text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
News Update: เรย์ ดาลิโอ อวยจีน ชื่นชม ‘รุ่งเรืองร่วมกัน’ ของสี จิ้นผิง มองลงทุนจีน น่าสนใจกว่าสหรัฐฯ - FINNOMENA ‘เรย์ ดาลิโอ’ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ากว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ เร่งลดช่องว่างความมั่งคั่งแบบประเทศจีน พร้อมกล่าวชื่นชมนโยบาย “รุ่งเรืองร่วมกัน” ของปธน.สี จิ้นผิง 11 ม.ค. 2565 ‘เรย์ ดาลิโอ’ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates บริษัทการลงทุนที่มีมูลค่ากว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ รวมถึงสหรัฐฯ เร่งลดช่องว่างความมั่งคั่งแบบประเทศจีน พร้อมกล่าวชื่นชมนโยบาย “รุ่งเรืองร่วมกัน” ของปธน.สี จิ้นผิง เมื่อวานนี้ (10 ม.ค.) เรย์ ดาลิโอกล่าวในการประชุมด้านการลงทุนของ UBS ว่า แรงผลักดันของสี จิ้นผิง ช่วยกระจายความมั่งคั่งและโอกาสแก่ทุกคน แต่นักลงทุนต่างชาติกำลังเข้าใจผิดเพราะคิดว่านโยบายดังกล่าวอาจทำให้จีนกลับไปสู่คอมมิวนิสต์แบบปธน.เหมา เจ๋อตง เป็นที่รู้กันดีว่าเรย์ ดาลิโอ ชื่นชอบประเทศจีนมาตลอด 40 ปี และได้ส่งลูกชายของเขาซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 11 ปี ไปเรียนที่ปักกิ่งเป็นเวลาหนึ่งปี โดยเขาแนะว่าสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ควรเร่งลดช่องความมั่งคั่ง โดยประยุกต์ใช้นโยบายรุ่งเรืองร่วมกันในรูปแบบของประเทศตนเอง “คุณไม่มีทางรู้ว่าคนมีพรสวรรค์อยู่ที่ไหน อาจจะเป็นคนจนหรือคนด้อยโอกาสก็ได้ ดังนั้นเศรษฐกิจที่สร้างระบบอันยุติธรรมขึ้นมาจะช่วยให้เราสามารถดึงพรสวรรค์เหล่านั้นมาใช้ได้” เรย์ ดาลิโอกล่าว ขณะที่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมีมุมมองเชิงลบต่อตลาดจีน เช่น ‘จอร์จ โซรอส’ พ่อมดการเงินที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสี จิ้นผิง กล่าวว่าการลงทุนในจีนคือโศกนาฏกรรม หรือหัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Guggenheim ที่กล่าวเมื่อเดือน ต.ค. ว่า ประเทศจีนนั้นไม่น่าลงทุน ดัชนี MSCI China ร่วงเกือบ 23% ในปีที่แล้ว จากความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 และแรงกดดันด้านกฎระเบียบ เนื่องจากเป้าหมายลดช่องว่างความมั่งคั่งของรัฐบาลจีนมุ่งเน้นไปที่ภาคเทคโนโลยี และพยายามควบคุมสิ่งที่รัฐบาลมองว่าไม่จำเป็นในสังคมอย่างเช่น กลุ่มแฟนคลับของดาราดัง โรงเรียนกวดวิชา และธุรกิจวิดีโอเกม อย่างไรก็ตาม เรย์ ดาลิโอ กลับมองว่าการลงทุนในสหรัฐฯ นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในจีน จากหลายปัจจัย ทั้งรายได้เทียบกับค่าใช้จ่าย สินทรัพย์เทียบกับหนี้สิน กฎระเบียบภายในประเทศ แนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งภายนอก (External Conflict) รวมถึงอัตราการเติบโตของเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่ช้ากว่าจีน โดยในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา Bridgewater Associates ได้ระดมทุน 8,000 ล้านหยวนหรือประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ในกองทุนส่วนบุคคลกองใหม่ที่มีนโยบายลงทุนในประเทศจีน และกลายเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-11/ray-dalio-says-u-s-needs-a-dose-of-china-s-common-prosperity?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รุ่งเรืองร่วมกัน สีจิ้นผิง เรย์ ดาลิโอ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ร่วงหลุด $40,000 ก่อนดีดกลับ นักวิเคราะห์คาด สิ้นปีนี้ต่ำกว่า $20,000 ส่องความเห็น ‘ท๊อป จิรายุส’ ประเด็นภาษีคริปโทฯ - FINNOMENA Bitcoin ร่วงหลุดระดับ $40,000 แตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ก่อนดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยราคาล่าสุด (11 ม.ค.) อยู่ที่ประมาณ $42,000 11 ม.ค. 2565 Bitcoin ร่วงหลุดระดับ $40,000 แตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ก่อนดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยราคาล่าสุด (11 ม.ค.) อยู่ที่ประมาณ $42,000 เมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) Bitcoin ร่วงแรงกว่า 6% สู่ราคา $39,774 โดยราคา Bitcoin ร่วงมากกว่า 40% จากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ $69,000 ในเดือน พ.ย. และร่วงแล้ว 14% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในช่วงต้นปีครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ 2012 ท่าทีที่เข้มงวดขึ้นของ Fed ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งก่อนหน้านี้ Bitcoin ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากของรัฐบาลและธนาคารกลางในช่วงโควิด-19 จนทำให้สถาบันและนักลงทุนรายย่อยเข้าสู่ตลาดคริปโทฯ และทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้น Jay Hatfield ผู้บริหารระดับสูงของ Infrastructure Capital Advisors มองว่า ตลาดคริปโทฯ จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการที่ Fed ลดการอัดฉีดสภาพคล่อง และคาดว่าราคา Bitcoin ในสิ้นปี 2022 จะต่ำกว่า $20,000 อย่างไรก็ตาม Mike McGlone จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า ระดับ $40,000 คือแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญ และคริปโทฯ เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับลดความเสี่ยงในปัจจุบัน โดยเขาคาดการณ์ว่าในที่สุด Bitcoin จะเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้นและกลายมาเป็นสินทรัพย์มาตรฐาน สำหรับประเทศไทย ‘การเก็บภาษีคริปโทฯ ’ กลายมาเป็นประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดตอนนี้สำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หลังกรมสรรพากรให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บภาษีคริปโทฯ ท๊อป จิรายุส ซีอีโอของ Bitkub ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “เรื่องของภาษีและหลายๆ กฎหมาย ควรจะมีทีมที่มาดูอย่างจริงจัง เพื่อให้กฎหมายสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่หรือโลกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเกิดขึ้นเร็วมากๆ อดีตสอนเรามาตลอดว่า ประเทศที่มีกฎหมายที่ไม่ตามกับเทคโนโลยีใหม่ก็จะเป็นประเทศที่เสียประโยชน์มหาศาลในระยะยาว” โดยท๊อป จิรายุส มองว่าคริปโทฯ คือโอกาสแห่งอนาคต เพราะสิ่งที่พวกเรากำลังทำกันอยู่คือโครงสร้างพื้นฐานหลักของสิ่งที่เรียกว่า เว็บ 3.0 ที่ยังไงมันก็เกิด และไม่เกิดขึ้นไม่ได้เพราะเป็นทิศทางของโลก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-10/bitcoin-is-off-to-worst-annual-start-since-the-dawn-of-crypto?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/business/981835 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Crypto Cryptocurrency News Update คริปโต ภาษีคริปโต ภาษีคริปโทฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เดลตาครอน’ ของจริง นักวิจัยไซปรัสโต้ข่าวลือ ย้ำการทดลองไม่ปนเปื้อน - FINNOMENA นักวิจัยในไซปรัสยืนยันไวรัสสายพันธุ์ ‘เดลตาครอน’ เกิดขึ้นจริง หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่าเป็นผลจากการปนเปื้อนในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ 10 ม.ค. 2565 นักวิจัยในไซปรัสยืนยันไวรัสสายพันธุ์ ‘เดลตาครอน’ เกิดขึ้นจริง หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกว่าเป็นผลจากการปนเปื้อนในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ วันนี้ (10 ม.ค.) ลิออนดิออส คอสตริคิส ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยไซปรัสซึ่งเป็นผู้ค้นพบเชื้อไวรัสลูกผลสมระหว่างเดลตาและโอมิครอนออกมาชี้แจงว่า การค้นพบสายพันธุ์ ‘เดลตาครอน’ นั้นเป็นเรื่องจริง โดยพบผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 25 ราย และไม่ได้เกิดจากการปนเปื้อนตามข่าวลือแต่อย่างใด ศ.คอสตริคิส อธิบายเพิ่มเติมว่า การกลายพันธุ์ของเดลตาครอนเกิดจากแรงกดดันด้านวิวัฒนาการ (Evolutionary Pressure) ที่เกิดขึ้นต่อสายพันธุ์ดั้งเดิม ไม่ได้เป็นผลจากการรวมกันใหม่ของยีนเพียงเหตุการณ์เดียว โดยเขาระบุว่า สมมติฐานว่าการทดลองนั้นปนเปื้อนสามารถตัดออกไปได้ เนื่องจากพบการติดเชื้อเดลตาครอนในกลุ่มผู้รักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่าผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อในลักษณะเดียวกับเดลตาครอนในตัวอย่างหนึ่งของอิสราเอลอีกด้วย อ้างอิง: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2284271 https://www.matichon.co.th/foreign/news_3124695 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เดลตาครอน โควิด-19 โอมิครอน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุนปี 2022 โดย Goldman Sachs - FINNOMENA แม้ปีที่แล้วจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ยังคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะยังเติบโตต่อในปี 2022 โดยเป็นผลมาจากการพัฒนาวัคซีน และอัตราการออมที่สูง จะส่งผลให้การบริโภคเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง 7 ม.ค. 2565 แม้ปีที่แล้วจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs ยังคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะยังเติบโตต่อในปี 2022 โดยเป็นผลมาจากการพัฒนาวัคซีน และอัตราการออมที่สูง จะส่งผลให้การบริโภคเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง Goldman Sachs คาดการณ์ว่า GDP โลกจะเติบโตที่อัตรา 4.5% โดยเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วจะเติบโตไปจนถึงกลางปีนี้ จากนั้นจึงชะลอตัวหลังแรงกระตุ้นระยะสั้นลดลง และคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะค่อนข้างซบเซาอันเป็นผลจากตลาดอสังหาฯ ที่อ่อนแอ และนโยบายควบคุมที่ยังมีความเข้มงวด ในทางกลับกัน Goldman Sachs มีมุมมองที่สดใสต่ออินเดียเนื่องจากศักยภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ สำหรับปี 2022 Goldman Sachs คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทุก 6 เดือน นับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้สมมติฐานว่าราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แม้จะล่าช้ากว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ส่วนธนาคารกลางยุโรป จะยังคงห่างไกลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มากไปกว่านั้น Goldman Sachs ยังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real rate) จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายจะอดทนต่อการขาดดุลงบประมาณมากขึ้น พร้อมความต้องการลงทุนธีมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: GoldmanSachs News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุนปี 2022 โดย JPMorgan - FINNOMENA JPMorgan มองว่าการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อช่วยให้ประชากรสหรัฐฯ กว่า 90% มีภูมิคุ้มกัน สถิติชี้ให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตน้อยลง ส่วนการกลายพันธุ์ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น 7 ม.ค. 2565 JPMorgan มองว่าการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อช่วยให้ประชากรสหรัฐฯ กว่า 90% มีภูมิคุ้มกัน สถิติชี้ให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตน้อยลง ส่วนการกลายพันธุ์ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น โดยธรรมชาติของการกลายพันธุ์ การติดเชื้อจะเร็วขึ้นแต่อัตราการเสียชีวิตจะน้อยลง ดังนั้นปี 2022 เศรษฐกิจน่าจะเติบโตต่อไปภายใต้ความระมัดระวังด้านสาธารณสุข ปี 2022 เศรษฐกิจโลกจะก้าวออกจากการแพร่ระบาด โดย JPMorgan คาดว่าจะมีการใช้ยาต้านไวรัสและเลิกนโยบายควบคุมผู้ติดเชื้อ “zero tolerance” ซึ่งจีนที่ใช้นโยบายนี้อย่างเข้มงวดอาจเลิกใช้นโยบายนี้ ในช่วงปลายปี 2022 JPMorgan คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่ระดับประมาณ 5% โดยความสามารถในการเติบโตของเศรษฐกิจจีนถือเป็นปัจจัยสำคัญ จากแรงหนุนของนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย เช่นเดียวกับการปฏิรูปอันมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้ความไม่แน่นอนลดลงและนักลงทุนจะคลายความกังวล โดยหุ้นต่างประเทศที่ไม่ใช่หุ้นสหรัฐฯ จะทำผลตอบแทนที่น่าสนใจ อันเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและระดับมูลที่เหมาะสม ขณะที่กระแส ESG ยังคงเติบโตต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผู้กำหนดนโยบายหันมาให้ความสนใจกับปัญหาสภาพอากาศสะท้อนผ่านการประชุมความร่วมมือ COP26 และมาตรการการคลังของสหรัฐฯ ที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดมากขึ้น ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: JPMorgan News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุนปี 2022 โดย BlackRock - FINNOMENA BlackRock มอง Base Case ไว้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าก่อนหน้านี้ ขณะที่ธนาคารกลางจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Rate) ยังอยู่ใกล้เคียงจุดที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ 7 ม.ค. 2565 BlackRock มอง Base Case ไว้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าก่อนหน้านี้ ขณะที่ธนาคารกลางจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Rate) ยังอยู่ใกล้เคียงจุดที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หุ้นจึงยังเป็นสินทรัพย์ที่เติบโตได้อยู่ แต่พันธบัตรจะได้รับผลกระทบจากอัตราผลตอบแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ราคาพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง) ส่วนเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมาในปี 2021 จากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน BlackRock คาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับนี้ต่อไป ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด โดยธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลกต้องการอยู่กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าในอดีต จึงอาจไม่ได้ปรับนโยบายตอบสนองมากนัก ด้านความเสี่ยงการเมืองระหว่างประเทศ ยังเป็นอีกประเด็นที่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดการลงทุนได้ จุดแรกที่ต้องติดตามคือ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะด้านการทหาร แต่มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายในปี 2022 โดยทั้งสองชาติต่างต้องหันกลับไปแก้ปัญหาในประเทศ เริ่มจากสหรัฐฯ ที่เน้นการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid, ผ่านร่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ดูแลอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และการเลือกตั้งกลางเทอม ส่วนจีนก็ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว, การใช้มาตรการควบคุมและความเสมอภาคในสังคม รวมถึงการครองตำแหน่งผู้นำอีกสมัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขณะที่ความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (โอเปก) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม เพราะจะมีผลต่อราคาน้ำมัน โดย BlackRock มองว่าผู้ผลิตจะใช้อำนาจต่อรองราคาน้ำมันในช่วงที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด (ทำราคาครั้งสุดท้ายก่อนโลกจะลดการใช้น้ำมัน) ท้ายที่สุด นโยบายควบคุมเศรษฐกิจของประเทศจีน จะยังคงดำเนินต่อไปเพียงแต่จะลดความเข้มงวดลง เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นประเด็นที่สำคัญกว่า BlackRock คาดว่าประเทศจีนจะผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ประเทศจีนได้ใช้ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนทั่วโลกจัดระเบียบภายในของตัวเอง มากไปกว่านั้นความเสี่ยงจาก Covid สายพันธุ์ใหม่ยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ต้องใช้นโยบายผ่อนคลาย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ARKK ถูกเทขายไม่หยุด ร่วงแล้ว 48% จากจุดสูงสุด ก.พ. 2021 นักวิเคราะห์ชี้ ยังไม่ใช่จุดต่ำสุด - FINNOMENA กองทุน ARKK ของ Cathie Wood ถูกเทขายไม่หยุด ร่วงแล้วกว่า 48% จากจุดสูงสุดในเดือน ก.พ. 2021 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่แย่กว่าเดือน มี.ค. 2020 ที่ตลาดได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 7 ม.ค. 2565 กองทุน ARKK ของ Cathie Wood ถูกเทขายไม่หยุด ร่วงแล้วกว่า 48% จากจุดสูงสุดในเดือน ก.พ. 2021 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่แย่กว่าเดือน มี.ค. 2020 ที่ตลาดได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) กองทุน ARKK ปรับตัวลงมา 0.6% ปิดที่ราคา $85.58 โดยแรงเทขายทำให้ ARKK ร่วงแล้ว 9% ในสัปดาห์นี้ Josh Brown ซีอีโอของ Ritholtz Wealth กล่าวว่า นี่มันแย่กว่าเดือน มี.ค. 2020 สำหรับหุ้นกลุ่มดังกล่าว และเขามองว่าแรงเทขายดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง แรงเทขายในสัปดาห์นี้เป็นผลจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมของเหล่าบริษัทนวัตกรรมที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจและยังไม่ทำกำไร นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นยังทำให้รายได้ในอนาคตของบริษัทเหล่านี้ดูน่าสนใจน้อยลงอีกด้วย เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นสู่ 1.75% หลัง Fed ส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินเข้มงวดและขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ Stephen Weiss หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Short Hills Capital กล่าวว่า หุ้นของ Cathie Wood ยังไม่อยู่ในระดับต่ำสุดและต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง เนื่องจากเงินเฟ้อในระดับสูงทำให้ Fed มีท่าทีเข้มงวดขึ้นและต้องการให้นักลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง กองทุน ARKK ถือครองหุ้นทั้งหมด 43 หุ้น โดยมี 36 หุ้นที่ผลตอบแทนร่วงมากกว่า 40% จากระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ซึ่งผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ในสัปดาห์นี้ทำให้เงินทุนไหลออกจากกองทุนแล้วกว่า 280 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่วันจันทร์ (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา การปรับตัวลงตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. 2021 ของ Cathie Wood ไม่ได้เปลี่ยนการคาดการณ์ของ Ark โดย Cathie Wood กล่าวว่า เธอเพิ่งได้รับหุ้นที่มีความเชื่อมั่นสูงสุดในราคาต่ำมาโดยเชื่อว่าราคาจะเพิ่มขึ้น 4 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า และยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นที่ชื่นชอบหลังราคาหุ้นร่วงต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ อย่างเช่นหุ้น DraftKings, Block และ Roblox อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/01/06/sell-off-in-cathie-woods-ark-innovation-fund-reached-48percent-at-low-point-thursday.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update หุ้นเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุนปี 2022 โดย Allianz - FINNOMENA Allianz มองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2022 จะชะลอตัวด้วย 2 ปัจจัย ประกอบด้วยความไม่แน่นอนจากการ Covid และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน 6 ม.ค. 2565 Allianz มองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2022 จะชะลอตัวด้วย 2 ปัจจัย ประกอบด้วยความไม่แน่นอนจากการ Covid และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน โดยหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงยังได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวหลัง Covid ในช่วงปลาย แต่ต้องยอมรับว่าระดับมูลค่าของหลายภูมิภาคอยู่ในระดับที่แพงเมื่อเทียบกับอดีต ดังนั้นต้องใช้กลยุทธ์ active และ selective สะท้อนมุมมองทางอ้อมว่า ตลาดหุ้นจะไม่ได้เป็นขาขึ้นทั้งตลาดเหมือนอย่างปีที่ผ่านมาแล้ว ความเสี่ยงที่ยังรออยู่ ส่งผลให้นักลงทุนต้องกระจายความเสี่ยงระหว่างสินทรัพย์ กลยุทธ์ และภูมิภาค โดย Allianz แนะนำธีมการลงทุน 3 ธีม ประกอบด้วย 🏦 ติดตามอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่อาจไม่ใช่จุดจบของยุคดอกเบี้ยต่ำที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ หมายความว่านักลงทุนต้องหาวิธีการปกป้องกำลังซื้อและหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น 🇨🇳 ชื่นชอบประเทศจีน แม้จะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่แตกต่างไปจากขนบธรรมเนียม รวมไปถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการควบคุมที่เข้มงวดซึ่งกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี อสังหาฯ สถาบันกวดวิชา แต่ถ้าเข้าใจบริบทการเมืองของประเทศจีนและมองหาโอกาส การลงทุนในประเทศจีนอาจเป็นที่หลบภัยจากความผันผวนทั่วโลกในระยะยาว 🌱 เน้นการลงทุนเกี่ยวกับความยั่งยืน ด้วยกระแสลดการปล่อยคาร์บอนจะแตะระดับ 0% (net zero) ภายในไม่กี่ทศวรรษ Allianz คาดหวังว่าความยั่งยืนจะเป็นสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแบบเก่า มากกว่าไปนั้นการลงทุนอย่างยั่งยืนอาจต้องก้าวข้ามประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศไปสู่ความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเท่าเทียม ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Allianz News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินกำลังย้ายไปไหน? เมื่อเฮดจ์ฟันด์ทิ้งหุ้นเทคโนโลยี ขายครั้งใหญ่ มูลค่าสูงสุดรอบ 10 ปี - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีเผชิญแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุดจากนักลงทุนสถาบันนับตั้งแต่วิกฤติการเงิน หลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและเตรียมลดขนาดงบดุลเพื่อต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ 6 ม.ค. 2565 หุ้นเทคโนโลยีเผชิญแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุดจากนักลงทุนสถาบันนับตั้งแต่วิกฤติการเงิน หลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นและเตรียมลดขนาดงบดุลเพื่อต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ข้อมูลจาก Goldman Sachs รายงานว่า บรรดาเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ เริ่มต้นปีด้วยการเทขายหุ้นบริษัทซอฟต์แวร์และผู้ผลิตชิปอย่างรวดเร็วจนทำให้มูลค่าดังกล่าวแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) ดัชนี Nasdaq 100 ร่วงกว่า 3% ขณะที่กลุ่มหุ้นซอฟต์แวร์ราคาแพงของ Goldman Sachs ร่วง 6.3% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ พ.ค. ปีที่แล้ว Mike Loewengart จาก E*Trade Financial กล่าวว่า แรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีทวีความรุนแรงขึ้นหลังรายงานการประชุม Fed ในเดือน ธ.ค. ที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.) บ่งชี้ว่า Fed มีมุมมองเข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดและมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นทำให้มุมมองต่อบริษัทเทคโนโลยีเปลี่ยนไป โดยแรงเทขายดังกล่าวได้สร้างปัญหาให้แก่เฮดจ์ฟันด์บางแห่งที่ยังคงเดิมพันในหุ้นซอฟต์แวร์อยู่ ซึ่งในวันอังคาร (4 ม.ค.) ที่ผ่านมา ลูกค้ากองทุน Long-Short ของ Goldman Sachs ต้องเผชิญกับผลขาดทุนที่แย่ที่สุดในรอบ 1 ปี ก่อนหน้านี้เริ่มมีแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีออกมาให้เห็น โดยนักลงทุนรายใหญ่ได้เทขายหุ้นเทคโนโลยีมูลค่าสูงแล้วนำเงินไปลงทุนในหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัว เห็นได้จากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ Goldman Sachs ที่เริ่มซื้อหุ้นสายการบิน พลังงาน และอุตสาหกรรม จนทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ลดลงสู่ระดับต่ำสุด ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และท่าทีที่เข้มงวดขึ้นของ Fed อาจทำให้หุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินไปเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bernstein ระบุว่า 1 ใน 3 ของหุ้นเทคโนโลยีถูกซื้อขายที่ราคามากกว่า 10 เท่าของรายได้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-05/heaviest-tech-selling-in-a-decade-fueled-stock-market-rate-rout?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นวัฏจักร หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ เฮดจ์ฟันด์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนัก Bitcoin หลุด $43,000 กังวล Fed ไม่ใช่แค่ขึ้นดอกเบี้ย แต่เปิดประเด็นใหม่ ‘ลดงบดุล’ ขายสินทรัพย์ - FINNOMENA เช้านี้ (6 ม.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดร่วงแรง ติดลบกว่า 2-3% หลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และเตรียมลดขนาดงบดุล นำโดยดัชนี NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น ที่ร่วงแล้วกว่า 2.5% 6 ม.ค. 2565 เช้านี้ (6 ม.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดร่วงแรง ติดลบกว่า 2-3% หลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น และเตรียมลดขนาดงบดุล นำโดยดัชนี NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น ที่ร่วงแล้วกว่า 2.5% ขณะที่ตลาดหุ้นของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ต่างปรับตัวลงมากกว่า 2.5% เช่นกัน ขณะที่ ดัชนี HSI ปรับตัวลงมา 0.35% และดัชนี SSE Composite ลดลง 0.16% ด้านราคา Bitcoin ร่วงกว่า 6% หลุดระดับ $43,000 ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ท่าทีที่เข้มงวดขึ้นของ Fed ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงมา 1.07% ด้านดัชนี S&P 500 ลดลง 1.94% และดัชนี Nasdaq ร่วง 3.34% ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.) รายงานการประชุม Fed เดือน ธ.ค. ที่เผยแพร่ ระบุว่า Fed จะเริ่มวางแผนลดจำนวนพันธบัตรที่ถืออยู่ และเตรียมปรับลดขนาดงบดุล หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก Fed ยังไม่ได้กำหนดเวลาที่จะเริ่มลดจำนวนพันธบัตรและหลักทรัพย์ค้ำประกันที่ถืออยู่ซึ่งมีมูลค่ารวมเกือบ 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่แถลงการณ์หลังการประชุมเผยว่า กระบวนการดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มต้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ Fed เกือบทั้งหมดเห็นตรงกันว่าใกล้ถึงเวลาที่จะเริ่มปรับลดขนาดของงบดุลหลังจากที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก โดยคาดว่าความเร็วในการลดขนาดงบดุลกลับสู่ระดับมาตรฐานน่าจะเร็วกว่าครั้งก่อนในปี 2017 ขนาดของงบดุลมีความสำคัญ ในยุคที่ Fed รักษาดอกเบี้ยในระดับต่ำไปพร้อมกับการส่งเสริมตลาดการเงิน โดยตลาดคาดว่า Fed จะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มี.ค. นั่นหมายความว่าการปรับลดงบดุลอาจเกิดขึ้นก่อนเดือน มิ.ย. Fed เน้นย้ำหลายครั้งในการประชุมว่า นโยบายผ่อนคลายพิเศษที่มีขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดนั้นไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป พร้อมระบุถึงอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานใกล้เข้าสู่การจ้างงานเต็มอัตรา Kathy Jones จาก Charles Schwab กล่าวว่า นี่เป็นการพูดคุยที่ค่อนข้างจริงจัง และ Fed กำลังทำมากกว่าพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดเห็นตรงกันว่าถึงเวลาเหมาะสมที่จะลดขนาดของงบดุล ซึ่งครั้งที่แล้ว Fed รอตั้ง 2 ปี แต่คราวนี้ดูเหมือนว่า Fed จะพร้อมแล้ว แม้ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0 แต่เจ้าหน้าที่ Fed คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 0.75% ในปี 2022 และต้องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2023 และอีก 2 ครั้งในปี 2024 เจ้าหน้าที่ Fed ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อสูงและคงอยู่นานกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และอาจพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2022 โดยเงินเฟ้ออาจเป็นความเสี่ยงมากกว่าการแพร่ระบาดครั้งใหญ่เสียอีก ทำให้ Fed เตรียมใช้นโยบายเข้มงวดเร็วกว่าที่คาด ตามแนวทางดังกล่าว Fed จะเร่งความเร็วในการสิ้นสุดโครงการซื้อพันธบัตรรายเดือนภายใน มี.ค. ซึ่งนั่นจะทำให้ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เร็วขึ้นเพื่อจัดการกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบ 40 ปี เครื่องมือ FedWatch ของ CME รายงานว่า ราคาตลาดฟิวเจอร์สของกองทุน Fed บ่งชี้โอกาส 2 ต่อ 1 ที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค. โดยนักลงทุนคาดว่าการปรับขึ้นครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย.-ก.ค. และตามมาด้วยครั้งที่ 3 ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/01/05/fed-minutes-december-2021.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เกิดอะไรกับหุ้นเทคจีน? เมื่อ Hang Seng Tech ดิ่งสู่จุดต่ำสุด สะท้อนแรงกดดันจากรัฐบาลจีนยังไม่หมด - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมาร่วงต่ออีกแล้ว! นักลงทุนเชื่อแรงกดดันจากรัฐบาลจีนกำลังมาอีกระลอก หลัง Tencent ประกาศขายหุ้น Sea 5 ม.ค. 2565 หุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมาร่วงต่ออีกแล้ว! นักลงทุนเชื่อแรงกดดันจากรัฐบาลจีนกำลังมาอีกระลอก หลัง Tencent ประกาศขายหุ้น Sea เมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) Tencent ขายหุ้น Sea มูลค่าราว 3,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน Tencent ได้ประกาศแผนกระจายหุ้น JD.com มูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์ โดยใช้วิธีจ่ายปันผลครั้งเดียว การประกาศของ Tencent ทำให้นักลงทุนคาดว่าบริษัทเทคจีนกำลังเผชิญแรงกดดัน โดย Tencent และบริษัทคู่แข่งอาจกำลังเตรียมขายหุ้นเพิ่ม หลังรัฐบาลจีนเดินหน้าลงโทษบริษัทที่มีพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขัน ส่งผลให้วันนี้ (5 ม.ค.) ดัชนี Hang Seng Tech ร่วงแล้ว 4.2% มากสุดนับตั้งแต่ ก.ย. จนทำให้ดัชนีดิ่งสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่จัดตั้ง หลังหุ้น Meituan, JD.com, Tencent และ Bilibili ร่วงอย่างหนัก Bilibili ที่ได้รับการสนับสนุนโดย Tencent ร่วงกว่า 9.4% ขณะที่ Meituan ฟู้ดเดลิเวอรี่รายใหญ่ร่วงแรงที่ 11% ด้านหุ้น JD.com ปรับตัวลงมา 7.5% และ Tencent ลดลง 4.2% ข่าวดังกล่าวและความกังวลที่ว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ร่วงแรงเช่นกันในชั่วข้ามคืน “กฎระเบียบเพื่อต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลจีนจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยกำลังขยายพื้นที่ไปสู่ภาคอินเทอร์เน็ตของจีนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า” Cecilia Chan นักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence กล่าว หุ้น Alibaba ไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ขณะที่ Charlie Munger หุ้นส่วนเก่าแก่ของ Warren Buffett เพิ่มการถือหุ้นใน Alibaba เกือบ 2 เท่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-05/china-tech-drops-for-third-day-as-tencent-sale-spooks-traders?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tencent จีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุนปี 2022 โดย Invesco - FINNOMENA Invesco มองว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ช่วง mid-cycle ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการเติบโตจะต้องน้อยลง ด้านอัตราเงินเฟ้อจะแตะจุดสูงสุดราวกลางปี 2022 และจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนถึงปี 2023 5 ม.ค. 2565 Invesco มองว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ช่วง mid-cycle ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการเติบโตจะต้องน้อยลง ด้านอัตราเงินเฟ้อจะแตะจุดสูงสุดราวกลางปี 2022 และจะเริ่มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนถึงปี 2023 ส่วนธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว จะยังคงแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวอย่างที่เป็นอยู่ต่อไป ด้านการแจกจ่ายวัคซีนและการติดเชื้อต่างมีส่วนช่วยให้ประชากรโลกมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น Invesco ยังมองว่าเชื้อไวรัส COVID-19 มีโอกาสกลายพันธุ์แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะน้อยลง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในบางประเทศ จะยังเป็นความเสี่ยงอันเกิดจากมาตรการปิดเมือง และผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (supply chain disruptions) ปี 2022 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน จากการใช้นโยบายเพื่อสนับสนุนการเติบโตไปสู่นโยบายแบบปกติ ทำให้มาตรการทางการคลังลดลง แต่จะมีสภาพคล่องเข้ามาทดแทน จากอัตราการออมเงินสูงขึ้นของประชาชน เนื่องจากธุรกิจที่เติบโตและการได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ส่วนความเสี่ยง ยังหนีไม่พ้นอัตราเงินเฟ้อซึ่งหากพุ่งสูงไม่หยุด (ยืนเหนือระดับ 4% ต่อไป) จะกดดันให้ธนาคารกลางต้องใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นไปอีก สำหรับมุมมองต่อสินทรัพย์การเงิน Invesco ยังชอบการลงทุนในหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ แต่ให้น้ำหนักไปยังกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ส่วนหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับความสนใจโดยเลือกกลุ่ม Quality และ Large-Cap ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตน้อยลง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Invesco News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs กาวอย่างมีหลักการ ชี้ Bitcoin $100,000 เป็นไปได้ใน 5 ปี - FINNOMENA Goldman Sachs ระบุ การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้างจะทำให้ Bitcoin สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากทองคำ และส่งผลให้ราคาคาดการณ์ที่ $100,000 จากนักลงทุนมีความเป็นไปได้ 5 ม.ค. 2565 Goldman Sachs ระบุ การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในวงกว้างจะทำให้ Bitcoin สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากทองคำ และส่งผลให้ราคาคาดการณ์ที่ $100,000 จากนักลงทุนมีความเป็นไปได้ Goldman Sachs ประเมินว่า มูลค่าตามราคาตลาดของ Bitcoin อยู่ที่เกือบ 700,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 20% ของตลาดสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ (Store of Value) อย่างเช่นทองคำ และ Bitcoin ขณะที่มูลค่าทองคำในปัจจุบันที่สามารถลงทุนได้ อยู่ที่ประมาณ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ Zach Pandl จาก Goldman Sachs ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าส่วนแบ่งตลาด Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ราคา Bitcoin จะทะลุ $100,000 และสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 17-18% ล่าสุด (5 ม.ค.) ราคา Bitcoin อยู่ที่ประมาณ $46,300 หลังปรับตัวขึ้นมา 60% ในปี 2021 และพุ่งขึ้นมากกว่า 4,700% นับตั้งแต่ปี 2016 โดยทำสถิติสูงสุดในเดือน พ.ย. 2021 ที่ราคาเกือบ $69,000 Goldman Sachs กล่าวว่า แม้การใช้ทรัพยากรจำนวนมากบนเครือข่าย Bitcoin จะเป็นอุปสรรคต่อการนำ Bitcoin มาใช้ของภาคสถาบัน แต่นั่นไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการในสินทรัพย์ดังกล่าวได้ Bitcoin ได้รับการขนานนามมาตลอดว่าเป็นทองคำดิจิทัล เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผล และยังมีทิศทางผลตอบแทนที่ไม่สัมพันธ์กับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-04/goldman-says-bitcoin-100-000-a-possibility-by-taking-on-gold?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency Goldman Sachs News Update ทองคำ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: การลงทุนที่ดีที่สุดของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ได้กำไร $1.2 แสนล้าน จากการลงทุน Apple ตั้งแต่ 2018 หลังมูลค่าตลาด Apple แตะ $3 ล้านล้าน - FINNOMENA การลงทุน Apple ตั้งแต่ปี 2018 อาจเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทำกำไรมากกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ หลังมูลค่าตลาดของ Apple แตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา 5 ม.ค. 2565 การลงทุน Apple ตั้งแต่ปี 2018 อาจเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทำกำไรมากกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์ หลังมูลค่าตลาดของ Apple แตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวันจันทร์ (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มซื้อหุ้น Apple ตั้งแต่ปี 2016 และอีกครั้งใหญ่ในช่วงกลางปี 2018 โดยถือครองหุ้นกว่า 5% ของหุ้น Apple ทั้งหมดที่ต้นทุน 36,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งในปี 2022 หุ้นดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 160,000 ล้านดอลลาร์แล้ว James Shanahan จาก Edward Jones กล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดของ Berkshire ในทศวรรษที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากราคาหุ้นแล้ว Berkshire ยังได้รับผลตอบแทนจากการจ่ายเงินก้อนโตของ Apple ในรูปแบบเงินปันผลโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 775 ล้านดอลลาร์ต่อปีอีกด้วย เป็นที่รู้กันดีว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์ต่อต้านหุ้นเทคโนโลยี แต่บริษัทของเขาเริ่มลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมาจากการจัดการของ Todd Combs และ Ted Weschler ที่เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจ ข้อมูลจาก InsiderScore ระบุว่า Berkshire มีสัดส่วนการถือหุ้น Apple มากกว่า 40% ของพอร์ตหุ้นทั้งหมด และนอกจากผู้จัดตั้งกองทุน ETF แล้ว Berkshire เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Apple ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์กล่าวว่า Apple คือเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลกที่เขารู้จัก และยกให้เป็นธุรกิจที่ 3 ของ Berkshire ต่อจากธุรกิจประกันและทางรถไฟ โดย iPhone เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผู้บริโภคเหนียวแน่นในระบบนิเวศของ Apple ในรายงานประจำปี 2020 บริษัทรายงานว่า แม้จะมีการขายหุ้น Apple ไปในปี 2020 แต่บริษัทถือครองหุ้น เพิ่มขึ้นสู่สัดส่วน 5.4% ของหุ้น Apple ทั้งหมดโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจาก Apple ได้ซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง การลงทุนใน Apple มีบทบาทสำคัญต่อ Berkshire ในการฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2020 หลังธุรกิจอื่นๆ ที่บริษัทลงทุนซึ่งรวมถึงธุรกิจประกันภัยและพลังงาน ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/01/04/warren-buffett-makes-over-120-billion-on-apples-trot-to-3-trillion-among-his-best-bets-ever.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple Berkshire Hathaway News Update Warren Buffett วอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: มุมมองการลงทุน 2022 โดย Amundi - FINNOMENA Amundi มองปี 2022 ด้วย 3 ธีมหลัก เริ่มต้นด้วยการมีอยู่ของอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ตามด้วยความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลก และสุดท้ายก็คือการมีบทบาทที่มากขึ้นของธีม ESG ในพอร์ตลงทุน 5 ม.ค. 2565 Amundi มองปี 2022 ด้วย 3 ธีมหลัก เริ่มต้นด้วยการมีอยู่ของอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ตามด้วยความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลก และสุดท้ายก็คือการมีบทบาทที่มากขึ้นของธีม ESG ในพอร์ตลงทุน Amundi มองว่าปี 2022 เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2021 เพียงแต่อัตราการเติบโตจะลดลง เช่น สหรัฐฯ และยุโรป โดยยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด ด้านประเทศจีนถูกมองว่าอัตราการเติบโตจะลดลงอย่างมากจากปี 2021 และเติบโตต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด ส่วนญี่ปุ่นถูกคาดว่าการเติบโตจะสูงกว่าปี 2021 และสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด ส่วนประเด็นเงินเฟ้อที่ยังเกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตช้าลง ทำให้ Amundi ยังไม่ทิ้งกรณี Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกับเงินเฟ้อระดับสูง โดย Amundi มองว่าครึ่งแรกของปีเป็นช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวัง จัดพอร์ตการลงทุนแบบตั้งรับ กระจายสัดส่วน แต่ครึ่งหลังของปีนักลงทุนจะต้องเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น หาโอกาสกับสินทรัพย์ที่ให้การเติบโตระดับสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ ด้วยสถานการณ์ที่เศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวพร้อมมีอัตราเงินเฟ้อรวมไปถึงต้องรักษาเป้าหมายของตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างอัตราการว่างงาน ส่งให้ธนาคารทั่วโลกตัดสินใจใช้นโยบายการเงินยากขึ้นรวมไปถึงทิศทางของแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ โดยฝั่งประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไป และตามหลังประเทศตลาดเกิดใหม่ที่นโยบายการเงินเริ่มตึงตัวมากกว่า ท้ายที่สุดก็จะเป็นอีกปีที่ธีม ESG เพิ่มบทบาทในพอร์ตการลงทุน นำโดยกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม ที่เริ่มจากแคมเปญลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อชะลอการเพิ่มของอุณหภูมิโลก Amundi มีมุมมองเชิงบวกปี 2022 ต่อหุ้น US Value, ยุโรป, ญี่ปุ่น, จีน และตลาดเกิดใหม่ ซึ่งล้วนมีระดับมูลค่าที่ไม่สูงมาก สะท้อนว่าสำหรับปี 2022 Amundi ชอบหุ้นที่มูลค่าไม่แพง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Amundi News Update มุมมองตลาด แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ลุ้น Bitcoin ทะลุ $100,000 ในปีนี้ ส่อง 4 ปัจจัยกำหนดราคาคริปโทฯ ปี 2022 - FINNOMENA การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีบทบาทสำคัญต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2022 หลังท่าทีที่เข้มงวดของ Fed ส่งผลให้ราคาคริปโทฯ ปรับฐานลงในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา 4 ม.ค. 2565 การดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีบทบาทสำคัญต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2022 หลังท่าทีที่เข้มงวดของ Fed ส่งผลให้ราคาคริปโทฯ ปรับฐานลงในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า การที่ราคา Bitcoin จะพุ่งต่อเนื่องหลังปรับตัวขึ้นมาถึง 60% ในปี 2021 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า Fed จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดระดับใดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อสหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า การเติบโตของ Metaverse และ NFTs ในหลายบริษัทตั้งแต่ Meta ไปจนถึง Apple จะช่วยผลักดันตลาดคริปโทฯ ให้โตขึ้นโดยไม่สนปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค อย่างการขายงานศิลปะ NFT ในราคา 69.3 ล้านดอลลาร์ที่จัดโดยบริษัท Christie’s ในปีที่ผ่านมา ล่าสุด (4 ม.ค.) Bitcoin ปรับตัวลงมาเกือบ 1.3% อยู่ที่ราคาประมาณ $46,200 และนี่คือ 4 ประเด็นที่นักวิเคราะห์มองว่าจะส่งผลต่อแนวโน้มของราคาคริปโทฯ ในปี 2022 📈 สัญญาณขาขึ้นทางเทคนิค Katie Stockton ผู้ก่อตั้ง Fairlead Strategies มองว่านี่เป็นช่วงขาขึ้นของ Bitcoin ในระยะยาว โดย Bitcoin จะรักษาระดับจนสามารถทำสูงสุดใหม่อย่างน่าประทับใจที่ราคา $90,000 โดยตอนนี้อาจยังมีการปรับฐานอยู่บ้างจากสัญญาณที่บ่งชี้ downside ในระยะสั้น 🏦 Fed และ Metaverse 🌎 Antoni Trenchev หุ้นส่วนผู้จัดการของ Nexo กล่าวว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลอันดับ 1 สำหรับตลาดคริปโทฯ ในปี 2022 คือนโยบายการเงินของ Fed เพราะอัตรากู้ยืมระดับต่ำมีผลอย่างมากต่อคริปโทฯ นอกจากนี้ Fed ยังไม่พร้อมรับมือกับการร่วงแรง 10-20% ในตลาดหุ้น รวมถึงการตอบสนองจากตลาดตราสารหนี้ แม้จะเห็นความไม่แน่นอนในปี 2022 แต่ Trenchev คาดว่าราคา Bitcoin จะไปสู่ $100,000 ภายในสิ้นเดือน มิ.ย. โดยเขาไม่ได้คาดหวังว่าโทเคนอื่นๆ อย่าง Solana และ Avalanche จะสร้างผลกำไรแบบทวีคูณเหมือน Bitcoin “สิ่งที่ผมตื่นเต้นมากในปี 2022 คือ Metaverse” Trenchev เสริมว่า การเกิดขึ้นและการใช้คำว่า Metaverse นั้นดูยุ่งเหยิงแต่เต็มไปด้วยศักยภาพอย่างมาก โดยเชื่อว่านี่คือธีมที่จะครอบคลุมในปีหน้าซึ่งมี NFT เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ Metaverse 👥 ความท้าทายที่ต้องเผชิญ Jeffrey Halley นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Oanda Asia Pacific กล่าวว่า แม้จะมองเห็นการเก็งกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง แต่คริปโทฯ จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายขึ้นในปี 2022 อย่างการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เป็นมาตรฐานโดย Fed และธนาคารกลางอื่นๆ ที่จะไปสั่นคลอนเหตุผลที่ว่าคริปโทฯ เป็นทางเลือกของเงินกระดาษ Halley มองว่า การเกิดขึ้นของเหรียญใหม่ๆ ในทุกสัปดาห์นั้นขับเคลื่อนโดยการเก็งกำไรไม่ใช่บล็อกเชน โดยเขายังเชื่อว่าคริปโทฯ เป็นหนึ่งในเรื่องโง่เขลาที่สุดของประวัติศาสตร์ตลาดการเงิน 🛒 การแข่งขันเพื่อสร้าง App Store รูปแบบใหม่ Philip Gradwell หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Chainalysis กล่าวว่า บทเรียนสำคัญของ Web 2.0 คือ ผู้บริโภคชื่นชอบแพลตฟอร์มและไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสำหรับ Web 3.0 แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพลตฟอร์มคริปโทฯ ที่เป็นบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ารวมถึงรวบรวมซัพพลายเออร์ ซึ่งเขาคาดว่าในปี 2022 หลายบริษัทจะแข่งขันกันเพื่อสร้างแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ โดยมี Coinbase เป็นผู้นำในการผนึกรวม DeFi และ NFTs อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-03/bitcoin-at-100-000-or-popped-by-fed-analysts-give-2022-views?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency News Update คริปโต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Apple มูลค่าตลาดแตะ $3 ล้านล้าน ใช้เวลาไม่ถึง 4 ปี โตก้าวกระโดด 3 เท่า นักวิเคราะห์เชื่อมีโอกาสเติบโตอีกมาก - FINNOMENA Apple กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังราคาหุ้น Apple พุ่งแตะ $182.68 4 ม.ค. 2565 Apple กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรกที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังราคาหุ้น Apple พุ่งแตะ $182.68 ก่อนปิดที่ราคา $182.01 เมื่อคืนนี้ (3 ม.ค.) โดยล่าสุด Apple มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.99 ล้านล้านดอลลาร์ การก้าวสู่เส้นชัยใหม่แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงชื่อมั่นใน Apple เห็นได้จากมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ในเวลาไม่ถึง 4 ปี ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า Apple ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ปัจจัยหลักของความสำเร็จคือ การเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี 5G ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ CounterPoint Research ยังระบุว่า Apple กลายมาเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในจีนติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 แซงหน้า Vivo และ Xiaomi ผู้ผลิตสัญชาติจีน Apple รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 เติบโตในทุกผลิตภัณฑ์ โดยรายได้เพิ่มขึ้น 29% จากปีที่แล้ว ซึ่งมี iPhone เป็นตัวขับเคลื่อนการขายที่ใหญ่ที่สุด รวมถึงธุรกิจบริการของ Apple เติบโต 25.6% จากปีที่แล้ว และสร้างรายได้มากกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ TFI Asset Management รายงานว่า บริษัทจำหน่าย AirPods รุ่นใหม่ไปถึง 27 ล้านคู่ ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา Daniel Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าวว่า นี่เป็นการตอกย้ำความมั่นใจในการบริหารงานของ Tim Cook และเชื่อว่า Apple ยังมีพื้นที่ในการเติบโตโดยเฉพาะในธุรกิจบริการที่เขามองว่าจะมีมูลค่าสูงถึง $1.5 ล้านล้าน ในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา Morgan Stanley ปรับราคาเป้าหมายของหุ้น Apple จาก $164 สู่ $200 และยังคงแนะนำซื้อหุ้น Apple พร้อมอ้างว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่าง VR และ AR ยังไม่ได้รวมอยู่ในราคาหุ้นดังกล่าว นักลงทุนมองหุ้น Apple เป็นที่หลบภัยในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน เนื่องจากบริษัทมีงบดุลที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีกระแสเงินสดจำนวนมหาศาลที่ใช้เพื่อการลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การซื้อคืนหุ้น และการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น Apple เป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรกที่มีมูลล่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือน ส.ค. 2018 และมีมูลค่าตลาดแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในเวลา 2 ปีถัดมา ขณะที่มูลค่าตลาดของบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ตามหลังอยู่ไม่ไกลโดย Microsoft อยู่ที่ $2.5 ล้านล้าน, Google อยู่ที่ $2 ล้านล้าน และ Amazon อยู่ที่ $1.75 ล้านล้าน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/01/03/apple-becomes-first-us-company-to-reach-3-trillion-market-cap.html https://www.voathai.com/a/apple-3-trillion-dollar-market-value-first-american-company/6380266.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
สรุปข่าวแห่งปี 2021 รวมข่าวเด่นด้านเศรษฐกิจและการลงทุนรายเดือน ม.ค. - ธ.ค.โดย Morning Brief - FINNOMENA รวมข่าวเด่นด้านเศรษฐกิจและการลงทุนรายเดือน ม.ค. - ธ.ค. โดย Morning Brief 30 ธ.ค. 2564 ม.ค. 2021: โจ ไบเดน รับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ก.พ. 2021: กระแส Meme Stocks / Bitcoin แตะ $50,000 ครั้งแรก / OR ทำ IPO มี.ค. 2021: หุ้นเทคจีน-ARK ปรับฐาน / เรือขวางคลองสุเอซ / Archegos ล้มละลาย เม.ย. 2021: โควิด-19 เบต้า อินเดียวิกฤติ / ไทยเริ่มล็อกดาวน์ พ.ค. 2021: คริปโทฯ ปรับฐานครั้งใหญ่ / Tesla ร่วง / เดลต้ามาแล้ว มิ.ย. 2021: เดลต้ากลายเป็นสายพันธุ์หลัก / จีนคุมกวดวิชา – ให้มีลูกได้ 3 คน / เอลซัลวาดอร์ รับรอง Bitcoin ถูกกฎหมาย ก.ค. 2021: Didi ทำ IPO ที่สหรัฐฯ / น้ำมันพุ่งจากนโยบาย OPEC+ / โตเกียวโอลิมปิก 2020 ส.ค. 2021: จีนดัน ‘รุ่งเรืองร่วมกัน’ / ปัญหาซัพพลายเชนโลก / ไทยล็อกดาวน์อีกครั้ง – เดลต้า ก.ย. 2021: Evergrande ผิดนัดชำระหนี้ / Fed ส่งสัญญาณ QE Tapering / SCB ตั้ง ‘SCBX’ ต.ค. 2021: Bitcoin $66,000 / หุ้นเวียดนาม – อินเดีย ATH / Squid Game ฟีเวอร์ พ.ย. 2021: โอมิครอนมาแล้ว โลกเผชิญเวฟ 4 / KUB และเหรียญไทยคึกคัก / COP26 จุดกระแสรักษ์โลก ข่าวแห่งปี ธ.ค. 2021: อิลอน มัสก์ บุคคลแห่งปี / เงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงสุดรอบ 40 ปี / Fed เร่ง QE Tapering-ขึ้นดอกเบี้ย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update สรุปข่าวเด่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ขายหุ้นอีกเกือบ 1 ล้านหุ้น ใกล้ถึงเป้าหมายขายหุ้น Tesla 10% ตามโพลทวิต เตรียมจ่ายภาษีครั้งประวัติศาสตร์ 3.7 แสนล้านบาท - FINNOMENA Elon Musk ขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 934,090 หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,020 ล้านดอลลาร์ ใกล้ถึงเป้าหมายขายหุ้น 10% จากที่ถืออยู่ตามโพลทวิตก่อนหน้านี้ 29 ธ.ค. 2564 Elon Musk ขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 934,090 หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,020 ล้านดอลลาร์ ใกล้ถึงเป้าหมายขายหุ้น 10% จากที่ถืออยู่ตามโพลทวิตก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ Elon Musk ยังใช้สิทธิ Option ที่ได้รับเป็นแพ็กเกจค่าตอบแทนเมื่อปี 2012 ในการซื้อหุ้น Tesla เกือบ 1.6 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ $6.24 โดย Wall Street Journal รายงานว่า การใช้สิทธิ Option หุ้นของ Elon Musk ในไตรมาสนี้ทำให้เขาถือครองหุ้น Tesla เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 177 ล้านหุ้น จาก 170.5 ล้านหุ้น ตั้งแต่ 8 พ.ย. Elon Musk เทขายหุ้น Tesla จำนวนมากเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายภาษี โดยเขาได้ตั้งโพลทวิตเตอร์ถามความเห็นว่าเขาควรขายหุ้น 10% จากทั้งหมด เพื่อนำไปจ่ายภาษีหรือไม่ กฎ 10b5-1 ของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ระบุว่า บุคคลภายในซึ่งรวมถึงซีอีโอสามารถซื้อขายหุ้นของบริษัทได้ด้วยตัวเอง โดยต้องประกาศล่วงหน้าว่าจะซื้อขายเมื่อใดเพื่อป้องกันตนเองจากข้อกล่าวหาการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลวงใน ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นมากกว่า 54% ในปีนี้ ส่งผลให้ Elon Musk ในวัย 50 ปี กลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์กว่า 275,000 ล้านดอลลาร์ ตามประมาณการของ Forbes ใบเรียกเก็บภาษีของ Elon Musk อาจมีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยภาษีเงินได้ของเขาอยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 370,000 ล้านบาท) โดยเขาต้องจ่ายภาษีดังกล่าวเพื่อรับแพ็กเกจค่าตอบแทนในรูปแบบของ Option มูลค่ากว่า 23,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะหมดอายุในเดือน ส.ค. ของปีหน้า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Elon Musk ให้สัมภาษณ์กับ The Babylon Bee เว็บไซต์เสียดสีฝั่งอนุรักษ์นิยมว่า เขาได้ขายหุ้นแล้วเกือบ 10% จากทั้งหมดที่มีอยู่ พร้อมใช้สิทธิ Optiom หุ้นไปด้วย โดยเขาต้องการเสียภาษีอย่างถูกต้องที่สุด โดยวันต่อมาเขาได้ชี้แจงเพิ่มเติมผ่านทวิตเตอร์ว่า เมื่อเขาขายครบตาม 10b ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ เขาจะขายหุ้นเพิ่มอีก 2-3 รอบ แต่มันใกล้สิ้นสุดลงแล้ว นักวิเคราะห์บางคนคาดว่า Elon Musk ยังต้องขายหุ้นอีกหลายล้านหุ้นเพื่อให้ถึงเป้าหมาย 10% หรือรวมแล้วประมาณ 17 ล้านหุ้น โดยล่าสุด Tesla ยังไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยอดรวมหุ้นที่ Elon Musk วางแผนจะขายเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/29/elon-musk-sells-another-1-billion-in-tesla-shares-nearing-10percent-target.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ARK พลาดตลาดขาขึ้นปี 2021 ทำผลตอบแทนแย่สุดตั้งแต่ก่อตั้ง ARKK -22% ตั้งแต่ต้นปี - FINNOMENA กองทุน ARKK ของ Cathie Wood ปรับตัวลง 1.7% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 ธ.ค.) สวนทางกับดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 1.4% และดัชนี Nasdaq 100 ที่เพิ่มขึ้น 1.6% 29 ธ.ค. 2564 กองทุน ARKK ของ Cathie Wood ปรับตัวลง 1.7% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 ธ.ค.) สวนทางกับดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 1.4% และดัชนี Nasdaq 100 ที่เพิ่มขึ้น 1.6% ท่ามกลางผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้น ตอกย้ำผลการดำเนินงานที่ไม่ดีนักของ Ark Invest ARKK กองทุนเรือธงของ Ark Invest ปรับตัวลงมาแล้ว 22% ตั้งแต่ต้นปี และกำลังเดินหน้าสู่ปีที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 2014 ขัดแย้งกับผลการดำเนินงานอันโดดเด่นในปี 2020 ซึ่งพุ่งขึ้นถึง 150% Mark Taylor จาก Mirabaud กล่าวว่า ทุกคนต่างพูดถึงตลาดที่ขับเคลื่อนโดย Santa Rally ซึ่งเป็นช่วงเวลาตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่กองทุน ARKK ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ Cathie Wood ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุนของเธอแม้เริ่มมีแรงเทขายออกมาให้เห็นบ้างแล้ว หุ้นที่มีสัดส่วนหลักในกองทุน ARKK ร่วงแรงยกแผง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกองทุนลดลงอย่างมากโดยราคาหุ้น Block, Coinbase, Unity Software และ Zoom ร่วงมากกว่า 10% ในเดือน ธ.ค. ขณะที่ ราคาหุ้น Twilio, Teladoc ร่วงเกือบ 10% โดย Tesla ซึ่งมีน้ำหนักมากสุดในพอร์ตปรับตัวลงมา 3% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ากองทุน ARKK จำนวนมากจากผลการดำเนินงานอันโดดเด่นในปี 2020 โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของ Cathie Wood เห็นได้จากแรงเทขายในระดับต่ำ แม้หุ้นในกองทุนจะมีความผันผวนมากก็ตาม Ark Invest มีกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารทั้งหมด 9 กองทุน โดยเป็นกองทุนแบบ Active จำนวน 6 กอง และแบบ Passive อีก 3 กอง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี มีเพียง 3D Printing ETF แค่กองเดียวเท่านั้นที่มีผลการดำเนินงานเป็นบวก สัปดาห์ที่แล้ว Cathie Wood ยอมแก้บทวิเคราะห์ล่าสุดที่คาดการณ์ผลตอบแทนกองทุน ARKK ในระดับสูงลิ่วหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยชี้แจ้งว่าเป้าหมายผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้านั้นหมายถึง ‘กลยุทธ์’ ของ Ark ไม่ใด้เจาะจงที่ผลิตภัณฑ์หรือกองทุนใดๆ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-28/cathie-wood-s-flagship-ark-fund-misses-out-on-year-end-cheer?sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2021/12/28/cathie-wood-is-still-a-star-but-some-of-the-shine-came-off-this-year.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ร่วงต่อเนื่อง หลุด $48,000 ธ.ค. ร่วงแล้ว 16% แย่สุดนับตั้งแต่ พ.ค. เผชิญแรงเทขายทำกำไรก่อนปีใหม่ - FINNOMENA Bitcoin ร่วงต่อเนื่อง หลุดระดับ $48,000 เผชิญแรงเทขายทำกำไรหลังยืนเหนือระดับ $50,000 สู่เดือนที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ พ.ค. 2021 29 ธ.ค. 2564 Bitcoin ร่วงต่อเนื่อง หลุดระดับ $48,000 เผชิญแรงเทขายทำกำไรหลังยืนเหนือระดับ $50,000 สู่เดือนที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ พ.ค. 2021 เมื่อคืนนี้ (28 พ.ย.) ราคา Bitcoin ร่วงไปกว่า 4% อยู่ที่ราคาประมาณ $48,700 ซึ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) 200 วัน ขณะที่ Ether ร่วงไปเกือบ 5% โดยเหรียญอื่นๆ อย่าง Solana, Cardano, Polkadot และ Dogecoin ก็ปรับตัวลงมาเช่นกัน ข้อมูลจาก Coinglass แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ รายงานว่า การร่วงแรงดังกล่าวเกิดจากการที่นักลงทุนมากกว่า 165,000 ราย เทขายสินทรัพย์ดิจิทัลรวมมูลค่าประมาณ 524 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มถอยห่างจากตลาดคริปโทฯ ในช่วงปลายปี เนื่องจากกังวลในท่าทีที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลาง ขณะที่ Fed เตรียมดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของ Bitcoin ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนที่มองว่า Bitcoin เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ Matt Maley จาก Miller Tabak + Co. กล่าวว่า เป็นเรื่องแปลกที่เกิดแรงเทขายดังกล่าวในช่วงปลายปี เนื่องจากหลายเหรียญดิจิทัลคือผู้ชนะแห่งปี 2021 แม้จะเผชิญความผันผวนล่าสุดก็ตาม ซึ่งนักลงทุนสถาบันอาจอยู่เบื้องหลังแรงเทขายในสัปดาห์นี้ Katie Stockton ผู้ก่อตั้ง Fairlead Strategies บริษัทวิจัยที่เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคกล่าวว่า แนวรับครั้งถัดไปของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ $44,200 อิงจาก Fibonacci Retracement โดยระดับ $50,000 นั้นไม่สำคัญเท่าแต่มีความสำคัญทางจิตวิทยา และตอนนี้ Bitcoin กำลังตอบสนองต่อสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ในระยะสั้น Bitcoin มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นสหรัฐฯ แต่รูปแบบดังกล่าวไม่เกิดขึ้นในเดือนนี้ โดยในเดือน ธ.ค. ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นประมาณ 5% ขณะที่ Bitcoin ร่วงไปกว่า 16% สู่เดือนที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-28/bitcoin-s-volatility-is-on-display-again-in-slide-below-50-000?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Alphabet +68% YTD สู่อันดับ 1 หุ้น Big Tech ผลตอบแทนสูงสุด รายได้โฆษณาพุ่ง - ธุรกิจคลาวด์โตจาก WFH - FINNOMENA Alphabet บริษัทแม่ของ Google ก้าวสู่ปีที่ดีที่สุดในแง่ของการลงทุนนับตั้งแต่ปี 2009 และกลายมาเป็นหุ้น Big Tech ผลการดำเนินงานสูงสุดแห่งปี 2021 ด้วยผลตอบแทน YTD ที่ 68% 28 ธ.ค. 2564 Alphabet บริษัทแม่ของ Google ก้าวสู่ปีที่ดีที่สุดในแง่ของการลงทุนนับตั้งแต่ปี 2009 และกลายมาเป็นหุ้น Big Tech ผลการดำเนินงานสูงสุดแห่งปี 2021 ด้วยผลตอบแทน YTD ที่ 68% ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีของหุ้น Big Tech อื่นๆ ได้แก่ Microsoft +51%, Apple +33%, Meta (Facebook) +23%, Amazon +5% และ Tesla +51% ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 27% Alphabet ที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากธุรกิจโฆษณาบน Google ได้พิสูจน์แล้วว่าบริษัทมีความยืดหยุ่นต่อการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด รวมถึงมีแรงต้านทานต่อความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยผู้บริโภคจำนวนมากใช้งานระบบค้นหามากขึ้นผ่านทั้งเว็บไซต์ มือถือ แผนที่ รวมถึงบน Youtube นอกจากนี้ธุรกิจคลาวด์ของ Google ยังขยายตัวขึ้นมากจากการเติบโตของการทำงานที่ไหนก็ได้ (Remote Working) ก่อนหน้านี้ Alphabet รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าคาดการณ์ โดยรายได้จากการโฆษณาเพิ่มขึ้น 43% สู่ 53,100 ล้านดอลลาร์ และรายได้จากโฆษณาใน Youtube เพิ่มขึ้น 7,200 ล้านดอลลาร์ โดยนักวิเคราะห์คาดว่ารายได้รวมตลอดทั้งปี 2021 จะโต 39% สู่ 254,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 รายงานในปลายเดือน ต.ค. จาก Argus แนะนำให้ ‘ซื้อ’ หุ้น Alphabet พร้อมระบุว่า การฟื้นตัวของ Alphabet จากการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้นน่าทึ่งมาก และยังมองเห็นโมเมนตัมต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป จากอีคอมเมิร์ซและโฆษณาดิจิทัลที่เติบโตไปพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ครั้งสุดท้ายที่ Google สามารถสร้างผลตอบแทนเหนือตลาดคือ 12 ปีที่แล้ว โดย ณ ตอนนั้น หุ้น Alphabet สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าเท่าตัวด้วยมูลค่าบริษัทที่ยังไม่แตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ Alphabet มีมูลค่าตลาดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือน ม.ค. 2020 โดยบริษัทใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี ในการมีมูลค่าแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในกลางเดือน พ.ย. ก่อนที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงมา และมีมูลค่าตลาดล่าสุด (28 ธ.ค.) อยู่ที่ 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับแนวโน้มในปี 2022 นักวิเคราะห์มองว่า Alphabet อาจต้องหาธุรกิจขับเคลื่อนรายได้ใหม่ๆ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของรายได้จะชะลอตัวเหลือโต 17% ใกล้เคียงกับปี 2019 ก่อนการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ขณะที่ นักลงทุนต่างจับตารอการเดิมพันครั้งใหม่ๆ ของ Alphabet หลัง Waymo บริษัทรถยนต์ไร้คนขับยังขาดทุนจำนวนมาก รวมทั้ง Sidewalk Labs บริษัทด้านสมาร์ทซิตี้ที่ถูกระงับโครงการไป อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/27/alphabet-was-the-top-big-tech-stock-of-the-year-heres-why.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet Big Tech google News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ตลาดเกิดใหม่’ น่าสนใจ มีโอกาสขึ้นครึ่งหลังปี 2022 Bloomberg รวมความเห็นจากสถาบันการเงินระดับโลก - FINNOMENA สำนักข่าว Bloomberg ระบุ สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 จากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลงและการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว 28 ธ.ค. 2564 สำนักข่าว Bloomberg ระบุ สินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 จากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลงและการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว Bloomberg รวบรวมความเห็นดังกล่าวจากสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs, Morgan Stanley และ JPMorgan ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มของหุ้น พันธบัตร รวมถึงสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนา โดยสินทรัพย์ที่น่าสนใจคือ หุ้นจีนและพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศต่างๆ เช่น โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และฮังการี Tai Hui หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดเอเชียจาก JPMorgan Hong Kong กล่าวว่า ปี 2021 เป็นปีที่ตลาดพัฒนาแล้วมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเหนือตลาดเกิดใหม่แต่สิ่งนี้จะพลิกกลับในปีหน้า จากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มมีเสถียรภาพ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มมองหาผลตอบแทนจากตลาดอื่น เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งนึงของ GDP โลก อย่างไรก็ตาม ดัชนี MSCI ของหุ้นตลาดเกิดใหม่ร่วงลงมากกว่า 5% ในปีนี้และซื้อขายใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2001 ขณะที่ตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นมีผลตอบแทนแย่สุดนับตั้งแต่ปี 2015 ผลตอบแทนที่น่าผิดหวังของทั้งหุ้นและตราสารหนี้ตอกย้ำว่าการเติบโตในประเทศเกิดใหม่ล้มเหลวในการไล่ตามประเทศที่ร่ำรวยกว่า ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นั้นประเทศกำลังพัฒนาสามารถขยายตัวได้เร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้วเฉลี่ยที่ 2.5% แต่ในปีที่ผ่านมา ตัวเลขลดลงเหลือ 1.3% จากการขาดแคลนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่เปลี่ยนไปของ Fed รวมถึงการส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2022 ส่งสัญญาณว่าการเติบโตของสหรัฐฯ อาจกำลังถึงจุดสูงสุด และเมื่อประกอบกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่อาจทำให้ส่วนต่างดังกล่าวขยายตัวได้อีกครั้งหนึ่ง ประเทศเกิดใหม่อย่างน้อย 23 ประเทศ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วในปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบระดับกลางต่ออัตราเงินเฟ้อและช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่แท้จริงจากสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะหุ้นและพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ขณะที่การขนส่งในภูมิภาคเอเชียที่เพิ่มขึ้นชี้ว่าปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทานเริ่มคลี่คลายลงซึ่งส่งผลให้แรงกดดันด้านราคาลดลงด้วยเช่นกัน อีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนตลาดเกิดใหม่คือ นโยบายผ่อนคลายการเงินของประเทศจีนที่มีน้ำหนักเศรษฐกิจคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมด โดยจีนกำลังเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการคุมเข้มภาคอสังหาฯ ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ จีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-27/traders-see-emerging-markets-rising-in-2022-but-not-until-july?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นเกิดใหม่ ตลาดเกิดใหม่ มุมมองตลาด แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton Insights I เจาะลึกโอกาสการลงทุนระหว่าง 2 โลก ตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ เจาะลึกโอกาสการลงทุนระหว่าง 2 โลก ตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว โดย Subash Pillai, Managing Director, Regional Head of Client Investment Solutions - APAC, Franklin Templeton Investment Solutions 25 ธ.ค. 2564 พบกับ Session พิเศษ เจาะลึกโอกาสการลงทุนระหว่าง 2 โลก ตลาดเกิดใหม่และตลาดพัฒนาแล้ว โดย Subash Pillai, Managing Director, Regional Head of Client Investment Solutions – APAC, Franklin Templeton Investment Solutions <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, portfolio allocation อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: 3 เหตุผลที่ IMF กังวลเกี่ยวกับคริปโทฯ ขาดการกำกับดูแล - โฆษณาบนโซเชียล - การกู้เงินมาลงทุน - FINNOMENA กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กังวลตลาดคริปโทฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การกำกับดูแลไม่เป็นไปตามความเหมาะสม และนี่คือ 3 เหตุผลที่ IMF กังวลเกี่ยวกับคริปโทฯ 24 ธ.ค. 2564 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กังวลตลาดคริปโทฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่การกำกับดูแลไม่เป็นไปตามความเหมาะสม โดยมูลค่าตลาดรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 10 เท่าของมูลค่าในช่วงเริ่มต้นปี 2020 และนี่คือ 3 เหตุผลที่ IMF กังวลเกี่ยวกับคริปโทฯ 💰 คริปโทฯ ขาดการกำกับดูแล หนึ่งในปัญหาที่ IMF เน้นย้ำคือนักลงทุนและสถาบันการเงินจำนวนมากที่ซื้อขายคริปโทฯ ขาดทั้งการจัดการที่แข็งแกร่ง การกำกับดูแลจากภาครัฐ รวมถึงการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม IMF กล่าวว่า นักลงทุนมีความเสี่ยงจากการเปิดเผยและการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ โดยคริปโทฯ อาจทำให้เกิดช่องว่างของข้อมูล และอาจเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ร้ายใช้เป็นช่องทางสำหรับการฟอกเงิน สถาบันการเงินต่างๆ เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลเพื่อให้การลงทุนในคริปโทฯ มีความปลอดภัยมากขึ้น โดยมุมมองต่อคริปโทฯ ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนเห็นต่างกัน บางกลุ่มมองว่าคริปโทฯ คืออนาคตของโลกการเงิน ขณะที่บางกลุ่มเคลือบแคลงใจในความเสี่ยงของคริปโทฯ 💰 คริปโทฯ บนโซเชียลมีเดีย หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร (FCA) เตือนเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของโซเชียลมีเดียและการลงทุนคริปโทฯ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ผู้กำหนดนโยบายควรควบคุมการโฆษณาให้แน่ใจว่าผู้คนรับรู้ถึงความเสี่ยงและความผันผวนของคริปโทฯ Charles Randell ประธาน FCA กล่าวว่า อินฟลูเอนนเซอร์มักได้รับเงินจากสแกมเมอร์ในการเชิญชวนให้ผู้คนลงทุนในโทเคนใหม่ๆ โดยมีอินฟลูเอนเซอร์บางคนกำลังโปรโมทโทเคนที่ไม่มีอยู่จริงเลยด้วยซ้ำ เมื่อตอนต้นปี คิม คาร์เดเชียน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังเชิญชวนให้ผู้ติดตามบน IG มากกว่า 200 ล้านคน มาเก็งกำไรใน ‘Ethereum Max’ สกุลเงินคริปโทฯ ที่ถูกสร้างโดยนักพัฒนาซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก 💰 การกู้เงินมาซื้อคริปโทฯ อีกปัญหาหนึ่งของผู้กำหนดนโยบายคือ กลุ่มวัยรุ่นส่วนมากกำลังสนใจลงทุนในตลาดคริปโทฯ และเลือกคริปโทเป็นสินทรัพย์แรกที่ลงทุน โดยอาจมีการกู้เงินหรือใช้บัตรเครดิตเพื่อมาลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าว ข้อมูลที่เผยแพร่โดย FCA ในเดือน มิ.ย. ระบุว่า จาก 2.3 ล้านคนในสหราชอาณาจักรที่มีการถือครองคริปโทฯ นั้น 14% ใช้บัตรเครดิตในการซื้อ และ 12% คิดว่าพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองจาก FCA หากเกิดข้อผิดพลาดซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด การใช้เงินกู้หรือบัตรเครดิตมาลงทุนในคริปโทฯ เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะหากนักลงทุนขาดทุนในคริปโทฯ แล้ว หลังจากนั้นนักลงทุนยังต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาชำระเงินกู้และดอกเบี้ยต่ออีก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/24/cryptocurrencies-why-the-imf-is-concerned.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cryptocurrency IMF News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ยอมแก้บทวิเคราะห์ โดนทัวร์ลงหลังตั้งเป้า ARKK ที่ 40% ต่อปี ชี้ไม่ได้ระบุถึง ARKK แต่หมายถึง ‘กลยุทธ์’ Ark - FINNOMENA Cathie Wood ซีอีโอ Ark Invest ยอมแก้บทวิเคราะห์ล่าสุดที่คาดการณ์ผลตอบแทนกองทุน ARKK ในระดับสูงลิ่ว หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญการลงทุน 24 ธ.ค. 2564 Cathie Wood ซีอีโอ Ark Invest ยอมแก้บทวิเคราะห์ล่าสุดที่คาดการณ์ผลตอบแทนกองทุน ARKK ในระดับสูงลิ่ว หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากผู้เชี่ยวชาญการลงทุน ก่อนหน้านี้ Cathie Wood ได้ออกบทวิเคราะห์บนเว็บไซต์ Ark Invest ว่า กองทุน ARKK มีโอกาสสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แม้ว่ากองทุนจะมีผลตอบแทนติดลบอยู่ที่ 24% หลังพุ่งขึ้นเกือบ 150% ในปีที่ผ่านมา หลังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมาย Ark ได้อัปเดตบทความดังกล่าวและลบถ้อยคำบางส่วนออกไปพร้อมชี้แจงในคำอธิบายเพิ่มเติมด้านล่างว่า บทความนี้ใช้กับกลยุทธ์ของ Ark ในวงกว้างโดยไม่ได้ระบุถึงผลิตภัณฑ์หรือกองทุนใดๆ คำอธิบายเพิ่มเติมกล่าวเสริมว่า Ark ได้แก้ไขบทความจากเวอร์ชันเดิมเพื่อชี้แจ้งความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในตลาด ซึ่งบทความข้างต้นอ้างอิงจากการทีมวิเคราะห์ มุมมองในปัจจุบัน รวมถึงข้อสันนิษฐาน โดยไม่ได้รับประกันผลตอบแทนในอนาคต แม้จะมีการชี้แจงดังกล่าวแต่ Cathie Wood ยังคงคาดการณ์อัตราตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 30-40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สำหรับ ‘กลยุทธ์’ ของ Ark Ark Invest มีกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารทั้งหมด 9 กองทุน โดยเป็นกองทุนแบบ Active จำนวน 6 กอง และแบบ Passive อีก 3 กอง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี มีเพียง 3D Printing ETF แค่กองเดียวเท่านั้นที่มีผลการดำเนินงานเป็นบวก ความผันผวนของตลาดในปี 2021 ส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์ของ Ark จากทั้งความสงสัยในบริษัทที่ไม่ทำกำไร การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของนักลงทุน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-21/cathie-wood-tones-down-40-return-ark-arkk-forecast-after-criticism?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Top 10 บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก ไร้เงาบริษัทจีน Tencent และ Alibaba หลุดโผ Apple ครองแชมป์ เบอร์ 1 ของโลก - FINNOMENA ไร้เงาบริษัทจีน หลัง Tencent และ Alibaba หลุดโผ 10 อันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก ขณะที่ Apple ครองอันดับ 1 ด้วยมูลค่าใกล้ 3 ล้านล้านดอลลาร์ 23 ธ.ค. 2564 ไร้เงาบริษัทจีน หลัง Tencent และ Alibaba หลุดโผ 10 อันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก ขณะที่ Apple ครองอันดับ 1 ด้วยมูลค่าใกล้ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ ณ สิ้นปี 2020 ข้อมูลของ QUICK-FactSet รายงาน 10 อันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลก โดยมี Tencent อยู่ในอันดับที่ 7 และ Alibaba อยู่ในอันดับที่ 9 โดยในเดือน ก.พ. ปีนี้ Tencent สามารถขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 6 ก่อนที่มูลค่าจะร่วงมากกว่า 40% และตกมาอยู่ในอันดับที่ 11 10 อันดับบริษัทมูลค่าสูงสุดในโลกในตอนนี้คือ 1) Apple 2) Microsoft 3) Alphabet 4) Saudi Aramco 5) Amazon 6) Tesla 7) Facebook 8) Nvidia 9) Berkshire Hathaway และ 10) TSMC ในปี 2007 ดัชนี Shanghai Composite ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากความคาดหวังของนักลงทุนต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งในตอนนั้น 4 ใน 10 บริษัทมูลค่าสูงสุดในโลกเป็นบริษัทจีน โดยมี PetroChina บริษัทน้ำมันรายใหญ่ครองอันดับ 1 หลังวิกฤติการเงินโลกบริษัทเทคโนโลยีจีนเติบโตและมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นจากรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ และการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ แต่การคุมเข้มด้านกฎระเบียบของรัฐบาลจีน รวมถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐฯ ทำให้โชคชะตาของบริษัทเทคโนโลยีจีนเปลี่ยนไป เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา (3 ธ.ค.) Didi ธุรกิจเรียกรถรายใหญ่ที่สุดในจีนได้เพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดไปเพียง 5 เดือน หลังทางการจีนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลที่อ่อนไหว ขณะที่ สหรัฐฯ กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อบริษัทจีน และได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทจีนหลาย 10 แห่ง ซึ่งรวมถึง DJI ผู้ผลิตโดรน โดยอ้างว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพทหารจีน Toru Nishihama หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Dai-ichi Life Research Institute กล่าวว่า แนวโน้มของหุ้นจีนขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะดำเนินการอย่างไรหากเงินทุนจำนวนมากไหลเข้าสู่จีน อ้างอิง: https://asia.nikkei.com/Business/Markets/Tencent-and-Alibaba-vanish-from-world-s-top-10-by-market-cap ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Apple News Update Tencent จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: แมคโดนัลญี่ปุ่นเจอปัญหา ‘ชิพ’ ขาดแคลน มันฝรั่งไม่พอทำเฟรนช์ฟรายส์ เตรียมขายแค่ไซส์ S จากปัญหาน้ำท่วม-วิกฤตห่วงโซ่อุปทานโลก - FINNOMENA แมคโดนัลกำลังเผชิญปัญหา ‘ชิพ’ ขาดแคลนในญี่ปุ่น จากวิกฤตห่วงโซ่อุปทานโลก 22 ธ.ค. 2564 แมคโดนัลกำลังเผชิญปัญหา ‘ชิพ’ ขาดแคลนในญี่ปุ่น จากวิกฤตห่วงโซ่อุปทานโลก ปัญหา ‘ชิพ’ ที่พูดถึงไม่ใช่การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ แต่แมคโดนัลกำลังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการขนส่งมันฝรั่งซึ่งเป็นวัตถุหลักในการทำ ‘เฟรนช์ฟรายส์’ บริษัทกล่าวกับสำนักข่าวบีบีซีว่า แมคโดนัลญี่ปุ่นจะหยุดขายเฟรนช์ฟรายส์ไซส์ M และ L ชั่วคราวจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. แต่ลูกค้ายังสามารถเพลิดเพลินกับเฟรนช์ฟรายส์ไซส์ S ได้อยู่ โดยปกติแล้วแมคโดนัลญี่ปุ่นจะนำเข้ามันฝรั่งผ่านท่าเรือใกล้เมืองแวนคูเวอร์ในแคนาดา แต่ตอนนี้เรือขนส่งเกิดความล่าช้าเนื่องจากปัญหาน้ำท่วม รวมถึงผลกระทบต่อวิกฤตห่วงโซ่อุปทานโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด แมคโดนัลกล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัทกำลังเตรียมใช้มาตรการทางเลือกอย่างการขนส่งวัตถุดิบผ่านทางเครื่องบินแทนเรือเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แมคโดนัลญี่ปุ่นต้องหยุดการขายเฟรนช์ฟรายส์ไซส์ M และ L เพราะก่อนหน้านี้ในปี 2014 ข้อพิพาททางอุตสาหกรรมของท่าเรือ 29 แห่งบนชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ส่งผลให้มันฝรั่งขาดแคลน จนสาขาแมคโดนัลในญี่ปุ่นต้องดำเนินมาตรการฉุกเฉิน และขายแค่เฟรนช์ฟรายส์ไซส์ S อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-59750613 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: McDonald News Update ญี่ปุ่น แมคโดนัล แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทัวร์ลง Cathie Wood ออกบทวิเคราะห์คาด ARKK มีโอกาสกำไรปีละ 40% ใน 5 ปีข้างหน้า - FINNOMENA บทวิเคราะห์ตลาดของ Cathie Wood บนเว็บไซต์ Ark Invest จุดประกายความสงสัยของผู้เชี่ยวชาญการลงทุน หลัง Cathie Wood กล่าวว่า กองทุน ARKK มีโอกาสสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า 22 ธ.ค. 2564 บทวิเคราะห์ตลาดของ Cathie Wood บนเว็บไซต์ Ark Invest จุดประกายความสงสัยของผู้เชี่ยวชาญการลงทุน หลัง Cathie Wood กล่าวว่า กองทุน ARKK มีโอกาสสร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีที่ 40% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ขัดแย้งกับผลตอบแทนในปีนี้ซึ่งแย่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท Cathie Wood เป็นที่รู้จักดีในกลยุทธ์การตลาดและความเชื่อมั่นอันสุดโต่ง แต่ตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดได้สร้างความประหลาดใจแก่นักลงทุนและกำลังถูกพูดถึงบนทวิตเตอร์ ขณะที่รูปภาพของ Cathie Wood ที่แสดงสีหน้าสับสนถูกกดไลก์และแสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลาม Matt Maley หัวหน้ากลยุทธ์การตลาดของ Miller Tabak + Co กล่าวว่า เป็นเรื่องแปลกที่ Cathie Wood ตั้งมาตรฐานไว้สูงอย่างเหลือเชื่อสำหรับตัวเธอเอง ซึ่งนี่ไม่ใช่กลยุทธ์ทางการตลาดที่ดีนัก แม้กองทุนเรืองธง ARKK จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นถึง +150% ในปี 2020 แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2021 ของกองทุนอยู่ที่ -24% จากมุมมองที่เปลี่ยนไปต่อแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวมถึงความผันผวนของตลาด ในบทความล่าสุด Cathie Wood กล่าวถึง ‘ความผันผวนโดยธรรมชาติ’ ในกลยุทธ์ของ Ark ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าในเวลาที่ตลาดฟื้นตัว Jeremy Senderowicz ทนายความของ Vedder Price กล่าวว่า ภาษาที่ Cathie Wood ใช้อาจขัดต่อหน่วยงานกำกับดูแลหากมันอยู่ในหนังสือชี้ชวน แต่เนื่องจากมันรวมอยู่ในสื่อการตลาดโดยใช้คำว่า ‘มีโอกาส’ จึงอาจไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบใดๆ ขณะที่ Eric Balchunas นักวิเคราะห์กองทุน ETF ของ Bloomberg Intelligence กล่าวว่า นี่อาจเป็นความผิดพลาดในการสื่อสารที่ตั้งเป้าหมายไว้สูงขนาดนั้น ซึ่งผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดอะไรแบบนั้นได้ เพราะจะสร้างภาระแก่ฝ่ายกฎหมายและประชาสัมพันธ์ แม้ว่ากองทุน ARKK จะมีผลตอบแทนที่ไม่ดีนักในปีนี้ แต่เป้าหมายที่ 40% อาจไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะผลตอบแทน 3 ปีของกองทุน ARKK อยู่ที่ประมาณ 37% อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-20/cathie-wood-s-40-return-prediction-draws-rebuke-after-ark-s-arkk-rough-year?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนเอาจริง คุมเข้มวงการไลฟ์สตรีม ปรับแม่ค้าไลฟ์ขายของชื่อดัง Viya กว่า 7,000 ล้านบาท ฐานปกปิดรายได้-เลี่ยงภาษี - FINNOMENA จีนสั่งปรับ Viya (เวบหยา) แม่ค้าไลฟ์ขายของชื่อดังรวมกว่า 210 ล้านดอลลาร์ โทษฐานเลี่ยงภาษี นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐบาลจีนในการปราบปรามวงการอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 21 ธ.ค. 2564 จีนสั่งปรับ Viya (เวบหยา) แม่ค้าไลฟ์ขายของชื่อดังรวมกว่า 210 ล้านดอลลาร์ โทษฐานเลี่ยงภาษี นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐบาลจีนในการปราบปรามวงการอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Huang Wei หรือที่รู้จักกันในชื่อ Viya ถูกสั่งให้จ่ายค่าภาษีย้อนหลัง ค่าธรรมเนียมจากการจ่ายภาษีล่าช้า และค่าปรับรวมแล้วกว่า 1,340 ล้านหยวน หรือประมาณกว่า 7,000 ล้านบาท โดยหน่วยงานกำกับภาษีจีนรายงานว่า Viya เลี่ยงภาษีจำนวน 643 ล้านหยวน โดยปกปิดรายได้ส่วนบุคคลและกระทำความผิดทางการเงินในปี 2019 และ 2020 Viya ออกมาขอโทษผ่าน Weibo ว่า เธอรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง พร้อมยอมรับบทลงโทษของเจ้าหน้าที่ทุกอย่าง และจะเร่งหาเงินอย่างแข็งขันเพื่อมาชำระค่าปรับภายในเวลาที่กำหนด ก่อนหน้านี้ 36kr.com รายงานว่า Viya มียอดขายรวมถึง 31,000 ล้านหยวนในปี 2020 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในบรรดาแม่ค้าไลฟ์สตรีม Viya มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการจนได้รับฉายาว่า ‘ราชินีแห่งการไลฟ์สตรีม’ เพราะสามารถขายสินค้าบน Taobao ได้ทุกอย่างตั้งแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปจนถึงบริการปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์ในราคา 40 ล้านหยวน หนึ่งในแฮชแท็กยอดนิยมบน Weibo ตอนนี้คือ #ViyaCompletelyBlockedOnline เนื่องจากบัญชี Weibo ที่มีผู้ติดตามกว่า 18 ล้านคนของ Viya ถูกระงับไปแล้ว โดยสื่อรายงานว่าบัญชีของเธอใน Taobao ก็ถูกระงับไปเช่นเดียวกัน นี่เป็นสัญญาณชี้ว่าทางการจีนกำลังหันความสนใจไปยังการค้าแบบไลฟ์ซึ่งเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยมีกฎระเบียบควบคุมเพียงเล็กน้อย โดยการปราบปรามดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ ของปธน.สี จิ้นผิง ที่ต้องการกระจายความมั่งคั่ง หนังสือพิมพ์ Global Times รายงานว่า บทลงโทษของ Viya เป็นเหมือนคำเตือนแก่ผู้อื่น ซึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณบ่งชี้ว่าทางการจีนต้องการปฏิรูปอุตสาหกรรมสตรีมมิง ในเดือน ก.ย. หน่วยงานกำกับภาษีจีนได้ประกาศกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นซึ่งครอบคลุมทั้งคนดังและนักสตรีมเมอร์ โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา Zhu Chenhui และ Lin Shanshan ถูกปรับจำนวน 15 ล้านดอลลาร์ฐานเลี่ยงภาษี โดยบัญชี Taobao และ Weibo ถูกระงับไปแล้วเช่นกัน Viya ถูกปรับมากกว่านักแสดงชื่อดัง ‘ฟ่านปิงปิง’ ที่ถูกสั่งให้จ่ายภาษีย้อนหลังและค่าปรับจำนวน 884 ล้านหยวน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลจีนในการควบคุมวงการบันเทิง โดยตอนนั้นทางการจีนกล่าวว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย ไม่มีคนดัง คนรวย หรือคนมีอำนาจ และอย่าดูหมิ่นกฎหมายโดยหวังว่าจะมีโชคช่วย” ที่มาภาพ: CGTN อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-20/china-hits-top-influencer-with-210-million-fine-over-taxes?sref=e4t2werz https://www.bbc.com/news/world-asia-china-59732499 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Viya จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: 2021 ปีแห่งสินทรัพย์ดิจิทัล เงินทุนไหลสู่คริปโทฯ ทะลุ $30,000 ล้าน มูลค่าปีเดียว มากกว่าทุกปีก่อนหน้ารวมกัน ตอกย้ำคริปโทฯ ไม่ใช่แค่ ‘ทองคำดิจิทัล’ - FINNOMENA ตั้งแต่ปี 2021 เหล่าบริษัทร่วมทุนได้ทุ่มเงินในบริษัทคริปโทฯ ไปแล้วกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นหลักฐานยืนยันว่า 2021 เป็นปีที่สินทรัพย์ดิจิทัลกลายมาเป็นการลงทุนกระแสหลัก 20 ธ.ค. 2564 ตั้งแต่ปี 2021 เหล่าบริษัทร่วมทุนได้ทุ่มเงินในบริษัทคริปโทฯ ไปแล้วกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าเงินของทุกปีรวมกัน นับตั้งแต่คริปโทฯ ได้ถือกำเนิดขึ้น และกลายเป็นหลักฐานยืนยันว่า 2021 เป็นปีที่สินทรัพย์ดิจิทัลกลายมาเป็นการลงทุนกระแสหลัก ข้อมูลที่รวบรวมโดย PitchBook รายงานว่า มูลค่าดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 4 เท่าจากสถิติสูงสุดที่ 8,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นมากกว่า 1,300% โดย Rob Le นักกลยุทธ์ของบริษัทกล่าวว่า นักลงทุนกำลังลงทุนในทุกสิ่งและทุกอย่าง Spencer Bogart จาก Blockchain Capital หนึ่งในบริษัทร่วมทุนที่ใหญ่ที่สุดกล่าวว่า คริปโทฯ ไปไกลเกินกว่าคำว่าทองคำดิจิทัล โดยบริษัทมีรายได้จากทั้งบริการทางการเงิน, ศิลปะ, Web 3.0, เกม NFTs และโซเชียลมีเดียแบบกระจายศูนย์ บริษัทคริปโทฯ อย่าง Coinbase, Digital Currency Group และ Polychain Capital กำลังวางเดิมพันในความยิ่งใหญ่ของคริปโทฯ โดยริเริ่มโปรเจกต์ในทุกรุปแบบ ตั้งแต่โซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนความนิยมคนดังเป็นโทเคน หรือเกม NFT สร้างรายได้ (play-to-earn) ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Elon Musk Spencer Bogart กล่าวว่า การเกิดขึ้นอย่างกะทันหันของสิ่งที่ครั้งหนึ่งของถูกมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะทางอย่าง NFT ทำให้นักลงทุนกลัวว่าพวกเขาจะพลาดอะไรไป โดยตอนนี้ตลาด NFT ที่เคยถูกมองข้ามอย่าง OpenSea กำลังถูกเปรียบเทียบกับ Etsy เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชื่อดัง PitchBook รายงานว่า เงินทุน 30,000 ล้านดอลลาร์นั้นรวมการระดมทุนในบริษัทฟินเทคที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยกับคริปโทฯ เช่น Robinhood และ Revolut โดยเมื่อพิจารณาเพียงธุรกรรมของบริษัทร่วมทุนก็ยังสูงถึง 7,200 ล้านดอลลาร์ มากกว่าสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้ในปี 2018 ถึง 4 เท่า ตัวอย่างการร่วมทุนในปี 2021 FTX แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ระดับโลกปิดการระดมทุนซีรีส์ B ที่ 1,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ค. ซึ่งทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ NYDIG ระดมทุนได้ 1,000 ล้านดอลลาร์ในกลางเดือน ธ.ค. และมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ Forte ผู้ให้บริการเกมบล็อกเชน ปิดการระดมทุนซีรีส์ B ที่ 725 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ย. Dapper Labs แพลตฟอร์ม NFT เบื้องหลัง CryptoKitties ได้รับเงินระดมทุนที่ 350 ล้านดอลลาร์ จากเหล่านักลงทุนซึ่งรวมถึง Michael Jordan ตำนานบาสเก็ตบอล MoonPay ผู้ให้บริการชำระเงินคริปโทฯ ปิดการระดมทุนรอบแรกที่ 555 ล้านดอลลาร์ในปลายเดือน พ.ย. เพิ่มมูลค่าบริษัทสู่ 3,400 ล้านดอลลาร์ Sky Mavis ผู้พัฒนา Axie Infinity เกมสร้างรายได้บนบล็อกเชนสุตฮิต ได้รับเงินทุนมากกว่า 150 ล้านดอลลาร์ ในเดือน ต.ค. สู่มูลค่าบริษัทที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ โปรเจกต์ในอนาคตที่น่าจับตามอง เช่น Loot Project คอลเล็กชัน NFT จำนวน 8,000 ชิ้น โดยแต่ละชิ้นเปรียบเสมือนไอเทมต่างๆ ของนักผจญภัยบนบล็อกเชน Ethereum ซึ่งถูกสร้างเมื่อเดือน ส.ค. โดย Dom Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้งแอป Vine BitClout โซเชียลมีเดียรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนความนิยมของคนดังอย่าง Kim Kardashian หรือ Elon Musk ให้กลายมาเป็นโทเคน SpaceY2025 เกม NFT ตั้งถิ่นฐานและป้องกันดาวอังคารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภารกิจเดินทางไปดาวอังคารของ Elon Musk อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-19/ftx-moonpay-axie-lead-crypto-firms-attracting-record-30-billion-in-2021 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cryptocurrency News Update NFT คริปโต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ด่วน! ตลาดหุ้นอินเดียร่วงแรงกว่า 3% Sensex -3.18% และ Nifty -3.27% จากความกังวลโอมิครอน นักวิเคราะห์ชี้ มีโอกาสลงต่อ - FINNOMENA ตลาดหุ้นอินเดียร่วงแรง โดยดัชนี Sensex ปรับตัวลง 3.18% และดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลง 3.27% จากความกังวลว่าโอมิครอนอาจแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว รวมถึงแรงเทขายหุ้นในช่วงก่อนวันหยุดสิ้นปี 20 ธ.ค. 2564 ตลาดหุ้นอินเดียร่วงแรง โดยดัชนี Sensex ปรับตัวลง 3.18% และดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลง 3.27% จากความกังวลว่าโอมิครอนอาจแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว รวมถึงแรงเทขายหุ้นในช่วงก่อนวันหยุดสิ้นปี ดัชนี Sensex ร่วงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ พ.ค. 2020 โดยทั้ง Sensex และ Nifty 50 ลดลงมากกว่า 10% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา Vishal Wagh หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของ Bonanza Portfolio กล่าวว่า ตลาดกำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล และมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีอ้างอิงจะร่วงต่ออีก 5-6% ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลงหลังมีความกังวลว่าการแพร่ระบาดของโอมิครอนอาจทำให้การล็อกดาวน์หรือการควบคุมอย่างเข้มงวดกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2021 ดัชนี Sensex ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของธนาคารกลางอินเดีย และการเข้าซื้อหุ้นครั้งแรกของนักลงทุนหน้าใหม่หลายล้านคน โดยดัชนี Sensex ยังปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 110% จากระดับต่ำสุดในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นเวลาหุ้นทั่วโลกร่วงแรงจากการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยอินเดียเป็นตลาดหุ้นมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ฟื้นตัวได้ดีที่สุด ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs และ Nomura ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นอินเดียลงจากมูลค่าหุ้นที่แพง โดย Forward P/E ของดัชนี Sensex สูงถึง 21 เท่า เทียบกับ 12 เท่าของดัชนี MSCI Emerging Markets โดยตั้งแต่ 1-16 ธ.ค. มีแรงเทขายในหุ้นอินเดียจากนักลงทุนต่างชาติแล้ว 1,100 ล้านดอลลาร์ Vikas Gupta นักกลยุทธ์จาก Omniscience Capital กล่าวว่า ตอนนี้เหมือนว่าทุกสิ่งกำลังรวมอยู่ที่ตลาดอินเดีย ตั้งแต่แรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติไปจนถึงความผันผวนจากโอมิครอน โดยคาดว่าความผันผวนจะยังคงมีอยู่ในอีกไม่กี่สัปดาห์หน้า เนื่องจากผู้จัดการกองทุนกำลังรีเซตพอร์ตการลงทุนเพื่อทำกำไรก่อนปีใหม่ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-20/indian-stocks-head-for-correction-as-omicron-drives-asia-rout?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert nifty50 sensex ตลาดหุ้นอินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alibaba เตรียมดัน Lazada ตั้งเป้ายอดธุรกรรมรวมที่ $100,000 ล้าน มุ่งขยายฐานการเติบโตในอาเซียน - FINNOMENA Alibaba อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของจีนตั้งเป้ายอดธุรกรรมรวมในตลาด (GMV) ของแพลตฟอร์ม Lazada ที่ 100,000 ล้านดอลลาร์ หลังเข้าซื้อกิจการ Lazada ตั้งแต่ปี 2016 เพื่อขยายฐานการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน 17 ธ.ค. 2564 Alibaba อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของจีนตั้งเป้ายอดธุรกรรมรวมในตลาด (GMV) ของแพลตฟอร์ม Lazada ที่ 100,000 ล้านดอลลาร์ หลังเข้าซื้อกิจการ Lazada ตั้งแต่ปี 2016 เพื่อขยายฐานการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน GMV ของ Lazada นับตั้งแต่เดือน ก.ย. ของปี 2020-2021 อยู่ที่ 21,000 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทคาดหวังว่าจะมีผู้ใช้งาน 300 ล้านคน ซึ่งมากกว่ายอดผู้ใช้งานปัจจุบันถึง 2 เท่า ขณะที่คู่แข่งอย่าง Shopee รายงานตัวเลข GMV ปี 2020 อยู่ที่ 34,500 ล้านดอลลาร์ โดยผลการดำเนินงานของ Lazada ยังเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจาก MercadoLibre และ Shopee ตำแหน่งบุคลากรระดับสูงของ Lazada ถูกเปลี่ยนแปลงหลายครั้งนับตั้งแต่ Alibaba เข้าซื้อกิจการ โดยมีซีอีโอของบริษัทลาออกไป 2 คน ก่อนที่ Chun Li ซีอีโอคนปัจจุบันจะเข้ารับตำแหน่งในปี 2020 ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. Alibaba ได้ประกาศแต่งตั้ง Jiang Fan อดีตผู้บริหารหลักของ Taobao และ Tmall เป็นหัวหน้าแผนกการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งจะดูแลทั้ง Lazada และ AliExpress โดยจะมุ่งเป้าไปที่ภูมิภาคยุโรปและอเมริกาใต้ การประชุมผู้ถือหุ้นตลอด 2 วันของ Alibaba จะมีการแถลงการณ์ครั้งแรกจาก Toby Xu ที่มารับตำแหน่ง CFO ของบริษัทต่อจาก Maggie Wu รวมถึงแถลงการณ์จาก Daniel Zhang ซีอีโอของบริษัท อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/17/alibaba-sets-100-billion-gross-merchandise-volume-target-for-lazada.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Lazada News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อีก 3 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจไร้เงาบริษัทจีน นักวิเคราะห์เชื่อ หมดเวลาของบริษัทจีน เตรียมถอนตัวกลับฮ่องกงหรือเซี่ยงไฮ้ภายในปี 2024 - FINNOMENA ผู้เชี่ยวชาญระบุ บริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจต้องถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภายใน 3 ปี จากความสัมพันธ์อันตึงเครียดของทั้งสองประเทศ 15 ธ.ค. 2564 ผู้เชี่ยวชาญระบุ บริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจต้องถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภายใน 3 ปี จากความสัมพันธ์อันตึงเครียดของทั้งสองประเทศ วันนี้ (15 ธ.ค.) David Loevinger จาก TCW Group บริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลกกล่าวกับ CNBC ว่า ตอนนี้หมดเวลาของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว โดยนี่คือความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมากว่า 20 ปี และยังไม่สามารถแก้ไขได้ ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ก.ล.ต.สหรัฐฯ ได้ประกาศกฎหมายที่อนุญาตให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถถอนบริษัทต่างชาติออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ หากผู้สอบบัญชีไม่ปฏิบัติตามคำขอ โดยนี่เป็นส่วนหนึ่งของ กฎหมาย HFCAA ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2020 หลังหน่วยงานกำกับดูแลจีนปฏิเสธคำร้องจากคณะกรรมการกำกับดูแลบัญชีบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ มาหลายครั้ง David Loevinger กล่าวว่า ความไม่เชื่อใจกันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่น่าจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ และไม่มีทางที่ความสัมพันธ์จะดีขึ้นภายในไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเขาคาดว่า บริษัทจีนส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ จะกลับมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือเซี่ยงไฮ้ภายในปี 2024 ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ Didi ผู้ให้บริการเรียกรถโดยสารรายใหญ่ที่สุดของจีน ที่ออกมาประกาศหลัง IPO ในสหรัฐฯ ไปไม่ถึง 6 เดือนว่า บริษัทเตรียมถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และวางแผนจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน ก่อนหน้าประกาศดังกล่าว มีรายงานระบุว่า รัฐบาลจีนรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของ Didi ที่ตัดสินใจ IPO เข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยไม่แก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ซึ่งเป็นความกังวลใหญ่ของทางการจีน การถอนตัวออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งใน Nasdaq หรือ NYSE จะทำให้บริษัทสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงนักลงทุนในวงกว้าง ขณะที่บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของจีนหลายแห่งที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ นั้นมีการจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงควบคู่ไปอยู่แล้ว เช่น Alibaba, JD.com, NetEase และ Weibo David Loevinger มองว่า ตอนนี้มาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เพราะรัฐบาลจีนไม่มีทางยอมให้หน่วยงานกำกับดูแลสหรัฐฯ เข้าถึงเอกสารภายในของบริษัทจีนได้อย่างอิสระ ขณะที่สหรัฐฯ ก็จะไม่สามารถปกป้องและควบคุมตลาดได้หากไม่สามารถเข้าถึงเอกสารดังกล่าว ล่าสุด (15 ธ.ค.) สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เตรียมแบล็กลิสต์บริษัทจีนอีก 8 แห่ง หลังพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดสิทธิชาวมุสลิมอุยกูร์ในจีน โดยบริษัทดังกล่าวได้แก่ 1) DJI Technology ผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ของจีน 2) Megvii บริษัทซอฟต์แวร์จดจำภาพ 3) Dawning Information บริษัทผู้ผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 4) CloudWalk ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีจดจำใบหน้า 5) Xiamen Meiya บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 6) Yitu Technology บริษัท AI 7) Leon Technology ธุรกิจ Cloud Computing 8) NetPosa Technologies ธุรกิจ Cloud Computing อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/15/us-china-most-chinese-companies-could-delist-from-us-says-tcw-group.html https://www.reuters.com/business/us-blacklist-8-more-chinese-companies-including-dji-over-uyghur-surveillance-ft-2021-12-15/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน สหรัฐฯ สหรัฐฯ และจีน หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton Insights I จัดพอร์ตป้องกันเงินเฟ้ออย่างไรดี - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: จัดพอร์ตป้องกันเงินเฟ้ออย่างไรดี คุณ John Bellows, Ph. D., Portfolio Manager, Western Asset 15 ธ.ค. 2564 พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: จัดพอร์ตป้องกันเงินเฟ้ออย่างไรดี คุณ John Bellows, Ph. D., Portfolio Manager, Western Asset <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, portfolio allocation อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ขายหุ้น Tesla อีก $900 ล้าน ขาดอีกแค่ 5 ล้านหุ้น ตามโพลทวิต คาดสิ้นปี ขายรวมทั้งหมด $18,000 ล้าน - FINNOMENA Elon Musk ขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 906 ล้านดอลลาร์ ใกล้เป้าหมายขายหุ้น 10% ของที่ถืออยู่ คาดว่ามูลค่าขายรวมทั้งหมดจะสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ 15 ธ.ค. 2564 Elon Musk ขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 906 ล้านดอลลาร์ ใกล้เป้าหมายขายหุ้น 10% ของที่ถืออยู่ คาดว่ามูลค่าขายรวมทั้งหมดจะสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ถึง 10% ตามโพลทวิตเตอร์ Elon Musk จะต้องขายหุ้นมากกว่า 17 ล้านหุ้น จากที่ถืออยู่กว่า 170 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1.7% ของหุ้น Tesla ทั้งหมด เอกสารที่ Tesla ยื่น ก.ล.ต.สหรัฐฯ ระบุว่า เมื่อวันจันทร์ (13 ธ.ค.) Elon Musk ขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 934,091 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 906 ล้านดอลลาร์ ล่าสุด (14 ธ.ค.) ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวลงมา 0.82% ปิดที่ 958 ดอลลาร์ ข้อมูลจาก InsiderScore/Verity รายงานว่า Elon Musk ขายหุ้นไปแล้วทั้งหมด 11.9 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 12,700 ล้านดอลลาร์ โดยเขาต้องขายหุ้น Tesla เพิ่มอีกประมาณ 5 ล้านหุ้น เพื่อให้ถึง 10% ของที่ถืออยู่ เหตุผลหลักในการขายหุ้นของ Elon Musk คือการนำเงินมาจ่ายภาษีใช้สิทธิ Option ที่จะครบกำหนดในอีกไม่ถึง 1 ปีข้างหน้า ในปี 2012 ซีอีโอของ Tesla ได้แพ็กเกจค่าตอบแทนเป็นสิทธิ Option สำหรับหุ้นจำนวน 22.8 ล้านหุ้น ที่กำลังจะหมดอายุในเดือน ส.ค. ปีหน้า ซึ่ง Option ดังกล่าวมีมูลค่ามากกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์ นั่นหมายถึงภาษีมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ รายงานระบุว่า 6.5 ล้านหุ้นที่ขายไป ครอบคลุมภาษี Option ที่ 15 ล้านสิทธิ และเพื่อครอบคลุมภาษีทั้งหมด Elon Musk ต้องใช้สิทธิ Option อีก 7.8 ล้านสิทธิ และขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก 4,000 ล้านดอลลาร์ จากมุมมองด้านภาษี Elon Musk น่าจะขายหุ้นจำนวน 934,000 หุ้น (จำนวนล่าสุดที่ขาย) อีกประมาณ 5 ครั้ง เพื่อบรรลุเป้าหมายในสิ้นปีนี้ จนถึงตอนนี้ Elon Musk ได้ขายหุ้นประมาณ 5.4 ล้านหุ้นออกมาเป็นเงินสดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิ Option หรือการจ่ายภาษี ซึ่งถ้าเขาต้องการเงินสดเพื่อนำมาเป็นทุน SpaceX หรือธุรกิจอื่นๆ จำนวนหุ้นที่ขายจะสูงกว่า 17 ล้านหุ้น โดยไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเท่าไร อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/14/elon-musks-stock-sales-could-total-18-billion-by-the-end-of-year-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นิ้วเบียด พิมพ์ผิด ขาย NFT ขาดทุน 9 ล้านบาท ตั้งราคาจาก 75 ETH เป็น 0.75 ETH Bored Ape NFT โดนบอทกวาดในเสี้ยววินาที - FINNOMENA เจ้าของภาพ NFT ตาลายขาย “Bored Ape” ลิงขี้เบื่อกลายพันธุ์สุดฮิต ในราคาเพียง $3,000 จากราคา $300,000 เพียงเพราะนิ้วเบียดพิมพ์ทศนิยมผิดตำแหน่ง 14 ธ.ค. 2564 เจ้าของภาพ NFT ตาลายขาย “Bored Ape” ลิงขี้เบื่อกลายพันธุ์สุดฮิต ในราคาเพียง $3,000 จากราคา $300,000 เพียงเพราะนิ้วเบียดพิมพ์ทศนิยมผิดตำแหน่ง ผู้โชคร้ายรายนี้คือ maxnaut ที่ต้องการขายภาพ Bored Ape NFT ในราคา 75 ETH หรือประมาณ 9 ล้านบาท แต่ดันตั้งราคาผิดเป็น 0.75 ETH หรือแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น โดยพิมพ์ผิดจาก 75 ETH เป็น 0.75 ETH maxnaut กล่าวว่า เขาเห็นข้อผิดพลาดทันทีแต่ไม่สามารถกดยกเลิกได้ทัน เพราะผลงานดังกล่าวถูกซื้อโดยบัญชีบอทที่ตั้งโปรแกรมซื้ออัตโนมัติไว้ และล่าสุดถูกนำมาขายที่ราคา 85 ETH หรือ $320,000 แล้ว ภาพดังกล่าวเป็นภาพหมายเลข 3,547 จากคอลเล็กชันของ Bored Ape Yacht Club (BAYC) ที่วางจำหน่ายทั้งหมด 10,000 ชิ้น โดยลิงในรูปจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น การใส่แว่นตา หรือการแสดงสีหน้า Bored Ape ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักสะสมภาพ NFT รวมถึงคนดังอย่าง Jimmy Fallon และ Steph Curry โดยคอลเล็กชัน BAYC ถูกปล่อยในเดือน เม.ย. และขายหมดภายใน 12 ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นที่ภาพละ 0.08 ETH หรือประมาณ $190 ซึ่งปัจจุบันราคาขั้นต่ำพุ่งไปถึง 50 ETH หรือประมาณ $200,000 ถ้านี่เป็นการทำธุรกรรมธนาคารแบบดั้งเดิม ความผิดพลาดดังกล่าวจะสามารถย้อนกลับได้ง่าย แต่ในตลาดซื้อขายคริปโทฯ การทำธุรกรรมย้อนกลับแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย maxnaut กล่าวผ่านทวิตเตอร์ของเขาว่า “บางครั้งคนเราก็ทำอะไรพลาดไปบ้าง เช่น ซื้อของไม่ดี น้ำมันหมด หรือโอน ETH ผิดกระเป๋า แต่การปล่อยให้ความผิดพลาดครอบงำจิตใจเราต่อไปทั้งที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ก็เหมือนกับการทำร้ายตัวเองซ้ำสอง” อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/technology-59638565 https://www.theverge.com/2021/12/13/22832146/bored-ape-nft-accidentally-sold-300000-fat-finger ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BoredApe Cryptocurrency News Update NFT แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Binance.sg เตรียมปิดแพลตฟอร์ม ยกเลิกการขอใบอนุญาตในสิงคโปร์แล้ว หยุดให้บริการ 13 ก.พ. ปีหน้า - FINNOMENA Binance เตรียมยกเลิกคำขอใบอนุญาตให้บริการในสิงคโปร์ และจะหยุดให้บริการลูกค้าสิงคโปร์ภายในวันที่ 13 ก.พ. ปีหน้า 13 ธ.ค. 2564 Binance เตรียมยกเลิกคำขอใบอนุญาตให้บริการในสิงคโปร์ และจะหยุดให้บริการลูกค้าสิงคโปร์ภายในวันที่ 13 ก.พ. ปีหน้า ก่อนหน้านี้ Binance Asia Services (BAS) บริษัทในเครือของ Binance เป็นหนึ่งใน 170 บริษัทคริปโทฯ ที่ยื่นขอใบอนุญาต Digital Payment Token ของสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ผู้ใช้งานชาวสิงคโปร์ได้ โดยกระบวนการขอใบอนุญาตยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ล่าสุด (13 ธ.ค.) Binance ประกาศว่า จะหยุดให้บริการผ่านเว็บไซต์ Binance.sg โดยจะปิดบัญชีผู้ใช้งานทั้งหมด และผู้ใช้งานต้องปิดโพซิชั่นภายในวันที่ 13 ก.พ. 2022 โดยจะปรับ BAS ให้เป็นศูนย์เทคโนโลยีและ R&D การประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที โดย Binance Singapore จะปิดรับลูกค้าใหม่ และไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานปัจจุบันฝากสินทรัพย์เพิ่มเติม แต่ผู้ใช้งานยังสามารถซื้อขายได้จนถึงวันที่ 12 ม.ค. 2022 และหลังจากนั้นจะสามารถทำได้แค่ถอนเงินและคริปโทฯ จนถึงวันที่ 13 ก.พ. 2022 ข้อมูลจากองค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ (MAS) ระบุว่า บริษัทคริปโทฯ กว่า 100 แห่ง ได้ดำเนินการถอนคำร้อง หรือถูกปฏิเสธจากใบอนุญาต Digital Payment Token ของสิงคโปร์ และมีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตดังกล่าว Changpeng Zhao ซีอีโอของบริษัท กล่าวว่า Binance ได้จัดตั้งบริษัทสำนักงานใหญ่ทั่วโลก หลังทำงานในรูปแบบ Decentralized มาหลายปี โดยบริษัทสาขาสหรัฐฯ กำลังเตรียม IPO ในตลาดหุ้น ขณะที่ Huobi คู่แข้งคนสำคัญเลือกสิงคโปร์เป็นสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย อ้างอิง: https://www.coindesk.com/policy/2021/12/13/binance-singapore-drops-crypto-license-plans-in-city-state/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Binance Crypto News Update สิงคโปร์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นายกฯ อินเดีย ถูกแฮกทวิตเตอร์ โพสต์ลวงแจก 500 BTC ให้ประชาชน คาดสาเหตุจากการเตรียมแบนคริปโทฯ - FINNOMENA ทวิตเตอร์ของ นเรนทรา โมดี นายกฯ อินเดีย ที่มีผู้ติดตามกว่า 73.4 ล้านคน ถูกแฮกในช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมประกาศแจก Bitcoin แก่ประชาชน 13 ธ.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) ทวิตเตอร์ของ นเรนทรา โมดี นายกฯ อินเดีย ที่มีผู้ติดตามกว่า 73.4 ล้านคน ถูกแฮกในช่วงเวลาสั้นๆ พร้อมประกาศแจก Bitcoin แก่ประชาชน แม้จะสามารถกู้คืนบัญชีได้อย่างรวดเร็ว แต่แฮกเกอร์มีเวลามากพอที่จะทวีตข้อมูลเท็จว่า Bitcoin ถูกกฎหมายในอินเดีย และรัฐบาลเตรียมแจกเงินสกุลดิจิทัล 500 BTC แก่ประชาชนทุกคน โดยมีการแนบลิงก์ให้กดลงทะเบียนด้วย หลังจากนั้นไม่นาน ทวิตเตอร์ของสำนักนายกฯ อินเดียระบุว่า ปัญหาดังกล่าวได้ถูกส่งต่อไปยังทวิตเตอร์ และได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยข้อความที่ถูกแชร์ในช่วงเวลาที่ทวิตเตอร์ถูกแฮกจะต้องถูกเพิกเฉย สาเหตุของการแฮกน่าจะเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาควบคุมคริปโทฯ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐฯ บางคนเรียกร้องให้มีการแบนคริปโทฯ ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การกระทำของแฮกเกอร์ไม่ใช่วิธีที่ดีในการได้รับความเห็นใจ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) นายกฯ โมดี กล่าวในการประชุม Virtual Summit ว่า เทคโนโลยีอย่างคริปโทฯ ควรใช้เพื่อเพิ่มอำนาจ และไม่บ่อนทำลายประชาธิปไตย เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว ทวิตเตอร์กองทุนบรรเทาทุกข์ของนายกฯ อินเดียถูกแฮก และมีการโพสต์ขอบริจาคเงินเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์จากโควิดไปยังบัญชีของแฮกเกอร์ อ้างอิง: https://www.coindesk.com/business/2021/12/12/india-prime-minister-suffers-another-twitter-hack-fake-tweet-sent-promising-bitcoin-to-all-indians/ https://edition.cnn.com/2021/12/12/india/modi-twitter-hack-intl/index.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Crypto News Update นเรนทรา โมดี อินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “Bitkub” ติดอันดับ 1 คำค้นหาหมวด “คริปโทเคอร์เรนซี” ประเทศไทย Google เผยเทรนด์คริปโทฯ มาแรงปี 2021 - FINNOMENA Google เผยเทรนด์คำค้นหายอดฮิตประจำปี 2021 (Year in Search 2021) พบคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับ “คริปโทเคอร์เรนซี” กลายมาเป็นคำค้นหายอดฮิตในปีนี้ ตอกย้ำว่าคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยกำลังสนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น 9 ธ.ค. 2564 Google เผยเทรนด์คำค้นหายอดฮิตประจำปี 2021 (Year in Search 2021) พบคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับ “คริปโทเคอร์เรนซี” กลายมาเป็นคำค้นหายอดฮิตในปีนี้ ตอกย้ำว่าคนทั่วโลกรวมถึงคนไทยกำลังสนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น 🌍 Dogecoin และ Ethereum Price ติด TOP10 คำค้นหายอดนิยมของโลกในหมวดข่าว ‘Dogecoin’ เหรียญมีมที่กลายมาเป็นเหรียญดาวรุ่งในปี 2021 กลายมาเป็นคำค้นหายอดนิยมอันดับ 4 ในหมวดข่าว หลัง Elon Musk ทวีตเชียร์ต่อเนื่องจน Dogecoin ติดอันดับ TOP10 เหรียญคริปโทฯ ที่มีมูลค่าสูงสุดตามราคาตลาดเมื่อตอนต้นปี ขณะที่ราคา Dogecoin พุ่งไปแล้วกว่า 3,400% ตั้งแต่ต้นปี ส่วนคำว่า ‘Ethereum Price’ ติดอันดับ 10 ในหมวดข่าว โดยราคา Ethereum เพิ่มขึ้นกว่า 550% ตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม คียเวิร์ด ‘Bitcoin’ คริปโทฯ มูลค่ามากสุดในโลก กลับไม่ติดอยู่ในลิสต์คำค้นหายอดฮิตประจำปีนี้ นอกจากเหรียญคริปโทฯ แล้ว ‘AMC Stock’ หุ้น AMC เครือโรงหนังขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และ ‘GME Stock’ หุ้น GameStop บริษัทขายเกมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ก็ติด TOP10 ในหมวดข่าวเช่นกัน โดยได้รับความนิยมจากกระแสหุ้นมีม หลังนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อหุ้นขนาดเล็กจนราคาพุ่ง ทำให้เฮดจ์ฟันด์ที่ชอร์ตหุ้นดังกล่าวขาดทุนอย่างหนัก 🇹🇭 Bitkub ติดอันดับหนึ่งในหมวดคริปโทฯ ที่คนไทยค้นหามากที่สุด Google ได้ยกให้หนึ่งในหมวดคำค้นหายอดฮิตของคนไทยคือคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับคริปโทฯ สอดคล้องกับเทรนด์ล่าสุดที่นักลงทุนไทยต่างหันมาสนใจคริปโทฯ มากขึ้น โดย Bitkub ติดอันดับหนึ่งคำค้นหา ในหมวดคริปโทฯ ของประเทสไทยในปี 2021 🏆 5 อันดับ คำค้นหาหมวดคริปโทฯ ที่คนไทยค้นหามากที่สุด ประจำปี 2021 อันดับ 1: Bitkub แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทฯ ของคนไทยที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. อันดับ 2: Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่มีเครือข่ายทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย อันดับ 3: Morning Moon Village เกม NFT ของคนไทยที่นำระบบ Yield Farming แบบ Defi มาสร้างเป็นเกม อันดับ 4: TradingView แพลตฟอร์มแสดงกราฟราคาและข้อมูลของสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิด อันดับ 5: Zipmex ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย อินโดนีเซีย สิงค์โปร์ และออสเตรเลีย อ้างอิง: https://trends.google.com/trends/yis/2021/GLOBAL/ https://trends.google.com/trends/yis/2021/TH/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitkub Cryptocurrency Google Trends News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ไฟเซอร์มั่นใจ วัคซีนเข็ม 3 ต้านโอมิครอนได้ ชี้ อาจต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เร็วขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกัน โอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าเดลต้า - FINNOMENA ไฟเซอร์/ไบออนเทค ระบุ การฉีดวัคซีนที่บริษัทพัฒนาร่วมกันครบ 3 โดส สามารถต้านทานไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ และอาจต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เร็วขึ้น 9 ธ.ค. 2564 ไฟเซอร์/ไบออนเทค ระบุ การฉีดวัคซีนที่บริษัทพัฒนาร่วมกันครบ 3 โดส สามารถต้านทานไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ และอาจต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 เร็วขึ้น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่า โอมิครอนไม่ร้ายแรงเท่าตัวกลายพันธุ์อื่น แต่อาจมีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันและแพร่ระบาดได้ดีขึ้น เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ผลการศึกษาเบื้องต้นของไฟเซอร์และไบออนเทคระบุว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากแอนติบอดี้ในการต่อต้านโอมิครอนลดลงถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับการต่อต้านตัวกลายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ไปกระตุ้นประมาณ 1 เดือน น้ำเหลืองของเลือดจากผู้ฉีดวัคซีนมีแอนติบอดี้ต่อต้านโอมิครอนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 25 เท่า หรือที่ระดับใกล้เคียงกับที่พบหลังฉีดเข็มที่ 2 ในการต่อต้านตัวกลายพันธุ์อื่น ไฟเซอร์/ไบออนเทค กล่าวว่า วัคซีนไฟเซอร์ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 รวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน หากฉีดครบ 3 เข็ม นอกจากนี้การได้รับวัคซีนบ้างแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อนำไปสู่อาการที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยจากโรงพยาบาลในเยอรมนีพบว่า แม้จะฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม แต่การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนยังคงลดลง ขณะที่ ไฟเซอร์/ไบออนเทค กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังผลิตวัคซีนสำหรับรับมือกับโอมิครอนโดยเฉพาะ และคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ในเดือน มี.ค. 2022 Albert Bourla ซีอีโอของไฟเซอร์ให้สัมภาษณ์กับ CNBC เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.) ว่า การเกิดขึ้นสายพันธุ์โอมิครอนอาจทำให้วัคซีนเข็มที่ 4 มีความจำเป็นเร็วขึ้น จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าวัคซีนเข็มที่ 4 มีความจำเป็นหลังฉีดเข็มที่ 3 ไปแล้ว 12 เดือน โดยต้องจับตาดูต่อไปว่าวัคซีนเข็มที่ 3 สามารถต้านทานโอมิครอนได้มากและนานแค่ไหน ไมเคิล ไรอัน ผู้อำนวยการของ WHO กล่าวเมื่อวันอังคาร (7 ธ.ค.) ว่า ข้อมูลเบื้องต้นไม่บ่งชี้ว่าโอมิครอนมีความรุนแรงกว่าตัวกลายพันธุ์อื่นๆ และมีความเป็นไปได้ที่จะรุนแรงน้อยกว่า โดยความสามารถในการแพร่ระบาดที่ดีขึ้นเป็นวิวัฒนาการปกติของไวรัสเพื่อต่อสู้กับตัวกลายพันธุ์ก่อนหน้า ขณะที่ แอนโทนี ฟาวซี หัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของปธน.โจ ไบเดน กล่าวว่า โอมิครอนมีแนวโน้มการแพร่ระบาดสูงกว่าเดลต้าแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า เห็นได้จากสัดส่วนผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้ที่สูงมาก แต่จำนวนผู้รักษาตัวในสถานพยาบาลนั้นน้อยกว่าเดลต้า แพทย์ชั้นนำของสหรัฐฯ แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด ใช้ความระมัดระวังโดยเฉพาะเวลาเดินทาง และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกำหนด อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-08/pfizer-biontech-say-third-dose-neutralizes-omicron-variant?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2021/12/08/omicron-pfizer-ceo-says-we-may-need-fourth-covid-vaccine-doses-sooner-than-expected.html https://mgronline.com/around/detail/9640000121699 https://www.thairath.co.th/news/foreign/2260801 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BioNTech News Update Pfizer วัคซีน โควิด-19 โอมิครอน โอไมครอน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โดมิโน่อสังหาฯ จีน Kaisa ถูกระงับการซื้อขายหุ้นอีกครั้ง เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง ตามรอย Evergrande - FINNOMENA วันนี้ (8 ธ.ค.) หุ้น Kaisa บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของจีน ถูกระงับการซื้อขายอีกครั้งในรอบ 2 เดือน จากวิกฤติสภาพคล่องภาคอสังหาฯ ที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์นี้ 8 ธ.ค. 2564 วันนี้ (8 ธ.ค.) หุ้น Kaisa บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของจีน ถูกระงับการซื้อขายอีกครั้งในรอบ 2 เดือน จากวิกฤติสภาพคล่องภาคอสังหาฯ ที่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์นี้ Kaisa Group กำลังพัวพันกับปัญหาหนี้สิน ส่งผลให้ราคาหุ้น Kaisa ร่วงแรง 20% ในเดือนที่ผ่านมา และปรับตัวลงมาแล้วกว่า 74% ตั้งแต่ต้นปี ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือน พ.ย. หุ้น Kaisa ถูกระงับการซื้อขายเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังมีรายงานว่าบริษัทไม่สามารถชำระดอกเบี้ยของผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งได้ตามกำหนด ในสัปดาห์หน้า Kaisa Group จะครบกำหนดชำระเงินในหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สำนักข่าว Reuters ระบุว่า เป็นไปได้ยากที่บริษัทจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด Kaisa Group กล่าวในช่วงปลายเดือน พ.ย. ว่า ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัท เนื่องจากบริษัทเตรียมปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการเสนอขายหุ้นกู้ฉบับใหม่มูลค่า 380 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะครบกำหนดในปี 2023 ผู้ถือหุ้นกู้มีทางเลือกที่จะสามารถแลกเปลี่ยนหุ้นกู้ฉบับใหม่ของ Kaisa เป็นหุ้นของบริษัทอสังหาฯ บางรายได้ อย่างไรก็ตาม Kaisa Group ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้ได้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า ความล้มเหลวในการเจรจากับผู้ถือหุ้นกู้จะเพิ่มโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ของ Kaisa ข้อมูลจาก Natixis สถาบันการเงินของฝรั่งเศส รายงานว่า Kaisa Group คือผู้ออกหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ในหมู่นักพัฒนาอสังหาฯ จีน รองจาก China Evergrande ขณะที่ Evergrande ซึ่งเผชิญกับวิกฤติหนี้ครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กำลังได้รับความสนใจอีกครั้งในสัปดาห์นี้ หลังบริษัทมีความเสี่ยงสูงที่จะผิดนัดชำระหนี้อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก เนื่องจากไม่มีรายงานว่าบริษัทได้จ่ายดอกเบี้ยมูลค่า 82.5 ล้านดอลลาร์ที่ครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน ในวันจันทร์ (6 ธ.ค.) ที่ผ่านมาแล้วหรือยัง ล่าสุด Evergrande บริษัทอสังหาฯ ที่มีหนี้มากสุดในโลก เตรียมเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในหุ้นกู้สกุลเงินต่างประเทศ และหนี้ภาคเอกชนทั้งหมด ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนยังคงมีแรงหนุนจากสัญญาณผ่อนคลายด้านนโยบายเพื่อกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของโควิด หลังธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% ซึ่งจะส่งผลให้มีเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านหยวน ภาคอสังหาฯ จีนได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลังทางการจีนออกกฎระเบียบใหม่ในปีที่ผ่านมา เพื่อควบคุมระดับหนี้สินให้สัมพันธ์กับกระแสเงินสด สินทรัพย์ และเงินทุนของบริษัท โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกับบริษัทอสังหาฯ ที่เติบโตจากหนี้ที่สูงเกินไปมาตลอดหลายปี Teresa Kong จาก Matthews Asia กล่าวว่า ความไม่แน่นอนในภาคอสังหาฯ จีนยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเขตเมืองในประเทศจีนยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น นั่นแปลว่ายังมีโอกาสอีกมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองจากแรงงานที่อพยพมาจากชนบท Teresa Kong เสริมว่า รัฐบาลจีนรู้ดีว่าอาจมีความเสียหายเกิดขึ้นบ้าง แต่ภาคอสังหาฯ จีนยังคงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของเศรษฐกิจจีน ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นจีนยังต้องพึ่งพาการขายที่ดินให้แก่บริษัทอสังหาฯ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/08/trading-of-chinese-property-developer-kaisa-shares-halted-in-hong-kong.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Evergrande Kaisa News Update ตลาดหุ้นจีน อสังหาจีน อสังหาฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs เตือน อย่ารีบช้อนซื้อหุ้น ธ.ค. เสี่ยงลงต่ออีก ยังไม่มีสัญญาณซื้อ Deutsche Bank ชี้ ใกล้ระดับต่ำสุดแล้ว - FINNOMENA Goldman Sachs เตือนยังไม่ถึงเวลาช้อนซื้อหุ้น เหตุเดือน ธ.ค. ยังมีความเสี่ยงลงต่อ ขณะที่ มาตรชี้วัดความเสี่ยงยังไม่ส่งสัญญาณซื้อ 8 ธ.ค. 2564 Goldman Sachs เตือนยังไม่ถึงเวลาช้อนซื้อหุ้น เหตุเดือน ธ.ค. ยังมีความเสี่ยงลงต่อ ขณะที่ มาตรชี้วัดความเสี่ยงยังไม่ส่งสัญญาณซื้อ Christian Mueller-Glissmann ผู้บริหารระดับสูงของ Goldman Sachs กล่าวว่า มุมมองที่เข้มงวดขึ้นของ Fed และการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน จะสร้างความท้าทายระยะสั้นในการซื้อขายสินทรัพย์ทุกชนิด Goldman Sachs ระบุว่า แม้จะมีแรงขายในทุกสินทรัพย์ ตั้งแต่หุ้นเทคโนโลยีไปจนถึง bitcoin แต่ตอนนี้มาตรชี้วัดความเสี่ยงของบริษัท (Risk Appetite Indicator: RAI) อยู่ในระดับต่ำกว่า 0 และยังมีความเป็นไปได้ที่จะลดลงอีก Christian Glissmann กล่าวว่า หากมุมมองเศรษฐกิจมหภาคไม่ดีขึ้น นักลงทุนควรรอให้ระดับ RAI เข้าใกล้ -2 ก่อนที่จะเพิ่มความเสี่ยง เพราะที่ระดับใกล้ -2 หรือต่ำกว่า เป็นโอกาสที่ดีมากในการเพิ่มความเสี่ยง และเป็นตำแหน่งที่การดำเนินนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจ (Procyclical) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการเติบโตของเศรษฐกิจมีเสถียรภาพหลังการแพร่ระบาดของโอมิครอน คำเตือนของ Goldman Sachs ขัดแย้งกับการฟื้นตัวครั้งใหญ่ของสินทรัพย์เสี่ยงในสัปดาห์นี้ หลังมีสัญญาณว่าโอมิครอนไม่รุนแรงอย่างที่คิด ขณะที่ มาตรวัดของ Deutsche Bank ส่งสัญญาณว่าสินทรัพย์เสี่ยงกำลังเข้าสู่ระดับต่ำสุดแล้ว ความผันผวนของตลาดทำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เปราะบาง นักลงทุนต่างพากันป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่เคยเจอ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่แล้วปั่นป่วนในรอบปี VIX หรือ ดัชนีความกลัว ซึ่งเป็นตัววัดความผันผวนของตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 27 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ถึง 7 จุด รวมถึงราคาฟิวเจอร์สเดือนใกล้ที่สูงกว่าฟิวเจอร์สเดือนไกล เป็นสัญญาณชี้ว่าตลาดคาดการณ์ว่าความปั่นป่วนระยะสั้นยังคงมีอยู่ ในขณะเดียวกันมาตรวัดโมเมนตัมข้ามสินทรัพย์ของ Deutsche Bank ติดลบอย่างหนัก และใกล้สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว โดย Parag Thatte นักกลยุทธ์ของ Deutsche Bank คาดว่า สินทรัพย์บางประเภทกำลังเข้าสู่ระดับต่ำสุดในช่วงเวลานี้ และการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นในระยะสั้นที่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-07/goldman-sachs-has-bad-news-for-investors-rushing-to-buy-the-dip?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Deutsche Bank Goldman Sachs News Update ตลาดหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เปิดตัวกองใหม่ ‘CTRU’ กองทุน ESG แบบ Passive ขายพรุ่งนี้วันแรก ขณะที่ ARKG -37% และ ARKK -24% YTD - FINNOMENA Cathie Wood เตรียมเปิดขายกองทุนใหม่ ARK Transparency ETF หรือ ‘CTRU’ ในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค.) แม้ผลการดำเนินงานกองทุนส่วนใหญ่ยังติดลบอย่างหนักจากความผันผวนของหุ้นนวัตกรรม 7 ธ.ค. 2564 Cathie Wood เตรียมเปิดขายกองทุนใหม่ ARK Transparency ETF หรือ ‘CTRU’ ในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค.) แม้ผลการดำเนินงานกองทุนส่วนใหญ่ยังติดลบอย่างหนักจากความผันผวนของหุ้นนวัตกรรม CTRU กองทุน ESG ในเวอร์ชันของ Ark Invest ผู้ออก ETF รายใหญ่อันดับที่ 11 ของสหรัฐฯ จะเน้นลงทุนแบบ Passive ในบริษัทที่โปร่งใสและยั่งยืน โดยเป็นกองทุนลำดับที่ 9 ของบริษัท และเป็นกองทุนลำดับที่ 3 ที่ลงทุนแบบ Passive หรือลงทุนตามดัชนีอ้างอิง โดย CTRU จะเน้นลงทุนตามดัชนีที่ประกอบด้วย 100 บริษัทด้านเทคโนโลยีและผู้บริโภค เช่น Nvidia, Tesla และ Nike แต่จะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ ธนาคาร การพนัน รวมถึงน้ำมันและก๊าซ ขณะที่โฆษกของ Ark ยังไม่ออกมาให้ความเห็นในการเปิดตัวกองทุนใหม่ ตอนนี้ Cathie Wood กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งใหญ่ หลังมีแรงเทขายหุ้นนวัตกรรมที่ไม่สร้างผลกำไร ซึ่งเป็นบริษัทที่ Ark มองว่าเป็นผู้ชนะในอนาคต ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกอง Ark แย่ลงเรื่อยๆ ผิดกับปี 2020 ที่กองทุนเรือธง ARKK สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 150% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุน ARKK ร่วงลง 12.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยปรับตัวลงมาแล้วกว่า 24% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งกองทุนที่มีผลการดำเนินงานแย่สุดในปีนี้ของ Ark คือ กองทุน ARKG ที่ปรับตัวลงมากกว่า 37% ตั้งแต่ต้นปี Todd Rosenbluth หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์กองทุนรวมและ ETF จาก CFRA กล่าวว่า มุมมองของนักลงทุนต่อ Ark เริ่มเปลี่ยนไป กระแสตอบรับในการเปิดตัวกองทุนใหม่จะแตกต่างจากการเปิดตัว ARKX ในเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นจังหวะที่ดี เพราะได้รับประโยชน์จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คาดว่ากองทุนใหม่จะยังคงได้รับความสนใจอยู่บ้างจากภาพลักษณ์บริษัท ETF ที่แข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นของนักลงทุน Ark ยังคงแข็งแกร่ง แม้ผลการดำเนินงานกองทุนจะไม่ดีนัก โดยมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจากการปรับตัวลงของตลาด สำหรับกองทุน ARKK มีเพียง 400 ล้านดอลลาร์ ที่เกิดจากแรงเทขายของนักลงทุน จากมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดลงทั้งหมด 12,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงกลางปี กองทุน ARKK สามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วโดยพุ่งขึ้นมากกว่า 30% ในเวลา 6 สัปดาห์ โดย ณ ตอนนั้น RSI อยู่ต่ำกว่าระดับ 30 ซึ่งเป็นสัญญาณทางเทคนิคว่าหุ้นอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) และส่งสัญญาณฟื้นตัว การปรับตัวลงของ ARKK เป็นข่าวดีของกองทุน SARK ของ Tuttle Capital Short Innovation ที่เดิมพันตรงข้ามกับ ARKK โดย SARK ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น และปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 25% หลังเปิดตัวเมื่อเดือนที่แล้ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-06/cathie-wood-readies-new-fund-while-ark-s-rough-year-gets-worse?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKG ARKK Cathie Wood CTRU News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘โอมิครอน’ ไม่รุนแรงอย่างที่คิด นักลงทุนคลายกังวล ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ระยะเวลารักษาตัวเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 2.8 วัน - FINNOMENA หลัง WHO ประกาศให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘โอมิครอน’ เป็นสายพันธ์ุระดับที่น่ากังวล ทั่วโลกต่างวิตกกังวลว่าสายพันธุ์ใหม่นี้อาจทำให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเบื้องต้นระบุว่า ความเสี่ยงจาก ‘โอมิครอน’ อาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด 7 ธ.ค. 2564 หลัง WHO ประกาศให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ‘โอมิครอน’ เป็นสายพันธ์ุระดับที่น่ากังวล ทั่วโลกต่างวิตกกังวลว่าสายพันธุ์ใหม่นี้อาจทำให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม รายงานเบื้องต้นระบุว่า ความเสี่ยงจาก ‘โอมิครอน’ อาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด ส่งผลให้เช้านี้ (7 ธ.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น หลังนักลงทุนคลายกังวลในความรุนแรงของโอมิครอน โดยดัชนี CSI300 ในตลาดหุ้นจีน ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้น 0.25% และดัชนี Topix เพิ่มขึ้น 0.34% ขณะที่เมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นหักล้างการร่วงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี Dow Jones พุ่งขึ้นกว่า 650 จุด หรือ 1.87% ขณะที่ ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.93% และดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 1.17% แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐฯ และหัวหน้าที่คณะปรึกษาทางการแพทย์ของปธน.โจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (5 ธ.ค.) ที่ผ่านมาว่า เท่าที่พบในตอนนี้โอมิครอนไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง แต่อาจเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป และกล่าวชื่นชมรัฐบาลแอฟริกาใต้ที่เปิดเผยข้อมูลการพบโอมิครอนอย่างโปร่งใส โดยรายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อโอมิครอนแล้วอย่างน้อย 16 รัฐ ซึ่งผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบถ้วนและมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ โรเชล วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ (CDC) กล่าวว่า 99.9% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหรัฐฯ ยังคงเป็นสายพันธุ์เดลต้า สอดคล้องกับรายงานจากสถานพยาบาลหลักในแอฟริกาใต้ที่พบว่า แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลนั้นลดลง โดยตั้งแต่วันที่ 14-29 พ.ย. มีผู้ติดเชื้อเพียง 42 ราย จากทั้งหมด 166 ราย ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยโควิด ข้อมูลในรายงานดังกล่าวพบว่า คนไข้เกือบทั้งหมดในหอผู้ป่วยโควิดไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และยังไม่มีใครมีอาการปอดอักเสบจากการติดเชื้อ โดย 80% ของคนไข้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลมีอายุมากกว่า 59 ปี นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะเวลาเฉลี่ยในการรักษาตัวอยู่ที่เพียง 2.8 วัน เทียบกับ 8.5 วันในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวยังไม่ผ่านการตรวจสอบทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (peer reviewed) และผู้เขียนระบุว่า ยังคงต้องจับตาพัฒนาการของไวรัสสายพันธุ์ใหม่โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ อ้างอิง: https://mgronline.com/around/detail/9640000120862 https://mgronline.com/around/detail/9640000120626 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update โควิด-19 โอมิครอน โอไมครอน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นเวียดนามร่วง 2.61% รมว. คมนาคมเผย Omicron อาจกระทบแผนเปิดประเทศ - FINNOMENA ดัชนี VNI ของประเทศเวียดนามปรับตัวลงปิดตลาดที่ 1,443.32 จุด ลดลง 2.61% หลังรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Omicron อาจส่งผลให้แผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงต้นปี 2022 ต้องเลื่อนออกไป 3 ธ.ค. 2564 ดัชนี VNI ของประเทศเวียดนามปรับตัวลงปิดตลาดที่ 1,443.32 จุด ลดลง 2.61% หลังรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Omicron อาจส่งผลให้แผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงต้นปี 2022 ต้องเลื่อนออกไป จากข้อมูลในปัจจุบัน เรายังมองว่าเป็นปัจจัยลบระยะสั้น ส่วนการจะกลับไปใช้มาตรการปิดเมืองเต็มรูปแบบมีโอกาสน้อยมากเนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกหันมาใช้การดำเนินชีวิตร่วมกับเชื้อไวรัส ในอีกมุมหนึ่งการกลายพันธุ์ครั้งนี้เป็นไปตามแนวโน้มการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคที่จะแพร่กระจายได้ไวขึ้นแต่มีความรุนแรงลดลงจึงอาจไม่ส่งผลกระทบอย่างหนัก Source: vnexpress.net ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert VNI ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Grab เทรดวันแรกตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นร่วง 21% มูลค่าหาย 5.7 แสนล้านบาท ทำสถิติดีล SPAC มูลค่าสูงสุด - FINNOMENA เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) หุ้น Grab พุ่ง 18% หลังเทรดวันแรกในตลาดหุ้น Nasdaq ก่อนร่วง 21% ปิดที่ราคา $8.75 มูลค่าหาย 570,000 ล้านบาทพร้อมทำสถิติดีล SPAC มูลค่าสูงสุดที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ หลังควบรวมกิจการกับ Altimeter Growth 3 ธ.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) หุ้น Grab พุ่ง 18% หลังเทรดวันแรกในตลาดหุ้น Nasdaq ก่อนร่วง 21% ปิดที่ราคา $8.75 มูลค่าหาย 570,000 ล้านบาทพร้อมทำสถิติดีล SPAC มูลค่าสูงสุดที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ หลังควบรวมกิจการกับ Altimeter Growth การเกิดขึ้นของสายพันธุ์โอไมครอนส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ให้บริการเรียกรถโดยสาร ส่งผลให้ราคาหุ้น Uber ปรับตัวลงแล้วกว่า 10% หลังมีรายงานการพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ ขณะที่สิงคโปร์ ประเทศสำนักงานใหญ่ของ Grab ประกาศห้ามไม่ให้ 7 ประเทศในทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศ โดยล่าสุด (2 ธ.ค.) สิงคโปร์พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนแล้ว 2 ราย ปัจจุบัน Grab ยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไร โดยในเดือนที่ผ่านมา บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 988 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้ลดลง 9% เหลือ 157 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม Anthony Tan ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Grab มองเห็นโอกาสมหาศาลสำหรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่ามูลค่าธุรกรรมในตลาด (Merchandise Value) ในปีนี้จะบรรลุเป้าหมายที่ระดับ 15,000-15,500 ล้านดอลลาร์ ในเดือน เม.ย. Anthony Tan และ Brad Gerstner ซีอีโอของ Altimeter Growth เปิดเผยดีล SPAC หรือการควบรวมกิจการเพื่อระดมทุนจากสาธารณะโดยไม่ต้อง IPO แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด Grab เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพสุงสุดในการเข้าสู่ตลาดหุ้น โดยโมเดลธุรกิจของบริษัทคล้ายคลึงกับ Uber ที่ได้ขายธุรกิจในภูมิภาคให้กับ Grab ตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนี้ Grab ยังมีกองทุน Vision Fund ของ SoftBank Group เป็นผู้ลงทุนหลัก เช่นเดียวกับ Uber เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.) Hooi Ling Tan ผู้ร่วมก่อตั้ง Grab กล่าวกับ Bloomberg ว่า ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าความกังวลในไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปหรือไม่ และกล่าวถึง“SuperApp” บริการครบวงจรในแอปเดียว ว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตและรับมือกับความท้าทายของโควิดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยของ Google, Temasek และ Bain & Co. ที่เผยแพร่ในเดือน พ.ย. แสดงให้เห็นโอกาสการเติบโตที่สูงมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคในปี 2025 จะเติบโตขึ้น 2 เท่า สู่ 363,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ในปี 2017 Sea Group บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสิงคโปร์ได้เข้าสู่ตลาดหุ้น โดยเริ่มต้นจากบริษัทเกม ก่อนจะขยายธุรกิจไปยังอีคอมเมิร์ซและการชำระเงินดิจิทัล ขณะที่หุ้น Sea เพิ่มขึ้นถึง 1,600% นับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดหุ้น และกลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 145,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Grab กำลังเผชิญกับการแข่งขันในภูมิภาคที่เข้มข้นขึ้นจาก Sea รวมถึง Gojek คู่แข่งรายสำคัญจากอินโดนีเซีย ที่ได้ควบรวมกิจการกับ PT Tokopedia อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ และตั้งบริษัทใหม่ “GoTo” เตรียมเข้าสู่ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และสหรัฐฯ ในปีหน้า Nathan Naidu นักวิเคราะห์ของ Bloomberg กล่าวว่า การเป็นผู้นำในตลาดบริการเรียกรถในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ Grab ได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่าง GoTo และ Sea ซึ่งจะทำให้ยอดขายของ Grab เติบโตอย่างก้าวกระโดดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-02/grab-shares-rise-after-completing-altimeter-spac-merger?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Grab NASDAQ News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Didi ถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ย้ายมาเทรดตลาดหุ้นฮ่องกงแทน บริษัทจีนทั้งหมดในสหรัฐฯ อาจโดนด้วย - FINNOMENA Didi เตรียมถอนตัวออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และวางแผนจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน โดยบริษัทระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว 3 ธ.ค. 2564 Didi เตรียมถอนตัวออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และวางแผนจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน โดยบริษัทระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สัปดาห์ที่แล้ว มีรายงานระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีนขอให้ Didi แอปเรียกรถใหญ่ที่สุดในจีน พิจารณาเพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ส่งผลให้ราคาหุ้น Didi ร่วงแรง โดยนับตั้งแต่การ IPO ในเดือน มิ.ย. ราคาหุ้น Didi ร่วงไปแล้วกว่า 44% โดยราคาล่าสุด (2 ธ.ค.) อยู่ที่ 7.8 ดอลลาร์ การเพิกถอนหุ้นของ Didi จะส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนมหาศาลของ SoftBank และ Uber ซึ่งถือหุ้นใน Didi รวมกันแล้วกว่า 30% โดยล่าสุด (3 ธ.ค.) ราคาหุ้น Softbank ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวลงแล้วประมาณ 3% ก่อนหน้านี้มีรายงานระบุว่า การ IPO โดยไม่แก้ไขปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ Didi ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลของจีนรู้สึกไม่พอใจ เนื่องจาก Didi มีข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับการเดินทาง และผู้ใช้งานในจีน Aaron Costello จาก Cambridge Associates มองว่า รัฐบาลจีนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้บริษัทจีนจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อีกต่อไป เพราะนั่นทำให้จีนอยู่ภายใต้อำนาจของสหรัฐฯ โดยคาดว่าบริษัทเทคโนโลยีจีนทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถูกสั่งให้ถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจดทะเบียนใหม่ในตลาดหุ้นฮ่องกง หรือตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่แทน การประกาศของ Didi เกิดขึ้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลัง ก.ล.ต. สหรัฐฯ สรุปกฎเกณฑ์ที่อนุญาตให้เพิกถอนหุ้นต่างประเทศได้ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในการตรวจสอบ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/12/03/didi-on-delisting-from-us-and-list-in-hong-kong.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: DiDi News Update จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: JPMorgan ส่งสัญญาณ “ได้เวลาซื้อหุ้น” มองโควิดใกล้จบ แนะนำช้อนหุ้นกลุ่ม ‘วัฏจักร-เปิดเมือง-โภคภัณฑ์’ - FINNOMENA JPMorgan มองว่า ความผันผวนของตลาดจากการอุบัติขึ้นของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดเมือง และสินค้าโภคภัณฑ์ 2 ธ.ค. 2564 JPMorgan มองว่า ความผันผวนของตลาดจากการอุบัติขึ้นของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน อาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเปิดเมือง และสินค้าโภคภัณฑ์ นักกลยุทธ์ของ JPMorgan ระบุว่า โอไมครอนมีโอกาสแพร่เชื้อได้มากกว่าเดิมก็จริง แต่รายงานในช่วงแรกชี้ว่าสายพันธุ์ใหม่มีความรุนแรงน้อยลง ตามวิวัฒนาการของไวรัสที่สังเกตได้มาตั้งแต่อดีต ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อตลาด เพราะเป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการระบาดครั้งใหญ่แล้ว Marko Kolanovic และ Bram Kaplan นักกลยุทธ์ของ JPMorgan วิเคราะห์ว่า โอไมครอนอาจเป็นตัวเร่งให้เกิดปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ที่ชันขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงจุดเริ่มต้นการเติบโตของเศรษฐกิจ 2) การเปลี่ยนผ่านจากหุ้นเติบโตไปสู่หุ้นมูลค่า 3) แรงเทขายในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโควิดและการล็อกดาวน์ และ 4) การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเปิดเมือง JPMorgan มองว่า แรงเทขายล่าสุดเป็นโอกาสในการช้อนซื้อหุ้นกลุ่มวัฏจักร หุ้นกลุ่มเปิดเมือง และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงเป็นโอกาสสำหรับผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น การเกิดขึ้นของสายพันธุ์โอไมครอนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยกระดับมาตรการคุมเข้มด้านการเดินทาง โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขส่วนหนึ่งมองว่า ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อสรุปข้อมูลเกี่ยวกับโอไมครอน แต่ Paul Kelly ประธานเจ้าหน้าที่การแพทย์ของออสเตรเลียระบุว่า ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าโอไมครอนอันตรายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ นักกลยุทธ์ของ JPMorgan กล่าวว่า โอไมครอนสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีต ที่ไวรัสกลายพันธุ์ใหม่จะแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นแต่มีความรุนแรงน้อยลง ซึ่งโอไมครอนอาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนโรคระบาดร้ายแรงให้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง WHO อาจข้ามไปตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า ‘โอเมก้า’ ซึ่งเป็นตัวอักษรลำดับสุดท้ายของอักษรกรีก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-02/jpmorgan-says-buy-the-dip-as-omicron-may-signal-pandemic-ending?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: JPMorgan News Update โอไมครอน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: แบงก์ชาติ ไม่สนับสนุนใช้คริปโทฯ ชำระเงิน เหตุผันผวนสูง-เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล-เครื่องมือฟอกเงิน ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยืนยัน แพลตฟอร์มคริปโทฯ ต้องถูกควบคุม - FINNOMENA แบงก์ชาติไทยชี้ ไม่สนับสนุนการใช้คริปโทฯ ชำระค่าสินค้าและบริการ เหตุความผันผวนสูง ขณะที่ ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ มากขึ้น 2 ธ.ค. 2564 แบงก์ชาติไทยชี้ ไม่สนับสนุนการใช้คริปโทฯ ชำระค่าสินค้าและบริการ เหตุความผันผวนสูง ขณะที่ ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ มากขึ้น 🏛️ แบงก์ชาติไทย ไม่สนับสนุนการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลชำระค่าสินค้าและบริการ เมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง และยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือการถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ที่จะส่งผลต่อร้านค้า ผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับความเสียหาย ธปท. มองว่า ในระยะต่อไป หากมีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้างอย่างแพร่หลาย ความเสี่ยงข้างต้นอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน เสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ และความเสียหายแก่สาธารณชนทั่วไปได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับผู้กำกับดูแลในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และมาเลเซีย โดยปัจจุบัน ธปท. กำลังร่วมมือกับ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณารูปแบบการกำกับดูแลการให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อจำกัดความเสี่ยงข้างต้น โดยจะยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินโดยรวม 🏛️ ประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ เรียกร้องความร่วมมือจากบริษัทคริปโทฯ ขณะที่ Gary Gensler ประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการกำกับดูแลแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ มากขึ้น พร้อมนำเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่จากความพยายามในการปราบปรามอุตสาหกรรมเหรียญดิจิทัลมาโดยตลอด เมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.) Gary Gensler ย้ำว่า การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลจำเป็นต้องมีการขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อคุ้มครองนักลงทุน แต่จะเพิ่มต้นทุนด้านกฎระเบียบแก่บริษัทผู้ให้บริการมากขึ้น โดย ก.ล.ต. สหรัฐฯ พร้อมร่วมงานกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่กำลังเผชิญปัญหา เช่น การดูแลโทเคน อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจต้องเผชิญกับบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามกฎของก.ล.ต. ในการประชุม Digital Asset Compliance and Market Integrity Summit ที่ได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทคริปโทฯ Gary Gensler กล่าวเชิญชวนให้บริษัทต่างๆ ร่วมมือกับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน โดยนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือน เม.ย. Gary Gensler ใช้แนวทางที่เข้มงวดต่อคริปโทฯ มาโดยตลอด และได้เปรียบเทียบคริปโทฯ ว่าเป็นยุคเถื่อนของโลกการเงิน (Wild West of finance) แนวทางของเขาสร้างความไม่พอใจแก่เหล่าผู้บริหารในอุตสาหกรรม โดยในเดือน ก.ย. Brian Armstrong ซีอีโอของ Coinbase กล่าวว่าการกระทำของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ เป็นพฤติกรรมที่ไร้เหตุผล และใช้กลวิธีข่มขู่ หลัง ก.ล.ต. สหรัฐฯ ขู่ว่าจะฟ้องบริษัท Coinbase อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-01/crypto-exchanges-focus-for-gensler-as-sec-cracks-down-on-tokens?sref=e4t2werz https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2021/Pages/n9064.aspx?fbclid=IwAR2_mKT5MTqwjb_XcQFrC_4LAlLSkg7FUEoQ80TUtkCREAzez8YFJ1aB6P4 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Crypto Cryptocurrency Gary Gensler News Update SEC แบงก์ชาติ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ช้อนซื้อหุ้น Twitter ที่ราคาต่ำสุดของปีนี้ รวม 1.1 ล้านหุ้น เข้ากอง ARKK, ARKF และ ARKW - FINNOMENA Cathie Wood ช้อนซื้อหุ้น Twitter เข้ากองทุน ARKK, ARKF และ ARKW หลังราคาหุ้นร่วงต่ำสุดในรอบปี รับข่าว Jack Dorsey ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของบริษัท 1 ธ.ค. 2564 Cathie Wood ช้อนซื้อหุ้น Twitter เข้ากองทุน ARKK, ARKF และ ARKW หลังราคาหุ้นร่วงต่ำสุดในรอบปี รับข่าว Jack Dorsey ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของบริษัท เมื่อวานนี้ (30 พ.ย.) Ark Invest หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Twitter ได้ช้อนซื้อหุ้น Twitter ประมาณ 1.1 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าเกือบ 49 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นการซื้อหุ้น Twitter ครั้งแรกในรอบ 1 เดือน และเป็นการซื้อครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. ตามรายงานการซื้อขายรายวันของผู้จัดการสินทรัพย์ ARK ได้ซื้อหุ้น Twitter ตามจำนวนดังนี้ ➢ กองทุน Ark Innovation ETF (ARKK): 623,221 หุ้น ➢ กองทุน Ark Fintech Innovation ETF (ARKF): 327,160 หุ้น ➢ กองทุน Ark Next Generation Internet ETF (ARKW): 161,991 หุ้น การช้อนซื้อหุ้นของ Ark Invest เกิดขึ้น 1 วัน หลัง Jack Dorsey ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ Twitter และแต่งตั้ง Parag Agrawal CTO คนปัจจุบันของ Twitter มาดำรงตำแหน่งแทน ข่าวดังกล่าวส่งผลให้เมื่อวานนี้ (30 พ.ย.) ราคาหุ้น Twitter ปรับตัวลง 4% ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. ปีที่แล้ว Cathie Wood มักย้ำถึงกลยุทธ์การลงทุนของ Ark ที่ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ทำให้บริษัทส่วนมากในพอร์ตการลงทุนมักมีความผันผวนในระยะสั้น โดยรายงานการซื้อขายรายวันของ Ark สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของพอร์ตเท่านั้น แต่ไม่ได้สะท้อนการซื้อขายทั้งหมดของบริษัท เพราะไม่ได้รวมกิจกรรมเพิ่มและไถ่ถอนหน่วยลงทุน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-12-01/cathie-wood-s-ark-loads-up-on-twitter-as-stock-hits-12-month-low?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKF ARKK ARKW Cathie Wood News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เรย์ ดาลิโอ เตือน “ถือเงินสดไม่ปลอดภัย” ชี้เงินเฟ้อกำลังด้อยค่าเงินสด พิมพ์เงินไม่ช่วยให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น - FINNOMENA เรย์ ดาลิโอ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ยืนหยัดความเชื่อที่ว่าผู้คนไม่ควรถือเงินสด แม้โลกการเงินกำลังเผชิญความผันผวนจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนก็ตาม 1 ธ.ค. 2564 เรย์ ดาลิโอ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates ยืนหยัดความเชื่อที่ว่าผู้คนไม่ควรถือเงินสด แม้โลกการเงินกำลังเผชิญความผันผวนจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนก็ตาม “เงินสดไม่ใช่การลงทุนและการออมเงินที่ปลอดภัย เพราะจะถูกกัดกินโดยเงินเฟ้อ ดังนั้นการลงทุนในพอร์ตที่ปลอดภัยและสมดุลเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน” เรย์ ดาลิโอ กล่าวกับ CNBC เรย์ ดาลิโอ เสริมว่า นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงโดยไม่กระทบต่อผลตอบแทนได้ โดยในช่วงที่เหตุการณ์ต่างๆ สามารถเปลี่ยนโลกได้ การจับจังหวะตลาดไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ต่อให้เป็นนักลงทุนที่จับจังหวะตลาดเก่งก็ตาม ตลาดหุ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 พ.ย.) ร่วงลงอย่างหนัก หลัง WHO ประกาศให้ไวรัสกลายพันธุ์โอไมครอนที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 900 จุด และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบปี ช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากระดับต่ำสุดในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ในเดือน มี.ค. 2020 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของ Fed และรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เรย์ ดาลิโอ มองว่า ปริมาณเงินส่วนเกินในระบบอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ และการเมือง เรย์ ดาลิโอ กล่าวว่า มาตรฐานการครองชีพของผู้คนไม่สามารถยกระดับได้ด้วยปริมาณเงินในระบบที่เพิ่มขึ้น เพราะผู้คนต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้รับของในปริมาณเท่าเดิม โดยปริมาณเงินส่วนเกินในระบบจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลงก็จะนำไปสู่ผลกระทบทางการเมือง อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค. พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เพิ่มขึ้นถึง 4.1% ทำให้ Fed ต้องต่อสู้กับระดับเงินเฟ้อที่สูงและต่อเนื่องกว่าที่คาดไว้ ด้วยการเริ่มลดวงเงินในมาตรการ QE ลง เรย์ ดาลิโอ กล่าวทิ้งท้ายว่า เราจะได้เห็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยมาแล้วหลายครั้ง เหมือนกับการดูหนังเรื่องเดิมๆ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/11/30/ray-dalio-says-cash-is-not-a-safe-place-right-now-despite-heightened-market-volatility-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Ray Dalio เงินเฟ้อ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
กองทุนผลตอบแทนโดดเด่นแห่งปี 2020-2021 - FINNOMENA กองทุนไหนดี ? รวบรวม 10 อันดับกองทุนผลตอบแทนดีแห่งปี 2563 และ กองทุนผลตอบแทนดีในแต่ละเดือนของปี 2564 มาไว้ที่นี่แล้ว! 16 มี.ค. 2565 โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก https://finno.me/havefund-promotion 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีสุดแห่งปี 2020 ข้อมูลจัดอันดับ ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2563 อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 23 ธ.ค. 2563: TGHDIGI, KT-WTAI-A, K-USA-A(A), K-USA-A(D) อัปเดตตัวเลข ณ วันที่ 24 ธ.ค. 2563: ONE-GECOM, PWIN, ONE-UGG-RA, ONE-DISC-RA, KFHTECH-A, K-CHANGE-A(A) อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน K-USA-A กองทุนคุณภาพดี ตัวแทนการลงทุนในชาติอเมริกา อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-GECOM: เมื่อ E-Commerce กำลังเติบโตแบบสองหลัก อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน ONE-UGG-RA : กองทุนหุ้นเติบโตทั่วโลก คว้าโอกาสแห่งอนาคต อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน K-CHANGE-A (A) กองทุนผลตอบแทนเยี่ยมที่ให้คุณ “ช่วยโลก” ได้ เพียงแค่ลงทุน 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: TUSOIL, TOIL6, TMBOIL, KT-OIL, KF-OIL, TISCOOIL, SCBOIL, ASP-OIL, I-OIL, K-OIL 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนมีนาคม 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: MIDSMALLMF, M-MIDSMALL, M-FOCUS, HAPPY D5, MBT-G, MFX, THMO1, M-ACTIVE, M-PROPERTY, MPDIVMF 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนเมษายน 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: PRINCIPAL GHEALTH-A, TGHDIGI, PRINCIPAL GCLOUD-A, UCHI, SCBUSAP, SCBUSAA, KF-GTECH, KF-US, K-USA-A(D), K-USA-A(A) อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A: ลงทุนครอบคลุมทุกภาคส่วนของ Health Care รับแรงหนุนจากเทคโนโลยี อ่านเพิ่มเติม เจาะลึกกองทุนเปิดใหม่ Principal Global Cloud Computing Fund (PRINCIPAL GCLOUD-A) อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน UCHI: การผนึกกำลังของเทคโนโลยีและสุขภาพในประเทศจีน 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนพฤษภาคม 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: PRINCIPAL VNEQ-A, ASP-VIET, KT-ENERGY, B-BHARATA, TISCOINA-A, KT-CLMVT-D, KT-CLMVT-A, WE-GOLD, KF-INDIA, LHINDIAE-D อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน Principal VNEQ-A: กองทุนผลตอบแทนโดดเด่น รับโอกาสเติบโตของประเทศเวียดนาม 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนมิถุนายน 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: T-ES-GINNO, TNEWENGY, PRINCIPAL GCLOUD-A, KF-US, P-CGREEN, TMB-ES-GINNO, LHINNO-A, LHINNO-D, LHINNO-E, KFINNO-A อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน TMB-ES-GINNO: กองทุนแห่งนวัตกรรมสู่การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนกรกฎาคม 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: ABGS-A, TISCOINA-A, P-CGREEN, KF-EUROPE, K-AGRI, ABAG, UOBSC, ASP-TOPBRAND, TUSEQ-UH, I-ASEAN STAR 10 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนสิงหาคม 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: SCBBANKINGE, SCBBANKINGA, K-BANKING, SCBBANKINGG, EBANK, TISESG-D, TLEQ-THAICG, PRINCIPAL EPIF, ENY, K-ENERGY 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนกันยายน 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: KT-ENERGY, TMBOIL, KT-OIL, ABJO, TISCOOIL, TOIL6, ASP-OIL, UOBSGC, TUSOIL, UOBSCI-N 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนตุลาคม 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: SCBBLOC(E), SCBBLOC(A), WE-GOLD, KT-PRECIOUS, K-OIL, PRINCIPAL GCLEAN-A, SCBOIL, WE-CYBER, P-CGREEN, KF-OIL อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน SCBBLOC: กองทุน Blockchain สุดยอดนวัตกรรมพลิกโฉมโลก 10 อันดับกองทุน ผลตอบแทนดีประจำเดือนพฤศจิกายน 2021 คลิกที่ชื่อกองทุนเพื่อดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม: WE-EVOSEMI, SCBSEMI(E), SCBSEMI(A), KKP SEMICON-H, KKP SEMICON-H-F, LHSEMICON-A, LHSEMICON-D, LHSEMICON-E, ASP-VIET, K-ICT, UEV, ONE-VIETNAM-RA, UVO อ่านเพิ่มเติม รีวิวกองทุน SCBSEMI, WE-EVOSEMI, และ LHSEMICON: ลงทุนในแก่นแท้ของโลกยุคใหม่ สามารถกรองการจัดอันดับได้เอง พร้อมข้อมูลอัปเดตล่าสุดที่ FINNOMENA Fund Filter สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี คลิก: https://finno.me/open-plan อ่านบทความเพิ่มเติม พาซื้อกองทุนรวมผ่าน FINNOMENA พร้อมความพิเศษต่าง ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: ABAG ABGS-A ABJO ASP-OIL ASP-TOPBRAND ASP-VIET B-BHARATA Basic EBANK ENY FINNOMENA Fund Cheatsheet HAPPY D5 I-ASEAN STAR 10 I-OIL Infographic K-AGRI K-BANKING K-CHANGE-A(A) K-ENERGY K-ICT K-Oil K-USA-A(A) K-USA-A(D) KF-EUROPE KF-GTECH KF-INDIA KF-OIL KF-US KFHTECH-A KFINNO-A KKP SEMICON-H KKP SEMICON-H-F KT-CLMVT-A KT-CLMVT-D KT-ENERGY KT-OIL KT-PRECIOUS KT-WTAI-A LHINDIAE-D LHINNO-A LHINNO-D LHINNO-E LHSEMICON-A LHSEMICON-D LHSEMICON-E M-ACTIVE M-FOCUS M-MIDSMALL M-PROPERTY MBT-G MFX MIDSMALLMF MPDIVMF ONE-DISC-RA ONE-GECOM ONE-UGG-RA ONE-VIETNAM-RA P-CGREEN PRINCIPAL EPIF PRINCIPAL GCLEAN-A PRINCIPAL GCLOUD-A PRINCIPAL GHEALTH-A PRINCIPAL VNEQ-A Product Info PWIN SCBBANKINGA SCBBANKINGE SCBBANKINGG SCBBLOC(A) SCBBLOC(E) SCBOIL SCBSEMI(A) SCBSEMI(E) SCBUSAA SCBUSAP Short Content T-ES-GINNO TGHDIGI THMO1 TISCOINA-A TISCOOIL TISESG-D TLEQ-THAICG TMB-ES-GINNO TMBOIL TNEWENGY TOIL6 TUSEQ-UH TUSOIL UCHI UEV UOBSC UOBSCI-N UOBSGC UVO WE-CYBER WE-EVOSEMI WE-GOLD กองทุนผลตอบแทนดี กองทุนหุ้น กองทุนหุ้นผลตอบแทนสูง แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: KUB-JFIN-SIX ร่วงยกแผง เหรียญไทยโดนทุบหลัง All Time High ต่อเนื่อง จับตาการปลดล็อก KUB 2.4 ล้านเหรียญ พรุ่งนี้ - FINNOMENA หลังเดินหน้าทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เหรียญคริปโทฯ สัญชาติไทยอย่าง Bitkub Coin (KUB), JFIN Coin (JFIN) และ Six Coin (SIX) ร่วงยกแผง หลังเผชิญแรงเทขายทำกำไรของเหล่านักลงทุน 30 พ.ย. 2564 หลังเดินหน้าทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เหรียญคริปโทฯ สัญชาติไทยอย่าง Bitkub Coin (KUB), JFIN Coin (JFIN) และ Six Coin (SIX) ร่วงยกแผง หลังเผชิญแรงเทขายทำกำไรของเหล่านักลงทุน โดยเริ่มมีแรงเทขายในทั้ง 3 เหรียญ ตั้งแต่ช่วงเวลา 8:45 น. เช้าวันนี้ (30 พ.ย.) 📈 เหรียญ KUB ร่วงมาอยู่จุดต่ำสุดของวันที่ราคา 150 บาท จากระดับ All Time High ที่ 500 บาท หรือประมาณ -67% โดยราคาล่าสุด ณ เวลา 12:00 เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 330 บาท 📈 เหรียญ JFIN ร่วงมาอยู่จุดต่ำสุดของวันที่ราคา 88 บาท จากระดับ All Time High ที่ 248 บาท หรือประมาณ -54% โดยราคาล่าสุด ณ เวลา 12:00 เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 140 บาท 📈 เหรียญ SIX ร่วงมาอยู่จุดต่ำสุดของวันที่ราคา 6.1 บาท จากระดับ All Time High ที่ 19.8 บาท หรือประมาณ -52% โดยราคาล่าสุด ณ เวลา 12:00 เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 11 บาท ล่าสุด Bitkub ประกาศความร่วมมือกับ ‘เดอะมอลล์ กรุ๊ป’ สร้างปรากฎการณ์แห่งเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน ด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก Globalization, Digitalization และ Tourism เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนและท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย อีกประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตา คือ การปลดล็อกเหรียญ KUB จำนวน 2.4 ล้านเหรียญในวันพรุ่งนี้ (1 ธ.ค.) จากกิจกรรมล็อคเหรียญเพื่อรับผลตอบแทนเป็นเหรียญ KUSDT และ KBTC ของ Bitkub ที่คิดเป็นมูลค่าประมาณ 720 ล้านบาท ซึ่งสร้างความกังวลแก่นักลงทุนว่าราคาเหรียญอาจร่วงอย่างรุนแรงหากเหรียญที่ปลดล็อกจำนวนมากถูกเทขาย ที่มา: TradingView และ Bitkub ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitkub JFIN KUB News Update SIX แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Jack Dorsey สละตำแหน่ง CEO ทวิตเตอร์ พร้อมทุ่มเวลาให้ Bitcoin เตรียมพัฒนาแอป Defi ให้ Square - FINNOMENA ‘Jack Dorsey’ ประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Twitter ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พ.ย.) ระบุบริษัทมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีผู้ก่อตั้ง 30 พ.ย. 2564 ‘Jack Dorsey’ ประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Twitter ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พ.ย.) ระบุบริษัทมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีผู้ก่อตั้ง นั่นหมายความว่า เขาจะมีเวลามากขึ้นให้กับ Square ธุรกิจชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล ที่เขาก่อตั้งและดำรงตำแหน่งซีอีโอ Jack Dorsey จะยังคงอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการบริหารจนถึงการประชุมผู้ถือหุ้นปีหน้า และได้เลือก Parag Agrawal CTO คนปัจจุบันของ Twitter มาดำรงตำแหน่งซีอีโอคนใหม่ของบริษัท โดยได้ส่งอีเมลถึงพนักงานในบริษัทว่า เขามั่นใจในอนาคตของ Twitter ภายใต้การทำงานและศักยภาพของพนักงานทุกคน เมื่อคืนนี้ (29 พ.ย.) ราคาหุ้น Twitter ปรับตัวลง 2.74% โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Twitter ปรับตัวลงมาแล้วกว่า 16.05% ขณะที่ราคาหุ้น Square ปรับเพิ่มขึ้น 0.37% โดยราคาหุ้น Square ลดลง 3.75% ตั้งแต่ต้นปี Jack Dorsey เป็นแฟนตัวยงของ Bitcoin มาอย่างยาวนาน และมองว่า Bitcoin เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตพื้นฐานที่ไม่ถูกควบคุม หรือได้รับอิทธิพลจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ในงานประชุมขนาดใหญ่เมื่อเดือน มิ.ย. 2021 เขากล่าวกับฝูงชนว่า ถ้าไม่ได้ทำงานที่ Twitter หรือ Square เขาจะใช้เวลาไปกับ Bitcoin สำหรับ Jack Dorsey การกระจายอำนาจบนโลกอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญ เขาเป็นผู้ริเริ่มในการระดมทุนโครงการ Bluesky ของ Twitter ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ สามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น โดย Parag Agrawal ซีอีโอคนใหม่ของ Twitter จะเป็นผู้สานต่อวิสัยทัศน์ดังกล่าว Jack Dorsey ยังเป็นผู้นำแนวคิดที่ทำงานแบบกระจายศูนย์ โดย Twitter เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่อนุญาติให้พนักงานสามารถเลือกทำงานที่บ้านได้อย่างไม่มีกำหนดท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 Tom Lee หัวหน้าฝ่ายวิจัยที่ Fundstrat Global Advisors กล่าวว่า การลงจากตำแหน่งของ Jack Dorsey จะส่งผลให้ตลาดคริปโทฯ อยู่ในขาขึ้น เพราะตอนนี้นวัตกรรมคริปโทฯ ยังมีเงินทุนมาจัดสรรไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องพึ่งคนอย่าง Jack Dorsey เพื่อการโฟกัสอย่างจริงจัง ผู้คนคาดหวังว่าจะได้เห็นโปรเจกต์เกี่ยวกับคริปโตฯ มากขึ้นใน Square โดยในปีที่แล้วบริษัทได้เปิดตัว Cryptocurrency Open Patent Alliance (COPA) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่รวบรวมสิทธิบัตรต่างๆ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมคริปโทฯ เมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา Square ระบุว่า กำลังทุ่มเทกับธรุกิจใหม่ในการสร้างแอปพลิเคชั่น DeFi สำหรับ Bitcoin โดย Jack Dorsey อธิบายว่าแอปดังกล่าว เป็นแพลตฟอร์มนักพัฒนาแบบเปิดที่มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือ การสร้างบริการทางการเงินที่ไม่ถูกคุมขัง ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาต และมีการกระจายอำนาจ ล่าสุด ในเดือน ต.ค. Square กล่าวว่า บริษัทอาจเข้าสู่ธุรกิจการขุด Bitcoin โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้เผยแพร่เอกสารไวท์เปเปอร์ที่ระบุแผนการเปิดตัว tbDEX ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจสำหรับการซื้อขายคริปโทฯ นอกจากนี้ Square ยังกำลังสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลแบบ Hardware Wallet เพื่อทำให้ Bitcoin กลายเป็นกระแสหลักมากขึ้น อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/11/29/jack-dorseys-twitter-departure-means-more-time-for-bitcoin-passion.html https://www.voathai.com/a/twitter-founder-jack-dorsey-reportedly-stepping-down/6332041.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Jack Dorsey News Update Square twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘โอไมครอน’ โควิดสายพันธุ์ใหม่ ทั่วโลกปั่นป่วน หามาตรการสกัดเข้มงวด ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส-น้ำมัน ดีดตัวขึ้น - FINNOMENA ‘โอไมครอน’ กำลังสร้างความวิตกกังวลทั่วทั้งโลก หลังผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่อาจมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีน ทำให้ตัวกลายพันธุ์ดังกล่าวอาจสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว 29 พ.ย. 2564 ‘โอไมครอน’ กำลังสร้างความวิตกกังวลทั่วทั้งโลก หลังผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่อาจมีความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการฉีดวัคซีน ทำให้ตัวกลายพันธุ์ดังกล่าวอาจสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เช้านี้ (29 พ.ย.) ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง จากความกังวลในเชื้อโควิดกลายพันธุ์ชนิดใหม่ โดยดัชนี Nikkei 225 ในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวลง 0.92% ขณะที่ ดัชนี Topix ร่วง 1.12% ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 0.6% นำโดยหุ้น Meituan ที่ร่วงแรง 7% หลังบริษัทรายงานผลประกอบการบริษัทที่ขาดทุนกว่า 10,000 ล้านหยวน ในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ปรับตัวลงเช่นกัน โดยดัชนี Shanghai composite ลดลง 0.83% และ ดัชนี Shenzhen Component ลดลงเล็กน้อยที่ 0.29% ตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ (29 พ.ย.) ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สดีดขึ้นกว่า 240 จุด หรือ 0.7% จนสามารถกลับมายืนเหนือระดับ 35,000 ได้อีกครั้ง หลังร่วงแรงกว่า 900 จุด ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 0.96% และดัชนี Nasdaq ฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้น 1.19% ขณะที่ ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นมา 3.25 ดอลลาร์ หรือ 4.77% อยู่ที่ 71.42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงเช้าของวันนี้ หลังดิ่งแรง 13.1% ปิดที่ราคา 68.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ความวิตกกังวลทั่วทั้งโลกทำให้รัฐบาลหลายประเทศออกมาประกาศมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องการเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (26 พ.ย.) ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ที่ประกาศห้ามนักเดินทางจากประเทศในแอฟริกาลงทะเบียนเข้าไทย ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. และไม่อนุญาตให้เข้าไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ขณะที่ รายงานที่ตีพิมพ์ใน China CDC Weekly เตือนว่า จีนอาจพบการระบาดครั้งใหญ่หากเปิดประเทศเหมือนสหรัฐฯ หรือยุโรป โดยจีนไม่สามารถยกเลิกมาตรการคุมเข้มด้านการเดินทางได้หากไม่มีการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ หรือการรักษาเฉพาะทาง นักคณิตศาสตร์ระบุว่า หากจีนใช้มาตรการเดียวกับสหรัฐฯ ผู้ติดเชื้อใหม่รายวันจะอยู่ที่ 637,155 ราย, 275,793 ราย หากใช้กลยุทธ์เดียวกับอังกฤษ และ 454,198 ราย หากใช้วิธีการเดียวกับฝรั่งเศส โดยปัจจุบันจีนยังคงใช้นโยบาย ‘โควิดเป็นศูนย์’ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมถึง ดร. แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า ข่าวดังกล่าวอาจเป็นการเตือนให้ผู้คนระมัดระวังมากขึ้น แต่เชื่อว่าวัคซีนที่มีอยู่ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอในการยับยั้งอาการป่วยที่รุนแรงได้ อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/international-59428316 https://www.cnbc.com/2021/11/29/asia-markets-omicron-covid-variant-currencies-oil.html https://www.cnbc.com/2021/11/28/stock-market-futures-open-to-close-news.html https://www.posttoday.com/world/669316 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเอเชีย ราคาน้ำมัน โควิด-19 โอไมครอน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนกดดัน Didi ถอนตัวจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ้างความมั่นคง กังวลข้อมูลรั่วไหล SoftBank ร่วง 5% จากกองทุนสตาร์ทอัพ - FINNOMENA หน่วยงานกำกับดูแลของจีนขอให้ผู้บริหารระดับสูงของ Didi พิจารณาเพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคาดว่าคำขอดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนอีกระลอก 26 พ.ย. 2564 หน่วยงานกำกับดูแลของจีนขอให้ผู้บริหารระดับสูงของ Didi พิจารณาเพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ตลาดคาดว่าคำขอดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนอีกระลอก ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กล่าวว่า หน่วยงานเฝ้าระวังด้านเทคโนโลยีของจีนต้องการให้ Didi ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของข้อมูลที่มีความอ่อนไหว โดยหน่วยงานกำกับดูแลบริหารไซเบอร์สเปซของจีน (CAC) สั่งให้ Didi จัดทำรายละเอียดที่ชัดเจนสำหรับการเพิกถอนหุ้น ที่จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีน ภายใต้ข้อเสนอที่อยู่ระหว่างการพิจารณา หลังการเพิกถอนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ Didi อาจกลับไปเป็นบริษัทที่ไม่อยู่ในตลาดหุ้นเช่นเดิม หรืออาจเลือกจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงแทน โดยในกรณีแรก ข้อเสนอน่าจะอยู่ที่ราคา IPO ที่ 14 ดอลลาร์ เพื่อไม่ให้เกิดการต่อต้านในหมู่ผู้ถือหุ้น แต่ในกรณีที่ 2 คาดว่าราคา IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงจะเท่ากับราคาหุ้นปัจจุบันซึ่งอยู่ที่เพียง 8.11 ดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า โดยล่าสุด ราคาหุ้นก่อนเปิดตลาดของ Didi ลดลงแล้วกว่า 6.78% ขณะที่ ราคาหุ้น Didi ร่วงไปแล้วเกือบ 43% ตั้งแต่ต้นปี ข่าวดังกล่าวส่งผลให้วันนี้ (26 พ.ย.) ราคาหุ้น SoftBank บริษัทโทรคมนาคมข้ามชาติของญี่ปุ่น ร่วงแรงถึง 5.19% เนื่องจากกองทุน Vision Fund ของบริษัท ลงทุนในหุ้น Didi มากกว่า 20% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เป็นไปได้ว่าคำขอให้เพิกถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นจะเป็นหนึ่งในบทลงโทษสำหรับ Didi โดยก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย. สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลท้องถิ่นจีนได้เสนอการลงทุนใน Didi ซึ่งจะทำให้บริษัทอยู่ภายใต้การดำเนินการของรัฐบาล โดยการลงทุนดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนในการซื้อคืนหุ้นที่ซื้อขายในสหรัฐฯ คำขอให้ถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นของรัฐบาลจีนเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้ตลาดคาดว่านี่อาจเป็นการเน้นย้ำถึงการคุมเข้มด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลจีน และแสดงถึงความมุ่งมั่นในการทำให้บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันเข้มงวด อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-26/china-is-said-to-ask-didi-to-delist-from-u-s-on-security-fears?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2021/11/26/chinas-didi-asked-to-delist-from-us-softbank-shares-fall-report.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: DiDi News Update จีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นยุโรปไม่รอด แดงทั้งกระดาน กังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสหนักสุด -4% - FINNOMENA วันนี้ (26 พ.ย.) ตลาดหุ้นยุโรปเปิดลบ ดัชนี Euro Stoxx 50 ร่วงแรง 3.5% ท่ามกลางความกังวลต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.1.529’ 26 พ.ย. 2564 วันนี้ (26 พ.ย.) ตลาดหุ้นยุโรปเปิดลบ ดัชนี Euro Stoxx 50 ร่วงแรง 3.5% ท่ามกลางความกังวลต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.1.529’ ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวลง 3.5% โดยหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยว และสันทนาการร่วงแรง 6.5% นำไปสู่การร่วงแรงในทุกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ดัชนี FTSE 100 ของตลาดหุ้นอังกฤษ ปรับตัวลง 2.8% ขณะที่ ดัชนี CAC 40 ของตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงแรงสุดที่ 4.4% นักลงทุนในยุโรปกำลังจับตาสถานการณ์โควิด-19 ในภูมิภาค หลังจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้บางประเทศเริ่มออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด เมื่อเย็นวันพุธ (24 พ.ย.) รัฐบาลอิตาลีประกาศมาตรการโควิดที่เข้มงวดมากขึ้น ขณะที่ รัฐบาลชุดใหม่ของเยอรมนีกำลังพิจารณาว่ากฎระเบียบเกี่ยวกับพาสปอร์ตวัคซีนที่เข้มงวดขึ้นจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศลดลงหรือไม่ โดยล่าสุด ดัชนี DAX ของเยอรมนี ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 3% ความกังวลต่อเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.1.529’ พุ่งขึ้นในชั่วข้ามคืน หลังสหราชอาณาจักรประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาใต้ที่กำลังมีการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/11/26/european-stocks-concerns-over-a-new-covid-variant.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นยุโรป โควิด-19 แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น-ฮ่องกงร่วง กังวล COVID กลายพันธุ์ ‘B.1.1.529’ - FINNOMENA ช้านี้ (26 พ.ย.) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 2.51% และ TOPIX ปรับตัวลง 1.79% ด้านดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงที่ร่วง 2% เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 26 พ.ย. 2564 เช้านี้ (26 พ.ย.) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 2.51% และ TOPIX ปรับตัวลง 1.79% เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ส่งให้หุ้นบริษัทท่องเที่ยว HIS ปรับตัวลง 5.8% เช่นเดียวกับหุ้นสายการบิน Japan Airlines ที่ปรับลง 3.6% ด้านดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงที่ร่วง 2% เมื่อมีรายงานข่าวว่าพบผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่นี้แล้ว 2 ราย ความกังวลเช้านี้นอกจากจะกดดันตลาดหุ้นแล้วยังส่งเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินเยนเป็นผลให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์แล้ว 0.46% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ก็ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1.581% ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักรออกมาแสดงความกังวลต่อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ ‘B.1.1.529’ ที่พบในแอฟริกาใต้ ซึ่งมีจำนวนการกลายพันธุ์มากกว่าสายพันธุ์เดลต้าถึงเท่าตัว สายพันธุ์ดังกล่าวมีโปรตีนส่วนหนามที่แตกต่างกับสายพันธุ์ดั้งเดิมที่เป็นพื้นฐานของวัคซีนโควิด-19 อย่างมาก ทำให้ “B.1.1.529” อาจมีความสามารถในการหลบหลีกการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น โดยนอกจากแอฟริกาใต้แล้ว ยังพบสายพันธุ์ใหม่นี้ในบอตสวานาและฮ่องกงอีกด้วย FINNOMENA Investment Team มีมุมมองต่อสถานการณ์นี้ว่าเป็นความเสี่ยงใหม่ ซึ่งเรากำลังติดตามสถานการณ์และข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาให้คำแนะนำการลงทุนต่อไปในอนาคต ที่มา: Bloomberg และ MGR Online ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เปิดกลยุทธ์ใหม่ ‘Ark สเตียรอยด์’ เน้นแทงสวน ‘ชอร์ต’ หุ้นใหญ่ในดัชนีอ้างอิง เชื่ออีก 10 ปี นวัตกรรมแห่งอนาคตโต ‘10 เด้ง’ - FINNOMENA Ark Invest กำลังทดสอบกลยุทธ์การลงทุนที่ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการเดิมพันตรงข้ามกับหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนีอ้างอิง ซึ่งกำลังจะถูกแทนที่ด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคต 25 พ.ย. 2564 Ark Invest กำลังทดสอบกลยุทธ์การลงทุนที่ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการเดิมพันตรงข้ามกับหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในดัชนีอ้างอิง ซึ่งกำลังจะถูกแทนที่ด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคต วันนี้ (25 พ.ย.) Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest กล่าวในรายการของ CNBC ว่า Ark กำลังทดลองพอร์ตการลงทุนใหม่ และเรียกมันว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบเร่งรัด ‘Ark สเตียรอยด์’ – Ark on steroids โดยจะทำการทดลองกลยุทธ์ดังกล่าวกับพนักงานของบริษัท แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะพร้อมขายแก่นักลงทุนรายย่อยเมื่อไหร่ ซีอีโอของ Ark มองว่า หุ้นในดัชนีอ้างอิงมีความเสี่ยงสูงในระยะยาว เพราะหุ้นเหล่านั้นเต็มไปด้วยกับดักทางมูลค่า (Value Trap) และบริษัทที่ทำผลงานได้ดีในอดีตกำลังจะถูกแทนที่ด้วยนวัตกรรมมหาศาลซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ Cathie Wood พูดถึงกับดักทางมูลค่ามาโดยตลอด และจัดประเภทบริษัทข้างต้นว่าเป็นบริษัทที่ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้นระยะสั้น โดยการใช้ประโยชน์จากงบดุลเพื่อนำมาจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืน ส่งผลให้บริษัทเหล่านั้นไม่ได้ลงทุนในนวัตกรรมมากพอ พอร์ตทดลองของ ‘Ark สเตียรอยด์’ จะชอร์ตหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนีอ้างอิง และเมื่อตลาดอยู่ในช่วงกลัวความเสี่ยง (Risk Off) สิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปคือ ผู้จัดการพอร์ตและนักวิเคราะห์ต่างๆ จะหันหลังให้หุ้นเหล่านั้น และนั่นจะกลายเป็นโอกาสทองที่ Ark ได้สัมผัสมาแล้วในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ARKK กองทุนเรือธงของ Cathie Wood ได้ปรับตัวลงเกือบ 15% ในปีนี้ ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นถึง 25% ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่า ตลาดอาจได้เห็นการขาดทุนครั้งใหญ่ในกลยุทธ์ใหม่ของ Ark Cathie Wood ยอมรับว่ากลยุทธ์ดังกล่าวค่อนข้างมีความผันผวน แต่เธอเชื่อมั่นว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โลกจะไม่เหมือนวันนี้ และ Ark กำลังลงทุนในบริษัทนวัตกรรมที่จะกลายเป็นผู้ชนะ และเปลี่ยนแปลงโลกแบบดั้งเดิม ในปี 2021 นักลงทุนส่วนใหญ่ย้ายเงินลงทุนจากหุ้นเติบโตไปสู่หุ้นมูลค่า อย่างไรก็ตาม Ark ยังคงยึดมั่นลงทุนในหุ้นเติบโตเช่นเดิม เช่น Tesla, Coinbase, Teladoc, Unity Software, Roku และ Zoom ตอนนี้นวัตกรรมในตลาดหุ้นทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 10-15 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ตามทฤษฎีของ Cathie Wood เธอเชื่อว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า นวัตกรรมแห่งอนาคต (Disruptive Innovation) จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 200 ล้านล้านดอลลาร์ (10 เท่าตัว) อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/11/24/cathie-wood-says-firm-is-testing-a-more-aggressive-strategy-that-would-be-ark-on-steroids.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Jamie Dimon รีบออกมา ‘ขอโทษ’ จีน หลังเล่นมุข “JPMorgan จะอยู่นานกว่าพรรคคอมมิวนิสต์” สื่อจีนย้ำ คิดถึงผลระยะยาวก่อนพูด - FINNOMENA Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ออกมาขอโทษหลังกล่าวว่า บริษัทของเขาจะอยู่นานกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนั่นทำให้จีนรู้สึกไม่พอใจ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือนว่า คำพูดดังกล่าวอาจเป็นภัยต่อการดำเนินธุรกิจของ JPMorgan ในจีน 25 พ.ย. 2564 Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan ออกมาขอโทษหลังกล่าวว่า บริษัทของเขาจะอยู่นานกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งนั่นทำให้จีนรู้สึกไม่พอใจ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือนว่า คำพูดดังกล่าวอาจเป็นภัยต่อการดำเนินธุรกิจของ JPMorgan ในจีน Jamie Dimon แถลงการณ์เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) ว่า เขารู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่พูด และไม่ควรแสดงความเห็นเช่นนั้นออกมา โดยเจตนาของเขาต้องการเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของ JPMorgan เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ในเดือน ส.ค. JPMorgan ได้รับอนุญาตให้เป็นบริษัทโบรกเกอร์ต่างชาติรายแรกที่สามารถดำเนินกิจการเต็มรูปแบบได้ในประเทศจีน ในงานสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยบอสตันเมื่อวันอังคาร (23 พ.ย.) Jamie Dimon ได้กล่าวคำพูดล้อเลียนว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังฉลองครบ 100 ปี เช่นเดียวกับ JPMorgan แต่พนันได้เลยว่าบริษัทของเราจะอยู่นานกว่า และต่อท้ายว่า ผมพูดภาษาจีนไม่ได้ แต่พวกเขาคงฟังกันอยู่แล้ว คำพูดของดังกล่าว ทำให้ Hu Xijin บรรณาธิการ Global Times สื่อข่าวที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน กล่าวเตือนผ่านทางทวิตเตอร์ให้ Jamie Dimon คิดถึงผลกระทบระยะยาวก่อนพูดออกมา เพราะเขามั่นใจว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะอยู่ได้นานกว่าสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ ขณะที่ Zhao Lijian โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) ว่า ทำไมการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลจีนต้องถูกหยุดชะงักด้วยคำพูดล้อเลียนบางอย่าง ปฏิกิริยาจากทางฝั่งจีนทำให้ Jamie Dimon ออกมาขอโทษว่า รู้สึกเสียใจกับคำพูดล่าสุด เพราะมันไม่ใช่เรื่องถูกต้องที่จะล้อเลียน หรือดูหมิ่นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นประเทศ ผู้นำ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และคำพูดในลักษณะแบบนั้นจะไปทำลายบทสนทนาที่สร้างสรรค์และรอบคอบ ซึ่งจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ผู้บริหารทั่วโลกมักเลือกคำพูดที่ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อพูดคุย หรือกล่าวถึงประเทศจีน โดยก่อนหน้านี้ในปี 2019 UBS ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก หลังการวิจารณ์ของนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งของบริษัท ถูกตีความว่าเป็นการเหยียดเชื้อชาติ จนทำให้บริษัทสูญกำไรจากสัญญาที่ทำกับลูกค้าที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน Eswar Prasad ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลกล่าวว่า Jamie Dimon ออกมาขอโทษอย่างรวดเร็ว เพื่อลดความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจต่างชาติต้องแสดงความเคารพต่อรัฐบาลจีน เพื่อเข้าถึงตลาดจีน อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-59409508 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Jamie Dimon JPMorgan News Update จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ขายหุ้นเกินครึ่งทางแล้ว ตามสัญญาที่จะขายหุ้น 10% ของที่ถืออยู่ หุ้น Tesla ดีด 9.4% นับตั้งแต่โพลทวิต - FINNOMENA Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก เดินหน้าขายหุ้น Tesla ต่อหลังหยุดพักไม่กี่วัน ทำให้ตอนนี้เขาขายหุ้นมาเกินครึ่งทางที่ประกาศไว้บนโพลทวิตเตอร์ว่าจะขายหุ้น 10% จากทั้งหมดที่ถืออยู่ 24 พ.ย. 2564 Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก เดินหน้าขายหุ้น Tesla ต่อหลังหยุดพักไม่กี่วัน ทำให้ตอนนี้เขาขายหุ้นมาเกินครึ่งทางที่ประกาศไว้บนโพลทวิตเตอร์ว่าจะขายหุ้น 10% จากทั้งหมดที่ถืออยู่ รายงานระบุว่า เมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) Elon Musk ขายหุ้นเพิ่มอีก 934,091 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 1,050 ล้านดอลลาร์ และยังใช้สิทธิ Option ขายหุ้น Tesla จำนวน 2.15 ล้านสิทธิ เพื่อนำเงินดังกล่าวไปชำระภาษีที่เกิดจากการ Option หุ้น นั่นแปลว่า Elon Musk ได้ขายหุ้น Tesla ไปแล้ว 9.2 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 9,900 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ตั้งโพลทวิตเตอร์ถามความเห็นว่าเขาควรขายหุ้น 10% จากทั้งหมด เพื่อนำไปจ่ายภาษีหรือไม่ เพื่อให้ถึง 10% ตามโพลทวิตเตอร์ Elon Musk จะต้องขายหุ้น Tesla จำนวน 17 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1.7% ของหุ้น Tesla ทั้งหมด แต่ถ้าคำนวณปริมาณหุ้นที่ Elon Musk มีอยู่โดยรวมสิทธิ Option แล้วนั้น Elon Musk จำเป็นต้องขายหุ้นออกไปมากกว่านั้น นับตั้งแต่มีการตั้งโพลบนทวิตเตอร์ Elon Musk ใช้สิทธิ Option ขายหุ้น Tesla ไปหลายล้านสิทธิ ซึ่งสัญญา Option เหล่านั้นเหลืออายุครบกำหนดไม่ถึง 1 ปี โดยก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย. Elon Musk ได้กำหนดแผนการขายหุ้นล่วงหน้า เพื่อดำเนินการขายหุ้นโดยใช้สิทธิ Option ที่ใกล้ครบอายุ หุ้น Tesla ดีดตัวขึ้นมา 9.4% หลังร่วงแรงจากโพลทวิตเตอร์ถามความคิดเห็นของ Elon Musk แต่เมื่อคืนนี้ (23 พ.ย.) ราคาปรับตัวลงมา 4.14% อยู่ที่ 1,109 ดอลลาร์ Elon Musk มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในวัย 50 ปี มีทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 303,700 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index โดย Elon Musk มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 133,900 ล้านดอลลาร์ จากการปรับตัวขึ้นมากกว่า 51% ของหุ้น Tesla ในปีนี้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-24/musk-has-now-sold-more-than-half-the-stock-he-vowed-on-twitter?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock เผยถึงเวลาซื้อหุ้นจีน มูลค่าน่าสนใจ การคุมเข้มเริ่มคลี่คลาย แนะลดสัดส่วนหุ้นอินเดีย หลังสภาพคล่องตึงตัว - FINNOMENA BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก เริ่มปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอินเดีย และหันมามีมุมมองบวกมากขึ้นต่อหุ้นจีน จากมูลค่าที่น่าสนใจท่ามกลางความหวังว่าอุปสรรคด้านนโยบายจากรัฐบาลจีนจะคลี่คลายลงในปีหน้า 24 พ.ย. 2564 BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก เริ่มปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นอินเดีย และหันมามีมุมมองบวกมากขึ้นต่อหุ้นจีน จากมูลค่าที่น่าสนใจท่ามกลางความหวังว่าอุปสรรคด้านนโยบายจากรัฐบาลจีนจะคลี่คลายลงในปีหน้า Belinda Boa หัวหน้าฝ่ายการลงทุนเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า มูลค่าคือกุญแจสำคัญ โดย Blackrock เริ่มขายทำกำไรจากผลตอบแทนที่ดีของหุ้นอินเดียในปีนี้ และมีมุมมองบวกมากขึ้นต่อหุ้นเติบโตของจีน ความเชื่อมั่นของหุ้นอินเดียเริ่มลดลง หลังสถาบันการเงินต่างๆ ปรับลดมุมมองและแสดงความกังวลต่อสภาพคล่องที่ตึงตัว แต่ในทางกลับกัน มีความเชื่อมั่นมากขึ้นในหมู่นักลงทุนว่าหุ้นจีนจะสามารถฟื้นตัวได้ เนื่องจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดน่าจะจบลงแล้ว ในพอร์ตที่เน้นการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย BlackRock ได้ปรับมุมมองต่อหุ้นจีนจากแนะนำลดสัดส่วนการลงทุน (Underweight) มาเป็น คงสัดส่วนการลงทุน (Neutral) แต่ยังคงมุมมอง Underweight ในบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต Lucy Liu ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอตลาดหุ้นเกิดใหม่ กล่าวว่า ตอนนี้ถึงเวลาแล้วสำหรับหุ้นจีน โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะไปสู่ขาขึ้น เพราะธุรกิจอินเทอร์เน็ตและอสังหาริมทรัพย์กำลังจะฟื้นจากจุดต่ำสุด นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของจีนจะยังไม่ร้อนแรง เพราะการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในเร็วๆ นี้ และราคาต้นทุนสินค้าที่อยู่ในระดับปานกลางจะช่วยชะลออัตราเงินเฟ้อเอาไว้ BlackRock มองว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะเป็นผลดีต่อหุ้นเติบโตของจีน และกำลังลงทุนใน 4 ธีมของจีน ได้แก่ ความยั่งยืน, การพึ่งพาตนเอง, ความเท่าเทียมกันทางสังคม และความปลอดภัยของข้อมูล ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นว่า P/E ratio ในอนาคตของดัชนี NSE Nifty 50 อยู่ที่ 21 เท่า ขณะที่ ของดัชนี CSI 300 อยู่ที่เพียง 14 เท่า BlackRock ยังคงมีมุมมองบวกระยะยาวต่อหุ้นอินเดียจากการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเสนอขายหุ้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นการ IPO ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสที่เติบโตในหุ้นเทคโนโลยี และหุ้นเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-23/blackrock-says-time-to-buy-china-stocks-and-trim-india-exposure?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นอินเดีย หุ้นจีน หุ้นอินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ARKG ถูกเทขายหนักสุดในตระกูล ARK เงินไหลออกจากกลุ่มเฮลท์แคร์ ไปหุ้นวัฏจักร ผลตอบแทนร่วงแล้ว 27% ตั้งแต่ต้นปี - FINNOMENA เหล่านักลงทุนกำลังเริ่มหมดความอดทนกับกองทุน ARKG ของ Cathie Wood โดยในเดือน พ.ย. มีแรงเทขายในกองทุนดังกล่าวประมาณ 520 ล้านดอลลาร์ จากผลตอบแทนที่ลดลงต่อเนื่อง 23 พ.ย. 2564 เหล่านักลงทุนกำลังเริ่มหมดความอดทนกับกองทุน ARKG (Ark Genomic Revolution ETF) ของ Cathie Wood โดยในเดือน พ.ย. มีแรงเทขายในกองทุนดังกล่าวประมาณ 520 ล้านดอลลาร์ จากผลตอบแทนที่ลดลงต่อเนื่อง กองทุน ARKG ปรับตัวลง 27% ตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเฮลท์แคร์ แล้วหันไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ARKG มีผลตอบแทนแย่กว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพในภาพรวม โดยดัชนี Nasdaq Biotechnology ปรับตัวขึ้นถึง 10.49% ในปีนี้ ปัจจุบัน ARKG ซื้อขายที่ราคา 66.38 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าราคาในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ก่อนการพุ่งขึ้นแรงในช่วงต้นปีนี้ โดยในปีนี้ ARKG เป็นกองทุนที่มีเงินไหลออกมากสุดของ Ark Nate Geraci ประธาน ETF Store กล่าวว่า สินทรัพย์ของกองทุนเริ่มลดลงถึงครึ่งหนึ่งตั้งแต่เดือน ก.พ. และนี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อนักลงทุน Ark ซึ่งมีความเชื่อมั่นในบริษัทมาโดยตลอด เริ่มเทขายกองทุน Ark ออกมา โดยเขาไม่เชื่อว่ากองทุนกำลังอยู่ในช่วงที่ย่ำแย่ แต่เห็นได้ชัดว่ากระแสเงินที่ไหลออกกำลังกดดันราคา และทดสอบความเชื่อมั่นของคนที่ยังถือกองทุนอยู่ หุ้น 2 อันดับแรกของ ARKG ได้แก่ Teladoc และ Exact Sciences ปรับตัวลงแรง โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Teladoc ลดลง 45% ขณะที่ Exact Sciences ลดลง 37% Sylvia Jablonski หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Defiance ETFs กล่าวว่า แรงเทขายล่าสุดอาจเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนมองหาโอกาสระยะสั้นในช่วงสิ้นปี และต้องการเงินสดเพิ่มขึ้น แต่กองทุน ARKG เหมาะกับการถือครองระยะยาว 5-10 ปี โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในเฮลท์แคร์จะเปลี่ยนแปลงวิธีการวินิจฉัย รักษา และจัดการกับโรคที่รักษายากที่สุด เช่น โรคมะเร็ง และ ARKG ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงบริษัทที่อยู่แถวหน้าในการวิจัยเหล่านั้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-22/cathie-wood-s-genomics-fund-is-down-27-and-outflows-are-growing ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKG Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นอินเดียร่วงหนัก รับดีลขายหุ้น Reliance ล่ม - FINNOMENA ดัชนี NIFTY50 และ BSE SENSEX ของอินเดียปรับตัวลงกว่า 2.31% และ 2.58% ตามลำดับ หลัง Reliance Industries บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียเผยว่าได้หยุดข้อตกลงขายหุ้นธุรกิจ Oil-to-chemicals (O2C) ให้กับบริษัท Saudi Aramco 22 พ.ย. 2564 ดัชนี NIFTY50 และ BSE SENSEX ของอินเดียปรับตัวลงกว่า 2.31% และ 2.58% ตามลำดับ หลัง Reliance Industries บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียเผยว่าได้หยุดข้อตกลงขายหุ้นธุรกิจ Oil-to-chemicals (O2C) ให้กับบริษัท Saudi Aramco ยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียซึ่งทำไว้เมื่อกลางปี 2019 แต่ล่าช้าจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นผลให้ราคาหุ้น Reliance Industries ปรับตัวลงกว่า 4.48% ขณะเดียวกันราคาหุ้น Paytm สตาร์ทอัพช่องทางจ่ายเงินออนไลน์ก็ปรับตัวลงกว่า 10% ต่อเนื่องจากวันแรกที่เข้า IPO ซึ่งราคาหุ้นก็ร่วงในวันนั้นถึง 27% สะท้อน Sentiment เชิงลบในตลาดหุ้นอินเดีย นับตั้งแต่พ้นวิกฤตไวรัส COVID-19 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียเดินหน้าปรับตัวขึ้นมาโดยตลอดพร้อมผลประกอบการที่เติบโต อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ไม่ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของตลาดหุ้นอินเดียส่งผลให้ระดับมูลค่ามี upside ที่จำกัดมาก FINNOMENA Investment Team แนะนำให้รอตลาดปรับฐานลดความตึงตัวของมูลค่าแล้วจึงทยอยสะสมรับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว Source: Bloomberg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นอินเดีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: ทรู-ดีแทค เซ็น MOU เตรียมควบรวมธุรกิจ เปิดทางทรูขึ้นเบอร์ 1 ครองตลาดโทรคมนาคมไทย คาดเตรียมแถลงการณ์ร่วมกัน บ่ายนี้ - FINNOMENA ทรู-ดีแทค เซ็น MOU เดินหน้าเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจ เตรียมแถลงรายละเอียดร่วมกันช่วงบ่ายวันนี้ 22 พ.ย. 2564 ทรู-ดีแทค เซ็น MOU เดินหน้าเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจ เตรียมแถลงรายละเอียดร่วมกันช่วงบ่ายวันนี้ เช้านี้ (22 พ.ย.) ทรู คอร์ปอเรชั่น ส่งหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับมติบอร์ดในการศึกษาความเป็นไปได้ในการควบบริษัทร่วมกับโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น และ รับทราบความประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) โดยที่ประชุมของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าทำบันทึกความตกลงเบื้องต้นแบบไม่มีผลผูกพัน (Non -Binding Memorandum of Understanding: MOU) ร่วมกับดีแทค เพื่อบันทึกความประสงค์ในการพิจารณาและศึกษาการรวมธุรกิจด้วยวิธีการควบบริษัท (Amalgamation) ภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 นอกจากนี้ ทรู-ดีแทค ได้พิจารณากำหนดอัตราการจัดสรรหุ้น (Swap Ratio) สำหรับการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบบริษัท (“บริษัทใหม่” )ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราส่วนดังนี้ 1 หุ้นเดิมในทรูต่อ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิม ในดีแทคต่อ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่ ทั้งนี้ อัตราการจัดสรรหุ้นข้างต้นกำหนดขึ้นจากสมมุติฐานว่าภายหลังการควบบริษัทบริษัทใหม่จะมีหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดจำนวน 138,208,403,204 หุ้นโดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท การควบรวมธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้บริษัทใหม่กลายเป็นผู้ให้บริการที่มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยฐานลูกค้ามากกว่า 51 ล้านเลขหมาย (ทรูมูฟเอช มี 32 ล้านเลขหมาย และดีแทค 19 ล้านเลขหมาย) มากกว่า เอไอเอส หรือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ที่มีฐานลูกค้า 43.7 ล้านเลขหมาย ณ ไตรมาส 3/2564 อย่างไรก็ตาม การควบรวมธุรกิจของทั้งคู่จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการรูปแบบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของกสทช. โดยคาดว่าในช่วง 13:00 ของวันนี้ ทั้งสองบริษัทจะเตรียมแถลงรายละเอียดร่วมกันผ่านระบบออนไลน์ อ้างอิง: https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16375381986171&sequence=0 https://www.prachachat.net/ict/news-806561 https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9640000115524 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ทรู-ดีแทค แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คลินตัน เตือน คริปโทฯ ทำชาติสั่นคลอน ทำลายบทบาทของดอลลาร์ ที่เป็นเงินสำรองหลักทั่วโลก กล่าวหาปูติน ใช้แฮกเกอร์ก่อสงครามไซเบอร์ - FINNOMENA ฮิลลารี คลินตัน อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตผู้ท้าชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ กล่าวในงาน Bloomberg New Economy Forum ว่า คริปโทฯ อาจเป็นบ่อนทำลายสกุลเงินดอลลาร์ และทำให้เกิดความสั่นคลอนแก่ประเทศต่างๆ 19 พ.ย. 2564 วันนี้ (19 พ.ย.) ฮิลลารี คลินตัน อดีตรมว.ต่างประเทศ และอดีตผู้ท้าชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐฯ กล่าวในงาน Bloomberg New Economy Forum ว่า คริปโทฯ อาจเป็นบ่อนทำลายสกุลเงินดอลลาร์ และทำให้เกิดความสั่นคลอนแก่ประเทศต่างๆ ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า รัฐบาลทั่วโลกต่างเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ทั้งการบิดเบือนข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกควรให้ความสนใจมากขึ้น คือ การเติบโตของสกุลเงินดิจิทัล อดีตรมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า ความพยายามที่น่าสนใจและแปลกใหม่ในการขุดเหรียญใหม่ๆ ขึ้นมา อาจทำลายบทบาทของดอลลาร์ที่เป็นเงินสำรองหลักของหลายประเทศ และทำให้ประเทศต่างๆ สั่นคลอน โดยการกระทำเล็กๆ อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกัน ฮิลลารี คลินตัน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์ ปธน.วลาดีมีร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยกล่าวหาว่า รัสเซียใช้แฮคเกอร์จำนวนมากในการบิดเบือนข้อมูล รวมถึงใช้เทคโนโลยีเพื่อก่อสงครามทางไซเบอร์ (Cyber Warfare) ก่อนหน้านี้ในปี 2017 ฮิลลารี คลินตัน กล่าวโทษการแทรกแซงของรัสเซีย และผลการสอบสวนอันน่าสงสัยของสำนักงานสืบสวนของสหรัฐฯ (FBI) ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอแพ้การเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ในปี 2016 โดย ฮิลลารี คลินตัน ระบุว่า รัสเซียได้แฮกอีเมลภายใน และนำไปเผยแพร่บน WikiLeaks เพื่อโจมตีเธอ ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า ปธน.ปูติน ใช้อำนาจที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวและชาตินิยม ซึ่งนี่จะกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-19/cryptocurrencies-can-destabilize-nations-hillary-clinton-warns?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cryptocurrency News Update วลาดีมีร์ ปูติน ฮิลลารี คลินตัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alibaba อาการหนัก รายได้พลาดเป้า หุ้นร่วง 11% เหตุยอดขายชะลอและรัฐบาลคุมเข้ม - FINNOMENA Alibaba รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีงบประมาณปัจจุบัน พลาดเป้า ผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการถูกคุมเข้มด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลจีน 19 พ.ย. 2564 Alibaba รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีงบประมาณปัจจุบัน พลาดเป้า ผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการถูกคุมเข้มด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลจีน ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (18 พ.ย.) ราคาหุ้น Alibaba ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง 11% ขณะที่ราคาหุ้น Alibaba ในตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงไปแล้วเกือบ 10% ในวันนี้ (19 พ.ย.) บริษัทรายงานรายได้รายไตรมาสของเดือน ก.ค. – ก.ย. เพิ่มขึ้น 29% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 200,690 ล้านหยวน น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 204,930 ล้านหยวน ขณะที่กำไรลดลง 38% จากปีที่แล้ว โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 11.2 หยวน น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 12.36 หยวน ผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามคาดเป็นผลมาจาก 1) การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภค และ 2) การคุมเข้มด้านกฎระเบียบในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัฐบาลจีน จากความมุ่งมั่นต่อต้านการผูกขาด และความพยายามปกป้องข้อมูลผู้บริโภค ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต่างเติบโตอย่างไร้ข้อจำกัด แต่ในปีนี้ รัฐบาลจีนเดินหน้ากวาดล้างพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขัน ซึ่ง Alibaba คือหนึ่งในเป้าหมาย และถูกปรับมูลค่า 2,800 ล้านดอลลาร์ ในเดือน เม.ย. เกี่ยวกับประเด็นการผูกขาด อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังที่มีต่อตัวเลขผลประกอบการของไตรมาสล่าสุดนั้นต่ำมาก โดยเหล่านักวิเคราะห์ต่างมองว่านี่เป็นหนึ่งในไตรมาสที่ท้าทายที่สุดของผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba รายได้จากอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท เพิ่มขึ้น 31% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 171,170 ล้านหยวน แต่ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่ ธุรกิจ Cloud Computing เติบโต 33% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 20,000 ล้านหยวน โดยกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน (Adjusted EBITDA) ขาดทุนอยู่ที่ 396 ล้านหยวน จากขาดทุน 567 ล้านหยวนในปีที่แล้ว CMR หรือ รายได้จากการบริการต่างๆ เช่น การตลาดที่นำเสนอแก่ผู้ขายบน Taobao และ Tmall ที่เป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของรายได้ทั้งหมด กลับเติบโตแค่ 3% จากปีที่แล้ว จากการเติบโตของยอดขายที่ชะลอตัวลง เพราะได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาด และการเพิ่มขึ้นของผู้เล่นในตลาดอีคอมเมิร์ซ นอกจากจะเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่ปรับอย่าง JD.com แล้ว Alibaba ยังต้องแข่งขันกับผู้เล่นหน้าใหม่ ทั้ง Pinduoduo บริษัทอีคอมเมิร์ซ และ ByteDance บริษัทโซเชียลมีเดียเจ้าของ TikTok ที่กำลังบุกตลาดไลฟ์สดขายสินค้า Alibaba รายงานกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ร่วงลง 27% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 34,840 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจใหม่ ในช่วงต้นปีนี้ ฝ่ายบริหารของบริษัทกล่าวว่า จะลงทุนมากขึ้นในธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น เช่น แอปลดราคา Taobao Deals และ บริการจัดส่งอาหาร Ele.me โดยบริษัทต้องการขยายฐานลูกค้าในเมืองเล็กๆ ของจีน ด้วยบริการข้างต้น Daniel Zhang ซีอีโอของบริษัท กล่าวในแถลงการณ์ว่า ในไตรมาสนี้ Alibaba จะยังคงลงทุนต่อเนื่องใน 3 เสาหลัก ได้แก่ 1) การบริโภคภายในประเทศ 2) โลกาภิวัฒน์ และ 3) เทคโนโลยี Cloud Computing เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับเป้าหมายระระยาวในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต คาดว่ายอดขายที่ Alibaba ได้รับจากโปรโมชั่นวันคนโสด เทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตลอด 11 วัน จะอยู่ที่ 540,300 ล้านหยวน โดยยอดขายดังกล่าวจะถูกนำไปรวมในผลประกอบการของไตรมาสหน้า อย่างไรก็ตาม Alibaba ได้หั่นตัวเลขคาดการณ์รายได้ของทั้งปีงบประมาณปัจจุบัน จาก 930,000 ล้านหยวน หรือเติบโต 29.5% จากปีที่แล้ว เหลือเติบโตเพียงประมาณ 20-23% จากปีที่แล้ว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/11/18/alibaba-earnings-fiscal-q2-revenue-misses-earnings-plunge.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Jack Ma News Update หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุนเทคโนโลยี: นาทีนี้ลงทุนกองไหนดี? - FINNOMENA สิ่งที่มักจะได้ยินหลาย ๆ คนถามกันคือ กองทุนเทคโนโลยีกองไหนน่าลงทุน? ในตอนนี้ FINNOMENA Investment Team มีกองทุนเทคโนโลยีคัดเน้นอัปเดตใหม่มาให้ทุกคน นั่นคือ KFHTECH-A, KFGTECH-A, MGTECH, B-INNOTECH, PRINCIPAL GHEALTH-A, SCBNEXT(A), WE-EVOSEMI, และ KT-WTAI-A 18 มี.ค. 2565 สิ่งที่มักจะได้ยินหลาย ๆ คนถามกันคือ กองทุนเทคโนโลยีกองไหนน่าลงทุน? ในตอนนี้ FINNOMENA Investment Team มีกองทุนเทคโนโลยีคัดเน้นอัปเดตใหม่มาให้ทุกคน นั่นคือ KFHTECH-A, KFGTECH-A, MGTECH, B-INNOTECH, PRINCIPAL GHEALTH-A, SCBNEXT(A), WE-EVOSEMI, และ KT-WTAI-A หากทุกคนไม่แน่ใจว่าแต่ละกองต่างกันอย่างไรบ้าง เราได้ลองรวบรวมข้อมูลสำคัญ ๆ ของแต่ละกองมาเปรียบเทียบกันดู เพราะแม้จะเป็นกองเทคฯ เหมือนกัน แต่รายละเอียดกองอาจมีความพิเศษที่แตกต่างกันนะ โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก https://finno.me/havefund-promotion ทำไมกองทุนเทคโนโลยีตอนนี้ถึงน่าลงทุน และยังไม่เป็นฟองสบู่อย่างที่คิด หุ้นเทคโนโลยีกลายเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีอันดับ TOP5 เป็นหุ้นอย่าง Apple Amazon Microsoft Google และ Facebook อีกทั้งยังเป็นกลุ่มหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนีหุ้นโลกอย่าง MSCI ACWI ชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หุ้นเทคโนโลยีมีการเติบโตของกำไรที่โดดเด่นและทิ้งห่างหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ไปมากชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ภาพแสดงกำไรต่อหุ้นของดัชนีหุ้นเทคโนโลยี NASDAQ 100 เทียบกับดัชนีอื่น ๆ ที่มา: FINNOMENA ถึงแม้ราคาหุ้นเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นสูงมากในช่วงที่ผ่านมา แต่หากเรามาเช็คมูลค่าผ่านค่า P/E (ยิ่งน้อยยิ่งดี) หรือ Free cash flow yield (ผลตอบแทนจากกระแสเงินสดอิสระที่ยิ่งสูงยิ่งดี) หุ้นเทคโนโลยีก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากลัวเท่าปี 2000 ชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเทคโนโลยีในครั้งนี้มีพื้นฐานรองรับ ภาพแสดงค่า PE ผลตอบแทนกระแสเงินสดอิสระและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี ที่มา: FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีเป็นหุ้นผู้ชนะในระยะยาวและทำผลตอบแทนได้เหนือหุ้นกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่จะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นการกระจายการลงทุนหรือลงทุนในกองทุนรวมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ภาพแสดงผลตอบแทนดัชนี NASDAQ 100 เทียบกับหุ้น Intel และ Cisco ที่มา: FINNOMENA กองทุนเทคโนโลยีที่ FINNOMENA แนะนำพิเศษหรือแตกต่างกันยังไง? ด้วยความที่กองทุนที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นเป็นกองทุนที่ไปลงในกองทุนต่างประเทศอีกที จึงเป็นการดีที่เราจะเปรียบเทียบกองทุนต่างประเทศเหล่านั้น ซึ่งทั้งหมด ก็ลงใน Master Fund ที่ไม่เหมือนกันเลย อีกทั้งยังมีค่าธรรมเนียม ผลตอบแทน ความผันผวนและอื่น ๆ ที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย ซึ่งหลังจากนี้เราจะพาทุกคนมาสำรวจกองทุนต่าง ๆ ไปด้วยกัน ธีมหุ้นเทคโนโลยีโลก (GlobalTech) ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนต้นหุ้นเทคโนโลยีถือได้ว่าเป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตของกำไรได้อย่างน่าทึ่ง สร้างกระแสเงินสดได้ดี และให้ผลตอบแทนที่สูง อย่างไรก็ตามหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำไม่ได้อยู่แค่ในสหรัฐฯ พื้นที่อื่น ๆ บนโลกเองก็มีหุ้นเทคที่แข็งแกร่ง เช่น เอเชียที่มีหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Alibaba (อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในจีน), Sea (เจ้าของ Shopee และ AirPay) หรือ TSMC (ผู้ผลิตชิปให้ Apple บริษัท เทคโนโลยีระดับโลก) เป็นต้น ซึ่งก็สร้างผลตอบแทนได้ดีและเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ดังนั้นธีมการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโลกจึงเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในการคว้าโอกาสเติบโตแบบทั่วถึง KFHTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF World Technology Fund (Class D2 USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในหมวดเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน “ทั้งหมด/เกือบทั้งหมด” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ BGF World Technology Fund (Class D2 USD) ลงทุน วันที่: 30 กันยายน 2564 ที่มา: BlackRock Fund Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.8025% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 0.9968% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFHTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! KFHTECH-A KFGTECH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund (Class Q) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพัฒนาหรือใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยเน้นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีทั่วโลกรวมถึงประเทศในตลาดเกิดใหม่ โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund (Class Q) ลงทุน วันที่: 31 สิงหาคม 2564 ที่มา: T. Rowe Price Fund Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.9630% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.1635% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KFGTECH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! KFGTECH-A MGTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ BGF Next Generation Technology Fund (share class) “I2” โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลกที่มีความโดดเด่นในการประกอบธุรกิจทั้ง ด้านการวิจัยการพัฒนา การผลิต และหรือการบริการของเทคโนโลยีใหม่และที่เกิดขึ้นใหม่ โดยกองทุนมุ่งเน้น ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อยุคหน้าได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) คอมพิวเตอร์ (Computing) ระบบอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ (Robotics) การวิเคราะห์ทางเทคโนโลยี (Technological Analytics) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ระบบการชำระเงิน (Payment Systems) เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communications Technology) และการออกแบบโครงสร้างเชิงวิศวกรรม (Generative Design) โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ BGF Next Generation Technology Fund (share class) “I2” ลงทุน วันที่: 31 ตุลาคม 2564 ที่มา: BlackRock Fund Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่มี ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.9581% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก MGTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! MGTECH B-INNOTECH นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศชื่อ Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการ หรือบริการ อันจะนํามาซึ่งประโยชน์ อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ Fidelity Funds – Global Technology Fund Class Y-ACC-USD ลงทุน วันที่: 31 ตุลาคม 2564 ที่มา: Fidelity Fund Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมขาย: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: ไม่มี ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ไม่เกิน 1.00% ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.0700% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.2020% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก B-INNOTECH Fund Fact Sheet ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! B-INNOTECH ธีมหุ้นเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพ (HealthTech) ธีม HealthTech ถือว่าเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ข้อมูลจากการวิจัยจาก McKinsey บริษัท ที่ปรึกษาการจัดการระดับโลกเปิดเผยว่าตลาด Digital Health ที่เชื่อมการรักษาให้ถึงมือผู้คนที่บ้าน จะเติบโตได้ถึง 8% ต่อปีจนถึงปี 2024 นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มนี้ยังได้ประโยชน์จากแนวโน้มประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย ซึ่งหากเรายกตัวอย่างประเทศที่เป็นผู้นำด้านนี้อย่างสหรัฐฯ ที่มีประชากรมากกว่า 46 ล้านคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และอาจเติบโตไปถึงเกือบ 90 ล้านคน ในปี 2050 หรือเกือบ ๆ 2 เท่า ก็ยิ่งชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีด้าน HealthTech น่าจะเป็นที่ต้องการในอนาคตอย่างแน่นอน PRINCIPAL GHEALTH-A นโยบายการลงทุน ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวม และ/หรือ กองทุน Exchange Traded Fund (ETF) ต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนและ/หรือหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีการทําธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากธุรกิจที่ เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (Healthcare) รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพที่ใช้นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั่วโลก เช่น เทคโนโลยีการวินิจฉัยโรค เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการดําเนินชีวิต ดิจิทัลเฮลธ์ เภสัชกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ เครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาต่างๆ เป็นต้น โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนสินทรัพย์หลักที่ลงทุน BAILLIE GIFFORD WO HEALTH INNOVATION B USD ACC 72.08% ของ NAV CREDIT SUISSE FM CSIF 2 CS DIGITAL HLTH EQTY 30.61% ของ NAV Other Assets/liability -3.26% ของ NAV สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ BAILLIE GIFFORD WO HEALTH INNOVATION B USD ACC ลงทุน วันที่: 30 กันยายน 2564 ที่มา: Baillie Gifford Fund Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยกเว้น ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยน: ตามเงื่อนไขการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.6050% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.9581% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก PRINCIPAL GHEALTH-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! PRINCIPAL GHEALTH-A ธีมหุ้นเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (InternetTech) ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน และถ้าบอกให้เราเลิกเล่น “เน็ต” ในอีก 2-3 ปี ก็คงจะเป็นไปได้ยาก อินเทอร์เน็ตจึงเป็นหัวใจของโลกยุคใหม่ที่ขาดไม่ได้ เพราะ ช่วยให้เราทำได้ทุกอย่างตั้งแต่จ่ายเงิน สั่งอาหาร ซื้อของ คุยกับคน หาหมอ และอื่น ๆ อีกมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่าช่วยให้เราทำได้ทุกอย่าง ดังนั้นการลงทุนเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจึงมีความน่าสนใจ โดย Ark Invest ได้มีการคาดการณ์ว่าอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นฐานในการสร้างการเติบโตของ Deep Learning (ระบบเรียนรู้เชิงลึก) ที่มีแนวโน้มเติบโตถึง 17% ต่อปีแบบทบต้น SCBNEXT(A) นโยบายการลงทุน ลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ ARK Next Generation Internet ETF (ARKW) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ในตราสารทุนของบริษัททั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและ ประเทศอื่น ๆ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับนวัตกรรมเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตแห่งอนาคต (next generation internet) ซึ่งมุ่งเน้นและ คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเปลี่ยนฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีจากฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ไปยังระบบคลาวด์ การ ดำเนินธุรกิจผ่านทางเว็บไซต์หรือให้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต และอาจรวมถึงบริษัทที่พัฒนานวัตกรรมด้านการชำระเงิน นวัตกรรมทางการเงิน (FinTech Innovation) big data และ internet of things กองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ Ark Next Generation Internet ETF (ARKW) ลงทุน วันที่: 30 กันยายน 2564 ที่มา: Ark Invest Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: IPO ยกเว้นไม่เรียกเก็บ/หลัง IPO 1.00 ค่าธรรมเนียมขาย: ปัจจุบันยกเว้นไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: IPO ยกเว้นไม่เรียกเก็บ/หลัง IPO 1.00 ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ปัจจุบันยกเว้นไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.50000% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 0.59737% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก SCBNEXT(A) Fund Fact Sheet ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! SCBNEXT(A) ธีมหุ้นเทคโนโลยีด้านเซมิคอนดักเตอร์ (SemiconductorTech) เซมิคอนดักเตอร์กลายเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของโลกยุคใหม่ไม่แพ้อินเทอร์เน็ตที่ชิปกลายเป็นหัวใจสำคัญของทุก ๆ อุปกรณ์ เช่น มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่หม้อหุงข้าว ที่ยังต้องใช้ชิปในการควบคุมอุณหภูมิให้มีความแม่นยำ โดยหุ้นกลุ่ม Semiconductor ของแต่ละบริษัท ก็มีความเชี่ยวชาญในการผลิตชิปรูปแบบที่ต่างกันออกไป เช่น TSMC ที่ถนัดด้านการผลิต หรือ Nvidia ที่ถนัดด้านการออกแบบและดีไซน์ ซึ่งอาจจะฟังดูซับซ้อน ดังนั้นการลงทุนในกองรวมจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการคว้าโอกาสเติบโตโดยให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความเข้าใจคัดเลือกหุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ให้ WE-EVOSEMI นโยบายการลงทุน ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ ตราสารทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารของบริษัทที่ด าเนินธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ จากการเติบโตของความเชื่อมโยงเครือข่ายทางธุรกิจของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors Business Ecosystem) อาทิ การออกแบบ การผลิต การประกอบ การจัดจ าหน่าย การท าการตลาด รวมถึงการจัดหาเงินทุน วัสดุ อุปกรณ์ของผลิตภัณฑ์และบริการในแต่ละกลุ่มธุรกิจของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงธุรกิจอื่นใดที่เกี่ยวข้อง หรือได้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ดังกล่าว เช่น ธุรกิจในกลุ่มนวัตกรรม เทคโนโลยี เป็นต้น โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ Invesco Dynamic Semiconductors ETF ลงทุน วันที่: 30 มิถุนายน 2564 ที่มา: Invesco Fact Sheet รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.3375% ค่าธรรมเนียมขาย: ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.3375% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยกเว้นการเรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.07000% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.41775% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก WE-EVOSEMI Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! WE-EVOSEMI ธีมหุ้นเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITech) AI หรือปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นธีมการลงทุนที่เราอาจจะรู้สึกว่าค่อนข้างไกลตัว แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กับธีมการลงทุนอื่น ๆ โดย AI จะกลายเป็นหัวใจหลักในการลดต้นทุนในอนาคต ผ่านหุ่นยนต์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำงานแทนให้กับเราและช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตได้อย่างดีเยี่ยม โดยทาง Ark Invest คาดการณ์ว่าต้นทุนของการใช้รถยนต์แบบซื้อเองต่อการเดินทาง 1 ไมล์ (ประมาณ 1.61 กิโลเมตร) ในปี 2025 จะเหลือเพียง 0.25$ ต่อไมล์ เท่านั้น เทียบกับช่วงปี 1924 ที่ $0.70 ต่อไมล์ ซึ่งถือได้ว่าช่วยเราประหยัดไปกว่า 2 เท่าตัวเลยทีเดียว แต่ก่อนเราจะประกอบหุ่นยนต์ทั้งทีเราก็ต้องใช้ชิปและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมาย และการลงทุนในบริษัท ต่าง ๆ ดังกล่าวก็น่าจะเติบโตล้อไปกับแนวโน้มแหง่อนาคตนี้ได้เป็นอย่างดี KT-WTAI-A นโยบายการลงทุน กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz Global Artificial Intelligence Class AT (USD) โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนหลักมีนโยบายการลงทุน คือ ลงทุนในตลาดตราสารทุนทั่วโลกที่ธุรกิจของบริษัทจะได้รับ ประโยชน์จาก / หรือเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในปัจจุบัน โดยมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 และป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตาม “ดุลยพินิจ” สัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน หุ้น 10 อันดับแรกที่ Allianz Global Artificial Intelligence Class AT (USD) ลงทุน วันที่: 31 ตุลาคม 2564 ที่มา: เว็บไซต์ https://lu.allianzgi.com รายละเอียดค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมซื้อ: 1.50% ค่าธรรมเนียมขาย: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า: 1.50% ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก: ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.93620% ค่าธรรมเนียมรวมรายปี: 1.2052% ข้อมูลนโยบาย ความเสี่ยง การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและค่าธรรมเนียมจาก KT-WTAI-A Fund Fact Sheet ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! KT-WTAI-A ผลการดำเนินงาน ทีนี้เราลองมาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานทั้ง 8 กองกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผลการดำเนินงานย้อนหลังช่วง 1 เดือนย้อนหลัง ข้อมูล ณ วันที่ 11 พ.ย. 2564 ที่มา: FINNOMENA เข้าไปดูข้อมูลการเปรียบเทียบแบบอัปเดตล่าสุดได้ที่: https://finno.me/compare-tech-funds-3 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ปีนี้ยังคงเป็นอีกปีหนึ่งที่ท้าทายสำหรับการลงทุน โดยเฉพาะความกังวลของตลาดเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อาจส่งผลให้ Fed ลด QE เร็วกว่าคาด จนสร้างความไม่แน่นอนให้กับหุ้น แต่กองทุนหุ้นทั้ง 8 กองนี้ก็ยังปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งสมกับเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตมาโดยตลอดในช่วงไม่กี่ 10 ปีให้หลัง ทิศทางของทั้ง 8 กองทุนดำเนินไปในทางเดียวกันตามที่คาดหมายไว้ โดยกองทุนที่ทำผลการดำเนินงานได้สูงสุดคือ WE-EVOSEMI สูงโดดเด่นถึง 13.15% ที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากปัญหาการขาดแคลนชิปอย่างหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ทีนี้เราลองมาดูผลการดำเนินงานแบบปักหมุด ในแต่ละช่วงเวลาบ้าง กองทุน KFGTECH-A ทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นแทบทุกช่วงเวลา (เว้นก็แต่ผลตอบแทนเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ที่เฉียดฉิวกับกองทุน KT-WTAI-A) โดยกองทุนมี Standard Deviation และ Max Drawdown ใกล้เคียงกับกองอื่น ๆ ส่วนใหญ่ ยกเว้นแค่กอง B-INNOTECH ส่วนกองเน้นเทคฯ อย่าง B-INNOTECH ถึงแม้จะทำผลตอบแทนได้ไม่สูงนักแต่ก็ให้ค่าผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงในระดับที่สูงกว่ากองทุนอื่น ๆ ส่วนกองทุนอื่น ๆ ทั้งในแง่ผลตอบแทน Standard Deviation และ Maximum Drawdown ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สูสีกัน ในฝั่งของ 3D Diagram กองทุน KFGTECH-A และ B-INNOTECH โดยรวมถือได้ว่ามีความโดดเด่นสูงกว่ากองทุนอื่น ๆ สื่อให้เห็นว่ามีปัจจัยทั้ง 3 ด้านอยู่ในระดับที่ดี ทั้ง Performance, Risk-Adjusted Return และ Max Drawdown ในขณะที่กองทุนอื่น ๆ ก็มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป จึงสรุปได้ว่าทั้ง 8 กองนั้นถือเป็นกองทุนที่คุณภาพดี หากจะถือยาว ๆ ก็สามารถทำได้ ค่าธรรมเนียม สังเกตว่าค่าธรรมเนียมรวมของ KFHTECH-A จะค่อนข้างต่ำกว่ากองทุนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมี Performance ที่ดี ในขณะที่กองทุน SCBNEXT(A) ถือได้ว่าเป็นกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมรวมต่ำที่สุด ในฝั่งของค่าธรรมเนียมขาเข้า-ออก กอง WE-EVOSEMI เป็นกองเดียวที่มีค่าธรรมเนียมขาเข้าถูกที่สุด โดยกองทุนทั้งหมดนี้ตามข้อมูลจาก FINNOMENA Fund ในตอนนี้ไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมขาออกแต่อย่างใด ขั้นต่ำการลงทุน ทั้ง 5 กองใช้เงินไม่สูงเกินไป โดยกองที่ขั้นต่ำน้อยสุดคือ WE-EVOSEMI ซึ่งอยู่ที่ 1 บาทเท่านั้น สูงขึ้นมาหน่อยคือ KFHTECH-A B-INNOTECH KFGTECH-A และ K-USXNDQ-A(D) อยู่ที่ 500 บาท และกองที่ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำสูงที่สุดซึ่งอยู่ที่ 1,000 บาท ประกอบไปด้วย MGTECH PRINCIPAL GHEALTH-A SCBNEXT(A) KT-WTAI-A กองไหนเหมาะกับใครบ้าง? ในเมื่อทั้ง 8 กองถือว่าเป็นกองที่ดีกันทั้งนั้น แต่ปลีกย่อยของแต่ละกองก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ลองมาดูกันว่ากองไหนเหมาะกับผู้ลงทุนสไตล์ไหนบ้าง KFHTECH-A: เหมาะสำหรับนักลงทุนสไตล์บู๊ ผ่านการลงทุนในหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลก KFGTECH-A: เหมาะสำหรับนักลงทุนสไตล์บู๊ ที่สนใจลงทุนในหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกรวมถึงในตลาดเกิดใหม่ MGTECH: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นเทคโนโลยี ที่ลงทุนในธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีโอกาสเติบโตสูง B-INNOTECH: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ชอบหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ๆ มั่นคง ๆ ที่เราคุ้นหูกันมานาน PRINCIPAL GHEALTH-A: เหมาะสำหรับนักลงทุนผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเฮลธ์แคร์ SCBNEXT(A):เหมาสำหรับนักลงทุนที่สนใจคว้าโอกาสผ่านบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีฟินเทค รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบปรัชญากองทุน Ark WE-EVOSEMI: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สนใจคว้าโอกาสในธีมการลงทุนที่เป็นหัวใจหลักของยุคเทคโนโลยี อย่างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังอยู่ในกระแสที่ได้ประโยชน์ KT-WTAI-A: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการคว้าโอกาสลงทุนในบริษัทที่ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่าง ๆ โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก https://finno.me/havefund-promotion สนใจลงทุนคลิกที่ลิ้งก์ด้านล่างเพื่อซื้อกองทุนได้เลยทันที! KFHTECH-A KFGTECH-A MGTECH B-INNOTECH PRINCIPAL GHEALTH-A SCBNEXT(A) WE-EVOSEMI KT-WTAI-A ความเสี่ยงที่พึงระวัง ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากทั้ง 8 กองทุนลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วแต่ละกองจะป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน หรือป้องกันทั้งหมด เช่น กองทุน KFHTECH-A ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของอุตสาหกรรม กองทุนข้างต้นมักลงทุนกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง ซึ่งอาจมีความเสี่ยงของการลงทุนแบบกระจุกตัวได้ เพื่อนผู้ใจดี Jessada Sookdhis Investment Analyst (IA) ตรวจทานบทความ ข้อมูลอ้างอิง *หนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ KFHTECH-A: วันที่ 29 ตุลาคม 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ KSAM KFGTECH-A: วันที่ 29 ตุลาคม 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ KSAM MGTECH: วันที่ 30 มิถุนายน 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ MFC B-INNOTECH: วันที่ 13 สิงหาคม 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ BBLAM PRINCIPAL GHEALTH-A: วันที่ 30 มิถุนายน 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ PRINCIPAL SCBNEXT(A): วันที่ 11 สิงหาคม 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ SCBAM WE-EVOSEMI: วันที่ 30 กันยายน 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ WEASSET KT-WTAI-A: วันที่ 30 มิถุนายน 2564 : ดูฉบับปัจจุบันได้ที่ KTAM คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Advance Article B-INNOTECH FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW K-USXNDQ-A(D) KFGTECH-A KFHTECH-A KT-WTAI-A Long Content MGTECH ONE-UGG-RA PRINCIPAL GHEALTH-A Product Info SCBNEXT(A) TMBGQG WE-EVOSEMI กองทุนเทคโนโลยี เทคโนโลยี เปรียบเทียบกองทุน แชร์บทความ: ผู้เขียน เพื่อนผู้ใจดี เพื่อนผู้ใจดีที่จดโน้ตในแต่ละคลาสเรียนมาแจกเพื่อนๆ ทั้งห้อง ใครขาดเรียนมาขอโน้ตจากเพื่อนผู้ใจดีได้ ฟรีไม่มีคิดตังค์ แค่พาไปเลี้ยงขนมบ้างก็พอ :3
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อินเดีย เล็งควบคุมคริปโทฯ หวั่นถูกใช้ฟอกเงิน-ก่อการร้าย ร่างกฎหมายห้ามใช้ชำระเงิน แต่ลงทุนได้ - FINNOMENA นายกฯ อินเดีย เรียกร้องให้เหล่าประเทศประชาธิปไตยร่วมมือกันควบคุมสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งอาจเป็นลู่ทางสำหรับการฟอกเงิน หรือการระดมทุนของกลุ่มก่อการร้าย 18 พ.ย. 2564 นายกฯ อินเดีย เรียกร้องให้เหล่าประเทศประชาธิปไตยร่วมมือกันควบคุมสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งอาจเป็นลู่ทางสำหรับการฟอกเงิน หรือการระดมทุนของกลุ่มก่อการร้าย นเรนทรา โมดี กล่าวในงาน Sydney Dialogue ที่จัดขึ้นวันนี้ (18 พ.ย.) ว่า สิ่งสำคัญคือ การตรวจสอบให้แน่ใจว่าสกุลเงินดิจิทัลจะไม่ถูกใช้อย่างผิดกฎหมาย และส่งผลเสียต่อเยาวชน ความคิดเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการทบทวนร่างกฎหมายคริปโทฯ ของรัฐบาลอินเดีย อินเดียมีความสัมพันธ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกับสกุลเงินดิจิทัลมาตลอดหลายปี โดยในปี 2018 มีการสั่งห้ามทำธุรกรรมคริปโทฯ หลังมีการฉ้อโกงเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ต่อมาในเดือน มี.ค. 2020 ศาลฎีกาได้สั่งยกเลิกข้อห้ามดังกล่าว ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีการเรียกร้องให้ตั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับการทำธุรกรรมคริปโทฯ หลังชาวอินเดียส่วนใหญ่นำเงินออมไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นจากการควบคุมที่หละหลวม ธนาคารกลางอินเดียประกาศต่อต้านสกุลเงินคริปโทฯ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย นายชัคติคานตา ทาส ผู้ว่าการธนาคารกลาง กล่าวว่า อินเดียจำเป็นต้องมีการพูดคุยอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) หนังสือพิมพ์ Economic Times รายงานว่า อินเดียกำลังสรุปร่างกฎหมายคริปโทฯ ที่อาจสั่งห้ามไม่ให้ใช้สกุลเงินดิจิทัลในการทำธุรกรรมหรือชำระเงิน แต่ยังอนุญาตให้ลงทุนได้เหมือนสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ เช่น หุ้น พันธบัตร และทองคำ ความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของรัฐบาลอินเดียไม่ใช่การสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ขณะที่ตลาดคริปโทฯ ในอินเดีย เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดย Chainalysis แพลตฟอร์มข้อมูลบล็อกเชน รายงานว่า มูลค่าตลาดเงินดิจิทัลของอินเดียอยู่ที่ 6,600 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ค. 2021 จาก 923 ล้านดอลลาร์ในเดือน เม.ย. 2020 นอกจากนี้ นายกฯ โมดี ยังเรียกร้องให้ประเทศประชาธิปไตย ซึ่งรวมถึงอินเดีย ออสเตรเลีย และพันธมิตรในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ร่วมกันลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อพัฒนามาตรฐานร่วมกันในการกำกับและส่งต่อข้อมูลภาครัฐข้ามพรมแดน นายกฯ โมดี กล่าวเสริมว่า รัฐบาลอินเดียกำลังก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และกำลังสร้างแรงจูงใจเพื่อให้บริษัทต่างๆ ช่วยกันจัดตั้งหน่วยการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-18/modi-appeals-to-democracies-to-come-together-to-regulate-cryptos?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/news/972410 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cryptocurrency News Update นเรนทรา โมดี อินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: แมนยูฯ รายได้ขายตั๋ว +1,005% รับเปิดสนาม ผลประกอบการขาดทุนลดลง ค่าใช้จ่ายหนัก หลังดึงนักเตะดังร่วมทัพ - FINNOMENA แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ในปีงบประมาณ ไตรมาส 1/2022 ขาดทุนลดลงครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว เหล่าแฟนบอลกลับเข้าชมที่สนาม Old Trafford เต็มความจุสนาม โดยมีต้นทุนค่าจ้างเพิ่มขึ้นหลังการกลับมาของคริสเตียโน โรนัลโด ในเดือน ส.ค. 18 พ.ย. 2564 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ในปีงบประมาณ ไตรมาส 1/2022 ขาดทุนลดลงครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้ว เหล่าแฟนบอลกลับเข้าชมที่สนาม Old Trafford เต็มความจุสนาม โดยมีต้นทุนค่าจ้างเพิ่มขึ้นหลังการกลับมาของคริสเตียโน โรนัลโด ในเดือน ส.ค. เมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) สโมสรฟุตบอลแมนยูฯ ของตระกูลเกลเซอร์ รายงานการขาดทุนในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. อยู่ที่ 15.5 ล้านปอนด์ ลดลงเกือบ 50% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ 30.3 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่สามารถจัดการแข่งขันได้จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สนาม Old Trafford ซึ่งได้ฉายาว่าเป็นโรงละครแห่งความฝัน สามารถกลับมาต้อนรับแฟนบอลนับหมื่นคน โดยรายได้รวมจากวันแข่งอยู่ที่ 18.8 ล้านปอนด์ พุ่งขึ้นถึง 1,005% จากปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่เพียง 1.7 ล้านปอนด์ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น 21% โดยได้แรงหนุนจากการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ รวมถึงการแข่งขันในบ้านที่มีเพิ่มขึ้น ขณะที่รายรับรวมเพิ่มขึ้น 16% อยู่ที่ 126.5 ล้านปอนด์ รายจ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้น 23% เป็น 88.5 ล้านปอนด์ หลังแมนยูฯ เซ็นสัญญาคว้าตัวนักเตะดัง 3 คน มาร่วมทีมในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ได้แก่ คริสเตียโน โรนัลโด จากสโมสรยูเวนตุส, Raphael Varane จากทีมชาติฝรั่งเศส และ Jadon Sancho ปีกขวาจากทีมชาติอังกฤษ แมนยูฯ แชมป์ลีก 20 สมัย เริ่มต้นฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ราบรื่นนัก โดยสโมสรแมนยูฯ แพ้ 4 นัด จาก 11 นัดแรก รั้งอันดับ 6 ของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน Ed Woodward รองประธานสโมสรแมนยูฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า สถานการณ์การเงินตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของสโมสรจากการแพร่ระบาด ขณะที่ ความสำเร็จสูงสุดของสโมสร คือ ชัยชนะบนสนาม Ed Woodward วัย 49 ปี มีกำหนดแยกทางกับสโมสรแมนยูฯ ในสิ้นปีนี้ หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นยูโรเปียน ซูเปอร์ ลีก โดยยังไม่มีการแต่งตั้งใครมาแทน แต่รายงานวงในระบุว่า Richard Arnold อาจเป็นผู้เข้ารับตำแหน่งต่อ ล่าสุด (17 พ.ย.) ราคาหุ้น Manchester United เพิ่มขึ้น 0.13% ที่ $15.92 โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นปรับตัวลงแล้ว 3.34% อ้างอิง: https://www.reuters.com/lifestyle/sports/manchester-united-first-quarter-loss-narrows-fans-return-2021-11-17/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Manchester United News Update แมนยู แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รีวิวกองทุน K-CHANGE-SSF & KCHANGERMF: กองทุน ESG คุณภาพจาก Baillie Gifford และ บลจ. กสิกร - FINNOMENA จะมีสักกี่กองทุนที่ประหยัดทั้งเงินในกระเป๋า (ภาษี) ประหยัดพลังงาน ประหยัดทรัพยากร สร้างความยั่งยืน และสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างโดดเด่น มาดูกันว่าทำไม K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ถึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาย ที่มองหา "การเปลี่ยนแปลงที่ดี" ในโลกที่กำลังเปลี่ยนไปกันครับ 1 ธ.ค. 2565 จะมีสักกี่กองทุนที่ประหยัดทั้งเงินในกระเป๋า (ภาษี) ประหยัดพลังงาน ประหยัดทรัพยากร สร้างความยั่งยืน และสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างโดดเด่น K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามจากโลกกองทุนรวม รังสรรโดย Baillie Gifford หนึ่งในค่ายกองทุนที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในยุคนี้พิสูจน์ผ่านผลงานในช่วงล่าสุด มาดูกันว่าทำไม K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ถึงเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาย ที่มองหา “การเปลี่ยนแปลงที่ดี” ในโลกที่กำลังเปลี่ยนไปกันครับ ดูรีวิวกองทุน ESG ที่น่าสนใจอื่น ๆ แบบจัดเต็มโดย FINNOMENA Investment Team ได้ ที่นี่ ดูรีวิวกองทุน K-CHANGE-A(A) แบบจัดเต็ม ครบถ้วน ที่สุดได้ ที่นี่ ดูรีวิวกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF โดยผู้เชี่ยวชาญจาก บลจ. กสิกรได้ ที่นี่ เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยากพร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีจาก 21 บลจ. คลิก https://finno.me/open-plan ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง จุดเด่นของกองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เรื่องแรก ๆ ที่ผมอยากพูดถึงคงหนีไม่พ้นเรื่องของ “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ Baillie Gifford ที่คัดสรรผู้จัดการที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างแท้จริงมาเลือกหุ้น ส่วนจะมีใครบ้างเรามาสำรวจไปพร้อม ๆ กันครับ 1) Kate Fox ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์: www.bailliegifford.com ประวัติโดยย่อและปรัชญาการลงทุนของคุณ Kate Fox เชื่อว่าภาคธุรกิจการเงินมีส่วนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาโลกและสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ดีขึ้นในอนาคต มีความเชี่ยวชาญทางด้านการวิเคราะห์บริษัทขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว หลงไหลในธุรกิจที่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่และให้ประสบการณ์ใหม่ ๆ กับผู้บริโภคซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของหุ้นเติบโตคุณภาพในโลกยุคใหม่ ชื่นชอบธุรกิจที่ตอบโจทย์ปัญหาด้านความขาดแคลนหรือท้าทายการแก้ปัญหา เช่น ปัญหาทางสังคมในโลกปัจจุบัน ชื่นชอบการลงทุนที่เติบโตได้ในระยะยาว 2) Lee Qian ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์: www.bailliegifford.com ประวัติโดยย่อและปรัชญาการลงทุนของคุณ Lee Qian เติบโตในประเทศจีนในช่วงเปลี่ยนถ่ายระบบเศรษฐกิจและสังคม เห็นคนนับล้านที่เผชิญกับความยากลำบากจนมามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เห็นมากับตาว่าภาคธุรกิจนั้นมีความสำคัญต่อการยกระดับสภาพความเป็นอยู่และสังคมของผู้คน แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจกระบวนการยกระดับคุณภาพชีวิตคนผ่านธุรกิจต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ช่วยในการคัดเลือกหุ้นให้ตอบโจทย์กับแนวทางพัฒนา 3) Michelle O’Keeffe ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์: www.bailliegifford.com ประวัติโดยย่อและปรัชญาการลงทุนของคุณ Michelle O’Keeffe มีความเชี่ยวชาญในเรื่องปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Climate change), การจัดการทรัพยากร, รวมถึงกฎเกณฑ์นโยบายต่าง ๆ ในยุโรป 4) Ed Whitten ข้อมูลภาพจากเว็บไซต์: www.bailliegifford.com ประวัติโดยย่อและปรัชญาการลงทุนของคุณ Ed Whitten ประสบการณ์ทำงานและศึกษาในประเทศกำลังพัฒนาทำให้คุณ Ed Whitten ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง เชื่อว่าการลงทุนในบริษัทที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการเงิน สังคมและสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนและช่วยแก้ไขปัญหาให้กับโลก เมื่อเห็นแบบนี้แล้วผู้จัดการกองทุนทุกท่านถือได้ว่าต่างก็มีความสามารถและความหลงใหล (Passion) ในสิ่งที่ทำ อีกทั้งยังมีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกโดยตรง ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเลือกหุ้นที่ดี เพราะ ตัวเลขต่าง ๆ ในบัญชีจะไร้ความหมาย หากผู้จัดการการลงทุนไม่ได้เข้าใจตัวธุรกิจแบบถึงแก่น อีกทั้งยังมีความเข้าใจในแนวโน้มเชิงและกระแสพัฒนาในภาพใหญ่อีกด้วย เรียกได้ว่าตอบโจทย์ครบเครื่องทั้ง Top Down และ Bottom Up ในส่วนถัด ๆ ไปผมขออนุญาตพาทุกคนไปสำรวจรายละเอียดเชิงลึกของกองทุนกันครับ รู้ให้ลึก: ทุกเงินลงทุนใน Baillie Gifford Positive Change ส่งผลบวกต่อโลกอย่างไร? Baillie Gifford Positive Change มีการคำนวณผลกระทบเชิงบวกในแต่ละหุ้นที่ลงทุน โดยในที่นี่จะยกตัวอย่างเป็นผลกระทบเชิงบวกของการลงทุนใน Safaricom (บริษัท การสื่อสารในเคนย่า) ตามสูตรดังนี้ ภาพแสดงรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน Baillie Gifford Positive Change ที่มา: KAsset Fund Fact Sheet วันที่: 30 กันยายน 2021 รายละเอียดต่าง ๆ ของแต่ละตัวแปร Impact Report เปรียบเสมือนผลกระทบเชิงบวกที่บริษัทนั้น ๆ ทำได้เป็นหลัก เช่น Safaricom (บริษัท การสื่อสารในเคนย่า) ช่วยให้คนจำนวน 4.8 ล้านคนโอนเงินได้สะดวกขึ้น ประหยัดขึ้นและใช้จ่ายได้มากขึ้นในด้านเฮลธ์แคร์ Market capitalisation หรือมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นนั้น ๆ หรือพูดง่าย ๆ ว่าคือ ความใหญ่ของหุ้น % of fund weighting คือ สัดส่วนที่ลงทุน Value entered คือ มูลค่าที่เข้าลงทุน เมื่อเข้าสูตรคำนวณออกมาเรียบร้อยแล้วผลที่ได้ก็จะแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์จากการถือกองทุน Baillie Gifford Positive Change ที่มีการลงทุนใน Safaricom สัดส่วน 0.61% จะช่วยให้ชาวเคนย่าใช้บริการเฮลธ์แคร์ได้สะดวกในต้นทุนที่ต่ำลง ดังนั้นนักลงทุนจึงวางใจได้ว่าเม็ดเงินที่ลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Positive Change ทุกบาททุกสตางค์จะถูกนำมาวัดผลให้เห็นว่าสร้างผลบวกให้กับใคร? ที่ไหน? อย่างไร? อย่างชัดเจน! เทียบให้ชัด K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF ต่างกันหรือไม่? อย่างไร? ภาพแสดงรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน K-CHANGE-SSF ที่มา: KAsset Fund Fact Sheet วันที่: 30 กันยายน 2021 ภาพแสดงรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน KCHANGERMF ที่มา: KAsset Fund Fact Sheet วันที่: 30 กันยายน 2021 ค่าธรรมเนียมซื้อ K-CHANGE-SSF: ยกเว้น KCHANGERMF: ไม่มี ค่าธรรมเนียมขาย K-CHANGE-SSF: ยกเว้น* KCHANGERMF: ยกเว้น ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนเข้า K-CHANGE-SSF: ** KCHANGERMF: *** ค่าธรรมเนียมสับเปลี่ยนออก K-CHANGE-SSF: ** KCHANGERMF: *** *ถือต่ำกว่า 1 ปีเรียกเก็บ 1.50% ของ NAV ปัจจุบันยังยกเว้นในส่วนนี้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2021 – 31 ธ.ค. 2021 ในกรณีถือตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปไม่เรียกเก็บ **สับเปลี่ยนไปยังกองทุน SSF อื่น ๆ ใน บลจ. กสิกร ไม่เรียกเก็บ ในกรณีสับเปลี่ยนไปยังกองทุน SSF บลจ. อื่น ๆ เรียกเก็บ 1.00% ของ NAV ในวันทำการล่าสุดก่อนทำรายการสับเปลี่ยน ***สับเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF อื่น ๆ ใน บลจ. กสิกร ไม่เรียกเก็บ ในกรณีสับเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF บลจ. อื่น ๆ ปัจจุบันเรียกเก็บ 1.00% ของ NAV ในวันทำการล่าสุดก่อนทำรายการสับเปลี่ยน สรุปประเด็นเรื่องค่าธรรมเนียม ในแง่ของค่าธรรมเนียมซื้อและขายในตอนนี้ทั้งสองกองทุนยังไม่มีการเรียกเก็บทั้งคู่ ส่วนนักลงทุนคนไหนที่มีแผนลงทุนแบบเชิงรุกพร้อมสับเปลี่ยนกองตามสถานการณ์ก็ต้องคิดเผื่อไว้สักนิดหนึ่งว่าหากเราขยับโยกย้ายข้ามค่ายก็อาจเจอค่าธรรมเนียมได้ เว้นเสียว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ บลจ. กสิกร ลงทุนวนไปในค่ายเดิม ในส่วนถัดไปจะเป็นรายละเอียดกองทุนแบบเจาะลึกว่าตอนนี้ทั้ง 2 กองทุน ลงทุนที่ไหน หุ้นอะไร มีอะไรเด่นดี ซึ่งก็ขออธิบายรวบกันไปเลยละกันครับ เพราะ ลงทุนในกองทุนหลักเดียวกันทั้งคู่ ซื้อ SSF หรือ RMF ดี? ลงนานเท่าไร ปันผลไม่ปันผล ต่างกันอย่างไรอ่านข้อมูลแบบละเอียดเจาะลึกได้ที่ลิ้งก์ด้านล่างเลยครับ https://www.finnomena.com/buffettcode/ultimate-ssf-guide/ เจาะลึกสัดส่วนภูมิภาคหลักที่ลงทุน ภาพแสดงสัดส่วนภูมิภาคหลักที่กองทุน Baillie Gifford Positive Change ลงทุน ที่มา: Baillie Gifford Fund Fact Sheet วันที่: 30 กันยายน 2021 หลัก ๆ แล้วตัวกองทุนจะลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปเป็นหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมต่าง ๆ มากมายที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ในขณะที่สัดส่วนหลักอื่น ๆ จะเป็นการลงทุนในตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่กำลังเติบโตและต้องการธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวกมาสนับสนุนเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่สมบูรณ์ต่อไป เจาะลึกสัดส่วนหุ้นหลักที่ลงทุน ภาพแสดงสัดส่วนหุ้นหลักที่กองทุน Baillie Gifford Positive Change ลงทุน ที่มา: Baillie Gifford Fund Fact Sheet วันที่: 30 กันยายน 2021 Moderna (สัดส่วน 9.10%) บริษัท ไบโอเทคโนโลยีเจ้าของวัคซีนโควิดประสิทธิภาพสูง เจ้าของเทคโนโลยี mRNA ที่เข้ามายกระดับการสร้างยาแบบเดิม ๆ ในอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี โดยเทคโนโลยีดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อสั่งให้เซลล์ในร่างกายสร้างโปรตีนเพื่อป้องกันหรือต่อสู้กับโรคร้าย ASML (สัดส่วน 7.90%) บริษัท ผู้ผลิตอุปกรณ์ผลิตชิปรายใหญ่ในยุโรป อย่างเครื่อง Photolitography ที่ใช้สำหรับการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์หัวใจหลักของโลกยุคใหม่ TSMC (สัดส่วน 6.30%) ผู้ผลิตและจัดจำนหน่ายชิปมาแรงจากไต้หวัน ผู้ผลิตชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ ระบบเครือข่ายไร้สาย เกมส์คอนโซล และทีวี อีกทั้งยังมีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple ที่ให้ความไว้วางใจ ให้ TSMC ผลิตชิปให้ตนเองอีกด้วย ถือว่าแข็งแกร่งมาก ๆ และยังเป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้ามาขับเคี่ยวกับ Intel จนทำให้ Intel ต้องพ่ายแพ้ MercadoLibre (สัดส่วน 5.50%) Amazon, Shopee, Lazada แห่งแถบละตินอเมริกา MercadoLibre เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและประมูลของออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานแบบ Active ถึง 132.5 ล้านราย ในปี 2020 (เติบโต 78.60% จากปี 2019) และมีรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง Tesla (สัดส่วน 5.30%) บริษัทรถยนต์พลังไฟฟ้าแห่งอนาคตที่มีมูลค่าบริษัทแซงหน้ารุ่นพี่อย่าง Ford และ GM ไปแล้วเรียบร้อย Tesla คือหนึ่งในบริษัทที่ Wall Street คาดว่าจะเป็นบริษัทที่มา “ปฏิวัติ” อุตสาหกรรมรถยนต์แบบดั้งเดิม มีแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีเพรียบพร้อมทั้งแบตเตอรี่ ระบบไร้คนขับ และอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มี CEO ระดับโลกหัวก้าวไกลอย่าง Elon Musk เป็นผู้นำอีกด้วย ผลตอบแทนย้อนหลัง ภาพแสดงผลตอบแทนย้อนหลังกองทุน Baillie Gifford Positive Change ลงทุน ที่มา: bailliegifford.com วันที่: 30 กันยายน 2021 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต กองทุนทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นแม้จะจัดตั้งมาได้ไม่นาน เอาชนะดัชนีเทียบเคียงอย่างดัชนี MSCI ACWI (ดัชนีหุ้นโลก) ได้แบบขาดลอย นโยบายการลงทุนของกองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) กองทุนหลักมีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือมีพฤติกรรมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมแบบกระจุกตัว 25-50 หุ้น โดยมีความเสี่ยงระดับ 6 สรุปจุดเด่นกองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF บริหารโดยผู้จัดการการลงทุนที่มีประสบการณ์ ความรู้และความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างดี ผลการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจากการลงทุนสามารถวัดผลได้จริง จึงทำให้แน่ใจได้ในระดับหนึ่งว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับโลก บริหารแบบ Active ลงทุนในหุ้นคัดเน้น 25-50 ตัว มีความเชื่อมั่นสูง สัดส่วนหลักลงทุนในหุ้นเติบโต เอาใจสาย Growth แบบเต็มสูบ ผลตอบแทนย้อนหลังโดดเด่นเหนือดัชนีเทียบเคียงเป็นอย่างมาก เปิดบัญชีกองทุนประหยัดภาษี SSF RMF กับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยากพร้อมเลือกซื้อกองทุนประหยัดภาษีจาก 21 บลจ. คลิก https://finno.me/open-plan ดูรีวิวกองทุน ESG ที่น่าสนใจอื่น ๆ แบบจัดเต็มโดย FINNOMENA Investment Team ได้ ที่นี่ ดูรีวิวกองทุน K-CHANGE-A(A) แบบจัดเต็ม ครบถ้วน ที่สุดได้ ที่นี่ ดูรีวิวกองทุน K-CHANGE-SSF และ K-CHANGE-RMF โดยผู้เชี่ยวชาญจาก บลจ. กสิกรได้ ที่นี่ ดูโพยกองทุนประหยัดภาษีแบบจัดชุดเพิ่มเติม https://www.finnomena.com/z-admin/ssf-rmf-series-package/ ดูโพยกองทุนประหยัดภาษีแบบรายกองเพิ่มเติม https://www.finnomena.com/z-admin/ssf-rmf-for-diy/ อย่าเพิ่งหนีไปไหน! ทดลองกดซื้อกองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF ได้ทันทีด้านล่าง K-CHANGE-SSF KCHANGERMF กองทุน K-CHANGE-SSF และ KCHANGERMF เป็นอีก 2 กองทุนประหยัดภาษีจากค่าย Baillie Gifford ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น คัดหุ้นเน้น ๆ ตามสไตล์ Baillie Gifford ตอบโจทย์ทั้งผลตอบแทนและโลก เหมาะกับผู้ที่สนใจสร้างกำไรให้กับตนเองและคืนประโยชน์ให้กับสังคม ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin คำเตือน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลสำคัญของกองทุนโดยเฉพาะนโยบายกองทุน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานของกองทุน โดยสามารถขอข้อมูลจากผู้แนะนำก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | กองทุน K-CHANGE-SSF และกองทุน KCHANGERMF มีการลงทุนแบบกระจุกตัว จึงอาจมีความเสี่ยงและความผันผวนของราคาสูงกว่ากองทุนรวมทั่้วไปที่มีการกระจายตัวในหุ้นจำนวนมาก ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” References https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/funds/positive-change-fund/#Documents https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/literature-library/funds/oeics/positive-change-fund/positive-change-fund-impact-measurement-methodology/ https://www.bailliegifford.com/en/uk/individual-investors/literature-library/funds/oeics/positive-change-fund/positive-change-fund-monthly-factsheet/ แท็ก: Advance Article FINNOMENA FUND REVIEW FINNOMENA REVIEW K-CHANGE-SSF KCHANGERMF Long Content Product Info Tax Saving Fund แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โลกและจีนจะพัฒนาไม่ได้ หากไม่มีกันและกัน รองปธน.จีน ย้ำ พร้อมเปิดประเทศมากขึ้น เสนอทั่วโลกร่วมมือเลิกกีดกันการค้า - FINNOMENA รองปธน.จีน หวัง ฉีซาน กล่าวว่า จีนและโลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก พร้อมให้คำมั่นว่าจีนจะเดินหน้าเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้ 17 พ.ย. 2564 รองปธน.จีน หวัง ฉีซาน กล่าวว่า จีนและโลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก พร้อมให้คำมั่นว่าจีนจะเดินหน้าเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ในเวลาที่หลายประเทศกำลังเพิ่มข้อจำกัดต่อจีนจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ วันนี้ (17 พ.ย.) รองปธน. หวัง ฉีซาน ผู้นำหมายเลข 2 ของจีน กล่าวในงาน Bloomberg New Economy Forum ว่า “จีนไม่สามารถพัฒนาได้หากแยกขาดจากโลก ขณะที่โลกก็ไม่สามารถพัฒนาได้หากไม่มีจีนเช่นกัน” โดยจีนจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูปอันเข้มข้น รองปธน. หวัง เสริมว่า จีนพร้อมที่จะเปิดประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนและการเติบโตทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเศรษฐกิจโลกอันสง่างาม รวมถึงสังคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ คำพูดดังกล่าวของรองปธน. หวัง เกิดขึ้นหลังการประชุมสุดยอดผู้นำจีน-สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (16 พ.ย.) ซึ่งผลลัพธ์ของการประชุมเป็นไปในทิศทางบวก โดยผู้นำทั้งสองตกลงว่าจะมีการพูดคุยในหัวข้อต่างๆ ต่อไป แม้จะมีความเห็นขัดแย้งกันในบางประเด็น เช่น กรณีไต้หวัน รองปธน. หวัง กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนส่งผลต่ออนาคตของโลก ทั้งสองประเทศควรปฏิบัติตามความเข้าใจร่วมกันของผู้นำ และให้ความร่วมมือต่อประเด็นที่เห็นต่างกัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรต่างๆ ได้เพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับการลงทุนของจีน รวมถึงปิดกั้นการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง จากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่ควบคู่ไปกับปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์กระตุ้นให้รัฐบาลจีนแสวงหาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าจีนไม่ได้พึ่งพาชาติตะวันตกมากเกินไป เพราะรัฐบาลจีนมุ่งมั่นที่จะครองอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการเติบโตในทศวรรษหน้า หวัง ฮุยเย่า ที่ปรึกษาของรัฐบาลจีน กล่าวว่า แม้จะมีการแข่งขันกันอย่างชัดเจนระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่จีนต้องการเห็นการแข่งขันที่ไม่เป็นพิษภัย โดยมองว่าบรรยากาศการประชุมที่อบอุ่นระหว่างโจ ไบเดน และสี จิ้นผิง เป็นสัญญาณเชิงบวกว่ามหาอำนาจทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันได้ รองปธน. หวัง ยังกล่าวถึงประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ การส่งเสริมการแจกจ่ายวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก, การที่ประเทศต่างๆ ควรรักษาห่วงโซ่อุปทานให้มีเสถียรภาพและราบรื่น, ประเทศผู้นำต้องแบ่งปันผลผลิตแห่งการพัฒนาประเทศโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม, การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิต ไปจนถึง คำแนะนำว่าควรปฏิรูป WTO และ IMF นอกจากนี้ รองปธน. หวัง ยังเรียกร้องให้ทั่วโลกหันหลังให้การกีดกันทางการค้า โดยกล่าวว่าประเทศต่างๆ ต้องอยู่เหนือกลุ่มการค้าพิเศษ และปฏิเสธแนวคิดที่มีเพียงผู้แพ้และผู้ชนะเท่านั้น (Zero Sum) โดยไม่ได้เอ่ยถึงสหรัฐฯ โดยตรง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-17/china-can-t-develop-isolated-from-the-world-xi-s-no-2-says?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ใกล้ถึงครึ่งทางแล้ว ขายหุ้น Tesla 7 วันติด รวม $8,800 ล้าน ตามสัญญาที่จะขายหุ้น 10% ของที่ถืออยู่ - FINNOMENA Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขายหุ้น Tesla ติดต่อกันเป็นวันที่ 7 รวมมูลค่า 8,800 ล้านดอลลาร์ ใกล้ถึงครึ่งทางที่ประกาศไว้บนโพลทวิตเตอร์ว่าจะขายหุ้น 10% จากทั้งหมดที่ถืออยู่ 17 พ.ย. 2564 Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ขายหุ้น Tesla ติดต่อกันเป็นวันที่ 7 รวมมูลค่า 8,800 ล้านดอลลาร์ ใกล้ถึงครึ่งทางที่ประกาศไว้บนโพลทวิตเตอร์ว่าจะขายหุ้น 10% จากทั้งหมดที่ถืออยู่ เมื่อคืนนี้ (16 พ.ย.) ราคาหุ้น Tesla ดีดตัวขึ้นมา 4.1% อยู่ที่ระดับ $1,054.73 หลังจากปรับตัวลง 14% จากจุดสูงสุดในวันที่ 4 พ.ย. รายงานระบุว่า เมื่อวานนี้ (16 พ.ย.) Elon Musk ขายหุ้น Tesla อีก จำนวน 934,091 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 973 ล้านดอลลาร์ และใช้สิทธิ Option ขายหุ้น Tesla จำนวน 2.1 ล้านสิทธิ ตั้งแต่ตั้งโพลทวิตเตอร์ถามความเห็น Elon Musk ได้ขายหุ้น Tesla รวมแล้ว 8,800 ล้านดอลลาร์ เพื่อขายหุ้นให้ถึง 10% ตามคำมั่น Elon Musk จะต้องขายหุ้น Tesla จำนวน 17 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1.7% ของหุ้น Tesla ทั้งหมด โดยตอนนี้ Elon Musk ได้ขายหุ้นไปแล้วประมาณ 8.2 ล้านหุ้น แต่ถ้าคำนวณปริมาณหุ้นที่ Elon Musk มีอยู่โดยรวมสิทธิ Option แล้ว Elon Musk จำเป็นต้องขายหุ้นออกไปมากกว่านี้ Elon Musk ใช้สิทธิ Option ขายหุ้น Tesla ไปทั้งหมด 6.4 ล้านสิทธิ นับตั้งแต่มีการตั้งโพลบนทวิตเตอร์ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าเขามีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะหมดอายุในปีหน้า ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย. Elon Musk เผยว่าเขาจะทำการใช้สิทธิขายหุ้น Tesla ล็อตใหญ่ในช่วงปลายปีนี้ และในเดือนเดียวกัน Elon Musk ได้กำหนดแผนการขายหุ้นล่วงหน้า เพื่อดำเนินการขายหุ้นโดยใช้สิทธิ Option อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-17/musk-nears-halfway-point-with-tesla-sales-totaling-8-8-billion?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ร่วงแรงหลุด $60,000 ตลาดคริปโทฯ ร่วงยกแผง มูลค่าตลาดหายเกือบ 5% กังวลสหรัฐฯ เก็บภาษี - จีนเดินหน้าปราบปราม - FINNOMENA ตลาดคริปโทฯ ร่วงยกแผง มูลค่าตลาดหายเกือบ 5% เหลือ 2.59 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 24 ชั่วโมง โดย Bitcoin ร่วงหลุดระดับ $60,000 ขณะที่ Ethereum แตะระดับต่ำสุดในเดือนนี้ 17 พ.ย. 2564 ตลาดคริปโทฯ ร่วงยกแผง มูลค่าตลาดหายเกือบ 5% เหลือ 2.59 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 24 ชั่วโมง โดย Bitcoin ร่วงหลุดระดับ $60,000 ขณะที่ Ethereum แตะระดับต่ำสุดในเดือนนี้ เป็นการร่วงแรงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้า เช้านี้ (17 พ.ย.) Bitcoin ปรับตัวลง 4% แต่ระหว่างวันร่วงแรงมากสุดถึง 8% ซึ่งเป็นการปรับลงแรงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. ขณะที่ Ethereum ปรับตัวลง 5% โดยระหว่างวันร่วงแรงมากสุดถึง 10% Walid Koudmani นักวิเคราะห์จาก XTB Market กล่าวว่า ราคาคริปโทฯเริ่มมีการปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังราคาปรับเพิ่มขึ้นมาตลอดหลายวัน จนทำให้หลายเหรียญคริปโทฯ ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าหากมีข่าวเชิงลบใดๆ เกิดขึ้นในตลาด อาจนำไปสู่ผลกระทบแบบโดมิโนที่นำราคาไปสู่จุดต่ำสุดใหม่ได้ หุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับคริปโทฯ ต่างปรับตัวลง โดยหุ้นของ Coinbase บริษัทซื้อขายคริปโทฯ ปรับตัวลง 0.94% โดยระหว่างวันปรับตัวลงมากสุดถึง 4% ขณะที่ราคาหุ้นของ MicroStrategy, Marathon Digital และ Riot Blockchain ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การปรับตัวลงดังกล่าวเป็นผลมาจากข้อกำหนดใหม่สำหรับการรายงานภาษีคริปโทฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์ ที่ปธน. โจ ไบเดน ลงนามเมื่อวันจันทร์ (15 พ.ย.) Hayden Hughes ซีอีโอของ Alpha Impact กล่าวว่า การลงนามในร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน เป็นจุดเริ่มต้นของแรงเทขายจากนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบและการเก็บภาษี กฎหมายดังกล่าวกำหนดกฎระเบียบใหม่สำหรับโบรกเกอร์สกุลเงินดิจิทัล เช่น Coinbase โดยภายใต้กฎหมายใหม่บริษัทผู้ให้บริกาต้องจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าและส่งไปยังหน่วยงานจัดเก็บภาษีอากรของสหรัฐฯ (IRS) ซึ่งรวมไปถึง ชื่อ, ที่อยู่, รายได้รวมจากการขาย และ กำไรขาดทุนจากการลงทุน Hayden Hughes ยังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการคุมเข้มด้านกฎระเบียบของทางการจีน หลัง Meng Wei โฆษกสำนักงานพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวในการแถลงข่าวว่า จีนจะศึกษาทางเลือกในการลงโทษปรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการขุดคริปโทฯ Fiona Cincotta นักวิเคราะห์จาก City Index กล่าวว่า ราคา Bitcoin มักจะผันผวนอยู่เสมอ หากมีความพยายามที่จะควบคุมดูแลคริปโทฯ แม้ว่า Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Twitter จะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนคริปโทฯ ที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ Ned Segal CFO ของบริษัท ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ (15 พ.ย.) ว่า มันไม่สมเหตุสมผลที่นำเงินสดของบริษัทไปลงทุนในคริปโทฯ เช่น Bitcoin นักลงทุนหลายคนกำลังมองหาสัญญาณทางเทคนิคเพื่อดูว่า Bitcoin จะไปในทิศทางใดต่อ โดยตอนนี้การปรับตัวลงกำลังมุ่งสู่เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ซึ่งเป็นระดับแนวรับที่สำคัญ Matt Maley หัวหน้ากลยุทธ์การตลาดของ Miller Tabak + Co กล่าวว่า หาก Bitcoin ลดลงกว่าระดับต่ำสุดในช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ $59,000 นั้นเป็นสัญญาณสู่จุดต่ำสุดใหม่ (lower-low) ซึ่งจะทำให้ราคามีความอ่อนไหว และอาจปรับตัวลงได้อีก แต่หากราคาร่วงไปต่ำกว่าระดับ $50,000 ก่อนสิ้นเดือน ซึ่งจะต่ำกว่าเส้นแนวโน้มจากระดับต่ำสุดในเดือน ก.ค. นั่นหมายความว่า การลดลงอีกในระยะสั้นจะไม่สร้างความเสียหายเชิงเทคนิค Matt Maley กล่าวว่า Bitcoin กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเขามองว่านี่เป็นเพียงการเทขายทำกำไรหลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-16/bitcoin-drops-toward-60-000-level-amid-broad-crypto-retreat?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: มุมมอง Morgan Stanley ปี 2022 แนะนำ หุ้นยุโรป ญี่ปุ่น และน้ำมัน เลี่ยงหุ้นและพันธบัตรสหรัฐฯ คาด S&P 500 ร่วง 6% ในสิ้นปีหน้า - FINNOMENA Morgan Stanley แนะอยู่ให้ห่างจากหุ้นและพันธบัตรสหรัฐฯ ในปีหน้า แล้วหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น 16 พ.ย. 2564 💰 มุมมองการลงทุนปี 2022 ของ Morgan Stanley 🟢 แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight): หุ้นยุโรป, หุ้นญี่ปุ่น, ตราสารหนี้ที่เกิดจากการแปลงสินทรัพย์เปนหลักทรัพย์ (Securitized credit) และ สินค้าโภคภัณฑ์ 🟡 แนะนำคงน้ำหนักการลงทุน (Neutral): หุ้นตลาดเกิดใหม่, ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ และ หุ้นกู้ยุโรป 🔴 แนะนำลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight): หุ้นสหรัฐฯ, พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ, พันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี และ หุ้นกู้สหรัฐฯ 💰 Morgan Stanley แนะอยู่ให้ห่างจากหุ้นและพันธบัตรสหรัฐฯ ในปีหน้า แล้วหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น ทีมกลยุทธ์ของ Morgan Stanley ซึ่งนำโดย Andrew Sheets มองว่า การสนับสนุนด้านนโยบายการเงินที่ลดลงและมูลค่าที่แพง จะทำให้สินทรัพย์ของสหรัฐฯ หยุดชะงักในปี 2022 แม้ผลประกอบการจะเติบโตดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับปานกลางก็ตาม ขณะที่ ปัจจัยพื้นฐานของยุโรปและญี่ปุ่นมีความน่าสนใจมากขึ้น จากธนาคารกลางที่ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากกว่า รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่น้อยกว่า Morgan Stanley กล่าวว่า ปี 2022 เป็นปีแห่งความท้าทายเพราะเป็นช่วงกลางถึงปลายของวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย 1) การเติบโตที่ดีขึ้นจะถูกกดดันจากมูลค่าที่แพง 2) นโยบายจากภาครัฐที่เข้มงวดมากขึ้น 3) กิจกรรมของนักลงทุนที่คาดเดาได้ยาก และ 4) อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกว่าที่คุ้นเคย Morgan Stanley คาดว่า ดัชนี S&P 500 จะสิ้นสุดปี 2022 ที่ระดับ 4,400 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับปัจจุบัน 6% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นสู่ 2.1% ในสิ้นปีหน้า จากระดับ 1.55% ในปัจจุบัน จากหนึ่งปีผ่านมา ตลาดหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ไปพร้อมกับแรงเทขายในตราสารหนี้ ตอนนี้เหล่าสถาบันการเงินเริ่มประกาศมุมมองการลงทุนในปี 2022 ขณะที่ ความกังวลด้านเงินเฟ้อกำลังคุกคามจิตใจนักลงทุน โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Goldman Sachs คาดว่า ในช่วงปลายวัฏจักรเศรษฐกิจ สินทรัพย์เสี่ยงจะมีผลตอบแทนที่น่าประทับใจน้อยกว่า 💰 มุมมองต่อเงินเฟ้อ นักกลยุทธ์ของ Morgan Stanley กล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วโลกจะสู่จุดสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และจะอยู่ระดับปานกลางในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเป็นผลมาจากการเทียบแบบ YoY และแรงกดดันด้านห่วงโซ่อุปทานที่ลดลง ขณะที่การฟื้นตัวอันร้อนแรงและรวดเร็วจะดำเนินต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่ง นักเศรษฐศาสตร์ของ Morgan Stanley คาดว่า Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2023 ซึ่งตรงข้ามกับมุมมองของ James Gorman ซีอีโอบริษัท ที่ต้องการเห็น Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2022 โดยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ James Gorman มีมุมมองที่เข้มงวด (Hawkish) กว่าทีมของเขา และบ่อยครั้งที่มุมมองของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง Morgan Stanley กล่าวว่า ความล่าช้าในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะนำไปสู่การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และแนะนำให้นักลงทุนอดทนรอจนกว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าก่อนพิจารณาลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ สำหรับสกุลเงิน Morgan Stanley แนะนำดอลลาร์แคนาดา (CAD) และโครนนอร์เวย์ (NOK) โดยคาดหวังเงินหยวนจะมีเสถียรภาพมากขึ้นและสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ แนะนำน้ำมันมากกว่าทองคำ ขณะที่มองว่าราคาทองคำจะเผชิญกับแนวโน้มที่ท้าทายในอนาคต อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-15/steer-clear-of-u-s-stocks-bonds-in-2022-morgan-stanley-says?sref=e4t2werz https://economictimes.indiatimes.com/markets/stocks/news/economists-at-morgan-stanley-see-2023-fed-hike-differ-with-ceo/articleshow/87706468.cms?from=mdr ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Morgan Stanley News Update S&P500 ญี่ปุ่น สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นยุโรป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นปักกิ่งเปิดเทรดวันแรก 10 บริษัท IPO ราคาพุ่งกว่าเท่าตัว ทั้งตลาดมี 81 บมจ. มุ่งสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก - FINNOMENA ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งเปิดทำการซื้อขายวันแรกในวันนี้ (15 พ.ย.) มุ่งผลักดันเงินทุนสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ถือเป็นก้าวสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการปรับปรุงโครงสร้างตลาดทุน 15 พ.ย. 2564 ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งเปิดทำการซื้อขายวันแรกในวันนี้ (15 พ.ย.) มุ่งผลักดันเงินทุนสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ถือเป็นก้าวสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการปรับปรุงโครงสร้างตลาดทุน ในเบื้องต้นมีบริษัทกลุ่มแรกทั้งหมด 81 บริษัท ซึ่งมีบริษัท 10 บริษัท เปิดตัวครั้งแรกในวันนี้ โดยสามารถระดมทุนได้ถึง 1,500 ล้านหยวน (235 ล้านดอลลาร์) และมีราคาพุ่งกว่าเท่าตัวในวันแรก เช่น Henan Tongxin ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ราคาพุ่งขึ้นถึง 511% และ AnHui Jing Sai ผู้ผลิตส่วนประกอบคริสตัลควอตซ์ ราคาเพิ่มขึ้น 255% ขณะที่อีก 71 บริษัท ถูกโอนมากจากกระดานหุ้น NEEQ ซึ่งเป็นกระดานซื้อขายหุ้นบริษัท SMEs ในรูปแบบการซื้อขายนอกตลาด (OTC) ปรับตัวผสมผสาน โดย Huizhou Huiderui ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งมีผลงานดีสุดในกลุ่ม ปรับเพิ่มขึ้น 17% ขณะที่ Tonghuijiashi ผู้ใหบริการ Visual Solution Product ซึ่งมีผลงานแย่สุดในกลุ่ม ปรับตัวลง 11% ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่นี้ถูกจัดตั้งขึ้นสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเผชิญปัญหาด้านการระดมทุนมาโดยตลอด ด้วยความหวังว่าตลาดหุ้นปักกิ่งจะช่วยส่งเสริมความทะเยอทะยานด้านเทคโนโลยีของจีน และลดการพึ่งพาจากชาติตะวันตก นอกจากนี้ยังเป็นความพยายามอันยาวนานหลายทศวรรษในการทำให้ตลาดการเงินของจีนมีความหลากหลายมากขึ้น Yi Huiman ประธาน ก.ล.ต.จีน กล่าวในพิธีเปิดว่า ตลาดหุ้นปักกิ่งเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับความเท่าเทียมของโอกาสในการเข้าถึงเงินทุน (Inclusive Finance) ในตลาดทุนที่มีลักษณะเฉพาะแบบประเทศจีน นอกจากนี้ ยังมีนัยสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมและยกระดับเศรษฐกิจจีน ในทางเทคนิคแล้ว บริษัทสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นปักกิ่งได้ง่ายกว่ากระดานหุ้น Star ของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และกระดานหุ้น ChiNext ของตลาดหุ้นเซินเจิ้น โดย 1) กำหนดมูลค่าตลาด (Market Cap) ขั้นต่ำเพียง 200 ล้านหยวน 2) มีสภาพคล่องมากกว่ากระดาน NEEQ 3) อนุญาตให้ราคาหุ้นผันผวนต่อวันมากถึง 30% เทียบกับ 20% ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น Fu Lichun ผู้ร่วมก่อตั้ง Beijing Ytai Capital มองว่า นี่เป็นการเปิดโอกาสสำหรับบริษัทที่มีศักยภาพด้านนวัตกรรมอันยอดเยี่ยม ซึ่งสักวันหนึ่งอาจเข้ามาจดทะเบียนในกระดานหุ้น Star นักวิเคราะห์มองว่า ด้วยลักษณะการเริ่มต้นและขนาดบริษัทที่เล็ก ทำให้การซื้อขายในตลาดหุ้นปักกิ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นจีนโดยรวม Li Qiusuo นักวิเคราะห์จาก China International Capital คาดว่า การเริ่มต้นซื้อขายในตลาดหุ้นปักกิ่งจะมีผลกระทบในวงจำกัดต่อผลการดำเนินงานและสภาพคล่องของหุ้น A-shares เท่านั้น และคาดว่าปริมาณซื้อขายต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 15,000-30,000 ล้านหยวน ซึ่งน้อยกว่า 2.7% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนส่งเสริมการจัดหาเงินทุนเพื่อลดความเสี่ยงด้านเครดิตของธนาคาร รวมถึงพยายามค้นหาบริษัทหน้าใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อลดปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน ตามแถลงการณ์การประชุมผู้นำระดับสูงในเดือน ก.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-15/beijing-stock-exchange-launches-with-focus-on-little-giants?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นปักกิ่ง หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “เกือบลืมไปแล้วว่าคุณยังมีชีวิตอยู่” อีลอน มัสก์ ท้าทาย ‘เบอร์นี แซนเดอร์ส’ ส.ว.เดโมแครต ลั่นพร้อมขายหุ้น Tesla ขอแค่บอก - FINNOMENA ‘อีลอน มัสก์’ บอกว่าเขาพร้อมขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก ท้าทาย ‘เบอร์นี แซนเดอร์ส’ ที่ต้องการขึ้นภาษีคนรวย 15 พ.ย. 2564 ‘อีลอน มัสก์’ บอกว่าเขาพร้อมขายหุ้น Tesla เพิ่มอีก ท้าทาย ‘เบอร์นี แซนเดอร์ส’ ที่ต้องการขึ้นภาษีคนรวย เรื่องดังกล่าวปะทุขึ้นเมื่อ เบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสภาวัย 80 ปี จากรัฐเวอร์มอนต์ ผู้สนับสนุนการเก็บภาษีความมั่งคั่ง และเคยเป็นผู้ชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แข่งกับฮิลลารี คลินตัน ทวีตข้อความว่า “เราต้องเรียกร้องให้พวกมหาเศรษฐีจ่ายภาษีมากกว่านี้ ตามนั้น!” ซึ่งสอดคล้องกับแผนเสนอขึ้นภาษีคนรวยของวุฒิสภาเดโมแครต เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในแผนลงทุนระยะยาวของปธน.โจ ไบเดน ด้าน อีลอน มัสก์ ออกมาตอบกลับทวีตดังกล่าวด้วยความท้าทายว่า “ผมเกือบลืมไปแล้วว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ คุณอยากให้ผมขายหุ้นเพิ่มใช่มั้ย เบอร์นี ขอแค่บอกมาเลย” ก่อนหน้านี้ (12 พ.ย.) อีลอน มัสก์ เพิ่งขายหุ้น Tesla รวมมูลค่า 6,900 ล้านดอลลาร์ ตามที่เขาตั้งโพลบนทวิตเตอร์ ทำให้นักลงทุนจับตาว่าเขาจะทำตามที่บอกกับ เบอร์นี แซนเดอร์ส จริงๆ หรือแค่ล้อเล่นกันแน่ อ้างอิง: https://www.reuters.com/business/autos-transportation/elon-musk-spars-with-bernie-sanders-offers-sell-more-tesla-stock-2021-11-14/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
รู้จัก BE8: ร่างทรง Salesforce โตระเบิด - FINNOMENA หุ้นไทยเก่าไปแล้ว? วลีนี้อาจจะเริ่มคลุมเครือถ้าคุณได้รู้จัก BE8 อีกหนึ่งหุ้นเทคให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ที่หากคุณได้รู้จักคุณอาจได้พบกับเสน่ห์ของหุ้นไทยอีกครั้ง บทความนี้ผมขอพาทุกคนไปสำรวจ BE8 หุ้นเทคฝีมือคนไทย เทคโนโลยี Microsoft (ส่วนหนึ่ง) กันครับ 15 พ.ย. 2564 หุ้นไทยเก่าไปแล้ว? วลีนี้อาจจะเริ่มคลุมเครือถ้าคุณได้รู้จัก BE8 อีกหนึ่งหุ้นเทคให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ที่หากคุณได้รู้จักคุณอาจได้พบกับเสน่ห์ของหุ้นไทยอีกครั้ง บทความนี้ผมขอพาทุกคนไปสำรวจ BE8 หุ้นเทคฝีมือคนไทย เทคโนโลยี Salesforce (ส่วนหนึ่ง) กันครับ BE8 ทำธุรกิจอะไร เกี่ยวอะไรกับ Salesforce BE8 เป็นอีกหนึ่งบริษัทแนว Consult ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี ช่วยบริษัทและธุรกิจวางแผนทิศทางและกลยุทธ์ ออกแบบระบบ พัฒนาระบบ รวมถึงพัฒนาพนักงานในบริษัทต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการประยุกต์ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีมาร่วมทำงาน รวมถึงยังมีรายได้หลักที่น่าสนใจมาจากงานบริการด้านเทคโนโลยีซึ่งมีรายได้ค่า Subscribe จ่ายตามการใช้งานเป็นช่วง ๆ รวมถึงรายได้จากบริการหลังการติดตั้ง เช่น การดูแลระบบ (Maintenace) เป็นต้น รายได้หลักทั้ง 2 รูปแบบมีผลต่อรายได้รวมมากขนาดไหน? เราก็อาจจะแบ่งเป็นสัดส่วนได้ดังนี้ รายได้จากการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี (Strategy and Technology Consulting) 61.25% (2563) และ 52.12% (6 เดือน ปี 2564) ในขณะที่รายได้จากงานด้านบริการเทคโนโลยี (Technology service) มีสัดส่วนอยู่ที่ 38.51% (2563) และ 47.77% (6 เดือน ปี 2564) ตามลำดับ จากข้อมูลข้างต้นหากสังเกตดี ๆ เราจะเห็นได้ว่ารายได้จากงานบริการด้านเทคโนโลยีกำลังปรับตัวขึ้น สิ่งนี้บอกอะไรกับเรา? มันกำลังบอกกับเราว่า BE8 น่าจะสามารถสร้างกระรายได้และอาจรวมไปถึงกระแสเงินสดที่ต่อเนื่องได้ในอนาคต เพราะ มีรายได้จากการ Subscribe ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ของการลงทุน เพราะ เราคงอยากได้บริษัทที่สร้างรายได้แบบสม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง ซึ่งอาจช่วยให้มูลค่ากระแสเงินสดที่เราประเมินมีความแน่นอนมากขึ้น อีกทั้งกระแสเงินสดในส่วนนี้น่าจะมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง เพราะถูกสร้างมาด้วย “ซอฟต์แวร์ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก” (หลัก ๆ น่าจะเป็น Salesforce เพราะ ยอดการจัดซื้อมีสัดส่วนถึง 88.11% ตามงวด 6 เดือนแรกปี 2564) ที่ถูกนำไปวางแผนและติดตั้งให้กับลูกค้า ภาพแสดงการตลาดด้านซอฟต์แวร์ CRM ที่ Salesforce ครองอันดับ 1 อย่างโดดเด่น ที่มา: รายงาน ลักษณะการประกอบธุรกิจ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) จุดเด่นตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ BE8 มีความโดดเด่นในแง่ของการลงทุนเป็นอย่างมาก (ได้ Salesforce จาก ที่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเบอร์ 1 ในด้านนี้ของโลกมาแล้วไม่ต้องมาลุ้นให้เหนื่อยมาก) ที่สำคัญสัดส่วนรายได้ตัวนี้ยังโตขึ้นมาเรื่อย ๆ ด้วย เทคโนโลยีของบริษัท มีอะไรบ้าง Salesforce – ระบบ CRM (Customer Relationship Management) รวมข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้าจากทุกแผนกไว้ในที่เดียว ช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลที่เหมือนกันได้ และยังสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ flow ลูกค้าและพฤติกรรมได้ด้วย เพราะ ถูกรวมและเชื่อมโยงกันไว้แล้ว หากจะพูดง่าย ๆ Salesforce ก็เหมือนซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและมีมาตรฐานเดียวกัน ไม่เข้าใจกันคนละแบบกระจัดกระจาย (บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายและให้บริการออกแบบติดตั้งระบบ CRM ด้วย Salesforce ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552) Google Workspace – พวก Google doc, Google Drive, Gmail, Google Meets ต่าง ๆ ซึ่งไม่น่าต้องอธิบายอะไรมากเพราะใกล้ตัวพวกเรากันอยู่แล้ว Tableau – แพลตฟอร์มที่ช่วยให้การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ออกมาเป็นรูปภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้งานระบบทั้งสองเข้าถึงเครื่องมืออย่างลื่นไหลมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถ ไปจนถึงทักษะและแนวคิดของพนักงานในองค์กร ให้มีแนวคิดและการประยุกต์ใช้งานข้อมูลให้เกิดประโยชน์และเกิดการขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดย Tableau สามารถประยุกต์ใช้ได้ดีในทุกภาคส่วนธุรกิจ ทั้งผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน โทรคมนาคม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรของภาครัฐ ไปจนถึงสถาบันการศึกษา (Salesforce ได้ซื้อกิจการนี้ในปี 2562) Snowflake – แพลตฟอร์มคลาวด์ ช่วยรวมข้อมูลให้มาอยู่ศูนย์กลาง ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ง่ายขึ้น ปรับขยายขนาดและปรับลดตามการใช้งานได้ คิดราคาตามการใช้งานและปริมาณการจัดเก็บ (Salesforce เข้าลงทุน) Mulesoft – แพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสามารถเอาข้อมูลต่าง ๆ หรือแอปพลิเคชั่นที่มีมาเชื่อมต่อกันได้ ให้ระบบทั้งหมดมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกทั้งยังรองรับการใช้งานทั้งแบบ Private cloud, Public cloud และ On-premise ซึ่งหมายความว่าให้ลูกค้าหรือตัวบริษัท เองเลือกได้เต็มที่ว่ารูปแบบไหนตอบโจทย์หรือเหมาะสมคุ้มค่ากับการใช้งานมากที่สุด (Salesforce ได้เข้าลงทุนตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 และเป็นบริษัทในเครือ) ผลิตภัณฑ์ของบริษัท – นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่พัฒนาโดยบริษัทที่น่าสนใจ เช่น BE8 Loyalty Management (ระบบให้คำแนนลูกค้าตามระดับสมาชิก ช่วยชี้ระดับ loyalty ของลูกค้าเพื่อให้นำเสนอสินค้าและบริการได้แบบตรงคนตรงกลุ่ม) เห็นแบบนี้แล้วเราก็อาจจะพอพูดได้ว่าซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ภายใต้ชื่อของ BE8 นั้นถือได้ว่าอยู่ภายใต้เครือของ Salesforce เกือบทั้งหมด หรือเราจะเรียกได้ว่า BE8 เป็นร่างทรงของ Salesforce ขนาดย่อม ๆ ก็คงจะไม่แปลกนัก อีกทั้งยังมีพันธมิตรเป็น Alphabet และ Snowflake บริษัท ที่ Berkshire Hathaway เคยมีข่าวเข้าลงทุนอีกด้วย และอย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่า Salesforce นั้นถือว่าเป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านซอฟต์แวร์ CRM ดังนั้นตราบเท่าที่ Salesforce ยังคงแข็งแกร่ง รายได้ของ BE8 ที่ได้จากการปล่อยเช่าหรือให้สิทธิซอฟต์แวร์ก็น่าจะยังแข็งแกร่งตามไปด้วย นอกจากนั้น BE8 ยังมีประสบการณ์การให้บริการมามากกว่า 10 ปีและมีลูกค้าเป็นบริษัทชั้นนำต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น SCB, KBANK, SCG, PTT, Kerry Express และอื่น ๆ ชี้ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมี Salesforce Venture ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอันดับที่ 6 ของบริษัท (ข้อมูลตาตามรายงาน Executive Summary บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) วันที่ 24 มิถุนายน 2564) ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในตัวบริษัท พาสำรวจงบการเงิน BE8 หากเรามาเช็คสุขภาพการเงินของ BE8 ถ้าเราใช้ D/E (หนี้สินต่อทุน) เทียบแบบหยาบ ๆ ก็จะออกมาที่ราว ๆ 1.73 เท่า ซึ่งหลาย ๆ คนพอเห็นดังนี้แล้วก็อาจจะเมินหน้าหนี แต่ถ้าเราลงถึงไปในส่วนนี้เราจะเห็นว่าหนี้หลัก ๆ ของ BE8 มาจากหนี้สินที่เกิดจากสัญญาและเจ้าหนี้การค้าเป็นหลักซึ่งก็ไม่น่าจะใช่หนี้ที่ไม่ดี หนี้ส่วนนี้หมายความว่าอะไร? หนี้ส่วนนี้คือหนี้ที่น่าจะมาจากการรอเก็บเงินลูกค้าจากโครงการต่าง ๆ รวมถึงค่า Subscribe และบริการอื่น ๆ และอาจจะหมายความว่าบริษัท มีความเป็น Asset light model เบา ๆ (ไม่ต้องมีสินทรัพย์มากมายเพื่อดำเนินการ) ชี้ให้เห็นถึงโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่น อีกทั้งรายได้ต่าง ๆ ยังมีสัดส่วนมาจากเทคโนโลยีระดับโลกอีกด้วย ซึ่งน่าจะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีและอาจช่วยให้เรื่องความมั่นคงของกระแสเงินสดมีความแข็งแกร่งมากขึ้น โมเดลรายได้ข้างต้นก็อาจจะจุดประกายเราเบา ๆ ว่าหุ้นไทยยังไม่ตายหรือไม่? เพราะ โมเดลแบบนี้บริษัทเทคแกร่ง ๆ ก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย ข้อมูลรายได้ของ BE8 ปี 2561 211.57 ล้านบาท ปี 2562 311.49 ล้านบาท ปี 2563 312.54 ล้านบาท ข้อมูลกำไรสุทธิของ BE8 ปี 2561 32.99 ล้านบาท ปี 2562 64.26 ล้านบาท ปี 2563 23.94 ล้านบาท จากข้อมูลข้างต้นเราอาจจะสังเกตได้ว่ารายได้ก็ไม่หด แต่กำไรมันหด? สาเหตุที่ว่าอาจมาจากการตั้งสำรองเผื่อขาดทุนจากลูกหนี้การค้ารายหนึ่งแบบเต็มจำนวนราว ๆ 40.48 ล้านบาท อย่างไรก็ดีปัญหาเหล่านี้ซักวันก็ต้องจบลงไป เพราะ เดี๋ยวประเทศก็ต้องเปิดและคนก็เริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยกันแล้ว จึงไม่น่าส่งผลกระทบในระยะยาว อีกทั้งยังรับรู้ไปในงบแล้วอีกด้วย นอกจากนั้นบริษัท มีกำไรขั้นต้น (Gross margin) ในระดับสูงถึง 61.40% 47.97% และ 47.11% ในปี 2561 2562 และ 2563 ซึ่งหากไปเทียบกับ บ. เทคโนโลยีอื่น ๆ อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ด้วยความที่มีซอฟต์แวร์ของ Salesforce ก็น่าจะเข้ามาช่วยในเรื่องการเติบโตของรายได้ จากการขายความโดดเด่นของซอฟต์แวร์ เรื่องต่อไปที่หลาย ๆ คนอาจกังวลก็คือ สัดส่วน D/E ค่อนข้างสูงแบบนี้ กำไรจะตกถึงท้องผู้ลงทุนหรือไม่? คำตอบก็คือ BE8 มี Current Ratio (อัตราส่วนสภาพคล่องที่ใช้วัดความสามารถการชำระหนี้ในระยะสั้น ๆ) อยู่ที่ 1.59 เท่า ตามรายงานเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2564 ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว และสัดส่วนที่ว่านี้ก็น่าจะตอบคำถามในส่วนนี้ได้ดีประมาณหนึ่ง ในขณะที่การจ่ายปันผลมีนโยบายจ่ายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งอาจไม่ใช่อัตราที่สาย Conservative ดั้งเดิมชื่นชอบนัก (ไม่ถึง 70%) แต่ถ้าแลกกับโอกาสเติบโตไปในธุรกิจที่ยังมีแนวโน้มไปต่อได้ในโลกปัจจุบันก็อาจจะดูน่าสนใจ โอกาสเติบโตของ BE8 บริษัทมีแพลนที่จะขยายบริการไปในเวียดนามซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นประมาณหนึ่ง โดยทางบริษัทดูเหมือนจะใช้ท่าในการเติบโตที่เคยทำได้อย่างการได้รับสิทธิในการเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Salesforce ซึ่งในคราวนี้ บริษัท ถือเป็นรายแรกที่ได้รับสิทธิดังกล่าวในประเทศเวียดนามเพื่อคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตและความเชื่อมั่นต่อไป ส่วนในด้านภาพใหญ่ธุรกิจซอฟต์แวร์ในเวียดนามมีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ 13% ในปี 2021-2024 ตามข้อมูลของ Fitch Solutions ในขณะที่การคาดการณ์การเติบโตของตลาดซอฟต์แวร์โลกที่ 13% CAGR (ทบต้น) ในปี 2021-2025 ในส่วนของ TAM (รายได้ทั้งปีที่เราจะได้รับหากครองส่วนการตลาาดทั้งหมด นับตามผู้ใช้งานที่เป็นไปได้จริง) สรุปโดยรวมแล้ว BE8 เป็นบริษัทเทคโนโลยีฝีมือคนไทยอีกรายหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะ เป็นธุรกิจที่ยังเติบโตได้ มีสิทธิซอฟต์แวร์จากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก มีโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจ อีกทั้งการประเมินรายได้น่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะ มีทั้งรายได้ที่น่าจะค่อนข้างสม่ำเสมอจากการ Subscribe และเป็น Project based ที่น่าจะมีให้ดูและให้ถามกันได้ ส่วนตัวแล้วผมว่า BE8 ทำให้หวนนึกถึงหุ้นผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หรือผลิตฝาน้ำอัดลมในสมัยก่อน ที่มีความโดดเด่นและมีความแข็งแกร่งจากแบรนด์หลักในต่างประเทศนะครับ จัดเต็มกันไปนะครับสำหรับวันนี้ ยังไงก็หวังว่าหลาย ๆ คนจะได้ความรู้กันเพิ่มจากบทความนี้ หรือช่วยลดแรงในการขุด บ. เทคโนโลยี ตัวนี้กันนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://www.beryl8.com/th/about/our-customers https://www.beryl8.com/th/investor-relations/performance-highlights https://hub.optiwise.io/en/documents/38439/6443705F1BDAC53D2A43725E1ADAC538670F7B2869D3C54C6236775B6BA8B74C6F44035C69AAB63A674474591EDBCC4A6F4B6C1E4E8DCF386342735C1AD9C4386E41705A1DDBCC3A62276C1E4E8D_051120210822470924T.pdf https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=349659&lang=th รายงาน Executive Summary บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) รายงาน ลักษณะการประกอบธุรกิจ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) รายงาน งบการเงินงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ แท็ก: Article Bitkub Knowledge Long Content แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เรย์ ดาลิโอ’ เตือน คนที่ถือเงินสดเจ็บหนักสุด เงินเฟ้อกำลังฉุดรั้งความมั่งคั่งที่แท้จริง การลงทุนคือ เครื่องบ่งชี้ความเจริญรุ่งเรือง - FINNOMENA เรย์ ดาลิโอ เตือนว่า เงินเฟ้อกำลังฉุดรั้งความมั่งคั่งที่แท้จริง โดยมูลค่าพอร์ตที่เติบโตไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มตาม หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี 12 พ.ย. 2564 เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) เรย์ ดาลิโอ เตือนว่า เงินเฟ้อกำลังฉุดรั้งความมั่งคั่งที่แท้จริง โดยมูลค่าพอร์ตที่เติบโตไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มตาม หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี เรย์ ดาลิโอ กล่าวบน LinkedIn ของเขาว่า หลายคนกำลังเข้าใจผิดว่าตัวเองร่ำรวยขึ้นจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยไม่สังเกตว่ากำลังซื้อของพวกเขาถูกกัดกินไปมากเพียงใด ซึ่งคนที่จะเจ็บหนักที่สุดคือ คนที่ถือเงินสด เป็นที่รู้กันดีว่า เรย์ ดาลิโอ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates มองการถือครองสินทรัพย์อื่นๆ ดีกว่าการถือครองเงินสด และในช่วงที่ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การพิจารณาว่าเราสามารถซื้ออะไรได้บ้างด้วยเงินนั้น เรย์ ดาลิโอ กล่าวว่า เมื่อเงินและเครดิตจำนวนมากถูกสร้างขึ้น มูลค่าของมันจะยิ่งลดลง นั่นแปลว่าการมีเงินเยอะไม่ได้ทำให้มั่งคั่งหรือมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยเมื่อเวลาผ่านไป ความมั่งคั่งที่แท้จริงจะกลายเป็นหน้าที่ของกำลังการผลิต ดังนั้น การพิมพ์เงินแจกไม่ได้ทำให้เรามั่งคั่งขึ้น หากไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) เรย์ ดาลิโอ ส่งคำเตือนที่หนักแน่นแก่รัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมกล่าวว่าการรักษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าเมื่อบุคคล องค์กร ประเทศ หรืออาณาจักร ใช้เงินมากกว่าที่หามาได้ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากและความปั่นป่วนที่รออยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ 1) รัฐบาลผลิตเงินเพิ่มขึ้น 2) ผู้คนได้รับเงินมากขึ้น และ 3) ผู้คนกำลังซื้อมากขึ้นจนนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น โดย เรย์ ดาลิโอ เตือนว่า อย่าคิดว่าคุณได้รับความมั่งคั่งที่แท้จริงหากกำลังซื้อของคุณลดลง เรย์ ดาลิโอ ชี้ว่า ตอนนี้สหรัฐฯ กำลังอยู่บนเส้นทางที่ผิด เพราะใช้จ่ายมากกว่าเงินที่หามาได้ และแก้ปัญหาโดยการพิมพ์เงินซึ่งทำให้มูลค่าของเงินลดลงไป ดังนั้น วิธีการแก้ไขที่ถูกต้องคือ การเพิ่มผลิตภาพและความร่วมมือ เรย์ ดาลิโอ แนะว่า การนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานแทนการบริโภคจะนำไปสู่ผลิตภาพที่มากขึ้น ดังนั้น การลงทุนคือ เครื่องบ่งชี้ความเจริญรุ่งเรืองที่ดี ในทางกลับกัน การพิมพ์เงินและแจกจ่ายโดยไม่คำนึงถึงผลิตภาพไม่สามารถเพิ่มความมั่งคั่งได้อย่างแท้จริง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-11/dalio-warns-about-declining-real-wealth-amid-raging-inflation?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Ray Dalio สหรัฐฯ เงินเฟ้อ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ไม่สนใจช้อนหุ้น Tesla ด้าน Elon Musk ขายหุ้น Tesla แล้วเกือบ $5 พันล้าน ราคาร่วงกว่า 13% ใน 1 สัปดาห์ - FINNOMENA Cathie Wood ไม่สนใจช้อนหุ้น Tesla แม้ราคาร่วงกว่า 13% ภายใน 1 สัปดาห์ หลัง Elon Musk ประกาศขายหุ้น Tesla 10% ของทั้งหมดที่ถืออยู่ 11 พ.ย. 2564 Cathie Wood ไม่สนใจช้อนหุ้น Tesla แม้ราคาร่วงกว่า 13% ภายใน 1 สัปดาห์ หลัง Elon Musk ประกาศขายหุ้น Tesla 10% ของทั้งหมดที่ถืออยู่ เมื่อคืนนี้ (10 พ.ย.) รายงานระบุว่า กองทรัสต์ของ Elon Musk เทขายหุ้น Tesla จำนวน 3.5 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 3,880 ล้านดอลลาร์ โดยธุรกรรมดังกล่าวไม่ใช่การขายที่ตั้งเวลาล่วงหน้าไว้ นั่นหมายความว่า Elon Musk ทำตามที่เขาตั้งโพลบนทวิตเตอร์จริงๆ ก่อนหน้านี้ รายงานของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เผยว่า Elon Musk ขายหุ้น Tesla กว่า 930,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 1,100 ล้านดอลลาร์ โดยแผนธุรกรรมดังกล่าว ถูกยื่นล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน ก่อนที่เขาจะสร้างโพลทวิตเตอร์ขอความเห็นเรื่องการขายหุ้น โดยปัจจุบัน Elon Musk ยังคงถือหุ้น Tesla มากกว่า 166 ล้านหุ้น ขณะที่ราคาหุ้น Tesla ดีดตัวขึ้นมา 4.34% หลังร่วงไปกว่า 15% ในวันจันทร์และวันอังคาร ล่าสุด ARKK กองทุนเรือธงของ Cathie Wood ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่ากองทุนหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดในปีที่แล้ว มีสัดส่วนการถือครองหุ้น Tesla อยู่ประมาณ 9.7% โดยตั้งแต่เดือน ก.ค. ขณะที่หุ้น Tesla ซื้อขายที่ราคาประมาณ $655 กองทุน ARKK ได้ทยอยปรับลดสัดส่วนการถือหุ้น Tesla ลงมาเรื่อยๆ โดยในวันอังคารที่ผ่านมา (9 พ.ย.) Cathie Wood พูดถึงความผันผวนล่าสุดของหุ้น Tesla ในสัมนารายเดือนของ Ark และกล่าวว่า Aha Moment หรือ การค้นพบไอเดียใหม่ที่เปลี่ยนโลกครั้งถัดไป จะเกิดขึ้นเมื่อ Tesla ประสบความสำเร็จในการพัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบเต็มรูปแบบ ในเดือน ก.ย. Cathie Wood กำหนดราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น Tesla อยู่ที่ $3,000 ภายใน 5 ปี โดยตอนนี้ราคาหุ้น Tesla ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $1,060 ข้อมูลจาก Morningstar ระบุว่า ARKK หนึ่งในกองทุนที่มีผลการดำเนินงานสูงสุดในรอบ 5 ปี ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 45.1% ต่อปี มีผลการดำเนินงานที่ไม่ค่อยดีนักในปีนี้ โดย ARKK ปรับตัวลง 3.1% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้กองทุนอยู่ในระดับต่ำสุดในบรรดากองทุนหุ้นขนาดกลางของสหรัฐฯ อ้างอิง: https://www.reuters.com/business/finance/arks-wood-not-appearing-buy-dip-tesla-shares-2021-11-10/ https://www.cnbc.com/2021/11/10/elon-musk-sells-1point1-billion-of-tesla-stock.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: 11.11 จีน ไม่คึกคักเหมือนทุกปี รัฐบาลจีนคุมเข้มอีคอมเมิร์ซ Alibaba ไม่เน้นกำไรสูงสุด หันตอบแทนสังคมมากขึ้น - FINNOMENA 11.11 จีน ไม่คึกคักเหมือนทุกปี เพราะ Alibaba ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซกำลังเบนความสนใจจากยอดขายมูลค่ามหาศาล ไปสู่การกุศลและความยั่งยืน ซึ่งเป็นเสาหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจของปธน.สี จิ้นผิง 10 พ.ย. 2564 ปีนี้งานช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘เทศกาลวันคนโสด’ ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เดือน 11 แตกต่างไปจากทุกปี เพราะ Alibaba ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซกำลังเบนความสนใจจากยอดขายมูลค่ามหาศาล ไปสู่การกุศลและความยั่งยืน ซึ่งเป็นเสาหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจของปธน.สี จิ้นผิง 🛍️ ทำไมวันคนโสดถึงกลายมาเป็นเทศกาลช้อปปิ้ง วันที่ 11 เดือน 11 เขียนด้วยเลข 1 สี่ตัวแยกกัน ซึ่งมีลักษณเหมือนท่อนไม้ และคำว่าท่อนไม้ในภาษาจีน สามารถเป็นคำแสลงที่แปลว่าคนโสดได้ด้วย โดยในช่วงทศวรรษที่ 1990 วันที่ 11/11 กลายมาเป็นวัฒนธรรมเฉลิมฉลองการเป็นโสดของกลุ่มวัยรุ่นมหาวิทยาลัยที่ได้รับแรงกดดันจากครอบครัวให้รีบแต่งงาน Jack Ma ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba ใช้กลยุทธ์ของชาติตะวันตกที่จัดโปรโมชันช้อปปิ้งในระหว่างวันหยุดยาว อย่างโปรโมชัน Black Friday หลังวันขอบคุณพระเจ้า โดยเทศกาลวันคนโสดของ Alibaba เริ่มต้นในปี 2009 ซึ่งเริ่มแรกผู้บริโภคได้รับการกระตุ้นให้ซื้อสินค้าเพื่อเฉลิมฉลองการเป็นโสด แต่หลังจากนั้นผู้คนทุกช่วงวัยกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของบริษัทแม้จะไม่ใช่คนโสดก็ตาม 🛍️ สถิติยอดขายมหาศาลในเทศกาลวันคนโสด ที่ผ่านมา ยอดขายวันคนโสดทุบสถิติปีก่อนหน้าได้ทุกครั้ง โดยยอดขายในปีที่แล้วอยู่ที่ 78,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า 2 เท่า ของยอดขายในปี 2019 ที่ 39,000 ล้านดอลลาร์ จากกลยุทธ์ของ Alibaba ที่ขยายวันจัดโปรโมชันให้นานขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด ในปีนี้ คู่แข่งอย่าง JD.com เริ่มการขายล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. และมียอดจองสินค้าล่วงหน้ากว่า 190 ล้านรายการ ภายใน 4 ชั่วโมงแรก ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ ไปจนถึง เครื่องดูดฝุ่น ขณะที่ ผู้นำด้านโซเชียลมีเดียอย่าง Douyin และ Kuaishou ของ ByteDance ได้จ้างอินฟลูเอนเซอร์เพื่อขายผลิตภัณฑ์ผ่านการไลฟ์สด ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมในจีน แต่ก็ไม่สามารถบดบังความนิยมของ Li Jiaqi บิวตี้อินฟลูเอนเซอร์ของ Alibaba ผู้มีฉายาว่าราชาแห่งลิปสติก ที่มียอดจองสินค้าล่วงหน้าแล้วกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์ ในวันแรกของเทศกาลปีนี้ ยอดขายในวันคนโสดของจีนสามารถเอาชนะยอดขายในช่วงวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ มาตลอดหลายปี และทำให้เทศกาลวันคนโสดของจีนกลายเป็นมหกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก 🛍️ รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่ส่งคืนสู่สังคมมากขึ้น ทางการจีนคุมเข้มและสอบสวนการผูกขาดในเกือบทุกภาคส่วนของธุรกิจอินเทอร์เน็ต เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมและลดช่องว่างของความมั่งคั่ง โดยทางการจีนสั่งปรับ Alibaba เป็นจำนวนเงิน 2,800 ล้านดอลลาร์ และ สั่งให้เหล่าผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซยกเลิกแนวทางที่ต่อต้านการแข่งขัน เช่น การบังคับให้ร้านค้าทำสัญญาห้ามขายสินค้าบนแพลตฟอร์มคู่แข่ง รายได้มูลค่ามหาศาลของ Alibaba หายไปจากการคุมเข้มของรัฐบาล สะท้อนจากรายได้ไตรมาส 2 ในปีนี้ที่พลาดเป้าเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยแม้รายได้จะลดลงจำนวนมาก แต่ Alibaba กลับลดความสำคัญในยอดคำสั่งซื้อ และนำเสนอแคมเปญที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลจีน Alibaba กล่าวว่าจะบริจาคเงิน 1 หยวน สำหรับสินค้าบางรายการในช่วงเทศกาลวันคนโสด หากผู้ซื้อโพสต์บนโซเชียลมีเดีย และยังมีการแสดงสินค้าประหยัดพลังงานบนหน้าเว็บไซต์ รวมถึงนำเสนอการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ในกระบวนการขนส่ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายลดการปล่อยมลพิษของรัฐบาลจีน ก่อนหน้านี้ Alibaba ประกาศแผนบริจาคเงิน 15,500 ล้านดอลลาร์ ในเวลา 5 ปี เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมกันในสังคม เช่นเดียวกับมหาเศรษฐีจีนรายอื่นๆ ที่ให้คำมั่นว่าจะบริจาคเงินจากสินทรัพย์ส่วนตัวมูลค่ามหาศาลของพวกเขาเพื่อการกุศล 🛍️ การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ Ant Group อีกประเด็นที่ต้องจับตา คือ อนาคตของ Ant Group บริษัทฟินเทคในเครือ Alibaba ที่ถูกหน่วยงานกำกับดูแลจีนระงับการ IPO และสั่งให้ปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ รวมถึงการแยกธุรกิจสินเชื่อออกจาก Alipay แอปชำระเงินครบวงจรที่มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคน Alibaba ได้เพิ่มระบบการชำระเงิน WeChat Pay ของ Tencent ลงในบางแอปของ Alibaba หลังเผชิญแรงกดดันด้านกฎระเบียบใหม่ที่ต้องการให้ธุรกิจลดการผูกขาดลง อย่างไรก็ดี ยังไม่มีบริการ WeChat Pay ใน Taobao และ Tmall แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในจีน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-08/what-china-s-tech-squeeze-is-doing-to-singles-day-quicktake?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Ant Group News Update จีน สีจิ้นผิง หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Tesla ร่วงอีก 12% มูลค่าหายแล้วเกือบ $2 แสนล้าน Nvidia เปิดตัวเทคโนโลยี AV แข่งระบบขับขี่อัตโนมัติ - FINNOMENA เมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หุ้น Tesla ร่วงอีก 12% สูญมูลค่า 199,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และเป็นแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2020 10 พ.ย. 2564 เมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) หุ้น Tesla ร่วงอีก 12% สูญมูลค่า 199,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และเป็นแรงเทขายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2020 สาเหตุการร่วงแรงของหุ้น Tesla มาจากการที่ Elon Musk สร้างโพลบนทวิตเตอร์ขอความเห็นว่า เขาควรขายหุ้น 10% เพื่อเอามาจ่ายภาษีหรือไม่ รวมถึงมีรายงานว่า ก่อนหน้านั้น (5 พ.ย.) Kimbal Musk น้องชายของเขาได้เทขายหุ้น Tesla จำนวน 88,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 109 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดังทวีตโจมตีว่า Elon Musk อาจแค่ต้องการขายหุ้นเพื่อนำไปชำระหนี้ส่วนตัวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม Michael Burry ไม่ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวผ่านสื่อ และข้อความดังกล่าวไม่ปรากฏในทวิตเตอร์ของเขาแล้ว สอดคล้องกับรายงานของ CNBC ก่อนหน้านี้ว่า Elon Musk ได้ทำสัญญากับผู้ให้กู้ยืมเพื่อขอสินเชื่อเงินสดด้วยหุ้น Tesla จำนวนไม่น้อยกว่า 92 ล้านหุ้น ทำให้เขาอาจต้องขายหุ้นบางส่วนเพื่อชำระหนี้ รวมถึงจ่ายภาษีจำนวนมากจากการซื้อขายหุ้น Matt Portillo นักวิเคราะห์จาก Tudor Pickering กล่าวว่า จากมุมมองระยะยาวแล้ว หุ้น Tesla มีมูลค่าเกินจริงอย่างมาก และเหล่านักลงทุนกำลังดิ้นรนกับการประเมินมูลค่านั้น ซึ่งโพลของ Elon Musk เป็นเพียงข้ออ้างในการดึงราคากลับลงมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Tesla สามารถปรับตัวขึ้นได้ถึง 45% ตั้งแต่ต้นปี และมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเกินความคาดหมายของตลาด รวมถึงคำสั่งซื้อล็อตใหญ่จาก Hertz บริษัทให้เช่ารถยนต์ โดยทั้งผู้บริหารปัจจุบันและอดีตผู้บริหารของ Tesla ได้แก่ Robyn Denholm, Ira Ehrenpreis, Antonio Gracias รวมถึง Kimbal Musk ได้เทขายหุ้น Tesla ออกไปหลายร้อยล้านดอลลลาร์ หลังมูลค่าตลาดของ Tesla ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ Matthew Maley หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจาก Miller Tabak + กล่าวว่า แรงเทขายในหุ้น Tesla เป็นการปรับตัวลงปกติและไม่ได้ทำให้หุ้นเสียทรงแต่อย่างใด โดยเรียกสิ่งนี้ว่า การตอบสนองต่อภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) แม้ Tesla จะเผชิญแรงเทขายล่าสุด แต่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 พ.ย.) Jefferies Group ได้ปรับราคาเป้าหมายสำหรับหุ้น Tesla จาก $950 เป็น $1,400 โดย Philippe Houchois นักวิเคราะห์ของบริษัทกล่าวว่า Tesla กำลังเข้าสู่สมดุลระหว่างความคุ้มค่า ความเร็ว และเป้าหมาย ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กับความสามารถในการทำกำไรในวิสัยทัศน์ของ Elon Musk อย่างไรก็ตาม Tesla กำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านการแข่งขันจากทั้งผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดัง และบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ เช่น การเตรียม IPO ของ Rivian ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon, Ford และ Cox Automotive หรือ Geely ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจัน ที่เพิ่งเปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่สำหรับงานหนักเพื่อแข่งขันกับ Semi ของ Tesla นอกจากนี้ เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle: AV) ล่าสุดของ Nvidia ผู้ผลิตชิป อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Tesla มากขึ้น เนื่องจาก Tesla มักอ้างว่าเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติของบริษัทคือเบื้องหลังความสำเร็จที่ทำให้ Tesla ได้เปรียบเหนือคู่แข่ง Seth Goldstein นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าวว่า การประกาศเทคโนโลยี AV ของ Nvidia เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงเทขายในหุ้น Tesla โดยแม้ว่าปัจจุบัน Tesla จะเป็นผู้นำในด้าน AV แต่หากเทคโนโลยีของ Nvidia สามารถทำงานได้ดี เราอาจได้เห็นมันปรากฏในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นในช่วงปี 2024 ซึ่งจะทำให้ Tesla เผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-09/tesla-selloff-deepens-after-insider-report-on-burry-s-tweet?sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2021/11/09/tesla-shares-drop-as-sell-off-accelerates.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Autonomous Vehicle Elon Musk News Update Nvidia Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนห้ามอินฟลูเอนเซอร์แนะนำการลงทุน คุมธุรกิจโบรกเกอร์ให้เป็นมืออาชีพ ไม่โฆษณาเกินจริง แก้ปัญหาอุตสาหกรรมการลงทุนแข่งเดือด - FINNOMENA ทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้บริษัทหลักทรัพย์จ้างอินฟลูเอนเซอร์ดึงดูดลูกค้ารายใหม่ และห้ามแนะนำการลงทุนผ่านช่องทางวีดีโอไลฟ์ 9 พ.ย. 2564 ทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้บริษัทหลักทรัพย์จ้างอินฟลูเอนเซอร์ดึงดูดลูกค้ารายใหม่ และห้ามแนะนำการลงทุนผ่านช่องทางวีดีโอไลฟ์ ซึ่งการจ้างคนดังเป็นหนึ่งในวิธีเข้าถึงลูกค้าที่ได้รับความนิยมมากในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ก.ล.ต.จีน ห้ามไม่ให้บริษัทหลักทรัพย์ทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ หรือคนดังต่างๆ ที่ไม่มีใบอนุญาต รวมถึงสั่งห้ามไม่ให้แนะนำการลงทุนผ่านช่องทางวีดีโอไลฟ์อีกด้วย ก.ล.ต.จีน ให้เหตุผลว่า เจ้าหน้าที่บริษัทหลักทรัพย์ควรมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนและมีความเป็นมืออาชีพ ขณะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดผ่านทางช่องทางออนไลน์ ไม่ใช่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคด้วยถ้อยคำที่เกินจริง หรือ เครื่องแต่งกายที่แปลกตา คาดว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในโครงการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ให้ปลอดภัยของทางการจีน เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ ‘ยั่งยืนและสุขภาพดี’ อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต.จีน ยังไม่ตอบสนองต่อข่าวดังกล่าว อุตสาหกรรมการเงินแบบเปิดของจีนมีมูลค่ากว่า 54 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์กว่า 130 แห่งในประเทศจีน เผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการรักษาส่วนแบ่งของตลาด รวมถึงการเอาชนะใจลูกค้ารายใหม่ บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Huatai Securities และ East Money Information รวมถึงบริษัทขนาดเล็กอื่นๆ ได้ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ได้มากขึ้น Liu Yiqian นักวิเคราะห์จาก Shanghai Securities กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่มีความสามารถด้านอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่ง หรือมีกลยุทธ์การขยายลูกค้าในเชิงรุก อาจได้รับผลกระทบจากความเคลื่อนไหวล่าสุดมากกว่า ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากนั้นไม่มีคุณสมบัติในการทำงาน หรืออาจใช้คำพูดเกินจริงเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมการลงทุนที่ไม่สมเหตุสมผล อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-09/china-bans-brokerages-from-hiring-influencers-live-streaming?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update การเงินจีน จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Softbank ซื้อหุ้นคืน หุ้นพุ่ง 10% เรียกความเชื่อมั่น หลังกองทุนสูญเงิน $7,300 ล้าน บทเรียนขาดทุนหุ้น Coupang และ Didi - FINNOMENA ราคาหุ้น SoftBank ปรับตัวขึ้น 10.1% หลัง SoftBank กล่าวว่าหุ้นของบริษัทถูกประเมินที่ราคาต่ำเกินไป และรายงานแผนซื้อหุ้นคืน 15% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านเยน (8,830 ล้านดอลลาร์) 9 พ.ย. 2564 เช้านี้ (9 พ.ย.) ราคาหุ้น SoftBank ปรับตัวขึ้น 10.1% หลัง SoftBank กล่าวว่าหุ้นของบริษัทถูกประเมินที่ราคาต่ำเกินไป และรายงานแผนซื้อหุ้นคืน 15% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านเยน (8,830 ล้านดอลลาร์) Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank กล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤติ และผลการดำเนินงานของ Vision Fund ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่บริษัทกำลังดำเนินการอย่างมั่งคงเพื่อเพิ่มผลกำไรให้เป็น 2 เท่า จากปีที่แล้ว SoftBank บริษัทข้ามชาติด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารสัญชาติญี่ปุ่น ได้ก่อตั้ง Vision Fund ในปี 2017 ซึ่งเป็นกองทุนสำหรับลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลก เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) กองทุน SoftBank รายงานการขาดทุนครั้งประวัติการณ์ จากการร่วงแรงของหุ้น Coupang บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติเกาหลี และ หุ้น Didi แอปเรียกรถที่ใหญ่ที่สุดในจีน Vision Fund มีผลการดำเนินงานที่ผันผวนมาตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้ง โดยการขาดทุนใหญ่ครั้งแรกเริ่มต้นในปี 2019 จากการ IPO สู่ตลาดที่น่าผิดหวังของ Uber ตามมาด้วยผลประกอบการที่ย่ำแย่ของ WeWork รวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 Vision Fund รายงานการขาดทุนในไตรมาส 3 อยู่ที่ 825,100 ล้านเยน (ประมาณ 7,300 ล้านดอลลาร์) ซึ่งมากกว่าการขาดทุนของ SoftBank ในช่วงการแพร่ระบาดโควิดที่ 788,600 ล้านเยน โดย SoftBank รายงานการขาดทุนสุทธิที่ 397,900 ล้านเยน สำหรับไตรมาสนี้ ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Loss) ของ Vision Fund จำนวน 2 กองทุน จากการประเมินมูลค่าบริษัทมหาชนที่เข้าลงทุนอยู่ที่ 17,700 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นผลมาจาก Coupang ที่ 6,700 ล้านดอลลาร์, จาก Didi ที่ 6,100 ล้านดอลลาร์, จาก KE Holdings ที่ 2,200 ล้านดอลลาร์, จาก Full Truck Alliance 1,200 ล้านดอลลาร์ และจาก Zymergen 700 ล้านดอลลาร์ แม้ใน 2 ไตรมาสก่อนหน้านี้ Coupang ผู้นำอีคอมเมิร์ซของเกาหลีจะสามารถสร้างกำไรแก่ Vision Fund ถึง 24,500 ล้านดอลลาร์ แต่ราคาหุ้น Coupang ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 39% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ การลงทุนในสตาร์ทอัพจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการคุมเข้มภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีน โดยการ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของ Didi ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่คาด หลังจีนสั่งแบนแอป Didi โทษฐานละเมิดข้อมูลผู้ใช้งาน KE Holdings บริการอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ที่สร้างกำไรแก่ SoftBank จากการ IPO ถึง 5,100 ล้านดอลลาร์ในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว และทำให้ Vision Fund ทุบสถิติใหม่ในไตรมาสนั้น แต่ตอนนี้ หุ้น KE Holdings ร่วงลงมากกว่า 70% จากจุดสูงสุด และซื้อขายต่ำกว่าราคา IPO แม้บริษัทจะไม่ได้ตกเป็นเป้าโดยตรงของทางการจีนก็ตาม Kirk Boodry นักวิเคราะห์จาก Redex Research ในกรุงโตเกียว กล่าวว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีนเริ่มหมดแรงจูงใจ และส่งสัญญาณว่าการคุมเข้มด้านกฎระเบียบสิ้นสุดลงแล้ว แต่ความไม่แน่นอนในอนาคตของเทคโนโลยีจีนจะดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง การขาดทุนของกองทุน Vision Fund ถูกชดเชยด้วยกำไรมูลค่า 445,900 ล้านดอลลาร์ จากการลงทุนที่ประสบความสำเร็จบางส่วน โดย SoftBank ได้ขายหุ้น DoorDash มูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์ ในเดือน ส.ค. และ หุ้น Coupang มูลค่า 1,690 ล้านดอลลาร์ ในเดือน ก.ย. Masayoshi Son ได้ลดขนาดการซื้อขายหุ้นและ options ที่เป็นข้อโต้เถียง และนำเงินลงทุนไปไว้ที่ Amazon, Taiwan Semiconductor และ Paypal แทน โดยตอนนี้ SoftBank ถือหุ้นที่มีคุณภาพคล่องสูงเพียง 5,000 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 13,600 ล้านดอลลาร์ ในสิ้นไตรมาสก่อนหน้า Kirk Boodry กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรให้ตั้งตารอในธุรกิจ Vision Fund มากนัก สำหรับอนาคตอันใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการ IPO ของบางบริษัท แต่ก็จะถูกกลบด้วยเสียงเชิงลบ เพราะไม่มีบริษัทไหนใหญ่เท่า Didi อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-08/softbank-vision-fund-posts-a-record-loss-as-coupang-shares-fall?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.reuters.com/business/softbank-reports-35-billion-net-loss-q2-2021-11-08/ https://www.cnbc.com/2021/11/09/asia-markets-wall-street-records-softbank-shares-currencies-oil.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Coupang DiDi News Update SoftBank Vision Fund สตาร์ทอัพ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นอินเดีย ขาขึ้นใหญ่รอบ 50 ปี มาร์ค โมเบียส กูรูตลาดหุ้นเกิดใหม่เชียร์ ทุ่มลงทุนอินเดียและไต้หวันครึ่งพอร์ต - FINNOMENA มาร์ค โมเบียส จัดสรรเงินลงทุนสำหรับตลาดเกิดใหม่เกือบครึ่งหนึ่งไว้ที่ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวัน เพื่อชดเชยการร่วงแรงของหุ้นจีนที่ฉุดผลตอบแทนของประเทศกำลังพัฒนาโดยรวมลงมา 9 พ.ย. 2564 มาร์ค โมเบียส ผู้ก่อตั้ง Mobius Capital Partners และอดีตผู้บริหารของ Franklin Templeton จัดสรรเงินลงทุนสำหรับตลาดเกิดใหม่เกือบครึ่งหนึ่งไว้ที่ตลาดหุ้นอินเดียและไต้หวัน เพื่อชดเชยการร่วงแรงของหุ้นจีนที่ฉุดผลตอบแทนของประเทศกำลังพัฒนาโดยรวมลงมา มาร์ค โมเบียส ผู้มากประสบการณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Television ว่า ตลาดหุ้นอินเดียกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี แม้จะมีการปรับตัวลงในช่วงสั้นๆ โดยอินเดียอาจจะอยู่ในจุดที่จีนเคยอยู่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จากนโยบายการรวมกฎเกณฑ์ข้ามรัฐที่จะช่วยให้ประเทศสามารถเติบโตได้ในระยะยาว มุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอินเดียของโมเบียส สวนทางกับนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley และ Nomura ที่ปรับลดมุมมองตลาดหุ้นอินเดียลง หลังดัชนี BSE Sensex เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากจุดต่ำสุดในเดือน มี.ค. 2020 ผลมาจากการร่วงแรงของตลาดหุ้นจีน หลังรัฐบาลจีนคุมเข้มด้านกฎระเบียบอย่างกว้างขวาง ทำให้ในปีนี้ ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีผลการดำเนินงานตามหลังประเทศพัฒนาแล้ว โมเบียส กล่าวว่า ผู้คนมีมุมมองต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ไม่ดีนัก เพราะหุ้นจีนที่ร่วงได้ฉุดดัชนีลงมา แต่นักลงทุนควรพิจารณาประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น อินเดียที่กำลังอยู่ในขาขึ้น กองทุน Mobius Emerging Markets จัดสรรเงินลงทุนสำหรับหุ้นไต้หวัน และหุ้นอินเดียที่ 45% โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เป็นกลุ่มใหญ่ของ 2 ตลาดนี้ หุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุดในกองทุน Mobius Emerging Markets ณ สิ้นเดือน ก.ย. คือ Persistent Systems ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ของอินเดีย และ eMemory Technology ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชิปของไต้หวัน โดยตั้งแต่ต้นปี Persistent Systems เพิ่มขึ้น 173.86% ขณะที่ eMemory Technology เพิ่มขึ้น 305.04% มาร์ค โมเบียส กล่าวว่า การปรับตัวลงของหุ้นจีนทำให้เกิดโอกาสบางอย่างจากการที่รัฐบาลพยายามหลีกเลี่ยงการผูกขาด และ Mobius Capital กำลังพิจารณาบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ที่ได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนต้องการให้มีการแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-08/mobius-bets-on-50-year-rally-in-indian-stocks-as-china-slows?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นไต้หวัน อินเดีย ไต้หวัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Bitkub ขึ้นยานแม่! รู้จัก "บิทคับ" ในวันที่มาได้ไกล - FINNOMENA ประเด็นสุดร้อนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นการขึ้นยานแม่ของ Bitkub และส่งให้ Bitkub แปลงสภาพเป็นม้ายูนิคอร์นสมใจหวัง ในบทความนี้ผมจึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับ Bitkub และแสดงความยินดีร่วมกันครับ 7 พ.ย. 2564 ประเด็นสุดร้อนแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นการขึ้นยานแม่ของ Bitkub และส่งให้ Bitkub แปลงสภาพเป็นม้ายูนิคอร์นสมใจหวัง ในบทความนี้ผมจึงขอพาทุกคนไปรู้จักกับ Bitkub และแสดงความยินดีร่วมกันครับ ทำความรู้จัก Bitkub ผู้อำนวยความสะดวกซื้อขายคริปโตอันดับ 1 ในไทย เริ่มแรกเรามาสำรวจรายได้หลักของ Bitkub กันก่อน เพื่อมาดูว่าหลัก ๆ แล้ว Bitkub ทำอะไรเป็นหลักกันแน่ หลัก ๆ แล้ว Bitkub มีรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมและบริการ ซึ่งหากคิดจากสัดส่วนของรายได้ปี 2563 รายได้ในส่วนนี้น่าจะคิดเป็นประมาณ 98.57% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างชี้ชัดว่า Bitkub น่าจะมีรายได้มาจากการเป็นโบรคเกอร์อำนวยความสะดวกด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลัก หากเรามองว่า Bitkub เปรียบเสมือนโบรคเกอร์ เรื่องค่าธรรมเนียมก็อาจจะเป็นประเด็นแรก ๆ ที่เรานึกถึงในธุรกิจนี้ ในแง่ของค่าธรรมเนียมปัจจุบัน Bitkub มีค่าธรรมเนียมซื้อขายอยู่ที่ 0.25% ต่อการซื้อขายต่อครั้ง รวมถึงมีค่าธรรมเนียมการถอนแบ่งตามขนาดเงินทุนตามกันไป ซึ่งหากเทียบกับแพลตฟอร์มเจ้าใหญ่ระดับโลกอย่าง Binance ที่มีค่าธรรมเนียมเริ่มต้นที่ 0.10% ที่มีการใช้รูปแบบการคิดธรรมเนียมแบบ maker และ taker Maker และ Taker คืออะไร? Maker และ taker เป็นรูปแบบการคิดค่าธรรมเนียมโดยอิงจากลักษณะคำสั่งซื้อขายของเรา โดยการคิดค่าธรรมเนียมจะถูกกว่าในกรณีที่เราเป็น maker หรือคือวางออเดอร์ลงกระดานเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และจะถูกคิดแพงกว่าในกรณีที่เราเป็น taker หรือคนที่ไปวางออเดอร์ซื้อขายและจับคู่ได้โดยทันที ซึ่งถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ maker ก็คล้าย ๆ กับคนเติมของบนชั้นวางในร้านขายของ ในขณะที่ taker เปรียบเสมือนคนที่ไปหยิบของจากชั้นวางมาเลยนั่นเอง นอกจากนั้นตัว Binance ยังมีการลดค่าธรรมเนียมตามการซื้อขายเข้ามาอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ด้าน Bitkub เองล่าสุด จะเหมือนมีการรับสมัครผู้ดูแลสภาพคล่องซึ่งน่าจะช่วยให้การซื้อขายไหลลื่นยิ่งขึ้น และอาจมอบค่าธรรมเนียมที่ถูกลงให้กับรายใหญ่ ๆ อย่างไรก็ดีการคิดเรทค่าธรรมเนียมแบบ maker และ taker อาจไม่ได้ส่งผลต่อรายย่อยแบบมีนัยยะอะไรมากนัก เพราะถ้าอิงจากตารางค่าธรรมเนียมของ Binance เราอาจต้องซื้อขายเหรียญถึง 50 เหรียญขั้นต่ำ (หลายล้านบาท) เพื่อที่จะได้อัตราค่าธรรมเนียมพิเศษ และหากมาเทียบให้ใกล้ตัวเราอีกหน่อยอย่างเจ้าที่ให้บริการเทรดคริปโตในไทยหลัก ๆ ก็ต้องบอกว่าบางเจ้านั้นให้ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ารวมถึงมีรูปแบบเหรียญให้เทรดที่มากกว่า แต่ค่าธรรมเนียมและจำนวนเหรียญที่ให้บริการก็คงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ธุรกิจประเภทนี้แข่งขันได้ จุดเด่นของ Bitkub จุดเด่นของ Bitkub ที่น่าสนใจก็คือ CEO ที่มีความโดดเด่นรวมถึงการที่ช่องทางการสื่อสารที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มีการโปรโมตที่ดีจนทำให้ชื่อของ Bitkub ติดหูนักเทรดชาวไทย อีกทั้งยังมีโวลุ่มการเทรดที่สูงจนทิ้งห่างคู่แข่งหลาย ๆ เจ้าในไทยจนทำให้มีสภาพคล่องการซื้อขายในระดับที่สูงเหนือคู่แข่ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดีพอที่จะสะท้อนคุณภาพผ่านส่วนแบ่งทางการตลาด (Market share) ที่มีมูลค่าสูงถึง 1.03 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 92% ของ market share ในไทยหรือจะเรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตอันดับ 1 ในไทยก็ว่าได้ ไอเดียโอกาสเติบโตและพัฒนาคร่าว ๆ ในแง่ของการเติบโตท่าที่น่าสนใจตามแบบฉบับโบรคเกอร์นอกเหนือจากการแข่งขันเรื่องค่าธรรมเนียมและการสร้าง value ด้านต่าง ๆ ก็คือการขยายผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Copytrade, การเทรดอนุพันธ์หรือฟิวเจอร์สต่าง ๆ, การยกระดับแพลตฟอร์มไปต่างประเทศหรือโปรโมตในระดับโลกมากขึ้น หรืออีกท่าที่น่าสนใจก็คือการพัฒนาแพลตฟอร์มวอลเล็ตคริปโตจนเป็นที่ยอมรับก็ถือเป็นอีกท่าที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะ อุตสาหกรรมดังกล่าวก็ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดีเช่นเดียวกันทั้งในเชิงอุตสาหกรรมธนาคาร และ E-payment ซึ่ง move ของ บ รายใหญ่ที่ว่าคราวนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่ายกทั้ง users และ ecosystem ของ Bitkub มาปั้นหรือสเกลต่อเลยก็ว่าได้ ภาพแสดงประมาณการการเติบโตของตลาด Cryptocurrency Banking Market ที่มา: databridgemarketresearch.com พาสำรวจเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Bitkub ในงบการเงิน รายได้ ปี 2561 รายได้รวม 1.05 ล้านบาท ปี 2562 รายได้รวม 36.57 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 330.59 ล้านบาท กำไร/ขาดทุนสุทธิแบบเบ็ดเสร็จ ปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 15.04 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 14.31 ล้านบาท ปี 2563 กำไรสุทธิ 102.27 ล้านบาท การเติบโตของรายได้และกำไรถือได้ว่ามาแรงมาก ๆ จนสามารถเทิร์น Profit ได้แล้ว โดยมีกำไรที่ราว ๆ 102 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีกำไรจากการตีราคาสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่รวมถึงการประเมินค่าใช้จ่ายเรื่องผลประโยชน์ของพนักงาน (ผลประโยชน์หลังเกษียณตามสิทธิและอายุงานซึ่ง) ซึ่งหากเรามองว่ากำไรและค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นกำไรและค่าใช้จ่ายพิเศษ Bitkub ก็น่าจะมีกำไรเพียว ๆ ในปี 2563 ที่ราว ๆ เกือบ 80 ล้านบาท ซึ่งผลกำไร/ขาดทุนแบบแยกรายการพิเศษนั้นจะถูกแยกตามการรายงานดังนี้ กำไร/ขาดทุนสุทธิ ปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 18.61 ล้านบาท ปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 14.52 ล้านบาท ปี 2563 กำไรสุทธิ 79.91 ล้านบาท หากแยกออกมาแล้วก็ยังถือได้ว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นเคย มาต่อกันที่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจซึ่งก็คือของกำไรต่อหุ้น จุดที่นักลงทุนควรรู้ก็คือในปีนี้ 2563 กำไรต่อหุ้นคิดจากจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วระหว่างปี ซึ่งหมายความว่าการออกหุ้นเพิ่มทุนในปีนี้อีก 21 ล้านหุ้น (จากเดิม 8 ล้านหุ้น) อาจถูกนำไปคิดกำไรต่อหุ้นในปีถัดไป (2564) แทนปีนี้ ดังนั้น กำไรต่อหุ้นที่ 9.02 บาท/หุ้น ในตอนนี้หากเรารวมหุ้นที่ออกเพิ่มขึ้นมาในปีนี้กำไรต่อหุ้นจริง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องนำมาคิดและปรับประมาณการตามความเห็นส่วนตัวอีกทีสำหรับการรับรู้ในส่วนนี้ (หากเราคิดเล่น ๆ ผ่านการรวมหุ้นที่เพิ่มทุนเมื่อปลายปีเข้าไปด้วย กำไรต่อหุ้นอาจอยู่ที่ราว ๆ 2.76 บาท/หุ้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเราอาจต้องรวมเรื่องการเติบโตในอนาคตเข้าไปด้วย เพราะ หุ้นที่เพิ่มทุนจำนวนนี้จะถูกนำไปคิดกับกำไรและถูกรับรู้ในปีหน้า) ประเด็นที่น่าจับตามอง เนื่องด้วยตัวธุรกิจอิงกับสินทรัพย์ทางการเงินเป็นหลักดังนั้นในช่วงที่บูมหรือมี Volume การซื้อขายเยอะ ๆ รายได้ กำไร การเติบโตจึงน่าจะเติบโตได้ดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตามหากราคาของสินทรัพย์มีการปรับตัวลง Volume การซื้อขายก็อาจจะลดลงและส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไร ดังนั้นเราอาจจะต้องจับตามองถึงจุดพีคของสินทรัพย์ให้ดี ๆ นอกจากนั้นกระแสการเติบโตของอุตสาหกรรมในภาคใหญ่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องนำมาวิเคราะห์ให้ดีอีกเช่นกัน เพราะยังมีความเสี่ยงเรื่องของการควบคุมต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต รวมถึงความไม่แน่นอนถึงทิศทางการพัฒนาของคริปโตว่าจะออกมาเป็นท่าไหน Defi จะเกิดขึ้นหรือไม่? หรืออาจกลายเป็น Cefi แทน หรืออาจโดนปิดจ๊อบไปเลย Bitkub ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มาแรง เทิร์นกำไรได้รวดเร็ว ผ่านจังหวะที่คริปโตกำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี ส่วนตัวผมก็ขอแสดงความยินดีกับ Bitkub ด้วยครับที่ประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์นสายรุ้ง ประดับวงการสตาร์ทอัปไทยได้สำเร็จ บทความนี้คงไม่ได้มีเนื้อหาเข้มข้นอะไรมากนักเเละต้องสารภาพว่าในตอนนี้ข้อมูลที่มีอยู่หาได้ค่อนข้างยากที่รวบรวมมาข้างต้นคิดว่าพยายามหามาอย่างดีที่สุดละครับ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย และช่วยให้ทุกคนรู้จัก Bitkub ยูนิคอร์นไทยรายใหม่ได้ดียิ่งขึ้นนะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีครับ Mr. Serotonin References https://cdn.bitkubnow.com/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97+%E0%B8%9B%E0%B8%B5+2562.pdf https://s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/cdn.bitkubnow.com/2020_BO_Audited+FS_TH.pdf https://support.bitkub.com/hc/th/articles/360040111771-%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B9-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%AD%E0%B8%87-Bitkub-Global-Market-Maker-Program- https://www.binance.com/en/fee/schedule คำเตือน ผู้ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ แท็ก: Article Bitkub Knowledge Long Content แชร์บทความ: ผู้เขียน Mr. Serotonin สวัสดีครับทุกคน ปัจจุบันผมสนใจทางด้านการวิเคราะห์การลงทุนเชิงเทคนิค และการวิเคราะห์เศรษฐกิจในระดับประเทศ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Fund Update: Moderna หุ้นร่วง 17.89% กระทบ Baillie Gifford มีในพอร์ตกองทุนไทยกองไหนบ้าง - FINNOMENA Moderna หุ้นร่วง 17.89% ส่งผลให้กองทุนต่างประเทศ ที่ลงทุนหุ้น Moderna ในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะกองทุนของ ‘Baillie Gifford’ ได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในครั้งนี้ 5 พ.ย. 2564 Moderna หุ้นร่วง 17.89% วันที่ 4 พ.ย. หลังบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2021 รายได้พลาดเป้า เนื่องจากเผชิญปัญหาด้านการผลิตวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงปัญหาการส่งมอบวัคซีนที่ล่าช้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยากจนที่ยังขาดแคลนห้องเย็นสำหรับจัดเก็บวัคซีน ทำให้ Moderna ต้องเลื่อนการส่งมอบวัคซีนบางส่วนจากปีนี้ไปปีหน้า พร้อมปรับลดประมาณการยอดขายในปี 2021 เหลือ 15,000-18,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากการปรับตัวลงของราคาหุ้นดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนต่างประเทศ ที่ลงทุนหุ้น Moderna ในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะกองทุนของ ‘Baillie Gifford’ ได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในครั้งนี้ โดยกองทุน Baillie Gifford 4 กองทุน ที่ Moderna ติดอยู่ใน Top 5 Holdings และรายชื่อกองทุนไทยที่ลงทุนในกองทุนดังกล่าว มีดังนี้ 🌎 Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund สัดส่วนการลงทุนใน Moderna: 6.40% กองทุนไทยที่ลงทุน: ONE-UGG และ KFGG 🌎 Baillie Gifford Positive Change Fund สัดส่วนการลงทุนใน Moderna: 9.10% กองทุนไทยที่ลงทุน: K-CHANGE 🌎 Baillie Gifford Worldwide US Equity Growth Fund สัดส่วนการลงทุนใน Moderna: 7.80% กองทุนไทยที่ลงทุน: KF-US 🌎 Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund สัดส่วนการลงทุนใน Moderna: 8.90% กองทุนไทยที่ลงทุน: SCBIHEALTH, LHHEALTH, LHMEGA และ PRINCIPAL GHEALTH ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Baillie Gifford Moderna News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เหรียญ ‘ชิบะ’ ร่วงไม่หยุด ร่วงต่ออีก 25% มูลค่าหายแล้วเกือบครึ่ง ผู้ถือเหรียญรายใหญ่เดินหน้าขายต่อเนื่อง - FINNOMENA มูลค่าของเหรียญ ‘ชิบะ’ ร่วงแรงต่อเนื่อง หลังราคาพุ่งสูงขึ้นตลอดเดือน ต.ค. จนติดอันดับ 1 ใน 10 ของเหรียญที่มีมูลค่าสูงสุดของตลาดคริปโทฯ แม้ว่าที่มาของเหรียญจะไม่มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์เพียงพอให้เติบโตก็ตาม 5 พ.ย. 2564 ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มูลค่าของเหรียญ ‘ชิบะ’ ร่วงแรงต่อเนื่อง หลังราคาพุ่งสูงขึ้นตลอดเดือน ต.ค. จนติดอันดับ 1 ใน 10 ของเหรียญที่มีมูลค่าสูงสุดของตลาดคริปโทฯ แม้ว่าที่มาของเหรียญจะไม่มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์เพียงพอให้เติบโตก็ตาม หลังจากที่ราคาพุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุด (5 พ.ย.) ตามรายงานของ CoinMarketCap ราคาเหรียญชิบะ ร่วงลง 25% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อยู่ที่ราคา $0.0000469 ซึ่งร่วงลงจากจุดสูงสุดในวันที่ 28 ต.ค. แล้วกว่า 47% ความผันผวนของราคาทำให้ความสนใจของโลกคริปโทฯ ไปอยู่ที่นักลงทุนรายใหญ่ที่ควบคุมเหรียญมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยมีข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่กำลังเทขายเหรียญ ‘ชิบะ’ ทำให้สร้างความปั่นป่วนแก่นักลงทุนรายย่อยที่ถือเหรียญชิบะอยู่ นี่สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีความโปร่งใสในตลาดคริปโทฯ ที่ทุกธุรกรรมถูกบันทึกบนบล็อกเชน แต่การไม่เปิดเผยตัวตนของนักลงทุนบางคน รวมถึงผู้สร้างเหรียญ ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าใครกำลังทำอะไรกันแน่ Aaron Brown นักลงทุนคริปโทฯ กล่าวว่า แม้การทำธุรกรรมคริปโทจะโปร่งใส แต่การจับคู่ธุรกรรมระหว่างบุคคลไม่ชัดเจน ซึ่งนี่ตรงข้ามกับระบบธนาคารแบบดั้งเดิม ที่ทุกสิ่งไม่ชัดเจน ยกเว้นการระบุตัวบุคคล Tom Robinson ผู้ร่วมก่อตั้ง Elliptic กล่าวว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (2 พ.ย.) มีการทำธุรกรรม 4 รายการ จากนักลงทุนรายหนึ่งที่ซื้อเหรียญชิบะไว้เมื่อปีที่แล้ว โดยแต่ละครั้งมีการโอนเหรียญชิบะ มูลค่า 695 ล้านดอลลาร์ ไปยังบัญชีอื่น รวมเป็น 2,780 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ มีรายงานระบุว่า Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้รับเหรียญชิบะมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดมาจากผู้สร้างเหรียญ และได้นำเหรียญชิบะไปเผาทิ้งเพื่อขจัดอุปทานหมุนเวียนของเหรียญ Mike McGlone จาก Bloomberg Intelligence กล่าวว่า ทั้งอุปทานที่จำกัด การกำหนดราคาเหรียญในจุดทศนิยมที่ต่ำมาก โพสต์ต่างๆ บนทวิตเตอร์ และ การมอบเหรียญให้ Vitalik Buterin ล้วนเป็นสาเหตุที่ดึงดูดให้นักลงทุนต้องการเก็งกำไรในเหรียญชิบะ ชิบะ ไม่ใช่เหรียญแรกที่เกิดความผันผวนจากการไม่ระบุตัวตนของนักลงทุน ก่อนหน้านี้ราคาของ Bitcoin และ Ethereum ก็ได้รับความผันผวนดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนเหล่านี้ลดลง จากการเข้าสู่ตลาดของนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันจำนวนมาก โดยคาดว่ามีนักลงทุนรายใหญ่ทั้งหมด 2,000 บัญชี ที่เป็นเจ้าของ Bitcoin มากกว่า 40% Antonio Juliano ผู้ก่อตั้ง DeFi exchange dYdX กล่าวว่า ในแอป De-Fi ซึ่งเป็นการสร้างเหรียญเพื่อให้ผู้คนสามารถซื้อขาย หรือกู้ยืมนั้น มีผู้ใช้งานส่วนน้อยเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง โดยบริษัทซื้อขายคริปโทฯ 20-50 แห่ง คือ ผู้ผลักดันปริมาณคริปโทฯ ส่วนใหญ่ในตลาด Antonio Juliano เสริมว่า นี่ไม่ได้แตกต่างกับการเงินแบบดั้งเดิมเท่าไรนัก เพราะสุดท้ายแล้ว กองทุน Wall Street รายใหญ่ ก็เป็นผู้ผลักดันปริมาณส่วนใหญ่ การขาดกฎระเบียบและการเฝ้าติดตามตลาดอย่างเป็นทางการทำให้เหรียญชิบะยังคงมีความไม่แน่นอน แม้ว่าราคาที่พุ่งสูงขึ้นจะดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากก็ตาม อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-03/shiba-whale-wallets-with-billions-hounded-by-crypto-detectives?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Crypto Cryptocurrency News Update Shiba Coin แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อีลอน มัสก์ รวยกว่าบัฟเฟตต์ 3 เท่า มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 11 ล้านล้านบาท บัฟเฟตต์ไม่สนใจอันดับ 16 ปี บริจาคแล้ว 1.35 ล้านล้านบาท - FINNOMENA สถิติ All Time High ใหม่อย่างต่อเนื่องของหุ้น Tesla ทำให้ Elon Musk ร่ำรวยกว่า Warren Buffett ​นักลงทุนชื่อดัง และอดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ถึง 3 เท่า 2 พ.ย. 2564 สถิติ All Time High ใหม่อย่างต่อเนื่องของหุ้น Tesla ทำให้ Elon Musk ร่ำรวยกว่า Warren Buffett นักลงทุนชื่อดัง และอดีตมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ถึง 3 เท่า เมื่อวานนี้ (1 พ.ย.) ราคาหุ้น Tesla พุ่งขึ้น 8.5% ปิดทะลุ $1,200 ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Elon Musk มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน เพิ่มขึ้น 24,000 ล้านดอลลาร์ สู่ 335,100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 11.1 ล้านล้านบาท) Elon Musk ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 193,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Warren Buffett อยู่ในอันดับที่ 10 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 104,100 ล้านดอลลาร์ การพุ่งแรงของหุ้น Tesla ยังส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Tesla อย่าง Leo KoGuan และ Larry Ellison Leo KoGuan มหาเศรษฐีชาวจีน ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาคือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับที่ 3 ของ Tesla การปรับตัวขึ้นดังกล่าว ทำให้ Leo KoGuan ร่ำรวยขึ้นถึง 12,100 ล้านดอลลาร์ Larry Ellison ผู้ก่อตั้ง Oracle ที่ลงทุนใน Tesla มาตั้งแต่ปี 2018 โดยตอนนี้หุ้น Tesla ที่ Larry Ellison ถือครอง มีมูลค่าถึง 18,100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของมูลค่าการถือครอง Oracle ของ Larry Ellison การบริจาคเพื่อการกุศลขนาดใหญ่เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความมั่งคั่งของ Warren Buffett ลดลง โดย Warren Buffett ในวัย 91 ปี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา เขาได้บริจาคส่วนหนึ่งของหุ้น Berkshire ผ่านองค์กรการกุศลต่างๆ รวมถึงมูลนิธิ Bill & Melinda Gates เป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 41,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ล้านล้านบาท ในขณะที่ Elon Musk ในวัย 50 ปี กล่าวผ่านทาง Twitter ว่า เขาพร้อมจะขายหุ้น Tesla ตอนนี้ เพื่อมาบริจาคเงินจำนวน 6,000 ล้านดอลลาร์ หาก UN สามารถอธิบายได้อย่างโปร่งใสว่าจะใช้เงินดังกล่าวแก้ไขปัญหาความหิวโหยบนโลกอย่างไร อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-11-01/elon-musk-is-now-three-times-richer-than-warren-buffett?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla Warren Buffett แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA x Franklin Templeton Insights I เจาะลึกหุ้นเติบโตล้อเทรนด์ Climate Change - FINNOMENA พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: เจาะลึกหุ้นเติบโตล้อเทรนด์ Climate Change คุณ Craig Cameron, Portfolio Manager, Templeton Global Equity Group 2 พ.ย. 2564 พบกับ Session พิเศษ Franklin Templeton Insights: เจาะลึกหุ้นเติบโตล้อเทรนด์ Climate Change คุณ Craig Cameron, Portfolio Manager, Templeton Global Equity Group <span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span><span data-mce-type="bookmark" style="display: inline-block; width: 0px; overflow: hidden; line-height: 0;" class="mce_SELRES_start"></span> รายละเอียดเพิ่มเติม ความร่วมมือระหว่าง FINNOMENA x Franklin Templeton FINNOMENA x Franklin Templeton : https://finno.me/ftxfinnomena FINNOMENA x Franklin Templeton Investor Base : https://finno.me/investorbase FINNOMENA Franklin Templeton, global trend, market outlook อ่านอะไรต่อดี 5 ประโยคทองของมิจฉาชีพชวนลงทุน รู้ให้ทันก่อนหลงเชื่อ FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว ร่วมด้วยช่วยแชร์ FINNOMENA ติดตามเราผ่านไลน์ @Finnomena
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น บวกแรงกว่า 2% ตอบรับ ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ พรรค LDP คว้าชัยเลือกตั้งญี่ปุ่น เตรียมไฟเขียวกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ - FINNOMENA เช้านี้ (1 พ.ย.) ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรงกว่า 2% รับข่าวผลการเลือกตั้งญี่ปุ่น โดยดัชนี Nikkei บวก 2.1% ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเครื่องจักร, กลุ่มอาหาร และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 1 พ.ย. 2564 เช้านี้ (1 พ.ย.) ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นแรงกว่า 2% รับข่าวผลการเลือกตั้งญี่ปุ่น โดยดัชนี Nikkei บวก 2.1% ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเครื่องจักร, กลุ่มอาหาร และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โดย Toyota Tsusho, Advantest, Japan Tobacco, Sony และ Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ที่บวกตั้งแต่ 4-7% ผลการเลือกตั้งทั่วไปแบบไม่เป็นทางการของญี่ปุ่น รายงานว่า พรรค LDP ของ ฟูมิโอะ คิชิดะ สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ โดยสมาชิกพรรค LDP ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 261 ที่นั่ง แม้นี่จะเป็นผลการเลือกตั้งที่แย่ที่สุดในรอบ 12 ปี ของพรรค LDP แต่พรรค LDP จะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคโคเมอิโตะ อีก 29 ที่นั่ง ทำให้สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเกณฑ์ขั้นต่ำของการครองเสียงข้างมากในสภา คือ อย่างน้อย 233 เสียง ฟูมิโอะ คิชิดะ กล่าวว่า หากพรรค LDP และพรรคร่วมรัฐบาล สามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นแปลว่า นี่คือการมอบอำนาจในการบริหารประเทศจากประชาชน Akira Amari เลขาธิการ พรรค LDP ซึ่งเสียที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ยังคงอยู่ในรัฐสภาผ่านการลงคะแนนเสียงตามสัดส่วน กล่าวว่า การที่พรรค LDP ได้รับความนิยมลดลงในครั้งนี้ เป็นผลมาจากความล้มเหลวของรัฐบาลในการจัดการกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 Akira Amari กล่าวว่า จะลงจากตำแหน่งเลขาธิการ ซึ่งนี่จะทำให้ ฟูมิโอะ คิชิดะ ตกที่นั่งลำบาก เพราะ การสูญเสีย Akira Amari ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพลังงาน จะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายต่างๆ ที่สำคัญ แต่หากรั้ง Akira Amari ไว้ อาจทำให้สมาชิกพรรคคนอื่นๆ รู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่ พรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น ซึ่งไม่ได้เป็นพันธมิตรร่วมกับพรรคฝ่ายค้านที่เหลือ มีที่นั่งเพิ่มมากถึง 3 เท่า จากปีที่แล้ว เป็นเกือบ 40 ที่นั่ง ซึ่งพรรคนวัตกรรมญี่ปุ่นมีอุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม ทำให้อาจส่งผลต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของพรรค LDP คาดว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ จะเริ่มร่างแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่มีมูลค่าราว 30 ล้านล้านเยน (263 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)โดยทันที หลังการประชุมสภาพิเศษในวันที่ 10 พ.ย. โดยหนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจคือ การจ่ายเงินสดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงครอบครัวที่มีเด็ก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังได้แรงหนุนจากจากการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) เดือน ต.ค. ที่ระดับ 53.2 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ย. ที่ 51.5 จุด เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 เดือน และอัตราการว่างงานประจำเดือน ก.ย. ที่ระดับ 2.8% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือน ส.ค. ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนล่าสุดสูงกว่าระดับ 70% ของประชากร ส่งผลให้รัฐบาลคลายมาตรการล็อกดาวน์หนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักขึ้น อ้างอิง: https://asia.nikkei.com/Politics/Japan-election/Japan-s-ruling-LDP-secures-sole-majority-in-lower-house-election https://www.dailynews.co.th/news/429928/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert หุ้นญี่ปุ่น แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Facebook เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Meta’ ก้าวสู่โลกเทคโนโลยีเสมือนจริง ภายใต้แนวคิด Metaverse - FINNOMENA Facebook เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Meta’ สะท้อนอัตลักษณ์ใหม่ที่จะไม่ใช่เพียงบริษัทโซเชียลมีเดียอีกต่อไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงภายใต้แนวคิด Metaverse 29 ต.ค. 2564 Facebook เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘Meta’ สะท้อนอัตลักษณ์ใหม่ที่จะไม่ใช่เพียงบริษัทโซเชียลมีเดียอีกต่อไป โดยมุ่งเน้นส่งเสริมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงภายใต้แนวคิด Metaverse Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook กล่าวว่า Metaverse คือ โลกอนาคตข้างหน้า ซึ่งโนโลกของ Meta ผู้คนสามารถรวมตัวกันบนโลกเสมือนจริง ทั้งการพบปะ ทำงาน ออกไปท่องเที่ยว ซื้อของออนไลน์ หรือเข้าสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านการจำลองภาพเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) ร่วมกับ เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (Augmented Reality: AR) ชื่อใหม่ไม่ได้ส่งผลต่อโครงสร้างเดิมของโซเชียลมีเดียต่างๆ โดย Facebook, Whatsapp, Messenger และ Instagram จะยังคงใช้ชื่อเดิมต่อไป แต่สัญลักษณ์ของบริษัทในตลาดหุ้นจะเปลี่ยนเป็น MVRS ตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป Mark Zuckerberg กล่าวว่า ชื่อเดิม Facebook ไม่สามารถสะท้อนถึงทุกสิ่งที่บริษัทกำลังทำอยู่ตอนนี้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงในอนาคต โดยนอกจากธุรกิจโซเชียลมีเดียแล้ว Facebook ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับ AR และ VR ต่างๆ ที่เชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน เช่น หูฟัง Oculus VR ที่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก การเปลี่ยนชื่อเป็นไปตามการเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดย Meta กล่าวว่าจะเริ่มแบ่งเงินลงทุนไปยังแผนก Reality Labs ซึ่งรวมถึงแผนกฮาร์แวร์ Oculus และประกาศเพิ่มแผนจ้างงานทักษะสูง 1,000 ตำแหน่งในสหภาพยุโรป โดย Mark Zuckerberg เชื่อว่า Meta จะกลายเป็นระบบนิวเศน์ใหม่ที่สามารถเข้าถึงผู้คนกว่า 1,000 ล้านคนภายในทศวรรษหน้า นี่ไม่ใช่การรีแบรนด์ของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก โดยก่อนหน้านี้ในปี 2015 Google ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet เพื่อสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและมีความรับผิดชอบมากขึ้น มาดูแลธุรกิจย่อยที่แตกต่างกัน โดยตอนนี้ Alphabet กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ดูแลหลากหลายธุรกิจ เช่น Google ธุรกิจอินเทอร์เน็ต, Waymo รถยนต์ไร้คนขับ และ Verily บริษัทด้านชีววิทยา เป็นต้น นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ความพยายามในการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดจากการที่ Facebook ต้องการเบี่ยงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นต่อผู้ใช้งาน หลังถูกอดีตพนักงานออกมาแฉว่า Facebook เลือกกำไรมาก่อนความปลอดภัย และเพิกเฉยต่อ Hate Speech ที่ส่งผลลบต่อผู้ใช้งานโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง นอกจากนี้ Meta อาจมีเหตุผลอื่นในการเปลี่ยนภาพลักษณ์บริษัท หลังจำนวนผู้ใช้งานวัยรุ่นของ Facebook ลดลงอย่างมาก โดยได้รับแรงกดดันจากบริษัทโซเชียลมีเดียหน้าใหม่ เช่น TikTok ของ Bytedance ซึ่ง Mark Zuckerberg กล่าวในวันจันทร์ (25 ต.ค.) ที่ผ่านมาว่า Meta จะมุ่งเน้นดึงดูดผู้ใช้งานวัยรุ่นอีกครั้ง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-28/facebook-changes-name-to-meta-in-embrace-of-virtual-reality?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/facebook-inc-rebrands-as-meta-to-stress-metaverse-plan-/6289837.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Facebook Mark Zuckerberg Meta Metaverse News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โควิดอาเซียน กระทบผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น โตโยต้ากำลังการผลิตวูบ 39% ฮอนด้าและนิสสันโดนด้วย - FINNOMENA โตโยต้ารายงาน ยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกเดือน ก.ย. ลดลงมากกว่า 1 ใน 3 จากปีที่แล้ว จากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น 28 ต.ค. 2564 โตโยต้ารายงาน ยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกเดือน ก.ย. ลดลงมากกว่า 1 ใน 3 จากปีที่แล้ว จากการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่น ยอดผลิตรถยนต์ของโตโยต้าในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 512,765 คัน จาก 841,915 คัน ในปีที่แล้ว หรือลดลงประมาณ 39% ขณะที่ยอดขายทั่วโลกในเดือน ก.ย. ลดลง 16% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 13 เดือน ปริมาณการผลิตที่ลดลงสอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่โตโยต้าประกาศว่าจะลดการผลิตในเดือน ก.ย. ลงประมาณ 40% หรือ 360,000 คัน จากแผนการเดิม รายงานดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงลดกำลังการผลิต โดยทั้งโตโยต้า, ฮอนด้า และ นิสสัน เริ่มปรับลดการผลิตในเดือน ก.ย. เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภูมิภาคอาเซียน ส่งผลให้การดำเนินงานของซัพพลายเออร์หยุดชะงัก ซึ่งปัญหานี้จะส่งผลต่อแผนการผลิตไปจนถึงเดือนหน้า นิสสันรายงานผลการดำเนินงานในเดือน ก.ย. โดยยอดผลิตลดลง 28% และ ยอดขายลดลง 21% จากปีที่แล้ว ในขณะที่ ยอดผลิตของฮอนด้าลดลง 30% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 อย่างไรก็ดี การผลิตรถยนต์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โตโยต้าตั้งเป้าการผลิตเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2019 และ 2020 โดยบริษัทวางแผนเพิ่มการผลิตในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณเพื่อชดเชยการผลิตที่สูญเสียไป นักวิเคราะห์ของ Citi ระบุว่า โตโยต้าวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ 9 ล้านคันในปีนี้ ซึ่งเป้าหมายมีแนวโน้มชัดเจนขึ้นเมื่อพิจารณาจากระดับการผลิตในเดือน พ.ย. และโมเมนตัมการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทาน โตโยต้าและฮอนด้าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในสัปดาห์หน้า โดยโตโยต้าจะประกาศงบในวันที่ 4 พ.ย. ฮอนด้าจะประกาศงบในวันที่ 5 พ.ย. และ นิสสันจะประกาศงบในวันที่ 9 พ.ย. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-28/toyota-output-plunges-on-southeast-asia-supply-chain-issues ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update นิสสัน รถยนต์ ฮอนด้า โตโยต้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ผู้เชี่ยวชาญเสียงแตก ต่อมุมมองหุ้นจีน HSBC, Nomura และ UBS ทยอยปรับมุมมองดีขึ้น แต่ฝั่งค้านเตือน ราคาไม่คุ้มความเสี่ยง - FINNOMENA การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นจีนในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายสถาบันการเงินเริ่มมีมุมมองบวกมากขึ้น หลังหุ้นจีนกลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่น่าลงทุนในไตรมาสที่ผ่านมา 28 ต.ค. 2564 การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นจีนในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายสถาบันการเงินเริ่มมีมุมมองบวกมากขึ้น หลังหุ้นจีนกลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่น่าลงทุนในไตรมาสที่ผ่านมา 🇨🇳 หลายสถาบันการเงินปรับมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อหุ้นจีน HSBC, Nomura และ UBS ทยอยปรับมุมมองบวกต่อหุ้นจีน ด้วยมูลค่าหุ้นที่ไม่แพง และความกังวลจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เริ่มลดลง ด้าน BlackRock และ Fidelity ยังคงลงทุนในหุ้นจีน ขณะที่ Morgan Stanley แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้เก็งกำไรของจีน เพราะราคาตกต่ำเกินไปมาก ซึ่งเงินหยวนที่แข็งค่ายังคงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับนักวิเคราะห์สกุลเงิน เหตุผลสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองบวกในตอนนี้คือ หุ้นจีนคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือ หุ้นจีนไม่เคยถูกเท่านี้มาก่อน โดยพวกเขากำลังเดิมพันว่า ราคาหุ้นกำลังสะท้อนถึงการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ การเติบโตของเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และการคุมเข้มบริษัทเอกชนของ ปธน.สี จิ้นผิง การรีบาวด์ในช่วงเดือน ต.ค. ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่าหุ้นจีนกำลังเข้าสู่เดือนที่ดีที่สุดของปี ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้ความเสี่ยงสูงของจีนพุ่งสูงสุดในรอบ 18 เดือน และเงินหยวนกำลังแข็งค่าที่สุดในรอบ 5 ปี Dale Nicholls ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของ Fidelity สถาบันการเงินรายแรกๆ ที่มีมุมมองบวกต่อหุ้นจีน กล่าวว่า ตอนนี้ความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน การลงทุนเป็นเรื่องของผลตอบแทนจากความเสี่ยง ซึ่งหุ้นจีนน่าลงทุนมากขึ้นหลังการเคลื่อนไหวล่าสุด ล่าวุด (27 ต.ค.) HSBC ชี้ว่า นักลงทุนมีมุมมองลบมากเกินไปต่อตลาดหุ้นจีน ด้วยมูลค่าของหุ้นจีนที่อยู่ในระดับต่ำจะทำให้กองทุนทั่วโลกกลับไปลงทุนที่จีน และตอนนี้ดัชนี MSCI China มีมูลค่าซื้อขายเพียง 1.94 เท่าของมูลค่าทางบัญชี เทียบกับ 3 เท่าของดัชนีหุ้นโลก 🇨🇳 แม้ความเชื่อมั่นจะเพิ่มขึ้น แต่ความเสี่ยงในตลาดหุ้นจีนยังคงมีอยู่ แม้ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นจีนจะเพิ่มขึ้น แต่การผิดนัดชำระหนี้ที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคุกรุ่น แสดงให้เห็นถึงความไม่เชื่อมโยงกันระหว่างความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความเสี่ยงในตลาด มุมมองบวกที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการขาดทุน ซึ่งเห็นได้จากการปรับตัวลงอย่างแรงของหุ้นเทคโนโลยีจีนในปีนี้ ทั้งที่นักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองบวกต่อหุ้นจีนในรอบทศวรรษ จนทำให้ Tencent มีมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) นักลงทุนได้รับคำเตือนว่าหุ้นจีนสามารถผันผวนได้เร็วเพียงใด เมื่อดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 2.1% หลังความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ปะทุขึ้น จากทั้งประเด็นที่สหรัฐฯ เรียกร้องให้ไต้หวันมีบทบาทมากขึ้นใน UN รวมถึงการสั่งแบนบริษัทโทรคมนาคมของจีนในสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความเสี่ยงอีกมากมาย ทั้งมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของจีนเพื่อจัดการกับการแพร่ระบาด ในขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังส่งสัญญาณชะลอตัว ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งพากันปรับลดประมาณการการเติบโตของ GDP จีน ทั้งในปีนี้และปีหน้า 🇨🇳 สถาบันการเงินส่วนหนึ่งยังมองว่าหุ้นจีนไม่น่าลงทุน Citigroup กล่าวว่า ประเทศจีนไม่สนใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะกำลังมุ่งมั่นจัดการตลาดอสังหาฯ เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้ Evergrande และนักพัฒนาอสังหาฯ กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ที่รุนแรงมากขึ้น Peter Garnry จาก Saxo Bank ยังคงระมัดระวังและไม่เปลี่ยนมุมมองต่อตลาดหุ้นจีน โดยมองว่า มูลค่าหุ้นจีนไม่ได้ถูก หากพิจารณาจากความเสี่ยงทั้งในอสังหาฯ, ตราสารหนี้, ห่วงโซ่อุปทาน, สถานการณ์โควิด และที่สำคัญคือ นโยบายความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของปธน. สีจิ้นผิง ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ดัชนี MSCI China ปรับตัวลงมาถึง 18% ในไตรมาสที่ 3 นโยบายของ สี จิ้นผิง ที่ควบคุมภาคเอกชนมากขึ้นทำให้หลายคนมองว่าหุ้นจีนอาจไม่สามารถลงทุนได้อีกต่อไป โดย Cathie Wood CEO ของ ARK เตือนว่า ตลาดหุ้นจีนจะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากมูลค่าเป็นเวลานาน ขณะที่ George Soros พ่อมดการลงทุน แนะนำให้นักลงทุนอยู่ห่างจากตลาดหุ้นจีน นักวิเคราะห์สินเชื่อของ Morgan Stanley กล่าวว่า ความตื่นตระหนกส่งผลต่อตลาดสินเชื่ออย่างรุนแรง ผลตอบแทนของพันธบัตรเก็งกำไรพุ่งสูงขึ้นถึง 20% ในขณะที่ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Credit Spread) กว้างเป็นประวัติการณ์ Gilbert Wong หัวหน้าวิจัยภูมิภาคเอเชียจาก Morgan Stanley กล่าวว่า แม้จะเริ่มเห็นการกลับมาของตลาดหุ้นจีนในเดือน ต.ค. แต่เราขอเตือนนักลงทุนอีกครั้งว่าการปรับตัวขึ้นครั้งนี้อาจเป็นเพียงแค่ระยะสั้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-27/bulls-pile-into-china-s-markets-just-as-risks-start-to-multiply?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นเวียดนามร้อนแรง ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ นักลงทุนหวังมาตรการ เปิดเมือง-กระตุ้นเศรษฐกิจ - FINNOMENA ดัชนี VNI พุ่งขึ้น 2.26% ปิดที่ระดับ 1,423.02 จุด สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีข่าวรัฐบาลเวียดนามเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง 28 ต.ค. 2564 เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) ดัชนี VNI พุ่งขึ้น 2.26% ปิดที่ระดับ 1,423.02 จุด สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีข่าวรัฐบาลเวียดนามเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โบรกเกอร์ชั้นนำในเมืองโฮจิมินห์ระบุ นักลงทุนคาดหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่จะทำให้ดัชนี VNI ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี รวมถึงกลัวเสียโอกาสทำกำไรในจังหวะตลาดขาขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวอาจมีมูลค่าสูงถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ ครอบคลุมตั้งแต่ การใช้นโยบายการคลัง การลดภาษี พัฒนาระบบขนส่ง ไปจนถึงการอุดหนุนและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์โควิด-19 ในเวียดนามมีแนวโน้มดีขึ้น โดย 55% ของประชากร 98 ล้านคนได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม อย่างไรก็ตาม มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม โดยล่าสุด เริ่มมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะเปิดโรงเรียนอีกครั้ง หลังปิดไปนานกว่าครึ่งปีจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HoSE) พุ่งขึ้น 35% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ หุ้นทุกตัวในดัชนี VNI 30 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัทชั้นนำปิดในแดนบวก นำโดย Petrovietnam Gas บริษัทผลิตก๊าซของรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น 6.9% ในขณะที่ SSI Securities บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ปรับเพิ่มขึ้น 4% และ VietinBank ธนาคารของรัฐ เพิ่มขึ้น 4% หุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นน้อยสุด ได้แก่ Petrovietnam Power Corporation ผู้ผลิตไฟฟ้า, Novaland Group ผู้พัฒนาอสังหาฯ และ Phat Dat Real Estate Development โดยราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% รายงานการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 1,020 ล้านดอง โดยเน้นไปที่หุ้น Nam Long ผู้พัฒนาอสังหาฯ และ Vincom Retail บริษัทค้าปลีกด้านอสังหาฯ สำหรับดัชนี HNX ในตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (HNX) ซึ่งประกอบด้วยหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพิ่มขึ้น 1.65% ในขณะที่ดัชนี UPCoM ซึ่งประกอบด้วยหุ้นที่ยังไม่ได้จดทะเบียนใน HoSE และ HNX เพิ่มขึ้นที่ 0.78% อ้างอิง: https://e.vnexpress.net/news/business/economy/vn-index-hits-new-historic-peak-4374996.html https://www.ncadvertiser.com/news/article/Vietnam-starts-vaccinating-kids-in-effort-to-16567225.php ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นเวียดนาม เวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: HSBC แนะนำ ‘เพิ่มน้ำหนัก’ หุ้นจีน มองหุ้นจีนไม่เคยถูกเท่านี้มาก่อน อสังหาฯ - เฮลท์แคร์ - การเงิน มูลค่าน่าสนใจ - FINNOMENA HSBC เพิ่มมุมมองบวกตลาดหุ้นจีนเป็น ‘Overweight’ หรือ ‘เพิ่มน้ำหนัก’ การลงทุน หลังมองเห็นมูลค่าที่น่าสนใจในภาคอสังหาฯ เฮลท์แคร์ และ ธนาคารบางแห่ง ชี้นักลงทุนมีมุมมองลบต่อตลาดหุ้นจีนมากไป 27 ต.ค. 2564 HSBC เพิ่มมุมมองบวกตลาดหุ้นจีนเป็น ‘Overweight’ หรือ ‘เพิ่มน้ำหนัก’ การลงทุน หลังมองเห็นมูลค่าที่น่าสนใจในภาคอสังหาฯ เฮลท์แคร์ และ ธนาคารบางแห่ง ชี้นักลงทุนมีมุมมองลบต่อตลาดหุ้นจีนมากไป เมื่อวานนี้ (26 ต.ค.) Herald van der Linde หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารทุนในเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า แม้ตอนนี้จีนกำลังดิ้นรนต่อการเติบโตที่ชะลอตัวและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า แต่ตลาดรับรู้ข่าวลบและได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว หลายสถาบันการเงินทั้ง HSBC, BlackRock, UBS และ Fidelity ต่อต้านมุมมองที่ว่า หุ้นจีนไม่สามารถลงทุนได้ในปีนี้ จากความกังวลเรื่องการคุมเข้มบริษัทเอกชนของรัฐบาลจีน ที่ส่งผลให้ในไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนมีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ HSBC กล่าวว่า การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จัดขึ้นทุก 5 ปี ซึ่งจะมีการประชุมอีกครั้งในปีหน้า มีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะออกมาตรการเพื่อรับรองการเติบโตของเศรษฐกิจจีน แต่ทว่ากองทุนรวมส่วนใหญ่ยังคง Underweight หุ้นจีนอยู่ นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังสนใจในการคุมเข้มด้านกฎระเบียบของรัฐบาลจีน รวมถึงวิกฤติสภาพคล่อง Evergrande ในขณะที่ HSBC กำลังให้ความสนใจกับ P/E ratio ในรอบ 12 เดือนของหุ้นจีน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า เมื่อเทียบกับ 17 เท่า เมื่อตอนต้นปี HSBC กล่าวว่า หุ้นจีนไม่แพง และไม่เคยถูกขนาดนี้มาก่อน หากเทียบกับตลาดหุ้นอินเดียในตอนนี้ที่ดัชนี FTSE India แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยระบุว่า ภาคอสังหาฯ จีนมีมูลค่ามหาศาล และมีคำแนะนำซื้อหุ้น Shimao Group, China Resources Land และ Longfor Group ดัชนี MSCI China ปรับตัวลงถึง 1 ใน 3 จากจุดสูงสุดในเดือน ก.พ. มาสู่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 6 ต.ค. ก่อนจะปรับขึ้นมาประมาณ 10% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-26/hsbc-upgrades-china-stocks-to-overweight-in-rebuff-to-pessimists?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: HSBC News Update จีน ตลาดหุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามวิ่งแรง +2.26% หลังมีข่าวรัฐบาลเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจ - FINNOMENA ดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นและปิดตลาดที่ 2.26% ทดสอบระดับ All time high หลังมีข่าวว่ารัฐบาลจะอัดฉีดมาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ 27 ต.ค. 2564 ดัชนี VNI ปรับตัวขึ้นและปิดตลาดที่ 2.26% ทดสอบระดับ All time high หลังมีข่าวว่ารัฐบาลจะอัดฉีดมาตรการกระตุ้นครั้งใหญ่ ซึ่งนักลงทุนในตลาดคาดว่าจะมีขนาดถึง 35,000 ล้านดอลลาร์ มาตรการกระตุ้นครั้งนี้ครอบคลุมถึงการใช้นโยบายการคลัง การลดภาษี พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะกลุ่มขนส่ง มากไปกว่านั้นยังอุดหนุนธุรกิจและกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แม้ข่าวดังกล่าวจะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ FINNOMENA Investment Team มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนามและได้มีคำแนะนำเพิ่มสัดส่วนกองทุนหุ้นเวียดนามในพอร์ตแนะนำ ซึ่งประกอบกับการฟื้นตัวหลังควบคุมการแพร่ระบาดได้ ส่งให้การปรับประมาณการ EPS ช่วยหนุนมูลค่าที่น่าสนใจของตลาดหุ้นเวียดนามให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ที่มา: Bloomberg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alphabet บริษัทแม่ Google งบ Q3 ดีเกินคาด แต่รายได้โฆษณาบน YouTube เริ่มชะลอ ธุรกิจคลาวด์ ยังตามหลัง Amazon-Microsoft - FINNOMENA Alphabet บริษัทแม่ของ Google รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่รายได้จาก YouTube และ Google Cloud ที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 1% หลังเวลาทำการซื้อขาย 27 ต.ค. 2564 Alphabet บริษัทแม่ของ Google รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่รายได้จาก YouTube และ Google Cloud ที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงเล็กน้อยที่ 1% หลังเวลาทำการซื้อขาย รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 เทียบกับคาดการณ์โดยนักวิเคราะห์ กำไรต่อหุ้น (EPS): $27.99 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $23.48 รายได้: 65,120 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 63,340 ล้านดอลลาร์ รายได้จากการโฆษณาบน YouTube: 7,200 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 7,400 ล้านดอลลาร์ รายได้จากการโฆษณาบน Google: เพิ่มขึ้น 43% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 53,130 ล้านดอลลาร์ รายได้ Google Cloud: 4,990 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 5,070 ล้านดอลลาร์ ค่าใช้จ่ายในการเพิ่มทราฟฟิคบนเว็บไซต์ (TAC): 11,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 11,160 ล้านดอลลาร์ Sundar Pichai CEO ของ Alphabet พยายามรักษารายได้ของบริษัทโดยให้ความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ E-commerce, YouTube และ ธุรกิจคลาวด์ อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่ควบคุมไม่ได้ เช่น วิกฤติห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ค้าปลีกและบริษัทโฆษณาซึ่งเป็นลูกค้าหลักของ Alphabet แม้ธุรกิจ Google Cloud ภายใต้การบริหารงานของ Thomas Kurian จะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว แต่ยังคงตามหลังผู้นำอย่าง Amazon และ Microsoft อย่างไรก็ดี Sundar Pichai แสดงความเชื่อมั่นและกล่าวว่า Google Cloud มีโมเมนตัมในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารกล่าวเพิ่มเติมว่า ยอดขายจาก Google Play Store ได้รับผลกระทบจากการลดค่าคอมมิชชั่นลง หลังบริษัทได้รับแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลและผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ในขณะที่ Facebook และ Snap ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการ iOS 14 ของ Apple แต่ Google ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมากนัก เพราะบริษัทเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการ Android ราคาหุ้น Alphabet เพิ่มขึ้นกว่า 58% ตั้งแต่ต้นปี หลังนักลงทุนเดิมพันว่า Google มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจช่วงการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง และมีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้น อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/26/alphabet-goog-earnings-q3-2021.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-26/alphabet-sales-top-estimates-after-ads-e-commerce-fuel-growth?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet google News Update ประกาศงบ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Microsoft เติบโตแข็งแกร่ง รายได้เพิ่ม 22% กำไรพุ่ง 48% ยอดขาย Azure ธุรกิจคลาวด์ โต 50% - FINNOMENA ราคาหุ้น Microsoft ปรับเพิ่มขึ้น 2% หลังเวลาทำการซื้อขาย ตอบรับรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2022 ดีกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจคลาวด์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง 27 ต.ค. 2564 เช้านี้ (27 ต.ค.) ราคาหุ้น Microsoft ปรับเพิ่มขึ้น 2% หลังเวลาทำการซื้อขาย ตอบรับรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2022 ดีกว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจคลาวด์ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รายได้ของ Microsoft เติบโต 22% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 45,320 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 43,970 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 48% อยู่ที่ 20,500 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $2.27 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $2.07 รายได้จากธุรกิจคลาวด์ ซึ่งประกอบด้วย Azure public cloud, ธุรกิจบริการองค์กร, GitHub, SQL Server, System Center, Visual Studio และ Windows Server เติบโต 31% อยู่ที่ 16,960 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 16,510 ล้านดอลลาร์ Satya Nadella CEO ของ Microsoft กล่าวถึงความสำเร็จของบริษัทในด้านการประมวลผลบนคลาวด์ (Cloud Computing) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Azure บริการระบบคลาวด์สำหรับองค์กร ที่ยอดขายเติบโต 50% จากปีที่แล้ว ในขณะที่ยอดขาย Office 365 สำหรับลูกค้าธุรกิจเพิ่มขึ้น 23% จากความต้องการใช้ฟีเจอร์ขั้นสูงเพิ่มขึ้น Amy Hood ประธานฝ่ายการเงินของ Microsoft กล่าวว่า บริษัทคาดหวังการเติบโตที่แข็งแกร่งในไตรมาสหน้าของ Azure ที่มีแนวโน้มการใช้งานสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัทยังคงได้รับประโยชน์จากโมเมนตัมของ Office 365 แม้จะเริ่มมีอัตราการเติบโตที่ลดลง จากฐานการติดตั้งที่เพิ่มขึ้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นของ Microsoft แตะระดับสูงสุดตลอดกาล สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีมุมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัท โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 39% ตั้งแต่ต้นปี เทียบกับ ดัชนี S&P500 ที่ปรับเพิ่มขึ้น 22% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2021/10/26/microsoft-msft-earnings-q1-2022.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-10-26/microsoft-s-cloud-computing-strength-fuels-sales-profit-growth?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Azure Microsoft News Update ประกาศงบ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }