text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
News Update: ส่องกลยุทธ์กองทุนจีนแห่งปี ทำผลตอบแทน +57% YTD ทำไมเลือก ‘ไม่ซื้อ’ หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ท่ามกลางกระแสเปิดเมืองครั้งใหญ่ - FINNOMENA กองทุนจีนที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในปีนี้ ‘ไม่ซื้อ’ หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ท่ามกลางกระแสเปิดเมืองครั้งใหญ่ หลังจีนผ่อนคลายโควิดเต็มรูปแบบ โดยยังคงถือ ‘หุ้นคุณค่า’ ซึ่งหมายถึงการเดิมพันว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างอ่อนแอในปี 2023 20 ธ.ค. 2565 กองทุนจีนที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในปีนี้ ‘ไม่ซื้อ’ หุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ท่ามกลางกระแสเปิดเมืองครั้งใหญ่ หลังจีนผ่อนคลายโควิดเต็มรูปแบบ โดยยังคงถือ ‘หุ้นคุณค่า’ ซึ่งหมายถึงการเดิมพันว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างอ่อนแอในปี 2023 Wanjia Macro Zeshi Multi Strategy Flexible Allocation Fund คือกองทุนที่บริหารโดย Huang Hai สามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 57% ในปีนี้ จนสามารถเอาชนะอีก 9,000 กองทุนทั่วโลก ซึ่งมีผลตอบแทนเฉลี่ย (Median) อยู่ที่ขาดทุน 20% Huang Hai กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นจีนในช่วงที่ผ่านมาบ่งชี้ถึงความคาดหวังที่เกินความเป็นจริง และมองว่าธุรกิจที่มีการเดิมพันสูงในตอนนี้อย่างท่องเที่ยวและผู้ผลิตแอลกอฮอล์ อาจราคาร่วงแรงหากผลประกอบการออกมาไม่ดีในไตรมาสแรกของปีหน้า ผู้จัดการกองทุนที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในปีนี้มองว่า การผ่อนคลายมาตรการโควิดครั้งใหญ่ของรัฐบาลจีนจะนำมาสู่ ‘การติดเชื้อครั้งรุนแรง’ แม้สุดท้ายแล้วจีนจะสามารถข้ามผ่านการระบาดไปได้ แต่นั่นต้องแลกมาด้วยความผันผวนของตลาด กองทุนมีมุมมองบวกต่อ ‘หุ้นคุณค่า’ โดยเฉพาะกลุ่มการเงิน รวมถึงหุ้นพลังงาน เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ที่จะได้รับประโยชน์จากการรักษาสเถียรภาพการเติบโตของรัฐบาลจีน สำหรับไตรมาสล่าสุด กองทุนมีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 1,800 ล้านหยวน โดยมีสัดส่วนการลงทุนหลักในหุ้นคุณค่าที่จ่ายเงินปันผลสูงและมีกำไรที่เข้มแข็ง ซึ่งหุ้น 3 อันดับแรกของกองทุนคือ CNOOC, Shanxi Lu’an Environmental Energy Development และ Shanxi Coking Coal Energy Group แม้จะสามารถทำผลตอบแทนในปีนี้ได้อย่างสวยงาม แต่ในเดือนที่ผ่านมา กองทุนปรับตัวขึ้นมาน้อยกว่า 1% แม้ตลาดจะปรับตัวขึ้นมาในวงกว้างก็ตาม ขณะที่ดัชนีอ้างอิง CSI 300 ปรับตัวขึ้นมาถึง 10% ตั้งแต่เดือน ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดอย่างเต็มรูปแบบ โดยหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงดังกล่าวคือ Luzhou Laojiao, China Tourism Group Duty Free และ ผู้พัฒนาอสังหาฯ เช่น Seazen Holdings สำหรับมุมมองต่อภาคอสังหาฯ Huang Hai มองว่า อาจจะมีการออกนโยบายออกมาควบคุมอสังหาฯ เพิ่มอีก แต่บริษัทคุณภาพสูงยังมีโอกาสที่ดีเยี่ยมหากสามารถรักษาสเถียรภาพได้ โดยปัจจัยต่างๆ เช่น ยอดขาย ปริมาณการซื้อที่ดิน และกระแสเงินสด โดยกองทุนของเขาจะใช้เวลาจับตาสักพักเพื่อรอดูยอดขายฟื้นตัว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-20/top-chinese-fund-with-57-return-is-wary-of-reopening-rally?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กองทุนจีน จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เศรษฐีจีนปรับพอร์ตย้ายประเทศ โยกเงินจากจีนไปสหรัฐฯ​ และประเทศอื่น หวังกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน - FINNOMENA เศรษฐีจีนลดสัดส่วนการลงทุนหลักทรัพย์ในจีน มองหาสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในสหรัฐฯ และต่างประเทศแทนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยจะเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้ 20 ธ.ค. 2565 เศรษฐีจีนลดสัดส่วนการลงทุนหลักทรัพย์ในจีน มองหาสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในสหรัฐฯ และต่างประเทศแทนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยจะเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้ VOA Thai รายงานว่า ชาวจีนผู้มั่งคั่งมกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจอันไม่แน่นอนภายในประเทศ จากผลกระทบของโควิด และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์หลังรัสเซียรุกรานยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบต่อจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อมูลจากบริษัทด้านการลงทุน Eurekahedge ระบุว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ลงทุนในจีนขาดทุนราว 12.9% ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นผลประกอบการที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 11 ปี ผู้จัดการกองทุนกล่าวว่า เศรษฐีจีนยังรู้สึกไม่สบายใจกับการผลักดันนโยบสย ‘ความมั่งคั่งร่วมกัน’ ของปธน. สี จิ้นผิง ที่หวังลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประชาชน และผลักดันให้พวกเขามองหาลู่ทางลงทุนในหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ในต่างแดนแทน แม้การลงทุนนอกจีนแผ่นดินใหญ่จะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเศรษฐีชาวจีน แต่สัดส่วนการลงทุนที่เคยอยู่ในสินทรัพย์สัญชาติจีน เช่น หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้คนจีนเริ่มศึกษานโยบายและกฎหมายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนสหรัฐฯ เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ขณะที่ หนึ่งในผู้จัดการกองทุนในฮ่องกงที่ดูแลสินทรัพย์มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ได้ปรับพอร์ตลงทุนในสินทรัพย์จีนลงจากระดับ 80% เมื่อปีที่แล้ว ให้เหลือเพียง 1 ใน 3 ของพอร์ต และเตรียมจะปรับลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์จีนเพิ่มเติม พร้อมกับมองหาโอกาสลงทุนในภาคพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ รวมทั้งในรูปแบบธุรกิจเงินร่วมลงทุน อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/rich-chinese-step-up-hunt-for-foreign-investment-bets-to-mitigate-risks-at-home/6883020.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน เศรษฐีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โพลชี้ คนญี่ปุ่น 34% ไม่อยากเที่ยวอีกต่อไป เหตุกลัวโควิด-เงินเยนอ่อน ไม่ชอบเที่ยวตปท.-ลางานยาก - FINNOMENA ในช่วงเวลาที่ทุกคนแห่เดินทางท่องเที่ยวปลายปีหลังอัดอั้นจากโควิดมาตลอด 2 ปี แต่มีผลสำรวจที่น่าสนใจเผยว่า คนเอเชียบางส่วนบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยเฉพาะ ‘คนญี่ปุ่น’ เป็นเพราะอะไรไปดูกัน 19 ธ.ค. 2565 ในช่วงเวลาที่ทุกคนแห่เดินทางท่องเที่ยวปลายปีหลังอัดอั้นจากโควิดมาตลอด 2 ปี แต่มีผลสำรวจที่น่าสนใจเผยว่า คนเอเชียบางส่วนบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยเฉพาะ ‘คนญี่ปุ่น’ เป็นเพราะอะไรไปดูกัน บริษัท Morning Consult ได้สอบถามผู้คน 16,000 คน ใน 15 ประเทศ และพบว่าคนส่วนใหญ่ที่ตอบว่าไม่ต้องการท่องเที่ยวอีกต่อไปคือคนเอเชีย นำโดยคนญี่ปุ่น 35% ที่บอกว่าไม่ต้องการท่องเที่ยวอีกแล้ว ตามมาด้วยเกาหลีใต้ในสัดส่วน 15% ต่อด้วยจีนและสหรัฐฯ ในสัดส่วนเท่ากันที่ 14% Lindsey Roeschke นักวิเคราะห์ของ Morning Consult อธิบายว่า แบบสอบถามดังกล่าวถามถึง ‘การท่องเที่ยวแบบพักผ่อน’ โดยถาม 2 ครั้ง คือ ในเดือน เม.ย. และ ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญมองว่า คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ต้องการไปเที่ยวต่างประเทศ และเลือกที่จะท่องเที่ยวในประเทศมากกว่า สอดคล้องกับข้อมูลขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ที่ระบุว่า ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา คนญี่ปุ่นเดินทางไปต่างประเทศเพียง 386,000 คน เทียบกับ 2.1 คน ในเดือน ส.ค. 2019 ส่วนอีกสาเหตุที่สำคัญคือ วัฒนธรรมที่ไม่ชอบความเสี่ยงของคนญี่ปุ่น และทำให้พวกเขาเลือกที่จะอยู่บ้านหากโอกาสในการติดเชื้อโควิดนั้นสูง นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องเงินเยนอ่อนค่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญระบุไว้ ทั้งกำแพงภาษา การไม่มีวันลาหยุดยาวติดกันหลายวัน วัฒนธรรมการทำงานที่ทำให้ลางานยาก รวมถึงการมีธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นของตัวเอง อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/19/dont-want-to-travel-many-in-japan-say-theyll-never-travel-again.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เมสซี่’ จุดความหวังเศรษฐกิจฟื้น ท่ามกลางเงินเฟ้ออาร์เจนตินาเกือบ 100% หลังเอาชนะฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก - FINNOMENA อาร์เจนตินาชนะฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ‘เมสซี่’ สร้างความสุข พร้อมจุดความหวังเศรษฐกิจฟื้น แม้เงินเฟ้อสูงเกือบ 100% 19 ธ.ค. 2565 อาร์เจนตินาชนะฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ‘เมสซี่’ สร้างความสุข พร้อมจุดความหวังเศรษฐกิจฟื้น แม้เงินเฟ้อสูงเกือบ 100% อาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 สร้างช่วงเวลาแห่งความอิ่มอกอิ่มใจและความสุขที่หาได้ยากสำหรับประเทศที่กำลังประสบภาวะเงินเฟ้อใกล้ 3 หลัก รวมถึงเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองหลายเดือน เงินเฟ้อในอาร์เจนตินามีแนวโน้มที่จะสิ้นสุดปีในระดับ 100% จากเริ่มต้นปีที่ระดับ 50% แม้อัตราว่างงานจะลดลง แต่การเติบโตของค่าจ้างนั้นต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ผู้คนกำลังสูญเสียกำลังซื้อ ความยากจนขั้นรุนแรงกำลังก่อตัวขึ้น หากประวัติศาสตร์เป็นไปตามแนวทางเดิม การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้าจะยิ่งเพิ่มความผันผวนให้กับเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ใกล้ 100% ภายในสิ้นปีหน้า สัญญาณบวกตอนนี้คือ ชาวอาร์เจนตินาอยู่ข้างเดียวกัน Emiliano Piano แฟนบอลวัย 41 ปี กล่าวว่า นี่คือความสำเร็จที่รวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว แม้ชัยชนะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่นี่คือช่วงเวลาที่ไม่มีความแตกแยกทางการเมือง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-18/messi-world-cup-win-brings-joy-to-argentina?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update อาร์เจนตินา. ฟุตบอลโลก 2022 เงินเฟ้อ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: TikTok ท้าชน Youtube ทดลองเพิ่มฟีเจอร์วิดีโอแนวนอน หวังดึงดูดผู้ใช้งานผู้ใหญ่มากขึ้น - FINNOMENA TikTok เริ่มทดลองใช้โหมดวิดีโอแนวนอนกับผู้ใช้งานบางกลุ่มทั่วโลกแล้ว ผู้เชี่ยวชาญชี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้ TikTok สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มวิดีโอคู่แข่งอย่าง YouTube ได้โดยตรง 16 ธ.ค. 2565 TikTok เริ่มทดลองใช้โหมดวิดีโอแนวนอนกับผู้ใช้งานบางกลุ่มทั่วโลกแล้ว ผู้เชี่ยวชาญชี้ฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยให้ TikTok สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มวิดีโอคู่แข่งอย่าง YouTube ได้โดยตรง วิดีโอไวรัลที่ถ่ายในโหมดแนวตั้งช่วยให้ TikTok เป็นแอปโซเชียลมีเดียที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แม้จะมีการเรียกร้องในประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่สั่งห้ามเนื่องจากกังวลเรื่องภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ก่อนหน้านี้ TikTok แพลตฟอร์มสัญชาติจีนอนุญาตให้โพสต์เฉพาะวิดีโอที่มีความยาวไม่เกิน 3 นาที แต่ในปีนี้ ผู้ใช้งานบน TikTok สามารถโพสต์วิดีโอความยาวสูงสุดได้ถึง 10 นาทีแล้ว Paul Triolo ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ Albright Stonebridge Group กล่าวกับ BBC ว่า TikTok ได้ย้ายเข้าสู่ดินแดนของ YouTube มาระยะหนึ่งแล้ว จากการปรับให้สามารถโพสต์วิดีโอความยาว 10 นาที และได้แซงหน้า YouTube ในกลุ่มประชากรอายุน้อยอย่างต่อเนื่อง “ดูเหมือนว่าเป้าหมายนี้จะช่วยดึงดูดผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นประเภทที่ใช้ YouTube สำหรับวิดีโอที่ให้ข้อมูลและการเรียนรู้ ซึ่งโหมดเต็มหน้าจอน่าจะเป็นที่ต้องการมากกว่า” Paul Triolo กล่าว Carolina Milanesi ผู้ก่อตั้ง The Heart of Tech consultancy มองว่าฟีเจอร์ใหม่จะช่วยดึงดูดคอนเทนต์ครีเอเตอร์มากขึ้น เพราะตอนนี้วิดีโอสั้นเป็นส่วนสำคัญของทั้ง YouTube และ TikTok ทำให้ TikTok ต้องกังวลว่าครีเอเตอร์จะหันมาใช้ ฟีเจอร์ Short ของ Youtube แทน อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-63981657 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update TikTok YouTube แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ผู้ถือหุ้นใหญ่เทสลาผิดหวัง ขอซีอีโอคนใหม่แทน Elon Musk อยากได้แบบ Tim Cook มาบริหารแทน - FINNOMENA นักลงทุนเทสลารู้สึกผิดหวังกับราคาหุ้นที่ร่วงแรง และไม่พอใจที่ซีอีโอของบริษัท Elon Musk ต้องแบ่งเวลาในการบริหารบริษัทขนาดใหญ่ตั้ง 3 แห่ง จนเรียกร้องให้มีการเลือกซีอีโอคนใหม่ 16 ธ.ค. 2565 นักลงทุนเทสลารู้สึกผิดหวังกับราคาหุ้นที่ร่วงแรง และไม่พอใจที่ซีอีโอของบริษัท Elon Musk ต้องแบ่งเวลาในการบริหารบริษัทขนาดใหญ่ตั้ง 3 แห่ง จนเรียกร้องให้มีการเลือกซีอีโอคนใหม่ KoGuan Leo ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 3 ของเทสลา ต้องการให้บริษัทเลือกซีอีโอคนใหม่เข้ารับตำแหน่งแทน เพื่อให้ Elon Musk มุ่งเน้นไปที่กิจการอื่นๆ ของเขาอย่าง SpaceX และ Twitter “Elon Musk ละทิ้งเทสลา ตอนนี้ Tesla เหมือนไม่มีซีอีโอ เทสลาต้องการและสมควรมีซีอีโอที่ทำงานเต็มเวลา” KoGuan Leo แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ของเขา KoGuan Leo ถือครองหุ้นเทสลาอยู่ทั้งหมด 22.7 ล้านหุ้น ในเดือน ก.ย. ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 3,570 ล้านดอลลาร์ โดยเขาเริ่มสะสมหุ้น Tesla ตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งราคาตอนนั้นแบบปรับการแตกพาร์แล้วอยู่ที่ $40 เทียบกับราคาปัจจุบันที่ $157 ราคาหุ้น Tesla ร่วงลงมาแล้ว 55% ตั้งแต่ต้นปี โดยมูลค่าตลาดหายไป 225,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ Elon Musk ปิดดีลซื้อทวิตเตอร์ไปในช่วงปลายเดือน ต.ค. ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมามากกว่า 3% โดย Wedbush Dan Ives นักวิเคราะห์เรียกการซื้อทวิตเตอร์ของ Elon Musk ว่า ‘ละครสัตว์และแดนสนธยา’ แม้จะรู้สึกไม่พอใจต่อการกระทำของ Elon Musk แต่ KoGuan Leo ก็ไม่ได้ขายหุ้นเทสลาออกไป และเขายังมีแพลนที่จะซื้อหุ้นเทสลาเพิ่มอีกเพราะเขาเชื่อว่าราคาของหุ้นต่ำกว่ามูลค่า (Undervalue) และยังมีโอกาสที่บริษัทจะเติบโตไปพร้อมกับซีอีโอที่มุ่งมั่น “ผมไม่สนใจว่า Elon Musk จะอยู่หรือจะไปจากเทสลา เทสลาคือบริษัทที่ยอดเยี่ยม และราคา $160 ต่อหุ้นถือว่าถูก” KoGuan Leo เสริมว่าเขาอยากได้ซีอีโอสาย ‘ปฏิบัติการ’ แบบ Tim Cook มาเป็นซีอีโอคนใหม่ของเทสลา โดยบอกว่า Elon Musk เป็นเหมือนผู้สร้างที่น่าภูมิใจ แต่ตอนนี้เทสลาเติบโตขึ้นแล้ว และเราต้องการคนแบบ Tim Cook อ้างอิง: https://markets.businessinsider.com/news/stocks/tesla-investor-koguan-leo-new-ceo-elon-musk-twitter-focus-2022-12 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla Tim Cook แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีน-สหรัฐฯ ตึงเครียด! ไบเดนขึ้นบัญชีดำธุรกิจจีนเพิ่ม พร้อมจัดระเบียบอุตสาหกรรมชิป - FINNOMENA สหรัฐฯ​ ประกาศเพิ่มชื่อบริษัท YMTC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำสัญชาติจีนพร้อมกับบริษัทชั้นนำอื่นๆ อีก 21 แห่งของจีนเข้าไปในบัญชีดำ 16 ธ.ค. 2565 สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มชื่อบริษัท YMTC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหน่วยความจำสัญชาติจีนพร้อมกับบริษัทชั้นนำอื่นๆ อีก 21 แห่งของจีนเข้าไปในบัญชีดำ VOA Thai รายงานว่า YMTC เป็นหนึ่งในเป้าของรัฐบาลสหรัฐฯ มาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะถูกขึ้นบัญชีดำด้วยเหตุผลว่า บริษัทอาจทำการถ่ายเทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปยังบริษัทจีนอื่นๆ ที่ถูกขึ้นบัญชีดำไปก่อนหน้า เช่น หัวเหว่ย (Huawei) และ ไฮค์วิชั่น (Hikvision) ภายใต้มาตรการนี้ ซัพพลายเออร์ทั้งหลายจะไม่สามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่เป็นของสหรัฐฯ ไปให้ YMTC ได้ หากไม่ได้รับใบอนุญาตซึ่งขอยากมาก บริษัทอื่นๆ อีก 21 แห่งที่ถูกเพิ่มเข้าไปในบัญชีดำของสหรัฐฯ ในคราวนี้ เช่น Cambricon Technologies Corp และ CETC ต้องเผชิญกับมาตรการลงโทษที่หนักกว่า เพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้าถึงเทคโนโลยีใดๆ ก็ตามที่พัฒนาขึ้นโดยอุปกรณ์ที่เป็นของสหรัฐฯ ด้วย ‘ธีอา เคนด์เลอร์’ รมช.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลจีนพยายามกำจัดมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนอยู่ และผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติของสหรัฐฯ ทำให้เราต้องลงมืออย่างเด็ดขาดในการปฏิเสธการเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งหลาย นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังดำเนินการขึ้นบัญชีดำองค์กรสัญชาติจีน 9 แห่งที่ถูกกล่าวหาว่า ให้การสนับสนุนจีนในการพัฒนากิจการทางทหารด้วย จนถึงปัจจุบัน มีบริษัทจีนทั้งหมด 36 แห่งที่ถูกขึ้นบัญชีดำด้านการค้าของสหรัฐฯ โดยมีบริษัทลูกของ YMTC ซึ่งตั้งอยู่ในญี่ปุ่นอยู่ในรายชื่อนี้ด้วย ดังนี้ 1) Anhui Cambricon Information Technology Co. 2) AVIC Research Institute for Special Structures of Aeronautical Composites 3) AZUP International Group Co. 4) Beijing HiFar Technology Co. 5) Beijing Machinery Industry Automation Research Institute Co. 6) Beijing UniStrong Science & Technology Co. 7) Beijing Vision Strategy Technology Co. 8) Cambricon (Hong Kong) Co. 9) Cambricon (Kunshan) Information Technology Co. 10) Cambricon (Nanjing) Information Technology Co. 11) Cambricon (Xi’an) Integrated Circuit Co. 12) Cambricon Jixingge (Nanjing) Technology Co. 13) Cambricon Technologies Corp. 14) CETC Cloud (Beijing) Technology Co. 15) CETC LES Information System Group Co. 16) China Electronics Technology Group Corp. No. 28 Institute 17) Chinese Academy of Sciences Institute of Computing Technology 18) Guangdong Qinzhi Technology Research Institute Co. 19) Hefei Core Storage Electronic Ltd. 20) Key Laboratory of Information Systems Engineering 21) Nanjing Aixi Information Technology Co. 22) Nanjing LES Cybersecurity and Information Technology Research Institute Co. 23) Nanjing LES Electronic Equipment Co. 24) Nanjing LES Information Technology Co. 25) PXW Semiconductor Manufactory Co. 26) Shanghai Cambricon Information Technology Co. 27) Shanghai Integrated Circuit Research and Development Center 28) Shanghai Micro Electronics Equipment (Group) Co. 29) Shanghai Suowei Information Technology Co. 30) Suzhou Cambricon Information Technology Co. 31) System Equipment Co. of the 28th Research Institute (Liyang) 32) Tianjin Tiandi Weiye Technologies Co. 33) Xiong’an Cambricon Technology Co. 34) Yangtze Memory Technologies Co. 35) Zhongke Xinliang (Beijing) Technology Co. 36) Yangtze Memory Technologies (Japan) Inc. อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศถอดชื่อ Wuxi Biologics ของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตส่วนประกอบสำหรับวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) และบริษัทจีนอีก 25 แห่งออกจากบัญชีรายชื่อธุรกิจที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ (unverified list) ในวันพฤหัสบดี หลังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เดินทางไปตรวจสอบการทำงานของบริษัทเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว และได้รับการยืนยันว่า สามารถไว้ใจให้เข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ได้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-15/us-blacklists-more-china-tech-companies-escalating-trade-fight?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/biden-blacklists-china-s-ymtc-crackdowns-on-ai-chip-sector/6878370.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน จีนและสหรัฐฯ สหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs มั่นใจ ปีหน้า ‘โภคภัณฑ์’ มาอีกแน่ คาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% น้ำมันพุ่งเป็น $105 ต่อบาร์เรล - FINNOMENA Goldman Sachs คาดว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนสูงสุดอีกครั้งในปี 2023 โดยจะพุ่งขึ้นมากกว่า 40% 15 ธ.ค. 2565 Goldman Sachs คาดว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะเป็นประเภทสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนสูงสุดอีกครั้งในปี 2023 โดยจะพุ่งขึ้นมากกว่า 40% Goldman Sachs ธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งวอลล์สตรีทกล่าวว่า แม้ไตรมาสแรกของปีหน้าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากทั้งความอ่อนแอทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และจีน แต่การขาดแคลนวัตถุดิบตั้งแต่น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไปจนถึงโลหะ จะหนุนให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น ก่อนหน้านี้ในปลายปี 2020 Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ‘วงจรสูงสุด (Supercycle)’ ของสินค้าโภคภัณฑ์จะเติบโตเป็นเวลาหลายปี ซึ่งบริษัทยังคงมีมุมมองเช่นเดิม แม้ราคาจะลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากการปิดเมืองในจีนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กดดันความต้องการของผู้บริโภค ทีมนักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs นำโดย Jeff Currie และ Samantha Dart ระบุว่า แม้ในเดือน พ.ย. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากจะขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดก็น่าผิดหวังเช่นกัน Goldman Sachs อธิบายเพิ่มว่า ราคาที่สูงเป็นพิเศษที่ได้เห็นเมื่อต้นปีนี้ไม่สามารถสร้างกระแสเงินทุนไหลเข้าที่เพียงพอได้ ซึ่งหากไม่มี CAPEX ที่เพียงพอในการสร้างกำลังการผลิตสำรอง สินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงติดอยู่ในภาวะขาดแคลนในระยะยาว ด้วยราคาที่สูงขึ้นและผันผวนมากขึ้น Goldman Sachs คาดการณ์ว่า ดัชนีผลตอบแทนรวมของ S&P GSCI ซึ่งเป็นมาตรวัดการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น 43% ในปี 2023 บริษัทคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะพุ่งขึ้นเป็น 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 เพิ่มขึ้นจากราคาปัจจุบันที่ $82 ส่วนราคาทองแดงจะเพิ่มขึ้นเป็น 10,050 ดอลลาร์ต่อตัน จากประมาณ 8,400 ดอลลาร์ และราคาก๊าซธรรมชาติเหลวเอเชียจะเพิ่มขึ้นจาก 33 ดอลลาร์ต่อล้านหน่วยความร้อนบริติชเป็น 53.10 ดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-15/goldman-commodity-supercycle?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Goldman Sachs News Update สินค้าโภคภัณฑ์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จับตาเศรษฐกิจเวียดนาม คาด GDP ทั้งปีนี้ พุ่งทะยาน 7.2% มองปีหน้าโตโดดเด่น แม้เผชิญเงินเฟ้อ - FINNOMENA จับตาเศรษฐกิจเวียดนามปีหน้าเติบโตโดดเด่นมากทั้งในภูมิภาคและระดับโลก ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามโตอย่างชัดเจนในปีนี้ คาด GDP ทั้งปีนี้ ทะยาน 7.2% 15 ธ.ค. 2565 จับตาเศรษฐกิจเวียดนามปีหน้าเติบโตโดดเด่นมากทั้งในภูมิภาคและระดับโลก ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามโตอย่างชัดเจนในปีนี้ คาด GDP ทั้งปีนี้ ทะยาน 7.2% ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า อันเดรีย คอปโปลา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าโครงการเวียดนามของธนาคารโลก กล่าวว่าการส่งออก อุปสงค์ภายในประเทศ และการลงทุนของภาคเอกชน ถือเป็นตัวสร้างความแข็งแกร่งแก่เศรษฐกิจเวียดนามในปี 2022 ซึ่งทำให้ GDP ของเวียดนามอาจเติบโตถึง 7.2% การส่งออกของเวียดนามแข็งแกร่งมากในอดีตและมีความยืดหยุ่น ซึ่งรวมถึงช่วงเกิดโรคระบาดใหญ่ที่การส่งออกของภาคการผลิตกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตของ GDP ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญ โดยการเบิกจ่ายเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ช่วงเดือนม.ค.-พ.ย. เพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว ด้านการบริโภคภายในประเทศและการค้าปลีกถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปีที่ผ่านมา ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศจะยังคงมีส่วนส่งเสริมเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2023 แม้เผชิญผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจเวียดนามจะเผชิญอุปสรรคสำคัญทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกในปีหน้า โดยเหล่านักวางนโยบายของเวียดนามต้องพยายามรักษาสมดุลของการสนับสนุนทางนโยบายเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจกับการควบคุมภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางการเงิน ท่ามกลางบริบทโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความเสี่ยงมากมาย อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1148991 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ชี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยมาตลอดปี เตือนหุ้นพลังงาน-คุณค่า กระทบหนัก - FINNOMENA Cathie Wood มองว่า ‘หุ้นพลังงาน’ และ ‘หุ้นคุณค่า’ จะได้รับความเสียหายจากการลดลงของอัตราเงินเฟ้อ ส่วน ‘หุ้นเติบโต’ จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากดีมานด์ทางเศรษฐกิจเริ่มขาดแคลนมากขึ้น 14 ธ.ค. 2565 Cathie Wood มองว่า ‘หุ้นพลังงาน’ และ ‘หุ้นคุณค่า’ จะได้รับความเสียหายจากการลดลงของอัตราเงินเฟ้อ ส่วน ‘หุ้นเติบโต’ จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจากดีมานด์ทางเศรษฐกิจเริ่มขาดแคลนมากขึ้น “ฉันเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาตลอดทั้งปี” ซีอีโอของ Ark Invest กล่าว อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นเติบโตประเภทนวัตกรรมที่ยังไม่ทำกำไรซึ่งเป็นหุ้นที่ Cathie Wood เดิมพันอยู่ ส่งผลให้กองทุนเรือธง ARKK ลดลงมาเกือบ 63% ในปีนี้ ทำให้ ARKK กลายเป็นกองทุนที่ทำผลงานที่แย่ที่สุดในบรรดากองทุนขนาดกลางและขนาดย่อมของสหรัฐฯ รวมถึงเป็นกองทุนตราสารทุนของสหรัฐฯ ที่มีผลประกอบการโดยรวมแย่ที่สุดที่ติดตามโดย Morningstar ผลการดำเนินงานของกองทุน ARKK ในปีนี้สวนทางกับเมื่อปี 2020 ที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวโดยการเดิมพันครั้งใหญ่ในหุ้น Zoom และหุ้นกลุ่ม Stay-at-Home ที่พุ่งอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการแพร่ระบาดของโควิด สวนทางมุมมองของ Cathie Wood หุ้นพลังงานสหรัฐฯ (XLE.P) เพิ่มขึ้นเกือบ 56% จนถึงปัจจุบัน อ้างอิง: https://www.reuters.com/markets/us/arks-wood-sees-us-now-recession-expects-energy-stocks-tumble-2022-12-13/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: LINE MAN Wongnai เจรจาซื้อ Foodpanda ในไทย คาดดีลสูงถึง 3,480 ล้านบาท - FINNOMENA LINE MAN Wongnai ยูนิคอร์นฟู้ดเดลิเวอรี่ชื่อดังในไทย อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ Foodpanda ของ Delivery Hero SE ในประเทศไทย เนื่องจากมีแผน IPO ในตลาดหุ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 13 ธ.ค. 2565 LINE MAN Wongnai ยูนิคอร์นฟู้ดเดลิเวอรี่ชื่อดังในไทย อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการ Foodpanda ของ Delivery Hero SE ในประเทศไทย เนื่องจากมีแผน IPO ในตลาดหุ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Bloomberg รายงานโดยอ้างถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า LINE MAN Wongnai พิจารณาข้อตกลงที่ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,480 ล้านบาท แต่ราคาอาจลดลงอีกจากแนวโน้มตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในไทยที่ขาดทุนและซบเซาลง การเทคโอเวอร์ดังกล่าวจะหนุนให้ LINE MAN Wongnai ก้าวมาเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอาเซียน และมี Line เป็นแอปส่งข้อความที่ได้รับความนิยมสูงสุด LINE MAN Wongnai ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 โดยเกิดจากการควบรวมบริการจัดส่ง Line Man และแพลตฟอร์มรีวิวร้านอาหารไทย Wongnai มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ หลังสามารถระดมทุนได้ 265 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยคู่แข่งรายสำคัญของบริษัทในประเทศไทยคือ Grab และ Foodpanda ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง Delivery Hero ในกรุงเบอร์ลินพยายามบรรลุความสามารถในการทำกำไรภายในปี 2023 โดย Niklas Oestberg ซีอีโอของบริษัทระบุว่า บริษัทอาจออกจากบางตลาดที่ไม่ใช่อันดับ 1 ซึ่ง Food Panda มีสถานะที่แข็งแกร่งในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซียและฟิลิปปินส์ “บริษัทไม่ได้ต้องการขายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อาจมีตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือในภูมิภาคอื่น ๆ ที่บริษัทกำลังหารือกันอยู่” Niklas Oestberg กล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-13/gic-backed-unicorn-in-talks-to-acquire-foodpanda-in-thailand?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Foodpanda Lineman LMWN News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ปิดฉาก MOTOR EXPO 2022 ‘โตโยต้า’ นำโด่ง - ‘บีวายดี’ มาแรงคว้าที่ 3 กลุ่มรถพรีเมียม ‘เบนซ์’ เฉือน ‘บีเอ็ม’ - FINNOMENA มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 39 ปิดฉากแล้วเมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) โดย ‘โตโยต้า’ กวาดยอดสูงสุด 6,064 คัน ด้าน ‘นิสสัน’ ไต่อันดับ ขึ้น Top 5 ส่วนรถหรู ‘เบนซ์’ เฉือน ‘บีเอ็ม’ 13 ธ.ค. 2565 มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 39 ปิดฉากแล้วเมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) โดย ‘โตโยต้า’ กวาดยอดสูงสุด 6,064 คัน ด้าน ‘นิสสัน’ ไต่อันดับ ขึ้น Top 5 ส่วนรถหรู ‘เบนซ์’ เฉือน ‘บีเอ็ม’ กรุงเทพธุรกิจรายงานยอดจอง ‘มอเตอร์ เอ็กซ์โป’ โดยรวมตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. -12 ธ.ค. 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 36,679 คัน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 37,000 คัน ส่วนจักรยานยนต์มียอดจอง 6,080 คัน สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5,000 คัน โดย 10 อันดับผู้สร้างยอดจองสูงสุด ประกอบด้วย อันดับ 1 โตโยต้า 6,064 คัน อันดับ 2 ฮอนด้า 3,252 คัน อันดับ 3 บีวายดี 2,714 คัน อันดับ 4 อีซูซุ 2,648 คัน อันดับ 5 นิสสัน 2,478 คัน อันดับ 6 ซูซูกิ 2,464 คัน อันดับ 7 เอ็มจี 2,443 คัน อันดับ 8 มาสด้า 2,295 คัน อันดับ 9 เกรท วอลล์ 1,995 คัน อันดับ 10 ฟอร์ด 1,707 คัน ส่วนในกลุ่มรถพรีเมียม เมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดจอง 1,597 คัน อยู่ในอันดับที่ 11 นำหน้าคู่แข่งสำคัญอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู ที่มียอดจอง 1,234 คัน สำหรับการจัดงานปีนี้ ทางผู้จัด คือ บริษัท สื่อสากล จำกัด คาดหวังยอดจองรถยนต์ภายในงาน 37,000 หมื่นคัน รถจักรยานยนต์ 5,000 คัน เพิ่มขึ้น 15-20% จากงานปีที่แล้ว และมีเงินสะพัดประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จากข้อมูลผู้ร่วมกิจกรรม “ซื้อรถ…ชิงรถ” พบว่า รถยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ HONDA, FORD และ BYD โดยรถกิจกรรมกลางแจ้ง (CROSSOVER SUV) ได้รับความสนใจสูงสุด สัดส่วน 53.9 % รถเก๋ง สัดส่วน 30.3 % รถกระบะ สัดส่วน 11.8 % และอื่นๆ 4.0 % ด้านรถจักรยานยนต์ที่ผู้ซื้อเข้าร่วมกิจกรรม “ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ LAMBRETTA, YAMAHA และ HONDA ยิ่งกว่านั้น ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจจากกิจกรรม “ซื้อรถ…ชิงรถ” รถหรูที่มียอดจองสูงสุด ได้ BMW, MERCEDES-BENZ และ VOLVO รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มียอดจองสูงสุด ได้แก่ BYD, NETA และ MG ราคาเฉลี่ยของรถที่ขายได้ในงาน 1,349,742 บาท รถจักรยานยนต์เฉลี่ย 253,699 บาท เงินหมุนเวียนในงานราว 5.1 หมื่นล้านบาท ผู้เข้าชมงาน 1,335,573 คน แพคเกจ MOTOR EXPO EXCLUSIVE VISITOR ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 58 % และมีผู้ชมงานผ่าน MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM 141,442 คน ส่วนบูธ JOIN BOAT PLATFORM สร้างยอดเงินสะพัดจากธุรกิจเรือ และกิจกรรมทางน้ำรวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1042529 https://www.motorexpo.co.th/news/4414 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า โตโยต้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: พฤติกรรมนักลงทุนรายย่อยเปลี่ยน มองตลาดหุ้นเจอจุดต่ำสุดปี 2023 รอเก็บหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่เข้าพอร์ต - FINNOMENA ผลวิจัยล่าสุดของ ‘ฟินิไมซ์’ รายงานว่า นักลงทุนรายย่อยเชื่อตลาดหุ้นเจอจุดต่ำสุดปี 2023 วางแผนลงทุนในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้นในปี 2023 แม้ตกอยู่ภายใต้วิกฤติค่าครองชีพสูงก็ตาม 9 ธ.ค. 2565 ผลวิจัยล่าสุดของ ‘ฟินิไมซ์’ รายงานว่า นักลงทุนรายย่อยเชื่อตลาดหุ้นเจอจุดต่ำสุดปี 2023 วางแผนลงทุนในปริมาณเท่าเดิมหรือมากขึ้นในปี 2023 แม้ตกอยู่ภายใต้วิกฤติค่าครองชีพสูงก็ตาม แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุนเชิงลึกในลอนดอน ‘ฟินิไมซ์’ รายงานว่า มีนักลงทุนรายย่อยเพียง 1% เท่านั้นที่วางแผนจะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ในปีหน้า ในขณะที่ 65% เลือกที่จะลงทุนต่อไปตามเดิม และ 29% วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุน Max Rofagha ซีอีโอของฟินิไมซ์กล่าวว่า ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า แม้ตลาดตกอยู่ภายใต้ภาวะแวดล้อมปัจจุบัน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า ความผันผวนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงจรทางเศรษฐกิจเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้นและประสบการณ์จากการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น ซีอีโอของฟินิไมซ์เสริมว่า นี่เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของนักลงทุนรายย่อยกำลังเปลี่ยนไป เช่น เมื่อก่อนนี้ที่โฟกัสไปแค่พฤติกรรมของนักเทรดรายวันกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น การสำรวจดังกล่าวนั้นเป็นการเก็บข้อมูลจากนักลงทุนรายย่อย 2,000 คน จากยุโรป เอเชีย และสหรัฐฯ ซึ่งกว่า 80% ของนักลงทุนเหล่านี้มองว่า ตลาดหุ้นจะผ่านพ้นภาวะตกต่ำที่สุดภายในระยะเวลา 6 เดือน นักลงทุน 72% วางแผนว่าจะลงทุนในหุ้นรายตัวในปีหน้า ขณะที่ 64% ให้ความสนใจในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Google และ Meta ส่วนอีก 38% เลือกที่จะลงทุนในคริปโทฯ แม้การล้มลายของเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) บริษัทซื้อขายคริปโทฯ รายใหญ่ ได้สร้างผลกระทบแบบเป็นวงกว้าง 55% ของนักลงทุนรายย่อยมีความกังวลที่ใหญ่ที่สุดเหมือนกันคือ ปัญหาค่าครองชีพที่แพงขึ้น ส่วนอีก 28% กังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด บทบาทของนักลงทุนรายย่อยเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นในตลาดหุ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ ‘หุ้นมีม’ นอกจากนี้สัดส่วนสินทรัพย์ของนักลงทุนรายย่อยทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 61% ในปี 2030 จาก 52% ในปี 2021 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/08/retail-investors-say-stock-market-will-bottom-in-2023-finimize-survey.html https://www.infoquest.co.th/2022/257311 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้น นักลงทุนรายย่อย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกำลังแก่ นักลงทุนส่วนใหญ่อายุมากกว่า 70 ปี คนรุ่นใหม่หนีไปลงทุนต่างประเทศ - FINNOMENA ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกำลัง ‘แก่’ เพราะ 41% ของนักลงทุนรายย่อยในญี่ปุ่นคือ ‘นักลงทุนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป’ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 15% ในปี 1989 ขณะที่นักลงทุนรุ่นใหม่หนีไปลงทุนต่างประเทศ 9 ธ.ค. 2565 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นกำลัง ‘แก่’ เพราะ 41% ของนักลงทุนรายย่อยในญี่ปุ่นคือ ‘นักลงทุนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป’ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 15% ในปี 1989 ขณะที่นักลงทุนรุ่นใหม่หนีไปลงทุนต่างประเทศ ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ปัญหาสังคมสูงอายุของญี่ปุ่นกำลังส่งสัญญาณดังขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยล่าสุด ‘ผู้สูงวัยญี่ปุ่น’ กลายมาเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับนักลงทุนวัยอื่น นกลายเป็นความเสี่ยงต่อบริษัทญี่ปุ่น จากการสำรวจพบว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ใหญ่ที่สุดในหุ้นญี่ปุ่นได้เปลี่ยนจากผู้ที่มีอายุ 50 ปี ในปี 1989 เป็นผู้มีอายุ 60 ปีในปี 1999 และเป็นผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปในปี 2019 ผลจากการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างประชากรของญี่ปุ่น อีกเหตุผลนึงคือ หนุ่มสาวญี่ปุ่นให้ความสนใจกับการลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น จากทั้งโบรกเกอร์ที่ให้บริการจัดการตราสารทุนต่างชาติและกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และการลงทุนขั้นต่ำของ ‘หุ้นต่างชาติ’ ที่ต่ำกว่าหุ้นญี่ปุ่น อย่างเช่น การลงทุนใน ‘ฟาสต์ รีเทลลิ่ง’ บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของญี่ปุ่น ขณะที่หุ้น ‘แอปเปิล’ ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 20,000 เยนเท่านั้น ข้อมูลจาก ‘โมเนกซ์’ บริษัทโบรกเกอร์ออนไลน์ในญี่ปุ่น ระบุว่า ข้อมูลใน ต.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนญี่ปุ่นช่วงอายุ 30 ปีมีการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ ในสัดส่วนถึง 58% ขณะที่การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯของนักลงทุนช่วงอายุ 20 ปี และ 40 ปี ก็มีสัดส่วนสูงกว่า 40% สวนทางกับผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปที่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐไม่ถึง 10% การลงทุนหุ้นในบริษัทญี่ปุ่นเฟื่องฟูในหมู่คนวัยทำงานนับแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เช่น ‘นิปปอน เทเลกราฟ แอนด์ เทเลโฟน’ ( NTT) บริษัทโทรคมนาคมใหญ่ของญี่ปุ่นมีผู้ถือหุ้นรายย่อยสนใจเข้าลงทุนมากถึง 700,000 ราย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 30-40 ปี แต่ 35 ปีผ่านไป ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเอ็นทีที สัดส่วนกว่า 80% กลายเป็นนักลงทุนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ปัจจุบันบริษัทญี่ปุ่นพยายามจูงใจนักลงทุนด้วยการจ่ายเงินปันผลที่สูงมาต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลก็มีมาตรการสนับสนุนการลงทุนหุ้นด้วยการยกเว้นภาษี เพื่อจูงใจนักลงทุนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ให้มา ลงทุนหุ้นในประเทศมากขึ้น อ้างอิง: ttps://www.prachachat.net/world-news/news-1140413 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นญี่ปุ่น หุ้นญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จับตา Fed-ECB-BoE คาดพร้อมใจกันขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ส่งท้ายการประชุมครั้งสุดท้ายของปี - FINNOMENA ธนาคารกลางชั้นนำของโลกทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ​ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จัดการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ นักวิเคราะห์คาดทั้ง 3 แห่ง พร้อมใจขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% 9 ธ.ค. 2565 ธนาคารกลางชั้นนำของโลกทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จัดการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ นักวิเคราะห์คาดทั้ง 3 แห่ง พร้อมใจขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.50% 🇺🇸การประชุม Fed วันที่ 13-14 ธ.ค. อินโฟเควสท์รายงานว่า นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% เป็นจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน ด้านตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2566 นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทะลุ 5.00% ในกลางปีหน้า หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้าเพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่กรอบ 5.00-5.25% ในเดือนพ.ค.2566 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ระดับ 4.75-5.00% 🇪🇺การประชุม ECB วันที่ 15 ธ.ค นักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 2.00% ในปีนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ ECB ต่างส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่า เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มใกล้แตะจุดสูงสุด นายฟิลิป เลน หัวหน้านักวิเคราะห์ของ ECB กล่าวว่า เขาเชื่อว่าเงินเฟ้อใกล้แตะจุดสูงสุดแล้ว แม้ว่า ECB ยังมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมแรงกดดันจากราคา ส่วนนายคอนสแตนตินอส เฮโรโดตู สมาชิกคณะกรรมการ ECB กล่าวว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป แต่ก็ใกล้สู่ระดับเป็นกลางแล้ว สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยตัวเลขเบื้องต้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนชะลอตัวสู่ระดับ 10.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 10.6% ในเดือน ต.ค. การปรับตัวของดัชนี CPI ในเดือนพ.ย.มีสาเหตุจากการชะลอตัวของราคาพลังงาน โดยดีดตัวขึ้น 34.9% ในเดือนพ.ย. แต่ต่ำกว่าระดับ 41.5% ในเดือนต.ค 🇬🇧การประชุม BoE วันที่ 15 ธ.ค ผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมรอบนี้ ก่อนหน้านี้ BoE ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.0% ในการประชุมวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2532 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 8 นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในไตรมาสแรกของปี 2566 และอีก 0.25% ในไตรมาส 2 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoE แตะเพดานสูงสุดที่ 4.25% อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq27/3380983 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BOE ECB FED News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ ครองแชมป์เศรษฐีหุ้น 4 ปีซ้อน กลุ่มทุนลาว PSG ปาดขึ้นเบอร์ 2 - FINNOMENA สำรัหข่าวอินโฟเควสท์รายงานผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2565 โดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8 ธ.ค. 2565 สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานผลการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยปี 2565 โดยวารสารการเงินธนาคาร ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยวัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศที่ถือหุ้นสูงสุด 10 อันดับแรกของ SET และ mai ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 ก.ย. ระบุว่า อันดับ 1 แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปี 2565 ยังคงเป็นของ สารัชถ์ รัตนาวะดี กรรมการ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้ว โดยถือหุ้นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 รวม 218,981.58 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 45,881.86 ล้านบาท หรือ 26.51% ซึ่ง สารัชถ์ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ GULF ในสัดส่วน 35.55% สารัชถ์ก้าวเข้ามาเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยครั้งแรกเมื่อปี 2562 โดยถือหุ้นมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 มีความมั่งคั่งรวม 120,959.99 ล้านบาท ต่อมาในปีที่ 2 ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็น 115,289.99 ล้านบาท และทะยานสู่ 173,099.73 ล้านบาท ในปีนี้ความมั่งคั่งของสารัชถ์พุ่งทะลุไปถึง 218,981.58 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยคนแรกที่มีความมั่งคั่งในระดับ 2 แสนล้านบาท อันดับ 2 ได้แก่ ปณิชา ดาว ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 ของ บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) ในสัดส่วน 80% รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 81,630.58 ล้านบาท PSG เดิมชื่อ บมจ.ที เอ็นจิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น (T) ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารโรงงาน คลังสินค้า อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า อาคารที่พักอาศัย โรงพยาบาล รวมถึงงานสาธารณูปโภค และงานติดตั้งเครื่องจักรต่างๆ มากว่า 40 ปี ต่อมาในวันที่ 12 ตุลาคม 2564 บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนครั้งใหญ่ โดยออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 54,044 ล้านหุ้น ขายนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) ในราคาหุ้นละ 0.02 บาท กลุ่มทุนจาก สปป.ลาว นำโดย ปณิชา ดาว ภรรยาของ เดวิด แวน ดาว ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท พีที จำกัดผู้เดียว (PTS) ที่ถือหุ้นในบริษัท หลวงพระบาง พาวเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ที่ สปป.ลาว เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่ แล้วเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บมจ.พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น (PSG) มี แวน ฮวง ดาว นั่งเป็นประธานกรรมการ และ เดวิด แวน ดาว เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อันดับ 3 ได้แก่ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ หรือ หมอเสริฐ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพและสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ตกจากอันดับ 2 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้นมูลค่ารวม 62,735.68 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 4,517.85 ล้านบาท หรือ 7.76% หุ้นที่หมอเสริฐถือครอง ประกอบด้วย บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เจ้าของเครือข่ายโรงพยาบาล อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ, สมิติเวช, บีเอ็นเอช, พญาไท, เปาโล ในสัดส่วน 12.77% และ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส 11.38% อันดับ 4 ได้แก่ นิติ โอสถานุเคราะห์ นักลงทุนรายใหญ่ ทายาทอาณาจักรโอสถสภา ลดจากอันดับ 3 เมื่อปีที่แล้ว โดยนิติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรกใน 8 บริษัท รวมมูลค่าหุ้นที่ถือครอง 58,124.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,870.84 ล้านบาท หรือ 3.33% อันดับ 5 ได้แก่ สมโภชน์ อาหุนัย เจ้าของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) กิจการธุรกิจพลังงาน จำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลดจากอันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว โดยหุ้น EA ที่ถือครองในสัดส่วน 11.05% มีมูลค่ารวม 36,366.27 ล้านบาท รวยลดลง 16,660.08 ล้านบาท หรือ 31.42% อันดับ 6 ได้แก่ ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม 1 บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ทายาทหมอเสริฐ กลับเข้ามาติดทำเนียบ TOP 10 เศรษฐีหุ้นไทย จากอันดับ 21 เมื่อปีที่แล้ว นอกเหนือจากหุ้น BDMS ที่ถือในสัดส่วน 5.08% และ BA 6.49% แล้ว ปีนี้ปรมาภรณ์ยังถือหุ้น บมจ.เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) หุ้นน้องใหม่ IPO ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 เพิ่มขึ้นอีก โดยถือหุ้น ONEE สูงเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วน 40.04% ส่งผลให้ปีนี้ความมั่งคั่งของปรมาภรณ์ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 35,001.87 ล้านบาท รวยเพิ่มขึ้น 20,950.06 ล้านบาท หรือ 149.09% อันดับ 7 และ 8 ได้แก่ สองเศรษฐีหุ้นเจ้าของ บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล (MTC) หรือชื่อเดิมคือ เมืองไทยลิสซิ่ง โดย ชูชาติ เพ็ชรอำไพ อยู่ในอันดับ 7 ตกจากอันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือครองหุ้น MTC ในสัดส่วน 33.49% และหุ้นของอีก 5 บริษัทรวมมูลค่าทั้งสิ้น 26,518.07 ล้านบาท ลดลง 15,133.90 ล้านบาท หรือ 36.30% ส่วน ดาวนภา เพ็ชรอำไพ ปีนี้อยู่ในอันดับ 8 จากอันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว โดยถือหุ้น MTC ในสัดส่วน 33.96% มูลค่า 26,100 ล้านบาท ลดลง 15,840.00 ล้านบาท หรือ 37.77% อันดับ 9 ได้แก่ อนันต์ อัศวโภคิน บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แบรนด์ “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” โดยขยับขึ้นมาจากอันดับ 12 เมื่อปีที่แล้ว โดยอนันต์ถือหุ้น บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ในสัดส่วน 23.93% มูลค่า 25,454 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,717 ล้านบาท หรือ 11.95% อันดับ 10 ได้แก่ คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดยหุ้นที่คีรีถือครองมีมูลค่ารวม 22,702.45 ลดลง 1,929.78 ล้านบาท หรือ 7.83% ประกอบด้วย หุ้น BTS 20.23% กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) 2.14% และ บมจ.เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ (NINE) 4.31% สำหรับแชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทย ปีนี้ ตระกูลรัตนาวะดี ก้าวขึ้นเป็น แชมป์ตระกูลเศรษฐีหุ้นไทยปี 2565 ด้วยการทำสถิติใหม่มีความมั่งคั่งสูงถึง 218,981.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45,881.85 หรือ 26.51% จากการถือหุ้น GULF ของสารัชถ์ รัตนาวะดี แชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปีนี้ อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2022/257073 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: GULF News Update PSG สารัชถ์ รัตนาวะดี เศรษฐีหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กูเกิลเผยคำค้นหายอดฮิตปี 2022 แชมป์คือ ‘Wordle’ เกมทายคำ 5 ตัวอักษร คนไทยเสิร์ช ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ มากสุด - FINNOMENA BBC ไทยรายงานคำที่คนทั่วโลกค้นหาในกูเกิลมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาคือคำว่า ‘Wordle’ ส่วนข่าวยูเครน คือข่าวที่ถูกค้นหามากที่สุด เมื่อดูเฉพาะประเทศไทย ปรากฏว่า คำค้นหายอดนิยมคือ ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ตามมาด้วย ‘แตงโม นิดา’ 8 ธ.ค. 2565 BBC ไทยรายงานคำที่คนทั่วโลกค้นหาในกูเกิลมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาคือคำว่า ‘Wordle’ ส่วนข่าวยูเครน คือข่าวที่ถูกค้นหามากที่สุด เมื่อดูเฉพาะประเทศไทย ปรากฏว่า คำค้นหายอดนิยมคือ ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ ตามมาด้วย ‘แตงโม นิดา’ 🌎 คำที่คนทั่วโลกค้นหามากที่สุดในปี 2022 จนถึงวันที่ 7 ธ.ค. คำที่คนทั่วโลกค้นหามากที่สุดในปี 2022 คือคำว่า ‘Wordle’ ซึ่งเป็นเกมทายคำ 5 ตัวอักษร โดยผู้เล่นจะได้รับโอกาสในการทายคำที่ถูกต้อง 5 ครั้ง ขณะที่คำว่า ‘India VS England’ คือคำที่ถูกค้นมากเป็นอันดับที่ 2 คาดว่า น่าจะเกี่ยวกับการแข่งขันคริกเก็ตชิงแชมป์โลกระหว่างทีมชาติอินเดียและทีมชาติอังกฤษ โดยกีฬาคริกเก็ตเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมใน 2 ชาตินี้ ตามมาด้วยคำว่า ‘Ukraine’ ซึ่งหมายถึงประเทศยูเครนที่กำลังสู้รบกับรัสเซียที่ยกทัพบุกยูเครนตั้งแต่ 24 ก.พ. และคำว่า ‘Queen Elizabeth’ ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งสวรรคตเมื่อ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะมีชนมพรรษา 96 พรรษา 📰 5 อันดับข่าวที่คนทั่วโลกสนใจค้นหามากที่สุด 2 อันดับแรก สอดคล้องกับคำค้นหายอดนิยมคือ ข่าวสถานการณ์สงครามในยูเครน และข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ตามมาด้วยข่าวผลการเลือกตั้ง ซึ่งปีนี้มีการจัดการเลือกตั้งขึ้นหลายประเทศ รวมถึงการเลือกตั้งในบราซิล, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลีย, มาเลเซีย และการเลือกตั้งกลางสมัยในสหรัฐฯ อันดับ 4 เป็นข่าวเลขพาวเวอร์บอลล์ ซึ่งเป็นลอตเตอรี่ในสหรัฐฯ โดยเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมีผู้ถูกรางวัลแจ็กพอต ได้รับเงินรางวัล 2,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 71,600 ล้านบาท) ถือเป็นเงินรางวัลล็อตเตอรีที่สูงที่สุดในโลก อันดับ 5 คือข่าวฝีดาษลิง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสฝีดาษลิง อยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ แต่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าฝีดาษธรรมดามาก และสามารถใช้วัคซีนป้องกันฝีดาษในการป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้ 🇹🇭5 คำค้นหายอดนิยมในไทย ส่วนคำค้นหายอดนิยมในประเทศไทย 5 อันดับแรกคือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, แตงโม นิดา, คนละครึ่ง เฟส 5, ใต้หล้าและ คังคุไบ โครงการของรัฐบาลติดอันดับคำค้น 2 โครงการคือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเปิดให้ประชาชนที่มีรายได้ไม่ถึง 100,000 บาทต่อปี และมีคุณสมบัติอื่น ๆ เข้าเกณฑ์ลงทะเบียนตั้งแต่ช่วงกลางปี และโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นให้คนจับจ่ายใช้สอยโดยรัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง ไม่เกินวันละ 150 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 800 บาท ตลอดโครงการ โดยได้มีการเปิดรับลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เมื่อช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ส่วนชื่อ ‘แตงโม นิดา’ ดาราสาวที่เสียชีวิตขณะล่องเรือพร้อมกับกลุ่มเพื่อนในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคำค้นหายอดนิยมมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เพราะการเสียชีวิตที่มีข้อน่าสงสัยหลายอย่างของเธอ ทำให้สื่อและประชาชนให้ความสนใจติดตามความคืบหน้าของคดีนี้อย่างใกล้ชิด และแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับแตงโมก็ติดอันดับในทวิตเตอร์มาแล้วหลายครั้ง ขณะที่อันดับ 4 ‘ใต้หล้า’ เป็นละครที่ออกอากาศทางช่องวัน 31 นำแสดงโดย ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร และอันดับ 5 ‘คังคุไบ’ เป็นชื่อของภาพยนตร์อินเดียที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิ์ของโสเภณี ความนิยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งมีชื่อเต็มว่า ‘Gangubai Kathiawadi’ หรือชื่อภาษาไทย ‘หญิงแกร่งแห่งมุมไบ’ ทำให้มีคนไทยจำนวนมากแต่งกายเลียนแบบตัวละครนำหญิงในเรื่อง อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/international-63892391 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: google Google Trends News Update Wordle แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% จากแนวโน้มการเปิดเมือง พร้อมกันกับตลาดเวียดนามได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติ - FINNOMENA วันนี้ 8 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 3% ตอบรับข่าวการผ่อนปรนนโยบายปิดเมืองเพื่อคุมเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทต่างๆ ที่ได้ประโยชน์เรื่องของการเปิดประเทศปรับตัวขึ้นทันที 8 ธ.ค. 2565 วันนี้ 8 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 3% ตอบรับข่าวการผ่อนปรนนโยบายปิดเมืองเพื่อคุมเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทต่างๆ ที่ได้ประโยชน์เรื่องของการเปิดประเทศปรับตัวขึ้นทันที แหล่งข่าวในฮ่องกงรายงานว่ารัฐบาลฮ่องกงกำลังทบทวนนโยบายการผ่อนปรมเพิ่มเติม เพื่อเตรียมตัวเปิดประเทศและต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ สอดคล้องกับท่าทีของทางการจีนวานนี้ที่ออก 10 มาตรการผ่อนคลายความเข้มงวด การควบคุมโควิด-19 เช่นเดียวกัน โดยทางการฮ่องกงจะเริ่มทบทวนมาตรการการบังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัย และผ่อนปรนการตรวจเชื้อสำหรับนัทท่องเที่ยวภายในประเทศ สร้างความมั่นใจเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของประเทศที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวขึ้น 3.1% โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้รับแรงหนุนมากที่สุดจากกลุ่มธนาคารและการเงินที่ปรับตัวขึ้น 3.66% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้น 1.65% และกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวขึ้น 3.4% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้รับปัจจัยเชิงบวกจากธนาคารกลางเวียดนามประกาศเพิ่มเพดานสินเชื่อในระบบการธนาคารขึ้น 1.5-2% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา(เพิ่ม Credit Quota ให้กับธนาคารที่มีสภาพคล่องมากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังอยู่ในระดับต่ำ) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและสาร้างการเติบโตให้กับภาคธุรกิจที่เป็นส่วนหลัก เช่น เกษตรกรรม ภาคการผลิต การส่งออก อีกทั้งแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติสะสมเป็นวันที่ 14 ติดต่อกัน โดยมูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมาจากฝั่งนักลงทุนต่างชาติมีมูลค่าเกิน 6 พันล้านดองแล้ว FINNOMENA Investment Team มองว่าการผ่อนคลายการควบคุมโควิดของจีนครั้งนี้ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ แต่ตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงระยะสั้นจากตลาดหุ้นโลกที่เริ่มมีความผันผวนก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 14-15 ธ.ค. รวมถึงยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศจีนจากความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี (P/E 12M 9.16x, -1.58 S.D.) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยสามารถทยอยสะสมได้ ในกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN และมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังมีทิศทางเชิงบวกในระยะสั้น จากการผ่อนคลายแรงกดดันในหลากหลายปัจจัยเสี่ยง ขณะที่ในเชิง Valuation ซึ่งเป็นปัจจัยที่เหมาะแก่การพิจารณาสำหรับการลงทุนในระยะยาว ยังอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 10.9 เท่า หรือ -1.23 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Fund Flow ของตลาดหุ้นเวียดนาม และศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เตือน Fed ทำพลาดครั้งใหญ่ สะท้อนในตลาดตราสารหนี้ ย้ำเงินฝืดเสี่ยงกว่าเงินเฟ้อ - FINNOMENA Cathie Wood กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้กำลังแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กำลัง ‘ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง’ เกี่ยวกับนโยบายการเงิน 8 ธ.ค. 2565 Cathie Wood กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้กำลังแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กำลัง ‘ทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง’ เกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซีอีโอของ Ark Investment กล่าวผ่านทาง Twitter ว่า เงินฝืดเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่กว่าเงินเฟ้อ ตอนนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และส่วนลดจำนวนของค้าปลีกกำลังตอกย้ำมุมมองของเธอ ผู้จัดการกองทุนชื่อดังกล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้เหมือนจะจะส่งสัญญาณว่า Fed กำลังทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เทียบกับ 2 ปี อยู่ที่ระดับ -80 bps บ่งชี้ถึงการเกิด Inverted Yield Curve มากสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 80 ที่อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเลขสองหลัก Cathie Wood สงสัยว่าทำไมนักเศรษฐศาสตร์ไม่โฟกัสการผกผันของเส้นอัตราผลตอบแทนที่ระดับ -80 bps ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าอันตรายสำหรับ Fed ยิ่งกว่าตอนต้นทศวรรษที่ 80 เสียอีก ซึ่งโดยปกติแล้ว Inverted Yield Curve จะชี้ไปที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรืออัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ Cathie Wood กล่าวว่า ที่น่าแปลกใจคือ ราคากลุ่มพลังงานของ S&P (XLE) อยู่ไม่ไกลจากระดับสูงสุดตลอดกาล แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลงจาก 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น 74 ดอลลาร์ก็ตาม ในขณะเดียวกัน หุ้นนวัตกรรมระยะเริ่มต้นที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะหลายตัวได้ลดลงต่ำกว่าระดับต่ำสุดตั้งแต่โควิด “ความจริงจะถูกค้นพบในที่สุดและหลีกเลี่ยงไม่ได้” Cathie Wood ทิ้งท้าย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-07/bond-market-shows-fed-making-serious-mistake-cathie-wood-says?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Cathie Wood FED News Update เงินฝืด แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนผ่อนคลายคุมโควิด ใช้พื้นที่สาธารณะไม่ต้องโชว์ผลตรวจแล้ว แต่การกลับสู่สภาวะปกติยังต้องใช้เวลา - FINNOMENA รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ประชาชนไม่จำเป็นต้องแสดงผลตรวจเป็นลบเพื่อเดินทางระหว่างส่วนต่างๆ ของประเทศอีกต่อไปแล้วในวันนี้ (7 ธ.ค.) 7 ธ.ค. 2565 รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด ประชาชนไม่จำเป็นต้องแสดงผลตรวจเป็นลบเพื่อเดินทางระหว่างส่วนต่างๆ ของประเทศอีกต่อไปแล้วในวันนี้ (7 ธ.ค.) ประกาศบนเว็บไซต์ของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการควบคุมโควิดเมื่อไม่นานมานี้ เช่น การอนุญาตให้ชาวจีนจำนวนมากขึ้นสามารถกักตัวอยู่ที่บ้านได้ โดยมาตรการควบคุมโควิดใหม่ยังระบุด้วยว่า นอกเหนือจากบ้านพักคนชรา โรงเรียนประถมถึงมัธยมต้น และคลินิกสุขภาพแล้ว สถานที่ต่างๆ ไม่กำหนดให้มีผลตรวจเป็นลบเพื่อเข้าไปใช้สถานที่แล้ว ก่อนหน้านี้ ทางการจีนเข้มงวดในการควบคุมโควิดอย่างมาก เช่น เมืองหลวงอย่างปักกิ่งกำหนดให้ผู้คนต้องสแกน ‘รหัสสุขภาพ’ ด้วยแอปสมาร์ตโฟนเพื่อเข้าไปในสถานที่สาธารณะ ซึ่งรหัสสุขภาพดังกล่าวต้องแสดงผลตรวจเป็นลบในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา หากมีการสัมผัสกับการติดเชื้อหรือพื้นที่เสี่ยง แอปจะแสดงหน้าต่างป็อปอัปทำให้ไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่สาธารณะ หรือขึ้นรถไฟหรือเครื่องบินได้ ซึ่งปักกิ่งได้ผ่อนคลายข้อกำหนดการสแกนรหัสสุขภาพในวันอังคาร (6 ธ.ค.) แม้จะมีการผ่อนคลายมาตรการโควิดทั่วประเทศในช่วงกลางเดือน พ.ย. แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นและการใช้นโยบายโควิดอย่างเข้มงวดได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนจนเกิดการประท้วงในช่วงสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือน พ.ย. ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศได้ยกเลิกข้อกำหนดการทดสอบไวรัสหลายข้อ Dan Wang หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Hang Seng China กล่าวกับ CNBC ว่า เมื่อพูดถึงการนำไปปฏิบัติ มีความไม่สอดคล้องกันมากมายระหว่างแผนกและภูมิภาคต่างๆ ทำให้ไม่รู้ว่า ‘การกลับสู่สภาวะปกติ’ สามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ภายใน 6 เดือนข้างหน้า หรือไม่ เห็นได้จากการควบคุมโควิดเมืองเล็กๆ อย่าง ไท่หยวนและซีอา ยังคงตามหลังปักกิ่งอยู่มาก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/12/07/china-eases-covid-restrictions-on-travel-and-production.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลดลง 3.22% หลังจีนรายงานดุลการค้าอ่อนแอกว่าคาด - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวลดลง 3.22% นำโดยกลุ่ม Technology ปรับตัวลง 3.39% กลุ่ม Real Estate ปรับตัวลง 4.39% และกลุ่มธนาคารและการเงิน ปรับตัวลง 2.55% หลังจากจีนรายงานตัวเลขดุลการค้าเดือนพ.ย. ที่ 69.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แย่กว่าตลาดคาด 7 ธ.ค. 2565 วันนี้ 7 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวลดลง 3.22% นำโดยกลุ่ม Technology ปรับตัวลง 3.39% กลุ่ม Real Estate ปรับตัวลง 4.39% และกลุ่มธนาคารและการเงิน ปรับตัวลง 2.55% หลังจากจีนรายงานตัวเลขดุลการค้าเดือนพ.ย. ที่ 69.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แย่กว่าตลาดคาดที่ระดับ 79.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตัวเลขการส่งออกหดตัว 8.7%(YoY) ต่ำกว่าตลาดคาดที่หดตัว 3.6%(YoY) ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าหดตัว 10.6%(YoY) แย่กว่าตลาดคาดที่หดตัว 5.0% (YoY) นอกจากนี้ดัชนี Hang Seng ยังได้รับ Sentiment ลบตามตลาดหุ้นโลกจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หลังผู้บริหารธนาคารแห่งใหญ่อย่าง JP morgan และ Goldman Sachs ออกมาเตือนว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แย่ลง อาจนำมาซึ่งเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ตลาดหุ้นจีน (CSI300) ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.25% จากปัจจัยลบดังกล่าว แต่ก็มีปัจจัยหนุนชดเชยจากรัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายการควบคุมโควิดรอบ 3 ปี ส่งผลให้หุ้นจีนในกลุ่ม Consumer Discretionary และ Industrials ปรับตัวขึ้น 1.2% และ 0.75% ซึ่งช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นปรับลงเพียงเล็กน้อยในวันนี้ FINNOMENA Investment Team การผ่อนคลายการควบคุมโควิดของจีนครั้งนี้ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกจากปัจจัยภายในประเทศ แต่ตลาดหุ้นจีนยังมีความเสี่ยงระยะสั้นจากตลาดหุ้นโลกที่เริ่มมีความผันผวนก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 14-15 ธ.ค. รวมถึงยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศจีนจากความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี (P/E 12M 9.16x, -1.58 S.D.) จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยสามารถทยอยสะสมได้ ในกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกปี 2023 อาจเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี นักเศรษฐศาสตร์คาดโตเพียง 2.4% - FINNOMENA เศรษฐกิจโลกกำลังจะเผชิญกับปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี เนื่องจากวิกฤตการณ์พลังงานที่เป็นผลมาจากสงครามในยูเครนนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 7 ธ.ค. 2565 เศรษฐกิจโลกกำลังจะเผชิญกับปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี เนื่องจากวิกฤตการณ์พลังงานที่เป็นผลมาจากสงครามในยูเครนนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ รายงานว่า Scott Johnson นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg Economics คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวเพียง 2.4% ในปี 2566 ซึ่งลดลงจากปี 2565 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.2% และจะเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2536 โดยไม่นับรวมวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2552 และ 2563 อย่างไรก็ตาม ทิศทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศยังแตกต่างกัน โดยเศรษฐกิจของยูโรโซนจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงต้นปี 2566 และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยในช่วงปลายปี 2566 สวนทางกับเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะขยายตัวมากกว่า 5% โดยได้แรงหนุนจากการที่รัฐบาลมีแนวโน้มยุตินโยบายโควิดเป็นศูนย์เร็วกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งการใช้มาตรการฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ Scott Johnson เสริมว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แตกต่างกันนี้จะเห็นได้จากการดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกัน โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารต่างๆ ในยุโรปต่างก็ใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเป็นเวลานานนับปี ขณะที่จีนยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านสถาบันการเงินชั้นนำในวอลล์สตรีทกำลังกลับมาใช้ธรรมเนียมปฏิบัติเดิมอีกครั้ง หลังจากที่เคยระงับชั่วคราวในช่วงโควิดระบาด โดย Morgan Stanley วาณิชธนกิจระดับโลกจากสหรัฐ ปลดพนักงานทั่วโลกประมาณ 2% ในวันอังคาร (6 ธ.ค.) โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพนักงานราว 1,600 รายในเกือบทุกภาคส่วนขององค์กร จากพนักงานทั้งหมด 81,567 ราย ขณะที่ Brian Moynihan ซีอีโอของ Bank of America ระบุว่า บริษัทกำลังชะลอการจ้างงานเนื่องจากพนักงานลาออกน้อยลงเพื่อพยายามจัดการจำนวนพนักงานของบริษัทก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ด้าน David Solomon ซีอีโอของ Goldman Sachs กล่าวถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ดังนั้นโบนัสที่ลดลงและการปลดพนักงานที่อาจเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจ ที่ผ่านมานั้น ภาคธนาคารของสหรัฐจะทำการปลดพนักงานที่มีผลงานต่ำกว่ามาตรฐานเป็นประจำทุกปี โดยธนาคารจะปลดพนักงาน 1% -5% หากพนักงานเหล่านั้นถูกพิจารณาว่าเป็นจุดอ่อนขององค์กร ก่อนถึงช่วงเวลาการจ่ายเงินโบนัส เพื่อที่จะนำเงินก้อนดังกล่าวมาจ่ายให้พนักงานที่เหลืออยู่ได้มากขึ้น อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3380330 https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-06/world-economy-heads-for-one-of-its-worst-years-in-three-decades?sref=e4t2werz https://www.infoquest.co.th/2022/256665 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เศรษฐกิจโลก แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เวียดนามเนื้อหอม ‘ซัมซุง’ และ ‘แอลจี’ จ่อลงทุนเพิ่ม รวมแล้ว 6 พันล้านดอลลาร์ - FINNOMENA เวียดนามเปิดเผยว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้ ทั้ง ‘ซัมซุง’ และ ‘แอลจี’ วางแผนลงทุนเพิ่มเติมอีกหลายพันล้านดอลลาร์ในเวียดนาม 6 ธ.ค. 2565 เวียดนามเปิดเผยว่า 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้ ทั้ง ‘ซัมซุง’ และ ‘แอลจี’ วางแผนลงทุนเพิ่มเติมอีกหลายพันล้านดอลลาร์ในเวียดนาม อินโฟเควสท์รายงานว่า การประกาศดังกล่าวของสื่อทางการของรัฐและรัฐบาลเวียดนามมีขึ้นหลังจากซัมซุงปรับลดการผลิตสมาร์ทโฟนในเวียดนามลง 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากดีมานด์ลดลงทั่วโลก ที่ผ่านมา ซัมซุงซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ได้ผลิตสมาร์ทโฟนประมาณครึ่งหนึ่งในเวียดนามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม สื่อทางการของเวียดนามรายงานว่า ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จะลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ในเวียดนาม ส่งผลให้ยอดรวมเพิ่มแตะ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่แอลจีจะลงทุนเพิ่มอีก 4 พันล้านดอลลาร์เพื่อให้เวียดนามก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตกล้องสมาร์ทโฟน ขณะที่ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2538 แอลจีได้ลงทุนในเวียดนามไปแล้วทั้งสิ้น 5,300 ล้านดอลลาร์ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ในครัวเรือน และชิ้นส่วนรถยนต์ และจ้างพนักงานราว 27,000 คน ควอน บง ซอก ระบุ ด้านประธานาธิบดีฟุ้ก กล่าวว่า เขาให้ความสำคัญกับการลงทุนของ LG ในเวียดนาม และได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เขาได้เข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานของ LG มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ใน จ.หายฟ่อง เมื่อปี 2559 อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2022/256550 https://mgronline.com/indochina/detail/9650000115994 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ซัมซุง เวียดนาม แอลจี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามดิ่งลง 5% จากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มการเงิน และอสังหาฯ - FINNOMENA วันนี้ 6 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30) ปรับตัวลดลง 5.12% สู่ระดับ 1,054.06 นำโดยหุ้นกลุ่นธนาคารที่ปรับตัวลง 5.6% กลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 4.8% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลง 4.1% 6 ธ.ค. 2565 วันนี้ 6 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30) ปรับตัวลดลง 5.12% สู่ระดับ 1,054.06 นำโดยหุ้นกลุ่นธนาคารที่ปรับตัวลง 5.6% กลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 4.8% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลง 4.1% สวนทางการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้าตลาดหุ้นเวียดนามอย่างต่อเนื่องรวม 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่มีการรวบรวมข้อมูล โดยการปรับตัวลงดังกล่าว เป็นการปรับตัวลงตามทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นโลกในคืนที่ผ่านมาหลังจากตัวเลข ISM non-Manufactoring PMI ของสหรัฐที่ประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้มากกว่าคาด ประกอบกับความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจจะกระทบภาคอุตสาหกรรมของเวียดนาม หลังผลสำรวจคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Order) ลดลงในสหรัฐและยุโรป ส่งผลกระทบต่อเชิงลบต่อเวียดนาม ที่เป็นแหล่งการผลิตจำนวนมากจากการที่หลายประเทศย้ายฐานการผลิตจากจีนมาที่เวียดนาม FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 10.9 เท่า หรือ -1.23 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Fund Flow ของตลาดหุ้นเวียดนาม และศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla เปิดตัว Semi ปฏิวัติวงการรถบรรทุกไฟฟ้า ชาร์จไฟรวดเร็ว ช่วยลดโลกร้อน - FINNOMENA Tesla เปิดตัว Semi รถกึ่งพ่วงหรือรถบรรทุกไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี (1 พ.ย.) พร้อมเผยว่า รถบรรทุกไฟฟ้าจะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ 6 ธ.ค. 2565 Tesla เปิดตัว Semi รถกึ่งพ่วงหรือรถบรรทุกไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี (1 พ.ย.) พร้อมเผยว่า รถบรรทุกไฟฟ้าจะช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ก่อนหน้านี้ Tesla เปิดตัว รถบรรทุกไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2560 แต่การผลิตเกิดความล่าช้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด และปัญหาซัพพลายเซลล์แบตเตอรี สำหรับครั้งนี้ Elon Musk ได้ขอบคุณ ‘ฟริโต เลย์’ ตัวแทน บริษัทเป๊ปซี่ ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรกที่ซื้อและใช้รถบรรทุกของ Tesla Elon Musk กล่าวว่า สหรัฐฯ มีรถยนต์โดยสาร 15 ล้านคน และมีการใช้รถบรรทุกกว่า 200,000 คัน ดูเหมือนเป็นสัดส่วนไม่เยอะ แต่รถบรรทุกส่วนใหญ่ปล่อยมลพิษจำนวนมาก เนื่องจากมีขนาดใหญ่ น้ำหนักมากและมีการใช้งานตลอดวัน อีกทั้งมลพิษส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนที่อาศัยใกล้คลังสินค้า ท่าเรือ และถนนสายต่างๆ ที่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านปริมาณมาก Tesla ระบุว่า รถบรรทุกไฟฟ้า ไม่ได้ช่วยต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเสียงเงียบ และอาจช่วยปรับคุณภาพอากาศและพัฒนาสุขภาพประชาชนที่อยู่ใกล้กับถนนหนทางต่างๆ พร้อมกล่าวถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่างยังไม่มีจำหน่ายที่อื่น รวมถึงระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็ว และมีแบตเตอรีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่งอื่นด้วย Semi ของ Tesla สามารถขับได้ระยะทางไกลถึง 500 ไมล์จากการชาร์จเต็มในครั้งเดียว ซึ่งเทคโนโลยีชาร์จไฟแบบรวดเร็วนี้ ได้ติดตั้งในสถานีชาร์จไฟฟ้าของเทสลา เพื่อใช้ชาร์จรถกระบะไฟฟ้าแล้ว ข่าวดังกล่าวคลายความกังวลให้นักลงทุน เพราะส่งสัญญาณว่า Elon Musk กลับมาให้ความสำคัญกับ ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เพราะก่อนหน้านี้มัสก์ได้ทำการขาย หุ้นเทสลา จำนวนมาก เพื่อซื้อทวิตเตอร์ตามตกลงไว้ 44,000 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/world/1041060 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Semi Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักลงทุนสถาบันสนใจหุ้นวัฏจักร เดิมพัน Fed เลี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้ เล็งกลุ่มอุตสาหกรรม - ผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ - FINNOMENA นักลงทุนกำลังเดิมพันว่าเศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แม้จะมีคำเตือนในทางตรงข้ามก็ตาม 6 ธ.ค. 2565 นักลงทุนกำลังเดิมพันว่าเศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ แม้จะมีคำเตือนในทางตรงข้ามก็ตาม รายงานของ Goldman Sachs ระบุว่า ผู้จัดการกองทุนที่ดูแลเงิน 5 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังสนใจหุ้นที่มีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ เช่น บริษัทอุตสาหกรรมและผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนหุ้นที่มีแนวโน้มจะไปได้ดีในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น สาธารณูปโภคและสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ท่าทีดังกล่าวเป็นการเดิมพันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สามารถควบคุมเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Soft Landing) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ ขณะที่รายงานตัวเลขในตลาดแรงงานและภาคบริการของอเมริกาออกมาแข็งแกร่งในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ว่านักลงทุนสถาบันมองว่าตลาดขาขึ้นและอยู่ในภาวะ Risk On แบบเต็มรูปแบบ เพราะในปีนี้พวกเขาได้เพิ่มการถือครองเงินสดหรือเพิ่มการเดิมพันตลาดหมี หลัง Fed ใช้นโยบายเข้มงวดเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ แต่ตอนนี้พวกเขาสนใจหุ้นวัฏจักร ซึ่งขัดแย้งกับความกังวลอย่างกว้างขวางว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ตาม ในการสำรวจผู้จัดการกองทุนของ Bank of America เมื่อเดือนที่แล้ว พบว่า 77% คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดโควิดในปี 2020 การทุ่มซื้อหุ้นดังกล่าวเชื่อมโยงกับความหวังที่ว่า Fed จะสามารถทำให้เกิด Soft Landing ได้ นั่นแปลว่า ข่าวร้ายของเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตลาด เพราะแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ Fed ทำนั้นได้ผล และสามารถถอยห่างจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงได้ การไม่สนใจภาวะเศรษฐกิจถดถอยสะท้อนในตลาด S&P 500 จึงพุ่งขึ้นมากกว่า 10% จากระดับต่ำสุดในเดือน ต.ค. แม้ข้อมูลในด้านต่าง ๆ เช่น การเคหะและการผลิตจะแย่ลง รวมถึงการประมาณการกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หุ้นถูกเทขายในวันจันทร์ (5 ธ.ค.) ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.8% หลังตัวเลขภาคบริการของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ทำให้เกิดความกังวลว่า Fed อาจยังต้องใช้นโยบายเข้มงวดต่อไป อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-12-05/study-of-5-trillion-funds-show-pros-positioned-for-soft-economic-landing?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update นักลงทุนสถาบัน หุ้นวัฏจักร แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามพุ่งเกือบ 5% หลังนักลงทุนต่างชาติสะสมมากเป็นประวัติการณ์ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30) ปรับตัวขึ้น 4.83% สู่ระดับ 1,092.99 จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ โดย ETF Flow ของกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีเงินไหลเข้าสุทธิ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 2 ธ.ค. 2565 วันนี้ 2 ธ.ค. 65 ตลาดหุ้นเวียดนาม (VN 30) ปรับตัวขึ้น 4.83% สู่ระดับ 1,092.99 จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ โดย ETF Flow ของกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีเงินไหลเข้าสุทธิ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่มีการรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ในช่วงเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามมีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 904.77 จุด ณ วันที่ 15 พ.ย. ส่งผลทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดแก่นักลงทุนต่างชาติให้เริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการผ่อนคลายของปัญหาต่างๆ ที่เคยกดดัน อาทิ สภาพคล่องของหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน สอดคล้องกับมุมมองของ S&P ที่ระบุว่าปัญหาทางด้านสภาพคล่องได้ผ่านจุดแย่ที่สุดไปแล้ว และสภาวะ Risk-on ของตลาดการเงินทั่วโลกหลังจากเฟดส่งสัญญาณชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยหนุนต่อตลาดหุ้นเวียดนามให้ปรับตัวขึ้น 13.1% (WoW) ในสัปดาห์นี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีทิศทางเชิงบวกในระยะสั้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาระดับ Valuation ที่อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.5 เท่า หรือ -1.8 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง และศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง จึงแนะนำทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สรรพสามิตร่อนหนังสือถึง ‘เนต้า’ กรณีขึ้นราคา เนต้า V อีก 3 -5 หมื่นบาท ยันทำไม่ได้ ผิดเงื่อนไข MOU - FINNOMENA สรรพสามิตเตรียมร่อนหนังสือถึงค่ายรถอีวี ‘เนต้า’ วันนี้ ให้ทำหนังสือชี้แจงกรณีประกาศเตรียมปรับขึ้นราคารถที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ยันการปรับราคาทำไม่ได้-ผิดเงื่อนไข 2 ธ.ค. 2565 สรรพสามิตเตรียมร่อนหนังสือถึงค่ายรถอีวี ‘เนต้า’ วันนี้ ให้ทำหนังสือชี้แจงกรณีประกาศเตรียมปรับขึ้นราคารถที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ยันการปรับราคาทำไม่ได้-ผิดเงื่อนไข วันนี้ (2 ธ.ค.) ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยถึงกรณีมีข่าวว่าทางค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ‘เนต้า’ ออกมาประกาศว่า เตรียมปรับขึ้นราคารถยนต์อีวี รุ่น เนต้า shoppingmode วี (NETA V) เพิ่มขึ้นอีก 30,000-50,000 บาท จากเดิมที่ขายในราคา 549,000 บาทนั้น ทางกรมยืนยันว่าไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะราคาที่ขายต้องได้รับอนุมัติจากกรมสรรพสามิต “การปรับราคาทำไม่ได้ เพราะผิดเงื่อนไขที่มีการเอ็มโอยูกันไว้ และราคาที่กรมอนุมัติไปแล้วเป็นราคาที่รัฐบาลจ่ายอุดหนุน” นายเอกนิติกล่าว ขณะที่นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิตกล่าวว่า วันนี้กรมสรรพสามิตจะมีหนังสือไปถึงทางค่ายรถยนต์ไฟฟ้า “เนต้า” เพื่อให้ชี้แจงถึงกรณีที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ออกมาประกาศว่าเตรียมปรับขึ้นราคารถยนต์อีวีรุ่น เนต้า shoppingmode วี อีก 30,000-50,000 บาท จากเดิมที่ขายในราคา 549,000 บาท ซึ่งราคาเดิมเป็นราคาที่ได้รับการอนุมัติจากกรมสรรพสามิต เนื่องจากรถอีวีรุ่นดังกล่าวเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล “กรมจะให้ทางบริษัททำหนังสือชี้แจงมา เพราะว่าในข้อเท็จจริงแล้ว การปรับราคาทำไม่ได้ เนื่องจากการจะปรับราคา ต้องได้รับการอนุมัติโครงสร้างราคาจากกรมสรรพสามิต ซึ่งราคาที่เราอนุมัติไปเป็นราคาเดิม” นายณัฐกรกล่าว อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1136787 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: NETA NETA V News Update เนต้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk เรียกร้อง Fed ลดดอกเบี้ย เตือนเศรษฐกิจถดถอยกำลังใกล้เข้ามา พร้อมเผยความหวังทดสอบ 'นิวรัลลิงค์' กับมนุษย์ - FINNOMENA มหาเศรษฐีชื่อดัง Elon Musk เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ​ (Fed) ลดดอกเบี้ยทันที เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังใกล้เข้ามา พร้อมเผยความหวังทดสอบชิปสมอง 'นิวรัลลิงค์' กับมนุษย์ในอีก 6 เดือน 2 ธ.ค. 2565 มหาเศรษฐีชื่อดัง Elon Musk เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยทันที เพราะภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังใกล้เข้ามา พร้อมเผยความหวังทดสอบชิปสมอง ‘นิวรัลลิงค์’ กับมนุษย์ในอีก 6 เดือน Elon Musk ทวีตแสดงความกังวลว่า การที่ Fed พยายามฉุดเงินเฟ้อให้ต่ำลงจะยิ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายลง พร้อมเรียกร้องให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในทันที มิฉะนั้นความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะถดถอยจะทวีความรุนแรงมากขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Elon Musk ออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเผชิญภาวะถดถอย เมื่อปลายเดือนที่แล้ว (24 ต.ค.) Elon Musk คาดการณ์ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกจะเกิดขึ้นยาวนานจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2023 ซึ่งคำเตือนดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับบรรดาผู้บริหารทั่วโลก นอกจากนี้ Elon Musk ยังได้เผยความหวังว่า ชิปใส่สมองมนุษย์ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท นิวรัลลิงค์ (Neuralink) ของเขา จะสามารถเริ่มการทดสอบกับมนุษย์ได้ในอีก 6 เดือน หลังจากที่พลาดกำหนดการเดิมมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยชิปดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อช่วยสั่งการควบคู่กับสมองของคนเรา ซึ่งอาจช่วยให้ผู้พิการสามารถเคลื่อนไหวหรือสื่อสารได้อีกครั้ง รวมทั้งอาจช่วยฟื้นฟูความสามารถในการมองเห็น ช่วงไม่กี่ปีมานี้ นิวรัลลิงค์ได้ทำการทดสอบชิปดังกล่าวกับสัตว์ทดลอง และพยายามขอการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) เพื่อให้สามารถทดลองกับมนุษย์จริง ๆ ได้ มัสก์ กล่าวที่สำนักงานใหญ่ของนิวรัลลิงค์ในวันพุธว่า “เราต้องใช้ความระมัดระวังและความมั่นใจว่าชิปนี้สามารถทำงานได้จริงก่อนที่จะนำไปใส่ในสมองของมนุษย์” โดยสองเป้าหมายแรกของชิปนิวรัลลิงค์ คือ การฟื้นฟูความสามารถในการมองเห็นและการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อของผู้พิการ “เราเชื่อว่าแม้แต่ผู้ที่เกิดมาตาบอด ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยนวัตกรรมนี้” มัสก์กล่าว อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3379154 https://www.voathai.com/a/6858571.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk FED News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Blackrock เผยกลยุทธ์ลงทุนปี 2023 แนะ ‘ซื้อ’ หุ้นแบงก์-พลังงาน จากผลประกอบการที่ดี ‘ขาย’ บอนด์ยุโรป - ตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่น EM - FINNOMENA Blackrock เผยคู่มือการลงทุนใหม่สำหรับปี 2023 แนะนำซื้อหุ้นธนาคารและพลังงานจากผลประกอบการที่ดี พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลยุโรประยะยาวและตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นในตลาดเกิดใหม่ 1 ธ.ค. 2565 Blackrock เผยคู่มือการลงทุนใหม่สำหรับปี 2023 แนะนำซื้อหุ้นธนาคารและพลังงานจากผลประกอบการที่ดี พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลยุโรประยะยาวและตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นในตลาดเกิดใหม่ ในภาพรวมของปี 2023 BlackRock Investment Institute (BII) มองว่า แม้การลงทุนในตลาดตราสารหนี้มีแนวโน้มสดใส ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นน่าดึงดูดใจ แต่พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวยังคงเผชิญแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง โดย Wei Li หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนตลาดโลกของ BII กล่าวว่า ผลกระทบจากเศรษฐกิจมหภาคที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้านั้นยังไม่ได้รับการสะท้อนอย่างสมบูรณ์ในราคาตลาด Blackrock มองว่า ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมากเกินไปเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งนี่จะก่อให้เกิดภาวะถดถอยในปีหน้า ดังนั้น Blackrock ยังมีคำแนะนำลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่แนะนำตราสารหนี้ภาคธุรกิจคุณภาพสูง และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุสั้น ที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยในระดับสูง ขณะที่ Jean Boivin ประธาน BII กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังจะลดลง แต่เขาไม่คิดว่าเรากลับเข้าสู่โลกที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับ 2% ที่ทุกคนคุ้นเคยในเร็วๆ นี้ เงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ระดับ 3% มากกว่าในตลาดช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ BlackRock กล่าวว่า ในสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจถดถอย กลยุทธ์แบบเก่าที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวและปลอดภัยอาจไม่ได้ผลในปีหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจอยู่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ บริษัทจึงให้น้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวต่ำกว่ามาตรฐานในพอร์ตการลงทุนทั้ง tactical และ strategic อ้างอิง: https://www.reuters.com/business/finance/blackrock-backs-banks-cuts-european-em-debt-part-new-playbook-2022-11-30/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เนต้าขึ้นราคา ‘เนต้า V’ อีก 3-5 หมื่น จาก 5.49 แสนบาท แจงปัญหาต้นทุนผลิตพุ่ง มีผลตั้งแต่ 1 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป - FINNOMENA เนต้าขึ้นราคา ‘เนต้า V’ อีก 30,000-50,000 บาท แจงปัญหาต้นทุนผลิต แบตเตอรี่ ค่าขนส่ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนพุ่ง 30 พ.ย. 2565 เนต้าขึ้นราคา ‘เนต้า V’ อีก 30,000-50,000 บาท แจงปัญหาต้นทุนผลิต แบตเตอรี่ ค่าขนส่ง รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนพุ่ง ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายอเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยถึงปัญหาต้นทุนการผลิต เช่น วัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ ค่าขนส่ง อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายเบื้องต้นคาดว่าราคาจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นอีก 30,000-50,000 บาท โดยลูกค้าที่จะซื้อรถตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไปจะต้องซื้อในราคาใหม่ส่วนลูกค้าที่ซื้อรถไปก่อนหน้านี้ จะได้รับราคาเดิม บริษัทมียอดจองรถอีวี เนต้าV ไปแล้ว 7,000 คัน ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการส่งมอบ โดยภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 บริษัทจะส่งมอบรถ ให้ครบจำนวน 3,000 คัน ซึ่งล่าช้ากว่าตามแผนงานเดิมไปเล็กน้อย ภายใต้การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่สูงมากตอนนี้ถือว่า เนต้ามั่นใจในการทำตลาดสูงมาก ซึ่งล่าสุดค่ายเอ็มจี เพิ่งเปิดราคาขาย MG4 ไฟฟ้า 100% ในราคา 869,000 บาท และยังมีคู่แข่งในระดับราคาใกล้เคียงอีกหลายแบรนด์ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1134751 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: NETA NETA V News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เจ มาร์ท’ ปิดดีล ‘สุกี้ตี๋น้อย’ ควัก 1,200 ล้านบาท ถือหุ้น 30% ลุยขยายสาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด - FINNOMENA ‘เจ มาร์ท’ ปิดดีล 1,200 ล้านบาท ถือหุ้น ‘สุกี้ตี๋น้อย’ 30% พร้อมเดินหน้า Synergy สร้างการเติบโต ลุยขยายสาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด 30 พ.ย. 2565 ‘เจ มาร์ท’ ปิดดีล 1,200 ล้านบาท ถือหุ้น ‘สุกี้ตี๋น้อย’ 30% พร้อมเดินหน้า Synergy สร้างการเติบโต ลุยขยายสาขาทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด วันนี้ (30 พ.ย.) บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่าบริษัทได้ปิดดีลการเข้าลงทุน และลงนามสัญญาผู้ถือหุ้น ในบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (BNN) ซึ่งประกอบธุรกิจร้านอาหารภายใต้แบรนด์ ‘สุกี้ ตี๋น้อย’ จำนวน 352,941 หุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด มูลค่าลงทุนรวมไม่เกิน 1,200 ล้านบาท เสร็จสิ้นแล้วในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนกับ BNN ถือเป็น Strategic Partner ที่มีศักยภาพการเติบโตระดับสูง โดยเฉพาะผู้ก่อตั้ง คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจให้เติบโต มีกลยุทธ์การตลาดที่โดดเด่น ตอบโจทย์ผู้บริโภค พร้อมกับเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 2-3 ปีจากนี้ ขณะเดียวกัน BNN มีทิศทางผลประกอบการเติบโตในระดับที่ดี จากปี 2562 มีรายได้ 499 ล้านบาท กำไร 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสู่ปี 2564 มีรายได้ 1,564 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 55.80% และจากการลงทุนดังกล่าวจะทำให้ BNN ได้เทคโนโลยีจาก JMART Group รวมถึงการ Synergy เพื่อสร้างการเติบโตแบบ J-Curve ไปด้วยกัน “เรามองว่าสิ่งที่จะเข้าไปเสริม BNN ได้ทันที คือนำระบบ และมาตรฐาน เตรียมความพร้อมเรื่องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันมีสุกี้ตี๋น้อยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 42 สาขาเท่านั้น คาดว่าในปี 2566 จะขยายไปต่างจังหวัดตามกระแสเรียกร้อง โดยตั้งเป้าว่าในปีหน้าจะขยายเพิ่มอีกกว่า 10 สาขาเป็นอย่างน้อย ด้วยการนำเทคโนโลยี ระบบ CRM และการบริหารจัดการภายในมาใช้ ทำให้ BNN ก้าวสู่การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในอนาคต” อ้างอิง: https://www.prachachat.net/ict/news-1134537 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update สุกี้ตี๋น้อย เจ มาร์ท แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ครม.ไฟเขียวเก็บภาษีขายหุ้น ปีแรกเก็บ 0.055% หลังจากนั้นเก็บ 0.1% มีผลใน 90 วัน หรือไตรมาส 2 ปีหน้า หลังเว้นใช้กฎหมายมานานกว่า 30 ปี - FINNOMENA ครม.ไฟเขียวเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% หลังเว้นใช้กฎหมายมานานกว่า 30 ปี โดยจะมีผล 90 วันหลังประกาศใช้หรือประมาณไตรมาส 2 ปี 2566 โดยในปีแรกเก็บ 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น คาดจัดเก็บรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท 29 พ.ย. 2565 ครม.ไฟเขียวเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% หลังเว้นใช้กฎหมายมานานกว่า 30 ปี โดยจะมีผล 90 วันหลังประกาศใช้หรือประมาณไตรมาส 2 ปี 2566 โดยในปีแรกเก็บ 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น คาดจัดเก็บรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่าที่ประชุม ครม. ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วันนี้ (29 พ.ย.) เห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะและกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่… พ.ศ…(การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์) การเก็บภาษีขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอในอัตรา 0.10% โดยเก็บภาษีจากธุรกรรมการขายหุ้น (Transaction Tax) ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคำนวณจากรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยจะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.10% (อัตราตามมาตรา 91/6(1)) ของมูลค่าที่ขาย ทั้งนี้กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วันหลังประกาศใช้เพื่อให้นักลงทุนรับทราบข้อมูลอย่างทั่วถึง โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ในไตรมาส 2 ปี 2566 โดยในปีแรกจะเก็บอัตรา 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถื่น แบ่งเป็นภาษีขายหุ้น 0.050% และภาษีท้องถิ่น 0.005% กระทรวงการคลัง รายงาน ครม.ว่าภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 2534 ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 240) พ.ศ.2534 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าการจัดเก็บรายได้ส่วนนี้จะทำให้ภาครัฐได้รายได้เพิ่มขึ้น 1 – 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้การเก็บภาษีขายหุ้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปโครงสร้างภาษีของกระทรวงการคลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐให้มีความยั่งยืน โดยหนึ่งในแผนคือการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือ Financial Transaction tax ซึ่งจะเริ่มในปี 2565 หลังจาก ภาษีดังกล่าวที่ถูกยกเว้นมานานกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง มีความจำเป็นต้องเก็บภาษีดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับภาครัฐ หลังจากที่ได้มีการยกเว้นการจัดเก็บมาอย่างยาวนาน โดยการนำกฎหมายภาษีตัวใดออกมาใช้ในประเทศนั้น จำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆว่า มีการฟื้นตัวแล้วหรือยังด้วย อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1040438 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ภาษีขายหุ้น ภาษีหุ้น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนผ่อนคลาย 'กฎเหล็กโควิด' โยนความผิด ‘กลุ่มพลังแฝง’ ปลุกกระแสต่อต้าน รัฐบาลคุมได้ ไม่มีสัญญาณการประท้วงใหม่แล้ว - FINNOMENA ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการควมคุมการระบาดของโควิด-19 บางส่วน แต่ยังรักษายุทธศาสตร์ ‘โควิดเป็นศูนย์’ ในภาพรวม หลังประชาชนประท้วงและเรียกร้องให้ปธน. สี จิ้นผิง ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเเสดงการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี 29 พ.ย. 2565 ทางการจีนผ่อนคลายมาตรการควมคุมการระบาดของโควิด-19 บางส่วน แต่ยังรักษายุทธศาสตร์ ‘โควิดเป็นศูนย์’ ในภาพรวม หลังประชาชนประท้วงและเรียกร้องให้ปธน. สี จิ้นผิง ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเเสดงการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี องค์กรบริหารของกรุงปักกิ่งประกาศว่า จะไม่ตั้งรั้วกั้นทางเข้าออกอาคารที่อยู่อาศัยประชาชน แม้ว่าพบการติดโควิดของผู้พักอาศัย ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลจีนน่าจะยังไม่เปลี่ยนยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ในภาพรวม และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จีนมีความถนัดในการกำราบเสียงต่อต้าน เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) รัฐบาลจีนกล่าวหา ‘กลุ่มพลังที่มีแรงจูงใจแฝง’ ในโลกออนไลน์ ที่พยายามโยงอัคคีภัยคราวนี้เข้ากับมาตรการสกัดโควิด ถึงแม้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบที่อุรุมชีจะพยายามอธิบายข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน และหักล้างการใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวแล้วก็ตามที “สิ่งที่คุณอ้างถึงนั้น ไม่ได้สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นมาจริงๆ เราเชื่อว่าด้วยการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และความร่วมมือและความสนับสนุนของประชาชนจีน การต่อสู้กับโควิด-19 ของเราจะประสบความสำเร็จ” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ‘เจ้า ลี่เจียน’ พูดถึงสภานการณ์ประท้วงดังกล่าว ในวันเดียวกันนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไม่มีสัญญาณใดๆ ของการประท้วงใหม่ๆ ทั้งในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทว่ามีตำรวจหลายสิบคนอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ชุมนุมเมื่อ 1-2 วันก่อน โดยตำรวจได้เรียกตรวจโทรศัพท์มือถือของผู้คนในบริเวณเหล่านี้ เพื่อเช็กว่ามีการใช้เครือข่าย VPN และแอปเทเลแกรมหรือไม่ ขณะที่เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวานนี้มีตำรวจจำนวนมากได้ไปตั้งรั้วตลอดแนวฟุตบาธเพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้าไปชุมนุมอีก และมีผู้ถูกจับกุม 3 คน นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายยังห้ามไม่ให้ผู้คนที่ผ่านไปมาถ่ายภาพหรือวิดีโอการประท้วง ก่อนหน้านี้มีข้อความบนโลกออนไลน์ทั้งในจีน และต่างประเทศต่างอ้างว่า มาตรการล็อกดาวน์คุมเข้มโควิด-19 ในอุรุมชี ได้ขัดขวางความพยายามในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุไฟไหม้อาคารแห่งหนึ่งเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (24 พ.ย.) จนมีผู้เสียชีวิต 10 ราย โดยล่าสุด จีนรายงานยอผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 40,347 ราย ในวันอาทิตย์ (27 พ.ย.) ซึ่งเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการ 3,822 ราย และไม่แสดงอาการ 36,525 ราย อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/china-eases-covid-rules-after-protests-keeps-wider-strategy/6853165.html https://mgronline.com/around/detail/9650000113517 https://www.bangkokbiznews.com/world/1040338 https://www.bangkokbiznews.com/world/1040222 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้น 3.4% แม้สถานการณ์การระบาดของโควิดและการเมืองในประเทศยังไม่คลี่คลาย - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน ทั้งดัชนี Hang Seng และ China A50 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 3.4% และ 2.5% ตามลำดับ นำโดยกลุ่มประกันภัยที่ปรับตัวขึ้น 4.81% กลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น 2.41% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้น 4.80% 29 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ 29 พย. 65 ตลาดหุ้นฮ่องกงและจีน ทั้งดัชนี Hang Seng และ China A50 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 3.4% และ 2.5% ตามลำดับ นำโดยกลุ่มประกันภัยที่ปรับตัวขึ้น 4.81% กลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น 2.41% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้น 4.80% หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีน ได้ผ่อนคลายข้อห้ามในการระดมทุนของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านตลาดทุนที่ถูกบังคับใช้เป็นเวลาหลายปี เพื่อให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อยสามารถนำเงินมาชำระคืนตราสารหนี้ที่ครบกำหนด ผ่านการระดมทุนและการควบรวมกิจการได้ ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมมีความแข็งแรงและมีเสถียรภาพมากขึ้น และส่งผลให้แรงกดดันด้านสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ดูดีขึ้น ท่าทีดังกล่าวสอดคล้องกับการลด RRR(reserve requirement ratio) 0.25% ลงมาสู่ระดับ 7.8% ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งถูกคาดว่าจะเสริมสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจได้มากถึง 500,000 ล้านหยวนด้วยกัน จากความสามารถในการปล่อยกู้เพิ่มเติมของธนาคารพาณิชย์ โดยการปรับตัวขึ้นดังกล่าว เป็นการปรับตัวขึ้นในสองกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันทางตรงทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ถูกกดดันจากมาตรการควบคุมมานับตั้งแต่ต้นปี และกลุ่มประกันภัยจากความกังวลเรื่องแนวทางการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดการประท้วงของประชาชนจำนวนมากในหัวเมืองใหญ่จากความไม่พอใจต่อนโยบาย Zero Covid ในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนการคลายความกังวลต่อสถานการณ์ได้ FINNOMENA Investment Team มองว่าจะตลาดหุ้นจีนยังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยของแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศและความไม่แน่นอนของการใช้มาตรการควบคุม Covid-19 หลังเผชิญกับความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ในระยะสั้นแนะนำให้ให้รอปัจจัยบวก เนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวน จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการดำเนินมาตรการ Zero Covid หลังจากนี้ ส่วนการลงทุนระยะยาว ที่เน้นพิจารณาจากปัจจัยเชิงมูลค่า สามารถทยอยสะสมได้ ในกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ส่องราคาโมเดล Y แต่ละประเทศ สิงคโปร์แพงสุด จีนแผ่นดินใหญ่ถูกสุดในโลก จากภาษี - ใบอนุญาต - การแข่งขันในตลาด - FINNOMENA 28 พ.ย. 2565 โมเดล Y ของ Tesla ได้รับความนิยมทั่วโลก จนเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 5 รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลก โดยแค่ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทส่งมอบรถยนต์ไปแล้วกว่า 500,000 คัน แต่ในส่วนของ ‘ราคา’ ขึ้นอยู่กับว่าซื้อที่ประเทศไหน เพราะราคาขายที่สิงคโปร์สามารถซื้อในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ 2 คัน แถมมีเงินเหลือด้วย จีนแผ่นดินใหญ่เป็นสถานที่ที่สามารถซื้อโมเดล Y ได้ถูกที่สุดในโลกในราคาเริ่มต้น 288,900 หยวน หรือประมาณ $40,500 แต่ถ้าซื้อรุ่นเดียวกันในสิงคโปร์จะต้องจ่ายเงินสูงถึง 142,471 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ $103,800 ซึ่งต่างกันถึง $62,717 เท่ากับประมาณ 2.23 ล้านบาท ราคารถยนต์ Tesla โมเดล Y ในแต่ละประเทศ ที่มา: Bloomberg Seth Goldstein นักกลยุทธ์หุ้นของ Morningstar Research Services และประธานคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้า กล่าวว่า รถยนต์ในบางประเทศ เช่น สิงคโปร์และอิสราเอล แพงกว่าเนื่องจากภาษีและค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนที่สูงกว่าจีนและยุโรป นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่กำหนดราคา ทั้งซัพพลาย-ดีมานด์ และการแข่งขันในตลาด การซื้อ Tesla ในสิงคโปร์มีราคาพอๆ กับซื้ออพาร์ตเมนต์ ซึ่งอีกสาเหตุเป็นเพราะใบอนุญาตในการเป็นเจ้าของรถยนต์มีจำนวนจำกัดเพื่อควบคุมการจราจรของแระเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะขนาดเล็ก ใบอนุญาตดังกล่าวจะถูกประมูลสองครั้งต่อเดือนและอนุญาตให้ผู้ขับขี่เป็นเจ้าของรถเป็นเวลา 10 ปี สำหรับ Tesla นั้น ราคาใบอนุญาตเพิ่มขึ้นเป็น 116,577 ดอลลาร์สิงคโปร์ในเดือน พ.ย. หรือเกือบเท่าราคาโมเดล Y ในสิงคโปร์ แตกต่างจากจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีการแข่งขันที่รุนแรง Tesla ต้องเผชิญกับคู่แข่งท้องถิ่นตั้งแต่ BYD ไปจนถึง Nio โดยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีนครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศถึงเกือบ 80% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ การแข่งขันที่ดุเดือดทำให้ Tesla ต้องหั่นราคาขายในจีนลงเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ลูกค้าอาจจะได้เห็นกลยุทธ์ลดราคาเดียวกันนี้ในสหรัฐฯ และยุโรป โดย Elon Musk เคยส่งสัญญาณไว้เมื่อตอนต้นปีว่า ราคารถยนต์ Tesla สามารถถูกได้มากกว่านี้ถ้าเงินเฟ้อชะลอตัวลง ตามคาดการณ์ของ BloombergNEF ระบุว่า จากข่าวการส่งมอบรถยนต์ที่ไม่แน่นอนคาดว่า Tesla จะส่องมอบรถยต์โมเดล Y ปีนี้อยู่ที่ทั้งหมด 760,000 คัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-27/where-in-the-world-is-a-tesla-model-y-the-cheapest?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักช้อปอเมริกันไม่สนเงินเฟ้อ ยอดขายออนไลน์ ‘แบล็ค ฟรายเดย์’ พุ่ง ทุบสถิติใหม่ เงินสะพัด $9,120 ล้าน - FINNOMENA ยอดช้อปออนไลน์วัน ‘แบล็ค ฟรายเดย์’ ในสหรัฐฯ​ ทุบสถิติใหม่ที่ 9,120 ล้านดอลลาร์ แม้เงินเฟ้อจะพุ่งสูงต่อเนื่องก็ตาม นักช้อปอเมริกันคว้าข้อเสนอลดกระหน่ำในทุกหมวดสินค้า ตั้งสมาร์ทโฟนไปจนถึงของเล่นเด็ก 28 พ.ย. 2565 ยอดช้อปออนไลน์วัน ‘แบล็ค ฟรายเดย์’ ในสหรัฐฯ ทุบสถิติใหม่ที่ 9,120 ล้านดอลลาร์ แม้เงินเฟ้อจะพุ่งสูงต่อเนื่องก็ตาม นักช้อปอเมริกันคว้าข้อเสนอลดกระหน่ำในทุกหมวดสินค้า ตั้งสมาร์ทโฟนไปจนถึงของเล่นเด็ก VOA Thai รายงานโดยอ้างถึง Adobe Analytics ระบุยอดการจับจ่ายสินค้าทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 2.3% ในวันแบล็ค ฟรายเดย์ปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคตั้งตารอคอยส่วนลดที่จะมีขึ้นในวันช้อปปิ้งใหญ่แห่งปีของสหรัฐฯ แม้ว่าห้างร้านต่าง ๆ จะทยอยจัดโปรโมชันลดกระหน่ำมาตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมแล้วก็ตาม Adobe Analytics ประเมินทิศทางของธุรกิจอีคอมเมิร์ซด้วยการวิเคราะห์ยอดการใช้จ่ายผ่านทางเว็บไซต์ร้านค้าต่างๆ เข้าถึงข้อมูลของร้านรวงชั้นนำกว่า 100 แห่งทั่วอเมริกา ชี้ว่า ยอดการช้อปออนไลน์ของชาวอเมริกันสูงกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับ 1% เท่านั้น นอกจากนี้ยังประเมินว่า ยอดจับจ่ายออนไลน์ในวัน Cyber Monday ซึ่งเป็นวันจันทร์แรกหลังวันขอบคุณพระเจ้า จะมียอดการจับจ่ายถล่มทลายที่ 11,200 ล้านดอลลาร์ด้วยเช่นกัน แม้ยอดขายออนไลน์จะทุบสถิติ แต่ช่วงเช้าของวันแบล็ค ฟรายเดย์ปีนี้ กลับไม่คึกคักอย่างที่คาดว่าในร้านค้าหลายพื้นที่ทั่วอเมริกา ขณะที่ชาวอเมริกันหันมาพึ่งพาสมาร์ทโฟนเป็นตะกร้าช้อปปิ้งช่วงเทศกาลที่ใกล้ตัวและสะดวกสบายกว่า ซึ่งช้อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนคิดเป็นสัดส่วน 48% ของยอดขายสินค้าออนไลน์ในวันแบล็ค ฟรายเดย์ ปีนี้ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/u-s-black-friday-online-sales-hit-record-9-bln-despite-high-inflation–adobe-analytics/6852279.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แบล็ค ฟรายเดย์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแรง 2.5% สวนทางตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงจากความกังวลเรื่องการระบาด Covid-19 - FINNOMENA เช้าวันนี้ (28 พ.ย.) ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 2.5% ต่อจากวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตอบรับปัจจัยเชิงบวกจากการที่ตลาดหุ้นเวียดนามกลับเข้าเป็นสมาชิกของ WFE ขณะเดียวกัน Hang Seng Index และ SZSE Composite Index เปิดตลาดปรับตัวย่อลงมาแรงถึง 3% 28 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (28 พ.ย.) ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 2.5% ต่อจากวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตอบรับปัจจัยเชิงบวกจากการที่ตลาดหุ้นเวียดนามกลับเข้าเป็นสมาชิกของ WFE (World Federation of Exchanges) หลังจากการปรับโครงสร้างโดยการควบรวมตลาดหุ้น HNX และ HOSE เข้าด้วยกันและความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่อนคลายลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารและประกัน ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.2% หุ้นกลุ่มอสังหาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.0% ขณะเดียวกัน Hang Seng Index และ SZSE Composite Index เปิดตลาดปรับตัวย่อลงมาแรงถึง 3% นำโดยกลุ่มธนาคารและประกันภัย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดต่างปรับตัวย่อลงพร้อมกันราว 4% เช่น Ping An Insurance ปรับตัวลงถึง -7.87%, AIA Group ปรับตัวลง 5.70% และตามมาด้วยกลุ่มเทคโนโลยที่ปรับตัวลงราว 3% นำโดย Tencent ปรับตัวลง 3.22%, Meituan ปรับตัวลง 3.07%, Xioami ปรับตัวลง 4.32% และกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆที่ปรับตัวลงราว 3-5% โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบในเช้าวันนี้เกิดจากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 รายใหม่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ทะลุ 30,000 ราย ทำสถิติสูงสุดติดต่อกันในช่วง 4 วันที่ผ่านมา และการออกมาประท้วงของประชาชนต่อมาตรการ Zero-Covid ในหลายหัวเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ นานจิง อีกทั้งยังมีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดี Xi Jinping ก้าวลงมาจากตำแหน่ง FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีทิศทางเชิงบวกในระยะสั้นมากขึ้น หลังจากเผชิญปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่องของหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน และแรงกดดันในภาคอสังหาริมทรัพย์เบาบางลงอย่างชัดเจนหลังจากแรงขายในกลุ่มนี้เบาบางลง โดยในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จะจับตามราคาปิดในวันนี้และจะส่งสัญญาณเข้าลงทุนตามปัจจัยทางเทคนิคให้กับนักลงทุนทราบ และสำหรับในระยะยาวสามารถทยอยสะสมได้อย่างต่อเนื่อง จากมุมมองด้านศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.3 เท่า หรือ -2.9 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่าง ๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ด้านมุมมองต่อตลาดหุ้นจีน มองว่าจะเผชิญความผันผวนจากปัจจัยของแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศและความไม่แน่นอนของการใช้มาตรการควบคุม Covid-19 หลังเผชิญกับความไม่พอใจของประชาชนต่อนโยบายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ในระยะสั้นแนะนำให้ให้รอปัจจัยบวก เนื่องจากตลาดหุ้นจีนยังคงมีความผันผวน จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการดำเนินมาตรการ Zero Covid หลังจากนี้ ส่วนการลงทุนระยะยาว ที่เน้นพิจารณาจากปัจจัยเชิงมูลค่า สามารถทยอยสะสมได้ ในกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ชาวจีนประท้วงนโยบายโควิด ชูสัญลักษณ์ ‘กระดาษเปล่า’ ต่อต้าน -หวั่นบานปลายทั่วประเทศ - FINNOMENA ชาวจีนหลายร้อยคนปะทะกับตำรวจเมืองเซี่ยงไฮ้ในคืนวันอาทิตย์ (27 พ.ย.) ขณะที่การประท้วงต่อต้านนโยบายควบคุมโควิดดำเนินมาเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน และยังได้ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ โดยมีเหตุไฟไหม้ในเมืองอุรุมชีเมื่อกลางสัปดาห์เป็นเชื้อเพลิงสร้างความไม่พอใจ 28 พ.ย. 2565 ชาวจีนหลายร้อยคนปะทะกับตำรวจเมืองเซี่ยงไฮ้ในคืนวันอาทิตย์ (27 พ.ย.) ขณะที่การประท้วงต่อต้านนโยบายควบคุมโควิดดำเนินมาเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน และยังได้ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆ โดยมีเหตุไฟไหม้ในเมืองอุรุมชีเมื่อกลางสัปดาห์เป็นเชื้อเพลิงสร้างความไม่พอใจ VOA Thai รายงานว่า อารยะขัดขืนในประเทศจีนในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่ปธน. สี จิ้นผิง เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเมื่อสิบปีก่อน จนความไม่พอใจในนโยบายโควิดเป็นศูนย์เริ่มก่อตัวขึ้นและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนและเศรษฐกิจจีน ผู้ชุมนุมคนหนึ่งกล่าวว่า นโยบายโควิดของจีนเป็นเกมอย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์หรือความเป็นจริงแต่อย่างใด โดยการชุมนุมในวันอาทิตย์ลุกลามไปยังเมืองต่างๆ เช่น อู่ฮั่น และ เฉิงตู โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศมารวมตัวกันเพื่อประท้วงในช่วงสุดสัปดาห์ “เราไม่ต้องการหน้ากาก เราต้องการอิสรภาพ เราไม่ต้องการตรวจโควิด เราต้องการเสรีภาพ” ผู้ชุมนุมกลุ่มหน่ึงประท้วงที่ถนนวงแหวนที่สามของเมืองหลวงของจีนในช่วงดึกก่อนเช้าวันจันทร์ (28 พ.ย.) ผู้ชุมนุมชาวจีนได้หันมาใช้แผ่นกระดาษที่ว่างเปล่าเพื่อแสดงออกถึงความโกรธของพวกเขาต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลกรุงปักกิ่ง เป็นการแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่แพร่หลายไปอย่างรวดเร็วนอกเหนือขอบเขตของโซเชียลมีเดีย จุดเริ่มต้นความไม่พอใจในครั้งนี้มีขึ้นหลังเกิดไฟไหม้ในอาคารที่พักอาศัยขนาดสูงในเมืองอุรุมชีในวันพฤหัสบดี (24 พ.ย.) เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองซินเจียง ที่ให้เกิดการสันนิษฐานและกล่าวหาว่าการล็อคดาวน์ของทางการเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดไฟไหม้และมีผู้เสียชีวิต 10 คน แม้ทางการจะแถลงข่าวอย่างรวดเร็วเพื่อปฏิเสธว่ามาตรการโควิด-19 ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือและการหนีไฟของผู้อยู่อาศัยก็ตาม แต่เรื่องกังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้ดับชาวจีนจำนวนมาก ผู้ชุมนุมคนหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ให้สัมภาษณ์ว่า “เราต้องการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เราไม่สามารถออกจากบ้านได้หากไม่ตรวจโควิดก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองอุรุมชีนั้นเหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ผู้คนออกมาประท้วง” การแสดงความไม่พอใจของชาวจีนก่อนหน้านี้มักจะเป็นการแสดงออกผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในขณะที่ต้องหาทางไม่ให้ทางการจีนเซ็นเซอร์ได้ ทว่าความไม่พอใจของประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ สี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งเป็นปธน.สมัยที่ 3 Dan Mattingly ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเยลกล่าวว่า มีความเป็นไปได้มากว่าการตอบโต้ที่จะเกิดขึ้นจากพรรคคอมมิวนิสต์นั้นจะเป็นการปราบปราม และจะมีการจับกุมและเอาโทษกับผู้ประท้วงบางคน แต่ตราบใดที่ สี จิ้นผิง ยังมีกองกำลังทหารอยู่เคียงข้าง ผู้นำจีนก็จะไม่เผชิญกับความเสี่ยงต่อการครองอำนาจต่อไปแต่อย่างใด อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/china-widening-covid-19-curbs-trigger-public-pushback/6850627.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิด-19 โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คนไทยใช้แอปการเงินมากสุดในอาเซียน Sea เผยผลสำรวจ Thai Digital Generation 2022 คนไทยเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วใน 2 ปีที่ผ่านมา - FINNOMENA Sea เผยผลสำรวจจากรายงาน Thai Digital Generation 2022 ‘การเข้าถึงการเงินในยุคดิจิทัล’ ซึ่งจัดทำโดย Sea (Group) และ World Economic Forum (WEF) พบว่า พฤติกรรมการใช้บริการทางการเงินของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วใน 2 ปีที่ผ่านมา 25 พ.ย. 2565 Sea เผยผลสำรวจจากรายงาน Thai Digital Generation 2022 ‘การเข้าถึงการเงินในยุคดิจิทัล’ ซึ่งจัดทำโดย Sea (Group) และ World Economic Forum (WEF) พบว่า พฤติกรรมการใช้บริการทางการเงินของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างรวดเร็วใน 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเป้าหมายของการสำรวจเป็น ‘คนยุคดิจิทัล’ (Digital Generation) ซึ่งหมายถึงผู้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทยหลากหลายวัย ในช่วงอายุ 16 – 60 ปี จำนวนกว่า 8,000 คน โดย 51% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีอายุต่ำกว่า 35 ปี 53% เป็นเพศหญิง และราว 17% เป็นผู้ประกอบการ MSME ประเทศไทยมีสัดส่วนคนใช้แอปฯ การเงินดิจิทัล (อีแบงก์กิ้งและอีวอลเล็ต) อยู่ที่ 83% ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นหนึ่งในสองประเทศในภูมิภาคที่สัดส่วนคนใช้แอปฯ การเงินเหล่านี้ สูงกว่าโซเชียลมีเดีย (72%) ราว 94% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีประสบการณ์การใช้ บริการทางการเงิน และต้องการที่จะใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคต ทั้งด้านการจับจ่ายใช้สอย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมไปถึงพฤติกรรมการออมและการลงทุน แม้แต่ในหมู่คนที่เข้าถึงบริการการเงินได้ดีและสามารถเข้าถึงประโยชน์จากสินเชื่อ การลงทุน และบริการประกันภัยได้อยู่แล้ว ก็ยังต้องการใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้นเช่นกัน ดร.สันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ Sea (Group) อธิบายเสริมว่า หากเปรียบระบบ การเงิน ปัจจุบันให้เป็นอาคารสูง ชั้นล่างมีผลิตภัณฑ์การเงินขั้นพื้นฐาน เช่น บัญชีออมทรัพย์ และการทำธุรกรรมชำระเงิน ในขณะที่ชั้นสูงขึ้นไปมีผลิตภัณฑ์ขั้นแอดวานซ์ เช่น เครดิต การลงทุน การทำประกัน เราพบว่า ผู้คนส่วนมากยังอยู่ที่ชั้นล่าง โดย 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีบัญชีออมทรัพย์และเข้าถึงการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่คนหลายกลุ่มยังคงเข้าไม่ถึง บริการทางการเงิน ขั้นแอดวานซ์ที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ MSME ผู้หญิง คนรุ่นใหม่ และคนในพื้นที่ชนบท โดยมีคน ยุคดิจิทัล ในประเทศไทยเพียง 28% เท่านั้นที่เข้าถึงทั้งสินเชื่อ การลงทุน และประกัน ในด้านสินเชื่อพบว่า มี MSME ที่ต้องการสินเชื่อไม่ถึงครึ่งที่สามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ ในขณะที่ด้านการลงทุน กลุ่มคนส่วนใหญ่กว่า 60% ใช้บริการออมเงินไว้ในบัญชีเท่านั้น ดังนั้น การนำ เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาใช้ ก็เปรียบเสมือนการสร้างบันได ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงและรับประโยชน์จากบริการทางการเงินในชั้นที่สูงขึ้นไปได้ เนื่องจากสามารถเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินได้จากระยะไกล ในทุกพื้นที่ และด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ทั้งยังสามารถช่วยลดกระบวนการที่ใช้เวลานาน และขยายกลุ่มเป้าหมายให้กลุ่มอื่นเข้าถึงผลิตภัณฑ์การเงินได้อย่างง่ายขึ้นเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาข้อเสนอบริการที่มีอยู่แล้วในชั้นที่สูงขึ้นไป โดยช่วยให้ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถปรับและนำเสนอบริการทางการเงินให้ตอบความต้องการเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นโดยใช้ดาต้า ซึ่งช่วยให้ผู้ให้บริการที่เป็น Fintech หรือ Digital Bank รวมทั้งสถาบันการเงินดั้งเดิมที่มีการทรานส์ฟอร์มสู่โลกดิจิทัล สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคลคืออะไร ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รายงานยังพบว่า ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินมีความแตกต่างกันตามพื้นที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน ซึ่งในชนบทยังมีช่องว่างทางความรู้อยู่มาก ในด้า การจัดการทางการเงิน และความเข้าใจเกี่ยวกับบริการทางการเงินขั้นแอดวานซ์ที่มีความซับซ้อน ดังนั้น แม้เทคโนโลยีจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบในการสร้างการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ทั่วถึง แต่ไม่สามารถละเลยการให้ความรู้ด้านการเงินได้ โดยความรู้ความเข้าใจด้านการเงิน จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้บริการการเงินในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะด้านการลงทุนและบริหารการเงินส่วนตัว นอกจากนี้ยังพบว่า ผลิตภัณฑ์การเงินที่คนขาดความรู้ที่สุดคือ สินเชื่อ คนยุคดิจิทัลระบุว่า การเรียนรู้ด้านการเงินที่ได้ผลดีที่สุดคือ การเรียนรู้จากลองทำเอง ตามมาด้วยครอบครัวและเพื่อน และพนักงานประจำสาขาธนาคารหรือจุดให้บริการทางการเงิน สื่อสังคมออนไลน์ และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ทั้งนี้ ผู้ที่ได้เรียนรู้จากพนักงานของสถาบันการเงินหรือจุดให้บริการทางการเงิน และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ยังมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่า อยากเรียนรู้จากทั้ง 2 ช่องทางนี้ นอกจากนี้ การมีความรู้ด้านดิจิทัลก็จำเป็นไม่แพ้กัน เพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของเงินและข้อมูล อันเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของคนยุคดิจิทัล ด้วยเหตุนี้ การสร้างเสริมความรู้ด้านการเงินและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนจะละเลยไม่ได้ ซึ่งเราก็สามารถเห็นได้ว่าผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ ตลอดจนผู้ออกนโยบายอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย ต่างให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับ Sea (Group) ที่ได้เริ่มให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการการเงินในประเทศไทย ผ่านเนื้อหาการเรียนรู้บน seaacademy และในปีหน้าจะมีโครงการพัฒนาความรู้ด้านการเงินโดยใช้เกมิฟิเคชั่น (Gamification) เข้ามาช่วยย่อยเนื้อหาเรื่องการเงินที่คนมองว่ายาก ให้เรียนรู้ได้อย่างง่ายดายและสนุกขึ้น นับเป็นการต่อยอดการให้ความรู้เพื่อสร้างความพร้อมของผู้คนในยุคดิจิทัล เพิ่มเติมจากเดิมที่มีการทำโครงการสร้างเสริมทักษะดิจิทัลมาโดยตลอด อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1038619 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SEA คนไทย แอปการเงิน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแรง 2.84% จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ - FINNOMENA ก่อนปิดตลาดช่วงบ่ายวันที่ 25 พ.ย. ดัชนี VN 30 ปรับตัวขึ้นแรง 2.84% สู่ระดับ 971 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อกลับเป็นจำนวน 877.62 พันล้านดอง มากที่สุดในรอบสัปดาห์ 25 พ.ย. 2565 ก่อนปิดตลาดช่วงบ่ายวันที่ 25 พ.ย. ดัชนี VN 30 ปรับตัวขึ้นแรง 2.84% สู่ระดับ 971 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อกลับเป็นจำนวน 877.62 พันล้านดอง มากที่สุดในรอบสัปดาห์ โดยหุ้นในภาคอสังหริมทรัพย์มีการปรับตัวขึ้นแรงหลังจากถูกแรงกดดันจากความกังวลของการผิดนัดชำระคืนหุ้นกู้ของ No Va Land Investment Group(NVL) ตลอดเดือนที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่า NVL จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้เสร็จสิ้น แต่มีพัฒนาการเชิงบวกจาก Ho Chi Minh city Real Estate Associate ได้ร้องต่อทางการให้ยืดระยะเวลากำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี เพื่อลดแรงกดดันและเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและตลาดหุ้นกู้ที่ถูกผลกระทบจากภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้แรงกดดันที่ลดลงได้ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและประกันภัยทำให้ปรับตัวขึ้น 2.57% กลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นถึง 6.88% และภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้น 3.53% โดยหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นแรงโดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานดี เป็นที่นิยมของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา เช่น BID TCG VIC VNM MSN HPG เป็นต้น FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะยังคงมีความผันผวนในระยะสั้นเกี่ยวกับสภาพคล่องของหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน ในขณะที่ความกังวลอื่นๆ เริ่มมีทิศทางเบาบางลงจาก ค่าเงินดองมีความผันผวนน้อยหลังถูกปรับสมดุลให้เข้าใกล้สกุลเงินในภูมิภาคมาก และอัตราดอกเบี้ย overnight rate ปรับตัวลงและอยู่ในระดับทรงตัว และเรายังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิม จากศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 8.3 เท่า หรือ -2.9 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่างๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ซึ่งในระยะสั้นเราเริ่มเห็นสัญญาณในการกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอีกครั้งในช่วงใกล้ๆนี้ หลังภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีทิศทางที่ดูดีขึ้น ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สโมสรแมนยูเนื้อหอม ‘แอปเปิล’ และ ‘เบ็คแฮม’ สนใจซื้อ คาดดีลไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท - FINNOMENA หลังการประกาศขายสโมสร ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ของตระกูลเกลเซอร์ สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทั้งยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง ‘แอปเปิล’ และ ‘เดวิด เบ็คแฮม’ ตำนานนักเตะของแมนยู ต่างแสดงความสนใจที่จะซื้อสโมสรนี้ 25 พ.ย. 2565 หลังการประกาศขายสโมสร ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ของตระกูลเกลเซอร์ สื่อข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทั้งยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง ‘แอปเปิล’ และ ‘เดวิด เบ็คแฮม’ ตำนานนักเตะของแมนยู ต่างแสดงความสนใจที่จะซื้อสโมสรนี้ วันนี้ (25 พ.ย.) สื่ออังกฤษ ‘เดลี่สตาร์’ รายงานว่า แอปเปิลอาจสนใจซื้อแมนฯยูไนเต็ดในราคา 5,800 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 251,076 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้แอปเปิลไม่เคยเป็นเจ้าของทีมกีฬารายใหญ่มาก่อน กระทั่งพบโอกาสจากทีมดังจึงทำให้แอปเปิลเกิดความสนใจ อย่างไรก็ตาม แอปเปิลและเจ้าของสโมสรแมนฯยู ยังไม่ได้แสดงความเห็นใดต่อประเด็นนี้ ขณะที่สื่อมวลชนหลายสำนักในประเทศอังกฤษ รายงานว่า ‘เดวิด เบ็คแฮม’ ตำนานนักเตะของแมนฯ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ เริ่มเปิดเจรจาเพื่อเทคโอเวอร์สโมสรปีศาจแดงแล้ว โดยเบ็คแฮม ไม่สามารถซื้อสโมสรได้ด้วยตัวเอง แต่จะร่วมกับกลุ่มทุนเพื่อซื้อสโมสร ข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้น เกือบจะกลายเป็นการซื้อสโมสรฟุตบอลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งคาดกันว่ามูลค่าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากมีการทำธุรกรรมซื้อขายกันจริงๆ อาจไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท ปัญหาสำคัญที่ผู้ซื้อแมนยูต้องเผชิญคือ ‘สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด’ ที่ต้องการการปรับปรุงมานานแล้ว ซึ่งคาดว่าการซ่อมแซมจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1,500 ล้านปอนด์ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1129426 https://mgronline.com/sport/detail/9650000112004 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple News Update เดวิด เบ็คแฮม แมนยู แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จับตาทิศทางตลาดหุ้นจีน MSCI China มูลค่าพุ่ง $3.7 แสนล้าน หลังรัฐบาลจีนผ่อนคลายคุมโควิด - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มพลิกผันอย่างรวดเร็วและจะตามมาด้วยแนวโน้มที่ยาวนานและทรงพลัง ดังนั้น ‘จังหวะเวลา’ ที่ซื้อมีความสำคัญพอๆ กับว่าการเลือกว่าจะซื้ออะไร 25 พ.ย. 2565 ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มพลิกผันอย่างรวดเร็วและจะตามมาด้วยแนวโน้มที่ยาวนานและทรงพลัง ดังนั้น ‘จังหวะเวลา’ ที่ซื้อมีความสำคัญพอๆ กับว่าการเลือกว่าจะซื้ออะไร นักลงทุนคนไหนที่เข้าซื้อหุ้นจีนในวันที่ 11 พ.ย. ที่รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการโควิดคือหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการปรับตัวขึ้นของดัชนี MSCI China เกือบ 370,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นหลังมูลค่าของดัชนีสูญไปกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 เดือนจนถึง ต.ค. John Lin ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอหุ้นจีนที่ AllianceBernstein เปรียบเทียบนโยบายของรัฐบาลจีนเหมือนรถไฟบรรทุกสินค้าขนาดยักษ์ที่วิ่งลงมาตามทาง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคืออย่ายืนขวางทาง หลังจากนั้นก็กระโดดขึ้นรถไฟทันที Abrdn คือหนึ่งในสถาบันการเงินที่เห็นโอกาสในหุ้นกู้จีนหลังการผ่อนคลายนโยบายโควิดเพื่อฟื้นฟูภาคอสังหาฯ ของประเทศ ซึ่ง Ray Sharma-Ong ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Abrdn กล่าวว่า นักลงทุนสามารถช้ประโยชน์จากเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่มีแนวโน้มชันขึ้นจากการเปิดเมืองได้ Ray Sharma-On เสริมว่า หุ้นกู้จีนสกุลเงินดอลลาร์มีโอกาสให้ผลตอบแทนประมาณ 8% ขณะที่การลงทุนในหุ้นกู้สกุลเงินท้องถิ่นมาพร้อมกับโบนัส 2% ของมูลค่าการซื้อขายที่เป็นบวกจากการป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน โดยเขาคาดว่า หยวนจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งสัญญาณที่เป็นประโยชน์ให้จับตามองคือ การประชุม Politburo ในต้นเดือน ธ.ค. รวมถึงการประชุม Central Economic Work Conference ที่ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน Jason Liu จาก Deutsche Bank AG กล่าวว่า ตลาดอาจได้เห็นสัญญาณบางอย่างจากผู้นำระดับสูง โดยคาดว่าสินทรัพย์ของจีนจะผันผวนในระยะสั้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า โดย Jason Liu มีคำแนะนำให้ ‘ซื้อ’ หุ้นจีน รวมถึงหุ้นเทคโนโลยี เพื่อรอรับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของตลาด และยังมองว่าเงินหยวนน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากการแข็งค่าในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ด้านนักวิเคราะห์ของ Bloomberg News มองว่า การเปิดเมืองอีกครั้งของจีนจะทำให้กระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้นจีนในปี 2023 ซึ่งคิดเป็น 1% ของ GDP ทั้งหมด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยพยุงเงินหยวน ขณะที่ AllianceBernstein กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนเปลี่ยนไปจากยุคก่อนเกิดโควิดแล้ว ตอนนี้นักลงทุนยังมองหาการเติบโตได้ แต่ต้องตำนึงถึงนโยบายเป็นหลัก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-24/china-investors-identify-trigger-points-to-buy-as-economy-opens?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เจ้าชายซาอุฯ แจกโรลส์-รอยซ์ อัดฉีดนักเตะทุกคน หลังเฉือนชนะอาร์เจนตินา ราคาขายในไทยสูงถึง 53 ล้านบาท - FINNOMENA เจ้าชายซาอุดีอาระเบียแจก Rolls-Royce Phantom คันละกว่า 50 ล้านบาท อัดฉีดนักเตะที่เฉือนชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 2-1 ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มในศึกสู้บอลโลกทุกคน 24 พ.ย. 2565 เจ้าชายซาอุดีอาระเบียแจก Rolls-Royce Phantom คันละกว่า 50 ล้านบาท อัดฉีดนักเตะที่เฉือนชนะทีมชาติอาร์เจนตินา 2-1 ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มในศึกสู้บอลโลกทุกคน ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า Suhel Seth นักธุรกิจชาวอินเดีย รวมถึง Awab Alvi ทันตแพทย์และนักเคลื่อนไหว โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ประกาศอัดฉีดนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติที่ลงสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย โดยมอบรถยนต์ Rolls-Royce Phantom ให้กับทีมนักกีฬาทุกคน หลังทำผลงานเฉือนเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินาไปได้ 2-1 ซึ่งถือเป็นการจบสถิติไร้พ่าย 36 นัดติดต่อกันของทีมอาร์เจนตินาไปโดยปริยาย ชัยชนะในรอบแบ่งกลุ่มดังกล่าวทำให้ยซาอุดีอาระเบียคว้า 3 คะแนนขึ้นเป็นอันดับ 1 ในกลุ่ม C นับเป็นทีมจากเอเชียทีมแรกที่คว้าชัยชนะในฟุตบอลโลก 2022 โดยก่อนหน้านี้ ทางการประกาศให้วันที่ 23 พ.ย. เป็นวันหยุดเพื่อฉลองชัยชนะครังนี้ สำหรับราคาของรถยนต์ Rolls-Royce Phantom อยู่ที่ 460,000-550,000 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 16-19 ล้านบาท ขณะที่ราคาขายในประเทศไทยนั้นสูงถึง 53 ล้านบาท อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1128518 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Rolls-Royce Phantom ซาอุดีอาระเบีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนล็อกดาวน์ ‘เจิ้งโจว’ 5 วัน กระทบ Foxconn โรงงานผลิต iPhone หลังคนงานทนไม่ไหว ลุกฮือประท้วง - FINNOMENA จีนล็อกดาวน์เจิ้งโจว เมืองที่ตั้งของโรงงานผลิต iPhone ที่ใหญ่ที่สุดของ Apple เป็นเวลาทั้งหมด 5 วัน ตอกย้ำว่ารัฐบาลจีนยังคงใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อระงับการระบาดของโควิด 24 พ.ย. 2565 จีนล็อกดาวน์เจิ้งโจว เมืองที่ตั้งของโรงงานผลิต iPhone ที่ใหญ่ที่สุดของ Apple เป็นเวลาทั้งหมด 5 วัน ตอกย้ำว่ารัฐบาลจีนยังคงใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อระงับการระบาดของโควิด เมืองเจิ้งโจวจะถูกล็อกดาวน์ตั้งแต่พรุ่งนี้จนถึงวันที่ 29 พ.ย. หลังมีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 996 รายในวันพุธ (23 พ.ย.) เพิ่มขึ้นจาก 813 รายในวันก่อนหน้า ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลัง คนงานหลายร้อยคนของ Foxconn ปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้วยความโกรธที่ไม่ได้รับค่าจ้างและกลัวว่าจะติดโควิด 📌อ่านข่าว ‘คนงาน Foxconn ในจีนประท้วง ทนไม่ไหว ถูกกักตัวนานเกือบเดือน ปะทะเจ้าหน้าที่ ขอเลิกกักตัว’ ต่อได้ที่นี่ ขณะที่ทาง Foxconn ได้เสนอเงิน 10,000 หยวน หรือประมาณ 50,000 บาท ให้กับพนักงานที่เลือกลาออก ตามคำสั่งของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเจิ้งโจว ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงต้องอยู่แต่ในบ้าน ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ได้รับคำแนะนำไม่ให้ออกจากที่อยู่อาศัยหรือบริเวณบ้าน เว้นแต่จะมีความจำเป็น โดยจะต้องทดสอบ PCR ทุกวัน อย่างไรก็ตาม ที่ตั้งโรงงาน Foxconn ไม่รวมอยู่ใน 8 เขตที่ต้องล็อกดาวน์ แต่ถูกจัดอยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงสูง ซึ่งจะถูกจำกัดความเคลื่อนไหวคล้ายการล็อกดาวน์ ซึ่งโรงงาน Foxconn ได้สั่งให้พนักงานอยู่แต่ในหอพักและโรงงานโดยไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้มาเกือบเดือน ความเคลื่อนไหวในเจิ้งโจวถือเป็นการถอยหลังหนึ่งก้าวกลับไปสู่การควบคุมโควิดที่เข้มข้นทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้นำระดับสูงของจีนส่งสัญญาณว่าจะใช้แนวทางที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น ขณะที่เมืองฉือเจียจวงซึ่งอยู่ใกล้กับปักกิ่งที่เพิ่งประกาศผ่อนปรนการคุมโควิดต้องกลับมาล็อกดาวน์อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งในไม่กี่วัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-23/china-s-iphone-city-locks-down-urban-areas-as-covid-cases-rise?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-24/foxconn-offers-staff-1-400-to-leave-after-iphone-city-violence?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรง กรุงไทยประเมินยอดขายปีนี้โตกว่า 200% คาดปีหน้ายอดขายรวม 24,000 คัน - FINNOMENA ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้ทั้งหมด 2,500 คัน โตกว่า 200% ขณะที่ปีหน้าคาดยอดขายโตต่อเนื่องเป็น 24,000 คัน คาดยังไม่กระทบยอดขายรถยนต์สันดาปภายในมากนัก 23 พ.ย. 2565 ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปีนี้ทั้งหมด 2,500 คัน โตกว่า 200% ขณะที่ปีหน้าคาดยอดขายโตต่อเนื่องเป็น 24,000 คัน คาดยังไม่กระทบยอดขายรถยนต์สันดาปภายในมากนัก วันนี้ (21 พ.ย.) ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ BEV มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยกระแสรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลังปรากฏการณ์คนเข้าคิวจองรถยาวข้ามคืน Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่า รถยนต์ BEV ในปี 2565 จะมียอดขายอยู่ที่ 12,500 คัน ขยายตัวจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ BEV ในปี 2564 ถึง 212.5% และปี 2566 จะมียอดขาย 24,000 คัน หรือขยายตัว 92.0% ไปในทิศทางเดียวกับคาดการณ์ของ Bloomberg ที่ประเมินยอดขายรถยนต์ BEV ของไทยในปี 2565-2566 ที่ 15,600 คัน และ 24,000 คัน โดยในปี 2565 ที่ทาง Krungthai COMPASS ประเมินต่ำกว่า Bloomberg ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนที่ทำให้การส่งมอบรถอาจล่าช้าออกไป สำหรับ 3 ปัจจัยหลักที่สนับสนุนรถยนต์ BEV ได้แก่ 1.การสนับสนุนจากภาครัฐที่ทำให้ราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้มากขึ้น รวมทั้งจูงใจผู้ประกอบการให้เข้ามาลงทุนทำให้ทางเลือกในตลาดเพิ่มขึ้น 2.การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยี ทำให้รถยนต์ BEV มันใช้งานได้จริง 3.ต้นทุนการใช้งานที่มีความคุ้มค่ากว่ารถยนต์สันดาปภายในถึงเกือบ 20% อย่างไรก็ดี ยังมีหลายคำถามที่ยังเป็นข้อสงสัย และอาจกดดันการเติบโตของรถยนต์ BEV ทั้งราคาขายต่อที่มีความไม่แน่นอนสูง และราคาแบตเตอรี่ที่ยังมีราคาแพง เป็นต้น ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่าในช่วงปี 2565-2566 รถยนต์สันดาปภายในจะยังครองตลาดในประเทศ รวมทั้งตลาดโลก ทำให้ตลาดชิ้นส่วนรถยนต์โดยรวมจะยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักในระยะสั้น แม้รถยนต์ BEV ในตลาดโลกจะเติบโตสูงจากแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักที่สนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งตลาดในประเทศที่ได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายของภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ดี จากการประเมินของ Bloomberg New Energy Finance (BNEF) กว่าที่รถยนต์ BEV จะมีสัดส่วนในตลาดโลกมากกว่า 40% ของรถยนต์เชื้อเพลิงทุกประเภทอาจต้องใช้เวลาจนถึงปี 2583 เช่นเดียวกันกับตลาดในประเทศที่ถึงแม้รถยนต์ BEV จะเติบโตได้ดี แต่ยอดขายในปี 2565-2566 ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% และ 2.4% ของยอดขายรถยนต์ทุกประเภทเท่านั้น มองไปข้างหน้า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศส่วนใหญ่คาดว่าจะยังคงเป็นรถยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle หรือ HEV) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ PHEV) ซึ่งก็จะยังต้องใช้ชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในควบคู่กับระบบไฟฟ้า แต่กระนั้น ในอนาคตจะมีชิ้นส่วนบางประเภท โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบส่งกำลัง ซึ่งได้แก่ ระบบระบายความร้อน ระบบเครื่องยนต์ ระบบควบคุมไอเสีย และระบบเชื้อเพลิง ที่จะได้รับผลกระทบ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1127494 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นแมนยูพุ่งแรง 15% รับข่าวตระกูลเกลเซอร์แย้มแผนขายสโมสร พร้อมประกาศฉีกสัญญา ‘โรนัลโด’ - FINNOMENA เมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศยกเลิกสัญญา ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ นักเตะสัญชาติโปรตุเกส วัย 37 ปี หลังบทสัมภาษณ์ฉาวที่ออกมาวิจารณ์ผู้จัดการ เพื่อนร่วมทีม และสโมสรอย่างเผ็ดร้อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 23 พ.ย. 2565 เมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศยกเลิกสัญญา ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ นักเตะสัญชาติโปรตุเกส วัย 37 ปี หลังบทสัมภาษณ์ฉาวที่ออกมาวิจารณ์ผู้จัดการ เพื่อนร่วมทีม และสโมสรอย่างเผ็ดร้อนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ยังแย้มแผนประกาศขายสโมสร โดยตระกูลเกลเซอร์ซึ่งเจ้าของสโมสมานาน 17 ปี กำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการขายหุ้นบางส่วน หรือดึงการลงทุนในสนามฟุตบอลและโครงการอื่นๆ ส่งผลให้หุ้น ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ พุ่ง 19% ทันที หลังข่าวดังกล่าว ก่อนปิดบวก 15% ที่ 14.94 ดอลลาร์ ในวันอังคาร (21 พ.ย.) ในแถลงการณ์ของสโมสรระบุว่า โรนัลโด จะออกจากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้ข้อตกลงร่วมกันและมีผลทันที โดยทางสโมสรขอขอบคุณโรนัลโดและความทุ่มเทที่มีให้กับทีมมาโดยตลอด VoA Thai ระบุถึงคำกล่าวของโรนัสโดว่า “หลังจากการหารือกับทางสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เราต่างเห็นตรงกันที่จะยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ผมรักสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมรักแฟนบอลของผม และสิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วสำหรับผมที่จะมองหาความท้าทายใหม่ ผมขอให้สโมสรประสบความสำเร็จในช่วงที่เหลือของฤดูกาลและในอนาคต” เมื่อสัปดาห์ก่อน โรนัลโดได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกถูกหักหลัง และยังวิจารณ์นักเตะ ผู้จัดการทีม รวมไปถึงเจ้าของสโมสรด้วย ซึ่งตอนนั้นทางสโมสรออกมาระบุว่า จะมีมาตรการเหมาะสมออกมาเพื่อตอบโต้กับการแสดงความเห็นดังกล่าวของโรนัลโด ซึ่งการฉีกสัญญาป็นสิ่งที่มีการคาดการณ์กันเป็นวงกว้าง อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/ronaldo-to-leave-manchester-united-with-immediate-effect-/6845797.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-22/manchester-united-owner-reported-to-weigh-sale-as-ronaldo-leaves?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Manchester United News Update แมนยู โรนัลโด แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk ยังรวยสุดในโลก แม้ปีนี้สูญความมั่งคั่ง 3.6 ล้านล้านบาท เหตุราคาหุ้น Tesla ร่วงลงมาแล้ว 52% - FINNOMENA Elon Musk ยังรั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกไว้ได้ แม้ความมั่งคั่งในปีนี้จะลดฮวบ 100,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท 22 พ.ย. 2565 Elon Musk ยังรั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกไว้ได้ แม้ความมั่งคั่งในปีนี้จะลดฮวบ 100,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า เมื่อวานเพียงวันเดียว (21 พ.ย.) ความมั่งคั่งสุทธิของ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla ลดลงไปถึง 8,600 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเขาในปีนี้ลดลงแล้ว 100,500 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี Elon Musk ยังคงอยู่ในสถานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวม 169,800 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าจะลดลงจากระดับสูงสุดที่ 340,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้ความมั่งคั่งของ Elon Musk ลดฮวบคือ ราคาหุ้น Tesla ที่ร่วงลงรุนแรงถึง 6.8% จนแตะระดับ 167.87 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (21 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังมีรายงานการเรียกคืนรถยนต์จำนวน 321,000 คันในสหรัฐเนื่องจากพบปัญหาไฟท้าย รวมทั้งผลกระทบจากการที่จีนยังคงใช้มาตรการที่เข้มงวดในการควบคุมโควิด โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Tesla ร่วงลงมาแล้ว 52% เมื่อเทียบกับดัชนี Nasdaq ที่ปรับตัวลงราว 29% อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq29/3376377 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘บ็อบ ไอเกอร์’ กลับมาชุบชีวิตดีสนีย์ หวนคืนตำแหน่งซีอีโอ เล็งหั่นต้นทุนสตรีมมิ่ง ไล่ ‘คารีม ดาเนียล’ มือขวาของอดีตซีอีโอ - FINNOMENA ‘บ็อบ ไอเกอร์’ กลับมารับตำแหน่งซีอีโอดิสนีย์อีกครั้ง พร้อมกับความท้าทายในการกอบกู้องค์กร ทั้งการปรับลดต้นทุนและฟื้นฟูกำไรของบริษัท เล็งหั่นต้นทุนสตรีมมิ่งเพื่อให้ดิสนีย์กลับมาเติบโตอีกครั้ง 22 พ.ย. 2565 ‘บ็อบ ไอเกอร์’ กลับมารับตำแหน่งซีอีโอดิสนีย์อีกครั้ง พร้อมกับความท้าทายในการกอบกู้องค์กร ทั้งการปรับลดต้นทุนและฟื้นฟูกำไรของบริษัท เล็งหั่นต้นทุนสตรีมมิ่งเพื่อให้ดิสนีย์กลับมาเติบโตอีกครั้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 พ.ย.) ดิสนีย์ประกาศแผนที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ลงทุน ด้วยการปลด ‘บ็อบ ชาเพ็ค’ ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโอดิสนีย์เมื่อเดือน ก.พ. 2020 และแต่งตั้ง ‘บ็อบ ไอเกอร์’ ซีอีโอหน้าคุ้นที่เคยพลิกโฉมหน้าของดิสนีย์ให้กลายเป็นบริษัทบันเทิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ด้วยสัญญาว่าจ้าง 2 ปี เป้าหมายที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนของดิสนีย์ตอนนี้คือ ‘ดิสนีย์พลัส’ ที่ไอเกอร์ช่วยผลักดันให้เปิดตัวเมื่อปี 2019 ซึ่งตอนนี้ขาดทุนมากกว่าเท่าตัวในไตรมาสล่าสุด และเป็นธุรกิจที่ดึงผลกำไรของดิสนีย์ เนื่องจากต้องผลิตเนื้อหาที่ดึงดูดสมาชิกรายเดือน และผู้ลงทุนไม่ปลาบปลื้มกับผลตอบแทนที่ได้รับมากนัก ภารกิจแรกในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลัง ‘บ็อบ ไอเกอร์’ ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโออีกครั้ง คือ การปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ โดยเริ่มจากไล่ ‘คารีม ดาเนียล’ หัวหน้าฝ่ายสื่อและความบันเทิงของบริษัท (DMED) และถือเป็นมือขวาของอดีตซีอีโอ พร้อมระบุว่า ต้องการให้การตัดสินใจกลับมาอยู่ในมือของทีมสร้างสรรค์ของบริษัทมากขึ้น โดยโครงสร้างใหม่จะมี ‘ดาน่า วาลเดน’ หัวหน้าฝ่ายความบันเทิงทั่วไป ‘อลัน เบิร์กแมน’ หัวหน้าคอนเทนต์สตูดิโอ ‘เจมส์ พิทาโร’ ประธานกรรมการของ ESPN และ ‘คริสทีน แมคคาร์ธี’ CFO ของดิสนีย์ ที่จะทำหน้าที่แทนดาเนียล ส่งผลให้ราคาหุ้นของดิสย์ร่วงลงมาแล้ว 40% ในปีนี้ แต่หลังจากที่มีการประกาศว่าไอเกอร์กลับมาเป็นซีอีโอดิสนีย์อีกครั้ง หุ้นดิสนีย์พุ่งขึ้น 7.5% และปิดที่ $97.58 ในวันจันทร์ (21 พ.ย.) สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนหลังการกลับมาของซีอีโอที่บริหารดิสนีย์มา 15 ปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้เห็นบริษัทดังดึงตัวซีอีโอเก่ากลับมาคุมองค์กร ทั้ง ‘สตีฟ จ็อบส์’ ที่หวนคืนตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิล และ ‘ฮาเวิร์ด ชูลท์ส’ ที่กลับมาเป็นซีอีโอให้สตาร์คบัคส์หลังจากขึ้นไปเป็นบอร์ดบริหารขององค์กร ในช่วงเวลาวิกฤตของบริษัท ‘ซูซาน อาร์โนลด์’ ประธานกรรมการบริษัทได้กล่าวขอบคุณชาเปกสำหรับการบริการดิสนีย์ตลอดการดำรงตำแหน่ง รวมถึงนำพาบริษัทให้ผ่านพ้นอุปสรรคหลายอย่างในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 มาได้ โดยการดำเนินงานของดิสนีย์ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงซับซ้อนมากขึ้น ‘บ็อบ ไอเกอร์’ จึงเหมาะสมที่จะบริหารบริษัทในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ของ PP Foresight ให้ความเห็นว่า การกลับมาอีกครั้งของไอเกอร์คือก้าวที่กล้าหาญซึ่งอาจจะเป็นทิศทางที่ถูกต้อง แต่ธุรกิจกำลังอยู่ในเฟสของการเติบโตที่แตกต่างจากในอดีตมาก และแผนการระยะสั้นควรมีการลดบทบาทในบางภาคส่วนขององค์กร อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6844310.html https://www.bangkokbiznews.com/world/1038990 https://positioningmag.com/1409357 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Disney News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น MORE ร่วงอีก 29% ดิ่งฟลอร์ต่อเนื่อง 4 วันติด มีแต่คนขาย แทบไม่มีคนซื้อ - FINNOMENA เช้าวันนี้ (22 พ.ย.) หุ้น MORE เปิดตลาดปรับตัวลดลงทันที 29.17% เคลื่อนไหวที่ระดับ 0.68 บาท ติดเพดานการซื้อขายต่ำสุด (ฟลอร์) ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยพบว่ามีแต่การการตั้งราคาเสนอขายจำนวนมากในฝั่งขาย (Offer) แต่ถ้าดูจากราคาคำเสนอซื้อ (Bid) แทบจะไม่มีผู้ตั้งคำสั่งซื้อเข้ามาเลย 22 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (22 พ.ย.) หุ้น MORE เปิดตลาดปรับตัวลดลงทันที 29.17% เคลื่อนไหวที่ระดับ 0.68 บาท ติดเพดานการซื้อขายต่ำสุด (ฟลอร์) ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยพบว่ามีแต่การการตั้งราคาเสนอขายจำนวนมากในฝั่งขาย (Offer) แต่ถ้าดูจากราคาคำเสนอซื้อ (Bid) แทบจะไม่มีผู้ตั้งคำสั่งซื้อเข้ามาเลย โดยเมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งอายัดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น MORE รวม 34 รายการ มูลค่ารวมกว่า 5,376 ล้านบาท จากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 25 คน ากการสอบสวนของ ปปง. ซึ่งได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงวันที่ 20 พ.ย.2565 เรื่อง รายงานเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และความผิดฐานฟอกเงิน จึงได้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว โดยโบรกเกอร์ที่ได้รับความเสียหาย ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับ นายอภิมุข และบุคคลที่เกี่ยวข้อง กรณีถูก นายอภิมุข หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดความจริง หลอกลวงให้หลงเชื่อว่า นายอภิมุข จะชำระค่าซื้อหุ้น MORE และ MORE-R ซึ่งต่อมาโบรกเกอร์ได้อนุมัติให้มีการปล่อยสินเชื่อกับ นายอภิมุข และบุคคลที่เกี่ยวข้อง กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากในวันเกิดเหตุ นายอภิมุข ได้มีการตั้งคำสั่งซื้อหุ้น MORE และ MORE-R จำนวนมาก และเป็นการตั้งคำสั่งล่วงหน้าก่อนตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการเข้ามายังระบบ Automatic Order Matching (AOM) ไปยังบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นนายหน้าของ นายอภิมุข จำนวนหลายแห่ง ในราคาที่สูงกว่าราคาปิดตลาดของวันก่อนหน้า ทำให้มีมูลค่าการซื้อหุ้นด้วยวิธีการดังกล่าว แต่เมื่อครบกำหนดชำระค่าหลักทรัพย์ นายอภิมุข กลับไม่ได้ชำระค่าหุ้นดังกล่าว นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นในลักษณะดังกล่าว อาจทำให้ประชาชนและนักลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดว่าหุ้น MORE เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงในการลงทุน โดยจากการสืบสวนของกองกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พบว่า นายอภิมุข และผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 24 ราย มีการตั้งคำสั่งซื้อขายในลักษณะที่เหมือนกัน โดยมีเงื่อนไขว่า ให้ซื้อขายในราคาที่มีการเปิดการซื้อขาย(At the Open (ATO) และยังพบว่าคำสั่งซื้อขายของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ นายอภิมุข มีหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ Internet Protocol Address (IP Address) ที่ตรงกับคำสั่งซื้อขายของ นายอภิมุข ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะของการเป็นเครือญาติ แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ IP Address กลับอยู่ในสถานที่เดียวกัน อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1039187 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: MORE News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นเวียดนาม -36% จากต้นปี ผลตอบแทนแย่สุดแห่งหนึ่งของโลก นักลงทุนรายย่อยในประเทศเจ็บหนัก ส่วนต่างชาติมองเป็นโอกาสช้อนซื้อ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนามทำผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลก หลังรัฐบาลคุมเข้มภาคอสังหาฯ สอบสวนการทุจริต และเข้มงวดด้านสินเชื่อ ส่งผลให้ดัชนี VN ร่วงแล้ว 36% จากต้นปี ซึ่งทำผลตอบแทนแย่เทียบเท่าตลาดหุ้นศรีลังกา 22 พ.ย. 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามทำผลตอบแทนแย่ที่สุดในโลก หลังรัฐบาลคุมเข้มภาคอสังหาฯ สอบสวนการทุจริต และเข้มงวดด้านสินเชื่อ ส่งผลให้ดัชนี VN ร่วงแล้ว 36% จากต้นปี ซึ่งทำผลตอบแทนแย่เทียบเท่าตลาดหุ้นศรีลังกา ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติบางส่วนมองการร่วงแรงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ แต่วิกฤติครั้งนี้เหมือนเป็นบทลงโทษชาวเวียดนามที่เข้าสู่ฐานะชนชั้นกลางตั้งแต่ปี 2002 Nguyen Bien ครูสอนว่ายน้ำในวัย 33 ปี ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกเสียใจมาก เพราะความฝันที่จะซื้ออพาร์ตเมนต์ในกรุงฮานอยของเขากำลังเลือนราง เงินทุนตั้งต้นของเขาจาก $43,000 หายไปแล้ว 40% ขณะที่ตลาดตกต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจออกจากตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเวียดนามมีนักลงทุนรายย่อยเป็นสัดส่วนถึง 85% ของมูลค่าการซื้อขาย แต่ความเชื่อมั่นในตลาดแย่ลงหลังรัฐบาลเพิ่มการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกิจกรรมระดมทุนของบริษัทอสังหาฯ พร้อมจับกุมบุคคลสำคัญบางราย ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจที่กำลังพยายามควบคุมเงินเฟ้อและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ เศรษฐกิจที่ครั้งหนึ่งธนาคารโลกเคยเรียกว่า ‘เรื่องราวความสำเร็จในการพัฒนา’ จากประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปสู่ระดับรายได้ปานกลาง กำลังอยู่ภายใต้การปิดล้อม Ha Hai Dang โบรกเกอร์วัย 26 ปี ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งในฮานอยที่ดูแลนักลงทุนรายย่อยเกือบ 200 บัญชี กล่าวว่า ลูกค้าประมาณ 80%-90% กำลังขาดทุน พร้อมบอกว่าเมื่อ 1-2 ปีก่อน เขาแทบไม่ต้องชวนคนมาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ทุกอย่างพลิกผันแล้ว ตามข้อมูลจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์เวียดนาม ในเดือน ต.ค. มีนักลงทุนรายย่อยเปิดบัญชีซื้อขายใหม่เพียง 96,290 บัญชี ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 หลังจากแตะระดับสูงสุดที่มากกว่า 476,000 บัญชีในเดือน พ.ค. ในรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Fitch Ratings เห็นด้วยกับความพยายามของภาครัฐในการจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในภาคอสังหาฯ โดยมีมุมมองบวกเล็กน้อย แต่มองว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของระบบการเงินในระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนในประเทศได้รับผลกระทบหนัก แต่นักลงทุนต่างชาติมองเป็นโอกาสในการซื้อ โดยตอนนี้ดัชนี VN มี P/E อยู่ที่ 8.3 หรือต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2012 โดยมีมูลค่าการซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 315 ล้านดอลลาร์ ในเดือนนี้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-21/world-s-worst-performing-stocks-have-vietnam-investors-on-edge?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ดัชนีหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นเวียดนาม เวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงแรง 3% หลังพบผู้เสียชีวิตรายแรกในรอบ 6 เดือน - FINNOMENA เช้าวันนี้ (21 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 3% นำโดยหุ้น JD.com -6.15% Meituan -5.92% และ Alibaba -5.00% หลังพบผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 รายแรก ในรอบ 6 เดือน 21 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (21 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 3% นำโดยหุ้น JD.com -6.15% Meituan -5.92% และ Alibaba -5.00% หลังพบผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 รายแรก ในรอบ 6 เดือน ท่ามกลางการรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 24,215 คนในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดกังวลต่อท่าทีของรัฐบาลจีน ที่อาจกลับมาเข้มงวดกับมาตราการ Covid-Zero อีกครั้ง เพราะผู้สูงอายุในประเทศจีนมีอัตราการฉีดวัคซีนครบเพียงแค่ 60% เท่านั้น ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย LPR 1 ปี กับ 5 ปี ไว้ที่ 3.65% กับ 4.30% ตามลำดับ และส่งสัญญาณความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นในอนาคต จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ทำการลดอัตราดอกเบี้ยทำได้ยาก FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนในตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการพูดคุยของผู้นำของสหรัฐฯและจีนในการประชุมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อในประเทศจีนยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจจะทำให้อาจมีการกลับมาเข้มงวดมากขึ้นหากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ อย่างไรก็ตาม ข่าวดีจากการเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึง Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม กองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ในลักษณะการลงทุนระยะยาว ที่เน้นพิจารณาจากปัจจัยเชิงมูลค่า ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 4.5% คาดปี 66 เศรษฐกิจขยายตัว 3% - 4% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 2.5% – 3.5% - FINNOMENA สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 4.5% ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.23% คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2566 ขยายตัว 3% - 4% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.5% – 3.5% 21 พ.ย. 2565 สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาส 3 ขยายตัว 4.5% ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.23% คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2566 ขยายตัว 3% – 4% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.5% – 3.5% สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) ในไตรมาสที่สามของปี 2565 และแนวโน้มปี 2565 – 2566 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 4.5 (%YoY) เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.3 และร้อยละ 2.5 ในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2565 ตามลำดับ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2565 ขยายตัวร้อยละ 1.2 จากไตรมาสที่สองของปี 2565 (%QoQ_SA) รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.1 ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกบริการขยายตัวเร่งขึ้น การส่งออกสินค้าชะลอตัว ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 9.0 เร่งขึ้นต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.5 และร้อยละ 7.1 ในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2565 ตามลำดับ และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 39 ไตรมาส ตามการใช้จ่ายที่ขยายตัวเร่งขึ้นในทุกหมวด โดยการใช้จ่ายหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 15.8 เร่งขึ้นจากร้อยละ 14.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรม การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 18.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 3.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ และการใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทน ขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนการใช้จ่ายหมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัวร้อยละ 3.6 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการใช้จ่ายในกลุ่มเครื่องเรือนและเครื่องตกแต่ง และกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมาอยู่ที่ระดับ 37.6 จากระดับ 34.9 ในไตรมาสก่อนหน้า รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 6.5 ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ลดลงร้อยละ 0.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ตามการลดลงของรายจ่ายซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน รายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการทางสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดขยายตัวร้อยละ 9.9 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 17.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ขยายตัวร้อยละ 1.6 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.4 (ต่ำกว่าร้อยละ 22.5 ในไตรมาสก่อนหน้าและร้อยละ 23.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 2.9 การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 5.2 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว ในเกณฑ์สูงร้อยละ 11.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการลงทุนเครื่องจักรเครื่องมือร้อยละ 13.9 ขณะที่การลงทุนก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 2.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการลงทุนภาครัฐลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 7.3 แต่ปรับตัวดีขึ้นจาก การลดลงร้อยละ 9.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลลดลงร้อยละ 11.8 ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจ ขยายตัวร้อยละ 1.1 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.2 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.2 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 24.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 1.6 โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.3 ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 7.0 ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกมีมูลค่า 71,980 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 6.7 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 9.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 และร้อยละ 4.4 เทียบกับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 และร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามลำดับ กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ร้อยละ 10.3) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ 12.8) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ร้อยละ 11.6) ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า (ร้อยละ 13.6) อุปกรณ์และเครื่องมือด้านการแพทย์ (ร้อยละ 9.9) อาหารสัตว์ (ร้อยละ 22.0) น้ำตาล (ร้อยละ 121.4) ข้าว (ร้อยละ 12.4) และยางพารา (ร้อยละ 0.2) เป็นต้น กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 7.2) เคมีภัณฑ์ และปีโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 8.8) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 13.2) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลงร้อยละ 8.0) ทุเรียน (ลดลงร้อยละ 53.0) และผลไม้อื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 39.4) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาดส่งออกหลักขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีน ญี่ปุ่น และฮ่องกงลดลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 6.4 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 18.1 ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 71,558 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 23.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 22.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณและราคานำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0และร้อยละ 14.1ตามลำดับ ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 0.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (17.1 พันล้านบาท) รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 219,791 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 10.2 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 204,917 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 20.7ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 14.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (502.1 พันล้านบาท) ด้านการผลิต สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัว สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมฯ สาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการไฟฟ้าและก๊าซฯขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนสาขาการก่อสร้างและสาขาเกษตรกรรมปรับตัวลดลง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.3 ตามการลดลงของผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยและสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยในหลายพื้นที่ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลง เช่น กลุ่มไม้ผล (ลดลงร้อยละ 26.3) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 1.4) สุกร (ลดลงร้อยละ 2.2) และมันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 3.1) เป็นต้น ส่วนดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวเปลือก (ร้อยละ 10.9) ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 9.4) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ร้อยละ 8.6) และไก่เนื้อ (ร้อยละ 1.0) เป็นต้น ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญ ๆ เช่น สุกร (ร้อยละ 50.4) กลุ่มไม้ผล(ร้อยละ 28.4) ข้าวเปลือก (ร้อยละ 20.1) ไก่เนื้อ (ร้อยละ 40.1) และมันสำปะหลัง (ร้อยละ 32.6) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 9.8) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 3 ร้อยละ 17.7 รวม 9 เดือนแรกของปี 2565 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 1.7 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 และดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.23 ต่ำกว่าร้อยละ 1.37 ในไตรมาสก่อนหน้าและต่ำกว่าร้อยละ 2.29 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.3 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.1 สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.(25.3 หมื่นล้านบาท) ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 2.0 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 มีมูลค่าทั้งสิ้น 10,373,937.59 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.7 ของ GDP เศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.5 ในปี 2564 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 3.6 ของ GDP แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.0 – 4.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจาก (1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว (2) การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ(3) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และ (4) การขยายตัวในเกณฑ์ดีของภาคเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.0 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.4 ตามลำดับ และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สรอ. ขยายตัวร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.1 ของ GDP รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี2566 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 3.0 เทียบกับการขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 5.4 ในปี 2565 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจ และตลาดแรงงานที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคาดว่าจะลดลงร้อยละ 0.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.2 ในปี 2565 สอดคล้องกับการลดลงของกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วงเงิน 2,489,923 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.8 จากกรอบวงเงิน 2,535,682 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2565 และการลดลงของการใช้จ่ายภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท และ 5 แสนล้านบาท 2. การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เทียบกับร้อยละ 2.6 ในปี 2565 โดย (1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 2.6 เทียบกับร้อยละ 3.9 ในปี 2565 สอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกและภาคการส่งออก ขณะที่ (2) การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.4เพิ่มขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.7 ในปี 2565 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 วงเงิน 695,077 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 จากวงเงิน 612,566 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2565 รวมถึงแรงสนับสนุนจากความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของรัฐวิสาหกิจ 3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบกับร้อยละ 7.5 ในปี 2565 โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2565 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ส่วนราคาสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ (-0.5) – 0.5 เทียบกับร้อยละ 4.3 ในปี 2565 ขณะที่การส่งออกบริการมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในกรณีฐานคาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 จะอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท เทียบกับ 0.57 ล้านล้านบาท ในปี2565 ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เทียบกับร้อยละ 8.2 ในปี 2565 ที่มา: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: GDP GDP ไทย News Update สภาพัฒน์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Twitter เตรียมปลดพนักงานอีกระลอก มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายขาย หลังมีแต่ทีมวิศวกรแห่ลาออก ด้าน ‘ทรัมป์’ เมิน Twitter แม้ Elon Musk ปลดแบน - FINNOMENA Twitter เตรียมปลดพนักงานอีกระลอกวันนี้ (21 พ.ย.) หลังการลาออกจำนวนมากของทีมวิศวกรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เมิน Twitter แม้ Elon Musk ยกเลิกคำสั่งระงับบัญชีผู้ใช้งาน 21 พ.ย. 2565 Twitter เตรียมปลดพนักงานอีกระลอกวันนี้ (21 พ.ย.) หลังการลาออกจำนวนมากของทีมวิศวกรในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เมิน Twitter แม้ Elon Musk ยกเลิกคำสั่งระงับบัญชีผู้ใช้งาน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ระบุว่า Elon Musk เตรียมพิจารณาเลิกจ้างพนักงาน Twitter เพิ่มอีก โดยมุ่งเป้าไปที่ฝ่ายขายและดูแลความสัมพันธ์ของคู่ค้า หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน Musk ได้ยื่นคำขาดให้หนักงานทำงานหนักหรือเลือกลาออกโดยได้รับเงินชดเชย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พนักงานที่มีบทบาทด้านเทคนิค เช่น ทีมวิศวกรเลือกที่จะลาออกมากกว่าที่คาดไว้ เมื่อเทียบกับพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายดูแลความสัมพันธ์ของคู่ค้า และตำแหน่งใกล้เคียงกัน หลังกระแสแห่ลาออกของพนักงานในวันพฤหัสบดี (17 พ.ย.) Elon Musk ได้เรียกตัวพนักงานด้านซอฟต์แวร์ให้เข้าประชุมแบบเจอตัวกันที่ชั้น 10 ของสำนักงานใหญ่ Twitter โดยระบุว่า จะยินดีมากหากคุณสามารถบินตรงมายังซานฟรานซิสโกเพื่อปรากฏตัวให้เห็นหน้ากัน ขณะที่ อดีตปธน. ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประกาศว่า ไม่สนใจที่จะกลับไปใช้ Twitter อีกครั้ง หลัง Elon Musk ทำการสำรวจความคิดเห็นผู้ใช้งานที่มีเสียงส่วนใหญ่แบบปริ่มน้ำเห็นด้วยว่า ควรยกเลิกคำสั่งระงับบัญชีผู้ใช้งานของทรัมป์ได้แล้ว การสำรวจครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 15 ล้านคน โดย 51.8% เห็นชอบให้ Twitter เปิดบัญชีของอดีตปธน.ทรัมป์ ให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง และ Elon Musk ระบุในวันเสาร์ (19 พ.ย.) ว่า ประชาชนได้ออกเสียงมาแล้ว ทรัมป์ จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่า จะใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ซึ่งบริษัทสตาร์ทอัพ Trump Media & Technology Group ของป็นผู้พัฒนาเพราะว่า มีผู้ติดตามที่มีส่วนร่วมกับการใช้งาน มากกว่า Twitter อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-19/musk-considers-further-twitter-layoffs-in-sales-on-monday?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/6840845.html https://www.voathai.com/a/trump-snubs-twitter-after-musk-announces-reactivation-of-ex-president-s-account/6842783.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เจาะใจ ‘ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร’ จากลูกคนจีนยากจนสู่นักลงทุนหมื่นล้าน - FINNOMENA “จริงๆ มีเงินมีความสุขแน่นอน มีเงินเพิ่มก็มีความสุขเพิ่ม การใช้เงินต่างหากอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง” คือหนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ ‘ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร’ พูดถึงในรายการเจาะใจ 18 พ.ย. 2565 “จริงๆ มีเงินมีความสุขแน่นอน มีเงินเพิ่มก็มีความสุขเพิ่ม การใช้เงินต่างหากอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง” คือหนึ่งในบทสัมภาษณ์ที่ ‘ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร’ พูดถึงในรายการเจาะใจ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใครอยู่แวดวงการลงทุนคงได้เห็นรายการเจาะใจสัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดการลงทุนแบบ VI (Value Investing) หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทย ดร.นิเวศน์ เชื่อว่าการซื้อหุ้นเปรียบเสมือนการมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ โดยได้เขียนหนังสือชื่อว่า “ตีแตก” ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งกลายมาเป็นคัมภีร์การลงทุนแก่นักลงทุนรุ่นหลัง สร้างแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากเดินสู่ตลาดหุ้นเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งให้กับชีวิต The Opportunity มาสรุปประเด็นสำคัญให้ทุกคนได้อ่านกัน บอกเลยว่าไม่ได้มีแค่ความรู้การลงทุน เพราะ ดร.นิเวศน์ ได้สอดแทรกประสบการณ์การใช้ชีวิตของคนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 10 ล้าน ให้กลายเป็นพอร์ตหมื่นล้านอย่างทุกวันนี้ ★ ลงทุนแบบ VI ตามนิยามของ ดร.นิเวศน์ ★ ดร.นิเวศน์ อธิบายว่า การลงทุนแบบ VI คือ การซื้อธุรกิจที่ดี มั่นใจว่าอยู่ได้นาน และปล่อยให้ผู้บริหารเขาบริหารไป โดยปกติ ดร.นิเวศน์ ถือหุ้นเป็น 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะถ้าธุรกิจยังดีก็ไม่จำเป็นต้องขาย มันคือการลงทุนแบบเจ้าของธุรกิจ ดังนั้น ดร.นิเวศน์ ไม่เคยเล่นหุ้น และไม่เรียกตัวเองว่าเป็นเซียนหุ้น นอกจากนี้เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็น เงินที่เราไม่ต้องใช้จนกว่าเกษียณหรือตาย ส่วนเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันควรได้มาจากการทำงาน แล้วแบ่งที่เหลือมาลงทุน เพื่ออนาคตระยะยาวตอนที่เราทำงานไม่ได้แล้ว สำหรับมุมมองตอนนี้ ดร.นิเวศน์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มอิ่มตัว เหมือนบริษัทตัวใหญ่ที่ไม่โตแล้ว ส่วนเวียดนามกำลังมาแรง เพราะมีบริษัทเล็กที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ★ แก้ว 3 ประการของการลงทุน ★ ดร.นิเวศน์ บอกว่าคนเราเกิดมามีแก้ว 3 ดวง แก้วดวงแรกคือ ‘เงินต้น’ ซึ่งบางคนแก้วดวงนี้สุกสว่างมาตั้งแต่เกิดเพราะบ้านฐานะดี แต่ใครที่ไม่ได้มีต้นทุนมาตั้งแต่เกิด ก็ต้องพยายามหาเงินให้มากขึ้นและเก็บออมเพื่อให้แก้วดวงนี้สุกสว่าง โดย ดร.นิเวศน์ แนะนำให้เอาอย่างน้อย 15% ของรายได้ ‘ทุกชนิด’ มาลงทุน ต่อมาแก้วดวงที่ 2 คือ ‘ผลตอบแทนจากการลงทุน’ คือการเลือกลงทุนให้ถูกต้อง ซึ่งหุ้นสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีและทำให้แก้วดวงนี้สุกสว่าง ดร.นิเวศน์ เปรียบเทียบกับการเอาเงินไปฝากแบงก์ที่ทำให้แก้วดวงนี้มืดมน สุดท้ายแก้วดวงที่ 3 คือ ‘ระยะเวลาการลงทุน’ ข้อนี้ยิ่งเริ่มลงทุนเร็วยิ่งดี ที่สำคัญคือ อย่าลงทุนแล้วเอาเงินออกมาใช้ พร้อมทิ้งท้ายว่าถ้าทำครบ 3 ดวง ทุกคนรวยได้เสมอแม้จะเกิดมาไม่มีอะไรเลยก็ตาม ★ วิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 คือโอกาส ★ หลังจบดอกเตอร์จากอเมริกาด้วยตั๋วแบบ One Way Ticket ดร.นิเวศน์ในวัย 32 ปี ตัดสินใจกลับมาทำงานที่บ้านเกิด แต่แล้วประเทศไทยก็เกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ในปี 2540 คือ ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ ดร.นิเวศน์ที่ตอนนั้นทำงานอยู่บริษัทการเงินอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถูกเชิญให้ออกโดยไม่ได้เงินชดเชย ในมือมีแค่เงินเก็บก้อนสุดท้ายของชีวิต 10 ล้านบาท และยังต้องส่งลูกสาวเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อย่าเอาไปลงทุนเลย’ เก็บไว้กินดีกว่า แต่ ดร.นิเวศน์ คิดออกว่ามีที่เดียวที่จะต่อยอดเงินก้อนนั้นให้งอกเงย ที่นั่นคือ ‘ตลาดหุ้น’ โดยตอนแรกหวังแค่ว่าถ้าได้ปันผลปีละ 10% หรือปีละ 1 ล้าน ก็น่าจะพอกิน พร้อมย้ำว่าต้องกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่ลงตัวเดียว หลังจากนั้นก็ได้กลับมาเป็นผู้บริหารของแบงก์ และทำงานต่อไปอีก 7-8 ปี พออายุครบ 51 ปี ก็ลาออกเพราะมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ได้ออกมาทำสิ่งที่รักอย่าง การลงทุน เขียนหนังสือ และเผยแพร่ความรู้ ★ รวยแต่ไม่ฟุ่มเฟือย สมถะจนลูกอายเพื่อน ★ ดร.นิเวศน์ เล่าว่า ตอนพอร์ตถึงพันล้าน ก็ยังใช้รถเก่าอายุ 10 ปี อยู่บ้านชั้นเดียวที่พ่อตาสร้างให้ สมถะถึงขนาดที่ว่าสมัยลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยไม่กล้าพาเพื่อนมาบ้านเพราะรู้สึก ‘อาย’ เมื่อถูกถามว่าทำไมประสบความสำเร็จแล้วไม่เปลี่ยนชีวิตให้มันหรูหรา? ดร.นิเวศน์ตอบว่า นักลงทุนไม่ใช่นักธุรกิจที่ต้องมีฟอร์ม สามารถนั่งรถเมล์ ใส่รองเท้าแตะก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ผมไม่เคยมีของฟุ่มเฟือยในชีวิตเลย ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะมีความสุขอะไรในการที่จะใช้เงินอะไรต่างๆ เพราะเราเป็นคนที่มีความสุขจากการเก็บเงิน ถ้าใช้เงินคือไม่มีความสุข” ดร.นิเวศน์กล่าว ★ สัจธรรมชีวิต เพราะรวยไม่เท่ากับมีความสุข ★ “เงินซื้อความสุขจริงๆ ไม่ค่อยได้หรอก แต่มันซื้อความทุกข์ทิ้งได้บางอย่าง เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เข้าโรงพยาบาลดีๆ หรือจ้างคนให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” ดร.นิเวศน์เล่าในรายการเจาะใจ ดร.นิเวศน์ มองว่า ความสุขมันอยู่ที่ใจ เปรียบความสุขสมัยเด็กที่จน กับตอนนี้ที่รวยแต่อายุมากขึ้น ความสุขก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะความสุขมันอยู่ที่ความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อนฝูง และการมีสุขภาพที่ดี ดร.นิเวศน์ ทิ้งท้ายว่า “จริงๆ มีเงินมีความสุขแน่นอน มีเงินเพิ่มก็มีความสุขเพิ่ม การใช้เงินต่างหากอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่การมีเงินเป็นความสุข เพราะมันสร้างความมั่นคง” ที่มา: รายการเจาะใจ EP.45 เจาะชีวิต ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จากลูกคนจีนยากจนสู่เซียนหุ้นระดับหมื่นล้าน ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ORA Grand Cat มาแน่! ตัวถังกลุ่ม D-Segment ซีดาน 4 ประตู GWM เตรียมเปิดตัวใน Motor Expo ปลายปีนี้ พร้อมเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 150,000 บาท - FINNOMENA Great Wall Motor เตรียมเปิดตัว ‘ORA Grand Cat’ ครั้งแรกในงาน Motor Expo ปลายปีนี้ พร้อมด้วย ‘TANK 500 HEV’ รถ SUV ออฟโรดพรีเมียมสายลุย รวมถึงเซอร์ไพรส์พิเศษจากแบรนด์ HAVAL และ ORA 18 พ.ย. 2565 Great Wall Motor เตรียมเปิดตัว ‘ORA Grand Cat’ ครั้งแรกในงาน Motor Expo ปลายปีนี้ พร้อมด้วย ‘TANK 500 HEV’ รถ SUV ออฟโรดพรีเมียมสายลุย รวมถึงเซอร์ไพรส์พิเศษจากแบรนด์ HAVAL และ ORA ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า GWM พร้อมเขย่าวงการรถยนต์ไฟฟ้าในงาน Motor Expo ปลายปีนี้ โดยไฮไลต์ คือ การเปิดตัว Grand Cat ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และการกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งของรถยนต์เอสยูวีออฟโรดพรีเมี่ยมสำหรับผู้ขับขี่สายลุย TANK 500 HEV รวมถึงเซอร์ไพรส์พิเศษจากแบรนด์ HAVAL และ ORA ORA Grand Cat หรือชื่อในประเทศจีนคือ ORA Lightning Cat หรือในตลาดยุโรปใช้ชื่อว่า ORA Next Cat ที่ดีไซน์ยังคงเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์ ORA รุ่นก่อนหน้า พิกัดตัวถังในขนาดเดียวกับกลุ่ม D-Segment Sedan 4 ประตู อย่าง Honda Accord และ Toyota Camry โดยมีงานดีไซน์ออกไปทาง Sedan Coupe’ ท้ายลาด ทำให้ดูสปอร์ตหรูหราขึ้น ด้านมิติตัวถัง ความยาวอยู่ 4,871 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,862 มิลลิเมตร ความสูง 1,500 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ wheelbase 2,870 มิลลิเมตร และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน cd = 0.22 สำหรับ ‘ORA Grand Cat’ ตัวธรรมดา Standard Range มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 204 แรงม้า แบตเตอรี่ 63.9 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 555 km. (CLTC) หรือ 450 km. (WLTP) ส่วนตัวพิเศษ มอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัวให้กำลัง 204 แรงม้า แบตเตอรี่ ขนาด 83.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 705 km. (CLTC) หรือ 600 km. (WLTP) สีตัวถังภายนอกมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีชมพู Pink, สีม่วง Smoked Amethyst, สีขาว Jade Ice, สีเทา Tourmaline Gray White และสีทองโรสโกลด์ Pink Diamond อ้างอิงจาก Autolife Thailand ราคา 4 รุ่นย่อยของ ORA Grand Cat ในประเทศจีน มีดังนี้ Luxury Edition 189,800 หยวน (ประมาณ 961,000 บาท) Premium Edition 203,800 หยวน (ประมาณ 1,032,000 บาท) Long Range Edition 239,800 หยวน (ประมาณ 1,215,000 บาท) Performance Edition 269,800 หยวน (ประมาณ 1,367,000 บาท) สำหรับประเทศไทย ราคาจะประกาศในงานและได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 1.5 แสนบาท โดยคาดการณ์ว่าจะมีคิวเปิดจองและส่งรถให้ลูกค้าได้ในช่วงต้นปี 2023 อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1120591 https://autolifethailand.tv/ora-lightning-cat-ev-bev-sedan-motor-expo/ https://thestandard.co/ora-grand-cat/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs ชี้หุ้นจีนมาแน่ คาดดัชนีหุ้นจีนพุ่ง 16% ในปีเดียว จากการผ่อนคลายโควิดของรัฐบาล - FINNOMENA Goldman Sachs มีมุมมองบวกอย่างมากต่อตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้ โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะทำผลตอบแทนได้ดีในปี 2023 จากการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน และแนวโน้มที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจทั่วโลก 18 พ.ย. 2565 Goldman Sachs มีมุมมองบวกอย่างมากต่อตลาดหุ้นจีนและเกาหลีใต้ โดยคาดว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะทำผลตอบแทนได้ดีในปี 2023 จากการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีน และแนวโน้มที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจทั่วโลก ทีมนักวิเคราะห์ของบริษัทนำโดย Timothy Moe คาดการณ์ว่า ดัชนี MSCI China และ CSI 300 จะปรับตัวขึ้นถึง 16% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยหุ้นจีนจะทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในภูมิภาค พร้อมปรับสัดส่วนของหุ้นเกาหลีใต้จากระดับปานกลาง (Neutral) สู่เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) Goldman Sachs ระบุว่า ความแข็งแกร่งของหุ้นในภูมิภาคจะเปลี่ยนจากหุ้นอาเซียนและอินเดียในปี 2022 มาสู่ตลาดจีนและเกาหลีใต้ที่กำลังฟื้นตัว โดยจุดเปลี่ยนที่เป็นไปได้คือ ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2023 จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าในจุดสูงสุด และการกลับทิศนโยบายการเงินของ Fed ธนาคารและนักลงทุนในวอลล์สตรีทจำนวนมากเริ่มมีมุมมองบวกมากขึ้นต่อหุ้นจีน หลังรัฐบาลจีนกลับมาสนับสนุนการเติบโตมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นฮ่องกงปรับตัวต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากครองตำแหน่งดัชนีที่ทำผลงานแย่ที่สุดในโลกในปีนี้ โดย Goldman Sachs คาดการณ์ว่า หุ้นจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศจะพุ่งขึ้นถึง 20% เพราะได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง โดยคาดหวังว่าจีนจะค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดในไตรมาส 2 ของปี 2023 นอกจากนี้ยังคาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้จะพุ่งขึ้น 11% ขณะที่ดัชนีหุ้นสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้น 10% โดยการซื้อของนักลงทุนต่างชาติและการปรับตัวขึ้นมาของหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ทำให้ Kospi กลายเป็นดัชนีหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้ดีสุดของภูมิภาคในไตรมาสนี้ Goldman Sachs ได้ปรับลดมุมมองหุ้นอินโดนีเซียสู่ระดับปานกลาง (Neutral) ส่วนหุ้นไทยและมาเลเซียสู่ลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) รวมถึงลดเป้าหมาย 12 เดือนสำหรับดัชนี MSCI Asia Pacific Ex-Japan เหลือ 515 จาก 585 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-18/goldman-turns-more-bullish-on-china-stocks-upgrades-south-korea?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Goldman Sachs News Update หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลบ 2.45% จากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มการเงิน และอสังหาฯ - FINNOMENA วันนี้ (18 พ.ย.) ดัชนี VN30 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลง 2.45% สู่ระดับ 947 จุด จากแรงขายหลักในกลุ่มการเงินและประกัน เช่น VCB -6.48%, BID -3.51%, CTG -5.2% VPB -4.39% 18 พ.ย. 2565 วันนี้ (18 พ.ย.) ดัชนี VN30 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลง 2.45% สู่ระดับ 947 จุด จากแรงขายหลักในกลุ่มการเงินและประกัน เช่น VCB -6.48%, BID -3.51%, CTG -5.2% VPB -4.39% จากผลกระทบเรื่องคุณภาพของสินเชื่อ(Bad debt ratio ใน 3Q65) และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวขึ้นกระทบกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้ารายย่อยที่ได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำเมื่อกู้เงินในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา แม้นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม คุณ Pham Minh Chinh ได้ให้ธนาคารศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มการปล่อยกู้อย่างมีคุณภาพและไม่กระทบกับระบบธนาคารในปริมาณที่มากขึ้น อีกทั้งยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง NVL -6.9% (Floor) BCM -4.69% และ VHM -0.94% ออกมาอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่อง Credit Crunch ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และในกลุ่มอื่นๆก็มีแรงขายออกมาสลับกับหุ้นที่ปรับตัวบวกขึ้นมาได้ เช่น MSN -4.02%, SAB -0.49%, GAS -6.43%, VGI -4.3%, VNM +0.66%, HPG +0.7% FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะยังมีความผันผวนในระยะสั้นจากเกี่ยวกับสภาพคล่องของหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน ในขณะที่ความกังวลอื่นๆ เริ่มมีทิศทางเบาบางลงจาก ค่าเงินดองมีความผันผวนน้อยหลังถูกปรับสมดุลให้เข้าใกล้สกุลเงินในภูมิภาคมาก และอัตราดอกเบี้ย overnight rate ปรับตัวลงและอยู่ในระดับทรงตัว และเรายังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิม จากศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 7.7 เท่า -2.9 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่างๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ทำให้เรายังคงจับตาและมองหาโอกาสในการลงทุนหุ้นเวียดนามหลังจากนี้ เมื่อความผันผวนเริ่มลดลง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ยังมั่นใจ ช้อนกองทุน Bitcoin ซื้อเพิ่ม $2.8 ล้าน หลังราคาต่ำกว่า NAV พร้อมซื้อหุ้น Roku, Tesla และ Twilio - FINNOMENA Ark Investment ที่บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนชื่อดัง Cathie Wood ช้อนซื้อกองทุน Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) ที่มูลค่าส่วนลดของกองทุนทำจุดต่ำสุดใหม่ ไปทั้งหมด 315,000 หุ้น หรือประมาณ 2.8 ล้านดอลลาร์ สำหรับ ARK Next Generation (ARKW) พร้อมซื้อหุ้น Roku, Tesla และ Twilio 18 พ.ย. 2565 Ark Investment ที่บริหารงานโดยผู้จัดการกองทุนชื่อดัง Cathie Wood ช้อนซื้อกองทุน Grayscale Bitcoin Trust (GBTC) ที่มูลค่าส่วนลดของกองทุนทำจุดต่ำสุดใหม่ ไปทั้งหมด 315,000 หุ้น หรือประมาณ 2.8 ล้านดอลลาร์ สำหรับ ARK Next Generation (ARKW) พร้อมซื้อหุ้น Roku, Tesla และ Twilio อ้างอิงจากเว็บไซต์ Ark Invest Daily Trades ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวพอร์ตโฟลิโอของ Ark นี่เป็นการซื้อ GBTC ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2021 โดย GBTC ครองสัดส่วนใหญ่เป็นอันดับ 9 ในพอร์ตของ ARKW ซึ่ง Cathie Wood เริ่มซื้อกองทรัสต์ดังกล่าวตั้งแต่ปลายปี 2015 GBTC คือกองทุนที่ลงทุนใน Bitcoin เพียงเหรียญเดียวและมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามราคา ถูกซื้อขายที่ราคาต่ำกว่าเมื่อเทียบกับมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งความคลาดเคลื่อนของกองทุนเป็นผลมาจากโครงสร้างซึ่งไม่อนุญาตให้มีการไถ่ถอน ส่งผลให้ราคาของกองทุน (Trust Price) ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ช่องว่างดังกล่าวได้ขยายตัวอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังผลกระทบของ FTX ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลง GBTC ปรับตัวขึ้นมา 1,200% นับตั้งแต่ต้นปี 2019 เทียบกับการเพิ่มขึ้น 3,700% ของ Bitcoin ซึ่งช่องว่างดังลก่าวถูกมองว่าเป็นทั้งบทลงโทษและโอกาส โดย Bloomberg Intelligence รายงานว่า การซื้อ GBTC ที่ระดับส่วนลดที่ 40% ของมูลค่า NAV นั้น เหมือนการซื้อ Bitcoin ที่ราคาใกล้ $11,000 เทียบกับราคาปัจจุบันที่ $16,400 นอกจากกองทุน Bitcoin ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือน พ.ย. Cathie Wood ยังได้ช้อปปิ้งหุ้นที่ร่วงลงมาอย่างสนุกสนาน โดยซื้อเพิ่มทั้ง Roku, Tesla และ Twilio โดยแม้หุ้น Roku จะลดลง 79% จากจุดสูงสุด แต่ยังคงเป็นหุ้นหลักในกองทุน Ark ทั้ง 3 กอง โดยมีสัดส่วนรวมมากกว่า 11.5 ล้านหุ้น หรือมากกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ส่วน Tesla ก็เช่นกัน โดย Tesla มีส่วนสูงสุดใน 5 อันดับแรกของกองทุน Ark ทั้ง 3 กอง โดย Ark ถือหุ้น Tesla มากกว่า 4.1 ล้านหุ้นมูลค่ากว่า 800 ล้านดอลลาร์ และแม้ Twilio จะร่วงลงมาถึง 83% จากจุดต่ำสุด แต่ในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว Cathie Wood ได้ตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่ม 850,000 หุ้น ทำให้มูลค่ารวมของการถือครอง Twilio ของ Ark อยู่ที่ 7.3 ล้านหุ้น หรือมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-15/cathie-wood-buys-the-dip-in-bitcoin-fund-as-discount-hits-record?sref=e4t2werz https://www.fool.com/investing/2022/11/17/cathie-wood-went-bargain-shopping-3-stocks-she-bou/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Investment Bitcoin Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “ไม่อยากทำงานหนักก็ออกไป” Elon Musk เตือนพนักงาน Twitter ต้องทำงานแบบฮาร์ดคอร์ เตรียมเข้าสู่ยุค Twitter 2.0 - FINNOMENA Elon Musk บอกพนักงานทวิตเตอร์ว่า ให้ทำงานอย่างเข้มข้นหลายชั่วโมงต่อวัน ไม่งั้นก็ออกจากบริษัทไป เตรียมนำบริษัทเข้าสู่ยุค Twitter 2.0 17 พ.ย. 2565 Elon Musk บอกพนักงานทวิตเตอร์ว่า ให้ทำงานอย่างเข้มข้นหลายชั่วโมงต่อวัน ไม่งั้นก็ออกจากบริษัทไป เตรียมนำบริษัทเข้าสู่ยุค Twitter 2.0 วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ในอีเมลที่ส่งถึงพนักงาน Elon Musk ในฐานะเจ้าของใหม่ของ Twitter ยื่นคำขาดสำหรับพนักงานที่ยังอยู่กับบริษัทถึงตอนนี้ให้เลือก ‘ตอบรับ’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ ภายในเวลา 17.00 น. ของวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ แต่ถ้าหากใครไม่ตอบหรือปฏิเสธก็จะได้รับเงินชดเชยเป็นเวลา 3 เดือน Elon Musk กล่าวว่า Twitter ต้องเข้าสู่วัฒนธรรมการทำงานแบบฮาร์ดคอร์ขั้นสุดยอดเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งหมายถึงการทำงานแบบเข้มข้นหลายชั่วโมงต่อวัน และมีเพียงพนักงานที่ทำผลงานได้โดดเด่นอย่างมากเท่านั้นจะถือว่าสอบผ่าน มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกทิ้งท้ายว่า “ไม่ว่าคุณจะเลือกทางใดก็ตาม ขอบคุณที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Twitter ประสบความสำเร็จ” หลังจากดีลซื้อ Twitter มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ Elon Musk ประกาศปลดพนักงานของบริษัทลงครึ่งหนึ่ง โดยระบุว่า เขาไม่มีทางเลือก เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 4 ล้านต่อวัน และได้กล่าวหาคนที่ประท้วงการโฆษณาที่ทำให้รายได้ของบริษัทลดลงอย่างมหาศาล นอกจากนี้ผู้บริหารระดับสูงหลายคนยังถูกเชิญให้ออกจากตำแหน่งหลัง Elon Musk ขึ้นมาเป็นเจ้าของ และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Elon Musk ยังประกาศยกเลิกการทำงานที่บ้านของพนักงานด้วย พร้อมระบุว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังจะส่งผลกระทบต่อรายได้ในการโฆษณาของ Twitter อย่างไรก็ตาม Sarah Kunst นักลงทุนหุ้นเทคโนโลยีบอกว่า เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ Twitter เผชิญกับความยากลำบาก นั่นเป็นเพราะการเทคโอเวอร์บริษัทของ Elon Musk เป็นการผูกมัดบริษัทด้วยหนี้สิน และพฤติกรรมของเขากำลังทำให้ผู้ลงโฆษณาลดการใช้จ่ายลง อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-63648505 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter อีลอน มัสก์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ซีอีโอ Microsoft มั่นใจภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะตลาดจีนและอินเดีย วางแผนสร้างศูนย์ข้อมูลเพิ่มทั่วโลก - FINNOMENA Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft มั่นใจในเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย พร้อมวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูลเพิ่มทั่วโลก 17 พ.ย. 2565 Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft มั่นใจในเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย พร้อมวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูลเพิ่มทั่วโลก ซีอีโอของ Microsoft กล่าวว่า แน่นอนว่าบริษัทมั่นใจมากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเอเชีย ตอนนี้บริษัทกำลังลงทุนในภูมิภาคต่างๆ อย่างน้อย 11 แห่ง ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในทุกประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่บริษัทกำลังสนับสนุนบริษัทข้ามชาติทั้งที่ดำเนินธุรกิจในและนอกจีน Satya Nadella กล่าวเสริมด้วยว่า อินเดียคือตลาดที่เติบโตอย่างมากหลังเกิดโรคระบาด ที่ผ่านมา การปรากฏตัวของ Microsoft ในอินเดียอยู่ในรูปแบบของบริษัทข้ามชาติที่ดำเนินการในอินเดีย แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือสตาร์ทอัปหน้าใหม่กำลังสร้างนวัตกรรมในอินเดีย ทุกบริษัทต่างก็ใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI เพื่อคิดค้นและสร้างบริการที่เป็นที่นิยมอย่างเห็นได้ชัดในอินเดียและที่อื่นๆ ก่อนหน้านี้ Microsoft กล่าวกับ Economic Times ในอินเดียว่า บริษัทต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันคลาวด์แบบเจาะจงขึ้นใหม่ในอินเดีย ก่อนหน้านี้ในเดือน ต.ค. Microsoft ประกาศปลดพนักงานน้อยกว่า 1% ของบริษัท ซึ่งเมื่อถูกถามว่ามีแผนจะปลดพนักงานเพิ่มหรือไม่ ซีอีโอบอกว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้แน่ใจว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการเติบโตของรายได้ของเราสอดคล้องกัน Satya Nadella กล่าวว่า ไม่มีบริษัทอุตสาหกรรมใดที่มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาเศรษฐกิจมหภาค ดังนั้น ทุกคนต้องจัดการต้นทุนและดีมานด์อย่างเหมาะสม สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับสหรัฐฯ คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น การสร้างโรงงานแปรรูป โรงไฟฟ้า และโรงงานแบตเตอรี่ ซีอีโอของ Microsoft ทิ้งท้ายว่า เขาให้ความสำคัญกับการสังเกตอะไรใหม่ๆ ที่จะเติบโตขึ้น ดังนั้นเขาจึงมองโลกในแง่ดีอย่างมากต่อสหรัฐฯ และทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น Microsoft อยู่ที่ $241.73 โดยราคาได้ร่วงลงมาแล้ว 27.8% ตั้งแต่ต้นปี อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/17/microsoft-satya-nadella-is-very-bullish-on-asia-china-and-india.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Microsoft News Update Satya Nadella แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รีพับลิกันคว้าชัยเลือกตั้งสภาล่าง ศึกหนักสำหรับไบเดนและเดโมแครต สู่สถานการณ์ต่างฝ่ายต่าง ‘ติดล็อก’ - FINNOMENA พรรครีพับลิกันคว้าชัยเลือกตั้งสภาล่าง ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ขณะที่พรรคเดโมแครตของปธน.โจ ไบเดน ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาแบบปริ่มน้ำ นั่นหมายถึงคนละขั้วอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ​ 17 พ.ย. 2565 พรรครีพับลิกันคว้าชัยเลือกตั้งสภาล่าง ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ขณะที่พรรคเดโมแครตของปธน.โจ ไบเดน ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาแบบปริ่มน้ำ นั่นหมายถึงคนละขั้วอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ตามกฎหมายแล้ว ส.ส.จะมีที่นั่งทั้งหมด 435 ที่นั่งในสภา วาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี ซึ่งการจะมีเสียงข้างมากในสภาล่างนั้น จะต้องชิงที่นั่งมาให้ได้กึ่งหนึ่ง หรืออย่างน้อย 218 ที่นั่ง และในการเลือกตั้งครั้งนี้ รีพับลิกันได้ 218 ที่นั่งมาครองเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (16 พ.ย.) ปธน.ไบเดน แสดงความยินดีกับพรรครีพับลิกัน พร้อมบอกว่ามีความตั้งใจในการทำงานร่วมกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะรีพับลิกันหรือเดโมแครต เพื่อรับใช้ประชาชนชาวอเมริกา หลังได้รับชัยชนะ ‘เควิน แม็กคาร์ธี’ แกนนำรรีพับลิกัน ระบุว่า ต้องการนำความเปลี่ยนแปลงสู่ประชาชนชาวอเมริกา โดยอเมริกาพร้อมแล้วสำหรับทิศทางใหม่ และสมาชิกรัฐสภาจากรีพับลิกัน พร้อมมอบสิ่งนั้น ชัยชนะในสภาล่างของรีพับลิกันส่งผลอย่างไร? ตำแหน่งแรกที่คาดว่าน่าจะถูกปรับเปลี่ยนอย่างแน่นอนคือ ประธานรัฐสภาสหรัฐฯ หรือ No.2 ของการบริหารประเทศ จะถูกเปลี่ยนมือจาก ‘แนนซี เพโลซี’ จากพรรคเดโมแครต มาเป็น ‘เควิน แม็กคาร์ธี’ จากรีพับลิกันแทน ชัยชนะของรีพับลิกันยังส่งผลต่อการบริหารและนโยบายต่างๆ ของไบเดน โดยเฉพาะวาระทางกฎหมายต่าง ๆ รวมถึงยกเลิกนโยบายที่สำคัญของไบเดน เช่น งบประมาณด้านการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การล้างหนี้กยศ.ชาวอเมริกัน และการปรับเพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคล นอกจากนี้ รีพับลิกันอาจดำเนินการขัดขวางคณะกรรมการสืบสวนเหตุจลาจลบุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 และอาจเปิดฉากสอบสวนรัฐสภาเรื่องการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน และการติดต่อธุรกิจของฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของไบเดน ในจีนและยูเครน สำหรับประเด็นความขัดแย้งในยูเครน ‘เควิน แม็กคาร์ธี’ เคยออกมาบอกว่า จะไม่มอบเงินเปล่าๆ ให้กับยูเครนอีกต่อไป เพราะสหรัฐฯ ต้องมาก่อน ซึ่งหากแม็กคาร์ธีได้ขึ้นเป็นประธานรัฐสภาสหรัฐฯ จริง ก็คาดว่าจะส่งผลต่อการสนับสนุนยูเครนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเดโมแครตยังรักษาที่นั่งในสภาสูงไว้ได้อยู่ ก็จะทำให้รีพับลิกันทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน เพราะกฎหมายหรือนโยบายใด ๆ มักจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก 2 ใน 3 ส่วนของการบริหารประเทศเสียก่อน นี่อาจนำไปสู่สถานการณ์ ‘ติดล็อก’ ที่ต่างฝ่ายต่างจะไม่สามารถทำอะไรได้ และไบเดนจะต้องพึ่งพาการดำเนินการของฝ่ายบริหารเพียงฝ่ายเดียวเพื่อพัฒนานโยบายของตน อ้างอิง: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/184808 https://mgronline.com/around/detail/9650000109713 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.5% หลังธนาคารกลางจีนส่งสัญญาณเตือนเงินเฟ้อที่มีโอกาสเพิ่มขึ้น - FINNOMENA เช้าวันนี้ (17 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงกว่า 2.5% หลังจากธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยรายงานนโยบายการเงินรายไตรมาส ซึ่งระบุถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นในอนาคต 17 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (17 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงกว่า 2.5% หลังจากธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยรายงานนโยบายการเงินรายไตรมาส ซึ่งระบุถึงความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้นในอนาคต จากอุปสงค์และเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากเริ่มมีสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ กว่า 20 มาตรการ อาทิ การลดการกักตัวนักท่องเที่ยวจาก 10 วัน เหลือ 8 วัน ทั้งนี้ทางธนาคารกลางจีนคาดว่า นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายยังคงสำคัญ แต่จะถูกใช้เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องอย่างมีเหตุผลมากขึ้น ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าธนาคารกลางจีนจะให้ความสำคัญมากขึ้น กับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะทำให้นโยบายการเงินเชิงผ่อนคลาย เริ่มถูกใช้อย่างจำกัดมากขึ้น และลดความเป็นไปได้ ที่ธนาคารกลางจีนจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ อัตราส่วนสำรองขั้นต่ำ (Reserve requirement ratio) ในช่วงสิ้นปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในประเทศจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนสำคัญมาจากอุปสงค์ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่น้อยลง จากการปิดเมืองในหลาย ๆ มณฑลผ่านมาตราการโควิดเป็นศูนย์ โดยธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 2 ครั้งในปีปัจจุบัน นับเป็นการใช้นโยบายการเงินเชิงกระตุ้นซึ่งสวนทางกลับหลาย ๆ ธนาคารกลาง ที่กำลังปรับลดสภาพคล่องลงเพื่อชะลอเครษฐกิจที่อยู่ในระดับร้อนแรงเกินไป จากทั่วโลก FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนในตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการพูดคุยของผู้นำของสหรัฐฯและจีน รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อในประเทศจีนยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจจะทำให้อาจมีการกลับมาเข้มงวดมากขึ้นหากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ อย่างไรก็ตามข่าวดีจากการเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึง Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม กองทุนหุ้นจีนต่างๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ในลักษณะการลงทุนระยะยาว ที่เน้นพิจารณาจากปัจจัยเชิงมูลค่า ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Grab ไตรมาส 3 รายได้รวมโต 156% ขาดทุนน้อยลง ธุรกิจส่งอาหารถึงจุดคุ้มทุนแล้ว มั่นใจความต้องการลูกค้าในอาเซียนเพิ่มขึ้น - FINNOMENA Grab รายงานผลขาดทุนไตรมาส 3 น้อยกว่าคาด จากการลดต้นทุนของบริการเรียกรถและเดลิเวอรีในอาเซียน พร้อมเพิ่มประมาณการรายได้สำหรับทั้งปี 2022 มั่นใจความต้องการใช้บริการพุ่งสูงขึ้น 17 พ.ย. 2565 Grab รายงานผลขาดทุนไตรมาส 3 น้อยกว่าคาด จากการลดต้นทุนของบริการเรียกรถและเดลิเวอรีในอาเซียน พร้อมเพิ่มประมาณการรายได้สำหรับทั้งปี 2022 มั่นใจความต้องการใช้บริการพุ่งสูงขึ้น ในวันพุธ (16 พ.ย.) บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 โดยมูลค่าการทำรายการผ่านแพลตฟอร์ม (GMV) อยู่ที่ 5,080 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นรายได้ 382 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 156% ขณะที่ผลขาดทุนสุทธิลดลงเหลือ 327 ล้านดอลลาร์จาก 970 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า บริการเดลิเวอรีอาหารและสินค้าของบริษัทถึงจุดคุ้มทุน (Breakeven) แล้ว โดยพิจารณาจากกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุง (EBITDA) ที่เป็นบวก ซึ่งเกิดขึ้นก่อนถึง 3 ไตรมาสจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยรายได้และ EBITDA ของบริการเดลิเวอรีเพิ่มขึ้น 2 เท่า สำหรับค่าคอมมิชชันที่ Grab เรียบเก็บในแต่ละธุรกรรม โดยธุรกิจส่งอาหารอยู่ที่ 21.2% เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนบริการเรียกรถอยู่ที่ 23.2% ลดลง 0.6% จากปีที่แล้ว ขณะที่บริการทางการเงินอยู่ที่ 2.9% เพิ่มขึ้น 2.4% จากปีที่แล้ว เช่นเดียวกับบริษัทด้านเทคโนโลยีทั่วโลก Grab กำลังต่อสู้กับผลกระทบของธุรกิจที่ย่ำแย่ ขณะที่นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไร ซึ่ง Grab ที่เคยเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัปที่ร้อนแรงที่สุดในอาเซียนประสบปัญหาตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นผ่านการควบรวมกิจการกับบริษัทเช็คเปล่าของสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ราคาหุ้น Grab ร่วงลง 70% ตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น โดยเมื่อวานนี้ ราคาปรับตัวลงมาอีกเกือบ 0.7% Grab กำลังพยายามรักษาสมดุลการใช้จ่ายเพื่อบรรลุความสามารถในการทำกำไร ทำให้บริษัทต้องเลิกจ้างพนักงาน ปิดหน่วยธุรกิจ และออกมาตรการอื่น ๆ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะที่ Peter Oey ซึ่งเป็น CFO ของบริษัทระบุว่า Grab วางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตาม Grab มั่นใจในความต้องการของลูกค้าแม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่า รายรับตลอดปีนี้จะอยู่ที่ 1,320 – 1,350 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 1,250 – 1,300 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-16/grab-posts-smaller-than-expected-loss-as-cost-cuts-kick-in?sref=e4t2werz https://www.reuters.com/technology/grab-lifts-annual-revenue-forecast-2022-11-16/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Grab News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “คริปโทฯ คือสิ่งเลวร้าย” ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ คู่หูบัฟเฟตต์ เตือน ชี้เป็นส่วนผสมของ “การฉ้อฉลและภาพลวงตา” - FINNOMENA ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ รองประธาน Berkshire Hathaway กล่าวว่า คริปโทฯ เป็นการผสมผสานกันอย่างอันตรายระหว่างกลฉ้อฉลและภาพลวงตา หลังเกิดเหตุการณ์ล่มสลายของ FTX 16 พ.ย. 2565 ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ รองประธาน Berkshire Hathaway กล่าวว่า คริปโทฯ เป็นการผสมผสานกันอย่างอันตรายระหว่างกลฉ้อฉลและภาพลวงตา หลังเกิดเหตุการณ์ล่มสลายของ FTX ในสัมภาษณ์ของ CNBC คู่หูวัย 98 ปี ของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ บอกว่า คริปโทฯ คือสิ่งที่เลวร้ายมาก ประเทศไม่ได้ต้องการสกุลเงินสำหรับคนที่ต้องการทำผิดกฏหมาย มีคนจำนวนมากที่คิดว่าต้องเข้าร่วมในทุกดีลที่เป็นกระแส ซึ่งนี่บ้าไปแล้ว เพราะเหมือนกับพวกเขาไม่สนใจว่าเลยมันเป็น Bitcoin หรือเรื่องผิดกฎหมายอย่างการค้าประเวณีเด็ก มังเกอร์บอกว่า นักลงทุนกำลังเห็นภาพลวงตามากมาย จากความฉ้อฉลและเพ้อเจ้อ ที่ผสมผสานกันอย่างเลวร้าย “ไอเดียดีๆ ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ก็คือไอเดียแย่ๆ ไม่มีใครบอกคุณหรอกว่าเขามีของไม่ดีอยู่ในมือแล้วอยากจะขายคุณ เพราะเขาจะบอกว่ามันคือ ‘บล็อกเชน’ ” มังเกอร์กล่าว ความคิดเห็นของมังเกอร์เกิดขึ้นหลังสัปดาห์ที่ดุเดือดในเหตุการณ์ล่มสลายของ FTX ที่บริษัทยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายหลังจากมีปัญหาเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน ส่งผลให้โทเค็น FTT ร่วงแรง ขณะที่ Binance ได้ถอนตัวจากข้อตกลงซื้อ FTX หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับเงินของลูกค้าที่จัดการไม่ถูกต้อง ตามข้อมูลของ Coin Metrics ราคาคริปโทฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bitcoin ร่วงลงมากกว่าแล้ว 60% ในปีนี้ จนซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า $17,000 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/15/charlie-munger-says-crypto-is-a-bad-combo-of-fraud-and-delusion-good-for-kidnappers.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คริปโต คริปโท ชาร์ลี มังเกอร์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลท.แจ้งความคืบหน้ากรณี หุ้น MORE พบผิดปกติจากฝั่งซื้อหุ้นเพียงรายเดียว ยังไม่ชัดเจนปลด SP 18 พ.ย. นี้ หรือไม่ - FINNOMENA สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงความคืบหน้ากรณีความผิดปกติการซื้อขายหุ้น บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 ราย 16 พ.ย. 2565 สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงความคืบหน้ากรณีความผิดปกติการซื้อขายหุ้น บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 ราย เริ่มจากวันที่ 10 พ.ย.565 ราคาปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด +4.3% จากราคาปิดในวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งวันที่สูงมากถึง 7,143 ล้านบาท จากค่าเฉลี่ย 30 วันก่อนหน้าอยู่ที่เพียง 360 ล้านบาท/วัน ลักษณะของการส่งคำสั่งซื้อขายที่ผิดปกติ คือ ฝั่งซื้อ พบว่า เป็นการส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อเพียง 1 รายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่งที่ราคา 2.90 บาท ฝั่งขาย พบว่า มีการส่งคำสั่งขายเป็นจำนวนมากจากผู้ขายหลายรายที่ระดับราคาใกล้เคียงกับราคาเสนอซื้อ โดยมีจำนวนที่สั่งขายตั้งแต่ประมาณ 70 ล้านหุ้น/ราย ไปจนถึงประมาณ 600 ล้านหุ้น/ราย ทันทีเมื่อเปิดตลาดได้เกิดการจับคู่ซื้อขายกับผู้ขายหลายรายผ่านบริษัทสมาชิกหลายแห่ง หลังจากนั้นภายในไม่ถึง 20 นาทีหลังเปิดตลาด ราคาได้ทยอยปรับตัวลงจนไปต่ำสุดที่ Floor ที่ราคา 1.95 บาท และปิดตลาดที่ราคาดังกล่าว โดยฝ่ายกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งเตือนบริษัทสมาชิกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ส่วนผลกระทบที่มีต่อเนื่องมาถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ในวันที่ 11 พ.ย.65 หลังเปิดการซื้อขาย ราคาหลักทรัพย์ MORE เปิดตลาดที่ราคา Floor ในทันทีที่ราคา 1.37 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยลดเหลือเพียง 134 ล้านบาท จากกว่า 7,000 ล้านบาทในวันก่อนหน้า สำหรับการดำเนินการร่วมกันของบริษัทสมาชิก สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.65 เป็นต้นมา ได้มีการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย.65 ทั้งหมด เพื่อที่จะร่วมกันทำการตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัย จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลได้พบธุรกรรมส่วนหนึ่งที่ต้องสงสัย ส่วนธุรกรรมที่ได้ตรวจสอบแล้ว หากไม่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็ได้ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าไปแล้ว ขณะที่ธุรกรรมที่พบความผิดปกติ บริษัทสมาชิกก็จำเป็นที่จะต้องทำการตรวจสอบลูกค้าอย่างเข้มข้น และได้มีการระงับการทำธุรกรรมในบัญชีดังกล่าวของลูกค้าระหว่างที่ทำการตรวจสอบ ซึ่งเป็นหน้าที่ของบริษัทสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประสานกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้เข้ามาทำการสอบสวน ก็ได้มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี โดยในวันนี้บริษัทสมาชิกหลายแห่งก็ได้ไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว ตลท.ยังขอให้ผู้ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ MORE ที่ผิดปกติ สามารถมาติดต่อให้ข้อมูลได้ผ่านทาง SET Contact Center ที่ 0 2009 9999 เพื่อที่จะทำการรวบรวม และประสานนำส่งให้แก่พนักงานสอบสวนต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ตลท.ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะปลด SP หุ้น MORE หลังครบกำหนดในวันที่ 18 พ.ย.นี้หรือไม่ อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2022/251242 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: MORE News Update หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลบ 4% จากแรงขายหุ้นการเงิน และอสังหาฯ ก่อนรีบาวด์ขึ้นมาในแดนบวก +1.8% - FINNOMENA เช้านี้ (16 พ.ย.) ดัชนี VN30 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลง 4% สู่ระดับ 870 จุด จากแรงขายในกลุ่มการเงินและประกัน เช่น VPB (Floor) -6.48%, TCB (Floor) -6.76%, MBB-4.95%, CTG -3.42%,VCB -2.53% 16 พ.ย. 2565 เช้านี้ (16 พ.ย. เวลา 10:00 น.) ดัชนี VN30 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลดลง 4% สู่ระดับ 870 จุด จากแรงขายในกลุ่มการเงินและประกัน เช่น VPB (Floor) -6.48%, TCB (Floor) -6.76%, MBB-4.95%, CTG -3.42%,VCB -2.53% โดยถูกกดดันจากความกังวลเรื่องคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน หลังจากหุ้นกลุ่มการเงินบางส่วนรายงาน Bad debt ratio ใน 3Q65 แย่ลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีหุ้นธนาคารหลายแห่งได้มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นใน 3Q65 เพื่อรองรับกับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลง แต่การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว (ต้นทุนในเชิงบัญชีสูงขึ้น) ก็ทำให้การเติบโตของกำไรใน 3Q65 ของกลุ่มธนาคารชะลอลง นอกจากนี้หุ้นเวียดนามยังมีแรงขายในหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง NVL -6.9% (Floor) BCM -4.42% และ VHM -3.23% ซึ่งยังเป็นผลมาจากความกังวลเรื่อง Credit Crunch ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงขายจากการใช้ Margin ก็ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามยังปรับตัวย่อลงต่อโดยไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้น อย่างไรก็ดีล่าสุด (เวลา 11:30 น.) ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม VN30 เริ่มฟื้นตัวกลับมาแดนบวกแล้วที่ระดับ 921 จุด เพิ่มขึ้น 1.8% FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะยังมีความผันผวนในระยะสั้นจากเกี่ยวกับสภาพคล่องของหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มการเงิน ในขณะที่ความกังวลอื่นๆ เริ่มมีทิศทางเบาบางลงจาก ค่าเงินดองมีความผันผวนน้อยหลังถูกปรับสมดุลให้เข้าใกล้สกุลเงินในภูมิภาคมาก และอัตราดอกเบี้ย overnight rate ปรับตัวลงและอยู่ในระดับทรงตัว แต่เรายังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิม จากศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก โดยปัจจุบัน P/E 12M ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 7.7 เท่า -2.9 S.D. ในรอบ 10 ปี รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่างๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ทำให้เรายังคงจับตาและมองหาโอกาสในการลงทุนหุ้นเวียดนามหลังจากนี้ เมื่อความผันผวนเริ่มลดลง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Sea ปลดพนักงานแล้ว 7,000 คน หรือประมาณ 10% ในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ราคาหุ้นร่วงกลับมาใกล้จุดก่อนเกิดโควิด - FINNOMENA Sea Group เลย์ออฟพนักงานไปแล้ว 7,000 คน หรือประมาณ 10% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หวังต่อสู้การขาดทุนและดึงดูดความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา 15 พ.ย. 2565 Sea Group เลย์ออฟพนักงานไปแล้ว 7,000 คน หรือประมาณ 10% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา หวังต่อสู้การขาดทุนและดึงดูดความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ระบุว่า ล่าสุด (14 พ.ย.) บริษัทประกาศเลิกจ้างพนักงาน Shopee ไปประมาณ 100 คน ต่อเนื่องจากการประกาศเลิกจ้างหลายครั้งที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน มิ.ย. ราคาหุ้นของ Sea บริษัทอีคอมเมิร์ซและเกมชั้นนำระดับโลก ร่วงลงไปแล้ว 90% จากจุดสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางคำถามถึงโอกาสทำเงินของบริษัทในยุคดอกเบี้ยแพงและการแข่งขันที่สูงมาก ตอนนี้ราคาหุ้นของบริษัทใกล้เคียงกับราคาก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว บริษัทได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานอย่างต่อเนื่องในธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั้งในบางประเทศของยุโรปและละตินอเมริกา เพื่อลดค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งบริษัทจะประกาศผลประกอบการรายไตรมาสในวันนี้ (15 พ.ย.) โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทจะขาดทุนเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จะชะลอตัวมากสุดนับตั้งแต่ปี 2017 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทเลย์ออฟพนักงานในตำแหน่งจัดหาพนักงาน ความสัมพันธ์พนักงาน การฝึกอบรม รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ในแผนก HR ในสิงคโปร์และจีน ทั้งใน Shopee และ SeaMoney ขณะที่ พนักงานตำแหน่งผู้จัดการถูกสั่งให้คัดเลือกคนอย่างรอบคอบมากขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจขาลง Sea กล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัทกำลังทบทวนอย่างระมัดระวังในโปรเจกต์ธุรกิจและการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องไปกับเป้าหมายในการบรรลุการพึ่งพาตัวเอง รวมถึงกำลังซัพพอร์ตพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่าน ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา Forrest Li มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทระบุในเอกสารภายในองค์กรว่า ผู้บริหารระดับสูงจะละทิ้งเงินเดือนและกระชับนโยบายค่าใช้จ่ายของบริษัทในขณะที่พยายามควบคุมการใช้จ่าย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-15/singapore-s-sea-slashed-7-000-jobs-in-six-months-to-curb-losses?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SEA Shopee แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘บัฟเฟตต์’ ทุ่ม $5 พันล้าน ซื้อ TSMC ดันราคาหุ้นผู้ผลิตชิปของไต้หวันพุ่ง 9.4% ส่งสัญญาณจุดต่ำสุดของหุ้นผ่านไปแล้ว - FINNOMENA Berkshire Hathaway ของปู่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ถือหุ้น Taiwan Semiconductor อยู่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าจุดต่ำสุดของหุ้นผู้ผลิตชิปชั้นนำได้ผ่านไปแล้ว หลังจากถูกเทขายไปกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ 15 พ.ย. 2565 Berkshire Hathaway ของปู่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ถือหุ้น Taiwan Semiconductor อยู่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าจุดต่ำสุดของหุ้นผู้ผลิตชิปชั้นนำได้ผ่านไปแล้ว หลังจากถูกเทขายไปกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ระบุว่า Berkshire Hathaway มีใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐฯ (ADRs) ของหุ้น TSMC ประมาณ 60 ล้านหุ้น ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ TSMC ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ให้กับ Nvidia และ Qualcomm และยังเป็นซัพพลายเออร์ที่ผลิตชิปซิลิคอนเพียงรายเดียวของ Apple ซึ่ง Apple เป็นหุ้นที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในพอร์ตการลงทุนของ Berkshire Hathaway สมมติว่าปู่บัฟเฟตต์ซื้อ ADR ของ TSMC ในราคาเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 3 นั่นแปลว่า Berkshire Hathaway จะถือหุ้น TSMC รวมมูลค่า 5,100 ดอลลาร์ รายงานดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น TSMC พุ่งขึ้นมาถึง 9.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นระหว่างวันที่แรงที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ราคาหุ้นตอนนี้อยู่ที่ $72.80 อย่างที่รู้กันว่า ปู่บัฟเฟตต์ที่ตอนนี้อายุ 92 ปีแล้ว อยู่ห่างจากการลงทุนในอุตสากหรรมเทคโนโลยีมาตลอด เพราะบัฟเฟตต์เคยบอกว่าไม่ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ แต่จุดยืนของตำนานนักลงทุนเปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะพอร์ตของ Berkshire มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรรมที่ส่งสัญญาณว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญอุตสาหกรรมที่กำลังเริ่มต้น ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)การเชื่อมโยงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน รวมถึงการขยายตัวของบริการคลาวด์ เช่น AWS ของ Amazon นอกจาก TSMC จะแซงหน้า Intel ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า บริษัทยังไม่ได้รับประโยชน์จากการความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นการแย่งชิงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้วย ตอนนี้สหรัฐฯ กำหนดมาตรการคว่ำบาตรขั้นสูงสำหรับชิประดับไฮเอนด์ที่ผลิตขึ้นสำหรับลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้ชิปอยู่ในมือของกองทัพจีน ตั้งแต่ต้นปี หุ้น TSMC ร่วงลงมาแล้ว 28% จากความต้องการชิปที่ลดลง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาและนักลงทุนมองว่ามีซัพพลายมากกว่าดีมานด์แล้ว ในเดือน ต.ค. บริษัทระบุว่า ได้ลดการใช้จ่ายด้านเงินลงทุนมาอยู่ที่ประมาณ 36,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งยังคงสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ลดลงจาก 40,000 ล้านดอลลาร์ที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-15/buffett-bets-5-billion-on-chipmaking-with-new-stake-in-tsmc?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Berkshire Hathaway News Update TSMC Warren Buffett วอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงบวกแรง 3.6% ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามลบ 3.5% - FINNOMENA เช้าวันนี้ (15 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng บวกแรง 3.17% ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 18,000 จุด นำโดยหุ้น Alibaba +9.0% Haidilao +8.4% และ Tencent +8.0% หลังจากที่โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ระหว่างเข้าร่วมประชุมผู้นำ G20 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย 15 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (15 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng บวกแรง 3.17% ปรับตัวขึ้นยืนเหนือ 18,000 จุด นำโดยหุ้น Alibaba +9.0% Haidilao +8.4% และ Tencent +8.0% หลังจากที่โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ระหว่างเข้าร่วมประชุมผู้นำ G20 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยหลังจากการพบกัน โจ ไบเดน ได้มีการแถลงข่าวโดยมีใจความว่า จะไม่เกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนขึ้น และ โจ ไบเดน เชื่อว่าจีนจะยังไม่บุกไต้หวันในเร็ววันนี้ นอกจากปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนจากการพูดคุยของผู้นำทั้งสองประเทศ จีนก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควมคุม Covid-19 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และมาตรการที่เข้ามากระตุ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ 16 มาตรการ แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 16,072 คน ยังเป็นปัจจัยที่กดดันมาตรการควมคุม Covid-19 ที่เริ่มผ่อนคลายลงของจีน ขณะที่ดัชนีหุ้นเวียดนาม VN30 ปรับตัวลดลง 3.48% สู่ระดับ 906.14 จุด จากแรงขายในกลุ่มการเงินและประกัน เช่น VPB -6.69% (Floor) BID -3.34% และ VCB -1.33% รวมถึงในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมรัพย์อย่าง NVL -6.93% (Floor) BCM -3.45% และ VHM -2.95% ซึ่งยังเป็นผลมาจากความกังวลเรื่อง Credit Crunch ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงขายจากการใช้ Margin ก็ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามยังปรับตัวย่อลงต่อโดยไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้นในขณะนี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนในตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่ได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการพูดคุยของผู้นำของสหรัฐฯและจีน รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 ถึงแม้ว่าผู้ติดเชื้อในประเทศจีนยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจจะทำให้อาจมีการกลับมาเข้มงวดมากขึ้นหากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ อย่างไรก็ตามข่าวดีจากการเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึง Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม กองทุนหุ้นจีนต่างๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN ในลักษณะการลงทุนระยะยาว ที่เน้นพิจารณาจากปัจจัยเชิงมูลค่า ด้านตลาดหุ้นเวียดนามที่ได้รับผลกระทบจากความกังวลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความผันผวนแรงในระยะสั้น แต่ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิม จากศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับหุ้นโลก รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่างๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ทำให้เรายังคงจับตาและมองหาโอกาสในการลงทุนหุ้นเวียดนามหลังจากนี้ เมื่อความผันผวนเริ่มลดลง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: 'ไบเดน' หารือ 'สี' สามชั่วโมง พบกันครั้งแรก ถกหลายประเด็นร้อน สหรัฐฯ ย้ำ ไม่ทำสงครามเย็นกับจีน - FINNOMENA พบกันครั้งแรก 'ไบเดน' หารือ 'สี' สามชั่วโมง โดยการหารือกันครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอด G-20 ที่อินโดนีเซีย ท่ามกลางความหวังว่ามหาอำนาจทั้งสองจะลดความตึงเครียดระหว่างกัน 15 พ.ย. 2565 พบกันครั้งแรก ‘ไบเดน’ หารือ ‘สี’ สามชั่วโมง โดยการหารือกันครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอด G-20 ที่อินโดนีเซีย ท่ามกลางความหวังว่ามหาอำนาจทั้งสองจะลดความตึงเครียดระหว่างกัน รายงานระบุว่า ปธน.โจ ไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวกับปธน. สี จิ้นผิงของจีน ว่าทั้งคู่ต่างมีความรับผิดชอบในการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดเเย้งกันในฐานะประเทศมหาอำนาจ โดยทางสหรัฐฯ ย้ำว่า จะไม่เกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ก่อนการหารือกันแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้นำทั้งสอง ซึ่งเป็นการพบกันเเบบซึ่งหน้าครั้งเเรกตั้งเเต่ไบเดนดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มและจับมือทักทายกันอย่างอบอุ่น โดยไบเดนกล่าวกับ สี จิ้นผิงว่า ‘ดีใจอย่างมากที่ได้พบคุณ’ ก่อนจะหารือกันสามชั่วโมงเศษ ปธน.โจ ไบเดน ยกประเด็นร้อนหลายเรื่องเข้าหารือ ซึ่งรวมถึง จุดยืนของสหรัฐฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำเชิงบังคับและเเข็งกร้าวขึ้นของจีนต่อไต้หวัน นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในมณฑลซินเจียงและฮ่องกง รวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยรวม ตลอดจนการปฏิบัติของจีนด้านเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาด ในเรื่องของยูเครน สื่อของจีนรายงานว่า สี จิ้นผิง บอกว่าเขากังวลมากเรื่องสถานการณ์การสู้รบในยูเครนที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียยับยั้งชั่งใจแต่ก็ไม่ได้ถึงกับประณามรัสเซียซึ่งเป็นคู่ค้าของตน โดยไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในฐานะผู้นำของประเทศ เรามีความรับผิดชอบร่วมกัน ที่จะเเสดงให้เห็นว่าจีนและสหรัฐฯ สามารถบริหารจัดการความเเตกต่างของกันละกันได้ เเละป้องกันมิให้การเเข่งขันกลายเป็นความขัดเเย้ง รวมถึงหาทางทำงานร่วมกันในเรื่องที่เร่งด่วนของโลก ขณะที่สี จิ้นผิง กล่าวว่า ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯและจีนไม่เป็นไปตามที่ประชาคมโลกคาดหวัง ดังนั้นเราต้องเดินให้ถูกทางในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เราจำเป็นต้องหาทิศทางที่ถูกต้องในการมีความสัมพันธ์ทวิภาคีจากนี้ต่อไป และยกระดับความสัมพันธ์นี้ด้วยเช่นกัน โดยพร้อมที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อนำความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้กลับมาสู่แนวทางที่ควรจะเป็น โจ ไบเดน และสี จิ้นผิง เคยหารือกัน 5 ครั้งผ่านโทรศัพท์และระบบออนไลน์ก่อนหน้าพบกันในครั้งนี้ ตั้งเเต่ไบเดนเป็นผู้นำสหรัฐฯ และไบเดนเคยพบกับสีในฐานะรองปปธน.มาเเล้วสมัยการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ของอดีตปธน.บารัค โอบามา อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6833530.html https://www.bbc.com/thai/articles/cl7qw8557v8o ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีนและสหรัฐฯ สหรัฐฯ และจีน สี จิ้นผิง โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จับตาประชุมสุดยอด 'ไบเดน-สีจิ้นผิง' อะไรคือสิ่งที่สองผู้นำต้องการ? ท่ามกลางความสัมพันธ์ย่ำแย่ - FINNOMENA จับตาประชุมสุดยอด 'ไบเดน-สีจิ้นผิง' วันนี้ (14 พ.ย.) เจอตัวกันครั้งแรกหลังไบเดนรับตำแหน่ง ท่ามกลางความสัมพันธ์ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ย่ำแย่รอบหลายสิบปี คาดเน้นหารือกันเรื่องความสัมพันธ์ของสองประเทศ แล้วอะไรคือสิ่งที่สองผู้นำต้องการ? 14 พ.ย. 2565 จับตาประชุมสุดยอด ‘ไบเดน-สีจิ้นผิง’ วันนี้ (14 พ.ย.) เจอตัวกันครั้งแรกหลังไบเดนรับตำแหน่ง ท่ามกลางความสัมพันธ์ ‘สหรัฐฯ-จีน’ ย่ำแย่รอบหลายสิบปี คาดเน้นหารือกันเรื่องความสัมพันธ์ของสองประเทศ แล้วอะไรคือสิ่งที่สองผู้นำต้องการ? 🇺🇸ไบเดนต้องการขีดเส้นที่ชัดเจนว่าด้วยจุดยืนของสหรัฐฯ และจีน VoA รายงานว่า ก่อนไปประชุมกลุ่ม จี-20 ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ปธน. โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ระบุว่า ต้องการขีดเส้นที่ชัดเจน จุดยืนของสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติของทั้ง 2 ประเทศด้วย โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา สหรัฐฯ ย้ำเสมอว่า อเมริกามองจีนเป็น ‘คู่แข่งขัน’ ไม่ใช่ ‘ศัตรู’ และต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา หลังไบเดนรับตำแหน่งปธน. ผู้นำทั้ง 2 ได้พูดคุยผ่านวิดีโอและโทรศัพท์กันมาแล้ว 5 ครั้ง แต่การจะบรรลุเป้าหมายได้ต้ององทำผ่านการเจรจาแบบพบกันซึ่งหน้าเท่านั้น ภารกิจดังกล่าวของไบเดนมีความจำเป็นมากขึ้นหลัง ‘สี จิ้นผิง’ ครองตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 3 นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการหารือประเด็นเกี่ยวกับความกังวลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีน และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน ส่วนประเด็นไต้หวัน สหรัฐฯ น่าจะเน้นย้ำถึงจุดยืนของอเมริกาในการปกป้องไต้หวันหากถูกจีนโจมตี สำหรับเรื่องสงครามในยูเครน คาดว่าไบเดน จะใช้การพบกันครั้งนี้เพื่อเร่งเร้าให้จีนเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย 🇨🇳สี จิ้นผิง ต้องการเห็นท่าทีที่ชัดเจนของสหรัฐฯ เรื่องการค้าและไต้หวัน การหารือทวิภาคีในครั้งนี้ถือเป็นการทำให้สี จิ้นผิง ได้รับโอกาสสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้นำบนเวทีโลก รวมทั้งภาพลักษณ์ของตนเองด้วย โดยคาดว่า 2 ประเด็นสำคัญที่สุดที่จีนต้องการเห็นท่าทีที่ชัดเจนของสหรัฐฯ คือ เรื่องการค้าและไต้หวัน โดยจีนต้องการให้ไบเดนยกเลิกภาษีการค้าของอดีตปธน.ทรัมป์ และยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกชิปคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้แก่จีน สำหรับประเด็นไต้หวัน จีนต้องการให้สหรัฐฯ ยุติการขัดขวางและบิดเบือนหลักการ ‘จีนเดียว’ สอดคล้องกับ จ้าว หลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ที่ขอร้องให้สหรัฐฯ หยุดเล่นเกมการเมืองในส่วนของการค้า และยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน ขณะที่จีนยังคงยึดมั่นกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ โดยนี่เป็นการออกประเทศครั้งที่ 2 ของสีจิ้นผิง ซึ่งปธน.สี ปฏิเสธไม่ร่วมงานรับประทานอาหารค่ำตามธรรมเนียมปฏิบัติ และไม่เข้าร่วมถ่ายรูปหมู่ของบรรดาผู้นำ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6832664.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-13/biden-set-to-meet-xi-with-us-china-ties-headed-toward-fracture?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีนและสหรัฐฯ สี จิ้นผิง โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวบวกแรง 3.3% รับข่าวผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด - FINNOMENA เช้าวันนี้ (14 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng ตลาดหุ้นฮ่องกง บวกแรง 3.30% ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา นำโดยหุ้น Ping An +7.7% JD.com +6.18% และ AIA +5.1% หลังจากได้รับข่าวการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 14 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (14 พ.ย.) ดัชนี Hang Seng ตลาดหุ้นฮ่องกง บวกแรง 3.30% ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมา นำโดยหุ้น Ping An +7.7% JD.com +6.18% และ AIA +5.1% หลังจากได้รับข่าวการผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 โดยได้ลดเวลากักตัวสำหรับนักเดินทางเข้าประเทศและผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อลงจาก 10 วัน เหลือ 8 วัน แต่ในช่วง 5 วันแรกต้องกักตัวในอาคารที่รัฐจัดไว้ แม้ว่าผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 14,878 ราย มากที่สุดตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนในปักกิ่ง กวางโจวและเจิ้งโจว รวมถึงมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ 16 มาตราการณ์ โดยหลัก ๆ จะเป็นการยืดการจ่ายหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ออกไปและลดความเข้มงวดในการกู้ยืมเงินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของจีน ส่วนทางฝั่งประชาชนที่มีปัญหาด้านการจ่ายดอกเบี้ย ทางธนาคารจีนก็จะไปขยายเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อลดปัญหาการประท้วงไม่จ่ายค่าสินเชื่อในโครงการที่อยู่อาศัย FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเริ่มเห็นข่าวดีจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม Covid-19 แต่ผู้ติดเชื้อในหลาย ๆ เมืองยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อาจเห็นการกลับมาใช้มาตราการที่เข้มงวดมากขึ้น หากไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แต่อย่างไรก็ตามก็เริ่มเห็นข่าวดีจากการเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึง Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม กองทุนที่มีความสัมพันธ์กับดัชนี Hang Seng สูงอย่าง ASP-HSI และกองทุนหุ้นจีนต่างๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng สูงทั้ง อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN เพื่อเป้าหมายลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลท. ไม่ระงับชำระราคา MORE แต่ขึ้น SP หยุดพักซื้อขายชั่วคราว รอตรวจสอบ ไม่เปิดเผยรายละเอียดเหตุการณ์ - FINNOMENA วันนี้ (14 พ.ย.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) (MORE) หลังพบว่ามีการซื้อขายผิดปกติไปจากช่วงก่อนหน้าในวันพฤหัสบดี (10 พ.ย.) 14 พ.ย. 2565 วันนี้ (14 พ.ย.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) (MORE) หลังพบว่ามีการซื้อขายผิดปกติไปจากช่วงก่อนหน้าในวันพฤหัสบดี (10 พ.ย.) โดยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 7,142 ล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด ทั้งนี้ ตลท.ได้ติดตามให้ MORE ชี้แจงข้อมูล รวมทั้งได้แจ้งเตือนให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา รวมถึงขอให้บริษัทสมาชิกเพิ่มมาตรการในการกำกับดูแลการซื้อขายในหลักทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ต่อมา ตลท.ได้หารือร่วมกับบริษัทสมาชิก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อตรวจสอบธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ MORE ที่อาจเข้าข่ายเป็นรายการที่ผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทสมาชิกบางรายในระดับที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัทสมาชิกและปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้นผ่านบริษัทสมาชิกรายนั้น โดยปัจจุบันบริษัทสมาชิกทุกรายยังสามารถให้บริการกับผู้ลงทุนได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ตลท.ขอเรียนว่าแม้จะมีเหตุการณ์ผิดปกติดังกล่าว แต่การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ทุกหลักทรัพย์ระหว่างบริษัทสมาชิกและสำนักหักบัญชียังคงดำเนินการไปตามปกติ ส่วนการชำระราคาระหว่างผู้ซื้อผู้ขายกับบริษัทหลักทรัพย์ยังคงต้องติดตามว่าสามารถดำเนินการตามกำหนดในวันนี้หรือไม่ ตลท.ขอไม่เปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหุ้น MORE ในช่วงที่ผ่านมา โดยระบุว่าจะมีผลต่อการตรวจสอบ ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: MORE News Update หุ้นไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ชี้แจงไม่ได้ถูกถอดจาก WFE แค่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่ เตรียมถ่ายโอนการเป็นสมาชิกให้ตลาดหุ้นเวียดนาม - FINNOMENA ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ชี้แจง ไม่ได้ถูกถอดออกจากสมาชิก WFE แค่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่เป็นโฮลดิ้ง หลังมีกระแสข่าวจนทำให้กองทุนไทยต้องชะลอลงทุนในเวียดนาม 11 พ.ย. 2565 ตลาดหุ้นโฮจิมินห์ชี้แจง ไม่ได้ถูกถอดออกจากสมาชิกสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (World Federation of Exchange หรือ WFE) แค่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างใหม่เป็นโฮลดิ้ง หลังมีกระแสข่าวจนทำให้กองทุนไทยต้องชะลอลงทุนในเวียดนาม ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินได้ออกหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการ ระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร โดยจัดตั้งให้ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (VNX) เป็นโฮลดิ้งของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์และตลาดหลักทรัพย์ฮานอย ซึ่งอยู่ระหว่างการถ่ายโอนความเป็นสมาชิกของ WEF จากตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ มายังตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม จากกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ ของไทยต้องตัดสินใจชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเนื่องจากตรวจพบตลาดหุ้นโฮจิมินห์ไม่ได้มีชื่อปรากฎเป็นสมาชิกในเวบไซต์ของ WEF เนื่องจากตามกฎเกณฑ์ของ ก.ล.ต. กำหนดให้การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศสามารถลงทุนได้เฉพาะตลาดหุ้นที่เป็นสมาชิก WFE เท่านั้น ก่อนหน้านี้ ตลาดโฮจิมินห์กับตลาดฮานอยแยกออกจากกัน แต่หลังจากนี้จะทำการปรับโครงสร้างใหม่เป็นโฮลดิ้งเป็น ‘ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม’ หรือ Vietnam Stock Exchange (VNX) โครงสร้างใหม่จะคล้ายกับประเทศไทย ที่มี SET เป็นตลาดหลัก และอีกตลาด คือ mai รายงานจากเว็บไซต์ vietnamnet ระบุว่า ในวันที่ 22 เม.ย. ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (VNX) เป็นสมาชิกของสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งเอเชียและโอเชียเนีย (AOSEF) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1990 โดยมีตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค 17 แห่งเป็นสมาชิก โดยในวันที่ 15 พ.ย. VNX เข้าเป็นสมาชิกของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดพันธบัตรอาเซียน +3 และต่อมาในวันที่ 30 พ.ย. VNX ได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสหพันธ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งอาเซียน โดยเมื่อ VNX เข้าเป็นสมาชิกของ WFE ทั้งตลาดโฮจิมินห์กับตลาดฮานอย จะได้รับประโยชน์ในฐานะสมาชิก อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1037171 https://vietnamnet.vn/en/vietnam-stock-exchange-applies-for-wfe-membership-2079337.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นเวียดนาม เวียดนาม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวบวกแรง รับข่าวดีสัญญาณเงินเฟ้อชะลอตัว - FINNOMENA เช้าวันนี้ (11 พ.ย.) ตลาดหุ้นทั่วโลกและเอเชียปรับตัวบวกแรง จากตัวเลขเงินเฟ้อ(CPI) เดือนตุลาคมของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.(MoM) และเพิ่มขึ้น 7.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด 11 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (11 พ.ย.) ตลาดหุ้นทั่วโลกและเอเชียปรับตัวบวกแรง จากตัวเลขเงินเฟ้อ(CPI) เดือนตุลาคมของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.(MoM) และเพิ่มขึ้น 7.7% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% และ 7.9% ตามลำดับ สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(Core CPI) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% (MoM) และ 6.3% (YoY) ซึ่งต่ำกว่าคาดเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Fed จะลดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมเพียง 0.5% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้าที่คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% อีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไป หลังจากที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดกันถึง 4 ครั้ง พร้อมด้วยนโยบายการย้ำเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวบวกแรงถ้วนหน้า อาทิ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 5.54% ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวขึ้น 7.49% ดัชนี Dow Jones ปรับตัวขึ้น 3.70% ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวขึ้น 3.18% ดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้น 2.04% ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 5.25% ดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวขึ้น 2.77% ดัชนี KOSPI ปรับตัวขึ้น 2.69% ดัชนี VN 30 ปรับตัวขึ้น 1.12% FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐและทั่วโลก ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเรื่องนโยบายทางการเงินของ Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังจากตัวเลขเงินเฟ้อทั้ง CPI และ Core CPI เดือนตุลาคมมีการชะลอตัวลง และคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุมรอบเดือนธันวาคม ทั้งนี้เรามองว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดในรอบนี้ยังคงเป็น Bear Market Rally ซึ่งอาจเสาะหาโอกาสการลงทุนในระยะสั้น (Tactical call) ได้ แต่ในระยะกลาง FINNOMENA Investment Team ยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังตาม Recession Playbook จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ยังไม่ลดลงสู่ระดับเป้าหมาย กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผ่านแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่ 2% และยังมีเรื่องของการลดขนาดงบดุล (QT) ที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรจึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) อย่างไรก็ตามเนื่องจากสัญญาณต่างๆ เริ่มชี้ว่ามีโอกาสที่ตลาดจะรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้ว ทำให้อาจแนะนำเริ่มสะสมสินทรัพย์สภาพคล่องเพิ่มเติม เพื่อเตรียมการเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นในอนาคต เมื่อเห็นสัญญาณการยอมแพ้ หรือโอกาสการผ่านจุดต่ำสุดและความผันผวนอย่างแท้จริง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นโลก แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นทั่วโลกขึ้นแรง รับข่าวเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต.ค. +7.7% ต่ำกว่าคาด - FINNOMENA เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวต่ำกว่าคาดในเดือน ต.ค. ส่งสัญญาณชี้ว่า เงินเฟ้อได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดไปแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่ต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงอย่างที่ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ ดันตลาดหุ้นพุ่งทั่วทั้งโลก 11 พ.ย. 2565 เงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวต่ำกว่าคาดในเดือน ต.ค. ส่งสัญญาณชี้ว่า เงินเฟ้อได้ผ่านพ้นช่วงสูงสุดไปแล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่ต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงอย่างที่ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ ดันตลาดหุ้นพุ่งทั่วทั้งโลก เมื่อวานนี้ (10 พ.ย.) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า อัตราเงินเฟ้อ เดือน ต.ค. ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่แล้ว ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.6% และเพิ่มขึ้น 7.7% จากปีที่แล้ว ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 7.9% เมื่อหักราคาอาหารและพลังงานซึ่งมีความอ่อนไหวสูงออกไป อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ เดือน ต.ค เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อน และ 6.3% จากปีที่แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวกอย่างรวดเร็ว นำโดยดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นมา 7.35% ดัชนี S&P 500 บวก 5.54% และดัชนี Dow Jones บวก 3.7% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี ร่วงลง 0.3 ppt อยู่ที่ 4.33% ส่วนเช้านี้ (11 พ.ย.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวบวกเช่นกัน นำโดยดัชนี Hang Seng ของตลาดหุ้นฮ่องกงที่บวกมาแล้วเกือบ 5% ดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 2.6% ขณะที่ดัชนี CSI 300 ของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่บวกแล้ว 2% ก่อนหน้านี้ในเดือน มิ.ย. เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับสูงสุดในเดือน มิ.ย. โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน เพื่อสู้กับเงินเฟ้อที่อยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ตอนนี้ตลาดยังคงคาดว่า Fed จะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปแต่ในอัตราที่ช้าลง เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 5% ในต้นปีหน้า โดยตอนนี้อัตราดอกเบี้ยของ Fed อยู่ที่ระดับ 3.75% – 4% ซึ่งสูงสุดในรอบ 14 ปี ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 85.4% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ในเดือน ธ.ค. นี้ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/10/consumer-prices-rose-0point4percent-in-october-less-than-expected-as-inflation-eases.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-09/asian-stocks-to-fall-amid-crypto-slump-before-cpi-markets-wrap?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/us-consumer-prices-increase-less-than-expected-in-october/6828733.html https://www.cmegroup.com/markets/interest-rates/cme-fedwatch-tool.html?redirect=/trading/interest-rates/countdown-to-fomc.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED News Update เงินเฟ้อ เงินเฟ้อสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD ขายดีแซงหน้า Tesla ต.ค. คนจีนซื้อรถเพิ่ม 75% จากปีที่แล้ว แม้เผชิญกับการล็อกดาวน์ในเมืองต่างๆ - FINNOMENA ยอดขายปลีกรถยนต์ไฟฟ้าจีนเดือน ต.ค. พุ่ง 75% จากปีที่แล้ว นำโดยยี่ห้อยอดฮิตอย่าง BYD แม้เผชิญกับการล็อกดาวน์ในเมืองต่างๆ ที่ทำให้ยอดขายลดลง 9% จากเดือนที่แล้วก็ตาม 10 พ.ย. 2565 ยอดขายปลีกรถยนต์ไฟฟ้าจีนเดือน ต.ค. พุ่ง 75% จากปีที่แล้ว นำโดยยี่ห้อยอดฮิตอย่าง BYD แม้เผชิญกับการล็อกดาวน์ในเมืองต่างๆ ที่ทำให้ยอดขายลดลง 9% จากเดือนที่แล้วก็ตาม ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน (PCA) เปิดเผยเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ว่า ยอดขายปลีกรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า 100% และแบบปลั๊กอินไฮบริด รวมแล้วอยู่ที่ 556,000 คัน นำโดย BYD ที่ส่งมอบรถยนต์ไปทั้งหมด 217,518 คัน ขณะที่ Tesla ส่งไปทั้งหมด 71,704 คัน โดย 54,504 คัน เป็นการส่งออก ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าตลอด 10 เดือนของปีนี้ อยู่ที่ 4.43 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายส่งของรถยนต์ไฟฟ้าที่บริษัทขายให้ดีลเลอร์ในเดือน ต.ค. อยู่ที่ 676,000 คัน โดย PCA คาดการณ์ว่า ยอดขายจะทะลุ 700,000 คัน ในเดือน พ.ย. และ ต.ค. ส่งผลให้ยอดขายตลอดทั้งปีอยู่ที่ 6.5 ล้านคัน อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถยนต์ทุกประเภทในจีนลดลง 4.4% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 1.86 ล้านคัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลจีนสั่งล็อกดาวน์จนส่งผลให้ซัพพลายเชนและการผลิตหยุดชะงัก Cui Dongshu เลขาธิการของ PCA กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องปกติที่ยอดขายเดือน ต.ค. ต่ำกว่าเดือน ก.ย. ซึ่งทางสมาคมคาดหวังว่า มันจะเป็นลดลงชั่วคราวภายใต้นโยบายควบคุมโควิด ซึ่งนำไปสู่การปิดตัวแทนจำหน่ายและการยกเลิกงานอีเวนต์ ตอนนี้ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ 3 ราย ได้แก่ Nio, Li Auto และ Xpeng นอกจากจะถูกแซงหน้าโดย BYD และ Tesla แล้ว ยังถูกแซงหน้าโดยรถยนต์ที่เน้นตลาดแมสอย่าง Aion ของ Guangzhou Automobile และ Hozon New Energy Automobile รวมถึงรุ่นพรีเมี่ยมอย่าง Zeekr ของ Geely Automobile เมื่อเดือนที่แล้ว Tesla ได้ปรับลดราคารถยนต์ที่ขายในจีน หลังจากที่เพิ่งเพิ่มราคาหลายรุ่นไปเมื่อตอนต้นปี เนื่องจาก Elon Musk ต้องการเพิ่มยอดขายหลังโรงงานในเซี่ยงไฮ้เพิ่มกำลังการผลิตปีละ 2 เท่าเป็นประมาณ 1 ล้านคัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-08/china-s-new-energy-vehicle-sales-jump-75-led-by-byd-then-tesla?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลบ 3.1% จากแรงขายหุ้นกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง 3.1% สู่ระดับ 948.86 จุด จากแรงขายในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังความกังวลของปัญหาสภาพคล่องในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบกำหนดการชำระคืนหุ้นกู้ 10 พ.ย. 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง 3.1% สู่ระดับ 948.86 จุด จากแรงขายในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น Vinhomes JSC Stock ปรับตัวลง 3.93%, No Va Land Investment Group ปรับตัวลง 6.94%, Investment & Industrial Development JS ปรับตัวลง 4.03% จากความกังวลของปัญหาสภาพคล่องในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครบกำหนดการชำระคืนหุ้นกู้ ซึ่งสร้าง sentiment เชิงลบให้เกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มอื่นๆ ทั้งที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกลุ่มธนาคารของรัฐและพาณิชย์ เช่น Bank for Foreign Trade of Vietnam และ Asia Commercial Joint Stock Bank ก็มีการปรับตัวย่อลงมาด้วยเช่นกัน แม้ว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นกู้เอกชนใน loan book จะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม รวมไปถึงกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบทางตรง อาทิ Vietnam Dairy Products ที่ปรับตัวลง 2.97%, FPT Group ปรับตัวลง 2.16% และ MWG ปรับตัวลง 5.27% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นเวียดนามจะยังมีความผันผวนจากค่าเงินดองที่อ่อนค่าลง อัตราดอกเบี้ยในประเทศที่เพิ่มขึ้น และความกังวลด้านสภาพคล่องของภาคอสังหาฯ และเรายังติดตามปัญหาสภาพคล่องกลุ่มอสังหาในระยะสั้นอย่างใกล้ชิด โดยมองว่าผลกระทบของ No Va Land Investment Group จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นตัวอื่นๆและสภาพคล่องของตลาดทั้งระบบ และกองทุนที่เราแนะนำอย่าง Principal VNEQ-A ไม่ได้มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามในระยะกลางจะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยและต้องติดตามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะผ่อนคลายลงได้เร็วมากน้อยเพียงใด และยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมซึ่งมองว่า ประเทศเวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย และเศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมากในอนาคต อีกทั้งระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นโลก รวมไปถึงแรงเข้าซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Foreign Limit ของหุ้นต่างๆ ยังคงเต็มและมีค่า Premium ในระดับสูง ทำให้เรายังคงจับตาและหาโอกาสในการลงทุนหุ้นเวียดนามหลังจากนี้ อย่างไรก็ตาม Sentiment เชิงลบ และการเทขายในทุกภาคธุรกิจที่แม้ไม่ได้มีผลกระทบทางตรงจากสถานการณ์ สะท้อนภาวะ Panic Sell ซึ่งมีความผันผวนในระดับที่สูง ในระยะสั้นจึงแนะนำรอสัญญาณการสร้างฐานจึงค่อยทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาวต่อไป ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จับตาเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ปธน.‘ไบเดน’ ชี้เป็นวันดีของประชาธิปไตย ผลคะแนนล่าสุดยังสูสี ‘รีพับลิกัน’ ส่อครองสภาล่าง - FINNOMENA จับตาเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ หลังผลคะแนนล่าสุดยังสูสี ตอนนี้อนาคตการเมืองสหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกันจะได้ครองครองสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ 10 พ.ย. 2565 จับตาเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ หลังผลคะแนนล่าสุดยังสูสี ตอนนี้อนาคตการเมืองสหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกันจะได้ครองครองสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ โดย VOA Thai รายงานว่า จนถึงช่วงค่ำวันพุธตามเวลาในสหรัฐฯ รีพับลิกันยังคงได้จำนวนที่นั่งมากกว่าพรรคเดโมแครตในสภาล่าง แต่ยังไม่ถึงจำนวนที่ต้องการคือ 218 ที่นั่งเพื่อครองเสียงส่วนใหญ่ ส่วนในสภาสูง 100 ที่นั่ง ยังคงไม่มีพรรคไหนได้เกิน 50 ที่นั่ง สนามสำคัญที่ต้องมีการเลือกตั้งรอบชี้ขาด คือ รัฐจอร์เจีย เนื่องจากผู้สมัครจากทั้ง 2 ฝ่าย คือ ส.ว.รัฐคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ‘ราฟาเอล วอร์นอค’ และตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ‘เฮอร์เชิล วอล์คเกอร์’ ต่างไม่มีใครทำคะแนนเสียงเกิน 50% ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งอาจเป็นการชี้ขาดในวันนั้นด้วยว่า พรรคใดจะครองวุฒิสภา ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ รีพับลิกันต่างคาดการณ์ว่าจะเกิด ‘คลื่นสีแดง’ สะท้อนแรงหนุนจากประชาชนให้ผู้แทนจากพรรครีพับลิกันเข้าไปนั่งในสภาสหรัฐฯ เพราะมองว่าประชาชนไม่พอใจการทำงานของเดโมแครต ทั้งปัญหาเงินเฟ้อและอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่เป็นไปตามที่รีพับลิกันคาด เพราะแทนที่จะเกิดกระแสต่อต้าเดโมแครต ผลคะแนนล่าสุดกลับสูสีและยังไม่สามารถคาดเดาได้ ขณะที่ทางฝั่งปธน. โจ ไบเดน กล่าวในวันพุธ (9 พ.ย.) ว่า เป็นวันดีสำหรับประชาธิปไตย และเป็นวันที่ดีสำหรับอเมริกา หลังเดโมแครตทำผลงานได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ สวนทางกับที่สื่อส่วนใหญ่มองว่ารีพับลิกันจะคว้าชัยในครั้งนี้ ถือว่าปธน. ไบเดน ทำได้ดีกว่าอดีตปธน.จากพรรเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอม ทั้ง ‘บารัค โอบามา’ และ ‘บิล คลินตัน’ ทำให้ถูกถามว่า จะลงชิงเก้าอี้ปธน.อีกสมัยในปี 2024 หรือไม่ ซึ่งไบเดนตอบว่า มีความตั้งใจลงสมัครอีกสมัย แต่จะตัดสินใจอย่างแน่ชัดในช่วงต้นปีหน้า อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/control-of-house-senate-too-close-to-call/6827520.html https://mgronline.com/around/detail/9650000107291 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เลือกตั้งสหรัฐ โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ยอมรับบริหารงานพลาด Meta ประกาศปลดพนักงาน 13% หรือกว่า 11,000 คน ตลาดมองเป็นข่าวดี หุ้นพุ่ง 5% - FINNOMENA ซีอีโอ Meta ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศปลดพนักงาน 13% หรือกว่า 11,000 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 87,000 คน ซึ่งถือเป็นการเลย์ออฟครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท 10 พ.ย. 2565 ซีอีโอ Meta ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศปลดพนักงาน 13% หรือกว่า 11,000 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 87,000 คน ซึ่งถือเป็นการเลย์ออฟครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัท ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ระบุในจดหมายถึงพนักงานในวันพุธ (9 พ.ย.) ว่า ขอแจ้งข่าวความเปลี่ยนแปลงครั้งที่ยากลำบากที่สุดที่เราเคยดำเนินการมาในประวัติศาสตร์ของ Meta ตอนนี้บริษัทตัดสินใจลดขนาดทีมของเราลงประมาณ 13% และยอมปล่อยลูกจ้างที่มีความสามารถกว่า 11,000 คนของเราไป พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า บริษัทจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อทำให้บริษัทมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยและขยายระยะเวลาระงับการจ้างงานใหม่ไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 1 โดยข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ย.Meta มีพนักงานทั่วโลกรวมกว่า 87,000 คน หลังประกาศดังกล่าวราคาหุ้น Meta ปรับเพิ่มขึ้น 4% ก่อนตลาดเปิด และปิดบวก 5.18% ที่ราคา $101.47 ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลงมากว่า 70% แล้วในปีนี้ โดยซีอีโอ Meta ยอมรับต่อการบริหารงานที่ผิดพลาด โดยระบุว่า เขาต้องการรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ทำให้บริษัทมาถึงจุดนี้ ซึ่งเขารู้ว่ามันยากสำหรับทุกคน และรู้สึกเสียใจเป็นพิเศษต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก่อนหน้านี้ในวันอังคาร (8 พ.ย.) ซักเคอร์เบิร์กระบุว่า การมองโลกในแง่ดีเกินไปต่อการเติบโต ทำให้บริษัทมีจำนวนพนักงานมากเกินไป ก่อนหน้านี้ กำไรไตรมาส 3 ของบริษัทออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้บริษัทรายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 รวมถึงคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 ที่อ่อนแอ 📌 อ่านรายงานผลประกอบการ Meta ไตรมาส 3 ต่อได้ที่นี่ Meta กำลังเผชิญกับทั้งการชะลอตัวในวงกว้างของการใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์ ความท้าทายจากการอัปเดตความเป็นส่วนตัวของ iOS รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก TikTok โดย Meta รายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 จะลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/world/1036917 https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-09/meta-begins-slashing-11-000-jobs-across-company-zuckerberg-says?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Facebook Mark Zuckerberg Meta News Update มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดคริปโทฯ ยังร่วงต่อเนื่อง หลัง Binance ตกลงซื้อกิจการ FTX ดัน Bitcoin ร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี - FINNOMENA ตลาดคริปโทฯ ยังร่วงต่อเนื่อง หลังข่าว Binance และ FTX ควบรวมกิจการ เพื่อจัดการวิกฤติสภาพคล่องของ FTX 9 พ.ย. 2565 ตลาดคริปโทฯ ยังร่วงต่อเนื่อง หลังข่าว Binance และ FTX ควบรวมกิจการ เพื่อจัดการวิกฤติสภาพคล่องของ FTX ล่าสุด (9 พ.ย.) ราคา Bitcoin ร่วงลงมา 6.52% สู่ $18,420 ซึ่งตามข้อมูลของ Coin Metricsระหว่างวันราคาร่วงลงไปถึง $17,300 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2020 ขณะที่ Ether ร่วง 11.35% สู่ $1,300 โดยช่วงหนึ่งตกลงไปต่ำสุดที่ $1,228 CZ ซีอีโอของ Binance บริษัทซื้อขายคริปโทรายใหญ่ที่สุดของโลก แถลงในวันอังคาร (8 พ.ย.) ว่า บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงในการซื้อกิจการของ FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโทฯ ที่กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง CZ กล่าวว่า FTX ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรงและได้ขอขอความช่วยเหลือจาก Binance โดยทั้ง 2 บริษัทได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงโดยไม่มีข้อผูกมัดเพื่อซื้อกิจการของ http://FTX.com และช่วยเสริมสภาพคล่องแก่บริษัท โดย Binance จะทำการตรวจสอบธุรกิจของ FTX ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า และบริษัทมีสิทธิที่จะถอนตัวจากข้อตกลงได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม CZ ไม่ได้เปิดเผยวงเงินในการซื้อกิจการ FTX ในครั้งนี้ ด้าน ‘แซม แบงค์แมน-ฟรายด์’ ผู้ก่อตั้ง FTX ทวีตข้อความยืนยันการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวเช่นกัน ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการล้มละลายของของ FTX หลัง CZ ประกาศว่าจะขายเหรียญ FTT ซึ่งเป็นโทเค็นของ FTX ทั้งหมดมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ เนื่องขากได้รับข้อมูลบางอย่าง ส่งผลให้ เหรียญ FTT ดิ่งลงเกือบ 20% สู่ระดับ 17.73 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งทาง FTX ออกมายอมรับว่า เว็บเทรดกำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและอาจเกิดวิกฤตการณ์ล้มละลาย โดยการที่ Binance ดำเนินการเข้าซื้อกิจการก็อาจจะทำให้ เว็บเทรด FTX และบริษัท Alameda Research ไม่ได้ผลกระทบจากภาระหนี้ นี่จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ FTX ที่กลัวว่าจะไม่ได้รับเงินทุนกลับมา อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/08/cryptocurrencies-slide-as-worries-about-ftx-fester-in-latest-crypto-liquidity-scare.html https://www.bangkokbiznews.com/finance/cryptocurrency/1036691 https://siamblockchain.com/2022/11/09/binances-ftx-com-acquisition-plunges-market/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Binance CZ FTX News Update คริปโท แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘โจ ไบเดน’ ตกที่นั่งลำบาก จับตาผลการนับคะแนนเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ โพลชี้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ - FINNOMENA จับตาผลการนับคะแนนเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ หลังปิดหีบเลือกตั้งและเริ่มนับคะแนนแล้ว ด้านโพลชี้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ เพิ่มความเสี่ยงต่อนโยบายไบเดน 9 พ.ย. 2565 จับตาผลการนับคะแนนเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ หลังปิดหีบเลือกตั้งและเริ่มนับคะแนนแล้ว ด้านโพลชี้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ เพิ่มความเสี่ยงต่อนโยบายไบเดน 🇺🇸เลือกตั้งกลางเทอมสำคัญยังไง? สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า หน่วยงานด้านการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ได้ทำการปิดหีบลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกลางเทอมในหลายพื้นที่แล้วเมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) โดยการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเมืองสหรัฐฯ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 2024 การเริ่มนับคะแนนจะเริ่มหลังปิดหีบในเวลา 19.00-20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคาร (8 พ.ย.) หรือตรงกับเช้าของวันพุธ (9 พ.ย.) เวลา 07.00-08.00 น.ตามเวลาไทย 🇺🇸 เลือกสภาไหนบ้าง แล้วรู้ผลวันไหน? การเลือกตั้งกลางเทอมถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยจะมีการชิงชัยเก้าอี้ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจำนวน 435 ที่นั่ง เก้าอี้ในวุฒิสภาจำนวน 35 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง และยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐใน 39 มลรัฐ รวมทั้งการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีก ซึ่งหากการนับคะแนนเป็นไปอย่างสูสี จะต้องรอคะแนนชี้ขาดจากรัฐทางฝั่งตะวันตก ทำให้การตัดสินว่าพรรคใดครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสอาจต้องใช้เวลาหลายวัน ที่ผ่านมา การนับคะแนนเลือกตั้งในรัฐแคลิฟอร์เนียมักใช้เวลานานหลายสัปดาห์ เนื่องจากมีการนับรวมบัตรเลือกตั้งที่ส่งทางไปรษณีย์ที่ประทับตาหลังวันที่ 8 พ.ย. เช่นเดียวกับรัฐเนวาดาและวอชิงตัน นอกจากนี้ หากมีการฟ้องร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ หรือการจัดเลือกตั้งใหม่เนื่องจากผู้สมัครได้คะแนนไม่ถึง 50% ก็จะส่งผลให้การตัดสินชี้ขาดพรรคที่จะครองสภาคองเกรสต้องล่าช้าออกไปถึงเดือนธ.ค. 🇺🇸โพลชี้รีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ผลสำรวจของโพลส่วนใหญ่พบว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หลังการเลือกตั้งกลางเทอม จากปัจจุบันที่พรรคเดโมแครตมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งอยู่เล็กน้อย ส่วนการเลือกตั้งในวุฒิสภาจะเป็นไปอย่างสูสีระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งก่อนการเลือกตั้งทั้ง 2 พรรคมีคะแนนเสียงเท่ากันอยู่ที่ 50-50 โดยคะแนนเลือกตั้งใน 4 รัฐได้แก่ แอริโซน่า จอร์เจีย เนวาดา และเพนซิลเวเนีย จะชี้ขาดว่าพรรคใดจะได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ทั้งนี้ หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะเหนือพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ก็จะทำให้การบริหารประเทศของโจ ไบเดนในช่วงที่เหลืออีก 2 ปีเป็นไปอย่างยากลำ อ้างอิง: https://www.infoquest.co.th/2022/249090 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เลือกตั้งสหรัฐ โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Goldman Sachs คาดหุ้นจีนพุ่ง 20% หากเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ไตรมาส 2 ปีหน้า แต่คนสูงวัยยังฉีดวัคซีนต่ำ ต้องปิดต่อหลายเดือน - FINNOMENA Goldman Sachs คาดจีนปิดเมืองต่อไปอีกหลายเดือน เพราะคนสูงวัยยังฉีดวัคซีนต่ำ แต่คาดว่าจีนจะเปิดประเทศเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้หุ้นพุ่งขึ้น 20% 8 พ.ย. 2565 Goldman Sachs คาดจีนปิดเมืองต่อไปอีกหลายเดือน เพราะคนสูงวัยยังฉีดวัคซีนต่ำ แต่คาดว่าจีนจะเปิดประเทศเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งจะหนุนให้หุ้นพุ่งขึ้น 20% สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs นำโดยฮุ่ย ซาน ระบุเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) ว่า ยังต้องรออีกหลายเดือนกว่าที่จีนจะเปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดในกลุ่มคนสูงอายุนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็อยู่ในระดับสูง ขณะที่ทีมนักวิคราะห์ของ Goldman Sachs คาดว่า จีนจะเปิดเมืองอีกครั้งในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งการเปิดเมืองถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น โดยมองว่าการเปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบของจีนจะช่วยหนุนให้หุ้นจีนปรับตัวขึ้น 20% พร้อมอ้างอิงถึงสัญญาณที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลจีนอาจเตรียมการผ่อนคลายการบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์หลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้นำครั้งสำคัญ โดยฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะยึดมั่นต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์จนกระทั่งเตรียมการทางการแพทย์ที่จำเป็นพร้อมแล้ว ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นจีนพุ่งทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยได้รับแรงหนุนจากกระแสข่าวบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับแผนการเปิดประเทศอีกครั้ง หลังจากหุ้นทรุดตัวลงติดต่อกัน 4 เดือน โดย Goldman Sachs มองว่า การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิดสูดดมนั้นเป็นอีกปัจจัยหนุน Goldman Sachs ระบุว่า นักลงทุนจะเข้าซื้อขายล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ก่อนการเปิดประเทศ ซึ่งแรงผลักดันเชิงบวกดังกล่าวจะคงอยู่เป็นเวลา 2 – 3 เดือน อ้างอิง: https://www.ryt9.com/s/iq28/3371043 https://www.ryt9.com/s/iq29/3371298 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Goldman Sachs News Update จีน หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ส่งผลต่อตลาดหุ้นโลกอย่างไร? จับตาผลการเลือกตั้ง 8 พ.ย. นี้ โพลชี้ ‘รีพับลิกัน’ จะครองเสียงข้างมาก - FINNOMENA วันนี้ (8 พ.ย.) เป็นวันเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งผลแพ้ชนะไม่ได้ส่งผลต่อสหรัฐฯ ประเทศเดียว แต่ยังกระทบต่อสถานการณ์โลก รวมถึงตลาดหุ้นด้วย 8 พ.ย. 2565 วันนี้ (8 พ.ย.) เป็นวันเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งผลแพ้ชนะไม่ได้ส่งผลต่อสหรัฐฯ ประเทศเดียว แต่ยังกระทบต่อสถานการณ์โลก รวมถึงตลาดหุ้นด้วย 🇺🇸ชัยชนะส่งผลยังไงต่อการเมืองสหรัฐฯ และสถานการณ์โลก? สำหรับผลโพลในตอนนี้หลายสำนักเชื่อว่า ‘รีพับลิกัน’ จะครองเสียงข้างมากในสภา ซึ่าถ้า ‘รีพับลิกัน’ สามารถครองเสียงข้างมากได้แค่สภาเดียวก็มากพอที่จะทำให้แผนการของไบเดนไม่เป็นไปตามที่หวัง ซึ่งนี่จะส่งผลกระทบในระดับโลกด้วย ทั้งประเด็นว่าจะช่วยเหลือยูเครนต่อไปไหม แผนการสู้โลกร้อนของไบเดนจะต้องเผชิญอุปสรรค และไบเดนอาจถูกสภาคองเกรสสอบสวนในทุกเรื่อง แต่ถ้า ‘เดโมแครต’ ชนะทั้งสองสภาแบบพลิกความคาดหมาย จะเปิดทางสะดวกให้ไบเดนออกกฎหมายได้หลายฉบับในช่วงสองปีที่เหลืออยู่ในทำเนียบขาว ทั้งสิทธิการทำแท้ง การปฏิรูปตำรวจ และสิทธิในการลงคะแนน 🇺🇸เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ส่งผลต่อตลาดหุ้นโลกอย่างไร? VOA Thai รายงานว่า บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน Strategas ชี้ว่าผู้ลงทุนราว 70% ดูจะเทไปกับชัยชนะของพรรครีพับลิกันในทั้งสองสภา แต่จากครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้ครองเสียงข้างมากในสภาสหรัฐฯ จะส่งผลให้ตลาดหุ้นอยู่ในแดนบวก กลาโหม: หากฝั่งรีพับลิกันชนะทั้ง 2 สภา งบดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่ว่าครจะชนะ งบด้านนี้คาดว่าจะพุ่งสูงต่อไปจากความขัดแย้งในยูเครย นี่ฉายแสงไปยังหุ้นอย่าง Lockheed Martin หรือ Raytheon Technologies จากที่ตอนนี้ดัชนีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับพุ่งขึ้นเกือบ 10% แล้วในปีนี้ พลังงาน: หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา อาจมีการผลักดันนโยบายที่จะกระตุ้นการผลิตพลังงานของสหรัฐฯ ซึ่งจะเอื้อต่อบริษัทสำรวจน้ำมัน ในขณะที่ต้องคำนึกถึงปัจจัยด้านแรงกดดันของราคาน้ำมันโลกด้วย พลังงานสะอาด: หากรีพับลิกันครองสองสภาหลังเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ หุ้นธุรกิจพลังงานสะอาดจะได้รับผลกระทบเชิงลบ แต่หากเดโมแครตครองเสียงข้างมากจะนุนให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจสุขภาพ: ธุรกิจนี้อาจได้รับประโยชน์หากพรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในสภาสหรัฐฯ หลังจากพรรคเดโมแครตผลักดันกฎหมายที่มุ่งเป้าปรับลดราคายาที่แพทย์สั่งจ่ายในสหรัฐฯ ความมั่นคง: Strategas มองว่า สภาคองเกรสที่พรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากจะผลักดันนโยบายความมั่นคงบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ เป็นประเด็นสำคัญอันดับต้นๆ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่: Citi มองว่า ชัยชนะของรีพับลิกันไม่ว่า จะในสภาสูงหรือสภาล่างอาจหมายถึงจุดชะงักงันด้านการผลักดันกฎหมาย และส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจเหล่านี้ ที่ในปีนี้ร่วงลงมาแล้ว 30% 🇺🇸ไบเดนยังมั่นใจว่าจะคว้าชัยได้ ส่วน ‘อิลอน มัสก์’ ชวนคนเลือกรีพับลิกัน โดยปธน.ไบเดน ยังมั่นใจว่า เดโมแครตคว้าชัยเลือกตั้งกลางเทอม พราะมั่นใจวว่านโยบายที่รัฐบาลชุดปัจจุบันริเริ่มขึ้น เช่น การปรับลดอัตราคาค่ารักษาพยายาบาล จะเป็นที่พอใจของชาวอเมริกัน การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในแทบทุกครั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองฝ่ายค้านมักเป็นฝ่ายชนะ ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดพบว่า คะแนนนิยมของไบเดน ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ คือประมาณ 40% โดยเงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคเดโมแครตมากที่สุด ขณะที่ ‘อิลอน มัสก์’ ที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ ออกมาเรียกร้องให้ชาวอเมริกันลงคะแนนให้กับผู้ลงสมัครจากพรรครีพับลิกัน พร้อมบอกว่า ตนสนับสนุนพรรครีพับลิกันอย่างเต็มที่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในเดือน ส.ค. เคยทวีตว่า การที่แพลตฟอร์มหนึ่งจะได้รับความไว้ใจจากสาธารณะนั้นจะต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/how-the-u-s-midterms-could-ripple-through-the-stock-market/6824228.html https://www.bangkokbiznews.com/world/1036437 https://www.bangkokbiznews.com/world/1036467 https://www.voathai.com/a/elon-musk-recommends-voting-for-republicans-in-u-s-midterm-elections/6824209.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้น สหรัฐฯ เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เลือกตั้งสหรัฐ โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Apple หั่นเป้าผลิต iPhone 14 ผลิตน้อยลง 3 ล้านเครื่อง อ้างโรงงานถูกปิดในจีน แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ เป็นเพราะความต้องการรุ่นธรรมดาลดลง - FINNOMENA Apple คาดการณ์ว่าจะลดการผลิต iPhone 14 อย่างน้อย 3 ล้านเครื่อง จากเป้าเดิมที่จะผลิตให้ได้ 90 ล้านเครื่องในปีนี้ ผลจากความต้องการรุ่น 14 และ 14 Plus น้อยลง รวมถึงการล็อกดาวน์ในเมืองเจิ้งโจว แต่ย้ำว่าความต้องการรุ่น Pro ยังแข็งแกร่ง 7 พ.ย. 2565 Apple คาดการณ์ว่าจะลดการผลิต iPhone 14 อย่างน้อย 3 ล้านเครื่อง จากเป้าเดิมที่จะผลิตให้ได้ 90 ล้านเครื่องในปีนี้ ผลจากความต้องการรุ่น 14 และ 14 Plus น้อยลง รวมถึงการล็อกดาวน์ในเมืองเจิ้งโจว แต่ย้ำว่าความต้องการรุ่น Pro ยังแข็งแกร่ง การวิเคราะห์ของ Jefferies ระบุว่า ยอดขาย iPhone 14 และ 14 Plus ลดลงอย่างมากหลังจากเปิดตัวในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สอดคล้องกับ Bloomberg News ที่รายงานว่า Apple ได้ยกเลิกแผนเพิ่มการผลิต iPhone ในปีนี้จากความต้องการที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (6 พ.ย.) Apple กล่าวว่า ความต้องการ iPhone 14 Pro และ Pro Max ยังคงแข็งแกร่ง แต่การผลิตกำลังจะได้รับผลกระทบจากการที่จีนล็อกดาวน์เมืองเจิ้งโจว ซึ่งทำให้โรงงานผลิตของ Apple ในเจิ้งโจวต้องปิดโรงงาน พนักงานต้องกักตัวในห้องพัก และทำงานในโรงงานแยกตัวจากโลกภายนอก ขณะที่นักวิเคราะห์ของ JPMorgan เผยว่า หากลูกค้าสั่ง iPhone 14 Pro จากเว็บไซต์ของ Apple จะต้องรอสินค้าประมาณ 31 วัน ยาวนานกว่ารอไอโฟนรุ่นปกติเฉลี่ย 2 วัน ขณะที่ Foxconn ของไต้หวันซึ่งเป็นผู้ควบคุมการผลิตของโรงงานในเจิ้งโจว รายงานว่า บริษัทกำลังฟื้นฟูการผลิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมเพิ่มมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทได้เปิดรับสมัครพนักงานใหม่ พร้อมเสนอโบนัสให้พนักงานที่ลาออกระหว่างวันที่ 10 ต.ค. -5 พ.ย. ถึง 500 หยวน เพื่อให้พนักงานกลับมาทำงาน และยังโฆษณาอีกว่าจะให้เงินเดือนถึง 30 หยวน หรือประมาณ 154 บาทต่อชั่วโมง ขณะที่ในวันศุกร์ (4 พ.ย.) นักวิเคราะห์ของ SMBC Nikko ได้ปรับลดคาดการณ์การผลิต iPhone โดยรวมของ Apple เหลือ 85 ล้านเครื่อง จาก 91 ล้านเครื่อง โดยเพิ่มคาดการณ์การผลิตในรุ่น Pro แต่หั่นคาดการณ์ในรุ่นปกติซึ่งมีอัตราการทำกำไร (Margin) สูงกว่า อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-07/apple-trims-new-iphone-output-by-3-million-units-as-demand-cools?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/world/1036353 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สูญเงินมากกว่าวันละ 4 ล้านดอลลาร์ Elon Musk โอดค่าใช้จ่าย Twitter สูง เตรียมเก็บค่ายืนยันบัญชี $7.99 ต่อเดือน - FINNOMENA Twitter ยืนยันแผนเรียกเก็บค่าใช้บริการเดือนละ $7.99 เพื่อแลกกับเครื่องหมายถูกสีฟ้า ซึ่งแสดงว่า บัญชีผู้ใช้งานนั้นได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าไม่ใช่บัญชีปลอม 7 พ.ย. 2565 Twitter ยืนยันแผนเรียกเก็บค่าใช้บริการเดือนละ $7.99 เพื่อแลกกับเครื่องหมายถูกสีฟ้า ซึ่งแสดงว่า บัญชีผู้ใช้งานนั้นได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้วว่าไม่ใช่บัญชีปลอม ก่อนหน้านี้ Elon Musk ออกมาบอกว่าต้องการยกระบบตรวจสอบยืนยันผู้ใช้งาน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในสัปดาห์หน้า โดยผู้ใช้งานในระบบ iOS ที่ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักร จะได้รับข้อมูลอัปเดตว่า ผู้ใช้งานที่ลงชื่อสมัครตอนนี้สำหรับบริการทวิตเตอร์บลู (Twitter Blue) ที่ได้รับการตรวจสอบยืนยันแล้ว จะมีเครื่องหมายถูกสีฟ้าอยู่ติดกับชื่อบัญชี เช่นเดียวกับผู้มีชื่อเสียง บริษัท และนักการเมืองที่ทุกคนติดตามอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เอสเธอร์ ครอว์ฟอร์ด พนักงานของ Twitter ทวีตข้อความว่า แผนการทวิตเตอร์บลูนี้ยังไม่เปิดตัวอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ โดยข้อมูลอัปเดตที่บางคนได้รับนั้นยังอยู่ในช่วงของการทดสอบอยู่ ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันอย่างชัดเจนว่า การเก็บธรรมเนียมผู้ใช้งานนี้จะเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบเมื่อใด โดย ครอว์ฟอร์ด บอกกับผู้สื่อข่าวเอพีว่า จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่ยังไม่ได้เปิดตัว ขณะที่ Twitter ไม่ได้ตอบรับคำร้องของความเห็นของผู้สื่อข่าว ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Twitter เตรียมแจ้งพนักงานทางอีเมลในวันศุกร์ (4 พ.ย.) ว่า พวกเขาจะถูกไล่ออกหรือไม่ รวมถึงการสั่งปิดสำนักงานชั่วคราวและป้องกันการเข้าถึงของพนักงานด้วย หลังสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอนภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง Elon Musk สำหรับประเด็นการปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อลดต้นทุน Elon Musk ได้อ้างว่า Twitter กำลังสูญเสียเงินมากกว่า 4 ล้านดอลลาร์ต่อวัน และระบุว่าพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชย 3 เดือนซึ่งมากกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 50% ขณะที่ โยเอล รอธ หัวหน้าฝ่ายระบบความปลอดภัยของบริษัท ได้ทวีตข้อความว่า การปลดพนักงานจะไม่กระทบขีดความสามารถของ Twitter ในการกลั่นกรองเนื้อหา ซึ่งทีมงานด้านความปลอดภัยของเนื้อหาถูกปรับลดพนักงานในสัดส่วน 15% อ่านข่าว Twitter เตรียมปลดพนักงาน แจ้งผ่านอีเมลพนักงานทุกคน คืนนี้ 3 ทุ่ม หลัง Elon Musk ซื้อกิจการ เร่งคุมค่าใช้จ่าย แบบเต็มได้ที่นี่ อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/twitter-users-can-soon-get-blue-check-for-7-99-monthly-fee/6822804.html https://www.bbc.com/news/technology-63530872 https://www.ryt9.com/s/iq29/3370856 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามลบ 2.8% จากแรงขายหุ้นกลุ่มอสังหาฯ - FINNOMENA วันนี้ (7 พ.ย.) ตลาดหุ้นเวียดนาม (ดัชนี VN 30) ปรับตัวลง 2.8% สู่ระดับ 969.16 จุด จากแรงขายในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 7 พ.ย. 2565 วันนี้ (7 พ.ย.) ตลาดหุ้นเวียดนาม (ดัชนี VN 30) ปรับตัวลง 2.8% สู่ระดับ 969.16 จุด จากแรงขายในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นำโดยราคาหุ้น Khang Dien House ลดลง 7.0% หุ้น Phat Dat Real Estate ลดลง 6.9% หุ้น No Va Land ลดลง 6.8% และ หุ้น Ho Chi Minh City ลดลง 5.8% หลังมีรายงานว่าบริษัท No Va Land (ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ในตลาดหุ้นเวียดนาม) กำลังปลดพนักงานและพยายามขายสินทรัพย์อย่างเร่งด่วน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการชำระหนี้ ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลมากขึ้นต่อปัญหาสภาพคล่องของภาคอสังหาฯในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าธนาคารกลางเวียดนามได้ขอให้บริษัท No Va Land ไถ่ถอนหุ้นกู้คืนบางส่วน เนื่องจากหุ้นกู้ที่จำหน่ายออกไปแก่นักลงทุนไม่มีการระบุข้อมูลความเสี่ยงที่เหมาะสม FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นเวียดนามจะยังมีความผันผวนจากค่าเงินดองที่อ่อนค่าลง อัตราดอกเบี้ยในประเทศที่เพิ่มขึ้น และความกังวลด้านสภาพคล่องของภาคอสังหาฯ แต่ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมซึ่งมองว่า ประเทศเวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมากในอนาคต ระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นโลก และติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่สาม ที่เริ่มประกาศออกมาซึ่งจะช่วยให้เห็นโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะแนะนำเข้าสะสมอีกครั้งเมื่อความกังวลระยะสั้นคลี่คลายลง และกลับมาให้น้ำหนักการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการอีกครั้ง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงบวกแรง 4.1% จากแรงซื้อหุ้นเทคฯ และอสังหาฯ - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng บวก 4.1% ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีแรงซื้อจากหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเทคโนโลยี 7 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (7 พฤศจิกายน 2565) ดัชนี Hang Seng บวก 4.1% ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยมีแรงซื้อจากหุ้นในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้น Country Garden เพิ่มขึ้น 14.2% หุ้น Xiaomi เพิ่มขึ้น 5.8% และ หุ้น JD.com เพิ่มขึ้น 5.3% แม้ตัวเลขการค้าของจีนเดือนตุลาคมซึ่งรายงานออกมาเช้านี้แย่กว่าที่ตลาดคาด โดยการส่งออกหดตัว 0.3%(YoY) สวนทางตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.3% (YoY) และการนำเข้าหดตัว 0.7%(YoY) สวนทางตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1%(YoY) สำหรับความคืบหน้าการใช้วัคซีน mRNA ในจีน ล่าสุดนายกรัฐมนตรีเยอรมันได้เข้าพบผู้นำจีน พร้อมระบุว่ารัฐบาลจีนเตรียมอนุมัติใช้วัคซีน mRNA ของ BioNTech แก่ชาวต่างชาติที่พักอาศัยในประเทศจีน โดยทาง BioNTech จะร่วมมือกับ Shanghai Fosun Pharmaceutical ในการกระจายวัคซีน ซึ่งความร่วมมือนี้ถือว่าเป็นก้าวแรกแห่งการใช้วัคซีน mRNA ในประเทศจีน สร้างความคาดหวังการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจผ่อนคลายลง หรือมีแนวโน้มการใช้วัคซีน mRNA เข้ามาร่วมด้วยมากขึ้น FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากท่าทีของทางการจีนที่ออกมายืนยันว่ายังคงยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid และกลับมาล็อกดาวน์ในเมืองหลัก ๆ อีกครั้ง ประกอบกับหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นบวกกับตลาดหุ้น ขณะที่ Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ดัชนีอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งแม้ในระยะสั้นอาจไม่ใช่สัญญาณซื้อที่ดี แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม กองทุนที่มีความสัมพันธ์กับดัชนี Hang Seng สูงอย่าง ASP-HSI และกองทุนหุ้นจีนต่างๆ ซึ่งมักมีค่า Correlation กับดัชนี Hang Seng สูงทั้ง อาทิ K-CHINA-A(A), P-CGREEN เพื่อเป้าหมายลงทุนระยะยาว พร้อมกันนั้นการเคลื่อนไหวขึ้นต่อเนื่อง ยังทำให้ดัชนี Hang Seng เกิด Momentum เชิงบวกระยะสั้น FINNOMENA Investment Team จึงได้แนะนำให้นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนแบบเก็งกำไรด้วยกองทุนอย่าง ASP-HSI หรือ K-CHINA-A(A) ตามรายละเอียดในลิงก์ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมหุ้นจีนพุ่งแรง? Hang Seng บวกกว่า 8% ในสัปดาห์เดียว นักวิเคราะห์ชี้ รัฐบาลจีนส่งสัญญาณชัดเจนแล้ว - FINNOMENA ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรงหลังปรับตัวลงต่อเนื่องมาตลอดหลายเดือน จนหลายคนอาจเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นจีน? 4 พ.ย. 2565 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นจีนปรับตัวขึ้นแรงหลังปรับตัวลงต่อเนื่องมาตลอดหลายเดือน จนหลายคนอาจเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นจีน? สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความหวังของนักลงทุนว่ารัฐบาลจีนจะเปิดเมืองและผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ ส่งผลให้สัปดาห์นี้ ดัชนี Shanghai composite ปรับตัวขึ้นมา 5% ขณะที่ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นมากว่า 8% เป็นการรีบาวด์แรงหลังร่วงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ จนถึงตอนนี้รัฐบาลจีนยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับนโยบายควบคุมโควิด ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ตรวจหาโควิดเป็นวงกว้าง และจำกัดการเดินทางข้ามเมือง Zhiwei Zhang ประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดเมื่อเช้าวันศุกร์ (4 พ.ย.) เกิดจากความหวังที่ว่าจีนจะเปิดเมืองเร็วกว่าคาด ขณะที่หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ป้องกันและเฝ้าระวังโรคระบาดของจีนยังส่งสัญญาณว่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว สำนักข่าว Cailian Press ของจีนรายงานว่า รัฐบาลจีนน่าจะแถลงการณ์ในช่วงบ่ายของวันเสาร์ (5 พ.ย.) เกี่ยวกับการควบคุมโควิดและมาตรการป้องกันต่างๆ การควบคุมโควิดอย่างเข้มงวดได้ฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนที่ตลอด 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ โตแค่ 3% จากปีที่แล้ว เหล่านักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต่างพากันหั่นคาดการณ์ GDP ของจีนเพราะรัฐบาลยังคงยึดติดกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเวลาที่ทั่วโลกเริ่มอยู่กับโควิดเแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ระบุจุดสิ้นสุดของการควบคุมโควิดอย่างเข้มงวดในเดือน ก.ย. ขณะที่ตลอดสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่จีนได้ออกมาพูดถึงโควิด ว่าไวรัสมีข้อจำกัดในตัวเองและสามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ People’s Daily ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังระบุว่า การกักตัวยังป็นสิ่งที่จำเป็น ขณะที่ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนยังคงยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์แบบไดนามิก Bruce Pang หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และฝ่ายวิจัยของ Greater China at JLL กล่าวว่า สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดถูกส่งมาแล้ว โดยในระยะสั้น จีนจะยังคงยึดติดกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่ในระยะยาว จีนจะควบคุมโควิดด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์และกำหนดเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การยืดหยุ่นและผ่อนคลายมาตรการในอนาคต แต่ Bruce Pang ไม่คิดว่ารัฐบาลจีนจะยกเลิกมาตรการจนกว่าจะถึง มิ.ย. 2023 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/04/heres-what-we-know-about-the-rebound-in-chinese-stocks-this-week.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นจีน หุ้นฮ่องกง โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Twitter เตรียมปลดพนักงาน แจ้งผ่านอีเมลพนักงานทุกคน คืนนี้ 3 ทุ่ม หลัง Elon Musk ซื้อกิจการ เร่งคุมค่าใช้จ่าย - FINNOMENA Twitter เตรียมแจ้งพนักงานทางอีเมลในวันศุกร์นี้ (4 พ.ย.) ว่า พวกเขาจะถูกไล่ออกหรือไม่ รวมถึงการสั่งปิดสำนักงานชั่วคราวและป้องกันการเข้าถึงของพนักงานด้วย หลังสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอนภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง Elon Musk 4 พ.ย. 2565 Twitter เตรียมแจ้งพนักงานทางอีเมลในวันศุกร์นี้ (4 พ.ย.) ว่า พวกเขาจะถูกไล่ออกหรือไม่ รวมถึงการสั่งปิดสำนักงานชั่วคราวและป้องกันการเข้าถึงของพนักงานด้วย หลังสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอนภายใต้เจ้าของใหม่อย่าง Elon Musk โดย Twitter จะส่งอีเมลถึงพนักงานตอน 9 โมงเช้าของวันศุกร์ตามเวลาของสหรัฐฯ (ประมาณ 3 ทุ่ม ตามเวลาไทย) เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเลิกจ้าง การสั่งปิดสำนักงานชั่วคราว และการป้องกันการเข้าถึงของพนักงาน ในอีเมลที่ส่งถึงพนักงานในวันพฤหัสบดี (3 พ.ย.) Twitter ระบุถึง ความตั้งใจที่จะทำให้องค์กรอยู่ในเส้นทางที่ดีและเหมาะสม โดยบริษัทจะก้าวผ่านกระบวนการที่ยากลำบากซึ่งคือการลดจำนวนพนักงงาน Twitter ที่อยู่ทั่วโลกในวันศุกร์นี้ นอกจากนี้ Twitter ยังระบุว่า บริษัทจำเป็นต้องปิดสำนักงานชั่วคราวและระงับการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด เพื่อรับประกันความปลอดภัยของพนักงานแต่ละคน ระบบทวิตเตอร์ และข้อมูลของลูกค้า โดยพนักงานที่ไม่ได้ถูกเลิกจ้างจะได้รับการแจ้งผ่านทางอีเมลของบริษัท ส่วนพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับวิธีการปฏิบัติในขั้นตอนถัดไปผ่านทางอีเมลส่วนตัวของพวกเขา พนักงานบางคนทวีตข้อความว่า พวกเขาถูกบล็อกการเข้าถึงระบบ IT ของบริษัทแล้ว และมองเป็นสัญญาณว่าพวกเขาอาจเป็นหนึ่งในพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง มีสัญญาณว่า Elon Musk ต้องการลดต้นทุนของ Twitter รวมถึงสร้างวัฒนกรรมในการทำงานชุดใหม่ โดยมีรายงานระบุว่า Elon Musk ได้สั่งให้ทีม Twitter หาทางลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านี้ Elon Musk ได้ปลดพนักงานระดับสูงของบริษัทออก โดยไล่ทั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินและกฎหมายออก รวมถึงพนักงานแผนกโฆษณา การตลาด และทรัพยากรบุคคลของบริษัทตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://www.reuters.com/technology/twitter-start-layoffs-friday-morning-internal-email-2022-11-04/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter อีลอน มัสก์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผสมผสาน เวียดนามร่วง ฮ่องกงบวกแรง - FINNOMENA เช้าวันนี้ (4 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 5.6% จากแรงซื้อคืน หลังปรับตัวลงแรงในวันก่อนหน้า ขณะที่ดัชนี VN 30 ปรับตัวลง 4.3% สู่ระดับ 979.7 จุด จากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ในหลากหลายกลุ่ม 4 พ.ย. 2565 เช้าวันนี้ (4 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 5.6% จากแรงซื้อคืน หลังปรับตัวลงแรงในวันก่อนหน้า นำโดย JD.com ปรับตัวขึ้น 10.89% Tencent ปรับตัวขึ้น 8.22% Alibaba ปรับตัวขึ้น 9.60% และ Meituan ปรับตัวขึ้น 7.77% โดยในสัปดาห์นี้ปรับตัวบวกไปแล้วกว่า 10% จากการ Panic Buy เพราะตลาดมีความหวังว่าทางการจีนจะผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid แม้ว่า National Health Committee ของจีนออกมาย้ำจุดยืนว่าจะยังยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid ก็ตาม ขณะที่ดัชนี VN 30 ปรับตัวลง 4.3% สู่ระดับ 979.7 จุด จากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ในหลากหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มธนาคาร VCB TCB ACB ปรับตัวลง 4-5%, กลุ่มอสังหาฯ VIC VHM BCM ปรับตัวลง 4-6% รวมถึงหุ้นที่มีการกำหนด Foreign Limit อย่าง MWG FPT HPG MSN ต่างปรับตัวลง 2-6% เช่นกัน โดยค่าเงินเวียดนามดองที่อ่อนค่าสูงที่สุดมาอยู่ที่ 24,876.5VND/USD และ Interbank rate ปรับตัวขึ้นมาอีกครั้งอยู่ที่ 7.25% สะท้อนปัจจัยด้านสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาฯ ที่ยังกดดันกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกลุ่มอื่นๆในระยะสั้น FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากที่ทางการจีนออกมายืนยันว่ายังคงยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid และกลับมาล็อกดาวน์ในเมืองหลัก ๆ อีกครั้ง ประกอบกับหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นบวกกับตลาดหุ้น ขณะที่ Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ตัวอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งแม้ในระยะสั้นอาจไม่ใช่สัญญาณซื้อที่ดี แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม Hang Seng Index สำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ยังคงมุมมองคงสัดส่วนหุ้นจีนในดัชนีอื่นๆ (A-shares, All China, HSCEI) สำหรับเวียดนาม FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่งโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค ล่าสุดผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม ขยายตัว 6.3% (YoY) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต ระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก และให้ติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่สาม ที่เริ่มประกาศออกมาซึ่งจะช่วยให้เห็นโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะแนะนำเข้าสะสมอีกครั้งเมื่อความกังวลคลี่คลายลง และกลับมาให้น้ำหนักการเติบโตของเศรษฐกิจและผลประกอบการอีกครั้ง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BoE ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3% ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี รับมือเงินเฟ้อ เตือนเศรษฐกิจถดถอยถึงกลางปี 2024 - FINNOMENA ธนาคารกลางอังกฤษ​ (BoE) ขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี พร้อมเตือนว่า อังกฤษกำลังจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนานที่สุดครั้งประวัติการณ์ 4 พ.ย. 2565 ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 33 ปี พร้อมเตือนว่า อังกฤษกำลังจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยยาวนานที่สุดครั้งประวัติการณ์ เมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) BoE ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% สู่ระดับ 3% ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1989 พร้อมเตือนว่าอังกฤษจะเผชิญกับการตกต่ำที่ท้าทายมากตลอด 2 ปี โดยคาดว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ในปี 2025 ด้าน Andrew Bailey ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษเตือนถึง หนทางที่ยากลำบากสำหรับครัวเรือนอังกฤษ โดยบอกว่า BoE จะต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดในตอนนี้ เพื่อไม่ให้สิ่งต่างๆ ยิ่งแย่ลงในภายหลัง ธนาคารกลางอังกฤษขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 40 ปี ตอนนี้ราคาอาหารและพลังงานในประเทศแพงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสงครามในยูเครน จนครัวเรือนต้องเผชิญกับความยากลำบากและเริ่มฉุดรั้งเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้ BoE คาดว่า อังกฤษจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสิ้นปีนี้และจะคงอยู่ตลอดปีหน้า แต่ล่าสุด BoE ระบุว่า เศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงขาลงที่ท้าทายไปแล้ว และจะดำเนินต่อไปในปีหน้า จนเข้าสู่ครึ่งแรกของปี 2024 ซึ่งน่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้น แม้นี่จะไม่ใช่การตกต่ำของเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดของอังกฤษ แต่ถือว่าเป็นการตกต่ำ ‘ยาวนานที่สุด’ นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกในปี 1920 ตอนนี้อัตราการว่างงานของอังกฤษอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 6.5% นี่เป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่รัฐบาลของลิซ ทรัส ประกาศลดหย่อนภาษี 4.5 หมื่นล้านปอนด์ ซึ่งจุดชนวนให้เกิดความวุ่นวายในตลาดการเงิน ผลักดันต้นทุน และส่งผลให้ทรัสส์ออกจากตำแหน่งหลังจากผ่านไปเพียง 6 สัปดาห์ Andrew Bailey กล่าวถึงแผนลดภาษีคนรวยของอดีตนายกฯ ว่า งบประมาณขนาดเล็กได้ทำลายจุดยืนของอังกฤษในระดับสากล เห็นได้ชัดว่าจุดยืนของอังกฤษได้รับความเสียหาย อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-63471725 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BOE News Update ธนาคารกลางอังกฤษ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงแรง 3.2% จีนย้ำจุดยืนยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid - FINNOMENA วันนี้ (3 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 3.18% หลัง National Health Committee ของจีนออกมาย้ำจุดยืนว่าจะยังยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid 3 พ.ย. 2565 วันนี้ (3 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลง 3.18% หลัง National Health Committee ของจีนออกมาย้ำจุดยืนว่าจะยังยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid หลังจากที่ก่อนหน้ามีข่าวลือบนโซเชียลมีเดียของจีนว่าจะมีการยกเลิกนโยบายดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับ Sentiment เชิงลบจากท่าทีของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันของ Fed เมื่อคืนที่ผ่านมา พร้อมแถลงว่า มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ยในตอนนี้ แต่จะพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงในช่วงคืนที่ผ่านมาและส่งผ่าน Sentiment ลบมายังตลาดหุ้นเอเชียในวันนี้ FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากที่ทางการจีนออกมายืนยันว่ายังคงยึดมั่นในนโยบาย Zero-Covid และกลับมาล็อกดาวน์ในเมืองหลัก ๆ อีกครั้ง ประกอบกับหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นบวกกับตลาดหุ้น ส่วนในด้าน Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ตัวอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งแม้ในระยะสั้นอาจไม่ใช่สัญญาณซื้อที่ดี แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม Hang Seng Index สำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ยังคงมุมมองคงสัดส่วนหุ้นจีนในดัชนีอื่นๆ (A-shares, All China, HSCEI) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood มั่นใจ Elon Musk เปลี่ยน Twitter เป็น ‘ซูเปอร์แอป’ แบบ WeChat ของจีนได้ - FINNOMENA Cathie Wood ผู้ก่อตั้ง Ark Invest มั่นใจว่า Elon Musk จะเปลี่ยน Twitter ให้เป็น ‘ซูเปอร์แอป’ อย่าง WeChat ของจีนได้ 3 พ.ย. 2565 Cathie Wood ผู้ก่อตั้ง Ark Invest มั่นใจว่า Elon Musk จะเปลี่ยน Twitter ให้เป็น ‘ซูเปอร์แอป’ อย่าง WeChat ของจีนได้ ก่อนหน้านี้ Elon Musk ซีอีโอ Tesla และผู้บริหารคนใหม่ของ Twitter ได้บอกใบ้ถึงแผนการที่จะทำให้ Twitter เป็น ‘ซูเปอร์แอป’ โดยทวีตข้อความเมื่อเดือนที่แล้วว่า การซื้อ Twitter เป็นการเร่งสร้าง X ซึ่งเป็นแอปทุกสิ่งทุกอย่าง Cathie Wood จำได้ว่า Elon Musk เริ่มต้นในอุตสาหกรรมการชำระเงิน และขายบริษัทของเขาให้กับ PayPal ทำให้มองว่า Elon Musk และ Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter จะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยน Twitter ให้กลายเป็น ‘ซูเปอร์แอป’ ได้ Cathie Wood เสริมว่า ในอนาคต Twitter อาจเป็นเหมือนดิจิทัลวอลเลทมากขึ้น ที่ทุกคนสามารถทำธุรกรรมการเงินทุกอย่างได้ และอาจมีบางอย่างที่กำลังพัฒนาร่วมกับ Cash App แอปชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาโดย Square บริษัทฟินเทคของ Dorsey ผู้จัดการกองทุนชื่อดังกล่าวอย่างมั่นใจว่า Twitter จะกลายเป็น ‘ซูเปอร์แอป’ ได้ โดยทุกคนจะช้อปปิ้งและกู้เงินจากแอปเดียว เรียกได้ว่ามันเหมือนสาขาของธนาคารในฉบับกระเป๋าคล้ายกับ WeChat อย่างที่รู้กันว่า WeChat ได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นแบบของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ซูเปอร์แอป’ เพราะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่หลากหลาย Ark ได้ลงทุนใน Twitter ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดีลมูลค่า 44,000 ล้านดอลาร์ของ Elon Musk โดย Cathie Wood มองว่า การซื้อ Twitter ของ Musk จะเป็นการควบรวมในแนวดิ่งอันยอดเยี่ยม Cathie Wood ระบุว่า Elon Musk ได้ออกแบบและกำลังผลิตอุปกรณ์พกพาขั้นสูงสุด ซึ่งก็คือรถยนต์ Tesla อย่างไรก็ตาม การซื้อ Twitter ของ Elon Musk มีประเด็นถกเถียงเพราะหน่วยงานกำกับดูแลและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิพลเมืองกังวลว่า Elon Musk อาจปล่อยให้เนื้อหาที่เป็นอันตรายแพร่กระจายออกไป Cathie Wood ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวว่า ความอันตรายของ Twitter คือ การไม่เห็นอัลกอริทึมและวิธีการทำงาน ซึ่ง Cathie Wood คิดว่า Elon Musk สามารถเปลี่ยน Twitter เป็นซอฟต์แวร์เปิด ทำให้โค้ดดังกล่าวสามารถตรวจสอบ แก้ไข และแชร์ต่อสาธารณะได้ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/11/02/arks-cathie-wood-bets-elon-musk-will-turn-twitter-into-a-super-app.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cathie Wood Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75% - 4% สูงสุดรอบ 14 ปี ย้ำจุดยืนขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพื่อรับมือเงินเฟ้อ - FINNOMENA Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75% - 4% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี หลังเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระดับสูง ขณะที่ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ส่งสัญญาณยังไม่ผ่อนคันเร่ง 3 พ.ย. 2565 Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75% – 4% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี หลังเผชิญแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระดับสูง ขณะที่ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ส่งสัญญาณยังไม่ผ่อนคันเร่ง เมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน หลังปรับขึ้นที่ระดับเดือนเดียวกันในเดือน มิ.ย. ก.ค. และ ก.ย. โดยถือเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 6 ของ Fed ในช่วง 9 เดือนหลัง Fed ระบุในแถลงการณ์ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นมาตรการที่เหมาะสม และ Fed ยังคงให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออยู่ โดยมีแผนที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตไปได้ ด้วยแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และอัตราการว่างงานที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม Fed ยังได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในสัดส่วนที่น้อยลงในช่วงปลายปีนี้ โดยพิจารณาจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มข้นเพื่อลดสภาพคล่องจากระบบ ขณะที่ ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ประธาน Fed ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อฉุดอัตราเงินเฟ้อลงมายังต้องใช้เวลา ซึ่งตอนนี้เร็วเกินไปที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ Fed จะหารือเรื่องการผ่อนความเร็วการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้ หลังแถลงการณ์ในช่วงแรก หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ปรับตัวลงมา แต่หลังจากที่พาวเวลล์ระบุว่า Fed ส่งสัญญาณยังไม่ผ่อนคันเร่ง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์และดอลลาร์ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงมา โดย S&P 500 ทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ ม.ค. 2021 Fed จำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ก่อนถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พ.ย. ซึ่งความขุ่นเคืองของประชาชนอาจทำให้เดโมแครตเสียอำนาจในสภาคองเกรส ขณะที่พาวเวลล์พยายามทำให้ Fed พ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6817147.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-02/fed-hikes-again-by-75-basis-points-hints-at-entering-end-phase?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/world/1035567 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Jerome Powell News Update ประชุมเฟด เจอโรม พาวเวลล์ เฟด เฟดขึ้นดอกเบี้ย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หนุ่มจีนถูกหวยกว่า 1 พันล้าน ใส่มาสคอตมารับเงิน ไม่บอกภรรยากับลูก เพราะกลัวครอบครัวขี้เกียจ ไม่ทำงานหนัก - FINNOMENA ชายจีนถูกลอตเตอรีรางวัลใหญ่มูลค่ารวม 219 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,133 ล้านบาท แต่เลือกเก็บเป็นความลับจากภรรยาและลูก โดยให้เหตุผลว่า กลัวเงินที่ได้มาจะทำให้ภรรยาและลูกของเขาขี้เกียจ 2 พ.ย. 2565 ชายจีนถูกลอตเตอรีรางวัลใหญ่มูลค่ารวม 219 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,133 ล้านบาท แต่เลือกเก็บเป็นความลับจากภรรยาและลูก โดยให้เหตุผลว่า กลัวเงินที่ได้มาจะทำให้ภรรยาและลูกของเขาขี้เกียจ สำนักข่าวท้องถิ่นหนานหนิง รายงานว่า มิสเตอร์หลี่ ตัดสินใจไปรับเงินคนเดียวที่กองสลากในเมืองหนานหนิง ทางตอนใต้ของกวางสี โดยมิสเตอร์หลี่ใส่ชุดมาสคอตสีเหลืองมาถ่ายรูปรับรางวัลใหญ่ มิสเตอร์หลี่ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเลือกที่จะไม่บอกภรรยาและลูก เพราะกลัวว่าเงินจำนวนนี้จะทำให้คนในครอบครัวรู้สึกอิ่มเอมใจเกินไปจนไม่ทำงานหนักในอนาคต นอกจากนี้ มิสเตอร์หลี่ยังได้บริจาคเงิน 5 ล้านหยวนเพื่อการกุศล พร้อมบอกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับส่วนที่เหลือ ซึ่งหลังหักภาษีเหลืออยู่ที่ประมาณ 171.6 ล้านหยวน หรือประมาณ 888 ล้านบาท สำนักข่าวท้องถิ่นหนานหนิงรายงานว่า มิสเตอร์หลี่ซื้อลอตเตอรีดังกล่าวในร้านค้าแห่งหนึ่งของเมืองหลี่ถัง ซึ่งมีประชากรอยู่ประมาณ 120,000 คน วันรุ่งขึ้นหลังจากรู้ว่าถูกรางวัล มิสเตอร์หลี่ก็ขับรถไปที่เมืองใหญ่เพื่อแสดงลอตเตอรีที่กองสลาก “ผมนอนแต่ในโรงแรม เพราะกลัวที่จะออกไปข้างนอก แล้วทำลอตตอรีหาย” มิสเตอร์หลี่กล่าว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-01/lottery-winner-conceals-30-million-jackpot-from-wife-child?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ลอตเตอรี่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ข่าวลือ! จีนเตรียมเปิดประเทศ มี.ค. ปีหน้า ดันตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง พุ่งแรง - FINNOMENA หุ้นจีนพุ่งแรงทั้งในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และสหรัฐฯ​ หลังมีข่าวลือว่า รัฐบาลจีนได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผ่อนคลายคุมโควิด และเตรียมเปิดประเทศ 2 พ.ย. 2565 หุ้นจีนพุ่งแรงทั้งในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และสหรัฐฯ หลังมีข่าวลือว่า รัฐบาลจีนได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผ่อนคลายคุมโควิด และเตรียมเปิดประเทศ โดย ‘หาว ฮง’ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียว่า “นายหวัง หูหนิง หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง (โปลิตบูโร) กำลังจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเรื่องการเปิดประเทศ และกำลังทบทวนข้อมูลด้านโควิด-19 ในต่างประเทศ เพื่อประเมินสถานการณ์หากมีการเปิดประเทศ โดยจีนมีเป้าหมายที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบในการควบคุมโควิด-19 ในเดือน มี.ค. 2023” ส่งผลให้เมื่อวานนี้ (1 พ.ย.) ดัชนีหุ้นจีนพุ่งแรงในทุกตลาด โดยดัชนี CSI 300 ในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้น 3.6% และดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 2.6% ส่วนในตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปิดบวก 5.3% ขณะที่ดัชนี Hang Seng Tech บวก 7.8% และดัชนี HSCEI ปรับตัวขึ้นมา 5.5% ขณะที่ หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba ที่ปรับตัวขึ้นมา 7.7% ตามมาด้วยคู่แข่ง JD.com ที่บวก 4% และหุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Nio ที่ปรับตัวขึ้นมา 2% การปรับตัวขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากข่าวลือที่ว่า รัฐบาลจีนได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผ่อนคลายคุมโควิดและเตรียมพร้อมเปิดประเทศแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนคาดหวังมาตลอด ที่มาภาพ: Xinhua News อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-11-01/tech-leads-broad-rally-in-chinese-stocks-after-historic-rout?sref=e4t2werz https://news.yahoo.com/alibaba-other-us-listed-chinese-132944917.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน สีจิ้นผิง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ขายวันแรก BYD รุ่น ATTO 3 ปรากฏการณ์หรือมาร์เก็ตติ้ง ลูกค้าต่อคิว 12 ชั่วโมง ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ราคา 1.19 ล้านบาท หลังส่วนลด - FINNOMENA BYD RÊVER Thailand เปิดให้ทดลองขับ รับจอง และรับรถ BYD ATTO 3 วันนี้เป็นวันแรก (1 พ.ย.) ที่โชว์รูมผู้จำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น โดยไม่มีการจองช่องทางออนไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น 1 พ.ย. 2565 BYD RÊVER Thailand เปิดให้ทดลองขับ รับจอง และรับรถ BYD ATTO 3 วันนี้เป็นวันแรก (1 พ.ย.) ที่โชว์รูมผู้จำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น โดยไม่มีการจองช่องทางออนไลน์ใดๆ ทั้งสิ้น BYD ATTO 3 เป็นรถเอสยูวีไฟฟ้า 100% เสนอราคา 1,199,900 บาท ซึ่งเป็นราคาหลังหักส่วนลดเงินสนันสนุนจากภาครัฐ จากราคาเต็ม 1,459,000 บาท โดยภายในปีนี้ เรเว่ ออโตโมทีฟ มีรถพร้อมส่งมอบ จำนวน 5,000 คัน โดยมีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ขาว Frost, เทา Graphite, ฟ้า Lagoon, เขียว Emerald และ แดง Solar ช่วงเช้าที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์ได้ปรากฎภาพของผู้คนที่ล้นหลามบริเวณหน้าโชว์รูม ต่อคิวซื้อรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวตั้งแต่เช้ามืด ข้อมูลจากเพจ Blink drive เล่าประสบการณ์ของลูกเพจจาก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่บินตรงจากเชียงรายเพื่อมาจอง BYD ATTO 3 ที่กรุงเทพฯ เพราะสาขาที่ใกล้ที่สุดในเชียงรายบอกว่าคิวเต็มแล้ว เพราะศูนย์เลือกลูกค้าที่จ่ายสดเต็มจำนวนเป็นอันดับแรก หลังจากขับรถมาถึง 200 กิโลเมตรแล้วผิดหวัง ลูกเพจรายดังกล่าวเลยตัดสินใจบินตรงมาที่กรุงเทพฯ แล้วมาจองที่ BYD กวงไถ่มอเตอร์กรุ๊ปแทน ซึ่งตอนมาถึงก็คือเวลาตีหนึ่งกว่าๆ ก็มีคนรอคิวกันแล้ว โดยคนแรกมารอคิวตั้งแต่ตอน 2 ทุ่ม นั่นแปลว่าต้องรอไป 11-12 ชั่วโมง เพราะศูนย์เปิดรับคิวตอน 7 โมงเช้า โดยบริษัทได้กระจายรถให้ทุกๆ ศูนย์เท่ากันที่ 20 คัน ขณะที่ไทยรัฐออนไลน์ระบุว่า นี่อาจจะเป็นความฮิตหรือวิธีการทำตลาดของพีอาร์ เพราะการเปิดรับจองโดยให้ลูกค้าเดินทางไปที่โชว์รูม ทำให้ได้ภาพของผู้คนที่ล้นหลามบริเวณหน้าโชว์รูม ที่ยืนเข้าคิวรอจองกันเป็นแถว จนครองพื้นที่สื่อในช่วงเช้าวันนี้ไป ทั้งนี้ บริษัทยืนยันว่ามิได้สนับสนุนสิทธิพิเศษสำหรับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ โดยอยากให้ลูกค้าทุกคนที่มีความประสงค์ไปจองที่โชว์รูมโดยตรง เนื่องจากไม่ต้องการให้ผ่านคนกลาง • โชว์รูมที่พร้อมให้บริการ มีรถโชว์ รถทดลองขับ พร้อมรับจอง ในวันที่ 1 พฤศจิกายน และรับรถได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ดังนี้ กรุงเทพและปริมณฑล: กวงไถ่มอเตอร์กรุ๊ป (เอกมัย-รามอินทรา), กวงไถ่ออโตโมบิล (รังสิต-นครนายก),จินหลง มอเตอร์ (รังสิต), จี.เอส.เอส.เอ (เพชรเกษม), จี.เอส.เอส.เอ (บางนา), ซีจี ออโตโมทีฟ (ประดิษฐ์มนูญธรรม), ซีจี ออโตโมทีฟ (ลำลูกกา), เมโทรโมบิล (พระราม 3) และ บีเคเค ออโต้ โมบิล (มีนบุรี-รามอินทรา) ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก: ไฮ-คลาส ออโต้ (ชลบุรี บายพาส), ชลบุรี ออโตโมทีฟ (พัทยา), ดรีมคาร์ มอเตอร์ (ระยอง) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เจียงออโตโมทีฟ อุดร (หนองสำโรง), ยนต์ไพบูลย์ ออโตโมบิล (ขอนแก่น) และอีวี-ดี อุบล (อุบลราชธานี) ภาคเหนือ: นกเงือกยานยนต์ (เชียงราย) และ นอร์ท สตาร์ ออโตโมทีฟ (เชียงใหม่) ภาคใต้: บีดี ออโต้ นครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช), บีดี ออโต้ ภูเก็ต (ภูเก็ต) และบีดี ออโต้ สงขลา (หาดใหญ่) • โชว์รูมที่พร้อมมีรถโชว์ ทดลองขับ รับจองในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ แต่รับรถได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 คือ บีวายดี พระราม 2 และ บีวายดี เซนทรัล เวสเกต • โชว์รูมที่พร้อมมีรถโชว์ ทดลองขับในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้แต่รับจองและรับรถได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 คือ บี อินฟินิท (สุราษฎร์ธานี บายพาส) อ้างอิง: https://blink-drive.com/index.php/2022/11/01/byd-first-reservation-bangkok-thailand/?fbclid=IwAR2JQhF_YuN28Qt2Cf2mSZ8E0i1VKcGUBTMMweSFK-PFV5oGlSdWrGMqajI https://www.facebook.com/BYDReverThailandOfficial/ https://www.marketingoops.com/news/biz-news/byd-atto-3-thailand/ https://www.reverautomotive.com/model/tech-spec https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2541365 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้น 4.7% จากแรงซื้อคืนตาม Technical Rebound - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นแรง 4.67% จากแรงซื้อคืนตาม Technical Rebound โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนปรับตัวลงไปแตะระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2009 1 พ.ย. 2565 วันนี้ (1 พ.ย.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นแรง 4.67% จากแรงซื้อคืนตาม Technical Rebound โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนปรับตัวลงไปแตะระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2009 นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน นำโดย Tencent ปรับตัวขึ้น 8.37% Meituan ปรับตัวขึ้น 10.50% Alibaba ปรับตัวขึ้น 6.83% และ AIA Group ปรับตัวขึ้น 6.56% โดยเมื่อเช้าวันนี้มีประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนอย่างตัวเลข Caixin Manufacturing PMI ในเช้านี้ ออกมาที่ระดับ 49.2 มากกว่าคาดที่ระดับ 49.0 และมากกว่าตัวเลขในเดือนที่ผ่านมาที่ระดับ 48.1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมการผลิตจีนออกมาหดตัวลดลงเล็กน้อยจากครั้งก่อนหน้า FINNOMENA Investment Team มองว่าความผันผวนและการปรับตัวขึ้นในระยะสั้นเกิดจาก Technical Rebound ที่มีแรงขายมากเกินไปในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาจากความกังวลหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นบวกกับตลาดและการแพร่ระบาดของ Covid ที่ทำให้ต้องกลับมาล็อกดาวน์ในเมืองหลัก ๆ อีกครั้ง ส่วนในด้าน Valuation ของหุ้นจีนหลาย ๆ ตัวอยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะในดัชนี Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งแม้ในระยะสั้นอาจไม่ใช่สัญญาณซื้อที่ดี แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม Hang Seng Index สำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ยังคงมุมมองคงสัดส่วนหุ้นจีนในดัชนีอื่นๆ (A-shares, All China, HSCEI) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }