date
stringlengths
12
13
title
stringlengths
20
290
text
stringlengths
9
61.3k
27 พ.ย. 2560
ชาวประจวบฯกว่า 2 หมื่นคนต้อนรับ ตูน บอดี้สแลม วิ่งผ่านตัวเมือง แวะสักการะศาลหลักเมืองประจวบฯ
ที่บริเวณหน้าศาลหลังเมืองประจวบคีรีขันธ์ ชาวประจวบคีรีขันธ์ ทั้งข้าราชการ ประชาชน และเด็กนักเรียน นักศึกษา ได้มาร่วมกันให้กำลังใจกับนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม นักร้องขวัญใจคนไทย พร้อมคณะทีมงานก้าวคนละก้าว ที่วิ่งเพื่อรับบริจาคหาเงินมอบให้โรงพยาบาลต่างๆ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ จากสุดเขตแดนใต้ อ.เบตง จ.ยะลา ไปเหนือสุดแดนสยาม จ.เชียงราย ระยะทาง 2,191 กม. ซึ่งตั้งเป้าระดมเงินบริจาค 700 ล้านบาท โดยหลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ย.2560 ที่ผ่านมา นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม และคณะนักวิ่งโครงการก้าวคนละก้าว มีดารานักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาร่วมวิ่งด้วยหลายคน โดยได้ทำการวิ่งจาก อ.บางสะพาน มาถึงพื้นที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ สำหรับวันนี้ ตูน บอดี้สแลม ได้เริ่มออกวิ่งในเซตที่ 1 พร้อมกับดารานักร้องนักแสดงขวัญใจมวลชน อาทิ ติ๊กชีโร่ ก้อย รัชวิน สุรวุฒิ ไหมกัน ฮั่นเดอะสตาร์ เป็นต้น ซึ่งเริ่มออกวิ่งจากบ้านหว้าโทน ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ผ่านถนนเลียบทางรถไฟสายประจวบฯ-หว้ากอ เข้าสู่กองบิน 5 อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ผ่านอ่าวมะนาว อ่าวประจวบ และเมื่อวิ่งผ่านเข้าตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ตรงไปยังศาลหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นางศิริพรรณ กลีบจันทร์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสุวิทย์ พุกกะเวส นายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ และนายกิตติกรณ์ เทพอยู่อำนวย หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มาให้กำลังใจและร่วมบริจาคเงินสมทบเป็นจำนวนมากและตลอดเส้นทางถนนสละชีพ โดยก่อนหน้านี้ ตูน บอดี้สแลม ได้รับมอบเงินบริจาคสมทบโครงการจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กองบิน 5 สโมสรฟุตบอลประจวบเอฟซี และสมาคมกีฬาจังหวัด ที่บริเวณหน้าอนุสาวรีย์วีรชน 8 ธันวาคม 2484 รวมเป็นเงินกว่า 600,000 บาท โดยมี นาวาอากาศเอก อนิรุทธ์ รัฐพร ผู้บังคับการกองบิน 5 นายทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และหัวหน้าส่วนราชการ ที่มาต้อนรับและร่วมมอบเงินสมทบตามลำดับ โดยยอดเงินบริจาคในโครงการ ขณะนี้อยู่ที่กว่า 337 ล้านบาท จากนั้นตูน บอดี้สแลม และคณะ ได้วิ่งออกจากศาลหลักเมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้เส้นทางถนนประจวบคีรีขันธ์-ถนนเพชรเกษม เพื่อวิ่งเข้าสู่เขต อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นอำเภอต่อไป
24 พ.ย. 2560
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ซึ่งยังความเศร้าโศกอาลัย ให้แก่พสกนิกรชาวไทยอย่างใหญ่หลวง โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน พระราชานุญาต ให้รัฐบาล และประชาชนชาวไทยจัดงานพระราชพิธี ถวายพระเพลิง พระบรมศพฯ เพื่อถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามขัตติยะโบราณราชประเพณี ซึ่งบัดนี้ ได้สำเร็จลุล่วง อย่างเรียบร้อย สมบูรณ์ สมพระเกียรติ แล้ว ซึ่งนับเป็นการรวมพลัง ความสามัคคี ทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติงาน อย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และเนื่องในโอกาสดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเลี้ยงอาหาร แก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานพระราชพิธี ถวายพระเพลิง พระบรมศพฯ เมื่อวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ อีกทั้งยังจะเป็นขวัญ และกำลังใจอันสำคัญ ให้แก่ผู้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชน ตามพระราชปณิธาน สืบไป พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน พระราชวโรกาส ให้นายกรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับพระราชทานวีดิทัศน์ “สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา” ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ น้ำคือชีวิตแผ่นดิน พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ พืชพรรณปลูกชีวิตมั่นคง และเศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต โดยมีพระราชปรารภ สรุปใจความว่า “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานไว้ มีมากมาย และมีคุณค่าคุณูปการ สำหรับการพัฒนา ประเทศชาติ และสร้างความสุขให้แก่ประชาชน จึงมีพระราชประสงค์ให้ศึกษาและน้อมนำพระราชดำริต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม และพอเพียงทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ไม่เพียงน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชาต่าง ๆ เป็น “กรอบแนวคิดหลัก” สำหรับการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การจัดทำแผนปฏิรูปประเทศ และนำไปสู่การปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังได้นำไปเผยแพร่อย่างมีระบบและเป็นรูปธรรม ในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาคมโลกต่อไป อีกด้วย โดยหลายประเทศได้นำไปประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับบริบทของตนแล้ว ในปัจจุบัน สำหรับในประเทศของเราเอง ตั้งแต่ระดับจังหวัด ลงมาถึงท้องถิ่น ผมเห็นตัวอย่างการน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” ไปประยุกต์ใช้จนประสบผลสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่อง “การระเบิดจากข้างใน” และการรวมกลุ่มสร้างพลังในสังคมของตน ตามที่รัฐบาลนี้ เรียกว่า “พลังประชารัฐ” จึงขอนำมากล่าวคร่าว ๆ เพื่อเป็นแนวทาง และเป็นกำลังใจ ให้กับกลุ่มอื่นๆ ได้ฟัง ดังต่อไปนี้ 1. ขอนแก่นโมเดล ซึ่งเป็นความร่วมมือของคนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเทศบาล ภาคเอกชน 20 บริษัท และภาคประชาสังคม เป็น “ประชารัฐ” ที่เข้มแข็ง ในการพัฒนาเมือง วางผังเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้ารางเบา (LRT) และ Smart Bus เป็นต้น ตามแนวคิด Smart City เพื่อจะรองรับการเติบโตของเมืองที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และของภาคสอดคล้องกับความต้องการของคนขอนแก่น ที่ได้มีส่วนร่วม อย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นตัวอย่างความเข้มแข็งด้วยตนเอง โดยไม่รอพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน แต่เพียงอย่างเดียว 2. ‘บ้านผาสุข’ ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ 130 ครัวเรือน ที่เป็นที่ตั้งของโครงการพระราชดำริศูนย์ภูฟ้า สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ผู้คนพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ชุมชนเริ่มประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอ สำหรับเกษตรกรรม และอุปโภคบริโภค เป็นที่มาของโครงการพัฒนาระบบการจัดการน้ำ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้ามาอบรมกระบวนการทำวิจัยเพื่อท้องถิ่น มีการระดมความคิด ช่วยคิดช่วยทำ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และสร้างความเข้าใจระหว่างกัน นำมาสู่การวางแผน สืบค้นปัญหา จัดเก็บข้อมูล ตั้งแต่การใช้น้ำของแต่ละครัวเรือน สำรวจแหล่งต้นน้ำ สอบถามผู้สูงอายุและปราชญ์ชุมชน จดบันทึก ลงพื้นที่สำรวจแล้วนำข้อมูลทั้งหมดจัดทำเป็น “ฐานข้อมูล” กลายเป็นคู่มือของชุมชน สำหรับใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำของชุมชน อีกทั้ง มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชุมชนให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน เช่น มีกฎกติกาของชุมชนในการใช้ประโยชน์จากดิน ป่า น้ำ มีการฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ การปลูกป่าเสริม และป่าชุมชน โดยแบ่งการใช้ประโยชน์เป็น 3 ส่วน ได้แก่ ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ และป่าใช้สอย ตลอดจนสร้างจิตสำนึกการรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกันพัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ภายใต้หลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” จะเห็นได้ว่าความร่วมมือกันแก้ปัญหาในอดีตนั้น หรือวางรากการพัฒนาในอนาคตในทุกมิติ จะต้องเริ่มจากคนในพื้นที่เอง เหมือนการ “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน เพราะกลไก “ประชารัฐ” มีอยู่ในทุกระดับ ทุกพื้นที่ หากรวมตัวกันได้ เข้าใจกันได้ ก็จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เรื่องดี ๆ เกี่ยวกับปากท้องของเราทุกคน ที่ผมอยากมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือ การได้เห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัวถึงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และนับว่าสูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส ที่ผ่านมา ถ้ามองภาพรวม 3 ไตรมาสของปี 2560 นี้ เศรษฐกิจไทยโต ร้อยละ 3.8 และคาดว่าเมื่อรวมไตรมาส 4 แล้ว ตลอดปีน่าจะเติบโตได้ ร้อยละ 3.9 ซึ่งน่าจะมีกรขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีหน้า เราก็คาดว่าจะขยายตัวถึง ร้อยละ 4.1 หากเรามองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่อง นับจากที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศในปี 2557 ที่เรามีการเติบโตได้เพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และเรามีปัญหาความขัดแย้งในประเทศ แต่นับจากปี 2558 และ 2559 เราก็ขยายตัวได้ดีขึ้น ต่อเนื่อง เป็นร้อยละ 2.9 และ 3.2 ตามลำดับ เนื่องจากความมีเสถียรภาพในประเทศ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งในและระหว่างประเทศ แม้ภาพรวมของโลกจะยังชะลอตัวอยู่บ้าง และค่อย ๆ ฟื้นตัว ที่ผ่านมา ภาครัฐก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ในการที่จะออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งการใช้จ่าย การลงทุน และมาตรการด้านภาษี กฎหมาย เพื่อจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจได้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง มีการขยายตัวอย่างราบรื่นสม่ำเสมอ ปัจจุบันเราก็เห็นว่าภาคเอกชน ได้เริ่มออกมาใช้จ่าย ลงทุนกันมากขึ้น ตามลำดับ มากบ้างน้อยบ้าง รวมถึงการส่งออกที่ฟื้นตัว และแข็งแกร่งขึ้น มีการขยายวงกว้างมากขึ้นไปในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะในไตรมาสล่าสุดนี้ ทั้งนี้ สินค้าส่งออกสำคัญ ที่ขยายตัวในอัตราที่สูง ได้แก่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว มันสำปะหลัง และน้ำตาล ซึ่งก็จะเป็นรายได้ให้กับภาคธุรกิจ และพี่น้องประชาชน ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ของกลุ่มสินค้าเหล่านี้ เราต้องย้อนกลับมาดูว่า ราคาวัสดุเหล่านั้นที่เกษตรกรได้รับนั้นมีความสมดุลหรือไม่ กับการที่มูลค่าสินค้าเหล่านี้ในการส่งออกมีมากขึ้น เพราะว่าบางอย่างนั้นกลไกการตลาดนั้นกดทับอยู่ ซึ่งเราก็จำเป็นต้องหารือกับทั้งในประเทศ กับต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นการที่ยากพอสมควร เพราะทุกประเทศก็แข่งขันกัน ในการที่จะลดราคาสินค้าเพื่อจะขายได้มากขึ้น ของเราก็จำเป็นต้องไปดูที่ต้อนทางด้วย อันนี้อยากเรียนพี่น้องเกษตรกรให้เข้าใจนะครับ เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็จะทำให้ดีขึ้นต่อไป ล่าสุด เราได้เห็นการขยายตัวที่ชัดเจนขึ้น ในผลผลิตภาคเกษตร การขนส่ง โรงแรมและภัตตาคาร รวมถึงภาคการค้า ซึ่งหมายถึงการจ้างงาน และรายได้ ในกลุ่มเหล่านี้ ที่จะมีต่อเนื่อง และในภาพรวม เม็ดเงินเหล่านี้ ก็จะถูกหมุนเวียนผ่านการจับจ่ายใช้สอย ซื้อวัตถุดิบในการผลิต และการจ้างงาน ต่อกันเป็นทอด ๆ ลงไปสู่พี่น้องประชาชนได้ อย่างทั่วถึงในที่สุด อีกทั้งยังจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การที่เราทยอยฟื้นตัว จากช่วงที่เศรษฐกิจผ่านเหตุการณ์หลาย ๆ อย่าง รวมถึงความท้าทายของโลกยุคนี้ ซึ่งได้แก่การที่ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทั่วโลกมายาวนาน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจนอาจเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ และภัยธรรมชาติที่เกิดบ่อยครั้งสร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น แต่การกระจายตัวของรายได้ ผลตอบแทนจากการลงทุน อาจจะยังลงไปไม่ทั่วถึงพี่น้องประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาก และยังไม่สามารถปรับตัวได้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ผมจึงอยากจะเรียนว่า ภาครัฐได้ตระหนักถึงปัญหานี้ และไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มไปกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว จนไม่ได้มองว่าจะมีการกระจายตัวของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ยังลงไปไม่ถึงทุกกลุ่ม หรือไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร ยังไม่พอเพียงจะเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้เร่งดำเนินมาตรการหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย เช่น การใช้เงินผ่านบัตรสวัสดิการ ที่แจกจ่ายไปแล้ว 92% คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,200 ล้านบาท ณ ร้านธงฟ้าราว 20 ล้านครั้ง และเมื่อวางเครื่อง EDC ครบ 18,000 เครื่อง ตามเป้าหมายสิ้นเดือนนี้ ก็น่าจะมีเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ดีขึ้นอีก นอกจากนี้ ก็มีการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และน้ำท่วม รวมถึงธุรกิจ Micro SMEs ผ่านกลไกประชารัฐ เพื่อจะให้สามารถประกอบธุรกิจ และดำเนินชีวิต ในช่วงที่ต้องปรับตัวในระยะ สั้นได้ รวมถึงการปฏิรูปด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ ภาคเกษตร กฎหมาย การศึกษา สาธารณสุข เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมมากยิ่งขึ้น ให้กับพี่น้องประชาชนและธุรกิจขนาดเล็ก ในระยะยาวอีกด้วย ทุกอย่างต้องเริ่มแก้ปัญหาภายในก่อนนะครับ แล้วก็ทำตั้งแต่การบูรณาการไปด้วย เพื่อจะให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยตรง ลงไปสู่พี่น้องประชาชนทุกกลุ่มทุกระดับนะครับ ระยะต่อไปรัฐบาลก็จะคงมุ่งมั่นจะเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเร่งลงทุนในโครงการต่าง ๆ ให้ได้อย่างเต็มที่ เพราะทุกอย่างนั้นต้องผ่านกลไกตามขั้นตอนของกฎหมาย ก็ขอความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านที่ดิน การจัดพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ รัฐบาลก็ดูแลอย่างเต็มที่ เรามีงบประมาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ทั้งของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ อีกทั้งมีมาตรการช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ที่จะดำเนินการต่อเนื่อง ในปีหน้า ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ก็จะเป็น “เข็มทิศนำทาง” ในการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจน และมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น การกระทำผิดกฎหมายไปด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เม็ดเงินที่ไม่สุจริตรับ ก็จะไม่อออกมาวนเวียนอยู่ในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาบ้าง เพราะคนมีรายได้น้อยส่วนใหญ่ก็มีอาชีพรับจ้าง เพราะฉะนั้นเงินเหล่านี้ก็อาจจะต้องกายไปส่วนหนึ่ง จะทำยังไง เราก็ควรจะต้องทำให้ถูกต้องซะ เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาเข้ามาบ้าง มากขึ้น การทำธุรกิจผิดกฎหมายลดลง ทางรัฐบาลพยายามมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ก็ขอความร่วมมือจากภาคประชาชน พี่น้องทั้งหลายด้วย ในส่วนของการเดินหน้าทางการเมืองสู่การเลือกตั้งตาม Roadmap ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชน และประชาคมโลกด้วย ดังนั้น ทุกคนก็ควรจะหารือกัน ว่าวันหน้าเราจะอยู่กันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ภาคธุรกิจ ประชาชน รัฐบาล คสช. ต้องมีหนทางร่วมมือกันซิ ไม่ใช่ติติงกันไปมา รัฐบาลผมไม่ได้มีนโยบายในการที่จะไปต่อสู่ ปิดกั้น กีดขวางท่านเลย ก็อย่ามาบิดเบือนซึ่งกันและกัน ต่อไปก็จะทำทุกอย่างสามารถจะพูดคุย เจรจา หาหนทางออกกันได้ ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ ผมอยากจะขอความร่วมมือให้ทุกฝ่าย ได้ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หันหน้าพูดคุยหารือกัน รับฟังกันอย่างมีเหตุมีผล และด้วยหลักการ ด้วยเหตุผล ด้วยปัจจัยภายใน ภายนอกที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่คิดเอาเอง หรือมาเปรียบเทียบกับในช่วงบางช่วง ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์เช่นในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายอย่าเข้ามาประกอบด้วย ก็ขอให้ช่วยกันเสนอแนะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เราจะต้องยึดมั่นจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็คือ การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ในระยะยาว สิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุด จากพี่น้องประชาชนคือ การเตรียมตัวเองให้พร้อม ในการการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกทุกวันนี้นั้น ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเรื่องเทคโนโลยี ที่เราจะต้องก้าวให้ทัน “รู้เท่าทัน” ก้าวไปกับเทคโนโลยี และโลกยุคดิจิตอล เพื่อจะแสวงหาโอกาส สร้างนวัตกรรม มุ่งไปสู่การผลิตที่มีมูลค่ามากขึ้น ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยเฉพาะในเรื่องสินค้าเกษตร นับวันประเทศคู่แข่ง ต่างก็จะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ผลผลิตก็สูงขึ้น มีการพัฒนาพันธ์ขึ้นมาแข่งขันกับเรา ส่งผลกดดันให้ราคาตกต่ำ อีกทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่รุนแรงขึ้นนะครับ เราก็ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การผลิต ให้เลือกผลิตพืชผลที่เหมาะกับพื้นที่ เหมาะกับฤดูกาล เหมาะกับดิน กับน้ำ กับอากาศ อันนี้สำคัญที่สุด สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วย เคยเรียนไปแล้วว่าดูซิว่า ประชาชนอยากรับประทานอะไร ชอบอะไร ต่างชาติชอบสินค้าแบบไหน เราก็ผลิตแบบนั้นออกมานะครับ จะยากหน่อยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราเคยทำมายาวนาน มีความเคยชินนะครับ ก็ขอให้เริ่มศึกษา นำ Agrimap มาใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด และดูสถานการณ์น้ำด้วย มีโปรแกรมต่าง ๆ มีเว็ปไซต์มากมาย รวมความไปถึงในเรื่องของการให้ข้อมูลในเรื่องของการเพาะปลูกต่าง ๆ ในเรื่องของการใช้วิธีการของปราชญ์ชาวบ้านหรือการบริหารจัดการของภาคการเกษตรที่ดำเนินการในลักษณะเป็น smart farmer เหล่านี้ ท่านต้องติดตามในเว็ปไซต์ของรัฐบาลและของอื่น ๆ ภาครัฐต้องเร่งสนับสนุนให้ข้อมูล ขยายการผลิตเพื่อทำเมล็ดพันธุ์ให้ลงไปสู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยอาจจะกระทรวงเกษตรผลิตได้ไม่พอเพียง ต้องไปหาพื้นที่ในการกำหนดการเพาะปลูกเพื่อทำเมล็ดพันธุ์ในพืชทุกชนิด จะได้ไม่ต้องเอาไปขายแต่เพียงแปรรูปอย่างเดียว ถ้าคิดทำเมล็ดพันธุ์ ราคามันก็สูงขึ้น ฉะนั้นคงต้องไปเลือกพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ในการที่จะผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ และขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย เพิ่มเติมมาจากของรัฐบาล จะได้ไม่ต้องใช้เงินมากในการที่จะต้องไปซื้อจากภายนอก ทั้งนี้ ก็เป็นทางเลือกของประชาชนนั่นเอง รวมถึงในเรื่องของการช่วยเหลือเรื่องเครื่องมือ การจัดระเบียบเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการเกษตร และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ได้มากขึ้น รวมทั้งให้การสนับสนุนที่ตรงตามความต้องการของประชาชน บางคนอาจไม่ต้องการเงินทุน แต่ต้องการความรู้ ต้องการเทคโนโลยี ต้องการในเรื่องของการตลาด การบริหาร ในเรื่องของการผลิต การแปรรูปและการจำหน่าย เราจะได้สามารถพัฒนาการผลิตของตนในระยะยาวได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำไปสู่การทำให้ครบวงจร เพิ่มผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้ง start up , SMEs และไปสู่การเป็นบริษัทขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ต่อไปในอนาคต เราต้องเริ่มใหม่นะครับ รวมกันให้ได้ รวมกลุ่มสหกรณ์ รัฐวิสาหกิจ บริษัทประชารัฐ ต้องเข้มแข็ง เราสู้กันไปสู้กันมาเวลานี้ไม่ได้แล้วนะครับ เราต้องเปิดช่องทางของตนเอง เราส่งเสริมตรงนี้ เพราะนี่คือการส่งเสริมให้มีการพัฒนาเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งภายใน ที่เรียกว่าระเบิดจากข้างใน เกิดจากใจของประชาชนเอง ของเกษตรกรเอง เราเอาทุกอย่างมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพื่อการลดต้นทุน สำหรับพี่น้องแรงงานเองก็ต้องเรียนรู้ เข้าใจการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งเตรียมพร้อมในการที่จะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงเข้าสู่งานใหม่ที่มีรายได้มากขึ้น หรือกรณีที่แหล่งจ้างงานต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนการใช้แรงงานของท่าน ก็ต้องมีการยกระดับ เพิ่มศักยภาพของตนเอง ให้เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองด้วย ภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ได้มีนโยบายสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดหลักสูตรระยะสั้น ในการพัฒนาฝีมือและความเชี่ยวชาญ เพื่อให้แรงงานมีทักษะ ความรู้ ที่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการในยุค 4.0 ด้วยนะครับ ขอให้ลองติดตามและใช้ประโยชน์เพื่อเปิดโอกาสให้กว้าง สร้างรายได้ให้สูงขึ้น ให้กับตัวท่านเองต่อไป เพื่อจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป ประชาชน รัฐบาล และทุกคน ต้องร่วมมือกัน พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ตัวอย่างการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ต้องอาศัยการปรับตัว ปรับโครงสร้างเกษตรกรรมของประเทศ ภายใต้หลักคิด “ตลาดนำการผลิต” คือ การผลิตให้มีปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งต้องพิจารณาให้ครบวงจร อาทิ... 1. โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง อันนี้คือต้องแก้ปัญหาเรื่องข้าว ราคาข้าวทุกชนิด ที่ต้องการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวล้นตลาด ไปแข่งขันกับภายนอกซึ่งก็ล้นตลาดเหมือนกัน 5 ปี ที่ผ่านมา เราผลิตข้าวได้ เฉลี่ยราว 36 ล้านตันข้าวเปลือก ในขณะที่มีความต้องการของตลาด เพียง 30 ล้านตันข้าวเปลือก (ใช้ในประเทศ 16 ล้านตัน และส่งออก 14 ล้านตัน โดยประมาณ) เราจำเป็นต้องลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรังลง นาปีก็ว่าไป ตามที่มีน้ำ ในเขต นอกเขตชลประทาน แต่นาปรังเราคงต้องลดลงบ้าง เพื่อทำการเกษตรอย่างอื่น เป็นการพักที่ดินด้วย เพื่อจะพัฒนาดินให้มันดีขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยให้น้อยลง ถ้าเราสามารถลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 150,000 ไร่ ใน 53 จังหวัด ช่วง พ.ย.60 - เม.ย.61 แล้วไปทำกิจกรรมทางเลือกอื่นทดแทน เป็นการทำนาเชิงระบบ ได้แก่ การปลูกข้าวสลับพืชอื่น สำหรับเป็นวัตถุดิบเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอาหารแปรรูป เช่น ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน และพืชผักสวนครัวนะครับรวมทั้ง เพื่อลดการนำเข้า เช่น ถั่วเหลือง นำเข้า 2.2 ล้านตันต่อปี ถั่วลิสง นำเข้า เกือบ 100,000 ตันต่อปี และถั่วเขียว นำเข้า 30,000 ตันต่อปี เหล่านี้ เป็นต้น ก็จำเป็น ขาดแคลนก็ต้องเอาเข้ามา แต่อย่าให้มีการลักลอบ จะมีปัญหาทั้งหมด เพราะทุกคนก็ไม่ซื้อสัตย์ซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็พยายามทำเต็มที่ ทั้งนี้ นอกจากการช่วยลดความเสี่ยงราคาผลผลิตข้าวปีหน้าตกต่ำแล้ว ยังช่วยให้มีรายได้เสริมจากการปลูกพืชอื่น ตัดวงจรการระบาดของศัตรูข้าว ดินก็มีการฟื้นตัวและได้รับแร่ธาตุเพิ่มเติมอีกด้วย รัฐบาลจะเข้าไปส่งเสริมทางวิชาการ และค่าใช้จ่าย ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ ก็ขอให้ ให้ความสนใจ เข้ามาร่วมโครงการด้วย 2. โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ซึ่งเป็นกิจกรรมทางเลือก เพิ่มเติมจากโครงการแรก เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 เพื่อลดรอบการปลูกข้าว ส่งเสริมการปรับปรุงบำรุงดิน ให้มีความสมบูรณ์ เป็นผลดีในการเพิ่มผลผลิตในฤดูกาลถัดไปมีพื้นที่ทำนาปรัง 22 จังหวัด ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำแม่กลอง ประมาณ 200,000 ไร่ ตั้งแต่ พ.ย. 60 - มิ.ย.61 รัฐบาลจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด และงบค่าไถ 2 ครั้ง คือ ไถเตรียมดินและไถกลบ 500 บาทต่อไร่ต่อครั้ง และครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์นี้ ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการได้ทั้ง 2 โครงการแล้ว ผมไม่เพียงแต่อยากเชิญชวนให้พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายเข้าร่วมในโครงการดังกล่าว โดยสมัครใจเท่านั้น แต่ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนัก ได้เข้าใจถึงแนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาล เพื่อจะมุ่งสร้างความยั่งยืนใน “วงจรผลิตและตลาดข้าว” ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกคน ซึ่งผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับพี่น้องเกษตรกรทุกคน รวมทั้งผู้ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาง วันนี้ผมได้สั่งการไปยังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว พื้นที่ใดก็ตามที่มีการปลูกยาง ซึ่งเป็นการบุกรุกโดยนายทุน จะต้องตัดทิ้ง ไม่มีการกรีดอีกต่อไป ในส่วนของพื้นที่ที่ประชาชนได้มีความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ก็ได้มีการตรวจสอบ และหามาตรการว่าจะทำอย่างไร ในการที่สามารถจะมีรายได้จากผลผลิตยางเหล่านั้นได้ด้วย แต่ต้องถูกกฎหมายนะครับ ตอนนี้ก็สั่งการไปหมดแล้ว เรื่องของการกรีดยางในสวนป่า ของรัฐบาลก็ลดการกรีดลงไปทั้งหมด เพื่อจะให้ปริมาณยางที่ออกสู่ตลาด ลดลง มิฉะนั้นแล้วปัญหามันก็จะเกิดขึ้น ผมได้สั่งการให้แก้ปัญหาไปทาง กยท. กระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประชุมหารือกัน และนำข้อเสนอทั้ง 6 ข้อของเกษตรกร ชาวสาวนยางมาพิจารณา อะไรทำได้ ไม่ได้ ก็ขอให้ฟังเหตุฟังผลกันด้วย ไม่ใช่จะเอาชนะคะคานกัน รัฐบาล ข้าราชการ ก็มีกฎหมาย มีพันธะสัญญา ต่างประเทศ มากมาย ทำอะไรตามใจตัวเองมาก ๆ มันก็มีปัญหาทั้งหมด ซึ่งต้องดู ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ในเรื่องของการบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรน้ำทั้งระบบ ต้นทุนการผลิต เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องจักรกล พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ เหล่านี้ แหล่งเงินทุน หนี้สิน ตลาดประชารัฐ ตลาดออนไลน์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น เราออกมาเน้น ดึงออกมา ในช่วงแรกก็จะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่ามันจะเป็นความสำเร็จในระยะต่อไป ส่วนหนึ่งที่มีความก้าวหน้ามาได้ ก็มาจากการประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลกันเอง ปากต่อปาก ของเกษตรกรเอง หรือผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต ในส่วนของการให้ข้อมูลข่าวสารของพี่น้องสื่อมวลชนก็เช่นกัน ขอบคุณที่เราจะช่วยกันสร้างความเข้าใจ และร่วมมือให้มากยิ่งขึ้นต่อไป อีกทั้งผมได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ ได้เชื่อมโยง “เครือข่ายวิทยุชุมชน - หอกระจายข่าว” ที่สำคัญมาก ในการที่จะมีบทบาทในชุมชน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารสาธารณะประโยชน์ ให้มากกว่าสิ่งที่เอามาพูดกันแล้วเกิดความเสียหาย ทะเลาะขัดแย้งเช่นเดิม ๆ ก่อนหน้าที่ผมเข้ามานั้น เราคงยอมรับไม่ได้ ก็ขอให้ไปช่วยกันทำประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยุชุมชนเหล่านี้ เพื่อจะให้ถึงมือพี่น้องประชาชนทุกคน ได้รับทั้งข่าวสาร ข้อมูลข้อเท็จจริง ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ บางพื้นที่อาจจะต้องใช้ภาษาถิ่นด้วย สุดท้ายนี้ เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่ง “การรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” ซึ่งเราทุกคนรู้ดีว่า “ครอบครัว หรือบ้าน” เป็นสถาบันที่เล็กที่สุดของสังคม แต่มีความสำคัญที่สุด เอาบ้านก่อน ครอบครัว แล้วถึงไปโรงเรียน แล้วค่อยไปสังคม ประเทศชาติต่อไป สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ก็คือครอบครัว อันเป็น “1 ใน 3 ประสาน” ของหลักการ “บวร” ตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ นอกจาก “อวัจนภาษา” เช่น การกอด หอม แสดงความรักต่าง ๆ แล้ว “วัจนภาษา” หรือคำพูดดีๆ สำหรับคนในครอบครัว เช่น เหนื่อยไหม - รักนะ - มีอะไรให้ช่วยไหม - เก่ง ดีเยี่ยม – พ่อ – แม่ลูก – สามี -ภรรยา ญาติพี่น้อง ใช้ได้ทั้งหมด ขอบคุณนะ - ขอโทษนะ เป็นต้น อย่าใช้อารมณ์ใส่กัน ล้วนช่วยสร้างกำลังใจ และเป็นพลังให้กับทุกคนในครอบครัว รับฟังซึ่งกันและกัน อย่าใช้อารมณ์ ส่วนคำพูดที่ไม่ดี ที่ทำลายจิตใจ ทำลายขวัญ ทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะผู้ใหญ่กับเด็ก บางครั้งก็ต้องฟังเด็กบ้าง ตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่เกิดในรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ลูกหลานก็โตในยุคที่มีดิจิตอล มีเทคโนโลยีที่มันเจริญก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้บางครั้งเราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ลูกก็ต้องเข้าใจพ่อแม่นะครับ ซึ่งผมก็ไม่อยากนำมากล่าว ณ ที่นี้ (ตัวอย่างตามหน้าจอ) ก็ควรลด - ละ - เลิกเสีย นะครับ เพราะนอกจากจะเป็น จุดเริ่มต้นของ “การใช้อารมณ์ เหนือเหตุผล” แล้ว ยังนำไปสู่การใช้กำลังกับคนในบ้าน ลุกลามไปสู่การใช้ความรุนแรงในสังคม - ตามท้องถนน ปัญหาอีกเรื่องนึงก็คือการใช้กำลัง ในเรื่องของการคุกคามทางเพศเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ ถึงแม้จะเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ แต่มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกคนช่วยกันดูแล ถ้าทุกคนมีสติ มีจิตสำนึก และการตัดสินปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง ประทุษร้ายกัน เช่นบนท้องถนน ขับรถอะไรต่าง ๆเหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก สำหรับการใช้ความรุนแรง ทางกาย - วาจา - ใจ เช่น การกักขัง ข่มขืน ข่มขู่ ด่าทอ ทุบตี ทำอนาจาร ฯลฯ เหล่านี้มันเกิดขึ้นมาในสังคมทุกวัน เราเห็นอยู่แล้ว ก็ต้องไปดูในโซเซียลมีเดียนะครับ การที่นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรง หรือว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะแพร่กันต่อมา คำหยาบคาย เว็บที่มันส่อให้เห็นในเรื่องของการหมกมุ่นทางเพศ อะไรเหล่านี้ต้องแก้ไขทั้งหมด แล้วใครจะแก้ ผมก็ไม่สามารถจะไปตามได้ทั้งหมด เพราะมีจำนวนเยอะมาก เพราะทุกคนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยี การใช้ดิจิตอลจำนวนมากนะครับ ประเทศไทยถือเป็นอันดับแรก ๆ ในอาเซียนด้วย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชีวิต ของประเทศชาติ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิขั้นพื้นฐาน สำหรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนต้องพิทักษ์ไว้ ต้องไม่ละเมิดผู้อื้น การที่เราจะเขียนในโซเซียลมีเดีย หรือไปให้ร้ายใครโดยที่เราไม่มีข้อเท็จจริง อันนั้นก็ละเมิดสิทธิผู้อื่น อย่ามองว่าจ้องแต่รัฐบาลจะไปละเมิดสิทธิของท่าน ถ้าท่านไม่ละเมิดกันเอง รัฐบาลจะไปทำอะไรได้ รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลกฎหมาย ไม่มีการละเมิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย ทั้งนี้ ผมหมายรวมถึงการละเมิดสิทธิสตรี ซึ่งขัดแย้งกับ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” (SDG 2030) เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ และการเสริมพลังสตรี รวมทั้งหลักการ “การทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน” ขององค์การสหประชาชาติ ที่ให้ความสำคัญกับลูกจ้าง - แรงงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมทางสังคม ประกอบด้วย “ 3 เสาหลัก” คือ การคุ้มครอง – การเคารพ - การเยียวยา อาทิ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การทำประมงที่ผิดกฎหมาย IUU ซึ่งรัฐบาลนี้ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” การไม่ดำเนินธุรกิจที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่หลายฉบับ อย่าไปมองเฉพาะเรื่องการเมืองอย่างเดียว โดยรัฐบาลนี้ เปิดช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน และไกล่เกลี่ยของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ (สายด่วน 1567) ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่จะรับเรื่องร้องเรียน และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบได้ นอกจากนี้ ผมเห็นว่าบริษัท หรือผู้ประกอบการเอง ก็ควรจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ในสถานประกอบการของตน เพื่อขจัดและแก้ไขปัญหา หรือบรรเทาผลกระทบ ด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ก่อนที่จะบานปลาย อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าหากสามารถยุติการใช้ความรุนแรงได้ ตั้งแต่ที่บ้าน ก็จะเป็นการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับสังคมของเราโดยรวม ยิ่งกว่านั้น หากสังคมไทยสามารถรักษาสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามที่กล่าวมานั้น ควบคู่กับวางรากฐานการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลแล้ว ก็จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ของรัฐบาลนี้ด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพ สัปดาห์หน้าวันที่ 27-28 พฤศจิกายน จะมีการลงพื้นที่ของจังหวัดต่างในภาคใต้ของคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ตามงบประมาณของรัฐบาล จะได้ขับเคลื่อนสิ่งที่ยังมีปัญหาติดขัดอยู่ และสอบถามความต้องการเพิ่มเติม รวมทั้งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีในพื้นที่อีกด้วย สำหรับผลการปฏิบัติจะนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังในวันศุกร์หน้า ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
23 พ.ย. 2560
รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมปฏิญญาอ่าวพังงา ภายใต้ชื่อ “ประชารัฐขจัดขยะทะเล” ชูอ่าวพังงาโมเดล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมปฏิญญาอ่าวพังงา ภายใต้ชื่อประชารัฐขจัดขยะทะเล ชูอ่าวพังงาโมเดล พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสิทธิชัย ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา รศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช หน่วยงานส่วนราชการต่างๆ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ร่วมเปิดกิจกรรมโครงการ “ประชารัฐขจัดขยะทะเล” อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา เป็นกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ สร้างการมีส่วนร่วม สร้างจิตสำนึกของชุมชน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้ช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตามแนวทาง “ประชารัฐ” โดยร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ปฏิญญาอ่าวพังงา” มอบถังคัดแยกขยะและอุปกรณ์ให้ตัวแทนชุมชนท้องถิ่น มอบสื่อประชาสัมพันธ์ให้สถานศึกษา มอบรางวัล ผู้ชนะการประกวดวาดภาพ “ASEAN Clean Sea” และร่วมทำความสะอาด เก็บขยะบริเวณในทะเล ป่าชายเลน ลำคลองต่างๆ พื้นที่ชายฝั่งทะเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาและบริเวณโดยรอบชุมชนเกาะปันหยี อ.เมือง จ.พังงา โดยการมีส่วนร่วมของส่วนราชการ องค์กรส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา ประชาชน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ อาสาสมัคร และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ประมาณ 1,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีกำหนดจัดประชุมขจัดขยะทะเลระดับภูมิภาค (Marine Derbis : ASEAN 3) ที่ผ่านมาที่จังหวัดภูเก็ต มีนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกและระดับภูมิภาค ASEAN 3 จำนวน 150 คน ร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัดการปัญหาขยะทะเลและกิจกรรมต่างๆ โดยคณะผู้จัดประชุมได้สรุป ร่วมกันว่า “อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา” และพื้นที่ใกล้เคียง เป็นบริเวณที่มีภูมิทัศน์สวยงาม มีการพัฒนาหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องขยะทะเล จึงกำหนดให้เป็นพื้นที่ศึกษาภาคสนามของผู้เข้าร่วมประชุม ประมาณ 50 คน ดังนั้น อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาจึงได้กำหนดให้มีกิจกรรม “ประชารัฐขจัดขยะทะเล” เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แสดงออกถึงความพร้อมเพรียงสามัคคี และการนำแผน “อ่าวพังงา อุทยานท่องเที่ยวชุมชน” ไปใช้ตามเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้ผู้เชี่ยวชาญด้านขยะทะเลจากนานาประเทศได้เห็นศักยภาพของการดำเนินการด้านขยะทะเลของประเทศไทยอีกด้วย
22 พ.ย. 2560
จ.กาฬสินธุ์ แถลงผลการดำเนินงานโครงการตลาดประชารัฐ
จังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงผลการดำเนินงานโครงการตลาดประชารัฐ มีผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว จำนวน 1,129 ราย ซึ่งทางจังหวัดได้เตรียมพื้นที่ในตลาด 7 ประเภทสำหรับจำหน่ายสินค้า ที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงผลการดำเนินงานโครงกาตลาดประชารัฐว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ ตามนโยบายรัฐบาลเพื่อให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการที่เดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย มีพื้นที่ในการค้าขาย โดยมีผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐแล้ว จำนวน 1,129 ราย แยกเป็นตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ จำนวน 673 ราย ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ จำนวน 817 ราย ตลาดประชารัฐของดีจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 374 ราย ตลาดประชารัฐ Modern Trade จำนวน 49 ราย ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. จำนวน 129 ตลาดประชารัฐต้องชมจำนวน 77 ราย และตลาดประชารัฐ ตลาดลานวัฒนธรรมถนนสายวัฒนธรรมจำนวน 59 ราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ แถลงอีกว่า ด้านการจัดสรรพื้นที่ให้กับผู้ลงทะเบียน หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดรวม 7 ประเภท ประกอบด้วย ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ กำกับดูแลโดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ กำกับดูแลโดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัด ตลาดประชารัฐของดีจังหวัดกาฬสินธุ์ กำกับดูแลโดยบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีกาฬสินธุ์ จำกัด ตลาดประชารัฐ Modern Trade กำกับดูแลโดยบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีกาฬสินธุ์ จำกัด ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. กำกับดูแลโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตลาดประชารัฐต้องชม กำกับดูแลโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด และตลาดประชารัฐ ตลาดลานวัฒนธรรมถนนสายวัฒนธรรม กำกับดูแลโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด จะได้ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ตลาดให้กับผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ ด้วยการพัฒนาพื้นที่ตลาดใหม่ ขยายพื้นที่ตลาดเดิม และ/หรือเพิ่มวันทำการ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่ได้มีโอกาสค้าขาย ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขายให้มีพื้นที่ค้าขายต่อไป
21 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... เพื่อกำหนดความรับผิดของผู้ประกอบการเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องของสินค้า ให้ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดชอบเพิ่มเติมจากหลักทั่วไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีสาระสำคัญ - หากสินค้าชำรุดบกพร่องภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งมอบ ให้สันนิษฐานว่าชำรุดบกพร่องมาตั้งแต่วันส่งมอบ - กำหนดอายุความการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้บริโภค 2 ปี นับแต่วันที่ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความชำรุดบกพร่องของสินค้า - หากซ่อมแล้วไม่ดีขึ้น จะขอลดราคา หรือขอเลิกสัญญา รวมถึงการเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ จะต้องแจ้งผู้ประกอบการทราบล่วงหน้า 7 วัน โดยทำเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ ส่วนเงินที่จะคืนให้ผู้บริโภคให้คำนึงถึงสภาพที่ถูกใช้งานไปด้วย - การคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายนี้ เป็นสิทธิขั้นต่ำ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. … โดยมีเป้าหมายของกองทุน 1. เด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียนในครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ 2. เด็กและเยาวชน ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ให้จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน 3. ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการพัฒนาเพื่อให้มีความสามารถในการประกอบอาชีพ 4. ครูและอาจารย์ 5. พัฒนาระบบข้อมูลและระบบอื่นใดที่เป็นประโยชน์ 6. พัฒนานวัตกรรม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบสิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีกรอบระยะเวลา 2 ปี ( 2561 – 2562 ) ตามหลักการ 4 สร้าง 3 ปรับปรุง 2 ขับเคลื่อน และ 1 ลด คือ 4 สร้าง 1. สร้างจิตสำนึกให้รู้จักเคารพในสิทธิมนุษยชนและสิทธิของผู้อื่น 2. สร้างระบบติดตามการละเมิดสิทธิ 3. สร้างวัฒนธรรมในการเคารพสิทธิของผู้อื่นทุกเรื่อง 4. สร้างการพัฒนาเครือข่ายเป็นตาสับปะรด 3 ปรับปรุง 1. ปรับปรุงข้อมูลให้มีความทันสมัย 2. ปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน 3. ปรับปรุงทัศนคติเจ้าหน้าที่ของรัฐและทุกภาคส่วนให้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน 2 ขับเคลื่อน 1. ขับเคลื่อนแผนสิทธิมนุษยชนสู่การปฏิบัติ 2. ขับเคลื่อนองค์กรหรือกลุ่มจังหวัดที่เป็นต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชน 1 ลด 1. ลดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
20 พ.ย. 2560
ศูนย์การปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
พลตรี ชานนท์ ใช้สง่า รองผู้อำนวยการศูนย์การปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.2 กอ.รมน.) พร้อมคณะติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามโครงการตรวจสอบและควบคุมประชากรต่างด้าวเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมไทย ประจำปีงบประมาณ 2561 โดยมีพันเอก ประเทือง แก้วทุย รองผู้อำนวยการักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสมุทรปราการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมชี้แจงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ เพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย การลงพื้นที่ของ ศปป.2 กอ.รมน.ในครั้งนี้ นอกจากจะติดตามการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการแล้วยังได้ติดตามแนวโน้มสถานการณ์แพร่ระบาดของยาเสพติด โดยสถิติข้อมูลจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการปีงบประมาณ 2560 กลุ่มพิสูจน์สัญชาติ/MOU เป็นชาวเมียนมาจำนวน 114,477 คน ชาวลาวจำนวน 13,054 คน และชาวกัมพูชาจำนวน 77,542 คน ในส่วนของผลการดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (one stop sevice) จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-31 สิงหาคม 2560 สัญชาติเมียนมาจำนวนแรงงาน 34,066 คน จำนวนผู้ติดตาม 162 คน ,สัญชาติลาวจำนวนแรงงาน 1,614 คน จำนวนผู้ติดตาม 14 คน และสัญชาติกัมพูชา จำนวนแรงงาน 30,998 คน จำนวนผู้ติดตาม 377 คน
20 พ.ย. 2560
ชาวชุมพรคึกคักร่วมต้อนรับและบริจาคเงินให้ตูนบอดี้แสลม สมทบทุนก้าวคนละก้าว
คณะทีมงานกิจกรรมวิ่งการกุศลโครงการ "ก้าวคนละก้าว" เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ" จากอำเภอเบตง จังหวัดยะลาถึงอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 2,191 กิโลเมตร ซึ่งนำวิ่งโดยนายอาทิวราห์ คงมาลัย "ตูนบอดี้แสลม" ล่าสุดวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ได้เดินจากเขตพื้นที่อำเภอทุ่งตะโก ผ่านอำเภอสวี โดยช่วงประมาณเวลา 14.00 น. "พี่ตูน" และคณะได้วิ่งมาถึงจุดเช็คพอย์ทจุดที่ 2 ประจำวันแล้ว ที่บริเวณร้านบ้านยาย ตำบลทุ่งคา อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งเมื่อเวลา 10.30 น. นายอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) และทีมงานก้าวคนละก้าว เข้ามามอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนเรียนดี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนชุมชนสวี หมู่ 7 ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จำนวน 2 คน ได้แก่ ด.ช.อนุสรณ์ ชมภู และ ด.ญ.กฤติยา พลมา ทุนละ 10,000 บาท และมอบให้ทางโรงเรียนชุมชนสวี อีก 1 ทุน จำนวน 50,000 บาท โดยมีนายณรงค์ พลละเอียด ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นางศิริลักษณ์ พลละเอียด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชุมพร พล.ต.ฐิติ ติดถะสิริ ผบ.มทบ.44 คณะครู นักเรียน และชาวบ้านร่วมกันต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยตลอดระยะทางวิ่งของวันนี้ประมาณกว่า 40 กิโลเมตร มีประชาชนออกมารอต้อนรับเป็นจำนวนมาก ทั้งนักเรียน ครู และชาวบ้าน ช่วยกันร้อยต่อธนบัตร 20-100 บาท มาร่วมบริจาคให้กับพี่ตูนตามเส้นทางเป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีเยาวชน นักเรียนนำเครื่องดนตรีออกมาเล่นร้องเพลงของวงบอดี้แสลม โดยพี่ตูนยังได้ขึ้นไปร่วมร้องเพลงและถ่ายรูปกับเยาวชนอย่างเป็นกันเอง ขณะที่คุณยายบุณมี พิมนิวัฒน์ อายุ 97 ออกมานั่งรอทางคณะ "ก้าวคนละก้าว" รินถนน เปิดเผยว่า ยายไม่รู้จัก "ตูน บอดี้แสลม" แต่อยากร่วมทำบุญด้วย เนื่องจากคนดีๆ ทำเพื่อคนอื่นแบบนี้นั้นหายาก อีกทั้งตนเองก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง จึงอยากที่จะทีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงจุดเช็คพอย์ทจุดที่ 2 "ตูน" เริ่มมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าอีกครั้ง ทางทีมแพทย์จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชนอย่าพยายามฉุดกระชาก หรือวิ่งตัดเข้าไปในขบวน เพราะอาจไม่เป็นผลดีกับพี่ตูนคณะวิ่ง โดยขอให้ไปรอต้อนรับและให้กำลังใจได้ที่บริเวณจุดหยุดพักต่างๆ ซึ่งขณะนี้กำลังหยุดพักที่ร้านบ้านยาย ตำบลทุ่งคา อำเภอเมืองชุมพร โดยทีมแพทย์กำลังดูอาการ หากไหวอาจจะให้วิ่งต่อไปถึงปั้ม ปตท.ขุนกระทิง ต.ขุนกระทิง อ.เมืองชุมพร พอพล กล้าผจญ ข่าว/ภาพ ส.ปชส. ชุมพร
19 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ระบบจัดเก็บข้อมูลระดับพื้นที่ เพื่อบริหารจัดการ 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนโครงการระบบจัดเก็บข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานระดับพื้นที่ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ในลุ่มน้ำทั่วประเทศ จำนวน 25 ลุ่มน้ำ ให้ประเทศมีระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบรรลุตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ในแผนยุทธศาสตร์ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2558-2569 เช่น ยุทธศาสตร์การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค ยุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต (เกษตรและอุตสาหกรรม) และยุทธศาสตร์การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ หรือ สสช. กล่าวว่า สสช.ได้มีดัชนีชี้วัดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทย ประกอบด้วย การวิเคราะห์ ออกแบบกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้งการพัฒนาระบบเพื่อการจัดเก็บข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานและการนำเข้าข้อมูลจากแหล่งอื่น การจัดประชุม สัมมนา และการฝึกอบรม การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอดัชนีชี้วัดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทย ทั้งนี้ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 เดือน เริ่มจากวันที่ 29 มี.ค.2560-15 ก.ย.2562 โดยจะดำเนินการศึกษาดัชนีชี้วัดการจัดการน้ำ รวมทั้งดำเนินการจัดเก็บข้อมูลที่ขาดหายในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพชรทัย เกิดโชติ/สวท.
19 พ.ย. 2560
ดร.รอยลนำทีมเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำทีมลงใต้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นการปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประกอบการจัดทำข้อเสนอประกอบการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ วันนี้ (19 พ.ย.2560) ที่โรงแรมชฎา แอท นคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ รับฟังความคิดเห็นในการจัดทำแผนการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภาคใต้ โดยมีนายสกล จันทรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวต้อนรับ ผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จากจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ ประมาณ 200 คนเข้าร่วมสัมมนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากภาคประชาชน หน่วยงานของรัฐและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาใช้ประกอบการจัดทำข้อเสนอประกอบการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติต่อไป ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า 30-40 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาในหลายเรื่อง แต่ก็หลายเรื่องถอยหลัง ดังนั้น การปฏิรูปต้องพัฒนาควบคู่ ไปการอนุรักษ์ ไม่ทำแบบแยกส่วน เพราะจะทำให้การแก้ไขปัญหาไม่จบ การพัฒนาจะไม่ยั่งยืน ถ้าประชาชนไม่เข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นการมีส่วนร่วม เป็นสิ่งสำคัญมาก จะช่วยดึงคนในท้องถิ่น คนในพื้นที่เข้ามา เป็นหลักของการปฏิรูป ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมาจะได้รับฟังการอภิปรายเรื่อง สาระสำคัญของร่างแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5 เรื่อง คือ เรื่องทรัพยากรทางน้ำโดย ดร.รอยล จิตรดอน เรื่องทรัพยากรทางชายฝั่งทะเล โดย พลตรีชัยวิทย์ ชยาภินันท์ เรื่องทรัพยากรทางบก โดย ดร.ธีรภัทร ประยูรสิทธิ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยนายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์ เรื่องสิ่งแวดล้อม โดย ดร.ภาวิญญ์ เถลิงศรี และดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ดำเนินการอภิปรายโดย ดร.ถวิลวดี บุรีกุล นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนายังได้ร่วมแสดงความคิดเห็นการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5 กลุ่มย่อยตามฐานทรัพยากร 5 เรื่อง ได้แก่ การปฏิรูปเรื่องทรัพยากรทางบก การปฏิรูปเรื่องทรัพยากรน้ำ การปฏิรูปเรื่องทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การปฏิรูปเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ และการปฏิรูปเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมนำเสนอผลการรับฟังความคิดเห็น โดยนายแพทย์สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ นายบำรุง คะโยธา นายบรรจง นะแส และนายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์
19 พ.ย. 2560
จังหวัดเลยแถลงเปิดฤดูกาลการท่องเที่ยว และงานเทศกาลต้นคริสต์มาสภูเรือ อำเภอภูเรือ ครั้งที่ 6
นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลต้นคริสต์มาสภูเรือ อำเภอภูเรือ ครั้งที่ 6 ที่หน้าสนามหญ้าที่ว่าการอำเภอภูเรือ มีนายกิตติคุณ บุตรคุณ นายอำเภอภูเรือ ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านอำเภอภูเรือร่วมงานแถลงข่าว ภายในงานยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนในอำเภอภูเรือและอำเภอนาแห้วมาจำหน่าย นายกิตติคุณ บุตรคุณ นายอำเภอภูเรือกล่าวว่า อำเภอภูเรือเป็นเมืองแห่งการปลูกไม้ดอกเมืองหนาวหลากหลายชนิด โดยเฉพาะการปลูกจำหน่ายต้นคริสต์มาสที่มากที่สุดในประเทศไทยและมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในแต่ละปีเกษตรกรชาวอำเภอภูเรือมีรายได้จากการจำหน่ายต้นคริสต์มาสกว่า 250 ล้านบาท ถือเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการจำหน่ายไม้ดอกเมืองหนาวและต้นคริสต์มาส ทางอำเภอภูเรือจึงได้กำหนดจัดงาน เทศกาลต้นคริสต์มาสภูเรือ ครั้งที่ 6 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2561 ที่บริเวณลานต้นคริสต์มาส บริเวณทางขึ้นอุทยานแห่งชาติภูเรือ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ด้านนายเกียรติพงษ์ คชวงษ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลยกล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดเลย เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังเมืองขนาดรอง ซึ่งมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว และจังหวัดเลยได้รับเลือกให้เป็น1 ใน 12 เมืองต้องพลาด พลัส ของ ททท. และยังได้กำหนดให้ปี 2561 เป็น “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” หรือ “Amazing Thailand Tourism Year 2018” เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและความพร้อมบนพื้นฐานความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ของไทย โดยคำนึงถึงความสมดุลและยั่งยืน สอดคล้องกับกระแสความต้องการของประชากรโลกและเจตนารมณ์ขององค์การการท่องเที่ยวโลก (United Nations World Tourism Organization : UNWTO) มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนของนักท่องเที่ยวคุณภาพและรักษาฐานตลาดเดิม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม อีกทั้งยังเป็นการปลุกกระแสการเดินทางท่องเที่ยวให้คึกคักมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และในปี 2561 นี้ ททท.เลยตั้งเป้าหมายที่จะดึงนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนี้ให้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่น้อยกว่า 5% ซึ่งปัจจัยที่สำคัญเกิดจากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าอากาศในพื้นที่ของจังหวัดเลย จะหนาวเย็นและนานกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นและสร้างกระแสให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ ททท.เลยยังได้จัดกิจกรรมเทศกาลอาหารพื้นถิ่นไทเลย รวบรวมอาหารดีอาหารเด่นของชาวไทเลยและอาหารอีสานรสแซ่บ กิจกรรมออกบูธให้ข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวและเล่นเกมชิงโชคแลกรับรางวัลจาก ททท.เลย ในระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน 2560 และกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจภายในงาน อาทิเช่น การแสดงดนตรีกลางลานต้นคริสต์มาส การจำหน่ายสินค้าของฝากของที่ระลึก “แชะภาพ”คู่กับความงามของต้นคริสต์มาสกว่าแสนต้นในพื้นที่กว่า 5 ไร่ ซึ่งสามารถชมได้ทั้งในช่วงกลางวัน และกลางคืน ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2560 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2560 พร้อมกับการเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศที่ “เย็นสุด สุขที่เลย” ณ อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ที่ว่ากันว่าหนาวสุดในสยาม ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวว่า จังหวัดเลยมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเกือบทุกอำเภอ ซึ่งอุดมไปด้วยภูต่างๆ อาทิ ภูกระดึง ภูเรือ ภูหลวง ภูป่าเปาะ ภูสวนทราย ภูหอ ภูบ่อบิด และอีกหลายภู มีสภาพอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี จึงขอเชิญนักท่องเที่ยว มาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนี้ และขอให้ชาวเลย เป็นเจ้าภาพ เจ้าบ้านที่ดี ไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ที่ว่าการอำเภอภูเรือ โทร. 042-8990004 หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย โทร. 042812812, 042-811405 email: tatloei@tat.or.th/ Facebook: www.facebook.com/tatloei
18 พ.ย. 2560
จังหวัดพังงา นักท่องเที่ยวชมความงามดอกพลับพลึงธาร ราชินีแห่งสายน้ำบานสะพรั่งปลายฝนต้นหนาว
จังหวัดพังงา นักท่องเที่ยวชมความงามดอกพลับพลึงธาร ราชินีแห่งสายน้ำบานสะพรั่งปลายฝนต้นหนาว เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือประมาณเดือนตุลาคม ถึงธันวาคมของทุกปี ดอกพลับพลึงธาร ในคลองตาเลื่อน หมู่ที่ 7 ตำบลคุระบุรี อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา จะบานสะพรั่งรับหน้าหนาวที่มาเยือน ต่างแย่งกันชูช่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม และสัมผัสอย่างใกล้ชิดในแหล่งท่องเที่ยวใหม่เชิงอนุรักษ์ของจังหวัดพังงา ดอกพลับพลึงธาร เป็นพันธุ์ไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์ และแปลกตรงที่ไม่เคยพบเห็นจากที่ใดในโลก แต่เป็นพืชน้ำเฉพาะถิ่นของประเทศไทย พบได้ในแถบจังหวัดพังงาและระนอง โดยที่พังงานั้นพบได้ที่บริเวณแม่น้ำ ลำคลองในอำเภอคุระบุรี พังงา และอำเภอสุขสำราญ อำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เป็นพืชอวบน้ำในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากจะมีการผสมเกสร โดยในแต่ละผลจะมีเมล็ดข้างใน 3-4 เมล็ด และจะออกดอกบานสะพรั่งในช่วงปลายฤดูฝน หรือต้นฤดูหนาว ประมาณเดือนตุลาคม ถึงธันวาคมของทุกปี โดยดอกพลับพลึงธาร เป็นดอกไม้ประจำท้องถิ่น จึงเห็นความสำคัญในการพัฒนา และอนุรักษ์ให้ดอกพลับพลึงธารเป็นดอกไม้คู่บ้านคู่เมือง และเป็นดอกไม้อีกหนึ่งชนิดสำคัญของโลก ลักษณะของดอกพลับพลึงธาร จะเป็นดอกตูมสีขาว ชูช่อขึ้นเหนือน้ำ หากบานแล้วจะส่งกลิ่นหอมอบอวล แต่กลับพบว่า มีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากการขุดลอกคลอง และจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ดังนั้นในการอนุรักษ์พลับพลึงธาร จำเป็นที่จะต้องกำหนดเป็นนโยบาย และต้องให้ชาวบ้าน หรือหน่วยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมให้มากกว่านี้ จากการสำรวจพบว่าพันธุ์ไม้ยังมีความสมบูรณ์ ดังนั้นนักท่องเที่ยวทั่วโลกน่าจะให้ความสนใจ อีกทั้งชาวบ้านและชุมชนยังได้ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบริเวณนี้ไว้เป็นอย่างดี และขณะนี้ทางท้องถิ่นให้ความสำคัญในการพัฒนา และอนุรักษ์ดอกพลับพลึงธารให้เป็นดอกไม้คู่บ้าน คู่เมือง และเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่สำคัญของโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวพักผ่อนในอำเภอคุระบุรี สามารถมาท่องเที่ยว และเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติของดอกพลับพลึงธาร ว่า มีความอุดมสมบูรณ์ด้านความหลากหลายของชีวภาพ ซึ่งมีความแตกต่างจากพื้นที่อื่น สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปชมความงามของดอกพลับพลึงธารบานสะพรั่งในช่วงปลายฝนต้นหนาวปีนี้ สามารถเดินทางไปได้ที่บริเวณคลองคลองตาเลื่อน บ้านคุระ หมู่ที่ 7 ตำบลคุระ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
18 พ.ย. 2560
สมาคมอสังหาริมทรัพย์โคราชจัดงาน REKT EXPO มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 19 ประจำปี 2560
ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่าจังหวัดนครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดงานมหกรรม REKT EXPO มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 19 ประจำปี 2560 ซึ่งกำหนดจัดงานถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2560 ณ ลานโปรโมชั่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า นครราชสีมา โดยในการจัดงานครั้งนี้เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขายให้กับสมาชิกภายในสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนครราชสีมา ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของสมาชิกภายในสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนครราชสีมา และให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์จังหวัดนครราชสีมาแก่ผู้บริโภคและผู้เยี่ยมชมงาน ทั้งนี้ภายในงานได้นำโครงการอสังหาฯ ทุกประเภท จากโครงการบ้านจัดสรรที่ดีที่สุดกว่า 30 โครงการ มาจัดแสดงฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อ ได้พบปะและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโครงการต่างๆ ที่มาพร้อมกับข้อเสนอและเงื่อนไขสุดพิเศษที่เต็มไปด้วยความคุ้มค่า ครบครัน พร้อมให้คำปรึกษาและบริการด้านสินเชื่อเกี่ยวกับการซื้อบ้านจากสถาบันการเงินและผู้ให้บริการด้านสินเชื่อชั้นนำ ตลอดระยะเวลา 10 วันเต็ม
18 พ.ย. 2560
เกษตรจังหวัดนครพนมจับมือเกษตรกรผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ ขับเคลื่อน โครงการ 9101
ที่ศูนย์สารสนเทศยางพารานครพนม สำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เปิดการลงนามบันทึกข้อตกลงขอรับเงินอุดหนุนโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2560 ระหว่างคณะกรรมการระดับชุมชนกับสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนม นายเกษม รักสุจริต เกษตรจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า จากที่จังหวัดนครพนมได้ประสบอุทกภัยจากพายุเซินกาและตาลัส ในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่ 11 อำเภอ ได้รับความเดือดร้อน จำนวน 19,551 ราย และเพื่อเป็นการพื้นฟู รวมถึงส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรให้แก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ ได้มีอาหารในครัวเรือนหลังน้ำลด อันจะเป็นการลดรายจ่ายและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2560 ขึ้นเพื่อมาช่วยเหลือ โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นกิจกรรมลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ เช่น การปลูกพืชอายุสั้น การเลี้ยงสัตว์ การประมง และผลิตอาหาร แปรรูป และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ครัวเรือนละไม่เกิน 5,000 บาทต่อครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมในรูปแบบสหกรณ์อีกด้วย ซึ่งมีเกษตรกรจังหวัดนครพนมที่ประสบภัยประสงค์เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 18,698 ราย และผ่านความเห็นชอบจากชุมชนและคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการฯระดับอำเภอ จำนวน 95 ชุมชน 209 โครงการ รวมงบประมาณ 93,490,000 บาท โดยหลังการลงนามแล้วทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนครพนมจะทำการโอนเงินให้คณะกรรมการระดับชุมชน จากนั้นคณะกรรมการระดับชุมชนทำสัญญายืมเงินกับกลุ่มสมาชิก และดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติ เพื่อการฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2560 ของจังหวัดนครพนมต่อไป
18 พ.ย. 2560
ชาวลำใหม่ จ.ยะลา “ปั้นโอ่งตามรอยพ่อ”
ทหาร ฉก.สันติสุข นำภูมิปัญญาพื้นบ้าน สอนชาวบ้านลำใหม่ ยะลา “ปั้นโอ่งตามรอยพ่อ” รำลึกพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำอุปโภค บริโภค วันนี้ (18 พ.ย. 60) ที่วัดเฉลิมนิคม บ้านลำใหม่ หมู่ที่ 1 ตำบลลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลลำใหม่ จำนวนกว่า 20 คน ได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ “ปั้นโอ่งตามรอยพ่อ” อย่างขะมักเขม้น ตั้งอกตั้งใจที่จะเรียนรู้การทำโอ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข จัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงแก่ปวงชนชาวไทย ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีหลักการ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีภาชนะเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เห็นคุณค่าในการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา อีกทั้งพัฒนาสังคมชุมชนท้องถิ่นของตนเอง ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ อีกด้วย ซึ่งการเรียนรู้ในครั้งนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนแรก การเรียนรู้ วัสดุ เครื่องมือ การทำโครงสร้าง การขึ้นรูป การปั้น การติดตั้งวาวล์น้ำ ตรวจสอบการรั่วซึม การตกแต่ง ขัดมัน ลงสี จนกลายเป็นโอ่งที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง โดยมีจ่าสิบเอก ดำรงค์ รุ่งสว่าง เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจสันติสุขชุดชำนาญพื้นดิน เป็นผู้ฝึกสอนทั้งภาคทฤษฎี และปฎิบัติ จ่าสิบเอก สมชาย แสงกาวิน หัวหน้าชุดสถานีวิทยุทักษิณสัมพันธ์ที่ 301 หน่วยเฉพาะกิจสันติสุข กล่าวว่า การจัดโครงการ “ปั้นโอ่งตามรอยพ่อ” นี้ จัดขึ้น สืบเนื่องจากในพื้นที่ตำบลลำใหม่ ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับน้ำประปาไม่ไหลบ่อยครั้ง และปีที่ผ่านมาเกิดปัญหาภัยแล้ง ทางชุดควบคุมทักษิณสัมพันธ์ของหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข จึงได้จัดทำโครงการ “ปั้นโอ่งตามรอยพ่อ” ขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างโอ่งที่ใช้วัสดุ วิธีการ หลักการที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้เรียนรู้ เพื่อนำไปใช้ในยามน้ำประปาไม่ไหล และอีกอย่างหนึ่งก็ได้ประสานกับองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมีโครงการทำแท็งค์น้ำในพื้นที่ส่วนรวมของหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากการปั้นโอ่งนี้ สำหรับโครงการนี้มีพี่น้องประชาชนในพื้นที่ตำบลลำใหม่ มาเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 25 คน ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 15-21 พ.ย. 60 โอ่งที่ปั้นนี้จะมี จำนวน 2 โอ่ง เป็นโอ่งขนาด ความสูง 150 เมตร กว้าง 180 เซนติเมตร สามารถบรรจุน้ำได้ 2,000 ลิตร หลังจากปั้นเสร็จแล้วทางหน่วยฯ ก็จะมอบให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลลำใหม่ นำไปไว้ใช้งานเพื่อส่วนรวมต่อไป สำหรับการต่อยอดจากโครงการปั้นโอ่งฯ นี้ นอกจาก ประชาชนจะได้เรียนรู้ในการทำโอ่งแล้ว ก็จะเป็นกำลังหลักในองค์การบริหารส่วนตำบลลำใหม่ ซึ่งมีโครงการทำแท็งค์น้ำ ในพื้นที่ส่วนรวมของหมู่บ้าน ก็สามารถนำประชาชนกลุ่มนี้ ไปสร้างแท็งค์น้ำเป็นของส่วนรวมได้ จะเห็นได้ว่าวัสดุที่ใช้ก็จะเป็นวัสดุง่ายๆ และประหยัด การผูกเหล็ก ก็จะใช้ลวดพัน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน และสามารถนำไปใช้เองในครัวเรือน นอกจากนี้ก็จะได้นำความรู้ไปต่อยอดใช้ประกอบอาชีพได้อีกทางหนึ่งด้วย ขณะที่นายสมมิตร นิธิวิสุทธิ ชาวบ้านตำบลลำใหม่ กล่าวว่า สำหรับประโยชน์ที่ชาวบ้านได้รับ ก็จะมีน้ำใช้ มีความรู้ในการสร้างโอ่ง ซึ่งชาวลำใหม่ยังไม่เคยมีความรู้ด้านนี้มาก่อน ก็ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหารหมวกแดงที่มาสอนชาวบ้าน ในระยะเวลา 7 วัน ก็ได้ความรู้มาก ต่อไปก็จะแนะนำชาวบ้านให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ถึงไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ได้มากพอ มีประโยชน์กับคนในหมู่บ้านมาก นอกจากการให้ความรู้ทำโอ่งแล้ว ก็อยากจะให้หน่วยงานภาครัฐ ส่งวิทยากรมาสอนการฝีมือต่างๆ ให้ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำกระเช้าด้วยไม้ไผ่ ซึ่งในท้องถิ่นมีจำนวนมาก รวมทั้งที่ใส่ปลาทู คนแก่ๆ ผู้สูงอายุในพื้นที่ ที่อยู่ว่างๆ จะได้ฝึกทำ ไม่รู้สึกเหงา มีงานทำ และยังมีรายได้อีกด้วย อย่างน้อยก็ขายได้ใบละ 3-5 บาท
18 พ.ย. 2560
ชาวนาจังหวัดอำนาจเจริญเร่งเก็บเกี่ยวข้าวเพราะกลัวฝนตกเกรงข้าวจะได้รับความเสียหาย
ที่จังหวัดอำนาจเจริญ ชาวนาทุกพื้นที่ใน 7 อำเภอ เร่งเก็บเกี่ยวข้าว เนื่องจากกลัวฝนตกเกรงว่าข้าวที่พร้อมจะเก็บเกี่ยวจะได้รับความเสียหาย เนื่องจาก 2 - 3 วันที่ผ่านมามีฝนตกโปรยปรายมาบ้างแล้ว และในช่วงนี้ของทุกปีที่ผ่านมามีฝนตกลงมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ข้าวที่เก็บเกี่ยวไว้แล้วได้รับความเสียหายเมื่อนำไปขายจะถูกพ่อค้าคนกลางและโรงสีกดราคา ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนมาก ขาดทุนตั้งแต่ก่อนยังไม่ขาย โดยเฉพาะปีนี้ ราคาข้าวเปลือกที่จะนำไปขายตกต่ำมาก ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ (ใหม่) ผู้ซื้อ/ผู้ขาย ณ โรงสี ราคาตันละ 12,500 – 12,750 บาท ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ (เก่า) ณ โรงสี ราคา ตันละ 11,417 – 12,500 บาท ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว (ใหม่) ราคา ตันละ 5,833 – 6,667 บาท ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว (เก่า) ราคาตันละ 5,833 – 6,667 บาท แค่นั้นเอง สำหรับค่าจ้างในการเก็บเกี่ยวขณะนี้อยู่ที่ราคา 300 – 350 บาท แต่สำหรับเกษตรกรชาวนาที่ไม่มีทุนก็ต้องรีบเร่งเก็บเกี่ยวข้าวเหมือนกันโดยใช้แรงตนเองและครอบครัว จะทัน หรือไม่ทันก็แล้วแต่ฟ้าฝนลิขิต หรือเทวดาเห็นใจ เกษตรกรชาวนาจึงขอวิงวอนให้รัฐบาล หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือโดยด่วนเนื่องจากขณะนี้ข้าวที่เก็บเกี่ยวออกสู่ตลาดแล้ว
18 พ.ย. 2560
เทศบาลนครยะลา จัด "สภากาแฟเพื่อประชาชน" เปิดโอกาสให้ชาวเมืองมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น
เทศบาลนครยะลา จัด "สภากาแฟเพื่อประชาชน" เปิดโอกาสให้ชาวเมืองมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น วันนี้ (18 พ.ย. 60) ที่บริเวณใต้อาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา ได้เดินทางมาพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพัฒนาบ้านเมือง กับประชาชนในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา ในกิจกรรมสภากาแฟเพื่อประชาชน ซึ่งเทศบาลนครยะลาจัดขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในด้านต่างๆ นอกจากนี้ทางสำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ยังได้จัดเจ้าหน้าที่มาบริการตรวจสุขภาพให้กับประชาชน ฟรี อีกด้วย นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า กิจกรรม สภากาแฟเพื่อประชาชน เป็นกิจกรรมซึ่งเทศบาลฯ จัดขึ้นเป็นประจำในทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในด้านต่างๆ โดยเทศบาลนครยะลา ก็จะได้นำความคิดเห็น และปัญหาต่างๆ ของประชาชน ไปเป็นแนวทางในการปรับปรุงพัฒนาเมืองยะลาให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป ในส่วนของทางเทศบาลฯ ก็จะได้พูดคุย ชี้แจงการดำเนินงานพัฒนาเมืองยะลาในห้วงที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ โดยที่ผ่านมาเมื่อเดือนตุลาคม ซึ่งมีงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ก็ต้องขอขอบคุณชาวยะลาที่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ทำให้การจัดงานพระราชพิธีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สมพระเกียรติ รวมทั้งการร่วมกันบริจาคเงิน โครงการ "ก้าวคนละก้าว" ของตูน บอดี้สแลม ซึ่งจะนำมาช่วยเหลือโรงพยาบาลยะลาและโรงพยาบาลต่างๆ ในการรักษาผู้เจ็บป่วย ส่วนในเรื่องปัญหาอุทกภัย ขณะนี้ทางเทศบาลนครยะลาก็ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นไว้แล้ว
17 พ.ย. 2560
รองอธิบดีกรมศิลปากรชี้แจงกรณีบูรณะกำแพงเมืองฉะเชิงเทราและปืนใหญ่
ที่บริเวณกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา นายประทีป เพ็งตะโก รองอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ตามที่สื่อโซเชี่ยลมีความเห็นกรณีการบูรณะกำแพงเมืองฉะเชิงเทราและปืนใหญ่ รวมทั้งการปรับถมสระน้ำโบราณนั้น ขอเรียนชี้แจงว่าสืบเนื่องจากกรมศิลปากรได้ตั้งงบประมาณบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์กำแพงเมืองฉะเชิงเทรา ส่วนที่ยังคงสภาพทั้งหมด มีความยาวประมาณ 500 เมตรเศษ เนื่องจากเรือนจำจังหวัดฉะเชิงเทรามีแผนย้ายออกไปและให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามครอบคลุมพื้นที่โดยรอบอาคารเก่าริมถนนมรุพงษ์ เพื่อพัฒนาพื้นที่ส่วนกำแพงเมืองฉะเชิงเทราที่ยังหลงเหลืออยู่ และปรับพื้นที่โดยรอบให้มีสภาพที่ดีเป็นประโยชน์ อีกทั้งปรับใช้เป็นแหล่งเรียนรู้และไม่เป็นอุปสรรคต่อการรักษาความปลอดภัยของเรือนจำฯ ซึ่งมีพื้นที่ติดกัน โดยกรมศิลปากรได้เริ่มต้นบูรณะในปี พ.ศ.2560 และวางแผนทำแบบบูรณะตลอดทั้งแนวในปี พ.ศ.2561 จากนั้นจะบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์ให้แล้วเสร็จทั้งหมดในปี พ.ศ.2564 ด้านนายเมธาดล วิจักขณะ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กล่าวว่า กรณีข้อสงสัยถมสระน้ำโบราณข้างเรือนจำด้านหลังกำแพงเมืองนั้น ขอชี้แจงเกี่ยวกับหลักฐานที่แสดงว่าแอ่งน้ำที่คิดว่าเป็นสระน้ำไม่ใช่สระน้ำโบราณ คือ แผนที่เก่าของกำแพงเมือง – คูเมือง สมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ปรากฎว่ามีสระน้ำโบราณในพื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใดและภาพถ่ายทางอากาศ ปี พ.ศ.2495 แสดงถึงการก่อสร้างเรือนจำกลางฉะเชิงเทรา มีการถมปรับที่ติดกำแพงเมือง ซึ่งเป็นที่ลุ่มทำให้เกิดแอ่งน้ำคล้ายสระน้ำโบราณ อีกทั้งการขุดดินชั้นดินทางโบราณคดีของกรมศิลปากรทำให้ทราบว่ากำแพงเมืองฉะเชิงเทรา มีพื้นเดิมลึกลงไปจากพื้นปัจจุบันประมาณ 2 เมตรเศษ สอดคล้องกับแผนที่สมัยรัชกาลที่ 5 และขอยืนยันเรื่องไม่มีสระน้ำใดๆ ในพื้นที่ เนื่องจากแอ่งน้ำลึกไม่เกิน 1.50 เมตร นอกจากนี้กรณีเศษปูนดำกระเด็นโดนปืนใหญ่นั้น ปูนดำที่กระเด็นเปื้อนปืนใหญ่ เป็นปูนสูตรโบราณ ช่วงการทำงานอาจโดนพื้นที่รอบๆ บ้าง และที่เปื้อนปืนใหญ่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อตัวปืน ก่อนเสร็จงานประจำวันช่างได้ทำความสะอาดและหุ้มรักษาสภาพไว้ด้วยแผ่นพลาสติกบางๆ เรียบร้อยแล้ว สำหรับการปรับพื้นที่โดยรอบเพื่อให้เกิดความสะอาดเรียบร้อยสวยงาม ง่ายต่อการรักษาและเหมาะสมที่จะปรับใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ของจังหวัด ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามหลักการอนุรักษ์สากลและไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์โบราณสถาน เนื่องจากไม่ได้เป็นการทำลายหลักฐานใดๆ
15 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เดินหน้ามาตรฐานเกษตรอาเซียน
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ หรือ AMAF ครั้งที่ 39 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมประชุมได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถขยายตลาดได้อย่างกว้างขวาง เพราะขณะนี้สินค้าเกษตรในประเทศอาเซียนเป็นที่นิยมและขยายตัวได้ดี เนื่องจากอาเซียนมีพื้นที่ทำการเกษตรจำนวนมากและสามารถกระจายสินค้าไปได้ทั่วโลก โดยสิ่งที่อาเซียนจะต้องให้ความสำคัญ คือ เรื่องของมาตรฐาน ซึ่งจะต้องเป็นสากล สามารถส่งออกได้ทุกประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรในอาเซียน ขณะเดียวกันในการประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยได้นำเสนอแนวคิดการน้อมนำศาสตร์พระราชา มาพัฒนาทางด้านการเกษตรให้ที่ประชุมรับทราบ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมความยั่งยืนด้านการเกษตร นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเพื่อหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อน นำไปสู่การตั้งคณะกรรมการในอาเซียน เพื่อแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุมหรือไอยูยู ในอาเซียนโดยเฉพาะ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการทำประมงในอาเซียน ให้สินค้าในอาเซียนได้รับการยอมรับ ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนำความคืบหน้าในเรื่องนี้แจ้งในเวทีการประชุมเวทีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสหภาพยุโรปด้วย เพชรทัย เกิดโชติ/สวท.
15 พ.ย. 2560
รายงาน : ส่งภาพงานถวายพระเพลิงช่วงที่ 2
สํานักพระราชวัง เปิดโอกาสให้ประชาชนจากทั่วทุกมุมโลกร่วมส่งภาพถ่ายแห่งความทรงจําในช่วงที่ 2 หลังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อนําไปเผยแพร่ทางเวปไซต์และจัดแสดงนิทรรศการเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ นับจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต ได้มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดําริให้ประชาชนมีส่วนร่วมประมวลภาพเหตุการณ์แห่งความทรงจํา นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เพื่อรวบรวมไว้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีและความศรัทธาของพสกนิกรอันจะเป็นหลักฐานสําคัญทางประวัติศาสตร์ โดยมีพระราชดําริให้นําภาพที่จัดส่งมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายไปจัดแสดงให้ประชาชนได้ร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยและประเทศชาติสํานักพระราชวัง ได้เปิดให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก ร่วมส่งภาพแห่งความทรงจําพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรในช่วงหลังงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ส่งได้ไม่เกินคนละ 10 ภาพมีความละเอียดของภาพไม่เกิน 3 MB โดยระบุชื่อและนามสกุลของผู้ถ่ายภาพ วัน เวลาและสถานที่ที่บันทึกภาพ พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อส่งมาที่ E-MAIL : PHOTOKINGRAMA9@MAIL.GO.TH,ทางเว็บไซต์ PHOTOKINGRAMA9.OHM.GO.TH หรือทางไปรษณีย์ได้ที่ -สํานักงานราชเลขานุการในพระองค์ 904 พระที่นั่งอัมพรสถาน ถนนนครราชสีมา แขวงดุสิต เขตดุสิตกรุงเทพฯ 10300 - ฝ่ายทะเบียนกองกลาง อาคาร 601 สํานักพระราชวัง(สนามเสือป่า) ถนนศรีอยุธยา แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ10300 - กองเผยแพร่พระราชกรณียกิจ สํานักพระราชวังอาคารศาลาลูกขุนใน ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 สําหรับการส่งภาพถ่ายเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขณะนี้สํานักพระราชวังคัดเลือกภาพรอบแรกไปแล้วจํานวน 1,450 ภาพ จาก 5,674 ภาพ เพื่อนําไปจัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งประชาชนยังร่วมส่งภาพในช่วงที่ 2 ได้อีกจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายนน
14 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) กรณีขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับอนุมัติแล้วแต่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ โดยให้ขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 30 มี.ค.61 สืบเนื่องจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ขออนุมัติงบกลางฯ จำนวน 185.7 ล้านบาทจากสำนักงบประมาณ เพื่อนำมาสมทบกับเงินรายได้ของ อปท.จำนวน 225.6 ล้านบาท รวมเป็น 411.3 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการใน 38 จังหวัด จำนวน 511 โครงการ แต่เพิ่งได้รับการจัดสรรงบดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีขยายเวลาชลประทาน 3 โครงการ คือ 1. โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จ.อุตรดิตถ์ จากเดิม 9 ปี คือ ตั้งแต่ปี 53 – 61 เป็น 14 ปี ขยายถึง 2566 ภายใต้กรอบวงเงินเดิม 10,500 ล้านบาท บริหารน้ำในลุ่มแม่น้ำน่านตอนล่าง โดยจะส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานในเขตโครงการประมาณ 481,000 ไร่ 2. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.อุตรดิตถ์ จากเดิม 8 ปี คือ ตั้งแต่ปี 54 – 61 เป็น 11 ปี คือขยายถึง 2564 ภายใต้กรอบวงเงินเดิม 4,800 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่ชลประทานฤดูฝน 53,000 ไร่ และจะช่วยบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำน่านตอนล่าง 3. โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ จากเดิม 6 ปี คือ ตั้งแต่ปี 55 – 60 เป็น 11 ปี ขยายถึง 2565 ในกรอบวงเงินเดิม 15,000 ล้านบาท เพิ่มน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตร อุปโภค บริโภค อุตสาหกรรม และระบบนิเวศ เพิ่มพื้นที่เพาะปลูกช่วงฤดูแล้ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการลุ่มน้ำปิงตอนบน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้อขายทองคำแท่งตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่มีการรับมอบส่งมอบทองคำแท่ง โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้จากการขายทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งกระทำในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า นอกจากนี้ยังรวมถึงเงินชดเชยเลื่อนการรับมอบส่งมองทองคำแท่งตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า นอกจากนี้ยังรวมถึงการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการซื้อขายทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ที่ยังไม่ขึ้นรูปเป็นทองรูปพรรณ ตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งกระทำในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
11 พ.ย. 2560
รายงาน : กรมอุทยาน Big Cleaning Day พระนครศรีอยุธยา
รายงาน : กรมอุทยาน Big Cleaning Day พระนครศรีอยุธยา หลังปริมาณนํ้าลดระดับลงกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ดําเนินกิจกรรม BIG CLEANING DAY ฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยหลังนํ้าลด ที่วัดบันไดช้าง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชลงเรือมอบถุงยังชีพและนํ้าดื่มให้กับชาวบ้านที่ประสบภัยนํ้าท่วมบริเวณวัดบันไดช้าง ตําบลหัวเวียง อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนหนึ่งของกิจกรรม BIG CLEANING DAY ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยหลังนํ้าลด ทั้ง 17 จังหวัด จากผลกระทบที่เกิดจากพายุดีเปรสชั่นและการระบายนํ้าจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนอุบลรัตน์ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยที่วัดแห่งนี้ก็เป็น 1 ในพื้นที้เป้าหมายที่ต้องเข้ามาช่วยฟื้นฟูด้วย พร้อมเตือนชาวบ้านให้เฝ้าระวังสัตว์มีพิษหรือสัตว์ดุร้ายที่มากับนํ้าท่วม หากพบสามารถแจ้งมายังเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โทรสายด่วน 1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สําหรับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชมีจิตอาสา จํานวน 5,000 คน รวมไปถึงลูกจ้างกรมฯทั่วประเทศอีกประมาณ 30,000 กว่าคนที่จะสามารถดําเนินการโยกกําลังพลเข้ามาช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยนํ้าท่วมได้จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตและกลับคืนสู่ภาวะปกติเพื่อให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดิม
11 พ.ย. 2560
ชาวบ้านบราแง อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา ต่อยอดจากทำโรตีกรอบ รวมกลุ่มแปรรูปกล้วยหิน 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ เพิ่มรายได้หลังกรีดยาง
ชาวบ้านบราแง อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา ต่อยอดจากทำโรตีกรอบ รวมกลุ่มแปรรูปกล้วยหิน 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ เพิ่มรายได้หลังกรีดยาง วันนี้ (11 พ.ย. 60) ที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบราแง บ้านบราแง หมู่ที่ 3 ตำบลกรงปินัง อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา กลุ่มแม่บ้านได้มารวมตัวนำกล้วยหินมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ กล้วยหิน 3 รส เพื่อส่งขายในพื้นที่จังหวัดยะลาและในชุมชน โดยการแปรรูปก็จะเริ่มตั้งแต่การปลอกกล้วยหินดิบ นำไปผ่านเครื่องสไลด์ให้เป็นชิ้นๆ ทอดในน้ำมันจนเหลืองกรอบ ก่อนที่จะปรุงรสชาติ ด้วยเกลือ น้ำตาล แยกตามรสหวาน เค็ม และสาหร่าย พร้อมบรรจุถุงรอนำส่งขายในราคาถุงละ 10 บาท เพื่อเป็นรายได้ให้กับกลุ่ม นางสาวมารีเยาะ ยูโซ๊ะ ประธานกลุ่มฯ กล่าวว่า เดิมกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบราแง ซึ่งมีสมาชิกรวม 20 คน ได้ทำขนมโรตีกรอบเพื่อจำหน่ายภายในหมู่บ้านและชุมชนใกล้เคียงมาก่อน จากนั้นได้เข้าร่วมโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ แปรรูปกล้วยหิน โดยแต่ละครั้งก็จะรับซื้อกล้วยหินจากคนในชุมชน จำนวน 2 เครือ มาแปรรูป ทอดเป็นกล้วยหินกรอบแก้ว ได้ประมาณ 10-15 กิโลกรัม ปรุงเป็น 3 รสชาติ คือ รสหวาน รสเค็ม และรสสาหร่าย จำหน่ายถุงละ 10 บาท และจะนำไปส่งขายในตลาดยะลาและในชุมชนบ้านบราแง จำนวนกว่า 10 ร้าน เพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มและสมาชิก เป็นรายได้เสริมหลังจากเลิกทำสวน กรีดยาง ไม่มีงานทำก็จะมารวมกันที่นี่ ทำให้สมาชิกมีงานทำมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้อาทิตย์หนึ่งก็จะได้ประมาณ 5,000 บาท จากเดิมขายเพียงโรตีกรอบมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ก็จะเพิ่มเป็น 25,000 บาท โดยจะมีการปันผลแจกจ่ายให้กับสมาชิกทุก 15 วัน ซึ่งสมาชิกทุกคนดีใจที่ได้เข้าร่วมโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ และมีรายได้เพิ่ม ด้านนางวีระ สมศิริ เกษตรอำเภอกรงปินัง กล่าวว่า ในส่วนของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบราแง ซึ่งได้เข้าร่วม "โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ" ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน การดำเนินกิจกรรมช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทางกลุ่มจะรับซื้อผลผลิตกล้วยหินในพื้นที่เข้ามาแปรรูปในชุมชน เดิมทีทางกลุ่มฯ ได้ทำโรตีกรอบ ขนมเค้ก ขายอยู่แล้ว ตลาดตอบรับดีอยู่แล้ว ในส่วนของการแปรรูปกล้วยหิน เมื่อเพิ่มรายการผลิต จากโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ ทำให้รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 บาท ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่ฝนตก สมาชิกบางคนกรีดยางไม่ได้ ก็จะใช้เวลาที่ว่างมาแปรรูปกล้วยหิน ทำงานกันในกลุ่มเพิ่มมากขึ้นจาก 3 วัน ก็เพิ่มเป็น 4 วัน หลังจากนี้เมื่อกิจกรรมครอบคลุมทั้งหมด มีการทำตลาดได้ดี ทางกลุ่มก็จะปรับปรุงการทำบรรจุผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น ปรับขนาดบรรจุให้หลากหลายขึ้น เพื่อจะขยายตลาดออกไปภายนอกและจะมีผลิตผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่างออกมา เพราะในพื้นที่มีการปลูกพืชผลทางเกษตรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง มันเทศ ก็สามารถนำมาทำผลิตภัณฑ์แปรรูปได้ ถือว่าเป็นการต่อยอดที่เห็นผลชัดเจน ซึ่งหลังจากนี้ทางเกษตรฯ ก็จะสนับสนุนงบประมาณให้ เพื่อให้กลุ่มฯ มีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต แต่ทั้งนี้การพิจารณาให้การสนับสนุน ก็ต้องขึ้นอยู่กับความขยัน อดทนของกลุ่ม ความสามัคคี การบริหารที่ดี และการต่อยอดของกลุ่มด้วย
10 พ.ย. 2560
สกู๊ป : ร่างพ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจ
ข้อถกเถียงเรื่องการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในขณะนี้อยู่ที่ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจซี่งเป็นที่ถกเถียงกันถึงการจัดตั้ง บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติมาถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง ที่มีสินทรัพย์รวม 6 ล้านล้านบาท มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน วันนี้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ไทยจึงจัดเสวนาสาธารณะเพื่อรับฟังการชี้แจงจากผู้ผลักดันร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นต่อการปฏิรูปครั้งสําคัญนี้ ติดตามรายละเอียดจากคุณวรารัตน ไชยภัทรคุณเจริญ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจหรือ สคร.ในฐานะตัวแทนฝ่ ายผลักดันร่างกฎหมายพัฒนารัฐวิสาหกิจอธิบายถึงเหตุผลความจําเป็นในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลโดยหัวใจสําคัญอยู่ที่การนําระบบธรรมาภิบาลที่ดีมาใช้ในการกํากับดูแลและบริหารงานให้มีระบบชัดเจนเพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถจัดทําบริการสาธารณะและสนับสนุนภารกิจในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐได้อย่างเต็มศักยภาพ แต่ยังคงสถานะของความเป็ นรัฐวิสาหกิจไว้ โดย สคร.จะทําหน้าที่กํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยก ฎหมายเฉพาะและรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและจัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติในฐานะนิติบุคคล เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจในฐานะผู้ถือหุ้นทําหน้าที่กํากับดูแลรัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง ซึ่งจะทําให้การกํากับดูแลรัฐวิสาหกิจเป็นระบบโปร่งใส และนําไปสู่การบริหารจัดการที่ดีได้ (รัฐวิสาหกิจมีความสําคัญมากต่อเศรษฐกิจไทยทั้งเรื่องบริการสาธารณะและการขับเคลื่อนนโยบาย ทั้งรถไฟ/สนามบิน/ทางด่วนดังนั้นเงินที่เยอะในอดีตที่ผ่านมาจึงเป็นที่หวานหอมของการเมืองที่เข้ามาแทรกแซง เราจึงพยายามทํากลไกนี้ให้เปิดเผยโปร่งใส /ถ้าร่าง พรบ. ฉบับนี้ ผ่านเชื่อว่าจะช่วยลดการแทรกแซงทางการเมืองและทําให้นโยบายเป็ นระบบ ตอบสนองความต้องการของประชาชนและบริการสาธารณะจะดีขึ้น)แม้ว่าฝ่ายผลักดันร่างกฎหมายจะพยายามสะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญในการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ แต่ทางสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส.มองว่าร่างกฎหมายดังกล่าวอาจเอื้อต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจจึงอยากเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาก่อนและนํามาพูดคุยกับทุกฝ่ายซึ้งจะส่งผลให้การปฏิรูปเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง (เราเห็นด้วยกับการปฏิรูปมาโดยตลอดแต่กฎหมายฉบับนี้ ปฏิรูปเรื่องของความเป็นเจ้าของคือเปลี่ยนแปลงจากเจ้าของพี่น้องประชาชนที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจอย่างแท้จริงไปเป็นกลุ่มทุนต่างๆ ซึ่งพวกเรารับไม่ได้ ส่วนที่เป็นข้อกังวลที่มีเรื่องของการแปรสภาพ เรื่องของการยกเลิกและอื่นๆ ผมเชื่อว่าไม่ชัดเจนถ้าจะชัดเจนต้องเขียนให้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นไม่ให้อํานาจคณะรัฐมนตรีหรือไม่ให้อํานาจของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภนิติบัญญัติแห่งชาติในชั้นกรรมาธิการวิสามัญซึ่งจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากทั้งผู้ร่างกฎหมายและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนํามาประกอบการพิจารณาใหเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เกรียงไกร วิหาระธรรม ถ่ายภาพ วรารัตนไชยภัทรคุณเจริญ ทีมข่าวเศรษฐกิจ รายงาน
10 พ.ย. 2560
รายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักเคารพทุกท่าน ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ หน่วยพระราชทาน และประชาชนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรม “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ในการขุดลอกคูคลองมหานาค และคลองเปรมประชากรนะครับ ช่วยกันทำความสะอาด และพัฒนาพื้นที่ใกล้เคียง บ้าน วัด โรงเรียน ควบคู่กันไปซึ่งก็เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แล้วก็นับว่าเป็นการรวมพลังของจิตอาสาที่ยิ่งใหญ่ ทั้งนี้ ปัจจุบันเรามีกำลังพลจิตอาสาทั่วประเทศกว่า 4 ล้านคน พร้อมที่จะเป็นพลังของชาติบ้านเมือง โดยจะช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งปัญหาการจราจร น้ำท่วม ขุดลอกคูคลองเหล่านี้เป็นต้น เพื่อจะนำพาประชาชนไปสู่ความอยู่ดีมีสุข ตามพระราชปณิธานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครับ ผมเห็นว่ากิจกรรมจิตอาสาดังกล่าวนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงออกถึงพลังแห่งความดี และจะนำไปสู่ความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเจ้าของพื้นที่ ชุมชน ที่มีการดำเนินกิจกรรมเหล่านี้ ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ไม่นิ่งดูดาย ไม่ปล่อยเฉพาะจิตอาสาทำงานอย่างเดียว ซึ่งก็อาจจะเป็นการร่วมแรง หรือการแสดงน้ำใจ ตามความสมัครใจด้วย นอกจากนั้นผมก็ยังเห็นว่ากิจกรรมจิตอาสานี้ จะเป็นสิ่งย้ำเตือนใจเราทุกคนอยู่เสมอว่า กิจการงานใดก็ตามที่ได้ริเริ่มไว้ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างไม่ลดละ และต่อเนื่อง มิฉะนั้น ปัญหาต่าง ๆ ก็จะสะสม แล้วกลับมาใหม่ เช่น การกำจัดผักตบชวา ขยะ สวะต่าง ๆ ซึ่งก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบในเบื้องต้นของเจ้าของบ้าน เจ้าของพื้นที่ ก่อนที่จะมีหน่วยงานราชการ หรือจิตอาสาเข้ามาดำเนินการในเรื่องใหญ่ ๆ สำหรับภัยธรรมชาติต่าง ๆ รวมทั้งน้ำท่วม-น้ำแล้ง ซึ่งก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นสิ่งที่ต้องคิด ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และมองไปข้างหน้าอยู่เสมอ เช่น สถานการณ์น้ำท่วมภาคกลางและภาคอีสาน ภาคเหนือด้วย ในปัจจุบันสถานการณ์เริ่มทุเลาลดลงเหลือ 12 จังหวัด ที่ยังคงน้ำท่วมขังอยู่ โดยปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยังคงมีปริมาณน้ำเข้าเขื่อน เฉลี่ยประมาณ 50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีการระบายออกจากเขื่อนเฉลี่ยประมาณ 22 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สรุปว่าวันนี้ เรามีน้ำคงเหลือกว่า 14,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำขั้นต่ำ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับบริหารจัดการให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในอนาคต สำหรับอุปโภค-บริโภค การเกษตร และระบบนิเวศ ในช่วงฤดูแล้งและช่วงต้นฤดูฝนของปีหน้า อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องประหยัดน้ำ ใช้น้ำอย่างมีคุณค่า จากนี้ก็ต้องเริ่มเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู เยียวยา ทั้งหมดได้มีการกำหนดไว้แล้วในแผนการดำเนินงาน ซึ่งเราจะต้องทำให้รวดเร็วและทั่วถึง ฝากพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือกับทุกส่วนราชการด้วยในการสำรวจ สำหรับภาคเหนือนั้น ขณะนี้ก็ย่างเข้าสู่หน้าหนาว ก็จะมีทั้งภัยหนาวและไฟป่า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดเดา โดยเฉพาะการป้องกันปัญหาไฟป่า และหมอกควันจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ทุกคนต้องควบคุม ต้องระมัดระวัง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ เราก็ได้วางมาตรการต่าง ๆ และสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันตามแผนบูรณาการไว้แล้ว ขอให้ทำต่อเนื่อง ให้เพิ่มมากขึ้น ผมก็อยากให้ทุกคนทำตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของตน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาชน เกษตรกร โดยต้องเริ่มทบทวนความเข้าใจ ซักซ้อมการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้เกิดขึ้น แล้วก็ไปแก้ไข ต้องมีการเตรียม มีการซกซ้อม ทั้งคน เครื่องไม้เครื่องมือ แผนการเคลื่อนย้ายอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น มีการประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน ในการขอความร่วมมือ เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิม ๆ เกิดขึ้นอีก อย่าจุดไฟในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย พื้นที่ที่มีความเสี่ยงทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ส่วนภาคใต้นั้นฤดูกาลอาจจะแตกต่างจากภาคอื่น ๆ กำลังเข้าสู่ช่วงฝนตกชุก มีมรสุม น้ำฝนสะสม อันจะทำให้เกิดน้ำท่วม น้ำป่า พื้นที่เสี่ยง พื้นที่ท่วมเป็นประจำ ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งแผนเผชิญเหตุ ทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ วันนี้ก็มีการย้ายทั้งคน ทั้งเครื่องมือไปเตรียมพร้อมไว้ ไปช่วยเหลือแล้วในขณะนี้ พี่น้องประชาชนทั่วไปนั้นจะต้องระมัดระวัง ร่วมมือ รวมทั้งในเรื่องของการเดินเรือ การทำประมง การท่องเที่ยวชายฝั่งอะไรเหล่านี้ การออกเรือ เราจะต้องใช้ความระมัดระวัง ต้องมีการติดตามข่าวสาร การแจ้งเตือน จากทางราชการที่รับผิดชอบ ที่เชื่อถือได้ ก็อย่าไปหลงเชื่อการส่งต่อข้อความ ส่งต่อกัน ที่ไม่รู้แหล่งที่มา จนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ต้องมีสติ มีหลักคิดที่ถูกต้อง ตรวจสอบความถูกต้องทุกครั้ง ก่อนที่จะส่งต่อไปคนอื่น ทั้งนี้ รัฐบาลก็ให้ความสำคัญ และห่วงใยพี่น้องประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งมีความเดือดร้อนแตกต่างกันออกไป หลายพื้นที่ยังคงเผชิญกับภัยธรรมชาติ ทุกรูปแบบ ซึ่งในปัจจุบันนั้นเราต้องระมัดระวังมากขึ้น รับฟัง แล้วก็แจ้งเตือน ป้องกัน ช่วยเหลือ เยียวยา ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งเราได้มีการบูรณาการไว้ล่วงหน้าแล้ว พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศ มีการปฏิรูปมากมายที่เรากำลังดำเนินการอยู่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วจะได้เฉพาะพื้นฐาน เพราะพื้นฐานจะทำให้เกิดการปฏิรูปในเชิงที่เป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ เราต้องดำเนินการให้เป็นขั้นเป็นตอน มีระเบียบแบบแผน มีกรอบยุทธศาสตร์ชาติของเรา เพื่อจะมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ของประเทศ ก็คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โบราณท่านกล่าวไว้แล้วว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ก็เป็นสุภาษิตที่คนไทยเราคุ้นเคยยึดถือมาเป็นเวลานาน แต่สำหรับสถานการณ์ในทุกวันนี้ ผมก็ขอให้กำลังใจในการทำงานกับทุกคน ทุกฝ่าย ทุกระดับ ผมขอเสนอสมการแห่งความสำเร็จ ง่าย ๆ เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจให้มีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ ก็คือ ความสำเร็จ ประกอบไปด้วย ความเพียรร่วมกับความร่วมมือ โดยขอยกตัวอย่างความสำเร็จในระดับต่าง ๆ ดังนี้ ระดับบุคคล อาทิ ความสำเร็จของ “น้องทาม” เด็กชาย วรรธนะ คำอินทร์ ที่ชนะเลิศการแข่งขันการวาดภาพระบายสี ระดับเขตพื้นที่การศึกษาประเภทนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คือ ไม่มีแขน แต่มีความมุมานะ ประกอบกับได้รับการสนับสนุนและกำลังใจ ในการวาดภาพต้นไม้ของพ่อ จนเป็นผลสำเร็จ น่าประทับใจ เป็นการแสดงออกถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพสกนิกรชาวไทย อีกความสำเร็จหนึ่ง เป็นของคณะนักเรียนไทย จากโรงเรียนคลองใหญ่วิทยาคม จังหวัดตราด ที่สามารถคว้าแชมป์การแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 1 (JAL Origami Plane Asian Competition) ที่เกาะมิยาโกะ จังหวัดโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 – 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งประเภทบุคคลทั่วไป และประเภททีม รวม 4 รางวัล ซึ่งต้องอาศัยความอุตสาหะ และการพัฒนาทักษะของตนเองอยู่เสมอ กว่าจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทย แล้วไปชนะผู้แข่งขันจากอีกหลายประเทศ ประกอบกับความร่วมมือกันระหว่างองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสมาคมเครื่องบินกระดาษพับประเทศไทย รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย ที่คอยช่วยเหลือสนับสนุน แก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นเบื้องหลังของความสำเร็จในครั้งนี้ด้วย ขอบคุณครับ ทั้งนี้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในอนาคต ย่อมเกิดจากก้าวเล็ก ๆ ในวันนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีเยาวชน นักประดิษฐ์ นักวิจัย หรือนักกีฬา อีกมากมาย ที่ชนะการแข่งขันการประกวดต่าง ๆ ในทุกระดับ ไปจนถึงระดับโลก ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เอาใจใส่ เข้าไปสนับสนุน โดยมีโครงการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะดึงศักยภาพบุคคลเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้มีความก้าวหน้า มีอนาคต ไม่ใช่เป็นแต่เพียงข่าว แล้วก็เลิกรากันไป เพราะผมถือว่าคนเหล่านั้นเป็นช้างเผือก เป็นเพชรน้ำเอก ที่เราสมควรลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีพรสวรรค์ร่วมกับพรแสวงให้ตรงจุด มีอีกมากมาย ระดับประเทศ ก็มีความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องอาศัยความเพียรของเจ้าหน้าที่ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทุกภาคส่วน และความร่วมมือของทุกคน ตามกลไกประชารัฐ ตามนโยบายรัฐบาลนี้ อาทิ การจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของไทยโดยธนาคารโลก หรือ Doing Business ซึ่งดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 20 อันดับ ก็นับว่ามีพัฒนาการดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ตามที่ทราบกันดีแล้ว ส่วนความสำเร็จที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ก็จะเป็นเป้าหมายร่วมกันของพวกเรา ยังมีอีกมากครับ เช่น การแก้ปัญหาการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งมีกฎระเบียบซับซ้อน เจ้าหน้าที่ไม่พอรองรับคำขอ กว่า 2 แสนรายการต่อปี และขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบ เป็นต้น วันนี้เราก็ได้กำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาไปแล้ว หากเราแก้ปัญหาได้ตามข้อเสนอของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 หรือ กขร. เราก็จะสามารถเคลียร์บัญชีคำขอที่คงค้างอยู่เกือบ 9,000 รายการ นอกจากจะช่วยการเข้าถึงยาที่ได้มาตรฐานของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังช่วยลดมูลค่าการนำเข้ายา ประมาณ 5,000 ถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งสามารถขับเคลื่อนส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย เข้ามาเสริมได้อย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังมีข้อเสนอจากที่ประชุม กขร. เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมก็ได้มอบนโยบายเพิ่มเติม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงไปดำเนินการในทันที เช่น ในเรื่องของการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา การจดทะเบียนที่ดิน การนำเข้าและส่งออก รวมทั้งการปฏิรูปกฎหมาย เหล่านี้เป็นต้น ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การดำเนินการตามข้อเสนอของ กขร. ในครั้งนี้ หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และดำเนินการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่องแล้ว ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยในอนาคต เราหยุดรอไม่ได้ วันหน้าก็ต้องพัฒนาต่อไป กฎระเบียบกติกาก็มากขึ้น เราก็อยากจะรักษาลำดับต้น ๆ ของเราไว้ อย่างเช่นในวันนี้ เพื่อจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทางอ้อมอีกด้วย ก็จะส่งผลดีกับทุกคนในประเทศ ทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการ แรงงาน หรือคนที่อยู่ในห่วงโซ่ทั้งหมด ทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ทั้งหมดอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน ตามที่ผมได้เล่าให้ฟังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแล้ว สำหรับระดับโลกนั้น เราคงไม่อาจปฏิเสธว่าไทยก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมโลก เราจึงไม่อาจเป็นเอกเทศได้ หรือหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับกติกาสากลได้ เพราะวันนี้เป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจกันอยู่ รวมกลุ่มประเทศกันอยู่ หลายประชาคม หลายภูมิภาค ดังนั้น ผลสำเร็จล่าสุดจากการที่เราสามารถสร้างความเชื่อมั่น จนองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ปลดธงแดงสำหรับประเทศไทย อันนี้ก็เป็นผลมาจากการบูรณาการความพยายามอย่างหนักของทุกหน่วยงาน ในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา เรื่องเดียวใช้เวลาถึง 3 ปี เพื่อขจัดปัญหาที่หมักหมมมานานนับสิบ ๆ ปีเป็นการร่วมมือกันทำงานเพื่อเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน คือประเทศชาติและประชาชน ผลดีที่ได้รับก็คือกิจการบินและการท่องเที่ยวของไทย กลับมามีชีวิตชีวา สร้างมูลค่าเข้าสู่ประเทศได้อีกครั้ง อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ การสร้างความสำเร็จระดับโลก นั้นย่อมจะมีความสลับซับซ้อนขึ้น และองค์กร NGO ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้กลไกประชารัฐภายในประเทศ อาจจะยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องสร้างเครือข่ายระดับโลกด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่ดีที่ผมอยากเล่าให้ฟัง เช่น ประเทศของเราได้ทำงานร่วมกับองค์กร NGO ที่ชื่อว่า “ICAN” (International Campaign to Abolish Nuclear Weapons) และอีกหลายองค์กร รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในการผลักดันเรื่องการเจรจาสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธนิวเคลียร์จนเป็นผลสำเร็จ โดยประเทศไทยได้ลงนามและเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้แล้วเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ณ องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ซึ่งต่อมา ICAN ได้รับการยกย่อง และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี ค.ศ. 2017 ในบทบาทดังกล่าว ซึ่งก็สอดคล้องกับท่าทีและนโยบายของประเทศไทยมาโดยตลอด นับว่าประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จครั้งนี้อย่างน่าภาคภูมิใจด้วยครับ ที่สำคัญก็นับเป็นความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ ที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเวทีระหว่างประเทศเสมอมา ความสำเร็จทั้งปวงเหล่านั้น แม้จะเป็นระดับบุคคล ก็ย่อมส่งผลดีไปถึงระดับประเทศในที่สุด ผมขอเน้นสมการความสำเร็จอีกอันหนึ่งในยุคไทยแลนด์ 4.0 อีกครั้งว่า ต้องประกอบด้วยความเพียรและความร่วมมือ และก็ฝากเป็นข้อคิดอีกประการหนึ่งว่าประเทศไทยต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำในสิ่งที่ตนถนัด และทำให้ดีที่สุด ผมอยากให้เราคนไทย ได้มอบกำลังใจให้แก่กัน ดีกว่าเราจะติเรือทั้งโกลน หรือวิพากษ์วิจารณ์โดยเจตนาที่ไม่สุจริต เพื่อจะทำให้เกิดบรรยากาศความขัดแย้ง แล้วบ้านเมืองของเราก็จะน่าอยู่ มีแต่ความผาสุก พี่น้องประชาชนที่รักครับ สัปดาห์นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการนโยบายสำคัญ 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะส่งผลดีโดยตรงกับผู้มีรายได้น้อย และระดับกลาง ดังนี้ 1. โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เข้ากองทุนผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นนโยบายที่ส่งเสริมการเสียสละ หรือการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากผู้สูงอายุที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ฐานะดี ไม่เดือดร้อน เพื่อนำไปบริหารจัดการในรูปแบบกองทุน แล้วนำมาเป็นส่วนเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และยังเดือดร้อนอยู่ ถือว่าเป็นการทำบุญร่วมกันตามนิสัยคนไทย และวัฒนธรรมไทย ๆ ที่ชอบช่วยเหลือผู้ที่ขัดสน รัฐบาลเพียงเข้ามาสร้างกลไกให้บุญกุศลเหล่านั้น เกิดเป็นมรรค เป็นผล ตรงไปยังผู้ที่สมควรจะได้รับ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ให้นั่นเอง เป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุที่ลำบากอยู่ มีรายได้ในการดำรงชีพมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับผู้ที่เสียสละ นอกจากจะอิ่มบุญแล้ว ท่านยังจะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติ เพื่อเป็นความภาคภูมิใจ ตอบแทนการทำความดีในครั้งนี้ อีกทั้งก็จะยังได้รับสิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1 เท่าของเงินที่บริจาค มองดูแล้วเดือนหนึ่งก็ไม่มากนัก แต่ถ้าคูณเป็นปีก็หลายพันบาทอยู่ครับ ทุกคนก็สามารถแสดงความจำนงจะบริจาคได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป จะบริจาคเป็นปี เป็นเดือน เป็นงวด ก็แล้วแต่ความสมัครใจ เงินส่วนนี้ก็จะไปเพิ่มเติมให้กับคนอื่น ๆโดยเฉลี่ยมากขึ้น ก็คงไม่ใช่สาเหตุเพราะรัฐบาลไม่มีสตางค์ แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ถึงคนที่มีรายได้น้อยจริง ๆ ที่เรียกว่าความเป็นธรรมครับ 2. มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2560 หรือ ช็อปช่วยชาติ ตามนิยามที่พี่น้องสื่อมวลชนตั้งให้ ก็จะเป็นการซื้อสินค้าหรือรับบริการในประเทศเท่านั้น แล้วนำมาขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคนละ 15,000 บาท สินค้านั้น ต้องไม่ใช่สุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ น้ำมัน ก๊าซสาหรับเติมยานพาหนะ เป็นต้น รายละเอียดตามที่เป็นข่าวไปแล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 3 ธันวาคม ศกนี้ ทั้งนี้ ก็อย่าลืมขอหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ได้แก่ มีชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการ ในใบกำกับภาษี เป็นต้น สำหรับโครงการนี้ เราไม่ได้มุ่งหวังให้มีการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เพียงแต่ต้องการลดค่าใช้จ่ายสำหรับพี่น้องประชาชน ที่มักจะมีการจับจ่ายใช้สอยสิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิต ซ่อมแซมอุปกรณ์ประจำบ้าน ซ่อมรถ ซ่อมเครื่องมือประกอบอาชีพ หรือเป็นของขวัญปีใหม่ในช่วงปลายปีอยู่แล้ว ก็ขอให้พิจารณาใช้จ่ายอย่างประหยัด คนมีมากก็ใช้มาก คนมีน้อยก็ใช้น้อยเท่าที่จำเป็น อย่างพอเพียง ให้เหมาะสมกับฐานะ อย่าไปคิดว่า รัฐบาลจะแจกแต่เพียงอย่างเดียว ลดให้ อะไรให้ บางครั้งนี่อาจจะเป็นนิสัยต่อไป ถ้าเราเข้าใจในระบบของธุรกิจ ก็ทราบดีว่าการที่เรามีการซื้อของมากขึ้น การผลิตก็จะมากขึ้น แรงงานในแต่ละกลุ่มกิจกรรม วันนี้ก็ในกลุ่ม SME หรือกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย รายใหญ่ ก็ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงาน เขาก็ได้ค่าแรงด้วย ถ้าไม่มีคนซื้อก็ไม่มีคนผลิต เมื่อไม่มีคนผลิต ก็เดือดร้อนไปทั้งหมด ทั้งผู้ประกอบการ แล้วก็แรงงานก็เดือดร้อน เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อคำบิดเบือนต่าง ๆ เลยครับ สำหรับเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือคำถามอีก 6 ข้อ ที่ขึ้นตามหน้าจอนั้น ก็จะเป็นคำถามต่อเนื่องของผม เนื่องจาก 4 ข้อเดิม ที่ผมได้สอบถามพี่น้องประชาชนไปแล้ว ก็จะรวมเป็น 10 ข้อ ทุกคนสามารถไปให้คำตอบได้ แสดงความคิดเห็นได้ หรืออาจเขียนข้อเสนอแนะเพิ่มเติมความคิดเห็นก็ได้อย่างเป็นอิสระ และเปิดกว้าง ผมอยากให้ช่วยกันคิด ช่วยกันแสดงออกมาตามช่องทางนี้ได้ครับ สำหรับผู้ที่เคยตอบ 4 คำถามแรกมาแล้วก็สามารถจะตอบใหม่ได้ทั้ง 10 ข้อ เรื่องนี้นั้นนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ไม่ได้มีเจตนาทางด้านการเมือง หรือจะไปสร้างความขัดแย้งกับบรรดานักการเมือง พรรคการเมืองที่ดี ๆ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง มีมากมาย เราก็สมควรสนับสนุน ผมเพียงแต่สร้างความเข้าใจ สร้างหลักคิดให้กับพี่น้องประชาชน กับกลุ่มทุกฝ่ายทุกหมู่เหล่า ที่ท่านกล่าวว่าประชาชนย่อมมีสิทธิ์มีเสียงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองไทยนั้นคืออะไร นักการเมือง พรรคการเมืองที่ดี ก็คงต้องเห็นชอบด้วยกันในเรื่องนี้ เพราะทุกคน หลายท่านก็ตั้งใจในการที่จะทำให้บ้านเมืองเราพัฒนาไปข้างหน้า เราทุกคนต้องยอมรับข้อบกพร่อง ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยของเราในช่วงที่ผ่านมา ก็มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ รุนแรงมากขึ้น ขัดแย้งมากขึ้น วันนี้ต้องกลับมาสู่ปกติให้ได้ ทั้งนี้เราจะต้องทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกับพี่น้องประชาชน ทำผิดก็ทำใหม่ได้ หรือทำไม่ดีก็ทำให้ดีขึ้นได้ในโอกาสหน้า ทั้งนี้ ผมอยากให้ประชาชนทั้งประเทศได้มีความหวัง สมหวัง มองอนาคต แล้วก็เดินหน้าไปสู่อนาคตของเรา คือประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน เราก็คงจะต้องมุ่งเน้นนโยบายที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ และทำงานร่วมกับนโยบายของพรรคการเมือง ถ้าทุกพรรคการเมืองเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ ร่วมกับนโยบายของพรรค ทำในสิ่งที่มันควรจะเป็น ก็จะเกิดการปฏิรูปประเทศ ตามที่เราทุกคนต้องการในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดในการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ที่เราจำเป็นต้องมีมาตรการดูแลเฉพาะเป็นพิเศษ ซึ่งก็มีหลากหลายกุล่ม หลายอาชีพ ขณะนี้เราจะคิดแบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าไม่เข้มแข็ง เราต้องมีการจัดระเบียบ มีการสร้างระบบ สร้างมาตรฐาน กำหนดเป้าหมาย มีแบบแผน มีแผนแม่บท มีแผนปฏิบัติการ และแผนในการปฏิรูปให้ชัดเจน ว่าเราจะทำอะไร จะแก้ปัญหาอะไร แล้วก็จะให้เกิดผลกับกลุ่มใดอย่างไร และจะทำให้ทั่วถึงได้หรือไม่ เราคงต้องช่วยกัน บรรดาพรรคการเมือง นักการเมือง กับรัฐบาลและ คสช. เวลานี้ เราควรจะต้องคำนึงถึงคนไทยทั้งประเทศเกือบ 70 ล้านคน มีทั้งผู้สูงอายุ เด็ก สตรี ผู้หญิง คนชรา มากมาย เราต้องมีมาตรการที่หลากหลาย ที่ต้องตอบโจทย์ที่เฉพาะเจาะจง เฉพาะกลุ่มให้ชัดเจน ไม่ใช่การหว่านลงไปทั้งหมด ก็จะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่เป็นธรรมภิบาล ไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียม ไม่เป็นธรรม คือไม่เข้าถึง คือไม่เท่าเทียม ก็คือทุกคนไม่เข้าถึงโอกาส ความเป็นธรรมก็คือผู้มีรายได้น้อยต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จากทางภาครัฐ ไม่ใช่ทั้งหมด ก็คือการบริหารด้านงบประมาณต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอย่างนี้ได้ ก็จะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมีธรรมภิบาล เพราะฉะนั้นบรรดานักการเมือง พรรคการเมือง ทุกท่าน ผมไม่ใช่เป็นศัตรูของใคร ผมต้องการทำให้ทุกอย่างเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีอนาคต แล้วก็ไม่เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก ผมก็คาดหวังว่า หลายคน หลายท่านหลายพรรค จะได้มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวของทุก ๆ ท่าน ของทุก ๆ พรรค ซึ่งก็มีดี ๆ อยู่มาก มีไม่ดีอยู่ไม่มากนักหรอก ก็หวังว่าจะมีการปฏิรูปตัวเองครับ ลองฟังที่ผมพูดดูแล้วให้ลองคิดดูสิครับว่าผมมีเจตนาอะไร ผมไม่อาจจะไปทะเลาะกับใครได้ เพราะผมเข้ามา ผมจำเป็นต้องสร้างความปรองดอง ความปรองดองก็คือด้านการเมืองด้วย ทุกคนจะต้องมีการปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปพรรค เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมาก่อนเสมอ ถ้าเราทำดีได้อย่างนี้เราก็จะอยู่ครบวาระ ไม่ต้องไปเตรียมการเพื่อจะเลือกตั้งใหม่ตลอดเวลา ก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีกด้วย ขอขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
09 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โครงการตลาดประชารัฐ
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า รัฐบาลมีความต้องการปฎิรูปเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ผ่านการสนับสนุนให้ตลาดประชารัฐ 9 ประเภท คือ ตลาดประชารัฐ Green Market /ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้ /ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ /ตลาดประชารัฐ กทม. /ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด 76 แห่ง /ตลาดประชารัฐ Modern Trade /ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน /ตลาดประชารัฐต้องชม และตลาดประชารัฐตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม 76 แห่งทั่วประเทศ ผ่านการบูรณาการทุกหน่วยงานที่จะช่วยสร้างโอกาสสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความสุขให้กับประชาชน โดยจะเน้นต่อยอที่มีผู้ซื้อขายอยู่แล้วเดิมต่อยอดให้เกิดผู้ค้าหน้าใหม่ เพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่ ขยายตลาดเดิม เพิ่มความหลากหลายในการนำสินค้าเอามาจำหน่าย เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้มีงานทำ ทั้งนี้ จะเปิดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีความประสงค์พื้นที่ค้าขายลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการได้ ตั้งแต่วันที่ 10-30 พฤศจิกายน 2560 และเปิดให้เริ่มจำหน่ายในวันที่ 5 ธันวาคม 2560 โดยสามารถไปลงทะเบียนได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทุกจังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทั่วประเทศ เพียงใช้บัตรประชาชนเท่านั้น กริช รวิวรรณ/สวท.
09 พ.ย. 2560
รมว.มหาดไทยตรวจสภาพพื้นที่อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา เตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมด้วยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี นางสุภวรรณ อมรโรจน์วรวุฒิ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดปราจีนบุรี นายทิวา วัชรกาฬ นายสัญชัย ขจรเวหาศน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้การต้อนรับที่อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะรับฟังการบรรยายสรุป จากนั้นตรวจเยี่ยมและตรวจสภาพพื้นที่เตรียมการรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในการเสด็จพระราชดำเนินเปิดโครงการอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (เขื่อนห้วยโสมง) ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี อย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560 ซึ่งอ่างเก็บน้ำนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเขตอำเภอนาดี อำเภอกบินทร์บุรี และสามารถส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมได้ถึง 111,300 ไร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและทำให้ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งน้ำดิบที่สำคัญเพื่อการอุปโภคบริโภค และสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยบรรเทาปัญหาน้ำเน่าเสีย ผลักดันน้ำเค็มที่เกิดขึ้นในแม่น้ำปราจีนบุรีและแม่น้ำบางประกง และจะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดปราจีนบุรีต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบนโยบายการปฏิบัติราชการให้กับหัวหน้าส่วนราชการ ทุกส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านของจังหวัดปราจีนบุรีจำนวนกว่า 3,000 คน เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติราชการให้มีความโปร่งใส และพร้อมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 อีกด้วย สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดปราจีนบุรี
08 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มอก 9999 อุตสาหกรรมไทยยั่งยืน
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า มอก.9999 เป็นมาตรฐานแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 50 ปี ที่ได้รับโอกาสการพระราชทานแนวทางจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นกรอบแนวทางในการร่างมาตรฐาน ซึ่งมาตรฐานนี้จะแตกต่างจากมาตรฐานอื่นอย่างชัดเจน คือ เป็นภาพรวมซึ่งไม่ได้มองในแง่ขององค์กร แต่จะมองไปถึงตัวบุคคล ถึงการมีคุณธรรม ปัจเจกบุคคล การมีความรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐกิจ แต่ต้องรอบรู้ออกไปในด้านอื่นๆ ความพอประมาณ ความพอเพียง การมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้องค์กรมีความเสี่ยงลดลง สามารถดำเนินการและอยู่กับชุมชน สิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น โลกไม่ถูกกระทบจากการทำธุรกิจ หากผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการจะเข้ามาในรูปแบบของการสมัครใจและเห็นถึงความสำคัญของการมีสมดุลในการทำธุรกิจของระบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะคักเลือกจากผู้สมัครเข้ามาปีละประมาณ 10 ราย โดยมีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยเหลือในการสร้างระบบให้มีความสมดุลในองค์กรในทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์จัดการในโรงงานอุตสาหกรรมได้ อาทิ เคมี ชิ้นส่วนรถยนต์ น้ำตาล กระเบื้อง ในอนาคตสิ่งที่พยายามทำ ซึ่งเรียกว่าตัวคูณ โดยมีผู้ที่จะไปสอนต่อฝึกครูและฝึกที่ปรึกษาที่จะไปสอนต่อ ตลอดจนขยายผลออกไปในต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ จากการทำงานมา 4 ปี ได้ขยายผลโดยส่งเอกสารออกไปเชิญชวนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอยู่ประมาณที่ 2,000 ใบ และอาจมีประเด็นที่ผู้ประกอบการติดใจอยู่ คือ มอก.9999 ไม่ได้ออกใบรับรอง (certificate) จึงมีเพียงสถานประกอบการที่สมัครใจจริงๆ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 รายต่อปี และทั้งหมดที่สนใจมีอยู่ 100 กว่าราย ซึ่งในอนาคตจะมีการปรับและพัฒนาระบบให้มีการออกใบรับรอง ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการกับองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการกำหนดมาตรฐาน หรือ ISO ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานให้ความสนใจและมองว่า มอก.9999 หากทำได้จะมีความยั่งยืนทางธุรกิจ นิตยา คุณสิม/สวท.
08 พ.ย. 2560
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเน้นย้ำให้นักเรียนนักศึกษาหลักคำสอนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ที่สถาบันการจัดการปัญญภิวัฒน์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์การศึกษาไทยยุค 4.0 คุณธรรม-ความเพียร-ซื่อสัตย์สุจริต- รู้รักสามัคคี” ภายในงาน “ซีพี ออลล์ กับยุทธศาสตร์การศึกษา 2561” (CP All Education Forum 2018) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายการศึกษาของรัฐบาล ในการพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชน โดยให้ภาคธุรกิจได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและมีศักยภาพ โดยใช้หลักสูตรการเรียนภาคทฤษฎีควบคู่กับการปฏิบัติงานในสถานประกอบการ ว่า ให้นักเรียนนักศึกษาทุกคนยึดหลักคำสอนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องของ "รู้-รัก-สามัคคี" และ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เมื่อเรารู้เราก็จะเข้าใจ เมื่อมีความรักก็จะเข้าถึงได้ในทุกเรื่อง และเมื่อมีความสามัคคีก็จะเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงขอให้ลูกหลานช่วยนำ "ศาสตร์ของพระราชา" เหล่านี้ไปขยายผล ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้ลูกหลานเป็นคนดีของชาติบ้านเมืองต่อไป
08 พ.ย. 2560
รองผู้ว่าฯ ประจวบคีรีขันธ์ลงพื้นที่ตรวจปริมาณน้ำสะสม ประเมินสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่อำเภอเมือง
จากสถานการณ์ที่เกิดฝนตกหนักหลายพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากพายุดีเปรสชั่นที่พัดขึ้นฝั่งจากอ่าวไทย โดยตลอดคืนวันที่ 7 พ.ย.2560 ถึงปัจจุบันยังมีฝนตกอยู่ นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยนายอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ อดีตนายก อบต.เกาะหลัก ได้ลงพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำร่องทศกัณฑ์ ตำบลเกาะหลัก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ดูปริมาณน้ำสะสม เพื่อประเมินสถานการณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ โดยเบื้องต้นรองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ให้มอบให้ส่วนท้องถิ่น กำจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ำ ให้สามารถไหลผ่านได้สะดวก จากนั้นเดินทางทางไปตรวจจุดรวมน้ำที่บริเวณหมู่ 2 ตำบลเกาะ โดยบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำเก่าที่ไหลมารวมอยู่ข้างบ้านเรือนประชาชน ก่อนจะผ่านเข้าคลองลอดถนนเพชรเกษม บริเวณนี้เรียกว่าร่องทศกัณฑ์ จากสถานการณ์น้ำท่วมต้นปีที่ผ่านมา จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เกิดน้ำท่วมผ่านถนนเพชรเกษม ซึ่งผู้นำท้องถิ่นเสนอให้มีการจัดสรรงบเพิ่มเติมทำท่อระบายน้ำเชื่อมไปยังระบบระบายน้ำถนนประจวบ-หนองเสือ เพื่อการระบายน้ำที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง
08 พ.ย. 2560
ชายหาดบางแสนช่วงนี้น้ำใสสะอาด หาดทรายสวย รอการมาเยือนของนักท่องเที่ยว
บางแสนเป็นชื่อของชายหาดแห่งหนึ่งในเขตพื้นที่ ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งหลายคนรู้จักกันดี ด้วยสาเหตุที่ชายหาดบางแสน ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานคร จึงทำให้นักท่องเที่ยวจากหลายพื้นที่แวะเวียนมาท่องเที่ยวยังชายหาดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก จนยุคสมัยหนึ่งชายหาดบางแสนกลับมีสภาพที่เต็มไปด้วยเศษขยะ น้ำทะเลมีคราบสีดำลอยเป็นแนวยาว นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนแทบจะเบือนหน้าหนีทันทีที่เดินทางมาถึง แต่แล้วทางเทศบาลเมืองแสนสุขได้เข้ามาจัดระเบียบร้านค้า ปรับปรุงภูมิทัศน์ ดูแลรักษาความสะอาด ตลอดจนรณรงค์ให้ประชาชนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวตระหนักถึงความสำคัญของการช่วยกันเก็บทิ้งขยะต่างๆ ให้ถูกที่จนในที่สุดชายหาดบางแสน ซึ่งเคยเสื่อมโทรมก็กลับมางดงามดังเช่นที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้อีกครั้ง ในช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ.ของทุกปี หาดบางแสนจะมีน้ำทะเลใสและสวย กระแสน้ำที่พัดขยะเข้ามาก็จะเปลี่ยนทิศ ไม่พัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ จากปากแม่น้ำเข้าหาด ดังนั้น ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ชายหาดบางแสนสวยที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้ ทั้งอากาศที่เย็น ลมพัดเอื่อยๆ นั่งริมหาดชิลๆ ปูเสื่อทานอาหาร ฟังเสียงคลื่นซัดสาด ดูพระอาทิตย์ตกดิน ในวันพักผ่อนสบายๆ ไม่ต้องขับรถไกลอีกด้วย บางแสนก็เป็นตัวเลือกที่ไม่จะพาครอบครัวมาท่องเที่ยวในวันหยุดหรือวันนักขัตฤกษ์ และในช่วงนี้เหมาะกับการที่จะพาครอบครัวมาท่องเที่ยวที่บางแสนเป็นอย่างมาก นางสาวเบญจมาศ คำกงลาด นักท่องเที่ยวชาวจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยว่า ปกติจะพาครอบครัวเดินทางมาเที่ยวบ่อยๆ เนื่องจากว่าชายหาดบางแสนไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และตอนนี้น้ำทะเลก็ไม่ขุนเหมือนแต่ก่อน อาการก็ไม่แพง แต่ก่อนจะมีฝุ่นลอยอยู่ตามชายหาด ณ วันนี้น้ำทะเลสะอาดมาก ไม่มีขยะ น้ำก็ใส สำหรับเดือนนี้มาเที่ยว 2 รอบแล้ว ถ้าเทียบกันระหว่างพัทยากับบางแสน ที่บางแสนอาหารจะถูกกว่าและสิ่งแวดล้อมดี พัทยาส่วนมากจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวมากกว่า ถ้าประชาชนจะมาเที่ยวเรื่องความสะอาดก็ช่วยกันนิดหนึ่ง เพราะตอนนี้หาดทรายสะอาดดีแล้ว น้ำใสมากๆ ก็ตอนนี้ถ้าเกิดใครว่างๆ แบบไม่มีที่จะไปไหนก็มาเที่ยวที่บางแสนได้ เพราะว่าน้ำใสสะอาด แล้วก็อาหารไม่แพงแล้ว เพราะว่ามีคนคอยดูแลตลอด ริมหาดก็จะมีเจ้าหน้าอาสาสมัครไว้ดูแลคนที่จมน้ำ คือจะมีคนดูแลตลอดเวลา และตอนนี้ได้มาเที่ยวที่บางแสนประทับใจมาก นอกจากเทศบาลเมืองแสนสุข ยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับ ความสะอาดของแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งเทศบาลเมืองแสนสุข ได้ร่วมกับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้จัดระเบียบชายหาดบางแสน เพื่อคืนพื้นที่สาธารณะให้แก่ประชาชน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมานั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวบริเวณหาดบางแสนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางเทศบาลเมืองแสนสุข ได้เพิ่มมาตรการรักษาความสะอาดเพิ่มยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดการขยะบริเวณชายหาด เทศบาลฯ มีการจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาประจำจุดต่างๆ ทั้งหมด และมีเจ้าหน้าที่วนเวียนมาดูแลตลอดเวลา รวมไปถึงการกำจัดขยะในเขตพื้นที่ของทางเทศบาลเมืองแสนสุขที่รับผิดชอบ ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุม 20.268 ตารางกิโลเมตร โดยมีกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ทั้งนี้ แหล่งท่องเที่ยว จะสวยงาม สะอาด ได้ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งคือ การได้รับความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวทุกท่านช่วยกันดูแลและรักษา เพราะเพียงกำลังเจ้าหน้าที่คงมีไม่เพียงพอกับปริมาณขยะในแต่ละวันที่มีปริมาณมหาศาลได้ นายศิริชัย โสรเนตร....ภาพ/ข่าว
07 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ศาสตร์พระราชา
นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. เปิดเผยผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า ศอ.บต. ยังคงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้การทำเกษตร ปศุสัตว์ และการประมง ในพื้นที่อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการนำศาสตร์พระราชามาใช้ เช่น การส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันและมะพร้าว โดยอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบในการพัฒนาซึ่งจะมีการขยายฐานไปยังอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดปัตตานี เช่น อำเภอแม่ลาน อำเภอเมืองปัตตานี อำเภอยะรัง และอำเภอโคกโพธิ์ เพื่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในพื้นที่ พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร รองเลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวว่า มะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ และมีตลาดรองรับอย่างยั่งยืน ศอ.บต.ในฐานะเป็นศูนย์กลางของเมืองต้นแบบได้ให้การส่งเสริมการปลูกมะพร้าว โดยตั้งเป้าการปลูกมะพร้าวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ว่าจะสามารถปลูกได้ประมาณ 2 แสนไร่ ขณะนี้ปลูกได้แล้วประมาณ 1 แสนไร่ และยังเหลือที่จะต้องเดินหน้าปลูกอีก 100 ไร่ โดยในปี 2560 ศอ.บต.ได้เริ่มขับเคลื่อน โครงการและนำร่องการปลูกได้อีก 5 พันไร่แล้ว ทั้งนี้ หากสามารถปลูกได้ครบ 200 ไร่ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะมีต้นมะพร้าวในพื้นที่ประมาณ 4 ล้านต้น นั่นคือ เพียงพอต่อโรงงานแปรรูป และการส่งออกไปยังต่างประเทศเพชรทัย เกิดโชติ
05 พ.ย. 2560
กรมชลประทาน รายงานข้อมูลเพิ่มเติมกรณีน้ำกัดเซาะคันพนังถนนเรียบลำน้ำชีในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าตูม บ้านท่าตูม ต.ท่าตูม อ.เมือง จ.มหาสารคาม
กรมชลประทาน รายงานข้อมูลเพิ่มเติมกรณีน้ำกัดเซาะคันพนังถนนเรียบลำน้ำชีในเขตความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าตูม บ้านท่าตูม ตำบลท่าตูม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม นายวิทยา มากปาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ได้ประชุมร่วมกับนายอำเภอเมืองมหาสารคาม หัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมหาสารคาม กรมชลประทานโดยโครงการชลประทานมหาสารคามและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยที่ประชุมสรุปว่า จะไม่ดำเนินการอุดปิดช่องขาด แต่จะป้องกันไม่ให้พนังขยายขนาดความกว้างเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่เกษตรที่เสียหายโดยสิ้นเชิงแล้วตั้งแต่พายุ “เซินกา” แต่จะดำเนินการป้องกันพื้นที่ชุมชน หมู่บ้าน และถนนสำคัญที่ใช้สัญจร ไม่ให้ได้รับผลกระทบ ส่วนกรณีพนังกั้นน้ำที่ขาดรวมความยาว 30 เมตร ลึกประมาณ 2 เมตร นั้น นายวิทยา มากปาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม พร้อมด้วย นายอำเภอเมืองมหาสารคาม ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า สาเหตุ คือ น้ำชีได้กัดเซาะพนังกั้นน้ำบริเวณสถานีสูบน้ำท่าตูม-เขื่อนวังยางขาดเป็นระยะทางประมาณ 30 เมตร ซึ่งตำแหน่งจุดขาดอยู่ห่างจากเขื่อนวังยางด้านเหนือน้ำขึ้นมาประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างสถานีสูบน้ำเขื่อนวังยางกับบ้านท่าตูม ตำบลท่าตูม อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากพายุ "เซินกา" เป็นพื้นที่น้ำท่วมอยู่เดิมมีระดับน้ำท่วมขังประมาณ 0.50-1.00 เมตร (จุดต่ำ) ณ บริเวณจุดขาดนี้ทำให้น้ำไหลล้นเข้าไปยังพื้นที่เพิ่มเติมทำให้มีระดับน้ำท่วมขังเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 เมตร ณ เวลา 7.00 น.กินพื้นที่ 2,800 ไร่ และจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นตามลำดับจนสูงสุดไม่เกิน 8,000 – 11,000 ไร่ ตามที่เคยถูกน้ำท่วมมาก่อนแล้วในช่วงพายุ “เซินกา” ที่ผ่านมา โดยเป็นพื้นที่น้ำท่วมที่ได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา จะเร่งระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำกุดเชียงสา และลำห้วยกุดเชียงบัง ลงแม่น้ำชีโดยเร็ว ซึ่งทิศทางการไหลของมวลน้ำที่ไหลล้นเข้าที่จุดขาด จะไหลไปรวมกันที่ประตูระบายน้ำ (ปตร.) กุดเชียงสา ไหลลงแม่น้ำชี ซึ่งปัจจุบัน มีระดับน้ำด้านในสูงกว่าแม่น้ำชี 0.10-0.15 เมตร สามารถเปิดบานประตูระบายน้ำระบายน้ำตามแรงโน้มถ่วงได้ ลำห้วยกุดเชียงบัง ซึ่งมีระดับน้ำสูงกว่าแม่น้ำชีประมาณ 0.15 - 0.20 เมตร ระบายลงแม่น้ำชี โดยกรมชลประทาน สนับสนุนรถฟาร์มเทรคเตอร์ 1 คัน เข้าดำเนินการปรับพื้นถนนที่คับแคบให้มีความสะดวกในการลำเลียงวัสดุ เพื่อดำเนินการป้องกันจุดพนังดังกล่าวแล้วไม่ให้ขยายตัวกว้างขึ้น และปัจจุบันได้ขนย้ายรถบรรทุกเทท้าย 2 คัน และรถแบ็คโฮ 1 คันเข้าพื้นที่จุดขาดแล้ว เพื่อร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ดำเนินการป้องกันตามแนวทางและคำสั่งจังหวัดมหาสารคาม โดยจังหวัดมหาสารคาม อำเภอ และส่วนท้องถิ่น กำลังดำเนินการเสริมกระสอบทรายป้องกันไม่ให้น้ำเข้าท่วมหมู่บ้าน ชุมชน (พื้นที่หมู่บ้านที่อยู่ในความเสี่ยงประกอบด้วย หมู่บ้าน บ้านตูม ,บ้านหนองข่า และบ้านโปโล,เบื้องต้นได้แจ้งให้ประชาชนได้ขนย้าย สิ่งของต่างๆขึ้นบนที่สูงให้ปลอดภัยแล้ว) พร้อมทั้งใช้กระสอบทรายวางเป็นแนวป้องกันไม่ให้น้ำท่วมถนนสายหลักที่ใช้สัญจรระหว่างหมู่บ้าน ทั้งนี้ จะจำกัดวงน้ำท่วมให้อยู่เฉพาะเขตพื้นที่การเกษตรเท่านั้น ที่มา : กรมชลประทาน
05 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ผลักดันยานยนต์ไฟฟ้า เสริมฐานพลังงาน 4.0
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า นโยบายแผนพลังงาน 4.0 ของประเทศไทย จะให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดผนวกกับการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการยกระดับ ซึ่งเรื่องที่ทางกระทรวงพลังงานให้ความสำคัญคือการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะจุดบริการสถานีบรรจุไฟฟ้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและหน่วยงานต่างๆ หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่เป็นพลังงานสะอาดและมีราคาที่ถูกลง ซึ่งตั้งเป้าใน 20 ปี จะลดใช้การพลังงานได้ถึงร้อยละ 40 ทั้งนี้ในส่วนของสถานีบรรจุไฟฟ้าในปี 2560 จะสามารถสร้างได้ 79 แห่ง และปี 2561 อีก 71 แห่งรวมเป็น 150 สถานีครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยังกล่าวอีกว่าประเทศไทยยังได้ให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาแหล่งกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ให้มีคุณภาพและมีราคาที่ถูกลง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานไฟฟ้าของประชาชนและหน่วยงานต่างๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น กริช รวิวรรณ/สวท.
05 พ.ย. 2560
เจ้าหน้าที่เร่งเข้าช่วยเหลือเรือนักท่องเที่ยวถูกคลื่นลมซัดเรือล่ม ด้านรองผู้ว่าฯพังงา รุดเยี่ยมให้ก
นายศรายุทธ ตันเถียร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเรือพลิกคว่ำ ที่บริเวณกลางอ่าวพังงา ใกล้เขาพิงกัน จึงสั่งการให้ นายแสงสุรี ซองทอง ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา น.ส.สุพัตรา อุ้มญาติ พยาบาลประจำอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา และเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ฯ อ่าวพังงา 2 (เขาพิงกัน) นำเรือของอุทยานฯเข้า ช่วยเหลือ นักท่องเที่ยวประสบเหตุเรือจม ในที่เกิดเหตุพบเรือท้องแบน บริษัท 99 ทัวร์ จากการสอบถามพบว่า เหตุเกิดจากเครื่องยนต์เรือได้เกิดดับ แล้วโดนคลื่นลมแรงซัดน้ำเข้าเรือทำให้พลิกจมบริเวณข้างเกาะรายาหริ่ง ระหว่างเกาะทะลุกับเกาะเขาพิงกัน ทำให้นักท่องเที่ยว ของ บริษัทต้าหมู จำกัด ที่โดยสารมากับเรือท้องแบน ของบริษัท ก้าว ก้าว ทัวร์ มีนักท่องเที่ยวทั้งหมดจำนวน 16 คน บาดเจ็บ 1 คน ชื่อ น.ส.จ้างเฉียน อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว พบว่า มีรอยฟกช้ำที่หน้าอกและแขน เนื่องจากเรือกระแทกหน้าอก ทางเจ้าหน้าที่ได้นำเรือของอุทยานฯอ่าวพังงา ส่ง และประสาน รถกู้ชีพศูนย์นเรนทร 1669 นำส่ง รพ.พังงา ภายหลังได้มีการส่งตัวนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 1 ราย รวมผู้บาดเจ็บที่ต้องเฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาลพังงา ทั้งหมด 2 ราย เบื้องต้นทางแพทย์และพยาบาลได้ทำการตรวจร่างกายนักท่องเที่ยวทุกคนเพื่อความปลอดภัย ล่าสุดนายชาญศักดิ์ ถวิล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ได้รุดเข้าเยี่ยมพร้อมให้การช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยวในเบื้องต้นที่ประสบอุบัติเหตุแล้ว ด้าน น.ส.นฤมล จะยอ อายุ 19 ปี นักท่องเที่ยวผู้อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่า ตนเองลงเรือเที่ยวอ่าวพังงาครั้งแรก ขณะเกิดเหตุเรือจอดซ่อมเครื่องยนต์บริเวณกลางอ่าวพังงา ขณะเดียวกับมีคลื่นลมแรงพัดน้ำเข้าเรือและพลิกคว่ำลง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนใส่ชูชีพลอยคอและมีเรือทั้งของเจ้าหน้าที่และเรือทัวร์ที่อยู่ใกล้เหตุการณ์เข้าช่วยเหลือ ส่วนนายศรายุทธ ตันเถียร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา กล่าวว่า ช่วงนี้มีประกาศเตือนคลื่นลมแรงบริเวณทะเลอันดามัน แม้ว่าอ่าวพังงาจะเป็นทะเลในแต่ขอให้ชาวเรือทั้งเรือประมงและเรือทัวร์ระมัดระวังคลื่นลมในทะเลหากต้องการความช่วยเหลือให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำการณ์อยู่ทุกจุดในอ่าวพังงาและเกาะแก่งต่างๆ
05 พ.ย. 2560
กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม คัดเลือก บ้านท่า ต.หาดกรวด อ.เมืองอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนต้นแบบบริหารจัดกา
กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่คัดเลือกเอาบ้านท่า ตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนต้นแบบบริหารจัดการขยะเหลือศูนย์ ที่หมู่ 5 บ้านท่า ตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ นายสุรชัย อจลบุญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดศูนย์การเรียนรู้ชุมชนปลอดขยะเหลือศูนย์ ซึ่งได้ต่อยอดจากชุมชนปลอดขยะที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยได้พัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชนปลอดขยะและโรงเรียนปลอดขยะซึ่งได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนปลอดขยะ โดยเป็นแหล่งการศึกษาและเรียนรู้ของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรชุมชน การร่วมไม้ร่วมมือของคนในชุมชนประกอบกับการสนับสนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อให้เกิดชุมชนที่ปลอดขยะเป็นศูนย์ขึ้น ภายในชุมชนได้แบ่งเป็นฐานการเรียนรู้ขึ้น จำนวน 7 ฐานการเรียนรู้ ได้แก่ ฐานการเรียนรู้ตู้เย็นข้างบ้าน ,ฐานการเรียนรู้สิ่งประดิษฐ์พิชิตขยะ สามมิตรพิชิตขยะ การจัดการขยะอันตราย ,ฐานการเรียนรู้หิ้วตะกร้า คว้ารางวัล ,ฐานการเรียนรู้ผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา ,ฐานการเรียนรู้ปุ๋ยจากขยะอินทรีย์ดีต่อสุขภาพ ,ฐานการเรียนรู้ไส้เดือนดินกินขยะ และฐานการเรียนรู้ตลาดพอเพียง จากการบริหารชุมชนแบบต้นแบบจนประสบผลสำเสร็จด้านการบริหารจัดการขยะในครั้งนี้ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมเตรียมขยายผลไปสู่ศูนย์การเรียนรู้กำจัดขยะมูลฝอยทั่วประเทศต่อไป
05 พ.ย. 2560
ปัญหานี้มีทางออก : ปลาสลิดล้นตลาด ชาวบ้านร้องรัฐ ช่วยเหลือ
ปัญหานี้มีทางออก : ปลาสลิดล้นตลาด ชาวบ้านร้องรัฐ ช่วยเหลือ จากเมื่อปีที่แล้วปลาสลิดสดขายได้ราคาดีตกอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 120 บาท ทําให้ปีนี้เกษตรกร หันมาเพาะเลี้ยงปลาสลิดมากขึ้นจึงส่งผลให้เกิดภาวะผลผลิตตกตํ่า และไม่มีตลาดส่งออกชาวบ้านเกรงว่าจะขาดทุนจึงต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยหาช่องทางการตลาด ราคาปลาสลิดตกตํ่า และไม่มีช่องทางการตลาดกําลังเป็นปัญหาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครด้วยเป็นจังหวัดที่มีการเพาะเลี้ยงปลาสลิดจํานวนมากและปีนี้มีผลผลิตเพิ่มขึ้นเพราะเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลาสลิดกันมากเป็นผลพวงมาจากเมื่อปี ที่ผ่านมาปลาสลิดขายได้ราคาดี นายบุญชู ปานสุวรรณหนึ่งเกษตรกรที่เลี้ยงปลาสลิดเป็นอาชีพหลัก ในตําบลโรงเขอําเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ยอมรับว่าปีนี้ประสบปัญหาราคาปลาสลิดไม่ค่อยดี ปลาสลิดล้นตลาดทําให้กังวลว่าจะขาดทุนจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือโดยการหาช่องทางการตลาด ข้อมูลของสํานักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร ระบุว่าปี 2560 มีเกษตรกรลงทะเบียนผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไว้กับกรมประมง จํานวน 146 คน 159 ฟาร์ม รวมพื้นที่ 2,252 ไร่ แต่กลับมีเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงแต่ไม่ได้ลงทะเบียนอีกหลายร้อยราย ขณะที่ผู้รับซื้อปลาสลิดรายใหญ่มีเพียง 3 ราย มีเท่าเดิมแต่จํานวนปลาสลิดที่มากขึ้นผู้รับซื้อมีปัญหารายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะต้องนําปลาไปแช่ห้องเย็น ส่วนแม่ค้าปลาสลิดตามตลาดนัด แม้ไม่ได้รับผลกระทบแต่เห็นใจเกษตรกรที่ลงทุนเลี้ยงแต่ไม่มีตลาดที่จะจําหน่าย อีกหนึ่งปัญหาที่พบ คือจากที่เคยส่งปลาสลิดไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา เวียดนามแต่ในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นได้นําพันธุ์ปลาไปเพาะเลี้ยงเองจึงไม่ต้องซื้อจากไทยอีก ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในจังหวัดสมุทรสาครลงตรวจสอบข้อมูลการรับซื้อปลาสลิดและปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหา หลักๆ คือเร่งหาช่องทางกระจายปลาสลิดที่ค้างอยู่,ส่งเสริมให้เกษตรกรแปรรูปปลาสลิดและส่งเสริมการบริโภคปลาสลิดในประเทศมากขึ้นโดยจะดําเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องประสบภาวะขาดทุน
05 พ.ย. 2560
ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจ.อุทัยธานี ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย พร้อมนำแพทย์ พยาบาล ชุดแพทย์เคลื่อนที่ ให้การตรวจรักษาโรคแจกจ่ายยา และฝังเข็มลดอาการปวดและคลายเครียด
ผู้บังคับการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดอุทัยธานี ออกตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย พร้อมนำแพทย์ พยาบาล ชุดแพทย์เคลื่อนที่โรงพยาบาลค่ายจิระประวัติ ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ ให้การตรวจรักษาโรคแจกจ่ายยา และฝังเข็มลดอาการปวดและคลายเครียด วันนี้ (5 ต.ค. 60) ที่จังหวัดอุทัยธานี พันเอก เพิ่มศักดิ์ ประเสริฐศรี ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 4 จังหวัดนครสวรรค์ ในฐานะผู้บังคับการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดอุทัยธานี และชุดมวลชนสัมพันธ์ของหน่วย ออกตรวจเยี่ยมให้กำลังใจแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่บ้านหนองปลามัน หมู่ที่ 1 ตำบลท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ และได้รับผลกระทบถูกน้ำท่วมขังจากแม่น้ำเจ้าพระยาจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำสะแกกรัง โดยได้นำแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร ชุดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โรงพยาบาลค่ายจิระประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าซุง ซึ่งเป็นหน่วยงานของสาธารณสุขในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยได้กางเต็นท์ตั้งโต๊ะริมถนนที่บริเวณหน้าวัดปากคลองท่าซุง หมู่ที่ 1 ตำบลท่าซุง ให้บริการตรวจรักษาโรคที่มากับน้ำโดยเฉพาะโรคน้ำกัดเท้า และแจกจ่ายยาสามัญประจำบ้าน นอกจากนี้ยังให้บริการรักษาด้วยการฝังเข็มลดอาการปวด และลดภาวะอาการเครียด อีกด้วย
05 พ.ย. 2560
สภาพอากาศในพื้นที่ จ.ยะลา ฝนทิ้งช่วง ประชาชนยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลันไปอีกระยะ
สภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดยะลา ฝนทิ้งช่วง ประชาชนยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลันไปอีกระยะ วันนี้ (5 พ.ย. 60) สภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดยะลา ล่าสุด ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องตลอด 3-4 วันที่ผ่านมา ได้ทิ้งช่วงลงเป็นระยะเวลานานตั้งแต่เมื่อคืนนี้ (4 พ.ย. 60) จนถึงขณะนี้ยังไม่มีฝนตกในพื้นที่จังหวัดยะลา ขณะที่ท้องฟ้ายังคงมีเมฆดำปกคลุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดฝนตกลงมาในพื้นที่ เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประกาศแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และลมกระโชกแรง หลังหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ พร้อมทั้งให้ติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ในระยะนี้
04 พ.ย. 2560
ตูน บอดี้สแลมออกวิ่งตั้งแต่ 05.15 น.ท่ามกลางฝนตกหนัก ประชาชนให้กำลังต่อเนื่อง
วันที่สี่ของการวิ่ง โครงการก้าวคนละก้าว เบตง-แม่สาย เพื่อนำรายได้จากการวิ่งไปให้โรงพยาบาลศูนย์ 11 แห่ง จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตูน บอดี้สแลม และทีมงาน โดยเริ่มออกจากจุดสาร์ต ตั้งแต่ 05.15 น. ที่สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา วิ่งผ่านศาลหลักเมือง โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ต่อไปยังโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ยะลา กรีน จำกัด และเดินทางต่อเข้าพื้นที่จังหวัดปัตตานี ที่วัดธนาภิมุข ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ ตลอดเส้นทางมีฝนตกหนักตลอดเวลา ขณะที่ประชาชนยังคงให้กำลังใจ มอบเงินตลอดเส้นทาง ซึ่งขณะนี้ยอดเงินบริจาคอยู่ที่ 68 ล้านบาท
04 พ.ย. 2560
ตูน บอดี้สแลม วิ่งถึงยะลา ประชาชนนับพันให้การต้อนรับ หลายหน่วยงานมอบเงินและทุนการศึกษา
การวิ่งตลอดทั้งวันในวันที่สามของตูนบอดี้สแลมและทีมงาน ได้วิ่งมาถึงเขต อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ 3 พ.ย.2560 ที่บริเวณจุดตรวจบ้านมาลายูบางกอก ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา ประชาชนชาวจังหวัดยะลาจำนวนมากนับพันคนร่วมให้การต้อนรับ ตูนบอดี้สแลม ก้อยรัชวิน และทีมงาน อย่างเนื่องแน่น ตลอดฝั่งสองข้างทาง มีการส่งเสียงให้กำลังใจพี่ตูนสู้ๆ มอบเงินและร่วมถ่ายรูปเซลฟี่ บรรยากาศเป็นกันเองอย่างมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาในการวิ่งตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2560 เริ่มจาก อ.เบตง ใต้สุดของประเทศไทย ผ่านอำเภอธารโต อ.บันนังสตา อ.กรงปินัง และมาถึงเขต อ.เมืองยะลา ระยะทางกว่า 120 กิโลเมตร ผ่านสภาพอากาศทั้งหมอกหนา อากาศร้อน และฝนตก แต่การวิ่งยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ท่ามกลางการอำนวยความสะดวกและการดูแลรักษาความปลอดภัยจากทางเจ้าหน้าที่ มีพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ร่วมให้กำลังใจตลอดเส้นทางการวิ่ง สำหรับวันนี้สิ้นสุดการวิ่งที่สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลาและเข้าพัก ส่วนในวันพรุ่งจะเริ่มวิ่งต่อไปยังโรงไฟฟ้า กัลฟ์ ยะลา กรีน จำกัด และเดินทางต่อไปยังวัดธนาภิมุข ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ต่อไป นอกจากนี้ ตูน บอดี้สแลม ก้อยรัชวิน และทีมงาน ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียน ชั้น ป.6 โรงเรียนเทศบาล 2จำนวน 2 ทุนๆ ละ 10,000 บาท (ซึ่งเป็นเด็กสถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา) นอกจากนี้ยังมอบเงินให้กับสถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา จำนวน 50,000 บาท พร้อมสิ่งของและสร้างแรงบันใจให้กับเด็กๆ ขณะที่หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดยะลาและเทศบาลนครยะลาได้มอบเงินสนับสนุนโครงการนี้ รวมทั้งทางเทศบาลนครยะลาและทีมสื่อมวลชนชาวยะลาได้มีการตั้งจุดรับบริจาคเงิน 3 จุด เพื่อสนับสนุนโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของพี่ตูน ซึ่งเป็นโครงการที่มีความเสียสละต่อสังคมและเป็นที่น่ายกย่อง โดยเงินที่ได้รับการบริจาคทั้งหมด มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า388,977 บาท เพื่อมอบให้กับพี่ตูนบอดี้สแลมต่อไป
03 พ.ย. 2560
กองทัพไทย ร่วมกับกองทัพสหราชอาณาจักร จัดการฝึกแพนเธอร์โกลด์เป็นครั้งแรก
กองทัพไทย ร่วมกับกองทัพสหราชอาณาจักร จัดการฝึกภายใต้รหัสแพนเธอร์โกลด์ ร่วมกันครั้งแรกระหว่างวันที่ 24 ตุลาคมถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่สนามบินกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี พลโทปริญญา ขุนนาศรี เจ้ากรมยุทธการทหาร และพลตรีไจล์ส แพทริค ฮิลล์ (Giles Patrick Hill) ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพสหราชอาณาจักร เป็นประธานร่วมในพิธีเปิดการฝึกผสมร่วมกันเป็นครั้งแรก ภายใต้รหัสการฝึกแพนเธอร์โกลด์ (Panther Gold 2017) ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคมถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและเพิ่มพูนทักษะในการปฏิบัติการทางทหาร ตามหลักนิยมของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ระหว่าง 2 กองทัพ รวมถึงเพื่อกระชับความสัมพันธ์การฝึกทางทหาร ตามหลักนิยมของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมระหว่าง 2 กองทัพ รวมถึงเพื่อกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือทางด้านความมั่นคงระหว่างกองทัพไทย และกองทัพสหราชอาณาจักร โดยมีกำลังพลของทั้งสองประเทศ เข้าร่วมการฝึกจำนวน 280 นาย สำหรับการฝึกผสมในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติงานทางทหารร่วมกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพสหราชอาณาจักร กำลังพลของกองทัพไทยที่เข้าร่วมการฝึกได้รับความรู้และประสบการณ์จากการฝึก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย รวมถึงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ ความร่วมมือทางด้านความมั่นคงระหว่างสองกองทัพให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ภัสร์ภรณ์ เหลืองทอง / ผู้สื่อข่าว นายพัชรพล เจริญสุข/ช่างภาพ ทีมข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกาญจนบุรี
02 พ.ย. 2560
ผู้ว่าฯ นครปฐมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอบางเลน
นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย นายกเหล่ากาชาดจังหวัด สมาชิกเหล่ากาชาด และหัวหน้าส่วนราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอบางเลน หลังได้รับผลกระทบจากระดับน้ำในแม่น้ำท่าจีนเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ลุ่มต่ำในพื้นที่ตำบลบางหลวง จำนวน 65 ครัวเรือน ตำบลบางไทรป่า จำนวน 45 ครัวเรือน และตำบลลำพญา จำนวน 100 ครัวเรือน ถูกน้ำท่วมสูงประมาณ 1 เมตร นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่การเกษตรที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้รับเสียหายบางส่วน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมคณะ ได้มอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และยารักษาโรค เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจผู้ประสบอุทกภัย พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำในปีนี้ ซึ่งมีปริมาณเทียบเท่ากับเมื่อปี 2554 แต่ทางรัฐบาลได้มีการเตรียมความพร้อมและบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้น โดยการผันน้ำเข้าทุ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และระบายออกสู่แม่น้ำและคลองต่างๆ รวมถึงแม่น้ำท่าจีน เพื่อลดปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและป้องกันการเกิดอุทกภัยที่รุนแรง ซึ่งในขณะนี้ระดับน้ำเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอยู่ในช่วงน้ำทะเลหนุน คาดว่าหลังช่วงเทศกาลลอยกระทง สถานการณ์น้ำจะเข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ กรมชลประทาน ได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำในแม่น้ำท่าจีน จำนวน 53 เครื่อง ในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี 3 จุด และอำเภอสามพราน 2 จุด เพื่อช่วยเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลอีกด้วย
29 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิฯ
วันนี้ (29 ต.ค.2560) เวลา 10.43 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรรณวดี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ครั้นเสด็จพระราชดำเนินเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งประดิษฐานในบุษบกแว่นฟ้าเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดล จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ประดิษฐานบนพระแท่นมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูป ที่สวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อนถวายพรพระ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนภัตตาหารแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ส่วนสำรับภัตตาหารนอกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชวงศ์ ทรงประเคนแด่สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ เมื่อรับพระราชทานฉัน เสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย สำหรับพระบรมอัฐิ ทรงธรรม ทรงศีล พระราชาคณะถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนา จบแล้วถวายอนุโมทนา พระสงฆ์ 4 รูปรับอนุโมทนา จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตรแด่พระสงฆ์ที่ถวายพระธรรมเทศนา และพระสงฆ์รับอนุโมทนารวม 5 รูป พระสงฆ์ สดับปกรณ์ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วเจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สวดมาติกา จบ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เมื่อเจ้าพนักงานได้เทียบพระที่นั่งราเชนทรยาน สำหรับอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ไว้ที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท และตั้งขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ไว้พร้อม เลขาธิการพระราชวังกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชานุญาตอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ เชิญเสด็จ และยาตราริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศไปพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เจ้าพนักงานภูษามาลาอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ลงจากบุษบกแว่นฟ้าเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดล ไปประดิษฐานบนพระที่นั่งราชเชนทรยาน ที่เกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินตามพระโกศพระบรมอัฐิ ไปยังพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท เมื่อเจ้าพนักงานภูษามาลาประดิษฐานพระโกศพระบรมอัฐิ ในบุษบกพระที่นั่งราเชนทรยาน ขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ พร้อมแล้ว ยาตราขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ซึ่งเป็นริ้วขบวนที่ 5 อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ โดยพระที่นั่งราเชนทรยาน จากพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินตาม พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ โดยริ้วขบวนที่ 5 นี้ มีตำรวจหลวง มหาดเล็กเป็นคู่แห่ 4 สาย นายทหารราชองครักษ์เป็นคู่เคียงพระที่นั่งราเชนทรยานทรงพระโกศพระบรมอัฐิ พร้อมด้วยเครื่องพระอภิรุมชุมสาย มโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ พระกลด บังพระสูรย์ พัดโบก ภูษามาลาประคอง และมหาดเล็กพระราชพิธีอัญเชิญเครื่องพระบรมราชอิสริยยศ เดินปกติตามจังหวะเสียงกลอง เมื่อเทียบพระที่นั่งราเชนทรยาน ที่อัฒจันทร์ตะวันออกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เจ้าพนักงานภูษามาลาอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขึ้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พักไว้ที่หน้าพระวิมาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสัมพุทธพรรณโณพาศ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เจ้าพนักงานภูษามาลา อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เข้าที่ประดิษฐานในพระวิมานแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมอัฐิ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
29 ต.ค. 2560
ชาวไทยเชื้อสายจีนจ.ยะลา ร่วมส่งเทพเจ้าคืนสุดท้าย หลังสิ้นสุดเทศกาลกินเจ จำนวนมาก
ชาวไทยเชื้อสายจีนจังหวัดยะลา ร่วมส่งเทพเจ้าคืนสุดท้าย หลังสิ้นสุดเทศกาลกินเจจำนวนมาก บรรยากาศเมื่อค่ำที่ผ่านมา (28 ต.ค 60) ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ที่ ศาลเจ้าเหลียนฟาอัม เขตเทศบาลนครยะลา ได้จัดพิธีส่งเทพเจ้ากลับสู่สรวงสวรรค์ โดยมีพิธีสวดมนต์ปักเต้าเก็ง บูชาดาวนพเคราะห์ พิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมบุญบารมีไป๊เต้า พิธีเวียนถุงทอง เวียนธูป ถวายเป็นพุทธบูชาแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ รวมทั้ง พิธีส่งพระอัญเชิญส่งเสด็จองค์คิ้วอ๊องฮุดโจ้ว ประธานในพิธีกินเจ และ องค์เทพเจ้าดาวนพเคราะห์ 9 พระองค์ โดยในพิธี ได้นำเครื่องสักการะ กระดาษ ถังเงินถังทอง ม่านเงินม่านทอง ดอกไม้ธูปเทียน มาถวายสักการะ พร้อมกับ สวดมนต์บูชาเทพเจ้าดาวนพเคราะห์ เพื่อขอบารมี ให้สิ่งดี ๆ เกื้อหนุนมาถึงตนเองและครอบครัว รวมทั้ง ขอพรให้ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง พร้อมทั้ง สะเดาะเคราะห์ให้สิ่งไม่ดีพ้นไป ก่อนจุดไฟเผาเครื่องสักการะ ส่งเสด็จองค์คิ้วอ๊องฮุดโจ้ว และเทพเจ้าดาวนพเคราะห์ 9 พระองค์ นอกจากนี้ ยังมีพิธีลงเสาโกเต้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ในการสิ้นสุด เทศกาลกินเจ ประจำปี 2560 ซึ่งในพิธีมี นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา ประธานศาลเจ้าเหลียนฟาอัม คณะกรรมการ ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีน จำนวนมาก ร่วมสวมใส่ชุดสีขาว เข้าร่วมในพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคล ทั้งนี้ ศาลเจ้าเหลียนฟาอัม ได้จัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลกินเจ โดยจัดตั้งโรงทานก่อนเทศกาล 1 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2560 จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในช่วงเทศกาลกินเจ โดยให้ผู้ที่ถือศีลกินเจ และประชาชนทั่วไป ได้เข้ามารับประทานอาหารเจฟรี จำนวน 3 มื้อ นอกจากนี้ ยังเปิดศาลเจ้า ให้ประชาชน ได้มากราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาล สวดมนต์ ทำบุญ บริจาคทาน และร่วมในพิธีกรรม เพื่อเป็นการอนุรักษ์ส่งเสริม ประเพณีวัฒนธรรมของชาวจีน เกิดบุญกุศล กับผู้ที่ถือศีลกินเจ ตลอดจนให้ประชาชน ได้มีส่วนร่วมในการทำความดี ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในช่วงเทศกาลกินเจ อีกด้วย
28 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (28 ต.ค.2560) เวลา 17.34 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชกุศลพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี ผ่านหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ครั้นเสด็จพระราชดำเนินเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ณ พระแท่นมหาเศวตฉัตรจำนวน 12 พระโกศ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งประดิษฐานในบุษบกแว่นฟ้าเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่พระแท่นมณฑลมุก จากนั้นทรงประเคนพัดรองที่ระลึกงานทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แด่สมเด็จพระราชคณะ พระราชาคณะที่จะถวายพระธรรมเทศนาและสวดพระพุทธมนต์ 31 รูป พระสงฆ์รับอนุโมทนา 4 รูป และพระสงฆ์สดับปกรณ์ 12 รูป แล้ว ประทับพระราชอาสน์ เมื่อพระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์จบ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่สวดพระพุทธมนต์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมอัฐิและพระอัฐิพระบรมราชบุพการี และสำหรับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงธรรม แล้วประทับพระราชอาสน์ ทรงศีล พระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบแล้ว ถวายอนุโมทนา พระสงฆ์ 4 รูปรับอนุโมทนา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ที่ถวายพระธรรมเทศนาและพระสงฆ์รับอนุโมทนารวม 5 รูป สดับปกรณ์ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 12 รูป สวดมาติกา จบ ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์พระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่อัญเชิญออกประดิษฐานในการพระราชกุศลนี้ มีพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 พระอัฐิสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง พระอัฐิสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระอัฐิสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 พระอัฐิสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระอัฐิสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระอัฐิสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี พระอัฐิสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินธร และพระอัฐิสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปทรงกราบพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่แท่นมณฑลมุก ทรงกราบพระบรมอัฐิและพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการี ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่บุษบกแว่นฟ้า ทรงรับการถวายความเคารพของผู้ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ, วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยตลอดเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินไปและเสด็จพระราชดำเนินกลับ มีประชาชนทุกหมู่เหล่าจำนวนมาก รวมทั้งประชาชนจิตอาสา ในโครงการ "เราทำความดี ด้วยหัวใจ" ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ อยู่ตลอดสองข้างทางที่รถยนต์พระที่นั่งแล่นผ่าน ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
28 ต.ค. 2560
กรมชลประทาน ชี้แจงข้อมูลข่าวสารกรณีมีข่าวเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า พนังกั้นน้ำบ้านบึงเนียม จ.ขอนแก่น
กรมชลประทาน ชี้แจงข้อมูลข่าวสารกรณีมีข่าวเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า พนังกั้นน้ำบ้านบึงเนียม จังหวัดขอนแก่นเสียหาย ตามที่มีข่าวเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า พนังกั้นน้ำบ้านบึงเนียม จังหวัดขอนแก่นแตกเสียหาย นั้น สำนักงานชลประทานที่ 6 กรมชลประทาน ขอชี้แจงว่า วันนี้ (28 ต.ค. 2560) เวลา 12.30 น. คลอง3L-RMC กม13 895 ในพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาหนองหวาย บริเวณบ้านคุยโพธิ์ ต.บึงเนียม อ.เมืองขอนแก่น เกิดน้ำซึมลอดคลอง 3L-RMC ทำให้ทรุดตัวและขาดช่วงแรกประมาณ 5 เมตร และขยายตัวออกเป็น 30 เมตร ในเวลา 18.00น. ทำให้น้ำจากลำน้ำพองไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมในเบื้องต้นประมาณ 3,500 ไร่ ในอัตรา 70 ลบ.ม.ต่อวินาที ล่าสุดขณะนี้ นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กำลังประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ จังหวัดขอนแก่น ที่ศาลากลางจังหวัด โดยมีเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเข้าร่วมประชุมเพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งการดำเนินการขณะนี้ทุกฝ่าย และสำนักงานชลประทานที่ 6 ได้เสริมไม้ยูคาฯ ขวางคันคลองที่ขาด และวางถุงทรายบิ๊กแบ๊คกั้นขวางคันคลอง เพื่อป้องกันคันคลองไม่ให้ถูกน้ำกัดเซาะและทรุดตัวเพิ่มขึ้นทั้ง 2 ฝั่ง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในคืนนี้ (28 ต.ค. 60) ทั้งนี้ การดำเนินการแก้ไขในระยะต่อไป กรมชลประทานจะดำเนินการปิดช่องขาดโดยใช้แผ่นเหล็ก Sheet-Pile กว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 5 เมตร จำนวน 200 แผ่น ซึ่งจะนำมาจากสำนักงานชลประทานที่ 8 คาดว่าจะมาถึงภายในเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 29 ตุลาคม 2560 และหากไม่เพียงพอจะนำมาเสริมอีก 300 แผ่น และใช้กล่อง Gabions บรรจุหินใหญ่ จากโครงการก่อสร้างสำนักงานชลประทานที่ 6 จำนวน 500 ชุด คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในวันพรุ่งนี้ (29 ต.ค.2560) นอกจากนี้ สำนักเครื่องจักรกล และสำนักงานชลประทานที่ 6 ได้ขนย้ายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมที่ประตูระบายน้ำ D8 จำนวน 19 เครื่อง เพื่อเร่งสูบน้ำที่เข้าท่วมขังในพื้นที่โดยเร็ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการสูบน้ำได้ภายในวันที่ 29 ต.ค.2560
27 ต.ค. 2560
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน มีบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงหนึ่ง ซึ่งมีความว่า “...พระพรมท่านบันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทังชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชุ่มธารา...” “ฝน” นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความชุ่มชื่น ความสุข และความหวัง สำหรับประเทศเกษตรกรรมดังเช่นประเทศไทยของเรา “ฝน” นั้นอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับการดำรงชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นข้อจำกัดสำหรับการแสดงความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทย ที่มีแด่ “พ่อหลวงของปวงชน” และ “ฝน” นั้นซึ่งอยู่คู่ฟ้า แล้วก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลก เหมือนคำสอนของ “ในหลวงของเรา” ที่จะเป็นมรดกพระราชทาน ซึ่งจะอยู่คู่ชาติไทย ตราบเท่าที่พวกเราได้น้อมนำไปสู่การปฏิบัติ ด้วยความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ ดังนั้น “น้ำฝน” จึงเปรียบเสมือน “น้ำพระทัย” จากพ่อของแผ่นดิน อันเป็นน้ำทิพย์ชโลมหัวใจ คนไทยทั้งชาติ รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในคืนนี้ ขออัญเชิญส่วนหนึ่งของบทเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทั้งนี้ ใครก็ตามที่ได้น้อมนำ “คำพ่อสอน” ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ย่อมเกิดพลังกายพลังใจ ในการประกอบกิจการงานของตนและก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ที่สำคัญคือ “เอาชนะจิตใจตนเอง” ได้ในที่สุด โดยสามารถขยายผลเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมโดยส่วนรวมต่อไปด้วย ในโอกาสสำคัญนี้ ผมขอแสดงความชื่นชมและขอขอบคุณ พี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ทำหน้าที่ “ลูกที่ดีของพ่อ” อย่างแข็งขัน ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ “จิตอาสา” ทั้งที่เป็นวินมอเตอร์ไซด์ฟรี ทำอาหารแจก จัดเก็บขยะ ทำความสะอาด ดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ ในระหว่างการกราบถวายบังคมพระบรมศพฯ มาจนถึง “จิตอาสาเฉพาะกิจฯ” ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อีก 8 กิจกรรม รวมทั้งข้าราชการ อาสาสมัคร ช่างสิบหมู่ ที่ร่วมกันตระเตรียมงานและดำเนินการทุกอย่าง ทั้งงานก่อสร้าง การรักษาความปลอดภัย การจัดการจราจร การจัดพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งการจัดนิทรรศการเพื่อเทิดทูนสถาบันฯ และพระราชกรณียกิจต่าง ๆ รวมไปถึง ความร่วมมือจากสถานีวิทยุ โทรทัศน์ สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ที่ได้ช่วยกันบริการด้านข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย และภาคเอกชน ผู้ประกอบการร้านค้า ที่ได้ริเริ่มกิจกรรมงานสร้างสรรค์มากมาย เพื่อพ่อ เพื่อสังคม เช่น งานประดับซุ้มและอุโมงค์ดอกไม้ ของชาวปากคลองตลาด ห้วงที่ผ่านมา เหล่านี้ เป็นต้น แม้กระทั่งศิลปินนักร้องชาวต่างประเทศ จากทั่วทุกมุมโลก ต่างก็รวมตัวกัน แต่งบทเพลงเพื่อเป็นการยกย่อง “ในหลวงของเรา” ว่าทรงเป็นดัง “แสงสว่างที่ไม่เคยดับ” ในใจคนไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาหาเลี้ยงชีพ หรือพักอาศัยในประเทศไทย ภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ อีกมากมาย อาจจะกล่าวถึงไม่ได้ทั้งหมด รวมความไปถึงผู้ที่พักอาศัยอยู่ต่างประเทศด้วย มีการจัดกิจกรรมของสถานเอกอัครราชทูตในทุกประเทศที่เราประจำอยู่ แล้วก็มีคนไทยอาศัยอยู่ต่างประเทศ พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ได้ปรากฎเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของนานาอารยประเทศ ถึงความสง่างามสมพระเกียรติยศอันสูงยิ่งตามแบบแผนโบราณราชประเพณี อีกทั้ง ความวิจิตรบรรจงและทรงคุณค่า ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไทย ด้วยสรรพศาสตร์ ทั้งงานประณีตศิลป์แขนงต่าง ๆ ทั้งงานศิลปกรรม อาทิ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และภูมิสถาปัตย์ เป็นต้น เหนือสิ่งอื่นใด คือ การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของพสกนิกรไทย ที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบเสมือน“พ่อ” ของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดินนั้น ได้ “ประจักษ์แก่หัวใจ” ของชาวโลก ด้วยเช่นกัน ผมเชื่อว่าวันที่ 26 ตุลาคมนั้น เป็นอีกหนึ่งวันที่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ มีความรู้สึกเดียวกัน ซึ่งปะปนระคนกัน ระหว่างความอาลัยรัก ต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ในการจากลาพระมหากษัตริย์ “ผู้เป็นที่รักเทิดทูนยิ่ง” กับความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ที่ได้ร่วมกันถวายความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย แด่ “พระผู้เสด็จสู่สรวงสวรรคาลัย” พระราชจริยวัตรอันงดงาม ที่ได้แผ่ไพศาลทั่วทุกสารทิศ พระเกียรติคุณขจรไกลในสากลประเทศ ส่งผลให้ทั่วโลกถือเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญของมวลมนุษยชาติดุจกัน และต่างร่วมกับพี่น้องชาวไทย ถวายความอาลัย ถวายพระเกียรติและยกย่องสรรเสริญ ให้พระองค์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่” ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ที่จะถูกจดจำและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ไปอีกนานเท่านาน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ นับจากนี้สืบไป แม้จะยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งความขมขื่น สุดที่คนไทยจะหักห้ามหัวใจแห่งความรัก และความระลึกถึงที่มีแด่ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ได้ ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านได้ดำรงตนให้เข้มแข็ง ครองสติให้บริบูรณ์ และตั้งจิตให้มั่นคง อยู่ในความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตา อันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ขออย่าได้รู้สึกอ้างว้าง ว้าเหว่ แต่จงแปรความรู้สึกเปลี่ยวเปล่าและเหน็บหนาวใจเหล่านั้น ให้เป็นพลังแห่งความศรัทธา ความเพียรอันบริสุทธิ์ ที่จะร่วมมือกันสร้าง “ประชารัฐ” ในการพัฒนาประเทศชาติ ทำนุบำรุง และรักษาแผ่นดินไทยให้เจริญรุ่งเรือง สมเป็น “สุวรรณภูมิ” ดั่งที่พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธาน และทรงทุ่มเทพระวรกาย มาตลอดระยะเวลา 70 ปี เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ และลูกหลานในภายภาคหน้า มีแต่ความผาสุก สวัสดี แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่ แต่เราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงงานหนักเพื่ออาณาประชาราษฎร์ โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีวันหยุด แม้ว่าจะทรงพระประชวร มาวันนี้ พระองค์ท่านแม้ว่าจะมิได้ประทับเป็น “พลังของแผ่นดิน” ดั่งเช่นที่ผ่านมา แต่เราก็ยังมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 10 ประทับเป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ โดยได้เสด็จฯ ขึ้นทรงราชย์ เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน และสานต่อพระราชภารกิจแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ สืบไป ทั้งนี้ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา” จะยังคงอยู่คู่ชาติบ้านเมือง และจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เฉกเช่น คำสอนในทุกศาสนา ที่ยังคงอยู่คู่บรรดาศาสนิกชน อันจะนำไปสู่หนทางดับทุกข์ และความสว่างไสวในจิตใจคน อนึ่ง พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงครองแผ่นดิน โดยถึงพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ผู้จะประทับอยู่ในดวงใจไทยทั้งมวล นับจากวันแรกที่เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ตลอดจนพระชนม์ชีพของพระองค์ และจะทรงสถิตอยู่ในดวงใจราษฎรของพระองค์เช่นนั้น ตลอดไป ตราบชั่วนิจนิรันดร์ สุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคนได้จดจำช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่ดวงใจชาวไทยทุกดวงหลอมรวมเป็นหนึ่ง ในการถวายความอาลัยรักต่อพระองค์ท่าน จดจำความรัก ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ที่เรามีให้กัน และนำเอาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นำเอาพลังแห่งความรัก ความภักดีนี้มาร่วมกันสร้างประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ ด้วยการ “คิดดี พูดดี ทำดี” เพื่อพ่อ และสานต่อพระราชปณิธาน หลายสิ่งหลายอย่างที่พระองค์ท่านทรงสร้าง ทรงวางรากฐานไว้ พวกเราสามารถช่วยกันคนละไม้ละมือ ต่างคน ต่างอาชีพ ต่างช่วยกันทำ เท่าที่แรงกำลังของเราจะทำได้ โดยพึงระลึกอยู่เสมอว่า ด้วยเพียง “สองพระหัตถ์” ของพระองค์ท่าน ได้ทรงสร้างสรรค์โครงการมากมาย ก่อให้เกิดปัญญาและหลักคิด ที่เป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต รวมทั้งการทำงาน ให้แก่ปวงชนชาวไทย ดังนั้นพวกเราหลายสิบล้านคน ก็ต้องช่วยกันสานต่อ “งานที่ยังไม่เสร็จสิ้น” เพื่อให้พระองค์ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นความเจริญวัฒนาสถาพรของแผ่นดินไทย ความรัก สมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ และประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย ให้ท่านได้ทรงหายเหนื่อยและหายห่วง ขอบคุณนะครับ และสวัสดีครับ
27 ต.ค. 2560
พระมหากษัตริย์ต่างประเทศเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย เพื่อทรงเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ
เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2560 เวลา 19.25 น. สมเด็จพระราชาธิบดีทูโพ ที่ 6 และสมเด็จพระราชินีนานาสิปาอู แห่งราชอาณาจักรตองกา เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน เที่ยวบินที่ทีจี 492 ถึงท่าอากาศยานนานาสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ ณ ห้องรับรองพิเศษท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในนามรัฐบาลไทย ราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรตองกา สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 มีความสัมพันธ์กันในระดับพระราชวงศ์อย่างแน่นแฟ้น โดยสมเด็จพระราชาธิบดีทูโพ ที่ 6 เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2502 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรตองกา รัชกาลปัจจุบัน และเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระราชาธิบดีเตาฟาอาเฮา ตูโปอู ที่ 4 กับสมเด็จพระราชินีฮาลาเอวาลู มาตาอาโฮ อาโฮเมเอ และเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จ ตูโปอูที่ 5 พระองค์ดำรงพระราชอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารของตองกา เมื่อปี 2549 ในระหว่างนั้น เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทย และทรงเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีตองกา ด้วย ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนตองกาอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2539 และครั้งที่ 2 ปี 2551 เพื่อทรงเข้าร่วมในพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดี จอร์จ ทูโพ ที่ 5 เวลา 11.00 น. สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก และสมเด็จพระราชินี เจตซุน เพมา วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินของสายการบิน ภูฏาน ดรุก แอร์ (Bhutan Druk Air) เที่ยวบินที่ เคบี 150 ถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ ณ ห้องรับรองพิเศษท่าอากาศยานนานาชาติ สุวรรณภูมิ และพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในนามรัฐบาลไทย เพื่อทรงร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ ราชวงศ์ไทยและราชวงศ์ภูฏานมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น โดยเมื่อปี 2549 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ในขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารและเป็นพระราชอาคันตุกะ ที่มีพระชนมายุน้อยที่สุดในหมู่ราชวงศ์ที่เสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัตริครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกจากนี้ ยังทรงเรียนรู้หลักการทรงงาน การปกครอง ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า ทรงเป็นแบบอย่างในการพัฒนาประเทศ โดยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2559 ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และทรงร่วมในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพฯ ด้วย เวลา 17.58 น. สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 และสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ แห่งราชอาณาจักรเลโซโท เสด็จพระราชดำเนินโดยเครื่องบินของสายการบินเอมิเรตส์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ EK 418 ถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ณ ห้องรับรองพิเศษฯ และพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมข้าราชการ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จ ในนามรัฐบาลไทย สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งราชอาณาจักรเลโซโท เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2506 เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีโมโชโชที่ 2 กับสมเด็จพระราชินีมาโมฮาโต แห่งราชอาณาจักรเลโซโท โดยสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 และสมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ แห่งราชอาณาจักรเลโซโท ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในเดือนมิถุนายน 2549 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลไทย เพื่อทรงเข้าร่วมพระราชพิธีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทรงเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วย ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
27 ต.ค. 2560
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงบำเพ็ญพระกุศล ทรงสนทนาธรรม และทรงร่วมกิจกรรมจิตอาสา
เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2560 เวลา 10.02 น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เสด็จไปยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โอกาสนี้ ทรงวางพวงมาลัย ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้น ทรงบำเพ็ญพระกุศลถวายเครื่องสังฆทานและทรงสนทนาธรรมกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หลังจากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังสุสานหลวง ณ "อนุสรณ์รังสีวัฒนา" ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะพระบรมราชสรีรางคารและพระสรีรางคารสมเด็จพระบรมราชบุพการี แล้วทรงพระดำเนินไปยัง "สุสานเจ้าจอมมารดาอ่วม" ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะพระสรีรางคาร เจ้าจอมมารดาอ่วมและราชสกุลกิติยากร ต่อจากนั้น ทรงร่วมกิจกรรมจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับเยาวชนจิตอาสา ในการทำความสะอาด เก็บขยะ เศษใบไม้ และปัดฝุ่น บริเวณสุสานหลวง อีกทั้งทรงทาสีรั้วบริเวณวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามด้วย จากนั้นเสด็จไปยังบริเวณท้องสนามหลวง ประทาน น้ำดื่ม ของว่างและยาดม แก่ประชาชนที่ไปรอชมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สร้างความปลื้มปีติแก่ประชาชน เป็นล้นพ้น
27 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับ สมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ
เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2560 เวลา 11.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออก ณ อาคารสำนักราชเลขาธิการ (เดิม) ในพระบรมมหาราชวัง ทรงรับสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน (Her Majesty Queen Sofia of Spain) ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินมาทรงร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ระหว่างวันที่ 24 ถึง 27 ตุลาคม 2560 ในโอกาสนี้ ถวายเลี้ยงพระกระยาหารกลางวันด้วย เวลา 13.14 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงนำสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งสเปน ไปถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระราชินีโซเฟีย ได้โดยเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดี ฆวน คาร์ลอส ที่ 1 แห่งราชอาณาจักรสเปน ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ 2 ครั้ง ในปี 2530 และปี 2549 โดยครั้งล่าสุดนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับทั้งสองพระองค์ ณ ท่าอากาศยานกองบัญชาการ กองทัพอากาศ ดอนเมือง ด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ นอกจากเป็นการแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แล้วยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์และประชาชนของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นข่าวในพระราชสำนัก สทท.
27 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระบรมศพฯ
เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2560 เวลา 15.03 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี ผ่านหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จในการนี้ด้วย ครั้นเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะและเครื่องทองน้อย ถวายราชสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูป ประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร แล้วทรงประเคนพัดรองที่ระลึกงานออกพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะที่จะถวายพระธรรมเทศนา จำนวน 11 รูป และพระราชาคณะที่จะสวดศราทธพรต 30 รูป พระสงฆ์ที่จะสดับปกรณ์ 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระสงฆ์ที่จะสวดพระอภิธรรม 8 รูป บรรพชิตจีนและบรรพชิตญวน 20 รูป ต่อจากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพทรงธรรม พระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 แล้ว พระสงฆ์ 30 รูป สวดศราทธพรต จบ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตรถวายพระราชาคณะที่ถวายพระธรรมเทศนา และพระสงฆ์ที่สวดศราทธพรต 30 รูป สดับปกรณ์ พระสงฆ์ทั้งนั้นถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วเจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สวดมาติกา จบ ทรงทอดผ้าไตร และย่ามที่ระลึกงานออกพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระสงฆ์ 89 รูป สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วบรรพชิตจีน 10 รูป และบรรพชิตญวน 10 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ สวดมาติกา จบแล้ว ทรงทอดผ้าไตรและย่ามที่ระลึกงานออกพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร บรรพชิตจีนและบรรพชิตญวนสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่แท่นเตียงพระสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมจนถึงเวลา 21 นาฬิกา รุ่งขึ้นรับพระราชทานฉัน และชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ประจำยามตามราชประเพณี "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร" เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ทั้งนี้ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ทางสำนักพระราชวัง มีประกาศเรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต ความว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่สำนักพระราชวัง ได้แถลงให้ทราบ เป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี" สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เชิญพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามโบราณราชประเพณี มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ ทั้งกลางวันและกลางคืน รับพระราชทานฉันเช้า 8 รูป ฉันเพล 8 รูป และมีประโคมย่ำยาม กำหนด 100 วัน โดยทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นลำดับ ตลอดระยะเวลา 70 ปีแห่งการทรงครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อให้ประเทศชาติมีความเจริญมั่นคง และประชาชนมีชีวิตที่ร่มเย็นเป็นสุข ทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างแน่วแน่ ตามที่ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" อันยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่อาณาประชาราษฎร์และราชอาณาจักรตลอดมา นอกจากนี้ พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท ที่พระราชทานไว้ในโอกาสต่างๆ ล้วนเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต บนความพอเพียงพอดีและมีภูมิคุ้มกันแก่ชีวิตของประชาชนทุกหมู่เหล่า และพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ ที่ก่อเกิดประโยชน์ไพศาล เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กว่า 4,000 โครงการ การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สร้างความโศกเศร้าเสียใจแก่ประชาชนชาวไทยสุดจะพรรณนา ที่สูญเสียพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักและเทิดทูน ซึ่งพระองค์เปรียบประดุจพ่อของแผ่นดิน รัฐบาล ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ และสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา มีกำหนด 30 วัน ให้ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจไว้ทุกข์ จนถึงการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดมา โดยหลังพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร 50 วัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญพระราชกุศล บำเพ็ญพระกุศล บำเพ็ญกุศลถวายพระบรมศพ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และถวายเป็นพระราชกุศล บัดนี้ การเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามโบราณราชประเพณี พร้อมสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ออกหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25 ถึง 29 ตุลาคม พุทธศักราช 2560 ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
26 ต.ค. 2560
บรรยากาศการแสดงมหรสพสมโภช และประชาชนที่มาร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์เพื่อแสดงความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพ
วันที่ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 20.30 น. ยังมีประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงคราม และพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมากหลั่งไหลมาร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์เพื่อแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และชมการแสดงมหรสพสมโภช ที่หน้าพระเมรุมาศจำลอง บริเวณลานวัดเพชรสมุทรวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
26 ต.ค. 2560
ผู้ว่าฯ ยะลา เป็นประธานในพิธีวางดอกไม้จันทน์ ช่วงที่ 2
ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานในพิธีวางดอกไม้จันทน์ ช่วงที่ 2 งานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. วันนี้ (26 ต.ค. 60) ที่บริเวณพระเมรุมาศจำลอง สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา สถานที่จัดพิธีวางดอกไม้จันทน์ งานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จังหวัดยะลา นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานในพิธีวางดอกไม้จันทน์ ช่วงที่ 2 โดยพิธีเริ่มจากเจ้าหน้าที่ได้อัญเชิญโคมตะเกียง ไปวางบนโต๊ะในพระเมรุมาศ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ณ จุดที่กำหนด ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมเจ้าหน้าที่ถือพานดอกไม้จันทน์ เดินขึ้นไปบนพระเมรุมาศจำลอง ทางบันไดด้านหน้า แล้วยืนประจำจุดที่กำหนดถวายความเคารพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ และไฟหลวงพระราชทาน เจ้าหน้าที่ส่งพานช่อดอกไม้จันทน์ ประธานหยิบช่อดอกไม้จันทน์จากพาน ไปต่อไฟหลวงพระราชทานจากโคมตะเกียงแล้ววางพานเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ถวายความเคารพ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้อัญเชิญโคมตะเกียงไปไว้ ณ สถานที่กำหนด เพื่อรออัญเชิญไปในพิธีเผาจริง จากนั้นประธานสงฆ์ และพระสงฆ์สมณศักดิ์ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และประชาชน ได้ร่วมวางดอกไม้จันทน์ ในช่วงที่ 2 จนเสร็จพิธี
26 ต.ค. 2560
ผู้ว่าฯ ยะลา นำประชาชนประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา นำประชาชนประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วันนี้ (26 ต.ค. 60) เวลา 15.00 น. ที่บริเวณพระเมรุมาศจำลอง สนามโรงพิธีช้างเผือก เทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา นายอนุชิต ตระกูลมุทุตา ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นำหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ประชาชนชาวจังหวัดยะลาทุกหมู่เหล่า ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยพระราชปัญญามุนี เจ้าคณะจังหวัด/เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน ประธานฝ่ายสงฆ์ โดยประธานในพิธีได้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเครื่องทองน้อย ถวายราชสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระสงฆ์ 10 รูป สวดเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อจังหวัดยะลา จากนั้นผู้ร่วมพิธีบำเพ็ญสมาธิจิต เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นเวลา 89 วินาที ประธานประเคนเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ผู้แสดงธรรมเทศนา และพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ เจ้าหน้าที่ลาดผ้ารองโยง และพระภูษาโยง ประธานทอดผ้าไตรสดับปกรณ์ เจ้าหน้าที่เชื่อมแถบทองกับพระภูษาโยง พระสงฆ์สดับปกรณ์ ประสงฆ์อนุโมทนา ประธานกรวดน้ำ รับพร เป็นเสร็จพิธีในช่วงที่สอง ซึ่งขณะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้อนุญาตให้ประชาชนถวายดอกไม้จันทน์ ไปโดยตลอด เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ เนื่องจากตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนถึงเวลา 15.00 น. มีประชาชนในจังหวัดยะลา มาร่วมพิธีถวายดอกไม้จันทน์ แล้วกว่า 15,000 คน โดยจะไปยุติการวางดอกไม้จันทน์ ในช่วงเวลา 16.30 น. และรอการถ่ายทอดสด พระราชพิธีจากส่วนกลางเสร็จสิ้น จึงจะดำเนินการให้ประชาชนถวายดอกไม้จันทน์ ต่อไป
26 ต.ค. 2560
ชาวจังหวัดนครราชสีมากว่า 2 หมื่นคน ทยอยเดินทางมาร่วมในพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ที่มณฑลพิธีพระเมรุมาศจำล
วันนี้ (26 ต.ค. 60) ที่มณฑลพิธีพระเมรุมาศจำลอง สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา กว่า 2 หมื่นคน เริ่มทยอยเดินทางมาเข้าสู่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งพระเมรุมาศจำลอง เพื่อประกอบพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จิตอาสาเฉพาะกิจฯ คอยอำนวยความสะดวก ตรวจประชาชนบริเวณจุดคัดกรอง ที่ได้นำเครื่องแสกนวัตถุมาติดตั้งไว้ จำนวน 6 เครื่อง ที่บริเวณก่อนเข้าสู่มณฑลพิธีพระเมรุมาศจำลอง
26 ต.ค. 2560
เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางมาร่วมวางดอกไม้จันทน์เพื่อถวายความอาลัยแด่ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศจำลอง จังหวัดอุทัยธานี และจ.สุโขทัย
เจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทางมาร่วมวางดอกไม้จันทน์ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศจำลอง จังหวัดอุทัยธานี และจ.สุโขทัย กองบังคับการควบคุม กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย จังหวัดอุทัยธานี ได้จัดกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ รถ FTS จำนวน 2 คัน และ เรือยนต์ จำนวน 2 ลำ บริการช่วยเหลือ รับ – ส่ง ประชาชนที่มีความประสงค์จะเดินทางมาเข้าร่วมงานพระราชพิธีวางดอกไม้จันทน์ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข บรมนาถบพิตร ณ พระเมรุมาศจำลอง ณ วัดสังกัสรัตนคีรี อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยบริการรับ – ส่ง ประชาชน ในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 3 ตำบล ประกอบด้วยบ้านปากกะบาด ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี, บ้านบางกุ้ง ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และบ้านดงยางใต้ ตำบลท่าซุง ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยหน่วยจะดำเนินการบริการช่วยเหลือ รับ – ส่ง ประชาชนจนเสร็จงานพระราชพิธีวางดอกไม้จันทน์ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข บรมนาถบพิตร ที่จังหวัดสุโขทัย เจ้าหน้าที่ทหารจาก หมู่.รส.1 มว.รส.2 ร้อย.รส.ที่ 2 (อ.กงไกรลาศ) ได้จัดรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ จำนวน 2 คัน รับ - ส่ง ประชาชนหมู่ 8 บ้านจิกเอน ตำบลบ้านใหม่สุขเกษมฯ จำนวน 60 คน ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมทางคมนาคมสัญจร เพื่อมาร่วมพิธีวางดอกไม้จันทน์ เพื่อถวายความอาลัยแด่พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดข บรมนาถบพิตร ณ วัดกงไกรลาศ อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
26 ต.ค. 2560
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานพิธีนำประชาชนวางดอกไม้จันทน์
วันนี้ (26 ต.ค.60) เวลา 09.00 น. นายคันฉัตร ตันเสถียร ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม มอบหมายให้ นายรังสรรค์ ตันเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม นำวางดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลอง ลานหน้าวัดเพชรสมุทรวรวิหาร อำเภอเมือง เป็นลำดับแรก ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และประชาชนชาวสมุทรสงคราม บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
26 ต.ค. 2560
พสกนิกรชาวพิจิตรทุกหมู่เหล่า ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ตั้งแต่เวลา 07.00 น.ของวันนี้ (26 ต.ค.) พสกนิกรชาวพิจิตรทุกหมู่เหล่า ต่างเดินทางมายังบริเวณพระเมรุมาศจำลอง ศาลากลางจังหวัดพิจิตร (หลังเก่า) เพื่อรอถวายดอกไม้จันทน์ จนกระทั่งในเวลา 09.00 น.นายปิยะ วงศ์ลือชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เป็นประธานนำหัวหน้าส่วนราชการ พร้อมด้วยประชาชนชาวพิจิตร ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีข้าราชการ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ แม่ชี ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ร่วมถวายดอกไม้จันทน์และจิตอาสาอำนวยความสะดวกตามจุดต่างๆ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ สำหรับบรรยากาศในบริเวณมณฑลพิธี มีประชาชนเฝ้ารอถวายดอกไม้จันทน์จำนวนมาก ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าสลด
26 ต.ค. 2560
พิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
พิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่พัทลุง ที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งได้ประดิษฐานพระเมรุมาศจำลอง ณ บริเวณสนามศาลากลางจังหวัด นายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงได้เป็นประธานถวายดอกไม้จันทน์ เป็นคนแรกและต่อด้วยพระภิกษุที่ได้บวชตามโครงการ บรรพชาอุปสมบทหมู่ถวายเป็นพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และหัวหน้าส่วนราชการ จากนั้นจึงต่อด้วยนักเรียนและกลุ่มพลังมวลชนต่าง ๆ ได้ทยอยขึ้นถวายดอกไม้จันทน์อย่างต่อเนื่อง จังหวัดพัทลุงเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ประชาชาชนมีความรักความผูกพัน ต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งพระองค์ได้เสร็จพระราชดำเนินประกอบพระราชกรณียกิจจำนวน 8 ครั้ง โดยเฉพาะบริเวณสนามศาลากลางจังหวัด พระองค์ท่านได้เสด็จพระราชทานธงลูกเสือ พระราชทานพระพุทธนวราชพิตร และเสด็จทรงเจิมพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานให้ไว้ ณ จังหวัดพัทลุง เป็นพระพุทธรูปสี่มุมเมืองประจำทิศใต้ การพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระองค์ท่าน จึงมีประชาชาชนหลั่งไหลมาแสดงความรักความอาลัยต่อพระผู้มีพระคุณอันประเสริฐอย่างเนืองแน่น สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพัทลุง
26 ต.ค. 2560
ผู้ว่าฯ อุดรธานี นำพสกนิกรถวายดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลอง มณฑลพิธีสนามทุ่งศรีเมืองอุดรธานี
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำพสกนิกรชาวจังหวัดอุดรธานีทุกหมู่เหล่า ประกอบพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาค จังหวัดอุดรธานี ณ พระเมรุมาศจำลอง มณฑลพิธีทุ่งศรีเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี วันนี้ (26 ต.ค. 60) เวลา 09.00 น. นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำพสกนิกรชาวจังหวัดอุดรธานี ประกอบพิธีถวายดอกไม้จันทน์ในส่วนภูมิภาคจังหวัดอุดรธานี โดยมีข้าราชการ ตุลาการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ประชาชนจิตอาสาและประชาชนทั่วไป พระเมรุมาศจำลองจังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่โซนศักดิ์สิทธิ์ทุ่งศรีเมืองจังหวัดอุดรธานี เป็นลานกว้างใช้ประกอบพิธีและจัดงานสำคัญๆ ของจังหวัดอุดรธานี สถานที่แห่งนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมพสกนิกรชาวจังหวัดอุดรธานี ครั้งแรกวันที่ 8 พฤศจิกายน 2498 และเสด็จพระราชดำเนินเปิดพระอนุสาวรีย์พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ในวันที่ 11 มีนาคม 2514
24 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองประชาชน ในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (คตป.) ซึ่งจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการส่งเสริมเครือข่ายภาคประชาชน การให้การรับรองและเพิกถอนเครือข่าย มาตรการคุ้มครองช่วยเหลือ หรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการรวมตัวกันต่อต้าน หรือชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ (มาตรการในการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์แก่ผู้ชี้เบาะแสและเครือญาติ) และมีการกำหนดบทลงโทษกรณีกระทำความผิดต่อชีวิตร่างกาย คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดชลบุรี (ห้วยกะปิ) จำนวน 1,104 หน่วย โดยกลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้มีรายได้ ณ ปี 2560 ประมาณ 14,001 – 20,600 บาท/ครัวเรือน/เดือน เป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 4 ชั้น จำนวน 23 อาคาร ขนาดห้องพัก 32 ตร.ม. จำนวน 1,104 ห้อง คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) ที่จังหวัดสงขลาและปัตตานี เพื่อสร้างบ้านพักข้าราชการตำรวจของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 4 และตำรวจภูธรภาค 9 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา จำนวน 491 หน่วย และจังหวัดปัตตานี จำนวน 115 หน่วย รวม 606 หน่วย คณะรัฐมนตรีขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ เป็นสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2561หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน โดยผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสินทรัพย์ถาวรไม่รวมที่ดิน ไม่เกิน 5 ล้านบาท มีสถานที่ประกอบกิจการชัดเจน มีเอกสารรับรองว่าประกอบธุรกิจจริง วงเงินค้ำประกัน จำนวน 13,500 ล้านบาท วงเงินค้ำต่อราย จำนวน 10,000 – 200,000 บาท รวมทุกสถาบันการเงิน ระยะเวลาค้ำไม่เกิน 10 ปี
23 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ราชรถ-พระยานมาศ
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการบวงสรวงอัญเชิญราชรถไปใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรแล้วนั้น ราชรถที่ใช้ในงานพระราชพิธี คือ พระมหาพิชัยราชรถ เกรินบันไดนาค ราชรถปืนใหญ่ รวมทั้งพระราเชนทรยานและพระราเชนทรยานน้อย ตลอดจนพระยานมาศสามลำคาน ได้มีการอัญเชิญมาทำการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ล่าสุดในวันที่ 21 และ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยทุกอย่างใช้งานได้เป็นอย่างดี มีความสมบูรณ์ และราชรถที่ได้ใช้ในการซ้อมขบวนพระราชอิรยศ ได้มาประดิษฐ์ฐานที่โรงราชรถทั้งหมด สำหรับขั้นตอนการใช้งานราชรถ ในวันที่ 26 ต.ค.2560 จะมีการอัญเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมาประดิษฐานที่พระยานมาศสามลำคาน และจะอัญเชิญเข้าสู่ริ้วขบวนที่ 1 จากพระที่นั่งดุสิตไปยังบริเวณท้ายมุมของวัดโพธิ์ ซึ่งอยู่ตรงหน้าของกรมการรักษาดินแดน จากนั้นจะมีพระมหาพิชัยราชรถรอยู่และมีเกรินบรรไดนาคทอดไว้ โดยจะอัญเชิญพระบรมโกศขึ้นเกรินบรรไดนาคและอัญเชิญพระบรมโกศขึ้นประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถ จากนั้นจะเข้าสู่ริ้วขบวนที่ 2 พระมหาพิชัยราชรถจะเคลื่อนขบวนไปตามถนนสนามไชย ซึ่งหน้าพระมหาพิชัยราชรถจะมีราชรถน้อย โดยสมเด็จพระวันรัตจะนั่งอยู่บนราชรถน้อยและอ่านพระอภิธรรม จากนั้นขบนวนจะเคลื่อนจากถนนสนามไชยผ่านวังสราญรมย์ ผ่านกระทรวงกลาโหม ผ่านศาลหลักเมือง เลี้ยวซ้ายผ่านศาลฎีกา และเลี้ยวเข้าสู่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง บริเวณลานตรงกลางท้องสนามหลวงจะมีราชรถปืนใหญ่รออยู่ ซึ่งราชรถปืนใหญ่จะเป็นริ้วขบวนที่ 3 โดยจะเคลื่อนพระบรมโกศจากพระมหาพิชัยราชรถมาประดิษฐาน ณ ราชรถปืนใหญ่ และเคลื่อนเข้าสู่มณฑลพิธี จากนั้นจะเวียนรอบพระเมรุมาศ 3 รอบ และจะอัญเชิญพระบรมโกศผ่านสะพานเกรินบรรไดนาคขึ้นไปสู่พระจิตกาธานบนพระเมรุมาศ สำหรับพระราเชนทยายน้อย และพระราเชนทยานจะใช้ช่วงวันที่ 27 ในริ้วบวนที่ 4 จะใช้พระราเชนทยานอัญเชิญพระบรมอัญฐิ ส่วนพระราเชนทยานน้อยจะอัญเชิญพระราชสรีรางคาร โดยอัญเชิญจากมณฑลพิธีท้องสนามหลวงเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ส่วนริ้วขบวนที่ 5 จะมีการอัญเชิญพระราเชนทยานจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมาที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ขณะที่มรดกทางศิลปวัฒธรรมของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชรถและพระยานมาศ สืบทอดมาหลายยุคสมัยมีการบูรณะซ่อมแซมทุกองค์ที่ใช้สร้างจากภูมิปัญญา ความเชื่อ และองค์ความรู้ของช่างในยุคต่างๆ ตั้งแต่ช่างแกะสลัก ลงรักปิดทอง ช่างกระจก ที่สำคัญคนไทยโบราณมีความรู้ในทางวิศวกรรม ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และกลไกเครื่องกลที่จะใช้ในราชรถ ควรศึกษาและสืบทอดสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบันและต้องมีความภาคภูมิใจ นิตยา คุณสิม/สวท.
23 ต.ค. 2560
จ.เชียงราย ส่วนราชการ ภาคเอกชนและประชาชน ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต "ปิยมหาราช"
จังหวัดเชียงราย ส่วนราชการ ภาคเอกชนและประชาชน ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต "ปิยมหาราช" ที่บริเวณลานพิธีหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธี นำคณะส่วนราชการ อัยการ ตุลาการ ศาล ตำรวจ ทหาร ภาคเอกชน และประชาชน รวมกว่า 1,000 คน ร่วมประกอบพิธีวางพวงมาลาน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นราชสักการะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศิรินทราพระบรมราชินี ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2396 ทรงบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" และทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2453 สิริพระชนมพรรษาได้ 58 พรรษา โดยในตลอดรัชสมัยของพระองค์ สยามประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความวัฒนาให้กับประเทศชาติเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การเลิกทาส การศึกษา การปฏิรูประบบราชการ การปกป้องประเทศจากการสงครามและการเสียดินแดน การบำบัดทุกข์บำรุงสุขรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและทุกพระราชกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ อีกด้วย
23 ต.ค. 2560
"ถวายความอาลัยในหลวง รัชกาลที่ 9" ปอเทืองตำบลยุโป เหลืองสะพรั่งช่วงงานพระราชพิธีฯ
"ถวายความอาลัยในหลวง รัชกาลที่ 9" ปอเทืองตำบลยุโป เหลืองสะพรั่งช่วงงานพระราชพิธีฯ วันนี้ (23 ต.ค. 60) ดอกปอเทือง ชาวตำบลยุโป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งชาวบ้าน ส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ในพื้นที่ตำบลยุโป ได้ร่วมแรง ร่วมใจ ปลูกไว้เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560 ในระยะทาง 1.80 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางถนนสายยุโป-ยะลา เพื่อแสดงความจงรักภักดี รำลึกพระมหากรุณาธิคุณแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ภายใต้โครงการ รวมพลังประชารัฐ ถนนสะอาดร่วมใจ ปลูกปอเทือง ให้ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่งช่วงเดือนตุลาคม ได้ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง ตลอด 2 ฝั่งอย่างสวยงาม ในช่วงวันงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งเป็นที่น่าภาคภูมิใจ ของชาวตำบลยุโป เป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนประชาชนที่เดินทางสัญจรผ่านไปมาในเส้นทางดังกล่าว ได้ลงมาชื่นชมความสวยงามของดอกปอเทืองกันอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ทั่วทั้งพื้นที่ภายในเขตเมืองยะลาและรอบนอก ดอกไม้สีเหลืองไม่ว่าจะเป็นดาวเรือง ปอเทือง ดอกเข็ม ดอกบานบุรี ที่ชาวยะลาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี ต่างออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่งอย่างสวยงาม เพื่อถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
22 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : พระเมรุมาศ
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องพระเมรุมาศว่า ทั้งพระเมรุมาศและอาคารประกอบที่จะใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาทรงยกนพปฎลมหาเศวตฉัตร 9 ชั้น โดยการก่อสร้างทั้งหมดรวดเร็วกว่ากำหนดการที่วางแผนไว้ ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหลายภาคส่วน เช่น สัตว์หิมพานต์เกิดจากการรวมพลังของช่างเพชรบุรี โรงเรียนเพาะช่าง ทั้งนี้ พระราชพิธีดังกล่าวเป็นพระราชพิธีแห่งศตวรรษ ไม่น่าจะมีพระราชพิธีใดยิ่งใหญ่เช่นนี้อีกแล้ว โดยวันที่ 26 ตุลาคมนี้ จะเป็นวันที่ทุกประเทศทั่วโลกจะจับสายตามาที่ไทย ซึ่งในวันนั้นจะมีราชวงศ์และผู้นำของประเทศต่างๆ เข้าร่วมพระราชพิธีด้วย สำหรับคนไทยทั้งประเทศนับว่ามีความโชคดีที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทำนุบำรุงบ้านเมือง ปกครองและรักษาแผ่นดิน ตลอดจนสืบทอดศิลปวัฒนาธรรม โบราณราชประเพณีอย่างเหนียวแน่น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ศักดิ์ศรีและเกียรติยศของแผ่นดิน ขณะที่นายวโรภาสน์ วงศ์จตุรภัทร ภูมิสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร กล่าวว่า ในการเลือกตำแหน่งที่ตั้งของพระเมรุมาศในภาพรวม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือองค์พระเมรุมาศ เมื่อได้ภาพร่างพระเมรุมาศและอาคารประกอบต่างๆ ก็จะทำผังบริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวงพร้อมทั้งลงพื้นที่จริง จากนั้นกำหนดแกนทิศเหนือและใต้ของพระเมรุมาศให้ตรงกับเจดีย์องค์สีทองในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ส่วนแกนทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะตรงกับพระมณฑปวัดมหาธาตุ ซึ่งพระที่นั่งทรงธรรมเป็นอาคารประกอบที่สำคัญที่สุดในรั้วราชวัตร จะเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ คณะทูตานุทูตและแขกสำคัญต่างๆ มีความจุกว่า 2,000 ที่นั่ง หากรวมอาคารประกอบอื่นๆ ภายในราชวัตรมีความจุรวม 7,000 ที่นั่ง ส่วนภูมิทัศน์ที่ประกอบโดยรอบ เน้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราชกรณียกิจ เช่น การเกษตร ดิน น้ำ และต้นไม้ มีทั้งโครงการแก้มลิง ทุ่งนาและหญ้าแฝก ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน สวท.
22 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การประชาสัมพันธ์และการขอความร่วมมือประชาชน
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การประชาสัมพันธ์และการขอความร่วมมือประชาชน ผู้ร่วมรายการนายพรพิทักษ์ แม้นศิริ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการประชาสัมพันธ์ ออกอากาศวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2560
21 ต.ค. 2560
แม่น้ำสะแกกรังอุทัยธานีเอ่อล้นตลิ่งท่วมขยายวงกว้าง โดยเฉพาะโบราณสถานวัดอุโปสถาราม หรือวัดโบสถ์
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ในขณะนี้ยังคงมีระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังแม่น้ำจากเจ้าพระยาไหลผ่านพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีและปริมาณน้ำได้หนุนสูงเข้าแม่น้ำสะแกกรัง ส่งผลให้แม่น้ำสะแกกรังยังคงอยู่ในจุดวิกฤต สูงกว่าตลิ่ง 46 เซนติเมตร ปริมาณน้ำได้เข้าท่วมบ้านเรือนพื้นที่ลุ่มต่ำที่อาศัยอยู่ติดแม่น้ำสะแกกรัง รวมไปถึงวัดอุโปสถาราม หรือวัดโบสถ์ ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ถูกน้ำในแม่น้ำสะแกกรังเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่วัดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการตั้งกระสอบทรายเป็นพนังกั้นน้ำไว้ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานปริมาณน้ำได้ เนื่องจากมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บางจุดระดับน้ำท่วมสูงถึง 1 เมตร โดยเฉพาะจุดบริเวณมณฑปแปดเหลี่ยม ศิลปะผสมไทยจีนโบราณ ที่สร้างขึ้นในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ติดกับโบราณสถานอุโบสถและวิหารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งอยู่ในระหว่างที่กรมศิลปากรกำลังบูรณปฏิสังขรณ์ ที่ขณะนี้ระดับน้ำนั้นได้ทะลักเข้าท่วมขังและเพิ่มระดับความสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเข้าท่วมถนนเส้นทางสัญจร ตีนสะพานข้ามแม่น้ำสะแกกรัง รถเล็กไม่สามารถผ่านได้ ประชาชนต้องเดินลุยน้ำข้ามสะพานแทน ส่วนชุมชนชาวแพที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งได้ทำการชักลากแพที่อยู่อาศัยและกระชังปลาของตนเองเข้าชิดริมตลิ่งตลอดทั้งสาย เพื่อป้องกันเรือนแพและกระชังปลาที่มีอยู่ไม่ให้ได้รับความเสียหายแล้วก่อนหน้านี้ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำสะแกกรังในตอนนี้ ไหลเชี่ยวแรง ส่วนพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังติดตลาดสดลานสะแกกรังเขื่อนกั้นน้ำชั้นแรกปริมาณน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมแล้ว และเทศบาลเมืองได้จัดเจ้าหน้าที่วางแนวกระสอบทรายเป็นพนังกั้นน้ำไม่ให้น้ำเอ่อล้นทะลักล้นเข้าเขื่อนกั้นน้ำชั้นที่ 2 เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าในย่านเขตเศรษฐกิจ
18 ต.ค. 2560
รมว.เกษตรและสหกรณ์บินสำรวจสถานการณ์การระบายน้ำเจ้าพระยา ถกแผนเร่งระบายน้ำและเยียวยานอกคันกั้นน้ำ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่ บินสำรวจสถานการณ์การระบายน้ำเจ้าพระยา พร้อมเรียกหน่วยเกี่ยวข้องถกแผนเร่งระบายน้ำและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนอกคันกั้นน้ำ มั่นใจฝนไม่ตกเพิ่มเข้าสู่ภาวะปกติใน 1 เดือน พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน ตรวจสถานการณ์น้ำเจ้าพระยา โดยขึ้น ฮ.บินสำรวจสถานการณ์น้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา , อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จากนั้นได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงสถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำ พื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วม และการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ที่ห้องประชุม สำนักงานชลประทานที่ 12 เขื่อนเจ้าพระยา ต.บางหลวง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท พร้อมกันนี้เดินทางไปยังพื้นที่คันกั้นน้ำ ต.ตลุก อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เพื่อมอบถุงยังชีพให้ประชาชนในพื้นที่ 3 ตำบลของ จ.ชัยนาท ได้แก่ ต.ตลุก จำนวน 505 ชุด ต.หาดอาษา จำนวน 77 ชุด และมอบฟางอัดก้อนสำหรับปศุสัตว์ จำนวน 250 ก้อน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ จำนวน 100 ชุด ก่อนพบปะให้กำลังใจประชาชน และชี้แจงแนวทางภาครัฐในการลดผลกระทบกับเกษตรกรและประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่มีความแปรปรวนสูง ซึ่งมีสถานการณ์ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงเกษตรฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดผลกระทบกับเกษตรกรและประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด โดยในปี 2559 ได้วางแผนเตรียมการรับสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2560 ตามลำดับขั้น ตั้งแต่เตรียมพื้นที่รับน้ำหลากและเส้นทางน้ำ โดยมีการปรับปรุงแก้มลิง หนอง และคูคลอง ให้สามารถรับน้ำหลากได้ ปรับเปลี่ยนระยะเวลาการเพาะปลูก ให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ทัน ใช้เป็นทุ่งรับน้ำหลากได้ บริหารจัดการน้ำในเขื่อนให้มีพื้นที่เพียงพอ สามารถรองรับน้ำหลากได้ กำจัดผักตบชวา และสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้น้ำระบายได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำ เตรียมเครื่องสูบน้ำ เครื่องมือลงในพื้นที่ โดยบริหารจัดการน้ำตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ พร่องน้ำในลำน้ำต่างๆ งดระบายน้ำในเขื่อนที่มีน้ำน้อย เร่งการระบายน้ำในเขื่อนที่มีน้ำมาก ผันน้ำจากจุดวิกฤตไปยังลำน้ำ/พื้นที่ที่มีน้ำน้อย ผันน้ำเข้าแก้มลิง หนอง และคูคลองที่เตรียมไว้ ผันน้ำเข้าทุ่งรับน้ำหลากที่เตรียมไว้ ช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การระบายน้ำออกจากพื้นที่ทุ่งรับน้ำ และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ สำหรับสถานการณ์น้ำในปี 2560 มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 30 ทำให้มีน้ำในเขื่อนและลำน้ำมากกว่าปกติ แต่สถานการณ์ความรุนแรงน้อยกว่าปี 2554 มาก ทั้งนี้ได้บริหารจัดการน้ำตามแผนที่วางไว้ ในส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้งดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล/เขื่อนสิริกิติ์ ผันน้ำออกฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ผันน้ำเข้าแก้มลิงที่เตรียมไว้ และผันน้ำเข้าทุ่งรับน้ำหลาก แบ่งเป็นพื้นที่เหนือ จ.นครสวรรค์ - อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก พื้นที่ 265,000 ไร่ เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จปลายเดือน ส.ค.2560 รับน้ำได้ 400 ล้าน ลบ.ม. รับน้ำแล้ว 450 ล้าน ลบ.ม. และพื้นที่ใต้ จ.นครสวรรค์ 12 ทุ่ง พื้นที่ 1,149,898 ไร่ เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จกลางเดือน ก.ย.2560 รับน้ำได้ 1,514 ล้าน ลบ.ม. รับน้ำแล้ว 1,183 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้ มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำเมื่อเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบาย ตั้งแต่คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ต.หัวเวียง อ.เสนา, ต.ลาดชิด/ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา วัดสิงห์ อ.อินทร์บุรี, อ.พรหมบุรี, อ.เมือง จ.สิงห์บุรี วัดไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง วัดเสือข้าม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ต.โพนางดำ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ต.เทวราช อ.ไชโย จ.อ่างทอง ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี และ บ้านท่าทราย อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้เร่งช่วยเหลือและเร่งผลักดันน้ำหากไม่มีฝนมาเพิ่ม จะสามารถลดปริมาณน้ำให้อยู่ในระดับปกติภายในระยะเวลา 1 เดือนตามลำดับ แบ่งเป็นในอีก 10 วัน เขื่อนเจ้าพระยาปรับลดการระบายน้ำลงไม่เกิน 2,400 ลบ.ม./วินาที ,15 วัน เขื่อนเจ้าพระยา ปรับลดการระบายน้ำลงไม่เกิน 2,200 ลบ.ม./วินาที ,20 วัน เขื่อนเจ้าพระยา ปรับลดการระบายน้ำลงไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที และ 30 วัน เขื่อนเจ้าพระยาปรับลดการระบายน้ำลงไม่เกิน 700 ลบ.ม./วินาที ในระหว่างนี้ ส่วนที่เกี่ยวต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนและลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด ส.ปชส.ชัยนาท
17 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 17 ตุลาคม 2560
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบเพิ่มพื้นที่ทำมาค้าขายทั่วประเทศให้ประชาชน ทั้งเกษตรกร โอท็อป สินค้าเอสเอ็มอี สินค้าวิสาหกิจชุมชน ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย สามารถมีพื้นที่ในการขายสินค้า โครงการ "ตลาดประชารัฐ" รวม 8 ประเภท จำนวน 6,447 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ ได้แก่ 1.ตลาดประชารัฐ Green Market กระจายอยู่ 3 มุมเมือง คือ ตลาดตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ตลาดบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ตลาดลำพูน จ.ลำพูน โ 2.ตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายรายใหม่ ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มเครือข่ายโอทอป ร้านอาหาร หาบเร่ แผงลอย 3.ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย-กลุ่มผู้ค้ารายใหม่ได้แก่ เกษตรกรในพื้นที่และกลุ่มประมงพื้นบ้าน 4.ตลาดประชารัฐ กทม.คืนความสุข ดำเนินการโดยกรุงเทพมหานคร 5 แห่ง ได้แก่ ใต้ทางด่วนพงษ์พระราม, หน้าภัตตาคารกุ้งหลวง, บริเวณห้างสรรพสินค้าโลตัสใกล้สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน, ลานข้างสวนลุมพินี, พื้นที่ตรงข้ามวัดสุทธิวราราม 5.ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด ประเภทสินค้าเป็นสินค้าตามฤดูกาล สินค้าที่มีความโดดเด่นในพื้นที่และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด เป้าหมายได้แก่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้มีรายได้น้อยกลุ่มเอสเอ็มอีในพื้นที่ 6.ตลาดประชารัฐโมเดิร์นเทรด ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าที่เข้าร่วมโครงการดำเนินการในลักษณะสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม 7.ตลาดนัดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มพื้นที่บริเวณหน้า ธ.ก.ส. จังหวัด และสำนักงานใหญ่ 8.ตลาดประชารัฐต้องชม ดำเนินการโดยกระทรวงพาณิชย์ เป็นการเพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่และขยายพื้นที่ตลาดเดิมในรูปแบบตลาดส่งเสริมการจัดการตลาดชุมชนและการท่องเที่ยวชุมชน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยมีสาระสำคัญ - แก้นิยามคำว่า “บ้าน” ให้ครอบคลุมสิ่งที่สร้างขึ้น เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำทั้งหมด - กำหนดให้ออกเลขประจำตัวประชาชน ให้กับราษฎรไทยที่เกิดในต่างประเทศ โดยจดทะเบียนการเกิดได้ที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลไทย - เพิ่มการรับแจ้งเกิด เด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน เด็กที่ไม่ปรากฎบุพการีและพยานหลักฐานในการเกิด โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เด็กเกิดในประเทศไทยและให้นายทะเบียนรับแจ้งเกิดได้ - กำหนดให้ผู้ย้ายที่อยู่ หากไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านใดภายใน 30 วัน และไม่ได้แจ้งเหตุจำเป็น ให้นายทะเบียนย้ายชื่อไปไว้ในทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งเมื่อมาย้ายออกจากทะเบียนบ้านกลางจะต้องเสียค่าปรับ - แก้ไขการออกเลขประจำบ้าน และทะเบียนบ้าน ให้ออกให้เฉพาะบ้านที่ปลูกสร้างโดยถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงออกให้กับแพ หรือสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่ประจำด้วย - เพิ่มเติมว่า บ้านที่ปลูกสร้างโดยบุกรุกที่ดินสาธารณะประโยชน์ ที่ดินของรัฐ หรือที่ดินทรัพย์สินของราชการ ไม่ให้กำหนดเลขประจำบ้าน - กรณีบ้านในที่ดินบุกรุกข้างต้น ที่ได้รับเลขประจำบ้านไปก่อนแล้ว ให้คงใช้ทะเบียนบ้านชั่วคราวต่อไปได้ หากบ้านดังกล่าวไม่มีผู้อยู่อาศัยแล้ว หรือไม่มีสภาพเป็นบ้านแล้ว ให้นายทะเบียนจำหน่ายเลขประจำบ้านและทะเบียนบ้านของบ้านหลังนั้น คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักเกณฑ์ รูปแบบ วิธีการและเงื่อนไขในการดำเนินการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาทีมีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โดย 1.สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ ต้องได้รับการรับรองในสาขาวิชาจากการจัดอันดับของ Quacquarelli Symonds (QS) หรือ Times Higher Education (THE) หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่ คณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษา โดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) เห็นชอบและต้องจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็นประโยชน์และมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไทย 2.ต้องจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ หลักสูตร รายวิชา กระบวนการและคุณภาพเดียวกับที่จัดให้กับวิทยาเขตหลักของมหาวิทยาลัยนั้น 3.ต้องจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรที่เป็นความต้องการของไทย
17 ต.ค. 2560
รองผู้ว่าฯ อุทัยธานีแจ้งเตือนประชาชนเฝ้าระวังแม่น้ำสะแกกรัง เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย
นายไมตรี ไตรติลานันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี แจ้งว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสถานการณ์น้ำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงเชิงพื้นที่ ปริมาณน้ำฝน น้ำท่า รวมทั้งการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์และน้ำทะเลหนุน ในช่วงวันที่ 13-31 ตุลาคม 2560 ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ สูงประมาณ 1.70-1.90 ม.รทก. พบว่าขณะนี้ สถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ ระดับน้ำอยู่ในภาวะเฝ้าระวังและวิกฤต โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำจากทางตอนบนไหลเข้ามาสมทบหรือมีฝนตกในพื้นที่รับน้ำบริเวณลุ่มน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดน้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมขัง น้ำไหลหลากในพื้นที่ลุ่มต่ำริมลำน้ำและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ ในช่วงวันที่ 15-31 ตุลาคม 2560 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์สำหรับแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานีจึงขอแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ สะแกกรัง เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย โดยการเสริมแนวคันกั้นน้ำ ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และพร้อมอพยพไปยังที่ปลอดภัย
16 ต.ค. 2560
รมว.เกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เช็คความพร้อมของระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เช็คความพร้อมของระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงไทย เตรียมรับ EU ก่อนตรวจเข้มพฤศจิกายนนี้ พร้อมมั่นใจอุตสาหกรรมประมงไทยต้องปลอด IUU ทั้งระบบ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมนายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง นำคณะและสื่อมวลชนลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติงานระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสัตว์น้ำ ก่อนคณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเล (DG MARE) ของสหภาพยุโรป (EU) จะเดินทางมาตรวจประเมินในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 นี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้อุตสาหกรรมประมงไทยปราศจากการทำประมง IUU ทั้งระบบ ในโอกาสนี้ คณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางมาที่องค์การสะพานปลาสมุทรสาคร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อรับฟังการสรุประบบตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำจากเรือประมงไทย และตรวจการปฏิบัติงานการควบคุมการเข้าออกของเรือประมงพร้อมตรวจสอบการดำเนินงานทางระบบสารสนเทศ จากนั้นได้เดินทางไปที่ท่าเรือประมงพรพีระพัฒน์ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองสมุทรสาคร ตรวจสอบการขนถ่ายสัตว์น้ำจากเรือประมงขึ้นสู่ท่าเรือเพื่อคัดแยกสัตว์น้ำโดยใช้กระบะสแตนเลส ยกสูงจากพื้นในการคัดแยกสัตว์น้ำ เพื่อความสะอาด พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยนับเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าสัตว์น้ำรายใหญ่ของโลก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตสินค้าประมงให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน อันเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากลเพื่อครองฐานการตลาดไว้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้มีการปรับปรุงระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ของประเทศไทย เพื่อไม่ให้มีสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) เข้ามาในประเทศไทย รวมถึงไม่ให้มีการส่งออกสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงแบบ IUU อย่างเด็ดขาด ซึ่งได้พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสัตว์น้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบตรวจสอบย้อนกลับสำหรับสัตว์น้ำที่จับโดยเรือประมงไทย และสัตว์น้ำที่นำเข้าจากต่างประเทศสำหรับสัตว์น้ำที่จับโดยเรือประมงไทย ได้มีการจัดวางระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงทะเลได้ตลอดสายการผลิต (Supply Chain) โดยกำหนดให้เรือประมงที่จับสัตว์น้ำต้องจดบันทึกการทำการประมง (logbook) ตามความเป็นจริงทุกครั้ง และมีรายละเอียดของชนิดสัตว์น้ำ ปริมาณสัตว์น้ำ บริเวณที่จับและเครื่องมือการทำประมง เมื่อนำสัตว์น้ำขึ้นที่ท่าเทียบเรือ กำหนดให้ท่าเทียบเรือต้องคัดแยกและชั่งน้ำหนักสัตว์น้ำรายชนิด กรณีขนส่งไปขายที่ตลาดกลางโดยยังไม่มีการคัดแยกและชั่งน้ำหนัก ต้องชั่งน้ำหนักโดยประมาณของสัตว์น้ำที่ขนส่ง และเมื่อถึงตลาดกลางต้องคัดแยกและชั่งน้ำหนักสัตว์น้ำรายชนิด และเมื่อมีการซื้อขายสัตว์น้ำ ผู้ซื้อผู้ขายต้องกรอกข้อมูลชนิดสัตว์น้ำและปริมาณที่ซื้อขายในเอกสารกำกับการซื้อขายสัตว์น้ำ (Marine Catch Purchasing Document: MCPD) เพื่อให้มีข้อมูลในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของสัตว์น้ำได้ทุกขั้นตอนตลอดสายการผลิต ส่วนสัตว์น้ำที่นำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการนำเข้าต้องขออนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำ โดยด่านตรวจสัตว์น้ำของกรมประมงจะดำเนินการตรวจสอบสัตว์น้ำและเอกสาร เพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์น้ำไม่ได้มาจากการทำการประมง IUU โดยทำการตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น catch certificate, Logbook ใบอนุญาตทำการประมง ใบอนุญาตขนถ่าย แหล่งทำการประมง พฤติกรรมเรือ เส้นทางเดินเรือ (AIS Tracking) ข้อมูลการทำการประมง และแผนผังการเก็บสัตว์น้ำ (Stowage plan) เป็นต้น หากข้อมูลถูกต้องจะอนุญาตให้เรือเทียบท่าและขนถ่ายสัตว์น้ำได้ นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมการขนถ่ายและชั่งน้ำหนักสัตว์น้ำที่ขนขึ้นรถบรรทุก และจัดทำเอกสาร Tally sheet เพื่อกำกับรถบรรทุกทุกคันที่ขนส่งไปยังโรงงาน และบันทึกข้อมูลลงในระบบคอมพิวเตอร์ (ระบบ PPS) เมื่อสัตว์น้ำไปถึงโรงงานจะมีการคัดแยกและชั่งน้ำหนักสัตว์น้ำรายชนิด และออกหนังสือกำกับการจำหน่ายสัตว์น้ำนำเข้า (Import movement document; IMD) ให้กับผู้นำเข้าสัตว์น้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตรวจสอบย้อนกลับ กรมประมงได้มีการระบบอิเล็กทรอนิกส์ (IT database system) ใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. ระบบตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำที่จับจากเรือประมงไทย (Thai Flagged Catch Certification) และ2. ระบบตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำนำเข้า (PSM and Processing Statement linked System, PPS) เพื่อให้สามารถตามสอบเส้นทางไหลของสัตว์น้ำ (Physical Flow) ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดสายการผลิต ตั้งแต่การนำเข้าสัตว์น้ำ การขึ้นท่าสัตว์น้ำ การกระจายสัตว์น้ำ การแปรรูป การออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ (catch certificate) การออกใบรับรองการแปรรูปสัตว์น้ำ (Processing Statement) ตลอดจนถึงกระบวนการสุดท้าย คือ การส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั่นเอง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มความเข้มงวดในกระบวนการตรวจสอบอื่นๆ ทั้งระบบ อาทิ เพิ่มการตรวจสอบเรือประมงที่แจ้งเข้า - แจ้งออกให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนำสัตว์น้ำขึ้นท่า ควบคุมการขนถ่ายสัตว์น้ำและลูกเรือกลางทะเล สร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบการประมงตลอดสายการผลิตให้ความร่วมมือ และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำที่จับจากเรือประมงไทยได้มีการนำระบบเครื่องชั่ง Smart scale ที่สามารถส่งข้อมูลชนิดและน้ำหนักที่ชั่งเข้าระบบ ตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ำที่จับจากเรือประมงไทย (Thai Flagged Catch Certification) โดยได้มีการนำร่องใช้กับ ท่าเทียบเรือขององค์การสะพานปลา ทำให้ข้อมูลชนิดและน้ำหนักสัตว์น้ำมีความโปร่งใสและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในตอนท้ายว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อตรวจติดตามการปฏิบัติงานของระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมง เป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมก่อนที่คณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเล (DG MARE) ของสหภาพยุโรป (EU) จะเดินทางมาตรวจสอบในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 60 นี้ โดยเฉพาะในประเด็นของระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งขณะนี้ไทยได้เตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่ เพื่อให้อุตสาหกรรมประมงไทยปราศจากการทำประมง IUU ทั้งระบบ
15 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับการสนองงานในถิ่นทุรกันดารและผู้ยากไร้
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้นำศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในเรื่องการฟื่นฟูคนไร้ที่พึ่งและคนวิกลจริต ร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารสุข กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร อย่างครบวงจร ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เน้นดำเนินงานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ พื้นที่ คน กองทุน และการบริหารจัดการรายได้ นำร่องในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ด้วยกิจกรรมด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืน พัฒนาทักษะอาชีพตามความสนใจ และขยายผลไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 10 แห่งรวมเป็น 11 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการผู้ใช้บริการในโครงการ ทั้งหมด 1,476 คน ซึ่งในจำนวนนี้ได้เข้าร่วมโครงการบ้านน้อยในนิคม 246 คน เข้าสู่สถานประกอบการได้ 29 คน ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิต94 คน สามารถกลับสู่ครอบครัวได้ 305 คน นอกจากนี้ยังดำเนินการณรงค์และป้องกันตามแนวคิด ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทานอย่างยั่งยืนต่อไป นพรุจ กล่ำทอง สวท./ข่าว
15 ต.ค. 2560
จ.อุทัยธานีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะในป่าต้นน้ำห้วยขาแข้ง
จ.อุทัยธานีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะในป่าต้นน้ำ ห้วยขาแข้ง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักทั้ง 2 แห่ง เกินความจุอ่าง ในขณะที่แม่น้ำสะแกกรังถึงจุดวิกฤตแล้ว กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประกาศเขตภัยพิบัติแล้ว 8 อำเภอ วันนี้ (15 ต.ค.2560) จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะในเขาต้นน้ำป่าห้วยขาแข้ง ส่งผลให้อ่างเก็บน้ำทับเสลา (ทับ-สะ-เหลา) ตำระบำอำเภอลานสัก และอ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต ล่าสุดมีปริมาณน้ำเต็มความจุอ่าง ต้องเร่งพร่องน้ำไปยังท้ายเขื่อน โดยโครงการชลประทานอุทัยธานีได้รายงานถึงสถานการณ์ปริมาณน้ำในเขื่อนทับเสลา มีน้ำเก็บกัก 157.71 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 98.56 เปอร์เซ็นต์ ระบายน้ำออกวันละ 2.54 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนปริมาณน้ำในเขื่อนห้วยขุนแก้ว อำเภอห้วยคต มีน้ำเก็บกัก 44.51 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 102 ล้นอ่างออกวันละ 1.72 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่แม่น้ำแกกรังที่ไหลผ่านตัวเมืองอุทัยธานี ได้ถึงจุดวิกฤตแล้วที่ 18.50 ระดับน้ำทะเลปานกลาง ปริมาณน้ำได้ล้นตลิ่งท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ติดริมแม่น้ำสะแกกรังชาวบ้านต้องยกของขึ้นที่สูง และทำทางเดินชั่วคราว ซึ่งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยแล้ว จำนวน 8 อำเภอ ใน 59 ตำบล 415 หมู่บ้าน ในปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ 4 อำเภอ 16 ตำบล 64 หมู่บ้าน ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีได้สั่งการลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายและให้การช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุดและเตรียมพร้อมอุปกรณ์กู้ชีพ กู้ภัย ในกรณีฉุกเฉินและให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง
13 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันนี้ (13 ต.ค.2560) เวลา 17.03 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลครบ 1 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ทรงรอรับเสด็จอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพวงมาลาส่วนพระองค์และพวงมาลาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่หน้าพระบรมโกศ ชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้น ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะกราบถวายบังคมพระบรมศพ จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วประทับพระราชอาสน์ เมื่อ พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์และคาถาพิเศษ ปรมินทมหาภูมิพละอตุลยะเตชะมหาราชัสสะปัตติทานคาถา (ปะ-ระ-มิน-ทะ-มะ-หา-พู-มิ-พะ-ละ-อะ-ตุ-ละ-ยะ-เต-ชะ-มะ-หา-รา-ชัด-สะ-ปัด-ติ-ทา-นะ-คา-ถา) ซึ่งแต่งโดยสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร จบแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร จำนวน 2 เที่ยว พระสงฆ์สดับปกรณ์ ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เมื่อเจ้าพนักงานนิมนต์ พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่จะถวายเทศน์และพระสวดธรรมคาถาขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ เรียบร้อยแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดเทียนดูหนังสือเทศน์พระราชทานแก่เจ้าพนักงานเชิญไปตั้งที่โต๊ะข้างธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม จากนั้น ทรงพระดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยที่หน้าพระบรมโกศ สำหรับพระบรมศพทรงธรรม ทรงศีล พระพรหมมุนี ถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนา จบแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าพระแท่นมุกพระสวดธรรมคาถา เมื่อพระสงฆ์ 4 รูป สวดธรรมคาถา จบ ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ ทรงทอดผ้าไตรถวายพระเทศน์และพระสวดธรรมคาถา พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระดำเนินไปทรงกราบพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จากนั้น ทรงพระดำเนินไปยังมุขด้านทิศเหนือพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียนเครื่องบูชากระบะมุกที่หน้าเตียงพระสวดพระอภิธรรม ทรงคม แล้วเสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับ ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
13 ต.ค. 2560
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน หากจะถามว่ามีหรือไม่ ใครสักคนหนึ่งใครที่ยอมลำบากเพื่อคนอื่น โดยยอมทำงานหนัก โดยไม่มีข้อแม้ และไม่มีวันหยุด ใครที่มีการศึกษาดีมีสถานะสูง แต่ยอมตากแดด อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำงานบนพื้นดิน ในป่าเขา และพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ผมก็เชื่อว่าในหัวใจชาวไทยทุกคน ย่อมประจักษ์ดีว่ามีและใครคนนั้นก็คือ ในหลวงของเรา ซึ่งเป็นคำเรียกพระมหากษัตริย์ที่พวกเราทุกคนรักและเทิดทูน และเราเรียกพระราชาของเราว่า ในหลวง ด้วยความภาคภูมิใจทุกครั้ง การทรงงาน 70 ปี เพื่อพวกเรากว่า 70 ล้านคนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผู้ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม และทรงยึดมั่นในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม โดยที่พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งให้ประชาชนคนไทยต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโดยลำพัง แต่นับจากนี้ไป ความสุขเหล่านั้นจะไม่มีอีกแล้ว แต่โชคดีที่คนไทยยังมีรัชกาลที่ 10 ที่ทรงรักษาสืบสานต่อยอดสิ่งเหล่านี้ต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 นาที ถือเป็นห้วงเวลาแห่งความวิปโยคโศกศัลย์ เป็นวันที่ความเศร้าสลดสูญเสีย ท่วมท้นจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เมื่อสำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว สุดที่คนไทยจะหักห้ามความอาลัยรัก และความระลึกถึงที่มีแด่พระองค์ พระผู้เปรียบดั่งพ่อของแผ่นดินได้ โดยความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดี ก็จะยังอยู่ในจิตใจของพวกเรา พสกนิกรของพระองค์ตลอดไป ตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่พ่อของแผ่นดินได้อย่างยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน พระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมีมากมาย เกินกว่าจะเอ่ยได้ครบถ้วน ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พ่อคนหนึ่งพึงจะทำให้กับลูกอย่างดีที่สุด ด้วยต้องการให้ลูกมีรากฐานที่ดีในการดำรงชีวิต มีความเป็นอยู่ที่ดีทัดเทียมผู้อื่น และที่สำคัญคือมีความสงบสุขร่มเย็น แต่งานของพระองค์ ยากกว่าภารกิจของพ่อโดยทั่วไปมากนัก เพราะทรงมีลูกหลายสิบล้านคน ทำให้พระองค์ต้องทรงงานหนัก ประกอบพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ด้วยความรักและความห่วงใย ซึ่งผมจะขอกล่าวโดยสรุป เป็น 3 ประการ คือ ประการแรก ทรงดูแลพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา บนผืนแผ่นดินไทย ด้วยความเสมอภาค ให้ลูกหลานไทยทุกคนอยู่ดีกินดี โดยทรงสอนให้เรียนรู้และอยู่กับธรรมชาติ อย่างสมดุล ทั้งดิน น้ำ ป่า ด้วยการทำนุบำรุง ฟื้นฟู และใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างฝายชะลอน้ำ แก้มลิง และฝนเทียม เป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้และโครงการพระราชาดำริ กว่า 4,500 แห่ง ทั่วประเทศ ทรงสอนข้าราชการให้ทำงานกับประชาชน โดยเริ่มที่การปลูกป่าในใจคน หมายถึงการปลูกจิตสำนึกของคน ให้เห็นคุณค่าและเห็นประโยชน์ร่วมกันเสียก่อน แล้วทุกคนก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและจะรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง โดยไม่เป็นการยัดเยียด แต่ต้องให้ระเบิดจากข้างในจึงจะเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานความสมัครใจ ที่มีความยั่งยืน ทรงให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาคน ทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยทรงเห็นว่า พลเมืองเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศชาติ ถ้าประชาชนไม่ได้รับการศึกษาก็จะไม่มีการพัฒนาตนเอง ถ้าประชาชนไม่มีสุขภาพกายและใจที่เข้มแข็งก็ไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับทำงาน เอาชนะอุปสรรคหรือพัฒนาบ้านเมือง โดยพระองค์ได้เสด็จในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาด้วยพระองค์เอง พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราโชวาท เพื่อให้บัณฑิตใหม่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และช่วยกันพัฒนาส่วนรวม และประเทศชาติสืบต่อไป ทรงสอนหลักการใช้ชีวิต โดยทรงเป็นตัวอย่างด้วยพระองค์เอง เช่น การประหยัดใช้ดินสอจนหมดแท่ง ใช้ยาสีฟันจนหมดหลอด รวมไปถึงการออม การรู้จักพอเพียง การพึ่งพาตัวเอง และการทำงานอย่างมีความสุข เป็นต้น ที่สำคัญยังทรงพระราชทานปรัญชาของเศรษฐกิจพอเพียง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ภูมิคุ้มกัน และเงื่อนไขความรู้คู่คุณธรรม เพื่อเป็นแนวทางดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนให้สมดุล พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอก และโลกาภิวัฒน์อย่างรู้เท่าทัน พระเกียรติคุณดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก โดยทรงได้รับการขนานนามว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา จากการทรงงานโดยมิรู้เหน็ดเหนื่อย ทรงงานด้านการพัฒนาชนบท ทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรที่ยากไร้และด้อยโอกาสทุกหย่อมหญ้า ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทรงสดับตรับฟังปัญหาทุกข์ยากของราษฎร จนทำให้นานาประเทศตื่นตัวในการปรับรูปแบบการพัฒนา ภายใต้แนวคิดใหม่นี้ โดยองค์การสหประชาชาติได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระองค์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วรวมทั้งได้จัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติ 2 ครั้ง สำหรับการถวายราชสดุดี และถวายความอาลัย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ภายหลังการเสด็จสวรรคต และเมื่อครบรอบ 1 ปี การเสด็จสวรรคตของพระองค์อีกด้วย นอกจากนั้น ยังได้อัญเชิญแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ชาติสมาชิกได้นำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของประเทศตนเอง ซึ่งหลายประเทศได้มีความสนใจศึกษา ทำความเข้าใจ เพื่อน้อมนำไปประยุกต์ใช้แล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ที่ทรงมีความรัก ความเคารพ และทรงยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นบุคคลสำคัญ และเป็นแบบอย่างที่ดีในการมุ่งมั่นทำเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ซึ่งพระองค์เองได้น้อมนำหลักการทรงงาน และศาสตร์พระราชาต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในฐานะพระประมุขของประเทศด้วยเช่นกัน ประการที่ 2 ในบทบาทพ่อของแผ่นดิน พระองค์ทรงเตรียมความพร้อมให้คนไทยสามารถก้าวเดินเข้าสู่โลกกว้างได้อย่างสง่างาม โดยทรงทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จัก ยอมรับและได้รับการสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศ คือการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ และการให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ อีกทั้งยังทรงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความจริงใจ และการทำหน้าที่การเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างอบอุ่น ด้วยทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระ ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลก เป็นรากฐานให้ลูกหลานไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในสังคมโลกด้วยทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และทรงตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโลก ทั้งความสัมพันธ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่งคงระหว่างประเทศไทยกับนานาอารยประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับฐานะของประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพสกนิกร หรือลูกๆ ของพระองค์ให้ทัดเทียมสากล ด้วยบทบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังกล่าว ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจำนวน 25 ประเทศ จากทั้งสิ้น 29 ประเทศทั่วโลก ตอบรับคำเชิญของรัฐบาลไทย โดยมีพระประมุข หรือผู้แทนพระองค์เคยเยือนประเทศไทย เพื่อทรงถวายพระพรในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา นับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก และล่าสุดทางการสวีเดน จะจัดพิธีสำคัญ เนื่องจากการเสด็จสวรรคต เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ และตามธรรมเนียมปฏิบัติแก่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่เคยได้รับการทูลเกล้าถวายเครื่องราชอิศริยาภรณ์ Seraphim ซึ่งเป็นเครื่องราชอิศริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของสวีเดน ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ วันเดียวกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยกองทหารเกียรติยศสวีเดน และอัญเชิญตราประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จากพระราชวังสตอกโฮล์ม ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์สวีเดน อันเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ ประชาชน และประเทศทั้งสองด้วย อนึ่งในการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนนี้ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยรับมอบสำเนามติของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่าด้วยการเทิดพระเกียรติ และแสดงความรำลึกแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งทรงงานอย่างหนัก เพื่อพสกนิกรของพระองค์ ตลอดรัชสมัย 70 ปี แห่งการครองราชย์ และในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ทรงปรีชาสามารถด้านการทูต เชื่อมโยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ สำหรับประการสุดท้ายที่สำคัญยิ่งก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ทรงพระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ พร้อมคำอวยพร เพื่อสร้างขวัญ และเพิ่มกำลังใจให้กับพวกเราเป็นประจำทุกปี ทรงให้ข้อคิดในการดำรงชีวิต เช่น ไม่ให้พวกเรายอมแพ้ต่ออุปสรรคโดยพึงมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ดังเช่นพระมหาชนกตามบทพระราชนิพนธ์ในพระองค์ ทรงให้กำลังใจทุกครั้งในการที่ประเทศชาติ และประชาชนประสบความทุกข์ยาก หรือสาธารณภัย ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง พายุเกย์ ปี 2532 สึนามิ ปี 2547 ทรงสอนให้พวกเรารู้จักการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมโดยคำพ่อสอน ส่วนหนึ่งสามารถสรุปใจความได้ว่า หากสังคมไม่มีความสุข คนในสังคมก็จะหาความสุขไม่ได้ นอกจากนี้ ทรงให้สติ และหาทางออกของทุกปัญหารวมทั้งวิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา จนทำให้พวกเราได้ตระหนักถึงความรักและความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการทำหน้าที่ของพ่อที่สมบูรณ์แบบ โดยทรงเป็นพ่อที่ทุ่มเททั้งกำลังกาย และกำลังใจ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทรงเป็นพ่อด้วยการกระทำ และจิตวิญญาณ จวบจนวาระสุดท้ายของพระองค์ และจะทรงเป็นพ่อที่จะไม่เพียงจะตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกๆ ชาวไทยทุกคน และจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกด้วยเช่นกัน พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ จากวันนั้นวันที่พวกเราลูกของพ่อจับมือกัน ร่วมฝ่าฟัน ก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ความท้อแท้ ความสิ้นหวัง และหมดเรี่ยวแรงกำลังใจ ท่ามกลางความทุกข์โศกจนถึงวันนี้ เราต้องแสดงให้พ่อเห็นว่า พ่อได้สร้างให้พวกเรามีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เพื่อให้พ่อหายเหนื่อย และยิ้มได้ ทั้งนี้ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เราทุกคนประจักษ์แก่ใจตนว่า พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ยังคงสถิตอยู่ในดวงใจของพวกเรามิรู้ลืม บัดนี้เราทุกคนได้สำนึกร่วมกันแล้ว ว่า ศาสตร์แห่งพระราชาที่พระราชทานไว้แก่ปวงชนชาวไทย ตลอดเวลา 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ อันจะนำมาซึ่งความสุขสวัสดีอย่างยั่งยืน และจากนี้สืบไป ปวงชนชาวไทยจะยังคงยึดมั่นในความจงรักภักดี และความเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีความผูกพันกับคนไทย และชาติไทยมากว่า 700 ปี แล้ว ทั้งนี้ ด้วยพระบารมีแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่จะทรงเป็นมิ่งขวัญ เป็นหลักชัยและเป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ ในการร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชทุกพระองค์ แห่งราชวงศ์จักรี ในการทำนุบำรุงปกปักรักษาประเทศไทยไว้เพื่อลูกหลานไทยตราบนานเท่านาน รัฐบาลขอให้คำมั่นแก่พี่น้องประชาชนคนไทย ว่าเราจะร่วมกัน ทั้งจิตอาสาเฉพาะกิจ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งพลังประชารัฐ และทุกภาคส่วนในสังคมไทย ในการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในวันที่ 26 ตุลาคม ที่ใกล้จะมาถึงนี้ ให้เรียบร้อยสมบูรณ์ที่สุด เพื่อถวายพระเกียรติยศอันสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งนี้ ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมกันทำความดี ร่วมกันสวดภาวนาตามศาสนาที่ทุกท่านนับถือ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่พสกนิกรของพระองค์ โดยมิเคยเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย วันนี้พระราชภารกิจได้ปลดเปลื้องลงแล้ว ทว่า ผลแห่งพระวิริยะอุตสาหะ ที่ทรงอุทิศพระองค์ รวมทั้งมรดกพระราชทาน อันได้แก่ ศาสตร์พระราชาทั้งหลาย ตลอดรัชสมัยจะยังคงเป็นพระบารมีปกเกล้าปวงประชา ให้อยู่เย็นเป็นสุข และปกป้องแผ่นดินไทยให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง ทั้งนี้ วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี นับจากนี้สืบไป จะไม่เป็นเพียงแค่วันที่ปวงชนชาวไทยจะได้สำนึก และรำลึกถึงพระองค์ท่าน พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันที่พวกเราทุกคนจะได้รู้รักสามัคคี โดยหลอมรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวให้สมกับที่พระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดินได้ทรงวางรากฐานไว้ โดยพวกเราจะต้องร่วมกันสืบสานสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้คงอยู่ตลอดไป และพระองค์จะทรงประทับอยู่ในจิตใจของคนไทยทั้งชาติชั่วกาลนาน ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนร่วมกันทำดีเพื่อพ่อ และสานต่อพระราชปณิธาน เพื่อพระองค์ท่านหายเหนื่อย และมีความสุข สวัสดีครับ
13 ต.ค. 2560
สกู๊ป : อบรมจิตอาสาจราจรเพื่อพ่อ
กองบัญชาการตํารวจนครบาลจัดอบรมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการจราจรเตรียมความพร้อมการปฏิบัติหน้าที่ในงานพระราชพิธีฯ การฝึกการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นอีกหนึ่งทักษะสําคัญที่จิตอาสาเฉพาะกิจ ด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ต้องมีความรู้ความเข้าใจเพื่อให้สามารถช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับประชาชนมาร่วมถวายความอาลัยในทุกพื้นที่เช่นเดียวกับทักษะการจดจํา สังเกตและเฝ้าระวังสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์การก่อเหตุที่จิตอาสาทุกคนควรมีความเข้าใจตรงกัน เพื่อให้สามารถแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและให้จิตอาสาทุกคนสามารถร่วมกันเป็นหูเป็นตาดูแลความสงบเรียบร้อยในงานพระราชพิธี เสียงตอบรับเหล่านี้ เป็นอีกสิ่งที่ยืนยันว่า จิตอาสาทุกคนตั้งใจ และอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ทําความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สําหรับการอบรมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการจราจรมีการแบ่งการอบรมออกเป็นพื้นที่ คือที่ สโมสรตํารวจกองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และมหาวิทยาลัยราชมงคลกรุงเทพ(บพิตรพิมุข) เพื่อความสะดวกของจิตอาสาในการเข้าร่วมอบรม โดยจะมีการอบรม ตั้งแต่วันที่ 9-19 ตุลาคม เพื่อให้จิตอาสาทั้ง 20,000 คน นําความรู้จากการอบรมไปปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มความสามารถ
13 ต.ค. 2560
สกู๊ป : Big Data ตอน 4 "แอพฯความรู้เศรษฐกิจไทย"
เศรษฐศาสตร์ไม่ต่างจาก ยาขม สําหรับประชาชนทั่วไปด้วยความที่มีเนื้อหาที่กว้างขวางและซับซ้อนจนกลายเป็นปัญหาในการสื่อสารกับคนไทยส่วนใหญ่ กระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ จึงได้นําแนวทางการจัดทํา BIG DATA หรือการรวมรวมฐานข้อมูลขนาดใหญ่มาจัดทําเป็นฐานความรู้ฉบับพกพาผ่าน 2 แอพพลิเคชันคลังเศรษฐกิจ และ MOF TAX CLINICเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงความรู้และติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจอย่างเข้าใจได้ง่ายขึ้น การเข้าถึงความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่ครอบคลุมเรื่องเงินๆทองๆในชีวิตประจําวันไปจนถึงระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อน และมีคําศัพท์เฉพาะจนยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างนับตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน อย่างการเสียภาษี ราคาสินค้าอัตราค่าจ้างแรงงาน รวมไปถึงปัญหาระดับโลก อย่างความผันผวนของค่าเงินกระทรวงการคลังจึงพัฒนาฐานข้อมูลความรู้ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ BIGDATA จัดทําเป็นแอพพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ในชื่อ "แอพฯความรู้เศรษฐกิจไทย" หรือ DATA BANK ให้เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจทุกมิติ "ประโยชน์นี้มีเยอะมากข้อมูลด้านเศรษฐกิจเชิงลึกก็มีทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้องไม่ว่าเรื่องการเงินการคลัง ด้านภาษี เรื่อง MACRO ภาคมหภาค บทความที่สําคัญๆ ที่น่าสนใจ มีวิดีทัศน์ประชาสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องของ กูรูเศรษฐกิจมาตรการด้านเศรษฐกิจที่ออกมาใหม่ๆ ในข้อมูลตรงนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากเราออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลที่จําเป็นต่อการดําเนินชีวิต การดําเนินธุรกิจ" แอพพลิเคชัน คลังเศรษฐกิจยังมีเกร็ดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่สามารถเข้าใจได้ง่าย อาทิ ศัพท์เศรษฐกิจฉบับชาวบ้าน/การ์ตูนเศรษฐกิจขนาดสั้นอีกทั้งยังมีข้อมูลมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถเกาะติดสถานการณ์ต่างๆได้อย่างใกล้ชิดตอบโจทย์ทั้งนักศึกษา เยาวชน และประชาชนทั่วไป นอกจากแอพพลิเคชันให้ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจที่จะแบ่งออกเป็น เมนูต่างๆตามรายละเอียดของเนื้อหาที่ชัดเจนแล้ว "แอพฯความรู้เศรษฐกิจไทย" อีกเรื่องสําคัญที่คนไทยต้องรู้ ก็คือ เรื่องของภาษีซึ่งกระทรวงการคลังก็ได้พัฒนาแอพพลิเคชัน TAX CLINIC ให้เป็นฐานข้อมูล ความรู้ด้านภาษี ฉบับพกพา " แอพพลิเคชัน MOF TAX CLINIC ถือเป็นคลังภาษีแบบครบวงจรที่แสดงรายละเอียดข้อมูลภาษีน่ารู้ถึง 105 รายการรวมไปถึงเกร็ดความรู้ในการทําธุรกิจตั้งแต่การจัดหาทําเลที่ตั้ง ข้อแนะนําเรื่องของผลิตภัณฑ์ข้อมูลภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจแต่ละประเภทซึ่งจะทําให้การประกอบธุรกิจเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น "ถ้าเราจะทําธุรกิจด้านใดก็ตามธุรกิจแต่ละประเภทเกี่ยวโยงกับภาษียังไงบ้างแล้วต้องทําอะไรบ้างเพื่อให้เป็นผู้เสียภาษีที่ดีไม่มีปัญหาทางด้านภาษี ให้ความรู้ด้านภาษีคืออะไร TAXCLINIC เพื่อประกอบข้อมูลการดําเนินธุรกิจนักศึกษานักเรียน ก็จะรู้ข้อมูลพื้นฐานทางด้าน ภาษี" การพัฒนาแนวทางการจัดเก็บข้อมูลที่กระจัดกระจายและไม่เป็นระบบ ให้เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BIG DATAที่สามารถนําไปต่อยอดได้ในหลายภาคส่วนจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทําให้หน่วยงานต่างๆสื่อสารกับประชาชนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ คณากร อยู่ดี ศรัณย์ธิษณ์ อ๋องสกุล ทีมข่าวเศรษฐกิจรายงาน
13 ต.ค. 2560
รายงาน : การแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542
จากกระแสสื่อสังคมออนไลน์ ที่ได้มีความเห็นต่อการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 รวมทั้งข้อกังวลจากภาคประชาสังคม อาทิ การขยายการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ไปยังอนุพันธุ์ของสายพันธุ์พืชใหม่ การขยายการผูกขาดจากเดิมกำหนดอนุญาตให้เฉพาะ “ส่วน ขยายพันธุ์” ให้รวมไปถึง “ผลผลิต” และ “ผลิตภัณฑ์” และการตัดสิทธิของเกษตรกรเก็บรักษาพันธุ์พืชใหม่ไปปลูกต่อโดยตัด เนื้อหาในมาตรา 33 (4) ของฉบับเดิมออก ซึ่งทำให้เกษตรกรที่เก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่ออาจได้รับโทษถึงจำคุก เป็นต้น กรมวิชาการเกษตร ได้ชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ของการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ว่า เพื่อเป็นการปรับมาตรฐานการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ให้สอดคล้องกับหลักสากล แก้ไขนิยามและแนวทางการคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวิธีปฏิบัติศึกษาวิจัยและปรับปรุงพันธุ์แก้ไขให้การขึ้นทะเบียนชุมชนสะดวกรวดเร็ว และแก้ไข ข้อติดขัดในการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวย้ำว่า การปรับปรุงแก้ ไขกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชนี้ เป็นการปรับแก้กฎหมายที่ยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก เกษตรกรไม่ได้เสียผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น และการปรับแก้กฎหมายครั้งนี้ เกษตรกรยังคงสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ ทั้งที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมและพันธุ์ใหม่ไปปลูกในฤดูต่อไปในพื้นที่ของตนเองได้โดยไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีทางเลือกในการใช้พันธุ์พืชใหม่ๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ ทั้งนี้ กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธินักปรับปรุงพันธุ์ (พันธุ์พืชใหม่) ตามหลักทรัพย์สินทางปัญญา (IP) คุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นที่ชุมชนเป็นเจ้าของ และควบคุมกำกับดูแลการใช้พันธุ์พืช พื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าในการศึกษาทดลองวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ รวมถึงกองทุนคุ้มครองพันธุ์พืชเพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม กรมวิชาการเกษตร ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติ คุ้มครองพันธุ์พืชทางเว็บไซต์ ซึ่งเป็นขั้นตอนขั้นต้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นประกอบการเสนอต่อกระทรวงและ ครม. ต่อไป ทั้งนี้ จึงได้ขยายช่วงเวลาการรับฟังความคิดเห็นจากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 20 ตุลาคม 2560 เป็นวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 และจะเร่งประชาสัมพันธ์ ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
11 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ภาพรวมการดำเนินงานของกองอำนวยการร่วม พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย : สืบสานพระราชปณิธานพ่อ เกี่ยวกับภาพรวมการดำเนินงานของกองอำนวยการร่วม พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ว่า การจัดสร้างพระเมรุมาศจำลองทั่วประเทศคืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 95 ควบคู่กับการปรับปรุงภูมิทัศน์ต่างๆ และจัดทำซุ้มดอกไม้จันทน์ ทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กอีก 802 แห่ง ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเพียงพอคืบหน้าแล้วกว่าร้อยละ 90 ซึ่งต้องแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ขณะที่พลตำรวจเอก เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ได้จัดเตรียมความพร้อมดูแลบุคคลสำคัญระดับประเทศ ที่จะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ กว่า 30 ประเทศ อย่างเข้มงวด โดยแบ่งพื้นที่ทำการ 12 จุด และพื้นที่เฝ้าระวัง 3 จุด บริเวณรอบนอกและพื้นที่ไข่แดงของท้องสนามหลวงด้าน รวมทั้งหมด 16 จุด ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ด้านพลตำรวจตรี จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ได้คาดการณ์ประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จำนวนมาก จึงปิดการจราจรไม่ให้รถยนต์ต่างๆ เข้ามาในพื้นที่งานพระราชพิธี แบ่งเป็นวันซ้อม ปิดเพียง 18 เส้นทาง และวันจริง เริ่มปิดการจราจรตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม เวลา 22.00 น. แล้วปิดเพิ่มเติมในวันที่ 25 ตุลาคม เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมรถโดยสารให้กับประชาชนใช้บริการมาลงในจุดที่ใกล้ที่สุด ปิยาพรรณ ยังเทียน / สวท.
11 ต.ค. 2560
ผู้ว่าฯ อุทัยธานีสั่งบินตรวจผืนป่าห้วยขาแข้ง ตรวจสอบการลักลอบบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติและการลักลอบตัดไม้กฤษณา
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีบินตรวจผืนป่าห้วยขาแข้ง ตรวจสอบการลักลอบบุกรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติและการลักลอบตัดไม้กฤษณา พบบุกรุกนับหมื่นไร่ อีกทั้งยังพบการลักลอบตัดไม้กฤษณา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จำนวน 75 ท่อน ตรวจยึดของกลางไว้และเตรียมหาตัวผู้กระทำความผิด แจ้งความดำเนินคดี ที่จังหวัดอุทัยธานี นายแมนรัตน์ รัตน์สุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี มอบหมายให้นายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด พร้อมด้วย พล.ต.ต.บัญชา ปั้นประดับ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บินตรวจสอบการลักลอบบุกรุกที่ดินป่าสงวนและการลักลอบตัดไม้กฤษณา ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ทั้งในเขตอำเภอบ้านไร่และบริเวณรอยต่อของอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พบว่ามีการลักลอบบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เป็นพื้นที่นับหมื่นไร่ โดยออกเอกสารสิทธิ นส.3 ก ทับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยได้จับพิกัดพื้นที่แปลงที่บุกรุกไว้แล้วและจะสั่งการให้พนักงานสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกล่าวโทษต่อไป นอกจากนี้ยังได้บินตรวจสอบพิกัดที่กลุ่มคนร้ายซึ่งเป็นชาวเวียดนาม มาทำการลักลอบตัดไม้กฤษณาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เมื่อช่วงเดือนกรกฏาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวน 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้ทำการยึดไม้กฤษณาของกลางที่โคนล้มทิ้งไว้ จำนวน 75 ท่อน น้ำหนักท่อนละประมาณ 2,000 กิโลกรัม เพื่อรอเวลาให้เชื้อราขึ้นและจะลักลอบเข้ามาขนย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งมีราคาซื้อขายถึงกิโลกรัมละ 10,000 บาท คิดเป็นมูลค่ามหาศาล แต่เนื่องจากสภาพป่าที่รกทึบ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นไม้ของกลางได้ เพียงแต่รู้พิกัดเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้มีการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานไว้ แล้ว ส่วนของกลางไม้กฤษณา ทั้งหมดยังอยู่ในพื้นที่ โดยจะมีการขออนุมัติทำลายของกลางต่อไป
10 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสา ในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ดังนี้ 1.ขยายเวลาการไว้ทุกข์ของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากเดิมขยายจากวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ไปจนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิ รวมเวลา 15 วัน เป็นขยายไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 2.ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษาและสถานที่ทำการของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศลดธงครึ่งเสา จากเดิมตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 รวมเวลา 15 วัน เป็นจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 รวม 17 วัน 3.ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากเดิมออกทุกข์ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป เป็นออกทุกข์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป 4.ให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่างๆ จากเดิม ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เป็นตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 คณะรัฐมนตรียกเว้นค่าผ่านทาง ระหว่างวันที่ 24-27 ตุลาคม 2560 ทางหลวงพิเศษหมายเลย 7 กรุงเทพ-พัทยาและทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 บางปะอิน-บางพลี คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำศรีสองรัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เชียงคาน จ.เลย โดยมีแผนดำเนินโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ 61 – 66) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมและการอุปโภคบริโภค บรรเทาอุทกภัยในฤดูน้ำหลาก อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ ที่ได้รับเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยให้เริ่มกับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 2560 เป็นต้นไป คณะรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร หรือ Doing Business Portal เพื่อให้การติดต่อภาครัฐเบ็ดเสร็จครบวงจร ณ จุดเดียวแบบออนไลน์ โดยประชาชนและผู้ประกอบการ ไม่จำเป็นต้องมาติดต่อหน่วยราชการด้วยตนเอง เพียงส่งข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ที่สามารถแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานราชการอย่างมีมาตรฐานร่วมกัน และยังสามารถติดตามผลงานพิจารณาผ่านระบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
10 ต.ค. 2560
ผบ.ทบ.ติดตามสถานการณ์น้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสั่งกองกำลังทหารในพื้นที่เข้ามาดูแล
ผู้บัญชาการกองทัพบก ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมสั่งกองกำลังทหารในพื้นที่เข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการกองทัพบก พร้อมด้วยนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดไชยวัฒนารามและบริเวณประตูน้ำใบบัว ตำบลบ้านกระทุ่ม อำเภอเสนา เนื่องจากวัดไชยวัฒนารามเป็นโบราณสถานสำคัญและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก ซึ่งพบว่าขณะนี้กรมศิลปากรได้จัดเจ้าหน้าที่ยกเขื่อนป้องกันน้ำท่วมแล้วโดยรอบ ความยาว 129 เมตร เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงเกินกว่าระดับตลิ่งกว่า 1 เมตร ซึ่งเขื่อนป้องกันน้ำสามารถป้องกันน้ำได้สูงสุดที่ระดับ 2 เมตร หากระดับน้ำยังเพิ่มสูงขึ้นอีกก็จะเสริมเพิ่มอีก 50 เซนติเมตร จากนั้นผู้บัญชาการกองทัพบกและคณะ ได้เดินทางไปยังประตูระบายน้ำใบบัว เพื่อดูการผันน้ำจากแม่น้ำน้อยเข้าทุ่งนาแก้มลิงตามธรรมชาติ เพื่อลดความเดือดร้อนของคนในชุมชนริมแม่น้ำ ผู้บัญชาการกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ กองทัพบกมีความเป็นห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงสั่งการให้กองกำลังทหารในพื้นที่เข้ามาช่วยดูแลและพี่น้องประชาชนอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงคอยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ อีกด้วย
09 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : รับมือสถานการณ์น้ำ
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ถึงสถานการณ์น้ำว่าที่ผ่านมาจากสถานการณ์ฝนที่ตกช่วงต้นเดือนตุลาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งการบริหารจัดการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางต่างกัน โดยยืนยันว่าพื้นที่เขตเศรษฐกิจจะไม่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝน ส่วนพื้นที่แก้มลิงมีไว้เพื่อใช้รองรับน้ำฝนที่ตกมาเพิ่มเติม พร้อมย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกพื้นที่เท่าเทียมกัน ไม่ได้เน้นดูแลเฉพาะพื้นที่เขตเศรษฐกิจหรือกรุงเทพมหานครเท่านั้น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ทุกส่วนราชการต้องไม่ปิดบังข้อมูลต่อประชาชน ต้องให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างทาวถึงและรวดเร็ว เพื่อเตรียมความพร้อม โดยปัญหาสำคัญของโลกในขณะนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ขณะนี้รัฐบาลจึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมกันหารือเพื่อรับมือกับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบทำให้น้ำท่วม น้ำแล้ง ซึ่งแม้ประชาชนจะเข้าใจสถานการณ์ แต่ทุกภาคส่วนก็ต้องหารือกันเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง และเมื่อถึงฤดูฝนก็ต้องสามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ พร้อมยืนยันไม่ใช่การตั้งเป้าจะสร้างเขื่อนในพื้นที่ใด ศิริศุภา กร่างสะอาด / สวท.
08 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การพัฒนาอาชีพผู้ต้องขังด้วยหลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียง
นางบุษบา เกตุอุดม ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเพชรบุรี กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทยฯ ว่า เรือนจำชั่วคราวเขาเกลี้ยงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเรือนจำกลางเพชรบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นศูนย์เตรียมความพร้อมให้ผู้ต้องขังที่ใกล้พ้นโทษ ให้ได้ฝึกวิชาชีพด้านเกษตรกรรม ถือเป็นเรือนจำมั่นคงต่ำ ไร้รั้วไร้กำแพง ทำให้ผู้ต้องขังที่อยู่ที่นี่มีความสุข สบายใจ ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติและครอบครัวสามารถมาเยี่ยมได้ตลอดเวลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเพชรบุรี กล่าวด้วยว่า บ้านดินหรืออาคารที่สร้างด้วยดิน เป็นเอกลักษณ์ของเรือนจำชั่วคราวเขาเกลี้ยง เพราะว่าการสร้างบ้านดินทำให้คนอยู่รู้สึกอบอุ่นใกล้ชิดธรรมชาติ จึงนำมาฝึกสอนให้ผู้ต้องขังรู้จักการสร้างบ้านดิน เพื่อนำไปสร้างที่อยู่อาศัยของตนเองหรือเป็นอาชีพรับจ้างสร้างบ้านดิน ขณะที่นายธรรมนูญ นพคุณ หัวหน้าเรือนจำชั่วคราวเขากลิ้ง กล่าวว่า ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เมื่อปี 2550 นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งในพื้นที่จะแบ่งโซนไว้ อาทิ โซนบริการนักท่องเที่ยว ร้านกาแฟบ้านดิน การป้อนหญ้ากวาง ป้อนนมแกะ ดูการเลี้ยงกวางและแกะ และการสร้างบ้านดิน นอกจากนี้ยังมีฐานการเลี้ยงสัตว์ปศุสัตว์ การผลิตสารอินทรีย์ทดแทนสารอินทรีย์ เช่น น้ำส้มควันไม้ น้ำสมุนไพร ซึ่งการเปิดพื้นที่เช่นนี้จะทำให้ผู้ต้องขังได้เรียนรู้การอยู่ร่วมสังคมกับคนภายนอกที่พร้อมจะให้การต้อนรับ และไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจ ทั้งนี้ ผู้ต้องขังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อได้เรียนรู้หลักปรัชญาและการทำเกษตรแบบพอเพียง และพร้อมที่จะออกไปประกอบอาชีพที่สุจริต ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน /สวท.
08 ต.ค. 2560
จ.เชียงราย ฝนตกหนักดินสไลด์ทับเส้นทางกลางเมือง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่สั่งเร่งให้เปิดเส้นทาง
จากที่ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักตลอดคืนที่ผ่านมาจนถึงเวลา 11.30 น.วันนี้ ส่งผลให้เกิดดินจากเขาดอยตอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุจอมทอง เขตเทศบาลนครเชียงราย ได้เกิดสไลด์ลงมาปิดทับเส้นทางบนถนนวินิจฉัยกุล ระยะทางยาวกว่า 30 เมตร ทำให้รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านไปมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เมืองเชียงรายและเจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.37 ต้องปิดการจราจรในเส้นทางดังกล่าว นอกจากนี้พบว่าจากดินสไดล์ทำให้เสาไฟฟ้าล้มและขาด เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เร่งเข้าทำการตรวจสอบเช่นกัน ล่าสุดนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดเส้นทางดังกล่าวด้วยการตักดินออก โดยให้ทางเทศบาลนครเชียงรายและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย นำเครื่องจักรทำการตักดินออกและการไฟฟ้ามาทำการซ่อมแซมเสาไฟและสายไฟ พร้อมแจ้งเตือนวัดพระธาตุจองทอง ให้เพิ่มความระมัดระวังจากดินสไลด์ในครั้งนี้ ทั้งนี้ยังให้ทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก หากพบมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนให้ช่วยเหลือทันที
07 ต.ค. 2560
จ.อุทัยธานี สมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดโครงการ 50 ปี ส.อ.ท. มอบจักรยาน 7,000 คัน ปันรักสู่โรงเ
วันนี้ (7 ต.ค. 60) ที่หอประชุมวิทยาลัยเทคนิคอุทัยธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี นายไพรัตน์ เอื้อชูยศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายนพน้อย ทองประไพพักตร์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี นายอำเภอเมืองอุทัยธานี ศึกษาธิการจังหวัดอุทัยธานี และส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันมอบรถจักรยาน จำนวน 111 คัน ให้แก่เด็กนักเรียนขาดแคลน มีฐานะยากจน ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ตามโครงการ 50 ปี ส.อ.ท. มอบจักรยาน 7,000 คัน ปันรักสู่โรงเรียนขาดแคลน เพื่อแจกจ่ายรถจักรยานให้แก่เด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจน และบ้านอยู่ห่างไกลโรงเรียน เพื่อให้สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้สะดวกยิ่งขึ้น อันเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับนักเรียนขาดแคลนและด้อยโอกาส สำหรับจังหวัดอุทัยธานี ได้รับมอบจักรยานในโครงการนี้ จำนวน 111 คัน โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานีได้เชิญชวนองค์กรต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมบริจาคสนับสนุนโครงการ มีผู้สนใจเข้าร่วมให้การสนับสนุนเป็นจำนวนมาก
07 ต.ค. 2560
ประชาชนจิตอาสาฯ อ.เมืองปราจีนบุรี รับมอบสิ่งของพระราชทาน
วันนี้ (7 ต.ค. 60) ที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองปราจีนบุรี นายสมชาย ชำนิ นายอำเภอเมืองปราจีนบุรี เป็นประธานในพิธีมอบสิ่งของพระราชทานแก่จิตอาสาเฉพาะกิจ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อำเภอเมืองปราจีนบุรี ได้กำหนดทำพิธีมอบสิ่งของพระราชทานฯ แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 วันที่ 7 - 9 ตุลาคม 2560 และช่วงที่ 2 วันที่ 20 - 24 ตุลาคม 2560 สำหรับวันนี้มีประชาชนจิตอาสาฯ รับมอบสิ่งของพระราชทานหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จำนวน 659 คน แบ่งประเภทออกเป็นงานดอกไม้จันทน์ จำนวน 205 คน งานประชาสัมพันธ์ จำนวน 91 คน งานโยธา จำนวน 10 คน งานขนส่งเพื่อความปลอดภัยของประชาชน จำนวน 17 คน งานบริการประชาชน จำนวน 189 คน งานแพทย์ จำนวน 38 คน งานรักษาความปลอดภัย จำนวน 81 คน และงานจราจร จำนวน 28 คน โดยสิ่งของพระราชทานประกอบด้วย บัตรประจำตัวจิตอาสาฯ เสื้อยืดคอโปโลสีดำ หมวกแก๊ป ผ้าพันคอ ปลอกแขน และกระปุกออมสิน สำหรับเยาวชนที่อายุไม่เกิน 17 ปี สำหรับใช้ในการทำกิจกรรมจิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 18-31 ตุลาคม 2560 เพื่อให้จิตอาสาเฉพาะกิจฯ ทุกคนนำไปใช้ในกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญประโยชน์ในการทำความดีให้แก่สังคมส่วนรวม
07 ต.ค. 2560
จ.ราชบุรีประกอบพิธีมอบสิ่งของพระราชทานจิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ
วันนี้(7 ต.ค. 60) อำเภอเมืองราชบุรีประกอบพิธีมอบสิ่งของพระราชทานจิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แก่ประชาชนที่ได้ลงทะเบียนไว้ในพื้นที่อำเภอเมือง จำนวน 12,699 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้วย โดยสิ่งของพระราชาทาน ประกอบด้วย บัตรจิตอาสา, หมวก, ผ้าพันคอ, เสื้อยืดคอโปโลสีดำ, ปลอกแขน, และกระปุกออมสินสำหรับเด็ก ซึ่งประชาชนที่มารับสิ่งของพระราชทานในครั้งนี้ต่างกล่าวถึงความรู้สึกภาคภูมิใจที่จะทำงาน และทำความดีน้อมถวาย ทั้งนี้ จังหวัดราชบุรีมีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น 55,132 คน จะเริ่มปฏิบัตงานวันที่ 18-31 ตุลาคมนี้
07 ต.ค. 2560
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ติดตามงานโครงการเน็ตประชารัฐ ส่งเสริมผู้ประกอบก
วันนี้ (7 ต.ค. 60) นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ติดตามการให้บริการ อินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน ตามโครงการอินเทอร์เน็ตประชารัฐ ในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะนำพาประเทศไทยก้าวสู่ ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยจัดให้มีโครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ สร้างความเท่าเทียมและทั่วถึงในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณเคเบิลใยแก้วนำแสง ด้วยความเร็ว 30 เมกะบิต โดยในระยะแรกกำหนดดำเนินการจำนวน 24,700 หมู่บ้าน ทั่วประเทศ โดยในส่วนของจังหวัดสกลนคร มีจำนวน 520 หมู่บ้าน ซึ่งขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ 418 หมู่บ้าน โดยการคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในวันที่ 15 พ.ย 2560 นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า โครงการอินเทอร์เน็ตประชารัฐนี้ จะช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร ข้อมูลการแพทย์ ถือเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ให้ชุมชน ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าข้อมูลอย่างไร้ขอบเขต ตลอดทั้งยังจะเป็นการส่งเสริม วิสาหกิจ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแม่บ้าน ให้สามารถใช้ช่องทางนี้ ในการขายสินค้าผ่านสื่อโซเซียล อันจะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้อีกทาง
07 ต.ค. 2560
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามโครงการ ร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่ จ.
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามโครงการ ร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐที่จังหวัดน่าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจราชการติดตามและตรวจเยี่ยมร้านค้าประชารัฐ ตามโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน เพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ เมื่อเย็นวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่ห้างนราไฮเปอร์มารค์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยมีนายไพศาล วิมลรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายเงียบ แสงจำปา พาณิชย์จังหวัดน่าน พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่สังกัดหน่วยกระทรวงพาณิชย์ และผู้จัดการห้างนรา ให้การต้อนรับ และสรุปผลการดำเนินงานเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยความสำเร็จของการดำเนินงาน โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ในการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาลดพิเศษร้อยละ 15-20 จำหน่ายในร้านค้าปลีกแบบถาวรได้อย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนและเป็นการเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้กับร้านค้าปลีกอีกด้วย สำหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการตลาดประชารัฐ ในเขตอำเภอเมืองน่านครั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินโครงการ สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยการเสริมความเข้มแข็งของร้านค้าชุมชนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของชาวน่าน ให้ดียิ่งๆ ต่อไป ส่วนประชาชนที่ได้เดินทางมาซื้อสินค้า ประชาชนได้นำบัตรมาใช้บริการอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ทำการเปิดร้าน ส่วนมากจะซื้อเป็นของอุปโภคและบริโภค ไข่ ผงซักฟอก น้ำมันพืช ปลากระป๋องน้ำปลา สำหรับเหล้าเบียร์ จะใช้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้ ซึ่งประชาชนส่วนมากต่างพอใจที่ทางรัฐบาล ได้ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย ถือว่าพอใจมาก ที่ได้ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใย ต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย และได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจติดตามความคืบหน้า การจัดทำโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยนั้น ยอมรับว่าการติดตั้งเครื่องรูดบัตร (EDC) ภายในร้านธงฟ้าประชารัฐ จะเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรในระยะต่อไป ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐสามารถติดตั้งเครื่องรูดบัตรให้เพียงพอ โดยติดตั้งเครื่องรูดบัตรเพิ่มให้กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้การบริการประชาชน และจำหน่ายสินค้าธงฟ้าประชารัฐให้ทั่วถึง
07 ต.ค. 2560
ผู้ว่าฯ ลำปาง ลงพื้นที่เยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัย ในเขตท้องที่อำเภอเกาะคา
หลังจากที่ในหลายเขตท้องที่ของจังหวัดลำปาง ได้เกิดฝนตกชุกหนาแน่นและต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายวันนับตั้งแต่เมื่อช่วงวันที่ 2 ตุลาคม 2560 เป็นต้นมา ได้ส่งผลให้น้ำบริเวณพื้นที่สูงหลายพื้นที่มีปริมาณมาก เพิ่มขึ้นฉับพลัน และได้ไหลลงสู่พื้นที่ต่ำจนทำให้น้ำในลำเหมืองเขตพื้นที่ชุมชนหมู่บ้านระบายไม่ทัน เกิดน้ำป่าทะลักไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชน ชาวบ้านหลายหลังคาเรือนได้รับความเดือดร้อน ทรัพย์สินและไร่นาได้รับความเสียหาย เฉพาะอย่างยิ่งในเขตท้องที่ชุมชนบ้านม้ากลาง หมู่ที่ 13 ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มักประสบปัญหาอุทกภัยซ้ำซาก ชาวบ้านในชุมชนกว่า 30 หลังคาเรือน 3 หมู่บ้าน ต้องได้รับความเดือดร้อน โดยครั้งหลังสุดเมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม ได้เกิดฝนตกหนักในเขตท้องที่อำเภอห้างฉัตรและอำเภอเกาะคา ซึ่งได้ส่งผลกระทบทำให้น้ำในลำน้ำแม่ตาลที่ไหลผ่านเขตชุมชนดังกล่าว มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นจนเอ่อล้นทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนของราษฎรอีกครั้ง ล่าสุดในช่วงบ่าย-เย็น ของวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วย นายมนตรี นาคถาวร นายอำเภอเกาะคา และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากที่ว่าการอำเภอเกาะคา สำนักงานชลประทานที่ 2 ลำปาง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เทศบาลตำบลลำปางหลวง และจากส่วนราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจราษฎรผู้ประสบภัย พร้อมทั้งได้ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่หาสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยจากการตรวจสอบชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวให้ข้อมูลว่า ในจุดบริเวณที่น้ำเอ่อล้นไหลทะลักนี้ แต่เดิมเป็นพื้นที่ร่องน้ำของลำน้ำแม่ตาล ซึ่งเป็นลำน้ำสายหลักที่ไหลผ่านชุมชนหมู่บ้าน โดยรอบบริเวณจะไม่มีบ้านเรือนปลูกสร้างและไม่มีถนนตัดผ่าน ต่อมาเมื่อชุมชนเกิดการขยายตัวมีบ้านเรือนหนาแน่นแต่เส้นทางถนนคับแคบ ชาวบ้านจึงมีความต้องการถนนเพื่อจะใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการเข้า-ออก จากนั้นจึงได้มีการดำเนินการจัดวางท่อน้ำซีเมนต์ขนาดใหญ่ให้น้ำในลำน้ำแม่ตาลไหลผ่านลงไปสู่แม่น้ำวัง และได้ทำการถมพื้นที่ด้านบนทั้งหมดทำเป็นถนนหมู่บ้านให้รถวิ่งสัญจรผ่านไปมาได้ เริ่มแรกที่ได้ทำการสร้างแล้วเสร็จใหม่ๆ ไม่มีปัญหาน้ำเอ่อล้นทะลัก แต่ต่อมาในช่วงระยะหลังกลับพบว่าน้ำมักจะเอ่อล้น และทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในชุมชนหมู่บ้านทุกครั้งที่มีฝนตกหนักจนกลายเป็นปัญหาซ้ำซาก โดยคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากกิ่งไม้ เศษขยะต่างๆ รวมถึงตะกอนดินทราย ที่อาจไหลเข้าไปตกค้างอยู่ภายในท่อและอุดตัน ทำให้ในช่วงฤดูน้ำหลากน้ำระบายไม่ทันจึงเอ่อล้นและไหลเข้าท่วมพื้นที่ โดยปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านม้ากลางแห่งนี้ แต่ละครั้งจะเกิดขึ้นนานประมาณ 2-3 วัน นานที่สุดไม่เกิน 5 วัน โดยจะส่งผลกระทบมากกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งเมื่อน้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนก็จะมีระดับน้ำที่สูง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนข้าวของบ้านเรือนเสียหาย หากเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นต่ำก็จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ หากยกพื้นสูงหรือเป็นบ้านสองชั้นน้ำท่วมไม่ถึงแต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้ห้องน้ำในการขับถ่ายได้ รวมถึงต้องคอยระวังสัตว์มีพิษต่างๆ ที่จะหนีน้ำขึ้นมาอาศัยอยู่ภายในบ้านด้วย ซึ่งในส่วนนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้ประสานหน่วยงานเขตท้องที่ที่เกี่ยวข้อง ให้ได้เร่งทำการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ชาวบ้านผู้ประสบภัยแล้ว สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาว ได้มอบหมายให้หน่วยงานเทศบาลและที่ว่าการอำเภอเขตท้องที่ ร่วมหารือกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัด สำนักงานชลประทานที่ 2 และหน่วยงานส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำแผนงานโครงการเร่งด่วน เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณสำหรับใช้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาต่อไป
06 ต.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพพระกรณียกิจของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะทรงร่วมบำเพ็ญประโยชน์ในโครงการ "จิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจ"
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพพระกรณียกิจของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะทรงร่วมบำเพ็ญประโยชน์ในโครงการ "จิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจ" ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงปฏิบัติธรรม ณ วัดป่ามุตโตทัย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนชาวไทย ในการร่วมทำความดีกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และในห้วงเดือนตุลาคมนี้ ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดตั้ง "จิตอาสาเฉพาะกิจ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ" ขึ้น เพื่อรวมพลังน้ำใจ พลังความรักอันมีค่า ความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จะน้อมถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสู่สวรรคาลัย ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
04 ต.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีย้ำไทย-สหรัฐเดินหน้าเพิ่มความร่วมมือบนพื้นฐานการเป็นมิตรแท้
นายกรัฐมนตรีย้ำไทย-สหรัฐฯเดินหน้าเพิ่มความร่วมมือบนพื้นฐานการเป็นมิตรแท้ ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ให้ถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำที่สภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน และสภาหอการค้าสหรัฐฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและภริยาพร้อมคณะ ในระหว่างที่เดินทางมาเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า รู้สึกมีความสุขที่ได้เดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาโดยได้รับเกียรติจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรแท้ต่อกัน ทั้งนี้ ไทยและสหรัฐมีความคุ้นเคยและมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ดังนั้น จึงควรใช้สิ่งเหล่านี้นำพาทั้งสองประเทศเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน ไทย-สหรัฐตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ถึง 8,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่นักธุรกิจที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ มองว่าการเดินทางเยือนสหรัฐของนายกรัฐมนตรี ประสบความสำเร็จและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักธุรกิจ และเชื่อว่าจะต้องเกิดความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างไทยและสหรัฐเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม นอกจากนายกรัฐมนตรีจะให้ความสำคัญกับการพบปะนักธุรกิจและนักลงทุนแล้ว นายกรัฐมนตรียังเหลือภารกิจสำคัญในการพบปะกับชุมชนไทยในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นภารกิจสุดท้ายของการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในครั้งนี้
04 ต.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจในระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นวันที่ 2
นายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจในระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นวันที่ 2 ในการพบหารือกับหารือกับบุคคลสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐ และการหารือกับคณะนักธุรกิจไทย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เดินทางพบกับนายออร์ริน แฮทช์ ประธานที่ประชุมวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา เพื่อรับมอบสำเนาข้อมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองสิริราชสมบัติมาตลอด 70 ปีและทรงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ประเทศให้มีความแน่นแฟ้น ยาวนาน อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกาด้วย จากนั้นนายกรัฐมนตรีเข้าหารือกับนายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา พร้อมเยี่ยมชมอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในสหรัฐฯ พร้อมขอบคุณนักธุรกิจที่ร่วมคณะเดินทางมาเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีในการหารือความร่วมมือการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐ ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ พงยา กาลนิล ผู้บริหารบริษัทบ้านปูจำกัด (มหาชน) นักธุรกิจด้านพลังงานที่ร่วมคณะมาเยือน กล่าวว่า การพบปะกันของผู้นำไทยและสหรัฐ ถือเป็นก้าวแรกในการเดินหน้าสร้างความร่วมมือการค้าการลงทุนของไทยและสหรัฐ อีกทั้งเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการผลิตและการสำรวจพลังงาน ขณะเดียวกันไทยยังมีโอกาสที่จะดึงนักลงทุนจากสหรัฐไปลงทุนด้านพลังงานในไทยด้วย ผู้บริหารบริษัทบ้านปูจำกัด (มหาชน) กล่าวด้วยว่า ต้องการให้รัฐบาลไทยส่งเสริมให้นักลงทุนของไทยเข้ามาทำธุรกิจในลักษณะของการรวมตัวกันเป็นกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจ เพราะขณะนี้นับเป็นโอกาสดีในการที่จะเข้ามาลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐมีนโยบายหลักในการส่งเสริมการลงทุนที่จะเป็นการสร้างงานในสหรัฐฯ
03 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 3 ตุลาคม 2560
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยสาระสำคัญของกฎหมายได้ขยายขอบเขตการใช้บังคับไปถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือระยะ 200 ไมล์ทะเลจากฝั่ง เพิ่มเติมการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน โดยให้กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมรับขึ้นทะเบียนสมาชิก ที่มีความสนใจทำงานด้านอนุรักษ์การสงวนและการคุ้มครอง การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงกองทุนสิ่งแวดล้อมที่เดิมอยู่ในกระทรวงการคลังเปลี่ยนมาอยู่ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แหล่งที่มาของกองทุนสามารถจัดเก็บจากค่าบริการ ค่าธรรมเนียม การพิจารณารายงานของอีไอเอ และเงินค่าปรับที่ได้ นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงการใช้จ่ายเงินให้ครอบคลุมการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมทุกด้าน คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับบุคคลธรรมดาและบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับการบริจาคเงิน หรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนยุติธรรม โดยสามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้สองเท่าของรายจ่ายที่บริจาค - กำหนดให้บุคคลธรรมดา ที่บริจาคเงินให้แก่กองทุนยุติธรรม สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค โดยเมื่อรวมกับที่บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา ไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้พึงประเมิน - สำหรับบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาค โดยเมื่อรวมกับที่บริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา ไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแนวทางการทดแทนอัตราว่าง จากผลการเกษียณอายุของข้าราชการด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่น โดยเริ่มดำเนินการ ณ วันที่ 1 ต.ค.2561 เป็นต้นไป 1. การทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุของข้าราชการ ในสายงานสนับสนุน 1.1. ตำแหน่งประเภททั่วไป ให้จ้างงานในรูปแบบอื่นทั้งหมด (ร้อยละ 100) โดยให้ยกเว้นในตำแหน่งระดับอาวุโส เนื่องจากเป็นทางก้าวหน้าของข้าราชการในสายงานสนับสนุน 1.2. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ให้ทดแทนอัตราว่างด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่นอย่างน้อยร้อยละ 10 ของอัตราว่างที่ส่วนราชการมีในปีนั้น 2. การทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุของข้าราชการ ในสายงานหลัก 2.1. ตำแหน่งประเภททั่วไป ให้ทดแทนอัตราว่างในปีนั้นด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่นอย่างน้อยร้อยละ 10 สำหรับส่วนราชการขนาดเล็กที่มีอัตรากำลังไม่เกิน 1,000 อัตรา ให้พิจารณาตามความเหมาะสม จำเป็นของภารกิจ 2.2. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ให้พิจารณาทดแทนอัตราว่างด้วยการจ้างงานรูปแบบอื่นตามความจำเป็นของภารกิจ ความมีประสิทธิภาพและความคุ้มค่า 3. ให้ คกก. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และ คกก.ข้าราชการตำรวจ บริหารจัดการอัตราว่างจากการเกษียณในแต่ละปี ตามหลักเกณฑ์ที่ คปร. กำหนดโดยอนุโลม 4. ให้ฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. ศึกษาแนวทางและมาตรการจูงใจ ให้ส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางนี้ เช่น อาจให้ 1 ตำแหน่งของข้าราชการ ทดแทนด้วย 2 อัตรา พนักงานราชการ เป็นต้น
02 ต.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : รอดจากหนี้ด้วยศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้
พันตำรวจโทวิชัย สุวรรณประดิษฐ์ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม หรือ ศนธ.ยธ. กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า การช่วยเหลือแก้ไขหนี้นอกระบบให้ชาวบ้านหลักๆ ใช้วิธีการคือ 1.) ให้คำปรึกษาประชาชนที่ติดต่อขอคำปรึกษาด้านกฎหมายและการเข้าถึงแหล่งทุนต่างๆ 2.) รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านที่เดินเข้ามาติดต่อเองและจากหน่วยงานต่างๆ ส่งเรื่องเข้ามา โดยมีทีมนิติกรในการซักถามข้อมูลเพิ่มเติม หากเป็นเรื่องที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบจำนวนมากและมีความซับซ้อน เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมให้เข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือในแต่ละรูปแบบ 3.) การทำงานด้านกฎหมาย ที่ผ่านมามีงานวิจัยในเรื่องดังกล่าว โดยเบื้องต้นจะรับเรื่องจากประชาชนที่เดือดร้อนอยู่ในระดับก่อนวิกฤต หมายความว่าการถูกติดตามทวงหนี้ ถูกฟ้องดำเนินคดี และระดับวิกฤต คือศาลตัดสินคดีแล้ว หรือกรณีขายฝากทรัพย์จะหลุดเป็นของเจ้าหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นบทบาทของกระทรวงยุติธรรมโดยตรงในการช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย หากมองย้อนถึงสาเหตุมีหลายประการที่จะต้องดำเนินการ จะต้องมองในเชิงป้องกันซึ่งเป็นมาตรการหลัก โดยเน้นในเรื่องหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่น ดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนด การทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบ เจ้าหนี้หมวกกันน็อครายวัน เป็นต้น เพราะฉะนั้นประชาชนที่ขอรับการช่วยเหลือจะต้องได้รับความเป็นธรรมและได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ดังนั้น ขั้นแรกก่อนจะเป็นหนี้ควรมองระบบสารบรรณทางการเงินดีที่สุด แต่ในกรณีที่เข้าเป็นลูกหนี้ไม่ได้ ก่อนอื่นที่จะรู้ถึงความรุนแรงปลายทางสุดท้ายของหนี้ หนี้รายวันคือการข่มขู่ หนี้เกษตรกรคือการสูญเสียที่ดินทำกิน ซึ่งในเรื่องนี้ได้ทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการป้องกันให้ความรู้แก่ประชาชนมาโดยตลอด ทั้งนี้ ประชาชนที่เป็นหนี้โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ สามารถขอคำแนะนำได้ที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่ต่างจังหวัดติดต่อได้ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัด ต้องการช่วยเหลือด้านทนายติดต่อได้ที่กองทุนยุติธรรม รับคำปรึกษาหนี้นอกระบบที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถติดต่อสายด่วนกระทรวงยุติธรรมที่ให้บริการนิตยา คุณสิม
02 ต.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดีซี เตรียมหารือเจ้าหน้าที่และนักลงทุนไทยสำหรับความพร้อมหารือประธานาธิบดีสหรัฐ
นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดีซี เตรียมหารือเจ้าหน้าที่และนักลงทุนไทยสำหรับความพร้อมหารือประธานาธิบดีสหรัฐฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะ เดินทางถึงยังนครวอชิงตัน ดี.ซี สหรัฐอเมริกาแล้ว ในโอกาสเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคม 2560 ซึ่งนายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึงยังท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตัน ดัลเลสเมื่อเวลาประมาณ 10.40 น.ตามเวลาทองถิ่นซึ่งตรงกับเวลา 21.40 น.ในประเทศไทย โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมพิธีการฑูตสหรัฐอเมริกา นายพิศาล มาณวพัฒน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ให้การต้อนรับ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางมายังโรงแรมที่พัก นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมจะหารือกับคณะทำงาน หารือกับนักธุรกิจและนักลงทุนไทยในสหรัฐ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนพบปะนายโดนัลทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ (2 ต.ค.) ในช่วงกลางวัน ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นช่วงดึกของวันนี้ตามเวลาในประเทศไทย เพื่อจะได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการการการลงทุน รวมถึงโอกาสในการเพิ่มมูลค้าระหว่างกันในอนาคต
02 ต.ค. 2560
สกู๊ป : กรมสุขภาพจิต แนะ 6 วิธีใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณ
วันที่ 30 กันยายนนี้ ถือว่าเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของใครหลายคนบนเส้นทางการทำงานหลายสิบปี ซึ่งก็ต่างเดินหน้าเข้าสู่วัยเกษียณอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข แนะการปฏิบัติตน 6 ข้อ สร้างสุขสำหรับวัยเกษียณ วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปีนอกจากจะเป็นวันผู้สูงอายุสากลแล้ว ยังเป็นวันชีวิตของข้าราชการที่มีอายุครบ 60 ปี จะเปลี่ยนไปสู่การเป็นผู้ที่เกษียณอายุ จากที่ต้องตื่นเช้าไปทำงานตลอด 5 วัน จันทร์ถึงศุกร์ มีตารางการทำงานประจำวันที่ชัดเจน มีบทบาทหน้าที่ให้รับผิดชอบ รวมถึงเป็นผู้มีคนนับหน้าถือตา กลายเป็นมีเวลาว่าง ส่งผลต่อการใช้ชีวิต จนบางครั้งยากที่จะปรับตัวได้ การเข้าใจชีวิต เข้าใจตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการ ต้องนำมาปรับการใช้ชีวิต โดยนายแพทย์ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข แนะนำ 6 ข้อ ปฏิบัติแนวทางสร้างสุขสำหรับวัยเกษียณอายุ เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย การใฝ่รู้และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ รวมถึงการใช้เวลาว่างให้มีประโยชน์ เช่น การเป็นจิตอาสา จิตสาธารณะ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพใจ ของผู้สูงอายุให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่าได้ การเข้าสังคม และผูกมิตรกับคนอื่นๆ เป็นหนึ่งวิธีคลายเหงา พร้อมๆ กับ การหากิจกรรมที่ทำให้ชีวิตมีสติมากขึ้น เช่น นั่งสมาธิ ฝึกจิต เข้าวัดทำบุญ รวมถึงการดูแลสวน ปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ กิจกรรม ที่วัยเกษียณสามารถสร้างตารางกิจกรรมให้ชีวิตมีความสุข และยังจะเป็นการแบ่งปันความสุขไปยังคนรอบข้างได้ ทั้งนี้ โฆษกกรมสุขภาพจิต แนะนำว่า การปรับเปลี่ยนชีวิตหลังวัยเกษียณไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากตัวผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีสติ มีเป้าหมาย รวมถึงได้รับการร่วมมือที่ดีจากคนรอบข้าง การมีชีวิตที่มีความสุข มีคุณค่า และไม่เป็นภาระของคนในสังคมในยุคที่หลาย ๆ ประเทศกำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ช่วงชีวิตหลังการเกษียณก็จะเป็นช่วงเวลาของการสร้างสรรค์สิ่งดีงามและสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคมได้
02 ต.ค. 2560
รมว.ต่างประเทศมั่นใจนายกรัฐมนตรีเยือนสหรัฐประสบความสำเร็จ เผยสหรัฐให้การต้อนรับเป็นพิเศษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มั่นใจนายกรัฐมนตรีเยือนสหรัฐประสบความสำเร็จ เผยสหรัฐให้การต้อนรับเป็นพิเศษ นายดอน ปรมัติวินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความพร้อมเต็มที่ในการพบปะหารือกับนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะพบกันในวันนี้ (2 ต.ค.2560) ในช่วงกลางวัน ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นช่วงดึกตามเวลาในประเทศไทย พร้อมกับเปิดเผยว่าการเยือนในครั้งนี้ถือว่ามีความพิเศษ เพราะหลังการหารือแบบสองต่อสองระหว่างผู้นำไทยและสหรัฐและการหารือแบบเต็มคณะแล้ว ยังมีการพูดคุยระหว่างการเลี้ยงอาหารกลางวัน ซึ่งแตกต่างจากการเยือนของผู้นำประเทศอื่นๆ รวมถึงการต้อนรับในจุดที่มีความสง่างามกลางบริเวณสนาม ที่ถือเป็นการให้เกียรติและเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับและการให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อนายกรัฐมนตรีของไทย และคาดว่าการเดินทางเยือนสหรัฐครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
02 ต.ค. 2560
สกู๊ป : เอกชนเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย จีดีพีโตขึ้น 3.6
ภาคเอกชนวิเคราะห์สถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 มีแนวโน้มที่จีดีพีจะโตขึ้นถึงร้อยละ 3.6 โดยส่วนใหญ่มากจากปัจจัยการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล และความเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงและมีความผันผวนด้วยปัจจัยหลายด้าน ทำให้ประเทศไทยเองต้องเตรียมการรับมือเพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีในปีนี้รัฐจะภาษีทะลุเป้าหมาย 1.25 หมื่นล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนได้ว่ามาจากปัจจัยการค้าขายส่งออกของไทยนั้นปรับตัวดีขึ้น และเชื่อว่าในภาพรวมนี้เศรษฐกิจไทยกำลังขยายตัวได้อย่างดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2561 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ อีไอซี ได้ประเมินว่า ปรับเพิ่มประมาณการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี เติบโตขึ้นร้อยละ 3.6 ส่วนการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะมากกว่าร้อยละ 7 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา โดยเหตุผลเนื่องจาก เศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ฟื้นตัวได้พร้อมกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยสินค้าสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจได้ชายตัวนั่นก็คือ โดยสินค้าเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต่างประเทศยังคงต้องการและให้ความมั่นใจต่อคุณภาพของสินค้าที่มาจากไทยจำนวนมาก แม้ว่าภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยจะสดใสขึ้น แต่ศูนย์วิจัยอีไอซียังมีข้อกังวลในเศรษฐกิจระดับครัวเรือนที่ยังคงซบเซา อันเนื่องมาจากรายได้ของเกษตรกรที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก และไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดการเป็นหนี้ใหม่ ๆ อีกทั้งยังมีภาระหนี้เดิมในระดับสูง ประกอบกับมีการปรับมาตรการควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลตามขั้นรายได้ใหม่ที่เริ่มมีผลแล้ว ทำให้ประชาชนมีความระมัดระวังที่จะใช้จ่ายเงินจนทำให้เศรษฐกิจชะลอการขยายตัวในช่วงนี้ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่มีความน่าพอใจอยู่ ด้วยนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันและส่งเสริมอย่างเต็มที่ ให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของภาครัฐ การลงทุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ส่งผลนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาเพิ่มการลงทุนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 62 ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 3 ปี และอีก 2 ปีข้างหน้าก็เชื่อว่าจะมีการลงทุนอีคอมเมิร์ชถึง 20,0000 ล้านบาทในประเทศ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมนับจากนี้