รับรู้ข่าว Evergrande มาโดยตลอด อีกทั้งหลังประกาศงบไตรมาส 2/2021 China Property HY มี Balance Sheet ที่ดีขึ้น จึงไม่ได้ไม่ดีทั้งระบบ จะเป็นเพียงบางตัวเท่านั้น ผู้ลงทุนที่รับความผันผวนระยะสั้นได้สูงให้ถือต่อไปเพื่อรับดอกเบี้ยของพอร์ตที่สูง 11.85% (ณ 31 ก.ค. 2021) แต่หากผู้ลงทุนรับความผันผวนที่อาจจะสูงมากในระยะสั้นไม่ได้ แนะนำให้ลดการถือครองลง ที่มา: https://www.krungsriasset.com/TH/Market-View/Flash-Update/41294.aspx — 🇨🇳 บลจ. ทีเอ็มบี อีสท์สปริง (TMBAM Eastspring) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนตราสารหนี้: TMB-E-ES-APlus มีสัดส่วน 0.19% ⁃ กองทุนตราสารหนี้: TMB Asian Bond มีสัดส่วน 0.84% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน จากการคาดการณ์กรณี base case คือ รัฐบาลจีนช่วยประสานงานในระดับบริหารเพื่อส่งผลให้เกิด “การแก้ไขอย่างเป็นระเบียบ” มีแนวโน้มที่ราคาตราสารหนี้จะสูงกว่าที่ขายกันอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น บลจ.จะยังคงถือไว้เหมือนเดิมในตอนนี้ และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงจะหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อประเมินเส้นทางการปรับโครงสร้างที่มีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากมุมมองเกี่ยวกับมูลค่าเปลี่ยนแปลงไป หรือหากกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้มีแนวโน้มยืดเยื้อและไม่เป็นระเบียบ ทางบลจ.จะพิจารณาปรับการถือครอง บลจ. เชื่อว่ายังมีโอกาสในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน และยังคงมีแนวโน้มที่สดใสหากมองข้ามความผันผวนในระยะสั้น ด้วยเหตุนี้ บลจ.จึงมองว่าความกลัวที่เกิดขึ้นในวงกว้างจาก Evergrande เป็นสิ่งที่เกินจริงไปหน่อย อย่างไรก็ตาม การดูเครดิตของผู้ออกตราสารมีความสำคัญสูงสุด เนื่องจากบรรยากาศเชิงลบและนโยบายของรัฐบาลได้เพิ่มความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีงบดุลที่อ่อนแอ ดังนั้น บลจ. จะยังคงเลือกเฟ้นหาบริษัทในส่วนนี้ต่อไป โดยมุ่งเน้นที่ไปที่สินเชื่อคุณภาพดีสำหรับการเพิ่มผลตอบแทน ที่มา: https://www.tmbameastspring.com/insights/look-at-the-case-of-china-evergrande — 🇨🇳 บลจ. ไทยพาณิชย์ (SCBAM) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: SCBCEH และ SCBCE มีสัดส่วน 0.09% ⁃ กองทุนผสม: SCBWIN มีสัดส่วน 0.05% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน SCBWIN ผู้จัดการกองทุน SCBWIN มีความเชื่อมั่นในการลงทุน โดยเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนในปัจจุบัน และ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Spread) อยู่ในระดับสมเหตุสมผล และอยู่ในระดับที่ชดเชยกับความเสี่ยงในปัจจุบัน จากการประเมิน Base Case มองว่าน่าจะมีผลลัพธ์ที่หลากหลาย โดยในระยะสั้นมองว่า Spread ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ ไม่น่าจะลดหรือแคบลง และมีความเป็นไปได้ที่จะมีความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยปัจจุบัน กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารนี้จีนที่ 3.7% และหุ้นจีนที่ 2.5% ณ วันที่ 31 ส.ค. 64 ที่มา: https://www.facebook.com/scbam.official/photos/a.544313966089561/1189411284913156 — 🇨🇳 บลจ. บัวหลวง (BBLAM) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนตราสารหนี้: B-ENHANCED มีสัดส่วน 0.00349% ⁃ กองทุนผสม: B-SENIOR-X มีสัดส่วน 0.00196% ⁃ กองทุนผสม: B-INCOME มีสัดส่วน 0.0013% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน จากประเด็นสถานการ์ณของ China Evergrande Group มี 3 กองทุนของบัวหลวงที่เข้าไปลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Asian Bond Fund ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ของ China Evergrande Group สัดส่วนเพียง 0.1% ของ NAV เท่านั้น จึงไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้ง 3 กองทุน ประกอบด้วย B-INCOME, B-SENIOR-X และ B-ENHANCED ทั้งนี้กองทุนบัวหลวงจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยึดมั่นในผลประโยชน์ของผู้ถือหน่วยเป็นสำคัญ ที่มา: https://www.facebook.com/BualuangFund.Fanpage/photos/a.114473288596934/4809692765741606/ — 🇨🇳 บลจ. กรุงไทย (KTAM) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนตราสารหนี้: KT-CHINABOND มีสัดส่วน 0.14% ➢ มุมมองจาก Blackrock ผู้จัดการกองทุน BGF China Bond Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ KT-CHINABOND BlackRock มองว่าแรงเทขายที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นแรงเทขายอย่างรุนแรงในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น และมองว่ายังมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เกรด B อีกหลายบริษัทที่มีสถานะการเงินที่ดี และไม่มีปัญหาทางสภาพคล่องแต่อย่างใด ทั้งนี้ทาง BlackRock จะจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของ BlackRock มีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี โดยอาจพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนที่มีอยู่อย่างน้อยนิดในตราสารหนี้ของ Evergrande เพิ่มเติม หากมีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่มา: https://www.ktam.co.th/upload/tb_article_358_1632121467.21478_file1.pdf — 🇨🇳 บลจ.ฟิลลิป (PAMC) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: P-CGREEN มีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ⁃ กองทุนหุ้น: PWIN และ PWINRMF มีสัดส่วนน้อยกว่า 0.1% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน บลจ. เชื่อว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับตลาดการเงินของจีนโดยรวม ทั้งนี้กองทุน PWIN, PWINRMF และ PWINRMF มีการลงทุนใน Evergrande ในสัดส่วนที่น้อย หากเหตุการณ์เกี่ยวกับบริษัทมีแนวโน้มแย่ลง และกองทุนต่างประเทศไม่ได้ทำการลดสัดส่วนเพิ่มเติม กองทุนยังคงได้รับผลกระทบจำกัด การที่ราคากองทุนปรับตัวลงช่วงนี้ ไม่ได้มีสาเหตุหลักจากสัดส่วนหุ้นของ Evergrande แต่เป็น sentiment ของตลาดในสถานการณ์ที่มีข่าวเชิงลบ บลจ. มองว่าการกระจายการลงทุน และการเน้นลงทุนในธีมที่ได้ประโยชน์ระยะยาว ยังสามารถทำให้กองทุนไปต่อได้ ที่มา: https://www.facebook.com/phillipasset/photos/a.111377747646798/212172887567283/ — 🇨🇳 บลจ. วรรณ (ONEAM) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: ONE-CHINA มีสัดส่วน 0.06% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน สำหรับกองทุน ONE-CHINA กองทุนลงทุนใน H-shares ETF ซึ่งเป็นกองทุนรวมดัชนี จึงมีการลงทุนในหุ้น Evergrande โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 17 ก.ย. 64 กองทุนถือครองหุ้น Evergrande อยู่ 0.06% หรือประมาณ 4,500 บาท จากมูลค่ากองทุน 7.45 ล้านบาท ซึ่งไม่มีนัยสำคัญโดยตรงต่อพอร์ตการลงทุน ที่มา:https://www.one-asset.com/th/fundrecomm/detail/45?fbclid=IwAR1UjKoiHuDS49YXEN8MTIyinPq7OcI8zbz6fZ9fqvm2FXQy8SEdtmVZNdY — 🇨🇳 บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนผสม: MCBOND มีสัดส่วน 0.14% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุนหลัก BGF China Bond Fund แม้จะมีข่าวเชิงลบกรณีของ Evergrande ออกมาในช่วงต้นเดือน แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ต้นเดือนยังค่อนข้างทรงตัว จากการที่กองทุนได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ฝั่งตลาดนอกประเทศจีน (Offshore High Yield Property) ในช่วงครึ่งแรกของปีจากระดับ 30% เป็น 20% ช่วยลดผลกระทบจากการขาดทุนในตลาดนอกประเทศจีน (Offshore) ได้บางส่วน นอกจากนี้กองทุนมีสถานะการลงทุนใน Evergrande ไม่มาก จึงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ค่อนข้างจำกัด BGF มองเหตุการณ์ sell-off เพื่อลดความเสี่ยงของสถาบันการเงินในวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตราสารหนี้ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มากนัก และหากเกิดกรณีเลวร้ายขึ้นเชื่อว่าจะมีแรงเทขายออกมาอย่างรวดเร็วและกินระยะเวลาเพียงแค่สั้น ๆ ไม่ได้ยืดเยื้อ BGF มองหุ้นกู้อสังหาริมทรัพย์ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ B ในบางบริษัทยังมีสภาพคล่องที่ดีอยู่ และมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะชำระคืนหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม BGF ยังคงระมัดระวังในการลงทุนหุ้นกู้เหล่านี้อย่างใกล้ชิด ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน ประเด็นปัญหาหนี้ของ Evergrande เป็นความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทไม่ใช่ ความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อตลาดทั้งระบบ (Systematic Risk) ประกอบกับราคาหุ้นกู้ของ Evergrande ที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ได้สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ไปในระดับหนึ่งแล้ว รวมถึงการที่กองทุนหลักมีสถานะการลงทุนใน Evergrande เพียงแค่ 0.14% ( ณ วันที่ 9 ก.ย.) จึงมองผลกระทบมีค่อนข้างจำกัด — 🇨🇳 บลจ. ทิสโก้ (TISCO) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: TISCOH มีสัดส่วน 0.1% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน เบื้องต้นหุ้น Evergrande มีองค์ประกอบอยู่ในดัชนี HSCEI ราว 0.1% ซึ่งเป็นดัชนีที่กองทุน TISCOCH ใช้เป็นเกณฑ์การลงทุน บลจ.มองว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะเข้ามา Bailout บางส่วน เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิด Spillover Effect ที่จะกระทบต่อประชาชนทั่วไปในวงกว้าง โดยอย่างน้อยอาจเลือกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน และด้วยน้ำหนักการลงทุนที่น้อยอยู่แล้ว ทำให้ส่งผลกระทบต่อกองทุนในวงจำกัด — 🇨🇳 บลจ. บีแคป (BCAP) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: BCAP-CLEAN มีสัดส่วน 0.14% ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน กองทุน BCAP-CLEAN มีการถือครองหุ้น Evergrande ผ่านการลงทุนในกองทุน KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF จากธุรกิจก่อสร้าง Green Building ของ Evergrande แต่สัดส่วนของหุ้น Evergrande มีอยู่เพียง 0.14% ทำให้การปรับลดลงของราคาหุ้นไม่มีนัยสำคัญกับผลตอบแทนของกองทุน BCAP-CLEAN ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับกองทุน BCAP-GMA และ BCAP-GMA Plus ที่เพิ่งสิ้นสุดช่วง IPO และจะเริ่มเข้าลงทุนในสัปดาห์หน้าจะไม่มีการลงทุนในหุ้นกู้และหุ้นสามัญของบริษัท Evergrande ที่มีนัยสำคัญเกิน 0.01% ของพอร์ตการลงทุน กองทุนรวมของบลจ. ไม่มีการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทในเครือ Evergrande หรือหุ้นกู้เอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์จีนอื่นๆ ทำให้ความเสี่ยงของการปรับตัวลงและโอกาสผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ในเครือ Evergrande ไม่มีผลกระทบต่อกองทุนของ บลจ. โดยตรง — 🇨🇳 บลจ. กสิกรไทย (K Asset) ➢ กองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ⁃ กองทุนหุ้น: K-ASIAX มีสัดส่วน 0.00844% ⁃ กองทุนหุ้น: K-WORLDX มีสัดส่วน 0.00844% ⁃ กองทุนหุ้น: K-GLOBE มีสัดส่วน 0.0005% ⁃ กองทุนผสม: K-GA มีสัดส่วนน้อยกว่า 0.02% ➢ มุมมองบลจ. ในระยะสั้น ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่มอสังหาฯจากการที่สภาพคล่องมีความตึงตัวและความกังวลของนักลงทุน ทั้งนี้ภาคอสังหาฯคิดเป็น 3.8% ของดัชนี MSCI China ขณะที่ Evergande แม้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่แต่ก็มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 4% เท่านั้น เพราะตลาดอสังหาในจีนค่อนข้างกระจายตัวอย่างมาก คำแนะนำการลงทุน: ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นจีนอยู่ เนื่องจากมองว่าปัญหาในระยะสั้นที่น่าจะสามารถควบคุมผลกระทบได้ และความพยายามในการลด leverage ลงจะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจในระยะยาว ➢ มุมมองผู้บริหาร นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) มองว่าปัญหาหนี้สินของ Evergrande จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อกองทุนในไทย เนื่องจาก กองทุนไทยมีการลงทุนในตราสารหนี้ของ Evergrande ค่อนข้างน้อย คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% และทุกกองทุนมีการกระจายการลงทุนค่อนข้างมาก โดยกองทุนของบลจ.กสิกรไทย ไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ของ Evergrande เลย ที่มา: https://www.facebook.com/kasikornasset/photos/a.265572630314697/1876231085915502/ — 🇨🇳 บลจ. ยูโอบี (UOBAM) ➢ ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ➢ มุมมองบลจ. สำหรับพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ บลจ.ได้ใช้แนวทางการลงทุนอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะในส่วนของผู้ออกตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ที่ไม่ได้ออกหรือจัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ บลจ. ได้ทยอยปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จีนเพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาดที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่มตราสารหนี้ดังกล่าวจะมีอันดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนอยู่ในระดับสูงก็ตาม ความผันผวนที่กล่าวมารวมถึง มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่อผู้ออกตราสารที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการทหารของจีน และการที่ทางการจีนมีมาตรการในการสร้าง “ความมั่งคั่งส่วนรวม (Common Prosperity)” ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอนต่อการดำเนินธุรกิจในบรรดากลุ่มบริษัทและกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่ม สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทจีน รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนได้ถูกปรับลดลงตามลำดับ และทาง บลจ.จะยังคงมองหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมในจีนเมื่อสถานการณ์การลงทุนเอื้ออำนวย — 🇨🇳 บลจ. วี (We Asset) ➢ ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ➢ มุมมองผู้จัดการกองทุน WE-CHIG อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากกรณี Evergrande โดยมีการเทขายหุ้นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ในวงกว้าง ทำให้หุ้น KWG ที่กองทุนถือปรับตัวลงเช่นกัน และฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อย ทั้งนี้ KWG เป็นอสังหาฯ คุณภาพสูงอยู่ใน Greater Bay Area (Silicon Valley of China) ซึ่ง ผจก. กองทุนเชื่อว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ยังเติบโตได้ดี รวมถึง Trade Valuation ที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับ High Single Digit ยังสามารถรองรับผลกระทบจากตลาดในช่วงนี้ได้ ในพอร์ตของกองทุน ผจก. กองทุนเน้นเลือกหุ้นที่มีธุรกิจสอดคล้องกับนโนบายการสนับสนุนของภาครัฐ โดยหุ้นขนาดเล็กเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากความกังวลด้านกฎระเบียบที่รัฐบาลจีนมุ่งเป้าไปยังหุ้นขนาดใหญ่ สำหรับการปรับตัวลงของตลาด ผจก. กองทุนคาดว่าไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ earning growth บริษัทในตลาด โดยพอร์ตการลงทุนของกองทุนมีระดับ estimated EPS growth 20-30% ในระยะ 3-5 ปี โดยยังเน้นหุ้น themes : technology upgrade, consumer, healthcare, clean energy — 🇨🇳 บลจ. อเบอร์ดีน (Aberdeen) ➢ กองทุน ABAPAC และ ABCG ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ➢ มุมมองบลจ. บลจ. มองว่า การปรับโครงสร้างหนี้ของ Evergrande เป็นตัวแปรหลักในการขับเคลื่อนความเชื่อมั่นของตลาดในวงกว้าง นักลงทุนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ดี หากการปรับโครงสร้างใหม่เป็นไปอย่างมีระเบียบและแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ความเป็นไปได้มากสุดคือ การปรับโครงสร้างบริษัทให้เกิดระเบียบในหลายๆ ด้าน เพราะ Evergrande เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในจีน ดังนั้นรัฐบาลจีนน่าจะต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจแพร่กระจายเป็นวงกว้างจากการจัดการที่ไม่เป็นระเบียบ — 🇨🇳 บลจ. พรินซิเพิล (PRINCIPAL) ➢ ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ที่มา: https://www.principal.th/th/China-Equity-Market-and-PRINCIPAL-CHEQ-Portfolio-Update — 🇨🇳 บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFUND) ➢ ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ที่มา: https://www.facebook.com/LHFundAM/photos/a.1088253337899808/4504915736233534/ — 🇨🇳 บลจ. แอสเซท พลัส (Asset Plus) ➢ ไม่มีกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนใน Evergrande ที่มา: https://www.facebook.com/aspfund/photos/a.129242758837501/382966546798453/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande News Update กองทุนจีน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวม กองทุนหุ้นจีน บลจ. แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ขับรถไฟฟ้าจนไม่ได้เข้าปั๊มมา 3 ปี Ark พร้อมขายหุ้น Tesla ปีหน้า หากราคาถึงเป้า $3,000 - FINNOMENA Cathie Wood เตรียมขายหุ้น Tesla ในปีหน้า หากราคาพุ่งแตะ $3,000 ซึ่งเป็นราคาเป้าหมาย 5 ปีที่เคยคาดการณ์ไว้ จากราคาปัจจุบันที่ประมาณ $750  23 ก.ย. 2564 Cathie Wood เตรียมขายหุ้น Tesla ในปีหน้า หากราคาพุ่งแตะ $3,000 ซึ่งเป็นราคาเป้าหมาย 5 ปีที่เคยคาดการณ์ไว้ จากราคาปัจจุบันที่ประมาณ $750 ในงานประชุม Morningstar Investment Conference เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest ตอบโต้กับ Rob Arnott ประธาน Research Affiliates ผู้ไม่เชื่อการลงทุนในหุ้นเติบโตที่มีมูลค่าสูงอย่าง Tesla Rob Arnott ตั้งคำถามว่า ผู้จัดการกองทุนควรตัดสินใจอย่างไรเมื่อต้องการลดสัดส่วนการลงทุน? อะไรคือวินัยการขายที่ปกป้องผลกำไร? และ อะไรคือวินัยในการขายที่ทำให้ Ark สามารถย้ายไปลงทุนหุ้นเปลี่ยนโลกตัวใหม่? Cathie Wood ตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการขายหุ้น Tesla พร้อมทั้งกล่าวปกป้องหุ้น Tesla ซึ่งเป็นหุ้นที่ Ark มีสัดส่วนเดิมพันที่สูง Cathie Wood ระบุถึงข้อดีหลายอย่างของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น รถยนต์ไฟฟ้าทำให้เธอไม่ต้องไปที่ปั๊มน้ำมันตั้งแต่ ก.ย. ปี 2018 และกล่าวว่าราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง จะทำให้ราคาเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปีหน้า โดยคาดว่าในปี 2025 ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่ $18,000 ในขณะที่ราคารถยนต์ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ $25,000-$26,000 ปีนี้เป็นปีที่อยากลำบากของ Ark เพราะกองทุนเด่นอย่าง ARKK ที่สร้างผลตอบแทนเกือบ 150% ในปีที่แล้ว กลับมีผลตอบแทน -5% นับตั้งแต่ต้นปี Cathie Wood ยังคงเชื่อมั่นการลงทุนใน Disruptive Technology และคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนรวมที่ 30% ต่อปี และมั่นใจว่าตลาดไม่ได้อยู่ในสภาวะฟองสบู่ กองทุน Ark ได้เทขายหุ้น Tesla บางส่วน หลังราคาหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้น ตามกลยุทธ์ ‘ขายผู้ชนะบางส่วน เพื่อลงทุนในเป้าหมายอื่น’ โดยตั้งแต่เดือน ก.ย. Ark ได้เทขายหุ้น Tesla ออกไปกว่า 350,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 226 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-23/cathie-wood-would-sell-tesla-next-year-if-it-reached-3-000?srnd=premium-asia ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: SCB เปิดตลาด +20% รับข่าวยานแม่ SCBX ขยายธุรกิจ เน้นการเติบโตใหม่ในเทคโนโลยี - FINNOMENA เช้านี้ (23 ก.ย.) ราคาหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดตลาดปรับตัวบวก 21.50 บาท หรือ +19.63% มาอยู่ที่ราคา 131 บาท จากราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 109.5 บาท 23 ก.ย. 2564 เช้านี้ (23 ก.ย.) ราคาหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดตลาดปรับตัวบวก 21.50 บาท หรือ +19.63% มาอยู่ที่ราคา 131 บาท จากราคาปิดเมื่อวานนี้ที่ 109.5 บาท โดยระหว่างการซื้อขาย ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่จุดสูงสุดของวันที่ราคา 137 บาท หรือ +25% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ SCB Group ได้ประกาศจัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ “SCBX” เพื่อยกระดับธุรกิจสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดย SCB จะไม่ใช่แค่ธนาคารในรูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารเป็นเพียงส่วนหนึ่ง โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศ ที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้ นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี DeFi, การขยายตัวของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจทางการเงิน, พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังโควิด และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ทำให้การทำธุรกิจของธนาคารในรูปแบบดั้งเดิมจะถูกลดบทบาทและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อีกต่อไป ช่วงเวลา 3 ปีจากนี้ เป็นบททดสอบสำคัญของ SCB ที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างคุณค่าใหม่แก่ผู้บริโภคและผู้ถือหุ้น โดยจะเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update scb SCBX แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: SCB Group จัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ SCBX ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจการเงิน และแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ - FINNOMENA SCB Group จัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ “SCBX” ยกระดับธุรกิจสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดย SCB จะไม่ใช่แค่ธนาคารในรูปแบบเดิมอีกต่อไป 22 ก.ย. 2564 SCB Group จัดตั้งบริษัทแม่ภายใต้ชื่อ “SCBX” ยกระดับธุรกิจสู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาคภายในปี 2025 โดย SCB จะไม่ใช่แค่ธนาคารในรูปแบบเดิมอีกต่อไป แต่จะกลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินที่มีธุรกิจธนาคารเป็นเพียงส่วนหนึ่ง โดยแต่ละธุรกิจ SCB จะร่วมมือกับพันธมิตรระดับประเทศ ที่จะเริ่มเปิดตัวในอนาคตอันใกล้นี้ นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การเกิดขึ้นของเทคโนโลยี DeFi, การขยายตัวของแพลตฟอร์มระดับโลกเข้าสู่ธุรกิจทางการเงิน, พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังโควิด และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ทำให้การทำธุรกิจของธนาคารในรูปแบบดั้งเดิมจะถูกลดบทบาทและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อีกต่อไป ช่วงเวลา 3 ปีจากนี้ เป็นบททดสอบสำคัญของ SCB ที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างคุณค่าใหม่แก่ผู้บริโภคและผู้ถือหุ้น โดยจะเร่งขยายธุรกิจเชิงรุกสู่ธุรกิจการเงินประเภทอื่นที่ตลาดต้องการ และบริหารจัดการแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีขนาดใหญ่ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งระดับโลก โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัท SCB Tech X และบริษัท Data X ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก และขยายสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ digital asset business ในระดับโลกเพื่อเข้าสู่โลกการเงินแห่งอนาคตผ่าน SCB 10X และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ล่าสุด ร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดตั้ง กองทุน Venture Capital ขนาด 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐ มุ่งเน้นการลงทุนใน Disruptive Technology ด้านบล็อกเชน, สินทรัพย์ดิจิทัล, FinTech และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั่วโลก ที่มา: ไทยรัฐ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update scb SCBX แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นจีนร่วงน้อยกว่าคาด -1% เปิดวันแรกหลังหยุดยาว รับข่าว Evergrande หนีตายเจรจาเจ้าหนี้ - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวลง 1% รับการซื้อขายวันแรกหลังจากหยุดไป 2 วัน ท่ามกลางวิกฤติสภาพคล่อง Evergrande 22 ก.ย. 2564 ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวลง 1% รับการซื้อขายวันแรกหลังจากหยุดไป 2 วัน ท่ามกลางวิกฤติสภาพคล่อง Evergrande เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นฮ่องกงในวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 ก.ย.) ที่ติดลบเกือบ 4% จากความกังวลเรื่อง Evergrande แต่เนื่องจากตลาดหุ้นจีนหยุดทำการใน 2 วันที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนจับตาตลาดหุ้นจีนที่เปิดทำการวันนี้ ว่าจะได้รับแรงกดดันอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม เช้านี้ตลาดหุ้นจีนกลับปรับตัวลงไม่แรงเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นฮ่องกงในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี Shanghai Composite ปรับตัวลง 0.62%, ดัชนี Shenzhen Component ลดลง 0.89% และ ดัชนี CSI300 ลดลง 1.31% ในขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการเนื่องในวันหยุด นักลงทุนจับตาความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของ Evergrande ที่จะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้ (23 ก.ย.) รวมถึงสัญญาณการแทรกแซงจากภาครัฐเพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ ประธานบริษัท Evergrande ได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นในจดหมายถึงพนักงานว่า บริษัทจะสามารถหลุดพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และกลับมาเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ต่อไป ล่าสุด Evergrande กล่าวว่า บริษัทบรรลุข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้สกุลเงินหยวน เกี่ยวกับการชำระดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้ (23 ก.ย.) ได้แล้ว โดยไม่ได้มีการระบุว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเท่าไรและเมื่อไร สำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระมูลค่า 35.9 ล้านดอลลาร์ เอกสารระบุว่า ปัญหาการจ่ายดอกเบี้ยของหุ้นกู้ผลตอบแทน 5.8% ที่จะครบกำหนดในปี 2025 ได้รับการแก้ไขเรียบร้อย ผ่านการเจรจาต่อรองนอกสำนักหักบัญชีภายใต้หัวข้อการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ อีกประเด็นที่นักลงทุนจับตาคือ ผลประชุม Fed เกี่ยวกับสัญญาณ QE Tapering ในคืนนี้ เพราะนี่อาจเป็นก้าวแรกของ Fed ในการลดนโยบายการเงินผ่อนคลายที่ดำเนินการมานับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด โดยประเด็นที่ตลาดสนใจคือ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/22/asia-markets-mainland-china-evergrande-currencies-oil.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-22/evergrande-onshore-property-unit-to-repay-interest-on-yuan-bond?sref=e4t2werz https://www.prachachat.net/world-news/news-766133 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande News Update จีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: บลจ.วรรณ ลดค่าธรรมเนียมกองทุน ONE-UGG พร้อมปรับเวลารับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุน ONE-UGG, ONE-UGERMF และ ONE-DISC - FINNOMENA บลจ.วรรณ ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนเปิด ONE-UGG แจ้งเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการขายและการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า ค่าธรรมเนียมการจัดการ และนายทะเบียนหน่วยลงทุน 22 ก.ย. 2564 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนเปิดวรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) แจ้งเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมการขายและการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า ค่าธรรมเนียมการจัดการ และนายทะเบียนหน่วยลงทุน ของกองทุน ONE-UGG มีรายละเอียดดังนี้ ONE-UGG-RA การขายหน่วยลงทุน และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า เป็น 1.50% จากเดิม 1.605% การจัดการ เป็น 1.177% จากเดิม 1.712% นายทะเบียน เป็น 0.2675% จากเดิม 0.535% ONE-UGG-IA การขายหน่วยลงทุน และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า เป็น “ยกเว้นการเรียกเก็บ” จากเดิม 1.07% การจัดการ เป็น 1.177% จากเดิม 1.712% นายทะเบียน เป็น 0.2675% จากเดิม 0.535% ONE-UGG-ASSF การขายหน่วยลงทุน และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนเข้า เป็น “ยกเว้นการเรียกเก็บ” จากเดิม “ยกเว้นการเรียกเก็บ” การจัดการ เป็น 1.177% จากเดิม 1.712% นายทะเบียน เป็น 0.2675% จากเดิม 0.535% และในการนี้ ขอแจ้งเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนกองทุน ONE-UGG, ONE-UGERMF และ ONE-DISC จากเดิม 5 วันทำการนับแต่วันรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เป็น 4 วันทำการนับแต่วันรับซือคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง *ลูกค้าที่ทำรายการวันที่ 1 ตุลาคม 2564 จะได้รับเงินในวันที่ 7 ตุลาคม 2564 พร้อมกับลูกค้าที่ทำรายการวันที่ 30 กันยายน 2564 ผู้ลงทุนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูล เพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2659-8888 กด 1 (ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และสนับสนุนธุรกิจ) ที่มา: https://www.one-asset.com/th/Announcement ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ONE-UGG ONE-UGG-ASSF ONE-UGG-RA แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Evergrande นักวิเคราะห์เชื่อ รัฐบาลจีนไม่ปล่อยล้ม มั่นใจไม่กลายเป็นวิกฤติการเงินครั้งใหม่ แม้หุ้นร่วงหนัก ฉุดตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก - FINNOMENA Evergrande อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะควบคุมวิกฤติดังกล่าวก่อนเกิดความเสียหายแก่ระบบธนาคาร 22 ก.ย. 2564 วิกฤติสภาพคล่อง Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน สร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดหุ้นทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญชี้ อาจเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่ารัฐบาลจีนจะควบคุมวิกฤติดังกล่าวก่อนเกิดความเสียหายแก่ระบบธนาคาร และคาดว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินในวงกว้าง คำถามสำคัญของนักลงทุนคือ ผู้นำจีนจะจัดการกับสถานการณ์นี้เมื่อไรและอย่างไร รวมถึงรัฐบาลจะปรับโครงสร้างบริษัทบริษัท Evergrande ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดหลายคนคาดหวังหรือไม่ Jimmy Chang ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Rockefeller Global Family Office กล่าวว่า ทุกคนต่างคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะมีวิธีแก้ไขปัญหาบางอย่าง เพราะ Evergrande เป็นบริษัทอสังหาฯ ที่สำคัญของจีน หาก Evergrande ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ได้ เรื่องคงจบลงด้วยการมีรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่มีเงินทุนเยอะเข้ามารับช่วงต่อแทน Jimmy Chang แนะว่า รัฐบาลจีนจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เนื่องจาก Evergrande เริ่มส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ อสังหาริมทรัพย์ยังมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และสวัสดิภาพทางการเงินของครอบครัวจีน ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากซื้ออพาร์ทเมนท์เพื่อการลงทุน โดยเศรษฐกิจจีนมีขนาดที่ใหญ่มาก หากเศรษฐกิจจีนเกิดปัญหาร้ายแรงจากวิกฤติ Evergrande เศรษฐกิจโลกที่เหลืออาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดส่วนใหญ่ไม่คิดว่าปัญหาของ Evergrande จะนำไปสู่วิกฤติการเงินครั้งใหม่ แต่อาจสร้างความผันผวนได้มากขึ้น Rick Rieder ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ของ BlackRock กล่าวว่า เรื่องที่ยากในการทำความเข้าใจจีนคือระบบที่ทึบแสง และบ่อยครั้งคุณไม่มีทางคาดเดาคำตอบ จนกว่าคุณจะได้รับคำตอบ Rick Rieder ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ฝ่ายตราสารหนี้โลก ของ BlackRock กล่าวว่า ระบบธนาคารของจีนมีแนวโน้มที่จะถูกควบคุมโดยรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะเริ่มเข้ามาแทรกแซง เมื่อผลกระทบลุกลามไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ และสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงิน เมื่อนั้นรัฐบาลจะเริ่มทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาเสถียรภาพ เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลดลงกว่า 600 จุด หลังจากที่ตลาดหุ้นร่วงหนักในยุโรป ฮ่องกง และส่วนอื่นๆ ของเอเชีย ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงสู่ 1.297% หลังนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย Mark Williams หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics เชื่อว่า รัฐบาลจีนจะเข้ามาแก้ไขปัญหาเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินและธนาคารในวงกว้าง แต่ผู้พัฒนาอสังหาฯ อาจต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก Jim Chanos ประธานและผู้ก่อตั้ง Kynikos Associates กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ สำหรับที่อยู่อาศัยคิดเป็น 20% ของ GDP จีน ในขณะที่กิจกรรมอสังหาฯ ทั่วไป คิดเป็น 30% ของ GDP จีน โดยตั้งแต่ปี 2011 จีนพยายามระงับการเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯ ถึง 4 ครั้ง ซึ่งในทุกครั้งเศรษฐกิจพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และทางการจีนก็จะปลดเบรกและเหยียบคันเร่งอีกครั้ง ความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นเมื่อบริษัทรายอื่นเกิดปัญหาเช่นกัน สร้างความวุ่นวายในตลาดที่อยู่อาศัย และอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคในจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดโลก จากการอ่อนตัวลงของตลาดนำเข้าจีน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/20/chinas-evergrande-crisis-could-inflict-pain-on-the-world-economy.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande News Update จีน ตลาดหุ้นโลก อสังหาจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ชิปปลอมระบาดหนักในญี่ปุ่น โรงงานเจอชิปไม่ได้มาตรฐาน 30% ฉวยโอกาส ท่ามกลางวิกฤติขาดแคลนชิป - FINNOMENA ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิป หลายบริษัทปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้น แต่ต้องพบเจอกับชิปปลอม, ชิปคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และการนำชิปเก่ากลับมาใช้ใหม่ 22 ก.ย. 2564 ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนชิป หลายบริษัทปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงขึ้น แต่ต้องพบเจอกับชิปปลอม, ชิปคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และการนำชิปเก่ากลับมาใช้ใหม่ Junichi Fujioka ซีอีโอ Jenesis ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของญี่ปุ่น กล่าวว่า บริษัทกำลังเผชิญกับปัญหานี้โดยตรง หนึ่งในโรงงานของ Jenesis ที่ตั้งอยู่ในจีนตอนใต้ ได้สั่งซื้อไมโครคอนโทรลเลอร์จากเว็บไซต์ Alibaba เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนจากแหล่งผลิตเดิม แต่เมื่อสินค้ามาถึงบริษัทพบว่า ชิปดังกล่าวเป็นของปลอม ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบชิปดังกล่าวตามคำร้องของบริษัท และพบว่าคุณสมบัติต่างๆ แตกต่างไปจากรายละเอียดตอนสั่งซื้อโดยสิ้นเชิง แม้ชื่อผู้ผลิตบนบรรจุภุณฑ์จะดูเหมือนของแท้ก็ตาม บริษัทพยายามติดต่อกับผู้ขาย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล นี่เป็นเรื่องเตือนใจสำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการซื้อชิปจากแหล่งอื่น เพราะชิปดังกล่าวไม่มีการรับประกันจากผู้ผลิต ซึ่งอาจเป็นชิปที่ถูกปลอมแปลงหมายเลขรุ่น, ชิปเก่าที่ถูกนำมาใช้ใหม่ หรือชิปที่ไม่ผ่านมาตรฐานและควรถูกกำจัดทิ้ง การระบาดของชิปปลอมทำให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่อย่าง Oki Engineering บริษัทในเครือ Oki Electric Industry ผู้ให้บริการตรวจสอบชิป เพื่อช่วยผู้ผลิตกำจัดชิปปลอม หรือชิปที่ไม่ได้คุณภาพ Masaaki Hashimoto ประธาน Oki Engineering เตือนว่า แม้การขาดแคลนส่วนประกอบเพียงชิ้นเดียวอาจทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์ได้ แต่หากชิปปลอมถูกบรรจุเข้าไปในผลิตภัณฑ์จะกลายเป็นเรื่องที่ ‘สายเกินแก้ไข’ Oki Engineering เริ่มให้บริการดังกล่าวในเดือน มิ.ย. โดยในเดือน ส.ค. มีการส่งชิปมาให้ตรวจสอบกว่า 150 เคส จากผู้ผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรมและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งหลังจากตรวจสอบไปประมาณ 70 เคส บริษัทพบชิปที่มีปัญหาถึง 30% จุดสังเกตมีตั้งแต่เครื่องหมายจุดเล็กๆ บนบรรจุภัณฑ์, ตำแหน่งของสัญลักษณ์ผิด, ความผิดปกติของ Lead Frame ที่เชื่อมต่อชิปกับแผงวงจร และ การเปลี่ยนหมายเลขบนบรรจุภัณฑ์เพื่อปกปิดวันผลิตที่แท้จริง ก่อนมีการเปิดให้บริการตรวจสอบชิปอย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย. Oki Engineering ได้ตรวจสอบความถูกต้องของชิปตามคำขอของลูกค้ารายบุคคล และความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2020 หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปที่ใช้เทคโนโลยีอเมริกาไปยัง Huawei สถานการณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้ Huawei กักตุนชิปให้ได้มากที่สุด ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเดิม และทำให้มี ซัพพลายเออร์ที่ไม่คุ้นหน้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนแล้ว การขาดแคลนชิปยังมาจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น จากทั้งยอดขายคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้น, การเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า และการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีไร้สาย 5G Taiwan Semiconductor ผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลก คาดการณ์ว่าปัญหาขาดแคลนชิปจะดำเนินต่อไปจนถึงประมาณปี 2023 ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีทางเลือกไม่มากนัก แต่แนะนำให้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง อ้างอิง: https://asia.nikkei.com/Business/Tech/Semiconductors/Fake-chips-slipping-into-supply-chain-industry-insiders-warn ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Semiconductor ขาดแคลนชิป ชิป ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: Hang Seng ร่วง 4% กังวล Evergrande กดดันหุ้นอสังหาฯ ทั้งตลาด หุ้นธุรกิจประกันร่วงด้วย - FINNOMENA เช้านี้ (20 ก.ย.) ดัชนี Hang Seng ลดลงกว่า 4% หลังหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงตามหุ้น Evergrande ที่ร่วงลงกว่า 13.78% แล้ว ในขณะที่ความกังวลในการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande แพร่กระจายไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เช่น กลุ่มประกัน 20 ก.ย. 2564 Hang Seng ร่วง 4% กังวล Evergrande กดดันหุ้นอสังหาฯ ทั้งตลาด หุ้นธุรกิจประกันร่วงด้วย เช้านี้ (20 ก.ย.) ดัชนี Hang Seng ลดลงกว่า 4% หลังหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ปรับตัวลงตามหุ้น Evergrande ที่ร่วงลงกว่า 13.78% แล้ว หุ้นในดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้แก่ Henderson land -11.24%, New World -10.25%, SHK Ppt -8.54%, CK Asset -7.58% และ Country Garden Services 7.72% ในขณะที่ความกังวลในการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande แพร่กระจายไปยังหุ้นกลุ่มอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เช่น กลุ่มประกัน Ping An Insurance -7.43%, AIA -5.68% และ China Life Insurance -4.95% นักลงทุนจับตากำหนดชำระหนี้ของ Evergrande ในวันพฤหัสบดีนี้ (23 ก.ย.) บริษัทมีดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดชำระในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 83.5 ล้านดอลลาร์ และอีก 47.5 ล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดในวันที่ 29 ก.ย. โดยบริษัทต้องชำระหนี้ภายใน 30 วัน ก่อนขึ้นสถานะผิดนัดชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากวันที่ 20-21 ก.ย. เป็นวันหยุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ของประเทศจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ FINNOMENA Investment Team ได้ติดตามสัดส่วนการถือครอง Evergrande ของกองทุนในพอร์ตแนะนำแล้วพบว่าไม่มีการถือครองอย่างมีนัยยะ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ตลาดมีความกังวล ทาง FINNOMENA Investment Team ยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/20/asia-stocks-markets-in-china-japan-south-korea-closed-for-holidays.html แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “ผู้ก่อการร้ายเศรษฐกิจโลก” สื่อทางการจีนตราหน้า จอร์จ โซรอส วิจารณ์แง่ลบหวังบ่อนทำลายจีน - FINNOMENA Global Times สื่อทางการจีนตราหน้า จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีชาวอเมริกันว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายเศรษฐกิจโลก” โดยมีการแสดงความเห็นและโต้ตอบกันอย่างดุเดือดผ่านบทความต่างๆ เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนระหว่างจีนและสหรัฐฯ 17 ก.ย. 2564 Global Times สื่อทางการจีนตราหน้า จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีชาวอเมริกันว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายเศรษฐกิจโลก” โดยมีการแสดงความเห็นและโต้ตอบกันอย่างดุเดือดผ่านบทความต่างๆ เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนระหว่างจีนและสหรัฐฯ ‘ผู้ก่อการร้ายเศรษฐกิจโลกคนนี้กำลังจ้องมองมาที่จีน’ คือชื่อบทความของ Global Times โดยสื่อทางการจีนกล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์ของ จอร์จ โซรอส เกิดขึ้นเพียงเพราะเขารู้สึกเสียดายหลังเทขายการลงทุนทั้งหมดใน Tencent Music, Baidu และ Vishop เมื่อต้นปีนี้ ก่อนหน้านี้ จอร์จ โซรอส วิจารณ์การคุมเข้มภาคเอกชนของ ปธน.สี จิ้นผิง ว่าเป็นตัวฉุดรั้งสำคัญ และอาจนำไปสู่การพังทลายของเศรษฐกิจ จอร์จ โซรอส มองว่าดัชนีต่างๆ เช่น ดัชนี MSCI ACWI, MSCI ESG Leaders Index และ BlackRock ESG Aware Aggressive Allocation Index บีบบังคับให้นักลงทุนสหรัฐฯ นำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปลงทุนในบริษัทจีนที่ไม่มีมาตรฐานธรรมาภิบาล จอร์จ โซรอส ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านกฎหมายจำกัดการลงทุนของผู้จัดการสินทรัพย์ โดยต้องลงทุนในบริษัทที่มีธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และเป็นพันธมิตรกับผู้ถือหุ้น โดยมีรายงานก่อนหน้านี้ว่า เฮดจ์ฟันด์ของจอร์จ โซรอส ได้เทขายสินทรัพย์จีนทั้งหมดในช่วงต้นปี สื่อทางการจีนยังรายงานว่า มูลนิธิ Open Society ของจอร์จ โซรอส ที่ให้เงินสนับสนุนแก่องค์กร Human Rights Watch เที่ยวกระจายข่าวลือในแง่ลบของจีน ทั้งเรื่อง ฮ่องกง, ซินเจียง รวมถึง ต้นตอการแพร่ระบาดของโควิด-19 บทความชิ้นนี้ยังกล่าวหาโดยไม่แสดงหลักฐานใดๆ ว่า จอร์จ โซรอส สมรู้ร่วมคิดกับ จิมมี่ ไล ผู้ก่อตั้ง Apple Daily เกี่ยวกับแนวคิดการปฏิวัติเชิงสัญลักษณ์ในฮ่องกง (Color Revolution) เมื่อปี 2019 นอกจากนี้ยังเรียก จอร์จ โซรอส ว่าเป็น ‘บุคคลที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก’ รวมถึง ‘บุตรแห่งซาตาน’ แม้ Global Times จะพยายามโจมตี จอร์จ โซรอส ในหลายเรื่อง แต่การวิจารณ์ล่าสุดของจอร์จ โซรอส ในประเด็นการลงทุนของ Blackrock รวมถึงการคุมเข้มของทางการจีน ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับที่รุนแรงจากตลาด หลังการเผยแพร่บทความของ Global Times จอร์จ โซรอส ได้วิจารณ์การเข้าไปทำธุรกิจในจีนของ Blackrock โดยกล่าวว่า ‘การลงทุนในจีนคือโศกนาฏกรรม’ มีแนวโน้มที่ลูกค้าของ Blackrock จะสูญเงินจำนวนมาก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การลงทุนในจีนทำลายหลักประกันของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศประชาธิปไตยอื่น จอร์จ โซรอส พ่อมดทางการเงิน สร้างวีรกรรมและมีฉายามากมายในวิกฤติการณ์ต่างๆ ช่วงวิกฤติการณ์การเงินเอเชียปี 1997 จอร์จ โซรอส ใช้จังหวะวิกฤตเก็งกำไรโดยพยายามทำลายการผูกติดระหว่างดอลลาร์ฮ่องกง และดอลลาร์สหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็เผชิญกับความพ่ายแพ้ เพราะรัฐบาลฮ่องกงเข้าแทรกแซงเพื่อปกป้องค่าเงิน โดยจอร์จ โซรอส ถูกสื่อท้องถิ่นในขณะนั้นตั้งฉายาว่า ‘จระเข้ทางการเงิน’ ในเดือน ส.ค. 2017 มีผู้ร้องเรียนมากกว่า 100,000 รายชื่อบนเว็บไซต์ของทำเนียบขาวที่เรียกร้องให้ทางการประกาศให้ จอร์จ โซรอส เป็น ‘ผู้ก่อการร้ายภายในประเทศ’ จากการให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มเสรีนิยมในสหรัฐฯ หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือน พ.ย. 2018 จอร์จ โซรอส ถูกปธน. Recep Tayyip Erdoğan กล่าวหาว่าเป็นผู้ให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ก่อการร้ายในการประท้วง Gezi Park ในปี 2013 อ้างอิง: https://asiatimes.com/2021/09/chinese-state-media-label-george-soros-a-terrorist/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: George Soros News Update จีน ตลาดหุ้นจีน วิกฤตการเงิน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รัฐบาลสิงคโปร์ร่วมเทมาเสก ประกาศลงทุน $1,100 ล้าน กระตุ้นตลาดหุ้นในประเทศ ดึงดูดยูนิคอร์น - บ.เทคโนโลยี IPO ที่สิงคโปร์ - FINNOMENA รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศโครงการลงทุน 1,100 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจากทั่วภูมิภาค มาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ 17 ก.ย. 2564 รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศโครงการลงทุน 1,100 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดบริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจากทั่วภูมิภาค มาจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ที่ผ่านมา สิงคโปร์เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) แต่ตอนนี้ สิงคโปร์ต้องการเห็น IPO ในธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนชั้นนำของโลก Loh Boon Chye ผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ กล่าวว่า เริ่มมีบริษัทเทคโนโลยีเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เช่น Nanofilm บริษัทจัดหาวัสดุสำหรับเคลือบสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว และเป็นบริษัทที่ไม่ใช่ REIT รายแรกในรอบหลายปี รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศร่วมทุนกับ ‘เทมาเสก’ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถระดมทุนผ่านการจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้ง่ายขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยเงินทุนชุดแรกมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยมีรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้ ฝ่ายการลงทุนของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งสิงคโปร์ ต้องการระดมทุน 500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในบริษัทที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้และมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสิงคโปร์จะเพิ่มเงินเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนของบริษัทต่างๆ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จะช่วยเหลือบริษัทที่มีการเติบโตสูงก่อนจดทะเบียนในตลาดหุ้น Gan Kim Yong รมว. กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ กล่าวว่า การริเริ่มวันนี้ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ แต่เชื่อว่าจะมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น และทำให้ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์กลายเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับบริษัทเชิงนวัตกรรม Gan Kim Yong กล่าวว่า นี่คือยุคของบริษัทยูนิคอร์นในภูมิภาคเอเชีย โดยบริษัทเหล่านี้อาจพยายามจดทะเบียนในตลาดหุ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และรัฐบาลอยากให้สิงคโปร์เป็นจุดหมายของบริษัทเหล่านี้ เมื่อต้นเดือน ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้ประกาศกฎใหม่ เพื่ออนุญาตให้สามารถระดมทุนจากสาธารณะแบบ SPACs ได้ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูตลาด IPO ของสิงคโปร์ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/17/singapore-government-sgx-announce-measures-to-boost-stock-market.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ยูนิคอร์น สิงคโปร์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tencent หลุด Top 10 บริษัทใหญ่สุดในโลก ครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่ไม่มีหุ้นจีนติดโผ Nvidia แซงหน้า ขึ้นเป็นอันดับ 10 - FINNOMENA Tencent สูญเสียตำแหน่งใน 10 อันดับ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาด ทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ที่ไม่มีหุ้นจีนติดอันดับ Top 10 เลย 16 ก.ย. 2564 Tencent สูญเสียตำแหน่งใน 10 อันดับ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาด ทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 ที่ไม่มีหุ้นจีนติดอันดับ Top 10 เลย โดยเป็นผลมาจากตรวจสอบด้านกฎระเบียบของทางการจีน ที่สร้างความเสียหายแก่ตลาดหุ้นอย่างมหาศาล วันนี้ (16 ก.ย.) ราคาหุ้น Tencent ปรับลดลง 0.53% ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 552,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าของ Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิป และทำให้ Tencent ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 11 แทน Nvidia Tencent ตามรอย Alibaba ที่สูญเสียตำแหน่งไปเมื่อตอนต้นปี โดยบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีจีนเผชิญกับกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นของทางการ ตั้งแต่การป้องกันการผูดขาด ความปลอดภัยของข้อมูล ไปจนถึง การจำกัดเวลาเล่นเกมของเด็ก จากจุดสูงสุดเมื่อเดือน ม.ค. Tencent สูญเสียมูลค่าตลาดไปแล้วกว่า 390,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ดัชนี Hang Seng กลายเป็นดัชนีที่มีผลการดำเนินงานของเดือนนี้แย่ที่สุดในโลก จากการร่วงแรงของ Alibaba และ Tencent ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าความเสียหายจะสิ้นสุดในเร็วๆนี้ หากการตรวจสอบด้านกฎระเบียบของรัฐบาลจีนยังคงทวีความรุนแรงขึ้น 11 อันดับ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าตลาด Apple Inc. $2.46 ล้านล้าน Microsoft Corp. $2.29 ล้านล้าน Alphabet Inc. $1.93 ล้านล้าน Saudi Arabian Oil Co. $1.87 ล้านล้าน Amazon.com Inc. $1.76 ล้านล้าน Facebook Inc. $1.05 ล้านล้าน Tesla Inc. $7.57 แสนล้าน Berkshire Hathaway Inc. $6.30 แสนล้าน Taiwan Semiconductor $5.61 แสนล้าน Nvidia Corp. $5.59 แสนล้าน Tencent Holdings Ltd. $5.56 แสนล้าน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-16/tencent-s-slide-leaves-china-with-no-stocks-in-global-top-10?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba News Update Tencent จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Ark โชว์กลยุทธ์ ‘ขายผู้ชนะ เพื่อลงทุนเป้าหมายอื่น’ Cathie Wood เทขายหุ้น Tesla ไม่หยุด ครึ่งเดือน ขายไปแล้วกว่า 350,000 หุ้น - FINNOMENA กองทุน Ark ของ Cathie Wood เทขายหุ้น Tesla อย่างต่อเนื่อง มูลค่าขายรวมตลอดเดือนนี้อยู่ที่ 226 ล้านดอลลาร์แล้ว หลังหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 34% ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา 22 ก.ย. 2564 กองทุน Ark ของ Cathie Wood เทขายหุ้น Tesla อย่างต่อเนื่อง มูลค่าขายรวมตลอดเดือนนี้อยู่ที่ 226 ล้านดอลลาร์แล้ว หลังหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 34% ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา กลยุทธ์ของ Ark คือ แบ่งขายหุ้นผู้ชนะบางส่วนเพื่อไปลงทุนเป้าหมายอื่น โดย Ark เริ่มลดสัดส่วนหุ้น Tesla ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดย Cathie Wood บอกว่า นี่คือกลยุทธ์จัดการพอร์ตโฟลิโออย่างชาญฉลาด เพื่อควบคุม Position sizes เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) ข้อมูลการซื้อขายรายวันของ Ark Investment รายงานว่า กองทุน ARKK และ ARKW ขายหุ้น Tesla กว่า 81,000 หุ้น รวมมูลค่าประมาณ 62 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เดือน ก.ย. กองทุน Ark ได้ขายหุ้น Tesla ออกไปกว่า 350,000 หุ้น อย่างไรก็ตาม Tesla ยังเป็นสัดส่วนสูงสุดในพอร์ตการลงทุนของ Ark รายงานการซื้อขายรายวันของ Ark สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพอร์ตเท่านั้น แต่ไม่ได้สะท้อนการซื้อขายทั้งหมดของบริษัท เพราะไม่ได้รวมกิจกรรมเพิ่มและไถ่ถอนหน่วยลงทุน รวมถึงการเสนอขายต่อสาธารณะ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-16/cathie-wood-keeps-selling-tesla-unloading-62-million-of-shares?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Investment ARKK ARKW Cathie Wood News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: มาเก๊าสิ้นหวังแล้ว นักลงทุนหนีตาย ทางรอดเดียวคือ ‘ขาย’ เท่านั้น รัฐบาลจีนเข้ม ส่งเจ้าหน้าที่รัฐคุมบริษัทคาสิโน - FINNOMENA นักลงทุนเทขายหุ้นคาสิโน หลังทางการจีนขยายมาตรการคุมเข้มสู่เมืองศูนย์กลางการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างมาเก๊า เหล่าผู้ประกอบธุรกิจคาสิโนมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะบอกคือ ‘ขาย’ 16 ก.ย. 2564 นักลงทุนเทขายหุ้นคาสิโน หลังทางการจีนขยายมาตรการคุมเข้มสู่เมืองศูนย์กลางการพนันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างมาเก๊า เหล่าผู้ประกอบธุรกิจคาสิโนมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะบอกคือ ‘ขาย’ “มาเก๊าสิ้นหวังแล้ว” ผู้บริหารที่ดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อแก่นักพนันในมาเก๊าให้สัมภาษณ์โดยไม่เปิดเผยชื่อ เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.) Bloomberg Intelligence รายงานว่า ดัชนีที่ประกอบด้วยธุรกิจคาสิโน 6 แห่ง ปรับตัวลง 23% ซึ่งเป็นการร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของนักลงทุน การเทขายหุ้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจที่จดทะเบียนในฮ่องกงและสหรัฐฯ ทั้ง ราคาหุ้น Suncity Group ธุรกิจพนันรายใหญ่ที่สุดในมาเก๊า ร่วงลง 15%, Sands China สูญมูลค่าตลาดไปกว่า 8,400 ล้านดอลลาร์, หุ้น SJM Holdings ปรับตัวลง 24% ร่วงแรงสุดนับตั้งแต่ปี 2011 และ Wynn Resorts เผชิญแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ มี.ค. 2020 ผู้ประกอบการระบุว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้นักพนันหวาดกลัว และการแทรกแซงมากขึ้นของรัฐบาล ยิ่งส่งผลให้นักลงทุนหวาดกลัวยิ่งขึ้น แนวทางการคุมเข้มหลักๆ ของรัฐบาลจีนมีดังนี้ 1. แต่งตั้งตัวแทนของรัฐบาลมา ‘กำกับดูแล’ ธุรกิจคาสิโนต่างๆ 2. เพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นในประเทศ และ 3. บริษัทคาสิโนต้องได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการก่อนแจกจ่ายผลกำไร เช่น เงินปันผล ธุรกิจคาสิโนส่วนใหญ่ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจกฎระเบียบใหม่ ผู้บริหารของ Melco Resorts and Entertainment คาสิโนระดับพรีเมียม กล่าวว่า เรื่องนี้ใหม่เกินไป และยังไม่มีความชัดเจนว่าส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ อย่างไรก็ตาม SJM Holdings หนึ่งในผู้บุกเบิกของมาเก๊า ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงจากกฎระเบียบในปัจจุบันมากนัก และชี้ว่าหน่วยงานของรัฐอย่าง Macau’s Gaming Inspection and Coordination Bureau ดำเนินการตรวจสอบคาสิโนอยู่ตลอดแล้ว มาเก๊า สถานที่แห่งเดียวในจีนที่ธุรกิจคาสิโนถูกกฎหมาย อุตสาหกรรมคาสิโนในมาเก๊าใหญ่กว่าในลาสเวกัสถึง 6 เท่า รายได้จากอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงถึง 80% ของรายได้จากภาษี และคิดเป็น 55.5% ของ GDP ทั้งเมือง แต่ตอนนี้มาเก๊ากำลังเผชิญกับช่วงเวลาอันท้าทาย ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้รายได้จากการพนันลดลง 80% จากปี 2019, การประท้วงในฮ่องกง, การปราบปรามการพนันและเงินไหลออกในต่างประเทศ มาจนถึงมาตรการล่าสุดของจีนที่ต้องการเปลี่ยนเอกลักษณ์ของมาเก๊าในฐานะศูนย์กลางการพนันของโลก การเปลี่ยนเอกลักษณ์ของมาเก๊าให้ห่างไกลจากการพนันเป็นเป้าหมายของรัฐบาลจีนมาหลายปีแล้ว โดยเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลประกาศมุ่งพัฒนามาเก๊าร่วมกับเกาะเหิงฉินที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อขยายพื้นที่ทางเศรษฐกิจ กฎระเบียบใหม่ของรัฐบาลอาจไปไกลถึงการเปลี่ยนธุรกิจคาสิโนมาเป็นหน่วยงานที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ จึงเป็นสาเหตุให้ผู้บริหารต่างๆ ไม่เอ่ยชื่อในการให้สัมถาษณ์ เพราะกังวลถึงผลกระทบต่อธุรกิจ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-15/macau-s-future-in-doubt-as-china-signals-crackdown-on-casinos?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คาสิโน จีน มาเก๊า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ทำนาย Bitcoin จะขึ้นไป $500,000 ใน 5 ปี แนะสัดส่วน Bitcoin 60% Ether 40% - FINNOMENA Cathie Wood ซีอีโอของ ARK Invest คาดการณ์ว่าราคา Bitcoin อาจพุ่งสู่ $500,000 ภายในเวลา 5 ปี นั่นหมายถึง การเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า จากราคาซื้อขายในปัจจุบัน 15 ก.ย. 2564 หลังจากเริ่มต้นสัปดาห์อย่างยากลำบาก ราคา Bitcoin สามารถกลับมายืนเหนือระดับ $47,000 ได้แล้ว และนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการปรับตัวขึ้นของ Bitcoin Cathie Wood ซีอีโอของ ARK Invest คาดการณ์ว่าราคา Bitcoin อาจพุ่งสู่ $500,000 ภายในเวลา 5 ปี นั่นหมายถึง การเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า จากราคาซื้อขายในปัจจุบัน ในการประชุม SALT ที่นิวยอร์ก Cathie Wood ได้แสดงความเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตของ Ethereum สกุลเงินดิจิทัลอันดับ 2 ด้วย Cathie Wood กล่าวว่า มีแนวโน้มอุตสาหกรรมที่สำคัญ 2 อย่าง ที่จะทำให้ราคา Bitcoin เป็นไปตามคาดคือ 1. บริษัทต่างๆ ต้องเปลี่ยนการถือครองเงินสด มาถือ Bitcoin ในงบดุลแทน และ 2. นักลงทุนสถาบันต้องจัดสรร 5% ของสินทรัพย์มาอยู่ในสกุลเงินดิจิทัลหลัก ซึ่งดูเหมือนว่าหลายธุรกิจกำลังดำเนินไปตามแนวโน้มข้างต้น Michael Saylor ซีอีโอของ MicroStrategy เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า บริษัทเพิ่มการลงทุน 242 ล้านดอลลาร์ของสินทรัพย์ เพื่อซื้อ Bitcoin จำนวน 5,050 BTC ทำให้ตอนนี้ บริษัทมีจำนวน Bitcoin ทั้งหมด 114,042 BTC ในงบดุล และยังมีผู้บริหารคนอื่นๆ ที่เดินตามรอย Michael Saylor ได้แก่ Jack Dorsey จาก Square และ Elon Musk จาก Tesla ซึ่งเป็น 2 บริษัทที่ Cathie Wood ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนสูง ในขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันเริ่มสนใจสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น อย่าง Morgan Stanley ได้ลงทุนมูลค่าประมาณ 240 ล้านดอลลาร์ในกองทุนทรัสต์ Bitcoin ของ Grayscale Cathie Wood ยังเชื่อมั่นว่าประเทศในทวีปอเมริกากลาง กำลังพยายามรวม Bitcoin เข้ากับเศรษฐกิจของประเทศ เช่น เอลซัลวาดอร์ที่ยอมรับให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินถูกกฎหมายประเทศแรกของโลก ตอนนี้ Cathie Wood มีทั้ง Bitcoin และ Ethereum ในพอร์ต และชี้ให้เห็นถึงบทบาทของ Ethereum ในตลาดที่กำลังขยายตัว เช่น NFTs และ Defi ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ราคา Ethereum พุ่งสูงกว่า 350% ตั้งแต่ต้นปี Cathie Wood แนะนำการจัดสรรสินทรัพย์คริปโทฯ ดังนี้ Bitcoin 60% และ Ethereum 40% อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/ark-invest-chief-forecasts-bitcoin-142039272.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cathie Wood Crypto Cryptocurrency Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นวัคซีนร่วงแรงยกแผง The Lancet วารสารทางการแพทย์ระดับโลกชี้ เข็มบูสเตอร์ยังไม่จำเป็นตอนนี้ - FINNOMENA นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วโลกระบุในงานวิจัยจากวารสารการแพทย์ The Lancet ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ยังได้ผลดี และเข็มบูสเตอร์ยังไม่จำเป็นในขณะนี้ 14 ก.ย. 2564 นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั่วโลกระบุในงานวิจัยจากวารสารการแพทย์ The Lancet ว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ยังได้ผลดี และเข็มบูสเตอร์ยังไม่จำเป็นในขณะนี้ งานวิจัยที่ร่วมจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญจาก FDA และ WHO เสนอแนะว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และรอคอยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเข็มบูสเตอร์ โดยตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า เข็มบูสเตอร์สามารถช่วยป้องกันความรุนแรงของโรคได้ รวมถึงอาจมีผลข้างเคียงจากการได้รับเข็มบูสเตอร์เร็วหรือเป็นวงกว้างเกินไป ส่งผลให้ราคาหุ้นวัคซีนโควิดร่วงลงยกแผง BioNTech ลดลง 6.31% เป็นการปรับลงในรอบวันที่แรงสุดในรอบ 1 เดือน หุ้นส่วนอย่าง Pfizer ปรับลดลง 2.22% ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Moderna ลดลง 6.6% และ AstraZeneca ลดลงเล็กน้อยที่ 0.92% หลายประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว กำลังพิจารณาจัดสรรวัคซีนเข็มบูสเตอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เพราะหวังว่าจะช่วยลดการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ เช่น สหรัฐฯ ที่วางแผนเปิดตัวเข็มบูสเตอร์ในวันที่ 20 ก.ย. แม้ยังไม่ผ่านการรับรองจาก FDA และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) หรือ สหราชอาณาจักรที่เตรียมหารือการใช้วัคซีนเข็มบูสเตอร์ในวงกว้างเร็วๆ นี้ ก่อนหน้านี้ สหราชอาณาจักรและหลายประเทศในสหภาพยุโรปอนุญาตให้ใช้เข็มบูสเตอร์แก่ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งขณะนี้ อย.ยุโรป กำลังตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเข็มบูสเตอร์ของ Pfizer และ Moderna ตอนนี้ยังไม่มีความเห็นที่เป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับการใช้เข็มบูสเตอร์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งคำถามถึงความจำเป็นของบูสเตอร์ ในขณะที่ WHO เรียกร้องให้เลื่อนการฉีดเข็มบูสเตอร์ออกไป จนกว่าประชากรในประเทศรายได้ต่ำจะได้รับวัคซีนเพียงพอ Azra Ghani ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดจาก Imperial College London กล่าวว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ลดลงเพียงเล็กน้อยสามารถสร้างผลกระทบต่อวงการสาธารณสุขได้ ดังนั้น จึงไม่ได้มีแค่แนวทางเดียวที่จะเหมาะกับคนทุกคน นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังงานวิจัยชิ้นดังกล่าวคือ Marion Gruber และ Philip Krause จาก FDA โดยทั้งสองเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ FDA ที่สร้างแรงกดดันให้ โดนัลด์ ทรัมป์ เร่งอนุมัติวัคซีนโควิดในปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่จาก WHO ที่มีส่วนร่วมในงานวิจัยชิ้นนี้ ได้แก่ Soumya Swaminathan, Ana-Maria Henao-Restrepo และ Mike Ryan ซึ่ง WHO แสดงจุดยืนมาตลอดว่าควรให้ความสำคัญกับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมากกว่า ทั้งผู้ที่ต่อต้านและผู้ที่ไม่มีโอกาสได้รับวัคซีน งานวิจัยรายงานว่า เข็มบูสเตอร์อาจลดความเสี่ยงระยะกลางของโควิดได้ แต่การฉีดวัคซีนในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รับ จะสามารถรักษาชีวิตได้มากขึ้น เพราะผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนคือปัจจัยขับเคลื่อนในการแพร่ไวรัส และมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก งานวิจัยล่าสุดสร้างแรงกดดันต่อโครงการเข็มบูสเตอร์ของ โจ ไบเดน ที่แถลงการณ์เมื่อเดือน ส.ค. ร่วมกับที่ปรึกษาทางการแพทย์ระดับสูงหลายคน ซึ่งรวมถึง Rochelle Walensky ผู้อำนวยการ CDC, Anthony Fauci ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อ และ Janet Woodcock กรรมาธิการ FDA อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-13/most-people-don-t-need-covid-vaccine-boosters-scientists-find?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: AstraZeneca BioNTech Moderna News Update Pfizer วัคซีน โควิด-19 แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “จีนมีบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ามากเกินไป” รัฐบาลจีนส่งสัญญาณ คุมจำนวนบริษัท EV แก้ปัญหาตัดราคา เน้นพัฒนาคุณภาพ - FINNOMENA Xiao Yaqing รมว.อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน กล่าวว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากเกินไป และรัฐบาลจะสนับสนุนให้ควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมนี้ 13 ก.ย. 2564 Xiao Yaqing รมว.อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน กล่าวว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากเกินไป และรัฐบาลจะสนับสนุนให้ควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมนี้ ส่งผลให้วันนี้ (13 ก.ย.) ราคาหุ้นกลุ่ม EV ปรับตัวลง โดย BYD ลดลง 1.6% และ XPeng ลดลง 2.11% นโยบายส่งเสริมพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลจีน ไม่เพียงแต่กระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ เช่น Nio, XPeng และ BYD เร่งขยายกำลังการผลิตในจีน แต่ยังทำให้เกิดบริษัทหน้าใหม่จำนวนมากที่ต้องการเข้าสู่ตลาด ฐานข้อมูลของ Qichacha ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ส.ค. จีนมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 81,000 บริษัท ทำให้ยอดรวมทั้งหมดพุ่งสู่กว่า 321,000 บริษัทแล้ว Qichacha ยังรายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นักลงทุนได้ลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าของจีนจำนวน 50 โครงการ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 82,000 ล้านหยวน หรือ 12,700 ล้านดอลลาร์ Tu Le ผู้ก่อตั้ง Sino Auto Insights บริษัทที่ปรึกษาในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า นี่คือเวอร์ชัน 2.0 ของรัฐบาลจีนที่ต้องการลดจำนวนธุรกิจที่ต้องการเข้าสู่ตลาด เหมือนที่เคยจำกัดใบอนุญาตการผลิตเมื่อปี 2017 รัฐบาลจีนมองเห็นจำนวนธุรกิจที่ล้นเกินไปซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในตลาดจีน จนไม่สามารถแข่งขันกันด้วยคุณภาพ และนำไปสู่การแข่งขันทางด้านราคาเพียงอย่างเดียว Tu Le คาดว่า Nio, XPeng และ BYD จะได้รับประโยชน์จากการควบรวมอุตสาหกรรม เพราะการกำจัดคู่แข่งที่มีศักยภาพ ช่วยให้บริษัทเหล่านี้ได้มีทีมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ Xiao Yaqing ระบุว่า รัฐบาลกำลังเร่งหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนชิป โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลทำการปรับบริษัทผู้จำหน่ายชิป 3 ราย โทษฐานฉวยโอกาสปรับราคาชิปขึ้น ปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกเป็นเวลานานส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ และทำให้หลายบริษัทต้องลดหรือหยุดการผลิตลง ซึ่งรวมถึง Ford, Honda และ Volkswagen ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนปรับตัวลดลงเช่นกัน หลังทางการจีนสั่งให้ Alipay ตั้งแอปใหม่ โดยแยกธุรกิจสินเชื่อที่สร้างกำไรสูงสุดออกจากแอป Alipay โดย Alibaba ปรับตัวลง 4.23%, Tencent ปรับลด 2.45% และ Meituan ลดลง 4.47% ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของ Soho China ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนร่วงแรงกว่า 34.57% หลังข้อตกลงเข้าซื้อกิจการโดย Blackstone Group ล้มเหลว โดย Blackstone ตัดสินใจยกเลิกการเข้าซื้อกิจการ Soho China มูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ก.ย.) อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/13/china-has-too-many-auto-companies-now-consolidation-needed-minister.html https://www.cnbc.com/2021/09/13/asia-markets-us-and-china-economy-currencies-oil.html https://www.cnbc.com/2021/09/13/chinas-electric-car-industry-is-much-bigger-than-nio-xpeng-li-auto.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update Nio Xpeng จีน ตลาดหุ้นจีน รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วง 1.9% หุ้น Alibaba -4.05% จีนสั่ง Alipay ตั้งแอปใหม่ แยกธุรกิจกำไรสูงสุดออก - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวลง 1.9% หลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนร่วงแรงจากความกังวลด้านกฎระเบียบที่คุมเข้มของทางการจีน 13 ก.ย. 2564 ดัชนี Hang Seng ตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวลง 1.9% หลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนร่วงแรงจากความกังวลด้านกฎระเบียบที่คุมเข้มของทางการจีน เช้าวันนี้ (13 ก.ย.) Alibaba ปรับตัวลง 4.05% ในขณะที่หุ้นเทคโนโลยีจีนอื่นก็ปรับตัวลงเช่นกัน โดย Tencent ปรับตัวลง 3.02% และ Meituan ลดลง 5.01% ส่งผลให้ดัชนี Hang Seng Tech ปรับตัวลง 2.38% หุ้นของ Alibaba ปรับตัวลงแรง จากข่าวที่ทางการจีนต้องการให้แอป Alipay ของ Alibaba ที่มีผู้ใช้งานกว่า 1,000 ล้านราย สร้างแอปสำหรับธุรกิจสินเชื่อแยกออกจากแอป Alipay โดยสั่งให้แยกธุรกิจ Huabei ธุรกิจบัตรเครดิตแบบทั่วไป และ Jinbeu ธุรกิจปล่อยสินเชื่อขนาดเล็กโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้สูงสุดของบริษัท ออกจากแอปหลักอย่าง Alipay รวมถึงแยกออกเป็นคนละแอปด้วย คำสั่งดังกล่าวบังคับให้ Ant ต้องส่งข้อมูลผู้ใช้งาน ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจกู้ยืม มาสู่บริษัทประเมินเครดิตสกอร์แห่งใหม่ ที่ร่วมทุนโดยภาครัฐ โดยบุคคลที่ใกล้ชิดกับทางการจีนกล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าอำนาจผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยีมาจากการควบคุมข้อมูล ดังนั้นรัฐบาลต้องการจบเรื่องดังกล่าว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/13/asia-markets-us-and-china-economy-currencies-oil.html https://www.ft.com/content/01b7c7ca-71ad-4baa-bddf-a4d5e65c5d79 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Alipay Hang Seng Tech Meituan Dianping News Update Tencent ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bluebik กับ OR เกี่ยวกันอย่างไร? - FINNOMENA เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เกิดดีลที่ผู้คนต่างให้ความสนใจกันอีกครั้งกับ Bluebik ผู้ให้บริการให้คำปรึกษาพัฒนาธุรกิจผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่งได้มีการเปิด IPO เพิ่มทุนกันไป ในบทความนี้ผมขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Bluebik และมาสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจกันว่ามีความข้องเกี่ยวกับหุ้น OR หุ้นมากแค่ไหน 3 พ.ย. 2564 เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เกิดดีลที่ผู้คนต่างให้ความสนใจกันอีกครั้งกับ Bluebik ผู้ให้บริการให้คำปรึกษาพัฒนาธุรกิจผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่งได้มีการเปิด IPO เพิ่มทุนกันไป ในบทความนี้ผมขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Bluebik และมาสำรวจข้อมูลที่น่าสนใจกันว่ามีความข้องเกี่ยวกับหุ้น OR มากแค่ไหน ดูหุ้นทั้งทีเรามาเริ่มกันที่การสำรวจธุรกิจต่าง ๆ ของ Bluebik กันก่อนดีกว่า ซึ่งหลัก ๆ แล้ว Bluebik ให้บริการทั้งหมด 5 รูปแบบ ดังนี้ การให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ การบริหารโครงการเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ การจัดหาและบริหารบุคคลากรชั่วคราว ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ อันนี้หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นกันอยู่แล้วในสำหรับหน้าที่ของบริษัท Consult ที่จะเข้ามาช่วยบริษัทในการวางแผนและกลยุทธ์ แนวโน้ม จุดแข็ง จุดอ่อนของบริษัทซึ่งอาจจะยกตัวอย่างได้เป็นการทำ SWOT Analysis นั่นเอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เป้าหมายขององค์กรมีภาพที่ชัดขึ้น มองเห็นจุดเด่นของตนเองและโอกาสในการทำธุรกิจ ซึ่งบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหา เจอทางตันหรือเริ่มที่จะโตช้า พอได้รับบริการเหล่านี้แล้วก็อาจจะสร้างโอกาสเติบโตได้มากขึ้น การบริหารโครงการเชิงยุทธศาสตร์ ในส่วนนี้หลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบที่ใช้กันบ่อย ๆ ซึ่งก็คือ การบริหารภาพรวมในระดับองค์กร ระดับสายงาน และระดับโครงการ ซึ่งทั้งหมดนี้หลัก ๆ จะเน้นไปที่การช่วยจัดการเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งต่าง ๆ จะดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ดั่งใจ โดยทาง Bluebik จะเน้นไปที่การบริหารในระดับโครงการซึ่งก็มีข้อดีตรงที่มีความยุ่บยั่บน้อยกว่าและบริหารให้จบ ๆ เป็น Case by case กันไป การพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ส่วนนี้น่าจะเป็นส่วนชูโรงของบริษัทที่จะมุ่งเน้นการมอบการให้คำปรึกษาที่ผสมผสานเทคโนโลยีให้กับลูกค้า โดยจะเน้นไปที่การวิเคราะห์และออกแบบระบบ IT ขององค์กรให้ตอบโจทย์ พัฒนาจนเสร็จ ติดตั้ง ทดสอบจนพร้อมใช้และส่งมอบระบบให้กับลูกค้าที่เข้ามารับบริการ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือมีความคล่องตัวที่มากขึ้น ซึ่ง Segment นี้นี่แหละที่เป็นส่วนที่ Bluebik มีความเกี่ยวข้องกับ OR ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นผมขอเก็บไว้ก่อนและอธิบายในส่วนถัดไป การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ ส่วนนี้เป็นส่วนของการจัดการกับ Big Data ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนหรือการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญ เช่น นำข้อมูลที่มีมาหาว่าลูกค้าคนนี้มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะซื้อสินค้าของเรา เพื่อทำให้องค์กรเข้าถึงลูกค้าและมอบสินค้าและบริการได้ตรงกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่ว่าก็ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาช่วย และ Bluebik ก็เป็นผู้มอบบริการดังกล่าวนั่นเอง การจัดหาและบริหารบุคลากรชั่วคราว ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่วนนี้เป็นส่วนที่เสริมขึ้นมาจากความเชี่ยวชาญของบริษัทเกี่ยวกับด้าน IT อยู่แล้ว โดยบริษัทจะช่วยจัดหาคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่าง ๆ เช่น โปรแกรมเมอร์ หรือซอฟต์แวร์ดีเวลลอปเปอร์ เป็นต้น ซึ่งหนึ่งในข้อดีสำหรับการจ้างบุคคลภายนอกก็คือเรื่องการประหยัดต้นทุน เช่น พวกข้าวของเครื่องใช้ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า จิปาถะ สำหรับการจ้างพนักงานประจำ อีกทั้งยังมีความคล่องตัวกว่าเนื่องจากจ้างและก็จบกันไปเป็น Case by case หลัก ๆ แล้ว เราอาจจะสรุปได้ว่างานที่ Bluebik ทำนั้นเป็นแนว Project-based ซะส่วนใหญ่ ซึ่งถ้า Rubik ได้รับความไว้วางใจและได้รับข้อเสนอจากบริษัทใหญ่ ๆ ก็น่าจะทำให้ Bluebik มีโอกาสในการสร้างรายได้ได้ค่อนข้างมาก ดังนั้นเราจึงอาจจะต้องจับตามองโอกาสในมุมนี้ให้ดี โครงสร้างบริษัทและสัดส่วนรายได้ที่น่าสนใจคร่าว ๆ หลังทุกคนหายสงสัยกันเรื่องธุรกิจที่ Bluebik ทำไปแล้ว เรามาดูกันต่อในเรื่องของโครงสร้างบริษัทคร่าว ๆ กันดีกว่า หลัก ๆ แล้ว Bluebik จะมีบริษัทย่อยอีก 2 บริษัท ซึ่งก็คือ บริษัท อินเนจิโอ จำกัด ที่จะเข้ามาช่วยดูแลในส่วนของ Big data และ AI ร่วมกันกับ Bluebik และบริษัท แอดเดนด้า จำกัด ที่จะเข้ามาทำในเรื่องของการจัดหาและบริหารบุคลากรชั่วคราว ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มาถึงส่วนสุดท้ายที่คิดว่าทุกคนน่าจะสนใจก็คือส่วนที่ Bluebik เข้าไปร่วมกันจัดตั้งบริษัทอย่าง ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด ร่วมกันกับบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ของ OR โดยดีลนี้ Bluebik จะมีความเป็นเจ้าของที่ 60% ในขณะที่ทางฝั่งบริษัทย่อยของ OR จะมีสัดส่วนความเป็นเจ้าของที่ 40% นอกจากนั้นดีลดังกล่าวอาจสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจจากบริษัทในเครือ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ได้ให้ Bluebik เข้ามาช่วยวางแผนและพัฒนาระบบต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ OR หากจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ในอนาคตเราอาจได้เห็นการสแกน QR Code ใน Cafe Amazon ที่ไม่ต้องพยายามเอามือบังแสงสะท้อนเพื่อให้สแกนติด หรืออาจได้ใช้เทคโนโลยีระบบใหม่ ๆ ที่น่าสนใจขึ้นก็เป็นได้ และการมาของ Bluebik อาจไปเข้า Gap กับแผนการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ EV ของ OR ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นหาก OR ยังมีสตอรี่ที่น่าสนใจและเติบโตได้ Bluebik ก็น่าจะมีส่วนของรายได้ที่โตไปพร้อม ๆ กันได้เช่นเดียวกัน และหากมาดูที่สัดส่วนรายได้ส่วนของการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (ส่วนที่มี OR) Bluebik ก็ถือได้ว่ามีสัดส่วนเป็นหลักถึง 64.08% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงจุดเด่นของการให้บริการในส่วนนี้จนเป็นสัดส่วนรายได้หลัก นอกจากนั้นบริษัทยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2018-2020 ถึง 22.9% และมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ยในช่วง 2018-2020 อีก 55.8% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตต่อเนื่องที่ดีในช่วงที่ผ่านมา ภาพแสดงสัดส่วนรายได้ ที่มา: sec วันที่: 3 กันยายน 2021 ภาพแสดงการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ ที่มา: Bluebik Group Facebook Page วันที่: 3 กันยายน 2021 Bluebik จะถูกจัดอยู่ในหมวดเซ็กเตอร์กลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นเหมือนแรงผลักดันสำคัญของประเทศดังที่เราเห็นผ่านประเทศผู้นำต่าง ๆ อีกทั้งยังมีเป้าอย่างการสเกลไปต่างประเทศและแข่งกับบริษัทชั้นนำอีกด้วย ดังนั้น Bluebik น่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยีไทยโดยคนรุ่นใหม่อีกตัวหนึ่งที่น่าจับตามองและเอาใจช่วยกันต่อไปครับ อย่างไรก็ตามขอปิดท้ายไว้ว่าการ IPO ของ Bluebik นั้นไม่ได้มีการขายให้กับนักลงทุนรายย่อยธรรมดาในรอบนี้ สำหรับคนที่สนใจคงต้องเอาไว้ลงทุนตอนเข้าตลาดแล้วหรือจับตาดูการประกาศต่อไปของบริษัทละกันครับ ปิดท้ายด้วยการเสริมมุมมองหุ้นเอเชียจาก Franklin Templeton ในเดือนสิงหาคม หุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นหลังการสื่อสารเรื่องการปรับลด QE ของ Fed ทำให้นักลงทุนลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ต่อการเติบโต หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นในเดือนสิงหาคม โดยเฉพาะในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในไทย ฟิลลิปปินส์ และอินโดนิเซีย หุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและนโยบายที่ผ่อนคลาย หุ้นจีนทำผลตอบแทนได้ไม่มากหลังเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ครั้งใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด และความกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมในกลุ่มอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตและอื่น ๆ ภาพแสดงผลตอบแทนของประเทศในดัชนี MSCI Emerging Market Index โดยประเทศไทยถือได้ว่าทำผลตอบแทนได้ดีเป็นอันดับ 2 ในเดือน สิงหาคม ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=336748 https://www.set.or.th/en/company/ipo/upcoming_ipo_mai.html?printable=true https://bit.ly/3BG29Xq เนื้อหาส่วนหนึ่งโดย Franklin Templeton Academy เรียบเรียงและจัดทำโดย Mr. Serotonin รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ Article, Bluebik, FINNOMENA Franklin Templeton, Knowledge, Long Content, OR, PTTOR อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โลกกำลังเปลี่ยนไป กองทุนฮาร์วาร์ดประกาศ หยุดลงทุนพลังงานฟอสซิล ย้ายเงิน 42,000 ล้านดอลลาร์ ลงทุนธุรกิจสีเขียว - FINNOMENA มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจะหยุดลงทุนในธุรกิจพลังงานฟอสซิล และจะนำเงินกองทุนมูลค่า 42,000 ล้านดอลลาร์ไปลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียวแทน เป็นการตอกย้ำกระแสนักลงทุนที่พากันย้ายออกจากอุตสาหกรรมสร้างมลพิษ 10 ก.ย. 2564 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจะหยุดลงทุนในธุรกิจพลังงานฟอสซิล และจะนำเงินกองทุนมูลค่า 42,000 ล้านดอลลาร์ไปลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียวแทน เป็นการตอกย้ำกระแสนักลงทุนที่พากันย้ายออกจากอุตสาหกรรมสร้างมลพิษ Larry Bacow ประธานมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานจัดการทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ไม่มีการลงทุนในบริษัทสำรวจหรือพัฒนาเชื้อเพลิงฟอสซิล และไม่มีแผนลงทุนธุรกิจดังกล่าวในอนาคต ความมุ่งมั่นดังกล่าว เกิดขึ้นหลังเหล่านักศึกษาพยายามเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยหยุดการลงทุนในพลังงานฟอสซิลมาเป็นเวลาหลายปี และเกิดขึ้นท่ามกลางความตระหนักของเหล่านักลงทุนที่ต้องการเห็นสถาบันการเงินหยุดสนับสนุนธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ ฮาร์วาร์ด หนึ่งในกลุ่มไอวี่ลีก กำลังเดินตามรอยเท้ามหาลัยอื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่มุ่งมั่นหยุดการลงทุนในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อปีที่แล้ว ฮาร์วาร์ด ให้คำมั่นว่าจะร่วมงานกับผู้จัดการการลงทุน สู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 แต่กลุ่มนักศึกษามองว่าช้าไป และได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดในรัฐแมสซาชูเซตส์เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยขายหุ้นบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถือครองไว้ประมาณ 838 ล้านดอลลาร์ Larry Bacow กล่าวถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว เพื่อสนับสนุนการสอนและการวิจัย โดยฮาร์วาร์ดไม่เชื่อว่าการลงทุนในฟอสซิลเป็นการลงทุนที่รอบคอบ และตอนนี้เหลือการลงทุนในธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยกว่า 2% แล้ว หลายบริษัทจัดการสินทรัพย์กำลังเร่งหาวิธีเพื่อไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) มากขึ้น เช่น Pacific Investment Management Co. และ Fidelity International บริษัทจัดการกองทุนที่กำหนดมาตรฐานการลงทุนแบบ Net Zero รวมถึง Larry Fink CEO ของ BlackRock ได้กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า บริษัทกำลังดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในบริษัทหลายพันแห่งที่กำลังลงทุน แม้จะมีการตระหนักเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่กองทุนบำเหน็จบำนาญสาธารณะที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกของสหรัฐฯ ยังคงลงทุนมูลค่ามหาศาลในบริษัทที่ก่อมลพิษรายใหญ่ที่สุด โดยนักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence ระบุตัวเลขการลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 9% ของการลงทุนทั้งหมด อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-10/harvard-says-its-funds-will-no-longer-invest-in-fossil-fuels?srnd=premium-asia ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Green Economy Harvard News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนสั่งบริษัทเกม ห้ามเน้นกำไรสูงสุด แก้ปัญหาเด็กติดเกม Tencent และ Netease ยอมแต่โดยดี หุ้นร่วง - FINNOMENA หน่วยงานกำกับดูแลจีนเรียกพบบริษัทเกมซึ่งรวมถึง Tencent และ Netease เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม และความจำเป็นที่ต้องลดผลกำไรลง เป็นผลให้ราคาหุ้นธุรกิจเกมปรับตัวลดลง 9 ก.ย. 2564 หน่วยงานกำกับดูแลจีนเรียกพบบริษัทเกมซึ่งรวมถึง Tencent และ Netease เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม และความจำเป็นที่ต้องลดผลกำไรลง เป็นผลให้ราคาหุ้นธุรกิจเกมปรับตัวลดลง สื่อทางการจีนรายงานว่า หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมประชุมเพื่อยกระดับการกำกับดูแล และเริ่มตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย สอดคล้องกับเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่รัฐบาลจีนออกข้อบังคับใหม่ให้จำกัดเวลาเล่นเกมสำหรับเด็กอยู่ที่เพียง 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ หน่วยงานกำกับดูแลต้องการให้บริษัทเกมทำตามกฎระเบียบใหม่ และยุติการมุ่งเน้นผลกำไร เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนติดเกม พร้อมแนะให้ลบเนื้อหาที่อนาจารหรือรุนแรง รวมถึงหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน เช่น การบูชาเงิน หรือ เนื้อหาที่ผู้ชายแสดงออกคล้ายผู้หญิง ทางการจีนสั่งให้ธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ ตรวจสอบเนื้อหาในเกมอย่างเข้มงวด และต่อต้านการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเพื่อป้องกันการกระจุกตัวหรือผูกขาดในอุตสาหกรรมเกม เป็นผลให้ธุรกิจเกมที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดย Netease ลดลง 5.2% และ Bilibili ลดลง 5.9% ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ปรับตัวลง 3.3% ในขณะที่ราคาหุ้น Tencent ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวลง 4% Tencent กล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัทพร้อมให้ความสำคัญต่อสุขภาพกายและใจของเยาวชน โดยจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเนื้อหาและการเสพติดเกมของเยาวชน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-08/china-tells-tencent-netease-of-need-for-tighter-games-oversight?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netease News Update Tencent จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: 'เรย์ ดาลิโอ' สวน 'จอร์จ โซรอส' ไม่ควรละเลยโอกาสลงทุนในจีน ย้ำเห็นด้วยปฏิรูประบบทุนนิยม - FINNOMENA ล่าสุด Ray Dalio มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates เฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ควรละเลยการลงทุนในจีนและสิงคโปร์ และได้พูดถึงการลงทุนส่วนตัว รวมถึงความมุ่งมั่นในการทำมูลนิธิการกุศลของครอบครัว 8 ก.ย. 2564 หนึ่งวัน หลังจากมีข่าวพ่อมดการเงินจอร์จ โซรอส ออกมาเตือนความเสี่ยงในการลงทุนที่จีนว่าเป็น “โศกนาฎกรรม” ล่าสุด Ray Dalio มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates เฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ไม่ควรละเลยการลงทุนในจีนและสิงคโปร์ และได้พูดถึงการลงทุนส่วนตัว รวมถึงความมุ่งมั่นในการทำมูลนิธิการกุศลของครอบครัว ในงาน Bloomberg Radar Ray Dalio เล่าถึงอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่การเยี่ยมชมและทำงานในภูมิภาคเอเชีย การเยือนจีนครั้งแรกในปี 1984 ไปจนถึงการขยายธุรกิจครอบครัวสู่สิงคโปร์เมื่อปี 2020 ความคิดเห็นของ Ray Dalio เกิดขึ้นท่ามกลางการถกเถียงกันในหมู่นักลงทุน เกี่ยวกับโอกาสระยะยาวของการลงทุนในจีน ภายใต้แรงกดดันจากการคุมเข้มของทางการจีน ในขณะที่ นักลงทุนบางส่วนอย่าง จอร์จ โซรอส เตือนให้ระวังสัญญาณที่เลวร้ายกว่าเดิม แต่นักลงทุนบางส่วน เช่น Larry Fink จาก BlackRock Inc มองว่าเป็นโอกาสและกำลังเพิ่มการลงทุนในจีน Ray Dalio กล่าวว่า จีนและสิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ไม่อาจละเลยได้ การละเลยไม่ได้เสียแค่โอกาส แต่ยังสูญเสียความตื่นเต้นอีกด้วย โดยเป้าหมายของ Ray Dalio คือการอยู่ในจีนและสิงคโปร์ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการลงทุน เมื่อถูกถามถึงความพยายามของทางการจีนในการลดช่องว่างของความมั่งคั่ง Ray Dalio ย้ำว่าเขาสนับสนุนการปฏิรูประบบทุนนิยม และคาดว่าจะได้เห็นการกระจายความมั่งคั่งในจีนมากขึ้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-08/dalio-says-china-singapore-opportunities-can-t-be-neglected?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Ray Dalio จีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ผู้ก่อตั้ง JD.com ขอยุติบทบาทบริหาร เป็นรายที่ 4 หลังรัฐบาลจีนคุมเข้ม ตามรอยแจ๊ก หม่า ขออยู่เบื้องหลังแทน - FINNOMENA ริชาร์ด หลิว ผู้ก่อตั้ง JD.com บริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ในจีน ประกาศยุติบทบาทบริหารเบื้องหน้า และแต่งตั้ง Xu Lei CEO ของ JD Retail มาดูแลการบริหารงานประจำวันแทน 8 ก.ย. 2564 ริชาร์ด หลิว ผู้ก่อตั้ง JD.com บริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ในจีน ประกาศยุติบทบาทบริหารเบื้องหน้า และแต่งตั้ง Xu Lei CEO ของ JD Retail มาดูแลการบริหารงานประจำวันแทน ริชาร์ด หลิว ถือเป็นผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีจีนรายที่ 4 ที่ประกาศยุติบทบาทงานเบื้องหน้า แล้วไปบริหารงานเบื้องหลังแทน ท่ามกลางการตรวจสอบที่คุมเข้มของรัฐบาลจีน ก่อนหน้านี้ในปี 2019 แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO โดยมอบอำนาจให้ แคเนียล จาง รับช่วงต่อแทน ตามมาด้วยโคลิน หวง ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ในเดือน มี.ค. และเมื่อไม่นานมานี้ จางอีหมิง ผู้ก่อตั้ง ByteDance ประกาศยุติบทบาท CEO โดยให้เหตุผลว่ายังขาดทักษะด้านบริหาร อย่างไรก็ตาม ริชาร์ด หลิว ยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และ คณะกรรมการบริหารของบริษัทต่อไป เพื่อไปโฟกัสการกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวของบริษัทอย่างเต็มที่ ริชาร์ด หลิว กล่าวในแถลงการณ์ว่า แม้การออกแบบกลยุทธ์ระยะยาวและการมองสู่อนาคต จะเป็นเรื่องที่ท้าทายและทำได้ยาก แต่นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมนี้ อ้างอิง: https://mgronline.com/around/detail/9640000088834 https://www.posttoday.com/world/662442 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba jd.com News Update หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เอลซัลวาดอร์ ถัว Bitcoin 150 BTC หลังเมื่อคืน ราคาร่วงแรง หลุด $43,000 รับข่าวประเทศแรกในโลกรองรับ Bitcoin ถูกกฎหมาย - FINNOMENA เมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) ราคา Bitcoin ร่วงลงถึง 17% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน หลังจากที่เอลซัลวาดอร์ยอมรับให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินถูกกฎหมายเพียงไม่นาน 8 ก.ย. 2564 เมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) ราคา Bitcoin ร่วงลงถึง 17% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน หลังจากที่เอลซัลวาดอร์ยอมรับให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินถูกกฎหมายเพียงไม่นาน Bitcoin ร่วงสู่ระดับต่ำสุดที่ $43,050 โดยปรับตัวลงมากกว่า 10% ใน 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะเด้งกลับขึ้นมาครึ่งนึงของที่ลง มาอยู่ที่ราคาประมาณ $47,000 ล่าสุด ปธน.นายิบ บูเคเล ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ได้ช้อนซื้อ Bitcoin ในช่วงที่ราคาร่วงเมื่อคืน โดยเข้าซื้อเพิ่มอีก 150 BTC (230 ล้านบาท) หลังก่อนหน้านี้เอลซัลวาดอร์ได้ถือ Bitcoin อยู่ 200 BTC และประกาศซื้อเพิ่มอีก 200 BTC เมื่อวันจันทร์ (6 ก.ย.) ทำให้เอลซัลวาดอร์มี Bitcoin รวมทั้งหมด 550 BTC (850 ล้านบาท) ข้อมูลจาก Bybt แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ รายงานว่า การปรับตัวลงอย่างรวดเร็วเกิดขึ้นหลังมีนักลงทุนมากกว่า 336,000 ราย ทำรายการในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นมูลค่าถึง 3,600 ล้านดอลลาร์ของตลาดคริปโทฯ Bitcoin เผชิญการทดสอบครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 12 ปี หลังเอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกที่ยอมรับให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินถูกกฎหมาย ปธบ.นายิบ บูเคเล ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลจะสามารถกลับมาใช้งานได้ หลังจากปิดตัวไปก่อนหน้านี้เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค กระเป๋าเงินดังกล่าว เรียกว่า Chivo มาพร้อมกับ Bitcoin มูลค่า $30 สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนเอลซัลวาดอร์ ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ และ Reddit ได้มีการพูดถึงแผนการซื้อ Bitcoin มูลค่า $30 เพื่อบังคับใช้กฎหมายของเอลซัลวาดอร์ และอาจร่วมมือกันทำให้ราคาพุ่งขึ้นเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นมีมอย่าง GameStop การเทขายในวันอังคาร (7 ก.ย.) เป็นการพักฐานครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากที่ Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเกือบ 75% ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ในขณะที่เหรียญอื่นๆ ร่วงลงมาแรงเช่นกัน โดย Ether ปรับลง 13% ในขณะที่ Cardano ปรับลง 15% และ Dogecoin ร่วงกว่า 18% นักลงทุนบางคนมองว่าความกังวลเกิดจากช่วงฤดูกาล จากสถิติในทศวรรษที่ผ่านมา เดือน ก.ย. เป็นเดือนเดียวที่ Bitcoin ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่า Bitcoin ปรับตัวลดลง 6 จาก 10 ครั้ง ในเดือน ก.ย. โดยลดลง 6% โดยเฉลี่ย Mike McGlone จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า นี่คือการเทขายกำไรส่วนเกินออกจากระบบ ราคาหุ้นของบริษัทที่เชื่อมโยงกับคริปโทฯ ปรับลงเช่นกัน ดังนี้ Riot Blockchain -5.9%, Marathon Digital -8.4%, Coinbase -3.3% และ MicroStrategy -8.2% อย่างไรก็ตาม Bitcoin ได้เด้งกลับและฟื้นตัวชดเชยการขาดทุนบางส่วนมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน โดยราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ $47,000 Leah Wald CEO จาก Valkyrie Investments กล่าวว่า ที่ผ่านมามักเห็นนักลงทุนจำนวนมากทำกำไรที่ระดับ $40,000 และ $50,000 ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะขายเพื่อล็อคกำไรหรือหยุดการขาดทุนที่ระดับราคาดังกล่าว Matt Maley หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจาก Miller Tabak + Co ไม่แปลกใจที่ราคาไม่เด้งขึ้นรับข่าวเอลซัลวาดอร์ แต่การร่วงลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่แปลก โดยเฉพาะการปรับตัวลงในช่วงเช้าหลังจากมีข่าวเอลซัลวาดอร์เพียงไม่นาน Matt Maley มองว่านี่ไม่ใช่ปัญหาหากเป็นแรงเทขายจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ หรือ บริษัทหลักทรัพย์ แต่ถ้าหากแรงเทขายมาจากที่อื่นอาจเป็นเรื่องที่ต้องกังวล อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-07/bitcoin-crashes-as-el-salvador-adoption-price-pump-falters?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ลงทุนในจีนคือโศกนาฏกรรม ‘จอร์จ โซรอส’ เตือน BlackRock ลงทุนผิดพลาด สี จิ้นผิง เป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของโลกเสรี - FINNOMENA จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีทางการเงิน เตือนการลงทุนในประเทศจีน และได้วิจารณ์การเข้าไปทำธุรกิจในจีนของ BlackRock ว่าทำให้เงินของนักลงทุนเกิดความเสี่ยง รวมถึงหลักประกันของสหรัฐฯ ด้วย 7 ก.ย. 2564 จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีทางการเงิน เตือนการลงทุนในประเทศจีน และได้วิจารณ์การเข้าไปทำธุรกิจในจีนของ BlackRock ว่าทำให้เงินของนักลงทุนเกิดความเสี่ยง รวมถึงหลักประกันของสหรัฐฯ ด้วย จอร์จ โซรอส แสดงความคิดเห็นใน Wall Street Journal ว่า การทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในจีนถือเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความผิดพลาด มีแนวโน้มที่ลูกค้าของ BlackRock จะต้องสูญเงินจำนวนมาก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การลงทุนในจีนจะทำลายหลักประกันของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศประชาธิปไตยอื่น จอร์จ โซรอส มองว่า BlackRock เข้าใจและตีความ สี จิ้นผิง ผิดไป เพราะรัฐบาลจีนมองบริษัทจีนทั้งหมดเป็นเพียงเครื่องมือของพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น ในเดือนที่ผ่านมา BlackRock เริ่มเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่นักลงทุนจีน นับเป็นเวลา 2 เดือน หลังจากที่ได้รับการอนุมัติให้เป็นบริษัทด้านการลงทุนต่างชาติรายแรกในจีน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน จอร์จ โซรอส เตือนไม่ให้มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับจีน และประณาม สี จิ้นผิง ว่าเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดของโลกเสรี รวมถึงแนะให้ สภาคองเกรสผ่านกฎหมายที่จำกัดการลงทุนของผู้จัดการสินทรัพย์ให้โปร่งใส และสอดคล้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มุมมองที่แตกต่างของผู้มีอิทธิพลในโลกการเงินระหว่าง จอร์จ โซรอส และ BlackRock เน้นย้ำถึงสภาพแวดล้อมที่เหล่าบริษัทการเงินต้องเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจจีน โดยแม้ว่า สี จิ้นผิง จะอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนได้ง่ายขึ้น แต่รัฐบาลจีนยังคงขัดแย้งกับสหรัฐฯ ในทุกเรื่อง ตั้งแต่ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง จอร์จ โซรอส กล่าวถึงการคุมเข้มทั้งหลายของรัฐบาลจีน ตั้งแต่ การยกเลิก IPO ของบริษัท Ant Group อย่างกะทันหัน การสั่งปลดแอป Didi ออกจากแอปสโตร์ ไปจนถึง การตรวจสอบบริษัทกวดวิชาในจีน และเตือนให้ผู้จัดการของ BlackRock ตระหนักถึงวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน แม้ว่า จอร์จ โซรอส จะยังคงเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลของพรรคเดโมแครต แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงเสียงส่วนน้อยในวอลล์สตรีท ในขณะที่บริษัทการเงินขนาดใหญ่อย่าง BlackRock และ Goldman Sachs ได้ตัดสินใจลงทุนในจีนและมองว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-07/george-soros-calls-blackrock-s-china-investment-tragic-mistake?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
เกิดอะไรขึ้นกับ Makro? - FINNOMENA Makro นั้นถือได้ว่าเป็นห้างค้าส่งภาพจำของใครหลาย ๆ คนที่อาจไปเดินซื้อขนม ของใช้ในราคาที่ถูกกว่า ในวันนี้ Makro มีก้าวใหม่ที่สำคัญอย่างการรวมเข้ากันกับผู้นำธุรกิจค้าปลีกอย่าง Lotus เรามาดูกันว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบอย่างไรกับผู้ถือหุ้น Makro และอาณาจักร CP 3 ก.ย. 2564 Makro นั้นถือได้ว่าเป็นห้างค้าส่งภาพจำของใครหลาย ๆ คนที่อาจไปเดินซื้อขนม ของใช้ในราคาที่ถูกกว่า ในวันนี้ Makro มีก้าวใหม่ที่สำคัญอย่างการรวมเข้ากันกับผู้นำธุรกิจค้าปลีกอย่าง Lotus เรามาดูกันว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบอย่างไรกับผู้ถือหุ้น Makro และอาณาจักร CP เรามาเริ่มกันที่สัดส่วนโครงสร้างใหม่กันก่อน… ภาพแสดงสัดส่วนโครงสร้างเดิม ภาพแสดงสัดส่วนโครงสร้างใหม่ ทางด้านของสัดส่วนโครงสร้างการถือหุ้นเองได้มีการปรับเปลี่ยนไป โดยแต่เดิมที CPALL จะถือ Makro อยู่ที่ 93.08% และแบ่งเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นรายย่อยอีก 6.92% แต่หลังจากการโอนย้ายสัดส่วนต่าง ๆ จะถูกปรับเป็นดังนี้ CPALL มีสัดส่วนคิดเป็น 65.97% CPH มีสัดส่วนคิดเป็น 20.43% CPM มีสัดส่วนคิดเป็น 10.21% ผู้ถือหุ้นรายย่อย 3.39% จากสัดส่วนจะเห็นได้ว่า CPALL นั้นมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลง แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่มากและเป็นสัดส่วนหลัก ดังนั้นในมุมของการเปลี่ยนแปลงเราอาจจะสรุปได้ว่า CPALL ยังมีสิทธิเสียงเป็นหลักอยู่ดี แต่ส่วนที่อาจมีผลกระทบค่อนข้างชัดเจนอาจเป็นฝั่งของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีสัดส่วนการถือหุ้น Makro ลดลงราว ๆ เกือบครึ่งหนึ่ง และอาจจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับตัวธุรกิจ Lotus ไปด้วย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องให้นักลงทุนทุกท่านคิดกันต่อไปถึงมูลค่ากิจการและโอกาสในการเติบโตหลังการผนึกกำลังที่ว่า แต่ถึงอย่างนั้นหลังการโอนกิจการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็จะมีการเพิ่มทุนราว ๆ 1.36 พันล้านหุ้นที่กล่าวไว้ก่อนหน้าเข้ามาในสัดส่วนไม่เกิน 12.19% ซึ่งจะช่วยให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มขึ้น มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และเป็นไปตามเกณฑ์ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดไว้ ซึ่งทางผมขอนำมาอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องของการ “เพิ่มทุน” ในส่วนถัดไป สำรวจรายละเอียดการเพิ่มทุนของ Makro แบบเข้าใจง่าย ๆ ภาษากันเอง Makro จะได้รับกิจการจาก CPRH ซึ่งหากพูดกันง่าย ๆ ก็คือเจ้าของหลัก Lotus และจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิมที่ 2,400,000,000 บาท เป็น 5,586,161,750 บาท หรือพูดง่าย ๆ ว่าเพิ่มขึ้นมา 3,186,161,750 บาท จุดที่เพิ่มมาราว ๆ 3.19 พันล้านบาทนั้น หลัก ๆ อาจจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกก็คือ ส่วนที่เพิ่มเข้ามาสำหรับตอบแทนการโอนกิจการของ CPRH และใช้เป็นการมอบหุ้นให้แทน ราว ๆ 5 พันล้านหุ้น โดยมีราคาเสนอขายอยู่ที่ 43.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่คิดมาแล้วว่าไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาดตามกฎเกณฑ์ โดยทั้งหมดนี้อาจคิดเป็นมูลค่าได้ที่ 217,949,072,250 บาท ซึ่งถ้ามาเทียบกับอีกขาหนึ่งคือขาของส่วนที่ต้องโอนอย่าง CPRH ที่มีมูลค่ารวมทรัพย์สิน หนี้สิน และหุ้นสามัญ รวม 217,949,072,250 บาท ก็จะถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่มูลค่าทัดเทียมพอดิบพอดีกัน หรือเราอาจจะพูดได้ง่าย ๆ ว่า Makro ออกหุ้นเพิ่มมาแลกกับการโอนย้าย CPRH ในมูลค่าที่ทัดเทียมกันเท่ากับตัว CPRH เดิมแบบพอดิบพอดี และเป็นราคาที่คิดมาแล้วว่าอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะเป็นการเสนอขาย IPO เพิ่มทุนอีกจำนวนไม่เกิน 1.36 พันล้านหุ้นที่ราคาพาร์ 0.50 บาท และมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องให้เป็นไปตามเกณฑ์ตามที่ได้พูดถึงไว้ในตอนแรก **เสริมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย** ขอโน้ตไว้นิดนึงว่าการเพิ่มทุนทั้ง 2 ส่วนมีราคาพาร์หรือพูดง่าย ๆ ก็คือราคาจริง ๆ อยู่ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น เผื่อใครนำไปใช้ประโยชน์ในการคิดมูลค่าจริง ๆ** เห็นแบบนี้แล้วเราอาจจะพอบอกได้ว่าดีลนี้นอกจากจะทำให้โครงสร้างบริษัทเกิดการปรับเปลี่ยนและมีการผนึกกำลังที่ชัดเจนมากขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ยังทำให้บริษัทสามารถเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเหรียญก็มี 2 ด้านเสมอ เพราะ ในทางทฤษฎีแล้วการออกหุ้นเพิ่ม ก็อาจส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นด้วยเช่นกันจากปริมาณหุ้นที่มากขึ้น อีกทั้ง Lotus ที่ผ่านมาอาจจะเรียกได้ว่ากำลังเผชิญกับศึกหนักอยู่พอดี แต่ถึงอย่างนั้นหากเราอิงจากรายงานของที่ประชุม action ที่ว่านั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในระยะยาว และสเกลในระดับภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งจุดที่น่าสนใจก็คือที่ผ่านมาร้านค้าปลีกชื่อดังที่พยายามเข้ามาสเกลในแถว ๆ บ้านเรา เช่น Walmart หรือ Tesco เองที่ก่อนหน้าเป็นบริษัท สัญชาติอังกฤษ และไม่ประสบความสำเร็จดีนักกับการเข้ามาเจาะตลาดแถวบ้านเราซึ่งเป็นเคสที่มีให้อ่านได้กันตามปกติ (บางคนอาจจะได้อ่านกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย) ในเรื่องของการสเกลมายังตลาดเกิดใหม่ของบริษัทชั้นนำดังกล่าวที่ดูแล้วยังไม่ตอบโจทย์วัฒนธรรมการซื้อของฝั่งนี้เท่าไรนัก ดังนั้นการสเกลตัวเองของแมคโครในฐานะคนที่อยู่ในภูมิภาคระแวกบ้านใกล้เคียงกัน จึงอาจค่อนข้างมีความน่าสนใจจากวัฒนธรรมที่ดูใกล้ตัวเรามากกว่าจึงอาจทำให้ธุรกิจฝั่งเราอินหรือเข้าถึงได้ง่ายกว่า นอกจากนั้นยังมีอีกแง่มุมที่น่าสนใจหลังการรวม Makro กับ Lotus เข้าด้วยกัน อย่างการเพิ่มโอกาสให้หุ้น Makro เข้าไปติดใน SET 50 ได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะจะมี free float (ปริมาณการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย) หลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปมากกว่า 15% เทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 20% ตามเกณฑ์ ในขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล. ฟินันเซียเองก็ได้เปิดเผยว่าหลังการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป Makro จะมี free float ที่ 24% ซึ่งถือได้ว่าเหนือกว่าข้อกำหนดที่ 20% ดังนั้นใครถือกองทุนดัชนีหุ้นไทยอยู่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมี Makro ติดมือเข้ามาในอนาคตนั่นเอง ปิดท้ายกันด้วยมุมมองสถานการณ์ราคาอาหารในตลาดเกิดใหม่จาก Franklin Templeton ราคาผลไม้และผักมีความแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ราคาอาหารนานาชาติที่สูงขึ้นจนส่งผลต่อราคาอาหารภายในประเทศมีผลกระทบกับปประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมากกว่าประเทศที่มีรายได้สูง โดยมีผลที่ 0.26 เทียบกับ 0.14 ตามลำดับ ในเอเชียราคาอาหารปรัยตัวสูงขึ้นในบางพื้นที่ เช่น ฟิลิปปินส์และอินเดีย เราคาดการณ์ว่าส่วนต่างทางด้านผลผลิตจะค่อย ๆ ปรับตัวลง จากการคาดการณ์ในด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ แต่ผลกระทบเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนต่อบางประเทศมีผลในปริมาณมาก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ การเทขายค่าเงินตลาดเกิดใหม่จะสร้างแรงกดดันทางราคาแก่กลุ่มประเทศบางกลุ่ม และเพิ่มความตึงเครียดกับความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะสั้นถึงกลาง ดังนั้นการจับตามองสถานะการเงินทางบัญชีในกลุ่มประเทศเหล่านี้ จึงมีความจำเป็น หากใครสนใจซ้อมมือลองดูกองทุน SET 50 ที่แนะนำโดย Portfolio Specialist ของ FINNOMENA แนะนำทางผมก็ได้รวบรวมมาให้เช่นเคยครับ แนว Passive TMB50 แนว Active 1AMSET50-RA KFENS50-A ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.franklintempleton.com/content-ftthinks/common/fixed-income/inflation-trends-across-emerging-markets/inflation-trends-emerging-markets-us.pdf https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16303670307301&sequence=2021097500 บทวิเคราะห์หุ้น Makro บล. ฟินันเซียฯ เนื้อหาส่วนหนึ่งโดย Franklin Templeton Academy เรียบเรียงและจัดทำโดย Mr. Serotonin รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase ข้อสงวนสิทธิ์ แฟรงคลิน เทมเพิลตัน (“Franklin Templeton”) ไม่รับผิดใด ๆ ต่อบุคคลภายนอก ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ เว็บไซต์ หรือเนื้อหาใด ๆ ที่ได้จัดทำหรือปรากฏในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอกนั้น อีกทั้ง Franklin Templeton ไม่ได้ให้คำรับรอง รับประกัน หรือเป็นตัวแทน ไม่ว่าจะโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายในเนื้อหาหรือความถูกต้องของข้อมูลในช่องทางต่าง ๆ ของบุคคลภายนอก และไม่รับผิดต่อสิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น ในกรณีที่มีความแตกต่างกันระหว่างเอกสารภาษาอังกฤษกับการแปลเป็นภาษาไทย ให้ยึดถือตามเอกสารภาษาอังกฤษ แหล่งข้อมูล Franklin Templeton Investment Article, CPRH, FINNOMENA Franklin Templeton, Knowledge, Long Content, Makro อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: นายกฯ ญี่ปุ่น เตรียมลาออก หุ้นญี่ปุ่นบวกเกือบ 2% - FINNOMENA เช้าวันนี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวขึ้นรับข่าว FDA อนุมัติให้วัคซีนจากบริษัท Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีนเต็มรูปแบบ การอนุมัติครั้งนี้ตลาดคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 3 ก.ย. 2564 สำนักข่าวเกียวโตรายงานว่านายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ จะลาออกจากตำแหน่ง ขณะที่แหล่งข่าวในพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเผยว่า นายซูงะ จะไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งในเดือนนี้ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเปิดทางหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ หลังมีการเปิดเผยข่าวออกมาตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นทันที ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.71% เช่นเดียวกับดัชนี TOPIX ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.70% โดยนักลงทุนมองว่ามีความชัดเจนทางด้านการเมืองมากขึ้นและคาดหวังนโยบายบริหารที่อาจดีกว่าเดิมจากผู้ที่จะก้าวขึ้นมาดำรงแหน่งนายกรัฐมนตรี Source: สำนักข่าวไทย แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เฮลท์แคร์-อสังหาฯ’ เป้าหมายใหม่ทางการจีน นักวิเคราะห์เตือน อาจเป็นรายต่อไป ระวัง หุ้นจีนลงต่ออีก 10-15% เน้นเลือกธุรกิจที่รัฐบาลชอบ - FINNOMENA นักวิเคราะห์เตือน ธุรกิจเฮลท์แคร์อาจเป็นอุตสาหกรรมต่อไปที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีนตรวจสอบ ต่อจากธุรกิจเทคโนโลยี การศึกษา และความปลอดภัยของข้อมูล เตือนมีโอกาสลงอีก 10-15% แนะนำลงทุนในธุรกิจที่รัฐบาลชื่นชอบ เช่น ฮาร์ดแวร์ พลังงานสะอาด และ การป้องกันประเทศ 2 ก.ย. 2564 นักวิเคราะห์เตือน ธุรกิจเฮลท์แคร์อาจเป็นอุตสาหกรรมต่อไปที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีนตรวจสอบ ต่อจากธุรกิจเทคโนโลยี การศึกษา และความปลอดภัยของข้อมูล เตือนมีโอกาสลงอีก 10-15% แนะนำลงทุนในธุรกิจที่รัฐบาลชื่นชอบ เช่น ฮาร์ดแวร์ พลังงานสะอาด และ การป้องกันประเทศ ในสัปดาห์นี้ ปธน.สี จิ้นผิง ได้เน้นย้ำอีกครั้งถึงแนวคิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ที่ต้องการให้เกิดความมั่งคั่งระดับปานกลางแก่ทุกคน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดระเบียบในหลายธุรกิจ Rory Green นักเศรษฐศาสตร์จาก TS Lombard กล่าวว่า แม้นโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันจะยังไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน แต่สำหรับตอนนี้ การควบคุมอุตสาหกรรมและตลาดทุนสามารถทำได้ง่ายกว่าการปฏิรูปโครงสร้าง Rory Green คาดการณ์ว่า ธุรกิจเฮลท์แคร์จะเป็นเป้าหมายต่อไปของทางการจีน ควบคู่ไปกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ‘ภูเขาใหญ่ 3 ลูก’ หมายถึง อุปสรรคด้านค่าใช้จ่ายที่แพง 3 อย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย การศึกษา อสังหาริมทรัพย์ และ สุขภาพ ที่รัฐบาลจีนต้องจัดการไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งเฮลท์แคร์เป็นธุรกิจเดียวที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบกฎระเบียบ Julian Evans-Pritchard นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นว่าจะรักษาระดับราคาไม่ให้แพงเกินไป และตอนนี้ได้เริ่มดำเนินการตามคำมั่นอย่างเข้มข้นขึ้น Julian Evans-Pritchard มองว่า ที่อยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัว ในขณะที่ผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชน อาจต้องเผชิญข้อจำกัดมากขึ้นในการกำหนดราคาและแสวงหากำไร หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ของจีนมีผลการดำเนินงานดีกว่าดัชนีในภาพรวม โดยตั้งแต่ต้นปี ดัชนี MSCI’s China health-care ปรับตัวลดลงแทบไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ ดัชนี MSCI China ปรับตัวลงมากกว่า 13% แต่หุ้นเฮลท์แคร์โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่น JD Health ที่ปรับลงมา 50% ตั้งแต่ต้นปี และ Alibaba Health ที่ร่วงลงกว่า 40% ตั้งแต่ต้นปี Rory Green คาดการณ์ว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ดัชนี MSCI China อาจปรับลงมาอีก 10-15% และเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง เพราะความเสี่ยงทางการเมืองจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในปีหน้า Rory Green แนะนำให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลชื่นชอบอย่างเช่น ฮาร์ดแวร์ พลังงานสะอาด และ การป้องกันประเทศ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/09/02/chinas-regulatory-crackdown-on-healthcare-sector-outlook-for-investors.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เตรียมออก Passive Fund กองใหม่ เน้นลงทุนธุรกิจที่โปร่งใส และยั่งยืน กอง ESG แรกของ ARK ที่ไม่ใช่นวัตกรรมแห่งอนาคต - FINNOMENA Cathie Wood ยื่นขอจดทะเบียน ETF กองใหม่เมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) เน้นลงทุนตามดัชนีในบริษัทด้านเทคโนโลยีและผู้บริโภค เช่น Salesforce, Microsoft, Apple, Nike และ Chipotle เป็นต้น 1 ก.ย. 2564 Cathie Wood ยื่นขอจดทะเบียน ETF กองใหม่เมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) เน้นลงทุนตามดัชนีในบริษัทด้านเทคโนโลยีและผู้บริโภค เช่น Salesforce, Microsoft, Apple, Nike และ Chipotle เป็นต้น โดยไม่มีการลงทุนในบริษัทที่ Ark ชื่นชอบอย่าง Tesla และมีนโยบายไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ ธนาคาร การพนัน รวมถึงน้ำมันและก๊าซ Eric Balchunas จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า นี่คือกองทุน ESG ในเวอร์ชันของ Ark โดยมองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะแม้ไม่มีเกณฑ์ชี้วัดรื่องศีลธรรม แต่หากต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความโปร่งใส ก็ต้องเลือกซื้อบริษัทที่ดี หากได้รับการอนุมัติ นี่จะเป็น Ark ETF กองที่ 2 ของปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ในเดือน มี.ค. Ark ได้ออกกองทุน ARKX ที่ลงทุนในธุรกิจสำรวจอวกาศ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% แล้วตั้งแต่เปิดตัว และมีมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 600 ล้านดอลลาร์ กองทุนหลักอย่าง ARKK มีมูลค่ามากกว่า 22,500 ล้านดอลลาร์ แต่มีผลการดำเนินงานไม่ดีนัก โดยปรับตัวลดลง 2% ตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% Cathie Wood แสดงความโปร่งใสในการลงทุนโดยเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ลงทุนมาตลอด ผลตอบแทนที่โดดเด่นในปี 2020 ได้ดึงดูดนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก และทำให้ Cathie Wood กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทางการเงิน Cathie Wood เชื่อมั่นว่าการเปิดเผยรายชื่อหุ้นจะไม่ส่งผลเสียต่อกลยุทธ์การลงทุน และจะได้รับความไว้วางใจมากขึ้นจากนักลงทุน โดยกองทุน ETF คือผลิตภัณฑ์หลักที่ Ark เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 หลายปีก่อนที่ Cathie Wood จะเริ่มมีชื่อเสียง กลยุทธ์การลงทุนแบบ Passive ในกองทุนใหม่อาจทำให้นักลงทุนประหลาดใจ เพราะ Cathie Wood เป็นผู้นำในการบริหารกองทุน ETF แบบ Active โดยหนึ่งในกองทุน Ark ที่ลงทุนแบบ Passive คือ 3D Printing ETF ปัจจุบัน Ark เป็นผู้ออก ETF รายใหญ่อันดับที่ 11 ในสหรัฐฯ โดยมีกองทุนที่บริหารอยู่ทั้งหมด 8 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนแบบ Active 6 กองทุน และแบบ Passive 2 กองทุน มูลค่ารวมทั้งหมด 45,000 ล้านดอลลาร์ Nate Geraci ประธาน ETF Store มองว่า กองใหม่ที่ลงทุนในหุ้น ESG แบบอิงดัชนี ไม่ได้สอดคล้องกับนโยบายลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคต จึงเป็นที่น่าสนใจว่าบริษัทจะมีแนวทางอย่างไรในกลยุทธ์ที่ดูแตกต่างกับบริษัทที่ Ark ชื่นชอบ อย่าง Tesla และ DraftKings อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-08-31/cathie-wood-s-new-etf-shuts-out-banking-fossil-fuels-and-vice?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สุขสันต์วันเกิด วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฉลองอายุ 91 ปี กับความคิดที่ยืดหยุ่น และทันสมัย ปรับพอร์ตจากเศรษฐกิจเก่า สู่บริษัทเทคโนโลยี - FINNOMENA วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฉลองอายุครบ 91 ปี เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.)  ก่อนหน้านี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้มั่นใจว่า Berkshire Hathaway และผู้สืบทอด จะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี  31 ส.ค. 2564 วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฉลองอายุครบ 91 ปี เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.) ก่อนหน้านี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อให้มั่นใจว่า Berkshire Hathaway และผู้สืบทอด จะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี ที่ผ่านมา Berkshire Hathaway เน้นลงทุนในกลุ่มบริษัทที่เป็นกระดูกสันหลังดั้งเดิมของเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ทางรถไฟ แบตเตอรี่ ประกันภัย ของตกแต่งบ้าน และ ค้าปลีก มุมมองดังกล่าวทำให้ Berkshire พลาดการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Amazons ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าของฉายา Oracle of Omaha กำลังเปิดกว้างและปรับเปลี่ยนการลงทุนที่หลงทางไปกับเศรษฐกิจเก่าให้เข้ากับโลกยุคใหม่ ข้อมูลจาก InsiderScore.com รายงานว่า Berkshire มีสัดส่วนการถือหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นสู่ 45% เนื่องจากมีสัดส่วนหุ้น Apple จำนวนมาก โดย Berkshire เริ่มต้นลงทุน Apple ครั้งแรกในปี 2016 มาสู่มูลค่าปัจจุบันที่ 120,000 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด Berkshire เดิมพันในหุ้นเติบโต โดยลงทุนทั้งในหุ้น IPO และ pre-IPO ซึ่งเป็นสิ่งที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเยาะเย้ย ทำให้ตลาดมองว่า Todd Combs และ Ted Weschler ได้ทำการเดิมพันที่ขัดแย้งกับแนวทางการลงทุนดั้งเดิมของ Berkshire James Shanahan นักวิเคราะห์จาก Edward Jones กล่าวว่า มีการเปลี่ยนแปลงในพอร์ตการลงทุนที่มุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่แบบเห็นได้ชัด ซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ความยืดหยุ่นและโอกาสแก่ Todd Combs และ Ted Weschler ในการรับช่วงต่อธุรกิจ Berkshire ได้ลงทุนใน StoneCo บริษัทฟินเทคสัญชาติบราซิล ภายในไม่กี่วันหลัง IPO ในปี 2018 และมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวนับตั้งแต่ IPO และในปีเดียวกัน Berkshire ยังได้ลงทุนใน Paytm บริษัทสตาร์ทอัพด้านการชำระเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียอีกด้วย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2020 Berkshire ได้ซื้อหุ้น Snowflake มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ในราคา IPO และอีก 4.04 ล้านหุ้น จากผู้ถือหุ้นรายอื่นในราคาเดียวกัน นอกจากนี้ ในเดือน มิ.ย. 2021 Berkshire ได้ซื้อหุ้น pre-IPO ในบริษัทแม่ของ Nubank ธนาคารดิจิทัลในบราซิล วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้บุกเบิกการลงทุนแบบ buy-and-hold เคยกล่าวไม่ชอบการเข้าซื้อหุ้นในช่วง IPO โดยเปรียบการซื้อหุ้น IPO ที่ราคาเกินจริง ว่าเหมือนการพยายามเอาชนะลอตเตอรี่ และมองว่านี่ไม่ใช่พื้นฐานที่ดีสำหรับการลงทุน โดยหุ้น IPO ที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซื้อครั้งสุดท้าย คือ Ford ในปี 1956 Cathy Seifert จาก CFRA Research กล่าวว่า พอร์ตหุ้นในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลามากกว่าเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว Berkshire กำลังมองหาหุ้นเศรษฐกิจใหม่ จนกว่าจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสร้างผลกำไรจากการลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี 45% ของ Berkshire มาพร้อมกับการออกจากการเดิมพันแบบดั้งเดิมครั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ ทั้ง JPMorgan Chase, Wells Fargo และ PNC Financial แต่บริษัทยังคงถือหุ้นจำนวนมากใน American Express และ Bank of America ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/08/30/as-warren-buffett-turns-91-the-legendary-investor-prepares-berkshire-hathaway-for-a-new-economy.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Berkshire Hathaway News Update Warren Buffett แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักเศรษฐศาสตร์ออกซฟอร์ด โจมตี Ray Dalio กล่าวหาเชียร์จีนเพราะมีผลประโยชน์ ชี้ทุนนิยมจีนกำลังถูกควบคุม และหุ้นจีนจะไม่กลับมาจุดเดิม - FINNOMENA George Magnus ผู้เชี่ยวชาญของจีน ไม่เห็นด้วยกับ Ray Dalio เกี่ยวกับประเด็นการปราบปรามธุรกิจในจีน เพราะการปราบปรามของจีนทำเพื่อแสวงหาอำนาจการควบคุมทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลัก 26 ส.ค. 2564 George Magnus ผู้เชี่ยวชาญของจีน ไม่เห็นด้วยกับ Ray Dalio เกี่ยวกับประเด็นการปราบปรามธุรกิจในจีน ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา Ray Dalio แสดงความเห็นบน LinkedIn ว่า เหล่านักลงทุนกำลังเข้าใจผิดว่าการปราบปรามภาคส่วนต่างๆ ของจีน ตั้งแต่ ฟินเทค กวดวิชาออนไลน์ และ การจัดส่งอาหาร เป็นนโยบายเพื่อต่อต้านทุนนิยม Ray Dalio กล่าวว่า จากแนวโน้มในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่าทุนนิยมมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีน และส่งผลให้ผู้ประกอบการและนายทุนต่างพากันร่ำรวยขึ้น Ray Dalio ได้แสดงความเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับจีนหลายครั้งในปีที่ผ่านมา โดยในเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว เขาได้เตือนนักลงทุนว่า อย่ามองข้ามการก้าวมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีน และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัท Bridgewater Associates ของ Ray Dalio ได้เพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นจีน George Magnus กล่าวว่า ที่ Ray Dalio พูดแบบนั้น เพราะเขากำลังมีธุรกิจใหญ่ในจีน เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) George Magnus นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์จีนศึกษา มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด มองว่า Ray Dalio คิดผิดเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เพราะการปราบปรามของจีนทำเพื่อแสวงหาอำนาจการควบคุมทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลัก George Magnus กล่าวว่า ทางการจีนดำเนินการปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในจีน โดยไม่สนใจว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขนาดผู้ประกอบการอย่าง Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba และ Pony Ma แห่ง Tencent ยังจำเป็นต้องสนับสนุนเป้าหมายของพรรคคอมมิวนิสต์ การเคลื่อนไหวในการปราบปรามภาคธุรกิจของทางการจีนเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว หลัง Jack Ma วิจารณ์หน่วยงานกำกับดูแลของจีน จนทำให้ทางการจีนไม่พอใจ ผลคือ Ant Group ในเครือ Alibaba ต้องยกเลิกการ IPO ออกไป ตามมาด้วยการปราบปรามสู่ธุรกิจอื่นๆ ตั้งแต่แอปบริการเรียกรถ ธุรกิจสอนพิเศษ บริการส่งอาหาร ไปจนกระทั่ง อุตสาหกรรรมวิดีโอเกม George Magnus กล่าวว่า ทุนนิยมในจีนกำลังถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ หุ้นและบริษัทที่เติบโตในจีนจะไม่ถูกซื้อขายเป็นหุ้นเติบโต เพราะถูกควบคุมโดยการเมือง George Magnus มองว่าการปรับฐานลงมาของหุ้นจีนตั้งแต่ ก.พ. จะเป็นเรื่องถาวร และไม่คิดว่า valuation ของหุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี จะกลับขึ้นไปอยู่ในจุดเดิมได้ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/08/25/ray-dalio-wrong-about-china-tech-crackdown-economist-says.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Ray Dalio หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Google, Microsoft และภาคเอกชนสหรัฐฯ ประกาศลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ หลังประชุมกับไบเดน เพิ่มความปลอดภัย Cybersecurity - FINNOMENA เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) เหล่าผู้นำธุรกิจจากภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่เทคโนโลยี ไปจนถึงประกันภัย ได้เข้าร่วมประชุมกับปธน.โจ ไบเดน และประกาศลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ 26 ส.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (25 ส.ค.) เหล่าผู้นำธุรกิจจากภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่เทคโนโลยี ไปจนถึงประกันภัย ได้เข้าร่วมประชุมกับปธน.โจ ไบเดน และประกาศลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ การประชุมในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังมีการโจมตีทางไซเบอร์ในบริษัทใหญ่หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง SolarWinds ผู้รับเหมาซอฟต์แวร์ของรัฐบาล และ Colonial Pipeline บริษัทท่อส่งน้ำมัน ทำให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว ความมุ่งมั่นของภาคเอกชนในครั้งนี้ มีตั้งแต่การพัฒนาสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมใหม่ การจัดหาเครื่องมือรักษาความปลอดภัยแก่ธุรกิจอื่นๆ ไปจนถึงการฝึกอบรมทักษะให้กับแรงงานเพื่อเพิ่มการจ้างงานด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อีก 500,000 ตำแหน่ง เมื่อเร็วๆ นี้ โจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งให้หน่วยงานของสหรัฐฯ ใช้การเข้าสู่ระบบที่ต้องยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-factor Authentication) เพื่อช่วยป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ ผลจากการประชุมครั้งนี้ Apple จะสร้างโปรแกรมปรับปรุงความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อื่นๆ เพื่อนำการยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multifactor Authentication) และนำการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยมาใช้ Google จะลงทุนมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ และจะฝึกอบรมแรงงาน 100,000 คน ในสาขาทางเทคนิค เช่น การสนับสนุนทางเทคนิค และ Data Analytics ผ่านโครงการ Career Certificate Satya Nadella CEO ของ Microsoft ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์หลังการประชุมว่า Microsoft จะลงทุน 20,000 ดอลลาร์ในระยะเวลา 5 ปี เพื่อส่งมอบเครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูง นอกจากนี้ Microsoft จะลงทุน 150 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยหน่วยงานภาครัฐในการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย และขยายความร่วมมือด้านการฝึกอบรม โดยตั้งแต่ปี 2015 Microsoft ได้ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ IBM กล่าวว่า จะฝึกอบรมทักษะให้ผู้คนมากกว่า 150,000 คน ภายใน 3 ปี โดยจะร่วมมือกับกลุ่มมหาวิทยาลัยคนผิวดำ หรือ Historically Black Colleges and Universities – HBCUs เพื่อช่วยกระจายแรงงาน และได้ประกาศวิธีการแก้ปัญหาการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่สำหรับบริษัทโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยกำลังสร้างวิธีการเข้ารหัสข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับการประมวลผลแบบควอนตัม แผนก Cloud Computing ของ Amazon กำลังวางแผนที่จะมอบอุปกรณ์การยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multifactor Authentication) แก่ผู้ใช้งาน เพื่อปกป้องข้อมูลให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น และยังมีแผนเสนอการอบรมเพื่อการตระหนักถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์ ต่อทั้งองค์กรและบุคคล โฆษกของ TIAA บริษัทให้บริการทางการเงิน กล่าวว่า ได้เริ่มฝึกอบรมพนักงานรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้น โดยเป็นหุ้นส่วนกับมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เพื่อให้พนักงานของ TIAA สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างเต็มที่ Jamie Dimon CEO จาก JPMorgan Chase กล่าวว่า การประชุมดังกล่าว มีประสิทธิผลและทุกคนให้ความร่วมมืออย่างมาก โดยหวังว่าจะมีการติดตามผลและทำงานได้ดีต่อไป เพื่อปกป้องสหรัฐฯ จากปัญหาที่ซับซ้อน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/08/25/google-microsoft-plan-to-spend-billions-on-cybersecurity-after-meeting-with-biden.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple Cybersecurity google Joe Biden Microsoft News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood กลับเข้าซื้อหุ้นจีนแล้ว เลือกซื้อ JD.com เข้ากอง ARKQ มองหุ้นจีนน่าสนใจในระยะยาว - FINNOMENA วันจันทร์ที่ผ่านมา (23 ส.ค.) กองทุน ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) รายงานการเข้าซื้อหุ้นเทคโนโลยีจีนอย่าง JD.com หลังก่อนหน้านี้ ARK Invest ได้เทขายหุ้นจีนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ท่ามกลางการปราบปรามอย่างหนักของรัฐบาลจีน 25 ส.ค. 2564 วันจันทร์ที่ผ่านมา (23 ส.ค.) กองทุน ARK Autonomous Technology & Robotics ETF (ARKQ) รายงานการเข้าซื้อหุ้นเทคโนโลยีจีนอย่าง JD.com หลังก่อนหน้านี้ ARK Invest ได้เทขายหุ้นจีนต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ท่ามกลางการปราบปรามอย่างหนักของรัฐบาลจีน โดย ARK Investment กำลังค้นหาบริษัทจีนที่รัฐบาลจีนชื่นชอบ และได้ให้ความสนใจในธุรกิจร้านขายของชำ โลจิสติกส์ และการผลิต ซึ่งโลจิสติกส์เป็นส่วนสำคัญของบริษัท JD.com Cathie Wood CEO จาก ARK Invest มองว่า หุ้นจีนน่าสนใจในระยะยาว เพราะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยผู้ประกอบการ โดยแม้ว่าทางการจีนจะออกกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น แต่เชื่อว่าจีนไม่ได้ต้องการฉุดรั้งความเติบโตและความก้าวหน้าในอนาคต Cathie Wood ยังมีมุมมองบวกมากขึ้นกับสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ โดยมองว่านี่เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งหากจีนไม่ต้องการสร้างสัมพันธ์กับประเทศอื่น จะส่งผลให้การแข่งขันต่างๆ ลดลง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Cathie Wood และ ARK Invest กองทุนหลักอย่าง ARKK มีผลการดำเนินงาน -4% ตั้งแต่ต้นปี จาก +149% ในปีที่แล้ว ทำให้มีเสียงต่อต้านกองทุนของ ARK มากขึ้น ซึ่งรวมถึง Michael Burry ที่ได้เปิดสถานะชอร์ตใน ARKK เมื่อไม่นานมานี้ นอกจานี้ Cathie Wood ยังออกมาปกป้อง Tesla ด้วยว่า นักวิเคราะห์ของ ARK รู้สึกทึ่งมาก เมื่อเห็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในงาน AI day สัปดาห์ที่แล้ว Cathie Wood มองเห็นความเชี่ยวชาญในด้าน AI รวมถึงวิธีที่ใช้ขับเคลื่อนนวัตกรรมของ Tesla โดยสามารถบอกได้ว่า Tesla กำลังแซงหน้าคนอื่น และยืนอยู่ในตำแหน่งเริ่มต้นที่ดี Cathie Wood มีความเห็นว่า ยอดขายรถยนต์ที่ลดลงในเร็วๆ นี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาการขาดแคลนชิปเพียงอย่างเดียว แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผู้คนจำนวนมากไม่ซื้อรถยนต์ตอนนี้ เพราะรู้ว่าราคาจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว หากมีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-08-24/cathie-wood-is-more-optimistic-than-pessimistic-about-china?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKQ Cathie Wood News Update ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นจีนยังน่าสนใจระยะยาว บลจ.กรุงศรี และ UBS มองแรงขายเป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุน KFACHINA-A และ KFCMEGA-A - FINNOMENA เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน UBS (Lux) Investment SICAV - China A Opportunity ผู้จัดการกองทุนหลักของ KFACHINA-A และมุมมองของผู้จัดการกองทุน KFCMEGA-A จาก บลจ.กรุงศรี 24 ส.ค. 2564 เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุนหุ้นจีน UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity ผู้จัดการกองทุนหลักของ KFACHINA-A และมุมมองของผู้จัดการกองทุน KFCMEGA-A จาก บลจ.กรุงศรี ตลาดหุ้นจีนกำลังเผชิญความผันผวนสูง หลังภาครัฐออกมาจัดระเบียบในหลายอุตสาหกรรม โดยราคาของหุ้นจีนที่ปรับตัวลง ส่งผลกระทบต่อกองทุนหุ้นจีน KFACHINA-A และ KFCMEGA-A ดังนี้ 🇨🇳 KFACHINA-A กระทบจากมาตรการควบคุมสุรา บุหรี่ไฟฟ้า และยาเพิ่มฮอร์โมน KFACHINA-A ลงทุนในกองทุนหลัก UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity (USD) (Class P – acc) สื่อจีนรายงานถึงผลเสียต่อสังคมของ สุราจีน บุหรี่ไฟฟ้า และยาเพิ่มฮอร์โมน โดยอ้างถึงความกังวลต่อการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจากการดื่มสุรา และผลเสียต่อเยาวชนจากการใช้ยาเพิ่มฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นความสูง ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเป็นเป้าหมายต่อไปของรัฐบาลจีนในการกำหนดมาตรการ ประเด็นดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้นบริษัทสุราจีนและบุหรี่ไฟฟ้ามีความผันผวนปานกลาง ขณะที่บริษัทยาเพิ่มฮอร์โมนปรับตัวลงแรง ณ วันที่ 5 ส.ค. 64 ซึ่งเป็นวันที่มีข่าว เนื่องจากสื่อจีนนำเสนอเพียงผลเสียของการดื่มสุราที่อาจนำไปสู่โรงมะเร็งได้ จึงยังไม่มีความชัดเจนถึงมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาควบคุมอุตสาหกรรมนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดของ Kweichow Moutai และ Wuliangye Yibin เป็นตลาดระดับบน ซึ่งมีปริมาณสินค้าต่อปีจำกัด และผู้ผลิตมีความสามารถในการขึ้นราคา ส่งผลให้ความเสี่ยงจากมาตรการข้างต้นมีผลจำกัดต่อตัวบริษัท 📌 มุมมองผู้จัดการกองทุนหลักจาก UBS กองทุนหลัก UBS (Lux) Investment SICAV – China A Opportunity มีสัดส่วนการลงทุนใน Kweichow Moutai 9.4% และ Wuliangye Yibin 9.7% ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64 ผู้จัดการกองทุนหลักยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนใน Kweichow Moutai และ Wuliangye Yibin เนื่องจากเป็นผู้ผลิตสุราจีนพรีเมี่ยม ที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ในระยะสั้น ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มผันผวนจากความกังวลเรื่องการจัดระเบียบของรัฐบาล อย่างไรก็ดี กองทุนหลักเชื่อว่าในระยะยาว บริษัทที่มีคุณภาพสูงจะมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้กองทุนเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีคุณภาพสูง หรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ซึ่งเมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปแล้ว จะมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง กองทุนหลักมองว่า มาตรการที่เข้มงวดจนทำลายธุรกิจที่เกิดขึ้นในธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา จะไม่ลุกลามไปสู่อุตสาหกรรมอื่น 📌 การปรับพอร์ตของกองทุนหลัก KFACHINA-A ในช่วงที่ผ่านมา ช่วงที่ตลาดจีนเจอแรงกดดันจากเรื่องการควบคุมในหลายอุตสาหกรรม กองทุนหลักได้มีการลดสัดส่วนการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบและเพิ่มการลงทุนในหุ้นที่ยังคงมีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตในอนาคต สำหรับ Healthcare Sector ได้เพิ่มการลงทุนใน Clinical Research Organization หรือกลุ่มการวิจัยและพัฒนายามากขึ้น เนื่องจากการทำวิจัยที่จีนมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ เพิ่มการลงทุนในกลุ่ม IT hardware ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่ม IT ที่เป็น Software โดยลงทุนในหุ้นอย่าง Luxshare Precision ที่ผลิตชิ้นส่วนให้ Apple และเริ่มการลงทุนในหุ้นบริษัทที่เป็นผู้ผลิต Battery ให้กับรถ EV เพิ่มการลงทุนในหุ้น Cement ในประเทศโดยมองว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของจีน อีกส่วนที่กองทุนหลักสนใจคือกลุ่มอุตสาหกรรม โดยกองทุนหลักจะเน้นอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ 📌 ผู้จัดการกองทุนยังคงแนะนำลงทุนในกองทุน KFACHINA-A เนื่องจากแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น สะท้อนถึงโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ราคาไม่แพง ความผันผวนของตลาดในช่วงก่อนหน้าในกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาได้รับผลกระทบทางลบโดยตรงและไม่น่าลงทุน ทว่ากองทุน KFACHINA-A ไม่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64 การที่รัฐบาลจีนจัดระเบียบและลดการผูกขาดไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่เอาเปรียบบริษัทขนาดเล็กและพนักงาน จะนำไปสู่คำสั่งปรับ และบริษัทเหล่านี้ต้องปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ยังสามารถเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจจากตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตสูง คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Facebook, Amazon, Apple และ Google คาดว่าในระยะเวลา 1-3 เดือน ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวนสูง แม้เริ่มฟื้นตัวหลังหน่วยงานภาครัฐออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ในระยะกลางถึงยาวหลังจากตลาดคลายความกังวล ระดับราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามศักยภาพการเติบโตของเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นในจีน เช่น Premiumization หรือการเติบโตของรายได้นำมาสู่รูปแบบการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป การเติบโตของประชากรสูงอายุ และนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี เป็นต้น — 🇨🇳 KFCMEGA-A ปรับตัวลดลง เผชิญแรงกดดันจากมาตรการของรัฐ KFCMEGA-A ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวม ETF ต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนในประเทศจีน และ/หรือมีธุรกิจหลักหรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการประกอบธุรกิจในประเทศจีน ซึ่งมีกองทุนหลัก ได้แก่ 1. Global X MSCI China Consumer Discretionary ETF (Fund Ticker: CHIQ) 2. Invesco China Technology ETF (Fund Ticker: CQQQ) 3. KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF (Fund Ticker: KGRN) อัตราส่วนราคาต่อกำไรในอนาคต (Forward P/E) ของดัชนี MSCI China All Shares ลงมาอยู่ที่ 15.2 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่ไม่สูง โดยหุ้น Top 10 ของกองทุน KFCMEGA-A มี Upside ประมาณ 50% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย (Target Price) และ Goldman Sachs ยังคาดการณ์กำไรของดัชนี MSCI China ว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2021 และเติบโตเพิ่มขึ้น 13% ในปี 2022 สะท้อนว่าในระยะกลาง กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีน 📌 ผู้จัดการกองทุนมองว่าแรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีน เป็นปัจจัยเสี่ยงระยะสั้น สะท้อนถึงโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ราคาไม่สูงมากนัก และคาดว่าในระยะเวลา 1-3 เดือน ตลาดหุ้นจีนยังคงเผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้ในระยะกลางถึงยาว ระดับราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพการเติบโตของเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นในจีน ยังคงแนะนำกองทุน KFCMEGA-A ที่เน้นลงทุนในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยและการเติบโตของ E-Commerce ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สังคมผู้สูงอายุ และพลังงานสะอาด อ้างอิง: Flash Update by Krungsri Asset ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: KFACHINA-A KFCMEGA-A News Update กองทุนจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียเด้งรับข่าวอนุมัติวัคซีน Pfizer - FINNOMENA เช้าวันนี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวขึ้นรับข่าว FDA อนุมัติให้วัคซีนจากบริษัท Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีนเต็มรูปแบบ การอนุมัติครั้งนี้ตลาดคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 24 ส.ค. 2564 เช้าวันนี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวขึ้นรับข่าว FDA อนุมัติให้วัคซีนจากบริษัท Pfizer-BioNTech เป็นวัคซีนเต็มรูปแบบ การอนุมัติครั้งนี้ตลาดคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน รวมไปถึงการติดต่อธุรกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังทำให้เป็นวัคซีนที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วโลกและภาคเอกชนสามารถเข้าถึงวัคซีนได้โดยตรงไม่ต้องซื้อผ่านหน่วยงานรัฐอีกต่อไป ดัชนี Nikkei 225 +0.94% ดัชนี CSI 300 +0.86% ดัชนี Hang Seng +1.54% ดัชนี KOSPI +1.65% ดัชนี SET +0.82% แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Coinbase ซื้อคริปโทฯ อีก 500 ล้านดอลลาร์ สนใจ Ethereum, Proof of Stake และ Defi มีแผนนำกำไรในอนาคต 10% มาลงทุนคริปโทฯ - FINNOMENA Brian Armstrong CEO บริษัท Coinbase ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า บอร์ดบริหารได้อนุมัติการซื้อคริปโทฯ มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์เข้าสู่งบดุลของบริษัท 20 ส.ค. 2564 Brian Armstrong CEO บริษัท Coinbase แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ของสหรัฐฯ ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า บอร์ดบริหารได้อนุมัติการซื้อคริปโทฯ มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์เข้าสู่งบดุลของบริษัท และจะนำกำไรของบริษัทในอนาคต 10% มาลงทุนในคริปโทฯ เพราะเชื่อว่ากำไรจะเติบโตเมื่อเวลาผ่านไป สัปดาห์ที่แล้ว Coinbase ประกาศงบไตรมาส 2 ของปี โดยมีกำไรอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์ และมี Cash Balance อยู่ที่ 4,400 ล้านดอลลาร์ หลายคนคาดว่าบริษัทจะนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนใน Bitcoin แต่ Alesia Haas CFO ของบริษัท กล่าวว่า Coinbase จะเป็นบริษัทมหาชนแห่งแรกที่ถือครอง Ethereum, Proof of Stake และ Defi ในงบดุลของบริษัท Alesia Haas ระบุว่า ธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบันของ Coinbase ใช้เงินสด ซึ่งขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของบริษัทที่พยายามเป็นผู้นำในการใช้คริปโทฯ หุ้น Coinbase (COIN) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.58% ในขณะที่ Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ในช่วงราคา 47,000 – 47,2000 ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ (19 ส.ค.) Coinbase ได้เปิดให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายในประเทศญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ Coinbase K.K. อ้างอิง: https://seekingalpha.com/news/3732562-coinbase-buying-crypto-for-balance-sheet ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Coinbase Crypto DeFi Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk เปิดตัว Tesla Bot หุ่นยนต์อัจฉริยะสุดล้ำ ช่วยจัดการงานซ้ำซาก น่าเบื่อ และอันตราย - FINNOMENA Tesla BOT มีชื่อโค้ดเนมส์ว่า “Optimus,” โดยจะช่วยจัดการงานที่ซ้ำซาก น่าเบื่อ และอันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ Tesla BOT ใช้ชิปประมวลผลและเซนเซอร์เดียวกับที่ใช้ในรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla 20 ส.ค. 2564 Elon Musk เปิดตัว Tesla Bot หุ่นยนต์อัจฉริยะ ในช่วงท้ายของงาน AI Day Tesla Bot มีชื่อโค้ดเนมว่า “Optimus,” โดยจะช่วยจัดการงานที่ซ้ำซาก น่าเบื่อ และอันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ Tesla Bot ใช้ชิปประมวลผลและเซนเซอร์เดียวกับที่ใช้ในรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Tesla Tesla Bot หุ่นยนต์หน้าตาคล้ายมนุษย์มีส่วนสูง 173 ซม. น้ำหนัก 57 กก. โดยสามารถยกของหนักได้ 68 กก. แต่หากต้องเดินไปด้วยสามารถยกของหนักได้ 20 กก. และเดินด้วยความเร็ว 8 กม./ ชม. โดยที่ส่วนหัวมีกล้องแบบเดียวกับรถ Tesla และมีจอแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์บริเวณใบหน้า Elon Musk กล่าวว่า Tesla Bot ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตของ Tesla แต่เพราะ Tesla ต้องพัฒนาระบบอัตโนมัติจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่ Tesla จะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา Elon Musk กล่าวว่า Tesla Bot ออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเอาชนะหุ่นยนต์ได้ เช่น การใช้หุ่นยนต์ไปจ่ายตลาดแทน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/08/19/elon-musk-teases-tesla-bot-humanoid-robot-for-repetitive-tasks.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla Tesla Bot แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นจีนร่วง ทางการตรวจสอบร้านขายยาออนไลน์ เครื่องสำอาง - FINNOMENA ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลง 2.40% ส่วนดัชนี A50 ปรับตัวลง 4.78% และดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 2.53% 20 ส.ค. 2564 ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลง 2.40% ส่วนดัชนี A50 ปรับตัวลง 3.30% และดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 2.53% เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ Delta ที่สร้างความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไปทั่วเอเชียประกอบกับแนวโน้มการทำ QE tapering ของ Fed ที่ยังกดดันตลาดหุ้นเอเชียเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ขณะเดียวกันความกังวลต่อการควบคุมจากหน่วยงานภาครัฐก็ยังส่งให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีจีนปรับตัวลง นอกจากนี้มีรายงานข่าวในวันนี้ว่าสื่อของทางการเริ่มพิจารณาตรวจสอบบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านขายยาออนไลน์ และบริษัทเครื่องสำอาง แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “นี่คือช่วงเวลาที่การถกเถียงเรื่องนวัตกรรมมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์” Cathie Wood ย้ำตลาดหุ้นยังไม่ฟองสบู่ ชอบข่าวลบ มองเป็นโอกาสของ ARK - FINNOMENA Cathie Wood CEO จาก ARK Invest ได้ออกมายืนหยัดปกป้องกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนในนวัตกรรม หลังเริ่มมีนักลงทุนเดิมพันสวนทางกับ ARK 20 ส.ค. 2564 Cathie Wood CEO จาก ARK Invest ได้ออกมายืนหยัดปกป้องกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนในนวัตกรรม หลังเริ่มมีนักลงทุนเดิมพันสวนทางกับ ARK Cathie Wood มองว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นยังไม่อยู่ในสภาวะฟองสบู่ แบบที่นักลงทุนขาชอร์ตหลายคนมอง โดยยกตัวอย่างสภาวะฟองสบู่ช่วงปลายทศวรรษ 90 ที่นักวิเคราะห์ออกมาเชียร์หุ้น โดยปรับประมาณการและราคาเป้าหมายของหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างก้าวกระโดด ซึ่ง Cathie Wood ยังไม่เห็นอะไรแบบนั้นในตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกันการที่มีหุ้น IPO ออกมาจำนวนมาก และราคาได้ดิ่งลงอย่างหนัก แปลว่าสภาวะฟองสบู่อาจอยู่ไม่ไกลมากนัก ขณะเดียวกัน Cathie Wood กลับรู้สึกสบายใจและชื่นชอบข่าวเชิงลบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าหุ้น หรือกระทบการลงทุนในระยะยาว ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่าข่าวที่เกิดขึ้น แต่ Cathie Wood กลับบอกว่า สภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับกลยุทธ์การลงทุนของ ARK Cathie Wood กล่าวว่า นักลงทุนที่มองว่ากองทุนของ ARK จะปรับตัวลดลง เหตุผลของคนเหล่านี้มักมุ่งเน้นไปที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามผู้จัดการกองทุน ARK กลับโฟกัสที่ภาวะเงินฝืดที่อาจเกิดจากนวัตกรรม โดยนวัตกรรมที่ ARK ให้ความสำคัญในแผนการลงทุน มีอยู่ใน 5 นวัตกรรมหลัก คือ การหาลำดับเบส DNA (DNA sequencing), วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics), การจัดเก็บพลังงาน, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีบล็อกเชน ก่อนหน้านี้ (16 ส.ค.) Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดังแห่งวอลสตรีท รายงานการ Short Sell ผ่านการซื้อ Put Options ในกองทุนหลักของ Cathie Wood อย่าง ARK Innovation ETF (ARKK) จำนวน 235,500 หุ้น ในสิ้นไตรมาสที่ 2 และยังมีเฮดจ์ฟันด์รายอื่นที่เดิมพันสวนทางกับกองทุนของ ARK Invest ที่ผ่านมา กองทุนเรือธงของ ARK Invest อย่าง ARKK ปรับตัวลดลงสู่จุดต่ำสุดในเดือน พ.ค. หลังนักลงทุนย้ายการลงทุนจากหุ้นเทคโนโลยี ไปยังหุ้น Value มากขึ้น โดย ARKK มีผลการดำเนินงานในสิ้นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9% และมีผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ 7% Cathie Wood กล่าวว่า เมล็ดพันธุ์สำหรับแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เคยถูกปลูกไว้ในช่วง 20 ปีที่แล้ว และจบลงด้วยฟองสบู่ ในวิกฤติการณ์การเงินปี 2000 แตกต่างจากตอนนี้ Cathie Wood ไม่คิดว่าตลาดพร้อมสำหรับนวัตกรรมที่กำลังเกิดขึ้น “นี่คือช่วงเวลาที่การถกเถียงเรื่องนวัตกรรมมีมากที่สุดในประวัติศาสตร์” อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/08/19/cathie-wood-says-stocks-are-not-in-a-bubble-thinks-investors-betting-against-her-fund-are-off-base.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงรับรายงานประชุม Fed - FINNOMENA เช้านี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวลงเคลื่อนไหวในแดนลบ รับรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่ชี้ว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าควรปรับลดวงเงินเข้าซื้อสินทรัพย์การเงินตามมาตรการ QE ภายในปีนี้จากเดิมที่ตลาดคาดว่าจะเป็นต้นปีหน้า 19 ส.ค. 2564 เช้านี้ตลาดหุ้นทั่วเอเชียปรับตัวลงเคลื่อนไหวในแดนลบ รับรายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ที่ชี้ว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าควรปรับลดวงเงินเข้าซื้อสินทรัพย์การเงินตามมาตรการ QE ภายในปีนี้จากเดิมที่ตลาดคาดว่าจะเป็นต้นปีหน้า แต่มีคณะกรรมการบางส่วนที่ยังคงมองว่าควรปรับลดในต้นปีหน้า ขณะเดียวกันตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยียังคงได้รับแรงกดดันเพิ่มหลังกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ระบุว่าแอปพลิเคชันจำนวน 43 รายการ รวมถึง WeChat ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันการสื่อสารของ Tencent ได้ถ่ายโอนข้อมูลผู้ใช้งานอย่างผิดกฎหมาย พร้อมสั่งให้ดำเนินการแก้ไขภายในวันที่ 25 ส.ค. นี้ นอกจากนี้ยังคงมีแรงกดดันหลังประนาธิบดีสี จิ้นผิง มีแผนการกระจายความมั่งคั่ง เพิ่มค่าจ้าง และส่งเสริมชนชั้นกลาง ซึ่งอาจมีการปรับขึ้นอัตราภาษีกับบริษัทเทคโนโลยีและภาษีด้านอสังหาฯ ส่งให้เช้านี้ ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 0.72% ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลง 0.73% ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 1.71% ดัชนี KOSPI ปรับตัวลง 1.42% FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นจีนได้รับแรงกดดันและมีความไม่แน่นอนสูง จึงมีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในจีนแล้วให้คงสัดส่วนตามสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนแนะนำ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนในจีนแนะนำให้ทยอยสะสมตามตามสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนแนะนำ ทั้งนี้ควรพิจารณาประกอบกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ โดยมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการแข่งขันและพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนในระยะยาว และ FINNOMENA Investment Team จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood วิจารณ์จีนคุมเข้มนวัตกรรม มองหุ้นจีนลงต่อ เป็นผลดีกับสหรัฐฯ โต้ Michael Burry ชอร์ต ARK ไม่เข้าใจการเติบโตนวัตกรรม - FINNOMENA Cathie Wood CEO และ ผู้จัดการกองทุน ARK Investment มองว่า การปราบปรามของทางการจีนอาจขัดขวางการเติบโตของนวัตกรรม และได้ออกมาโต้ Michael Burry ที่ขายชอร์ตกองทุน ARKK ก่อนหน้านี้ 18 ส.ค. 2564 Cathie Wood CEO และ ผู้จัดการกองทุน ARK Investment มองว่า การปราบปรามของทางการจีนอาจขัดขวางการเติบโตของนวัตกรรม และได้ออกมาโต้ Michael Burry ที่ขายชอร์ตกองทุน ARKK ก่อนหน้านี้ เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.) Cathie Wood ได้ตอบโต้ Michael Burry ผ่านทางทวิตเตอร์ว่า Michael Burry ไม่เข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่จะสร้าง ’การเติบโตอย่างรวดเร็วและโอกาสการลงทุน’ ในนวัตกรรม ก่อนหน้านี้ (13 ส.ค.) Cathie Wood ได้แสดงความเห็นต่อตลาดหุ้นจีนโดยมองว่า Valuation ของตลาดจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน จนกว่าบริษัทจีนจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกครั้ง Cathie Wood ค่อนข้างแปลกใจที่ความสัมพันธ์ของจีนและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดหลังโจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี และมองว่า การปรับห่วงโซ่อุปทานครั้งนี้จะส่งผลดีต่อสหรัฐฯ และอาจส่งผลเสียต่อจีนบ้าง การปราบปรามของทางการจีนนั้นขัดแย้งต่อความปรารถนาที่จะเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมมากสุดแห่งหนึ่งในโลก เมื่อวานนี้ (17 ส.ค.) รัฐบาลจีนได้เพิ่มมาตรการคุมเข้มบริษัทแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีจีนเป็นวันที่ 5 ติดต่อกันแล้ว Cathie Wood ยอมรับถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการเงินของ WeChat และ Alipay แต่มองว่าจีนกำลังเดินถอยหลังกลับในแง่ของการอนุญาตให้ข้อมูลใด ๆ ออกจากประเทศ Cathie Wood แปลกใจถึงความเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ต้องการเป็นหนึ่งด้านนวัตกรรม แต่ยังคงเปิดใจให้หุ้นจีน และมองหาบริษัทนวัตกรรมที่มีศักยภาพต่อไป ก่อนหน้านี้ ARK Investment ได้เทขายหุ้นจีนออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ทางการจีนได้ปราบปรามภาคธุรกิจอย่างจริงจัง โดยกองทุนหลักอย่าง ARKK (ARK Innovation ETF) เหลือการลงทุนในหุ้นจีนเพียง 0.18% จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิทั้งหมด 23,000 ล้านดอลลาร์ เทียบกับสัดส่วนการถือหุ้นจีน 8% ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-08-17/cathie-wood-says-china-tech-crackdown-boosts-u-s-arkk-etf-exits-china?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update ตลาดหุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Michael Burry เข้าชอร์ต ARKK นักลงทุน ‘Big Short’ เตือนหายนะ หุ้นมีม และคริปโทฯ ‘Mother of All Crashes’ - FINNOMENA Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดังแห่งวอลสตรีทเจ้าของฉายา ‘The Big Short’ และผู้ก่อตั้งบริษัท Scion Asset Management เปิดเผยการชอร์ต ARKK และ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ผ่านรายงานการบริหารจัดการกองทุน งวดสิ้นสุดไตรมาส 2 17 ส.ค. 2564 Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดังแห่งวอลสตรีทเจ้าของฉายา ‘The Big Short’ และผู้ก่อตั้งบริษัท Scion Asset Management เปิดเผยการชอร์ต ARKK และ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ผ่านรายงานการบริหารจัดการกองทุน งวดสิ้นสุดไตรมาส 2 Scion Asset Management รายงานการ Short Sell ผ่านการซื้อ Put Options ในกองทุนหลักของ Cathie Wood อย่าง ARK Innovation ETF (ARKK) จำนวน 235,500 หุ้น ในสิ้นไตรมาสที่ 2 คิดเป็นมูลค่าเกือบ 31 ล้านดอลลาร์ ในเดือน มิ.ย. Michael Burry ได้เตือนนักลงทุนรายย่อยว่า อาจถูกดึงดูดเข้าสู่ความพังพินาศ จากการลงทุนในคริปโทฯ และหุ้นมีมต่างๆ Michael Burry ได้เริ่มเดิมพันทางอ้อมกับ Cathie Wood มาแล้วระยะหนึ่ง โดยการ Short Sell หุ้น Tesla ซึ่งเป็นหุ้นที่กองทุน ARKK ถือครองสัดส่วนสูงสุด แม้ราคาหุ้น Tesla จะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2 แต่ Michael Burry ยังคงเพิ่มการ Short Sell หุ้น Tesla ถึง 1,075,500 หุ้น ในไตรมาสที่ 2 จาก 800,100 หุ้น ในไตรมาสแรก ในปีที่ผ่านมา กองทุนของ ARK Investment ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมาก หลังการลงทุนที่เน้นเดิมพันด้านเทคโนโลยีสามารถเอาชนะตลาดได้ในปี 2020 แต่ตอนนี้ Cathie Wood ต้องพยายามรักษาโมเมนตัมท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับราคาที่สูงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น เมื่อวานนี้ (16 ส.ค.) ARKK ปรับตัวลดลง 2.6% ท่ามกลางการปรับตัวลงของหุ้นเทคโนโลยีในวงกว้าง ด้านหุ้น Tesla ปรับตัวลดลง 4.32% หลังสหรัฐฯ เปิดการสอบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับระบบเครื่องยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของบริษัท ที่มา: Bloomberg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เจาะกลยุทธ์ Disney เร่งลงทุนธุรกิจสตรีมมิ่ง Disney+ ผู้ใช้งานโตเท่าตัว ทะลุ 116 ล้านทั่วโลก หลังฉาย Loki หวัง Turnaround ทดแทนรายได้สวนสนุก - FINNOMENA Disney เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ โตเกินคาด หนุนให้ราคาหุ้น Disney นอกเวลาทำการซื้อขาย พุ่งขึ้นกว่า 5% (12 ส.ค.) 13 ส.ค. 2564 Disney เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ โตเกินคาด หนุนให้ราคาหุ้น Disney นอกเวลาทำการซื้อขาย พุ่งขึ้นกว่า 5% (12 ส.ค.) ผลประกอบการ Disney ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Refinitive คาดการณ์ โดยกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $0.80 เทียบกับคาดการณ์ที่ $0.55 และรายได้อยู่ที่ 17,020 ล้านดอลลาร์ เทียบกับคาดการณ์ที่ 16,760 ล้านดอลลาร์ จำนวนสมาชิกของ Disney+ บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง ทะลุ 116 ล้านราย ซึ่งสูงกว่าที่ StreetAccount คาดการณ์ไว้เพียง 114.5 ล้านราย และสูงกว่าไตรมาสก่อนหน้าที่มีจำนวนสมาชิก 103.6 ล้านราย โดยรายการที่ได้รับความนิยมใน Disney+ ได้แก่ มินิซีรีส์เรื่อง “The Falcon and the Winter Soldier” และ ซีรีส์ “Loki” จาก Marvel รวมถึงภาพยนตร์จาก Pixar เรื่อง “Luca” แต่รายได้เฉลี่ยของผู้ใช้บริการ Disney+ ลดลง 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยรายได้จากค่าสมาชิกอยู่ที่ $4.16 /เดือน/สมาชิก เป็นผลจากแผนการตลาดในภูมิภาคเอเชีย ที่คิดค่าสมาชิกต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ส่งผลให้จำนวนสมาชิก Disney+ Hotstar เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม Disney ยังคงทดลองหาวิธีการฉายภาพยนตร์เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมการรับชมที่เปลี่ยนไปจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทเตรียมปล่อยหนัง Shang-Chi จากค่าย Marvel ในโรงภาพยนตร์เป็นเวลา 45 วัน ก่อนเพิ่มลงในบริการสตรีมมิ่ง โดยรวมแล้ว มีผู้สมัครใช้บริการ Disney+, ESPN+ และ Hulu เกือบ 174 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 โดยรายได้จาก Direct-to-Consumer เพิ่มขึ้นถึง 57% สู่ 4,300 ล้านดอลลาร์ และ รายได้เฉลี่ย/เดือน/สมาชิก เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสำหรับ ESPN+ และ Hulu Bob Chapek CEO ของ Disney กล่าวว่า บริษัทเพิ่งเริ่มต้นเดินทางในธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง แต่สิ่งที่แตกต่างของ Disney คือ เนื้อหาที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่บอกเล่าโดยนักเล่าเรื่องที่ดีที่สุด Bob Chapek มั่นใจในแนวทางของ Disney+ และคาดการณ์ว่าจำนวนสมาชิกของ Disney+ จะอยู่ที่ 230 ถึง 260 ล้านราย ภายในปี 2024 นอกจากนี้ ธุรกิจ Disney’s Parks and Products ได้กลับมาสร้างกำไรเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ถ้าพิจารณาเพียงฝั่งสวนสนุกยังคงขาดทุน รายได้ของ Disney’s Parks and Products เพิ่มขึ้น 308% สู่ 4,300 ล้านดอลลาร์ จากการเริ่มเปิดสวนสนุกในไตรมาสที่ 3 และมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 356 ล้านดอลลาร์ เทียบกับการขาดทุน 1,870 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายสินค้า ซึ่งมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 564 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นสินค้าเกี่ยวกับ มิกกี้, มินนี่, สตาร์ วอร์ส, เจ้าหญิงดิสนีย์ และสไปเดอร์แมน สวนสนุกของ Disney ในสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้งในเดือน เม.ย. และมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 2 ล้านดอลลาร์ แต่สวนสนุกของ Disney ในหลายประเทศ ยังไม่สามารถเปิดได้ ทำให้ขาดทุนถึง 210 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการรายงานการขาดทุน 5 ไตรมาสติดต่อกัน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม Bob Chapek มองเห็นความต้องการมาเที่ยวสวนสนุกที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภค เมื่อปลายเดือน ก.ค. คู่แข่งอย่าง Comcast ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Universal Studios ทั่วโลก รายงานว่า ธุรกิจสวนสนุกทำกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 การฟื้นตัวในธุรกิจสวนสนุกมีความสำคัญต่อผลกำไรของ Disney โดยในปี 2019 ธุรกิจสวนสนุก โรงแรม และเรือสำราญ คิดเป็นรายได้ทั้งหมด 37% ของบริษัท ซึ่งเป็นมูลค่า 69,600 ล้านดอลลาร์ ที่มา: CNBC ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Disney DisneyPlus News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood มองหุ้นจีนยังลงต่อ เชื่อยังถูกกดดัน ไม่กลับขึ้นมาเร็วๆ นี้ แต่ยังเปิดใจให้ตลาดหุ้นจีน มองหาบริษัทนวัตกรรมต่อไป - FINNOMENA Cathie Wood CEO ของ ARK Invest กล่าวในสัมมนาออนไลน์ว่า มูลค่าหุ้นจีนจะยังถูกกดดันอีกสักพัก แต่ ARK ยังคงเปิดใจให้ตลาดหุ้นจีน 11 ส.ค. 2564 Cathie Wood CEO ของ ARK Invest กล่าวในสัมมนาออนไลน์ว่า มูลค่าหุ้นจีนจะยังถูกกดดันอีกสักพัก แต่ ARK ยังคงเปิดใจให้ตลาดหุ้นจีน Cathie Wood ยอมรับว่ากำลังพิจารณาโครงสร้างตลาดหุ้นจีนในหลายด้าน ซึ่งโครงสร้างด้านมูลค่าในบริษัทจีนนั้นตกต่ำลง โดยจะไม่ฟื้นตัวกลับมาเร็วๆ นี้ และอาจลดลงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ Cathie Wood เชื่อว่าจะสามารถหาบริษัทนวัตกรรมที่น่าสนใจได้ และจะเปิดใจแก่บริษัทเหล่านั้น ในเดือน ก.ค. ARK ได้เทขายหุ้นจีนจำนวนมาก เนื่องจากรัฐบาลจีนได้ปราบปรามตั้งแต่ธุรกิจการศึกษาไปจนถึงเทคโนโลยี ทำให้มูลค่าหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ, ฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ สูญไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในวันที่ 9 ส.ค. กองทุนหลักอย่าง ARKK (ARK Innovation ETF) เหลือการลงทุนในหุ้นจีนเพียง 0.18% จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิทั้งหมด 23,000 ล้านดอลลาร์ เทียบกับสัดส่วนการถือหุ้นจีน 8% ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา (ข้อมูลจาก Bloomberg) เริ่มมีสัญญาณว่านักลงทุนกำลังมองหาจุดต่ำสุดในตลาดหุ้นจีน โดยเมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) หุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนบางส่วนเริ่มมีมุมมองบวกต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว ที่มา: Bloomberg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: นักลงทุนคาด PBOC จะมีมาตรการเสริม ส่งหุ้นจีนเด้งแรง - FINNOMENA นักลงทุนคาดธนาคารกลางจีน (PBOC) จะมีมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและภาวะการลงทุนเพิ่มเติม หลังในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา PBOC เสริมสภาพคล่องผ่าน 7 Days Reverse Repurchase Agreement จำนวน 30,000 ล้านหยวน (4,600 ล้านดอลลาร์) 2 ส.ค. 2564 นักลงทุนคาดธนาคารกลางจีน (PBOC) จะมีมาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและภาวะการลงทุนเพิ่มเติม หลังในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา PBOC เสริมสภาพคล่องผ่าน 7 Days Reverse Repurchase Agreement จำนวน 30,000 ล้านหยวน (4,600 ล้านดอลลาร์) ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลจีนที่พยายามลดแรงกดดันต่อภาวะการลงทุน ด้วยการชี้แจงต่อสถาบันการเงินว่าไม่ได้มุ่งที่จะทำลายปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ส่งผลให้ดัชนี CSI300 ซึ่ง FINNOMENA Investment Team ได้แนะนำให้เข้าลงทุนแบบ Tactical Call เมื่อ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4,910 จุด หรือคิดเป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 2.09% เหนือแนวรับสำคัญที่แนะนำ Stop loss ที่ 4,800 จุด จึงแนะนำให้ถือครองการลงทุนต่อไป ระหว่างประเมินสถานการณ์อีกครั้ง แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton Insights I ถึงเวลาของสินทรัพย์ลูกผสม - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: ถึงเวลาของสินทรัพย์ลูกผสม คุณ Ed Perks, Chief Investment Officer, Franklin Templeton Investment Solutions 30 ก.ค. 2564 พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: ถึงเวลาของสินทรัพย์ลูกผสม คุณ Ed Perks, Chief Investment Officer, Franklin Templeton Investment Solutions <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase Economic, FINNOMENA Franklin Templeton, Income Asset อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้นจีนเด้งแรงหลังภาครัฐชี้แจงไม่มุ่งทำลายพื้นฐานบริษัท - FINNOMENA คืนที่ผ่านมาคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของจีนจัดการประชุมออนไลน์ ร่วมกับธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อชี้แจงถึงท่าทีของทางการจีนว่าดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย และไม่ได้มุ่งที่จะทำลายปัจจัยพื้นฐานของบริษัท 29 ก.ค. 2564 คืนที่ผ่านมาคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของจีนจัดการประชุมออนไลน์ ร่วมกับธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อชี้แจงถึงท่าทีของทางการจีนว่าดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย และไม่ได้มุ่งที่จะทำลายปัจจัยพื้นฐานของบริษัท สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับท่าทีของสื่อภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนที่ออกบทความระบุว่า หุ้นเทคโนโลยีของจีนนั้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจเพื่อการลงทุน และคาดว่าแนวโน้มความกดดันดังกล่าวมีโอกาสที่จะจบลงแล้วสูง และมีนักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่ากองทุนจากสถาบันการเงินหรือธนาคารที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือที่เรียกว่า ทีมชาติ เริ่มเข้าซื้อเพื่อหนุนตลาดหุ้น พร้อมกันนั้นในวันนี้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังได้ดำเนินการเสริมสภาพคล่องผ่านทาง 7 Days Reverse Repurchase Agreement จำนวน 30,000 ล้านหยวน (4,600 ล้านดอลลาร์) เข้าสู่ตลาดการกู้ยืมระหว่างธนาคาร ส่งผลให้ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีนปรับตัวขึ้นแรง นำโดย Hang Seng Index ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 3.29% และ Hang Seng Tech Index ที่ปรับตัวขึ้นถึง 7.35% โดยหุ้นเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Alibaba, Tencent, Meituan สามารถปรับตัวขึ้นได้ 7.04%, 9.39% และ 9.15% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีอื่นของประเทศจีนต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน CSI300 ปรับตัวชึ้น 1.96% China A50 ปรับตัวขึ้น 0.87% SZSE Component ปรับตัวขึ้น 2.71% Source: Bloomberg.com แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นจีนร่วง 3 วันติดต่อ หลังรัฐคุมโรงเรียนกวดวิชา - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng และ CSI 300 ปิดตลาดปรับตัวลง 4.42% และ 3.53% ตามลำดับ โดยดัชนี Hang Seng ได้รับแรงกดดันโดยตรง ท่ามกลางแรงเทขายจากความกังวลประเด็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรการควบคุมสถาบันกวดวิชา 27 ก.ค. 2564 ดัชนี Hang Seng และ CSI 300 ปิดตลาดปรับตัวลง 4.42% และ 3.53% ตามลำดับ โดยดัชนี Hang Seng ได้รับแรงกดดันโดยตรง ท่ามกลางแรงเทขายจากความกังวลประเด็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรการควบคุมสถาบันกวดวิชา การสั่งปรับ Tencent กรณีควบรวมกิจการเข้าข่ายการผูกขาดตลาด รวมไปถึงมีคำสั่งไปยัง Meituan ให้สร้างความเป็นธรรมต่อคนขับรถขนส่งอาหาร นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า KE Holdings โดนเรียกสอบสวนจากทางการจีน กรณีผูกขาดทางการค้าด้วยการบังคับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ลงข้อมูลเฉพาะแพลตฟอร์มของ KE Holdings เท่านั้น ดัชนี CSI 300 แม้จะได้รับแรงกดดันทางอ้อมจากเหตุการณ์นี้ แต่ด้วยการกำกับดูแลหลายภาคส่วนในเวลาเดียวกันส่งผลให้นักลงทุนกังวลต่อทิศทางการกำกับดูแลของทางการ จีงมีแรงเทขายออกมาเช่นกัน FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่าปัจจัยดังกล่าวสร้างความไม่แน่นอนสูงในระยะสั้น จึงมีคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในจีนแล้วให้คงสัดส่วนตามสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนแนะนำ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีสัดส่วนการลงทุนในจีนแนะนำให้ทยอยสะสมตามตามสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนแนะนำ ทั้งนี้ควรพิจารณาประกอบกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ โดยมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการแข่งขันและพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนในระยะยาว และ FINNOMENA Investment Team จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วง 2.5% รับตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงสุดอีกครั้ง - FINNOMENA เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN Index ปรับตัวลงกว่า 2.5% นำโดยกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้งสถาบันการเงินและพัฒนาอสังหาฯ มีหุ้นปรับตัวลง 588 บริษัท ไม่เปลี่ยนแปลง 922 บริษัท และปรับตัวขึ้น 154 บริษัท หลังเมื่อวานนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 5,926 ราย นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในเวียดนาม 19 ก.ค. 2564 เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN Index ปรับตัวลงกว่า 2.5% นำโดยกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้งสถาบันการเงินและพัฒนาอสังหาฯ มีหุ้นปรับตัวลง 588 บริษัท ไม่เปลี่ยนแปลง 922 บริษัท และปรับตัวขึ้น 154 บริษัท หลังเมื่อวานนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 5,926 ราย นับเป็นตัวเลขสูงที่สุดตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดในเวียดนาม โดยในจำนวนนี้อยู่ในเมืองโฮจิมินห์ 4,692 ราย ส่วนเช้าวันนี้มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่ 2,015 ราย อย่างไรก็ตามต้องติดตามตัวเลขที่อาจเพิ่มขึ้นในการรายงานตัวเลขรอบเย็นอีกครั้ง จำนวนผู้ติดเชื้อยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและการทำกำไรของบริษัท ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าลงทุนซึ่งอาจเป็นทั้ง Tactical Call และการลงทุนระยะยาวต่อไป Source: finance.vietstock.vn, vietnamnews.vn อ่านบทความเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ทุกกองในประเทศไทย ครบจบในที่เดียว! แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นเวียดนามยังกังวลผู้ติดเชื้อ ร่วงต่ออีก 4% - FINNOMENA หลังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนหน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น แต่ผลจากความกังวลยังทำให้มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์และคำแนะนำขายทำกำไรให้ลูกค้าขายทำกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าลงทุน 12 ก.ค. 2564 หลังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจนหน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น แต่ผลจากความกังวลยังทำให้มีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่องในวันทำการแรกของสัปดาห์ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์และคำแนะนำขายทำกำไรให้ลูกค้าขายทำกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ โดยการปรับตัวลงในวันนี้เกิดจากแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มการเงินและอสังหาฯ เช่น Joint Stock Commercial Bank for Foreign Trade of Vietnam (VCB) ปรับตัวลง 4.37% Vingroup JSC (VIC) ปรับตัวลง 4.24% และ Vinhomes JSC (VHM) ที่ร่วงกว่า 5.42% ขณะที่ภาพรวมตลาดมีหุ้นปรับตัวลงทั้งหมด 752 บริษัท ไม่เปลี่ยนแปลง 828 บริษัท และปรับตัวขึ้นเพียง 78 บริษัท ส่งผลให้ดัชนี VN ปรับตัวลง 4.14% เมื่อมีข่าวการแพร่ระบาดเข้ามาทำให้นักลงทุนต่างเทขายเพื่อทำกำไรจากการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องของดัชนีหุ้นเวียดนาม ขณะเดียวกันก็มีแรงเทขายเพื่อรักษาระดับความเสี่ยงจากการลงทุนระยะสั้นอีกด้วย ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าลงทุนซึ่งอาจเป็นทั้ง Tactical Call และการลงทุนระยะยาวต่อไป Source: finance.vietstock.vn, vietnamnews.vn อ่านบทความเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ทุกกองในประเทศไทย ครบจบในที่เดียว! แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ดัชนี Hang Seng และ SET ร่วงแรงนำตลาดหุ้นเอเชีย - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงอย่างแรงเนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ยังถูกกดดันด้วยความกังวลต่อมาตรการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐจีน โดยราคาหุ้น Alibaba Tencent และ Meituan ต่างปรับตัวลง 4.13%, 3.74% และ 6.43% ตามลำดับ นอกจากจะทำให้ดัชนี Hang Seng ปิด -2.79% แล้วยังกดดันให้ดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCE) ปรับตัวลงเช่นกันกว่า -3.22% 8 ก.ค. 2564 ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงอย่างแรงเนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีจีนขนาดใหญ่ยังถูกกดดันด้วยความกังวลต่อมาตรการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐจีน โดยราคาหุ้น Alibaba Tencent และ Meituan ต่างปรับตัวลง 4.13%, 3.74% และ 6.43% ตามลำดับ นอกจากจะทำให้ดัชนี Hang Seng ปิด -2.79% แล้วยังกดดันให้ดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCE) ปรับตัวลงเช่นกันกว่า -3.22% ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็เป็นอีกดัชนีตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวแรงในวันนี้ ล่าสุดปรับตัวลงกว่า 33 จุด หรือประมาณ 2.13% ส่วนดัชนี SETPREIT ปรับตัวลง 1.14% หลังนายกฯ เรียกประชุมด่วน ศบค. ชุดใหญ่วันพรุ่งนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาด และพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขให้ยกระดับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นเวลา 14 วัน จากปัจจัยพื้นฐานและประมาณการเติบโตของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจีนยังมีความน่าสนใจ ส่วนมาตรการควบคุมของทางการจีนก็เป็นไปตามแนวทางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนในระยะกลางถึงยาว ด้านกองทุนอสังหาฯ และ Reits ไทยจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นหากมีการใช้มาตรการควบคุมที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยอัตราการปันผลที่น่าสนใจประกอบกับสถานการณ์ที่จะดีขึ้นจากมาตรการดังกล่าวพร้อมการแจกจ่ายวัคซีน ส่งผลให้เรายังแนะนำลงทุนในกองทุนอสังหาฯ และ Reits ไทย ตามสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนแนะนำ Source: Bloomberg, Sanook แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นเวียดนามรีบาวน์แรง กลุ่มการเงิน อสังหาดันตลาด - FINNOMENA ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้น 2.49% ด้วยแรงซื้อที่กลับมาหลังตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวร่วงแรงในช่วงก่อนปิดตลาดเมื่อวานนี้จากความกังวลการแพร่ระบาดของ COVID-19 7 ก.ค. 2564 ดัชนี VN Index ปรับตัวขึ้น 2.49% ด้วยแรงซื้อที่กลับมาหลังตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวร่วงแรงในช่วงก่อนปิดตลาดเมื่อวานนี้จากความกังวลการแพร่ระบาดของ COVID-19 หุ้นในกลุ่มการเงินและประกันพร้อมกลุ่มอสังหาฯ ซึ่งมีเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหลักในตลาดหุ้นเวียดนามต่างปรับตัวขึ้นหนุนตลาดในวันนี้ เช่น Bank for Foreign Trade of Vietnam (VCB) ซึ่งมีสัดส่วน 5.34% ในดัชนี ปรับตัวขึ้นมา 1.25% เช่นเดียวกับ Vingroup (VIC) ซึ่งมีสัดส่วน 7.34% ปรับตัวขึ้น 1.79% ขณะเดียวกันก็แรงหนุนจากรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีน Moderna จำนวน 2 ล้านโดส โดยจะถึงเวียดนามภายในสัปดาห์นี้ การฟื้นตัวในวันนี้เป็นการฟื้นตัวไม่ทั่วทั้งตลาดและส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ โดยมีหุ้นปรับตัวขึ้น 281 ตัว ไม่เปลี่ยนแปลง 858 ตัว และปรับตัวลง 524 ตัว ดังนั้นแม้ปัจจัยพื้นฐานของเวียดนามจะน่าสนใจแต่การปรับตัวขึ้นมาตลอดปีส่งผลให้ระดับมูลค่าเริ่มจำกัด ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงที่เผชิญอยู่มีความไม่แน่นอน FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าลงทุนซึ่งอาจเป็นทั้ง Tactical Call และการลงทุนระยะยาวต่อไป ที่มา: finance.vietstock.vn อ่านบทความเพิ่มเติม รีวิวกองทุนเวียดนาม ทุกกองในประเทศไทย ครบจบในที่เดียว! แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามดิ่งเกือบ 4% กังวลผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงสุด - FINNOMENA VN Index (VNI) ปรับตัวลงกว่า 3.99% ด้วยความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดย Vietnam News รายงานว่าเมื่อวานนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 1,102 ราย เป็นจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ส่งจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 21,035 ราย 6 ก.ค. 2564 VN Index (VNI) ปรับตัวลงกว่า 3.99% ด้วยความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดย Vietnam News รายงานว่าเมื่อวานนี้มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 1,102 ราย เป็นจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาด ส่งจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม 21,035 ราย ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพิ่มขึ้น ควบคุมแหล่งก่อให้เกิดการแพร่ระบาด และได้สั่งปิดตลาด Binh Dien ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโฮจิมินห์ FINNOMENA Investment Team มองว่าการปรับตัวในวันนี้เป็นการเทขายจากความกังวลและแรงเก็งกำไร แม้ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นในอนาคต แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน ดังนั้น FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำรอจังหวะการปรับฐานเพื่อเข้าลงทุนซึ่งอาจเป็นทั้ง Tactical Call และการลงทุนระยะยาวต่อไป แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
2021...ได้เวลา ‘เงินสกุลดิจิตอล CBDC’ - FINNOMENA เมื่อต้นสัปดาห์นี้ BIS แสดงความเห็นถึงทิศทางเงินสกุลดิจิตอลของธนาคารกลาง CBDC ว่าถึงตรงนี้ น่าจะเป็นเวลาของ ‘เงินสกุลดิจิตอล ธนาคารกลาง CBDC' ทั้งนี้ ข้อพิจารณาเกี่ยวกับ CBDC ที่ถือว่ามีความสำคัญและอัปเดตล่าสุด มีอยู่ 3 ประการ 2 ก.ค. 2564 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ BIS แสดงความเห็นถึงทิศทางเงินสกุลดิจิตอลของธนาคารกลาง CBDC ว่าถึงตรงนี้ น่าจะเป็นเวลาของ ‘เงินสกุลดิจิตอล ธนาคารกลาง CBDC’ Bank for International Settlement หรือ BIS ระบุอีกว่า เวลาของ ‘เงินสกุลดิจิตอลธนาคารกลาง CBDC’ ค่อย ๆ จะมาแทนที่ระบบการเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมถึงมองระบบการเงินของโลกว่าควรเป็นไปในรูปแบบคู่ขนาน ระหว่างภาคธนาคารกลางที่จะมีระบบเงินดิจิตอล ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยสกุลเงินเพื่อใช้แลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างกัน สภาพคล่อง และให้ความปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ กับภาคเอกชนที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์และความเฉลียวฉลาดในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า BIS ได้ย้ำว่า CBDC จะไม่ไปทำหน้าที่แทนแบงก์พาณิชย์ ด้วยการจำกัดปริมาณการใช้งานต่อสัดส่วนธุรกรรมการเงินทั้งหมดให้ต่ำมาก เหมือนกับที่เงินสดได้ทำหน้าที่อยู่ในปริมาณอย่างจำกัดในตอนนี้ ทั้งนี้ ข้อพิจารณาเกี่ยวกับ CBDC ที่ถือว่ามีความสำคัญและอัปเดตล่าสุด มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้ 1. ยกระดับการแข่งขันและการเข้าถึงแหล่งเงิน (Financial Inclusion) ในยุคที่เราเรียกกันว่าเป็นยุคทองทางด้านการเงิน ไม่น่าเชื่อว่า โดยแท้จริงแล้ว ในภูมิภาคยุโรป ต้นทุนของธุรกรรมด้านบัตรเครดิตต่อหนึ่งรายการสูงกว่าการใช้เงินสดถึง 25 ยูโร รวมถึงแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้ว มีจำนวนประชาชนอยู่ในสัดส่วนไม่น้อยยังไม่สามารถเข้าถึงการใช้บริการเงินฝากธนาคาร บัตรเดบิต และบัตรเครดิต นั่นหมายความว่าสถาบันการเงินทั้ง Bank และ Non-Bank ในปัจจุบัน แม้ว่าจะสามารถมีการผูกขาดที่จะเข้าถึงแหล่งข้อมูลของประชาชนทั่วไปแบบที่ธุรกิจหรือหน่วยงานอื่นสามารถเข้าถึงไม่ได้หรือได้ไม่เท่า ทว่ายังนำข้อมูลมากมายดังกล่าวไปต่อยอดเป็น Information Silo แทนที่จะนำไปใช้ปรับปรุงเพื่อให้ประสิทธิภาพการเข้าถึงการใช้เงินของประชาชนสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความเห็นของ BIS จึงมองไปที่การพัฒนาการใช้ข้อมูลให้เป็นลักษณะโครงสร้างแบบเปิด (Open Marketplace) ด้วยการกำกับการใช้ข้อมูลแบบที่ผู้ใช้ในหน่วยงานต่างๆสามารถเข้าถึงได้แบบมีระบบที่รัดกุม โดยการใช้มาตรฐานทางเทคนิคอย่างเช่น Application Programming Interface (API) เพื่อให้ฟอร์แมตของข้อมูลเป็นหนึ่งเดียวในการสามารถใช้งานและเข้าถึงข้อมูลร่วมกัน สำหรับระหว่างบรรดาผู้ให้บริการเจ้าต่าง ๆ สัดส่วนของประชาชนที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงินเบื้องต้นของประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้ API ล่าสุด ได้แก่ retail fast payment system (FPS) ที่ไม่ได้ใช้ CBDC ทว่าเป็นจุดที่เชื่อมต่อจาก CBDC ทำให้การพัฒนาไปได้ไกลขึ้น เพื่อที่ระบบโครงสร้างแบบเปิดสามารถทำได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการให้บริการต่ำลง การเขาถึงประชาชนทำได้มากขึ้น และ สร้างนวัตกรรมที่ไปไกลยิ่งขึ้นอีก ทั้งนี้ CBDC จะไปลดต้นทุนของบริการทางการเงิน อย่างบัตรเดบิตและบัตรเครดิต ที่ยังสูงอยู่ดังกล่าวข้างต้น ให้ลดต่ำลง นอกจากนี้ การให้ข้อมูลส่วนตัวต่อสถาบันการเงินในการนำไปสร้างบริการทางการเงิน ถือเป็นสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป จากการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐสาขานิวยอร์ค ที่แสดงว่าประชาชนให้ความเชื่อถือต่อสถาบันกาารเงินสูงกว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เป็นอันมาก ในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้กับหน่วยงานภายนอก 2. ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ของผู้ใช้บริการทางการเงิน โจทย์ข้อต่อไปสำหรับ CBDC คือจะเลือกให้เงินดิจิตอลของธนาคารกลางในรูปแบบที่ทางการสามารถล่วงรู้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนผู้ใช้เงิน (Account-Based Retail CBDC) หรือไม่ให้รู้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชน (Token-Based Retail CBDC) โดยประเด็นนี้ ได้เป็นที่ถกเถียงกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทว่ามา ณ วันนี้ ทางการได้ฟันธงเลือกให้เลยว่าให้แบบทางการสามารถล่วงรู้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนผู้ใช้เงิน (Account-Based Retail CBDC) เนื่องจากมองว่าเป็นประโยชน์ในการใช้ข้อมูลต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ภาพแสดงหลักการ Jigsaw Puzzle Principle ทว่าสามารถป้องกันไม่ให้มีคนที่ไม่หวังดี นำข้อมูลของประชาชนไปใช้ในทางที่ไม่ดี ด้วยหลักการ Jigsaw Puzzle Principle (ดังรูป) หรือการให้ข้อมูลประชาชนต่อหน่วยงานต่าง ๆ เพียงบางส่วนเท่านั้น ทำให้ผู้ไม่หวังดีไม่สามารถนำไปใช้ยืนยันตัวตนใครได้เลย หรือแม้แต่ธนาคารกลางก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลของประชาชน ได้อย่างสมบูรณ์พอที่จะใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่เหมาะสมได้ โดยที่หมายเลขอ้างอิงทางดิจิตอลของประชาชน (Digital ID) แนะนำให้ใช้แบบที่เป็นส่วนผสมของแบบส่วนตัว หรือ Private Digital ID กับแบบที่เป็นหมายเลขที่ออกโดยรัฐบาลหรือ Government Digital ID เพื่อความคล่องตัวทว่ามีความปลอดภัยในระดับที่เชื่อใจได้ 3. โครงสร้างของ CBDC กับระบบการเงิน ซึ่งทาง BIS มองว่าธนาคารกลางไม่ควรที่จะไปทำธุรกรรมถึงประชาชนรายย่อยทุกๆราย เนื่องจากถือเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ และก่อให้เกิดขนาดของฐานข้อมูลที่ใหญ่เกินจำเป็น จนอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อฐานข้อมูล โดยแนะนำให้เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงินที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว แล้วธนาคารกลางค่อยไปเชื่อมระบบฐานข้อมูลด้านดิจิตอลกับแบงก์เหล่านี้อีกต่อหนึ่ง ซึ่งถือเป็นระบบที่เป็นโครงสร้างแบบมีตัวกลาง หรือ intermediate CBDC architecture ทั้งหมดนี้ ถือเป็นยุคใหม่ของเงินสกุลดิจิตอลของโลก ที่เป็นมากกว่าการซื้อขายสินทรัพย์ ประเภทสกุลคริปโต MacroView ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652798 แท็ก: Advance Article CBDC Cryptocurrency Knowledge Short Content ธนาคารกลาง สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน MacroView อาจารย์ด้านการเงิน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานวิจัย ให้คำปรึกษาการลงทุน และนำเสนอผลงานด้านเศรษฐกิจ การเงิน และ บริหารความเสี่ยง ทั้งในประเทศ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทยและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางเยอรมัน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นจีนร่วงหลังพรรคคอมมิวนิสต์ฉลองครบรอบ 100 ปี - FINNOMENA ดัชนี CSI300 ปรับตัวลง 2.37% ขณะที่ดัชนี China A50 ปรับตัวลงกว่า 3.15% นำโดย Kweichow Moutai และ China Merchants Bank ซึ่งต่างปรับตัวลงมาประมาณ 4% โดยสาเหตุเกิดจากแถลงการณ์ในการฉลองพรรคคอมมิวนิสต์ครบรอบ 100 ปี ที่มีท่าทีแข็งกร้าวสะท้อนการตอบโต้ท่าทีของกลุ่ม G-7 2 ก.ค. 2564 ดัชนี CSI300 ปรับตัวลง 2.37% ขณะที่ดัชนี China A50 ปรับตัวลงกว่า 3.15% นำโดย Kweichow Moutai และ China Merchants Bank ซึ่งต่างปรับตัวลงมาประมาณ 4% โดยสาเหตุเกิดจากแถลงการณ์ในการฉลองพรรคคอมมิวนิสต์ครบรอบ 100 ปี ที่มีท่าทีแข็งกร้าวสะท้อนการตอบโต้ท่าทีของกลุ่ม G-7 อย่างชัดเจน สร้างความกังวลต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศตะวันตกและพันธมิตร ขณะเดียวกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว PBOC อัตฉีดสภาพคล่องระยะสั้นเข้าระบบเพิ่มขึ้นมาที่ 30,000 ล้านหยวน ผ่าน 7-Day Repo เพื่อรับมือสภาวะการเงินในช่วงปิดไตรมาสที่ 2 จากนั้นการอัดฉีดสภาพคล่องของ PBOC จึงกลับสู่สภาวะปกติที่ระดับ 10,000 ล้านหยวน ซึ่งเป็นระดับปกติที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการกลับไปสู่ภาวะปกติก็สร้างความกังวลให้ตลาดได้เช่นกัน FINNOMENA Investment Team มองว่าประเด็นการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีนเกิดขึ้นมาตลอดนับตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นปัจจัยรบกวนในระยะสั้น ขณะที่ระยะยาวสร้างผลดีโดยทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างสองชาติมหาอำนาจ เช่น การปรับตัวของบริษัทเทคโนโลยีจีนที่หันกลับมาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หรือความพยายามพัฒนาและพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยีของจีน ส่วนการลดการอัดฉีดสภาพคล่องกลับสู่ระดับ 10,000 ล้านหยวน เรามองว่าเป็นปัจจัยรบกวนระยะสั้นเนื่องจากตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา PBOC ได้อัดฉีดในระดับดังกล่าวมาโดยตลอด ซึ่งตลาดหุ้นก็รับรู้ระดับการอัดฉีดสภาพคล่องไปเรียบร้อยแล้ว จากปัจจัยรบกวนระยะสั้น ขณะที่นักวิเคราะห์ยังทยอยปรับเพิ่มประมาณการ EPS ของดัชนี CSI300 ส่วน Valuation ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ FINNOMENA Investment Team จึงแนะนำทยอยสะสมหุ้นจีน A-Shares ตามโมเดลพอร์ตการลงทุนแนะนำ แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (19 มิ.ย. - 25 มิ.ย. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย. - 25 มิ.ย. 64) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 26 มิ.ย. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย. – 25 มิ.ย. 64) ตลาดหุ้นหลายประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ทำให้ ดัชนี Nasdaq ทำ All Time High กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (19 มิ.ย. – 25 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564) 1.P-CGREEN กองทุนเปิดฟิลลิป ไชน่า กรีน เอ็นเนอร์จี แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +8.23% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +16.17% (Nav เริ่มนับวันที่ 27/04/64) 2.SCBUSAP กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.57% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +19.72% (Nav เริ่มนับวันที่ 05/03/64) 3.SCBUSAA กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นยูเอส แอคทีฟ ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.54 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +10.92% (Nav เริ่มนับวันที่ 19/01/64) ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : P-CGREEN, SCBUSAP, SCBUSAA, WE-CYBER, TNEXTGEN, TMB-ES-STARTECH, K-GPE19A-UI, TMB-ES-INTERNET, T-ES-GINNO, KFINNO-A หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (19 มิ.ย. – 25 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.90 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +10.74 % 2.K-VIETNAM – กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.49 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +36.94 % 3.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.08 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +10.44 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, K-VIETNAM, TMBGQG, TMBCOF, ONE-GECOM, K-CHINA-A(D), B-INNOTECH, K-USA-A(A), PRINCIPAL VNEQ-A, K-CHINA-A(A) 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (19-25 มิ.ย. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ONE-UGG-RA ก็เป็นกองทุนที่มีการพูดถึงมากที่สุดบน Social Media เช่นเดียวกัน โดยที่อันดับสองที่เพิ่งขึ้นมาติดอันดับครั้งแรกคือกองทุนเวียดนาม Principal VNEQ-A และตามมาด้วยกองทุนจีน K-CHINA-A(A) เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media จะพบว่า Principal VNEQ-A มีการพูดถึงบนช่องทาง YouTube มากที่สุด ขณะที่ช่องทางอื่นๆ จะเป็นกองทุน ONE-UGG-RA หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
ทองคำและบิทคอยน์วิ่งสวนกันตลอดในปี 2021 สาเหตุเกิดจากอะไร? - FINNOMENA สรุปว่าราคา Bitcoin กับทองคำจะวิ่งสวนทางกันตลอดเวลาหรืออย่างไร ? บทความนี้ของเราจะนำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านได้ศึกษากันครับ 21 มิ.ย. 2564 ใกล้จะจบไตรมาสที่สองประจำปี 2021 กันแล้ว ซึ่งไตรมาสสองนี้ลักษณะของ Fund Flow มีลักษณะการเคลื่อนย้ายไปตามปัจจัยบวกลบของแต่ละสินทรัพย์ ไม่ได้มีลักษณะขึ้นยกแผงเหมือนเช่นปี 2020 ที่ผ่านมา นั่นทำให้นักลงทุนที่ Rotation พอร์ตตามหลังราคาเกิดความสับสนพอสมควร ย้ายเข้าหุ้น หุ้นนิ่ง เห็นคริปโท ฯ ขึ้นก็หมุนเงินเข้าคริปโท ฯ สักพักราคาลงแรงก็ย้ายเงินเข้าทองคำเพราะทองคำขึ้น ไม่นานราคาทองคำก็ลงอีก คริปโทกับตลาดหุ้นกลับเริ่มสดใส สรุปว่าราคา Bitcoin กับทองคำจะวิ่งสวนทางกันตลอดเวลาหรืออย่างไร ? บทความนี้ของเราจะนำเสนอข้อมูลให้ทุกท่านได้ศึกษากันครับ ปัจจัยกดดันราคาทองคำในปัจจุบัน 1. แรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด 2. แรงกดดันจากความเข้มงวดของนโยบายหลังประธานเฟดแถลงว่ากรรมการเฟดได้เริ่มหารือเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงทันที ในขณะเดียวกันราคา Bitcoin ก็สามารถยืนได้และขยับขึ้นเล็กน้อย ทำให้หลายท่านเกิดความสงสัยว่า 2 สินทรัพย์นี้วิ่งสวนทางกันหรืออย่างไร เพราะก่อนหน้านี้ มีกระแสการพูดถึงคุณสมบัติของทองคำกับ Bitcoin ว่าใกล้เคียงกัน เรียก Bitcoin ว่าเป็น Gold Digital ฉะนั้นราคาสองสินทรัพย์นี้ควรจะขึ้นหรือลงในทิศทางเดียวกัน แต่ในความเป็นของปี 2021 ที่เราพบกลับตรงกันข้ามเพราะว่า ราคาทองคำและ Bitcoin วิ่งสวนทางกันตลอดในปี 2021 นี้ ศัพท์ทางการเงินมีการวิเคราะห์ค่า Correlation ที่บอกถึงค่าความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ 2 ชนิดว่ามีลักษณะการเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร ในทิศทางเดียวกัน ทิศทางต่างกัน หรือไม่มีความสัมพันธ์กัน ส่วนราคาทองคำและ Bitcoin มีนักวิเคราะห์นำเสนอเรื่อง Correlation เป็นตัวเลขกันพอสมควรแล้ว แต่เราอยากให้นักลงทุนเห็นภาพมากขึ้น ด้วยการดูที่ราคาแบบง่าย ๆ เลย จากภาพประกอบด้านบนคือกราฟราคาทองคำ (เส้นสีส้ม) และ Bitcoin (เส้นสีฟ้า) ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงเดือนมิถุนายน เพียงมองด้วยตาเปล่าก็จะเห็นว่า เมื่อราคา Bitcoin สูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคาทองคำก็วิ่งลงเรื่อย ๆ จุดสุดสูงของ Bitcoin ก็กลายเป็นจุดต่ำสุดขององคำเช่นเดียวกัน อย่างในไตรมาสสองนี้ เมื่อ Bitcoin ปรับฐาน ราคาทองคำก็ฟื้นกลับมาจดโดดเด่น นั่นแปลว่าเราสามารถพิจารณาทิศทางของสินทรัพย์หนึ่งในเบื้องต้น ด้วยการดูอีกสินทรัพย์หนึ่งประกอบ เช่น เราลงทุนในทองแต่ไม่สนใจ Bitcoin เราก็สามารถดู Bitcoin ประกอบการตัดสินใจเพื่อเข้าซื้อขายทองคำได้เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทองคำและ Bitcoin ในระยะยาว จากงานวิจัยของ Morgan Stanley ล่าสุดมีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของทองคำและ Bitcoin ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2018-2021 หากดูจากกราฟราคาอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่เมื่อดูค่า Correlation (กราฟสีเทาด้านล่าง) จะเป็นบวกเสียส่วนใหญ่ แปลว่ามีความสัมพันธ์ของทิศทางราคาที่คล้ายกัน คือทองคำขึ้น Bitcoin ขึ้น เป็นต้น แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2021 ความสัมพันธ์นี้เริ่มหมดลงและเคลื่อยนไหวในทิศทางตรงกันข้ามมากขึ้น (ที่มา Morgan Stanley Research) สาเหตุที่ความสัมพันธ์เริ่มหมดลง สาเหตุใหญ่ที่ความสัมพันธ์สองสินทรัพย์เริ่มหมดลงในปี 2021 นี้ เพราะการตีความและให้นิยามของสินทรัพย์ดิจิทัลจากสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการลงทุนขนาดใหญ่ ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลคือสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสินทรัพย์เสี่ยงชนิดใหม่ ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อเหมือนทองคำอีกแล้ว เมื่อนิยามเปลี่ยนไป Fund Flow จะ Rotation ในทิศทางที่ตรงข้ามกัน พูดง่าย ๆ ว่าสถาบันมองสินทรัพย์ดิจิทัลเป็น Risk Asset ส่วนทองคำมองเป็น Safe Haven จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ทองคำและ Bitcoin วิ่งสวนทางกันตลอดในปี 2021 แม้คุณสมบัติจะคล้ายคลึงกันแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นในช่วงครึ่งปีหลังอยากให้ลองจับตาดูการเคลื่อนไหวว่าจะเริ่มกลับมาวิ่งในทิศทางดียวกันได้หรือไม่ครับ Zipmex แท็ก: แชร์บทความ: ผู้เขียน Zipmex ซิปเม็กซ์ เป็นผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มุ่งให้ความรู้กับทุกคนในทุกวัน เพื่อเปิดโอกาสในการลงทุนรูปแบบใหม่ที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยผ่านการกำกับดูแลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วงหนัก กังวลท่าที Fed ขึ้นดอกเบี้ย - FINNOMENA ดัชนี Nikkei225 ร่วงแรงกว่า 4% ท่ามกลางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ นับเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากความกังวลท่าทีของ Fed ที่ Hawkish มากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้นอย่างแรงทันทีเมื่อสัปดาห์ก่อน 21 มิ.ย. 2564 ดัชนี Nikkei225 ร่วงแรงกว่า 4% ท่ามกลางการปรับตัวลงของตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ นับเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 4 เดือน เนื่องจากความกังวลท่าทีของ Fed ที่ Hawkish มากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้นอย่างแรงทันทีเมื่อสัปดาห์ก่อน Uniqlo และ Tokyo Electron ซึ่งต่างปรับตัวลงกว่า 3% เป็นสองบริษัทที่ส่งผลต่อการปรับตัวลงของดัชนี Nikkei มากที่สุด โดยกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมเคมีเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลงมากที่สุดในวันนี้ ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate (LPR) อายุ 1 ปี ไว้ที่ 3.85% ส่วนอายุ 5 ปี อยู่ที่ 4.65% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ เช้าวันนี้ตลาดหุ้นเอเชียต่างซื้อขายในแดนลบ ดังนี้ CSI 300 อยู่ที่ 5,073.36 จุด -0.57% Taiwan Weighted อยู่ที่ 17,050.04 จุด -1.54% Kospi อยู่ที่ 3,226.55 จุด -1.30% VNI อยู่ที่ 1,377 จุด -0.04% Set Index อยู่ที่ 1,596.79 จุด -1.00% แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (12 มิ.ย. - 18 มิ.ย. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 มิ.ย. - 18 มิ.ย. 64) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 19 มิ.ย. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (12 มิ.ย. – 18 มิ.ย. 64) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (12 มิ.ย. – 18 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 18 มิ.ย. 2564) 1.PRINCIPAL GCLOUD-A กองทุนเปิดพรินซิเพิล โกลบอล คลาวด์ คอมพิวติ้ง ชนิดสะสมมูลค่า ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.79% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +0.84% 2.K-GPE19A-UI กองทุนเปิดเค โกลบอลไพรเวทอิควิตี้ 19A ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +6.67% (19/04/64) ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): N/A 3.LHTPROP กองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.02 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -2.40% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : PRINCIPAL GCLOUD-A, K-GPE19A-UI, LHTPROP, LHPROP-I, SCBUSAP, SCBUSAA, M-Property, LHPROPINFRA-E, LHPROPINFRA-D, KF-GTECH หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (12 มิ.ย. – 18 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 18 มิ.ย. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.32 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +5.57 % 2.K-VIETNAM – กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.89 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +34.93 % 3.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.08 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +9.25 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, K-VIETNAM, TMBGQG, TMBCOF, K-CHINA-A(D), ONE-GECOM, PRINCIPAL VNEQ-A, B-INNOTECH, K-CHINA-A(A), K-USA-A(A) 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (12-18 มิ.ย. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 18 มิ.ย. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ONE-UGG-RA ก็เป็นกองทุนที่มีการพูดถึงมากที่สุดบน Social Media เช่นเดียวกัน โดยที่อันดับสองและสามคือ K-USA-A(A) และ K-CHINA-A(A) เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 18 มิ.ย. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media จะพบว่า K-USA-A มีการพูดถึงบนช่องทาง Forum (เว็บบล็อค เช่น Pantip) มากที่สุด ขณะที่ช่องทางอื่นๆ จะเป็นกองทุน ONE-UGG-RA หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ทางการจีนคุมราคายา ส่ง CSI300 ร่วงกว่า 1.28% พร้อมมุมมอง Tactical Call - FINNOMENA การปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีน A-Share ในวันนี้ มีสาเหตุหลักจากการที่รัฐบาลจีนสั่งห้ามบริษัทยาจำหน่ายยาด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคากลาง ส่งผลให้ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม CSI 300 Health Care ที่มีสัดส่วน 11% ในดัชนี CSI300 ปรับตัวลงกว่า 2.52% 16 มิ.ย. 2564 การปรับตัวลงของตลาดหุ้นจีน A-Share ในวันนี้ มีสาเหตุหลักจากการที่รัฐบาลจีนสั่งห้ามบริษัทยาจำหน่ายยาด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคากลาง ส่งผลให้ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม CSI 300 Health Care ที่มีสัดส่วน 11% ในดัชนี CSI300 ปรับตัวลงกว่า 2.52% ขณะเดียวกันดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม Materials และ Industrials ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันทั้งหมด 20.49% ของดัชนี CSI300 ก็ปรับตัวลง 2.49% และ 2.38% ตามลำดับ ด้านมุมมองนักวิเคราะห์จากรายงานข่าว Bloomberg มองว่ามาตรการนี้จะสร้างผลดีโดยป้องกันบริษัทตัดราคาขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพเพื่อกีดกันคู่แข่ง FINNOMENA Investment Team ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน A-Shares โดยมองว่าทางการจีนมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการควบคุมในหลายอุตสาหกรรม โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมทั้งกับคู่แข่งและผู้บริโภค อีกทั้งต้องการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนแทนที่การเติบโตที่รวดเร็วแต่มาพร้อมความเสี่ยง ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อแนวทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว ก่อนหน้านี้ FINNOMENA Investment Team ได้แนะนำเข้าลงทุนในรูปแบบเก็งกำไร (Tactical Call) ในกองทุนหุ้นจีน ผ่านกองทุน KT-Ashares-A และ SCBCHA ซึ่งมีระดับดัชนีที่แนะนำให้พิจารณาชะลอการลงทุน คือ หากดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้นไปปิดวันทำการด้วยการยืนเหนือระดับ 5,150 จุด เนื่องจากอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) จะสูงกว่า 50% หรือ 0.5 การปรับตัวลงในวันนี้ของ CSI300 ส่งให้ดัชนีกลับมาซื้อขายกันต่ำกว่าระดับ 5,150 จุด อีกครั้ง ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนใน Tactical Call ไปแล้ว FINNOMENA Investment Team แนะนำให้คงสัดส่วนไว้เช่นเดิม ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีสัดส่วนการลงทุน FINNOMENA Investment Team แนะนำให้เข้าลงทุนได้ด้วยจำนวนเงินที่คิดเป็นสัดส่วน 50% (ครึ่งหนึ่ง) ของจำนวนเงินที่จะลงทุนใน Tactical Call ข้อมูลจาก : Bloomberg อ่านบทความเพิ่มเติม: FINNOMENA Tactical Call : จังหวะซื้อหุ้นจีน เมื่อ CSI 300 ไม่หลุดเส้น 200 วัน แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton เจาะมุมมองเงินเฟ้อ มาจริงหรืออิงกระแส - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ เจาะมุมมองเงินเฟ้อ มาจริงหรืออิงกระแส คุณ ศดิศกฤษฏิ์ ศิริสมภพ สัมภาษณ์คุณ Subash Pillai, Managing Director, Regional Head of Client Investment Solutions - APAC, Franklin Templeton Investment Solutions 12 มิ.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ เจาะมุมมองเงินเฟ้อ มาจริงหรืออิงกระแส คุณ ศดิศกฤษฏิ์ ศิริสมภพ สัมภาษณ์คุณ Subash Pillai, Managing Director, Regional Head of Client Investment Solutions – APAC, Franklin Templeton Investment Solutions <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase Economic, FINNOMENA Franklin Templeton, Inflation อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
7 หุ้นปันผลเด่นของตลาดสหรัฐ - FINNOMENA ทางสื่อของดาวน์โจนส์ได้แนะนำ 7 หุ้นปันผลเด่นของตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ในการออมเพื่อเกษียณ จะมีหุ้นของบริษัทอะไรบ้าง? 11 มิ.ย. 2564 ในช่วงนี้ เริ่มมีแนวคิดใหม่ในการกระจายสินทรัพย์ของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ ที่แนวทางการลงทุนเปลี่ยนไปจากเดิม แนวคิดการลงทุนใหม่นี้มักจะแนะนำให้มีการแบ่งเงินลงทุนเป็นสองส่วน ได้แก่ หุ้น และ บอนด์หรือหุ้นกู้ อย่างไรก็ดี จากปรากฏการณ์บรรยากาศอัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก ส่งผลให้ผู้ที่กระจายเงินลงทุนตามแนวทางดังกล่าว ได้รับผลตอบแทนที่ติดลบกว่าร้อยละ 2 ณ ช่วงกลางปีนี้ จึงเริ่มมีผู้เชี่ยวชาญหลายสำนัก เริ่มจะแนะนำให้นักลงทุนที่เน้นการออมเพื่อการเกษียณ มาถือครองหุ้นคุณภาพดีที่เน้นการจ่ายเงินปันผลมากกว่า โดยที่จะได้รับทั้งรายได้จากเงินปันผลไว้เพื่อเป็นเงินใช้จ่ายประจำ และได้ผลประโยชน์จากการเติบโตของราคาหุ้น หรือนั่นเป็นการเพิ่มขนาดก้อนเค้กเงินออมของตนเองอีกด้วย ทางสื่อของดาวน์โจนส์ได้แนะนำ 7 หุ้นปันผลเด่นของตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ในการออมเพื่อเกษียณในรูปแบบใหม่ดังกล่าว ตามนี้ 1. AT&T โดยหุ้นกลุ่มสื่อสารและบันเทิงรายนี้ ถือว่ามีเรื่องราวมากมายให้พูดถึง อาทิ ล่าสุด การเข้าซื้อ Discovery สื่อดังของสหรัฐ พร้อมกับเตรียมแยกกลุ่มธุรกิจบันเทิงของตนเองออกมา พร้อมตั้งเป็นบริษัทใหม่ที่ประกอบด้วย Discovery และ WarnerMedia มูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มี Content ของภาพยนตร์และสารคดีพร้อมอยู่อย่างมากมาย หุ้น AT&T เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่ชอบปันผล เนื่องจากจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยถึงร้อยละ 7 โดยแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่มีปริมาณหนี้อยู่ในระดับหนึ่ง ทว่าด้วยกระแสเงินสดอิสระหลังหักการลงทุนด้านเงินทุนหรือ Capex ถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้หุ้น AT&T ยังคงจะเป็นหุ้นเด่นแนวที่เน้นปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอห์น แสตนคีย์ CEO ของบริษัทย้ำว่าการเน้นจ่ายเงินปันผลที่ดีจะเป็นแนวทางของบริษัทในระยะยาว 2. Coca-Cola ถือเป็นหุ้นที่วอเรน บัฟเฟต์ ชื่นชอบมาหลายสิบปี และล่าสุดก็ได้ออกแคมเปญโฆษณา ‘Coke adds life’ ซึ่งได้นำมาแพร่ภาพในบ้านเราด้วยในช่วงนี้ โดยแม้ว่า Coke จะมีรายได้และกำไรต่อหุ้นลดลงร้อยละ 11 และ 8 ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด ทว่าในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเพิ่มจนมีมูลค่าที่ใกล้เคียงกับปี 2019 จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นของ Coke ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนการคาดการณ์ดังกล่าว โดยขึ้นมาราวร้อยละ 7 จากเมื่อ 3 เดือนก่อน ทั้งนี้ Coke ยังได้ประกาศให้การจ่ายเงินปันผลมีความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากการลงทุนกลับไปยังธุรกิจหลักของตนเอง 3. IBM ในปีนี้ ราคาหุ้น IBM ได้ขึ้นไปราวร้อยละ 18 จากต้นปี มากกว่า ผลตอบแทนของ S&P 500 ประมาณร้อยละ 4 อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาวขึ้นมา หุ้น IBM ก็ยังมีผลประกอบการที่ไม่ได้โดดเด่นมาก เพราะมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ค่อนข้างอ่อนแอ อย่างไรก็ดี เริ่มจากเมื่อปีที่แล้ว ทาง IBM ได้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบโมเดลในการทำธุรกิจใหม่ ได้ทำการซื้อ Red Hat บริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์ม Cloud แบบลูกผสมด้วยรูปแบบของเงินสดและหนี้ มูลค่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง Red Hat ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยอดขายในปี 2020 มีการเติบโตถึงร้อยละ 18 ซึ่งย่อมส่งผลต่อยอดขายของผลิตภัณฑ์ของ IBM เดิมเองให้มีการเติบโตตามด้วยเช่นกัน ที่สำคัญ IBM จ่ายเงินปันผลด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลล่าสุดที่ร้อยละ 5 ซึ่งผู้บริหารของ IBM ยังยืนยันในการดำรงนโยบายดังกล่าว 4. Johnson & Johnson ที่ถึงในตอนนี้ คงจะเป็นที่รู้จักและติดปากในบ้านเรา จากการที่กำลังเป็นวัคซีนโควิดที่สามารถฉีดเพียงเข็มเดียวแบรนด์แรก ๆ โดยจุดเด่นของ Johnson & Johnson คือ หนึ่ง การที่มีแหล่งรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในหมวดบริโภคทั่วไปและยารักษาโรคในร้านขายยา สอง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ ที่กำลังพัฒนาในห้องแล็บเพื่อรอการรับรองจากทางการเพื่อที่จะขายต่อประชาชน และท้ายสุด มีกระแสเงินสดอิสระที่ผลิตออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยเมื่อปีที่แล้ว จ่ายเงินสด 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปของเงินปันผล หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่ากระแสเงินสดอิสระ 5. Kellogg’s หากจะหาหุ้นที่ขายผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์อาหารซึ่งผูกพันกับครอบครัวในห้องครัวและหน้าทีวี มาอย่างยาวนาน หนึ่งในชื่อแรกๆที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลายคน ได้แก่ Kellogg’s ไม่ว่าจะเป็น Special K หรือ Pringles โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่ ของทานเล่น ซีเรียล อาหารแช่แข็ง และบะหมี่สำเร็จรูป ในส่วนของมูลค่าหุ้นของ Kellogg’s ล่าสุด มีกำไรต่อหุ้น ที่ 4.01 ดอลลาร์ คิด P/E เป็น 15.3 เท่า ซึ่งน่าจะถือว่าราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทที่ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆที่หลากหลายและติดตลาดมาอย่างยาวนาน โดยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ร้อยละ 3.7 6. Procter & Gamble หรือ P&G ชื่อนี้ คงไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของตัวแบรนด์ เชื่อว่าในบ้านของแทบทุกท่าน ต้องเคยซื้อผลิตภัณฑ์ของ P&G ไม่น้อยกว่า 1 ชิ้น โดย P&G ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลแบบไม่มีแผ่วลง แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์โควิดก็ตาม รวมถึงยังได้ประโยชน์บางส่วนจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงโควิด เนื่องจากมีการกักตุนสิ่งจำเป็นของประชาชนในที่อยู่อาศัย อาทิ กระดาษชำระหรือทิชชู่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ P&G โดยที่กำไรต่อหุ้นยังคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5.7 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในครึ่งปีแรกของปี 2021 เทียบกับ 5.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อปีที่แล้ว 7. U.S. Bancorp Bancorp ถือเป็นหุ้นแบงก์แนว Regional Bank หรือแบงก์ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะมองในมุมของพอร์ตสินเชื่อหรือคุณภาพของสินเชื่อก็ตามที โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐที่หลายคนมองว่าน่าจะเติบโตร้อนแรงที่สุดในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงระดับความชันของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงขึ้น น่าจะเป็นผลดีต่อประโยชน์ต่อธุรกิจของ Bancorp ซึ่งมีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย อันประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ สินเชื่อลูกค้ารายย่อย Wealth Management และบริการการชำระจ่ายเงิน รวมถึงธุรกิจบัตรเดบิตและเครดิต โดยหุ้น Bancorp จ่ายเงินปันผล 42 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาสที่ผ่านมา หรือให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ร้อยละ 3 โดยคาดว่าผลประกอบการของ Bancorp ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังน่าจะดีขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมาได้อีก MacroView ที่มาบทความ: https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/652670 แท็ก: Article Basic Knowledge Short Content หุ้นปันผล หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน MacroView อาจารย์ด้านการเงิน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานวิจัย ให้คำปรึกษาการลงทุน และนำเสนอผลงานด้านเศรษฐกิจ การเงิน และ บริหารความเสี่ยง ทั้งในประเทศ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทยและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และต่างประเทศ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางเยอรมัน
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วง 2.86% แรงที่สุดตั้งแต่เมษายน - FINNOMENA ดัชนี VNI ปิดตลาดลดลง 2.86% ท่ามกลางแรงเทขายของนักลงทุนในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ส่งผลให้ดัชนี VNI30 ปิดตลาดร่วงกว่า 3.04% โดยเหตุผลของการปรับตัวลงในครั้งนี้เกิดจากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงินซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำตลาดในปีนี้ 8 มิ.ย. 2564 ดัชนี VNI ปิดตลาดลดลง 2.86% ท่ามกลางแรงเทขายของนักลงทุนในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ส่งผลให้ดัชนี VNI30 ปิดตลาดร่วงกว่า 3.04% โดยเหตุผลของการปรับตัวลงในครั้งนี้เกิดจากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงินซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำตลาดในปีนี้ หุ้น Military Bank ปรับตัวลงถึง 6.16% ขณะที่ในปีนี้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 68.4% ส่งให้ซื้อขายกันที่ระดับ Price to Book ถึง 2 เท่า ขณะที่ VietinBank และ Techcombank ต่างปรับตัวลงอย่างน้อย 4% ขณะเดียวกันหุ้นบริโภคและท่องเที่ยวต่างฟื้นตัวสวนแนวโน้มตลาด และจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นในวันนี้ 76 ราย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น Vinamilk ปรับตัวขึ้น 1.01% ส่วนหุ้นสุราชื่อดัง Saigon Beer ปรับตัวขึ้น 2.84% เช่นเดียวกับ Vietjet ที่ปรับตัวขึ้น 4.65% FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่าหลังเป็นตลาดหุ้นที่ทำผลตอบแทนอย่างโดดเด่นในปีนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามอาจมีแรงเทขายทำกำไรเป็นระยะ อย่างไรก็ตามประเทศเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตในระยะยาวโดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนและโครงสร้างประชากร ขณะที่การควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ก็ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจนสร้างความเชื่อมั่นอย่างดี ดังนั้นตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว แท็ก: FINNOMENA Market Alert แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (29 พ.ค. - 4 มิ.ย. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 พ.ค. - 4 มิ.ย. 64) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 5 มิ.ย. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 พ.ค. – 4 มิ.ย. 64) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (29 พ.ค. – 4 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 4 มิ.ย. 2564) 1.MCANN – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล แคนนาบิส ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +8.04% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +4.03% (NAV เริ่มนับวันที่ 5/5/2564) 2.KF-LATAM กองทุนเปิดกรุงศรีลาตินอเมริกาอิควิตี้ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.98% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +8.69% 3.TNEWENGY – กองทุนเปิด ทิสโก้ New Energy ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.73 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): -16.97% (NAV เริ่มนับวันที่ 17/3/2564) ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : MCANN, KF-LATAM, TNEWENGY, TISCOLAF, WE-CANAB, LHMOBILITY-E, LHMOBILITY-A, T-SM CAP, TCHCON, ONE-GECOM หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (29 พ.ค. – 4 มิ.ย. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 4 มิ.ย. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +2.77 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +5.28 % 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +0.40 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +8.52 % 3.K-VIETNAM – กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +3.61 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +34.64 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, K-VIETNAM, TMBCOF, K-CHINA-A(D), ONE-GECOM,K-CHINA-A(A), K-USA-A(A), B-INNOTECH, TMB-ES-GINNO, สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
หุ้นเวียดนาม All Time High - FINNOMENA เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นเป็น “All Time High” ที่ 1,320 จุดในช่วงเวลาประมาณ 21 ปีนับจากวันเปิดตลาดหุ้นโฮจิมินห์ในปี 2000  ที่ดัชนีเท่ากับ 100 จุด มีอะไรที่เราต้องรู้เกี่ยวกับตลาดเวียดนามบ้าง ไปดูกัน 1 มิ.ย. 2564 เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวขึ้นเป็น “All Time High” ที่ 1,320 จุดในช่วงเวลาประมาณ 21 ปีนับจากวันเปิดตลาดหุ้นโฮจิมินห์ในปี 2000 ที่ดัชนีเท่ากับ 100 จุด นี่เท่ากับว่าดัชนีตลาดให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 13.2% แบบทบต้น ถ้าคิดรวมปันผลก็คงจะเกินปีละ 15% และก็ต้องถือว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ดีเลิศแห่งหนึ่งของโลก และนี่ก็คล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยในช่วง 21 ปีแรก โดยที่ตลาดหลักทรัพย์เริ่มเปิดเทรดในเดือนเมษายน 2518 และเริ่มต้นด้วยดัชนีที่ 100 จุด พอถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2539 ดัชนีก็อยู่ที่ 1,321 ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นเท่ากับ 13.2% เท่ากับตลาดหุ้นเวียตนามพอดี อย่างไรก็ตาม อย่างที่เรารู้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2539 นั้น “กำลังตกลงมา” จากดัชนี All Time High ที่ 1,753 จุด ในปี 2537 และพอถึงปี 2540 ก็เกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ที่ทำให้ดัชนีตกต่อเนื่องมาเหลือเพียงประมาณ 2-300 จุดในเวลาอีก 2-3 ปีต่อมา ยี่สิบเอ็ดปีแรกของตลาดหุ้นไทยและเวียตนามนั้น นอกจากผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมและเท่ากันแล้ว สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ความผันผวนที่รุนแรง” หรือในแวดวงวิชาการก็คือมี “ความเสี่ยงสูงมากในการลงทุน” ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องปกติสำหรับตลาดหุ้นใหม่ ๆ ที่คนยังไม่รู้จักวิธีการลงทุนที่ถูกต้องและส่วนใหญ่ก็เน้นการเก็งกำไรเป็นหลัก ตลาดหุ้นจะคล้าย ๆ การพนันรูปแบบใหม่ที่ถูกกฎหมายและมีหลักการเล่นคล้าย ๆ กับการ “แทงม้า” ในสนามแข่งม้ามากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการ “ลงทุนในธุรกิจ” อย่างที่มันควรจะเป็น วันที่เปิดตลาดหุ้นไทยนั้น ตรงกับวันที่เมืองโฮจิมินห์หรือเดิมคือไซ่ง่อน “แตก” ประเทศเวียตนามใต้ถูกรวมกับเวียตนามเหนือและเป็นคอมมิวนิสต์ซึ่งทำให้ประเทศไทยซึ่งถูกมองว่าจะเป็น “Domino” ตัวต่อไป คือจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วยในช่วงที่ “สงครามเย็น” ระหว่างกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตยกับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์กำลัง “ร้อนเป็นไฟ” ดังนั้น ธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทยจึงดูไม่ดีนัก “ชนชั้นนำ” บางคนในช่วงเวลานั้นคิดถึงว่าจะอพยพไปอยู่ที่ไหนถ้าประเทศไทยกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นจึงไม่ไปไหนและตกลงมาหลายปีจนเหตุการณ์ด้านการเมืองสงบลง นักศึกษารุ่น “14 ตุลา” ที่เข้าป่าจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลมาหลายปีกลับสู่เมืองมาใช้ชีวิตปกติ และเศรษฐกิจไทยก็เริ่มเดินหน้าต่อไปได้อย่างดีเยี่ยมยาวนาน ซึ่งก็ทำให้ตลาดหุ้นและดัชนีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ในระหว่างทางก็มีการปรับตัวรุนแรงมากเป็นระยะ ๆ ตลาดหุ้นไทยเกิด “วิกฤติ” ตลาดหุ้นหลายครั้งเริ่มตั้งแต่ “วิกฤติราชาเงินทุน” ซึ่งดัชนีตกลงไปประมาณ 42% ในปี 2522 หรือ 4-5 ปีนับจากเปิดตลาดหุ้น “วิกฤติ Black Monday” ในปี 2530 ที่ดัชนีตกลงไปประมาณ 33% และ “ วิกฤติสงครามอ่าวเปอร์เซีย” ในปี 2533 ที่ดัชนีตกลงไปประมาณ 45% หลังจากดัชนี All Time High ที่ 1,100 จุด เป็นต้น ในส่วนของตลาดหุ้นเวียตนามนั้น “ความผันผวน” ยิ่งมากกว่าตลาดหุ้นไทยหลายเท่า ทันทีที่เปิดตลาดหุ้น ดัชนีก็วิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วแทบจะทุกวันหรือทุกเดือน ภายในเวลาเพียงปีเดียว ดัชนีจาก 100 จุดก็ขึ้นไปถึง 500 จุด ก่อนจะตกลงมาด้วยอัตราที่เร็วพอ ๆ กันจนเหลือประมาณ 130 จุดหรือลดลงกว่า 73% ภายในเวลา 2 ปี เหตุผลที่เป็นอย่างนั้นผมคิดเล่น ๆ ว่าคงเป็นเพราะคนเวียตนามอาจจะไม่ได้มีสนามม้าหรือบ่อนการพนันอื่น ๆ ที่คนจะเล่นเก็งกำไรซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในยีนของมนุษย์มากนัก ดังนั้น พอมีตลาดหุ้น คนก็แห่กันเข้าไปเล่นจนทำให้หุ้นขึ้นไปแบบถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม” หรือถูกกวาดซื้อจนหมดส่งผลให้หุ้นขึ้นไปสุดโต่งและในที่สุด Corner ก็ “แตก” หุ้นตกลงมาที่เดิม อย่างไรก็ตาม ภายใน 3 ปีหุ้นก็ปรับตัวกลับขึ้นมาใหม่เป็น 1,140 หรือเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8 เท่าในปี 2007 ก่อนที่จะถล่มลงตามวิกฤติซับไพร์มในปี 2009 ดัชนีเหลือเพียง 250 จุด หรือเป็นการตกลงมาประมาณ 78% และนี่ก็คือความ “โหดร้าย” สำหรับนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นเวียตนาม แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว การลงทุนดูเหมือนจะคุ้มค่า เพราะหลังจากการตกลงมาอย่างหนัก ตลาดหุ้นเวียตนามก็มักจะกลับมาอย่างรวดเร็วเสมอ ภายในเวลาไม่กี่เดือน ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นจาก 250 จุดไปที่เกือบ 600 จุดในช่วงปลายปี 2009 และทรงตัวอยู่ในช่วง 400 ถึง 600 จุดเป็นเวลา 7 ปีจนถึงปี 2016 หรือประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา และนี่ก็คือช่วงเวลาที่ระบบเศรษฐกิจการเงินของเวียตนามมีการ “ปรับตัว” แบบ “ปฏิรูป” อย่างมั่นคง มีการลดค่าเงินด่องลงน่าจะประมาณ 30% อัตราเงินเฟ้อที่สูงลิ่วเริ่มนิ่ง ค่าเงินด่องเริ่มนิ่งและเกาะติดไปกับค่าเงินดอลลาร์ การเอาเงิน “ใส่กระสอบ” ไปซื้อบ้านซื้อรถน่าจะเริ่มหมดไป สินค้าที่ผลิตจากเวียตนามสามารถแข่งขันได้อานิสงค์อาจจะคล้ายเมืองไทยหลังลดค่าเงินที่การส่งออก “โตระเบิด” ที่สำคัญ นักลงทุนจากต่างประเทศเริ่ม “แห่กันมาลงทุน” ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหุ้นจากต่างประเทศที่เริ่มจะเปิดกว้างขึ้น มีการพูดถึงการ “รวมตลาดหุ้นอาเซียน” ให้นักลงทุนแต่ละประเทศสามารถสั่งซื้อขายหุ้นระหว่างกันได้อย่างสะดวก ในช่วงเวลานั้น การลงทุนแบบ Value Investment หรือ VI ของไทยกำลัง “Peak” หรือขึ้นสู่จุดสูงสุด VI ไทยจำนวนไม่น้อยรวยขึ้นมากและอยากที่จะ “สำรวจ” ตลาดเพื่อนบ้านเพื่อหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ นำโดยกลุ่มผู้นำนักลงทุน VI และช่องทีวี “มันนี่แชนเนล” ในขณะนั้น VI ไทยกลุ่มใหญ่ซึ่งแน่นอนรวมถึงผมเองได้เดินทางไป “ดูตลาดหุ้นเพื่อนบ้านในอาเซียน” ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์ มาเลเซียและเวียตนาม ได้พบผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนรวมถึงเยี่ยมชมโรงงานและสำนักงานต่าง ๆ แต่แทบจะไม่ได้พบนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” เลย ที่จริง “สังคม VI” ในประเทศเหล่านี้แทบจะไม่มีอยู่ ประเทศไทยนั้นมี “สมาคม VI” ที่ก้าวหน้ามาก! หลังจากการเดินทางครั้งนั้น หลายคนซึ่งรวมถึงผมเองก็เริ่มเข้าไปลงทุนในเวียตนาม ผมเองไม่มั่นใจว่าทำไมเราไม่ไปลงทุนในมาเลเซียหรือสิงคโปร์ คงจะเป็นเพราะเรื่องของเศรษฐกิจเวียตนามที่เติบโตเร็วและมาจากฐานที่ต่ำมากรวมถึงศักยภาพที่จะโตต่อไปได้อีกนาน อีกประเด็นหนึ่งน่าจะมาจากการที่เวียตนามมีขนาดใหญ่กว่าอีกสองประเทศมากในแง่ของประชากรและมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยรวมถึงการที่อยู่ใกล้ไทยมากกว่าด้วย แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นตัว “จุดชนวน” ก็น่าจะมาจากการที่ผมมีเพื่อนชาวต่างชาติเข้าไปลงทุนอยู่ก่อนแล้วโดยที่เขาก็มีการคิดวิเคราะห์ที่เป็นเอกเทศจากผมด้วย ดังนั้น ผมจึงคิดว่าได้เวลาแล้วที่จะไปลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อการเติบโตของประเทศไทยเริ่มจำกัดหรืออิ่มตัวในแง่ของประชากรที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้รวมถึงปัญหาสังคมและการเมืองที่ก่อตัวมาหลายปีได้ การลงทุนใน “รอบแรก” ของผมนั้นเข้าไปในแบบที่ยังไม่มีความรู้ในตัวกิจการพอ ดังนั้นผมจึงใช้ระบบ “ตระแกรงร่อน” เลือกซื้อหุ้นที่เป็นแบบ “VI” ที่มีราคาถูกมากคือมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า PB ต่ำกว่า 1 เท่า และปันผลไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งก็ได้หุ้นขนาดเล็กมาเป็น 100 ตัว ซื้อแล้วถือไว้จนถึงทุกวันนี้ รอบสองที่ผมเข้าไปลงทุนผมเริ่มจะรู้จักบริษัทจึงเข้าไปซื้อหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งก็จะเป็นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งผมก็ซื้ออย่างมีนัยสำคัญได้หุ้นมาประมาณ 5-6 ตัว และสุดท้ายในรอบที่สามก็คือการซื้อ ETF ที่อิงกับหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกที่เป็นหุ้นที่มี Foreign Premium คือ “Daimond ETF” รวมกันแล้วหุ้นเวียตนามคิดเป็นประมาณ 20% ของพอร์ตของผมในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาของหุ้นเวียตนามปรับตัวเพิ่มขึ้นและให้ผลตอบแทนดีกว่าพอร์ตหุ้นไทยของผมมาก โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมคิดว่าแม้ตลาดหุ้นเวียตนามจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแต่มันก็ไม่แพงเมื่อคำนึงถึงการเติบโตที่รวดเร็วมากของบริษัทจดทะเบียน เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าเศรษฐกิจเวียตนามเองนั้นเติบโตเร็วมากมานานและจะเติบโตต่อไปอีกมาก เพราะแม้ในขณะนี้ เศรษฐกิจของเวียตนามเองก็เท่ากับแค่ครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจไทย และรายได้ต่อหัวของคนเวียตนามเองก็เป็นแค่หนึ่งในสามของรายได้ของคนไทย ซึ่งผมเองคิดว่าในที่สุดและอาจจะไม่นานมาก เขาจะไล่เราทันเมื่อคำนึงถึงปัจจัยในการแข่งขันต่าง ๆ ที่เวียตนามดีขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับไทย ดังนั้น ผมจึงคิดว่าผมจะยังอยู่ในตลาดหุ้นเวียตนามไปอีกนานและก็เตรียมพร้อมที่จะรับความผันผวนที่รุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ แต่ผมคิดว่าภายใน 10 ปีนับจากวันนี้ พอร์ตเวียตนามคงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับพอร์ตหุ้นไทยของผม ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/05/31/2514 แท็ก: Advance Article Knowledge Short Content ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นเวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปกองทุนผลตอบแทนเด่น และกองทุนยอดนิยมประจำสัปดาห์ (22-28 พ.ค. 64) - FINNOMENA ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-28 พ.ค. 2564) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 29 พ.ค. 2564 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (22-28 พ.ค. 2564) กองทุนไหนทำผลตอบแทนได้โดดเด่น และเป็นกองทุนยอดนิยมที่มีผู้ค้นหามากที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน FINNOMENA บทความนี้จะขอพาผู้อ่านไปดูกันครับ 1.10 อันดับ กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นประจำสัปดาห์ (22-28 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 28 พ.ค. 2564) 1.I-OIL – กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.55% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +35.46% 2.TUSOIL – กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ออยล์ ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.09% ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +36.98% 3.TOIL6 – กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +7.09 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD):+36.39% ดูรายละเอียดกองทุนทั้ง 10 อันดับเพิ่มเติม : I-OIL, TUSOIL, TOIL6, SCBOIL, K-OIL, TISCOOIL, KF-US, KF-OIL, TMBCHEQ, TMBOIL หมายเหตุ: ข้อมูลกองทุน อัปเดตล่าสุด เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2564 ข้อมูลผลตอบแทนบางกองทุนในหน้า 10 อันดับ อาจมีการแสดงผลตอบแทนที่แตกต่างจากแต่ละหน้ากองทุน เนื่องจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ต่างกัน (ซึ่งนับวันที่ในรอบสัปดาห์แตกต่างกัน) สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan 2. 10 อันดับกองทุนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในรอบสัปดาห์บนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ FINNOMENA (22-28 พ.ค. 64) (ข้อมูลจาก FINNOMENA Fund Filter ณ วันที่ 28 พ.ค. 2564) 1.ONE-UGG-RA : กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +4.21 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD) : +2.44 % 2.TMBGQG : กองทุนเปิดทหารไทย Global Quality Growth ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.54 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +8.10 % 3.K-VIETNAM – กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 สัปดาห์: +1.64 % ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (YTD): +29.94 % ดูรายละเอียดกองทุนยอดนิยมเพิ่มเติม : ONE-UGG-RA, TMBGQG, K-VIETNAM, TMBCOF, ONE-GECOM, K-USA-A(A), B-INNOTECH, TMB-ES-GINNO, K-CHANGE-A(A), K-CHINA-A(D) 3. 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA : บน Social Media กองทุนไหนได้รับการพูดถึงมากที่สุด ? (22-28 พ.ค. 64) เปรียบเทียบ 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA ที่ได้รับการพูดถึงบน Social Media มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 28 พ.ค. 2564 บนเว็บไซต์ FINNOMENA กองทุนยอดนิยมที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดคือ ONE-UGG-RA แต่บน Social Media กองทุน K-CHINA-A กลับได้รับการพูดถึงมากที่สุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอันดับรองลงมาคือ K-CHANGE-A(A) และ ONE-UGG-RA เปรียบเทียนแต่ละช่องทาง Social Media ที่มีการพูดถึง 10 อันดับกองทุนยอดนิยมบนเว็บไซต์ FINNOMENA มากที่สุด ข้อมูลและวิเคราะห์โดยทีมงาน FINNOMENA ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ณ วันที่ 28 พ.ค. 2564 ขณะที่ในส่วนของช่องทาง Social Media รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จะพบว่า K-CHINA-A มีการพูดบนถึง Facebook มากที่สุด ขณะที่กองทุนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีการพูดถึงแต่บน Facebook เท่านั้น หมายเหตุ 1.ข้อมูลบน Social Media ที่จัดเก็บได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Forum, News, Blog โดยในส่วนของ Facebook จะไม่นับรวมการพูดถึงบน Facebook Group สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 19 บลจ. สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Short Content กองทุนประจำสัปดาห์ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
อวสานของเหรียญคริปโต? - FINNOMENA สัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่วันที่ 17-21 พฤษภาคม 2564 นั้น  ดูเหมือนจะเป็น  “คิว”  ของบิทคอยน์และเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ต่าง ๆ  ที่ตกลงมาอย่างแรงประมาณไม่น้อยกว่า 15% โดยเฉลี่ย ปรากฏการณ์นี้ ดร.นิเวศน์ มองอย่างไรบ้างไปติดตามกันครับ 25 พ.ค. 2564 สัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่วันที่ 17-21 พฤษภาคม 2564 นั้น ดูเหมือนจะเป็น “คิว” ของบิทคอยน์และเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ต่าง ๆ ที่ตกลงมาอย่างแรงประมาณไม่น้อยกว่า 15% โดยเฉลี่ย ตามหลังดัชนีหุ้นโลกที่ตกกันกระหน่ำในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เหตุผลที่หุ้นตกหนักนั้นมาจากการประกาศว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังพุ่งพรวดซึ่งจะมีผลกระทบกับอัตราดอกเบี้ยและเม็ดเงินที่อาจจะถูกถอนออกไปจากตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้หุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่กรณีของเหรียญคริปโตเฉพาะอย่างยิ่งบิตคอยน์นั้น สิ่งที่ทำให้มันตกลงมาแรงยิ่งกว่าตลาดหุ้นมากนั้นเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เกิดพร้อมกันเริ่มตั้งแต่การแถลงของอีลอนมัสก์ว่าจะไม่สนับสนุนบิตคอยน์เพราะมันทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกมากเนื่องจากการขุดหรือทำเหมืองบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล เขาแถลงพร้อมกับการเลิกรับบิตคอยน์ในการซื้อขายรถเทสลา นี่ทำให้คนตกใจเนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเป็นคนที่เชียร์บิตคอยน์จนออกนอกหน้าและเข้าไปซื้อลงทุนด้วยเงินก้อนโต คนคิดว่าเขาอาจจะขายบิตคอยน์ไปหมดแล้วจึงออกมาพูด แต่นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่มาก และหลังจากนั้นก็มีการพูดว่าเทสลาก็ยังถือบิตคอยน์อยู่มาก ปัจจัยที่สองก็คือการที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มคิดที่จะเข้มงวดกับการเก็บภาษีกำไรจากการขายคริปโตเคอเรนซี่ โดยเฉพาะที่มีมูลค่ารายการเกิน 10,000 เหรียญหรือประมาณ 300,000 บาท โดยการบังคับให้คนเล่นต้องรายงานต่อสรรพากร นี่ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ต้องคิดหนักถ้าจะลงทุนในเหรียญเหล่านี้ในระยะสั้นต่อไป เพราะถ้ากำไรต้องจ่ายภาษีแต่เวลาขาดทุนไม่ได้รับคืนใครจะอยากเทรด? แต่ปัจจัยที่น่าจะกระทบรุนแรงที่สุดก็คือปัจจัยที่สามนั่นก็คือการที่รัฐบาลจีนประกาศ “แบน” บิตคอยน์และเหรียญคริปโตทั้งหลาย ไม่ให้สถาบันการเงินและธุรกิจเกี่ยวข้องกับเงินดิจิตอลเหล่านี้ พูดง่าย ๆ ห้ามรับเงินเหล่านั้นในการซื้อขายหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ เพราะเกรงว่ามันจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนกับระบบการเงินของประเทศ ซึ่งนั่นหมายความว่า ตลาดที่ใหญ่มากน่าจะเป็นอันดับสองของโลกในเรื่องของการลงทุนและอันดับหนึ่งในแง่ของการ “ขุด” บิตคอยน์ จะ “หายไป” ดังนั้น บิตคอยน์และเหรียญต่าง ๆ จึงถูกเทขายจนราคาของบิตคอยน์ตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อหนึ่งบิตคอยน์จากที่เคยสูงถึง 1.8 ล้านบาทเมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2564 หรือลดลงประมาณ 36% ภายในเวลา 2 สัปดาห์ กลายเป็น “วิกฤติเหรียญคริปโต” ที่บูมเป็น “ฟองสบู่” จากราคาเหรียญละประมาณ 300,000 บาท เมื่อ 1 ปีที่แล้วกลายเป็น 2 ล้านบาทในเดือนเมษายนปีนี้ และตกลงมาเหลือ 1.2 ล้านบาท ในวันนี้ หรือเป็นการตกลงมาถึง 40% ในเวลาเพียงเดือนเดียว คงไม่ต้องพูดว่าคนหนุ่มสาวไทยจำนวนมาก อาจจะเป็น “ล้านคน” ที่เข้ามาเล่นบิตคอยน์และคริปโตเคอเรนซี่อื่น ๆ ในช่วงที่เหรียญเหล่านี้กำลังบูมสุดขีดในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมาน่าจะต้องขาดทุนอย่างหนัก เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวทั้งโลกโดยเฉพาะคนอเมริกันที่ “แห่” กันเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดเหรียญคริปโตต่าง ๆ ที่ “เจ็บตัว” ยิ่งกว่านักเล่นชาวไทย อานิสงส์จากการที่มีเครื่องมือขยายอำนาจซื้อเช่นพวกอ็อปชั่นต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถซื้อแบบ “ยกกำลัง” หลาย ๆ เท่าจากเม็ดเงินที่มี และนี่ก็น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนที่เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดว่า การ “ทำเงินแบบง่าย ๆ” โดยการเข้าไปเล่นอะไรที่ดูเหมือนว่าจะง่ายมากในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องที่ “ยากมาก” จริงอยู่ที่ว่าราคาบิตคอยน์ในวันนี้ก็ยังสูงเป็น 4 เท่าของราคาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา และเป็น 10 เท่าของ 1.5 ปีที่ผ่านมาเมื่อบิตคอยน์อยู่ที่แสนสองหมื่นบาท คนเล่นที่ถือบิตคอยน์มาตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังกำไรมหาศาลและอาจจะกลายเป็นเศรษฐีอยู่ดี ดังนั้น การปรับตัวลงมาของบิตคอยน์ในช่วงนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้อง “เลิกเล่น” หรือเลิกสนใจการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ที่ยังไงก็เป็น “อนาคต” ของโลกที่ “หนีไม่พ้น” และดังนั้น คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยก็น่าจะยัง “สู้” ต่อไป หลายคนอาจจะบอกว่า “วิกฤติคือโอกาส” สำหรับผมเองนั้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตของบิตคอยน์และคริปโตทั้งหลายจะไปอย่างไรต่อ ผมรู้แต่ว่าการลงทุนในเหรียญเหล่านี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น มันจึงเหมาะกับสภาวะการเงินการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนที่เป็นการ “เก็งกำไร” ซึ่งก็คือสภาวะที่เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ เงินล้นระบบและคนไม่รู้ว่าจะเอาเงินเก็บไปอยู่ที่ไหนซึ่งก็คือภาวะปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สภาวะนี้ก็อาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไป แค่ไหนผมก็ไม่รู้ ถ้าไม่มาก คนก็อาจจะเล่นกันต่อไป สภาวะการเก็งกำไรก็จะยังสูงไปอีกนาน ถ้าเป็นแบบนั้น ราคาเหรียญทั้งหลายก็อาจจะกลับมาได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ราคาก็อาจจะยังตกต่อไปได้อีกมาก อย่าลืมว่า ช่วงที่เกิดวิกฤติหุ้นไฮเท็คในปี 2000 นั้น สุดท้ายดัชนีแนสดาคตกลงไปกว่า 75% ความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งของ “เงินดิจิตอล” ที่สูงมากและเราก็เริ่มได้เห็นแล้วก็คือ การที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ อาจจะเริ่มเข้ามาควบคุม และการควบคุมนั้นมักจะทำให้ “คุณค่า” หรือประโยชน์ใช้สอยของมันลดลง เหนือสิ่งอื่นใด เงินดิจิตอลเองนั้น ที่มันมีคุณค่าก็เพราะว่ามันถูกออกแบบไม่ให้มีใครมาควบคุมได้ เมื่อเป็นแบบนี้ “สงคราม” ก็เกิดขึ้น “When the old power refuse to die and the new power struggle to be born, evil appear.” แปลว่า “เมื่ออำนาจเก่าไม่ยอมตายและอำนาจใหม่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะเกิด ความชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้น” และสงครามครั้งนี้อาจจะดำเนินต่อไปอีกยาวไกลมากและก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะชนะ แต่แค่ “ยกแรก” เราก็ได้เห็นแล้วว่าความเสียหายนั้นรุนแรงแค่ไหน ในความเห็นของผม การลงทุนที่มีความไม่แน่นอนสูงมากที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และถ้าปัจจัยเหล่านั้นมีโอกาสที่จะกระทบกิจการที่เราลงทุนแรงมาก ผมก็ไม่อยากจะลงทุน ปรัชญาการลงทุนหลักของผมข้อหนึ่งก็คือ ลงทุนแล้วในระยะยาวจะต้องไม่ขาดทุน หรือถ้าขาดทุนก็ต้องไม่เป็นหายนะ ดังนั้น การลงทุนในเหรียญคริปโตจึงไม่อยู่ในจอเรดาร์การลงทุนของผมเลยทั้ง ๆ ที่บางครั้งผมก็เคยรู้สึกเหมือนกันว่า หลักทรัพย์นั้นไม่แน่นอนสูงก็จริง แต่หลังจากที่ราคามันลดลงมากสุด ๆ แล้ว โอกาสที่มันจะกลับไปสูงก็ย่อมจะเป็นไปได้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดแต่ผมไม่ทำโดยเฉพาะถ้าผมไม่สามารถจะประเมินได้ชัดเจนว่ามูลค่าที่เหมาะสมของกิจการนั้นควรเป็นเท่าไร อะไรคือ Fundamental หรือพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ และนั่นก็นำไปสู่ปรัชญาการลงทุนหลักข้อสองของผมนั่นคือ ผมจะต้องสามารถกำหนดหรือคาดการณ์ “มูลค่าพื้นฐาน” ที่แท้จริงของกิจการหรือทรัพย์สินนั้นได้ ซึ่งหลักใหญ่ ๆ ก็คือ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สิน ก็ดูว่ามันมีราคาตลาดที่มั่นคงต่อเนื่องมาช้านาน และกรณีแบบนี้ผมก็จะดูว่าช่วงเวลาที่มันตกต่ำมากใน “ประวัติศาสตร์” ย้อนหลังไปอาจจะ 10-20 ปี มันอยู่ที่เท่าไร และนั่นก็คือ “มูลค่าพื้นฐาน” ที่ผมอยากจะใช้ แต่ในกรณีที่หลักทรัพย์นั้นเป็นหุ้นหรือเป็นกิจการ มูลค่าพื้นฐานก็คือ “ความสามารถในการผลิตกระแสเงินสด” ต่อเนื่องยาวนานไปในอนาคต และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ความได้เปรียบที่ยั่งยืน” หรือความสามารถของกิจการที่จะต่อสู้กับคู่แข่งในระยะยาวของบริษัท สำหรับผมแล้ว ทองคำ บ้านและที่ดิน เป็นทรัพย์สินที่ผมอาจจะลงทุนได้ถ้าพบว่าราคาขณะนั้นต่ำกว่า “พื้นฐาน” อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เคยลงทุนในทองคำเลย ในขณะที่บ้านและที่ดินนั้น ในอดีตก่อนที่ผมจะรู้จักกับหุ้น ผมเคยลงทุนอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ก็ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก โดยรวมก็พอไปได้ บางแปลงก็เป็น “หายนะ” บางแปลงก็พอมีกำไรบ้าง เหตุผลก็ชัดเจนว่า เรามีความรู้ไม่พอ และเมื่อรู้แล้วว่าความรู้ไม่พอก็เลิกลงทุนโดยเด็ดขาด และหลังจากกลายเป็น “VI” ที่มุ่งมั่น หุ้นก็กลายเป็นแทบจะสิ่งเดียวที่ผมลงทุน และก็เป็นการลงทุนที่ “เน้นแต่พื้นฐาน” เป็นหลัก แทบไม่สนใจการ “เก็งกำไร” แม้ว่าจะมีสิ่งยั่วเย้าเข้ามาตลอดเวลา ซึ่งก็รวมไปถึงการลงทุนแบบ Venture Capital หรือ Start Up ที่มักจะ “สร้างความฝัน” และความตื่นเต้นให้กับคนที่เป็น “นักลงทุน” ที่อยากได้กำไรแบบ “สุดยอด” ทุกคน ไม่ต้องพูดถึงการลงทุนในเหรียญคริปโตที่เป็น “ที่สุดจริง ๆ” เพราะผลตอบแทนที่เคยให้ถึง 5 เท่า 10 เท่าในเวลาอันรวดเร็วเป็นที่เย้ายวนมากจนนักลงทุนรุ่นใหม่มักจะ “ต้านไม่ไหว” แต่สำหรับผมซึ่งอยู่มานานและเคยประสบกับสถานการณ์แทบทุกอย่างรวมถึงมีประสบการณ์ที่ “เจ็บปวด” ผมจึงมักจะ “ทนได้” ผมเฉยกับสิ่งที่ผม “ไม่รู้จริง” ผมยอม “พลาดโอกาสทอง” ได้ทุกอย่าง แต่จะพยายามไม่พลาด “ความอยู่รอด” จากหายนะ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่มาบทความ: https://blog.settrade.com/blog/nivate/2021/05/24/2511 แท็ก: Advance Article Cryptocurrency Knowledge Short Content สินทรัพย์ดิจิทัล แชร์บทความ: ผู้เขียน Dr.Niwes Hemvachiravarakorn นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ผู้เขียนหนังสือ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก, เซียนหุ้นมือทอง, ตีแตก, เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธ์แท้, กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }