text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
FINNOMENA Market Alert: Hang Seng บวกแรง 3.6% รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการจีน - FINNOMENA ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 3.60% นำโดยหุ้นเทคโนโลยีจีนอย่าง Tencent บวก 9.65% และ Alibaba บวก 7.71% หลังทางการจีนประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก 19 นโยบาย 25 ส.ค. 2565 ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 3.60% นำโดยหุ้นเทคโนโลยีจีนอย่าง Tencent บวก 9.65% และ Alibaba บวก 7.71% หลังทางการจีนประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอีก 19 นโยบาย มูลค่ากว่า 3 แสนล้านหยวน (43.7 พันล้านดอลลาร์) โดยรวมกับการกระตุ้นครั้งก่อนหน้าจะมีมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านหยวน (146 พันล้านดอลลาร์) เพื่อต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เริ่มอ่อนตัวลง ผ่านการเพิ่มการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ที่ซบเซาลงจากการใช้ Zero-Covid Policy เสริมสภาพคล่องให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ สนับสนุนภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และสนับสนุนรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานเพื่อให้มั่นใจว่ามีพลังงานเพียงพอ FINNOMENA Investment Team มองว่าเริ่มเห็นข่าวดีจากการที่ทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจจีนอยู่ในจุดที่อ่อนและมีความเสี่ยงอยู่ทั้งปัญหาอสังหาริมทรัพย์และนโยบาย Zero-Covid จึงแนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุน ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: SCB ล้มดีลซื้อหุ้น Bitkub มูลค่า 17,850 ล้านบาท เหตุมีประเด็นคงค้างรอข้อสรุปจาก กลต. - FINNOMENA SCB ประกาศล้มดีลซื้อ Bitkub มูลค่า 17,850 ล้านบาท เหตุ Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างรอข้อสรุปจาก กลต. 25 ส.ค. 2565 SCB ประกาศล้มดีลซื้อ Bitkub มูลค่า 17,850 ล้านบาท เหตุ Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างรอข้อสรุปจาก กลต. บมจ.เอสซีบี เอ็กซ์ (SCB) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในการประชุมครั้งที่ 13/2564 เมื่อวันที่ 2 พ.ย.64 ได้มีมติอนุมัติให้ SCBS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCB เข้าทำสัญญาซื้อหุ้น ในบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) จาก บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Bitkub คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาทนั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ และ SCBS ได้ร่วมกันดำเนินการสอบทานธุรกิจ (due diligence) ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ขายและ Bitkub โดยในระหว่างกระบวนการสอบทานธุรกิจ บริษัทฯ และ SCBS ได้เห็นศักยภาพและความสามารถในหลากหลายด้านของกลุ่ม Bitkub และเห็นโอกาสในการร่วมมือพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจของ Bitkub ในอีกหลายด้าน อย่างไรก็ดี ถึงแม้การสอบทานธุรกิจจะไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติอันเป็นนัยสำคัญ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้แต่เนื่องจาก Bitkub ยังมีประเด็นคงค้างที่ต้องดำเนินการหาข้อสรุปตามคำแนะนำและสั่งการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาในการหาข้อสรุปดังกล่าว ผู้ซื้อและผู้ขายจึงได้ตกลงร่วมกันที่จะยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวที่ประชุมคณะกรรมการ SCBS ครั้งที่ 15/2565 จึงมีมติให้ SCBS ยกเลิกธุรกรรมการซื้อขายหุ้น โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.65 ทั้งนี้ SCB และ SCBS ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ในการเข้าสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งจะมีบทบาทอย่างสำคัญต่อเศรษฐกิจและภาคการเงินของประเทศไทย ที่มา: บมจ.เอสซีบี เอ็กซ์ (SCB) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitkub News Update scb SCBX แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ไบเดนเผนแผนยกหนี้กยศ.สหรัฐฯ ปลดหนี้คนละ 3.6 แสนบาท สูงสุดกว่า 7 แสนบาท หวังเรียกคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้งกลางเทอมนี้ - FINNOMENA ปธน.โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศแผนยกหนี้ ‘เงินกู้เพื่อการศึกษา’ หวังช่วยประชาชน 20 ล้านคน ตามที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ 25 ส.ค. 2565 ปธน.โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศแผนยกหนี้ ‘เงินกู้เพื่อการศึกษา’ หวังช่วยประชาชน 20 ล้านคน ตามที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ภายใต้แผนดังกล่าว จะมีการปลดหนี้มูลค่า $10,000 สำหรับผู้กู้ส่วนใหญ่ (ประมาณ 359,400 บาท*) และ $20,000 สำหรับผู้กู้จากกองทุน Pell Grants (ประมาณ 718,800 บาท*) ซึ่งเป็นผู้กู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเพื่อเรียนชั้นปริญญาตรี โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิ์นี้ต้องมีรายได้ไม่เกิน 125,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือมีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่า 250,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้จะมีการยืดเวลาชำระหนี้ต่อไปสำหรับผู้ที่กู้เงินจากรัฐบาลเพื่อการศึกษาจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2022 นี้ แต่ย้ำว่า แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับยอดชำระคืน สามารถชำระคืนได้สูงสุด 5% ของรายได้ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวอาจต้องเผชิญเเรงต้านทางกฎหมาย แต่หากสามารถอนุมัติใช้ได้จริง จะมีคนจำนวนมากได้รับประโยชน์ ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ประชาชนจะเลือก ส.ว.และส.ว. ชุดใหม่เข้าสภา ซึ่งขณะนี้ ปธน. ไบเดน เสียความนิยมไปมาก ข้อมูลระบุว่า มีประชาชนกว่า 43 ล้านคนที่กู้เงินเพื่อการศึกษาจากรัฐบาลกลาง โดยมีมูลค่าหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 37,667 ซึ่งทำเนียบขาวประเมินว่าการปลดหนี้ครั้งนี้จะช่วยประชาชนอเมริกันได้ราว 20 ล้านคน แน่นอนว่ามีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับแผนยกหนี้ดังกล่าว ผู้ที่เห็นด้วยมองว่า นี่เป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สถิติจากสถาบันวิจัยด้านนโยบาย Brookings Institution พบว่า คนผิวดำในอเมริกาเป็นหนี้มากกว่าคนผิวขาวโดยเฉลี่ยเกือบ 25,000 ดอลลาร์ ขณะที่ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีทั้งผู้ที่เรียกร้องให้ปธน.ไบเดน ออกมาตรการช่วยเหลือมากกว่านี้ รวมถึงผู้ที่ตั้งคำถามเรื่องความยุติธรรมต่อความพยายามช่วยปลดหนี้ครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามว่า แผนยกหนี้ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเนื่องจากการใช้จ่ายส่วนบุคคลและการออมเปลี่ยนไปหรือไม่ ซึ่ง Beth Akers อดีตนักเศรษฐศาสตร์สมัยปธน. จอร์จ ดับเบิลยู. บุช มองว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล มันอาจจะเพิ่มแรงกดดัน แต่ไม่ใช่ตัวเปลี่ยนเกมในประเด็นเงินเฟ้อ *อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 ส.ค. ที่ 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 35.94 บาท อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/24/biden-expected-to-cancel-10000-in-federal-student-loan-debt-for-most-borrowers.html https://www.voathai.com/a/biden-announces-long-awaited-student-debt-forgiveness-plan/6715247.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-24/biden-s-student-loan-relief-adds-new-wrinkle-to-inflation-debate?srnd=markets-vp&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กยศ สหรัฐฯ โจ ไบเดน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถยนต์ไฟฟ้าแบบไหน ได้ส่วนลดเท่าไร? เปิดเงื่อนไข เงินอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลช่วยจ่าย 18,000 - 150,000 บาทต่อคัน - FINNOMENA ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณ 2.9 พันล้านบาท หนุนใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์ รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ มอบส่วนลดเริ่มต้น 18,000 บาทต่อคัน สูงสุด 150,000 บาทต่อคัน 24 ส.ค. 2565 ครม. มีมติอนุมัติงบประมาณ 2.9 พันล้านบาท หนุนใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์ รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ มอบส่วนลดเริ่มต้น 18,000 บาทต่อคัน สูงสุด 150,000 บาทต่อคัน นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณ 2,923.397 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศกรมสรรพสามิต ดังนี้ 🚗 กรณีรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท – สำหรับความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงแต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวนเงินอุดหนุนอยู่ที่ 70,000 บาท/คัน – สำหรับความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป จำนวนเงินอุดหนุนอยู่ที่ 150,000 บาท/คัน 🛻 กรณีรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศและมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป จำนวนเงินอุดหนุนอยู่ที่ 150,000 บาท/คัน 🛵 กรณีรถจักรยานยนต์ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท จำนวนเงินอุดหนุนอยู่ที่ 18,000 บาท/คัน ในส่วนผู้ขอรับสิทธิเพื่อขอรับเงินอุดหนุนต้องเป็นบุคคลตามประกาศกรมสรรพสามิตกำหนด เช่น ผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรม ผู้นำเข้าที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เป็นต้น และต้องเข้ามาทำข้อตกลงร่วมกับกรมสรรพสามิต เพื่อรับทราบและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กรมสรรพสามิตกำหนด และยอมรับบทลงโทษหากไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องยื่นขอรับสิทธิเป็นรายรุ่น เพื่อให้กรมสรรพสามิตพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกแนะนำก่อนและหลังรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ รวมทั้งนำส่งรวบรวมเอกสารหลักฐานการจำหน่ายและการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าคัน ให้กรมสรรพสามิตเป็นรายไตรมาส เพื่อให้กรมสรรพสามิตดำเนินการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบกิจการไม่ดำเนินการผลิตรถยนต์นั่งรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน หรือรถจักรยานยนต์ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด กรมสรรพสามิตจะเรียกคืนเงินอุดหนุนดังกล่าวจากผู้ได้รับเงินอุดหนุนเป็นรายคันตามจำนวนที่ไม่สามารถดำเนินการผลิตชดเชยได้ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยไม่คิดทบต้น และจะบังคับตามหนังสือสัญญาค้ำประกันโดยธนาคารที่วางไว้ ข้อมูลจากกระทรวงการคลัง เผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีผู้ได้รับสิทธิที่ต้องได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าฯ แบ่งเป็นรถยนต์ จำนวน 18,100 คัน และรถจักรยานยนต์ จำนวน 8,800 คัน แนวทางการดำเนินงานส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนให้ราคาของยานยนต์ไฟฟ้าลดลงใกล้เคียงกับราคารถยนต์และรถจักรยานยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการลงทุน ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อและสร้างแรงจูงใจให้มีการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพิ่มขึ้น อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1022491 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Apple เริ่มผลิต iPhone 14 ในอินเดีย แก้ปัญหาการผลิตล่าช้า หวังลดพึ่งพาจีน พร้อมวางแผนเริ่มผลิต iPad ด้วย - FINNOMENA Apple เผยแผนเริ่มผลิต iPhone 14 ในอินเดีย หลังผลิตในจีนไปได้ 2 เดือน เพื่อลดความล่าช้าในการผลิตที่จากเดิมใช้เวลานาน 6-9 เดือน ก่อนการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของบริษัท 24 ส.ค. 2565 Apple เผยแผนเริ่มผลิต iPhone 14 ในอินเดีย หลังผลิตในจีนไปได้ 2 เดือน เพื่อลดความล่าช้าในการผลิตที่จากเดิมใช้เวลานาน 6-9 เดือน ก่อนการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของบริษัท โดย Apple ได้ร่วมงานกับผู้รับผลิตชิ้นส่วนให้กับ Apple ในอินเดียซึ่งคาดว่า iPhone 14 ที่ผลิตในอินเดียล็อตแรกจะเสร็จสิ้นประมาณปลายเดือน ต.ค. หรือ พ.ย. นี้ ขณะที่ Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple ในไต้หวัน กำลังศึกษาเรื่องการจัดส่งชิ้นส่วนจากจีนเพื่อไปประกอบเป็น iPhone 14 ที่โรงงานของบริษัทใกล้ๆ กับเมืองเชนไน ทางตอนใต้ของอินเดีย ตลอดเวลาที่ผ่านมา Apple พยายามมองหาทางเลือกอื่นเพื่อเติมเต็มศักยภาพการผลิต หลังมีข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์สุดเข้มงวดที่กระทบต่อภาคการผลิตอย่างหนัก Apple เริ่มย้ายฐานการผลิต iPhone จากจีนไปยังประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับสองของโลก และวางแผนที่จะเริ่มผลิต iPad ที่นั่นด้วยเช่นกัน ทั้งอินเดีย เม็กซิโก และเวียดนาม กำลังได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตสินค้าสัญชาติอเมริกันจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีน ก่อนหน้านี้ Nikkei รายงานว่า ผู้รับผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ให้กับ Apple หลายราย กำลังอยู่ระหว่างการหารือที่จะเดินหน้าการผลิต Apple Watch และ Macbook ในเวียดนามเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน อ้างอิง: https://www.reuters.com/technology/apple-plans-make-iphone-14-india-bloomberg-news-2022-08-23/ https://www.voathai.com/a/6713686.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Apple iPhone iPhone 14 News Update อินเดีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alibaba และ Tencent รัดเข็มขัด เร่งลดค่าใช้จ่าย หลังรายได้ชะลอตัว Alibaba เน้นธุรกิจคลาวด์ Tencent เห็นโอกาสในวิดีโอสั้น - FINNOMENA บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent เร่งลดค่าใช้จ่ายลง หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ไม่เติบโตอีกต่อไป 23 ส.ค. 2565 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ของจีนอย่าง Alibaba และ Tencent เร่งลดค่าใช้จ่ายลง หลังผลประกอบการไตรมาส 2 ไม่เติบโตอีกต่อไป Alibaba และ Tencent ที่ปกติเวลารายงานผลประกอบการกับนักลงทุนมักจะพูดถึงนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ในรอบล่าสุดนี้กลับไม่หวือหวาเหมือนเดิมเพราะบริษัทต้องเน้นลดต้นทุนลง ก่อนหน้านี้ Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่สุดของจีน รายงานผลประกอบการเติบโต ‘คงที่’ เป็นครั้งแรก ขณะที่ Tencent บริษัทบริษัทเกมและโซเชียลมีเดียรายใหญ่ รายงานรายได้รายไตรมาส ‘ลดลง’ เป็นครั้งแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวจากโควิด-19 ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายผู้บริโภคไปจนถึงงบโฆษณา นอกจากนี้ยังมีการควบคุมภาคเทคโนโลยีในหลายด้าน ทั้งการต่อต้านการผูกขาด ไปจนถึงการควบคุมธุรกิจเกม ตอนนี้รายได้ของ Alibaba และ Tencent อยู่ภายใต้แรงกดดัน ทำให้ทั้ง 2 บริษัทต้องใช้จ่ายอย่างมีวินัยมากขึ้น Ma Huateng ซีอีโอของ Tencent กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 บริษัทเร่งออกจากธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ควบคุมการใช้จ่ายด้านการตลาด ลดค่าใช้จ่ายปฏิบัติการ ซึ่งนี่ช่วยให้รายได้บริษัทค่อยๆ เพิ่มตามลำดับ แม้จะยังเผชิญกับเงื่อนไขที่ยากลำบากอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม CNBC รายงานว่า กำไรของ Tencent ที่ไม่รวมรายการที่ไม่ใช่เงินสดบางรายการและผลจากธุรกรรมเข้าซื้อและควบรวมกิจการ ยังคงเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ Toby Xu CFO ของ Alibaba กล่าวว่า ในไตรมาสที่กำลังมาถึงและที่เหลือของปีงบประมาณนี้ Alibaba จะดำเนินกลยุทธ์ลดและควบคุมค่าใช้จ่ายต่อไป ซึ่งนี่ทำให้ Alibaba ขาดทุนลดลงในธุรกิจยุทธศาสตร์บางตัว โดย Alibaba กำลังเน้นเพิ่มธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นตัวทำรายได้ให้อาลีบาบาเร็วที่สุดในไตรมาส มิ.ย. ส่วน Tencent มองเห็นโอกาสของคลิปวิดีโอแบบสั้นใน WeChat ที่จะกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้สำคัญในอนาคต อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/22/chinas-alibaba-and-tencent-focus-on-cost-cuts-amid-slowing-growth.html https://www.bangkokbiznews.com/world/1022392 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba News Update Tencent หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ทำไม Ethereum เด้ง 100% จากจุดต่ำสุดเดือน มิ.ย. ผลตอบแทนแซงหน้า Bitcoin เตรียมเปิดตัว “The Merge” 15 ก.ย. นี้ - FINNOMENA Ethereum พุ่งขึ้นมากว่า 100% จากจุดต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ทำผลงานโดดเด่นแซงหน้า Bitcoin อย่างมาก หลังนักลงทุนคาดว่าจะมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ในบล็อกเชนของ Ethereum 19 ส.ค. 2565 Ethereum พุ่งขึ้นมากว่า 100% จากจุดต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ทำผลงานโดดเด่นแซงหน้า Bitcoin อย่างมาก หลังนักลงทุนคาดว่าจะมีการอัปเกรดครั้งใหญ่ในบล็อกเชนของ Ethereum ข้อมูลจาก CoinDesk ในวันนี้ (19 ส.ค.) ระบุว่า จากระดับต่ำสุดของทั้ง Ethereum และ Bitcoin ในวันที่ 19 มิ.ย. นั้น ราคา Ethereum พุ่งขึ้นมาแล้ว 106% ขณะที่ Bitcoin ปรับขึ้นมาเพียง 31% ความแตกต่างในการปรับตัวขึ้นมาจากปัจจัยหลักที่สำคัญคือ การอัปเกรดครั้งใหญ่ในบล็อกเชนของ Ethereum ในชื่อ “The Merge” ที่จะเกิดในวันที่ 15 ก.ย. โดยจะเปลี่ยนจากระบบ proof-of-work เป็น proof-of-stake แทน ซึ่งจะทำให้เครือข่าย Ethereum ทั้งเร็วและประหยัดพลังงานมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ยังคงอยู่ต่ำจากระดับสูงสุดตลอดกาลมากกว่า 60% จากความปั่นป่วนของตลาดคริปโทฯ ในปีนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายและปัญหาสภาพคล่องจำนวนมาก จนทำให้ตั้งแต่จุดสูงสุดในกลางเดือน พ.ย. มูลค่าตลาดคริปโทฯ หายไปเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ Jacob Joseph นักวิเคราะห์จาก CryptoCompare มองว่า ต่อให้ไม่มีการประชุม Fed เดือน ส.ค. และหุ้นไม่รีบาวด์ คาดว่าราคา Ethereum ก็พุ่งได้ โดยมองแนวต้านสำคัญของราคา Ethereum อยู่ที่ $2,000 และในระยะสั้น Bitcoin ไม่น่ามีประสิทธิภาพเหนือ Ethereum ขณะที่ Antoni Trenchev ผู้ร่วมก่อตั้ง Nexo แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ เตือนถึงความเสี่ยงหากมีการล่าช้าใดๆ ในโครงการ The Merge ซึ่งโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก และนั่นอาจเปลี่ยนทิศทางของ Ethereum ที่ขึ้นมาแล้ว 50% ตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. ที่เริ่มมีกระแส The Merge ออกมา Trenchev เสริมว่า หาก The Merge ประสบความสำเร็จ นี่อาจเป็นการพิสูจน์ประโยคที่ว่า ‘Buy the Rumor, Sell the News’ หรือ การซื้อสินทรัพย์จากการตัดสินใจจากข่าวลือที่คุณได้ยินมา และเมื่อทุกคนรู้ถึงประเด็นนี้แล้วและเป็นข่าวขึ้นมา ค่อยขายสินทรัพย์นั้นออกไป อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/19/ether-eth-price-outpaces-bitcoin-btc-as-ethereum-merge-nears.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Ethereum News Update The Merge คริปโต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ฮอนด้าเปิดตลาด จยย. ไฟฟ้า รุ่น “Benly e” พร้อมขายไทยปีนี้ ขอรัฐช่วยส่วนลด คันละ 18,000 บาท - FINNOMENA ฮอนด้าเตรียมขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรก “Benly e” ในปีนี้ พร้อมเซ็น MOU กับรัฐบาลรับส่วนลดคันละ 18,000 บาท 18 ส.ค. 2565 ฮอนด้าเตรียมขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโมเดลแรก “Benly e” ในปีนี้ พร้อมเซ็น MOU กับรัฐบาลรับส่วนลดคันละ 18,000 บาท ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า ไทยฮอนด้าพร้อมลุยธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเซ็น MOU กับรัฐบาลเพื่อรับการสนับสนุนในการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับส่วนลด 18,000 บาทต่อคัน โดยรุ่นแรก Benly e จะเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบภายในประเทศช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ะสำหรับช่วงแรกของการจำหน่ายคาดว่าจะเป็นแบบองค์กรต่อองค์กร (BtoB) ก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการทำโครงการนำร่องให้เช่าใช้งาน เช่น การส่งมอบให้กลุ่ม โออาร์ นำไปให้ไปรษณีย์ไทยได้ทดลองใช้ก่อนแล้ว นายชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายยอดจดทะเบียนจักรยานยนต์ไฟฟ้าปีนี้ไว้ที่ 40,000 คัน แต่ 7 เดือนแรกยังทำได้เพียงแค่ 5,000 คัน ทางบริษัทอยากให้ภาครัฐออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่านี้ เช่น การลดภาษีอากรนำเข้า รวมถึงการขยายจุดชาร์จไฟฟ้าให้มากขึ้นด้วย สำหรับทิศทางตลาดรถจักรยานยนต์ไทยครึ่งปีแรกมียอดจดทะเบียนอยู่ที่ 911,162 คัน โตขึ้น 4%จากปีที่แล้ว ขณะที่ฮอนด้ามีตัวเลขอยู่ที่ 705,487 คัน เติบโตขึ้น 3% ใกล้เคียงกับตลาดรวม โดยเซกเมนท์ที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดคือกลุ่มรถ เอ.ที. ซึ่งมียอดรวมอยู่ที่ 397,733 คัน เติบโตขึ้น 6% ซึ่งฮอนด้ามีการเติบโตในกลุ่มนี้มากถึง 12% ด้วยตัวเลข 279,207 คัน เป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดรวมค่อนข้างมาก ขณะที่สัดส่วนยอดจดทะเบียนของ Scoopy มียอด 96,679 คัน สูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแฟชั่น เอ.ที. Click Series มียอด 64,732 คัน สูงที่สุดในกลุ่มสปอร์ต เอ.ที. PCX160 มียอด 77,708 คันสูงสุดในกลุ่มพรีเมียม เอ.ที. และ Forza350 มียอดจดทะเบียนถึง 10,988 คัน ฮอานด้าคาดว่า ตลาดโดยรวมของปีนี้จะสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1,740,000 คัน เติบโต 8% ส่วนฮอนด้าตั้งเป้าหมายที่ 1,359,000 คัน เติบโต 10% มากกว่าตลาดรวม เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมในการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ สามารถจัดการกับปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนได้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน ยังไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด อ้างอิง: https://mgronline.com/motoring/detail/9650000078082 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tencent รายได้หดครั้งแรก ลดลง 3% ส่วนกำไรหาย 56% ผลจากโควิด-ธุรกิจเกมถูกคุมเข้ม - FINNOMENA Tencent รายได้หดตัวครั้งแรกในประวัติการณ์ สูญกำไรกว่า 56% ผลกระทบจากการถูกคุมเข้มธุรกิจเกม และการระบาดของโอมิครอนในจีน 17 ส.ค. 2565 Tencent รายได้หดตัวครั้งแรกในประวัติการณ์ สูญกำไรกว่า 56% ผลกระทบจากการถูกคุมเข้มธุรกิจเกม และการระบาดของโอมิครอนในจีน 📊 Tencent รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Tencent เทียบกับคาดการณ์โดย Refinitiv ➢ รายได้: 134,030 ล้านหยวน หรือประมาณ 19,780 ล้านดอลลาร์ (-3% YoY) ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 134,600 ล้านหยวน ➢ กำไรสุทธิ: 18,620 ล้านหยวน (-56% YoY) ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 25,280 ล้านหยวน 🦠 ไตรมาสที่ผ่านมา Tencent เผชิญกับความท้าทายจากการกลับมาระบาดอีกครั้งของโควิด-19 นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลจีนนำไปสู่การล็อกดาวน์ในหลายเมืองใหญ่ รวมถึงศูนย์กลางทางการเงินอย่างเซี่ยงไฮ้ แม้จะมีผู้ติดเชื้อน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นก็ตาม 🎮ขณะที่อุตสาหกรรมเกมในจีนได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน นี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Tencent ที่รายได้ 1 ใน 3 ของบริษัทมาจากธุรกิจเกม เมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนออกมาตรการควบคุมเวลาเล่นเกมในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เหลือเพียง 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาที่กำหนดเท่านั้น นอกจากนี้ในเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว และในเดือน เม.ย. ปีนี้ รัฐบาลจีนยังได้ชะลอการอนุมัติเกมใหม่ ซึ่งปกติแล้วเกมในจีนต้องได้รับการอนุมัติจากทางการก่อนที่จะปล่อยออกมา รายได้ของธุรกิจเกมในประเทศของ Tencent ลดลงมา 1% จากปีที่แล้ว เหลือ 31,800 ล้านหยวน ขณะที่รายได้ของธุรกิจเกมในต่างประเทศลดลงมาในระดับเดียวกันเหลือ 10,700 ล้านหยวน Tencent กล่าวว่า ตลาดเกมต่างประเทศกำลังได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปหลังเปิดเมืองอีกครั้ง ผู้คนใช้เวลาน้อยลงในการเล่นเกม และนี่จะส่งผลให้รายได้เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ลดลงอย่างมาก สำหรับตลาดในประเทศ Tencent มองว่า ตลาดเกมก็ต้องเผชิญกับพฤติกรรมคนที่เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการอนุมัติเกมน้อยลง การลดค่าใช้จ่ายของผู้เล่นเกม รวมถึงกฎระเบียบที่ออกมาปกป้องเยาวชน อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/17/tencent-earnings-q2-chinese-tech-giant-posts-first-ever-revenue-decline.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Tencent หุ้นจีน หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: โอละพ่อ! อีลอน มัสก์ ยอมรับเล่นมุขตลก ไม่คิดจะซื้อสโมสรแมนยูฯ จริง - FINNOMENA ล่าสุด อีลอน มัสก์ ได้ออกมาทวีตข้อความอีกครั้ง ระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นเพียวแค่มุขตลก เขาไม่ได้มีแผนจะซื้อหุ้นสโมสรกีฬาจริง 17 ส.ค. 2565 หลัง อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกทวีตข้อความว่า “เขากำลังซื้อสโมสร Manchester United” จนทำให้เป็นที่แตกตื่นไปทั่วโลก ล่าสุด อีลอน มัสก์ ได้ออกมาทวีตข้อความอีกครั้ง ระบุว่าข้อความดังกล่าวเป็นเพียวแค่มุขตลก เขาไม่ได้มีแผนจะซื้อหุ้นสโมสรกีฬาจริง “ไม่ นี่เป็นแค่การเล่นมุขตลกในทวิตเตอร์เท่านั้น ผมไม่ได้กำลังซื้อสโมสรกีฬาไหนทั้งนั้น” อีลอน มัสก์ ระบุในทวิตเตอร์ล่าสุด ปิดฉากกระแสข่าวซื้อสโมสรฟุตบอลแมนยูฯ ในเวลาเพียงแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น อ้างอิง: Twitter @elonmusk ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk Manchester United News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tencent วางแผนขายหุ้น Meituan มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 24,000 ล้านดอลลาร์ หวังเอาใจรัฐบาลจีน ลดแรงกดดันด้านกฎระเบียบ Meituan ดิ่ง 10% ขณะที่ Tencent ลดลงกว่า 2% - FINNOMENA รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Tencent วางแผนขายหุ้นบริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง Meituan ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เพื่อขายล็อคกำไร รวมถึงเอาใจรัฐบาลจีน 16 ส.ค. 2565 รอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า Tencent วางแผนขายหุ้นบริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง Meituan ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด เพื่อขายล็อคกำไร รวมถึงเอาใจรัฐบาลจีน ในรายงานระบุว่า ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Tencent บริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของจีนได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อดำเนินการขายหุ้น Meituan โดย Tencent ถือครอง 17% ของหุ้น Meituan ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 24,000 ล้านดอลลาร์ ข่าวดังกล่าวส่งผลให้วันนี้ (16 ส.ค.) ราคาหุ้น Meituan ในตลาดฮ่องกงดิ่งลงมามากกว่า 10% โดยหุ้น Tencent ลดลงมากกว่า 2% ขณะที่หุ้น Kuaishou Technology อีกบริษัทเทคโนโลยีอีกแห่งที่ได้รับการสนับสนุนจาก Tencent ก็ลดลงมากกว่า 5% ตั้งแต่ปลายปี 2020 รัฐบาลจีนได้ดำเนินการควบคุมอิทธิพลของผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Tencent และ Alibaba เนื่องจากทั้ง 2 บริษัท มีอิทธิพลลอย่างมากต่อภาคอินเทอร์เน็ตจีน ผ่านการเป็นเจ้าของบางส่วนในสตาร์ทอัพและบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหุ้นหลายร้อยแห่ง จากประมาณการของ Bloomberg Intelligence ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2021 พอร์ตการลงทุนของ Tencent มีมูลค่ารวมถึง 185,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว Tencent เริ่มเปิดเผยแผนการขายหุ้นทั้ง JD.com และ Sea ซึ่งนั่นทำให้มีการคาดการณ์ว่าบริษัทกำลังพิจารณาลดการลงทุนในบริษัทอื่นๆ อย่าง Meituan และ Bilibili ด้วย รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า Tencent มีแนวโน้มที่จะขายหุ้น Meituan แบบ Block Trade หรือการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ 1-2 วันถึงจะเสร็จสมบูรณ์ ด้าน Willer Chen นักวิเคราะห์จาก Forsyth Barr Asia กล่าวว่า หากรายงานดังกล่าวเป็นจริง จะเกิดแรงกดดันเทขาย Meituan อย่างมหาศาล เพราะ Tencent อาจลดการลงทุนทั้งหมดผ่าน Block Trade รวมถึงอาจมีการเทขายในบริษัทอื่นเพิ่มอีกเพื่อลดแรงกดดันด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลจีน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-16/tencent-plans-to-sell-its-stake-in-meituan-reuters-says?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Meituan Dianping News Update Tencent หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซื้อหุ้นเทคฯ - น้ำมัน เพิ่ม Amazon, Apple และ Occidental แต่ขาย Verizon เกลี้ยงพอร์ต - FINNOMENA Berkshire Hathaway ปรับพอร์ตการลงทุนไตรมาส 2 เพิ่มการลงทุนใน Amazon, Apple และ Occidental Petroleum พร้อมหั่นหุ้น Verizon Communications ออกหมดพอร์ต 16 ส.ค. 2565 Berkshire Hathaway ปรับพอร์ตการลงทุนไตรมาส 2 เพิ่มการลงทุนใน Amazon, Apple และ Occidental Petroleum พร้อมหั่นหุ้น Verizon Communications ออกหมดพอร์ต ตามเอกสารที่ยื่นกับ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 ส.ค.) Berkshire Hathaway ที่ก่อตั้งโดย Warren Buffett ถือหุ้น Amazon ที่ 10.7 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 534,000 หุ้นในไตรมาสก่อน และถือหุ้น Apple อยู่ 895 ล้านหุ้น เพิ่มขึ้นจากประมาณ 150 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อน Berkshire Hathaway ยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Occidental Petroleum อีกจำนวนมาก แต่ในรายงานที่ยื่นล่าสุดไม่ได้สะท้อนการเดิมพันนั้นทั้งหมด โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่า บริษัทถือหุ้นในบริษัทพลังงานเพิ่มขึ้นเป็น 188 ล้านหุ้น บริษัทยังคงเดิมพันในธุรกิจการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Ally Financial รวมมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ แต่ลดการถือหุ้น US Bancorp ลงไป 6.6 ล้านหุ้น แต่ยังคงถือมากกว่า 119 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทโทรคมนาคม Verizon Communications ที่ก่อนหน้านี้ถือไว้ประมาณ 1.38 ล้านหุ้น และยังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน General Motors เหลือ 53 ล้านหุ้นจาก 62 ล้านหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า ภาพรวมไตรมาสที่ 2 Berkshire Hathaway ซื้อหุ้นสุทธิไปทั้งหมด 3,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 41,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสก่อนหน้านี้ รวมถึงใช้จ่ายน้อยลงในการซื้อหุ้นคืนด้วย อ้างอิง: https://www.marketwatch.com/amp/story/berkshire-hathaway-boosts-apple-amazon-stakes-11660596627 https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-15/berkshire-cuts-verizon-keeps-other-equity-stakes-little-changed?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Amazon Apple Berkshire Hathaway News Update Occidental Petroleum Verizon Warren Buffett แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “ชิป” หาย กระทบยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไทย “เอ็มจี” หั่นเป้าส่งมอบเหลือ 40,000 คัน “เกรท วอลล์ฯ” ยังปิดจอง ORA Good Cat “โตโยต้า” กระทบน้อยสุด เพิ่มเป้าส่งมอบ - FINNOMENA ค่ายรถยนต์ปั่นป่วนจากปัญหาชิปขาดแคลนและราคาแพง หวั่นวิกฤติไต้หวันทำปัญหายืดเยื้อขึ้นอีก 15 ส.ค. 2565 สำนักข่าวประชาชาติรายงานว่า ค่ายรถยนต์ปั่นป่วนจากปัญหาชิปขาดแคลนและราคาแพง หวั่นวิกฤติไต้หวันทำปัญหายืดเยื้อขึ้นอีก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์อันดับ 1 ของโลกที่ครองส่วนแบ่งในตลาดถึง 63% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตชิปขั้นสูง สำหรับระยะสั้น บริษัทผู้ผลิตสินค้าที่มีชิปเป็นส่วนประกอบสำคัญ ตั้งแต่รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์ ต่างพากันสั่งซื้อชิปล่วงหน้า เพราะกังวลกันว่าสถานการณ์ชิปขาดแคลนและมีราคาแพงกำลังจะหวนกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ระยะยาว สหรัฐฯ เตรียมออกกฎหมาย CHIPS+ จัดตั้งกองทุนอุดหนุนผู้พัฒนาชิป มูลค่า 52,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตชิปเข้ามาลงทุนพัฒนาและตั้งโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งนี่อาจส่งผลต่อประเด็นระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในการครอบครองผูกขาดการพัฒนาและผลิตชิปขั้นสูง จากปัญหาขาดแคลนชิปดังกล่าว ส่งผลให้ “เอ็มจี” ประกาศปรับลดยอดขาย 20% เหลือ 40,000 คัน ด้าน “เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat ขณะที่ “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถให้ลูกค้าช้า 🚗“เอ็มจี” หั่นเป้าส่งมอบเหลือ 40,000 คัน เอ็มจีได้ปรับเป้าหมายยอดขายรถยนต์ จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 คันในปีนี้ เหลือเพียง 40,000 คัน หรือลดลง 20% โดยหลักๆ จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม EV อย่าง MG ZS ev ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มียอดจองกว่า 3,000 คัน แต่ขณะนี้บริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ไปได้แค่ 80 คันเท่านั้น บริษัทตัดสินใจปรับเป้าหมายยอดขายทั้งปีให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด โดยตอนนี้ไม่ใช่แค่ประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่เผชิญปัญหา เพราะรถยนต์ทุกคันต่างมีการใช้ชิปในการผลิต โดยเฉพาะรถที่มีระบบพวกอัตโนมัติเยอะ อย่าง MG EP และ MG ZS ev เราเองก็ต้องประกาศหยุดรับจองไปก่อน 🚗“เกรท วอลล์ฯ” ยังไม่เปิดรับจอง ORA Good Cat ด้านเกรท วอลล์ ยอมรับว่า หลังจากปิดรับจอง ORA Good Cat ไปตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา กระแสของรถยนต์รุ่นนี้ยังคงได้รับความนิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนจะเปิดให้จองได้อีกครั้งจะเป็นเมื่อไรนั้น บริษัทต้องวิเคราะห์ว่าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ที่มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือในปัจจุบันกว่า 2,200 คัน ได้เสร็จสิ้นเมื่อไร โดยบริษัทกำลังทำงานกับบริษัทแม่อย่างใกล้ชิด เพื่อขอโควตารถแก่ชาวไทยให้ได้มากที่สุด หากประเมินได้แล้วจึงจะสามารถบอกได้ว่าจะสามารถเปิดจองอีกทีได้เมื่อไหร่ แต่คิดว่าจะไม่ให้เกินภายในปีนี้อย่างแน่นอน 🚗 “โตโยต้า” ออกโรงขออภัยส่งมอบรถล่าช้า แต่เพิ่มเป้าส่งมอบ 28.3% ขณะที่โตโยต้ากล่าวว่า บริษัทอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาชิปและทำให้ลูกค้าต้องรับรถยนต์ล่าช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งต้องขออภัยไว้ก่อน แต่ก็ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ของโลกได้ ดังนั้นจึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าจะไม่เกิดปัญหา แต่โตโยต้าจะพยายามส่งมอบรถให้กับลูกค้าเร็วที่สุด ทั้งนี้โตโยต้าถือเป็นค่ายรถยนต์ที่ได้ผลกระทบน้อยที่สุดจากปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มีเครือข่าย การบริหารจัดการทั่วโลก ก่อนหน้านี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยขึ้นอีก 28.3% จาก 647,000 คันในปี 2564 ที่ผ่านมา เป็น 659,000 คันในปีนี้ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1013137 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ขาดแคลนชิป ชิป รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รำลึก ‘ราเกช จุนจุนวาลา’ ฉายา “บัฟเฟตต์แห่งอินเดีย” เสียชีวิตในวัย 62 ปี จากเงิน $100 ที่ยืมพี่เขย สู่ความมั่งคั่ง $5,800 ล้าน ผู้มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นไอดอล - FINNOMENA ‘ราเกช จุนจุนวาลา’ มหาเศรษฐีเจ้าของฉายา “วอร์เรน บัฟเฟตต์แห่งอินเดีย” เสียชีวิตแล้วในวัย 62 ปี ด้วยความมั่งคั่ง 5,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 203,000 ล้านบาท มาดูกันว่าเขาเริ่มต้นเส้นทางและมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร 15 ส.ค. 2565 ‘ราเกช จุนจุนวาลา’ มหาเศรษฐีเจ้าของฉายา “วอร์เรน บัฟเฟตต์แห่งอินเดีย” เสียชีวิตแล้วในวัย 62 ปี ด้วยความมั่งคั่ง 5,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 203,000 ล้านบาท มาดูกันว่าเขาเริ่มต้นเส้นทางและมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร จุนจุนวาลาเริ่มหลงใหลในหุ้นตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากเฝ้าดูพ่อของเขาผู้ทำอาชีพเจ้าหน้าที่ภาษี ที่พยายามลงทุนในตลาดหุ้น แต่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงคือปี 1985 เมื่อจุนจุนวาลาวัย 25 ปี หลังเรียนจบจากวิทยาลัยพาณิชยศาสตร์และเศรษฐศาสตร์แห่ง Sydenham ด้วยเกียรตินิยม เขาเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเพียง $100 ที่ยืมมาจากพี่เขย การเดิมพันในหุ้น Titan ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 คือการลงทุนที่ทำกำไรได้มากสุดของเขา ในตอนนั้น Titan บริษัทในเครือ Tata Group ยังเป็นเพียงบริษัทที่ผลิตนาฬิกาเป็นหลักและประสบปัญหาด้านแรงงาน แต่ปัจจุบัน Titan กลายมาเป็นบริษัทเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 26,000% นับตั้งแต่ปี 2005 โดยในเดือน มิ.ย. จุนจุนวาลาและภรรยาของเขาถือหุ้น Titan อยู่ประมาณ 4% จุนจุนวาลาถือว่าเป็นนักลงทุนที่สร้างตัวเองขึ้นมาเองจนกลายมาเป็นนักลงทุนรุ่นเก๋าและทรงอิทธิพลในตลาดหุ้นอินเดีย ชื่อเสียงของเขามาจากการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาว และปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจของอินเดียในปี 1991 เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Rare Enterprises ซึ่งมาจากตัวอักษรสองตัวแรกของชื่อเขาและภรรยา Rekha นอกจากนี้ยังได้ลงทุนในธุรกิจและสตาร์ทอัพหลายแห่ง ทั้ง Star Health and Allied Insurance, บริษัทเกม Nazara Technologies Ltd และล่าสุด Akasa Air สายการบินใหม่ของอินเดีย ในปี 2005 จุนจุนวาลาให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า เขามีมหาเศรษฐีผู้ใจบุญอย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เป็นบุคคลต้นแบบส่วนกลยุทธ์การเลือกหุ้นก่อนที่หุ้นนั้นจะเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตนั้นได้รับแรงบันดาลใจมากจากมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ‘จอร์จ โซรอส’ และนักลงทุนชาวฮ่องกง ‘มาร์ค เฟเบอร์’ ถึงแม้จะได้รับฉายาว่าเป็นบัฟเฟตต์แห่งอินเดียและมีบัฟเฟตต์เป็นต้นแบบ แต่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วว่า เขาไม่ชอบถูกเรียกแบบนั้น เพราะเขายังตามหลังซีอีโอของ Berkshire Hathaway อยู่มาก และที่สำคัญเขาไม่ใช่ร่างโคลนของใคร แต่เขาคือ ‘ราเกช จุนจุนวาลา’ อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/world-asia-india-62538324 https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-14/indian-billionaire-investor-rakesh-jhunjhunwala-dies-at-62?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ‘ราเกช จุนจุนวาลา News Update วอร์เรน บัฟเฟตต์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Disney+ เตรียมขึ้นราคา 38% ใครอยากจ่ายเท่าเดิม ต้องทนดูโฆษณาเพิ่ม ผู้ใช้งานทั่วโลกทะลุ 152 ล้านราย Disney เผยงบดีกว่าคาด ดันหุ้นพุ่ง 6.85% หลังปิดตลาด - FINNOMENA Disney เตรียมขึ้นราคาทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ พร้อมเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณา หวังทำกำไรในธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังขาดทุนมาโดยตลอด 11 ส.ค. 2565 Disney เตรียมขึ้นราคาทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ พร้อมเพิ่มแพ็กเกจแบบมีโฆษณา หวังทำกำไรในธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังขาดทุนมาโดยตลอด Disney+ ในสหรัฐฯ จะปรับราคาแพ็กเกจใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ดังนี้ ➢ แพ็กเกจพร้อมโฆษณา อยู่ที่ $7.99 ต่อเดือน (ราคาปัจจุบันของแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณา) ➢ แพ็กเกจเดิมแบบไม่มีโฆษณา อยู่ที่ $10.99 ต่อเดือน (เพิ่มขึ้น 38%) ด้าน Hulu จะขึ้นราคาตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. เป็นต้นไป โดยแพ็กเกจแบบไม่มีโฆษณาเพิ่มขึ้นจาก $12.99 เป็น $14.99 และแพ็กเกจแบบมีโฆษณาจะเพิ่มขึ้นจาก $6.99 เป็น $7.99 ขณะที่ ESPN+ พร้อมโฆษณาจะเพิ่มขึ้น 43% เป็น $9.99 ต่อเดือน กลยุทธ์การขึ้นราคาเกิดขึ้นหลังบริการสตรีมมิ่งของ Disney ทั้ง Disney+, Hulu และ ESPN+ ขาดทุนรวมกัน 1,100 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าคาดการณ์ว่าจะขาดทุนเพียง 300 ล้านดอลลาร์ แม้ยอดผู้สมัครสมาชิกใหม่ของ Disney+ จะเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดที่ 15 ล้านราย มากกว่าคาดการณ์ที่ 5 ล้านรายก็ตาม เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) Walt Disney รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของปีงบประมาณดีเกินคาด โดยได้รับแรงหนุนหลักจากรายได้ของสวนสนุกในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ดันราคาหุ้นพุ่งขึ้น 6.85% หลังปิดตลาด ➢ กำไรต่อหุ้น: $1.09 สูงกว่าคาดการณ์ที่ $0.96 ➢ รายได้: 21,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 20,960 ล้านดอลลาร์ ➢ ยอดรวมสมาชิก Disney+ ทั้งหมด: 152.1 ล้านราย สูงกว่าคาดการณ์ที่ 147.76 ล้านราย ➢ รายได้จากธุรกิจสวนสนุก: 7,400 ล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 72% จากปีที่แล้ว) Disney ปรับลดคาดการณ์ยอดสมาชิก Disney+ ลงเหลือ 215 – 245 ล้านรายในปี 2024 ลดลงคาดการณ์เดิมของบริษัทที่ 230 – 260 ล้านราย แต่บริษัทยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่าธุรกิจ Disney+ จะทำกำไรได้ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2024 อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/10/disney-raises-price-on-ad-free-disney-38percent-as-part-of-new-pricing-structure.html https://www.cnbc.com/2022/08/10/disney-dis-fiscal-q3-2022-earnings.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Disney Disneyland DisneyPlus News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk เทขายหุ้น Tesla ครั้งประวัติการณ์ มูลค่า 2.45 แสนล้านบาท เตรียมเงินซื้อ Twitter แต่ถ้าดีลล่มจะกลับมาซื้อ Tesla ใหม่ - FINNOMENA Elon Musk เทขายหุ้น Tesla ครั้งใหญ่ที่สุด ทั้งหมด 6,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.45 แสนล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ต้องการขายในนาทีสุดท้าย ในกรณีที่ถูกบังคับให้ซื้อกิจการ Twitter ที่พยายามล้มดีลไปเมื่อเดือนที่แล้ว 10 ส.ค. 2565 Elon Musk เทขายหุ้น Tesla ครั้งใหญ่ที่สุด ทั้งหมด 6,900 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.45 แสนล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ต้องการขายในนาทีสุดท้าย ในกรณีที่ถูกบังคับให้ซื้อกิจการ Twitter ที่พยายามล้มดีลไปเมื่อเดือนที่แล้ว ตามรายงานเมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ได้ขายหุ้นออกไปประมาณ 7.92 ล้านหุ้นในวันที่ 5 ส.ค. อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกถามว่า หากดีลซื้อ Twitter ไม่ผ่าน Elon Musk จะนำเงินกลับมาซื้อหุ้น Tesla อีกหรือไม่? Elon Musk ตอบว่าใช่ ก่อนหน้านี้ประมาณ 4 เดือน มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่าง Elon Musk เพิ่งออกมาบอกว่า เขาไม่มีแผนขายหุ้น Tesla อีกแล้ว หลังจากขายหุ้นมูลค่าประมาณ 8,500 ล้านดอลลาร์ในช่วงที่เสนอดีลซื้อ Twitter เป็นครั้งแรก ตั้งแต่นั้นมา ราคาหุ้น Tesla ก็สามารถดีดตัวขึ้นมาจากระดับต่ำสุดในเดือน พ.ค. โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้างของหุ้นสหรัฐฯ ด้วย Charu Chanana จาก Saxo Capital Markets ในสิงคโปร์กล่าวว่า Elon Musk ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเขากำลังหาเงินสำหรับดีล Twitter จังหวะการขายของเขาบอกอะไรบางอย่าง นี่อาจหมายถึงความเจ็บปวดที่มากขึ้นสำหรับหุ้นในอนาคต โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี หุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 35% จากระดับต่ำสุดในปีนี้ แต่ยังลดลงประมาณ 20% ตั้งแต่ต้นปี เมื่อเดือน พ.ค. Elon Musk ได้ประกาศล่มดีลซื้อ Twitter แต่ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้ทวีตข้อความว่า หาก Twitter สามารถอธิบายวิธีการสุ่มตัวอย่างในการนับจำนวนบัญชีบอทได้อย่างชัดเจน ข้อตกลงก็อาจป็นไปตามเงื่อนไขเดิม Gene Munster จาก Loup Ventures กล่าวว่ามีโอกาส 75% ที่ Musk จะซื้อทวิตเตอร์ โดยเขารู้สึกตกใจมาก และมองว่านี่จะเป็นอุปสรรคในระยะสั้นสำหรับ Tesla แต่สำหรับระยะยาวนั้น สิ่งสำคัญคือ การส่งมอบและอัตรากำไรขั้นต้น ผู้ถือหุ้นของ Tesla เพิ่งอนุมัติการแตกพาร์หุ้นแบบ 3 ต่อ 1 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อย หลังผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัทออกมาดีเกินคาด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการออกกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมาตรการจูงใจด้านภาษีต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-10/elon-musk-sells-4-3-billion-of-tesla-shares-first-since-april?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update Tesla twitter แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: Hang Seng ร่วง 2.5% รับแรงกดดัน Lockdown - เงินเฟ้อสหรัฐฯ - FINNOMENA ตลาดหุ้นดัชนี Hang Seng ร่วงลงกว่า 2.5% นำโดย Meituan ที่ปรับตัวลง 3.64% และ JD.com ปรับตัวลง 4.46% จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน 10 ส.ค. 2565 ตลาดหุ้นดัชนี Hang Seng ร่วงลงกว่า 2.5% นำโดย Meituan ที่ปรับตัวลง 3.64% และ JD.com ปรับตัวลง 4.46% จากความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน มาจากที่ทางการจีนยังคงมีการ Lockdown ในบางพื้นที่เป็นระยะ ๆ โดยล่าสุดได้มีการยกระดับการ Lockdown ที่ เกาะ Hainan ประกอบกับตลาดยังกังวลการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ตลาดคาดว่าจะออกมาต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 8.7% (YoY) ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงานออกตลาดคาดจะออกมาสูงขึ้น ทำให้ยังคงกดดัน Fed ไม่ให้ผ่อนคลายมาตรการการเงิน FINNOMENA Investment Team มองว่า การที่ทางการจีนยังคงใช้นโยบาย Zero-Covid อย่างต่อเนื่อง ยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และผลประกอบการของบริษัทจีน ขณะเดียวกันยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขนาดที่ตลาดพึงพอใจประกาศออกมา อย่างไรก็ตาม Valuation ได้ปรับลดลงมาบ้างแล้ว จึงปรับคำแนะนำที่ให้ทยอยลดสัดส่วนไปในก่อนหน้านี้เป็นการคงสัดส่วนการลงทุน ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: กนง. มีมติ 6:1 ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.75% เพื่อรับมือเงินเฟ้อ ไทยขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี - FINNOMENA คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ต่อปี 10 ส.ค. 2565 นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ต่อปี เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 ได้ภายในสิ้นปีนี้และจะขยายตัวต่อเนื่องในระยะต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง คณะกรรมการฯ ประเมินว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับวิกฤต COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีความจำเป็นลดลง โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ ส่วนกรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ต่อปี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยประเมินว่าจะไม่กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและมีแรงส่งชัดเจนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ตามการผ่อนคลายนโยบายการเดินทางระหว่างประเทศและความกังวลในการเดินทางท่องเที่ยวที่ลดลง นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากตลาดแรงงานและรายได้ครัวเรือนที่ปรับดีขึ้น ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว แต่ผลกระทบต่อแรงส่งสำคัญของเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีจำกัด อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจากต้นทุนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะทยอยปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 ตามแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางไม่ได้ปรับสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปยังมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนไปยังเงินเฟ้อพื้นฐานที่อาจมากและเร็วกว่าคาด คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการเงินเฟ้อและการส่งผ่านต้นทุน รวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์อย่างใกล้ชิด ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง รวมทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง แต่การกระจายสภาพคล่องยังแตกต่างกันบ้างในแต่ละภาคเศรษฐกิจ ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่บางกลุ่มยังเปราะบางโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในสาขาธุรกิจที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยที่มีความอ่อนไหวต่อค่าครองชีพ คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง ภาวะการเงินโดยรวมยังผ่อนคลายแต่มีความผันผวนสูง โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. เป็นหลัก จากความกังวลต่อสินทรัพย์เสี่ยงภายใต้แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการและความผันผวนในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษมีความจำเป็นลดลง และเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า — นี่ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี โดยการขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของ กนง. เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 โดย กนง. ได้ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ในการประชุมครั้งนั้น แต่เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กนง. ได้ตัดสินใจใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการลดดอกเบี้ยถึง 5 ครั้ง จนอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ระดับ 0.50% ตั้งแต่เดือน มิ.ย. ปี 2563 จนถึง มิ.ย. 2565 การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จึงเป็นการปิดฉากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำของไทย ที่กินเวลายาวนานถึง 2 ปี ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ขึ้นดอกเบี้ย แบงก์ชาติ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นผู้ผลิตชิปกอดคอร่วง เตือนยอดขายชะลอจากความต้องการลด Micron Technology -3.74% และ Nvidia -3.97% - FINNOMENA หุ้นผู้ผลิตชิปร่วงแรง หลัง Micron Technology และ Nvidia เตือนความต้องการชะลอตัวอาจส่งผลต่อยอดขาย 10 ส.ค. 2565 หุ้นผู้ผลิตชิปร่วงแรง หลัง Micron Technology และ Nvidia เตือนความต้องการชะลอตัวอาจส่งผลต่อยอดขาย เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ของฟิลาเดลเฟียร่วงลง 4.6% โดยหุ้น 30 ตัวในดัชนีร่วงลงทั้งหมด ซึ่งนี่ถือเป็นการลดลงครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน นักลงทุนเทขายหุ้นเนื่องจากกังวลว่า ความต้องการของลูกค้าที่ลดลง อาจนำไปสู่ยอดขายที่ตกต่ำเป็นเวลานาน โดยหุ้น Micron Technology ลดลงมา 3.74% ขณะที่ Nvidia ร่วงลงมา 3.97% การร่วงลงของหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ส่งผลต่อดัชนี Nasdaq 100 ผลประกอบการที่น่าผิดหวังและการคาดการณ์ยอดขายที่ชะลอตัวลงจาก Nvidia, Advanced Micro Devices และล่าสุด Micron Technology ส่งผลให้ Nasdaq 100 ลดลงเป็นเวลาสามวันติดต่อกันนับตั้งแต่ 5 ส.ค. ที่ Western Digital ผู้ผลิตหน่วยความจำและฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ออกมาคาดการณ์ยอดขายที่อ่อนแอ ด้านหุ้นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิปก็ร่วงแรงเช่นกัน หลัง Micron Technology กล่าวว่า มีแผนลดการใช้จ่ายในโรงงานและอุปกรณ์ใหม่จากคำสั่งซื้อที่ลดลง ส่งผลให้เมื่อวานนี้ (9 ส.ค.) หุ้น Lam Research ลดลง 7.9% ขณะที่ Applied Materials ลดลง 7.6% จากทั้งหมด 10 หุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดใน Nasdaq 100 ในเดือนนี้ เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับชิปไปแล้ว 7 หุ้น นำโดย Marvell Technology ที่ลดลง 7.9% ตามมาด้วย Lam Research และ NXP Semiconductors ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ลดลงมา 27% เทียบกับการลดลง 20% ของ Nasdaq 100 และ 14% ของ S&P 500 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-09/chipmaker-selloff-deepens-as-micron-nvidia-fan-slowdown-fears?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Micron Technology News Update Nvidia ชิป แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เรย์ ดาลิโอ’ จดลิขสิทธิ์ “All Weather” ในจีน หลังผู้จัดการกองทุนจีนแห่ก็อปชื่อกว่า 100 กองทุน พบกองทุนเลียนแบบ สร้างผลตอบแทนดีกว่าต้นฉบับ - FINNOMENA ชื่อเสียงในจีนของ ‘เรย์ ดาลิโอ’ กำลังเป็นดาบสองคม เพราะไม่เพียงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนท้องถิ่น แต่ยังทำให้เกิดการลอกเลียนแบบกลยุทธ์ All Weather จากเหล่าผู้จัดการกองทุนในจีนที่ต้องการแย่งลูกค้าและเอาชนะนักลงทุนชื่อดัง 9 ส.ค. 2565 ชื่อเสียงในจีนของ ‘เรย์ ดาลิโอ’ กำลังเป็นดาบสองคม เพราะไม่เพียงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนท้องถิ่น แต่ยังทำให้เกิดการลอกเลียนแบบกลยุทธ์ All Weather จากเหล่าผู้จัดการกองทุนในจีนที่ต้องการแย่งลูกค้าและเอาชนะนักลงทุนชื่อดัง ปัญหาดังกล่าวถือเป็นอีกความท้าทายในจีนสำหรับ Bridgewater Associates ทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “All Weather” หลายรายการในจีนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อกำจัดความสับสนที่สร้างขึ้นโดยผู้ลอกเลียนแบบในจีน Bridgewater Associates ก้าวมาเป็นบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ หลังแซงหน้า Winton และ Man Group ไปเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังเป็นเฮดจ์ฟันด์ต่างชาติอันดับ 1 ในจีนอีกด้วย กลยุทธ์ All Weather เปิดตัวในปี 1996 ลงทุนผสมผสานสินทรัพย์ต่างๆ ตั้งแต่หุ้น พันธบัตร ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มั่นคงและไม่ได้เอื้อต่อสภาวะการลงทุนตลาดใดเป็นพิเศษ ทำให้ดูเหมือนว่าจะเหมาะสมกับประเทศจีนซึ่งมักเผชิญเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เช่น การปราบปรามเทคโนโลยีของภาครัฐ และการล็อกดาวน์ ในปี 2018 Bridgewater เปิดตัวกองทุนในจีนเป็นครั้งแรก และมีการจัดกองทุนอื่นเพิ่มอีก 2 กองทุนในเวลาต่อมา แต่ในปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีนที่ตั้งชื่อว่า “All Weather” มากกว่า 100 รายการจดทะเบียนกับสมาคมกองทุนของจีน Shang-Jin Wei ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจของจีนจาก Columbia Business School กล่าวว่า การใช้คำว่า All Weather มีความเสี่ยงที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของ Bridgewater เสียหาย หากกองทุนเลียนแบบเหล่านั้นทำผลตอบแทนได้ไม่ดี ตัวอย่างเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้ชื่อ All Weather คือ China iFund Asset Management ซึ่งตัวผู้จัดการกองทุนอย่าง Kai Jiang บอกว่า เขาได้อ่านหนังสือ Principles ฟังสปีชต่างๆ ของดาลิโอ และศึกษากลยุทธ์ All Weather ของดาลิโอก่อนที่จะเปิดตัวเวอร์ชันของตัวเอง ตั้งแต่ ม.ค. 2019 ถึง มิ.ย. 2022 หนึ่งในผลิตภัณฑ์ All Weather ของ iFund สร้างผลตอบแทนต่อปีที่ 24.5% สูงกว่าผลิตภัณฑ์แรกของ Bridgewater China ที่สร้างผลตอบแทนที่ 18.5% Zhan Ye ซีอีโอของ iFund กล่าวว่า แม้ Bridgewater จะมีชื่อเสียงทั่วโลก แต่บริษัทคุ้นเคยกับตลาดท้องถิ่นในระดับไมโครมากกว่า และนั่นทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนส่วนเกินได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม Zhan Ye กล่าวว่า ผู้จัดการกองทุนชาวจีนจำนวนมากใช้ All Weather เพราะเป็นกลยุทธ์การลงทุนในอุดมคติ และใช้คำนี้เพื่อเป็นการให้ความเคารพกับดาลิโอ โดยบอกว่าต้องการเรียนรู้แก่นแท้มากกว่าที่จะเลียนแบบ อ้างอิง: https://www.reuters.com/business/finance/bridgewater-pushes-back-against-chinese-all-weather-copycats-2022-08-08/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bridgewater News Update Ray Dalio จีน เรย์ ดาลิโอ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนเปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับ ส่งผู้โดยสาร ไม่ต้องมีพนักงานในรถ “ไป่ตู้” คว้าใบอนุญาตเจ้าแรกในประเทศ - FINNOMENA Baidu หรือ ไป่ตู้ แถลงเมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) ว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการโรโบแท็กซี่เจ้าแรกในจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องมีคนขับหรือพนักงานอยู่ในรถด้วย 9 ส.ค. 2565 Baidu หรือ ไป่ตู้ แถลงเมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) ว่า บริษัทเป็นผู้ให้บริการโรโบแท็กซี่เจ้าแรกในจีนที่ได้รับใบอนุญาตให้บริการแท็กซี่ได้โดยไม่ต้องมีคนขับหรือพนักงานอยู่ในรถด้วย การอนุมัติจากรัฐบาลท้องถิ่นส่งผลให้ธุรกิจโรโบแท็กซี่ Apollo Go ของไป่ตู้ลดต้นทุนการจ้างพนักงานส่วนหนึ่งลงได้ โดยในช่วงแรกใบอนุญาตครอบคลุมโรโบแท็กซี่ทั้งหมด 10 คัน ได้นาน 8 ชั่วโมงต่อวัน โดยแบ่งให้บริการระหว่าง 2 พื้นที่ชานเมืองในอู่ฮั่น และฉงชิ่ง ไป่ตู้รายงานว่า มีการเรียกรถโรโบแท็กซี่มากกว่า 1 ล้านรายการ และให้บริการคำสั่งเรียกรถไปแล้ว 196,000 รายการในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้แล้ว โดยบริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ผลิตรถยนต์ของจีนได้เตรียมพร้อมเพื่อแข่งขันในตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทั่วโลก บริษัทต่างๆ ทั้ง Xpeng, Nio และ Li Auto ได้เริ่มขายรถยนต์อัตโนมัติบางส่วนแล้ว ก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. Pony.ai สตาร์ทอัพโรโบแท็กซี่คู่แข่งของไป่ตู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับในย่านชานเมืองของกรุงปักกิ่ง แต่ยังต้องมีเจ้าหน้าที่นั่งในรถไปกับผู้โดยสารด้วย โดยในปีที่ผ่านมา หน่วยงานเทศบาลนครหลายแห่งทั่วประเทศจีนพากันออกใบอนุญาตดังกล่าวมากขึ้น ซึ่งทำให้บรรดาบริษัทโรโบแท็กซี่เปิดให้บริการและเก็บค่าโดยสารในบางพื้นที่ได้ ขณะที่ผู้ให้บริการในสหรัฐฯ อย่างเวย์โมเครือบริษัทอัลฟาเบท และครูสเครือจีเอ็มได้ให้บริการโรโบแท็กซี่โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นั่งในรถด้วยไปแล้ว โดยกฎหมายและการคิดค่าโดยสารจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเมืองและรัฐ อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1019806 https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/China-s-Baidu-wins-first-permits-for-fully-driverless-robotaxis ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Baidu News Update รถยนต์ไร้คนขับ แท็กซี่ไร้คนขับ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: JPMorgan แนะนำลดสัดส่วนหุ้น ซื้อ ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ เพิ่มในระยะสั้น พร้อม Underweight ตราสารหนี้และเงินสด - FINNOMENA JPMorgan แนะนำให้นักลงทุนลดการถือครองหุ้น แล้วไปซื้อ ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ เพิ่มแทน ในเวลาที่หุ้นฟื้นตัวมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย 9 ส.ค. 2565 JPMorgan แนะนำให้นักลงทุนลดการถือครองหุ้น แล้วไปซื้อ ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ เพิ่มแทน ในเวลาที่หุ้นฟื้นตัวมากกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย จากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดในวันศุกร์ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมาแล้ว 13% จากระดับต่ำสุดในเดือน มิ.ย. ในขณะที่ ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์โดย Bloomberg ตั้งแต่น้ำมันไปจนถึงทองแดงปรับตัวลงมาในช่วงเวลานั้น ทีมนักกลยุทธ์ของ JPMorgan ที่นำโดย Marko Kolanovic กล่าวว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคิดว่าหุ้นจะร่วง จริงๆ แล้วพวกเขาคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีจากรายงานงบที่แข็งแกร่ง แต่ทีมมองการอ่อนตัวลงของสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงหลังเป็นโอกาสที่จะพุ่งเข้าหาและทำกำไร JPMorgan อธิบายว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าความกังวลของตลาดกำลังกระตุ้นให้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ราคาสูงขึ้นจากความเสี่ยงภาวะถดถอย และจากการที่สินค้าโภคภัณฑ์ยังตามหลังสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ บริษัทจึงจัดสรรความเสี่ยงบางส่วนจากหุ้นไปยังสินค้าโภคภัณฑ์แทน คำแนะนำโดยรวมของ JPMorgan ยังคงมีมุมมองบวกมากกว่า (Overweight) ในสินทรัพย์เสี่ยงเหมือนเดิม และให้น้ำหนักน้อยกว่า (Underweight) ในตราสารหนี้และเงินสด การบอกให้ลูกค้าลดสัดส่วนหุ้นถือเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจับตาของ Kolanovic ที่ได้รับการโหวตให้เป็นนักกลยุทธ์หุ้นอันดับ 1 ในการสำรวจ Institutional Investor เมื่อปีที่แล้ว โดยส่วนใหญ่ในปี 2022 เขาได้แนะนำให้ลูกค้าซื้อในช่วงเวลาหุ้นร่วง (Buy The Dip) อยู่ตลอดที่มีแรงเทขาย อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-08/jpmorgan-s-kolanovic-says-time-to-trim-stocks-buy-commodities?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: JPMorgan News Update สินค้าโภคภัณฑ์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ย้ำ “เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยแล้ว” ส่องผลงาน Tesla, Zoom และ Roku หุ้น 3 อันดับแรก กดกองทุน ARKK -49% จากต้นปี - FINNOMENA อย่างที่รู้กันว่าตัวเลข GDP ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ติดลบอยู่ที่ 0.9% ในไตรมาสที่ 2 ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่รวมถึง Cathie Wood พากันออกบอกว่า เศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นแล้ว 8 ส.ค. 2565 อย่างที่รู้กันว่าตัวเลข GDP ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ติดลบอยู่ที่ 0.9% ในไตรมาสที่ 2 ต่อเนื่องจากการติดลบ 1.6% ในไตรมาสแรก แต่เหล่านักการเมืองกลับปฏิเสธที่จะใช้คำว่า ‘เศรษฐกิจถดถอย’ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่รวมถึง Cathie Wood พากันออกบอกว่า เศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นแล้ว จริงๆ แล้วผู้จัดการกองทุนชื่อดังได้เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นอยู่ในภาวะถดถอยก่อนที่ตัวเลข GDP อย่างเป็นทางการจะออกมาเสียอีก เมื่อไม่นานมานี้ Cathie Wood ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า สหรัฐฯ อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ปัญหาใหญ่คือปริมาณสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิตการทำงาน 45 ปี ความเชื่อมั่นในตลาดตอนนี้กำลังอยู่ในขาลง ดูได้จากดัชนี S&P 500 ที่ลดลง 14% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่กองทุน ARKK ของ Cathie Wood ร่วงลงมา 49% ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้กองทุนจะร่วงมาหนักขนาดนี้ แต่นักลงทุน ARK ยังไม่ยอมแพ้ ข้อมูล Fact Set รายงานว่า ARKK มีกระแสเงินไหลเข้ามากกว่า 180 ล้านดอลลาร์ในเดือน มิ.ย. Cathie Wood อธิบายว่า เงินทุนที่ไหนเข้ามาเป็นเพราะลูกค้าหนีจากดัชนีภาพรวมอย่าง Nasdaq 100 และย้ำว่า Ark ยังคงทุ่มเทลงทุนในนวัตกรรมแห่งอนาคตอย่างเต็มที่ ด้วยความเชื่อที่ว่านวัตกรรมแก้ปัญหาได้ โดยผลการดำเนินงานหุ้น 3 อันดับแรกในพอร์ต ARKK ได้แก่ Tesla: หุ้น Tesla ร่วงลงมา 27% จากจุดสูงสุดในเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว แต่ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยยอมส่งมอบรถยนต์เพิ่มขึ้น 27% จากปีที่แล้ว โดย Ark มองว่าจุดเปลี่ยนที่จะนำ Tesla ไปสู่ความสำเร็จคือธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับหรือ Robotaxi และตั้งเป้าราคาหุ้นที่ $4,600 ในปี 2026 หรือ +400% จากราคาปัจจุบัน Zoom: หุ้น Zoom ได้รับผลกระทบหลังพนักงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิศอีกครั้ง โดยราคาหุ้นดิ่งลงมาแล้ว 41% ตั้งแต่ต้นปี แต่ในเดือน มิ.ย. Ark ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าหุ้น Zoom จะสามารถเติบโตได้ดีมากในอนาคตอันใกล้นี้ และตั้งเป้าราคาหุ้นที่ $2,500 ในปี 2026 หรือ +76% ต่อปีจากราคาปัจจุบัน Roku: ราคาหุ้นบริษัทสตรีมมิ่งรายนี้ลดลง 80% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แม้ในไตรมาส 2 บริษัทจะสามารถเพิ่มผู้ใช้งานได้ถึง 1.8 ล้านบัญชีและมีรายรับเพิ่มขึ้น 18% จากปีที่แล้วสู่ 764 ล้านดอลลาร์ก็ตาม อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/recession-long-time-bull-cathie-110000158.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update เศรษฐกิจถดถอย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD บุกตลาดไทย เปิดตัวเป็นทางการวันนี้ เตรียมสร้างฐานผลิต-ส่งออก รถยนต์ไฟฟ้า คาดเปิดตัวรถรุ่นใหม่ปลายปี - FINNOMENA BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ววันนี้ (8 ส.ค.) 8 ส.ค. 2565 News Update: BYD บุกตลาดไทย เปิดตัวเป็นทางการวันนี้ เตรียมสร้างฐานผลิต-ส่งออก รถยนต์ไฟฟ้า คาดเปิดตัวรถรุ่นใหม่ปลายปี บริษัท เร–เว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ BYD ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวบริษัทฯ พร้อมนำเสนอแนวคิดการขับเคลื่อนประเทศสู่ NEV Nation ด้วยนวัตกรรมและยานยนต์พลังงานรูปแบบใหม่ พร้อมแนะนำ BYD แบรนด์รถยนต์ EV อันดับต้นของโลก ที่เตรียมขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเร็วๆ นี้ โดยบริษัท เร–เว่ ออโตโมทีฟ จำกัด จดทะเบียนบริษัทเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า 105 ล้านบาท เพื่อประกอบกิจการค้าปลีก ค้าส่ง จำหน่าย นำเข้า และส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วน อะไหล่ อุปกรณ์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในหมวดธุรกิจ การขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรถกระบะรถตู้แล้ว และรถขนาดเล็กที่คล้ายกัน โดย BYD Thailand จะเป็นฐานผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาเพื่อรองรับตลาดภายในประเทศ และตลาดส่งออก ซึ่งคาดการณ์ว่า BYD เตรียมแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดประเทศไทยในเร็วๆ นี้ และในช่วงปลายปีจะทยอยส่งรถยนต์รุ่นต่างๆ ออกสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ในเดือน มิ.ย. มีรายงานว่าบริษัทได้จับจองพื้นที่ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” ระหว่างวันที่ 1-12 ธ.ค. โดยจะมีรถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวหลากหลายรุ่นรวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งเป็นของถนัดด้วย ตั้งใจปะทะเจ้าตลาดเดิมทั้งเอ็มจีและเกรท วอลล์ โดยมีพื้นที่จัดงานเกือบ 2,000 ตร.ม. ซึ่งใหญ่เท่ากับค่ายเกรท วอลล์ เมื่อปี 2021 อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-1007213 https://www.ryt9.com/s/prg/3344996 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alibaba งบดีเกินคาด แต่รายได้ทรงตัวและไม่เติบโตเป็นครั้งแรก รายได้อีคอมเมิร์ซในจีนหด จากการล็อกดาวน์ - FINNOMENA Alibaba รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดดีเกินคาด ดันราคาหุ้นพุ่งระหว่างวันถึง 6% และปิดบวกที่ 1.8% แต่รายได้ทรงตัวเป็นครั้งแรกในการรายงานของบริษัท 5 ส.ค. 2565 Alibaba รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดดีเกินคาด ดันราคาหุ้นพุ่งระหว่างวันถึง 6% และปิดบวกที่ 1.8% แต่รายได้ทรงตัวเป็นครั้งแรกในการรายงานของบริษัท ผลประกอบการไตรมาสเดือน มิ.ย. ของ Alibaba ➢ รายได้: 205,550 ล้านหยวน (ทรงตัวจากปีที่แล้ว) สูงกว่าคาดการณ์ที่ 203,190 ล้านหยวน ➢ กำไรต่อหุ้น (ADS): 11.73 หยวน (ลดลง 29% จากปีที่แล้ว) สูงกว่าคาดการณ์ที่ 10.39 หยวน ➢ กำไรสุทธิ: 22,730 ล้านหยวน สูงกว่าคาดการณ์ที่ 18,720 ล้านหยวน รายได้จากธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่างอีคอมเมิร์ซในจีนลดลง 1% อยู่ที่ 141,930 ล้านหยวน เนื่องจากรายได้ของบริการต่างๆ (CMR) ลดลง 10% ตัวอย่าง CMR เช่น การตลาดที่บริษัทขายให้กับผู้ค้าบนแพลตฟอร์ม ปัจจัยหลักที่กระทบต่อรายได้ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซคือ การกลับมาแพร่ระบาดของโควิดในจีนที่ทำให้รัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ และนำไปสู่เศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ซบเซา อย่างไรก็ตาม การประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงปลายเดือน พ.ค. และต้นเดือน มิ.ย. ทำให้การเติบโตเริ่มฟื้นตัว สอดคล้องกับที่ Daniel Zhang ซีอีโอของ Alibaba กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจต่างๆ ของบริษัทในเดือน มิ.ย. สำหรับตลาดต่างประเทศ รายได้ของบริษัทลดลง 14% โดยมีสาเหตุหลักจากการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มในกลุ่มประเทศ EU ซึ่งส่งผลต่อคำสั่งซื้อใน AliExpress ขณะที่ภูมิภาคอาเซียน Lazada มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 10% และขาดทุนน้อยลง ธุรกิจคลาวด์ที่คิดเป็นเพียง 9% ของรายได้โดยรวม แต่ถือเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตและผลกำไรของบริษัทในอนาคต โดยในไตรมาสที่ผ่านมา ธุรกิจคลาวด์ทำรายได้ 17,680 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่แล้ว แต่ชะลอตัวจาก 12% ในไตรมาสเดือน มี.ค. ธุรกิจคลาวด์ของบริษัทได้รับผลกระทบจากการสูญเสียลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงการปราบปรามอุตสาหกรรมต่างๆ ของรัฐบาลจีน เช่น การศึกษาออนไลน์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Alibaba แต่บริษัทตั้งข้อสังเกตว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่อินเทอร์เน็ต อย่างบริการทางการเงิน บริการสาธารณะ และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม Alibaba ยังต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เข้มงวด หลังรัฐบาลจีนปราบปรามภาคเทคโนโลยีในประเทศมานานกว่าปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้การเติบโตในไตรมาสนี้จะทรงตัว แต่วิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของ Alibaba จะฟื้นตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/04/alibaba-baba-earnings-fiscal-q1-june-quarter.html https://www.blognone.com/node/129680 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba News Update หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กองทุนค่าธรรมเนียมแพง มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Barclays เปิดผลการศึกษา 290 กองทุน พบนักลงทุนยอมจ่าย หากผลตอบแทนดีจริง - FINNOMENA Barclays เปิดผลการศึกษาระบุว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เก็บค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งมักเป็นบริษัทชื่อดังในอุตสาหกรรม มักมีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมถูกกว่าเมื่อเวลาผ่านไป 2 ส.ค. 2565 Barclays เปิดผลการศึกษาระบุว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เก็บค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งมักเป็นบริษัทชื่อดังในอุตสาหกรรม มักมีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมถูกกว่าเมื่อเวลาผ่านไป Barclays ศึกษาค่าธรรมเนียมและผลตอบแทนสูงสุดจากทั้งหมด 290 กองทุน ช่วงปี 2019 – 2022 ผลที่ออกมาอาจเป็นการลบคำสบประมาทกองทุนค่าธรรมเนียมแพงที่ถูกวิจารณ์มาตลอด ผลการศึกษาพบว่า กองทุนที่ดูแลโดยผู้จัดการกองทุนหลายคนที่เก็บค่าธรรมเนียมเต็มรูปแบบทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าตอบแทนของผู้จัดกองทุน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ สามารถสร้างผลตอบแทนสุทธิและอัลฟ่า (ผลตอบแทนที่เกินกว่าดัชนีชี้วัด) ได้มากกว่าคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมบางส่วนหรือไม่เก็บเลย Roark Stahler จาก Barclays อธิบายว่า บริษัทชื่อดังมีทั้งทีมผู้จัดการกองทุนหลายคน ภาพลักษณ์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการจ้างคนเก่ง การเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้มากกว่า และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือต้นทุน ต้นทุนเหล่านั้นได้ถูกส่งต่อไปเป็นค่าใช้จ่ายของนักลงทุน นอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทแล้ว นี่ยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยินดีที่จะจ่ายเพราะพวกเขาคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าหลังหักค่าธรรมเนียมแล้ว นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่ากองทุนแบบดั้งเดิมที่มีผู้จัดการกองทุนเพียงคนเดียวและเก็บค่าธรรมเนียมสูงกว่าก็สามารถสร้างผลตอบแทนสุทธิและอัลฟ่าได้สูงกว่าคู่แข่งที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเช่นกัน ผลตอบแทนที่สูงขึ้นทำให้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ค่าธรรมเนียมสูงนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีขึ้น เพราะถ้าไม่มีผลงานและความสม่ำเสมอ บริษัทก็จะไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นได้ ช่วงที่ผ่านมา เฮดจ์ฟันด์รายใหญ่หลายรายได้ขึ้นค่าธรรมเนียม โดยในปี 2019 Element Capital Management ได้เพิ่มค่าธรรมเนียมตามผลงานที่มีชื่อเสียงจาก 25% เป็น 40% ของกำไร อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-01/hedge-funds-that-charge-most-tend-to-perform-best-barclays-says ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กองทุนรวม ค่าธรรมเนียมกองทุน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถยนต์ไฟฟ้าจีนปังไม่หยุด ยอดส่งมอบ ก.ค. พุ่งแรง แม้เผชิญล็อกดาวน์ ดันหุ้น Nio และ Li Auto บวกแรงในสหรัฐฯ - FINNOMENA เมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Nio และ Li Auto สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าของจีนปรับตัวขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังบริษัทรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ ก.ค. เพิ่มขึ้น 2 ส.ค. 2565 เมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Nio และ Li Auto สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าของจีนปรับตัวขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังบริษัทรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ ก.ค. เพิ่มขึ้น Nio รายงานว่า ในเดือน ก.ค. บริษัทส่งมอบรถยนต์ไปทั้งหมด 10,052 คัน เพิ่มขึ้น 26% จากปีที่แล้ว แต่ลดลงจากเดือน มิ.ย. ที่ส่งมอบไปเกือบ 13,000 คัน ขณะที่ Li Auto รายงานว่าบริษัทได้ส่งมอบรถยนต์อเนกประสงค์ Li ONE จำนวน 10,422 คัน ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 21.3% จากปีที่แล้ว แต่ลดลงจากเดือน มิ.ย. เช่นกัน ด้านคู่แข่งอย่าง Xpeng สามารถทำผลงานได้ดีสุด โดยส่งมอบไปทั้งหมด 11,524 คัน ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปีที่แล้ว แต่ก็ลดลงจากเดือน มิ.ย. เช่นเดียวกัน โดยเมื่อคืนนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Nio เพิ่มขึ้น 2.3% ขณะที Li Auto เพิ่มขึ้น 3.8% แต่ Xpeng เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 ราย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิดในจีนที่นำไปสู่การล็อกดาวน์ศูนย์กลางการผลิตทั่วจีน ตอนนี้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องเผชิญกับทั้งปัญหาซัพพลายเชน การขาดแคลนส่วนประกอบ และต้นทุนวัสดุที่แพงขึ้น Nio กล่าวว่าการผลิตรถยนต์รุ่น ET7 และ EC6 ถูกจำกัดในเดือน ก.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างการจัดหาชิ้นส่วน โดยบริษัทกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับคู่ค้า และคาดว่าสามารถจะเร่งการผลิตได้ในเดือนต่อๆ ไปของไตรมาสที่ 3 นี้ ขณะที่ Xpeng และ Li Auto ไม่ได้พูดถึงปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายเชน Xpeng กล่าวว่ามีแผนเริ่มรับจองรุ่นใหม่ G9 SUV ในเดือน ส.ค. โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย. ขณะที่ Li Auto กล่าวว่า Li ONE คันที่ 200,000 ได้ออกจากสายการผลิตที่โรงงานในฉางโจวเมื่อวันจันทร์ (1 ส.ค.) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/08/01/nio-xpeng-li-auto-july-electric-car-deliveries-jump-shares-rise.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Li Auto News Update Nio Xpeng รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรงจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งจีนและสหรัฐฯ - FINNOMENA ตลาดหุ้นจีนดัชนี Hang Sang และ ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลงกว่า 3.20% และ 2.13% ตามลำดับ จากความกังวลเรื่องความตึงเครียดของจีนและสหรัฐฯ ที่ Nancy Pelosi ประธานสภาสหรัฐฯ เตรียมเดินทางไปยังไต้หวัน 2 ส.ค. 2565 เช้านี้ (2 ส.ค.) ตลาดหุ้นจีนดัชนี Hang Sang และ ดัชนี CSI 300 ปรับตัวลงกว่า 3.20% และ 2.13% ตามลำดับ จากความกังวลเรื่องความตึงเครียดของจีนและสหรัฐฯ ที่ Nancy Pelosi ประธานสภาสหรัฐฯ เตรียมเดินทางไปยังไต้หวัน ที่คาดว่าจะถึงในคืนวันนี้ โดยไม่สนคำขู่จากจีน ซึ่ง Pelosi จะเป็นนักการเมืองจากอเมริกาที่มีตำแหน่งสูงสุดที่ไปเยือนในรอบ 25 ปี ด้านจีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตของจีนและได้ประกาศว่า “จะมีผลตามมาอย่างร้ายแรง” สำหรับการเยือนของ Pelosi ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียมีความกังวลต่อการเดินทางครั้งนี้ว่าจะสร้างความไม่พอใจต่อทางการจีนและอาจมีมาตรการตอบโต้ต่าง ๆ ตามมาจึงปรับตัวลง ดังนี้ ➢ ดัชนี Nikkei ปรับตัวลง 1.59% ➢ ดัชนี TOPIX ปรับตัวลง 1.83% ➢ ดัชนี KOSPI ปรับตัวลง 0.75% ➢ ดัชนี VN30 ปรับตัวขึ้น 0.21% FINNOMENA Investment Team มองว่าความกังวลต่อการเยือนไต้หวันของ Nancy Pelosi เป็นเรื่องชั่วคราวและคาดว่าไม่ลุกลามเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น แนะนำคงสัดส่วนการลงทุน ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รู้จัก “Simplicity Sprint” กลยุทธ์ใหม่ของ Google พลิกตำรา เอาตัวรอดวิกฤติครั้งใหม่ ฟื้นคืนจิตวิญญาณสตาร์ทอัพอีกครั้ง - FINNOMENA ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนแบบนี้ หลายบริษัทเผชิญกับผลประกอบการที่แย่ลง จนต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารงาน Alphabet บริษัทแม่ของ Google ก็เป็นหนึ่งนั้น 1 ส.ค. 2565 ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนแบบนี้ หลายบริษัทเผชิญกับผลประกอบการที่แย่ลง จนต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารงาน Alphabet บริษัทแม่ของ Google ก็เป็นหนึ่งนั้น ก่อนหน้านี้ Google เพิ่งออกมาบอกว่าจะชะลอการจ้างงานและการลงทุนไปจนถึงปี 2023 โดยในไตรมาสที่ 2 บริษัทรายงานว่า จำนวนพนักงานของบริษัทเพิ่มขึ้น 21% เป็น 174,014 จาก 144,056 คนในปีก่อนหน้า ล่าสุด Sundar Pichai ซีอีโอของบริษัททนไม่ไหวกับผลประกอบการของบริษัท จนต้องขอความร่วมมือให้พนักงานปรับปรุงประสิทธิภาพงานและโฟกัสงานให้มากขึ้น เพราะผลิตผลหรือประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมไม่สอดคล้องกับจำนวนพนักงานที่มีอยู่ นี่ทำให้ Google กลับมาใช้โมเดลแบบสตาร์ทอัพด้วยการเปิดตัว “Simplicity Sprint” เพื่อรวบรวมความเห็นของพนักงานเพื่อจะได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น คำว่า Sprint มักถูกใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี เพื่อแสดงถึงการผลักดันระยะสั้นและเน้นไปที่การบรรลุเป้าหมายร่วมกัน Google หวังว่า ความพยายามนี้จะทำให้บริษัทสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วขึ้น โดย Google เปิดพื้นที่ให้พนักงานแสดงความคิดเห็นผ่านการถามคำถามต่างๆ จนถึงวันที่ 15 ส.ค และถามพนักงานด้วยว่าสะดวกให้ฝ่ายบริหารติดต่อกลับหรือไม่ หากมีคำถามเพิ่มเติม ตัวอย่างคำถามเช่น อะไรที่จะช่วยให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพและชัดเจนมากขึ้น? บริษัทควรจำกัดสิ่งไหนหรือขั้นตอนไหนที่ทำให้การทำงานช้าลงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีเร็วขึ้น? เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 อ่อนแอเกินคาด ทำให้ Google มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นไปที่เป้าหมาย ผลิตภัณฑ์ และลูกค้ามากขึ้น โดยจะลดสิ่งรบกวนสมาธิให้เหลือน้อยที่สุด และสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพการทำงานอย่างแท้จริง คำขอดังกล่าวยังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ความตึงเครียดระหว่างพนักงานและผู้บริหารกำลังคุกรุ่น ผลสำรวจ Googlegeist ประจำปีพบว่า พนักงานให้คะแนนค่อนข้างแย่ในหมวดหมู่การจ่ายค่าจ้าง การเลื่อนตำแหน่ง และส่วนของผู้บริหารระดับสูง ทำให้บริษัทต้องออกมาประกาศในเดือน มิ.ย.ว่า จะยกเครื่องกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติซึ่งจะส่งผลให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นขึ้น ในการประชุมบริษัทครั้งล่าสุด หนึ่งในคำถามจากพนักงานที่ถูกให้ความสนใจมากสุดคือ พนักงานควรกังวลว่าจะถูกเลิกจ้างหรือไม่ จากสิ่งที่ซีอีโอของบริษัทพูดไปก่อนหน้านี้ Sundar Pichai ส่งต่อคำถามนี้ให้กับ Fiona Cicconi หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของ Google และเธอตอบว่าบริษัทยังคงจ้างงานอยู่ ไม่มีแผนการเลิกจ้างในขณะนี้ และจะยังคงจ้างงานสำหรับบทบาทที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธคำถามนั้น อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/31/google-ceo-to-employees-productivity-and-focus-must-improve.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet google News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Alibaba เสี่ยงถูกถอดจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นร่วงต่ออีก -3.1% คาดงบไตรมาสนี้ติดลบเป็นครั้งแรก - FINNOMENA หุ้น Alibaba ร่วงแรง ท่ามกลางความกังวลว่าบริษัทอาจถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังไม่ปฏิบัติตามกฏการเปิดเผยข้อมูลของสหรัฐฯ 1 ส.ค. 2565 หุ้น Alibaba ร่วงแรง ท่ามกลางความกังวลว่าบริษัทอาจถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังไม่ปฏิบัติตามกฏการเปิดเผยข้อมูลของสหรัฐฯ วันนี้ (1 ส.ค.) หุ้น Alibaba ในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวลงมา 3.1% โดยระหว่างวันร่วงลงมากถึง 5.7% หลังหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ เพิ่มหุ้น Alibaba ลงในรายชื่อบริษัทที่อาจถูกถอดจากตลาดหุ้น เนื่องจากปฏิเสธไม่ให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ตรวจสอบงานของผู้ตรวจสอบบัญชี ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้น Alibaba ปรับตัวขึ้นมาหลังนักลงทุนมีมุมมองบวกว่า แผนของบริษัทในการจดทะเบียนกระดานหลักในตลาดหุ้นฮ่องกงจะสามารถดึงดูดนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวได้หายไปตั้งแต่นักลงทุนรอรายงานผลประกอบการของบริษัทที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตของรายได้รายไตรมาสจะติดลบเป็นครั้งแรก นักวิเคราะห์จาก Jefferies กล่าวว่า การประกาศจดทะเบียนในกระดานหลักของตลาดหุ้นฮ่องกง และสัญญาณเชิงบวกที่น้อยลงเกี่ยวกับประเด็นการตรวจสอบบัญชีระหว่างจีนและสหรัฐฯ บ่งชี้แนวโน้มว่า ADRs ของจีนอาจถูกเพิกถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามแถลงการณ์ของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง Alibaba กล่าวว่า จะพยายามรักษาสถานะการจดทะเบียนทั้งใน NYSE และ HKEX โดยจะปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ หุ้น Alibaba ร่วงลงมาแล้ว 27% จากระดับสูงสุดในเดือน ก.ค. หลังพุ่งขึ้นมา 70% จากระดับต่ำสุดในเดือน มี.ค. อย่างไรก็ตาม โมเมนตัมการฟื้นตัวหายไปหลังมีรายงานว่า ผู้บริหารของบริษัทถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีขโมยข้อมูล และบริษัทถูกปรับเนื่องจากไม่ได้รายงานข้อตกลงในอดีตได้อย่างถูกต้อง อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-08-01/alibaba-drops-as-inclusion-in-us-delisting-list-fuels-jitters?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alibaba News Update หุ้นจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รัฐบาลลดภาษี พ.ร.บ. รถยนต์ - ยกเว้นภาษีนำเข้า จูงใจคนไทยใช้รถยนต์ไฟฟ้า กระตุ้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ - FINNOMENA ครม. มีมติเห็นชอบสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยอนุมัติการลดภาษีประจำปีลง 80% และยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดภาษี และเขตการค้าเสรี 27 ก.ค. 2565 ครม. มีมติเห็นชอบสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยอนุมัติการลดภาษีประจำปีลง 80% และยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดภาษี และเขตการค้าเสรี เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) ครม. ได้ออกมาตรการสนับสนุน และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ โดยมี 2 มาตรการที่สำคัญ ดังนี้ 1. ลดอัตราภาษีรถตาม พ.ร.บ.รถยนต์ประจำปีลงร้อยละ 80 เป็นเวลา 1 ปี มีมติอนุมัติร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีประจำปีลง 80% สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ที่จดทะเบียนระหว่าง 1 ต.ค. 2565 – 30 ก.ย. 2568 เป็นระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียน เป็นการปรับลดภาษีตามอัตราที่กำหนดตามอัตราภาษีประจำปีท้าย พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 (แก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ. รถยนต์ (ฉ. 14) พ.ศ. 2550) ตัวอย่างเช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ขนาดใหญ่สุด (น้ำหนัก 7,001 กก. ขึ้นไป) เดิมอยู่ที่ 3,600 บาท ปรับลงมาเหลือ 720 บาท 2. ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีการยกเว้นอากร ศุลกากร สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV ทั้งแบบรถยนต์นั่ง, รถยนต์โดยสารที่นั่งไม่เกิน 10 คน และรถยนต์กระบะ ที่ประกอบหรือผลิตในเขตปลอดอากร หรือเขตประกอบการเสรีตามที่กำหนด โดยมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด เช่น ให้นับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ สำหรับการนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่ และนำไปผลิตหรือประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในเขตปลอดภาษี รวมเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศสำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มได้ไม่เกิน 15% ของราคายานยนต์ไฟฟ้าหน้าโรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คาดการณ์ว่า การยกเว้นภาษีดังกล่าวจะทำให้สูญเสียรายได้ประมาณ 36,128 ล้านบาท และอาจจะเพิ่มสูงขึ้นตามปริมาณความต้องการภายในประเทศ อย่างไรก็ดี การสูญเสียดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาใหญ่เนื่องจาก สัดส่วนรายได้จากภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นเพียง 0.05% เท่านั้น มาตรการนี้ถือเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และปริมาณ PM 2.5 ในอากาศ รวมถึงช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ ก่อนหน้านี้ (15 ก.พ.) รัฐบาลได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ดังนี้ – เงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน – ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0% – ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ถึงปี 2566 – ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) จำนวน 9 รายการ อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/thailand-62305769 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: YouTube เจอ TikTok แย่งส่วนแบ่งตลาด รายได้โตแค่ 5% เทียบกับ 84% ในปีที่แล้ว งบบริษัทแม่ Alphabet ไตรมาส 2 ต่ำคาด จากกระแสเปิดเมือง-ดอลลาร์แข็งค่า-เงินเฟ้อ - FINNOMENA Alphabet บริษัทแม่ Google รายงานกำไรและรายได้ในไตรมาสที่ 2 ต่ำกว่าคาด แต่ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นมากกว่า 4% หลังปิดตลาด 27 ก.ค. 2565 Alphabet บริษัทแม่ Google รายงานกำไรและรายได้ในไตรมาสที่ 2 ต่ำกว่าคาด แต่ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นมากกว่า 4% หลังปิดตลาด ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Alphabet เทียบกับคาดการณ์โดย Refinitiv และ StreetAccount ➢ กำไรต่อหุ้น (EPS): $1.21 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ $1.28 ➢ รายได้ทั้งหมด: 69,690 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 69,900 ล้านดอลลาร์ ➢ รายได้จากโฆษณาบน Youtube: 7,340 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 7,520 ล้านดอลลาร์ ➢ รายได้จาก Google Cloud: 6,280 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 6,410 ล้านดอลลาร์ ➢ ต้นทุนในการเพิ่มทราฟฟิก (TAC): 12,210 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 12,410 ล้านดอลลาร์ การเติบโตของรายได้ชะลอตัวเหลือ 13% ในไตรมาสนี้จาก 62% ในปีก่อนหน้า จากการกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งหลังเกิดโรคระบาด ในเวลาที่ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคกำลังเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ Deirdre Bosa CFO ของบริษัทกล่าวว่า ความผันผวนจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้การเติบโตของรายได้ลดลงถึง 3.7 ppt โดยคาดว่าผลกระทบจะรุนแรงกว่านี้อีกในไตรมาสหน้า และแนวโน้มปัจจุบันเป็นหนึ่งในความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลก รายได้จากการโฆษณาเพิ่มขึ้นเพียง 12% อยู่ที่ 56,300 ล้านดอลลาร์ เหตุเพราะนักการตลาดต้องลดค่าใช้จ่ายจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ขณะที่ยอดขายของ YouTube เพิ่มขึ้นเพียง 5% ดิ่งแรงมากจากการพุ่งขึ้น 84% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากรายได้ที่ลดลงจากการโฆษณาที่ลดลงแล้ว YouTube ยังเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจาก TikTok แอปวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นตอนนี้ อย่างไรก็ตาม รายได้จากการค้นหาของ Google อยู่ที่ 40,690 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 38,500 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า จากการค้นหาที่เพิ่มขึ้นในคำถามเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและค้าปลีก รายได้ของ Google Cloud ยังเติบโตแต่ต่ำกว่าคาด และขาดทุนจากการดำเนินงานเฉพาะส่วนธุรกิจมากขึ้นเป็น 858 ล้านดอลลาร์ ตอนนี้ Google Cloud พยายามแย่งส่วนแบ่งจาก Amazon Web Services และ Microsoft Azure ก่อนหน้านี้ในเดือนที่แล้ว Sundar Pichai ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่าจะชะลอการจ้างงานและการลงทุนจนถึงปี 2023 เนื่องจากบริษัทไม่มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาเศรษฐกิจ Alphabet ยังไม่ได้ออกตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการ แต่นักวิเคราะห์จาก Refinitiv คาดว่า รายได้จะโต 14% ในปีนี้ สู่ระดับ 293,900 ล้านดอลลาร์ โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นของ Alphabet ร่วงลงกว่า 1 ใน 4 แล้ว อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/26/alphabet-is-set-to-report-q2-earnings-after-the-bell-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Alphabet News Update YouTube แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินเฟ้อสหรัฐฯ ทำพิษ! Walmart หั่นคาดการณ์กำไร เหตุผู้บริโภคลดซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย แม้ยอดขายเพิ่มจากสินค้าจำเป็นก็ตาม - FINNOMENA Walmart ปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัท เหตุเงินเฟ้อพุ่งจนชาวอเมริกันเลือกซื้อแต่ของใช้จำเป็น เช่น อาหาร แล้วไปลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นอย่างเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทน 26 ก.ค. 2565 Walmart ปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัท เหตุเงินเฟ้อพุ่งจนชาวอเมริกันเลือกซื้อแต่ของใช้จำเป็น เช่น อาหาร แล้วไปลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นอย่างเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทน พฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคทำให้มีสินค้าเหลืออยู่บนชั้นวางและในคลังมากขึ้น ตอนนี้ Walmart ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต้องทำเครื่องหมายสินค้าที่ลูกค้าไม่ต้องการอย่างจริงจัง เมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) ราคาหุ้นของ Walmart ดิ่งลงถึง 9.89% หลังปิดตลาด ขณะที่หุ้นผู้ค้าปลีกรายอื่นอย่าง Target ร่วงลงมา 6% และอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ลดลง 3% โดย Walmart ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นลงประมาณ 8% – 9% สำหรับไตรมาสที่ 2 และ 11% – 13% สำหรับทั้งปี ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาส 2 และลดลงแค่ประมาณ 1% ตลอดทั้งปี เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบ 4 ทศวรรษ ผู้บริโภคเผชิญกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นในทุกที่ ทั้งปั๊มน้ำมัน ร้านขายของชำและร้านอาหาร ทำให้ผู้คนคิดเยอะขึ้นตอนใช้ข่ายเงิน โดยบางคนอาจเลือกใช้เงินไปกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำตอนช่วงโควิดระบาด อย่างการไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร Walmart ร้านของชำที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาที่มักถูกมองเป็นตัวสะท้อนเศรษฐกิจในภาพรวมกล่าวว่า ลูกค้าจำนวนมากขึ้นเลือกซื้อสินค้าจำเป็นสำหรับเติมในตู้กับข้าวและตู้เย็น และลดการซื้อสินค้าทั่วไปที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีมัน บริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายในสหรัฐฯ ที่ไม่รวมเชื้อเพลิงจะเพิ่มขึ้น 6% ในไตรมาสที่ 2 เนื่องจากลูกค้ามาซื้ออาหารจาก Walmart มากขึ้น โดยสูงกว่าคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 4% – 5% อย่างไรก็ตาม สินค้าดังกล่าวมีอัตรากำไรที่ต่ำกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น ทีวีและเสื้อผ้า Doug McMillon ซีอีโอของบริษัทกล่าวว่า ราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของลูกค้า ตอนนี้ทางห้างกำลังมีความคืบหน้าที่ดีในการเคลียร์สต็อกสินค้าที่ขายไม่ออก แต่หมวดเสื้อผ้าใน Walmart จำเป็นต้องลดราคาเพิ่ม การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อกลยุทธ์ด้านอื่นของบริษัทด้วยเช่นกัน Walmart ต้องการขยายบริการสมัครสมาชิก Walmart + แต่อาจเป็นเรื่องยากในเวลาที่คนอเมริกันใช้เงินน้อยลง อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/25/walmart-cuts-second-quarter-guidance-as-it-sees-slower-growth-due-to-inflation.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Walmart แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินเฟ้อกระทบคนหาคู่ ออกเดตใช้เงินมากขึ้น 2 เท่า สู่เทรนด์ใหม่ เดตแบบใช้เงินน้อย พบคู่เดตหารกันจ่าย - คุยเรื่องเงินตั้งแต่วันแรก - FINNOMENA ผู้คนมักบอกว่าความรักไม่เกี่ยวกับเงิน แต่การออกเดตในยุคของแพงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนโสดที่ต้องการหาใครสักคนในช่วงนี้ 22 ก.ค. 2565 ผู้คนมักบอกว่าความรักไม่เกี่ยวกับเงิน แต่การออกเดตในยุคของแพงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นคนโสดที่ต้องการหาใครสักคนในช่วงนี้ ข้อมูลรายงานว่า เกือบ 41% ของผู้ใช้งานบนแอปหาคู่ยอดนิยมอย่าง Hinge กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดตมากกว่าปีก่อน ขณะที่ 34% ของผู้ใช้งานเว็บไซต์หาคู่ OKCupid มองว่า เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อชีวิตรักของพวกเขา Emily Derby วัย 27 ปี จากรัฐโอคลาโฮมากล่าวว่า ค่าใช้จ่ายในการเดตของเธอเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า จาก $200 เป็น $400 ต่อเดือน โดยการออกไปเดตเพียงครั้งเดียวใช้เงินถึง 100 ดอลลาร์ กับแค่ขับรถ ช้อปปิ้ง ออกไปกินข้าวและกลับบ้าน ข้าวของที่แพงขึ้นทำให้หลายคนต้องเลือกขนาดของออกเดตรวมถึงวันพิเศษจริงๆ ที่จะให้มากยิ่งขึ้น ในขณะที่คนโสดหลายคนตัดสินใจหยุดมองหาคนที่ใช่ ‘ชั่วคราว’ ตอนนี้การออกเดตไม่สามารถคิดถึงแค่ความโรแมนติก เพราะเงินเป็นอีกเรื่องที่ต้องนึกถึง ไม่ใช่แค่คนธรรมดาที่ได้รับผลกระทบนี้ คนมีรายได้สูงก็มองว่าค่าใช้จ่ายในการออกเดตสูงเกินไปเช่นกัน Amy Nobile โค้ชหาคู่ในนิวยอร์กเล่าให้ฟังว่า ขนาดลูกค้ารายได้สูงที่ปกติจ่ายเงินถึง $15,000 สำหรับโปรแกรมเดต 4 เดือน ยังต้องการลดลดค่าใช้จ่ายลงมาครึ่งหนึ่ง ขณะที่ Logan Ury ผอ.ฝ่ายวิทยาศาสตร์ความสัมพันธ์ของ Hinge มองว่า การเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ผู้คนหาวิธีออกเดตในราคาถูกลง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลวร้าย โควิดเป็นเหมือนยุคยุคเรเนสซองส์ของการเดตอย่างสร้างสรรค์ เช่น การสเก็ตช์ภาพบนจุดชมวิวในสวนสาธารณะ หรือการเยี่ยมชมตลาดเกษตรกรเพื่อซื้อของไปทำอาหารด้วยกันที่บ้าน อีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดต Amy Nobile เล่าว่า ตอนนี้ลูกค้าผู้ชายส่วนใหญ่ของเธอขอให้คู่เดตแชร์เงินออกกันแบบ 50/50 มากขึ้นเรื่อยๆ และนี่กำลังเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ลูกค้าผู้หญิงต้องเตรียมพร้อม นอกจากนี้ ‘ความเข้าใจด้านการเงิน’ กลายมาเป็นคุณสมบัติที่น่าดึงดูดมากขึ้น เพราะเงินเฟ้อกำลังทำให้รายได้ของชาวอเมริกันลดลง ตอนนี้ผู้คนพูดคุยกันเรื่องอาชีพและเงินทองตั้งแต่วันแรกที่ออกเดต และนี่อาจเป็นเทรนด์ใหม่ของการคบหาดูใจกัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-21/cheap-dates-how-inflation-is-making-it-more-expensive-to-find-love?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ออกเดต เงินเฟ้อ เดต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถกระบะไฟฟ้า Cybertruck ของ Tesla พร้อมขายกลางปีหน้า กันกระสุน - ชาร์จครั้งเดียววิ่งได้ 800 ก.ม. คาดราคาเริ่มต้น 1.47 ล้านบาท - FINNOMENA Tesla คาดว่าจะส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า ‘Cybertruck’ ได้ภายในกลางปีหน้า แม้กระบวนการผลิตทั้งหมดจะยังไม่ได้เริ่มเลยก็ตาม แต่นี่ถือเป็นเวลาการส่งมอบที่ชัดเจนกว่าที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ 22 ก.ค. 2565 Tesla คาดว่าจะส่งมอบรถกระบะไฟฟ้า ‘Cybertruck’ ได้ภายในกลางปีหน้า แม้กระบวนการผลิตทั้งหมดจะยังไม่ได้เริ่มเลยก็ตาม แต่นี่ถือเป็นเวลาการส่งมอบที่ชัดเจนกว่าที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ Elon Musk เปิดตัว Cybertruck ตั้งแต่ปี 2019 โดยตอนนั้นบริษัทตั้งเป้าว่าจะเริ่มผลิตในปลายปี 2021 แต่ต่อมาในเดือน ส.ค. บริษัทเลื่อนแผนผลิตออกไปจนถึงปี 2022 และในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา Elon Musk หวังว่า Tesla จะส่งมอบได้ทันในปีหน้า จุดเด่นของ Cybertruck คือ ดีไซน์แปลกตาเหมือนกับรถในวิดีโอเกมรุ่นแรกๆ แต่การออกแบบดังกล่าวกำลังสร้างความลำบากให้บริษัท เพราะ Tesla ต้องทำให้ Cybertruck สามารถใช้งานได้ในโลกแห่งความจริงด้วย Tesla อาจจะต้องเร่งผลิตและส่งมอบรถยนต์กระบะไฟฟ้าให้เร็วที่สุด เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน คู่แข่งอย่าง Ford และ Rivian ได้เปิดตัวรถกระบะไฟฟ้าเป็นของตัวเองแล้ว โดย Ford มีแผนผลิต F-150 Lightning จำนวน 150,000 คันในปี 2023 มีวีดีโอที่เผยออกมาว่า Cybertruck กำลังอยู่บนแทร็กทดสอบ และยังมีวีดีโอที่โชว์ภาพรถต้นแบบแบบรอบคัน นี่บ่งชี้ว่า Cybertruck ไม่ได้หายไปจากการดำเนินการแตกต่างกับ Roadster รุ่น 2 ที่เคยตั้งเป้าว่าจะจัดส่งในปี 2023 ในการประกาศล่าสุด Elon Musk ยังไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดที่ Tesla ต้องทำเพื่อนำ Cybertruck ออกสู่ท้องถนน รายงานในการเปิดตัวเมื่อเดือน พ.ย. 2019 ระบุว่า ตัวรถ Cybertruck ผลิตจากวัสดุสเตนเลสด้วยกระบวนการรีดเย็นที่เคลมว่าแข็งแกร่งระดับ Ultra-Hard 30X และเป็นวัสดุประเภทเดียวกันกับที่ใช้ผลิตยานอวกาศ พร้อมฟีเจอร์กระจกกันกระสุน นอกจากนี้ Cybertruck ยังมีความสามารถในการลากจูงในระดับ 14,000 ปอนด์ หรือ 6,300 กว่ากิโลกรัม และสามารถบรรทุกน้ำหนักบนกระบะท้ายได้ถึง 3,500 ปอนด์ หรือ 1,590 กิโลกรัม และจะมีให้เลือกถึง 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนหลัง: วิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร / อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร อยู่ที่ 6.5 วินาที / ราคาจำหน่าย 39,900 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.47 ล้านบาท 2. มอเตอร์คู่ขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive: วิ่งได้ไกล 480 กิโลเมตร / อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร อยู่ที่ 4.5 วินาที / ราคาจำหน่าย 49,900 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.83 ล้านบาท 3. มอเตอร์สามตัวขับเคลื่อนแบบ All-Wheel Drive: วิ่งได้ไกล 800 กิโลเมตร / อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร อยู่ที่ 2.9 วินาที / ราคาจำหน่าย 69,900 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.57 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2021 Elon Musk ทวีตถึงปัญหาของที่ปัดน้ำฝน โดยรายงานการออกแบบล่าสุด ตอนนี้ Cybertruck มีที่ปัดน้ำฝนที่เป็นเหมือนแขนขนาดยักษ์เพียงข้างเดียวที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดกระจกหน้ารถทั้งหมดด้วยการปัดเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ Tesla ยังเผชิญปัญหาด้านการผลิต เพราะรถยนต์รุ่นฮิตที่ออกมาก่อนหน้านี้ทั้ง Model S, X, 3 และ Y ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์หลายครั้งในจีน โดย Elon Musk ย้ำว่า Tesla ไม่ได้มีปัญหาฝั่งความต้องการของผู้บริโภค แต่มีปัญหาด้านการผลิต (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนวันที่ 22 ก.ค. 2022 ที่ 1 ดอลลาร์ = 36.78 บาท) อ้างอิง: https://www.theverge.com/2022/7/20/23272045/tesla-cybertruck-delivery-middle-next-year-q2-earnings https://finance.yahoo.com/news/tesla-cybertruck-niche-not-like-ford-f-150-170217506.html https://thestandard.co/tesla-cybertruck/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cybertruck News Update Tesla รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Gautam Adani รวยอันดับ 4 ของโลก มหาเศรษฐีอินเดีย แซงหน้า Bill Gates มั่งคั่งเพิ่ม 1.3 ล้านล้านบาท ปีนี้ - FINNOMENA Gautam Adani มหาเศรษฐีชาวอินเดีย รวยแซงหน้า Bill Gates ขึ้นแท่นบุคคลร่ำรวยที่สุดอันดับ 4 ของโลก 22 ก.ค. 2565 Gautam Adani มหาเศรษฐีชาวอินเดีย รวยแซงหน้า Bill Gates ขึ้นแท่นบุคคลร่ำรวยที่สุดอันดับ 4 ของโลก จากข้อมูลของ Bloomberg Billionaires Index มูลค่าทรัพย์สินสุทธิในวันพฤหัสบดี (21 ก.ค.) ของ Adani เพิ่มขึ้นเป็น 112,500 ล้านดอลลาร์ (4.15 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่า Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ถึง 230 ล้านดอลลาร์ (8,480 ล้านบาท) ในปีนี้ ทรัพย์สินของ Adani เพิ่มขึ้น 36,000 ล้านดอลลาร์ (1.32 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่ามหาเศรษฐีคนไหนๆ ขณะที่ทรัพย์สินของ Bill Gates หดตัวลงเรื่อยๆ จากการบริจาคเพื่อการกุศลรวมถึงแรงเทขายในหุ้นเทคโนโลยี Adani เริ่มต้นธุรกิจจากการค้าขายทางการเกษตร ถ่านหิน และท่าเรือ ก่อนที่จะมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานสีเขียว สนามบิน ศูนย์ข้อมูล บริการดิจิทัล และสื่ออย่างรวดเร็ว โดยกลยุทธ์ของ Adani สอดคล้องกับวาระสร้างชาติของนายกฯ นเรนทรา โมดีของอินเดีย นั่นทำให้บริษัทของเขาดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งรวมถึง TotalEnergies SE และ Warburg Pincus จากฝรั่งเศส Adani ลาออกกลางคันในมหาวิทยาลัย ก่อนจะเริ่มต้นบริษัทการค้าเกษตรในปลายทศวรรษ 1980 แต่ความมั่งคั่งของเขาเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากการผลักดันธุรกิจอย่างหลากหลาย โดย Adani กลายมาเป็นเศรษฐีพันล้านในเดือน เม.ย. ร่วมกับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ เช่น Elon Musk และ Jeff Bezos เมื่อเดือน พ.ย. Adani ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 70,000 ล้านดอลลาร์ ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ภายในปี 2030 หลังถูกวิพากวิจารณ์การลงทุนโครงการเหมืองถ่านหินคาร์ไมเคิลในออสเตรเลีย Adani มีแผนอีกหลายอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ เขากำลังพิจารณาซื้อหุ้น Aramco บริษัทปิโตรเลียมยักษ์ใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย และได้ซื้อธุรกิจปูนซีเมนต์ของ Holcimในอินเดียด้วยเงิน 10,500 ล้านดอลลาร์ รวมถึงลงนามในสัญญากับ Posco ผู้ผลิตเหล็กของเกาหลีใต้เพื่อสำรวจโอกาสทางธุรกิจ ในเดือน เม.ย. Adani Enterprises บริษัทหลักของเขากล่าวว่า ได้จัดตั้งบริษัทย่อยด้านสื่อแห่งใหม่ นี่เป็นสัญญาณความทะเยอทะยานในการเจาะตลาดท้องถิ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ความร่ำรวยของ Adani เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับที่มหาเศรษฐีบางคนกำลังบริจาคเงินเพิ่มเติม โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Bill Gated เพิ่งบริจาคเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์แก่มูลนิธิของเขา ขณะที่ ปู่ Warren Buffett ที่หล่นไปอยู่อันดับที่ 7 ได้บริจาคเงินกว่า 35,000 ล้านดอลลาร์เพื่อการกุศล ซึ่งแค่ในเดือน มิ.ย. เดือนเดียว Buffett บริจาคไปถึง 3,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Adani ได้เพิ่มการบริจาคของเขาในเดือน มิ.ย. เพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี โดยให้คำมั่นว่าจะบริจาค 7,700 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือสังคม อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-21/adani-overtakes-gates-to-become-world-s-fourth-richest-person?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bill Gates Gautam Adani News Update มหาเศรษฐี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คําชี้แจงอย่างเป็นทางการจากบริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จํากัด - FINNOMENA จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทางบริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ทุกท่านมั่นใจว่า สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเร็ววัน 21 ก.ค. 2565 จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ซิปเม็กซ์ได้มีการปรับแผนการเงินของบริษัทฯ ให้รัดกุม และได้มีการ ถอนเงินทุน และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ที่เคยฝากไว้กับคู่ค้าทางธุรกิจออกมา ทางบริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ทุกท่านมั่นใจว่า สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทจะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ในเร็ววัน ในโอกาสนี้ บริษัทฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อให้ความกระจ่างแก่ผู้รับสาร เกี่ยวกับตัวเลขการฝากระหว่างซิปเม็กซ์ และพันธมิตรทาง ธุรกิจ ซึ่งตัวเลขล่าสุด ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ดังต่อไปนี้ • การฝากกับ Babel ที่ 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ • การฝากกับ Celsius ที่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➢ การแก้ไขสถานการณ์ ขณะนี้ ซิปเม็กซ์ได้หารือกับทาง Babel อย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว และบริษัทฯ อยู่ระหว่างการประเมินทางเลือกตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ สําหรับการลงทุนของซิปเม็กซ์ ใน Celsius ทางบริษัทฯ ขอชี้แจ้งว่า บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพียงส่วนน้อยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทางบริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะนําเงินทุนของบริษัทมาใช้ในการจัดการความเสียหายส่วนนี้ รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมีการหารือร่วมกับทาง Celsius อย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ➢ การดําเนินการหลังจากนี้ ขณะนี้ บริษัทฯ กําลังดําเนินการในทุก ๆ ช่องทาง รวมถึงการระดมทุน การดําเนินการตามกฎหมาย หรือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ซิปเม็กซ์ยังคงยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบกับบริการ Trade Wallet แต่อย่างใด และยังคงเปิดให้บริการต่อไปตามปกติ ซึ่งบริการนี้รวมถึงการฝาก และถอนสินทรัพย์ดิจิทัลบนแพลตฟอร์มของซิปเม็กซ์ ในส่วนของบริการ ZipUp+ ซึ่งถูกระงับการให้บริการเป็นการชั่วคราวในขณะนี้ บริษัทฯ กําลังดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้บริการการโอนของ z Wallet กลับมาใช้งานได้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด ทางบริษัทฯ ขอแสดงความจริงใจต่อทุกท่านผ่านการเปิดเผยข้อมูลด้วยความโปร่งใส ตลอดจนบริษัทฯ จะอัปเดตข่าวสาร และความ คืบหน้าของสถานการณ์อย่างต่อเนื่องให้กับลูกค้าทุกท่าน รวมถึงหน่วยงานกํากับดูแลทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และขอเรียนว่าบริษัทฯ ได้มีการเข้าหารือกับสํานักงาน ก.ล.ต. อย่างใกล้ชิด ซิปเม็กซ์ขอขอบพระขอบคุณทุกท่านสําหรับความอดทน และการสนับสนุนที่มีให้บริษัทฯ เสมอมา ลูกค้าสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ใน ทุกช่องทางของ Zipmex Official ตามปกติ และทางบริษัทฯ จะมีการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้สะดวกยิ่งขึ้นเร็ว ๆ นี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าจะทําทุกวิถีทางอย่างถูกต้องตามหลักการการดําเนินธุรกิจทุกประการ และจะเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ที่มา: บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จํากัด ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Zipmex แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Tesla รายได้ไตรมาส 2 โต 42% แต่อัตรากำไรลด เหตุเงินเฟ้อ-ต้นทุนพุ่ง เทขาย Bitcoin 75% ทิ้ง เพิ่มสภาพคล่อง - FINNOMENA Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 รายได้โต 42% แต่อัตรากำไรลดจากต้นทุนที่พุ่ง ดันราคาหุ้นบวกเล็กน้อยที่ 1.45% หลังปิดตลาด พร้อมเทขาย Bitcoin 75% ที่เคยถือเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง 21 ก.ค. 2565 Tesla รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 รายได้โต 42% แต่อัตรากำไรลดจากต้นทุนที่พุ่ง ดันราคาหุ้นบวกเล็กน้อยที่ 1.45% หลังปิดตลาด พร้อมเทขาย Bitcoin 75% ที่เคยถือเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ➢ กำไรต่อหุ้น: $2.77 สูงกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ $1.81 ➢ รายได้รวม: 16,930 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitiv ที่ 17,100 ล้านดอลลาร์ กำไรขั้นต้นจากรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 27.9% ลดลงจาก 32.9% ในไตรมาสก่อน และ 28.4% ในปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อและการแข่งขันที่สูงขึ้นในแบตเตอรี่และส่วนประกอบอื่นๆ ที่นำไปใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่รายได้จากรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ 14,600 ล้านดอลลาร์ โดยอีก 1,470 ล้านดอลลาร์มาจากการบริการและรายรับอื่นๆ และอีก 866 ล้านดอลลาร์มาจากกลุ่มพลังงานของบริษัท รายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าอื่น (Regulatory Credits) อยู่ที่ 344 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 10 ล้านดอลลาร์หรือเกือบ 3% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ Tesla ได้รายงานว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 บริษัทได้แปลง 75% ของการซื้อ Bitcoin ไปเป็นเงินสกุลหลัก เป็นการไปเพิ่มเงินสด 936 ล้านดอลลาร์ ในงบดุลโดยรวมแล้วเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้น 847 ล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาสนี้ ก่อนหน้านี้ Tesla คือหนึ่งในบริษัทที่มีกระแสในหมู่นักลงทุนคริปโทฯ โดยเมื่อต้นปี 2021 บริษัทประกาศว่าได้ซื้อ Bitcoin มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ Elon Musk ซีอีโอของบริษัทได้ให้เหตุผลในการเทขาย Bitcoin ว่า บริษัทไม่แน่ใจว่าการล็อกดาวน์ในจีนจะผ่อนคลายเมื่อไร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเพิ่มสถานะเงินสดให้สูงสุด แต่การขายครั้งนี้ไม่ควรถือเป็นคำตัดสินของ Bitcoin ทั้ง Elon Musk และ Zachary Kirkhorn CFO ของบริษัท ยืนยันว่า Tesla ไม่ได้ขาย Dogecoin ออกมาเลย Elon Musk กล่าวว่า โรงงานแห่งใหม่ของ Tesla นอกกรุงเบอร์ลินสามารถผลิตรถยนต์ได้เกิน 1,000 คันต่อสัปดาห์ในเดือน มิ.ย. และคาดว่าโรงงานแห่งใหม่ในออสติน รัฐเท็กซัส จะสามารถผลิตได้เกินสัปดาห์ละ 1,000 คันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากการตั้งโรงงานใหม่ 2 แห่ง Tesla ตั้งเป้าหมายว่า การส่งมอบของบริษัทจะสามารถติบโตเฉลี่ย 50% ในช่วงระยะเวลาอีกหลายปี อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/20/tesla-tsla-earnings-q2-2022-.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Elon Musk News Update Tesla แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Extraordinary Attorney Woo ฮิตไม่หยุด ดันหุ้นผู้สร้างซีรีส์สูงถึง 82% ยอดผู้ชมสูงสุดใน Netflix สูงสุดในเดือนก.ค - FINNOMENA หุ้นบริษัทผลิตละครสัญชาติเกาหลีอย่าง ASTORY พุ่งสูงถึง 82% ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมในซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo (อูยองอู ทนายอัจฉริยะ) ซี่งเป็นซีรีส์ที่เกี่ยวกับการพิจาณาคดีความโดยมีทนายความมือใหม่ที่เป็นออทิสติก ซีรีส์ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเป็นซีรีส์จากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษที่มียอดผู้ชมสูงสุดใน Netflix ในเดือนกรกฎาคมนี้ 20 ก.ค. 2565 หุ้นบริษัทผลิตละครสัญชาติเกาหลีอย่าง ASTORY พุ่งสูงถึง 82% ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความนิยมในซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo (อูยองอู ทนายอัจฉริยะ) ซี่งเป็นซีรีส์ที่เกี่ยวกับการพิจาณาคดีความโดยมีทนายความมือใหม่ที่เป็นออทิสติก ซีรีส์ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเป็นซีรีส์จากประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษที่มียอดผู้ชมสูงสุดใน Netflix ในเดือนกรกฎาคมนี้ การที่หุ้น ASTORY พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตละครชั้นนำของเกาหลี เกิดขึ้นหลังจากการตกต่ำเป็นเวลานานหลายเดือน ก่อนหน้านี้หุ้นร่วงลงเกือบ 70% จากระดับสูงสุดในเดือนตุลาคม ทั้งนี้หุ้นบันเทิงของเกาหลีกลายเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน หลังเกิดความนิยมในภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ส่วนแบ่งในตลาดอุตสาหกรรมบันเทิงโลกของละครเกาหลีพุ่งขึ้นในวันพุธ (20 ก.ค) หลังจากผลประกอบการของ Netflix แสดงการเติบโตของลูกค้าในเอเชีย หุ้นบริษัทผลิตละครชื่อดังของเกาหลีอย่าง Bucket Studio และ Pan Entertainment เพิ่มขึ้นมากกว่า 12% ต่อบริษัท ขณะเดียวกัน ก็ทำให้บรรดาบริษัทละครยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ และยุโรปหดตัวลงเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับความคลั่งไคล้ในตลาดหุ้นจากซีรีส์ Squid Game เมื่อปีที่แล้ว เมื่อผู้ผลิตรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ท้องถิ่นหลายสิบรายเห็นว่าราคาหุ้นของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความอิ่มเอมใจของนักลงทุนและความสนใจจากบริษัทระดับโลก เช่น Walt Disney และ Apple อย่างไรก็ตาม หุ้นบันเทิงของเกาหลีมีความผันผวนอย่างมาก เพราะขึ้นอยู่กับวัฏจักรความนิยมของซีรีส์ และความนิยมของผู้ชมที่ค่อย ๆ จางหายไปในแพลต์ฟอร์มหลักอย่าง Netflix ซึ่งถือเป็นข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นมา จะเห็นได้ว่าแม้ราคาหุ้น ASTORY จะพุ่งสูงขึ้นในเดือนนี้ แต่ยังคงลดลงมากกว่า 30% จากเดือนตุลาคม ที่มา:https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-19/netflix-hit-turns-fortunes-for-korean-stock-with-82-july-surge?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz#xj4y7vzkg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update เกาหลี แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ปีมรสุมของ Cathie Wood เตรียมปิด ‘CTRU’ กองทุน ESG ที่เปิดมาแค่ 8 เดือน หลังดัชนีที่ติดตามถูกยกเลิก ด้าน ARKK -52% YTD - FINNOMENA ARK Invest เตรียมปิดกองทุน ARK Transparency ETF (CTRU) ปลายเดือน ก.ค. นี้ หลังเปิดเพียง 8 เดือน ซึ่งนี่เป็นการปิดกองทุนครั้งแรกของ ARK 20 ก.ค. 2565 ARK Invest เตรียมปิดกองทุน ARK Transparency ETF (CTRU) ปลายเดือน ก.ค. นี้ หลังเปิดเพียง 8 เดือน ซึ่งนี่เป็นการปิดกองทุนครั้งแรกของ ARK การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลัง Transparency Global จะหยุดคำนวณ The Transparency Index ในปลายเดือนนี้ ซึ่งเป็นดัชนีที่กองทุน CTRU อิงผลตอบแทนอยู่ โดย ARK Invest กล่าวว่า บริษัทไม่สามารถหาดัชนีที่เหมาะสมจากผู้ให้บริการรายอื่นมาทดแทนได้ ตามรายงานต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. คณะกรรมการกองทุนมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติการเยกเลิกกองทุนในที่ประชุมเมื่อต้นเดือนนี้ โดย CTRU จะยุติการซื้อขายใน Cboe BZX Exchange ในวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งผู้ถือกองทุนยังสามารถขอไถ่ถอนได้ก่อนวันปิด CTRU คือ กองทุน ESG ในเวอร์ชันของ Ark Invest เน้นลงทุนแบบ Passive ในบริษัทที่โปร่งใสและยั่งยืน เริ่มซื้อขายตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2021 โดยผลตอบแทนของกองทุนลดลงมาแล้ว 33% ตั้งแต่ต้นปี โดยกองทุนจะเน้นลงทุนตามดัชนีที่ประกอบด้วย 100 บริษัทด้านเทคโนโลยีและผู้บริโภค แต่จะไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ ธนาคาร การพนัน รวมถึงน้ำมันและก๊าซ ตัวอย่างของหุ้นได้แก่ Teladoc, Spotify, Netflix และ Docusign กองทุน CTRU มีมูลค่าทรัพย์สินเพียง 12 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ARKK ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 9,000 ล้านดอลลาร์ Nate Geraci ประธาน ETF Store กล่าวว่า กองทุนดูแปลกตั้งแต่ตอนเริ่ม เพราะก่อนหน้านี้ ARK สร้างชื่อด้วยกองทุน Active ที่ลงทุนในนวัตกรรม แต่กลับออกกองทุน ARK Transparency ETF ที่ขัดแย้งกับแนวทางดังกล่าว ปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Cathie Wood กองทุนเรือธงของบริษัทอย่าง ARKK ร่วงลงมากกว่า 50% หลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ รวมถึงความกังวลในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตอนนี้ ARKK ได้สูญเสียทรัพย์สินเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ ธ.ค. ที่ผ่านมา อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/ark-invest-liquidate-transparency-themed-fund-220336071.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-19/cathie-wood-s-ark-shutters-transparency-etf-in-first-closure?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นญี่ปุ่นบวกกว่า 2.67% นำหุ้นเอเชียบวกรับข่าวผลประกอบการสหรัฐฯ ดีกว่าคาด - FINNOMENA วันนี้ (20 ก.ค.) ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นมาปิดตลาด 2.67% เช่นเดียวกับดัชนี TOPIX ที่ปิดบวก 2.29% รับข่าวผลประกอบการสหรัฐฯ ดีกว่าคาดการณ์ ลดความกังวลเศรษฐกิจถดถอย 20 ก.ค. 2565 วันนี้ (20 ก.ค.) ดัชนี Nikkei 225 ปรับตัวขึ้นมาปิดตลาด 2.67% เช่นเดียวกับดัชนี TOPIX ที่ปิดบวก 2.29% รับข่าวผลประกอบการสหรัฐฯ ดีกว่าคาดการณ์ ลดความกังวลเศรษฐกิจถดถอย โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา Netflix เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ยอด subscriber ลดลงเพียง 970,000 ราย ดีกว่าคาดว่าจะลดลงถึง 2 ล้านราย โดย Netflix คาดว่าไตรมาส 3 จะมียอด subscriber เพิ่มขึ้น 1 ล้านราย นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวว่าญี่ปุ่นและซาอุดิอาระเบียได้ประกาศความร่วมมือเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดน้ำมัน ด้านธนาคารากลางจีนคงอัตราดอกเบี้ย LPR อายุ 1 ปี ไว้ที่ 3.7% และอายุ 5 ปี ไว้ที่ 4.45% จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งให้ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นมาในแดนบวก ดังนี้ ➢ ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้น 1.48% ➢ ดัชนี CSI 300 ปรับตัวขึ้น 0.34% ➢ ดัชนี KOSPI ปรับตัวขึ้น 0.67% ➢ ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 0.67% ➢ ดัชนี VN30 ปรับตัวขึ้น 1.03% FINNOMENA Investment Team มองว่า Valuation อยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับอดีต มีแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อต่ำ หนุนให้นโยบายการเงินช่วยให้เงินเยนอ่อนค่า ส่งผลดีต่อการส่งออก อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอลง แม้เงินเยนจะอ่อนค่า แต่ในแง่ปริมาณการส่งออกอาจชะลอ ลดผลเชิงบวกลงมา ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีความน่าสนใจต่ำ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Netflix ผู้ใช้งานลดน้อยกว่าคาด ลดเพียง 9.7 แสนราย ดันหุ้นพุ่ง 7.85% หลังปิดตลาด หวังไตรมาส 3 คนสมัครใหม่ 1 ล้านบัญชี เตรียมออกแพ็กแกจใหม่ ถูกลงแต่มีโฆษณา - FINNOMENA หุ้น Netflix พุ่ง 7.85% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังบริษัทเผยตัวเลขการลดลงของผู้ใช้งานน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ลดลงเพียง 970,000 ราย 20 ก.ค. 2565 หุ้น Netflix พุ่ง 7.85% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ หลังบริษัทเผยตัวเลขการลดลงของผู้ใช้งานน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ลดลงเพียง 970,000 ราย เตรียมจับมือ Microsoft เปิดตัวแพ็กแกจใหม่ในราคาถูกลงแต่มีโฆษณาคั่น Netflix กล่าวในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นว่า บริษัทเตรียมเริ่มต้นในหลายตลาดที่การโฆษณามีความสำคัญ ความตั้งใจของบริษัทคือการเปิดตัว รับฟัง เรียนรู้ และทำซ้ำอย่างรวดเร็วเพื่อปรับปรุงข้อเสนอต่างๆ ดังนั้น ธุรกิจโฆษณาของ Netflix ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะแตกต่างไปจากที่เห็นในวันแรก รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Netflix – กำไรต่อหุ้น (EPS): $3.20 สูงกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ $2.94 – รายได้: 7,970 ล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์โดย Refinitive ที่ 8,035 ล้านดอลลาร์ – การเพิ่มขึ้นของสมาชิกแบบชำระเงินทั่วโลก: ลดลงเพียง 970,000 ราย น้อยกว่าคาดการณ์โดย StreetAccount ว่าจะลดลงถึง 2 ล้านราย ตอนนี้บริษัทมีผู้สมัครสมาชิกทั้งหมด 220.67 ล้านราย และคาดว่าในไตรมาสที่ 3 ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นสุทธิอยู่ที่ 1 ล้าน โดยจะสามารถหักลบการขาดทุนบางส่วนในช่วงครึ่งปีแรกได้ ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดผู้ใช้งานจะเติบโตถึง 1.8 ล้านราย บริษัทยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของแผนการเพิ่มค่าสมาชิกสำหรับผู้ใช้งานที่อาศัยอยู่คนละบ้าน โดยกำลังทดสอบหาแนวทางที่แตกต่างกันในละตินอเมริกา และคาดว่าจะเปิดตัวแผนนี้ได้ในปี 2023 นอกจากนี้ Netflix ยังได้เตือนผลกระทบของค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นต่อรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็น 60% ของรายได้หลัก Netflix จะยังคงมุ่งเน้นไปที่ “เนื้อหา” โดยจะนำเสนอภาพยนตร์ที่มีงบประมาณสูงบนแพลตฟอร์ม และให้บริการตอนใหม่ของซีรีส์ทั้งหมดในคราวเดียวเพื่อให้สมาชิกได้เพลิดเพลินแบบไม่ติดขัด Stranger Things 4 เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ Netflix เพราะไม่เพียงแต่ทำสถิติผู้ชมสูงสุด แต่ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Emmys หลายรางวัลในปี 2022 ด้วย อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/19/netflix-nflx-earnings-q2-2022.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Netflix News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Xiaomi เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า ส.ค.นี้ คาดเริ่มต้น 8.13 แสนบาท พร้อมขายปี 2024 - FINNOMENA Xiaomi เตรียมเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบคันแรกปลายเดือน ส.ค.นี้ คาดวางจำหน่ายจริงภายในปี 2024 19 ก.ค. 2565 Xiaomi เตรียมเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบคันแรกปลายเดือน ส.ค.นี้ คาดวางจำหน่ายจริงภายในปี 2024 หลังมีข่าวลือมานานว่า Xiaomi กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองอยู่ ทั้งข่าวตั้งบริษัทใหม่ Xiaomi EV สำหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ หรือข่าวซีอีโอเข้าไปปรึกษากับ Elon Musk แห่ง Tesla ล่าสุด เหลย จุน (Lei Jun) ผู้ก่อตั้ง Xiaomi ตั้งเป้าเผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานไฟฟ้ารุ่นต้นแบบของ Xiaomi ในช่วงปลายเดือน ส.ค. นี้ และจะเริ่มทดสอบวิ่งตามท้องถนนของจีนในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ โดยคาดว่ารถ EV รุ่นแรกของ Xiaomi จะพร้อมจำหน่ายจริงได้ภายในปี 2024 รถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวถูกออกแบบโดย HVST Automobile Design ซึ่งเคยเป็นผู้รับผิดชอบการออกแบบคอนเซ็ปต์รถยนต์ไฟฟ้า Maven ให้ WM Motor นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้าจาก Xiaomi ยังจะรองรับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 3 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่ใช้ในรถ Tesla อีกด้วย รายงานยังระบุว่า ในช่วงแรก Xiaomi จะเปิดตัวรถ EV ออกมาทั้งหมด 4 รุ่น มีทั้งระดับ Segment A ราคาระหว่าง 150,000 – 200,000 หยวน (ประมาณ 813,000 – 1,085,000 บาท) และระดับ Segment B ราคาระหว่าง 200,000 – 300,000 หยวน (ประมาณ 1,085,000 – 1,627,000 บาท) ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปีที่แล้ว มีรายงานออกมาว่า Xiaomi เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบจำนวนมากเพื่อเตรียมวางจำหน่ายในปี 2024 ซึ่ง Xiaomi ได้ลงทุนไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ทาง Xiaomi Auto มีแผนจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ R&D ที่เมืองอี้จวง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง อ้างอิง: https://www.beartai.com/news/itnews/1112675 https://www.techradar.com/in/news/covers-to-be-off-on-xiaomi-car-prototype-next-month-all-details-here https://droidsans.com/xiaomi-revealing-ev-end-of-august/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Xiaomi รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BlackRock เผยปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ หลังกำไรตํ่ากว่าคาด เล็งเลิกจ้างงานบางส่วน เหตุนักลงทุนหวั่นกลัว ทำรายได้หด - FINNOMENA เมื่อวันศุกร์ (15 ก.ค) BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกแถลงว่า บริษัทกำลัง “รัดเข็มขัด” ตนเองและมีแผนเลิกจ้างงานพนักงานอาวุโสในปีหน้าและนำพนักงานที่อายุน้อยกว่ามารับหน้าที่ตามความเหมาะสม ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนหวาดกลัวและทำให้กำไรลดลง 18 ก.ค. 2565 News Update: BlackRock เผยปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ หลังกำไรตํ่ากว่าคาด เล็งเลิกจ้างงานบางส่วน เหตุนักลงทุนหวั่นกลัว ทำรายได้หด เมื่อวันศุกร์ (15 ก.ค) BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลกแถลงว่า บริษัทกำลัง “รัดเข็มขัด” ตนเองและมีแผนเลิกจ้างงานพนักงานอาวุโสในปีหน้าและนำพนักงานที่อายุน้อยกว่ามารับหน้าที่ตามความเหมาะสม ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจที่ทำให้นักลงทุนหวาดกลัวและทำให้กำไรลดลง BlackRock ได้เปิดเผยตัวเลขทางการเงินที่น่ากังวล โดยระบุว่า กำไรหลังปรับปรุงของบริษัทลดลงเหลือ 1,120 ล้านดอลลาร์หรือ 7.36 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในไตรมาสที่ 2 ปี 2022 จากเดิม 1,610 ล้านดอลลาร์หรือ 10.45 ดอลลาร์ต่อหุ้นในปีก่อนหน้า ซึ่งต่างจากที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้โดยเฉลี่ยที่ 7.90 ดอลลาร์ต่อหุ้น ตามข้อมูล IBES ของ Refinitiv นอกจากนี้ สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ BlackRock ที่ทะลุเกณฑ์ 10 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในช่วงปลายปีที่แล้วได้ลดลงเหลือ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 มิ.ย ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบสองปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถดึงดูดเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากลูกค้าได้ 89,600 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนักลงทุนรายย่อยถอนเงินประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 2 ถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในเดือน มี.ค. 2020 บริษัทกล่าวว่าแม้ว่ายอดขายรวมของกองทุนรวมจะยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็มีการไถ่ถอนในระยะยาวของตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงและหุ้นเติบโต สะท้อนให้เห็นว่า BlackRock กำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจและความหวั่นกลัวของนักลงทุน Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock เผยว่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ความวุ่นวายทางการเมือง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้เพิ่มแรงกดดันให้กับผู้จัดการกองทุน เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่ของพวกเขาขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด Fink ยังกล่าวว่าลูกค้าหันมาใช้เงินสดมากขึ้นในฐานะที่หลบภัย ในตอนนี้เส้นอัตราผลตอบแทนกำลังกลับด้าน (Inverted Yield Curve) ทำให้เงินสดไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่ทำกำไรได้มากกว่าสำหรับนักลงทุนด้วย Kyle Sanders นักวิเคราะห์หุ้นอาวุโสของ Edward Jones แถลงว่า ตามที่คาดไว้ รายได้และกำไรต่อหุ้นนั้นอ่อนตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสล่าสุด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้แต่ BlackRock ก็ไม่สามารถต้านทานการตกต่ำของตลาดได้ หุ้นของ BlackRock เองก็ร่วงลงเกือบ 36% ภายในปีนี้ ดูเหมือนว่าตัวเลขทั้งหมดจะไม่ส่งผลดีต่อตลาดกองทุน เพราะแม้แต่บริษัทกองทุนที่ใหญ่ที่สุดยังต้องเผชิญกับการหดตัวลงของตัวเลขทางการเงิน ที่มา:https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-15/blackrock-second-quarter-inflows-slow-amid-market-turmoil?sref=e4t2werz#xj4y7vzkg https://www.reuters.com/business/finance/blackrock-profit-slumps-market-turmoil-eats-into-fees-2022-07-15/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BlackRock News Update กองทุน การลงทุน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: Hang Seng ฟื้นแรง รับข่าวอุดหนุนกลุ่มอสังหาฯ พร้อมฉีดสภาพคล่องในรอบ 2 วีค - FINNOMENA เช้าวันนี้ (18 ก.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ฟื้นตัวกว่า 2.71% โดยตลาดรับข่าวหน่วยงานกำกับดูแลประกาศให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินสนับสนุนด้านการกู้ยืมเงินแก่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ เพื่อให้ดำเนินการโครงการอสังหาฯ ให้แล้วเสร็จ 18 ก.ค. 2565 เช้าวันนี้ (18 ก.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ฟื้นตัวกว่า 2.71% โดยตลาดรับข่าวหน่วยงานกำกับดูแลประกาศให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินสนับสนุนด้านการกู้ยืมเงินแก่บริษัทพัฒนาอสังหาฯ เพื่อให้ดำเนินการโครงการอสังหาฯ ให้แล้วเสร็จ หลังผู้ซื้อต่างพากันหยุดจ่ายสินเชื่อบ้านกว่า 100 โครงการ ในกว่า 50 เมือง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินช่วยเหลือบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในการควบรวมกิจการเพื่อสร้างเสถียรภาพในภาคอสังหาฯ นอกจากนี้ธนาคารกลางจีนกลับมาอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยมีการเพิ่มสภาพคล่องประมาณ 9,000 ล้านหยวน ผ่าน open market operations ท่ามกลางการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 510 ราย หลังเมื่อวันเสาร์มีตัวเลขที่ 580 ราย สูงที่สุดตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม FINNOMENA Investment Team มองว่าทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของ Zero-Covid Policy และการเริ่มเปิดเมืองจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน แต่ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่จะกลับมาแพร่ระบาดได้อีก เป็นวงจรวัฏจักรตามความผ่อนคลายและเข้มงวดของการ Lockdown และได้เกิดขึ้นบ้างแล้วในบางพื้นที่ รวมถึงข่าวการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีที่อาจกลับมาเข้มขึ้นอีกครั้ง แนะนำถือลงทุนและหาจังหวะทยอยขายทำกำไรเพื่อบริหารความเสี่ยง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถใช้นำ้มันใกล้ถึงจุดจบ? ชาวอเมริกันแห่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ยอดขายทุบสถิติตลอดกาล ไม่สนราคาแพง-ส่งมอบนาน - FINNOMENA คนอเมริกันแห่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ราคาจะแพงขึ้นและต้องรอส่งมอบเป็นเวลานานก็ตาม นี่อาจเป็นสัญญาณจุดจบของรถยนต์สันดาปที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 15 ก.ค. 2565 คนอเมริกันแห่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ราคาจะแพงขึ้นและต้องรอส่งมอบเป็นเวลานานก็ตาม นี่อาจเป็นสัญญาณจุดจบของรถยนต์สันดาปที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ข้อมูลจาก Cox Automotive รายงานว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 6.5% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ ซึ่งแม้จะเป็นส่วนแบ่งเล็กๆ ในตลาด แต่ก็เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจากปีที่แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla, Ford Motor และ Volkswagen อาจส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่านี้อีก หากพวกเขาสามารถผลิตได้เร็วกว่านี้ โดยเหล่าผู้ผลิตเผชิญกับปัญหาขาดแคลนชิปซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ พร้อมกับราคาลิเทียมและวัตถุดิบอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับแบตเตอรี่ที่พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน John Lawler CFO ของ Ford กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้คือเรื่องจริง ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามีมากกว่าที่บริษัทผลิตได้ โดยตั้งแต่เดือน เม.ย.-มิ.ย. Ford ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 15,300 คัน หรือเพิ่มขึ้น 140% จากปีที่แล้ว บทเรียนสำคัญสำหรับเหล่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคือ ความต้องการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทำให้บริษัทต้องปรับโครงสร้างใหม่ทั้งการสร้างโรงงานและหาเครือข่ายซัพพลาย เช่น การรับประกันการจัดจำหน่ายแบตเตอรี่ขั้นสูง หรือทำข้อตกลงกับบริษัทเหมืองแร่เพื่อป้องกันการขาดแคลนของวัตถุดิบ อย่าง Ford เองก็กำลังวางแผนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใกล้เมืองเมมฟิสที่มีมูลค่าสูงถึง 5,600 ล้านดอลลาร์ รายงานจาก AlixPartners ระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์จากทั่วโลกได้ประกาศแผนการลงทุนมากกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ จนถึงปี 2026 เพื่อยกระดับโรงงานและซัพพลายเชน Felipe Smolk จาก EY มองว่า ยอดขายในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจากการที่คนมองว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องธรรมดา ผู้คนเริ่มลังเลที่จะซื้อรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเพราะมองว่าล้าสมัยและขายต่อได้ในราคาไม่ดี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ในจุดที่ไม่มีทางหวนกลับคืนแล้ว แม้ Tesla จะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% สูงสุด แต่เริ่มมีสัญญาณความสั่นคลอน หลังบริษัทส่งมอบรถยนต์ไตรมาส 2 ที่ 254,000 คัน ลดลงจาก 310,000 คันในไตรมาสแรก ผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในจีนที่ทำให้บริษัทต้องปิดโรงงาน ตอนนี้ Tesla เผชิญคู่แข่งจากรอบด้าน โดยเฉพาะจีนที่เป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในเดือน มิ.ย. เพียงเดือนเดียว BYD ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 100% ไปถึง 70,000 คันทั่วโลก ขณะที่ในยุโรป ยอดขายในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2022 Tesla ยังคงไล่ตาม Volkswagen, Stellantis และ Hyundai/Kia นักวิเคราะห์จาก BoA คาดการณ์ว่า ส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกของ Tesla จะเหลือเพียง 11% ในปี 2025 จาก 70% ในปีที่แล้ว และความได้เปรียบในการเป็นผู้นำตลาดของ Tesla ที่เพิ่งเริ่มต้นอาจต้องสิ้นสุดลง อ้างอิง: https://www.nytimes.com/2022/07/14/business/electric-car-sales.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Analysis: How to ลงทุนอย่างไร? 3 แนวทางรับมือเศรษฐกิจถดถอย เอาชนะตลาด ไม่ต้องใช้โชคช่วย - FINNOMENA แม้สื่อต่างๆบ่งชี้ว่าสภาพตลาดและเศรษฐกิจกำลังตกตํ่า แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่านักลงทุนในระยะยาวจะสามารถเอาชนะตลาดนี้ได้ด้วยการวางแผนที่ดี โดยไม่ต้องเพิ่งโชคชะตา 15 ก.ค. 2565 แม้สื่อต่างๆบ่งชี้ว่าสภาพตลาดและเศรษฐกิจกำลังตกตํ่า แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่านักลงทุนในระยะยาวจะสามารถเอาชนะตลาดนี้ได้ด้วยการวางแผนที่ดี โดยไม่ต้องเพิ่งโชคชะตา วันพุธที่ผ่านมา (13 ก.ค) รัฐบาลสหรัฐฯ รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 9.1 % จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 1981 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มแรงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้ได้ อย่างไรก็ตามแม้จะสามารถลดความรุนแรงของเงินเฟ้อได้ แต่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ท่ามกลางมรสุมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น วิกฤติโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน และราคาพลังงานทั่วโลกยังคงพุ่งสูงขึ้น การลงทุนในหลายเดือนข้างหน้าอาจเป็นเรื่องยาก แต่การวางแผนเพียงเล็กน้อยจะทำให้นักลงทุนผ่านพ้นไปได้ Jeff Sommer อดีตบรรณาธิการแห่ง Newsday ได้แนะนำแนวทางการลงทุนไว้ดังนี้ 1.แนวโน้มตลาดยังมืดมน สภาพตลาดปัจจุบันมีทิศทางไม่ชัดเจน นักลงทุนอาศัยการคาดเดาล้วนๆ หากเป็นนักลงทุนในระยะยาวพวกเขาจะเลิกสนใจสื่อต่างๆในเวลานี้ เพราะข้อมูลเศรษฐกิจและการเงินจากสื่อไม่ได้เป็นประโยชน์ ตามที่ Paul Krugman เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ เขียนในบทความสัปดาห์นี้ว่า ข้อมูลที่ได้รับ อาจไม่ได้ไปในทางเดียวกัน บางข้อมูลชี้ว่าเศรษฐกิจอ่อนแอ และอาจนำไปสู่ภาวะถดถอย ในขณะที่ ข้อมูลบางส่วนระบุว่าเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง เป็นต้น 2.ท่าทีของ Fed ที่ไม่แน่นอน Fed ตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก เป้าหมายสูงสุด 2 อย่างของ Fed คือ การจ้างงานสูงสุด และเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งทั้งสองเป้าหมายกำลังขัดแย้งกัน หลังจากอัตราเงินเฟ้อที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคา ในขณะเดียวกันอัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การควบคุมเงินเฟ้อโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยอย่างไม่ต้องสงสัย 3.นักลงทุนควรวางแผนอย่างไร? สิ่งแรกที่ต้องวางแผนคือ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเงินใช้จ่ายและเงินสดเพียงพอต่อสภาวะฉุกเฉิน และเก็บเงินสดไว้ในที่ปลอดภัย แต่อาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่า เช่น บัญชีธนาคารที่ให้ผลตอบแทนสูง กองทุนตลาดเงิน ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตร หากภาวะถดถอยเกิดขึ้นจริง การเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์นี้อาจหมายถึงการลดสัดส่วนในหุ้น แม้กระทั่งตอนนี้ หลังจากที่ตลาดตกต่ำ เงินสดจำเป็นกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อมา หากมั่นใจว่าพร้อมเป็นนักลงทุน ค้นหากองทุน หุ้นและพันธบัตรที่หลากหลายและเหมาะสม โดยต้องเหมาะสมกับช่วงอายุที่ลงทุน แม้ข่าวเศรษฐกิจจะเลวร้าย แต่ด้วยการวางแผนที่ดี จะทำให้นักลงทุนสามารถเอาชนะตลาดได้ โดยไม่ต้องใช้โชคช่วย ที่มา: https://www.nytimes.com/2022/07/14/business/investing-inflation-recession.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: analysis News Update ภาวะเศรษฐกิจรอบโลก แนวทางการลงทุน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เตือน Fed กำลังทำผิดพลาด มัวแต่ขึ้นดอกเบี้ย จนเพิกเฉยสัญญาณ “เงินฝืด” ด้านกองทุน ARKK อยู่ที่โหล่ -53% YTD - FINNOMENA Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest เตือน Fed กำลังเพิกเฉยต่อสัญญาณ “เงินฝืด” มัวแต่ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว Fed จะถูกบังคับกลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย 14 ก.ค. 2565 Cathie Wood ซีอีโอของ Ark Invest เตือน Fed กำลังเพิกเฉยต่อสัญญาณ “เงินฝืด” มัวแต่ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว Fed จะถูกบังคับกลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ผู้จัดการกองทุนชื่อดังชี้ให้เห็นถึงการลดลงของราคาน้ำมัน ทองแดง รวมถึงทองคำ ที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อนั้นมีมากเกินไป Cathie Wood กล่าวว่า ตลาดรู้แล้วว่า Fed กำลังทำเรื่องผิดพลาด โดยปล่อยให้หุ้นสหรัฐฯ ร่วงไปสู่จุดต่ำสุด ก่อนหน้านี้ ARKK กองทุนที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2020 ได้ประโยชน์โดยตรงจากบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะ Zoom ราคาหุ้นพุ่งแรงมากในช่วงแรกที่โควิด-19 ระบาด ในเดือนที่แล้ว กองทุน ARKK กลับมามีผลตอบแทนที่โดดเด่นอีกครั้ง โดยปรับตัวขึ้นมา 11.6% เทียบกับการเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% ของดัชนี S&P 500 หลังความกังวลต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้นักลงทุนหันมาเดิมพันในหุ้นเติบโตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กองทุน ARKK ยังติดลบถึงเกือบ 53% ตั้งแต่ต้นปีนี้ โดย Morningstar รายงานว่า ARKK อยู่ในอันดับสุดท้ายของกลุ่มกองทุนผสมขนาดกลางที่มีทั้งหมด 605 กองทุนในสหรัฐฯ ขณะที่ตอนนี้ นักลงทุนในตลาดกำลังเดิมพันว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยครั้งประวัติศาสตร์ 100 bps หรืออีก 1% ในการประชุมเดือนนี้ 📌 อ่านข่าวเต็มได้ที่นี่ อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/arks-wood-says-fed-making-182618868.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รถยนต์ไฟฟ้าจีนกินรวบตลาดไทย คาดครองส่วนแบ่ง 80% ในปีนี้ GWM และ MG แชมป์แบรนด์ยอดนิยม - FINNOMENA Nikkei Asia รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนครองส่วนแบ่งจำนวนมากในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการสนับสนุนของรัฐบาลจนกระตุ้นยอดขายโตกว่า 4 เท่าในปีนี้ 12 ก.ค. 2565 Nikkei Asia รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีนครองส่วนแบ่งจำนวนมากในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าไทยที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการสนับสนุนของรัฐบาลจนกระตุ้นยอดขายโตกว่า 4 เท่าในปีนี้ นำโดย Great Wall Motor ที่ขายรถยนต์ในไทยไปแล้วกว่า 2,000 คัน นับตั้งแต่เข้าสู่ตลาดเมื่อปีที่แล้ว และคนไทยอีก 3,000 คน กำลังรอรับมอบรถยนต์ไฟฟ้าจาก GWM ในปีนี้ นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คนไทยยังแห่จองรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น ORA Good Cat GT 500 คัน หมดภายใน 58 นาที อีกบริษัทที่ได้รับความนิยมในไทยคือ SAIC Motor จากเซี่ยงไฮ้ หรือเจ้าของแบรนด์ MG นั่นเอง โดยบริษัทขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 4,500 คันในปีที่แล้ว และคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีข้อได้เปรียบจากข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างอาเซียนและจีนที่บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2005 ซึ่งทำให้จีนสามารถจัดส่งรถยนต์ไฟฟ้าไปยังไทยได้แบบปลอดภาษี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยจะมากกว่า 10,000 คัน ในปีนี้ ซึ่งนั่นจะมากกว่า 4 เท่าของยอดขายในปี 2021 ที่ 1,954 คัน เหตุผลเป็นเพราะเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง โดยเงินอุดหนุนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นทั้งความต้องการของผู้บริโภคและผู้ผลิต โดยรัฐบาลไทยต้องการให้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ของไทยภายในปี 2030 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แบรนด์จากญี่ปุ่นและยุโรปพยายามเจาะตลาดไทยเช่นกัน แต่ไม่ดุเดือดเท่าแบรนด์จีน โดยคาดว่ายอดขายรถยนต์ไฮบริดของแบรนด์ญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้น แต่ญี่ปุ่นอาจรอจนกว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นอย่างมากก่อนที่จะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะเพิ่มขึ้นสู่ 80% ในปีนี้ จาก 50% ในปีที่แล้ว และคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวมมากกว่า 10,000 คันในปีนี้ นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคาดการณ์ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ยุโรปที่ 14% และ 5% สำหรับแบรนด์ญี่ปุ่น ซึ่งตรงข้ามกับตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ที่ผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า มิตซูบิชิ และนิสสัน ครอง 5 อันดับแรก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันถึง 82% อ้างอิง: https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/Chinese-automakers-dominate-booming-Thai-EV-market ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Great Wall Motor GWM News Update ORA SAIC Motor รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘1 ยูโร = 1 ดอลลาร์’ ยูโรอ่อนค่ามากสุดรอบ 20 ปี ผลจากสงครามยูเครน - Fed ขึ้นดอกเบี้ย นักวิเคราะห์คาดอาจถึง 0.95 ยูโร/ดอลลาร์ - FINNOMENA เงินยูโรอ่อนค่าเข้าใกล้เงินดอลลาร์มากขึ้น จน 1 ยูโร ใกล้เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ความกังวลด้านพลังงานและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้แนวโน้มในยูโรโซนแย่ลง 12 ก.ค. 2565 เงินยูโรอ่อนค่าเข้าใกล้เงินดอลลาร์มากขึ้น จน 1 ยูโร ใกล้เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ความกังวลด้านพลังงานและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้แนวโน้มในยูโรโซนแย่ลง ขณะที่การหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงหลังการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ยูโรอ่อนค่าลงมา 1.3% อยู่ที่ 1.0053 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2002 ด้านดัชนี Bloomberg Dollar Spot พุ่งขึ้นมา 1.1% ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงจากการซื้อขายที่ประมาณ 1.15 ดอลลาร์ต่อยูโรในเดือน ก.พ. การปรับขึ้นดอกเบี้ยขึ้นเรื่อยๆ ของ Fed ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้แนวโน้มการเติบโตในยูโรโซนแย่ลง รวมถึงต้นทุนการนำเข้าพลังงานสูงขึ้น การชอร์ตในสกุลเงินทั่วไปเป็นหนึ่งในการซื้อขายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สกุลเงินยูโรมีการเปลี่ยนแปลงรายสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับสกุลหลักอื่นๆ โดยนักกลยุทธ์จาก Scotiabank รายงานการเพิ่มขึ้น 769 ล้านดอลลาร์ในการชอร์ตสุทธิรวม 2,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. George Saravelos หัวหน้าฝ่ายวิจัยอัตราแลกเปลี่ยนโลกของ Deutsche Bank กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ 1 ยูโร จะเท่ากับ 1 ดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่อส่งน้ำก๊าซ Nord Stream 1 ปิดโดยสมบูรณ์ โดย Deutsche Bank คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะเคลื่อนไหวระหว่าง ช่วง 0.95 – 1 ยูโรต่อดอลลาร์ ขณะที่ Tom Fitzpatrick นักวิเคราะห์ของ Citigroup ได้ทุ่มสุดตัวในการชอร์ตค่าเงินยูโร โดยกำหนดราคาคู่เงินยูโรต่อดอลลาร์ที่ 0.95 อย่างไรก็ตาม Brad Bechtel จาก Jefferies LLC มองว่า EUR/USD ถูกขายมากเกินไป ‘1 ยูโร = 1 ดอลลาร์’ กลายเป็นเป้าหมายของคนจำนวนมากในตลาด ซึ่งคงไม่น่าแปลกใจหากเห็นกำไรจำนวนมากลดลง รวมถึงการดีดกลับในระยะสั้น อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-11/euro-plunges-to-fresh-two-decade-low-as-dollar-runs-rampant?sref=e4t2werz#xj4y7vzkg ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ค่าเงินยูโร ดอลล่าร์ ดอลล่าร์แข็ง ยูโร แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “ยึดทำเนียบ จนกว่าผู้นำจะลาออก” ชาวศรีลังกาโกรธแค้น เศรษฐกิจล่มสลาย บุกยึดทำเนียบประธานาธิบดี - FINNOMENA สำนักข่าว BBC รายงานว่าผู้ประท้วงชาวศรีลังกาจะยังคงยึดทำเนียบประธานาธิบดีและบ้านนายกรัฐมนตรีต่อไป จนกว่าผู้นำทั้งสองจะลาออกอย่างเป็นทางการ แม้ว่าประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา และนายกรัฐมนตรี รานิล วิกรมสิงเห ยืนยันที่จะก้าวลงจากตำแหน่งในวันที่ 13 ก.ค ก็ตาม หลังประชาชนเชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย 11 ก.ค. 2565 สำนักข่าว BBC รายงานว่าผู้ประท้วงชาวศรีลังกาจะยังคงยึดทำเนียบประธานาธิบดีและบ้านนายกรัฐมนตรีต่อไป จนกว่าผู้นำทั้งสองจะลาออกอย่างเป็นทางการ แม้ว่าประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา และนายกรัฐมนตรี รานิล วิกรมสิงเห ยืนยันที่จะก้าวลงจากตำแหน่งในวันที่ 13 ก.ค ก็ตาม หลังประชาชนเชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย 🔥ทำไมถึงเกิดการประท้วงในศรีลังกา? ผู้คนหลายพันคนได้ออกมาประท้วงเป็นเวลาหลายเดือน หลังเชื่อว่าประธานาธิบดีและรัฐบาลบริหารประเทศอย่างผิดพลาด ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ขาดเงินนทุนสำรองระหว่างประเทศ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงอย่างมาก จนทำให้ประชาชนขาดแคลนอาหาร เชื้อเพลิง และยารักษาโรคเป็นเวลานานหลายเดือน ขณะที่สมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล ได้โทษโควิด-19 ว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศศรีลังกา พร้อมระบุว่า โควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มเงินทั้งหมดในการฉีดวัคซีน 🔥สถานการณ์เศรษฐกิจศรีลังกาในปัจจุบัน เศรษฐกิจศรีลังกากำลังเข้าขั้นวิกฤติ หลังเดือน มิ.ย ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติของศรีลังกา รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ที่ 54.6% นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศรีลังกา ที่ดัชนี เงินเฟ้อสูงกว่า 50% จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางศรีลังกาได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากอีก 100 bps ขึ้นมาเป็น 15.50% และ 14.50% ตามลำดับ โดยเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุด นับตั้งแต่ปี 2544 เพื่อหวังควบคุมแรงกดดันมหาศาลจากวิกฤติเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศ 🔥อนาคตของศรีลังกาจะเป็นอย่างไร? เบื้องต้น ผู้นำทางการเมืองของศรีลังกาจะมีการประชุมเพิ่มเติมเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างราบรื่นในวันอาทิตย์ (17 ก.ค) นอกจากนี้ประธานรัฐสภาศรีลังการะบุว่า จะต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามพรรคใหม่ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ประธานาธิบดีลาออกอย่างเป็นทางการ ทางด้านกองทุนระหว่างประเทศ (IMF) ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 10 ก.ค ที่ผ่านมา โดยหวังว่าสถานการณ์ทางการเมืองของศรีลังกาจะคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน ซึ่งจะทำให้การเจรจาเรื่องเงินช่วยเหลือเกิดขึ้นใหม่ได้ ทั้งนี้ IMFเพิ่งส่งคณะทำงานเดินทางมายังศรีลังกา เมื่อต้นเดือนนี้ และกำหนดเงื่อนไขในเบื้องต้น ที่รวมถึงการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และการจัดการกับภาวะคอร์รัปชั่น ที่มา: https://www.bbc.com/news/world-asia-62111900 https://www.reuters.com/world/asia-pacific/imf-hopes-resolution-sri-lanka-crisis-allow-bailout-talks-2022-07-10/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update วิกฤตศรีลังกา วิกฤติเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกงร่วงแรง หลังเทคยักษ์ใหญ่ Alibaba และ Tencent ถูกปรับ และ COVID-19 กดดันมาเก๊าปิดคาสิโน - FINNOMENA เช้าวันนี้ (11 ก.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงกว่า 3.2% หลังทางการจีนสั่งปรับบริษัทเทคโนโลยีรวม 28 บริษัท รวมถึง Alibaba และ Tencent ฐานไม่ปฏิบัติตามกฎการต่อต้านการผูกขาด (Anti-Monopoly) ส่งผลให้หุ้น Alibaba ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 7% และ Tencent ร่วงกว่า 3% 11 ก.ค. 2565 เช้าวันนี้ (11 ก.ค.) ตลาดหุ้นฮ่องกงดัชนี Hang Seng ปรับตัวลงกว่า 3.2% หลังทางการจีนสั่งปรับบริษัทเทคโนโลยีรวม 28 บริษัท รวมถึง Alibaba และ Tencent ฐานไม่ปฏิบัติตามกฎการต่อต้านการผูกขาด (Anti-Monopoly) ส่งผลให้หุ้น Alibaba ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 7% และ Tencent ร่วงกว่า 3% นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้มาเก๊าต้องใช้มาตรการปิดคาสิโน เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมาที่ 1,500 ราย สูงสุดตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้สร้างความกังวลว่า หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงเร่งตัวในหลายเมืองหลัก อาจกดดันให้ทางการจีนต้องกลับมาใช้มาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง ล่าสุด ด้านทางการจีนรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่บนแผ่นดินใหญ่ออกมาทั้งสิ้น 352 ราย ส่วนเกาะฮ่องกงมีรายงานผู้ติดเชื้อ 2,992 ราย FINNOMENA Investment Team มองว่าทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของ Zero-Covid Policy และการเริ่มเปิดเมืองจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน แต่การผ่อนคลายมาตรการทำให้ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เกิดขึ้นได้อีก และในบางพื้นที่เริ่มใช้มาตรการล็อคดาวน์แล้ว รวมถึงข่าวการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีที่อาจกลับมาเข้มงวดอีกครั้ง จึงแนะนำถือลงทุนและหาจังหวะทยอยขายทำกำไรเพื่อบริหารความเสี่ยง 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เปิดประวัติ “ชินโซ อาเบะ” ครองตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่นยาวนานสุดกับนโยบาย ‘อาเบะโนมิกส์’ มุ่งขจัดเงินฝืด - FINNOMENA รู้จัก “ชินโซ อาเบะ” อดีตนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดของญี่ปุ่น เจ้าของนโยบาย ‘อาเบะโนมิกส์’ มุ่งขจัดเงินฝืดออกจากเศรษฐกิจ เสริมกำลังกองทัพ และพยายามต่อสู้กับอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน 8 ก.ค. 2565 รู้จัก “ชินโซ อาเบะ” อดีตนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดของญี่ปุ่น เจ้าของนโยบาย ‘อาเบะโนมิกส์’ มุ่งขจัดเงินฝืดออกจากเศรษฐกิจ เสริมกำลังกองทัพ และพยายามต่อสู้กับอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของจีน ล่าสุด สถานีโทรทัศน์แห่งชาติ NHK ยืนยันว่า “ชินโซ อาเบะ” อดีตนายกฯ ญี่ปุ่นเสียชีวิตแล้ว ในเวลา 6 โมงเย็นของญี่ปุ่น หลังถูกลอบยิงบริเวณหน้าอกระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองนาราในช่วงเช้าของวันเดียวกัน ในปี 2006 ชินโซ อาเบะ เข้ารับตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่นสมัยแรกในฐานะนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง แต่เขาได้ลาออกอย่างกะทันหันในปี 2007 ด้วยเรื่องอื้อฉาวทางการเมืองต่างๆ โดยหนึ่งในนั้นคือ การสูญหายของบันทึกการจ่ายบำนาญของรัฐบาล ชินโซ อาเบะ กลับมาดำรงนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในปี 2012 ด้วยชัยชนะแบบถล่มทลายของพรรค LDP โดยเขาให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ซบเซา คลายข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และฟื้นฟูคุณค่าดั้งเดิมตามแนวคิดอนุรักษ์นิยม “อาเบะโนมิกส์” คือกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่อาเบะเปิดตัว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเอาชนะภาวะเงินฝืดแบบถาวร และฟื้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยการใช้นโบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อรับมือกับผู้สูงอายุที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่จำนวนประชากรหดตัวลง อย่างไรก็ตาม ภาวะเงินฝืดยังคงอยู่ และกลยุทธ์ของอาเบะได้รับผลกระทบอย่างหนักในปี 2019 จากการขึ้นภาษีการขาย รวมถึงสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และในปีถัดมาก็เกิดการระบาดของโควิด-19 จนทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด ในตอนที่โควิด-19 เริ่มระบาดนั้น อดีตนายกฯ อาเบะ ตัดสินใจล่าช้าในการสั่งปิดพรมแดนและประกาศภาวะฉุกเฉิน นั่นทำให้ผู้คนเริ่มวิจารณ์การตอบสนองอย่างไม่ทันการ และตำหนิอาเบะว่าขาดความเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของญี่ปุ่นยังคงต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ อยู่มาก ท้ายที่สุดแล้ว อาเบะประกาศลาออกจากตำแหน่งในเดือน ส.ค. 2020 เนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่ยังคงมีบทบาททางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเช้าของวันนี้ อาเบะกำลังปราศรัยหาเสียงสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรค LDP ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ ก่อนจะถูกลอบยิงบริเวณหน้าอก และเสียชีวิตในเวลาต่อมา อ้างอิง: https://www.reuters.com/world/asia-pacific/japans-shinzo-abe-sought-revive-economy-fulfil-conservative-agenda-2022-07-08/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ชินโซ อาเบะ ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: ‘ชินโซ อาเบะ’ เสียชีวิตแล้ว หลังถูกลอบสังหาร ในวัย 67 ปี - FINNOMENA สถานีโทรทัศน์แห่งชาติ NHK ยืนยันว่า “ชินโซ อาเบะ” อดีตนายกฯ ญี่ปุ่นเสียชีวิตแล้ว ในเวลา 6 โมงเย็นของญี่ปุ่น หลังถูกลอบยิงบริเวณหน้าอกช่วงเช้าของวันนี้ 8 ก.ค. 2565 สถานีโทรทัศน์แห่งชาติ NHK ยืนยันว่า “ชินโซ อาเบะ” อดีตนายกฯ ญี่ปุ่นเสียชีวิตแล้ว ในเวลา 6 โมงเย็นของญี่ปุ่น หลังถูกลอบยิงบริเวณหน้าอกช่วงเช้าของวันนี้ ช่วงเช้าของวันนี้อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น ‘ชินโซ อาเบะ’ ถูกลอบยิงที่บริเวณหน้าอกระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองนารา โดยผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเป็นผู้ก่อเหตุถูกจับกุมแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับปืนที่เข้มงวดที่สุดในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ และเหตุการณ์ลอบยิงแบบนี้หาได้ยากมาก ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/live-blog/2022-07-08/former-japan-pm-abe-collapses-after-shots-heard?srnd=premium-asia&sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ชินโซ อาเบะ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘ชินโซ อาเบะ’ ยังมีชีวิต แต่อาการหนักน่าเป็นห่วง นายกฯ ญี่ปุ่นแถลงภาวนาขอให้ปลอดภัย - FINNOMENA วันนี้ (8 ก.ค) ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน เผยว่า ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ถูกลอบยิงขณะทำการปราศรัยเลือกตั้ง ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว แต่อาการหนักน่าเป็นห่วง 8 ก.ค. 2565 วันนี้ (8 ก.ค) ฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนปัจจุบัน เผยว่า ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ถูกลอบยิงขณะทำการปราศรัยเลือกตั้ง ได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว แต่อาการหนักน่าเป็นห่วง คิชิดะ แถลงว่าได้แต่ภาวนาจากใจขอให้อาเบะปลอดภัย และขอประณามการยิงครั้งนี้อย่างรุนแรง รวมถึงบอกว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่ารัฐมนตรีของรัฐบาลทุกคนได้รับคำสั่งให้กลับมาที่โตเกียว แต่ยังไม่มีการตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงปฎิทินเลือกตั้งในขณะนี้ ที่มา:https://www.bbc.com/news/live/world-asia-62088876?fbclid=IwAR3zYZMiRGlWF6abUYUGBRG1pHeLF3KXbcrV0fb6KSNWPW5WYb4AdM2MwCE ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ชินโซ อาเบ ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: ‘ชินโซ อาเบะ’ เสี่ยงหัวใจหยุดเต้น อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น ถูกลอบยิงบริเวณหน้าอก ล่าสุดยังไม่รู้สึกตัว ทางการจับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว - FINNOMENA อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น ‘ชินโซ อาเบะ’ ยังไม่รู้สึกตัวหรือตอบสนอง หลังถูกลอบยิงที่บริเวณหน้าอกระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองนาระวันนี้ (8 ก.ค.) 8 ก.ค. 2565 อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น ‘ชินโซ อาเบะ’ ยังไม่รู้สึกตัวหรือตอบสนอง หลังถูกลอบยิงที่บริเวณหน้าอกระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองนาระวันนี้ (8 ก.ค.) สถานีโทรทัศน์แห่งชาติ NHK รายงานว่า อดีตนายกฯ อาเบะ ในวัย 67 ปี ถูกยิงที่บริเวณหน้าอก โดยผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าเป็นผู้ก่อเหตุถูกจับกุมแล้ว โดยเป็นชายหนุ่มวัยประมาณกลางคน รายงานจาก Kyodo News อ้างจากนักดับเพลิงท้องถิ่น ระบุว่า อาเบะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและหมดสติหลังจากถูกยิง และมีความเป็นไปได้ที่อาจเข้าสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้น นี่ถือเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับปืนที่เข้มงวดที่สุดในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ และเหตุการณ์ลอบยิงแบบนี้หาได้ยากมาก ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-08/former-japan-pm-abe-collapses-after-shots-heard-man-in-custody?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ชินโซ อาเบ ญี่ปุ่น แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อีลอน มัสก์ โต้ข่าวมีลูกแฝด ทำเพื่อแก้วิกฤติประชากรลดลง ไมเคิล เบอร์รี่ซัด ไม่ใช่ข้ออ้างมีสัมพันธ์กับลูกน้อง - FINNOMENA มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ‘อีลอน มัสก์’ โต้ข่าวมีลูกแฝดกับผู้บริหารบริษัทในเครือ ย้ำกำลังช่วยโลกจากวิกฤติประชากรขาดแคลนและการเกิดต่ำ 8 ก.ค. 2565 มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ‘อีลอน มัสก์’ โต้ข่าวมีลูกแฝดกับผู้บริหารบริษัทในเครือ ย้ำกำลังช่วยโลกจากวิกฤติประชากรขาดแคลนและการเกิดต่ำ ก่อนหน้านี้ (6 ก.ค.) มีรายงานข่าวออกมาว่า อีลอน มัสก์ เพิ่งจะได้ ‘ลูกแฝด’ อีกคู่เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งแม่ของเด็กคือ ‘ชิวอน ซิลิส’ ผู้บริหาร Neuralink บริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาไมโครชิปฝังสมองในเครือ นั่นแปลว่าเวลานี้ มัสก์ มีลูกทั้งหมด 9 คนแล้ว หลังข่าวดังกล่าว มัสก์ได้ทวีตข้อความว่า เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือวิกฤติประชากรขาดแคลน อัตราการเกิดลดลงคืออันตรายใหญ่สุดที่ผู้คนต้องเผชิญ ซึ่งนี่เป็นเรื่องจริงอันน่าเศร้า ในอีกทวิตหนึ่งเขากล่าวว่า ผมหวังว่าพวกคุณจะมีครอบครัวใหญ่ และขอแสดงความยินดีกับคนที่มีอยู่แล้วด้วย! โดยเขายังได้ปักหมุกทวิตที่ทวีตไว้ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. เกี่ยวกับการเกิดของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าระดับยั่งยืนขั้นต่ำต่อเนื่องมาเป็นเวลา 50 ปีแล้ว ขณะที่ ‘ไมเคิล เบอร์รี่’ นักลงทุนขาชอร์ตชื่อดังออกมาตอบโต้ทวีตของมัสก์ว่า อัตราการเกิดของทารกในสหรัฐฯ อยู่ในระดับเดียวกับปี 1950 ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้านายควรมีสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อพยายามแก้ไขสถานการณ์ ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือจำนวนครอบครัวเดี่ยวอยู่ในระดับเดียวกับปี 1959 นอกจากนี้การให้เด็กเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่แตกแยกไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-07/michael-burry-takes-veiled-shot-at-musk-with-tweet-on-birth-rate?sref=e4t2werz https://twitter.com/elonmusk/status/1545046146548019201 https://twitter.com/elonmusk/status/1545049944796516357 https://twitter.com/michaeljburry/status/1545076190192447488 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
Breaking News: ‘บอริส จอห์นสัน’ ลาออกจากหัวหน้าพรรค แต่ยืนยัน “ไม่ลาออก” นายกฯ อังกฤษ หลังรมต.แห่ลาออก เหตุไม่พอใจภาวะผู้นำ - FINNOMENA สำนักข่าว BBC รายงานว่า ‘บอริส จอห์นสัน’ นายกฯ อังกฤษเตรียมลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมในวันนี้ หลังสมาชิกรัฐบาลพากันลาออกจำนวนมากในช่วงเช้าของวันนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากไม่พอใจภาวะผู้นำของนายกฯ อังกฤษ 7 ก.ค. 2565 สำนักข่าว BBC รายงานว่า ‘บอริส จอห์นสัน’ นายกฯ อังกฤษเตรียมลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมในวันนี้ หลังสมาชิกรัฐบาลพากันลาออกจำนวนมากในช่วงเช้าของวันนี้ (7 ก.ค.) เนื่องจากไม่พอใจภาวะผู้นำของนายกฯ อังกฤษ อย่างไรก็ตาม นายกฯ จอห์นสัน ยืนยันว่าจะยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปจนถึงช่วงดือน ก.ย.-พ.ย. จนกว่าจะมีการเลือกตั้งผู้นำครั้งใหม่ Nadhim Zahawi รมว.การคลังคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ 2 วันและเป็นอดีตรมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า นายกฯ จอห์นสัน ต้องออกจากตำแหน่งเดี๋ยวนี้ ขณะที่ Michelle Donelan รมว.ศึกษาธิการคนใหม่ และ Brandon Lewis เลขาธิการไอร์แลนด์เหนือ ได้ลาออก ตอกย้ำแรงกดดันต่อนายกฯ อังกฤษ นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ลาออกจากตำแหน่งทั้ง Helen Whately, Damian Hinds, George Freeman, Guy Opperman, Chris Philp และ James Cartlidge และในคืนวันพุธที่ผ่านมา (6 ก.ค.) Michael Gov ถูกบอริส จอห์นสันไล่ออก หลังบอกให้เขาลงจากตำแหน่งนายกฯ ด้านอัยการสูงสุด Suella Braverman ที่แม้จะไม่ได้ลาออก แต่กล่าวว่าเธอจะะยืนหยัดต่อต้านนายกฯ จอห์นสัน ขณะที่ Priti Patel รมว. มหาดไทยและ Grant Shapps รมว. คมนาคม ก็ต้องการให้นายกฯ อังกฤษลาออกจากตำแหน่งเช่นกัน อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/live/uk-politics-62072419 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Boris Johnson News Update นายกอังกฤษ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนขึ้นแท่นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก เมื่อ BYD ยอดขายแซงหน้า Tesla ครึ่งปีแรกยอดขายโต 300% - FINNOMENA สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งปีแรกของ BYD แซงหน้า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว ส่งสัญญาณว่าจีนกำลังเข้ามาครองส่วนแบ่งในธุรกิจนี้มากขึ้น 7 ก.ค. 2565 สำนักข่าว Financial Times รายงานว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งปีแรกของ BYD แซงหน้า Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกเรียบร้อยแล้ว ส่งสัญญาณว่าจีนกำลังเข้ามาครองส่วนแบ่งในธุรกิจนี้มากขึ้น โดย BYD บริษัทรถยนต์ที่ปู่บัฟเฟต์กำลังลงทุนอยู่ได้รายงานยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่นับรวมทั้งประเภท PHEV และ BEV อยู่ที่ 641,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 300% จากปีที่แล้ว ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงเวลาเดียวกันของ Tesla อยู่ที่ 564,000 คัน ซึ่งทั้งหมดเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV โดย Tesla กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในไตรมาสที่ 2 จากปัญหาซัพพลายเชนและการขายที่หยุดชะงักลงในจีนจากการล็อกดาวน์ * PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) คือ รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด จะมีทั้งเครื่องยนต์สันดาป มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ที่สามารถบรรจุไฟฟ้าจากภายนอกมาเก็บที่แบตเตอรี่ได้ ขณะที่ BEV (Battery Electric Vehicle) คือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า BYD อาจยังไม่ใช่เบอร์ 1 ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโลก เนื่องจากยอดขายทั้งหมดของ BYD มีรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV หรือแบบใช้ไฟฟ้า 100% เพียงแค่ 323,519 คัน ซึ่งยังคงตามหลัง Tesla โดยยอดผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ของ BYD ยังคงเป็นประเภท PHEV โมเดลของ BYD หลายรุ่นเป็นรถยนต์ประเภท PHEV ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพิ่มเติมเข้ามาจากเครื่องยนต์แบบสันดาป แต่ภายใต้กฎหมายการขายของจีนรถยนต์ประเภทดังกล่าวถูกนับเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ แม้ยอดขายประเภท BEV ยังตามหลัง Tesla อยู่มาก แต่นี่ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่สดใสและตอกย้ำความแข็งแกร่งของจีนในด้านพลังงานสะอาด โดยจีนมีความได้เปรียบในด้านขนาดและต้นทุนในซัพพลายเชนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วงที่ผ่านมาทั้ง Tesla รวมถึงผู้ผลิตรายอื่นของจีนทั้ง Li Auto Xpeng และ Nio ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ขณะที่ BYD ไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งอยู่ในภูมิภาคและเมืองที่ถูกสั่งให้ล็อกดาวน์ แม้ตอนนี้ Tesla ยังคงเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% อันดับ 1 ของโลก แต่บริษัทก็ไม่สามารถเพิกเฉยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ BYD ได้ เพราะ BYD เพิ่งแซงหน้า LG ของเกาหลีใต้ในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV รายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Contemporary Amperex Technology ของจีนหรือที่รู้จักกันในชื่อ CATL อ้างอิง: https://www.ft.com/content/b600a20f-562e-4b4d-bf45-c32e8a0dd03a https://insideevs.com/news/596482/did-byd-really-sell-more-bevs-than-tesla-h1-2022-not-really/ https://www.autospinn.com/2020/04/electric-vehicle-types-hev-phev-bev-fcev-78020 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: จีนส่อล็อกดาวน์อีกครั้ง หลายพื้นที่รอบเซี่ยงไฮ้พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก นักวิเคราะห์ชี้ตลาดอาจผ่อนคลายต่อสถานการณ์เกินไป - FINNOMENA 11 เมืองในจีนเริ่มจำกัดพื้นที่อีกครั้งเนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาครอบเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้มาตรการ Zero-COVID ส่งผลกระทบต่อ GDP ของจีน 14.9% เพิ่มขึ้นจาก 10.1% ในสัปดาห์ก่อน ตามการรายงานของติง ลู่ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Nomura 6 ก.ค. 2565 11 เมืองในจีนเริ่มจำกัดพื้นที่อีกครั้งเนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภูมิภาครอบเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้มาตรการ Zero-COVID ส่งผลกระทบต่อ GDP ของจีน 14.9% เพิ่มขึ้นจาก 10.1% ในสัปดาห์ก่อน ตามการรายงานของติง ลู่ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Nomura ขณะที่ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันของจีน ซึ่งรวมถึงผู้ที่ไม่แสดงอาการ เพิ่มขึ้นจากไม่กี่รายเป็น ประมาณ 200 ถึง 300 ราย โดยผู้ติดเชื้อจำนวนมากอยู่ในพื้นที่รอบเมืองเซี่ยงไฮ้ เมื่อช่วงคํ่าวันเสาร์ที่ผ่านมา (2 ก.ค) เมืองที่ใกล้เคียงเมืองอู๋ซีในมณฑลเจียงชู ประกาศให้ผับ บาร์ และโรงยิมต้องปิดบริการชั่วคราว ในขณะที่ร้านอาหารสามารถให้บริการเฉพาะสั่งกลับบ้านเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมืองซีซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็ก ใกล้มณฑลอานฮุย ได้สั่งให้ผู้คนอาศัยอยู่ในบ้าน และออกมาข้างนอกเฉพาะเวลาที่ตรวจหาเชื้อโควิดเท่านั้น ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้พยายามดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจตามปกติอีกครั้งหลังจากถูกล็อกดาวน์ในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการล็อกดาวน์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ลู่ได้อธิบายต่อสถานการณ์นี้ว่า ตลาดอาจผ่อนคลายต่อสถานการณ์เกินไป เมื่อพวกเขาเพิกเฉยต่อการฟื้นตัวของเคสผู้ป่วยโควิด-19 รวมถึงการประเมินต้นทุนของมาตรการกักกันโควิดที่ตํ่าเกินไป การระบาดครั้งใหญ่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง นอกจากผู้ติดเชื้อรายใหม่ในมณฑลเจียงชูแล้ว ลู่ ยังระบุถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเขตเศรษฐกิจใกล้เคียง เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในฮ่องกง และค่าเฉลี่ยรายวันของผู้เสียชีวิตรายใหม่มากกว่า 100 รายของไต้หวันในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลู่กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เป็นช่วงขาขึ้นของ “วัฎจักรธุรกิจโควิด (CBC)” ของจีนตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ลดลง การยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์ การผ่อนผันนโยบาย Zero-COVID และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม โควิดระลอกโอมิครอนสามารถดึงวัฎจักรธุรกิจโควิดของจีนให้กลับมาเป็นช่วงขาลง แม้ระยะเวลาของเหตุการณ์จะไม่แน่นอนก็ตาม ที่มา:https://www.cnbc.com/2022/07/05/more-parts-of-china-battle-covid-and-threats-of-lockdown-as-cases-spike.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เศรษฐกิจจีน โควิด-19 แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ข้อมูลชาวจีน 1 พันล้านคนถูกเจาะ แฮกเกอร์เสนอขายในราคา 10 บิตคอยน์ อ้างแฮกมาจากระบบตำรวจเซี่ยงไฮ้ - FINNOMENA แฮกเกอร์เสนอขาย ‘ข้อมูลชาวจีน’ กว่า 1,000 ล้านคน ในราคา 10 บิตคอยน์ หรือประมาณ 200,000 ดอลลาร์ อ้างแฮกจากระบบตำรวจเซี่ยงไฮ้ 6 ก.ค. 2565 แฮกเกอร์เสนอขาย ‘ข้อมูลชาวจีน’ กว่า 1,000 ล้านคน ในราคา 10 บิตคอยน์ หรือประมาณ 200,000 ดอลลาร์ อ้างแฮกจากระบบตำรวจเซี่ยงไฮ้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ChinaDan’ แฮกเกอร์ที่อ้างว่าขโมยข้อมูลส่วนตัวของจีนได้เสนอขายข้อมูลที่แฮกมาบนฟอรัมแฮกเกอร์ที่ชื่อว่า “บรีช ฟอรัม” ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงนี่จะถือเป็นหนึ่งในการรั่วไหลของข้อมูลครั้งใหญ่และเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ChinaDan ได้เสนอขายข้อมูลส่วนตัวกว่า 23 เทระไบต์ ในราคา 10 บิตคอยน์ หรือราว 200,000 ดอลลาร์ โดยระบุว่า ในปี 2022 มาจากการรั่วไหลของฐานข้อมูลตำรวจแห่งชาติประจำเซี่ยงไฮ้ที่มีข้อมูลของพลเมืองจีนหลายพันล้านคน โดยแฮกเกอร์ได้โพสต์ตัวอย่างข้อมูลส่วนตัว 750,000 รายการที่แสดงชื่อ เบอร์มือถือ หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ วันเกิด และรายงานที่คนเหล่านั้นแจ้งตำรวจ ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี และผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ตรวจสอบข้อมูลพลเมืองบางส่วนในโพสต์นั้นและพบว่าเป็นข้อมูลจริง แต่เป็นเรื่องยากที่จะระบุว่าฐานข้อมูลทั้งหมดเป็นของจริงมากน้อยแค่ไหน โดยเอเอฟพีเผยว่า ประชาชนอย่างน้อย 4 คนจากกว่า 10 คนที่ติดต่อไปยืนยันว่า รายละเอียด เช่น ชื่อและที่อยู่ที่แสดงในฐานข้อมูลเป็นข้อมูลของตนเอง ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีการถกเถียงเกี่ยวกับโพสต์ดังกล่าวอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมของจีนโดยชาวจีนจำนวนมากกังวลว่า ข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริง ขณะที่แฮชแท็ก “ข้อมูลรั่ว” ถูกบล็อกบน Weibo ตั้งแต่วันอาทิตย์ (3 ก.ค.) โรเบิร์ต พอตเตอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Internet 2.0 บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ กล่าวว่า ข้อมูลดูเหมือนมาจากหลายแหล่ง เช่น ระบบจดจำใบหน้า และสำมะโนประชากร อีกทั้งยังไม่มีการตรวจยืนยันจำนวนบันทึกซึ่งน่าสงสัย เพราะมีมากถึง 1,000 ล้านคน ขณะที่มีรายงานว่า ข้อมูลที่รั่วไหลบางส่วนอาจมาจากบันทึกของผู้ใช้บริการจัดส่งด่วน ขณะที่บางรายการมีสรุปเหตุการณ์ที่รายงานต่อตำรวจในเซี่ยงไฮ้ในช่วงเวลากว่าทศวรรษ ซึ่งมีทั้งรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนน การขโมยเล็กๆ น้อยๆ จนถึงการข่มขืนและความรุนแรงภายในครอบครัว โดยรายงานล่าสุดมาจากปี 2019 ผู้ใช้จำนวนหนึ่งเดาว่า ข้อมูลของตนถูกแฮกจากเซิร์ฟเวอร์ของ Alibaba Cloud ที่ตำรวจเซี่ยงไฮ้ใช้จัดเก็บข้อมูล ซึ่งโรเบิร์ต พอตเตอร์ ยืนยันว่า มีไฟล์ถูกแฮกไปจาก Alibaba Cloud จริง แต่ทาง Alibaba ยังไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ อ้างอิง: https://www.reuters.com/world/china/hacker-claims-have-stolen-1-bln-records-chinese-citizens-police-2022-07-04/ https://mgronline.com/around/detail/9650000064082 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นผันผวน น้ำมัน-ทองคำร่วงแรง น้ำมันหลุด $100 ทองคำต่ำกว่า $1,800 ตลาดกังวล ‘เศรษฐกิจถดถอย’ Citi เตือน น้ำมันอาจแตะ $65 - FINNOMENA ตลาดกังวลเกิด ‘เศรษฐกิจถดถอย’ ส่งผลให้หุ้นผันผวน ราคาทองคำหลุด $1,800 ด้านน้ำมันร่วงแรง 10% ต่ำกว่า $100 แล้ว Citi เตือนน้ำมันอาจแตะ $65 ในปีนี้ 6 ก.ค. 2565 ตลาดกังวลเกิด ‘เศรษฐกิจถดถอย’ ส่งผลให้หุ้นผันผวน ราคาทองคำหลุด $1,800 ด้านน้ำมันร่วงแรง 10% ต่ำกว่า $100 แล้ว Citi เตือนน้ำมันอาจแตะ $65 ในปีนี้ เมื่อคืนนี้ (5 ก.ค.) หุ้นสหรัฐฯ เริ่มต้นสัปดาห์แรกอย่างผันผวนต่อเนื่องจากผลตอบแทนครึ่งแรกที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 ➤ ดัชนี Dow Jones ลดลง 129.44 จุด หรือ -0.42% ➤ ดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 2% ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาและปิดบวกเล็กน้อยที่ 0.16% ➤ ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 194.39 จุด หรือ +1.75% ขณะที่ราคาทองคำร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นจะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงขาดทุน โดยล่าสุด (6 ก.ค.) ราคาทองคำอยู่ที่ $1,769.87 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ขณะที่ ซิลเวอร์และแพลตตินัมปรับตัวลดลงเช่นกัน ด้านราคาน้ำมันได้รับผลกระทบจากทั้งตลาดอุปทานที่ตึงตัวอยู่แล้ว รวมถึงความกังวลต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอยด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ราคาฟิวเจอร์สน้ำมัน WTI ร่วงมากกว่า 8% จนต่ำกว่า $100 ซึ่งการร่วงแรงที่สุดในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่เดือน มี.ค. Citi ออกมาเตือนว่า หากเกิดภาวะถดถอยราคาน้ำมันอาจแตะ $65 ในปีนี้ ซึ่งสวนทางกับ JPMorgan ที่มองว่าราคาน้ำมันอาจแตะ $380 หากสเซียลดกำลังการผลิตเพื่อตอบโต้การคว่ำบาตร อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-05/stocks-yields-oil-down-dollar-up-this-is-a-recession-trade?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-05/gold-drops-to-six-month-low-as-dollar-surges-on-recession-fear?sref=e4t2werz https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-07-04/oil-holds-above-110-as-tight-supply-balanced-by-recession-risk?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ทองคำ น้ำมัน เศรษฐกิจถดถอย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: เงินเฟ้อไทย มิ.ย. พุ่ง 7.66% ทำสถิติสูงสุดรอบ 13 ปี เฉพาะหมวดพลังงาน ราคาพุ่ง 39% - FINNOMENA 5 ก.ค. 2565 สนค. รายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทย เดือน มิ.ย. พุ่ง 7.66% ยังคงทำสถิติสูงสุดรอบ 13 ปี วันนี้ (5 ก.ค.) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป หรือ CPI ในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 7.66% จากปีที่แล้ว และไต่ระดับสูงขึ้นจากเดือน พ.ค. ที่ 7.1% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ ดัชนีเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core CPI ในเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้น 2.51% จากปีที่แล้ว และไต่ระดับสูงขึ้นจากเดือน พ.ค. ที่ 2.28% มีปัจจัยสำคัญจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน (น้ำมันเชื้อเพลิง ค่ากระแสไฟฟ้า และก๊าซหุงต้ม) ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น กลุ่มพลังงาน มีอัตราการเติบโตของราคา 39.97% (YoY) จึงส่งผลให้พลังงานมีสัดส่วนถึง 61.83% ของอัตราเงินเฟ้อในเดือนนี้ โดยสินค้ากลุ่มพลังงานประกอบด้วย น้ำมันเชื้อเพลิง มีอัตราการเติบโตของราคา 39.45% ค่าไฟฟ้า 45.41% และราคาก๊าซหุงต้ม 12.63% นอกจากนี้ ราคาค่าโดยสารสาธารณะยังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย อาทิ ค่าโดยสารจักรยานยนต์รับจ้าง ค่าโดยสารเรือ และค่ารถรับส่งนักเรียน เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม สินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ผลไม้สด อาทิ เงาะ มังคุด ลองกอง และทุเรียน และเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น 0.90% (MoM) ซึ่งเป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากสินค้าสำคัญหลายรายการราคาลดลง อาทิ ไข่ไก่ ผลไม้สด ผงซักฟอก สบู่ และโฟมล้างหน้า เป็นต้น ตัวเลขเงินเฟ้อเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. จะขึ้นไปที่ 7.5 – 7.8% และยังคงทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี ท่ามกลางราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค อาหารสด อาหารแห้ง ที่พากันขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบส่วนใหญ่มาจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ยังมีแนวโน้มขยายตัวในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจัยหลักยังคงเป็นราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรงตัวในระดับสูง จากอุปทานโลกที่ตึงตัว สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรที่ยังยืดเยื้อส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ และต้นทุนการนำเข้าของไทยสูงขึ้น นอกจากนี้ อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัว อย่างไรก็ตาม มาตรการดูแลค่าครองชีพของกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และดำเนินการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ทั้งการก้ากับดูแล การตรึงราคาสินค้าที่จำเป็นและราคาพลังงาน รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากโควิด-19 ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มกลับมาสูงขึ้นจากสายพันธุ์ใหม่ อาจจะเป็นปัจจัยทอนที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงการคลัง ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เงินเฟ้อ เงินเฟ้อไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: บรรดานักวิเคราะห์คาดภาวะถดถอยกำลังมา เผย 3 วิธีจัดการพอร์ตลงทุน กระจายความเสี่ยง-ลงทุนพันธบัตร-ถือเงินสดสำรอง - FINNOMENA หลังจากดัชนี S&P 500 ในครึ่งปีแรกปิดตัวยํ่าแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกว่า 68% เชื่อว่าภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 พร้อมทั้งแนะนำให้กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งรวมถึงพันธบัตรแม้ว่าราคาจะตกต่ำ และการเพิ่มเงินสดสำรอง 4 ก.ค. 2565 หลังจากดัชนี S&P 500 ในครึ่งปีแรกปิดตัวยํ่าแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกว่า 68% เชื่อว่าภาวะถดถอยจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 พร้อมทั้งแนะนำให้กระจายความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งรวมถึงพันธบัตรแม้ว่าราคาจะตกต่ำ และการเพิ่มเงินสดสำรอง หลายเดือนของความผันผวนในตลาดหุ้น ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนจำนวนมากสงสัยว่าจะเกิดภาวะถดถอยหรือไม่ โดยดัชนี S&P 500 เริ่มต้นครึ่งปีแรกได้แย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบจากต้นปี ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์และ Nasdaq Composite ลดลงมากกว่า 15% และ 30% ตามลำดับ แบบสำรวจของ CNBC พบว่า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินประมาณ 68% เชื่อว่าภาวะถดถอยจะมาในครึ่งปีแรกของปี 2023 ทั้งนี้แต่ละผู้เชี่ยวชาญต่างมีความเห็นที่ต่างกันไปตามสภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า Elliot Herman นักวางแผนทางการเงินของ PRW Wealth Management กล่าวว่า ทุกคนทราบดีว่าตลาดมีวัฎจักรเป็นของตัวเอง และภาวะถดถอยเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่เราอาจเผชิญ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องผลักดันให้แก่ลูกค้าทุกคน วิธีการแรกในการรับมือกับภาวะถดถอยคือ การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน Anthony Watson ประธานผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษียณอายุของ Thrive ระบุว่า การลดความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนมีวิธีมากมาย เช่น การลงทุนในกองทุนมากกว่าหุ้นเดี่ยวเพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะบริษัท, การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่ามากกว่าหุ้นเติบโต, การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างประเทศ เป็นต้น ประการถัดมาคือ การพิจารณาลงทุนในพันธบัตร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดและราคาพันธบัตรมักเคลื่อนที่ในทางตรงกันข้าม การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED จึงทำให้มูลค่าพันธบัตรลดลง Watson กล่าวว่า พันธบัตรยังคงเป็นส่วนสำคัญของพอร์ตลงทุน หากหุ้นร่วงลงสู่ภาวะถดถอย อัตราดอกเบี้ยอาจลดลงเช่นกัน ทำให้ราคาพันธบัตรฟื้นตัว ซึ่งสามารถชดเชยการขาดทุนของหุ้นได้ วิธีสุดท้ายคือ การประเมินสัดส่วนเงินสดสำรอง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงและผลตอบแทนจากบัญชีออมทรัพย์ต่ำทำให้การถือเงินสดน่าสนใจน้อยลง แต่ผู้เกษียณอายุยังคงต้องการเงินสดสำรองจำนวนมาก การยอมขายสินทรัพย์ขาดทุนจะทำให้นักลงทุนตกอยู่ในลำดับผลตอบแทนเชิงลบ ซึ่งจะกินเวลาเกษียณไปด้วย Catherine Valega ที่ปรึกษาการเงินและความมั่งคั่งของ Green Bee Advisory เผยว่าการสำรองเงินสดมีความสำคัญต่อนักลงทุนในวัยสะสมทุน โดยมีระยะเวลาที่ยาวนานกว่าก่อนเกษียณ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/07/02/some-experts-say-a-recession-is-coming-how-to-prepare-your-portfolio.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update วิกฤติเศรษฐกิจ เศรษฐกิจถดถอย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: น้ำมันอาจพุ่งแตะ $380 JPMorgan เตือนกรณีเลวร้ายที่สุด รัสเซียลดกำลังการผลิต ตอบโต้คว่ำบาตร - FINNOMENA นักวิเคราะห์ JPMorgan เตือน ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งทะยานแตะ $380 ต่อบาร์เรล หากรัสเซียตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และยุโรป 4 ก.ค. 2565 นักวิเคราะห์ JPMorgan เตือน ราคาน้ำมันโลกอาจพุ่งทะยานแตะ $380 ต่อบาร์เรล หากรัสเซียตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และยุโรป กลุ่มประเทศพันธมิตร G-7 กำลังใช้มาตรการที่ซับซ้อนเพื่อจำกัดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย รวมถึงคว่ำบาตรสิ่งที่รัสเซียทำกับยูเครน แต่ด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งแล้ว รัสเซียสามารถลดการผลิตน้ำมันดิบถึง 5 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็น “หายนะ” สำหรับส่วนอื่นๆ ของโลก ตามคาดการณ์ของ JPMorgan ถ้ารัสเซียลดกำลังการผลิตรายวันที่ 3 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบลอนดอนจะพุ่งไปที่ $190 ต่อบาร์เรล และในกรณีที่แลวร้ายที่สุด หากรัสเซียตัดกำลังการผลิตที่ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันจะพุ่งทะยานถึง $380 ต่อบาร์เรล JPMorgan เตือนว่า ความเสี่ยงที่ชัดเจนและมีแนวโน้มมากที่สุดคือ รัสเซียเลือกที่จะตอบโต้โดยลดการส่งออกและกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับชาติตะวันตก เพราะภาวะตึงตัวของตลาดน้ำมันโลกตอนนี้ขึ้นอยู่กับรัสเซีย ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดคริปโทฯ ครึ่งปีแรกสูญหายไปกว่า $2 ล้านล้าน นักวิเคราะห์คาดครึ่งปีหลังตลาดฟื้น แรงขายน้อยลง ผนวก The merge จ่อเปิดตัว - FINNOMENA ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโทฯ ยังคงทรุดตัวต่อไป ราคาเหรียญ Bitcoin ลดลง 7.3% อยู่ที่ 19,560 ดอลลาร์สหรัฐ และ Ethereum ร่วง 6.8% ลงแตะ 1,065 ดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงจาก Coingecko 1 ก.ค. 2565 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโทฯ ยังคงทรุดตัวต่อไป ราคาเหรียญ Bitcoin ลดลง 7.3% อยู่ที่ 19,560 ดอลลาร์สหรัฐ และ Ethereum ร่วง 6.8% ลงแตะ 1,065 ดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงจาก Coingecko ตลาดคริปโทฯ ปีนี้มีช่วงครึ่งปีแรกที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย Bitcoin ลดลงกว่า 58.8% ทำลายสถิติครึ่งปีแรกที่แย่ที่สุดของปี 2018 ที่ลดลง 54.7% นอกจากนี้มูลค่าทางตลาดคริปโทฯ คงเหลือ 886,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 มิ.ย) จากเดิมที่มีมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนพฤษจิกายน ปี 2021 จากราคาเหรียญที่ดำดิ่ง บริษัทในแวดวงคริปโทฯ และบล็อกเชนต่างประสบปัญหาเช่นกัน Terra ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในเครือข่ายบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดกลับล่มสลาย โดยมีมูลค่าสูญหายไปกว่า 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนนี้ Celcius แพลต์ฟอร์มผู้ให้บริการกู้ยืมคริปโทฯ ต้องระงับการฝากถอนชั่วคราว และศาลในหมู่เกาะบริติชเวอร์จินตัดสินให้มีการชำระบัญชี กองทุนป้องกันความเสี่ยงคริปโทฯ ของ Three Arrows Capital หลังจากที่เจ้าหนี้ฟ้องกองทุนดังกล่าวเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ ขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ภาพรวมตลาดคริปโทมีความผันผวนน้อยลง หลังจากถูกปรับฐานมาสักระยะ และมองเห็นถึงความสอดคล้องกันระหว่างตลาดคริปโทฯ และตลาดหุ้น Erin Holloway ประธานผู้ดูแลรับฝากทรัพย์สินคริปโทฯ แห่ง Prime Trust ระบุว่า ลูกค้าหลายคนได้ปรับพอร์ตการลงทุนเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าความผันผวนภายในตลาดและการเทขายมีแนวโน้มลดลง อีกหนึ่งปัจจัยที่หลายคนเชื่อว่าเป็นปัจจัยบวกให้แก่ตลาดคริปโทฯ คือ กระบวนการอัพเกรด Ethereum ที่มีชื่อว่า “The Merge” Brian Mosoff ผู้บริหารระดับสูงของ Ether Capital กล่าวว่า The merge เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และได้เปลี่ยน Ethereum ให้กลายเป็นเครื่องมือผลิตผลตอบแทน นอกจากนี้ เมื่อ Ethereum เป็นมิตรต่อสิงแวดล้อม จะดึงความสนใจจากสถาบันที่มีอำนาจด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลมากขึ้น The merge คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมปีนี้ ระเบียบข้อบังคับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในช่วงปีหลังอย่างแน่นอน หลังจากการล่มสลายของ Terra หน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกจึงเร่งกำหนดวาระการออกข้อบังคับภายในปีนี้ Huong Hauduc ที่ปรึกษาทั่วไปของ BEQUANT เผยว่า Stablecoins จะถูกตรวจสอบมากขึ้นหลังจากความล้มเหลวของ Terra/LUNA และการควบคุม Stablecoins มีผลกระทบต่อตลาดคริปโทฯ โดยเฉพาะตลาด Defi หรือในอีกความหมายคือ ตลาดการเงินไร้ศูนย์กลาง ที่มา: https://www.marketwatch.com/story/bitcoin-to-record-the-worst-first-half-of-a-year-in-history-heres-what-to-watch-in-crypto-for-the-second-half-11656616970?mod=home-page ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update การลงทุน คริปโตเคอร์เรนซี คริปโท แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ผลสำรวจเผย ‘คนจีนไม่กล้าใช้เงิน’ สถิติออมสูงสุดรอบ 2 ทศวรรษ เหตุกังวลรายได้หด หลังแนวโน้มงานลด แต่คนว่างงานเพิ่มต่อเนื่อง - FINNOMENA ผลสำรวจจากแบงก์ชาติจีนเผย ‘คนจีนไม่กล้าใช้เงิน’ สถิติการออมพุ่งสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ เหตุกังวลรายได้ในอนาคต หลังแนวโน้มตำแหน่งงานลดลง แต่จำนวนคนว่างงานพุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว 30 มิ.ย. 2565 ผลสำรวจจากแบงก์ชาติจีนเผย ‘คนจีนไม่กล้าใช้เงิน’ สถิติการออมพุ่งสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ เหตุกังวลรายได้ในอนาคต หลังแนวโน้มตำแหน่งงานลดลง แต่จำนวนคนว่างงานพุ่งขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว ธนาคารกลางจีน (PBOC) รายงานผลสำรวจในไตรมาส 2 พบว่า 58.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจต้องการออมเงินมากกว่านำไปใช้จ่ายหรือลงทุน เพิ่มขึ้นจาก 54.7% ในไตรมาสแรก และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2002 แบบสำรวจดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 1999 ครอบคลุมผู้ตอบแบบสอบถาม 20,000 คน ที่มีเงินฝากในธนาคารขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็กในประเทศทั้งหมด 50 แห่ง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้จ่ายมากขึ้นคือ “ความกังวลต่อรายได้ในอนาคต” หนึ่งในตัวชี้วัดที่ส่งผลให้คนจีนไม่กล้าใช้เงินคือ ‘คาดการณ์รายได้ที่ลดลง’ โดยข้อมูลของ CEIC รายงานว่า แนวโน้มตำแหน่งงานว่างลดลงเหลือ 44.5% ต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2009 ที่ 42.2% นอกจากนี้ ผลสำรวจยังเผยว่า หากชาวจีนวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายในอีก 3 เดือนข้างหน้า ทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการศึกษา รองลงมาคือเฮลท์แคร์ และตามมาด้วยสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถ ขณะที่ความต้องการในการลงทุนลดลง 3.7 bps เหลือ 17.9% ในไตรมาสที่สอง โดยหุ้นกลายเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดน้อยที่สุด ผลสำรวจล่าสุดที่เผยแพร่ในวันพุธ (29 มิ.ย.) ทำสถิติใหม่ในช่วงเวลาที่จีนออกมาตรการคุมโควิดอย่างเข้มงวด ทั้งการล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้ตลอด 2 เดือน รวมถึงการสั่งห้ามไม่ให้ทานอาหารนอกบ้านในปักกิ่ง แต่ล่าสุด ทางการจีนได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดใน 2 เมืองใหญ่แล้ว หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เหลือ 0 นอกจากนี้ยังประกาศลดเวลากักตัวสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศรวมถึงผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ขณะที่อัตราการว่างงานใน 31 เมืองใหญ่ของจีน แตะ 6.9% ในเดือนพ.ค. ขณะที่อัตราว่างงานในวัยหนุ่มสาวอายุ 16-24 ปี สูงถึง 18.4% แต่จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษากลับทำสถิติใหม่ในรอบหลายปี ส่งผลให้เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทางการจีนสั่งให้รัฐวิสาหกิจเพิ่มการรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาในระดับวิทยาลัยในปีนี้ ขณะที่ PBOC เสนอมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ซึ่งรวมถึงการช่วยให้แรงงานข้ามชาติและผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีสิทธิ์ได้รับเงินกู้สตาร์ทอัพเพื่อเริ่มธุรกิจในภูมิภาคที่ห่างไกลจากบ้านเกิด อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/30/pboc-chinese-plans-to-save-hit-a-record-high-in-q2-job-concerns-rise.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คนจีน จีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: คนไทยแห่จองรถยนต์ไฟฟ้า 500 คัน หมดภายใน 58 นาที! ORA Good Cat GT ราคาขาย 1.28 ล้านบาท - FINNOMENA เกรท วอลล์ มอเตอร์ กวาดยอดจอง ORA Good Cat GT ไปทั้งหมด 500 คัน ภายใน 58 นาที หลังเปิดให้จองพร้อมวางเงินมัดจำ 10,000 บาท ในวันที่ 29 มิ.ย. ตั้งแต่เวลา 20.00 น. ผ่านทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ สะท้อนความสนใจและความนิยมของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 30 มิ.ย. 2565 เกรท วอลล์ มอเตอร์ กวาดยอดจอง ORA Good Cat GT ไปทั้งหมด 500 คัน ภายใน 58 นาที หลังเปิดให้จองพร้อมวางเงินมัดจำ 10,000 บาท ในวันที่ 29 มิ.ย. ตั้งแต่เวลา 20.00 น. ผ่านทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ สะท้อนความสนใจและความนิยมของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 🚗 ORA Good Cat GT ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการที่ 1,549,000 บาท ซึ่งหลังหักส่วนลดและสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ ราคาจะปรับลงอยู่ที่ 1,286,000 บาท สำหรับโควต้า 500 คัน ของ ORA Good Cat GT ทางเกรท วอลล์ จะสามารถเริ่มต้นส่งมอบล็อตแรก 200 คัน ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 65 และที่เหลืออีก 300 คัน จะเริ่มต้นส่งมอบได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. 66 เป็นต้นไป 🚗 จุดเด่นของ ORA Good Cat GT ➢ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ➢ แบตเตอรี ลิเธียม ไอออน ความจุ 63.139 กิโลวัตต์ชั่วโมง ➢ มอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลังสูงสุด 171 แรงม้า ➢ แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ➢ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.5 วินาที ➢ ล้ออัลลอยทูโทนขนาด 18 นิ้ว นายณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ขอขอบคุณแรงสนับสนุนและเสียงตอบรับของแฟนๆ ชาวไทยที่มีต่อ ORA Good Cat GT โดยเจ้าเหมียวไฟฟ้าสไตล์สปอร์ตคันนี้ สามารถครองใจผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างเหนียวแน่น จนทำให้ยอดจองครบ 500 คันภายในเวลาอันรวดเร็ว นับเป็นอีกบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคชาวไทยมีต่อเกรท วอลล์ มอเตอร์เสมอมา โดยปรากฎการณ์ในครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เราไม่หยุดพัฒนาเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยยึดแนวทางการดำเนินงานแบบมีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง (User-Centric) เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อมั่นว่า ORA Good Cat GT จะเข้ามาเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” ที่มา: เกรท วอลล์ มอเตอร์ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ORA รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: “โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ประธาน Fed ย้ำจุดยืน จัดการเงินเฟ้อ มั่นใจเลี่ยง ‘เศรษฐกิจถดถอย’ ได้ - FINNOMENA ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ประธาน Fed ให้คำมั่นว่าจะไม่ยอมให้เงินเฟ้อครอบงำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว และจะพยายามเลี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย 30 มิ.ย. 2565 ‘เจอโรม พาวเวลล์’ ประธาน Fed ให้คำมั่นว่าจะไม่ยอมให้เงินเฟ้อครอบงำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว และจะพยายามเลี่ยงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย บนเวทีสัมนาของ ECB เมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) พาวเวลล์กล่าวว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัยและนำมาสู่เงินเฟ้อในระดับสูงขึ้น ซึ่งหน้าที่ของ Fed คือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น โดย Fed จะไม่ยอมให้เปลี่ยนจากสภาพแวดล้อมที่เงินเฟ้อต่ำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เงินเฟ้อสูง พาวเวลล์กล่าวว่า เศรษฐกิจในขณะนี้แตกต่างไปจากเดิม “อย่างสิ้นเชิง” ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและวิกฤติด้านซัพพลายจำนวนมาก ขณะที่ ‘คริสติน ลาการ์ด’ ประธาน ECB ไม่คิดว่าโลกจะกลับไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ เพราะโควิดและสงครามกำลังเปลี่ยนทุกอย่างไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ Fed ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อพยายามระงับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม พาวเวลล์กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหยุดคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวเพื่อไม่ให้ยึดติดเกินไป โดยตอนนี้เงินเฟ้ออยู่มานานกว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งการคาดการณ์ระยะยาวไว้อย่างไม่มีกำหนดเป็นการบริหารความเสี่ยงที่แย่ และ Fed จะไม่ทำอย่างนั้น นับตั้งแต่ Fed เริ่งขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในตลาดก็ลดลงอย่างมาก โดยแนวโน้มในช่วง 5 ปีข้างหน้าที่เปรียบเทียบพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยแปรผันตามการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อกับพันธบัตรรัฐบาลลดลงจากเกือบ 3.6% ในช่วงปลายเดือน มี.ค. มาอยู่ที่ 2.73% ในสัปดาห์นี้ ตอนนี้ Fed กำลังพยายามลดอัตราเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจพัง ซึ่งพาวเวลล์มั่นใจว่าสามารถทำได้ แต่ยอมรับว่ามีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้า พาวเวลล์ย้ำว่า Fed มุ่งมั่นในการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ โดยการเติบโตจะชะลอตัวลงแต่ยังเป็นบวกอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาด แต่นี่ไม่ใช่ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ เพราะความผิดพลาดที่ใหญ่กว่าคือ ความล้มเหลวในการฟื้นฟูเสถียรภาพราคา อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/29/powell-vows-to-prevent-inflation-from-taking-long-run-hold-in-the-us.html https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-29/powell-says-us-economy-in-strong-shape-fed-can-avert-recession?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FED Jerome Powell News Update เจอโรม พาวเวลล์ เศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Airbnb ประกาศห้ามจัดปาร์ตี้ในที่พัก “ถาวร” ชี้กลายเป็นนโยบายชุมชนพื้นฐานทำให้จำนวนร้องเรียนลดลง หันมายกเลิกจำนวนจำกัดคนในการเข้าพักแทน - FINNOMENA Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ชื่อดัง ได้สั่งห้ามจัดปาร์ตี้และกิจกรรมที่บ้านอย่างถาวรบนแพลตฟอร์มหลังเคยประกาศห้ามชั่วคราวในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ได้รับความนิยมจากการเป็นเจ้าของที่พัก 29 มิ.ย. 2565 Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักออนไลน์ชื่อดัง ได้สั่งห้ามจัดปาร์ตี้และกิจกรรมที่บ้านอย่างถาวรบนแพลตฟอร์มหลังเคยประกาศห้ามชั่วคราวในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ได้รับความนิยมจากการเป็นเจ้าของที่พัก บริษัทระบุว่า กฎดังกล่าวกลายเป็นมากกว่ามาตรการด้านสาธารณสุข มีการพัฒนาเป็นนโยบายชุมชนพื้นฐานสำหรับเจ้าของที่พักและเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม กฎได้ยกเลิกการจำกัดจำนวนคนที่จะอยู่บ้านเช่นกัน หลังจากมาตรการได้ถูกเผยแพร่ จำนวนการร้องเรียนเรื่องปาร์ตี้ลดลงกว่า 44% นอกจากนี้บริษัทอาจมีมาตรการยกเลิกการแบนสถานที่จัดงานแบบ “พิเศษ” และ “ดั้งเดิม” ในอนาคต ในขณะเดียวกัน Airbnb ประกาศว่าจะยกเลิกการจำกัดจำนวนคนที่อนุญาตให้เข้าพักในแต่ละครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กำหนดให้จำกัดผู้เข้าพักที่ 16 คน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 บ้านขนาดใหญ่หลายประเภทสามารถอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากกว่า 16 คน ตั้งแต่ปราสาทในยุโรป ไร่องุ่นในสหรัฐฯ ไปจนถึงวิลล่าริมชายหาดขนาดใหญ่ในทะเลแคริบเบียน การยกเลิกมาตรการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อให้เจ้าของที่พักสามารถใช้พื้นที่ในบ้านได้อย่างมีความรับผิดชอบ และยังคงปฏิบัติตามคำสั่งห้ามในการจัดปาร์ตี้รบกวนผู้อื่น ก่อนหน้านี้บริษัทได้ประกาศแบนปาร์ตี้แบบเปิด ที่สร้างความรำคาญให้แก่เพื่อนบ้าน ปีที่แล้วมีผู้ใช้มากกว่า 6,600 คนถูกระงับการใช้แพลตฟอร์มเนื่องจากละเมิดกฎดังกล่าว Airbnb ทิ้งท้ายว่า นโยบายนี้ประกาศใช้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความปลอดภัยภายในชุมชนและจะอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามในการเสริมนโยบายชุมชนในด้านต่างๆ ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อ้างอิง: https://www.bbc.com/news/business-61976350 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Airbnb News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้น EM แย่สุดรอบ 24 ปี MSCI EM ติดลบ 17% YTD เหตุกังวลเงินเฟ้อ-เศรษฐกิจถดถอย แต่ JPMorgan คาด +20% ในสิ้นปี - FINNOMENA ผลตอบแทนครึ่งปีแรกของตลาดหุ้นเกิดใหม่แย่สุดในรอบ 24 ปี เหตุนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อระดับสูง รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการเงินเข้มงวด 29 มิ.ย. 2565 ผลตอบแทนครึ่งปีแรกของตลาดหุ้นเกิดใหม่แย่สุดในรอบ 24 ปี เหตุนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อระดับสูง รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการเงินเข้มงวด MSCI Emerging Markets Index หรือดัชนีวัดผลตอบแทนตลาดหุ้นเกิดใหม่ร่วงลงมาแล้ว 17% ในปีนี้ ซึ่งนับตั้งแต่เก็บข้อมูลในปี 1993 นี่ถือเป็นผลตอบแทนครึ่งปีแรกที่แย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากปี 1998 ย้อนกลับไปในปี 1998 ดัชนี MSCI EM ร่วงลงมากกว่า 20%ในช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งตอนนั้นเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ในเอเชีย รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ในประเทศของรัสเซียไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ตอนนี้ความมืดมนกำลังปกคลุมสินทรัพย์ของประเทศกำลังพัฒนาอีกครั้ง ทั้งความกังวลว่าการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของ Fed อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศเป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการประกาศผ่อนคลายมาตรการคุมโควิดอันเข้มงวดของจีน ดัชนี MSCI EM ปรับตัวลดลงตลอด 4 ไตรมาสท่ีผ่านมา ซึ่งเป็นการร่วงติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 และตอนนี้การซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 11.9 เท่าของกำไรคาดการณ์ ขณะที่ Valuation ใกล้แตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่มี.ค. 2020 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดใหญ่ มุมมองนักวิเคราะห์ต่อตลาดหุ้น EM ➢ Hasnain Malik จาก Tellimer กล่าวว่า แม้ความเสี่ยงส่วนใหญ่จะสะท้อนไปในตลาดแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะประเทศที่มีหนี้ในระดับสูง ➢ Marija Veitmane จาก State Street Global Markets มองว่า แม้หุ้น EM จะมี Valuation ที่ถูกกว่า แต่ยังคงมีแรงต้านในตลาด ทั้งนโยบายการเงินแบบเข้มงวดส่งผลให้สภาพคล่องออกจากตลาด โอกาสที่น้อยลงสำหรับนักลงทุนในการหาสินทรัพย์ราคาถูกในตลาดเกิดใหม่ที่เสี่ยงสูง รวมถึงความกังวลว่าแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในประเทศกำลังพัฒนาจะถูกคุกคามจากภาวะถดถอยและการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ➢ Leonardo Pellandini จาก Bank Julius Baer มองว่า ครึ่งหลังของปีนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหุ้น EM และแนะนำให้นักลงทุนเลือกเฟ้นอย่างระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตลาดนี้ ➢ อย่างไรก็ตาม Marko Kolanovic จาก JPMorgan มีมุมมองบวกว่าหุ้น EM จะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า (Outperform) ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยคาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้ดัชนี MSCI EM จะมี Upside 20% จากระดับปัจจุบัน อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-28/recession-woes-hand-emerging-stocks-worst-first-half-since-1998?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นเกิดใหม่ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: งานวิจัยชี้ 69% ของลูกจ้างไทยยอม “ไม่ขึ้นเงินเดือน” แลก ‘สมดุลชีวิต-ความสุข’ เพิ่มขึ้น เตือน ปรากฎการณ์ลาออกครั้งใหญ่รุนแรงขึ้น - FINNOMENA ไมเคิล เพจ บริษัทจัดหางาน ได้เผยแพร่รายงานข้อมูลเชิงลึกด้านการจ้างงานในประเทศไทย พบว่า 69% ของลูกจ้างในประเทศไทยยอมไม่ขึ้นเงินเดือนและไม่เลื่อนตำแหน่งเพื่อสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ 82% ต้องการทำงานในรูปแบบผสมทั้งการทำงานที่บ้านและที่ทำงาน 29 มิ.ย. 2565 ไมเคิล เพจ บริษัทจัดหางาน ได้เผยแพร่รายงานข้อมูลเชิงลึกด้านการจ้างงานในประเทศไทย พบว่า 69% ของลูกจ้างในประเทศไทยยอมไม่ขึ้นเงินเดือนและไม่เลื่อนตำแหน่งเพื่อสมดุลชีวิตที่ดีขึ้น ขณะที่ 82% ต้องการทำงานในรูปแบบผสมทั้งการทำงานที่บ้านและที่ทำงาน ปรากฏการณ์การลาออกครั้งใหญ่ หรือ Great Resignation ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ เริ่มต้นจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมีแต่จะรุนแรงขึ้นอีกในปี 2565 โดยในขณะนี้มีการลาออกจากงานในประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่ง (37%) เป็นพนักงานที่ทำงานปัจจุบันยังไม่เกิน 2 ปี และมีพนักงานมากถึง 81% ที่กำลังมองหาความก้าวหน้าในอาชีพการงานใหม่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ไมเคิล เพจ ประเทศไทย (Michael Page Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทจัดหางาน ได้เปิดตัว ‘รายงานทาเลนท์ เทรนด์ 2022’ (Talent Trends 2022) ในหัวข้อ ‘เดอะ เกรท เอ็กซ์’ (The Great X) ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกด้านการจ้างงานที่มีความโดดเด่น แม้เงินเดือนและโบนัสยังคงเป็นแรงจูงใจอันดับต้น ๆ ของผู้สมัครงาน แต่ผลสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่า ผู้คนเริ่มหันเหความสนใจไปยังผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ตัวเงินมากขึ้น โดย 69% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยยอมไม่ขึ้นเงินเดือนและ/หรือไม่เลื่อนตำแหน่ง เพื่อแลกกับสมดุลในชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น ความเป็นอยู่โดยรวมที่ดีขึ้น และความสุขในชีวิต คุณคริสตอฟเฟอร์ พาลูแดน (Kristoffer Paludan) ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค บริษัทไมเคิล เพจ ประเทศไทย กล่าวว่า “บริษัทต่าง ๆ ที่กำลังเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอาจพบกับช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในระยะยาวนั้นคุ้มค่า การโอบรับเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในยุคที่การทำงานทางไกลกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ บริษัทที่นำเอาระบบดิจิทัลมาใช้จะมีความได้เปรียบในการสรรหาบุคลากร เนื่องจากการจ้างงานจะไม่ถูกจำกัดโดยสภาพภูมิศาสตร์อีกต่อไป” เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น บริษัทต่าง ๆ คงไม่อาจมองข้ามผลกระทบทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นจากการรวม “งาน” เข้ากับ “ชีวิตส่วนตัว” ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาได้อีกต่อไป ซึ่ง 82% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการทำงานในรูปแบบผสมผสานทั้งจากการทำงานที่บ้านและที่ทำงาน นอกจากนี้ 61% ของพนักงานผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยเคยถามหรือคิดที่จะถามเกี่ยวกับนโยบายด้าน DE&I (ความหลากหลาย ความเท่าเทียม การมีส่วนร่วม) ของบริษัทในการสัมภาษณ์ ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจ 33% จะล้มเลิกความตั้งใจคว้าโอกาสในการทำงาน หากบริษัทแห่งนั้นไม่ใส่ใจเรื่องนโยบาย DE&I การระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งใหญ่ได้เปลี่ยนลำดับความสำคัญไปเช่นกัน โดย 70% ของผู้สมัครงานเชื่อว่าสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีควรมีบทบาทในการทำงานและการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ซึ่งบริษัทจะต้องสร้างวัฒนธรรมเชิงบวกที่พนักงานทุกระดับรู้สึกพึงพอใจร่วมกัน ปัจจุบันมีพนักงานจำนวนมากที่ไม่รู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนจากที่ทำงาน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 52% กล่าวว่า ภาระงานที่ได้รับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถาม 86% เชื่อว่าบริษัทของพวกเขาไม่ได้ดำเนินการในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานอย่างจริงจัง จากข้อมูลข้างต้น บริษัทจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ และช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อ้างอิง: https://www.thaipr.net/business/3207025 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เศรษฐกิจ แรงงาน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยแล้ว ยอมรับประเมิน ‘เงินเฟ้อ’ ต่ำเกินไป อวด ARKK เดือนเดียว เงินไหลเข้ากอง $180 ล้าน - FINNOMENA Cathie Wood ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ​ เข้าสู่ภาวะถดถอยเรียบร้อย ยอมรับก่อนหน้านี้ประเมินผลกระทบของเงินเฟ้อต่ำเกินไป 29 มิ.ย. 2565 Cathie Wood ชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยเรียบร้อย ยอมรับก่อนหน้านี้ประเมินผลกระทบของเงินเฟ้อต่ำเกินไป ซีอีโอของ Ark Invest กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะถดถอยเรียบร้อยแล้ว โดยปัญหาใหญ่คือ การเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดอาชีพการทำงาน 45 ปี Cathie Wood ยังยอมรับว่าคิดผิดเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยไม่คิดว่าปัญหาซัพพลายเชนจะยืดเยื้อนานกว่า 2 ปี รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการรุกรานยูเครนของรัสเซียที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ทำให้เงินเฟ้อเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าที่คาด แต่ Ark ก็เตรียมพร้อมแล้วสำหรับภาวะเงินฝืด Cathie Wood ระบุว่า ผู้บริโภครู้สึกว่าราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากความเชื่อมั่นที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผลสำรวจผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 50 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา ปี 2022 ถือเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับ Cathie Wood กองทุนของ Ark เป็นหนึ่งในกองทุนที่ขาดทุนมากที่สุดในปีนี้ หลังเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดย ARKK ร่วงลงมาแล้ว 52% ในปีนี้ และลดลง 66% จากระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นเห็นได้จากเงินทุนที่ไหลเข้ามา เพราะนักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงในตลาดที่ตกต่ำ โดยข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า ในเดือน มิ.ย. ARKK มีกระแสเงินไหลเข้ามากกว่า 180 ล้านดอลลาร์ Cathie Wood มองว่า เงินทุนที่ไหลเข้ามาเป็นเพราะนักลงทุนต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากดัชนีมาตรฐานที่ปรับตัวลงมา เช่น Nasdaq 100 โดย Ark ทุ่มเทอย่างเต็มที่สำหรับการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ เพราะเชื่อว่า นวัตกรรมแก้ปัญหาได้ อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/28/ark-invests-cathie-wood-says-the-us-is-already-in-a-recession.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cathie Wood News Update เงินฝืด เงินเฟ้อ เศรษฐกิจ เศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เพิ่มเป้า GDP ปีนี้ เป็น 2.9% จากเดิม 2.5% รับท่องเที่ยวฟื้นแรง คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ยแตะ 1% ในสิ้นปี 65 - FINNOMENA ​ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินทิศทางเศรษฐกิจ จากแผนการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายลง หนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวมากกว่าที่คาดไว้เดิม และมีอานิสงส์ต่อเนื่องมายังการปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 เป็น 2.9% 28 มิ.ย. 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินทิศทางเศรษฐกิจ จากแผนการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายลง หนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวมากกว่าที่คาดไว้เดิม และมีอานิสงส์ต่อเนื่องมายังการปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 เป็น 2.9% นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า แม้ไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงหลังสิ้นสุดหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กอปรกับมีการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นตามการนำเข้าพลังงาน แต่เมื่อรวมผลจากจีดีพีไตรมาส 1/2565 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด มุมมองการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าที่เคยประเมินเล็กน้อย รวมถึงแรงหนุนสำคัญจากรายได้นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 จาก 2.5% มาอยู่ 2.9% โดยนางสาว เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.0 ล้านคน มาเป็น 7.2 ล้านคน ซึ่งทำให้มีรายได้ท่องเที่ยวจากทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 1.1 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะยังห่างจากช่วงก่อนโควิดที่ทำได้ถึงราว 3 ล้านล้านบาทก็ตาม อย่างไรก็ตาม นางสาวณัฐพร กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่คงจะเข้าหาระดับสูงสุดในไตรมาส 3/2565 ซึ่งทำให้ กนง.อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าหาระดับ 1.0% ภายในสิ้นปีนี้ เทียบกับ 0.5% ในปัจจุบัน ท่ามกลางภาวะที่เฟดคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง แต่คาดว่าแบงก์ไทยจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของฝั่งเงินฝากและเงินกู้ตามในทันที โดยคงเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับเฉพาะบางผลิตภัณฑ์มากกว่า เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูงและยังมีโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ส่วนเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าเข้าหาระดับ 36.0 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ตามปัจจัยเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังหนุนเงินดอลลาร์ฯ และมีการปรับตัวผ่านเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยบางส่วน กระนั้นก็ดี ไทยยังไม่ต้องห่วงผลกระทบต่อความมั่นคงของระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากยังอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้กว่า 1.2 เท่า สำหรับประเด็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหารนั้น นางสาวเกวลิน มองว่า ในขณะนี้ ไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะความตึงตัวของผลผลิตอาหาร ซึ่งยังไม่ใช่วิกฤตด้านอาหารดังที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารไทยเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่แพงขึ้นซึ่งอาจกระทบผลผลิต ประกอบกับความต้องการและราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้น หนุนการส่งออกในบางรายการ ดังนั้น ราคาอาหารไทยอาจปรับขึ้นในครึ่งหลังปีนี้และมีแนวโน้มยืนสูงต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ข้าว และเนื้อหมู ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังมีโจทย์ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลฐานะรายรับรายจ่ายและใช้สอยอย่างรอบคอบต่อเนื่อง อ้างอิง: https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-econ/economy/Pages/KR-Press-28-jun-2022.aspx ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update เศรษฐกิจไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: กองทุนน้ำมันติดลบทะลุ 1 แสนล้านบาท ตรึงดีเซลที่ 35 บาท ไม่ไหวแล้ว เร่งหาเงิน 2.4 หมื่นล้านช่วยเหลือกองทุน - FINNOMENA กองทุนน้ำมันติดลบทะลุ 1 แสนล้านแล้ว สกนช. ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ เดินหน้าถกโรงกลั่นน้ำมัน 6 แห่ง หาเงิน 24,000 ล้านช่วยเหลือกองทุน 27 มิ.ย. 2565 กองทุนน้ำมันติดลบทะลุ 1 แสนล้านแล้ว สกนช. ตั้งคณะทำงานชุดใหม่ เดินหน้าถกโรงกลั่นน้ำมัน 6 แห่ง หาเงิน 24,000 ล้านช่วยเหลือกองทุน 🛢️กองทุนน้ำมันคืออะไร? สำคัญอย่างไร? “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี 2516 ซึ่งเป็นปีที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นตาม วัตถุประสงค์หลักของกองทุนคือ ป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงรักษาเสถียรภาพราคาในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา บทบาทสำคัญของกองทุนน้ำมันเห็นได้ชัดในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันโลกปรับสูงขึ้นจนส่งผลต่อราคาน้ำมันในประเทศ โดยรัฐบาลจะมีมติใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาจ่ายชดเชย เพื่อตรึงราคาไม่ให้เพิ่มขึ้นเกินไป 🛢️ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับกองทุนน้ำมัน? สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานฐานะสุทธิกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 26 มิ.ย. ติดลบแล้ว 102,586 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 65,202 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 37,384 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการอุดหนุนน้ำมันดีเซลที่ 11-12 บาทต่อลิตร เพื่อตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนในระดับสูง โดยสกนช.ยอมรับว่า โอกาสที่ดีเซลจะปรับขึ้นเกิน 35 บาทต่อลิตรก็ย่อมมีสูงเช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้รัฐจะมีการระบุว่าจะตรึงจนถึงสิ้นเดือนนี้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ประชุมเป็นสำคัญ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ถึง 30 ก.ย. ราคาดีเซลจะขยับตามตลาดโลกภายใต้นโยบายรัฐบาลที่เข้าช่วยเหลือ 50% จากส่วนเพิ่มราคาฐาน 35 บาทต่อลิตร 🛢️เตรียมหารือกับโรงกลั่นน้ำมัน 6 แห่ง หาเงินช่วยเหลือกองทุน สำหรับความคืบหน้าในการหารือกับโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 6 แห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในสัปดาห์นี้ ซึ่งสกนช. ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันจากหลายภาคส่วน เพื่อใช้กฎระเบียบเรียกเก็บเงินที่จะไม่เป็นการขัดกฎหมายเนื่องจากกลุ่มโรงกลั่นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย 6 กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ประกอบด้วย 1) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP 2) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC 3) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC 4) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP 5) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO 6) บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ประเด็นหลักของการหารือคือการดำเนินวิธีไหนที่จะขอความร่วมมือในการเก็บกำไรส่วนเกินจากการกลั่นน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนอาจจะมีกำไรมากกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้กับสกนช. สำหรับเม็ดเงินที่จะขอความร่วมมือ เบื้องต้นคาดว่าจะระดมความช่วยเหลือเดือนละ 7,000-8,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 เดือน รวม 24,000 ล้านบาท อ้างอิง: https://www.prachachat.net/economy/news-964274 https://www.offo.or.th/th/fuelfund-history https://mgronline.com/business/detail/9650000060983 https://www.bangkokbiznews.com/business/1012248 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update กองทุนน้ำมัน น้ำมัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: Hang Seng ดีดแรง 3% แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน - FINNOMENA ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังนักลงทุนคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง PMI ที่มีกำหนดการเปิดเผยในสัปดาห์นี้จะเปิดเผยออกมาดีกว่าคาด 27 มิ.ย. 2565 ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นมาแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังนักลงทุนคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจอย่าง PMI ที่มีกำหนดการเปิดเผยในสัปดาห์นี้จะเปิดเผยออกมาดีกว่าคาด ท่ามกลางการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง เป็นผลให้ดัชนี Hang Seng ปรับตัวขึ้นมา 3% ส่วนดัชนี Hang Seng Tech ปรับตัวขึ้น 5.5% นำโดยหุ้น Alibaba ปรับตัวขึ้น 5% Tencent ปรับตัวขึ้น 3.6% และ Meituan ปรับตัวขึ้น 4.9% ด้าน Haidilao ร้านอาหารชื่อดังก็ปรับตัวขึ้นรับการเปิดเมืองถึง 6.6% เช่นกัน FINNOMENA Investment Team มองว่าทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของ Zero- Covid Policy และการเริ่มเปิดเมืองจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีน Offshore แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิดซึ่งมีความเสี่ยงที่จะกลับมาแพร่ระบาดได้อีกเป็นวงจรวัฏจักรตามความผ่อนคลายและเข้มงวดของการ Lockdown แนะนำถือลงทุนและหาจังหวะทยอยขายทำกำไร ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นฮ่องกง แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: SocGen เปิดสถิติย้อนหลัง 150 ปี คำนวณตลาดหุ้นหลังวิกฤติ ชี้ S&P 500 มีโอกาสร่วงอีก 24% - FINNOMENA SocGen วาณิชธนกิจสัญชาติฝรั่งเศส เปิดเผยรายงานการศึกษาสถิติย้อนหลัง 150 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่า ดัชนี S&P 500 อาจร่วงอีก 24% ภายในสิ้นปีนี้ 24 มิ.ย. 2565 SocGen วาณิชธนกิจสัญชาติฝรั่งเศส เปิดเผยรายงานการศึกษาสถิติย้อนหลัง 150 ปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่า ดัชนี S&P 500 อาจร่วงอีก 24% ภายในสิ้นปีนี้ Societe Generale หรือ SocGen ได้ศึกษาภาวะตลาด หลังเหตุการณ์วิกฤติการเงินตั้งแต่ปี 1870 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ และไม่ได้นำปัจจัยด้านรายได้และการประเมินมูลค่ามารวมด้วย ผลการศึกษาระบุว่า ภายใน 6 เดือนข้างหน้า มีโอกาสที่ดัชนี S&P 500 จะลงไปทำจุดต่ำสุด ที่ 2,900 จุด หรืออาจลงได้อีก 40% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือน ม.ค. ขณะที่ กรอบบนของการคำนวณ ดัชนี S&P 500 อาจลงไปทำจุดต่ำสุด ที่ 3,150 จุด หรือ -34% จากจุดสูงสุดในเดือน ม.ค. Solomon Tadesse นักวิเคราะห์เชิงปริมาณระบุว่า จากการประเมินมูลค่าตลาดในปัจจุบัน พบว่าตลาดกำลังเกิดภาวะฟองสบู่เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดเมื่อเดือนมี.ค ปี 2020 โดยหลังภาวะวิกฤติตลาดต้องมีการปรับฐานให้ลึกจากราคาปัจจุบัน เพื่อไปสู่มูลค่าที่เหมาะสม SocGen ระบุว่าดัชนี S&P 500 จะมีมูลค่าเหมาะสมที่ 3,020 จุด ตามสถิติตลาดหุ้นหลังภาวะวิกฤติ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (23 มิ.ย) ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,796 จุด หลังจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯกล่าวว่า มีความมุ่งมั่น “อย่างไม่มีเงื่อนไข” ในการลดเงินเฟ้อ สำหรับปีนี้ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 20% ท่ามกลางความกังวลในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯได้ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะสนับสนุนแนวคิดตลาดขาลง โดยนักวิเคราะห์จาก Oppenheimer ยังคงยืนยันสมติฐานที่เคยให้ไว้เมื่อ ม.ค. ระบุว่า ดัชนี S&P จะอยู่ที่ระดับ 5,330 จุด ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งสูงกว่าระดับดัชนีในปัจจุบันถึง 40% ที่มา:https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-23/s-p-500-may-be-24-from-nadir-150-years-of-market-history-shows?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update การลงทุน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: นิสสันตั้งไทยศูนย์กลางอาเซียน ผลิตแบตเตอรี่นอกญี่ปุ่น ขึ้นแท่นโรงงาน 1 ใน 4 แห่งทั่วโลก - FINNOMENA นิสสันประกาศให้โรงงานไทยเป็นสายการประกอบแบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์ อี-เพาเวอร์แห่งแรกนอกญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 4 แห่งทั่วโลก 24 มิ.ย. 2565 นิสสันประกาศให้โรงงานไทยเป็นสายการประกอบแบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์ อี-เพาเวอร์แห่งแรกนอกญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 4 แห่งทั่วโลก เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย.) ‘นายอิซาโอะ เซคิกุจิ’ ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยแผน Nissan NEXT ที่ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของนิสสันในอาเซียน หลังจากการลงทุนในปี 2563 เพื่อผลิตนิสสัน คิกส์ อี-เพาเวอร์ สำหรับตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก ซึ่งรวมถึงการส่งออกไปสู่ประเทศญี่ปุ่น นิสสันได้เริ่มการประกอบแบตเตอรี่สำหรับระบบขับเคลื่อนแบบ อี-เพาเวอร์ ในประเทศไทย สำหรับสายการผลิตที่ประกอบแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงสำหรับระบบขับเคลื่อน อี-เพาเวอร์ ณ โรงงานนิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย (NPT) ในสมุทรปราการ โดยจะมีการจัดการควบคุมคุณภาพที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ด้วยการประยุกต์ใช้ระบบการผลิตแบบ Interlocking 100% ทั้งระบบ มาพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิตและตรวจสอบคุณภาพที่มีความแม่นยำสูงที่ช่วยจัดการข้อผิดพลาดในการประกอบทุกขั้นตอนให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ยังมีการจัดการควบคุมการผลิตแบบเรียลไทม์และเก็บบันทึกข้อมูลการประกอบได้ 100% เพื่อสามารถตรวจสอบติดตามได้ในภายหลัง สำหรับนิสสัน พาวเวอร์เทรน ประเทศไทย (NPT) มีความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังมาตั้งแต่ปี 2531 ด้วยระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น รองรับการผลิตเครื่องยนต์ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.0 ลิตรใน นิสสัน อัลเมร่า และเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตรที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าในนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เครื่องยนต์ดีเซลแบบทวินเทอร์โบ 2.3 ลิตรในนิสสัน นาวารา และนิสสัน เทอร์ร่า ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดาในนิสสัน นาวารา และล่าสุด แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนแบบ อี-พาวเวอร์ โดยทางบริษัทฯ มีกำลังการผลิตเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังทุกรุ่นรวมสูงสุด 580,000 หน่วยต่อปี อ้างอิง: https://www.prachachat.net/motoring/news-962041 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update Nissan นิสสัน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอาเซียนคึกคัก ไทยเล็งผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ภายในปี 2030 จีน-เกาหลีใต้แซงญี่ปุ่นจ่อเป็นผู้นำตลาด - FINNOMENA ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเป็นที่สนใจ เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่เริ่มวางแผนการผลิตในอย่างน้อย 3 ประเทศของอาเซียน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้มีราคาถูกลง 23 มิ.ย. 2565 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเป็นที่สนใจ เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่เริ่มวางแผนการผลิตในอย่างน้อย 3 ประเทศของอาเซียน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้มีราคาถูกลง ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์จากจีนและเกาหลีใต้ เป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน ในขณะที่ญี่ปุ่น ซึ่งมียอดขายรถยนต์กว่า 80% ภายในภูมิภาคนี้ยังคงไล่ตามมา กรณีประเทศไทย เป้าหมายคือภายในปี 2030 รถยนต์ที่ผลิตทั้งหมด 30% ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ประเทศไทยได้ลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 2% จาก 8% เพื่อแลกกับสัญญาการผลิตในอนาคต นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายให้เงินอุดหนุนสูงสุด 150,000 บาท ต่อรถ EV หนึ่งคัน จากนโยบายข้างต้น Great Wall Motor ของจีนตอบสนองด้วยการลดราคา Ora good cat ลง 8% เหลือ 763,000 บาท รถ Ora มากกว่า 4,700 คันถูกจองตั้งแต่ออกจำหน่ายในประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมากกว่ายอดขาย EV ทั้งหมดของประเทศถึงสองเท่าในปี 2021 นอกจากนี้ Great Wall Motor จะลดราคาลงอีกเมื่อการผลิตในไทยเริ่มต้นในปี 2023 Toyota Motor และ SAIC Motor ก็ใช้ประโยชน์จากแรงจูงใจนี้เช่นกัน โดย Toyota คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่ผลิตในญี่ปุ่นภายในปลายปีนี้ และมีแผนเปลี่ยนมาผลิตในประเทศไทยโดยเร็วที่สุดภายในปี 2024 นอกจากนี้ Mercedes-Benz Group เริ่มวางแผนประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปีนี้ ขณะที่ปตท. ตั้งเป้าเริ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2024 กับ Hon Hai Precision Industry ผู้ผลิตชาวไต้หวันหรือที่รู้จักในชื่อ Foxconn อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดที่ชาร์จ EV สาธารณะ ทำให้รถ EV ยังไม่ถูกใช้งานอยู่แพร่หลาย อีกทั้งรถ EV ลดการปล่อยคาร์บอนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากหลายประเทศในภูมิภาคยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าจำนวนมาก ดังนั้นผู้ผลิตชาวญี่ปุ่นจึงมุ่งเน้นการผลิตรถ EV รูปแบบปลั๊กอินไฮบริดแทน ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตชาวจีนและเกาหลีใต้กำลังพัฒนาเครือข่ายที่ชาร์จ EV สาธารณะเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในภูมิภาค ทำให้ญี่ปุ่นอาจสูญเสียการยึดครองตลาดรถยนต์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะแซงหน้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินได้ด้วยยอดขายภายในปี 2035 ——————- ที่มา: https://asia.nikkei.com/Business/Automobiles/Southeast-Asia-on-cusp-of-EV-revolution-as-local-production-begins 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ธุรกิจ รถยนต์ไฟฟ้า แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เตือน Fed ‘เงินฝืด’ น่ากลัวกว่า ‘เงินเฟ้อ’ อย่ามัวแต่ขึ้นดอกเบี้ย ไม่สนใจเศรษฐกิจชะลอตัว ARKK เจ็บหนัก -60% จากต้นปี - FINNOMENA Cathie Wood เตือน Fed กำลังเพิกเฉยต่อเงินฝืดและสัญญาณอันตราย เพราะมัวแต่มุ่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างเข้มงวด มอง Powell เคลื่อนไหวรุนแรงกว่า Volcker 21 มิ.ย. 2565 Cathie Wood เตือน Fed กำลังเพิกเฉยต่อเงินฝืดและสัญญาณอันตราย เพราะมัวแต่มุ่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างเข้มงวด มอง Powell เคลื่อนไหวรุนแรงกว่า Volcker 💥2 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจกำลังส่งสัญญาณอันตราย ผู้จัดการกองทุน ARK แนะนำให้ Fed ปรับวิธีการดำเนินนโยบายการเงินเพราะหลายตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจยังอยู่ในโซนอันตราย ทั้งเครื่องมือ Credit Default Swap (CDS) และ Yield Curve ที่ชันน้อยลง โดย CDS แตะระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่ช่วงโควิด ส่งสัญญาณการล้มละลายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Yield Curve ชันน้อยลงและเป็น Inversion มากขึ้น (การที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงใกล้เคียงกับผลตอบแทนระยะยาวมากขึ้น) ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะถดถอยในตลาด Cathie Wood มองว่าที่เกิดแบบนี้เป็นเพราะ Fed มักยึดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ทั้งที่ความจริงแล้วอัตราผลตอบแทนที่มีอายุยาวกว่าเป็นตัวสะท้อนคาดการณ์เงินเฟ้อของตลาดในวงกว้าง ดังนั้นการที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีลดลง แสดงว่านักลงทุนกำลังเดิมพันว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว 📉สิ่งที่น่ากลัวคือ ‘เงินฝืด’ ไม่ใช่เงินเฟ้อ Cathie Wood ระบุว่า Fed กำลังเพิกเฉยต่อภาวะเงินฝืดและสัญญาณอันตราย ดัชนีราคาผู้บริโภคที่รายงานนั้นตามหลังสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เหมือนที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่า การใช้ข้อมูลประเภทนี้เหมือนการขับรถโดยมองผ่านกระจกมองหลัง ARK มองว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันต่ำกว่าช่วงวิกฤิตการเงินโลกปี 2008 และช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยปี 1980-1982 ในยุคของ Paul Volcker ที่เงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 15% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 20% “การเคลื่อนไหวของ Powell รุนแรงกว่า Volcker เสียอีก” Cathie Wood อธิบายว่า Volcker ขึ้นดอกเบี้ยจาก10% เป็น 20% หรือ 2 เท่า ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี ขณะที่ Powell ขึ้นดอกเบี้ยถึง 7 เท่าในปีที่แล้ว และจะเพิ่มอีก 2 เท่าในปีนี้ 📈ARKK เจ็บหนัก หลัง Fed ใช้นโยบายเข้มงวด ปฏิเสธไม่ได้ว่า Cathie Wood และผู้จัดการกองทุนในยุคหลัง ต่างได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินผ่อนคลายที่ทำให้ราคาสินทรัพย์สูงเกินจริง โดยเฉพาะหุ้นเติบโตสูงซึ่งเป็นการลงทุนหลักของ ARK Invest นี่อาจเป็นแค่คำขอร้องของ Cathie Wood ให้ Fed ลดดอกเบี้ย เพราะหุ้นหลายตัวในกอง ARK กอดคอกันร่วงจากจุดสูงสุดในเดือน พ.ย. 2020 หลัง Fed ออกมายอมรับตอนนั้นว่า เงินเฟ้อไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราวอีกต่อไป ในปี 2020 กองทุนเรือธงของ Cathie Wood อย่าง ARKK สร้างผลตอบแทนไปอย่างโดดเด่นถึง 156.61% แต่ลดลงกว่า 23% ในปีที่แล้ว และร่วงต่อ 60% ในปีนี้ ARK มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงไตรมาสแรก แต่ถ้าหาก Real GDP สามารถโตได้ดีในไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถเปลี่ยนทิศและกลับมาเติบโตได้ในช่วงที่เหลือของปี “Fed ดูเหมือนจะเป็นห่วงกับแนวทางที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นมากกว่าเศรษฐกิจของประเทศ” Cathie Wood ทิ้งท้าย อ้างอิง: https://finance.yahoo.com/news/cathie-wood-warns-fed-ignoring-162034665.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Invest ARKK Cathie Wood News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update:Elon Musk ช้อนซื้อ Dogecoin ท่ามกลางสภาวะตกตํ่าในตลาดคริปโทฯ เผยยังคงสนับสนุน Dogecoin ต่อไป ดันตลาดคริปโทฯ ฟื้นตัว Dogecoin พุ่งขึ้น 14 % - FINNOMENA เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย.) อีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัท Tesla และ SpaceX ได้ทวีตลงในบัญชีส่วนตัวว่า เขายังคงสนับสนุน Dogecoin ต่อไป ทวิตดังกล่าวสร้างความหวังให้แก่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอีกครั้ง 20 มิ.ย. 2565 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (19 มิ.ย.) อีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัท Tesla และ SpaceX ได้ทวีตลงในบัญชีส่วนตัวว่า เขายังคงสนับสนุน Dogecoin ต่อไป ทวิตดังกล่าวสร้างความหวังให้แก่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอีกครั้ง หลังจากทวิตไม่นาน มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนึงได้ทวิตถึงอีลอนว่า ถ้าสนับสนุนจริงก็ควรจะซื้อ Dogecoin ด้วยเช่นกัน ซึ่งอีลอนก็ได้ตอบกลับว่า ตนยังคงซื้อ Dogecoin หมายความว่า อีลอน มัสก์ กำลังช้อนซื้อ Dogecoin ท่ามกลางสภาวะตกตํ่าในตลาดคริปโทฯ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดคริปโทฯ ฟื้นตัว ราคาของ Dogecoin อยู่ที่ 0.052307 ดอลลาร์ก่อนที่อีลอนได้ทวิต ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ 0.059597 ดอลลาร์ พุ่งขึ้น 14% ในขณะที่ Bitcoin ราคาฟื้นตัวอยู่ที่ 20,687 ดอลลาร์ พุ่งขึ้น 9% และ Ethereum ราคาปรับตัวขึ้นเป็น 1,124 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% ตามข้อมูลของ Coingecko นักลงทุนคริปโทฯ ดูเหมือนจะได้พักหายใจอีกครั้ง หลังจากเผชิญกับการดิ่งตัวของตลาดคริปโทฯ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา Bitcoin สูญเสียมูลค่า 30.1% และ Ethereum 30.8% แต่เมื่อเทียบกับระดับราคาสูงสุดที่ 69,044 ดอลลาร์ Bitcoin ลดลง 72.1% ในขณะที่ Ethereum ลดลง 79.2% เมื่อเทียบกับระดับราคาสูงสุดที่ 4,878 ดอลลาร์ ปฎิเสธไม่ได้ว่า อีลอน มัสก์ มีอิทธิพลต่อตลาดคริปโทฯ อย่างมาก โดยเฉพาะ Dogecoin ซึ่งในตอนแรกมีจุดประสงค์เป็นเหรียญล้อเลียนตลาดคริปโทฯ เท่านั้น ต่อมา Dogecoin กลายเป็นหนึ่งในเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดคริปโทฯ โดยมีมูลค่าตลาด 7,780 ล้านดอลลาร์ ผลลัพธ์ดังกล่าวมาจาก Tesla และ SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทสองแห่งของอีลอนประกาศรับ Dogecoin เป็นช่องทางการชำระเงินสำหรับสินค้าของบริษัท ทำให้ความต้องการซื้อ Dogecoin เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นอกจากนี้ Tesla ยังลงทุน 1,500 ล้านดอลลาร์ใน Bitcoin เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2021 อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของ Bitcoin Treasuries การลงทุนใน Bitcoin ของ Tesla ปัจจุบันมีมูลค่าเพียง 792.21 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยทำให้นักลงทุนต่างเทขายคริปโทเคอเรนซีและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเนื่องจากเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งคงต้องตามดูสถานการณ์ต่อไป ที่มา: https://www.thestreet.com/investing/cryptocurrency/elon-musk-says-he-is-buying-the-crypto-dip?puc=yahoo&cm_ven=YAHOO ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update คริปโตเคอร์เรนซี สรุปข่าวเด่น อีลอน มัสก์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: หุ้นจีนโดดเด่น สวนทางหุ้นโลก ผลตอบแทนบวกท่ามกลางขาลง-เศรษฐกิจถดถอย พยุงหุ้นทั่วเอเชีย แกร่งกว่าหุ้นสหรัฐฯ - FINNOMENA หุ้นจีนผลตอบแทนโดดเด่นสวนทางหุ้นโลก สร้างความหวังแก่หุ้นเอเชียท่ามกลางภาวะตลาดขาลงและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย 20 มิ.ย. 2565 หุ้นจีนผลตอบแทนโดดเด่นสวนทางหุ้นโลก สร้างความหวังแก่หุ้นเอเชียท่ามกลางภาวะตลาดขาลงและความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย เดือน มิ.ย. ถือเป็นช่วงเวลายากลำบากสำหรับดัชนีหลักของโลกอย่าง S&P 500 ที่เข้าสู่ตลาดขาลงอย่างเป็นทางการ แต่หุ้นจีนสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น และทำให้หุ้นเอเชียกลับมามีผลตอบแทนเหนือหุ้นโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ต.ค. 2020 Kerry Goh จาก Kamet Capital Partners มองว่า หุ้นจีนจะช่วยดันผลตอบแทนหุ้นเอเชียจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่จะเด่นชัดขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพราะในทางเศรษฐกิจแล้วภูมิภาคเอเชียพึ่งพาจีนมากกว่าประเทศที่เหลือในโลก หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของดัชนี MSCI Asia Pacific ที่ในเดือนที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีทั่วโลกถึง 5 ppt ขณะที่ดัชนี CSI 300 ของจีนพุ่งขึ้น 7.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ดีคือ 1) นโยบายการเงินผ่อนคลายของแบงก์ชาติจีน 2) การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ 3) สัญญาณสิ้นสุดการคุมเข้มภาคเทคโนโลยีของจีน แม้จะเผชิญวิกฤติโควิด-19 แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตมากกว่า 4% เทียบกับ 2.6% ของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับภูมิภาคเอเชียที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคเอเชียไม่สามารถต้านทานผลกระทบจากสหรัฐฯ โดย Goldman Sachs ระบุว่า ผลตอบแทนที่เป็นบวกของเอเชียอาจเป็นเรื่องยากหากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน สอดคล้องกับข้อมูลของ Societe Generale ที่ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 1987 ดัชนี S&P 500 อยู่ในตลาดขาลงทั้งหมด 11 ครั้ง ซึ่งในทุกครั้งหุ้นเอเชียก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งหนึ่งนั้น หุ้นเอเชียทำผลตอบแทนได้ดีกว่า นักวิเคราะห์มองว่าภูมิภาคเอเชียจะทำผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ แต่ในแต่ละประเทศมีปัจจัยที่แตกต่างกัย โดยจีนจะเป็นประเทศที่ทำผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุด ขณะที่ Goldman Sachs และ SocGen มองว่า ประเทศที่อ่อนไหวต่อปัจจัยมหภาคระดับโลก เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน มีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้น้อยกว่า อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-19/china-s-stock-rally-is-becoming-a-lifeline-for-asian-portfolios?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นเอเชีย หุ้นจีน หุ้นเอเชีย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Elon Musk โดนอีกแล้ว! ถูกนักลงทุน Dogecoin ฟ้อง 9 ล้านบาท ข้อหาปั่นราคา เพื่อกำไรและความบันเทิง - FINNOMENA Elon Musk ถูกนักลงทุน Dogecoin ฟ้องเป็นจำนวนเงิน 258,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 9 ล้านบาท ในข้อหาใช้ชื่อเสียงปั่นราคาเหรียญ 17 มิ.ย. 2565 Elon Musk ถูกนักลงทุน Dogecoin ฟ้องเป็นจำนวนเงิน 258,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 9 ล้านบาท ในข้อหาใช้ชื่อเสียงปั่นราคาเหรียญ เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) Keith Johnson โจทก์ผู้ยื่นฟ้องกล่าวว่า Elon Musk ซีอีโอบริษัท Tesla และ SpaceX ได้หลอกลวงให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรจนราคาเหรียญ Dogecoin พุ่งไปสูงมาก และปล่อยให้ราคาร่วงจนนักลงทุนจำนวนมากขาดทุน ในเอกสารยื่นฟ้องระบุว่า Elon Musk รู้มาตั้งแต่ปี 2019 ว่า Dogecoin ไม่มีค่าอะไร แต่เขากลับใช้ชื่อเสียงและความเป็นคนรวยที่สุดในโลกในการปั่นราคาเพื่อกำไรและความบันเทิง โดย Keith Johnson ยังได้อ้างถึงคำพูดต่างๆ ของคนดังอย่าง Warren Buffett และ Bill Gates ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนในคริปโทฯ อย่างไรก็ตาม ทนายความของ Elon Musk ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ Keith Johnson ประเมินมูลค่าความเสียหายไว้ที่ 86,000 ล้านเหรียญ จากการร่วงแรงของราคาตั้งแต่ พ.ค. 2021 และเขาต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย 3 เท่า ที่ 258,000 ล้านเหรียญ Keith Johnson ยังต้องการให้ Elon Musk และบริษัทเลิกนำเสนอทุกอย่างเกี่ยวกับ Dogecoin รวมถึงให้ศาลตัดสินว่า Dogecoin คือการพนันภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางและนิวยอร์ก ตอนนี้ราคาล่าสุด (17 มิ.ย.) Dogecoin ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 5.7 เซนต์ลดลงแรงมากจากจุดสูงสุดในเดือน พ.ค. 2021 ที่ประมาณ 74 เซนต์ อ้างอิง: https://www.reuters.com/legal/transactional/elon-musk-sued-258-billion-over-alleged-dogecoin-pyramid-scheme-2022-06-16/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Cryptocurrency DOGE Dogecoin Elon Musk News Update คริปโต คริปโตเคอร์เรนซี คริปโท แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BOJ ประกาศคงนโยบายการเงิน เตือนเงินเยนอ่อนค่า ต่ำสุดรอบ 24 ปี สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ ยืนยันพร้อมแทรกแซงตลาดเงินหากจำเป็น - FINNOMENA ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงนโยบายการเงินผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเป็นพิเศษตามคาด ตอกย้ำว่ารัฐบาลยังคงมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ธนาคารกลางทั่วโลกจะใช้นโยบายเข้มงวดแล้วก็ตาม 17 มิ.ย. 2565 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงนโยบายการเงินผ่อนคลายและอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำเป็นพิเศษตามคาด ตอกย้ำว่ารัฐบาลยังคงมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ธนาคารกลางทั่วโลกจะใช้นโยบายเข้มงวดแล้วก็ตาม คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% และคงเป้าหมายผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ที่ประมาณ 0.25% ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่า 1.7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 24 ปี เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ยังคงขยายกว้างขึ้น ท่ามกลางการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BOJ ได้สร้างความกังวลให้แก่ตลาดทุน เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ขยายกว้างทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ออกมาเตือนว่า เงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ได้เพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และสร้างความลำบากต่อภาคธุรกิจ ทำให้ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันศุกร์ (17 มิ.ย.) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) อายุ 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ที่ 0.268% สูงกว่าเพดานอัตราผลตอบแทนที่ BOJ ตั้งไว้ 0.25% ก่อนจะลงมาที่ 0.22% หลังจากการตัดสินใจด้านนโยบายของ BOJ ขณะนี้ BOJ ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นตํ่ากว่าชาติตะวันตก ทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่นโยบายดังกล่าวได้ส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง จึงกระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงและวัตถุดิบอย่างมาก ทั้งนี้ BOJ ยังคงจับตาดูผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของนโยบายการเงินที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจต่อไป และเพิ่มคำเตือนถึงค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ซึ่ง BOJ ยังคงยืนยันความพร้อมในการแทรกแซงตลาดการเงินหากมีความจำเป็น อ้างอิง:https://www.reuters.com/markets/currencies/boj-maintain-ultra-low-rates-sound-warning-over-weak-yen-2022-06-16/ ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น เศรษฐกิจ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: JD.com มองกฎระเบียบคุมเทคโนโลยีจีน ไม่ได้ผ่อนคลาย แต่ “มีเหตุผล” มากขึ้น กังวลล็อกดาวน์กระทบการช้อปปิ้ง - FINNOMENA JD.com มองว่า กฎระเบียบภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนไม่ได้ผ่อนคลายลง แต่ “มีเหตุผล” มากขึ้น หลังการควบคุมภาคอินเทอร์เน็ตจีนตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา ทำมูลค่าตลาดหายไปหลายพันล้านดอลลาร์ 17 มิ.ย. 2565 JD.com มองว่า กฎระเบียบภาคเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนไม่ได้ผ่อนคลายลง แต่ “มีเหตุผล” มากขึ้น หลังการควบคุมภาคอินเทอร์เน็ตจีนตลอด 16 เดือนที่ผ่านมา ทำมูลค่าตลาดหายไปหลายพันล้านดอลลาร์ โควิดและการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ของประเทศทำให้เศรษฐกิจจีนสั่นคลอน จนรัฐบาลต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีสัญญาณว่าการคุมเข้มภาคเทคโนโลยีอาจผ่อนคลายลง อย่างไรก็ตาม Xin Lijun ซีอีโอของ JD Retail ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC มองว่า “กฎระเบียบไม่ได้ผ่อนคลายลง แต่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น” Xin Lijun อธิบายว่า การพัฒนาภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งของแต่ละประเทศมักเริ่มจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและหละหลวมในระยะแรก พอพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งจึงจะเริ่มควบคุมในระดับปานกลาง ซึ่งภาคเทคโนโลยีของจีนกำลังเป็นไปตามกระบวนการนี้ ดังนั้น มันไม่ใช่การผ่อนคลายกฎระเบียบ แต่มันคือการดำเนินการอย่าง “มีเหตุผล” มากขึ้น JD.com ถือว่ารอดพ้นจากการดำเนินการด้านกฎระเบียบ ต่างจากคู่แข่งอย่าง Alibaba ซึ่งถูกปรับไป 2,800 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ Xin Lijun ยังได้กล่าวถึงเทศกาล 618 Shopping Festival ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 มิ.ย. ของทุกปี ซึ่งปกติแล้วจะเป็นช่วงลดราคาครั้งใหญ่เป็นเวลาหลายวัน และสร้างรายได้ให้กับทั้ง JD.com, Alibaba และ Pinduoduo มากกว่าพันล้านดอลลาร์บนแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม โควิดและการล็อกดาวน์ในหลายเมืองใหญ่โดยเฉพาะเซี่ยงไฮ้ ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคอยู่ภายใต้แรงกดดัน ขณะที่ยอดค้าปลีกในเดือน พ.ค. ลดลง 6.7% จากปีที่แล้ว Xin Lijun กล่าวว่า การแพร่ระบาดและนโยบายควบคุมโควิดส่งผลกระทบต่อหน้าร้าน การดำเนินการด้านลอจิสติกส์บางส่วนของ JD ก็ถูกระงับ และคาดว่ายอดขายเทศกาล 618 จะได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่ง JD ได้ออกมาตรการช่วยเหลือร้านค้าในช่วงเทศกาล 618 เช่น การลดค่าธรรมเนียมบนแพลตฟอร์ม อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/16/chinas-tech-regulation-getting-more-rational-jdcom-top-exec.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: jd.com News Update หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: มาม่าขอขึ้นราคา ซองละ 1 บาท จาก 6 บาท เป็น 7 บาท แบกต้นทุนไม่ไหว ปรับราคาครั้งแรกรอบ 14 ปี - FINNOMENA สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ ขอกระทรวงพาณิชย์อนุมัติขึ้นราคามาม่า 1 บาทต่อซอง จาก 6 บาท เป็น 7 บาท หลังไม่ได้ปรับราคามา 14 ปี เนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว 16 มิ.ย. 2565 สหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ‘มาม่า’ ขอกระทรวงพาณิชย์อนุมัติขึ้นราคามาม่า 1 บาทต่อซอง จาก 6 บาท เป็น 7 บาท หลังไม่ได้ปรับราคามา 14 ปี เนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์เปิดเผยว่า กำลังรอกระทรวงพาณิชย์อนุมัติ ให้ปรับราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (มาม่า) และผงซักฟอก หลังต้นทุนวัตดุดิบใช้ผลิตสูงขึ้นทุกอย่าง โดยแป้งสาลีที่ใช้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาต่อกระสอบ (22.5 กิโลกรัม) เพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าบาท เป็น 400-500 กว่าบาทต่อกระสอบ ส่วนน้ำมันปาล์มก็ขึ้นเท่าตัว หลังเกิดวิกฤติสงครามรัสเซียกับยูเครน ทำให้เกิดการขาดแคลนและราคาปรับขึ้นสูงมาก ทั้งนี้ สหพัฒนพิบูลจะหารือกับกระทรวงพาณิชย์ และขอให้เร่งอนุมัติใน 1-2 สัปดาห์นี้ เนื่องจากมาม่าอั้นราคาไว้นานจนขาดทุน โดยเชื่อว่าหากมาม่าปรับราคาครั้งนี้ประชาชนจะเข้าใจ อ้างอิง: https://www.prachachat.net/marketing/news-955871 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update มาม่า สหพัฒนพิบูล แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ORA Good Cat ลดราคาลงอีก รุ่นท็อป 500 ULTRA เหลือไม่ถึงล้าน ถ้าจองไปแล้วต้องทำยังไง? - FINNOMENA Great Wall Motor ประกาศลดราคา ORA Good Cat อีกครั้งหลังการประกาศลดภาษีสรรพสามิตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. จาก 8% เหลือ 2% มาดูกันว่าแต่ละรุ่นลดเท่าไร เหลือราคาเท่าไรกันบ้าง 16 มิ.ย. 2565 Great Wall Motor ประกาศลดราคา ORA Good Cat อีกครั้งหลังการประกาศลดภาษีสรรพสามิตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. จาก 8% เหลือ 2% มาดูกันว่าแต่ละรุ่นลดเท่าไร เหลือราคาเท่าไรกันบ้าง ✦ ORA Good Cat รุ่น 400 TECH จากราคา 828,500 บาท เป็นราคา 763,000 บาท ✦ ORA Good Cat รุ่น 400 PRO จากราคา 898,500 บาท เป็นราคา 828,500 บาท ✦ ORA Good Cat รุ่น 500 ULTRA จากราคา 1,038,500 บาท เป็นราคา 959,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือน มี.ค. บริษัทได้ประกาศลดราคาไปแล้วรอบนึง หลังลงนามร่วมมาตรการรถยนต์ไฟฟ้ากับกรมสรรพสามิตในเฟสแรก ซึ่งในตอนนั้นได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคจำนวนมากและมียอดรอการส่งมอบกว่า 3,000 คัน สำหรับใครที่จองไปในรอบก่อนหน้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะบริษัทเตรียมขออนุมัติราคาขายปลีกที่ลดลงอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพสามิตเพื่อจำหน่ายในราคาที่ปรับลดลงแล้วได้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากรอและต้องการรับส่งมอบรถก่อนการอนุมัติ บริษัทก็มีแคมเปญพิเศษ ‘ORA Good Cat Special Delivery’ โดยลูกค้าจะได้สิทธิประโยชน์พิเศษจากราคาเดิม แต่จะไม่สามารถรับสิทธิประโยชน์จากการลดลงของภาษีสรรพสามิตได้ โดยจำกัดแค่ 120 คนแรก เท่านั้น อ้างอิง: https://www.bangkokbiznews.com/auto/1010211 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update ORA รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: BYD แข็งแกร่ง โตแรงในจีน ยอดขาย พ.ค. เพิ่มขึ้น 159.5% สู่บริษัทยอดขายรถอันดับ 2 จาก 13 - FINNOMENA ยอดขาย BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน โตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเดือน พ.ค. ตอกย้ำการเติบโต ติด 1 ใน 3 อันดับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมในจีน 15 มิ.ย. 2565 ยอดขาย BYD บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน โตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเดือน พ.ค. ตอกย้ำการเติบโต ติด 1 ใน 3 อันดับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมในจีน BYD บริษัทที่ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เลือกลงทุน คือผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่ก้าวมาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ในจีน โดยมีรถหลายรุ่นของบริษัทที่ได้รับความนิยมและแข่งขันกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมอย่าง Tesla ข้อมูลจาก China Passenger Car Association ระบุว่า ยอดขายของ BYD ในเดือน พ.ค. สูงถึง 113,768 คัน แม้จะเผชิญกับการล็อกดาวน์ที่ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในจีนก็ตาม BYD ไม่ได้แค่ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่บริษัทยังก้าวบริษัทที่มียอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในจีนรองจาก FAW-Volkswagen ที่มียอดขาย 150,009 คัน ขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 13 ในปีที่แล้ว ยอดขายของ BYD เพิ่มขึ้น 159.5% จากปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายของ FAW-Volkswagen ลดลง 10.6% ส่วน Geely ที่ครองอันดับ 3 มียอดขายอยู่ที่ 73,315 ลดลง 14.5% ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ของจีนลดลง 11.8% ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 91.2% อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/14/byd-sold-so-many-evs-its-one-of-the-top-three-automakers-in-china.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: BYD News Update รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่เด้ง จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีกว่าที่คาด - FINNOMENA ดัชนี CSI 300 ปรับตัวบวกกว่า 3% หลังจากทางการจีนออกมาประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงปิดเมืองอย่างเข้มงวด 15 มิ.ย. 2565 ดัชนี CSI 300 ปรับตัวบวกกว่า 3% หลังจากทางการจีนออกมาประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงปิดเมืองอย่างเข้มงวด ปรากฏว่าตัวเลข Industrial Output ขยายตัว 0.7% (YoY) ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะหดตัว -0.7% (YoY) ตัวเลข Fixed Asset Investment เพิ่มขึ้น 6.2% (YoY) ดีกว่าคาดที่ 6.0% (YoY) และตัวเลข Retail Sales ออกมาหดตัวที่ -6.7% (YoY) ดีกว่าคาดที่ -7.1% (YoY) ส่วนอัตราการว่างงานกลับลดลงมาที่ 5.9% ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าและคาดการณ์ที่ 6.1% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนสัญญาณเชิงบวกของเศรษฐกิจจีนในขณะที่มีการปิดเมืองอย่างเข้มงวด FINNOMENA Investment Team มองว่าทางการจีนเริ่มมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของ Zero- Covid Policy และการเริ่มเปิดเมืองจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นจีนทั้ง A-Shares และ Offshore แต่ก็ยังต้องติดตามสถานการณ์โควิดที่อาจทำให้กลับมาใช้นโยบายเข้มงวด จึงแนะนำให้ทยอยสะสมในสัดส่วนที่มากขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้า รับการเปิดเมืองและมาตรการกระตุ้น ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นจีน แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงสุดรอบ 11 ปี พุ่งต่อเนื่องแตะ 3.48% ตลาดคาด Fed ขึ้นดอกเบี้ย 75 bps - FINNOMENA บอนด์ยีลด์ 10 ปี ของสหรัฐฯ ​พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ หลังนักลงทุนคาดว่า Fed จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ 15 มิ.ย. 2565 บอนด์ยีลด์ 10 ปี ของสหรัฐฯ พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ หลังนักลงทุนคาดว่า Fed จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ✦ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.43% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ เม.ย. 2011 โดยเมื่อคืนนี้ตอนเวลาประมาณ 2:00 น. พุ่งแตะ 3.483% ✦ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.38% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ✦ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี อยู่ที่ 3.39% บอนด์ยีลด์ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.51% เมื่อตอนต้นปี และ 2.74% ในสิ้นเดือน พ.ค. ก่อนจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนนี้ จากตัวเลขเงินเฟ้อในระดับสูงที่ทำให้นักลงทุนเลิกเทขายพันธบัตรและลงทุนเพิ่มแทน เพราะคาดว่า Fed จะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ของบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี ทำให้เกิด Inverted Yield Curve ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณว่า นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น นอกจากนี้ Inverted Yield Curve มักถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสู่ระดับสูงสุดต่อเนื่องทำให้ตลาดคาดว่า มีความเป็นไปได้ถึง 96.7% ที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 75 bps สู่ระดับ 1.5%-1.75% ในการประชุมคืนนี้ (15 มิ.ย.) ที่มาภาพ: TradingView อ้างอิง: https://www.cnbc.com/2022/06/14/us-bonds-10-year-treasury-yield-in-focus-ahead-of-fed-meeting.html ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bond Yield News Update บอนด์ยีลด์ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: EIC เพิ่มเป้า GDP ไทยปีนี้เป็น 2.9% คาด กนง. ขึ้นดอกเบี้ย ที่ 0.75% ในไตรมาสที่ 3/65 - FINNOMENA EIC ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 เติบโตที่ 2.9% จากเดิม 2.7% จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการหลังเปิดประเทศ 14 มิ.ย. 2565 EIC ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 เติบโตที่ 2.9% จากเดิม 2.7% จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการหลังเปิดประเทศ กอปรกับภาคเกษตรได้อานิสงส์จากราคาอาหารโลกที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มแรงส่งอุปสงค์ในประเทศ แต่เงินเฟ้อที่จะเร่งตัวสูงสุดในรอบ 24 ปี และการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยเสี่ยงฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ประเมินแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะมาจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการเพิ่มมากขึ้นแทนที่ภาคการผลิตเพื่อส่งออก 🇹🇭 EIC ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2565 ขึ้นเป็น 2.9% (เดิม 2.7%) ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ ผ่านการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของไทยและการผ่อนคลายมาตรการผ่านแดน ในหลายประเทศทั่วโลก โดย EIC ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยรวม 7.4 ล้านคนในปีนี้ (เดิม 5.7 ล้านคน) อีกทั้ง กิจกรรมในภาคบริการในประเทศยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ตามอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคของภาครัฐ นอกจากนี้ภาคเกษตร จะมีส่วนช่วยสำคัญในการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยผลผลิตภาคการเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี อีกทั้ง ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มขยายตัวตามทิศทางราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทานที่ถูกกระทบจากสงครามในยูเครนและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายในประเทศที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ รายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอุปสงค์คงค้าง (pent-up demand) จากกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ จะยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวสูงสุดในรอบ 24 ปี (EIC คาดอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 5.9%) ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะต่อไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 🌏 เศรษฐกิจโลกในปี 2565 มีแนวโน้มปรับชะลอลงจากปีก่อนหลังเผชิญความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ปัญหาอุปทานคอขวดกลับมาแย่ลงและยืดเยื้อกว่าที่คาด อีกทั้ง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะในภาคพลังงานและอาหาร ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง (2) มาตรการล็อกดาวน์และควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มข้นจากนโยบาย Zero Covid ของจีน กระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศและซ้ำเติมปัญหาอุปทานโลกเพิ่มเติม จากบทบาทของจีนที่เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ และหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งของโลก และ (3) การดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางเศรษฐกิจหลัก ที่เร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ กดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเพิ่มความผันผวนในภาคการเงินโลก โดย EIC คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed funds rate) ในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้ (รวมขึ้นทั้งหมด 7 ครั้งตลอดปี 2565) และจะปรับขึ้นถึงครั้งละ 50 bps ใน 3 รอบการประชุมหน้า ส่งผลให้กรอบบนของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ อาจแตะระดับ 3% ภายในสิ้นปี รวมถึงได้เริ่มกระบวนการลดขนาดงบดุลลงแล้วในเดือนมิถุนายน ด้วยเหตุนี้ EIC จึงปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงมาอยู่ที่ 3.2% ในปี 2565 ชะลอลงจากปีก่อน ที่ขยายตัว 5.8% ตามการชะลอตัวลงพร้อมกันของกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน เศรษฐกิจโลกจึงเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความไม่สมดุลหลังวิกฤตโควิด และหลายเศรษฐกิจมีความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) เพิ่มมากขึ้น 🏦 ด้านนโยบายการเงิน EIC คาดว่า กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 0.75% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 จากเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังเปิดประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพราคาและชะลอการเร่งตัวของเงินเฟ้อคาดการณ์ที่เริ่มปรับสูงขึ้น โดยเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะสั้น (1 ปีข้างหน้า) ของครัวเรือนปรับมาอยู่ที่ 3.1% ในเดือนพฤษภาคม 2565 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทย (อัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อ) ในปัจจุบันยังติดลบและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลออกจากไทยและเงินบาทมีโอกาสปรับอ่อนค่าลง ทั้งนี้การลดระดับการผ่อนคลายสูงของนโยบายการเงิน (ultra-easy monetary policy) จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบางและมีแผลเป็นจากวิกฤตโควิด ทั้งการว่างงาน รายได้ที่ฟื้นตัวช้า และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง สำหรับค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าลงราว 3.6% ซึ่งเป็นการอ่อนค่าในทิศทางเดียวกันและใกล้เคียงกับสกุลอื่นในภูมิภาค EIC มองว่า ในระยะสั้นค่าเงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และความเสี่ยงของภาวะสงคราม ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงปลายปี 2565 จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะปรับดีขึ้นตามดุลภาคบริการ โดย ณ สิ้นปี 2565 EIC คาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วง 33.5-34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในภาพรวม EIC ประเมินว่าแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะมาจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการเพิ่มมากขึ้นแทนที่ภาคการผลิตเพื่อส่งออก ตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค แต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศจะยังมีแรงต้านจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นเร็วและจะยืนอยู่ในระดับสูงตลอดช่วงปีนี้ท่ามกลางข้อจำกัดด้านมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างช้า ๆ โดยระดับ GDP รายปีจะยังไม่กลับไปเท่าระดับของปี 2562 จนกระทั่งไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 นอกจากนั้น เศรษฐกิจไทยจะยังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำที่สำคัญในระยะต่อไป ได้แก่ (1) ภาวะสงครามที่ยังยืดเยื้อส่งผลให้ราคาพลังงานและโภคภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง (2) การชะงักงันของอุปทานในภาคการผลิตและขนส่งจากนโยบาย Zero Covid ในจีนที่อาจส่งผลให้มีการล็อกดาวน์เพิ่มเติม (3) การแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน (supply chain decoupling/fragmentation) เป็นสองขั้วเศรษฐกิจจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ จะลดประสิทธิภาพและเพิ่มต้นทุนด้านการค้าและการลงทุนในภาคการผลิต (4) ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมจากผลกระทบด้านค่าครองชีพที่สูงขึ้น จนอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ในวงกว้าง และ (5) มาตรการช่วยเหลือ และสนับสนุนจากภาครัฐที่ทยอยลดลงทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพโดยเฉพาะด้านพลังงาน ที่มา: Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: EIC News Update เศรษฐกิจไทย แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin ใกล้หลุด $20,000 ตลาดคริปโทฯ ระส่ำ ต่ำสุดรอบ 18 เดือน จับตา MicroStrategy ขาดทุนหนัก - FINNOMENA Bitcoin ลงอีก 12% นักลงทุนกังวล Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่รับมือเงินเฟ้อ 14 มิ.ย. 2565 Bitcoin ลงอีก 12% นักลงทุนกังวล Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่รับมือเงินเฟ้อ คริปโทฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bitcoin ร่วงต่อเนื่อง ใกล้หลุด $20,000 โดยราคาลงไปทำจุดต่ำสุดระหว่างวันที่ $20,824 แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2020 ขณะที่เหรียญอื่นๆ ร่วงแรงเช่นกัน โดย Ethereum ลดลงไป 8.28% Edward Moya นักวิเคราะห์จาก Oanda กล่าวว่า ตอนนี้ความเชื่อมั่นในคริปโทฯ ต่ำมาก สะท้อนจากมูลค่าตลาดที่หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว โดยถ้าราคา Bitcoin ลงไปต่ำกว่า $20,000 การเคลื่อนไหวของราคาจะยิ่งแย่กว่านี้อีก นี่ชัดเจนว่าคริปโทฯ ไม่ใช่สินทรัพย์ปลอดภัยในเวลาที่สภาพคล่องลดลง ขณะที่ Celsius แพลตฟอร์มให้กู้คริปโทฯ ประกาศระงับการทำธุรกรรมชั่วคราวเมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.) นี่ยิ่งเพิ่มความกังวลในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอยู่แล้วจากการล่มสลายของ Terra/Luna ก่อนหน้านี้ ตลาดกำลังจับตาดู MicroStrategy หลังมีรายงานว่า บริษัททำการโอน Bitcoin มูลค่ากว่า 48 ล้านดอลลาร์ปยังกระเป๋าเงินใหม่เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม Michael Saylor ผู้บริหารของบริษัทออกมาทวิตข้อความว่า “เรายังคงเชื่อมั่นใน Bitcoin” ก่อนหน้านี้ในเดือน มี.ค. MicroStrategy กู้เงิน 205 ล้านดอลลาร์จากธนาคารเพื่อนำไปซื้อ Bitcoin ในราคาประมาณ 30,700 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าบริษัทขาดทุนอยู่ที่ประมาณ 7,000 ดอลลาร์ ต่อ 1 btc โดยหากราคาร่วงลงไปอีก MicroStrategy จะต้องเพิ่ม Bitcoin เป็นหลักประกัน ข้อมูลจาก Coinglass รายงานว่า เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.) มีเงินทุนมากกว่า 1,100 ล้านดอลลาร์ไหลเวียนในตลาดคริปโทฯ โดยประมาณ 685 ล้านดอลลาร์ทำธุรกรรมซื้อ และอีก 468 ล้านดอลลาร์ทำธุรกรรมขาย โดยนี่เป็นระดับสูงสุดของทั้ง 2 ฝั่ง ในช่วงอย่างน้อย 3 เดือนที่ผ่านมา Mark Newton จาก Fundstrat Global Advisors กล่าวว่า Bitcoin กำลังใกล้เข้าสู่แนวรับระยะกลาง และแนะนำว่าการซื้อในช่วงขาลงหรือ Buy on Dip ควรเกิดขึ้นภายในสิ้นไตรมาสที่ 2 อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-14/bitcoin-drops-as-much-as-7-5-in-deepening-crypto-sector-selloff?sref=e4t2werz https://www.bangkokbiznews.com/business/1009811 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency News Update คริปโต แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: S&P 500 เข้าสู่ตลาดขาลง ร่วง 22% จากจุดสูงสุดในเดือน ม.ค. - FINNOMENA S&P 500 เข้าสู่ตลาดขาลงอย่างเป็นทางการ หลังลดลง 22% จากจุดสูงสุดในเดือน ม.ค นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี 14 มิ.ย. 2565 S&P 500 เข้าสู่ตลาดขาลงอย่างเป็นทางการ หลังลดลง 22% จากจุดสูงสุดในเดือน ม.ค นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เมื่อคืนที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก นำโดยดัชนี Dow Jones ที่ร่วงลงมา 4.6% ขณะที่ ดัชนี Nasdaq ลดลง 2.7% และ ดัชนี S&P 500 ปิดลบ 3.8% โดยลดลง 22% จากจุดสูงสุดเดือน ม.ค ส่งสัญญาณเข้าสู่ตลาดขาลง การร่วงแรงของดัชนี S&P 500 นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ Amazon -5.45%, Google -4.29%, Microsoft -4.24% และ Apple -3.83% ขณะที่หุ้นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ร่วงแรงถึง 7.1% ตัวเลขเงินเฟ้อในระดับสูงและความเสี่ยงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะใช้นโยบายเข้มงวดมากขึ้นทำให้นักลงทุนแห่เทขายสินทรัพย์เสี่ยงแล้วหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นแทน จนทำให้ค่าเงินดอลลาร์พุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ ที่มาภาพ: TradingView ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update S&P500 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นสหรัฐ แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update:หุ้น-ตราสารหนี้ “จีน” น่าสนใจ JPMorgan แนะนำลงทุนกระจายความเสี่ยง ชี้ภาพระยะยาวเศรษฐกิจจีนยังดี รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้ว - FINNOMENA JPMorgan ระบุว่า สินทรัพย์จีนกลายเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองอีกครั้ง หลังมาตรการล็อกดาวน์และกฎระเบียบต่างๆ ถูกผ่อนคลายลง ความปั่นป่วนบางส่วนที่หุ้นจีนเผชิญอยู่ก็มีแนวโน้มลดลง 13 มิ.ย. 2565 JPMorgan ระบุว่า สินทรัพย์จีนกลายเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองอีกครั้ง หลังมาตรการล็อกดาวน์และกฎระเบียบต่างๆ ถูกผ่อนคลายลง ความปั่นป่วนบางส่วนที่หุ้นจีนเผชิญอยู่ก็มีแนวโน้มลดลง ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงอย่างมากในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา จากมาตรการ “โควิดเป็นศูนย์” ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีนต้องชะงักลง ประกอบกับการปราบปรามด้านกฎระเบียบได้กดดันธุรกิจต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งบริษัทใหญ่ของจีน เช่น Tencent และ Alibaba ในวันจันทร์ (13 มิ.ย) ตลาดจีนยังคงปรับตัวลงท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 มิ.ย) ร้อนแรงเกินคาด ดัชนีฮั่งเส็งร่วงลงกว่า 3.5% ขณะที่เซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วงลง 1.45% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เริ่มกลับมามีความหวัง จากการที่จีนจะเริ่มเปิดเมืองอีกครั้งและส่งสัญญาณผ่อนคลายการควบคุมภาคเทคโนโลยี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า ทิลมันน์ กัลเลอร์ นักกลยุทธ์ตลาดโลก ของ JPMorgan Asset Management กล่าวว่าความพยายามในการเปิดเมืองอีกครั้งและเปิดตัวโครงการฉีดวัคซีนบ่งชี้ว่าปักกิ่งตระหนักดีว่ากลยุทธ์ “โควิดเป็นศูนย์” นั้นไม่ยั่งยืน และประเทศจีนกำลังเปลี่ยนไปใช้นโยบาย “อยู่ร่วมกับโควิด” แทน กัลเลอร์กล่าวว่าแม้ความไม่แน่นอนในระยะสั้นยังคงดำเนินต่อไป แต่อุปสรรคสำคัญเช่น นโยบายปลอดโควิด นโยบายการคลังและกฎระเบียบที่เข้มงวดนั้นเป็นปัจจัยเชิงวัฏจักรมากกว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง หมายความว่าแนวโน้มระยะยาวของจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กัลเลอร์ยังกล่าวเสริมว่า เมื่อเทียบกับธนาคารกลางอื่นๆ ในยุโรปและอเมริกา ธนาคารกลางจีนมีความยืดหยุ่นในการสนับสนุนเศรษฐกิจมากกว่า จีนเคยใช้นโยบายเข้มงวดกว่านี้ แต่ในปัจจุบันพวกเขากำลังเปลี่ยนทัศนคติและทิศทางของนโยบาย ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ของจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 2.1% จากปีที่แล้ว เทียบกับ 7.4% ในยูโรโซนและ 8.3% ในสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขทั้งสองภูมิภาคก็ปรับตัวขึ้นอีกในเดือนพฤษภาคม กัลเลอร์เน้นยํ้าว่า ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่นโยบายการคลังก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จะมีการสนับสนุนจากรัฐบาลมากขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนสนามบิน การลดภาษี และเงินสนับสนุนในการซื้อรถยนต์สำหรับตลาดรถยนต์ที่กำลังตกต่ำในขณะนี้ “แรงต้านจะกลายเป็นแรงหนุน”คือคำนิยามในปัจจุบันสำหรับจีน ซึ่งกัลเลอร์ได้พูดถึงปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้เชิงบวกสำหรับตลาดหุ้นจีน เช่น การเติบโตของสินเชื่อภายในประเทศจีนกำลังกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง แม้ว่าการเติบโตของสินเชื่อจะลดลงในเดือนเมษายน แต่อุปสงค์ที่ลดลงจากการล็อกดาวน์จะฟื้นตัวอีกครั้งเนื่องจากเมืองต่างๆ เช่น เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งกลับมาดำเนินกิจกรรมอีกครั้ง นอกจากนี้ตลาดจีนมีค่า P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 20% ดังนั้นราคาหุ้นจีนจึงได้สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว ไมเลส แบรดชอว์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้เสริมว่าเศรษฐกิจประเทศอื่นกำลังชะลอตัวไปพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ขณะที่จีนยังไม่เริ่มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย นั่นทำให้สินทรัพย์จีนกลายเป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ ที่มา:https://www.cnbc.com/2022/06/13/jpmorgan-says-chinese-assets-are-a-good-diversifier-right-now.html?fbclid=IwAR15yI8z4Ga2JoXePKPt29g7X76gFok_a8hAknqY2Td8f0iqPzEIgkYiu5Q ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update จีน ตลาดหุ้นจีน เศรษฐกิจจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Bitcoin-Ethereum ร่วงไม่หยุด! สู่ระดับต่ำสุดรอบ 18 เดือน ระวัง ETH ห้ามหลุด $1,200 หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง 8.6% - FINNOMENA Bitcoin ร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง 8.6% กดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก 13 มิ.ย. 2565 Bitcoin ร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่ง 8.6% กดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เหรียญคริปโทฯ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Bitcoin ร่วงลงมาแล้ว 10% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (13 มิ.ย.) โดยราคาลงไปทำจุดต่ำสุดระหว่างวันแตะ $24,900 ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2020 ขณะที่เหรียญอื่นๆ ร่วงแรงเช่นกัน โดยดัชนี MVIS CryptoCompare Digital Assets 100 ซึ่งคำนวณจากเหรียญที่ใหญ่ที่สุดในตลาด 100 เหรียญ ร่วงมากถึง 9.7% Antoni Trenchev ผู้ร่วมก่อตั้ง Nexo กล่าวว่า ราคาคริปโทฯ ยังคงเคลื่อนไหวตามท่าทีของ Fed และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ โดยราคาคาดการณ์ของ Bitcoin ในตลาดตอนนี้กำลังสะท้อนปัจจัยมหภาคและระดับความกลัว นักลงทุนคาดว่า Fed จะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี สินทรัพย์ดิจิทัลต่างได้รับผลกระทบอย่างหนักท่ามกลางการใช้นโยบายของ Fed และการล่มสลายของ Terra/Luna เมื่อเดือนที่แล้ว รวมถึงการที่ Celsius แพลตฟอร์มให้กู้ยืมคริปโต ประกาศระงับการทำธุรกรรมชั่วคราว ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในตลาดคริปโตฯ ลดลงไปอีก Rick Bensignor ประธาน Bensignor Investment Strategies และอดีตนักกลยุทธ์ที่ Morgan Stanley กล่าวว่า ถ้าเป็นปกติเขาคงแนะนำให้ซื้อตอนนี้ แต่ถ้านักลงทุนเดิมพันด้วยการ Long Call หรือ Short Put แล้วราคาเกิดดิ่ง มันไม่มีแนวรับที่วางใจได้เลย ขณะที่ เหรียญอื่นๆ ก็ร่วงแรงเช่นกัน โดย Ether ร่วงลงมากถึง 12% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ก.พ. 2021 ด้าน Avalanche ร่วงมากกว่า 15% ขณะที่ Solana ร่วง 14% และ Dogecoin ร่วง 11% Antoni Trenchev เสริมว่า หาก Ethereum ร่วงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ $1,200 แนวโน้มของเหรียญทางเลือกอื่นๆ จะยิ่งแย่ลงไปอีก อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-13/bitcoin-sinks-to-18-month-low-as-us-inflation-impact-spreads?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Bitcoin Cryptocurrency Ethereum News Update แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
FINNOMENA Market Alert: ตลาดหุ้นเอเชียร่วงแรง หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 40 ปี - FINNOMENA ดัชนี Nikkei 225, Hang Seng และ Vietnam ร่วงกว่า 2.8%, 2.73% และ 3.27% ตามลำดับ ปรับตัวลดลงตาม Sentiment ตลาดสหรัฐฯ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมสหรัฐฯ ประกาศออกมาที่ 8.6% 13 มิ.ย. 2565 ดัชนี Nikkei 225, Hang Seng และ Vietnam ร่วงกว่า 2.8%, 2.73% และ 3.27% ตามลำดับ ปรับตัวลดลงตาม Sentiment ตลาดสหรัฐฯ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมสหรัฐฯ ประกาศออกมาที่ 8.6% สูงกว่าคาดการณ์ที่ 8.3% และสูงที่สุดในรอบ 40 ปี จากราคาพลังงานและราคาอาหาร ซึ่งอาจทำให้ Fed จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นในการประชุมวันที่ 14-15 มิถุนายนนี้ เพื่อที่จะลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า Fed จะปรับขี้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมสัปดาห์นี้ และในอีกสองครั้งถัดไปในเดือนก.ค.และก.ย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวได้มากขึ้น นอกจากนั้นตลาดหุ้นจีน ยังมีความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของ Covid-19 อีกครั้งที่ปักกิ่งซึ่งตรวจพบผู้ติดเชื้อ 51 รายจากบาร์ชื่อดังในเมือง ทำให้ทางการจีนชะลอการเปิดโรงเรียนที่จะเปิดในวันนี้ รวมถึงที่เซี่ยงไฮ้ที่ปิดเมืองบางส่วนเพื่อตรวจ Covid-19 ครั้งใหญ่ FINNOMENA Investment Team มองว่าสินทรัพย์เสี่ยงยังคงมีโอกาสผันผวนต่อเนื่องจากความกังวลว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 🇯🇵โดยที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น การขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ซึ่งหนุนให้รัฐบาลและธนาคารกลางของญี่ปุ่นยังคงจะใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการเงินที่สวนทางกับ Fed ส่งผลดีต่อการส่งออก ทำให้คาดการณ์กำไร ยังถูกปรับเพิ่มขึ้น จึงแนะนำให้คงสัดส่วนการลงทุน 🇨🇳ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังคงต้องติดตามสถานการณ์ COVID-19 ในเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง พร้อมทั้งติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากทางการจีน ซึ่งด้วยระดับ Valuation และการเติบโตของ EPS ยังมีความน่าสนใจสะสม เมื่อมาตรการ COVID Zero คลี่คลาย 🇻🇳 ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม เศรษฐกิจเชิงโครงสร้างยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามรับข่าวการทุจริตไปแล้ว จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อกฎเกณฑ์ของตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น รวมถึง Valuation ในระยะยาวอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นโลก จึงแนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาว ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: FINNOMENA Market Alert ตลาดหุ้นเอเชีย แชร์บทความ:
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: อีลอน มัสก์ ชอบใช้ของฟรี บ่นโฆษณาสแปมใน YouTube เยอะ ชาวเน็ตแซะ รวยที่สุดในโลกแต่ไม่ยอมซื้อพรีเมี่ยม เชียร์ซื้อ YouTube แก้ปัญหาโฆษณา - FINNOMENA สมคำร่ำลือที่บอกว่า ‘อีลอน มัสก์’ ชอบใช้ของฟรี ชาวเน็ตแซะทำไมไม่ยอมสมัคร Youtube Premium ทั้งที่เป็นคนรวยที่สุดในโลก หลังเขาทวิตบ่นโฆษณาสแปมบน Youtube 10 มิ.ย. 2565 สมคำร่ำลือที่บอกว่า ‘อีลอน มัสก์’ ชอบใช้ของฟรี ชาวเน็ตแซะทำไมไม่ยอมสมัคร Youtube Premium ทั้งที่เป็นคนรวยที่สุดในโลก หลังเขาทวิตบ่นโฆษณาสแปมบน Youtube วันอังคารที่ผ่านมา (7 มิ.ย.) อีลอน มัสก์ ทวีตข้อความบ่นว่า YouTube มีโฆษณาสแปมแบบไม่หยุดหย่อน ทั้งที่พยายามเซ็นเซอร์สิ่งต่างๆ เช่น การสบถ แต่กลับเมินเฉยต่อโฆษณาหลอกลวงซะงั้น เดือดร้อนมาถึง Youtube ที่ต้องออกมาแก้ต่างว่า บริษัทมีนโยบายโฆษณามากมายที่ออกแบบมาเพื่อสู้กับการหลอกลวงและผู้ไม่หวังดี และโชว์ข้อมูลว่าแค่ปี 2021 เพียงปีเดียว บริษัทได้บล็อกและลบโฆษณาไปถึง 175 ล้านรายการ เนื่องจากละเมิดนโยบาย ขณะที่ชาวเน็ตก็ออกมาแซะว่า ทำไมคนรวยที่สุดในโลกไม่ยอมสมัคร Youtube Premium แค่เดือนละ $11.99 เท่านั้น ซึ่งถือเป็นเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 218,100 ล้านดอลลาร์ จะได้ไม่ต้องทนเห็นโฆษณาสแปม ความประหยัดของอีลอน มัสก์เป็นที่เลื่องลือ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยออกมาบอกว่าไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง และใช้วิธีขออาศัยนอนบ้านเพื่อนไปเรื่อยๆ แทน 📌 อ่านข่าวนี้ต่อได้ที่นี่ ขณะที่ ชาวเน็ตบางส่วนแซวให้อีลอน มัสก์ ซื้อแพลตฟอร์ม Youtube ไปเลย เพื่อทำให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก (free speech) รวมถึงหยุดโฆษณาสแปมที่หลอกลวงผู้คน โดยบางคนถึงกับบอกให้อีลอน มักส์ ล้มดีล Twitter แล้วมาซื้อ Youtube แทน ที่มา: https://www.businessinsider.com/elon-musk-criticizes-youtube-for-scam-ads-twitter-purchase-2022-6 https://www.newsweek.com/elon-musk-urged-buy-youtube-after-ad-complaints-1713642 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: Elon Musk News Update YouTube แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: ‘เยลเลน’ ชี้ คริปโทฯ เสี่ยงมากไม่เหมาะเป็นแผนเกษียณอายุแนะคองเกรสควรเร่งจัดการ - FINNOMENA เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า คริปโทเคอเรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความ “เสี่ยงมาก” สำหรับแผนการออมเพื่อการเกษียณสำหรับบุคคลทั่วไป และสนับสนุนให้สภาคองเกรสเข้าไปจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง 10 มิ.ย. 2565 เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า คริปโทเคอเรนซีเป็นสินทรัพย์ที่มีความ “เสี่ยงมาก” สำหรับแผนการออมเพื่อการเกษียณสำหรับบุคคลทั่วไป และสนับสนุนให้สภาคองเกรสเข้าไปจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เมื่อวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย) ที่กรุงวอชิงตัน ในงานที่จัดโดย the New York Times เจเน็ต เยลเลน ระบุว่า “คริปโทฯ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะแนะนำให้คนส่วนใหญ่ลงทุนเพื่อวัยเกษียณ สำหรับฉันแล้วคริปโทฯ เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก” เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา บริษัทผู้จัดการกองทุน Fidelity Investments ได้ประกาศว่าจะเพิ่มการลงทุน Crypto เข้าไปในแผนการออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งกรมแรงงานสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณต่อต้านแผนดังกล่าว ในขณะที่เยลเลนก็ได้ตอบประเด็นดังกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่สภาคองเกรสควรกำหนดเกณฑ์อย่างชัดเจนว่า สินทรัพย์ใดที่สามารถรวมอยู่ในแผนการออมเพื่อการเกษียณ เช่น แผนเกษียณอายุ 401 (K) เป็นต้น” เยลเลนยังกล่าวเสริมว่า เธอไม่ได้แนะนำให้เพิ่มคริปโทฯ ลงในแผนเกษียณ แค่มองว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่สภาคองเกรสควรจัดการเรื่องนี้ ที่มา: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-09/yellen-says-crypto-is-very-risky-option-for-retirement-savers?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update การลงทุน คริปโต คริปโตเคอร์เรนซี คริปโท แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: Cathie Wood เชียร์หุ้น Zoom ชี้ราคาจะพุ่ง 13 เท่าใน 4 ปี มั่นใจกระแส Work from Anywhere พนักงานเก่งไม่อยากเข้าออฟฟิศแล้ว - FINNOMENA Cathie Wood ออกบทวิเคราะห์หุ้น Zoom ตั้งราคาเป้าหมาย $1,500 ภายในปี 2026 หรือ 13.6 เท่า จากราคาปัจจุบันเชื่อมั่นเทรนด์ทำงานที่ไหนก็ได้ หรือ Work from Anywhere (WFA) จะยังอยู่ แม้หมดยุคโควิดไปแล้วก็ตาม 10 มิ.ย. 2565 Cathie Wood ออกบทวิเคราะห์หุ้น Zoom ตั้งราคาเป้าหมาย $1,500 ภายในปี 2026 หรือ 13.6 เท่า จากราคาปัจจุบันเชื่อมั่นเทรนด์ทำงานที่ไหนก็ได้ หรือ Work from Anywhere (WFA) จะยังอยู่ แม้หมดยุคโควิดไปแล้วก็ตาม ARK Invest ให้เหตุผลว่า พนักงานทักษะสูงที่สามารถ WFA ได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ต้องการกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศอีกต่อไปแล้ว และนี่คือสาเหตุสำคัญที่จะดันให้ราคาหุ้น Zoom พุ่งมากกว่า 10 เท่า ในช่วง 4 ปีต่อจากนี้ สอดคล้องกับ Slack ระบุว่า ปฏิกิริยาเชิงลบที่รุนแรงของพนักงานทักษะสูงต่อการเข้าออฟฟิศ และการขาดแคลนแรงงานฝีมือจะบังคับให้นายจ้างต้องออกรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น คาดการณ์ราคาหุ้น Zoom ภายในปี 2026 ของ Ark โดยราคาหุ้น Zoom ในปัจจุบันอยู่ที่ $110 ✦ กรณีที่เป็นไปได้มากที่สุด (Base Case): $1,500 หรือ 13.6 เท่า จากราคาปัจจุบัน ✦ กรณีที่แย่ที่สุด (Bull Case): $2,000 หรือ 18.2 เท่า จากราคาปัจจุบัน ✦ กรณีที่ดีที่สุด (Bear Case): $700 หรือ 6.4 เท่า จากราคาปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ Ark จะมีมุมมองบวกอย่างมากต่อหุ้น Zoom เพราะเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนสูงสุดใน ARKK ที่ 9.5% ขณะที่กองทุน ARKW ยังถือครองหุ้น Zoom ในสัดส่วนสูงถึง 8.1% สิ่งที่น่าสนใจคือ มุมมองที่สวนทางกันระหว่าง Cathie Wood และ Elon Musk เพราะ ซีอีโอของ Tesla เพิ่งบังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์โดยแทบไม่มีข้อยกเว้น จำนวนพนักงานทักษะสูงที่ระบุตำแหน่งได้ในปีที่แล้วอยู่ที่ 489 ล้านคน และ 51% จากจำนวนนั้นทำงานแบบยืดหยุ่น โดย Ark คาดการณ์ว่า จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็น 832 ล้านคนในปี 2026 และสัดส่วนของคนที่ทำงานแบบยืดหยุ่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 75% การแพร่ระบาดทำให้แอปพลิเคชันที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเติบโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่ง Zoom คือหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมูลค่าตลาดในเดือน ต.ค. 2020 ทะลุ 140,000 ล้านดอลลาร์ และแซงหน้า ExxonMobil อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายเดือนที่แล้ว Zoom รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกหดตัวลงครึ่งหนึ่งหลังค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 34% ขณะที่ราคาหุ้นติดลบแล้ว 40% ในปีนี้ หลังบทวิเคราะห์ของ Ark ออกมา หลายคนแสดงความเห็นว่า ทุกวันนี้ใช้แต่ Google Meet หรือ Microsoft Teams ในการประชุม ไม่ค่อยได้ใช้ Zoom และอยากรู้ถึงกลยุทธ์ระยะยาวว่าทำไม Ark ถึงเลือก Zoom Brett Winton ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Ark ออกมาทวีตข้อความอธิบายถึง 3 เหตุผลที่ Zoom ดีกว่าแอปอื่น ✱ เหตุผลแรกคือ คุณภาพ ✱ Zoom ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าทั้งในแง่คุณภาพของวิดีโอ เสียง และการเชื่อมต่อ ที่สำคัญ Zoom ยังทำได้ดีกว่ามากในกรณีการประชุมกับภายนอกองค์กร (Outbound Meeting) โดย Brett กล่าวว่า Google Meet และ Microsoft Teams แค่ดีพอ แต่ยังไง Zoom ก็ยังดีที่สุด ✱ เหตุผลที่สองคือ การทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่น ✱ Zoom สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์อื่นๆ ได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ Google Meet และ Microsoft Teams ที่มักจะให้ผู้ใช้งานใช้แต่ผลิตภัณฑ์ใน Ecosystem ตัวเอง โดย Brett ย้ำว่า เทคโนโลยีที่ช่วยให้ลูกค้าชนะจะเป็นเทคโนโลยีที่ชนะในท้ายที่สุด ✱ เหตุผลสุดท้ายคือ แผนพัฒนา AI ✱ Zoom เตรียมเน้นพัฒนาระบบ AI ในชุดข้อมูล (Data Set) ของการประชุม แน่นอนว่าการประชุมระดับองค์กรถือเป็นชุดข้อมูลที่มีค่ามากที่สุดในโลก เพราะเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจ อ้างอิง: https://ark-invest.com/articles/analyst-research/arks-zoom-model/ https://fortune.com/2022/06/09/cathie-wood-ark-invest-predicts-zoom-bull-run/?fbclid=IwAR2rBsWbdxqVM1u1tjxPsCPoSrxmtyqphmu1tKK998guWAQw28qpKOob0Ro https://twitter.com/wintonARK/status/1534934839475855368 ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: ARK Cathie Wood News Update Zoom แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }
News Update: รัฐบาลจีนผ่อนคลาย ลดคุมเข้มหุ้นเทคฯ จีน Alibaba, Bilibili และ JD สดใส หุ้นบวก 3 วันติด หลังรัฐบาลจีนอนุมัติเกมเพิ่ม - FINNOMENA หุ้นเทคโนโลยีจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา 3 วันติดต่อกันแล้ว หลังทางการจีนอนุมัติเกมเพิ่ม ส่งสัญญาณผ่อนคลานด้านกฎระเบียบในธุรกิจอินเทอร์เน็ต 9 มิ.ย. 2565 หุ้นเทคโนโลยีจีนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมา 3 วันติดต่อกันแล้ว หลังทางการจีนอนุมัติเกมเพิ่ม ส่งสัญญาณผ่อนคลานด้านกฎระเบียบในธุรกิจอินเทอร์เน็ต เมื่อคืนนี้ (8 มิ.ย.) ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ปรับตัวขึ้นมาอีก 5.7% แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน นำโดยหุ้น Alibaba ที่พุ่งขึ้นมาถึง 15% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ขณะที่ Bilibili แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิ่ง เพิ่มขึ้น 6% และ JD.com เพิ่มขึ้น 7.7% ขณะที่ Wall Street Journal รายงานว่า ทางการจีนกำลังเตรียมสรุปการสอบสวน Didi Global และจะเลิกแบนแอป Didi ใน App Store และ Google Play ภายในสัปดาห์นี้ Adam Montanaro ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนจาก Abrdn กล่าวว่า กำไรและกฎระเบียบที่เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยการอนุมัติเกมตอกย้ำท่าทีที่ผ่อนปรนต่อภาคเทคโนโลยีมากขึ้นของทางการจีน การปรับตัวขึ้นมาของหุ้นเทคโนโลยีจีน หักล้างให้ดัชนี Nasdaq Golden Dragon China ขาดทุนเพียง 11% ในปีนี้ และมีผลตอบแทนดีกว่า Nasdaq 100 ที่ร่วงลงมา 23% หุ้นอินเทอร์เน็ตของจีนกำลังส่งสัญญาณสดใส ในเวลาที่หุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น นอกจากนี้การคลายล็อกดาวน์และการประกาศงบที่ออกมาดีเกินคาดได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายคนรวมถึง Manuel Muehl จาก DZ Bank AG มองว่า รัฐบาลจีนยังคงยึดมั่นกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ดังนั้นการมองบวกเกี่ยวกับหุ้นจีนตอนนี้อาจเร็วเกินไป อ้างอิง: https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-08/alibaba-bilibili-eye-fresh-gains-as-china-approves-more-games?sref=e4t2werz ——————- 👍 อย่าลืมกดไลก์ Page The Opportunity เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน Facebook: https://finno.me/the-opp-fb Youtube: https://finno.me/youtube-channel แท็ก: News Update หุ้นจีน หุ้นจีนในสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีจีน แชร์บทความ: ผู้เขียน THE OPPORTUNITY ศูนย์รวมข่าวสารด้านเศรษฐกิจ และการเงิน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสด้านการลงทุน โดย FINNOMENA
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.finnomena" }