title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี | วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้(19 ต.ค. 2559 )เวลา 08.00 น. นาย Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย พร้อมด้วยนาย Takehiro Yasumi ผู้อํานวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกล่าวแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมหารือกับรองนายกรัฐมนตรีถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่จะต้องดําเนินต่อไป ทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) และความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
ในโอกาสนี้ ผู้อํานวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ได้กล่าวรายงาน ผลการศึกษาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยระบุว่า เส้นทางถนนในไทยมีการพัฒนาดีอยู่แล้ว แต่ปริมาณการขนส่งสินค้าทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยยังมีปริมาณน้อยอยู่เนื่องจากยังมีโรงงานอุตสาหกรรมน้อย JICA จึงเสนอแนะให้ไทยเพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมให้มากขึ้นในจังหวัดพิษณุโลกและขอนแก่น สําหรับในลาว เวียดนาม เมียนมา แม้จะมีความต้องการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นแต่เส้นทางถนนและการอํานวยความสะดวกบริเวณจุดผ่านแดนยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุผลสําคัญของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกคือ ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเวียดนาม ลาว ไทย ไปสู่เมียนมา รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่า อันดับแรก JICA ควรร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนาม ลาว และเมียนมา ในการพัฒนาเส้นทางถนนเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับไทย ส่วนการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในจังหวัดพิษณุโลกและขอนแก่นจึงเป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งทาง JICA ยินดีรับไปพิจารณา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้(19 ต.ค. 2559 )เวลา 08.00 น. นาย Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย พร้อมด้วยนาย Takehiro Yasumi ผู้อํานวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นกล่าวแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมหารือกับรองนายกรัฐมนตรีถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-ญี่ปุ่นที่จะต้องดําเนินต่อไป ทั้งความร่วมมือในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) และความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
ในโอกาสนี้ ผู้อํานวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4 ขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ได้กล่าวรายงาน ผลการศึกษาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยระบุว่า เส้นทางถนนในไทยมีการพัฒนาดีอยู่แล้ว แต่ปริมาณการขนส่งสินค้าทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยยังมีปริมาณน้อยอยู่เนื่องจากยังมีโรงงานอุตสาหกรรมน้อย JICA จึงเสนอแนะให้ไทยเพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมให้มากขึ้นในจังหวัดพิษณุโลกและขอนแก่น สําหรับในลาว เวียดนาม เมียนมา แม้จะมีความต้องการขนส่งสินค้าเพิ่มมากขึ้นแต่เส้นทางถนนและการอํานวยความสะดวกบริเวณจุดผ่านแดนยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เหตุผลสําคัญของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกคือ ต้องการให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างเวียดนาม ลาว ไทย ไปสู่เมียนมา รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่า อันดับแรก JICA ควรร่วมมือกับรัฐบาลเวียดนาม ลาว และเมียนมา ในการพัฒนาเส้นทางถนนเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกับไทย ส่วนการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ในจังหวัดพิษณุโลกและขอนแก่นจึงเป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งทาง JICA ยินดีรับไปพิจารณา | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/588 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อำเภอพุทไธสง – อำเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 เปิดให้สัญจรแล้ว | วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 เปิดให้สัญจรแล้ว
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายอําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 ในพื้นที่อําเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ และอําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
เพื่อยกระดับคุณภาพสายทาง ช่วยให้การเดินทางสัญจรสู่จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ปัจจุบัน เปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย ทล. ได้ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายอําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 ระหว่าง กม.31+543 – กม.36+200 และ กม.58+250 – กม.68+593 รวมระยะทาง 15 กิโลเมตร งบประมาณ 596,950,000 บาท ลักษณะเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรแอสฟัลท์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างรวม 7 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.5 เมตร
ทางหลวงหมายเลข 202 เป็นถนนสายอาเซียนที่เชื่อมโยงการเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความจําเป็นต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้การสัญจรสู่จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้วเสร็จและได้เปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แขวงทางหลวงมหาสารคาม โทร. 0 4371 1109 หรือสายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อำเภอพุทไธสง – อำเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 เปิดให้สัญจรแล้ว
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560
กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 202 สาย อําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 เปิดให้สัญจรแล้ว
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายอําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 ในพื้นที่อําเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ และอําเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
เพื่อยกระดับคุณภาพสายทาง ช่วยให้การเดินทางสัญจรสู่จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ปัจจุบัน เปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว
นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดย ทล. ได้ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายอําเภอพุทไธสง – อําเภอเกษตรวิสัย ตอน 2 ระหว่าง กม.31+543 – กม.36+200 และ กม.58+250 – กม.68+593 รวมระยะทาง 15 กิโลเมตร งบประมาณ 596,950,000 บาท ลักษณะเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรแอสฟัลท์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างรวม 7 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.5 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 1.5 เมตร
ทางหลวงหมายเลข 202 เป็นถนนสายอาเซียนที่เชื่อมโยงการเดินทางสู่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีความจําเป็นต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้การสัญจรสู่จังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้ดําเนินการแล้วเสร็จและได้เปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว ประชาชนผู้ใช้เส้นทางสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แขวงทางหลวงมหาสารคาม โทร. 0 4371 1109 หรือสายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง) | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม. | วันพุธที่ 24 มกราคม 2561
พม. กําชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม.
พม. กําชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม.
วันนี้ (24 ม.ค. 61) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเอก ณัฐติพล กนกโชติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 26/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.6 ที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆวัย 35 ปี ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการใช้มีดฟันที่ขา ต้องเย็บแผลกว่า 30 เข็ม ซึ่งเด็กหญิงยังอยู่ในอาการหวาดผวา ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล เมื่อทางโรงเรียนทราบเรื่องแต่กลับไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากเกรงว่าผู้เป็นแม่ถูกดําเนินคดี และจะไม่มีใครดูแลลูกชายคนเล็กวัย 7 ขวบ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด (พมจ.ร้อยเอ็ด) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง ประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กหญิงอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน อย่างต่อเนื่องในระยะยาว และหากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครัวจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมรับเด็กเข้ามาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องและทุกคนในสังคม หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็ก สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลและคุ้มครอง สวัสดิภาพเด็กต่อไป
สําหรับกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกชายวัย 31 ปี ที่ป่วยพิการทางสมองและร่างกายมาตั้งแต่กําเนิด แขน-ขาลีบ นอนป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีอาการชักเกร็งตลอดเวลา โดยทุกวันจําเป็นต้องขังลูกทิ้งไว้ภายในบ้าน เนื่องจากต้องออกไปทํางานเป็นแม่บ้านที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ซึ่งทั้ง 2 ชีวิตอาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ย่านทุ่งครุ กรุงเทพฯ นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home กรุงเทพมหานคร และศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลลูกชายพิการอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําปรึกษา แก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม.
วันพุธที่ 24 มกราคม 2561
พม. กําชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม.
พม. กําชับทีม ONE HOME เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงถูกแม่แท้ๆ ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมเร่งช่วยเหลือครอบครัวผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ที่ย่านทุ่งครุ กทม.
วันนี้ (24 ม.ค. 61) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเอก ณัฐติพล กนกโชติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 26/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
จากกรณีเด็กนักเรียนหญิงชั้น ป.6 ที่ถูกผู้เป็นแม่แท้ๆวัย 35 ปี ทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการใช้มีดฟันที่ขา ต้องเย็บแผลกว่า 30 เข็ม ซึ่งเด็กหญิงยังอยู่ในอาการหวาดผวา ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล เมื่อทางโรงเรียนทราบเรื่องแต่กลับไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากเกรงว่าผู้เป็นแม่ถูกดําเนินคดี และจะไม่มีใครดูแลลูกชายคนเล็กวัย 7 ขวบ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร้อยเอ็ด (พมจ.ร้อยเอ็ด) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข อีกทั้ง ประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กหญิงอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 2 คน อย่างต่อเนื่องในระยะยาว และหากตรวจสอบพบว่าครอบครัวไม่พร้อมดูแลเด็ก ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครัวจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมรับเด็กเข้ามาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องและทุกคนในสังคม หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็ก สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลและคุ้มครอง สวัสดิภาพเด็กต่อไป
สําหรับกรณีหญิงรายหนึ่ง ต้องรับภาระเพียงลําพังเลี้ยงดูลูกชายวัย 31 ปี ที่ป่วยพิการทางสมองและร่างกายมาตั้งแต่กําเนิด แขน-ขาลีบ นอนป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีอาการชักเกร็งตลอดเวลา โดยทุกวันจําเป็นต้องขังลูกทิ้งไว้ภายในบ้าน เนื่องจากต้องออกไปทํางานเป็นแม่บ้านที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ซึ่งทั้ง 2 ชีวิตอาศัยในบ้านสภาพเก่าทรุดโทรม ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่ย่านทุ่งครุ กรุงเทพฯ นั้น ตนได้กําชับให้ทีม One Home กรุงเทพมหานคร และศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลลูกชายพิการอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําปรึกษา แก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9591 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ [กระทรวงอุตสาหกรรม] | วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
บีโอไอ ปรับระบบการทํางานรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ถึง 31 กรกฎาคม 2563 สอดรับมาตรการกระทรวงการคลังที่เลื่อนเวลาชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล รุกเปิดใช้ระบบ e-Submission สําหรับการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังได้มีมาตรการให้เลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล รอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 (ภ.ง.ด.50) เป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนั้น
เพื่อให้เงื่อนไขด้านการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของบีโอไอสอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงการคลัง บีโอไอจึงได้ขยายกําหนดเวลาการยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 หรือก่อนครบกําหนดเวลายื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อความสะดวกของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ แม้ว่าบีโอไอจะเปิดให้บริการตามปกติ แต่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความจําเป็นต้องยื่นเรื่องหรือเอกสารต่างๆ บีโอไอจึงได้เพิ่มบริการรับเอกสารทางออนไลน์ นอกเหนือจาก e –Service ที่มีอยู่เดิม (เช่น e-Investment สําหรับรับคําขอส่งเสริมฯ e-Tax สําหรับการยื่นขออนุมัติการใช้สิทธิภาษีเงินได้นิติบุคคล) โดยผู้ประกอบการหรือผู้ใช้บริการสามารถยื่นเรื่อง จดหมาย หรือเอกสารต่างๆ ผ่านระบบการยื่นเอกสารออนไลน์ หรือ “e–Submission” ผ่านเว็บไซต์บีโอไอได้ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ระบบการยื่นเอกสารออนไลน์นี้ใช้ได้กับการยื่นเอกสารต่อสํานักงานของบีโอไอในส่วนภูมิภาคทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ นอกเหนือจากการติดต่อบีโอไอผ่านโทรศัพท์ อีเมล แล้ว บีโอไอได้เพิ่มช่องทางการติดต่อผ่านโซเชียลมีเดีย ได้แก่ ไลน์: @boinews เฟสบุ๊ก: BOI NEWS รวมทั้งสามารถนัดหมายเพื่อประชุมออนไลน์กับเจ้าหน้าที่ได้ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.boi.go.th หัวข้อ e–Service
************************************************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ [กระทรวงอุตสาหกรรม]
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
บีโอไอขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
บีโอไอ ปรับระบบการทํางานรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ขยายเวลายื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ถึง 31 กรกฎาคม 2563 สอดรับมาตรการกระทรวงการคลังที่เลื่อนเวลาชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล รุกเปิดใช้ระบบ e-Submission สําหรับการยื่นเอกสารออนไลน์ได้ทุกงาน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างขึ้น จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังได้มีมาตรการให้เลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล รอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 (ภ.ง.ด.50) เป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนั้น
เพื่อให้เงื่อนไขด้านการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของบีโอไอสอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงการคลัง บีโอไอจึงได้ขยายกําหนดเวลาการยื่นขอใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 หรือก่อนครบกําหนดเวลายื่นรายการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่น้อยกว่า 30 วัน เพื่อความสะดวกของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นอกจากนี้ แม้ว่าบีโอไอจะเปิดให้บริการตามปกติ แต่เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความจําเป็นต้องยื่นเรื่องหรือเอกสารต่างๆ บีโอไอจึงได้เพิ่มบริการรับเอกสารทางออนไลน์ นอกเหนือจาก e –Service ที่มีอยู่เดิม (เช่น e-Investment สําหรับรับคําขอส่งเสริมฯ e-Tax สําหรับการยื่นขออนุมัติการใช้สิทธิภาษีเงินได้นิติบุคคล) โดยผู้ประกอบการหรือผู้ใช้บริการสามารถยื่นเรื่อง จดหมาย หรือเอกสารต่างๆ ผ่านระบบการยื่นเอกสารออนไลน์ หรือ “e–Submission” ผ่านเว็บไซต์บีโอไอได้ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ระบบการยื่นเอกสารออนไลน์นี้ใช้ได้กับการยื่นเอกสารต่อสํานักงานของบีโอไอในส่วนภูมิภาคทั้ง 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ด้วย
ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ นอกเหนือจากการติดต่อบีโอไอผ่านโทรศัพท์ อีเมล แล้ว บีโอไอได้เพิ่มช่องทางการติดต่อผ่านโซเชียลมีเดีย ได้แก่ ไลน์: @boinews เฟสบุ๊ก: BOI NEWS รวมทั้งสามารถนัดหมายเพื่อประชุมออนไลน์กับเจ้าหน้าที่ได้ โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.boi.go.th หัวข้อ e–Service
************************************************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27995 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี | วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562
รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2562) เวลา 9.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่จากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่กองตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาและดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนประจําจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน มายื่นหนังสือร้องเรียน จํานวน 1 เรื่อง คือ กรณีนายสุนทร สุริโย ตัวแทนกลุ่มสตรีกาญจนบุรี/กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ขอคัดค้านการต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ ไม่อนุญาตให้ระเบิดหิน ระเบิดภูเขาเทือกเขาแรด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้มอบหมายสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรีดําเนินการต่อไป #กระทรวงอุตสาหกรรม #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 (PRMOI : สปอ. ภาพ/ข่าว) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดำรงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562
รองปลัดภานุวัฒน์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2562) เวลา 9.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมส่วนหน้า ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่จากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่กองตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาและดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนประจําจุดบริการรับเรื่องร้องทุกข์ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อน มายื่นหนังสือร้องเรียน จํานวน 1 เรื่อง คือ กรณีนายสุนทร สุริโย ตัวแทนกลุ่มสตรีกาญจนบุรี/กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ขอคัดค้านการต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ ไม่อนุญาตให้ระเบิดหิน ระเบิดภูเขาเทือกเขาแรด เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้มอบหมายสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรีดําเนินการต่อไป #กระทรวงอุตสาหกรรม #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 (PRMOI : สปอ. ภาพ/ข่าว) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24508 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ CONNEXT ED | วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562
โครงการ CONNEXT ED
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาครัฐ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ประจําปี 2562 (CONNEXT ED Workshop 2019)”
เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาครัฐ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ประจําปี 2562 (CONNEXT ED Workshop 2019)” โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาคเอกชน พร้อมด้วยผู้แทนภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนโครงการ ผู้แทนภาคประชาสังคม ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และ School Partner เข้าร่วมงาน ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ที่ร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาการศึกษาไทยในโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ส่งผลต่อการสร้าง 3 สิ่งสําคัญให้เกิดขึ้น นั่นก็คือ “ประวัติศาสตร์” ในการดําเนินงานภายใต้ความร่วมมือของทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมพัฒนาการศึกษาในโรงเรียนทั้ง 4,700 แห่งทั่วประเทศ นําไปสู่ “การปฏิรูปการศึกษา” ในทุกมิติ ถือเป็น “ปาฏิหาริย์” ต่อการเสริมความเข้มแข็งของการจัดการศึกษาภาครัฐที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่เช่นกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมการทํางานร่วมกันระหว่างผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู และผู้นํารุ่นใหม่ (School Partner) ที่เกิดจากโครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน กว่า 900 คน ไปจนถึงผู้นําด้านเทคโนโลยีการศึกษา (ICT Talent) ของภาคเอกชน เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดเป็นห้องเรียนแห่งอนาคต ตลอดช่วงเวลา 1 ปีการศึกษาที่จะต้องลงปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนประชารัฐเป้าหมายทั้ง 4,700 แห่ง โดยมีบทบาทสําคัญต่อการนําเสนอบริบทของโรงเรียนต่อองค์กร เพื่อคัดเลือกองค์ความรู้และจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ สนับสนุนได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการจะได้รวบรวมข้อมูลสู่ระบบ School Management เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาโรงเรียน พร้อมกับผลักดันให้ทุกโรงเรียนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างครอบคลุม และส่งเสริมการสื่อสารภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นเครื่องมือสําคัญในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ จากทั่วทั้งโลก
“มีความมั่นใจว่า ผู้นํารุ่นใหม่ หรือ School Partner จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง ช่วยสร้างโอกาสที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทยให้เติบโตเป็นกําลังสําคัญ และเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป เช่นเดียวกับความมั่นใจที่มีต่อความสามารถของชาวกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้ เพราะตลอดระยะกว่า 3 เดือนที่มารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จในการดําเนินงานหลายส่วน ขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงหรือมีความก้าวหน้ามากขึ้น รวมทั้งพร้อมที่จะร่วมสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องสู่ระยะที่ 3 ตามโครงการสานอนาคตการศึกษา หรือ CONNEXT ED เพื่อขยายผลความสําเร็จในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย อย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้การดําเนินงานของ “ประชารัฐ” ได้อย่างแน่นอน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กล่าวว่า โครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED มีที่มาจากโครงการประชารัฐที่สนับสนุนให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ โดยการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ มีเป้าหมายนําความคล่องตัว และองค์ความรู้ด้านการบริหารงานของภาคเอกชน มาเชื่อมโยงกับการดําเนินงานของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ํา พัฒนาคุณภาพมนุษย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีของโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED มีผลการดําเนินงานในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน 4,781 โรงเรียน มีนักเรียนเข้าร่วมการพัฒนากว่า 1 ล้านคน ทั้งยังมีการขยายความร่วมมือใน 12 องค์กรเอกชนผู้ร่วมก่อตั้ง และพันธมิตรภาคเอกชน 21 องค์กร รวมทั้งสิ้น 33 องค์กร ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดําเนินงานทั้ง 5 ยุทธศาสตร์ในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ กว่า 3,153 ล้านบาท
ส่วนแนวทางการดําเนินงานในระยะที่ 3 ได้เตรียมการรองรับการพัฒนาประสิทธิภาพการดําเนินงานในหลายส่วน อาทิ การจัดทําโครงการสมุดพกดิจิทัล เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการจัดการสถานศึกษา, การพัฒนาระบบการบริจาคออนไลน์ CONNEXT ED Crowdfunding เพื่อระดมทุนสนับสนุนการศึกษา, การจัดตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ด้านการยกระดับคุณภาพการศึกษาพื้นฐานของประเทศ ที่สําคัญคือการขยายความร่วมมือไปยังองค์กรภาคเอกชนอื่น ให้ครอบคลุมโรงเรียนที่ต้องการการสนับสนุนจากภาคเอกชน รวมทั้งเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ขอขอบคุณองค์กรภาคเอกชนทั้ง 33 องค์กร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง School Partner ที่เป็นผู้นําอาสาสมัครรุ่นใหม่ ที่มีความทุ่มเทแรงกายแรงใจ และมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีอนาคตและความเป็นอยู่ที่ดี ขอทุกคนอย่าละความตั้งใจ เพื่อที่เราจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยไปพร้อม ๆ กัน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ CONNEXT ED
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562
โครงการ CONNEXT ED
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาครัฐ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ประจําปี 2562 (CONNEXT ED Workshop 2019)”
เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาครัฐ เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ประจําปี 2562 (CONNEXT ED Workshop 2019)” โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะหัวหน้าคณะทํางานภาคเอกชน พร้อมด้วยผู้แทนภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนโครงการ ผู้แทนภาคประชาสังคม ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และ School Partner เข้าร่วมงาน ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่าลาดพร้าว กรุงเทพฯ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ที่ร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาการศึกษาไทยในโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ส่งผลต่อการสร้าง 3 สิ่งสําคัญให้เกิดขึ้น นั่นก็คือ “ประวัติศาสตร์” ในการดําเนินงานภายใต้ความร่วมมือของทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมพัฒนาการศึกษาในโรงเรียนทั้ง 4,700 แห่งทั่วประเทศ นําไปสู่ “การปฏิรูปการศึกษา” ในทุกมิติ ถือเป็น “ปาฏิหาริย์” ต่อการเสริมความเข้มแข็งของการจัดการศึกษาภาครัฐที่จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยสู่ศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่เช่นกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมการทํางานร่วมกันระหว่างผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู และผู้นํารุ่นใหม่ (School Partner) ที่เกิดจากโครงการผู้นําเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน กว่า 900 คน ไปจนถึงผู้นําด้านเทคโนโลยีการศึกษา (ICT Talent) ของภาคเอกชน เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดเป็นห้องเรียนแห่งอนาคต ตลอดช่วงเวลา 1 ปีการศึกษาที่จะต้องลงปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนประชารัฐเป้าหมายทั้ง 4,700 แห่ง โดยมีบทบาทสําคัญต่อการนําเสนอบริบทของโรงเรียนต่อองค์กร เพื่อคัดเลือกองค์ความรู้และจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ สนับสนุนได้อย่างเหมาะสมต่อไป
ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการจะได้รวบรวมข้อมูลสู่ระบบ School Management เพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาโรงเรียน พร้อมกับผลักดันให้ทุกโรงเรียนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างครอบคลุม และส่งเสริมการสื่อสารภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นเครื่องมือสําคัญในการเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ จากทั่วทั้งโลก
“มีความมั่นใจว่า ผู้นํารุ่นใหม่ หรือ School Partner จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง ช่วยสร้างโอกาสที่ดีแก่เด็กและเยาวชนไทยให้เติบโตเป็นกําลังสําคัญ และเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป เช่นเดียวกับความมั่นใจที่มีต่อความสามารถของชาวกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้ เพราะตลอดระยะกว่า 3 เดือนที่มารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จในการดําเนินงานหลายส่วน ขณะเดียวกันก็พยายามผลักดันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงหรือมีความก้าวหน้ามากขึ้น รวมทั้งพร้อมที่จะร่วมสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องสู่ระยะที่ 3 ตามโครงการสานอนาคตการศึกษา หรือ CONNEXT ED เพื่อขยายผลความสําเร็จในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย อย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้การดําเนินงานของ “ประชารัฐ” ได้อย่างแน่นอน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
นายศุภชัย เจียรวนนท์ กล่าวว่า โครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED มีที่มาจากโครงการประชารัฐที่สนับสนุนให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ โดยการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ มีเป้าหมายนําความคล่องตัว และองค์ความรู้ด้านการบริหารงานของภาคเอกชน มาเชื่อมโยงกับการดําเนินงานของภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ํา พัฒนาคุณภาพมนุษย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีของโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED มีผลการดําเนินงานในโรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน 4,781 โรงเรียน มีนักเรียนเข้าร่วมการพัฒนากว่า 1 ล้านคน ทั้งยังมีการขยายความร่วมมือใน 12 องค์กรเอกชนผู้ร่วมก่อตั้ง และพันธมิตรภาคเอกชน 21 องค์กร รวมทั้งสิ้น 33 องค์กร ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการดําเนินงานทั้ง 5 ยุทธศาสตร์ในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ กว่า 3,153 ล้านบาท
ส่วนแนวทางการดําเนินงานในระยะที่ 3 ได้เตรียมการรองรับการพัฒนาประสิทธิภาพการดําเนินงานในหลายส่วน อาทิ การจัดทําโครงการสมุดพกดิจิทัล เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการจัดการสถานศึกษา, การพัฒนาระบบการบริจาคออนไลน์ CONNEXT ED Crowdfunding เพื่อระดมทุนสนับสนุนการศึกษา, การจัดตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ด้านการยกระดับคุณภาพการศึกษาพื้นฐานของประเทศ ที่สําคัญคือการขยายความร่วมมือไปยังองค์กรภาคเอกชนอื่น ให้ครอบคลุมโรงเรียนที่ต้องการการสนับสนุนจากภาคเอกชน รวมทั้งเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ขอขอบคุณองค์กรภาคเอกชนทั้ง 33 องค์กร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง School Partner ที่เป็นผู้นําอาสาสมัครรุ่นใหม่ ที่มีความทุ่มเทแรงกายแรงใจ และมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มีอนาคตและความเป็นอยู่ที่ดี ขอทุกคนอย่าละความตั้งใจ เพื่อที่เราจะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาของไทยไปพร้อม ๆ กัน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24687 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป | วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 10.30 น. นายปีร์กะ ตาปีโอละ (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสรับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยเข้ามาดํารงตําแหน่งในไทยอีกครั้ง หลังจากเคยประจําการที่สถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจําประเทศไทยมาก่อน ซึ่งเชื่อว่าประสบการณ์การทํางานในไทยที่ผ่านมาจะช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย – สหภาพยุโรป (EU) แน่นแฟ้นมากขึ้นได้ และด้านเอกอัครราชทูตฯ แสดงความยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทย – EU จะกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้นเป็นลําดับ
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนการหารือกันในหลายประเด็น อาทิ ด้านสิทธิมนุษยชน โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า ได้ติดตามการทํางานของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเห็นถึงพัฒนาการที่ดีของไทยเรื่อยมา โดยเฉพาะการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และการยกเลิกการดําเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร แสดงถึงการให้ความสําคัญของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างยิ่ง และในด้านการเมือง ทางสหภาพยุโรปแสดงความเข้าใจในสถานการณ์ภายในประเทศและเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่ารัฐบาลจะดําเนินการตาม Roadmap ที่วางไว้ เพื่อนําประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ไทยและ EU ควรขยายความร่วมมือที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมิติต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ EU ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทำงานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
ไทย – สหภาพยุโรป พร้อมร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 10.30 น. นายปีร์กะ ตาปีโอละ (H.E. Mr. Pirkka Tapiola) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสรับหน้าที่ ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสหภาพยุโรปประจําประเทศไทยเข้ามาดํารงตําแหน่งในไทยอีกครั้ง หลังจากเคยประจําการที่สถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ประจําประเทศไทยมาก่อน ซึ่งเชื่อว่าประสบการณ์การทํางานในไทยที่ผ่านมาจะช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย – สหภาพยุโรป (EU) แน่นแฟ้นมากขึ้นได้ และด้านเอกอัครราชทูตฯ แสดงความยินดีที่ทั้งสองฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันมากขึ้น หลังจากการปรับข้อมติเกี่ยวกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทย – EU จะกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้นเป็นลําดับ
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนการหารือกันในหลายประเด็น อาทิ ด้านสิทธิมนุษยชน โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า ได้ติดตามการทํางานของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเห็นถึงพัฒนาการที่ดีของไทยเรื่อยมา โดยเฉพาะการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และการยกเลิกการดําเนินคดีพลเรือนในศาลทหาร แสดงถึงการให้ความสําคัญของรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างยิ่ง และในด้านการเมือง ทางสหภาพยุโรปแสดงความเข้าใจในสถานการณ์ภายในประเทศและเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่ารัฐบาลจะดําเนินการตาม Roadmap ที่วางไว้ เพื่อนําประเทศไปสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ไทยและ EU ควรขยายความร่วมมือที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมิติต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมกันทํางานอย่างสร้างสรรค์ต่อไป เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ EU ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10306 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยก้าวไปอีกขั้น ผนึกโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ยกระดับสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ | วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
กรุงไทยก้าวไปอีกขั้น ผนึกโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ยกระดับสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ
ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ให้บริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ
วันนี้ (1 มีนาคม 2562) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ให้เกียรติร่วมในพิธีเปิดโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) โดยมี พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน และมี นาวาอากาศเอก ชัยยา จันทร์ใส ผู้อํานวยการโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) นายปริญญา พัฒนภักดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส และนายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงไทย ร่วมพิธี โดยธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ให้บริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ ที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน)
นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นผลักดันโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ โดยได้นํานวัตกรรมทางการเงินมาให้บริการในทุกมิติ ซึ่งการพัฒนาโรงพยาบาลต่างๆ สู่ Smart Hospital เป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร นอกเหนือจากกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มการชําระเงิน กลุ่มมหาวิทยาลัยและการศึกษา และกลุ่มระบบขนส่งมวลชน โดยธนาคารได้รับความไว้วางใจจากโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ให้เป็นผู้บริหารจัดการทางการเงินอย่างครบวงจร ทั้งบุคลากร คู่ค้า ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการ ด้วย Total Financial Solutions for Smart Air Force Hospital ได้แก่ การบริหารจัดการทางการเงินผ่าน Krungthai Corporate Online ซึ่งเป็นระบบเดียวที่เชื่อมต่อกับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ (Government Fiscal Management Information System - GFMIS) ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบสิทธิ์การรักษาพยาบาลก่อนชําระเงินผ่านเครื่อง EDC พร้อมชําระเงินด้วยตนเองผ่านเครื่อง Self-Payment Machine ด้วยบัตรเดบิต บัตรเครดิต และ QR Code ที่รองรับแอปพลิเคชั่น Mobile Banking กรุงไทย NEXT และธนาคารอื่นๆ ช่วยลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการบริหารจัดการเงินสดให้กับโรงพยาบาล
“นอกจากนี้ยังมี ระบบ e-Donation ที่ผู้บริจาคจะได้รับใบอนุโมทนาบุญอิเล็กทรอนิกส์ทางอีเมลพร้อมส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรเพื่อนําไปลดหย่อนภาษี รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการสําหรับโรงพยาบาล ทั้งบริการจ่ายเงินเดือน และบริการจ่ายเงินคู่ค้าด้วยระบบโอนเงินอัตโนมัติ อีกทั้งธนาคารยังได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง กรุงไทย ให้ร้านค้าต่างๆ บริเวณรอบโรงพยาบาล รองรับการชําระเงินด้วย QR Code เพิ่มความสะดวกสบาย และทําให้เข้าถึงบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ”
นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารมีความพร้อมอย่างยิ่งในการสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยได้นําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาอํานวยความสะดวกและลดภาระการบริหารจัดการด้านบุคลากร ด้วยบัตร Krungthai Smart Staff ID card ที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว มีระบบบันทึกเวลาเข้า-ออกแบบอัจฉริยะ และสามารถใช้จ่ายแทนเงินสด รวมทั้งมีแผนเปิดสาขาที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ในรูปแบบ Digital แห่งแรกของกองทัพอากาศ และเตรียมขยายการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Total Financial Solutions) ไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ที่สนใจ ทั่วประเทศ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยก้าวไปอีกขั้น ผนึกโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ยกระดับสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562
กรุงไทยก้าวไปอีกขั้น ผนึกโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ยกระดับสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ
ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ให้บริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ
วันนี้ (1 มีนาคม 2562) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และ หม่อมหลวง ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ให้เกียรติร่วมในพิธีเปิดโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) โดยมี พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน และมี นาวาอากาศเอก ชัยยา จันทร์ใส ผู้อํานวยการโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) นายปริญญา พัฒนภักดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส และนายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงไทย ร่วมพิธี โดยธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ให้บริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่ Smart Air Force Hospital แห่งแรกของกองทัพอากาศ ที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน)
นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมุ่งมั่นผลักดันโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ โดยได้นํานวัตกรรมทางการเงินมาให้บริการในทุกมิติ ซึ่งการพัฒนาโรงพยาบาลต่างๆ สู่ Smart Hospital เป็น 1 ใน 5 Ecosystems หลักของธนาคาร นอกเหนือจากกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ กลุ่มการชําระเงิน กลุ่มมหาวิทยาลัยและการศึกษา และกลุ่มระบบขนส่งมวลชน โดยธนาคารได้รับความไว้วางใจจากโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ให้เป็นผู้บริหารจัดการทางการเงินอย่างครบวงจร ทั้งบุคลากร คู่ค้า ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการ ด้วย Total Financial Solutions for Smart Air Force Hospital ได้แก่ การบริหารจัดการทางการเงินผ่าน Krungthai Corporate Online ซึ่งเป็นระบบเดียวที่เชื่อมต่อกับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐ (Government Fiscal Management Information System - GFMIS) ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบสิทธิ์การรักษาพยาบาลก่อนชําระเงินผ่านเครื่อง EDC พร้อมชําระเงินด้วยตนเองผ่านเครื่อง Self-Payment Machine ด้วยบัตรเดบิต บัตรเครดิต และ QR Code ที่รองรับแอปพลิเคชั่น Mobile Banking กรุงไทย NEXT และธนาคารอื่นๆ ช่วยลดความเสี่ยงและความยุ่งยากในการบริหารจัดการเงินสดให้กับโรงพยาบาล
“นอกจากนี้ยังมี ระบบ e-Donation ที่ผู้บริจาคจะได้รับใบอนุโมทนาบุญอิเล็กทรอนิกส์ทางอีเมลพร้อมส่งข้อมูลไปยังกรมสรรพากรเพื่อนําไปลดหย่อนภาษี รวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการสําหรับโรงพยาบาล ทั้งบริการจ่ายเงินเดือน และบริการจ่ายเงินคู่ค้าด้วยระบบโอนเงินอัตโนมัติ อีกทั้งธนาคารยังได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง กรุงไทย ให้ร้านค้าต่างๆ บริเวณรอบโรงพยาบาล รองรับการชําระเงินด้วย QR Code เพิ่มความสะดวกสบาย และทําให้เข้าถึงบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ”
นายกิตติพัฒน์ เพียรธรรม กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารมีความพร้อมอย่างยิ่งในการสนับสนุนโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยได้นําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาอํานวยความสะดวกและลดภาระการบริหารจัดการด้านบุคลากร ด้วยบัตร Krungthai Smart Staff ID card ที่ตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว มีระบบบันทึกเวลาเข้า-ออกแบบอัจฉริยะ และสามารถใช้จ่ายแทนเงินสด รวมทั้งมีแผนเปิดสาขาที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) ในรูปแบบ Digital แห่งแรกของกองทัพอากาศ และเตรียมขยายการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Total Financial Solutions) ไปยังโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ที่สนใจ ทั่วประเทศ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19061 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังสั่งเดินเครื่อง 'หนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ธ.ก.ส. ชู 'สงขลาโมเดล' นำร่องเกษตรกรพ้นวงจรหนี้ถาวร | วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560
คลังสั่งเดินเครื่อง 'หนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ธ.ก.ส. ชู 'สงขลาโมเดล' นําร่องเกษตรกรพ้นวงจรหนี้ถาวร
ธ.ก.ส. รับลูกนโยบายรัฐบาลเดินหน้า 'แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ชู 'สงขลาโมเดล' บูรณาการแก้ไขปัญหาครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ช่วยให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร
ธ.ก.ส. รับลูกนโยบายรัฐบาลเดินหน้า 'แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ชู 'สงขลาโมเดล' บูรณาการแก้ไขปัญหาครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ช่วยให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร เผยผลงานแก้หนี้นอกระบบไปแล้วกว่า 5.1 แสนราย วงเงิน 4.3 หมื่นล้านบาท
วันนี้ (27 พ.ย.)ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง นางลัดดาวัลย์ สินธุรักษ์ อธิบดีอัยการ สํานักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เข้าร่วม "โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา"
นายอภิศักดิ์ ประธานในพิธีได้กล่าวมอบนโยบายเรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย" จากนั้นได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยจํานวน 300 ราย โดยมีผู้บริหารของกระทรวงการคลัง ผู้บริหาร ธ.ก.ส. และผู้บริหารธนาคารออมสินร่วมเป็นสักขีพยาน
นายอภิรมย์ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ให้ความสําคัญการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ นโยบาย "การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์" เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 พบว่ามีเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนจํานวน 3,322,214 ราย และมีหนี้นอกระบบสูงถึง 460,487 ราย มูลหนี้เฉลี่ยรายละ 59,695 บาท โดย ธ.ก.ส. ได้เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น ผ่านการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน มุ่งเน้นให้มีการแก้ไขปัญหาผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่มีศักยภาพ ทั้งกองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน รวมไปถึงการนําเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเพิ่มศักยภาพการหารายได้ ให้เกิดความเข้มแข็งมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หลุดพ้นจากวงจรหนี้นอกระบบและดํารงชีพได้อย่างปกติสุข
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ดําเนินงานแก้ไขหนี้นอกระบบมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สามารถจ่ายสินเชื่อไปแล้วทั้งสิ้น 516,526 ราย วงเงิน 43,439.90 ล้านบาท โดยล่าสุดได้บูรณาการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบผ่าน 3 โครงการประกอบไปด้วย
1. โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือนของเกษตรกรที่มีภาระค่าใช้จ่ายที่จําเป็นและฉุกเฉิน
2. โครงการที่ปรึกษาทางการเงินภาคครัวเรือน โดยกําหนดมาตรการสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาศักยภาพผู้นํากองทุนหมู่บ้าน จํานวน 2,000 คน และผู้นําชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง จํานวน 2,160 คน รวมทั้งสิ้น 4,160 คน ให้เป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเงินในชุมชน เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางการเงินภาคครัวเรือน ทําหน้าที่ให้คําปรึกษาทางการเงินหรือแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่เกษตรกร
3. โครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่เกษตรกรที่ไดรับการป้องกันและแก้ไขหน้ีนอกระบบ มาเป็นหน้ีในระบบธนาคาร แล้วสามารถประกอบอาชีพเสริมนอกเหนือจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบเดิม ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มข้ึนเพียงพอแก่การชําระหน้ีและการดํารงชีพในชีวิตประจําวัน
"เกษตรกรลูกค้า 3 ราย ประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชนแปรรูปหมอนยางพารา วิสาหกิจชุมชนใต้สยามไฮโดรโปนิกส์ และกลุ่มเกษตรกรกลุ่มต้นกล้า ที่จังหวัดสงขลานํามาเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ถือเป็นเอสเอ็มอีเกษตร ระดับหัวขบวน มีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าเกษตร ช่วยสร้างงานให้เกษตรกรในท้องถิ่น สร้างอาชีพให้คนในชุมชนมีรายได้เสริม สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสภาพพื้นที่ของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เป็นการบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ไม่ใช่เพียงการนําเงินไปใช้หนี้ให้เกษตรกรเท่านั้น แต่ ธ.ก.ส. ได้จัดทํากระบวนการที่ยั่งยืนด้วยการนําเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและมีหนี้นอกระบบเข้าโครงการฝึกอบรมวินัยทางด้านการเงินจากผู้เชี่ยวชาญในชุมชน และสนับสนุนสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ นอกจากการทําอาชีพเกษตรเพียงอย่างเดียว เพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร และดํารงชีวิตได้อย่างปกติสุข" นายอภิรมย์กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังสั่งเดินเครื่อง 'หนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ธ.ก.ส. ชู 'สงขลาโมเดล' นำร่องเกษตรกรพ้นวงจรหนี้ถาวร
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560
คลังสั่งเดินเครื่อง 'หนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ธ.ก.ส. ชู 'สงขลาโมเดล' นําร่องเกษตรกรพ้นวงจรหนี้ถาวร
ธ.ก.ส. รับลูกนโยบายรัฐบาลเดินหน้า 'แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ชู 'สงขลาโมเดล' บูรณาการแก้ไขปัญหาครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ช่วยให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร
ธ.ก.ส. รับลูกนโยบายรัฐบาลเดินหน้า 'แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นศูนย์' ชู 'สงขลาโมเดล' บูรณาการแก้ไขปัญหาครบวงจร ทั้งการให้สินเชื่อ ฝึกอบรมวินัยการเงิน และสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ ช่วยให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยหลุดพ้นวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร เผยผลงานแก้หนี้นอกระบบไปแล้วกว่า 5.1 แสนราย วงเงิน 4.3 หมื่นล้านบาท
วันนี้ (27 พ.ย.)ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง นางลัดดาวัลย์ สินธุรักษ์ อธิบดีอัยการ สํานักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เข้าร่วม "โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา"
นายอภิศักดิ์ ประธานในพิธีได้กล่าวมอบนโยบายเรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย" จากนั้นได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยจํานวน 300 ราย โดยมีผู้บริหารของกระทรวงการคลัง ผู้บริหาร ธ.ก.ส. และผู้บริหารธนาคารออมสินร่วมเป็นสักขีพยาน
นายอภิรมย์ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ให้ความสําคัญการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ นโยบาย "การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์" เพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งจากข้อมูลการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 พบว่ามีเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยมาลงทะเบียนจํานวน 3,322,214 ราย และมีหนี้นอกระบบสูงถึง 460,487 ราย มูลหนี้เฉลี่ยรายละ 59,695 บาท โดย ธ.ก.ส. ได้เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น ผ่านการให้สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน มุ่งเน้นให้มีการแก้ไขปัญหาผ่านองค์กรการเงินชุมชนที่มีศักยภาพ ทั้งกองทุนหมู่บ้านและสถาบันการเงินชุมชน รวมไปถึงการนําเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเพิ่มศักยภาพการหารายได้ ให้เกิดความเข้มแข็งมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หลุดพ้นจากวงจรหนี้นอกระบบและดํารงชีพได้อย่างปกติสุข
ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้ดําเนินงานแก้ไขหนี้นอกระบบมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน สามารถจ่ายสินเชื่อไปแล้วทั้งสิ้น 516,526 ราย วงเงิน 43,439.90 ล้านบาท โดยล่าสุดได้บูรณาการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบผ่าน 3 โครงการประกอบไปด้วย
1. โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือนของเกษตรกรที่มีภาระค่าใช้จ่ายที่จําเป็นและฉุกเฉิน
2. โครงการที่ปรึกษาทางการเงินภาคครัวเรือน โดยกําหนดมาตรการสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาศักยภาพผู้นํากองทุนหมู่บ้าน จํานวน 2,000 คน และผู้นําชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง จํานวน 2,160 คน รวมทั้งสิ้น 4,160 คน ให้เป็นบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านการเงินในชุมชน เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางการเงินภาคครัวเรือน ทําหน้าที่ให้คําปรึกษาทางการเงินหรือแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่เกษตรกร
3. โครงการสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้แก่เกษตรกรที่ไดรับการป้องกันและแก้ไขหน้ีนอกระบบ มาเป็นหน้ีในระบบธนาคาร แล้วสามารถประกอบอาชีพเสริมนอกเหนือจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบเดิม ให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มข้ึนเพียงพอแก่การชําระหน้ีและการดํารงชีพในชีวิตประจําวัน
"เกษตรกรลูกค้า 3 ราย ประกอบด้วย วิสาหกิจชุมชนแปรรูปหมอนยางพารา วิสาหกิจชุมชนใต้สยามไฮโดรโปนิกส์ และกลุ่มเกษตรกรกลุ่มต้นกล้า ที่จังหวัดสงขลานํามาเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ถือเป็นเอสเอ็มอีเกษตร ระดับหัวขบวน มีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าเกษตร ช่วยสร้างงานให้เกษตรกรในท้องถิ่น สร้างอาชีพให้คนในชุมชนมีรายได้เสริม สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะนําไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสภาพพื้นที่ของแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เป็นการบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ไม่ใช่เพียงการนําเงินไปใช้หนี้ให้เกษตรกรเท่านั้น แต่ ธ.ก.ส. ได้จัดทํากระบวนการที่ยั่งยืนด้วยการนําเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและมีหนี้นอกระบบเข้าโครงการฝึกอบรมวินัยทางด้านการเงินจากผู้เชี่ยวชาญในชุมชน และสนับสนุนสินเชื่ออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ นอกจากการทําอาชีพเกษตรเพียงอย่างเดียว เพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้นอกระบบอย่างถาวร และดํารงชีวิตได้อย่างปกติสุข" นายอภิรมย์กล่าว | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8377 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกำลังสำคัญที่จะนำพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง | วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง
รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง
วันนี้ (15กุมภาพันธ์2560)เวลา14.00น.ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ครั้งที่1 /2560โดยมีผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมฯ รับทราบสถานการณ์ดําเนินงานส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ.2548โดยมีเจตนารมณ์ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้มีความเข้มแข็ง มีความพร้อมสําหรับการแข่งขันทางการค้าในอนาคต รวมไปถึง ส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนไปสู่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือSMEsด้วยการส่งเสริมความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้เกิดรายได้ ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน พัฒนาความสามารถในการบริหารจัดการ และพัฒนารูปแบบของวิสาหกิจภายในชุมชน ที่ผ่านมาคณะกรรมการส่งเสริมฯได้ดําเนินการในการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ปี2555-2559โดยมีผลการดําเนินการคือ วิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการอนุมัติทะเบียน ณ วันที่1มกราคม2560จํานวนกว่า80,000แห่ง โดยวิสาหกิจชุมชนร้อยละ60หรือประมาณ50,000แห่ง ที่ยังคงมีการดําเนินการอยู่ และอีก30,000แห่ง อยู่ระหว่างกระบวนการเพิกถอนและยกเลิกทะเบียนออกจากระบบ นอกจากนั้น ได้มีการจัดประเภทวิสาหกิจชุมชนโดยแบ่งเป็นการผลิตสินค้าทั้งหมด18ประเภท โดยมีวิสาหกิจประกอบกิจการผลิตพืชมีจํานวนมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ การผลิตปศุสัตว์ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร ตามลําดับ
อีกทั้ง ทางคณะกรรมการส่งเสริมฯ ได้ดําเนินการคัดสรรวิสาหกิจชุมชนดีเด่นเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นต้นแบบการเรียนรู้ให้กับวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ พร้อมสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในการจัดเวทีเรียนรู้เพื่อให้สามารถจัดทําแผนพัฒนากิจการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆได้ โดยได้เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ2550จนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนโดยงบประมาณจากแหล่งอื่น ทั้งในส่วนของกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โครงการสนับสนุนเครือข่ายSMEsใน18กลุ่มจังหวัด และจากคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ อีกด้วย
นอกจากนั้น ที่ประชุมฯ รับทราบปัญหาและข้อจํากัดในการดําเนินการทั้งในเรื่องของวิสาหกิจชุมชน ที่มีทรัพย์สินมากขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาในการถือครองทรัพย์สินนั้น ที่มีความต้องการให้มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และควรที่จะให้เป็นสิทธิ์ของนิติบุคคล ปัญหาการทํานิติกรรมและธุรกรรมต่าง ๆ โดยสมาชิกต้องค้ําประกันซึ่งกันและกันเอง เนื่องมาจากมาตรการส่งเสริมของรัฐบางมาตรา ซึ่งได้กําหนดให้นิติบุคคลเป็นผู้ขอใช้สิทธิ์ในการรับผลประโยชน์ตามมาตรานั้น ๆ ทั้งนี้ จากรายงาน สถานการณ์การดําเนินงานและปัญหาต่าง ๆ ที่ประชุมฯ ได้ รับทราบแล้ว และจะเร่งดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นในระยะต่อไป
จากนั้น ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบ การเสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อการส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน เนื่องมาจากการพัฒนากิจการให้เติบโตและก้าวหน้าได้นั้น จําเป็นต้องมีงบประมาณหรือทุนสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจชุมชนพื้นฐาน เพื่อให้มีการพัฒนากิจการสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนพ.ศ.2548ไม่ได้กําหนดให้มีกองทุนสําหรับวิสาหกิจชุมชนเป็นการเฉพาะ แต่ได้กําหนดให้มีคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้การสนับสนุนกิจการวิสาหกิจชุมชน ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฟัง ความคิดเห็น และสอบถามความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินค้าวิสาหกิจชุมชนและสินค้าOTOPจากกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในต่างจังหวัดที่เข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ผู้ประกอบกิจการเนื้อโคขุนจังหวัดสกลนคร,ผู้ประกอบกิจการน้ําตาลโตนดจังหวัดเพชรบุรี ,ผู้ประกอบกิจการข้าวหอมมะลิ จังหวัดศรีสะเกษ โดยผู้ประกอบการทั้งหมด ได้เสนอแนวคิดว่าวิสาหกิจชุมชน เกิดจากประชาชนในชุมชนได้รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยมุ่งเน้นถึงกระบวนการการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์โดยรวม จึงทําให้เกิดผลผลิตที่เรียกกันว่า ผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPและเมื่อกลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPนั้น มีความเข้มแข็ง มีกําลังความสามารถในการแข่งขันได้ระดับการค้าขายเชิงพาณิชย์ก็จะต่อยอดยกระดับเป็นกลุ่มผู้ประกอบการSMEsนั้นเอง ซึ่งหากกลุ่มผู้ประกอบการทั้ง3ส่วนนี้ มีพื้นฐานความรู้ที่รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพารายได้มากมายเข้ามาสู่ประเทศ ช่วยยกระดับสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกำลังสำคัญที่จะนำพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2560
รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง
รัฐบาลพร้อมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนที่จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพาเศรษฐกิจประเทศไทยให้เข้มแข็ง
วันนี้ (15กุมภาพันธ์2560)เวลา14.00น.ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ครั้งที่1 /2560โดยมีผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมฯ รับทราบสถานการณ์ดําเนินงานส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ.2548โดยมีเจตนารมณ์ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ และพัฒนาระบบเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้มีความเข้มแข็ง มีความพร้อมสําหรับการแข่งขันทางการค้าในอนาคต รวมไปถึง ส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนไปสู่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือSMEsด้วยการส่งเสริมความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้เกิดรายได้ ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน พัฒนาความสามารถในการบริหารจัดการ และพัฒนารูปแบบของวิสาหกิจภายในชุมชน ที่ผ่านมาคณะกรรมการส่งเสริมฯได้ดําเนินการในการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ปี2555-2559โดยมีผลการดําเนินการคือ วิสาหกิจชุมชนและเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการอนุมัติทะเบียน ณ วันที่1มกราคม2560จํานวนกว่า80,000แห่ง โดยวิสาหกิจชุมชนร้อยละ60หรือประมาณ50,000แห่ง ที่ยังคงมีการดําเนินการอยู่ และอีก30,000แห่ง อยู่ระหว่างกระบวนการเพิกถอนและยกเลิกทะเบียนออกจากระบบ นอกจากนั้น ได้มีการจัดประเภทวิสาหกิจชุมชนโดยแบ่งเป็นการผลิตสินค้าทั้งหมด18ประเภท โดยมีวิสาหกิจประกอบกิจการผลิตพืชมีจํานวนมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ การผลิตปศุสัตว์ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร ตามลําดับ
อีกทั้ง ทางคณะกรรมการส่งเสริมฯ ได้ดําเนินการคัดสรรวิสาหกิจชุมชนดีเด่นเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นต้นแบบการเรียนรู้ให้กับวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ พร้อมสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในการจัดเวทีเรียนรู้เพื่อให้สามารถจัดทําแผนพัฒนากิจการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆได้ โดยได้เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ2550จนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนโดยงบประมาณจากแหล่งอื่น ทั้งในส่วนของกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โครงการสนับสนุนเครือข่ายSMEsใน18กลุ่มจังหวัด และจากคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ อีกด้วย
นอกจากนั้น ที่ประชุมฯ รับทราบปัญหาและข้อจํากัดในการดําเนินการทั้งในเรื่องของวิสาหกิจชุมชน ที่มีทรัพย์สินมากขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาในการถือครองทรัพย์สินนั้น ที่มีความต้องการให้มีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และควรที่จะให้เป็นสิทธิ์ของนิติบุคคล ปัญหาการทํานิติกรรมและธุรกรรมต่าง ๆ โดยสมาชิกต้องค้ําประกันซึ่งกันและกันเอง เนื่องมาจากมาตรการส่งเสริมของรัฐบางมาตรา ซึ่งได้กําหนดให้นิติบุคคลเป็นผู้ขอใช้สิทธิ์ในการรับผลประโยชน์ตามมาตรานั้น ๆ ทั้งนี้ จากรายงาน สถานการณ์การดําเนินงานและปัญหาต่าง ๆ ที่ประชุมฯ ได้ รับทราบแล้ว และจะเร่งดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านั้นในระยะต่อไป
จากนั้น ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบ การเสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อการส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน เนื่องมาจากการพัฒนากิจการให้เติบโตและก้าวหน้าได้นั้น จําเป็นต้องมีงบประมาณหรือทุนสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจชุมชนพื้นฐาน เพื่อให้มีการพัฒนากิจการสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนพ.ศ.2548ไม่ได้กําหนดให้มีกองทุนสําหรับวิสาหกิจชุมชนเป็นการเฉพาะ แต่ได้กําหนดให้มีคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับกิจการวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้การสนับสนุนกิจการวิสาหกิจชุมชน ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฟัง ความคิดเห็น และสอบถามความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินค้าวิสาหกิจชุมชนและสินค้าOTOPจากกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนในต่างจังหวัดที่เข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ผู้ประกอบกิจการเนื้อโคขุนจังหวัดสกลนคร,ผู้ประกอบกิจการน้ําตาลโตนดจังหวัดเพชรบุรี ,ผู้ประกอบกิจการข้าวหอมมะลิ จังหวัดศรีสะเกษ โดยผู้ประกอบการทั้งหมด ได้เสนอแนวคิดว่าวิสาหกิจชุมชน เกิดจากประชาชนในชุมชนได้รวมตัวกันโดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยมุ่งเน้นถึงกระบวนการการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์โดยรวม จึงทําให้เกิดผลผลิตที่เรียกกันว่า ผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPและเมื่อกลุ่มผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สินค้าOTOPนั้น มีความเข้มแข็ง มีกําลังความสามารถในการแข่งขันได้ระดับการค้าขายเชิงพาณิชย์ก็จะต่อยอดยกระดับเป็นกลุ่มผู้ประกอบการSMEsนั้นเอง ซึ่งหากกลุ่มผู้ประกอบการทั้ง3ส่วนนี้ มีพื้นฐานความรู้ที่รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง จะเป็นกําลังสําคัญที่จะนําพารายได้มากมายเข้ามาสู่ประเทศ ช่วยยกระดับสินค้าไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1875 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม | วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2561
กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
19 พฤษภาคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดกิจกรรม Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมโดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิ์สวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมทุกท่าน ให้คําปรึกษาแนะนํา และมีอุตสาหกรรมจังหวัดและผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องประชุมจูปิเตอร์ 11-13 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2561
กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
กิจกรรมการ Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม
19 พฤษภาคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดกิจกรรม Workshop เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย Local Economy และ สินค้าอุตสาหกรรมชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมโดยมี นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิ์สวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมทุกท่าน ให้คําปรึกษาแนะนํา และมีอุตสาหกรรมจังหวัดและผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องประชุมจูปิเตอร์ 11-13 อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12380 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจำทางให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม] | วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563
ขสมก. ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจําทางให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม]
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจําทางทุกประเภท จากเดิมเวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นเวลา 04.00 - 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 ตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวว่า ตามที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 มีมติเห็นชอบมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 รวมถึงการลดช่วงเวลาเคอร์ฟิวอีก 1 ชั่วโมง จากเดิม 23.00 - 04.00 น. เป็น 23.00 - 03.00 น. และอนุญาตให้กลุ่มกิจกรรม จํานวน 2 กลุ่ม คือ กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดําเนินชีวิต อาทิ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การแสดงสินค้า เปิดให้บริการได้ถึง 21.00 น. ส่วนกิจกรรมด้านการออกกําลังกาย การดูแลสุขภาพและสันทนาการ อาทิ สถานเสริมความงาม สปา และโรงภาพยนตร์ สามารถเปิดให้บริการได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนด โดยคาดว่าเมื่อดําเนินการตามมาตรการคลายล็อกดังกล่าว จะส่งผลให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก จากเดิมวันละประมาณ 20,000 - 30,000 คน เป็นวันละประมาณ 620,000 - 630,000 คน ขสมก. จึงได้จัดแผนเดินรถโดยสารในช่วงมาตรการคลายล็อกระยะที่ 3 ดังนี้
1. จัดรถโดยสารให้บริการ 95% (2,855 คัน/วัน) หรือจัดรถโดยสารให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา
2. ปรับเวลาการให้บริการเดินรถโดยสาร จากเวลา 05.00 - 22.00 น. (เวลา 22.00 น. คือเวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) เป็นให้บริการ เวลา 04.00 - 22.00 น. (เวลา 22.00 น. คือเวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) โดยเพิ่มความถี่ในการปล่อยรถ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า (04.00 - 08.00 น.) และช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00 - 22.00 น.) ให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 5 - 10 นาที
3. ปล่อยรถโดยสารคันสุดท้าย ออกจากท่าปลายทางประมาณ 21.00 น. เพื่อให้พนักงานสามารถนํารถกลับเข้าอู่จอดรถได้ทันเวลา 22.00 น. โดยปรับเพิ่มความถี่ในช่วงการปล่อยรถ 3 คันสุดท้าย ให้มีระยะห่างกัน 5 - 10 นาที ซึ่งจะติดป้ายข้อความ “เหลือรถ 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถ 1 คันสุดท้าย” และ “รถคันสุดท้าย” บริเวณหน้ารถโดยสารเพื่อให้ผู้โดยสารทราบ
ขสมก. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สวมหน้ากากอนามัยขณะใช้บริการรถโดยสาร นั่งหรือยืนตามจุดที่กําหนด (รถโดยสาร 1 คัน อนุญาตให้ผู้ใช้บริการยืนได้ไม่เกิน 10 คน) กรณีผู้โดยสารเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้บริการเตรียมตัวกลับบ้านก่อนเวลา 19.00 น. เพื่อลดความแออัดของผู้ใช้บริการบนรถโดยสารในช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00 - 22.00 น.) ซึ่งจะทําให้การดําเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถโดยสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสอบถามเส้นทางรถเมล์หรือแนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook bmta@bmta.co.th หรือศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 20.00 น. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจำทางให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม]
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563
ขสมก. ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจําทางให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 [กระทรวงคมนาคม]
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม ปรับเวลาให้บริการรถโดยสารประจําทางทุกประเภท จากเดิมเวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นเวลา 04.00 - 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป
เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 ตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กล่าวว่า ตามที่ประชุม ศบค. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 มีมติเห็นชอบมาตรการคลายล็อกกลุ่มกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 3 รวมถึงการลดช่วงเวลาเคอร์ฟิวอีก 1 ชั่วโมง จากเดิม 23.00 - 04.00 น. เป็น 23.00 - 03.00 น. และอนุญาตให้กลุ่มกิจกรรม จํานวน 2 กลุ่ม คือ กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดําเนินชีวิต อาทิ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การแสดงสินค้า เปิดให้บริการได้ถึง 21.00 น. ส่วนกิจกรรมด้านการออกกําลังกาย การดูแลสุขภาพและสันทนาการ อาทิ สถานเสริมความงาม สปา และโรงภาพยนตร์ สามารถเปิดให้บริการได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนด โดยคาดว่าเมื่อดําเนินการตามมาตรการคลายล็อกดังกล่าว จะส่งผลให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก จากเดิมวันละประมาณ 20,000 - 30,000 คน เป็นวันละประมาณ 620,000 - 630,000 คน ขสมก. จึงได้จัดแผนเดินรถโดยสารในช่วงมาตรการคลายล็อกระยะที่ 3 ดังนี้
1. จัดรถโดยสารให้บริการ 95% (2,855 คัน/วัน) หรือจัดรถโดยสารให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา
2. ปรับเวลาการให้บริการเดินรถโดยสาร จากเวลา 05.00 - 22.00 น. (เวลา 22.00 น. คือเวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) เป็นให้บริการ เวลา 04.00 - 22.00 น. (เวลา 22.00 น. คือเวลาที่รถโดยสารกลับถึงอู่จอดรถ) โดยเพิ่มความถี่ในการปล่อยรถ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า (04.00 - 08.00 น.) และช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00 - 22.00 น.) ให้มีระยะห่างกันไม่เกิน 5 - 10 นาที
3. ปล่อยรถโดยสารคันสุดท้าย ออกจากท่าปลายทางประมาณ 21.00 น. เพื่อให้พนักงานสามารถนํารถกลับเข้าอู่จอดรถได้ทันเวลา 22.00 น. โดยปรับเพิ่มความถี่ในช่วงการปล่อยรถ 3 คันสุดท้าย ให้มีระยะห่างกัน 5 - 10 นาที ซึ่งจะติดป้ายข้อความ “เหลือรถ 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถ 1 คันสุดท้าย” และ “รถคันสุดท้าย” บริเวณหน้ารถโดยสารเพื่อให้ผู้โดยสารทราบ
ขสมก. ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สวมหน้ากากอนามัยขณะใช้บริการรถโดยสาร นั่งหรือยืนตามจุดที่กําหนด (รถโดยสาร 1 คัน อนุญาตให้ผู้ใช้บริการยืนได้ไม่เกิน 10 คน) กรณีผู้โดยสารเต็มจะต้องรอใช้บริการรถโดยสารคันถัดไป รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ใช้บริการเตรียมตัวกลับบ้านก่อนเวลา 19.00 น. เพื่อลดความแออัดของผู้ใช้บริการบนรถโดยสารในช่วงเวลาก่อนเคอร์ฟิว (21.00 - 22.00 น.) ซึ่งจะทําให้การดําเนินการตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมบนรถโดยสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสอบถามเส้นทางรถเมล์หรือแนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook bmta@bmta.co.th หรือศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 20.00 น. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31785 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดทำโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม | วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
กระทรวงมหาดไทยจัดทําโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม
กระทรวงมหาดไทยจัดทําโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม
วันนี้ (11 ส.ค. 59)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ดําเนินโครงการสายธารพระบารมี ครองราชย์ 70 ปี พระราชินี 7 รอบ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559
เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่ทั้ง 2 พระองค์เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจึงได้จัดทํา “โครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี” เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศร่วมสานพลังประชารัฐ อันประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจเอกชนในพื้นที่ดําเนินกิจกรรมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการก่อสร้าง ซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือผู้ยากจน ให้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง โดยมีเป้าหมายดําเนินการ จํานวน 984 หลัง กําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560
สําหรับการขับเคลื่อนโครงการฯ กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นแกนหลักสานพลังประชารัฐในพื้นที่เข้าร่วมดําเนินการ และขับเคลื่อนในรูปแบบ “คณะกรรมการ” ประกอบด้วย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ภาคธุรกิจ เอกชน องค์กรศาสนา ผู้นําองค์กรชุมชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําหน้าที่กําหนดเป้าหมายและหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ โดยใช้กระบวนการประชาคมหมู่บ้าน ชุมชน จากกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด และพิจารณาการออกแบบก่อสร้างและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ ลักษณะการอยู่อาศัยของประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าร่วมดําเนินงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยพิจารณาจัดหางบประมาณสนับสนุนจากแหล่งทุนในพื้นที่ในลักษณะการแสดงเจตจํานงร่วมกัน จากกองทุนต่าง ๆ หรือภาคส่วนอื่น ๆ ในพื้นที่ที่เข้าร่วมดําเนินโครงการ รวมทั้งงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามอํานาจหน้าที่ และสําหรับการดําเนินการก่อสร้าง ซ่อมแซม หรือปรับปรุงให้ดําเนินงานในลักษณะการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ โดยใช้แรงงานจากผู้เสียสละแรงงานเป็นลําดับต้น หรืออาจใช้วิธีการจ้างแรงงานก่อสร้างตามความจําเป็น
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานตามโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี เป็นโครงการที่มีความสําคัญที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาสในสังคมให้ได้มีที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดํารงชีวิต และที่สําคัญการดําเนินโครงการในครั้งนี้ ได้เกิดจากพลังประชารัฐ ที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันทําความดีด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยกระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมกันดําเนินงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยจัดทำโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559
กระทรวงมหาดไทยจัดทําโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม
กระทรวงมหาดไทยจัดทําโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี ก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ยากไร้ ด้อยโอกาสในสังคม
วันนี้ (11 ส.ค. 59)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ดําเนินโครงการสายธารพระบารมี ครองราชย์ 70 ปี พระราชินี 7 รอบ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม 2559
เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่ทั้ง 2 พระองค์เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจึงได้จัดทํา “โครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี” เพื่อสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศร่วมสานพลังประชารัฐ อันประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคธุรกิจเอกชนในพื้นที่ดําเนินกิจกรรมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการก่อสร้าง ซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้กับพี่น้องประชาชนผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือผู้ยากจน ให้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคง โดยมีเป้าหมายดําเนินการ จํานวน 984 หลัง กําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2560
สําหรับการขับเคลื่อนโครงการฯ กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ทุกจังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นแกนหลักสานพลังประชารัฐในพื้นที่เข้าร่วมดําเนินการ และขับเคลื่อนในรูปแบบ “คณะกรรมการ” ประกอบด้วย ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ภาคธุรกิจ เอกชน องค์กรศาสนา ผู้นําองค์กรชุมชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําหน้าที่กําหนดเป้าหมายและหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้สมควรได้รับการช่วยเหลือ โดยใช้กระบวนการประชาคมหมู่บ้าน ชุมชน จากกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด และพิจารณาการออกแบบก่อสร้างและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ภูมิอากาศ ลักษณะการอยู่อาศัยของประชาชนในหมู่บ้าน ชุมชน สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าร่วมดําเนินงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ โดยพิจารณาจัดหางบประมาณสนับสนุนจากแหล่งทุนในพื้นที่ในลักษณะการแสดงเจตจํานงร่วมกัน จากกองทุนต่าง ๆ หรือภาคส่วนอื่น ๆ ในพื้นที่ที่เข้าร่วมดําเนินโครงการ รวมทั้งงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามอํานาจหน้าที่ และสําหรับการดําเนินการก่อสร้าง ซ่อมแซม หรือปรับปรุงให้ดําเนินงานในลักษณะการจัดหาวัสดุ อุปกรณ์ โดยใช้แรงงานจากผู้เสียสละแรงงานเป็นลําดับต้น หรืออาจใช้วิธีการจ้างแรงงานก่อสร้างตามความจําเป็น
ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานตามโครงการบ้านท้องถิ่นประชารัฐร่วมใจ เทิดไท้องค์ราชัน ราชินี เป็นโครงการที่มีความสําคัญที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาสในสังคมให้ได้มีที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดํารงชีวิต และที่สําคัญการดําเนินโครงการในครั้งนี้ ได้เกิดจากพลังประชารัฐ ที่ทุกภาคส่วนจะได้ร่วมกันทําความดีด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม โดยกระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมกันดําเนินงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียม. | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/109 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ | วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ําทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการและเชื่อมโยงการทํางานระหว่างกันเพื่อนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว
วันนี้ (9 พ.ย.61) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย ผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งที่ 2/2561 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงมอบหมายให้ (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี) เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการกีฬาทั้งภาครัฐ องค์กรด้านการกีฬา และเอกชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการจะส่งเสริมด้านการกีฬา ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี และมีจิตใจที่ดี อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการและเชื่อมโยงการทํางานร่วมกันตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ และให้มีการกําหนดนโยบายและแนวทางการทํางานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลให้ได้โดยเร็วตามเป้าหมายที่กําหนด โดยเฉพาะการทําให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การกีฬาของไทยและของโลก โดยแนวโน้มของการกีฬาของโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เห็นได้จากมีการพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการผสมผสานค่านิยมใหม่ในการตระถึงการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากวิถีชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการต่าง ๆ ในหลายภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งการพัฒนาการกีฬาให้มีแนวโน้มเจริญเติบโตในอนาคต จึงเป็นสาเหตุที่ชัดเจนว่าการกีฬาของประเทศไทยจะมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยแนวโน้มและปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการกีฬาในอนาคตมี 7 ประเด็น (1) ความตระหนักในข้อดีของการรักษาสุขภาพเป็นปัจจัยหลักที่คนจะหันมาเล่นกีฬาและออกกําลังกายเพิ่มขึ้น (2) นานาประเทศจะมีการผลักดันการกีฬาให้กับมวลชนอย่างต่อเนื่องสําหรับประชาชนทุกกลุ่ม (3) กีฬาชนิดที่ให้ความตื่นเต้น เร้าใจ กําลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่และท้าทาย (4) การแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีการแข่งขันทางการตลาดอย่างเข้มข้น (5) การดําเนินชีวิตในสังคมเมือง ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบและมีข้อจํากัดด้านเวลา ส่งผลให้ไม่สามารถวางแผนและออกแบบการออกกําลังกายและกีฬาให้เหมาะสมกับชีวิตประจําวันได้ (6) ระบบอาสาสมัครกีฬาจะมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างคุณค่าทางสังคม และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับวงการกีฬา และ (7) การพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในการเล่นหรือการชมกีฬา ทั้งนี้ แนวโน้มหรือปัจจัยสําคัญดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกีฬาของไทยและการวางแผนการพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยในอนาคต
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาปัญหาและอุปสรรคของการดําเนินงานตามแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) ซึ่งพบการนําแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดและแผนปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการบูรณาการและเชื่อมโยงระหว่างกัน ดังนั้นที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เพื่อให้การดําเนินงานตามแผนแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําต่อที่ประชุมฯ ว่า ตามที่ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์กีฬา รวมทั้งโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานด้านการกีฬา ตลอดจนหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งในส่วนของการให้ความเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) นั้น ขอให้คณะกรรมการฯ ได้ติดตามดําเนินการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนําแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ
รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ พร้อมเน้นย้ําทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการและเชื่อมโยงการทํางานระหว่างกันเพื่อนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลโดยเร็ว
วันนี้ (9 พ.ย.61) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมด้วย ผลการประชุมสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ครั้งนี้ เป็นการประชุมครั้งที่ 2/2561 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงมอบหมายให้ (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี) เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ แทนรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) โดยพระราชบัญญัตินโยบายการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านการกีฬาทั้งภาครัฐ องค์กรด้านการกีฬา และเอกชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการจะส่งเสริมด้านการกีฬา ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี และมีจิตใจที่ดี อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จึงขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการและเชื่อมโยงการทํางานร่วมกันตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ และให้มีการกําหนดนโยบายและแนวทางการทํางานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลให้ได้โดยเร็วตามเป้าหมายที่กําหนด โดยเฉพาะการทําให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การกีฬาของไทยและของโลก โดยแนวโน้มของการกีฬาของโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เห็นได้จากมีการพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการผสมผสานค่านิยมใหม่ในการตระถึงการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากวิถีชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการต่าง ๆ ในหลายภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งการพัฒนาการกีฬาให้มีแนวโน้มเจริญเติบโตในอนาคต จึงเป็นสาเหตุที่ชัดเจนว่าการกีฬาของประเทศไทยจะมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยแนวโน้มและปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการกีฬาในอนาคตมี 7 ประเด็น (1) ความตระหนักในข้อดีของการรักษาสุขภาพเป็นปัจจัยหลักที่คนจะหันมาเล่นกีฬาและออกกําลังกายเพิ่มขึ้น (2) นานาประเทศจะมีการผลักดันการกีฬาให้กับมวลชนอย่างต่อเนื่องสําหรับประชาชนทุกกลุ่ม (3) กีฬาชนิดที่ให้ความตื่นเต้น เร้าใจ กําลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่และท้าทาย (4) การแข่งขันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มีการแข่งขันทางการตลาดอย่างเข้มข้น (5) การดําเนินชีวิตในสังคมเมือง ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบและมีข้อจํากัดด้านเวลา ส่งผลให้ไม่สามารถวางแผนและออกแบบการออกกําลังกายและกีฬาให้เหมาะสมกับชีวิตประจําวันได้ (6) ระบบอาสาสมัครกีฬาจะมีบทบาทมากขึ้นในการสร้างคุณค่าทางสังคม และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กับวงการกีฬา และ (7) การพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงและการมีส่วนร่วมในการเล่นหรือการชมกีฬา ทั้งนี้ แนวโน้มหรือปัจจัยสําคัญดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการกีฬาของไทยและการวางแผนการพัฒนาการกีฬาของประเทศไทยในอนาคต
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาปัญหาและอุปสรรคของการดําเนินงานตามแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) ซึ่งพบการนําแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดและแผนปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการบูรณาการและเชื่อมโยงระหว่างกัน ดังนั้นที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เพื่อให้การดําเนินงานตามแผนแผนพัฒนากีฬาแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําต่อที่ประชุมฯ ว่า ตามที่ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์กีฬา รวมทั้งโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานด้านการกีฬา ตลอดจนหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ซึ่งในส่วนของการให้ความเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทบทวนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) นั้น ขอให้คณะกรรมการฯ ได้ติดตามดําเนินการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนําแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
--------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16676 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560
9 พฤษภาคม 2560 การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 นายประสงค์ นิลบรรจง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สร้างโอกาสทางด้านการค้าและการลงทุนแก่ SMEs ตลอดทั้ง การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนําวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แนวคิด "นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์" โดยมีนายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องแซฟไฟร์ 204-205 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560
9 พฤษภาคม 2560 การประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 นายประสงค์ นิลบรรจง หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมสัมมนาและพิธีเปิดตัวโครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สร้างโอกาสทางด้านการค้าและการลงทุนแก่ SMEs ตลอดทั้ง การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนําวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แนวคิด "นวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์" โดยมีนายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา อุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงาน ณ ห้องแซฟไฟร์ 204-205 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สดร. จับมือมูลนิธิขาเทียมฯ นำเทคโนโลยีงานวิจัยดาราศาสตร์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการไทย | วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562
สดร. จับมือมูลนิธิขาเทียมฯ นําเทคโนโลยีงานวิจัยดาราศาสตร์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการไทย
สดร. ร่วมกับ มูลนิธิขาเทียม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์ เพื่อให้ผู้พิการไทยมีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์ เพื่อให้ผู้พิการไทยมีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี ทันสมัย และตอบสนองต่อรูปแบบการใช้งานต่างๆ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ณ อาคารเรียน ที่ทําการมูลนิธิขาเทียมฯ จังหวัดเชียงใหม่ โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีและประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิขาเทียม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี
ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า สดร. ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและสร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ด้วยตัวเอง เพื่อยกระดับความสามารถ ด้านงานวิจัยและวิศวกรรม ปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ซื้อและพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ให้เป็นผู้ออกแบบและสร้างอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ระดับสูง ที่ผ่านมาองค์ความรู้จากงานวิจัยด้านดาราศาสตร์สามารถนํามาปรับใช้ออกแบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาอื่นๆ มากมาย เช่น อุปกรณ์ของจักษุแพทย์ การสแกนและสร้างภาพ คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกที่สดร. ได้นํางานวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบและวิเคราะห์ทางกล การขึ้นรูปชิ้นงานอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ การพัฒนาเครื่องมือ ทางดาราศาสตร์ มาต่อยอดประยุกต์ใช้ประโยชน์กับงานออกแบบขาเทียมซึ่งเป็นงานสาขาอื่น และคาดว่า ในอนาคตจะได้ขยายการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยไปยังงานด้านอื่นๆ ต่อไป
รองศาตราจารย์ นายแพทย์วัชระ รุจิเวชพงศธร เลขาธิการมูลนิธิขาเทียมฯ กล่าวถึงที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ว่า กายอุปกรณ์ เช่น แขนเทียม ขาเทียม จําเป็นต่อการดํารงชีพของผู้ป่วยและผู้พิการเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีการออกแบบโดยเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรง แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง จําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ ซึ่งในประเทศไทยมีผู้พัฒนางานลักษณะนี้ไม่มากนัก จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเล็งเห็นความสําคัญของการร่วมมือกันวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์เพื่อผู้ป่วยและ ผู้พิการ โดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงความรู้ความสามารถของบุคลากรทั้งสองหน่วยงานมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้พิการไทยให้มีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี ทันสมัย และตอบสนองต่อการใช้งานในรูปแบบต่างกันได้
นายอภิชาต เหล็กงาม ผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการหอดูดาวและวิศวกรรม สดร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลงานแรกของสดร. คือการออกแบบขาเทียม เริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาของขาเทียมรูปแบบปัจจุบันโดยโปรแกรมวิเคราะห์ลักษณะโครงสร้าง (Solid Works) พบว่า โครงสร้างเดิมเมื่อได้รับแรงกดจากการใช้งานจริง ขาเทียมจะแตกหักเสียหายหลังการนําไปใช้งานไม่นาน สดร. จึงวิจัยออกแบบโครงสร้างใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี การกัดขึ้นรูป แทนการฉีดขึ้นรูปซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานในปัจจุบัน เสริมให้โครงสร้างของชิ้นส่วนขาเทียมแข็งแรงคงทนยิ่งขึ้น สามารถรับแรงได้มากกว่าขาเทียมแบบปัจจุบันถึงสองเท่า ในขณะที่น้ําหนักของขาเทียมลดลงถึง 10% ทั้งยังปรับปรุงวิธีการปรับองศาขาเทียมให้สามารถแยกปรับทีละแนวแกนได้อย่างอิสระ เพื่อให้ง่ายเหมาะสมกับลักษณะการเดินของผู้ป่วยและผู้พิการได้ทุกรูปแบบ และเนื่องจากสดร. มีห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จึงสามารถผลิตชิ้นส่วนขาเทียมโดยใช้เทคโนโลยีการกัดขึ้นรูปที่มี ความละเอียดสูงได้เอง ราคาของขาเทียมจึงลดลง สร้างโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงได้มากขึ้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สดร. จับมือมูลนิธิขาเทียมฯ นำเทคโนโลยีงานวิจัยดาราศาสตร์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการไทย
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562
สดร. จับมือมูลนิธิขาเทียมฯ นําเทคโนโลยีงานวิจัยดาราศาสตร์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการไทย
สดร. ร่วมกับ มูลนิธิขาเทียม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์ เพื่อให้ผู้พิการไทยมีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์ เพื่อให้ผู้พิการไทยมีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี ทันสมัย และตอบสนองต่อรูปแบบการใช้งานต่างๆ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 ณ อาคารเรียน ที่ทําการมูลนิธิขาเทียมฯ จังหวัดเชียงใหม่ โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีและประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิขาเทียม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี
ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า สดร. ให้ความสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและสร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ด้วยตัวเอง เพื่อยกระดับความสามารถ ด้านงานวิจัยและวิศวกรรม ปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ซื้อและพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ให้เป็นผู้ออกแบบและสร้างอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ระดับสูง ที่ผ่านมาองค์ความรู้จากงานวิจัยด้านดาราศาสตร์สามารถนํามาปรับใช้ออกแบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาอื่นๆ มากมาย เช่น อุปกรณ์ของจักษุแพทย์ การสแกนและสร้างภาพ คลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรกที่สดร. ได้นํางานวิจัยเกี่ยวกับการออกแบบและวิเคราะห์ทางกล การขึ้นรูปชิ้นงานอุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ การพัฒนาเครื่องมือ ทางดาราศาสตร์ มาต่อยอดประยุกต์ใช้ประโยชน์กับงานออกแบบขาเทียมซึ่งเป็นงานสาขาอื่น และคาดว่า ในอนาคตจะได้ขยายการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยไปยังงานด้านอื่นๆ ต่อไป
รองศาตราจารย์ นายแพทย์วัชระ รุจิเวชพงศธร เลขาธิการมูลนิธิขาเทียมฯ กล่าวถึงที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ว่า กายอุปกรณ์ เช่น แขนเทียม ขาเทียม จําเป็นต่อการดํารงชีพของผู้ป่วยและผู้พิการเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีการออกแบบโดยเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรง แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริง จําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบ ซึ่งในประเทศไทยมีผู้พัฒนางานลักษณะนี้ไม่มากนัก จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเล็งเห็นความสําคัญของการร่วมมือกันวิจัยและพัฒนากายอุปกรณ์เพื่อผู้ป่วยและ ผู้พิการ โดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงความรู้ความสามารถของบุคลากรทั้งสองหน่วยงานมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้พิการไทยให้มีโอกาสได้ใช้กายอุปกรณ์ที่ดี ทันสมัย และตอบสนองต่อการใช้งานในรูปแบบต่างกันได้
นายอภิชาต เหล็กงาม ผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการหอดูดาวและวิศวกรรม สดร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับผลงานแรกของสดร. คือการออกแบบขาเทียม เริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาของขาเทียมรูปแบบปัจจุบันโดยโปรแกรมวิเคราะห์ลักษณะโครงสร้าง (Solid Works) พบว่า โครงสร้างเดิมเมื่อได้รับแรงกดจากการใช้งานจริง ขาเทียมจะแตกหักเสียหายหลังการนําไปใช้งานไม่นาน สดร. จึงวิจัยออกแบบโครงสร้างใหม่ โดยใช้เทคโนโลยี การกัดขึ้นรูป แทนการฉีดขึ้นรูปซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานในปัจจุบัน เสริมให้โครงสร้างของชิ้นส่วนขาเทียมแข็งแรงคงทนยิ่งขึ้น สามารถรับแรงได้มากกว่าขาเทียมแบบปัจจุบันถึงสองเท่า ในขณะที่น้ําหนักของขาเทียมลดลงถึง 10% ทั้งยังปรับปรุงวิธีการปรับองศาขาเทียมให้สามารถแยกปรับทีละแนวแกนได้อย่างอิสระ เพื่อให้ง่ายเหมาะสมกับลักษณะการเดินของผู้ป่วยและผู้พิการได้ทุกรูปแบบ และเนื่องจากสดร. มีห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จึงสามารถผลิตชิ้นส่วนขาเทียมโดยใช้เทคโนโลยีการกัดขึ้นรูปที่มี ความละเอียดสูงได้เอง ราคาของขาเทียมจึงลดลง สร้างโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงได้มากขึ้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17925 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9 | วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9
ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9
วันนี้ (26 เม.ย.61) เวลา 10.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปร่วมเป็นเกียรติและกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2561 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก สมาชิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย ผู้แทนจากรัฐบาลของประเทศในเขตการแพร่กระจายของช้างเอเชีย 13 ประเทศ ผู้แทนกลุ่มความร่วมมือในการป้องกันการลักลอบล่าช้างป่า (MIKE) ผู้แทนจากสมาคมสวนสัตว์ (Association of Zoos and Aquariums, WAZA) สมาคมสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ํายุโรป (European Association of Zoos and Aquaria, EAZA) เจ้าหน้าที่จาก United States Fish and Wildlife Service (USFWS) ผู้สนับสนุนแหล่งทุน ตลอดจนแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์จากหลายประเทศทั่วโลก
การประชุมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชียในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของแต่ละประเทศในการอนุรักษ์และการจัดการช้างเอเชีย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ครั้งที่ 8 ณ ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.2559 และการประชุมของประเทศที่เป็นถิ่นอาศัยของช้างเอเชีย (Asian Elephant Range States Meeting) ครั้งที่ 2 ณ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ.2560 มีประเด็นสาคัญที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านการจัดการและอนุรักษ์ช้างป่าและช้างเลี้ยง ได้แก่ การพิจารณาแผนการอนุรักษ์ช้างในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย การแก้ไขปัญหาการลดลงของประชากรช้างเอเชียในประเทศเวียดนาม การจัดทําแนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพและการปล่อยช้างเลี้ยงในพื้นที่ป่าธรรมชาติ การจัดการและดูแลช้างเลี้ยงที่อยู่ในภาวะตกมัน การจัดการสวัสดิภาพและการใช้ประโยชน์ช้างเพื่อการท่องเที่ยว การแก้ไขปัญหาระหว่างคนกับช้างป่า การจัดทําแผนที่การกระจายของช้างเอเชีย การจัดทําแนวทางการสร้างแหล่งน้ํา/บ่อน้ําในพื้นที่ถิ่นอาศัยของช้างป่า การเสริมสร้างศักยภาพโครงการติดตามตรวจสอบการลักลอบฆ่าช้าง (Monitoring of Illegal Killing of Elephants-MIKE) การจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อการอนุรักษ์และจัดการช้างเอเชีย
นอกจากนี้ มีการบรรยายพิเศษในประเด็นสําคัญต่างๆ เช่น การจัดทําฐานข้อมูลพันธุกรรมของช้างป่า ความก้าวหน้าของการศึกษาวิจัยในด้านการตรวจสอบเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้างเอเชีย การป้องกันลักลอบค้าช้างและอวัยวะของช้าง รวมถึงการหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมือและการบริหารจัดการช้างระหว่างประเทศที่เป็นเขตกระจายของช้างเอเชีย โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ จะนําไปสู่แนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์ช้างเอเชีย ตลอดจนนําไปสู่ความเข้มแข็งของเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและแผนการจัดการและอนุรักษ์ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมาตรการเชิงรุกในการอนุรักษ์ช้างเอเชียในอนาคตต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน 2561
ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9
ทส. ร่วมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9
วันนี้ (26 เม.ย.61) เวลา 10.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปร่วมเป็นเกียรติและกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย (Asian Elephant Specialist Group Meeting) ครั้งที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2561 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก สมาชิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชีย ผู้แทนจากรัฐบาลของประเทศในเขตการแพร่กระจายของช้างเอเชีย 13 ประเทศ ผู้แทนกลุ่มความร่วมมือในการป้องกันการลักลอบล่าช้างป่า (MIKE) ผู้แทนจากสมาคมสวนสัตว์ (Association of Zoos and Aquariums, WAZA) สมาคมสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ํายุโรป (European Association of Zoos and Aquaria, EAZA) เจ้าหน้าที่จาก United States Fish and Wildlife Service (USFWS) ผู้สนับสนุนแหล่งทุน ตลอดจนแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์จากหลายประเทศทั่วโลก
การประชุมการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญช้างเอเชียในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานของแต่ละประเทศในการอนุรักษ์และการจัดการช้างเอเชีย เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ครั้งที่ 8 ณ ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ.2559 และการประชุมของประเทศที่เป็นถิ่นอาศัยของช้างเอเชีย (Asian Elephant Range States Meeting) ครั้งที่ 2 ณ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ.2560 มีประเด็นสาคัญที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านการจัดการและอนุรักษ์ช้างป่าและช้างเลี้ยง ได้แก่ การพิจารณาแผนการอนุรักษ์ช้างในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย การแก้ไขปัญหาการลดลงของประชากรช้างเอเชียในประเทศเวียดนาม การจัดทําแนวทางการฟื้นฟูสมรรถภาพและการปล่อยช้างเลี้ยงในพื้นที่ป่าธรรมชาติ การจัดการและดูแลช้างเลี้ยงที่อยู่ในภาวะตกมัน การจัดการสวัสดิภาพและการใช้ประโยชน์ช้างเพื่อการท่องเที่ยว การแก้ไขปัญหาระหว่างคนกับช้างป่า การจัดทําแผนที่การกระจายของช้างเอเชีย การจัดทําแนวทางการสร้างแหล่งน้ํา/บ่อน้ําในพื้นที่ถิ่นอาศัยของช้างป่า การเสริมสร้างศักยภาพโครงการติดตามตรวจสอบการลักลอบฆ่าช้าง (Monitoring of Illegal Killing of Elephants-MIKE) การจัดทําแผนปฏิบัติการเพื่อการอนุรักษ์และจัดการช้างเอเชีย
นอกจากนี้ มีการบรรยายพิเศษในประเด็นสําคัญต่างๆ เช่น การจัดทําฐานข้อมูลพันธุกรรมของช้างป่า ความก้าวหน้าของการศึกษาวิจัยในด้านการตรวจสอบเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้างเอเชีย การป้องกันลักลอบค้าช้างและอวัยวะของช้าง รวมถึงการหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมือและการบริหารจัดการช้างระหว่างประเทศที่เป็นเขตกระจายของช้างเอเชีย โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ จะนําไปสู่แนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์ช้างเอเชีย ตลอดจนนําไปสู่ความเข้มแข็งของเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและแผนการจัดการและอนุรักษ์ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและมาตรการเชิงรุกในการอนุรักษ์ช้างเอเชียในอนาคตต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11791 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นายกฯ ประยุทธ์’ มอบ “รมว.อดุลย์” เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล | วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
‘นายกฯ ประยุทธ์’ มอบ “รมว.อดุลย์” เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมหารือ เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล จัดทีมแพทย์พยาบาล จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพแรงงาน ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตาย ตั้งแต่ 27 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2561
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมหารือ เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล จัดทีมแพทย์พยาบาล จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพแรงงาน ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตาย ตั้งแต่ 27 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2561 พร้อมจ่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานไทยในอิสราเอลอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง เร็วๆ นี้
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ที่ห้องประชุมศ. นิคม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า แรงงานไทยในอิสราเอลถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกละเมิดสิทธิ์ และได้รับค่าตอบแทนต่ํากว่าที่กฎหมายกําหนด อีกทั้งสภาพการทํางานยังไม่ตรงตามสัญญา และมีสภาพที่อยู่อาศัยไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา แรงงานไทยในอิสราเอลเสียชีวิตกว่า 170 คนนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลนําโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มิได้นิ่งนอนใจ ทั้งยังมีความห่วงใยเป็นอย่างมาก โดยได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานติดตามสถานการณ์ตลอด และเร่งช่วยเหลือทันที ซึ่งในวันนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานประกันสังคม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร่วมประชุมหารือแนวทางช่วยเหลือ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสํานักงานแรงงานในประเทศอิสราเอล (กรุงเทลอาวีฟ) นําคณะแพทย์และพยาบาลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตายด้วยเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ EKG และลงพื้นที่ที่มีประวัติแรงงานใหลตาย โดยเน้นหนักไปที่การศึกษาและประเมินสภาพการทํางาน สภาพความเป็นอยู่ เพื่อศึกษาและประเมินหาปัจจัยบ่งชี้ของสาเหตุการใหลตายให้กับแรงงานไทยในอิสราเอล ช่วงระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2561 และสั่งกําชับให้ลงพื้นที่ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และแก้ไขต่อไป โดยได้ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับอัครราชทูตฯ มาอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานได้ลงนามในข้อตกลงด้านแรงงานกับรัฐบาลอิสราเอล เรื่องการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลเมื่อปี 2555 ปัจจุบันมีแรงงานไทยไปทํางานในประเทศอิสราเอล จํานวนทั้งสิ้น 24,746 คน ระยะเวลาการจ้างครั้งละ 2 ปี และสามารถต่อสัญญาจ้างงานได้อีก 3 ปี 10 เดือน รวมแล้วไม่เกิน 5 ปี 10 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่ทํางานอยู่ในภาคเกษตร อัตราค่าจ้างขั้นต่ําในอิสราเอล เดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 47,000 บาท ทั้งนี้ แรงงานไทยที่เข้าไปทํางานในอิสราเอลอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยการจัดส่งโดยกรมการจัดหางาน จะผ่านกระบวนการคัดเลือก รวมถึงการตรวจสุขภาพว่ามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมที่จะเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในอิสราเอลหรือไม่
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน มีมาตรการในการติดตามคุ้มครองดูแลให้แรงงานไทยในอิสราเอลได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ซึ่งจากกรณีค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น ในปีที่ผ่านมา สามารถเรียกร้องเงินชดเชยให้แก่แรงงานไทยได้กว่า 47 ล้านบาท และในเร็วๆ นี้ รมว. แรงงานและคณะ จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเข้าไปดูแลติดตามสถานการณ์ พบปะพูดคุยกับแรงงานไทย เพื่อรับทราบปัญหา และหาทางช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตาม หากแรงงานมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถร้องเรียนขอความช่วยเหลือผ่านช่องทางฝ่ายแรงงาน ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานในอิสราเอล
---------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
29 พฤศจิกายน 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘นายกฯ ประยุทธ์’ มอบ “รมว.อดุลย์” เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561
‘นายกฯ ประยุทธ์’ มอบ “รมว.อดุลย์” เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมหารือ เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล จัดทีมแพทย์พยาบาล จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพแรงงาน ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตาย ตั้งแต่ 27 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2561
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องประชุมหารือ เร่งช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล จัดทีมแพทย์พยาบาล จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพแรงงาน ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตาย ตั้งแต่ 27 พ.ย. – 1 ธ.ค. 2561 พร้อมจ่อลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานไทยในอิสราเอลอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง เร็วๆ นี้
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 ที่ห้องประชุมศ. นิคม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า แรงงานไทยในอิสราเอลถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกละเมิดสิทธิ์ และได้รับค่าตอบแทนต่ํากว่าที่กฎหมายกําหนด อีกทั้งสภาพการทํางานยังไม่ตรงตามสัญญา และมีสภาพที่อยู่อาศัยไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา แรงงานไทยในอิสราเอลเสียชีวิตกว่า 170 คนนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลนําโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มิได้นิ่งนอนใจ ทั้งยังมีความห่วงใยเป็นอย่างมาก โดยได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานติดตามสถานการณ์ตลอด และเร่งช่วยเหลือทันที ซึ่งในวันนี้ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานประกันสังคม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ร่วมประชุมหารือแนวทางช่วยเหลือ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสํานักงานแรงงานในประเทศอิสราเอล (กรุงเทลอาวีฟ) นําคณะแพทย์และพยาบาลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จํานวน 11 คน ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงจากภาวะใหลตายด้วยเครื่องตรวจคลื่นหัวใจ EKG และลงพื้นที่ที่มีประวัติแรงงานใหลตาย โดยเน้นหนักไปที่การศึกษาและประเมินสภาพการทํางาน สภาพความเป็นอยู่ เพื่อศึกษาและประเมินหาปัจจัยบ่งชี้ของสาเหตุการใหลตายให้กับแรงงานไทยในอิสราเอล ช่วงระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2561 และสั่งกําชับให้ลงพื้นที่ติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และแก้ไขต่อไป โดยได้ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับอัครราชทูตฯ มาอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงแรงงานได้ลงนามในข้อตกลงด้านแรงงานกับรัฐบาลอิสราเอล เรื่องการจ้างแรงงานไทยทํางานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลเมื่อปี 2555 ปัจจุบันมีแรงงานไทยไปทํางานในประเทศอิสราเอล จํานวนทั้งสิ้น 24,746 คน ระยะเวลาการจ้างครั้งละ 2 ปี และสามารถต่อสัญญาจ้างงานได้อีก 3 ปี 10 เดือน รวมแล้วไม่เกิน 5 ปี 10 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่ทํางานอยู่ในภาคเกษตร อัตราค่าจ้างขั้นต่ําในอิสราเอล เดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 47,000 บาท ทั้งนี้ แรงงานไทยที่เข้าไปทํางานในอิสราเอลอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยการจัดส่งโดยกรมการจัดหางาน จะผ่านกระบวนการคัดเลือก รวมถึงการตรวจสุขภาพว่ามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงพร้อมที่จะเดินทางไปทํางานภาคเกษตรในอิสราเอลหรือไม่
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน มีมาตรการในการติดตามคุ้มครองดูแลให้แรงงานไทยในอิสราเอลได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ซึ่งจากกรณีค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น ในปีที่ผ่านมา สามารถเรียกร้องเงินชดเชยให้แก่แรงงานไทยได้กว่า 47 ล้านบาท และในเร็วๆ นี้ รมว. แรงงานและคณะ จะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเข้าไปดูแลติดตามสถานการณ์ พบปะพูดคุยกับแรงงานไทย เพื่อรับทราบปัญหา และหาทางช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตาม หากแรงงานมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถร้องเรียนขอความช่วยเหลือผ่านช่องทางฝ่ายแรงงาน ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานในอิสราเอล
---------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
29 พฤศจิกายน 2561 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลก ประจำปี 2561 | วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติและวันน้ําโลก ประจําปี 2561
ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติและวันน้ําโลก ประจําปี 2561
วันนี้ ( 22 มีนาคม 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําจัดงานวันน้ําโลก ประจําปี 2561 มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเวทีเสวนา เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนทรัพยากรน้ําของประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคตซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดไทยนิยม ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด“วิถีน้ํา วิถีธรรมชาติ” ตามแนวทางศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 อาทิ การแก้ไขปัญหาน้ําท่วม น้ําแล้ง น้ําเสีย ด้วยการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนาแหล่งน้ํา และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีน้ําสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อน เพื่อการอุปโภค-บริโภคอย่างเพียงพอ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อรับทราบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่องค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรน้ํา รวมถึงเพื่อรณรงค์ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนรวมถึงเยาวชนได้ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรน้ํา ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 ณ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ําที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ําขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1992 สมัชชาสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันน้ําโลก เพื่อรณรงค์ให้ประชาคมโลกให้ความสําคัญในเรื่องน้ํา และร่วมมือกันอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําให้มีความยั่งยืนในอนาคต องค์การสหประชาชาติ จึงประกาศให้วันที่ ๒๒ มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ําโลก โดยในปี 2018 ได้กําหนดหัวข้อ “Nature-based Solutions for Water” ในส่วนของประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 เห็นชอบให้สัปดาห์ที่ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เป็นสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติ
ซึ่งกิจกรรมในงานนอกจากการจัดแสดงนิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําในทุกมิติแล้ว ยังมีการจัดการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ใน 3 หัวข้อ สําคัญได้แก่ 1) หัวข้อ“การปรับตัวต่อปัญหาน้ําท่วม – น้ําแล้ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” 2) หัวข้อ “การบริหารจัดการน้ําข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่น้ําโขง” และ 3) หัวข้อ “พื้นที่ตัวอย่างกับการบริหารจัดการน้ําที่ประสบความสําเร็จ” โดยในแต่ละหัวข้อเสวนาจะมีตัวแทนจากภาครัฐ นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน มาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการนําไปต่อยอด หรือปรับใช้ในการบริหารจัดการน้ําของประเทศ และการปรับตัวของประชาชนในด้านต่างๆ ต่อไป
โดยในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฏกฐาพิเศษ ในหัวข้อ” ทรัพยากรน้ํา สร้างไทยนิยม ยั่งยืน” พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของ ทส ร่วมเป็นเกียรติในงาน และมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรลุ่มน้ํา 25 ลุ่มน้ํา ผู้บริหารส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ประมาณ 800 คน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลก ประจำปี 2561
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติและวันน้ําโลก ประจําปี 2561
ทส.จัดงานเนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติและวันน้ําโลก ประจําปี 2561
วันนี้ ( 22 มีนาคม 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ําจัดงานวันน้ําโลก ประจําปี 2561 มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเวทีเสวนา เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนทรัพยากรน้ําของประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคตซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดไทยนิยม ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด“วิถีน้ํา วิถีธรรมชาติ” ตามแนวทางศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 อาทิ การแก้ไขปัญหาน้ําท่วม น้ําแล้ง น้ําเสีย ด้วยการร่วมกันอนุรักษ์ พัฒนาแหล่งน้ํา และสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีน้ําสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อน เพื่อการอุปโภค-บริโภคอย่างเพียงพอ นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อรับทราบนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศ การประชาสัมพันธ์เผยแพร่องค์ความรู้ในการจัดการทรัพยากรน้ํา รวมถึงเพื่อรณรงค์ให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนรวมถึงเยาวชนได้ตระหนักถึงความสําคัญของทรัพยากรน้ํา ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 ณ ฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพมหานคร
เนื่องจากองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ําที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ําขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1992 สมัชชาสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันน้ําโลก เพื่อรณรงค์ให้ประชาคมโลกให้ความสําคัญในเรื่องน้ํา และร่วมมือกันอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําให้มีความยั่งยืนในอนาคต องค์การสหประชาชาติ จึงประกาศให้วันที่ ๒๒ มีนาคมของทุกปีเป็นวันน้ําโลก โดยในปี 2018 ได้กําหนดหัวข้อ “Nature-based Solutions for Water” ในส่วนของประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 เห็นชอบให้สัปดาห์ที่ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เป็นสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ําแห่งชาติ
ซึ่งกิจกรรมในงานนอกจากการจัดแสดงนิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําในทุกมิติแล้ว ยังมีการจัดการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ใน 3 หัวข้อ สําคัญได้แก่ 1) หัวข้อ“การปรับตัวต่อปัญหาน้ําท่วม – น้ําแล้ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” 2) หัวข้อ “การบริหารจัดการน้ําข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่น้ําโขง” และ 3) หัวข้อ “พื้นที่ตัวอย่างกับการบริหารจัดการน้ําที่ประสบความสําเร็จ” โดยในแต่ละหัวข้อเสวนาจะมีตัวแทนจากภาครัฐ นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน มาร่วมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการนําไปต่อยอด หรือปรับใช้ในการบริหารจัดการน้ําของประเทศ และการปรับตัวของประชาชนในด้านต่างๆ ต่อไป
โดยในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก พลเอก เอกชัย จันทร์ศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฏกฐาพิเศษ ในหัวข้อ” ทรัพยากรน้ํา สร้างไทยนิยม ยั่งยืน” พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของ ทส ร่วมเป็นเกียรติในงาน และมีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรลุ่มน้ํา 25 ลุ่มน้ํา ผู้บริหารส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ประมาณ 800 คน | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง | วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง
รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง โดยมีนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดระนองและคณะให้การต้อนรับ
ระนอง: วันนี้ (30 มีนาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และคณะลงพื้น
ที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะหารือ รับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากชุมชน ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จังหวัดระนอง โดยมีนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดระนองและคณะให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือหมู่บ้าน CIV (Creative Industry Village) บ้านหาดส้มแป้น เป็นชุมชนทําเหมืองเก่ามีวิถีชีวิตการร่อนแร่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทําเหมืองแร่ มีประวัติการร่อนแร่ของชาวบ้านมากกว่า 100 ปี ชุมชนมีอัตลักษณ์ต้นทุนทางสังคมวัฒนธรรม ที่สวยงามเหมาะแก่การพัฒนาเป็นหมู่บ้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัดระนอง อันจะเป็นการสร้างรายได้สู่ชุมชน
การพัฒนาหมู่บ้าน CIV หาดส้มแป้น เป็นการต่อยอดด้านการเพิ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนและการท่องเที่ยวให้สามารถสร้างรายได้กับชุมชนได้ต่อเนื่องและยั่งยืน ภายใต้โครงการ "ปั่นสองน่อง ท่องเมืองน้ําแร่ แลโกมาซุม ชมวิถีชุมชน" ดําเนินการโดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง ซึ่งมีการดําเนินงาน ใน 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร ผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค กิจกรรมการปั่นจักรยานท่องเที่ยว กิจกรรมเดินป่า และกิจกรรมล่องแก่งหาดส้มแป้น
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบสิ่งของสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนหาดส้มแป้นจากผู้ประกอบการในพื้นที่จํานวน 3 ราย คือ บริษัท มินเนอรัล รีซอรส์เซส ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ให้การสนับสนุนกิจกรรมปั่นจักรยานท่องเที่ยว โดยมอบจักรยาน จํานวน 20 คัน บริษัท สยามชัยอาหารสากล จํากัด ให้การสนับสนุนแพยางสําหรับล่องแก่ง จํานวน 2 ลํา และ บริษัท ชินชนะดินขาว จํากัด ให้การสนับสนุนเครื่องจักรขึ้นรูปเซรามิค | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง
รมช.ก.อุต ลงพื้นที่ CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จ.ระนอง โดยมีนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดระนองและคณะให้การต้อนรับ
ระนอง: วันนี้ (30 มีนาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และคณะลงพื้น
ที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านหาดส้มแป้น พร้อมพบปะหารือ รับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากชุมชน ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและกลุ่มผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค จังหวัดระนอง โดยมีนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง นายสหวัฒน์ โสภา อุตสาหกรรมจังหวัดระนองและคณะให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หรือหมู่บ้าน CIV (Creative Industry Village) บ้านหาดส้มแป้น เป็นชุมชนทําเหมืองเก่ามีวิถีชีวิตการร่อนแร่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการทําเหมืองแร่ มีประวัติการร่อนแร่ของชาวบ้านมากกว่า 100 ปี ชุมชนมีอัตลักษณ์ต้นทุนทางสังคมวัฒนธรรม ที่สวยงามเหมาะแก่การพัฒนาเป็นหมู่บ้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัดระนอง อันจะเป็นการสร้างรายได้สู่ชุมชน
การพัฒนาหมู่บ้าน CIV หาดส้มแป้น เป็นการต่อยอดด้านการเพิ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนและการท่องเที่ยวให้สามารถสร้างรายได้กับชุมชนได้ต่อเนื่องและยั่งยืน ภายใต้โครงการ "ปั่นสองน่อง ท่องเมืองน้ําแร่ แลโกมาซุม ชมวิถีชุมชน" ดําเนินการโดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง ซึ่งมีการดําเนินงาน ใน 4 กิจกรรม คือ กิจกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร ผลิตของที่ระลึกจากเซรามิค กิจกรรมการปั่นจักรยานท่องเที่ยว กิจกรรมเดินป่า และกิจกรรมล่องแก่งหาดส้มแป้น
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบสิ่งของสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนหาดส้มแป้นจากผู้ประกอบการในพื้นที่จํานวน 3 ราย คือ บริษัท มินเนอรัล รีซอรส์เซส ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ให้การสนับสนุนกิจกรรมปั่นจักรยานท่องเที่ยว โดยมอบจักรยาน จํานวน 20 คัน บริษัท สยามชัยอาหารสากล จํากัด ให้การสนับสนุนแพยางสําหรับล่องแก่ง จํานวน 2 ลํา และ บริษัท ชินชนะดินขาว จํากัด ให้การสนับสนุนเครื่องจักรขึ้นรูปเซรามิค | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11221 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560" | วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559
ประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดในการส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีความเป็นเลิศด้านกีฬา โดยได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกันดําเนินการ โดยเปิดรับสมัครนักเรียนที่กําลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากทั่วประเทศ เข้าเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-กีฬา และศิลป์-กีฬาตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ใน 3 โรงเรียนได้แก่ภาคเหนือที่โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม จ.สุโขทัย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่โรงเรียนสารคามพิทยาคม จ.มหาสารคาม,ภาคใต้ที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กระบี่(และจะขยายผลไปที่ภาคกลาง ที่ จ.สมุทรสาครในปีการศึกษาหน้า)ในประเภทกีฬาฟุตบอล (ชาย) และวอลเลย์บอล (หญิง) ซึ่งเป็นกีฬาประเภททีมที่ประเทศไทยมีโอกาสก้าวไปถึงระดับโลก พร้อมมอบโอกาสในการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ ที่จะเปิดทําการสอนในปีการศึกษา 2560 ต่อไปด้วย
ที่ประชุมจึงได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อหารือถึงการเตรียมการดําเนินงานในรุ่นต่อไป ซึ่งจะเปิดรับสมัครนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา2560โรงเรียนละไม่เกิน 80 คน เริ่มเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560ซึ่งได้ประกาศรับสมัครขึ้นเว็บไซต์แล้ว ดังนี้
1. โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคมเลขที่ 2/3 หมู่ที่ 5 ตําบลบ้านกล้วย อําเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย 64000 โทรศัพท์ 055-611-786 โทรสาร 055-612-848
2.โรงเรียนสารคามพิทยาคมเลขที่ 1091 ถนนนครสวรรค์ ตําบลตลาด อําเภอเมืองฯ จังหวัดมหาสารคาม 44000 โทรศัพท์ 043-711585 โทรสาร 043-722400
3. โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กระบี่เลขที่ 91 หมู่ 9 ตําบลคลองท่อมใต้ อําเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ 81120 โทรศัพท์ 075-640-522 โทรสาร 075-640-522
4. โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ สมุทรสาคร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จังหวัดสมุทรสาครหมู่ 6 ตําบลบางโทรัด อําเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร 74000 โทรศัพท์ 034-839-201 โทรสาร 034-845-212 (รับสมัครเฉพาะฟุตบอลชาย)
รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ้ก...
นอกจากได้รับทราบการเตรียมการดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมได้รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันกับผู้ดําเนินการทุกฝ่าย ทั้งผู้จัดทําหลักสูตร สถานศึกษา และสถาบันการพลศึกษาทั้ง3แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นโครงการที่นักเรียนและผู้ปกครองให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้ฝากประเด็นให้พิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้
ด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญมาก เพราะหลายโครงการที่ผ่านมาเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก็ไม่เห็นชอบหรือไม่สนับสนุนให้ดําเนินการต่อ หรือหากสนับสนุนก็ทําแบบไม่รู้คุณค่าหรือไม่เห็นความสําคัญ จึงฝากให้ สพฐ. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการและเป็นหน่วยงานหลักที่ได้ร่วมคิดร่วมวางแผนมาโดยตลอด ต้องดําเนินโครงการให้เกิดความเข้มแข็งและรักษาความยั่งยืนของโครงการไว้ให้ได้ แม้รัฐบาลนี้จะพ้นวาระไปตามRoadmapแล้วก็ตาม ดังนั้น การรับฟังปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องจําเป็นที่จะต้องนําไปปรับปรุงการดําเนินงานในรุ่นต่อ ๆ ไป
ด้านคุณภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงแผนงานและการโอนจัดสรรงบประมาณโครงการไปยังสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาดําเนินการด้านต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงก่อสร้างอาคารหอพัก การจัดซื้ออุปกรณ์เสื้อผ้ารองเท้าของนักเรียนกีฬา ฯลฯ จึงได้กําชับให้ทุกหน่วยงานใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพราะจะมีผลโดยตรงต่อสถานศึกษา และนักเรียนที่จะได้ใช้อุปกรณ์ที่ดีมีคุณภาพ ซึ่งเรื่องคุณภาพของผู้เรียนจะมีผลต่อความสําเร็จในการขยายโครงการดําเนินการในปีต่อ ๆ ไปด้วย
ทั้งนี้ ขอให้ สพฐ. รวบรวมประเด็นข้อเสนอและความคิดเห็นจากการประชุม เช่น ปัญหาสนามซ้อมบางแห่ง, ปริมาณการรับนักเรียนต่อรุ่น, ระดับชั้นเรียนที่จะเปิดในอนาคต, การเปิดให้โอกาสนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้ามาเรียนในสถานศึกษาทั้ง4แห่งรวมทั้งร่วมกิจกรรมสานสัมพันธ์โครงการห้องเรียนกีฬาในช่วงปิดเทอม, การสร้างแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ระดับสากลหรือมีความเป็นเลิศ, การให้ความสําคัญกับรูปร่างของนักเรียนกีฬาที่มีทักษะสูงและรูปร่างไม่เสียเปรียบต่างชาติ, การเข้าร่วมการแข่งขันในทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ, การเฝ้าระวังและดูแลปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาทางเพศ ยาเสพติด การทะเลาะวิวาท ฯลฯ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมดําเนินงานตามโครงการห้องเรียนกีฬาตามแนวคิด"ทําเพื่อคุณภาพ สู่ความยั่งยืน"และหลังจากนี้จะมอบหมายให้ สพฐ. รวบรวมประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งผลการดําเนินงานโครงการห้องเรียนกีฬา ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ใน 3 โรงเรียนดังกล่าว รายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบและให้ข้อคิดเห็นเสนอแนะในโอกาสต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560"
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559
ประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมปฏิบัติการ "การรับนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา 2560"
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดในการส่งเสริมเยาวชนไทยให้มีความเป็นเลิศด้านกีฬา โดยได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกันดําเนินการ โดยเปิดรับสมัครนักเรียนที่กําลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากทั่วประเทศ เข้าเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-กีฬา และศิลป์-กีฬาตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ใน 3 โรงเรียนได้แก่ภาคเหนือที่โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคม จ.สุโขทัย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่โรงเรียนสารคามพิทยาคม จ.มหาสารคาม,ภาคใต้ที่โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กระบี่(และจะขยายผลไปที่ภาคกลาง ที่ จ.สมุทรสาครในปีการศึกษาหน้า)ในประเภทกีฬาฟุตบอล (ชาย) และวอลเลย์บอล (หญิง) ซึ่งเป็นกีฬาประเภททีมที่ประเทศไทยมีโอกาสก้าวไปถึงระดับโลก พร้อมมอบโอกาสในการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ ที่จะเปิดทําการสอนในปีการศึกษา 2560 ต่อไปด้วย
ที่ประชุมจึงได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อหารือถึงการเตรียมการดําเนินงานในรุ่นต่อไป ซึ่งจะเปิดรับสมัครนักเรียนโครงการห้องเรียนกีฬา ปีการศึกษา2560โรงเรียนละไม่เกิน 80 คน เริ่มเรียนภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560ซึ่งได้ประกาศรับสมัครขึ้นเว็บไซต์แล้ว ดังนี้
1. โรงเรียนสุโขทัยวิทยาคมเลขที่ 2/3 หมู่ที่ 5 ตําบลบ้านกล้วย อําเภอเมืองฯ จังหวัดสุโขทัย 64000 โทรศัพท์ 055-611-786 โทรสาร 055-612-848
2.โรงเรียนสารคามพิทยาคมเลขที่ 1091 ถนนนครสวรรค์ ตําบลตลาด อําเภอเมืองฯ จังหวัดมหาสารคาม 44000 โทรศัพท์ 043-711585 โทรสาร 043-722400
3. โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย กระบี่เลขที่ 91 หมู่ 9 ตําบลคลองท่อมใต้ อําเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ 81120 โทรศัพท์ 075-640-522 โทรสาร 075-640-522
4. โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ สมุทรสาคร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จังหวัดสมุทรสาครหมู่ 6 ตําบลบางโทรัด อําเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร 74000 โทรศัพท์ 034-839-201 โทรสาร 034-845-212 (รับสมัครเฉพาะฟุตบอลชาย)
รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ้ก...
นอกจากได้รับทราบการเตรียมการดังกล่าวแล้ว ที่ประชุมได้รับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันกับผู้ดําเนินการทุกฝ่าย ทั้งผู้จัดทําหลักสูตร สถานศึกษา และสถาบันการพลศึกษาทั้ง3แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นโครงการที่นักเรียนและผู้ปกครองให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้ฝากประเด็นให้พิจารณาเพิ่มเติม ดังนี้
ด้านความยั่งยืนซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญมาก เพราะหลายโครงการที่ผ่านมาเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก็ไม่เห็นชอบหรือไม่สนับสนุนให้ดําเนินการต่อ หรือหากสนับสนุนก็ทําแบบไม่รู้คุณค่าหรือไม่เห็นความสําคัญ จึงฝากให้ สพฐ. ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการและเป็นหน่วยงานหลักที่ได้ร่วมคิดร่วมวางแผนมาโดยตลอด ต้องดําเนินโครงการให้เกิดความเข้มแข็งและรักษาความยั่งยืนของโครงการไว้ให้ได้ แม้รัฐบาลนี้จะพ้นวาระไปตามRoadmapแล้วก็ตาม ดังนั้น การรับฟังปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องจําเป็นที่จะต้องนําไปปรับปรุงการดําเนินงานในรุ่นต่อ ๆ ไป
ด้านคุณภาพเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงแผนงานและการโอนจัดสรรงบประมาณโครงการไปยังสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาดําเนินการด้านต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงก่อสร้างอาคารหอพัก การจัดซื้ออุปกรณ์เสื้อผ้ารองเท้าของนักเรียนกีฬา ฯลฯ จึงได้กําชับให้ทุกหน่วยงานใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพราะจะมีผลโดยตรงต่อสถานศึกษา และนักเรียนที่จะได้ใช้อุปกรณ์ที่ดีมีคุณภาพ ซึ่งเรื่องคุณภาพของผู้เรียนจะมีผลต่อความสําเร็จในการขยายโครงการดําเนินการในปีต่อ ๆ ไปด้วย
ทั้งนี้ ขอให้ สพฐ. รวบรวมประเด็นข้อเสนอและความคิดเห็นจากการประชุม เช่น ปัญหาสนามซ้อมบางแห่ง, ปริมาณการรับนักเรียนต่อรุ่น, ระดับชั้นเรียนที่จะเปิดในอนาคต, การเปิดให้โอกาสนักเรียนโครงการสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้ามาเรียนในสถานศึกษาทั้ง4แห่งรวมทั้งร่วมกิจกรรมสานสัมพันธ์โครงการห้องเรียนกีฬาในช่วงปิดเทอม, การสร้างแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ระดับสากลหรือมีความเป็นเลิศ, การให้ความสําคัญกับรูปร่างของนักเรียนกีฬาที่มีทักษะสูงและรูปร่างไม่เสียเปรียบต่างชาติ, การเข้าร่วมการแข่งขันในทัวร์นาเม้นท์ต่าง ๆ, การเฝ้าระวังและดูแลปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาทางเพศ ยาเสพติด การทะเลาะวิวาท ฯลฯ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมดําเนินงานตามโครงการห้องเรียนกีฬาตามแนวคิด"ทําเพื่อคุณภาพ สู่ความยั่งยืน"และหลังจากนี้จะมอบหมายให้ สพฐ. รวบรวมประเด็นต่าง ๆ รวมทั้งผลการดําเนินงานโครงการห้องเรียนกีฬา ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ใน 3 โรงเรียนดังกล่าว รายงานเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบและให้ข้อคิดเห็นเสนอแนะในโอกาสต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1112 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เปิดการสัมมนา “เตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรอง มผช.” ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน | วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
รองปลัดจุลพงษ์ฯ เปิดการสัมมนา “เตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรอง มผช.” ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สอดคล้องตามมาตรฐานสากล ณ โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพฯ
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สอดคล้องตามมาตรฐานสากล ร่วมด้วยนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คณะผู้บริหารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่จากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ณ โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพฯ
การสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ข้อกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การตรวจสอบและรับรอง ข้อกําหนดสําหรับหน่วยรับรองผลิตภัณฑ์ กระบวนการและการบริการ : มอก.17065-2556 (ISO/IEC 17065-2012) แก่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสามารถนําหลักการไปใช้ในการดําเนินงานของหน่วยรับรอง มผช.ระดับจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะความรู้เชิงวิชาการ แนวคิดการพัฒนางาน ตลอดจนทําความเข้าใจร่วมกันด้านการปฏิบัติงานระหว่างสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เปิดการสัมมนา “เตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรอง มผช.” ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
รองปลัดจุลพงษ์ฯ เปิดการสัมมนา “เตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรอง มผช.” ขับเคลื่อนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สอดคล้องตามมาตรฐานสากล ณ โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพฯ
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) สอดคล้องตามมาตรฐานสากล ร่วมด้วยนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม คณะผู้บริหารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่จากสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ณ โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพฯ
การสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ข้อกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การตรวจสอบและรับรอง ข้อกําหนดสําหรับหน่วยรับรองผลิตภัณฑ์ กระบวนการและการบริการ : มอก.17065-2556 (ISO/IEC 17065-2012) แก่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสามารถนําหลักการไปใช้ในการดําเนินงานของหน่วยรับรอง มผช.ระดับจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทักษะความรู้เชิงวิชาการ แนวคิดการพัฒนางาน ตลอดจนทําความเข้าใจร่วมกันด้านการปฏิบัติงานระหว่างสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนโครงการมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้บรรลุเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24856 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ. | วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559
ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ.
ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษากับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จํานวน 6 คน
● อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาดังกล่าว
สาระสําคัญของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือดังกล่าวเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการไทยและฮ่องกง ครอบคลุมการให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการ ครู ผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างเสริมขอบข่ายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ทั้งในภาคส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา การอาชีวศึกษา และการศึกษาในด้านวิชาชีพ
โดยบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ 5ปี นับจากวันที่ลงนาม และมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องออกไปโดยอัตโนมัติในระยะเวลาที่เท่ากัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งวัตถุประสงค์ในการยกเลิกบันทึกความเข้าใจให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ
●เห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง กระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 6 คน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จํานวน 6 คนดังนี้
1. พลโท โกศล ประทุมชาติดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2.หม่อมหลวงปริยดา ดิศกุลดํารงตําแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
3. พลเอก สุทัศน์ กาญจนานนท์กุลดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
4. นางรัตนา ศรีเหรัญดํารงตําแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
5.นายไพโรจน์ อนุรัตน์ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
6. ว่าที่ร้อยตรี ไชยวุฒิ วุฑฒิรักษ์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ.
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559
ครม.เห็นชอบ MOU ด้านการศึกษากับฮ่องกง และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ศธ.
ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ คือ อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษากับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จํานวน 6 คน
● อนุมัติการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทําและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาดังกล่าว
สาระสําคัญของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือดังกล่าวเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการไทยและฮ่องกง ครอบคลุมการให้ทุนการศึกษา การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนนักวิชาการ ครู ผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างเสริมขอบข่ายความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ทั้งในภาคส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา การอาชีวศึกษา และการศึกษาในด้านวิชาชีพ
โดยบันทึกความเข้าใจมีผลบังคับใช้ 5ปี นับจากวันที่ลงนาม และมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องออกไปโดยอัตโนมัติในระยะเวลาที่เท่ากัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งวัตถุประสงค์ในการยกเลิกบันทึกความเข้าใจให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน ผ่านช่องทางที่เป็นทางการ
●เห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง กระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 6 คน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จํานวน 6 คนดังนี้
1. พลโท โกศล ประทุมชาติดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2.หม่อมหลวงปริยดา ดิศกุลดํารงตําแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
3. พลเอก สุทัศน์ กาญจนานนท์กุลดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
4. นางรัตนา ศรีเหรัญดํารงตําแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์)]
5.นายไพโรจน์ อนุรัตน์ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
6. ว่าที่ร้อยตรี ไชยวุฒิ วุฑฒิรักษ์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2559 เป็นต้นไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1136 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เดินหน้านำ SMEs Private Equity Trust Fund ร่วมลงทุน หนุน Startup ขยายตัวต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล | วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
ออมสิน เดินหน้านํา SMEs Private Equity Trust Fund ร่วมลงทุน หนุน Startup ขยายตัวต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล
ธนาคารออมสิน จับมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลักดันนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือและดูแลธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง เผยความคืบหน้ากองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund ต่อยอดเงินลงทุน
ธนาคารออมสิน จับมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลักดันนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือและดูแลธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง เผยความคืบหน้ากองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund ต่อยอดเงินลงทุน ร่วมลงทุนอีก 2 ธุรกิจ “Chococard” ธุรกิจสร้างระบบ CRM และ “Peakengine” ผลิตโปรแกรมบัญชีออนไลน์ เผยกําลังเจรจาอีกกว่า 20 ราย คิดเป็นวงเงิน 995 ล้านบาท
วันนี้ (30 มีนาคม 2561) ณ ห้องประชุมกําแพงเพชร ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ได้มีพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนของกองทุน และแถลงข่าวความก้าวหน้าของโครงการ SMEs Private Equity Trust Fund โดยธนาคารออมสิน ซึ่งร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และ นางรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายธนาคารออมสินดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถมีแหล่งทุนที่ดูแลกิจการและหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยที่ธนาคารออมสินได้สนับสนุนผ่านหลายช่องทางมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนกลุ่มธุรกิจ SMEs และ Startup โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง เวทีที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ รวมถึงจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund จํานวน 3 กอง วงเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมสนับสนุนผ่านการระดมทุนเสริมความแข็งแกร่ง
สําหรับความคืบหน้าของ SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสินได้มีการอนุมัติร่วมลงทุนไปแล้ว 9 ราย คิดเป็นวงเงิน 275 ล้านบาท ในจํานวนนี้ คือ การลงนามสัญญาร่วมลงทุนในวันนี้ 2 ราย ได้แก่ 1.บริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจสร้างระบบ CRM (Customer Relationship Management) สําหรับลูกค้า SMEs และระดับ Corporate ในประเทศไทย มีบริการการจัดการระบบ CRM, ระบบ POS, Loyalty Card, Customer Analytics, การวางรีวอร์ดโปรแกรม และการเป็นที่ปรึกษาสําหรับลูกค้าในด้านการตลาด ซึ่งกองทุนฯ ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นเงิน 10 ล้านบาท ธุรกิจได้ขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสมาชิกร้านค้ามากกว่า 1,000 ร้านค้า มีผู้ถือบัตรสมาชิก “ช็อคโก้ คาร์ด” มากกว่า 800,000 ราย มีมูลค่าการทํารายการรวมกันกว่า 2,500 ล้านบาท ครั้งนี้ SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสิน กองที่ 1 มี บริษัท N-Vest Venture เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ได้ร่วมลงทุนเพิ่มอีก 10 ล้านบาท
“ครั้งนี้เป็นการเพิ่มวงเงินการลงทุนอีก 10 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่ง “ช็อคโก้ คาร์ด” ยังเป็นพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ โดยร่วมพัฒนาระบบเพื่อสะสมแต้มแลกของรางวัลให้กับลูกค้าของธนาคารออมสินที่ใช้บริการ MyMo Mobile Application และจะพัฒนาต่อยอดในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกในอนาคตต่อไป” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าว
สําหรับรายที่ 2 SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสิน กองที่ 2 ที่มี Expara Thailand เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ร่วมลงทุนวงเงิน 10 ล้านบาท กับบริษัท PUUN Intelligent เจ้าของแบรนด์ “Peakengine” ซึ่งเป็นผู้ผลิตโปรแกรมบัญชีออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Cloud อํานวยความสะดวกให้การทํางานบัญชีรวดเร็ว และใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เข้าใช้งานง่าย ลดงานบัญชีและเอกสาร ใช้งานข้อมูลทางการเงินได้มากขึ้นทําให้ทราบว่าเงินเข้าออกเมื่อใด ส่งผลดีต่อการวางแผนบริหารจัดการเงินสด ช่วยให้ประหยัดต้นทุนการทําบัญชีได้สูงถึงเดือนละ 9,000 บาท ทําให้ลูกค้า SMEs สามารถเห็นตัวเลขทางการเงินในแต่ละเดือนและประมาณการการใช้เงินล่วงหน้าได้ และเมื่อมีข้อมูลทางการเงินที่ดีจะทําให้สามารถขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบัน “Peakengine” มีผู้ใช้งานกว่า 4,000 ราย มียอดรายการค้าที่สร้างผ่านระบบกว่า 800 ล้านบาทต่อเดือน
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า ขณะที่ SMEs Start-up ที่อนุมัติเบื้องต้นจํานวน 6 ราย วงเงินประมาณ 130 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยว Digital Media ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ Fintech อีกทั้งยังมี Deal ที่อยู่ใน Pipeline อีกทั้งหมดรวม 14 ราย คิดเป็นวงเงิน 865 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทธุรกิจ Fintech จํานวน 6 ราย วงเงิน 400 ล้านบาท ธุรกิจเทคโนโลยี จํานวน 3 ราย วงเงิน 200 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2 ราย วงเงิน 100 ล้านบาท อื่นๆ อาทิ การศึกษา แฟชั่น รวมจํานวน 3 ราย วงเงิน 165 ล้านบาท
อย่าไรก็ตาม การลงทุนของกองทุนดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1.SMEs ระยะเริ่มต้น (Start – up Stage) ที่มีศักยภาพสูง 2.SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 3.SMEs ที่เป็น Supplier ธุรกิจภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือเป็นสมาชิกของสภาหอการค้าไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ และ 4.SMEs ที่เป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)
นางสาวรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสําคัญในการพัฒนาตลาดทุนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SMEs และ Startup สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจ SMEs และ Startup ให้มีความแข็งแรงและการเติบโต โดยการให้ความรู้ การกระตุ้นบุคคลากรภาคตลาดทุนให้เห็นถึงความสําคัญด้านนวัตกรรม การสร้าง LiVE platform เป็นช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารออมสินในการร่วมลงทุนในธุรกิจ SMEs และ Startup ผ่านโครงการ SMEs Private Equity Trust Fund จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งพร้อมเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startup อันจะเป็นรากฐานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน เดินหน้านำ SMEs Private Equity Trust Fund ร่วมลงทุน หนุน Startup ขยายตัวต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561
ออมสิน เดินหน้านํา SMEs Private Equity Trust Fund ร่วมลงทุน หนุน Startup ขยายตัวต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล
ธนาคารออมสิน จับมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลักดันนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือและดูแลธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง เผยความคืบหน้ากองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund ต่อยอดเงินลงทุน
ธนาคารออมสิน จับมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลักดันนโยบายรัฐบาลช่วยเหลือและดูแลธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง เผยความคืบหน้ากองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund ต่อยอดเงินลงทุน ร่วมลงทุนอีก 2 ธุรกิจ “Chococard” ธุรกิจสร้างระบบ CRM และ “Peakengine” ผลิตโปรแกรมบัญชีออนไลน์ เผยกําลังเจรจาอีกกว่า 20 ราย คิดเป็นวงเงิน 995 ล้านบาท
วันนี้ (30 มีนาคม 2561) ณ ห้องประชุมกําแพงเพชร ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ได้มีพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนของกองทุน และแถลงข่าวความก้าวหน้าของโครงการ SMEs Private Equity Trust Fund โดยธนาคารออมสิน ซึ่งร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมี นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และ นางรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายธนาคารออมสินดําเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถมีแหล่งทุนที่ดูแลกิจการและหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยที่ธนาคารออมสินได้สนับสนุนผ่านหลายช่องทางมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนกลุ่มธุรกิจ SMEs และ Startup โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง เวทีที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ สร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ รวมถึงจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund จํานวน 3 กอง วงเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมสนับสนุนผ่านการระดมทุนเสริมความแข็งแกร่ง
สําหรับความคืบหน้าของ SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสินได้มีการอนุมัติร่วมลงทุนไปแล้ว 9 ราย คิดเป็นวงเงิน 275 ล้านบาท ในจํานวนนี้ คือ การลงนามสัญญาร่วมลงทุนในวันนี้ 2 ราย ได้แก่ 1.บริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจสร้างระบบ CRM (Customer Relationship Management) สําหรับลูกค้า SMEs และระดับ Corporate ในประเทศไทย มีบริการการจัดการระบบ CRM, ระบบ POS, Loyalty Card, Customer Analytics, การวางรีวอร์ดโปรแกรม และการเป็นที่ปรึกษาสําหรับลูกค้าในด้านการตลาด ซึ่งกองทุนฯ ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทนี้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นเงิน 10 ล้านบาท ธุรกิจได้ขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสมาชิกร้านค้ามากกว่า 1,000 ร้านค้า มีผู้ถือบัตรสมาชิก “ช็อคโก้ คาร์ด” มากกว่า 800,000 ราย มีมูลค่าการทํารายการรวมกันกว่า 2,500 ล้านบาท ครั้งนี้ SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสิน กองที่ 1 มี บริษัท N-Vest Venture เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ได้ร่วมลงทุนเพิ่มอีก 10 ล้านบาท
“ครั้งนี้เป็นการเพิ่มวงเงินการลงทุนอีก 10 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่ง “ช็อคโก้ คาร์ด” ยังเป็นพันธมิตรต่อยอดธุรกิจ โดยร่วมพัฒนาระบบเพื่อสะสมแต้มแลกของรางวัลให้กับลูกค้าของธนาคารออมสินที่ใช้บริการ MyMo Mobile Application และจะพัฒนาต่อยอดในผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกในอนาคตต่อไป” ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าว
สําหรับรายที่ 2 SMEs Private Equity Trust Fund ธนาคารออมสิน กองที่ 2 ที่มี Expara Thailand เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ ร่วมลงทุนวงเงิน 10 ล้านบาท กับบริษัท PUUN Intelligent เจ้าของแบรนด์ “Peakengine” ซึ่งเป็นผู้ผลิตโปรแกรมบัญชีออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Cloud อํานวยความสะดวกให้การทํางานบัญชีรวดเร็ว และใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เข้าใช้งานง่าย ลดงานบัญชีและเอกสาร ใช้งานข้อมูลทางการเงินได้มากขึ้นทําให้ทราบว่าเงินเข้าออกเมื่อใด ส่งผลดีต่อการวางแผนบริหารจัดการเงินสด ช่วยให้ประหยัดต้นทุนการทําบัญชีได้สูงถึงเดือนละ 9,000 บาท ทําให้ลูกค้า SMEs สามารถเห็นตัวเลขทางการเงินในแต่ละเดือนและประมาณการการใช้เงินล่วงหน้าได้ และเมื่อมีข้อมูลทางการเงินที่ดีจะทําให้สามารถขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบัน “Peakengine” มีผู้ใช้งานกว่า 4,000 ราย มียอดรายการค้าที่สร้างผ่านระบบกว่า 800 ล้านบาทต่อเดือน
ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าวต่อไปว่า ขณะที่ SMEs Start-up ที่อนุมัติเบื้องต้นจํานวน 6 ราย วงเงินประมาณ 130 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม การท่องเที่ยว Digital Media ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ Fintech อีกทั้งยังมี Deal ที่อยู่ใน Pipeline อีกทั้งหมดรวม 14 ราย คิดเป็นวงเงิน 865 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทธุรกิจ Fintech จํานวน 6 ราย วงเงิน 400 ล้านบาท ธุรกิจเทคโนโลยี จํานวน 3 ราย วงเงิน 200 ล้านบาท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2 ราย วงเงิน 100 ล้านบาท อื่นๆ อาทิ การศึกษา แฟชั่น รวมจํานวน 3 ราย วงเงิน 165 ล้านบาท
อย่าไรก็ตาม การลงทุนของกองทุนดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1.SMEs ระยะเริ่มต้น (Start – up Stage) ที่มีศักยภาพสูง 2.SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 3.SMEs ที่เป็น Supplier ธุรกิจภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือเป็นสมาชิกของสภาหอการค้าไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ และ 4.SMEs ที่เป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise)
นางสาวรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานการตลาดผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสําคัญในการพัฒนาตลาดทุนทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ SMEs และ Startup สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจ SMEs และ Startup ให้มีความแข็งแรงและการเติบโต โดยการให้ความรู้ การกระตุ้นบุคคลากรภาคตลาดทุนให้เห็นถึงความสําคัญด้านนวัตกรรม การสร้าง LiVE platform เป็นช่องทางเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงความร่วมมือกับธนาคารออมสินในการร่วมลงทุนในธุรกิจ SMEs และ Startup ผ่านโครงการ SMEs Private Equity Trust Fund จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งพร้อมเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startup อันจะเป็นรากฐานการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11241 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] | วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมั่นใจผลงานบูรณาการระบบสาธารณสุขของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยทางสุขภาพให้กับประชาชน เผยเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนาม 280 เตียง รองรับหากมีการระบาดเพิ่ม เริ่มดําเนินการได้ 29 พ.ค.นี้ และสามารถขยายได้ถึง 1,000 เตียงหากเกิดวิกฤติพบผู้ป่วยเกินคาดการณ์ เชื่อมั่นการสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักได้รวดเร็วเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง
วันนี้ (13 พฤษภาคม 2563) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมความพร้อมการบูรการการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ในจ.เชียงใหม่ ได้บูรณาการเชื่อมโยงกันเป็นระบบตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วย การรักษา จนถึงส่งตัวกลับบ้านหรือชุมชน มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสันกําแพงทําหน้าที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะโรคโควิด 19 ประจําจังหวัดเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แต่หากอาการวิกฤติจะมีโรงพยาบาลรองรับทั้งโรงพยาบาลนครพิงค์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และยังมีหอผู้ป่วยวิกฤติที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลประสาท กรมการแพทย์ กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีเตียง ICU รองรับจํานวน 22 เตียง ส่วนกลุ่มผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 280 เตียง โดยใช้ศูนย์ประชุมนานาชาติ จ.เชียงใหม่ เพื่อดูแลผู้ป่วยในระยะแรก เริ่มเปิดดําเนินการในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ สามารถขยายได้ถึง 1,000 เตียงหากพบการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในระลอกสอง โรงพยาบาลสนามแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เชื่อว่าจะรองรับระบบการดูแลผู้ป่วยในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลอื่นๆ ในจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญระดับโลกและเป็นเมืองเศรษฐกิจสําคัญในภาคเหนือ มีนโยบายดําเนินการควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี มาถึงวันนี้เป็นเวลา 35 วันแล้วที่ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ประสบการณ์ที่ได้จากการจัดการควบคุมป้องกันและรักษาโรคในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าจะนําไปต่อยอดให้ระบบสาธารณสุขของจังหวัดเชียงใหม่พร้อมรับมือหากมีการระบาดระลอกสองเกิดขึ้น ดังนั้นหากมองอีกมุมจะเห็นว่าวิกฤติโควิด 19 ครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นด้านระบบสาธารณสุขของประทศไทย ว่ามีมาตรฐานได้รับการยอมรับในระดับสากล
“การได้มาตรวจเยี่ยมการทํางานของโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้บูรณาการร่วมกัน ทําให้เห็นความพร้อมของทุกส่วน สิ่งที่เราทําในวันนี้เป็นการลงทุนเพื่อวันหน้า หากจบการระบาดของโควิด 19 เชื่อว่าจังหวัดเชียงใหม่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง สิ่งที่สูญเสียไปวันนี้ ในวันข้างหน้าจะกลับมา และเมื่อมีวัคซีนป้องกันโควิด 19 จะยิ่งเพิ่มความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย ประสบการณ์ที่ผ่านมาทางด้านสาธารณสุขจนได้รับความสําเร็จ ทําได้อย่างมีมาตรฐาน มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ เมื่อสถานการณ์ปกติจะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาอย่างแน่นอน” นายอนุทินระบุ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
“อนุทิน” ยก “เชียงใหม่” ได้มาตรฐานบูรณาการรับมือโควิด-19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมั่นใจผลงานบูรณาการระบบสาธารณสุขของจังหวัดเชียงใหม่ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยทางสุขภาพให้กับประชาชน เผยเตรียมพร้อมโรงพยาบาลสนาม 280 เตียง รองรับหากมีการระบาดเพิ่ม เริ่มดําเนินการได้ 29 พ.ค.นี้ และสามารถขยายได้ถึง 1,000 เตียงหากเกิดวิกฤติพบผู้ป่วยเกินคาดการณ์ เชื่อมั่นการสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักได้รวดเร็วเมื่อกลับสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง
วันนี้ (13 พฤษภาคม 2563) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมความพร้อมการบูรการการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด 19 โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ในจ.เชียงใหม่ ได้บูรณาการเชื่อมโยงกันเป็นระบบตั้งแต่การคัดกรองผู้ป่วย การรักษา จนถึงส่งตัวกลับบ้านหรือชุมชน มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสันกําแพงทําหน้าที่เป็นโรงพยาบาลเฉพาะโรคโควิด 19 ประจําจังหวัดเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แต่หากอาการวิกฤติจะมีโรงพยาบาลรองรับทั้งโรงพยาบาลนครพิงค์ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และยังมีหอผู้ป่วยวิกฤติที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลประสาท กรมการแพทย์ กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีเตียง ICU รองรับจํานวน 22 เตียง ส่วนกลุ่มผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 280 เตียง โดยใช้ศูนย์ประชุมนานาชาติ จ.เชียงใหม่ เพื่อดูแลผู้ป่วยในระยะแรก เริ่มเปิดดําเนินการในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ สามารถขยายได้ถึง 1,000 เตียงหากพบการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นในระลอกสอง โรงพยาบาลสนามแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา เชื่อว่าจะรองรับระบบการดูแลผู้ป่วยในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลอื่นๆ ในจังหวัดได้อีกทางหนึ่ง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสําคัญระดับโลกและเป็นเมืองเศรษฐกิจสําคัญในภาคเหนือ มีนโยบายดําเนินการควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี มาถึงวันนี้เป็นเวลา 35 วันแล้วที่ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ประสบการณ์ที่ได้จากการจัดการควบคุมป้องกันและรักษาโรคในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าจะนําไปต่อยอดให้ระบบสาธารณสุขของจังหวัดเชียงใหม่พร้อมรับมือหากมีการระบาดระลอกสองเกิดขึ้น ดังนั้นหากมองอีกมุมจะเห็นว่าวิกฤติโควิด 19 ครั้งนี้จะเป็นโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นด้านระบบสาธารณสุขของประทศไทย ว่ามีมาตรฐานได้รับการยอมรับในระดับสากล
“การได้มาตรวจเยี่ยมการทํางานของโรงพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้บูรณาการร่วมกัน ทําให้เห็นความพร้อมของทุกส่วน สิ่งที่เราทําในวันนี้เป็นการลงทุนเพื่อวันหน้า หากจบการระบาดของโควิด 19 เชื่อว่าจังหวัดเชียงใหม่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังได้รับความนิยมอย่างมากอีกครั้ง สิ่งที่สูญเสียไปวันนี้ ในวันข้างหน้าจะกลับมา และเมื่อมีวัคซีนป้องกันโควิด 19 จะยิ่งเพิ่มความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย ประสบการณ์ที่ผ่านมาทางด้านสาธารณสุขจนได้รับความสําเร็จ ทําได้อย่างมีมาตรฐาน มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ เมื่อสถานการณ์ปกติจะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาอย่างแน่นอน” นายอนุทินระบุ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30775 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด” | วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด”
รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด”
เมื่อวันที่31 ส.ค. 61 ณ ลานสแควร์ซี หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด” โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย กลุ่มเซ็นทรัล และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) ร่วมในพิธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผมขอบคุณที่ทางเซ็นทรัลกรุ๊ปที่ได้จัดงานในวันนี้ขึ้น ซึ่งถือภารกิจที่สําคัญของรัฐบาลที่จะลดความเหลื่อมล้ําในสังคม สร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงทรัพยากร แหล่งทุนในการประกอบอาชีพเพื่อยกระดับรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายการส่งเสริมตลาดชุมชน ให้มีการบริหารจัดการในรูปแบบประชารัฐ ภายใต้ "โครงการตลาดประชารัฐ" ซึ่งตลาดประชารัฐโมเดิร์นเทรด เป็น 1 ใน 10 ประเภทของตลาดประชารัฐ เกิดจากการร่วมดําเนินการ โดย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) และเครือข่ายโมเดิร์นเทรด ด้วยการจัดสรรพื้นที่เพื่อเป็นตลาดให้เกษตรกรสามารถสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนําสินค้าและผลิตผล/ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดต่างๆ ที่มีคุณภาพเข้ามาจําหน่าย รวมทั้งสนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรล้นตลาดตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้น
โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมชม ช๊อป ชิม สินค้าชุมชนประชารัฐ ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากทั่วทุกภาคของประเทศนํามาจําหน่ายรวม 50 บูธ อาทิ อาหารแปรรูป อาหารปรุงสด ผ้า สินค้าหัตถกรรม ผลไม้ และผักสด ในงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด” ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 9 กันยายน 2561 ณ ลานสแควร์ซี หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด”
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด”
รมว.มท. เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด”
เมื่อวันที่31 ส.ค. 61 ณ ลานสแควร์ซี หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด” โดยมี ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย กลุ่มเซ็นทรัล และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) ร่วมในพิธี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ผมขอบคุณที่ทางเซ็นทรัลกรุ๊ปที่ได้จัดงานในวันนี้ขึ้น ซึ่งถือภารกิจที่สําคัญของรัฐบาลที่จะลดความเหลื่อมล้ําในสังคม สร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงทรัพยากร แหล่งทุนในการประกอบอาชีพเพื่อยกระดับรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งรัฐบาลได้มีนโยบายการส่งเสริมตลาดชุมชน ให้มีการบริหารจัดการในรูปแบบประชารัฐ ภายใต้ "โครงการตลาดประชารัฐ" ซึ่งตลาดประชารัฐโมเดิร์นเทรด เป็น 1 ใน 10 ประเภทของตลาดประชารัฐ เกิดจากการร่วมดําเนินการ โดย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) และเครือข่ายโมเดิร์นเทรด ด้วยการจัดสรรพื้นที่เพื่อเป็นตลาดให้เกษตรกรสามารถสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนําสินค้าและผลิตผล/ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดต่างๆ ที่มีคุณภาพเข้ามาจําหน่าย รวมทั้งสนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรล้นตลาดตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้น
โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมชม ช๊อป ชิม สินค้าชุมชนประชารัฐ ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากทั่วทุกภาคของประเทศนํามาจําหน่ายรวม 50 บูธ อาทิ อาหารแปรรูป อาหารปรุงสด ผ้า สินค้าหัตถกรรม ผลไม้ และผักสด ในงาน “เซ็นทรัลกรุ๊ป ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต ประชารัฐ โมเดิร์นเทรด” ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 9 กันยายน 2561 ณ ลานสแควร์ซี หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15134 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย เล็ง MOU เกาหลี ส่งออกแรงงานทำงานตามฤดูกาล | วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย เล็ง MOU เกาหลี ส่งออกแรงงานทํางานตามฤดูกาล
ไทย เดินหน้า MOU กับ สาธารณรัฐเกาหลี ดันจ้างงานแรงงานไทยตามฤดูกาล หวังเพิ่มการจ้างงานแรงงานไทย เผยความคืบหน้า อยู่ในระหว่างจัดทําข้อสรุปร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้เหมาะสม รัดกุมที่สุด
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้ส่งผลกระทบถึงสถานการณ์การจ้างงานทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งทางภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งหามาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานโดยเร็ว ขณะเดียวกัน กรมการจัดหางาน ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีงานทําทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้เร่งหารือกับประเทศคู่เจรจาในการขยายตลาดแรงงาน โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นประเทศนิยมแรงงานไทย โดยกระทรวงแรงงานของไทยและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) โดยกรมการจัดหางานทําหน้าที่เป็นผู้จัดส่งคนหางานไปทํางาน ในประเภทกิจการอุตสาหกรรมการผลิต งานเกษตร/ปศุสัตว์ และงานก่อสร้าง แต่อย่างไรก็ดี พบว่านายจ้างภาคเกษตรกรรมยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานประกอบกับต้องการแรงงานในฤดูกาลเพาะปลูกระยะสั้น เพียง 5 เดือนต่อปี ดังนั้น เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของนายจ้างเกาหลี รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการจ้างแรงงานไทย
กรมการจัดหางาน จึงได้เสนอให้ทางการเกาหลีใต้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ้างงานแรงงานไทยทํางานตามฤดูกาล เพิ่มเติม ภายใต้การจัดทําความตกลงโครงการจ้างงานตามฤดูกาลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของสาธารณรัฐเกาหลีกับกรมการจัดหางาน ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้ อยู่ในระหว่างจัดทําข้อสรุปร่างบันทึกฯ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะทํางานพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการจ้างงานตามฤดูกาลของสาธารณรัฐเกาหลี ที่มีอธิบดีกรมการจัดหางานเป็นประธาน ซึ่งจะหารือและหาช่องทางที่รัดกุมและดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของแรงงานไทย
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การทํางานในระบบตามฤดูกาล นอกจากจะช่วยเพิ่มการจ้างงานแรงงานไทย แล้ว ยังสามารถลดอัตราการเข้าไปทํางานที่สาธารณรัฐเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย ได้ เช่นกัน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย เล็ง MOU เกาหลี ส่งออกแรงงานทำงานตามฤดูกาล
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย เล็ง MOU เกาหลี ส่งออกแรงงานทํางานตามฤดูกาล
ไทย เดินหน้า MOU กับ สาธารณรัฐเกาหลี ดันจ้างงานแรงงานไทยตามฤดูกาล หวังเพิ่มการจ้างงานแรงงานไทย เผยความคืบหน้า อยู่ในระหว่างจัดทําข้อสรุปร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้เหมาะสม รัดกุมที่สุด
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ได้ส่งผลกระทบถึงสถานการณ์การจ้างงานทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งทางภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งหามาตรการต่างๆเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานโดยเร็ว ขณะเดียวกัน กรมการจัดหางาน ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีงานทําทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ได้เร่งหารือกับประเทศคู่เจรจาในการขยายตลาดแรงงาน โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งเป็นประเทศนิยมแรงงานไทย โดยกระทรวงแรงงานของไทยและกระทรวงแรงงานและการจ้างงานสาธารณรัฐเกาหลี ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) โดยกรมการจัดหางานทําหน้าที่เป็นผู้จัดส่งคนหางานไปทํางาน ในประเภทกิจการอุตสาหกรรมการผลิต งานเกษตร/ปศุสัตว์ และงานก่อสร้าง แต่อย่างไรก็ดี พบว่านายจ้างภาคเกษตรกรรมยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานประกอบกับต้องการแรงงานในฤดูกาลเพาะปลูกระยะสั้น เพียง 5 เดือนต่อปี ดังนั้น เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของนายจ้างเกาหลี รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการจ้างแรงงานไทย
กรมการจัดหางาน จึงได้เสนอให้ทางการเกาหลีใต้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ้างงานแรงงานไทยทํางานตามฤดูกาล เพิ่มเติม ภายใต้การจัดทําความตกลงโครงการจ้างงานตามฤดูกาลระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของสาธารณรัฐเกาหลีกับกรมการจัดหางาน ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้ อยู่ในระหว่างจัดทําข้อสรุปร่างบันทึกฯ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะทํางานพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการจ้างงานตามฤดูกาลของสาธารณรัฐเกาหลี ที่มีอธิบดีกรมการจัดหางานเป็นประธาน ซึ่งจะหารือและหาช่องทางที่รัดกุมและดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของแรงงานไทย
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า การทํางานในระบบตามฤดูกาล นอกจากจะช่วยเพิ่มการจ้างงานแรงงานไทย แล้ว ยังสามารถลดอัตราการเข้าไปทํางานที่สาธารณรัฐเกาหลีอย่างผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย ได้ เช่นกัน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32497 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้ | วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้
โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้
วันนี้ (6 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 1 ราย ทําให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,989 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,761 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิต 55 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 55 เป็นผู้ป่วยชายอายุ 69 ปีสัญชาติออสเตรเลีย มีโรคประจําตัวคือหอบหืด อาชีพผู้จัดการโรงแรมที่จังหวัดพังงา เริ่มป่วยเมื่อ 25 มีนาคม 63 มีอาการไอ อ่อนเพลีย รับการรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่งเมื่อ 28 มีนาคม 63 ด้วยอาการไข้ 37.9 องศา เหนื่อยหอบ ออกซิเจนในเลือดลดลงเหลือ 89 เปอร์เซ็นต์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ส่งตรวจเอ็กซเรย์ปอดพบว่ามีการติดเชื้ออักเสบของปอดอย่างรุนแรง ผลตรวจยืนยันโควิด-19 และมีภาวะแทรกซ้อนทางไต เสียชีวิต 5 พฤษภาคม 63 ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้ป่วยด้วย
สําหรับผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือ 173 ราย มีผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้เพิ่มขึ้น 14 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,761 ราย ด้านผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นหญิงอายุ 27 ปี ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อาชีพพนักงานนวดซึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซีย วันที่ 3 พฤษภาคม 63 ซึ่งมีผู้โดยสารบนเครื่องบินรวม 70 คน เข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ โดยผู้ป่วยรายนี้ตรวจพบว่ามีไข้ 38.3 องศา จึงได้ส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล และมีอาการไข้ ไอ หายใจเหนื่อย ซึ่งการมีระบบการคัดกรอง มี State Quarantine ทําให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าบุคคลที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย ได้ถูกแยกกักตัวแล้วตั้งแต่ตอนต้น เป็นระบบที่ได้ทําหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชนและระบบที่เฝ้าระวัง สําหรับผลการตรวจของ 40 รายที่จังหวัดยะลา เบื้องต้นได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า ทั้ง 40 รายดังกล่าวไม่พบผู้ป่วยยืนยันเลย
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของจํานวนผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ ว่ายังคงเดิมในกลุ่มจังหวัดที่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมามี 34 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมาก็ยังคงเป็น 34 จังหวัดเหมือนเมื่อวานนี้ แต่พบผู้ป่วยใน State Quarantine จังหวัดสมุทรปราการ 1 รายเท่านั้น ตั้งแต่ 7 เมษายน 63 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เข้าข่าย PUI หรือผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สงสัยต้องตรวจเชื้อ รวม 54,600 ราย ภายหลัง กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับเกณฑ์การตรวจป่วย PUI ลงมาเรื่อย ๆ เมื่อ 1 พฤษภาคม 63 หากมีไข้หรือแค่มีประวัติมีไข้มีอาการคล้าย ๆ ไข้หวัด มีอาการไม่ได้กลิ่น ก็ให้มารับการตรวจได้ เพื่อดึงเคสเข้ามารับการตรวจให้มากขึ้น เพราะยิ่งตรวจมากก็มีโอกาสที่จะพบมากขึ้น
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,727,000 กว่าราย อาการหนัก 49,248 ราย หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้นวันเดียวถึงกว่า 40,000 คน ทําให้ตัวเลขรวมหายแล้วอยู่ที่ 1,200,000 กว่าคน แต่เสียชีวิตเพิ่มประมาณ 6,000 ราย รวมยอดเสียชีวิตไปแล้ว 258,000 กว่าคน
สําหรับประเทศที่มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,200,000 กว่าคน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นในวันเดียวถึง 24,000 กว่าคน เสียชีวิตรายวัน 2,350 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 72,271 ราย รองลงมาคือ สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย ตุรกี บราซิล และอิหร่าน ตามลําดับ
ประเทศอาเซียนอันดับที่สูงที่สุดอันดับที่ 1 คือ อินเดีย รองลงมาปากีสถาน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ตามลําดับ เนื่องจากเอเชียก็ยังพบสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลคนในประเทศไทยให้ได้ดีโดยเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศ
โฆษก ศบค. รายงานประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า ประเทศอินเดีย กรุงนิวเดลี ขึ้นภาษีดื่มแอลกอฮอล์หลังคนแย่งกันซื้อ โดยพบว่าในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 หลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ขั้นแรกเพียงวันเดียว ประชาชนแย่งซื้อสินค้าประเภทนี้จนเกิดความวุ่นวาย ทําให้มีการออกประกาศเตือน หากเจ้าหน้าที่พบการฝ่าฝืน และธุรกิจที่ได้รับการผ่อนผัน แต่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ก็จะสั่งยกเลิกการผ่อนปรนในทันที
สําหรับภายในประเทศ วันนี้ ได้มีประกาศยกเลิกการจัดงานวันวิสาขบูชาบนเขาอุดง (Oudong) หลังจากที่มีคําสั่งห้ามชุมนุมทางศาสนาคือ ชุมนุมขนาดใหญ่ในสถานที่สาธารณะชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ของต่างประเทศและไทยใกล้เคียงกัน
3. การดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ เวลา 18.15 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากเมียนมา 59 คน เวลา 23.00 น. จาก เยอรมนี (แฟรงก์เฟิร์ต) 110 คน และเวลา 23.20 น. จากปากีสถาน (ละฮอร์) 122 คน วันพรุ่งนี้ (7 พฤษภาคม 63) เวลา 21.45 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ 150 คน และเวลา 08.10 น. จากแอฟริกาใต้ 150 คน ทั้งนี้ มีผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน – 5 พฤษภาคม 63 คน จาก 27 ประเทศ/ดินแดน แล้ว 4,637 คน โดยเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ สําหรับแผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 7 พฤษภาคม มี 2 เที่ยวบิน ได้แก่ แอฟริกาใต้ และเกาหลีใต้ วันที่ 8 พฤษภาคม มี 2 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (อาบูดาบี) และอียิปต์ (ไคโร) วันที่ 9 พฤษภาคม มีเที่ยวบินจากญี่ปุ่น (โตเกียว) 2 เที่ยวบิน เนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) และเวียดนาม (ฮานอย) วันที่ 10 พฤษภาคม มี 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น (โตเกียว) และวันที่ 11 พฤษภาคม 4 มีเที่ยวบิน ได้แก่ อินเดีย (นิวเดลี) ญี่ปุ่น (โตเกียว) ฮ่องกง และเกาหลีใต้ (โซล)
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการจะเดินทางกลับประเทศไทยสามารถติดต่อสถานทูตไทยประจําประเทศนั้น ๆ ได้ เจ้าหน้าที่จะช่วยดูแลจัดลําดับเดินทาง โดยมาตรการนําคนไทยกลับประเทศ ประกอบด้วยกัน 3 ลําดับ ได้แก่ 1) มีผู้ลงทะเบียน 2) มีเที่ยวบิน และ 3) มีพื้นที่ State Quarantine ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มีพื้นที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไทยที่สามารถอาศัยอยู่ในต่างประเทศได้ เช่น คนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ได้รับการดูแลจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย และอาสาสมัครในการแจกข้าวสารอาหารแห้ง และสิ่งของจําเป็นแล้วจํานวน 29,491 คน
รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 5 พฤษภาคม ยอดคัดกรอง 12,847 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 466 ราย กลับบ้านได้แล้ว 3,921 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 619 ราย และพบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 85 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 1 ราย
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 6 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 104 คน เพิ่มขึ้น 6 คน ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 699 คน เพิ่มขึ้น 32 คน สาเหตุของการชุมนุมมั่วสุมคือ ดื่มสุรา คิดเป็นร้อยละ 45 ลักลอบเล่นการพนัน ร้อยละ 20 และอื่น ๆ ร้อยละ 18
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 5 พฤษภาคม 63 ได้ดําเนินการตรวจทั้งหมด 12,996 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 12,547 แห่ง ไม่ปฏิบัติตาม มาตรการ 449 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.45 จากการตรวจร้านอาหารเครื่องดื่มฯ 4,559 แห่ง ปฏิบัติตามข้อกําหนด 4,403 แห่ง ยังไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนด 156 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.4 ลดลงร้อยละ 3.3 ห้างสรรพสินค้าฯ ตรวจ 541 แห่ง ปฏิบัติ 526 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 15 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ตลาด ร้านขายปลีกฯ ตรวจ 3,851 แห่ง ปฏิบัติ 3,690 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 161 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ร้านเสริมสวยตรวจ 3,014 แห่ง ปฏิบัติ 2,925 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 89 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.9 ลดลงร้อยละ 0.2 สนามกอล์ฟตรวจ 116 แห่ง ปฏิบัติ 115 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 1 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 0.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87 สนามกีฬาฯ ตรวจ 284 แห่ง ปฏิบัติ 273 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 11 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.9 ลดลงร้อยละ 0.8 สวนสาธารณะฯ ตรวจ 386 แห่ง ปฏิบัติ 375 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 11 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และร้านสัตว์เลี้ยงฯ ตรวจ 245 แห่ง ปฏิบัติ 240 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 5 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2
โฆษก ศบค. กล่าวขอบคุณผู้ประกอบการ ประชาชน เจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมือและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามขอให้ให้ความร่วมมือ ครบร้อยละ 100 เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมโรค และจะได้มีความปลอดภัยในที่สุด
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้
วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้
โฆษก ศบค.เผยพบผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เตรียมขยายนิยามกลุ่มตรวจ PUI พบคล้ายไข้หวัด จมูกไม่ได้กลิ่น ขอเข้าตรวจโควิด-19 ได้
วันนี้ (6 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 1 ราย ทําให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,989 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,761 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมผู้เสียชีวิต 55 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 55 เป็นผู้ป่วยชายอายุ 69 ปีสัญชาติออสเตรเลีย มีโรคประจําตัวคือหอบหืด อาชีพผู้จัดการโรงแรมที่จังหวัดพังงา เริ่มป่วยเมื่อ 25 มีนาคม 63 มีอาการไอ อ่อนเพลีย รับการรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่งเมื่อ 28 มีนาคม 63 ด้วยอาการไข้ 37.9 องศา เหนื่อยหอบ ออกซิเจนในเลือดลดลงเหลือ 89 เปอร์เซ็นต์ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ส่งตรวจเอ็กซเรย์ปอดพบว่ามีการติดเชื้ออักเสบของปอดอย่างรุนแรง ผลตรวจยืนยันโควิด-19 และมีภาวะแทรกซ้อนทางไต เสียชีวิต 5 พฤษภาคม 63 ขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้ป่วยด้วย
สําหรับผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือ 173 ราย มีผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้เพิ่มขึ้น 14 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,761 ราย ด้านผู้ป่วยใหม่ 1 ราย เป็นหญิงอายุ 27 ปี ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อาชีพพนักงานนวดซึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศรัสเซีย วันที่ 3 พฤษภาคม 63 ซึ่งมีผู้โดยสารบนเครื่องบินรวม 70 คน เข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ โดยผู้ป่วยรายนี้ตรวจพบว่ามีไข้ 38.3 องศา จึงได้ส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล และมีอาการไข้ ไอ หายใจเหนื่อย ซึ่งการมีระบบการคัดกรอง มี State Quarantine ทําให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าบุคคลที่ต้องสัมผัสกับผู้ป่วย ได้ถูกแยกกักตัวแล้วตั้งแต่ตอนต้น เป็นระบบที่ได้ทําหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชนและระบบที่เฝ้าระวัง สําหรับผลการตรวจของ 40 รายที่จังหวัดยะลา เบื้องต้นได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า ทั้ง 40 รายดังกล่าวไม่พบผู้ป่วยยืนยันเลย
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการกระจายตัวของจํานวนผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ ว่ายังคงเดิมในกลุ่มจังหวัดที่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมามี 34 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมาก็ยังคงเป็น 34 จังหวัดเหมือนเมื่อวานนี้ แต่พบผู้ป่วยใน State Quarantine จังหวัดสมุทรปราการ 1 รายเท่านั้น ตั้งแต่ 7 เมษายน 63 ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เข้าข่าย PUI หรือผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สงสัยต้องตรวจเชื้อ รวม 54,600 ราย ภายหลัง กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ปรับเกณฑ์การตรวจป่วย PUI ลงมาเรื่อย ๆ เมื่อ 1 พฤษภาคม 63 หากมีไข้หรือแค่มีประวัติมีไข้มีอาการคล้าย ๆ ไข้หวัด มีอาการไม่ได้กลิ่น ก็ให้มารับการตรวจได้ เพื่อดึงเคสเข้ามารับการตรวจให้มากขึ้น เพราะยิ่งตรวจมากก็มีโอกาสที่จะพบมากขึ้น
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,727,000 กว่าราย อาการหนัก 49,248 ราย หายป่วยแล้วเพิ่มขึ้นวันเดียวถึงกว่า 40,000 คน ทําให้ตัวเลขรวมหายแล้วอยู่ที่ 1,200,000 กว่าคน แต่เสียชีวิตเพิ่มประมาณ 6,000 ราย รวมยอดเสียชีวิตไปแล้ว 258,000 กว่าคน
สําหรับประเทศที่มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 10 อันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 สหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,200,000 กว่าคน โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นในวันเดียวถึง 24,000 กว่าคน เสียชีวิตรายวัน 2,350 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 72,271 ราย รองลงมาคือ สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย ตุรกี บราซิล และอิหร่าน ตามลําดับ
ประเทศอาเซียนอันดับที่สูงที่สุดอันดับที่ 1 คือ อินเดีย รองลงมาปากีสถาน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม ตามลําดับ เนื่องจากเอเชียก็ยังพบสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลคนในประเทศไทยให้ได้ดีโดยเฉพาะการเดินทางไปต่างประเทศ
โฆษก ศบค. รายงานประเด็นข่าวที่น่าสนใจในต่างประเทศว่า ประเทศอินเดีย กรุงนิวเดลี ขึ้นภาษีดื่มแอลกอฮอล์หลังคนแย่งกันซื้อ โดยพบว่าในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 หลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ขั้นแรกเพียงวันเดียว ประชาชนแย่งซื้อสินค้าประเภทนี้จนเกิดความวุ่นวาย ทําให้มีการออกประกาศเตือน หากเจ้าหน้าที่พบการฝ่าฝืน และธุรกิจที่ได้รับการผ่อนผัน แต่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ก็จะสั่งยกเลิกการผ่อนปรนในทันที
สําหรับภายในประเทศ วันนี้ ได้มีประกาศยกเลิกการจัดงานวันวิสาขบูชาบนเขาอุดง (Oudong) หลังจากที่มีคําสั่งห้ามชุมนุมทางศาสนาคือ ชุมนุมขนาดใหญ่ในสถานที่สาธารณะชั่วคราว เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ของต่างประเทศและไทยใกล้เคียงกัน
3. การดําเนินงานตามมาตรการ
มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ
วันนี้ เวลา 18.15 น. จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากเมียนมา 59 คน เวลา 23.00 น. จาก เยอรมนี (แฟรงก์เฟิร์ต) 110 คน และเวลา 23.20 น. จากปากีสถาน (ละฮอร์) 122 คน วันพรุ่งนี้ (7 พฤษภาคม 63) เวลา 21.45 น. จะมีผู้เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ 150 คน และเวลา 08.10 น. จากแอฟริกาใต้ 150 คน ทั้งนี้ มีผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน – 5 พฤษภาคม 63 คน จาก 27 ประเทศ/ดินแดน แล้ว 4,637 คน โดยเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ สําหรับแผนเที่ยวบินนําคนไทยที่ตกค้างกลับไทยในวันที่ 7 พฤษภาคม มี 2 เที่ยวบิน ได้แก่ แอฟริกาใต้ และเกาหลีใต้ วันที่ 8 พฤษภาคม มี 2 เที่ยวบิน ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (อาบูดาบี) และอียิปต์ (ไคโร) วันที่ 9 พฤษภาคม มีเที่ยวบินจากญี่ปุ่น (โตเกียว) 2 เที่ยวบิน เนเธอร์แลนด์ (อัมสเตอร์ดัม) และเวียดนาม (ฮานอย) วันที่ 10 พฤษภาคม มี 3 เที่ยวบิน ได้แก่ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น (โตเกียว) และวันที่ 11 พฤษภาคม 4 มีเที่ยวบิน ได้แก่ อินเดีย (นิวเดลี) ญี่ปุ่น (โตเกียว) ฮ่องกง และเกาหลีใต้ (โซล)
ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการจะเดินทางกลับประเทศไทยสามารถติดต่อสถานทูตไทยประจําประเทศนั้น ๆ ได้ เจ้าหน้าที่จะช่วยดูแลจัดลําดับเดินทาง โดยมาตรการนําคนไทยกลับประเทศ ประกอบด้วยกัน 3 ลําดับ ได้แก่ 1) มีผู้ลงทะเบียน 2) มีเที่ยวบิน และ 3) มีพื้นที่ State Quarantine ในช่วงเวลาที่เหมาะสม มีพื้นที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไทยที่สามารถอาศัยอยู่ในต่างประเทศได้ เช่น คนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ได้รับการดูแลจากสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ในมาเลเซีย และอาสาสมัครในการแจกข้าวสารอาหารแห้ง และสิ่งของจําเป็นแล้วจํานวน 29,491 คน
รายงานข้อมูลสถานการณ์ผู้เดินทางเข้าประเทศที่ต้องกักกันตัวในที่กักกันของรัฐจัดให้ (State Quarantine และ Local Quarantine) ตั้งแต่ 3 เมษายน – 5 พฤษภาคม ยอดคัดกรอง 12,847 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 466 ราย กลับบ้านได้แล้ว 3,921 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 619 ราย และพบผู้ติดเชื้อจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ 85 ราย เพิ่มขึ้นวานนี้ 1 ราย
การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว
รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 6 พฤษภาคม 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า มีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 104 คน เพิ่มขึ้น 6 คน ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 699 คน เพิ่มขึ้น 32 คน สาเหตุของการชุมนุมมั่วสุมคือ ดื่มสุรา คิดเป็นร้อยละ 45 ลักลอบเล่นการพนัน ร้อยละ 20 และอื่น ๆ ร้อยละ 18
รายงานการตรวจกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายด้านการดําเนินชีวิต วันที่ 5 พฤษภาคม 63 ได้ดําเนินการตรวจทั้งหมด 12,996 แห่ง พบว่าปฏิบัติตามมาตรการ 12,547 แห่ง ไม่ปฏิบัติตาม มาตรการ 449 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.45 จากการตรวจร้านอาหารเครื่องดื่มฯ 4,559 แห่ง ปฏิบัติตามข้อกําหนด 4,403 แห่ง ยังไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนด 156 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.4 ลดลงร้อยละ 3.3 ห้างสรรพสินค้าฯ ตรวจ 541 แห่ง ปฏิบัติ 526 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 15 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ตลาด ร้านขายปลีกฯ ตรวจ 3,851 แห่ง ปฏิบัติ 3,690 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 161 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ร้านเสริมสวยตรวจ 3,014 แห่ง ปฏิบัติ 2,925 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 89 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.9 ลดลงร้อยละ 0.2 สนามกอล์ฟตรวจ 116 แห่ง ปฏิบัติ 115 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 1 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 0.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87 สนามกีฬาฯ ตรวจ 284 แห่ง ปฏิบัติ 273 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 11 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 3.9 ลดลงร้อยละ 0.8 สวนสาธารณะฯ ตรวจ 386 แห่ง ปฏิบัติ 375 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 11 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 และร้านสัตว์เลี้ยงฯ ตรวจ 245 แห่ง ปฏิบัติ 240 แห่ง ไม่ปฏิบัติ 5 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 2
โฆษก ศบค. กล่าวขอบคุณผู้ประกอบการ ประชาชน เจ้าของธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมือและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามขอให้ให้ความร่วมมือ ครบร้อยละ 100 เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมโรค และจะได้มีความปลอดภัยในที่สุด
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30383 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ร่วมเสวนา "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สำหรับมหาวิทยาลัย" | วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ร่วมเสวนา "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย"
เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network: RUN) จัดเสวนาเรื่อง "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network: RUN) จัดเสวนาเรื่อง "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยได้รับเกียรติจากดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมเสวนา และมีผู้สนใจจากหลากหลายสถาบันการศึกษาเข้าร่วมรับฟัง
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้นําเสนอแนวคิดและความคืบหน้าการจัดตั้งกระทรวงใหม่ คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมซึ่งจะทําหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Thailand 4.0 ผ่านกระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม พร้อมทั้งเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยที่สถาบันอุดมศึกษาจะเข้ามามีบทบาทสําคัญในการผลิตและพัฒนากําลังคน เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยผู้คนที่มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ
การจัดตั้งกระทรวงใหม่นี้ ถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงเนื่องจากจะมีความเป็นราชการน้อยลง หลุดพ้นจากการติดกับดักของการบริหารจัดการทั่วไปของระบบราชการ และตอบโจทย์ประเทศมากขึ้น โดยจะมีการปลดล็อคกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น การให้อาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถทํางานวิจัยและใช้ประโยชน์จากการวิจัยได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการปฏิรูปเรื่องงบประมาณการวิจัย เป็นต้น
โดย RUN รวมทั้งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และ วท. จะได้หารือเกี่ยวกับรายละเอียดการวิจัยที่จะเป็นตัวชี้นําอนาคตของประเทศอีกครั้ง ดังนั้น การเสวนาในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสมาพบปะและหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยมั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งกระทรวงใหม่ได้ทันในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดําเนินงานตามขั้นตอนของกฎหมาย
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า การจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมนั้น มีความจําเป็นต้องปฏิรูประบบงบประมาณด้วยเพื่อให้การดําเนินงานตอบโจทย์อนาคตข้างหน้า หากมหาวิทยาลัยยังดําเนินการเช่นเดิม อาทิ เปิดสอนในหลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตออกมาแล้วไม่มีงานทํา ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นต้น ดังนั้น หลักสูตรที่มีบัณฑิตตกงานจํานวนมากจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณน้อยลง
สําหรับสัดส่วนการเปิดสอนหลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้นปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่สังคมศาสตร์ 70% และวิทยาศาสตร์ 30% ในขณะที่ประเทศต้องการขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เราก็ต้องไม่ทิ้งสังคมศาสตร์ เพราะสังคมศาสตร์เป็นพื้นฐานที่สําคัญในทุก ๆ ด้าน เพียงแต่ต้องการให้ผลิตน้อยลง เพราะขณะนี้มีจํานวนบัณฑิตสายสังคมศาสตร์ล้นประเทศ ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้อัตราส่วนของผู้เรียนสายวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์การขับเคลื่อนประเทศ
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างสภาวิชาชีพและสถาบันอุดมศึกษานั้น เป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างมาก โดยทั้งสภาวิชาชีพและสถาบันอุดมศึกษา ควรมีหารือแนวทางและปรับมุมมองการดําเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตเป็นสําคัญ ไม่ใช่ต่างคนต่างทํางานเหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นมุมมองแบบเดิมที่ไม่มีการคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงที่กําลังจะเกิดขึ้น
Writtenbyยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ร่วมเสวนา "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สำหรับมหาวิทยาลัย"
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
รมช.ศธ.(ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร) ร่วมเสวนา "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย"
เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network: RUN) จัดเสวนาเรื่อง "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network: RUN) จัดเสวนาเรื่อง "กระทรวงใหม่ : โอกาสและความท้าทาย สําหรับมหาวิทยาลัย" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561ณ ห้องประชุมสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยได้รับเกียรติจากดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมเสวนา และมีผู้สนใจจากหลากหลายสถาบันการศึกษาเข้าร่วมรับฟัง
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้นําเสนอแนวคิดและความคืบหน้าการจัดตั้งกระทรวงใหม่ คือกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมซึ่งจะทําหน้าที่ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น Thailand 4.0 ผ่านกระบวนการทางเศรษฐกิจ สังคม และนวัตกรรม พร้อมทั้งเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยที่สถาบันอุดมศึกษาจะเข้ามามีบทบาทสําคัญในการผลิตและพัฒนากําลังคน เนื่องจากมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยผู้คนที่มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ
การจัดตั้งกระทรวงใหม่นี้ ถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริงเนื่องจากจะมีความเป็นราชการน้อยลง หลุดพ้นจากการติดกับดักของการบริหารจัดการทั่วไปของระบบราชการ และตอบโจทย์ประเทศมากขึ้น โดยจะมีการปลดล็อคกฎระเบียบต่าง ๆ เช่น การให้อาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถทํางานวิจัยและใช้ประโยชน์จากการวิจัยได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการปฏิรูปเรื่องงบประมาณการวิจัย เป็นต้น
โดย RUN รวมทั้งที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และ วท. จะได้หารือเกี่ยวกับรายละเอียดการวิจัยที่จะเป็นตัวชี้นําอนาคตของประเทศอีกครั้ง ดังนั้น การเสวนาในครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ได้มีโอกาสมาพบปะและหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยมั่นใจว่าจะสามารถจัดตั้งกระทรวงใหม่ได้ทันในรัฐบาลชุดนี้แน่นอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดําเนินงานตามขั้นตอนของกฎหมาย
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวว่า การจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมนั้น มีความจําเป็นต้องปฏิรูประบบงบประมาณด้วยเพื่อให้การดําเนินงานตอบโจทย์อนาคตข้างหน้า หากมหาวิทยาลัยยังดําเนินการเช่นเดิม อาทิ เปิดสอนในหลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตออกมาแล้วไม่มีงานทํา ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นต้น ดังนั้น หลักสูตรที่มีบัณฑิตตกงานจํานวนมากจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณน้อยลง
สําหรับสัดส่วนการเปิดสอนหลักสูตรที่ผลิตบัณฑิตด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์นั้นปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่สังคมศาสตร์ 70% และวิทยาศาสตร์ 30% ในขณะที่ประเทศต้องการขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เราก็ต้องไม่ทิ้งสังคมศาสตร์ เพราะสังคมศาสตร์เป็นพื้นฐานที่สําคัญในทุก ๆ ด้าน เพียงแต่ต้องการให้ผลิตน้อยลง เพราะขณะนี้มีจํานวนบัณฑิตสายสังคมศาสตร์ล้นประเทศ ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้อัตราส่วนของผู้เรียนสายวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์การขับเคลื่อนประเทศ
ในส่วนของความร่วมมือระหว่างสภาวิชาชีพและสถาบันอุดมศึกษานั้น เป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างมาก โดยทั้งสภาวิชาชีพและสถาบันอุดมศึกษา ควรมีหารือแนวทางและปรับมุมมองการดําเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตเป็นสําคัญ ไม่ใช่ต่างคนต่างทํางานเหมือนในอดีต ซึ่งถือเป็นมุมมองแบบเดิมที่ไม่มีการคํานึงถึงการเปลี่ยนแปลงที่กําลังจะเกิดขึ้น
Writtenbyยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14966 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันประวัติศาสตร์! จุรินทร์โอนเงินประกันรายได้ภายใน 77 วัน หลังรับหน้าที่ | วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
วันประวัติศาสตร์! จุรินทร์โอนเงินประกันรายได้ภายใน 77 วัน หลังรับหน้าที่
เกษตรกรเฮลั่นทั้งประเทศ ! จุรินทร์สั่งจ่ายเงินประกันรายได้ชาวสวนปาล์มงวดแรกวันนี้ (1 ตุลาคม2562 เวลา 14.00 น.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการเปิดตัวการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกร
ชาวสวนปาล์มน้ํามัน ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีหน่วยงานภาคีหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ที่ได้รับเงินประกันรายได้เข้าบัญชี ธ.ก.ส. โดยตรง เข้าร่วมงาน พร้อมตัวแทนเกษตรกรจํานวนหนึ่ง
โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประกันรายได้สินค้าเกษตร เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 25 กรกฎาคม 2562 และรัฐบาลให้ความสําคัญเพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตร โดยมอบกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบสินค้าข้าว ปาล์มน้ํามัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ มันสําปะหลัง ส่วน มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบสินค้ายางพารา
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปาล์มน้ํามัน เป็นสินค้าแรก ที่กระทรวงพาณิชย์เร่งขับเคลื่อนการประกันรายได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ําต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นมา และ วันที่ 1 ตุลาคม นี้ เป็นการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันทั่วประเทศ ตามกรอบโครงการที่กําหนดไว้ คือ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ในราคาเป้าหมายของผลปาล์มทะลาย อัตราน้ํามัน 18% ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ราคาตลาดอ้างอิงกําหนดโดยคณะอนุกรรมการบริหารโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562 – 2563 ที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) แต่งตั้ง เงินประกันรายได้ ที่เกษตรกรแต่ละรายจะได้รับ คือ เงินส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมาย - ราคาตลาดอ้างอิง โดยเกษตรกรจะได้รับเงินตามจํานวนไร่ที่มีอยู่ (ไม่เกิน 25 ไร่)
รายงานระบุด้วยว่าโดยใช้ปริมาณผลผลิต 2,906 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นเกณฑ์คํานวณ
การเปิดตัวการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันปี 2562 – 2563 ในวันนี้ มีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันได้ทราบข่าวอย่างทั่วถึงว่า รัฐบาลได้ให้ ธ.ก.ส. โอนเงินประกันรายได้งวดแรกเข้าบัญชีของเกษตรกรผู้มีสิทธิตามโครงการทุกท่านแล้ว หากยังมีเกษตรกรรายใด ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร หรือยังไม่ได้ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรเดิมที่ขึ้นไว้แล้ว ก็ขอให้รีบติดต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ รวมทั้งขอเปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. ที่สาขาใกล้บ้านท่าน เพื่อรับสิทธิตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันในงวดต่อไป ที่จะจ่ายให้เป็นงวดๆ ละ ประมาณ 45 วัน
อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า สําหรับรายได้ปกติของเกษตรกร จากการขายผลปาล์มทะลาย ขอให้เกษตรกรให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพการผลิต และการเก็บเกี่ยวผลปาล์มสุก เพื่อให้ได้ผลปาล์มทะลายที่มีเปอร์เซ็นต์น้ํามันสูง และสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ก็จะเดินหน้าดําเนินมาตรการคู่ขนาน เพื่อยกระดับและรักษาเสถียรภาพราคาผลปาล์มให้มีความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
...................................................................
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (1 ตุลาคม 2562) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วันประวัติศาสตร์! จุรินทร์โอนเงินประกันรายได้ภายใน 77 วัน หลังรับหน้าที่
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562
วันประวัติศาสตร์! จุรินทร์โอนเงินประกันรายได้ภายใน 77 วัน หลังรับหน้าที่
เกษตรกรเฮลั่นทั้งประเทศ ! จุรินทร์สั่งจ่ายเงินประกันรายได้ชาวสวนปาล์มงวดแรกวันนี้ (1 ตุลาคม2562 เวลา 14.00 น.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการเปิดตัวการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกร
ชาวสวนปาล์มน้ํามัน ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีหน่วยงานภาคีหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ที่ได้รับเงินประกันรายได้เข้าบัญชี ธ.ก.ส. โดยตรง เข้าร่วมงาน พร้อมตัวแทนเกษตรกรจํานวนหนึ่ง
โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประกันรายได้สินค้าเกษตร เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา เมื่อ 25 กรกฎาคม 2562 และรัฐบาลให้ความสําคัญเพื่อช่วยเหลือด้านรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตร โดยมอบกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบสินค้าข้าว ปาล์มน้ํามัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ มันสําปะหลัง ส่วน มีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบสินค้ายางพารา
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ปาล์มน้ํามัน เป็นสินค้าแรก ที่กระทรวงพาณิชย์เร่งขับเคลื่อนการประกันรายได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ําต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2562 เป็นต้นมา และ วันที่ 1 ตุลาคม นี้ เป็นการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันทั่วประเทศ ตามกรอบโครงการที่กําหนดไว้ คือ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ ในราคาเป้าหมายของผลปาล์มทะลาย อัตราน้ํามัน 18% ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ราคาตลาดอ้างอิงกําหนดโดยคณะอนุกรรมการบริหารโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ปี 2562 – 2563 ที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) แต่งตั้ง เงินประกันรายได้ ที่เกษตรกรแต่ละรายจะได้รับ คือ เงินส่วนต่างระหว่างราคาเป้าหมาย - ราคาตลาดอ้างอิง โดยเกษตรกรจะได้รับเงินตามจํานวนไร่ที่มีอยู่ (ไม่เกิน 25 ไร่)
รายงานระบุด้วยว่าโดยใช้ปริมาณผลผลิต 2,906 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นเกณฑ์คํานวณ
การเปิดตัวการจ่ายเงินประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามัน ตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันปี 2562 – 2563 ในวันนี้ มีจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันได้ทราบข่าวอย่างทั่วถึงว่า รัฐบาลได้ให้ ธ.ก.ส. โอนเงินประกันรายได้งวดแรกเข้าบัญชีของเกษตรกรผู้มีสิทธิตามโครงการทุกท่านแล้ว หากยังมีเกษตรกรรายใด ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร หรือยังไม่ได้ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกรเดิมที่ขึ้นไว้แล้ว ก็ขอให้รีบติดต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ รวมทั้งขอเปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. ที่สาขาใกล้บ้านท่าน เพื่อรับสิทธิตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันในงวดต่อไป ที่จะจ่ายให้เป็นงวดๆ ละ ประมาณ 45 วัน
อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า สําหรับรายได้ปกติของเกษตรกร จากการขายผลปาล์มทะลาย ขอให้เกษตรกรให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพการผลิต และการเก็บเกี่ยวผลปาล์มสุก เพื่อให้ได้ผลปาล์มทะลายที่มีเปอร์เซ็นต์น้ํามันสูง และสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ก็จะเดินหน้าดําเนินมาตรการคู่ขนาน เพื่อยกระดับและรักษาเสถียรภาพราคาผลปาล์มให้มีความยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
...................................................................
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (1 ตุลาคม 2562) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23527 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สมศ.คนใหม่เข้าเยี่ยมคาราวะรองนายกรัฐมนตรี | วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
ผอ.สมศ.คนใหม่เข้าเยี่ยมคาราวะรองนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรีขอให้ สมศ. ทําทุกอย่างเพื่อการศึกษาของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีขอให้ สมศ. ทําทุกอย่างเพื่อการศึกษาของประเทศ
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2560 ดร.ณมน จีรังสุวรรณ ผู้อํานวยการสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ได้นําคณะเข้าพบ เยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อแนะนําตัวในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ รวมทั้งเพื่อนําเสนอแผนการทํางานของ สมศ.
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้อํานวยการ สมศ. คนใหม่ พร้อมทั้งให้คําแนะนําแก่ผู้อํานวยการ สมศ. และคณะ โดยขอให้ สมศ. ทํางานเป็นทีม พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย รวมถึงรับฟังคําแนะนําของคณะกรรมการบริหาร สมศ. เพื่อใช้ในการทํางานด้วย โดยให้ สมศ. ยึดถือบทบาทหน้าที่ของตนเอง ที่ได้กําหนดไว้ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและหลักการ เพื่อให้สามารถดําเนินงานไปในทิศทางที่ถูกต้อง ภายใต้การร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษา
ที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสอดคล้องกัน โดยยึดคุณภาพการศึกษาเป็นสําคัญ และขอให้เร่งดําเนินการโดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลดีเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ ได้ขอให้ สมศ. มีจุดยืนเป็นของตนเอง ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และทํางานอย่างเต็มที่เพื่อการศึกษาของประเทศ โดยยึดหลักความร่วมแรงร่วมใจกับทุกภาคส่วน
-------------------------------------------------------------------------------
พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
29 มิถุนายน 2560 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สมศ.คนใหม่เข้าเยี่ยมคาราวะรองนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
ผอ.สมศ.คนใหม่เข้าเยี่ยมคาราวะรองนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรีขอให้ สมศ. ทําทุกอย่างเพื่อการศึกษาของประเทศ
รองนายกรัฐมนตรีขอให้ สมศ. ทําทุกอย่างเพื่อการศึกษาของประเทศ
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2560 ดร.ณมน จีรังสุวรรณ ผู้อํานวยการสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ได้นําคณะเข้าพบ เยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เพื่อแนะนําตัวในโอกาสเข้ารับตําแหน่งใหม่ รวมทั้งเพื่อนําเสนอแผนการทํางานของ สมศ.
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้อํานวยการ สมศ. คนใหม่ พร้อมทั้งให้คําแนะนําแก่ผู้อํานวยการ สมศ. และคณะ โดยขอให้ สมศ. ทํางานเป็นทีม พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย รวมถึงรับฟังคําแนะนําของคณะกรรมการบริหาร สมศ. เพื่อใช้ในการทํางานด้วย โดยให้ สมศ. ยึดถือบทบาทหน้าที่ของตนเอง ที่ได้กําหนดไว้ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายและหลักการ เพื่อให้สามารถดําเนินงานไปในทิศทางที่ถูกต้อง ภายใต้การร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสร้างแนวทางการประเมินคุณภาพการศึกษา
ที่เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และสอดคล้องกัน โดยยึดคุณภาพการศึกษาเป็นสําคัญ และขอให้เร่งดําเนินการโดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลดีเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ ได้ขอให้ สมศ. มีจุดยืนเป็นของตนเอง ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และทํางานอย่างเต็มที่เพื่อการศึกษาของประเทศ โดยยึดหลักความร่วมแรงร่วมใจกับทุกภาคส่วน
-------------------------------------------------------------------------------
พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
29 มิถุนายน 2560 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4911 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ [กระทรวงมหาดไทย] | วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ [กระทรวงมหาดไทย]
มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เน้นย้ํา “ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใสและมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่”
วันนี้ (31 พ.ค.63) เวลา 12:10 น.พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และนายอําเภอ ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) วงเงิน 4 แสนล้านบาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยเน้นย้ําว่าต้องมีกระบวนการทํางานที่โปร่งใส ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการ และหน่วยงานกํากับ ไม่ให้เกิดการทุจริตทุกรูปแบบ และประการสําคัญต้องเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูให้เศรษฐกิจกลับไปเดินได้ ซึ่งทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่มีแผนงานโครงการสร้างผลิตภาพ (Productivities) ต้องเสนอโครงการผ่านกลไกคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) เพื่อไม่ให้เกิดการหาประโยชน์ และมีขั้นตอนที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตรวจสอบได้ง่าย ก่อนเสนอเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่าในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ขณะนี้กระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดขั้นตอนการทํางานซึ่งได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสํานักงบประมาณ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2563 ที่ผ่านมาซึ่งทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยต้องจัดทําเป็นสรุปโครงการ (Project brief) ผ่านที่ประชุม ก.บ.จ. และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองตามขั้นตอน ทั้งนี้ ต้องเป็นโครงการที่มีความพร้อม สามารถดําเนินการได้ทันที และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายของทางราชการ และหากพบเจ้าหน้าที่หรือบุคคลแอบอ้างการช่วยเหลือของบประมาณต้องดําเนินการทั้งทางปกครองและวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอเร่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างไร และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ต้องสอดรับกับวัตถุประสงค์ของ “แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม”ที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้กําหนดรวม 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ต้องช่วยสร้างรายได้จากภาคการผลิตและภาคบริการที่ทันสมัย จะเป็นในด้านภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม, การค้า/การลงทุน, ภาคการท่องเที่ยว ก็ได้ 2) ต้องช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ เช่น การพัฒนาและยกระดับสินค้า, สร้างตลาด เพิ่มรายได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน, พัฒนาฝีมือแรงงานท้องถิ่น 3) ต้องช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ และ 4) สามารถเสนอขอรับงบประมาณที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานได้ แต่จะต้องทันสมัย แก้ปัญหาได้จริง เช่น การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ํา, ระบบชลประทาน, การปรับปรุงระบบโครงข่ายคมนาคม, การพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวก, การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอโครงการที่เกิดจากความต้องการของประชาชนในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจฯ ให้เป็นไปตามแนวทางฯ ทั้งนี้ สําหรับกระบวนงานในการเสนอโครงการขอให้นําเสนอตามลําดับความจําเป็น และทําตามกรอบแนวทางและห้วงเวลาที่กําหนด และทุกขั้นตอนต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ [กระทรวงมหาดไทย]
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ [กระทรวงมหาดไทย]
มท.1 มอบนโยบายแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เน้นย้ํา “ทุกขั้นตอนต้องโปร่งใสและมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่”
วันนี้ (31 พ.ค.63) เวลา 12:10 น.พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ร่วมประชุม และเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และนายอําเภอ ร่วมประชุม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) วงเงิน 4 แสนล้านบาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยเน้นย้ําว่าต้องมีกระบวนการทํางานที่โปร่งใส ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการ และหน่วยงานกํากับ ไม่ให้เกิดการทุจริตทุกรูปแบบ และประการสําคัญต้องเป็นโครงการที่เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูให้เศรษฐกิจกลับไปเดินได้ ซึ่งทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่มีแผนงานโครงการสร้างผลิตภาพ (Productivities) ต้องเสนอโครงการผ่านกลไกคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) เพื่อไม่ให้เกิดการหาประโยชน์ และมีขั้นตอนที่โปร่งใส เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตรวจสอบได้ง่าย ก่อนเสนอเข้าคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่าในการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามแนวทางการจัดทําโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ขณะนี้กระทรวงมหาดไทย ได้กําหนดขั้นตอนการทํางานซึ่งได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสํานักงบประมาณ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2563 ที่ผ่านมาซึ่งทุกโครงการที่เสนอขอรับงบประมาณต้องเป็นโครงการที่เป็นความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยต้องจัดทําเป็นสรุปโครงการ (Project brief) ผ่านที่ประชุม ก.บ.จ. และเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองตามขั้นตอน ทั้งนี้ ต้องเป็นโครงการที่มีความพร้อม สามารถดําเนินการได้ทันที และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายของทางราชการ และหากพบเจ้าหน้าที่หรือบุคคลแอบอ้างการช่วยเหลือของบประมาณต้องดําเนินการทั้งทางปกครองและวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอเร่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างไร และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน
นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงแนวทางการเสนอโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ต้องสอดรับกับวัตถุประสงค์ของ “แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม”ที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้กําหนดรวม 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ต้องช่วยสร้างรายได้จากภาคการผลิตและภาคบริการที่ทันสมัย จะเป็นในด้านภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม, การค้า/การลงทุน, ภาคการท่องเที่ยว ก็ได้ 2) ต้องช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ เช่น การพัฒนาและยกระดับสินค้า, สร้างตลาด เพิ่มรายได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน, พัฒนาฝีมือแรงงานท้องถิ่น 3) ต้องช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ และ 4) สามารถเสนอขอรับงบประมาณที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานได้ แต่จะต้องทันสมัย แก้ปัญหาได้จริง เช่น การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ํา, ระบบชลประทาน, การปรับปรุงระบบโครงข่ายคมนาคม, การพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวก, การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่าขอให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอโครงการที่เกิดจากความต้องการของประชาชนในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจฯ ให้เป็นไปตามแนวทางฯ ทั้งนี้ สําหรับกระบวนงานในการเสนอโครงการขอให้นําเสนอตามลําดับความจําเป็น และทําตามกรอบแนวทางและห้วงเวลาที่กําหนด และทุกขั้นตอนต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19 | วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19
ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายหยาง ซิน (Mr. Yang Xin) อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับอุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่ารัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ในขณะเดียวกันสถานการณ์ในจีนดีขึ้นตามลําดับจึงมีนโยบายให้ความช่วยเหลือมิตรประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรีขอบคุณทางการจีนที่มีนโยบายให้ความช่วยเหลือ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในมิตรประเทศของจีนมาโดยตลอด
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความประสงค์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากจีน ได้แก่ 1. หน้ากากอนามัย (Surgical mask) 2. หน้ากากอนามัย N95 3. ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) 4. ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 และ 5. การอํานวยความสะดวกในการนําเข้าวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยจากจีน รวมไปถึงราคาของวัตถุดิบ
อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนฯ ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนทางการไทย และจะประสานงานกับทางการจีนตามความประสงค์ของทางการไทย ซึ่งที่ผ่านมาทางการไทยได้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางการจีนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ทางการจีนแสดงความซาบซึ้งในไมตรีจิตที่รัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยได้ให้ความช่วยเหลือจีนมาโดยตลอด
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน โดยทางการจีนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์กับทางการไทย ในด้านการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และวิธีการตรวจคัดกรองป้องกันผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบิน
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณทางการจีนที่ให้การสนับสนุนความช่วยเหลือและความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีต่อทางการไทย ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563
ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19
ไทย-จีน ยินดีสนับสนุนแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ป้องกันเชื้อโควิด-19
วันนี้ (11 มีนาคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายหยาง ซิน (Mr. Yang Xin) อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับอุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจําประเทศไทย พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่ารัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ในขณะเดียวกันสถานการณ์ในจีนดีขึ้นตามลําดับจึงมีนโยบายให้ความช่วยเหลือมิตรประเทศ โดยรองนายกรัฐมนตรีขอบคุณทางการจีนที่มีนโยบายให้ความช่วยเหลือ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในมิตรประเทศของจีนมาโดยตลอด
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความประสงค์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากจีน ได้แก่ 1. หน้ากากอนามัย (Surgical mask) 2. หน้ากากอนามัย N95 3. ชุดอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) 4. ชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 และ 5. การอํานวยความสะดวกในการนําเข้าวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยจากจีน รวมไปถึงราคาของวัตถุดิบ
อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนฯ ยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนทางการไทย และจะประสานงานกับทางการจีนตามความประสงค์ของทางการไทย ซึ่งที่ผ่านมาทางการไทยได้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางการจีนอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ทางการจีนแสดงความซาบซึ้งในไมตรีจิตที่รัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยได้ให้ความช่วยเหลือจีนมาโดยตลอด
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน โดยทางการจีนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประสบการณ์กับทางการไทย ในด้านการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และวิธีการตรวจคัดกรองป้องกันผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบิน
ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณทางการจีนที่ให้การสนับสนุนความช่วยเหลือและความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีต่อทางการไทย ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-28 ก.ค. นี้ เข้าฟรี! อุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ | วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
28 ก.ค. นี้ เข้าฟรี! อุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ
--
#ไทยคู่ฟ้า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูรฯ วันที่ 28 ก.ค. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยเข้าไปเที่ยวชมความงามของธรรมชาติและสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม (เฉพาะบุคคลชาวไทย และยานพาหนะเท่านั้น) เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรักความผูกพันของบุคคลในครอบครัว ปลูกจิตสํานึก และตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และช่วงนี้เรายังคงต้องใช้ชีวิตกันอย่าง New Normal อย่าลืม! จองคิวเพื่อเข้าท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ผ่านแอปพลิเคชัน QueQ กันด้วยนะครับ
ตรวจสอบข้อมูลอุทยานที่เปิดให้บริการแล้วได้ที่ https://www.facebook.com/NationalPark.Interpretation/posts/2671860696246760 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-28 ก.ค. นี้ เข้าฟรี! อุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
28 ก.ค. นี้ เข้าฟรี! อุทยานแห่งชาติที่เปิดให้บริการทั่วประเทศ
--
#ไทยคู่ฟ้า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูรฯ วันที่ 28 ก.ค. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยเข้าไปเที่ยวชมความงามของธรรมชาติและสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม (เฉพาะบุคคลชาวไทย และยานพาหนะเท่านั้น) เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรักความผูกพันของบุคคลในครอบครัว ปลูกจิตสํานึก และตระหนักถึงความสําคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และช่วงนี้เรายังคงต้องใช้ชีวิตกันอย่าง New Normal อย่าลืม! จองคิวเพื่อเข้าท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ผ่านแอปพลิเคชัน QueQ กันด้วยนะครับ
ตรวจสอบข้อมูลอุทยานที่เปิดให้บริการแล้วได้ที่ https://www.facebook.com/NationalPark.Interpretation/posts/2671860696246760 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33700 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด | วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
“บิ๊กอู๋” ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด
รมว.แรงงาน ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด สถานการณ์แนวโน้มไม่น่าจะเกิดความรุนแรง แต่ไม่ควรประมาท
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผย ว่า จากกรณีสถานการณ์การโจมตีทางทหารในประเทศซีเรียที่มีเขตแดนติดกับอิสราเอลนั้น พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล จํานวน 26,533 คน ที่อยู่ในประเทศอิสราเอล โดยขอให้แรงงานไทยทุกคนติดตามข่าวสารของทางราชการอย่างใกล้ชิด สถานการณ์แนวโน้มไม่น่าจะเกิดความรุนแรง แต่ไม่ควรประมาท พร้อมทั้งสั่งการให้ประสานกับอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสํานักงานแรงงานในประเทศอิสราเอล (กรุงเทลอาวีฟ) เพื่อเตรียมความพร้อมจัดทําแผนปฏิบัติการ สําหรับเตรียมการให้ความช่วยเหลืออํานวยความสะดวกด้านต่างๆ แก่แรงงานไทยในต่างประเทศที่เดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการคุ้มครองแรงงานไทยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามสัญญาจ้างงานและตามกฎหมายท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ โดยเน้นย้ําว่า ขอให้สํานักงานแรงงานไทยในอิสราเอลติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างใกล้ชิดและต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับพี่น้องแรงงานในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
“ทั้งนี้ รมว.แรงงานยังขอให้ครอบครัวและญาติพี่น้องของแรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศมั่นใจได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องแรงงานไทยทุกคน และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ หากได้รับความเดือดร้อนจากการจ้างงานหรือสถานการณ์ความไม่สงบต่างๆ” นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
แรงงานไทยในอิสราเอลสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ ได้ที่ ฝ่ายแรงงานประจําสถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เบอร์โทร +972 9 954 8431-3
+++++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว
17 เมษายน 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
“บิ๊กอู๋” ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด
รมว.แรงงาน ห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด สถานการณ์แนวโน้มไม่น่าจะเกิดความรุนแรง แต่ไม่ควรประมาท
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผย ว่า จากกรณีสถานการณ์การโจมตีทางทหารในประเทศซีเรียที่มีเขตแดนติดกับอิสราเอลนั้น พลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยแรงงานไทยในอิสราเอล จํานวน 26,533 คน ที่อยู่ในประเทศอิสราเอล โดยขอให้แรงงานไทยทุกคนติดตามข่าวสารของทางราชการอย่างใกล้ชิด สถานการณ์แนวโน้มไม่น่าจะเกิดความรุนแรง แต่ไม่ควรประมาท พร้อมทั้งสั่งการให้ประสานกับอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสํานักงานแรงงานในประเทศอิสราเอล (กรุงเทลอาวีฟ) เพื่อเตรียมความพร้อมจัดทําแผนปฏิบัติการ สําหรับเตรียมการให้ความช่วยเหลืออํานวยความสะดวกด้านต่างๆ แก่แรงงานไทยในต่างประเทศที่เดินทางไปทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการคุ้มครองแรงงานไทยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามสัญญาจ้างงานและตามกฎหมายท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ โดยเน้นย้ําว่า ขอให้สํานักงานแรงงานไทยในอิสราเอลติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ภายในประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยอย่างใกล้ชิดและต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับพี่น้องแรงงานในต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
“ทั้งนี้ รมว.แรงงานยังขอให้ครอบครัวและญาติพี่น้องของแรงงานไทยที่ไปทํางานในต่างประเทศมั่นใจได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องแรงงานไทยทุกคน และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ หากได้รับความเดือดร้อนจากการจ้างงานหรือสถานการณ์ความไม่สงบต่างๆ” นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด
แรงงานไทยในอิสราเอลสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ ได้ที่ ฝ่ายแรงงานประจําสถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เบอร์โทร +972 9 954 8431-3
+++++++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว
17 เมษายน 2561 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11551 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนลดการเดินทางให้บริการขึ้นเงินรางวัลล็อตเตอรี่ผ่านสาขาใกล้บ้าน เริ่ม 2 พ.ค.นี้ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 [กระทรวงการคลัง] | วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
กรุงไทยหนุนลดการเดินทางให้บริการขึ้นเงินรางวัลล็อตเตอรี่ผ่านสาขาใกล้บ้าน เริ่ม 2 พ.ค.นี้ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารกรุงไทย ได้รับแต่งตั้งจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านสาขาทั่วประเทศ ทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศล เพื่ออํานวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย
ธนาคารกรุงไทย ได้รับแต่งตั้งจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านสาขาทั่วประเทศ ทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศล เพื่ออํานวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย ผู้ถูกรางวัลสามารถเลือกรับเงินได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถขึ้นได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 เริ่ม 2 พฤษภาคม 2563 โดยในเดือนแรกให้บริการผ่าน 300 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังจากนั้นให้บริการผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับความไว้วางใจจาก คุณพชร อนันตศิลป์ ประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่งตั้งธนาคารเป็นตัวแทน ในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านช่องทางสาขา ซึ่งธนาคารได้มีการลงนามบันทึกสัญญาให้บริการจ่ายเงินรางวัล ร่วมกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ถูกรางวัล ซึ่งธนาคารมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งทรัพยากรบุคคล เครื่องมือที่ทันสมัย ระบบการทํางานที่รัดกุม และมีสาขากระจายในทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 1,100 สาขา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2563
“ประชาชนที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล นําสลากที่ถูกรางวัลพร้อมบัตรประจําตัวประชาชน มาติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทยด้วยตนเอง ซึ่งสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 ที่ต้องนําไปขึ้นกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ธนาคารจะจ่ายเงินรางวัลให้ในงวดปัจจุบันที่ออกรางวัล ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ออกรางวัลในงวดนั้น จนถึงเวลา 12.00 น ของวันที่ออกรางวัลในงวดถัดไป โดยคิดค่าธรรมเนียม รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 1% และค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของมูลค่ารางวัล สําหรับสลากกินแบ่งรัฐบาล และคิดค่าธรรมเนียม 1% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ของมูลค่ารางวัล ในส่วนของสลากการกุศล โดยค่าอากรแสตมป์และภาษี หัก ณ ที่จ่าย ธนาคารจะนําส่งให้กับสํานักงานสลากฯ”
ผู้รับรางวัลสามารถเลือกรับเงินได้หลายรูปแบบ เช่น โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย บัญชีต่างธนาคาร หรือแคชเชียร์เช็ค โดยไม่ต้องจับเงินสด ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมาก ลดการเดินทางไปสถานที่ชุมชน ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 ที่กําลังแพร่ระบาด ทั้งนี้ ในเดือนแรก ธนาคารให้บริการเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร รวมประมาณ 300 สาขา และตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ธนาคารให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สํานักงานสลากฯ มีแนวนโยบายในการขยายช่องทางการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการขึ้นรางวัลมากยิ่งขึ้น ที่สําคัญยังช่วยบรรเทาปัญหาการนําสลากปลอมมาขึ้นรางวัลด้วย เนื่องจากสาขาของธนาคารกรุงไทยมีศักยภาพ และมีความพร้อมในการตรวจสอบสลากด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน และมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่เรื่องการให้บริการจ่ายรางวัลอย่างเคร่งครัด
ผู้อํานวยการสํานักงานสลากฯ กล่าวต่อไปอีกว่า เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน และเป็นการสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ให้ทําการออกรางวัลของสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ดังนั้นผู้ที่ซื้อสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 จึงขอให้เก็บรักษาสลากไว้อย่างดี เพื่อรอตรวจรางวัลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 และหลังการออกรางวัลสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ตามปกติที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และช่องทางธนาคารที่มีการรับขึ้นเงินรางวัล รวมทั้งที่สาขาของธนาคารกรุงไทย สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ วันออกรางวัลที่เลื่อนไปเป็น 2 พฤษภาคม 2563 ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในห้วงเวลา ณ ขณะนั้นด้วย หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป จะมีการประสานกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารที่มีการรับขึ้นเงินรางวัลเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนลดการเดินทางให้บริการขึ้นเงินรางวัลล็อตเตอรี่ผ่านสาขาใกล้บ้าน เริ่ม 2 พ.ค.นี้ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
กรุงไทยหนุนลดการเดินทางให้บริการขึ้นเงินรางวัลล็อตเตอรี่ผ่านสาขาใกล้บ้าน เริ่ม 2 พ.ค.นี้ ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารกรุงไทย ได้รับแต่งตั้งจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านสาขาทั่วประเทศ ทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศล เพื่ออํานวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย
ธนาคารกรุงไทย ได้รับแต่งตั้งจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการจ่ายเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านสาขาทั่วประเทศ ทั้งสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากการกุศล เพื่ออํานวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย ผู้ถูกรางวัลสามารถเลือกรับเงินได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถขึ้นได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 เริ่ม 2 พฤษภาคม 2563 โดยในเดือนแรกให้บริการผ่าน 300 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังจากนั้นให้บริการผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้รับความไว้วางใจจาก คุณพชร อนันตศิลป์ ประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่งตั้งธนาคารเป็นตัวแทน ในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านช่องทางสาขา ซึ่งธนาคารได้มีการลงนามบันทึกสัญญาให้บริการจ่ายเงินรางวัล ร่วมกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ถูกรางวัล ซึ่งธนาคารมีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งทรัพยากรบุคคล เครื่องมือที่ทันสมัย ระบบการทํางานที่รัดกุม และมีสาขากระจายในทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 1,100 สาขา โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2563
“ประชาชนที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล นําสลากที่ถูกรางวัลพร้อมบัตรประจําตัวประชาชน มาติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทยด้วยตนเอง ซึ่งสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 ที่ต้องนําไปขึ้นกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ธนาคารจะจ่ายเงินรางวัลให้ในงวดปัจจุบันที่ออกรางวัล ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ออกรางวัลในงวดนั้น จนถึงเวลา 12.00 น ของวันที่ออกรางวัลในงวดถัดไป โดยคิดค่าธรรมเนียม รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 1% และค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของมูลค่ารางวัล สําหรับสลากกินแบ่งรัฐบาล และคิดค่าธรรมเนียม 1% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ของมูลค่ารางวัล ในส่วนของสลากการกุศล โดยค่าอากรแสตมป์และภาษี หัก ณ ที่จ่าย ธนาคารจะนําส่งให้กับสํานักงานสลากฯ”
ผู้รับรางวัลสามารถเลือกรับเงินได้หลายรูปแบบ เช่น โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย บัญชีต่างธนาคาร หรือแคชเชียร์เช็ค โดยไม่ต้องจับเงินสด ซึ่งสะดวกและปลอดภัยมาก ลดการเดินทางไปสถานที่ชุมชน ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของไวรัสโควิด -19 ที่กําลังแพร่ระบาด ทั้งนี้ ในเดือนแรก ธนาคารให้บริการเฉพาะสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร รวมประมาณ 300 สาขา และตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ธนาคารให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า สํานักงานสลากฯ มีแนวนโยบายในการขยายช่องทางการขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน ในการขึ้นรางวัลมากยิ่งขึ้น ที่สําคัญยังช่วยบรรเทาปัญหาการนําสลากปลอมมาขึ้นรางวัลด้วย เนื่องจากสาขาของธนาคารกรุงไทยมีศักยภาพ และมีความพร้อมในการตรวจสอบสลากด้วยเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน และมีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่เรื่องการให้บริการจ่ายรางวัลอย่างเคร่งครัด
ผู้อํานวยการสํานักงานสลากฯ กล่าวต่อไปอีกว่า เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน และเป็นการสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงมีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ให้ทําการออกรางวัลของสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ดังนั้นผู้ที่ซื้อสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 จึงขอให้เก็บรักษาสลากไว้อย่างดี เพื่อรอตรวจรางวัลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 และหลังการออกรางวัลสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ตามปกติที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และช่องทางธนาคารที่มีการรับขึ้นเงินรางวัล รวมทั้งที่สาขาของธนาคารกรุงไทย สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ วันออกรางวัลที่เลื่อนไปเป็น 2 พฤษภาคม 2563 ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในห้วงเวลา ณ ขณะนั้นด้วย หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป จะมีการประสานกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารที่มีการรับขึ้นเงินรางวัลเพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27890 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลำดับการใช้งบประมาณตามความสำคัญ จำเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม | วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลําดับการใช้งบประมาณตามความสําคัญ จําเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลําดับการใช้งบประมาณตามความสําคัญ จําเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันนี้ (8 กรกฎาคม 63) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาหลักการ แผนงาน/โครงการ ระยะที่ 1 เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม มุ่งแก้ปัญหาเกษตร สร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงอนุมัติงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยแบ่งแผนงาน/โครงการฟื้นฟูฯ เป็น 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการในระยะที่ 1 แล้ว โดยจะใช้งบประมาณไม่เกิน 1 แสนล้านบาท จากนั้นจะเตรียมการโครงการในระยะที่ 2 ต่อไป โดยจะทยอยดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามความจําเป็น ความเร่งด่วน สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สําคัญคือจะต้องเป็นอย่างไปโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมกวดขันให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในเรื่องการจ้างงาน โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซึ่งอาจะเป็นการจ้างงานรายวัน หรือรายชั่วโมง ในพื้นที่ท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ โดยใช้โครงการที่มีอยู่แล้วเดิม เช่น โครงการบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) การพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งรัดการส่งออกสินค้าเกษตรกร อาทิ ผลไม้ ทั้งทางบกและทางน้ํา หารือกับประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาด่านข้ามพรมแดนเพื่อความสะดวกต่อการขนส่ง รวมทั้งรัฐบาลยังจัดหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือ Soft Loan ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพิเศษของรัฐ ตลอดจนกองทุนต่าง ๆ โดยระมัดระวังการปล่อยเงินกู้แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เพื่อมิให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในอนาคต พร้อมเร่งรัดการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งพบว่าช่วงวันหยุดที่ผ่านมา มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การเข้าพักโรงแรมในพื้นที่ต่าง ๆ จากมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาล รวมทั้งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยของรัฐบาล มั่นใจการท่องเที่ยวไทยจะดีขึ้นตามลําดับ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมงบประมาณสําหรับการเยียวยาและงบประมาณด้านสาธารณสุข ที่เตรียมไว้หากพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 หากไม่มีการใช้ก็จะไปนําไปใช้ในโครงการส่วนอื่น นายกรัฐมนตรียังฝากไปยังภาครัฐ ข้าราชการ ธุรกิจ เอกชน ผู้ประกอบการ ต้องร่วมมือกันเพื่อแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด จัดลําดับแผนงาน/โครงการตามความจําเป็นเร่งด่วน ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด พร้อมขอให้ทุกฝ่ายรับฟังคําชี้แจงของหน่วยงานราชการและให้กระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปฏิบัติงานของกระทรวงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการบริการของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดูแลผู้มีรายได้น้อย สร้างความเป็นธรรม แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบถึงงบประมาณในระยะยาว
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลำดับการใช้งบประมาณตามความสำคัญ จำเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลําดับการใช้งบประมาณตามความสําคัญ จําเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเน้นจัดลําดับการใช้งบประมาณตามความสําคัญ จําเป็น เร่งด่วน เน้นทุกกระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารและชี้แจงผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งทางตรง ทางอ้อม
วันนี้ (8 กรกฎาคม 63) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาหลักการ แผนงาน/โครงการ ระยะที่ 1 เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม มุ่งแก้ปัญหาเกษตร สร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ SMEs พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงอนุมัติงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยแบ่งแผนงาน/โครงการฟื้นฟูฯ เป็น 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการในระยะที่ 1 แล้ว โดยจะใช้งบประมาณไม่เกิน 1 แสนล้านบาท จากนั้นจะเตรียมการโครงการในระยะที่ 2 ต่อไป โดยจะทยอยดําเนินโครงการต่าง ๆ ตามความจําเป็น ความเร่งด่วน สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่สําคัญคือจะต้องเป็นอย่างไปโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมกวดขันให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญในเรื่องการจ้างงาน โดยสั่งการให้ทุกกระทรวงจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซึ่งอาจะเป็นการจ้างงานรายวัน หรือรายชั่วโมง ในพื้นที่ท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ โดยใช้โครงการที่มีอยู่แล้วเดิม เช่น โครงการบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) การพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งรัดการส่งออกสินค้าเกษตรกร อาทิ ผลไม้ ทั้งทางบกและทางน้ํา หารือกับประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาด่านข้ามพรมแดนเพื่อความสะดวกต่อการขนส่ง รวมทั้งรัฐบาลยังจัดหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือ Soft Loan ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพิเศษของรัฐ ตลอดจนกองทุนต่าง ๆ โดยระมัดระวังการปล่อยเงินกู้แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน เพื่อมิให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในอนาคต พร้อมเร่งรัดการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งพบว่าช่วงวันหยุดที่ผ่านมา มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การเข้าพักโรงแรมในพื้นที่ต่าง ๆ จากมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาล รวมทั้งโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยของรัฐบาล มั่นใจการท่องเที่ยวไทยจะดีขึ้นตามลําดับ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมงบประมาณสําหรับการเยียวยาและงบประมาณด้านสาธารณสุข ที่เตรียมไว้หากพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 หากไม่มีการใช้ก็จะไปนําไปใช้ในโครงการส่วนอื่น นายกรัฐมนตรียังฝากไปยังภาครัฐ ข้าราชการ ธุรกิจ เอกชน ผู้ประกอบการ ต้องร่วมมือกันเพื่อแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด จัดลําดับแผนงาน/โครงการตามความจําเป็นเร่งด่วน ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัด พร้อมขอให้ทุกฝ่ายรับฟังคําชี้แจงของหน่วยงานราชการและให้กระทรวงให้ข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปฏิบัติงานของกระทรวงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการบริการของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดูแลผู้มีรายได้น้อย สร้างความเป็นธรรม แต่จะต้องไม่ส่งผลกระทบถึงงบประมาณในระยะยาว
............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33234 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี | วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560) เวลา 11.30 น. ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นาย Robert M. Friedland แสดงความประสงค์จัดงาน Phuket Asian Film Festival เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอเชียที่ ณ จังหวัดภูเก็ต ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2561 โดยเห็นว่าจังหวัดภูเก็ต มีความพร้อม ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอํานวยความสะดวก ถนน สนามบินที่รับรองเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ท่าจอดเรือยอร์ช มีโรงแรมขนาดใหญ่ที่สวยงาม และที่สําคัญคือประเทศไทยมีนโยบาย และความพร้อมด้านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
บริษัท Ivanhoe Capital Corporation ได้เคยลงทุนสร้างหนังระดับนานาชาติมาตรฐานฮอลลีวูดหลายเรื่อง ทั้งในประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มีความประทับใจประเทศไทย จึงประสงค์ที่จะร่วมทุนกับรัฐบาลไทยในการจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เพื่อเผยแพร่ และยกระดับตลาดการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บริษัทฯ พร้อมที่จะทําการศึกษาเปรียบเทียบ ( Comparative study ) และนําเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย หรือ Incentive Measure ด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560) เวลา 11.30 น. ห้องรับรอง 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล
นาย Robert M. Friedland ประธานบริษัท Ivanhoe Capital Corporation เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นาย Robert M. Friedland แสดงความประสงค์จัดงาน Phuket Asian Film Festival เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอเชียที่ ณ จังหวัดภูเก็ต ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2561 โดยเห็นว่าจังหวัดภูเก็ต มีความพร้อม ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอํานวยความสะดวก ถนน สนามบินที่รับรองเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ท่าจอดเรือยอร์ช มีโรงแรมขนาดใหญ่ที่สวยงาม และที่สําคัญคือประเทศไทยมีนโยบาย และความพร้อมด้านการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
บริษัท Ivanhoe Capital Corporation ได้เคยลงทุนสร้างหนังระดับนานาชาติมาตรฐานฮอลลีวูดหลายเรื่อง ทั้งในประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มีความประทับใจประเทศไทย จึงประสงค์ที่จะร่วมทุนกับรัฐบาลไทยในการจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เพื่อเผยแพร่ และยกระดับตลาดการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บริษัทฯ พร้อมที่จะทําการศึกษาเปรียบเทียบ ( Comparative study ) และนําเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง
ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย หรือ Incentive Measure ด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6389 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562 | วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา
ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2562เวลา 16.00 น.ร่วมเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 19.30 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพรและถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ มณฑลท้องสนามหลวง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา
ทส. ร่วมถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา 28 กรกฎาคม 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ แสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 67 พรรษา โดยในวันที่ 28 กรกฎาคม 2562เวลา 16.00 น.ร่วมเดินริ้วขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และเวลา 19.30 น.นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะ จุดเทียนชัยถวายพระพรและถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ มณฑลท้องสนามหลวง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21867 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ำใส | วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส
พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส
วันนี้ (19 ต.ค.61) เวลา 13.00 น. ที่ตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในงานวันที่อยู่อาศัยโลก จังหวัดสระแก้ว "สานพลัง พม.และภาคี ก่อบ้านสร้างสุข เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย และที่ดินทํากิน" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเอง โดยมี นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และผู้แทนหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ นอกจากนี้ มีการมอบงบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการบ้านมั่นคงชนบทตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมทั้งมอบนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดินนิคมสร้างตนเอง
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กําหนดเป็น วันที่อยู่อาศัยโลก (World Habitat Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกประเทศในโลกให้ความสนใจกับสถานการณ์การอยู่อาศัย และการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตลอดจนสิทธิพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม อีกทั้งเพื่อสร้างความตระหนักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับคนจนเมืองและคนไร้บ้านทั่วโลก โดยในทุกๆ ปี ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนได้มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เพื่อให้ทุกคนมีบ้านที่มั่นคงถาวรอย่างถ้วนหน้า โดยเน้นย้ําให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังและยั่งยืน เป็นการพัฒนาขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคนที่พึงได้รับและเข้าถึง ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนงานพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยในจังหวัดสระแก้วนั้น ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสระแก้ว ได้บูรณาการ ความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีท้องถิ่นในการขับเคลื่อนการพัฒนา สํารวจ และจัดระบบข้อมูล ซึ่งเป็นเครื่องมือสําคัญในการนํามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปให้เห็นภาพรวมของปัญหาด้านที่อยู่อาศัย เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สําหรับการหารือในการขอใช้ประโยชน์พื้นที่นิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส เขตองค์การบริหารส่วนตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินให้กับราษฎรในพื้นที่ ซึ่งในปี 2560 ได้มีแนวทาง การจัดสรรที่ดิน 100 ไร่ เพื่อดําเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสภาองค์กรชุมชนตําบลผ่านศึก อําเภอ อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกับผู้เดือดร้อนดําเนินการพัฒนาผ่านกระบวนการสํารวจสภาพปัญหาที่อยู่อาศัยทั้งตําบล และจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาระดับตําบล ด้วยการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมีผู้เดือดร้อนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ และมีกลุ่มสมาชิกผู้รับประโยชน์ โดยสภาองค์กรชุมชนตําบลเป็นกลไกกลาง ในการประสานงานกับภาคีเครือข่ายองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากการสํารวจข้อมูลที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินทั้งตําบลผ่านศึก 1,244 ครัวเรือน พบว่า มีผู้ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินที่ต้องการปรับปรุงและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยบนที่ดินเดิม 232 ครัวเรือน ขาดแคลนที่ดินทํากิน 159 ครัวเรือน และต้องการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 79 ครัวเรือน จากนั้น จึงดําเนินกระบวนการพัฒนากลุ่มเป้าหมายผ่านระบบการออมทรัพย์ การออกแบบที่อยู่อาศัย การวางข้อตกลงในการอยู่อาศัย รวมถึงการพัฒนาสู่ การบริหารและจัดตั้งชุมชนในรูปแบบสหกรณ์ ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนงานดังกล่าว ตําบลผ่านศึกจึงได้จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกขึ้น ในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการผนึกกําลังความร่วมมือกันในการขับเคลื่อนงานและผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากิน เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติจริงจนประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนท้องถิ่นฐานราก ด้วยการปกป้องแหล่งผลิตอาหาร สร้างเศรษฐกิจ และทุนสัมมาชีพในชุมชน โดยเฉพาะการจัดการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยในชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้ ได้กําหนดจัดพิธีลงนามความร่วมมือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเอง ระหว่างกระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตําบลผ่านศึก ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดสระแก้ว โดยมีเจตนารมณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมั่นคงของคนจนในชุมชนและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่รับผิดชอบของนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส สังกัด พส. ด้วยสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สังคม และเศรษฐกิจที่ดี โดยชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา และสนับสนุนการพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย ภายใต้บันทึกความร่วมมือดังกล่าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนมีกระบวนการออกแบบวางผัง และวางแผนการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค สภาพแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ในการนําไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ครอบคลุมทุกมิติ ด้วยการร่วมกันพิจารณาวางหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินแบบแปลงรวมเพื่อเอื้ออํานวยต่อการจัดระบบการอยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน การร่วมกันปรับปรุง ซ่อมแซมหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคงแข็งแรงเหมาะสมในการอยู่อาศัย และการร่วมกันกําหนดภูมิสถาปัตย์ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติและประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกทั้งการผนึกพลังร่วมกันระหว่างชุมชนกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการพัฒนาตามแผนงานของชุมชน การบูรณาการการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าและเกิดรูปธรรม เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างครอบคลุมทุกมิติต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ำใส
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส
พม. จับมือภาคีเครือข่ายจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกจังหวัดสระแก้ว พร้อมผนึกพลังขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส
วันนี้ (19 ต.ค.61) เวลา 13.00 น. ที่ตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในงานวันที่อยู่อาศัยโลก จังหวัดสระแก้ว "สานพลัง พม.และภาคี ก่อบ้านสร้างสุข เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัย และที่ดินทํากิน" พร้อมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเอง โดยมี นางสุจิตรา พิทยานรเศรษฐ์ รองอธิบดี กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นางสาวเฉลิมศรี ระดากูล ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และผู้แทนหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ นอกจากนี้ มีการมอบงบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยโครงการบ้านมั่นคงชนบทตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พร้อมทั้งมอบนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดินนิคมสร้างตนเอง
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวว่า ทุกวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้กําหนดเป็น วันที่อยู่อาศัยโลก (World Habitat Day) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกประเทศในโลกให้ความสนใจกับสถานการณ์การอยู่อาศัย และการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตลอดจนสิทธิพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม อีกทั้งเพื่อสร้างความตระหนักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับคนจนเมืองและคนไร้บ้านทั่วโลก โดยในทุกๆ ปี ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนได้มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เพื่อให้ทุกคนมีบ้านที่มั่นคงถาวรอย่างถ้วนหน้า โดยเน้นย้ําให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านที่อยู่อาศัยอย่างจริงจังและยั่งยืน เป็นการพัฒนาขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคนที่พึงได้รับและเข้าถึง ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนงานพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยในจังหวัดสระแก้วนั้น ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสระแก้ว ได้บูรณาการ ความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีท้องถิ่นในการขับเคลื่อนการพัฒนา สํารวจ และจัดระบบข้อมูล ซึ่งเป็นเครื่องมือสําคัญในการนํามาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปให้เห็นภาพรวมของปัญหาด้านที่อยู่อาศัย เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สําหรับการหารือในการขอใช้ประโยชน์พื้นที่นิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส เขตองค์การบริหารส่วนตําบลผ่านศึก อําเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินให้กับราษฎรในพื้นที่ ซึ่งในปี 2560 ได้มีแนวทาง การจัดสรรที่ดิน 100 ไร่ เพื่อดําเนินการพัฒนาและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสภาองค์กรชุมชนตําบลผ่านศึก อําเภอ อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกับผู้เดือดร้อนดําเนินการพัฒนาผ่านกระบวนการสํารวจสภาพปัญหาที่อยู่อาศัยทั้งตําบล และจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาระดับตําบล ด้วยการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมีผู้เดือดร้อนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ และมีกลุ่มสมาชิกผู้รับประโยชน์ โดยสภาองค์กรชุมชนตําบลเป็นกลไกกลาง ในการประสานงานกับภาคีเครือข่ายองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากการสํารวจข้อมูลที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินทั้งตําบลผ่านศึก 1,244 ครัวเรือน พบว่า มีผู้ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินที่ต้องการปรับปรุงและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยบนที่ดินเดิม 232 ครัวเรือน ขาดแคลนที่ดินทํากิน 159 ครัวเรือน และต้องการที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย 79 ครัวเรือน จากนั้น จึงดําเนินกระบวนการพัฒนากลุ่มเป้าหมายผ่านระบบการออมทรัพย์ การออกแบบที่อยู่อาศัย การวางข้อตกลงในการอยู่อาศัย รวมถึงการพัฒนาสู่ การบริหารและจัดตั้งชุมชนในรูปแบบสหกรณ์ ทั้งนี้ จากการขับเคลื่อนงานดังกล่าว ตําบลผ่านศึกจึงได้จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกขึ้น ในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการผนึกกําลังความร่วมมือกันในการขับเคลื่อนงานและผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากิน เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติจริงจนประสบความสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนท้องถิ่นฐานราก ด้วยการปกป้องแหล่งผลิตอาหาร สร้างเศรษฐกิจ และทุนสัมมาชีพในชุมชน โดยเฉพาะการจัดการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยในชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน
พลเอก สุรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้ ได้กําหนดจัดพิธีลงนามความร่วมมือการพัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินนิคมสร้างตนเอง ระหว่างกระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตําบลผ่านศึก ขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสระแก้ว และจังหวัดสระแก้ว โดยมีเจตนารมณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมั่นคงของคนจนในชุมชนและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่รับผิดชอบของนิคมสร้างตนเองคลองน้ําใส สังกัด พส. ด้วยสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สังคม และเศรษฐกิจที่ดี โดยชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา และสนับสนุนการพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย ภายใต้บันทึกความร่วมมือดังกล่าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชุมชนมีกระบวนการออกแบบวางผัง และวางแผนการพัฒนาชุมชน ทั้งในด้านที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค สภาพแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ในการนําไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ครอบคลุมทุกมิติ ด้วยการร่วมกันพิจารณาวางหลักเกณฑ์การใช้ที่ดินแบบแปลงรวมเพื่อเอื้ออํานวยต่อการจัดระบบการอยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน การร่วมกันปรับปรุง ซ่อมแซมหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคงแข็งแรงเหมาะสมในการอยู่อาศัย และการร่วมกันกําหนดภูมิสถาปัตย์ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติและประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกทั้งการผนึกพลังร่วมกันระหว่างชุมชนกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการพัฒนาตามแผนงานของชุมชน การบูรณาการการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าและเกิดรูปธรรม เพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างครอบคลุมทุกมิติต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16209 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดำเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก | วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดําเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดําเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก
วันนี้ (15 กรกฎาคม 2563) เวลา 13.00 น. ณ บึงสีไฟ อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ ซึ่งเป็นบึงน้ําจืดทางธรรมชาติ เป็นแหล่งน้ําอุปโภคบริโภค และแหล่งน้ําสําหรับการเกษตรในฤดูแล้ง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคเหนือ และอันดับ 5 ของประเทศ มีพื้นที่กว่า 5,300 ไร่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณเมื่อปี 2561 จํานวน 341 ล้านบาท ให้พัฒนาบึงสีไฟ โดยการขุดลอกโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําบึงสีไฟเพื่อทําเป็นแก้มลิงและที่อยู่ที่เพาะสัตว์น้ํา รวมทั้งนกชนิดต่าง ๆ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําบึงสีไฟ มีความก้าวหน้าในการดําเนินการเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการจัดการดิน จากการขุดลอก โดยได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า เร่งดําเนินการประมูล จําหน่ายดินที่ได้จากการขุดลอกโครงการส่วนที่เหลือ ซึ่งทราบว่ากรมเจ้าท่า ได้ขอความร่วมมือจากผู้รับจ้าง ให้ขนย้ายดิน ไปไว้ที่ศูนย์ราชการพิจิตร ทําให้ช่วยลดงบประมาณในการถม หากต้องมีการปรับปรุงพัฒนาในอนาคต
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้จังหวัดพิจิตร ช่วยอํานวยความสะดวกในเรื่องการจราจร เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ในระหว่างการขนย้ายวัสดุขุดลอก ตลอดจนการซ่อมบํารุงถนน ให้อยู่ในสภาพดี เพื่อความสะดวก และความสุขของประชาชนชาวจังหวัดพิจิตร ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เห็นความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการขุดลอกบึงสีไฟ และขอให้สําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ตามแผนงานต่อไป
----------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดำเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดำเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดําเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ พอใจการดําเนินงานคืบหน้า สั่งการเร่งเคลียร์ดินจากการขุดลอก
วันนี้ (15 กรกฎาคม 2563) เวลา 13.00 น. ณ บึงสีไฟ อําเภอเมือง จังหวัดพิจิตร พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการน้ําแห่งชาติ ติดตามผลการดําเนินการขุดลอกบึงสีไฟ ซึ่งเป็นบึงน้ําจืดทางธรรมชาติ เป็นแหล่งน้ําอุปโภคบริโภค และแหล่งน้ําสําหรับการเกษตรในฤดูแล้ง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของภาคเหนือ และอันดับ 5 ของประเทศ มีพื้นที่กว่า 5,300 ไร่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณเมื่อปี 2561 จํานวน 341 ล้านบาท ให้พัฒนาบึงสีไฟ โดยการขุดลอกโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําบึงสีไฟเพื่อทําเป็นแก้มลิงและที่อยู่ที่เพาะสัตว์น้ํา รวมทั้งนกชนิดต่าง ๆ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําบึงสีไฟ มีความก้าวหน้าในการดําเนินการเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการจัดการดิน จากการขุดลอก โดยได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า เร่งดําเนินการประมูล จําหน่ายดินที่ได้จากการขุดลอกโครงการส่วนที่เหลือ ซึ่งทราบว่ากรมเจ้าท่า ได้ขอความร่วมมือจากผู้รับจ้าง ให้ขนย้ายดิน ไปไว้ที่ศูนย์ราชการพิจิตร ทําให้ช่วยลดงบประมาณในการถม หากต้องมีการปรับปรุงพัฒนาในอนาคต
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้จังหวัดพิจิตร ช่วยอํานวยความสะดวกในเรื่องการจราจร เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ในระหว่างการขนย้ายวัสดุขุดลอก ตลอดจนการซ่อมบํารุงถนน ให้อยู่ในสภาพดี เพื่อความสะดวก และความสุขของประชาชนชาวจังหวัดพิจิตร ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ เห็นความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการขุดลอกบึงสีไฟ และขอให้สําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ตามแผนงานต่อไป
----------------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33399 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เร่งเยียวยาท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ำฯซอฟท์โลน เติมทุนเต็มวงเงิน สูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง] | วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
บสย. เร่งเยียวยาท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ําฯซอฟท์โลน เติมทุนเต็มวงเงิน สูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เร่งเยียวยาภาคท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ําประกันสินเชื่อ ผ่านซอฟท์โลน 10,000 ล้านบาท เติมทุนเต็มวงเงิน ค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าขณะนี้ บสย.พร้อมดําเนินการค้ําประกันสินเชื่อ กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ตามมาตรการของรัฐบาล ร่วมกับธนาคารออมสิน ในโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะที่ 8 โดยมีหลักเกณฑ์การค้ําประกันสินเชื่อ ดังนี้
1.เป็นโครงการค้ําประกันสินเชื่อสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและอาชีพอิสระ ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะที่ 8
2.บสย. จะให้การค้ําประกันสินเชื่อในส่วนที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้วงเงินกู้เต็มจํานวนที่ต้องการ
3.ค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่ผ่านธนาคารออมสิน ได้ไม่น้อยกว่า 4,000 ราย โดยผู้ประกอบการไม่ต้องชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรก โดยมีระยะเวลาโครงการสิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด
โครงการค้ําประกันสินเชื่อซอฟท์โลน เป็นมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาทางการเงินแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่กําลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยที่ผ่านมา บสย. ได้ประชุมให้ข้อเสนอแนะร่วมกับภาคการท่องเที่ยว และภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบการและผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรวม 13 สาขา เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มได้รับผลกระทบ
พร้อมกันนี้ทาง บสย. ยังได้ประสานความร่วมมือไปยังธนาคารออมสิน และสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดย บสย. ได้เปิดช่องทางการติดต่อ บสย. ผ่าน Call Center 02-890-9999 เว็บไซต์ www.tcg.or.th Facebook บสย. และ LINE: @doctor.tcg
#คลังรวมใจสู้ภัยโวิด19 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เร่งเยียวยาท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ำฯซอฟท์โลน เติมทุนเต็มวงเงิน สูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
บสย. เร่งเยียวยาท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ําฯซอฟท์โลน เติมทุนเต็มวงเงิน สูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท [กระทรวงการคลัง]
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เร่งเยียวยาภาคท่องเที่ยว เปิดเกณฑ์ค้ําประกันสินเชื่อ ผ่านซอฟท์โลน 10,000 ล้านบาท เติมทุนเต็มวงเงิน ค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าขณะนี้ บสย.พร้อมดําเนินการค้ําประกันสินเชื่อ กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ตามมาตรการของรัฐบาล ร่วมกับธนาคารออมสิน ในโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะที่ 8 โดยมีหลักเกณฑ์การค้ําประกันสินเชื่อ ดังนี้
1.เป็นโครงการค้ําประกันสินเชื่อสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและอาชีพอิสระ ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะที่ 8
2.บสย. จะให้การค้ําประกันสินเชื่อในส่วนที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้วงเงินกู้เต็มจํานวนที่ต้องการ
3.ค้ําประกันสินเชื่อสูงสุดต่อราย 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่ผ่านธนาคารออมสิน ได้ไม่น้อยกว่า 4,000 ราย โดยผู้ประกอบการไม่ต้องชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อใน 2 ปีแรก โดยมีระยะเวลาโครงการสิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด
โครงการค้ําประกันสินเชื่อซอฟท์โลน เป็นมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาทางการเงินแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่กําลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยที่ผ่านมา บสย. ได้ประชุมให้ข้อเสนอแนะร่วมกับภาคการท่องเที่ยว และภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะตัวแทนของผู้ประกอบการและผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรวม 13 สาขา เพื่อบูรณาการความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวตั้งแต่เริ่มได้รับผลกระทบ
พร้อมกันนี้ทาง บสย. ยังได้ประสานความร่วมมือไปยังธนาคารออมสิน และสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดย บสย. ได้เปิดช่องทางการติดต่อ บสย. ผ่าน Call Center 02-890-9999 เว็บไซต์ www.tcg.or.th Facebook บสย. และ LINE: @doctor.tcg
#คลังรวมใจสู้ภัยโวิด19 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28172 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ทำบุญตักบาตรถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี | วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
ศธ.ทําบุญตักบาตรถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี
กระทรวงศึกษาธิการจัดพิธีทําบุญตักบาตรและถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2560
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 เวลา 07.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ,ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นางรัตนา ศรีเหรัญ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งคณะผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากร และสมาชิกชมรมข้าราชการและครูอาวุโส ร่วมตักบาตรอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จํานวน 61 รูป ณ บริเวณสนามหญ้าหน้ากระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งประกอบพิธีสงฆ์เพื่อถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ทำบุญตักบาตรถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560
ศธ.ทําบุญตักบาตรถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี
กระทรวงศึกษาธิการจัดพิธีทําบุญตักบาตรและถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2560
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560 เวลา 07.30 น. นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ,ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นางรัตนา ศรีเหรัญ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งคณะผู้บริหาร ข้าราชการ บุคลากร และสมาชิกชมรมข้าราชการและครูอาวุโส ร่วมตักบาตรอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จํานวน 61 รูป ณ บริเวณสนามหญ้าหน้ากระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งประกอบพิธีสงฆ์เพื่อถวายพระกุศล เนื่องในโอกาสที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา 60 ปี
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5182 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 | วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีจํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.80 ของ GDP
นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีจํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.80 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,551,356.52 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 937,778.13 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 336,643.42 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,867.86 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
* หนี้รัฐบาล จํานวน 5,551,356.52 ล้านบาท มีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ ดังนี้
• เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,600 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนการกู้เงินที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2562 และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ รวมถึงการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมที่มั่นคงของประชาชนเป็นสําคัญ
• การกู้เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ถึงกําหนดการเบิกจ่ายตามแผนงานและความก้าวหน้าของโครงการจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 4,119.13 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,797.64 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น จํานวน 1,227.92 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ จํานวน 198.58 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร จํานวน 174.48 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 121.17 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ําโพ จํานวน 38.27 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 37.22 ล้านบาท และ (2) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยซึ่งเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 2,321.49 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี จํานวน 1,335.82 ล้านบาท สายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จํานวน 671.87 ล้านบาท และสายสีน้ําเงิน จํานวน 313.80 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อโครงการต่างๆ แล้วเสร็จ คาดการณ์ว่าจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างมีนัยสําคัญ กล่าวคือ โครงการลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อแล้วเสร็จจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 15.13 และร้อยละ 15.72 ของมูลค่าการลงทุนของโครงการ ตามลําดับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งทางรถไฟ ลดระยะเวลาการเดินทาง กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
• หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 1,000 ล้านบาท
• หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 309.89 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินเยนเป็นสําคัญ
* หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 937,778.13 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 204.36 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
• หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 1,491.19 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน)
* หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 336,643.42 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 1,614.93 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
* หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 7,867.86 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 597.56 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนหนี้เงินกู้ของสํานักงานกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย จํานวน 500 ล้านบาท
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 จํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 6,578,857.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 96.27 และหนี้ต่างประเทศ 254,788.13 ล้านบาท (ประมาณ 7,778.38 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 3.73 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,970,360.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.37 และหนี้ระยะสั้น 863,285.08 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.63 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0-2265-8050 ต่อ 5505 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561
รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีจํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.80 ของ GDP
นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีจํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.80 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,551,356.52 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 937,778.13 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 336,643.42 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,867.86 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
* หนี้รัฐบาล จํานวน 5,551,356.52 ล้านบาท มีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ ดังนี้
• เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 22,600 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนการกู้เงินที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2562 และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ รวมถึงการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมที่มั่นคงของประชาชนเป็นสําคัญ
• การกู้เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ถึงกําหนดการเบิกจ่ายตามแผนงานและความก้าวหน้าของโครงการจากแหล่งเงินกู้ในประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 4,119.13 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการกู้เงินเพื่อให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 1,797.64 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น จํานวน 1,227.92 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ จํานวน 198.58 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม - ชุมพร จํานวน 174.48 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 121.17 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ําโพ จํานวน 38.27 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 37.22 ล้านบาท และ (2) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยซึ่งเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 2,321.49 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี จํานวน 1,335.82 ล้านบาท สายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จํานวน 671.87 ล้านบาท และสายสีน้ําเงิน จํานวน 313.80 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อโครงการต่างๆ แล้วเสร็จ คาดการณ์ว่าจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมอย่างมีนัยสําคัญ กล่าวคือ โครงการลงทุนของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อแล้วเสร็จจะมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 15.13 และร้อยละ 15.72 ของมูลค่าการลงทุนของโครงการ ตามลําดับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งทางรถไฟ ลดระยะเวลาการเดินทาง กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค และลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
• หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 1,000 ล้านบาท
• หนี้ต่างประเทศลดลงสุทธิ 309.89 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินเยนเป็นสําคัญ
* หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 937,778.13 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก
• หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 204.36 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
• หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน เพิ่มขึ้นสุทธิ 1,491.19 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ปตท. น้ํามันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน)
* หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 336,643.42 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 1,614.93 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
* หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 7,867.86 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 597.56 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนหนี้เงินกู้ของสํานักงานกองทุนอ้อยและน้ําตาลทราย จํานวน 500 ล้านบาท
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 จํานวน 6,833,645.93 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 6,578,857.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 96.27 และหนี้ต่างประเทศ 254,788.13 ล้านบาท (ประมาณ 7,778.38 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 3.73 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,970,360.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.37 และหนี้ระยะสั้น 863,285.08 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.63 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด
คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0-2265-8050 ต่อ 5505 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรมลุยอายัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเตรียมแจ้งความดำเนินคดีโรงงานที่ทำผิดกม. | วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
ก.อุตสาหกรรมลุยอายัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเตรียมแจ้งความดําเนินคดีโรงงานที่ทําผิดกม.
นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา และคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จํากัด จังหวัดฉะเชิงเทรา
นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จํากัด จังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบกิจการ รีไซเคิลชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า พลาสติก เพื่อจําหน่าย (โรงงาน 105,106) ซึ่งภายในโรงงานดังกล่าว ได้มีขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปริมาณ 7,000 ตัน ที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องยึดอายัดไว้ หลังจากที่มีการตรวจสอบพบว่าโรงงานดังกล่าวมีวัตถุอันตรายในครอบครอง เนื่องจากได้รับขยะอิเล็กทรอนิกส์มาจาก 3 โรงงานที่ได้รับสิทธิ์นําเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามอนุสัญญาบาเซล คือ บริษัทเจ.พี.เอส เมทัลกรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด บริษัทโอ.จี.ไอ จํากัด และบริษัทไวโรกรีน (ประเทศไทย) จํากัด
โดยของกลางทั้งหมดที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ยึดอายัดไว้ ต้องห้ามเคลื่อนย้าย/จําหน่าย หรือจ่ายแจก จนกว่าคดีจะสิ้นสุด หากพบว่ามีการเคลื่อนย้ายขยะอิเล็กทรอนิกส์จะถือว่าผิดประมวลกฎหมายอาญา และโรงงานต้องดูแลของกลางทั้งหมด ทั้งในอาคารและที่กองอยู่นอกอาคาร โดยเฉพาะที่กองนอกอาคารให้หาผ้าใบคลุม ไม่ให้มีการปนเปื้อน และห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกบริเวณโรงงานด้วย
ทั้งนี้การลงพื้นที่อายัดของกลางในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่กระทรวงอุตสาหกรรมดําเนินการ หลังจากนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานที่มีขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องสงสัยว่าผิดกฎหมายให้ดําเนินการอายัดไว้เป็นของกลางทันที และอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ต้องแจ้งความดําเนินคดีกับโรงงานที่กระทําความผิดต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรมลุยอายัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเตรียมแจ้งความดำเนินคดีโรงงานที่ทำผิดกม.
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561
ก.อุตสาหกรรมลุยอายัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเตรียมแจ้งความดําเนินคดีโรงงานที่ทําผิดกม.
นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา และคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จํากัด จังหวัดฉะเชิงเทรา
นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัทดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จํากัด จังหวัดฉะเชิงเทรา ประกอบกิจการ รีไซเคิลชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า พลาสติก เพื่อจําหน่าย (โรงงาน 105,106) ซึ่งภายในโรงงานดังกล่าว ได้มีขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปริมาณ 7,000 ตัน ที่กระทรวงอุตสาหกรรมต้องยึดอายัดไว้ หลังจากที่มีการตรวจสอบพบว่าโรงงานดังกล่าวมีวัตถุอันตรายในครอบครอง เนื่องจากได้รับขยะอิเล็กทรอนิกส์มาจาก 3 โรงงานที่ได้รับสิทธิ์นําเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามอนุสัญญาบาเซล คือ บริษัทเจ.พี.เอส เมทัลกรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด บริษัทโอ.จี.ไอ จํากัด และบริษัทไวโรกรีน (ประเทศไทย) จํากัด
โดยของกลางทั้งหมดที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ยึดอายัดไว้ ต้องห้ามเคลื่อนย้าย/จําหน่าย หรือจ่ายแจก จนกว่าคดีจะสิ้นสุด หากพบว่ามีการเคลื่อนย้ายขยะอิเล็กทรอนิกส์จะถือว่าผิดประมวลกฎหมายอาญา และโรงงานต้องดูแลของกลางทั้งหมด ทั้งในอาคารและที่กองอยู่นอกอาคาร โดยเฉพาะที่กองนอกอาคารให้หาผ้าใบคลุม ไม่ให้มีการปนเปื้อน และห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกบริเวณโรงงานด้วย
ทั้งนี้การลงพื้นที่อายัดของกลางในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่กระทรวงอุตสาหกรรมดําเนินการ หลังจากนี้ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานที่มีขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องสงสัยว่าผิดกฎหมายให้ดําเนินการอายัดไว้เป็นของกลางทันที และอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ต้องแจ้งความดําเนินคดีกับโรงงานที่กระทําความผิดต่อไป | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13762 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา | วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา
พลตรี ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา
วันที่ 2 กันยายน2560 พลตรี ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา สรุปสาระสําคัญว่า ในงวดที่ผ่านมาและในขณะนี้ สภาวะการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลมีความคล่องตัวสูงมาก สาเหตุหนึ่ง อาจเกิดจากประชาชนให้ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสลากจากเดิมคู่ละ 80 บาท มาเป็นใบละ 80 บาท ภาพรวมของการจําหน่ายสลากปัจจุบัน ราคาสลากใบลดลงจากเดิมที่จําหน่ายในราคาสูง กลับมาจําหน่ายตามราคาหน้าสลากคือ 80 บาท สามารถหาซื้อได้ทั่วไปทุกที่ทั้งแผงจําหน่ายสลากปลีกที่ประจําอยู่กับที่และที่เดินเร่ขายทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
สํานักงานฯได้ดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ได้จับกุมผู้จําหน่ายสลากเกินราคาอย่างเข้มงวด มีการตรวจสอบตัวแทนจําหน่ายหรือผู้ที่ซื้อ-จองล่วงหน้า โดยต้องไม่นําสลากของตนไปรวมชุดกับผู้อื่น หรือนําสลากของผู้อื่นมาขายร่วม หรือนําสลากของตนไปขายให้แก่ผู้อื่นเพื่อนําไปรวมชุด หรือแลกเปลี่ยนสลากกับผู้อื่น หากมีการตรวจสอบพบการกระทําดังกล่าวถือว่าผู้ขายผิดสัญญาและกระทําผิดเงื่อนไข จะถูกยกเลิกสัญญาการเป็นตัวแทนจําหน่าย หรือยกเลิกการลงทะเบียนเป็นผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลทันที ทั้งนี้ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ลงพื้นที่ที่อําเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ตรวจสอบพบพฤติกรรมการนําสลากที่จองได้ ไปขายต่อให้กับผู้รับซื้อ รวมทั้งสิ้น 13 ราย จํานวนสลาก 1,345 เล่ม ขณะนี้ได้ดําเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของสลากแล้ว และจะดําเนินการตามขั้นตอนของการยกเลิกสัญญาต่อไป
กรณีสลาก 30 ใบ ที่ปรากฏเป็นข่าวรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2560 ซึ่งเป็นสลากรวมชุดนั้น ได้ดําเนินการสั่งยกเลิกสัญญาตัวแทนจําหน่าย และตัดสิทธิในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้า รวม 30 รายแล้ว จนถึงขณะนี้ มีการจับกุมผู้จําหน่ายสลากเกินราคาอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ และยกเลิกการเป็นตัวแทนจําหน่ายไปแล้ว รวมทั้งหมด 2,131 ราย ยกเลิกการลงทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิในการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 531 ราย สําหรับสลากที่ถูกยกเลิกสัญญา จะนํามาเข้าสู่โครงการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ให้กับผู้จําหน่ายสลากจริงได้มีโอกาสเข้าถึงสลากได้มากขึ้น ขอยืนยันว่า สํานักงานฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีมีการนําสลากไปรวมชุดและจําหน่ายในราคาเกินกว่าที่กําหนด
สํานักงานฯ มีมาตรการป้องกันการนําสลากไปรวมชุด ด้วยการปรับวันจ่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายและผู้ที่ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ เพื่อให้รับสลากแล้วมีเวลาเพียงพอจําหน่ายด้วยตนเอง มาตรการนี้ ทําให้คัดกรองผู้ที่ไม่จําหน่ายสลากด้วยตนเองออกไปได้อย่างมีนัยสําคัญ และผู้จําหน่ายสลากจริงทํารายการสลากจองล่วงหน้าได้มากขึ้น พร้อมกับได้นํามาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และขอให้ประชาชนผู้ซื้อสลากรักษาสิทธิ์ โดยการไม่ซื้อสลากเกินราคา หากพบเห็นการกระทําผิดดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลการจําหน่ายสลากเกินราคาได้ที่ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 0 2345 1466 ตลอด 24 ชั่วโมง
สําหรับกรณีที่ปรากฏข่าวสารการจําหน่ายสลากเกินราคาที่บริเวณสี่แยกคอกวัวนั้น สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะประสานเจ้าหน้าที่ทหาร,ตํารวจ เข้าตรวจสอบการจําหน่ายในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็วและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อจะได้พิจารณาดําเนินการต่อไป
----------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560
ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา
พลตรี ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา
วันที่ 2 กันยายน2560 พลตรี ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชี้แจงประเด็นการขายสลากเกินราคา สรุปสาระสําคัญว่า ในงวดที่ผ่านมาและในขณะนี้ สภาวะการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลมีความคล่องตัวสูงมาก สาเหตุหนึ่ง อาจเกิดจากประชาชนให้ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสลากจากเดิมคู่ละ 80 บาท มาเป็นใบละ 80 บาท ภาพรวมของการจําหน่ายสลากปัจจุบัน ราคาสลากใบลดลงจากเดิมที่จําหน่ายในราคาสูง กลับมาจําหน่ายตามราคาหน้าสลากคือ 80 บาท สามารถหาซื้อได้ทั่วไปทุกที่ทั้งแผงจําหน่ายสลากปลีกที่ประจําอยู่กับที่และที่เดินเร่ขายทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
สํานักงานฯได้ดําเนินการตามมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ได้จับกุมผู้จําหน่ายสลากเกินราคาอย่างเข้มงวด มีการตรวจสอบตัวแทนจําหน่ายหรือผู้ที่ซื้อ-จองล่วงหน้า โดยต้องไม่นําสลากของตนไปรวมชุดกับผู้อื่น หรือนําสลากของผู้อื่นมาขายร่วม หรือนําสลากของตนไปขายให้แก่ผู้อื่นเพื่อนําไปรวมชุด หรือแลกเปลี่ยนสลากกับผู้อื่น หากมีการตรวจสอบพบการกระทําดังกล่าวถือว่าผู้ขายผิดสัญญาและกระทําผิดเงื่อนไข จะถูกยกเลิกสัญญาการเป็นตัวแทนจําหน่าย หรือยกเลิกการลงทะเบียนเป็นผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาลทันที ทั้งนี้ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ลงพื้นที่ที่อําเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ตรวจสอบพบพฤติกรรมการนําสลากที่จองได้ ไปขายต่อให้กับผู้รับซื้อ รวมทั้งสิ้น 13 ราย จํานวนสลาก 1,345 เล่ม ขณะนี้ได้ดําเนินการตรวจสอบรายชื่อเจ้าของสลากแล้ว และจะดําเนินการตามขั้นตอนของการยกเลิกสัญญาต่อไป
กรณีสลาก 30 ใบ ที่ปรากฏเป็นข่าวรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2560 ซึ่งเป็นสลากรวมชุดนั้น ได้ดําเนินการสั่งยกเลิกสัญญาตัวแทนจําหน่าย และตัดสิทธิในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้า รวม 30 รายแล้ว จนถึงขณะนี้ มีการจับกุมผู้จําหน่ายสลากเกินราคาอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ และยกเลิกการเป็นตัวแทนจําหน่ายไปแล้ว รวมทั้งหมด 2,131 ราย ยกเลิกการลงทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิในการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล จํานวน 531 ราย สําหรับสลากที่ถูกยกเลิกสัญญา จะนํามาเข้าสู่โครงการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ให้กับผู้จําหน่ายสลากจริงได้มีโอกาสเข้าถึงสลากได้มากขึ้น ขอยืนยันว่า สํานักงานฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีมีการนําสลากไปรวมชุดและจําหน่ายในราคาเกินกว่าที่กําหนด
สํานักงานฯ มีมาตรการป้องกันการนําสลากไปรวมชุด ด้วยการปรับวันจ่ายสลากให้กับตัวแทนจําหน่ายและผู้ที่ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ เพื่อให้รับสลากแล้วมีเวลาเพียงพอจําหน่ายด้วยตนเอง มาตรการนี้ ทําให้คัดกรองผู้ที่ไม่จําหน่ายสลากด้วยตนเองออกไปได้อย่างมีนัยสําคัญ และผู้จําหน่ายสลากจริงทํารายการสลากจองล่วงหน้าได้มากขึ้น พร้อมกับได้นํามาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเคร่งครัดควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และขอให้ประชาชนผู้ซื้อสลากรักษาสิทธิ์ โดยการไม่ซื้อสลากเกินราคา หากพบเห็นการกระทําผิดดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลการจําหน่ายสลากเกินราคาได้ที่ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 0 2345 1466 ตลอด 24 ชั่วโมง
สําหรับกรณีที่ปรากฏข่าวสารการจําหน่ายสลากเกินราคาที่บริเวณสี่แยกคอกวัวนั้น สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะประสานเจ้าหน้าที่ทหาร,ตํารวจ เข้าตรวจสอบการจําหน่ายในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็วและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้หากมีรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อจะได้พิจารณาดําเนินการต่อไป
----------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6384 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นำภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลำปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค | วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ โรงงานอินทราเซรามิก อ.เมือง จ.ลําปาง
จ.ลําปาง : เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมองค์ประกอบคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ โรงงานอินทราเซรามิก อ.เมือง จ.ลําปาง
ในโอกาสการประชุม ครม.นอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดลําปาง #ลําปางนครหัตถศิลป์ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นำภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลำปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค
วันอังคารที่ 15 มกราคม 2562
รัฐมนตรีช่วยฯ สมชาย ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ โรงงานอินทราเซรามิก อ.เมือง จ.ลําปาง
จ.ลําปาง : เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมองค์ประกอบคณะนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบผู้นําภาคเอกชน ผู้ประกอบการและเยี่ยมชมการผลิตเซรามิก การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้และคลั่ง ของลําปางนครหัตถศิลป์ ถิ่นอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ โรงงานอินทราเซรามิก อ.เมือง จ.ลําปาง
ในโอกาสการประชุม ครม.นอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดลําปาง #ลําปางนครหัตถศิลป์ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18136 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล" | วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล"
"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล"
วันนี้ (10 พ.ค. 61) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีการประชุมด้านสารนิเทศที่คณะผู้บริหารระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการอาเซียน และประเทศคู่เจรจา ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการประชาสัมพันธ์ ยกระดับความร่วมมือ และหารือทิศทางการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนของประชาคมอาเซียน โดยปีนี้ใช้หัวข้อ "อาเซียนยุคดิจิทัลเพื่อการตระหนักรู้อย่างทั่วถึง" (Inclusive and Informed Digital ASEAN) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเพื่อยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการจัดการข้อมูลข่าวสารและข่าวลวง อีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล"
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล"
"ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมสร้างความตระหนักรู้ ปรับตัวสู่อาเซียนยุคดิจิทัล"
วันนี้ (10 พ.ค. 61) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวทีการประชุมด้านสารนิเทศที่คณะผู้บริหารระดับรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิกอาเซียน เลขาธิการอาเซียน และประเทศคู่เจรจา ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนงานด้านการประชาสัมพันธ์ ยกระดับความร่วมมือ และหารือทิศทางการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนของประชาคมอาเซียน โดยปีนี้ใช้หัวข้อ "อาเซียนยุคดิจิทัลเพื่อการตระหนักรู้อย่างทั่วถึง" (Inclusive and Informed Digital ASEAN) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเพื่อยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาค ในการจัดการข้อมูลข่าวสารและข่าวลวง อีกด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12146 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีดูแลจิตใจเด็กๆ ในช่วงโควิด-19 ระบาด | วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
วิธีดูแลจิตใจเด็กๆ ในช่วงโควิด-19 ระบาด
มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีดูแลจิตใจเด็กๆ ในช่วงโควิด-19 ระบาด
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2563
วิธีดูแลจิตใจเด็กๆ ในช่วงโควิด-19 ระบาด
มีวิธีการอย่างไรบ้างนะ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว | วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ ใส่ใจในคุณภาพชีวิต ร่วมประกวดคลิปวีดีโอ หัวข้อ “มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย” ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท หมดเขตรับสมัคร 15 กุมภาพันธ์ นี้
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี2546 เป็นต้นมา สมอ. ได้ดําเนินการเผยแพร่ความรู้เรื่องการมาตรฐานแก่ครู-อาจารย์ ผ่านโครงการเผยแพร่มาตรฐานสู่ภาคการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครู-อาจารย์สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดสู่นักเรียนเพื่อปลูกฝังให้มีจิตสํานึกในเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งมีครู-อาจารย์ผ่านการฝึกอบรมแล้วจํานวน 8,674 คน และมีนักเรียนที่ได้รับความรู้มากกว่า 260,000 คน โดยในปี 2561 นี้ นอกจาก สมอ. จะจัดอบรมให้ความรู้แก่ครู-อาจารย์ เพื่อขยายผลโครงการดังกล่าวแล้ว ยังได้จัดทําโครงการประกวดคลิปวีดีโอขึ้น เพื่อส่งเสริมความรู้เรื่องการมาตรฐาน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาต่อยอดเรียนรู้เรื่องการมาตรฐานให้มากยิ่งขึ้น ผ่านสื่อ Social Media ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว และสร้างเครือข่ายการเผยแพร่มาตรฐานได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ สมอ. มีแผนการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการส่งเสริมความรู้ด้านการมาตรฐานตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยการจัดทําสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น e-learning e-training และ Mobile learning เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและเกิดประสิทธิผลในการนําไปใช้งานอีกด้วย
โอกาสนี้ สมอ. จึงขอเชิญชวนน้องๆ เยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการนําเสนอ ออกแบบ และจัดทําคลิปวีดีโอ รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการมาตรฐานเป็นอย่างดี สมัครเข้าร่วมกิจกรรมประกวดคลิปวีดีโอของ สมอ. ในหัวข้อเรื่อง “มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย” ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท โดยสามารถดูหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประกวดได้ที่ http//pr.tisi.go.th/tisiclip2017 หมดเขตรับสมัครวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นี้
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. เดินหน้าตามนโยบาย Thailand 4.0 ในทุกภารกิจหลัก รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล และปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย โดยนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เน้นการเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น กระบวนการออกใบอนุญาต (E-license) การชําระค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการอนุญาต (E-Payment) เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการติดต่อกับ สมอ. ได้โดยตรงไม่ต้องผ่านคนกลางในการประสานงาน ซึ่งท่านจะพบกับความสะดวก รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เป็นการยกระดับการให้บริการของ สมอ. ในยุค 4.0 เลขาธิการ สมอ. กล่าว
6 กุมภาพันธ์ 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ประกวดคลิปวีดีโอ“มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย”ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท พร้อมแนะผู้ประกอบการใช้บริการ สมอ. 4.0 สะดวก รวดเร็ว ฉับไว
สมอ. ชวนเยาวชนรุ่นใหม่ ใส่ใจในคุณภาพชีวิต ร่วมประกวดคลิปวีดีโอ หัวข้อ “มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย” ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท หมดเขตรับสมัคร 15 กุมภาพันธ์ นี้
นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี2546 เป็นต้นมา สมอ. ได้ดําเนินการเผยแพร่ความรู้เรื่องการมาตรฐานแก่ครู-อาจารย์ ผ่านโครงการเผยแพร่มาตรฐานสู่ภาคการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครู-อาจารย์สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดสู่นักเรียนเพื่อปลูกฝังให้มีจิตสํานึกในเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งมีครู-อาจารย์ผ่านการฝึกอบรมแล้วจํานวน 8,674 คน และมีนักเรียนที่ได้รับความรู้มากกว่า 260,000 คน โดยในปี 2561 นี้ นอกจาก สมอ. จะจัดอบรมให้ความรู้แก่ครู-อาจารย์ เพื่อขยายผลโครงการดังกล่าวแล้ว ยังได้จัดทําโครงการประกวดคลิปวีดีโอขึ้น เพื่อส่งเสริมความรู้เรื่องการมาตรฐาน โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาต่อยอดเรียนรู้เรื่องการมาตรฐานให้มากยิ่งขึ้น ผ่านสื่อ Social Media ซึ่งเป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว และสร้างเครือข่ายการเผยแพร่มาตรฐานได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ สมอ. มีแผนการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการส่งเสริมความรู้ด้านการมาตรฐานตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยการจัดทําสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ เช่น e-learning e-training และ Mobile learning เพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและเกิดประสิทธิผลในการนําไปใช้งานอีกด้วย
โอกาสนี้ สมอ. จึงขอเชิญชวนน้องๆ เยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถในการนําเสนอ ออกแบบ และจัดทําคลิปวีดีโอ รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการมาตรฐานเป็นอย่างดี สมัครเข้าร่วมกิจกรรมประกวดคลิปวีดีโอของ สมอ. ในหัวข้อเรื่อง “มาตรฐานอุตสาหกรรม...เสริมสร้างชีวิตที่ดีให้คนไทย” ชิงทุนการศึกษากว่า 170,000 บาท โดยสามารถดูหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประกวดได้ที่ http//pr.tisi.go.th/tisiclip2017 หมดเขตรับสมัครวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นี้
เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. เดินหน้าตามนโยบาย Thailand 4.0 ในทุกภารกิจหลัก รวมทั้งอํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล และปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัย โดยนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เน้นการเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น กระบวนการออกใบอนุญาต (E-license) การชําระค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการอนุญาต (E-Payment) เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการติดต่อกับ สมอ. ได้โดยตรงไม่ต้องผ่านคนกลางในการประสานงาน ซึ่งท่านจะพบกับความสะดวก รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เป็นการยกระดับการให้บริการของ สมอ. ในยุค 4.0 เลขาธิการ สมอ. กล่าว
6 กุมภาพันธ์ 2561 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดำเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด [กระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์] | วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด [กระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์]
ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด
ปลัดเกษตรฯ VDO Conference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการประมวลสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เป็นประจําทุกวัน โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 มี.ค. 63 มีมาตรการป้องกันของกระทรวงเกษตรฯ ด้านบุคลากร ในการตรวจวัดอุณหภูมิ วางเจลล้างมือ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ จัดทําแผนปฏิบัติงานของบุคลากร ออกประกาศมาตรการป้องกัน และจัดที่พักให้บุคลากร สําหรับด้านสถานที่ ได้มีการฉีดพ่น/ทําความสะอาด จัดให้มีระยะห่างทางสังคมของผู้ปฏิบัติงาน และการปิดสถานที่ อีกทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ประชาชน/เกษตรกร/ผู้ประกอบการ อาทิ การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ ทั้ง Mobile Application ได้แก่ Line Facebook รวมถึงบริการให้คําแนะนําผ่าน Call Center ด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังการรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านการเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการประเมินสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมะม่วง ที่ผลิตเพื่อการส่งออก พืชผัก ที่กระทบกับผู้ขายรายย่อย ผลไม้ ในการเพิ่มช่องทางพิเศษในการขนส่ง และไม้ดอก ในการจัดหาตลาดรองรับ กรมปศุสัตว์ รายงานสถานการณ์ไข่ไก่ โคเนื้อ สุกร และนมโค ที่มีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ กรมประมง รายงานการส่งออกสินค้าประมง โดยเฉพาะอาหารสดและอาหารแช่แข็ง ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 10 – 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 การนําเข้าสินค้า มีแนวโน้มลดลง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ คือ กุ้ง ปลาน้ําจืด และปลาสวยงาม โดยได้มีการกําหนดมาตรการแก้ไขในระยะสั้นไว้ กรมการข้าว รายงานผลผลิตข้าวนาปี จํานวน 24 ล้านตัน เพียงพอสําหรับการบริโภคภายในประเทศ และความก้าวหน้าการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยและภัยแล้งปี 2562 กรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานการกระจายสินค้าผ่านช่องทางสหกรณ์การเกษตรกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ และการลดภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์
และกรมวิชาการเกษตร รายงานผลการบริการ การตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าพืช และการตรวจรับรองโรงงานคัดบรรจุ สําหรับการส่งออกที่จะต้องได้รับมาตรฐาน GAP
อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการบริการให้กับประชาชน อีกทั้งให้หาแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดำเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด [กระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด [กระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์]
ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด
ปลัดเกษตรฯ VDO Conference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการประมวลสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เป็นประจําทุกวัน โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 มี.ค. 63 มีมาตรการป้องกันของกระทรวงเกษตรฯ ด้านบุคลากร ในการตรวจวัดอุณหภูมิ วางเจลล้างมือ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ จัดทําแผนปฏิบัติงานของบุคลากร ออกประกาศมาตรการป้องกัน และจัดที่พักให้บุคลากร สําหรับด้านสถานที่ ได้มีการฉีดพ่น/ทําความสะอาด จัดให้มีระยะห่างทางสังคมของผู้ปฏิบัติงาน และการปิดสถานที่ อีกทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ประชาชน/เกษตรกร/ผู้ประกอบการ อาทิ การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ ทั้ง Mobile Application ได้แก่ Line Facebook รวมถึงบริการให้คําแนะนําผ่าน Call Center ด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังการรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านการเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการประเมินสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมะม่วง ที่ผลิตเพื่อการส่งออก พืชผัก ที่กระทบกับผู้ขายรายย่อย ผลไม้ ในการเพิ่มช่องทางพิเศษในการขนส่ง และไม้ดอก ในการจัดหาตลาดรองรับ กรมปศุสัตว์ รายงานสถานการณ์ไข่ไก่ โคเนื้อ สุกร และนมโค ที่มีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ กรมประมง รายงานการส่งออกสินค้าประมง โดยเฉพาะอาหารสดและอาหารแช่แข็ง ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 10 – 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 การนําเข้าสินค้า มีแนวโน้มลดลง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ คือ กุ้ง ปลาน้ําจืด และปลาสวยงาม โดยได้มีการกําหนดมาตรการแก้ไขในระยะสั้นไว้ กรมการข้าว รายงานผลผลิตข้าวนาปี จํานวน 24 ล้านตัน เพียงพอสําหรับการบริโภคภายในประเทศ และความก้าวหน้าการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยและภัยแล้งปี 2562 กรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานการกระจายสินค้าผ่านช่องทางสหกรณ์การเกษตรกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ และการลดภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์
และกรมวิชาการเกษตร รายงานผลการบริการ การตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าพืช และการตรวจรับรองโรงงานคัดบรรจุ สําหรับการส่งออกที่จะต้องได้รับมาตรฐาน GAP
อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการบริการให้กับประชาชน อีกทั้งให้หาแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28154 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไย ยกระดับมาตรฐานลำไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน | วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) วิจัยพัฒนา “บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย” เพื่อใช้ติดตามปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ฯ ซึ่งตกค้างบนผลลําไย เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หลักการทํางานของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ เมื่อทําปฏิกิริยากับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะเปลี่ยนสีให้ผู้บริโภคเห็นอย่างเด่นชัด เมื่อมีปริมาณซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐาน นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า จากปัญหาลําไยสดที่ผ่านการรมด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในปริมาณสูงเกินความจําเป็น และการละเลยขั้นตอนการลดหรือกําจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ส่วนเกิน ส่งผลให้มีสารดังกล่าวตกค้างบนผลลําไยสูงเกินค่ามาตรฐาน ตามประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง ปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในผลลําไยสดที่จะส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน เล่มที่ 119 ตอนพิเศษ105 ง กําหนดปริมาณสูงสุดของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลําไยทั้งผลควรมีไม่เกิน 350 ppm และตกค้างที่เนื้อลําไยควรมีไม่เกิน 30 ppm ค่าการบริโภคในแต่ละวันที่ได้รับ (Aceptable Daily Intake : ADI) ของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่องค์การอนามัยโลกกําหนดไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัม/คน/วัน และพบว่าพิษของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ปริมาณ 8 ppm จะทําให้เกิดอาการระคายเคืองของระบบหายใจ ที่ปริมาณ 20 ppm จะทําให้เกิดอาการระคายเคืองตา ถ้ารับประทานเข้าไปไม่มาก ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะได้ แต่ถ้ามากเกินไปจะมีผลไปลดประสิทธิภาพการใช้โปรตีน และไขมันในร่างกายของคนเราและมีฤทธิ์ทําลายวิตามิน B1 ด้วย อีกทั้งเมื่อส่งไปถึงประเทศผู้ซื้อปลายทางและมีการตรวจพบจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของคุณภาพลําไยรวมถึงผลผลิตเกษตรชนิดอื่นจากประเทศไทย
“... จากปัญหาดังกล่าว วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย จึงมีแนวคิดพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย เพื่อตรวจสอบปริมาณสารซัลเฟอร์ที่เหลือตกค้างที่ผิวผลลําไย เพื่อยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับ การบ่งชี้ปริมาณสารซัลเฟอร์ที่ผลลําไย นอกจากผู้บริโภคจะรับรู้ถึงความปลอดภัยในการรับประทานแล้ว ผู้ผลิตและผู้จําหน่ายยังสามารถใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ ในการสร้างตลาด สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยผลิตผลไม้คุณภาพ ที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือรับรองคุณภาพผลิตผล ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และอาจส่งผลทําให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอันเป็นกลไกสําคัญของตลาด
โดย วว. ได้พัฒนาเป็นฉลากเปลี่ยนสีเมื่อทําปฏิกิริยากับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ นอกจากนี้ฉลากฯ ยังสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผลไม้อื่นๆ ที่มีการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์รักษาคุณภาพของผลผลิต เช่น ลิ้นจี่ เป็นต้น เพื่อใช้เตือนผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่ให้จําหน่ายและบริโภคผลไม้ที่มีปริมาณซัลเฟอร์ฯ ที่สูงเกินมาตรฐานกําหนด ผลงานวิจัยนี้ของ วว. จะมีประโยชน์ต่อการสร้างมาตรฐานคุณภาพของลําไยทั้งที่จําหน่ายในประเทศและส่งออก นอกจากเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า เพื่อความยั่งยืนในการทําการค้ากันต่อไป” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ดร.รัชนีวรรณ กุลจันทร์ ผู้อํานวยการ ห้องปฏิบัติการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. กล่าวถึงหลักการทํางานของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไยว่า ฉลากจะมีการเปลี่ยนสีดังนี้ หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ ต่ํา ฉลากจะยังคงสีน้ําตาลเข้ม แต่ถ้ามีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ มากสีของฉลากจะค่อยๆ จางลงจนไม่มีสีแสดงว่ามีสารซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐานกําหนด นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ช่วยเตือนผู้บริโภคก่อนที่จะตัดสินใจบริโภคลําไย อีกทั้งการเปลี่ยนสีของฉลากยังง่ายต่อการเข้าใจของคนทุกระดับ
ทั้งนี้ผลงานวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยและพัฒนาฉลากบ่งชี้คุณภาพซึ่งสามารถแสดงปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ตกค้างที่ผิวลําไย การวิจัยและพัฒนาฉลากบ่งชี้คุณภาพที่สัมพันธ์กับปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรจุภัณฑ์ จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคในต่างประเทศ ทั้งนี้การพัฒนาฉลากของ วว. ยังเป็นการพัฒนาในระดับห้องปฏิบัติการ หากต้องการผลิตเพื่อจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ต้องปรับปรุงสูตรและกระบวนการผลิตให้สอดคล้องเหมาะสมกับเครื่องจักรที่จะใช้ผลิตต่อไป
การพัฒนาฉลากประกอบด้วย
1. การพัฒนาสูตร เป็นการศึกษาชนิดสารเคมีที่สามารถทําปฏิกิริยากับสารซัลเฟอร์และศึกษาความไวในการตอบสนองต่อสารซัลเฟอร์
2. การเตรียมสารละลายสําหรับขึ้นรูปฟิล์ม
3. การขึ้นรูปฉลาก เป็นการหาอัตราส่วนผสมของสารเคมีกับสารละลายสําหรับขึ้นรูปฟิล์มแล้วทําการขึ้นรูปฉลาก
4. การทดสอบการใช้งานของฉลาก
ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3205, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไย ยกระดับมาตรฐานลำไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
วว. เจ๋งวิจัยบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) วิจัยพัฒนา “บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย” เพื่อใช้ติดตามปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ฯ ซึ่งตกค้างบนผลลําไย เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หลักการทํางานของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ เมื่อทําปฏิกิริยากับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะเปลี่ยนสีให้ผู้บริโภคเห็นอย่างเด่นชัด เมื่อมีปริมาณซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐาน นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า จากปัญหาลําไยสดที่ผ่านการรมด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในปริมาณสูงเกินความจําเป็น และการละเลยขั้นตอนการลดหรือกําจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ส่วนเกิน ส่งผลให้มีสารดังกล่าวตกค้างบนผลลําไยสูงเกินค่ามาตรฐาน ตามประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง ปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในผลลําไยสดที่จะส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน เล่มที่ 119 ตอนพิเศษ105 ง กําหนดปริมาณสูงสุดของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลําไยทั้งผลควรมีไม่เกิน 350 ppm และตกค้างที่เนื้อลําไยควรมีไม่เกิน 30 ppm ค่าการบริโภคในแต่ละวันที่ได้รับ (Aceptable Daily Intake : ADI) ของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่องค์การอนามัยโลกกําหนดไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัม/คน/วัน และพบว่าพิษของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ปริมาณ 8 ppm จะทําให้เกิดอาการระคายเคืองของระบบหายใจ ที่ปริมาณ 20 ppm จะทําให้เกิดอาการระคายเคืองตา ถ้ารับประทานเข้าไปไม่มาก ร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะได้ แต่ถ้ามากเกินไปจะมีผลไปลดประสิทธิภาพการใช้โปรตีน และไขมันในร่างกายของคนเราและมีฤทธิ์ทําลายวิตามิน B1 ด้วย อีกทั้งเมื่อส่งไปถึงประเทศผู้ซื้อปลายทางและมีการตรวจพบจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของคุณภาพลําไยรวมถึงผลผลิตเกษตรชนิดอื่นจากประเทศไทย
“... จากปัญหาดังกล่าว วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย จึงมีแนวคิดพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไย เพื่อตรวจสอบปริมาณสารซัลเฟอร์ที่เหลือตกค้างที่ผิวผลลําไย เพื่อยกระดับมาตรฐานลําไยไทยให้เป็นที่ยอมรับ การบ่งชี้ปริมาณสารซัลเฟอร์ที่ผลลําไย นอกจากผู้บริโภคจะรับรู้ถึงความปลอดภัยในการรับประทานแล้ว ผู้ผลิตและผู้จําหน่ายยังสามารถใช้บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะฯ ในการสร้างตลาด สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยผลิตผลไม้คุณภาพ ที่มีความปลอดภัย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือรับรองคุณภาพผลิตผล ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และอาจส่งผลทําให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอันเป็นกลไกสําคัญของตลาด
โดย วว. ได้พัฒนาเป็นฉลากเปลี่ยนสีเมื่อทําปฏิกิริยากับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ นอกจากนี้ฉลากฯ ยังสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผลไม้อื่นๆ ที่มีการใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์รักษาคุณภาพของผลผลิต เช่น ลิ้นจี่ เป็นต้น เพื่อใช้เตือนผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่ให้จําหน่ายและบริโภคผลไม้ที่มีปริมาณซัลเฟอร์ฯ ที่สูงเกินมาตรฐานกําหนด ผลงานวิจัยนี้ของ วว. จะมีประโยชน์ต่อการสร้างมาตรฐานคุณภาพของลําไยทั้งที่จําหน่ายในประเทศและส่งออก นอกจากเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า เพื่อความยั่งยืนในการทําการค้ากันต่อไป” ผู้ว่าการ วว. กล่าว
ดร.รัชนีวรรณ กุลจันทร์ ผู้อํานวยการ ห้องปฏิบัติการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. กล่าวถึงหลักการทํางานของบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะบ่งชี้ความปลอดภัยปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลําไยว่า ฉลากจะมีการเปลี่ยนสีดังนี้ หากมีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ ต่ํา ฉลากจะยังคงสีน้ําตาลเข้ม แต่ถ้ามีปริมาณสารซัลเฟอร์ฯ มากสีของฉลากจะค่อยๆ จางลงจนไม่มีสีแสดงว่ามีสารซัลเฟอร์ฯ เกินมาตรฐานกําหนด นับเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว เข้าใจง่าย ช่วยเตือนผู้บริโภคก่อนที่จะตัดสินใจบริโภคลําไย อีกทั้งการเปลี่ยนสีของฉลากยังง่ายต่อการเข้าใจของคนทุกระดับ
ทั้งนี้ผลงานวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยและพัฒนาฉลากบ่งชี้คุณภาพซึ่งสามารถแสดงปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ตกค้างที่ผิวลําไย การวิจัยและพัฒนาฉลากบ่งชี้คุณภาพที่สัมพันธ์กับปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในบรรจุภัณฑ์ จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคในต่างประเทศ ทั้งนี้การพัฒนาฉลากของ วว. ยังเป็นการพัฒนาในระดับห้องปฏิบัติการ หากต้องการผลิตเพื่อจําหน่ายในเชิงพาณิชย์ต้องปรับปรุงสูตรและกระบวนการผลิตให้สอดคล้องเหมาะสมกับเครื่องจักรที่จะใช้ผลิตต่อไป
การพัฒนาฉลากประกอบด้วย
1. การพัฒนาสูตร เป็นการศึกษาชนิดสารเคมีที่สามารถทําปฏิกิริยากับสารซัลเฟอร์และศึกษาความไวในการตอบสนองต่อสารซัลเฟอร์
2. การเตรียมสารละลายสําหรับขึ้นรูปฟิล์ม
3. การขึ้นรูปฉลาก เป็นการหาอัตราส่วนผสมของสารเคมีกับสารละลายสําหรับขึ้นรูปฟิล์มแล้วทําการขึ้นรูปฉลาก
4. การทดสอบการใช้งานของฉลาก
ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3205, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th
ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลสำรวจพฤติกรรมป้องกันตนเองจากโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
สธ. เผยผลสํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองจากโควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข สํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค พบภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ร้อยละ 91.5 ล้างมือบ่อยๆ ร
กระทรวงสาธารณสุข สํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค พบภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ร้อยละ 91.5 ล้างมือบ่อยๆ ร้อยละ 83.9 กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเองร้อยละ 83.7 การเว้นระยะห่างร้อยละ 66
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ และสํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ แถลงข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้คณะทํางานประมวลสถานการณ์และวิชาการ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก สํานักงานภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทําการสํารวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประชาชนหลังผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2563 ทําการสํารวจทุกสัปดาห์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 โดยใช้ 3 วิธีคือ อสม.เคาะประตูสอบถามถึงบ้าน สอบถามทางโทรศัพท์โดยนักศึกษาแพทย์ รามาธิบดี และทางออนไลน์ รวมกว่า 2 แสนราย
ผลการสํารวจพบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองในระดับที่ดี หลังรัฐบาลมีการผ่อนปรนระดับพฤติกรรมการป้องกันตนเองลดลง ผลสํารวจของสัปดาห์ล่าสุดระหว่างวันที่ 29 พ.ค.- 4 มิ.ย. 2563 พบว่า ภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาเป็นพฤติกรรมที่ประชาชนปฏิบัติมากที่สุด ร้อยละ 91.5 รองลงมา ได้แก่ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 83.9, กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเอง ร้อยละ 83.7, ระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร ร้อยละ 66 และระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก ร้อยละ 58.8
ส่วนการเดินทางออกนอกจังหวัด พบว่าแนวโน้มการเดินทางออกนอกจังหวัดสูงขึ้นเล็กน้อย เหตุผลหลักคือไปทํางานหรือมีธุระจําเป็น สําหรับสถานที่ที่ไปบ่อยคือ ตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ทํางาน ร้านอาหารแบบนั่งทาน ศาสนสถาน และพบว่ามาตรการป้องกันโรคของแต่ละสถานที่ยังทําได้ไม่เต็มที่ เช่นการสวมหน้ากากของพนักงาน/ผู้รับบริการ การจัดจุดล้างมือ การเว้นระยะห่าง สําหรับการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ พบว่ามีการจัดมาตรการป้องกันโรคค่อนข้างต่ํา นอกจากนี้ ความคิดเห็นต่อการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เช่น การเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 51) คิดว่าควรเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศในเดือนตุลาคมขึ้นไป รองลงมา ได้แก่ กรกฎาคม (ร้อยละ 20.8) โดยร้อยละ 99 คิดว่าควรคัดกรองและกักกันตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ 14 วัน
จากผลสํารวจแสดงให้เห็นว่า ประชาชนยังปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองได้ดีพอควร แต่ขอให้ปฏิบัติเพิ่มขึ้นทั้งการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่าง รวมทั้งช่วยกันปรับปรุงการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ต่าง ๆ และขอเชิญร่วมตอบแบบสอบถามและติดตามผลการสํารวจฯ ที่www.อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ.com
ด้านนายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุลนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยผลการสํารวจทัศนคติความเห็นของประชาชน โดยกรมควบคุมโรค หรือดีดีซีโพล (DDC Poll) โดยสํารวจทั้งออฟไลน์ จํานวน 4 ครั้ง และออนไลน์จํานวน 8 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2563 สรุปได้ว่า ประชาชนมีแนวโน้มในการสวมหน้ากากลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสโรค ได้แก่ เพศชายอายุ 15-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มจะออกไปทํากิจกรรมนอกบ้านอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเน้นการกระตุ้นรณรงค์ให้สวมหน้ากากเพิ่มขึ้น ส่วนคําถามว่าจะเลิกสวมหน้ากากเมื่อไหร่ ร้อยละ 53.5 ระบุว่าจะสวมหน้ากากต่อเนื่อง ส่วนร้อยละ 44.4 จะเลิกสวมเมื่อไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศ, ร้อยละ 13.6 เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร้อยละ 10.5 เมื่อไม่มีอาการป่วย
******************************11 มิถุนายน 2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลสำรวจพฤติกรรมป้องกันตนเองจากโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
สธ. เผยผลสํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองจากโควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข สํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค พบภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ร้อยละ 91.5 ล้างมือบ่อยๆ ร
กระทรวงสาธารณสุข สํารวจพฤติกรรมป้องกันตนเองของประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังการผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรค พบภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลา ร้อยละ 91.5 ล้างมือบ่อยๆ ร้อยละ 83.9 กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเองร้อยละ 83.7 การเว้นระยะห่างร้อยละ 66
วันนี้ (11 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.ภญ.วลัยพร พัชรนฤมล ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ และสํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ แถลงข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้คณะทํางานประมวลสถานการณ์และวิชาการ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก สํานักงานภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสํานักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทําการสํารวจการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประชาชนหลังผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ระหว่างวันที่ 8 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2563 ทําการสํารวจทุกสัปดาห์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 โดยใช้ 3 วิธีคือ อสม.เคาะประตูสอบถามถึงบ้าน สอบถามทางโทรศัพท์โดยนักศึกษาแพทย์ รามาธิบดี และทางออนไลน์ รวมกว่า 2 แสนราย
ผลการสํารวจพบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมป้องกันตนเองในระดับที่ดี หลังรัฐบาลมีการผ่อนปรนระดับพฤติกรรมการป้องกันตนเองลดลง ผลสํารวจของสัปดาห์ล่าสุดระหว่างวันที่ 29 พ.ค.- 4 มิ.ย. 2563 พบว่า ภาพรวมพฤติกรรมป้องกันตนเองอยู่ที่ร้อยละ 75.7 โดยการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าตลอดเวลาเป็นพฤติกรรมที่ประชาชนปฏิบัติมากที่สุด ร้อยละ 91.5 รองลงมา ได้แก่ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 83.9, กินอาหารร้อนและใช้ช้อนกลางของตนเอง ร้อยละ 83.7, ระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นในระยะน้อยกว่า 2 เมตร ร้อยละ 66 และระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก ร้อยละ 58.8
ส่วนการเดินทางออกนอกจังหวัด พบว่าแนวโน้มการเดินทางออกนอกจังหวัดสูงขึ้นเล็กน้อย เหตุผลหลักคือไปทํางานหรือมีธุระจําเป็น สําหรับสถานที่ที่ไปบ่อยคือ ตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่ทํางาน ร้านอาหารแบบนั่งทาน ศาสนสถาน และพบว่ามาตรการป้องกันโรคของแต่ละสถานที่ยังทําได้ไม่เต็มที่ เช่นการสวมหน้ากากของพนักงาน/ผู้รับบริการ การจัดจุดล้างมือ การเว้นระยะห่าง สําหรับการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ พบว่ามีการจัดมาตรการป้องกันโรคค่อนข้างต่ํา นอกจากนี้ ความคิดเห็นต่อการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เช่น การเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 51) คิดว่าควรเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศในเดือนตุลาคมขึ้นไป รองลงมา ได้แก่ กรกฎาคม (ร้อยละ 20.8) โดยร้อยละ 99 คิดว่าควรคัดกรองและกักกันตัวผู้เดินทางเข้าประเทศ 14 วัน
จากผลสํารวจแสดงให้เห็นว่า ประชาชนยังปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเองได้ดีพอควร แต่ขอให้ปฏิบัติเพิ่มขึ้นทั้งการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่าง รวมทั้งช่วยกันปรับปรุงการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ต่าง ๆ และขอเชิญร่วมตอบแบบสอบถามและติดตามผลการสํารวจฯ ที่www.อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ.com
ด้านนายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุลนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค เปิดเผยผลการสํารวจทัศนคติความเห็นของประชาชน โดยกรมควบคุมโรค หรือดีดีซีโพล (DDC Poll) โดยสํารวจทั้งออฟไลน์ จํานวน 4 ครั้ง และออนไลน์จํานวน 8 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2563 สรุปได้ว่า ประชาชนมีแนวโน้มในการสวมหน้ากากลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสโรค ได้แก่ เพศชายอายุ 15-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มจะออกไปทํากิจกรรมนอกบ้านอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเน้นการกระตุ้นรณรงค์ให้สวมหน้ากากเพิ่มขึ้น ส่วนคําถามว่าจะเลิกสวมหน้ากากเมื่อไหร่ ร้อยละ 53.5 ระบุว่าจะสวมหน้ากากต่อเนื่อง ส่วนร้อยละ 44.4 จะเลิกสวมเมื่อไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศ, ร้อยละ 13.6 เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และร้อยละ 10.5 เมื่อไม่มีอาการป่วย
******************************11 มิถุนายน 2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำข้าราชการทุกหมู่เหล่าร่วมร้องเพลงชาติไทยเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี | วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรีนําข้าราชการทุกหมู่เหล่าร่วมร้องเพลงชาติไทยเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี
รัฐบาลจัดกิจกรรม เนื่องในวันที่ระลึกวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย
วันนี้ (28กันยายน2560) เวลา 08.00 น. ณ บริเวณหน้าเสาธง ข้างตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย ครบรอบ100ปี ธงชาติไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายน ของทุกปี เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6ที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงประจําชาติไทย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นสัญลักษณ์ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติโดยรัฐบาลได้ริเริ่มจัดกิจกรรมขึ้นเป็นปีแรกพร้อมกันทั่วประเทศโดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ
สําหรับกิจกรรมเนื่องในวันดังกล่าวฯ ประกอบด้วย 1. การเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทย โดยพร้อมเพรียงกัน ณ บริเวณเสาธงชาติ ในทําเนียบรัฐบาล เวลา 08.00 น. พิธีเชิญธง โดยทหารหมู่เชิญธงชาติไทย 3 เหล่าทัพ วงดุริยางค์ 3 เหล่าทัพบรรเลงเพลงชาติไทย และนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพและตํารวจ ผู้แทนศาสนา ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สื่อมวลชน จิตอาสาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิ นักเรียน นักศึกษา และผู้แทนประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมร้องเพลงชาติไทย 2.การจัดนิทรรศการวันพระราชทานธงชาติไทย “100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ”เพื่อเผยแพร่ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับธงชาติไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ความสําคัญและข้อปฏิบัติต่อธงชาติไทย ค่ามาตรฐานแถบสีธงชาติไทย ค่ามาตรฐานสีตามหน่วยสากล และระเบียบเกี่ยวกับการใช้ การชัก และประดับธงชาติไทย ตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ณ ตึกสันติไมตรี (โถงกลาง) และตามสถานที่ของหน่วยงาน และจังหวัดต่าง ๆ 3. การมอบตราสัญลักษณ์ “100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ” ให้แก่ผู้แทนส่วนราชการ วิทยากร และผู้แทนศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักกีฬา
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงออกแบบธงชาติไทย หรือ ธงไตรรงค์ (ธง 3 สี คือ สีแดง น้ําเงินขาบ (น้ําเงินเข้มเจือม่วง) และขาว) และพระราชทานให้ปวงชนชาวไทยใช้เป็นธงชาติไทย โดยได้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ประกาศใช้ตั้งแต่ วันที่ 28 กันยายน พุทธศักราช 2560 เป็นต้นมา ซึ่งประเทศไทยได้ใช้ธงไตรรงค์นี้เป็นธงชาติไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ธงชาติไทยจึงเป็นที่เคารพ และมีความสําคัญสูงสุด เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทยทั้งชาติไม่แบ่งชนชั้นและศาสนา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวร่วมกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง ยั่งยืน สถาพร
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมจัดกิจกรรม รวมทั้งประดับธงชาติไทย ณ อาคาร บ้านเรือน และสถานที่ของท่านตามความเหมาะสมโดยพร้อมเพรียงกัน
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำข้าราชการทุกหมู่เหล่าร่วมร้องเพลงชาติไทยเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560
นายกรัฐมนตรีนําข้าราชการทุกหมู่เหล่าร่วมร้องเพลงชาติไทยเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี
รัฐบาลจัดกิจกรรม เนื่องในวันที่ระลึกวันพระราชทานธงชาติไทยและครบรอบธงชาติไทย 100 ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย
วันนี้ (28กันยายน2560) เวลา 08.00 น. ณ บริเวณหน้าเสาธง ข้างตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย ครบรอบ100ปี ธงชาติไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายน ของทุกปี เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6ที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงประจําชาติไทย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นสัญลักษณ์ความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติโดยรัฐบาลได้ริเริ่มจัดกิจกรรมขึ้นเป็นปีแรกพร้อมกันทั่วประเทศโดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ
สําหรับกิจกรรมเนื่องในวันดังกล่าวฯ ประกอบด้วย 1. การเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา และร้องเพลงชาติไทย โดยพร้อมเพรียงกัน ณ บริเวณเสาธงชาติ ในทําเนียบรัฐบาล เวลา 08.00 น. พิธีเชิญธง โดยทหารหมู่เชิญธงชาติไทย 3 เหล่าทัพ วงดุริยางค์ 3 เหล่าทัพบรรเลงเพลงชาติไทย และนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพและตํารวจ ผู้แทนศาสนา ข้าราชการ ทหาร ตํารวจ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน สื่อมวลชน จิตอาสาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มูลนิธิ นักเรียน นักศึกษา และผู้แทนประชาชนทุกหมู่เหล่า ร่วมร้องเพลงชาติไทย 2.การจัดนิทรรศการวันพระราชทานธงชาติไทย “100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ”เพื่อเผยแพร่ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับธงชาติไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ความสําคัญและข้อปฏิบัติต่อธงชาติไทย ค่ามาตรฐานแถบสีธงชาติไทย ค่ามาตรฐานสีตามหน่วยสากล และระเบียบเกี่ยวกับการใช้ การชัก และประดับธงชาติไทย ตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ณ ตึกสันติไมตรี (โถงกลาง) และตามสถานที่ของหน่วยงาน และจังหวัดต่าง ๆ 3. การมอบตราสัญลักษณ์ “100 ปี ธงชาติไทย ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ” ให้แก่ผู้แทนส่วนราชการ วิทยากร และผู้แทนศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักกีฬา
อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงออกแบบธงชาติไทย หรือ ธงไตรรงค์ (ธง 3 สี คือ สีแดง น้ําเงินขาบ (น้ําเงินเข้มเจือม่วง) และขาว) และพระราชทานให้ปวงชนชาวไทยใช้เป็นธงชาติไทย โดยได้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ประกาศใช้ตั้งแต่ วันที่ 28 กันยายน พุทธศักราช 2560 เป็นต้นมา ซึ่งประเทศไทยได้ใช้ธงไตรรงค์นี้เป็นธงชาติไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ธงชาติไทยจึงเป็นที่เคารพ และมีความสําคัญสูงสุด เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ ความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทยทั้งชาติไม่แบ่งชนชั้นและศาสนา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวร่วมกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง ยั่งยืน สถาพร
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ร่วมจัดกิจกรรม รวมทั้งประดับธงชาติไทย ณ อาคาร บ้านเรือน และสถานที่ของท่านตามความเหมาะสมโดยพร้อมเพรียงกัน
.....................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7042 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้เติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิที่ได้ลงทะเบียนพัฒนาตนเอง 4 เดือน (ก.ย. – ธ.ค. 61) | วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
ครม. เห็นชอบให้เติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิที่ได้ลงทะเบียนพัฒนาตนเอง 4 เดือน (ก.ย. – ธ.ค. 61)
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 100/200 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์พัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 100/200 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์พัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ หวังช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีสิทธิ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมบัญชีกลางได้ดําเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการเพิ่มวงเงินให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล โดยจะได้รับวงเงินเพิ่มสําหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จํานวน 200 บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จํานวน 100 บาท/คน/เดือน ทั้งนี้ การเพิ่มวงเงินดังกล่าว ดําเนินการมาแล้ว 6 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม - สิงหาคม 2561) ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนให้กับผู้มีสิทธิได้ระดับหนึ่ง
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า วันที่ 28 สิงหาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับเปลี่ยนจากการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 200/100 บาท เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกําลังซื้อให้ผู้มีสิทธิ สามารถนําเงิน
จํานวนดังกล่าวไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เช่น ยารักษาโรค อาหาร รวมทั้งสามารถใช้เงินที่เติมลงบัตรในส่วนนี้ เพื่อชําระค่าสินค้าหรือบริการกับหน่วยงานหรือร้านค้าที่วางเครื่อง EDC ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือร้านค้าทั่วไป ที่วางเครื่อง EDC ที่มีสัญลักษณ์ PromptCard หรือร้านค้าที่รับชําระเงินผ่าน Mobile Application“ถุงเงินประชารัฐ”
ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิที่เริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชําระค่าสินค้าหรือบริการจากเงินที่เติมลงบัตรเป็นครั้งแรก จะต้องเปลี่ยนรหัส 6 หลักเดิม (เลขประจําตัวประชาชน 6 หลักสุดท้ายบนหน้าบัตร) จากเครื่อง ATM หรือ เครื่อง ADM หรือ สาขาของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ สําหรับผู้ที่ได้ใช้รหัส 6 หลักในการชําระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” แล้ว สามารถใช้รหัสเดียวกันนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนรหัสอีก ตลอดจนใช้ถอนเงินในส่วนนี้ได้ และควรเก็บรักษารหัสไว้อย่างดีเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนเป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิยังคงวัตถุประสงค์เดิม คือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และยังเป็นการส่งเสริมการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้เติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิที่ได้ลงทะเบียนพัฒนาตนเอง 4 เดือน (ก.ย. – ธ.ค. 61)
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561
ครม. เห็นชอบให้เติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิที่ได้ลงทะเบียนพัฒนาตนเอง 4 เดือน (ก.ย. – ธ.ค. 61)
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 100/200 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์พัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินซื้อสินค้าร้านธงฟ้า 100/200 บาท ให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์พัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ หวังช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีสิทธิ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมบัญชีกลางได้ดําเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการเพิ่มวงเงินให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล โดยจะได้รับวงเงินเพิ่มสําหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จํานวน 200 บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จํานวน 100 บาท/คน/เดือน ทั้งนี้ การเพิ่มวงเงินดังกล่าว ดําเนินการมาแล้ว 6 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม - สิงหาคม 2561) ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนให้กับผู้มีสิทธิได้ระดับหนึ่ง
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า วันที่ 28 สิงหาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับเปลี่ยนจากการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 200/100 บาท เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกําลังซื้อให้ผู้มีสิทธิ สามารถนําเงิน
จํานวนดังกล่าวไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เช่น ยารักษาโรค อาหาร รวมทั้งสามารถใช้เงินที่เติมลงบัตรในส่วนนี้ เพื่อชําระค่าสินค้าหรือบริการกับหน่วยงานหรือร้านค้าที่วางเครื่อง EDC ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือร้านค้าทั่วไป ที่วางเครื่อง EDC ที่มีสัญลักษณ์ PromptCard หรือร้านค้าที่รับชําระเงินผ่าน Mobile Application“ถุงเงินประชารัฐ”
ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิที่เริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชําระค่าสินค้าหรือบริการจากเงินที่เติมลงบัตรเป็นครั้งแรก จะต้องเปลี่ยนรหัส 6 หลักเดิม (เลขประจําตัวประชาชน 6 หลักสุดท้ายบนหน้าบัตร) จากเครื่อง ATM หรือ เครื่อง ADM หรือ สาขาของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ สําหรับผู้ที่ได้ใช้รหัส 6 หลักในการชําระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” แล้ว สามารถใช้รหัสเดียวกันนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนรหัสอีก ตลอดจนใช้ถอนเงินในส่วนนี้ได้ และควรเก็บรักษารหัสไว้อย่างดีเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนเป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิยังคงวัตถุประสงค์เดิม คือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และยังเป็นการส่งเสริมการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14968 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สมาร์ท ซิตี้ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ | วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สมาร์ท ซิตี้ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมือง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ เห็นชอบ 6 โครงการใหญ่ ผลิตยาชีววัตถุ พร้อมส่งเสริมกิจการผลิตสารให้ความหวานจากหญ้าหวาน
วันนี้ (9 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2561 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสําคัญหลายเรื่องที่จะส่งผลดีต่อประเทศในหลายมิติ ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานทั้งไทยและต่างด้าวในประเทศไทย ดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City)เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านคมนาคมขนส่ง (Smart Mobility) ด้านการศึกษาและความเท่าเทียมกันในสังคม (Smart People) ด้านความปลอดภัย (Smart Living) ด้านความสะดวกในการทําธุรกิจ (Smart Economy) ด้านบริการจากภาครัฐ (Smart Governance) และด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Smart Energy & Environment) โดยการส่งเสริมการลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. กิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ ซึ่งจะให้ส่งเสริมแก่ผู้ที่จะเข้ามาพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่เมืองอัจฉริยะซึ่งต้องลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่รองรับระบบอัจฉริยะด้านต่างๆ เช่น Fiber Optic, Public Wifi ด้านการบริหารจัดการข้อมูล (Open Data Platform) และต้องจัดให้มีบริการระบบอัจฉริยะพื้นฐานทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ Smart Mobility, Smart People, Smart Living, Smart Economy, Smart Governance และ Smart Energyและ 2. ให้ส่งเสริมแก่ผู้ที่จะมาพัฒนาระบบอัจฉริยะในด้านต่างๆ ซึ่งต้องพัฒนา ติดตั้ง และให้บริการระบบเมืองอัจฉริยะที่เหมาะสมอย่างน้อย 1 ด้านจาก 6 ด้านข้างต้น โดยทั้งสองกิจการนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี (มูลค่ายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน)
“รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนใน 6 ด้าน จึงให้ส่งเสริมแก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการเป็นเมืองอัจฉริยะ และให้ส่งเสริมนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนระบบต่างๆ ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์ในหลายๆ ด้าน อาทิ มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกันทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศมีความเท่าเทียมกันในสังคมทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความคล่องตัวในการทําธุรกิจและการติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี” เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ที่ประชุมยังเห็นชอบ ให้บีโอไอปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับกิจการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น แบ่งเป็น 1. หากลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)หรือ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 13 ปี 2. หากลงทุนในพื้นที่นิคมหรือเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Park) นอกพื้นที่อีอีซี จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 12 ปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเปิดส่งเสริมการลงทุนแก่“กิจการพัฒนาที่พักอาศัยสําหรับแรงงานมาตรฐานสากล”ทั้งสําหรับแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยต้องเป็นที่พักที่ได้มาตรฐานตามแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสําหรับแรงงานที่มีคุณภาพสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล แก้ปัญหาความแออัดของชุมชน และสภาพของที่พักอาศัยซึ่งไม่ถูกสุขลักษณะและเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน
ทั้งนี้ กิจการลงทุนก่อสร้างที่พักอาศัยสําหรับแรงงานมาตรฐานสากล สามารถดําเนินการได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ หากตั้งกิจการในพื้นที่ทั่วไปจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี (เฉพาะรายได้จากค่าเช่าที่พักอาศัย และกําหนดวงเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนตามหลักเกณฑ์) และหากตั้งใน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 จังหวัดจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 6 ปีโดยผู้ขอส่งเสริมจะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562
ที่ประชุมยังได้พิจารณาแนวทางส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค โดยสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce และ E-Logistics รวมถึงการปรับเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุน จึงเปิดให้ส่งเสริม “กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบอัจฉริยะ” และกําหนดให้เป็นหนึ่งในกิจการเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายและนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (กําหนดวงเงินสูงสุดที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับร้อยละ100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สําหรับรายได้จากการให้บริการกระจายสินค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ กําหนดให้รูปแบบการลงทุนจะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยตรง เช่น วิศวกรรมศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์และData Science เป็นต้น และต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) หรือจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transactions โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงและดําเนินการในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังต้องจัดให้มีการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง เช่น Big Data และData Analytics เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องมีการวิจัยและพัฒนาหรือร่วมมือในโครงการวิจัยและพัฒนากับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัยของประเทศไทย เป็นต้น
ที่ประชุมได้พิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับสิทธิประโยชน์ตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ 10 จังหวัด (ตาก ตราด มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา เชียงราย หนองคาย นครพนม กาญจนบุรีและนราธิวาส) ออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 (เดิมสิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2561) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนหลายรายกําลังจะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในหลายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จึงควรขยายเวลาเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ทั้งกลุ่มที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่และกลุ่มที่จะเข้าไปลงทุนตั้งกิจการ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาให้การส่งเสริมโครงการลงทุนจํานวน 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม37,726 ล้านบาท ประกอบไปด้วย
โครงการที่ 1 ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยโครงการนี้จะผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยจะผลิตยารักษาโรค และยาชีววัตถุ เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยลดการนําเข้ายาจากต่างประเทศ และมีความมั่นคงทางยา รวมทั้งช่วยพัฒนาบุคลากรของประเทศให้สามารถผลิตยาที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงด้วย
โครงการที่ 2 และโครงการที่ 3 เป็นโครงการต่อเนื่องโดยเริ่มจากกิจการผลิตสารสกัดจากหญ้าหวานที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,097 ล้านบาท และโครงการที่3กิจการผลิตสารให้ความหวานจากหญ้าหวานที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพจากการนําสารสกัดจากหญ้าหวานมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารให้ความหวานแทนน้ําตาล เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,589 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยปัจจุบัน สารให้ความหวานแทนน้ําตาลที่มาจากธรรมชาติ มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสลดบริโภคน้ําตาลของผู้เอาใจใส่ด้านสุขภาพ โครงการนี้ จะช่วยส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกหญ้าหวาน ส่งเสริมให้หญ้าหวานเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้ของเกษตรกร เพิ่มโอกาสและช่องทางให้ประชาชนบริโภคสารให้ความหวานโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และจะเป็นโครงการต้นแบบสําหรับการนําเทคโนโลยีชีวภาพมาพัฒนาพืชหรือสมุนไพรอื่น ๆ
โครงการที่ 4 เป็นกิจการผลิตเม็ดพลาสติก POLYPROPYLENE (PP) ซึ่งสามารถนําไปใช้ผลิตในอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และเส้นใยต่างๆ เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,200 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยโครงการนี้จะใช้วัตถุดิบจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางในประเทศ มูลค่าปีละกว่า 10,600 ล้านบาท
โครงการที่ 5 เป็นกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท โดยจะวางท่อสําหรับขนส่งน้ํามันทางใต้ดินจากจังหวัดสระบุรี ถึงจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการจราจรและมลพิษจากการขนส่งน้ํามันโดยรถบรรทุกอีกด้วย
โครงการที่ 6 เป็นกิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,840 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยจะให้บริการจัดเก็บและกระจายสินค้าประเภทเม็ดพลาสติก เหล็กแผ่นม้วน และอื่นๆ อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของรัฐบาล
............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจาก ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สมาร์ท ซิตี้ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ
วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ สมาร์ท ซิตี้ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาเมือง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยใช้ระบบอัจฉริยะ เห็นชอบ 6 โครงการใหญ่ ผลิตยาชีววัตถุ พร้อมส่งเสริมกิจการผลิตสารให้ความหวานจากหญ้าหวาน
วันนี้ (9 พฤษภาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2561 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
ภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสําคัญหลายเรื่องที่จะส่งผลดีต่อประเทศในหลายมิติ ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานทั้งไทยและต่างด้าวในประเทศไทย ดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City)เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านคมนาคมขนส่ง (Smart Mobility) ด้านการศึกษาและความเท่าเทียมกันในสังคม (Smart People) ด้านความปลอดภัย (Smart Living) ด้านความสะดวกในการทําธุรกิจ (Smart Economy) ด้านบริการจากภาครัฐ (Smart Governance) และด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (Smart Energy & Environment) โดยการส่งเสริมการลงทุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. กิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ ซึ่งจะให้ส่งเสริมแก่ผู้ที่จะเข้ามาพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่เมืองอัจฉริยะซึ่งต้องลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่รองรับระบบอัจฉริยะด้านต่างๆ เช่น Fiber Optic, Public Wifi ด้านการบริหารจัดการข้อมูล (Open Data Platform) และต้องจัดให้มีบริการระบบอัจฉริยะพื้นฐานทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ Smart Mobility, Smart People, Smart Living, Smart Economy, Smart Governance และ Smart Energyและ 2. ให้ส่งเสริมแก่ผู้ที่จะมาพัฒนาระบบอัจฉริยะในด้านต่างๆ ซึ่งต้องพัฒนา ติดตั้ง และให้บริการระบบเมืองอัจฉริยะที่เหมาะสมอย่างน้อย 1 ด้านจาก 6 ด้านข้างต้น โดยทั้งสองกิจการนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 8 ปี (มูลค่ายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน)
“รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนใน 6 ด้าน จึงให้ส่งเสริมแก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของการเป็นเมืองอัจฉริยะ และให้ส่งเสริมนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนระบบต่างๆ ซึ่งประชาชนจะได้รับประโยชน์ในหลายๆ ด้าน อาทิ มีระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกันทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศมีความเท่าเทียมกันในสังคมทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความคล่องตัวในการทําธุรกิจและการติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี” เลขาธิการบีโอไอกล่าว
ที่ประชุมยังเห็นชอบ ให้บีโอไอปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับกิจการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น แบ่งเป็น 1. หากลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)หรือ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) จะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 13 ปี 2. หากลงทุนในพื้นที่นิคมหรือเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Park) นอกพื้นที่อีอีซี จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่เกิน 12 ปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบเปิดส่งเสริมการลงทุนแก่“กิจการพัฒนาที่พักอาศัยสําหรับแรงงานมาตรฐานสากล”ทั้งสําหรับแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยต้องเป็นที่พักที่ได้มาตรฐานตามแนวทางขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ILO เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสําหรับแรงงานที่มีคุณภาพสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล แก้ปัญหาความแออัดของชุมชน และสภาพของที่พักอาศัยซึ่งไม่ถูกสุขลักษณะและเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน
ทั้งนี้ กิจการลงทุนก่อสร้างที่พักอาศัยสําหรับแรงงานมาตรฐานสากล สามารถดําเนินการได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ หากตั้งกิจการในพื้นที่ทั่วไปจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี (เฉพาะรายได้จากค่าเช่าที่พักอาศัย และกําหนดวงเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นไม่เกินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนตามหลักเกณฑ์) และหากตั้งใน 10 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 จังหวัดจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 6 ปีโดยผู้ขอส่งเสริมจะต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2562
ที่ประชุมยังได้พิจารณาแนวทางส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค โดยสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce และ E-Logistics รวมถึงการปรับเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุน จึงเปิดให้ส่งเสริม “กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบอัจฉริยะ” และกําหนดให้เป็นหนึ่งในกิจการเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายและนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (กําหนดวงเงินสูงสุดที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับร้อยละ100 ของเงินลงทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สําหรับรายได้จากการให้บริการกระจายสินค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ กําหนดให้รูปแบบการลงทุนจะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยตรง เช่น วิศวกรรมศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์และData Science เป็นต้น และต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) หรือจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Digital Transactions โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงและดําเนินการในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังต้องจัดให้มีการฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง เช่น Big Data และData Analytics เป็นต้น ทั้งนี้ ต้องมีการวิจัยและพัฒนาหรือร่วมมือในโครงการวิจัยและพัฒนากับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัยของประเทศไทย เป็นต้น
ที่ประชุมได้พิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับสิทธิประโยชน์ตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ 10 จังหวัด (ตาก ตราด มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา เชียงราย หนองคาย นครพนม กาญจนบุรีและนราธิวาส) ออกไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 (เดิมสิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2561) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนหลายรายกําลังจะเข้าไปพัฒนาพื้นที่ในหลายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จึงควรขยายเวลาเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ทั้งกลุ่มที่จะเข้าไปพัฒนาพื้นที่และกลุ่มที่จะเข้าไปลงทุนตั้งกิจการ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาให้การส่งเสริมโครงการลงทุนจํานวน 6 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม37,726 ล้านบาท ประกอบไปด้วย
โครงการที่ 1 ได้รับส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยโครงการนี้จะผลิตยาแผนปัจจุบัน โดยจะผลิตยารักษาโรค และยาชีววัตถุ เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยลดการนําเข้ายาจากต่างประเทศ และมีความมั่นคงทางยา รวมทั้งช่วยพัฒนาบุคลากรของประเทศให้สามารถผลิตยาที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงด้วย
โครงการที่ 2 และโครงการที่ 3 เป็นโครงการต่อเนื่องโดยเริ่มจากกิจการผลิตสารสกัดจากหญ้าหวานที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเงินลงทุนทั้งสิ้น 4,097 ล้านบาท และโครงการที่3กิจการผลิตสารให้ความหวานจากหญ้าหวานที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพจากการนําสารสกัดจากหญ้าหวานมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสารให้ความหวานแทนน้ําตาล เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,589 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยปัจจุบัน สารให้ความหวานแทนน้ําตาลที่มาจากธรรมชาติ มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสลดบริโภคน้ําตาลของผู้เอาใจใส่ด้านสุขภาพ โครงการนี้ จะช่วยส่งเสริมเกษตรกรในการปลูกหญ้าหวาน ส่งเสริมให้หญ้าหวานเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้ของเกษตรกร เพิ่มโอกาสและช่องทางให้ประชาชนบริโภคสารให้ความหวานโดยไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และจะเป็นโครงการต้นแบบสําหรับการนําเทคโนโลยีชีวภาพมาพัฒนาพืชหรือสมุนไพรอื่น ๆ
โครงการที่ 4 เป็นกิจการผลิตเม็ดพลาสติก POLYPROPYLENE (PP) ซึ่งสามารถนําไปใช้ผลิตในอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และเส้นใยต่างๆ เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,200 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยโครงการนี้จะใช้วัตถุดิบจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางในประเทศ มูลค่าปีละกว่า 10,600 ล้านบาท
โครงการที่ 5 เป็นกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาท โดยจะวางท่อสําหรับขนส่งน้ํามันทางใต้ดินจากจังหวัดสระบุรี ถึงจังหวัดขอนแก่น ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการจราจรและมลพิษจากการขนส่งน้ํามันโดยรถบรรทุกอีกด้วย
โครงการที่ 6 เป็นกิจการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,840 ล้านบาท ตั้งโครงการที่จังหวัดระยอง โดยจะให้บริการจัดเก็บและกระจายสินค้าประเภทเม็ดพลาสติก เหล็กแผ่นม้วน และอื่นๆ อย่างเป็นระบบและสอดคล้องกับนโยบายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของรัฐบาล
............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
(ข้อมูลจาก ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12100 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารกรุงไทยให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ 10 ทุน | วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
ธนาคารกรุงไทยให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ 10 ทุน
ธนาคารกรุงไทยเปิดสมัครสอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ ประจําปี 2560 จํานวน 10 ทุน ในมหาวิทยาลัยชั้นนําของประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2560
นายศุภวัฒน์ วัฒน์ธนปติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานทรัพยากรบุคคลและบรรษัทภิบาล ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมีแผนในการสร้างบุคลากร เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปและพนักงานของธนาคารสอบชิงทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ จํานวน 10 ทุน ซึ่งธนาคารได้ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2535 โดยปัจจุบันธนาคารได้ให้ทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 90 ทุน ธนาคารมีนโยบายในการดูแลนักเรียนทุนตั้งแต่ก่อนไปศึกษาต่อต่างประเทศ จนกลับเข้ามาปฏิบัติงานกับธนาคาร มีการกําหนดเส้นทางความก้าวหน้า รวมทั้งพัฒนาศักยภาพและความเป็นผู้นําให้กับนักเรียนทุนภายหลังสําเร็จการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโตเป็นผู้บริหารธนาคารในอนาคตต่อไป
“สําหรับในปี 2560 ธนาคารกําหนดให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ จํานวน 10 ทุน สําหรับหลักสูตรด้าน MBA Financial Engineering Laws Data Science MIS IT Mathematics Artificial Intelligenceและ Digital Transformation and Innovation ในมหาวิทยาลัยชั้นนําของประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์”
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.ktb.co.th ในหัวข้อ สมัครงานและทุน โดยส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานการสมัคร มาที่ Email: ktb.scholarship@ktb.co.th ภายในวันที่ 7 เมษายน 2560 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายบริหารเส้นทางความก้าวหน้าและสรรหาบุคลากร งานบริหารบุคลากรกลุ่มศักยภาพ โทร. 0-2345-1884-5
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารกรุงไทยให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ 10 ทุน
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560
ธนาคารกรุงไทยให้ทุนเรียนต่อปริญญาโทต่างประเทศ 10 ทุน
ธนาคารกรุงไทยเปิดสมัครสอบทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ ประจําปี 2560 จํานวน 10 ทุน ในมหาวิทยาลัยชั้นนําของประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2560
นายศุภวัฒน์ วัฒน์ธนปติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานทรัพยากรบุคคลและบรรษัทภิบาล ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมีแผนในการสร้างบุคลากร เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัล โดยเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปและพนักงานของธนาคารสอบชิงทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ จํานวน 10 ทุน ซึ่งธนาคารได้ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2535 โดยปัจจุบันธนาคารได้ให้ทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 90 ทุน ธนาคารมีนโยบายในการดูแลนักเรียนทุนตั้งแต่ก่อนไปศึกษาต่อต่างประเทศ จนกลับเข้ามาปฏิบัติงานกับธนาคาร มีการกําหนดเส้นทางความก้าวหน้า รวมทั้งพัฒนาศักยภาพและความเป็นผู้นําให้กับนักเรียนทุนภายหลังสําเร็จการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมในการเติบโตเป็นผู้บริหารธนาคารในอนาคตต่อไป
“สําหรับในปี 2560 ธนาคารกําหนดให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ จํานวน 10 ทุน สําหรับหลักสูตรด้าน MBA Financial Engineering Laws Data Science MIS IT Mathematics Artificial Intelligenceและ Digital Transformation and Innovation ในมหาวิทยาลัยชั้นนําของประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์”
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.ktb.co.th ในหัวข้อ สมัครงานและทุน โดยส่งใบสมัครพร้อมหลักฐานการสมัคร มาที่ Email: ktb.scholarship@ktb.co.th ภายในวันที่ 7 เมษายน 2560 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายบริหารเส้นทางความก้าวหน้าและสรรหาบุคลากร งานบริหารบุคลากรกลุ่มศักยภาพ โทร. 0-2345-1884-5
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2757 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ชื่นชมไทยระดับแนวหน้าด้านกายอุปกรณ์อาเซียน และเอเชีย | วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561
รมว.สธ. ชื่นชมไทยระดับแนวหน้าด้านกายอุปกรณ์อาเซียน และเอเชีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยไทยอยู่ระดับแนวหน้าของอาเซียนและเอเชีย ด้านกายอุปกรณ์ สร้างความเสมอภาคคนพิการได้รับการเสริมสร้างให้กลับมาทําประโยชน์เพื่อสังคมได้
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงแรมนารายณ์ กทม. ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติกายอุปกรณ์ “The Asian Prosthetic and Orthotic Scientific Meeting 2018 (APOSM) in conjunction with 4th ASEAN Seminar on Multi-Disciplinary Care for Children with Mobility (4thAMCM)” จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านกายอุปกรณ์จากทั่วโลก สามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วย ผู้พิการ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ในศาสตร์ของการผลิตกายอุปกรณ์ อาทิ แขน ขาเทียม รถเข็น และอุปกรณ์อื่นๆ รองรับผู้พิการและเกิดประโยชน์สูงสุด
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนาศาสตร์ด้านกายอุปกรณ์ เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติให้ได้มากที่สุดและทําประโยชน์ต่อสังคมได้นั้น หลายประเทศมีการพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ด้อยกว่าประเทศใด และอยู่ในระดับแนวหน้าของอาเซียนและเอเชีย ซึ่งโรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นโรงเรียนระดับนานาชาติที่มีนักศึกษาในภูมิภาคอาเซียนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงแอฟริกามาศึกษา ให้สามารถนําวิชาความรู้กลับไปดูแลคนพิการในประเทศบ้านเกิดให้มีคุณภาพชีวิต และร่วมกับสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาการทําแขน/ขาเทียม รถเข็น กายอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือคนพิการของประเทศไทย
สําหรับการประชุมครั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านกายอุปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ กว่า 300 คนจาก 22 ประเทศทั่วโลก อาทิ ราชอาณาจักรสวีเดน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐฟินแลนด์ อังกฤษ เครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ญี่ปุ่น เป็นต้น
****************************** 7 พฤศจิกายน 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ชื่นชมไทยระดับแนวหน้าด้านกายอุปกรณ์อาเซียน และเอเชีย
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561
รมว.สธ. ชื่นชมไทยระดับแนวหน้าด้านกายอุปกรณ์อาเซียน และเอเชีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยไทยอยู่ระดับแนวหน้าของอาเซียนและเอเชีย ด้านกายอุปกรณ์ สร้างความเสมอภาคคนพิการได้รับการเสริมสร้างให้กลับมาทําประโยชน์เพื่อสังคมได้
วันนี้ (7 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงแรมนารายณ์ กทม. ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติกายอุปกรณ์ “The Asian Prosthetic and Orthotic Scientific Meeting 2018 (APOSM) in conjunction with 4th ASEAN Seminar on Multi-Disciplinary Care for Children with Mobility (4thAMCM)” จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านกายอุปกรณ์จากทั่วโลก สามารถนําไปประยุกต์ใช้กับผู้ป่วย ผู้พิการ รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ในศาสตร์ของการผลิตกายอุปกรณ์ อาทิ แขน ขาเทียม รถเข็น และอุปกรณ์อื่นๆ รองรับผู้พิการและเกิดประโยชน์สูงสุด
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนาศาสตร์ด้านกายอุปกรณ์ เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติให้ได้มากที่สุดและทําประโยชน์ต่อสังคมได้นั้น หลายประเทศมีการพัฒนา รวมทั้งประเทศไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ด้อยกว่าประเทศใด และอยู่ในระดับแนวหน้าของอาเซียนและเอเชีย ซึ่งโรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นโรงเรียนระดับนานาชาติที่มีนักศึกษาในภูมิภาคอาเซียนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงแอฟริกามาศึกษา ให้สามารถนําวิชาความรู้กลับไปดูแลคนพิการในประเทศบ้านเกิดให้มีคุณภาพชีวิต และร่วมกับสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาการทําแขน/ขาเทียม รถเข็น กายอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือคนพิการของประเทศไทย
สําหรับการประชุมครั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านกายอุปกรณ์จากประเทศต่าง ๆ กว่า 300 คนจาก 22 ประเทศทั่วโลก อาทิ ราชอาณาจักรสวีเดน สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐฟินแลนด์ อังกฤษ เครือรัฐออสเตรเลีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ญี่ปุ่น เป็นต้น
****************************** 7 พฤศจิกายน 2561 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ลงพื้นที่ปากน้ำโพ ขับเคลื่อนนโยบายแรงงานปี 62 ตามสูตร 13 + 4 + 7 | วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561
“บิ๊กอู๋”ลงพื้นที่ปากน้ําโพ ขับเคลื่อนนโยบายแรงงานปี 62 ตามสูตร 13 + 4 + 7
รมว.แรงงาน มอบนโยบายทิศทางการดําเนินงานปี 2562 แก่หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิจิตร กําแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ เน้นหนักนโยบาย 3 A ตามสูตร 13 + 4 + 7
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและทิศทางการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2562 แก่หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิจิตร กําแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ โดยกล่าวว่า การขับเคลื่อนงานของกระทรวงต้องมีเอกภาพ โดยนโยบายเน้นหนักของกระทรวงแรงงานในปี 2562 ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วน (Agenda Based) 13 ข้อ ได้แก่ 1)ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานมีคุณภาพ 2)พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติเพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC 3)ส่งเสริมการมีงานทําและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุและส่งเสริมให้คนพิการมีงานทํา 4)ส่งเสริมให้แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศตามกระบวนการเดินทางไปอย่างถูกต้อง 5)ป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวงและลักลอบไปทํางานต่างประเทศ 6)บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวตาม MOU ตรวจสอบและเร่งรัดการทํางานของแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย 7)แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานเชิงระบบ 8)ส่งเสริมการจ้างงานยุวแรงงานส่งเสริมมีงานทําและพัฒนาทักษะฝีมือผู้ต้องขัง 9)เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน 10)เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย 11)ขับเคลื่อน Safety Thailand 12)พัฒนาและปรับปรุงสิทธิประโยชน์การประกันสังคมและการเข้าสู่ ILO ฉบับที่ 102 13)ขยายการบูรณาการภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมคุ้มครองและพัฒนาแรงงานนอกระบบ
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า นโยบายระดับพื้นที่ (Area Based) 4 ข้อ ได้แก่ 1)แรงงานจังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงในภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ 2)แรงงานจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่าย 3)แรงงานจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan)ในลักษณะแผนเดียว (One Plan) 4)แรงงานจังหวัดเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลแรงงานระดับจังหวัด (Provincial Big Data) และเชื่อมโยงสู่ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ (Nlic) และนโยบายบริหารการพัฒนา (Administration Based) ได้แก่ 1)ยกระดับกระทรวงแรงงานให้เป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานระดับสากล ปรับปรุงโครงสร้างให้สอดรับทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต 2)พัฒนาบุคลากรให้มีขีดสมรรถนะสูง มีบุคลิกภาพที่ดี และมีภาวะผู้นํา 3)ขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ศปก.ระดับกรม และระดับพื้นที่ 4)ยกระดับศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ (Nlic)ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) 5)เร่งรัดทบทวน และปรับปรุงการออกกฎหมายชั้นพระราชบัญญัติและกฎหมายลําดับรองเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงาน 6)จัดสวัสดิการสําหรับบุคลากรของกระทรวงแรงงานเพื่อเสริมสร้างขวัญและกําลังใจในการทํางาน 7)ให้มีคณะทํางานเพื่อศึกษา วิจัยหรือวางแผนอนาคตในการพัฒนาแรงงาน
สําหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันมีกําลังแรงงาน 525,267 คน มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.74 มีผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 รวมทั้งสิ้น 110,273 คน มีสถานประกอบการ 3,558 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดกลางถึงเล็ก มีแรงงานต่างด้าว 7,327 คน กําลังแรงงานส่วนใหญ่ทํางานนอกภาคเกษตร ซึ่งอยู่ในกิจการขายปลีก ขายส่ง การผลิต และบริการ มีแรงงานนอกระบบ 3 แสนคนเศษ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร
----------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
21 ตุลาคม 2561 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ลงพื้นที่ปากน้ำโพ ขับเคลื่อนนโยบายแรงงานปี 62 ตามสูตร 13 + 4 + 7
วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2561
“บิ๊กอู๋”ลงพื้นที่ปากน้ําโพ ขับเคลื่อนนโยบายแรงงานปี 62 ตามสูตร 13 + 4 + 7
รมว.แรงงาน มอบนโยบายทิศทางการดําเนินงานปี 2562 แก่หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิจิตร กําแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ เน้นหนักนโยบาย 3 A ตามสูตร 13 + 4 + 7
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและทิศทางการดําเนินงานประจําปีงบประมาณ 2562 แก่หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิจิตร กําแพงเพชร อุทัยธานี ชัยนาท และนครสวรรค์ ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ โดยกล่าวว่า การขับเคลื่อนงานของกระทรวงต้องมีเอกภาพ โดยนโยบายเน้นหนักของกระทรวงแรงงานในปี 2562 ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วน (Agenda Based) 13 ข้อ ได้แก่ 1)ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานมีคุณภาพ 2)พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานตามมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติเพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ EEC 3)ส่งเสริมการมีงานทําและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุและส่งเสริมให้คนพิการมีงานทํา 4)ส่งเสริมให้แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศตามกระบวนการเดินทางไปอย่างถูกต้อง 5)ป้องกันและแก้ไขปัญหาแรงงานไทยถูกหลอกลวงและลักลอบไปทํางานต่างประเทศ 6)บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวตาม MOU ตรวจสอบและเร่งรัดการทํางานของแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย 7)แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานเชิงระบบ 8)ส่งเสริมการจ้างงานยุวแรงงานส่งเสริมมีงานทําและพัฒนาทักษะฝีมือผู้ต้องขัง 9)เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน 10)เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย 11)ขับเคลื่อน Safety Thailand 12)พัฒนาและปรับปรุงสิทธิประโยชน์การประกันสังคมและการเข้าสู่ ILO ฉบับที่ 102 13)ขยายการบูรณาการภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมคุ้มครองและพัฒนาแรงงานนอกระบบ
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า นโยบายระดับพื้นที่ (Area Based) 4 ข้อ ได้แก่ 1)แรงงานจังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงในภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ 2)แรงงานจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่าย 3)แรงงานจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในการจัดทําแผนปฏิบัติการ (Action Plan)ในลักษณะแผนเดียว (One Plan) 4)แรงงานจังหวัดเป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลแรงงานระดับจังหวัด (Provincial Big Data) และเชื่อมโยงสู่ศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ (Nlic) และนโยบายบริหารการพัฒนา (Administration Based) ได้แก่ 1)ยกระดับกระทรวงแรงงานให้เป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานระดับสากล ปรับปรุงโครงสร้างให้สอดรับทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคต 2)พัฒนาบุคลากรให้มีขีดสมรรถนะสูง มีบุคลิกภาพที่ดี และมีภาวะผู้นํา 3)ขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงแรงงาน (ศปก.รง.) ศปก.ระดับกรม และระดับพื้นที่ 4)ยกระดับศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ (Nlic)ให้เป็นศูนย์กลางการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) 5)เร่งรัดทบทวน และปรับปรุงการออกกฎหมายชั้นพระราชบัญญัติและกฎหมายลําดับรองเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงาน 6)จัดสวัสดิการสําหรับบุคลากรของกระทรวงแรงงานเพื่อเสริมสร้างขวัญและกําลังใจในการทํางาน 7)ให้มีคณะทํางานเพื่อศึกษา วิจัยหรือวางแผนอนาคตในการพัฒนาแรงงาน
สําหรับสถานการณ์ด้านแรงงานของจังหวัดนครสวรรค์ ปัจจุบันมีกําลังแรงงาน 525,267 คน มีอัตราการว่างงานร้อยละ 0.74 มีผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 รวมทั้งสิ้น 110,273 คน มีสถานประกอบการ 3,558 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดกลางถึงเล็ก มีแรงงานต่างด้าว 7,327 คน กําลังแรงงานส่วนใหญ่ทํางานนอกภาคเกษตร ซึ่งอยู่ในกิจการขายปลีก ขายส่ง การผลิต และบริการ มีแรงงานนอกระบบ 3 แสนคนเศษ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร
----------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
21 ตุลาคม 2561 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16228 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมสนับสนุนกิจกรรมครอบครัว พาพ่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เข้าฟรี 5 ธันวาคม 2560 | วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมสนับสนุนกิจกรรมครอบครัว พาพ่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เข้าฟรี 5 ธันวาคม 2560
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ สําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ สําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 เห็นชอบให้วันที่ 5 ธันวาคม 2560
เป็นวันหยุดราชการ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ จึงอาศัยอํานาจตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าไปดําเนินกิจกรรมท่องเที่ยวและพักอาศัยในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2547 ยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติสําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560 นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมในครอบครัว ร่วมศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศ ป่าไม้และสัตว์ป่า เพื่อเสริมสร้างความใกล้ชิดให้กับสถาบันครอบครัวอีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมสนับสนุนกิจกรรมครอบครัว พาพ่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เข้าฟรี 5 ธันวาคม 2560
วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมสนับสนุนกิจกรรมครอบครัว พาพ่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติ เข้าฟรี 5 ธันวาคม 2560
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ สําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ สําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560
ด้วยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 เห็นชอบให้วันที่ 5 ธันวาคม 2560
เป็นวันหยุดราชการ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ จึงอาศัยอํานาจตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าไปดําเนินกิจกรรมท่องเที่ยวและพักอาศัยในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2547 ยกเว้นค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติสําหรับบุคคลชาวไทยและยานพาหนะ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ วันที่ 5 ธันวาคม 2560 นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกิจกรรมในครอบครัว ร่วมศึกษาธรรมชาติระบบนิเวศ ป่าไม้และสัตว์ป่า เพื่อเสริมสร้างความใกล้ชิดให้กับสถาบันครอบครัวอีกด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8665 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงยุติธรรม” พัฒนาแนวทางการจัดรูปแบบการให้บริการด้านงานยุติธรรม ตามแบบมาตรฐาน และเร่งรัดการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน | วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561
“กระทรวงยุติธรรม” พัฒนาแนวทางการจัดรูปแบบการให้บริการด้านงานยุติธรรม ตามแบบมาตรฐาน และเร่งรัดการดําเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนภารกิจของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดผ่านระบบการประชุม
ทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ไปยังยุติธรรมจังหวัดทุกแห่ง
ในวันศุกร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนภารกิจของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดผ่านระบบการประชุม
ทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ไปยังยุติธรรมจังหวัดทุกแห่ง
เพื่อการประชุมฯ ในการกําหนดมาตรฐานการให้บริการของสํานักงานยุติธรรม
จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําด้านความยุติธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อสั่งการให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งดําเนินการในประเด็นต่างๆ ดังนี้
๑. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่งดําเนินการจัดผังรูปแบบการให้บริการสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ตามแบบมาตรฐานที่กระทรวงยุติธรรมกําหนด
๒. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่ง เตรียมจัดทําป้ายประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาทภารกิจด้านการให้บริการ
ด้านงานยุติธรรมในพื้นที่อย่างทั่วถึง อาทิ ป้ายคัทเอาท์ โปสเตอร์แสดงข้อมูลช่องทางการให้บริการ
ป้ายประชาสัมพันธ์ข้อมูลงานบริการต่างๆ เป็นต้น
และ ๓. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่ง เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชนตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงยุติธรรม” พัฒนาแนวทางการจัดรูปแบบการให้บริการด้านงานยุติธรรม ตามแบบมาตรฐาน และเร่งรัดการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561
“กระทรวงยุติธรรม” พัฒนาแนวทางการจัดรูปแบบการให้บริการด้านงานยุติธรรม ตามแบบมาตรฐาน และเร่งรัดการดําเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชน
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนภารกิจของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดผ่านระบบการประชุม
ทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ไปยังยุติธรรมจังหวัดทุกแห่ง
ในวันศุกร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนภารกิจของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดผ่านระบบการประชุม
ทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference System) ไปยังยุติธรรมจังหวัดทุกแห่ง
เพื่อการประชุมฯ ในการกําหนดมาตรฐานการให้บริการของสํานักงานยุติธรรม
จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําด้านความยุติธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มีข้อสั่งการให้สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งดําเนินการในประเด็นต่างๆ ดังนี้
๑. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่งดําเนินการจัดผังรูปแบบการให้บริการสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ตามแบบมาตรฐานที่กระทรวงยุติธรรมกําหนด
๒. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่ง เตรียมจัดทําป้ายประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาทภารกิจด้านการให้บริการ
ด้านงานยุติธรรมในพื้นที่อย่างทั่วถึง อาทิ ป้ายคัทเอาท์ โปสเตอร์แสดงข้อมูลช่องทางการให้บริการ
ป้ายประชาสัมพันธ์ข้อมูลงานบริการต่างๆ เป็นต้น
และ ๓. ให้สํานักงานยุติจังหวัดทุกแห่ง เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแก่ประชาชนตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10478 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำปลูก “ไม้มีค่า” เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ในโอกาสเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ฯ ตามนโยบายแห่งของรัฐบาล | วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ําปลูก “ไม้มีค่า” เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ในโอกาสเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ฯ ตามนโยบายแห่งของรัฐบาล
นายกฯ ย้ําการขับเคลื่อน จ.ราชบุรีต้องเป็นไปตามศักยภาพที่มีอยู่ พร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ยกระดับอัตลักษณ์ในพื้นที่ ต่อยอด สืบสานให้คงอยู่ตลอดไป
วันนี้ (11 พ.ย. 62) เวลา 09.30 น. ณ โรงยิมเนเซี่ยม องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ จํานวนกว่า 3,000 คน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายของรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมแก่นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนแก่ผู้แทนชุมชน โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนชาวราชบุรีตอนหนึ่งว่า วันนี้รัฐบาลโดย คทช. พยายามจัดหาที่ดินทํากินให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาความยากจน พร้อมทั้งขอให้ช่วยกันปลูกไม้มีค่า ซึ่งสามารถแปลงเป็นทรัพย์สินที่ในอนาคตให้ลูกหลาน ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันได้ และคนในท้องถิ่นได้ใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนร่วมกันได้ พร้อมฝากประชาชนให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินโดยผิดกฎหมาย สําหรับการทําการเกษตรก็ต้องเป็น smart farmer รู้จักใช้เทคโนโลยี ปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด มีการใช้น้ําอย่างมีคุณค่า โดยรัฐบาลพร้อมผลักดันให้การทําการเกษตรกรเป็นอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่เพียงพอกับการดําเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ จังหวัดราชบุรียังมีศักยภาพทั้งการเกษตร รวมทั้งการทําโอ่งและเซรามิก สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิตลาดน้ําดําเนินสะดวกและตลาดน้ําเหล่าตั๊กลัก ก็ขอช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ ให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยววิถีคลอง เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีขอยืนยันประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ ต้องได้รับประโยชน์จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ผ่านมาตรการและโครงการต่างๆ เช่น โครงการ ชิม ช้อป ใช้ ที่ประสบความสําเร็จมีประชาชนเข้าร่วมโครงการเป็นจํานวนมาก โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการช่วยเหลือSMEs การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โครงการค้ําประกันสินเชื่อ และมาตรการสินเชื่อผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนSMEs และนโยบายการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นต้น ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณลงไปพัฒนาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องและตรงกับความต้องการของท้องถิ่น โดยนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงในช่วงท้ายถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งเด็กและเยาวชนศึกษาในสาขาวิชาที่ตรงกับความต้องการของตลาด สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยลดการขาดแคลนแรงงานในประเทศ รวมทั้งกล่าวฝากถึงการใช้เทคโนโลยีและโชเชียลให้เกิดประโยชน์และรู้เท่าทัน
โดยก่อนหน้านี้ ช่วงเช้าเวลา นายกรัฐมนตรีและคณะ ยังได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ตรวจภูมิประเทศเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โครงการทางหลวงแนวใหม่เชื่อมต่อสามแยก วังมะนาว – บรรจบทางหลวงหมายเลข 3510 (จุดเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ-ภาคใต้ และภาคตะวันออก-ภาคตะวันตก) บริเวณสามแยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ระยะทางประมาณ 36.8 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาและลดปัญหาการจราจร ติดขัดบนทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) อีกทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก โดยแบ่งการดําเนินเป็น 3 ตอน ประกอบด้วยการก่อสร้างถนนใหม่ และการขยายช่องจราจรทางหลวงสายเดิม ขณะนี้โครงการอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขรายงาน EIA กําหนดเปิดให้บริการในปี 2568
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ํา “วิถีคลอง วิถีไทย” ณ ต.ดําเนินสะดวก อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี ต่อไป
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำปลูก “ไม้มีค่า” เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ในโอกาสเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ฯ ตามนโยบายแห่งของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562
นายกรัฐมนตรีย้ําปลูก “ไม้มีค่า” เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน ในโอกาสเป็นสักขีพยานการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ฯ ตามนโยบายแห่งของรัฐบาล
นายกฯ ย้ําการขับเคลื่อน จ.ราชบุรีต้องเป็นไปตามศักยภาพที่มีอยู่ พร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ยกระดับอัตลักษณ์ในพื้นที่ ต่อยอด สืบสานให้คงอยู่ตลอดไป
วันนี้ (11 พ.ย. 62) เวลา 09.30 น. ณ โรงยิมเนเซี่ยม องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ จํานวนกว่า 3,000 คน ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน (คทช.) ตามนโยบายของรัฐบาลในลักษณะแปลงรวมแก่นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนแก่ผู้แทนชุมชน โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือครั้งนี้ด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนชาวราชบุรีตอนหนึ่งว่า วันนี้รัฐบาลโดย คทช. พยายามจัดหาที่ดินทํากินให้กับประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาความยากจน พร้อมทั้งขอให้ช่วยกันปลูกไม้มีค่า ซึ่งสามารถแปลงเป็นทรัพย์สินที่ในอนาคตให้ลูกหลาน ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันได้ และคนในท้องถิ่นได้ใช้ประโยชน์จากป่าชุมชนร่วมกันได้ พร้อมฝากประชาชนให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินโดยผิดกฎหมาย สําหรับการทําการเกษตรก็ต้องเป็น smart farmer รู้จักใช้เทคโนโลยี ปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด มีการใช้น้ําอย่างมีคุณค่า โดยรัฐบาลพร้อมผลักดันให้การทําการเกษตรกรเป็นอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่เพียงพอกับการดําเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ จังหวัดราชบุรียังมีศักยภาพทั้งการเกษตร รวมทั้งการทําโอ่งและเซรามิก สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิตลาดน้ําดําเนินสะดวกและตลาดน้ําเหล่าตั๊กลัก ก็ขอช่วยกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ ให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยววิถีคลอง เรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีขอยืนยันประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ ต้องได้รับประโยชน์จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ผ่านมาตรการและโครงการต่างๆ เช่น โครงการ ชิม ช้อป ใช้ ที่ประสบความสําเร็จมีประชาชนเข้าร่วมโครงการเป็นจํานวนมาก โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการช่วยเหลือSMEs การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โครงการค้ําประกันสินเชื่อ และมาตรการสินเชื่อผ่อนปรน เพื่อสนับสนุนSMEs และนโยบายการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากและการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นต้น ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณลงไปพัฒนาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องและตรงกับความต้องการของท้องถิ่น โดยนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงในช่วงท้ายถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งเด็กและเยาวชนศึกษาในสาขาวิชาที่ตรงกับความต้องการของตลาด สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เพื่อช่วยลดการขาดแคลนแรงงานในประเทศ รวมทั้งกล่าวฝากถึงการใช้เทคโนโลยีและโชเชียลให้เกิดประโยชน์และรู้เท่าทัน
โดยก่อนหน้านี้ ช่วงเช้าเวลา นายกรัฐมนตรีและคณะ ยังได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ตรวจภูมิประเทศเพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โครงการทางหลวงแนวใหม่เชื่อมต่อสามแยก วังมะนาว – บรรจบทางหลวงหมายเลข 3510 (จุดเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ-ภาคใต้ และภาคตะวันออก-ภาคตะวันตก) บริเวณสามแยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ระยะทางประมาณ 36.8 กิโลเมตร เพื่อบรรเทาและลดปัญหาการจราจร ติดขัดบนทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) อีกทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก โดยแบ่งการดําเนินเป็น 3 ตอน ประกอบด้วยการก่อสร้างถนนใหม่ และการขยายช่องจราจรทางหลวงสายเดิม ขณะนี้โครงการอยู่ในขั้นตอนการแก้ไขรายงาน EIA กําหนดเปิดให้บริการในปี 2568
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวทางน้ํา “วิถีคลอง วิถีไทย” ณ ต.ดําเนินสะดวก อ.ดําเนินสะดวก จ.ราชบุรี ต่อไป
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24476 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน “สวดมนต์ข้ามปี - สักการะพระพุทธรูปสําคัญ - ไหว้พระ 10 วัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ”
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
“สวดมนต์ข้ามปี - สักการะพระพุทธรูปสําคัญ - ไหว้พระ 10 วัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ”
เปิด “พิพิธภัณฑ์ – อุทยานประวัติศาสตร์ – หอศิลป์”ชมฟรี ฉายหนังดีที่สุดของโลก เชิญชวนส่งบัตรอวยพรออนไลน์
วันที่ 16 ธ.ค.๒๕๖๒ ที่ห้องโถงชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
วัฒนธรรม(รมว.วธ) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่ จากรัฐบาลถึงประชาชนโดยกระทรวงวัฒนธรรม มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2563” โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้จัดกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลถึงประชาชน โดยกระทรวงวัฒนธรรม มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2563” เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ประชาชนในมิติทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยในปีนี้มี 4 กิจกรรม ได้แก่
๑. กิจกรรมทําความดีช่วงปีใหม่เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทําบุญและทํากิจกรรมที่เป็นสิริมงคลให้ตนเอง ครอบครัว และสังคม ประกอบด้วย (1) “สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ๒๕๖๓” โดยวธ. บูรณาการร่วมกับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม องค์กรทางศาสนา และภาคประชารัฐ จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ – ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ วัด ศาสนสถาน และสถานที่จัดกิจกรรมทั่วประเทศ (๒) จัดช่องทางพิเศษและอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาไหว้พระช่วงปีใหม่ ณ วัดสําคัญทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจัดกิจกรรม “ไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล” ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๒ – ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. โดยมีบริการรถรับ-ส่งฟรีแก่ประชาชนที่มาไหว้พระ ณ 10 วัดสําคัญที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นต้น สําหรับส่วนภูมิภาคจัดกิจกรรม ณ วัดสําคัญ ๗๖ จังหวัด อาทิ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร และ(๓) “สักการะพุทธรูปสําคัญ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ” โดยกรุงเทพจัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูป “พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน: พิพิธทศปฏิมาอารยศิลป์” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยอัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญ ๑๐ องค์ ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์ (ศิลปะไทย) และพระพุทธรูปพุทธศิลป์นานาประเทศ 9 องค์ ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวไทยสักการะ และในส่วนภูมิภาคอัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญให้ประชาชนสักการะ อาทิ พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี จ.ชัยนาท พระนิรันตราย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จ.เพชรบุรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ เป็นต้น
2. กิจกรรมท่องเที่ยวสุขสันต์ในแหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ประกอบด้วย (1) เปิดแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ให้ประชาชนเข้าชมฟรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๔๑ แห่ง และอุทยานประวัติศาสตร์ ๑๑ แห่ง ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563 อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น นอกจากนี้ มีการจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมด้วย (2) เปิดหอศิลป์ร่วมสมัยให้กับประชาชนเข้าชมฟรี ในวันที่ 29 ธันวาคม 2562 และวันที่ 2 มกราคม 2563 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ
3. กิจกรรมความหลากหลายทางวัฒนธรรมนําความสุข ประกอบด้วย (๑) กิจกรรมศิลปวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 5 มกราคม 2563 โดยจัดกิจกรรม อาทิ มหกรรมอาหาร ตลาดวัฒนธรรม และการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ตามสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญทั่วประเทศ และจัดการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๕ – ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ สถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ อาทิ วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี เชียงใหม่ เป็นต้น (๒) กิจกรรม ทึ่ง! หนังโลก จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง “Seven Samurai : เจ็ดเซียนซามูไร” หนึ่งในหนังดีที่สุดตลอดกาลของโลก ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๒.๐๐ น. ณ โรงภาพยนตร์สกาลา กรุงเทพฯ
และ 4. กิจกรรมส่งความสุขปีใหม่ด้วยของขวัญวิถีไทย เพื่อส่งเสริมการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างรายได้และรณรงค์ให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของขวัญปีใหม่ ประกอบด้วย (1) ให้บริการบัตรอวยพรส่งความสุขปีใหม่ในรูปแบบบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ e – Card ทาง www.ocac.go.th เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนส่งความสุขแบบสะดวก ประหยัด ช่วยลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม (2) กิจกรรม “ของขวัญ ของฝาก ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย” โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Product of Thailand: CPOT) ที่มีความโดดเด่น ออกร้านจําหน่าย สาธิตและจัดแสดงในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ณ สถานที่สําคัญทุกจังหวัด เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนใช้สินค้าทางวัฒนธรรมเป็นของขวัญปีใหม่และสร้างรายได้ให้กับประชาชน ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ และเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
----------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม 2562
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน “สวดมนต์ข้ามปี - สักการะพระพุทธรูปสําคัญ - ไหว้พระ 10 วัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ”
วธ.จัด 4 กิจกรรม “มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 63” เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน
“สวดมนต์ข้ามปี - สักการะพระพุทธรูปสําคัญ - ไหว้พระ 10 วัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ”
เปิด “พิพิธภัณฑ์ – อุทยานประวัติศาสตร์ – หอศิลป์”ชมฟรี ฉายหนังดีที่สุดของโลก เชิญชวนส่งบัตรอวยพรออนไลน์
วันที่ 16 ธ.ค.๒๕๖๒ ที่ห้องโถงชั้น ๑ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
วัฒนธรรม(รมว.วธ) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่ จากรัฐบาลถึงประชาชนโดยกระทรวงวัฒนธรรม มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2563” โดยมี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้จัดกิจกรรม “ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลถึงประชาชน โดยกระทรวงวัฒนธรรม มอบความสุขแบบวิถีไทย ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2563” เพื่อส่งมอบความสุขให้แก่ประชาชนในมิติทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยในปีนี้มี 4 กิจกรรม ได้แก่
๑. กิจกรรมทําความดีช่วงปีใหม่เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทําบุญและทํากิจกรรมที่เป็นสิริมงคลให้ตนเอง ครอบครัว และสังคม ประกอบด้วย (1) “สวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย ๒๕๖๓” โดยวธ. บูรณาการร่วมกับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาเถรสมาคม องค์กรทางศาสนา และภาคประชารัฐ จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ระหว่างวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ – ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ วัด ศาสนสถาน และสถานที่จัดกิจกรรมทั่วประเทศ (๒) จัดช่องทางพิเศษและอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาไหว้พระช่วงปีใหม่ ณ วัดสําคัญทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจัดกิจกรรม “ไหว้พระ ๑๐ วัด สืบสิริสวัสดิ์ ๑๐ รัชกาล” ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๒ – ๑ มกราคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๖.๓๐ น. โดยมีบริการรถรับ-ส่งฟรีแก่ประชาชนที่มาไหว้พระ ณ 10 วัดสําคัญที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เป็นต้น สําหรับส่วนภูมิภาคจัดกิจกรรม ณ วัดสําคัญ ๗๖ จังหวัด อาทิ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร และ(๓) “สักการะพุทธรูปสําคัญ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ” โดยกรุงเทพจัดกิจกรรมสักการะพระพุทธรูป “พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน: พิพิธทศปฏิมาอารยศิลป์” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยอัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญ ๑๐ องค์ ได้แก่ พระพุทธสิหิงค์ (ศิลปะไทย) และพระพุทธรูปพุทธศิลป์นานาประเทศ 9 องค์ ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวไทยสักการะ และในส่วนภูมิภาคอัญเชิญพระพุทธรูปสําคัญให้ประชาชนสักการะ อาทิ พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี จ.ชัยนาท พระนิรันตราย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครคีรี จ.เพชรบุรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั่วประเทศ เป็นต้น
2. กิจกรรมท่องเที่ยวสุขสันต์ในแหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ประกอบด้วย (1) เปิดแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ให้ประชาชนเข้าชมฟรี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๔๑ แห่ง และอุทยานประวัติศาสตร์ ๑๑ แห่ง ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2562 – 1 มกราคม 2563 อาทิ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น นอกจากนี้ มีการจัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมในแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมด้วย (2) เปิดหอศิลป์ร่วมสมัยให้กับประชาชนเข้าชมฟรี ในวันที่ 29 ธันวาคม 2562 และวันที่ 2 มกราคม 2563 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ
3. กิจกรรมความหลากหลายทางวัฒนธรรมนําความสุข ประกอบด้วย (๑) กิจกรรมศิลปวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 5 มกราคม 2563 โดยจัดกิจกรรม อาทิ มหกรรมอาหาร ตลาดวัฒนธรรม และการแสดงของศิลปินแห่งชาติ ตามสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญทั่วประเทศ และจัดการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๕ – ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ ณ สถานศึกษาในสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ อาทิ วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี เชียงใหม่ เป็นต้น (๒) กิจกรรม ทึ่ง! หนังโลก จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง “Seven Samurai : เจ็ดเซียนซามูไร” หนึ่งในหนังดีที่สุดตลอดกาลของโลก ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๒.๐๐ น. ณ โรงภาพยนตร์สกาลา กรุงเทพฯ
และ 4. กิจกรรมส่งความสุขปีใหม่ด้วยของขวัญวิถีไทย เพื่อส่งเสริมการนําทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างรายได้และรณรงค์ให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของขวัญปีใหม่ ประกอบด้วย (1) ให้บริการบัตรอวยพรส่งความสุขปีใหม่ในรูปแบบบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ e – Card ทาง www.ocac.go.th เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนส่งความสุขแบบสะดวก ประหยัด ช่วยลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม (2) กิจกรรม “ของขวัญ ของฝาก ผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทย” โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Product of Thailand: CPOT) ที่มีความโดดเด่น ออกร้านจําหน่าย สาธิตและจัดแสดงในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ณ สถานที่สําคัญทุกจังหวัด เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนใช้สินค้าทางวัฒนธรรมเป็นของขวัญปีใหม่และสร้างรายได้ให้กับประชาชน ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ และเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
----------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25319 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้ | วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้
กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้
วันนี้ (3 พ.ค.61) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1/2561เพื่อดําเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2562 โดยมีผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม
นายศุภชัย ฯ กล่าวว่าด้วยประเทศไทยจะดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนในปี พ.ศ.2562 ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนงานอาเซียนมาโดยตลอดภายหลังจากการเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมา และเพื่อให้การดําเนินงานอาเซียนของกระทรวงมหาดไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยจึงได้เชิญคณะกรรมการฯ มาร่วมประชุมในวันนี้ เพื่อรับทราบและหารือร่วมกันเกี่ยวกับผลการดําเนินงานด้านอาเซียนของกระทรวงมหาดไทยในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแผนงาน/โครงการต่างๆที่จะขับเคลื่อนงานอาเซียนในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทย และการดําเนินการเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยในปี 2562 ตลอดจนประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นประธานอาเซียนในครั้งนี้
โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงผลการดําเนินงาน และแนวทางการดําเนินการเพื่อการเตรียมพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของไทย อาทิ 1) การดําเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของไทย และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเป็นประธานอาเซียน และการดําเนินการในภาพรวมของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนในปี 2561 โดยผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ 2) การดําเนินการในภาพรวมของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยผู้แทนกระทรวง พม. 3) การดําเนินการในภาพรวมของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ 4) การดําเนินการตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยผู้แทนกรม ปภ. 5) การดําเนินการภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยผู้แทนกองการต่างประเทศ สป. และผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน และ 6) ผลการดําเนินงานด้านอาเซียนในปี 2560 และแผนงาน/โครงการต่างๆ ที่จะดําเนินการในปี 2561 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) ยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทยต่อประชาคมอาเซียน พ.ศ.2560-2564เพื่อประกาศใช้เป็นกรอบแนวทางการดําเนินงานด้านอาเซียนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยเนื้อหารายละเอียดมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2560-2564 วิสัยทัศน์อาเซียน 2025 และแผนงานประชาคมอาเซียน 2025 ทั้ง 3 ประชาคม (การเมืองและความมั่นคง/ เศรษฐกิจ/ สังคมและวัฒนธรรม) รวมถึงการพิจารณาทบทวนคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การทํางานของคณะทํางานฯ มีประสิทธิภาพและมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ท้ายนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนงาน และให้ข้อมูลต่างๆซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาคน พัฒนางาน และประเทศชาติ เพื่อให้สามารถรองรับการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยในเวลาอันใกล้นี้ พร้อมทั้งได้เน้นย้ําให้คณะทํางานต่างๆ ต้องดําเนินจัดการประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลและผลการดําเนินงานที่เป็นปัจจุบัน และก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด.
ครั้งที่ 94/2561วันที่ 3 พ.ค. 2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561
กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้
กระทรวงมหาดไทย จัดประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมการเป็นประธานอาเซียนของไทย ในปี 2562 นี้
วันนี้ (3 พ.ค.61) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 1/2561เพื่อดําเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2562 โดยมีผู้แทนส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม
นายศุภชัย ฯ กล่าวว่าด้วยประเทศไทยจะดํารงตําแหน่งประธานอาเซียนในปี พ.ศ.2562 ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสําคัญในการขับเคลื่อนงานอาเซียนมาโดยตลอดภายหลังจากการเข้าร่วมเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมา และเพื่อให้การดําเนินงานอาเซียนของกระทรวงมหาดไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยจึงได้เชิญคณะกรรมการฯ มาร่วมประชุมในวันนี้ เพื่อรับทราบและหารือร่วมกันเกี่ยวกับผลการดําเนินงานด้านอาเซียนของกระทรวงมหาดไทยในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงแผนงาน/โครงการต่างๆที่จะขับเคลื่อนงานอาเซียนในภาพรวมของกระทรวงมหาดไทย และการดําเนินการเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยในปี 2562 ตลอดจนประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นประธานอาเซียนในครั้งนี้
โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงผลการดําเนินงาน และแนวทางการดําเนินการเพื่อการเตรียมพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของไทย อาทิ 1) การดําเนินการเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานอาเซียนของไทย และประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเป็นประธานอาเซียน และการดําเนินการในภาพรวมของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนในปี 2561 โดยผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ 2) การดําเนินการในภาพรวมของประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยผู้แทนกระทรวง พม. 3) การดําเนินการในภาพรวมของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ 4) การดําเนินการตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยผู้แทนกรม ปภ. 5) การดําเนินการภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยผู้แทนกองการต่างประเทศ สป. และผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน และ 6) ผลการดําเนินงานด้านอาเซียนในปี 2560 และแผนงาน/โครงการต่างๆ ที่จะดําเนินการในปี 2561 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย
จากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) ยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทยต่อประชาคมอาเซียน พ.ศ.2560-2564เพื่อประกาศใช้เป็นกรอบแนวทางการดําเนินงานด้านอาเซียนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยเนื้อหารายละเอียดมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2560-2564 วิสัยทัศน์อาเซียน 2025 และแผนงานประชาคมอาเซียน 2025 ทั้ง 3 ประชาคม (การเมืองและความมั่นคง/ เศรษฐกิจ/ สังคมและวัฒนธรรม) รวมถึงการพิจารณาทบทวนคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานประชาคมอาเซียนกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การทํางานของคณะทํางานฯ มีประสิทธิภาพและมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ท้ายนี้รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนงาน และให้ข้อมูลต่างๆซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาคน พัฒนางาน และประเทศชาติ เพื่อให้สามารถรองรับการเป็นประธานอาเซียนของประเทศไทยในเวลาอันใกล้นี้ พร้อมทั้งได้เน้นย้ําให้คณะทํางานต่างๆ ต้องดําเนินจัดการประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลและผลการดําเนินงานที่เป็นปัจจุบัน และก่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด.
ครั้งที่ 94/2561วันที่ 3 พ.ค. 2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2 | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11970 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน | วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562
ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
วันนี้ (1 สิงหาคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายหวัง อี้ ในโอกาสเดินทางเยือนไทย พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 70 ปี แห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีนี้ ซึ่งจีนมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะภายใต้การนําของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ประสบความสําเร็จด้านการขจัดความยากจน และการพัฒนาประเทศ ซึ่งไทยหวังที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากจีน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย แสดงความเสียใจต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี หลี่ เผิง ที่มีบทบาทสําคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างมาก
นายหวัง อี้ ประทับใจที่ไทยให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคี และความร่วมมือระหว่างไทย-จีน เสมอมา ยืนยันว่าจีนพร้อมสานต่อความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีอย่างนี้ไปโดยตลอด เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป โดยเชื่อมั่นว่า ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรีไทยจะพัฒนาประเทศให้มีบทบาทสําคัญในภูมิภาคและในโลก นอกจากนี้ จีนยังยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านใหม่ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี 5G เป็นต้น พร้อมหวังว่าทั้งสองประเทศจะสามารถสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลระหว่างกันได้โดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี และนายหวัง อี้ เห็นพ้องที่จะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ผ่านการผลักดันโครงการและแนวคิดสําคัญต่าง ๆ อาทิ โครงการรถไฟไทย-จีน การเชื่อมโยงเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area: GBA) กับโครงการ EEC ของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต นายหวัง อี้ เน้นย้ําว่า จีนพร้อมมีส่วนร่วมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนใน EEC โดยเห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย-จีน และภูมิภาค พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในแม่น้ําโขง ถือเป็นแม่น้ําสายสําคัญสําหรับการดํารงชีวิตของประชาชนในบริเวณนั้นอย่างมาก โดยไทยหวังที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ําจากจีน
ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าจีน – สหรัฐฯ ไทยยินดีที่ผู้นําทั้งสองประเทศได้หารือเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะยังคงรักษาช่องทางการหารือและร่วมมือกันเดินหน้าเพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย
นอกจากนี้ จีนยังยินดีที่จะนําเข้าสินค้าเกษตรจากไทยมากขึ้น และหวังว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต นายกรัฐมนตรียินดีกับความสําเร็จในการจัดงานแสดงสินค้านําเข้านานาชาติ (China International Import Expo: CIIE) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนความตั้งใจจริงของจีนที่จะส่งเสริมการเปิดกว้างและการค้าเสรี พร้อมกล่าวขอบคุณสําหรับคําเชิญของรัฐบาลจีนให้ไทยเข้าร่วมการจัดงานครั้งที่ 2 ในปลายปีนี้ ในฐานะประเทศเกียรติยศ
ทั้งนี้ จีนสนับสนุนการมีบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในเวทีต่าง ๆ รวมถึงบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ในปี 2562 หวังว่า จีนจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีกับไทยและในภูมิภาคนี้ต่อไป
************************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562
ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
ไทย–จีนกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน พร้อมผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
วันนี้ (1 สิงหาคม 2562) เวลา 14.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายหวัง อี้ ในโอกาสเดินทางเยือนไทย พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 70 ปี แห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปีนี้ ซึ่งจีนมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะภายใต้การนําของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ประสบความสําเร็จด้านการขจัดความยากจน และการพัฒนาประเทศ ซึ่งไทยหวังที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากจีน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย แสดงความเสียใจต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี หลี่ เผิง ที่มีบทบาทสําคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างมาก
นายหวัง อี้ ประทับใจที่ไทยให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคี และความร่วมมือระหว่างไทย-จีน เสมอมา ยืนยันว่าจีนพร้อมสานต่อความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีอย่างนี้ไปโดยตลอด เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป โดยเชื่อมั่นว่า ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรีไทยจะพัฒนาประเทศให้มีบทบาทสําคัญในภูมิภาคและในโลก นอกจากนี้ จีนยังยินดีที่จะพัฒนาความร่วมมือในด้านใหม่ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยี 5G เป็นต้น พร้อมหวังว่าทั้งสองประเทศจะสามารถสร้างเส้นทางสายไหมดิจิทัลระหว่างกันได้โดยเร็ว
นายกรัฐมนตรี และนายหวัง อี้ เห็นพ้องที่จะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ผ่านการผลักดันโครงการและแนวคิดสําคัญต่าง ๆ อาทิ โครงการรถไฟไทย-จีน การเชื่อมโยงเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area: GBA) กับโครงการ EEC ของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต นายหวัง อี้ เน้นย้ําว่า จีนพร้อมมีส่วนร่วมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนใน EEC โดยเห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย-จีน และภูมิภาค พร้อมกระชับความร่วมมืออย่างรอบด้าน
ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในแม่น้ําโขง ถือเป็นแม่น้ําสายสําคัญสําหรับการดํารงชีวิตของประชาชนในบริเวณนั้นอย่างมาก โดยไทยหวังที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ําจากจีน
ประเด็นความขัดแย้งทางการค้าจีน – สหรัฐฯ ไทยยินดีที่ผู้นําทั้งสองประเทศได้หารือเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะยังคงรักษาช่องทางการหารือและร่วมมือกันเดินหน้าเพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย
นอกจากนี้ จีนยังยินดีที่จะนําเข้าสินค้าเกษตรจากไทยมากขึ้น และหวังว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต นายกรัฐมนตรียินดีกับความสําเร็จในการจัดงานแสดงสินค้านําเข้านานาชาติ (China International Import Expo: CIIE) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนความตั้งใจจริงของจีนที่จะส่งเสริมการเปิดกว้างและการค้าเสรี พร้อมกล่าวขอบคุณสําหรับคําเชิญของรัฐบาลจีนให้ไทยเข้าร่วมการจัดงานครั้งที่ 2 ในปลายปีนี้ ในฐานะประเทศเกียรติยศ
ทั้งนี้ จีนสนับสนุนการมีบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในเวทีต่าง ๆ รวมถึงบทบาทการเป็นประธานอาเซียน ในปี 2562 หวังว่า จีนจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีกับไทยและในภูมิภาคนี้ต่อไป
************************* | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21927 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 | วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
สํานักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
สํานักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กําหนดช่องทางยื่นสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค
วันนี้ (29 มี.ค.63) เวลา 11.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม สรุปแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ว่า มติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้แก้กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 31 ส.ค. 63 โดยแก้ไขคํานิยาม “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ธรณีพิบัติภัย หรือภัยที่เกิดจากโรคที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันคือ โรค COVID-19 ซึ่งจะทําให้ลูกจ้างได้รับเงินว่างงานหากได้รับภัยจากโควิด-19 โดยกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทํางานเนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด -19 หรือกลุ่มเสี่ยง และถูกกักตัวใน 14 วัน ในระหว่างที่ถูกกักตัว ลูกจ้างยังไม่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ดังนั้น สํานักงานประกันสังคมจะเยียวยาให้โดยให้ได้รับเงินกรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นําส่งประกันสังคม ทั้งนี้ ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม กล่าวว่า กรณีหน่วยงานภาครัฐสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการชั่วคราว ประกันสังคมจะจ่ายเงินกรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นําส่งประกันสังคม ไม่เกิน 60 วัน และหากว่าผู้ประกันตนต้องการยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ขณะนี้ประกันสังคมเปิดช่องทาง โดยส่งผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th โดยทั้งผู้ประกันตนและนายจ้างจะต้องยื่นกรณีว่างงาน โดยผู้ประกันตนบันทึกในแบบ สปส.2-01/7 นายจ้างของผู้ประกันตนต้องรับรองวันที่ลูกจ้างไม่สามารถมาทํางานได้ เพื่อที่จะกําหนดให้เจ้าหน้าที่วินิจฉัยเงินทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ในส่วนของช่องทางอื่นจะกําหนดไว้ร่วมกับกรณีว่างงานกรณีทั่วไป
ในส่วนของกรณีว่างงานกรณีทั่วไป สํานักงานประกันสังคมได้เพิ่มกรณีว่างงานให้ โดยเฉพาะถูกเลิกจ้างหรือนายจ้างหยุดกิจการ ลูกจ้างจะได้รับเงินกรณีว่างงานเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 70% ของค่าจ้าง นําส่งประกันสังคม ไม่เกินระยะเวลา 200 วัน กรณีลูกจ้างลาออก ได้รับเงินกรณีว่างงาน 45% ของค่าจ้าง ไม่เกินระยะเวลา 90 วัน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนกรณีว่างงานปกติไม่ใช่จากเหตุสุดวิสัย ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนว่างงาน และรายงานตัวเดือนละ 1 ครั้ง ในเว็บไขต์ของกรมการจัดหางาน ก่อนมายื่นแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ของสํานักงานประกันสังคม เพื่อรับเงินว่างงานกรณีทั่วไป
นอกจากนี้ สํานักงานประกันสังคมยังได้มีการป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้กําหนดช่องทางในการยื่นสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี ของสํานักงานประกันสังคม ได้เพิ่มช่องทางโดยยื่นผ่านไปรษณีย์ตอบรับ หรือส่งทางโทรสาร (FAX) ของสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา หรือส่งทาง e-mail ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขากําหนด หรือส่งทางไลน์ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขากําหนด ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับสิทธิประโยชน์ และลดขั้นตอนรวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์สํานักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือโทร 1506 (ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง)
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563
สํานักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19
สํานักงานประกันสังคมแจง แนวทางช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 กําหนดช่องทางยื่นสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค
วันนี้ (29 มี.ค.63) เวลา 11.45 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “COVID-19” โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม สรุปแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ว่า มติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้แก้กฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 31 ส.ค. 63 โดยแก้ไขคํานิยาม “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ธรณีพิบัติภัย หรือภัยที่เกิดจากโรคที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันคือ โรค COVID-19 ซึ่งจะทําให้ลูกจ้างได้รับเงินว่างงานหากได้รับภัยจากโควิด-19 โดยกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยที่นายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทํางานเนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อโควิด -19 หรือกลุ่มเสี่ยง และถูกกักตัวใน 14 วัน ในระหว่างที่ถูกกักตัว ลูกจ้างยังไม่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ดังนั้น สํานักงานประกันสังคมจะเยียวยาให้โดยให้ได้รับเงินกรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นําส่งประกันสังคม ทั้งนี้ ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม กล่าวว่า กรณีหน่วยงานภาครัฐสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการชั่วคราว ประกันสังคมจะจ่ายเงินกรณีว่างงาน 50% ของค่าจ้างที่นําส่งประกันสังคม ไม่เกิน 60 วัน และหากว่าผู้ประกันตนต้องการยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ขณะนี้ประกันสังคมเปิดช่องทาง โดยส่งผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th โดยทั้งผู้ประกันตนและนายจ้างจะต้องยื่นกรณีว่างงาน โดยผู้ประกันตนบันทึกในแบบ สปส.2-01/7 นายจ้างของผู้ประกันตนต้องรับรองวันที่ลูกจ้างไม่สามารถมาทํางานได้ เพื่อที่จะกําหนดให้เจ้าหน้าที่วินิจฉัยเงินทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ในส่วนของช่องทางอื่นจะกําหนดไว้ร่วมกับกรณีว่างงานกรณีทั่วไป
ในส่วนของกรณีว่างงานกรณีทั่วไป สํานักงานประกันสังคมได้เพิ่มกรณีว่างงานให้ โดยเฉพาะถูกเลิกจ้างหรือนายจ้างหยุดกิจการ ลูกจ้างจะได้รับเงินกรณีว่างงานเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 70% ของค่าจ้าง นําส่งประกันสังคม ไม่เกินระยะเวลา 200 วัน กรณีลูกจ้างลาออก ได้รับเงินกรณีว่างงาน 45% ของค่าจ้าง ไม่เกินระยะเวลา 90 วัน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนกรณีว่างงานปกติไม่ใช่จากเหตุสุดวิสัย ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนว่างงาน และรายงานตัวเดือนละ 1 ครั้ง ในเว็บไขต์ของกรมการจัดหางาน ก่อนมายื่นแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ของสํานักงานประกันสังคม เพื่อรับเงินว่างงานกรณีทั่วไป
นอกจากนี้ สํานักงานประกันสังคมยังได้มีการป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้กําหนดช่องทางในการยื่นสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณี ของสํานักงานประกันสังคม ได้เพิ่มช่องทางโดยยื่นผ่านไปรษณีย์ตอบรับ หรือส่งทางโทรสาร (FAX) ของสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา หรือส่งทาง e-mail ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขากําหนด หรือส่งทางไลน์ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขากําหนด ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับสิทธิประโยชน์ และลดขั้นตอนรวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์สํานักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือโทร 1506 (ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง)
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28077 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” | วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” สนองนโยบายรัฐบาล สนับสนุนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
วันนี้ (3 เม.ย.60) เวลา 14.00 น. นายปริญญา เพ็งสมบัติ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วม “ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” กับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 22 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายยุวทัศน์ ชมรมเพื่อนมะเร็งไทย ธนาคารกรุงไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาด สถานเสาวภา สภากาชาดไทย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันโภชนา มหาวิทยาลัยมหิดล สภาทนายความ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ บริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน)
นายปริญญา เพ็งสมบัติ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมเป็นหนึ่งกลไกในการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ไปยังประชาชน เนื่องจากข้อมูลภาคการเกษตรมีความเกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ เชื่อมโยงทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการเร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 20 ปี ตามแนวคิดประเทศไทย 4.0 เป้าหมายสําคัญ คือ เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และในปี 2560 กระทรวงเกษตรฯกําหนดให้เป็น “ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน” โดยมีเป้าหมาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นทั้งด้านสังคม และรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร
"กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้นน้ําในการผลิตสินค้าเกษตรไปสู่ผู้บริโภค หากนําข้อมูลที่ไม่ชัวร์ไปแชร์ต่อสาธารณชน จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้บริโภคและเกษตรกร และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศที่มีต่อสินค้าเกษตรไทย ความร่วมมือดังกล่าว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่สาธารณชนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง" นายปริญญา กล่าว
ด้าน นายเขมทัตต์ พลเดช ผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บมจ. อสมท โดยสํานักข่าวไทย ได้เล็งเห็นปัญหาการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ชัวร์ จึงเริ่มผลิตชุดเนื้อหา "ชัวร์ก่อนแชร์" ตั้งแต่ต้นปี 2558 เพื่อตอกย้ําการให้ความรู้และทําให้คนไทยได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ โดยในปีนี้ บมจ. อสมท ได้จัดตั้งศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนกลไกการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเพื่อประชาชน ในรูปแบบการบูรณาการระหว่างการเผยแพร่เนื้อหาบนสื่อโทรทัศน์และสื่อดิจิทัล กับการทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่ส่งต่อกันบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้การสนับสนุนศูนย์ชัวน์ก่อนแชร์ ให้เป็นกลไกการเฝ้าระวังสื่อและตรวจสอบข้อมูลเพื่อประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในการประกาศเจตนารมณ์การตรวจสอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ตลอดทั้งสร้างเครือข่ายภาคประชาชนไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือส่งต่อข้อมูลทีไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่าย First Draft Partner Network ซึ่งก่อตั้งโดยความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อสารมวลชนและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนําทั่วโลก 72 ราย เพื่อรับมือกับข่าวสารที่ไม่ถูกต้องทั่วโลก
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
กระทรวงเกษตรฯ จับมือ อสมท และหน่วยงานพันธมิตร 22 หน่วยงาน ร่วม“ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” สนองนโยบายรัฐบาล สนับสนุนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
วันนี้ (3 เม.ย.60) เวลา 14.00 น. นายปริญญา เพ็งสมบัติ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วม “ลงนาม MOU ความร่วมมือขับเคลื่อนกลไกศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์” กับ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 22 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มสาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เครือข่ายยุวทัศน์ ชมรมเพื่อนมะเร็งไทย ธนาคารกรุงไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาด สถานเสาวภา สภากาชาดไทย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันโภชนา มหาวิทยาลัยมหิดล สภาทนายความ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ. สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ บริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน)
นายปริญญา เพ็งสมบัติ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมเป็นหนึ่งกลไกในการสนับสนุนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ไปยังประชาชน เนื่องจากข้อมูลภาคการเกษตรมีความเกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ เชื่อมโยงทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการเร่งสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 20 ปี ตามแนวคิดประเทศไทย 4.0 เป้าหมายสําคัญ คือ เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และในปี 2560 กระทรวงเกษตรฯกําหนดให้เป็น “ปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน” โดยมีเป้าหมาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นทั้งด้านสังคม และรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกร
"กระทรวงเกษตรฯ เป็นต้นน้ําในการผลิตสินค้าเกษตรไปสู่ผู้บริโภค หากนําข้อมูลที่ไม่ชัวร์ไปแชร์ต่อสาธารณชน จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อผู้บริโภคและเกษตรกร และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างประเทศที่มีต่อสินค้าเกษตรไทย ความร่วมมือดังกล่าว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปสู่สาธารณชนได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง" นายปริญญา กล่าว
ด้าน นายเขมทัตต์ พลเดช ผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า บมจ. อสมท โดยสํานักข่าวไทย ได้เล็งเห็นปัญหาการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ชัวร์ จึงเริ่มผลิตชุดเนื้อหา "ชัวร์ก่อนแชร์" ตั้งแต่ต้นปี 2558 เพื่อตอกย้ําการให้ความรู้และทําให้คนไทยได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ โดยในปีนี้ บมจ. อสมท ได้จัดตั้งศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ขึ้น เพื่อขับเคลื่อนกลไกการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเพื่อประชาชน ในรูปแบบการบูรณาการระหว่างการเผยแพร่เนื้อหาบนสื่อโทรทัศน์และสื่อดิจิทัล กับการทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่ส่งต่อกันบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้การสนับสนุนศูนย์ชัวน์ก่อนแชร์ ให้เป็นกลไกการเฝ้าระวังสื่อและตรวจสอบข้อมูลเพื่อประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรในการประกาศเจตนารมณ์การตรวจสอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ตลอดทั้งสร้างเครือข่ายภาคประชาชนไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือส่งต่อข้อมูลทีไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่าย First Draft Partner Network ซึ่งก่อตั้งโดยความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อสารมวลชนและบริษัทเทคโนโลยีชั้นนําทั่วโลก 72 ราย เพื่อรับมือกับข่าวสารที่ไม่ถูกต้องทั่วโลก
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2867 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งทีมช่างซ่อมแซมระบบประปา และควบคุมคุณภาพน้ำให้ประชาชน | วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
ส่งทีมช่างซ่อมแซมระบบประปา และควบคุมคุณภาพน้ําให้ประชาชน
--
#ไทยคู่ฟ้า กระทรวงมหาดไทย สั่งกําชับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ หลังจังหวัดเลยและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุซินลากู ทําให้บ้านเรือนเสียหาย และระบบประปาภายในบ้านเรือนไม่สามารถใช้การได้ แม้ในบางพื้นที่ปริมาณน้ําอาจลดลงแล้ว แต่ประชาชนยังคงมีความกังวลด้านผลกระทบหลังจากน้ําลด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ระบบประปาภายในบ้านและเส้นท่อส่งน้ําประปาที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทาง กปภ. ได้เตรียมทีมช่างผู้เชี่ยวชาญพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าซ่อมแซมระบบประปาภายในบ้านเรือนของประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่การให้บริการของ กปภ. โดยไม่คิดค่าแรง ตลอดจนเตรียมสนับสนุนน้ําดื่มบรรจุขวด และรถบรรทุกน้ําแจกจ่ายน้ําประปาเพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําสะอาดอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ ยังส่งทีมนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบคุณภาพน้ําคุมเข้มทุกกระบวนการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1662 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งทีมช่างซ่อมแซมระบบประปา และควบคุมคุณภาพน้ำให้ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563
ส่งทีมช่างซ่อมแซมระบบประปา และควบคุมคุณภาพน้ําให้ประชาชน
--
#ไทยคู่ฟ้า กระทรวงมหาดไทย สั่งกําชับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ หลังจังหวัดเลยและพื้นที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากอิทธิพลพายุซินลากู ทําให้บ้านเรือนเสียหาย และระบบประปาภายในบ้านเรือนไม่สามารถใช้การได้ แม้ในบางพื้นที่ปริมาณน้ําอาจลดลงแล้ว แต่ประชาชนยังคงมีความกังวลด้านผลกระทบหลังจากน้ําลด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ระบบประปาภายในบ้านและเส้นท่อส่งน้ําประปาที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทาง กปภ. ได้เตรียมทีมช่างผู้เชี่ยวชาญพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าซ่อมแซมระบบประปาภายในบ้านเรือนของประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่การให้บริการของ กปภ. โดยไม่คิดค่าแรง ตลอดจนเตรียมสนับสนุนน้ําดื่มบรรจุขวด และรถบรรทุกน้ําแจกจ่ายน้ําประปาเพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําสะอาดอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ ยังส่งทีมนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบคุณภาพน้ําคุมเข้มทุกกระบวนการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1662 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33961 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562 | วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 255,924 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจํานวน 368,209 ล้านบาท
ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 255,924 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจํานวน 368,209 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มีจํานวนทั้งสิ้น 385,292 ล้านบาท
Government’s Fiscal Balance Report: October 2019
Mr. Lavaron Sangsnit, Director–General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that in the first month of fiscal year 2020 (October 2019), the government has received 255,924 million baht of revenue on cash basis and disbursed 368,209 million baht of expenditure. Therefore, the treasury reserve at the end of October 2019 was at 385,292 million baht. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562
ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 255,924 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจํานวน 368,209 ล้านบาท
ฐานะการคลังของรัฐบาลเดือนตุลาคม 2562
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 255,924 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจํานวน 368,209 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 มีจํานวนทั้งสิ้น 385,292 ล้านบาท
Government’s Fiscal Balance Report: October 2019
Mr. Lavaron Sangsnit, Director–General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that in the first month of fiscal year 2020 (October 2019), the government has received 255,924 million baht of revenue on cash basis and disbursed 368,209 million baht of expenditure. Therefore, the treasury reserve at the end of October 2019 was at 385,292 million baht. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24882 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 25%” | วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
“รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 25%”
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.2561 – ม.ค.2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 71,401 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,452 ล้านบาท
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนมกราคม 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 71,401 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,452 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 ของประมาณการสะสม
รายได้นําส่งสะสม (ต.ค. 61 – ม.ค. 62)
ประมาณการสะสม (ล้านบาท) 56,949
จัดเก็บจริง (ล้านบาท) 71,401
ร้อยละของประมาณการสะสม (%) 125
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมจํานวน 56,313 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ของเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมทั้งหมด
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งเงินรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 5 อันดับแรกในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 61 – ม.ค. 62)
รัฐวิสาหกิจ รายได้นําส่ง (ล้านบาท)
1. สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 15,536
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 12,924
3. บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 11,679
4. ธนาคารออมสิน 9,270
5. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6,903
อื่นๆ 15,089
รวมทั้งหมด 71,401 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 25%”
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
“รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้ 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สูงกว่าประมาณการ 25%”
ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.2561 – ม.ค.2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 71,401 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,452 ล้านบาท
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (เดือนตุลาคม 2561 – เดือนมกราคม 2562) สคร. สามารถจัดเก็บเงินนําส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจและกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ํากว่าร้อยละ 50 จํานวน 71,401 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมจํานวน 14,452 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 ของประมาณการสะสม
รายได้นําส่งสะสม (ต.ค. 61 – ม.ค. 62)
ประมาณการสะสม (ล้านบาท) 56,949
จัดเก็บจริง (ล้านบาท) 71,401
ร้อยละของประมาณการสะสม (%) 125
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้แผ่นดินสูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมจํานวน 56,313 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 79 ของเงินนําส่งรายได้แผ่นดินสะสมทั้งหมด
รัฐวิสาหกิจที่นําส่งเงินรายได้แผ่นดินสะสมสูงสุด 5 อันดับแรกในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 61 – ม.ค. 62)
รัฐวิสาหกิจ รายได้นําส่ง (ล้านบาท)
1. สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 15,536
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 12,924
3. บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 11,679
4. ธนาคารออมสิน 9,270
5. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6,903
อื่นๆ 15,089
รวมทั้งหมด 71,401 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18735 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท | วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท
กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินอล ๒๑ โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน ๑๗๓ คดี ๑๘๐ รายการ ราคาประเมินรวม ๔๒๒,๖๐๓,๒๒๔.๖๒ บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ ๒๐๐ คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ ๔๓ คดี ๔๓ รายการ ราคาประเมิน ๑๙๐,๓๗๗,๐๙๙ บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๑,๓๐๖,๐๐๐ บาท ซึ่งการขายทอดตลาดในครั้งมีผู้ซื้อรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์สินของกรมบังคับคดีมากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจัดมหกรรมขายทอดตลาดนอกสถานที่ทําให้เกิดความสะดวก และสามารถหาซื้อทรัพย์ได้ในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มีจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมายและการให้คําปรึกษาทางกฎหมายโดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่ เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวด เพื่อสุขภาพจํานวน ๙๐ คน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท
กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๙๑ ล้านบาท
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดทรัพย์สินในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ นัดที่ ๒ ณ ศูนย์การค้า เทอร์มินอล ๒๑ โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางศศิวิมล ธนศานติ รองอธิบดีกรมบังคับคดี และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดชัยภูมิ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน ๑๗๓ คดี ๑๘๐ รายการ ราคาประเมินรวม ๔๒๒,๖๐๓,๒๒๔.๖๒ บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ ๒๐๐ คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ ๔๓ คดี ๔๓ รายการ ราคาประเมิน ๑๙๐,๓๗๗,๐๙๙ บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๑,๓๐๖,๐๐๐ บาท ซึ่งการขายทอดตลาดในครั้งมีผู้ซื้อรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์สินของกรมบังคับคดีมากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจัดมหกรรมขายทอดตลาดนอกสถานที่ทําให้เกิดความสะดวก และสามารถหาซื้อทรัพย์ได้ในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มีจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมายและการให้คําปรึกษาทางกฎหมายโดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก และกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่ เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวด เพื่อสุขภาพจํานวน ๙๐ คน | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14558 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี | วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เข้ารับตําแหน่ง เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรฯ ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย – สหราชอาณาจักรได้ดําเนินมาอย่างยาวนาน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น จนกลายเป็นประเทศหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่มีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าชื่นชมพัฒนาการของไทย และยืนยันที่จะขยายความร่วมมือด้านความสัมพันธ์กับประเทศไทยทุกด้าน
รัฐบาลไทยยืนยันสนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะปฏิรูปประเทศตาม Roadmap และให้ความสําคัญกับการปฏิรูป 4 ด้าน ได้แก่ การเมือง การศึกษา กฎหมาย และการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะเป็นระโยชน์ต่อการค้าการลงทุนของชาวต่างชาติในไทย นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีย้ําว่า การทํางานเพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาของประเทศ อันจะส่งผลในทิศทางที่ดีต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศตลอดมา ตลอดจนได้มีโอกาสเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถือเป็นเกียรติ ประทับใจ และซาบซึ้งกับบรรยากาศที่ประชาชนชาวไทยเข้าร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพฯ จนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคําพูดได้ และเฝ้ารอที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของไทย
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตฯ ประสงค์จะเชิญบุคคลสําคัญฝ่ายไทยไปร่วมประชุมเวทีด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ “A Call to Action to End Forced Labour Modern Slavery and Human Trafficking” ที่สหราชอาณาจักร ประเด็นด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยประสบความสําเร็จ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ผู้ร่วมการประชุมจากประเทศต่าง ๆ ทราบ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน เข้ารับตําแหน่ง เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรฯ ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย – สหราชอาณาจักรได้ดําเนินมาอย่างยาวนาน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น จนกลายเป็นประเทศหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่มีความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ
เอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่าชื่นชมพัฒนาการของไทย และยืนยันที่จะขยายความร่วมมือด้านความสัมพันธ์กับประเทศไทยทุกด้าน
รัฐบาลไทยยืนยันสนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะปฏิรูปประเทศตาม Roadmap และให้ความสําคัญกับการปฏิรูป 4 ด้าน ได้แก่ การเมือง การศึกษา กฎหมาย และการต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งจะเป็นระโยชน์ต่อการค้าการลงทุนของชาวต่างชาติในไทย นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีย้ําว่า การทํางานเพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาของประเทศ อันจะส่งผลในทิศทางที่ดีต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศตลอดมา ตลอดจนได้มีโอกาสเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถือเป็นเกียรติ ประทับใจ และซาบซึ้งกับบรรยากาศที่ประชาชนชาวไทยเข้าร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพฯ จนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคําพูดได้ และเฝ้ารอที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของไทย
ในตอนท้าย เอกอัครราชทูตฯ ประสงค์จะเชิญบุคคลสําคัญฝ่ายไทยไปร่วมประชุมเวทีด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ “A Call to Action to End Forced Labour Modern Slavery and Human Trafficking” ที่สหราชอาณาจักร ประเด็นด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยประสบความสําเร็จ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ผู้ร่วมการประชุมจากประเทศต่าง ๆ ทราบ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7924 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมประชุมพิจารณาการโอนนักโทษเพื่อกลับไปรับโทษต่อยังประเทศที่ตนมีสัญชาติ | วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
กระทรวงยุติธรรมประชุมพิจารณาการโอนนักโทษเพื่อกลับไปรับโทษต่อยังประเทศที่ตนมีสัญชาติ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการโอนนักโทษ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการโอนนักโทษ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เพื่อพิจารณาคําขอโอนตัวนักโทษเด็ดขาด จํานวน ๓๒ ราย และการรับนักโทษไทย จํานวน ๓ ราย เพื่อกลับมารับโทษต่อในราชอาณาจักร ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการดําเนินการตามคําพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๗ และสนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้สนธิสัญญารวม ๓๘ ประเทศ ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน มีการโอนนักโทษเด็ดขาดชาวต่างประเทศกลับไปรับโทษยังประเทศที่ตนเองมีสัญชาติ แล้วจํานวนทั้งสิ้น ๑,๑๙๙ คน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรมประชุมพิจารณาการโอนนักโทษเพื่อกลับไปรับโทษต่อยังประเทศที่ตนมีสัญชาติ
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
กระทรวงยุติธรรมประชุมพิจารณาการโอนนักโทษเพื่อกลับไปรับโทษต่อยังประเทศที่ตนมีสัญชาติ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการโอนนักโทษ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒
ในวันจันทร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการโอนนักโทษ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เพื่อพิจารณาคําขอโอนตัวนักโทษเด็ดขาด จํานวน ๓๒ ราย และการรับนักโทษไทย จํานวน ๓ ราย เพื่อกลับมารับโทษต่อในราชอาณาจักร ภายใต้กรอบพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการดําเนินการตามคําพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๗ และสนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษระหว่างราชอาณาจักรไทยและประเทศอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้สนธิสัญญารวม ๓๘ ประเทศ ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน มีการโอนนักโทษเด็ดขาดชาวต่างประเทศกลับไปรับโทษยังประเทศที่ตนเองมีสัญชาติ แล้วจํานวนทั้งสิ้น ๑,๑๙๙ คน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ำใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL | วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน อาทิ มูลนิธิเวิร์คพอยท์ และธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดทําตู้กับข้าวคนไทย เพื่อแบ่งความสุขสู่พี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยมอบให้ตัวแทนจาก ๑๐ หน่วยงาน จัดตั้งใน ๑๐ พื้นที่ทั่วอําเภอบางละมุง โดยมี นายบรรลือ กุลละวณิชย์ รองนายกเมืองพัทยา ผู้บริหารศูนย์การค้าเทอร์มินอล ๒๑ พัทยา ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรม ณ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ำใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่มอบเครื่องอุปโภค บริโภค ใส่ "ตู้กับข้าวคนไทย” ภายใต้โครงการส่งเสริมน้ําใจไมตรีสู่วิถี NEW NORMAL โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน อาทิ มูลนิธิเวิร์คพอยท์ และธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) จัดทําตู้กับข้าวคนไทย เพื่อแบ่งความสุขสู่พี่น้องชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยมอบให้ตัวแทนจาก ๑๐ หน่วยงาน จัดตั้งใน ๑๐ พื้นที่ทั่วอําเภอบางละมุง โดยมี นายบรรลือ กุลละวณิชย์ รองนายกเมืองพัทยา ผู้บริหารศูนย์การค้าเทอร์มินอล ๒๑ พัทยา ผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสมาคมต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรม ณ อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32212 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย หวังสานต่องานด้านดิจิทัล เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G | วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย หวังสานต่องานด้านดิจิทัล เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายโลเรนโซ กาลันตี (H.E. Mr. Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ณ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โดย ดร.พิเชฐฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินงานด้านดิจิทัลของไทย ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายประเทศ 4.0 เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี 5G รัฐบาลได้ริเริ่มให้มีการทดสอบเทคโนโลยี 5G ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ทั้งยังมีภาคเอกชนจากหลากหลายประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมดําเนินการ โดยคาดว่าตลาดของประเทศไทยจะมีความต้องการที่เพียงพอและสามารถเปิดให้มีการใช้เทคโนโลยี 5G ในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2563 นอกจากนี้ ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 ซึ่งจะมีการผลักดันในด้านดิจิทัลหลายด้าน ถือเป็นข้อริเริ่มใหม่ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านดิจิทัลในอาเซียนต่อไป
********************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย หวังสานต่องานด้านดิจิทัล เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ หารือเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย หวังสานต่องานด้านดิจิทัล เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับ นายโลเรนโซ กาลันตี (H.E. Mr. Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ณ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) โดย ดร.พิเชฐฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินงานด้านดิจิทัลของไทย ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนนโยบายประเทศ 4.0 เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี 5G รัฐบาลได้ริเริ่มให้มีการทดสอบเทคโนโลยี 5G ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ทั้งยังมีภาคเอกชนจากหลากหลายประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมดําเนินการ โดยคาดว่าตลาดของประเทศไทยจะมีความต้องการที่เพียงพอและสามารถเปิดให้มีการใช้เทคโนโลยี 5G ในเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2563 นอกจากนี้ ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 ซึ่งจะมีการผลักดันในด้านดิจิทัลหลายด้าน ถือเป็นข้อริเริ่มใหม่ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านดิจิทัลในอาเซียนต่อไป
********************* | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18025 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและศรีลังกาย้ำถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน | วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ไทยและศรีลังกาย้ําถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน
ไทยและศรีลังกาย้ําถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน
วันที (8 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 10.00 น. นางกเษณุกา ธิเรนี เสเนวิรัตนะ (H.E. Ms. Kshenuka Dhireni Senewiratne) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีศรีลังกาเดินทางเยือนไทยเพื่อร่วมสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อปี 2559 พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 70 ปี แห่งการประกาศเอกราชของศรีลังกา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย กล่าวยินดีแด่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้า ฯ ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมายาวนานกว่า 60 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระชับความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรมกับศรีลังกา เพื่อให้เป็นรากฐานสําหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ในมิติอื่น ๆ รวมถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลทั้งสองฝ่ายสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนาและวัฒนธรรม (Buddhist Circuits) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนของทั้งสองประเทศเดินทางไปมาหาสู่กันมากยิ่งขึ้น
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย ยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุน ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทยหวังว่า ภาคเอกชนไทยจะเข้าไปลงทุนในสาขาที่ศรีลังกามีความสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยและศรีลังกาย้ำถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561
ไทยและศรีลังกาย้ําถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน
ไทยและศรีลังกาย้ําถึงความสัมพันธ์และความร่วมมืออันแนบแน่นระหว่างกัน
วันที (8 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 10.00 น. นางกเษณุกา ธิเรนี เสเนวิรัตนะ (H.E. Ms. Kshenuka Dhireni Senewiratne) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีศรีลังกาเดินทางเยือนไทยเพื่อร่วมสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อปี 2559 พร้อมทั้งแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 70 ปี แห่งการประกาศเอกราชของศรีลังกา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย กล่าวยินดีแด่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับโปรดเกล้า ฯ ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นมายาวนานกว่า 60 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระชับความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรมกับศรีลังกา เพื่อให้เป็นรากฐานสําหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ในมิติอื่น ๆ รวมถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลทั้งสองฝ่ายสนับสนุนการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนาและวัฒนธรรม (Buddhist Circuits) เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนของทั้งสองประเทศเดินทางไปมาหาสู่กันมากยิ่งขึ้น
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย ยังเห็นพ้องที่จะเพิ่มความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุน ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทยหวังว่า ภาคเอกชนไทยจะเข้าไปลงทุนในสาขาที่ศรีลังกามีความสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9931 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่อุบลราชธานี เยี่ยมชมฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีระบบการจัดการในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม | วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่อุบลราชธานี เยี่ยมชมฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีระบบการจัดการในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมบริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด อําเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมบริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด อําเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายรังสรร บุญสะอาด อุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมลงพื้นที่
บริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด เป็นฟาร์มที่ผลิตผักอินทรีย์และแปรรูปพืชผลทางการเกษตร โดยใช้ระบบปลูกและจําหน่ายผักออร์แกนิค เน้นการทําการผลิตเกษตรอินทรีย์ บริหารจัดการด้วยระบบกึ่งอัจริยะ (Smart Farm) เป็นศูนย์จําหน่ายสินค้าทางการเกษตรและสินค้าชุมชน และศูนย์เรียนรู้การทําเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพ มาตรฐาน และความคุ้มค่า โดยการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ก.อุตฯ นำคณะผู้บริหารลงพื้นที่อุบลราชธานี เยี่ยมชมฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีระบบการจัดการในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561
รมช.ก.อุตฯ นําคณะผู้บริหารลงพื้นที่อุบลราชธานี เยี่ยมชมฟาร์มเกษตรอินทรีย์ ที่มีระบบการจัดการในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมบริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด อําเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี
วันนี้ (25 พฤษภาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมบริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด อําเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย นายรังสรร บุญสะอาด อุตสาหกรรมจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมลงพื้นที่
บริษัท เป็นตาฮักออร์แกนิค ฟาร์ม จํากัด เป็นฟาร์มที่ผลิตผักอินทรีย์และแปรรูปพืชผลทางการเกษตร โดยใช้ระบบปลูกและจําหน่ายผักออร์แกนิค เน้นการทําการผลิตเกษตรอินทรีย์ บริหารจัดการด้วยระบบกึ่งอัจริยะ (Smart Farm) เป็นศูนย์จําหน่ายสินค้าทางการเกษตรและสินค้าชุมชน และศูนย์เรียนรู้การทําเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร ซึ่งมีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพ มาตรฐาน และความคุ้มค่า โดยการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเชิญผู้เสียภาษีใช้แบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข แบบใหม่ | วันพุธที่ 5 กันยายน 2561
กรมสรรพากรเชิญผู้เสียภาษีใช้แบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข แบบใหม่
กรมสรรพากรได้ปรับปรุงแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 และแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสําหรับตราสารบางลักษณะ (อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข) พร้อมทั้งได้จัดทําวิธีการกรอกแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินและตารางตราสารสําหรับการยื่นแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน
ด้วยกรมสรรพากรได้ปรับปรุงแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 และแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสําหรับตราสารบางลักษณะ (อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข) พร้อมทั้งได้จัดทําวิธีการกรอกแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินและตารางตราสารสําหรับการยื่นแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน เพื่อให้ผู้ขอเสียอากรใช้เป็นแนวทางในการดําเนินการได้อย่างถูกต้องและได้รับความสะดวกในการนําไปใช้งาน โดยได้นําขึ้นเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เมนู “บริการอิเล็กทรอนิกส์” > Download > แบบแสดงรายการภาษี แบบคําร้อง/คําขอต่างๆ > อากรแสตมป์ (http://www.rd.go.th/publish/12855.0.html) และสามารถศึกษาวิธีการกรอกแบบด้วยการ Scan QR Code ที่อยู่ด้านหน้าของแบบฯ ดังกล่าว
สําหรับผู้เสียภาษีที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเชิญผู้เสียภาษีใช้แบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข แบบใหม่
วันพุธที่ 5 กันยายน 2561
กรมสรรพากรเชิญผู้เสียภาษีใช้แบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข แบบใหม่
กรมสรรพากรได้ปรับปรุงแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 และแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสําหรับตราสารบางลักษณะ (อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข) พร้อมทั้งได้จัดทําวิธีการกรอกแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินและตารางตราสารสําหรับการยื่นแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน
ด้วยกรมสรรพากรได้ปรับปรุงแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน อ.ส.4 และแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสําหรับตราสารบางลักษณะ (อ.ส.4ก และ อ.ส.4ข) พร้อมทั้งได้จัดทําวิธีการกรอกแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงินและตารางตราสารสําหรับการยื่นแบบขอเสียอากรแสตมป์เป็นตัวเงิน เพื่อให้ผู้ขอเสียอากรใช้เป็นแนวทางในการดําเนินการได้อย่างถูกต้องและได้รับความสะดวกในการนําไปใช้งาน โดยได้นําขึ้นเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เมนู “บริการอิเล็กทรอนิกส์” > Download > แบบแสดงรายการภาษี แบบคําร้อง/คําขอต่างๆ > อากรแสตมป์ (http://www.rd.go.th/publish/12855.0.html) และสามารถศึกษาวิธีการกรอกแบบด้วยการ Scan QR Code ที่อยู่ด้านหน้าของแบบฯ ดังกล่าว
สําหรับผู้เสียภาษีที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324
หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center) | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทำกิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และสำรวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร | วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทํากิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทํากิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร
วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาในนามรัฐบาล ในโอกาสการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562 และวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2562 โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณความว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ และประชาชนจิตอาสา ต่างมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ได้มาร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ในวันนี้
ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดการพระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อให้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 สมบูรณ์พร้อมตามโบราณขัตติยราชประเพณีนั้น รัฐบาลได้น้อมนําแนวทางพระราชทานโครงการจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” มาจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาเพื่อให้ประชาชนจิตอาสาได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีสําคัญนี้ อีกทั้งร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการรักษาไว้ซึ่งความสะอาดเรียบร้อยของบ้านเมือง และให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความสมัครสมานสามัคคีในการกระทํากิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ พร้อมทั้งร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ตลอดจนเป็นการอุทิศถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ในวาระนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลรักษาให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกร ตราบกาลนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และประชาชนจิตอาสาร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาฯ บริเวณโดยรอบสวนสันติชัยปราการ โดยการปลูกหญ้าบริเวณสวนหย่อม กวาดพื้นทําความสะอาดบริเวณพระที่นั่งสันติชัยปราการ ฉีดน้ําทําความสะอาดบริเวณรอบสวน และ ทาสีเสากั้นทางเดิน
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะลงเรือจากท่าเทียบเรือบริเวณสวนสันติชัยปราการเพื่อสํารวจเส้นทางการทําจิตอาสาบริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครฯ และเยี่ยมให้กําลังใจกิจกรรมอาสาบริเวณวัดราชาธิวาส
-------------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทำกิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และสำรวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร
วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทํากิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร
นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี พร้อมประชาชนทํากิจกรรมจิตอาสา บริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร
วันนี้ (2 ตุลาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาในนามรัฐบาล ในโอกาสการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 และเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562 และวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2562 โดยมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ประชาชนจิตอาสาเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณความว่า “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะกรรมการอํานวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ข้าราชการ และประชาชนจิตอาสา ต่างมีความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ได้มาร่วมกันประกอบกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ในวันนี้
ตามที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดการพระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อให้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 สมบูรณ์พร้อมตามโบราณขัตติยราชประเพณีนั้น รัฐบาลได้น้อมนําแนวทางพระราชทานโครงการจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” มาจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาเพื่อให้ประชาชนจิตอาสาได้มีส่วนร่วมในพระราชพิธีสําคัญนี้ อีกทั้งร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ในการรักษาไว้ซึ่งความสะอาดเรียบร้อยของบ้านเมือง และให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ามีความสมัครสมานสามัคคีในการกระทํากิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ พร้อมทั้งร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ตลอดจนเป็นการอุทิศถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ในวาระนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพลานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภิบาลรักษาให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงพระเกษมสําราญ สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า และเหล่าพสกนิกร ตราบกาลนิรันดร์เทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ”
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และประชาชนจิตอาสาร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาภูมิทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาฯ บริเวณโดยรอบสวนสันติชัยปราการ โดยการปลูกหญ้าบริเวณสวนหย่อม กวาดพื้นทําความสะอาดบริเวณพระที่นั่งสันติชัยปราการ ฉีดน้ําทําความสะอาดบริเวณรอบสวน และ ทาสีเสากั้นทางเดิน
เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะลงเรือจากท่าเทียบเรือบริเวณสวนสันติชัยปราการเพื่อสํารวจเส้นทางการทําจิตอาสาบริเวณริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี และสํารวจความเรียบร้อยตลอดเส้นทางการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนครฯ และเยี่ยมให้กําลังใจกิจกรรมอาสาบริเวณวัดราชาธิวาส
-------------------------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23560 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จ.อุบลราชธานี ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย ภายใต้แนวคิด | วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จ.อุบลราชธานี ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย ภายใต้แนวคิด
นายกฯ เยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ ภายใต้แนวคิด"รัฐได้ป่า ประชาได้ประโยชน์" พัฒนาต่อยอดเพิ่มพื้นที่ป่าในเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อความสุขของคนไทย เน้นย้ําการพัฒนาต้องสมดุลควบคู่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 16.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีรับการตรวจแถวของพนักงานพิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณด้านหน้าอาคารเอนกประสงค์ พร้อมรับฟังการขับร้องเพลงป่าในเมืองจากนักเรียนโรงเรียนนารีนุกูล และพบปะกลุ่มลูกเสือ - เนตรนารีจากโรงเรียนเทศบาล 3 (สามัคคีวิทยาคาร) ซึ่งเป็นตัวอย่างกลุ่มเยาวชนที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าในเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้โดยตรง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้พบปะทีมนักปั่นจักรยาน ทีมเด็กพิเศษในโครงการอาซาบําบัด คณะผู้ออกกําลังกาย นักท่องเที่ยว และผู้เข้าใช้บริการป่าในเมืองดงฟ้าห่วน พร้อมเยี่ยมชมผลิตผลพืชอาหารจากชุมชนและหมู่บ้านโดยรอบป่าด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันของทุกคนในการสร้างและอนุรักษ์ผืนป่าไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานในวันข้างหน้า ขอให้ทุกคนช่วยกันเริ่มตั้งแต่วันนี้ตามแนวทางศาสตร์พระราชา พร้อมเน้นย้ําว่า ป่าคือชีวิต เป็นสิ่งสําคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน มีน้ําใจ มีความรับผิดชอบ มีจิตสํานึกในการอนุรักษ์ สําหรับรัฐบาลจะดําเนินการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่ และโครงสร้างของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอนุมัติงบประมาณ การพิจารณาโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบที่ได้กําหนดและมีอยู่ในแผนการดําเนินงานซึ่งเน้นความคุ้มค่าและบูรณาการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากให้เด็ก ๆ และเยาวชน รวมทั้งประชาชนทุกคน คํานึงถึงคุณค่าทรัพยากรป่าไม้และช่วยกันรับผิดชอบฟื้นฟูและรักษาป่าไม้ให้เป็นความสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ นั่งรถรางชมสวนป่าพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าในเมืองตามโครงการ "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “รัฐได้ป่า ประชาได้ประโยชน์” โดยคํานึงถึงเรื่องความสมดุลกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ศึกษาธรรมชาติ ออกกําลังกายและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับประชาชนทั่วไป ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่น ในการอนุรักษ์ผืนป่าในเขตเมือง เป็นการสร้างความร่วมมือแบบประชารัฐ พัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สวนป่าพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน เป็นป่าในเมืองผืนใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พื้นที่รวม 3,400 ไร่ประกอบด้วย ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าทามริมลําห้วย ป่ายางนา และแปลงปลูกรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งให้เป็นป่าในเมือง ลําดับที่ 9 ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ครอบคลุมพื้นที่บ้านหนองมะเขือ หมู่ 17 และบ้านหนองบัว หมู่ 13 ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันได้ถูกจัดให้อยู่ในประเภทแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 เป็นห้องเรียนธรรมชาติด้านพืชพรรณ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั่วไป สามารถเข้าไปเรียนรู้ ศึกษาวิจัย และพักผ่อนหย่อนใจ หรือเข้าไปจัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน และจิตสํานึก ในการดูแลรักษาทรัพยากรอันมีค่าของประเทศให้คงอยู่สืบไป
สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วนนอกจากพื้นที่ป่าแล้ว ยังมีการจัดสรรพื้นที่เป็นสวนสัตว์อุบลราชธานีในรูปแบบ JUNGLE PARK คือการนําสวนสัตว์เข้ามาผสมผสานกับความสบูรณ์ของป่าไม้ในพื้นที่โดยอาศัยกลไกประชารัฐที่มีภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันฟื้นคืนความอุดมสมูรณ์เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเพื่อการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งยังเป็นที่ช่วยเก็บกักปริมานน้ําฝนอีกด้วย
----------------------------
สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จ.อุบลราชธานี ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย ภายใต้แนวคิด
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จ.อุบลราชธานี ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย ภายใต้แนวคิด
นายกฯ เยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ชื่นชมโครงการสวนป่าประชารัฐ ภายใต้แนวคิด"รัฐได้ป่า ประชาได้ประโยชน์" พัฒนาต่อยอดเพิ่มพื้นที่ป่าในเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้เพื่อความสุขของคนไทย เน้นย้ําการพัฒนาต้องสมดุลควบคู่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 16.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เยี่ยมชมการปลูกป่าในเมือง ณ สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีรับการตรวจแถวของพนักงานพิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ณ บริเวณด้านหน้าอาคารเอนกประสงค์ พร้อมรับฟังการขับร้องเพลงป่าในเมืองจากนักเรียนโรงเรียนนารีนุกูล และพบปะกลุ่มลูกเสือ - เนตรนารีจากโรงเรียนเทศบาล 3 (สามัคคีวิทยาคาร) ซึ่งเป็นตัวอย่างกลุ่มเยาวชนที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าในเมืองเป็นแหล่งเรียนรู้โดยตรง พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้พบปะทีมนักปั่นจักรยาน ทีมเด็กพิเศษในโครงการอาซาบําบัด คณะผู้ออกกําลังกาย นักท่องเที่ยว และผู้เข้าใช้บริการป่าในเมืองดงฟ้าห่วน พร้อมเยี่ยมชมผลิตผลพืชอาหารจากชุมชนและหมู่บ้านโดยรอบป่าด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันของทุกคนในการสร้างและอนุรักษ์ผืนป่าไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานในวันข้างหน้า ขอให้ทุกคนช่วยกันเริ่มตั้งแต่วันนี้ตามแนวทางศาสตร์พระราชา พร้อมเน้นย้ําว่า ป่าคือชีวิต เป็นสิ่งสําคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน มีน้ําใจ มีความรับผิดชอบ มีจิตสํานึกในการอนุรักษ์ สําหรับรัฐบาลจะดําเนินการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่ และโครงสร้างของงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งการลงพื้นที่ในวันนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอนุมัติงบประมาณ การพิจารณาโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามกรอบที่ได้กําหนดและมีอยู่ในแผนการดําเนินงานซึ่งเน้นความคุ้มค่าและบูรณาการ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีฝากให้เด็ก ๆ และเยาวชน รวมทั้งประชาชนทุกคน คํานึงถึงคุณค่าทรัพยากรป่าไม้และช่วยกันรับผิดชอบฟื้นฟูและรักษาป่าไม้ให้เป็นความสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ นั่งรถรางชมสวนป่าพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าในเมืองตามโครงการ "สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย" ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “รัฐได้ป่า ประชาได้ประโยชน์” โดยคํานึงถึงเรื่องความสมดุลกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในรูปแบบของพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ศึกษาธรรมชาติ ออกกําลังกายและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับประชาชนทั่วไป ภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่น ในการอนุรักษ์ผืนป่าในเขตเมือง เป็นการสร้างความร่วมมือแบบประชารัฐ พัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สวนป่าพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วน เป็นป่าในเมืองผืนใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พื้นที่รวม 3,400 ไร่ประกอบด้วย ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าทามริมลําห้วย ป่ายางนา และแปลงปลูกรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ ได้รับการจัดตั้งให้เป็นป่าในเมือง ลําดับที่ 9 ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ครอบคลุมพื้นที่บ้านหนองมะเขือ หมู่ 17 และบ้านหนองบัว หมู่ 13 ตําบลขามใหญ่ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันได้ถูกจัดให้อยู่ในประเภทแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 เป็นห้องเรียนธรรมชาติด้านพืชพรรณ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และนักท่องเที่ยวทั่วไป สามารถเข้าไปเรียนรู้ ศึกษาวิจัย และพักผ่อนหย่อนใจ หรือเข้าไปจัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน และจิตสํานึก ในการดูแลรักษาทรัพยากรอันมีค่าของประเทศให้คงอยู่สืบไป
สวนพฤกษศาสตร์ดงฟ้าห่วนนอกจากพื้นที่ป่าแล้ว ยังมีการจัดสรรพื้นที่เป็นสวนสัตว์อุบลราชธานีในรูปแบบ JUNGLE PARK คือการนําสวนสัตว์เข้ามาผสมผสานกับความสบูรณ์ของป่าไม้ในพื้นที่โดยอาศัยกลไกประชารัฐที่มีภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันฟื้นคืนความอุดมสมูรณ์เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเพื่อการอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งยังเป็นที่ช่วยเก็บกักปริมานน้ําฝนอีกด้วย
----------------------------
สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14064 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ | วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันนี้ (3 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ได้กินยาฆ่าตัวตายฆ่าตัวตาย เสียชีวิตภายในบ้านพักว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของท่านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจกระทําการดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของตัวท่านเอง ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งทางญาติก็ได้ออกมาชี้แจงแล้ว และได้มีการฌาปนกิจไปแล้ว ขออย่าขยายประเด็นให้เกิดความเสียหายอีกต่อไป
---------------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2561
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายกรัฐมนตรีแสดงความเสียใจต่อครอบครัวอดีตปลัดปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
วันนี้ (3 กรกฎาคม 2561) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีนายพุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรณีทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ได้กินยาฆ่าตัวตายฆ่าตัวตาย เสียชีวิตภายในบ้านพักว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของท่านอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจกระทําการดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของตัวท่านเอง ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งทางญาติก็ได้ออกมาชี้แจงแล้ว และได้มีการฌาปนกิจไปแล้ว ขออย่าขยายประเด็นให้เกิดความเสียหายอีกต่อไป
---------------------------------------------- | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13556 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560 | วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
รมว.ศธ.ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "Global Challenges and UNESCO's Soft Power Vision"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโกในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560 โดยได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับในช่วงค่ําของวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา และนางอิรินา โบโกว่า มีกําหนดการเข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ทําเนียบรัฐบาล
ในนามของกระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสตรีคนสําคัญของโลก ซึ่งดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานยูเนสโกถึง 2 สมัยสําหรับการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือในประเด็นต่าง ๆ ที่ประเทศไทยและยูเนสโกได้ดําเนินการร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยยูเนสโกได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือกับยูเนสโกอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสํานักงานเพื่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNESCO Asia and Pacific Regional Bureau for Education) ในปี พ.ศ. 2544และยูเนสโกยังทํางานใกล้ชิดกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ซึ่งมีแนวทางที่จะดําเนินโครงการ Country Partnership ของ OECD ด้วย
นอกจากนี้ ยูเนสโกได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง “Cracking the Code: Girls’ Education in STEM”โดยมีนางอิรินา โบโกว่า เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีและแขกผู้มีเกียรติจากนานาประเทศเข้าร่วมประชุม ซึ่งประเด็นสําคัญของการประชุมคือการหารือกัน เรื่อง STEMEducation สําหรับเด็กผู้หญิง เนื่องจากในบางประเทศเด็กผู้หญิงยังไม่รับการศึกษาที่ดีพอสมควร มีการกีดกัน และมีความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา ดังนั้น การประชุมนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่แต่ละประเทศจะได้แบ่งปันข้อมูลด้านการศึกษาสําหรับเด็กผู้หญิง ในส่วนของ STEM Education ในประเทศไทยนั้นขณะนี้มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมดําเนินการ อาทิ องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ (Southeast Asian Ministers of Education Organization : SEAMEO), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.), กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยทุกหน่วยงานได้หารือกันถึงการส่งเสริมให้ผู้หญิงเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะในบางประเทศกรณีเหล่านี้อาจถูกละเลย
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว นางอิรินา โบโกว่า มีกําหนดการที่จะเข้าร่วมในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างยูเนสโกและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้การอุปถัมภ์ขององค์การยูเนสโกด้วย ดังนั้น ยูเนสโกไม่ใช่หน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบ แต่จะทําหน้าที่ประสาน ช่วยเหลือ สนับสนุน และชี้ทิศทางเกี่ยวกับการศึกษาของโลกว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เช่น การหารือเรื่องการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการป้องกันการก่อการร้ายของโลก, ประเด็นด้านวัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ในช่วงหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษ นางอิรินา โบโกว่า ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมทั้งได้กล่าวถึงความสําคัญของ "Soft Power" ซึ่งเป็นการโน้มน้าวจูงใจโดยใช้การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมศาสตร์ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้สําหรับทุกคน รวมทั้งได้กล่าวถึงความสําคัญของความเท่าเทียมกันด้วยการส่งเสริมให้ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และจะไม่มีสังคมใดบนโลกนี้ที่อยู่เพียงลําพัง เราจะเดินไปด้วยกันบนโลกใบเดียวกันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติที่มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ําหรือความไม่เท่าเทียม ขจัดความยากจน และสร้างสันติภาพด้วย อีกทั้งได้เน้นย้ําถึงการที่มีผู้หญิงจํานวนมากที่ถูกบังคับให้ทํางาน และไม่ได้รับการศึกษา จึงต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ด้วยการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าถึงการศึกษา ตลอดจนให้มีโอกาสเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์มากขึ้นด้วย
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560
รมว.ศธ.ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโก ในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "Global Challenges and UNESCO's Soft Power Vision"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ให้การต้อนรับนางอิรินา โบโกว่า ผู้อํานวยการใหญ่องค์การยูเนสโกในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 27-29 สิงหาคม 2560 โดยได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับในช่วงค่ําของวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา และนางอิรินา โบโกว่า มีกําหนดการเข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ทําเนียบรัฐบาล
ในนามของกระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับสตรีคนสําคัญของโลก ซึ่งดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานยูเนสโกถึง 2 สมัยสําหรับการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือในประเด็นต่าง ๆ ที่ประเทศไทยและยูเนสโกได้ดําเนินการร่วมกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยยูเนสโกได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนความร่วมมือกับยูเนสโกอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดตั้งสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2504 ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสํานักงานเพื่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (UNESCO Asia and Pacific Regional Bureau for Education) ในปี พ.ศ. 2544และยูเนสโกยังทํางานใกล้ชิดกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ซึ่งมีแนวทางที่จะดําเนินโครงการ Country Partnership ของ OECD ด้วย
นอกจากนี้ ยูเนสโกได้จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง “Cracking the Code: Girls’ Education in STEM”โดยมีนางอิรินา โบโกว่า เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยรัฐมนตรีและแขกผู้มีเกียรติจากนานาประเทศเข้าร่วมประชุม ซึ่งประเด็นสําคัญของการประชุมคือการหารือกัน เรื่อง STEMEducation สําหรับเด็กผู้หญิง เนื่องจากในบางประเทศเด็กผู้หญิงยังไม่รับการศึกษาที่ดีพอสมควร มีการกีดกัน และมีความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา ดังนั้น การประชุมนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่แต่ละประเทศจะได้แบ่งปันข้อมูลด้านการศึกษาสําหรับเด็กผู้หญิง ในส่วนของ STEM Education ในประเทศไทยนั้นขณะนี้มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมดําเนินการ อาทิ องค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ (Southeast Asian Ministers of Education Organization : SEAMEO), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), สํานักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.), กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยทุกหน่วยงานได้หารือกันถึงการส่งเสริมให้ผู้หญิงเป็นนักวิทยาศาสตร์ เพราะในบางประเทศกรณีเหล่านี้อาจถูกละเลย
นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว นางอิรินา โบโกว่า มีกําหนดการที่จะเข้าร่วมในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างยูเนสโกและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้การอุปถัมภ์ขององค์การยูเนสโกด้วย ดังนั้น ยูเนสโกไม่ใช่หน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบ แต่จะทําหน้าที่ประสาน ช่วยเหลือ สนับสนุน และชี้ทิศทางเกี่ยวกับการศึกษาของโลกว่าจะร่วมมือกันอย่างไร เช่น การหารือเรื่องการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการป้องกันการก่อการร้ายของโลก, ประเด็นด้านวัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ในช่วงหนึ่งของการปาฐกถาพิเศษ นางอิรินา โบโกว่า ได้กล่าวขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการไทยที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมทั้งได้กล่าวถึงความสําคัญของ "Soft Power" ซึ่งเป็นการโน้มน้าวจูงใจโดยใช้การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมศาสตร์ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้สําหรับทุกคน รวมทั้งได้กล่าวถึงความสําคัญของความเท่าเทียมกันด้วยการส่งเสริมให้ทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และจะไม่มีสังคมใดบนโลกนี้ที่อยู่เพียงลําพัง เราจะเดินไปด้วยกันบนโลกใบเดียวกันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ของสหประชาชาติที่มุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ําหรือความไม่เท่าเทียม ขจัดความยากจน และสร้างสันติภาพด้วย อีกทั้งได้เน้นย้ําถึงการที่มีผู้หญิงจํานวนมากที่ถูกบังคับให้ทํางาน และไม่ได้รับการศึกษา จึงต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ด้วยการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าถึงการศึกษา ตลอดจนให้มีโอกาสเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์มากขึ้นด้วย
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6273 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ำพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข] | วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ําพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ําพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ําในห้องครัว โรงอาหาร ทําความสะอาด เครื่องกรองน้ํา ตู้กดน้ําดื่ม ก่อนเปิดเรียน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเปิดเทอม โรงเรียนจะต้องเตรียมการด้านสุขาภิบาลอาหารในห้องครัว โรงอาหาร ผู้สัมผัสอาหาร และการจัดการคุณภาพน้ําบริโภค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยผู้รับผิดชอบต้องจัดเตรียมห้องครัว โรงอาหาร และผู้สัมผัสอาหารตามมาตรการการปฏิบัติที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ ดังนี้ 1) บริเวณทางเข้าโรงอาหาร จัดให้มีอ่างล้างมือพร้อมสบู่ สําหรับให้บริการแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ 2) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ที่นั่งกินอาหาร จุดรับอาหาร จุดซื้ออาหาร จุดรอกดน้ําดื่ม จัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1–2 เมตร 3) โรงเรียนอาจจัดเหลื่อมช่วงเวลาปล่อยพักรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อลดความแออัดพื้นที่ภายในโรงอาหาร 4) ทําความสะอาดห้องครัว โรงอาหาร ด้วยน้ํายาทําความสะอาดหรือผงซักฟอก และฆ่าเชื้อด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ํา 1 ลิตร ส่วนภาชนะ อุปกรณ์ เช่น จาน ถาดหลุม ช้อน ส้อม แก้วน้ําส่วนตัว ให้ทําความสะอาดด้วยน้ํายาล้างจาน และฆ่าเชื้อด้วยการแช่ในน้ําร้อน 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 วินาที หรือแช่ด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วนครึ่งช้อนชาต่อน้ํา 1 ลิตร 1 นาที แล้วล้างน้ําให้สะอาดและอบหรือผึ่งให้แห้ง ก่อนนําไปใช้ใส่อาหาร และ 5) เมนูอาหารเน้นปรุงสุกใหม่ หากรอการจําหน่ายให้นํามาอุ่นทุก 2 ชั่วโมง มีการปกปิดอาหาร วางสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร
“สําหรับผู้สัมผัสอาหารต้องแต่งกายให้สะอาด สวมใส่ผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย รักษาความสะอาดของมือ ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ํา ทั้งก่อนและหลังปรุงประกอบอาหาร รวมถึงหลังจากการจับเหรียญหรือธนบัตร หรือสัมผัสสิ่งสกปรก หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จําเป็น ใช้อุปกรณ์ในการปรุงประกอบอาหาร เช่น เขียง มีด การหยิบจับอาหาร แยกระหว่างอาหารสุก อาหารประเภทเนื้อสัตว์สด ผักและผลไม้ และไม่เตรียม ปรุง ประกอบอาหารบนพื้นโดยตรง หากมีอาการป่วย ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก เหนื่อยหอบ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ให้หยุดปฏิบัติงานและไปพบแพทย์ทันที ส่วนการจัดเตรียมน้ําดื่ม น้ําใช้ ควรสํารวจความชํารุด บกพร่อง การแตกรั่วของระบบน้ําดื่มน้ําใช้ในโรงเรียน ได้แก่ ระบบท่อ ถังสํารองน้ํา ตู้กดน้ําดื่ม รวมไปถึงเครื่องกรองน้ําให้พร้อมใช้งาน หากชํารุดบกพร่องต้องรีบดําเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง ทําความสะอาดถังน้ํา ภาชนะใช้บรรจุน้ําดื่ม ตู้กดน้ําดื่ม ก๊อกน้ําดื่ม ทําการล้างย้อน (Backwash) หรือเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ํา สุดท้ายฆ่าเชื้อโรคด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์เช่นเดียวกับภาชนะใส่อาหาร ก่อนนํามาใช้หรือบรรจุน้ํา ตรวจสอบปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ําประปาที่ใช้ในโรงเรียนให้มี 0.5-1 มิลลิกรัมต่อลิตร หากต่ํากว่านี้ควรแจ้งหน่วยงานผู้ผลิตน้ําประปา นอกจากนี้ ควรตรวจเช็คความชํารุดเสียหายของสายดิน ระบบไฟฟ้าตามจุดต่าง ๆ ของตู้กดน้ําดื่ม โดยเฉพาะบริเวณก๊อกน้ําที่ถือเป็นจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันไฟฟ้าดูดขณะใช้งาน” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***************
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 17 มิถุนายน 2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ำพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ําพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย แนะ โรงเรียนจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ําพื้นที่ครัว โรงอาหาร ก่อนเปิดเรียน
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ โรงเรียนเตรียมความพร้อมด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ําในห้องครัว โรงอาหาร ทําความสะอาด เครื่องกรองน้ํา ตู้กดน้ําดื่ม ก่อนเปิดเรียน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเปิดเทอม โรงเรียนจะต้องเตรียมการด้านสุขาภิบาลอาหารในห้องครัว โรงอาหาร ผู้สัมผัสอาหาร และการจัดการคุณภาพน้ําบริโภค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยผู้รับผิดชอบต้องจัดเตรียมห้องครัว โรงอาหาร และผู้สัมผัสอาหารตามมาตรการการปฏิบัติที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ ดังนี้ 1) บริเวณทางเข้าโรงอาหาร จัดให้มีอ่างล้างมือพร้อมสบู่ สําหรับให้บริการแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ 2) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ที่นั่งกินอาหาร จุดรับอาหาร จุดซื้ออาหาร จุดรอกดน้ําดื่ม จัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1–2 เมตร 3) โรงเรียนอาจจัดเหลื่อมช่วงเวลาปล่อยพักรับประทานอาหารกลางวัน เพื่อลดความแออัดพื้นที่ภายในโรงอาหาร 4) ทําความสะอาดห้องครัว โรงอาหาร ด้วยน้ํายาทําความสะอาดหรือผงซักฟอก และฆ่าเชื้อด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ํา 1 ลิตร ส่วนภาชนะ อุปกรณ์ เช่น จาน ถาดหลุม ช้อน ส้อม แก้วน้ําส่วนตัว ให้ทําความสะอาดด้วยน้ํายาล้างจาน และฆ่าเชื้อด้วยการแช่ในน้ําร้อน 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 วินาที หรือแช่ด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 6 เปอร์เซ็นต์ อัตราส่วนครึ่งช้อนชาต่อน้ํา 1 ลิตร 1 นาที แล้วล้างน้ําให้สะอาดและอบหรือผึ่งให้แห้ง ก่อนนําไปใช้ใส่อาหาร และ 5) เมนูอาหารเน้นปรุงสุกใหม่ หากรอการจําหน่ายให้นํามาอุ่นทุก 2 ชั่วโมง มีการปกปิดอาหาร วางสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร
“สําหรับผู้สัมผัสอาหารต้องแต่งกายให้สะอาด สวมใส่ผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย รักษาความสะอาดของมือ ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ํา ทั้งก่อนและหลังปรุงประกอบอาหาร รวมถึงหลังจากการจับเหรียญหรือธนบัตร หรือสัมผัสสิ่งสกปรก หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จําเป็น ใช้อุปกรณ์ในการปรุงประกอบอาหาร เช่น เขียง มีด การหยิบจับอาหาร แยกระหว่างอาหารสุก อาหารประเภทเนื้อสัตว์สด ผักและผลไม้ และไม่เตรียม ปรุง ประกอบอาหารบนพื้นโดยตรง หากมีอาการป่วย ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ หายใจลําบาก เหนื่อยหอบ ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ให้หยุดปฏิบัติงานและไปพบแพทย์ทันที ส่วนการจัดเตรียมน้ําดื่ม น้ําใช้ ควรสํารวจความชํารุด บกพร่อง การแตกรั่วของระบบน้ําดื่มน้ําใช้ในโรงเรียน ได้แก่ ระบบท่อ ถังสํารองน้ํา ตู้กดน้ําดื่ม รวมไปถึงเครื่องกรองน้ําให้พร้อมใช้งาน หากชํารุดบกพร่องต้องรีบดําเนินการแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง ทําความสะอาดถังน้ํา ภาชนะใช้บรรจุน้ําดื่ม ตู้กดน้ําดื่ม ก๊อกน้ําดื่ม ทําการล้างย้อน (Backwash) หรือเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ํา สุดท้ายฆ่าเชื้อโรคด้วยโซเดียมไฮโปคลอไรท์เช่นเดียวกับภาชนะใส่อาหาร ก่อนนํามาใช้หรือบรรจุน้ํา ตรวจสอบปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ําประปาที่ใช้ในโรงเรียนให้มี 0.5-1 มิลลิกรัมต่อลิตร หากต่ํากว่านี้ควรแจ้งหน่วยงานผู้ผลิตน้ําประปา นอกจากนี้ ควรตรวจเช็คความชํารุดเสียหายของสายดิน ระบบไฟฟ้าตามจุดต่าง ๆ ของตู้กดน้ําดื่ม โดยเฉพาะบริเวณก๊อกน้ําที่ถือเป็นจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันไฟฟ้าดูดขณะใช้งาน” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***************
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/ 17 มิถุนายน 2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจำ และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย | วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจํา และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจํา และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย ไม่ต้องรอ 14 วัน
วันนี้ (28 ม.ค. 63) เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การแสดงผลงานหัตถศิลป์ไทย จากงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5 จากกระทรวงสาธารณสุข โอกาสนี้ คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นําคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในโอกาสสัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นําคณะศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT เผยแพร่และประชาสัมพันธ์การจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 โดยได้นําผลงานหัตถศิลป์ไทยมา ผ้าไหม ผ้าฝ้าย มาแสดง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิดหนังใหญ่ร่วมกับครูวีระ มีเหมือน ครูศิลป์ของแผ่นดิน ประจําปี 2562 โดยนายกรัฐมนตรียังได้ยกย่องครูศิลป์แผ่นดินในการรักษามรดกวัฒนธรรมของไทยเพื่อส่งต่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลงานตัวอย่าง ที่จะถูกนําไปแสดงในวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 จัดขึ้นโดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ได้แก่ ระบบผสมปุ๋ยและจ่ายน้ําอัจฉริยะ ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อมในโรงเรียน ระบบควบคุมเครื่องเติมอากาศสําหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ระบบพลาสมาเย็น ลูกบอลดับเพลิง และ ระบบควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้ของเครื่องกังหันก๊าซแบบอัตโนมัติ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมทุกผลงานที่นํามาจัดแสดง โดยแนะให้นําผลงานเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อที่จะนําไปสร้างประโยชน์ต่อไป
โอกาสนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําเสนอผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อาทิเช่น หุ่นยนต์กู้ภัยและระบบทําแผนที่สามมิติ หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด แอปพลิเคชันติดตามรถโดยสารประจําทางแบบเรียลไทม์ และ Container Truck Gate Automation หรือระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์และป้ายทะเบียนรถบรรทุกอัตโนมัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด พร้อมเสนอว่า อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการงานกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) เพื่อให้ประสิทธิภาพและอํานวยความสะดวกต่อประชาชนมากเพิ่มขึ้น
จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะ “รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5” ประชาสัมพันธ์การทํางานของหน่วยงานในสังกัด ที่ได้ดําเนินการและติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองอย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพของประชาชน ประกอบด้วย แอปพลิเคชัน Air4Thai และการประชาสัมพันธ์การใส่หน้ากากอนามัย โดยนายกรัฐมนตรีได้สาธิตวิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องแก่สื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม รวมถึงกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้สูงเกินไปเพื่อที่ประชาชนจะสามารถจัดหาได้
ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นําคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบกระเช้าดอกป๊อบปี้ จากมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก พร้อมกลัดดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์ เนื่องในโอกาส สัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก ระหว่างวันที่ 25 ม.ค. – 3 ก.พ. 63 โดยนายกรัฐมนตรียังกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนช่วยอุดหนุนและติดดอกป๊อบปี๊ เพื่อรําลึกถึงทหารผ่านศึกและอาสาสมัครที่ร่วมกันต่อสู้ป้องกันประเทศชาติ โดยรายได้จะถูกนํากลับไปใช้เพื่อทหารผ่านศึกและครอบครัวด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์ไวรัสโคโรนาว่า รัฐบาลได้ดําเนินการตรวจสอบและติดตามอย่างเคร่งครัด สั่งการให้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่าอากาศยานทุกแห่งได้มีการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเข้มงวด โดยนายกรัฐมนตรีย้ําด้วยความห่วงใยขอให้ประชาชนทุกคน ทานอาหารสุกและร้อน ใช้ช้อนกลาง รวมถึงหมั่นล้างมือเป็นประจํา และหากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องรอ 14 วัน
................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจำ และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจํา และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย
นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน แนะกินร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือเป็นประจํา และพบแพทย์ทันที หากมีอาการเจ็บป่วย ไม่ต้องรอ 14 วัน
วันนี้ (28 ม.ค. 63) เวลา 8.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมนิทรรศการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ การแสดงผลงานหัตถศิลป์ไทย จากงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 ผลงานประดิษฐ์และนวัตกรรม จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 วิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5 จากกระทรวงสาธารณสุข โอกาสนี้ คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นําคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในโอกาสสัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นําคณะศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT เผยแพร่และประชาสัมพันธ์การจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 11 โดยได้นําผลงานหัตถศิลป์ไทยมา ผ้าไหม ผ้าฝ้าย มาแสดง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้เชิดหนังใหญ่ร่วมกับครูวีระ มีเหมือน ครูศิลป์ของแผ่นดิน ประจําปี 2562 โดยนายกรัฐมนตรียังได้ยกย่องครูศิลป์แผ่นดินในการรักษามรดกวัฒนธรรมของไทยเพื่อส่งต่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้สืบทอดต่อไป
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมผลงานตัวอย่าง ที่จะถูกนําไปแสดงในวันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2563 จัดขึ้นโดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรด้านการวิจัยและการประดิษฐ์คิดค้นนานาชาติ ได้แก่ ระบบผสมปุ๋ยและจ่ายน้ําอัจฉริยะ ระบบควบคุมสภาวะแวดล้อมในโรงเรียน ระบบควบคุมเครื่องเติมอากาศสําหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ระบบพลาสมาเย็น ลูกบอลดับเพลิง และ ระบบควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้ของเครื่องกังหันก๊าซแบบอัตโนมัติ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมทุกผลงานที่นํามาจัดแสดง โดยแนะให้นําผลงานเหล่านี้ไปต่อยอดและพัฒนาเพื่อที่จะนําไปสร้างประโยชน์ต่อไป
โอกาสนี้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําเสนอผลงานวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startup) เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อาทิเช่น หุ่นยนต์กู้ภัยและระบบทําแผนที่สามมิติ หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด แอปพลิเคชันติดตามรถโดยสารประจําทางแบบเรียลไทม์ และ Container Truck Gate Automation หรือระบบอ่านหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์และป้ายทะเบียนรถบรรทุกอัตโนมัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ทดลองใช้หุ่นเย็นเก็บกู้วัตถุระเบิด พร้อมเสนอว่า อยากให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการบูรณาการงานกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารภาครัฐ (GovTech) เพื่อให้ประสิทธิภาพและอํานวยความสะดวกต่อประชาชนมากเพิ่มขึ้น
จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําคณะ “รวมพลังสู้ฝุ่น PM 2.5” ประชาสัมพันธ์การทํางานของหน่วยงานในสังกัด ที่ได้ดําเนินการและติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองอย่างใกล้ชิด เพื่อสุขภาพของประชาชน ประกอบด้วย แอปพลิเคชัน Air4Thai และการประชาสัมพันธ์การใส่หน้ากากอนามัย โดยนายกรัฐมนตรีได้สาธิตวิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องแก่สื่อมวลชน เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม รวมถึงกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมราคาหน้ากากอนามัยไม่ให้สูงเกินไปเพื่อที่ประชาชนจะสามารถจัดหาได้
ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี คุณหญิง แสงเดือน ณ นคร ประธานกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก นําคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อมอบกระเช้าดอกป๊อบปี้ จากมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก พร้อมกลัดดอกป๊อปปี้แด่นายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์ เนื่องในโอกาส สัปดาห์ดอกป๊อบปี้บานวันทหารผ่านศึก ระหว่างวันที่ 25 ม.ค. – 3 ก.พ. 63 โดยนายกรัฐมนตรียังกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนช่วยอุดหนุนและติดดอกป๊อบปี๊ เพื่อรําลึกถึงทหารผ่านศึกและอาสาสมัครที่ร่วมกันต่อสู้ป้องกันประเทศชาติ โดยรายได้จะถูกนํากลับไปใช้เพื่อทหารผ่านศึกและครอบครัวด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์ไวรัสโคโรนาว่า รัฐบาลได้ดําเนินการตรวจสอบและติดตามอย่างเคร่งครัด สั่งการให้จัดตั้งวอร์รูมเพื่อสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่าอากาศยานทุกแห่งได้มีการตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเข้มงวด โดยนายกรัฐมนตรีย้ําด้วยความห่วงใยขอให้ประชาชนทุกคน ทานอาหารสุกและร้อน ใช้ช้อนกลาง รวมถึงหมั่นล้างมือเป็นประจํา และหากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องรอ 14 วัน
................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งประสาน จนท.ตำรวจร้อยเอ็ดตรวจสอบ กรณีอสม.ถูกทำร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิต กำชับดูแลเยียวยาอย่างเต็มที่ | วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
สธ.เร่งประสาน จนท.ตํารวจร้อยเอ็ดตรวจสอบ กรณีอสม.ถูกทําร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิต กําชับดูแลเยียวยาอย่างเต็มที่
กระทรวงสาธารณสุข ประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งตรวจสอบ อสม.ที่ถูกทําร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บทั้ง2ราย อาการปลอดภัย กําชับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดูแลและเยียวยาตามระเบียบการดูแล อสม.อย่างเต็มที่ บ่ายวันนี้ส่งทีมสุขภาพจิตลงพื้นที่
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดว่า มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เขวาตะคลอง ถูกชายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธปืนและ มีดไล่ฟันทําร้ายเสียชีวิต 1รายและบาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดระหว่างการประชุม สสส ถอดบทเรียนต่อยอดนวัตกรรมเตียงฟองน้ํา ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล เขวาตะคลอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
เบื้องต้นได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ติดตามให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ พร้อมมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มอบเงินเยียวยาผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตตามระเบียบการดูแล อสม.
"ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกับเหตการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น และส่งทีมสุขภาพจิตดูแลจิตใจ พร้อมดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ รวมทั้งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยมอบให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้างานสุขภาพภาคประชาชนประจําจังหวัดร้อยเอ็ดประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบหาข้อเท็จจริงและรายงานให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทราบต่อไป" นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งประสาน จนท.ตำรวจร้อยเอ็ดตรวจสอบ กรณีอสม.ถูกทำร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิต กำชับดูแลเยียวยาอย่างเต็มที่
วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2560
สธ.เร่งประสาน จนท.ตํารวจร้อยเอ็ดตรวจสอบ กรณีอสม.ถูกทําร้ายบาดเจ็บและเสียชีวิต กําชับดูแลเยียวยาอย่างเต็มที่
กระทรวงสาธารณสุข ประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งตรวจสอบ อสม.ที่ถูกทําร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนผู้บาดเจ็บทั้ง2ราย อาการปลอดภัย กําชับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดูแลและเยียวยาตามระเบียบการดูแล อสม.อย่างเต็มที่ บ่ายวันนี้ส่งทีมสุขภาพจิตลงพื้นที่
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดว่า มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เขวาตะคลอง ถูกชายคลุ้มคลั่งใช้อาวุธปืนและ มีดไล่ฟันทําร้ายเสียชีวิต 1รายและบาดเจ็บ 2 ราย เหตุเกิดระหว่างการประชุม สสส ถอดบทเรียนต่อยอดนวัตกรรมเตียงฟองน้ํา ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล เขวาตะคลอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
เบื้องต้นได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ติดตามให้กําลังใจและให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ พร้อมมอบให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มอบเงินเยียวยาผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตตามระเบียบการดูแล อสม.
"ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บกับเหตการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้น และส่งทีมสุขภาพจิตดูแลจิตใจ พร้อมดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ รวมทั้งเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยมอบให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้างานสุขภาพภาคประชาชนประจําจังหวัดร้อยเอ็ดประสานเจ้าหน้าที่ตํารวจเร่งสืบหาข้อเท็จจริงและรายงานให้ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทราบต่อไป" นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าว | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2972 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping [กระทรวงการคลัง] | วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping [กระทรวงการคลัง]
SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน
SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน หนุน SME ให้เติบโตยั่งยืน
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ให้เติบโตและยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพและขยายช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น จัดโครงการ ปั้นสุดยอดสินค้า SME จําหน่าย ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ www.ShopAt24.com และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค และยังช่วยสร้างยอดขายสร้างรายได้กับชุมชน พัฒนาธุรกิจรายย่อยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สําหรับโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้กับลูกค้า SME D Bank ทั้งบุคคลธรรมดานิติบุคคล นําสินค้ามาจําหน่ายผ่านช่องทางของซีพี ออลล์ และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ประกอบด้วย ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น, เว็บไซต์ www.ShopAt24.com ที่มีจํานวนผู้เข้าชม 5,000,000 รายต่อเดือน และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสําอาง หรือของกิน ของใช้ที่เป็นสินค้าที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงต้องมีกําลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐานรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องหมายการผลิตปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก GMP หรือเครื่องหมายมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า
“ความร่วมมือระหว่าง SME D Bank และ ซีพี ออลล์ ถือเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการพัฒนาและยกระดับสินค้า เพื่อวางจําหน่ายผ่านช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยให้ธุรกิจมียอดขายและรายได้เติบโตแบบยั่งยืนโดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม – 12 มิถุนายน 2563 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1357” นางสาวนารถนารี กล่าว
ด้าน นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีนโยบายและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทจะเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีโอกาสส่งสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภคโดยตรงผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และผ่านช่องทางของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด ซึ่งจําหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ShopAt24.com แอปพลิเคชั่น และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก และช่วยพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน”
“ความร่วมมือกับ SME D Bank ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มรายได้และขยายช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทยังให้คําแนะนําการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีด้วย เพื่อให้มียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยผลจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีสินค้าเอสเอ็มอีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง กว่า 20,000 รายการ และได้ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 50,000 ครอบครัว ให้มีช่องทางจําหน่ายสินค้ามากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
SME D Bank จับมือ ซีพี ออลล์ ช่วยเอสเอ็มอีสู้ภัยโควิด-19 ขายผ่านร้านเซเว่นฯ-ออนไลน์ 24 shopping [กระทรวงการคลัง]
SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน
SME D Bank จับมือกับซีพี ออลล์ จัดโครงการ คัดสรรสุดยอดสินค้า SME จําหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด เพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าส่งตรงถึงมือผู้บริโภค สู้ภัยโควิด-19 ช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน หนุน SME ให้เติบโตยั่งยืน
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ธพว.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อการพัฒนา SMEs ไทย ให้เติบโตและยั่งยืน พร้อมเพิ่มศักยภาพและขยายช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 โดยร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกประเภทร้านค้าสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น จัดโครงการ ปั้นสุดยอดสินค้า SME จําหน่าย ผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ www.ShopAt24.com และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการจําหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแต่ละพื้นที่ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค และยังช่วยสร้างยอดขายสร้างรายได้กับชุมชน พัฒนาธุรกิจรายย่อยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สําหรับโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้กับลูกค้า SME D Bank ทั้งบุคคลธรรมดานิติบุคคล นําสินค้ามาจําหน่ายผ่านช่องทางของซีพี ออลล์ และทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง ประกอบด้วย ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น, เว็บไซต์ www.ShopAt24.com ที่มีจํานวนผู้เข้าชม 5,000,000 รายต่อเดือน และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เครื่องสําอาง หรือของกิน ของใช้ที่เป็นสินค้าที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงต้องมีกําลังการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการ และกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐานรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เครื่องหมายการผลิตปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก GMP หรือเครื่องหมายมาตรฐานอาหารฮาลาล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า
“ความร่วมมือระหว่าง SME D Bank และ ซีพี ออลล์ ถือเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการพัฒนาและยกระดับสินค้า เพื่อวางจําหน่ายผ่านช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยให้ธุรกิจมียอดขายและรายได้เติบโตแบบยั่งยืนโดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม – 12 มิถุนายน 2563 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นขั้นตอนต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1357” นางสาวนารถนารี กล่าว
ด้าน นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโสคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีนโยบายและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทจะเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีโอกาสส่งสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภคโดยตรงผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ และผ่านช่องทางของบริษัท ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง จํากัด ซึ่งจําหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์ www.ShopAt24.com แอปพลิเคชั่น และนิตยสารทเวนตี้โฟร์ แคตตาล็อก และช่วยพัฒนาเอสเอ็มอีให้เติบโตเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน”
“ความร่วมมือกับ SME D Bank ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มรายได้และขยายช่องทางการจําหน่ายให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 นอกจากนี้ บริษัทยังให้คําแนะนําการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าเอสเอ็มอีด้วย เพื่อให้มียอดขายเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยผลจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีสินค้าเอสเอ็มอีในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นและทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง กว่า 20,000 รายการ และได้ช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 50,000 ครอบครัว ให้มีช่องทางจําหน่ายสินค้ามากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31508 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม./รมว.กห. กำชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นำ้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่ | วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
รอง นรม./รมว.กห. กําชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่
รอง นรม./รมว.กห. กําชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้กําชับทุกเหล่าทัพ ให้ติดตามรายงานสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงที่มีฝนตกต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น จนอาจทําให้เกิดภาวะน้ําล้นตลิ่ง น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ให้ประสานการทํางานร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ทันที
ขณะเดียวกัน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน 4 จังหวัดที่ยังคงมีระดับนํา้เพิ่มสูง ได้แก่ ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ําให้คงความต่อเนื่องในการสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป จนกว่าสถานการณ์นํา้ในแต่ละพื้นที่จะคลี่คลาย
สําหรับในหลายจังหวัดที่สถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายแล้ว ให้สนับสนุนจังหวัดในการตรวจสอบข้อมูลความเสียหายจากอุทกภัยเชิงพื้นที่ทั้งด้านชีวิตและที่อยู่อาศัย เพื่อประเมินและให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกัน ในการฟื้นฟู ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และสาธารณูปโภคในภาพรวม เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดําเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม./รมว.กห. กำชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นำ้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2560
รอง นรม./รมว.กห. กําชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่
รอง นรม./รมว.กห. กําชับทุกเหล่าทัพ ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ภาคใต้ใกล้ชิด และให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนทันทีในทุกพื้นที่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. ได้กําชับทุกเหล่าทัพ ให้ติดตามรายงานสภาพอากาศและสถานการณ์นํา้ในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด และเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงที่มีฝนตกต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้น จนอาจทําให้เกิดภาวะน้ําล้นตลิ่ง น้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทั้งนี้ให้ประสานการทํางานร่วมกับส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ทันที
ขณะเดียวกัน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน 4 จังหวัดที่ยังคงมีระดับนํา้เพิ่มสูง ได้แก่ ยโสธร สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี พล.อ.ประวิตร ได้เน้นย้ําให้คงความต่อเนื่องในการสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ ให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป จนกว่าสถานการณ์นํา้ในแต่ละพื้นที่จะคลี่คลาย
สําหรับในหลายจังหวัดที่สถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายแล้ว ให้สนับสนุนจังหวัดในการตรวจสอบข้อมูลความเสียหายจากอุทกภัยเชิงพื้นที่ทั้งด้านชีวิตและที่อยู่อาศัย เพื่อประเมินและให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกัน ในการฟื้นฟู ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และสาธารณูปโภคในภาพรวม เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาดําเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6014 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลื้ม!! ไทยรองชนะเลิศ STOP IUU FISHING | วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2562
ปลื้ม!! ไทยรองชนะเลิศ STOP IUU FISHING
- -
มีข่าวดีของประเทศไทยมาบอกเล่ากันอีกแล้ว...
หลังจากที่เราเพิ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศ “การหยุดทําประมงผิดกฎหมายที่ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) ครั้งที่ 3” (STOP IUU FISHING AWARD) ขององค์กร International MCS Network จากผลงานการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์จากปลา ซึ่งเป็นเครื่องมือสําคัญในการต่อสู้กับการจับปลาผิดกฎหมายในไทย
รางวัล STOP IUU FISHING AWARD เป็นรางวัลที่มอบให้กับบุคคล ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของประเทศต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศจากทั่วโลก ที่มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมและเสนอแนะแนวทางในการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังปัญหา IUU ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการทําประมงทั่วโลกให้ยั่งยืน
เกณฑ์การตัดสินวัดจากอะไร?
1. ความสําเร็จ = ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ในการขจัดปัญหา IUU
2. นวัตกรรม = วิธีการอย่างสร้างสรรค์ในการจัดการกับปัญหา IUU
3. ความเป็นไปได้และค่าใช้จ่าย = สามารถใช้ได้จริง ชาวประมงหรือบุคคลอื่น ๆ สามารถนําไปทําซ้ําเองได้
4. ศักยภาพ = สามารถนําไปเป็นเครื่องมือ ในการดําเนินการในโครงการนําร่อง
5. การศึกษา = ช่วยแบ่งปันแนวปฏิบัติใหม่ หรือแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นที่รู้จักของ MCS ซึ่งจะเสริมสร้างความเข้มแข็งกับการต่อสู้กับ IUU ในระดับโลก
ทําไมระบบตรวจสอบย้อนกลับของไทยถึงได้รางวัล?
รัฐบาลได้นําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการควบคุมและตรวจสอบสัตว์น้ําที่จับจากเรือประมงไทย และสัตว์น้ําที่นําเข้าจากต่างประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างระบบข้อมูลของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. ระบบ Fishing Info System (FI System) คือ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลของเรือประมง ระบบการออกใบอนุญาตทําการประมง และระบบการตรวจสอบติดตามการทําการประมงของเรือประมงของไทย โดยใช้ระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System - VMS)
2. ระบบ Thai - flagged Catch Certificate System คือ การบันทึกข้อมูลของสัตว์น้ํา และควบคุมการตรวจสอบย้อนกลับของเรือประมงไทย โดยหน่วยงานของไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลของสัตว์น้ําได้ตลอดสายการผลิต
3. ระบบ PSM Linked Processing Statement System (PPS) คือ การควบคุมการนําเข้าสินค้าสัตว์น้ําจากต่างประเทศ โดยจะมีการบันทึกข้อมูลการตรวจสัตว์น้ํา ตั้งแต่ก่อนเข้าเทียบท่า การตรวจสอบ ณ ท่าเทียบเรือ และการควบคุมกระบวนการการตรวจสอบการนําสัตว์น้ําขึ้นท่า เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร รวมถึงผู้ประกอบการ ทําให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบตลอดทั้งสายการผลิต
รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลสําเร็จของรัฐบาลไทยในการพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ําตลอดห่วงโซ่อุปทานมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทําประมง IUU และควบคุมมิให้มีการนําเข้าและส่งออกสัตว์น้ําที่มาจากการทําประมง IUU
ผลที่เกิดขึ้นจะทําให้อุตสาหกรรมประมงไทยปราศจากการทําประมง IUU ทั้งระบบ และเพื่อให้กระบวนการผลิตสินค้าประมงของไทยได้คุณภาพมาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคจากทั่วโลก
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 ไทยได้ยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 โดยไทยเป็นประเทศที่ 14 ของรัฐสมาชิกองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว
การปฏิบัติตามอนุสัญญานี้จะทําให้สภาพการทํางาน ที่พักอาศัย อาหาร อาชีวอนามัยและความปลอดภัย สัญญาจ้างงาน และการประกันสุขภาพของแรงงานในภาคการประมงดีขึ้น โดยอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับใน 12 เดือนนับจากวันที่ให้สัตยาบัน หรือวันที่ 30 มกราคม 2563
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยยังอยู่ระหว่างยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. .... เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิของแรงงานประมงและป้องกันการใช้แรงงานบังคับอีกด้วย
---------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลื้ม!! ไทยรองชนะเลิศ STOP IUU FISHING
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2562
ปลื้ม!! ไทยรองชนะเลิศ STOP IUU FISHING
- -
มีข่าวดีของประเทศไทยมาบอกเล่ากันอีกแล้ว...
หลังจากที่เราเพิ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศ “การหยุดทําประมงผิดกฎหมายที่ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) ครั้งที่ 3” (STOP IUU FISHING AWARD) ขององค์กร International MCS Network จากผลงานการพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์จากปลา ซึ่งเป็นเครื่องมือสําคัญในการต่อสู้กับการจับปลาผิดกฎหมายในไทย
รางวัล STOP IUU FISHING AWARD เป็นรางวัลที่มอบให้กับบุคคล ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของประเทศต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศจากทั่วโลก ที่มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริมและเสนอแนะแนวทางในการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังปัญหา IUU ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการทําประมงทั่วโลกให้ยั่งยืน
เกณฑ์การตัดสินวัดจากอะไร?
1. ความสําเร็จ = ผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ในการขจัดปัญหา IUU
2. นวัตกรรม = วิธีการอย่างสร้างสรรค์ในการจัดการกับปัญหา IUU
3. ความเป็นไปได้และค่าใช้จ่าย = สามารถใช้ได้จริง ชาวประมงหรือบุคคลอื่น ๆ สามารถนําไปทําซ้ําเองได้
4. ศักยภาพ = สามารถนําไปเป็นเครื่องมือ ในการดําเนินการในโครงการนําร่อง
5. การศึกษา = ช่วยแบ่งปันแนวปฏิบัติใหม่ หรือแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นที่รู้จักของ MCS ซึ่งจะเสริมสร้างความเข้มแข็งกับการต่อสู้กับ IUU ในระดับโลก
ทําไมระบบตรวจสอบย้อนกลับของไทยถึงได้รางวัล?
รัฐบาลได้นําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการควบคุมและตรวจสอบสัตว์น้ําที่จับจากเรือประมงไทย และสัตว์น้ําที่นําเข้าจากต่างประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างระบบข้อมูลของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
1. ระบบ Fishing Info System (FI System) คือ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลของเรือประมง ระบบการออกใบอนุญาตทําการประมง และระบบการตรวจสอบติดตามการทําการประมงของเรือประมงของไทย โดยใช้ระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System - VMS)
2. ระบบ Thai - flagged Catch Certificate System คือ การบันทึกข้อมูลของสัตว์น้ํา และควบคุมการตรวจสอบย้อนกลับของเรือประมงไทย โดยหน่วยงานของไทยสามารถตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลของสัตว์น้ําได้ตลอดสายการผลิต
3. ระบบ PSM Linked Processing Statement System (PPS) คือ การควบคุมการนําเข้าสินค้าสัตว์น้ําจากต่างประเทศ โดยจะมีการบันทึกข้อมูลการตรวจสัตว์น้ํา ตั้งแต่ก่อนเข้าเทียบท่า การตรวจสอบ ณ ท่าเทียบเรือ และการควบคุมกระบวนการการตรวจสอบการนําสัตว์น้ําขึ้นท่า เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร รวมถึงผู้ประกอบการ ทําให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบตลอดทั้งสายการผลิต
รางวัลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงผลสําเร็จของรัฐบาลไทยในการพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับสัตว์น้ําตลอดห่วงโซ่อุปทานมาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทําประมง IUU และควบคุมมิให้มีการนําเข้าและส่งออกสัตว์น้ําที่มาจากการทําประมง IUU
ผลที่เกิดขึ้นจะทําให้อุตสาหกรรมประมงไทยปราศจากการทําประมง IUU ทั้งระบบ และเพื่อให้กระบวนการผลิตสินค้าประมงของไทยได้คุณภาพมาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคจากทั่วโลก
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 ไทยได้ยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทํางานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 โดยไทยเป็นประเทศที่ 14 ของรัฐสมาชิกองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าว
การปฏิบัติตามอนุสัญญานี้จะทําให้สภาพการทํางาน ที่พักอาศัย อาหาร อาชีวอนามัยและความปลอดภัย สัญญาจ้างงาน และการประกันสุขภาพของแรงงานในภาคการประมงดีขึ้น โดยอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับใน 12 เดือนนับจากวันที่ให้สัตยาบัน หรือวันที่ 30 มกราคม 2563
ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยยังอยู่ระหว่างยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. .... เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิของแรงงานประมงและป้องกันการใช้แรงงานบังคับอีกด้วย
---------------------
ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19222 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 | วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562
วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 08.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562
ก.อุตฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562
วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 08.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22158 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชวนจ่ายค่ารถโดยสาร ขสมก. ผ่านบัตร ลดความเสี่ยงติดโควิด-19 [กระทรวงการคลัง] | วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
กรุงไทยชวนจ่ายค่ารถโดยสาร ขสมก. ผ่านบัตร ลดความเสี่ยงติดโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ลดความเสี่ยงจากการจับเงินสด ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ลดความเสี่ยงจากการจับเงินสด ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีจําหน่ายบนรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน เติมเงินได้หลายช่องทาง พร้อมจัดโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมออกบัตร 30 บาท ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ขสมก. ในฐานะหน่วยงานที่ให้บริการประชาชน ด้วยรถโดยสารประจําทาง ตระหนักถึงความสําคัญในร่วมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว จึงได้กําหนดที่นั่ง เว้นระยะห่าง "งดนั่งชิด โควิด ป้องกันได้" พร้อมขอความร่วมมือประชาชนชําระค่าโดยสารด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถชําระค่าโดยสารได้ทุกประเภททั้งรถโดยสารธรรมดาและปรับอากาศ และบัตรมีจําหน่ายบนรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน
นายพิชิต จงสฤษดิ์หวัง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารพร้อมสนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ขสมก. ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อไวรัสผ่านการจับเงินสด เพียงใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตที่มีสัญลักษณ์ Contactless ของตนเองแตะเพื่อชําระเงินที่เครื่อง EDC ที่ธนาคารได้ติดตั้งไว้ในรถ ขสมก. ทุกคัน สําหรับลูกค้าที่ชําระด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. พนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินรวมถึงการแจ้งยอดเงินคงเหลือในบัตรโดยสารผ่านเครื่อง EDC ที่ประจําตัวของพนักงานเก็บค่าโดยสารได้ทันที ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้จัดโปรโมชั่น ฟรีค่าธรรมเนียมการออกบัตร 30 บาท สําหรับบัตรโดยสาร ขสมก. ทุกประเภท พร้อมจําหน่ายบนรถโดยสารประจําทางทุกคัน เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ประชาชนสามารถเติมเงินในบัตร ได้อย่างสะดวกสบายในหลากหลายช่องทาง ได้แก่ สาขาของธนาคารกรุงไทยทุกแห่ง แอปพลิเคชั่น Krungthai Next หรือ Mobile Banking ของธนาคารใดก็ได้ ตู้ ATM ของทุกธนาคารที่รองรับ และตู้บุญเติม ยกเว้น ตู้บุญเติมที่หน้า 7-11 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชวนจ่ายค่ารถโดยสาร ขสมก. ผ่านบัตร ลดความเสี่ยงติดโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
กรุงไทยชวนจ่ายค่ารถโดยสาร ขสมก. ผ่านบัตร ลดความเสี่ยงติดโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ลดความเสี่ยงจากการจับเงินสด ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ลดความเสี่ยงจากการจับเงินสด ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีจําหน่ายบนรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน เติมเงินได้หลายช่องทาง พร้อมจัดโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมออกบัตร 30 บาท ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ขสมก. ในฐานะหน่วยงานที่ให้บริการประชาชน ด้วยรถโดยสารประจําทาง ตระหนักถึงความสําคัญในร่วมป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว จึงได้กําหนดที่นั่ง เว้นระยะห่าง "งดนั่งชิด โควิด ป้องกันได้" พร้อมขอความร่วมมือประชาชนชําระค่าโดยสารด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถชําระค่าโดยสารได้ทุกประเภททั้งรถโดยสารธรรมดาและปรับอากาศ และบัตรมีจําหน่ายบนรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน
นายพิชิต จงสฤษดิ์หวัง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารพร้อมสนับสนุนประชาชนชําระค่าโดยสาร ขสมก. ด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อไวรัสผ่านการจับเงินสด เพียงใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตที่มีสัญลักษณ์ Contactless ของตนเองแตะเพื่อชําระเงินที่เครื่อง EDC ที่ธนาคารได้ติดตั้งไว้ในรถ ขสมก. ทุกคัน สําหรับลูกค้าที่ชําระด้วยบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ ขสมก. พนักงานเก็บค่าโดยสารสามารถตรวจสอบและยืนยันการทํารายการชําระเงินรวมถึงการแจ้งยอดเงินคงเหลือในบัตรโดยสารผ่านเครื่อง EDC ที่ประจําตัวของพนักงานเก็บค่าโดยสารได้ทันที ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการเงินสด และลดต้นทุนการจัดการระบบโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้จัดโปรโมชั่น ฟรีค่าธรรมเนียมการออกบัตร 30 บาท สําหรับบัตรโดยสาร ขสมก. ทุกประเภท พร้อมจําหน่ายบนรถโดยสารประจําทางทุกคัน เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ประชาชนสามารถเติมเงินในบัตร ได้อย่างสะดวกสบายในหลากหลายช่องทาง ได้แก่ สาขาของธนาคารกรุงไทยทุกแห่ง แอปพลิเคชั่น Krungthai Next หรือ Mobile Banking ของธนาคารใดก็ได้ ตู้ ATM ของทุกธนาคารที่รองรับ และตู้บุญเติม ยกเว้น ตู้บุญเติมที่หน้า 7-11 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28240 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 8/2560 | วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
ผลประชุมองค์กรหลัก 8/2560
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 8/2560
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รมช.ศึกษาธิการกล่าวภายหลังการประชุมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ได้เห็นชอบแต่งตั้งนายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา เป็น โฆษกกระทรวงศึกษาธิการและได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบแล้ว
นายกมล รอดคล้าย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า หลังจากนี้จะหารือกับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลรมช.ศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก รมว.ศึกษาธิการ ให้รับผิดชอบภารกิจงานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับแนวทางการทํางานด้านการสร้างการรับรู้และการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการทั้งระบบต่อไป
สําหรับประเด็นที่สําคัญจากการประชุมครั้งนี้ มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่สําคัญ คือการสร้างการรับรู้ต่อประชาชนโดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รับทราบและเผยแพร่ผลการดําเนินงานของรัฐบาลและกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น รมว.ศึกษาธิการ ขอให้รวบรวมข้อมูล ผลงาน ปัญหาต่าง ๆ เพื่อประสานผ่านไปยังคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน อันจะช่วยให้งานด้านการศึกษาไปเผยแพร่ปรากฏในแต่ละภูมิภาคอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดําเนินการจัดสอบ O-NET (Ordinary National Education Test) ปีการศึกษา 2559โดย รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการจัดสอบ O-NET ชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2559 ซึ่งมีนักเรียนเข้าสอบกว่า 4 แสนคน ได้สอบพร้อมกันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะประกาศผลสอบในวันที่ 20 มีนาคม 2560 ส่วนชั้น ป.6 และชั้น ม. 3 มีนักเรียนเข้าสอบกว่า 8 แสนคน โดย ป.6 จัดสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และ ม.3 จัดสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยจะประกาศผลในวันที่ 25 มีนาคม 2560 เหตุที่ประกาศผลชั้น ม.6 ก่อน เพราะนักเรียนต้องนําผลการสอบไปใช้ในกระบวนการแอดมิชชั่น
จุดเด่นของการสอบO-NETในปีนี้ คือเป็นครั้งแรกของประเทศที่มีการสอบอัตนัยจํานวน 2 ข้อในวิชาภาษาไทย ชั้น ป.6 และได้เริ่มทําการตรวจข้อสอบไปแล้ว โดย สทศ.ได้จัดตั้งศูนย์ตรวจข้อสอบอัตนัย มีครู คณาจารย์มหาวิทยาลัย สถาบันภาษาไทยสิรินธร และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมมากกว่า3,000คน ใน3ศูนย์ตรวจ คือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งมีระบบการตรวจข้อสอบที่มาตรฐาน มีระบบการประมวลผลโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้จัดทําวีดิทัศน์สั้น ๆ เพื่อรายงานผลการดําเนินงานให้รัฐบาลรับทราบในเร็ว ๆ นี้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 8/2560
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
ผลประชุมองค์กรหลัก 8/2560
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 8/2560
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์รมช.ศึกษาธิการกล่าวภายหลังการประชุมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ได้เห็นชอบแต่งตั้งนายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา เป็น โฆษกกระทรวงศึกษาธิการและได้แจ้งให้ที่ประชุมได้รับทราบแล้ว
นายกมล รอดคล้าย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า หลังจากนี้จะหารือกับ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลรมช.ศึกษาธิการ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก รมว.ศึกษาธิการ ให้รับผิดชอบภารกิจงานด้านการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับแนวทางการทํางานด้านการสร้างการรับรู้และการประชาสัมพันธ์ของกระทรวงศึกษาธิการทั้งระบบต่อไป
สําหรับประเด็นที่สําคัญจากการประชุมครั้งนี้ มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่สําคัญ คือการสร้างการรับรู้ต่อประชาชนโดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รับทราบและเผยแพร่ผลการดําเนินงานของรัฐบาลและกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น รมว.ศึกษาธิการ ขอให้รวบรวมข้อมูล ผลงาน ปัญหาต่าง ๆ เพื่อประสานผ่านไปยังคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน อันจะช่วยให้งานด้านการศึกษาไปเผยแพร่ปรากฏในแต่ละภูมิภาคอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดําเนินการจัดสอบ O-NET (Ordinary National Education Test) ปีการศึกษา 2559โดย รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการจัดสอบ O-NET ชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2559 ซึ่งมีนักเรียนเข้าสอบกว่า 4 แสนคน ได้สอบพร้อมกันทั่วประเทศเมื่อวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะประกาศผลสอบในวันที่ 20 มีนาคม 2560 ส่วนชั้น ป.6 และชั้น ม. 3 มีนักเรียนเข้าสอบกว่า 8 แสนคน โดย ป.6 จัดสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ และ ม.3 จัดสอบไปแล้วเมื่อวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยจะประกาศผลในวันที่ 25 มีนาคม 2560 เหตุที่ประกาศผลชั้น ม.6 ก่อน เพราะนักเรียนต้องนําผลการสอบไปใช้ในกระบวนการแอดมิชชั่น
จุดเด่นของการสอบO-NETในปีนี้ คือเป็นครั้งแรกของประเทศที่มีการสอบอัตนัยจํานวน 2 ข้อในวิชาภาษาไทย ชั้น ป.6 และได้เริ่มทําการตรวจข้อสอบไปแล้ว โดย สทศ.ได้จัดตั้งศูนย์ตรวจข้อสอบอัตนัย มีครู คณาจารย์มหาวิทยาลัย สถาบันภาษาไทยสิรินธร และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมมากกว่า3,000คน ใน3ศูนย์ตรวจ คือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งมีระบบการตรวจข้อสอบที่มาตรฐาน มีระบบการประมวลผลโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้จัดทําวีดิทัศน์สั้น ๆ เพื่อรายงานผลการดําเนินงานให้รัฐบาลรับทราบในเร็ว ๆ นี้ | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิตส่งทีมเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช | วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิตส่งทีมเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเยียวยาสภาพจิตใจ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช พร้อมเปิดสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเยียวยาสภาพจิตใจ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช พร้อมเปิดสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2563) ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมให้กําลังใจผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิง ซึ่งขณะนี้นอนพักรักษาตัวนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จํานวน 22 ราย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล ที่เตรียมการรองรับการดูแลรักษา และขอบคุณประชาชนที่ร่วมบริจาคโลหิตช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ กําชับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปดูแลเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกราย
ทั้งนี้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ทําการผ่าตัดผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ทั้งหมดรวม 12 ราย ได้แก่ ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดในช่องท้อง ผ่าตัดทรวงอก ผ่าตัดกระดูก และผ่าตัดทําความสะอาดบาดแผล ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บนอนพักรักษาตัวอยู่ที่หอผู้ป่วยหนัก 4 ราย ที่เหลืออยู่ที่ หอผู้ป่วยศัลยกรรม และหอผู้ป่วยพิเศษ
ข้อมูลศูนย์สั่งการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ณ เวลา 10.48 น. มีผู้ประสบเหตุทั้งหมด 78 ราย เสียชีวิต 21 ราย (ณ ที่เกิดเหตุ 15 ราย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 3 ราย และที่รพ.เอกชน 3 ราย) กลับบ้านได้ 25 ราย เหลือนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 32 ราย ที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา โรงพยาบาลป.แพทย์ และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
ในด้านสุขภาพจิต โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และสํานักงานสาธารณสุขนครราชสีมา ร่วมส่งทีมเยียวยาจิตใจจํานวน 4 ทีมมาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ได้ดูแลผู้บาดเจ็บ 17 ราย ในจํานวนนี้เป็นเด็ก 4 ราย ในส่วนครอบครัวผู้เสียชีวิตได้เริ่มส่งทีมเข้าไปเยียวยาจิตใจ โดยระดมทีม MCAT จาก 32 อําเภอ ใน จ. นครราชสีมาและจากส่วนกลางจากโรงพยาบาลจิตเวชและศูนย์สุขภาพจิตอีก 6 ทีม ทั้งนี้ ในระยะยาวได้เตรียมตั้งจุดบริการที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 (ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการเรียบร้อยแล้ว) อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เป็นจํานวนมาก ประชาชนสามารถเข้ารับคําปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ หรือที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
*************************** 9 กุมภาพันธ์ 2563 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิตส่งทีมเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิตส่งทีมเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเยียวยาสภาพจิตใจ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช พร้อมเปิดสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
นายกรัฐมนตรี มอบกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเยียวยาสภาพจิตใจ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุกราดยิงที่โคราช พร้อมเปิดสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชม.
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2563) ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จ.นครราชสีมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมให้กําลังใจผู้บาดเจ็บจากเหตุกราดยิง ซึ่งขณะนี้นอนพักรักษาตัวนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จํานวน 22 ราย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาล ที่เตรียมการรองรับการดูแลรักษา และขอบคุณประชาชนที่ร่วมบริจาคโลหิตช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ กําชับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เข้าไปดูแลเยียวยาจิตใจผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกราย
ทั้งนี้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ทําการผ่าตัดผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ทั้งหมดรวม 12 ราย ได้แก่ ผ่าตัดสมอง ผ่าตัดในช่องท้อง ผ่าตัดทรวงอก ผ่าตัดกระดูก และผ่าตัดทําความสะอาดบาดแผล ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บนอนพักรักษาตัวอยู่ที่หอผู้ป่วยหนัก 4 ราย ที่เหลืออยู่ที่ หอผู้ป่วยศัลยกรรม และหอผู้ป่วยพิเศษ
ข้อมูลศูนย์สั่งการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ณ เวลา 10.48 น. มีผู้ประสบเหตุทั้งหมด 78 ราย เสียชีวิต 21 ราย (ณ ที่เกิดเหตุ 15 ราย ที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 3 ราย และที่รพ.เอกชน 3 ราย) กลับบ้านได้ 25 ราย เหลือนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 32 ราย ที่โรงพยาบาลค่ายสุรนารี โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา โรงพยาบาลป.แพทย์ และโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
ในด้านสุขภาพจิต โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และสํานักงานสาธารณสุขนครราชสีมา ร่วมส่งทีมเยียวยาจิตใจจํานวน 4 ทีมมาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ได้ดูแลผู้บาดเจ็บ 17 ราย ในจํานวนนี้เป็นเด็ก 4 ราย ในส่วนครอบครัวผู้เสียชีวิตได้เริ่มส่งทีมเข้าไปเยียวยาจิตใจ โดยระดมทีม MCAT จาก 32 อําเภอ ใน จ. นครราชสีมาและจากส่วนกลางจากโรงพยาบาลจิตเวชและศูนย์สุขภาพจิตอีก 6 ทีม ทั้งนี้ ในระยะยาวได้เตรียมตั้งจุดบริการที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 (ภายหลังที่เจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการเรียบร้อยแล้ว) อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เป็นจํานวนมาก ประชาชนสามารถเข้ารับคําปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ หรือที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
*************************** 9 กุมภาพันธ์ 2563 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26397 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดำเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล” | วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล”
พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล”
วันนี้ (3 ก.ย. 62) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญ ดังนี้ 1) โครงการเสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม โดยนางจินตนา จันทร์บํารุง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ 2) ผลงานและแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง โดยนายอุเทน ชนะกุล ผู้อํานวยการกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และ 3) การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย "พายุโพดุล” โดยนางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวง และโฆษกกระทรวง พม.
นางจินตนา กล่าวว่า โครงการ "เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” ได้จัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ อพม. โดยมี 3 องค์ประกอบ 20 เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ 1) ด้านคุณสมบัติ 2) ด้านจริยธรรม และ 3) ด้านความรู้ความสามารถและทักษะการปฏิบัติงาน สําหรับอนุกรรมการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติงาน อพม. เห็นชอบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติงาน อพม. จํานวนทั้งสิ้น 129 คน จาก อพม. ที่ยื่นคําขอ 165 คน คิดเป็นร้อยละ 78.18 (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2562) ส่วนด้านการพัฒนาศักยภาพ มีดังนี้ 1) อบรม อพม. รายใหม่ จํานวน 1,136 คน 2) พัฒนาศักยภาพ อพม. รายเดิม 1,328 คน ได้แก่ หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และขอทาน 2 รุ่น 189 คน อบรมจิตอาสา เพื่อดูแลคนทุกช่วงวัย 145 คน ส่งเสริม สนับสนุน คัดเลือก อพม. ที่มีผลงานดีเด่นพิเศษ 294 คน จัดงานรวมพลัง อพม. สานต่อจิตอาสา เพื่อการพัฒนาสังคมและพิธีเชิดชูเกียรติ อพม. ประจําปี 2562 จํานวน 700 คน 3) จัดตั้งศูนย์ประสานงาน อพม. 373 ศูนย์ (เป้าหมาย 320 ศูนย์) และ 4) จัดทําหลักสูตร อพม. ในต่างประเทศ (24 ชั่วโมง) สําหรับแผนการดําเนินงาน ปี 63 มีดังนี้ 1) อบรม อพม. ใหม่ รวม 12,600 คน (กทม. เขตละ 100 คน และจังหวัดๆ ละ 100 คน) 2) ปรับปรุงหลักสูตร อพม. ในรูปแบบ Online และ e-learning 3) พัฒนาศักยภาพ อพม. รายเดิม ในการดูแลคนไร้ที่พึ่ง ขอทาน และเชิดชูเกียรติ อพม. ที่มีผลงานดีเด่น 4) ส่งเสริมสภาเด็กและคนรุ่นใหม่เป็น อพม. และ 5) จัดอบรม อพม. ในต่างประเทศ จํานวน 230 คน (เยอรมนี 100 คน มาเลเซีย 50 คน ญี่ปุ่น 30 คน และในฟินแลนด์ 50 คน) โดยมีการจัดทําฐานข้อมูล อพม. ดังนี้ 1) . พัฒนาระบบฐานข้อมูล อพม. (ข้อมูล อพม. รายบุคคล เช่น การศึกษา ความเชี่ยวชาญ และการออกรายงานผลข้อมูล) และ 2) จัดทําฐานข้อมูลศูนย์ประสานงาน อพม. (ศปง. อพม.) ซึ่งแผนการดําเนินงาน ปี 63 มีดังนี้ 1) จัดทําทําเนียบ อพม. 2) Mapping อพม. 3) จัดทํา Application อพม. (ข้อมูล อพม. รายบุคคล, รายงานผลการปฏิบัติงาน เสริมองค์ความรู้ในการทํางาน) และ 4) ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ให้ทํางานผ่าน Smartphone
นายอุเทน กล่าวต่อไปว่า สําหรับแนวทางการดําเนินงาน "เหลียวหลังแลหน้างานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง” จากคําแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญในประเด็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการภาครัฐ ด้วยการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม รวมทั้งคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิจัดสวัสดิการช่วยเหลือและพัฒนาชีวิตผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และคนไร้ที่พึ่ง กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวด้วยการจัดระเบียบผู้ทําการขอทานและคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งได้ดําเนินการคัดกรองตามสภาพปัญหาและให้บริการประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง มีสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จํานวน 11 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตอีก 3 แห่ง ซึ่งให้บริการรูปแบบสถาบันแก่คนไร้ที่พึ่งและผู้ทําการขอทาน ด้วยการพัฒนาฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ พร้อมส่งเสริมทักษะชีวิตให้สามารถดํารงชีพได้ด้วยตนเอง ในปีงบประมาณ 2562 มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 4,425 คน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอาชีวบําบัดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ชื่อว่ากิจกรรมธัญบุรีโมเดล ซึ่งทําให้ผู้ใช้บริการมีรายได้ 3,396 คน ด้านการสร้างการยอมรับของสังคม มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถกลับสู่ครอบครัวชุมชนได้ ด้วยการจัดหาที่ดินและที่พักอาศัยในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ให้ทดลองใช้ชีวิตอย่างอิสระ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถคืนผู้ใช้บริการสู่สังคมแล้วกว่า 1,745 คน สําหรับการดําเนินงาน ที่ผ่านมา ยึดถือรูปแบบ คือ "กระบวนการคุ้มครองเชิงรุก พัฒนาให้สามารถดํารงชีพได้ด้วยตนเอง และส่งเสริมการยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
คําแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นโยบายหลัก ข้อที่ 9 "การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม” และนโยบายเร่งด่วน ข้อที่ 2 "การปรับปรุงระบบสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน” ทําให้ พส. ต่อยอดการดําเนินงานเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งเข้าถึงหลักประกันทางสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิการเข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่ง และกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถเข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ ด้วยการเข้าถึงฐานข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่อลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง ก่อนนําเข้าระบบเพื่อให้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และมีการจัดหาสิทธิและสวัสดิการอันพึงมี ซึ่งปัจจุบันในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง มีบุคคลนิรนามที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร จํานวน 1,482 คน ที่ไม่สามารถสืบค้นที่มาและไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองได้ จึงไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทย ดังนั้น พส. จึงได้หาความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ คือ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในการจัดทําระบบฐานข้อมูลกลางในการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลบุคคลสูญหายและศพนิรนาม เพื่อใช้ในการติดตามญาติของผู้ใช้บริการในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง รวมถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลเพื่อการคืนสิทธิ โดยขณะนี้ดําเนินการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไปแล้วกว่า 850 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 57.35 นอกจากนี้ ยังร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในการศึกษาแนวทางการเข้าถึงสิทธิบริการด้านสุขภาพให้กับกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในความดูแลของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชน และวิสหากิจเพื่อสังคม (Social Enterprise - SE) เพื่อให้มีส่วนร่วมในพัฒนาด้านอาชีพ การสร้างงาน และให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ (Productive Welfare) กับผู้ใช้บริการคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิต ทั้งนี้ การดําเนินงานที่ผ่านมา และในอนาคต นับเป็นการคืนคุณค่าและความเป็นมนุษย์ให้แก่คนไร้ที่พึ่ง ซึ่ง พส. มีความมุ่งมั่นพัฒนางานด้านคนไร้ที่พึ่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างหลักประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ เพื่อให้คนไร้ที่พึ่งเป็นที่ยอมรับและมีที่ยืนในสังคม
นางสุภัชชา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์พายุโซนร้อน "โพดุล” ทําให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีน้ําท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย กระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบภัยน้ําท่วมทุกพื้นที่ โดยได้กําหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับความเดือดร้อน ดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อม มีการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุ ร่วมประชุมกับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยชาติและจังหวัด พร้อมทั้งประสานเครือข่าย อพม. สภาเด็กและเยาวชน กองทุนสวัสดิการสังคม เฝ้าระวังและแจ้งเหตุ 2. การบรรเทาทุกข์ (ขณะเกิดภัย) ได้สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อพยพ อพม. สํารวจและอพยพกลุ่มเป้าหมาย จัดกิจกรรมและจัดนักสังคมสงเคราะห์ประจําศูนย์ จัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะเพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อคลี่คลายและบรรเทาภาวะวิกฤตเฉพาะหน้า จัดทีมนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ออกเยี่ยมบ้าน ให้คําปรึกษา บําบัดฟื้นฟูจิตใจ ผ่อนคลายความวิตกกังวล อีกทั้งร่วมกับจังหวัด และหน่วยงานต่างๆ ลงพื้นที่มอบสิ่งของ แจกจ่ายอาหาร ฯลฯ และ 3. การฟื้นฟูและพัฒนาผู้ประสบภัย (หลังการเกิดภัย) มีการจัดทีม พม. ออกเยี่ยมบ้านและสํารวจปัญหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และวางแผนให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. เช่น เงินสงเคราะห์ การฝึกอาชีพระยะสั้น และซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ ล่าสุด นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบภัยน้ําท่วม นอกจากจากนี้ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ยังได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดยโสธร อุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด อย่างไรก็ตาม หากประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วมต้องการความช่วยเหลือหรือมีข้อสงสัย สามารถแจ้งมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวง พม. โทร.สายด่วน 1300 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมเร่งช่วยเหลือเยียวยาตามภารกิจอย่างเต็มที่ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดำเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล”
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562
พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล”
พม. แถลงผลงานโครงการ “เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” และแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง และการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย “พายุโพดุล”
วันนี้ (3 ก.ย. 62) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในการแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญ ดังนี้ 1) โครงการเสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม โดยนางจินตนา จันทร์บํารุง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ 2) ผลงานและแนวทางการดําเนินงานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง โดยนายอุเทน ชนะกุล ผู้อํานวยการกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต และ 3) การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย "พายุโพดุล” โดยนางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวง และโฆษกกระทรวง พม.
นางจินตนา กล่าวว่า โครงการ "เสริมพลัง อพม. สานต่อการพัฒนาสังคม” ได้จัดทํามาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ อพม. โดยมี 3 องค์ประกอบ 20 เกณฑ์การประเมิน ดังนี้ 1) ด้านคุณสมบัติ 2) ด้านจริยธรรม และ 3) ด้านความรู้ความสามารถและทักษะการปฏิบัติงาน สําหรับอนุกรรมการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติงาน อพม. เห็นชอบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติงาน อพม. จํานวนทั้งสิ้น 129 คน จาก อพม. ที่ยื่นคําขอ 165 คน คิดเป็นร้อยละ 78.18 (ข้อมูล ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2562) ส่วนด้านการพัฒนาศักยภาพ มีดังนี้ 1) อบรม อพม. รายใหม่ จํานวน 1,136 คน 2) พัฒนาศักยภาพ อพม. รายเดิม 1,328 คน ได้แก่ หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และขอทาน 2 รุ่น 189 คน อบรมจิตอาสา เพื่อดูแลคนทุกช่วงวัย 145 คน ส่งเสริม สนับสนุน คัดเลือก อพม. ที่มีผลงานดีเด่นพิเศษ 294 คน จัดงานรวมพลัง อพม. สานต่อจิตอาสา เพื่อการพัฒนาสังคมและพิธีเชิดชูเกียรติ อพม. ประจําปี 2562 จํานวน 700 คน 3) จัดตั้งศูนย์ประสานงาน อพม. 373 ศูนย์ (เป้าหมาย 320 ศูนย์) และ 4) จัดทําหลักสูตร อพม. ในต่างประเทศ (24 ชั่วโมง) สําหรับแผนการดําเนินงาน ปี 63 มีดังนี้ 1) อบรม อพม. ใหม่ รวม 12,600 คน (กทม. เขตละ 100 คน และจังหวัดๆ ละ 100 คน) 2) ปรับปรุงหลักสูตร อพม. ในรูปแบบ Online และ e-learning 3) พัฒนาศักยภาพ อพม. รายเดิม ในการดูแลคนไร้ที่พึ่ง ขอทาน และเชิดชูเกียรติ อพม. ที่มีผลงานดีเด่น 4) ส่งเสริมสภาเด็กและคนรุ่นใหม่เป็น อพม. และ 5) จัดอบรม อพม. ในต่างประเทศ จํานวน 230 คน (เยอรมนี 100 คน มาเลเซีย 50 คน ญี่ปุ่น 30 คน และในฟินแลนด์ 50 คน) โดยมีการจัดทําฐานข้อมูล อพม. ดังนี้ 1) . พัฒนาระบบฐานข้อมูล อพม. (ข้อมูล อพม. รายบุคคล เช่น การศึกษา ความเชี่ยวชาญ และการออกรายงานผลข้อมูล) และ 2) จัดทําฐานข้อมูลศูนย์ประสานงาน อพม. (ศปง. อพม.) ซึ่งแผนการดําเนินงาน ปี 63 มีดังนี้ 1) จัดทําทําเนียบ อพม. 2) Mapping อพม. 3) จัดทํา Application อพม. (ข้อมูล อพม. รายบุคคล, รายงานผลการปฏิบัติงาน เสริมองค์ความรู้ในการทํางาน) และ 4) ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ให้ทํางานผ่าน Smartphone
นายอุเทน กล่าวต่อไปว่า สําหรับแนวทางการดําเนินงาน "เหลียวหลังแลหน้างานด้านการคุ้มครองช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง” จากคําแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญในประเด็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการภาครัฐ ด้วยการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม รวมทั้งคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิจัดสวัสดิการช่วยเหลือและพัฒนาชีวิตผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และคนไร้ที่พึ่ง กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ขานรับนโยบายดังกล่าวด้วยการจัดระเบียบผู้ทําการขอทานและคนไร้ที่พึ่ง ซึ่งได้ดําเนินการคัดกรองตามสภาพปัญหาและให้บริการประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ด้านการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง มีสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จํานวน 11 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตอีก 3 แห่ง ซึ่งให้บริการรูปแบบสถาบันแก่คนไร้ที่พึ่งและผู้ทําการขอทาน ด้วยการพัฒนาฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ พร้อมส่งเสริมทักษะชีวิตให้สามารถดํารงชีพได้ด้วยตนเอง ในปีงบประมาณ 2562 มีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 4,425 คน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอาชีวบําบัดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใช้ชื่อว่ากิจกรรมธัญบุรีโมเดล ซึ่งทําให้ผู้ใช้บริการมีรายได้ 3,396 คน ด้านการสร้างการยอมรับของสังคม มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถกลับสู่ครอบครัวชุมชนได้ ด้วยการจัดหาที่ดินและที่พักอาศัยในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ให้ทดลองใช้ชีวิตอย่างอิสระ ซึ่งผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถคืนผู้ใช้บริการสู่สังคมแล้วกว่า 1,745 คน สําหรับการดําเนินงาน ที่ผ่านมา ยึดถือรูปแบบ คือ "กระบวนการคุ้มครองเชิงรุก พัฒนาให้สามารถดํารงชีพได้ด้วยตนเอง และส่งเสริมการยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
คําแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นโยบายหลัก ข้อที่ 9 "การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม” และนโยบายเร่งด่วน ข้อที่ 2 "การปรับปรุงระบบสวัสดิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน” ทําให้ พส. ต่อยอดการดําเนินงานเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งเข้าถึงหลักประกันทางสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิการเข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่ง และกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถเข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ ด้วยการเข้าถึงฐานข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่อลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง ก่อนนําเข้าระบบเพื่อให้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และมีการจัดหาสิทธิและสวัสดิการอันพึงมี ซึ่งปัจจุบันในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง มีบุคคลนิรนามที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร จํานวน 1,482 คน ที่ไม่สามารถสืบค้นที่มาและไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองได้ จึงไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทย ดังนั้น พส. จึงได้หาความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ คือ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในการจัดทําระบบฐานข้อมูลกลางในการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลบุคคลสูญหายและศพนิรนาม เพื่อใช้ในการติดตามญาติของผู้ใช้บริการในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง รวมถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลเพื่อการคืนสิทธิ โดยขณะนี้ดําเนินการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไปแล้วกว่า 850 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 57.35 นอกจากนี้ ยังร่วมกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในการศึกษาแนวทางการเข้าถึงสิทธิบริการด้านสุขภาพให้กับกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในความดูแลของสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง อีกทั้งยังสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชน และวิสหากิจเพื่อสังคม (Social Enterprise - SE) เพื่อให้มีส่วนร่วมในพัฒนาด้านอาชีพ การสร้างงาน และให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ (Productive Welfare) กับผู้ใช้บริการคนไร้ที่พึ่งในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิต ทั้งนี้ การดําเนินงานที่ผ่านมา และในอนาคต นับเป็นการคืนคุณค่าและความเป็นมนุษย์ให้แก่คนไร้ที่พึ่ง ซึ่ง พส. มีความมุ่งมั่นพัฒนางานด้านคนไร้ที่พึ่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสร้างหลักประกันทางสังคม ควบคู่ไปกับการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ เพื่อให้คนไร้ที่พึ่งเป็นที่ยอมรับและมีที่ยืนในสังคม
นางสุภัชชา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์พายุโซนร้อน "โพดุล” ทําให้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีน้ําท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย กระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เด็ก คนพิการ และผู้สูงอายุที่ประสบภัยน้ําท่วมทุกพื้นที่ โดยได้กําหนดแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับความเดือดร้อน ดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อม มีการเฝ้าระวัง ติดตาม และเตรียมการเผชิญเหตุ ร่วมประชุมกับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยชาติและจังหวัด พร้อมทั้งประสานเครือข่าย อพม. สภาเด็กและเยาวชน กองทุนสวัสดิการสังคม เฝ้าระวังและแจ้งเหตุ 2. การบรรเทาทุกข์ (ขณะเกิดภัย) ได้สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อพยพ อพม. สํารวจและอพยพกลุ่มเป้าหมาย จัดกิจกรรมและจัดนักสังคมสงเคราะห์ประจําศูนย์ จัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะเพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการบรรเทาทุกข์เฉพาะหน้า พร้อมมอบเงินสงเคราะห์แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อคลี่คลายและบรรเทาภาวะวิกฤตเฉพาะหน้า จัดทีมนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิยา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ออกเยี่ยมบ้าน ให้คําปรึกษา บําบัดฟื้นฟูจิตใจ ผ่อนคลายความวิตกกังวล อีกทั้งร่วมกับจังหวัด และหน่วยงานต่างๆ ลงพื้นที่มอบสิ่งของ แจกจ่ายอาหาร ฯลฯ และ 3. การฟื้นฟูและพัฒนาผู้ประสบภัย (หลังการเกิดภัย) มีการจัดทีม พม. ออกเยี่ยมบ้านและสํารวจปัญหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และวางแผนให้ความช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. เช่น เงินสงเคราะห์ การฝึกอาชีพระยะสั้น และซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ ล่าสุด นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจและมอบถุงยังชีพให้ผู้ประสบภัยน้ําท่วม นอกจากจากนี้ คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ยังได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่จังหวัดยโสธร อุบลราชธานี อํานาจเจริญ มุกดาหาร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด อย่างไรก็ตาม หากประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วมต้องการความช่วยเหลือหรือมีข้อสงสัย สามารถแจ้งมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวง พม. โทร.สายด่วน 1300 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมเร่งช่วยเหลือเยียวยาตามภารกิจอย่างเต็มที่ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22756 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine | วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine
นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดําเนินการตามกฎหมาย ขบวนการแอบอ้าง เรียกเก็บเงินลักษณะค่าหัวคิว สําหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ประสงค์ เสนอใช้สถานที่ สําหรับเป็น State Quarantine ตามที่มีการเสนอข่าว โดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ. ศบค ยืนยันจะไม่ปล่อยให้มีการกระทําดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และจะใช้กฎหมายลงโทษอย่างเข้มงวด หากพบมีผู้กระทําผิด หรือแอบอ้าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกําลังประสบกับปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ควรที่จะมีผู้ใดมาใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตาม
..............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine
นายกรัฐมนตรีสั่งตรวจสอบ เอาผิดผู้แอบอ้างกินหัวคิว State Quarantine
ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและดําเนินการตามกฎหมาย ขบวนการแอบอ้าง เรียกเก็บเงินลักษณะค่าหัวคิว สําหรับผู้ประกอบการโรงแรมที่ประสงค์ เสนอใช้สถานที่ สําหรับเป็น State Quarantine ตามที่มีการเสนอข่าว โดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ. ศบค ยืนยันจะไม่ปล่อยให้มีการกระทําดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และจะใช้กฎหมายลงโทษอย่างเข้มงวด หากพบมีผู้กระทําผิด หรือแอบอ้าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกําลังประสบกับปัญหาผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ควรที่จะมีผู้ใดมาใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะในลักษณะใดก็ตาม
..............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31362 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย | วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560) เวลา 11.00 น. ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) เพื่อแสดงความพร้อมด้านการท่องเที่ยวของไทย นําเสนอกิจกรรมการท่องเที่ยวและกีฬาที่มีศักยภาพ ควบคู่กับความโดดเด่นและเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทั้งนี้ รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้พี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ซึ่งในปีท่องเที่ยวไทย 2561 นี้ทั้งภาครัฐ สมาคม และ ภาคเอกชน ได้นําเสนอ campaign promotion และ package ท่องเที่ยว มากมาย มุ่งหวังเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอย่างยั่งยืน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 8 กันยายน 2560) เวลา 11.00 น. ณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวการเปิดตัวปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน (Amazing Thailand Tourism Year 2018) เพื่อแสดงความพร้อมด้านการท่องเที่ยวของไทย นําเสนอกิจกรรมการท่องเที่ยวและกีฬาที่มีศักยภาพ ควบคู่กับความโดดเด่นและเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทั้งนี้ รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้พี่น้องประชาชน และทุกภาคส่วน มีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ซึ่งในปีท่องเที่ยวไทย 2561 นี้ทั้งภาครัฐ สมาคม และ ภาคเอกชน ได้นําเสนอ campaign promotion และ package ท่องเที่ยว มากมาย มุ่งหวังเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอย่างยั่งยืน | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6534 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หนุน บมจ.ทีโอที ร่วมมือกับ มจธ. นำเทคโนโลยี-นวัตกรรมต่อยอดเชิงพาณิชย์ | วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หนุน บมจ.ทีโอที ร่วมมือกับ มจธ. นําเทคโนโลยี-นวัตกรรมต่อยอดเชิงพาณิชย์
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยมี ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที และรศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของการสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศไทย สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาส่งเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้เป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับขีดความสามารถ เป็นการสร้างคนไทย 4.0 ที่มีคุณภาพมาช่วยกันขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นดิจิทัล 4.0 ต่อไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 7 อาคาร 1 สํานักงานใหญ่ บมจ.ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
************************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ หนุน บมจ.ทีโอที ร่วมมือกับ มจธ. นำเทคโนโลยี-นวัตกรรมต่อยอดเชิงพาณิชย์
วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ หนุน บมจ.ทีโอที ร่วมมือกับ มจธ. นําเทคโนโลยี-นวัตกรรมต่อยอดเชิงพาณิชย์
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยมี ดร.มนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีโอที และรศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของการสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศไทย สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เพื่อพัฒนาส่งเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้เป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับขีดความสามารถ เป็นการสร้างคนไทย 4.0 ที่มีคุณภาพมาช่วยกันขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นดิจิทัล 4.0 ต่อไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 7 อาคาร 1 สํานักงานใหญ่ บมจ.ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
************************** | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6672 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ำทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม | วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ําทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม
รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ําทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม สร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดี
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจําปี 2018 โดยละเลยการนําเสนอความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่กลับมุ่งนําเสนอข้อมูลด้านลบ โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง ว่า
“น่าผิดหวังที่ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลที่ปราศจากข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในพื้นที่ พัฒนาการด้านบวก หรือความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์ที่สหรัฐฯ ได้ปรับสถานะของไทยดีขึ้นจากระดับ Tier 3 เป็น Tier 2 Watch List ส่วนอียูก็มีความพอใจในความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาไอยูยูของไทยมากเช่นกัน”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว โดยย้ําว่ารัฐบาลได้ประกาศวาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ปี 2561 – 2562 เพราะเห็นว่าเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสําคัญ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎหมาย เช่น ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย การประกาศใช้ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ร.ก. การนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติและยกร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ออกนโยบายเร่งรัดกระบวนการไต่สวนในคดีความต่าง ๆ จัดตั้งกองทุนยุติธรรมและกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา จ่ายเงินชดเชย และคืนผู้เสียหายสู่สังคม ปรับนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเน้นด้านสุขภาพ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นมากกว่า 1 ล้านคนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวกว่า 1 ล้านคน เพื่อคุ้มครองและสนับสนุนให้แรงงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการด้านต่าง ๆ ของรัฐ
“นายกฯ ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ทุกคนและทุกองค์กรก็จะต้องเคารพหลักนิติธรรม สิทธิของผู้อื่นหรือประเทศอื่น โดยดําเนินงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล”
..............................................................
สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ำทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2561
รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ําทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม
รัฐบาลยืนยันส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ชี้ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลไทยติดลบ ย้ําทุกองค์กรควรเคารพสิทธิของผู้อื่น โปร่งใส เป็นธรรม สร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดี
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่องค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจําปี 2018 โดยละเลยการนําเสนอความก้าวหน้าของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่กลับมุ่งนําเสนอข้อมูลด้านลบ โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมง ว่า
“น่าผิดหวังที่ฮิวแมนไรต์วอตช์เลือกรายงานข้อมูลที่ปราศจากข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในพื้นที่ พัฒนาการด้านบวก หรือความพยายามของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์ที่สหรัฐฯ ได้ปรับสถานะของไทยดีขึ้นจากระดับ Tier 3 เป็น Tier 2 Watch List ส่วนอียูก็มีความพอใจในความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาไอยูยูของไทยมากเช่นกัน”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว โดยย้ําว่ารัฐบาลได้ประกาศวาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ปี 2561 – 2562 เพราะเห็นว่าเรื่องการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสําคัญ นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎหมาย เช่น ร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย การประกาศใช้ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ร.ก. การนําคนต่างด้าวมาทํางานกับนายจ้างในประเทศ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติและยกร่างแผนปฏิบัติการว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ออกนโยบายเร่งรัดกระบวนการไต่สวนในคดีความต่าง ๆ จัดตั้งกองทุนยุติธรรมและกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อฟื้นฟูเยียวยา จ่ายเงินชดเชย และคืนผู้เสียหายสู่สังคม ปรับนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยเน้นด้านสุขภาพ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พลัดถิ่นมากกว่า 1 ล้านคนในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวกว่า 1 ล้านคน เพื่อคุ้มครองและสนับสนุนให้แรงงานเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการด้านต่าง ๆ ของรัฐ
“นายกฯ ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ทุกคนและทุกองค์กรก็จะต้องเคารพหลักนิติธรรม สิทธิของผู้อื่นหรือประเทศอื่น โดยดําเนินงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรม ไม่มีวาระซ่อนเร้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และเกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล”
..............................................................
สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9669 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิรูปแบบต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2561 | วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิรูปแบบต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561
เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561 เพื่อนํารายได้สนับสนุนกิจกรรมการกุศล
วันนี้ (7 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายผลิตและจําหน่ายดอกมะลิฯ พร้อมคณะเข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561
ทั้งนี้ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กําหนดจัดงานวันแม่แห่งชาติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในวันที่ 12 สิงหาคมเป็นประจําทุกปี เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณ พร้อมเผยแพร่พระคุณแม่และบทบาทของแม่ที่มีต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ตลอดจนเพื่อให้ลูกได้สํานึกถึงพระคุณและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ รวมทั้งปลูกฝังเยาวชนและประชาชนทุกภาคส่วนให้มีจิตสํานึกถึงความสําคัญของสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของชาติไทยให้คงอยู่ตลอดไป
งานวันแม่แห่งชาติ จึงเป็นกิจกรรมที่สนองตอบนโยบายของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมไทย โดยกําหนดให้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์ของงาน “วันแม่แห่งชาติ” จึงได้จัดทําดอกมะลิและผลิตภัณฑ์ดอกมะลิในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเพื่อเผยแพร่และจําหน่าย โดยเงินรายได้จากการจําหน่ายจะรวบรวมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยและอีกส่วนหนึ่งสมทบกองทุนร่วมใจสงเคราะห์ชุมชน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดแคลนทั่วประเทศ
จากนั้น เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ได้กลัดเข็มกลัดดอกมะลิที่หน้าอกเสื้อของนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการกุศลตามเจตนารมณ์ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ต่อไป
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิรูปแบบต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2561
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิรูปแบบต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561
เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561 เพื่อนํารายได้สนับสนุนกิจกรรมการกุศล
วันนี้ (7 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายผลิตและจําหน่ายดอกมะลิฯ พร้อมคณะเข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่าง ๆ เนื่องในโอกาสงานวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2561
ทั้งนี้ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กําหนดจัดงานวันแม่แห่งชาติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ในวันที่ 12 สิงหาคมเป็นประจําทุกปี เพื่อเทิดทูนและเผยแพร่พระเกียรติคุณ พร้อมเผยแพร่พระคุณแม่และบทบาทของแม่ที่มีต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ตลอดจนเพื่อให้ลูกได้สํานึกถึงพระคุณและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ รวมทั้งปลูกฝังเยาวชนและประชาชนทุกภาคส่วนให้มีจิตสํานึกถึงความสําคัญของสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของชาติไทยให้คงอยู่ตลอดไป
งานวันแม่แห่งชาติ จึงเป็นกิจกรรมที่สนองตอบนโยบายของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมไทย โดยกําหนดให้ “ดอกมะลิ” เป็นสัญลักษณ์ของงาน “วันแม่แห่งชาติ” จึงได้จัดทําดอกมะลิและผลิตภัณฑ์ดอกมะลิในรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นเพื่อเผยแพร่และจําหน่าย โดยเงินรายได้จากการจําหน่ายจะรวบรวมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยและอีกส่วนหนึ่งสมทบกองทุนร่วมใจสงเคราะห์ชุมชน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน ตลอดจนเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดแคลนทั่วประเทศ
จากนั้น เลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ได้กลัดเข็มกลัดดอกมะลิที่หน้าอกเสื้อของนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วนสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดอกมะลิในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการกุศลตามเจตนารมณ์ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ต่อไป
............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14411 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.มุ่งสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร กองทุนทวีสุขครบรอบ 10 ปี เกษตรกรเป็นสมาชิก 1.4 ล้านราย มีเงินออมกว่า 8,000 ล้านบาท | วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
ธ.ก.ส.มุ่งสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร กองทุนทวีสุขครบรอบ 10 ปี เกษตรกรเป็นสมาชิก 1.4 ล้านราย มีเงินออมกว่า 8,000 ล้านบาท
ธ.ก.ส.มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกรด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกรมีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อย่างเข้าสู่วัยสูงอายุกับโครงการกองทุนทวีสุข ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.4 ล้านราย มีเงินออมสะสมกว่า 8,000 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าโครงการกองทุนทวีสุข เป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ธนาคารมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืน สร้างภูมิคุ้มกันในการดํารงชีวิต ให้แก่พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่ง ธ.ก.ส.จัดตั้งกองทุนดังกล่าวขึ้นตั้งแต่ปี 2550 เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกรให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมสวัสดิการในระหว่างการออมเงิน โดยคุณสมบัติผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรลูกค้าธ.ก.ส.อายุตั้งแต่ 20-65 ปี เปิดบัญชีเงินฝากคนละ 1 บัญชี สามารถสะสมเป็นรายเดือนหรือออมเงินล่วงหน้า โดยออมเงินปีละ 600/1,200/6,000 และ 12,000 บาท ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม2560 สมาชิกเข้าร่วมโครงการกองทุนทวีสุขรวมทั้งสิ้น 1,429,518 ราย มียอดเงินออมสะสม 8,308 ล้านบาท จ่ายเงินสวัสดิการไปแล้วทั้งสิ้น 18,370 ราย เป็นเงิน 133,541,000 บาท (ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึง 31 มีนาคม 2560)
สวัสดิการที่ธนาคารมอบให้กับสมาชิกกองทุนทวีสุขที่ออมต่อเนื่องทุกปี คือ ในปีที่ 1 ได้รับเงินคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ปีที่ 2 เพิ่มมีเงินรับขวัญบุตรแรกเกิด ปีที่ 3 เพิ่มเงินช่วยเหลือค่าจัดงานศพ ปีที่ 4 เพิ่มเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุ กรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล ตามรูปแบบการออมเงิน ปีที่ 5 เพิ่มใช้เป็นหลักประกันในกรณีกู้เงินกับ ธ.ก.ส.ไม่เกิน 30% ในโอกาสครบรอบ 10 ปี กองทุนทวีสุขในการสร้างความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร ธ.ก.ส.ได้เพิ่มสิทธิ์ประโยชน์ให้กับสมาชิกปีที่ 6 โดยจะเพิ่มเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลคนไข้ใน(เจ็บป่วย) ชดเชยเป็นรายวัน วันละ 300 บาท และมีโปรโมชั่นพิเศษให้แก่สมาชิกที่ออมเงินกับโครงการตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และออมเงินต่อเนื่องภายในวันที่ 31 มกราคม 2561 มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลบําเหน็จพิเศษ 10 ปี ทวีสุข มูลค่า 2,500,000 บาท จํานวน 160 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลใหญ่ รางวัลละ 100,000 บาท จํานวน 10 รางวัล และรางวัลปลอบใจ รางวัลละ 10,000 บาท จํานวน 150 รางวัล กําหนดจับรางวัลพร้อมจัดงานทวีโชคระดับประเทศ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561
สําหรับการจับรางวัลโครงการกองทุนทวีสุข “เพิ่มออม เพิ่มสุข” เพื่อมอบโชคให้กับสมาชิกที่ร่วมโครงการในวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 ณ ห้องทับทิมแกรนด์ฮอลล์ โรงแรมบ้านสวนรีสอร์ท อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับเกียรติจากปลัดจังหวัดนครสวรรค์ นายมานิต อนรรฆมาศ เป็นประธานในพิธี ภายในงานมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการออมเงิน การรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) การตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองสารเคมีตกค้างให้แก่เกษตรกรลูกค้าและประชาชนที่เข้าร่วมงาน ผู้สมัครรายใหม่และรายเดิมที่ฝากเงินตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560 มีสิทธิ์ลุ้นรับทองคํามูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.มุ่งสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร กองทุนทวีสุขครบรอบ 10 ปี เกษตรกรเป็นสมาชิก 1.4 ล้านราย มีเงินออมกว่า 8,000 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560
ธ.ก.ส.มุ่งสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร กองทุนทวีสุขครบรอบ 10 ปี เกษตรกรเป็นสมาชิก 1.4 ล้านราย มีเงินออมกว่า 8,000 ล้านบาท
ธ.ก.ส.มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้กับเกษตรกรด้วยการสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกรมีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อย่างเข้าสู่วัยสูงอายุกับโครงการกองทุนทวีสุข ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.4 ล้านราย มีเงินออมสะสมกว่า 8,000 ล้านบาท
นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าโครงการกองทุนทวีสุข เป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ธนาคารมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืน สร้างภูมิคุ้มกันในการดํารงชีวิต ให้แก่พี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่ง ธ.ก.ส.จัดตั้งกองทุนดังกล่าวขึ้นตั้งแต่ปี 2550 เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกรให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมสวัสดิการในระหว่างการออมเงิน โดยคุณสมบัติผู้ที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรลูกค้าธ.ก.ส.อายุตั้งแต่ 20-65 ปี เปิดบัญชีเงินฝากคนละ 1 บัญชี สามารถสะสมเป็นรายเดือนหรือออมเงินล่วงหน้า โดยออมเงินปีละ 600/1,200/6,000 และ 12,000 บาท ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม2560 สมาชิกเข้าร่วมโครงการกองทุนทวีสุขรวมทั้งสิ้น 1,429,518 ราย มียอดเงินออมสะสม 8,308 ล้านบาท จ่ายเงินสวัสดิการไปแล้วทั้งสิ้น 18,370 ราย เป็นเงิน 133,541,000 บาท (ยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึง 31 มีนาคม 2560)
สวัสดิการที่ธนาคารมอบให้กับสมาชิกกองทุนทวีสุขที่ออมต่อเนื่องทุกปี คือ ในปีที่ 1 ได้รับเงินคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ปีที่ 2 เพิ่มมีเงินรับขวัญบุตรแรกเกิด ปีที่ 3 เพิ่มเงินช่วยเหลือค่าจัดงานศพ ปีที่ 4 เพิ่มเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุ กรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล ตามรูปแบบการออมเงิน ปีที่ 5 เพิ่มใช้เป็นหลักประกันในกรณีกู้เงินกับ ธ.ก.ส.ไม่เกิน 30% ในโอกาสครบรอบ 10 ปี กองทุนทวีสุขในการสร้างความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร ธ.ก.ส.ได้เพิ่มสิทธิ์ประโยชน์ให้กับสมาชิกปีที่ 6 โดยจะเพิ่มเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลคนไข้ใน(เจ็บป่วย) ชดเชยเป็นรายวัน วันละ 300 บาท และมีโปรโมชั่นพิเศษให้แก่สมาชิกที่ออมเงินกับโครงการตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และออมเงินต่อเนื่องภายในวันที่ 31 มกราคม 2561 มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลบําเหน็จพิเศษ 10 ปี ทวีสุข มูลค่า 2,500,000 บาท จํานวน 160 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลใหญ่ รางวัลละ 100,000 บาท จํานวน 10 รางวัล และรางวัลปลอบใจ รางวัลละ 10,000 บาท จํานวน 150 รางวัล กําหนดจับรางวัลพร้อมจัดงานทวีโชคระดับประเทศ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2561
สําหรับการจับรางวัลโครงการกองทุนทวีสุข “เพิ่มออม เพิ่มสุข” เพื่อมอบโชคให้กับสมาชิกที่ร่วมโครงการในวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 ณ ห้องทับทิมแกรนด์ฮอลล์ โรงแรมบ้านสวนรีสอร์ท อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับเกียรติจากปลัดจังหวัดนครสวรรค์ นายมานิต อนรรฆมาศ เป็นประธานในพิธี ภายในงานมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการออมเงิน การรับสมัครสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) การตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองสารเคมีตกค้างให้แก่เกษตรกรลูกค้าและประชาชนที่เข้าร่วมงาน ผู้สมัครรายใหม่และรายเดิมที่ฝากเงินตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2560 มีสิทธิ์ลุ้นรับทองคํามูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4213 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป | วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป
คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป เพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ณ สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งมีทั้งมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป โดยในส่วนของมาตรฐานบังคับนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตรในเรื่องการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ ซึ่งการจัดทํา (ร่าง) มาตรฐานดังกล่าว ได้ปรับปรุงจาก มกษ.6909-2553 การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ มาตรฐานอาเซียน และเอกสารทางวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีขอบข่ายการบังคับมาตรฐานสินค้าเกษตรนี้โดยกําหนดการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ที่เลี้ยงไก่ไข่เพื่อการค้า (จํานวนตั้งแต่ 1,000 ตัวขึ้นไป) ครอบคลุมองค์ประกอบฟาร์ม การจัดการฟาร์ม อาหาร น้ํา การจัดการบุคลากร การจัดการสุขภาพสัตว์ การจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ การจัดการไก่รุ่น ไก่ระยะไข่และไข่ไก่ สิ่งแวดล้อม และการบันทึกข้อมูล เพื่อให้ได้ไข่ไก่ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เหมาะสมในการนําไปบริโภคเป็นอาหาร ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ มกอช. จัดทําร่างกฎกระทรวงเพื่อรับฟังความเห็นตาม พรบ.มาตรฐานสินค้าเกษตรต่อไป
สําหรับมาตรฐานทั่วไป ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 1) มาตรฐานสินค้าเกษตร : เมล็ดกาแฟโรบัสตา เนื่องจากข้อมูลที่นํามาใช้ในการอ้างอิงมาตรฐานฯ มีการเปลี่ยนแปลง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขอให้มีการแก้ไขมาตรฐานให้มีความเป็นปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อให้ผลผลิตมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เกษตรกรปฏิบัติได้จริง 2) มาตรฐานสินค้าเกษตร : แผ่นใยไหม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แผ่นใยไหมทั่วไป และแผ่นใยไหมสําหรับสกัดสารสําคัญ 3) เมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ โดยมีสาระสําคัญทั้งในเรื่องขอบข่าย คุณภาพ การบรรจุ การแสดงฉลาก และวิธีการวิเคราะห์และการชักตัวอย่าง และ 4) (ร่าง) แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ปัจจุบันการนําเข้าเมล็ดพันธุ์ของประเทศผู้นําเข้า ให้ความสําคัญด้านคุณภาพ และการจัดการด้านการอารักขาพืชมากขึ้น จึงควรมีมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่มีความสมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชให้มีคุณภาพและเหมาะสมในการปลูก
ทั้งนี้ การกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรต่าง ๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังเพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้มแข็งและสร้างขีดความสามารถให้กับเกษตรกรได้ต่อไปในอนาคต | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป
คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป เพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย
นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ณ สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งมีทั้งมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป โดยในส่วนของมาตรฐานบังคับนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรฐานสินค้าเกษตรในเรื่องการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ ซึ่งการจัดทํา (ร่าง) มาตรฐานดังกล่าว ได้ปรับปรุงจาก มกษ.6909-2553 การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ มาตรฐานอาเซียน และเอกสารทางวิชาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีขอบข่ายการบังคับมาตรฐานสินค้าเกษตรนี้โดยกําหนดการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับฟาร์มไก่ไข่ที่เลี้ยงไก่ไข่เพื่อการค้า (จํานวนตั้งแต่ 1,000 ตัวขึ้นไป) ครอบคลุมองค์ประกอบฟาร์ม การจัดการฟาร์ม อาหาร น้ํา การจัดการบุคลากร การจัดการสุขภาพสัตว์ การจัดการด้านสวัสดิภาพสัตว์ การจัดการไก่รุ่น ไก่ระยะไข่และไข่ไก่ สิ่งแวดล้อม และการบันทึกข้อมูล เพื่อให้ได้ไข่ไก่ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เหมาะสมในการนําไปบริโภคเป็นอาหาร ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ มกอช. จัดทําร่างกฎกระทรวงเพื่อรับฟังความเห็นตาม พรบ.มาตรฐานสินค้าเกษตรต่อไป
สําหรับมาตรฐานทั่วไป ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 1) มาตรฐานสินค้าเกษตร : เมล็ดกาแฟโรบัสตา เนื่องจากข้อมูลที่นํามาใช้ในการอ้างอิงมาตรฐานฯ มีการเปลี่ยนแปลง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขอให้มีการแก้ไขมาตรฐานให้มีความเป็นปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อให้ผลผลิตมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เกษตรกรปฏิบัติได้จริง 2) มาตรฐานสินค้าเกษตร : แผ่นใยไหม แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แผ่นใยไหมทั่วไป และแผ่นใยไหมสําหรับสกัดสารสําคัญ 3) เมล็ดพันธุ์พืชอาหารสัตว์ โดยมีสาระสําคัญทั้งในเรื่องขอบข่าย คุณภาพ การบรรจุ การแสดงฉลาก และวิธีการวิเคราะห์และการชักตัวอย่าง และ 4) (ร่าง) แนวปฏิบัติในการใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ปัจจุบันการนําเข้าเมล็ดพันธุ์ของประเทศผู้นําเข้า ให้ความสําคัญด้านคุณภาพ และการจัดการด้านการอารักขาพืชมากขึ้น จึงควรมีมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่มีความสมบูรณ์ปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชให้มีคุณภาพและเหมาะสมในการปลูก
ทั้งนี้ การกําหนดมาตรฐานสินค้าเกษตรต่าง ๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังเพื่อส่งเสริมสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย ซึ่งจะสามารถสร้างความเข้มแข็งและสร้างขีดความสามารถให้กับเกษตรกรได้ต่อไปในอนาคต | http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13444 |