date
stringlengths
12
13
title
stringlengths
20
290
text
stringlengths
9
61.3k
12 ก.พ. 2561
ท่าอากาศยานนครศรีฯ ยืนยันในระบบการรักษาความปลอดภัยของอากาศยาน
ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ยืนยันในระบบการรักษาความปลอดภัยของอากาศยาน หลังมีกระแสข่าวว่ารถยนต์ที่จอดไว้ในลานจอดรถถูกโจรกรรม พร้อมเน้นย้ำจะติดตั้งระบบ CCTV เพิ่มเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วันนี้ (12 ก.พ. 61) เวลา 13.30 น. ที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช นายสุขสวัสดิ์ สุขวรรณโณ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่มีผู้โดยสารร้องเรียนให้กรมท่าอากาศยานทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยในท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช เนื่องจากมีข่าวรถยนต์ที่จอดไว้ในลานจอดรถสนามบินถูกโจรกรรม โดยระบุว่ารถยนต์ได้ถูกขโมยไปในช่วงวันที่ 24 มกราคม 2561 ในขณะที่จอดภายในท่าอากาศยานฯ ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 หน่วยรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และบริษัท Cuardforce ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของท่าอากาศยานแจ้งว่าในช่วงวันดังกล่าว ได้มีบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ส่งหลักฐานจากศาลมาทำให้เชื่อ โดยสุจริตว่าบริษัทฯ มีอำนาจในการนำรถออกไปได้โดยทำการยกรถยนต์ยี่ห้อ Toyota ป้ายทะเบียน ษณ 1121 กรุงเทพมหานคร กระบะสีฟ้า นำออกจากท่าอากาศยานฯ ซึ่งจากการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นรถยนต์คันเดียวกันกับที่ผู้โดยสารแจ้งว่ารถยนต์ของตนสูญหายภายในท่าอากาศยานฯ อย่างไรก็ตาม ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ยังคงยืนยันในระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในจุดต่างๆ พร้อมเน้นย้ำในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยโดยทำการปิดประตูบริเวณด้านหลังของท่าอากาศยานเพื่อให้มีประตูเข้าออกเพียงทางเดียวเท่านั้น ซึ่งในแต่ละจุดจะมีเวรรักษาความปลอดภัยตลอดการเปิดให้บริการสำหรับพื้นที่จอดรถเป็นส่วนหนึ่งของการอำนวยความสะดวกซึ่งเพียงพอต่อผู้มาใช้บริการสามารถควบคุมและตรวจสอบผู้มาใช้บริการได้ อีกทั้ง ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช ได้ประกาศเตือนผู้มาใช้บริการ ณ ท่าอากาศยานให้ตรวจสอบทรัพย์สินของท่านก่อนออกจากรถ อย่างไรก็ดี ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช มีแผนที่จะดำเนินการติดตั้งระบบ CCTV โดยการเพิ่มจุดติดตั้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2561
12 ก.พ. 2561
กาชาดจังหวัดราชบุรี มอบผ้าห่มกันหนาวแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า 1,500 ผืน
นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ในฐานะนายกเหล่ากาชาดจังหวัดราชบุรี เป็นประธานในพิธีและมอบผ้าห่มกันหนาวแก่ผู้ประสบภัยหนาว ผู้สูงอายุ ผู้ประสบความเดือดร้อนที่เทศบาลตำบลทุ่งหลวง อำเภอปากท่อ ทั้งนี้ จังหวัดราชบุรีได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งการประกาศภัยหนาวจะต้องมีอุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 3 วัน อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชน สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดราชบุรี ได้แจ้งให้ส่วนราชการสำรวจ โดยมีทั้งหมด 4 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอปากท่อ อำเภอสวนผึ้ง อำเภอจอมบึง และอำเภอบ้านคา รวมการมอบผ้าห่มกันหนาวในครั้งนี้ทั้งสิ้น 1,510 ผืน
09 ก.พ. 2561
จังหวัดพังงา เปิดตลาดประชารัฐ โมเดิร์นเทรด เพิ่มช่องทางจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการฐานราก
จังหวัดพังงา เปิดตลาดประชารัฐ โมเดิร์นเทรด เพิ่มช่องทางจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการฐานราก วันนี้ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บริเวณลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้า Big C สาขาพังงา อำเภอเมือง จังหวัดพังงา นายชาญศักดิ์ ถวิล รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดโครงการตลาดประชารัฐ โมเดิร์นเทรด จังหวัดพังงา ซึ่งเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างจังหวัดพังงา สำนักงานพาณิชย์จังหวัดพังงา บริษัทประชารัฐรักสามัคคี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาพังงา และห้างเอ็น.เค.ช้อปปิ้ง มอลล์ เพื่อเปิดโอกาสและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการ เกษตรกร หาบเร่ แผงลอย กลุ่ม OTOP ผู้ที่มีรายได้น้อยและผู้ที่ไม่มีพื้นที่ขาย ได้มีพื้นที่ในการขายสินค้า โดยมีผู้ประกอบการร้านค้าต่างนำสินค้าทางการเกษตร ขนมพื้นบ้านและอาหาร มาจำหน่ายกว่า 20 ราย ทำการเปิดขายทุกวันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 14.00-22.00 น. สำหรับจังหวัดพังงา มีตลาดประชารัฐ จำนวน 7 ประเภท คือ ตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ , ตลาดประชารัฐ ท้องถิ่นสุขใจ , ตลาดประชารัฐของดีจังหวัด , ตลาดประชารัฐของดีวิถีชุมชน ธ.ก.ส. , ตลาดประชารัฐต้องชม , ตลาดประชารัฐวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม และตลาดประชารัฐ Modern Trade ถือเป็นโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
09 ก.พ. 2561
ธ.ออมสิน ยะลา เชิญชวนประชาชนเร่งลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เฟส 2
ธนาคารออมสิน ยะลา เชิญชวนประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เร่งลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เฟส 2 หมดเขต 28 กุมภาพันธ์นี้ วันนี้ (9 ก.พ. 61) ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังคงทยอยเดินทางไปที่ธนาคารออมสิน สาขายะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เพื่อตรวจสอบสิทธิ์สมัครเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เฟส 2 ในการการพัฒนาคุณภาพชีวิตและฝึกอาชีพ ซึ่งต่อยอดมาจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2560 ในการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ที่ถือบัตรคนจน โดยมีเป้าหมายให้ผู้มีรายได้น้อยได้พัฒนาตนเองให้พ้นจากความยากจนด้วยการมีงานทำ เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งทางธนาคารออมสิน สาขายะลา ได้จัดเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล (AO) คอยอำนวยความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะ เพื่อรองรับผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งได้ลงทะเบียนไว้ในรอบที่แล้วของอำเภอเมืองยะลา ประมาณ 17,000 คน นายศักทวี ทวีตา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารออมสิน สาขายะลา กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งทางธนาคารเปิดรับลงทะเบียนประชาชน ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เข้าร่วมโครงการฯ จนถึงขณะนี้ (8 ก.พ. 61) มีผู้มาลงทะเบียนแล้ว ประมาณ 1,000 คน เฉลี่ยวันละประมาณ 200 คน จากยอดผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 17,000 คน ซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับทางธนาคารฯ ทั้งนี้ ก็ขอเชิญชวนให้ผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเร่งมาแจ้งความประสงค์ เพื่อเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและฝึกอาชีพ แต่เนิ่นๆ โดยให้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรประชาชนมาด้วย โดยทางธนาคารจะเปิดรับลงทะเบียนจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นี้ ในวันและเวลาทำการ ตั้งแต่เวลา 08.30-15.00 น. ทั้งนี้ กรณีบุคคลผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถมาที่ธนาคารได้ หลังจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ทางธนาคารก็จะนำเจ้าหน้าที่ไปให้บริการรับลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ เข้าร่วมโครงการฯ ต่อไป ขณะที่ ในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาอำเภอเมืองยะลา เจ้าหน้าที่ของทางธนาคารได้นำรายชื่อผู้มีรายได้น้อย ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาติดประกาศไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะมาตรวจสอบสิทธิ์ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เฟส 2 ของทางรัฐบาล เพื่อเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและฝึกอาชีพ โดยหลังตรวจสอบสิทธิ์และมีรายชื่อแล้ว ก็สามารถแจ้งให้บัณฑิตอาสาในแต่ละตำบลดำเนินการสมัครเข้าร่วมโครงการได้ทันที
08 ก.พ. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โอกาสแห่งอาชีพ หลังพ้นโทษ
นางสาวเพลินใจ แต้เกษม รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า กรมราชทัฑณ์จะติดตามดูชีวิตของผู้พ้นโทษที่ออกจากเรือนจำไปแล้วว่าสามารถดำรงชีวิตและมีอาชีพที่จะเลี้ยงดูตนเองได้หรือไม่ หากพบผู้มีปัญหาจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือ ส่วนกลุ่มคนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ กรมราชทัณฑ์จะมีกระบวนการแก้ไขให้กลับตัวเป็นคนดี ทั้งให้การศึกษาแก่ผู้ที่มีความรู้น้อย และฝึกวิชาชีพด้านต่างๆ ให้แก่ผู้ที่ไม่มีทักษะในการทำงาน รวมถึงช่วยพัฒนาจิตใจให้กลับตัวเป็นคนดีสู่สังคม เช่น สอนทำอาหาร และการนวดซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องการของตลาดเมื่อพ้นโทษแล้วมีผู้มาติดต่อรับเข้าทำงานทันที ทั้งนี้อาชีพที่ฝึกอบรมส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพอิสระ เพราะเมื่อปล่อยตัวออกไปแล้วสังคมไทยยังไม่ไว้วางใจ สถานประกอบการยังไม่รับ ซึ่งกรมราชทัฑณ์มีโครงการประชาร่วมรัฐพัฒนาผู้ต้องขังสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยให้สถานประกอบการรับผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำไปทำงาน แบบไปเช้า-เย็นกลับ ซึ่งเมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษก็สามารถไปทำงานที่สถานประกอบการนั้นได้เลย " อยู่ในเรือนจำเนี่ยเรามีกระบวนการที่จะช่วยเขา ให้เขามีทักษะวิชาชีพกลับไปก็จะได้มีงานทำ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอิสระหรือไปทำงานกับนายจ้าง เราพยายามที่จะส่งเสริมให้เขาคิดเป็น วางแผนชีวิต สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนชีวิตแล้วเปลี่ยนแนวความคิดเดิมๆ สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ให้ตัดออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ทั้งนี้สำคัญสังคมต้องให้โอกาส " รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันผู้ต้องขังมีประมาณ 330,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผู้มีความผิดหลากหลายคดี หลายคนไม่ได้ทำผิดจนเป็นนิสัยหรือเป็นอาชญากรมืออาชีพ แต่อาจจะพลั้งพลาดไป กรมราชทัณฑ์พยายามทำให้กลับตัวซึ่งหลายคนคิดได้ คิดเป็น เมื่อออกไปแล้วหากสังคมไม่ให้การต้อนรับผู้ต้องขังก็จะไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ แต่ถ้าสังคมร่วมมือกันให้การต้อนรับ ให้โอกาสผู้ต้องขังพัฒนาตนเอง รวมถึงครอบครัวเข้าใจ ผู้ต้องขังก็จะกลับคืนสู่สังคมได้ ทั้งนี้ในวันที่ 9 - 18 กุมภาพันธ์ 2561 กรมราชทัณฑ์จะจัดงานนิทรรศการผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ ซึ่งอยากให้ประชาชนไปดูพัฒนาการของผู้ต้องขัง ซึ่งมีมุมวิถีไทยราชทัณฑ์มุ่งมั่นสู่ไทยแลนด์ 4.0 และสามารถไปให้กำลังใจผู้กระทำความผิดที่พลั้งพลาดได้ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เริ่มตั้งแต่ 09.00 - 21.00 น. ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน / สวท.
07 ก.พ. 2561
ตะลุย...สวนผลไม้ ตอนที่ 2 มังคุดแปลงใหญ่
ตะลุย...สวนผลไม้ ตอนที่ 2 มังคุดแปลงใหญ่ คุณลุงบรรจบ วงศ์กำปั่น เจ้าของสวนผลไม้สวนผสม เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มมังคุดแปลงใหญ่ อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ปัจจุบันมีสมาชิก 34 คน โดยมีการรวมกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนในด้านเทคโนโลยีในการผลิต ด้านการตลาด ซึ่งวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และพัฒนาให้ได้มาตรฐาน มีการบริหารจัดการตลาดร่วมกัน โดยในปี 2560 มีส่วนต่างของราคาเพิ่มขึ้นจากราคาตลาดประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 2.5 ล้านบาท ติดตามได้จากรายงานคะ
07 ก.พ. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย: มติคณะรัฐมนตรี ฉบับ ประชาชน
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามแผนจัดการเรื่องน้ำในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ของกรมทรัพยากรแห่งชาติน้ำ ที่เสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนแหล่งในภาคตะวันออก เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการในการใช้อุปโภคบริโภคภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม รองรับพื้นที่เขตอีอีซี โดยแผนมีกำหนดปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมในเขตพื้นที่ 6 แห่ง และจะจัดทำอ่างเก็บน้ำใหม่ 3 แห่ง พร้อมทั้งเชื่อมโยงแหล่งน้ำด้วยการขุดคลองระบายน้ำให้น้ำพร่องถึงกัน และผลันน้ำในระยะ 5 ปี ซึ่งหากสำเร็จตามแผน ก็จะสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 800 ล้านลูกบาศก์เมตรใน 10 ปีข้างหน้า คณะรัฐมนตรี รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ภาคตะวันออก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยการพัฒนาด้านการขนส่งทางบกได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างถนนในพื้นที่ภาคตะวันออก ทั้งการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา- มาบตาพุด การขยายช่องทางการจราจรทางหลวง ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด ทางหลวงมีนบุรี -ฉะเชิงเทรา และเส้นทางเลียบชายทะเลตะวันออก ชลบุรี-ระยอง รวมถึงพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวรอบเกาะช้าง นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อ 3 สนามบิน คือ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา และการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ บริเวณมักกะสันและที่ดินรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีราชา คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โครงการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมเห็นชอบต่อร่างหนังสือยืนยันการเข้าร่วมโครงการฯ กับ UNIDO พร้อมวิเคราะห์และปรับปรุงนโยบายเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำในอุตสาหกรรม SMEs ของไทย คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการพิเศษสำหรับการส่งเสริมการลงทุนภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น ตามการเสนอของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตทางการเกษตร และช่วยยกระดับราคาสินค้าเกษตรในประเทศให้สูงขึ้น เพื่อนำไปสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นในด้านการเกษตร และสร้างการเติบโตจากภายใน เพื่อวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการเงินประชาชน พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
04 ก.พ. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : Taxi OK ยกระดับการบริการแท็กซี่
รายการเดินหน้าประเทศไทย : Taxi OK ยกระดับการบริการแท็กซี่ ผู้ร่วมรายการ นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ออกอากาศวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561
04 ก.พ. 2561
ขอเชิญร่วมงานอุ่นไอรัก คลายความหนาว ระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-11 มี.ค.2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
จากพระราชปณิธานที่ทรงหมายมั่นของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่จะทรงบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับอาณาประชาราษฎร์ สืบสานพระราชปณิธานขององค์บูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ที่ทรงปกครองดูแลชาติบ้านเมือง ให้อยู่รอดปลอดภัย จากภยันตรายนานัปการ มีผืนแผ่นดิน ให้ประชาราษฎร์ได้อยู่อาศัยประกอบสัมมาอาชีวะ ดำเนินวิถีชีวิตได้จวบจนปัจจุบันนี้ อีกทั้งยังทรงตระหนักดีว่ายังมีประชาชนชาวไทยอีกเป็นจำนวนไม่น้อย ที่ยังคงได้รับความเดือดร้อน ในการดำเนินชีวิตด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากสภาวะแวดล้อม ภัยธรรมชาติและปัญหาความขาดแคลน ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ โดยปรกติสุขและทรงมีพระราชหฤทัยอันแน่วแน่ ที่จะทรงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ทำให้เกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจของประชาชน อันเป็นที่รักและห่วงใย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ได้รับการบรรเทา เบาบาง และจางหายไปด้วยวิธีการต่างๆ ทรงหวังอยู่ในพระราชหฤทัยว่า ทุกคนจะอยู่อาศัยบนผืนแผ่นดิน บ้านเกิดเมืองนอน ของเราด้วยความสุขกาย สบายใจ กันถ้วนทั่ว พึ่งพาตนเอง และพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ ด้วยมิตรภาพ ด้วยความรัก น้ำใจไมตรีอันดีงาม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเห็นอกเห็นใจ อันเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติ ที่มีอยู่ในหัวใจของคนไทยที่มีความรักชาติบ้านเมืองทุกคน จึงทรงมีพระราชดำริที่จะให้ประชาชนได้มีความสุข ความรื่นเริง และรำลึกถึงวิถีชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ฯ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จัดงานพระราชทานความสุข ให้กับประชาชนและเผยแพร่ความงดงามของความเป็นไทย ในรูปแบบต่างๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร องค์พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักเคารพยิ่งของปวงชนชาวไทย ภายใต้ชื่องานว่า “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ภายในงาน จะจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช พระผู้ทรงมีคุณูปการต่อแผ่นดินไทยและประชาชนชาวไทยทั้งมวล ตลอดจนนิทรรศการพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงงานมาตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พระราชกรณียกิจนานัปการของล้นเกล้าล้นกระหม่อม รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความรักความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน ผู้มาร่วมชมงานจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย กุศโลบายการพัฒนาประเทศให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ โดยผ่านนิทรรศการที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่ล้นเกล้าล้นกระหม่อม รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้งขึ้น เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย การไฟฟ้า การประปา ไปรษณีย์ไทย และธนาคารสยามกัมมาจล หรือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบัน ประชาชนได้มาเที่ยวชมงาน หาความสุข สนุกสนาน รื่นเริง ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น ย้อนยุคให้เห็นประวัติศาสตร์ ความผูกพันอันแนบแน่นของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีต่อประชาชนและประเทศชาติ ได้รู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของชาวไทยในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน อันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นคนไทยและชาติไทย นอกจากนี้ยังสามารถมีส่วนร่วม โดยเสด็จพระราชกุศลโดยการเลือกซื้อสินค้านานาชนิดจากร้านค้าต่างๆ ที่มาร่วมงาน ตลอดจนการสอยต้นกัลปพฤกษ์ การถ่ายภาพและกิจกรรมต่างๆ ภายในบริเวณงาน รายได้จากการจัดงาน โดยไม่หักค่าใช้จ่าย จะทรงนำไปใช้ในการพระราชกุศล บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัย และเหตุการณ์ต่างๆ ทั่วภูมิภาคของประเทศ ภายใต้กิจกรรมในโครงการตามพระราชดำริ “จิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ” ต่อไป งานอุ่นไอรัก คลายความหนาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 11 มีนาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 10.30 น. - 21.00 น.ทุกวัน โดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู ขอเชิญชวนทุกท่านแต่งกายชุดไทยย้อนยุค มาร่วมแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี และแสดงน้ำใจในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ในบรรยากาศย้อนยุค ได้ในงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
02 ก.พ. 2561
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561
รายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฤดูหนาวขึ้น ภายใต้ชื่อ “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งกว่าจะเป็นประเทศไทยได้อย่างทุกวันนี้ บ้านเมืองของเราได้ผ่านทั้งศึกสงคราม และเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย หลายเหตุการณ์สำคัญที่เราผ่านพ้นมาได้ เพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต ดังนั้น งานนี้จึงมีการจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ไทย กุศโลบายการพัฒนาประเทศ รูปแบบการจัดงานจะมีลักษณะ “ย้อนยุค” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทย วิถีชีวิตของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นอีก แบ่งเป็น 3 โซน ด้วยกัน ก็คือ (1) โซนพระลานพระราชวังดุสิต จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมสยามประชารำลึกนะครับ ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม มีการจัดสวน พันธุ์ไม้ น้ำพุ และงานประดิษฐ์ตามศิลปะไทยแบบชาววัง (2) โซนสนามเสือป่าจัดร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์และร้านค้ารับเชิญ เช่น ร้านภูฟ้า ร้านของมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ร้านมูลนิธิโครงการหลวง และร้านแม่บ้านเหล่าทัพ ฯลฯ รวมทั้งมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หาชมได้ยากนะครับจากทั่วไทยมาไว้ ณ ที่แห่งเดียวนี้ (3) โซนร้านอาหาร จะมีร้านค้าในแนวคิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารสืบสานชุมชนวิถีไทย มีการสาธิตเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกทั้ง มีการจัดซุ้มร้านอาหารไทยโบราณ เป็นต้น ทั้งนี้ ภายในงานการแต่งกายของพ่อค้า แม่ค้าก็จะสวมชุดไทยย้อนยุค โดยเชิญชวนประชาชนที่ไปร่วมงาน แต่งกายย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย หรือสวมใส่ผ้าไทย หรือชุดสุภาพตามสมัยนิยม ใครไม่มี ก็สามารถแต่งกายชุดสุภาพมาร่วมงานได้ “ฟรี” ไม่มีค่าบัตรผ่านประตู สำหรับรายได้จากการจัดงาน โดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะทรงนำไปใช้ในการพระราชกุศล บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามพระราชอัธยาศัย ต่อไป ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน ชุดภาพวาดฝีพระหัตถ์ จัดพิมพ์เป็นบัตร ส.ค.ส. 4 ภาพต่อ 1 ชุด เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจ ภายในงานอีกด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน แทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานรางวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันพุธที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นรางวัลสำหรับบุคคล หรือองค์กร ทั่วโลกนะครับ ที่มีผลงานดีเด่น เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์และด้านการสาธารณสุข อย่างละ 1 รางวัล เป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานรางวัลฯ นั้น มาจากผู้ได้รับการเสนอรายชื่อ จำนวน 45 คน จาก 27 ประเทศ คือ (1) สาขาการแพทย์ ได้แก่ โครงการจีโน มนุษย์นะครับ เกี่ยวกับพันธุศาสตร์ และรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะเป็นกลไกในการกำกับ และควบคุมกระบวน การของสิ่งมีชีวิตในทุกขั้นตอน ช่วยให้เกิดความเข้าใจกลไกการทำงานของเซลล์ และอวัยวะต่าง ๆ ก็จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน อย่างก้าวกระโดด (2) สาขาการสาธารณสุข ได้แก่ การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ ฮีโมฟีลุส อินฟลูเอนเซ ชนิดบี หรือ “ฮิบ” และการผลักดันให้เด็กทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนนี้ รวมถึงเด็ก ๆ ในประเทศกำลังพัฒนาด้วย ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของเด็กหลายร้อยล้านคน เราต้องพัฒนาวัดซีนตัวนี้ ผลิตเอง ให้ใช้ได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ใช้อย่างทั่วถึงในเด็กทารกทุกคน สำหรับการสร้างสรรค์งานวิจัยเพื่อประเทศชาติ และมวลมนุษยชาตินั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทยและครั้งแรกของโลก ที่ทรงจดทะเบียนและได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ “เครื่องกลเติมอากาศที่มีผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย” หรือที่เรียกว่า “กังหันน้ำชัยพัฒนา” เป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และระลึกถึงวันประวัติศาสตร์ดังกล่าว รัฐบาลจึงจัดให้มี “งานวันนักประดิษฐ์” ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 2 ถึง 6 กุมภาพันธ์ นี้ ณ Event Hall 98 - 99 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทคบางนา กรุงเทพฯ สำหรับปีนี้ จัดขึ้นภายใต้รูปแบบกิจกรรม “ตลาดนัดเปิดโลกผลงานวิจัยและนวัตกรรม” เพื่อจะเป็นการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพร้อมใช้ และ ความก้าวหน้าด้านการประดิษฐ์คิดค้นของประเทศ เราจะส่งเสริมให้เกิดการขยายผล และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ในมิติต่าง ๆ ซึ่งก่อนการประชุม ครม. ที่ผ่านมานั้น ผมได้พบกับนักเรียน นักประดิษฐ์ ที่สามารถคว้ารางวัลสิ่งประดิษฐ์จากประเทศเกาหลีใต้ และได้ชิม “กาแฟพริกขี้หนูสกัด” ที่เป็นผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมของไทยและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย ดื่มแล้วรู้สึกอุ่นร้อน ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ไม่มีคลอเรสตอรอล ให้พลังงานเพียงแค่ 60 กิโลแคลอรี่ ใช้ซูคราโลส เป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล มีส่วนผสมของถั่วขาว กระบองเพชร ส้มแขก ที่แฝงความเป็นไทยในกาแฟนี้ ก็ฝากช่วยกันชิมแล้วกัน ทราบว่าปัจจุบันได้รับการติดต่อให้มีการส่งออกจำหน่ายแล้ว 10 ประเทศ และเป็น 1 ในเมนู ตู้กดเครื่องดื่มของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีปืนตรวจวัดการปนเปื้อนสารฟอร์มาลีนในอาหารแบบพกพา เครื่องม้วนกรวยใบตองสำหรับทำงานบายศรี ไม้เท้าช่วยพยุงเดินปรับระดับอัตโนมัติ เป็นต้น ผมก็อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ของไทย ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและก็สนับสนุนสินค้ามีสิทธิบัตรของไทยกันมาก ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเป็นกำลังใจ ในการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของคนไทย ตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วย พี่น้องประชาชนที่รัก การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนนั้นเราจำเป็นต้องตระหนัก และยึดมั่นในความเป็นไทย ศึกษาประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษและ ความเป็นชาติอย่างลึกซึ้ง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเปิดกว้างรับความเปลี่ยนแปลง หรือพลวัตรของโลก อย่างรู้เท่าทัน จึงจะได้ชื่อว่าเรา “มีภูมิคุ้มกัน” ตามศาสตร์พระราชา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ไทยนิยม” ที่ผมกล่าวถึงบ่อยครั้งในช่วงนี้ เนื่องจากมีความสำคัญมากในวางรากฐานอนาคต หากคนไทยเราลืม หรือไม่เข้าใจรากเหง้าของตนแล้ว ก็จะเหมือนการสร้างขื่อ แป หลังคาบ้าน บนเสา บนพื้นบ้านที่รากฐานสั่นคลอน ที่พร้อมจะล้มครืนลงได้โดยง่ายนะครับ เราควรได้ภาคภูมิใจร่วมกันว่าเมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักข่าว U.S. News ได้ประกาศผลจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี 2560 ซึ่งประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับ 27 จาก 80 ประเทศ โดยเป็นประเทศที่น่าเริ่มต้นธุรกิจที่สุดในโลก อันดับ 1 แล้วก็ที่มีมรดกทางวัฒนธรรมโดดเด่น อันดับ 8 มีอิทธิพลทางวัฒนธรรม เป็นอันดับ 19 ของโลก ห้วงเวลาที่ผ่านมานั้น รัฐบาลให้ความสำคัญ ไม่ละเลย ในการเสริมสร้างความรู้เชิงประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรมของชาติ ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน โดยส่งเสริมให้มีการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในทุกมิติ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การยกระดับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครในรูปโฉมใหม่ มีระบบนำชม QR Code ที่แสดงข้อมูลและภาพของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุอย่างทันสมัย สามารถใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น บนสมาร์ทโฟน ไอแพด และแท็บเล็ตได้ จนเทียบเท่ามาตรฐานพิพิธภัณฑ์ระดับสากล ก็จะเป็นการปลูกฝังให้เด็ก เยาวชน เข้าถึง และภาคภูมิใจ ที่เรามีมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีอิทธิพลต่อคนทั่วโลก เป็นไปตามแนวทางพระราชโยบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ด้วยนะครับ เราต้องรักษา สืบสาน และต่อยอด สิ่งเหล่านี้ให้ได้ ทั้งนี้ ผมอยากจะบอกว่าการขับเคลื่อนด้วยหลักคิด “ไทยนิยม” นั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในมิติสังคม ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเข้มแข็งในมิติเศรษฐกิจของประเทศ “การแก้ปัญหาความยากจน” ของประเทศที่ผ่าน ๆ มา มีปัญหาหลัก 2 ประการ ที่เราต้องยอมรับ คือ (1) คือการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่อาจจะละเลยในเรื่องการพัฒนาทางสังคมไปด้วย และ (2) คือการแก้ปัญหาที่ขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งจนเราไม่รู้ว่าอะไรคือความจน ไม่รู้ว่าใครบ้างที่จนจริง คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ปัญหาของเขาคืออะไรกันแน่ เราก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนนะครับ มาตรการต่าง ๆ ออกมา หรือ นโยบายสาธารณะที่ออกมา ก็อาจจะเป็นลักษณะ “เหมารวม - หว่านแห - เน้นสูตรสำเร็จที่ไม่มีจริง” ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาที่แตกต่างของแต่ละครัวเรือนได้ นำไปสู่การใช้งบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้งก็เลยเถิดไปสร้างกระแส “ประชานิยม” ที่ผิด ๆ ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ สำหรับโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้น ผมขอย้ำและทำความเข้าใจอีกครั้งว่ารัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังเพื่อผลประโยชน์อื่นใด กับรัฐบาลเลย แต่เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 คือ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" รัฐบาลจัดทำโครงสร้างการทำงานมาอย่างต่อเนื่องนะครับ จะเห็นได้ว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีตั้งแต่ระดับนโยบาย ระดับนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ขับเคลื่อน และระดับพื้นที่ เพื่อจะขับเคลื่อน และสร้างการรับรู้ถึงงานและนโยบายของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่เรียกว่า กขป. และ คณะกรรมการบริหารราชแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และ การสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป สัญญาประชาคม หน้าที่พลเมือง ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหายาเสพติด เป็นต้น แต่ผมเห็นว่าปัญหาที่ผ่านมานั้นเรายังขาดกลไกขับเคลื่อนสำคัญในระดับพื้นที่ โดยเราจะต้องมีทั้งท้องถิ่น ในพื้นที่นอกจากนั้นก็เป็น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการในพื้นที่ของทุกกระทรวงนะครับที่ต้องเข้าใจงานในลักษณะบูรณาการ ทั้งการจัดทำแผนงาน โครงการ งบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ ต้องรู้งานของคนอื่นเขาด้วย เราจะต้องสร้างการรับรู้ สร้างความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง ให้ประชาชนได้เข้าใจ จะได้เกิดความร่วมมือในลักษณะ "ประชารัฐ" ได้ชัดเจนขึ้น ในระดับพื้นที่ ซึ่งเราจะต้องนำงบประมาณ ทั้งงบรายจ่ายประจำ งบงานนโยบาย งบเพิ่มกลางปี หรืองบอื่น ๆ มาทำให้เกิดการประสานสอดคล้องกันให้ได้ในทุกพื้นที่ เพื่อช่วยให้การทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มากยิ่งขึ้น ประชาชนได้รับประโยชน์โดยแท้จริง และรวดเร็วทันการณ์ โดยประชาชนก็จะต้องมีการทำประชาคมหมู่บ้าน ความต้องการอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ทำไม่ตรงกันอีก ก็ขอให้เข้าใจ ร่วมมือกัน ในระดับพื้นที่ด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่โครงการที่รัฐบาลจะกำหนดลงไป ผมอยากให้เป็นการทำงานสองทาง ข้างบนก็กำหนดแนวนโยบายลงไป ข้างล่างก็ไปหาแนวแนวทางในการปฏิบัติ โดยเกิดความร่วมมือ ทั้งภาครัฐ และภาคประชาชนด้วย ในเรื่องสำคัญก็ได้แก่เรื่องน้ำ เรื่องเกษตรนะครับ เรื่องท่องเที่ยว บริการ ค้าขาย อาชีพอิสระ เราต้องไปดูแลเขาให้ถึงครัวเรือน ถึงพื้นที่ เพื่อจะได้มีรายได้ที่พอใช้อย่างยั่งยืน เราต้องเริ่มด้วยความพอเพียงก่อนให้ได้ สำหรับเรื่องยาเสพติดนั้น เราจับกุมได้มากยิ่งขึ้นในพื้นที่ตอนใน ถ้าเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็มองได้ 2 ประเด็นว่ามาจากข้างในได้ มาจากข้างนอกได้อย่างไร ก็คงต้องไปดูที่ต้นทางด้วย ประเด็นสำคัญคือทำอย่างไร เราจะลดความต้องการของผู้เสพในประเทศ บางคนก็เสพไปโดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพ เอาสนุกสนานอย่างเดียว ทำให้เกิด สังคมที่เสื่อมทราม ทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัว เราต้องแก้ไขให้ครบวงจร ฝากฝ่ายความมั่นคงให้กวดขัน แก้ไข อย่างต่อเนื่อง แล้วแสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศด้วย พี่น้องประชาชน ที่รักครับ สำหรับ “ผู้มีรายได้น้อย และเป็นหนี้” ที่รักทุกท่าน ผมมีข่าวดีเกี่ยวกับ “คลินิกแก้หนี้” ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด บสส. หรือ SAM ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ภายใต้การดูแลของสมาคมธนาคารไทย ในการช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่เป็นหนี้เสีย NPL นะครับ ของธนาคารพาณิชย์ หลายแห่ง ให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ อย่างเบ็ดเสร็จ และมีประสิทธิภาพ จะได้ช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้ครัวเรือน รวมทั้ง ให้โอกาสลูกหนี้ NPL ในการที่จะกลับมามีวินัยทางการเงินที่ดี มีเครดิตที่ดี สำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต โดยไม่ต้องติด Black List ของธนาคาร ไม่ต้องถูกติดตามทวงถามหนี้ ไม่ต้องถูกฟ้อง หรือ เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเราก็ได้เริ่มดำเนินโครงการมาเมื่อ 1 มิถุนายน ปีที่แล้ว สำหรับลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้มีรายได้ประจำ อาทิ ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชน นับว่ามีผลงานความก้าวหน้าดี และได้รับความสนใจ จาก “กลุ่มเป้าหมาย” สมัครเข้าร่วมโครงการ กว่า 30,000 ราย มียอดหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้รวมแล้ว เกือบ 130 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยภาระหนี้เงินต้น ประมาณ 230,000 บาทต่อราย ซึ่งเฉลี่ยเป็นหนี้อยู่กับธนาคาร 3 แห่ง บัดนี้ โครงการนี้ ได้ขยาย “กลุ่มเป้าหมาย” ให้ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทั่วไป ที่มีรายได้ไม่ประจำ ไม่มีหลักประกัน อาทิ พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพอิสระผู้รับจ้างทั่วไป ชาวไร่ชาวนาที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ของธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ที่ร่วมในโครงการนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการบริหารจัดการหนี้ รวมถึงอาจจะขาดวินัยการออมโดยคลินิคแก้หนี้ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระการชำระหนี้ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ บริหารหนี้อย่างเป็นสุข ดอกเบี้ยอัตราต่ำ และพิจารณาความสามารถที่แท้จริงจากรายได้ รายจ่าย ที่พิสูจน์ได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ยังจะให้ความรู้ คำปรึกษาด้านการเงินกับผู้เข้าร่วมโครงการอีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด ตามข้อมูลบนหน้าจอได้ ขอให้ติดตาม ถ้าไม่ติดตามเข้าไปก็ไม่ได้ ไม่เจอกัน พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยล่าสุดของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง หลัก ๆ เป็นผลจากการส่งออกสินค้าและ การท่องเที่ยวที่เติบโตดี โดยมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม โตได้ถึงร้อยละ 9.3 จากปีก่อนเป็นการส่งออกที่ดีต่อเนื่อง ในทุกตลาดคู่ค้าสำคัญ ในเกือบทุกประเภทสินค้า ปัจจัยส่งเสริมการขยายตัว ได้แก่ (1) ความต้องการสินค้าไทยของประเทศคู่ค้า เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์ยางพารา อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ (2) ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินค้าส่งออกมีราคาน้ำมันดิบเป็นต้นทุน เช่น ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สามารถส่งออกไปในราคาที่สูงขึ้น อันนี้ต้องไปดูถึงราคายางด้วย มีความผูกพันกับราคาน้ำมัน ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น (3) บางอุตสาหกรรมมีการขยายกำลังการผลิต เพื่อการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การผลิตที่เกี่ยวข้องขยายตัวตามไปด้วย เช่น หมวดยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง และปิโตรเคมี สำหรับการท่องเที่ยวก็คงเติบโตดี ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ อย่างต่อเนื่อง มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีนและมาเลเซียเป็นหลัก ต้องรักษาไว้ อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนในประเทศชะลอการขยายตัวลงส่วนหนึ่งมาจากมาตรการส่งเสริมการใช้จ่ายและท่องเที่ยว ในช่วงปลายปี 2559 ทำให้พอมาถึงปี 2560 จึงขยายเพิ่มในระดับปกติที่ไม่มากเท่าช่วงปลายปี ที่มีการกระตุ้นด้วยมาตรการต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด ก็คือ ปัจจัยที่จะมาสนับสนุนกำลังซื้อของประชาชนในระยะต่อๆ ไป ซึ่งยังไม่เข้มแข็งมากนัก ยังมีปัญหาการกระจายตัวของรายได้ ทั้งนี้ การปรับขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” ที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็จะช่วยเสริมรายได้ของพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ทางรัฐบาลได้พยายามเร่งบูรณาการมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระที่เพิ่มขึ้น อาทิ ใช้มาตรการทางภาษี ให้ผู้ประกอบการสามารถนำรายจ่ายส่วนที่เป็นค่าจ้างไปลดหย่อนภาษีได้ จากปัจจุบันที่นายจ้างสามารถขอลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่าอยู่แล้ว ก็จะสามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้อีกเป็นจำนวน 1.15 เท่า คิดเป็นร้อยละ 3 ของอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น หรือ ลดหย่อนได้ประมาณ 9-10 บาท ของค่าจ้าง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจ ลดค่าใช้จ่าย ชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และบุคลากรได้ โดยรัฐบาลจะเร่งดำเนินการในมาตรการต่าง ๆ และจะหาแนวทางเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษี รวมถึงกลุ่มพี่น้องเกษตรกรด้วย ด้านการลงทุนภาคเอกชนในภาพรวมยังทรงตัว จากเดือนก่อนโดยแม้ภาคธุรกิจจะนำเข้าสินค้าทุนและซื้อหาเครื่องจักรในประเทศมากขึ้น แต่ยอดซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ของภาคธุรกิจปรับลดลงบ้าง อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าของภาคธุรกิจปรับดีขึ้น โดยธุรกิจมองว่า จะมีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นซึ่งจะทำให้ผลประกอบการและการลงทุนปรับดีขึ้นได้ นอกจากนี้ในสายตาของนักธุรกิจต่างประเทศ ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน โดยล่าสุดผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่ลงทุนในประเทศไทย ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทย จากการสำรวจ คาดว่าจะมีการลงทุนจากนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34 และ จะมีการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 โดยนักลงทุนและนักธุรกิจญี่ปุ่นมีความพึงพอใจกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ความมั่นคงและความสงบสุขของประเทศ การแก้ไขปัญหาด้านศุลกากรและ การอำนวยความสะดวกการให้บริการภาครัฐ หรือ Ease of doing business ของประเทศไทยที่มีความคืบหน้าไปมาก รวมทั้งความชัดเจนในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อย่างต่อเนื่องอีกด้วย สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องระมัดระวัง ทุกส่วนราชการ ทุกหน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ คือ เราต้องมารื้อฟื้นซิว่า ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิมมันเป็นยังไง เราจะนำหลายสิ่งหลายอย่างมาบูรณาการร่วมกันได้หรือไม่ ต้องมีการเข้มงวด ทบทวน ตรวจสอบ ในทุกกิจการให้ได้ อย่าให้มีปัญหาโดยเด็ดขาด ในการที่เราจะสร้างเศรษฐกิจใหม่ หรือการประกอบการในอุตสาหกรรมแนวใหม่ก็ตาม ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำเสียนะครับ อย่าลืมว่าการพัฒนานาจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมั่นคงก็คือการใช้จ่ายภาครัฐ ที่บางส่วนล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ มีหลายกลไกที่เกี่ยวข้องข้างใน ดังนั้น รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะเร่งรัด และติดตามการเบิกจ่ายในโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด แผนงานใหญ่ ๆ บางทียังออกไม่ได้เพราะติดในเรื่องของการทำ EIA เรื่องความคิดความเห็น รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้นะครับ ซึ่งต้องแก้ไขกันยังไง ก็ต้องไปช่วยกัน ถ้าอยากให้เกิด ถ้าอยากมีการใช้จ่าย มีเงินลงมาในระบบเศรษฐกิจ ก็ต้องทำให้ได้ แต่ไม่ไปทำให้ทุกอย่างเสียหาย ต้องมีวิธีการทำได้ ไม่งั้นก็เร่งไปก็ทำไม่ได้อยู่ดี ทุกคนต้องช่วยกัน อาจจะต้องมีการปรับแผนเมื่อจำเป็น เราคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ดีขึ้น ในระยะต่อไป รัฐบาลนี้ไม่เคยปล่อยปละละเลย ในการเร่งในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม ประกอบกับผลการจัดเก็บรายได้ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม - พฤศจิกายน 2560) ก็ยังสูงกว่าประมาณการ กว่า 12,000 ล้านบาทหรือ ประมาณร้อยละ 5.1 และเราคาดว่าจะมีรายได้ที่มาจากภาษีและรัฐพาณิชย์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 50,000 ล้านบาท ทำให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอีก 150,000 ล้านบาท ซึ่งเราก็มีแผนจะนำไปใช้จ่ายใน 2 ส่วน ได้แก่ นำไปชดเชยเงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ในการรักษาวินัยการคลังของประเทศ อีกส่วนเป็นการนำไปใช้จ่ายในโครงการที่มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ ในปี 61 ตามแนวทางที่สำคัญ อันได้แก่ (1) การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (2) การพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งรวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุน วิสาหกิจชุมชน การท่องเที่ยวชุมชน และ (3) การปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรทั้งระบบ พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมอยากให้เข้าใจว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว ไม่ใช่ว่ารัฐจะเร่งรัดกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่คำนึงถึงวินัยทางการคลัง ในรอบ 4 ปีงบประมาณที่ผ่านมา แม้รัฐบาลจะใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ก็ได้พยายามรักษาวินัยทางการคลัง อย่างเคร่งครัด จะเห็นได้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ในปี 2557 คิดเป็นร้อยละ 47.18 และ “ลดลง” อย่างต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ร้อยละ 41.67 ในเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งสัดส่วนที่เป็นสากลกำหนดไว้ ที่ไม่เกินร้อยละ 60 และหากพิจารณาในภาพรวม ถือเป็นการขาดดุล ประมาณร้อยละ 3.3 ของ GDP เทียบกับช่วงปี 2552 - 2556 ที่การขาดดุลงบประมาณเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ของ GDP ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกัน แต่เราทำหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาได้ นอกจากนี้ การจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมนี้ มีการจัดทำอย่างมีขั้นตอนและ แผนงานใช้งบประมาณที่ชัดเจน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ ก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ เป็นหลักด้วย ผมจึงอยากให้ทุกท่าน รับรู้และเข้าใจว่าการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ผมตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะวางรากฐานที่สำคัญให้กับประเทศ วางระบบและแนวทางการปฏิรูป ให้นโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายเชิงโครงสร้าง ที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการจัดทำ และให้ความเห็น ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องง่าย และทำได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่จะ “ปรับถาง สร้างทางเดินใหม่” ให้กับประเทศ ทั้งในเรื่องการปฏิรูปกฎหมายต่าง ๆ และการจัดตั้งหรือปฏิรูปองค์กร ที่มีความสำคัญของรัฐ แต่รัฐบาลมีความตั้งใจจริง และ หลายฝ่ายก็ได้ร่วมมือร่วมใจ สิ่งเหล่านี้ แม้ผมอยากทำให้ทุกท่านได้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็วว่า จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างไร แต่มันคงไม่ง่าย ไม่เร็วดั่งใจคิด เพราะเป็นนโยบายระยะยาวเป็นรากฐานรองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ให้ประเทศก้าวไปได้อย่างมั่นคง ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาชื่นชม หรือสรรเสริญเยินยอในความพยายามนี้ เพียงแต่ขอให้รับรู้ และเห็นในความตั้งใจ เพื่อช่วยกันสานต่อ ช่วยกันผลักดัน คนละไม้ละมือ หากเห็นจุดที่ทำให้ดีขึ้นได้ ก็ช่วยกันเสนอแนะ ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อผม แต่เป็นเพื่อประเทศ และลูกหลานของเราในอนาคต สุดท้ายนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข่าวสารของทางราชการ สิ่งใดที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ก็จะได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาแถลงไขประเด็นปัญหา จนหมดข้อสงสัย ปัจจุบันก็จะมีการปรับปรุง และเพิ่มเติมช่องทางการสื่อสาร ระหว่างรัฐบาลกับพี่น้องประชาชนใหม่ ๆ ดังนี้ (1) เวที “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” ทุกเดือน (2) เวที Meet the press ทุกวันพฤหัสบดี (3) รายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ทุกวัน เว้นวันศุกร์ หลังเคารพธงชาติ 18 นาฬิกา ที่จะปรับรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย (4) Facebook “ไทยคู่ฟ้า” ของสำนักโฆษกฯ ที่ปรับรูปแบบการนำเสนอ ให้สอดรับการไลฟ์สไตล์ของประชาชน “ยุค 4.0” ได้ดีกว่าเว็บไซต์ “รัฐบาลไทย” ที่เน้นความเป็นทางการที่มีความน่าเชื่อถือ อ้างอิงทางวิชาการได้ แต่เป็นการสื่อสาร “ทางเดียว” เป็นหลัก ส่วน Facebook “ไทยคู่ฟ้า” จะเป็นการสื่อสาร “2 ทาง” ฝากเรื่องราว คำถาม เสนอแนะเข้ามาได้ อะไรที่อยู่ในความสนใจ ไม่เข้าใจ ก็จะอัดคลิปสัมภาษณ์สั้น ๆ พร้อมคำอธิบาย จากนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี หรือผู้บริหารหน่วยงาน ที่เน้นการเข้าถึงง่าย และรวดเร็ว ก็ขอให้ติดตามได้ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ผมอยากให้เป็น “ตัวอย่าง” การใช้สื่อโซเชียลที่สร้างสรรค์ เพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างแท้จริง จะได้เป็น “ไทยแลนด์ 4.0” และ “ไทยนิยม” ที่มากด้วยคุณค่า และมีวัฒนธรรมที่งดงามของไทย ขอให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นไทย ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดี
02 ก.พ. 2561
จังหวัดราชบุรี ใช้ตลาดน้ำดำเนินสะดวกนำร่องห้องน้ำสาธารณะสะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับ
จังหวัดราชบุรี ใช้ตลาดน้ำดำเนินสะดวกนำร่องห้องน้ำสาธารณะสะอาดปลอดภัยได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานเปิดโครงการรณรงค์ห้องน้ำสาธารณะสะอาดเพื่อการท่องเที่ยว ภายใต้กิจกรรม “ห้องน้ำสะอาดสุขใจ ไปเที่ยวไหนก็ WC OK ” (Water Closet Okay) ที่บริเวณตลาดน้ำดำเนินสะดวก ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเป็นจำนวนมาก โดยกิจกรรมในครั้งนี้ได้เดินรณรงค์รอบตลาดและชมห้องน้ำตัวอย่างที่ท่าเรือเจริญสุนทร พร้อมติดสติกเกอร์ “WC OK” ว่าห้องน้ำแห่งนี้ผ่านเกณฑ์ ทั้งของกรมอนามัย และกรมการท่องเที่ยว เช่นสะอาด ปลอดภัย มีป้ายสัญลักษณ์อย่างน้อย 2 ภาษา เป็นต้น โดยมิสเตอร์อีสซิก นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอล กล่าวว่าตนเองเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทยหลายแห่งจึงอยากให้ปรับห้องน้ำสาธารณะให้เป็นแบบชักโครกเพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเป็นผู้สูงอายุ ความสะอาดความปลอดภัยก็สำคัญ ขณะที่จังหวัดราชบุรียังเร่งผลักดันไปยังห้องน้ำสาธารณะพื้นที่เป้าหมายอื่นๆ อาทิ ห้องน้ำศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ห้างสรรพสินค้า สถานีบริการน้ำมัน ร้านอาหาร วัด สถานีขนส่งผู้โดยสาร สนามกีฬา โดยจะมีการแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อประเมินห้องน้ำที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมทั้งมอบป้ายรับรอง เพื่อผลักดันให้เกิดการตื่นตัวในการดูแลและพัฒนาห้องน้ำสาธารณะในแหล่งท่องเที่ยวให้สะอาด ปลอดภัยได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว
02 ก.พ. 2561
กอ.รมน. จังหวัดตาก จัดอบรมเจ้าหน้าที่ส่วนราชการด้านปฏิบัติการข่าวสาร เพื่อประสานงานและสนับสนุนการปฏ
ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองตาก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตาก ได้จัดอบรมเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ จำนวน 30 คน เกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติการข่าวสาร เพื่อบูรณาการส่วนราชการในจังหวัดตาก ให้สามารถติดต่อประสานงานและสนับสนุนการปฏิบัติงานซึ่งกันและกันได้ โดยเป็นการบรรยายให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติการข่าวสารและการประเมินเครือข่าย โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายให้ความรู้และแนวทางการปฏิบัติ พันเอกเสมา มังมติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดตาก เปิดเผยว่า การปฏิบัติการข่าวสารให้มีประสิทธิผล ต้องดำเนินการภายใต้สภาวการณ์ที่หลากหลายและต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนการปฏิบัติการ ไปจนถึงช่วงที่การปฏิบัติการได้เริ่มขึ้นแล้ว และต้องดำเนินการในทุกระดับ โดยเป็นการปฏิบัติการทั้งทางด้านการข่าวกรอง การรักษาความปลอดภัยข้อมูลข่าวสาร ไปจนถึงการปฏิบัติการจิตวิทยา เป้าหมายหลักของปฏิบัติการข่าวสาร คือ “การสร้างอิทธิพลต่อการตกลงใจของกลุ่มเป้าหมาย” จำเป็นต้องมีการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ ควบคู่ไปกับการปกปิดและการลวงด้วย เพราะไม่ว่าจะโหมโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อมูลบิดเบือนเพียงใด ก็ยังเป็นสิ่งเลื่อนลอยที่ไม่ยั่งยืนและจับต้องไม่ได้ ทำได้เพียงแค่สร้างความสับสนและสร้างความเข้าใจผิดในระยะสั้นเท่านั้น นอกจากนี้เมื่อเรื่องบิดเบือนถูกจับได้จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลอีกด้วย แต่ข้อมูลที่จับต้องได้และใช้ได้ผลดีกว่าการโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ก็คือความจริงที่ถูกที่และถูกเวลานั่นเอง
31 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เดินหน้ายกระดับแท็กซี่ไทย TAXI Ok
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า กรมการขนส่งทางบกได้เปิดตัวโครงการให้ประชาชนได้ใช้ “Taxi OK มิติใหม่แท็กซี่ไทย” ซึ่งถือเป็นการยกระดับการให้บริการรถแท็กซี่ไทยทั้งระบบเป็นครั้งแรก ด้วยการใช้เทคโนโลยี GPS Tracking ที่มีระบบยืนยันตัวตนผู้ขับรถและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ความปลอดภัย กล้องบันทึกภาพในรถแบบ Snap Shot ปุ่มฉุกเฉิน SOS จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกให้สิทธิในการเข้าร่วมโครงการในภาคสมัครใจ หลังจากติดตั้ง GPS Tracking พร้อมอุปกรณ์แสดงตัวผู้ขับรถ เข้าเป็นสมาชิกในศูนย์บริการสื่อสารรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) และทดสอบการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก สามารถเชื่อมโยงกับระบบรับงานผ่านแอพพลิเคชั่นและจะได้รับสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์โครงการ Taxi OK ติดหน้ารถ โดยประชาชนที่สนใจสามารถดาวโหลดแอพพลิเคชั่น Taxi OK ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจาก App Store, Google Play และ Window Phone และติดตั้งแอพพลิเคชั่นพร้อมใช้งานเพียงลงทะเบียนและกรอกรายละเอียดบัญชีผู้ใช้และเริ่มใช้บริการได้ทันที กริช รวิวรรณ / สวท.
30 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 30 มกราคม 2561
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเป็นกองทุนให้กู้ยืมสำหรับบุคคลที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนประเดิม ให้สามารถช่วยเหลือเด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนทุนทรัพย์จนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน และศึกษาวิจัยพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงให้สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้เองหรือร่วมกับหน่วยงานอื่นก็ได้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. ... ซึ่งเป็นมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้จำนวน 2 เท่าของยอดบริจาค แต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่บังคับใช้ และสิ้นสุดภายในปี 2562 เพื่อสนับสนุนงานวิจัยให้มากขึ้น คาดว่ารัฐต้องสูญเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ประมาณ 60 ล้านบาท คณะรัฐมนตรีเห็นชอบอนุมัติงบประมาณกลางกรณีสำรองจ่ายฉุกเฉิน ปี 60 ในการช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประสบอุทกภัยเมื่อปลายปี 2559 จำนวน 59 โรงเรียนที่ตกสำรวจ วงเงิน 8 ล้าน 9 แสนบาท หลังจากที่รัฐบาลเคยให้ความช่วยเหลือไปแล้ว 2 ครั้ง คณะรัฐมนตรีรับทราบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างได้ประกาศออกมา โดยเป็นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 5-22 บาทต่อวันทุกจังหวัด โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 308-330 บาทต่อวัน โดยประกาศดังกล่าวจะไม่มีผลบังคับใช้กับราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ และเป็นการปรับตามความต้องการของแต่ละจังหวัด
30 ม.ค. 2561
สกู๊ป : การเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานต่างด้าวต้องอยู่ในเงื่อนไขของกรมการจัดหางาน
เปลี่ยนนายจ้างและขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว หากเอกสารครบและเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมการจัดหางาน ขั้นตอนง่ายไม่ยุ่งยาก ข้อมูลจากกรมการจัดหางานแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาที่ยังไม่สิ้นสุดสัญญาจ้างหากประสงค์จะทำงานกับนายจ้างรายใหม่สามารถเปลี่ยนนายจ้าง เปลี่ยนประเภทงานหรือลักษณะงาน ท้องที่หรือสถานที่ทำงานได้ โดยมีเงื่อนไขใน 5 กรณีคือ 1) นายจ้างเลิกจ้าง/นายจ้างเสียชีวิต 2) นายจ้างล้มละลาย 3) นายจ้างกระทำทารุณกรรมหรือทำร้ายร่างกายลูกจ้าง 4) นายจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างหรือกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 5) ลูกจ้างทำงานในสภาพการทำงานหรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่อาจทำให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย โดยการเปลี่ยนนายจ้างหากเอกสารครบมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก การดำเนินการเปลี่ยนนายจ้างคือ แรงงานต่างด้าวหรือผู้ที่ประสงค์จะจ้างแรงงานดังกล่าวต้องนำหลักฐานการเลิกจ้าง เลิกกิจการ หรือร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายจ้างรายเดิมมาแสดง ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดราชบุรี เมื่อรวบรวมได้จะถูกนำมาทำบัตรใหม่เพื่อบันทึกข้อมูลและรายละเอียดให้ครบที่ศูนย์บริหารการทะเบียน ภาค 7 สาขาจังหวัดราชบุรี ซึ่งแต่ละสัปดาห์มีนายจ้างและแรงงานต่างด้าวแจ้งประสงค์ทำบัตรใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี นายจ้างที่จ้างแรงงานผิดกฎหมายจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพระราชกำหนดการบริการจัดการทำงานต่างด้าว พ.ศ.2560 เช่น รับคนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานกับตนเอง ขณะเดียวกัน แรงงานต่างด้าวที่ไม่ทำงานตามประเภทหรือลักษณะงานและกับนายจ้าง ณ ท้องที่หรือสถานที่และเงื่อนไขตามที่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีอัตราโทษปรับค่อนข้างสูง รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดราชบุรี
29 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย
นายชุตินทร คงศักดิ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก ถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย ซึ่งการฉลองความสัมพันธ์ 25 ปี อาเซียน-อินเดีย ต้องมีการพูดคุยถึงการมองไปข้างหน้าในบริบทของอินโด-แปซิฟิกว่าอาเซียนกับอินเดียจะต้องปรับความสัมพันธ์กันในแนวทางใดบ้าง สำหรับความร่วมมืออินโด-แปซิฟิกเป็นการสะท้อนให้เห็นบทบาทของประเทศอินเดียที่ต้องมีมากขึ้น เพื่อเป็นการคานอำนาจกันระหว่างประเทศมหาอำนาจ โดยมุ่งเน้นการรักษาสันติภาพและความมั่งคั่งอย่างมีส่วนร่วมของทุกคน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียและประชาชนอินเดียมีทัศนคติที่ดีกับประเทศไทย แต่ไทยจะต้องแสดงให้เห็นว่าไทยมีศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคงด้วย นายชุตินทร คงศักดิ์ กล่าวว่า อินเดียและไทยมีหลายอย่างที่เหมือนกัน โดยเฉพาะการวางแผนพัฒนาประเทศ จึงเห็นว่าควรมีการหารือกันให้มากขึ้น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น แม้ว่าขณะนี้อินเดียจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ การร่วมมือกับประเทศอินเดียยังจะทำให้ไทยมีศักยภาพเกี่ยวกับมิติทางทะเลมากขึ้น ศิริศุภา กร่างสะอาด / สวท.
29 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ยุติธรรมเพื่อประชาชน
นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย โดยเชิญชวนประชาชนที่ประสบปัญหา ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากทั่วประเทศ ให้เข้าติดต่อกับคลินิกยุติธรรมที่กระทรวงยุติธรรมจัดตั้งขึ้น โดยคลินิกยุติธรรมจะมีอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นสถานที่รองรับพี่น้องประชาชนที่ประสบปัญหาเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือต้องการขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย ซึ่งกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ จัดเจ้าหน้าที่ไว้บริการและให้คำปรึกษา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ส่วนกรณีที่ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยถูกจับกุมในชั้นพนักงานสอบสวน ยังสามารถนำเงินจากกองทุนยุติธรรมที่รัฐบาล จัดตั้งให้เพื่อใช้ในการประกันตัวต่อสู้คดี ซึ่งทั้งหมดนี้จะตอบโจทย์ในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมที่เสมอภาคเท่าเทียมกันให้กับประชาชนทุกคนในสังคม นอกจากนี้ นางสาวปิติกาญจน์ ยังกล่าวอีกว่า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพยังคงเดินหน้าสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความรู้ในเรื่องของกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ ให้ประชาชนทราบสิทธิเสรีภาพของตนเอง ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องประชาชนไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ไม่หวังดีด้วยเพชรทัย เกิดโชติ
25 ม.ค. 2561
นายกรัฐมนตรีเสนออาเซียนและอินเดีย แสวงหาแนวทางร่วมกัน เชื่อมโยงความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรี เสนอให้อาเซียนและอินเดีย แสวงหาแนวทางร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาค อินโด-แปซิฟิก เชื่อมโยงความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ มั่นคง มั่งคั่ง มีเสถียรภาพและยั่งยืน เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ในหัวข้อ “ความร่วมมือและความมั่นคงทางทะเล” ซึ่งจัดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย โดยได้กล่าวถ้อยแถลงว่า พื้นที่ทางทะเลมีความเชื่อมโยงกับความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางสังคมและความมั่นคงของอาเซียนและอินเดีย ดังนั้นอาเซียนและอินเดียจะต้องร่วมมือกันเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ของประเทศบนสองฝั่งมหาสมุทร สำหรับแนวความคิดใหม่ที่นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียนำเสนอ เรื่องอินโด-แปซิฟิกนั้น นายกรัฐมนตรีเห็นว่าแต่ละฝ่ายควรมีจุดยืนร่วมกันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน หาจุดร่วม ลดจุดต่าง เร่งสร้างความร่วมมือ ลดการเผชิญหน้าและที่สำคัญ คือ จะต้องดำเนินการให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เคารพซึ่งกันและกัน สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อให้ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพ มั่นคง มั่งคั่ง มีเสถียรภาพและยั่งยืนบนพื้นฐานของหลักการแห่งผลประโยชน์ร่วมกัน และการเคารพกฎกติกาสากล ขณะที่ก่อนหน้านั้น นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ที่เรือนรับรองนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย (Hyderabad House) ในประเด็นความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น ความร่วมมือด้านดิจิทัล ซึ่งนโยบาย Smart Cities และ Digital India มีความสอดคล้องกับนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของไทย เช่น Thailand 4.0 เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ New S-Curve Industry รวมทั้งจะร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลให้ก้าวหน้าและเข้มแข็งยิ่งขึ้น เช่น การสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้าย การทหาร และการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ขณะที่ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว จะสนับสนุนการเชื่อมเมืองท่องเที่ยวระหว่างกัน และสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมการติดต่อระหว่างประชาชนไทยและอินเดีย ซึ่งไทยพร้อมส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนในเชิงสร้างสรรค์กับอินเดีย โดยไทยจะเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-อินเดีย ในเดือนสิงหาคม 2018 นี้ด้วย
24 ม.ค. 2561
ขอเชิญร่วมงานอุ่นไอรัก คลายความหนาว ระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-11 มี.ค.2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ จัดงานฤดูหนาว ภายใต้ชื่อ "อุ่นไอรัก คลายความหนาว" ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า ระหว่างวันที่ 8 ก.พ.-11 มี.ค.2561 ตั้งแต่เวลา 10.30-21.00 น.ในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี ส่วนวันศุกร์และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10.30-22.00 น. โดยไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู ซึ่งงานแบ่งเป็น 3 โซน คือ 1.โซนพระลานพระราชวังดุสิต จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ซึ่งจะถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 มีการจัดสวนพันธุ์ไม้และน้ำพุ งานประดิษฐ์ตามศิลปะไทยแบบชาววัง 2.โซนสนามเสือป่า จัดร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์และร้านค้ารับเชิญ เช่น ร้านจิตอาสา 904 ร้านภูฟ้า ร้านมูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ร้านมูลนิธิโครงการหลวง ร้านแม่บ้านเหล่าทัพ รวมทั้งมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านและฉายหนังกลางแปลง 3.โซนร้านอาหารและร้านค้า ในแนวคิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร สืบสานชุมชน วิถีไทย โดยจะจัดซุ้มร้านอาหารไทยโบราณที่มีรสชาติอร่อย และการสาธิตเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและร้านสตูดิโอให้ถ่ายภาพย้อนยุค ขอเชิญชวนประชาชนร่วมงานแต่งกายย้อนยุคเช่นเดียวกับพ่อค้า-แม่ค้าภายในงาน หรือสวมใส่ผ้าไทย/ชุดสุภาพ เงินรายได้จากการจัดงานจะทรงนำไปใช้ในพระราชกุศล บำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรมในโครงการพระราชดำริ จิตอาสาเราทำความดี ด้วยหัวใจต่อไป
24 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เดินหน้าหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ แหล่งเช็คอินท่องเที่ยวใหม่
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังเดินหน้าผลักดันให้หมู่บ้านที่ทำเกษตรอินทรีย์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ตามที่รัฐบาลได้ตั้งไว้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตการบริโภค การขายสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ ในภูมิภาค โดยภายใน 5 ปีนี้ ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปี 2564 จะต้องเพิ่มพื้นที่การทำเกษตรอินทรีย์จากเดิมทั่วประเทศ 3 แสนไร่ เป็น 6 แสนไร่ และเพิ่มจำนวนผู้ทำเกษตรอินทรีย์จากกว่า 10,000 รายทั่วประเทศให้เป็นไม่น้อยกว่า 30,000 ราย ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ในเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์ ในประเทศให้มีมาตรฐานระดับสากลและหาตลาดเชื่อมโยงให้ผู้ผลิตมีที่จำหน่ายสินค้า เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ในปีนี้กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะขยายหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ เพิ่มอีก 4 หมู่บ้าน กระจายตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเข้าไปศึกษาและพิจารณาคัดเลือก โดยในหมู่บ้านจะต้องมีเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากเกษตรกรในหมู่บ้านทั้งหมด รวมถึงจะพัฒนาต่อยอดให้หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกทางหนึ่ง เพชรทัย เกิดโชติ/สวท.
23 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 23 มกราคม 2561
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการอาคารเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย ปี 2559 ระยะที่ 1 จำนวน 8 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 792.5 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดชลบุรี จำนวน 544 หน่วย 2.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดอุดรธานี จำนวน 544 หน่วย 3.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 145 หน่วย 4.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดระนอง 78 หน่วย 5.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา 588 หน่วย 6.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดมหาสารคาม 138 หน่วย 7.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดหนองบัวลำภู 74 หน่วย 8.โครงการอาคารเช่าฯ จังหวัดกาญจนบุรี 79 หน่วย ทั้งนี้ ทั้ง 8 โครงการอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบการจอดรถในเขตปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีความสอดคล้องกับ พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 โดยในมาตรา 16 ระบุว่า ให้เทศบาล เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนตำบล มีอำนาจหน้าที่จัดให้ควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม หรือที่จอดรถได้ โดยหลักการให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจในการเขียนกฎหมายท้องถิ่นในการจัดระเบียบการจอดรถ ให้มีอำนาจจัดระเบียบ และเก็บค่าที่จอดรถยนต์ในบริเวณที่เป็นทางหลวงในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเท่านั้น โดยจะต้องไม่เป็นถนนที่มีกฎหมายจราจรกำหนดไว้ว่าห้ามจอด หรือทางตำรวจกำหนดว่าเป็นพื้นที่ห้ามจอด นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายจากการจัดระเบียบที่จอดรถฯ สามารถนำไปใช้ในการจัดระเบียบในพื้นที่ตนเองได้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เพื่อโอนย้ายองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งการโอนย้ายนั้น จะเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานขององค์การจัดการน้ำเสีย ในการจัดการน้ำเสียให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บูรณาการความร่วมมือกับการประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาคได้ง่ายขึ้น
22 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : การแพทย์ฉุกเฉินแบบครบวงจร
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เกี่ยวกับการแพทย์ฉุกเฉินแบบครบวงจร ว่า ปัจจุบันการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยดีขึ้น โดยเฉพาะเครื่องช่วยเหลือมีความทันสมัยมากขึ้น มีบุคลากรเพียงพอ แต่ยังต้องพัฒนาอีกมากในอนาคต ซึ่งห้องฉุกเฉินในไทยยังเกิดภาวะวิกฤตและแออัด เพราะห้องฉุกเฉินเป็นจุดสำคัญในการรักษาชีวิตคนเพียงเสี้ยววินาที จึงต้องเร่งพัฒนาโดยด่วน ด้วยการพัฒนาและเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ด้านฉุกเฉินที่รักษาได้ครอบคลุมเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น โดยเฉพาะการรักษาโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิตให้รอดชีวิตและไม่พิการ ขณะนี้มีแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินประมาณ 100 คน ตั้งเป้าผลิตแพทย์ประเภทนี้ให้อยู่ครบทุกโรงพยาบาล การพัฒนาและเพิ่มบุคลากรทีมส่งต่อไปยังโรงพยาบาลหรือทีมกู้ชีพกู้ภัย โดยให้ออกมาในรูปแบบนักปฎิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ ใช้เวลาเรียน 4 ปี ควบคู่กับใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเมินการส่งต่อคนป่วยให้ตรงการรักษา การพัฒนาเครื่องมือฉุกเฉิน เช่น เครื่องปั้มหัวใจ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวย้ำว่า ใน 10 ปี ตั้งเป้าพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน หรือแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ให้อยู่ในหลัก 1,000 คนขึ้นไป และต้องมีครบทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ ปิยาพรรณ ยังเทียน / สวท.
22 ม.ค. 2561
โฆษก กอ.รมน.แสดงความเสียใจผู้สูญเสีย ระบุคนร้ายต้องการทำลายชีวิต ทรัพย์สิน ภาพรวมประเทศ
พ.อ.ปราโมทย์ พรมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ลงพื้นที่เกิดเหตุการณ์คนร้ายลอบนำระเบิดถังแก๊สปิ๊กนิกซุกในรถจักรยานยนต์น้ำหนัก 20 กิโลกรัม แล้วนำมาจอดที่ด้านหน้าร้านเขียงหมู ภายในตลาดสดพิมลชัย (ตลาดรถไฟ) โดยแถลงชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า กลุ่มคนร้ายได้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงลอบวางระเบิดแสวงเครื่องประกอบในรถจักรยานยนต์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และได้รับบาดเจ็บ 18 ราย ในนามของทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน ขอแสดงความเสียใจกับทางญาติของครอบครัวที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ พร้อมขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายร่วมกับประฌาม ในพฤติกรรมอันสุดโต่ง และความชั่วร้ายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลางโหม และผู้บัญชาการทหารบก ได้รับรายงานในเบื้องต้นและได้สั่งการให้ทาง พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ดำเนินการใน 2 เรื่องใหญ่ คือ การดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ในการตั้งศูนย์เยียวยาช่วยเหลือในที่เกิดเหตุและการเร่งรัดติดตามคนร้าย ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าได้รวบรวมวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งการตรวจสอบในเบื้องต้นขณะนี้รู้เบาะแสคนร้ายแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ก่อเหตุและผู้ที่อยู่เบื้องหลังกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ และขอความร่วมมือกับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ข่วยกันสอดส่องดูแล ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ซึ่งที่ผ่านมา ในเขตเทศบาลนครยะลาไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปี ซึ่งเกิดจากการดูแลของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง และภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง สำหรับกลุ่มที่ก่อเหตุในพื้นที่เป็นกลุ่มเดิมๆ ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ขอเวลาให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบ ซึ่งมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ชัดเจนว่ากลุ่มคนร้ายยังไม่ละความพยายามในการก่อเหตุ ต้องการทำลายชีวิต ทรัพย์สินประชาชน การทำลายภาพรวมเศรษฐกิจ และการทำลายความเชื่อมั่นในระบบอำนาจรัฐ สำหรับข้อมูลด้านการข่าว มีการติดตามและการแจ้งเตือนมาอย่างต่อเนื่อง ว่า ถึงแม้ในห้วงที่ผ่านมาเหตุการณ์ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ความพยายามของคนร้ายที่ต้องการก่อเหตุในพื้นที่เขตเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่สามารถสร้างความสูญเสีย ทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก และเป็นพื้นที่สามารถสร้างความสั่นคลอนในระบบอำนาจรัฐได้ ดังนั้นรัฐจะไม่ตอบโต้ แต่จะใช้กระบวนการทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย ขอเวลาให้ทางเจ้าหน้าที่ในทำงานการติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้
21 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประทศไทย : เดินหน้าป้องกันปราบปรามต่อต้านการค้ามนุษย์
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มาอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2560 ด้านแรงงานต่างด้าวได้ทำการพิสูจน์สัญชาติไปแล้วกว่า 2.7 ล้านคน จากกว่า 3.5 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งได้ทำการขยายระยะเวลาในการพิสูจ์สัญชาติแรงงานที่เหลือกว่า 8 แสนคน โดยคาดว่าแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2561 พร้อมกันนี้ด้านการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการค้ามุษย์ในด้านต่างๆ โดยยึดหลักมาตรการ 3P คือ การบังคับใช้กฎหมาย (Policy) คุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) และป้องกัน (Prevention) ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนร่วมกันแจ้งเบาะแสหากพบเหตุการค้ามุษย์ในทุกรูปแบบ ผ่านทางช่องทางสายด่วน 1506/1300 และ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง กริช รวิวรรณ
20 ม.ค. 2561
กยท. ตรวจติดตามการรับซื้อยาง โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ จ.ยะลา
หัวหน้ากองควบคุมและติดตาม กยท.เขตภาคใต้ตอนล่าง ลงพื้นที่ติดตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ระบุ สภาพอากาศ มีฝนตก ส่งผลให้จังหวัดยะลารับซื้อยางได้น้อย กยท.ยะลา สามารถขอขยายเวลาได้หากไม่ได้ตามเป้าหมาย 200 ตัน วันนี้ (20 ม.ค. 61) ที่กลุ่มรับซื้อน้ำยาง หมู่ที่ 7 ตำบลลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา นายสุรชัย บุญวรรโณ หัวหน้ากองควบคุมและติดตาม การยางแห่งประเทศไทยเขตภาคใต้ตอนล่าง พร้อมด้วยนายถนอม แสนสุข ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทย จังหวัดยะลา ได้เดินทางลงพื้นที่มาตรวจติดตาม โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจังหวัดยะลาได้รับเป้าหมายในการนำร่อง 200 ตัน แบ่งเป็นอำเภออื่นในจังหวัดยะลา 125 ตัน และอำเภอเบตง 75 ตัน ขณะบรรยากาศการรับซื้อยางในวันนี้มีน้ำยางค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีฝนตกลงมาเมื่อช่วงเช้ามืด ทำให้เกษตรกรที่กรีดยางไว้ เก็บน้ำยางได้น้อย ที่ผ่านมาหลังจังหวัเยะลา เปิดจุดรับซื้อยางมาตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2561 โดยเกษตรกรเริ่มมาส่งขายในวันที่ 17 ม.ค. 61 เนื่องจากมีฝนตกไม่สามารถกรีดยางได้ จนถึงขณะนี้สามารถรับซื้อยางได้จำนวน 45 ตัน สำหรับน้ำยางที่เข้าร่วมโครงการฯ กยท.ยะลา จะนำไปส่งบริษัทอุตสาหกรรมน้ำยางยะลา จำกัด และบริษัท ซุปเปอร์เท็กซ์ จำกัด เพื่อจ้างโรงงานแปรรูปเป็นน้ำยางข้นพร้อมจำหน่าย และวันนี้ได้มีสถาบันที่เข้าร่วมโครงการ ฯ เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 6 จุด ในพื้นที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งคาดว่าอีกไม่กี่วันนี้จังหวัดยะลา น่าจะได้ครบตามเป้าหมาย คือ 200 ตัน หากไม่มีฝนตกลงมาในช่วงนี้ ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นจังหวัดนำร่องในการรับซื้อน้ำยาง ช่วงนี้ก็ได้เกือบครบแล้ว สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จังหวัดยะลา ซื้อยางได้น้อย ก็เนื่องจากมีฝนตกในสองวันแรก ที่เริ่มโครงการฯ ทำให้เปิดจุดรับซื้อยางได้ช้ากว่าพื้นที่อื่น เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ในจังหวัดยะลา มีการแปรรูปเป็นยางก้อนถ้วยแต่โครงการฯ จะรับซื้อยางเรื่อยๆ หากมีการสั่งเข้ามาเพิ่มของหน่วยงานภาครัฐที่จะใช้ยางภายในหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นยางแผ่นดิบ ยางก้อนถ้วย หรือน้ำยางสด นายสุรชัย บุญวรรโณ หัวหน้ากองควบคุมและติดตาม กยท.เขตภาคใต้ตอนล่าง กล่าวว่า ในการที่รับซื้อยางเพื่อเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ก็เพื่อส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ และดูดซับยางพาราออกจากระบบ โดยราคาที่ กยท. รับซื้อจะสูงกว่าราคาตลาดประมาณ 2-3 บาท เกษตรกรชาวสวนยาง ที่ถือบัตรเกษตรกรชาวสวนยาง (บัตรสีเขียว) และเกษตรกรชาวสวนยางที่แจ้งข้อมูลเกษตรกรที่ปลูกยางในพื้นที่ ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ (บัตรสีชมพู) สามารถนำน้ำยางสดมาขายเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ณ จุดรับซื้อต่างๆ ที่ได้สมัครไว้ ส่วนมาตรการอื่นๆ ในการควบคุมปริมาณผลผลิตประกอบด้วย คือ ลดพื้นที่ปลูกยางอย่างถาวร หากเกษตรกรมาขอรับการส่งเสริมการปลูกแทนที่ไม่ใช่ยางและโค่นในเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2561 จะได้รับการช่วยเหลือจาก กยท. รายละ 4,000 บาท รวมทั้งการลดปริมาณผลผลิตโดยให้หน่วยงานของรัฐที่มีสวนยาง ประกอบด้วย กยท. กรมวิชาการเกษตร องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หยุดกรีดยางเป็นเวลา 3 เดือน จำนวนประมาณ 100,000 ไร่ เพื่อลดปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาด
20 ม.ค. 2561
คณะศิลปินนานาชาติ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและท่องเที่ยวเมืองสุพรรรบุรี
คณะศิลปินนานาชาติ เยี่ยมเยียนเมืองสุพรรณบุรี ในเทศกาลแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ที่สวนเฉลิมภัทรราชินี เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานกล่าวต้อนรับ เมืองคณะศิลปินนานาชาติ เทศกาลแสดงศิลปวัฒนธรรม พื้นบ้านนานาชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยว และเผยแพร่การแสดงศิลปวัฒนธรรม พื้นบ้านนานาชาติ ณ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งนำโดยประธานมูลนิธิวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ มูลนิธิส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมสุรินทร์ มูลนิธิยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค และผู้แทนมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ โดยมีผู้พิพากษาหัวหน้าศาล หัวหน้าส่วนราชการ นายกเทศมนตรีเมืองสุพรรณบุรี และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี ข้าราชการ ครู และนักเรียน เข้าร่วมงาน นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า จังหวัดสุพรรณบุรี มีความยินดี ที่ได้รับเกียรติจากคณะศิลปินนานาชาติ ในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน เทศกาลแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านนานาชาติ ณ จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งแต่วันที่ 18 – 20 มกราคม ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 1 ของจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนการเดินทางมาของคณะศิลปินพื้นบ้านนานาชาติ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน กับจังหวัดสุพรรณบุรี และเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งมีจุดท่องเที่ยวมากมายในจังหวัดสุพรรณบุรี
20 ม.ค. 2561
ประชาชน นักท่องเที่ยว แห่ขึ้นชมทะเลหมอกเขาบางแก้ว ลำใหม่ จ.ยะลา เกือบสองพันคน
ประชาชน นักท่องเที่ยว แห่ขึ้นชมทะเลหมอกเขาบางแก้ว ลำใหม่ จังหวัดยะลา เกือบสองพันคน วันนี้ (20 ม.ค. 61) ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่ตำบลลำใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา และพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียง ได้ดินทางไปรอชมทะเลหมอกที่บนจุดชมวิวยอดเขานางแก้ว หมู่ที่ 4 ตำบลลำใหม่ กันเกือบ 2,000 คน หลังทางหน่วยงานท้องที่ ท้องถิ่น ได้เข้าไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวด้านเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พร้อมทั้งเริ่มพัฒนาจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่มีประชาชนให้ความสนใจไปเที่ยวชมทะเลหมอกกันจำนวนมาก ซึ่งบางคนก็จะมากางเต็นท์พักนอนค้างคืนกันตั้งแต่ช่วงเย็น วานนี้ (19 ม.ค. 61) เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเย็น พร้อมรอชมทะเลหมอกในช่วงเช้า ส่วนบางคนก็จะเดินทางกันไปในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 6 โมง เป็นต้นไป เพื่อรอชมทะเลหมอกซึ่งจะมีให้เห็นไปจนถึงประมาณเวลา 09.00 น. นางสาวอัสลีซา ดาโอ๊ะ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา หนึ่งในนักท่องเที่ยวที่มาพักค้างแรม เพื่อรอชมทะเลหมอกกับกลุ่มเพื่อนๆ กล่าวว่า เพิ่งมาครั้งแรกรู้สึกประทับใจ สวยดี สถานที่นี้เมื่อก่อนก็ไม่เคยรู้จัก ดีใจที่จังหวัดยะลามีสถานที่สวยงาม มีทะเลหมอกให้ชม ทำให้คนต่างจังหวัดและคนอื่นๆ ได้รู้ว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่นๆ แต่วันนี้สภาพอากาศไม่เป็นใจ มีฝนตกลงมาทำให้เห็นหมอกน้อย แต่อย่างใดก็ตามก็จะชักชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวต่อไป เช่นเดียวกับนายอิสมาแอ ลือแบซา คนในพื้นที่ตำบลลำใหม่ กล่าวว่า ตนเองเป็นคนในพื้นที่ตำบลลำใหม่ เดินทางมาตั้งแต่เวลา 03.00 น. มาดูผู้คนด้วยคึกคักมาก วันนี้คนนับเป็นพันๆ คน และมาดูทะเลหมอกซึ่งจะมีทุกวัน แต่วันนี้ฝนตกหมอกจะจางมาก ก็อยากจะเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว ให้มากันมากๆ มาสนับสนุนบ้านเรา
20 ม.ค. 2561
ผอ.ชลประทานอุทัยธานี แจ้งเตือน แม่น้ำสะแกกรังลดระดับลงต่อเนื่อง ให้ชาวแพ ผู้ประกอบการเลี้ยงปลากระชั
ที่จังหวัดอุทัยธานี นายฐกร กาญจน์จิรเดช ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอุทัยธานี เปิดเผยว่า ปัจจุบันระดับน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจังหวัดชัยนาท มีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีระดับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 15.78 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสะแกกรังมีระดับลดลงตามไปด้วย ในปัจจุบันมีระดับบริเวณหน้าศาลากลาง จังหวัดอุทัยธานี 15.81 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง ต่ำกว่าตลิ่ง 2.69 เมตร ทางโครงการชลประทานอุทัยธานี ได้เร่งแก้ไขปัญหา โดยได้ประสานไปยังสำนักงานชลประทานที่ 12 จังหวัดชัยนาท ให้พิจารณารักษาระดับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ที่ 16.00 เมตร ระดับน้ำทะเลปานกลาง อีกส่วนหนึ่งจะระบายน้ำบริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า ลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง ปริมาณ 8 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจะระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำทับเสลา อำเภอลานสัก ลงมาเติมในแม่น้ำสะแกกรัง ปริมาณวันละ 9 หมื่นลูกบาศก์เมตร เพื่อรักษาระดับน้ำในแม่น้ำสะแกกรังให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนแก่ ชาวแพและผู้ประกอบการเลี้ยงปลากระชัง และผู้ประกอบการธุรกิจเรือท่องเที่ยว โครงการชลประทานอุทัยธานีจึงขอแจ้งเตือนมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้พักอาศัยในแพ ผู้ประกอบการเลี้ยงปลากระชัง รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆในแม่น้ำสะแกกรัง ขอให้เตรียมพร้อมและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสะแกกรังอย่างใกล้ชิด
19 ม.ค. 2561
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ออกรายงานทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงทั่วโลก ประจำปี 2560 โดย “ไม่ปรากฏ” ชื่อย่านการค้า ศูนย์การค้าในประเทศไทยเป็นตลาดที่มีการละเมิดสูง แม้แต่แห่งเดียว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2550 ถึง 2559 แต่ไม่ใช่ครั้งแรก ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ที่ผลงานรัฐบาลและ คสช. เห็นผลประจักษ์สู่สายตาชาวไทย และประชาคมโลก นับตั้งแต่ “ไซเตส” ปรับไทยพ้นบัญชีค้างาช้างผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาค้ามนุษย์ สามารถลดระดับความรุนแรงลงจากเทียร์ 3 ขึ้นเทียร์ 2 แก้ปัญหาการบินพลเรือน จนปลดธงแดง ICAO ได้แก้ปัญหา IUU ประมงผิดกฎหมายรอดพ้นจากใบแดง ได้รับการปรับสถานะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยดีขึ้นรอบ 10 ปี จากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ ที่ไทยตกหล่มมาตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของทุกฝ่าย และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเอาจริงเอาจัง และตรงไปตรงมา อันส่งผลดีต่อเนื่อง ในเรื่องภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่น ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ผมพูดอยู่เสมอว่า หากเรารักษา “ความมั่นคง” ได้แล้ว “ความมั่งคั่ง” ก็จะตามมา เพียงแต่เราจะรักษาไว้อย่างยั่งยืนได้หรือไม่ ต้องขอความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย นอกจากนี้ ผลสืบเนื่องทางบวกที่เกิดขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมอื่น ๆ อาทิ ตลาดหุ้นปิดตัวในแดนบวก กว่า 1,800 จุด ซึ่งสูงสุดในรอบ 30 กว่าปี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2560 สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ มากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 1.8 ล้านล้านบาท ในขณะที่คนไทยเที่ยวไทย ตลอดปีที่แล้ว 152 ล้านคน สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ 9.3 แสนล้านบาท และธนาคารโลกออกรายงาน เมื่อปลายปี 2560 ว่าประเทศไทยกำลังก้าวพ้นจากความยากจนสู่ประเทศมั่งคั่ง เป็นต้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ไทยมีย่านการค้า ศูนย์การค้า ที่อยู่ในรายชื่อตลาด ที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูง มากถึง 13 แห่ง แต่ด้วยการปราบปรามการละเมิดมาอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือต่าง ๆ ในปี 2560 ที่ผ่านมา มีการจับกุมเกิดขึ้นกว่า 700 คดี และมีการยึดของกลางได้เกือบ 150,000 ชิ้น ซึ่งการปรับสถานะของไทย ออกจากบัญชีประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ และการที่ไม่มีชื่อตลาดขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทยในรายงานฯ ของสหรัฐฯ นี้ ถือเป็นอีกสัญญาณที่ดี สะท้อนพัฒนาการเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่ได้มาตรฐานสากล และเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้แก่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาว ต่างชาติ ซึ่งไม่จำกัดแต่เพียงสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนจากประเทศอื่น ๆ ที่มองเห็นศักยภาพของประเทศไทย รวมถึงเอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมของประเทศไทยเราเอง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอีกด้วยซึ่งแน่นอนในอนาคตก็จะเชื่อมโยง ไปเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างที่เราต้องการ นอกจากนี้ ในรายงานของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ยังได้ชื่นชมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินการของรัฐบาลไทย ที่ได้ปราบปรามการละเมิดอย่างจริงจัง จนทยอยหมดไปในหลายพื้นที่ รวมถึงบูรณาการการดำเนินการอย่างจริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผมขอขอบคุณและขอชื่นชมในความพยายามของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ผมเป็นหัวหน้า ที่ได้ร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจัง แน่นอนว่า เราต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันในการช่วยดูแล ป้องกันไม่ให้ปัญหากลับมาอีก ไม่ให้เกิดซ้ำอีก แม้เราจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ดีที่สุด เรื่องนี้ถือเป็นพื้นฐานในการสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่สำคัญมาก เราจึงต้องพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดูแล สอดส่อง ป้องกัน ปราบปราม และมีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และให้ความรู้อย่างทั่วถึง ในขณะที่ประชาชนก็ต้องรับทราบกฎหมายไม่สนับสนุนสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้ “เมื่อไม่มีผู้ซื้อ ผู้ขายก็จะหมดไป” เมื่อผู้ซื้อไม่ซื้อ ผู้ขายก็ขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ขายก็จะไปหาสินค้าอื่น มาจำหน่ายที่ถูกต้องซะไม่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็นว่าไปทำลาย อาชีพ รายได้ของเขาอีก อย่างที่มีหลายคนบิดเบือนไป หากเราร่วมกันคนละไม้ละมือได้ ผมก็หวังว่าเราจะสามารถร่วมกัน ยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศและสร้างพื้นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ดี ที่ถูกต้อง และเป็นสากล สอดรับการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไป พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักครับ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่เพื่อพบปะ รับฟังปัญหาและความต้องการจากพี่น้องชาวแม่ฮ่องสอน ตามที่ผมเคยได้สัญญาไว้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุโขทัย ว่าจะพยายามเดินทางไปเยี่ยมจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่พี่น้องประชาชนยังมีความลำบากอยู่มาก มีรายได้น้อย เพราะ “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เพื่อจะได้เร่งผลักดันทุกวิถีทาง ในการแก้ไขปัญหาความยากจน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ด้วยแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ และตรงกับความต้องการนะครับ ให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนตาม “ศาสตร์พระราชา” ด้วยการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบร่วม ของทุกภาคส่วนในรูปแบบของ “ประชารัฐ” ให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว จังหวัดแม่ฮ่องสอน “เมืองสามหมอก” เป็นจังหวัดที่มีปัญหาความยากจนอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศ เพราะมีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงชัน มีความสลับ ซับซ้อนมากถึงร้อยละ 86 เป็นจังหวัดที่มีทรัพยากรป่าไม้มากที่สุดในประเทศไทย และพื้นที่ส่วนใหญ่ 377 หมู่บ้านจากทั้งหมด 445 หมู่บ้าน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตป่าสงวนและรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ ต้นน้ำสำคัญของประเทศ ทำให้มีข้อจำกัดด้านที่ดินทำกินของประชาชน เพราะผลผลิตทางการเกษตร ของป่า หรืออะไรก็ตามจากในป่า ไม่สามารถนำมาขายได้ เพราะผิดกฎหมาย แม้ว่ากฎหมายในอดีตจะมีเจตนารมณ์ที่ดี ที่ต้องการอนุรักษ์ผืนป่าและลุ่มน้ำในประเทศไว้ให้มากและสมบูรณ์ที่สุด แต่ในขั้นการบังคับใช้กฎหมายอาจจะสร้างปัญหาใหม่ ที่รื้อรังคาราคาซังมากนาน เพราะประกาศพื้นที่ป่าอาจจะทับพื้นที่ทำกินของพี่น้องประชาชน ที่ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่า ชาวเขา ซึ่งมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับป่ามาก่อน เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้น และดูเหมือน “การอนุรักษ์จะสวนทางกับการพัฒนา” หลักคิดในการแก้ปัญหาของรัฐบาลนี้ มี 2 หลักใหญ่ ๆ ก็คือ (1) ใช้นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ มาร่วมพิจารณา เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา (2) เหมือนกับเราไม่ “ไม่ตัดเสื้อโหล” คือ แก้ปัญหาบนพื้นฐานความแตกต่าง ไม่ใช้โมเดลเดียวกับทุกปัญหาทั่วประเทศ เพราะข้อเท็จจริงแตกต่าง ทั้งพื้นที่ ทั้งประชาชน อาชีพ สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ไม่เหมือนกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราต้องประยุกต์หลักการต่าง ๆ หลักกฎหมาย ให้เหมาะสมกับเอกลักษณ์ของพื้นที่นะครับ แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ในครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสเดินทางไปตรวจเยี่ยมแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนและการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องชาวแม่ฮ่องสอนในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการเกษตร การพัฒนาอาชีพและรายได้ การจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการส่งเสริมวัฒนธรรม คุณธรรม และการท่องเที่ยวได้ไปเป็นประธานสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัว ผู้ได้รับการคัดเลือกจำนวน 120 ราย นะครับ รับสิทธิ์ในที่ทำกิน ตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งก็เป็นการจัดระเบียบการใช้พื้นที่ให้ถูกต้อง โดยไม่สามารถขายสิทธิ์ได้ แต่ถ่ายโอนให้ทายาทได้ และชุมชนต้องช่วยกันดูแลนะครับ ที่ผ่านมาการปลูกพืชในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย ภาครัฐไม่สามารถรับรอง ต่างชาติจะไม่รับซื้อผลผลิต วันนี้รัฐบาลนี้ได้นำโครงการ คทช. เข้ามาแก้ไข ในวันหน้า “คนอยู่กับป่า” ตามแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ โครงการสร้างป่าสร้างรายได้ “รัฐได้ป่า ประชามีสุข” แก้ไขความยากจน แก้ไขการบุกรุกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ เพิ่มพื้นที่ป่าให้ได้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ภายใน 20 ปี “พลิกฟื้นผืนป่า สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งก็เป็นไปตามพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ นะครับ ที่ทรงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ในโครงการต่าง ๆ จากการพูดคุยกับพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมในโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ได้แก่ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ โครงการตามพระราชเสาวนีย์ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เช่น โครงการขยายพันธุ์กล้วยไม้ป่าเอื้องแซะ เป็นกล้วยไม้ที่หายากชนิดหนึ่ง แต่ทว่าความงดงามของดอก และกลิ่นหอมคล้ายดั่งดอกพิกุลที่ทำให้รู้สึกเย็นสบาย สดชื่น และเยือกเย็น การส่งเสริมการเลี้ยงไก่เพื่อเพิ่มอาหารโปรตีนให้กับพี่น้องประชาชน และการส่งเสริมการเลี้ยงแกะของศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์แม่ฮ่องสอน รวมไปถึงการส่งเสริมสินค้าเกษตรกรรม เช่น บุก ถั่วลายเสือ กาแฟ รวมความไปถึงเรื่องผ้าขนสัตว์ ผ้าขนแกะซึ่งมีการปรับปรุงคุณภาพแล้วในเวลานี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนต่อไปด้วย เราต้องนำเข้าสู่การขับเคลื่อนให้ได้อย่างยั่งยืน จากเวทีการประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ สรุปได้ว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และยกระดับการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ผ่านหลายมิติด้วยกัน อาทิ (1) การแก้ไขปัญหาความยากจน โดยเราจะกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน และการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพน้ำพุร้อนธรรมชาติในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจำนวน 6 แห่ง ซึ่งต้องหาความแตกต่างจากที่อื่น ๆ ของประเทศ และสร้างจุดขาย สร้างเรื่องราว ผมเคยเห็นการทำธุรกิจบ่อน้ำแร่ “ออนเซ็น” ประเทศญี่ปุ่น บางแห่งสร้างจุดขายด้วยการเติมสี - กลิ่น ชาเขียว ดอกไม้ ช็อกโกแลต น้ำนม หรืออื่น ๆ เพื่อสร้างสีสัน และบรรยากาศ ที่แปลกใหม่ น่าสนใจได้ด้วย ก็ลองพิจารณากันดูต่อไป (2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายทางอากาศ เส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ - แม่ฮ่องสอน ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ก็จะมีสายการบินเปิดให้บริการเส้นทางเชียงใหม่ - แม่ฮ่องสอนเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้บริการ ส่วนการขนส่งระบบโครงข่ายรางนั้น ต้องกลับไปศึกษาความเป็นไปได้โดยต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าด้วย อนาคตอาจจะมีได้ (3) การลดความเหลื่อมล้ำ โดยจะเร่งการจัดที่ดินทำกินตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งจะทำไปทุก ๆ จังหวัดด้วย (4) การพัฒนาประสิทธิภาพการเข้าถึงการให้บริการของภาครัฐ ทั้งบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข การพัฒนาแหล่งน้ำ และการพัฒนาสถานศึกษาในพื้นที่ห่างไกล ทั้งเรื่องของไฟฟ้า และอินเตอร์เน็ตให้กับพี่น้องประชาชน ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงสวนหนึ่งที่ รัฐบาลรับฟังมา และเราก็จะนำสู่การปฏิบัติ รัฐบาลจะไม่ทิ้งข้อเสนอทุกข้อ ก็ขอให้ภาคเอกชน ประชาชน ได้เชื่อมั่นต่อการทำงานของรัฐบาล และขอให้บุคลากรของรัฐทุกระดับได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน เราต้องทำงานอย่างหนักและต้องเน้นการทำงานอย่างมีส่วนร่วมด้วยความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ข้าราชการต้องเข้าใจให้มากที่สุด ให้เกิดความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “ไทยนิยมยั่งยืน” ทั้งนี้ การเดินทางไปเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง ผมต้องการให้สามารถนำข้อเสนอต่าง ๆ มาผลักดันในระดับรัฐบาล ใน ครม. เพื่อจัดทำโครงการหรือหาวิธีการที่จะตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างตรงจุด แต่ละพื้นที่มีจุดเด่น ปัญหา และโครงสร้างที่ต่างกัน ผมให้ความสำคัญกับการได้ลงไปสัมผัสเอง ได้เห็นเอง และฟังเอง เพื่อนำข้อเท็จจริงที่ได้ มาขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ และหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชนให้ได้เร็วที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกเรื่องรับไปพิจารณาหมด ไม่ว่าจะมาจากศูนย์ดำรงธรรม ส่วนราชการ หรือการร้องเรียนต่าง ๆ ผมก็นำเข้าสู่การหารือ เข้าสู่การชี้แจง เข้าสู่การขับเคลื่อนทั้งหมด อะไรที่ทำได้ ผมทำให้ทั้งหมด พี่น้องประชาชนที่รักครับ การพัฒนาประเทศ เราจะต้องทำทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ให้มีความสอดคล้อง เกื้อกูลกัน ในระดับชาติ รัฐบาลต้องเร่งสร้างทั้งบรรยากาศที่ดึงดูดการลงทุน สร้างความเชื่อมั่น และอำนวยความสะดวก ทั้งในเรื่องกฎระเบียบ สิ่งอำนวยความสะดวก การคมนาคมขนส่ง การติดต่อสื่อสารส่วนในระดับท้องถิ่น ก็ต้องมียุทธศาสตร์ของตนเอง ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยวิเคราะห์จุดแข็ง จุดขาย ขยายผลไปสู่การปฏิบัติ โดยอาศัยกลไกประชารัฐในพื้นที่ก่อน รัฐบาลก็จะเข้าไปเสริม เติมเต็มในส่วนที่ขาด ก็จะบริหารราชการทั้งแกน X และแกน Y ภาพรวมการพัฒนาของประเทศในปัจจุบันนั้น มีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่สำคัญ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ ดังนี้ ด้านคมนาคมขนส่ง ได้แก่ (1) การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง “มอเตอร์เวย์” 3 สายทางคือ เส้นทางหมายเลข 7 พัทยา - มาบตาพุด ระยะทาง 32 กิโลเมตร ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ในปี 2562 เชื่อมกับชลบุรี - พัทยา ที่สอดคล้องกับแผนการปรับปรุงโครงข่ายทางถนน พื้นที่รอบสนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด รวมทั้งการพัฒนาในพื้นที่ EEC เส้นทางหมายเลข 6 บางปะอิน - นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร จะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 เส้นทางหมายเลข 81 บางใหญ่ - กาญจนบุรี ระยะทาง 96 กิโลเมตร จะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเส้นทางที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม - ชะอำ ระยะทาง 109 กิโลเมตร สายหาดใหญ่ - ชายแดนไทย-มาเลเซีย ระยะทาง 71 กิโลเมตรสายรังสิต - บางปะอิน ระยะทาง 18 กิโลเมตร สายธนบุรี - ปากท่อ ระยะทาง 75 กิโลเมตร ซึ่งภายในปีนี้ จะเป็นการศึกษาความเหมาะสม การสำรวจออกแบบ การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA รวมทั้งรูปแบบการให้เอกชนร่วมทุน และเป็นขั้นตอนการก่อสร้างต่อไป (2) โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีกำหนดการเปิดให้บริการ ตามลำดับดังนี้ ปีนี้ สายสีเขียวใต้ ปี 2563 จะเปิดให้บริการอีก 4 สาย คือ สายสีน้ำเงิน - สีเขียวเหนือ - สีชมพู - และสีเหลือง ปี 2565 จะเปิดให้บริการ “ส่วนต่อขยาย” ของ 3 สาย คือ สายสีน้ำเงิน สายสีเขียวเหนือและใต้ และช่วงปี 2566 - 2567 จะเปิดให้บริการอีก 3 สาย คือ สายสีม่วงใต้ สายสีส้ม ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ทั้งนี้ เพื่อให้รองรับการขยายตัวของเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งแก้ปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่เมืองหลวงของประเทศด้วย ช่วงนี้คงต้องลำบากไปสักระยะหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้สร้างอีก ในเมื่อเราไม่ได้สร้างกันมานานแล้ว สร้างพร้อม ๆ กันย่อมเกิดปัญหา แต่เราก็ต้องทำให้ได้ เพื่อวันหน้าการจราจรจะดีขึ้น ในพื้นที่เมืองหลวงของประเทศเราต้องแก้ให้ได้ทุกมิติ ที่สำคัญที่สุดคือการเคารพกฏจราจรด้วย สำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ โครงการ “เน็ตประชารัฐ”พร้อมจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากผู้ใช้บริการ หมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายห่างไกลที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึง ซึ่งติดตั้งแล้วเสร็จครบจำนวน 24,700 หมู่บ้าน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีที่แล้ว หากนับรวมกับหมู่บ้านที่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงอยู่แล้ว 30,613 หมู่บ้าน ก็ถือได้ว่าประเทศไทยจะมีอินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้วนำแสงเข้าถึงแล้วกว่า 70% การใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน และประชาชนในพื้นที่นั้นได้ดำเนินกิจกรรมคู่ขนาน คือ การฝึกอบรมครู กศน. จำนวน 1,000 คนให้เป็นวิทยากรแกนนำสร้างการรับรู้การใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ 5 ครั้ง ทั่วประเทศ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมปีที่แล้วเช่นกัน ระยะต่อไป คือ การนำความรู้ไปพัฒนาขยายเครือข่ายสู่ผู้นำชุมชนในท้องถิ่นจำนวน 100,000 คน ซึ่งจะเป็นผู้เชื่อมโยงขยายความรู้ไปสู่ประชาชนในหมู่บ้านเน็ตประชารัฐประมาณ 1,000,000 คน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการใช้ประโยชน์ อย่างคุ้มค่าในอนาคตประโยชน์ที่จะได้รับ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้ (1) การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ได้แก่ ส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ด้อยโอกาส เข้าถึงความรู้และบริการของรัฐ เช่น การรักษาพยาบาลทางไกล การเข้าถึงข้อมูลการดูแลสุขภาพ และเพิ่มประสิทธิภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เสริมสร้างความรู้พัฒนาฝีมือ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการเกษตรได้มากขึ้น และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร ยกระดับเป็น Smart Farmer และเพิ่มศักยภาพศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อีกทั้ง ประชาชนจะได้รับความสะดวกสบายในการใช้บริการภาครัฐ สามารถตรวจสอบข้อมูลของตนเองได้ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาในเมือง สามารถกรอกคำร้องเพื่อขอคัดลอกข้อมูล คัดสำเนา ผ่านโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้ เป็นต้น (2) ด้านเศรษฐกิจ โอกาสการทำธุรกิจ เช่น การซื้อขายในรูปแบบ e-Commerce การค้าขายออนไลน์ ของร้านค้าประชารัฐรักสามัคคี ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจชุมชน สินค้า OTOP ทั่วประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถประกอบธุรกิจที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการให้บริการ ให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทาง ที่พัก แหล่งช้อปปิ้ง และร้านค้า - ร้านอาหารแนะนำ ที่สำคัญ เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในภาพรวมด้วย จะเห็นว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ ในการสร้างความพร้อมของประเทศ และผมก็หวังว่าที่พูดมาทั้งหมด เพราะต้องการให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเยาวชน ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราต้องปรับตัว และพัฒนาตนเองให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และได้เปรียบ นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลนี้ หวังดีกับพี่น้องประชาชนทุกคน สุดท้ายนี้ ผมมีโครงการหนึ่งที่อยากจะเล่าให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้ฟัง คือ “โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกัน No One Left Behind” ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ผู้พิการตาบอด จำนวน 20 ชีวิต ร่วมกับนักปั่นจิตอาสาปั่นนำ อีก 20 ชีวิต จะรวมพลังสามัคคีปั่นจักรยาน จากกรุงเทพฯ ผ่านสุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง และเชียงใหม่ เป็นระยะทางรวมกว่า 867 กิโลเมตร “9 วัน 9 จังหวัด” ระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เพื่อหาทุนสนับสนุนการก่อสร้าง “ศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน” ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยในแต่ละจังหวัดที่ผ่านไปจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรณรงค์ให้คนในสังคมเห็นศักยภาพของผู้พิการ และให้โอกาสผู้พิการในการพัฒนาตนเอง เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาสังคมต่อไปในอนาคต โครงการดังกล่าว ทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่ง คือ “นิทานไม้สั้น-ไม้ยาว” โดยครูคนหนึ่งต้องการทดสอบหลักคิดของลูกศิษย์ 2 คน ที่เรียนเก่งเหมือนกัน ด้วยการยื่นไม้ที่มีความยาวเท่ากัน แล้วให้ลองหาวิธีการทำให้ไม้ของตน “ยาวกว่า” ไม้ของเพื่อนอีกคน คนแรกตอบว่า “ก็หาไม้มาต่อสิครับครู” ในขณะที่คนที่ 2 บอกว่า “ผมมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น...” ว่าแล้วก็ทำการ “หักไม้” ของเพื่อนอีกคนให้สั้นลง ในขณะที่ของตนก็ยาวเท่าเดิม แต่ก็ยาวกว่าเพื่อน ตามโจทย์ของครู แม้ว่าครูจะไม่เฉลย วิธีที่ถูกต้อง แต่ผมคิดว่าพี่น้องประชาชน คงพอจะมีคำตอบในใจแล้ว ว่าการที่เราจะ “ดีกว่า” คนอื่นได้นั้น เราควรใช้การ “พัฒนา” ศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ ไม่ใช่ “การทำลาย หรือขัดขวาง” คนอื่น หากสังคมของเรามีแต่คนประเภทแรก ประเทศชาติก็จะมีแต่การพัฒนา เกิดแต่สิ่งที่ดีกว่า ดียิ่งขึ้น เพราะไม่มีใครบั่นทอนความเจริญของใคร สำหรับ “โครงการปั่นไปไม่ทิ้งกันฯ” นั้น ผมก็อยากให้ทุกคนได้สนับสนุน “นักปั่นที่บกพร่องทางสายตา” แต่มากด้วยศรัทธา และไม่ยอมแพ้โชคชะตา โดยลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่น่ายกย่องดังกล่าว ขอให้ทุกคนปลอดภัยด้วย และขอให้ประสบความสำเร็จที่มุ่งหวังตั้งใจไว้ ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
17 ม.ค. 2561
ดอกนางพญาเสือโคร่ง "ซากุระเมืองไทย" เริ่มเบ่งบานเต็มภูทับเบิก อวดสายตานักท่องเที่ยว
ดอกนางพญาเสือโคร่งหรือ "ซากุระเมืองไทย" เริ่มเบ่งบานเต็มภูทับเบิก ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ อวดสายตานักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชม ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสอากาศหนาวและทะเลหมอกที่สวยงามแล้วยังได้ชมซากุระเมืองไทย หรือดอกพญาเสือโคร่ง ที่เบ่งบานเป็นสีชมพู ในพื้นที่กว่า 400 ไร่ ดอกพญาเสือโคร่งหรือดอกซากุระเมืองไทย จะเริ่มเบ่งบานในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงเดือนปลายเดือนมกราคม เพราะเป็นช่วงที่อากาศหนาวจัด จะเบ่งบานออกดอกสีชมพู ทั้งชมพูอ่อน ชมพูเข้ม สวยงามเต็มภู ในพื้นที่ป่าเขา ที่มีต้นพญาเสือโคร่งขึ้นเองตามธรรมชาติกว่า 300 ไร่ และบนแปลงปลูกป่าประชาอาสา อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า หมู่ 11 บ้านภูทับเบิก ต.บลวังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ที่มีพื้นที่อีก 126 ไร่ ซึ่งชาวบ้านหมู่ 11 บ้านภูทับเบิกร่วมใจ ร่วมกันปลูกขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 พื้นที่ดังกล่าวเดิมเป็นป่าหญ้าคา เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวอวดสายตานักท่องเที่ยว ระยะทางที่ไม่ไกลมาก ห่างจากจุดชมวิวภูทับเบิกเพียง 5 กิโลเมตร จากความสวยงามทำให้นักท่องเที่ยวที่ทราบข่าวเริ่มทยอยเข้าไปเที่ยวชมและถ่ายภาพกับดอกซากุระที่ชูช่อเบ่งบานเต็มต้น แต่เนื่องจากดอกพญาเสือโคร่งไม่ชอบอากาศร้อน หากนักท่องเที่ยวจะมาเยี่ยมชมความสวยงาม ให้เดินทางมาในช่วงนี้ ก่อนที่ดอกจะร่วงโรย เมื่ออากาศร้อนขึ้น ส่วนเรื่องของการเดินทางก็ไม่ลำบากเนื่องจากรถยนต์สามารถเข้าถึงที่ อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้ใช้รถกระบะหรือรถที่มีลักษณะสูงจะดีกว่าในการเดินทางเข้าเยี่ยมชม
16 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 16 มกราคม 2561
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการมีบุตร เพิ่มค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่คนที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นไป โดยให้หักลดหย่อนได้เพิ่มอีก 30,000 บาท/คน/ปีภาษี นอกจากนี้ยังให้สามารถนำค่าฝากครรภ์ หรือค่าคลอดบุตร มาหักลดหย่อนภาษีได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค.2561 เป็นต้นไป คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็ก เพื่อเป็นสวัสดิการของลูกจ้าง โดยให้นิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายเพื่อจัดตั้งศูนย์รับเลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ มาหักเป็นรายจ่ายได้ตามที่จ่ายจริง และสามารถหักได้เพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับที่จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มวันที่ 1 ม.ค.2561 - 31 ธ.ค.2563 คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาล ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะที่ 4 เพื่อให้บุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เข้ามาทำงานในหน่วยงานทางด้านวิทยาศาสตร์และหน่วยงานอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้อง ส่วนสาขาวิชาที่ส่งไปศึกษา รวม 10 สาขา ได้แก่ (1) เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ (2) เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (3) เทคโนโลยีชีวภาพและสิ่งแวดล้อม (4) นิวเคลียร์เทคโนโลยี (5) การบริหารจัดการเทคโนโลยี (6) ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) และกฎหมายสิทธิบัตร (Patent Law) (7) วิทยาศาสตร์พื้นฐานทุกสาขา (8) Marine Technology (9) นาโนเทคโนโลยี (10) เทคโนโลยีระบบขนส่งทางราง คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาล โดยผู้เสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมิน ส่วนห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะได้รับการลดหย่อนภาษี 2 เท่า แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ โดยเงื่อนไขต้องเป็นการบริจาคให้กับสถานพยาบาล ที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวงกรม หน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2561 เป็นต้นไป คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการศูนย์บูรณาการบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รพ.จุฬา สภากาชาดไทย และงบประมาณสนับสนุน ซึ่งจะก่อสร้างปี 2562 - 2565 เป็นอาคารผู้ป่วยนอก สูง 13 ชั้น มีชั้นใต้ดินอีก 4 ชั้น ภายใต้กรอบวงเงิน 2,415 ล้านบาท โดยจะขอสนับสนุนจากรัฐบาล 1,932 ล้านบาท และใช้เงินนอกงบฯ สมทบ 483 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 80 : 20 โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะรับผู้ป่วยนอก เป็น 6,000 คน/วัน ในปี 2566 เพิ่มการรับส่งต่อผู้ป่วยโรคซับซ้อน เป็น 400,000 ราย/ปี ในปี พ.ศ.2565 และจะลดระยะเวลาการให้บริการ จาก 3 ชม. 48 นาที เหลือเป็น 2 ชม. 30 นาที ในปี พ.ศ.2566
15 ม.ค. 2561
กรมชลประทาน เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นโครงการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล พื้นที่แ
กรมชลประทาน เปิดเวทีแสดงความคิดเห็นโครงการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล พื้นที่แนวส่งน้ำเมย-น้ำแม่ตื่น เพื่อนำไปปรับปรุงรายงานการศึกษาให้ครบถ้วน ที่ห้องประชุมภูหลวง เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก กรมชลประทานร่วมกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น โครงการศึกษาทบทวนการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล พื้นที่แนวส่งน้ำเมย-น้ำแม่ตื่น เพื่อชี้แจงข้อมูลรายละเอียดของโครงการฯ ความก้าวหน้าและรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีนายชุติเดช มีจันทร์ ปลัดจังหวัดตาก เป็นประธาน เนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล มีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายน้ำแห่งชาติ ได้เห็นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาและกำหนดให้มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณเมื่อกลางปี 2559 มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานโครงการฯ และได้มอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาและมหาวิทยาลัยนเรศวร ดำเนินงานโดยคำนึงถึงหลักสากลของการใช้น้ำระหว่างประเทศ ซึ่งได้มีการศึกษาในด้านต่างๆ ให้สอดคล้องกับปัจจัยแวดล้อมของการใช้น้ำ ในลุ่มน้ำระหว่างประเทศอย่างสมเหตุสมผล ทั้งนี้ จากการศึกษาสำรวจพื้นที่โครงการฯ จะต้องมีการวางแนวท่อส่งน้ำจากแม่น้ำเมยไปลงที่น้ำแม่ตื่น ผันเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน โดยคาดว่าปริมาณน้ำที่ผันเข้าอ่างเก็บน้ำ จะมีปริมาณเฉลี่ยปีละ 1,114.35 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์หลัก 3 ด้าน ดังนี้ 1.ด้านการเกษตร สามารถเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกฤดูแล้งในโครงการกำแพงเพชรและโครงการเจ้าพระยาใหญ่ 871,755 ไร่ 2. ด้านการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค สามารถเพิ่มความต้องการน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค 50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และการประปานครหลวง 250 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยมีการระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาในฤดูแล้งเพิ่มขึ้น 20 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 3.ด้านพลังงานไฟฟ้า สามารถเพิ่มพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลเฉลี่ย 259 ล้านหน่วยต่อปี อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนน้ำมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (พ.ศ.2558-2569 ) ที่ผ่านมาได้มีการเสนอมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาโครงการใหม่ การปรับปรุงโครงการเดิม การปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นต้น แต่การแก้ไขปัญหาวิธีดังกล่าว ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนขนาดใหญ่ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำได้อย่างยั่งยืน
14 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด
นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องยุทธศาสตร์ปราบปรามยาเสพติด โดยยอมรับว่าปัจจุบันเครือข่ายยาเสพติดมีความพยายามในการผลิตยาเสพติดมากขึ้น จากการดำเนินการจับกุมในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ยาเสพติดล็อตใหญ่ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับแผนทำงานของ ป.ป.ส. ตามที่รัฐบาลมอบหมายให้ทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากเดิมที่จะจับกุมเฉพาะผู้ลักลอบและรับจ้างลำเลียง เป็นให้ขยายผลพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมากขึ้น โดยให้อำนาจเกี่ยวกับมาตรการสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือ และมาตรการริบทรัพย์ ผู้ที่เกี่ยวข้องแม้จะไม่มีของกลางยาเสพติด เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวด้วยว่า กรมการปกครองได้สำรวจปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านทั่วประเทศรวม 81,983 หมู่บ้าน ปีละ 2 ครั้ง โดยใช้กลไกภาคส่วนต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 27 หน่วยงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเน้นมาตรการหลัก 3 มาตรการ คือ การป้องกันยาเสพติด การบำบัดผู้เสพ และการปราบปราม นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหายาเสพติดยังสร้างการมีส่วนร่วมกับต่างประเทศและประชาชนด้วย ซึ่ง ป.ป.ส. มีสายด่วน 1386 เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสยาเสพติด โดยผู้ที่แจ้งเบาะแสเข้ามาไม่ต้องแจ้งชื่อ-นามสกุลจริง แต่ให้แจ้งรายละเอียดของเบาะแสให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ ป.ป.ส.จะมีเจ้าพนักงานในการบังคับคดีตรวจสอบและเก็บข้อมูลลงระบบ พร้อมทั้งส่งข้อมูลการแจ้งเบาะแสทั้งหมดให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน / สวท.
14 ม.ค. 2561
แวะชมความสวยงาม “ปอเทือง” เหลืองอร่ามริมสันเขื่อนแม่น้ำปัตตานี สวนศรีเมือง อีกมุมสีสันเมืองยะลา
แวะชมความสวยงาม “ปอเทือง” เหลืองอร่ามริมสันเขื่อนแม่น้ำปัตตานี สวนศรีเมือง อีกมุมสีสันเมืองยะลา ประชาชนในพื้นที่ย่านตลาดเก่า ยะลา และพื้นที่ใกล้เคียง ได้นำบุตรหลาน ครอบครัวไป นั่งเล่น พร้อมชมความสวยงาม และถ่ายรูป ของดอกปอเทือง ที่กำลังออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง ทั่วริมสันเขื่อน สวนศรีเมือง เขตเทศบาลนครยะลา หลัง เทศบาลนครยะลา ได้ปลูกต้นปอเทืองไว้ที่บริเวณสันเขื่อน สวนศรีเมือง จากสามแยกโรงแรมแกรนด์พาเลซ ไปจนถึงสะพานดำ เพื่อเพิ่มสีสันให้กับเมือง และให้ประชาชนได้ผ่อนคลายความตึงเครียด มีสถานที่ในการนั่งเล่น พักผ่อน กับครอบครัว เพื่อนฝูง พร้อมทั้ง ถ่ายรูปความสวยงามอีกมุมหนึ่งของเมืองยะลา ซึ่งนอกจากที่นี่จะมีความสวยงามของปอเทือง แล้วยังมีสนามเด็กเล่นไว้ให้ พ่อแม่ ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปเล่นสนุกอีกด้วย
13 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ลดหย่อนภาษี กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า จากการที่รัฐบาลประกาศมาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว ใน 55 จังหวัด โดยนักท่องเที่ยวสามารถนำค่าใช้จากการท่องเที่ยวในเมืองรอง มาคิดเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.2560 นั้น เพื่อความต่อเนื่องในการกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปยังเมืองรองอย่างต่อเนื่อง ทาง ททท.จึงได้จัดกิจกรรมกิจกรรมเที่ยวท้องถิ่นไทย ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต (อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ โกโลคัล) เพื่อสนับสนุนนนโยบายมาตรการภาษีการท่องเที่ยวเมืองรอง ด้วยการใช้การท่องเที่ยวลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ พร้อมกระจายนักท่องเที่ยวลงสู่การท่องเที่ยวชุมชน โดยในปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท จากการเดินทาง 160 ล้านคนครั้ง โดยในจำนวนดังกล่าวจะเป็นครั้งแรกที่ตลาดในประเทศสร้างรายได้แตะ 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ททท.ยังเตรียมจัดงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 38” Thailand Tourism Festival 2018 ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม 2561 นี้ ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร โดยในงานจะมีกิจกรรมท่องเที่ยว ชิมอาหารถิ่น ช้อปสินค้าของดีจากทั่วประเทศไทย และฟรีคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังมากมาย กริช รวิวรรณ/สวท.
12 ม.ค. 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพวีดิทัศน์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงร่วมกิจกรรมต่างๆ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานภาพวีดิทัศน์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงร่วมกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมด้านกีฬา และกิจกรรมจิตอาสา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่เยาวชน ด้านการออกกำลังกาย และการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2561
11 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : พัฒนาพื้นที่ EEC ด้วยเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า การวิเคราะห์โครงการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวัน หรือ EEC มีมากกว่า 10,000 โครงการ ทำให้เป็นแหล่งฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ประกอบกับอุตสาหกรรมการเกษตรใน EEC มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจำเป็นต้องขับเคลื่อนทั้งหมดในกระบวนการผลิต แปรรูป และการสร้างมูลค่าที่มีวัตถุดิบในประเทศมาต่อยอดเป็นสินค้ามูลค่าสูง ทำให้ต้องมีระบบเพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลย่อยให้มองเห็นการเชื่อมโยงข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการสร้างระบบด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะมาขับเคลื่อนด้วยตนเอง ซึ่งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA จะใช้เทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม จนเกิดจุดสมดุลย์และทางเลือกในการพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจ ด้วยการนำระบบและรูปแบบการขับเคลื่อนจากสมองกลมาใช้ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการคาดการณ์ล่วงหน้า ทั้งในเรื่องภัยพิบัติและปริมาณผลผลิตทางการเกษตร เพราะมีความแม่นยำ โดยระบบดังกล่าวจะแสดงข้อมูลในภาพรวมทั้งหมดของพื้นที่ ด้านนายดำรงค์ฤทธิ์ เนียมหมวด ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า พื้นที่อุตสาหกรรมการเกษตร ปัจจุบันมีอยู่กว่า 1 ล้านไร่ กระจายไปในแต่ละจังหวัด หรือคิดเป็นพื้นมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จำเป็นต้องพัฒนาทุกพื้นที่ให้ก้าวไปพร้อมกันกับการพัฒนาพื้นที่ EEC ถือเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกคนต้องมีส่วนพัฒนา โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรและการลงทุนในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศไทยต้องนำเครื่องมือเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเข้ามาสร้างการมีส่วนร่วมในการคำนวณก่อนลงทุน เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายลง นิตยา คุณสิม / สวท.
11 ม.ค. 2561
รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดตามการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมร่วมกับนายสืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่โรงแรมอิมพีเรียล รีสอร์ท แม่ฮ่องสอน อ.เมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ ซึ่ง จ.แม่ฮ่องสอนมีพื้นที่กว่า 7 ล้าน 9 แสนไร่ เป็นที่ป่ากว่า 7 ล้าน 8 แสนไร่ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนนำเสนอปัญหาต่างๆ 14 ข้อ เช่น การปรับปรุงและขยายถนนสู่ด่านห้วยต้นนุ่น ,การขอใช้พื้นที่ป่าในการก่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ รวมทั้งการปรับปรุงถนนในเขตพื้นที่ป่าขอให้ขออนุญาตเพียงครั้งเดียว และขอให้ดำเนินการโครงการจัดที่ทำกินให้ชุมชนหรือ คชท. ในพื้นที่ที่ตกหล่น จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปโครงการธนาคารฟืน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านท่าโป่งแดงอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เยี่ยมชมนิทรรศการการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยคนอยู่ร่วมกับป่าด้วยศาสตร์พระราชา โครงการสร้างป่า สร้างรายได้ ตามแนวพระราชดำริ และพบปะราษฎร เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องของประชาชนที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแนวทางการทำงานว่า ป่าไม้เมืองไทยสมบูรณ์ เกื้อกูลการพัฒนา ปวงประชามีสุข ปลูกป่าในใจคน เปี่ยมล้นสามัคคี สำหรับการขยายถนนสู่ด่านห้วยต้นนุ่น ในวันพรุ่งนี้ (12 ม.ค.2561) จะมีการประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการหลังจากประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดสุโขทัย
10 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เดินหน้าตลาดต้องชม สร้างรายได้ให้ชุมชน
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องเดินหน้าตลาดต้องชม สร้างรายได้ให้ชุมชน ว่า ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาตลาดที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 150 แห่งให้เป็นตลาดต้องชม โดยร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ให้ไปสำรวจความต้องการของชุมชน แล้วพัฒนาตลาดให้สอดคล้องกับแนวทางของพื้นที่ โดยครอบคลุมทุกด้าน ทั้งสภาพแวดล้อมของตลาด จุดถ่ายภาพ ความสะอาด จัดสร้างหลังคา ป้ายบอกทาง ป้ายราคาสินค้า ที่ทิ้งขยะ และออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยเน้นวัสดุจากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีการจัดเกรดตลาดแบ่งออกเป็น A B และ C เพื่อให้แต่ละตลาดเกิดการพัฒนาตนเอง ทั้งนี้วางเป้าหมายในอนาคต จะพัฒนาตลาดต้องชมเพิ่มอีก 100 แห่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานสถาบันการศึกษาในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ในอนาคตกระทรวงพาณิชย์จะส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ค้าในตลาดต้องชม เข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งไม่ใช่แค่การขายในตลาดเปิดปกติเท่านั้น แต่ยังสามารถขายสินค้าผ่านออนไลน์ได้ด้วย พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนประชาชนใช้โอกาสเวลาว่างไปเที่ยวตลาดต้องชมทั่วประเทศ ซึ่งมีสินค้าแปลกตามที่เด็กๆ และเยาวชนในปัจจุบันอาจจะไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน
10 ม.ค. 2561
แม่ทัพภาค 4 ระบุสถานการณ์ในพื้นที่ จชต.ดีขึ้น ให้มองที่ชาวบ้านในพื้นที่มีรอยยิ้ม จับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
แม่ทัพภาค 4 ระบุสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้น ให้มองที่ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีรอยยิ้ม ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาค 4 ระบุสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ห้วงที่ผ่านมาดีขึ้น สงบขึ้น สื่อเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็มีการประสานกับสื่อ ในการร่วมกันแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างใกล้ชิด โดยสื่อจะนำนโยบายและการปฏิบัติงานไปประชาสัมพันธ์ เพื่อช่วยกันสร้างสันติสุขในพื้นที่ต่อไป ส่วนเหตุการณ์รุนแรงหรือไม่รุนแรง ไม่ต้องมองดูที่สถิติ ให้มองที่ชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่อย่างสงบสุข มีรอยยิ้มอย่างไร ออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
09 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 9 มกราคม 2561
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 แก่ผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 โดยจะมีการตั้งทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีมปรจ.) ในระดับอำเภอ 900 ทีม เพื่อเข้าไปวิเคราะห์ กำหนดแผนที่ชีวิต และติดตามผู้มีบัตรคนจนทั้ง 11.4 ล้านคน เน้นในกลุ่มมีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อปี ทั้งนี้ คนที่เข้าโครงการ จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมสำหรับซื้อของร้านธงฟ้า 1.กลุ่มที่เคยได้ 300 บาท/เดือน จะเพิ่มให้อีก 200 เป็น 500 บาท 2.กลุ่มที่เคยได้ 200 บาท/เดือน จะเพิ่มให้อีก 100 เป็น 300 บาท คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดตั้งทุนหมุนเวียน 3 กองทุน ประกอบด้วย 1.กองทุนสิ่งแวดล้อม โดยจัดตั้งกองทุนตามร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อให้เงินอุดหนุน หรือกู้ยืม ในการจัดระบบบำบัด หรือกำจัดมลพิษ หรือดำเนินการในกรณีฉุกเฉิน เช่น มลพิษรั่วไหล แพร่กระจาย พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ 2.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยจัดตั้งกองทุนตามร่าง พ.ร.บ.เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เสริมสร้างและพัฒนาครูอาจารย์ พัฒนามนุษย์ให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม รวมถึงพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคง 3.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โดยจัดตั้งกองทุนตามร่าง พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. ... เพิ่มศักยภาพ และพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างครบวงจร สำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการโครงการเพื่อสังคม และช่วยเหลือคนในชุมชนท้องถิ่น ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยทรัพย์อิงสิทธิ พ.ศ. ... โดยสาระสำคัญของกฎหมาย ได้กำหนดให้ผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิต้องเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดและเจ้าของห้องชุดเท่านั้น โดยการจดทะเบียนทรัพย์อิงสิทธิ ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี ที่สำคัญกฎหมายยังอนุญาตให้ผู้เช่าทรัพย์อิงสิทธิ สามารถนำทรัพย์ดังกล่าวออกให้เช่า ขาย โอนหรือตกทอดแก่ทายาทได้ และยังนำไปใช้เป็นหลักประกันชำระหนี้โดยการจำนองได้ สามารถดัดแปลง ต่อเติม ปลูกโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอื่นได้ แต่เมื่อเลิกสัญญาหรือครบสัญญา กำหนดให้การต่อเติมดังกล่าวตกเป็นของผู้ให้ทรัพย์อิงสิทธิ ขณะเดียวกันผู้เข้ามาใช้ทรัพย์อิงสิทธิต้องดูแลปกป้องทรัพย์อิงสิทธินั้นๆ
09 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : โครงการจิตอาสาประชารัฐญาลันนันบารู
นางเจ๊ะ รอเชี๊ยะห์ สาและ จิตอาสาประชารัฐญาลันนันบารู กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า โครงการจิตอาสาประชารัฐญาลันนันบารูเป็นโครงการที่นำประชาชนจิตอาสาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตำบลละ 2 คน ในการทำงานด้านจิตอาสาช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยล่าสุดมีสมาชิกถึง 400 คน ใน 200 ตำบลในพื้นที่แล้ว ซึ่งผลการดำเนินการของสมาชิกสามารถจูงใจประชาชนในพื้นที่ที่เป็นทั้งกลุ่มผู้เสพ และกลุ่มผู้เสี่ยงให้กลับใจหันมาเลิกใช้ยาเสพติด ผ่านกลไกตั้งแต่ระดับครอบครัว ก่อนเข้าสู่ระดับชุมชน ซึ่งผลที่ได้ต่อเนื่องคือการสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง และสร้างอากาสให้กับประชาชนที่หลงผิด พร้อมกันนี้ทางกลุ่มยังได้มีการสอนและอบรมทักษะอาชีพให้กับผู้ป่วยที่กลับใจ เพื่อคืนบุคคลากกรที่ดีมีคุณภาพสู่ชุมชนและสังคม กริช รวิวรรณ / สวท.
09 ม.ค. 2561
รายงาน : ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกษตรอินทรีย์ประชารัฐ จ.อุดรธานี
ในปัจจุบันเรามักจะได้ยินคำว่า เกษตรอินทรีย์ กันบ่อยขึ้น เพราะผู้ผลิตและผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญของสุขภาพมากขึ้น ซึ่งการใช้สารเคมีปลูกพืชในปริมาณที่มากและสะสมเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ พัฒนาการของภูมิปัญญาท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุด คือ กระทบต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภคจากสารพิษที่ตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร เช่น การใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในไร่นา ทำให้เกษตรกรประสบปัญหาสุขภาพ ลงทุนสูงแต่ผลผลิตที่ได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สารเคมีที่ใช้ไปทำลายแมลงและสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ ส่งผลให้ระบบนิเวศไม่สมดุล นายบัวผัน มุงเคน หรือ พ่อบัวผัน ประธานเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ จังหวัดอุดรธานี จึงได้มีแนวความคิดบุกเบิกการปลูกข้าวและการปลูกพืชผสมผสานแบบเกษตรอินทรีย์ขึ้นที่ 66 หมู่ 5 บ้านหนองโสกดาว ตําบลโนนสูง อําเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยมีการรวมกลุ่มเกษตรกร ตําบลโนนสูง อําเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เพื่อเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ และการปลูกพืชผสมผสานแบบเกษตรอินทรีย์ โดยได้รับการสนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อพัฒนาเกษตรอย่างยั่งยืน , กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และประชารัฐจังหวัดอุดรธานี เป็นต้น สำหรับความสำเร็จของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์จังหวัดอุดรธานี นายบัวผัน บอกว่า ได้มีการปลูกข้าวที่เป็นเกษตรอินทรีย์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดอุดรธานีหลายพันธุ์ด้วยกัน อาทิ ข้าวอิ่มสุข ข้าวฮางงอก-ไร้เบอรี่ ข้าวฮางงอก-มันปู และข้าว กข. 6 ราชินี ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ จังหวัดอุดรธานี เพื่อต้องการให้สมาชิกในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ผลิตมีสุขภาพดี บริโภคข้าวและผักที่ไม่มีสารพิษตกค้าง และที่สำคัญต้องการให้ผู้บริโภคได้บริโภคข้าวเกษตรอินทรีย์ ที่ไม่มีสารพิษตกค้างเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จะมีการนำข้าวข้าวฮางงอก ไปต่อยอดการผลิตข้าวในรูปแบบเป็นผงชงดื่มเพื่อสุขภาพ แทนการดื่มกาแฟสำหรับคนรักสุขภาพได้ในอนาคต
08 ม.ค. 2561
ชุดปฏิบัติการพญาเสือลงพื้นที่ตรวจสอบไม้แผ่นแปรรูปที่วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ
นายชัยวัฒน์ ลิมป์ลิขิตอักษร หัวหน้าชุดปฏิบัติการพญาเสือ นำคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพญาเสือ สนธิกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ปฏิบัติการร่วมตรวจสอบไม้ ภายในวัดเมตตาธรรมโพธิญาณ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นภารกิจต่อเนื่องของชุดปฏิบัติการพญาเสือ นายชัยวัฒน์ ลิมป์ลิขิตอักษร กล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ เป็นการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยมีผู้แทนวัดเป็นผู้ชี้แจง และให้รายละเอียดรายการไม้ ที่ระบุว่านำเข้ามาจากประเทศลาว ซึ่งชุดปฏิบัติการพญาเสือได้มีการตรวจสอบเส้นทางไม้ พบว่ามีไม้ลักษณะนี้จริง แต่อาจมีแตกต่างกันบ้าง โดยวันนี้ทางวัดมีเอกสารหลักฐานให้เจ้าหน้าตรวจสอบทั้งหมด ซึ่งก็ได้มีการตรวจว่าเอกสารตรงกับกองไม้หรือไม่ และตรงกับขนาดไม้ตามความเป็นจริงหรือไม่ ในส่วนของ 3,100 แผ่น ที่กำกับในเอกสารเป็นเฟอร์นิเจอร์สิ่งประดิษฐ์ ซึ่งขณะนี้มีการถอนอาญัติไป 70% แล้ว เหลืออีก 30% ที่ยังต้องตรวจสอบต่อ และในวันที่ 16 มกราคม จะมีการตรวจสอบเรื่อง สปก.กับที่ดินของวัดว่าสร้างอยู่ในขอบเขตที่ สปก.อนุญาตแค่ไหน ด้านนายสมพล เสถียรรุจิกานนท์ ตัวแทนวัดเมตตาธรรมโพธิญาณ กล่าวว่า ได้มีการชี้แจงไปตามเอกสารที่ทางวัดได้มาตามความเป็นที่จริงที่รับทราบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบไม้ตามเอกสารทั้งหมด ซึ่งผลสรุปออกมาอย่างไรก็ต้องว่ากันตามถูกผิด สุภาวฎี-ข่าว/อดิสรณ์-ภาพ สทท.กาญจนบุรี
08 ม.ค. 2561
จ.สระบุรี จัดงาน "ต้นกล้าเกษตรแฟร์" ชมความงามทุ่งคอสมอสและชิมเมล่อนสดจากต้น 10-20 ม.ค.นี้
จังหวัดสระบุรี เตรียมจัดงานท่องเที่ยวเชิงเกษตร "ต้นกล้าเกษตรแฟร์" ระหว่างวันที่ 10 - 20 มกราคมนี้ ชมความสวยงามและถ่ายภาพทุ่งดอกคอสมอส พันธุ์ไม้เมืองหนาว และเลือกซื้อไม่ดอกไม้ประดับ เลือกซื้อชิมเมล่อน 3 สายพันธุ์หวานกรอบจากสวนปลอดสารพิษกว่า 5 พันลูก พืชผักจากแปลงปลอดสารพิษ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักชีต้นหอม ผักบุ้ง คะน้ากวางตุ้งเลือกซื้อจากแปลงได้สดๆ จำหน่ายต้นกล้าและพรรณดอกไม้ประดับ สินค้าชุมชน สินค้าเกษตรของชาวบ้านนำมาจำหน่ายด้วย รวมไปถึงการบริการเครื่องดื่ม ร้านอาหารที่เป็นของชาวบ้านในชุมชน นายสิงหราช วงศ์เสงี่ยม นายอำเภอเสาไห้ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นความร่วมมือของประชารัฐ จังหวัดสระบุรี คือส่วนราชการ ท้องถิ่นเอกชนและประชาชนในชุมชนบ้านวังงูเห่า ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาด้านการเกษตรและเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน ให้ประชาชนมีรายได้ คาดว่าจะมีพี่น้องประชาชนนับหมื่นคนมาเที่ยวในงานนี้ ตลอดทั้ง 10 วันของการจัดงาน สำหรับงาน "ต้นกล้าเกษตรแฟร์" โดยความร่วมมือแบบประชารัฐ หน่วยงานราชการ ท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาชนในชุมชนบ้านวังงูเห่าตำบลพระยาทด อำเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี ร่วมกันดัดแปลงพื้นที่กว่า 20 ไร่ ปลูกพรรณไม้ดอกไม้ประดับนานาชนิด โดยเฉพาะทุ่งดอกคอสมอสหลากสีสันที่ออกดอกเต็มท้องทุ่ง ผลไม้และผักเมืองหนาว จูงใจนักท่องเที่ยวเที่ยวมาเที่ยวชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อันเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นที่บ้านวังงูเห่าหมู่ที่ 7 ตำบลพระยาทดอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี และจะมีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มกราคมนี้
07 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : พุทธมณฑลศูนย์กลางแห่งพุทธโลก
นางวชิรา น่วมเจริญ ผู้ตรวจราชการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวถึงการผลักดันให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางแห่งพุทธโลก ในรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญและพร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพุทธศานาโลก โดยล่าสุดอยู่ระหว่างดำเนินการให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพุทธโลก ที่จะเป็นศูนย์รองรับการทำกิจกรรมของพุทธศาสนา เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางพุทธศาสนา ปรึกษาหารือร่วมกันของชาวพุทธทั่วโลก ขณะเดียวกันมองว่าศักยภาพของพุทธมณฑลไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางพุทธโลกอย่างมาก เห็นได้จากการมีทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาค ทั้งการเดินทางสะดวกและมีสื่อศาสนสถานของพุทธศาสนามากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งนับว่าหากในอนาคตเราเป็นศูนย์กลางพุทธโลก ยังทำให้ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคตด้วย ด้านนายสิทธิก อ้วนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑล กล่าวว่า ปัจจุบันพุทธมณฑลมีความคืบหน้าการก่อสร้างศาสนสถาน อาทิ ศูนย์การเรียนรู้และเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อรองรับการทำกิจกรรมของชาวพุทธทั่วโลก ที่ในอนาคตจะสามารถรองรับคนได้เพิ่มเติมกว่า 2 พันคน ขณะที่ผ่านมาพุทธมณฑลนับว่าเป็นสถานที่สำคัญของชาวพุทธทั่วโลกแล้ว เพราะมีการจัดกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนา อาทิ วันวิสาขบูชาโลก ที่มีพระสงฆ์จากทั่วโลกเดินทางมาจำนวนมาก โดยเชื่อว่ายิ่งพัฒนาศักยภาพพื้นที่ของพุทธมณฑลมากขึ้น ก็จะรองรับการทำกิจกรรมพุทธศาสนาโลกได้มากด้วย ปัทมา สุทธิประทีป / สวท.
07 ม.ค. 2561
ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน เปิดการฝึกภาคสนามนักศึกษาวิชาทหาร ที่เขาชนไก่ จ.กาญจนบุรี
ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ประกอบพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เปิดกองอำนวยการฝึกภาคสนามนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปีการศึกษา 2560 ณ ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ วันนี้( 7 ม.ค. 61)พลโท วิโรจน์ วิจิตรโท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน พร้อมด้วยกำลังพล นักศึกษาวิชาทหาร และส่วนราชการ ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และประกอบพิธีทางศาสนา ในพิธีเปิดกองอำนวยการฝึกภาคสนามนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปีการศึกษา 2560 ณ ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ กำลังพล และนักศึกษาวิชาทหารที่ทำการฝึก ทั้งนี้ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน โดยศูนย์การกำลังสำรอง จะทำการฝึกภาคสนามนักศึกษาวิชาทหาร ประจำปีการศึกษา 2560 ณ ค่ายฝึกนักศึกษาวิชาทหาร เขาชนไก่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ในห้วงวันที่ 3 มกราคม ถึง 9 มีนาคม 2561 โดยจะมีนักศึกษาวิชาทหาร ชาย-หญิง ชั้นปีที่ 2 - 5 ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เป็นนักศึกษาวิชาทหารชาย 57,770 นาย นักศึกษาวิชาทหารหญิง 13,330 นาย รวม 71,100 นาย เข้ารับการฝึกในหลักสูตรการฝึกตามลำดับชั้นปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นหน่วยกำลังสำรองของกองทัพบก ในการร่วมกันปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
07 ม.ค. 2561
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผนึกกำลัง 3 ประเทศ ไทย ลาว เมียนมา ปล่อยขบวนจักรยานรณรงค์ป้
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผนึกกำลัง 3 ประเทศ ไทย ลาว เมียนมา ปล่อยขบวนจักรยานรณรงค์ป้องกันไฟป่าและมอบอุปกรณ์ดับไฟป่า 3 แผ่นดิน ลาว เมียนมา ที่จังหวัดเชียงราย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะร่วมปล่อยขบวนจักรยานรณรงค์ป้องกันไฟป่า และมอบอุปกรณ์ดับไฟป่า พร้อมจัดทำแนวกันไฟ ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เช้าวันนี้ (7 ม.ค. 60) ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานปล่อยขบวนจักรยาน ตามโครงการ "นักปั่น อาสาไฟป่า ไทย-ลาว-เมียนมา" เพื่อเป็นการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน มีนักปั่นจักรยานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียง กว่า 300 คัน ร่วมปั่นไปตามชุมชน หมู่บ้าน และสถานที่ต่างๆ ในอำเภอเชียงแสน หลังจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำทุกภาคส่วนร่วมกิจกรรม มอบอุปกรณ์ดับไฟป่า มอบเสบียงอาหารให้แก่ตัวแทนประเทศลาว เมียนมา และจัดทำแนวกันไฟ 3 แผ่นดิน ไทย-ลาว-เมียนมา ที่บริเวณสวนป่าแม่มะ-สบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีพลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายภาสกร บุญญลักษม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเชียงแสน ร่วมกิจกรรม พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ยังได้กล่าวอีกว่า ไฟป่าเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พื้นที่ป่าไม้ลดลง และเมื่อเกิดไฟป่าขึ้นระบบนิเวศก็จะถูกทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติก็จะสูญเสียไป เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดวิกฤติปัญหาหมอกควัน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยที่ต้องประสบปัญหาเป็นประจำทุกปี ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งปัญหาหมอกควันไฟป่าได้ส่งผลกระทบกับประเทศไทยตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ดังนั้นการเกิดไฟป่าและหมอกควันจึงเป็นปัญหาที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันแก้ไข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้จัดกิจกรรมประสานและส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระดับท้องถิ่นกับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้โครงการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ฝึกซ้อมระดมดับไฟป่าทำแนวกันไฟ 3 แผ่นดิน (ไทย-ลาว-เมียนมา) Golden Triangle Fire Volunteer Laos – Myanmar – Thai ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 เพื่อร่วมฝึกซ้อมเพิ่มทักษะของการบูรณาการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในสถานการณ์จริงให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และขยายผลเสริมสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งเมื่อปีงบประมาณ 2560 กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ร่วมกับประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จัดกิจกรรมนักปั่นไฟป่า ไทย - เมียนมา ขึ้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้สร้างความรับรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ร่วมป้องกันไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่ใกล้เคียง ในปี 2560 ซึ่งลดความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวลงอย่างมาก
07 ม.ค. 2561
“รับวันเด็ก” ประกวด SBPAC TALENT สร้างฝันเด็ก เยาวชน ชายแดนใต้
วันนี้ (7 ม.ค 61) ที่บริเวณลานจัดกิจกรรม ห้างโคลีเซี่ยมยะลา บรรดาครู นักเรียน จาก โรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ จ.ยะลา ได้เดินทางเข้าร่วมการประกวด SBPAC TALENT รอบคัดเลือก Audition กันอย่างคึกคัก โดยมี นายอารี ดิเรกกิจ ผู้อำนวยการสำนักประสานนโยบายการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ศอ.บต. ผู้จัดการห้างโคลีเซี่ยมยะลา ผู้ปกครอง รวมทั้ง ประชาชน ให้ความสนใจ เข้าชมการประกวด SBPAC TALENT ของบุตรหลานตนเอง จำนวนมาก ซึ่งเด็ก ๆ แต่ละคน แต่ละทีม ก็ได้แสดงความสามารถพิเศษของตนเองทั้งด้านร้อง เล่น เต้น รำ และความสามารถอื่นๆ เพื่อให้คณะกรรมการได้ร่วมในการตัดสิน ทั้งนี้ การประกวด SBPAC TALENT เป็นกิจกรรม ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้จัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็ก เยาวชนในพื้นที่ จชต. ที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี ได้แสดงความสามารถที่ตนเองถนัด เพื่อเพิ่มศักยภาพ พัฒนาตนเอง ให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ตลอดจนเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ให้มากขึ้น สามารถเติบโตเป็นคนดี คนเก่ง และร่วมกันพัฒนาพื้นที่ จชต.ให้เกิดสันติสุขในอนาคตต่อไปสำหรับการประกวด แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ประเภททีม อายุไม่เกิน 18 ปี ประเภทบุคคล อายุไม่เกิน 12 ปี และประเภทบุคคล อายุระหว่าง 12 – 18 ปี โดย จ.ยะลา มี เด็กและเยาวชน ให้ความสนใจเข้าสมัครแข่งขัน ประเภทบุคคล อายุไม่เกิน 12 ปี จำนวน 6 คน ประเภทบุคคล อายุระหว่าง 12 – 18 ปี จำนวน 5 คน และ ประเภททีม จำนวน 9 ทีม ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกรอบ Audition ในวันนี้ ก็จะต้องเข้าร่วมแข่งขัน กับผู้ชนะจาก จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งกำหนดจัดขึ้น ในวันที่ 11 มกราคม 2561 ณ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 1 แสนบาท ต่อไป
07 ม.ค. 2561
จ.หนองบัวลำภู จัดรายการวิ่งการกุศล “วิ่งด้วยใจ ให้ผู้ป่วยติดเตียง ครั้งที่ 1” เพื่อหารายได้สมทบ ก
จังหวัดหนองบัวลำภู จัดรายการวิ่งการกุศล “วิ่งด้วยใจ ให้ผู้ป่วยติดเตียง ครั้งที่ 1” เพื่อหารายได้สมทบ กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพ จังหวัดหนองบัวลำภู วันนี้ (7 ม.ค. 61) เวลา 05.30 น. ที่สนามสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดหนองบัวลำภู นายธนากร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมวิ่งการกุศล รายการ “วิ่งด้วยใจ ให้ผู้ป่วยติดเตียง ครั้งที่ 1” โดยมี นายเวียงชัย แก้วพินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ กระทรวงสาธารณสุข และประชาชน ชาวจังหวัดหนองบัวลำภู เข้าร่วม เดิน-วิ่ง กว่า 1,500 คน เพื่อหารายได้สมทบกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพ จังหวัดหนองบัวลำภู และรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพตัวเอง ไม่ให้เป็นผู้ป่วยติดเตียงในอนาคต กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพ จังหวัดหนองบัวลำภู มีหน้าที่ดูแลฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะเฉียบพลันและผู้สูงอายุ ที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ รวมไปถึงผู้ป่วยติดเตียงที่มีภาวะความพิการ ซึ่งจากการสำรวจมีผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องการความช่วยเหลือประมาณ 400 กว่าราย และมีการเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยโรคไร้เชื้อ และหลอดเลือดหัวใจ สมอง มีมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นผู้ป่วยติดเตียงในอนาคต จากการดำเนินงานที่ผ่านมาพบปัญหาผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถหารายได้ เพื่อซื้อวัสดุ อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตประจำวัน และเกินขีดความสามารถงบประมาณ และมีช่องว่างของหน่วยงานต่างๆ ที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ จึงจัดกิจกรรมวิ่งครั้งนี้ขึ้นเพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงโดยจัดตั้งเป็นกองทุนในการช่วยเหลือต่อเนื่องทุกปี
07 ม.ค. 2561
สร้างความประทับใจให้ชาวมาเลเซีย แลนด์มาร์คไฟแสงสี วงเวียนหอนาฬิกายะลา นกขันบอกเวลาทุก 1 ชั่วโมง
วันนี้ (7 ม.ค 61) ถึงแม้ว่าไฟแสงสีบริเวณวงเวียนหอนาฬิกาใจกลางเมืองยะลา จะเป็น แลนด์มาร์ค ในเมืองเล็ก ๆ แต่ก็ได้สร้างสีสัน ความประทับใจ มาตั้งแต่ก่อนปีใหม่ จนข้ามมาสู่ปีใหม่ 2561 ที่หลายๆ คน ทั้งคนในพื้นที่ จ.ยะลาเอง ต่างพาครอบครัวมานั่งเล่น ถ่ายรูปมุมต่างๆ ที่ชื่นชอบ ทั้ง ดอกทานตะวัน อุโมงค์ไฟประดับ 4 มุม และ ตัวหนังสือ Good Day @ Yala เก็บไว้เป็นที่ระลึก รวมทั้งชาวมาเลเซีย ซึ่งมีโอกาสได้เดินทางมาเยือน จ.ยะลา พร้อมกับชาว อ.กรงปืนังก็ได้พากันแวะเวียนมาชมความสวยงาม ของไฟแสงสี พร้อมทั้งได้มาถ่ายรูป เก็บไว้เป็นที่ระลึก โดยบอกว่า จ.ยะลาเปลี่ยนไปมากหลังจากไม่ได้เข้ามาเที่ยวในเมืองนาน ชอบและประทับใจ เมืองยะลา มีสีสันยามค่ำคืนสวยงาม บรรยากาศดี มีความสุข ไม่น่ากลัว และก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัย นอกจากนี้ ก็ได้มาฟังเสียงนกเขา นกกรงหัวจุก ร้องบอกเวลาในทุกๆ ต้นชั่วโมง นานกว่า 50 วินาที บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา มีความไพเราะมาก
06 ม.ค. 2561
คณะรองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมขับเคลื่อนโครงการกาฬสินธุ์ แฮปปี้เนส โมเดล
รัฐบาลเดินหน้าดำเนินการขับเคลื่อนโครงการคนกาฬสินธุ์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือกาฬสินธุ์ แฮปปี้เนส โมเดล เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้แก่ชาวกาฬสินธุ์และเป็นตัวอย่างให้แก่จังหวัดอื่นๆ ในการดำเนินงานเรื่องนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยคณะผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนประชุมหารือร่วมกับจังหวัดกาฬสินธุ์ในการขับเคลื่อนโครงการคนกาฬสินธุ์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือกาฬสินธุ์ แฮปปี้เนส โมเดล ซึ่งเป็นข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ได้เดินทางมาตรวจราชการที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นจังหวัดขนาดกลาง มี 18 อำเภอ ประชากร 9 แสนคนเศษ มีพื้นที่การเกษตร 2 ล้าน 7 แสนไร่ ปลูกพืชที่สำคัญได้แก่ ข้าว อ้อย มันสำปะหลังและยางพารา ส่วนสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ กุ้งก้ามกราม ปลานิล โคเนื้อ สุกรและไก่ และมีโรงงานในพื้นที่ ได้แก่ โรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล และโรงงานแป้งมัน รวม 564 โรงงาน จังหวัดกาฬสินธุ์มีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ขึ้นชื่อได้แก่ ผ้าไหมแพรวา ชุดผู้ไท ไหมมัดหมี่ เครื่องจักสาน ส่วนด้านการท่องเที่ยวนั้น ข้อมูลปี 2560 จังหวัดกาฬสินธุ์มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวทั้งปีเพียง 5 แสน 6 หมื่นคนเท่านั้น สำหรับรูปแบบการแก้ปัญหาความยากจน ตามที่นายกรัฐมนตรีกำชับทุกจังหวัดให้ใช้โมเดล กาฬสินธุ์ แฮปปี้เนส 2019 เป็นแนวทางการลดความยากจนนั้น ในระยะแรกภายใน 2 ปี จะมีองค์ประกอบหลัก 4 อย่าง คือ อย่างแรก ต้องค้นหาครัวเรือนยากจนโดยใช้เกณฑ์รายได้ การลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ และการคัดเลือกโดยประชาคมระดับหมู่บ้าน อย่างที่ 2 เป็นกลไกการขับเคลื่อน ตั้งแต่ระดับจังหวัด ถึงระดับหมู่บ้าน เช่น ชุดปฏิบัติการตำบล กรรมการหมู่บ้าน ปราชญ์ชุมชน และกลุ่มองค์กรในหมู่บ้าน อย่างที่ 3 เป็นกิจกรรมการขับเคลื่อน เช่น วิเคราะห์ข้อมูลครัวเรือนเพื่อจำแนกสถานะ และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชีครัวเรือน การทำแผนชีวิตการฝึกวิชาชีพ การอบรม ณ ศูนย์การเรียนรู้ และอย่างที่ 4คือ การติดตามและประเมินผลจากคณะทำงานระดับต่างๆ เพื่อให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง หรือต่อยอดการพัฒนา โดยจะมีการให้รางวัลเชิดชูเกียรติสำหรับครัวเรือน กลุ่มอาชีพ ชุมชนที่ประสบความสำเร็จด้วย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะผลักดันภาคการเกษตรในเรื่องการส่งเสริมตลาดทั้งภูมิภาค ต่างประเทศ และระบบออนไลน์ จะพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ให้เป็นแหล่งอาหารหลัก ทางด้านอุตสาหกรรมก็จะส่งเสริมอุตสาหกรรมการแปรรูปครบวงจร จะมีการดึงดูดและส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ให้มากขึ้น จะมีการสร้างและฝึกอบรมแรงงานให้มีทักษะ สำหรับด้านการท่องเที่ยว จะพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและธุรกิจร่วมกับภาคเอกชน เช่น ไดโนเสาร์ เวิร์ล เพื่อเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจะมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัด นอกจากนี้จะมีการเพิ่มจำนวนที่พัก และศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ด้วย ส่วนด้านศิลปวัฒนธรรม จะพัฒนาตลาดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบครบวงจรและจะใช้ศูนย์ดิจิทัลชุมชนเพื่อพัฒนาและประชาสัมพันธ์ศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้ พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชน ได้ลงพื้นที่อำเภอยางตลาดและอำเภอสหัสขันธ์ เพื่อดูพื้นที่บริเวณที่มีศักยภาพในด้านการสร้างโรงแรม ที่พัก เกสต์เฮาส์ ศูนย์การประชุม และคลังสินค้าด้วย ทีมข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์
06 ม.ค. 2561
รายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในวารดิถี ขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพรปีใหม่ แก่พสกนิกรชาวไทยทุกคน โดยทรงพระราชทานพรและความปรารถนาดี ให้ปวงชนชาวไทยมีกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาที่แจ่มใส แข็งแรง มีความสุขความเจริญอันเป็นมงคลยิ่งๆ ขึ้นไป ?อีกทั้ง ทรงขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ให้ปกป้องคุ้มครองรักษาและให้พวกเราทุกคนมีขวัญกำลังใจในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศและชาติบ้านเมืองสืบต่อไป นอกจากนี้ ทรงมีพระราชดำรัสว่าในรอบปีที่ผ่านมาบ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ซึ่งเราทั้งหลายก็คงจะตระหนักดี โดยทรงพระราชทานสติ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น ก็ขอให้เราคนไทยสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยมีขันติ ใจเย็นค่อยคิดค่อยทำไปอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นด้วยสติและเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนได้เดินทางสัญจรกลับภูมิลำเนา และใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุข รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนบ้านเมืองของเรามีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยการทำงานที่ทุ่มเทและความเสียสละของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้งฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร มูลนิธิ และจิตอาสาต่างๆ ผมขอชื่นชมและขอขอบคุณทุกคน ที่ร่วมกันทำความดีเพื่อส่วนรวม ในการอำนวยความสะดวกให้พี่น้องของเราเดินทางไป-กลับถึงบ้าน โดยสวัสดิภาพมา ณ โอกาสนี้ด้วย อีกเรื่องที่น่าชื่นชม คือกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ที่เราจัดต่อเนื่องมาทุกปี ปีนี้มีพี่น้อง “สาธุชน” เข้าร่วมกิจกรรมมากถึง 20 ล้านคน จากทุกศาสนา หรือราว “1 ใน 3” ของประชากรทั้งประเทศ ผมถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เมื่อคนไทยใฝ่ธรรมะ โดยไม่เพียงแต่การท่องบทสวดมนต์ แต่ต้องนำหลักธรรมไปปฏิบัติในการครองชีวิตประจำวันด้วย ย่อมช่วยยกระดับจิตใจทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองในที่สุด “ทุกๆ ปีใหม่” ผมก็อยากให้เกิดสิ่งดีๆ เหล่านี้ กับพวกเราทุกคน และมอบความปรารถนาให้แก่กัน โดยสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าคำอวยพรก็คือการ “คิดดี พูดดี ทำดี” ที่มีให้กัน นอกจากนี้ผมขอให้ทุกคนได้มองย้อนไปในอดีต ได้แก้ไขข้อบกพร่องไม่ให้เกิดซ้ำ พัฒนาสิ่งเหล่านั้นให้ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทั้งนี้ทุกคนย่อมต้องการการพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กันไปอย่างสมดุล ชีวิตจึงจะมีความสุข ประเทศชาติ ก็ต้องมีการพัฒนาทั้งทางวัตถุและทางความรู้สึกนึกคิด ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดไป พี่น้องประชาชนที่รัก ทุกท่านครับ ปัญหาหนี้สิน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นภาระของผู้มีรายได้น้อย ที่ฉุดรั้งการพัฒนาคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยหนี้ครัวเรือนของประเทศเรา อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ก็คือภาระหนี้ของประชาชน คิดเป็นเกือบร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ได้มุ่ง หรือส่งเสริมการออมอย่างจริงจัง และมีลักษณะเป็นบริโภคนิยมในอดีตที่ผ่านมานะครับ ปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่บ้าง เป็นอยู่ แม้ 3 ปีที่ผ่านมานี้ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนจะลดลงบ้าง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องด้วยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอเป็นเวลานาน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็อาจยังกระจายไม่ทั่วถึง ทำให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ยังต้องพึ่งพาการกู้ยืมสำหรับใช้จ่ายเป็นค่าครองชีพ ก็ทำให้ไม่สามารถจะหลุดพ้นจาก “วงจรหนี้” ได้เสียที รัฐบาลนี้มีมาตรการหลายอย่าง ทั้งการปรับโครงสร้าง การพักชำระหนี้ของพี่น้องเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ รวมทั้ง “คลินิกแก้หนี้” และให้ความรู้ด้านการเงิน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง กับผู้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่ทั้งหมดนี้ ก็คงเป็นเพียง “มาตรการเยียวยา” ระยะสั้น ที่ช่วยบรรเทาภาระให้บางส่วนเท่านั้น มีสาเหตุหลายอย่าง หลายประการ มีหนี้บัตรเครดิต หนี้อะไรอีกมากมาย ทั้งความจำเป็นบ้าง ไม่จำเป็นบ้าง บริโภคนิยมบ้าง อะไรเหล่านี้ เราจะต้องแก้ปัญหาหนี้เหล่านี้ให้ได้อย่างยั่งยืน ในระยะยาวนั้น ผมคิดว่านอกจากในเรื่องของการเพิ่มรายได้ ที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือในหลายด้านแล้ว เราก็ต้องอาศัยการปรับตัว ของพี่น้องประชาชนในเรื่องการเพิ่มวินัยการเงินและการเก็บออมให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการออมก็มีหลายวัตถุประสงค์ ทั้งออมเพื่อมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ออมแบบมีเป้าหมาย เช่น ออมเพื่อซื้อสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราต้องการ และออมระยะยาว ผมก็เห็นตัวอย่าง มีเด็กเล็กคนหนึ่งเก็บเงินไว้สำหรับซื้อโทรศัพท์ ผมเห็นในสื่อ แล้วก็เพื่อมีเงินใช้จ่ายหลังจากที่เราเกษียณไปแล้ว นี่ก็สำหรับข้าราชการ หรือกรณีมีบำเหน็จ บำนาญ ทั้งนี้ “การออม” ก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องใส่ใจ และปลูกฝังเยาวชนไทยในวันนี้ เราก็ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้เราจะยังมีงานทำหรือไม่ มีรายได้ มีเรี่ยวแรงในการทำมาหาเลี้ยงชีพหรือไม่ หรือต่อไปเมื่อเราเกษียณอายุไปแล้วไม่มีรายได้ หากไม่มีเงินออมไว้ในอดีต ที่เพียงพอเลี้ยงตัวเองได้แล้วจะทำอย่างไร หลายคนก็บอกว่า เงินจะใช้ยังไม่พอ จะออมได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้ไม่มีทางแก้อะไรได้ ยิ่งหากใครไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครให้พึ่งพา ก็จะเป็น “ทางตัน” ในชีวิตบั้นปลาย ผมก็ต้องเตือนกันวันนี้ เราคงจะต้องคิดเสียตั้งแต่วันนี้ ปัจจุบันนั้น ประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็น “1 ใน 6” ของประชากรทั้งประเทศ และในวันนี้ ผู้มีอายุ 35 - 60 ปี ซึ่งเป็น “วัยแรงงาน” ก็กำลังเข้าสู่ “วัยชรา” ในอนาคตอันใกล้ โดยสัดส่วน “วัยแรงงาน กับ วัยชรา” จะเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล จากปัจจุบันประชากรวัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 25 ปีข้างหน้า จะเหลือประชากรวัยแรงงานเพียง 2 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน พูดง่ายๆ ก็คือภาพรวมของประเทศ วัยแรงงานจะต้องแบกภาระ เพิ่มขึ้น 2 เท่า โดยจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อรักษาระดับการผลิต ไม่ลดลงจากเดิม รวมทั้งยังคงต้องพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนประเทศ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ไม่ย่อหย่อน หรือทัดเทียมนานาอารยประเทศ ภายใต้บริบทของโลก ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันสูง รัฐบาลต้องเตรียมการเพื่อสิ่งนี้ ก็อยากให้ทุกคน ต้องเตรียมตัวเองเช่นกัน นับเป็นความมั่นคงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐบาลนี้ตระหนักดี และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน หลายคนอาจจะยังไม่คิดในเรื่องนี้ ปัจจุบันเราต้องคิดให้ไกลขึ้น ให้ไกลจากตัวเอง ไกลไปวันข้างหน้าด้วย อย่าคิดวันนี้ พรุ่งนี้เท่านั้น ไม่เพียงพอกับโลกในอนาคต เราสามารถออมเพื่อมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณได้ ไม่ว่าท่านจะประกอบอาชีพอะไร โดยจะมีเงินจากรัฐบาลหรือนายจ้างมาช่วยสมทบเงินออมของท่านด้วย อาทิหากท่านเป็นข้าราชการ ก็มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หากเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากท่านเป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชน ก็มีกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือต่อให้ท่านผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า คนขับแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือผู้รับจ้างทั่วไป หรือประกอบอาชีพอื่นๆ รวมถึงนิสิตนักศึกษา นักเรียน ที่ไม่มีนายจ้างมาช่วยสมทบ รัฐบาลนี้ก็มีช่องทางในการออม เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มมีเงินใช้หลังเกษียณ โดยรัฐบาลจะช่วยสมทบออมให้กับท่านด้วยกองทุนการออมแห่งชาติ ที่เรียกว่า กอช. นั้นถูกจัดตั้งขึ้น ด้วยหลักการและเหตุผลที่ผมได้กล่าวไปแล้ว เพื่อเป็นทางเลือกในการออมให้กับพี่น้องประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ ด้วยสมัครใจ การออมต้องอาศัยการวางแผนเพื่ออนาคต เมื่อท่านเกษียณ ท่านต้องการรับ “เงินบำนาญ” รายเดือน จากกองทุนการออมแห่งชาติ หรือเงินบำเหน็จจากกองทุนประกันสังคมเท่าใดให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของท่าน ก็ต้องมีพิจารณาเลือกช่องทางให้เหมาะสม กับความต้องการของแต่ละคนด้วย ผมถือว่า “การออม” ในวันนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญช่วยสร้าง “ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน” ให้กับทุกคน ผมไม่ต้องการให้ทุกคนรวย ทุกคนอยากรวย ผมก็อยากให้ท่านรวย แต่ผมต้องการให้ทุกคนมีเงินใช้จ่ายที่ “พอเพียง” ก่อน ระยะแรก เพราะบางคนนี่หลักการพื้นฐาน ตัวเองนั้นก็ยังไม่มีความพร้อม เริ่มจากจุดที่ไม่เท่ากัน นั่นคือโลกปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองว่าอนาคตเราจะอยู่ได้อย่างไร สิ่งแรกอยากให้ทุกคนคิดก็คือว่าทำยังไงจะมีเงินใช้จ่ายที่พอเพียงแก่ตนและครอบครัวในอนาคตด้วย การออม นั้นอาจจะไม่มี “สูตรสำเร็จ” แต่ต้องคิดกัน ผมก็ขอเสนอแนวคิดง่ายๆ แบ่งออกเป็น 2 ขั้น ขั้นแรก คือ “ใช้ 70 ออม 30 เปอร์เซ็นต์” ซึ่งบางเดือนอาจมีรายจ่ายเพิ่ม ช่วงเทศกาล เปิดเทอมลูก ซ่อมรถ หรือการลงทุนเพื่ออนาคต ก็สามารถ “ถั่วเฉลี่ย” กันไป จะได้ไม่หนักเกินไป 30-70 ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัวมากนักหรอก เพราะขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตของท่านด้วย หรืออาจจะทำให้เกิดการชักหน้าไม่ถึงหลัง ถ้ามากเกินไป แต่ต้องมีการออม เราต้องมีวินัยการออมในเดือนที่ผ่านๆ มา ทุกๆ เดือนไป มากบ้างน้อยบ้าง ตั้งเกณฑ์ไว้แล้วกัน ตามความจำเป็น ขั้นที่สอง หากโชคดี “เหลือจ่ายก็เอาไปเก็บเพิ่ม” เพิ่มจากที่เราตั้งใจไว้ ไม่ใช่ใช้ก่อนแล้วหวังว่าเหลือจ่ายค่อยเอาไปเก็บ ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่มีเหลือแน่นอน เพราะเราก็เพลิดเพลินไปเรื่อย มีเงินก็ใช้ไปเรื่อย บางทีก็ลืมคิดไป แบบนี้เรียกว่าถ้าไม่มีวินัย ก็จะไม่เกิดการออม ไม่มีการออมเหมือนเนื้อเพลง “เหลือเก็บเหลือจ่าย” ของอัสนี - วสันต์ โชติกุล ซึ่งคนวัยแรงงานของประเทศ คงทราบ “กุศโลบาย” จากบทเพลงในยุคนั้นได้ดี ผมก็ขอพูดเลยไปถึงการปลูกฝังลูกหลานของเราในการ “ดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง ท่องโซเชียล” ก็ควรมองหาสาระไว้บ้าง ให้เจอแล้วใช้วิจารณญาณในการนำมาใช้ อะไรดีก็เอามาใช้ เอามาขยายความ อันไหนไม่ดีก็เตือนกัน อย่าเอามาขยายต่อ ทั้งนี้จะได้เป็นบทเรียนแก่ชีวิตของตนเอง สอนตัวเอง สอนคนอื่น พัฒนาคนอื่นด้วยคือต้องพัฒนาไปร่วมกันทั้งหมด ทั้งจิตใจ ร่างกาย ความรู้ ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญนะครับการพัฒนาตนเอง อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำหรับผู้มีรายได้น้อย คือ จะออมอย่างไร ในเมื่อรายได้ทุกวันนี้ก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว ที่ผมพูดในตอนต้น ผมก็ขอเป็นกำลังใจ โดยขอให้ลองตรึกตรองถึง “การเติมน้ำใส่ตุ่มที่ก้นรั่ว” การเติมน้ำคือ “รายได้” ส่วนน้ำรั่วคือ “รายจ่าย” หากเราต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ต้องเติมน้ำให้ได้มากกว่าน้ำรั่วอยู่เสมอ เปรียบได้กับการหารายได้เสริม การสร้างมูลค่าเพิ่ม การปรับปรุง– แปรรูป –พัฒนาสินค้าและบริการอยู่เสมอ แล้วก็อุดรอยรั่วให้ได้ ค่าใช้จ่าย หรือรายจ่ายที่ไม่จำเป็น นั่นเขาเรียกว่าอุดรูรั่วไปด้วย ผมเคยเห็น “แม่ค้าไก่ย่าง” อร่อยและขายดี มีคนมารอซื้อ แต่ลูกค้าหลายราย ไม่ทนตากแดด ตากฝน เพราะไม่มีเวลา ที่จะไปซื้อของอย่างอื่นด้วย เกรงว่าจะไม่มีเวลา ก็เลยไปซื้ออย่างอื่นแทน แทนที่จะรอซื้อไก่ย่าง อย่างที่ตั้งใจ เพราะแม่ค้าบางครั้งขายดีก็จริงแต่ไม่ยอมพัฒนากระบวนการทำงาน คือไม่เตรียมข้าวเหนียวใส่ห่อ ไม่ใส่น้ำจิ้มไว้ล่วงหน้า ไม่แจกบัตรคิว หรือไม่ยอมลงทุนเพิ่มเตา หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของตนให้สูงขึ้น ตามจำนวนของลูกค้าซึ่งสามารถทำสถิติช่วงเวลาของวัน และแต่ละวันในสัปดาห์ได้ ก็เลยขายได้เท่าเดิม เสียลูกค้าประจำบางราย เป็นการทำลายโอกาส หรือโอกาสของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย เพราะไม่ทบทวนและพัฒนาตนเอง ก็เป็นเพียงตัวอย่าง กลับมาที่เรื่องการออมของผู้มีรายได้น้อย อีกวิธีคือ “การอุดรูรั่ว” ที่กล่าวไป ก็คือจะทำได้ก็ต้องมีการทำ “บัญชีครัวเรือน” ซึ่งช่วยวิเคราะห์ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จัดลำดับความสำคัญ– ความเร่งด่วน ไม่ใช้จ่ายที่เกินตัว เกินกำลังตัวเอง และก็วางแผนการเก็บเงินเพื่อค่าใช้จ่ายในอนาคตที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ เช่น ค่าเทอมลูก ค่าถ่ายน้ำมันเครื่องรถ ค่าน้ำมัน เหล่านี้เป็นต้น ปีใหม่นี้ ผมก็อยากให้ทุกคน ได้มีการทบทวนตนเอง พัฒนาตนเอง แล้วก็ฝากไว้ให้ได้คิดว่า เรายิ่งเริ่มออมได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะทำให้ “อยู่ได้อย่างมั่นใจ แก้ได้อย่างมั่นคง” เร็วขึ้นเท่านั้น ทุกคนต้องไปสู่วัยนั้นทุกคน อย่าประมาท พี่น้องประชาชนที่รักครับ อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากเรียนให้ทราบ และสร้างความเข้าใจให้มากขึ้นก็คือ ประเด็นบทบาทของท้องถิ่นและการใช้จ่ายงบประมาณของท้องถิ่นซึ่งในแต่ละปี งบประมาณท้องถิ่นจะประกอบด้วย (1) รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บได้เอง เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ เป็นต้น ก็แล้วแต่ละพื้นที่ต้องรับผิดชอบด้วยการเก็บภาษีเหล่านี้ และ (2)เงินภาษีที่รัฐจัดสรรให้ แบ่งให้ รวมถึงเงินอุดหนุนเพิ่มเติม เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนำไปใช้บริหารจัดการและดำเนินการโครงการต่าง ๆ ตามความต้องการของชุมชน ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับการกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้อย่างตรงจุด สรุปง่ายๆคือเก็บเอง และรัฐบาลอุดหนุนเพิ่มเติมไป เพราะเก็บเองไม่เพียงพอ การกำหนดพื้นที่ที่มีปัญหาในวันนี้ก็คือเรื่ององค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) เทศบาล ที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้ ทำให้เกิดปัญหาการจัดเก็บรายได้ด้วย ถ้าคนน้อยเกินไป พื้นที่น้อยเกินไปก็เก็บเงินได้น้อย พอเก็บได้น้อย รัฐบาลให้เงินลงไปมันก็ไม่พอใช้อยู่ดี ต้องไปช่วยกันแก้ไปคิดเอาแล้วกัน ผมยังพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้นในตอนนี้ โดยในปีงบประมาณ 2561 นี้ รายได้ทั้งหมดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ที่ 720,000 ล้านบาท หรือเกือบร้อยละ 30 ของงบประมาณทั้งหมด นอกเหนือไปจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรลงสู่ท้องถิ่นโดยตรงแล้ว รัฐบาลก็ยังมีการจัดสรรงบประมาณไปสู่กระทรวงต่างๆ ในการใช้จ่ายสำหรับการบริหารจัดการโครงการในภาพรวมของประเทศอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ย่อมจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานเหล่านี้ร่วมกันด้วย เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ การดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศ หรือการก่อสร้าง พัฒนา ซ่อมแซมทางหลวงสายหลักที่เชื่อมจังหวัด หรือภูมิภาค เป็นต้นส่วนถนนสายรองๆ ลงไป ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละท้องถิ่นในการบริหารจัดการจากงบประมาณ ตามที่ได้รับการจัดสรรไป สำหรับในส่วนของการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)นั้น สามารถดำเนินการได้ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติและเงื่อนไขที่กำหนดไว้โดยจะต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะงบอุดหนุนเฉพาะกิจ ที่จะต้องระบุโครงการชัดเจน หากเหลือก็ต้องนำส่งคืนคลังส่วนเงินที่เหลือจ่ายจากงบประมาณที่ อปท. ได้รับไว้ภายในวันสิ้นปี งบประมาณของทุกปี จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) ร้อยละ 25 เก็บไว้เป็น “เงินทุนสำรองเงินสะสม” และ (2) อีกร้อยละ 75 ให้ถือเป็น “เงินสะสม” เพื่อให้ อปท. มีฐานะการเงินการคลังที่มั่นคง พร้อมรับภาระและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในอนาคต ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ หรือนำไปจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง โดยจะนำไปใช้ได้เฉพาะกิจการซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อปท. ได้แก่ การบริการชุมชนและสังคม กิจการที่เป็นการเพิ่มพูนรายได้ของ อปท. กิจการที่จัดทำเพื่อบำบัดความเดือดร้อนของประชาชน หรือเป็นไปตามแผนพัฒนา อปท. หรือตามที่กฎหมายกำหนด เท่านั้น อย่างไรก็ตาม “เงินสะสม” ก้อนนี้ สามารถนำออกมาใช้ได้ หลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าทำไมไม่นำออกมาใช้ ใช้ได้แต่ไม่ทั้งหมด ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและตามสัดส่วนที่กำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยส่วนหนึ่งถูกกันไว้เพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายให้กับประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเงินเบี้ยความพิการ หรือในกรณีเกิดสาธารณภัย เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใส หากมีการนำเงินสะสมออกไปใช้ในโครงการต่างๆ อปท. จะต้องรายงานให้จังหวัดทราบ ซึ่งจังหวัดจะติดตามและรายงานผลการใช้เงินผ่านทางระบบ e-plan มาสู่ส่วนกลาง ให้สามารถตรวจสอบได้อีกด้วย ทั้งนี้แต่ละจังหวัดมีโครงสร้างและลักษณะของพื้นที่ต่างกัน การสร้างรายนั้นไม่เท่ากัน ทำให้โครงการและการดำเนินการของ อปท. ต่างกันไปด้วย ดังนั้นจะเห็นว่าเงินสะสมบางจังหวัดอยู่ในระดับสูง บางจังหวัดก็มีไม่มากนัก จึงอาจเป็นข้อจำกัดด้านโครงสร้าง ที่เราจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมในระยะต่อไปด้วย ทุกคนคงเห็นได้ว่ารัฐบาลนี้ให้ความ สำคัญกับการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น เราถือเป็นการให้โอกาส เป็นช่องทางสำหรับพื้นที่และชุมชนในการพัฒนาตนเองให้ได้ตามความต้องการมากขึ้น สิ่งที่ผมอยากเห็น ก็คือท้องถิ่นต้องรู้ในศักยภาพของตนเอง อะไรคือสิ่งที่ท่านได้เปรียบ อะไรคือจุดขาย หากเราต้องพัฒนาจุดนั้นให้ดียิ่งขึ้น เราจะต้องเติมเต็มอย่างไร องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจะมาเติมเต็มในส่วนที่ประชาชนได้รับผลประโยชน์โดยตรงใกล้ๆตัว เพราะนอกจากจะช่วยสร้างอัตลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้กับพื้นที่ของตนรวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุน แล้วยังเป็นการพัฒนาที่มีโฟกัส หรือเป้าหมายที่ชัดเจน คือ เพิ่มในส่วนที่เก่ง ให้กลับไปช่วยพัฒนาหรือปรับกลุ่มที่ยังต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้ทั้งท้องถิ่นเดินหน้าไปด้วยกันได้ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่คุ้มค่า ที่สำคัญต้องสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ หรือ “ยุทธศาสตร์ชาติ” ด้วย อาทิ ในเรื่องของการสร้างถนนในความรับผิดชอบของ อปท. โดยมีส่วนผสม “ยางพารา” เพื่อเป็นการเพิ่มความต้องการใช้ยางในประเทศหรือการสร้างเครือข่ายถนน ในลักษณะที่เป็น “ใยแมงมุม” เชื่อมต่อกัน ตามแนวคิดที่ผมได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ถนนสายรองเชื่อมโยงกับสายหลัก อ้อมผ่านบ้าง เพราะเราสร้างทั้งหมดไม่ไหว จะได้ขยายบางส่วน อ้อมบางส่วน แล้วอาจจะไปบรรจบได้ในเส้นทางเดิมตรงไหนที่รถไม่ติดขัดทำนองนี้ ต้องไปหาวิธีการใหม่ๆ คิดออกมา เพราะเราไม่สามารถจะจัดสรรงบประมาณจำนวนมากพร้อมๆกันได้ เพื่อเราจะได้มีการปรับปรุงถนนต่างๆ นั้นให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดี แก้ปัญหาการจราจร ปลอดภัย เป็นทางเลือกให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว รวมทั้งในเรื่องการขนส่งผลผลิตจากแหล่งผลิตสู่ตลาดเป็นต้น รถบรรทุกที่มีปัญหาก็แก้ปัญหาน้ำหนักเกิน ไม่เกินอะไรเหล่านี้ เพราะฉะนั้นปัญหาทั้งหมดไม่ได้รับการแก้ไข ถึงจะแก้ทีเดียวก็แก้ไม่ได้ทั้งหมดอยู่ดี ต้องใช้เวลาในการแก้ รวมทั้งจะต้องสามารถรองรับการสัญจรในช่วงเทศกาล ซึ่งเป็นปัญหามาหลายสิบไป เราก็ไม่มีแนวทางอื่นที่จะแก้ไข “ปัญหาคอขวด” เช่น ไปภาคเหนือที่ไม่ต้องผ่านจังหวัดนครสวรรค์ได้หรือไม่ ไปภาคอีสาน “ทั้งภาค” ทำไมรถทุกคัน ต้องผ่าน จังหวัดนครราชสีมา ทำให้ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ เสียสุขภาพจิต เผาผลาญน้ำมันไม่รู้เท่าไหร่ เป็นแบบนี้มากี่สิบปีแล้ว หาก อปท. และส่วนภูมิภาค ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าใจในนโยบายเหล่านี้ ก็จะรู้ว่ารัฐบาลนี้ พยายามที่จะกระจายความเจริญไปสู่ทุกจังหวัด ลดปัญหา ลดภาระ ลดอันตรายต่างๆทั้งหมด ต้องคิดไปหลายกิจกรรมด้วยกัน เรียกว่าไม่ใช่คิดแต่งานฟังชั่นอย่างเดียว สร้างถนนก็สร้างไป ทำอะไรก็ทำไป ของแต่ละกระทรวง ก็ไม่บรรจบกันทุกเรื่อง ก็เกิดปัญหาตามไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีกด้วย ทั้งเมืองหลัก เมืองรอง เมืองท่า เมืองชายแดน มีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีเครือข่ายการคมนาคม ทั้งทางบก – ทางราง – ทางน้ำ – ทางอากาศ บางทีก็มีรถไฟ ไปซับซ้อนทางกัน ก็อาจจะต้อง รถไฟไปเชื่อมในบางช่วง บางช่วงใช้ถนน บางช่วงไปต่อรถไฟ อย่างที่ผมบอกแล้ว ต้องเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด ก็จะแบ่งเบาไปได้มาก ข้อสำคัญคือว่าจะต้องมีรายรับที่เพียงพอในการใช้บริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเหล่านี้ จะทำให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ แก้ปัญหาจราจรติดขัดต่างๆ เหล่านั้น เพราะว่าไม่ใช่แต่เพียงการแก้ปัญหาจราจรอย่างเดียวด้วยซ้ำไป เพราะช่วงเทศกาลปัญหาหนักอยู่แล้ว ปกติก็หนัก หนักด้วยวันนี้ ทุกเรื่องหนักไปหมด ต้องช่วยกัน ก็จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยทั้งประเทศ วันนี้ปัญหาก็คือรถบรรทุก รถอะไรต่างๆใช้ถนนเส้นเดียวกันหมด ถนนก็พัง บางทีก็รับน้ำหนักเกินอะไรเหล่านี้ เราไปห้ามน้ำหนักเกินมากๆ เข้มงวดมากๆ ก็มีปัญหาเรื่องการขนส่งอีก ปัญหาพันกันไปทั้งหมด เราก็ต้องพิจารณาในการดูแล ในการที่จะบังคับใช้กฎหมายให้เป็นธรรม แล้วก็เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่สร้างความขัดแย้ง คือความยากง่ายในการทำงาน ถ้าเราทำเหล่านี้ได้ทั้งหมด เราแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยทั้งประเทศได้ ก็จะเกิดภาคภูมิใจในถิ่นเกิดของตน ไม่ต้องมาแสวงโชคในเมืองจนเกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย ทั้งปัญหายาเสพติด – อาชญากรรม ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ โดยแต่ละ อปท. – จังหวัด – กลุ่มจังหวัด – และภาค ต้องมีแผนการพัฒนา จะต้องชูศักยภาพ – จุดขาย – จุดแข็งของตน ไม่ใช่เสนอโครงการอะไรมา ขออนุมัติมาไม่ยั่งยืน ต่อไปนี้ก็ต้องเข้มงวดกัน จะได้สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการคือ ยุทธศาสตร์ชาติ จะต้องส่งเสริมกันในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น จว.เชียงใหม่ – ขอนแก่น – ภูเก็ต ที่พยายามจะให้เป็น “Smart City” ที่เรียกว่าเมืองอัฉริยะ มีหลายจังหวัดที่สามารถส่งเสริมเป็น “MICE City” ได้ เหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจการประชุม หรือการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ และการจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการต่างๆ ซึ่งก็เป็น “เครือข่ายธุรกิจ” ที่กำลังเติบโต มีอนาคตไกล สามารถเชื่อมเรื่องการทำงาน การประกอบธุรกิจ เข้ากับการท่องเที่ยวได้ โดย “นักท่องเที่ยว” ในกลุ่มนี้ เราถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพราะเป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ ที่มีการใช้จ่ายเป็นค่าที่พัก เดินทาง อาหารสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป บางครั้งก็มารักษาสุขภาพ หาหมอด้วย เที่ยวด้วย มาประชุมด้วย ก็เกิด “ห่วงโซ่ด้านบริการ” มากมาย ผลประโยชน์ก็จะตามมาสู่ประชาชนของเรา ตั้งแต่สายการบินไปจนถึงรถสองแถว โรงแรมไปถึงโฮมสเตย์ ศูนย์แสดงสินค้าไปถึงร้านค้า ร้านอาหารข้างทาง และโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยไปถึงร้านนวดแผนไทย เป็นต้น สามารถกระจายรายได้ “แทรกซึม” ไปอย่างทั่วถึง ทุกสาขาอาชีพ ของสังคมในท้องถิ่น ท้องถิ่นหรือหน่วยงานในพื้นที่ต้องคิดแบบนี้ สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงให้ได้ สร้างมูลค่าให้ได้ เพื่อคนทุกคนในพื้นที่ของท่าน สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าวิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่นแบบนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือกลไก “ประชารัฐ” ในแต่ละชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค ประเทศ “ในภาพรวม” เชื่อมโยงกัน อย่าขัดแย้งกันเลย ต้องรับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน เอาเสียงส่วนใหญ่ว่าต้องการอะไร ก็ต้องยอมกันบ้างนะครับ แล้ววันหน้าสิ่งที่ส่วนน้อยเสนอมาอาจจะทำไม่ได้ในระยะแรก ก็ไปทำระยะสองระยะสามก็ว่าไป ต้องใช้กติกาตัวนี้ ไม่เช่นนั้นทำไม่ได้สักอย่าง ไปเกลี่ยเงินมากๆ บางทีไม่ได้อะไรขึ้นมา ได้แบบเล็กๆ ไม่เพิ่มมูลค่าขึ้น ก็ลำบาก เพราะฉะนั้นผมเน้นคำว่าในภาพรวม เชื่อมโยงกัน โดยการใช้งบประมาณต้องมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจจะเป็นงบประมาณของท้องถิ่นเอง ท้องถิ่นก็ไม่เท่ากันอีกแหละ บางท้องถิ่นเล็ก บางท้องถิ่นใหญ่ คนมาก คนน้อย สถานประกอบการมากบ้าง น้อยบ้าง เพราะฉะนั้นเก็บได้ไม่เท่ากัน บางพื้นที่ก็น้อยมากเลย รัฐบาลก็ต้องส่งเงินสมทบลงไปตามสัดส่วน ในทุกๆท้องถิ่น เก็บเงินเท่าที่จำได้ก็ประมาณ 7 แสนกว่าล้าน จริงๆแล้วรัฐบาลก็เติมอีกแสนกว่าล้าน เพราะฉะนั้นงบประมาณแผ่นดินที่ต้องเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ หรือการร่วมทุนกับเอกชน หรือ PPP ก็ตาม สิ่งสำคัญคือ จะต้องร่วมมือซึ่งกันและกันในด้านการพัฒนา เพราะต่างคนคนต่างมี “หน้าที่พลเมือง” ในการสอดส่อง ป้องกัน การทุจริตอีกด้วย จำไว้ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ลงมาถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน งบประมาณมีทุกส่วน จะทำอย่างไรให้สอดคล้องกัน ประสานกัน เชื่อมโยงกันอย่างที่ผมกล่าวไปเมื่อสักครู่ ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน ทุกครอบครัว” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
05 ม.ค. 2561
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกแบบภาพเขียนการ์ตูนฝีพระหัตถ์ ชุดการละเล่นไทยสมัยก่อน พระราชทานเพื่อให้จัดทำบัตรอวยพรประจำปีพุทธศักราช 2561
เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกแบบภาพเขียนการ์ตูนฝีพระหัตถ์ ชุด "การละเล่นไทย" สมัยก่อน พระราชทานเพื่อให้จัดทำบัตรอวยพรประจำปีพุทธศักราช 2561 พร้อมข้อความพระราชทานพรด้วยลายพระราชหัตถ์และทรงลงพระปรมาธิไธยกำกับไว้จำนวน 4 แบบ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย บ่งบอกถึงบรรยากาศของความสงบสุข ร่มเย็น ความสนุกสนานรื่นเริง ความรักความสามัคคี อันเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยและชาติไทย รายได้จากการจัดทำบัตรอวยพรจะนำไปใช้ในการพระราชกุศลเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชนและผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยคุกคามต่างๆ และประเทศชาติ โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถจัดซื้อหาไว้เป็นส่วนตัวหรือส่งไปยังบุคคลอันเป็นที่รักและเคารพได้ และยังได้มีส่วนร่วมในการทำบุญทำกุศลในกิจการพระราชกุศลต่างๆ ร่วมกันต่อไปด้วย โดยบัตรอวยพรแบบแรกเป็นการละเล่น "มอญซ่อนผ้า" พร้อมกับข้อความ "สุขสันต์รับวันปีใหม่ ส.ค.ส.2561 การละเล่นไทย "มอญซ่อนผ้า" สุขอุราแจ่มใส พร้อมกับทรงลงพระปรมาภิไธยกำกับอยู่ด้านล่างพร้อมลงวันที่ 1 ม.ค.61 ที่มุมขวา ด้านล่างมีคำว่า "จอ" และภาพสุนัข ซึ่งเป็นปีนักศัตรปีจอ ประกอบ ส่วนบัตรอวยพรแบบที่ 2 เป็นการละเล่น "รีรีข้าวสาร" และมีภาพสุนัขและคำว่า "จอ" อยู่ข้างๆ เด็กที่กำลังเล่น พร้อมมีข้อความ "ส่งความสุข ส.ค.ส.ปีใหม่ 2561 การละเล่นไทย "รีรีข้าวสาร" สุขสำราญ เบิกบานฤทัย และมีพระปรมาภิไธยอยู่ด้านล่าง ลงวันที่ 1 ม.ค.61 ส่วนบัตรอวยพรแบบที่ 3 เป็นการละเล่น "ขี่ม้าก้านกล้วย" โดยเป็นภาพการ์ตูนที่พ่อแม่ช่วยกันทำม้าก้านกล้วย พร้อมมีข้อความ "คุณพ่อ คุณแม่ ช่วยกันทำม้าก้านกล้วยให้เด็กๆ" ส่วนตรงกลางภาพด้านขวามีคำว่า "จอ" พร้อมภาพการ์ตูนสุนัข สัญลักษณ์ประจำนักษัตรปีจอ และด้านล่างมีข้อความ "ส.ค.ส.2561 ส่งความสุขตลอดไป ตลอดไป การละเล่นไทย" "ขี่ม้าก้านกล้วย" อำนวยสุข อำนวยชัย และทรงลงพระปรมาภิไธยกำกับ วันที่ 1 ม.ค.61 และบัตรอวยพรแบบที่ 4 เป็นการละเล่น "กระโดดเชือก" และมีความข้อความว่า ส.ค.ส.ส่งความสุข ต้อนรับปี 2561 การละเล่นไทย "กระโดดเชือก" สุขสันต์เริงร่า ร่างกายแข็งแรง พร้อมกับพระปรมาภิไธย ลงวันที่ 1 ม.ค.61 และมีภาพสุนัขสัญลักษณ์นักษัตรปีจอ และคำว่า "จอ" อยู่ด้านข้าง ผู้สนใจสามารถร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลได้ ทั้งชุด 4 ภาพ ในราคาชุดละ 99 บาท โดยจะสามารถหาซื้อได้ที่ร้านโกลเด้นเพลซ, ร้านเซเว่นอีเลฟเวน, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัทประกันภัยเมืองไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทคิงส์พาวเวอร์ จำกัด ทั่วราชอาณาจักร ในวันที่ 5 มกราคมนี้ ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
04 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เดินหน้าการลงทุนภาครัฐ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องการเดินหน้าการลงทุนภาครัฐ ปี 2561 ว่า กระทรวงคมนาคมได้ขับเคลื่อนโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา มาตลอดระยะเวลา 2ปีที่ผ่านมา และในขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วบางส่วน หวังให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ขณะที่การเจรจาตัวรถไฟจะใช้ความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยจะทำการเจรจากับประเทศจีนให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2561 เพื่อให้ได้ข้อสรุปและเกิดความมั่นใจ เมื่อก่อสร้างเสร็จจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจะพยายามเร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 ทั้งนี้ รัฐบาลมีแนวคิดว่าหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะเปิดให้บริการตามสถานีต่างๆ ตามความเหมาะสม ขณะเดียวกัน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามเส้นทางการเดินรถ ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว พัฒนาให้สอดรับกับเศรษฐกิจในอนาคต อีกทั้งจะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุน นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังมีโครงการต่างๆ ที่กำลังดำเนินการขับเคลื่อน เช่น รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง และโครงการรถไฟสายสีแดง ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการโดยจะดำเนินการในปี 2561 ต่อไปธนนชัย กุลสิงห์ / สวท.
04 ม.ค. 2561
ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาจำคุกผู้ต้องหาคดีความมั่นคงแล้ว 3 ราย
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ระบุศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาจำคุกผู้ต้องหาคดีความมั่นคงแล้ว 3 ราย หลังตรวจสอบพบมีหมายจับรวมกัน 6 หมาย ขณะที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังเน้นบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างเข้ารายงานตัว เพื่อร่วมสร้างสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน พันเอก ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 - 29 ธันวาคม 2560 ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำสั่งพิพากษาผู้ต้องหาคดีความมั่นคง จำนวน 3 ราย ในคดีเกี่ยวกับอั้งยี่ ซ่องโจร ก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ต่างกรรมต่างวาระกัน ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วยคดีที่ 1 ศาลจังหวัดปัตตานีได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.2438/60 โดยพิพากษาจำคุกนายรูสลัน ตูหยง หมายเลขประชาชน 3-9505-00149-87-5 จำนวน 4 ปี จากการตรวจพบ DNA ในเหตุการณ์แขวนป้ายผ้าแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2556 คดีที่ 2 ศาลจังหวัดปัตตานีได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.2088/60 โดยพิพากษาจำคุกนายอัครเดช สนิ หมายเลขประชาชน 1-9409-00105-99-2 จำนวน 4 ปี ในคดีอั้งยี่ ซ่องโจร เนื่องจากตรวจพบ DNA ตรงกับเอกสารที่ยึดได้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อการร้ายและแบ่งแยกดินแดน จากการเข้าจับกุมผู้ต้องหาภายในโรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม ตำบลพ่อมิ่ง อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 10 มีนาคม 2560 และคดีที่ 3 ศาลจังหวัดปัตตานีได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.2644/60 โดยพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายซูฟียาน สนิ หมายเลขประชาชน 2-9405-00018-84-2 ซึ่งเป็นคดีลอบยิง จากเหตุการณ์คนร้าย 7 - 8 คน พร้อมอาวุธปืนลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารและราษฎร บริเวณ หมู่ 3 ตลาดบ้านตาแบ๊ะ ตำบลลางา อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เมื่อ 2 มีนาคม 2560 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 3 นาย และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าติดตามจับกุมเมื่อ 31 มีนาคม 2560 พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนพก 2 กระบอก และซิมการ์ดโทรศัพท์ในพื้นที่อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี จากการตรวจสอบพบว่า ซิมการ์ดโทรศัพท์เป็นของทหารที่ถูกยิงในตลาดนัดบ้านตาแบ๊ะ และจากการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนพบว่าเคยใช้ก่อเหตุยิงราษฎรในพื้นที่ตำบลปาลัส อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และก่อเหตุยิงทหารเสียชีวิต 3 ราย จึงพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย พบว่ามีหมายจับรวมกัน 6 หมาย และเคยก่อเหตุที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับคำพิพากษาในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลายคดี ในส่วนคดีอื่นๆ ที่เหลือ ศาลชั้นต้นได้ยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งพนักงานอัยการได้ยื่นขออุทธรณ์ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังคงให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนของการปฏิบัติภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน เพื่อนำผู้ที่กระทำความผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการยุติการใช้ความรุนแรงเข้ารายงานตัวแสดงตนตามโครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อร่วมสร้างสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืน โดยเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเข้าสู่กระบวนยุติธรรม โดยสามารถติดต่อผ่านศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ หรือผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
04 ม.ค. 2561
สัมผัส "กุนุงซิลิปัต" ทะเลหมอก 360 องศา เสน่ห์เมืองงามชายแดนใต้ อำเภอเบตง
สัมผัส "กุนุงซิลิปัต" ทะเลหมอก 360 องศา เสน่ห์เมืองงามชายแดนใต้ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ทะเลหมอกตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ยังเป็นสถานที่ดึงดูดใจให้ทั้งนักท่องเที่ยว ประชาชนจากหลากหลายพื้นที่ รวมทั้งช่างภาพอาชีพ และช่างภาพมือสมัครเล่น ต่างเดินทางไปร่วมชมความสวยงามของทะเลหมอกสุดสวยชายแดนใต้ กันอย่างต่อเนื่อง โดยทะเลหมอกกุนุงซิลิปัต (ฆูนุงสีรีปัต) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ภูเขาหิน" กิโลเมตรที่ 21 เป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมากอีกจุดของอำเภอเบตง ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อตำบลตาเนาะแมเราะ กับตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยจุดชมทะเลหมอกบนยอดเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 670 เมตร มีพื้นที่ให้ยืนชมความสวยงามยามเช้า ได้ประมาณห้าสิบคน โดยที่นี่สามารถมองดูทะเลหมอก ได้รอบตัวถึง 360 องศา สำหรับทะเลหมอกกุนุงซิลิปัต สามารถเดินทางไปได้ 2 เส้นทาง คือ ตำบลอัยเยอร์เวง และตำบลตาเนาะแมเราะ อยู่ห่างจากที่พักในเมืองเบตง ไปตามเส้นทางหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) ประมาณ 21 กิโลเมตร จากนั้นจะต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเดินทางขึ้นเขาต่อไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร และเดินเท้าปีนเขาอีกประมาณ 20-30 นาที จึงจะถึงจุดชมวิวทะเลหมอกที่มีความสวยงาม ทั้งนี้ประชาชน นักท่องเที่ยว ที่สนใจเที่ยวทะเลหมอกเขากุนุงซิลิปัต สามารถติดต่อได้ที่ นายอิบบรอเฮ็ม สาอะ หมายเลขโทรศัพท์ 08-5470-8039 และที่นายซูกิฟฟลี จะปะกิยา หมายเลขโทรศัพท์ 08-2265-6900 หรือจะประสานกลุ่มเยาวชน 08-1093-8549 (เฮง) ส่วนค่าใช้จ่าย เป็นค่านำเที่ยว รักษาความปลอดภัย ลูกหาบ รถยนต์ อาหารว่าง 2 มื้อ ข้าว 1 มื้อ และเต็นท์ กรุ๊ปละ 5 คน เพียงคนละ 600 บาทเท่านั้น
03 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันพุธที่ 3 มกราคม 2561
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกรอบการดำเนินการโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ในที่ดินราชพัสดุ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนผู้ที่ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนทั่วไป รวมถึงบุคลากรภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลา 4 ปีแรก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ MRR-0.75 หรือ MRR-1 ต่อปี สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุระยะที่ 2 (บ้านคนไทย) กรอบวงเงินแบ่งเป็น 2 กรอบ ได้แก่ สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) ซึ่งธนาคารอาคารสงเคราะห์และธนาคารออมสินได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1- 3 ร้อยละ 3 ต่อปี หลังจากนั้น MLR - ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 5 ปี เพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้ผู้ประกอบการและบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนปีที่ 1-4 ร้อยละ 2.75 ต่อปี MRR - ร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 30 ปี คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างกฎกระทรวงค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษ หมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพฯ –ชลบุรี –พัทยา (ฉบับที่....) พ.ศ.... เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (กรุงเทพฯ - เมืองพัทยา) ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางในระบบปิด (Closed System) ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2532 โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมระบบปิดอย่างเต็มรูปแบบ จำนวน 9 ด่าน ประกอบด้วย ด่านลาดกระบัง ด่านบางบ่อ ด่านบางปะกง ด่านพนัสนิคม ด่านบ้านบึง ด่านบางพระ ด่านหนองขาม ด่านโป่ง และด่านพัทยา โดยจะให้กรมทางหลวงเปิดให้บริการระบบปิดและใช้อัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตราใหม่ รถ 4 ล้อ จากด่านต้นทาง (ด่านลาดกระบัง) – ปลายทาง (ด่านพัทยา) ในอัตรารวม 105 บาท รถ 6 ล้อ จากต้นทาง (ด่านลาดกระบัง) – ปลายทาง (ด่านพัทยา) ในอัตรารวม 170 บาท และรถมากกว่า 6 ล้อจากต้นทาง (ด่านลาดกระบัง) – ปลายทาง (ด่านพัทยา) ในอัตรารวม 245 บาท
02 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : ความรู้กฎหมายสู่ชุมชนกับความยุติธรรมที่ต้นทาง
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย เรื่องความรู้กฎหมายสู่ชุมชนกับยุติธรรมที่ต้นทาง ว่า ตามหลักกฎหมายแล้วประชาชนไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อปฏิเสธความผิดได้ แม้ตามความเป็นจริงจะเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนจะรู้กฎหมายทั้งหมด เพราะขนาดศาลยังไม่รู้กฎหมายทั้งหมดยังต้องมีศาลชำนาญพิเศษเฉพาะด้าน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ประชาชนรู้กฎหมายที่จำเป็นและกระบวนการทางกฎหมาย รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวด้วยว่า กระทรวงยุติธรรมมีกองทุนยุติธรรมเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่ให้ความรู้กฎหมายแก่ประชาชน ซึ่งหน่วยงานที่ให้ความรู้กฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา สภาทนายความ กระทรวงยุติธรรม อัยการ และศาล สามารถขอสนับสนุนเงินทุนเพื่อจัดโครงการต่างๆ ได้ รวมถึงในพื้นที่ชุมชน หากมีความต้องการที่จะเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมาย สามารถขอรับเงินสนับสนุน รวมถึงวิทยากรในการบรรยายให้ความรู้ นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมยังเสริมสร้างเครือข่ายเข้ามาช่วยเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมาย โดยใช้วิธีการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจตามความเหมาะสมและวัย ทั้งนี้ยอมรับว่าที่ผ่านมา การให้ความรู้ด้านกฎหมายที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือ การให้ความรู้ในสถานศึกษาแก่เยาวชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้มีองค์ความรู้ตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อเติบโตขึ้นแม้จะไม่ทราบข้อกฎหมายทั้งหมด แต่อย่างน้อยเมื่อเกิดคดีความขึ้นจะทราบว่าใครจะเป็นที่พึ่งได้บ้าง ฐิตาวัลย์ ลาภขจรสงวน / สวท.
02 ม.ค. 2561
รายการเดินหน้าประเทศไทย : 9 ของขวัญปีใหม่ ก้าวไปกับ พม.
พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัด "9 ของขวัญปีใหม่ ก้าวไปกับ พม." เป็นของขวัญปีใหม่ของรัฐบาล เพื่อส่งความสุขให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดยันผู้สูงอายุทั่วประเทศ ประกอบด้วย ของขวัญเด็กแรกเกิด (ดย.) เป็นเช็คเงินสดชุด ของใช้เด็กแรกเกิดมูลค่า 1,000 บาท จำนวน 5,005 ชุด แอปพลิเคชันครอบครัว (สค.) บนมือถือ รู้สิทธิ รู้ช่องทาง รู้กฎหมาย Family Data (พส.) เปิดประตูเยี่ยมบ้านผู้มีรายได้น้อย 2.5 แสนครอบครัว วางแผนช่วยเหลือ ผู้สูงอายุอายุยืน...เยาว์ (ผส.) มอบของขวัญแก่ผู้อายุเกิน 100 ปี ทุกจังหวัด ศูนย์บริการคนพิการ 4 มุมเมือง (พก.) ที่อ้อมน้อย ลาดกระบัง สายไหม มีนบุรี 1300 โทรสุขทั่วไทย ยิ้มไกลทั่วโลก (สป.) สายด่วนช่วยเหลือสังคม 24 ชั่วโมง ลงเยี่ยมผู้ใช้บริการ ลด แลก แจก แถม (กคช.) ลดดอกเบี้ย ม.ค.-ก.พ.2561 แจกแบบบ้านผู้สูงอายุฟรี ลูกค้าใหม่ไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอน มอบบ้านพอเพียงชนบท 2,561 หลัง (พอช.) ซ่อมแซมบ้านผู้มีรายได้น้อย 2,561 หลัง และลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ (สธค.) โรงรับจำนำ 3 ม.ค.- 31 ม.ค.2561 นพรุจ กล่ำทอง / สวท.
31 ธ.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2561
วันนี้ (31 ธ.ค.2560) เวลา 20.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2561 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า "บัดนี้ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2560 ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดี และอำนวยพรแก่ทุกๆ ท่าน ให้มีความสุข ความเจริญ ให้มีกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาที่แจ่มใส เข้มแข็ง ตลอดจนประสบแต่ความสุข ความเจริญ อันเป็นมงคลยิ่งๆ ขึ้นไป ในรอบปีที่แล้ว บ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ดังที่ท่านทั้งหลายก็คงจะตระหนักทราบดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น เราคนไทยก็สามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยความขันติ ใจเย็น ค่อยคิด ค่อยทำไป อย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่น ด้วยสติและเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์และความสุขของประเทศชาติและประชาชน ขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง จงปกป้อง คุ้มครอง รักษา และให้ขวัญกำลังใจต่อทุกท่านถ้วนหน้า ในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศและชาติบ้านเมืองของเราสืบต่อไป"
31 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เทศกาลปีใหม่ ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทย
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย “เทศกาลปีใหม่ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทย” ว่า กระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนภายใต้กิจกรรม “ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล นำความเป็นไทยสู่ใจประชาชน ” เพื่อส่งเสริมให้มีการสร้างความสุขทางใจและความเป็นสิริมงคลเข้าสู่ปีใหม่ เช่น สวดมนต์ข้ามปี ที่เป็นไฮไลท์ของงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งในปี 2559 มีพุทธศาสนิกชนเข้าร่วมสวดมนต์ข้ามปีมากกว่า 19 ล้านคน ส่วนปีใหม่ 2561 นี้ เป็นครั้งที่ 14 ได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีในทุกศาสนาในประเทศไทย พร้อมทั้ง กิจกรรมสวดมนต์อาเซียนในพื้นที่ 15 จังหวัด ที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น แม่ฮ่องสอน นครพนม สระแก้ว ระนอง สตูล ศาสนิกชนในศาสนาคริสต์ พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์อธิษฐานขอพรตามหลักธรรมทางศาสนา “ส่งท้ายปีเก่า วิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561” และถวายเป็นพระราชกุศล ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยพร้อมเพรียงกัน สวดมนต์ข้ามปีของวัดไทยทั่วโลกกว่า 100 วัด และสวดมนต์ข้ามปีของวัดอื่นๆ ในต่างประเทศพร้อมกับประเทศไทย เช่น ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย หลังกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้รับความสนใจและนิยมมากขึ้นในทุกปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมในจุดที่จัดเตรียมไว้ ระหว่างคืนวันที่ 31 ธันวาคมถึงวันที่ 1 มกราคม 2561 ทั้งนี้ ในปีหน้านายกรัฐมนตรีจะจัดกิจกรรมชาวพุทธทั่วโลกสวดมนต์ข้ามปีปิยาพรรณ ยังเทียน / สวท.
31 ธ.ค. 2560
จ.สกลนคร เข้าสู่วันที่ 4 ของการเฝ้าระวังช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 เฉพาะวันที่ 30 วันเดียว อุบัติเหตุเพิ
วันนี้ (31 ธันวาคม 2560) ที่ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 นาย นภดล ไพฑูรย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นประธานในการประชุม เฝ้าระวัง 7 วันอันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2561 โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ข้อมูลอุบัติเหตุประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2560 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสกลนคร สรุปผลการดำเนินงาน จังหวัดสกลนคร เกิดอุบัติเหตุ 15 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 16 ราย หนึ่งในนั้นเกิดอุบัติเหตุหนุ่มขับรถขนผักชนเสาไฟฟ้าทางขึ้นเขาภูพาน อาการสาหัส สรุป 3 วัน มีผู้บาดเจ็บรวม 31 ราย จากอุบัติเหตุรวม 29 ครั้ง ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
31 ธ.ค. 2560
จ.สุพรรณบุรี เปิดงานอู่ทองอู่อารยธรรม ปี 2560
จังหวัดสุพรรณบุรี จัดงานอู่ทองอู่อารยธรรมสุวรรณภูมิ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2560 ที่หมู่บ้านอู่ทอง อู่อารยธรรม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานเปิดงาน "อู่ทอง อู่อารยธรรมสุพรรณภูมิ ครั้งที่ 8 เบิกฟ้า ทวารวดีศรีอู่ทอง" ประจำปี 2560 โดยมี นางจุฬารัตน์ วันไชยะนวงศ์ นายกเหล่ากาชาด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน กลุ่มสตรีอำเภออู่ทอง เยาวชน และคณะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน นายชนพหล ส่งเสริม นายอำเภออู่ทอง ได้กล่าวว่า วัตถุประสงค์ ในการจัดงาน "อู่ทอง อู่อารยธรรม ครั้งที่ 8 ในปี พ.ศ.2560" ครั้งนี้ อำเภออู่ทอง โดยจังหวัดสุพรรณบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภออู่ทอง องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยืนยืน (อพท.) สำนักงานท่องเที่ยวสุพรรณบุรี และมูลนิธิสุวรรณภูมิ กำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2560 - 4 มกราคม 2561 รวม 7 วัน ณ หมู่บ้านอู่ทอง อู่อารยธรรมสุวรรณภูมิ และพุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ภายใต้กิจกรรม “ เบิกฟ้าทวารวดีที่อู่ทอง” ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรร และวิถีชีวิตดั้งเดิมของอำเภออู่ทองที่ผ่านมา กิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นภายในงาน อาทิ จัดนิทรรศการต่าง ๆ เช่น นิทรรศการกลุ่มทวารวดี กลุ่ม 5 ชาติพันธุ์ นิทรรศการการท่องเที่ยว 5 ขุนเขา 1 ศาลเจ้าพ่อพระยาจักร นิทรรศการการท่องเที่ยวเมืองโบราณอู่ทอง นิทรรศการภาพถ่ายเมืองโบราณอู่ทอง จัดให้มีกิจกรรมและการแสดงต่างๆ อาทิ การแสดงแสง สีเสียง งานอู่ทอง อู่อารยธรรมสุวรรณภูมิ เบิกฟ้า ทวาราวดีที่อู่ทอง การแสดงจากกลุ่มชาติพันธุ์ แฟชั่นโชว์ “พัสตราภรณ์ย้อนแผ่นดินอู่ทอง” รำวงย้อนยุค การประกวด “ธิดาทวารวดี” และการแสดงของศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น วงมหาหิงค์ หนุ่มวงกะลา วงพัทลุง ลำไยไหทองคำ เป็นต้น
31 ธ.ค. 2560
นักศึกษาอาชีวะอาสา จ.สตูล ออกหน่วยบริการดูแลสภาพรถ นักท่องเที่ยว และประชาชน เดินทางปลอดภัยเทศกาลปีใ
นักศึกษาอาชีวะอาสา จังหวัดสตูล ออกหน่วยบริการดูแลสภาพรถ นักท่องเที่ยว และประชาชน เดินทางปลอดภัยเทศกาลปีใหม่ อีกทั้งเป็นการฝึกทักษะงานบริการและจิตสาธารณะ นักศึกษาอาชีวะอาสา จังหวัดสตูล ออกหน่วยบริการดูแลสภาพรถ นักท่องเที่ยว และประชาชน เดินทางปลอดภัยเทศกาลปีใหม่ อีกทั้งเป็นการฝึกทักษะงานบริการและจิตสาธารณะ ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.อำเภอละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล วิทยาลัยการอาชีพละงู นำนักศึกษาอาสา เข้าร่วมโครงการอาชีวะอาสา บริการตรวจเช็คสภาพรถฟรี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 โดยบริการตรวจซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์เบื้องต้น 20 รายการ และรถยนต์ นอกจากจะเป็นการบริการประชาชนใช้เส้นทางในช่วงเทศกาลเดินทางเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่แล้ว ยังเป็นการร่วมดูแลผู้ใช้เส้นทางเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง และยังเป็นการฝึกทักษะให้นักศึกษารู้จักการเป็นจิตอาสา บริการสาธารณะ ฝึกทักษะงานบริการ ฝึกฝนอาชีพให้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้นกับการดูแลเบื้องต้นในรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่ผู้ใช้เส้นทางเป็นอย่างดี นายบัญญัติ หลังพิเศษ อาจารย์ในโครงการพิเศษบริการชุมชนวิทยาลัยการอาชีพละงู กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมอาชีวะอาสา บริการตรวจเช็คสภาพรถฟรี ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ จนถึง 3 มกราคม 2561 โดยแต่ละวันมีประชาชน และนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศมาใช้เส้นทางมากขึ้นเกือบ 50 รายต่อวัน โดยมีบริการดูแลสภาพรถเบื้องต้น บริการจุดพักผ่อนคลายกาแฟ และสอบถามเส้นทาง ให้ผู้ใช้เส้นทางได้เดินทางต่อด้วยความปลอดภัย เปิดบริการตั้งแต่ 08.30-00.30 น. ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท.ละงู อำเภอละงู จังหวัดสตูล และอีกจุดจัดให้บริการที่บริเวณสถานีขนส่ง อำเภอเมืองสตูล
31 ธ.ค. 2560
จุดตรวจปีใหม่ อบต.พร่อน จ.ยะลา แจกลูกอม รณรงค์สร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่รถยนต์
จุดตรวจชุมชน “รณรงค์ป้องกัน และลดอุบัติเหตุจราจร ช่วงเทศกาลปีใหม่” องค์การบริหารส่วนตำบลพร่อน จังหวัดยะลา แจกลูกอม รณรงค์สร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่รถยนต์ วันนี้ (31 ธ.ค. 60) ที่จุดตรวจ ชุมชนหน้าองค์การบริการส่วนตำบลพร่อน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ถนนสายทางลัดลำใหม่-ยะลา นายมูฮัมหมัดอัยดี ดือเร๊ะ หัวหน้าชุดกู้ภัยพร่อน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา/ประธาน อปพร. พร่อน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ อปพร. ได้นำลูกอมออกแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ขับขี่รถยนต์สัญจรในเส้นทางดังกล่าว เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้ขับขี่รักษาวินัยจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ สำหรับการตั้งจุดตรวจในช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุจราจร รวมถึงสร้างวินัยจราจร ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ซึ่งองค์การบริการส่วนตำบลพร่อน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ธ.ค. 60 ถึง 3 ม.ค. 61 โดยมีการบูรณาการกำลังร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลพร่อน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชรบ. อปพร. เจ้าหน้าที่กู้ภัย เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจร สร้างความปลอดภัยทางถนนแก่ประชาชน ตั้งแต่เวลา 07.00-24.00 น. ทั้งนี้เพื่อสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถ ใช้ถนน ให้แก่ประชาชน รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนรักษาวินัยจราจร นอกจากนี้ยังมีการตั้งด่านตรวจด้านความมั่นคง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ลำใหม่ ตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อให้ประชาชนที่สัญจรไปมามีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในช่วงเทศกาลปีใหม่อีกด้วย
31 ธ.ค. 2560
ททท. จัดกิจกรรม Amazing Thailand Countdown 2018 @ กาญจนบุรี
ททท. จัดกิจกรรม Amazing Thailand Countdown 2018 @ กาญจนบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม Amazing Thailand Countdown 2018 @ กาญจนบุรี ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวของจังหวัด นายนภดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านการตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน “Amazing Thailand Countdown 2018 @ Kanchanaburi” ณ สะพานข้ามแม่น้ำแคว อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 30-31 ธันวาคม 2560 และ 1 มกราคม 2561 โดยมีนายบวรศักดิ์ วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการร่วมพิธีเปิด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีแนวทางการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่ Amazing Thailand Countdown 2018 โดยดำเนินการในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย แบ่งเป็น 5 จังหวัด 5 ภาค ได้แก่ ภูมิภาคภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี , ภูมิภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก๊ต , ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร , ภูมิภาคภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง และภูมิภาคภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง ภายใต้ Concept "5ช. คือ ชม ชิม ช็อป ช่วย แชร์" และ "4ส. คือ เสน่ห์ สนุก สบาย สุดแซ่บ" และเพื่อเป็นการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ควบคู่กับบรรยากาศ ความสนุกสนานในการร่วมฉลองเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ และก้าวสู่ปีท่องเที่ยววีถีไทย2561 อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด "ขบวนสีสันแห่งความสุข" ประกอบด้วย "ขบวน" หมายถึง บรรยากาศของการเดินทางโดยรถไฟซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดกาญจนบุรี , "สีสัน" หมายถึง การแสดงถึงความสนุกสนานความหลากหลาย ตามแนวคิด Open to the new Shades , "ความสุข" หมายถึง การมีส่วนร่วมในบรรยากาศการเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้มี การแสดงจากวงดนตรีท้องถิ่น ขบวนพาเหรด และ "สีสันแห่งความสุข" Opening Show การแสดงจากศิลปินนักร้อง ร่วมชิมอาหารและเครื่องดื่มพื้นบ้านร้านดังในจังหวัด พร้อมร่วมเล่นเกมและลุ้นรับของรางวัลทุกคืน
30 ธ.ค. 2560
รองแม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่
พล.ต.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ตรวจเยี่ยมจุดบริการประชาชน ที่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนสิชลคุณาธารวิทยา ตำบลทุ่งปรัง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มี พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผู้บังคับกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 4 สิชล นายยงยุทธ จิตสำรวย นายอำเภอสิชล และคณะ บรรยายสรุปสถานการณ์การเดินทาง สำหรับจุดบริการประชาชนสิชลเกิดขึ้นจากการบูรณาการร่วมของกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 4 กับทุกหน่วยงานในพื้นที่อำเภอสิชล ตั้งจุดตรวจร่วมบริการมีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน ปฏิบัติงาน ตลอด 24 ชั่วโมง ดูแลผู้ใช้ถนนให้เกิดความปลอดภัย ลดอุบัติเหตุทางถนน ปฏิบัติงานต่อเนื่องไปตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคมถึงวันที่ 3 มกราคม 2561 โดยในจุดตรวจได้มรการให้บริการนวดแผนโบราณโดยพลทหารที่มีฝีมือ จัดเตียงนอนสะอาด 8 เตียง พร้อมคาราโอเกะ โต๊ะเก้าอี้นั่งพักผ่อน มีเครื่องดื่มน้ำชา กาแฟ ห้องน้ำสะอาด รอต้อนรับผู้เดินทางที่มีอาการเหน็ดเหนื่อย ต้องการแวะพักผ่อนแล้วเดินทางต่อไป วิทยาลัยเทคนิคสิชล บริการซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ โอกาสนี้รองแม่ทัพภาคที่ 4 ได้มอบของขวัญปีใหม่แก่ผู้ปฏิบัติงานประจำจุดตรวจแล้ว กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 4 มอบหมายให้มาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานในจุดตรวจ ลดอุบัติเหตุ ดูแลอำนวยความสะดวกผู้เดินทาง จุดตรวจบริการที่อำเภอสิชล มีทุกส่วนพร้อมใจมาร่วมปฏิบัติงาน ขอแสดงความชื่นชมในความสามัคคี มาด้วยใจ
28 ธ.ค. 2560
รายการ เที่ยว "โขทัย" ใน 1 วัน
ขอเชิญท่องเที่ยวเมืองสุโขทัย ใน 1 วัน ปั่นจักรยานชมอุทยานประวัติศาสตร์ พร้อมลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวดั่งเดิมสุโขทัย และแวะซื้อของฝากขึ้นชื่อจากเมืองสุโขทัย
28 ธ.ค. 2560
รายงานพิเศษ : ชิมเตี๋ยวเมืองพระร่วง
เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เมื่อมาเยือนถิ่นเมืองพระร่วง สุโขทัย แล้ว ไม่มาแวะชิมก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยสูตรดั้งเดิมที่คงความมีเอกลักษณ์ ถือว่ายังมาไม่ถึงจังหวัดสุโขทัย ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยตาปุ้ย เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม โดยการลวกเส้นนิ่มๆ ผักกรอบๆ ใส่ถั่วฝักยาวหั่นแฉลบ ราดน้ำตาลปี๊บเล็กน้อย มะนาวซีก พริกป่น ถั่วลิสงคั่วบด หมูสับ หมูแดง คลุกเคล้าให้เครื่องปรุงเข้ากัน คุณปภาดา เพ็ชรไทย หรือ คุณปุ้ย ซึ่งเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยตาปุ้ยในปัจจุบัน ได้เล่าถึงที่มาของก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยตาปุ้ย และรสชาติก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่คงความดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี เสน่ห์ของจังหวัดสุโขทัย นอกจากจะมีอุทยานประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมพื้นเมืองที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้มาเที่ยวในจังหวัดสุโขทัยแล้ว ยังมีอาหารรสเด็ด อย่างก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยที่ขึ้นชื่อของเมืองพระร่วงให้ผู้มาเยือนได้ลิ้มรสอีกด้วย สำหรับเส้นทางที่จะมาชิมก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยตาปุ้ย สามารถเริ่มจากที่ตัวเมืองสุโขทัย ขับตรงมาทางอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ระหว่างทางจะเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยตาปุ้ย โดยร้านเปิดบริการตั้งแต่ เวลา 07.30 – 16.00 น.
26 ธ.ค. 2560
ศาลจังหวัดยะลาอนุมัติออกหมายจับ 4 ผู้ต้องหา เผารถทัวร์โดยสารสายเบตง-กรุงเทพฯ แล้ว
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9 และคณะ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาที่ ศปก.ตร.สน. จังหวัดยะลา พร้อมรับทราบรายงานจากพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีต่างๆ ที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน จนเป็นที่แน่ชัดและเชื่อได้ว่ามีคนร้ายที่ได้กระทำความผิด พร้อมทั้งได้เดินทางไปยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลและศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา โดยศาลจังหวัดยะลาได้ออกหมายจับจำนวน 37 หมายจับ ผู้ต้องหาจำนวน 24 คน ศาลจังหวัดปัตตานี ออกหมายจับจำนวน 12 หมายจับ ผู้ต้องหาจำนวน 7 คน รวมออกหมายจับทั้งหมด 49 หมายจับ ผู้ต้องหาจำนวน 31 คน นอกจากนี้ รอง ผบ.ตร. ยังได้ร่วมรับมอบตัวนายซูกิบฟรี สาและผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.728/60 ลงวันที่ 22 ธ.ค.60 และ จ.733/60 ลง 25 ธ.ค.60 สภ.เมืองปัตตานี นายรอกิ แดมอผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.729/60 ลงวันที่ 22 ธ.ค.60 และ จ.734/60 ลง 25 ธ.ค. 60 สภ.เมืองปัตตานี นายอิสมาแอล มะแซผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีที่ จ.731/60 ลงวันที่ 22 ธ.ค.60 และ จ.736/60 ลง 25 ธ.ค.60 สภ.เมืองปัตตานี นายอับดุลเลาะ เจ๊ะสะมะแอ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 346/60 ลงวันที่ 26 ธ.ค.60 สภ.ลำใหม่ ก่อนนำผู้ต้องหาทั้ง 4 เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่ในส่วนของศาลจังหวัดยะลา ซึ่งได้ออกหมายจับจำนวน 37 หมายจับ ผู้ต้องหาจำนวน 24 คน มีคดีที่สำคัญ คือ คดีอาญาที่ 243/60 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.60 เวลาประมาณ 14.30 น. บริเวณบนถนนสาย 410 ยะลา-เบตง ม.5 บ้านกาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา เกิดเหตุคนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนน วางตะปูเรือใบและเผารถทัวร์โดยสารสายเบตง-กรุงเทพฯ ได้รับความเสียหาย โดยทางสถานีตำรวจภูธรบันนังสตาได้ขอหมายศาล จ.ยะลา ออกหมายจับนายอับดุลเลาะ ตาเปาะโต๊ะ อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 15 ม.9 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา หมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 357/60 ลงวันที่ 26 ธ.ค.60 นายซามีมซะแม อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 100 ม.3 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา หมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 358/60 ลงวันที่ 26 ธ.ค.60 นายอาหะมัด ลือซาแม อายุ 37 ปี บ้านเลขที่ 205 ม.4 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลาหมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 359/60 ลงวันที่ 26 ธ.ค.60 และ นายมูฮำหมัด หะยีสาเมาะ อายุ 34 ปี บ้านเลขที่ 29 ม.7 ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา หมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 360/60 ลงวันที่ 26 ธ.ค.60 ในความผิดฐาน “สบคบกันเป็นอั้งยี่, ซ่องโจร , ร่วมกันก่อการร้าย หรือสนับสนุนการก่อการร้าย”
26 ธ.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีเร่งผลักการแก้ปัญหาพื้นที่ภาคเหนือตรงความต้องการประชาชน สร้างความเข้มแข็งจากระดับจังหวัดสู่ภูมิภาค
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ที่จังหวัดสุโขทัยว่า รัฐบาลได้รับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อนำไปขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาลให้ตรงกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้พื้นที่ภาคเหนือมีการพัฒนานำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาภาคการเกษตร ที่ดินทำกิน รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่จะต้องบูรณาการทำงานของทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด และระดับภาค รวมถึงการบูรราการแผนการทำงาน และแผนงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
26 ธ.ค. 2560
จ.พังงา จัดรำลึก 13 ปี เหตุการณ์สึนามิพัดถล่ม ร่วมทำบุญ 3 ศาสนา
จังหวัดพังงา จัดงานรำลึกเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย ครบรอบ 13 ปี โดยนายสิทธิชัย ศักดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นายสราวุธ ธนาเจริญสกุล นายอำเภอตะกั่วป่า หัวหน้าส่วนราชการ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวพังงา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคึกคัก ผู้แทน เรือตรวจการณ์ ต.813 มีการวางพวงมาลาพร้อมถวายความอาลัยแต่คุณพุ่ม เจนเซน มีการอ่านสารพลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ต่อมาส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ประชาชน ญาติผู้สูญเสีย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ร่วมวางดอกกุหลาบขาว บริเวณเรือตรวจการณ์ ต.813 จากนั้นมีพิธีทางศาสนา 3 ศาสนา พุทธ อิสลาม และคริสต์ เพื่อทำบุญและรำลึกแก่ผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิ พร้อมการจัดแสดงอุปกรณ์กูชีพกู้ภัยที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยของจังหวัดพังงา และกำลังเจ้าหน้าที่ในแต่ละพื้นที่พร้อมให้การช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุบัติภัยต่างๆ
25 ธ.ค. 2560
รมว.แรงงานลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ติดตามผลการพิสูจน์สัญชาติและปรับระบบอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามผลการพิสูจน์สัญชาติ และปรับระบบอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ ตังหงส์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายอนุรักษ์ ทศรักษ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และคณะลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานศูนย์บริการเพื่อการทำงานของคนต่างด้าวจังหวัดตาก อำเภอแม่สอด โดยได้ตรวจเยี่ยมการทำงานของศูนย์ฯ พร้อมรับฟังปัญหาเพื่อหาแนวทางให้มีการบริหารจัดการให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น รวมทั้งหารือร่วมกับทางการเมียนมา ด้านการจัดการระบบคิว พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดตากในวันนี้ มีวัตถุ 2 ประเด็น คือ ติดตามผลการพิสูจน์แรงงานเมียนมาและติดตาผลการดำเนินงานในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยในส่วนของการพิสูจน์สัญชาติและออกเอกสาร CI สาธารณสุขตรวจสอบสุขภาพตรวจคนเข้าเมืองตรวจลงตรา (VISA) และกรมการจัดหางานออกใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) สามารถออกเอกสาร CI ได้ประมาณ 500 – 700 เล่มต่อวัน ทั้งนี้ ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2560 มีแรงงานเมียนมาได้รับเอกสาร CI ไปแล้วจำนวน 48,669 คน โดยในจังหวัดตาก มีแรงงานต่างด้าวขอรับใบอนุญาตแล้ว จำนวน 29,739 ราย จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์เบ็ดเสร็จด้านแรงงาน สาธารณสุขและความมั่นคงจังหวัดตาก (OSS) เพื่อรับฟังกระบวนการทำงานผลการดำเนินงาน ซึ่งศูนย์เบ็ดเสร็จฯ เป็นศูนย์สนับสนุนเขตพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อำนวยความสะดวกในการพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานแก่แรงงานต่างด้าวในกลุ่มช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการ และกลุ่มซึ่งมิใช่ช่างฝีมือชำนาญการ ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจบริเวณชายแดนมากยิ่งขึ้น ทำให้ชุมชนมีรายได้ มีอาชีพ มีการจ้างงาน ซึ่งจะเป็นการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวบริเวณชายแดน ที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป – กลับ และตามฤดูกาลอย่างเป็นระบบ อันจะช่วยลดปัญหาการลักลอบเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับใบอนุญาตทำงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก จำนวน 84,589 คน นายจ้าง 21,830 ราย ในโอกาสนี้ รมว.แรงงาน ได้เดินทางเยี่ยมสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานตาก และเยี่ยมสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดตาก อีกด้วย
25 ธ.ค. 2560
จังหวัดบึงกาฬอากาศหนาว ลิงออกจากป่า ไออุ่นจากแสงแดดคลายหนาว
อากาศที่หนาวยาวนานต่อเนื่อง ส่งผลให้ลิงที่อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ เริ่มออกจากป่ามาสู่ที่โล่ง เพื่อตากแดดคลายความหนาวเย็นฝูงลิงกว่า 300 ตัว ยังได้รับผลไม้จากนักท่องเที่ยวที่นำมาให้กินเป็นอาหารอีกด้วย จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่อำเภอเซกา ที่ติดกับอุทยานแห่งชาติภูลังกา ส่งผลกระทบกับลิงกังที่อาศัยอยู่ในป่าชุมชนบ้านซาง ตำบลซาง อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ กว่า 300 ตัว ต้องประสบกับปัญหากับความหนาวเย็น พากันออกจากป่าที่อาศัยมาสู่ที่โล่งเพื่อตากแดดคลายความหนาวเย็น ประกอบกับช่วงเวลานี้เริ่มเข้าสู่หน้าแล้งอาหารในป่าเริ่มมีไม่เพียงพอ ทำให้ลิงออกมารวมฝูงอยู่ในที่โล่ง จึงมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนำอาหารมาให้ลิง ซึ่งถือเป็นการทำบุญทำทานชนิดหนึ่ง เพราะเชื่อว่าลิงฝูงนี้เป็นลิงของหลวงปู่ตา ที่ชาวบ้านในระแวกนี้เคารพศรัทธานับถือและชาวบ้านยังช่วยกันอนุรักษ์ลิงฝูงนี้ไว้อีกด้วย
24 ธ.ค. 2560
พี่ตูนออกวิ่งวันที่ 2 จ.เชียงราย ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น
นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม ทำการออกวิ่งจากบริษัท ทนาเกรนพอลลิซ จำกัด ตำบลเมืองพาน จังหวัดเชียงราย ไปตามถนนพหลโยธิน ในระยะทางที่กำหนด 14.5 กิโลเมตร ซึ่งยังคงมีบัวขาว บัญชาเมฆ ร่วมวิ่งเช่นเดิม โดยเมื่ออกวิ่งมาได้ระยะหนึ่งมีเด็กนักเรียนสวมใส่หมวกซานตาคลอสสีแดง จุดเทียนและร้องเพลงอวยพรพี่ตูน ซึ่งตูนก็ร่วมร้องเพลงและเต้นไปกับเสียงเพลง ทำให้เด็กๆ มีความสุขอย่างมาก นอกจากนี้เด็กได้มอบเงินเข้าโครงการก้าวคนละก้าวฯ จากนั้นได้วิ่งผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ตำบลทรายขาว อำเภอพาน โดยมีนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัย ทำการแสดง กิ่งกะหร่า(ฟ้อนนก) ผู้แสดงการฟ้อนนกจะแต่งกายเลียนแบบนกยูง กรีดกรายร่ายรำแสดง จากนั้นได้รับมอบเงินจากสภานักศึกษาของทางมหาวิทยาลัยฯ จำนวน 100,000 บาท ที่นักศึกษารวมเงินกันและนำมามอบให้ ด้วยการพับเป็นโลโก้ของทางมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังได้ร่วมร้องเพลงกับนักศึกษาที่มาแสดงดนตรีสด ด้วยเพลงแสงสุดท้าย และยังได้รับเสื้อที่มีธนบัตรฉบับต่างๆ มาเย็บติดอีกด้วย ซึ่งจุดนี้ใช้เวลาไม่นานก็วิ่งออก เพื่อไปยังจุดพักโรงเรียนธารทองวิทยา(ป่ารวก)และออกวิ่งต่อไปยังวัดร่องขุ่นต่อไป
20 ธ.ค. 2560
จนท.ยะลาออกหมายจับคนร้ายก่อเหตุเผารถทัวร์ หลังพบหลักฐานพัวพัน 6 คดีความมั่นคงในพื้นที่
คืบหน้าเผารถทัวร์ที่บันนังสตา ยะลา พบหลักฐานพัวพัน 6 คดีความมั่นคง เตรียมออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคง เชื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ หลังแกนนำระดับปฏิบัติการถูกเจ้าหน้าที่ควบคุม เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (20 ธ.ค.2560) ที่ห้องประชุมยะลารวมใจ ศูนย์ปฎิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) อ.เมือง จ.ยะลา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เข้าร่วมประชุมพร้อมมอบนโยบายในการปฎิบัติงานในพื้นที่ แก่ หัวหน้าสถานีตำรวจในสังกัด ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา โดยไม่ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุเผารถทัวร์ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา แต่อย่างใด ขณะที่มีรายงานจากชุดสืบสวนสอบสวนถึงกรณีเกิดเหตุคนร้ายแต่งกายคล้ายทหารบุกยึดรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพ ก่อนที่จะไล่ผู้โดยสารลงจากรถ โดยไม่มีการทำร้ายแล้วจุดไฟเผารถได้รับความเสียหายทั้งคัน เหตุเกิดบนถนนสาย 410 (บันนังสตา-เบตง) หมู่ 5 บ.กาโสด ต.บันนังสตา รอยต่อ บ.คลองน้ำขุ่น ต.ถ้ำทะลุ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 17 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ว่า จากผลปลอกกระสุนปืนจากในที่เกิดเหตุ พบว่าตรงกับคดีด้านความมั่นคงในพื้นที่ อ.บันนังสตา อ.ธารโต จ.ยะลา จำนวน 6 เหตุการณ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม จากผลการซักถาม 4 ผู้ต้องสงสัย เพื่อเตรียมออกหมายจับคนร้ายกลุ่มนี้แล้ว ทั้งนี้ หน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ระบุว่า จากการวิเคราะห์และจากการลงพื้นที่หาข่าว พบว่าปัจจัยสำคัญที่คนร้ายเลือกปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการตอบโต้เจ้าหน้าที่กรณีเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังควบคุมนายซอบรี เจ๊ะแว แกนนำระดับปฏิบัติการในพื้นที่ อ.บันนังสตา ไปก่อนหน้านี้ พร้อมพวกอีก 5 คน ในพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา สำหรับนายซอบรี เป็นมือขวาของนายอับดุลเลาะ ตาเป๊าะโต๊ะ หัวหน้าฝ่ายกองกำลัง รับผิดชอบพื้นที่ อ.บันนังสตา อ.ธารโต และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายคนร้ายจึงมีการตอบโต้โดยการเผารถทัวร์ในครั้งนี้
19 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 19 ธันวาคม 2560
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางและผู้ประกอบการ ได้แก่ โครงการสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้โครงการเหลือวงเงินกว่า 6,100 ล้านบาท จึงให้ขยายเวลารับสมัครผู้ประกอบการออกไปถึงเดือนมิถุนายน 2561 /โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อแปรรูปยางพาราให้กับสถาบันเกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ให้ขยายความช่วยเหลือเป็นวงกว้างขึ้น จากเดิมช่วยเหลือสถาบันเกษตรกรที่เป็นประเภทสหกรณ์เท่านั้น โดยให้รัฐสามารถช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชนด้วย ในอัตราร้อยละ 0.49 /โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา ซึ่งเดิมให้ใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพารา แต่เนื่องจากติดขัดทางกฎหมาย ทำให้เสนอ ครม.เพื่ออนุมัติงบประมาณสนับสนุนค่าเบี้ยประกันแทน /โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยางหรือยางแห้ง วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะดูดซับยาง 350,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่มกราคม 2561 ถึงธันวาคม 2562 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละสามต่อปี /โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ โดยสำรวจความต้องการการใช้ยางพาราของหน่วยงานราชการจำนวน 7 กระทรวง เป้าหมายสองแสนตัน ใช้งบประมาณในการรับซื้อยางจากเกษตรกร 12,000 ล้านบาท /โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต โดยลดพื้นที่การปลูกยางถาวร 2 แสนไร่ และลดพื้นที่การปลูกยางแบบชั่วคราวอีก 2 แสนไร่ รวมทั้งหมด 4 แสนไร่ โดยใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพาราของ กยท. และโครงการจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายาง ระหว่าง กยท. และผู้ผลิต ผู้ส่งออก รายใหญ่จำนวน 5 บริษัท ด้วยเงินตั้งต้น 1,200 ล้านบาท ซึ่งมอบหมายให้ กยท. หารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนก่อนดำเนินการตั้งกองทุนต่อไป คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) จากกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ภายใต้กรอบวงเงิน 425.94 ล้านบาท โดยระยะที่ 1 เส้นทางกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา แบ่งเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร ระยะ 2 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร ระยะที่ 3 ช่วงแก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 119.5 กิโลเมตร และระยะที่ 4 ช่วงบางซื่อ-แก่งคอย ระยะทาง 119 กิโลเมตร คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการรถไฟทางคู่เฟสแรก 5 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ นครปฐม-หัวหิน ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ใน ปี 2561 จะผลักดันโครงการรถไฟทางคู่อีก 9 เส้นทาง ระยะทาง 2,217 กิโลเมตร มูลค่ารวม 3.98 แสนล้านบาท โดยจะทยอยเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ จากนั้นจะทยอยเปิดประมูลได้ช่วงกลางปี 2561
19 ธ.ค. 2560
นายกรัฐมนตรีหวังประชาชนทุกคนมีอาชีพที่มั่นคง น้อมนำพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสู่การปฏิบัติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความคาดหวังให้ประชาชนทุกคนมีอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืน มั่นคง ในขณะที่ผู้มีรายได้สูงก็ต้องเสียสละและช่วยเหลือสังคมมากขี้น ทุกภาคส่วนและภาคธุรกิจจะต้องคำนึงถึงผู้มีรายได้น้อย พร้อมฝากทุกคนน้อมนำพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงให้ประชาชนน้อมนำแนวทางของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ในขณะที่การทำความดีนั้น วันนี้ทุกคนต้องทำความดีให้มากขึ้น ร่วมกันสร้างความสงบ ลดความขัดแย้ง เพื่อเปิดทางให้สิ่งดีๆ เข้ามา ต้องแยกแยะเรื่องการเมืองกับการจับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งต้องร่วมกันสร้างสังคมของคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกคนที่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล สำหรับส่วนที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะต้องทำความเข้าใจต่อไป การทำความดีต้องไม่ใช่แค่ช่วงปีใหม่ แต่ต้องทำความดีทุกวัน ซึ่งความดีทำได้หลายรูปแบบ เพราะแม้แต่การคิดหรือทำดีเล็กน้อย เช่น การสวดมนต์ เก็บขยะ ก็ถือว่าเป็นความดี
19 ธ.ค. 2560
คุมเพิ่มแล้ว 2 ผู้ต้องสงสัยเผารถทัวร์ ผู้การฯ ยะลาเชื่อใบปลิวเรียกค่าคุ้มครองรถโดยสารเป็นกลุ่มแอบอ้าง
พลตำรวจตรีกฤษฎา แก้วจันดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เปิดเผยกรณีใบปลิวที่พบในพื้นที่ อ.บันนังสตา เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุคนร้ายบุกยึดรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพ ก่อนที่จะไล่ผู้โดยสารลงจากรถ โดยไม่มีการทำร้าย แล้วจุดไฟเผารถได้รับความเสียหายทั้งคัน เหตุเกิดบนถนนสาย 410 (บันนังสตา-เบตง) หมู่ 5 บ.กาโสด ต.บันนังสตา รอยต่อ บ.คลองน้ำขุ่น ต.ถ้ำทะลุ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และทหาร ในเรื่องนี้เชื่อว่าเป็นการแอบอ้างของกลุ่มผู้ไม่หวังดีมากกว่า ซึ่งในช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ มาตรการในการดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ที่ระดมกำลังมีแผนการปฎิบัติอย่างชัดเจน ขอให้พี่น้องประชาชนหรือผู้ที่สัญจรบนถนนดังกล่าว มีความเชื่อมั่นในการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ที่จะดูแลอย่างเต็มที่ กรณีใบปลิวที่พบเชื่อว่าเป็นการสวมรอย แอบอ้างมากกว่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะสืบสวนต่อไป หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสในเรื่องดังกล่าวก็สามารถแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองในพื้นที่ได้ โดยใบปลิวที่พบเมื่อคืน เจ้าหน้าที่ได้นำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ พร้อมเก็บดีเอ็นเอหาผู้กระทำความผิดแล้ว สำหรับใบปลิวที่พบในพื้นที่ อ.บันนังสตา หลายจุดบนถนนสาย 410 ยะลา-เบตง โดยในใบปลิวดังกล่าวระบุข้อความว่าขอให้ผู้ประกอบการเดินรถผ่านเส้นทาง ยะลา – เบตง สนับสนุนขบวนการ โดยเสียสละทรัพย์ เพื่อจ่ายเป็นค่าผ่านทาง หากผู้ประกอบการใดที่ปฏิเสธหรือเพิกเฉย จะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับรถทัวร์ที่เราเผาไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. และทางเราจะไม่รับรองความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น ลงชื่อนักรบฟาตอนี ขณะที่มีรายงานจากชุดสืบสวนถึงความคืบหน้าคดีว่าล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเอาไว้แล้วจำนวน 2 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ โดยหนึ่งในสองเป็นเจ้าของร้านจำนวนน้ำมันขวดที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ หลังจากพยานยืนยันว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุนั้น มารวมตัวอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวก่อนปฎิบัติการ นอกจากนั้นยังใช้น้ำมันจากร้านดังกล่าวในการจุดไฟเผารถทัวร์ ส่วนผู้ต้องสงสัยอีกรายเป็นหญิง ที่เชื่อว่าเป็นผู้ที่นำเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้กับกลุ่มคนร้าย โดยทั้งสองอยู่ในกระบวนการซักถามของเจ้าหน้าที่ ที่กรมทหารพราน 41
19 ธ.ค. 2560
จ.อุทัยธานีสภาพอากาศหนาวระลอกใหม่ อุณหภูมิลดต่ำลง เหลือ 16 – 18 องศาฯ
ที่จังหวัดอุทัยธานี สภาพอากาศหนาวเย็นระลอกใหม่อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และมีสภาพอากาศหนาวเย็นจัด โดยเฉพาะบนพื้นที่สูงในพื้นที่ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต และตำบลแก่นมะกรูด อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งอยู่ติดกับป่ากันชนห้วยขาแข้ง ประชาชนร้อยละ 90 เป็นชนเผ่า ทั้งชาวไทยภูเขาเผ่ากระเหรี่ยง ละว้า และขะหมุก อุณหภูมิในช่วงกลางคืนลดต่ำลง เหลือ 16 – 18 องศาฯ ส่งผลให้ชาวไทยภูเขาต่างๆ ต้องประสบกับความหนาวเย็นมาหลายวันติดต่อกัน เนื่องจากขาดแคลนเครื่องห่มกันหนาวแทบทุกครัวเรือน เพราะชาวไทยภูเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ยากไร้และอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล ทำให้ขณะนี้ชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ต้องพากันออกไปหาฟืนมาก่อกองไฟและพาครอบครัว บุตรหลาน และเพื่อนบ้านมาล้อมวงผิงไฟ เพื่อคลายความหนาวเย็นและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในช่วงกลางคืน ก่อนพากันเข้านอนและออกมาผิงไฟคลายความหนาวเย็นในช่วงเช้ามืด ก่อนออกไปทำนา ทำไร่ ทำสวน และจากสภาพอากาศที่กลับหนาวเย็นระลอกใหม่นี้ ยังส่งผลให้เด็กและผู้สูงอายุในพื้นที่แห่งนี้ เริ่มมีอาการเจ็บป่วยอีกด้วย
13 ธ.ค. 2560
จ.อุทัยธานีสภาพอากาศเย็น หมอกลงจัด ทัศนะวิสัยการมองเห็นไม่ชัดเจน
จ.อุทัยธานีสภาพอากาศเริ่มหนาวเย็นลง ส่งผลให้มีหมอกลงจัด หากมองจากภาพมุมสูงจากยอดเขาสะแกกรัง หมอกหนาปกคลุมจนไม่เห็นตัวเมือง ขณะตามท้องถนนประชาชนต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากทัศนะวิสัยในการมองเห็นไม่ชัดเจน สภาพอากาศที่แปรปรวนในระยะนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นลง ส่งผลให้มีหมอกลงจัดติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อำเภอเมืองอุทัยธานี ในเช้าวันนี้จนถึงช่วงสายๆ ในตัวเมืองในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี ซึ่งมองจากภาพมุมสูงจากยอดเขาสะแกรังลงมาหมอกจะปกคลุมหนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นตัวเมืองในด้านล่าง นอกจากนี้ตามท้องถนนเส้นทางจราจรตามเส้นทางต่างๆ ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง ก็ปกคลุมไปด้วยหมอกที่ลงจัด ส่งผลให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นไม่ชัดเจน ทำให้ประชาชนที่ใช้รถยนต์และจักรยานยนต์สัญจรไปมา ต้องใช้ความระมัดระวัง รวมถึงต้องเปิดไฟหน้ารถเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แสดงความเป็นห่วง ออกมาแจ้งเตือนประชาชนอย่าขับรถด้วยความประมาทและขับรถด้วยความระมัดระวัง หากไม่มั่นใจเกี่ยวกับการมองเห็นก็ควรจอดรถในที่ๆ ปลอดภัย ไม่กีดขวางการจราจรบนท้องถนน ขณะเดียวกันจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนดังกล่าว ยังส่งผลให้ประชาชนเริ่มเจ็บป่วย ด้วยโรคทางเดินระบบหาย เช่น หอบ หืด ไข้หวัด เป็นต้น โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุเข้าไปตรวจรักษา และพักรักษาตัวตามโรงพยาบาลชุมชนประจำอำเภอทุกแห่ง และโรงพยาบาลประจำจังหวัด เพิ่มมากขึ้น
12 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 12 ธันวาคม 2560
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ระยะเวลา 6 ปี (2561-2566) กรอบวงเงิน 9,580 ล้านบาท พร้อมทั้งผ่อนผันให้ยกเว้นมติ ครม.เพื่อขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนปากพยา-ปากนคร แปลงที่ 1 เนื่องจากปัจจุบันความสามารถในการระบายน้ำของคลองธรรมชาติอยู่ที่ 268 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แต่หลังจากดำเนินโครงการนี้แล้วจะสามารถระบายน้ำได้ 750 ลบ.ม./วินาที ซึ่งช่วยลดปัญหาอุทกภัยได้ราว 90% คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าวนาปรังรอบ 2 ตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจรปี 60/61 เพื่อลดการปลูกข้าวนาปรัง โดยมีโครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรังปี 2561 เป้าหมาย 300,000 ไร่ ใน 53 จังหวัด ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.2560 - มิ.ย.2561 โดยส่งเสริมให้เกษตรกรลดกรอบการปลูกข้าว ปรับเปลี่ยนเป็นปลูกพืชอื่นแทน โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ 2.โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรัง ปี 2561 เป้าหมาย 200,000 ไร่ ใน 10 จังหวัด ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ย.2560 - มิ.ย.2561 โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกปุ๋ยสดแทนปลูกข้าว ผ่านการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ต้นทุนไร่ละ 5 กิโลกรัม และค่าไถ 2 ครั้ง เป็นค่าไถเตรียมดินไร่ละ 500 บาท และค่าไถกลบไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ 3.โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรัง ปี 2561 เป้าหมาย 400,000 ไร่ ใน 28 จังหวัด ระยะเวลาตั้งแต่เดือน พ.ย.2560 - มิ.ย.2561 โดยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอาหารเลี้ยงสัตว์ทดแทนการปลูกข้าว เช่น ต้นข้าวโพดพร้อมฝัก และเมล็ดเลี้ยงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกินรายละ 15 ไร่ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ เพื่อให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนโครงการสานพลังประชารัฐหรือเพื่อดำเนินการภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 ถึง 31 ธันวาคม 2561 คณะรัฐมนตรียกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 หรือมอเตอร์เวย์ และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 หรือ วงแหวนรอบนอก โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 28 ธ.ค.2560 จนถึงเวลา 24.00 น. วันที่ 4 ม.ค.2561 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดในช่วงที่มีการเดินทางจำนวนมาก และเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
12 ธ.ค. 2560
จิตอาสาในจังหวัดจันทบุรีร่วมรณรงค์ทำความสะอาดเขาคิชฌกูฏ เตรียมพร้อมรองรับนักแสวงบุญ
ที่เขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี นายวิทูรัช ศรีนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้นำข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และจิตอาสาในจังหวัดจันทบุรีจำนวนมากเดินขึ้นเขาคิชฌกูฎ ทำความสะอาด ปรับปรุงเส้นทางรองรับนักแสวงบุญที่จะเดินทางร่วมงานเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง เขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นเทศกาลประจำปี ที่จะเปิดให้พุทธศาสนิกชน ประชาชน นักแสวงบุญได้ขึ้นไปกราบไหว้ ขอพรรอยพระพุทธบาทที่ตั้งอยู่บนยอดเขาตามประเพณี ในระหว่างขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 ถึงขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 17 มกราคม ถึง 17 มีนาคม 2561 รวมระยะเวลา 60 วัน ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อม อำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน นักแสวงบุญที่จะขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏทุกภาคส่วนในจังหวัดจันทบุรีจึงได้ร่วมกันทำความสะอาดจัดเตรียมสถานที่ และพบว่าหลังจากปิดช่วงเทศกาลเมื่อปีที่แล้วสภาพเส้นทางเดินเท้าได้ชำรุดทรุดโทรม รวมทั้งมีเศษใบไม้ กิ่งไม้ ทับถม เช่นเดียวกับทางขึ้นเขาได้รับผลกระทบจากน้ำกัดเซาะ มีต้นไม้ล้มขวางทาง คาดว่าจะสามารถปรับปรุงเส้นทางแล้วเสร็จก่อนเริ่มเทศกาลในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรอยพระพุทธบาท ( พลวง ) ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าและพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ไม้พื้นเมือง ดังนั้นการเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ ต้องร่วมมือกันในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกันรักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะ หรือสร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในปีนี้มีรถบริการนักแสวงบุญขึ้นยอดเขา 3 จุดเหมือนเดิม คือ 1.วัดพลวง 2.วัดกระทิง และ 3.หน้าที่ว่าการอำเภอเขาคิชฌกูฏ และรถบริการจะวิ่งต่อเดียวจากพื้นล่างถึงพระศิวลี
11 ธ.ค. 2560
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ สุโขทัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเดินทางประชุมหารือเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร เตรียมเสนอของบประมาณดำเนินการให้สามารถท่องเที่ยวได้อย่างเชื่อมโยงกัน ในช่วงการประชุม ครม.สัญจรที่จะลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย ที่ห้องประชุมลายสือไทย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในพื้นที่มรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร โดยมีนายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมเพื่อหารือระดมความคิดเห็นตามแนวทางและกรอบนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้แหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่มรดกโลก สามารถบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวได้อย่างเชื่อมโยงซึ่งกันและกันอย่างครบวงจร ซึ่งต้องอาศัยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และในที่ประชุมมีมติให้หน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ได้มีการเตรียมแผนงาน งบประมาณ โครงการในการพัฒนาดังกล่าวเพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดสุโขทัย ระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม 2560 นี้ อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ย้ำและให้ความสำคัญเรื่องการวางแผนการเตรียมรับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จัดเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน และข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อแผนงานที่จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี พร้อมได้เตรียมการณ์นำนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเยี่ยมชมในพื้นที่จริง เช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง ตลอดจนแหล่งส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ต่างๆ ในโอกาสการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ในพื้นที่ดังกล่าว
09 ธ.ค. 2560
จ.หนองบัวลำภู ทุกภาคส่วน ร่วมพลังจัดงานต้านโกง พร้อมประกาศเจตนารมณ์ ไม่ทุจริต และทำความดีด้วยหัวใจ
จังหวัดหนองบัวลำภู ทุกภาคส่วน ร่วมพลังจัดงานต้านโกง พร้อมประกาศเจตนารมณ์ ไม่ทุจริต และทำความดีด้วยหัวใจ วันนี้ (9 ธ.ค. 60) ที่หอประชุมอนาลโย ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู นายโชติ เชื้อโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานเปิดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักเรียน ภาคประชาชน หอการค้าจังหวัด กว่า 1 พันคน ร่วมในงาน พร้อมทั้งกล่าวคำปฏิญาณตน ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน นายโชติ เชื้อโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าว ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทย เป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน และถือเป็นศัตรูร้ายที่ส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการศึกษา การซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การให้สิทธิประโยชน์ รวมทั้งการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายในการเอื้อประโยชน์ต่อกัน ปัจจุบันสถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยดีขึ้น ผู้ที่ทุจริตจะถูกต่อต้านและลงโทษทั้งจากกฎหมายและสังคม รวมทั้งมีการร่วมบูรณาการทำงานของหน่วยงานต่อต้านทุจริต เพื่อจัดการกับการทุจริตและผลักดันให้เกิดการนำกลไกและมาตรฐานต่างๆ ไปใช้จริงได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ จากนั้น ผู้ที่มาร่วมในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลประเทศไทย จังหวัดหนองบัวลำภู กว่า 1,000 คน พร้อมกันประกาศเจตนารมณ์ จะประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดีด้วยหัวใจ
07 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย)
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เปิดเผยผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทยว่า ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ จะมีการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล ประเทศไทย ที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 08.30-15.00 น. ภายใต้แนวคิด "คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต" เพื่อสะท้อนและย้ำเจตนารมณ์ในการป้องกันการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพในระดับสากล ซึ่งจะมีการจัดทั้งส่วนกลางและทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำจัดกิจกรรมคู่ขนาน เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวและไม่ทนต่อการทุจริต กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้บูรณาการร่วมกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและหน่วยงานต่างๆ ต่อต้านการทุจริต โดยขณะนี้พบว่าประชาชนมีความตื่นตัวและแจ้งข้อมูลการทุจริตผ่านทางช่องทางต่างๆ ให้ ป.ป.ช.ช่วยตรวจสอบมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่นิ่งเฉยต่อการทุจริตและจะส่งผลให้การดำเนินคดีต่างๆ เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพชรทัย เกิดโชติ/สวท.
05 ธ.ค. 2560
จ.สมุทรสาคร เปิดตลาดประชารัฐ ตลาดต้องชม ตลาดน้ำคลองโคกขาม
วันนี้ (5 ธันวาคม 2560) เวลา 11.00 น. ที่ตลาดต้องชมตลาดน้ำคลองโคกขาม ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร นายประภัสสร์ มาลากาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานเปิดงาน Grand Opening ตลาดประชารัฐ ระดับอำเภอ ตลาดประชารัฐ ตลาดต้องชม ตลาดน้ำคลองโคกขาม ตามนโยบายของรัฐบาล โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธีเปิดเป็นจำนวนมาก ตลาดน้ำคลองโคกขาม เกิดขึ้นจากความต้องการของคนในหมู่บ้านที่ต้องการสร้างพื้นที่ริมคลองโคกขาม หมู่ที่ 2 ให้เป็นตลาดนัดชุมชน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางการตลาด เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ และมีโอกาสในการทำกิจกรรมร่วมกัน รวมไปถึงผู้ที่มาเที่ยวจะได้เที่ยงในเชิงวัฒนธรรมด้วย เพราะวัดโคกขามเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อสัมฤทธิ์ พระพุทธสิหิงส์ องค์ที่ 4 จังหวัดสมุทรสาคร ได้คัดเลือกให้ตลาดน้ำคลองโคกขาม เป็นตลาดต้องชม แห่งที่ 2 ของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งตลาดดังกล่าวมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน จึงน่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวในพื้นที่ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงของเศรษฐกิจชุมชน อีกทั้งยังได้ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาต่างๆ ไว้ด้วย โดยตลาดน้ำคลองโคกขามจะเปิดให้บริการในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งภายในตลาดน้ำคลองโคกขาม ตลาดต้องชมแห่งที่ 2 ของจังหวัดสมุทรสาคร ได้มีการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า อาหารพื้นบ้าน สินค้าโอทอป สินค้าจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พืชผักจากสวนของเกษตรกร ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองจากกลุ่มผู้สูงอายุ 1000 ปี เป็นต้น
05 ธ.ค. 2560
อำเภอเมืองชัยนาท เปิดตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ เป็นพื้นที่ค้าขายเพิ่มรายได้ให้ประชาชนทุกเช้าวันอังค
ที่บริเวณริมถนนลูกเสือ 1 ข้าง บริษัททีโอที ชัยนาท นายยุทธพร พิรุณสาร นายอำเภอเมืองชัยนาท เป็นประธานเปิดตลาดประชารัฐ คนไทยยิ้มได้ (นกใหญ่ชัยนาท) อำเภอเมืองชัยนาท ตามนโยบายของรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อช่วยเหลือพ่อค้า แม่ค้า และผู้มีรายได้น้อย ที่มีความต้องการค้าขาย ให้มีพื้นที่ประกอบอาชีพ สร้างรายได้ ซึ่งอำเภอเมืองชัยนาท กำหนดให้มีตลาดประชารัฐบริเวณนี้ในทุกเช้าวันอังคาร เวลา 06.00-12.00 น. โดยมีผู้สนใจลงทะเบียนร่วมโครงการกว่า 80 ราย ขณะที่มีพื้นที่รองรับได้ประมาณ 60 ราย อย่างไรก็ตามหากมีผู้ค้าบางรายสละสิทธิ จะได้ประสานผู้ที่ลงทะเบียนไว้เข้ามาลงพื้นที่ค้าขายแทนต่อไป
05 ธ.ค. 2560
จังหวัดเชียงใหม่จัดพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษารัชกาลที่ 9
นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยนายกฤษณ์ ธนาวนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางมลสุดา ชำนิประศาสน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนเข้าร่วมทำบุญตักบาตรฯ ที่บริเวณลานจอดรถ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับภายในพิธีฯจะมีการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 91 รูป การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร การกล่าวอาราธนาศีล กล่าวคำถวายสังฆทาน ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม กรวดน้ำ และร่วมทำบุญตักบาตรเป็นอันเสร็จพิธี
04 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 4 ธันวาคม 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อดำเนินงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระดับแรงดัน 115 กิโลโวลต์ ช่วงสถานีไฟฟ้าฮอด อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงสถานีไฟฟ้าแม่สะเรียง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามโครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 9 ส่วนที่ 1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พร้อมทั้งให้ กฟภ.เร่งดำเนินโครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
04 ธ.ค. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เปิดเข้าชมนิทรรศการพระเมรุมาศถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในรายการเดินหน้าประเทศไทย ถึงการขยายเวลาเข้าชมพระเมรุมาศออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นี้ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าสิ่งสำคัญของการขยายเวลา นอกจากจะดูเรื่องความพร้อมแล้วการจัดแสดงนิทรรศการที่ยังคงอยู่ ก็ยังต้องมีความสมบูรณ์ที่สำคัญกลุ่มที่เข้าชม ที่มีประชาชน คนชรา นักท่องเที่ยว เด็กและเยาวชน ผู้พิการ ทุกกลุ่มก็จะอำนวยความสะดวกแตกต่างกันไป โดยย้ำให้อำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ นอกจากนิทรรศการพระราชประวัติพระราชกรณียกิจ การสร้างพระราชรถราชยานที่จัดอยู่เดิมแล้ว ในช่วงเย็นถึงค่ำวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีการแสดงโขนหน้าพระที่นั่งทรงธรรม จะเพิ่มรอบการแสดงในวันศุกร์อีก 1 วัน ตามที่ประชาชนเรียกร้อง สำหรับจุดคัดกรอง ยังคงมีถนนราชดำเนิน เป็นจุดที่ประชาชนเดินทางเข้ามามากที่สุด ซึ่งจะมีบริการรถเข็นสำหรับคนพิการด้วย ส่วนการแต่งกายปัจจุบันไม่มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยตักเตือน เพราะส่วนใหญ่จะแต่งกายสุภาพเรียบร้อยอยู่แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อธิบายว่า ศาลาลูกขุนทั้ง 6 หลัง จะจัดแสดงความเป็นมาของพระเมรุมาศ คติความเชื่อเรื่ององค์สมมุติเทพ การสร้างสรรค์พระเมรุมาศในยุคต่างๆ ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งความเป็นมาการก่อสร้างพระเมรุมาศในรัชกาลที่ 9 ด้วย ซึ่งนิทรรศการทั้งหมดผู้พิการทางสายตาก็สามารถเข้าชมได้ ส่วนพระที่นั่งทรงธรรม จะเป็นนิทรรศการเรื่องพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และการทรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการเสด็จสู่สวรรคาลัย ศักดิ์สิทธิ์ ประดับศิลป์ / สวท.
02 ธ.ค. 2560
สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดยะลาดีขึ้น หลังฝนหยุดตก ระดับน้ำในแม่น้ำลด
สถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดยะลาดีขึ้น หลังฝนหยุดตก ระดับน้ำในแม่น้ำลด ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานี-สายบุรี ลดลง หลังฝนหยุดตก ประชาชนพื้นที่เสี่ยงยังคงต้องเฝ้าระวัง ส่วนน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำลดลงต่อเนื่อง บางพื้นที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลายพื้นที่ยังคงมีน้ำท่วมสูง ขณะประชาชนได้รับผลกระทบ 111,301 คน 29,934 ครัวเรือน สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดยะลา วันนี้ (2 ธ.ค. 60) ระดับน้ำที่ท่วมขังพื้นที่ลุ่มต่ำเขตเมืองยะลา หลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขังอยู่บ้าง แต่ลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนบางพื้นที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค. 60) ตลอดทั้งวันจะมีฝนตกปริมาณเล็กน้อย ทิ้งช่วงและหยุดตกเป็นระยะๆ ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนถึงเช้าวันนี้ยังคงมีฝนตกเล็กน้อย ท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำท่วมขังที่มีอยู่เดิม อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ยังมีฝนตกในพื้นที่จังหวัดยะลา ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดริมแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำ 2 สายหลักที่ไหลผ่านจังหวัดยะลา ยังคงต้องเฝ้าระวังอันตรายจากปริมาณน้ำฝนตกสะสม น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง ซึ่งขณะนี้ แม่น้ำปัตตานียังคงมีมวลน้ำจำนวนมากไหลผ่าน เพื่อเข้าสู่เขื่อนชลประทานปัตตานี ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรี ทุกสถานีตรวจวัดลดลง แต่ยังคงมีภาวะน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่อำเภอเมืองยะลา อำเภอยะหา และอำเภอรามัน โดยจังหวัดได้แจ้งให้อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน สภาพน้ำท่า อย่างใกล้ชิด พร้อมให้เตรียมความพร้อมทั้งอุปกรณ์เครื่องจักรกล กำลังพลให้พร้อมช่วยเหลือประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง และแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ รวมทั้งได้แจ้งเตือนห้ามเด็กลงเล่นน้ำในพื้นที่ประสบอุทกภัย ห้ามขับขี่ฝ่ากระแสน้ำเชี่ยว ตลอดจนแจ้งให้ประชาชนขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง ขณะที่กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา สรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดยะลา หลังมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคม 2560 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 8 อำเภอ 56 ตำบล 1 เทศบาลตำบล 299 หมู่บ้าน 23 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 29,934 ครัวเรือน 111,301 คน บาดเจ็บ 2 คน เสียชีวิต 2 คน อพยพ 33 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 1 หลัง ถนน 103 แห่ง สะพาน 5 แห่ง คอสะพาน 3 แห่ง ฝาย 3 แห่ง ทำนบ 1 แห่ง ท่อลอด 1 แห่ง ท่อระบายน้ำ 1 แห่ง ไหล่ทาง 1 แห่ง เสาไฟฟ้า 2 ต้น พื้นที่การเกษตร 96,087 ไร่ บ่อปลา 156 บ่อ ปศุสัตว์ 574 ตัว วัด 6 แห่ง สำนักสงฆ์ 1 แห่ง มัสยิด 16 แห่ง สถานศึกษาปิดการเรียนการสอน 14 แห่ง
01 ธ.ค. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วันนี้ (1 ธ.ค.2560) เวลา 16.39 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2559 เป็นวันแรก ในโอกาสนี้ พระราชทานพระราโชวาท ในปีนี้ สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์ สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ ในเรื่องเครื่องกลอากาศยาน ซึ่งสนพระราชหฤทัยมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงฝึกการบิน และทรงผ่านหลักสูตรการบินแบบต่างๆ มาทุกแบบ อีกทั้งทรงนำความทรงพระปรีชาสามารถทางด้านการบิน ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์อย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิเข้ารับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ จำนวน 4 คน มีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร จำนวน 3,240 บาท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีนโยบายสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมอย่างจริงจัง ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ ได้สร้างผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่น จนได้รับรางวัลด้านการวิจัยทั้งระดับชาติและนานาชาติมากกว่า 100 รางวัล โดยเป็นรางวัลสิ่งประดิษฐ์ระดับนานาชาติ 24 รางวัล หนึ่งในจำนวนนั้นคือ รางวัล Grand Price จาก Internetional Invention Exhibtion Geneva 2017 ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีใครได้มาก่อน นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยที่เป็นนวัตกรรมที่ได้รับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สู่ประชาชนได้จริงอีกมากมาย อาทิ การตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นจอตา โดยใช้แอปพลิเคชันสมาร์ตโฟน พาราโวลา วัสดุดูดซับน้ำมันจากยางพาราในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และอุปกรณ์ช่วยฝึกเดินสำหรับผู้พิการและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมุ่งสู่ความเป็นนานาชาติ ปัจจุบันมีคู่สัญญากับมหาวิทยาลัยต่างประเทศจำนวน 250 แห่ง มีหลักสูตรนานาชาติ 95 หลักสูตร และได้รับการประเมินมาตรฐานคุณภาพระดับสากล 5 ดาว จากสถาบันคิวเอส ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับและประเมินมาตรฐานด้านการศึกษาในระดับสากล ข่าวในพระราชสำนัก สทท.
01 ธ.ค. 2560
จ.เชียงรายฤกษ์ดี จัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้า รับนักท่องเที่ยวหน้าหนาว
นายสมบูรณ์ ศิริเวช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการจัดระเบียบสายและอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมบนเสาไฟฟ้า ที่บริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย หลังเก่า อ.เมืองเชียงราย โดยมีนายธีรพงษ์ บุรีรักษ์ ผู้อำนวยการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเขต 1 ภาคเหนือ เชียงใหม่ นำเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่บริษัทสื่อสารที่ใช้สายร่วมกับเสาไฟ มาร่วมกันรื้อถอนสายและอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ไม่ได้ใช้งานและไม่ได้รับอนุญาตออกจากเสาไฟฟ้า ในเส้นทางถนนธนาลัย เทศบาลนครเชียงราย จากหน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ไปจนสุดถนน ซึ่งถนนดังกล่าวเป็นถนนสายเศรษฐกิจกลางเมืองเชียงราย พร้อมกับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ชำรุด เพื่อให้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น สร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนเชียงรายในหน้าหนาวนี้อีกด้วย
29 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : เจ็ตสกีเวิลด์คัพ สนามแข่งของไทยในระดับโลก
นายปริเขต สีบุสหการ ที่ปรึกษาสมาคมเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ กล่าวผ่านรายการเดินหน้าประเทศไทย ว่า ระหว่างวันที่ 7-10 ธันวาคม 2560 ประเทศไทยจะจัดการแข่งขันเจ็ตสกีเวิล์ดคัพ 2017 ที่หาดจอมเทียน พัทยา โดยการแข่งขันนี้นับว่าจะสร้างปรากฎการณ์ให้แบรนด์ไทยเป็นแบรนด์การแข่งขันทัวร์นาเม้นท์ระดับโลก ที่ผ่านมาไทยได้จัดการแข่งขันเจ็ตสกีในระดับนานาชาติแบบรายการเล็กมาแล้ว มีเพียง 3 ชาติเข้ามาร่วมแข่งขัน แต่ด้วยความที่ไทยเป็นประเทศแห่งความยุติธรรม ทำให้ทัวร์นาเม้นท์ขยายตัวมากขึ้น เพราะมีต่างชาติให้ความสนใจและเชื่อมั่นต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะการดึงดูดตัวนักกีฬาชั้นนำระดับโลกเข้ามาแข่งขันในประเทศไทยด้วย ดังนั้น ปัจจุบันไทยจะต้องสร้างความเชื่อถือและมีมาตรฐานในการเป็นผู้จัดการแข่งขัน พร้อมทั้งผลักดันนักกีฬาไทยให้พัฒนาและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันที่ผ่านมาไทยยังได้มีโอกาสเป็นประเทศผู้นำในการกำหนดกติกาการแข่งขัน ซึ่งเรื่องนี้มองว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมากที่ต่างชาติให้ความยอมรับประเทศไทย ด้านนายสกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. กล่าวว่า กีฬาในปัจจุบัน นับว่ามีส่วนช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ซึ่งกีฬาเจ็ตสกีถือว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พบว่าไทยสามารถสู้กับประเทศอื่นๆ ได้ รวมถึงการบริหารจัดการแข่งขันที่มีศักยภาพจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินเข้ามาสะพัดในระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งขณะนี้ กกท.จึงนำเรื่องดังกล่าวมาปรับปรุงในแผนยุทธศาสตร์การกีฬาชาติ ที่จะต้องเชื่อมโยงต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วย โดยนำกีฬาเจ็ตสกีเป็นตัวนำร่องให้ต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ กกท. ศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำแผนและจดทะเบียนลิขสิทธิ์กีฬานี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในอนาคต ปัทมา สุทธิประทีป /สวท.
29 พ.ย. 2560
ผอ.สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.นครศรีฯ เตือนประชาชนรับฟังข่าวสารอย่างมีสติ
ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยานครศรีธรรมราชเตือนประชาชนรับฟังข่าวสารอย่างมีสติ ขอให้เชื่อมั่นในการทำงานกรมอุตุนิยมวิทยา ขณะที่กองทัพภาคที่ 4 ได้เตรียมพร้อมกำลังพลและเครื่องมือยุทโธปกรณ์ในการช่วยเหลือดูแลประชาชน นายปราโมทย์ ช่วยบุญชู ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยานครศรีธรรมราช กล่าวว่า ภาคใต้ฝนตกมาตลอดปี ทำให้ดินอมน้ำไว้มาก และช่วงนี้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกสะสม ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 29 พ.ย.– 30 ธ.ค.2560 จึงขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและมีสติ ด้านพันเอก ประเสริฐ กิตติรัต รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 41 กล่าวว่า ทางกองทัพภาคที่ 4 ได้มีการเตรียมพร้อมทั้งกำลังพลและเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน หากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมขึ้น ทั้งนี้ได้มีการสั่งการให้กำพลได้ออกสำรวจในพื้นที่ต่างๆ แล้ว
28 พ.ย. 2560
รายการเดินหน้าประเทศไทย : มติคณะรัฐมนตรีฉบับประชาชน วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการด้านการเงินสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแบ่งเป็นการให้ความเห็นชอบโครงการที่ขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล ทั้งหมด 3,800.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการเดิมที่ขอขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์เงื่อนไขบางประการ 3 โครงการและโครงการใหม่อีก 1 โครงการ ประกอบด้วย 1)โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของธนาคารออมสิน ทั้งนี้ จุดประสงค์ของสินเชื่อดังกล่าว เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการไม่เกิน 380 วัน ถ้าเป็นการผลิต และถ้าเป็นกิจการอื่นๆ ต้องไม่เกินครึ่งปี โดยที่ธนาคารออมสิน จะคิดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน 0.01 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการร้อยละ 1.5 ต่อปี ซึ่งมีการต่ออายุอีก 5 ปี 2) โครงการพักชำระหนี้ลูกค้า ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. 3) โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4) โครงการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อมุสลิมและโครงการสินเชื่อบ้านมุสลิมชายแดนใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ธอท. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาเกาะสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี โดยเป็นการวางท่อส่งน้ำระยะยาวจากฝั่งแผ่นดินสุราษฎร์ธานีลอดใต้ทะเลไปยัง อ.เกาะสมุย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจและการท่องเที่ยวบนเกาะสมุย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการสานฝันกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีงบประมาณ 2561-2565 เป็นการพัฒนาการศึกษา ด้วยการจัดสรรทุนที่เรียนจบ ม.6 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 2,519 คน จะได้ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี ใช้งบประมาณ ทุนละ 5.5 หมื่นบาทต่อคนต่อปี ใช้งบ 570 ล้านบาท และจะมีการค้นหานักกีฬาช้างเผือกเพื่อติดทีมชาติไทยด้วย
28 พ.ย. 2560
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอบใจทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
บัดนี้ การพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 25 ถึง 29 ตุลาคม 2560 ได้แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์และสมพระเกียรติยิ่ง ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งต่างตั้งใจกระทำการทุกอย่างโดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ จึงขอขอบใจทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ทั้งผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ทั้งผู้ที่อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์เป็นจิตอาสาเฉพาะกิจ หรือแม้มิได้เป็นจิตอาสา แต่ก็เต็มใจช่วยเหลืองานพระราชพิธีทุกด้าน รวมทั้งผู้ที่อุตสาหะมาร่วมงานพระราชพิธี ในตลอดเส้นทางเคลื่อนริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และที่พระเมรุมาศจำลอง กับซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ทุกแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดถึงผู้ที่ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดที่ต่างระลึกมั่นในพระมหากรุณาธิคุณ ก็ส่งใจมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยด้วยความจงรักภักดี ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันในการสนองพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ นับเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงสุด และเป็นเครื่องยืนยันอย่างสำคัญว่า แม้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะเสด็จสวรรคตล่วงไปแล้ว แต่จะทรงสถิตอยู่ในใจของประชาชนชาวไทย ที่จดจำรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตลอดไปไม่มีวันเสื่อมคลาย พระปรมาภิไธย 25 พฤศจิกายน 2560 ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานภาพวาดการ์ตูนฝีพระหัตถ์ประกอบ โดยที่ด้านบน ทางมุมซ้ายเป็นพระปรมาภิไธย วปร. ถัดมาเป็นภาพการ์ตูนพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงโบกพระหัตถ์ และทรงถือแผนที่ กับคล้องกล้องถ่ายภาพที่พระศอ และมีข้อความ ธ สถิตในดวงใจ ไทยนิรันดร์ กับภาพการ์ตูนทหาร และจิตอาสาถือพานดอกไม้จันทน์ ส่วนด้านล่าง เป็นภาพการ์ตูนการปฏิบัติงานของจิตอาสา ทั้งการบริการน้ำดื่ม ครัวจิตอาสา การเก็บขยะ หน่วยแพทย์ บริการรถเข็น และงานจราจร
27 พ.ย. 2560
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานโครงการโรงเรียนต้นแบบเพาะพันธุ์ปัญญาของ จ.ลำปาง
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ผู้ดูแลสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) พร้อมด้วยคณะกรรมการนโยบายกองทุนสนับสนุนการวิจัย คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนการวิจัย และผู้ทรงคุณวุฒิประจำหน่วยงานด้านการศึกษาจากส่วนกลาง ร่วมลงพื้นที่ติดตามประเมินผลการดำเนินงานโครงการ “โรงเรียนเพาะพันธุ์ปัญญา (พัฒนายุววิจัย)” ของจังหวัดลำปาง พร้อมเข้าเยี่ยมชมผลงานของกลุ่มเยาวชนนักเรียนในโรงเรียนต้นแบบ ที่โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม ตำบลทุ่งงาม อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง โดยมีนายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นตัวแทนในนามจังหวัด นำทีมคณะผู้บริหารหน่วยงานองค์กรการศึกษา นักวิจัย ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงคณะผู้บริหารหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดลำปาง ตลอดจนคณะครู อาจารย์ และเยาวชนนักเรียน โรงเรียนเสริมงามวิทยาคมร่วมกันให้การต้อนรับคณะฯ พร้อมร่วมนำเสนอผลงาน โครงงานฐานวิจัยของกลุ่มนักเรียนในเรื่องต่างๆ ต่อคณะผู้ดูงานติดตามและประเมินผล สำหรับโรงเรียนเสริมงามวิทยาคม เป็น 1 ใน 16 โรงเรียนต้นแบบ ในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา หรือพัฒนายุววิจัย โดยได้รับการสนับสนุนทุนดำเนินงานโครงการฯ จาก สกว. และ ธ.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการฯ ทางโรงเรียนได้มีการจัดการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ให้ผู้เรียนได้จัดทำโครงงานในสาระวิชาที่เรียน ด้วยการนำกระบวนการวิจัยมาเป็นกระบวนการทำงาน นำองค์ความรู้ด้านวิชาการ “สะเต็มศึกษา” ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ มาบูรณาการร่วมกันจัดทำโครงงานฐานวิจัย ตามที่ผู้เรียนมีความสนใจเพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งในกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว ได้ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์ และมีพัฒนาการทักษะในด้านต่างๆ ตามทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 โดยในการติดตามเยี่ยมชมโครงการ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเสริมงามวิทยาคม ที่สามารถออกแบบการเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย มีกิจกรรมการเรียนที่ให้ความสำคัญกับเด็กนักเรียน ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจใฝ่หาที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักที่จะปฏิบัติคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ รอบตัว ซึ่งจะเป็นองค์ความรู้ทักษะใหม่สำหรับเด็ก ที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากห้องเรียนปกติ และยังเป็นความรู้ที่เด็กจะสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะกรรมการติดตามประเมินผล คณะผู้บริหารหน่วยงานองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันเข้าเยี่ยมชมโครงงานฐานวิจัยของกลุ่มนักเรียน โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม ซึ่งได้มีการดำเนินงานต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 มีโครงงานเด่นที่ได้ทำการพัฒนาต่อยอดจากปี 2556 และมีโครงงานใหม่ๆ ของกลุ่มนักเรียนเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ประจำปีการศึกษา 2560 รวมทั้งหมด 5 โครงงาน ประกอบด้วย โครงงานฐานวิจัยเรื่อง “ถั่วลิสง” ซึ่งกลุ่มนักเรียนได้ทำการศึกษาเรื่องราคา สารปนเปื้อน เมล็ดพันธุ์ เครื่องมือที่ใช้ในการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการปลูกพืชเสริมต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ลดต้นทุนการผลิต, โครงงานฐานวิจัยเรื่อง “กระเทียม” ทำการศึกษาเรื่องวิธีเร่งการงอก การผลิตเมล็ดพันธุ์ เทคนิควิธีการปลูกให้กระเทียมมีหัวใหญ่ได้น้ำหนักทนต่อโรคขายได้ราคา, โครงงานฐานวิจัยเรื่อง “ผ้าทอ” ทำการศึกษาถึงกรรมวิธีการผลิตเส้นด้าย การทอ การออกแบบลวดลาย การทำสีและการย้อม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์, โครงงานฐานวิจัยเรื่อง “ผักกาด” ศึกษาวิธีการปลูกการให้น้ำสมุนไพรที่จะช่วยให้ผักกาดดูดซึมน้ำและอาหารได้ดีขึ้น วิธีการกำจัดศัตรูผักกาดด้วงหมัดด้วยเกษตรอินทรีย์ และโครงงานฐานวิจัยเรื่อง “น้ำพริกลาบ” ทำการศึกษากรรมวิธีกระบวนการผลิต วิธีการเก็บรักษา การบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุ รักษากลิ่น และลดปริมาณสารก่อมะเร็ง ทั้งนี้ สำหรับโครงงานทั้ 5 โครงงาน กลุ่มนักเรียนโรงเรียนเสริมงามวิทยาคม ได้คิดและทำการศึกษาวิจัยเนื่องจากว่า พืชผักที่ได้ทำการวิจัยล้วนเป็นพืชเกษตรที่ชุมชนนิยมปลูกและจำหน่ายกันมาก รวมถึงผ้าทอชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ทำกันเป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้จากโครงงานฐานวิจัยได้ส่งผลดี โดยชาวบ้านในชุมชนพื้นที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้เกิดผลดีกับการประกอบอาชีพได้จริง สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำปาง นายชาญณรงค์ ปันเต