text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.3% หลังจีนรายงาน PMI แย่กว่าคาด - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.3% และตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลง 1% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ต่ำกว่าคาด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.8 แย่กว่าตลาดคาดที่ 51.4 31 พ.ค. 2566 วันนี้ (31 พฤษภาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.3% และตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลง 1% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ต่ำกว่าคาด โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคมของจีนอยู่ในโซนหดตัวที่ 48.8 แย่กว่าตลาดคาดที่ 51.4 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 49.2 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการบริการอยู่ที่ 54.5 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 54.9 และลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 56.4 โดยภาคการผลิตจีนได้รับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่อุปสงค์ภายนอกประเทศยังอ่อนแอเนื่องจากสหรัฐฯซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้บรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังสหรัฐฯกล่าวหาจีนว่าได้มีการซ้อมอย่างแข็งกร้าวโดยไม่จำเป็น รวมถึงจีนปฏิเสธคำเชิญจากสหรัฐฯสำหรับเข้าร่วมประชุมของฝ่ายกลาโหม ซึ่งจะมีตัวแทนจากปลายประเทศเข้าร่วมประชุมในสัปดาห์นี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าในช่วงสั้นแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเริ่มสะดุดจากการฟื้นตัวไม่เต็มของภาคการบริโภค ซึ่งสะท้อนจากความมั่นใจผู้บริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากจากระดับหนี้ของจีนที่ยังอยู่ในระดับสูง แต่เราคาดว่าในระยะถัดไปเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวได้ต่อหลังจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางฟื้นตัวมากขึ้นหลังยกเลิกมาตรการ Zero Covid ตลาดหุ้น All China มี Valuation ลดลงมาใกล้จุด -1 S.D. เมื่อเทียบกับหุ้นโลก เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาลงมาในจุดที่ Valuation น่าสนใจ อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมี Upside ให้ฟื้นตัว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Nvidia มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Cathie Wood เตือนมูลค่าแพงเกินแล้ว - FINNOMENA บริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวีเดีย (Nvidia Corp) กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รายล่าสุดในวันอังคาร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ในปัจจุบัน 31 พ.ค. 2566 บริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อินวีเดีย (Nvidia Corp) กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านล้านดอลลาร์รายล่าสุดในวันอังคาร ท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ในปัจจุบัน ทำให้มูลค่าหุ้นของ Nvidia พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว 25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนแตะระดับ 411 ดอลลาร์ต่อหุ้นในขณะนี้ และทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งพอๆ กับบริษัทเทคโนโลยี อัลฟาเบ็ต (Alphabet) เจ้าของกูเกิล (Google) Nvidia ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งที่ 5 ที่มีมูลค่าแตะระดับหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ต่อจาก แอปเปิล (Apple), อัลฟาเบ็ต (Alphabet), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) และ แอมะซอน (Amazon) ขณะที่ Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest มองว่า หุ้น Nvidia ที่เป็นลูกรักของนักลงทุนตอนนี้มูลค่า ‘แพง’ เกินแล้ว Cathie Wood กล่าวใน Twitter เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ว่า บริษัทชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกมีราคาแพงเกินไปแล้ว หลังกองทุน ARKK ของบริษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นเมื่อต้นเดือน ม.ค. ก่อนที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า จนมีมูลค่าตลาด 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มา: https://www.voathai.com/a/nvidia-joins-trillion-dollar-club-on-booming-ai-demand/7115458.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-30/too-rich-for-cathie-wood-nvidia-shares-stretch-valuation-limits?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cathie Wood News Update Nvidia แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ออกมาอธิบายแล้วว่าทำไม ARKK ถึงขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% - FINNOMENA Cathie Wood ออกมาบอกว่าที่ Ark Invest ตัดสินใจขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% เป็นเพราะวัฏจักรที่เฟื่องฟูของอุตสาหกรรมนั้นมี ‘ความเสี่ยง’ 29 พ.ค. 2566 Cathie Wood ออกมาบอกว่าที่ Ark Invest ตัดสินใจขายหุ้น Nvidia ก่อนที่ราคาจะพุ่งขึ้น 160% เป็นเพราะวัฏจักรที่เฟื่องฟูของอุตสาหกรรมนั้นมี ‘ความเสี่ยง’ ก่อนหน้านี้ กองทุนเรือธงของ Ark Invest อย่าง ARK Innovation ETF หรือ ARKK ได้ ‘ลดสัดส่วน’ หุ้น Nvidia ออกมาในเดือน ม.ค. ทำให้ ‘พลาด’ การทำกำไรในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นมามากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (25 พ.ค.) เพียงวันเดียว ราคาหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นมา 24% หลังจากออกมาคาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 53% Cathie Wood ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg TV ว่า ยิ่งราคาหุ้น Nvidia วิ่งไปเท่าไร ยิ่งทำให้ Ark ต้องลดสัดส่วนการลงทุนลงชั่วคราว และเมื่อได้ยินคำว่า ‘ขาดแคลน’ ซ้ำๆ เกี่ยวกับการ์ดจอ (GPU) หรืออะไรก็ตาม มันทำให้ Cathie Wood เริ่มคิดว่าถึงเวลาวัฏจักรของหุ้นกลุ่มนี้แล้ว Cathie Wood อธิบายต่อว่า Nvidia ยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในการผลิตชิปสำหรับโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหลัง AI อย่างเช่น Tesla, Meta และ Alphabet ที่กำลังพัฒนาชิปของตนเอง ตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา กองทุน ARKK ของ Cathie Wood เพิ่มขึ้น 25% แซงหน้า S&P 500 ที่ +9.4% แต่ยังน้อยกว่าดัชนี Nasdaq 100 ที่พุ่งขึ้นมากกว่า 30% นอกจากนี้ Cathie Wood ยังบอกว่า Ark กำลังเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นกลุ่มอื่นที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยค้นพบ เหมือนที่ก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า Nvidia คือหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก AI แต่เพิ่งจะมาสนใจกันเมื่อไม่นานมานี้ Cathie Wood กล่าวว่า กลยุทธ์ของ Meta ในการเน้นไปที่ AI นั้น ‘น่าสนใจ’ เพราะโมเดลภาษา LLaMA AI ของ Meta สามารถนำเสนอโมเดลที่ดีกว่า โดยใช้พลังการประมวลผลที่น้อยลงและข้อมูลที่มากขึ้น ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-26/cathie-wood-defends-bailing-on-nvidia-citing-risk-of-chip-cycle-li4vonws?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดขาลงใกล้จบ? เฮดจ์ฟันด์แห่ซื้อหุ้นสหรัฐฯ ตามโมเมนตัมของ S&P 500 ดันดัชนีเกือบทะลุ 4,200 จุด - FINNOMENA เหล่าเฮดจ์ฟันด์ที่ทั้ง Bull และ Bear ในหุ้นได้ทำการ ‘ซื้อ’ หุ้นสหรัฐฯ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากกก่อนหน้านี้ ‘ขาย’ หุ้นสหรัฐฯ มา 5 สัปดาห์ติด 23 พ.ค. 2566 ข้อมูลที่รวบรวมโดย Goldman Sachs ระบุว่า เหล่าเฮดจ์ฟันด์ที่ทั้ง Bull และ Bear ในหุ้นได้ทำการ ‘ซื้อ’ หุ้นสหรัฐฯ ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากกก่อนหน้านี้ ‘ขาย’ หุ้นสหรัฐฯ มา 5 สัปดาห์ติด ส่วนที่ Morgan Stanley เหล่าลูกค้าได้เพิ่มเลเวอเรจทั้งในสถานะ Long และ Short ไปสู่ระดับสูงสุดในปี 2023 สอดคล้องกับข้อมูลของ JPMorgan ที่ระบุว่า บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ ทั่วโลก มีระดับเลเวอเรจสุทธิแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. ตอนนี้มุมมองตลาดขาลงเริ่มลดลงเรื่อยๆ หลังจากตลาดหุ้นพุ่งขึ้น 3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ถือเป็นการท้าทายหลายปัจจัยเสี่ยงทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ผลกำไรที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียน และความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ Quincy Krosby หัวหน้านักกลยุทธ์ทั่วโลกที่ LPL Financial มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ เหล่าผู้จัดการความเสี่ยงของสถาบันขนาดใหญ่รู้สึกว่าตลาดกำลังเป็นขาขึ้น ไม่สามารถนั่งเฉยๆ ได้ และต้องมีส่วนร่วม เพราะต้นทุนของการ ‘ตกรถ’ อาจสูงเกินไป ตอนนี้มีการคาดเดาว่า Fed สิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะถูกเลื่อนออกไป นี่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในอเมริกา เพราะที่ญี่ปุ่น ดัชนี Topix ทำจุดสูงสุดตั้งแต่ปี 1990 ส่วนในยุโรป ดัชนี Stoxx Europe 600 อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน ดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากดันดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 140 จุด ในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถผ่านระดับ 4,200 จุดได้ ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-22/hedge-funds-rush-to-buy-stocks-with-s-p-500-on-brink-of-market-breakout?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักลงทุนหาหลุมหลบภัย แห่ย้ายเงินลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (EM) หลังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ‘ถดถอย’ - FINNOMENA ผลสำรวจของ Markets Live Pulse รายงานว่า นักลงทุนเพิ่มเดิมพันในตลาดเกิดใหม่ เพราะกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดภาวะถดถอย 22 พ.ค. 2566 ผลสำรวจของ Markets Live Pulse รายงานว่า นักลงทุนเพิ่มเดิมพันในตลาดเกิดใหม่ เพราะกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเกิดภาวะถดถอย 61% ของกลุ่มสำรวจจำนวน 234 ราย ที่ประกอบไปด้วยผู้จัดการการเงิน นักวิเคราะห์ และเทรดเดอร์ คาดว่าจะ ‘เพิ่ม’ การลงทุนในสินทรัพย์ของตลาดเกิดใหม่ (EM) ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อเป็นหลุมหลบภัย หาก Fed ยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสู้กับเงินเฟ้อซึ่งจะกดดันให้เศรษฐกิจถดถอย Justin Leverenz ผู้จัดการกองทุน Invesco Developing Markets Fund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนหุ้นเกิดใหม่รายใหญ่ที่มีผลประกอบการดีที่สุดในโลกในปีนี้ กล่าวว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา มีความยืดหยุ่นกว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และธนาคารกลางของประเทศเหล่าานี้มีมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจ EM จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังถูกละเลยจากนักลงทุนทั่วโลกเกือบทั้งหมด” Justin Leverenz กล่าว 49% ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ อาจจะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์เกิดใหม่ลดลง แต่การเติบโตพื้นฐานและมูลค่าที่น่าดึงดูดใจจะยังคงช่วยให้ทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งที่เติบโตเต็มที่แล้ว ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-21/investors-seek-shelter-in-emerging-markets-as-recession-risk-hits-us?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EM Emerging Markets News Update ตลาดหุ้นเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs เชื่อว่า AI จะผลักดัน ให้ดัชนี S&P 500 +1.5% ต่อปี หรือเท่ากับ +30% ในอีก 10 ปีข้างหน้า - FINNOMENA Ben Snider นักกลยุทธ์ของบริษัทให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า AI จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนของ S&P 500 +1.5% ต่อปี นั่นหมายถึงผลกำไรที่เพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้นในทศวรรษหน้า 18 พ.ค. 2566 Ben Snider นักกลยุทธ์ของบริษัทให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า AI จะสามารถเพิ่มผลตอบแทนของ S&P 500 +1.5% ต่อปี นั่นหมายถึงผลกำไรที่เพิ่มขึ้น 30% หรือมากกว่านั้นในทศวรรษหน้า การเกิดขึ้นของ ChatGPT แชทบอท AI ที่พัฒนาโดย OpenAI ทำให้ผู้คนหันมาสนใจใน AI มากขึ้น และนี่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของหลายๆ คน รวมถึง ‘นักลงทุน’ ที่ต้องการตัวขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยสูงและเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทาน Snider มองว่า ที่มาที่แท้จริงของการมองโลกในแง่ดีของตลาดหุ้นมาจากการเพิ่ม productivity ด้วย AI เป็นที่ชัดเจนว่านักลงทุนที่ได้รับชัยชนะทันทีในตอนนี้ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แต่คำถามสำคัญก็คือ ใครจะเป็นผู้ชนะในอนาคต Goldman Sachs ชี้ให้เห็นว่า ในปี 1999 หรือ 2000 ช่วงฟองสบู่เทคโนโลยี คงเป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการว่า Facebook หรือ Uber จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเรา Snider แนะนำให้กระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ในหุ้นวัฏจักรและหุ้น Defensive รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานและเฮลท์แคร์ซึ่งมี Valuation ที่น่าสนใจ ในระยะสั้น เขาคาดว่า Fed ได้เสร็จสิ้นการคุมเข้มนโยบายการเงินส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณหนึ่งของความกังวลในฤดูกาลผลประกอบการล่าสุดคือบริษัทใน S&P 500 เริ่มลดการใช้จ่ายภาคธุรกิจลงเล็กน้อย เพราะในฐานะบริษัท เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น บริษัทจะไม่อยากออกหุ้นกู้ และเลือกที่จะลดค่าใช้จ่าย ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/05/18/goldman-sachs-ai-driven-gains-could-lead-to-30percent-sp-500-profit-spike.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: AI Goldman Sachs News Update S&P500 แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Sea เจ้าของ Shopee ดิ่งเกือบ 18% ในวันเดียว Q1 รายได้เพิ่ม และกำไรเกือบ $100 ล้าน เกิดอะไรขึ้นทำไมนักลงทุนแห่เทขาย? - FINNOMENA หุ้น Sea เจ้าของ Shopee และ Garena ทำผลงานแย่ที่สุดในรอบ 1 ปี หลังรายงานกำไรไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด และรายได้จากธุรกิจเกมที่ดิ่งลงถึง 43% ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท 17 พ.ค. 2566 หุ้น Sea เจ้าของ Shopee และ Garena ทำผลงานแย่ที่สุดในรอบ 1 ปี หลังรายงานกำไรไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด และรายได้จากธุรกิจเกมที่ดิ่งลงถึง 43% ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แม้บริษัทจะทำกำไรได้ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 แต่รายได้ของ Sea เพิ่มขึ้นเพียง 5% ส่วนค่าด้อยค่าความนิยมหรือสินค้าที่จับต้องไม่ได้ของบริษัท เช่น แบรนด์ ชื่อเสียง สูงถึงกว่า 100 ล้านดอลลาร์ จึงทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเหลือ 88.1 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 224.4 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) ราคาหุ้น Sea ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดลงมากสุดตั้งแต่เดือน ก.พ. โดยปรับตัวลงมา 17.77% ปิดที่ 72.45 ดอลลาร์ กำไรที่ต่ำกว่าคาดมากแสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนในความสามารถในการทำกำไร โดยก่อนหน้านี้ Sea ที่มีฐานอยู่ในสิงคโปร์ได้ใช้กลยุทธ์การลดต้นทุนอย่างมหาศาลเพื่อพลิกฟื้นการขาดทุนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้บริษัทปลดพนักงานหลายพันคน หยุดขึ้นเงินเดือน รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาดหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อลดต้นทุนและทำให้กระแสเงินสดเป็นบวก Esme Pau นักวิเคราะห์ของ Macquarie Capital กล่าวว่า ความน่าผิดหวังครั้งใหญ่มาจากการเติบโตในระดับต่ำและความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง ทำให้นักลงทุนแห่ขายทำกำไร โดย Esme มองว่า Sea ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว การทำกำไรจะดำเนินต่อไป แต่อาจจะน้อยลงกว่าเดิม ★ ผลประกอบการไตรมาสแรกของ Sea รายได้รวมตามบัญชี GAAP 3,041.1 ล้านดอลลาร์ (+4.9% YoY) กำไรสุทธิ 87.3 ล้านดอลลาร์ รายได้จากกลุ่มอีคอมเมิร์ซ (Shopee) 2,259.6 ล้านดอลลาร์ (+36.3% YoY) เฉพาะส่วนธุรกิจในเอเชียมี EBITDA เป็นบวก 275.8 ล้านดอลลาร์ ส่วนนอกเอเชียขาดทุน 68.1 ล้านดอลลาร์ รายได้จากกลุ่มสื่อบันเทิงดิจิทัล (Garena) ลดลงเป็น 539.7 ล้านดอลลาร์ (-43% YoY) มีจำนวนผู้เล่น 491.6 ล้านบัญชี กลุ่มธุรกิจการเงิน รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 412.8 ล้านดอลลาร์ อัตราสำรองหนี้เสียยังอยู่ที่ระดับ 2% ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-16/singapore-s-sea-has-second-straight-profit-in-turnaround-effort?sref=e4t2werz https://www.blognone.com/node/133855 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SEA Shopee แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ฉายา The Big Short กำลัง Big Long เพิ่มเดิมพันครั้งใหญ่ในหุ้นอีคอมเมิร์ซจีนทั้ง Alibaba และ JD.com สัดส่วน 20% ของพอร์ต - FINNOMENA ‘ไมเคิล เบอร์รี’ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนทั้ง JD.com และ Alibaba ซึ่งรวมกันคิดเป็น 20% ของสัดส่วนพอร์ตทั้งหมด 16 พ.ค. 2566 ‘ไมเคิล เบอร์รี’ ผู้จัดการเงินที่โด่งดังใน The Big Short กำลังทำ Big Long ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจีนทั้ง JD.com และ Alibaba ซึ่งรวมกันคิดเป็น 20% ของสัดส่วนพอร์ตทั้งหมด สวนทางเฮดจ์ฟันด์อื่นๆ ที่เริ่มถอยห่างจากหุ้นเทคโนโลยีจีนด้วยประเด็นทางการเมือง นี่เป็นอีกครั้งที่เขาเดิมพันสวนทางตลาด ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2022 หลังจากจีนยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์ เบอร์รีได้เริ่มซื้อหุ้น Alibaba และ JD.com นี่แปลว่าเบอร์รี่กำลังเดิมพันว่า ความกังวลเกี่ยวกับบริษัทจีนนั้น ‘มากเกินไป’ ตอนนี้สัดส่วนการถือหุ้นของเขาใน JD.com เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าเป็น 250,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 11 ล้านดอลลาร์ หรือ 11% ของพอร์ต ส่วน Alibaba ก็เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า คิดเป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Alibaba และ JD.com ทำผลงานได้ไม่ดีนัก นับตั้งแต่จีนเปิดเมืองอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อต้นปี โดยหุ้น JD.com ติดลบ -32% ในปีนี้ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรายงานการเติบโตของรายได้ที่ต่ำที่สุดครั้งประวัติการณ์ ส่วน Alibaba ปรับตัวเพียงเล็กน้อย แม้บริษัทเพิ่งจะประกาศยกเครื่องบริษัทครั้งใหญ่ก็ตาม เบอร์รีมีชื่อเสียงมาจากการทำนาย วิกฤติซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2008 ได้อย่างถูกต้อง จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Big Short ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-16/michael-burry-doubles-alibaba-stake-in-big-bet-on-china-tech?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba jd.com Michael Burry News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมปู่บัฟเฟตต์ชอบลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’? ทั้งที่ชม TSMC ว่าเป็นบ.ที่มีการจัดการที่ดีที่สุดและสำคัญสุดในโลก - FINNOMENA ตำนานนักลงทุน ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ บอกว่า ชอบเอาเงินไปลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’ เพราะประเด็นด้านการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน ทำให้เขาต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC 8 พ.ค. 2566 ตำนานนักลงทุน ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ บอกว่า ชอบเอาเงินไปลงทุนใน ‘ญี่ปุ่น’ มากกว่า ‘ไต้หวัน’ เพราะประเด็นด้านการเมืองระหว่างจีนและไต้หวัน ทำให้เขาต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นผู้ผลิตชิปอย่าง TSMC ในการประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 พ.ค.) ปู่บัฟเฟตต์ยอมรับว่า Taiwan Semiconductor หรือ TSMC เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการจัดการที่ดีที่สุดและมีความสำคัญที่สุดในโลก โดยไม่ใครในอุตสาหกรรมชิปที่สู้กับบริษัทนี้ได้ แม้จะชื่นชอบบริษัท แต่ Berkshire Hathaway ลดสัดส่วนการถือหุ้น TSMC ลง 86% ในไตรมาสที่ 4 หลังจากรายงานการลงทุนมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเดือน พ.ย. โดยบัฟเตต์ให้เหตุผลการลดสัดส่วนการถือหุ้นมาจาก ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างจีนและไต้หวัน สำหรับจีนและสหรัฐฯ บัฟเฟตต์แนะนำให้ทั้ง 2 ประเทศทำความเข้าใจว่า ‘เกม’ คืออะไร และไม่ควรกดดันมากเกินไป เพราะทั้งคู่จะต้องทั้งแข่งขันกันและประสบความสำเร็จ ส่วนคู่หูของปู่บัฟเฟตต์อย่าง ‘ชาลี มังเกอร์’ เรียกร้องให้ทั้งจีนและสหรัฐฯ มีความเมตตาซึ่งกันและกันระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง วันนี้ (8 พ.ค.) ราคาหุ้นของ TSMC พุ่งขึ้น 1.8% ในตลาดหุ้นไต้หวัน นอกจากนี้บัฟเฟตต์ยังส่งสัญญาณว่า ถึงความตั้งใจที่จะลงทุนเพิ่มเติมในญี่ปุ่น หลังจากที่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทการค้าของญี่ปุ่นอยู่ 7.4% แต่บัฟเฟตต์บอกว่าจะถือไม่เกิน 9% ‘เกร็ก อาเบล’ ผู้สืบทอดของบัฟเฟตต์ซึ่งร่วมเดินทางไปญี่ปุ่นกับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว เรียกบริษัทญี่ปุ่นดังกล่าวว่าเป็น “การลงทุนที่เหลือเชื่อ” “สิ่งต่างๆ ที่ญี่ปุ่นนั้นเรียบง่าย ฉันชอบดูบริษัทต่างๆ ฉันชอบดูตัวเลขเกี่ยวกับบริษัท” บัฟเฟตต์กล่าว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-05-08/buffett-favors-japan-over-taiwan-as-he-laments-geopolitics ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Berkshire Hathaway News Update Warren Buffett ญี่ปุ่น ไต้หวัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณหยุดร่วง? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว $446,000 ล้าน - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณ ‘หยุดร่วง’? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว 446,000 ล้านดอลลาร์ จากประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ 26 เม.ย. 2566 ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณ ‘หยุดร่วง’? จากแรงช้อนซื้อของนักลงทุน ซึ่งตลอดเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่หายไปแล้ว 446,000 ล้านดอลลาร์ จากประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ช่วงบ่ายวันนี้ (26 เม.ย.) ดัชนี CSI 300 และ MSCI ปรับตัวขึ้นมา ก่อนจะปรับตัวลงต่อเล็กน้อย โดยดัชนี MSCI China ปรับตัวลงติดต่อกันมา 6 วัน กลายเป็นเดือน เม.ย.ที่หุ้นจีนทำผลตอบแทนแย่สุดนับตั้งแต่ปี 2004 เหล่าเทรดเดอร์พยายามมองหาปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดจีน ทั้งการรายงานผลประกอบการของบริษัท การท่องเที่ยวที่น่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงวันหยุดยาว Golden Week ของจีน (1-7 ต.ค. ของทุกปี) รวมถึงการประชุมของ Politburo ที่จะมีการหารือเกี่ยวกับลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า รัฐบาลจีนจะเน้นนโยบายไปสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจและเพิ่มงาน โดยไม่ต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่ารัฐบาลจีนจะเน้นไปที่ประเด็นทางการเมืองมากกว่าและนี่จะส่งผลและท้าทายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การลดลงอย่างต่อเนื่องของหุ้นจีนในเดือน เม.ย. ดับฝันการมองโลกในแง่ดีที่ว่าหุ้นจีนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ขณะที่หุ้นจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ สูญเสียมูลค่าตลาดกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนนี้ ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนแย่ลงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อควบคุมความพยายามด้านเทคโนโลยีของจีน นักลงทุนจำนวนมากตั้งคำถามถึงความน่าดึงดูดใจของสินทรัพย์ของจีน เมื่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศกับสหรัฐฯ แย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนสหรัฐยังคง ‘ลังเล’ ต่อการลงทุนในจีน อย่างไรก็ตาม Goldman Sachs มองว่า หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่จะสามารถฟื้นตัวได้จากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งตอนนี้ 90% ของบริษัทต่างๆ คาดการณ์กำไรในเชิงบวกซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 60-70% ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-26/china-stock-selloff-eases-after-446-billion-in-value-wiped-out?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD ขึ้นแท่นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในจีน แซงหน้าแชมป์เก่า 15 สมัยอย่าง Volkswagen ที่ออกปากยอมรับว่า “BYD แข็งแกร่งมาก” - FINNOMENA บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ Warren Buffett ชื่นชอบwfhรายงานยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2023 มากกว่า 440,000 คันในจีน ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว Wang Chuanfu ซีอีโอของบริษัทบอกว่า มีเป้าหมายที่จะแซง Volkswagen ภายในสิ้นปี 2566 และเขาก็ทำได้ 26 เม.ย. 2566 บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่ Warren Buffett ชื่นชอบwfhรายงานยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2023 มากกว่า 440,000 คันในจีน ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว Wang Chuanfu ซีอีโอของบริษัทบอกว่า มีเป้าหมายที่จะแซง Volkswagen ภายในสิ้นปี 2566 และเขาก็ทำได้ ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยียานยนต์และการวิจัยของจีนระบุว่า Volkswagen เป็นแบรนรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในจีนมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 427,247 คันในจีน แต่มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่เพียง 6% เทรนด์นี้สะท้อนชัดเจนถึงอิทธิพลที่ลดลงของแบรนด์ต่างประเทศ ในขณะที่แบรนด์ในประเทศสามารถพัฒนารุ่นรถที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในราคาที่ย่อมเยากว่า แม้กระทั่ง Oliver Blume ซึ่งเป็นซีอีโอของ Volkswagen ก็เคยยอมรับในงานแสดงรถยนต์ที่เซี่ยงไฮ้ในเดือนนี้ว่า “BYD แข็งแกร่งมาก” พร้อมบอกว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณยอดขายไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการเป็นแบรนด์ต่างชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับจีน ในปี 2022 ที่ผ่านมา BYD ขายรถยนต์ไปได้ทั้งหมด 1.86 ล้านคัน มากกว่าที่เคยทำได้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาร่วมกัน สำหรับตลาดโลก BYD ขายรถยนต์ได้เกือบ 550,000 คัน ในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยบริษัทมีความตั้งใจที่จะผลักดันไปยังตลาดต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับยุโรป ละตินอเมริกา และตลาดทั่วเอเชีย แต่ยังไม่มีแผนจะขายที่สหรัฐฯ BYD ตั้งเป้าขายรถยนต์อย่างน้อย 3 ล้านคันในปีนี้ ขณะที่ทาง Bloomberg Intelligence คาดว่าอาจสูงถึง 3.7 ล้านคัน ตลาดจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในวันพฤหัสบดีนี้ (27 เม.ย.) ซึ่งราคาหุ้น BYD ในตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 16% แล้วในปีนี้ ทำให้มีมูลค่าตลาดประมาณ 95 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ 77 พันล้านดอลลาร์ของ Volkswagen และ 515 พันล้านดอลลาร์ของ Tesla ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-25/byd-overtakes-volkswagen-as-china-s-best-selling-car-brand?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock มองสินทรัพย์ ‘ตลาดเกิดใหม่’ มีความได้เปรียบ ทั้งหุ้นและพันธบัตร เพราะสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed - FINNOMENA ฝ่ายวิจัยของ BlackRock มีมุมมองเชิงบวกขึ้นมากต่อ ‘ตลาดเกิดใหม่’ หรือ EM ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่ธนาคารกลางดำเนินการและสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed มาก 25 เม.ย. 2566 ฝ่ายวิจัยของ BlackRock มีมุมมองเชิงบวกขึ้นมากต่อ ‘ตลาดเกิดใหม่’ หรือ EM ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศที่ธนาคารกลางดำเนินการและสิ้นสุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed มาก มุมมองระยะสั้นของ BlackRock ในฐานะผู้จัดการการเงินรายใหญ่ที่สุดของโลกชื่นชอบทั้งหุ้นและพันธบัตรจากประเทศกำลังพัฒนามากกว่าหุ้นที่มาจากประเทศเศรษฐกิจโตแล้ว จากทั้งแนวโน้มการเปิดเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบของจีน และวงจรการขึ้นดอกเบี้ยที่ใกล้สิ้นสุดแล้วในตลาดเกิดใหม่ ทีมนักกลยุทธ์ของบริษัทที่นำโดย Wei Li ระบุว่า สัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดน้อยลงของ Fed และดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ก็เป็นเหตุผลในการสนับสนุนสินทรัพย์การเงินในประเทศกำลังพัฒนาเช่นกัน “สำหรับตอนนี้ สินทรัพย์ EM มีความได้เปรียบ ทั้งความยืดหยุ่นที่ชัดเจนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ EM ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ชะลอตัวลง” BlackRock ระบุ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นไปอีกนานเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เหนียวแน่น แต่ตลาดเกิดใหม่นั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า ขณะที่สกุลเงินที่กำลังพัฒนาแข็งค่าขึ้น แม้ว่า Fed จะใกล้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้กำหนดนโยบายในประเทศดังกล่าว จะสามารถแยกตัวออกจากสหรัฐฯ และยังคงหลีกเลี่ยงการอ่อนค่าได้ ส่วนประเทศต่างๆ อย่างราซิล อินเดีย และเกาหลีใต้ ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระหว่างการประชุมครั้งล่าสุด BlackRock ชื่นชอบทั้งหุ้น EM และพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น โดยเฉพาะตราสารหนี้จากประเทศที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า เช่น เม็กซิโก ที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง และระดับหนี้ต่อ GDP ที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ของ MSCI พิ่มขึ้นเพียง 2% ในปีนี้ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลกมากกว่า 6 ppt ในขณะเดียวกันพันธบัตรดอลลาร์ก็ล้าหลังกลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลกอื่นๆ ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-24/blackrock-says-emerging-markets-have-an-edge-over-rest-of-world?srnd=premium-asia&leadSource=uverify%20wall&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update ตลาดเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
9 Step แบบเงินลงทุน DCA กองทุน SSF-RMF ง่าย ๆ ภายใน 5 นาที - FINNOMENA หมดกังวลสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามา DCA กองทุน SSF RMF ด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้ FINNOMENA ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ DCA อัตโนมัติ สำหรับแผนลงทุน Tax saving มาให้แล้ว สะดวกสบายเพราะตั้งค่าแผนลงทุนแค่ครั้งเดียว และระบบจะทำการลงทุนอัตโนมัติให้ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ 20 เม.ย. 2566 ข่าวดีสำหรับลูกค้า FINNOMENA ปัจจุบันทาง FINNOMENA ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ DCA อัตโนมัติ สำหรับแผนลงทุน Tax saving ซึ่งสามารถตั้งรายการลงทุนกองทุน SSF-RMF รายเดือน แบบอัตโนมัติได้ด้วยตัวเองผ่านแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ FINNOMENA โดยสามารถตั้งรายการลงทุนเพียงครั้งเดียว และระบบจะทำการลงทุนอัตโนมัติให้ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลาเช่นกัน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่วางแผนลงทุนในระยะยาว ต้องการสร้างวินัยในการลงทุน อยากได้ความสม่ำเสมอในแต่ละเดือนในจำนวนเงินที่เท่ากัน อยากลดความเสียงในการลงทุน โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาที่ผันผวน เพราะต้นทุนจะถูกถัวเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ และเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลามาจับจังหวะตลาด หรือดูข่าวสารตลอดเวลาอย่างใกล้ชิด ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DCA ได้ที่ DCA คืออะไร? ดีสำหรับเราจริงหรือ? I POCKET MONEY EP7 สร้างวินัยให้พอร์ตการลงทุนแข็งแรง ด้วยการทำ DCA เลือกจับจังหวะซื้อแบบ Market Timing หรือ ทยอยลงทุนแบบ DCA ดี? การลงทุนแบบ DCA ในกองทุน SSF-RMF สามารถลงทุนได้ทั้ง 21 บลจ. บน FINNOMENA โดยมี 9 ขั้นตอนแบบละเอียดดังนี้ 9 Step แบ่งเงินลงทุน DCA กองทุน SSF-RMF หากพร้อมลงทุนในกองทุน SSF-RMF แบบ DCA รายเดือนอัตโนมัติ กับ FINNOMENA ‍‍‍สามารถเปิดแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ แล้วเลือกสร้างแผน “Tax Saving” ได้เลย 👉 คลิกได้ที่นี่ >>> https://finnomena.onelink.me/10bl/1g4yqn9g อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SSF-RMF ความรู้เกี่ยวกับ SSF และ RMF E-Book เลือกกองทุน SSF & RMF อย่างไร ให้ประสบความสำเร็จ กองทุน SSF คืออะไร? ต่างจาก LTF อย่างไร? RMF ปรับเกณฑ์ใหม่ ไม่มีขั้นต่ำ!! “RMF” คืออะไร? ทบทวนเงื่อนไขพร้อมกองทุนแนะนำ! I TAX เพื่อนๆ EP3 คัมภีร์มหากาพย์กองทุน SSF กองไหนดี ต้องซื้อไหม ซื้อได้เท่าไร? สุดยอดกองทุนลดหย่อนภาษี ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดบัญชี FINNOMENA ได้ที่ เปิดบัญชีซื้อ SSF-RMF กับ FINNOMENA โอกาสทำกำไรพร้อมลดหย่อนภาษี วิธีสร้างแผนการลงทุนพร้อมเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนกับ FINNOMENA แบบ Step by Step พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง พาซื้อกองทุนรวมผ่าน FINNOMENA พร้อมความพิเศษต่าง ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT” แท็ก: Article Basic DCA Dollar Cost Averaging Knowledge Product Info RMF Short Content SSF TAX Tax DCA Tax Saving Fund ประหยัดภาษี วางแผนภาษี แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมทั่วโลกถึงขาดแคลน ‘ข้าว’ หนักสุดในรอบ 20 ปี? ใครได้รับผลกระทบหนักสุด? แล้วปัญหาจะยืดเยื้อนานแค่ไหน? - FINNOMENA ตอนนี้ทั่วโลก ตั้งแต่จีน สหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป กำลังการผลิตข้าวที่ลดลงได้ผลักดันให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น เรื่องนี้กระทบต่อผู้คน 3,500 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวเอเชียแปซิฟิกที่บริโภคข้าว 90% ของทั้งโลก 19 เม.ย. 2566 ตอนนี้ทั่วโลก ตั้งแต่จีน สหรัฐฯ ไปจนถึงสหภาพยุโรป กำลังการผลิตข้าวที่ลดลงได้ผลักดันให้ราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น เรื่องนี้กระทบต่อผู้คน 3,500 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวเอเชียแปซิฟิกที่บริโภคข้าว 90% ของทั้งโลก เรื่องดังกล่าวยืนยันโดยข้อมูลจาก Fitch Solutions ที่คาดการณ์ว่า ในปี 2023 นี้ ตลาดข้าวทั่วโลกจะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ ซึ่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนคือ ‘ราคาข้าว’ ที่แพงในรอบทศวรรษ (ตอนนี้ราคาข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 17.30 ดอลลาร์ต่อตัน) และเนื่องจากว่าข้าวคืออาหารหลักของคนเอเชีย ดังนั้น ราคาข้าวที่แพงขึ้นจึงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของราคาอาหาร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเรื่องนี้คือ ‘ครัวเรือนที่ยากจน’ 🍚สาเหตุที่ทำให้ข้าวขาดแคลนคือ ผลกระทบจากสงครามในยูเครน และสภาพอากาศที่ย่ำแย่ในประเทศที่ผลิตข้าวอย่างจีนและปากีสถาน อย่างในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว พื้นที่เพาะปลูกในจีน ซึ่งผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รับผลกระทบจากมรสุมฤดูร้อนและน้ำท่วมอย่างหนัก ขณะที่ปากีสถานก็เผชิญกับน้ำท่วมรุนแรงจนผลผลิตในปีที่แล้วลดลง 31% ของปีก่อนหน้า 🍚แล้วประเทศไหนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้บ้าง? นักวิเคราะห์ของ Rabobank มองว่า การขาดดุลข้าวทั่วโลกในปี 2023 จะเพิ่มต้นทุนการนำเข้าข้าวสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย รวมถึงประเทศในแอฟริกา ขณะที่นักวิเคราะห์วิจัยของ Gro Intelligence กล่าวว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการขาดดุลมากที่สุดคือประเทศที่ประสบปัญหาเงินเฟ้อราคาอาหารภายในประเทศสูงอยู่แล้ว เช่น ปากีสถาน ตุรกี ซีเรีย และบางประเทศในแอฟริกา 🍚ปัญหาขาดแคลนข้าวจะยืดเยื้อนานแค่ไหน? ข่าวดีจากการประมาณการของ Fitch Solutions ก็คือปัญหาดังกล่าวอาจแก้ไขได้และตลาดข้าวทั่วโลกจะกลับสู่ตำแหน่งที่ ‘เกือบสมดุล’ ในปี 2023/24 และจะกลับมาเกินดุลในปี 2024/25 โดยคาดว่าราคาข้าวลดลงเกือบ 10% เป็น 15.50 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2024 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลต่อการผลิตข้าวคือ ‘สภาพอากาศ’ อย่างในอินเดียที่คาดว่าจะเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงตลอดไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้ ขณะที่ในจีน ก็กำลังประสบกับภาวะแห้งแล้งที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษเช่นกัน ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/19/global-rice-shortage-is-set-to-be-the-largest-in-20-years-heres-why.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ข้าว ข้าวขาดแคลน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จุดจบสายแชร์! รอบนี้ Netflix เอาจริง เตรียมจัดการเด็ดขาดกับสมาชิก 100 ล้านคนที่แชร์พาสเวิร์ดในไตรมาส 2 นี้ หลังงบไตรมาส 1 ต่ำกว่าคาด - FINNOMENA Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง 10% หลังปิดตลาด โดยบริษัทประกาศว่าจะจัดการเด็ดขาดต่อการแชร์พาสเวิร์ดในไตรมาสหน้า 19 เม.ย. 2566 Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วง 10% หลังปิดตลาด โดยบริษัทประกาศว่าจะจัดการเด็ดขาดต่อการแชร์พาสเวิร์ดในไตรมาสหน้า ล่าช้าจากก่อนหน้านี้บอกว่าจะจัดการตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรก ผลประกอบการไตรมาสแรกของ Netflix ในปี 2023 – กำไรต่อหุ้น: $2.88 ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ $2.86 – รายได้: 8,160 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ 8,180 ล้านดอลลาร์ แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 7,870 ล้านดอลลาร์ – กำไร: 1,310 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 1,600 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปีที่แล้ว การจัดการผู้ใช้งานที่แชร์พาสเวิร์ดเป็นสิ่งที่นักลงทุนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ โดยบริษัทกล่าวว่า จะเริ่มใช้มาตรการเพื่อให้ผู้ที่ยืมบัญชีอื่นสร้างบัญชีของตนเอง Netflix ระบุว่า มีผู้ใช้งานากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ของฐานผู้ใช้ทั่วโลกที่ ‘แชร์พาสเวิร์ด’ สิ่งนี้ส่งผลต่อการลงทุนสร้างภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องใหม่ๆ โดย Netflix กล่าวว่า ทั้งการมีแพ็กเกจถูกลงแต่ต้องดูโฆษณา และการจัดการการแชร์พาสเวิร์ดมีจุดมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มกำไรของบริษัท ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ที่ประเทศนิวซีแลนด์ แคนาดา โปรตุเกส และสเปน Netflix ระบุว่าจะขอให้ผู้ใช้งานตั้งค่า ‘ตำแหน่งหลัก’ ของตัวเอง และอนุญาตให้ผู้ใช้สร้าง ‘บัญชีย่อย’ ได้สูงสุด 2 บัญชีสำหรับผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านเกิด แต่จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม Netflix ระบุว่า ในไตรมาส 2 การจัดการจะเป็นวงกว้าง รวมถึงในสหรัฐฯ และประเทศส่วนใหญ่ Greg Peters Co-CEO ของบริษัท อธิบายว่า การจัดการการแชร์รหัสผ่านจะทำให้มีการยกเลิกการสมัครสมาชิกในช่วงแรก แต่สุดท้ายคนดูจะค่อยๆ กลับมา และสมัครด้วยบัญชีของตัวเอง ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/18/netflix-nflx-1q23-earnings.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Nio แสดงจุดยืนไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ มั่นใจผลิตภัณฑ์และบริการคุ้มค่าราคา บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ฟรี 4 ครั้งต่อเดือน - FINNOMENA หนึ่งในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง Nio ออกมาบอกว่าจะไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ กับผู้ผลิตเจ้าอื่น โดยจะรักษาราคาไว้ในระดับสูงต่อไป ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น? 18 เม.ย. 2566 หนึ่งในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีนอย่าง Nio ออกมาบอกว่าจะไม่ร่วม ‘สงครามราคา’ กับผู้ผลิตเจ้าอื่น โดยจะรักษาราคาไว้ในระดับสูงต่อไป ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น? ซีอีโอ William Li ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า “Nio จะไม่เข้าร่วมสงครามราคาอย่างแน่นอน เพราะมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์และการบริการของบริษัทคุ้มค่ากับราคา” จุดยืนของ Nio แตกต่างจาก Tesla อย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ Elon Musk ประกาศลดราคาทั้งในจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับแล้ว รถยนต์ SUV และรถซีดานของ Nio ถือว่าแพงว่า Tesla ค่อนข้างมาก แต่ตลาดหลักของ Nio คือรถยนต์ในกลุ่มพรีเมียม William Li กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการบริการลูกค้า เช่น การเพิ่มสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ซึ่งจุดเด่นของเทคโนโลยีคือ สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ภายในไม่กี่นาที สำหรับคนที่ไม่ต้องการรอชาร์จนานๆ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Nio ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป ผู้ที่วางเงินมัดจำจองรถยนต์ไฟฟ้า ‘บางรุ่น’ จะสามารถใช้บริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของบริษัทได้ฟรี 4 ครั้งต่อเดือน (ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ให้เปลี่ยนได้ 6 ครั้งต่อเดือน) นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มเก็บค่าบริการ 380 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1,900 บาท) สำหรับระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ชื่อว่า Navigate on Pilot (NOP) ซึ่งจะช่วยในการจอดรถรวมถึงการเปลี่ยนเลน ซึ่งบริการต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็น ‘จุดขาย’ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ยอดขายรถยนต์ของ Nio เพิ่มขึ้น 37% ในปีที่แล้ว อยู่ที่ 45,510 ล้านหยวน (ประมาณ 228,000 ล้านบาท) แต่ในภาพรวมแล้วบริษัทยังคงขาดทุนอยู่ ในไตรมาสแรกของปีนี้ Nio ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปทั้งหมด 31,041 คัน เพิ่มขึ้น 20.5% จากปีที่แล้ว ถือว่าน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Li Auto ที่ส่งมอบไปทั้งหมด 52,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีที่แล้ว ขณะที่ยอดรวมส่งมอบทั้งประเทศจีนอยู่ที่ 1.3 ล้านคัน รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากประเทศจีนเป็นหลัก โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบาสนับสนุนของรัฐบาล ส่วนการขยายไปยังตลาดต่างประเทศนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Nio เริ่มจัดส่งไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรป เช่น นอร์เวย์และเยอรมนี ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปและปักกิ่งที่ไม่ราบรื่น ที่มา: https://www.cnbc.com/2023/04/18/nio-says-it-wont-join-the-price-war-and-slash-prices-like-tesla.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Nio รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bloomberg Intelligence ชี้ ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจอันเลวร้ายที่สุดของอเมริกา ‘เกิดขึ้นไปแล้ว’ เมื่อ ธ.ค. ที่ผ่านมา - FINNOMENA หุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้เผชิญกับทั้ง 1) การล่มสลายของภาคธนาคาร 2) ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ 3) คาดการณ์กำไรของบริษัทที่มืดมนที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม คำถามก็คืออะไรที่ทำให้ราคาหุ้นยังพุ่งขึ้นมาได้? 17 เม.ย. 2566 หุ้นสหรัฐฯ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีนี้ แม้เผชิญกับทั้ง 1) การล่มสลายของภาคธนาคาร 2) ความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ 3) คาดการณ์กำไรของบริษัทที่มืดมนที่สุดในรอบหลายปีก็ตาม คำถามก็คืออะไรที่ทำให้ราคาหุ้นยังพุ่งขึ้นมาได้? คำอธิบายที่เป็นไปได้และไม่เลวร้ายอย่างที่คิดตามแบบจำลองของ Bloomberg Intelligence ที่รู้จักกันในชื่อ Economic Regime Index ก็คือ ความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจอันเลวร้ายที่สุดของอเมริกา ‘เกิดขึ้นไปแล้ว’ เมื่อหลายเดือนก่อน ขณะที่ ดัชนีอธิบายว่าปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด ‘ภาวะเศรษฐกิจถดถอย’ ทั้งการใช้กำลังการผลิต การขอรับสวัสดิการว่างงาน การผลิต และความเชื่อมั่นโดยรวมของตลาด บ่งชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอาจเริ่มไปแล้วเมื่อเดือน มิ.ย. และถึงจุดต่ำสุดในเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว นอกจากนี้ดัชนียังส่งสัญญาณถึงความอ่อนแอในระบบเศรษฐกิจ โดยตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงอยู่เหนือระดับต่ำสุดในช่วงปลายปี 2022 แนวโน้มก็จะเอื้อต่อดัชนี S&P 500 Gillian Wolff นักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นที่ถกเถียงกันว่า เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือเราอยู่ในนั้นแล้ว ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาคดูเหมือนว่าจุดที่แย่ที่สุดเกิดขึ้นแล้วในเดือน ธ.ค. 2022 ดังนั้น มีแนวโน้มว่าจะมีการสนับสนุนที่สำคัญสำหรับหุ้นในอนาคต ย้อนกลับไปดูภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทั้ง 8 ครั้งตั้งแต่ปี 1970 ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงสามเดือนอยู่ที่ 8.9% และ 20% ในช่วง 12 เดือนหลังจากจุดต่ำสุดนั้น ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นมา 8.2% แล้วในปีนี้ นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย ณ จุดใดจุดหนึ่งของปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้การขึ้นดอกเบี้ยกระตุ้นให้ S&P 500 ลดลง 19% ในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-16/case-for-stocks-is-seen-in-model-showing-economic-bottom-is-past?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักวิเคราะห์ JPMorgan เตือนตลาดหุ้นสงบ = สัญญาณก่อนพายุกำลังมา คาดตลาดหุ้นจะกลับไปอยู่จุดต่ำสุดในระดับเดียวกับปี 2022 ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ - FINNOMENA Marko Kolanovic นักกลยุทธ์ของ JPMorgan เตือนภาวะ Risk-on ในตลาด หรือการที่นักลงทุนมองว่า ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและเสี่ยงต่ำนั้นมี ‘ความไม่แน่นอน’ จากทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวลง จนสุดท้ายจะนำตลาดหุ้นกลับไปอยู่ระดับต่ำสุดเช่นเดียวกับในปี 2022 4 เม.ย. 2566 Marko Kolanovic นักกลยุทธ์ของ JPMorgan เตือนภาวะ Risk-on ในตลาด หรือการที่นักลงทุนมองว่า ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและเสี่ยงต่ำนั้นมี ‘ความไม่แน่นอน’ จากทั้งความวุ่นวายในภาคธนาคาร ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น และการเติบโตที่ชะลอตัวลง จนสุดท้ายจะนำตลาดหุ้นกลับไปอยู่ระดับต่ำสุดเช่นเดียวกับในปี 2022 Kolanovic ระบุในโน้ตถึงลูกค้าว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่มีความตั้งใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่สินทรัพย์เสี่ยงกำลังแสดงการปรับตัวขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่หุ้นยุโรปซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาล และหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการขาดทุน ดังนั้น JPMorgan มองว่าจะเกิดการพลิกกลับในความเชื่อมั่นของนักลงทุน และตลาดจะทดสอบระดับต่ำของปีที่แล้วอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ราคาหุ้นยังคงฟื้นตัวได้ในปีนี้ แม้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจะบั่นทอนผลกำไรของบริษัท การเติบโตที่ช้าลง และจุดชนวนให้เกิดการล่มสลายของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาสแรกหลังจากลดลงเกือบ 20% ในปี 2022 ส่วนกำไรจากหุ้นเทคโนโลยีได้ผลักดันให้ Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 20% ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมและเข้าสู่ตลาดขาขึ้น ด้านหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมองว่า ความวุ่นวายในภาคธนาคารจะกระตุ้น Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม Kolanovic มองว่า เงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ไม่สมเหตุสมผล’ และได้รับแรงหนุนมาจากการชอร์ตหุ้น และการลดลงของ Cboe Volatility Index หรือ VIX อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-04-03/jpmorgan-s-kolanovic-warns-stocks-are-in-calm-before-the-storm?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: JPMorgan News Update ตลาดหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นฮ่องกงพุ่ง 3% หลัง BABA ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ - FINNOMENA วันนี้ (29 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 3% นำโดยหุ้น Alibaba (BABA) ปรับตัวขึ้น 15% หลังบริษัทประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 29 มี.ค. 2566 วันนี้ (29 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 3% นำโดยหุ้น Alibaba (BABA) ปรับตัวขึ้น 15% หลังบริษัทประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดย BABA จะแบ่งธุรกิจเป็น 6 กลุ่มเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหาร และเตรียม IPO ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้การประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจของ BABA เกิดขึ้นภายหลังจากการปรากฏตัวของแจ๊ค หม่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย 6 กลุ่มธุรกิจที่ BABA เตรียมแบ่งออกมาได้ 1) Cloud Intelligence Group 2)Taobao Tmall Commerce Group 3) Local Services Group 4) Cainiao Smart Logistics 5) Global Digital Commerce Group และ 6) Digital Media and Entertainment Group FINNOMENA Investment Team มองว่าการออกมาปรากฏตัวของแจ็ค หม่า พร้อมประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ของ BABA ครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า BABA เตรียมเดินหน้าสู่ตลาดการเงินอีกครั้งซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และทำให้ Sentiment ต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และฮ่องกงดูดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลจีนอาจมีความเข้มงวดต่อบริษัทเทคโนโลยีจีนน้อยลง แต่อย่างไรก็ดีการกีดกันบริษัทเทคโนโลยีจีนจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะยังคงเป็นความเสี่ยงในภาพรวมที่ต้องติดตามต่อไป เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นจีน All China หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ส่งผลให้ภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน K-CHINA-A และกองทุน KT-ASHARES-A สำหรับหุ้นจีน A-shares ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ดอยซ์แบงก์’ หุ้นร่วงแรง -30% จากต้นปี ตลาดกังวลความเสี่ยงใหม่ภาคการเงินยุโรป นักวิเคราะห์เชื่อฐานะ "ยังแข็งแกร่ง" ไม่เหมือน ‘เครดิตสวิส’ - FINNOMENA Mr.Messenger เล่าว่า นับจากจุดสูงสุดของต้นปี 2023 หุ้นของ Deutsche Bank หรือ DB ปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า -30% โดยถ้าจะบอกว่า แรงขายที่เกิดขึ้น เป็นแค่ Aftershock ต่อจาก Credit Suisse แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปซักหน่อย 27 มี.ค. 2566 Mr.Messenger เล่าว่า นับจากจุดสูงสุดของต้นปี 2023 หุ้นของ Deutsche Bank หรือ DB ปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า -30% โดยถ้าจะบอกว่า แรงขายที่เกิดขึ้น เป็นแค่ Aftershock ต่อจาก Credit Suisse แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็ดูจะมองโลกในแง่ดีเกินไปซักหน่อย แต่ถ้าจะบอกว่า DB คือ โดมิโนตัวต่อไป ก็ต้องบอกว่า หากมองจากราคาหุ้นของเขาในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ธนาคารเขาก็เหมือนจะมีปัญหามาอยู่ก่อนแล้ว เพราะจากจุดสูงสุดที่ €86.23 ต่อหุ้น ที่ตลาดหลักทรัพย์เยอรมัน ล่าสุดเมื่อคืนปิดที่ราคา €8.54 ต่อหุ้น หรือคิดเป็น ติดลบ -90% แสดงว่า ปัญหาของ DB เรื้อรังมายาวนาน คล้ายๆกับ CS เหมือนกัน แล้วทำไม Deutsche Bank ถึงมาอยู่ใน Spotlight แทน Credit Suisse ในวันนี้? เพราะ CDS (Credit Default Swap) ของ DB ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่านักลงทุนกลัวว่าธนาคารอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเมื่อคืน CDS หุ้นกู้ Subordinated Bond ของ DB พุ่งขึ้นไปถึง 560 จุด หรือ คิดเป็นโอกาสที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 31% ถึงไม่สูงเท่ากรณีของ CS แต่ก็ใกล้กับตอนเจอโควิด หรือ ตอนจ่ายค่าปรับตอนปี 2016 และไม่ใช่ DB ที่นักลงทุนขายหุ้นกันออกมาตอนนี้ แต่หุ้นธนาคารในยุโรปก็โดนเทกันทุกตัว อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าไปดูฐานะการเงินของ DB ในตอนนี้ และปัญหาของ DB ที่ถูกแก้ไขในทิศทางที่ถูกต้อง นักวิเคราะห์จาก Autonomous Research ก็ยังออกมายืนยันว่า DB ไม่ใช่ the next CS ถ้าดูที่ LCR หรือ Liquidity Coverage Ratio ตอนนี้ก็อยู่เกิน 100% ถึงแม้จะต่ำกว่า standard ของแบงก์ในยุโรป แต่ก็อยู่สูงกว่าแทบทุกธนาคารที่อยู่ในสหรัฐฯ ในฝั่งของเงินสด DB ก็มีเงินสดในงบเยอะกว่าก่อนเกิดวิกฤตปี 2008 ด้านดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่า ช่วงนี้เป็นช่วงอ่อนไหว ทุกข่าวมีความหมาย และนัยยะ เมื่อมีข่าวออกมาเมื่อวานนี้ว่า DB ต้องการที่จะซื้อหุ้นกู้ (Tier 2 Subordinated Debt) กลับก่อนกำหนด 5 ปี (ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าสามารถทำได้) ซึ่งปกติแล้ว ข่าวแบบนี้จะสะท้อนว่าแบงค์อยู่ในฐานะดี สามารถลดหนี้ได้ แต่ได้กลับกลายเป็นจุดเริ่มของความผันผวนรอบใหม่ ทำให้ทุกสายตา หันไปจับจ้อง DB ถามว่า มีปัญหาอะไรเปล่า CDS ของหุ้นกู้ของ DB ปรับเพิ่มสูงขึ้น นำมาซึ่งการเทขายหุ้น ทั้งๆ ที่ช่วงที่เกิดปัญหาในสวิส เงินฝากจำนวนหนึ่งได้ไหลไปที่ DB และ DB ก็เพิ่งประกาศกำไรสูงสุดในรอบ 15 ปี ที่ประมาณ 5.5 พันล้านดอลาร์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า การที่เกิดเช่นนี้ได้ ก็คงเพราะช่วงนี้เป็นช่วงไม่ปกติ เมื่อได้ยินข่าวอะไรที่แปลกออกไป ปัญหาก็สามารถตามมาได้ แม้กระทั่งแบงค์ที่มีฐานะที่ดีพอสมควรเช่น Deutsche Bank ก็สามารถลำบากได้ สะท้อนถึงความอ่อนไหวที่สะสมตัวจาก 1 ปีของ Perfect Storm จาก 1 ปีของการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางต่างๆที่สร้างแรงกดดันในกับระบบการเงินโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/641e5452f87dca16e28d1ade https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1059732 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Deutsche Bank News Update วิกฤตธนาคาร แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD DOLPHIN มาแล้ว EV รุ่นเล็กกะทัดรัด พวงมาลัยขวา เคาะ 7.99 แสนบาท เปิดจองที่แรกในโลก - FINNOMENA BYD เปิดตัว BYD DOLPHIN รถบนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท ในงานมอเตอร์โชว์ 22 มี.ค. 2566 BYD เปิดตัว BYD DOLPHIN รถบนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range ในราคาคาดการณ์จำหน่าย 799,999 บาท ในงานมอเตอร์โชว์ สำหรับหน้าตาของเจ้า BYD DOLPHIN จะใกล้เคียงกับรถยนต์ค่ายคู่แข่งอย่าง ORA Good Cat แต่สั้นและแคบกว่านิดหน่อย โดยมิติตัวถัง ยาว 4,150 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,570 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ไทยรัฐออนไลน์ระบุสเปค Dolphin EV ว่า ใช้แพลตฟอร์มไฟฟ้า 100% e-Platform 3.0 เหมือนกับรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ BYD ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร ห้องโดยสารกว้างขวาง ตัวถังของ Dolphin ออกแบบในสไตล์แฮตช์แบ็ก ไฟหน้า LED มาพร้อม Daytime Running Light มาพร้อม Bucket Seat ทรงสปอร์ต พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้าน มือจับเปิดประตูออกแบบคล้ายครีบของโลมา โดยDolphin EV ขับเคลื่อนในรูปแบบ FWD (ขับหน้า) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous ขนาด 130 kW (177 PS) แรงบิดสูงสุด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียม BYD Blade Battery ขนาด 44.9 kWh ชาร์จผ่านไฟกระแสสลับ AC, 7 kW จาก 0-100% ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 25 นาที ส่วนการชาร์จผ่านไฟ DC, 60 kW ในรูปแบบ Fast Charging ชาร์จจาก 30-80% ใช้เวลา 30 นาที แบตเต็มวิ่งได้ไกล 405 กิโลเมตร BYD Dolphin ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchonous Motor มอเตอร์วางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลัง 177 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ BYD Blade Battery (LFP) ความจุ 44.9 kWh มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูง ตัวเลขสมรรถนะ อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทำการต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มไกล 405 กิโลเมตร หักกลบลบหนี้จะมีไฟวิ่งไกล 350 กิโลเมตรแบบสบายๆ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ระบบชาร์จกระแสตรง DC Fast Charging สูงสุด 60 kW ชาร์จไฟจาก 30% จนถึง 80% ภายใน 30 นาที! กินกาแฟหมดแก้วแล้วรออีกหน่อยก็วิ่งได้ถึง 350 กิโลเมตร แบบสบายๆ สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 5 สี ส่วนภายในห้องโดยสารจะอิงไปตามภายนอก – สีชมพู Pupu Pink – สีน้ำเงิน Surf Blue – สีขาว-ส้ม Honey Orange – สีขาว-เขียว Sasha Green – สีขาว-ฟ้า Sparkling Blue สำหรับใครที่สนใจประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ลูกค้าที่ซื้อ BYD DOLPHIN จะได้สิทธิพิเศษ Rêver Care เพื่อดูแลและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า มูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท ประกอบด้วย ออกรถง่าย ๆ ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 39,999 บาท ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ.ระยะเวลา 1 ปี มั่นใจไปกับการรับประกันคุณภาพตัวรถและแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร อุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และอุปกรณ์จำเป็นอย่าง Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า Vtol สายชาร์จเคลื่อนที่ Portable Charger ค่าจดทะเบียน พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/auto/evcar/2660075 https://www.prachachat.net/motoring/news-1239023 https://www.matichon.co.th/economy/auto/news_3886392 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD BYD DOLPHIN News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นธนาคารร่วงกดดันตลาดเอเชีย นำโดย Hang Seng ลดลง 3.32% - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้า นำโดย ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 3.32% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 2.0% หุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ลดลง 1.4% หุ้นจีน (CSI 300) ลดลง 0.5% 20 มี.ค. 2566 วันนี้ (20 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงถ้วนหน้า นำโดย ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 3.32% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 2.0% หุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ลดลง 1.4% หุ้นจีน (CSI 300) ลดลง 0.5% จากแรงเทขายในกลุ่มธนาคาร หลังทางการสวิสเซอร์แลนด์ประกาศว่า ผู้ที่ถือตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) ของธนาคาร Credit Suisse ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต้องรับความเสียหายไปด้วย ส่งผลให้ตราสารหนี้ AT1 และหุ้นของธนาคารต่าง ๆ ถูกเทขาย โดยเฉพาะของ ธนาคาร HSBC และธนาคาร Standard Chartered เนื่องจากกังวลว่าอาจจะได้รับความเสียหายหากสถานการณ์ลุกลาม โดยตราสารหนี้ Additional Tier 1 (AT1) เป็นตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาหลัง Global Financial Crisis ปี 2008 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานทุนของธนาคารพาณิชย์ โดยถ้าธนาคารผู้ออกตราสารหนี้ AT1 เกิดปัญหาขึ้น ตราสารหนี้ AT1 อาจถูกเปลี่ยนจากตราสารหนี้เป็นตราสารทุนได้ทันที ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนในตราสารหนี้ AT1 อาจต้องรับความเสียหายเหมือนผู้ถือหุ้น เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินของภาครัฐฯ มากเกินไป FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารและการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับการประชุม FOMC ในวันที่ 21-22 มีนาคม ซึ่งยังคงมีความไม่แน่อนด้านนโยบายการการเงิน ดังนั้นในระยะสั้นแนะนำชะลอการลงทุน ก่อนทยอยสะสม หลังเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย ในระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-ASHARES-A และ K-CHINA-A(A) และชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนามโดยแนะนำกองทุน PRINCIPAL-VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
MEVT Call ตัวช่วยคัดเลือกกองทุน อย่างเมพด้วยจังหวะขั้นเทพ - FINNOMENA ช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ MEVT Call เป็นตัวช่วยแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ ของนักลงทุนปี 2023 27 เม.ย. 2566 หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนในระยะกลาง เพื่อสร้างโอกาสทำกำไร แต่กังวลตลาด ไม่มีความมั่นใจในการเลือกกองทุน ไม่รู้ว่าจะลงทุนตอนไหนดี หรือลงทุนแต่หาจังหวะจุดเข้า-ออกไม่ได้ ลองให้ MEVT Call หรือเมพคอล ช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะ MEVT Call เป็นตัวช่วยแนะนำการลงทุนรูปแบบใหม่ ของนักลงทุนปี 2023 ในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพ เพื่อให้การลงทุนของคุณมีคุณภาพ ผ่านการคิดวิเคราะห์ที่รอบด้าน สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนกับ FINNOMENA อยู่แล้ว และอยากรู้จัก MEVT Call ให้มากขึ้นไปอีก วันนี้ FINNOMENA จะขอพาทุกคนไปเจาะลึกกับ MEVT Call ว่ามีอะไรดี ทำไมถึงมีความน่าสนใจ ? เปิดบัญชีวันนี้ รับกองทุนฟรี ! 100 บาท มีให้เลือกทั้งตราสารหนี้ จีน เวียดนาม เลือกกองทุนที่ใช่ได้เลย 👉 รับคูปอง คลิก >>> https://finno.me/mevt-oa-pro MEVT Call คืออะไรทำไมถึงเรียกว่า เมพคอล ? MEVT Call หรือ เมพคอล คือ คำแนะนำการลงทุนแบบใหม่จาก FINNOMENA Investment Team ที่เป็นตัวช่วยในการคัดเลือกกองทุนอย่างเมพในจังหวะขั้นเทพ โดยจะเน้นเจาะโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework เน้นปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคมาประกอบ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบันผ่านกรอบการลงทุน 4 ด้าน ได้แก่ Macro (มหภาค) – ปัจจัยเชิงมหภาค เงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง ประชากรศาสตร์ และอื่น ๆ ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทิศทางเศรษฐกิจ เพื่อหาโอกาสการลงทุนที่เหมาะสม Earnings (กำไร) – วิเคราะห์การเติบโตของกำไร แนวโน้มการปรับประมาณการกำไร และงบดุลของบริษัท Valuation (มูลค่า) – การวิเคราะห์มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลงทุนว่ามีความน่าสนใจมากขนาดไหน เพื่อแนะนำเข้าลงทุนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ Technical (เทคนิค) – ปัจจัยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น fund flow, sentiment, seasonal statistic และ technical analysis เพื่อการลงทุนที่รอบด้าน นำไปสู่การลงทุนที่ดีกว่า ความแตกต่างของ MEVT Call และ Tactical Call ที่มีจุดเด่นคนละด้าน – MEVT Call จะเน้นหาโอกาสการลงทุนตาม MEVT Framework ทั้ง 4 ด้าน ที่จะเน้นไปทางปัจจัยพื้นฐาน และมีปัจจัยทางเทคนิคเข้ามาวิเคราะห์ประกอบ ในกรอบระยะการลงทุน 6-12 เดือน (ระยะกลาง) ส่วนการแจ้งจุดออกจะมาจากทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยด้านเทคนิคเช่นกัน – Tactical Call จะเน้นการลงทุนแบบเก็งกำไรในกรอบระยะเวลาที่สั้น 1-3 เดือน โดยหาสัญญาณการเข้า-ออก จากการลงทุนผ่านปัจจัยทางเทคนิคเป็นหลัก และการแจ้งจุดออกจะมาจากปัจจัยทางเทคนิคอย่างเดียว รวมกองทุนตัวเทพที่ MEVT Call จับจังหวะให้ รายชื่อกองทุน ณ วันที่ 2 มี.ค. 2566 ปัจจุบัน FINNOMENA ได้ใช้ MEVT Call ในการจับจังหวะกองทุน ทั้งหมด 3 กองทุน ได้แก่ 1. ตราสารหนี้โลก UGIS-N และ UGIS-A อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : คว้าโอกาสลงทุนตราสารหนี้โลก 2. หุ้นจีน K-CHINA-A(A) อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : รักใครให้ซื้อจีน 3.หุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A อ่านบทวิเคราะ MEVT Call ฉบับเต็มได้ที่: MEVT Call : เวียดนาม ถูกและดี มีอยู่จริง! สรุป 4 จุดเด่นของ MEVT Call 1. วิเคราะห์จุดเข้าด้วยปัจจัยพื้นฐาน และปัจจัยทางเทคนิคประกอบ 2. คัดกรองกองทุนที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา 3. แจ้งเตือนจุดออก (Exit Strategy) เมื่อปัจจัยเปลี่ยนไป 4. มีกระบวนการคัดเลือกสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพในการเติบโต ให้ MEVT Call ช่วยคุณในการลงทุน คัดเลือกกองทุนอย่างเมพ ด้วยจังหวะขั้นเทพกับ “MEVT Call” 👉 ลงทุนใน MEVT Call คลิก >>> https://finno.me/mevt-web คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE “@FINNOMENAPORT แท็ก: Advance Article Knowledge Long Content MEVT Call กองทุน กองทุนต่างประเทศ แชร์บทความ: ผู้เขียน FINNOMENA FINNOMENA Team เราอยากให้นักลงทุนที่ได้เข้ามาหาความรู้ ได้ปลดล็อค “ศักยภาพ” ในฐานะนักลงทุนให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวคุณเอง เพราะสุดท้ายแล้วเราเชื่อว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ลงทุนตามคำบอกของคนอื่น แต่คือนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียเผชิญแรงขาย ก่อนสหรัฐฯ รายงานข้อมูลจ้างงานคืนนี้ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง โดยเผชิญแรงขายในเช้าวันนี้ก่อนที่สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงค่ำของวันนี้ 10 มี.ค. 2566 วันนี้ (10 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง โดยเผชิญแรงขายในเช้าวันนี้ก่อนที่สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนกุมภาพันธ์ในช่วงค่ำของวันนี้ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm payroll) อัตราการว่างงานเดือนกุมภาพันธ์ และตัวเลขค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมง (Average Hourly Earnings) ซึ่งหากตัวเลขดังกล่าวออกมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกไป นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับ sentiment ลบกดดันจาก SVB Financial Group (ซึ่งเป็นธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี) ออกมาประกาศขายหุ้นมูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากเผชิญปัญหาสภาพคล่องหลังจากยอดเงินฝากจากสตาร์ทอัปลดน้อยลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (9 มีนาคม 2023) โดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% ตลาดหุ้นเกาหลี (Kospi) ลดลง 1.3% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) ลดลง 1.2% หุ้นจีน (CSI300) ลดลง 0.9% และตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 0.6% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในวันที่ 21-22 มีนาคม โดยอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียคือการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ในภาพระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-ASHARES-A และ K-CHINA-A(A) และชื่นชอบตลาดหุ้นเวียดนามโดยแนะนำกองทุน PRINCIPAL-VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock เชื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีโอกาสพุ่งแตะ 6% มองหุ้นยุโรปแข็งแกร่ง เริ่มน่าสนใจ - FINNOMENA BalckRock บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุด 6% พร้อมมองว่า มูลค่าหุ้นบางตัวของยุโรปน่าลงทุนกว่าในสหรัฐฯ 9 มี.ค. 2566 BalckRock บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุด 6% พร้อมมองว่า มูลค่าหุ้นบางตัวของยุโรปน่าลงทุนกว่าในสหรัฐฯ หลังประธาน Fed ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าที่เฟดเคยคาดการณ์ไว้ เพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงสู่เป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ BalckRock จึงคาดการณ์ว่า มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 6% และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไประยะหนึ่งเพื่อชะลอเศรษฐกิจ และเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลงใกล้ 2% โดยอินโฟเควสต์รายงานว่า BlackRock มองว่า เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นมากกว่าคาด เนื่องจากไม่ได้มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเหมือนกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และความยืดหยุ่นดังกล่าวได้ทำให้การแก้ไขปัญหาของเฟดมีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่ นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนนี้ และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดในกรอบ 5.50-5.75% ในเดือนมิ.ย. รวมทั้งเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ BlackRock ยังมองว่า ผลประกอบการของบริษัทในยุโรปมีความยืดหยุ่นอย่างน่าประหลาดใจในไตรมาส 4 ของปี 2022 แถมยังมีผลงานที่ดีกว่าหุ้นของบริษัทในตลาดวอลล์สตรีทของสหรัฐอเมริกา The Standard Wealth รายงานว่า BlackRock ระบุว่า หุ้นในอุตสาหกรรมธนาคารกลางและพลังงานของยุโรปปรับตัวมากที่สุดในไตรมาส 4 ขณะที่รายได้จากดัชนี STOXX 600 ทั่วยุโรปเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ต่อปีภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แม้จะยังไม่รวมภาคพลังงานก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ยุโรปเป็นภูมิภาคเดียวของโลกที่การปรับประมาณการผลประกอบการในปี 2024 สามารถกลับมาอยู่ในแดนบวก อีกทั้งรายได้ในสหราชอาณาจักรยังสร้างความประหลาดใจในเชิงบวก แม้จะมีการปรับตามขนาดของภาคการเงินและพลังงานแล้วก็ตาม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/03/08/blackrock-says-the-federal-reserve-could-hike-interest-rates-to-a-peak-of-6percent.html https://www.cnbc.com/2023/03/07/blackrock-european-companies-showing-surprise-resilience-and-better-value-than-the-us.html https://www.ryt9.com/s/iq27/3404444 https://thestandard.co/blackrock-some-stocks-worth-investing/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update ดอกเบี้ย หุ้นยุโรป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนลบถ้วนหน้า หลังพาวเวลขู่เร่งขึ้นดอกเบี้ยอีก หากคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% 8 มี.ค. 2566 วันนี้ (8 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวลง 2.5% หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย 2% แม้เงินเฟ้อจะชะลอลงจากจุดสูงสุดมาแล้วแต่การทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายยังคงต้องใช้เวลาและไม่ได้ราบรื่น ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่งกว่าที่คาด ซึ่งยังเปิดโอกาสให้เฟดสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ข้อมูลจาก CME FedWatch Tools บ่งชี้ว่านักลงทุนคาดหวัง 72% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเฟดวันที่ 21-22 มีนาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาซึ่งนักลงทุนคาดหวังเพียง 9% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% นอกจากนี้ความกังวลดังกล่าวยังเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆให้ปรับตัวในแดนลบเช้านี้เช่นกัน ได้แก่ ตลาดหุ้นเกาหลี (KOSPI) ลดลง 1.3% ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) ลดลง 0.8% ตลาดหุ้นจีน (CSI300) ลดลง 0.65% ข้อมูล ณ เวลา 9:05 น. FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียจะยังคงมีความผันผวนต่อไปจนถึงการประชุมเฟดในวันที่ 21-22 มีนาคม โดยอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียคือการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ของสหรัฐฯ ในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ในภาพระยะกลางถึงยาวเรามองภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังทางจีนรายงานดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับหลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขณะที่การปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆอยู่ในทิศทางทรงตัว ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไรลง ในแง่ของ Valuation ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในระดับถูกเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ยกเว้นเกาหลีใต้และอินเดียที่แพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเนื่องจากมีบางประเทศที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย แต่เราชื่นชอบตลาดหุ้นจีนมากกว่า โดยแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-Ashares-A และ K-CHINA-A(A) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BofA มั่นใจไตรมาส 3 ปีนี้ สหรัฐฯ เศรษฐกิจถดถอยแน่ แต่เป็นการถดถอยทางเทคนิค จากการชะลอตัวของภาคธุรกิจ - FINNOMENA 7 มี.ค. 2566 ซีอีโอของ BofA มั่นใจสหรัฐฯ จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในไตรมาส 3 ของปีนี้ กรุงเทพธุรรกิจรายงานว่า ไบรอัน มอยนิฮานซึ่งเป็นซีอีโอของ BofA กล่าวในงาน Business Summit ที่ออสเตรเลียว่า สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาส 3 ปีนี้ ต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4 และยาวไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค่อยๆ ลดลงในไตรมาสถัดไป โดยการหดตัวรายไตรมาสจะอยู่ในช่วง 0.5% ถึง 1% อย่างไรก็ตามสภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้จะไม่ลึก และจะส่งผลต่อเนื่องให้อัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในไตรมาส 2 ของปี 2024 โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตแบบติดลบทั้งหมด 3 ไตรมาสเนื่องจากการชะลอตัวของภาคธุรกิจ แต่ภาคการบริโภคยังเติบโตอยู่ในเกณฑ์ดี จากการคาดการณ์ สหรัฐฯ ต้องเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่แล้ว แต่จะเกิดในลักษณะที่เบาบางมาก และนี่เป็นเพียงภาวะถดถอยทางเทคนิคหรือการที่ GDP (QoQ) ติดลบติดต่อกันสองครั้งเท่านั้น ไม่ใช่การย่อตัวลงของเศรษฐกิจที่รุนแรง ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1056494 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bloomberg เผยนักลงทุนส่วนใหญ่เลือกถือ ‘เงินสด’ ในปี 2023 มองให้ผลตอบแทนสูงกว่าเอาไปลงทุน - FINNOMENA 2 ใน 3 ของนักลงทุนจำนวน 404 รายที่ตอบแบบสำรวจล่าสุดของ MLIV Pulse ระบุว่า เงินสดในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสุทธิในปีนี้ มากกว่าที่จะถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน 7 มี.ค. 2566 2 ใน 3 ของนักลงทุนจำนวน 404 รายที่ตอบแบบสำรวจล่าสุดของ MLIV Pulse ระบุว่า เงินสดในพอร์ตการลงทุนของพวกเขาจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสุทธิในปีนี้ มากกว่าที่จะถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน อินโฟเควสต์รายงานผลการสำรวจว่า บรรดานักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสด เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับสภาวะทางการเงินและเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน, วิตกเกี่ยวกับภาวะตลาดหมี (ตลาดขาลง), การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลอดจนแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อพอร์ตการลงทุนเหมือนกับในปี 2022 ขณะที่นายไมเคิล วิลสัน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นสหรัฐของมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยกับบลูมเบิร์ก ทีวีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนี S&P500 อาจร่วงลงประมาณ 20% เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะอ่อนแอลง ตอนนี้เงินสดดดูเหมือนจะเป็นที่หลบภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐสูงพอที่จะเอาชนะพอร์ตหุ้นและพันธบัตรแบบคลาสสิก 60/40 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544 และแม้แต่บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงก็จ่ายดอกเบี้ยใกล้แตะระดับ 4% แล้วในขณะนี้ ลีโอ เคลลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเวอร์เดนซ์ แคปิตอล แอดไวเซอร์ส (Verdence Capital Advisors) กล่าวว่า “เราสนับสนุนนักลงทุนให้ถือเงินสด คุณสามารถจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะที่จะมีความผันผวนอย่างมากในตลาด และมีโอกาสอย่างมากที่จะเงินสดนั้นจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าดึงดูดใจ” อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3403711 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เงินสด แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่ง 4% หลังจีนรายงานดัชนี PMI ดีเกินคาด หนุน sentiment หุ้นเอเชีย - FINNOMENA วันนี้ (1 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 4.2% หลังรัฐบาลจีนรายงานดัชนี PMI เดือนกุมภาพันธ์ดีกว่าที่ตลาดคาดและมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 1 มี.ค. 2566 วันนี้ (1 มีนาคม 2023) ตลาดหุ้นฮ่องกง (HSI) ปรับตัวขึ้น 4.2% หลังรัฐบาลจีนรายงานดัชนี PMI เดือนกุมภาพันธ์ดีกว่าที่ตลาดคาดและมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 52.6 ดีกว่าตลาดคาดที่ 50.5 และดีขึ้นจากเดือนมกราคมที่ 50.1 ขณะที่ดัชนี PMI นอกภาคการผลิตอยู่ที่ 56.3 ดีกว่าตลาดคาดที่ 55.0 และดีขึ้นจากเดือนมกราคมที่ 54.4 โดยดัชนี PMI ทั้งภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตของจีนเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคมหลังจากรัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนเริ่มมีพัฒนาการดีขึ้น ก่อนหน้านี้ดัชนี PMI ของจีนได้ทำจุดต่ำสุดในเดือนธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา การรายงานดัชนี PMI ของจีนวันนี้ยังสร้าง sentiment เชิงบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียให้ปรับตัวขึ้น นำโดย ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN30) เพิ่มขึ้น 1.92% ตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวขึ้น 1.41% ตลาดหุ้นอินเดีย (Nifty50) เพิ่มขึ้น 0.78% ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (Kospi) เพิ่มขึ้น 0.42%ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) เพิ่มขึ้น 0.26% และตลาดหุ้นไทย (SET) เพิ่มขึ้น 0.20% (ข้อมูล ณ เวลา 15:30 น.) FINNOMENA Investment Team มองว่าการรายดัชนี PMI ที่แข็งแกร่งของจีนครั้งนี้ถือว่าเป็นสัญญาณยืนยันว่าการผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ของจีน ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นได้ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นจีน และภาพรวมตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นการปรับประมาณการกำไรขึ้นของตลาดหุ้นจีน (CSI300) และฮ่องกง (HSI) ประมาณ 14.8% และ 15.5% ตามลำดับ หลังจากรัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ในแง่ของ Valuation ปัจจุบัน Forward 12m P/E ของตลาดหุ้นจีน (CSI300) อยู่ที่ 11.7 (ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปี) ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ 9.2 (-1.6 S.D.) โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนและแนะนำทยอยสะสมในกองทุน KT-Ashares-A และ K-CHINA-A(A) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ต้องมีเงิน 100 ล้านบาทถึงพอเกษียณ? Bloomberg เผยผลสำรวจนักลงทุน-นักการเงิน ส่วนใหญ่หวังเงินอย่างน้อย 100 ล้านบาทก่อนเกษียณ - FINNOMENA Bloomberg ถามนักลงทุนทั่วโลกว่า “อยากเกษียณแบบสบายๆ ด้วยเงินเท่าไร?” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มองว่า ควรมีเงินเก็บสัก 3-5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100-170 ล้านบาท 1 มี.ค. 2566 Bloomberg ถามนักลงทุนทั่วโลกว่า “อยากเกษียณแบบสบายๆ ด้วยเงินเท่าไร?” ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มองว่า ควรมีเงินเก็บสัก 3-5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 100-170 ล้านบาท โดยนักลงทุนที่ร่วมตอบแบบสอบถามทั้งหมด 553 ราย ซึ่งประมาณ 1 ใน 3 คอบที่ 3 ล้านดอลลาร์ และอีก 1 ใน 3 ตอบว่า 5 ล้านดอลลาร์ โดยมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค ในสหรัฐฯ แคนาดา เอเชีย และตะวันออกกลาง มองว่าควรมีเงินเก็บ 5 ล้านเหรียญมากที่สุด ขณะที่ออสเตรเลีย โอเชียเนีย ยุโรป และแอฟริกา มองว่าควรมีเงินเก็บ 3 ล้านเหรียญมากที่สุด ส่วนอเมริกาใต้ สัดส่วนคนที่ตอบ 3 ล้านเหรียญ และ 20 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 690 ล้านบาท มีเท่ากัน โดยนักลงส่วนใหญ่มองโลกในแง่ดีว่า พวกเขาจะขยับเข้าใกล้เป้าหมายการเกษียณอายุภายในสิ้นปี 2566 หรือเก็บเงินออมได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 เพราะในปีที่แล้ว ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในระดับสูงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ขณะที่เนื่องจากราคาตราสารหนี้ที่ร่วงลง ทำให้ 401(k) บัญชีเกษียณอายุของสหรัฐฯ ปรับตัวลงมา 20% ในปีที่แล้ว ส่วนในปีนี้ ทั้งนักลงทุนมืออาชีพและรายย่อยต่างคาดหวังว่าหุ้นและพันธบัตรจะกลับมามีความสัมพันธ์แบบปกตื หรือกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกันอีกครั้ง โดยตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนคงที่จะเป็นตัวรองรับรับการขาดทุนของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ตอบแบบสอบถามไม่แน่ใจว่า ปลายทางตัวเองจะมีเงินออมเพียงพอสำหรับการเกษียณอายุหรือเปล่า ซึ่งคนที่มั่นใจว่าเงินเก็บจะเพียงพอต่อการเกษียณอายุมีไม่ถึง 50% ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เคยปรับแผนการลงทุนเพื่อการเกษียณของตัวเอง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และผลขาดทุนจากการลงทุน โดย 56%บอกว่า ตัวเองยึดติดกับแผนการลงทุนแบบเดิม ขณะที่อีก 8% คิดว่า ตัวเองน่าจะไม่มีวันได้เกษียณอายุ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-21/saving-for-retirement-investors-say-you-ll-need-3-million-to-be-comfortable?sref=e4t2werz https://workpointtoday.com/investors-say-they-need-at-least-3-million-dollar-to-retire/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Kept News Update วางแผนเกษียณ เกษียณ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลดลง 2.8% จากปัญหาการเมืองในประเทศและ NOVALAND ขอเลื่อนชำระหุ้นกู้ - FINNOMENA วันนี้ (22 ก.พ. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง -2.8% นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับแรงกดดันหลัง Novaland ขอขยายเวลาการชำระเงินคืนเงินต้นสำหรับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2021 22 ก.พ. 2566 วันนี้ (22 ก.พ. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง -2.8% นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับแรงกดดันหลัง Novaland ขอขยายเวลาการชำระเงินคืนเงินต้นสำหรับหุ้นกู้ที่ออกเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2021 หรือขอแปลงการจ่ายเงินต้นเป็นสินค้าอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท โดยราคาหุ้น NOVALAND ปรับตัวลง 6.6% ถึงระดับราคาเสนอซื้อเสนอขายต่ำสุด (floor) โดยความกังวลนี้ยังสร้าง sentiment เชิงลบต่อเนื่องไปยังหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มธนาคารในวงกว้างด้วย นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ หลังรัฐบาลมีท่าทีจะออกแนวทางใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตในภาครัฐบาล ส่งผลข้าราชการชะลอการอนุมัติโครงการต่างๆ เนื่องจากกังวลว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตของโครงการที่ได้ลงนาม FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีความผันผวนในระยะสั้นเนื่องจากมีนักลงทุนลงรายย่อยเป็นสัดส่วนใหญ่ แต่หากพิจารณาในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. 2023 ฟื้นตัวสู่ 47.40 จากระดับ 46.40 ในเดือนธ.ค. 2022 (แต่ยังอยู่ในโซนหดตัว) และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อหลังจากจีนผ่อนคลายมาตร Zero Covid ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.13 เท่า หรือ -1.76 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมถึงยังมีแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง เราจึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กองทุน ESG เทขายหุ้น Tencent หลังบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส จากการแทรกแซงของรัฐในธุรกิจเอกชน - FINNOMENA กองทุน ESG มากกว่า 10 แห่ง เทขายหุ้น Tencent คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบของจีน ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส 22 ก.พ. 2566 กองทุน ESG มากกว่า 10 แห่ง เทขายหุ้น Tencent คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จากความกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบของจีน ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทถูกปรับลดระดับความโปร่งใส เมื่อปลายเดือน ส.ค. Sustainalytics บริษัทวิจัยและจัดอันดับ ESG ได้ปรับลดอันดับ Tencent ให้อยู่ในหมวด ‘ไม่ปฏิบัติตาม’ กับหลักการของ UN ตั้งแต่นั้นมา รวมแล้วกองทุน ESG ในยุโรปมากกว่า 40 แห่ง ได้เทขายหุ้นมากกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์ แม้ว่านักลงทุน ESG จำนวนมากยังคงเป็นเจ้าของ Tencent และบริษัทอินเทอร์เน็ตอื่นๆ ของจีน แต่ความเคลื่อนไหวของกองทุนแสดงให้เห็นว่ามีความท้าทายที่เกิดจากบันทึกการสอดแนมและการปราบปรามเสรีภาพในการพูดของจีน รวมทั้งบนแพลตฟอร์มเช่น WeChat ของ Tencent Simon MacMahon หัวหน้าฝ่ายวิจัย ESG ระดับโลกของ Sustainalytics ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของ Morningstar ให้สัมภาษณ์ว่า การเซ็นเซอร์และการสอดแนมของทางการจีน กำลังขยายออกไปในเรื่องต่างๆ ทั้งศาสนา ปัญหา LGBT สงครามยูเครน และโควิด นอกจาก Tencent แล้ว บริษัทอินเทอร์เน็ตอื่นๆ อย่าง Baidu และ Weibo ก็ถูกลดอันดับเช่นกัน ซึ่งทั้งสามบริษัทมีบทบาทสำคัญในเรื่องดังกล่าว ขณะที่กองทุน Storebrand กล่าวว่า ได้ขายหุ้น Tencent ออกมาก จากการปรับลด Sustainalytics ขณะที่ Alecta กองทุนบำนาญที่ใหญ่ที่สุดของสวีเดนที่มีพอร์ตการลงทุน 107,000 ล้านดอลลาร์ ได้เทขายหุ้นเนื่องจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากการแทรกแซงของรัฐในธุรกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม กองทุน ESG ในเอเชียไม่เห็นด้วยกับทางฝั่งยุโรป และซื้อหุ้นจีนเพิ่ม 570 ล้านดอลลาร์ในเดือน ม.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-21/tencent-becomes-a-can-t-touch-stock-for-some-esg-investors?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ESG News Update Tencent กองทุน ESG แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla เรียกคืนรถ 362,000 คัน ในสหรัฐฯ หลังซอฟต์แวร์ปล่อยให้รถขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด หรือขับผ่านสี่แยกตอนไฟเหลือง - FINNOMENA สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (NHTSA) เปิดเผยเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) ว่า บริษัทเทสลาประกาศเรียกคืนรถยนต์จำนวนมากถึง 362,000 คันในสหรัฐ เนื่องจากพบว่าซอฟต์แวร์ “Full Self-Driving Beta” หรือ FSD Beta อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชน 17 ก.พ. 2566 สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (NHTSA) เปิดเผยเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) ว่า บริษัทเทสลาประกาศเรียกคืนรถยนต์จำนวนมากถึง 362,000 คันในสหรัฐ เนื่องจากพบว่าซอฟต์แวร์ “Full Self-Driving Beta” หรือ FSD Beta อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชน NHTSA ระบุว่า ซอฟต์แวร์ FSD Beta ของเทสลาปล่อยให้รถขับเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนด หรือขับผ่านสี่แยกในลักษณะที่ผิดกฎหมายหรือคาดการณ์ไม่ได้จนอาจเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุรถชน อย่างไรก็ดี สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เทสลาจะอัปเดตซอฟต์แวร์ดังกล่าวแบบ OTA โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเทสลาเปิดเผยว่ายังไม่มีรายงานอุบัติเหตุหรือการเสียชีวิตจากปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ รถเทสลาที่ถูกเรียกคืนจะรวมถึง Model S ปี 2559-2566, Model X, Model 3 ปี 2560-2566 และ Model Y ปี 2563-2566 ทั้งหมดที่มีซอฟต์แวร์ FSD Beta หรือที่กำลังจะติดตั้งซอฟต์แวร์ดังกล่าว NHTSA เตือนว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวอาจทำให้เกิดการละเมิดกฎหมายจราจรท้องถิ่น โดยสถานการณ์ที่อาจเกิดปัญหาคือเมื่อรถขับผ่านหรือเลี้ยวบริเวณสี่แยกในขณะที่สัญญาณไฟจราจรเป็นไฟเหลือง และเมื่อรถเปลี่ยนเลนจากเลนที่ต้องเลี้ยวเท่านั้นเพื่อที่จะขับทางตรงต่อไป “ระบบดังกล่าวอาจเปลี่ยนความเร็วตามป้ายจำกัดความเร็วไม่ทัน หรือตอบสนองไม่เพียงพอในกรณีที่ผู้ขับขี่ขับเร็วเกินกำหนด” ทั้งนี้ เทสลาและ NHTSA ระบุว่า ฟีเจอร์ขับรถขั้นสูงของซอฟต์แวร์ FSD ไม่ได้ทำให้รถขับเองโดยอัตโนมัติ และผู้ขับขี่จำเป็นต้องตั้งใจขับขี่ อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2023/276574 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ดัชนี HSCEI ในฮ่องกง ปรับฐานลงมามากกว่า 10% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 27 ม.ค. หลังพุ่งขึ้นราว 50% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng China Enterprises ของฮ่องกงเข้าสู่ภาวะปรับฐานแล้ว เผชิญแรงเทขายจากความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจยืดเยื้อออกไป 15 ก.พ. 2566 ดัชนี Hang Seng China Enterprises ของฮ่องกงเข้าสู่ภาวะปรับฐานแล้ว เผชิญแรงเทขายจากความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจยืดเยื้อออกไป วันนี้ (15 ก.พ.) ดัชนี Hang Seng China Enterprises ลดลงมากถึง 1.9% ซึ่งปรับฐานมามากกว่า 10% จากจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 27 ม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาตลอด 3 เดือน ดัชนี HSCEI ก็เผชิญกับอุปสรรคในเดือน ก.พ. จากความอ่อนแอในฝั่งผลิต รวมถึงยอดขายรถยนต์และที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลง ทำให้นักลงทุนมองว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอาจยืดเยื้อออกไป ผู้จัดการกองทุนระดับโลกจาก abrdn และ Fidelity หวังว่า นโยบายส่งเสริมการเติบโตที่มีศักยภาพจากสภาประชาชนแห่งชาติในเดือน มี.ค. จะช่วยทำให้ราคาหุ้นกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง พร้อมมองว่า ผู้นำของจีนแสดงความมุ่งมั่นครั้งใหม่ในการสนับสนุนการเติบโต โดยคาดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้รับประโยชน์หลัก ดัชนี HSCEI พุ่งขึ้นราว 50% ระหว่างเดือน พ.ย. ถึง ม.ค. หลังการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนกระตุ้นการบริโภค ส่งผลให้ธุรกิจจัดเลี้ยง การท่องเที่ยว และธุรกิจอื่น ๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงวันหยุดตรุษจีน แต่การร่วงลงของดัชนีเมื่อเร็วๆ นี้ บ่งชี้ว่านักลงทุนต้องการการสนับสนุนด้านนโยบายเพิ่มเติมเพื่อผลักดันผลกำไร โดยระหว่างการประชุมเมื่อปีที่แล้ว ปักกิ่งได้สรุปเป้าหมายการเติบโตเชิงรุก ขณะเดียวกันก็วางรากฐานสำหรับการกระตุ้นทางการคลังมากขึ้น ขณะที่ประเด็นบอลลูนสอดแนมในจีนสร้างความตึงเครียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ จนบั่นทอนความเชื่อมั่นในช่วงไม่กี่วันมานี้ ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของจีนได้เพิ่มเงินสดเข้าสู่ระบบการเงินในวันพุธเพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-15/china-stocks-in-hong-kong-head-for-correction-as-selloff-extends?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: HSCEI News Update ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Morgan Stanley เตือนแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังราคาไม่สอดคล้องความจริง คาดดัชนี S&P 500 ร่วง 4.7% สู่ระดับ 3,900 จุด ในสิ้นปีนี้ - FINNOMENA Morgan Stanley ระบุ หุ้นสหรัฐฯ ไม่สนใจ Fed และความเป็นจริงของกำไร โดยพร้อมจะถูกเทขาย หลังราคาพุ่งก่อนที่ควรจะเป็นเพราะมองว่า Fed ค่อยๆ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว 14 ก.พ. 2566 Morgan Stanley ระบุ หุ้นสหรัฐฯ ไม่สนใจ Fed และความเป็นจริงของกำไร โดยพร้อมจะถูกเทขาย หลังราคาพุ่งก่อนที่ควรจะเป็นเพราะมองว่า Fed ค่อยๆ ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว ทีมนักกลงยุทธ์ของบริษัทที่นำโดย Michael Wilson กล่าวว่า ในขณะที่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็วๆ นี้สนับสนุนความคิดที่ว่า Fed จะยังคงใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไป แต่ตลาดหุ้นกลับปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นจริงนี้ Michael Wilson คาดว่า ทั้งปัจจัยพื้นฐานที่ถดถอยลง การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed รวมถึงการถดถอยของกำไร จะมาถึงพร้อมกัน และจะดันหุ้นไปสู่จุดต่ำสุดในฤดูใบไม้ผลินี้ เนื่องจากราคาไม่เชื่อมโยงกับความเป็นจริง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อัตราผลตอบแทนของธนบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ สูงกว่าอัตราผลตอบแทน 10 ปีมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสามารถทนต่อการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ ในขณะเดียวกัน หุ้นสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นปีอย่างแข็งแกร่งสุดในรอบปีเป็นประวัติการณ์ Morgan Stanley มองว่า รายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด อาจเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนกลับสู่ความเป็นจริง โดยนักวิเคราะห์คาดว่า เงินเฟ้อ ม.ค. ของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และอาจเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 3 เดือน Michael Wilson คาดว่า สิ้นปีนี้ ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 3,900 จุด ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดในวันศุกร์ (10 ก.พ.) ประมาณ 4.7% โดยต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าจะถึงจุดนี้ และคาดว่าหุ้นจะร่วงเมื่อประมาณการกำไรลดลง ก่อนจะดีดตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี บริษัทมองว่า ผลตอบแทนจากความเสี่ยงนั้นแย่พอๆ กับที่เคยเป็นมาในช่วงตลาดขาลง ความจริงสำหรับหุ้นคือ อนโยบายการเงินยังคงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด ขณะที่กำไรเริ่มถดถอยแล้ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-13/morgan-stanley-s-wilson-says-stocks-ignore-fed-earnings-reality?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Morgan Stanley News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “คนรวยไม่ได้ฉลาดกว่าคนจนเสมอไป” BBC เผยงานวิจัยที่ระบุว่า ภูมิหลังทางสังคมและการสะสมความได้เปรียบด้านอื่นๆ มีส่วนสำคัญในการผลักดันความสำเร็จ - FINNOMENA BBC Thai รายงานว่า คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า บรรดามหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศหรือของโลก จะต้องมีระดับสติปัญญาสูงเลิศล้ำเหนือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า และยึดเอาแนวคิดของมหาเศรษฐีมาเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต 13 ก.พ. 2566 BBC Thai รายงานว่า คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า บรรดามหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศหรือของโลก จะต้องมีระดับสติปัญญาสูงเลิศล้ำเหนือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า และยึดเอาแนวคิดของมหาเศรษฐีมาเป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต แต่ทีมนักสังคมวิทยาจากสวีเดนและเนเธอร์แลนด์ได้ตั้งคำถามกับความเชื่อดังกล่าว ทั้งยังได้ลงมือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญากับความสำเร็จในชีวิต โดยลงตีพิมพ์ในวารสาร European Sociological Review งานวิจัยข้างต้นวิเคราะห์ข้อมูลของชายหนุ่มชาวสวีเดนเกือบ 60,000 คน ซึ่งทีมผู้วิจัยได้ติดตามศึกษาพัฒนาการในเรื่องของอาชีพการงานและรายได้ของคนเหล่านี้เป็นเวลา 11 ปี จนกระทั่งพวกเขาอยู่ในวัยราว 35-40 ปี จึงได้ยุติการติดตามเก็บข้อมูล เมื่อนำข้อมูลข้างต้นไปเปรียบเทียบกับผลทดสอบระดับสติปัญญาและบุคลิกภาพ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้ทำไว้เมื่อ 11 ปีก่อน ผลปรากฏว่าคนที่มีอาชีพการงานในระดับแนวหน้าและมีรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆ นั้น มีผลตรวจวัดระดับสติปัญญาและบุคลิกภาพในวัยเยาว์ไม่แตกต่างไปจากกลุ่มคนที่มีรายได้สูงในระดับรองลงมา เบื้องต้นผลวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระดับสติปัญญากับรายได้จะบ่งชี้ว่า สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันแบบแปรผันตรง โดยคนที่มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าก็จะมีรายได้สูงกว่าตามไปด้วย แต่เมื่อกลุ่มตัวอย่างบางส่วนเริ่มมีรายได้มากกว่า 64,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือราว 2,160,000 บาทต่อปี ทีมผู้วิจัยกลับไม่พบความแตกต่างทางสติปัญญาของคนรวยในกลุ่มนี้ไม่ว่าเขาจะมีรายได้มากเป็นอันดับที่เท่าใดก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างมากก็คือ กลุ่มคนที่ร่ำรวยสุดยอดซึ่งคิดเป็น 1% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด มีแนวโน้มจะ ‘ฉลาดน้อย’ กว่าผู้มีรายได้สูงในระดับรองลงมาด้วยซ้ำ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จทางการเงินในระดับอภิมหาเศรษฐีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาเพียงอย่างเดียว “ภูมิหลังทางสังคมและการสะสมความได้เปรียบด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากระดับสติปัญญาของตนเอง มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้คนผู้หนึ่งก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จระดับสุดยอดในด้านรายได้และอาชีพการงาน” ทีมผู้วิจัยกล่าวสรุป อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/articles/cxe38979nk1o ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คนจน คนรวย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Disney เผยงบดีกว่าคาด ดันราคาหุ้นพุ่ง 5% หลังปิดตลาด แม้ผู้ใช้งาน Disney+ ลดลงครั้งแรก เหลือ 161.8 ล้านบัญชี ซีอีโอประกาศตัดงบ เลิกจ้าง 7,000 คน - FINNOMENA Disney รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2023 ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่ง 5% หลังปิดตลาด แม้ตัวเลขผู้ใช้งาน Disney+ ลดลงครั้งแรกเหลือแตะ 161.8 ล้านบัญชี พร้อมประกาศปรับโครงสร้างครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี เลิกจ้าง 7,000 คน 9 ก.พ. 2566 Disney รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2023 ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่ง 5% หลังปิดตลาด แม้ตัวเลขผู้ใช้งาน Disney+ ลดลงครั้งแรกเหลือแตะ 161.8 ล้านบัญชี พร้อมประกาศปรับโครงสร้างครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี เลิกจ้าง 7,000 คน ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2023 สิ้นสุดเดือน ธ.ค. มีดังนี้ กำไรต่อหุ้น: $0.99 สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ $0.78 รายได้: 23,510 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 23,370 ล้านดอลลาร์ จำนวนผู้สมัครใช้งาน Disney+ ทั้งหมด: 161.8 ล้านบัญชี สูงกว่าคาดการณ์โดย StreetAccount ที่ 161.1 ล้านบัญชี โดยจำนวนที่ลดลงมาจากทั้งสมาชิก Disney+ ในอเมริกาเองที่ลดลง 2 แสนบัญชี และส่วนของ Disney+ Hotstar ที่ลดลง 3.8 ล้านบัญชี ขณะที่ Disney+ ประเทศอื่นภาพรวมเพิ่มขึ้น ขณะที่ ซีอีโอ Bob Iger ที่เพิ่งกลับมารับตำแหน่งซีอีโออีกครั้ง ยังประกาศแผนลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยจะปลดพนักงานราว 7,000 ค นซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดงบประมาณได้ราว 5,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 184,283 ล้านบาท) ปัจจุบัน ดิสนีย์มีพนักงานทั่วโลกประมาณ 190,000 คน จากจำนวนดังกล่าว 80% เป็นพนักงานประจำ ขณะที่การประกาศมาตรการเลิกจ้างพนักงานเกิดขึ้น หลังการเปิดเผยสถิติผู้ใช้งาน Disney+ บริการสตรีมมิ่งซึ่งตอนนี้ถือเป็นคู่แข่งของเน็ตฟลิกซ์ มีจำนวนบัญชีผู้ใช้งานลดลง 1% อยู่ที่ 161.8 ล้านบัญชี จนถึงเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม Bob Iger พูดถึงธุรกิจสตรีมมิ่งว่าโฟกัสหลักคือการทำให้ส่วนธุรกิจนี้มีกำไร โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรในปีการเงิน 2024 ส่วนแพ็คเกจราคาถูกลงที่มีโฆษณา ซึ่งให้บริการในบางประเทศ ยังไม่เห็นผลกระทบต่อรายได้ชัดเจน เนื่องจากเพิ่มเริ่มให้บริการเมื่อเดือน ธ.ค. สำหรับความเคลื่อนไหวของดิสนีย์ในครั้งนี้ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งที่สามในรอบ 5 ปี หรือต่อจากปี 2561 และ 2563 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่ง ส่วนการปลดพนักงานครั้งใหญ่ของดิสนีย์ก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 โดยเป็นการเลิกจ้าง 32,000 คน ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานตามสวนสนุกหลายแห่งในโลก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/02/08/disney-dis-earnings-q1-2023.html https://www.cnbc.com/2023/02/08/disney-reorganization.html https://www.blognone.com/node/132561 https://www.dailynews.co.th/news/1976937/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Disney DisneyPlus News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Zoom พุ่งกว่า 8% หลังบริษัทประกาศปลดพนักงาน 1,300 ราย ด้านซีอีโอยอมหั่นเงินเดือนตัวเอง 98% พร้อมไม่รับโบนัส - FINNOMENA หุ้น Zoom พุ่งกว่า 8% อยู่ที่ระดับ $83.37 หลังบริษัทประกาศปลดพนักงานจำนวน 1,300 ราย หรือประมาณ 15% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด พร้อมปรับลดเงินเดือนของผู้บริหารบริษัท 8 ก.พ. 2566 หุ้น Zoom พุ่งกว่า 8% อยู่ที่ระดับ $83.37 หลังบริษัทประกาศปลดพนักงานจำนวน 1,300 ราย หรือประมาณ 15% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด พร้อมปรับลดเงินเดือนของผู้บริหารบริษัท เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.) Zoom ประกาศปลดพนักงานกว่าพันคน พร้อมหั่นเงินเดือนลง 20% และปรับลดเงินเดือนของซีอีโอบริษัท ‘เอริค หยวน’ ลง 98% ในปีงบประมาณที่จะมาถึงนี้ และจะไม่รับเงินโบนัสในปีนี้ ซีอีโอของ Zoom ระบุว่า เราทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เราก็ได้ทำผิดพลาดเช่นกัน เราไม่ได้ใช้เวลามากพอในการวิเคราะห์กันภายในทีมว่าเราให้ความสำคัญสูงสุดกับเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่ Zoom กลายเป็นชื่อเรียกติดหูในช่วงที่ผู้คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน เนื่องจากการระบาดของโควิด ทำให้ Zoom ได้รับความนิยมในฐานะซอฟต์แวร์ประชุมออนไลน์และประชุมทางไกล ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลกในยุคหนึ่ง แต่หลังจากที่โลกได้ปรับตัวมาใช้ชีวิตช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด Zoom ก็จำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อลูกค้า โดยพนักงานที่ถูกปลดออกจะได้รับเงินชดเชยพิเศษเป็นเงินเดือนจำนวน 16 สัปดาห์ และได้รับการประกันสุขภาพ ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้น Zoom พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ประชาชนต้องทำงานจากที่บ้าน ขณะที่บริษัทมีมูลค่าตลาดสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1.75 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.2563 อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่นั้นมา ราคาหุ้น Zoom ก็ได้ปรับตัวลง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1051960 https://www.voathai.com/a/zoom-to-shed-about-1-300-jobs-as-pandemic-fueled-demand-slows/6952525.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Baidu พุ่งกว่า 13% สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบปี ขานรับการเปิดตัว ‘Ernie bot’ แชทบอต AI สไตล์ ChatGPT ภายใน มี.ค. นี้ - FINNOMENA ราคาหุ้น Baidu ในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งมากกว่า 13% สู่ระดับสูงสุดตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. 2022 หลังบริษัทระบุว่าจะผลิตแชทบอต AI สไตล์ ChatGPT เป็นของตัวเอง 7 ก.พ. 2566 ราคาหุ้น Baidu ในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งมากกว่า 13% สู่ระดับสูงสุดตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. 2022 หลังบริษัทระบุว่าจะผลิตแชทบอต AI สไตล์ ChatGPT เป็นของตัวเอง Baidu กล่าวในแถลงการณ์ว่า แชทบอต AI ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเสร็จสิ้นการทดสอบภายในเดือน มี.ค. ก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะในชื่อ ‘Ernie bot’ ที่ย่อมาจากคำว่า Ernie ย่อมาจากคำว่า Enhanced Representation through Knowledge Integration และมีชื่อภาษาจีนคือ ‘Wenxin Yiyan’ ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลัง ChatGPT ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะที่ Google เพิ่งประกาศเปิดตัว ‘Bard’ ซึ่งเป็นแชทบอต AI เช่นกัน Baidu กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ ERNIE แตกต่างจากแชทบอตอื่นๆ คือการรวมความรู้ที่กว้างขวางเข้ากับข้อมูลจำนวนมหาศาล ส่งผลให้เกิดความเข้าใจและความสามารถในการสร้างที่ยอดเยี่ยม Baidu เปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 2019 และได้พัฒนามาเป็นชุดโมเดลขนาดใหญ่ขั้นสูงที่สามารถจัดการงานได้หลากหลาย เช่น การทำความเข้าใจภาษา การสร้างภาษา และการสร้างข้อความเป็นรูปภาพ ในการนำเสนอเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Haifeng Wang ประธานฝ่ายเทคโนโลยีของบริษัทได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้เชิงลึกใน AI รวมถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/02/07/baidu-shares-leaps-as-it-reveals-plan-for-chatgpt-style-ernie-bot.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Baidu Chatbot ChatGPT Ernie bot News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Man Group กองทุนเฮดจ์ฟันด์แบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เตือน ‘ตลาดเกิดใหม่’ เตรียมปรับฐานใน 2 เดือน มองการเปิดเมืองของจีนไม่กระตุ้นเศรษฐกิจโลก - FINNOMENA กองทุนเฮดจ์ฟันด์แบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเตรียมเดิมพันกับ ‘ความพ่ายแพ้’ ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และมองว่าจะมีแรงเทขายครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นมุมมองที่สวนทางกับหลายสถาบันการเงินของวอลล์สตรีท 7 ก.พ. 2566 กองทุนเฮดจ์ฟันด์แบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเตรียมเดิมพันกับ ‘ความพ่ายแพ้’ ในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และมองว่าจะมีแรงเทขายครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นมุมมองที่สวนทางกับหลายสถาบันการเงินของวอลล์สตรีท Man Group ดูแลสินทรัพย์มูลค่า 138,000 ล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งอยู่ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริการะบุว่า การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงในปีนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และถูกตั้งค่าให้ย้อนกลับ Guillermo Osses หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ของบริษัทคาดว่า จะได้เห็นการเทขายของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในอีก 2 เดือนข้างหน้า เพราะนักลงทุนได้เพิ่มการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และพบว่ามีการประเมินมูลค่าที่ตึงตัวมากเมื่อสภาพสภาพคล่องพลิกผัน ตั้งแต่ต้นปี 2023 หุ้นของ Man Group ในลอนดอนเพิ่มขึ้น 23% เทียบกับ FTSE 100 ที่เพิ่มขึ้น 6% มุมมองเชิงลบต่อตลาดเกิดใหม่ของ Man Group สวนทางกับผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ที่มองว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม กองทุนตราสารหนี้ EM ที่ Guillermo Osses บริหารอยู่ ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าบริษัทอื่นถึง 99% ในปีที่แล้ว โดยกองทุนเตือนถึงความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้และให้ผลตอบแทน 2.4% เทียบกับการขาดทุนเฉลี่ย 14% ในกลุ่มบริษัทอื่น ตามที่รวบรวมโดย Bloomberg สำหรับหุ้นจีน Guillermo Osses มองว่า การถอนสภาพคล่องจะทำให้เกิดแรงเทขายที่แย่ลงเรื่อยๆ และไม่เชื่อว่าการเปิดเมืองของจีนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ เพราะระดับเครดิตของจีนใกล้จะต่ำเป็นประวัติการณ์ Man Group ระบุว่า ในขณะที่บางคนบอกว่าความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จากจีนจะสนับสนุนประเทศกลุ่ม EM แต่เราไม่เห็นข้อมูลที่สอดคล้องกับสมมติฐานดังกล่าว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-06/world-s-biggest-public-hedge-fund-bets-on-emerging-markets-rout?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โตต่อเนื่อง 3 ปีติด! คนไทยแห่ทำ ‘ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยง’ เพิ่มขึ้นกว่า 91% หลังโครงสร้างสังคมเปลี่ยน คนหันมาเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนมากขึ้น - FINNOMENA กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยปี 2565 นักธุรกิจชาวไทยแห่ลงทุน ‘ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยง’ เพิ่มขึ้นกว่า 91% เติบโตต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ปี 6 ก.พ. 2566 กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยปี 2565 นักธุรกิจชาวไทยแห่ลงทุน ‘ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยง’ เพิ่มขึ้นกว่า 91% เติบโตต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ปี วันนี้ (6 ก.พ.) ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีครอบครัว ครองตัวเป็นโสด สังคมผู้สูงอายุ และการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น การเลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญและมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยในปี 2563-2565 ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงมีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้น ปี 2563: จดทะเบียนจัดตั้ง 63 ราย ทุนจดทะเบียน 101.90 ล้านบาท ปี 2564: จัดตั้ง 68 ราย (เพิ่มขึ้น 5 ราย หรือ 8%) ทุน 119.13 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.23 ล้านบาท หรือ 17%) ปี 2565: จัดตั้ง 130 ราย (เพิ่มขึ้น 62 ราย หรือ 91%) ทุน 210.35 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91.22 ล้านบาท หรือ 77%) ปี 2562 รายได้รวม อยู่ที่ 2,933.51 ล้านบาท กำไร 57.63 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 3,512.44 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 578.93 ล้านบาท หรือ 20%) กำไร 46.31 ล้านบาท (ลดลง 11.32 ล้านบาท หรือ 20%) และ ปี 2564 รายได้รวม 4,267.72 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 755.28 ล้านบาท หรือ 22%) กำไร 127.76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 81.45 ล้านบาท หรือ 176%) ปัจจุบันธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 มีจำนวน 562 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.06 ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 1,359.60 ล้านบาท คิดเป็น 0.006% ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 243 ราย (ร้อยละ 43.24) ทุนจดทะเบียน 679.88 ล้านบาท (ร้อยละ 50.01) ธุรกิจบริการดูแลสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทย มีมูลค่าการลงทุน 1,334.93 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98.19 ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุดคือจีน มูลค่า 5.15 ล้านบาท (ร้อยละ 0.38) รองลงมาคือญี่ปุ่น มูลค่า 5.02 ล้านบาท (ร้อยละ 0.37) อังกฤษมูลค่า 3.88 ล้านบาท (ร้อยละ 0.29) และอื่น ๆ มูลค่า 10.62 ล้านบาท (ร้อยละ 0.77) อ้างอิง: https://www.prachachat.net/economy/news-1196161 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ธุรกิจ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: IMF เตือนวิกฤติอสังหาฯ จีน ‘ยังไม่จบ’ ต้องมีมาตรการเพิ่ม แต่จีนบอกว่าไม่ใช่วิกฤติ มันคือวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ด้าน Bloomberg คาด 60% ของบริษัทในตลาดหุ้นเตรียมรายงานงบขาดทุนปีที่แล้ว - FINNOMENA IMF ระบุว่า จีนต้องทำมากกว่านี้เพื่อแก้ไขวิกฤติอสังหาฯ ซึ่งตลาดอสังหาฯ คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของ GDP จีน จึงเป็นตัวถ่วงการเติบโตของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลคุมเข้มการพึ่งพาหนี้สูง้กินไปของเหล่าบริษัทในปี 2020 6 ก.พ. 2566 IMF ระบุว่า จีนต้องทำมากกว่านี้เพื่อแก้ไขวิกฤติอสังหาฯ ซึ่งตลาดอสังหาฯ คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของ GDP จีน จึงเป็นตัวถ่วงการเติบโตของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลคุมเข้มการพึ่งพาหนี้สูง้กินไปของเหล่าบริษัทในปี 2020 Thomas Helbling รองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของ IMF กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางการจีนเริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดทางการเงินสำหรับภาคอสังหาฯ แต่ในมุมมองของ IMF จีนต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อยุติวิกฤติอสังหาฯ ทาง IMF อธิบายเพิ่มว่า มาตรการส่วนใหญ่แก้ไขปัญหาทางการเงินสำหรับนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ยังคงมีสถานะทางการเงินค่อนข้างดี แต่ปัญหาของนักพัฒนาอสังหาฯ ที่ประสบปัญหาทางการเงิน รวมถึงที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยปกติแล้ว อพาร์ทเมนต์ในจีนมักจะขายให้กับผู้ซื้อบ้านก่อนที่จะสร้างเสร็จ แต่โควิดและปัญหาทางการเงินทำให้การก่อสร้างช้าลงมาก จนผู้ซื้อบ้านบางรายหยุดการชำระเงินจำนองเพื่อประท้วง แม้ทางการจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างอสังหาฯ ให้แล้วเสร็จ แต่ยอดขายพื้นที่ที่อยู่อาศัยในจีนลดลงเกือบ 27% ในปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ลดลง 10% อย่างไรก็ตาม ทางการจีนเคยระบุในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ว่า ปัญหาภาคสังหาฯ ในจีนนั้นไม่ใช่วิกฤติ Zhengxin Zhang ผู้อำนวยการบริหาร และ Xuefei Bai ที่ปรึกษาอาวุโสของผู้อำนวยการบริหาร กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนโดยทั่วไปดำเนินไปอย่างราบรื่นและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติ และนี่เป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ทางการจีนกล่าวเสริมว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องของท้องถิ่นและเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่ละแห่งเท่านั้น และผลกระทบต่อส่วนที่เหลือของตลาดค่อนข้างน้อย ขณะที่ทาง Bloomberg คาดการณ์ว่า ตัวเลขผลประกอบการในปีที่แล้วของบริษัทอสังหาฯ จีนจะเลวร้ายที่สุดในรอบอย่างน้อย 7 ปี โดยจากการคำนวณของ Bloomberg ใน 60 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่นั้น มีสัดส่วน 60% ที่คาดว่าจะขาดทุนในปีที่แล้ว มีเพียง 5% เท่านั้นที่ทำกำไรได้ อีก 5% มีกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ส่วนที่เหลือกำไรลดลง อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/02/03/chinas-real-estate-crisis-isnt-over-yet-imf-says.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-05/china-developers-flag-worst-earnings-in-years-on-historic-slump?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน อสังหาจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood มอง ARKK คือ ‘ดัชนี Nasdaq ยุคใหม่’ ที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจนชนะดัชนีหุ้นเติบโตในปัจจุบัน ขณะที่กองทุน ร่วงลงมา 72% จากจุดสูงสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว - FINNOMENA Cathie Wood ผู้จัดการกองทุนจาก Ark Invest ให้สัมภาษณ์ในรายการของ Bloomberg และเปรียบเทียบกองทุน ARKK ของบริษัทเป็น ‘ดัชนี Nasdaq ยุคใหม่’ ที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจนชนะดัชนีหุ้นเติบโตซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน 3 ก.พ. 2566 Cathie Wood ผู้จัดการกองทุนจาก Ark Invest ให้สัมภาษณ์ในรายการของ Bloomberg และเปรียบเทียบกองทุน ARKK ของบริษัทเป็น ‘ดัชนี Nasdaq ยุคใหม่’ ที่จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวจนชนะดัชนีหุ้นเติบโตซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เป็นที่รู้กันดีว่า Cathie Wood มักจะให้คำทำนายการลงทุนที่ใจกล้า โดยก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ผู้จัดการกองทุนชื่อดังมั่นใจว่าราคา Bitcoin จะทะลุ 1 ล้านดอลลาร์ภายในทศวรรษหน้า หรือบวกกว่า 4,200% จากราคาปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม กองทุนที่เคยสร้างชื่อเสียงให้บริษัทอย่าง ARKK ร่วงลงมา 72% จากจุดสูงสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และทำผลตอบแทนได้แย่กว่าดัชนี Nasdaq 100 ถึง 10 เท่า เมื่อดูผลการดำเนินงาน 5 ปี กองทุน ARKK ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 12% เทียบกับการพุ่งขึ้นของ Nasdaq 100 ที่ 89% หุ้น 3 อันดับแรกของดัชนี Nasdaq 100 คือ หุ้นเทคโนโลยี Mega-Cap ที่เป็นผู้นำตลาดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้แก่ Microsoft, Apple และ Amazon ส่วน ARKK นั้นถือ Tesla ในสัดส่วนใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ใน Nasdaq 100 เช่นกัน แต่หุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคือหุ้นบริษัทนวัตกรรมขนาดเล็กรายใหม่ๆ เช่น Zoom และ Exact Sciences Cathie Wood กล่าวว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ ‘น่ากลัว’ สำหรับผลตอบแทนของกองทุน Ark ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยระดับสูง อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนเชื่อมั่นในกองทุน ARKK ทำให้มีเงินไหลเข้าสุทธิ 1,300 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว แม้ผลตอบแทนจะลดลง 67% ก็ตาม “นวัตกรรมตกเป็นหนึ่งในผู้เสียหายในยุคดอกเบี้ยพุ่งสูงที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว พวกเรารู้สึกได้ทุกครั้งเมื่อประธาน Fed พูด” Cathie Wood กล่าวเสริมว่า ผลตอบแทนที่ย่ำแย่ในปีที่แล้วถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัวที่มากเกินไป อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อในระดับสูง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-02-02/cathie-wood-takes-victory-lap-calling-arkk-the-new-nasdaq?srnd=economics-v2&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ยอดขาย Apple หดตัว 5% เป็นไตรมาสที่ยอดขายต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 ผลจาก iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่ไม่สามารถผลิตให้ทันความต้องการ - FINNOMENA Apple รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสเดือนธันวาคม 2022 รายได้รวม 117,154 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 และเป็นไตรมาสที่ยอดขายต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 29,998 ล้านดอลลาร์ 3 ก.พ. 2566 Apple รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสเดือนธันวาคม 2022 รายได้รวม 117,154 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 5% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2019 และเป็นไตรมาสที่ยอดขายต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 29,998 ล้านดอลลาร์ รายได้แยกตามกลุ่มธุรกิจสะท้อนชัดเจนว่ารายได้ที่ลดลงมาจาก iPhone เป็นหลัก โดยมีรายได้ 65,775 ล้านดอลลาร์ หรือลดลง 8%, Mac ลดลง 29% สู่ 7,735 ล้านดอลลาร์ ส่วน iPad เพิ่มขึ้น 30% เป็น 9,396 ล้านดอลลาร์ ซีอีโอ Tim Cook กล่าวว่าในไตรมาสที่ผ่านมา Apple มีอุปกรณ์ที่เปิดใช้งานรวมมากกว่า 2 พันล้านเครื่องเป็นครั้งแรก ส่วนซีเอฟโอ Luca Maestri บอกว่าธุรกิจ Services ก็เติบโตทำสถิติใหม่สูงสุดอีกไตรมาส มีรายได้ 20,766 ล้านดอลลาร์ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมากกว่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนหนึ่งจะนำมาลงทุนตามแผนการเติบโตระยะยาว รายได้ iPhone ที่กระทบหนักมาจาก iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ที่ไม่สามารถผลิตให้ทันความต้องการ เป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ซึ่ง Apple ออกประกาศไปก่อนหน้านี้ และปัญหานี้ก็ลากยาวมาเกือบตลอดเดือนธันวาคม ส่วนปัจจุบันกลับมาเป็นปกติแล้ว ประเด็นการปลดพนักงานในบริษัท Tech หลายแห่ง Tim Cook บอกว่า สถานการณ์ตอนนี้มีความยากลำบาก แอปเปิลเองก็ตัดค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยลดการรับพนักงานใหม่ และเพิ่มการพิจารณาที่มากขึ้นในการรับพนักงานแต่ละคน ส่วนประเด็นราคาสินค้าแอปเปิลที่อาจปรับเพิ่มขึ้นอีก แม้เศรษฐกิจไม่ดี Tim Cook บอกว่าเขาไม่ตอบประเด็นราคาสินค้าที่อาจสูงขึ้น แต่มองว่าสมาร์ทโฟน ซึ่งกรณีนี้คือ iPhone เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น ทั้งข้อมูลสุขภาพ การเงิน อุปกรณ์สมาร์ทโฮม คนก็จะพร้อมจ่ายมันด้วยเหตุผลที่มากขึ้น ในราคาที่พวกเขายอมรับ อ้างอิง: https://www.blognone.com/node/132480 https://www.cnbc.com/2023/02/02/apple-aapl-earnings-q1-2023.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วง 3.29% จากแรงขายในกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรมและ อสังหาฯ - FINNOMENA วันนี้ (1 ก.พ. 66) ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง 3.29% จากแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร อุตสาหกรรม และอสังหาฯ หลังจากหลายบริษัทเริ่มทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2022 รวมถึงการขายเพื่อปิดความเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ 1 ก.พ. 2566 วันนี้ (1 ก.พ. 66) ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลงแรง 3.29% จากแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคาร อุตสาหกรรม และอสังหาฯ หลังจากหลายบริษัทเริ่มทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2022 รวมถึงการขายเพื่อปิดความเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ โดยหุ้นการเงินโดยเฉพาะกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในภาพรวมรายงานกำไร 4Q22 ลดลง YoY เนื่องจากความผันผวนของตลาดหุ้นเวียดนามในปีที่ผ่านมา และปัญหาด้านสภาพคล่องของระบบการเงินในเวียดนาม นอกจากนี้หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมรายใหญ่อย่าง Hoa Phat, Hoa Sen Group, Nam Kim Group และ VNSteel รายงานผลขาดทุนใน 4Q22 ซึ่งขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง เนื่องจากอุปสงค์เหล็กและราคาเหล็กในประเทศเวียดนามที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ DSC Securities โบรกเกอร์ในประเทศเวียดนามระบุว่าสาเหตุที่ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงในวันนี้คือ 1) การขายเพื่อปิดความเสี่ยงของนักลงทุนก่อนการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้ 2) การขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในเดือนพ.ย. 2022 ที่ผ่านมา และ 3) ข่าวลือต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีความผันผวนในระยะสั้นเนื่องจากมีนักลงทุนลงรายย่อยเป็นสัดส่วนใหญ่ แต่หากพิจารณาในระยะกลางถึงยาวตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. 2023 ฟื้นตัวสู่ 47.40 จากระดับ 46.40 ในเดือนธ.ค. 2022 (แต่ยังอยู่ในโซนหดตัว) และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อหลังจากจีนผ่อนคลายมาตร Zero Covid ด้าน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.53 เท่า หรือ -1.54 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมถึงยังมีแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง เราจึงแนะนำสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวในกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โควิดจีนใกล้สิ้นสุดแล้ว! ทางการเผยกรุงปักกิ่งมี ‘ภูมิคุ้มกันหมู่’ และการระบาดผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว - FINNOMENA จีนเผยว่า เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแตะระดับ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่ชั่วคราว’ และการระบาดของโควิด-19 ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า คลื่นการระบาดของโควิด-19 ในจีนกำลังลดลงไปแล้ว 1 ก.พ. 2566 จีนเผยว่า เมืองหลวงอย่างปักกิ่งแตะระดับ ‘ภูมิคุ้มกันหมู่ชั่วคราว’ และการระบาดของโควิด-19 ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่า คลื่นการระบาดของโควิด-19 ในจีนกำลังลดลงไปแล้ว VOA Thai รายงานว่า ในอังคารที่ผ่านมา (31 ม.ค.) หวัง ฉวน อี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค กล่าวว่า ปักกิ่งที่มีประชากร 22 ล้านคน มีระดับภูมิคุ้มกันหมู่เป็นการชั่วคราว และคลื่นการแพร่ระบาดในกรุงปักกิ่งครั้งนี้ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว รองผอ.ซีดีซีจีน กล่าวว่า พบผู้ติดเชื้อแบบประปรายในกรุงปักกิ่งที่โคโรนาไวรัสมีโอกาสแพร่เชื้อได้ในระดับต่ำ และการลดลงของผู้ติดเชื้อทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่า เทศกาลหยุดยาวช่วงตรุษจีนที่ผ่านมานี้ “ไม่ค่อยมีผลมากนัก” ต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ที่ผ่านมา มีสัญญาณบ่งชี้ว่าการระบาดของโควิด-19 ในจีนผ่านพ้นจุดสูงสุดมาแล้ว หลังยอดเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วประเทศลดลงเกือบ 80% นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ช่วงวันที่ 23-29 มกราคมที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ลดลงมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่กรุงปักกิ่งเตรียมตรวจหาระดับแอนติบอดี้ต่อโควิด-19 ในกลุ่มประชากรในเมืองหลวงของจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมนี้ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/beijing-has-hit-temporary-herd-immunity-official-says/6942093.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update โควิด-19 โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: AI ยังชนะตลาดไม่ได้? ChatGPT ยังไม่สามารถออกแบบ ETF ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ โดยให้เหตุผลว่าคาดเดาไม่ได้ - FINNOMENA อินโฟเควสท์รายงานว่า กองบรรณาธิการของ Bloomberg ได้ขอให้ ChatGPT โปรแกรมแชตบอต AI น้องใหม่ของบริษัท OpenAI สร้างพอร์ตกองทุนรวมดัชนีหรือ ETF ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ 31 ม.ค. 2566 อินโฟเควสท์รายงานว่า กองบรรณาธิการของ Bloomberg ได้ขอให้ ChatGPT โปรแกรมแชตบอต AI น้องใหม่ของบริษัท OpenAI สร้างพอร์ตกองทุนรวมดัชนีหรือ ETF ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อตรวจสอบว่า เทคโนโลยีใกล้จะเข้ามาทดแทนบรรดานักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักเก็งกำไรมากน้อยเพียงใด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ChatGPT ‘ไม่สามารถ’ ออกแบบกองทุน ETF ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯได้ โดย ChatGPT ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่ ChatGPT จะออกแบบกองทุน ETF ที่เอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้รับประกันผลการดำเนินงานในอนาคต ChatGPT ยังเตือนว่า องค์ประกอบของกองทุน ETF นั้นควรอิงตามการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วน รวมถึงต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์กตั้งข้อสงสัยว่า ChatGPT อาจทราบเคล็ดลับในการเอาชนะตลาดหุ้นสหรัฐ เพียงแต่ฉลาดพอที่จะไม่คายความลับดังกล่าวออกมาฟรีๆ ในตอนท้ายของการทดสอบ Bloomberg ได้ถามว่า ChatGPT ว่า AI สามารถเลือกหุ้นได้ดีกว่ามนุษย์หรือไม่? คำตอบที่ได้คือ แม้ AI อาจมีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือวิเคราะห์การลงทุนที่ลํ้าค่า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งพิเศษที่สามารถเลือกหุ้นได้ดีกว่ามนุษย์ทุกครั้ง พร้อมแนะนำว่าควรค้นคว้าหาข้อมูลและปรึกษาที่ปรึกษาการลงทุนเสมอ โดยปัจจุบันนั้นมีการนำเอไอมาช่วยในการลงทุนในตลาดเงินสหรัฐอยู่แล้ว รวมถึง กองทุนรวม โดยขณะนี้มีเอไอบางตัวที่สามารถเอาชนะตลาดเงินสหรัฐได้ อย่างเช่น AI Powered Equity ETF หรือ AIEQ เครื่องมือมูลค่า 102 ล้านดอลลาร์ที่สามารถมอบผลตอบแทนประมาณ 9.9% ในปี 2566 โดยนับจนถึงวันพุธที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับ 4.7% ของดัชนี S&P 500 Total Return Index อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq28/3393200 https://thestandard.co/chatgpt-fund-design/ https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-26/we-asked-chatgpt-to-make-a-market-beating-etf-here-s-the-result?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ChatGPT News Update OpenAI แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วง -2.7% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เหตุกังวลผลการประชุม Fed - FINNOMENA วันนี้ (30 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นฮ่องกง Hang Seng ปรับตัวลงแรง -2.7% หลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวบวกต่อเนื่องมาตลอดเดือนมกราคม โดยปัจจัยหลักมาจากแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก่อนการประชุม FOMC สหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ 30 ม.ค. 2566 วันนี้ (30 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นฮ่องกง Hang Seng ปรับตัวลงแรง -2.7% หลังจากที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวบวกต่อเนื่องมาตลอดเดือนมกราคม โดยปัจจัยหลักมาจากแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก่อนการประชุม FOMC สหรัฐฯ ในช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวลงมาแรงเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี อย่างหุ้น JD.com ที่ลดลง -5.6% จากการประกาศว่าจะยกเลิกการทำธุรกิจ E-commerce ในอินโดนีเซียและไทย โดยในไทยจะยุติการให้บริการในวันที่ 3 มีนาคม โดยเหตุผลหลักมาจากการแข่งขันที่สูงในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนหุ้น Alibaba ปรับลงแรง -7.1% หลังจากที่มีข่าวว่าจะย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากหางโจวในภาคตะวันออกของจีน ไปยังสิงคโปร์แทน FINNOMENA Investment Team มองว่าการปรับตัวลงในครั้งนี้เป็นการปรับตัวลดลงในระยะสั้น โดยตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีปัจจัยบวกฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนภายในปีนี้ (2566) จากรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมี Pent Up Demand จากภาคการบริโภคในประเทศจีนหากจีนมีการผ่อนคลายมาตราการคุมเข้มโควิดอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ท่าทีที่เข้มงวดน้อยลงของรัฐบาลจีนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ในแง่ของ Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index (P/E 12M 12x) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดี รวมไปถึงสามารถทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ อาทิ K-CHINA-A(A), KT-Ashares-A และ P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Sony ย้ายฐานผลิตกล้องดิจิทัลจากจีนมาไทย สำหรับตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป ตามแผนลดพึ่งพาจีน - FINNOMENA ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โซนี่ กรุ๊ป ประกาศย้ายฐานการผลิตกล้องดิจิทัลสำหรับตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป จากจีนมายังประเทศไทย ตามแผนป้องกันซัพพลายเชนด้วยการลดการพึ่งพาจีน โดยหลังจากนี้โรงงานในจีนจะผลิตกล้องสำหรับขายในแดนมังกรเท่านั้น และจะมีการสำรองเครื่องจักรบางส่วนเพื่อเป็นฐานผลิตสำรองในกรณีฉุกเฉิน 30 ม.ค. 2566 ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โซนี่ กรุ๊ป ประกาศย้ายฐานการผลิตกล้องดิจิทัลสำหรับตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป จากจีนมายังประเทศไทย ตามแผนป้องกันซัพพลายเชนด้วยการลดการพึ่งพาจีน โดยหลังจากนี้โรงงานในจีนจะผลิตกล้องสำหรับขายในแดนมังกรเท่านั้น และจะมีการสำรองเครื่องจักรบางส่วนเพื่อเป็นฐานผลิตสำรองในกรณีฉุกเฉิน การตัดสินใจย้ายฐานของยักษ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นผลจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งไลน์การผลิตกล้องดิจิทัลสำหรับขายในตลาดสหรัฐเป็นส่วนแรกที่ถูกย้ายออกจากจีน ก่อนที่ไลน์สำหรับตลาดยุโรปและญี่ปุ่นจะย้ายตามออกมาเมื่อช่วงสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โซนี่ยืนยันว่าไม่มีแผนยุติการทำตลาดกล้องดิจิทัลในจีน นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินสายการผลิตสินค้าอื่น ๆ ในจีนเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลกตามเดิม ไม่ว่าจะเป็นเลนส์กล้อง ทีวี และเครื่องเกม นอกจากความตรึงเครียดทางการเมืองแล้ว ผลกระทบจากนโยบายซีโร่โควิดเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ช่วงที่ผ่านมาหลายบริษัทต่างเริ่มเดินแผนลดการพึ่งพาจีนลงเช่นกัน อาทิ แคนนอนที่ย้ายไลน์การผลิตกล้องดิจิทัลบางส่วนจากจีนกลับมายังญี่ปุ่นเมื่อปี 2565 หรือไดกิ้นที่วางแผนสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนที่ไม่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีน เป็นต้น ทั้งนี้ ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยยูโรมอร์นิเตอร์คาดว่า ในปี 2022 โซนี่มียอดขายกล้องดิจิทัลตระกูลอัลฟาทั่วโลกประมาณ 2.11 ล้านเครื่อง ในจำนวนนี้ตลาดจีนมีสัดส่วนเพียง 1.5 แสนเครื่อง สำหรับประเทศไทย โซนี่มีบริษัทในเครือ 3 แห่งคือ 1.บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด-ทำหน้าที่ทำการตลาด จัดจำหน่ายสินค้าและให้บริการหลังการขาย 2.บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด-ผลิตเครื่องรับโทรทัศน์สี, LCD, เครื่องเสียงติดรถยนต์, เครื่องนำทางติดรถยนต์ และกล้องดิจิทัล ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี 3.บริษัท โซนี่ ดีไวซ์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด-เป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ และเป็นฐานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น อ้างอิง: https://www.prachachat.net/marketing/news-1189803 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update sony แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ถูกแฉฉ้อโกง-ตกแต่งบัญชี หุ้น Adani ถูกขายไม่หยุด สูญความมั่งคั่งวันเดียว $2 หมื่นล้าน อันดับเศรษฐีโลกหล่นอยู่ที่ 7 - FINNOMENA ความมั่งคั่งของโกตัม อดานี (Gautam Adani) มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ผู้ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชีย วบเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลา 4 วัน หลังเจอข้อกล่าวหาปั่นหุ้น ฉ้อโกง และเลี่ยงภาษี 30 ม.ค. 2566 ความมั่งคั่งของโกตัม อดานี (Gautam Adani) มหาเศรษฐีชาวอินเดีย ผู้ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชีย วบเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลา 4 วัน หลังเจอข้อกล่าวหาปั่นหุ้น ฉ้อโกง และเลี่ยงภาษี ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า โกตัม อดานี เจ้าของอาณาจักร อดานี กรุ๊ป (Adani Group) กำลังเผชิญข้อกล่าวหาปั่นหุ้น ฉ้อฉลตกแต่งบัญชี และเลี่ยงภาษี บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเขาลดฮวบลงไปอย่างรวดเร็ว โดยโกตัม อดานี คือบุคคลที่ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2563 ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2565 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าตลาดของหุ้นในบริษัทจดทะเบียนแห่งต่างๆ ในเครืออดานี กรุ๊ป หายวับราว 50,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากเมื่อวันศุกร์ราคาหุ้นอดานี เอ็นเตอร์ไพรซ์ ซึ่งเป็นธุรกิจเรือธงของกลุ่ม ดิ่งลงเกือบ 20% ขณะที่หุ้นบริษัทจดทะเบียนในเครือบางแห่งร่วงหนักกว่านั้น ทำให้ต้องระงับการซื้อขายอัตโนมัติตามกฎของตลาดมุมไบ ด้านผู้จัดการออนไลน์ระบุว่า อดานีหล่นจากอันดับ 3 ในตารางมหาเศรษฐกิจโลกของนิตยสารฟอร์บส์ไปอยู่อันดับ 7 เมื่อเวลานี้เขามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในระดับ 96,700 ล้านดอลลาร์ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นไม่วันหลังจากฮินเดนเบิร์ก รีเสิร์ช บริษัทอเมริกันที่เชี่ยวชาญการทำชอร์ตเซลล์ได้เผยแพร่งานยาวเกือบ 100 หน้า ชื่อว่า “Adani Group: How the World’s 3rd Richest Man is Pulling the Largest Con in Corporate History” ที่กล่าวหาว่า อดานีมีการปั่นหุ้น ยักย้ายถ่ายเทหุ้น มีการฉ้อฉลทางบัญชีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และมีการตั้งบริษัทในต่างประเทศเพื่อกระทำทุจริต และใช้ในการเลี่ยงภาษี การเผยแพร่รายงานนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (FPO) ของบริษัท Adani Enterprise มูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฝั่งอดานี กรุ๊ป ตอบโต้โดยออกแถลงการณ์ถึงรายงานนี้ว่า “รายงานนี้เป็นการผสมผสานที่มุ่งร้ายของการเลือกข้อมูลที่ผิด ๆ และข้อกล่าวหาเก่า ไม่มีมูลความจริง และน่าอดสู ซึ่งผ่านการตรวจสอบและปฏิเสธโดยศาลสูงสุดของอินเดียแล้ว” และแถลงการณ์ยืนยันว่า กลุ่มบริษัทอดานีปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด และรักษามาตรฐานสูงสุดของการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1189489 https://mgronline.com/around/detail/9660000009072 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Adani Group Gautam Adani News Update มหาเศรษฐี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนเผยเคสตาย-ป่วยหนักโควิด ลดฮวบกว่า70% จากจุดพีคเมื่อต้นเดือน - FINNOMENA ทางการจีนระบุว่า เคสคนไข้โควิด-19 อาการวิกฤตในจีน ลดลง 72% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในหมู่ผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลลดจากระดับพีกสุดถึง 79% เช่นกัน 26 ม.ค. 2566 ทางการจีนระบุว่า เคสคนไข้โควิด-19 อาการวิกฤตในจีน ลดลง 72% จากจุดสูงสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในหมู่ผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลลดจากระดับพีกสุดถึง 79% เช่นกัน ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ตัวเลขดังกล่าวซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ ปรากฏออกมาหลังจากนักวิทยาศาตร์คนดังรายหนึ่งของรัฐบาล ระบุว่า จนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 80% ในประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคนของจีนติดเชื้อแล้ว ทำให้มีโอกาสน้อยที่โควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในช่วง 2 ถึง 3 เดือนข้างหน้า จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างกะทันหันในช่วงต้นเดือนธันวาคม หลังจากบังคับใช้มาตรการอันเข้มข้นมานานกว่า 3 ปี ความเคลื่อนไหวที่โหมกระพือการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้ แม้เจ้าหน้าที่บอกว่าการแพร่เชื้อถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่พวกผู้เชี่ยวชาญนานาชาติบางส่วนเตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เคสผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงในพื้นที่ชนบท ซึ่งขาดแคลนเครื่องไม้เครื่องมือในการรับมือกับการแพร่ระบาด ในขณะที่ประชาชนชาวจีนหลายล้านคนเดินทางกลับบ้าน ไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัว ระหว่างเทศกาลตรุษจีน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน ระบุว่า จำนวนคนไข้อาการวิกฤตในจีนถึงจุดพีกเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่จำนวน 128,000 ราย และในวันที่ 23 มกราคม จำนวนเคสดังกล่าวลดลงมาเหลือเพียง 36,000 ราย ในส่วนของจำนวนผู้เสียชีวิตรายวันในโรงพยาบาลแตะระดับสูงสุด 4,273 รายในวันที่ 4 มกราคม แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 896 รายในวันที่ 23 มกราคม ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยที่เข้ารักษาตัวตามคลินิกต่างๆ ก็ลดลงถึง 96.2% จากจุดพีก 2.867 ล้านคน ในวันที่ 22 ธันวาคม เหลือแค่ 110,000 คนในวันที่ 23 มกราคม นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีน ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อและจำนวนผู้ป่วยนอกที่ขอคำปรึกษาทางการแพทย์ได้ผ่านจุดพีกสุดแล้วในวันที่ 22 ธันวาคม โดยที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เกิน 7 ล้านคนต่อวัน ส่วนจำนวนผู้ป่วยนอกที่ขอคำปรึกษาถึงจุดสูงสุดที่ 2.867 ล้านคน ข้อมูลนี้ถูกเผยแพร่ออกมาหลังจากเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่า จีนผ่านจุดสูงสุดของกรณีคนไข้โควิด-19 เข้ารักษาตัวตามคลินิกต่างๆ ห้องฉุกเฉิน และในอาการวิกฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 มกราคม เจ้าหน้าที่แถลงว่ามีคนไข้โควิด-19 เกือบ 60,000 คน เสียชีวิตในโรงพยาบาล นับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่าตัวเลขดังกล่าวอาจไม่สะท้อนผลกระทบอย่างครบถ้วน เนื่องจากมันยังไม่นับรวมผู้เสียชีวิตที่บ้าน และรอยเตอร์อ้างว่าโรงพยาบาลบางแห่งในจีนมีคำสั่งไม่ให้แพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยว่าเกิดจากโควิด-19 อ้างอิง: https://mgronline.com/around/detail/9660000007910 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: งบ Tesla ไตรมาส 4 ดีเกินคาด Elon Musk ย้ำหั่นราคาเพื่อเพิ่มความต้องการ มั่นใจปีนี้ผลิตได้ถึง 2 ล้านคัน - FINNOMENA Tesla รายงานผลประกอบการดีเกินคาดทั้งในแง่ของรายได้และกำไร ดันราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% หลังปิดตลาด ขณะที่ซีอีโอ Elon Musk กล่าวว่า บริษัทจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ 26 ม.ค. 2566 Tesla รายงานผลประกอบการดีเกินคาดทั้งในแง่ของรายได้และกำไร ดันราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% หลังปิดตลาด ขณะที่ซีอีโอ Elon Musk กล่าวว่า บริษัทจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ 📊รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Tesla ➢ กำไรต่อหุ้น: $1.19 สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ $1.13 ➢ รายได้: 24,320 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 24,160 ล้านดอลลาร์ Tesla รายงานรายได้จากการขายรถยนต์อยู่ที่ 21,300 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 4 หรือเติบโต 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนรายได้จากการขายเครดิตคาร์บอนให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าอื่นอยู่ที่ 467 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้า ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของรถยนต์ Tesla อยู่ที่เพียง 25.9% ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดใน 5 ไตรมาสล่าสุด โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง 29% จากปีที่แล้ว และลดลง 36% จากไตรมาสที่แล้ว อยู่ที่ 3,280 ล้านดอลลาร์ ในเอกสารผู้ถือหุ้น บริษัทยอมรับว่า ราคาขายเฉลี่ยโดยทั่วไปลดลง และการทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla สามารถเข้าถึงและจ่ายได้เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ Tesla เติบโตเป็นบริษัทที่ขายรถยนต์ได้หลายล้านคันต่อปี ในช่วงปลายปี 2022 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2023 นี้ Tesla ได้ลดราคารถยนต์ทั่วโลก จนทำให้ลูกค้าที่เพิ่งซื้อรถในจีนและสหรัฐฯ เกิดความไม่พึงพอใจที่ซื้อในราคาแพงกว่า ขณะที่ราคารถยนต์มือสองของ Tesla ร่วงลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Elon Musk กล่าวเมื่อวันพุธ (25 ธ.ค.) ว่า การหั่นราคานั้นจะกระตุ้นความต้องการ จนถึงตอนนี้ในเดือน ม.ค. บริษัทได้เห็นยอดสั่งซื้อที่แข็งแกร่งที่สุดจนทุบสถิติใหม่ของบริษัท โดยตอนนี้คำสั่งซื้อคิดเป็น 2 เท่าของอัตราการผลิต ขณะที่นักวิเคราะห์คนหนึ่งถาม Elon Musk ว่า ทำไมเป้าหมายการผลิตถึงอยู่ที่เพียง 1.8 ล้านคันในปีนี้ ทั้งที่บริษัทเพิ่งสร้างโรงงานใหม่ Elon Musk ตอบว่า ที่ตั้งเป้าหมายไว้เท่านั้นเป็นเพราะอาจเกิดเหตุสุดวิสัยบางอย่างที่ใดที่หนึ่งบนโลกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าทุกอย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานขนาดใหญ่ Tesla มีศักยภาพในการผลิตรถยนต์ได้ถึง 2 ล้านคันในปีนี้ และมั่นใจว่ามีความต้องการจากลูกค้าเช่นกัน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/25/tesla-tsla-earnings-q4-2022.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25 % สู่ระดับ 1.50% ต่อปี มีผลทันที - FINNOMENA คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที 25 ม.ค. 2566 นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 25 มกราคม 2566 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัวในปีนี้ แต่จะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในปี 2567 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและการกระจายรายได้ของลูกจ้างในภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีจำนวนมาก รวมทั้งเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวในปี 2567 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในปี 2566 ก่อนจะปรับดีขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงด้านต่ำลดลง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักรวมถึงจีนที่ปรับดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง โดยแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานทยอยคลี่คลายตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่งก่อนจะทยอยปรับลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาดจากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเผชิญภาวะต้นทุนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้น จึงต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ฐานะการเงินของผู้ประกอบการ SMEs และครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางและอ่อนไหวต่อค่าครองชีพและภาระหนี้ที่สูงขึ้น คณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลง ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนปรับสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการสิ้นสุดมาตรการปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF fee) แต่ปริมาณสินเชื่อและการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ยังขยายตัว ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่าขึ้น ตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอัตราที่ชะลอลง และการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางของจีนที่จะส่งผลบวกต่อการท่องเที่ยวไทย คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้อจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กนง ขึ้นดอกเบี้ย แบงก์ชาติ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เปิดบัญชี 'เงินฝาก' คนไทย ส่วนใหญ่ 88.3% มีฐานเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท ส่วนเศรษฐีฝากเงิน 500 ล้านขึ้นไป มีกระจุกเดียวเพียง 1,608 บัญชี - FINNOMENA กรุงเทพธุรกิจรายงานสถิติเงินฝากของคนโทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ช่วงเดือนพ.ย. - ธ.ค.2565 ระบุว่า บัญชีเงินฝากทุกประเภทของคนไทยมีจำนวนทั้งหมด 120.83 ล้านบัญชี โดยมียอดเงินฝากรวมทุกประเภททุกบัญชี อยู่ที่ 15.92 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าคนไทยเปิดบัญชีเพิ่มมากขึ้น และยอดรวมเงินฝากโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 25 ม.ค. 2566 กรุงเทพธุรกิจรายงานสถิติเงินฝากของคนโทยโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ช่วงเดือนพ.ย. – ธ.ค.2565 ระบุว่า บัญชีเงินฝากทุกประเภทของคนไทยมีจำนวนทั้งหมด 120.83 ล้านบัญชี โดยมียอดเงินฝากรวมทุกประเภททุกบัญชี อยู่ที่ 15.92 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าคนไทยเปิดบัญชีเพิ่มมากขึ้น และยอดรวมเงินฝากโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ธปท. ระบุถึงจำนวนบัญชีเงินฝาก แบ่งตามจำนวนเงินฝากของคนไทยจากมากไปน้อย ดังนี้ ฝากตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 1,608 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 2,634,887 ล้านบาท ฝากเกิน 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท มี 3,454 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,051,370 ล้านบาท ฝากเกิน 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท มี 6,462 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 889,041 ล้านบาท ฝากเกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท มี 14,266 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 994,203 ล้านบาท ฝากเกิน 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท มี 31,835 บัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,108,968 ล้านบาท ฝากเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท มี 1.03 แสนบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,536,396 ล้านบาท ฝากเกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท มี 1.78 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 4,372,387 ล้านบาท ฝากเกิน 5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท มี 1.61 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 1,144,454 ล้านบาท ฝากเกิน 2 แสนบาท แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท มี 3.15 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 994,575 ล้านบาท ฝากเกิน 1 แสนบาท แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท มี 3,354,679 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 464,529 ล้านบาท ฝากเกิน 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท มี 4.14 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 292,418 ล้านบาท ฝากไม่เกิน 50,000 บาท มี 106.62 ล้านบัญชี ยอดรวมเงินฝาก 436,161 ล้านบาท อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1049589 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update บัญชีเงินฝาก เงินฝาก แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk สู้คดีปั่นหุ้น Tesla หลังทวีตว่าพร้อมเอาหุ้นออกนอกตลาดในปี 2018 ยืนยันตอนนั้นตั้งใจจริง - FINNOMENA Elon Musk ซีอีโอของ Tesla กล่าวกับศาลว่า ข้อความที่ทวีตไปเมื่อปี 2018 เกี่ยวกับการเอาหุ้น Tesla ออกนอกตลาดนั้นมีความตั้งใจจริง และตอนนั้นกำลังพยายาทำสิ่งที่ถูกต้อง 25 ม.ค. 2566 Elon Musk ซีอีโอของ Tesla กล่าวกับศาลว่า ข้อความที่ทวีตไปเมื่อปี 2018 เกี่ยวกับการเอาหุ้น Tesla ออกนอกตลาดนั้นมีความตั้งใจจริง และตอนนั้นกำลังพยายาทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้ Elon Musk กำลังสู้กับคดี ‘ปั่นหุ้น’ หลังนักลงทุนส่วนหนึ่งระบุว่า ทวีตดังกล่าวในปี 2018 ทำให้พวกเขาเสียเงินหลายล้านดอลลาร์เพราะดีลดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซีอีโอของ Tesla ชี้แจงว่า ได้พูดคุยกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียซึ่งต้องการสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าว แต่ยอมรับว่าไม่เคยพูดถึงจำนวนเงินทุนที่เฉพาะเจาะจง ทวีตของ Elon Musk เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2018 ที่ระบุว่า เขามีเงินทุนที่มั่นคงเพื่อซื้อกิจการของ Tesla ที่ราคา 420 ดอลลาร์ต่อหุ้น พร้อมระบุว่ามีแหล่งเงินทุนพร้อมแล้ว ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงนักลงทุน ทวีตดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของ Tesla พุ่งสูงขึ้น ก่อนจะร่วงในหลายสัปดาห์ต่อมา หลัง Elon Musk กล่าวว่า แผนดังกล่าวไม่ได้ดำเนินต่อไปอีกต่อไป จุดชนวนกระแสต่อต้านที่สำคัญต่อตัวเขา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ บังคับให้ Elon Musk ลาออกจากตำแหน่งประธานของ Tesla รวมถึงการทวีตข้อความใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Tesla จะต้องผ่านการตรวจสอบโดยคณะกรรมการอิสระ Elon Musk และ Tesla ถูกปรับรายละ 20 ล้านดอลลาร์เพื่อยุติข้อเรียกร้องของสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าเขากระทำการฉ้อโกงหลักทรัพย์ ขณะที่ Bloomberg รายงานว่า ความมั่งคั่งของ Elon Musk เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน ในขณะที่กำลังให้การต่อศาลรัฐบาลกลาง ในเมืองซานฟรานซิสโก ดัชนี Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า ความมั่งคั่งของอีลอน มัสก์ เพิ่มขึ้นประมาณ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์ แตะ 1.452 แสนล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ขึ้นศาลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 ม.ค.) และนับเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 วันที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-64384278 https://www.infoquest.co.th/2023/270240 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เจาะกลยุทธ์ Citadel แชมป์เฮดจ์ฟันด์สร้างผลตอบแทนสูงสุดในโลก ทำกำไรครั้งประวัติการณ์ 16,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2022 - FINNOMENA Citadel ของ Ken Griffin สร้างผลกำไรให้ลูกค้าเป็นประวัติการณ์ถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2022 จนครองแชมป์เฮดจ์ฟันด์สร้างผลตอบแทนสูงสุดในโลก และถือเป็นความสำเร็จมากสุดครั้งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ 24 ม.ค. 2566 Citadel ของ Ken Griffin สร้างผลกำไรให้ลูกค้าเป็นประวัติการณ์ถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2022 จนครองแชมป์เฮดจ์ฟันด์สร้างผลตอบแทนสูงสุดในโลก และถือเป็นความสำเร็จมากสุดครั้งหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ ตามข้อมูลที่ประเมินโดย LCH Investments เฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับแรกสามารถสร้างผลตอบแทนได้รวมกันสูงถึง 22,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Citadel สามารถทำกำไรทะลุ 15,000 ล้านดอลลาร์ สถิติเดิมที่ John Paulson เคยเดิมพันไว้ในวิกฤติซับไพรม์เมื่อปี 2007 กองทุนเรือธงของ Citadel ที่ลงทุนทุกอย่างตั้งแต่หุ้นไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถทำผลตอบแทน +38% ในปีที่แล้ว ด้วยกลยุทธ์หลักจะวิเคราะห์ทั้งในแง่ของตราสารหนี้ ปัจจัยมหภาค การวิเคราะห์เชิงปริมาณ รวมถึงเครดิต โดยในปีที่แล้ว Citadel ทำกำไรให้นักลงทุนมากถึง 8,500 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Citadel สวนทางกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม เพราะเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ขาดทุนรวมแล้ว 208,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ท่ามกลางความผันผวนของตลาด LCH ระบุว่า เฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.4% ขณะที่เฮดจ์ฟันด์ที่เหลือขาดทุนเฉลี่ย 8.2% Rick Sopher ประธานของ LCH กล่าวว่า กำไรครั้งมหาศาลเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ผสมผสาน (Multistrategy) เช่น Citadel, DE Shaw และ Millennium ผลกำไรที่แข็งแกร่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสะท้อนว่ากลยุทธ์ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้นและขนาดของกองทุน ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ผสมผสาน โดยปริมาณสินทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นและค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าทำให้บริษัทสามารถจ้างงานและรักษาเทรดเดอร์ชั้นนำไว้ได้ LCH ประเมินว่าอุตสาหกรรมนี้สร้างผลกำไรให้กับลูกค้าได้มากกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยเฮดจ์ฟันด์ 20 อันดับแรกดูแลทรัพย์สินเกือบ 19% ของทั้งหมด และทำกำไรได้ 629,900 ล้านดอลลาร์ หรือ 49% ของทั้งหมด อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-23/citadel-makes-16-billion-to-top-paulson-s-greatest-trade-ever?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Citadel News Update เฮดจ์ฟันด์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Microsoft เชื่อ AI คืออนาคต เพิ่มเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ไม่กี่วันหลังจากประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่าหมื่นคน - FINNOMENA Microsoft เตรียมเพิ่มเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ไม่กี่วันหลังจากประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่าหมื่นคน 24 ม.ค. 2566 Microsoft เตรียมเพิ่มเงินลงทุน 10,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ไม่กี่วันหลังจากประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่าหมื่นคน ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า Microsoft กำลังจะเพิ่มเงินลงทุนใน OpenAI บริษัทห้องปฏิบัติการวิจัยปัญญาประดิษฐ์ผู้สร้าง ChatGPT และ DALL-E ด้วยงบลงทุนต่อเนื่องหลายปีวงเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการร่วมลงทุนครั้งที่ 3 หลังจากที่ไมโครซอฟท์เคยลงทุนในบริษัทนี้ไปแล้วเมื่อปี 2019 และ 2021 แม้ว่าไมโครซอฟท์ไม่เปิดเผยมูลค่าการลงทุน แต่ CNBC และสื่ออื่น ๆ รายงานตัวเลขตามที่ Semafor รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับการเจรจาการลงทุนว่า จะเป็นการลงทุนต่อเนื่องหลายปี มีมูลค่ารวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Satya Nadella ของ Microsoft กล่าวเมื่อวานนี้ (23 ม.ค.) ว่า เราสร้างความร่วมมือกับ OpenAI ด้วยความทะเยอทะยานร่วมกัน เพื่อพัฒนาการวิจัย AI ที่ทันสมัยอย่างมีความรับผิดชอบ และทำให้ AI ในฐานะแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่มีความเป็นประชาธิปไตย หลายปีที่ผ่านมา OpenAI ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Azure บริการคลาวด์คอมพิวติ้งของไมโครซอฟท์ และในเดือนกรกฎาคม 2019 ไมโครซอฟท์สนับสนุน OpenAI ด้วยเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการลงทุนครั้งนั้นทำให้ไมโครซอฟท์เป็นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ‘แต่เพียงผู้เดียว’ ของ OpenAI โดย OpenAI ได้รับการจัดอันดับจากเหล่านักวิจัยเอไอ ให้เป็นหนึ่งในสามสุดยอดห้องวิจัยเอไอโลก บริษัทเองก็พัฒนาซอฟต์แวร์เล่นเกมที่สามารถเอาชนะมนุษย์ได้ เช่น Dota2แต่บริษัทถูกจับตามองมากเมื่อสร้าง GPT-3 และโปรแกรมสร้างภาพ Dall-E ความสามารถของ ChatGPT ในการเลียนแบบวิธีการพูดและการเขียนของมนุษย์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของมันที่จะมาแทนที่นักเขียนมืออาชีพและถูกใช้ทำการบ้านแทนนักเรียน และเครื่องมือแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้ถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้นของ Google ด้วย อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1184491 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ChatGPT Microsoft News Update OpenAI แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เทหุ้น JD.com ในช่วงเวลาที่หุ้นเทคฯ​ จีนกลับมารีบาวด์ ขณะที่ JD.com ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา 62% จากจุดต่ำสุดในเดือน ต.ค. - FINNOMENA Cathie Wood กลับมาขายหุ้น JD.com อีกครั้ง หลังจากเว้นไปครึ่งปี ด้านหุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมารีบาวด์อีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายการคุมเข้มบริษัทเทคฯ​ รวมถึงยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ 20 ม.ค. 2566 Cathie Wood กลับมาขายหุ้น JD.com อีกครั้ง หลังจากเว้นไปครึ่งปี ด้านหุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมารีบาวด์อีกครั้ง หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายการคุมเข้มบริษัทเทคฯ รวมถึงยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ รายงานระบุว่า กองทุน ARK Fintech Innovation ETF (ARKF) ขายหุ้น JD.com ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด 6,645 หุ้น ซึ่งเป็นการกลับมาขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.ค. ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้ Ark ทยอยขายหุ้น JD.com มาตลอด ตั้งแต่ ก.ย. 2021 จนถึง ก.ค. ปีที่แล้ว ความเคลื่อนไหวของ Cathie Wood สวนทางกับตลาดที่มีมุมมองบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นจีน การยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน หนุนให้ราคาหุ้น JD.com ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา 62% จากจุดต่ำสุดในเดือน ต.ค. เช่นเดียวกับหุ้น Tencent ที่พุ่งขึ้นมาถึง 92% ในช่วงเวลาเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงที่รัฐบาลจีนคุมเข้มภาคเทคโนโลยีอย่างหนักจนกวาดล้างมูลค่าตลาดไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ Cathie Wood ก็เริ่มทยอยขายหุ้น JD.com ออกมา ซึ่งหลังจากที่ขายในวันพฤหัสบดีแล้ว (19 ม.ค.) ARK ยังถือหุ้น JD.com อยู่ทั้งหมด 150,318 หุ้น ส่วนกองทุนชื่อดังของบริษัทอย่าง ARKK สามารถทำผลตอบแทน +11% ในปีนี้ หลังปีที่แล้วร่วงลงมากถึง 67% โดยกลยุทธ์ของกองทุนคือ ลงทุนให้หุ้นเติบโตโดยเฉพาะบริษัทนวัตกรรม เช่น Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และ Coinbase Global บริษัทเทรดคริปโทฯ โดย Cathie Wood ย้ำมาตลอดว่า กลยุทธ์การลงทุนของ ARK คือการลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 5 ปี ทำให้บริษัทที่ลงทุนอยู่นั้นอาจมีความผันผวนในระยะสั้นอยู่บ่อยครั้ง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-20/cathie-wood-resumes-selling-in-jd-com-for-first-time-since-july?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: jd.com News Update หุ้นจีน หุ้นจีนในสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Netflix พุ่ง 7.12% หลังปิดตลาด ผู้ใช้งานใหม่โตกว่าคาดเพิ่มขึ้น 7.66 ล้านคน ขณะที่ Reed Hastings ประกาศลงจากตำแหน่ง co-CEO - FINNOMENA Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 จำนวนผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 7.12% หลังปิดตลาด แม้ตัวเลขกำไรจะออกมาน้อยกว่าคาดก็ตาม 20 ม.ค. 2566 Netflix รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 จำนวนผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 7.12% หลังปิดตลาด แม้ตัวเลขกำไรจะออกมาน้อยกว่าคาดก็ตาม ขณะที่ผู้ก่อตั้งอย่าง Reed Hastings ประกาศลงจากตำแหน่ง co-CEO โดยจะไปดำรงตำแหน่งประธานบริหารแทน และได้เลื่อนตำแหน่งให้ Greg Peters ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทเป็น co-CEO แทน รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Netflix – กำไรต่อหุ้น (EPS): 12 เซนต์ ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ 45 เซนต์ – รายได้: 7,850 ล้านดอลลาร์ เท่ากับคาดการณ์โดย Refinitive – การเพิ่มขึ้นของสมาชิกแบบชำระเงินทั่วโลก: เพิ่มขึ้น 7.66 ราย สูงกว่าคาดการณ์โดย StreetAccount ที่เพียง 4.57 ล้านราย กำไรต่อหุ้นของ Netflix ลดลงอย่างมาก เนื่องจากการขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับ หนี้สกุลเงินยูโร แต่ส่วนต่างกำไรที่ 7% ยังคงเหนือความคาดหมายของตลาด โดยผลขาดทุนในไตรมาสที่ 4 ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน แต่เป็นเพราะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินยูโร นี่เป็นไตรมาสแรกที่บริการแบบมีโฆษณาของ Netflix รวมอยู่ในผลประกอบการ โดยบริษัทได้เปิดตัวแพ็กเกจที่ถูกกว่าในเดือน พ.ย. แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าคิดเป็นสัดส่วนเท่าไรของจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น Netflix กล่าวว่า ผู้สมัครใช้แพ็กเกจที่ถูกกว่ามีส่วนเช่นเดียวกับสมาชิกแบบเดิม นอกจากนี้ ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในการเปลี่ยนมาใช้แพ็กเกจที่ถูกลงจากผู้สมัครแพ็กเกจระดับพรีเมียม Spencer Neumann ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทกล่าวว่า Netflix จะไม่เสนอแพ็กเกจแบบมีโฆษณาหากไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในธุรกิจ และบริษัทมีรายได้มากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/19/netflix-nflx-earnings-q4-2022.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สี จิ้นผิง อวยพรประชาชน ย้ำ “แสงสว่างรออยู่ข้างหน้า” แม้กังวลโควิดระบาดในชนบท - FINNOMENA ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีนกล่าวย้ำว่า แสงสว่างรออยู่ข้างหน้า แม้จะแสดงความกังวลเรื่องการระบาดของโควิดในพื้นที่ชนบทที่บริการสาธารณสุขย่ำแย่ในประเทศก็ตาม 19 ม.ค. 2566 ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดของจีนกล่าวย้ำว่า แสงสว่างรออยู่ข้างหน้า แม้จะแสดงความกังวลเรื่องการระบาดของโควิดในพื้นที่ชนบทที่บริการสาธารณสุขย่ำแย่ในประเทศก็ตาม VOA Thai รายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวอวยพรประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีนว่า “การป้องกันและควบคุมโควิดของจีนยังอยู่ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดอยู่ แต่แสงสว่างอยู่ข้างหน้าแล้ว ความพยายามที่ไม่ลดละจะนำไปสู่ชัยชนะ” ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ปธน.สี จิ้นผิง ผลักดันนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ควบคุมการระบาดของโควิดในจีนอย่างเข้มงวด และเพิ่งประกาศยกเลิกมาตรการอย่างรวดเร็วเมื่อต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาหลังการประท้วงทั่วประเทศ การยกเลิกอย่างกะทันหันส่งผลให้อดติดเชื้อและเสียชีวิตในประเทศพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปธน.สี แสดงความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิดในพื้นที่ชนบท ที่ระบบสาธารณสุขไม่ดีเท่าในเมืองใหญ่ และการป้องกันการระบาดเป็นเรื่องยากลำบาก โดยกลุ่มผู้สูงอายุเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดในตอนนี้ ขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของทางการจีน ระบุว่า ตั้งแต่จีนเปิดพรมแดนเมื่อ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนจีนราว 500,000 คนจะเดินทางเข้าออกจีนทุกวัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 600,000 คนต่อวันเมื่อเทศกาลตรุษจีนเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันเสาร์นี้ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/china-s-xi-frets-about-covid-in-rural-areas-sees-light-ahead-/6924036.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน สี จิ้นผิง โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่ง 2.5% ขานรับ BoJ คงนโยบายการเงิน สวนคาดการณ์ตลาด - FINNOMENA วันนี้ (18 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ปรับตัวขึ้น 2.5% หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีมติคงกรอบการเคลื่อนไหวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (Bond Yield) อายุ 10 ปี ที่ -0.5% ถึง +0.5% สวนการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่า BoJ จะขยายกรอบให้กว้างขึ้น 18 ม.ค. 2566 วันนี้ (18 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ปรับตัวขึ้น 2.5% หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีมติคงกรอบการเคลื่อนไหวอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (Bond Yield) อายุ 10 ปี ที่ -0.5% ถึง +0.5% สวนการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่า BoJ จะขยายกรอบให้กว้างขึ้น ซึ่งถูกตีความว่าจะเป็นการส่งสัญญาณการใช้นโยบานการเงินที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ BoJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% ซึ่งประเด็นนี้เป็นไปตามที่ตลาดคาด ด้านค่าเงินเยนอ่อนค่าลงทันที 2.3% เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลารส์หรัฐฯ และ Bond Yield 10 ปีของญี่ปุ่นปรับตัวลงสู่ระดับ 0.34% จากระดับ 0.5% FINNOMENA Investment Team มองการคงกรอบการเคลื่อนไหว Bond Yield ครั้งนี้ได้สร้าง Surprise ต่อตลาดอย่างมาก โดยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดคาดหวังอย่างมากต่อการประชุม BoJ ในวันนี้ สะท้อนจากการที่ Bond Yield 10 ปีของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นสู่ 0.59% ในเมื่อวานนี้ (ซึ่งเกินกรอบบนที่ BoJ กำหนดที่ระดับ +0.50%) เรามองว่านโยบายการเงินของ BoJ ฝืนทิศทางแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงินทั่วโลก ส่งผลให้ในอนาคตมีแนวโน้มสูงที่ BoJ จะต้องเปลี่ยนนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามและอาจส่งผลต่อการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินคือ การหมดวาระของผู้ว่า BoJ คนปัจจุบันคือ คุณ ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ในช่วงเดือนเมษายน 2023 สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น เรามองว่ายังมี Downside จากปัจจัยมหภาค หาก BoJ มีการกลับทิศทางนโยบายการเงินมาเป็นแบบเข้มงวดตามทิศทางธนาคารกลางโลกทั่ว ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของญี่ปุ่นยังคงมีอยู่และยังคงเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.8% (YoY) ในเดือนธ.ค. 2022 ซึ่งสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ ในแง่ของการถูกปรับประมาณการกำไรของบริษัท ( Earnings) ยังมีทิศทางโดนปรับลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2022 ขณะที่ Valuation 10 ในรอบปี อยู่ที่ระดับ -1.3 S.D. โดยเรายังคงแนะนำลดสัดส่วนเพื่อลดความเสี่ยงสำหรับหุ้นญี่ปุ่น ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นญี่ปุ่น แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: การหั่นราคาของ Tesla กับสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอีวีที่แลกมาด้วยกำไร - FINNOMENA ราคาหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าที่ร่วงต่อเนื่องในปลายปี 2022 ทำให้หลายคนนึกถึงวิกฤติดอทคอมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน แพทเทิร์นคล้ายกับยุคที่อินเทอร์เน็ตบูม โดยเฉพาะ Tesla ที่หลายคนมองว่าจะเป็น ‘ผู้ชนะ’ ในระยะยาว แต่ด้วยอายุบริษัทที่ยังน้อยทำให้อาจไม่มีเงินสดเพียงพอเมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 16 ม.ค. 2566 เมื่อการลดราคาของ Tesla อาจหมายถึงสัญญาณการถดถอยของเศรษฐกิจที่มาถึงแล้ว ราคาหุ้นรถยนต์ไฟฟ้าที่ร่วงต่อเนื่องในปลายปี 2022 ทำให้หลายคนนึกถึงวิกฤติดอทคอมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน แพทเทิร์นคล้ายกับยุคที่อินเทอร์เน็ตบูม โดยเฉพาะ Tesla ที่หลายคนมองว่าจะเป็น ‘ผู้ชนะ’ ในระยะยาว แต่ด้วยอายุบริษัทที่ยังน้อยทำให้อาจไม่มีเงินสดเพียงพอเมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญกับเงินเฟ้อรวมถึงความเสี่ยงที่โลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2023 Tesla ประกาศหั่นราคารถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางส่วนมองว่านี่จะทำให้กำไรของบริษัทหดหาย อย่างนักวิเคราะห์จาก Guggenheim Securities ที่มองว่าอัตรากำไร (Profit Margin) ของ Tesla จะลดลงถึง 25% ขณะที่นักวิเคราะห์อีกฝ่ายจาก Wedbush มองว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นการก้าวกระโดดไปสู่โลกของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านมหภาค แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้งการรีบาวด์ในหุ้นรถยนต์ไฟฟ้า ความสำเร็จในการหาเงินทุนของบริษัทหน้าใหม่ การผ่านร่างกฎหมายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดคือ ‘ภาวะเศรษฐกิจ’ ส่วนปัจจัยตลาดเป็นเรื่องรองลงมา คำถามต่อมาก็คือ เศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นครั้งแรกที่ไหน? อาจจะเป็นสหรัฐฯ หรือจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในเดือน ธ.ค. ที่ลดลงถึง 44% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากรัฐบาลต้องใช้ความพยายามในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด ในสหรัฐฯ นักวิเคราะห์และซีอีโอส่วนใหญ่มองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดขึ้นในปีนี้ แม้ว่าความเชื่อมั่นในตลาดจะเริ่มกลับมาว่า Fed จะทำให้เกิด Soft Landing ได้ก็ตาม ขณะที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s Analytics มองว่าเศรษฐกิจจะเกิดภาวะที่ใกล้จะหยุดนิ่ง แต่ไม่ถดถอยหรือที่เรียกว่า Slowcession ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ในวงกว้าง ส่วนในจีนซึ่งเหมือนเป็นบ้านของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ากว่าครึ่งทั่วโลก การผลิตเริ่มหดตัวและราคาบ้านร่วงต่อเนื่อง แต่ IMF มองว่าจีนจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้และสามารถโตได้ถึง 3.8% ในปีนี้ ซึ่งตอนนี้จีนพยายามกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบรวมถึงยกเลิกมาตรการคุมโควิดอันเข้มงวด อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/14/the-ev-industrys-first-recession-stress-test-will-it-be-a-bust.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD เตรียมลุยเวียดนามเพิ่ม เล็งสร้างโรงงานผลิตส่วนประกอบ ทุ่มงบกว่า $250 ล้าน หวังลดพึ่งพาจีน - FINNOMENA BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เตรียมลงทุนสร้างโรงงานผลิตส่วนประกอบรถยนต์ในเวียดนาม หวังลดการพึ่งพาจีน หันไปใช้ซัพพลายเชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองรับการขยายตัวระดับโลกมากขึ้น 13 ม.ค. 2566 BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เตรียมลงทุนสร้างโรงงานผลิตส่วนประกอบรถยนต์ในเวียดนาม หวังลดการพึ่งพาจีน หันไปใช้ซัพพลายเชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองรับการขยายตัวระดับโลกมากขึ้น กรุงเทพธุรกิจรายงานโดยอ้างอิงรอยเตอร์ว่า BYD จะลงทุนมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ในภาคเหนือของเวียดนาม ซึ่งก่อนหน้านี้แผนกอิเล็กทรอนิกส์ของบีวายดีผลิตแผงโซลาร์ในเวียดนามอยู่ก่อนแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้ตอกย้ำว่า BYD ต้องการลดการพึ่งพาจีน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงความล่าช้าในภาคการผลิตจากการล็อกดาวน์เป็นระยะของรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ในปี 2022 แซงหน้า Tesla กว่า 2 เท่า โดยปัจจุบันกำลังขยายกิจการไปตามประเทศต่างๆ ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์และญี่ปุ่น รวมทั้งในยุโรป กลยุทธ์เด่นที่ BYD และ Tesla มีเหมือนกันและทำให้แตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์เจ้าเดิมคือ ความสามารถในการควบคุมซัพพลายเชน โดยเฉพาะการผลิตแบตเตอรี่ ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว BYD ประกาศว่าจะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทย โดยตั้งเป้าว่าในปี 2024 จะสามารถผลิตได้ปีละ 150,000 คัน ซึ่งข่าวการลงทุนในเวียดนามครั้งนี้ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพ ควบคุมต้นทุน และสร้างความหลากหลาย แม้ความต้องการในจีนจะยังแข็งแกร่งก็ตาม การสร้างโรงงานผลิตในเวียดนามถือเป็นความท้าทายโดยตรงต่อ ‘วินฟาสต์’ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเวียดนามที่เริ่มขายรถในปี 2562 และวางแผนขยายกิจการในสหรัฐฯ และยุโรป แหล่งข่าวระบุว่า BYD กำลังหาเช่าที่ดิน 500 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากที่แผนกอิเล็กทรอนิกส์เช่าอยู่แล้ว 375 ไร่ โดยโรงงานในเวียดนามจะส่งชิ้นส่วนมาประกอบในโรงงานที่เมืองไทย อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/world/1047862 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คนอังกฤษไม่พอใจ ค่าจ้างขึ้นไม่ทันเงินเฟ้อ! พนักงานมหาวิทยาลัยในอังกฤษกว่า 7 หมื่นคน นัดหยุดงานประท้วง 18 วัน ขอให้นายจ้างขึ้นค่าจ้างให้ 3% - FINNOMENA สหภาพมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอังกฤษ (UCU) เปิดเผยว่า พนักงานกว่า 70,000 คนจาก 150 มหาวิทยาลัยทั่วอังกฤษจะนัดหยุดงานประท้วงเป็นเวลา 18 วัน ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. เพื่อเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้าง ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในการทำงาน และเงินบำนาญ 13 ม.ค. 2566 สหภาพมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอังกฤษ (UCU) เปิดเผยว่า พนักงานกว่า 70,000 คนจาก 150 มหาวิทยาลัยทั่วอังกฤษจะนัดหยุดงานประท้วงเป็นเวลา 18 วัน ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. เพื่อเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้าง ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในการทำงาน และเงินบำนาญ อินโฟเควสท์รายงานว่า UCU ซึ่งเป็นตัวแทนของนักวิชาการ ครูฝึก บรรณารักษ์ และเจ้าหน้าที่วิชาชีพในสถาบันและมหาวิทยาลัยต่างๆ ระบุว่า ทางสหภาพต้องการค่าจ้างที่ดีขึ้น โดยมองว่านายจ้างจะต้องขึ้นค่าจ้าง 3% หลังได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อมากว่า 10 ปี “เวลาในการตัดสินใจเริ่มน้อยลงทุกขณะ สำหรับฝ่ายบริหารว่าจะยื่นข้อเสนอหรือเผชิญกับการหยุดชะงักเป็นวงกว้างในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้” ดร.โจ เกรดี้ เลขาธิการทั่วไปของ UCU กล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ขณะนี้อังกฤษกำลังรับมือกับวิกฤตเงินเฟ้อที่รุนแรง โดยนายกรัฐมนตรีริชี ซูนัค ของอังกฤษต้องเผชิญกับกระแสความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมทั่วอังกฤษตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งนี้ การหยุดงานประท้วงมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนกว่าหลายแสนคนในอังกฤษ และทำให้บริการที่สำคัญต่าง ๆ เช่น การบริการด้านสุขภาพและการรถไฟต้องหยุดชะงักครั้งแล้วครั้งเล่า อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2023/267249 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ประท้วง อังกฤษ เงินเฟ้ออังกฤษ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ธ.ค. เหลือ 6.5% จับตา Fed ประชุม 1 ก.พ. นี้ - FINNOMENA เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปิดฉากปี 2022 ด้วยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นในการระบาดของโควิด 13 ม.ค. 2566 เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปิดฉากปี 2022 ด้วยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ธ.ค. ที่ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงต้นในการระบาดของโควิด เมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เดือน ธ.ค. ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ซึ่งเท่ากับการลดลงในเดือนเม.ย. 2020 ในช่วงเวลาที่หลายประเทศปิดเมืองเพื่อต่อสู้กับโควิด อย่างไรก็ตาม ดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐานทั่วไปเพิ่มขึ้น 6.5% จากปีที่แล้ว ตอกย้ำภาระค่าครองชีพของครัวเรือนสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น แต่ถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีน้อยที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2021 ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้าตามคาด และเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า นโยบายการเงินเข้มงวดของ Fed จะกดให้อัตราเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.ลดลงได้อีกครั้ง เหมือนที่ลดลงในเดือน พ.ย. แม้จะอยู่ในช่วงขาลง แต่อัตราเงินเฟ้อ 6.5% ก็ยังเป็นระดับที่สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่กำหนดไว้ 2% และยังเป็นระดับที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ Fed จะใช้ในการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. นี้ โดยเมื่อต้นสัปดาห์ (10 ม.ค.) Mary Daly ประธาน Fed สาขาซานฟรานซิสโก เปิดเผยว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.25% และจะปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 5.00%-5.25% โดยจะคงอยู่ที่ระดับนั้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% แต่การที่ดอกเบี้ยจะตรึงอยู่ระดับดังกล่าวนานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในอนาคต พร้อมคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 3.5% จะเพิ่มขึ้นแตะประมาณ 4.5% หรือ 4.6% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 5.5% จะลดลงสู่กรอบล่างของ 3% ภายในสิ้นปี 2566 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/12/consumer-prices-fell-0point1percent-in-december-in-line-with-economists-expectations.html https://www.prachachat.net/world-news/news-1174304 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เงินเฟ้อ เงินเฟ้อสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: TSMC เผยกำไรพุ่ง 78% สู่ระดับ $9.72 พันล้าน แรงหนุนจากยอดขายชิปขั้นสูงที่แข็งแกร่ง - FINNOMENA วันนี้ (12 ม.ค.) บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC) เผยกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 78% สู่ระดับ 2.959 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน (9.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) 12 ม.ค. 2566 วันนี้ (12 ม.ค.) บริษัทไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง (TSMC) เผยกำไรสุทธิของบริษัทในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 78% สู่ระดับ 2.959 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน (9.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากระดับ 1.662 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวันในไตรมาส 4/2564 โดยบริษัทได้รับแรงหนุนจากยอดขายชิปขั้นสูงที่แข็งแกร่ง แม้อุตสาหกรรมในวงกว้างเผชิญภาวะขาลงที่ส่งผลกระทบต่อชิปที่ใช้ผลิตสินค้าทั่วไป ซึ่งมีราคาย่อมเยา อินโฟเควสท์รายงานว่า ขณะที่ นักวิเคราะห์ 21 คนในผลสำรวจที่จัดทำโดยรีฟินิทิฟ (Refinitiv) คาดการณ์โดยเฉลี่ยว่า TSMC จะมีกำไร 2.8944 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน ทั้งนี้ TSMC เป็นบริษัทรับจ้างผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลกและซัพพลายเออร์รายสำคัญของแอปเปิ้ล อิงค์ โดยธุรกิจได้แรงหนุนจากภาวะขาดแคลนชิปทั่วโลก หลังยอดขายสมาร์ตโฟนและแล็ปท็อปพุ่งสูงในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด และแม้ภาวะขาดแคลนชิปคลี่คลายลงในเวลาต่อมา แต่ TSMC ยังคงได้เปรียบ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตชิปขั้นสูงที่มีอุปสงค์แข็งแกร่ง นอกจากนั้น TSMC เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 4/256 เพิ่มขึ้น 26.7% สู่ระดับ 1.993 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับที่ TSMC เคยประมาณการเอาไว้ที่กรอบ 1.99 – 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หุ้น TSMC ร่วงลง 27.1% ในปี 2565 แต่ปรับตัวขึ้น 8.5% ในปีนี้ ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ 4.1278 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนในวันนี้ราคาหุ้น TSMC ปรับตัวขึ้น 0.4% สวนทางกับดัชนีตลาดหุ้นไต้หวันที่ขยับลง 0.1% อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2023/266992 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update TSMC ชิป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักลงทุนกังวลเหตุการณ์ซ้ำรอย! หวั่นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ หลุดก่อนประกาศจริง หลังตลาดมีปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติเดือนที่แล้ว - FINNOMENA นักลงทุนสูญความเชื่อมั่นในการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หลังตลาดมีปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ (Volume shock) ก่อนประกาศเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการในเดือนที่แล้ว 12 ม.ค. 2566 นักลงทุนสูญความเชื่อมั่นในการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ หลังตลาดมีปริมาณการซื้อขายที่ผิดปกติ (Volume shock) ก่อนประกาศเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการในเดือนที่แล้ว นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตาการประกาศตัววเลขเงินเฟ้อจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งมีกำหนดประกาศตอน 8.30 น. ตามเวลาสหรัฐฯ หรือประมาณ 20:30 ในประเทศไทย เนื่องจากกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนเดือนที่แล้ว โดยเมื่ 13 ธ.ค. มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น 60 วินาทีก่อนที่จะประกาศตัวเลขเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ โดยปริมาณการซื้อขายในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี สูงขึ้นถึง 3 เท่าของระดับที่เห็นในหนึ่งนาทีก่อนที่จะมีการเผยแพร่รายงาน Christopher Giancarlo ที่ปรึกษาอาวุโสของสำนักงานกฎหมาย Willkie Farr & Gallagher กล่าวว่า มันเป็นปริมาณการซื้อขายค่อนข้างไม่ธรรมดาเลย ขณะที่กระทรวงแรงงานระบุว่า หลังจากทำการสอบสวนเบื้องต้นแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะรั่วไหล ขณะที่หน่วยงานกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (CFTC) และ ก.ล.ต.สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยังมีการคาดเดาเกิดขึ้นว่าปริมาณการซื้อขายที่พุ่งขึ้นผิดปกติเกิดจากการแฮ็กหรือการรั่วไหลของข้อมูล Graham Harper หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะและโครงสร้างตลาดของ DRW ในชิคาโก กล่าวว่า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกระบวนการเผยแพร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนและข้อมูลทางเศรษฐกิจมีความสำคัญอย่างยิ่ง จนทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของกระบวนการ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-11/traders-lose-trust-in-cpi-data-security-in-wake-of-volume-shock?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ เงินเฟ้อสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla เร่งขยายการผลิต ใกล้บรรลุดีลตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในอินโดนีเซีย พร้อมขยายโรงงานกิกะแฟคทอรีในเท็กซัส - FINNOMENA Tesla ใกล้บรรลุดีลตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซีย โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์ 1 ล้านคันต่อปี รวมถึงจ่อขยายโรงงานกิกะแฟคทอรีในเท็กซัสมูลค่า 776 ล้านดอลลาร์ 12 ม.ค. 2566 Tesla ใกล้บรรลุดีลตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซีย โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์ 1 ล้านคันต่อปี รวมถึงจ่อขยายโรงงานกิกะแฟคทอรีในเท็กซัสมูลค่า 776 ล้านดอลลาร์ อินโฟเควสท์รายงานเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ Tesla มีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ของจีน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัท และโรงงาน 3 แห่งในสหรัฐ, 1 แห่งในเยอรมนี รวมทั้งมีแผนตั้งโรงงาน 1 แห่งในเม็กซิโก ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla เผยในเดือนพ.ย. ปีที่แล้วว่า เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่บริษัทจะตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของเทสลา นอกจากนี้ Tesla ยังได้ยื่นขออนุญาตขยายโรงงานกิกะแฟคทอรี (Gigafactory) ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 775.7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่สร้างโรงงานในเยอรมนีเมื่อปีที่แล้ว โดยบริษัทวางแผนเพิ่มสิ่งปลูกสร้างใหม่ 5 แห่งในเมืองออสติน ของรัฐเท็กซัส ซึ่งรวมถึง ห้องปฏิบัติการทดสอบเซลล์ไฟฟ้าและยูนิตที่มีชื่อว่า “แคโทด” (Cathode) ขณะที่ข่าวขยายโรงงานเกิดขึ้นหลายวันหลังรายงานระบุว่า Tesla เลื่อนตำแหน่งนายทอม จู ประธานฝั่งจีนของเทสลา ให้เข้ามาดูแลโรงงานประกอบรถยนต์ของเทสลาในสหรัฐโดยตรง รวมถึงการดำเนินงานด้านการขายในอเมริกาเหนือและยุโรป อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3388722 https://www.ryt9.com/s/iq29/3388785 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Apple เตรียมผลิตจอใช้เอง เริ่มจาก Apple Watch ภายในสิ้นปีหน้า หวังลดการพึ่งพาบริษัทคู่ค้าซัมซุง-แอลจี - FINNOMENA Apple วางแผนเริ่มใช้หน้าจออุปกรณ์เคลื่อนที่ผลิตเองในปี 2567 หวังลดการพึ่งพาบริษัทคู่ค้าอย่างซัมซุงและแอลจี 11 ม.ค. 2566 Apple วางแผนเริ่มใช้หน้าจออุปกรณ์เคลื่อนที่ผลิตเองในปี 2567 หวังลดการพึ่งพาบริษัทคู่ค้าอย่างซัมซุงและแอลจี กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า Apple กำลังวางแผนที่จะใช้หน้าจอสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile device display) ที่บริษัทผลิตขึ้นเองภายในปี 2567 ซึ่งเป็นความพยายามที่จะลดการพึ่งพาบรรดาบริษัทคู่ค้าซึ่งรวมถึงซัมซุงและแอลจี และมีเป้าหมายที่จะผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ ขึ้นเองด้วย แหล่งข่าวระบุว่า Apple มีแผนที่เริ่มใช้ในผลิตภัณฑ์ Apple Watch ที่ผลิตเองภายในสิ้นปี 2567 โดยจะอัปเกรดจากหน้าจอ OLED ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปเป็น microLED และหลังจากนั้นจะนำหน้าจอรุ่นใหม่นี้ไปใช้ในอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึง iPhone Apple ต้องการลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์กลุ่มปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้แอ๊ปเปิ้ลสามารถควบคุมการออกแบบและประสิทธิภาพของสินค้าของบริษัทได้มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ยุติการใช้ชิปของบริษัทอินเทลในคอมพิวเตอร์แมค (Mac) และหันมาใช้ชิปที่บริษัทผลิตขึ้นเอง ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ในปี 2562 Bloomberg รายงานว่า Apple วางแผนที่จะออกแบบหน้าจออุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยตนเอง เริ่มจากหน้าจอที่ใช้ใน Apple Watch ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อบริษัทซัมซุง ดิสเพลย์ และแอลจี ดิสเพลย์ เมื่อวันจันทร์ (9 ม.ค.) ที่ผ่านมา รายงานข่าวระบุว่า Apple วางแผนที่จะระงับการซื้อชิปจากบรอดคอมในปี 2568 และหันมาใช้ชิปที่ออกแบบเอง ส่งผลให้ราคาหุ้นบรอดคอมร่วงลง 2% ในวันดังกล่าว อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/world/1047315 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ญี่ปุ่นครองแชมป์โลก 5 สมัย พาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ไทยรั้งอันดับ 68 จากทั้งหมด 109 อันดับ - FINNOMENA อินโฟเควสท์รายงานผลการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2566 ระบุว่า ญี่ปุ่นครองแชมป์พาสปอร์ตทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยพลเมืองญี่ปุ่นสามารถเดินทางสู่จุดหมาย 193 แห่งทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า 11 ม.ค. 2566 อินโฟเควสท์รายงานผลการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2566 ระบุว่า ญี่ปุ่นครองแชมป์พาสปอร์ตทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยพลเมืองญี่ปุ่นสามารถเดินทางสู่จุดหมาย 193 แห่งทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า เกาหลีใต้และสิงคโปร์รั้งอันดับ 2 ร่วม โดยสามารถเดินทางสู่จุดหมาย 192 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า ส่วนเยอรมนีและสเปนครองอันดับ 3 ร่วม โดยสามารถเดินทางสู่จุดหมาย 190 แห่งทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่ในอันดับที่ 6 กับ จุดหมาย 187 แห่ง และสหรัฐฯ อยู่อันดับที่ 7 จุดหมาย 186 แห่ง สำหรับไทยอยู่ที่อันดับ 68 ร่วมกับเบลารุส จากทั้งหมด 109 อันดับ อัฟกานิสถานยังคงอยู่ในอันดับรั้งท้ายในการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ โดยสามารถเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่าสู่จุดหมายเพียง 27 แห่ง ซึ่งห่างจากอันดับ 1 อย่างญี่ปุ่นถึง 166 แห่ง นับเป็นช่องว่างด้านการเดินทางที่กว้างที่สุดในประวัติศาสต์ 18 ปีของดัชนี ทั้งนี้ ผลการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association หรือ IATA) และจัดอันดับ 199 พาสปอร์ตทั่วโลกตามจำนวนจุดหมายปลายทางที่ผู้ถือพาสปอร์ตนั้นสามารถเดินทางไปได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ามาก่อน อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq38/3388437 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ญี่ปุ่น พาสปอร์ต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ย้ำ การทำงานของ Fed ต้องปราศจากอิทธิพลทางการเมือง อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่มีเป้าหมายเพื่อคุมเงินเฟ้อ - FINNOMENA ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องปราศจากอิทธิพลทางการเมือง และการทำงานของ Fed อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่มีเป้าหมายเพื่อคุมเงินเฟ้อ 11 ม.ค. 2566 ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องปราศจากอิทธิพลทางการเมือง และการทำงานของ Fed อาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่มีเป้าหมายเพื่อคุมเงินเฟ้อ ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่จัดขึ้นโดยธนาคารกลางสวีเดนที่กรุงสตอกโฮล์มเมื่อวานนี้ พาวเวลล์กล่าวว่า การรักษาเสถียรภาพของราคานั้นจำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากซึ่งอาจทำให้ฝ่ายการเมืองหลายคนรู้สึกไม่พอใจได้ “เสถียรภาพด้านราคาเป็นรากฐานของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นประโยชน์มหาศาลแก่สาธารณชนเมื่อเวลาผ่านไป แต่การต่อสู้กับเงินเฟ้ออาจต้องใช้มาตรการที่อาจสร้างความไม่พอใจได้ในระยะสั้น เนื่องจาก Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอเศรษฐกิจ” ประธาน Fed กล่าว พาวเวลล์กล่าวอีกว่า การที่ฝ่ายการเมืองไม่ได้ใช้อำนาจควบคุมโดยตรงต่อ Fed ทำให้ Fed สามารถตัดสินใจใช้มาตรการที่จำเป็นเหล่านี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงปัจจัยทางการเมืองในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในสุนทรพจน์ดังกล่าว พาวเวลล์ไม่ได้ส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ในครั้งต่อไป หลังขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้งติดต่อกันในปี 2022 สู่ระดับ 4.25% โดยตลาดคาดว่าจะขึ้นต่ออีกในปี 2023 นี้ Fed เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายการเมืองมาตลาด ก่อนหน้านี้ในยุคของอดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เขาไม่พอใจที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยในยุคที่เขาเป็นปธน. ขณะที่ ส.ว. เอลิซาเบธ วอร์เรน ดี-แมส ได้วิพากษ์วิจารณ์การปรับขึ้นรอบปัจจุบัน ขณะที่ ปธน.โจ ไบเดน แสดงท่าทีมาตลอดว่า เขาไม่เห็นด้วยต่อท่าทีการต่อต้านการทำงานของ Fed โดยมองว่าเป็นความรับผิดชอบหลักของธนาคารกลางในการจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ ด้านพาวเวลล์ย้ำมาตลอดว่า ปัจจัยทางการเมืองไม่ได้ส่งผลต่อการกระทำของเขา อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/10/powell-stresses-need-for-feds-political-independence-while-tackling-inflation.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED News Update ธนาคารกลางสหรัฐ เจอโรม พาวเวลล์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สโมสรพรีเมียร์ลีกอังกฤษเนื้อหอม กลุ่มทุนกาตาร์สนใจทุ่มเงินซื้อหุ้น แมนยู - ลิเวอร์พูล - สเปอร์ส - FINNOMENA กลุ่มทุนกาตาร์ซึ่งเป็นชาติที่เคยเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สนใจซื้อหุ้นสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล เอฟซี และทอตนัมฮอตสเปอร์ 10 ม.ค. 2566 กลุ่มทุนกาตาร์ซึ่งเป็นชาติที่เคยเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สนใจซื้อหุ้นสโมสรชั้นนำในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล เอฟซี และทอตนัมฮอตสเปอร์ Bloomberg รายงานว่า Nasser Al-Khelaifi ประธาน Qatar Sports Investments (QSI) ได้พูดคุยกับ Daniel Levy ประธานของทอตนัมฮอตสเปอร์เกี่ยวกับการซื้อหุ้นของสโมสร นอกจากนี้ QSI ยังกำลังพิจารณาทั้งการเทคโอเวอร์และเข้าไปถือหุ้นในคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือลิเวอร์พูลด้วย สอดคล้องกับที่ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า หลังจากการพูดคุยได้ข้อตกลงว่า QSI จะซื้อหุ้น 25% จากสเปอร์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 40,700 ล้านบาทเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน โดย QSI จะเริ่มเข้ามาวางแผนงานของสโมสรทันที ก่อนหน้านี้ QSI ลงทุน 90 ล้านปอนด์เพื่อซื้อหุ้น 22% จากบรากา ทีมดังในโปรตุเกสแล้ว โดยหวังจะปูพรมสร้างเครือข่ายในวงการฟุตบอลต่อสู้กับ กลุ่มทุนจาก ยูเออี เจ้าของสโมสรแมนฯซิตี้ ที่ซิตี้กรุ๊ปใช้ทุนซื้อสโมสรฟุตบอลทั่วโลกไปแล้ว 11 ทีม ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก เอฟซี, เมลเบิร์น ซิตี้, โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส, คิโรนา, มุมไบ ซิตี้ QSI ได้ตัดสินใจที่จะพิจารณาการลงทุนในสโมสรฟุตบอลของอังกฤษหลังจากเป็นส่วนหนึ่งในเจ้าภาพฟุตบอลโลก นี่ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในลีกที่มีชื่อเสียงน้อยกว่า เช่น โปรตุเกส เพราะสโมสรในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีโปรไฟล์ระดับโลก ไม่ว่าดีลที่เกิดขึ้นจะเป็นดีลขนาดกลางแบบการเข้าไปถือหุ้นหรือดีลขนาดใหญ่อย่างการเทคโอเวอร์สโมสร นี่จะช่วยส่งเสริมกลยุทธ์ของกาตาร์ในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทกีฬา เสริมโปรไฟล์ของประเทศ และยังเป็นการลงทุนความมั่งคั่งมหาศาลจากทรัพยากรธรรมชาติ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กาตาร์ใช้เงินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้พร้อมกับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก นอกเหนือจากการสร้างสนามกีฬาใหม่เอี่ยมและเทศบาลทั้งหมดแล้ว กาตาร์ยังได้ซื้อกิจการของปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถือหุ้นใน SC Braga ของโปรตุเกส และพัฒนา beIN Media Group ที่เน้นด้านกีฬา อย่างไรก็ตาม กฎของยูฟ่าห้ามไม่ให้สองทีมที่เป็นเจ้าของโดยกลุ่มเดียวกันเข้าร่วมการแข่งขันรายการใดรายการหนึ่งในยุโรป อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-09/man-united-liverpool-said-to-be-buyout-targets-for-qatar-fund?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.khaosod.co.th/sports/news_7452286 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ลิเวอร์พูล สเปอร์ส สโมสรฟุตบอล แมนยู แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs มองหุ้นจีนมาแน่ คาด MSCI China บวกอีก 15% หลังจีนเปิดประเทศเต็มรูปแบบ - FINNOMENA Goldman Sachs คาดการณ์ว่า หุ้นจีนเตรียมปรับขึ้นอีก 15% ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าแตะระดับของเดือน เม.ย. หลังจีนกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบ พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญหลายประการ 10 ม.ค. 2566 Goldman Sachs คาดการณ์ว่า หุ้นจีนเตรียมปรับขึ้นอีก 15% ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าแตะระดับของเดือน เม.ย. หลังจีนกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบ พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญหลายประการ โดย Kinger Lau หนี่งในทีมกลยุทธ์กล่าวว่า Goldman Sachs ได้ปรับเป้าหมายดัชนี MSCI China รอบ 12 เดือน จาก 70 เป็น 80 เมื่อประเมินจากมูลค่าที่ไม่สูงมากและการปรับเปลี่ยนนโยบายหลายภาคส่วน เช่น ที่อยู่อาศัย การกำกับดูแลระบบอินเทอร์เน็ต และภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ทีมนักกลยุทธ์สกุลเงินนำโดย Kamakshya Trivedi คาดการณ์ว่า เงินหยวนน่าจะแข็งค่าแตะ 6.5 หยวนต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปี เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6.9 หยวนต่อดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากมุมมองเชิงบวกจากการกลับมาเปิดประเทศ “ในบริบทของปี 2023 จีนอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งทั้งในแง่การเติบโต นโยบาย และเงินเฟ้อ” Goldman Sachs มองว่า ตลาดกำลังทำให้นักลงทุนชอร์ตหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนมากกว่าที่จะเปิดสถานะซื้อ อินโฟเควสท์รายงานโดยอ้างอิง Bloomberg ว่า หุ้นจีนเริ่มต้นปีใหม่อย่างครึกครื้น เหล่าเทรดเดอร์กลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ขณะที่จีนผ่อนปรนข้อจำกัดที่เข้มงวดในการควบคุมโควิดและกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่ลดลงและมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ ก็มีส่วนช่วยหนุนเช่นเดียวกัน ขณะที่ Goldman Sachs มีความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นจีนสำหรับปี 2023 ขณะที่ดัชนี MSCI เพิ่มขึ้น 48% จากจุดต่ำสุดในเดือน ต.ค. ซึ่งทำผลตอบแทนได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่แรงซื้อเงินหยวนได้รับแรงหนุนจากการซื้อหุ้นจีนในปี 2023 หลังการเปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอีกครั้ง โดยเงินหยวนในต่างประเทศพุ่งทะลุ 6.8 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ส.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-09/goldman-sees-china-stock-yuan-gains-extending-on-policy-shifts?sref=e4t2werz https://www.ryt9.com/s/iq29/3388033 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Goldman Sachs News Update หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Morgan Stanley เตือน S&P 500 มีโอกาสลงอีก 22% จากเศรษฐกิจถดถอย-กำไรหด - FINNOMENA Morgan Stanley มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจร่วงรุนแรงกว่าที่หลายคนคาด จากความเลวร้ายของภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงการตกต่ำในกำไรของบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก 10 ม.ค. 2566 Morgan Stanley มองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจร่วงรุนแรงกว่าที่หลายคนคาด จากความเลวร้ายของภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงการตกต่ำในกำไรของบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก Michael Wilson จาก Morgan Stanley มองว่า แม้นักลงทุนจะคาดการณ์ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ประมาณการกำไรของบริษัทยังคงสูงเกินไป ขณะที่ส่วนเพิ่มของผลตอบแทนเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากหุ้น (Risk Premium) อยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 โดยในกรณีที่เศรษฐกิจถดถอยเพียงเล็กน้อย ดัชนี S&P 500 อาจลดลงต่ำกว่า 3,500 ถึง 3,600 จุด แต่หากฉันทามติอาจเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ผิดในแง่ของขนาด ดัชนี S&P 500 อาจต่ำกว่า 3,000 จุด หรือต่ำกว่าระดับปัจจุบันประมาณ 22% เช่นเดียวกับ Goldman Sachs ที่คาดว่าจะมีแรงกดดันต่อกำไร จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯ รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยจะบดบังผลกระทบเชิงบวกจากการเปิดเศรษฐกิจของจีนอีกครั้ง ปัจจัยหนึ่งที่หนุนมุมมองของ Michael Wilson คือ ผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่ถึงจุดสูงสุด ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางสัญญาณการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างไรก็ตาม เขามองว่า เงินเฟ้อในระดับพีกจะส่งผลลบอย่างมากต่อความสามารถในการทำกำไรตลอดปี 2023 นี้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-09/morgan-stanley-s-wilson-says-stocks-undervaluing-recession-risk?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Morgan Stanley News Update หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เปิดสัมพันธ์ ซีพี-แจ็คหม่า รู้จักกันมา 20 ปีแล้ว เจ้าสัวเคยปฏิเสธลงทุนอาลีบาบา จับตาความร่วมมือครั้งใหม่ - FINNOMENA ภาพ ‘แจ็ค หม่า’ ในร้านเจ๊ไฝสร้างความฮือฮาบนโลกโซเชียลออนไลน์ในช่วงสัปดาห์ โดยนอกจากเจ๊ไฝแล้ว อีก 2 คนที่ยืนข้างผู้ก่อตั้งและอดีตผู้บริหารสูงสุดของอาลีบาบา คือ ‘สุภกิต เจียรวนนท์’ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ทายาทคนโตของเจ้าสัวธนินท์ และ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ภรรยาชาวเกาหลีใต้ของสุภกิต 9 ม.ค. 2566 ภาพ ‘แจ็ค หม่า’ ในร้านเจ๊ไฝสร้างความฮือฮาบนโลกโซเชียลออนไลน์ในช่วงสัปดาห์ โดยนอกจากเจ๊ไฝแล้ว อีก 2 คนที่ยืนข้างผู้ก่อตั้งและอดีตผู้บริหารสูงสุดของอาลีบาบา คือ ‘สุภกิต เจียรวนนท์’ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ทายาทคนโตของเจ้าสัวธนินท์ และ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ภรรยาชาวเกาหลีใต้ของสุภกิต ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เหตุผลทั้งสองคนทำหน้าที่ดูแลแขกคนพิเศษก็น่าจะเป็นเพราะสุภกิตเคยดูแลธุรกิจในจีนอยู่หลายปี ส่วนมาริษาก็ทำงานอยู่ในเมืองจีนด้วย ทั้งสองจึงคุ้นเคยกับมารยาทและวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างดี ถือว่าไม่น่าแปลกใจที่ทายาทของเจ้าสัวธนินท์จะรู้จักกับแจ๊ค หม่า แต่สิ่งที่น่าสนใจและหลายคนยังไม่รู้คือ ตระกูลเจียรวนนท์รู้จักมักคุ้นกับแจ็คหม่ามาราวๆ 20 ปีแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 62 เจ้าสัวธนินท์เคยเล่าว่า รู้จักและคุ้นเคยกับแจ็ก หม่า มานานแล้ว ตั้งแต่แจ็ก หม่า กำลังทำอาลีบาบา และชวนให้ลงทุนด้วย แต่ตอนนั้นเจ้าสัวปฏิเสธการลงทุนในอาลีบาบาด้วยเหตุผลว่ายังไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจ หลังจากนั้นก่อนปี 62 ไม่ก่อนปี แจ็ค หม่าก็ถามว่าให้ช่วยเรื่องค้าปลีกที่เมืองจีนไหม แต่ตัวเจ้าสัวธนินท์ยังไม่เข้าใจเพราะไม่มีรูปแบบให้เห็น โดยเคยไปเรียนอีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ต เข้าคอร์สที่ฮ่องกง ก็ยังไม่เข้าใจ โดยแจ็ค หม่า มองเห็นภูเขาเป็นทองทั้งภูเขา แต่เราเห็นแต่ต้นไม้กับหินกับดิน ก็เลยไม่กล้าลงทุนกับเขา จากธุรกิจที่เจ้าสัวธนินท์มองว่าเป็นเพียงภาพและเรื่องเล่า ไม่กี่ปีต่อมา อาลีบาบาของแจ็ค หม่า ก็เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว และแจ็ค หม่า ก็กลายเป็นนักธุรกิจระดับโลกไปแล้ว ต่อมา ก็ได้เกิดการร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเจ้าสัวธนินท์กับ แจ็ค หม่า ขึ้นแล้ว โดย Ant Financial บริษัทลูกของอาลีบาบาเข้ามาถือหุ้นใน Ascend Money ของซีพี หลังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีน แจ็ค หม่า ก็ไม่ปรากฎตัวต่อหน้าสื่อเลยและเพิ่งสละบทบาทการบริหารธุรกิจไป จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าหลังจากนี้เขาจะเดินหน้าในเส้นทางธุรกิจต่อในต่างประเทศหรือไม่ หรือจะกลับไปเป็นครูอย่างที่เคยบอกไว้ ซึ่งการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า ในเมืองไทย โดยมีคนตระกูลเจียรวนนท์ยืนเคียงข้างครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่การมาเที่ยวพักผ่อนธรรมดา และเราอาจได้เห็นความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างซีพีกับ แจ็ค หม่า ก็ได้ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/general/news-1169763 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ซีพี เจ้าสัวธนินท์ แจ็ค หม่า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ชาวจีนเริ่ม ‘เดินทางครั้งใหญ่’ เตรียมฉลองเทศกาลตรุษจีน โลกจับตาตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด - FINNOMENA เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ม.ค.) ชาวจีนเริ่มการเดินทางครั้งใหญ่ในวันแรกของ ‘ชุนยุ่น’ หรือการเดินทางเป็นเวลา 40 วันก่อนวันตรุษจีน ซึ่งถือเป็นการเดินทางย้ายถิ่นฐานของประชากรจำนวนมากที่สุดในโลกในแต่ละปีก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว 9 ม.ค. 2566 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 ม.ค.) ชาวจีนเริ่มการเดินทางครั้งใหญ่ในวันแรกของ ‘ชุนยุ่น’ หรือการเดินทางเป็นเวลา 40 วันก่อนวันตรุษจีน ซึ่งถือเป็นการเดินทางย้ายถิ่นฐานของประชากรจำนวนมากที่สุดในโลกในแต่ละปีก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว VOA Thai รายงานว่า การเดินทางของประชากรจีนจำนวนมากหลังรัฐบาลปักกิ่งเริ่มผ่อนคลายมาตรการโควิดทำให้เกิดความกังวลว่า เชื้อโคโรนาไวรัสอาจแพร่กระจายออกไปในพื้นที่ที่ยังไม่เกิดการระบาด หรือชนบทที่มีศักยภาพด้านสาธารณสุขต่ำกว่าได้ โดยกระทรวงคมนาคมจีนคาดการณ์ว่า จะมีประชาชนมากกว่า 2,000 ล้านคนเดินทางในช่วง ‘ชุนยุ่น’ เพิ่มขึ้น 99.5% จากปีที่แล้ว และคิดเป็น 70.3% ของการเดินทางในปี 2019 วันตรุษจีนปีนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2020 ที่ไม่มีมาตรการควบคุมจำกัดการเดินทางภายในประเทศ โดยภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างหวังว่า การที่จีนเปิดประเทศอีกครั้งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่ามหาศาลถึงปีละ 17 ล้านล้านดอลลาร์ได้ อย่างไรก็ตาม จีนตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ จำนวนผู้ป่วยกำลังสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขและโรงพยาบาลในหลายเมืองใหญ่ ยาแก้ไข้กำลังขาดตลาด และสถานที่ทำศพมีร่างผู้เสียชีวิตจากโควิดต่อคิวยาวรอทำพิธี ขณะที่โลกออนไลน์มีความเห็นต่างกันในเรื่องนี้ โดยบางความเห็นด้วยกับการเดินทางอย่างเสรีเพื่อกลับไปยังบ้านเกิดและฉลองวันตรุษจีนพร้อมหน้าญาติพี่น้อง แต่หลายคนกลับบอกว่าจะไม่เดินทางไปไหนเพราะกลัวว่าจะนำโควิดไปติดผู้สูงอายุที่บ้าน ปัจจุบัน อัตราการฉีดวัคซีนในประเทศจีนอยู่ที่มากกว่า 90% แต่กลับลดลงเหลือเพียง 57.9% สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ และ 42.3% สำหรับประชากรอายุมากกว่า 80 ปี โดยบริษัท CanSino Biologics Inc. ของจีน ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า กำลังเริ่มการผลิตวัคซีนโควิดบูสเตอร์แบบ mRNA ที่มีชื่อว่า CS-2034 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ตลาดได้ในอีกไม่นานนี้ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/china-s-great-migration-kicks-off-under-shadow-of-covid/6909553.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตรุษจีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: บ.เทคโนโลยีสหรัฐฯ แห่ปลดพนักงาน ปีที่แล้วเลิกจ้างรวม 97,000 ตำแหน่ง ล่าสุด Amazon ลดคนกว่า 18,000 ตำแหน่ง - FINNOMENA บริษัทจัดหางานนอกสถานที่ Challenger, Grey & Christmas รายงานว่า กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีกลายเป็นผู้นำในการเลิกจ้างพนักงานปีที่แล้ว โดยตำแหน่งงานลดลงมากกว่า 97,000 ตำแหน่ง ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้น 649% เมื่อเทียบกับการลดลงเกือบ 13,000 ตำแหน่งในปี 2021 6 ม.ค. 2566 บริษัทจัดหางานนอกสถานที่ Challenger, Grey & Christmas รายงานว่า กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีกลายเป็นผู้นำในการเลิกจ้างพนักงานปีที่แล้ว โดยตำแหน่งงานลดลงมากกว่า 97,000 ตำแหน่ง ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้น 649% เมื่อเทียบกับการลดลงเกือบ 13,000 ตำแหน่งในปี 2021 โดยรวมในปีที่แล้ว บริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ ประกาศแผนปลดพนักงานเกือบ 364,000 ตำแหน่ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำใน 1 ปี และเป็นการประกาศลดงานรวมที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับสองนับตั้งแต่เริ่มติดตามในปี 1993 โดยต่ำที่สุดคือปี 2021 รายงานดังกล่าวมีขึ้นในเวลาที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนถึงศักยภาพของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ในวันพุธที่ผ่านมา (4 ม.ค.) Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ยืนยันว่าบริษัทมีแผนเลิกจ้างงานมากกว่า 18,000 ตำแหน่ง และในวันเดียวกัน Salesforce ได้ประกาศว่า จะลดพนักงาน 10% หรือประมาณ 7,000 คน Andrew Challenger รองประธานอาวุโสของ Challenger, Grey & Christmas กล่าวว่า เศรษฐกิจโดยรวมยังคงสร้างงานได้ แม้นายจ้างเตรียมแผนสำหรับสำหรับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยการจ้างงานชะลอตัวเนื่องจากบริษัทต่างๆ ใช้แนวทางที่ระมัดระวังในการเข้าสู่ปี 2023 บริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นของการระบาดใหญ่เนื่องจากบริการและการสื่อสารเกือบทั้งหมดเปลี่ยนไปเป็นออนไลน์ ได้ประกาศลดตำแหน่งงานจำนวนมากในปีที่ผ่านมา หลังพฤติกรรมของผู้คนกลับมาเหมือนก่อนโควิดระบาดมากขึ้น อุตสาหกรรมฟินเทค ได้รับผลกระทบอย่างหนักเป็นพิเศษจากการตกต่ำของคริปโทฯ และเรื่องราววุ่นวายเมื่อเร็วๆ นี้ โดยบริษัทฟินเทคลดตำแหน่งงานมากกว่า 10,000 ตำแหน่งในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้น 1,670% จาก 529 ตำแหน่งในปี 2021 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/05/tech-jobs-hit-the-hardest-by-layoffs-last-year-report.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ เทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla หั่นราคาในจีนลงอีก ตอนนี้ถูกกว่าสหรัฐฯ 30% - 40% แล้ว หลังแข่งขันดุเดือด-รัฐบาลเลิกอุดหนุน - FINNOMENA Tesla หั่นราคารถยนต์ไฟฟ้าในจีนอีกครั้งในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมาก รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงหลังรัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการอุดหนุน 6 ม.ค. 2566 Tesla หั่นราคารถยนต์ไฟฟ้าในจีนอีกครั้งในเวลาไม่ถึง 3 เดือน เนื่องจากเผชิญกับการแข่งขันที่สูงมาก รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงหลังรัฐบาลจีนยกเลิกมาตรการอุดหนุน วันนี้ (6 ธ.ค.) Tesla ได้ปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้า Model 3 และ Y ทุกรุ่นในจีนลงประมาณ 6% – 13.5% อย่างรุ่นเริ่มต้นของ Model 3 ราคาเหลืออยู่ที่ประมาณ 229,900 หยวน (1.14 ล้านบาท) จาก 265,900 หยวน (1.32 ล้านบาท) ตามรายงานของ Reuters เมื่อรวมการลดราคาครั้งล่าสุดกับเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า Tesla ในจีนลดลงมาแล้ว 13% – 24% โดยการลดราคาดังกล่าวจะย้อนหลังสำหรับผู้ที่ซื้อภายใน 3 เดือนที่แล้วด้วย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังสมาคมอุตสาหกรรมของจีนรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่ผลิตในจีนเดือน ธ.ค. ลดลงเหลือ 55,796 คัน หรือประมาณ 42% ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ผลิตในประเทศอย่าง BYD ซึ่งมีหลากหลายรุ่นมากกว่า สามารถทำยอดขายเติบโตถึง 2 เท่า นี่ยังเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังรัฐบาลปักกิ่งประกาศสิ้นสุดมาตรการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ส่งผลให้ความต้องการผู้บริโภคหดตัวลง กระตุ้นให้ทั้ง Tesla และคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ต้องหาวิธีปรับตัว Tesla ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก เผชิญกับความท้าทายจากผู้ผลิตในประเทศจีนอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา Tesla ขายแค่รุ่น Model 3 และ Y ในจีนเท่านั้น แต่ล่าสุดเพิ่งประกาศราคาของ Model S และ X ในจีนออกมา โดย Model S ราคาอยู่ที่ 1,009,900 หยวน ส่วน Model X ราคาอยู่ที่ 1,039,900 หยวน หากเทียบราคากับสหรัฐฯ อ้างอิงจาก Bloomberg ราคา Tesla Model 3 และ Y ในจีนถูกกว่าที่สหรัฐฯ ถึง 30% – 40% แต่รุ่น S และ X แพงกว่าที่สหรัฐฯ เกือบ 10% ซึ่งทั้ง 2 รุ่นผลิตในสหรัฐฯ ทำให้ต้องเสียภาษีนำเข้าอีก 15% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/06/tesla-slashes-model-3-model-y-prices-in-china-for-second-time-in-3-months.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-06/tesla-cuts-prices-once-again-in-china-introduces-s-and-x-models?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla จีน รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ส่องกลยุทธ์กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ปี 2022 ทำผลตอบแทน +163% ชอร์ตหุ้นยุโรป-อเมริกา-พันธบัตรญี่ปุ่น - FINNOMENA หนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ Eagle’s View Capital ทำผลตอบแทนได้ถึง 163% ในปีที่แล้ว จากการเดิมพันว่า สินทรัพย์ทุกอย่างจะปรับตัวลดลงจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) 5 ม.ค. 2566 หนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ Eagle’s View Capital ทำผลตอบแทนได้ถึง 163% ในปีที่แล้ว จากการเดิมพันว่า สินทรัพย์ทุกอย่างจะปรับตัวลดลงจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลังจากบริหารกองทุน Eagle’s View Capital Management เป็นเวลา 16 ปี Neal Berger ผู้ก่อตั้งในนิวยอร์กก็ตัดสินใจตั้งกองทุนใหม่ที่มีชื่อว่า Contrarian Macro Fund Contrarian Macro Fund ตั้งขึ้นด้วยเงินทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ในเดือน เม.ย. 2021 โดยเดิมพันว่า Fed จะทยอยลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ แม้เจ้าหน้าที่ Fed จะพยายามบอกมาตลอดว่าเงินเฟ้อเป็นแค่เรื่อง ‘ชั่วคราว’ Neal Berger กล่าวว่า เหตุผลที่เขาก่อตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาเป็นเพราะการเปลี่ยนทิศของนโยบาย Fed แบบ 180 องศา ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อราคาสินทรัพย์ทั้งหมด โดยเราต้องเชื่อว่าราคาที่เราเห็นนั้นเป็นคำศัพท์ทางวิชาการที่ผิดปกติ การเดิมพันดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่า Berger คิดถูก เพราะกองทุน Contrarian Macro Fund ทำผลตอบแทนไปได้ถึง 163% ในปี 2022 ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีสินทรัพย์ในการดูแลประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ โดย Berger ใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อชอร์ตหุ้นและพันธบัตรที่เขามองว่าถูกบิดเบือนจากการกระตุ้นทางการเงินเป็นเวลาหลายปี พร้อมบอกว่า การซื้อขายตราสารหนี้มูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ที่อัตราผลตอบแทนติดลบ, การเติบโตของ SPAC, การเติบโตของสกุลเงินดิจิทัล รวมถึงมูลค่าหุ้นเอกชนและหุ้นสาธารณะ ล้วนมีแพทเทิร์นเดียวกัน “แพทเทิร์นดังกล่าวเปรียบเหมือนมหาสมุทรแห่งสภาพคล่อง ที่ก่อนหน้านี้ตอบสนองต่อวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ และตามมาด้วยโควิด” Neal Berger กล่าว Contrarian Macro Fund เดิมพันขาลงในสินทรัพย์ของยุโรปและอเมริกา ซึ่งหลังจากที่แบงก์ชาติญี่ปุ่นได้เพิ่มลิมิตของผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี กองทุนก็ได้ชอร์ตพันธบัตรญี่ปุ่นและเดิมพันว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้น Neal Berger มองว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดในกลยุทธ์ Carry Trade ทั่วโลก ซึ่งมีเป้าหมายใช้สกุลเงินผลตอบแทนต่ำ เช่น เยน เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า โดยบอกว่า ความเจ็บปวดยังไม่สิ้นสุด และจุดจบของมันจะชัดเจนก็ต่อเมื่อสินทรัพย์ Sideway เป็นเวลาหลายเดือน “คุณอาจจะมีรูปแบบการลงทุนแบบวันต่อวัน หรือเดือนต่อเดือน แต่ภาพรวมทุกอย่างกำลังตกต่ำ” Neal Berger อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-04/new-hedge-fund-soars-163-betting-everything-is-going-down?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Contrarian Macro Fund News Update เฮดจ์ฟันด์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘พานาโซนิค’ เลิกผลิตหม้อหุงข้าวในญี่ปุ่น แบกรับต้นทุนไม่ไหว-คนกินข้าวน้อยลง ย้ายฐานไปผลิตที่หางโจวในจีนแทน - FINNOMENA ‘พานาโซนิค’ ยุติการผลิตหม้อหุงข้าวในญี่ปุ่น จากความต้องการอาหารและธัญพืชที่ลดลง รวมถึงต้นทุนที่ประหยัดกว่าหากเลือกผลิตในประเทศอื่น ถือเป็นการปิดฉากบ้านเกิดของหม้อหุงข้าว 5 ม.ค. 2566 ‘พานาโซนิค’ ยุติการผลิตหม้อหุงข้าวในญี่ปุ่น จากความต้องการอาหารและธัญพืชที่ลดลง รวมถึงต้นทุนที่ประหยัดกว่าหากเลือกผลิตในประเทศอื่น ถือเป็นการปิดฉากบ้านเกิดของหม้อหุงข้าว โดยพานาโซนิคผู้ผลิตในโอซาก้าจะย้ายฐาานการผลิตหม้อหุงข้าวไปยังเมืองหางโจวซึ่งอยู่ทางตะวันออกของจีนภายใน มิ.ย. 2023 นี้ พานาโซนิคถือเป็นผู้บุกเบิกให้หมอหุงข้าวเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1956 ทำให้นี่กลายเป็น ‘สัญลักษณ์’ ของความเปลี่ยนแปลงของประเทศญี่ปุ่นซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำการพัฒนาอุปกรณ์ที่แพร่หลายไปทั่วเอเชีย ตอนนี้ทั้งจำนวนประชากรที่ลดลง ผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของเยาวชนทำให้การบริโภคข้าวลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง นับตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1960 นั่นหมายถึงอัตรากำไรในประเทศที่ลดลงของพานาโซนิค ซึ่งบริษัทตัดสินใจย้ายฐานผลิตไปจีน ซึ่งเป็นฐานของคู่แข่งและซัพพลายเออร์จำนวนมาก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและความสามารถในการทำกำไร อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-01-04/rice-cooker-maker-panasonic-is-shifting-production-to-china-from-japan?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update panasonic พานาโซนิค หม้อหุงข้าว แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: แจ๊ค หม่า ใกล้กลับมา? จีนไฟเขียว Ant ระดมทุน หุ้นเทคฯ จีนพุ่งแรง อาลีบาบา +12% ส่งสัญญาณผ่อนคลายคุมเข้มเทคโนโลยี - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ​ พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังทางการจีนอนุมัติให้ Ant Group เครือ Alibaba ระดมทุนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล 5 ม.ค. 2566 หุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังทางการจีนอนุมัติให้ Ant Group เครือ Alibaba ระดมทุนธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ของคณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารและการประกันภัยของจีนในเมืองฉงชิ่ง Ant Group ได้รับอนุญาตให้เพิ่มทุนเป็น 1.85 หมื่นล้านหยวน โดยที่ Ant เป็นผู้ให้เงินทุนเริ่มต้น 5.25 พันล้านหยวนและถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัทใหม่นี้ ขณะที่หน่วยงานสังกัดทางการหังโจวจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองที่มีหุ้นในมือราว 10% และที่เหลือจะระดมทุนจากนักลงทุนอื่นๆ คลามเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ตลาดจับตาว่า ‘แจ๊ค หม่า’ ใกล้กลับมาปรากฎตัวต่อสาธารณะอีกครั้ง หลังไม่ได้ปรากฎตัวตั้งแต่การขายหุ้น IPO ของ Ant ถูกระงับกระทันหัน โดยในการยื่นเอกสารเมื่อเดือนกรกฎาคม Alibaba ย้ำว่าหม่า “ตั้งใจที่จะลดและจำกัดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมของเขาใน Ant Group ต่อไปในอนาคต” โดยจะถือหุ้นไม่เกิน 8.8% สัญญาณผ่อนคลายการมเข้มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของรัฐบาลจีน หนุนให้หุ้น Alibaba พุ่งขึ้น 13.1%, JD.com เพิ่มขึ้น 14.7%, Baidu เพิ่มขึ้น 10.6%, NetEase เพิ่มขึ้น 8% และ Trip.com เพิ่มขึ้น 6.8% อีไฟแนนซ์ไทยรายงานว่า บริษัทสินเชื่อผู้บริโภคที่จะตั้งใหม่นี้จะสามารถรองรับเงินกู้ 1.1 ล้านล้านหยวนได้เมื่อการระดมทุนเสร็จสิ้นลง และช่วยให้ Ant Group สามารถขยายธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภคของตนเองได้ หลังจากที่ปฏิบัติตามกฎของหน่วยงานกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ทั้งลดธุรกิจสินเชื่อรายย่อยลง และแบ่งปันข้อมูลลูกค้าให้กับบริษัทสินเชื่อรายย่อยของรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐที่จะควบคุมบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ปล่อยสินเชื่อลักษณะคล้ายธนาคาร แต่ยังไม่มีระเบียบควบคุมมากนัก และถูกมองว่าจะสร้างความเสี่ยงให้ระบบเศรษฐกิจของจีน ขณะที่มติชนรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในปี 2020 ทางการจีนก็ได้ถอนแผนการขายหุ้น IPO ครั้งแรกของบริษัท Ant Group ในฮ่องกงออกในช่วงวินาทีสุดท้าย อีกทั้งยังโจมตี Alibaba ด้วยการตั้งค่าปรับสูงถึง 2.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีความผิดฐานการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/04/alibaba-other-china-adrs-surge-as-ant-group-capital-plan-approval-fuels-hope-for-relaxing-scrutiny.html https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=OEt6SXozZi9DUmM9 https://www.matichon.co.th/foreign/news_3756287 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba Ant Group News Update แจ็ค หม่า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่ง 3.2% หนุนจากหุ้นอสังหาฯ และหุ้นเทคฯ - FINNOMENA วันนี้ (4 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng Index) ปรับตัวขึ้น 3.2% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอสังหาฯ อย่าง Country Garden Service +12% และ Country Garden Holding +7.8% หลังรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีนระบุว่าจะสนับสนุนการใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 4 ม.ค. 2566 วันนี้ (4 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng Index) ปรับตัวขึ้น 3.2% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอสังหาฯ อย่าง Country Garden Service +12% และ Country Garden Holding +7.8% หลังรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของจีนระบุว่าจะสนับสนุนการใช้มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Guosen Securities ระบุว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันจะเอื้อประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมอสังหาฯ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเช่นกันนำโดย Alibaba Health IT +10.7%, Alibaba group +8.1%, Baidu +7.8%, Tencent 3.8% และ Meituan +3.7% หลังหน่วยงานกำกับของจีนอนุมัติแผนระดมทุนมูลค่า 1.05 หมื่นล้านหยวน (1.5 พันล้านดอลลาร์) ของ Ant Group สำหรับหน่วยธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค ซึ่งการอนุมัติครั้งนี้ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณลดท่าทีที่เข้มงวดลงของรัฐบาลจีนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน และทำให้ภาพรวมหุ้นเทคโนโลยีจีนตอบรับในเชิงบวกวันนี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าการที่รัฐบาลเริ่มมีท่าทีการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนภายในปีนี้ (2566) นอกจากนี้ยังมี Pent Up Demand จากภาคการบริโภคในประเทศจีนหากจีนมีการผ่อนคลายมาตราการคุมเข้มโควิดอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ท่าทีที่เข้มงวดน้อยลงของรัฐบาลจีนต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ในแง่ของ Valuation ของหุ้นจีนหลายๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี (P/E 12M 9.3x, -1.4 S.D.) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมไปถึงสามารถทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนต่างๆ อาทิ K-CHINA-A(A), KT-Ashares-A และ P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Apple ร่วงต่อเนื่อง มูลค่าตลาดต่ำกว่า $2 ล้านล้าน ครั้งแรกในรอบ 2 ปี - FINNOMENA ราคาหุ้น Apple ร่วงมากกว่า 3% ในวันอังคาร (3 ม.ค.) ส่งผลให้มูลค่าตลาดของผู้ผลิต iPhone ต่ำกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 4 ม.ค. 2566 ราคาหุ้น Apple ร่วงมากกว่า 3% ในวันอังคาร (3 ม.ค.) ส่งผลให้มูลค่าตลาดของผู้ผลิต iPhone ต่ำกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ก่อนหน้านี้ในเดือน ส.ค. 2020 Apple มีมูลค่าตลาดสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก หลังการระบาดของโควิดทำให้ยอดขายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์สำหรับการเรียนและทำงานที่บ้านพุ่งสูงขึ้น จนสามารถมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเดือน ม.ค. 2022 อย่างไรก็ตาม Apple เผชิญกับปัญหาการจัดส่ง iPhone 14 Pro ในช่วงเทศกาลวันหยุดเนื่องจากข้อจำกัดของโควิดในโรงงานหลักในจีน นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ราคาพรีเมียมของ Apple รายงานล่าสุดจากนักวิเคราะห์ซัพพลายเชนของ Trendforce กล่าวว่ายอดจัดส่ง iPhone ของ Apple ลดลง 22% ในไตรมาสเดือน ธ.ค. สอดคล้องกับ Nikkei Asia ที่ระบุว่า Apple ได้บอกซัพพลายเออร์ให้ผลิตส่วนประกอบน้อยลงสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึง AirPods, Apple Watch และ Macbook Apple กลายมาเป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายล่าสุดที่มูลค่าต่ำกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ต่อจาก Amazon ที่มูลค่าทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ลดลงเช่นกันในปี 2022 โดยในปี 2022 ราคาหุ้นของ Apple ลดลงเกือบ 27% ซึ่งทำผลงานได้แย่กว่าดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลงกว่า 18% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2023/01/03/apples-market-cap-falls-under-2-trillion-as-selloff-continues.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนขู่ตอบโต้นานาชาติ กรณีเข้มงวดสกรีนโควิดนทท.จีน ชี้ขาดหลักการทางวิทยาศาสตร์ - FINNOMENA รัฐบาลปักกิ่งขู่ตอบโต้นานาชาติ กรณีใช้มาตรการหาเชื้อโควิดสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีน พร้อมระบุว่า มาตรการดังกล่าว ไม่มีเหตุผลและขาดหลักการทางวิทยาศาสตร์ 4 ม.ค. 2566 รัฐบาลปักกิ่งขู่ตอบโต้นานาชาติ กรณีใช้มาตรการหาเชื้อโควิดสำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศจีน พร้อมระบุว่า มาตรการดังกล่าว ไม่มีเหตุผลและขาดหลักการทางวิทยาศาสตร์ ‘เหมา หนิง’ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (3 ธ.ค.) ว่า จีนอาจกำหนดมาตรการตอบโต้บนพื้นฐานของหลักการกับประเทศที่พุ่งเป้าจำกัดนักเดินทางจากจีน “จีนมีความปรารถนาที่จะปรับปรุงยกระดับการติดต่อสื่อสารกับโลก แต่จีนขอคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อความพยายามต่างๆ ที่จะฉวยใช้ประโยชน์จากการป้องกันโรคระบาดตลอดจนมาตรการควบคุมต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง” เหมา หนิง กล่าว ขณะที่จีนพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ด้านรัฐบาลชาติอื่นๆ กังวลเกี่ยวกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ไม่มีความโปร่งใส ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ผู้โดยสารทางอากาศที่เดินทางมาจากจีน จะต้องแสดงผลตรวจโควิดแบบ PCR ที่เป็นลบ หรือแสดงเอกสารยืนยันการหายป่วยจากโควิด-19 จึงจะสามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ สอดคล้องกับอังกฤษ ฝรั่งเศส แคนาดา เกาหลีใต้ สเปน กาตาร์ ที่ประกาศมาตรการให้ผู้เดินทางจากจีนต้องแสดงผลตรวจโควิดแบบ PCR ที่เป็นลบก่อนเข้าประเทศ ขณะที่สหภาพยุโรป เสนอมอบวัคซีนฟรีแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน พร้อมหนุนให้บังคับใช้มาตรการตรวจเชื้อโควิดก่อนออกเดินทาง สำหรับสถานการณ์โรคโควิดในจีนเวลานี้ พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบและสื่อจีนเองต่างยืนยันว่ามีการแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง โดย ‘เฉิน เอ้อเจิน’ รองประธานของโรงพยาบาลรุ่ยจินในเซี่ยงไฮ้ ประเมินว่า ประชาชนราว 70% จากทั้งหมด 25 ล้านคนของเซี่ยงไฮ้อาจติดโควิดแล้ว อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้า ได้พยายามผ่อนคลายกระแสความกังวลด้วยการอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญในประเทศหลายคนที่กล่าวตรงกันว่า ผู้ติดโควิดส่วนใหญ่ในขณะนี้อาการไม่รุนแรง อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/china-rejects-covid-testing-requirements-for-chinese-travelers/6902882.html https://mgronline.com/around/detail/9660000000701 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 3.17% จากความคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อจากปีที่ผ่านมา - FINNOMENA วันนี้ ( 3 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30 Index) ปรับตัวขึ้น 3.17% โดยกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 2.68% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวขึ้น 2.56% และกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้น 2.61% 3 ม.ค. 2566 วันนี้ ( 3 ม.ค. 66) ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30 Index) ปรับตัวขึ้น 3.17% โดยกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 2.68% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวขึ้น 2.56% และกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้น 2.61% หลังจากทางการเวียดนามประกาศตัวเลขการเติบโต GDP ปี 2565 ขยายตัว 8.89% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 7-7.5% โดยได้แรงหนุนจากภาคบริการ ที่ขยายตัวขึ้น 10.06% คิดเป็นการเติบโต 6.44% ของ GDP โดยรวม จากการกลับมาฟื้นตัวในภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรมและโลจิสติกส์ หลังการคลายล๊อคดาวน์ และการส่งออกเติบโตขึ้น 10.3% หรือ 1.71 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกในระยะสั้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 9.9 เท่า หรือ -1.8 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง และศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่ง 2.5% รับข่าวจีนเปิดเมือง - FINNOMENA วันนี้ (28 ธ.ค. 65) ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng Index) ปรับตัวขึ้น 2.5% นำโดยหุ้นธนาคารและหุ้นกลุ่ม Reopening หลังทางการฮ่องกงระบุว่าจะให้ความร่วมมือในการสนับสนุนการเดินทางเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่แบบปลอดการกักกันและคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในช่วงกลางเดือนหน้า 28 ธ.ค. 2565 วันนี้ (28 ธ.ค. 65) ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng Index) ปรับตัวขึ้น 2.5% นำโดยหุ้นธนาคารและหุ้นกลุ่ม Reopening หลังทางการฮ่องกงระบุว่าจะให้ความร่วมมือในการสนับสนุนการเดินทางเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่แบบปลอดการกักกันและคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในช่วงกลางเดือนหน้า หลังจากที่วานนี้รัฐบาลจีนระบุว่าจะเริ่มออกวีซ่าท่องเที่ยวและวีซ่าทางธุรกิจเพื่ออนุญาตให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่สามารถเดินทางเข้าฮ่องกงได้ตั้งแต่ 8 ม.ค. 2023 โดยหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นนำโดย China Merchants Bank +4.3%, China Consteuction Bank +4.0% และ Industrial & Commercial Bank + 3.6% รวมถึงหุ้น Reopening อย่างเช่น Fosun Tourism Group +9.8%, Haidilao +7.1% และ Travel Expert (Asia) Enterprises Ltd +4.5% FINNOMENA Investment Team มองว่าการที่รัฐบาลเริ่มมีท่าทีการผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดและการเปิดประเทศมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนภายในปีหน้า นอกจากนี้ยังมี Pent Up Demand จากภาคการบริโภคในประเทศจีนหากจีนมีการผ่อนคลายมาตราการคุมเข้มโควิดอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่ Sentiment ของตลาดหุ้นจีนและฮ่องมีทิศทางที่ดีขึ้นจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่ผ่านจุดสูงสุดและเริ่มเข้าสู่การอ่อนค่าลงซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้น EM ในภาพรวม แต่อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม อาทิ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีน และความไม่แน่นอนของนโยบายจากรัฐบาลจีน ในแง่ของ Valuation ของหุ้นจีนหลายๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี (P/E 12M 9.1x, -1.6 S.D.) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมไปถึงสามารถทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนต่างๆ อาทิ K-CHINA-A(A), KT-Ashares-A, P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คนจีนแห่จองทริปเมืองนอก ยอดจองเที่ยวบินขาออกพุ่ง 254% ‘ไทย’ ติดหนึ่งในที่หมายยอดนิยม - FINNOMENA คนจีนแห่จองทริปเที่ยวเมืองนอก ‘ไทย’ ติดโผที่หมายยอดนิยม หลังจากรัฐบาลจีนเตรียมเปิดพรมแดนเลิกมาตรการกักตัวนักเดินทาง 8 ม.ค. นี้ 28 ธ.ค. 2565 คนจีนแห่จองทริปเที่ยวเมืองนอก ‘ไทย’ ติดโผที่หมายยอดนิยม หลังจากรัฐบาลจีนเตรียมเปิดพรมแดนเลิกมาตรการกักตัวนักเดินทาง 8 ม.ค. นี้ ประชาชาติธุรกิจรายงานกระแสชาวจีนรีบจองตั๋วเดินทางไปต่างประเทศไว้ล่วงหน้า ทันทีที่ทางการประกาศเปิดประเทศ วันที่ 8 มกราคม 2566 ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้า และผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด แม้ว่าผู้ป่วยโควิดจะล้นโรงพยาบาลทั่วประเทศก็ตาม โดยแพลตฟอร์มการท่องเที่ยว Ctrip รายงานว่าการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10 เท่า หลังจากประกาศเปิดประเทศได้เพียงครึ่งชั่วโมง โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยม ได้แก่ มาเก๊า ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย และเกาหลีใต้ ส่วนเว็บไซต์ Trip.com แสดงข้อมูลให้เห็นว่ามีการจองเที่ยวบินขาออกเพิ่มขึ้น 254% ในช่วงเช้าวันอังคารที่ 27 ธ.ค. เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า ขณะที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติยกเลิกการประกาศข้อมูลโควิดรายวัน เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญและประชาชนไม่เชื่อถือสถิติทางการซึ่งไม่สอดคล้องกับประเทศที่มีประชากรน้อยกว่า หลังจากเปิดประเทศ โดยมีรายงานว่าโรงพยาบาลทั่วจีนมีคนไข้ล้นเตียงและบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิดอย่างรวดเร็ว ส่วนแพทย์ให้สัมภาษณ์ว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งการตัดสินใจของจีนในการเปิดประเทศ ที่ยังขาดข้อมูลความโปร่งใส ทำให้เพื่อนบ้านของจีนกังวล นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวว่าญี่ปุ่นออกมาตรการชั่วคราวให้ผู้ที่เดินทางมาจากจีนทุกคนตรวจหาเชื้อโควิดโดยจะเริ่มบังคับใช้วันศุกร์ที่ 30 ธ.ค.2565 เป็นต้นไป ผู้ที่พบผลตรวจเป็นบวกจะต้องถูกกักตัว 7 วันในสถานที่ที่กำหนดและจะนำตัวอย่างไปวิเคราะห์จีโนม รวมทั้ง ญี่ปุ่นมีแผนที่จะจำกัดจำนวนเที่ยวบินที่จะไปจีนด้วย คิชิดะกล่าวว่ามีความกังวลเพิ่มขึ้นในประเทศ จึงตัดสินใจออกมาตรการพิเศษเป็นการชั่วคราวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ เนื่องจากการขาดข้อมูลและขาดความโปร่งใสบางส่วนของจีนทำให้กำหนดมาตรการความปลอดภัยได้ยากเพราะข้อมูลจากส่วนกลางไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากท้องถิ่นและข้อมูลของรัฐขัดแย้งกับข้อมูลองค์กรเอกชน อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1161066 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน จีนเปิดประเทศ โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นจัดงานศพ-สุสานจีนพุ่งแรง Fu Shou Yuan +80% ใน 2 เดือน หลังยอดโควิดในจีนพุ่งต่อเนื่อง - FINNOMENA หุ้นผู้ดูแลสุสานและจัดงานศพในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลาที่มีผู้ติดเชื้อโควิดในจีนจำนวนมาก หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว 27 ธ.ค. 2565 หุ้นผู้ดูแลสุสานและจัดงานศพในตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลาที่มีผู้ติดเชื้อโควิดในจีนจำนวนมาก หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายมาตรการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ธ.ค.) หุ้น Fu Shou Yuan International Group แตะระดับสูงสุดของปี 2022 ที่ 7.04 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 80% ใน 2 เดือน หลังจีนยุติการควบคุมโควิดอย่างกะทันหันและมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากโควิดซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดในโรงพยาบาลและสถานฝังศพ แต่ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดอย่างเป็นทางการของจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขของจีนได้นิยามการเสียชีวิตจากโควิดใหม่ โดยนับเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตจากโรคปอดบวมหรือการหายใจล้มเหลวเท่านั้น นอกจากนี้ในช่วงสุดสัปดาห์คริสต์มาส คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนประกาศว่าจะระงับการเผยแพร่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน ที่ผ่านมา หุ้น Fu Shou Yuan ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือน เม.ย. 2021 เมื่อจีนใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์หลังจากสรุปการประชุมสภาพรรคแห่งชาติโดยมีท่าทีคลุมเครือเกี่ยวกับความต่อเนื่องของนโยบายปลอดโควิด ส่งผลให้หุ้น Fu Shou Yuan ลดลงเกือบ 40% ในปี 2022 และพุ่งกลับขึ้นมา ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาแล้ว 15% ตั้งแต่ต้นปี บริษัทดังกล่าวมีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นในปี 2013 โดยได้รับการสนับสนุนจาก Carlyle Group และบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Farallon Investors โดย William Conway ผู้ร่วมก่อตั้ง Carlyle Group ได้ไปเยี่ยมสุสานหลักของ Fu Shou Yuan ในเซี่ยงไฮ้กับกลุ่มผู้บริหารเมื่อเดือน ธ.ค. 2010 ก่อนที่จะตกลงซื้อหุ้นมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/27/china-funeral-company.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นจัดงานศพ หุ้นจีน หุ้นสุสาน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ดร.นิเวศน์ เผยมุมมองตลาดหุ้น 6 ปัจจัยกำหนดทิศทางหุ้นไทย 2023 ผลตอบแทน 10% ในปีหน้าอาจเป็นไปได้ - FINNOMENA ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นคุณค่าในไทยเผยมุมมองตลาดหุ้นปี 2023 โดยเล่าถึง 6 ปัจจัยที่จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นปีหน้าจะดีหรือแย่ไว้ดังนี้ 26 ธ.ค. 2565 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นคุณค่าในไทยเผยมุมมองตลาดหุ้นปี 2023 โดยเล่าถึง 6 ปัจจัยที่จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นปีหน้าจะดีหรือแย่ไว้ดังนี้ 📌คาดการณ์ GDP ไทยปีหน้าโด 3.6% ปัจจัยแรกที่มักส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นก็คือ การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ ซึ่งปี 2566 นั้น ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐกิจโตประมาณ 2.2% ในปี 2562 ติดลบ -6.2% ในปี 2563 1.6% กว่าในปี 2564 และคาดว่าจะบวกในระดับ 3.4% ในปี 2565 ส่วนปี 2566 นั้นคาดการณ์ว่าจะโตขึ้นประมาณ 3.6% แม้ว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะถดถอยลง GDP ในปี 2566 ที่ประมาณ 3.6% นั้น ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ระยะยาวในยุคประเทศไทยรุ่งเรืองก็ต้องถือว่าการเติบโตของ GDP ต่ำมาก และน่าจะเป็นด้านลบต่อดัชนีตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากช่วง 4 ปีที่ผ่านมาก็ต้องถือว่าดีมาก และน่าจะเป็น ‘ผลบวก’ ที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดีขึ้น เพราะปีหน้านั้น น่าจะเป็นช่วงของการ “ฟื้นตัว” ต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะจากโควิด-19 เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่เขาฟื้นตัวไปก่อนหน้านานมากแล้ว ดังนั้น ดร.นิเวศน์ คิดว่าปัจจัยด้าน GDP ของไทยในปีหน้าจะเป็นบวกในระดับกลางๆ ต่อดัชนีหุ้น 📌อัตราดอกเบี้ยไทยเพิ่มขึ้นน้อยมาก ปัจจัยตัวที่ 2 คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของไทยที่บางส่วนก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของสหรัฐฯ ปีหน้านั้นสหรัฐคงจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีกจนถึงประมาณ 5-5.25% ในปีหน้า และนี่เป็นผลลบต่อดัชนีหุ้นอย่างชัดเจนและลดสภาพคล่องทางการเงินในระบบอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยของไทยกลับเพิ่มขึ้นน้อยกว่ามากและอยู่ที่ 1-1.25% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าถ้ามีการปรับอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ ก็จะยังคงต่ำมากอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยไทยก็ไม่เคยอยู่ในระดับสูงเกิน 2% ดังนั้น สำหรับดร.นิเวศน์ อัตราดอกเบี้ยของไทยอาจจะ ‘ไม่เป็นบวกหรือลบ’ ต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก 📌กำไรบริษัทจดทะเบียนกดดันตลาดหุ้น ปัจจัยที่ 3 คือเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่สำคัญในการขับเคลื่อนราคาหุ้นในอดีตมาก กล่าวคือ ถ้ากำไรของปีหน้าเพิ่มขึ้นมาก ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวสูงขึ้นตาม ถ้ากำไรลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น ดัชนีหุ้นก็ขึ้นยาก ประเด็นก็คือ ปี 2565 กำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนน่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1,100,000 ล้านบาท และใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ผลประกอบการเติบโตดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาดหนักในปี 2563 ดังนั้น ดร.นิเวศน์ เองคาดว่าปี 2566 เมื่อราคาพลังงานลดลงสู่สภาพปกติมากขึ้นแล้ว กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีน้ำหนักอยู่ที่หุ้นพลังงานค่อนข้างมาก ก็อาจจะไม่เติบโตขึ้น ซึ่งก็จะกลายเป็น ‘ปัจจัยลบ’ ต่อดัชนีหุ้นได้ 📌PE ตลาดหุ้นไทยไม่ถูกหรือแพง ปัจจัยที่ 4 คือ เรื่องของความถูก-แพงของตลาดหุ้นในตอนสิ้นปี 2565 ซึ่งวัดจากค่า PE โดยที่ถ้าหุ้นเริ่มต้นปี 2566 ที่ราคาถูกมาก โอกาสที่หุ้นในปีนั้นจะขึ้นก็มีสูง ตรงกันข้าม ถ้าเริ่มต้นจากหุ้นที่แพง ค่า PE สูง โอกาสก็คือ หุ้นในปีนั้นไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้มากหรืออาจจะตกลงไปก็ได้ ในกรณีของตลาดหุ้นไทย ค่า PE ของตลาดในช่วงปลายปี 2565 อยู่ที่ 17-18 เท่า ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดอยู่ที่ประมาณ 5.7% ต่อปี ก็น่าจะถือว่าตลาดหุ้นไม่ถูกหรือแพง และอาจจะถือว่าเป็นราคายุติธรรมสำหรับตลาดการเงินของไทยที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ดังนั้น ปัจจัยเรื่องค่า PE จึงเป็นกลาง ‘ไม่ดีหรือร้าย’ ต่อดัชนีหุ้นปีหน้า 📌เทียบผลตอบแทนกับปีก่อน ปัจจัยที่ 5 ที่มีผลต่อผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นในปีหน้าก็คือ ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีนี้ นั่นก็คือ ถ้าปีนี้ตลาดหุ้นดีมาก ปีหน้าหุ้นก็มักจะไม่ค่อยดี และตรงกันข้าม ถ้าปีนี้แย่ ปีหน้าหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น ยิ่งถ้าหุ้นให้ผลตอบแทนดีมากสองปีซ้อน ปีต่อไปหุ้นก็มักจะตกลงมามากกว่าปกติ และก็เช่นเดียวกัน ถ้าหุ้นแย่มาแล้ว 2 ปี หุ้นปีหน้าก็มักจะดีค่อนข้างแน่ นี่อาจจะดูเหมือนว่าไม่ได้อิงกับพื้นฐานของกิจการแนว VI แต่ตลาดหุ้นก็เป็นเช่นนั้น คือมีความผันผวนแบบลูกคลื่นมายาวนาน ถ้าหุ้นดีมานานก็ต้องเตรียมใจว่ามันมีโอกาสตกลงมาแรง และตรงกันข้าม ถ้าหุ้นแย่มานานจนแทบหมดกำลังใจเลิกเล่น เราก็จะพลาดโอกาสเอาคืนซึ่งมักจะเกิดขึ้นเสมอ ปี 2563 ตลาดหุ้นตกลงมา -8.3% ปีต่อมาคือ 2564 หุ้นขึ้นมา 14.4% ปีนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว ดัชนีหุ้นยังทรงๆ ก็คือ ไม่ดี ดังนั้น ปี 2566 ดัชนีตลาดหุ้นจึง ‘น่าจะดีขึ้น’ ถ้าคิดจากปัจจัยเรื่องผลตอบแทนของปีก่อน 📌ปัจจัยไม่คาดคิด สุดท้ายซึ่งก็อาจจะเรียกว่าปัจจัยที่ 6 ที่อาจจะเปลี่ยนหรือเพิ่มหรือลดพลังของปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวถึงได้ และเป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เช่น การเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพในปี 2554 หรือการเกิดรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 10 ปีต่อครั้ง หรือการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งจากในหรือต่างประเทศที่มักจะเกิดแบบ 10 ปีต่อครั้งเหมือนกัน ในบางกรณีก็อาจจะคาดได้ว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแต่ผลกระทบนั้นอาจจะคาดการณ์ยาก ตัวอย่างเช่น เรื่องทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศไทยต้นปีหน้า ที่อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามมา ทั้งทางดีหรือทางไม่ดีที่อาจจะกระทบถึงตลาดหุ้นได้ ทั้งหมดนั้น บางทีก็เอาไว้เป็นข้อแก้ตัวเวลาที่การคาดการณ์ผิดพลาด 📌ผลตอบแทน 10% ในปีหน้าอาจเป็นไปได้ ปัจจัยทั้งหมดที่พูดถึงนั้น คงบอกไม่ได้ว่าโดยรวมจะเป็นบวกหรือลบต่อตลาดหุ้นทางด้านใดและมากน้อยแค่ไหน ถ้าปัจจัยส่วนใหญ่เป็นบวกและบวกมาก เช่น เศรษฐกิจร้อนแรง อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว บริษัทจดทะเบียนกำไรเพิ่มสูงมาก และค่า PE ของตลาดอยู่ในระดับต่ำ ดัชนีตลาดหุ้นย่ำแย่ อย่างที่มักจะเป็นในสถานการณ์ตลาดหุ้นที่วิกฤต การลงทุนในช่วงเวลานั้นก็จะอาจจะกลายเป็น ‘โอกาสทอง’ และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ส่วนใหญ่นั้นมักจะผสมผสาน บางปัจจัยก็ดี บางปัจจัยก็ไม่ดี อย่างตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ปีหน้าเราก็อาจจะหวังว่าหุ้นจะดีเลิศก็น่าจะยาก แต่ก็ดูเหมือนว่าโดยรวมก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน 10% ในเวลา 1 ปีต่อจากนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องถือว่าดีทีเดียวในยามที่ประเทศไทยโตช้ามาหลายปีและแทบจะไม่มีโอกาสกลับมาโตเร็วอีกต่อไปเมื่อคำนึงถึงศักยภาพของประเทศที่คนแก่ตัวลงมากและระบบการปกครองและเศรษฐกิจของประเทศ ‘ติดหล่ม’ มานาน อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1158494 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ดร.นิเวศน์ ตลาดหุ้นไทย หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามดิ่งลง 4.5% จากแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่ซบเซา - FINNOMENA ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม(VN 30) ปรับตัวย่อลง 4.48% ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่หยุดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส โดยกลุ่มธนาคารและประกันภัย ปรับตัวลงถึง 3.7% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฯ ปรับตัวลง 4.5% 26 ธ.ค. 2565 วันที่ 26 ธ.ค. 65 ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม(VN 30) ปรับตัวย่อลง 4.48% ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่หยุดเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส โดยกลุ่มธนาคารและประกันภัย ปรับตัวลงถึง 3.7% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ฯ ปรับตัวลง 4.5% และหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่าง MSN ปรับตัวลง 3.7%, HPG ปรับตัวลง 6.8% FPT ปรับตัวลง 2.1% และ MWG ปรับตัวลง 7.0% ซึ่งแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติในเดือนนี้ยังเป็นบวกที่ 182 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถึงแม้จะลดลงจากเดือน พ.ย.ที่ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ถือว่ายังมีเม็ดเงินเข้าลงทุนจาก ETF ในระดับที่สูง คาดว่าเม็ดเงินลงทุนที่หายไปจากนักลงทุนต่างชาติในวันนี้จากวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แรงซื้อจากต่างชาติที่หนุนตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงที่ผ่านมาหายไปและส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวย่อลงมาแรง ขณะที่ Vietcombank Securities Company (VCBS) คาดว่าธนาคารกลางของเวียดนามเน้นการปล่อยสินเชื่อและลดดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในภาคการผลิตและธุรกิจ และคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อแก่กิจกรรมการลงทุนที่มีความเสี่ยงในหลายอุตสาหกรรม เช่น บริษัทหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์เป็นต้น FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนในระยะสั้นจากสภาพคล่องที่หายไปช่วงวันหยุดเทศกาล แต่ปัจจัยพื้นฐานในเชิง Valuation ยังอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 10.9 เท่า หรือ -1.23 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Fund Flow ของตลาดหุ้นเวียดนาม และศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk เตือนนักลงทุน “อย่าก่อหนี้มาร์จิ้น” เตือนตลาดหุ้นตื่นตระหนก เชื่อเศรษฐกิจกำลังถดถอย - FINNOMENA Elon Musk เตือนนักลงทุนอย่าก่อ ‘หนี้มาร์จิ้น’ ซึ่งหมายถึงหนี้ที่ลูกค้าโบรกเกอร์ใช้บัญชีมาร์จิ้นซื้อและขายหลักทรัพย์ หรือขายชอร์ตหุ้น เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น 26 ธ.ค. 2565 Elon Musk เตือนนักลงทุนอย่าก่อ ‘หนี้มาร์จิ้น’ ซึ่งหมายถึงหนี้ที่ลูกค้าโบรกเกอร์ใช้บัญชีมาร์จิ้นซื้อและขายหลักทรัพย์ หรือขายชอร์ตหุ้น เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น ในพอดแคสต์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า (23 ธ.ค.) Elon Musk บอกว่าเขาไม่แนะนำให้ก่อหนี้มาร์จิ้นในตลาดหุ้นที่ผันผวน และให้ถือเงินสดไว้ เพราะนักลงทุนต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ค่อนข้างรุนแรงในตลาดขาลง ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Elon Musk ในฐานะซีอีโอของ Tesla ทุ่มเงินเข้าซื้อทวิตเตอร์ในราคา 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และทำให้บริษัทต้องแบกรับภาระหนี้ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ Bloomberg รายงานว่า วาณิชธนกิจของเขาพิจารณาที่จะเปลี่ยนหนี้ดอกเบี้ยสูงบางส่วน ไปเป็น Margin Loans ที่มีหุ้นเทสลาเป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งมักส์ต้องชำระคืนเป็นการส่วนตัว นอกจากนี้ Elon Musk ยังได้ขายหุ้น Tesla ไปเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีส่วนผลักดันให้หุ้นเทสลาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งหลังการเทขายครั้งล่าสุดเขาระบุว่า จะหยุดขายหุ้น 2 ปี หรือมากกว่านั้น โดยหลังจากการก้าวขึ้นเป็นซีอีโอ Twitter นั้น Elon Musk ได้สร้างหนี้สินให้แก่องค์กรถึงเกือบ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ในพอดแคสต์ดังกล่าว Elon Musk ย้ำความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยจะได้เห็นขนาดการชะลอตัวที่ใกล้เคียงกับปี 2009 เป็นระยะเวลาหนึ่งปีถึงหนึ่งปีครึ่ง และจะสิ้นสุดลงในไตรมาส 2 ของปี 2024 “การเติบโตไม่ได้คงอยู่ตลอดไป การถดถอยก็เช่นกัน” Elon Musk กล่าวทิ้งท้าย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-24/elon-musk-warns-against-margin-debt-on-mass-panic-risk?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/world/1044759 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update เศรษฐกิจถดถอย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ByteDance บริษัทแม่ TikTok ลงดาบไล่พนักงานออก 4 คน หลังแอบดูข้อมูลส่วนตัวนักข่าวสหรัฐฯ - FINNOMENA ByteDance บริษัทแม่ TikTok ได้ไล่พนักงาน 4 คนของบริษัทออกแล้ว ฐานเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวของนักข่าวสหรัฐฯ 2 ราย 23 ธ.ค. 2565 ByteDance บริษัทแม่ TikTok ได้ไล่พนักงาน 4 คนของบริษัทออกแล้ว ฐานเข้าไปดูข้อมูลส่วนตัวของนักข่าวสหรัฐฯ 2 ราย VOA Thai รายงานว่า การกระทำอันไม่เหมาะสมนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสืบข้อมูลที่รั่วไหลของบริษัท โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุความเชื่อมโยงของนักข่าว 2 รายกับพนักงานของบริษัท อย่างไรก็ตาม การสืบสวนดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ ตามข้อมูลของผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของไบต์เเดนซ์ อิริช แอนเดอร์เซน ด้านอินโฟเควสท์รายงานว่า นายโจว โช่ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารติ๊กต๊อกระบุในอีเมลถึงพนักงานว่า “พนักงาน TikTok ใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้งาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้” นิวยอร์กไทมส์คือสื่อฉบับเเรกๆ ที่รายงานการเปิดเผยครั้งนี้ โดยเหตุการณ์นี้อาจสร้างแรงกดดันต่อเนื่องสำหรับ TikTok ซึ่งกำลังโดนรัฐบาลอเมริกันและนักการเมืองในสภาสหรัฐฯ เพ่งเล็งเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ TikTok ในอเมริกา ที่มีอยู่กว่า 100 ล้านคน รอยเตอร์อ้างเเหล่งข่าวที่ได้รับรายงานเรื่องนี้ ที่กล่าวว่าพนักงานไบต์แดนซ์ 4 คน ถูกไล่ออกเนื่องจากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยอยู่ในอเมริกา 2 คนและในสหรัฐฯ อีก 2 คน บริษัทกล่าวว่า กำลังเพิ่มมาตรการเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้แอปดังกล่าว ขณะที่ในสัปดาห์นี้ รัฐสภาสหรัฐฯ เตรียมที่จะผ่านกฎหมายห้ามเจ้าหน้าที่รัฐของอเมริกาดาวน์โหลด TikTok ลงในอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารของรัฐบาล อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6887974.html https://www.infoquest.co.th/2022/261672 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bytedance News Update TikTok แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Shopee เบรกขึ้นเงินเดือน พร้อมจ่ายเงินโบนัสน้อยลงในปีนี้ เตรียมรับมือเศรษฐกิจซบเซาปีหน้า - FINNOMENA บริษัทซี จำกัด (Sea Ltd.) ซึ่งทำธุรกิจเกมและค้าปลีกออนไลน์สัญชาติสิงคโปร์ และเป็นเจ้าของธุรกิจช้อปปี้ (Shopee) ประกาศระงับการขึ้นเงินเดือนพนักงานส่วนใหญ่และจะจ่ายเงินโบนัสน้อยลงในปีนี้ ขณะที่นายฟอร์เรสท์ ลี ผู้ก่อตั้งบริษัทซีเตือนว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ลงในปี 2023 23 ธ.ค. 2565 บริษัทซี จำกัด (Sea Ltd.) ซึ่งทำธุรกิจเกมและค้าปลีกออนไลน์สัญชาติสิงคโปร์ และเป็นเจ้าของธุรกิจช้อปปี้ (Shopee) ประกาศระงับการขึ้นเงินเดือนพนักงานส่วนใหญ่และจะจ่ายเงินโบนัสน้อยลงในปีนี้ ขณะที่นายฟอร์เรสท์ ลี ผู้ก่อตั้งบริษัทซีเตือนว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่ลงในปี 2023 อินโฟเควสท์รายงานว่า นายฟอร์เรสท์ ลี กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่ศักยภาพในการทำกำไรหลังจากเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากในปีนี้ พร้อมเตือนว่า สงครามในยูเครนและเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น อาจจะทำให้ปี 2023 เป็นปีที่ต้องพิสูจน์ว่าบริษัทจะสามารถฝ่าฟันความท้าทายได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจึงตัดสินใจระงับการปรับขึ้นเงินเดือนของพนักงานที่ไม่ได้รับการโปรโมท “ผมต้องการให้พวกท่านมั่นใจว่า เราจะต้องเริ่มปี 2566 ด้วยย่างก้าวที่มั่นคง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราจำเป็นต้องทำนั้น จะต้องรีบทำให้เสร็จสิ้น” นายลีกล่าว ด้าน Bloomberg รายงานว่า มูลค่าตลาดของบริษัทซีทรุดฮวบลงถึง 77% ในปีนี้ เนื่องจากผลกระทบของภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการแข่งขันที่ดุเดือด เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทซีได้ปรับลดพนักงานราว 7,000 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานในองค์กร โดยมีเป้าหมายที่จะลดผลกระทบจากการขาดทุนและกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา นอกจากนี้ บริษัทยังสั่งปิดธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในตลาดบางแห่งในยุโรปและลาตินอเมริกา และวางแผนว่าจะลดการขยายธุรกิจ “ผมทราบดีว่านี่เป็นข่าวที่ยากจะยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในช่วงฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นมาตรการที่จำเป็น เพื่อที่จะช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและสดใสมากขึ้น” นายลีกล่าว อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2022/261463 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Shopee ช้อปปี้ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ร่วงแรง สู่ ธ.ค. ที่แย่ที่สุดรอบ 20 ปี ตั้งแต่วิกฤติดอทคอม - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าสู่เดือน ธ.ค. ที่เลวร้ายสุดนับตั้งแต่วิกฤติดอทคอมมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว หลังความหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed จางหายไปตามตัวเลขตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง 23 ธ.ค. 2565 หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าสู่เดือน ธ.ค. ที่เลวร้ายสุดนับตั้งแต่วิกฤติดอทคอมมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว หลังความหวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed จางหายไปตามตัวเลขตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง เมื่อคืนนี้ (22 ธ.ค.) ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลง 2.5% หลังจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ อยู่ใกล้ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ นั่นทำให้ Fed มีเหตุผลที่จะใช้นโยบายเข้มงวดต่อไป ขณะที่อีกรายงานระบุถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดัชนี Nasdaq 100 ที่ประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทั้ง Apple และ Amazon ปรับตัวลงมา 8.93% ในเดือนนี้ ซึ่งมากกว่าเดือน พ.ย. ที่ได้รับแรงหนุนจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง จนทำให้นักลงทุนมองว่า Fed อาจยุติการขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราวในปีหน้า Joe Gilbert ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Integrity Asset Management กล่าวว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจร้อนแรงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ประกอบกับรายงานผลประกอบการของบริษัทวัฏจักรที่แสดงแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างมากในอนาคต และความผิดพลาดทางนโยบายของ Fed ก็มีมากขึ้นทุกวัน สิ่งเหล่านี้ชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงกลัวความเสี่ยง ความกังวลดังกล่าวกระทบต่อหุ้นเทคโนโลยีหนักสุด เทียบกับการลดลงของ S&P 500 ที่ 1.5% เมื่อวานนี้ และประมาณ 6% ในเดือนนี้ หุ้นเทคโนโลยีได้รับผลกระทบมากที่สุดในปีนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากมูลค่ามีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยหุ้นที่ทำผลงานได้แย่สุดใน Nasdaq 100 เดือนนี้คือ Tesla ที่ร่วงกว่า 30% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลง และการยุ่งอยู่กับโซเชียลมีเดีย Twitter ของซีอีโอ Elon Musk ตามมาด้วยผู้ผลิตชิป Marvell Technology และ Advanced Micro Devices ที่ลดลงประมาณ 20% การเทขายในเดือนนี้เลวร้ายกว่าที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. 2002 ในวิกฤติดอทคอม ที่ดัชนีปรับตัวลงมา 12% ซึ่งNasdaq 100 ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน ต.ค. 2002 หลังจากดิ่งลง 83% จากจุดสูงสุดในเดือน มี.ค. 2000 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-22/tech-stocks-head-for-worst-december-since-2002-as-fed-optimism-fades?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นสหรัฐ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทองคำอาจพุ่งถึง $4,000 นักวิเคราะห์ชี้ปีหน้า ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก - FINNOMENA นักวิเคราะห์ชี้ราคาทองคำอาจพุ่งไปถึง 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2023 จากการขึ้นดอกเบี้ยและความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทำให้ตลาดผันผวน 22 ธ.ค. 2565 นักวิเคราะห์ชี้ราคาทองคำอาจพุ่งไปถึง 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 2023 จากการขึ้นดอกเบี้ยและความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทำให้ตลาดผันผวน Juerg Kiener ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Swiss Asia Capital กล่าวว่า ราคาทองคำอาจพุ่งไปถึง 2,500-4,000 ดอลลาร์ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ไม่ใช่แค่ 10-20% แต่จะเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่ Juerg Kiener กล่าวว่า หลายเศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ส่งผลให้ธนาคารกลางชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และนั่นจะทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้นทันที นอกจากนี้ทองคำยังเป็นสินทรัพย์เดียวที่ธนาคารกลางทุกแห่งในโลกถือครองอยู่ จากข้อมูลของ World Gold Council ธนาคารกลางต่างๆ ได้ซื้อทองคำจำนวน 400 ตันในไตรมาสที่ 3 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากสถิติเดิมที่ 241 ตันในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018 Juerg Kiener อธิบายว่า ตั้งแต่ยุค 2000s ผลตอบแทนเฉลี่ยของทองคำอยู่ที่ประมาณ 8-10 % ต่อปี ซึ่งนักลงทุนไม่สามารถทำผลตอบแทนเท่านี้ได้ในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น โดยนักลงทุนจะมองหาทองคำเมื่อเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงในหลายส่วนของโลก เพราะทองคำเป็นตัวป้องกันเงินเฟ้อที่ดีมากในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) และเป็นส่วนเสริมที่ดีในพอร์ตโฟลิโอ แม้จะมีความต้องการทองคำที่แข็งแกร่ง แต่ Kenny Polcari นักยุทธศาสตร์การตลาดอาวุโสของ Slatestone Wealth ไม่เห็นด้วยที่ราคาจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปี 2023 โดยแย้งว่าจะเห็นการดีดกลับและแนวต้านที่ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะราคาจะถูกกำหนดโดยเงินเฟ้อที่ตอบสนองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/22/gold-at-4000-analysts-share-their-2023-outlook-for-prices.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ทองคำ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% จากสัญญาณการกระตุ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 2.6% หลังจากทราบข่าวการประชุมของ China State Council และ PBOC ถึงแนวทางการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน เพื่อช่วยฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์หลังจากทรุดตัวหนักในปีที่ผ่านมา 22 ธ.ค. 2565 วันนี้ 22 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 2.6% หลังจากทราบข่าวการประชุมของ China State Council และ PBOC ถึงแนวทางการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน เพื่อช่วยฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์หลังจากทรุดตัวหนักในปีที่ผ่านมาเนื่องจากการบังคับใช้นโยบาย Three-Red Lines ในปี 2020 ซึ่งภายหลังจากประชุมดังกล่าว รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะลงทุนในการก่อสร้างโปรเจคใหญ่ๆ รวมถึงสนันสนุนบริษัทอสังริมทรัพย์เอกชน และรายย่อยต่อๆไป สอดคล้องกับสิ่งที่ประธานาธิปดี สี จิ้น ผิง ได้กล่าวไว้ในงานประชุม Central Economic Work Conference ถึงแนวทางการ พลิกฟื้นภาคการบริโภค, สนันสนุนบริษัทและธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2023 ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng) ปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวดังกล่าว 2.6% ในขณะที่ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ (CSI300) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.6% เนื่องจากก่อนหน้านี้ตลาดมีการตอบรับข่าวดีไปบ้างแล้ว จากข่าวเรื่องการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และ 10 มาตรการกระตุ้น ซึ่งจะทำให้ความผันผวนของตลาดหลังจากนี้ แม้จะยังมีแนวโน้มที่ความผันผวนจะอยู่ในระดับสูงต่อไป อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าว ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต FINNOMENA Investment Team มองว่าแนวทางการกระตุ้นของรัฐบาลจีนครั้งนี้ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่สำคัญหลังภาคอสังหาริมทรัพย์ทรุดตัวมามากในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา แม้ตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงระยะสั้นจากผลกระทบเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความผันผวนจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวในปี 2023 และการเปลี่ยนผ่านออกจากนโยบาย Covid Zero ที่อาจไม่ได้ราบเรียบ แต่ทิศทางนโยบายภาครัฐของจีนในปัจจุบันชัดเจนแล้วว่าเป็นการปรับนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ Valuation ของหุ้นจีนหลายๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี (P/E 12M 10.78x, -1 S.D.) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว รวมไปถึงสามารถทยอยสะสมกองทุนหุ้นจีนต่างๆ อาทิ K-CHINA-A(A), KT-Ashares-A, P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักวิเคราะห์แนะ สินทรัพย์แห่งปี 2023 ‘ทองคำและตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี’ หนุนโดยการกลับทิศนโยบายของ Fed - FINNOMENA Michael Howell กรรมการผู้จัดการของ CrossBorder Capital กล่าวว่า จากปัจจัยพื้นฐานและสภาวะทางการเงินเข้มงวดที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ทำให้ ‘ทองคำและตราสารหนี้เอกชน’ อาจเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่งในปี 2023 22 ธ.ค. 2565 Michael Howell กรรมการผู้จัดการของ CrossBorder Capital กล่าวว่า จากปัจจัยพื้นฐานและสภาวะทางการเงินเข้มงวดที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ทำให้ ‘ทองคำและตราสารหนี้เอกชน’ อาจเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่งในปี 2023 แม้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาวะทางการเงินที่ตึงตัว และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อาจกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดในตลาดตราสารหนี้เอกชน รวมถึงการค้างชำระที่สูงขึ้น แต่จนถึงตอนนี้บริษัทต่างๆ สามารถรีไฟแนนซ์ได้อย่างง่ายดาย Michael Howell ยอมรับว่าสิ่งต่างๆ อาจยากขึ้นเล็กน้อย แต่หลายๆ บริษัทโดยเฉพาะบริษัทที่มีการเติบโตสูงนั้นมีแนวโน้มที่ดีพอสมควร ทั้งงบดุลในเกณฑ์ดีและรายรับที่พอได้ ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงการกู้ยืมจากธนาคารได้ ในรายการ Squawk Box Europe ของ CNBC เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.) Michael Howell กล่าวว่า ถ้าย้อนกลับไปในปี 2008 ระบบการเงินของธนาคารล่มเร็วมาก และนั่นคือจุดที่เกิดปัญหาจริงๆ ดังนั้น ตอนนี้ตราสารหนี้เอกชนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอสมควรและไม่ใช่สินทรัพย์ที่แย่สำหรับปี 2023 กรรมการผู้จัดการของ CrossBorder Capital มีมุมมองต่อการเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินของ Fed ในปีหน้าว่า Fed จะเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด และป้องกันความเสี่ยงของเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ก่อนยกเลิกการขึ้นอัตราดอกเบี้ย Michael Howell เปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ในช่วงเดือน มี.ค. – พ.ย. 2001 เมื่อ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยช่วงต้นปีว่า เศรษฐกิจไม่พลิกผันจนถึงสิ้นปี 2001 ส่วนตราสารหนี้เอกชนฟื้นตัวขึ้นก่อนหน้านั้นช่วงไตรมาส 2 และ 3 ขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลแทบไม่ได้ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี โดยให้ผลตอบแทนแค่ระดับกลางๆ “สินทรัพย์ที่ควรลงทุนในปีหน้าคือ ตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดีและทองคำ” Michael Howell กล่าว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/21/investors-should-look-to-good-quality-corporate-debt-and-gold-in-2023-strategist-says.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตราสารหนี้เอกชน ทองคำ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนให้คนติดโควิดทำงานได้ หวังลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ บริษัทเสนอค่าจ้างและเงินจูงใจเพิ่ม - FINNOMENA จีนเริ่มอนุญาตให้พนักงานที่ป่วยด้วยโรคโควิดเพียงเล็กน้อยทำงานได้ตามปกติ ขณะที่ภาครัฐพยายามจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกรณีที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น หลังยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเต็มรูปแบบเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ 21 ธ.ค. 2565 จีนเริ่มอนุญาตให้พนักงานที่ป่วยด้วยโรคโควิดเพียงเล็กน้อยทำงานได้ตามปกติ ขณะที่ภาครัฐพยายามจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกรณีที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น หลังยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเต็มรูปแบบเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ อินโฟเควสท์รายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนระบุในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หน่วยงานราชการในเทศบาลนครฉงชิ่งทางภาคตะวันตกของประเทศ ได้สั่งให้พนักงานทำงานต่อไปตามปกติ หากเป็นโรคโควิดแบบไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า เจ้าหน้าที่ในเมืองเจ้อเจียง ศูนย์กลางการผลิตบริเวณชายฝั่งตะวันออกของจีน และเมืองใกล้มณฑลอานฮุย อนุญาตให้ผู้ป่วยโควิดทำงานได้ตามปกติเช่นกันในสัปดาห์นี้ การอนุญาตให้ผู้ป่วยโควิด-19 ทำงานได้ตามปกติ โดยเฉพาะตามโรงงานต่างๆ จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดมากยิ่งขึ้น แต่บางบริษัทเต็มใจที่จะลองเสี่ยง โดยเฉพาะหากพนักงานหนุ่มสาวมีอาการป่วยไม่รุนแรงจนเกินไป ด้านบลูมเบิร์กรายงานว่า พนักงานแนวหน้าส่วนใหญ่ที่โรงงานของนายปีเตอร์ อวี่ ซึ่งผลิตยานพาหนะในมณฑลหูเป่ย ทางภาคกลางของจีน ยังคงทำงานต่อไป หากอาการป่วยโควิด-19 ไม่รุนแรง โดยพนักงานจะได้รับค่าจ้างตามจำนวนผลผลิตที่ทำได้ และมีเงินจูงใจให้พนักงานทำงานต่อ แม้ติดเชื้อโควิด-19 โดยปัจจุบันบริษัทจะทราบว่าพนักงานติดเชื้อก็ต่อเมื่อพนักงานแจ้งให้ทราบ เนื่องจากจีนได้ยกเลิกระบบการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ไปแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจีนยกเลิกการบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์แบบฉับพลัน แม้มีอัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างล่าช้าและสภาพอากาศหนาวเย็นมากขึ้น ขณะเดียวกันยอดผู้ติดเชื้อในเมืองใหญ่ก็พุ่งสูงขึ้น โดยกรุงปักกิ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงแรก และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจีนจะเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทะลักทลายประหนึ่งคลื่นสึนามิถล่มไปทั่วประเทศ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-21/china-cities-factories-tell-covid-positive-people-to-go-back-to-work?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.infoquest.co.th/2022/260904 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ความมั่นใจหุ้นเทคจีนกลับมาแล้ว หลังหลีกเลี่ยงการเพิกถอนจากสหรัฐฯ ได้ ด้านรัฐบาลจีนเตรียมออกนโยบายหนุน - FINNOMENA ความมั่นใจในหุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมาแล้ว เนื่องจากบริษัทจีนสามารถหลีกเลี่ยงการเพิกถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ ได้ รวมถึงคำมั่นของรัฐบาลจีนที่บอกว่าจะออกนโยบายมาสนับสนุน 21 ธ.ค. 2565 ความมั่นใจในหุ้นเทคโนโลยีจีนกลับมาแล้ว เนื่องจากบริษัทจีนสามารถหลีกเลี่ยงการเพิกถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ รวมถึงคำมั่นของรัฐบาลจีนที่บอกว่าจะออกนโยบายมาสนับสนุน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการกำกับดูแลการบัญชีของบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ (PCAOB) ระบุว่า สามารถเข้าถึงการตรวจสอบและสอบสวนบริษัทจีนได้อย่าง ‘เต็มที่’ เป็นครั้งแรก หลังจากที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงข้อมูลบริษัทได้ในเดือน ส.ค. ก่อนหน้านี้ บริษัทเทคโนโลยีของจีนมากกว่า 100 แห่ง เช่น Alibaba, Baidu และ JD เผชิญความเสี่ยงที่จะถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2024 หากผู้ตรวจสอบของ PCAOB ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลบริษ้ทได้ Brendan Ahern หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ KraneShares กล่าวกับ CNBC ว่า นี่จะทำให้นักลงทุนสถาบันกลับมา เพราะก่อนหน้านี้มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นการเพิกถอนหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สถาบันต่างๆ ไม่เคลื่อนไหว ข้อมูลของคณะกรรมาธิการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐและจีน ณ วันที่ 30 ก.ย. มีบริษัทจีน 262 แห่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดรวม 7.75 แสนล้านดอลลาร์ Brendan Ahern กล่าวว่า เมื่อความเสี่ยงดังกล่าวหายไปตามประกาศของ PCAOB เงินทุนจะไหลกลับเข้ามา ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการลงทุนเมื่อพูดถึงจีน แต่เขาเตือนว่านี่ยังเป็นช่วงเริ่มต้นในการกลับมา นอกจากนี้ยังมีประเด็นการสนับสนุนด้านนโยบายที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตให้กับบริษัทเหล่านี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการบริโภคภายในประเทศในปีหน้า Brendan Ahern เสริมว่า ปี 2023 จะได้เห็นการสนับสนุนด้านนโยบายจากรัฐบาลมากมาย เช่น การเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากประมาณ 25% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดมาจากบริษัทต่างๆ ดังนั้นรัฐบาลจีนต้องการบริษัทอินเทอร์เน็ตเหล่านี้จริงๆ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/21/investments-could-flow-back-into-china-as-companies-avoid-us-delisting.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทวิตเตอร์เจอมรสุม Elon Musk หาซีอีโอคนใหม่ ด้านอดีตพนง.100 คนรุมฟ้อง - FINNOMENA สื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ เจออดีตพนักงาน 100 คนฟ้องหลังการสั่งปลดพนักงานครั้งใหญ่ พร้อมข่าวลือว่า Elon Musk เตรียมหาซีอีโอคนใหม่ หลังตั้งโพลถามว่าเขาควรเป็นซีอีโอต่อหรือไม่ 21 ธ.ค. 2565 สื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ เจออดีตพนักงาน 100 คนฟ้องหลังการสั่งปลดพนักงานครั้งใหญ่ พร้อมข่าวลือว่า Elon Musk เตรียมหาซีอีโอคนใหม่ หลังตั้งโพลถามว่าเขาควรเป็นซีอีโอต่อหรือไม่ VOA Thai รายงานว่า แชนนอน ลิสส์-ริออร์แดน ทนายของอดีตพนักงานทวิตเตอร์ ได้เดินเรื่องผ่านอนุญาโตตุลาการกับทางทวิตเตอร์โดยกล่าวหาว่า บริษัทมีการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานด้วยปัจจัยทางเพศสภาพ การทำผิดสัญญาว่าจ้าง และการไล่พนักงานที่อยู่ระหว่างการลาป่วยหรือลาคลอดบุตรออกจากบริษัท โดยเมื่อต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา Elon Musk ได้ปลดพนักงาน 3,700 ตำแหน่ง ในแผนลดต้นทุนขององค์กรหลังเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ที่มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มีพนักงานหลายร้อยคนที่ยื่นใบลาออกตามมาหลังจากนั้น ก่อนหน้านี้ ทวิตเตอร์เผชิญกับการฟ้องร้องที่ยื่นต่อกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ที่ระบุว่า มีพนักงานถูกไล่ออกเพราะวิจารณ์บริษัท และพยายามจัดแผนการประท้วงในองค์กร แต่ทวิตเตอร์ปฏิเสธเรื่องการละเมิดกฎหมายในประเด็นดังกล่าว และกล่าวว่า มีการแจ้งต่อพนักงานล่วงหน้าตามกฎหมายแล้ว นอกจากนี้ หลังจากโพลล์เมื่อวันอาทิตย์ที่ถามผู้ใช้ทวิตเตอร์ว่าเขาควรเป็นซีอีโอต่อหรือไม่ มีผลออกมาในวันจันทร์ว่า 57.5% เห็นชอบให้เขาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ทางอิลอน มัสก์ ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเขาจะออกจากตำแหน่งหรือไม่ และไม่ได้กล่าวถึงผู้ที่จะมารับช่วงต่อจากเขา แต่สื่อ CNBC รายงานในวันอังคาร อ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ว่า มัสก์ กำลังหาตัวซีอีโอมารับตำแหน่งแทนเขาอยู่ ด้านทวิตเตอร์ไม่ได้ให้ข้อมูลหรือความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในช่วงเวลาที่รายงานข่าวนี้ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/twitter-is-hit-with-dozens-of-legal-complaints-by-ex-employees/6884695.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }