text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
News Update: 3 เหตุผล Goldman Sachs ชี้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าคาด อาจแตะ 5% มี.ค. ปีหน้า ผลจากเงินเฟ้อที่สูงจนน่ากังวล - FINNOMENA Goldman Sachs คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5% ในเดือน มี.ค. ปีหน้า สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ผลจากเงินเฟ้อที่สูงจนน่ากังวล 31 ต.ค. 2565 Goldman Sachs คาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5% ในเดือน มี.ค. ปีหน้า สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ผลจากเงินเฟ้อที่สูงจนน่ากังวล ทีมนักเศรษฐศาสตร์นำโดย Jan Hatzius ระบุในวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 ต.ค.) ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยจนถึงระดับ 4.75% – 5% ในเดือน มี.ค. ปีหน้า โดยจะขึ้นดอกเบี้ย 75 bps ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย.นี้ 50 bps ในเดือน ธ.ค. และ 25 bps ในเดือน ก.พ. และ มี.ค. โดย Goldman Sachs ระบุ 3 เหตุผล ที่ทำให้ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว ได้แก่ 1) ระดับเงินเฟ้อที่สูงจนน่ากังวล 2) ความจำเป็นในการควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจหลังการสิ้นสุดของนโยบายการคลังตึงตัวและรายได้ที่เพิ่มขึ้น และ 3) การพยายามเลี่ยงไม่ให้สภาวะทางการเงินผ่อนคลายก่อนที่ควรจะเป็น ข้อมูลในสัปดาห์ที่ผ่านมาของสหรัฐฯ ระบุว่า ต้นทุนการจ้างงานพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสที่ 3 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ของ Fed ซึ่งบ่งชี้ว่า Fed ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดต่อไป สอดคล้องกับผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ที่คาดการณ์ว่า Fed จะยังยืนหยัดใช้นโยบายการเงินเข้มงวดในการประชุมสัปดาห์นี้ โดยจะขึ้นดอกเบี้ย 75 bps และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 5% ในเดือน มี.ค. ปีหน้าเช่นกัน ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 81% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 75 bps เป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันในการประชุมสัปดาห์นี้ และให้น้ำหนัก 46.6% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 75 bps และ 45.3% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 50 bps ในเดือนธ.ค. อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-30/goldman-sachs-now-sees-fed-rates-peaking-at-5-in-march?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-28/fed-seen-aggressively-hiking-to-5-triggering-global-recession?sref=e4t2werz https://www.cmegroup.com/markets/interest-rates/cme-fedwatch-tool.html?redirect=/trading/interest-rates/countdown-to-fomc.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED Goldman Sachs News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนพบผู้ติดเชื้อโควิดทะลุ 2,000 ราย เซี่ยงไฮ้สั่งล็อกดาวน์ ตรวจโควิดครั้งใหญ่ ชาวจีนบางส่วนไม่พอใจ เดินประท้วงบนถนน - FINNOMENA จีนพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2,105 ราย ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 ต.ค.) แบ่งเป็นแสดงอาการ 401 ราย และไม่แสดงอาการ 1,704 ราย เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า (28 ต.ค.) ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,658 ราย แต่ยังไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 5,226 ราย 31 ต.ค. 2565 จีนพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2,105 ราย ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 ต.ค.) แบ่งเป็นแสดงอาการ 401 ราย และไม่แสดงอาการ 1,704 ราย เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า (28 ต.ค.) ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 1,658 ราย แต่ยังไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 5,226 ราย โดยในวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) ทางการจีนสั่งให้ประชาชนทั้ง 1.3 ล้านคนในเขตหยางปู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ เข้าตรวจหาเชื้อโควิดครั้งใหญ่ โดยผู้ตรวจเชื้อต้องกักตนอยู่ในบ้านจนกว่าจะทราบผลตรวจ คำสั่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรการล็อกดาวน์ทั้งเมืองเป็นเวลาสองเดือน จนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทำให้อาหารขากแคลน และการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนและรัฐบาลที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ขณะที่จีนยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ สวนทางกับที่นักลงทุนคาดหวังว่า จีนจะผ่อนคลายมาตรการโควิด หลังจากที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนลงมติให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงครองอำนาจต่อไปเป็นสมัยที่ 3 จีนใช้มาตรการคุมโควิดอย่างเข้มข้นทั่วประเทศ ตั้งแต่เซี่ยงไฮ้ไปจนถึงเขตปกครองตนเองทิเบต ตอนนี้มีการประท้วงต่อต้านการล็อกดาวน์ โดยคลิปเผยให้เห็นชาวทิเบตและผู้อพยพชาวจีนฮั่นเดินประท้วงบนท้องถนนในนครลาซาของทิเบต เพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ที่ดำเนินมาแล้ว 74 วัน แม้มาตรการโควิดเป็นศูนย์จะใช้งบประมาณสูงมากและเป็นแนวทางที่ WHO บอกว่าไม่ยั่งยืน แต่จีนยังคงยืนยันว่านโยบายดังกล่าวทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในประเทศต่ำกว่าประเทศอื่น แม้การเก็บสถิติของจีนจะถูกตั้งคำถามจากภายนอกก็ตาม สำหรับวัคซีน จีนใช้วัคซีนที่พัฒนาภายในประเทศ โดยใช้วัคซีนเชื้อตายสองสูตรเป็นหลัก โดยวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเสียชีวิตและอาการเจ็บป่วยรุนแรง แต่มีประสิทธิภาพในการหยุดการแพร่ระบาดได้ต่ำกว่าวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา อย่างไรก็ตาม จีนยังคงต้องการให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์มากขึ้นก่อนที่จะผ่อนคลายมาตรการคุมโควิด โดยนับถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม ชาวจีน 90% ฉีดวัคซีนครบแล้ว และอีก 57% ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์แล้ว อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/shanghai-district-orders-mass-covid-19-testing-lockdown-china/6810085.html https://www.ryt9.com/s/iq38/3368745 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน โควิดจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงแรง 4% ยอดผู้ติดโควิดพุ่ง นักลงทุนกังวลล็อกดาวน์ - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng ร่วงแรง 4% แย่สุดในรอบ 5 วัน นำโดยหุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง อย่างหุ้น Meituan ลบ 7% Tencent ลบ 5.8% และ Alibaba ลบ 5% จากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีน เพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับพันราย 28 ต.ค. 2565 ช่วงเช้าวันนี้ (28 ต.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ร่วงแรง 4% แย่สุดในรอบ 5 วัน นำโดยหุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง อย่างหุ้น Meituan ลบ 7% Tencent ลบ 5.8% และ Alibaba ลบ 5% จากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีน เพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับพันราย ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการล็อคดาวน์อย่างเข้มงวดอาจถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองอู่ฮั่น ที่ทางการจีนสั่งให้ประชาชนกว่า 800,000 คน ห้ามออกจากบ้านจนถึงวันที่ 30 ตุลาคม รวมถึงยังคงล็อคดาวน์ในเมืองกวางโจว ซีอาน อย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักลงทุนยังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจนของทางการจีนที่จะออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังจากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งยังไม่เห็นท่าที่ของทางการจีนที่จะผ่อนคลายโยบาย Covid-Zero และนโยบายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งไปกว่านั้นในสัปดาห์หน้าวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายนจะมีการประชุม Fed ที่ตลาดคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่ยังกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง FINNOMENA Investment Team มองว่า ผลการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นบวกกับตลาด มีการกระชับอำนาจยิ่งทำให้ตลาดกังวล โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ภาพรวมการปรับประมาณการกำไรยังเป็นขาลง ยกเว้น CSI 300 ในด้าน Valuation อยู่ในระดับที่ถูก โดยเฉพาะ Hang Seng Index ที่อยู่ในระดับ Deep Discount ซึ่งแม้ในระยะสั้นอาจไม่ใช่สัญญาณซื้อที่ดี แต่จากสถิติในอดีตมักเป็นจุดสะสมที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จึงแนะนำทยอยสะสม Hang Seng Index สำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ยังคงมุมมองคงสัดส่วนหุ้นจีนในดัชนีอื่นๆ (A-shares, All China, HSCEI) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ฮ่องกงตั้งเป้าศูนย์กลางคริปโทฯ เตรียมอนุญาตนักลงทุนรายย่อยซื้อขาย สวนทางจุดยืนจีน ที่คริปโทฯ ยังผิดกฎหมาย - FINNOMENA ฮ่องกงเตรียมออกกฎหมายที่เป็นมิตรสำหรับโลกคริปโทฯ โดยจะอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายคริปโทฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย 28 ต.ค. 2565 ฮ่องกงเตรียมออกกฎหมายที่เป็นมิตรสำหรับโลกคริปโทฯ โดยจะอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายคริปโทฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย สวนทางกับจุดยืนของจีนแผ่นดินใหญ่ที่คริปโทฯ ยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ฮ่องกงเตรียมออกใบอนุญาตสำหรับแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ สำหรับรายย่อย โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือน มี.ค. ปีหน้า นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลจะอนุญาตการจดทะเบียนสำหรับโทเคนดิจิทัลขนาดใหญ่ แต่จะไม่สนับสนุนเหรียญเฉพาะเจาะจงอย่าง Bitcoin หรือ Ether อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดและกรอบเวลาที่แน่นอน เนื่องจากต้องผ่านการปรึกษาหารือสาธารณะก่อน ในการประชุมฟินเทคที่จะเปิดฉากขึ้นในวันจันทร์ที่ 31 ต.ค.นี้ รัฐบาลฮ่องกงเตรียมบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ในการเป็นศูนย์กลางคริปโทฯ ชั้นนำของโลก เพราะต้องการฟื้นฟูชื่อเสียงของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินจากความวุ่นวายทางการเมืองและโควิดที่ทำให้เกิดภาวะสมองไหล Gary Tiu จาก BC Technology Group กล่าวว่า การออกใบอนุญาตดังกล่าวเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องทำอยู่แล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถปิดกั้นความต้องการของนักลงทุนรายย่อยได้ตลอดไป โดยการจดทะเบียนเหรียญดิจิทัลสำหรับนักลงทุนรายย่อยจะต้องเข้าเกณฑ์ต่างๆ เช่น มูลค่าตลาด สภาพคล่อง และอยู่ในดัชนีคริปโทฯ ของ Third-party ซึ่งคล้ายกับแนวทางสำหรับอนุพันธ์แฝง เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอร์แรนท์ หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังวิธีรับมือกับภาคสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผันผวนจนมูลค่าหายไป2 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่จุดสูงสุดในเดือน พ.ย. 2021 โดยความผันผวนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการวางหลักประกันบางส่วน (Leverage) ที่ควบคุมไม่ได้และการจัดการความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งดั้งเดิมของฮ่องกงในด้านธุรกิจการเงินได้รับผลกระทบและได้เข้มงวดกฎเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อควบคุมการซื้อขายของรายย่อย โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้เสนอแบนการซื้อขายคริปโทฯ ของรายย่อยที่มีการ Leverage อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-27/hong-kong-plans-to-legalize-retail-crypto-trading-to-become-hub?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คริปโต คริปโตเคอร์เรนซี คริปโท ฮ่องกง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้น 3.8% นักลงทุนรายย่อยคลายกังวล - FINNOMENA วันนี้ (27 ต.ค.) ดัชนี VN 30 ปรับตัวขึ้น 3.8% สู่ระดับ 1,028.5 จุด จากแรงซื้อคืนตาม Technical Rebound โดยหุ้น 28 ตัวจาก 30 ตัวอยู่ในโซนบวก และมีหุ้น 9 ตัวอยู่ในระดับ Ceiling โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร 27 ต.ค. 2565 วันนี้ (27 ต.ค.) ดัชนี VN 30 ปรับตัวขึ้น 3.8% สู่ระดับ 1,028.5 จุด จากแรงซื้อคืนตาม Technical Rebound โดยหุ้น 28 ตัวจาก 30 ตัวอยู่ในโซนบวก และมีหุ้น 9 ตัวอยู่ในระดับ Ceiling โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ BID บวก 6.9% (Ceiling), TCB บวก 6.8% (Ceiling) และ MBB บวก 6.7% (Ceiling) หลังจากที่นักลงทุนรายย่อยคลายกังวลเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เกิด Bank Run ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต ระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก และติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่สาม ที่เริ่มประกาศออกมาซึ่งจะช่วยให้เห็นโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สำหรับข่าวการทุจริตที่ผ่านมาเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายบริษัทเท่านั้น คาดว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (Systematic Risk) ในระยะสั้นแนะนำให้รอสัญญาณการสร้างฐาน ส่วนในระยะยาวสามารถทยอยสะสมเพื่อการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: KBANK เตรียมขาย บลจ.กสิกรไทย Bloomberg รายงาน ต่างชาติให้ความสนใจ ทั้ง Amundi, CVC Capital และ TPG - FINNOMENA Bloomberg รายงานว่า Amundi ผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป รวมถึง CVC Capital Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุนชั้นนำ และ TPG บริษัทด้านการลงทุนชั้นนำของอเมริกัน แสดงความสนใจเสนอราคาเพื่อเข้าซื้อหุ้นของ ‘บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย’ (บลจ.กสิกรไทย) 27 ต.ค. 2565 Bloomberg รายงานว่า Amundi ผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป รวมถึง CVC Capital Partners ที่ปรึกษาด้านการลงทุนชั้นนำ และ TPG บริษัทด้านการลงทุนชั้นนำของอเมริกัน แสดงความสนใจเสนอราคาเพื่อเข้าซื้อหุ้นของ ‘บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย’ (บลจ.กสิกรไทย) ก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. Bloomberg รายงานว่า ธนาคารกสิกรไทยกำลังพิจารณาขายหุ้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ให้กับนักลงทุนที่สนใจ โดยธนาคารกสิกรไทยกำลังมองหาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนของบริษัทเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ระบุว่า Amundi กำลังทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อพิจารณาข้อเสนอ โดยอาจหมายถึงการถือหุ้นบางส่วนหรือการเข้าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งคาดว่าการเสนอราคาจะมีผลเร็วสุดภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า การพิจารณาซื้อบลจ.กสิกรไทย ยังไม่มีการทำข้อตกลงและตัดสินใจในขั้นสุดท้าย โดยตัวแทนของ Amundi และ TPG ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว ขณะที่ CVC และ ธนาคารกสิกรไทยไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวต่อประเด็นนี้ ในเดือน มิ.ย. Amundi คาดการณ์ว่า บริษัทจะสะสมเงินทุนส่วนเกินประมาณ 2 พันล้านยูโร จนถึงปี 2025 โดยมีความตั้งใจที่ใช้เงินก้อนดังกล่าวสำหรับการควบรวมกิจการหรือคืนผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินพิเศษ CVC เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนชั้นนำและผู้จัดการการลงทุนทางเลือกระดับโลก ซึ่งเน้นไปที่หุ้นนอกตลาด สินทรัพย์ในตลาดรอง และสินเชื่อ โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การดูแลอยู่ที่ 1.33 แสนล้านยูโร และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อหุ้น Affin Hwang Asset Management ในมาเลเซีย ขณะที่ TPG มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 1.27 แสนล้านดอลลาร์ โดยเน้นลงทุนในหุ้นนอกตลาด หุ้นเติบโต และอสังหาฯ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-27/amundi-buyout-firms-are-said-to-vie-for-kbank-asset-manager?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Amundi CVC Capital News Update TPG บลจ.กสิกรไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Meta ร่วงเกือบ 20% หลังกำไรต่ำกว่าคาด รายได้ลดต่อเนื่อง ธุรกิจ Metaverse ขาดทุนหนัก - FINNOMENA เมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.) หุ้น Meta บริษัทแม่ของ Facebook ร่วงเกือบ 20% หลังปิดตลาด สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 2016 27 ต.ค. 2565 เมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.) หุ้น Meta บริษัทแม่ของ Facebook ร่วงเกือบ 20% หลังปิดตลาด สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 2016 เนื่องจากบริษัทรายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 รวมถึงคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 ที่อ่อนแอ 📊ผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Meta • กำไรต่อหุ้น (EPS): $1.64 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $1.89 • รายได้: 27,710 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 27,380 ล้านดอลลาร์ • จำนวนผู้ใช้งานต่อวัน: 1,980 ล้านคน เท่ากับคาดการณ์ที่ 1,980 ล้านคน • จำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน: 2,960 ล้านคน สูงกว่าคาดการณ์ที่ 2,940 ล้านคน • รายได้ต่อผู้ใช้งาน: $9.41 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $9.83 Meta กำลังเผชิญกับทั้งการชะลอตัวในวงกว้างของการใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์ ความท้าทายจากการอัปเดตความเป็นส่วนตัวของ iOS รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจาก TikTok โดย Meta รายงานรายได้ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 จะลดลงติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 30,000 – 32,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 32,200 ล้านดอลลาร์ สำหรับไตรมาสที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทลดลง 4% โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายของ Meta เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 22,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 46% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 5,660 ล้านดอลลาร์ อัตรกำไรจากการดำเนินงานของ Meta ลดลงเหลือ 20% จาก 36% ในปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิโดยรวมลดลง 52% สู่ 4,400 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 รายได้จาก Reality Labs เกี่ยวกับชุดหูฟัง VR และธุรกิจ Metaverse แห่งอนาคต ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้าเหลือ 285 ล้านดอลลาร์ หรือขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 3,670 ล้านดอลลาร์จาก 2,630 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดย Meta คาดการณ์ว่า ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ Reality Labs ในปี 2023 จะเติบโตอย่างมากเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่หลังจากนั้นบริษัทคาดว่าจะสามารถเร่งการลงทุนของ Reality Labs เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มรายได้โดยรวมของบริษัทในระยะยาว นอกจากนี้ Meta ยังมีแผนคงจำนวนพนักงานและลดขนาดทีม โดยจะเพิ่มพนักงานเฉพาะในลำดับความสำคัญสูงสุดเท่านั้น โดยคาดว่าจำนวนพนักงานในสิ้นปี 2023 จะใกล้เคียงกับระดับไตรมาส 3 ของปี 2022 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/26/facebook-parent-meta-earnings-q3-2022.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Facebook Meta Metaverse News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คอนเฟิร์มแล้ว! BENLY e มาแน่ อีก 6 เดือน ไทยฮอนด้าเริ่มผลิตในประเทศ 200 คัน พร้อมขอรัฐช่วยส่วนลด คันละ 18,000 บาท - FINNOMENA สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ‘ไทยฮอนด้า’ เตรียมส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่น BENLY e ร่วมมาตรการสรรพสามิต รับส่วนลด 18,000 บาทต่อคัน ตั้งเป้าอีก 6 เดือนเริ่มผลิตในประเทศ 200 คัน 26 ต.ค. 2565 สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ‘ไทยฮอนด้า’ เตรียมส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่น BENLY e ร่วมมาตรการสรรพสามิต รับส่วนลด 18,000 บาทต่อคัน ตั้งเป้าอีก 6 เดือนเริ่มผลิตในประเทศ 200 คัน วันที่ 25 ต.ค. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ลงนามข้อตกลงตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระหว่างกรมสรรพสามิตกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เพิ่มอีก 1 ราย คือ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า โดยรถจักรยานยนต์ BEV ที่เข้าร่วมมาตรการ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ 1. ต้องเป็นแบตเตอรี่ประเภทลิเทียมไอออน 2. มีความจุแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 KWh ขึ้นไป หรือมีระยะทางที่วิ่งได้ตั้งแต่ 75 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน WMTC (World Motorcycle Test Cycle) ตั้งแต่ Class 1 ขึ้นไป 3. ต้องใช้ยางล้อที่เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานเลขที่ มอก.2720-2560 (UN Reg.75) หรือที่สูงกว่า (UN Reg.75) 4. ต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เลขที่ มอก.2952-2561 (UN Reg.136) หรือที่สูงกว่า ทั้งนี้ บริษัทมีความประสงค์ผลิตรถจักรยานยนต์ BEV ในประเทศ และขอรับสิทธิ จำนวน 1 รุ่น คือ รุ่น BENLY e ในอีก 6 เดือนต่อจากนี้ ในขั้นต้นคาดว่าจะมีการผลิตประมาณ 200 คัน จากมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้าลงนามในข้อตกลงกับกรมสรรพสามิตแล้ว จำนวน 10 ราย แบ่งเป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมและผู้นำเข้ารถยนต์ จำนวน 7 ราย และรถจักรยานยนต์ จำนวน 3 ราย โดยคาดว่าจะมียอดจองและยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ขอรับสิทธิตามมาตรการ ภายในสิ้นปี 2565 รวมกันทั้งสิ้นกว่า 25,000 คัน ก่อนหน้านี้ ฮอนด้าได้มีการเปิดตัว จยย. ไฟฟ้า BENLY e ที่ประเทศญี่ปุ่นในปี 2019 โดยรุ่นที่ถูกที่สุดราคาอยู่ที่ 693,000 เยน หรือประมาณ 182,000 บาท ปัจจุบัน ฮอนด้าได้มีโครงการจักรยานยนต์ไฟฟ้าฟ้า BENLY e ให้เช่าขับสำหรับไรเดอร์ หรือวินมอเตอร์ไซต์ ราคาถูกสุดอยู่ที่เดือนละ 2,000 บาท BENLY e แบ่งเป็น 4 รุ่นย่อย ได้แก่ BENLY e I: ความจุไม่เกิน 50 ซีซี หรือมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังน้อยกว่า 0.6 กิโลวัตต์ BENLY e II: ความจุมากกว่า 50 ซีซี แต่ไม่เกิน 125 ซีซี หรือมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังน้อยกว่า 1.0 กิโลวัตต์ BENLY e I Pro และ BENLY e II Pro: เพิ่มตะกร้าด้านหน้า กล่องด้านหลัง พร้อมระบบเบรคเท้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาด 48 โวลท์ ของ BENLY e มี 2 ชุด ในชื่อ Honda Mobile Power Pack (MPP) สามารถถอดออกได้ง่าย ชาร์จได้ทั้งแบบอยู่ในตัวรถหรือนำมาชาร์จด้านนอกก็ได้ โดยฮอนด้ากล่าวว่า BENLY e สามารถขึ้นเนินได้ง่ายเพราะมีแรงบิดสูง เดินทางได้ 87 กม. ในพื้นที่ราบ โดยการชาร์จชุดแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ใช้เวลาราว 4 ชม. อ้างอิง: https://www.prachachat.net/finance/news-1097803 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BENLY e News Update มอไซต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: พาณิชย์เผย ส่งออก ก.ย.โต 7.8% นำเข้าขยายตัว 15.6% ขาดดุลการค้า $853.2 ล้าน คาดไตรมาสสุดท้ายส่งออกขยายตัวดีต่อเนื่อง - FINNOMENA นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนก.ย.65 มีมูลค่า 24,919 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26 ต.ค. 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนก.ย.65 มีมูลค่า 24,919 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 7.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.3.-4.4% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 25,772 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้เดือนก.ย. ไทยขาดดุลการค้า 853.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในช่วง 9 เดือนปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.65) มูลค่าการส่งออกรวม อยู่ที่ 221,366 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 10.6% มูลค่าการนำเข้ารวม อยู่ที่ 236,351 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.7% ส่งผลให้ไทย 9 เดือน ไทยขาดดุลการค้า 14,985 ล้านเหรียญสหรัฐ นายจุรินทร์ ระบุว่า การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยคาดว่าทั้งปีนี้ การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ราว 8% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4% นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้การส่งออกของไทยในเดือน ก.ย.65 ยังขยายตัวได้ดี มาจาก 1) กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชน เริ่มกลับสู่ภาวะปกติหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย 2) ปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์เริ่มคลี่คลาย ทำให้การผลิตสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสามารถกลับมาผลิตได้ตามความต้องการของตลาด 3) เงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลดีต่อราคาส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะสินค้าข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7 ล้านตัน สำหรับการส่งออกสินค้าในเดือนก.ย. เมื่อแยกเป็นรายกลุ่ม จะพบว่า สินค้าเกษตร กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน โดยขยายตัว 2.7% ที่มูลค่า 2,005 ล้านเหรียญ สินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้ดี คือ ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป, ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แห้ง, ข้าว สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 โดยขยายตัว 0.8% ที่มูลค่า 1,734 ล้านเหรียญ สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรที่ขยายตัวได้ดี คือ ไอศกรีม, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, น้ำตาลทราย และอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าอุตสาหกรรม ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 เช่นกัน โดยขยายตัว 9.4% ที่มูลค่า 20,234 ล้านเหรียญ สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดี คือ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศ นายจุรินทร์ ยังได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีน หลังจากที่นายสี จิ้นผิง ยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนต่อไปอีกเป็นสมัยที่ 3 ว่า เชื่อว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-จีน จะยังคงดำเนินไปได้ดี และหากจีนผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของ 2 ประเทศ โดยจะช่วยเพิ่มมูลค่าทั้งด้านการค้า และการท่องเที่ยวระหว่างกันให้ดีขึ้น “การที่นายสี จิ้นผิง ยังเป็นผู้นำของจีนต่อไป ก็ยังมองไม่เห็นว่าจะมีสัญญาณอะไรที่เป็นลบ ทุกอย่างยังดำเนินไปได้ด้วยดี แต่หากจีนผ่อนคลาย Zero Covid ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงการค้าไทยจีน ช่วยเพิ่มมูลค่าทั้งการค้า การท่องเที่ยวระหว่างกันได้ดีขึ้น” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ระบุ นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงภาวะการค้าชายแดนในเดือนก.ย.65 ด้วยว่า มีมูลค่าการค้ารวม 90,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.3% โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออก 57,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% โดยคู่ค้าชายแดนอันดับ 1 ของไทย คือ มาเลเซีย โดยไทยส่งออกไปเป็นมูลค่า 16,675 ล้านบาท รองลงมา อันดับ 2 กัมพูชา ไทยส่งออกไปเป็นมูลค่า 15,136 ล้านบาท อันดับ 3 ลาว ไทยส่งออกไปเป็นมูลค่า 12,947 ล้านบาท และอันดับ 4 เมียนมา ไทยส่งออกไปเป็นมูลค่า 12,259 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนการค้าชายแดนและผ่านแดนในปี 65 มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อมูลค่าราคาสินค้าของไทย รวมทั้งปัจจัยจากราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น และความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังคงเป้าหมายการส่งออกการค้าชายแดนและผ่านแดน ปี 65 ว่าจะขยายตัวได้ 5% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.08 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.) สามารถทำได้แล้ว 71.5% ของเป้าหมาย ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กระทรวงพาณิชย์ นำเข้า ส่งออก แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘แอน จักรพงษ์’ ทุ่ม 800 ล้านบาท JKN เข้าซื้อกิจการ Miss Universe คนไทยคนแรก เจ้าของคนเดียว 100% - FINNOMENA บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ถึงการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) รวมถึงลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกัน 26 ต.ค. 2565 บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ถึงการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) รวมถึงลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันว่า ด้วยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 ได้มีมติอนุมัติการเข้าเจรจาเพื่อการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) จาก IMG Worldwide, LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้น 100% โดย Endeavor Group Holdings, Inc. (“ผู้ขาย”) ที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 20 ล้านดอลลาร์ (โดยประกอบด้วยสัญญานี้ 14,000,000 เหรียญสหรัฐอเมริกา และสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์ 6 ล้านดอลลาร์) หรือไม่เกิน 800 ล้านบาท (คํานวณจากมูลค่าการซื้อขายไม่เกิน 20 ล้านดอลลาร์ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกรุงไทยจํากัด (มหาชน) ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2565 คือ 1 เหรียญสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 35.46 บาท และสํารองเพิ่มเติม เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน) และมีมติอนุมัติการมอบหมายให้กรรมการผู้มีอํานาจลงนามผูกพันบริษัทฯ หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากกรรมการดังกล่าวมีอํานาจในการเจรจาพิจารณากําหนดรายละเอียด เงื่อนไขและดําเนินการใดๆ ที่จําเป็นเพื่อประโยชน์ในการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) และการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น และเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนดําเนินการต่างๆ ตามจําเป็นและสมควรอันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้น โดยบริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ขายและได้เข้าทําสัญญาซื้อขายหุ้นอันมีเงื่อนไขบังคับก่อนเพื่อการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) และบริษัทฯ ได้ชําระเงินค่าซื้อกิจการองค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) ตามที่กําหนดไว้ในสัญญาเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม2565 อนึ่ง บริษัทขอเรียนว่า แม้ว่าคณะกรรมการของบริษัทได้มีมติอนุมัติการเข้าเจรจาและมอบหมายให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งกิจการทั้งหมดขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงยังมีความไม่แน่นอนและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ และธุรกรรมดังกล่าวเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ในต่างประเทศ บริษัทจึงมีความจําเป็นที่จะต้องใช้ความรอบคอบและความระมัดระวังในการศึกษารายละเอียดและปฏิบัติตามกฎหมายต่างประเทศและเงื่อนไขบังคับก่อนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทรัพย์สินที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายอย่างเคร่งครัด บริษัทจึงมีความจําเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลต่อถือหุ้นและสาธารณชนทั่วไปเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่เกี่ยวข้องภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นขององค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) สําเร็จครบถ้วนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าว จัดเป็นรายการการจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ประเภทที่ 2 กล่าวคือ เป็นรายการจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 15 หรือสูงกว่าแต่ตํ่ากว่าร้อยละ 50 บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลตามสารสนเทศเกี่ยวกับการจําหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์”) ทันทีเมื่อมีการตกลงเข้าทํารายการดังกล่าว และจัดส่งสารสนเทศเกี่ยวกับการจําหน่ายไป ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวแจ้งผู้ถือหุ้นภายใน 21 วันนับแต่วันที่เปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ ที่มา: https://classic.set.or.th/dat/mds_news/news/1327NWS261020220845410783T.pdf ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Miss Universe News Update นางงาม มิสยูนิเวิร์ส แอน จักรพงษ์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นเทคสหรัฐฯ ร่วงหลังปิดตลาด Microsoft และ Alphabet รายงานงบน่าผิดหวัง บริษัทเทคฯ เตรียมปลดพนักงาน ลดต้นทุน - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (25 ต.ค.) หลังปิดตลาด Nasdaq 100 ติดลบ 2.1% หลัง Microsoft และ Alphabet รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง 26 ต.ค. 2565 หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (25 ต.ค.) หลังปิดตลาด Nasdaq 100 ติดลบ 2.1% หลัง Microsoft และ Alphabet รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง หุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ร่วงแรง 7.4% หลังบริษัทรายงานรายรับในไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่บริษัทซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft ร่วงหนักเช่นกันที่ 8.1% แม้รายได้และกำไรโตดีกว่าคาด แต่แนวโน้มการเติบโตในไตรมาสหน้าต่ำกว่าคาด ✧ ผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Alphabet ✧ กำไรต่อหุ้น (EPS): $1.06 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $1.25 รายได้ทั้งหมด: 69,090 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 70,580 ล้านดอลลาร์ รายได้จากโฆษณาบน Youtube: 7,070 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 7,420 ล้านดอลลาร์ รายได้จาก Google Cloud: 6,900 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 6,690 ล้านดอลลาร์ ต้นทุนในการเพิ่มทราฟฟิก (TAC): $11.83 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $12.38 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ Google ระบุถึงการใช้จ่ายโฆษณาบนเสิร์ชเอนจินที่ลดลงในหลายประเภท ทั้ง การประกันภัย สินเชื่อ การจำนอง และคริปโทฯ ขณะที่ซีอีโอ Sundar Pichai กล่าวว่า บริษัทกำลังโฟกัสไปที่ความชัดเจนของผลิตภัณฑ์และลำดับความสำคัญทางธุรกิจ ก่อนหน้านี้ในการรายงานงบไตรมาส 2 บริษัทระบุว่าการจ้างงานจะชะลอตัวอย่างชัดเจนในปี 2023 พร้อมเน้นย้ำว่าพรสวรรค์คือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด แต่ในการรายงานงบล่าสุดนี้ Ruth Porat หัวหน้าฝ่ายการเงินระบุว่า อัตราการเพิ่มของพนักงานในไตรมาส 4 จะช้าลงเหลือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เพิ่มในไตรมาส 3 ✧ ผลประกอบการไตรมาสแรกของปีงบประมาณของ Microsoft ✧ กำไรต่อหุ้น (EPS): $2.35 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $2.30 รายได้ทั้งหมด: 50,120 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 49,610 ล้านดอลลาร์ สำหรับในไตรมาสหน้า Microsoft คาดการณ์ว่า รายได้จะอยู่ประมาณ 52,350 – 53,350 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นการเติบโตประมาณ 2% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของ Refinitiv ที่ 56,050 ล้านดอลลาร์ ในช่วงไตรมาสดังกล่าว Microsoft ได้เปิดตัวการอัปเดตประจำปีครั้งแรกสำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 11 นับตั้งแต่เปิดตัวเวอร์ชันดั้งเดิมเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงประกาศว่าจะลดจำนวนพนักงานลงน้อยกว่า 1% และยังได้เปิดตัว Viva Engage ในแอป Teams ที่เพื่อนร่วมงานสามารถแชร์วิดีโอสตอรี่ได้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-25/microsoft-alphabet-lead-tech-stocks-lower-as-results-disappoint?sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2022/10/25/alphabet-googl-q3-2022-earnings-.html https://www.cnbc.com/2022/10/25/microsoft-msft-earnings-q1-2023.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet google Microsoft News Update หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นจีนรีบาวด์ หลังร่วงแรงครั้งประวัติศาสตร์ JPMorgan มองเป็น ‘โอกาส’ ในการซื้อหุ้น - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนรีบาวด์ หลังเผชิญแรงเทขายครั้งประวัติศาสตร์ เหตุนักลงทุนกังวลนโยบายที่ไม่เป็นมิตรและไม่แน่นอนภายใต้การเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศสมัยที่ 3 ของปธน.สี จิ้นผิง แม้มูลค่าหุ้นถูกก็ตาม 25 ต.ค. 2565 ตลาดหุ้นจีนรีบาวด์ หลังเผชิญแรงเทขายครั้งประวัติศาสตร์ เหตุนักลงทุนกังวลนโยบายที่ไม่เป็นมิตรและไม่แน่นอนภายใต้การเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศสมัยที่ 3 ของปธน.สี จิ้นผิง แม้มูลค่าหุ้นถูกก็ตาม วันนี้ (25 ต.ค.) ดัชนี Hang Seng ในตลาดหุ้นฮ่องกง ปรับตัวขึ้นมา 1.18% หลังร่วงแรงถึง 7.3% เมื่อวานนี้ (24 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี Hang Seng Tech ปรับตัวขึ้นมาถึง 3.38% อย่างไรก็ตาม ดัชนี CSI 300 ในตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ปรับลดลงเล็กน้อยที่ 0.05% ความผันผวนในตลาดหุ้นตอกย้ำของความกังวลใจของนักลงทุนหลังการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน การขึ้นเป็นผู้นำสมัยที่ 3 ส่งสัญญาณถึงการควบคุมอำนาจอย่างอิสระของ สี จิ้นผิง และมีความเป็นไปได้ที่นโยบายโควิดเป็นศูนย์ รวมถึงการคุมเข้มภาคเอกชนจะยังดำเนินต่อไป Hao Hong หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ Grow Investment Group กล่าวว่า ตอนนี้ตลาดยังคงไม่แน่นอน และแรงกดดันในการเทขายยังคงอยู่ เห็นชัดว่าไม่มีจุดยึดว่าตลาดจะตกต่ำเพียงใด และมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าซื้อตอนนี้ แม้ตัวชี้วัดทางเทคนิคจะส่งสัญญาณซื้อ แต่ในการประชุมพรรคเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สี จิ้นผิง ได้ส่งสัญญาณเพียงเล็กน้อยว่า จะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจ ขณะที่ข้อจำกัดของโควิด และวิกฤติอสังหาฯ จะขัดขวางการเติบโต Marvin Chen นักกลยุทธ์ของ Bloomberg Intelligence มองว่า การรฟื้นตัวในครั้งนี้จะหมดลง โอกาสที่การฟื้นตัวเหมือนเดือน มี.ค. นั้นมีน้อย เพราะอาจมีผลกระทบจากโควิดและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เลวร้ายซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะที่นักวิเคราะห์ชื่อดัง ซึ่งรวมถึง Marko Kolanovic จาก JPMorgan มองว่าการปรับตัวลงครั้งประวัติศาสตร์เป็นโอกาสในการซื้อหุ้น โดย Marko Kolanovic มองว่า การลดลงอย่างรวดเร็วในตลาดหุ้นจีนนั้นขาดการเชื่อมโยงจากปัจจัยพื้นฐาน ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มฟื้นตัวอย่างที่คาดการณ์ไว้ และการทยอยเปิดเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากข้อจำกัดของโควิด Allianz Global Investors คาดการณ์ว่าจีนจะยกเลิกนโยบายโควิดในเร็วๆ นี้ และยังคงแนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุน (Overweight) จากการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการพักผ่อนหย่อนใจ (Leisure) อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-25/china-stocks-volatile-as-investors-fret-over-xi-s-new-term?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน สี จิ้นผิง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Twitter ชี้แจงยังไม่มีแผนเลิกจ้าง หลัง Elon Musk วางแผนปลดพนักงาน Twitter 75% - FINNOMENA ประชาชาติธุรกิจรายงานคำชี้แจงของ Twitter ว่า บริษัทยังไม่มีแผนเลิกจ้างทั่วทั้งบริษัท หลัง Elon Musk บอกนักลงทุนว่า มีแผนเลิกจ้างพนักงาน Twitter 75% หลังเข้าเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ 21 ต.ค. 2565 ประชาชาติธุรกิจรายงานคำชี้แจงของ Twitter ว่า บริษัทยังไม่มีแผนเลิกจ้างทั่วทั้งบริษัท หลัง Elon Musk บอกนักลงทุนว่า มีแผนเลิกจ้างพนักงาน Twitter 75% หลังเข้าเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ ‘ฌอน เอ็ดเกตต์’ ที่ปรึกษาทั่วไปของ Twitter ส่งเมลถึงพนักงานเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ต.ค.) ว่า บริษัทไม่ได้วางแผนปลดพนักงานจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม มีเอกสารที่แสดงแผนการลดพนักงานและการลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ก่อนที่ Elon Musk จะเสนอซื้อบริษัท ตามรายงานของวอชิงตันโพสต์ วอชิงตันโพสต์ยังรายงานด้วยว่า คาดว่าจะมีการปรับลดตำแหน่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของบริษัทก็ตาม โดยผู้บริหารปัจจุบันของ Twitter วางแผนที่จะลดการจ่ายเงินเดือนลง 800 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งเป็นตัวเลขที่อาจหมายถึงการเลิกจ้างพนักงานเกือบ 1 ใน 4 โดยก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า Elon Musk วางแผนที่จะลดพนักงาน Twitter เกือบ 75% จากฐานพนักงานทั้งหมด 7,500 คน ซึ่งจะทำให้ Twitter มีจำนวนพนักงานที่น้อยที่สุดสำหรับการทำงาน ด้านนักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าวว่า การลดจำนวนพนักงานลง 75% บ่งบอกถึงกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรที่มากขึ้น ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำข้อตกลง แต่การลดจำนวนพนักงานลงอย่างมาก คงจะทำให้บริษัทถอยหลังไปหลายปี ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มเคยออกมาเตือนว่า การถอนการลงทุนในการดูแลเนื้อหาและความปลอดภัยของข้อมูล อาจส่งผลเสียต่อ Twitter และผู้ใช้ ขณะที่การลดจำนวนพนักงานลงตามแผนของ Elon Musk อาจทำให้ Twitter ถูกถล่มอย่างรวดเร็วด้วยเนื้อหาที่เป็นอันตรายและสแปม อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1093184 https://www.prachachat.net/world-news/news-1093043 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง 3.5% จากความกังวลเรื่องการทุจริตของบริษัทอสังหาฯ - FINNOMENA วันนี้ (21 ต.ค.) ดัชนี VN 30 ปรับตัวลงอีก 3.5% สู่ระดับ 1,016 จุด โดยกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก และเทคโนโลยี เป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงนำดัชนีในวันนี้ 21 ต.ค. 2565 วันนี้ (21 ต.ค.) ดัชนี VN 30 ปรับตัวลงอีก 3.5% สู่ระดับ 1,016 จุด โดยกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก และเทคโนโลยี เป็นกลุ่มที่ปรับตัวลงนำดัชนีในวันนี้ มาจากความกังวลเรื่องการทุจริตของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพคล่องของตลาดที่หายไป โดยเมื่อวานนี้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์แตะระดับต่ำสุดในรอบสองปี แสดงถึงความกังวลของเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน แม้ระดับ valuation จะอยู่ในระดับที่น่าสนใจจากการปรับตัวย่อลงมาอย่างต่อเนื่องของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงที่ผ่านมา FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต ระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก และติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่สาม ที่เริ่มประกาศออกมาซึ่งจะช่วยให้เห็นโอกาสในการลงทุนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สำหรับข่าวการทุจริตที่ผ่านมาเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายบริษัทเท่านั้น คาดว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (Systematic Risk) ในระยะสั้นแนะนำให้รอสัญญาณการสร้างฐาน ส่วนในระยะยาวสามารถทยอยสะสมเพื่อการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ใครจะเป็นนายกฯ อังกฤษคนต่อไป? ‘ลิซ ทรัสส์’ ประกาศลาออก หลังอยู่ในตำแหน่งไม่ถึง 2 เดือน - FINNOMENA ‘ลิซ ทรัสส์’ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร หลังอยู่ในตำแหน่งเพียง 45 วัน กลายเป็นผู้นำสหราชอาณาจักรที่มีวาระดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ 21 ต.ค. 2565 ‘ลิซ ทรัสส์’ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร หลังอยู่ในตำแหน่งเพียง 45 วัน กลายเป็นผู้นำสหราชอาณาจักรที่มีวาระดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ทรัสส์เผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลังจากนาย ‘เจเรมี ฮันต์’ รมว.คลังคนใหม่ประกาศว่าจะยกเลิกแผนการตัดลดภาษีมูลค่า 4.5 หมื่นล้านปอนด์ แทบทั้งหมดของทรัสส์ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลประกาศงบประมาณแผ่นดินฉบับย่อเมื่อ 23 ก.ย. โดยที่ไม่มีรายละเอียดว่า จะนำเงินจากไหนมาใช้สำหรับแผนนี้ ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ผันผวนร่วงต่ำเป็นประวัติการณ์ก่อนดีดตัวขึ้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านพุ่งพรวด ราคาพันธบัตรรัฐบาลทรุดหนัก จนธนาคารกลางต้องเข้ามาแทรกแซง โดยขั้นตอนต่อไปคือพรรคคอนเซอร์เวทีฟจะจัดการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ในสัปดาห์หน้า ผู้ชนะการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค จะได้เป็นนายกฯ ของประเทศ คนต่อไป โดย ‘ลิซ ทรัสส์’ จะดำรงตำแหน่งนายกฯ จนกว่าจะได้ผู้นำพรรคคนใหม่ ขณะที่พรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้าน เรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งใหม่ คำถามที่ทุกคนต้องจับตาก็คือ ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป BBC รายงานว่า อดีตนายกฯ อย่าง ‘บอริส จอห์นสัน’ ถูกคาดหวังให้ร่วมสังเวียนชิงตำแหน่งผู้นำครั้งนี้ แต่ยังไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เนื่องจากเขากำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนในแถบแคริบเบียน ขณะที่ ‘ริชี สุนัค’ ที่เพิ่งแพ้ต่อทรัสส์ ยังไม่ประกาศตัวลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอนเซอร์เวทีฟครั้งล่าสุด แต่มีการรายงานชี้ว่าเขาพร้อมที่จะเข้าร่วมการชิงตำแหน่งนี้ ส่วน รมว. คลัง ‘เจเรมี ฮันต์’ ก็รีบปฎิเสธ เอาตัวเองออกจากการชิงชัยนี้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางคนชี้ว่าความเคลื่อนไหวนี้อาจเป็นการสนับสนุน ริชี สุนัค ได้ หลังจากการประกาศลาออกของทรัสส์ ‘เพนนี มอร์เดินท์’ ผู้ได้อันดับสามในการชิงตำแหน่งผู้นำพรรคฯ กล่าวว่าจะ สงบใจและเดินหน้าต่อไป โดยมอร์เดินท์เป็นคู่แข่งที่มีแนวโน้มว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งผู้นำ แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการก็ตาม ชื่ออื่นๆ ที่ถูกพูดถึง ได้แก่ ‘เบน วอลเลซ’ รมว.กลาโหม ‘เคมี บาเดนอค’ รมว.การค้าระหว่างประเทศ ‘เจมส์ เคลเวอร์ลี’ รมว.ต่างประเทศ และ ‘ซูเอลลา เบรเวอร์แมน’ รมว.มหาดไทยที่เพิ่งลาออกเมื่อ 19 ต.ค. อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/63330492 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update นายกอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ อังกฤษ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ขายดีสวนกระแสเศรษฐกิจ เปิด 3 เหตุผล ทำไมยอดขายแบรนด์เนมพุ่ง ท่ามกลางเงินเฟ้อ ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย - FINNOMENA วันเดียวกับที่ IMF ประกาศเตือนถึงเศรษฐกิจที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ กลุ่ม LVMH กลับรายงานยอดขายที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ บ่งชี้ว่าการช้อปสินค้าไฮเอนด์ของเหล่าเศรษฐียังห่างไกลจากจุดอิ่มตัว 20 ต.ค. 2565 วันเดียวกับที่ IMF ประกาศเตือนถึงเศรษฐกิจที่ปกคลุมไปด้วยเมฆ กลุ่ม LVMH กลับรายงานยอดขายที่แข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดใจ บ่งชี้ว่าการช้อปสินค้าไฮเอนด์ของเหล่าเศรษฐียังห่างไกลจากจุดอิ่มตัว เมื่อถูกถามถึงความสวนทางระหว่างเศรษฐกิจทั่วโลกและสินค้าไฮเอนด์ Jean-Jacques Guiony ที่เป็น CFO ของกลุ่ม LVMH ระบุว่า สินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่ตัวแทนของเศรษฐกิจทั่วไป บริษัทขายสินค้าให้กับคนรวย พวกเขามีพฤติกรรมเป็นของตัวเองซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับเศรษฐกิจ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในช่วงเงินเฟ้อ ขณะที่คนขายของชำมองว่าลูกค้าของพวกเขาใช้เงินอย่างระมัดระวังมากแม้ใช้จ่ายเงินเพียงเล็กน้อย แต่ Louis Vuitton สามารถขึ้นราคาได้โดยไม่กระทบต่ออุปสงค์ในทันที 💵ความมั่งคั่งทั่วโลกเพิ่มขึ้น การเติบโตอย่างมหาศาลในความมั่งคั่งทั่วโลกคือหนึ่งประเด็นที่อธิบายถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย ข้อมูลจาก Boston Consulting Group ระบุว่า ความมั่งคั่งทางการเงินทั่วโลกเติบโตขึ้น 10.6% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ นั่นหมายถึงความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น 26 ล้านล้านดอลลาร์ 💵คนอัดอั้นจากโควิด การผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิดก็มีบทบาทสำคัญด้วย หลังจากที่ทุกคนต้องทนอยู่กับโควิดมานานกว่า 2 ปี Gachoucha Kretz รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่ HEC Paris กล่าวว่า ยุคหลังโควิดมีการซื้อของจากความอัดอั้นมานาน เพราะผู้บริโภคมองว่าชีวิตมันสั้น เดี๋ยวก็ตายอยู่ดี 💵อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินยังเป็นอีกเหตุผลนึง เห็นได้จากการช้อปปิ้งของเศรษฐีอเมริกันที่ไปยุโรปแล้วเงินยูโรอ่อนค่าหนักในรอบ 20 ปี จนพวกเขาไม่ลังเลที่จะต่อคิวซื้อ Chanel มูลค่า 9,000 ยูโร (8,850 ดอลลาร์) ที่ Rue Cambon ในปารีส ขณะที่นักช้อปหลายคนเลือกพักในโรงแรม Cheval Blanc Paris ของ LVMH ซึ่งตกคืนละ 55,000 ยูโร Lucile Andreani หัวหน้าแผนกของ Christie’s ระบุว่า ความคลั่งไคล้ได้ขยายไปสู่ตลาดมือสองสำหรับกระเป๋าแบรนด์เนมที่ถูกมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวและดึงดูดผู้ซื้อรายใหม่มากขึ้น โดย ประมาณการว่าประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ซื้อกระเป๋าถือในการประมูลตอนนี้เป็นผู้หญิง และอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 43 ปี เทียบกับ 54 ปีสำหรับสินค้าอื่นๆ นับตั้งแต่ปี 2007 รายได้ของกลุ่ม LVMH โตแทบทุกปี ยกเว้นปี 2009 หลังวิกฤติการเงิน และปี 2020 ช่วงที่โควิดระบาด อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-20/luxury-goods-still-sell-big-even-as-recession-fears-grow?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: LVMH News Update แบรนด์เนม แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลง 2.6% จากความกังวลล็อกดาวน์ - FINNOMENA เช้าวันนี้ (20 ต.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงแรงอีก 2.6% ต่อเนื่องจากวานนี้ที่ปรับตัวลง 2.3% จากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีน เพิ่มสูงขึ้นกว่า 4.7 พันราย 20 ต.ค. 2565 เช้าวันนี้ (20 ต.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงแรงอีก 2.6% ต่อเนื่องจากวานนี้ที่ปรับตัวลง 2.3% จากรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศจีน เพิ่มสูงขึ้นกว่า 4.7 พันราย ส่งผลให้การล็อคดาวน์อาจถูกนำกลับมาใช้อย่างเข้มงวดเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทางการจีนได้สั่งล็อคดาวน์พื้นที่เขตจงหยวน เมืองเจิ้งโจวที่มีประชากรอาศัยกว่า 1 ล้านคนไปก่อนหน้านี้แล้ว ในวันนี้การปรับตัวลงเกิดขึ้นกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม และครอบคลุมหุ้นกว่า 91% ของตลาด มีเพียงกลุ่มการเงินบางบริษัทเท่านั้นที่สามารถบวกสวนตลาดได้ แม้ในวันนี้ นาย John Lee ผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ของฮ่องกง จะประกาศแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจฮ่องกง โดยจะดึงดูดแรงงานที่มีความสามารถสูงจากต่างชาติเข้ามาทดแทนแรงงานที่หายไปหลังจากการระบาดของโควิด และให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและที่อยู่อาศัยก็ตาม แต่ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของการบริโภคในระยะสั้นยังคงได้รับผลกระทบจากการนโยบาย Zero Covid ที่ยังไม่มีทีท่าจะผ่อนคลายลง ทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 3 ของจีน ที่จะเริ่มประกาศออกมาหลังจากนี้อาจจะยังดูไม่ดีนัก FINNOMENA Investment Team มองว่าตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงนั้น ยังมีแรงกดดันเชิงนโยบายภาครัฐจีน จากนโยบาย Zero COVID ซึ่งการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ยังคงยึดมั่นที่จะใช้นโยบาย Zero Covid ต่อไป รวมถึงยังมีปัญหาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังกดดันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม Valuation ที่ต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวแล้ว และการเริ่มมีท่าทีผ่อนคลายการควบคุม COVID-19 ในฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตการปกครองของจีน อาจมีแนวโน้มเป็นการทดลองผ่อนคลายในพื้นที่ขนาดเล็ก เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการให้ดีมากขึ้น และใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่ในอนาคต ซึ่งอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง จึงยังแนะนำคงสัดส่วนการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนของนโยบายทางเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ และคงสัดส่วนในกลุ่ม Consumer ของจีนแม้ความผันผวนจะสูง แต่ความเสี่ยงด้าน Valuation อยู่ในระดับต่ำ และอาจมีแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการควบคุมได้ในระยะต่อไป ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla ยอดขายไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด แต่ Elon Musk ยืนยันไม่ลดกำลังการผลิต มั่นใจความต้องการรถ Tesla ยังแข็งแกร่ง - FINNOMENA Tesla รายงานยอดขายไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด จากปัญหาการผลิตและส่งมอบ แต่ Elon Musk ยืนยันไม่ลดกำลังการผลิตแม้เผชิญเศรษฐกิจถดถอย ย้ำความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ยังคงแข็งแกร่ง 20 ต.ค. 2565 Tesla รายงานยอดขายไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด จากปัญหาการผลิตและส่งมอบ แต่ Elon Musk ยืนยันไม่ลดกำลังการผลิตแม้เผชิญเศรษฐกิจถดถอย ย้ำความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ยังคงแข็งแกร่ง รายได้ในไตรมาส 3 ของ Tesla เพิ่มขึ้นสู่ 21,500 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 22,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นเป็น $1.05 ต่อหุ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่รวบรวมโดย Bloomberg ที่ $1.01 ต่อหุ้น โดยบริษัทอ้างถึงปัญหาการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในสิ้นไตรมาส ขณะที่กำไรได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่แพงขึ้น กระบวนการส่งมอบอย่างการนำรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นเรือหรือรถบรรทุก มีค่าใช้จ่ายสูงมากในไตรมาสล่าสุด เนื่องจากการผลิตส่วนใหญ่กระจุกตัวในช่วงสัปดาห์ท้ายๆ ของไตรมาสดังกล่าว ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับ Tesla ในการส่งมอบรถทุกคัน อย่างไรก็ตาม Elon Musk ผู้บริหารสูงสุดของ Tesla ระบุว่า บริษัทมีความต้องการจากลูกค้าที่ดีมากในไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะสามารถขายรถยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่ผลิตได้ และดูเหมือนว่า Tesla จะจบปี 2021 ด้วยความยิ่งใหญ่ นักลงทุนกำลังจับตาว่า Tesla จะสามารถเพิ่มผลผลิตของรถ SUV โมเดล Y ในตลาดแมสได้แร็วแค่ไหน จากโรงงานแห่งใหม่ในออสตินและเบอร์ลิน ซึ่งนี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ Tesla รายได้ที่ต่ำกว่าคาดส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) ราคาหุ้น Tesla ร่วง 5.3% หลังปิดตลาด สู่ระดับ 210.28 ดอลลาร์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Tesla ร่วงลงมาถึง 37% ท่ามกลางความวุ่นวายจากดีลซื้อ Twitter ของ Elon Musk รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัว ในเดือน เม.ย. Elon Musk กล่าวว่า Tesla จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1.5 ล้านคันในปีนี้ โดยใน 3 ไตรมาสแรก บริษัทผลิตรถไปทั้งหมด 929,910 คัน นั้นแปลว่าต้องผลิตให้ได้ถึง 570,000 ในไตรมาส 4 เพื่อบรรลุเป้าหมาย โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว บริษัทผลิตได้ 305,840 คัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-19/tesla-sales-fall-short-of-estimates-as-stronger-dollar-bites?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ฮ่องกงออกวีซ่าดึงหัวกะทิทั่วโลก ชาวต่างชาติรายได้สูง อยู่ได้ยาว 2 ปี หวังฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาสมองไหล - FINNOMENA ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ‘จอห์น ลี’ เผยแผนดึงดูดชาวต่างชาติความสามารถระดับหัวกะทิเข้ามาทำงานและซื้อที่อยู่อาศัยในฮ่องกง หวังชุบชีวิตเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก 19 ต.ค. 2565 ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ‘จอห์น ลี’ เผยแผนดึงดูดชาวต่างชาติความสามารถระดับหัวกะทิเข้ามาทำงานและซื้อที่อยู่อาศัยในฮ่องกง หวังชุบชีวิตเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ฮ่องกงสูญเสียพลเมืองไปจำนวนมากจากทั้งความวุ่นวายทางการเมืองและการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้เกิดเกิดภาวะสมองไหล (Brain Drain) โดยในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา แรงงานในฮ่องกงลดลงไปถึงประมาณ 140,000 คน วีซ่าดึงดูดหัวกะทิดังกล่าวครอบคลุมระยะเวลา 2 ปี โดยผู้ยื่นขอวีซ่าต้องมีคุณสมบัติคือ มีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2.5 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 12.16 ล้านบาท) ส่วนผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 3 ปี จะต้องจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Top 100 ของโลกในสาขาใดก็ได้ โดยชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าฮ่องกงภายใต้โครงการดังกล่าว จะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย และสามารถยื่นขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของฮ่องกงเพื่อขอคืนเงินภาษีอากรแสตมป์ของผู้ซื้อและภาษีอากรแสตมป์ที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก แผนดังกล่าวของฮ่องกงมีขึ้น 2 เดือน หลังจากสิงคโปร์เผยแผนดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 360,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวของจอห์น ลี ทำให้นักลงทุนและนักศรษฐศาสตร์บางคนผิดหวังโดยมองว่ามันไม่ใช่การพลิกเกม ส่งผลให้ดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงมา 1.5% ขณะที่ดัชนีหุ้นอสังหาฯ ปรับตัวลงมา 0.7% หลังแถลงการณ์ จอห์น ลี กำลังเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งการควบคุมโควิด การปรับขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงจำนวนแรงงานลดลงในรอบเกือบทศวรรษจากปัญหาสังคมสูงอายุ ขณะที่คนในวัยแรงงานพากันย้ายออกจากประเทศ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-19/hong-kong-unveils-visa-property-easing-to-revive-hub-status?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.infoquest.co.th/2022/243745 https://www.dailynews.co.th/news/1593574/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ฮ่องกง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถยนต์ไฟฟ้าที่แพงที่สุดในโลก ‘Rolls-Royce Spectre’ เริ่มต้น $413,000 ยอดจองในสหรัฐฯ ทะลุ 300 คัน คาดราคารวมภาษีในไทย 40-50 ล้านบาท - FINNOMENA Rolls-Royce เผยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า Spectre ราคาเริ่มต้น 413,000 ดอลลาร์ ท จากลูกค้าชาวอเมริกันกว่า 300 คัน 19 ต.ค. 2565 Rolls-Royce เผยยอดจองรถยนต์ไฟฟ้า Spectre ราคาเริ่มต้น 413,000 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 15.7 ล้านบาท จากลูกค้าชาวอเมริกันกว่า 300 คัน ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันอังคารที่ผ่านมา (18 ต.ค.) Torsten Muller-Otvos ซีอีโอผู้ผลิตรถยนต์ระดับหรูอย่าง Rolls-Royce กล่าวกับ CNBC ว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ลูกค้ากลุ่มดังกล่าวได้เยี่ยมชมเยี่ยมสำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมืองกู๊ดวูด ประเทศอังกฤษ เพื่อแอบดูรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรกของบริษัทที่ยังไม่เผยโฉมอย่างเป็นทางการ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทกล่าวว่า ลูกค้าวางเงินมัดจำก่อนที่จะได้เห็นรถ เพราะเมื่อพวกเขาได้เห็น พวกเขารู้สึกพอใจมาก โดยคาดว่ายอดสั่งซื้อจะแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธที่จะให้เป้าหมายยอดขายของ Spectre Spectre คือรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกของ Rolls-Royce รถยนต์ Coupe’ 2 ประตู 4 ที่นั่ง มีดีไซน์ดูโฉบเฉี่ยวกว่าทุกรุ่นของ Rolls-Royce แต่ยังไม่ละทิ้งความหรูหรา และ ความเป็นเอกลักษณ์ในทุกรายละเอียดของ Rolls-Royce Spectre วิ่งได้ไกล 520 กม. ต่อชาร์จ (WLTP) อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม. ภายใน 4.5 วินาที ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 2 ตัว พละกำลัง 585 แรงม้า 900 นิวตันเมตร ความจุแบตเตอรี่ทาง Rolls-Royce ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขออกมา แต่คาดว่าจะหยิบยืมมาจาก BMW i7 กระจังหน้าได้รับแรงบันดาลใจจากวิหาร Pantheon และ ไฟเรืองแสง LED 22 หลอด พร้อมสัญลักษณ์ Spirit of Ecstasy ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Rolls-Royce เส้นสายตัวถัง Waft Line ลากจากด้านหลัง ไปจรดด้านหลัง ได้แรงบันดาลใจจากงานออกแบบเรือยอร์ช ติดตั้งล้อขนาด 23 นิ้ว ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรถ Coupe’ ของค่าย การตกแต่งภายในของ Spectre มาในธีมท้องฟ้ายามค่ำคืน นับเป็นครั้งแรกในสายการผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce ที่ Spectre มาพร้อมกับประตู Starlight Doors ที่มี ‘ดวงดาว’ ส่องประกายเรืองแสงระยิบระยับจำนวน 4,796 ดวง ส่วนเพดานและแผงหน้าปัดของรถก็เรืองแสงของ Spectre ก็รายล้อมด้วยหมู่ดาวมากกว่า 5,500 ดวงเหมือนกัน Spectre ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่แพงที่สุดในตลาดตอนนี้ ขณะที่ General Motors ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Celestiq ซึ่งเริ่มต้นที่มากกว่า 300,000 ดอลลาร์ในสัปดาห์นี้ ในปี 2021 Rolls-Royce มียอดขายและการผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยส่งมอบรถยนต์ไปทั้งหมด 5,586 คัน โดยบริษัทระบุว่า บริษัทจะเปลี่ยนการผลิตมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030 โดยมั่นใจคุณภาพของรถที่มีชื่อเสียงในด้านการขับขี่ที่ราบรื่น เงียบ และกำลังที่รวดเร็ว สำหรับราคารวมภาษีในไทยข้อมูลจาก Autolife Thailand คาดว่า ราคาของ Spectre อยู่ระหว่าง Cullinan (เริ่มต้น 37.9 ล้านบาท) และ Phantom (เริ่มต้น 53.5 ล้านบาท) นั่นหมายความว่า ราคาของ Rolls-Royce SPECTRE จะอยู่ประมาณช่วง 40-50 ล้านบาท อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/18/rolls-royce-has-over-300-orders-for-its-413000-spectre-electric-vehicle.html https://autolifethailand.tv/rolls-royce-spectre-ev-bev/ https://www.nationtv.tv/lifestyle/automotive/378889979 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Rolls-Royce Rolls-Royce Spectre รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Netflix ผู้ใช้งานโต 2.41 ล้านราย ผลประกอบการไตรมาส 3 ดีเกินคาด ดันหุ้นพุ่งแรงกว่า 14% หลังปิดตลาด - FINNOMENA หุ้น Netflix พุ่งแรงกว่า 14% หลังปิดตลาดเมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) เนื่องจากบริษัทรายงานผลประกอบการดีเกินคาดทั้งรายได้และกำไร ขณะที่จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.41 ล้านราย มากกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า 19 ต.ค. 2565 หุ้น Netflix พุ่งแรงกว่า 14% หลังปิดตลาดเมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) เนื่องจากบริษัทรายงานผลประกอบการดีเกินคาดทั้งรายได้และกำไร ขณะที่จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 2.41 ล้านราย มากกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Netflix – กำไรต่อหุ้น (EPS): $3.10 สูงกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ $2.13 – รายได้: 7,930 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ 7,837 ล้านดอลลาร์ – การเพิ่มขึ้นของสมาชิกแบบชำระเงินทั่วโลก: เพิ่มขึ้น 2.41 ราย สูงกว่าคาดการณ์โดย StreetAccount ที่ 1.09 ล้านราย โดยการเติบโตของสมาชิกในช่วงไตรมาสที่ผ่านมามาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหลักที่เพิ่มขึ้นถึง 1.43 ล้านราย ขณะที่ภูมิภาคสหรัฐฯ และแคนาดา มีการเติบโตน้อยสุด เพิ่มขึ้นแค่เพียง 100,000 ราย Spencer Neumann CFO ของบริษัทระบุว่า บริษัทยังโตได้ไม่เร็วอย่างที่คิด ตอนนี้ Netflix กำลังสร้างโมเมนตัมและพอใจกับความก้าวหน้า แต่ยังมีงานอีกมากที่บริษัทต้องทำ คอนเทนต์เด่นในไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Stranger Things S4 มียอดรับชม 1,350 ล้านชั่วโมง, The Jeffrey Dahmer Story มียอดรับชม 824 ล้านชั่วโมง, Extraordinary Attorney Woo มียอดรับชม 402 ล้านชั่วโมง, The Sandman มียอดรับชม 351 ล้านชั่วโมง และภาพยนตร์ The Gray Man มียอดรับชม 245 ล้านชั่วโมง บริษัทคาดการณ์ว่า สมาชิกจะเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านคนในไตรมาสหน้า และคาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 7,800 ล้านดอลลาร์ ผลจากแรงกดดดันด้านค่าเงิน โดยตั้งแต่ไตรมาสหน้าเป็นต้นไป Netflix จะไม่เผยคาดการณ์ยอดสมาชิกอีกต่อไป นอกจากนี้ Netflix จะเริ่มปราบปรามการแชร์รหัสผ่านในปีหน้า โดยจะให้ผู้ที่ใช้บัญชีผู้อื่นก่อนหน้านี้เลือกสร้างบัญชีของตัวเองได้ รวมถึงอนุญาตให้ผู้ที่แชร์บัญชีสามารถสร้างบัญชีย่อยเพื่อจ่ายเงินให้เพื่อนหรือครอบครัวใช้บัญชีของตนได้ ในเดือน พ.ย. นี้ บริษัทยังเตรียมเปิดตัวแพ็กเกจที่มีราคาถูกลงแต่มีโฆษณาใน 12 ประเทศ โดยบริษัทมีมุมมองบวกอย่างมากต่อแผนดังกล่าว แม้ตัวเลขอาจไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่องบในไตรมาส 4 แต่คาดว่าจำนวนสมาชิกประเภทดังกล่าวจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/18/netflix-nflx-earnings-q3-2022.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รีวิวซื้อสลากออมสิน 50 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี ได้ผลตอบแทน 1.76% ต่อปี เพราะไม่เคยถูกรางวัลใหญ่ - FINNOMENA เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (15 ต.ค.) ผู้ใช้งานพันทิปที่ชื่อว่า ‘ไร้ญาติขาดมิตร’ ได้ตั้งกระทู้สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนสลากออมสิน 50 ล้านบาท ครบ 3 ปี พร้อมแปะหลักฐานใบสลากและยอดเงินโอนเข้าบัญชีไว้ในคอมเมนต์ 18 ต.ค. 2565 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (15 ต.ค.) ผู้ใช้งานพันทิปที่ชื่อว่า ‘ไร้ญาติขาดมิตร’ ได้ตั้งกระทู้สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนสลากออมสิน 50 ล้านบาท ครบ 3 ปี พร้อมแปะหลักฐานใบสลากและยอดเงินโอนเข้าบัญชีไว้ในคอมเมนต์ โดยสมาชิกคนดังกล่าวได้ซื้อสลากออมสินทั้งหมด 1,000,000 หน่วย หน่วยละ 50 บาท คิดเป็นเงินทั้งหมด 50,000,000 บาท และได้รับผลตอบแทนดังนี้ ✧ ดอกเบี้ยจากการถือครบ 3 ปี หน่วยละ 60 สตางค์ คิดเป็นเงิน 600,000 บาท ✧ ถูกรางวัลทั้งหมด 36 งวด รวมเป็นเงิน 2,044,800 บาท หมายเหตุ: เจ้าของกระทู้ไม่เคยถูกรางวัลที่ 1 และ 2 เลย โดยมีรางวัลที่ถูกแน่นอนทุกงวดคือ 4 ตัว 5 ตัว และ 6 ตัว คิดเป็นงวดละ 36,800 บาท และมีรางวัลอื่นๆ ที่ถูกเพิ่มมาเกือบทุกงวด ✧ สรุปผลตอบแทนรวมทั้งหมดเป็นเงิน 2,644,800 บาท หรือ 1.7632% ต่อปี เจ้าของกระทู้โพสต์ข้อความพร้อมแนบรูปการตรวจรางวัลไว้ แต่มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ว่า “ทำไมไม่ถ่ายรูปเอาใบสลากให้ดูครับ ถ้าเอาแต่ผลตรวจมาลงจะกรอก แสนล้าน ก็ได้ครับ pantip น่ากลัวขึ้นทุกวัน” หลังจากนั้นเจ้าของกระทู้ได้โพสต์รูปใบสลาก แต่เจ้าของคอมเมนต์คนเดิมก็โต้ตอบไปว่า “เหมือนใช้ Photoshop เพราะคุณเล่นกล้อง มีความรู้ถ่ายภาพ ผมขอเดาไว้ก่อน ขอดูยอดเงินโอนเข้าบัญชี พร้อมเงินต้นครับ 555 ผมขอดูแค่นั้น ผมค่อยเชื่อ เพราะแบบนี้เหมือนทำใบสลากเตรียมตั้งใจถ่ายรูปไว้ก่อนแล้ว” จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็โพสต์ข้อความว่า “ขี้ระแวงจริงๆ 555 สบายใจรึยังครับ” พร้อมแนบรูปยอดเงินโอนเข้าบัญชีไว้ในคอมเมนต์ นอกจากนี้ยังมีความเห็นต่างๆ มากมาย ทั้งแนะนำให้เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น เพราะผลตอบแทนที่ได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ ขณะที่บางคนมองว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย สำหรับการลงทุนความเสี่ยงต่ำ รวมถึงมีบางส่วนที่คอมเมนต์ติดตลกว่า “พี่ชาย สบายดีเปล่าครับ” หรือ “ลูกแม่ ไปอยู่ที่ไหนมา” ทั้งที่ชื่อเจ้าของกระทู้คือ ‘ไร้ญาติขาดมิตร’ ก็ตาม 📌ลิงก์กระทู้: https://pantip.com/topic/41684966 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update สลากออมสิน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง 2.7% - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง -2.66% หลังจากปรับตัวขึ้นมา 3 วันติดต่อกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง VCB -3.08% BID -2.88% และ CTG -2.2% 17 ต.ค. 2565 เช้านี้ (17 ต.ค.) ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลง -2.66% หลังจากปรับตัวขึ้นมา 3 วันติดต่อกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง VCB -3.08% BID -2.88% และ CTG -2.2% หลังจากในวันเสาร์ที่ผ่านมาธนาคารกลางของเวียดนาม (SBV) เข้ามา ”ตรวจสอบพิเศษ” การดำเนินงานของธนาคาร Saigon Commercial Bank (SCB) เนื่องจากความกังวลเรื่องการฉ้อโกงของบริษัทอสังหารายใหญ่ VTP ที่จะเกี่ยวพันกับธนาคาร พร้อมทั้งให้ธนาคาร 4 แห่งเข้ามาช่วยบริหารจัดการ โดยธนาคาร 4 แห่ง ได้แก่ VCB, BIDV, Agribank และ VietinBank พร้อมทั้งประกาศว่า “ธนาคารกลางจะประสานกับกระทรวงอื่นๆ เพื่อหามาตรการที่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของ SCB มีความปลอดภัย” FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% โดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก ส่วนข่าวการทุจริตดังกล่าวนั้นเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายบริษัทเท่านั้น คาดว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (Systematic Risk) ในระยะสั้นแนะนำให้รอสัญญาณการสร้างฐาน ส่วนในระยะยาวสามารถทยอยสะสมเพื่อการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม เวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามฟื้น 3.7% แบงก์ชาติเวียดนามคุมสถานการณ์ ประชาชนกลับเข้าฝากเงินแล้ว - FINNOMENA เช้าวันนี้ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวบวก 3.7% สู่ระดับ 1037 จุด เกิด Technical Rebound หลังหลุด 1,000 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่อย่าง VCB บวก 3.71% BID บวก 6.84% (Ceiling) และ CTG บวก 6.82% (Ceiling) โดยนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคมนักลงทุนต่างชาติกลับมาเข้าซื้อหุ้นเวียดนามอย่างต่อเนื่อง 12 ต.ค. 2565 เช้าวันนี้ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวบวก 3.7% สู่ระดับ 1037 จุด เกิด Technical Rebound หลังหลุด 1,000 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่อย่าง VCB บวก 3.71% BID บวก 6.84% (Ceiling) และ CTG บวก 6.82% (Ceiling) โดยนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคมนักลงทุนต่างชาติกลับมาเข้าซื้อหุ้นเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ด้านประเด็นเรื่องทุจริต เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนเรื่องการออกหุ้นกู้ที่ผิดกฏหมายของบริษัทอสังหาฯ Van Thinh Phat Group (VTP) ที่ออกผ่านธนาคาร Saigon Commercial Bank (SCB) เนื่องจาก VTP เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารแห่งนี้ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกประชาชนแห่ถอนเงินเป็นจำนวนมากออกจากธนาคาร SCB โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเวียดนามได้แจ้งว่า สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เริ่มมีประชาชนกลับเข้ามาฝากเงิน FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% นับว่าโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก รวมไปถึงข่าวการทุจริตดังกล่าวนั้นเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายบริษัทเท่านั้น คาดว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ (Systematic Risk) ในระยะสั้นแนะนำให้รอสัญญาณการสร้างฐาน ส่วนในระยะยาวสามารถทยอยสะสมเพื่อการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม เวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง ไต้หวันและเวียดนามร่วงอีก 4% กังวลสหรัฐฯ คุมส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ - FINNOMENA เช้าวันนี้ (11 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงแรงนำโดย ดัชนี TAIEX -4.35% ดัชนี NIKKEI 225 -2.64% และดัชนี KOSPI -2.04% ตอบรับประเด็นลบจากที่สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ขั้นสูงและอุปกรณ์ไปยังจีนให้เข้มงวดมากขึ้น 11 ต.ค. 2565 เช้าวันนี้ (11 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงแรงนำโดย ดัชนี TAIEX -4.35% ดัชนี NIKKEI 225 -2.64% และดัชนี KOSPI -2.04% ตอบรับประเด็นลบจากที่สหรัฐฯ กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ขั้นสูงและอุปกรณ์ไปยังจีนให้เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้หุ้นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ชั้นนำอย่าง TSMC ปรับตัวลง 7% ซึ่งผลกระทบดังกล่าวได้กระทบต่อเนื่องไปยังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและยานยนต์ของเกาหลีใต้และญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน อาทิ Samsung Electronics ปรับตัวลง 3.56% และ SONY group corporation ปรับตัวลง 3.74% นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว การคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ในไตรมาสนี้ถูกคาดว่าจะปรับตัวลดลง จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 เดินหน้าปรับตัวลงต่ออีก -4.24% หลุด 1,000 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยประเด็นความกังวลเรื่องการทุจริตของ Truong My Lan กรรมการบริษัทของ Van Thinh Phat Group ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของเวียดนาม ซึ่งข่าวได้แพร่กระจายไปในวงกว้างในวันจันทร์ที่ผ่านมา FINNOMENA Investment Team มองว่าประเด็นข้อจำกัดการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ เป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นสงครามการค้า และสร้างแรงกดดันต่อกลุ่มผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์โดยรวม ทั้งนี้ประเด็นนี้กระทบต่อ Sentiment ตลาดหุ้นจีนก่อนจะมีการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 20 ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ โดยจะต้องติดตามท่าทีของทางจีนหลังจากนี้ต่อไป ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม เรายังมีมุมมองระยะยาวเช่นเดิมว่า ยังคงมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% นับว่าโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากผ่านในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก รวมไปถึงข่าวการทุจริตดังกล่าวนั้นเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายบริษัท แต่เกิดการเทขายหุ้นทั้งตลาด สะท้อนภาวะ Panic Sell ซึ่งมีความผันผวนในระดับที่สูง ในระยะสั้นจึงแนะนำรอสัญญาณการสร้างฐานจึงค่อยทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาวต่อไป ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นเอเชีย ตลาดหุ้นไต้หวัน แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert : ตลาดหุ้นฮ่องกง -2.98% ร่วงนำเอเชีย กังวลสหรัฐฯ คุมส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ และผู้ติดเชื้อโควิดในจีน - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng ลงนำเอเชีย หลังถูกกดดันโดยกฏส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์สหรัฐฯ และผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในจีนทะลุ 3,000 ราย 10 ต.ค. 2565 ดัชนี Hang Seng ลงนำเอเชีย หลังถูกกดดันโดยกฏส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์สหรัฐฯ และผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในจีนทะลุ 3,000 ราย เช้าวันนี้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลบตาม Sentiment ลบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลง อาทิ Dow Jones -2.11% , S&P 500 -2.80% และ NASDAQ -3.88% หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีการประกาศตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และ อัตราการว่างงานออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ทำให้นักวิเคราะห์เกิดความกังวลว่า Fed จะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันในการประชุม FOMC เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 78.1% หลักจากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 56.5% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประกอบกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กำหนดข้อจำกัดในการส่งออกเซมิคอนดัคเตอร์ชั้นสูง และอุปกรณ์ไปยังจีนให้เข้มงวดมากขึ้น และจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เร่งตัวขึ้นแตะระดับ 3,000 รายต่อวัน ส่งผลให้ดัชนี Hang Seng ฮ่องกง ปรับตัวลง 2.98% นำโดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และการท่องเที่ยว อาทิ Sunny Optical, Sand China เป็นต้น FINNOMENA Investment Team ยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังตาม Recession Playbook จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ยังไม่ลดลงสู่ระดับเป้าหมาย กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผ่านแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่ 2% และยังมีเรื่องของการลดขนาดงบดุล (QT) ที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรจึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ส่วนตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงนั้น ยังมีแรงกดดันเชิงนโยบายภาครัฐ อาทิ นโยบาย Zero COVID และ ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในจีนกำลังจะมีการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น จึงยังแนะนำคงสัดส่วนการลงทุน เพื่อประเมินนโยบายหลังการประชุมใหญ่อย่างชัดเจนอีกครั้ง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert Hang Seng Index ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Credit Suisse เสนอซื้อคืนตราสารหนี้ มูลค่า $3,030 ล้านดอลลาร์ พร้อมขาย Savoy Hotel หลังราคาหุ้นตกต่ำ แต่การเดิมพันในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น - FINNOMENA Credit Suisse เสนอซื้อคืนตราสารหนี้มูลค่ารวม 3,000 พันล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 3,030 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางราคาหุ้นตกต่ำลงและการเดิมพันในตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน 7 ต.ค. 2565 Credit Suisse เสนอซื้อคืนตราสารหนี้มูลค่ารวม 3,000 พันล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 3,030 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางราคาหุ้นตกต่ำลงและการเดิมพันในตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุน หนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ของโลกยังยืนยันว่า บริษัทจะขาย Savoy Hotel โรงแรมชื่อดังย่านการเงินของซูริค ตอกย้ำการคาดเดาของตลาดที่ว่าบริษัทกำลังเร่งหาสภาพคล่อง โดยบริษัทได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แก่ผู้ถือหุ้นทั่วไปโดยเป็นการตกลงซื้อขายนอกกระดาน ทั้งตราสารหนี้ไม่ด้อยสิทธิสกุลเงินยูโรและปอนด์ รวมมูลค่า 1,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 980 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมดอายุวันที่ 3 พ.ย. รวมถึงตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์ รวมมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมดอายุวันที่ 10 พ.ย. ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่วันนี้ (7 ต.ค.) Credit Suisse ระบุว่า แผนการซื้อคืนตราสารหนี้สอดล้องกับแนวทางเชิงรุกของบริษัทในการจัดการกับความรับผิดโดยรวมและปรับปรุงค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย รวมถึงทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะตลาดเพื่อซื้อคืนตราสารหนี้ในราคาที่น่าสนใจได้ การเสนอซื้อดังกล่าวเกิดขึ้นหลังราคาหุ้นของบริษัททำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นสัปดาห์ ขณะที่สัญญาสวอปประกันการผิดนัดชําระหนี้หรือ CDS ของบริษัท แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ Credit Suisse กำลังทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่กับ CEO คนใหม่ หลังจากเผชิญเรื่องอื้อฉาวและล้มเหลวในการบริหารความเสี่ยง โดยบริษัทจะอัปเดตความคืบหน้าพร้อมกับรายงานผลประกอบการในวันที่ 27 ต.ค. ความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดของบริษัทคือ การสูญเงินไปมากถึง 5,000 ล้านดอลลาร์จากกรณี Archegos ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่บริษัทกำลังประสบปัญหาจากการล้มละลายของอีกเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่อย่าง Greensill ตั้งแต่นั้นมา Credit Suisse ได้ยกเครื่ององค์กร ด้วยวิธีระงับการซื้อคืนหุ้น และลดเงินปันผล ซึ่งดูเหมือนว่าจะช่วยบริษัทไว้ได้ โดยล่าสุด ราคาหุ้น Credit Suisse ปิดที่ 4.22 ฟรังก์สวิส อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นร่วงลงมาแล้ว 50% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/07/credit-suisse-to-repurchase-3-billion-of-debt-securities.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Credit Suisse News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คลังเก็บก๊าซยุโรปใกล้เต็มแล้ว IEA ระบุ พอใช้ในฤดูหนาวนี้ แต่ความท้าทายรออยู่ ‘ปีหน้า’ - FINNOMENA สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ปีนี้ยุโรปสามารถจัดเก็บก๊าซธรรมชาติได้ถึง 90% ซึ่งใกล้เต็มคลังแล้ว แต่อาจต้องเผชิญความท้าทายอย่างมากใน ‘ปีหน้า’ 7 ต.ค. 2565 สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ปีนี้ยุโรปสามารถจัดเก็บก๊าซธรรมชาติได้ถึง 90% ซึ่งใกล้เต็มคลังแล้ว แต่อาจต้องเผชิญความท้าทายอย่างมากใน ‘ปีหน้า’ Fatih Birol ผู้อำนวยการ IEA ต้องการเห็นกลุ่มประเทศยุโรปตอบสนองอย่างว่องไวมากขึ้นต่อคำแนะนำของทาง IEA โดยอ้างถึงแผน 10 วิธีลดการพึ่งพาก๊าซจากรัสเซียของยุโรปหลังยูเครนถูกรุกราน อย่างไรก็ตาม Fatih Birol เสริมว่า สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้แย่ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โดยถ้าฤดูหนาวเป็นไปอย่างปกติ ยุโรปจะสามารถผ่านความหนาวนี้ไปด้วยรอยฟกช้ำบ้างจนถึงเดือน ก.พ.-มี.ค. ของปีหน้า ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่คาด ระดับก๊าซธรรมชาจิจะเหลืออยู่ที่ 20% – 30% แต่คำถามที่สำคัญก็คือ ยุโรปจะสามารถเพิ่มการจัดเก็บจาก 20% – 30% ให้ถึงระดับ 80% – 90% ในฤดูหนาวปี 2023 ให้ทันได้อย่างไร เพราะสิ่งที่ช่วยยุโรปในปีนี้คือ การนำเข้าก๊าซบางส่วนจากรัสเซียในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รวมถึง ‘ศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก’ ซึ่งสะท้อนจากการนำเข้าก๊าซน้อยกว่าที่จะเป็นของจีน โดย IEA ระบุว่า สมมติฐานอาจเปลี่ยนแปลงได้ในปี 2023 หากจีนกลับมานำเข้าก๊าซเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว ซึ่งนั่นจะทำให้ความยากลำบากของยุโรปเริ่มต้นตั้งแต่ มี.ค. จนถึงฤดูหนาวปีหน้า “ฤดูหนาวนี้เป็นเรื่องยาก แต่ฤดูหนาวปีหน้าอาจยากมากเช่นกัน” Fatih Birol กล่าว ตามรายงานของ Eurostat รัสเซียเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของยุโรปในปีที่แล้ว แต่ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (3 ก.ย.) IEA กล่าวว่า การส่งออกก๊าซจากรัสเซียไปยังสหภาพยุโรปในปีนี้ลดลงเกือบ 50% เทียบกับปีก่อน ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์ดังกล่าว Orsted บริษัทพลังงานในเดนมาร์กประกาศว่า จะเตรียมกลับมาดำเนินการในโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล 3 แห่ง ตามคำสั่งของรัฐบาล เพื่อรับรองความปลอดภัยของการจ่ายไฟฟ้าในเดนมาร์ก อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/06/-iea-chief-fatih-birol-in-warning-over-european-gas-storage.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ก๊าซธรรมชาติ ยุโรป รัสเซียยูเครน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามติดลบต่ออีก -4.5% - FINNOMENA เช้าวันนี้ (7 ต.ค.) ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลงต่ออีก -4.5% สู่ระดับ 1040.42 ได้รับแรงเทขายต่อมาจากเมื่อวานนี้ 7 ต.ค. 2565 เช้าวันนี้ (7 ต.ค.) ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลงต่ออีก -4.5% สู่ระดับ 1040.42 ได้รับแรงเทขายต่อมาจากเมื่อวานนี้ นำโดยหุ้น VCB ลบ -4.3% และหุ้น Masan Group ลบ -6% สาเหตุจากความกังวลในสภาพคล่องของตลาด ทำให้เกิดแรงเทขายของนักลงทุนรายย่อยแบบ Panic Sell จากการถูก Margin Call ที่นักลงทุนซึ่งมีการกู้ยืมเงินลงทุนต้องเติมเงินฝากเพิ่มหรืออาจจะถูกบังคับปิดสถานะลงทุน (Force Sell) ถ้านักลงทุนไม่เติมเงินไปถึงระดับ Margin Call ทำให้เกิดแรงขายอย่างต่อเนื่องในอาทิตย์ที่ผ่านมา FINNOMENA Investment Team ยังคงมุมมองระยะยาวเช่นเดิมมองว่า เวียดนามยังมีภาพรวมและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% นับว่าโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงดังกล่าวอยู่ในลักษณะของการ Panic Sell ซึ่งมีความผันผวนในระดับที่สูง ในระยะสั้นจึงแนะนำรอสัญญาณการสร้างฐานจึงค่อยทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาวต่อไป ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นเทคใกล้กลับมาแล้ว? Citi แนะนำลงทุนหุ้นสหรัฐ - หุ้นเทคทั่วโลก แม้เศรษฐกิจเสี่ยงเผชิญภาวะถดถอย - FINNOMENA Citi มองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจมากขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า 7 ต.ค. 2565 Citi มองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจมากขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า นักกลยุทธ์ของ Citi นำทีมโดย Robert Buckland คาดการณ์ผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกภายในสิ้นปี 2023 ที่ +18% แต่เตือนถึงแนวโน้มที่จะผันผวน โดยกลยุทธ์หุ้นเติบโตจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อนักลงทุนเปลี่ยนความสนใจการขึ้นดอกเบี้ยไปยังการฟื้นตัวของกำไรแทน Citi มองว่าความสนใจของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปสู่ความเสี่ยงเกี่ยวกับ EPS มากขึ้น ดังนั้นจึงเบนคำแนะนำไปยังกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นสหรัฐฯ ที่ EPS น่าจะปรับตัวดีขึ้นในการชะลอตัวทั่วโลก พร้อมคำแนะนำ ‘เพิ่มน้ำหนักการลงทุน’ ในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลก อย่างที่เห็นกันว่า หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปี ดัชนี MSCI World Information Technology ร่วงลงไปเกือบ 30% ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับลดลง 29% สำหรับคาดการณ์กำไรของนักวิเคราะห์ที่มองการเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่ 10% สำหรับ MSCI AC World ในปี 2022 ตามด้วย 6% ในปี 2023 ทีมของ Robert Buckland มองว่า ตัวเลขนั้นสูงเกินไป โดย Citi คาดการณ์ว่ากำไรของหุ้นทั่วโลกจะลดลง 5% ในปี 2023 ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของ GDP โลกที่ต่ำกว่าแนวโน้ม และอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าแนวโน้ม Citi แนะนำให้นักลงทุนให้น้ำหนักการลงทุนกับหุ้นปลอดภัย (Defensive) มากกว่าหุ้นวัฏจักร และมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่กำไรสามารถฟื้นตัวได้ นอกจาหนี้ยังคาดว่าธุรกิจเฮลท์แคร์และเทคโนโลยีจะปรับตัวดีขึ้นพอสมควรในภาวะถดถอย ขณะที่หุ้นวัฏจักรดั้งเดิมอย่างธนาคารจะได้รับประโยชน์น้อยกว่าการตกต่ำของเศรษฐกิจในครั้งก่อน สำหรับกลุ่มประเทศ Citi ชื่นชอบหุ้นสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยท่ามกลางการหดตัวของ EPS สหรัฐฯ มีหุ้นปลอดภัยมากกว่าตลาดอื่นๆ และยังมีดอลลาร์ที่แข็งค่า ขณะที่อังกฤษคือตลาดของหุ้นคุณค่าที่ Citi ชื่นชอบ เพราะมีราคาถูกและการลงทุนในต่างประเทศสูง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-06/citi-strategists-favor-tech-and-us-stocks-as-recession-looms?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นสหรัฐ หุ้นเทคโนโลยี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงแรง 3.2% - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลง 3.2% เป็นการปรับตัวลดลงมากกว่า 27​% นับจากช่วงต้นปี 6 ต.ค. 2565 ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลง 3.2% เป็นการปรับตัวลดลงมากกว่า 27% นับจากช่วงต้นปี ได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มการเงินและประกันภัย กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต และกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์เวียดนามบางแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินขึ้นไปที่ระดับสูงสุดเกือบ 9% โดยปรับขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเวียดนามที่ขึ้นดอกเบี้ย 1% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความแตกต่างของผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงและเงินฝากมีช่องว่างที่แคบลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ที่ขาดดุลมากขึ้น จากค่าเงินดองที่อ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา และความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่เป็นสัดส่วนการส่งออกของเวียดนามถึง 41% FINNOMENA Investment Team มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม มีภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% นับว่าโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค ซึ่งแม้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวลง แต่ดุลบัญชีการค้าเพิ่มขึ้นราว 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา โดยรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก อย่างไรก็ตามการปรับตัวลงดังกล่าวอยู่ในลักษณะของการ Panic Sell ซึ่งมีความผันผวนในระดับที่สูง ในระยะสั้นจึงแนะนำรอสัญญาณการสร้างฐานค่อยทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาวอีกครั้ง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ม้ามืดของประเทศพัฒนาแล้ว หุ้นสิงคโปร์ ทำผลตอบแทน +1% ขณะที่ดัชนีหุ้นโลกดิ่งหนัก 22% - FINNOMENA ตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำผลตอบแทนเป็นบวก ท่ามกลางการติดลบของตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หลังนักลงทุนกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย 6 ต.ค. 2565 ตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำผลตอบแทนเป็นบวก ท่ามกลางการติดลบของตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หลังนักลงทุนกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดัชนี Straits Times ของสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นมา 1% ในปีนี้ กลายเป็นดัชนีเดียวในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวกได้ ตอนนี้ดัชนีหุ้นทั่วโลกลดลงมาแล้ว 22% อาจเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ท่ามกลางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ด้วยมูลค่าหุ้นสิงคโปร์ที่ถูกกว่า รวมถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากโควิดของประเทศ ได้ช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นสิงคโปร์ที่มีหุ้นธนาคารอยู่ครึ่งนึงสามารถมีผลตอบแทนเป็นบวกขึ้นมาได้ Alan Richardson ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Samsung Asset Management กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของหุ้นสิงคโปร์มีความสัมพันธ์กับหุ้นคุณค่า และตอนนี้หุ้นคุณค่าสามารถทำผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าหุ้นเติบโต โดยคาดว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หาก Fed ยังคงมุ่งมั่นลดอัตราดอกเบี้ยให้ลงมาสู่ระดับเป้าหมาย อย่างที่รู้กันว่า ดัชนีหุ้นสิงคโปร์ไม่ค่อยมีหุ้นเทคโนโลยี ต่างจากหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่เจ็บหนัก เพราะหุ้นเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากทั้งปัญหาเงินเฟ้อ การขาดแคลนพลังงาน รวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน Daniel Dubrovsky นักกลยุทธ์ของ DailyFX มองว่า ตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วจะยังไม่สามารถฟื้นตัวทันได้จนกว่า Fed จะชะลอหรือพลิกกลับการใช้นโยบายการเงินเข้มงวด ตอนนี้ตลาดมุ่งความสนใจไปที่ Fed โดย Dubrovsky มองว่า ยังมีที่ว่างสำหรับตลาดแรงงานในการรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะสั้น ประมาณการผลประกอบการของบริษัทสิงคโปร์ในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นมา 16% จากปีที่แล้ว และสูงกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกถึง 4 เท่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าเป็นหลักของสิงคโปร์จะไม่มีความเสี่ยง เพราะกิจกรรมภาคการผลิตของโรงงานในเดือน ก.ย. หดตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2020 ขณะที่ยอดค้าปลีกส่งสัญญาณชะลอตัว โดยหุ้นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ Jardine Cycle & Carriage ทำผลตอบแทนได้ดีสุดในดัชนี Straits Times ด้วยการเพิ่มขึ้น 72% ตามมาด้วยบริษัทสาธารณูปโภค Sembcorp Industries ที่เพิ่มขึ้น 53% ส่วนหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีอย่าง DBS Group ปรับตัวขึ้นมา 2.3% อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-06/singapore-stocks-only-winners-as-growth-woes-hit-developed-peers?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสิงคโปร์ สิงคโปร์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ราคาน้ำมันอาจทะลุ $100 OPEC+ ลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่สนเสียงคัดค้านสหรัฐฯ ‘ไบเดน’ ผิดหวังหนัก - FINNOMENA กลุ่ม OPEC+ รวมถึงซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ แม้สหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ผลิตมากขึ้นเพื่อกดดันรัสเซียและช่วยเศรษฐกิจโลกก็ตาม 6 ต.ค. 2565 กลุ่ม OPEC+ รวมถึงซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ แม้สหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ผลิตมากขึ้นเพื่อกดดันรัสเซียและช่วยเศรษฐกิจโลกก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าการปรับลดกำลังการผลิตอาจเป็นการช่วยให้รัสเซียมีรายได้เพิ่มเพื่อใช้จ่ายในการทำสงครามกับยูเครน และยังทำลายโอกาสของปธน.สหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่ต้องการควบคุมราคาพลังงานภายในประเทศ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันโลกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะปรับขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนจากความหวังว่า กลุ่ม OPEC+ จะลดกำลังการผลิต โดยล่าสุด (6 ต.ค.) ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นมา 0.24% อยู่ที่ $93.59 บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นมา 0.23% อยู่ที่ $87.96 บาร์เรล ด้านทำเนียบขาวของสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์ว่า ปธน.ไบเดนผิดหวังกับการตัดสินใจที่ตื้นเขินของ OPEC+ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบด้านลบอย่างต่อเนื่องจากการรุกรานยูเครนของปูติน โดยฝ่ายบริหารของไบเดนจะปรึกษากับสภาคองเกรสเกี่ยวกับเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อลดอำนาจการควบคุมพลังงานของกลุ่ม OPEC+ พร้อมระบุว่า นี่เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับสหรัฐฯ ในการลดการพึ่งพาแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ Stephen Brennock นักวิเคราะห์อาวุโสของ PVM Oil กล่าวว่า OPEC+ อ้างว่าภารกิจของกลุ่มคือการประกันราคาสำหรับทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิต แต่การตัดสินใจดังกล่าวกำลังขัดต่อวัตถุประสงค์ของกลุ่ม นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เห็นแก่ตัวและมุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์ของผู้ผลิตเท่านั้น Rohan Reddy ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Global X ETFs กล่าวว่า การตัดสินใจลดการผลิตดังกล่าวอาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยสมมติฐานที่ว่าไม่มีการระบาดใหญ่ของโควิดทั่วโลก และ Fed ไม่ใช้นโยบายการเงินเข้มงวดอย่างไม่คาดคิด โดย Rohan Reddy มองว่า สถานการณ์ที่เป็นไปได้มากสุดในระยะสั้นคือ ราคาน้ำมันจะลอยตัวอยู่ในช่วง 90 ถึง 100 ดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/05/oil-opec-imposes-deep-production-cuts-in-a-bid-to-shore-up-prices.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update OPEC น้ำมัน ราคาน้ำมัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “ผมไม่อยากอยู่ในตำแหน่งจนวันตาย” Ray Dalio วางมือจาก Bridgewater ลาตำแหน่ง CIO และผู้บริหาร หลังก่อตั้งบริษัทมากว่า 47 ปี - FINNOMENA Ray Dalio มหาเศรษฐีชื่อดังประกาศลงจากตำแหน่ง CIO และผู้บริหารของ Bridgewater เฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ที่ก่อตั้งมาในปี 1975 พร้อมส่งไม้ต่อให้กับผู้นำรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดการลงทุนเป็นของตัวเอง 5 ต.ค. 2565 Ray Dalio มหาเศรษฐีชื่อดังประกาศลงจากตำแหน่ง CIO และผู้บริหารของ Bridgewater เฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ที่ก่อตั้งมาในปี 1975 พร้อมส่งไม้ต่อให้กับผู้นำรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดการลงทุนเป็นของตัวเอง Ray Dalio พยายามมาตลอด 12 ปี โดยเขาเริ่มแผนนี้มาตั้งแต่ปี 2010 และคิดว่าจะใช้เวลาแค่เพียง 2 ปี เท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถหาผู้สืบทอดได้ โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีผู้รับตำแหน่ง CEO หรือ Co-CEO รวมแล้วถึง 7 คน มาถึงตอนนี้ที่ทุกอย่างลงตัวแล้ว และขั้นตอนสุดท้ายคือการส่งมอบอำนาจการบริหาร เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา Ray Dalio ได้โอนสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดไปยังคณะกรรมการบริษัท รวมถึงลาออกจากตำแหน่ง CIO ของบริษัทเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง Nir Bar Dea Co-CEO ของบริษัทกล่าวว่า จะไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายจาก Ray Dalio อีกต่อไป และนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ Greg Jensen ซึ่งปัจจุบันเป็น co-CIO ร่วมกับ Bob Prince ผู้เคยเป็นพนักงานฝึกงานของบริษัทในปี 1996 และเคยดำรงตำแหน่ง CEO ในช่วงต้นของยุค 2010s ระบุว่า มันเป็นเรื่องท้าทายมาตลอด เพราะ Ray Dalio มีมุมมองที่แน่วแน่มากว่า สิ่งต่างๆ ควรดำเนินไปอย่างไร ก่อนหน้านี้ Ray Dalio ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ‘การ์ดเบสบอล’ ที่ระบุจุดแข็ง จุดอ่อน และความสามารถของพนักงานแต่ละคนเพื่อให้เลือกคนได้เหมาะกับงาน แต่ Greg Jensen มองว่าเป้าหมายคือการให้พนักงานพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ซึ่งบางเครื่องมือที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผล Greg Jensen ยังบอกใบ้ถึงสิ่งที่จะเปลี่ยนไป โดยระบุว่า Bridgewater มีแนวโน้มที่จะลงทุนในเทคโนโลยีและผู้คนมากขึ้น แม้ Ray Dalio จะคัดค้านก็ตาม ตอนนี้ถือเป็นจังหวะการส่งต่ออำนาจที่เหมาะสม เพราะก่อนหน้านี้บริษัทคาดการณ์ข้อมูลตลาดผิดพลาดไปในช่วงแรกที่โควิดระบาด โดยตั้งแต่ต้นปี กลยุทธ์การลงทุนเรือธงอย่าง Pure Alpha สามารถปรับตัวขึ้นมาได้ 34.6% อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ All Weather ปรับตัวลงมา 27.2% หลังจากลาตำแหน่ง Ray Dalio วัย 73 ปี ในฐานะผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษา CIO กล่าวว่า นี่คือการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ทันทีที่เราพร้อม เราก็เดินหน้ากันต่อ เขาระบุว่า “ผมไม่อยากอยู่ในตำแหน่งจนวันตาย” Ray Dalio กล่าวทิ้งท้ายว่า มันเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดที่ได้เห็น Bridgewater คือครอบครัวใหญ่ที่แข็งแกร่งและสุขสบายโดยไม่ต้องมีเขาแล้ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-04/dalio-gives-up-control-of-bridgewater-in-final-succession-step?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bridgewater News Update Ray Dalio เรย์ ดาลิโอ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินเฟ้อไทยเริ่มชะลอตัว ก.ย. ขยายตัว 6.41% จากปีที่แล้ว พาณิชย์คาดเงินเฟ้อทั้งปี 65 อยู่ที่ 6% - FINNOMENA ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือน ก.ย. เท่ากับ 107.70 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยายตัว 6.41% (YoY) แต่ชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค. ที่สูงขึ้น 7.86% (YoY) 5 ต.ค. 2565 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือน ก.ย. เท่ากับ 107.70 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยายตัว 6.41% (YoY) แต่ชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค. ที่สูงขึ้น 7.86% (YoY) ตามการชะลอตัวของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน เคหสถาน และเครื่องประกอบอาหาร ประกอบกับฐานดัชนีราคาฯ ที่ใช้คำนวณเงินเฟ้อในเดือนเดียวกันของปีก่อนอยู่ระดับสูง อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้ราคาสินค้าและบริการโดยรวมยังคงสูงกว่าเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการทยอยปรับราคาเพิ่มตามต้นทุนในช่วงก่อนหน้า พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมขัง และอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีส่วนทำให้เงินเฟ้อยังคงขยายตัว แต่ในอัตราที่ชะลอตัวตามที่คาดการณ์ สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อ-ขยายตัว 6.4% ได้แก่ สินค้าในกลุ่มพลังงาน ขยายตัว 16.10% (YoY) ตามการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แม้ว่าราคาจะลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ราคายังคงสูงกว่าเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ค่ากระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมชาย ยาสีฟัน แชมพู) ค่าโดยสารสาธารณะ การศึกษา ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (บุหรี่ เบียร์ สุรา) ยังสูงกว่าปีที่ผ่านมา จึงส่งผลให้สินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 4.10% (YoY) อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ แป้งผัดหน้า น้ำยารีดผ้า ค่าส่งพัสดุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า เป็นต้น สินค้าในกลุ่มอาหารสด ขยายตัว 10.97% (YoY) ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในกลุ่มเนื้อสัตว์ (เนื้อสุกร ไก่สด) ไข่ไก่ ผักสดและผลไม้ (พริกสด ผักคะน้า กะหล่ำปลี ส้มเขียวหวาน แตงโม มะม่วง) นอกจากนี้ อาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และเครื่องประกอบอาหาร ราคาเริ่มชะลอตัว แต่ยังคงสูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการผลิต ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่ง ประกอบกับพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตร ทั้งพืชผักและปศุสัตว์ประสบปัญหาจากฝนตกชุกและน้ำท่วมขัง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้น จึงส่งผลให้สินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 9.82% (YoY) อย่างไรก็ตาม สินค้าสำคัญหลายรายการ อาทิ ข้าวสารเหนียว มะพร้าวผล/ขูด มะขามเปียก กล้วยหอม และอาหารโทรสั่ง (Delivery) ราคาปรับลดลง สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก ขยายตัว 3.12% (YoY) ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า ที่สูงขึ้น 3.15% โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนนี้ เทียบกับเดือนก่อนหน้า เพิ่มขึ้นเพียง 0.22% (MoM) ตามราคาอาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวของสินค้าในกลุ่มอาหารสด ขณะที่น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท (ยกเว้นก๊าซยานพาหนะ(LPG)) สินค้ากลุ่มอาหารบางรายการ (ไก่สด ข้าวสารเจ้า เครื่องประกอบอาหาร) และสิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด ราคาปรับลดลง และดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ย 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 6.17%(AoA) ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน ก.ย. สูงขึ้น 10.5% (YoY) ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะส่งผลให้ราคาขายปลีกสินค้าลดลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ระดับ 46.4 จากระดับ 46.3 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปรับลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 สาเหตุมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดำเนินการได้เป็นปกติ สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไตรมาสที่ 4 ปี 2565 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ตามต้นทุนการผลิตและโลจิสติกส์ในประเทศ ที่เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบและอาหารโลกที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับฐานราคาที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน และมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐที่อาจจะมีเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี จะทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ตามภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และรายได้เกษตรกรที่อยู่ในระดับดี รวมถึงฝนตกชุกน้ำท่วมขังพื้นที่เกษตร ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อย และเป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง นอกจากนี้ ราคาพลังงานโลกที่ผันผวน และเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยที่ทำให้การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่จำกัด ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2565 อยู่ที่ระหว่างร้อยละ 5.5 – 6.5 (ค่ากลางร้อยละ 6.0) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของไทย ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เงินเฟ้อ เงินเฟ้อไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียบวกแรง ตาม Sentiment ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ - FINNOMENA เช้านี้ (5 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นตาม Sentiment เชิงบวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น 5 ต.ค. 2565 เช้านี้ (5 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นตาม Sentiment เชิงบวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้น อาทิ Dow Jones +2.80% , S&P 500 +3.06% , NASDAQ +3.34% และ Russell 2000 +3.71% หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ประกาศตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ลดลง 1.1 ล้านตำแหน่ง สู่ระดับ 10.1 ล้านตำแหน่งในเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 11.1 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเชื่อว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวลงต่อเนื่อง จะสร้างแรงกดดันให้ท่าทีของ Fed ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.25% ภายในสิ้นปี 2022 นี้อาจลดลง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียได้รับผลกระทบเชิงบวก อาทิ ดัชนี VNI ปรับตัวขึ้น 1.50% และ ดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวขึ้น 0.35% เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดัชนี ดัชนี HSI ที่ปรับตัวขึ้น 5.01% ตอบรับต่อการอนุญาตให้จัดกิจกรรมวิ่งมาราธอนได้ในกรุงปักกิ่ง เฉพาะชาวปักกิ่ง สะท้อนท่าทีของทางการจีนที่ผ่อนคลายลงต่อมาตรการ Zero-Covid อย่างต่อเนื่อง FINNOMENA Investment Team มองว่ายังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังตาม Recession Playbook ต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดดังกล่าว จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ยังไม่ลดลงสู่ระดับเป้าหมาย กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผ่านแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่ 2% และยังมีเรื่องของการลดขนาดงบดุล (QT) ที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรจึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk กลับลำซื้อ Twitter มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ ที่ราคาเดิม ดันราคาหุ้น Twitter วันเดียวพุ่ง 22% อยากทำให้แอปเหมือน TikTok มากขึ้น - FINNOMENA Elon Musk เปลี่ยนใจกลับมาเสนอซื้อบริษัท Twitter อีกครั้ง ในวงเงิน 44,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาเดิมที่เสนอไปคราวที่แล้วก่อนถอนตัวออกจากข้อตกลง ดันราคาหุ้น Twitter พุ่งแรงที่ 22% 5 ต.ค. 2565 Elon Musk เปลี่ยนใจกลับมาเสนอซื้อบริษัท Twitter อีกครั้ง ในวงเงิน 44,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาเดิมที่เสนอไปคราวที่แล้วก่อนถอนตัวออกจากข้อตกลง ดันราคาหุ้น Twitter พุ่งแรงที่ 22% หากดีลครั้งนี้ลุล่วง จะทำให้ Elon Musk ในฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกสามารถครอบครองหนึ่งในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อความเห็นของผู้คนมากที่สุด และถือเป็นการสิ้นสุดการต่อสู้ทางกฎหมายระยะเวลาหลายเดือน ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทั้ง Twitter และ Elon Musk ข่าวดังกล่าวส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) ราคาหุ้น Twitter พุ่งแรง 22.24% ปิดที่ $52 ขณะที่ราคาหุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ปรับตัวขึ้นมา 1.8% เช่นเดียวกัน ย้อนกลับไปเมื่อเดือน เม.ย. Elon Musk ได้เสนอดีลเพื่อซื้อ Twitter มูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ แต่ต่อมากลับยกเลิกดีลดังกล่าวโดยอ้างว่า Twitter ไม่สามารถให้ข้อมูลเรื่องบัญชีบอท รวมถึงอปฏิเสธคำขอข้อมูลเหล่านั้นหลายครั้งจากฝั่งของ Elon Musk ข่าวเปลี่ยนใจกลับมาเสนอซื้อบริษัท Twitter อีกครั้ง เปิดเผยก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดขึ้นศาลในรัฐเดลาแวร์ในวันที่ 17 ต.ค. โดยก่อนหน้านี้ Twitter พยายามขอคำสั่งจากศาลให้ Elon Musk ซื้อกิจการในราคา 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือที่ $54.20 ต่อหุ้น ขณะที่ Elon Musk ต้องการล้มดีลนี้โดยไม่ต้องจ่ายค่ายกเลิกสัญญา 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างเหตุผลละเมิดสัญญาซื้อขาย Bloomberg รายงานว่า Elon Musk ส่งจดหมายพร้อมข้อเสนอรอบใหม่ไปให้ทาง Twitter พิจารณาแล้ว แต่ทนายความของทั้ง 2 ฝั่ง ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ ขณะที่ Elon Musk ได้ออกมาทวีตข้อความภายหลังว่า การซื้อ Twitter เป็นการเร่งสร้างแอปที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่า ต้องการให้ Twitter เป็นเหมือน TikTok และ WeChat มากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมมากขึ้น อ้างอิง: https://www.voathai.com/a/6775842.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-04/musk-proposes-to-proceed-with-twitter-deal-at-54-20-a-share?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tim Cook เผย 4 ทักษะสำคัญ หากอยากเป็นพนักงานที่ Apple ทักษะ ‘การทำงานเป็นทีม’ สำคัญที่สุด ไม่มีใครทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว - FINNOMENA แม้ไม่ได้ใช้เวลาทั้งวันตรวจเรซูเม่ของผู้สมัครงานที่ Apple แต่ในฐานะซีอีโอที่ดำรงตำแหน่งมา 11 ปี Tim Cook ได้พูดถึง 4 ทักษะสำคัญที่ Apple มองหาจากพนักงาน 4 ต.ค. 2565 แม้ไม่ได้ใช้เวลาทั้งวันตรวจเรซูเม่ของผู้สมัครงานที่ Apple แต่ในฐานะซีอีโอที่ดำรงตำแหน่งมา 11 ปี Tim Cook ได้พูดถึง 4 ทักษะสำคัญที่ Apple มองหาจากพนักงาน ในพิธีเปิดงานสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัย Naples Federico II ในอิตาลี Tim Cook กล่าวว่า ความสำเร็จของ Apple นอกจากจะเกิดจากวัตนธรรมองค์กรแล้ว อีกอย่างที่สำคัญคือ ‘พนักงาน’ โดย Apple มองหาพนักงานที่มีทักษะร่วมกัน 4 อย่าง คือ 1) การทำงานเป็นทีม 2) ความคิดสร้างสรรค์ 3) ความสนใจใคร่รู้ และ 4) ความเชี่ยวชาญ Tim Cook ระบุว่า นี่เป็นสูตรผสมที่ลงตัวมากสำหรับ Apple เพราะทักษะดังกล่าวนำไปสู่วัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งมั่นแต่ยังซัพพอร์ตกัน ไม่ใช่แยกย้ายกันไปคนละมุมห้องแล้วหาวิธีสร้างเทคโนโลยีด้วยตัวคนเดียว ซีอีโอของ Apple พูดถึงทักษะดังกล่าวโดยเรียงตามความสำคัญ ซึ่ง ‘การทำงานเป็นทีม’ สำคัญที่สุด เพราะเป็นการผสมผสานทักษะที่เหลืออีก 3 อย่างเข้าด้วยกัน อย่างเช่นการจะปรับแนวคิดเก่าเพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ จำเป็นต้องใช้ทักษะการทำงานเป็นทีมร่วมกับความคิดสร้างสรรค์และความสนใจใคร่รู้ สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ในปี 2016 ที่ Tim Cook เคยบอกว่า บริษัทมองหาคนฉลาดที่เจ๋งๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ดังนั้นจึงต้องหาคนที่สามารถทำงานเป็นทีมได้ เพราะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง โดย Apple มองหา ความรู้สึกพื้นฐานที่ว่าหากมีการแชร์ไอเดียกัน ไอเดียนั้นจะเติบโต ยิ่งใหญ่ และดีขึ้น ซึ่งความร่วมมือนี่แหละคือวิธีที่ Apple ใช้สร้างผลิตภัณฑ์จนครองใจผู้บริโภคมาหลายปี Tim Cook กล่าวว่า บริษัทมองหาคนที่คิดต่าง คนที่มองเห็นปัญหาแล้วไม่ยึดติดกับว่ามันถูกแก้ไขมาแล้ว นี่อาจเป็นความคิดโบราณที่น่าเบื่อ แต่ไม่มีหรอกคำถามโง่ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดีมากเมื่อมีคนเริ่มตั้งคำถามเหมือนเด็กๆ อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าสูตรสำเร็จที่ Tim Cook อ้างนั้นประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ เพราะนอกจากปีนี้ Apple จะหลุดโผรายชื่อบริษัทที่น่าทำงานที่สุดที่จัดโดย Comparably แล้ว บริษัทยังได้คะแนนในเกรด ‘C’ ทั้งที่อยู่อันดับสูงถึง 14 เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ การจัดอันดับสถานที่น่าทำงานของ Glassdoor บริษัทยังร่วงจากอันดับที่ 31 มาอยู่ที่ 56 โดยพนักงานของบริษัทได้วิจารณ์ถึงการไม่มี work-life balance ที่ดี ตารางงานที่ไม่แน่นอน และความเครียดสูงจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่แข่งขันกัน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/02/tim-cook-says-there-are-4-traits-he-looks-for-in-apple-employees.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple News Update Tim Cook แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ปิด Google Translate ในจีน Alphabet ถอนธุรกิจ Google เกือบทั้งหมด เหตุผู้ใช้งานน้อย โดนปิดกั้น ท่ามกลางความสัมพันธ์ด้านเทคโนโลยีจีน-สหรัฐฯ ที่ย่ำแย่ - FINNOMENA Alphabet บริษัทแม่ Google ประกาศปิดบริการแปลภาษา Google Translate ในจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุผู้ใช้งานน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการสุดท้ายที่เหลืออยู่ของ Google ในประเทศจีน 4 ต.ค. 2565 Alphabet บริษัทแม่ Google ประกาศปิดบริการแปลภาษา Google Translate ในจีนแผ่นดินใหญ่ เหตุผู้ใช้งานน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการสุดท้ายที่เหลืออยู่ของ Google ในประเทศจีน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่าง Google และประเทศจีนตึงเครียดมาโดยตลอด ในปี 2010 Google ยกเลิกบริการเสิร์ชเอ็นจิ้นในประเทศจีนเนื่องจากจากการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลที่เข้มงวดบนโลกออนไลน์ ขณะที่บริการอื่นๆ เช่น Google Maps และ Gmail ก็ถูกรัฐบาลจีนปิดกั้นเช่นกัน ส่งผลให้คู่แข่งในประเทศ ทั้งบริการเสิร์ชเอ็นจิ้นของ Baidu และแอปโซเชียลมีเดียของ Tencent มีบทบาทต่อภาคเทคโนโลยีของจีนในด้านต่างๆ ตั้งแต่ การค้นหาทั่วไป ไปจนถึงการแปลภาษา Google ถูกจำกัดการดำเนินการอย่างมากในจีน แม้ว่าฮาร์ดแวร์บางตัวรวมถึงสมาร์ทโฟนของบริษัทจะผลิตที่จีนก็ตาม โดย The New York Times รายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า Google ได้ย้ายการผลิตสมาร์ทโฟน Pixel บางส่วนไปเวียดนามแทน ในปี 2018 Google เคยพยายามนำบริการเสิร์ชเอ็นจิ้นกลับเข้าสู่ประเทศจีนอีกครั้ง แต่สุดท้ายโครงการนั้นก็ถูกยกเลิกจากทั้งปัญหาเกี่ยวกับลูกจ้าง รวมถึงประเด็นทางการเมือง ธุรกิจอเมริกันตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของจีนในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีความละเอียดอ่อนในด้านต่างๆ เช่น AI และเซมิคอนดักเตอร์ ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา Nvidia ผู้ผลิตชิปในสหรัฐฯ เผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะจำกัดการขายบางชิ้นส่วนประกอบไปยังประเทศจีน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/10/03/google-shuts-down-translate-service-in-china-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet google News Update จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดเอเชียบวกแรง รับความหวัง Fed ขึ้นดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด - FINNOMENA เช้าวันนี้ (4 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นทั้งภูมิภาค หลังคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานดัชนี ISM Manufacturing PMI ออกมาที่ระดับ 50.9 จุด ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ 4 ต.ค. 2565 เช้าวันนี้ (4 ต.ค.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นทั้งภูมิภาค หลังคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานดัชนี ISM Manufacturing PMI ออกมาที่ระดับ 50.9 จุด ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 นำโดยยอดคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ที่ประกาศออกมา 47.1 และ 48.7 อยู่ในแดนหดตัวตามลำดับ สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าท่าทีของ Fed ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.25% ภายในสิ้นปี 2022 นี้อาจลดลง โดยล่าสุดนั้นความน่าจะเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม Fed วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ระดับ 0.75% ลดลงสู่ระดับ 53% จากในช่วง 1 เดือนก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 75% ส่งผลให้คืนที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวบวกขึ้น อาทิ S&P 500 +2.59%, Dow Jones +2.66% และ Nasdaq +2.27% เป็นต้น พร้อมส่งผ่าน Sentiment เชิงบวกมายังตลาดหุ้นเอเชียในเช้านี้ เช่น ดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวขึ้น 2.94% ดัชนี KOSPI ปรับตัวขึ้น 2.54% ดัชนี BSE Sensex ปรับตัวขึ้น 2.17% นำโดยหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก และสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์, กลุ่มเครื่องจักร, กลุ่มเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูง, กลุ่มค้าส่ง, กลุ่มเหมือง และสินค้าโภคภัณฑ์เป็นต้น อย่างไรก็ตาม FINNOMENA Investment Team ยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังตาม Recession Playbook ต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดดังกล่าว จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ยังไม่ลดลงสู่ระดับเป้าหมาย กดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีโอกาสผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผ่านแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่ 2% และยังมีเรื่องของการลดขนาดงบดุล (QT) ที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควรจึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ราคาน้ำมันพุ่งกว่า 5% หลัง OPEC+ เล็งปรับลดกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ครั้งใหญ่สุดในรอบกว่า 2 ปี - FINNOMENA ราคาน้ำมันดีดขึ้นกว่า 5% เพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. หลัง OPEC+ เล็งปรับลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่สุดในรอบกว่า 2 ปี 4 ต.ค. 2565 ราคาน้ำมันดีดขึ้นกว่า 5% เพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. หลัง OPEC+ เล็งปรับลดการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่สุดในรอบกว่า 2 ปี รายงานข่าวระบุว่า สมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน OPEC+ กำลังหารือแผนการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งการปรับลดเพิ่มเติมโดยความสมัครใจของประเทศสมาชิกด้วย ซึ่งมีกำหนดประชุมกันในวันที่ 5 ต.ค. นี้ ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นมาเป็นเกือบ 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันกำลังปรับตัวลดลง หลังเกิดความผันผวนอย่างหนักในตลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจนทำให้ ซาอุดิอาระเบียผู้ผลิตรายใหญ่ของกลุ่มออกมาแนะให้สมาชิกเริ่มปรับลดการผลิตได้แล้ว ที่ผ่านมา กลุ่ม OPEC+ ได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างช้าๆ มาตลอด เพื่อชดเชยกับการปรับลดครั้งใหญ่เมื่อปี 2020 แต่ราคาน้ำมันที่ตกฮวบหนักจนเหลือไม่ถึง 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กลายเป็นปัญหาใหม่ Rob Haworth นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสของ U.S. Bank Wealth Management มองว่า เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่กลุ่ม OPEC+ หารือถึงการลดปริมาณน้ำมันลงหนึ่งล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งที่ประมาณสินค้าในคลังยังตึงตัว แต่ราคาที่ลดลงเหลือ 80 ดอลลาร์ กำลังเป็นความท้าทายของกลุ่ม ก่อนหน้านี้ ธนาคารต่างๆ รวมถึง UBS และ JPMorgan ออกมาบอกว่า กลุ่ม OPEC+ อาจจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตอย่างน้อย 500,000 บาร์เรลต่อวันเพื่อให้ราคามีเสถียรภาพ ขณะที่ Goldman Sachs กล่าวว่า ต้องลดกำลังการผลิตมากกว่าหนึ่งล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อดึงนักลงทุนกลับสู่ตลาด อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับลดกำลังการผลิตจริง สหรัฐฯ น่าจะไม่พอใจอย่างมาก หลังพยายามกดดันให้ซาอุดิอาระเบียเดินหน้าผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาราคาให้อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องและเพื่อลดรายได้ของรัสเซีย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-02/oil-jumps-at-the-open-as-opec-considers-big-production-cut?sref=e4t2werz https://www.voathai.com/a/opec-plus-mulling-largest-cuts-since-2020-crisis-sources-say/6774145.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update น้ำมัน ราคาน้ำมัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดัง เตือน ฟองสบู่จากการลงทุนแบบ Passive ที่ทุกคนจะต้องเหยียบกันเอง เพื่อหนีตาย - FINNOMENA Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตฉายา 'Big Short' ผู้เคยทำนายวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ได้แม่นยำ ออกมาเตือนภาวะฟองสบู่ในการลงทุนแบบ Passive หรือกลยุทธ์ลงทุนแบบถือยาวที่ซื้อขายน้อยครั้ง 3 ต.ค. 2565 Michael Burry นักลงทุนขาชอร์ตฉายา ‘Big Short’ ผู้เคยทำนายวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ได้แม่นยำ ออกมาเตือนภาวะฟองสบู่ในการลงทุนแบบ Passive หรือกลยุทธ์ลงทุนแบบถือยาวที่ซื้อขายน้อยครั้ง เมื่อวานนี้ (2 ต.ค.) Michael Burry โพสต์ผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ความแตกต่างระหว่าง (ตลาด) ตอนนี้กับยุค 2000s คือ ฟองสบู่การลงทุนแบบ Passive ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เปรียบเสมือนโรงหนังที่ต่างแออัดไปด้วยผู้คน โดยทางเดียวที่ทุกคนจะออกจากตลาดได้คือการเหยียบย่ำกันออกไป ก่อนหน้านี้ Michael Burry ระบุว่า 13.48% ของหุ้นในดัชนี S&P 500 สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ในวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับปี 2007 โดยจุดต่ำสุดของปี 2009 คือ 1.2% และของปี 2020 คือ 2.8% อ้างอิง: https://twitter.com/michaeljburry/status/1576392971066298370 https://twitter.com/michaeljburryBC/status/1576227576682811393 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Michael Burry News Update ฟองสบู่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงแรง 3.5% - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลง 3.5% เป็นการปรับตัวลดลงแย่ที่สุดในรอบ 30 เดือน 3 ต.ค. 2565 ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VN30 ปรับตัวลง 3.5% เป็นการปรับตัวลดลงแย่ที่สุดในรอบ 30 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรมการผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ หลังจากค่าเงินดองของเวียดนามยังคงอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นเวียดนามอย่างเนื่อง รวมไปถึงผลจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากธนาคารกลางของเวียดนามปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายถึง 1% ในสัปดาห์ก่อนหน้า FINNOMENA Investment Team มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม มีภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเติบโตได้ถึง 13.7% นับว่าโดดเด่นที่สุดในภูมิภาค รวมถึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาว อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงดังกล่าวอยู่ในลักษณะของการ Panic Sell ซึ่งมีความผันผวนในระดับที่สูง ในระยะสั้นจึงแนะนำรอสัญญาณการสร้างฐานค่อยทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาวอีกครั้ง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla เปิดตัวหุ่นยนต์ Optimus ต้นทุนต่ำ คาดราคาไม่ถึง 8 แสนบาท ซอฟต์แวร์เดียวกับระบบไร้คนขับของรถยนต์ เตรียมใช้ทำงานง่ายๆ ในโรงงาน Tesla - FINNOMENA Tesla เปิดตัว Optimus หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์คล้ายมนุษย์ที่เดินออกมาทักทายแขกผู้ร่วมงาน Tesla AI Day 2022 หลังใช้เวลาพัฒนานานกว่า 13 เดือน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว 3 ต.ค. 2565 Tesla เปิดตัว Optimus หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์คล้ายมนุษย์ที่เดินออกมาทักทายแขกผู้ร่วมงาน Tesla AI Day 2022 หลังใช้เวลาพัฒนานานกว่า 13 เดือน นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว Elon Musk ผู้บริหาร Tesla ระบุว่า เป้าหมายของบริษัท คือ การสร้างหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีประโยชน์ให้เร็วที่สุด โดยใช้รูปแบบการพัฒนาเดียวกับระบบไร้คนขับของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้สามารถสร้างหุ่นยนต์ในปริมาณมากโดยใช้ต้นทุนที่ต่ำแต่มีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูง โดยต้นทุนของหุ่นยนต์ Optimus อาจมีราคาต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 756,000 บาท เพื่อให้สามารถผลิตได้ในปริมาณมากสำหรับใช้งานในโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Tesla หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ในอนาคต นอกจากนี้ Elon Musk ยังระบุว่า Optimus ถูกสร้างมาด้วยแผนการอันทะเยอทะยานที่สุดท้ายอาจนำไปสู่อนาคตที่ปราศจากความยากจน และมันคือการพลิกโฉมอารยธรรมอย่างแท้จริง หุ่นยนต์ต้นแบบสามารถเดินด้วยความเร็ว 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง น้ำหนัก 72.5 กิโลกรัม ขนาดพอ ๆ กับมนุษย์ที่มีร่างกายไม่สูงมากนัก ระบบพลังงานไฟฟ้าจากชุดแบตเตอรี่ขนาด 2.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) โดยหุ่นยนต์ตัวนี้สามารถยกสิ่งของน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม เพียงพอสำหรับการทำงานง่ายๆ ภายในโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Tesla ตามแผนการที่วางเอาไว้ ซึ่งภายในงานได้แสดงคลิปวีดิโอของ Optimus ที่ทำงานง่ายๆ อย่างรดน้ำต้นไม้ ถือกล่อง และยกแท่งเหล็ก อ้างอิง: https://www.tnnthailand.com/news/tech/126661/ https://www.beartai.com/news/itnews/1158215 https://mgronline.com/around/detail/9650000094356 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Optimus Tesla Tesla Bot แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นโลกปี 2022 สูญมูลค่าแล้ว $24 ล้านล้าน จากสถิติ 20 ปี S&P 500 +4.1% ในไตรมาส 4 ส่องความหวังไตรมาสสุดท้ายจะฟื้นตัวได้หรือไม่? - FINNOMENA ตลาดหุ้นทั่วโลกสูญมูลค่าไปแล้ว 24 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 นักลงทุนเตรียมรับมือไตรมาสสุดท้ายของปี ท่ามกลางความหวังผลประกอบการของบริษัทฟื้นตัว 3 ต.ค. 2565 ตลาดหุ้นทั่วโลกสูญมูลค่าไปแล้ว 24 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 นักลงทุนเตรียมรับมือไตรมาสสุดท้ายของปี ท่ามกลางความหวังผลประกอบการของบริษัทฟื้นตัว ดัชนี MSCI AC World ปรับตัวลงมาติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 ผลจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก และการปรับลดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ ประวัติศาสตร์อาจไม่ซ้ำรอย แต่ผลการดำเนินงานของหุ้นในอดีตอาจเป็นสัญญาณดีสำหรับหุ้นในไตรมาสสุดท้ายนี้ โดยเฉลี่ยในรอบ 20 ปี ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา 4.1% ในไตรมาสที่ 4 ส่วนดัชนี MSCI AC World ลดลงในไตรมาสที่ 4 เพียง 3 ครั้ง แต่สถิติในอดีตไม่ได้หมายความว่าบริษัทต่างๆ จะผ่านพ้นไตรมาสสุดท้ายไปได้อย่างสดใส เพราะยังมีอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่ในปี 2022 ยุคของเงินเฟ้อที่ต้นทุนสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้บริษัทต่างๆ ยังได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของธนาคารกลางส่วนใหญ่ทั่วโลก และยังมีสงครามในยูเครน วิกฤติพลังงานในยุโรป รวมถึงผลกระทบของเศรษฐกิจจีนจากการล็อกดาวน์ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นยังส่งผลกระทบต่อบริษัทในสหรัฐฯ ที่ทำธุรกิจในต่างประเทศ เช่น Nike ที่รายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ผู้นำเข้าในยุโรปกำลังเผชิญกับสกุลเงินที่อ่อนค่าลงมาก โดยกล่าวโทษดอลลาร์สำหรับแนวโน้มผลกำไรที่แย่ลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ตลาดรับรู้ความผิดหวังไปแล้วระดับหนึ่ง โดยนักวิเคราะห์ของ Bloomberg Intelligence คาดว่า กำไรของใน S&P 500 จะเพิ่มขึ้น 2.9% ในไตรมาสสุดท้าย โดยได้รับอานิสงส์จากกลุ่มพลังงานเป็นหลัก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-02/global-stocks-pin-hopes-of-year-end-rally-on-earnings-resilience?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นโลก หุ้นโลก แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับ ‘แฮปปี้มีล’ McDonald's ออกคอลเลกชั่นเอาใจผู้ใหญ่ ร่วมมือกับ Cactus Plant Flea Market - FINNOMENA ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับชุด ‘แฮปปี้มีล’ McDonald's ออกชุดแฮปปี้มีลสำหรับผู้ใหญ่ ชวนย้อนวัยรำลึกความหลังกับกล่องกระดาษแข็งสีแดงหน้ายิ้มที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อเพราะหิว แต่ซื้อเพราะอยากได้ของเล่นที่แถมมาด้วย 30 ก.ย. 2565 ไม่มีใครแก่เกินไปสำหรับชุด ‘แฮปปี้มีล’ McDonald’s ออกชุดแฮปปี้มีลสำหรับผู้ใหญ่ ชวนย้อนวัยรำลึกความหลังกับกล่องกระดาษแข็งสีแดงหน้ายิ้มที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อเพราะหิว แต่ซื้อเพราะอยากได้ของเล่นที่แถมมาด้วย McDonald’s ร่วมมือกับแบรนด์สตรีทแวร์อย่าง Cactus Plant Flea Market ออกแฮปปี้มีลเวอร์ชั่นพิเศษ ‘ The Cactus Plant Flea Market Box’ ซึ่งของเล่นแปลกตาจากเดิม เพราะต้องการดึงดูดกลุ่มผู้ใหญ่ด้วยแนวเรโทร โดยจะเริ่มวางขายในวันที่ 3 ต.ค. นี้ สำหรับเมนูในชุดพิเศษนี้ก็แตกต่างจากชุดคลาสสิคที่ปกติจะเป็นชีสเบอร์เกอร์หรือแมคนักเก็ตไก่แค่ 4 ชิ้น ซึ่งคงไม่พออิ่มท้องสำหรับผู้ใหญ่ โดยแฮปปี้มีลชุดพิเศษนี้จะมีทั้งบิ๊กแม็คหรือแมคนักเก็ตไก่ 10 ชิ้น พร้อมด้วยน้ำอัดลมและเฟรนช์ฟรายส์ สำหรับของเล่นที่แถมไปในกล่องนั้นจะมีให้เลือกสะสม 4 แบบคือ Grimace, Hamburglar, Birdie รวมถึง Cactus Buddy ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์คลาสสิคแต่จะมี 4 ตา ประธานฝ่ายการตลาดของ McDonald’s ระบุว่า บริษัทได้นำประสบการณ์ที่ชวนให้คิดถึงที่สุดครั้งหนึ่งมาทำการนำเสนอในรูปแบบใหม่แก่แฟนๆ ที่เป็นผู้ใหญ่ นอกจากชุดแฮปปี้มีลแล้ว บริษัทยังเตรียมเปิดตัวเสื้อผ้าและสินค้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นบนเว็บไซต์อีกด้วย อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/09/29/mcdonalds-is-rolling-out-a-nostalgic-new-happy-meal-for-adults.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: McDonald News Update แฮปปี้มีล แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เจาะกลยุทธ์ค่ายรถเบอร์หนึ่งของโลก Toyotaโต้เสียงวิจารณ์เข้าตลาด EV ช้า 5 เหตุผล ทำไมยังไม่ลงสนาม EV? - FINNOMENA Toyota ในฐานะเบอร์หนึ่งค่ายรถยนต์โลก ยืนหยัดใช้ ‘รถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง’ ขับเคลื่อนบริษัท ไม่สนเสียงวิจารณ์ที่บอกว่าบริษัทเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าช้าเกินไป พร้อมมองว่า การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบนั้นอาจใช้เวลานานกว่าคาด 6 ต.ค. 2565 Toyota ในฐานะเบอร์หนึ่งค่ายรถยนต์โลก ยืนหยัดใช้ ‘รถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิง’ ขับเคลื่อนบริษัท ไม่สนเสียงวิจารณ์ที่บอกว่าบริษัทเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าช้าเกินไป พร้อมมองว่า การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบนั้นอาจใช้เวลานานกว่าคาด โดย Toyota ตั้งเป้าลงทุน 70,000 ล้านดอลลาร์ ในรถยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่าจะลงทุนครึ่งนึงหรือ 35,000 ล้านดอลลาร์ในรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในระยะเวลา 9 ปี เปิด 5 เหตุผลที่ Toyota ยังไม่ลงสนามผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ในตอนนี้ 🚗ผู้บริหาร Toyota มองว่า การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคอาจใช้เวลานานกว่าคาด ‘อาคิโอะ โตโยดะ’ ผู้บริหารและทายาทรุ่นที่ 3 ของ Toyota ระบุว่า การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบนั้นใช้เวลามากกว่าที่สื่อประโคมให้ผู้บริโภคเชื่อ และเป็นเรื่องยากที่จะแบนรถยนต์แบบดั้งเดิมทั้งหมดภายในปี 2035 โดยกลยุทธ์ที่บริษัทยึดมั่นมาตลอดคือ การส่งมอบรถยนต์ที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ลูกค้าทุกคน นอกจากนี้ จากบทความ “ทำไม “Toyota” ถึงยอมตกขบวน ไม่ผลิต EV ทั้งคันออกมาขาย?” โดยสุรินทร์ เจนพิทยา ที่เผยแพร่ในกรุงเทพธุรกิจยังระบุอีก 4 เหตุผลเพิ่มเติมดังนี้ (อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1028706) 🚗Toyota เปิดโปงว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้รักษ์โลกจริง สวนทางกับกระแสที่บอกว่าถ้าอยากรักษ์โลกต้องใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ประธานอาคิโอะนั้นมองว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยโลกจริง เพราะยิ่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมามากขึ้นเท่าไหน เราก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็มาจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งปล่อยมีเทน และคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นตัวเร่งภาวะโลกร้อนอยู่ดี 🚗โครงสร้างพื้นฐานของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นนั้นลงทุนสูง และเสี่ยงภัยพิบัติ Toyota ระบุว่า ถ้าต้องวางโครงสร้างในญี่ปุ่นให้ผลิตไฟฟ้าเพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกคันจะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 14-37 ล้านล้านเยน นอกจากนี้หากเข้าสู่ฤดูร้อนที่ใช้ไฟมาก หรือเกิดภัยพิบัติต่อโรงไฟฟ้าก็จะกระทบต่อการจ่ายไฟโดยรวมได้ ทำให้ Toyota เลือกผลิตรถยนต์แบบไฮบริดแทนเพื่อกระจายความเสี่ยง 🚗การขาดแคลนวัตถุดิบในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า วัตถุดิบผลิตแบตเตอรี่ที่สำคัญมีอยู่ 3 อย่าง คือ ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งเป็นแร่ที่มีจำกัดและหมดไปได้ โดยทั้ง 3 แร่ธาตุมีแนวโน้มที่จะขาดแคลนภายในปี 2025-2040 โดยยิ่งมีผู้เล่นในตลาดนี้มาก การแย่งชิงวัตถุดิบก็สูงขึ้นตาม และ Toyota ไม่ต้องการเจอความเสี่ยงนี้ในระยะยาว 🚗Toyota ไม่ต้องการแข่งขันในตลาด Red Ocean ที่ดุเดือดเกินไป Toyota ไม่ต้องการแข่งขันในตลาด Red Ocean และมีเจ้าดังอย่าง Tesla ครองตลาดอยู่แล้วด้วย ดังนั้นบริษัทจึงหันมาลงตลาด Blue Ocean ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันอย่าง ‘รถไฮโดรเจน’ แทน ที่มีเพียง 2 เจ้าหลักคือ Toyota Mirai และ Hyundai Nexo อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-29/toyota-s-ceo-says-ev-adoption-will-take-longer-than-expected https://www.cnbc.com/2022/09/29/toyota-ceo-stands-by-electrified-vehicle-strategy-amid-criticism.html https://www.bangkokbiznews.com/auto/1028706 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Toyota รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Apple ร่วงเกือบ 5% วันเดียวสูญมูลค่า 4.56 ล้านล้านบาท หลังนักวิเคราะห์ปรับลดเรตติ้ง จากความต้องการผู้บริโภคลดลง - FINNOMENA หุ้น Apple ร่วงหนัก หลังนักวิเคราะห์ปรับลดเรตติ้งจากแนวโน้มยอดขายที่ลดลง กดดันหุ้นเทคโนโลยีร่วงทั้งกระดาน สูญมูลค่าตลาดหลายแสนล้านดอลลาร์ 30 ก.ย. 2565 หุ้น Apple ร่วงหนัก หลังนักวิเคราะห์ปรับลดเรตติ้งจากแนวโน้มยอดขายที่ลดลง กดดันหุ้นเทคโนโลยีร่วงทั้งกระดาน สูญมูลค่าตลาดหลายแสนล้านดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (29 ก.ย.) ราคาหุ้น Apple ปรับตัวลงมา 4.9% หลัง BoA ปรับลดเรตติ้งหุ้นจากแนะนำ ‘ซื้อ’ มาเป็น ‘คงน้ำหนักการลงทุน’ หรือ Neutral พร้อมเตือนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงในอุปกรณ์ยอดนิยมของ Apple ส่งผลให้มูลค่าตลาดของ Apple หายไปถึง 120,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4.56 ล้านล้านบาท ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลงมา 2.9% โดยมีหุ้นเพียง 3 ตัวในดัชนีเท่านั้นที่สามารถปิดบวกได้ ด้านหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ ปรับตัวลงมาเช่นกัน โดย Amazon และ Alphabet ลดลงมาเกือบ 3% ด้าน Microsoft Corp ลดลงมา 1.5% ตลอดปีที่ผ่านมา Apple ที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ถือว่าทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญอื่นๆ ท่ามกลางแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยีจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยในปีนี้ราคาหุ้น Apple ลดลงกว่า 20% ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ร่วงลงมาแล้ว 32% นักวิเคราะห์ของ BoA ระบุว่า ด้วยการใช้จ่ายของผู้บริโภคในภูมิภาคต่างๆ ที่คาดว่าจะลดลง สะท้อนไปยังความต้องการใช้บริการของ Apple ที่ชะลอลงให้เห็นแล้ว โดยความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์จะชะลอตัวตามมา รวมถึงแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายขึ้น อย่างไรก็ตาม BoA ยังมองว่าแนวโน้มระยะยาวของ Apple ว่ายังคงเป็นที่น่าพอใจ ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และถือว่าเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในรอบ 20 ปี โดยนักลงทุนยังเผชิญกับความเจ็บปวดจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างเข้มงวดของ Fed รวมถึงนักวิเคราะห์เริ่มปรับลดประมาณการกำไร ข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg Intelligence รายงานว่า ประมาณการการเติบโตของกำไรปี 2023 สำหรับบริษัทเทคโนโลยีใน S&P 500 ลดลงมาแล้ว 6% เทียบกับประมาณการเมื่อต้นปี อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-29/apple-hit-with-downgrade-as-bofa-sees-outperformance-at-risk?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Leapmotor เทรดวันแรกร่วง 42% หุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน เน้นระดับกลาง-สูง ทำสถิติหุ้น IPO ผลงานแย่สุดในฮ่องกงปีนี้ - FINNOMENA หุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Zhejiang Leapmotor Technology และหุ้น Onewo บริษัทในเครือ China Vanke ผู้พัฒนาอสังหาฯ ของจีน ร่วงแรงในการเปิดตัวซื้อขายวันแรก 29 ก.ย. 2565 หุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Zhejiang Leapmotor Technology และหุ้น Onewo บริษัทในเครือ China Vanke ผู้พัฒนาอสังหาฯ ของจีน ร่วงแรงในการเปิดตัวซื้อขายวันแรก หลังเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งหากรวมมูลค่าการระดมทุนของทั้ง 2 บริษัทแล้วมากกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ หุ้น Zhejiang Leapmotor ร่วงลงมากถึง 42% สู่ระดับ 25.05 ดอลลาร์ฮ่องกง จากการระดมทุนประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ หลังขายหุ้น IPO ที่ราคา 48 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของกรอบราคาที่กำหนดไว้ ขณะที่หุ้น Onewo ธุรกิจจัดการอสังหาฯ ของ China Vanke ปรับตัวลงมา 7.9% แตะ 45.45 ดอลลาร์ฮ่องกง จากการระดมทุนได้ประมาณ 739 ล้านดอลลาร์ ผ่านการทำ IPO ที่ราคา 49.35 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นระดับกลางของกรอบราคาที่เสนอขาย นี่ถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับบริษัทจีนในการเสนอขายหุ้น IPO โดยข้อมูล Bloomberg รายงานว่า จากทั้งหมด 16 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงในปีนี้ที่สามารถระดมทุนได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์นั้น มี 8 บริษัทปิดการซื้อขายวันแรกต่ำกว่าระดับ IPO ขณะที่อีก 3 บริษัทปิดทรงตัว และมีเพียง 5 บริษัทที่เคลื่อนไหวเหนือระดับราคา IPO Shifara Samsudeen นักวิเคราะห์ของ LightStream Research ระบุว่า ราคา IPO ของหุ้น Leapmotor ถือว่าแพง แม้ราคาจะอยู่ที่จุดต่ำสุดของกรอบราคาที่กำหนดไว้ก็ตาม ขณะที่การ IPO มีผู้ต้องการซื้อไม่มากพอ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่อ่อนแอ Shifara Samsudeen เสริมว่า ต้นทุนของอัตรากำไรขั้นต้นคือปัจจัยสำคัญในการขยายส่วนแบ่งการตลาด ตอนนี้ Leapmotor กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้กำไรขั้นต้น ขณะที่คู่แข่งในประเทศทั้งหมดทำกำไรขั้นต้นได้อย่างเหมาะสมไปแล้ว ตามหนังสือชี้ชวนการเสนอขาย Leapmotor มุ่งเป้าไปที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับกลางถึงสูง โดยมีช่วงราคาอยู่ที่ 150,000 ถึง 300,000 หยวน ซึ่งเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตเร็วที่สุดภายในปี 2023 ขณะที่ภาคอสังหาฯ จีน ยังคงได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การล็อกดาวน์ส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้านจากผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เผชิญปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้ว China Vanke สามารถรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้ ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO ของ Onewo มีสัญญาณดีกว่าหุ้น Leapmotor หลังการ IPO ของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว นักลงทุนกำลังจับตาการ IPO ของหุ้น CALB ซัพพลายเออร์แบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้าของจีนในวันที่ 6 ต.ค. หลังบริษัททเพิ่งระดมทุนได้ 1,300 ล้านดอลลาร์ เมื่อวานนี้ (28 ก.ย) อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-28/ev-maker-china-vanke-s-unit-to-face-rough-market-in-hk-debut?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Zhejiang Leapmotor ตลาดหุ้นฮ่องกง รถยนต์ไฟฟ้าจีน หุ้นฮ่องกง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ฮอนด้าให้เปลี่ยนชิ้นส่วนชุดถุงลมฟรี รุ่นไหนเข้าข่าย เช็คที่นี่ - FINNOMENA ฮอนด้า จัดแคมเปญ “เปลี่ยน…ให้ปลอดภัย เพราะเราห่วงใยไม่เคยเปลี่ยน” เชิญชวนลูกค้าตรวจสอบรถยนต์ ในข่ายต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนในชุดถุงลม เข้ารับบริการฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ณ ศูนย์บริการฮอนด้า ทั่วประเทศ 29 ก.ย. 2565 ฮอนด้า จัดแคมเปญ “เปลี่ยน…ให้ปลอดภัย เพราะเราห่วงใยไม่เคยเปลี่ยน” เชิญชวนลูกค้าตรวจสอบรถยนต์ ในข่ายต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนในชุดถุงลม เข้ารับบริการฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ณ ศูนย์บริการฮอนด้า ทั่วประเทศ หลังจากเกิดเหตุการณ์ตรวจพบความบกพร่องของชิ้นส่วนในระบบถุงลมนิรภัยทาคาตะ ในรถยนต์หลายยี่ห้อ ทำให้ต้องเรียกรถเข้าไปเปลี่ยนชิ้นส่วนทั่วโลก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ฮอนด้า ได้เริ่มต้นเชิญชวนลูกค้าให้นำรถยนต์เข้ารับการตรวจสอบและเปลี่ยนชิ้นส่วนในชุดถุงลมแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ครอบคลุมผู้ใช้รถยนต์รุ่นที่เข้าข่ายได้มากที่สุดตั้งแต่ปี 2557 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน พบว่ายังมีลูกค้าบางส่วนที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ ซึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนผู้ครอบครองรถยนต์ใหม่ ทำให้ไม่สามารถติดต่อลูกค้ากลุ่มนี้ได้ ดังนั้น ฮอนด้าจึงใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับเจ้าของรถกลุ่มด้งกล่าว และล่าสุดจัดกิจกรรมแคมเปญ “เปลี่ยน… ให้ปลอดภัย เพราะเราห่วงใยไม่เคยเปลี่ยน” ให้ลูกค้านำรถยนต์เข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการฮอนด้าทั่วประเทศ 228 แห่ง ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น โดยรถที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบและเปลี่ยนชิ้นส่วนในชุดถุงลม เป็นรถรุ่นปี 1998–2014 หรือ พ.ศ. 2541–2557 ประกอบด้วย บริโอ้ รุ่นปี 2012-2014 (พ.ศ. 2555–2557) บริโอ้ อเมซ รุ่นปี 2014 (พ.ศ. 2557) ซิตี้ รุ่นปี 1998–1999 (พ.ศ. 2541–2542) ซิตี้ รุ่นปี 2003– 2013 (พ.ศ. 2546–2556) แจ๊ซ รุ่นปี 2004–2006 (พ.ศ. 2547–2549) แจ๊ซ รุ่นปี 2009–2013 (พ.ศ. 2552–2556) ซีวิค รุ่นปี 2001–2014 (พ.ศ. 2544–2557) แอคคอร์ด รุ่นปี 1998–2000 (พ.ศ. 2541–2543) แอคคอร์ด รุ่นปี 2003–2012 (พ.ศ. 2546–2555) ซีอาร์-วี รุ่นปี 1998–2000 (พ.ศ. 2541–2543) ซีอาร์-วี รุ่นปี 2002–2011 (พ.ศ. 2545–2554) ซีอาร์-วี รุ่นปี 2013 (พ.ศ. 2556) สตรีม รุ่นปี 2002–2004 (พ.ศ. 2545–2547) ฟรีด รุ่นปี 2009–2013 (พ.ศ. 2552–2556) โอดิสซีย์ รุ่นปี 1998–1999 (พ.ศ. 2541–2542) โอดิสซีย์ รุ่นปี 2004–2006 (พ.ศ. 2547–2549) ฮอนด้า ระบุว่า เจ้าของรถยังสามารถตรวจสอบรถยนต์ว่าเข้าข่ายต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนในถุงลม หรืไม่ด้วยตัวเองได้เช่นกัน ด้วยการกรอกหมายเลขตัวถังรถยนต์ ได้ที่ https://vinsearch.honda.co.th/ หรือติดต่อ Honda Call Center โทร 02 341 7777 กด 0 ซึ่งให้บริการ ตลอด 24 ชั่วโมง อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1029081 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ ฮอนด้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เปิดตัวกองทุนใหม่ ‘Ark Venture Fund’ ตั้งเป้านักลงทุนรายย่อย ลงทุน VC ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง $500 เท่านั้น - FINNOMENA Cathie Wood เปิดตัวกองทุน Venture Capital (VC) กองใหม่ โดยตั้งเป้าไปที่นักลงทุนรายย่อย ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง $500 เท่านั้น 28 ก.ย. 2565 Cathie Wood เปิดตัวกองทุน Venture Capital (VC) กองใหม่ โดยตั้งเป้าไปที่นักลงทุนรายย่อย ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง $500 เท่านั้น Venture Capital (VC) หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุน ถือเป็นแหล่งเงินทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ธุรกิจได้ โดยมักจะมีการลงทุนร่วมทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งโดยปกติมักจะไม่ได้เปิดลงทุนกับบุคคลทั่วไปเพราะมีความเสี่ยงสูง Ark Invest ให้รายละเอียดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า (27 ก.ย.) Ark Venture Fund กองทุนใหม่ของบริษัทจะลงทุน 70% ในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ และอีก 30% ในบริษัทมหาชน โดยมีกลยุทธ์ตามแบบฉบับของ Ark คือ ลงทุนในบริษัทนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนในกองทุนใหม่ดังกล่าวผ่านแอปที่ชื่อว่า Titan ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนโดย Andreessen Horowitz Cathie Wood ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า Ark วางเดิมพัน 2 เท่าในหุ้นนวัตกรรม โดยบริษัทกำลังเปลี่ยนจากโซเชียลมีเดียและการตลาด ไปสู่การกระจายไปยังผู้บริโภคโดยตรง ตอนนี้ Ark กำลังนำเสนอสิ่งที่นักลงทุนไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน ซึ่งมันน่าตื่นเต้นมาก Ark Invest ระบุว่า กองทุน Ark Venture Fund เก็บค่าธรรมเนียมการจัดการคงที่อยู่ที่ 2.75% โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุนจะอยู่ที่ 4.22% Ark ออกกองทุนใหม่มาในช่วงเวลาที่ผลตอบแทน ARKK กองทุนเรือธงของบริษัทนั้นย่ำแย่ โดย ARKK ร่วงลงกว่า 60% ในปีนี้ และร่วงมากกว่า 70% จากระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ในเดือน พ.ย. อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/09/27/cathie-woods-new-fund-gives-small-investors-access-to-the-vc-market-for-just-500.html https://www.disruptignite.com/blog/introduction-to-venture-capital https://classic.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc#:~:text=Venture%20Capital%20(VC)%20%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88,%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: iPhone 14 ยอดขายไม่ปัง Apple ล้มแผนเพิ่มกำลังการผลิต หลังคนสนใจตระกูล Pro มากกว่า - FINNOMENA Apple ล้มแผนเพิ่มกำลังการผลิต iPhone 14 หลังยอดขายไม่ดีเท่าที่คาด เหตุคนสนใจตระกูล Pro มากกว่า 28 ก.ย. 2565 Apple ล้มแผนเพิ่มกำลังการผลิต iPhone 14 หลังยอดขายไม่ดีเท่าที่คาด เหตุคนสนใจตระกูล Pro มากกว่า วันนี้ (28 ก.ย.) Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Apple ยกเลิกแผนการเพิ่มกำลังการผลิต iPhone รุ่นใหม่ ที่ตอนแรกตั้งเป้าว่าจะผลิตให้ได้มากถึง 6 ล้านเครื่อง ในครึ่งหลังของปี 2022 โดยสาเหตุที่ยกเลิกเป็นเพราะความต้องการและยอดขายจริงต่ำกว่าที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม มีการตั้งเป้าที่จะผลิตโทรศัพท์ให้ได้ 90 ล้านเครื่อง ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และสอดคล้องกับคาดการณ์เดิมของ Apple ก่อนประกาศแผนเพิ่มการผลิต อีกหนึ่งหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แผนเพิ่มการผลิต iPhone 14 ต้องจบลง เพราะความนิยมในกลุ่ม iPhone 14 Pro เพิ่มสูงขึ้น ด้วยหลายปัจจัยรวมถึงการที่สเป็กของ iPhone 14 คล้ายกับ iPhone 13 มาก จนทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่คุ้ม และนำไปสู่การล้มแผนเพิ่มการผลิตในที่สุด ด้วยยอดขายกลุ่ม iPhone 14 ที่ลดลง ทำให้ซัพพลายเออร์บางรายเตรียมปรับมาผลิตกลุ่มรุ่น Pro ซึ่งความนิยมสูงกว่าแทน ก่อนหน้านี้ South China Morning Post ได้รายงานว่า ยอดขายกลุ่ม iPhone 14 ช่วง 11 วันแรกของการเปิดตัว ลดลงมากถึง 71% เมื่อเทียบกับยอดขาย iPhone 13 ในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่กลุ่ม iPhone 14 Pro ยอดขายเพิ่มขึ้น 38% อ้างอิง: https://www.prachachat.net/ict/news-1063788 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.00% มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง - FINNOMENA กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.00% มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง คาด GDP ปีนี้โต 3.3% แต่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า จากเดิม 4.2% เหลือ 3.8% พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้และปีหน้า 28 ก.ย. 2565 กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.00% มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง คาด GDP ปีนี้โต 3.3% แต่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีหน้า จากเดิม 4.2% เหลือ 3.8% พร้อมปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้และปีหน้า นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 28 กันยายน 2565 ระบุว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 1.00 ต่อปี โดยให้มีผลทันที เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาแม้แรงกดดันด้านอุปทานจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มคลี่คลาย ในภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใกล้เคียงกับที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้า คณะกรรมการฯ เห็นว่าการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี ในการประชุมครั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.3 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความทั่วถึงมากขึ้น ทั้งในมิติของสาขาธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการและในมิติของรายได้ที่เริ่มกระจายตัวดีขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงกว่าคาดส่งผลต่อภาคการส่งออก แต่ไม่ได้กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 และ 2.6 ตามลำดับ โดยมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกและปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.6 และ 2.4 ตามลำดับ โดยโน้มสูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ด้านค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นในบางภาคธุรกิจและบางพื้นที่ที่ขาดแคลนแรงงาน แต่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นในวงกว้าง นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังมีจำกัดเนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการฯ จะติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้นหากผู้ประกอบการเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนหลายด้านพร้อมกัน ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ในบางสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มที่ยังอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลาย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทยอยปรับสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุน ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าเร็วและต่อเนื่องตามการแข็งค่าของดอลลาร์ สรอ. สอดคล้องกับสกุลเงินในภูมิภาค คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว และในกรณีที่แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ คณะกรรมการฯ พร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมต่อไป ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลาง แบงก์ชาติ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงต่อ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในรอบ 20 ปี - FINNOMENA เช้านี้ (28 ก.ย.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงต่อ จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่สุดในรอบ 20 ปี 28 ก.ย. 2565 เช้านี้ (28 ก.ย.) ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงต่อ จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่สุดในรอบ 20 ปี หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ หนุนความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว และโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในนานาประเทศที่เปราะบางจากการมีหนี้เป็นสกุลเงินสหรัฐฯ สูง และยังส่งผลให้เงินทุนจะไหลออกจากตลาดหุ้นประเทศต่าง ๆ กลับไปยังสหรัฐฯ กดดันให้สกุลเงินประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอ่อนตัวลงต่อเนื่อง อาทิ สกุลเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง 4% นับจากต้นเดือน สู่ระดับ 7.22 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤติ Subprime ปี 2008 จากนโยบายการเงินที่สวนทางกันของ PBOC กับ Fed ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อุปสงค์ภายในประเทศซบเซาจาก Zero-Covid Policy ส่วนฝั่งญี่ปุ่นค่าเงินเยนเริ่มอ่อนค่าเข้าใกล้ 145 เยนต่อดอลลาร์ เท่ากับระดับที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเข้าแทรงแซงเมื่อสัปดาห์ก่อน จากนโยบายการเงินที่สวนทางเช่นเดียวกัน โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการแทรกแซงนั้น อาจส่งผลให้เงินสำรองของญี่ปุ่นลดลงไปกว่า 3.6 ล้านล้านเยน หรือ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในอนาคต และสกุลเงินวอนเกาหลีใต้ที่แตะระดับ 1,439 วอนต่อดอลลาร์ อ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 จากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก และสะท้อนว่าการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าของธนาคารกลางเกาหลีใต้อาจกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในอนาคต เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ดัชนี KOSPI ปรับตัวลง -2.81% ดัชนี HSI ปรับตัวลง -2.19% ดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวลง -2.15% ดัชนี TOPIX ปรับตัวลง -1.72% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้น Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ผ่านแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายที่ 2% และยังมีเรื่องของการลดขนาดงบดุล (QT) ที่ตลาดยังไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร จึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ตาม Recession Playbook ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ถูกหวยรางวัลที่ 1 แต่ไม่มีความสุข?! หนุ่มอินเดีย ‘เสียใจ’ ที่ถูกรางวัลใหญ่ 115 ล้านบาท เหตุมีคนขอยืมเงินไม่ขาดสาย จนออกจากบ้านไม่ได้ - FINNOMENA ความฝันสูงสุดของคุณคืออะไร? เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบยอดฮิตทีเล่นทีจริงของหลายคนคือ อยากถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่มีชายอินเดียที่รู้สึก ‘เสียใจ’ และ ‘ไม่มีความสุข’ หลังได้รางวัลใหญ่ 115 ล้านบาท มาดูเหตุผลกันว่าทำไม 27 ก.ย. 2565 ความฝันสูงสุดของคุณคืออะไร? เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบยอดฮิตทีเล่นทีจริงของหลายคนคือ อยากถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 แต่มีชายอินเดียที่รู้สึก ‘เสียใจ’ และ ‘ไม่มีความสุข’ หลังได้รางวัลใหญ่ 115 ล้านบาท มาดูเหตุผลกันว่าทำไม สำนักข่าวบีบีซีเล่าเรื่องราวของ ‘อะนูป’ ที่ชีวิตปกติของเขาคือ คนขับรถสามล้อในรัฐเกรละ ทางตอนใต้ของอินเดีย แต่เมื่อกลาง ก.ย. เดือนที่ผ่านมา อะนูปถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่เป็นเงินถึง 250 ล้านรูปี หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 115 ล้านบาท ซึ่งนี่เป็นเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิต เพราะมันทำให้เขา ‘ไม่มีความสุข’ “ผมหวังว่าผมจะไม่ถูกลอตเตอรี่ ถูกรางวัลที่ 3 ยังดีเสียกว่า” อะนูปกล่าว หลังถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ สื่ออินเดียต่างพาดหัวข่าวรายงานถึงเรื่องของเขาและครอบครัว เพราะถือเป็นเงินรางวัลก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐเกรละ ซึ่งในตอนนั้นอะนูปยังให้สัมภาษณ์อยู่เลยว่า “ผมรู้สึกดีใจมากตอนที่ถูกลอตเตอรี่ คนจำนวนมาก และกล้องของสื่อ มาคอยทำข่าวผมที่บ้าน พวกเรามีความสุขนะ” แต่ความสุขอยู่ได้ไม่นานเพราะสถานการณ์เกินควบคุม หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อะนูปต้องโพสต์วิดีโอลงโซเชียลอ้อนวอนให้เหล่าคนแปลกหน้าเลิกรังควานเขาและครอบครัวเสียที เพราะมีคนเข้ามาขอยืมเงินไม่ขาดสาย อะนูปเล่าว่า เขาไม่สามารถออกจากบ้านได้ ขนาดลูกชายป่วยเขายังพาลูกไปหาหมอไม่ได้เลย เพราะมีกลุ่มคนที่รุมล้อมบ้านเขา เพื่อมาขอเงินในทุกเช้า แม้จะบอกกลุ่มคนเหล่านั้นไปแล้วว่ายังไม่ได้เงินมาเลย แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่เข้าใจ แม้จะอธิบายไปกี่ครั้งก็ตาม โดยตอนนี้ครอบครัวของอะนูปต้องต้องไปอยู่บ้านญาติเพื่อหนีความสนใจของผู้คนและสื่อมวลชน ด้านรัฐบาลรัฐเกรละออกมาระบุว่า จะจัดชั้นเรียนสอนการบริหารเงินให้อะนูป 1 วันเต็ม เพื่อให้เขาดูแลจัดการเงินรางวัลที่ได้รับไปได้ อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/articles/c8v428d4lz9o ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ถูกหวย ลอตเตอรี่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ชาวฮ่องกงเฮ ได้เที่ยวแล้ว จองตั๋วเครื่องบินเพิ่ม 400% จุดหมายหลักคือ โอซาก้า โตเกียว และกรุงเทพฯ ส่วนยอดจองเที่ยวบินไปฮ่องกงเพิ่มขึ้น 155% - FINNOMENA เว็บไซต์ Trip.com ของฮ่องกง รายงานยอดจอดตั๋วเครื่องบินขาออกจากฮ่องกงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 - 25 ก.ย.) เพิ่มขึ้น 400% 27 ก.ย. 2565 เว็บไซต์ Trip.com ของฮ่องกง รายงานยอดจอดตั๋วเครื่องบินขาออกจากฮ่องกงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 – 25 ก.ย.) เพิ่มขึ้น 400% เมื่อเทียบกับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า (17 – 18 ก.ย.) หลังรัฐบาลฮ่องกงประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด รวมถึงยกเลิกการกักตัวที่โรงแรม ชาวฮ่องกงส่วนใหญ่จองเดินทาช่วงวันหยุดยาวแห่งชาติต้นเดือน ต.ค. รวมถึงช่วงคริสมาสต์ โดยระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3-4 วัน และมีภูมิภาคเอเชียเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวฮ่องกงคือ กรุงเทพ โซล โตเกียว สิงคโปร์ และโอซาก้า โดยยอดจองตั๋วเครื่องบินไปโอซาก้าในสุดสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นถึง 7,300% จากสุดสัปดาห์ก่อนหน้า ส่งผลให้ราคาหุ้น Trip.com ในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นมาถึง 6.7% เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.) ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้น 5.1% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ก.ย.) ส่วนการเดินทางขาเข้ามายังฮ่องกงนั้น ยอดจองตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้น 155% เทียบกับสุดสัปดาห์ก่อนหน้า โดยระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้เข้าพักจองโรงแรมอยู่ที่ 5 วัน Eddy Yip หัวหน้าฝ่ายอีคอมเมิร์ซในฮ่องกงและไต้หวันระบุว่า นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนโยบาย 0+3 ของฮ่องกง ที่มีข้อจำกัดใน 3 วันแรกที่เดินทางมาถึง เช่น ไม่อนุญาตให้เข้าไปในบาร์และร้านอาหาร แต่บริษัทเชื่อว่ายอดจองขาเข้ามายังฮ่องกงจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไตรมาสที่ 4 ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับผู้ร่วมก่อตั้งและ COO ของ Klook ระบุว่า จุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของชาวฮ่องกงคือ ญี่ปุ่น ตามมาด้วยกรุงเทพ โดยหลายคนใช้โอกาสจากวันหยุดยาวในเดือน ต.ค. และอดใจรอไม่ไหวที่จะกลับไปเที่ยว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-26/flight-bookings-out-of-hong-kong-leap-400-with-osaka-up-7-300 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ฮ่องกง แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ลาดหุ้นสหรัฐฯ ปั่นป่วน S&P 500 ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี 2022 ท่ามกลางความวุ่นวายของสกุลเงินทั่วโลก - FINNOMENA ดัชนี S&P 500 ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี 2022 ด้านดัชนี Dow Jones เข้าสู่ตลาดขาลงหรือภาวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังการเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงความวุ่นวายในสกุลเงินทั่วโลก 27 ก.ย. 2565 ดัชนี S&P 500 ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี 2022 ด้านดัชนี Dow Jones เข้าสู่ตลาดขาลงหรือภาวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังการเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงความวุ่นวายในสกุลเงินทั่วโลก โดยเมื่อวานนี้ (26 ก.ย.) ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงมา 1.03% ปิดที่ 3,655.04 ซึ่ง ณ จุดหนึ่งร่วงลงสู่ 3,644.76 ทำสถิติจุดต่ำสุดใหม่ของปี 2022 ขณะที่ดัชนี Dow Jones ลดลง 1.11% สู่ 29,260.81 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลงมา 0.6% อยู่ที่ 10,802.92 จุด ขณะที่เงินปอนด์อังกฤษอ่อนค่าหนักสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอ่อนค่าลง 4% ซึ่งที่จุดหนึ่งอยู่ที่ปอนด์ละ 1.0382 ดอลลาร์ ผลจากการคาดการณ์ว่าธนาคารอังกฤษอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างเข้มงวดกว่าเดิมเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed รวมถึงการประกาศลดภาษีของอังกฤษเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินยูโรอ่อนค่าสุดนับตั้งแต่ปี 2002 เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทข้ามชาติในสหรัฐฯ และยังสร้างความเสียหายให้กับการค้าทั่วโลกเพราะส่วนใหญ่ทำธุรกรรมเป็นดอลลาร์ Michael Wilson หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นสหรัฐฯ ของ Morgan Stanley มองว่า ในประวัติศาสตร์นั้น ดอลลาร์ที่แข็งค่าเช่นนี้เคยนำไปสู่วิกฤติทางการเงินหรือทางเศรษฐกิจบางประเภท ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ (26 ก.ย.) โดย ณ จุดหนึ่งระหว่างวัน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีอยู่ที่ 3.9% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2010 ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี พุ่งทะลุ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/09/25/stock-market-futures-open-to-close-news.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เนต้า V’ พร้อมส่งมอบแล้ว ล็อตแรก 28 คัน ในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ไม่รอ MOU บริษัทซัพพอร์ตส่วนต่าง ขาย 5.49 แสนบาท จาก 7.6 แสนบาท - FINNOMENA เนต้าเตรียมส่งมอบ ‘เนต้า V’ ล็อตแรก 28 ก.ย. นี้ ทั้งหมด 28 คัน แม้ไม่รอเซ็น MOU แต่สามารถขายราคาที่หักเงินอุดหนุนจากทางกรมสรรพสามิตเรียบร้อย คือ 5.49 แสนบาท จากราคาปกติ 7.6 แสนบาท 26 ก.ย. 2565 เนต้าเตรียมส่งมอบ ‘เนต้า V’ ล็อตแรก 28 ก.ย. นี้ ทั้งหมด 28 คัน แม้ไม่รอเซ็น MOU แต่สามารถขายราคาที่หักเงินอุดหนุนจากทางกรมสรรพสามิตเรียบร้อย คือ 5.49 แสนบาท จากราคาปกติ 7.6 แสนบาท ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด เผยว่า ขณะนี้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น เนต้า V จำนวนเกือบ 100 คันได้ทยอยผ่านด่านศุลากรที่แหลมฉบังเป็นที่เรียบร้อย และทางบริษัทได้แจ้งทาง ‘บีอาร์จี’ ดีลเลอร์ใหญ่ให้ส่งจดหมายแจ้งลูกค้าลอตแรกที่ซื้อในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา โดยจะทำการส่งมอบรถยนต์จำนวน 28 คัน ในวันที่ 28 ก.ย. นี้ ‘บีอารจี ศรีนครินทร์’ หลังจากนั้นจะทยอยส่งมอบไปเรื่อยๆ โดยคาดว่าลูกค้าจำนวน 100 ราย ที่ซื้อในงานมอเตอร์โชว์น่าจะได้รถไม่เกินไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทระบุว่า ตอนนี้เนต้า V มียอดจองทั่วประเทศแล้วเกือบ 3,000 คัน สาเหตุที่ล่าช้านอกจากปัญหาเรื่องซัพพลายโดยเฉพาะชิปแล้ว ยังมีปัญหาเอกสารที่จะใช้ผ่านพิธีการศุลกากรอีกส่วน ซึ่งตอนนี้แก้ปัญหาได้หมดแล้ว ส่วนประเด็นการทำบันทึกข้อตกลงเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากับทางกรมสรรพสามิต แม้ว่าเนต้าจะยังไม่ได้เซ็น MOU แต่กระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะการกำหนดราคาผ่านครบถ้วน ดังนั้นราคาขายเนต้า V คือราคาที่หักเงินอุดหนุนจากทางกรมสรรพสามิตเรียบร้อย คือ 5.49 แสนบาท จากราคาปกติ 7.6 แสนบาท โดยทางบริษัทระบุว่า ดีลเลอร์สามารถขายในราคานี้ได้เลย ทางเนต้าประเทศไทยซัพพอร์ตส่วนต่างนี้ไว้ทั้งหมดก่อน อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1057755 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: NETA NETA V News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลบ จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง ได้รับแรงกดดันจาก Sentiment ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% มากที่สุดนับตั้งแต่ 2008 26 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง ได้รับแรงกดดันจาก Sentiment ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% มากที่สุดนับตั้งแต่ 2008 พร้อมท่าทีที่ Hawkish มากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านทาง Dot Plot ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.25% ในช่วงสิ้นปีนี้ จากการประชุม 2 ครั้ง พร้อมกันนั้นยังปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจลงทั้งการเติบโตที่ลดลง และอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น สอดคล้องกับการระบุว่าโอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น สวนทางคาดการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงกว่าเดิมกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง 2.66% และดัชนี Topix ปรับตัวลง -2.75% นำโดย Toyota Motor ปรับตัวลง 3.2% จากตัวเลขการผลิตรายเดือนต่ำกว่าคาด รวมถึงความกังวลในการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นผ่านการใช้เงินทุนสำรอง แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำและยังคงใช้ Yield Curve Control ในการกระตุ้นเศรษฐกิจสวนทางกับธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลก ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VNI ลบ -3.63% และดัชนี VN30 ลบ -3.53% หลังจากที่ธนาคารกลางของเวียดนามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1% เป็น 5% ในสัปดาห์ก่อน เพื่อป้องกันการอ่อนค่าเงินของค่างินดอง ที่อ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และเกิดแรงกดดันจากเงินทุนที่ไหลออกจากประเทศเวียดนาม เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลต่อผลประกอบการบริษัทที่จะออกมาแย่ลง FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้น Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ดอกเบี้ยจะยังคงสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อต้องการลดเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย และยังมีการลดขนาดงบดุล (QT) ที่เริ่มทำได้ตามเป้าหมายที่ Fed วางเอาไว้ จึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ตาม Recession Playbook ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: WFH แล้วทำงานดีขึ้นหรือแย่ลง? Microsoft เผย พนักงานรู้สึกว่าทำได้เหมือนเดิมหรือดีขึ้น แต่มุมมองเจ้านายรู้สึกไม่เห็นด้วย - FINNOMENA ผลสำรวจล่าสุดของ Microsoft ที่มีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่กว่า 20,000 ราย ใน 11 ประเทศ พบว่า พนักงานและเจ้านายมีมุมมองไม่ตรงกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานเมื่อทำงานที่บ้าน (WFH) 23 ก.ย. 2565 ผลสำรวจล่าสุดของ Microsoft ที่มีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่กว่า 20,000 ราย ใน 11 ประเทศ พบว่า พนักงานและเจ้านายมีมุมมองไม่ตรงกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานเมื่อทำงานที่บ้าน (WFH) โดย 87% ของพนักงานรู้สึกว่า การทำงานที่บ้านนั้นมีประสิทธิภาพเท่ากับหรือมากกว่าการทำงานที่ออฟฟิสด้วยซ้ำ ขณะที่ 80% ของเจ้านายกลับรู้สึกไม่เห็นด้วย Satya Nadella ซีอีโอของ Microsoft ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ความตึงเครียดนี้ควรได้รับการแก้ไข เพราะสถานที่ทำงานมีแนวโน้มที่จะไม่กลับมาเป็นเหมือนตอนก่อนเกิดโควิดแล้ว โดยซีอีโอของ Microsoft บอกว่า เราต้องก้าวผ่าน ‘ความหวาดระแวง’ เกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงาน เพราะเกิน 80% ของคนทำงานรุ้สึกว่าพวกเขาทำงานได้มีประสิทธิภาพดี แต่ดันสวนทางกับมุมมองของเจ้านาย นั้นหมายความว่า ‘สิ่งที่รู้สึกจริงๆ’ ของพนักงาน กับ ‘ความคาดหวัง’ ของเจ้านายนั้นไม่เชื่อมโยงกัน ตอนนี้วัฒนธรรมการทำงานที่ไหนก็ได้ (Remote Working) กลายเป็นเรื่องปกติ โดย Ryan Roslansky ซีอีโอของ LinkedIn บริษัทในเครือ Microsoft ระบุว่า จากงานทั้งหมด 14-15 ล้านตำแหน่ง ก่อนหน้าการระบาดของโควิด มีงานที่เสนอการ Remote Working อยู่ที่เพียง 2% แต่ในเดือนนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% และในช่วงก่อนๆ ที่ผ่านมา นั้นสูงถึง 20% Satya Nadella ระบุว่า มีพนักงาน 70,000 คน ที่มาร่วมงานกับ Microsoft ในช่วงการระบาดของโควิด โดยตอนนี้พนักงานของบริษัทสามารถทำงานที่บ้านได้ 50% ของเวลาทำงานทั้งหมด แต่หากต้องการมากกว่านั้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้บริหาร หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนสัญญาเป็นการจ้างแบบ Part-Time แทน อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรับมือกับ Gen Z หรือคนที่เกิดในปี 1997 เพราะผลการศึกษาพบว่า ในช่วงพีคนั้น ผู้ใช้งาน LinkedIn เปลี่ยนงานเพิ่มขึ้นถึง 50% จากปีที่แล้ว และเพิ่มขึนถึง 90% ในกลุ่ม Gen Z ซีอีโอของ LinkedIn ระบุว่า ในปี 2030 กลุ่ม Gen Z จะกลายมาเป็นสัดส่วน 30% ของแรงงานทั้งหมด ดังนั้นเจ้านายหรือคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าต้องเข้าใจความต้องการของพวกเขา อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-62980639 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Microsoft News Update Work From Home แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ลงจากตำแหน่ง ‘ผู้จัดการกองทุน’ ARK 3D Printing และ ARK Israel แล้ว หลังถูกวิจารณ์มีกองทุนที่รับผิดชอบมากเกินไป ส่วน ARKK ร่วงเกือบ 60% YTD - FINNOMENA ตามรายงานที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ‘Cathie Wood’ ซีอีโอของ Ark Invest ที่เคยทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2020 ได้ลงจากตำแหน่ง ‘ผู้จัดการกองทุน’ ใน 2 กองทุนของ Ark เรียบร้อยแล้ว 23 ก.ย. 2565 ตามรายงานที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. สหรัฐฯ ‘Cathie Wood’ ซีอีโอของ Ark Invest ที่เคยทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่นในปี 2020 ได้ลงจากตำแหน่ง ‘ผู้จัดการกองทุน’ ใน 2 กองทุนของ Ark เรียบร้อยแล้ว โดย William Scherer ผู้จัดการฝ่ายเทรดของบริษัทตั้งแต่ปี 2014 จะมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการกองทุนของกอง ARK 3D Printing ETF (PRNT) and ARK Israel Innovative Technology ETF (IZRL) แทน มีผลตั้งแต่ ก.ย. กองทุน PRNT ที่เน้นการลงทุนในเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 196.7 ล้านดอลลาร์ ส่วนกองทุน IZRL มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 115.4 ล้านดอลลาร์ ผลการดำเนินงานของ 2 กองทุนดังกล่าวค่อนข้างย่ำแย่ โดยตั้งแต่ต้นปี PRNT ติดลบไปเกือบ 41% ขณะที่ ARK Israel ETF ปรับตัวลงมาเกือบ 38% ส่วนกองทุนเรือธงของบริษัทอย่าง ARKK ร่วงลงมาแล้วเกือบ 60% ก่อนหน้านี้ Ark ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ Cathie Wood ในวัย 66 ปี ที่มากเกินไปในการรับผิดชอบเป็นผู้จัดการกองทุนถึง 9 กองทุน อย่างไรก็ตาม Cathie Wood ยังดำรงตำแหน่ง CEO และ CIO ของบริษัท รวมถึงยังคงเป็น ‘ผู้จัดการกองทุน’ ในกองทุน Active หลักของบริษัทเช่นเดิม อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/ark-invest-cathie-wood-gives-up-portfolio-manager-roles-173059783.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อนาคตหุ้นยุโรปไม่สดใส?! HSBC เตือน ‘หุ้นคุณค่า’ ยุโรปไม่คุ้มเสี่ยงแม้จะถูก ส่วน BlackRock แนะเลี่ยงหุ้นผันผวนต่ำที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงราคาพลังงาน - FINNOMENA สถาบันการเงินชื่อดังทั้ง HSBC และ BlackRock เตือนนักลงทุนเลี่ยงหุ้นยุโรป จากความเสี่ยงวิกฤติพลังงาน สงครามในยูเครน และการหยุดชะงักด้านอุปทาน 23 ก.ย. 2565 สถาบันการเงินชื่อดังทั้ง HSBC และ BlackRock เตือนนักลงทุนเลี่ยงหุ้นยุโรป จากความเสี่ยงวิกฤติพลังงาน สงครามในยูเครน และการหยุดชะงักด้านอุปทาน 🇪🇺HSBC เตือนการลงทุนหุ้นคุณค่าในยุโรปไม่คุ้มที่จะเสี่ยง HSBC เตือนนักลงทุนให้หลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นคุณค่าในยุโรป เพราะวิกฤติพลังงานทำให้ไม่คุ้มความเสี่ยงที่จะลงทุนในภูมิภาคดังกล่าว โดยส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นยุโรปนั้นต้องการมองหาหุ้นคุณค่า (Value Stock) หรือหุ้นที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน เพื่อต่อสู้กับความผันผวนโดยการลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่มั่นคงกว่า นั่นต่างจากการลงทุนในสหรัฐฯ ที่หุ้นส่วนใหญ่มันเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง เติบโตอย่างก้าวกระโดด (Growth Stock) ที่มักถูกคาดการณ์ว่ากำไรจะเติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แต่ ‘Willem Sels’ CIO ของ HSBC มองว่า แม้หุ้นยุโรปจะถูกเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ แต่ P/E หรือราคาหุ้นที่ถูกนั้นไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเจอได้ แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคในยุโรปมืดมนจากการหยุดชะงักด้านอุปทาน ขณะที่สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานได้กดดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำให้ธนาคารกลางต้องลดดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ HSBC ระบุว่า สิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ ‘คุณภาพ’ ไม่ใช่ ‘สไตล์การลงทุน’ โดยแนะนำให้พิจารณาจากความแตกต่างของคุณภาพหุ้นระหว่างหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นยุโรป มากกว่าจะไปสนใจว่ามันเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นคุณค่า โดย HSBC ไม่แนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงโดยแบ่งตามภูมิภาค แต่ควรดูแนวโน้มของเศรษฐกิจและกำไรในอนาคตมากกว่า รวมถึงไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นยุโรปหากเหตุผลคือแค่มูลค่าที่ถูกและการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย 🇪🇺BlackRock แนะเลี่ยงหุ้นผันผวนต่ำ ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงราคาพลังงาน ‘Nigel Bolton’ Co-CIO ของ BlackRock แนะนำให้พิจารณาผลกระทบของการขาดแคลนพลังงานที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทต่างๆ โดยวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูง และไม่ใช่พลังงานหมุนเวียนคือ ให้คำนวณค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นสัดส่วนของรายได้ โดยหลายบริษัทขนาดใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น เพราะได้ป้องกันความเสี่ยงไว้ก่อนแล้วและสามารถซื้อได้ถูกกว่าราคา spot แต่บริษัทเล็กๆ ที่ไม่ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงอาจต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก หุ้นที่ BlackRock แนะนำให้ระมัดระวังเป็นพิเศษคือ หุ้นผันผวนต่ำ (Defensive Stock) ที่สามารถทำรายได้ได้แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ เพราะบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงในราคาพลังงาน ขณะที่ Blackrock มองเห็นโอกาสในบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติทำงานเพราะสามารถลดต้นทุนแรงงานได้ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านมาสู่พลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ยังมองว่าความต้องการในเซมิคอนดักเตอร์และวัตถุดิบอย่างทองแดง จะพุ่งสูงขึ้นตามกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่บูม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/09/23/hsbc-warns-investors-to-avoid-european-stocks-in-the-search-for-value.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock HSBC News Update หุ้นยุโรป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เก็บกระเป๋าเตรียมเที่ยวญี่ปุ่น ข่าวดีคนไทย! ฟรีวีซ่า ไม่มีเงื่อนไขวัคซีน ไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องตรวจโควิด เริ่ม 11 ต.ค. นี้ - FINNOMENA ญี่ปุ่นเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ไม่มีลิมิตจำนวนคนเข้าประเทศ พร้อมฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวม ‘คนไทย’ ด้วย มีผล 11 ต.ค. นี้ 23 ก.ย. 2565 ญี่ปุ่นเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ไม่มีลิมิตจำนวนคนเข้าประเทศ พร้อมฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวม ‘คนไทย’ ด้วย มีผล 11 ต.ค. นี้ เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกฯ ของญี่ปุ่น แถลงว่า ญี่ปุ่นจะยกเลิกการจำกัดจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศ กลับมาอนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเข้าประเทศ โดยไม่ต้องผ่านบริษัททัวร์และรับฟรีวีซ่าท่องเที่ยวอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. นี้ เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่า (ฟรีวีซ่า) ก่อนเกิดการระบาดของโควิด จะได้กลับมาใช้มาตรการอำนวยความสะดวกดังกล่าวเหมือนเดิม และหนึ่งในนั้นก็คือนักท่องเที่ยวไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ประกาศรายชื่อ 3 กลุ่มประเทศ ตามสถิติการพบผู้ติดเชื้อที่สนามบิน พบว่า ประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 (สีน้ำเงิน) ไม่มีเงื่อนไขเรื่องวัคซีน ไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องตรวจโควิด-19 ที่สนามบิน สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีน 3 เข็มขึ้นไปตามเกณฑ์ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนด ได้แก่ Pfizer, AstraZeneca, Moderna, Johnson & Johnson, Bharat Biotech และ Novavax สามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารรับรองผลตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเรื่องนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. ส่วนใครที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือรับวัคซีนแล้วแต่ยังไม่ครบ 3 เข็มตามเกณฑ์ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำหนด ยังสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้ แต่ต้องมีเอกสารรับรองผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ตอนนี้เงินเยนอ่อนค่าจนอยู่ในระดับเกิน 145 เยนต่อดอลลาร์ จนธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องแทรกแซงค่าเงินเยนครั้งแรกในรอบ 24 ปี สำหรับใครที่เตรียมแลกเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้นล่าสุด (23 ก.ย.) 100 เยน เท่ากับ 26.24 บาท นอกจากญี่ปุ่นแล้ว เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.) ‘ไต้หวัน’ ประกาศฟรีวีซ่าให้คนไทยนานถึง 14 วัน เริ่มตั้งแต่ 29 ก.ย.นี้ เบื้องต้นจะมีผลบังคับใช้ไปถึงวันที่ 31 ก.ค. 2566 ซึ่งเป็นการต่อนโยบายฟรีวีซ่า พิจารณาเป็นรายปีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ไต้หวันยังมีแผนจะยกเลิกการกักตัวนักท่องเที่ยว และยกเลิกการไม่รับกรุ๊ปทัวร์ จะมีผลบังคับใช้ประมาณวันที่ 13 ต.ค.นี้เป็นต้นไป อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1028398 https://www.prachachat.net/world-news/news-1057335 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เปิดตัว ‘สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน’ รวมกลุ่มค่ายรถจีนในไทย หนุนกลุ่ม ‘ซี.พี.’ นั่งนายกสมาคม - FINNOMENA ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ค่ายรถยนต์ มอเตอร์ไซค์และผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวจีนที่ประกอบกิจการในประเทศไทย รวมกันราว 50 ราย เตรียมจัดแถลงข่าวเปิดตัว ‘สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน’ อย่างเป็นทางการ โดยเตรียมหนุนกลุ่ม ‘ซี.พี.’ เป็นโต้โผใหญ่หรือ ‘นายกสมาคม’ 22 ก.ย. 2565 ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ค่ายรถยนต์ มอเตอร์ไซค์และผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวจีนที่ประกอบกิจการในประเทศไทย รวมกันราว 50 ราย เตรียมจัดแถลงข่าวเปิดตัว ‘สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน’ อย่างเป็นทางการ โดยเตรียมหนุนกลุ่ม ‘ซี.พี.’ เป็นโต้โผใหญ่หรือ ‘นายกสมาคม’ เป้าหมายสำหรับการจัดตั้งสมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีนเพื่อใช้เป็นเวทีสำหรับกลุ่มนักลงทุนจีนในอุตสาหกรรมยานยนต์ แลกเปลี่ยน แบ่งปัน พัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงแนวทางการขยายตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นระบบ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนขอจดทะเบียนตั้งเป็นสมาคม ซึ่งน่าเรียบร้อยในเร็วๆ นี้ นี่ยังถือเป็นการเตรียมความพร้อมของกลุ่มค่ายรถยนต์-มอเตอร์ไซค์และชิ้นส่วนจากจีน ที่จะผงาดใน ‘อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า’ ตอบรับเทรนด์โลกที่กำลังขยับจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว และหากนับรวมเม็ดเงินลงทุนในประเทศไทยของกลุ่มนักลงทุนจีนในอุตหากรรมยานยนต์ทั้งระบบน่าจะทะลุแสนล้านบาท โดยภายในสมาคมได้หนุนกลุ่ม ‘ซี.พี.’ ซึ่งมีรถยนต์แบรนด์จีนในมือถึง 3 ยี่ห้อ ได้แก่ เอ็มจี, แม็คซัส และโฟตอน เป็นนายกสมาคม โดยกำลังทาบทาม ‘จาง ไห่โป’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือไม่ก็เป็น ‘ธนากร เสรีบุรี’ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่สมาชิกผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเอ็มจี, แม็คซัส, โฟตอน, เกรท วอลล์ฯ, บีวายดี, เนต้า, ดีเอฟเอสเค, เซเรส, และโวล์ท ตอบรับเข้าร่วมกันเรียบร้อย นอกจากนี้ในกลุ่มรถจีนที่ยังไม่พร้อมเปิดตัวในไทย ทั้งฉางอัน, เฌอรี่, จิลลี่ ก็ได้รับการทาบทามเพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย รวมถึงยังได้ทาบทามผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยอีก 3 ราย ได้แก่ ไทยซัมมิท ของกลุ่มจึงรุ่งเรืองกิจ, ซัมมิท ออโต บอดี้ ของกลุ่มจุฬางกูร และอาปิโก้ ไฮเทค ของกลุ่มนายเย็บ ซู ชวน เข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย เนื่องจากเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดประเทศไทย ซึ่งผู้ผลิตยานยนต์จีนแทบทุกรายต้องใช้ชิ้นส่วนจาก 3 บริษัทนี้เป็นหลัก คาดว่าเร็วๆ นี้จะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของสมาชิกและการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ อนาคตจะได้เห็นสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากจีน รวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยรายใหญ่ๆ เข้าร่วมเพิ่มมากขึ้นด้วย อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1054880 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์จีน รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ขายดีจนต้องสั่งผลิตเพิ่ม! Apple บอกให้ Foxconn เปลี่ยนไลน์การผลิต iPhone 14 มาผลิต iPhone 14 Pro แทน - FINNOMENA Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple ได้บอกให้ Foxconn เพิ่มการผลิต iPhone 14 Pro ขึ้น 10% สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า iPhone 14 Pro ขายดีกว่า iPhone 14 20 ก.ย. 2565 Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple ได้บอกให้ Foxconn เพิ่มการผลิต iPhone 14 Pro ขึ้น 10% สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า iPhone 14 Pro ขายดีกว่า iPhone 14 Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ Apple ระบุในทวิตเตอร์ว่า จากความต้องการ iPhone 14 Pro ที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทขอให้ Foxconn เครือ Honhai เป็นไลน์การผลิตของ iPhone 14 มาเป็น iPhone 14 Pro แทน ซึ่งคาดว่าจะไปเพิ่มราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price: ASP) ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ หากอ้างอิงตามยอดจำหน่ายสินค้าที่เกิดขึ้นจริงของไลน์การผลิตนั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้ยอดขายคาดการณ์ของ iPhone 14 Pro เพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดในการวางขายของ Apple Store เพราะ iPhone 14 Pro ยังไม่มีการวางขายเป็นวงกว้าง ต่างจากรุ่น iPhone 14 ที่มีสต็อกอยู่จำนวนมาก ขณะที่ iPhone 14 Plus จะเริ่มขายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Ming-Chi Kuo กล่าวว่า ยอดพรีออเดอร์ของ iPhone 14 Pro Max ล้นหลามในสัปดาห์แรก ขณะที่ยอดจอง iPhone 14 Plus นั้นน่าผิดหวัง Ming-Chi Kuo ยังระบุโดยอ้างอิงตามเวลาจัดส่งสินค้าในร้านค้าออนไลน์ของบริษัทในตลาดหลักๆ ว่า ผลลัพธ์ของยอดจอง iPhone 14 นั่น ‘แย่’ เมื่อเทียบกับ iPhone 13 แต่ยอดจอง iPhone 14 Pro อยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ และ Pro Max อยู่ในระดับ ‘ดี’ สำหรับความแตกต่างที่รุ่น iPhone 14 Pro มี แต่ iPhone 14 ไม่มีหรือทำได้ด้อยกว่า อ้างอิงจากเว็บไซต์ Apple มีดังนี้ ฟีเจอร์ที่ iPhone 14 Pro มี แต่ iPhone 14 ไม่มี ➢ เทคโนโลยี ProMotion และหน้าจอที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาในโหมดพลังงานต่ำ (Always-On Display) ➢ Dynamic Island เปลี่ยนรูกล้องหน้า iPhone 14 Pro ให้หดและขยายได้แบบเนียนไปกับอินเทอร์เฟซเลย ➢ ระบบกล้องระดับโปรกล้องหลักความละเอียด 48MP เลนส์อัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้ ฟีเจอร์ที่ iPhone 14 Pro ทำได้ดีกว่า ➢ ช่วงซูมแบบออปติคัล 6 เท่า ใน iPhone 14 Pro และ 2 เท่า ใน iPhone 14 ➢ ประสิทธิภาพในการเล่นวิดีโอนานสูงสุด 23 ชั่วโมงสำหรับ iPhone 14 Pro และ 20 ชั่วโมงสำหรับ iPhone 14 ➢ ชิป A16 Bionic ใน iPhone 14 Pro และชิป A15 Bionic ใน iPhone 14 สำหรับราคาในไทย iPhone 14 เริ่มต้นที่ ฿32,900 iPhone 14 Pro เริ่มต้นที่ ฿41,900 และ iPhone 14 Pro Max เริ่มต้นที่ ฿44,900 อ้างอิง: https://twitter.com/mingchikuo/status/1571883138653257728 https://9to5mac.com/2022/09/19/iphone-14-pro-production-increase/ https://www.apple.com/th/iphone/compare/?modelList=iphone14promax,iphone14pro,iphone14 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ไทยรอด! Apple เตรียมขึ้นราคาแอปบน App Store ในญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม และประเทศยูโรโซน มีผล 5 ต.ค. นี้ - FINNOMENA Apple เตรียมขึ้นราคาแอปพลิเคชันทั้งแบบซื้อขาดและการซื้อคุณสมบัติเพิ่ม (In-App Purchases) บน App Store ในหลายประเทศ 20 ก.ย. 2565 Apple แถลงเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) ว่า บริษัทเตรียมขึ้นราคาแอปพลิเคชันทั้งแบบซื้อขาดและการซื้อคุณสมบัติเพิ่ม (In-App Purchases) บน App Store ในหลายประเทศ ทั้งญี่ปุ่น มาเลเซีย สวีเดน เกาหลีใต้ ชิลี อียิปต์ ปากีสถาน และประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทั้งหมด ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป โดยไม่มีรายชื่อประเทศไทยในแถลงการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การต่อสมาชิกแบบอัตโนมัติจะยังไม่ถูกขึ้นราคา นอกจากนี้ Apple ระบุว่า การขึ้นราคาจะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. นี้ บริษัทอธิบายเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงราคาดังกล่าวสะท้อนถึงข้อบังคับใหม่ของ Apple ในเวียดนาม เพื่อรวบรวมและนำส่งภาษีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคลอัตรา 5% อ้างอิง: https://www.reuters.com/technology/apple-hike-app-store-prices-several-countries-oct-2022-09-20/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: App Store Apple News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไมคนญี่ปุ่นไม่นิยมซื้อบ้านมือสอง? จากปัญหาประชากรลด สู่ปัญหา ‘บ้านร้าง’ คาดปี 2023 มีมากกว่า 10 ล้านหลัง - FINNOMENA จำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกลายมาเป็นปัญหาเรื้อรังของ “ญี่ปุ่น” ที่ยังหาทางออกไม่ได้ ตอนนี้ญี่ปุ่นมีบ้านร้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ทั่วประเทศ คาดว่าจะมีมากกว่า 10 ล้านหลังในปี 2023 และมากกว่า 20 ล้านหลังในปี 2038 16 ก.ย. 2565 จำนวนประชากรที่ลดลงอย่างต่อเนื่องกลายมาเป็นปัญหาเรื้อรังของ “ญี่ปุ่น” ที่ยังหาทางออกไม่ได้ ตอนนี้ญี่ปุ่นมีบ้านร้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ทั่วประเทศ คาดว่าจะมีมากกว่า 10 ล้านหลังในปี 2023 และมากกว่า 20 ล้านหลังในปี 2038 🇯🇵ประชากรลด แต่ปริมาณที่อยู่อาศัยเพิ่ม กลายเป็นปัญหา ‘บ้านร้าง’ สถาบันวิจัยโนมูระคาดว่าปริมาณที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่น ปี 2023 จะเพิ่มขึ้นเป็น 65.46 ล้านยูนิต เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 62.41 ล้านยูนิตในปี 2018 ขณะที่สถาบันวิจัยประชากรและประกันสังคมแห่งชาติญี่ปุ่นประมาณการว่า ปี 2023 ญี่ปุ่นจะมีจำนวนครัวเรือนราว 54.19 ล้านครัวเรือน นั่นแปลว่าในปี 2023 จำนวนครัวเรือนญี่ปุ่นมีน้อยกว่าปริมาณที่อยู่อาศัยราว 11.27 ล้านยูนิต และโนมูระคาดว่าบ้านร้างในญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นถึง 23.03 ล้านหลัง ภายในปี 2038 🇯🇵ทำไมคนญี่ปุ่นเลือกซื้อบ้านใหม่แทนซื้อบ้านมือสอง? ชาวญี่ปุ่นไม่นิยมซื้อบ้านมือสองเลย ส่งผลให้มีบ้านมือสองซื้อขายในตลาดญี่ปุ่นเพียง 14% ถือว่าน้อยมากหากเทียบกับตลาดของสหราชอาณาจักรที่มีการขายบ้านมือสองในตลาดมากถึง 90% ส่วนสหรัฐฯ ซื้อขายกันสูงถึง 80% จากการสำรวจในปี 2018 พบว่ามีบ้านเก่าราว 7 ล้านยูนิต จากทั้งหมด 53.6 ล้านยูนิตในญี่ปุ่น ที่ไม่มีความแข็งแรงเพียงพอต่อการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว และขณะเดียวกันบ้านเก่ามากถึง 34.5 ล้านยูนิตที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประหยัดพลังงาน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่อุตสาหกรรมสร้างบ้านหลังใหม่ของญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าต่อแม้ว่าจำนวนประชากรจะหดตัว ขณะที่บ้านเก่าจำนวนมากถูกทิ้งร้างหลังเจ้าของเดิมเสียชีวิต การรื้อถอนจึงเป็นทางออกในการลดปริมาณบ้านร้างของญี่ปุ่น 🇯🇵ผู้เชี่ยวชาญแนะวิธีแก้ปัญหาบ้านร้าง “อากิระ ไดโด” หัวหน้าที่ปรึกษาของโนมูระระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องหันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เชี่ยวชาญด้านการรื้อถอนบ้านมากขึ้น ในช่วงต้นปีนี้ รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งยังได้พิจารณาจัดเก็บภาษี เพื่อกระตุ้นให้เจ้าของสินทรัพย์เร่งรื้อถอนบ้านที่ไร้ผู้อยู่อาศัย หลังจากที่บ้านร้างมากมายกลายเป็นแหล่งทรุดโทรมที่ทำลายความสวยงามของเมือง อ้างอิง: https://www.prachachat.net/world-news/news-1047495 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD Atto 3 มาแน่! เปิดตัวดีเดย์วันที่ 10 เดือน 10 นี้ พร้อมเงินอุดหนุนภาษี 1.5 แสนบาท - FINNOMENA BYD เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า Atto 3 ลงตลาด เปิดตัววันที่ 10 ต.ค. นี้ พร้อมเงินอุดหนุนภาษี 150,000 บาท 16 ก.ย. 2565 BYD เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า Atto 3 ลงตลาด เปิดตัววันที่ 10 ต.ค. นี้ พร้อมเงินอุดหนุนภาษี 150,000 บาท ‘ประธานวงศ์ พรประภา’ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เร-เว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (Rêver Automotive) เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 เดือน 10 เตรียมเปิดตัวรถ Atto 3 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่จะทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ หลังได้ร่วมลงนามแสดงเจตนาเพื่อเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากับกรมสรรพสามิต ขณะที่ทางกรมสรรพสามิตกล่าวว่า ภายในเดือนนี้จะเซ็นเอ็มโอยูร่วมกับ BYD เพื่อให้ได้รับสิทธิลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2% และเงินอุดหนุนภาษี 150,000 บาท โดยภายในปี 2567 BYD ต้องผลิตชดเชยให้ทัน 1 เท่าของจำนวนที่นำเข้ามาจำหน่าย ด้าน BYD เผยว่า ภายในไตรมาสที่สามของปี 2567 บริษัทจะเริ่มผลิตรถยนต์จากโรงงานประเทศไทย ด้วยกำลังผลิต 150,000 คันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศและภูมิภาค และอนาคตจะมีการลงทุนทำโรงงานแบตเตอรี่แบบใบมีดเข้ามาตั้งในประเทศไทย โดยจะมีการลงทุนเพิ่มเติมต่อไป และหากตลาดไทยได้รับการตอบรับที่ดีจะมีการลงทุนเพิ่มอีก BYD ได้รับการส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มูลค่าการลงทุน 17,891 ล้านบาท ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย 600 ไร่ ในนิคม WHA ระยอง เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1043199 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คาด เดนทิสเต้ จ่าย 100 ล้านบาท ต่อสัญญา ‘ลิซ่า BLACKPINK’ เป็นพรีเซนเตอร์อีก 1 ปี - FINNOMENA ‘เดนทิสเต้’ เผยว่า การต่อสัญญากับศิลปินตัวท็อประดับโลกอย่าง ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ในการเป็น Brand Ambassador ให้แก่เดนทิสเต้อีกครั้งในปีหน้า 15 ก.ย. 2565 ‘เดนทิสเต้’ เผยว่า การต่อสัญญากับศิลปินระดับโลกอย่าง ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ในการเป็น Brand Ambassador ให้แก่เดนทิสเต้อีกครั้งในปีหน้า ที่ผ่านมา หลัง ‘ลิซ่า BLACKPINK’ มานั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ปรากฏว่ายอดขายเติบโตราว 15% ใน 1 ปี แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด ล่าสุด บริษัทได้มีการต่อสัญญากับลิซ่า ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายแบรนด์ที่ติดต่อลิซ่าให้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ แต่มีไม่ถึง 10 แบรนด์ ที่ลิซ่าเลือก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘เดนทิสเต้’ The Standard Wealth รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวแวดวงเอเจนซีว่า หากต้องการจ้างลิซ่ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34-67 ล้านบาท ซึ่งเป็นแค่ ‘ค่าตัว’ ยังไม่รวมรายจ่ายอื่นๆ อีก The Standard Wealth ระบุว่า “ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เดนทิสเต้ตัดสินใจต่อสัญญาต่ออีก 1 ปี แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินค่าตัวเพิ่มอีกนับ 100% ก็ตาม อันเนื่องมาจากความดังที่เพิ่มขึ้นของลิซ่า” ซึ่งอาจเป็นเงินสูงถึง 100 ล้านบาทสำหรับการต่อสัญญา ซึ่งครอบคลุมทั้งค่าตัวและกิจกรรมอื่นๆ สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดต่อจากนี้ เดนทิสเต้ ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10% ซึ่งข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า ปี 2564 บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีรายได้รวม 2.4 พันล้านบาท เติบโต 17.71% และมีกำไร 73 ล้านบาท ลดลง 12.92% ปัจจุบันเดนทิสเต้มีส่วนแบ่งการตลาด 7% เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ Hi-end ในขณะที่ส่วนแบ่งในตลาด Hi-end อยู่ที่ 85% อ้างอิง: https://mgronline.com/business/detail/9650000088659 https://thestandard.co/lisa-blackpink-dentiste/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ลิซ่า เดนทิสเต้ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คาด Tesla เตรียมเปิดโชว์รูมที่ Emsphere ห้างใหม่เครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ย่านพร้อมพงษ์ "อยู่ในขั้นตอนเจรจาธุรกิจ" ลุยตลาดไทยจริงจัง - FINNOMENA สำนักข่าว PPTV รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า Tesla ได้มีการจองพื้นที่เพื่อเปิดโชว์รูมที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่ใน เอ็มสเฟียร์ (Emsphere) ซึ่งเป็นโครงการใหม่ย่านพร้อมพงษ์ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป 19 ก.ย. 2565 สำนักข่าว PPTV รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า “Tesla ได้มีการเจรจาพูดคุยกับ เอ็มสเฟียร์ (Emsphere) ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการเปิดโชว์รูมภายในศูนย์การค้าแห่งใหม่ในโครงการใหม่ย่านพร้อมพงษ์ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ ศูนย์การค้าดังกล่าวจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 1 ธันวาคม 2566” โดยศูนย์การค้าดังกล่าวจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ วันที่ 1 ธ.ค. 2568 ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของ The Em District ที่ประกอบด้วย Emporium, Emquartier และ Emsphere อย่างไรก็ตาม Tesla ยังไม่เปิดเผยถึงรายละเอียดอื่นๆ เช่น วันเปิดให้บริการ, ขนาดของพื้นที่ รวมถึงรถยนต์รุ่นที่จะนำมาจัดแสดงและจำหน่าย สำหรับ Emsphere จะมีการแถลงข่าวความคืบหน้าโครงการและรายละเอียดอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ก.ย. นี้ ก่อนหน้านี้ (25 เม.ย.) Tesla ได้สร้างความฮือฮาน่าสนใจให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการจดทะเบียนบริษัทที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในชื่อ บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท โดยจดทะเบียนในประเภทธุรกิจ การขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรถกระบะรถตู้ และรถขนาดเล็กที่คล้ายกัน และเเมื่อเดือนที่แล้ว บนเว็บไซต์ www.tesla.com ได้มีการประกาศรับสมัครงานสำหรับประเทศไทยรวมแล้วทั้งหมด 15 ตำแหน่ง สะท้อนทิศทางความชัดเจนด้านการลงทุนในประเทศไทยของ Tesla ขึ้นเรื่อยๆ อ้างอิง: https://www.pptvhd36.com/automotive/news/180563 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เรย์ ดาลิโอ’ เตือนตลาดหุ้นลงอีก 20% หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยถึง 4.5% มองเงินเฟ้อลากยาว เฉลี่ยในทศวรรษหน้าสูงถึง 4% - 5% - FINNOMENA ‘เรย์ ดาลิโอ’ เตือนอนาคตตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมืดมน หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาดทำตลาดการเงินทั่วโลกสั่นสะเทือนในสัปดาห์นี้ 15 ก.ย. 2565 ‘เรย์ ดาลิโอ’ เตือนอนาคตตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมืดมน หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาดทำตลาดการเงินทั่วโลกสั่นสะเทือนในสัปดาห์นี้ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโพสต์บน LinkedIn ว่า ดูเหมือนว่าอัตราดอกเบี้ยจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก อาจจะถึงช่วง 4.5% – 6% ซึ่งจะทำให้การเติบโตสินเชื่อภาคเอกชนลดลง นำไปสู่การตกต่ำของการใช้จ่ายภาคเอกชน และนั่นจะทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ‘เรย์ ดาลิโอ’ ประเมินว่า การขึ้นดอกเบี้ยจนถึงประมาณ 4.5% จะทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงถึงเกือบ 20% ตลาดคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 75 bps หรืออีก 0.75% ในการประชุมสัปดาห์หน้า และมความเป็นไปได้เล็กน้อยที่ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ย 100 bps หรืออีก 1% โดยนักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับ 4.4% ในปีหน้า จากช่วงปัจจุบันที่ 2.25% – 2.5% ดาลิโอตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนอาจชะล่าใจกับอัตราเงินเฟ้อระยะยาวมากเกินไป ซึ่งตลาดคาดว่า เงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปีในทศวรรษหน้าจะอยู่ที่ 2.6% แต่ดาลิโอมองว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4% – 5% ยิ่ง และด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้ออาจ “สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” นอกจากนี้ นักลงทุนชื่อดังยังบอกว่าเส้นอัตราผลตอบแทนของสหรัฐ (Yield Curve) จะยังค่อนข้างคงที่ (Flat) จนกว่าจะมีผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจที่ยอมรับไม่ได้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า การดำเนินการของ Fed เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า และคาดว่าผู้กำหนดนโยบายจะผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลังของปี 2023 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-14/ray-dalio-doing-the-math-rates-at-4-5-would-sink-stocks-by-20?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เรย์ ดาลิโอ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เศรษฐีอเมริกัน-จีน แห่ขอวีซ่าไทย อยู่ได้ยาว 10 ปี มีสิทธิซื้ออสังหาฯ ไทยตั้งเป้าดึง 1 ล้านคน ใน 5 ปี - FINNOMENA เศรษฐีต่างชาติแห่ยื่นขอ “LTR Visa” วีซ่าระยะยาว 10 ปีของไทย นำโดยสหรัฐฯ ตามมาด้วยจีนและอังกฤษ ไทยตั้งเป้า ดึง 4 กลุ่มต่างชาติ 1 ล้านคน ใน 5 ปี 14 ก.ย. 2565 เศรษฐีต่างชาติแห่ยื่นขอ “LTR Visa” วีซ่าระยะยาว 10 ปีของไทย นำโดยสหรัฐฯ ตามมาด้วยจีนและอังกฤษ ไทยตั้งเป้า ดึง 4 กลุ่มต่างชาติ 1 ล้านคน ใน 5 ปี นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือ BOI รายงานว่า มีชาวต่างชาติประมาณ 400 คนแล้วที่ยื่นขอวีซ่าใน 12 วันแรกของการออกวีซ่า โดย 40% ของกลุ่มดังกล่าวคนเกษียณอายุที่รับเงินเบี้ยบำนาญ ขณะที่ผู้สมัครวีซ่ากลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วน 30% ส่วนที่เหลือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงและพลเมืองโลกที่ร่ำรวย รัฐบาลตั้งเป้าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท จากการลงทุนและซื้ออสังหริมทรัพย์ของชาวต่างชาติที่ขอวีซ่าดังกล่าว โดยตอนนี้ผู้สมัครขอวีซ่า 20% เป็นชาวอเมริกัน ตามมาด้วยชาวจีนในสัดส่วน 15% และชาวอังกฤษ 10% เปรียบเทียบความแตกต่างกับวีซ่าของสิงคโปร์ สิงคโปร์ต้องการดึงดูดผู้มีความสามารถเพื่อเติมเต็มช่องว่างชั้นบนสุดของตลาดแรงงานและขับเคลื่อนนวัตกรรม แต่ไทยต้องการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยการทำให้บุคคลที่มีรายได้สูงอาศัยอยู่และทำงานที่ไทยได้ง่ายขึ้น ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้เปิดตัว “LTR Visa” อย่างเป็นทางการ พร้อมดึงบุคลากรศักยภาพสูงจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนและพำนักอาศัยระยะยาว โดยจะให้สิทธิประโยชน์กับบุคลากรชาวต่างชาติ 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1. ผู้มีความมั่งคั่งสูง ต้องมีทรัพย์สินมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ และมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ /ปี และลงทุนในไทยไม่น้อยกว่า 500,000 ดอลลาร์ 2. ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์ /ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 250,000 เดอลลาร์ ในพันธบัตรรัฐบาล หรืออสังหาริมทรัพย์ 3. ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series A 4. ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า 80,000 ดอลลาร์/ปี กรณีรายได้ต่ำกว่าที่กำหนด ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปในสาขาวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีหรือมีความเชี่ยวชาญในสายงานที่เข้ามาทำในประเทศไทย สำหรับสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือ LTR Visa จะได้สิทธิพำนักในประเทศไทย 10 ปี สามารถใช้ช่องทางพิเศษ (Fast Track) ในการเข้าออกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ รายงานตัวทุก 1 ปี (จากเดิมทุก 90 วัน) และไม่ต้องยื่นขออนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (Re-entry permit) อนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย โดยลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือร้อยละ 17 สำหรับกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และมีผู้ติดตามได้ 4 คน โปรแกรมนี้ไม่ได้เฉพาะกับชาวต่างชาติที่อยู่นอกประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติประมาณ 300,000 คนที่อาศัยอยู่ในประเทศอยู่แล้วโดยใช้ใบอนุญาตเข้าประเทศประเภทอื่นอยู่ อ้างอิง: https://www.scmp.com/news/asia/southeast-asia/article/3192407/rich-chinese-second-only-wealthy-americans-bidding https://www.boi.go.th/un/press_releases2 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: LTR Visa News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ธุรกิจเกมในจีนกลับมาแล้ว Tencent และ NetEase ออกเกมใหม่ หลังจีนผ่อนคลายอุตสาหกรรมเทคฯ - FINNOMENA Tencent ได้รับอนุมัติออกเกมใหม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีนระงับการออกใบอนุญาตทั้งหมด ด้านรัฐบาลจีนทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมตลาดความบันเทิงบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก 14 ก.ย. 2565 Tencent ได้รับอนุมัติออกเกมใหม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021 ที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีนระงับการออกใบอนุญาตทั้งหมด ด้านรัฐบาลจีนทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมตลาดความบันเทิงบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกมเกี่ยวกับการศึกษาด้านสุขภาพของ Tencent เป็นหนึ่งใน 73 เกมของจีนที่ได้รับอนุมัติจาก National Press and Publication Administration (NPPA) เมื่อวันอังคาร (13 ก.ย.) ซึ่งนี่เป็นใบอนุญาตชุดที่ 5 ซึ่งได้รับการอนุมัติในปีนี้ ก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. NPPA กลับมาเผยแพร่รายชื่อเกมที่ได้รับอนุมัติตามปกติ แต่ Tencent ไม่ได้รับการอนุมัติในรอบก่อน ขณะที่คู่แข่งที่เล็กกว่าอย่าง NetEase ก็ได้รับอนุมัติเกมในเดือน ก.ย. เช่นกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นในการซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ Tencent เปิดตัว “Defense of Health” ในปี 2021 โดยเกมดังกล่าวได้รับอนุมัติภายใต้ Nanjing Wangdian Technology ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกควบคุมและบริหารโดย Tencent รวมถึง Pony Ma ผู้ร่วมก่อตั้ง การคุมเข้มเทคโนโลยีของปักกิ่งตั้งแต่ภาคอีคอมเมิร์ซ ฟินเทค ไปจนถึงการศึกษาออนไลน์ รวมถึงเกมออนไลน์ในเดือน ส.ค. 2021 หน่วยงานกำกับดูแลออกมาตรการที่เข้มงวด เช่น กำหนดเวลาเล่นสำหรับเยาวชน และข้อกำหนดต่างๆ ที่มุ่งเป้าควบคุมการติดเกม Bloomberg News รายงานว่า หน่วยงานเฝ้าระวังสื่อของจีนระงับการออกใบอนุญาต และหลังจากนั้นการอนุมัติเกมใหม่มีความรอบคอบมากขึ้น เพื่อพิจารณาว่าเกมดังกล่าวมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่เข้มงวดในด้านเนื้อหาและการคุ้มครองเด็กหรือไม่ ส่งผลให้การเปิดตัวเกมต่างๆ ล่าช้า อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-13/tencent-netease-games-approved-in-sign-china-s-crackdown-is-easing?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netease News Update Tencent หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงกว่าคาด - FINNOMENA ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง ถูกกดดันจาก Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศตัวเลข เงินเฟ้อเดือนสิงหาคม (CPI) ขยายตัว 8.3% (YoY) 14 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง ถูกกดดันจาก Sentiment ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศตัวเลข เงินเฟ้อเดือนสิงหาคม (CPI) ขยายตัว 8.3% (YoY) ถึงแม้จะปรับลงมาจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังคงสูงกว่าคาดการณ์ที่ 8.1% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 5.9% สู่ระดับ 6.3% (YoY) และเพิ่มขึ้น 0.6% (MoM) โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ซึ่งอาจทำให้ Fed จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวต่อไปในการประชุมวันที่ 20-21 กันยายนนี้ เพื่อที่จะลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ ส่งผลให้นักวิเคราะห์ และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีโอกาสถึง 1 ใน 3 ที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.00% ในการประชุมสัปดาห์หน้า ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง 4 – 5% ในคืนที่ผ่านมา และ Sentiment ดังกล่าวส่งผลเชิงลบให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลง ดังนี้ – ดัชนี HSI ปรับตัวลง -2.52% – ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวลง -2.18% – ดัชนี TOPIX ปรับตัวลง -1.62% – ดัชนี VN 30 ปรับตัวลง -1.39% – ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลง -0.96% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้น Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายของ Fed และระยะเวลาข้างหน้ายังมีการลดขนาดงบดุล (QT) ที่เริ่มทำได้ตามเป้าหมายที่ Fed วางเอาไว้และเดือนกันยายนนี้เริ่มทำเต็มจำนวนเป็นขนาด 2 เท่าของช่วงก่อนหน้า รวมไปถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ได้ชะลอตัวลงเร็วตามการคาดการณ์ของตลาด จึงยังคงมีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ตาม Recession Playbook ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก! ลงแรงสุดในรอบ 2 ปี หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงกว่าคาด กดดัน Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรงต่อเนื่อง - FINNOMENA ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงที่สุดในรอบ 2 ปี หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาร้อนแรงกว่าคาด สัญญาณกดดัน Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง 14 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงที่สุดในรอบ 2 ปี หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาร้อนแรงกว่าคาด สัญญาณกดดัน Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เมื่อคืนนี้ (13 ก.ย.) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ส.ค. อยู่ที่ 8.3% ลดลงจากระดับ 8.5% ในเดือน ก.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ 8% และเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดทำให้ตลาดมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 75 bps หรืออีก 0.75% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. นี้ เพราะเป้าหมายหลักของ Fed คือการควบคุมเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินไป ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงแรงที่สุดนับตั้งแต่ 2020 โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงมา 4.32% ด้านดัชนี Dow Jones ลดลง 3.94% และดัชนี Nasdaq ร่วงหนัก 5.16% ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 4 bps อยู่ที่ 3.45% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ 87.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาทองคำร่วง 0.2% สู่ 1,698.59 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวลงมาอย่างหนัก นำโดย Nvidia ร่วงลงมา 9.47%, Meta ร่วงลงมา 9.37%, Amazon ร่วงลงกว่า 7%, Alphabet บริษัทแม่ของ Google ลดลง 5.9%, Apple ปรับตัวลดลง 5.87% และ Microsoft ลดลง 5.5% ขณะที่หุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ปรับตัวลงมาเช่นกันที่ 4.04% หุ้นในอุตสาหกรรมพลังงาานปรับตัวลงมาเช่นกัน Exxon Mobil ลดลง 2.34% ขณะที่ Chevron ปรับตัวลงมา 1.9% รวมถึงหุ้นแบรนด์บัตรเครดิตยักษ์ใหญ่อย่าง Visa และ Mastercard ปรับตัวลงมากว่า 3% อ้างอิง: Bloomberg และ TradingView ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เงินเฟ้อสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นบันเทิงเกาหลีคึกคัก ‘อีจองแจ’ แห่ง Squid Game คว้ารางวัล Emmy Awards ครั้งประวัติศาสตร์ ซีซัน 2 มาแน่ ลุ้นปังเท่าภาคแรกหรือไม่ - FINNOMENA หุ้นที่เกี่ยวข้องกับซีรีส์ยอดฮิต Squid Game พุ่งแรง หลังนักแสดงนำ ‘อีจองแจ’ คว้ารางวัลนำแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที Emmy Awards สร้างประวัติศาสตร์นักแสดงเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนี้ 13 ก.ย. 2565 หุ้นที่เกี่ยวข้องกับซีรีส์ยอดฮิต Squid Game พุ่งแรง หลังนักแสดงนำ ‘อีจองแจ’ คว้ารางวัลนำแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที Emmy Awards สร้างประวัติศาสตร์นักแสดงเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลนี้ วันนี้ (13 ก.ย.) หุ้น Bucket Studio ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลอีจองแจพุ่งขึ้นมา 2.37% ขณะที่หุ้น Showbox Corp ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกลงทุนใน Siren Pictures บริษัทผู้สร้างซีรีส์ Squid Game ปรับตัวขึ้นมา 1.23% ด้านหุ้นบันเทิงเกาหลีอื่นๆ ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน โดย CJ ENM ผู้สร้างภาพยนตร์รางวัสออสการ์อย่าง Parasite ปรับตัวขึ้นมา 3.63% ส่วนหุ้น CJ CGV ธุรกิจโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นมา 3.34% การปรับตัวขึ้นมาของหุ้นบันเทิงเกาหลีเกิดขึ้นหลังนักแสดงนำซีรีส์ Squid Game ‘อีจองแจ’ คว้ารางวัลนักแสดงนำชายจาก Primetime Emmy Awards ครั้งที่ 74 งานนี้เทียบได้กับเวทีออสการ์สำหรับวงการโทรทัศน์ของสหรัฐฯ เลยทีเดียว นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์งานนี้ที่บุคคลและนักแสดงจากผลงานซีรีส์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษคว้ารางวัลทางการแสดงจากเวที Emmy Awards โดยอีจองแจกลายเป็นนักแสดงจากเอเชียคนแรกที่คว้ารางวัลนักแสดงนำจากเวทีนี้ไปครอง และ“ฮวัง ดงฮยอก” คว้ารางวัลผู้กำกับซีรีส์ดราม่ายอดเยี่ยมจากงานนี้ไปครองด้วย ก่อนหน้านี้ในเดือน มิ.ย. หุ้น Bucket Studio พุ่งขึ้นมา 24% ทันที หลัง Netflix โพสต์จดหมายจาก ‘ฮวัง ดงฮยอก’ ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้สร้างถึงแฟนๆ ว่า Squid Game จะมีซีซัน 2 แน่นอน โดยในซีซัน 2 ‘อีจองแจ’ จะกลับมารับบทกีฮุนเหมือนเดิม และยังมีตัวละครใหม่อย่าง “ชอลซู” ซึ่งเป็นแฟนของ “ยองฮี” หรือน้องโกโกวาตุ๊กตานักฆ่าจากซีซันที่หนึ่ง หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในซีซัน 1 จนทำให้ Squid Game กลายมาเป็นซีรีส์ที่ทำเงินได้มากที่สุดของ Netflix ต้องรอลุ้นว่าซีซัน 2 จะสามารถทำเงินได้เกือบ 900 ล้านดอลลาร์ เหมือนที่ภาคแรกเคยทำไว้หรือไม่ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/09/13/asia-markets-us-cpi-inflation-interest-rates-currencies.html https://www.tnnthailand.com/news/trueinside/124967/ https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87/180489 https://www.bangkokbiznews.com/world/1009734 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Squid Game อีจองแจ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ยอดจอง iPhone 14 ทะลุเป้า iPhone 14 Pro Max เป็นรุ่นที่ขายดีสุด ดันราคาหุ้นพุ่ง 3.9% สูงสุดตั้งแต่ พ.ค. - FINNOMENA หุ้น Apple พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ค. หลังยอดจอง iPhone 14 ทะลุเป้า โดย iPhone 14 Pro Max เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด แซงหน้ายอดจอง iPhone 13 Pro Max ที่เคยทำได้ในช่วงเวลาเดียวกัน 13 ก.ย. 2565 หุ้น Apple พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ค. หลังยอดจอง iPhone 14 ทะลุเป้า โดย iPhone 14 Pro Max เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด แซงหน้ายอดจอง iPhone 13 Pro Max ที่เคยทำได้ในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อคืนนี้ (12 ก.ย.) ราคาหุ้น Apple พุ่งขึ้นมา 3.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. และราคาหุ้นปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ส.ค. โดยนักวิเคราะห์จาก JPMorgan รวมถึง Barclays ระบุว่า เกิดจากความต้องการที่แข็งแกร่งใน iPhone รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Christine Wang นักวิเคราะห์จาก KGI Securities กล่าวว่า ยอดจองชี้ให้เห็นว่า iPhone 14 Pro Max เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด และทำได้ดีกว่า iPhone 13 Pro Max รวมถึงราคาของของซีรีส์ iPhone 14 จะเป็นผลบวกต่อยอดขายในอนาคต iPhone 14 ใช้บอดี้แบบเดิมแต่เพิ่มเติมคุณภาพกล้องและคุณสมบัติการส่งข้อความผ่านดาวเทียมที่แฟนๆ รอมานาน โดยรุ่น Pro มีความชัดของกล้องอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซลและหน้าจอที่สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาในโหมดพลังงานต่ำ นอกจากนี้ Apple ยังได้เปิดตัว AirPods Pro และ Apple Watch รุ่นใหม่ด้วย Apple เป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถเข้าถึงลูกค้ามากกว่า 1,000 ล้านราย เพื่อรับบริการเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการสมัครใช้งานแอป วิดีโอ ฟิตเนส และเกม ปัจจัยต่อไปที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นคือ กำไรไตรมาสเดือน ก.ย. ซึ่งคาดว่าจะถูกรายงานในเดือน ต.ค. โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาหุ้น Apple ลดลงมาประมาณ 8% ขณะที่ดัชนี Nasdaq 100 ร่วงลงมากถึง 22% จากการรวบรวมโดย Bloomberg 96% ของนักวิเคราะห์ 50 คน แนะนำให้ซื้อหรือถือหุ้น Apple และมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่แนะนำให้ขาย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-12/apple-rallies-most-since-may-on-strong-iphone-pre-order-data?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คนรวยเก็บเงินไว้ที่ไหน? ผลสำรวจชี้ เศรษฐีเอเชียแห่ถือเงินสด หลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง หุ้น-คริปโทฯ เน้นลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย ผันผวนต่ำ - FINNOMENA เศรษฐีเอเชียแห่ย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปไว้ในที่ปลอดภัยกว่า ส่วนใหญ่แทบไม่ลงทุนในคริปโทฯ เลย เพื่อป้องกันความผันผวนของตลาด จากการเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ 12 ก.ย. 2565 เศรษฐีเอเชียแห่ย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปไว้ในที่ปลอดภัยกว่า ส่วนใหญ่แทบไม่ลงทุนในคริปโทฯ เลย เพื่อป้องกันความผันผวนของตลาด จากการเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ผลการศึกษาของ Lombard Odier ในปี 2022 ที่สอบถามเศรษฐีในเอเชีย 450 ราย ที่มีเงินที่สามารถลงทุนได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ และมีภูมิลำเนาอยู่ในสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และออสเตรเลียระหว่างเดือน พ.ค. และ มิ.ย. พบว่า พวกเขาหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรมากขึ้น โดยเอาเงินไปไว้ในบริษัทของตน บริษัทที่ซื้อขายกันนอกตลาด (Private Market) หรือไม่ก็สินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น ทองคำและเงินสด นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ยังเลี่ยงการลงทุนในคริปโทฯ ที่ผันผวนเป็นพิเศษอีกด้วย Vincent Magnenat หัวหน้าภูมิภาคเอเชียของ Lombard Odier บริษัทที่ดูแลทรัพย์สินของลูกค้าประมาณ 363,000 ล้านดอลลาร์ กล่าวว่า นักลงทุนในภูมิภาคเอเชียใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการสร้างพอร์ตการลงทุน และเปลี่ยนไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยกว่า รวมถึงกระจายความเสี่ยงออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่การจัดสรรเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นต่ำมาก 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขา สาวนอีกครึ่งหนึ่งกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาด ขณะที่ 83% ของพวกเขาไม่มีการลงทุนหรือลงทุนน้อยกว่า 5% ในคริปโทฯ Swiss bank กล่าวว่า ความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องที่ต่ำโดยเฉพาะในคนรุ่นก่อนๆ ตอกย้ำความกระตือรือร้นในการถือสินทรัพย์ที่ยังไม่เข้าตลาดหุ้น เทรนด์นี้นำโดยเศรษฐีในสิงคโปร์และออสเตรเลีย โดย 60% ของพวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มการจัดสรรไปยัง บริษัทที่ซื้อขายกันนอกตลาด (Private Market) การตกต่ำของหุ้นเทคโนโลยีและเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นได้ทำให้ความมั่งคั่งของ 500 คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในช่วงครึ่งปีแรกหายไปถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญ ถือเป็นการพลิกกลับจาก 2 ปีที่ผ่านมา ที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางเพื่อต่อสู้กับโควิดได้ช่วยเพิ่มสินทรัพย์ให้กับพวกเขา อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-07/asia-s-rich-are-tilting-toward-private-assets-on-global-risks?sref=e4t2werz https://www.cnbc.com/2022/09/12/top-concerns-of-high-net-worth-super-rich-investors-in-asia-pacific-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เศรษฐีเอเชีย เอเชีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD เลือกไทยเป็นฐานผลิตแห่งแรกนอกจีน ปิดดีลซื้อที่ดิน 600 ไร่ จาก WHA ตั้งโรงงานในระยอง ตั้งเป้าผลิต 150,000 คันต่อปี คาดเริ่มปี 2567 - FINNOMENA ถือเป็นดีลใหญ่สุดในรอบ 20 ปี หลังผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน BYD ซื้อที่ดิน 600 ไร่ จาก WHA สร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย เริ่มปี 2567 กำลังการผลิต 150,000 คัน/ปี 9 ก.ย. 2565 ถือเป็นดีลใหญ่สุดในรอบ 20 ปี หลังผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจากจีน BYD ซื้อที่ดิน 600 ไร่ จาก WHA สร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย เริ่มปี 2567 กำลังการผลิต 150,000 คัน/ปี 🚗ทำไม BYD ถึงเลือกไทยเป็นฐานโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกจีน? บริษัท บีวายดี ออโต้อินดัสทรี จำกัด (BYD) กล่าวว่า บริษัทได้ทำการค้นหาและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยซึ่งถือเป็นการขยายการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกนอกประเทศจีน ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ซึ่งเป็นตัวเลือกที่มีความเหมาะสมที่สุด ด้วยปัจจัยหลายประการ ดังนี้ 1) ทำเลที่ตั้งและชื่อเสียงของ WHA ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมชั้นนำของภูมิภาค ที่มีระบบสาธารณูปโภคและบริการระดับเวิล์ดคลาสระบบการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง 2) การขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) 3) นโยบายสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศของภาครัฐ 4) ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เข้มแข็งในประเทศ 🚗คาดเริ่มผลิตปี 2567 ด้วยกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี สำหรับการลงทุนในระยะแรก BYD ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มูลค่า 17,891 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าพวงมาลัยขวาที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าจำนวน 150,000 คันต่อปีเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนและยุโรป ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปี 2573 ไทยจะสามารถผลิตรถอีวีได้มากกว่าเป้าหมายนโยบาย 30@30 โดยจะมีสัดส่วนการผลิตเป็น 50% ของยอดผลิตรถยนต์ทั้งหมด ในขณะที่ปี 2579 อีโคซิสเต็มและสถานีอัดประจุไฟฟ้าของไทยจะสามารถรองรับการใช้รถอีวีได้ 1.2 ล้านคัน อีกทั้งเชื่อว่าไทยจะสามารถเป็นฮับของการผลิตรถอีวีในระดับโลกได้อีกด้วย 🚗 BYD ยอดขายแซงหน้า Tesla ครึ่งปีแรกยอดขายโต 300% ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งปีแรกของ BYD แซงหน้า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว โดย BYD รายงานยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่นับรวมทั้งประเภท PHEV และ BEV อยู่ที่ 641,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 300% จากปีที่แล้ว ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงเวลาเดียวกันของ Tesla อยู่ที่ 564,000 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า BYD อาจยังไม่ใช่เบอร์ 1 ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโลก เนื่องจากยอดขายทั้งหมดของ BYD มีรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV หรือแบบใช้ไฟฟ้า 100% เพียงแค่ 323,519 คัน ซึ่งยังคงตามหลัง Tesla อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1025739 https://www.prachachat.net/economy/news-1041954 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update WHA รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นฮ่องกงบวกแรง 2.9% หลังตัวเลขเงินเฟ้อจีนออกมาต่ำกว่าคาด - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng บวกแรง 2.9% นำโดย Meituan บวก 5.3% และ NetEase บวก 4.8% ตอบรับข่าวดีจากตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคจีน (CPI) YoY ออกมา 2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2.7% 9 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng บวกแรง 2.9% นำโดย Meituan บวก 5.3% และ NetEase บวก 4.8% ตอบรับข่าวดีจากตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคจีน (CPI) YoY ออกมา 2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2.7% ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) ออกมาที่ 2.3% ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.1% จากการปรับตัวลงของราคาพลังงาน ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคจีน (CPI) ที่ระดับดังกล่าวนั้น ยังต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่ 3.0% ทำให้นักลงทุนเชื่อว่า PBOC ยังสามารถที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ FINNOMENA Investment Team มีมุมมองว่า ทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สภาพเศรษฐกิจจีนอยู่ในจุดที่เปราะบาง มีความเสี่ยงอยู่ทั้งปัญหาอสังหาริมทรัพย์และยังคงมีการใช้นโยบาย Zero Covid ปิดเมืองในบางพื้นที่อยู่ จึงแนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุน ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นักลงทุนรุ่นก่อตั้ง เริ่มขายหุ้นจีน หลังถือหุ้นเทคฯ ก่อนเข้าตลาดนานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ปู่บัฟเฟตต์ Naspers จนถึง SoftBank - FINNOMENA นักลงทุนรายใหญ่แห่ขายหุ้นเทคโนโลยีจีนที่เคยสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาลให้พวกเขา ตั้งแต่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ลดสัดส่วนการถือหุ้น BYD และ ‘Naspers’ ขายหุ้น Tencent ที่ลงทุนมากว่า 2 ทศวรรษ ไปจนถึง SoftBank ที่ลดสัดส่วนหุ้นอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba 9 ก.ย. 2565 นักลงทุนรายใหญ่แห่ขายหุ้นเทคโนโลยีจีนที่เคยสร้างผลตอบแทนอย่างมหาศาลให้พวกเขา ตั้งแต่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ลดสัดส่วนการถือหุ้น BYD และ ‘Naspers’ ขายหุ้น Tencent ที่ลงทุนมากว่า 2 ทศวรรษ ไปจนถึง SoftBank ที่ลดสัดส่วนหุ้นอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba 🇨🇳 ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ขายหุ้น BYD ที่เด้งมา 40 เท่า Berkshire Hathaway ของปู่วอร์เรน บัฟเฟต์กำลังลดสัดส่วนการถือหุ้นใน BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ลงทุนมาตั้งแต่ปี 2008 โดย Berkshire ทิ้งหุ้นทั้งหมด 3.05 ล้านหุ้น หรือ 1.4% ของการถือหุ้น 225 ล้านหุ้นใน BYD ก่อนหน้านี้ในปี 2008 Berkshire ทุ่มเงิน 232 ล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อหุ้น 225 ล้านหุ้นของ BYD ราคาประมาณหุ้นละ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหุ้นตัวนี้แนะนำโดย ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ รองประธานบริษัททีถนัดหุ้นต่างประเทศมากกว่าบัฟเฟตต์ และตอนนี้ ผ่านมา 14 ปี หุ้น BYD กลายเป็นหุ้น 40 เด้ง โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าขาย Berkshire เพื่อ ‘ทำกำไร’ และอาจขายอีกในอนาคต 🇨🇳 Naspers นักลงทุนหุ้นหลายพันเด้ง เทขาย Tencent แล้ว Naspers ที่ลงทุน Tencent ผ่านบริษัทในเครือ Prosus กล่าวว่า บริษัทมีแผนลดสัดส่วนการถือหุ้น Tencent โดยได้โอนหุ้นมูลค่า 7,600 ล้านดอลลาร์ไปยังระบบหักบัญชีและชำระบัญชีของฮ่องกง เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อคืนหุ้นของตัวเอง Naspers บริษัทสัญชาติแอฟริกาลงทุนใน Tencent มาตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งย้อนกลับไปตอนนั้น Tencent เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ตอนนั้นตอนนั้น Tencent เป็นเพียงบริษัทสตาร์ตอัปจีนที่ยังไม่มี WeChat ยังไม่มีธุรกิจเกม และที่สำคัญยังไม่มีแม้แต่โมเดลในการสร้างรายได้ ตอนนั้น Naspers เสนอเงินทุน 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 961 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้น 46.5% ของบริษัท Tencent ระหว่างทางได้ขายหุ้นของ Tencent ออกมาบางส่วน โดยรายงานจาก Financial Times ล่าสุด Naspers ถือหุ้นเป็นสัดส่วนต่ำกว่า 28% 🇨🇳 SoftBank ประกาศลดการถือหุ้น Alibaba SoftBank ของญี่ปุ่นประกาศลดการถือหุ้น Alibaba ผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซและบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของจีน โดยบริษัททำเงินได้มากกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์จากการขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในปี 2000 Masayoshi Son ผู้ก่อตั้ง SoftBank ลงทุนประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba การเดิมพันของ Son ถือว่าหนึ่งในการลงทุนแบบ VC ที่ดีที่สุดตลอดกาล อย่างไรก็ตาม Alibaba และ Ant Group ตกเป็นเป้าหมายหลัดของพรรคคอมมิวนิสต์ และราคาหุ้นได้ร่วงลงมากกว่า 70% จากจุดสูงสุดในปี 2020 นั่นทำให้ Son ตัดสินใจลดการลงทุนใหม่ในจีนจากความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-08/legendary-china-bets-unwind-as-buffett-softbank-naspers-sell?sref=e4t2werz https://markets.businessinsider.com/news/stocks/warren-buffett-berkshire-hathaway-gain-byd-electric-vehicles-investment-2021-1-1029995920 https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-02/byd-stock-sale-is-an-old-school-value-investing-move-by-buffett?sref=e4t2werz https://www.longtunman.com/27316 https://www.ft.com/content/53a23806-d89c-4bd1-b499-cb5ffad7b45a ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SoftBank Warren Buffett วอร์เรน บัฟเฟตต์ หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เส้นทางชีวิต “วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ” จากเด็กขายไอติมตามงานวัด สู่ผู้ทำสถิติขายเบนซ์มากสุดในโลก ยอดขายเกือบ 7 พันคัน ในสัปดาห์เดียว - FINNOMENA รำลึกถึง “วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ” เจ้าของวลี “ผมอยู่ทุกวันล่ะครับ” เริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายไอติมตามงานวัด เจอมรสุมวิกฤติต้มยำกุ้ง สู่ผู้สร้างตำนาน ‘ตลาดนัดคนเคยรวย’ ทำสถิติขายรถเบนซ์มากสุดของโลกในหนึ่งสัปดาห์ 8 ก.ย. 2565 รำลึกถึง “วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ” เจ้าของวลี “ผมอยู่ทุกวันล่ะครับ” เริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายไอติมตามงานวัด เจอมรสุมวิกฤติต้มยำกุ้ง สู่ผู้สร้างตำนาน ‘ตลาดนัดคนเคยรวย’ ทำสถิติขายรถเบนซ์มากสุดของโลกในหนึ่งสัปดาห์ เมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) นายวสันต์ โพธิพิมพานนท์ ประธานเบนซ์ทองหล่อ กรุ๊ป หนึ่งในดีลเลอร์เบนซ์รายใหญ่ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จนโด่งดังไปทั่วโลกในยุคต้มยำกุ้ง ได้เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 76 ปีด้วยโรคมะเร็ง ประวัติความสำเร็จของ “วสันต์ เบนซ์ทองหล่อ” ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เขาใช้ทั้งความขยัน ความมุ่งมั่น และที่สำคัญคือ “ความอดทน” ทุ่มเทชีวิตและจิตใจ เพื่อสร้างอาณาจักรทองหล่อกรุ๊ปขึ้นมา เส้นทางสู่วงการธุรกิจของวสันต์เริ่มต้นมาตั้งแต่เด็ก วสันต์เริ่มทำงานค้าขายเล็กๆ น้อยๆ คือรับไอศกรีมไปขายตามงานวัดที่มีหนังกลางแปลง ได้เงินมาก็นำไปฝากไว้ที่ธนาคารออมสินทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเรียนจบจากคณะบริหารธุรกิจการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เขาเลือกไปเสี่ยงดวงที่อเมริกา ไปเป็นกรรมกรที่แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลแถวนิวออร์ลีนส์ และเคยลำบากถึงขนาดไม่มีเงินติดตัวสักบาท จนกระทั่ง เก็บเงินจากการทำงานที่อเมริกาได้ก้อนหนึ่ง วสันต์ส่งตัวเองเรียน MBA จนจบ เพราะนึกถึงคำสอนของแม่ว่าให้เรียนเก่งๆ และเรียนสูงๆ ขณะที่กำลังเรียนต่อปริญญาเอก ก็ต้องกลับเมืองไทยมาช่วยกิจการของพี่ชาย การมาช่วยกิจการขายรถเก่าของพี่ชายถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวสันต์ ที่ได้เรียนรู้และทำงานจนชำนาญในทุกๆ ด้าน เขามองเห็นโอกาสของธุรกิจซื้อขายรถยนต์ จึงไปติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายรถกระบะ และรถบรรทุก แม้ว่าจะมีแค่เพิงหมาแหงนเล็กๆ เท่านั้น แต่วสันต์สามารถขายรถได้เดือนละ 20 คัน แบบที่โชว์รูมบางที่ยังทำไม่ได้ หลังจากเข้าสู่วงการขายรถอย่างเต็มตัว ก้าวต่อมา คือการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถหรู วสันต์จึงรวบรวมความกล้าไปติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย “เบนซ์” รถในฝันของเขา แม้ว่าจะยังไม่มีโชว์รูม ไม่มีเงินมาซื้อไปขายต่อ และไม่มีวงเงินธนาคาร แต่เขายึดเทคนิคว่า “ขายให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาซื้อ” วสันต์ได้แคตตาล็อกรถเบนซ์มาเสนอขายลูกค้าปากเปล่า เมื่อลูกค้าตกลงซื้อ วสันต์ก็จะไปหาเงินซื้อรถ มาขายให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง ทำเช่นนี้อยู่ 3 ปี จึงมีโชว์รูมเป็นของตัวเอง มรสุมเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำปี 2540 จากที่เคยค้าขายคล่องตัว กลับมีรถสปอร์ตที่ขายไม่ออก จนเป็นหนี้สินอยู่ถึงสองพันล้านบาท แต่วสันต์มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ว่าต้องประคับประคองลูกน้อง อีกเกือบ 500 ชีวิตให้ยังพออยู่ได้ โดยมีหลักธรรมเป็นเครื่องนำทาง วสันต์ จึงตัดสินใจจ้างบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ มาเสนอแผนประนอมหนี้กับธนาคาร เปลี่ยนร้านอาหารหรูย่านทองหล่อ มาขายข้าวเหนียวส้มตำ และยังเปิด “ตลาดนัดคนเคยรวย” ให้คนภายนอกนำของเคยรักเคยหวงมาขาย ได้เงินมาต่อลมหายใจธุรกิจของตัวเองได้อีก เรียกว่าไม่ละทิ้งทั้งลูกน้องและผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน วสันต์สร้างตำนานให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยสไตล์การทำตลาดที่กล้าคิดกล้าทำ บวกสโลแกน “นึกถึงเมอร์เซเดส-เบนซ์ นึกถึงเบนซ์ทองหล่อ ผมอยู่ทุกวันล่ะครับ” ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ และเคยทำโปรโมชั่น เบนซ์ 190E ด้วยราคาต่ำสุด ๆ มียอดจองสัปดาห์เดียวเกือบ 7,000 คัน และถูกบันทึกเป็นดีลเลอร์ที่ขายรถเบนซ์ได้มากที่สุดของโลก กว่าธุรกิจจะฟื้นตัว และพ้นจากหนี้สิน ต้องใช้เวลาถึง 15 ปี แต่ใจที่สู้อย่างไม่ท้อถอยในวันนั้น ก็ทำให้ อาณาจักรเบนซ์ทองหล่อของวสันต์ ยังคงยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1025473 https://www.prachachat.net/general/news-1041188 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เบนซ์ทองหล่อ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: มี iPhone รุ่นเก่า ควรซื้อ iPhone 14 ไหม? คู่มือตัดสินใจ ซื้อ iPhone เครื่องใหม่อย่างไรให้คุ้ม - FINNOMENA สิ้นสุดการรอคอย! Apple เปิดตัว iPhone 14 ซึ่งเป็นครั้งแรกของคนไทยที่ได้จับจอง iPhone Series เป็นกลุ่มประเทศแรก (Tier 1) พาเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับรุ่นก่อนๆ ว่า ใครถึงเวลาเปลี่ยนมาใช้ iPhone รุ่นใหม่ได้แล้ว 20 ก.ย. 2565 สิ้นสุดการรอคอย! Apple เปิดตัว iPhone 14 ซึ่งเป็นครั้งแรกของคนไทยที่ได้จับจอง iPhone Series เป็นกลุ่มประเทศแรก (Tier 1) พาเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับรุ่นก่อนๆ ว่า ใครถึงเวลาเปลี่ยนมาใช้ iPhone รุ่นใหม่ได้แล้ว ก่อนไปเปรียบเทียบ มาดูกันว่า iPhone 14 มีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง? อย่างแรกที่ทำสาวก Apple หลายคนผิดหวังคือ iPhone 14 และ 14 Plus ใช้ชิปเซต A15 แบบเดียวกับ iPhone 13 ซึ่ง Apple อ้างว่ามันดีต่อเรื่องแบตเตอรี่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ iPhone รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับชิปเซตรุ่นใหม่เสมอ ทดแทนการใช้ชิปเซตตัวเดิม iPhone 14 มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12MP ใหม่ที่ทรงพลังด้วย Photonic Engine ซึ่งทำให้กล้องอัลตร้าไวด์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 2 เท่า เช่นเดียวกับกล้อง TrueDepth ขณะที่กล้องหลักก็มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 2.5 เท่า สำหรับใครที่ไม่ชอบติ่งหน้าจอบน iPhone รุ่นก่อนๆ Apple ได้เปลี่ยนเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดขายโดยใช้ชื่อว่า Dynamic Island ที่เปลี่ยนรูกล้องหน้า iPhone 14 Pro ให้หดและขยายได้แบบเนียนไปกับอินเทอร์เฟซเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสายเรียกเข้า, การแจ้งเตือน, การสแกน Face ID, แสดงปกอัลบั้มในแอป Apple Music, การจับเวลา และแมปการเดินทาง สำหรับราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทย iPhone 14 เริ่มต้น 32,900 บาท, iPhone 14 Plus เริ่มต้น 37,900, iPhone 14 Pro เริ่มต้น 41,900 และ iPhone 14 Pro Max เริ่มต้น 44,900 (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.apple.com/th/shop/buy-iphone) มาถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อรุ่นใหม่ดีไหม บทความจาก Yahoo! Finance แนะนำว่า ถ้าคุณใช้รุ่นเดิมมาไม่ถึง 2 ปี คุณอาจยังไม่ต้องเปลี่ยนมาใช้ iPhone 14 รุ่นใหม่ *อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น สุดท้ายทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเอง แต่ถ้าคุณสนใจเรื่องความคุ้มค่า เรามีคำแนะนำประกอบการตัดสินใจ ดังนี้ ➢ สำหรับใครที่ใช้ iPhone13 อยู่ หากเปลี่ยนมาใช้ iPhone 14 คุณจะได้ใช้ชิปตัวดิมที่ประสิทธิภาพของตัวเครื่องและแบตเตอรี่ดีขึ้นนิดหน่อย แน่นอนว่ากล้องจะชัดขึ้น แต่สิ่งที่ได้มาเพิ่มอาจจะไม่คุ้มเงินที่จ่ายไปเท่าไร ➢ กลุ่มที่ยากในการตัดสินใจที่สุดน่าจะเป็นคนที่ใช้ iPhone 12 อยู่ เพราะถ้าคุณเปลี่ยนมาใช้ iPhone 14 คุณจะได้กล้องและประสิทธิภาพที่ดีขึ้นแต่โทรศัพท์เครื่องเดิมของคุณก็ยังใช้ได้ดีมากอยู่ นี่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากแลกประสิทธิภาพนั้นมากับเงิน 3-4 หมื่นบาทหรือไม่ แต่ใครใช้ iPhone รุ่นเก่ากว่านั้นนี่อาจถึงเวลาเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีใหม่ที่น่าประทับใจและถือว่าคุ้มค่า ➢ ใครที่ใช้ iPhone X, XS รวมถึง 11 อยู่ ถือว่าคุณได้ใช้โทรศัพท์เครื่องเก่าคุ้มค่าแล้ว ถ้าเปลี่ยนมาใช้ iPhone 14 คุณจะเปิดแอปและเล่นเกมต่างๆ ได้ไวขึ้นอย่างมาก คุณภาพกล้องดีขึ้นอย่างชัดเจน และที่สำคัญคุณจะได้รับประสบการณ์ด้านความปลอดภัยใหม่ๆ ที่ดีขึ้น ช่น การตรวจอุบัติเหตุและติดต่อหน่วยกู้ภัยอัตโนมัติ ➢ ส่วนใครที่มี iPhone 8 อยู่ในกระเป๋า และยังใช้มันได้อยู่ถือว่าคุณใช้มันได้อย่างคุ้มค่าสุดๆ และตอนนี้อาจถึงเวลาที่คุณควรเปลี่ยนโทรศัพท์ที่อาจช้าเกินไปแล้วอัปเกรดเป็นรุ่นใหม่ สิ่งที่จะได้รับคือ ประสิทธิภาพที่เร็วขึ้นมาก แบตที่อึดกว่าเดิมมาก และคุณภาพกล้องที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/apples-i-phone-14-whether-to-upgrade-220606964.html www.apple.com/th/shop/buy-iphone ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สหรัฐฯ เศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอ แต่เงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้ว Fed เผยในรายงานภาวะเศรษฐกิจ ‘Beige Book’ - FINNOMENA Fed เผยรายงานภาวะเศรษฐกิจ ‘Beige Book’ ชี้สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอจากราคาที่สูงขึ้นและตลาดแรงงานที่ตึงตัว แต่เงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้ว 8 ก.ย. 2565 Fed เผยรายงานภาวะเศรษฐกิจ ‘Beige Book’ ชี้สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอจากราคาที่สูงขึ้นและตลาดแรงงานที่ตึงตัว แต่เงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวแล้ว Fed ระบุใน Beige Book ว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตยังคงอ่อนแอ โดยคาดว่าอุปสงค์อาจอ่อนตัวลงอีกในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า Beige Book คือ สรุปความเห็นของ Fed เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจากทั้ง 12 เขตสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่แปดครั้งต่อปี ซึ่งจะตีพิมพ์ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการจัดประชุม Fed รายงานระบุว่า ระดับราคาโดยรวมยังคงสูงอย่างมากแต่ 9 เขตรายงานว่า ระดับราคาเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง ขณะที่ราคาอาหาร ค่าเช่า สาธารณูปโภค และการบริการ เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วทั้ง 12 เขตของ Fed ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว การขาดแคลนแรงงานส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน โดยการขาดแคลนแรงงานและปัญหาซัพพลายเชนตึงตัวต่อเนื่องกำลังขัดขวางการผลิต ขณะที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นในทุกเขต แต่เพิ่มขึ้นในอัตราช้ากว่าตอนต้นเดือน ก.ค. ที่ตีพิมพ์ Beige Book ครั้งล่าสุด ช่วงที่ผ่านมา Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างจริงจังเพื่อลดงินเฟ้อของผู้บริโภคที่ยังคงอยู่เหนือระดับ 8% เป็นเวลา 5 เดือนติดต่อกัน ขณะที่รายงานเมื่อวันศุกร์ (2 ก.ย.) ชี้ว่า การจ้างงานในสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ส่วนราคาผู้บริโภคในเดือน ส.ค. ต้องรอติดตามในสัปดาห์หน้า ธุรกิจหนึ่งในเขตคลีฟแลนด์ระบุว่า ชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อยซึ่งใช้จ่ายเงินส่วนใหญ่ไปกับสิ่งของจำเป็น เช่น อาหารและน้ำมัน กำลังกระจายการซื้อไปที่การกลับเข้าโรงเรียนของเด็กๆ ขณะที่ Fed กล่าวว่า อุปสงค์โดยรวมและราคาน้ำมันที่ลดลงช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านราคา ประธาน Fed ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ให้คำมั่นว่าจะขึ้นและคงดอกเบี้ยไว้ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเื่อควบคุมเงินเฟ้อ โดยในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ Jackson Hole พาวเวลล์ยอมรับว่า นโยบายที่เข้มงวดของธนาคารกลางน่าจะทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ ครั้งก่อนๆ Fed ขึ้นดอกเบี้ย 75 bps หรืออีก 75% ในการประชุมเดือน มิ.ย. และ ก.ค. โดย Fed ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่ 75 bps หรือ 50 bps ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. นั้นขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-07/fed-report-shows-weak-us-growth-outlook-amid-inflation-cooling?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED Jerome Powell News Update เจอโรม พาวเวลล์ เฟด เศรษฐกิจสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: SCBX เตรียมเปิดให้เทรดคริปโทฯ ทั้งหมด 15-25 สกุลดิจิทัล เริ่ม 12 ก.ย.นี้ ผ่านทาง บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) - FINNOMENA SCBX เตรียมเปิดให้ซื้อ-ขายคริปโทฯ 12 ก.ย.นี้ ดำเนินการภายใต้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ หรือ SCBS เดิม 7 ก.ย. 2565 SCBX เตรียมเปิดให้ซื้อ-ขายคริปโทฯ 12 ก.ย.นี้ ดำเนินการภายใต้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ หรือ SCBS เดิม ข่าวหุ้นธุรกิจรายงานว่า SCB จะเริ่มเปิดให้บริการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล 15-25 สกุล ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ เช่น Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), USD Coin(USDC), Axie Infinity(AXS), The Sansbox, และ USD Coin (USDC) โดยทั้งหมดนี้จะดำเนินการภายใต้ “บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด” ที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS 📌 อ่านข่าว ‘SCBS เปลี่ยนชื่อเป็น InnovestX มีผลตั้งแต่ 12 ก.ย. 2565 พร้อมแผนขยายสู่ตลาดอาเซียน’ ได้ ที่นี่ ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า บริษัทพร้อมเดินหน้าเร่งเครื่องสร้างการเติบโตและขยายธุรกิจตามยุทธศาสตร์ “ยานแม่” อย่างเต็มที่ หลังได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2565 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์จ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมจำนวน 6.1 หมื่นล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคาร และคณะกรรมการธนาคาร ในการประชุมครั้งที่ 13/2565 เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2565 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมจำนวนดังกล่าวแล้ว ซึ่ง SCB จะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 99.06% โดยบริษัทจะนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยการซื้อหุ้นบริษัทลูกจากธนาคาร และบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด หรือ SCB 10X และใช้เป็นเงินลงทุนให้แก่บริษัทในกลุ่ม จำนวน 12 บริษัท ทั้งนี้เงินจำนวนนี้จะไม่ได้ใช้เพื่อจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SCB ส่วนการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลและเงินปันผลประจำปีจากผลการดำเนินงานปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ SCB จะเป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริษัทต่อไป บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่า ในช่วงอีกไม่กี่สัปดาห์จากนี้ SCB น่าจะมีการประกาศอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล โดยคาดว่างวดปี 2565 SCB จะจ่ายที่ 5 บาท แบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาล 1.50 บาท และเงินปันผลประจําปี 3.50 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 1.3% และ 3.1% ตามลำดับ อ้างอิง: https://www.kaohoon.com/news/556200 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: InnovestX News Update SCBX คริปโต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงแรง 2.7% ตาม Sentiment ลบของตลาดหุ้นเอเชีย - FINNOMENA ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VNI ปรับตัวร่วงกว่า 2.7% เป็นการปรับลดมากที่สุดตั้งแต่ 6 มิถุนายน 2565 โดยได้รับอานิสงส์จาก Sentiment เชิงลบของตลาดหุ้นเอเชีย 7 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นเวียดนาม ดัชนี VNI ปรับตัวร่วงกว่า 2.7% เป็นการปรับลดมากที่สุดตั้งแต่ 6 มิถุนายน 2565 โดยได้รับอานิสงส์จาก Sentiment เชิงลบของตลาดหุ้นเอเชีย จากความกังวลที่ Fed ยังมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวในการประชุม FOMC ในวันที่ 20-21 ก.ย. นี้ ทำให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยง โดย Sector ที่ปรับตัวลงแรงในวันนี้เป็นหุ้นกลุ่มธนาคารและประกันภัยอย่าง BIDV ปรับตัวลง 5.6% Viecombank ลง 3.3% และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานอย่าง BSR ปรับตัวลดลง -5.1% โดยนับตั้งแต่ต้นปีดัชนี VNI ปรับตัวลงไปแล้วกว่า -17% FINNOMENA Investment Team มองว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม มีภาพรวมเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงแข็งแกร่ง มีโอกาสเติบโตได้ดีมากในอนาคต การปรับประมาณการกำไรยังดีเมื่อเทียบกับหุ้นโลกโดยรวม และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจทั้งในระยะสั้นและยาว จึงแนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการ “ลงทุน” ในระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเวียดนาม แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: POER ‘พาวเวอร์’ กระบะไฟฟ้า เตรียมบุกตลาดปิกอัพไทย คาดราคาไม่เกิน 1.5 ล้าน ผลิตโดย GWM เจ้าของ ORA - HAVAL - FINNOMENA ‘เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ’ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาและเตรียมความพร้อม เพื่อแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ ปิกอัพ POER, เอสยูวี TANK และพรีเมี่ยมคาร์ WEY 7 ก.ย. 2565 สำนักข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ‘เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) ’ กำลังอยู่ระหว่างศึกษาและเตรียมความพร้อม เพื่อแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ ปิกอัพ POER, เอสยูวี TANK และพรีเมี่ยมคาร์ WEY หลังจากประสบความสำเร็จในการเป็นตัวแทนจำหน่าย ฮาวาล และโอร่า มาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกว่า นายเอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เปิดเผยว่า รถปิกอัพเป็นตลาดที่คนไทยมีความต้องการใช้สูง แต่ต้องยอมรับว่า 2 ค่ายใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาดปิกอัพในประเทศไทยนั้น มีความแข็งแกร่ง ดังนั้น หากจะนำปิกอัพ POER (พาวเวอร์) เข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทยนั้น จะต้องมีการวางแผนงานอย่างดี พิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ให้รอบด้าน ยอมรับว่าไม่ง่ายนัก แต่ก็จะไม่ละทิ้งโอกาสอย่างแน่นอน โดยมีความเป็นไปได้ทั้งเครื่องยนต์สันดาป หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ข้อมูลจากเว็บไซต์ autofun ระบุว่า GWM ได้เปิดตัวรถกระบะที่จะมาพร้อมขุมพลังให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ ดีเซลเทอร์โบ เบนซินเทอร์โบ วี6 ไปจนถึงไฮบริด ในชื่อว่า 2023 GWM Shanhai Cannon โดย ทาง GWM มีแผนที่จะทำตลาดรถรุ่นนี้ในเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวา ซึ่งราคาของรถคันนี้ยังไม่ยืนยัน แต่ดีลเลอร์ GWM Haval ในออสเตรเลียคาดว่ารถรุ่นนี้จะมีราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 60,000 ดอลล่าร์ออสเตรเลียหรือประมาณไม่เกิน 1.5 ล้านบาท สื่อจีนระบุว่า Shanhai ใช้แชสซีแบบบอดี้ออนเฟรมแพลทฟอร์มเดียวกันกับ Tank 500 คู่แข่งโดยตรงกับ Toyota Land Cruiser Prado โดย Tank 500 นั้นจะมีตัวเลือกเครื่องยนต์ที่มีกำลังมากกว่า – โดยรุ่นท็อปจะมาพร้อมกับขุมพลังเบนซิน V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 349 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนสี่ล้อ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด – นอกจากเครื่องเบนซิน V6 แล้ว ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตรเทอร์โบ และ 4 สูบ 2.0 ลิตรเทอร์โบพ่วงด้วยระบบไฮบริดที่อยู่ในตัวเลือก โดยเครื่อง 2.4 ลิตรเทอร์โบจะให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า – ส่วนเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นจะให้กำลังสูงสุด 241 แรงม้า และแรงบิด 380 นิวตันเมตรด้วยกำลังเสริมจากมอเตอร์ไฟฟ้า GWM Shanhai Cannon มีมิติตัวถังขนาดยาว 5,440 มม. กว้าง 1,991 มม. สูง 1,924 มม. และมีระยะฐานล้อที่ 3,350 มม. ด้วยมิติตัวถังนี้ทำให้ Shanhai Cannon นั้นยาวกว่ากระบะรุ่นปกติของ GWM ที่ 30 มม. กว้างกว่า 57 มม. และสูงกว่า 38 มม. พร้อมกับมีฐานล้อยาวขึ้น 120 มม. ขณะที่ตลาดเอสยูวี บริษัทได้แนะนำ เอช6 HEV และโจไลออน ออกสู่ตลาดไปแล้วนั้น ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายการจำหน่ายทั้ง 4 รูปแบบ ทั้ง GWM Experience Center, GWM Direct Store, Partner Store จากปัจจุบันที่มีอยู่ 50 แห่งทั่วประเทศ ตามแผนภายในสิ้นปี 2565 จะเพิ่มเป็น 80 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะขยายเพิ่มสถานีชาร์จเป็น 55 แห่งทั่วประเทศด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนลงทุนพัฒนาโรงงานแบตเตอรี่ พร้อมประกอบ ORA Good Cat ในไทยอีกด้วย “อนาคตทางเกรท วอลล์ มอเตอร์ จะลงทุนพัฒนาโรงงานแบตเตอรี่ พร้อมประกอบ ORA Good Cat ในไทย” ส่วนประเด็นรถอีวี ORA Good Cat ที่หยุดรับจองไป และมียอดค้างส่งมอบกว่า 3 พันคัน กำลังจะกลับมาเปิดรับจองอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ขณะที่ยอดขายทั้งปี 2565 ของเกรท วอลล์ฯ น่าจะทำได้ 15,000 คัน ลดลงจากที่ตั้งเป้าไว้ 20,000 คันเมื่อต้นปี ส่วนแผนเปิดรถใหม่จาก 5 รุ่น จะเหลือเพียง 3 รุ่น โดยที่ผ่านมาได้เปิดตัว Ora Good Cat GT ไปแล้ว 1 รุ่น และเร็ว ๆ นี้จะเปิด H6 PHEV อีก 1 รุ่น อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1039390 https://www.autofun.co.th/news/2023-gwm-shanhai-cannon-debut-52870 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Great Wall Motor News Update Poer รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ชัชชาติ เตือนความเสี่ยงลงทุนคริปโทฯ ย้ำความเสี่ยงที่สุดคือการไม่เจอความเสี่ยงเลย - FINNOMENA ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ออกมาแสดงความคิดเห็น กรณีกระแสวงการลงทุนในตลาดคริปโทฯ ที่กำลังได้รับความนิยม 6 ก.ย. 2565 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ออกมาแสดงความคิดเห็น กรณีกระแสวงการลงทุนในตลาดคริปโทฯ ที่กำลังได้รับความนิยม นายชัชชาติ เผยว่า ความเสี่ยงที่สุดคือการไม่เจอความเสี่ยงเลย อย่างเรื่อง คริปโทฯ เนี่ยเรารู้ว่ามันมีความเสี่ยง ถามว่าทำไมเราถึงไปลง ก็เพื่อให้เรารู้จักมัน รู้ว่ามันขึ้นอย่างไร วิธีเทรดเป็นอย่างไร ให้เรารู้ว่ามันมีโอกาสสูญได้ “ถึงรู้เยอะก็อย่าโลภ บางคนรู้ไม่เยอะแต่ก็คิดว่ารู้เยอะ ทำให้มั่นใจ เราต้องยำเกรงในความไม่รู้ คือ ผมมีหลักการง่ายๆนะ ไม่มีใครทำเงินตกให้เราเก็บหรอก ไม่มีอะไรที่ง่ายขนาดนั้น เพราะงั้นถ้ามันฟังดูเหมือนดีเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ มันก็คงไม่ใช่ความจริงหรอก” ผู้ว่ากทม. กล่าว ก่อนหน้านี้ (11 ส.ค.) สำนักงาน ป.ป.ช.เผยแพร่บัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินของนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ กรณีเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 65 โดยนายชัชชาติ มีทรัพย์สินรวม 42,852 ,348 บาท ซึ่งมีเหรียญ CRYPTO-ETH มูลค่า 354,256 บาท CRYPTO-KUBcoin มูลค่า 48,687 บาท อ้างอิง: https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000076629 https://www.brighttv.co.th/news/politics/chadchart-crypto ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คริปโต คริปโท ชัชชาติ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: SCBS เปลี่ยนชื่อเป็น InnovestX มีผลตั้งแต่ 12 ก.ย. 2565 พร้อมแผนขยายสู่ตลาดอาเซียน - FINNOMENA ​“บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด” (SCBSecurities Co., Ltd. หรือ SCBS) ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์จำกัด” (InnovestX Securities Co., Ltd.) และมีชื่อย่อ INVX 6 ก.ย. 2565 “บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด” (SCBSecurities Co., Ltd. หรือ SCBS) ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์จำกัด” (InnovestX Securities Co., Ltd.) และมีชื่อย่อ INVX โดยจะมีผลในระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และเอกสารการทำธุรกรรมต่างๆ ตั้งแต่วันที่12 กันยายน 2565 เป็นต้นไป การเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น InnovestX ในครั้งนี้ สอดรับกับทิศทางนโยบายของกลุ่ม SCBX ที่มุ่งมั่นสู่การเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมขยายธุรกิจการเงินการลงทุนสู่ตลาดอาเซียน เพิ่มขีดความสามารถองค์กรให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่านเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ และส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า นักลงทุน ตอบรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกในยุคปัจจุบัน ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีการเงิน และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งล้วนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนโลกการเงินแห่งอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงชื่อของบริษัทฯ ไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับธุรกรรมการลงทุน พอร์ตการลงทุนเดิม เอกสารต่างๆ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ของลูกค้าที่มีกับบริษัทฯ แต่อย่างใด โดยลูกค้ายังสามารถใช้บริการต่างๆ จากบริษัทฯ รวมถึงแอปพลิเคชันลงทุนภายใต้ชื่อ Easy Invest ได้ตามปกติ ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เตรียมแถลงนโยบายยุทธศาสตร์องค์กรพร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชันลงทุนใหม่ เร็วๆ นี้ อ้างอิง: บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update SCBX แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ผู้บริหาร Bed Bath & Beyond ดิ่งตึกกระฟ้าในนิวยอร์ก เสียชีวิต หลังถูกฟ้องร้องคดีปลอมแปลงหุ้น และวิกฤติบริษัทค้าปลีกสหรัฐฯ - FINNOMENA ‘Gustavo Arnal’ CFO ของ Bed Bath & Beyond เสียชีวิตหลังตกลงมาจากตึกระฟ้าในย่านไทรเบกาบนเกาะแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (2 ก.ย.) ที่ผ่านมา 5 ก.ย. 2565 ‘Gustavo Arnal’ CFO ของ Bed Bath & Beyond เสียชีวิตหลังตกลงมาจากตึกระฟ้าในย่านไทรเบกาบนเกาะแมนฮัตตันในมหานครนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (2 ก.ย.) ที่ผ่านมา ทางบริษัทยืนยันผ่านแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (4 ก.ย.) ถึงการเสียชีวิตของ Gustavo Arnal ในวัย 52 ปี ซึ่งอาศัยอยุ่ที่ 56 Leonard Street หรือที่รู้จักกันในชื่อของตึกจังก้า Gustavo Arnal เป็นหนึ่งในผู้บริการที่ออกมาให้รายละเอียดเมื่อวันพุธที่แล้ว (31 ส.ค.) เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูของบริษัท ซึ่งรวมถึงการลดการจ้างงานลง 20% และปิดร้านค้าราว 150 สาขา รวมถึงเร่งหาเงินกว่าโดยการขายหุ้นมากถึง 12 ล้านหุ้น ย้อนกลับไปในเดือน พ.ค. 2020 Gustavo Arnal เข้ามาทำงานกับ Bed Bath & Beyond ซึ่งเป็นวงที่มีการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานที่ Avon Products, Walgreens Boots Alliance และ Procter & Gamble ในเอกสารยื่นต่อ ก.ล.ต. เมื่อเดือนที่แล้ว Bed Bath & Beyond รายงานว่า เมื่อวันที่ 16-17 ส.ค. Gustavo Arnal ขายหุ้นมากกว่า 55,000 หุ้นในการทำธุรกรรมหลายรายการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการซื้อขายตามกฎ 10b5-1 ที่ลงนามในเดือน เม.ย. ยอดขายทำเงิน 1.4 ล้านดอลลาร์ และ Gustavo Arnal ยังคงมีหุ้นเหลืออยู่เกือบ 255,400 หุ้น นอกจากนี้ Gustavo Arnal เป็นหนึ่งกลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาในคดีฟ้องร้องการฉ้อโกงหลักทรัพย์สำหรับคดีแพ่งซึ่งยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ในศาลรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยการร้องเรียนระบุว่ากลุ่มคนดังกล่าวปลอมแปลงหุ้น Bed Bath & Beyond โดยบิดเบือนมูลค่าและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งทำให้รายงานรายได้สูงเกินจริง Harriet Edelman กรรมการอิสระของ Bed Bath & Beyond บริษัทค้าปลีกในสหรัฐฯ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของ Gustavo พร้อมกล่าวว่า Gustavo จะถูกจดจำทั้งในแง่ของความเป็นผู้นำ ความสามารถ และการดูแลบริษัท สิ่งที่บริษัทสนใจที่สุดตอนนี้คือ การสนับสนุนครอบครัวและทีมของเขาในช่วงเวลาที่น่าเศร้าและยากลำบาก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-04/bed-bath-beyond-cfo-identified-as-man-who-plunged-to-death?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bed Bath & Beyond Gustavo Arnal News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่ ผู้หญิงมีต้นทุนจากการมีลูกสูงกว่าผู้ชาย แต่ถ้าผู้หญิงโสดและไม่มีลูก มีโอกาสรวยกว่าผู้ชายในเงื่อนไขเดียวกัน - FINNOMENA ปัจจุบัน ผู้หญิงหลายคนเลือกใช้ชีวิตโสดและไม่มีลูก ซึ่งไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเป็นอะไรก็ตาม แต่การตัดสินใจดังกล่าวทำให้อาชีพการทำงานของพวกเธอเติบโตกว่าผู้หญิงรุ่นก่อนๆ และมันกำลังพาพวกเธอไปสู่พรมแดนใหม่แห่งความมั่งคั่ง 2 ก.ย. 2565 ปัจจุบัน ผู้หญิงหลายคนเลือกใช้ชีวิตโสดและไม่มีลูก ซึ่งไม่ว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเป็นอะไรก็ตาม แต่การตัดสินใจดังกล่าวทำให้อาชีพการทำงานของพวกเธอเติบโตกว่าผู้หญิงรุ่นก่อนๆ และมันกำลังพาพวกเธอไปสู่พรมแดนใหม่แห่งความมั่งคั่ง งานวิจัยล่าสุดจาก Fed สาขาเซนต์หลุยส์ เผยว่า “ผู้หญิงโสดที่ไม่มีลูก” มีความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยสูงถึง 65,000 ดอลลาร์ในปี 2019 สูงกว่าผู้ชายโสดที่ไม่มีลูกซึ่งมีความมั่งคั่งอยู่ที่ 57,000 ดอลลาร์ และสูงกว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความมั่งคั่งเพียง 7,000 ดอลลาร์ เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นใหม่ๆ ต้องการมีลูกน้อยลง อัตราการเกิดในสหรัฐฯ ยังลดลงต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าความยากลำบากที่เกิดจากโควิด-19 จะยิ่งไปเร่งแนวโน้มดังกล่าวให้รุนแรงขึ้นอีก ผลการศึกษาล่าสุดของ Pew Research Center เมื่อปีที่แล้ว พบว่า 44% ของชาวอเมริกันที่มีอายุระหว่าง18-49 ปีที่ยังไม่มีลูกกล่าวว่า การมีลูกของพวกเขาแทบไม่น่าเป็นไปได้หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นมา 7% จากปี 2018 นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนตัดสินใจไม่มีลูกคือ “เรื่องเงิน” เพราะต้นทุนการเลี้ยงดูเด็กคนนึงแพงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี ข้อมูลจาก Brookings Institution ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็ก 1 คน ที่เกิดในปี 2015 จนถึงอายุ 17 ปี แบบคำนวณอัตราเงินเฟ้อแล้วสูงถึง 310,605 ดอลลาร์ ซึ่งนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ต้นทุนทางการเงินเท่านั้น เพราะหากผู้หญิงตัดสินใจเป็นแม่คน พวกเธอต้องเผชิญกับ ‘โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่ (Motherhood Penalty) ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์หรือหลังคลอดลูก ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่ระบุว่า คนเป็นแม่ได้รับโทษทัณฑ์จากการมีลูกมากกว่าคนเป็นพ่อ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ก่อนเกิดโควิด-19 โดย Julie Kashen จาก Century Foundation เผยว่า หากวัดโทษทัณฑ์หรือผลกระทบจากการเป็นแม่ต่อรายได้นั้น ขนาดของบทลงโทษจากการรมีลูกอายุน้อยกว่า 5 ปี 1 คน คิดเป็นประมาณ 15% ของรายได้ต่อปี นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าแม่ชาวผิวดำและชาวละตินได้รับภาระมากกว่าแม่ผิวขาว Julie Kashen ยังกล่าวถึงผลกระทบแบบต่อเนื่องต่อรายได้ของแม่หลังมีลูก โดยเธอมองว่าจุดประสงค์หลักของในการเคลื่อนไหวของผู้หญิง คือการเพิ่มทางเลือกแก้ผู้หญิงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว Melissa Kearney ศาสตราจาร์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ได้กล่าวถึง วัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปซึ่งทำให้ผู้หญิงมีลูกช้าลงหรือตัดสินใจไม่มีลูก ชาวอเมริกันที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นในช่วงยุค 90 และยุค 2000 ตอนต้นนั้นคุ้นเคยกับการที่ผู้หญิงทำงาน และเป้าหมายหลักในชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปแล้ว อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-31/women-not-having-kids-get-richer-than-men ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แม่ โทษทัณฑ์จากความเป็นแม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla มาไทยแน่ ขึ้นประกาศรับสมัครงาน 6 ตำแหน่งในกรุงเทพฯ - FINNOMENA Tesla เปิดรับสมัครงานในไทยแล้ว หลังเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ระบุว่า Teala มาจดทะเบียนบริษัทในไทยภายใต้ชื่อ “บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท 2 ก.ย. 2565 Tesla เปิดรับสมัครงานในไทยแล้ว หลังเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ระบุว่า Teala มาจดทะเบียนบริษัทในไทยภายใต้ชื่อ “บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท และเมื่อไม่นานมานี้ แอปพลิเคชัน Tesla สามารถดาวน์โหลดได้บน App Store และ Google Play ของประเทศไทยได้แล้ว โดยล่าสุดบนหน้า Tesla Careers บนเว็บไซต์ Tesla ประกาศเปิดรับสมัครงานในประเทศไทย 6 ตำแหน่งแบบ Full-time และประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ดังนี้ – Delivery Advisor – Inside Sale Advisor – Tesla Advisor – Service Manager – Public Policy & Business Development Manager – Store Manager ที่มา : Tesla ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: สถิติตลาดหุ้นสหรัฐฯ 78 ปี ชี้ เดือน ก.ย. S&P 500 ทำผลตอบแทนแย่ที่สุด แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ตลาดจับตา ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้ - FINNOMENA ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินทางมาถึงช่วงอันตรายที่สุดของปี 2022 เพราะตามสถิติแล้ว ก.ย. เป็นเดือนที่ S&P 500 ทำผลตอบแทนแย่ที่สุด ในช่วงเวลาที่ Fed ยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและใช้นโยบายการเงินเข้มงวด 2 ก.ย. 2565 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินทางมาถึงช่วงอันตรายที่สุดของปี 2022 เพราะตามสถิติแล้ว ก.ย. เป็นเดือนที่ S&P 500 ทำผลตอบแทนแย่ที่สุด ในช่วงเวลาที่ Fed ยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและใช้นโยบายการเงินเข้มงวด นักลงทุนที่มองว่า ‘เงินเฟ้อ’ ในปีนี้จะพุ่งสูงขึ้นในช่วงสั้นๆ ต่างกำลังกังวลว่า แรงกดดันจะคงอยู่ไปอีกนานแค่ไหน กระตุ้นให้ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระตุ้นหุ้นเติบโต ส่งผลให้ตลาดหุ้นรีบาวด์ขึ้นมาตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 17% จากระดับต่ำสุดกลางเดือน มิ.ย. จนถึงกลางเดือน ส.ค. ก่อนจะปรับตัวลงมาในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนที่แล้วและสิ้นสุด เดือน ส.ค. ด้วยการลดลง 4.2% ซึ่งตอนนี้กำลังเข้าสู่เดือน ก.ย. ซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดของตลาดหุ้น จากสถิติที่ผ่านมา เดือน ต.ค. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นผันผวนมากที่สุด โดยมีการร่วงแรงในปี 1929, 1987 และ 2008 แต่จริงๆ แล้วนั้น เดือน ก.ย. มีผลตอบแทนที่เลวร้ายกว่าเสียอีก ตามการรวบรวมข้อมูลของ Bloomberg ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา S&P 500 ขาดทุนเฉลี่ย 0.7% ในเดือน ก.ย. มีหลายเหตุผลที่อธิบายทางทฤษฎีว่าทำไมหุ้นร่วงตอนเดือน ก.ย. ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจำนวนมากกลับมาจากการพักผ่อนช่วงฤดูร้อนและต้องประเมินตำแหน่งพอร์ตการลงทุนใหม่ หรือองค์กรต่างๆ กำลังถกเถียงกันว่าควรรัดเข็มขัดในงบประมาณหน้าหรือไม่ รวมถึงการขายขาดทุนของของกองทุนรวมต่างๆ Sam Stovall จาก CFRA กล่าวว่า มีเรื่องที่น่ากลัวกว่าสถิติการลดลงในเดือน ก.ย. นั่นคือการที่ Fed หักโหมขึ้นดอกเบี้ยและนำเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย นอกจากนี้ยังมีประเด็นรัสเซีย เพราะหากรัสเซียลดการส่งมอบพลังงานให้ยุโรปซึ่งนั่นอาจทำให้ยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลก ตอนนี้ตลาดจับตาตัวเลขการจ้างงานที่จะเปิดเผยออกมาในคืนนี้ (2 ก.ย.) ขณะที่ อัตราการว่างงานอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปีที่ 3.5% ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับตลาด อย่างไรก็ตาม หากการจ้างงานโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งนั่นหมายถึงการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และนั่นแปลว่าการลดลงของราคาหุ้นและพันธบัตรไม่น่าจะหายไปในเร็วๆ นี้ ขณะที่ การประมาณการกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 ยังคงลดลงต่อเนื่องในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้และในปี 2023 นั่นทำให้คาดการณ์การเติบโตในไตรมาสที่ 3 ของดัชนีลดลงเหลือ3.9% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้สูงถึง 9.7% อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-09-01/stock-market-s-worst-month-gets-even-more-dicey-with-hawkish-fed?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Jeremy Grantham เตือนฟองสบู่ใกล้แตกแล้ว นักลงทุนชื่อดังย้ำ ‘ตลาดขาขึ้น’ เป็นเรื่องไร้สาระ ที่ผ่านมาคือ Bear Market Rally ก่อนร่วงไปสู่จุดต่ำสุด - FINNOMENA Jeremy Grantham นักลงทุนชื่อดังเตือนว่า ภาวะ “ฟองสบู่แตกขั้นรุนแรง” ที่เขาเตือนไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่เกิดขึ้น แม้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญความปั่นป่วนมาตลอดปีแล้วก็ตาม แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว 1 ก.ย. 2565 Jeremy Grantham นักลงทุนชื่อดังเตือนว่า ภาวะ “ฟองสบู่แตกขั้นรุนแรง” ที่เขาเตือนไว้ก่อนหน้านี้ยังไม่เกิดขึ้น แม้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญความปั่นป่วนมาตลอดปีแล้วก็ตาม แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ผู้ร่วมก่อตั้ง GMO บริษัทจัดการสินทรัพย์ในบอสตันที่มีชื่อเสียงจากการเตือนภาวะฟองสบู่ของตลาดระบุว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นสหัฐฯ ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. จนถึงเดือน ส.ค. เป็นรูปแบบของการฟื้นตัวช่วงสั้นของตลาดขาลง (Bear Market Rally) หลังการลดลงอย่างรวดเร็วในครั้งแรก และก่อนที่เศรษฐกิจจะเริ่มเสื่อมลงอย่างแท้จริง นักลงทุนชื่อดังวัย 83 มองเห็นวิกฤติที่ผสมผสานหลายปัจจัยในอนาคต ทั้งหุ้น พันธบัตร และราคาที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าสูงเกินไป รวมถึงความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์ และการใช้นโยบายเข้มงวดขึ้นของ Fed โดยเมื่อต้นปี Grantham คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P 500จะร่วงลงเกือบ 50% ซึ่ง ณ จุดหนึ่งของเดือน มิ.ย. S&P 500 ร่วงลงเกือบ 25% จากจุดสูงสุดในเดือน ม.ค. ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งใน 2 เดือนถัดมา Grantham บอกว่า ผู้คนคิดว่าการพุ่งขึ้นของตลาดเมื่อวันก่อนเป็นขาขึ้น ซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระ สำหรับนักลงทุนชื่อดังแล้ว “ฟองสบู่ขั้นรุนแรง” มีหลายระยะ อย่างแรกคือ การปรับตัวลงมาของตลาดในช่วงครึ่งปีแรก จากนั้นก็ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา จนในที่สุดปัจจัยพื้นฐานพังทลายและตลาดร่วงไปสู่จุดต่ำสุด นักลงทุนชื่อดังมีชื่อเสียงจากการทำกำไรในฟองสบู่ของหุ้นญี่ปุ่นในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และฟองสบู่ในหุ้นเทคโนโลยีในช่วงปี 2000 รวมถึงฟองสบู่ในที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ก่อนวิกฤติการเงินปี 2008 อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ของเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นผิดพลาด หรืออย่างน้อยก็เร็วเกินไป สำหรับการคาดการณ์ในรอบนี้ เขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาระยะสั้น เช่น ผลกระทบของรัสเซียบุกยูเครนต่อยุโรป ซึ่งกำลังต่อสู้กับวิกฤติอาหารและพลังงาน รวมถึงการตึงตัวทางการเงินและปัญหาโควิดอย่างต่อเนื่องในจีน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งแรก แต่กำไรที่ชะลอตัวลงจะทำให้บริษัทขาดทุนในรอบต่อไป Grantham กล่าวว่า เดิมพันของเขาครั้งนี้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในเชิงเศรษฐกิจและการเงิน ก่อนที่จะถูกล้างผ่านระบบ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ มันอาจจะอยู่เหนือความควบคุมเหมือนในยุค 30 หรือค่อนข้างคุมได้แบบปี 2000 หรือไม่ก็อาจจะอยู่ตรงกลางๆ ก็ได้ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-31/famed-investor-jeremy-grantham-warns-of-super-bubble-in-stocks-as-rally-falters?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bear Market Rally Jeremy Grantham News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Citi เตือนขาลงตลาด ‘หุ้นญี่ปุ่น’ เสี่ยงลงต่ออีก 14% - 18% จากปัจจุบัน ผลจากนโยบายการเงินเข้มงวดของ Fed - FINNOMENA Citi เตือนตลาดขาลงในหุ้นญี่ปุ่นอาจเป็นเรื่อง ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ หลังคำปราศรัยของประธาน Fed ใน Jackson Hole ฉุดตลาดลงมาจากการปรับตัวขึ้นอย่างผ่อนคลายตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. 30 ส.ค. 2565 Citi เตือนตลาดขาลงในหุ้นญี่ปุ่นอาจเป็นเรื่อง ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ หลังคำปราศรัยของประธาน Fed ใน Jackson Hole ฉุดตลาดลงมาจากการปรับตัวขึ้นอย่างผ่อนคลายตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. Ryota Sakagami นักกลยุทธ์หุ้นจาก Citigroup Global Markets Japan คาดการณ์ว่า ดัชนี Nikkei 225 อาจร่วงลงไปสู่ระดับ 24,000 หรือลดลง 14% จากระดับปัจจุบัน ส่วนดัชนี Topix อาจร่วงลงไปถึง 1,600 จุด หรือลดลง 18% จากระดับปัจจุบัน ท่ามกลางความเสี่ยงของตลาดขาลงทั่วโลก รวมถึงผลกระทบจากสภาพคล่องที่น้อยลงจากนโยบายการเงินเข้มงวด การเตือนเกี่ยวกับขาลงเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ดัชนี Nikkei 225 เพิ่งฟื้นตัวจากการติดลบ 14% จากต้นปี โดย Sakagami มองว่า ตลาดไม่มีความหวังต่อมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้นของ Fed แล้ว และอาจมีการปรับมุมมองที่เข้มข้นขึ้นสำหรับหุ้นญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ Citi ระบุว่า ตลาดขาลงในหุ้นญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้แทบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และคาดการณ์ว่านักลงทุนจะเปลี่ยนจากหุ้นเติบโตไปสู่หุ้นคุณค่า และจากหุ้นวัฏจักรไปสู่หุ้นปลอดภัย (Defensive) หรือหุ้นที่มีความผันผวนของราคาน้อยกว่าตลาด หลังคำปราศรัยของประธาน Fed ดัชนี Nikkei 225 ลดลง 2.7% และ Topix ร่วง 1.8% ในวันจันทร์ (29 ก.ย.) ซึ่งเป็นการลดลงที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 เดือน อย่างไรก็ตาม วันนี้ (30 ก.ย.) ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นมา 1.14% และ Topix บวกเพิ่ม 1.25% อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-29/goldman-says-buy-commodities-now-worry-about-recession-later-l7eb2hi4?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: citi News Update ญี่ปุ่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น หุ้นญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รวยอันดับ 3 ของโลก หนทางสู่ความสำเร็จของ Gautam Adani ลาออกจากมหาวิทยาลัย สู่อาณาจักร ‘Adani Group’ - FINNOMENA ถ้าเอ่ยชื่อ ‘Gautam Adani’ เมื่อไม่กี่ปีก่อน หลายคนคงแทบไม่คุ้นหู แต่วันนี้ Adani กลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลก แซงหน้าเจ้าของอันดับเก่าอย่าง Bernard Arnault รวมถึงมหาเศรษฐีชื่อดังอย่าง Bill Gates และ Warren Buffett ไปเรียบร้อยแล้ว 30 ส.ค. 2565 ถ้าเอ่ยชื่อ ‘Gautam Adani’ เมื่อไม่กี่ปีก่อน หลายคนคงแทบไม่คุ้นหู แต่วันนี้ Adani กลายมาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลก แซงหน้าเจ้าของอันดับเก่าอย่าง Bernard Arnault รวมถึงมหาเศรษฐีชื่อดังอย่าง Bill Gates และ Warren Buffett ไปเรียบร้อยแล้ว Adani ถือเป็นคนเอเชียคนแรกที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐี Top 3 ของโลก ขนาด Jack Ma เจ้าของอาณาจักรอีคอมเมิร์ซในจีนที่หลายคนรู้จัก รวมถึง Mukesh Ambani เพื่อนเศรษฐีชาวอินเดียวด้วยกันยังไม่เคยมาได้ไกลขนาดนี้ มาดูกันว่ามหาเศรษฐีที่ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันมาเป็นพ่อค้าเพชรนั้น ทำอย่างไรให้ธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 1980 Adani ตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยมาเริ่มงานอุตสาหกรรมเพชรในมุมไบ ก่อนจะกลับไปยังบ้านเกิดที่รัฐคุชราตเพื่อช่วยพี่ชายทำธุรกิจพลาสติก แต่จุดเริ่มต้นจริงๆ เกิดขึ้นในปี 1988 เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Adani Enterprises ขึ้นมา จากธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ขนาดเล็ก สู่อาณาจักร ‘Adani Group’ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของอินเดียที่มีทั้งธุรกิจท่าเรือ เหมือง โรงไฟฟ้า และพลังงานสีเขียว ความสำเร็จของเขาไม่ได้เกิดจากความพยายามทำธุรกิจทุกประเภท แต่เขารู้ว่าเศรษฐกิจอินเดียต้องการอะไร และเลือกลงทุนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของผู้นำชาติอินเดีย Adani ไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล เขาได้ขยายอาณาจักรไปสู่พลังงานหมุนเวียน สนามบิน ถนน ระบบเดินรถไฟ ศูนย์ข้อมูล และสัญญาด้านการป้องกันประเทศ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ ‘นเรนทรา โมดี’ นายกฯ ของอินเดีย มองว่าเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการสร้างชาติและบรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจระยะยาวของอินเดีย สิ่งนั้นทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก หุ้นในกลุ่ม Adani Group บางตัวพุ่งขึ้นกว่า 600% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยตั้งแต่ต้นปี 2020 หุ้น Adani Green และ Adani Total Gas บริษัทร่วมทุนที่จดทะเบียนกับบริษัทในฝรั่งเศสพุ่งขึ้นกว่า 1,000%, หุ้น Adani Enterprises พุ่งขึ้นกว่า 730%, หุ้น Adani Transmission เพิ่มขึ้นกว่า 500% และ Adani Ports เพิ่มขึ้นมาถึง 95% เมื่อเทียบกับการปรับตัวขึ้นของดัชนี Sensex ที่ 40% ความมั่งคั่งของ Adani พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีทีผ่านมา แค่เพียงไม่ถึง 8 เดือนของปี 2022 ความมั่งคั่งของ Adani เพิ่มขึ้นมาถึง 60,900 ล้านดอลลาร์ ความร่ำรวมของเขาเริ่มต้นจากการแซงหน้า Ambani มหาเศรษฐีชาวเอเชียที่รวยที่สุดในเดือน ก.พ. จนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้าในเดือน เม.ย. และแซงหน้า Bill Gates ที่เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกเมื่อเดือนที่แล้ว และล่าสุด Mukesh Ambani กลายมาเป็นคนเอเชียคนแรกที่ก้าวมาเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 3 ของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 137,400 ล้านดอลลาร์ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-29/india-s-adani-is-first-asian-to-become-world-s-third-richest?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-02-07/indian-tycoon-adani-surpasses-ambani-as-asia-s-richest-person?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-21/adani-overtakes-gates-to-become-world-s-fourth-richest-person?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Adani Group Gautam Adani News Update มหาเศรษฐี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โตโยต้าครองแชมป์ ยอดขายรถยนต์สูงสุดในไทย ขายได้ 162,309 คัน ในเดือน ม.ค. - ก.ค. 65 ตามมาด้วย อีซูซุ และ ฮอนด้า - FINNOMENA ยอดขายรถยนต์ในไทย 7 เดือนแรก เฉียด 5 แสนคัน โต 15.4% จากปีที่แล้ว โตโยต้าครองส่วนแบ่งตลาด 33.0% ยอดขายรวม 162,309 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% จากปีที่แล้ว 29 ส.ค. 2565 ยอดขายรถยนต์ในไทย 7 เดือนแรก เฉียด 5 แสนคัน โต 15.4% จากปีที่แล้ว โตโยต้าครองส่วนแบ่งตลาด 33.0% ยอดขายรวม 162,309 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% จากปีที่แล้ว นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์รายงานสถิติการขายรถยนต์ ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ก.ค. 2565) ว่า ตลาดรถยนต์รวมมีปริมาณการขาย 491,329 คัน เพิ่มขึ้น 15.4% จากปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายรวมของรถยนต์ประจำเดือน ก.ค. 2565 อยู่ที่ 64,033 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% สำหรับแนวโน้มตลาดรถยนต์เดือน ส.ค. นายสุรศักดิ์ คาดว่า จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการแนะนำรถยนต์รุ่นสำคัญเข้าสู่ตลาดของค่ายรถยนต์ ประกอบกับแรงกระตุ้นของแคมเปญการตลาดในช่วงงาน BIG Motor Show 2022 นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคม คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการแนะนำรถยนต์รุ่นสำคัญเข้าสู่ตลาดของค่ายรถยนต์ ประกอบกับแรงกระตุ้นของแคมเปญการตลาดในช่วงงาน BIG Motor Show 2022 ซึ่งนอกจากกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในงาน ยังขยายข้อเสนอพิเศษไปยังโชว์รูมผู้แทนจำหน่าย ทั่วประเทศอีกด้วย นับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ประชาชนสามารถมีรถยนต์ใช้ได้ง่ายขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตผ่านเครือข่ายธุรกิจรถยนต์ได้อีกทางหนึ่ง 🚗 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนกรกฎาคม 2565 1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 64,033 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% อันดับที่ 1 โตโยต้า 20,277 คัน เพิ่มขึ้น 19.0% ส่วนแบ่งตลาด 31.7% อันดับที่ 2 อีซูซุ 16,282 คัน เพิ่มขึ้น 19.0% ส่วนแบ่งตลาด 25.4% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 7,256 คัน เพิ่มขึ้น 4.3% ส่วนแบ่งตลาด 11.3% 2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 19,194 คัน เพิ่มขึ้น 15% อันดับที่ 1 โตโยต้า 5,096 คัน เพิ่มขึ้น 14.1% ส่วนแบ่งตลาด 26.5% อันดับที่ 2 ฮอนด้า 4,635 คัน ลดลง 23.6% ส่วนแบ่งตลาด 24.1% อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 1,788 คัน เพิ่มขึ้น 48.4% ส่วนแบ่งตลาด 9.3% 3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 44,839 คัน เพิ่มขึ้น 25.4% อันดับที่ 1 อีซูซุ 16,282 คัน เพิ่มขึ้น 19.0% ส่วนแบ่งตลาด 36.3% อันดับที่ 2 โตโยต้า 15,181 คัน เพิ่มขึ้น 20.7% ส่วนแบ่งตลาด 33.9% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,609 คัน เพิ่มขึ้น 70.2% ส่วนแบ่งตลาด 8.0% 4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 34,054 คัน เพิ่มขึ้น 22.4% อันดับที่ 1 อีซูซุ 14,832 คัน เพิ่มขึ้น 19.6% ส่วนแบ่งตลาด 43.6% อันดับที่ 2 โตโยต้า 12,659 คัน เพิ่มขึ้น 19.8% ส่วนแบ่งตลาด 37.2% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 3,609 คัน เพิ่มขึ้น 70.2% ส่วนแบ่งตลาด 10.6% *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,240 คัน อีซูซุ 1,567 คัน – โตโยต้า 1,321 คัน – ฟอร์ด 700 คัน – มิตซูบิชิ 560 คัน – นิสสัน 92 คัน 5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 29,814 คัน เพิ่มขึ้น 18.7% อันดับที่ 1 อีซูซุ 13,265 คัน เพิ่มขึ้น 15.8% ส่วนแบ่งตลาด 44.5% อันดับที่ 2 โตโยต้า 11,338 คัน เพิ่มขึ้น 19.9% ส่วนแบ่งตลาด 38.0% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,909 คัน เพิ่มขึ้น 53.8% ส่วนแบ่งตลาด 9.8% 🚗สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2565 1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 491,329 คัน เพิ่มขึ้น 15.4% อันดับที่ 1 โตโยต้า 162,309 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.0% อันดับที่ 2 อีซูซุ 126,171 คัน เพิ่มขึ้น 18.1% ส่วนแบ่งตลาด 25.7% อันดับที่ 3 ฮอนด้า 47,417 คัน ลดลง 4.5% ส่วนแบ่งตลาด 9.7% 2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 155,087 คัน เพิ่มขึ้น 13.2% อันดับที่ 1 โตโยต้า 43,990 คัน เพิ่มขึ้น 28.7% ส่วนแบ่งตลาด 28.4% อันดับที่ 2 ฮอนด้า 34,209 คัน ลดลง 19.8% ส่วนแบ่งตลาด 22.1% อันดับที่ 3 มาสด้า 13,843 คัน เพิ่มขึ้น 13.7% ส่วนแบ่งตลาด 8.9% 3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 336,242 คัน เพิ่มขึ้น 16.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ 126,171 คัน เพิ่มขึ้น 18.1% ส่วนแบ่งตลาด 37.5% อันดับที่ 2 โตโยต้า 118,319 คัน เพิ่มขึ้น 18.3% ส่วนแบ่งตลาด 35.2% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 18,510 คัน เพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนแบ่งตลาด 5.5% 4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 261,896 คัน เพิ่มขึ้น 16.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ 116,271 คัน เพิ่มขึ้น 19.3% ส่วนแบ่งตลาด 44.4% อันดับที่ 2 โตโยต้า 101,891 คัน เพิ่มขึ้น 20.3% ส่วนแบ่งตลาด 38.9% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 18,510 คัน เพิ่มขึ้น 0.5% ส่วนแบ่งตลาด 7.1% *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 33,826 คัน โตโยต้า 14,787 คัน – อีซูซุ 10,662 คัน – มิตซูบิชิ 4,714 คัน – ฟอร์ด 2,946 คัน – นิสสัน 717 คัน 5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 228,070 คัน เพิ่มขึ้น 17.5% อันดับที่ 1 อีซูซุ 105,609 คัน เพิ่มขึ้น 21.3% ส่วนแบ่งตลาด 46.3% อันดับที่ 2 โตโยต้า 87,104 คัน เพิ่มขึ้น 22.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.2% อันดับที่ 3 ฟอร์ด 15,564 คัน ลดลง 0.6% ส่วนแบ่งตลาด 6.8% อ้างอิง: โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง หลังสุนทรพจน์ Jackson Hole - FINNOMENA ตลาดหุ้นทั่วเอเชียร่วงแรง หลังจาก Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวสุนทรพจน์ในการสัมนาที่ Jackson Hole ระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีหน้าที่รักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและนิ่ง (Price Stability) 29 ส.ค. 2565 ตลาดหุ้นทั่วเอเชียร่วงแรง หลังจาก Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวสุนทรพจน์ในการสัมนาที่ Jackson Hole ระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ มีหน้าที่รักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำและนิ่ง (Price Stability) ซึ่งตอนนี้เงินเฟ้อยังเกินระดับเป้าหมายที่ 2% ซึ่งการลดเงินเฟ้อเพื่อกลับเข้าสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้น มีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่อาจนำไปสู่ความเจ็บปวดของภาคครัวเรือนและธุรกิจ แต่การปล่อยให้เงินเฟ้อพุ่งสูงอาจส่งผลเสียรุนแรงกว่า ทำให้ดอกเบี้ยยังคงต้องขึ้นไปอีกระยะหนึ่งและไม่ลดลงเร็วเกินไป เนื่องจากประสบการณ์ในอดีตสอนว่าเราไม่ควรผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วเกินไป สะท้อนท่าที Hawkish ที่มากขึ้นกว่าการคาดการณ์ของตลาดก่อนหน้านี้ สร้างความกังวลส่งผลให้ตลาดปรับตัวลง ดังนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ปรับตัวลง -2.76% ดัชนี KOSPI ปรับตัวลง -2.26% ดัชนี TOPIX ปรับตัวลง -1.99% ดัชนี VN 30 ปรับตัวลง -1.43% ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลง -0.95% ดัชนี HSI ปรับตัวลง -0.85% FINNOMENA Investment Team มองว่าในระยะสั้น Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงได้รับความผันผวนจากท่าทีที่ Hawkish มากขึ้นของ Fed แต่ในระยะเวลาข้างหน้ายังมีการลดขนาดงบดุล(QT) ที่ตอนนี้ยังน้อยกว่าเป้าและอาจเริ่มเพิ่มขึ้นตามเป้าในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ดังนั้นจากช่วงนี้ไปจนถึงการประชุม Fed ครั้งหน้าในวันที่ 20-21 กันยายน ให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อตัวและตัวเลขการจ้างงานอย่างใกล้ชิด จึงแนะนำให้มีมุมมองเชิงระมัดระวังในการลงทุน (Defensive) ตาม Recession Playbook (อ้างอิง www.finnomena.com/mrserotonin/recession-playbook-summary) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น Grab ร่วงแรงกว่า 12% ขาดทุนหนัก 547 ล้านดอลลาร์ แม้รายได้โต 79% ธุรกิจส่งสัญญาณชะลอตัว หลังกลับมาเปิดเมือง - FINNOMENA หุ้น Grab ร่วงแรงกว่า 12% หลังขาดทุนหนักกว่าทีนักวิเคราะห์คาด เหตุดีมานด์ในธุรกิจส่งอาหารและบริการเรียกรถส่งสัญญาณชะลอตัว แม้รายได้บริษัทจะโตดีกว่าคาดที่ 79% ก็ตาม 26 ส.ค. 2565 หุ้น Grab ร่วงแรงกว่า 12% หลังขาดทุนหนักกว่าทีนักวิเคราะห์คาด เหตุดีมานด์ในธุรกิจส่งอาหารและบริการเรียกรถส่งสัญญาณชะลอตัว แม้รายได้บริษัทจะโตดีกว่าคาดที่ 79% ก็ตาม Grab บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสิงคโปร์ ที่มีทั้งบริการเรียกรถ, แท็กซี่, วินมอเตอร์ไซค์, ส่งพัสดุ และสั่งอาหาร ผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ รายงานการขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2 อยู่ที่ 547 ล้านดอลลาร์ หดตัวเกือบ 30% จากปีก่อนหน้า และขาดทุนมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 335 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) ราคาหุ้น Grab ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงมา 12.22% โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้น Grab ปรับลดลงมามากกว่า 55% อย่างไรก็ตาม บริษัทรายงานรายได้ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 79% สู่ 321 ล้านดอลลาร์ มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 273.1 ล้านดอลลาร์ หนุนโดยดีมานด์ที่ยืดหยุ่นของผู้บริโภคที่ยังใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แม้ปัญหาเงินเฟ้อจะรุนแรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ดีมานด์ดังกล่าวเริ่มชะลอตัวลง Grab หนึ่งในสตาร์ทอัพที่ร้อนแรงที่สุดของอาเซียนที่นำโดย Anthony Tan ประสบปัญหาต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านวิธี SPAC หรือควบรวมกิจการกับบริษัทที่ไม่มีแผนธุรกิจแน่ชัดหรือออาจเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อควบรวมกิจการ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่ธุรกิจเรียกรถของบริษัทกำลังอยู่ในขาลง ทำให้ Grab ต้องหากลยุทธ์ใหม่โดยขยายธุรกิจไปสู่การสั่งของในร้านสะดวกซื้อ และเพิ่มการลงทุนจำนวนมาก รวมถึงตัดสินใจปิดการดำเนินงานของศุนย์กระจายสินค้าในสิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพื่อลดต้นทุน บริษัทรายงานมูลค่าสินค้ายอดขายทั้งหมด (GMV) ของธุรกิจเดลิเวอรี่ซึ่งถือเป็นพื้นที่การเติบโตที่สำคัญอยู่ที่เพียง 2,500 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2,650 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้บริโภคสั่งอาหารและซื้อของออนไลน์น้อยลง หลังกลับมาเปิดเมืองแล้ว โดยบริษัทปรับลดคาดการณ์ GMV ทั้งหมด เหลือขยายตัว 21% – 25% ในปีนี้ เทียบกับ 30% – 35% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เนื่องจากสัญญาณความต้องการของผู้บริโภคอ่อนตัวลง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-25/singapore-s-grab-shows-signs-of-revival-as-sales-beat-estimates?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Grab News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เปิดตัว NETA V ในไทย ลุ้นเงินอุดหนุนจากภาครัฐ เหลือ 5.49 แสนบาท จากราคาเต็ม 7.60 แสนบาท รถยนต์ไฟฟ้า 100% ชาร์จเต็มวิ่งได้ 384 กม. - FINNOMENA NETA เปิดตัว NETA V เคาะราคาอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 549,000 บาท ซึ่งเป็นราคาหลังหักส่วนลดโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตามมาตรการรัฐบาลและลดภาษีสรรพสามิตใหม่ จาก 8% เหลือ 2% 25 ส.ค. 2565 NETA เปิดตัว NETA V เคาะราคาอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 549,000 บาท ซึ่งเป็นราคาหลังหักส่วนลดโครงการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ตามมาตรการรัฐบาลและลดภาษีสรรพสามิตใหม่ จาก 8% เหลือ 2% โดยราคาปกติอยู่ที่ 760,000 บาท รวมส่วนลดทั้งหมด 211,000 บาท เหลือ 549,000 บาท สำหรับสเปคของรถยนต์ NETA V เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% มาพร้อมขุมพลัง 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร ระยะทางใช้งานต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง 384 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) ความจุ 38.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น IP67 พร้อมระบบจัดการอุณหภูมิแบตเตอรี่ HEPT 3.0 และระบบระบายความร้อนแบบ LIQUID COOLING SYSTEM นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC Normal Charge จาก 0-100% ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง และการชาร์จกระแสตรง DC Quick Charge จาก 30-80% ประมาณ 30 นาที NETA V มีให้เลือก 5 สี คือ สีเขียว Cyan สีขาว White Storm สีชมพู Sakura Pink สีเทา Midnight Grey และสีฟ้า Sky Blue อเล็กซ์ เป่า จ้วงเฟย ผู้จัดการทั่วไปของ เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า หลังจากที่แนะนำ Neta V ได้รับการตอบรับที่ดีมียอดจองเข้ามามากถึง 3,000 คัน คาดว่ายอดจองจะทะลุถึง 7,000 คันได้ภายในปีนี้ โดยการส่งมอบจะเริ่มต้นในช่วงเดือน ก.ย. ส่งได้เดือนละ 1,000 คัน ส่วนเป้าหมายการขายปีแรกคือ 3,000 คัน และ 10,000 คันในปีต่อไป โดย NETA เตรียมเปิดโชว์รูม และศูนย์บริการ ภายในปีนี้ อย่างน้อย 24 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัด นอกจากนี้ยังสามารถเข้ารับบริการตรวจเช็คเบื้องต้นได้ที่ ศูนย์บริการ FIT AUTO ในปั๊มน้ำมัน ปตท.ได้อีกด้วย NETA Thailand เป็นการเข้ามาลงทุนของบริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของประเทศจีน ซึ่งเปิดบริษัทอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา ในรูปแบบของกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ ก่อนที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว และมียอดขายทั่วโลกมากกว่า 2 แสนคัน ในช่วงเวลา 4 ปี ล่าสุด โฮซอน ต้องการที่จะเพิ่มบทบาทในเวทีโลก และมองหาโอกาสในการส่งออก และทำตลาดต่างประเทศ และเลือกไทยเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การขยายตลาดที่สำคัญ โดยกำหนดให้ไทยเป็นศูนย์กลางการทำตลาดและส่งออกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ สิงคโปร์ อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1022759 https://autolifethailand.tv/official-price-hozon-neta-v-thailand/ https://mgronline.com/motoring/detail/9650000081310 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: NETA NETA V News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }