title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยทุกเขตสุขภาพ
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 สธ.เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยทุกเขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 110 แห่ง และแพทย์แผนไทยอีก 24 แห่ง เพิ่มการเข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัยของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 110 แห่ง และแพทย์แผนไทยอีก 24 แห่ง เพิ่มการเข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัยของผู้ป่วย วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายกัญชาทางการแพทย์ และให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขยายบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย จากบุคลากรทางการแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมแล้วกว่า 6,400 คน ขณะนี้มีโรงพยาบาลที่ให้บริการในทุกเขตสุขภาพแผนปัจจุบัน 110 แห่ง จ่ายยาสารสกัดกัญชาไปแล้ว 2,034 ขวด ร้อยละ 66 ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และโครงการศึกษาวิจัยสารสกัดน้ํามันกัญชาของกรมการแพทย์ ใน 4 โรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด โรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และภาวะปวดประสาท ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สําหรับคลินิกกัญชาการแพทย์แผนไทยเปิดบริการแล้ว 24 แห่ง ให้บริการตํารับยาศุขไสยาศน์ในกลุ่มอาการนอนไม่หลับ และตํารับทําลายพระสุเมรุในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต บรรเทาอาการเกร็งกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ชา ขณะนี้ได้ผลิตอีก 2 ตํารับ ได้แก่ ตํารับแก้ลมแก้เส้น และตํารับริดสีดวงทวาร จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก ที่โรงพยาบาลมหาสารคาม โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลเลย โรงพยาบาลอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รวมทั้งการวิจัยน้ํามันกัญชาสูตรแพทย์พื้นบ้าน โครงการติดตามลักษณะการใช้และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้น้ํามันกัญชาในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในโรงพยาบาลชุมชนทุกเขตสุขภาพ และโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยผสมผสาน (ยศเส) 22 แห่ง มีผู้ป่วยได้รับยาน้ํามันกัญชาแล้ว 1,101 คน จะเปิดบริการที่อาคารเรือนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทุกวันอังคาร เริ่มวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 “ขอประชาชนอย่าใช้ยากัญชาตามคําบอกเล่า คําโฆษณา เพราะแต่ละคนมีข้อบ่งใช้และการตอบสนองต่อยากัญชาไม่เหมือนกัน ให้มาปรึกษาคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการ ซึ่งจะมีระบบการดูแลและติดตามเพื่อให้การใช้ยามีความปลอดภัย” นายแพทย์สุขุมกล่าว *********************************** 20 พฤศจิกายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยทุกเขตสุขภาพ วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน 2562 สธ.เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยทุกเขตสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 110 แห่ง และแพทย์แผนไทยอีก 24 แห่ง เพิ่มการเข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัยของผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 110 แห่ง และแพทย์แผนไทยอีก 24 แห่ง เพิ่มการเข้าถึงยากัญชาอย่างปลอดภัยของผู้ป่วย วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานตามนโยบายกัญชาทางการแพทย์ และให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ขยายบริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์อย่างปลอดภัย จากบุคลากรทางการแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมแล้วกว่า 6,400 คน ขณะนี้มีโรงพยาบาลที่ให้บริการในทุกเขตสุขภาพแผนปัจจุบัน 110 แห่ง จ่ายยาสารสกัดกัญชาไปแล้ว 2,034 ขวด ร้อยละ 66 ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และโครงการศึกษาวิจัยสารสกัดน้ํามันกัญชาของกรมการแพทย์ ใน 4 โรค ได้แก่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด โรคลมชักที่รักษายาก และโรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และภาวะปวดประสาท ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สําหรับคลินิกกัญชาการแพทย์แผนไทยเปิดบริการแล้ว 24 แห่ง ให้บริการตํารับยาศุขไสยาศน์ในกลุ่มอาการนอนไม่หลับ และตํารับทําลายพระสุเมรุในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต บรรเทาอาการเกร็งกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ชา ขณะนี้ได้ผลิตอีก 2 ตํารับ ได้แก่ ตํารับแก้ลมแก้เส้น และตํารับริดสีดวงทวาร จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก ที่โรงพยาบาลมหาสารคาม โรงพยาบาลบรบือ จังหวัดมหาสารคาม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด โรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลเลย โรงพยาบาลอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รวมทั้งการวิจัยน้ํามันกัญชาสูตรแพทย์พื้นบ้าน โครงการติดตามลักษณะการใช้และคุณภาพชีวิตของผู้ใช้น้ํามันกัญชาในทางการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในโรงพยาบาลชุมชนทุกเขตสุขภาพ และโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยผสมผสาน (ยศเส) 22 แห่ง มีผู้ป่วยได้รับยาน้ํามันกัญชาแล้ว 1,101 คน จะเปิดบริการที่อาคารเรือนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทุกวันอังคาร เริ่มวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 “ขอประชาชนอย่าใช้ยากัญชาตามคําบอกเล่า คําโฆษณา เพราะแต่ละคนมีข้อบ่งใช้และการตอบสนองต่อยากัญชาไม่เหมือนกัน ให้มาปรึกษาคลินิกกัญชาทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการ ซึ่งจะมีระบบการดูแลและติดตามเพื่อให้การใช้ยามีความปลอดภัย” นายแพทย์สุขุมกล่าว *********************************** 20 พฤศจิกายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดกลุ่มเป้าหมาย...ขจัดความยากจนทั้งประเทศ
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 จัดกลุ่มเป้าหมาย...ขจัดความยากจนทั้งประเทศ การแก้ไขปัญหาความยากจนให้ตรงจุดแบบ “ถูกฝา ถูกตัว” เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสําคัญ เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลรายจังหวัด เพื่อออกแบบนโยบายแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เป้าหมาย คือ สร้างความยั่งยืน 4 มิติ >> - การเข้าถึงความจําเป็นขั้นพื้นฐาน - การพัฒนาคุณภาพชีวิตและทักษะอาชีพ - การหางานให้ทํา - การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จัดกลุ่มเป้าหมาย...ขจัดความยากจนทั้งประเทศ วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 จัดกลุ่มเป้าหมาย...ขจัดความยากจนทั้งประเทศ การแก้ไขปัญหาความยากจนให้ตรงจุดแบบ “ถูกฝา ถูกตัว” เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสําคัญ เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลรายจังหวัด เพื่อออกแบบนโยบายแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เป้าหมาย คือ สร้างความยั่งยืน 4 มิติ >> - การเข้าถึงความจําเป็นขั้นพื้นฐาน - การพัฒนาคุณภาพชีวิตและทักษะอาชีพ - การหางานให้ทํา - การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22676
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ำ1,400แห่ง
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ก.อุตฯ ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ํา1,400แห่ง กระทรวงอุตสาหกรรม ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ํา1,400แห่ง นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบโรงงานที่มีการร้องเรียนซ้ําซาก เพื่อเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ประชาชน และโรงงานที่อยู่ริมน้ํา เพื่อรักษาคุณภาพแหล่งน้ําท่าซึ่งในปี 2560 มีแผนการตรวจสอบ 1,400 โรง และประมวลผลจัดทําข้อมูลโรงงานร้องเรียนซ้ําซาก นิยามเบื้องต้นคือ โรงงานที่พบการกระทําผิดกฎหมายตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีการสั่งการปรับปรุงแก้ไข “กระทรวงฯ ได้กําหนดมาตรการเชิงรุกในการป้องกันปัญหาการร้องเรียนโรงงานตั้งแต่ต้นทาง คือตัวโรงงานเอง โดยเฉพาะโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในการเข้าไปให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อมและอื่นๆ โดยจัดทําโครงการเสริมสร้างโรงงานที่ดีเพื่อลดปัญหาเรื่องร้องเรียนจากการประกอบกิจการโรงงาน SMEs ในภูมิภาค ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจแล้ว ยังช่วยพัฒนาสถานประกอบการระดับ SMEs โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้อง สอดคล้องกับประเภทและขนาดกิจการ รวมทั้งช่วยสร้างจิตสํานึกและตระหนักในความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม” ปลัดสมชาย กล่าว โครงการดังกล่าวมีแผนจัดขึ้นทั้งสิ้น 6 ครั้งกระจายในทุกภูมิภาค ครั้งแรกที่จังหวัดชลบุรี (15 ก.พ.60) ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดปทุมธานี (17 ก.พ.60) ตามด้วยขอนแก่น อุบลราชธานี สงขลา และเชียงใหม่ตามลําดับ โดยแต่ละครั้งจะเชิญผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง จํานวนประมาณ 100 รายเข้าร่วม ทั้งนี้ หากโรงงาน SMEs ในภูมิภาค สามารถประกอบกิจการได้ตามกฎหมาย มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม จะส่งผลทําให้โรงงานได้รับการยอมรับจากชุมชนรอบข้าง ลดปัญหาการต่อต้านโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสามารถลดข้อร้องเรียนจากประชาชนอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงานในพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ำ1,400แห่ง วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ก.อุตฯ ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ํา1,400แห่ง กระทรวงอุตสาหกรรม ลดปัญหาร้องเรียนผุดโครงการสร้างโรงงานที่ดีแก่SMEs ภูมิภาค ตั้งเป้าปี 60 ระดมตรวจโรงงานริมน้ํา1,400แห่ง นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบโรงงานที่มีการร้องเรียนซ้ําซาก เพื่อเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ประชาชน และโรงงานที่อยู่ริมน้ํา เพื่อรักษาคุณภาพแหล่งน้ําท่าซึ่งในปี 2560 มีแผนการตรวจสอบ 1,400 โรง และประมวลผลจัดทําข้อมูลโรงงานร้องเรียนซ้ําซาก นิยามเบื้องต้นคือ โรงงานที่พบการกระทําผิดกฎหมายตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 1 ปี นับแต่วันที่มีการสั่งการปรับปรุงแก้ไข “กระทรวงฯ ได้กําหนดมาตรการเชิงรุกในการป้องกันปัญหาการร้องเรียนโรงงานตั้งแต่ต้นทาง คือตัวโรงงานเอง โดยเฉพาะโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในการเข้าไปให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อมและอื่นๆ โดยจัดทําโครงการเสริมสร้างโรงงานที่ดีเพื่อลดปัญหาเรื่องร้องเรียนจากการประกอบกิจการโรงงาน SMEs ในภูมิภาค ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความรู้ ความเข้าใจแล้ว ยังช่วยพัฒนาสถานประกอบการระดับ SMEs โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้อง สอดคล้องกับประเภทและขนาดกิจการ รวมทั้งช่วยสร้างจิตสํานึกและตระหนักในความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม” ปลัดสมชาย กล่าว โครงการดังกล่าวมีแผนจัดขึ้นทั้งสิ้น 6 ครั้งกระจายในทุกภูมิภาค ครั้งแรกที่จังหวัดชลบุรี (15 ก.พ.60) ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดปทุมธานี (17 ก.พ.60) ตามด้วยขอนแก่น อุบลราชธานี สงขลา และเชียงใหม่ตามลําดับ โดยแต่ละครั้งจะเชิญผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง จํานวนประมาณ 100 รายเข้าร่วม ทั้งนี้ หากโรงงาน SMEs ในภูมิภาค สามารถประกอบกิจการได้ตามกฎหมาย มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม จะส่งผลทําให้โรงงานได้รับการยอมรับจากชุมชนรอบข้าง ลดปัญหาการต่อต้านโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสามารถลดข้อร้องเรียนจากประชาชนอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงานในพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1953
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561 นรม. เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561 นรม. เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ จันทร์โอชา) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ำโพถึงสมุทรปราการ”
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” เชื่อมั่นจะสามารถสร้างความตื่นตัวของผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ําและลําคลองทุกสายของประเทศไทย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” ณ อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ จังหวัดอยุธยา ว่า กิจกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อชวนคนไทยให้เลิกทิ้งขยะลงแม่น้ํา โดยจะมีการพายเรือเก็บขยะในแม่น้ําเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ 1 - 10 ตุลาคม 2562 นี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่จังหวัดนครสวรรค์ไปจนถึงจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายก่อนที่แม่น้ําเจ้าพระยาจะไหลลงอ่าวไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการทิ้งขยะลงทะเลมากเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยขยะประมาณ 80% มาจากแม่น้ําสายต่าง ๆ ที่ไหลลงอ่าวไทย ซึ่งแม่น้ําเจ้าพระยาถือเป็นแม่น้ําที่มีขยะไหลลงอ่าวไทยมากที่สุด นางสาวมนัญญา กล่าวต่อไปว่า การพายเรือเก็บขยะในแม่น้ําเจ้าพระยาในครั้งนี้ มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้คนสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้ง 10 จังหวัด ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากการทิ้งขยะลงในแม่น้ํา และนํามาสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเลิกทิ้งขยะลงแม่น้ําเจ้าพระยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 24 ตุลาคมที่จะมาถึงนี้ จะมีพระราชพิธีเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค จึงยิ่งเป็นวาระสําคัญที่พี่น้องคนไทยสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จะได้ช่วยกันทําความสะอาดแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อเตรียมการสําหรับพระราชพิธีอันสําคัญยิ่งที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอย อย่างไรก็ตาม การให้ความสําคัญในเรื่องของการอนุรักษ์แม่น้ําลําคลอง การมีมาตรการในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเห็นความสําคัญถึงปัญหาขยะ และการให้ความร่วมมือกันบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร จะนํามาสู่การแก้ปัญหาการทิ้งขยะไม่เป็นที่และปัญหาขยะในแม่น้ําได้อย่างยั่งยืน จึงเชื่อมั่นว่ากิจกรรมนี้จะสร้างความตื่นตัว ไม่เพียงแค่พี่น้องสองฝั่งเจ้าพระยาทั้ง 10 จังหวัด แต่จะสร้างความตื่นตัวของผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ําและลําคลองทุกสายของประเทศไทย และจะนําไปสู่การแก้ปัญหาขยะในแม่น้ําและทะเลไทยจนสําเร็จลุล่วงต่อไป นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการช่วยกันสร้างจิตสํานึกในการสร้างสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทย ซึ่งนอกจากขยะทั่วไปแล้ว ยังมุ่งหวังให้เกษตรกรและประชาชนเห็นถึงโทษของการใช้สารพิษต่าง ๆ ซึ่งจะไหลจากพืชสวนไร่นาลงสู่แม่น้ําลําคลอง จึงต้องการให้เลิกใช้สารเคมีต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ำโพถึงสมุทรปราการ” วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” รมช.มนัญญา เปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” เชื่อมั่นจะสามารถสร้างความตื่นตัวของผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ําและลําคลองทุกสายของประเทศไทย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “พายเรือเพื่อเจ้าพระยา : เก็บขยะจากปากน้ําโพถึงสมุทรปราการ” ณ อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ จังหวัดอยุธยา ว่า กิจกรรมดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อชวนคนไทยให้เลิกทิ้งขยะลงแม่น้ํา โดยจะมีการพายเรือเก็บขยะในแม่น้ําเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ 1 - 10 ตุลาคม 2562 นี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่จังหวัดนครสวรรค์ไปจนถึงจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายก่อนที่แม่น้ําเจ้าพระยาจะไหลลงอ่าวไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยมีการทิ้งขยะลงทะเลมากเป็นอันดับ 6 ของโลก โดยขยะประมาณ 80% มาจากแม่น้ําสายต่าง ๆ ที่ไหลลงอ่าวไทย ซึ่งแม่น้ําเจ้าพระยาถือเป็นแม่น้ําที่มีขยะไหลลงอ่าวไทยมากที่สุด นางสาวมนัญญา กล่าวต่อไปว่า การพายเรือเก็บขยะในแม่น้ําเจ้าพระยาในครั้งนี้ มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะทําให้คนสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยาทั้ง 10 จังหวัด ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากการทิ้งขยะลงในแม่น้ํา และนํามาสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเลิกทิ้งขยะลงแม่น้ําเจ้าพระยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 24 ตุลาคมที่จะมาถึงนี้ จะมีพระราชพิธีเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค จึงยิ่งเป็นวาระสําคัญที่พี่น้องคนไทยสองฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา จะได้ช่วยกันทําความสะอาดแม่น้ําเจ้าพระยา เพื่อเตรียมการสําหรับพระราชพิธีอันสําคัญยิ่งที่คนไทยทุกคนเฝ้ารอคอย อย่างไรก็ตาม การให้ความสําคัญในเรื่องของการอนุรักษ์แม่น้ําลําคลอง การมีมาตรการในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเห็นความสําคัญถึงปัญหาขยะ และการให้ความร่วมมือกันบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจร จะนํามาสู่การแก้ปัญหาการทิ้งขยะไม่เป็นที่และปัญหาขยะในแม่น้ําได้อย่างยั่งยืน จึงเชื่อมั่นว่ากิจกรรมนี้จะสร้างความตื่นตัว ไม่เพียงแค่พี่น้องสองฝั่งเจ้าพระยาทั้ง 10 จังหวัด แต่จะสร้างความตื่นตัวของผู้คนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ําและลําคลองทุกสายของประเทศไทย และจะนําไปสู่การแก้ปัญหาขยะในแม่น้ําและทะเลไทยจนสําเร็จลุล่วงต่อไป นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการช่วยกันสร้างจิตสํานึกในการสร้างสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทย ซึ่งนอกจากขยะทั่วไปแล้ว ยังมุ่งหวังให้เกษตรกรและประชาชนเห็นถึงโทษของการใช้สารพิษต่าง ๆ ซึ่งจะไหลจากพืชสวนไร่นาลงสู่แม่น้ําลําคลอง จึงต้องการให้เลิกใช้สารเคมีต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมตำรวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีชื่นชมตํารวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดําเนินคดีได้ พร้อมกําชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง นายกรัฐมนตรีชื่นชมตํารวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดําเนินคดีได้ พร้อมกําชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตํารวจว่า ขอชื่นชมตํารวจทุกท่านที่สามารถดําเนินคดีจับกุมได้ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือคดีใหญ่ พร้อมกล่าวยืนยันให้ความสําคัญกับทุกคดี พร้อมกล่าวต่อไปว่า ตํารวจดี ๆ ก็ต้องช่วยกันต้องชื่นชม ส่วนที่ไม่ดีต้องแก้ไขปฏิรูปไปสู่สิ่งที่ดีที่สังคมต้องการ พร้อมกําชับให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในพื้นที่ติดตามดูแลคดีด้วยตนเอง โดยเฉพาะคดีใหญ่ ๆ ซึ่งการทํางานจะประสบความสําเร็จต้องอาศัยการทํางานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ -----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมตำรวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีชื่นชมตํารวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดําเนินคดีได้ พร้อมกําชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง นายกรัฐมนตรีชื่นชมตํารวจที่สามารถจับกุมผู้ต้องหามาดําเนินคดีได้ พร้อมกําชับผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ติดตามคดีด้วยตนเอง วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตํารวจว่า ขอชื่นชมตํารวจทุกท่านที่สามารถดําเนินคดีจับกุมได้ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือคดีใหญ่ พร้อมกล่าวยืนยันให้ความสําคัญกับทุกคดี พร้อมกล่าวต่อไปว่า ตํารวจดี ๆ ก็ต้องช่วยกันต้องชื่นชม ส่วนที่ไม่ดีต้องแก้ไขปฏิรูปไปสู่สิ่งที่ดีที่สังคมต้องการ พร้อมกําชับให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในพื้นที่ติดตามดูแลคดีด้วยตนเอง โดยเฉพาะคดีใหญ่ ๆ ซึ่งการทํางานจะประสบความสําเร็จต้องอาศัยการทํางานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ -----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม วันนี้ (24 เมษายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปฏิเสธถึงการพิจารณาแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองว่าหลังจากตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตั้งใครเพิ่ม ซึ่งการตั้งนายสนธยา ฯ นั้นก็เพื่อให้ดูพื้นที่ภาคตะวันออก เพราะทํางานทางภาคตะวันออกอยู่แล้ว และได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนพอสมควร จึงให้มาเป็นที่ปรึกษาเพียงแค่นั้น ไม่ได้มุ่งหวังทางการเมืองอะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นายสนธยา ฯ อยู่ในคณะที่ปรึกษา เป็นการทํางานร่วมกับคณะที่ปรึกษา ซึ่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มีหลายคนหลายฝ่ายและสิ่งที่ทําในวันนี้คือการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้ต่าง ๆ โดยตนเองได้รวบรวมประมวลมา และนํามาใช้ในการทํางาน ตรงนั้นเขาเรียกว่าคณะที่ปรึกษา ทุกคนตนปรึกษาหมด ไม่ใช่ตั้งคณะที่ปรึกษามาแล้วไม่ปรึกษา --------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม นายกรัฐมนตรีเผยไม่มีการแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม วันนี้ (24 เมษายน 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปฏิเสธถึงการพิจารณาแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองว่าหลังจากตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ตอนนี้ก็ยังไม่มีการตั้งใครเพิ่ม ซึ่งการตั้งนายสนธยา ฯ นั้นก็เพื่อให้ดูพื้นที่ภาคตะวันออก เพราะทํางานทางภาคตะวันออกอยู่แล้ว และได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนพอสมควร จึงให้มาเป็นที่ปรึกษาเพียงแค่นั้น ไม่ได้มุ่งหวังทางการเมืองอะไร นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นายสนธยา ฯ อยู่ในคณะที่ปรึกษา เป็นการทํางานร่วมกับคณะที่ปรึกษา ซึ่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มีหลายคนหลายฝ่ายและสิ่งที่ทําในวันนี้คือการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้ต่าง ๆ โดยตนเองได้รวบรวมประมวลมา และนํามาใช้ในการทํางาน ตรงนั้นเขาเรียกว่าคณะที่ปรึกษา ทุกคนตนปรึกษาหมด ไม่ใช่ตั้งคณะที่ปรึกษามาแล้วไม่ปรึกษา --------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสวม Face Shield อย่างเดียวไม่ช่วยป้องกันโควิด-19
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 การสวม Face Shield อย่างเดียวไม่ช่วยป้องกันโควิด-19 #โควิด-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสวม Face Shield อย่างเดียวไม่ช่วยป้องกันโควิด-19 วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 การสวม Face Shield อย่างเดียวไม่ช่วยป้องกันโควิด-19 #โควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จำกัด จ.เชียงราย
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จํากัด จ.เชียงราย รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จํากัด จ.เชียงราย วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมและพบปะชาวบ้านในพื้นที่หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) อําเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางเบญจมาภรณ์ เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ บ้านสันติคีรี อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย (ดอยแม่สลอง) เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) เพื่อการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต การละเล่น โดยเฉพาะขั้นตอนการผลิต การชิมชา อาหารจีนและอาหารชนเผ่า ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายถึงปัจจุบัน โดยมีผลิตภัณฑ์เด่น ได้แก่ ชาอู่หลง ชาเจียวกู่หลาน ชาแดง ชามะลิ ชาอัสสัม ฯลฯ ซึ่งบ้านสันติคีรี มีความต้องการพัฒนาด้านเครื่องจักรเพื่อทําชาเป็นรูปแบบเส้น การปรับปรุง packaging เงินทุนหมุนเวียน และการให้คําปรึกษาด้านการแปรรูป พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและพบปะผู้บริหาร บริษัท ชา 101 จํากัด ผู้ผลิตผลิตชาแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ํา ผู้ผลิตและแปรรูปผลไม้อบแห้ง เพื่อใช้เป็นแนวทางพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารเกษตรแปรรูปครบวงจรต่อไป #prindustry #อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จำกัด จ.เชียงราย วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จํากัด จ.เชียงราย รัฐมนตรี ก.อุตฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมหมู่บ้าน CIV บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) บริษัท ชา 101 จํากัด จ.เชียงราย วันนี้ (29 ตุลาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมและพบปะชาวบ้านในพื้นที่หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) อําเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางเบญจมาภรณ์ เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ บ้านสันติคีรี อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย (ดอยแม่สลอง) เป็นหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) เพื่อการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต การละเล่น โดยเฉพาะขั้นตอนการผลิต การชิมชา อาหารจีนและอาหารชนเผ่า ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายถึงปัจจุบัน โดยมีผลิตภัณฑ์เด่น ได้แก่ ชาอู่หลง ชาเจียวกู่หลาน ชาแดง ชามะลิ ชาอัสสัม ฯลฯ ซึ่งบ้านสันติคีรี มีความต้องการพัฒนาด้านเครื่องจักรเพื่อทําชาเป็นรูปแบบเส้น การปรับปรุง packaging เงินทุนหมุนเวียน และการให้คําปรึกษาด้านการแปรรูป พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมและพบปะผู้บริหาร บริษัท ชา 101 จํากัด ผู้ผลิตผลิตชาแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ํา ผู้ผลิตและแปรรูปผลไม้อบแห้ง เพื่อใช้เป็นแนวทางพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารเกษตรแปรรูปครบวงจรต่อไป #prindustry #อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16416
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญประเพณี เป็นงาน “ปลอดเหล้า”
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 คกก. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญประเพณี เป็นงาน “ปลอดเหล้า” คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญ ประเพณีหลังออกพรรษาเป็นงาน “ปลอดเหล้า” และ“ลด ละเหล้าเข้าปีใหม่” พร้อมให้การรักษาผู้ติดเหล้า วันนี้ (27 กันยายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามผลการดําเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีการพิจารณามาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงหลังเทศกาลออกพรรษาและช่วงปีใหม่ 2563 และมาตรการการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า จากข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 พบการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นจํานวนมากถึงร้อยละ 43.66 (ข้อมูลจากการดื่มแล้วขับปี 2562 อุบัติเหตุ 3,791 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 463 คน) และพบว่าในช่วงเทศกาลเข้าพรรษามีจํานวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตลดลง คณะกรรมการ ฯ จึงมีแนวคิดที่จะรณรงค์ให้งานบุญประเพณีที่จะเกิดต่อเนื่องหลังจากออกพรรษา เช่น งานกฐิน ลอยกระทง ปีใหม่ เป็นงานที่ “ปลอดเหล้า” ซึ่งนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สุขภาพแข็งแรง” ของแต่ละครอบครัวได้ สร้างโอกาสในการไม่ดื่มเพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการเชิญชวนให้ผู้ที่สามารถ “งดเหล้า ครบพรรษา” ไปสู่การ “งดเหล้า ตลอดชีวิต” รวมทั้งเข้มมาตรการ “จัดโปร จับโชว์” บังคับใช้กฎหมายเรื่องการจําหน่ายโดยวิธี ลด แลก แจกแถม เพื่อลดการเข้าถึงที่ง่ายเกินไป และรณรงค์ให้ส่วนราชการจัดงานรื่นเริงโดยปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ได้จัดทํามาตรการการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) คัดกรองเชิงรุกในชุมชน ส่งข้อมูลให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลเพื่อส่งเข้ารับการบําบัดรักษาตามระบบในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งโรงพยาบาลได้เตรียมความพร้อมรับการคัดกรองและบําบัดรักษาผู้มีปัญหาจากสุรา โดยมีกรมการแพทย์ กรมสุขภาพจิต สนับสนุนด้านวิชาการ และการบริหารจัดการตามมาตรฐาน Service plan สาขายาและสารเสพติด เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการดื่มสุรา ****************************27 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญประเพณี เป็นงาน “ปลอดเหล้า” วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 คกก. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญประเพณี เป็นงาน “ปลอดเหล้า” คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รณรงค์ให้งานบุญ ประเพณีหลังออกพรรษาเป็นงาน “ปลอดเหล้า” และ“ลด ละเหล้าเข้าปีใหม่” พร้อมให้การรักษาผู้ติดเหล้า วันนี้ (27 กันยายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 2/2562 โดยมีนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามผลการดําเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีการพิจารณามาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงหลังเทศกาลออกพรรษาและช่วงปีใหม่ 2563 และมาตรการการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า จากข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 พบการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นจํานวนมากถึงร้อยละ 43.66 (ข้อมูลจากการดื่มแล้วขับปี 2562 อุบัติเหตุ 3,791 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 463 คน) และพบว่าในช่วงเทศกาลเข้าพรรษามีจํานวนอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตลดลง คณะกรรมการ ฯ จึงมีแนวคิดที่จะรณรงค์ให้งานบุญประเพณีที่จะเกิดต่อเนื่องหลังจากออกพรรษา เช่น งานกฐิน ลอยกระทง ปีใหม่ เป็นงานที่ “ปลอดเหล้า” ซึ่งนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สุขภาพแข็งแรง” ของแต่ละครอบครัวได้ สร้างโอกาสในการไม่ดื่มเพิ่มขึ้น ตลอดจนเป็นการเชิญชวนให้ผู้ที่สามารถ “งดเหล้า ครบพรรษา” ไปสู่การ “งดเหล้า ตลอดชีวิต” รวมทั้งเข้มมาตรการ “จัดโปร จับโชว์” บังคับใช้กฎหมายเรื่องการจําหน่ายโดยวิธี ลด แลก แจกแถม เพื่อลดการเข้าถึงที่ง่ายเกินไป และรณรงค์ให้ส่วนราชการจัดงานรื่นเริงโดยปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ได้จัดทํามาตรการการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) คัดกรองเชิงรุกในชุมชน ส่งข้อมูลให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลเพื่อส่งเข้ารับการบําบัดรักษาตามระบบในสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งโรงพยาบาลได้เตรียมความพร้อมรับการคัดกรองและบําบัดรักษาผู้มีปัญหาจากสุรา โดยมีกรมการแพทย์ กรมสุขภาพจิต สนับสนุนด้านวิชาการ และการบริหารจัดการตามมาตรฐาน Service plan สาขายาและสารเสพติด เพื่อลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการดื่มสุรา ****************************27 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช.
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2562 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช. ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช. นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ณ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรุงเทพฯ โดย พลเอก สุกิจ ขมะสุนทร ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ร่วมให้การต้อนรับ สําหรับวันที่ 7 ตุลาคม 2562 นี้ เป็นวันครบรอบ 8 ปี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดําเนินการตามภารกิจในการจัดสรรและบริหารคลื่นความถี่ กํากับดูแลกิจการดาวเทียม สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ใช้บริการที่มีมาตรฐานในราคาที่เป็นธรรม *******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช. วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2562 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช. ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี กสทช. นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 8 ปี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2562 ณ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรุงเทพฯ โดย พลเอก สุกิจ ขมะสุนทร ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ร่วมให้การต้อนรับ สําหรับวันที่ 7 ตุลาคม 2562 นี้ เป็นวันครบรอบ 8 ปี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดําเนินการตามภารกิจในการจัดสรรและบริหารคลื่นความถี่ กํากับดูแลกิจการดาวเทียม สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ใช้บริการที่มีมาตรฐานในราคาที่เป็นธรรม *******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23685
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0”
วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0” ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ นายขจิต สุขุม ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0” เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ จัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN BAC) นับเป็นโอกาสที่ประเทศไทยดํารงตําแหน่งประเทศอาเซียน ปี ๒๕๖๒ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เข้าร่วมเสวนากับวิทยากรชั้นนําจากภาครัฐและเอกชนภายใต้หัวข้อ ASEAN 4.0 เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 รวมทั้งประเด็นท้าทาย ปัญหาอุปสรรค การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนวคิดของไทยเรื่อง ASEAN Digital Agility ๒๐๑๙ ที่ได้นําเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ รวมถึงหารือแนวทางการดําเนินกิจกรรมต่อไป อาทิ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Digital Ministers’ Retreat แผนการดําเนินการกิจกรรมของกระทรวงฯ ในโอกาสที่ไทยดํารงตําแหน่งประเทศอาเซียน ปี ๒๕๖๒ เป็นต้น **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0” วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0” ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ นายขจิต สุขุม ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนา “Empowering ASEAN 4.0” เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๒ ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ จัดโดยสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN Business Advisory Council : ASEAN BAC) นับเป็นโอกาสที่ประเทศไทยดํารงตําแหน่งประเทศอาเซียน ปี ๒๕๖๒ โดยผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เข้าร่วมเสวนากับวิทยากรชั้นนําจากภาครัฐและเอกชนภายใต้หัวข้อ ASEAN 4.0 เกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 รวมทั้งประเด็นท้าทาย ปัญหาอุปสรรค การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ได้กล่าวถึงข้อเสนอแนวคิดของไทยเรื่อง ASEAN Digital Agility ๒๐๑๙ ที่ได้นําเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ รวมถึงหารือแนวทางการดําเนินกิจกรรมต่อไป อาทิ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ASEAN Digital Ministers’ Retreat แผนการดําเนินการกิจกรรมของกระทรวงฯ ในโอกาสที่ไทยดํารงตําแหน่งประเทศอาเซียน ปี ๒๕๖๒ เป็นต้น **********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 [กระทรวงการคลัง] ธนาคารออมสินขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ไปถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ด้วยความห่วงใยลูกค้า ประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์คลี่คลาย ธนาคารฯ จะพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการออม เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ประชาชน ตลอดจนผู้มีอุปการคุณทุกท่านในวาระอื่น ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกิจกรรมธนาคารออมสินมอบเงินขวัญถุงให้เด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 จํานวน 500 บาทต่อราย และเด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 และตั้งชื่อเด็กให้ปรากฏในสูติบัตรว่า "ออมสิน" จะได้รับเงินออม 5,000 บาทต่อรายนั้น ยังคงได้รับสิทธิ์การรับเงินตามปกติ แต่ธนาคารฯ ขอแนะนําว่าไม่ต้องรีบมาติดต่อในช่วงนี้ที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ โดยสามารถติดต่อธนาคารออมสินทุกสาขาได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 [กระทรวงการคลัง] วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 ออมสิน งดจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาธนาคารออมสิน 1 เม.ย.63 [กระทรวงการคลัง] ธนาคารออมสินขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ไปถึงสิ้นเดือนเมษายน 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น ด้วยความห่วงใยลูกค้า ประชาชน และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันดังกล่าว ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งงดกิจกรรมการรับฝากเงินเพื่อรับของที่ระลึกเนื่องในวาระธนาคารออมสิน ครบ 107 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2563 นี้ ณ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ทั้งนี้ หากสถานการณ์คลี่คลาย ธนาคารฯ จะพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการออม เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้า ประชาชน ตลอดจนผู้มีอุปการคุณทุกท่านในวาระอื่น ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกิจกรรมธนาคารออมสินมอบเงินขวัญถุงให้เด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 จํานวน 500 บาทต่อราย และเด็กที่เกิดในวันออมสินปี 2563 และตั้งชื่อเด็กให้ปรากฏในสูติบัตรว่า "ออมสิน" จะได้รับเงินออม 5,000 บาทต่อรายนั้น ยังคงได้รับสิทธิ์การรับเงินตามปกติ แต่ธนาคารฯ ขอแนะนําว่าไม่ต้องรีบมาติดต่อในช่วงนี้ที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เนื่องจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ทั่วประเทศ ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ โดยสามารถติดต่อธนาคารออมสินทุกสาขาได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบำราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี [กระทรวงสาธารณสุข] กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร ในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามมาตรฐานสากล ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลสําหรับโรคติดเชื้อ ซึ่งมีส่วนในการกําหนดแนวทางปฏิบัติและแนวทางการรักษาโรคดังกล่าว วันนี้ (5 พฤษภาคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์วิศิษฏ์ ประสิทธิศิริกุลรองผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร ร่วมแถลงข่าวผลการดําเนินงานโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของสถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวว่า กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานกลางและเป็นหน่วยงานเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีบทบาทสําคัญในการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพที่คุกคามประชาชนไทย โดยมีสถาบันบําราศนราดูร เป็นหน่วยงานในสังกัด มีหน้าที่ดําเนินการดูแลรักษากลุ่มผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคติดต่ออันตราย จนเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลเฉพาะโรคติดเชื้อที่มีมาตรฐานสากล และดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทั้งนี้ ตามที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา นั้น ประเทศไทย พบผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร โดยการระบาดของโรคโควิด-19 ถือว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ในปัจจุบัน และเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยทางสถาบันบําราศนราดูร เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่รักษาผู้ป่วยโรคดังกล่าว และหายเป็นปกติเป็นรายแรกของประเทศไทย และได้มีการนําเครื่องช่วยพยุงการทํางานของหัวใจและปอด (ECMO) เครื่องช่วยหายใจ และยาฟาวิพิราเวียร์ มาใช้ในกรณีนี้เป็นแห่งแรกด้วย ซึ่งมีการรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทั้งสิ้น 214 ราย นับว่าเป็นสถาบันที่ดูแลผู้ป่วยมากที่สุดในประเทศ ที่สําคัญไม่มีบุคคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ด้านนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันบําราศนราดูร ได้ทําการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 เป็นไปตามมาตรฐานสากล และผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยจากการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อที่เข้ารับการรักษา จํานวน 214 ราย โดยอายุต่ําสุดที่เข้ารับการรักษาคือ อายุ 47 วัน อายุสูงสุด 83 ปี ในเดือนมีนาคม 63 มีผู้ป่วยสูงสุดคือ 124 ราย และวันที่นอนรักษาตัวเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ ปัจจุบันผู้ป่วยเกือบทั้งหมดรักษาหายเป็นปกติและกลับบ้านแล้ว เหลือเพียง 1 รายที่ยังพักรักษาตัวอยู่ ส่วนผู้เสียชีวิตมีจํานวน 4 ราย (ในจํานวนผู้เสียชีวิตนี้ มี 3 รายอาการรุนแรง ใส่เครื่องช่วยหายใจ และนําส่งมาจากโรงพยาบาลอื่น) นอกจากนี้ สถาบันบําราศนราดูร ยังมีบทบาทสําคัญคือเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลสําหรับโรคติดเชื้อ และมีส่วนในการกําหนดแนวทางการปฏิบัติและแนวทางการรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงนี้จํานวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศไทยมีจํานวนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทางสถาบันบําราศนราดูร ยังมีการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งในการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพื่อรองรับสถานการณ์หรือจํานวนผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นอีก ******************************** ข้อมูลจาก: สถาบันบําราศนราดูร กรมควบคุมโรค วันที่ 5 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบำราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี [กระทรวงสาธารณสุข] วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563 กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี [กระทรวงสาธารณสุข] กรมควบคุมโรค เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ของสถาบันบําราศนราดูร ในช่วงที่ผ่านมา เป็นไปตามมาตรฐานสากล ผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลสําหรับโรคติดเชื้อ ซึ่งมีส่วนในการกําหนดแนวทางปฏิบัติและแนวทางการรักษาโรคดังกล่าว วันนี้ (5 พฤษภาคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วยนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์วิศิษฏ์ ประสิทธิศิริกุลรองผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร ร่วมแถลงข่าวผลการดําเนินงานโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของสถาบันบําราศนราดูร นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวว่า กรมควบคุมโรค เป็นหน่วยงานกลางและเป็นหน่วยงานเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีบทบาทสําคัญในการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพที่คุกคามประชาชนไทย โดยมีสถาบันบําราศนราดูร เป็นหน่วยงานในสังกัด มีหน้าที่ดําเนินการดูแลรักษากลุ่มผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคติดต่ออันตราย จนเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลเฉพาะโรคติดเชื้อที่มีมาตรฐานสากล และดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทั้งนี้ ตามที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา นั้น ประเทศไทย พบผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงชาวจีนอายุ 61 ปี เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร โดยการระบาดของโรคโควิด-19 ถือว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ในปัจจุบัน และเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยทางสถาบันบําราศนราดูร เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่รักษาผู้ป่วยโรคดังกล่าว และหายเป็นปกติเป็นรายแรกของประเทศไทย และได้มีการนําเครื่องช่วยพยุงการทํางานของหัวใจและปอด (ECMO) เครื่องช่วยหายใจ และยาฟาวิพิราเวียร์ มาใช้ในกรณีนี้เป็นแห่งแรกด้วย ซึ่งมีการรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่ามีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทั้งสิ้น 214 ราย นับว่าเป็นสถาบันที่ดูแลผู้ป่วยมากที่สุดในประเทศ ที่สําคัญไม่มีบุคคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ด้านนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อํานวยการสถาบันบําราศนราดูร กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันบําราศนราดูร ได้ทําการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 เป็นไปตามมาตรฐานสากล และผู้ป่วยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยจากการเก็บข้อมูลของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันบําราศนราดูร ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อที่เข้ารับการรักษา จํานวน 214 ราย โดยอายุต่ําสุดที่เข้ารับการรักษาคือ อายุ 47 วัน อายุสูงสุด 83 ปี ในเดือนมีนาคม 63 มีผู้ป่วยสูงสุดคือ 124 ราย และวันที่นอนรักษาตัวเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ ปัจจุบันผู้ป่วยเกือบทั้งหมดรักษาหายเป็นปกติและกลับบ้านแล้ว เหลือเพียง 1 รายที่ยังพักรักษาตัวอยู่ ส่วนผู้เสียชีวิตมีจํานวน 4 ราย (ในจํานวนผู้เสียชีวิตนี้ มี 3 รายอาการรุนแรง ใส่เครื่องช่วยหายใจ และนําส่งมาจากโรงพยาบาลอื่น) นอกจากนี้ สถาบันบําราศนราดูร ยังมีบทบาทสําคัญคือเป็นต้นแบบของโรงพยาบาลสําหรับโรคติดเชื้อ และมีส่วนในการกําหนดแนวทางการปฏิบัติและแนวทางการรักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงนี้จํานวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในประเทศไทยมีจํานวนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทางสถาบันบําราศนราดูร ยังมีการเตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นต่อไป ทั้งในการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพื่อรองรับสถานการณ์หรือจํานวนผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้นอีก ******************************** ข้อมูลจาก: สถาบันบําราศนราดูร กรมควบคุมโรค วันที่ 5 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30338
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.คุมเข้มรับคนไทยกลับประเทศทางชายแดนใต้
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 สธ.คุมเข้มรับคนไทยกลับประเทศทางชายแดนใต้ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการ์ดไม่ตก คุมเข้มมาตรการคัดกรองคนไทยกลับบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ตามระบบ และจังหวัดกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการ์ดไม่ตก คุมเข้มมาตรการคัดกรองคนไทยกลับบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ตามระบบ และจังหวัดกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน บ่ายวันนี้ (16 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ มีจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความร่วมมือของประชาชนในทุกมาตรการ ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง วันนี้มี 29 ราย ผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น วันนี้มีกลับบ้านได้อีก 96 ราย ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,593 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ยังรับการรักษาอยู่โรงพยาบาลลดลงเหลือ 1,033 ราย ส่วนผู้ป่วยวิกฤตมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 3.96ของผู้ป่วยทั้งหมด ขอขอบคุณและเป็นกําลังใจเครือข่ายมดงานกระทรวงสาธารณสุข ที่ร่วมมือกันทํางาน ตั้งแต่ด่านควบคุมโรค ทีมสอบสวนติดตามโรค ทีมนักรบเสื้อขาวที่ให้การดูแลรักษา และทีมส่งกําลังบํารุง สําหรับคนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วง 18 เมษายนนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับจังหวัดจะนําเข้าสู่ระบบกักตัวสังเกตอาการ 14 วันอย่างเคร่งครัด โดยด่านทางบกแต่ละช่องทางมีการจํากัดจํานวนคนเข้าประเทศ เพื่อให้ระบบทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ********************************** 16 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.คุมเข้มรับคนไทยกลับประเทศทางชายแดนใต้ วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 สธ.คุมเข้มรับคนไทยกลับประเทศทางชายแดนใต้ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการ์ดไม่ตก คุมเข้มมาตรการคัดกรองคนไทยกลับบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ตามระบบ และจังหวัดกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันการ์ดไม่ตก คุมเข้มมาตรการคัดกรองคนไทยกลับบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ตามระบบ และจังหวัดกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน บ่ายวันนี้ (16 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ มีจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความร่วมมือของประชาชนในทุกมาตรการ ผู้ป่วยรายใหม่ลดลง วันนี้มี 29 ราย ผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น วันนี้มีกลับบ้านได้อีก 96 ราย ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,593 ราย ส่วนผู้ป่วยที่ยังรับการรักษาอยู่โรงพยาบาลลดลงเหลือ 1,033 ราย ส่วนผู้ป่วยวิกฤตมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 3.96ของผู้ป่วยทั้งหมด ขอขอบคุณและเป็นกําลังใจเครือข่ายมดงานกระทรวงสาธารณสุข ที่ร่วมมือกันทํางาน ตั้งแต่ด่านควบคุมโรค ทีมสอบสวนติดตามโรค ทีมนักรบเสื้อขาวที่ให้การดูแลรักษา และทีมส่งกําลังบํารุง สําหรับคนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วง 18 เมษายนนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานกับจังหวัดจะนําเข้าสู่ระบบกักตัวสังเกตอาการ 14 วันอย่างเคร่งครัด โดยด่านทางบกแต่ละช่องทางมีการจํากัดจํานวนคนเข้าประเทศ เพื่อให้ระบบทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ********************************** 16 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปรับระบบควบคุมวัณโรค เน้นเชิงรุกค้นหาในกลุ่มเสี่ยงและเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 สธ.ปรับระบบควบคุมวัณโรค เน้นเชิงรุกค้นหาในกลุ่มเสี่ยงและเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงสาธารณสุข ปรับแนวทางควบคุมวัณโรคของประเทศ เน้นเชิงรุกออกค้นหาผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงสูง อาทิ ผู้ต้องขัง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สัมผัสโรค และปรับแนวทางการวินิจฉัยโรคคัดกรองด้วยการเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์ ตั้งเป้าลดจํานวนผู้ป่วยเหลือ 88 ต่อประชากรแสนคนเมื่อสิ้นปี 2564 วันนี้ (21 สิงหาคม 2560) ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ติดตามการดําเนินงานควบคุมป้องกันวัณโรค ที่เรือนจํากลาง จ.นครราชสีมา และให้สัมภาษณ์ว่า วัณโรคเป็นปัญหาสาธารณสุขสําคัญของโลกและประเทศไทย แต่ละปีไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 120,000 คน เสียชีวิตกว่า 13,800 คน ที่สําคัญมีผู้ป่วย วัณโรคดื้อยาหลายขนานประมาณ 4,500 คน ซึ่งกลุ่มนี้ใช้งบประมาณในการรักษาสูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อคน ข้อจํากัดในการควบคุมโรคคือความสามารถในการค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ทําให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ดังนั้น เพื่อลดการป่วยและตายจากวัณโรค ได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ ปี 2560–2564 ตั้งเป้าลดจํานวนผู้ป่วยวัณโรคเหลือ 88 ต่อประชากรแสนคน เมื่อสิ้นปี 2564 จากปัจจุบันอยู่ที่ 171 ต่อประชากรแสนคน โดยนํากลยุทธ์องค์การอนามัยโลกมาปรับใช้ในการควบคุมโรค เน้นการค้นหาผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ต้องขังในเรือนจํา ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สัมผัสโรค เน้นเด็กเล็กในครอบครัวผู้ป่วย และปรับแนวทางการวินิจฉัยโรคให้มีความไวสูง คัดกรองโดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก ร่วมกับการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคในเสมหะ ดังนั้นมาตรการควบคุมวัณโรคที่สําคัญตามยุทธศาสตร์คือ 1.เร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยวัณโรคครอบคลุม 100 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มเสี่ยง และคัดกรอง ตรวจวินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงรวดเร็ว ให้เข้าถึงการรักษาและการดูแลที่เป็นมาตรฐาน 2.ลดอัตราตายในผู้ป่วยวัณโรคลง 50 เปอร์เซ็นต์ 3.เสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการ ด้านการป้องกันและควบคุมวัณโรค 4.ระดมทรัพยากรในการดําเนินงาน ป้องกัน ดูแลและควบคุมวัณโรค และ 5.เร่งรัดการศึกษาวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานด้านวัณโรค รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมสําหรับการพัฒนางานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของพื้นที่ ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจํา มุ่งเน้น “ค้นหาเร็ว รักษาเร็ว” ดําเนินการทั้งโรคเอดส์ วัณโรค และโรคระบาดตามฤดูกาล โดยคัดกรอง แยกผู้ป่วย และปรับปรุงห้องแยกโรค พัฒนาด้านสุขาภิบาล เฝ้าระวังคุณภาพน้ําดื่มน้ําใช้ ครอบคลุมในเรือนจําทั่วประเทศ โดยเฉพาะวัณโรค ได้เร่งรัดคัดกรองค้นหาวัณโรคเชิงรุกในเรือนจํา 143 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก หรือการเอ็กซเรย์ปอดครอบคลุมผู้ต้องขังทุกคน ผลการดําเนินงาน ขณะนี้มีผู้ต้องขัง 287,857 คน ได้รับการคัดกรองด้วยการเอ็กซเรย์แล้ว ร้อยละ 97 ผลการตรวจพบป่วยเป็นวัณโรค 912 คน ผลเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติสงสัยวัณโรค 15,773 คน คิดเป็นร้อยละ 5.8 และที่เป็นห่วงคือพบผู้ป่วยวัณโรคเชื้อดื้อยาถึง 14 คน สําหรับ จ.นครราชสีมา มีจํานวนผู้ต้องขังในเรือนจํา 6 แห่ง ได้แก่ เรือนจําบัวใหญ่ ทัณฑสถานอุตสาหกรรมเขาพริก เรือนจําคลองไผ่ เรือนจํากลางนครราชสีมา ทัณฑสถานหญิงและเรือนจําสีคิ้ว มีผู้ต้องขัง 11,379 คน ผลเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติสงสัยวัณโรค 486 คน โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษาอีก 57 คน ทั้งนี้ ภายหลังการคัดกรอง ได้กําหนดแนวทางการดูแลต่อเนื่อง 5 ข้อ ดังนี้ 1.ผู้ต้องขังที่วินิจฉัยเป็น “ผู้ป่วยวัณโรค” จะขึ้นทะเบียน รักษาที่โรงพยาบาลในอําเภอ/จังหวัดที่ตั้งของเรือนจํา 2. โรงพยาบาลจะรักษาและติดตามประเมินผลตามมาตรฐาน 3.พยาบาลเรือนจําประสานการดูแลรักษากับโรงพยาบาล 4.การส่งต่อการรักษา ทั้งกรณีย้ายที่คุมขังและกรณีพ้นโทษ ด้วยแบบฟอร์มมาตรฐานเหมือนผู้ป่วยวัณโรคทั่วไป และ 5.การป้องกันการแพร่เชื้อ โดยแยกผู้ป่วยระยะแพร่ พร้อมแนะนําวิธีการใช้หน้ากากอนามัยแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล เพื่อให้ผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไม่ว่าจะติดจากนอกหรือในเรือนจํา ได้รับการดูแลและตรวจรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ และผู้ต้องขังอื่นๆปลอดภัยจากวัณโรคช่วยยุติปัญหาวัณโรคในเรือนจํา ขอแนะนําให้ประชาชนสังเกตอาการเจ็บป่วย หากไอเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ มีไข้ต่ําๆ ในช่วงบ่าย เบื่ออาหาร น้ําหนักตัวลด ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้เร็วที่สุด เพราะวัณโรค หากพบเร็ว โอกาสรักษาหายสูงและไม่แพร่กระจายเชื้อ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ​ **************************** 21 สิงหาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปรับระบบควบคุมวัณโรค เน้นเชิงรุกค้นหาในกลุ่มเสี่ยงและเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 สธ.ปรับระบบควบคุมวัณโรค เน้นเชิงรุกค้นหาในกลุ่มเสี่ยงและเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงสาธารณสุข ปรับแนวทางควบคุมวัณโรคของประเทศ เน้นเชิงรุกออกค้นหาผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงสูง อาทิ ผู้ต้องขัง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สัมผัสโรค และปรับแนวทางการวินิจฉัยโรคคัดกรองด้วยการเอ็กซ์เรย์ปอด 100 เปอร์เซ็นต์ ตั้งเป้าลดจํานวนผู้ป่วยเหลือ 88 ต่อประชากรแสนคนเมื่อสิ้นปี 2564 วันนี้ (21 สิงหาคม 2560) ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ติดตามการดําเนินงานควบคุมป้องกันวัณโรค ที่เรือนจํากลาง จ.นครราชสีมา และให้สัมภาษณ์ว่า วัณโรคเป็นปัญหาสาธารณสุขสําคัญของโลกและประเทศไทย แต่ละปีไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 120,000 คน เสียชีวิตกว่า 13,800 คน ที่สําคัญมีผู้ป่วย วัณโรคดื้อยาหลายขนานประมาณ 4,500 คน ซึ่งกลุ่มนี้ใช้งบประมาณในการรักษาสูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อคน ข้อจํากัดในการควบคุมโรคคือความสามารถในการค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ทําให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการเพียงร้อยละ 60 เท่านั้น ดังนั้น เพื่อลดการป่วยและตายจากวัณโรค ได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์วัณโรคระดับชาติ ปี 2560–2564 ตั้งเป้าลดจํานวนผู้ป่วยวัณโรคเหลือ 88 ต่อประชากรแสนคน เมื่อสิ้นปี 2564 จากปัจจุบันอยู่ที่ 171 ต่อประชากรแสนคน โดยนํากลยุทธ์องค์การอนามัยโลกมาปรับใช้ในการควบคุมโรค เน้นการค้นหาผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ต้องขังในเรือนจํา ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้สัมผัสโรค เน้นเด็กเล็กในครอบครัวผู้ป่วย และปรับแนวทางการวินิจฉัยโรคให้มีความไวสูง คัดกรองโดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก ร่วมกับการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อวัณโรคในเสมหะ ดังนั้นมาตรการควบคุมวัณโรคที่สําคัญตามยุทธศาสตร์คือ 1.เร่งรัดการค้นหาผู้ป่วยวัณโรคครอบคลุม 100 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มเสี่ยง และคัดกรอง ตรวจวินิจฉัยกลุ่มเสี่ยงรวดเร็ว ให้เข้าถึงการรักษาและการดูแลที่เป็นมาตรฐาน 2.ลดอัตราตายในผู้ป่วยวัณโรคลง 50 เปอร์เซ็นต์ 3.เสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการ ด้านการป้องกันและควบคุมวัณโรค 4.ระดมทรัพยากรในการดําเนินงาน ป้องกัน ดูแลและควบคุมวัณโรค และ 5.เร่งรัดการศึกษาวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานด้านวัณโรค รวมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมสําหรับการพัฒนางานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของพื้นที่ ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้ต้องขังในเรือนจํา มุ่งเน้น “ค้นหาเร็ว รักษาเร็ว” ดําเนินการทั้งโรคเอดส์ วัณโรค และโรคระบาดตามฤดูกาล โดยคัดกรอง แยกผู้ป่วย และปรับปรุงห้องแยกโรค พัฒนาด้านสุขาภิบาล เฝ้าระวังคุณภาพน้ําดื่มน้ําใช้ ครอบคลุมในเรือนจําทั่วประเทศ โดยเฉพาะวัณโรค ได้เร่งรัดคัดกรองค้นหาวัณโรคเชิงรุกในเรือนจํา 143 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก หรือการเอ็กซเรย์ปอดครอบคลุมผู้ต้องขังทุกคน ผลการดําเนินงาน ขณะนี้มีผู้ต้องขัง 287,857 คน ได้รับการคัดกรองด้วยการเอ็กซเรย์แล้ว ร้อยละ 97 ผลการตรวจพบป่วยเป็นวัณโรค 912 คน ผลเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติสงสัยวัณโรค 15,773 คน คิดเป็นร้อยละ 5.8 และที่เป็นห่วงคือพบผู้ป่วยวัณโรคเชื้อดื้อยาถึง 14 คน สําหรับ จ.นครราชสีมา มีจํานวนผู้ต้องขังในเรือนจํา 6 แห่ง ได้แก่ เรือนจําบัวใหญ่ ทัณฑสถานอุตสาหกรรมเขาพริก เรือนจําคลองไผ่ เรือนจํากลางนครราชสีมา ทัณฑสถานหญิงและเรือนจําสีคิ้ว มีผู้ต้องขัง 11,379 คน ผลเอ็กซเรย์ปอดผิดปกติสงสัยวัณโรค 486 คน โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษาอีก 57 คน ทั้งนี้ ภายหลังการคัดกรอง ได้กําหนดแนวทางการดูแลต่อเนื่อง 5 ข้อ ดังนี้ 1.ผู้ต้องขังที่วินิจฉัยเป็น “ผู้ป่วยวัณโรค” จะขึ้นทะเบียน รักษาที่โรงพยาบาลในอําเภอ/จังหวัดที่ตั้งของเรือนจํา 2. โรงพยาบาลจะรักษาและติดตามประเมินผลตามมาตรฐาน 3.พยาบาลเรือนจําประสานการดูแลรักษากับโรงพยาบาล 4.การส่งต่อการรักษา ทั้งกรณีย้ายที่คุมขังและกรณีพ้นโทษ ด้วยแบบฟอร์มมาตรฐานเหมือนผู้ป่วยวัณโรคทั่วไป และ 5.การป้องกันการแพร่เชื้อ โดยแยกผู้ป่วยระยะแพร่ พร้อมแนะนําวิธีการใช้หน้ากากอนามัยแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล เพื่อให้ผู้ต้องขังที่ติดเชื้อไม่ว่าจะติดจากนอกหรือในเรือนจํา ได้รับการดูแลและตรวจรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ และผู้ต้องขังอื่นๆปลอดภัยจากวัณโรคช่วยยุติปัญหาวัณโรคในเรือนจํา ขอแนะนําให้ประชาชนสังเกตอาการเจ็บป่วย หากไอเรื้อรังนานเกิน 2 สัปดาห์ มีไข้ต่ําๆ ในช่วงบ่าย เบื่ออาหาร น้ําหนักตัวลด ขอให้รีบพาไปพบแพทย์ในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้เร็วที่สุด เพราะวัณโรค หากพบเร็ว โอกาสรักษาหายสูงและไม่แพร่กระจายเชื้อ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 ​ **************************** 21 สิงหาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกกฎกระทรวงด้านการศึกษาคุ้มครองแม่วัยใส
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รัฐบาลออกกฎกระทรวงด้านการศึกษาคุ้มครองแม่วัยใส เพื่อให้แม่วัยใส ยังมีโอกาสทางการศึกษา สร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเองและลูกน้อยได้ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองนักเรียนนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน โดยกําหนดให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นให้แก่ผู้ที่ตั้งครรภ์ให้สามารถเรียนจนจบหลักสูตรได้ โดยหากจําเป็นต้องหยุดพักการเรียนเพื่อคลอดและดูแลบุตรหลังคลอดนั้นให้นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้สามารถกลับไปเรียนต่อได้ โดยสถานศึกษาจะต้องรักษาสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เรียน นอกจากนี้ สถานศึกษาทุกระดับจะต้องจัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงวัย รวมทั้งผลิตบุคลากรครูที่มีความรู้ในการสอนเรื่องเพศศึกษาและมีทักษะในการให้คําปรึกษาให้มากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนนักศึกษาสามารถป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควรได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลออกกฎกระทรวงด้านการศึกษาคุ้มครองแม่วัยใส วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รัฐบาลออกกฎกระทรวงด้านการศึกษาคุ้มครองแม่วัยใส เพื่อให้แม่วัยใส ยังมีโอกาสทางการศึกษา สร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเองและลูกน้อยได้ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลปรับปรุงกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองนักเรียนนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียน โดยกําหนดให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่นให้แก่ผู้ที่ตั้งครรภ์ให้สามารถเรียนจนจบหลักสูตรได้ โดยหากจําเป็นต้องหยุดพักการเรียนเพื่อคลอดและดูแลบุตรหลังคลอดนั้นให้นักเรียนนักศึกษาเหล่านี้สามารถกลับไปเรียนต่อได้ โดยสถานศึกษาจะต้องรักษาสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เรียน นอกจากนี้ สถานศึกษาทุกระดับจะต้องจัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงวัย รวมทั้งผลิตบุคลากรครูที่มีความรู้ในการสอนเรื่องเพศศึกษาและมีทักษะในการให้คําปรึกษาให้มากขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้นักเรียนนักศึกษาสามารถป้องกันตนเองจากการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควรได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่าง depa กับ ปณท
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่าง depa กับ ปณท รมว.ดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่างสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) สองหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยความร่วมมือฯ ดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาพัฒนาชุมชนให้มีขีดความสามารถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กรในชุมชน รวมถึงการเชื่อมโยงการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของกลุ่มองค์กรในชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาบุคลากร และผู้ประกอบการในชุมชนกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านการบริหารจัดการองค์กร การพัฒนาช่องทางการจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน รวมถึงการเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ตลอดจนเพิ่มโอกาสให้ชุมชนสามารถเข้าถึงนโยบายในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เสริมสร้างศักยภาพเชิงพาณิชย์ให้กับชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพของชุมชน อาทิ การเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเข้าถึงตลาดดิจิทัล ผ่านระบบนิเวศน์ด้านดิจิทัลที่ภาครัฐให้การสนับสนุน เป็นต้น *******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่าง depa กับ ปณท วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่าง depa กับ ปณท รมว.ดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ระหว่างสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) สองหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยความร่วมมือฯ ดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาพัฒนาชุมชนให้มีขีดความสามารถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กรในชุมชน รวมถึงการเชื่อมโยงการเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของกลุ่มองค์กรในชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นการพัฒนาบุคลากร และผู้ประกอบการในชุมชนกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านการบริหารจัดการองค์กร การพัฒนาช่องทางการจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน รวมถึงการเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ตลอดจนเพิ่มโอกาสให้ชุมชนสามารถเข้าถึงนโยบายในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เสริมสร้างศักยภาพเชิงพาณิชย์ให้กับชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยการยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพของชุมชน อาทิ การเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเข้าถึงตลาดดิจิทัล ผ่านระบบนิเวศน์ด้านดิจิทัลที่ภาครัฐให้การสนับสนุน เป็นต้น *******************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15585
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสำเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสําเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสําเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า วันนี้ (20 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยใหม่ 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,034 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 37 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,888 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงที่ 56 ราย มีผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 90 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 1 รายอยู่ในโรงแรมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ทําให้ตัวเลขของผู้ป่วยกรุงเทพฯ ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้รวมเป็น 17 ราย ผู้ป่วยรายนี้เป็นเพศชาย อายุ 45 ปี อาชีพเชฟร้านอาหารไทย เดินทางกลับจากประเทศบาห์เรน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 เข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ในกรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ขณะนี้ไม่มีอาการ สําหรับสถิติสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานกักกันโรคของรัฐที่ส่วนกลางและส่วนจังหวัดพบว่า มีผู้ที่เดินทางจากประเทศบาห์เรน 238 คน เดิมมีการรายงานผู้ติดเชื้อ 1 ราย วันนี้เพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 2 ราย สถิติของผู้ป่วยยืนยันที่เดินทางมาจากประเทศต่าง ๆ อันดับที่ 1 คือ อินโดนีเซีย รองลงมาเป็นปากีสถาน คาซัคสถาน มาเลเซีย ยูเออี ตามลําดับ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 63 ประเทศไทยตรวจแล้วกว่า 328,073 ตัวอย่าง และจํานวนห้องปฏิบัติการที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รับรอง ข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 63 มีถึง 167 แห่งทั่วประเทศ โดยไทยมีการตรวจ 4,926 รายต่อ 1 ล้านประชากร มากกว่าเวียดนาม ญี่ปุ่นตรวจ 1,902 รายต่อ 1 ล้านประชากร ขณะที่อิตาลี สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ก็มีจํานวนตรวจที่สูงกว่า โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการของไทย พบร้อยละ 0.92 หรือประมาณเกือบ 1 คนต่อ 100 คน ขณะที่อิตาลี ตรวจพบร้อยละ 7.63 ซึ่งตัวเลขน้อยจะดีกว่าตัวเลขมาก เพราะแสดงถึงความสามารถในการนํากลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสติดเชื้อเข้ามาตรวจได้มากกว่า มีกลุ่มที่ตรวจสอบได้กว้าง และเป็นตัวเลขที่ดีกว่าสิงคโปร์ที่ตรวจพบร้อยละ 11.39 ทั
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสำเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสําเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า โฆษก ศบค.เผยคนไทยแชมป์ใส่หน้ากาก และล้างมือในอาเซียน ขณะที่วัคซีนที่คนไทยพัฒนาคาดจะได้ใช้ปีหน้า ประสบความสําเร็จขั้นทดสอบในหนู และเตรียมใช้กับลิงในสัปดาห์หน้า วันนี้ (20 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย มีผู้ป่วยใหม่ 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,034 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 37 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,888 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยังคงที่ 56 ราย มีผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 90 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ 1 รายอยู่ในโรงแรมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ทําให้ตัวเลขของผู้ป่วยกรุงเทพฯ ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้รวมเป็น 17 ราย ผู้ป่วยรายนี้เป็นเพศชาย อายุ 45 ปี อาชีพเชฟร้านอาหารไทย เดินทางกลับจากประเทศบาห์เรน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 63 เข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ในกรุงเทพฯ ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 พฤษภาคม 63 ขณะนี้ไม่มีอาการ สําหรับสถิติสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนา 2019 ในสถานกักกันโรคของรัฐที่ส่วนกลางและส่วนจังหวัดพบว่า มีผู้ที่เดินทางจากประเทศบาห์เรน 238 คน เดิมมีการรายงานผู้ติดเชื้อ 1 ราย วันนี้เพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 2 ราย สถิติของผู้ป่วยยืนยันที่เดินทางมาจากประเทศต่าง ๆ อันดับที่ 1 คือ อินโดนีเซีย รองลงมาเป็นปากีสถาน คาซัคสถาน มาเลเซีย ยูเออี ตามลําดับ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ข้อมูล ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 63 ประเทศไทยตรวจแล้วกว่า 328,073 ตัวอย่าง และจํานวนห้องปฏิบัติการที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รับรอง ข้อมูล ณ วันที่ 17 พฤษภาคม 63 มีถึง 167 แห่งทั่วประเทศ โดยไทยมีการตรวจ 4,926 รายต่อ 1 ล้านประชากร มากกว่าเวียดนาม ญี่ปุ่นตรวจ 1,902 รายต่อ 1 ล้านประชากร ขณะที่อิตาลี สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ก็มีจํานวนตรวจที่สูงกว่า โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการของไทย พบร้อยละ 0.92 หรือประมาณเกือบ 1 คนต่อ 100 คน ขณะที่อิตาลี ตรวจพบร้อยละ 7.63 ซึ่งตัวเลขน้อยจะดีกว่าตัวเลขมาก เพราะแสดงถึงความสามารถในการนํากลุ่มคนที่ไม่มีโอกาสติดเชื้อเข้ามาตรวจได้มากกว่า มีกลุ่มที่ตรวจสอบได้กว้าง และเป็นตัวเลขที่ดีกว่าสิงคโปร์ที่ตรวจพบร้อยละ 11.39 ทั
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ำใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทำฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ำแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2560 รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ําใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทําฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ําแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ําใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทําฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ําแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า วันนี้ (12 มีนาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัว รัฐบาลจึงขอให้ความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนว่าจะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ํา โดยวางแผนบริหารจัดการน้ําอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ตั้งแต่ฤดูแล้งจนถึงฤดูฝนปีที่ผ่านมา ทําให้ปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 34 แห่ง อยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีน้ําใช้การได้ในปีนี้ 21,019 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปีที่แล้ว 7,984 ล้าน ลบ.ม. “ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เปิดปฏิบัติการฝนหลวงประจําปี ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. แบ่งการทํางานเป็น 2 ช่วง คือ เดือนมี.ค. – พ.ค.60 เน้นบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือ เพิ่มปริมาณน้ําในเขื่อน เช่น เขื่อนลําตระคอง เขื่อนลําพระเพลิง และบรรเทาปัญหาน้ําแล้งในพื้นที่การเกษตรบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณเหนือเขื่อน ส่วนเดือนมิ.ย. - ต.ค. 60 เน้นเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนที่มีน้ําน้อย และ พื้นที่การเกษตรที่ฝนทิ้งช่วง โดยได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ 5 ภูมิภาค ครอบคลุมทั่วประเทศ ได้แก่ จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี บุรีรัมย์ อุดรธานี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มพบว่าเกษตรกรเริ่มปลูกข้าวนาปรังในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งมากกว่าแผนที่วางไว้ จึงขอความร่วมมือพี่น้องเกษตรกรใช้น้ําอย่างเหมาะสมหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อย แต่ได้ผลผลิตดีและสร้างรายได้มากกว่า ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองก็จําเป็นต้องใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าเช่นกัน “ท่านนายกฯ กําชับให้กระทรวงเกษตรฯ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่สร้างความเข้าใจกับเกษตรกร โดยคาดว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีปริมาณน้ําในเขื่อนใหญ่จนถึงช่วงเดือน พ.ค. มากกว่าแผนที่วางไว้ราว 700 ล้าน ลบ.ม. พร้อมทั้งดําเนินการตามแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 อย่างรอบคอบ ทั้ง 6 มาตรการ 29 โครงการ เช่น พัฒนาอาชีพเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ปลูกพืชปุ๋ยสด ขุดลอกปรับปรุงแหล่งน้ํา สํารองเมล็ดพันธุ์พืชไร่ ฯลฯ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ำใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทำฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ำแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม 2560 รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ําใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทําฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ําแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า รัฐบาลมั่นใจปริมาณน้ําใช้การได้มากกว่าปีที่แล้ว พร้อมบริหารจัดการอย่างรอบคอบควบคู่ทําฝนหลวงป้องกันวิกฤตน้ําแล้ง เร่งเดินหน้า 6 มาตรการ 29 โครงการ วอนเกษตรกรและคนเมืองใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า วันนี้ (12 มีนาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัว รัฐบาลจึงขอให้ความมั่นใจแก่พี่น้องประชาชนว่าจะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ํา โดยวางแผนบริหารจัดการน้ําอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ตั้งแต่ฤดูแล้งจนถึงฤดูฝนปีที่ผ่านมา ทําให้ปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ 34 แห่ง อยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีน้ําใช้การได้ในปีนี้ 21,019 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าปีที่แล้ว 7,984 ล้าน ลบ.ม. “ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เปิดปฏิบัติการฝนหลวงประจําปี ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. แบ่งการทํางานเป็น 2 ช่วง คือ เดือนมี.ค. – พ.ค.60 เน้นบรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือ เพิ่มปริมาณน้ําในเขื่อน เช่น เขื่อนลําตระคอง เขื่อนลําพระเพลิง และบรรเทาปัญหาน้ําแล้งในพื้นที่การเกษตรบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณเหนือเขื่อน ส่วนเดือนมิ.ย. - ต.ค. 60 เน้นเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนที่มีน้ําน้อย และ พื้นที่การเกษตรที่ฝนทิ้งช่วง โดยได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการ 5 ภูมิภาค ครอบคลุมทั่วประเทศ ได้แก่ จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลพบุรี บุรีรัมย์ อุดรธานี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มพบว่าเกษตรกรเริ่มปลูกข้าวนาปรังในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งมากกว่าแผนที่วางไว้ จึงขอความร่วมมือพี่น้องเกษตรกรใช้น้ําอย่างเหมาะสมหรือปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อย แต่ได้ผลผลิตดีและสร้างรายได้มากกว่า ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองก็จําเป็นต้องใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าเช่นกัน “ท่านนายกฯ กําชับให้กระทรวงเกษตรฯ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่สร้างความเข้าใจกับเกษตรกร โดยคาดว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกันใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีปริมาณน้ําในเขื่อนใหญ่จนถึงช่วงเดือน พ.ค. มากกว่าแผนที่วางไว้ราว 700 ล้าน ลบ.ม. พร้อมทั้งดําเนินการตามแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 อย่างรอบคอบ ทั้ง 6 มาตรการ 29 โครงการ เช่น พัฒนาอาชีพเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสาน ปลูกพืชปุ๋ยสด ขุดลอกปรับปรุงแหล่งน้ํา สํารองเมล็ดพันธุ์พืชไร่ ฯลฯ”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017”
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีประกาศผลและมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017” ซึ่งสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดขึ้น โดยเป็นรางวัลแห่งความเป็นเลิศทางด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ไทยในการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขององค์กรในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้ซอฟแวร์ไทยในการบริหารจัดการภายในองค์กรต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารและองค์กรต่างๆ ที่ได้รับรางวัลในแต่ละประเภท จะต้องผ่านการคัดสรร โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรชั้นนําระดับประเทศ และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชนทั่วไป ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ***************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017” วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีประกาศผลและมอบรางวัล “THAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 2017” ซึ่งสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดขึ้น โดยเป็นรางวัลแห่งความเป็นเลิศทางด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ไทยในการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารขององค์กรในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้ซอฟแวร์ไทยในการบริหารจัดการภายในองค์กรต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารและองค์กรต่างๆ ที่ได้รับรางวัลในแต่ละประเภท จะต้องผ่านการคัดสรร โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรชั้นนําระดับประเทศ และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชนทั่วไป ณ ห้องคริสตัลฮอลล์ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี รอยัล เมอริเดียน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ***************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2848
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.พล.อ. ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 รองนรม.พล.อ. ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร คณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณฯเห็นชอบแผนการดําเนินการใช้จ่ายงบประมาณปี 62 มุ่งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จําเป็นอย่างมีคุณภาพ วันนี้ ( 17 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 คณะที่ 5องค์ประกอบที่ 5.2 การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ ครั้งที่ 2 /2561 โดยมีคณะกรรมการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแผนการดําเนินงานการใช้จ่ายงบประมาณและการกํากับติดตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ ประจําปีงบประมาณ 2562 โดยมีเป้าหมายสําคัญคือประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จําเป็นอย่างมีคุณภาพ ภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกัน โดยมุ่งเป้าหมายลดความแตกต่างอัตราการใช้บริการผู้ป่วยในของผู้มีสิทธิแต่ละระบบ ไม่เกินร้อยละ 2.58 ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในปี 2561 เช่น ช้า รอนาน ไม่แน่ใจคุณภาพยา และสิทธิสวัสดิการไม่ครอบคลุม เป็นต้น รวมถึงความสําเร็จของการบูรณาการระบบการบริหารจัดการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันระหว่างระบบประกันสุขภาพภาครัฐ, ร้อยละของประชาชนมีหลักประกันสุขภาพ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 99.95 และร้อยละผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 24 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ดําเนินการผ่าน 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคกัน, โครงการพัฒนาเพื่อสร้างความเป็นธรรม ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนด้านการเงินการคลังในระบบประกันสุขภาพ, โครงการพัฒนาเพื่อสร้างความกลมกลืนของการบริหารจัดการระบบประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบ, โครงการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสําหรับกลุ่มเป้าหมายตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และโครงการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน สําหรับในปีงบประมาณ 2562 ภาพรวมงบประมาณด้านสุขภาพของ 7 หน่วยงานในระบบสุขภาพทั้งหมด ประกอบด้วยสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง สํานักปลัดกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน และสถาบัน รับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) อยู่ที่ 223,933.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จํานวน 16,836.49 หรือร้อยละ 8.13 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ ปีงบประมาณ 2561 โดยผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2561 ของทั้ง 5 กองทุนสุขภาพ ทั้งสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ภาพรวมการเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 99.37 มีการเบิกจ่ายแล้วจํานวน 205,783.21 ล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมดจํานวน 207,096.60 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 61) ซึ่งผลดําเนินการตามตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายของการบูรณาการ นอกจากจํานวนครัวเรือนที่ยากจนหลังการจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพ (กรมบัญชีกลาง สปส.และ สปสช.) มีความคืบหน้าไปมาก ทั้งระบบการจ่ายค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินโดยใช้การจ่ายตามรายการที่กําหนด (Fee schedule)ร่วมกัน การบริการสาธารณสุขด้านการแพทย์แผนไทย การตรวจสอบคุณภาพบริการและจ่ายชดเชยที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน อาทิ การจัดทําคู่มือแผนดําเนินงานและการอบรมผู้ตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานเดียว การตรวจสอบคุณภาพการรักษาฯ ร่วมในโรคสําคัญ 179,919 ฉบับ การเชื่อมโยงระบบสารสนเทศเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมในทุกสิทธิ โดยจัดทําฐานทะเบียนกลางสวัสดิการหน่วยงานรัฐร่วมกันเพื่อลดความซ้ําซ้อนสิทธิ และการจัดทําระบบข้อมูลธุรกรรมการเบิกจ่ายและข้อมูลด้านสาธารณสุขการบริการข้อมูลร่วม 3 กองทุน ทั้งข้อมูลบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต บําบัดทดแทนไต และการป้องกันและรักษาเอดส์ เป็นต้น โดยให้ทุกหน่วยงานร่วมเน้นบูรณการลดความแตกต่างอัตราการใช้บริการผู้ป่วยในแต่ละระบบ ทั้งการกระจายความแออัดผู้ป่วย สร้างความเข้มแข็งให้กับโรงพยาบาลระดับท้องถิ่น และสร้างความมั่นใจคุณภาพการรักษา พร้อมขอให้ร่วมวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างครบถ้วน ให้รักษางบประมาณในระดับนี้ไว้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ลดความซ้ําซ้อนและใช้ยาที่จําเป็น เป็นต้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ นอกจากนี้ขอฝากให้ช่วยกันดูแลกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิ เช่นพระภิกษุสงฆ์ที่ กลุ่มผู้ต้องขัง ผู้พิการ และผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เพื่อนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเท่าเทียมในระบบสุขภาพ ................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.พล.อ. ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 รองนรม.พล.อ. ฉัตรชัย ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร คณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณฯเห็นชอบแผนการดําเนินการใช้จ่ายงบประมาณปี 62 มุ่งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จําเป็นอย่างมีคุณภาพ วันนี้ ( 17 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการจัดทํางบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 คณะที่ 5องค์ประกอบที่ 5.2 การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ ครั้งที่ 2 /2561 โดยมีคณะกรรมการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแผนการดําเนินงานการใช้จ่ายงบประมาณและการกํากับติดตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ ประจําปีงบประมาณ 2562 โดยมีเป้าหมายสําคัญคือประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จําเป็นอย่างมีคุณภาพ ภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบที่มีความสอดคล้องกลมกลืนกัน โดยมุ่งเป้าหมายลดความแตกต่างอัตราการใช้บริการผู้ป่วยในของผู้มีสิทธิแต่ละระบบ ไม่เกินร้อยละ 2.58 ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในปี 2561 เช่น ช้า รอนาน ไม่แน่ใจคุณภาพยา และสิทธิสวัสดิการไม่ครอบคลุม เป็นต้น รวมถึงความสําเร็จของการบูรณาการระบบการบริหารจัดการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันระหว่างระบบประกันสุขภาพภาครัฐ, ร้อยละของประชาชนมีหลักประกันสุขภาพ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 99.95 และร้อยละผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่มาด้วยระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 24 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ดําเนินการผ่าน 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคกัน, โครงการพัฒนาเพื่อสร้างความเป็นธรรม ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนด้านการเงินการคลังในระบบประกันสุขภาพ, โครงการพัฒนาเพื่อสร้างความกลมกลืนของการบริหารจัดการระบบประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบ, โครงการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขสําหรับกลุ่มเป้าหมายตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และโครงการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน สําหรับในปีงบประมาณ 2562 ภาพรวมงบประมาณด้านสุขภาพของ 7 หน่วยงานในระบบสุขภาพทั้งหมด ประกอบด้วยสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง สํานักปลัดกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน และสถาบัน รับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) อยู่ที่ 223,933.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 จํานวน 16,836.49 หรือร้อยละ 8.13 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานตามแผนบูรณาการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ ปีงบประมาณ 2561 โดยผลการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2561 ของทั้ง 5 กองทุนสุขภาพ ทั้งสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ และบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ภาพรวมการเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 99.37 มีการเบิกจ่ายแล้วจํานวน 205,783.21 ล้านบาท จากงบประมาณทั้งหมดจํานวน 207,096.60 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 61) ซึ่งผลดําเนินการตามตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายของการบูรณาการ นอกจากจํานวนครัวเรือนที่ยากจนหลังการจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพ (กรมบัญชีกลาง สปส.และ สปสช.) มีความคืบหน้าไปมาก ทั้งระบบการจ่ายค่าบริการการแพทย์ฉุกเฉินโดยใช้การจ่ายตามรายการที่กําหนด (Fee schedule)ร่วมกัน การบริการสาธารณสุขด้านการแพทย์แผนไทย การตรวจสอบคุณภาพบริการและจ่ายชดเชยที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน อาทิ การจัดทําคู่มือแผนดําเนินงานและการอบรมผู้ตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานเดียว การตรวจสอบคุณภาพการรักษาฯ ร่วมในโรคสําคัญ 179,919 ฉบับ การเชื่อมโยงระบบสารสนเทศเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมในทุกสิทธิ โดยจัดทําฐานทะเบียนกลางสวัสดิการหน่วยงานรัฐร่วมกันเพื่อลดความซ้ําซ้อนสิทธิ และการจัดทําระบบข้อมูลธุรกรรมการเบิกจ่ายและข้อมูลด้านสาธารณสุขการบริการข้อมูลร่วม 3 กองทุน ทั้งข้อมูลบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต บําบัดทดแทนไต และการป้องกันและรักษาเอดส์ เป็นต้น โดยให้ทุกหน่วยงานร่วมเน้นบูรณการลดความแตกต่างอัตราการใช้บริการผู้ป่วยในแต่ละระบบ ทั้งการกระจายความแออัดผู้ป่วย สร้างความเข้มแข็งให้กับโรงพยาบาลระดับท้องถิ่น และสร้างความมั่นใจคุณภาพการรักษา พร้อมขอให้ร่วมวางแผนการใช้จ่ายงบประมาณอย่างครบถ้วน ให้รักษางบประมาณในระดับนี้ไว้ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร ลดความซ้ําซ้อนและใช้ยาที่จําเป็น เป็นต้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ20 ปี และแผนปฏิรูปประเทศ นอกจากนี้ขอฝากให้ช่วยกันดูแลกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิ เช่นพระภิกษุสงฆ์ที่ กลุ่มผู้ต้องขัง ผู้พิการ และผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เพื่อนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเท่าเทียมในระบบสุขภาพ ................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14681
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ.2563 [กระทรวงแรงงาน]
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ.2563 [กระทรวงแรงงาน] ประกาศ ณ วันที่ 9 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ.2563 [กระทรวงแรงงาน] วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563 ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนําส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน พ.ศ.2563 [กระทรวงแรงงาน] ประกาศ ณ วันที่ 9 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (24 ก.พ. 60) เวลา 10.30 น. นายภวันต สิงห์ พิศโนอี (Mr. Bhagwant Singh Bishnoi) เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ออท.อินเดีย แสดงความยินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลอินเดียรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้รับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล Padma Bhushan Award แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสวันสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งทรงเป็นชาวต่างชาติพระองค์เดียวที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน และยินดีที่ปีนี้เป็นปีครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งหน่วยงานทั้งสองฝ่าย อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย จะร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองทั้งในไทยและอินเดีย ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีหวังว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะสามารถเยือนไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ ตามคําเชิญของนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมฉลองโอกาสสําคัญดังกล่าวด้วย ออท.อินเดีย กล่าวว่าตามที่มีโครงการถนนสามฝ่ายไทย-เมียนมา-อินเดีย เพื่อพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่ง ส่งเสริมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันนั้น ปัจจุบันฝ่ายไทยอนุญาตให้เดินรถเส้นทางแม่สอด-ตาก-สุโขทัย-พิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ออท. อินเดียประสงค์ให้ไทยขยายเส้นทางลงมายังกรุงเทพฯ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีรับจะนําประเด็นดังกล่าวไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป โอกาสนี้ ออท. อินเดียยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาที่โรงงาน บริษัทไทยเรยอน (Thai Rayon) จังหวัดอ่างทองถูกร้องเรียนเรื่องปัญหามลพิษแต่ปัจจุบันโรงงานฯ ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการติดตั้งระบบป้องกันมลพิษแล้ว ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีจะแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบ และติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนแก่นักธุรกิจไทยและอินเดีย อาทิ การเพิ่มจํานวนเที่ยวบินระหว่างกัน การอํานวยความสะดวกในการตรวจลงตราแก่นักธุรกิจไทยและอินเดีย เป็นต้น ************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (24 ก.พ. 60) เวลา 10.30 น. นายภวันต สิงห์ พิศโนอี (Mr. Bhagwant Singh Bishnoi) เอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ออท.อินเดีย แสดงความยินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลอินเดียรู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้รับเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ของไทยมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล Padma Bhushan Award แด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสวันสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งทรงเป็นชาวต่างชาติพระองค์เดียวที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน และยินดีที่ปีนี้เป็นปีครบรอบ 70 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งหน่วยงานทั้งสองฝ่าย อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย จะร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองทั้งในไทยและอินเดีย ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีหวังว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะสามารถเยือนไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ ตามคําเชิญของนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมฉลองโอกาสสําคัญดังกล่าวด้วย ออท.อินเดีย กล่าวว่าตามที่มีโครงการถนนสามฝ่ายไทย-เมียนมา-อินเดีย เพื่อพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่ง ส่งเสริมการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกันนั้น ปัจจุบันฝ่ายไทยอนุญาตให้เดินรถเส้นทางแม่สอด-ตาก-สุโขทัย-พิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ออท. อินเดียประสงค์ให้ไทยขยายเส้นทางลงมายังกรุงเทพฯ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีรับจะนําประเด็นดังกล่าวไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป โอกาสนี้ ออท. อินเดียยังได้ชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาที่โรงงาน บริษัทไทยเรยอน (Thai Rayon) จังหวัดอ่างทองถูกร้องเรียนเรื่องปัญหามลพิษแต่ปัจจุบันโรงงานฯ ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการติดตั้งระบบป้องกันมลพิษแล้ว ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีจะแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบ และติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุนแก่นักธุรกิจไทยและอินเดีย อาทิ การเพิ่มจํานวนเที่ยวบินระหว่างกัน การอํานวยความสะดวกในการตรวจลงตราแก่นักธุรกิจไทยและอินเดีย เป็นต้น ************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เป็นมูลค่ากว่า 504,000 บาท นําไปสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐอย่างยั่ง วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) เวลา 08.40 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมคณะมาพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเดินทางไปติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 ณ หอประชุม 60 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ทั้งนี้ คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐจังหวัดร้อยเอ็ด (คสป.) และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีร้อยเอ็ด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มแปรรูปถั่วป่านทองตามกระบวนการขับเคลื่อนสานพลังประชารัฐ 5 กระบวนการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงปัจจัยการผลิต มีการส่งเสริมพื้นที่ปลูกถั่วไทนาน 9 ประมาณ 1,500 ไร่ 2. การสร้างองค์ความรู้ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดและสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมให้คําปรึกษาในการทอดถั่วและการเก็บรักษาให้ได้นาน 3. การตลาด ได้มีการส่งเสริมช่องทางการตลาดจําหน่ายที่ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ สาขาร้อยเอ็ด ศูนย์การค้าบิ๊กซี สาขาร้อยเอ็ด และ ร้าน OTOP เทรดเดอร์ร้อยเอ็ด 4. การสื่อสาร สร้างการรับรู้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักจังหวัดร้อยเอ็ด จากถั่วขึ้นเครื่องการบินไทย และเป็นของที่ระลึก และ 5. การบริหารจัดการ ได้มีการจัดทําแผนธุรกิจในการบริหารจัดการกลุ่ม โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ปัจจุบัน กลุ่มเกษตรกรแปรรูปถั่วป่านทองได้ทําสัญญากับบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 โดยส่งมอบถั่วป่านทองทั้งสิ้น 112,000 ถุง เป็นมูลค่ากว่า 504,000 บาท นําไปสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปอย่างยั่งยืนต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมผลงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรแปรรูปถั่วป่านทองจนสามารถได้รับการยอมรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นไปบริการแก่ผู้โดยสารเครื่องบินของสายการบินไทย ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ........................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นำคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เป็นมูลค่ากว่า 504,000 บาท นําไปสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐอย่างยั่ง วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) เวลา 08.40 น. ณ บริเวณโถงชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมคณะมาพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อจัดแสดงนิทรรศการผลการพัฒนา และจัดพิธีส่งมอบถั่วป่านทองให้กับ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งเดินทางไปติดตามการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 ณ หอประชุม 60 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ทั้งนี้ คณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐจังหวัดร้อยเอ็ด (คสป.) และบริษัทประชารัฐรักสามัคคีร้อยเอ็ด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จํากัด ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มแปรรูปถั่วป่านทองตามกระบวนการขับเคลื่อนสานพลังประชารัฐ 5 กระบวนการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงปัจจัยการผลิต มีการส่งเสริมพื้นที่ปลูกถั่วไทนาน 9 ประมาณ 1,500 ไร่ 2. การสร้างองค์ความรู้ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดและสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมให้คําปรึกษาในการทอดถั่วและการเก็บรักษาให้ได้นาน 3. การตลาด ได้มีการส่งเสริมช่องทางการตลาดจําหน่ายที่ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ สาขาร้อยเอ็ด ศูนย์การค้าบิ๊กซี สาขาร้อยเอ็ด และ ร้าน OTOP เทรดเดอร์ร้อยเอ็ด 4. การสื่อสาร สร้างการรับรู้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักจังหวัดร้อยเอ็ด จากถั่วขึ้นเครื่องการบินไทย และเป็นของที่ระลึก และ 5. การบริหารจัดการ ได้มีการจัดทําแผนธุรกิจในการบริหารจัดการกลุ่ม โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ปัจจุบัน กลุ่มเกษตรกรแปรรูปถั่วป่านทองได้ทําสัญญากับบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 โดยส่งมอบถั่วป่านทองทั้งสิ้น 112,000 ถุง เป็นมูลค่ากว่า 504,000 บาท นําไปสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปอย่างยั่งยืนต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมผลงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรแปรรูปถั่วป่านทองจนสามารถได้รับการยอมรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นไปบริการแก่ผู้โดยสารเครื่องบินของสายการบินไทย ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ........................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 2 ชั้น 8 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ 1/2562เพื่อทราบเกี่ยวกับรายงานผลการดําเนินงานของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ประจําเดือนธันวาคม 2561 คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ จํานวน 4 เรื่องการรายงานผลการดําเนินงานตามข้อสั่งการคณะกรรมการการรายงานผลการพิจารณาผู้เสียหายของคณะอนุกรรมการฯ ประจําเดือนธันวาคม 2561 จํานวน 1,244 เรื่อง รวมถึงการหารือเพื่อเตรียมจัดทํา (ร่าง) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับกรมสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเดินทางมาประเทศไทยระหว่างวันที่ 21-23 มกราคม 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแบบฟอร์มคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการฯ รวมทั้งได้พิจารณากรณีเรื่องสืบเนื่อง จํานวน 3 เรื่อง กรณีผู้เสียหายอุทธรณ์คําวินิจฉัยคณะอนุกรรมการ จํานวน 40 เรื่อง และ กรณีจําเลย จํานวน 47 เรื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน กระทรวงยุติธรรม พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญาให้แก่ประชาชน ในวันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม 2 ชั้น 8 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ 1/2562เพื่อทราบเกี่ยวกับรายงานผลการดําเนินงานของสํานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ประจําเดือนธันวาคม 2561 คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ จํานวน 4 เรื่องการรายงานผลการดําเนินงานตามข้อสั่งการคณะกรรมการการรายงานผลการพิจารณาผู้เสียหายของคณะอนุกรรมการฯ ประจําเดือนธันวาคม 2561 จํานวน 1,244 เรื่อง รวมถึงการหารือเพื่อเตรียมจัดทํา (ร่าง) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กับกรมสิทธิมนุษยชน กระทรวงยุติธรรมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเดินทางมาประเทศไทยระหว่างวันที่ 21-23 มกราคม 2562 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแบบฟอร์มคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการฯ รวมทั้งได้พิจารณากรณีเรื่องสืบเนื่อง จํานวน 3 เรื่อง กรณีผู้เสียหายอุทธรณ์คําวินิจฉัยคณะอนุกรรมการ จํานวน 40 เรื่อง และ กรณีจําเลย จํานวน 47 เรื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18493
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอฝ่ายความมั่นคง ลงติดตามสร้างความเข้าใจมาตรการผ่อนปรนและคงเข้มความปลอดภัยส่วนรวมทุกชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 ขอฝ่ายความมั่นคง ลงติดตามสร้างความเข้าใจมาตรการผ่อนปรนและคงเข้มความปลอดภัยส่วนรวมทุกชีวิต พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม โดยรับทราบ สถานภาพคนไทยที่เดินทางผ่านสายการบินกลับจากต่างประเทศ ตั้งแต่ 4 ก.พ.63 ซึ่งยังพักกักตัวตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐ จํานวน 3,290 คน ส่งกลับภูมิลําเนาแล้ว 2,175 คน ทั้งนี้ ระหว่าง 6 -10 พ.ค.63 จะมีคนไทยที่ตกค้างในประเทศต่างๆ ทั้งจาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลางและเอเชีย ทยอยเดินทางกลับเข้ามาอีก จํานวน 1,481 คน โดยในวันนี้ จะมีเดินทางเข้ามากว่า 200 คน ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและกระจายเข้าพักในพื้นที่กักควบคุมโรคที่กําหนด พล.อ.ชัยชาญฯ ได้ย้ําสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นรม.และรมว.กห. ขอให้ฝ่ายความมั่นคงทํางานร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่อย่างใกล้ชิด อํานวยความสะดวกรับการเดินทางกลับเข้ามาของคนไทยในต่างประเทศ โดยยังคงคุมเข้มมาตรการคัดกรองและกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ทั้งส่วนกลางและในภูมิภาคของแต่ละจังหวัดที่กําหนด พร้อมทั้ง ขอให้สนับสนุนการทํางานของแต่ละจังหวัด ช่วยสร้างความเข้าใจ กํากับติดตาม รวมทั้งแจ้งเตือนกับประชาชนและผู้ประกอบการถึงเงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกับกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ําที่กําหนด ทั้งนี้ ให้คงความต่อเนื่องการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักกับประชาชนในพื้นที่ ยังคงไม่ประมาทและยึดปฏิบัติตนตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ ขอให้ลงไปรับฟังและช่วยเหลือแก้ปัญหากับประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยความเห็นใจและเข้าใจไปด้วยกัน โดยยังต้องยึดความปลอดภัยสูงสุดของทุกชีวิตและส่วนรวมจากโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดขึ้นในภาพรวม ต่อจากนั้น พล.อ.ชัยชาญฯ รมช.กห. ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่กักตัวควบคุมโรค รร. Bazaar กทม.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอฝ่ายความมั่นคง ลงติดตามสร้างความเข้าใจมาตรการผ่อนปรนและคงเข้มความปลอดภัยส่วนรวมทุกชีวิต วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 ขอฝ่ายความมั่นคง ลงติดตามสร้างความเข้าใจมาตรการผ่อนปรนและคงเข้มความปลอดภัยส่วนรวมทุกชีวิต พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม โดยรับทราบ สถานภาพคนไทยที่เดินทางผ่านสายการบินกลับจากต่างประเทศ ตั้งแต่ 4 ก.พ.63 ซึ่งยังพักกักตัวตามมาตรการควบคุมโรคของรัฐ จํานวน 3,290 คน ส่งกลับภูมิลําเนาแล้ว 2,175 คน ทั้งนี้ ระหว่าง 6 -10 พ.ค.63 จะมีคนไทยที่ตกค้างในประเทศต่างๆ ทั้งจาก สหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลางและเอเชีย ทยอยเดินทางกลับเข้ามาอีก จํานวน 1,481 คน โดยในวันนี้ จะมีเดินทางเข้ามากว่า 200 คน ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและกระจายเข้าพักในพื้นที่กักควบคุมโรคที่กําหนด พล.อ.ชัยชาญฯ ได้ย้ําสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นรม.และรมว.กห. ขอให้ฝ่ายความมั่นคงทํางานร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่อย่างใกล้ชิด อํานวยความสะดวกรับการเดินทางกลับเข้ามาของคนไทยในต่างประเทศ โดยยังคงคุมเข้มมาตรการคัดกรองและกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ทั้งส่วนกลางและในภูมิภาคของแต่ละจังหวัดที่กําหนด พร้อมทั้ง ขอให้สนับสนุนการทํางานของแต่ละจังหวัด ช่วยสร้างความเข้าใจ กํากับติดตาม รวมทั้งแจ้งเตือนกับประชาชนและผู้ประกอบการถึงเงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนกับกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ําที่กําหนด ทั้งนี้ ให้คงความต่อเนื่องการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักกับประชาชนในพื้นที่ ยังคงไม่ประมาทและยึดปฏิบัติตนตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ ขอให้ลงไปรับฟังและช่วยเหลือแก้ปัญหากับประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยความเห็นใจและเข้าใจไปด้วยกัน โดยยังต้องยึดความปลอดภัยสูงสุดของทุกชีวิตและส่วนรวมจากโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดขึ้นในภาพรวม ต่อจากนั้น พล.อ.ชัยชาญฯ รมช.กห. ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่กักตัวควบคุมโรค รร. Bazaar กทม.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางด่วนสายบางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยทางพิเศษบูรพาวิถียกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 24 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2560 เวลา 24.00 น. และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 - 24.00 น. ทั้งนี้ กทพ. ได้กําหนดห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป ใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 - 24.00 น. และจัดหน่วยบริการประชาชนที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษจตุโชติ บางปะอิน (ขาเข้า) และเมืองทองธานี เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงพระราชพิธีฯ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทรศัพท์ 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางด่วนสายบางนา - ชลบุรี) และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครในช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยทางพิเศษบูรพาวิถียกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 24 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 น. ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2560 เวลา 24.00 น. และทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 - 24.00 น. ทั้งนี้ กทพ. ได้กําหนดห้ามรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไป ใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 เวลา 00.01 - 24.00 น. และจัดหน่วยบริการประชาชนที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษจตุโชติ บางปะอิน (ขาเข้า) และเมืองทองธานี เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนในช่วงพระราชพิธีฯ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทรศัพท์ 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7369
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเร่งคืนภาษีให้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563 สรรพากรเร่งคืนภาษีให้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน กรมสรรพากรคืนภาษีบุคคลธรรมดาปีภาษี 2562 ให้กับผู้ที่ขอคืนไปแล้ว 3,075,237 แบบ รวมภาษีที่คืนให้แล้ว 33,145.82 ล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา กรมสรรพากรคืนภาษีบุคคลธรรมดาปีภาษี 2562 ให้กับผู้ที่ขอคืนไปแล้ว 3,075,237 แบบ รวมภาษีที่คืนให้แล้ว 33,145.82 ล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา โดยผู้ที่ชําระภาษีไว้เกินและได้รับภาษีคืนแล้วส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยื่นแบบผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการยื่นเอกสารประกอบการขอคืนถูกต้อง และผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนกับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชน นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ขณะนี้กรมสรรพากรได้เร่งดําเนินการพิจารณาและอนุมัติคืนภาษีตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ประจําปีภาษี 2562 ไปแล้วรวมจํานวน 3,075,237 แบบ เป็นจํานวนเงินภาษีที่คืนให้แล้วรวม 33,145.82 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2563) เป็นการช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา สําหรับผู้ที่ชําระภาษีไว้เกินและได้รับภาษีคืนจากกรมสรรพากรไปแล้ว พบว่ากว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางระบบอินเทอร์เน็ต มีการจัดส่งเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีถูกต้องครบถ้วน และมีการผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนกับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชน ทั้งนี้ ผู้เสียภาษีที่ขอคืนภาษีสามารถตรวจสอบ และติดตามสถานะการขอคืนภาษีได้ด้วยตนเองที่ www.rd.go.th ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับผู้ที่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) ปีภาษี 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยแนะนําให้ยื่นแบบฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th และหากชําระภาษีไว้เกินขอให้ผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนภาษี กับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชนจะช่วยให้ได้ภาษีคืนเร็วขึ้น” สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรเร่งคืนภาษีให้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2563 สรรพากรเร่งคืนภาษีให้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้ประชาชน กรมสรรพากรคืนภาษีบุคคลธรรมดาปีภาษี 2562 ให้กับผู้ที่ขอคืนไปแล้ว 3,075,237 แบบ รวมภาษีที่คืนให้แล้ว 33,145.82 ล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา กรมสรรพากรคืนภาษีบุคคลธรรมดาปีภาษี 2562 ให้กับผู้ที่ขอคืนไปแล้ว 3,075,237 แบบ รวมภาษีที่คืนให้แล้ว 33,145.82 ล้านบาท ช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา โดยผู้ที่ชําระภาษีไว้เกินและได้รับภาษีคืนแล้วส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยื่นแบบผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการยื่นเอกสารประกอบการขอคืนถูกต้อง และผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนกับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชน นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ขณะนี้กรมสรรพากรได้เร่งดําเนินการพิจารณาและอนุมัติคืนภาษีตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 ภ.ง.ด.91 ประจําปีภาษี 2562 ไปแล้วรวมจํานวน 3,075,237 แบบ เป็นจํานวนเงินภาษีที่คืนให้แล้วรวม 33,145.82 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2563) เป็นการช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ผ่านมา สําหรับผู้ที่ชําระภาษีไว้เกินและได้รับภาษีคืนจากกรมสรรพากรไปแล้ว พบว่ากว่าร้อยละ 90 เป็นผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางระบบอินเทอร์เน็ต มีการจัดส่งเอกสารประกอบการพิจารณาคืนภาษีถูกต้องครบถ้วน และมีการผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนกับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชน ทั้งนี้ ผู้เสียภาษีที่ขอคืนภาษีสามารถตรวจสอบ และติดตามสถานะการขอคืนภาษีได้ด้วยตนเองที่ www.rd.go.th ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับผู้ที่ยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90/91) ปีภาษี 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 โดยแนะนําให้ยื่นแบบฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th และหากชําระภาษีไว้เกินขอให้ผูกบัญชีธนาคารที่ขอคืนภาษี กับระบบพร้อมเพย์ด้วยเลขประจําตัวประชาชนจะช่วยให้ได้ภาษีคืนเร็วขึ้น” สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan"
วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan" นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan" วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๐๐ น. (เวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมาย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan"ในกิจกรรมสุดยอดศิลปะการแสดงอาเซียน และกิจกรรมวัฒนธรรมอาเซียนสัญจร ภายใต้ปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๒ ภายใต้แนวคิด“ หลากหลาย สร้างสรรค์ ยังยืน” โดยมี นางสาว ดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษาประจํากระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนทางด้านวัฒนธรรมจากประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ คณะทูตานุทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan" วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan" นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan" วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๐๐ น. (เวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมาย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวแสดงความยินดี และร่วมชมการแสดงชุด “VIVA ASEAN” (วีว่า อาเซียน) "The Best ASEAN Performing Arts in Japan"ในกิจกรรมสุดยอดศิลปะการแสดงอาเซียน และกิจกรรมวัฒนธรรมอาเซียนสัญจร ภายใต้ปีแห่งวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๒ ภายใต้แนวคิด“ หลากหลาย สร้างสรรค์ ยังยืน” โดยมี นางสาว ดารุณี ธรรมโพธิ์ดล ที่ปรึกษาประจํากระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนทางด้านวัฒนธรรมจากประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ คณะทูตานุทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วม ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25314
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ผุดกระบี่สมาร์ทซิตี้ หนุนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 กระทรวงดิจิทัลฯ ผุดกระบี่สมาร์ทซิตี้ หนุนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานพื้นที่สาธิตการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเมืองท่องเที่ยว ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา จังหวัดกระบี่ และร่วมประชุมกับผู้บริหารภาคส่วนต่างๆ เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อน Smart City จังหวัดกระบี่ โดยที่ประชุมได้นําเสนอการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยาน เช่น การใช้งานระบบกล้องซีซีทีวี อนาไลติกส์ เพื่อจดจําใบหน้า และป้ายทะเบียนรถในเขตพื้นที่อุทยาน สําหรับดูแลความปลอดและเก็บข้อมูล ระบบ Vessel Tracking and Monitoring System (VTMS) เพื่อควบคุมการจราจรทางน้ําโดยเรือในเขตพื้นที่อุทยาน การเปิดให้บริการไวไฟฟรีในเขตพื้นที่อุทยานสําหรับนักท่องเที่ยว และ IoT Sensors ตรวจวัดสภาพอากาศ เป็นต้น สําหรับข้อมูลดังกล่างถูกนํามาเชื่อมโยงเพื่อสร้างดาต้าแพลตฟอร์มของอุทยาน ตั้งเป้าหมายการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยการรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ภาคใต้ตอนบน เข้ามาร่วมกับจังหวัดกระบี่ เพื่อจัดทําแผน Smart City และยื่นเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเมืองอัจฉริยะ และเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างยั่งยืน ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ผุดกระบี่สมาร์ทซิตี้ หนุนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 กระทรวงดิจิทัลฯ ผุดกระบี่สมาร์ทซิตี้ หนุนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานพื้นที่สาธิตการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเมืองท่องเที่ยว ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา จังหวัดกระบี่ และร่วมประชุมกับผู้บริหารภาคส่วนต่างๆ เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อน Smart City จังหวัดกระบี่ โดยที่ประชุมได้นําเสนอการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวในเขตพื้นที่อุทยาน เช่น การใช้งานระบบกล้องซีซีทีวี อนาไลติกส์ เพื่อจดจําใบหน้า และป้ายทะเบียนรถในเขตพื้นที่อุทยาน สําหรับดูแลความปลอดและเก็บข้อมูล ระบบ Vessel Tracking and Monitoring System (VTMS) เพื่อควบคุมการจราจรทางน้ําโดยเรือในเขตพื้นที่อุทยาน การเปิดให้บริการไวไฟฟรีในเขตพื้นที่อุทยานสําหรับนักท่องเที่ยว และ IoT Sensors ตรวจวัดสภาพอากาศ เป็นต้น สําหรับข้อมูลดังกล่างถูกนํามาเชื่อมโยงเพื่อสร้างดาต้าแพลตฟอร์มของอุทยาน ตั้งเป้าหมายการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยการรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ภาคใต้ตอนบน เข้ามาร่วมกับจังหวัดกระบี่ เพื่อจัดทําแผน Smart City และยื่นเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเมืองอัจฉริยะ และเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างยั่งยืน ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19409
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมองค์กรหลัก 39/2560
วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 ผลการประชุมองค์กรหลัก 39/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 39/2560 เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 39/2560 เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมชั้น2อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ได้แจ้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ครม. เพื่อให้ที่ประชุมองค์กรหลักได้รับทราบ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ติดตามเร่งรัดกฎหมายภายในของแต่ละกระทรวงที่ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการยังมีกฎหมายระดับกระทรวงค้างอยู่ นายกรัฐมนตรีต้องการให้มีโรงเรียนประจําลักษณะโรงเรียนกินนอนใน 37 อําเภอ ของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา นราธิวาส ปัตตานี) เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1 โรงเรียน และมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส ซึ่งไม่ใช่เป็นการสร้างโรงเรียนใหม่ แต่ให้เป็นลักษณะการปรับปรุงโรงเรียนเพิ่มเติม นพ.ธีระเกียรติ กล่าวในเรื่องนี้ต่อที่ประชุมเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสหารือกับอาจารย์ซากีย์ พิทักษ์คุมพลอาจารย์ประจําสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเป็นลูกของจุฬาราชมนตรี เห็นว่าเด็กในพื้นที่ดังกล่าวควรจะได้เติบโตร่วมกันให้มากที่สุดและคุ้นเคยกันจนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จึงเห็นควรให้จัดโครงการพิเศษร่วมกัน เช่น กิจกรรมลูกเสือ การเรียน รด. การเรียนศิลปะ ดนตรี กีฬา กิจกรรมพหุวัฒนธรรม จัดหลักสูตรร่วมกัน เป็นต้น นายพะโยม ชิณวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกล่าวว่า โรงเรียนกินนอนของเอกชนที่ดูแลนักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่มีอีกหลายแห่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แต่โรงเรียนได้รับเพียงค่าใช้จ่ายรายหัวเฉพาะค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับอนุบาล-ประถมศึกษา ต้องนํามาเฉลี่ยกันให้ทั่วถึงทุกระดับ จึงจะนําเรื่องโรงเรียนกินนอนของโรงเรียนเอกชนให้ที่ประชุม กช.พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเรื่องการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ให้ลดการจัดโชว์หรือนําเสนอแต่ความสําเร็จ พร้อมทั้งสั่งการให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงลงไปประชุมแก้ปัญหาในพื้นที่ รวมถึงเรื่องอาหารเลี้ยงรับรอง ขออย่าให้เกินความจําเป็น และไม่รบกวนคนในพื้นที่ การสนับสนุนการใช้ยางพาราของเกษตรกรในตลาดนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําหนด TOR และคุณลักษณะในการใช้ยางเพื่อคัดเลือกผู้ขาย โดยคํานึงถึงมาตรฐานอุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้ผู้ขายหลากหลายได้เข้ามาแข่งขันกัน ซึ่งหากยางผ่านมาตรฐานการรับรองแล้ว กระทรวงศึกษาธิการสามารถซื้อได้ประมาณ 10-30% โดยขอให้ดําเนินการเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 1 เดือน ประเด็นข่าวลือเรื่องเขตการศึกษาพิเศษ หรือเรื่องโรงเรียนพิเศษ (Public School)ซึ่ง รมว.ศธ.ได้ทําความเข้าใจกับที่ประชุมว่า กรณีดังกล่าวไม่ควรใช้ ม. 44 เนื่องจากจะทําให้เกิดปัญหาอย่างหนัก เพราะการแก้ไขเรื่องเขตการศึกษาพิเศษ ไม่สามารถทําให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันหายไปได้ แต่อาจจะทดลองทําในขอบเขตเล็ก ๆ เพื่อพิจารณาปัญหาก่อน จากนั้นจึงค่อยขยายผลก็ได้ โดยยึดหลักการดําเนินการในโรงเรียนที่ไม่พร้อมก่อนเท่านั้น หรือเริ่มต้นจากโรงเรียนประชารัฐก่อน ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้ห้าม แต่ขอให้ทําในกรอบกฎหมายที่มีปัจจุบัน จึงขอให้ทําความเข้าใจให้ตรงกัน รัฐบาลจัดทําโครงการ Hi-Speed Internet ให้ทุกโรงเรียน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ปี 2561โดย ศธ. ได้มอบนโยบายให้แต่ละโรงเรียนเลือกผู้ให้บริการเองตามความเหมาะสม และกําหนดให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงเรียน ตลอดจนผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดย ศธจ./ศธภ. จะต้องรับทราบด้วยว่าในพื้นที่มีผู้ให้บริการใดบ้าง และโรงเรียนสามารถใช้ของผู้ให้บริการรายใดได้บ้าง อย่างไรก็ตาม จากการที่ รมว.ศึกษาธิการ ไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านประชาสุขสันต์ จ.สกลนคร เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีการบริหารจัดการ Hi-Speed Internet ที่ดีมาก โดยเลือกใช้บริการพื้นฐานของภาครัฐที่มีสัญญาณผ่านโรงเรียนและซื้อบริการจากเอกชนเพิ่มเติมในส่วนที่สัญญาณพื้นฐานของรัฐไม่ครอบคลุม เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอชื่นชมนางอุทุมพร ทองวงษาผอ.โรงเรียนบ้านประชาสุขสันต์ ที่ใส่ใจในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ตลอดจนสามารถบริหารจัดการให้นักเรียนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด อนึ่งผู้ให้บริการ Hi-Speed Internet ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ (UniNet, เน็ตประชารัฐ) ภาครัฐวิสาหกิจ (TOT, CAT) และภาคเอกชน (TRUE, SAMART TELECOM, AIS, 3BB) ซึ่งการเลือกใช้บริการ Hi-Speed Internet จะขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียน จํานวนนักเรียน หรือความต้องการอื่นๆ ได้อิสระตามความเหมาะสม โดย ศธ.จะไม่กําหนดรูปแบบตายตัวให้ แต่จะให้ยึดหลักการเลือกใช้ Hi-Speed Internet ที่มีความเสถียรที่สุดตามกําลังที่สามารถทําได้ สําหรับมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ข่าว639 ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ กลุ่มสารนิเทศ สป.และกลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.:รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมองค์กรหลัก 39/2560 วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2560 ผลการประชุมองค์กรหลัก 39/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 39/2560 เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 39/2560 เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560 ณ ห้องประชุมชั้น2อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ได้แจ้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ครม. เพื่อให้ที่ประชุมองค์กรหลักได้รับทราบ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ติดตามเร่งรัดกฎหมายภายในของแต่ละกระทรวงที่ต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการยังมีกฎหมายระดับกระทรวงค้างอยู่ นายกรัฐมนตรีต้องการให้มีโรงเรียนประจําลักษณะโรงเรียนกินนอนใน 37 อําเภอ ของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา นราธิวาส ปัตตานี) เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1 โรงเรียน และมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส ซึ่งไม่ใช่เป็นการสร้างโรงเรียนใหม่ แต่ให้เป็นลักษณะการปรับปรุงโรงเรียนเพิ่มเติม นพ.ธีระเกียรติ กล่าวในเรื่องนี้ต่อที่ประชุมเพิ่มเติมด้วยว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสหารือกับอาจารย์ซากีย์ พิทักษ์คุมพลอาจารย์ประจําสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเป็นลูกของจุฬาราชมนตรี เห็นว่าเด็กในพื้นที่ดังกล่าวควรจะได้เติบโตร่วมกันให้มากที่สุดและคุ้นเคยกันจนเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จึงเห็นควรให้จัดโครงการพิเศษร่วมกัน เช่น กิจกรรมลูกเสือ การเรียน รด. การเรียนศิลปะ ดนตรี กีฬา กิจกรรมพหุวัฒนธรรม จัดหลักสูตรร่วมกัน เป็นต้น นายพะโยม ชิณวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกล่าวว่า โรงเรียนกินนอนของเอกชนที่ดูแลนักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่มีอีกหลายแห่ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แต่โรงเรียนได้รับเพียงค่าใช้จ่ายรายหัวเฉพาะค่าอาหารกลางวันของนักเรียนระดับอนุบาล-ประถมศึกษา ต้องนํามาเฉลี่ยกันให้ทั่วถึงทุกระดับ จึงจะนําเรื่องโรงเรียนกินนอนของโรงเรียนเอกชนให้ที่ประชุม กช.พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําเรื่องการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ให้ลดการจัดโชว์หรือนําเสนอแต่ความสําเร็จ พร้อมทั้งสั่งการให้รัฐมนตรีทุกกระทรวงลงไปประชุมแก้ปัญหาในพื้นที่ รวมถึงเรื่องอาหารเลี้ยงรับรอง ขออย่าให้เกินความจําเป็น และไม่รบกวนคนในพื้นที่ การสนับสนุนการใช้ยางพาราของเกษตรกรในตลาดนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําหนด TOR และคุณลักษณะในการใช้ยางเพื่อคัดเลือกผู้ขาย โดยคํานึงถึงมาตรฐานอุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้ผู้ขายหลากหลายได้เข้ามาแข่งขันกัน ซึ่งหากยางผ่านมาตรฐานการรับรองแล้ว กระทรวงศึกษาธิการสามารถซื้อได้ประมาณ 10-30% โดยขอให้ดําเนินการเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมภายใน 1 เดือน ประเด็นข่าวลือเรื่องเขตการศึกษาพิเศษ หรือเรื่องโรงเรียนพิเศษ (Public School)ซึ่ง รมว.ศธ.ได้ทําความเข้าใจกับที่ประชุมว่า กรณีดังกล่าวไม่ควรใช้ ม. 44 เนื่องจากจะทําให้เกิดปัญหาอย่างหนัก เพราะการแก้ไขเรื่องเขตการศึกษาพิเศษ ไม่สามารถทําให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันหายไปได้ แต่อาจจะทดลองทําในขอบเขตเล็ก ๆ เพื่อพิจารณาปัญหาก่อน จากนั้นจึงค่อยขยายผลก็ได้ โดยยึดหลักการดําเนินการในโรงเรียนที่ไม่พร้อมก่อนเท่านั้น หรือเริ่มต้นจากโรงเรียนประชารัฐก่อน ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้ห้าม แต่ขอให้ทําในกรอบกฎหมายที่มีปัจจุบัน จึงขอให้ทําความเข้าใจให้ตรงกัน รัฐบาลจัดทําโครงการ Hi-Speed Internet ให้ทุกโรงเรียน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ ปี 2561โดย ศธ. ได้มอบนโยบายให้แต่ละโรงเรียนเลือกผู้ให้บริการเองตามความเหมาะสม และกําหนดให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงเรียน ตลอดจนผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดย ศธจ./ศธภ. จะต้องรับทราบด้วยว่าในพื้นที่มีผู้ให้บริการใดบ้าง และโรงเรียนสามารถใช้ของผู้ให้บริการรายใดได้บ้าง อย่างไรก็ตาม จากการที่ รมว.ศึกษาธิการ ไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านประชาสุขสันต์ จ.สกลนคร เมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่ามีการบริหารจัดการ Hi-Speed Internet ที่ดีมาก โดยเลือกใช้บริการพื้นฐานของภาครัฐที่มีสัญญาณผ่านโรงเรียนและซื้อบริการจากเอกชนเพิ่มเติมในส่วนที่สัญญาณพื้นฐานของรัฐไม่ครอบคลุม เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และขอชื่นชมนางอุทุมพร ทองวงษาผอ.โรงเรียนบ้านประชาสุขสันต์ ที่ใส่ใจในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ตลอดจนสามารถบริหารจัดการให้นักเรียนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด อนึ่งผู้ให้บริการ Hi-Speed Internet ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ (UniNet, เน็ตประชารัฐ) ภาครัฐวิสาหกิจ (TOT, CAT) และภาคเอกชน (TRUE, SAMART TELECOM, AIS, 3BB) ซึ่งการเลือกใช้บริการ Hi-Speed Internet จะขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียน จํานวนนักเรียน หรือความต้องการอื่นๆ ได้อิสระตามความเหมาะสม โดย ศธ.จะไม่กําหนดรูปแบบตายตัวให้ แต่จะให้ยึดหลักการเลือกใช้ Hi-Speed Internet ที่มีความเสถียรที่สุดตามกําลังที่สามารถทําได้ สําหรับมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ข่าว639 ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน:ถ่ายภาพ กลุ่มสารนิเทศ สป.และกลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.:รายงาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ เริ่มใช้ 1 ม.ค. 61
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ เริ่มใช้ 1 ม.ค. 61 กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ให้มีความเหมาะสม ครอบคลุมการรักษาพยาบาล สอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป นางญาณี แสงศรีจันทร์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิต และค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ให้มีความเหมาะสมครอบคลุมการรักษาพยาบาลที่จําเป็น สอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการฯ รวมทั้งกําหนดเงื่อนไขหรือข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายเพิ่มเติมบางรายการ และปรับหมวดหมู่ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ให้สอดคล้องกับระบบชื่อและรหัสมาตรฐานการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (LOINC) รวมทั้งสอดคล้องกับการพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จําเป็นต่อการรักษา สําหรับการปรับปรุงแก้ไขค่าบริการเกี่ยวกับโลหิต ได้เพิ่มรายการใหม่จํานวน 74 รายการ และปรับปรุงแก้ไขค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ปรับเพิ่มอัตราค่าบริการใหม่จํานวน 161 รายการ เช่น การเจาะเลือดเพื่อตรวจโซเดียม โปแตสเซียมคลอไรด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด จากอัตราค่าบริการเดิม 80 บาท ปรับเพิ่มเป็น 100 บาท และการตรวจหาแอนตี้บอดี้ ในกรณีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก ได้แก่ ผ่าตัดเปลี่ยนไต ปลูกไขกระดูก ตรวจทั้งผู้ให้และผู้รับอวัยวะ จากอัตราค่าบริการเดิม 1,500 บาท ปรับเพิ่มเป็น 2,400 บาท โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับปรุงอัตราค่าบริการดังกล่าว ทั้งนี้ หากเป็นรายการตรวจวินิจฉัย/การรักษาพยาบาลที่นอกเหนือจากที่กําหนดไว้ จะไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เนื่องจากการรักษาทางการแพทย์ต้องเป็นไปอย่างสมเหตุผลและจําเป็นต่อการรักษาในแต่ละกรณี ด้วยการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมทั้งเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จําเป็นของผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ เริ่มใช้ 1 ม.ค. 61 วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน 2560 กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ เริ่มใช้ 1 ม.ค. 61 กรมบัญชีกลางปรับอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิตและค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ให้มีความเหมาะสม ครอบคลุมการรักษาพยาบาล สอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป นางญาณี แสงศรีจันทร์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงอัตราค่าบริการเกี่ยวกับโลหิต และค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ให้มีความเหมาะสมครอบคลุมการรักษาพยาบาลที่จําเป็น สอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงรายการและอัตราค่าบริการฯ รวมทั้งกําหนดเงื่อนไขหรือข้อบ่งชี้ในการเบิกจ่ายเพิ่มเติมบางรายการ และปรับหมวดหมู่ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ให้สอดคล้องกับระบบชื่อและรหัสมาตรฐานการตรวจทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (LOINC) รวมทั้งสอดคล้องกับการพัฒนาของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จําเป็นต่อการรักษา สําหรับการปรับปรุงแก้ไขค่าบริการเกี่ยวกับโลหิต ได้เพิ่มรายการใหม่จํานวน 74 รายการ และปรับปรุงแก้ไขค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์ ปรับเพิ่มอัตราค่าบริการใหม่จํานวน 161 รายการ เช่น การเจาะเลือดเพื่อตรวจโซเดียม โปแตสเซียมคลอไรด์ และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด จากอัตราค่าบริการเดิม 80 บาท ปรับเพิ่มเป็น 100 บาท และการตรวจหาแอนตี้บอดี้ ในกรณีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก ได้แก่ ผ่าตัดเปลี่ยนไต ปลูกไขกระดูก ตรวจทั้งผู้ให้และผู้รับอวัยวะ จากอัตราค่าบริการเดิม 1,500 บาท ปรับเพิ่มเป็น 2,400 บาท โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับปรุงอัตราค่าบริการดังกล่าว ทั้งนี้ หากเป็นรายการตรวจวินิจฉัย/การรักษาพยาบาลที่นอกเหนือจากที่กําหนดไว้ จะไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เนื่องจากการรักษาทางการแพทย์ต้องเป็นไปอย่างสมเหตุผลและจําเป็นต่อการรักษาในแต่ละกรณี ด้วยการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมทั้งเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จําเป็นของผู้มีสิทธิ และบุคคลในครอบครัว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุน “การสื่อสารสร้างชาติ”
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลสนับสนุน “การสื่อสารสร้างชาติ” การสื่อสารมีความสําคัญอย่างมากในการสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจในทุกระดับซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ สําเร็จลุล่วงรวดเร็วขึ้น โดยแบ่งการสื่อสารออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก คือการสื่อสารภายในครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน เช่น การให้คําปรึกษาแนะนําหรือชื่นชมให้กําลังใจบุตรหลานเมื่อทําสิ่งที่ถูกต้อง ระดับกลาง คือการสื่อสารในชุมชน สังคม ควรสร้างกระบวนการเรียนรู้ เพื่อนําความรู้ไปคิดวิเคราะห์ด้วยข้อเท็จจริงและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง และการสื่อสารในระดับชาติ สื่อมวลชนจะต้องให้ความจริง ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลอย่างรอบด้านและเป็นกลาง และควรเลือกนําเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับสังคม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสนับสนุน “การสื่อสารสร้างชาติ” วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลสนับสนุน “การสื่อสารสร้างชาติ” การสื่อสารมีความสําคัญอย่างมากในการสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจในทุกระดับซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ สําเร็จลุล่วงรวดเร็วขึ้น โดยแบ่งการสื่อสารออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเล็ก คือการสื่อสารภายในครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกัน เช่น การให้คําปรึกษาแนะนําหรือชื่นชมให้กําลังใจบุตรหลานเมื่อทําสิ่งที่ถูกต้อง ระดับกลาง คือการสื่อสารในชุมชน สังคม ควรสร้างกระบวนการเรียนรู้ เพื่อนําความรู้ไปคิดวิเคราะห์ด้วยข้อเท็จจริงและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง และการสื่อสารในระดับชาติ สื่อมวลชนจะต้องให้ความจริง ส่งเสริมการรับรู้ข้อมูลอย่างรอบด้านและเป็นกลาง และควรเลือกนําเสนอเรื่องที่เป็นประโยชน์สร้างสรรค์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับสังคม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560
วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 $("#video-player3").css("background-color", "#000000"); var container = document.getElementById("video-player3"); flowplayer.conf = { share :false, // --> set share button // facebook :true, // ratio :9/16, // --> set ratio // seekable :true, // autoplay :false, // splash : true, // chromecast :true, // auto quality // hlsQualities:true, poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/07/5548_280760.jpg", //poster // swf :"flowplayer.swf", // hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}], }; flowplayer(container, { clip: { sources: [ { // type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl // src: "vod/testcar.mp4" // type: "application/x-mpegurl", // file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8", type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl src: "http://www.thaigov.go.th/vdo/contents/views/770" } ], title: "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560", // qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"], // defaultQuality: "260p" } }); ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 65 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2560 นี้ รัฐบาลขอเชิญชวนปวงชน ชาวไทย ร่วมกันถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎร์ตราบกาลนาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงตอบรับขึ้นทรงราชย์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ยังความปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง แก่พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ โดยทรงเป็นหลักชัยและศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย สืบต่อไป ครั้งที่พระองค์ทรงดํารงตําแหน่ง“พระรัชทายาท”ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ แทนพระองค์ และโดยเสด็จไปทรงงานในพื้นที่ต่าง ๆ กว่า 44 ปี เมื่อเสด็จขึ้นทรงราชย์ ในฐานะพระประมุขของชาติ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ดําเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ ด้วยน้ําพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงปกแผ่พระบารมีเพื่อให้ชาวไทยอยู่ดีมีสุขอย่างถ้วนหน้า อาทิ ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งสงฆ์ เพื่อดูแลและทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง และเป็นที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชน พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทรงปลูกฝังให้ชาวไทย ยึดมั่นในความดีงาม สุจริตเที่ยงตรง ทั้งหน้าที่การงานและการดํารงชีวิต ทรงปลูกฝังให้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก โดยทรงทํานุบํารุงอุปถัมภ์ศาสนาทั้งปวงในประเทศ พระราชทานทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษาแก่เด็กและเยาวชน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพระราชทาน พร้อมกระแสพระราชดํารัสความห่วงใย เป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ประสบภัยอย่างยิ่ง ทรงเตรียมการป้องกันความเดือดร้อนจากภัยน้ําท่วมในกรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดข้าราชบริพาร รวมจิตอาสา ลอกคูคลองที่ตื้นเขิน เปิดทางน้ําให้ไหลสะดวก มีความสะอาดงดงาม เป็นระเบียบ เป็นต้น ด้วยพระราชจริยาวัตรอันงดงาม และพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้นี้ เป็นพลังน้อมนําให้คนไทยสมานฉันท์ รักชาติ ศาสนา พระมหา กษัตริย์ ยังความร่มเย็นเป็นสุขมั่นคงไพบูลย์แก่ประเทศชาติและประชาชน ในการนี้ ผมขอน้อมนําลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บนหน้าปก บทเจริญพระพุทธมนต์ 28 กรกฎาคม 2560 ที่พระราชทานแก่ประชาชน ความว่า“ความสุขในตัวเริ่มจากใจและทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่นส่วนรวม และตนเอง สุขในการบําเพ็ญประโยชน์ให้กับผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น สุขในการให้ทั้งกําลังกาย กําลังใจให้ผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการพัฒนาร่างกายจิตใจและปัญญาในทางสร้างสรรค์ความเจริญให้ตนเองและผู้อื่น การสวดมนต์และปฏิบัติธรรม ทําให้มีความสงบมีสติ สมาธิ และปัญญา ตลอดจนเป็นกุศลสิริมงคลแก่ทุกคน และจะนํามาสู่ความเจริญ และความสุขที่กล่าวมานั้นแล”ทั้งนี้เพื่อเป็น สิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวไทยทุกคน พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน คือ พสกนิกรของพระองค์ ทุกหมู่เหล่า ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติ ว่าหลักปรัชญาของ“เศรษฐกิจพอเพียง”มีคุณูปการต่อมวลมนุษยชาติ ในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หัวใจของการพัฒนาคน คือการศึกษาซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงให้ความสําคัญอย่างยิ่ง มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ทรงดํารงพระอิสริยศ สยามมกุฎราชกุมาร โครงการในพระราชดําริหลายโครงการ ทรงมุ่งพัฒนาด้านการศึกษา โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์ ในท้องถิ่นทุรกันดาร พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา รวมถึงระดับปริญญาตรี ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทย ที่มีฐานะยากจนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อเนื่อง เพื่อเป็นกําลังสําคัญของชาติในอนาคต และเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย โดยทรงจัดตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2552 และนําโครงการทุนการศึกษาพระราชทาน มาอยู่ภายใต้การดําเนินงานของมูลนิธิ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน มีคณะกรรมการมูลนิธิกํากับดูแล และทรงเป็นประธานกรรมการมูลนิธิด้วยพระองค์เอง รวมทั้งพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่นักเรียนทุนพระราชทานและครูดีเด่น เป็นประจําทุกปี โดยครั้งหนึ่งทรงแนะแนวทางการดําเนินชีวิตแก่นักเรียนว่า“เรียนดี การงานดี ชีวิตสดใส ทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ มีความสุข”เพื่อน้อมนําไปสู่การปฏิบัติต่อไปในอนาคตด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชา ด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของทั้งสองพระองค์ มาเป็นแนวทางในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ และการบริหารราชการแผ่นดินอาทิ การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ตลาดแรงงาน และอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และความมั่นคง ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2557 รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เรียกว่า ศปบ.จชต. หรือเรียกว่า เป็นกระทรวง ศึกษาธิการส่วนหน้า นับเป็นหน่วยงานกลางในการสร้างความเป็นเอกภาพและบูรณาการในการจัดการศึกษา ตามแผนยุทธศาสตร์การศึกษา เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี พ.ศ.2560 ถึง 2579 โดยยึดหลักยุทธศาสตร์พระราชทานเข้าใจ เข้าถึงพัฒนา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ด้วยเครือข่ายชุมนุมลูกเสือชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมความสัมพันธ์ชุมชน และเสริมสร้างความเข้าใจสถานศึกษาเอกชน (2) การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น1 ครูอาสา 1 ปอเนาะ ศาสตร์พระราชาในสถาบันปอเนาะ และการพัฒนาการสอนภาษาไทย เป็นต้น (3) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษามีโครงการสําคัญ ๆ อาทิ โครงการสานฝันการกีฬา และโครงการห้องเรียนดนตรี (4) การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน โดยจัดตั้งศูนย์อบรมอาชีพประจําอําเภอ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและส่งเสริมทักษะวิชาชีพ รวมทั้งการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาล (5) การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการธนาคารขยะ และโครงการประหยัดพลังงาน และ (6) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐโดยจัดให้มีศูนย์ประสานงานมีการทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาในแต่ละพื้นที่เพื่อพัฒนากลไกการทํางานร่วมกัน ในการสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันในสังคม จากผลงาน 3 ปีที่ผ่านมา เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการรับบริการด้านการศึกษาและมีความรู้สึกว่าได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิดของคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มมากขึ้น โดยผลสํารวจความคิดเห็นความสําเร็จต่อการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของรัฐบาลปัจจุบันของสวนดุสิตโพล และมหาวิทยาลัยทักษิณ สะท้อนถึงความพึงพอใจ ในระดับสูง ร้อยละ 85 เป็นการยืนยันความก้าวหน้าของรัฐบาลในการพัฒนาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างดียิ่งแสดงถึงระดับความเข้าใจ ไว้ใจ และร่วมมือ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่มั่นคงนําไปสู่ก้าวต่อมาที่มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนต่อ ๆ ไป พี่น้องประชาชนที่รักครับ การศึกษานั้น นอกจากช่วยพัฒนาความคิด และยกระดับจิตใจ ให้กับปัจเจกชนได้แล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในหน่วยระดับที่เล็กที่สุด คือครอบครัว ซึ่งศาสตร์พระราชามากมายที่พระราชทานไว้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับครัวเรือนของไทยเช่น (1) การรู้จักพอเพียง การจัดทําบัญชีครัวเรือน และการประหยัดอดออม เพื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท และมีชีวิตในวันข้างหน้าที่มั่นคงและ (2)บวรบ้านวัดโรงเรียน เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายพื้นฐานทางสังคมไทย เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ คู่คุณธรรม หากจะมองในภาพที่ใหญ่ขึ้นมาเป็นชุมชน ท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศแล้วปัญหาปากท้อง ยังคงเป็นปัญหาสําคัญของประเทศ ที่รัฐบาลนี้ ไม่เพียงต้องบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในบรรยากาศแห่งความปรองดองของคนในชาติ โดยปราศจากความขัดแย้งแล้วยังต้องวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งมีการปฏิรูปในทุกมิติ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย ทั้งนี้โจทย์ที่สําคัญคือ การเอาชนะความยากจน และการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมให้ได้ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานราก ได้แก่ การให้การศึกษากับทุกคน ทุกกลุ่มวัย ทุกสาขาอาชีพ การยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกครัวเรือน ให้มีที่อยู่อาศัย ปลอดหนี้ รักการออม และมีหลักประกันสุขภาพ อย่างทั่วถึงเป็นต้น ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดํารัสกับคณะรัฐมนตรี ถึงการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประเทศ และประชาชน สรุปใจความสําคัญ ได้ว่าการปฏิบัติงานนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติงานใดย่อมมีปัญหาย่อมมีอุปสรรค ซึ่งปัญหาและอุปสรรคนั้นคือบททดสอบ มีอะไรก็ปรึกษากัน หาข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความรอบคอบให้สมกับสถานการณ์และเหตุผล และตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปฏิบัติ อีกทั้งได้พระราชทานพระราชดําริ และพระราชทานแนวทางไว้ ก็ขอฝากให้ได้ศึกษาพระราชดําริ ศึกษาวิเคราะห์พระราชปณิธานและศึกษาพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ที่ทรงปฏิบัติมา ซึ่งผมและคณะรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการทุกคน ได้น้อมนําใส่เกล้าใส่กระหม่อม ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างการความผาสุก แก่พี่น้องปวงชนชาวไทยเสมอมา อาทิ ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา โดยการศึกษาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างรอบด้านยกตัวอย่าง“ยางพารา”พบว่าเราคงต้องลดปริมาณการผลิต เพิ่มการแปรรูปใช้งานให้มากยิ่งขึ้นภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งมาตรการนี้ประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเป็นประเทศผู้ผลิตเช่นเดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางตกต่ํา เพราะประเทศหนึ่ง มาเลเซีย เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก เขาก็คาดการณ์ไปอนาคตแล้วว่า ความต้องในการใช้ยางพาราจะถึงทางตันเพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาตัดสินใจโค่นยางพาราลง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่ 7 แสนตันเท่านั้น และเขาก็เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศ อยู่ที่ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตยางออกมาพอดีกับที่ใช้ภายในประเทศ อีกประเทศหนึ่ง อินโดนีเซีย เขาปลูกยางพารามาก และใช้ยางในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรา เพราะยางพาราของเขา เป็นยางที่อยู่ในป่า เป็นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขาย ตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทําอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราจะมีการขึ้น-ลง ก็ไม่เป็นปัญหา สําหรับเพื่อนบ้านเรา ทั้ง 2 ประเทศผู้ผลิตยางพารา เนื่องจากผลิตให้พอดีกับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545 มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้น ๆ ทุกปี แต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทําอย่างไร ราคาต้องตกแน่นอนอยู่แล้ว ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยาง ของเรานั้นจะปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางอีกด้วยจะทําอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่มีเพียง แต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริงถ้าวันนี้ เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ หรือเลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมืองไปแล้ว และเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันไทยผลิตข้าว 30 ล้านตัน บริโภคภายใน ประเทศเพียง 10 ล้านตัน ส่งออก 20 ล้านตัน ซึ่งส่วนเกินของเรานี้ จะถูกกําหนดราคาโดยตลาดโลก ทั้งนี้ ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณ ลงไปอุดหนุน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรได้รู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้อยากเลิกปลูกยางพารา หรือปลูกให้น้อยลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกินความต้องการ เช่น การปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าบ้าง ไม่เหมาะกับการปลูกยางบ้าง แต่เหมาะกับการทําอย่างอื่น ผมคิดว่ามันส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือนใส่น้ํามันเข้าไปในกองไฟเหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่ผมยกตัวอย่างไว้ หรือถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคาพยุงราคา มันก็แค่ชะลอปัญหาเท่านั้น ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาล คือ (1) ปรับสมดุลของการผลิตกับความต้องการใช้ และ (2) เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งได้ดําเนินการไปแล้ว ทั้งการลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก เพื่อลดการผลิตและไม่ละเลยการทําผิดกฎหมาย อีกทั้งเพิ่มปริมาตรการใช้ ในประเทศ หรือตลาดในประเทศ อาทิยางพารา ซึ่งรัฐบาลให้ทุกกระทรวง หามาตรการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยล่าสุด สามารถสรุปความต้องการน้ํายางข้น 16,000 กว่าตัน และยางแห้ง 4,500 กว่าตัน คิดเป็นงบประมาณ กว่า 17,000 ล้านบาทสําหรับทําแผ่นทางปูพื้นคอกปศุสัตว์ พื้นอ่างเก็บน้ํา สระเก็บน้ําในไร่นา ลานกีฬาสนามฟุตซอล ลู่วิ่งสนามเด็กเล่นลานอเนกประสงค์บล็อกยางพาราเพื่อใช้ในการก่อสร้าง ที่นอน หมอนยางพารา ยางรถยนต์ใช้ในราชการ และพื้นผิวถนน เป็นต้น วันนี้ ได้ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตรของเราให้มากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนของBOIอีกด้วย อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหายังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีแรงงานภาคการเกษตร อาทิ ทําสวนไร่นาประมงปศุสัตว์ และผู้ประกอบการ หรือทํางานที่เกี่ยวข้อง เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรอีก รวมกันเกือบครึ่งประเทศ หรือร้อยละ 40 ของประชากรไทย ราว 25 ล้านคน หรือ 6 ล้านครัวเรือน แต่เป็นภาคการผลิตที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของGDP ทั้ง ๆ ที่แผ่นดินไทยมีความอุดมสมบูรณ์ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว หากเราไม่ปลูกพืชในพื้นที่สูงไม่มีระบบชลประทาน ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องภัยแล้งแล้วหันมาเพาะปลูก หรือทําเกษตรที่มีคุณภาพ ลงทุนน้อยกว่า ได้ผลผลิตมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด แลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งกันและกัน ดังนั้น รัฐบาลนี้ต้องการแก้ปัญหาแบบองค์รวมโดยปฏิรูปทั้งระบบ พร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องน้ําที่ดินสินค้าเกษตรอาชีพเสริมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่สิ่งที่เหมาะสมกว่า ด้วยความสมัครใจนอกจากผู้ผลิต คือ เกษตรกรแล้ว ยังมีกลางทาง พ่อค้าคนกลางการแปรรูป แล้วก็ปลายทางในเรืองของการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลกระทบจากราคาตกต่ําของผลิตผลทางการเกษตรทั้งสิ้น เราต้องมองให้ครบวงจร เพราะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน ทั้งในภาคการเกษตร และในธุรกิจห่วงโซ่เหล่านั้น อีกมากมาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในหลวง 2 พระองค์ รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการใหม่ของกระทรวงเกษตรโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมีเลขสามตัวแรก9 และ10 คือ รัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 เลขตัวท้าย 1 คือ เริ่มคิดโครงการนี้ มาตั้งแต่ปีที่ 1 ของรัชกาลปัจจุบัน โดยมีเป้าหมาย 9,101 ชุมชน ทั่วประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 1.77 ล้านราย โดยจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์กว่า 7.68 ล้านคนจากโครงการที่คิดและเสนอเอง จากชุมชน หรือสนับสนุนให้ระเบิดจากข้างในกว่า 24,000 โครงการ ด้วยวงเงิน 20,000 กว่าล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติโครงการ โดยคณะกรรมการระดับอําเภอแล้ว กว่า 87% โดยงบประมาณที่ลงสู่พื้นที่และถึงมือเกษตรกรโดยตรงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ๆ ละประมาณ 10,000 ล้านบาท เท่า ๆ กัน คือ (1) ค่าวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งยังคงเก็บไว้ใช้อย่างต่อเนื่องในการทํากิจกรรมตามโครงการ และ (2) ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน ประกอบอาชีพ และหมุนเวียนในชุมชน สําหรับกิจกรรมหลัก ๆ ได้แก่ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก การผลิตพืชและพันธุ์พืชการปศุสัตว์ การผลิตอาหารการแปรรูปผลผลิตและการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรการทําประมง การทําฟาร์มชุมชน การกําจัดศัตรูพืชการปรับปรุงบํารุงดิน และการทําเกษตรกรรมอื่น ๆ เช่น การทําเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น ทั้งนี้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร (ศพก.) ทั้ง 882 ศูนย์ และเครือข่ายแตกแขนง ทั่วประเทศ กว่า 10,000 แห่ง จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาภาคการเกษตร ที่เน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม และส่งเสริมการทํางานแบบประชารัฐในพื้นที่ อีกด้วย ทําให้เกิดการพัฒนาของเกษตรชุมชน สร้างความเข้มแข็งในพื้นที่ ส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ โดยผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ นําไปปฏิบัติเองได้จริง และทําให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องที่มีความสําคัญกับพวกเราทุกคน และที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด คือ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ผมอยากเรียนให้ทราบว่า จากข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมค่อย ๆ ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของภาคเอกชนทยอยปรับดีขึ้น ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจก็ค่อย ๆ ดีชัดเจนมากขึ้น ล่าสุด การค้าขายระหว่างประเทศของไทยปรับดีขึ้นเทียบกับในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมาทั้งการส่งออกที่เริ่มเห็นว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นการเติบโตจากปีก่อนถึงร้อยละ 7.91 ขณะที่การนําเข้าสินค้าจากต่างประเทศก็สูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน เทียบกับปีก่อน เติบโตได้เกือบถึงร้อยละ 10 ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริโภคสินค้าและบริการในประเทศ หรือการนําเข้าสินค้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเราไปถามพี่น้องประชาชน ก็จะทราบว่ากิจกรรมการจับจ่ายใช้สอยและรายได้ ยังไม่ได้ลงไปสู่ประชาชนฐานรากอย่างทั่วถึงรัฐบาลทราบดี ที่ได้ก็คือคนที่อยู่ร่วมในกิจการส่งออกการผลิต การแปรรูป ในส่วนที่ยังทําเป็นอิสระอยู่จํานวนมากนั้น ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นตามนั้น ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย อย่างที่เขากล่าวอ้างกัน เราได้รับทราบถึงปัญหา และได้มีการทํางานอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับการเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชน พี่น้องเกษตรกร อย่างเช่น โครงการ 9101 ที่กล่าวมา รวมถึงSMEsที่ยังไม่สามารถจะเติบโตไปกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ก่อนอื่น ผมอยากให้เราเข้าใจร่วมกันว่าต้นตอของปัญหาเศรษฐกิจคืออะไรบ้างเพื่อที่เราจะได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ผมมองว่า ส่วนหนึ่งที่เศรษฐกิจยังขยายตัว แต่ไม่ทั่วถึงนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปว่า ปัจจัยสําคัญปัจจัยแรก ก็คือเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจาก“วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์”ได้อย่างช้า ๆ เรายังเห็นว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศยังอ่อนแอ ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการยังน้อยอยู่ การส่งออกของไทยก็เลยฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่วันนี้ แม้จะดีขึ้น แต่ก็เนื่องจากอ่อนแอมาเป็นเวลานาน จึงทําให้ราคาสินค้าเกษตร รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ํามัน หรือทอง ลดลงมาในระดับต่ําต่อเนื่องหลายปี ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรหลาย ๆ ประเภทในบ้านเรา และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรไม่สามารถกระเตื้องขึ้นได้เท่าที่ควร เรื่องเศรษฐกิจโลกก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งของปัญหา คือโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยนั้นเอง ที่ไม่เข้มแข็ง ที่ยังไม่ได้รับมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นพลวัตเท่าที่ควร ศักยภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขันก็ยังคงต้องเร่งพัฒนาให้ทันสมัยด้วย ให้ทันต่อสถานการณ์ด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัฐบาลนี้ ต้องการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทุกระบบ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็ง รองรับการพัฒนาในอนาคต และแก้ปัญหาประเทศ แบบองค์รวมให้ได้ในระยะยาว เราต้องทําพร้อม ๆ กัน ทั้งการผลิต การแปรรูป การจําหน่าย ให้เข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้ด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มาจากทั้งภายในและภายนอก โดยในช่วงที่การจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชน ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ภาครัฐก็ต้องเร่งเสริมการใช้จ่าย เพื่อให้มีเม็ดเงินลงไปสู่เศรษฐกิจ ลงไปสู่ฐานรากให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการเร่งเดินหน้าเพื่อใช้จ่ายงบประมาณให้ทันตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งด้านรายจ่ายประจํา และรายจ่ายเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายเหล่านี้ ถือเป็นภาระและเป็นหน้าที่สําคัญของภาครัฐด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ของภาครัฐนั้น มีการวางแผนไปข้างหน้า มีการดูรายรับ เทียบกับรายจ่าย และความต้องการของเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยถ้าเศรษฐกิจดี รัฐก็ไม่ต้องลงไปใช้จ่ายมาก ให้เอกชนเป็นผู้นําและก็ใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่แต่ในวันที่เศรษฐกิจอ่อนแรง เอกชนยังไม่มั่นใจ ซึ่งการเมืองก็มีส่วนตรงนี้ด้วย อาจจะมีการบิดเบือนบ้างอะไรบ้าง ให้ร้ายการทํางานของรัฐบาล ทุกอย่างมันช้าไป รัฐบาลก็จําเป็นต้องมีหน้าที่เข้าไปเสริมและเมื่อมองภาพภาระของภาครัฐในช่วงนี้ไปจนถึงระยะข้างหน้า อีกหลายปี พบว่าหนี้สาธารณะของประเทศก็ยังไม่เกินร้อยละ 60 ที่เป็นเกณฑ์สากล ผมยืนยันว่า เราให้ความสําคัญในเรื่องนี้มาก และกําชับให้ทุกฝ่ายดําเนินการด้วยความระมัดระวัง อย่างที่สุด ผมขอยกตัวอย่างโครงการที่รัฐบาลได้เร่งดําเนินการ ทั้งเพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อการสนับสนุนรายได้ในระยะสั้น และการเร่งดําเนินการเพื่อวางรากฐาน ปรับฐานการผลิต สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้กับประเทศ ซึ่งได้แก่ มาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ทําแบบครบวงจร ซึ่งผมได้เรียนให้ทราบแล้วข้างต้น โดยเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ตั้งแต่การวางแผน การผลิตและการตลาด เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรแปลงใหญ่ และความร่วมมือในโครงการประชารัฐต่าง ๆ นอกจากนี้ เรายังเห็นการเร่งรัดโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านการคมนาคม ซึ่งล่าสุด คณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติการดําเนินงานของรถไฟสายสีม่วงส่วนใต้ เพื่อเชื่อมต่อกับสายสีม่วงเดิม หรือการเร่งรัดการวางรากฐานเพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ทั้งในเรื่องการสนับสนุนการศึกษา และปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อดึงการลงทุนที่จะสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย การดําเนินงานในด้านมาตรการของภาครัฐนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกกระทรวง ไม่ใช่เพียงกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ฯ แต่ยังมีงานด้านอื่น ๆ ของทุกกระทรวง ที่ต้องเร่งดําเนินการให้เป็นรูปธรรมในลักษณะการบูรณาการ สร้างความเชื่อมโยง สร้างห่วงโซ่ทุกกิจกรรมให้ถึงประชาชนและท้องถิ่นให้ได้ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนและประเทศในภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนสําหรับโครงการต่าง ๆ ที่ให้ไว้ จะต้องดําเนินการให้ได้โดยเร็ว มีการปฏิบัติงานลงไปสู่ภาคจังหวัด พื้นที่ ชุมชน โดยกระทรวงต่าง ๆ ต้องทั้งทํางานในส่วนงานฟังก์ชั่น และงานบูรณาการกับกระทรวงหรือหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ให้เกิดผลที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม ซึ่งผมจะประเมินการทํางานของทุกกระทรวงต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดด้วย ในส่วนของภาคเอกชน รัฐได้เข้าไปช่วยสนับสนุนหรือยกระดับ กระตุ้นในเรื่องของการลงทุนให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยในห้วงครึ่งแรกของปีนี้ มกราคม ถึง มิถุนายน 2560มีโครงการลงทุนจากเอกชน ที่เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จํานวน 612 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 290,000 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 46 ของโครงการที่ขอจะลงทุน อยู่ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน โดยเฉพาะกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่“ประเทศไทย 4.0”และหากแยกมิติพื้นที่ พบว่าร้อยละ 25 ของโครงการที่ขอ ก็จะอยู่ในพื้นที่EECชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ในห้วงเวลาดังกล่าว คณะกรรมการBOIซึ่งผมเป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุนไปแล้วกว่า 590 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 340,000 ล้านบาท ในกิจการดิจิทัล เกษตรแปรรูป ผลิตพลังงานไฟฟ้า กิจการขนถ่ายสินค้าสําหรับเรือบรรทุกสินค้า เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเพิ่มการจ้างงานให้คนไทยกว่า 33,000 ตําแหน่งงาน และล้วนเป็นโครงการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในโครงการที่ได้อนุมัติไปแล้วในครึ่งแรกของปี 2560 นั้น จะส่งผลให้มีการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีการใช้น้ํามันปาล์มเพิ่มขึ้นอีก 21,600 ตันต่อปี และใช้ยางพาราเพิ่มอีกกว่า 900,000 ตันต่อปีด้วย ผมขอเรียกร้องให้ภาคเอกชนร่วมกันลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ยิ่งท่านลงทุนเร็วเท่าไหร่ เงินก็จะหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้น พี่น้องประชาชนคนไทยและภาคเอกชนรายเล็ก ๆ จะได้รับอานิสงค์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย รัฐบาลมีหน้าที่สร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดี ผมจะพยายามทําให้ดีที่สุด อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า ภาครัฐ นอกจากจะมีหน้าที่เข้าไปเสริมเม็ดเงินเพื่อช่วยสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ในการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้จ่าย การลงทุน ของภาคเอกชน และประชาชนในทุกกลุ่มด้วย ซึ่งภายใต้คณะกรรมการ ปยป. ในส่วนของการปฏิรูป จะเร่งรัดดําเนินการพิจารณากฎระเบียบ หรือกฎหมาย ที่เป็นอุปสรรคของการทําธุรกิจ การลงทุน หรือการดํารงชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่อปรับปรุงให้สมเหตุสมผลขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยย่นระยะเวลาและต้นทุนของภาคธุรกิจและของพี่น้องประชาชนได้ ซึ่งผมมองว่า การปฏิรูปกฎระเบียบ หรือกฎหมายนี้ ถือเป็นรากฐานสําคัญที่จะนําไปสู่การปฏิรูปด้านอื่น ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีผลสัมฤทธิ์ด้วย ถ้าทําไม่ได้ ก็ยากที่จะปฏิรูปด้านอื่น ๆ ในส่วนของเกณฑ์สากลที่เราต้องปฏิบัติตาม เช่นICAOและIUUเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้เราได้มาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุน รัฐบาลจะเดินหน้าดําเนินการอย่างเหมาะสมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนต่อไป สิ่งเหล่านี้ ที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ความสําคัญกันมากนัก นอกจากนี้ การทํางานของภาครัฐเอง หรือกระทรวงต่าง ๆ ก็ต้องมุ่งไปในเชิงรุกมากขึ้น รัฐบาลนี้เหลือเวลาอีกไม่นานนักในการปฏิบัติงาน ตามRoad Mapผมอยากให้เราได้วางรากฐาน วางแนวคิด แนวปฏิบัติ สร้างความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องไปได้ในระยะยาวหลาย ๆ รัฐบาล เราจะมุ่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้นในช่องทางต่าง ๆ จะมีการคุยกันใกล้ชิดให้มากยิ่งขึ้น หารือกัน อธิบายต่อกัน ว่าอะไรทําได้ อะไรทําไม่ได้ เพราะเหตุใด มีปัญหาหรือที่ยังทําไม่ได้นั้นเป็นเพราะสาเหตุใด ซึ่งแผนงานของรัฐบาลและ คสช. จนถึงวันที่ 31 กันยายน 2561 ในด้านนี้ มีทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรการตรวจเยี่ยม พบปะ ประชาชน ในภาคกลุ่มจังหวัด จังหวัด ชุมชน ท้องถิ่น ในพื้นที่ เพื่อไถ่ถาม หารือ ถึงสิ่งที่ต้องการ สําหรับจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่โดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหา หรือสร้างงานต่าง ๆ ให้เกิดผลโดยเร็ว สําหรับพี่น้องประชาชนเอง ก็สามารถติดต่อ พูดคุย แจ้งปัญหาและความต้องการกับรัฐบาลได้หลายช่องทางนอกเหนือไปจากหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ศูนย์ดํารงธรรม (สายด่วน 1567) ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้รับเรื่อง และจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ได้เร็วขึ้นศูนย์ปฏิบัติการป้องกันการทุจริตของกระทรวงต่าง ๆ และล่าสุด ก็ได้มีคําสั่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และกองทัพบก ซึ่งรวมไปถึงกองทัพภาคและหน่วยทหารของกองทัพบกในทุกพื้นที่ เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบ เรียกรับสินบนหรือผลประโยชน์ทุกรูปแบบที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจะกระทบต่อประชาชนโดยตรง และอาจจะเชื่อมโยงไปสู่การค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นวาระชาติด้วยการเปิดตู้ ปณ. และสายด่วน รายละเอียดตามหน้าจอ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้แจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ ได้มากขึ้น สะดวกขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึกในสังคมมายาวนาน เปลี่ยนประเทศไทยให้ใสสะอาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ทั้งนี้ ผมมองว่า พี่น้องประชาชนฐานราก ไม่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอนาน ทําให้เกิดปัญหาหนี้สินพะรุงพะรัง และเป็นหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แก้ไขได้ยาก และส่งผลถึงความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน เพราะต้องนํารายได้มาใช้หนี้ ซึ่งภาครัฐ ได้พยายามเข้าไปดําเนินการช่วยเหลือแบบครบวงจรมากขึ้น ตั้งแต่การไกล่เกลี่ยหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ การให้ความรู้ทางการเงินไม่ให้เกิดการก่อหนี้เพิ่มเติม โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังมีคลินิกแก้หนี้สําหรับประชาชนที่มีหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ด้วย เรื่องSMEsเช่นกัน กําลังให้หามาตรการช่วยเหลือ ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและทั่วถึง ทั้งจากธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ เพราะบางส่วนของวิสาหกิจเรานั้นยังอ่อนแออยู่ ไม่ขึ้นทะเบียน กลัวการเสียภาษี ไม่ปรับระบบบัญชี ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือเรียนรู้เรื่องการตลาดที่เพียงพอ หรือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน อีกส่วนหนึ่งของหนี้ครัวเรือน คือหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลช่องทางเพื่อกู้ยืมนี้ มีความสะดวก เกิดการใช้งานง่ายจ่ายคล่อง ทําให้ประชาชนใช้เงินไปในสิ่งที่จําเป็น และไม่จําเป็นด้วยซึ่งล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้มีมาตรการเพื่อดูแลการเข้าถึงสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ ซึ่งจะนํามาใช้สําหรับลูกค้าใหม่ ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ ต้องเข้าใจ ถ้าเราปล่อยเสรีมากเกินไป ก็ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เราต้องแก้ไปด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อจะลดโอกาสในการก่อหนี้สินล้นพ้นตัวของพี่น้องประชาชนกลุ่มที่มีฐานะเปราะบาง และจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาวอีกด้วย พี่น้องประชาชนสามารถอ่านรายละเอียดของมาตรการเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท. ในเรื่องการเป็นหนี้นี้ มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐจะสามารถช่วยบรรเทาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะต้นตอของปัญหาก็คือตัวเราเอง คือพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรา เราก็ต้องปรับตัวเอง ลองพยายามลดความฟุ่มเฟือยลง ใช้ตามความจําเป็น ปรับใช้ตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง พอใจและมีความสุขในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช้คนอื่นเป็นไม้บรรทัด แต่ควรจะใช้ตัวเราเองเป็น ไม้บรรทัดครอบครัว บุตรหลาน ก็ต้องช่วยผู้ปกครองประหยัดด้วยการมองศักยภาพตนเอง ของครอบครัวเราด้วย การปรับเปลี่ยนตัวเองได้จะเป็นอย่างแรก ที่ถือว่าดีที่สุด สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญพี่น้องประชาชน ได้ร่วมรับชมคอนเสิร์ตแห่งปี “จากดวงใจ ไทยทั่วหล้า”ในเขตพระราชฐาน ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) ในวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 19.00 นาฬิกา เป็นต้นไป โดยการแสดงดนตรี ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลาน พระราชวัง ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จากครั้งแรกวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประสูติของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งครั้งนี้ เป็นโอกาสพิเศษเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2560 เป็นการรวมวงดนตรีบิ๊กแบรนด์ชื่อดังครั้งสําคัญในประวัติศาสตร์มาไว้เวทีเดียวกัน อาทิ วงดุริยางค์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ วงดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ วงดุริยางค์กรมศิลปากร และวงเฉลิมราชย์ อีกทั้งศิลปินนักร้องหลากหลายค่ายเพลงศิลปินแห่งชาติ รวมถึงนักร้องจากกรมประชาสัมพันธ์ ที่จะมามอบความสุข และสืบสานศิลปะแบบไทย ๆ ในโอกาสพิเศษเดียวกันนี้ ผมขอให้คนไทยทุกคนร่วมกันทําความดี ถวายเป็นพระราชกุศลเพราะความดีนั้นทําได้ไม่ยาก และขอให้เป็นการทําความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน เหมือนคุณสุมน มหิดุลย์ พนักงานเก็บเงินรถประจําทาง ขสมก. ที่เก็บกระเป๋าที่มีเงินสด ล้านกว่าบาท คืนเจ้าของ นอกจากนี้ ผมขอให้คนไทยมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ เหมือน เด็กชาย สเตฟาน ควิ้นท นักเรียนชั้น ม.1 ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก นานาชาติ ณ ประเทศสิงคโปร์ แม้จะป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะที่ 3 ขอชื่นชมจากใจ และขอเป็นกําลังใจให้ ทั้งน้องสเตฟานและครอบครัว ขอให้แข็งแรงต่อไป ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มหามงคลนี้นะครับสวัสดีครับ ................................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560 $("#video-player3").css("background-color", "#000000"); var container = document.getElementById("video-player3"); flowplayer.conf = { share :false, // --> set share button // facebook :true, // ratio :9/16, // --> set ratio // seekable :true, // autoplay :false, // splash : true, // chromecast :true, // auto quality // hlsQualities:true, poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/07/5548_280760.jpg", //poster // swf :"flowplayer.swf", // hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}], }; flowplayer(container, { clip: { sources: [ { // type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl // src: "vod/testcar.mp4" // type: "application/x-mpegurl", // file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8", type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl src: "http://www.thaigov.go.th/vdo/contents/views/770" } ], title: "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560", // qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"], // defaultQuality: "260p" } }); ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 65 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2560 นี้ รัฐบาลขอเชิญชวนปวงชน ชาวไทย ร่วมกันถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎร์ตราบกาลนาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงตอบรับขึ้นทรงราชย์ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ยังความปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง แก่พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ โดยทรงเป็นหลักชัยและศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย สืบต่อไป ครั้งที่พระองค์ทรงดํารงตําแหน่ง“พระรัชทายาท”ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ แทนพระองค์ และโดยเสด็จไปทรงงานในพื้นที่ต่าง ๆ กว่า 44 ปี เมื่อเสด็จขึ้นทรงราชย์ ในฐานะพระประมุขของชาติ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ดําเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแห่งสมเด็จพระบรมชนกนาถ ด้วยน้ําพระราชหฤทัยที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา ทรงปกแผ่พระบารมีเพื่อให้ชาวไทยอยู่ดีมีสุขอย่างถ้วนหน้า อาทิ ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประมุขแห่งสงฆ์ เพื่อดูแลและทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง และเป็นที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชน พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทรงปลูกฝังให้ชาวไทย ยึดมั่นในความดีงาม สุจริตเที่ยงตรง ทั้งหน้าที่การงานและการดํารงชีวิต ทรงปลูกฝังให้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ในวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก โดยทรงทํานุบํารุงอุปถัมภ์ศาสนาทั้งปวงในประเทศ พระราชทานทุนการศึกษาและอุปกรณ์การศึกษาแก่เด็กและเยาวชน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบถุงยังชีพพระราชทาน พร้อมกระแสพระราชดํารัสความห่วงใย เป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ประสบภัยอย่างยิ่ง ทรงเตรียมการป้องกันความเดือดร้อนจากภัยน้ําท่วมในกรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดข้าราชบริพาร รวมจิตอาสา ลอกคูคลองที่ตื้นเขิน เปิดทางน้ําให้ไหลสะดวก มีความสะอาดงดงาม เป็นระเบียบ เป็นต้น ด้วยพระราชจริยาวัตรอันงดงาม และพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้นี้ เป็นพลังน้อมนําให้คนไทยสมานฉันท์ รักชาติ ศาสนา พระมหา กษัตริย์ ยังความร่มเย็นเป็นสุขมั่นคงไพบูลย์แก่ประเทศชาติและประชาชน ในการนี้ ผมขอน้อมนําลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บนหน้าปก บทเจริญพระพุทธมนต์ 28 กรกฎาคม 2560 ที่พระราชทานแก่ประชาชน ความว่า“ความสุขในตัวเริ่มจากใจและทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่นส่วนรวม และตนเอง สุขในการบําเพ็ญประโยชน์ให้กับผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น สุขในการให้ทั้งกําลังกาย กําลังใจให้ผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการพัฒนาร่างกายจิตใจและปัญญาในทางสร้างสรรค์ความเจริญให้ตนเองและผู้อื่น การสวดมนต์และปฏิบัติธรรม ทําให้มีความสงบมีสติ สมาธิ และปัญญา ตลอดจนเป็นกุศลสิริมงคลแก่ทุกคน และจะนํามาสู่ความเจริญ และความสุขที่กล่าวมานั้นแล”ทั้งนี้เพื่อเป็น สิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวไทยทุกคน พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสําคัญกับการพัฒนาคน คือ พสกนิกรของพระองค์ ทุกหมู่เหล่า ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติ ว่าหลักปรัชญาของ“เศรษฐกิจพอเพียง”มีคุณูปการต่อมวลมนุษยชาติ ในการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ หัวใจของการพัฒนาคน คือการศึกษาซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงให้ความสําคัญอย่างยิ่ง มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ทรงดํารงพระอิสริยศ สยามมกุฎราชกุมาร โครงการในพระราชดําริหลายโครงการ ทรงมุ่งพัฒนาด้านการศึกษา โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อจัดสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์ ในท้องถิ่นทุรกันดาร พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียนทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นประจําทุกปี ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา รวมถึงระดับปริญญาตรี ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทย ที่มีฐานะยากจนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อเนื่อง เพื่อเป็นกําลังสําคัญของชาติในอนาคต และเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกด้วย โดยทรงจัดตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2552 และนําโครงการทุนการศึกษาพระราชทาน มาอยู่ภายใต้การดําเนินงานของมูลนิธิ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน มีคณะกรรมการมูลนิธิกํากับดูแล และทรงเป็นประธานกรรมการมูลนิธิด้วยพระองค์เอง รวมทั้งพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่นักเรียนทุนพระราชทานและครูดีเด่น เป็นประจําทุกปี โดยครั้งหนึ่งทรงแนะแนวทางการดําเนินชีวิตแก่นักเรียนว่า“เรียนดี การงานดี ชีวิตสดใส ทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ มีความสุข”เพื่อน้อมนําไปสู่การปฏิบัติต่อไปในอนาคตด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลได้น้อมนําศาสตร์พระราชา ด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของทั้งสองพระองค์ มาเป็นแนวทางในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ และการบริหารราชการแผ่นดินอาทิ การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ตลาดแรงงาน และอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และความมั่นคง ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2557 รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เรียกว่า ศปบ.จชต. หรือเรียกว่า เป็นกระทรวง ศึกษาธิการส่วนหน้า นับเป็นหน่วยงานกลางในการสร้างความเป็นเอกภาพและบูรณาการในการจัดการศึกษา ตามแผนยุทธศาสตร์การศึกษา เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปี พ.ศ.2560 ถึง 2579 โดยยึดหลักยุทธศาสตร์พระราชทานเข้าใจ เข้าถึงพัฒนา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ประสบผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง ด้วยเครือข่ายชุมนุมลูกเสือชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมความสัมพันธ์ชุมชน และเสริมสร้างความเข้าใจสถานศึกษาเอกชน (2) การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น1 ครูอาสา 1 ปอเนาะ ศาสตร์พระราชาในสถาบันปอเนาะ และการพัฒนาการสอนภาษาไทย เป็นต้น (3) การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษามีโครงการสําคัญ ๆ อาทิ โครงการสานฝันการกีฬา และโครงการห้องเรียนดนตรี (4) การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน โดยจัดตั้งศูนย์อบรมอาชีพประจําอําเภอ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและส่งเสริมทักษะวิชาชีพ รวมทั้งการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาล (5) การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการธนาคารขยะ และโครงการประหยัดพลังงาน และ (6) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษา และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐโดยจัดให้มีศูนย์ประสานงานมีการทําแผนยุทธศาสตร์การศึกษาในแต่ละพื้นที่เพื่อพัฒนากลไกการทํางานร่วมกัน ในการสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันในสังคม จากผลงาน 3 ปีที่ผ่านมา เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการรับบริการด้านการศึกษาและมีความรู้สึกว่าได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิดของคณะครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มมากขึ้น โดยผลสํารวจความคิดเห็นความสําเร็จต่อการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของรัฐบาลปัจจุบันของสวนดุสิตโพล และมหาวิทยาลัยทักษิณ สะท้อนถึงความพึงพอใจ ในระดับสูง ร้อยละ 85 เป็นการยืนยันความก้าวหน้าของรัฐบาลในการพัฒนาด้านการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างดียิ่งแสดงถึงระดับความเข้าใจ ไว้ใจ และร่วมมือ ซึ่งเป็นก้าวแรกที่มั่นคงนําไปสู่ก้าวต่อมาที่มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนต่อ ๆ ไป พี่น้องประชาชนที่รักครับ การศึกษานั้น นอกจากช่วยพัฒนาความคิด และยกระดับจิตใจ ให้กับปัจเจกชนได้แล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาสังคมได้ ตั้งแต่ในหน่วยระดับที่เล็กที่สุด คือครอบครัว ซึ่งศาสตร์พระราชามากมายที่พระราชทานไว้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับครัวเรือนของไทยเช่น (1) การรู้จักพอเพียง การจัดทําบัญชีครัวเรือน และการประหยัดอดออม เพื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท และมีชีวิตในวันข้างหน้าที่มั่นคงและ (2)บวรบ้านวัดโรงเรียน เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายพื้นฐานทางสังคมไทย เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ คู่คุณธรรม หากจะมองในภาพที่ใหญ่ขึ้นมาเป็นชุมชน ท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศแล้วปัญหาปากท้อง ยังคงเป็นปัญหาสําคัญของประเทศ ที่รัฐบาลนี้ ไม่เพียงต้องบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในบรรยากาศแห่งความปรองดองของคนในชาติ โดยปราศจากความขัดแย้งแล้วยังต้องวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งมีการปฏิรูปในทุกมิติ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย ทั้งนี้โจทย์ที่สําคัญคือ การเอาชนะความยากจน และการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมให้ได้ ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานราก ได้แก่ การให้การศึกษากับทุกคน ทุกกลุ่มวัย ทุกสาขาอาชีพ การยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกครัวเรือน ให้มีที่อยู่อาศัย ปลอดหนี้ รักการออม และมีหลักประกันสุขภาพ อย่างทั่วถึงเป็นต้น ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดํารัสกับคณะรัฐมนตรี ถึงการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประเทศ และประชาชน สรุปใจความสําคัญ ได้ว่าการปฏิบัติงานนั้นไม่ว่าจะปฏิบัติงานใดย่อมมีปัญหาย่อมมีอุปสรรค ซึ่งปัญหาและอุปสรรคนั้นคือบททดสอบ มีอะไรก็ปรึกษากัน หาข้อมูลที่ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความรอบคอบให้สมกับสถานการณ์และเหตุผล และตลอดระยะเวลา 70 ปี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปฏิบัติ อีกทั้งได้พระราชทานพระราชดําริ และพระราชทานแนวทางไว้ ก็ขอฝากให้ได้ศึกษาพระราชดําริ ศึกษาวิเคราะห์พระราชปณิธานและศึกษาพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ที่ทรงปฏิบัติมา ซึ่งผมและคณะรัฐมนตรี รวมทั้งข้าราชการทุกคน ได้น้อมนําใส่เกล้าใส่กระหม่อม ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาและสร้างการความผาสุก แก่พี่น้องปวงชนชาวไทยเสมอมา อาทิ ในการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา โดยการศึกษาปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาอย่างรอบด้านยกตัวอย่าง“ยางพารา”พบว่าเราคงต้องลดปริมาณการผลิต เพิ่มการแปรรูปใช้งานให้มากยิ่งขึ้นภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งมาตรการนี้ประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเป็นประเทศผู้ผลิตเช่นเดียวกับไทย แต่ไม่ประสบปัญหาราคายางตกต่ํา เพราะประเทศหนึ่ง มาเลเซีย เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เขาผลิตยางพาราเกือบล้านกว่าตัน เป็นอันดับหนึ่งของโลก เขาก็คาดการณ์ไปอนาคตแล้วว่า ความต้องในการใช้ยางพาราจะถึงทางตันเพราะมีอย่างอื่นมาแทน เขาตัดสินใจโค่นยางพาราลง ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว จนเมื่อปี 2545 เขามียางพาราอยู่แค่ 7 แสนตันเท่านั้น และเขาก็เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศ อยู่ที่ 4–5 แสนตัน นั่นคือผลิตยางออกมาพอดีกับที่ใช้ภายในประเทศ อีกประเทศหนึ่ง อินโดนีเซีย เขาปลูกยางพารามาก และใช้ยางในประเทศน้อย ไม่ต่างจากไทย แต่ก็ไม่มีปัญหาเหมือนเรา เพราะยางพาราของเขา เป็นยางที่อยู่ในป่า เป็นยางที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ชาวบ้านเห็นว่าราคาดี ก็เลยไปกรีดเอาออกมาขาย ตอนไหนเห็นราคาไม่ดีก็ไม่ไปกรีด เขาก็ไปทําอาชีพอย่างอื่น ดังนั้น แม้ราคายางพาราจะมีการขึ้น-ลง ก็ไม่เป็นปัญหา สําหรับเพื่อนบ้านเรา ทั้ง 2 ประเทศผู้ผลิตยางพารา เนื่องจากผลิตให้พอดีกับการใช้ภายในประเทศ ที่เหลือก็ส่งออก พร้อมกับแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า นอกจากนี้ เราต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศ โดยประเทศไทย ในปี 2545 มียางพาราอยู่ 3 ล้านตัน ปัจจุบันมี 5.4 ล้านตัน แต่การใช้ยางในประเทศ ใน 15 ปีที่ผ่านมา เรายังอยู่ที่ 4–5แสนตัน ไม่เพิ่มขึ้นจากเดิมนัก นั่นก็แปลว่า เราต้องส่งออกมากขึ้น ๆ ทุกปี แต่ถ้าวันหนึ่งโลกนี้ ไม่ต้องการใช้ยางพารา มีสิ่งอื่นทดแทนที่ถูกว่า หรือดีกว่าแล้วยางพาราส่วนเกิน ราว 4–5 ล้านตัน เราจะทําอย่างไร ราคาต้องตกแน่นอนอยู่แล้ว ที่แย่กว่านั้น เกษตรกรชาวสวนยาง ของเรานั้นจะปรับตัวทันหรือไม่ แรงงานในสวนยางอีกด้วยจะทําอย่างไร หากเราไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ในสิ่งเหล่านี้ ที่มีเพียง แต่รัฐบาลนี้ ที่กล้าพูดความจริงถ้าวันนี้ เรายังใช้การแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปวัน ๆ หรือเลี้ยงไข้เพื่อเรียกคะแนนเสียง เพราะยางพารา ไม่ต่างจากสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่กลายเป็นสินค้าการเมืองไปแล้ว และเกิดขึ้นในบ้านเราเท่านั้น ข้าวก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันไทยผลิตข้าว 30 ล้านตัน บริโภคภายใน ประเทศเพียง 10 ล้านตัน ส่งออก 20 ล้านตัน ซึ่งส่วนเกินของเรานี้ จะถูกกําหนดราคาโดยตลาดโลก ทั้งนี้ ถ้าเรายังแก้ปัญหาโดยการหว่านงบประมาณ ลงไปอุดหนุน ก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรได้รู้ถึงการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ได้อยากเลิกปลูกยางพารา หรือปลูกให้น้อยลง โดยเฉพาะในส่วนที่เกินความต้องการ เช่น การปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าบ้าง ไม่เหมาะกับการปลูกยางบ้าง แต่เหมาะกับการทําอย่างอื่น ผมคิดว่ามันส่งผลในทางตรงกันข้าม เพราะยิ่งเราใส่เงินลงไปก็เหมือนใส่น้ํามันเข้าไปในกองไฟเหมือนสนับสนุน หรือชอบให้แห่กันปลูกยาง แล้วปัญหาก็ไม่จบ ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่ผมยกตัวอย่างไว้ หรือถ้าเราแก้ปัญหาด้วยการประกันราคาพยุงราคา มันก็แค่ชะลอปัญหาเท่านั้น ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนของรัฐบาล คือ (1) ปรับสมดุลของการผลิตกับความต้องการใช้ และ (2) เพิ่มปริมาณการใช้ภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งได้ดําเนินการไปแล้ว ทั้งการลดการเพาะปลูกในพื้นที่บุกรุก เพื่อลดการผลิตและไม่ละเลยการทําผิดกฎหมาย อีกทั้งเพิ่มปริมาตรการใช้ ในประเทศ หรือตลาดในประเทศ อาทิยางพารา ซึ่งรัฐบาลให้ทุกกระทรวง หามาตรการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยล่าสุด สามารถสรุปความต้องการน้ํายางข้น 16,000 กว่าตัน และยางแห้ง 4,500 กว่าตัน คิดเป็นงบประมาณ กว่า 17,000 ล้านบาทสําหรับทําแผ่นทางปูพื้นคอกปศุสัตว์ พื้นอ่างเก็บน้ํา สระเก็บน้ําในไร่นา ลานกีฬาสนามฟุตซอล ลู่วิ่งสนามเด็กเล่นลานอเนกประสงค์บล็อกยางพาราเพื่อใช้ในการก่อสร้าง ที่นอน หมอนยางพารา ยางรถยนต์ใช้ในราชการ และพื้นผิวถนน เป็นต้น วันนี้ ได้ส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานที่จะใช้วัตถุดิบจากภาคการเกษตรของเราให้มากยิ่งขึ้น ด้วยมาตรการส่งเสริมการลงทุนของBOIอีกด้วย อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหายังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม มีแรงงานภาคการเกษตร อาทิ ทําสวนไร่นาประมงปศุสัตว์ และผู้ประกอบการ หรือทํางานที่เกี่ยวข้อง เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรอีก รวมกันเกือบครึ่งประเทศ หรือร้อยละ 40 ของประชากรไทย ราว 25 ล้านคน หรือ 6 ล้านครัวเรือน แต่เป็นภาคการผลิตที่มีสัดส่วนเพียง 8% ของGDP ทั้ง ๆ ที่แผ่นดินไทยมีความอุดมสมบูรณ์ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว หากเราไม่ปลูกพืชในพื้นที่สูงไม่มีระบบชลประทาน ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องภัยแล้งแล้วหันมาเพาะปลูก หรือทําเกษตรที่มีคุณภาพ ลงทุนน้อยกว่า ได้ผลผลิตมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด แลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งกันและกัน ดังนั้น รัฐบาลนี้ต้องการแก้ปัญหาแบบองค์รวมโดยปฏิรูปทั้งระบบ พร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องน้ําที่ดินสินค้าเกษตรอาชีพเสริมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไปสู่สิ่งที่เหมาะสมกว่า ด้วยความสมัครใจนอกจากผู้ผลิต คือ เกษตรกรแล้ว ยังมีกลางทาง พ่อค้าคนกลางการแปรรูป แล้วก็ปลายทางในเรืองของการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีผลกระทบจากราคาตกต่ําของผลิตผลทางการเกษตรทั้งสิ้น เราต้องมองให้ครบวงจร เพราะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องกัน ทั้งในภาคการเกษตร และในธุรกิจห่วงโซ่เหล่านั้น อีกมากมาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในหลวง 2 พระองค์ รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการใหม่ของกระทรวงเกษตรโครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมีเลขสามตัวแรก9 และ10 คือ รัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 เลขตัวท้าย 1 คือ เริ่มคิดโครงการนี้ มาตั้งแต่ปีที่ 1 ของรัชกาลปัจจุบัน โดยมีเป้าหมาย 9,101 ชุมชน ทั่วประเทศ ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 1.77 ล้านราย โดยจะมีผู้ได้รับผลประโยชน์กว่า 7.68 ล้านคนจากโครงการที่คิดและเสนอเอง จากชุมชน หรือสนับสนุนให้ระเบิดจากข้างในกว่า 24,000 โครงการ ด้วยวงเงิน 20,000 กว่าล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติโครงการ โดยคณะกรรมการระดับอําเภอแล้ว กว่า 87% โดยงบประมาณที่ลงสู่พื้นที่และถึงมือเกษตรกรโดยตรงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ๆ ละประมาณ 10,000 ล้านบาท เท่า ๆ กัน คือ (1) ค่าวัสดุอุปกรณ์ ซึ่งยังคงเก็บไว้ใช้อย่างต่อเนื่องในการทํากิจกรรมตามโครงการ และ (2) ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน ประกอบอาชีพ และหมุนเวียนในชุมชน สําหรับกิจกรรมหลัก ๆ ได้แก่ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก การผลิตพืชและพันธุ์พืชการปศุสัตว์ การผลิตอาหารการแปรรูปผลผลิตและการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรการทําประมง การทําฟาร์มชุมชน การกําจัดศัตรูพืชการปรับปรุงบํารุงดิน และการทําเกษตรกรรมอื่น ๆ เช่น การทําเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น ทั้งนี้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตร (ศพก.) ทั้ง 882 ศูนย์ และเครือข่ายแตกแขนง ทั่วประเทศ กว่า 10,000 แห่ง จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาภาคการเกษตร ที่เน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม และส่งเสริมการทํางานแบบประชารัฐในพื้นที่ อีกด้วย ทําให้เกิดการพัฒนาของเกษตรชุมชน สร้างความเข้มแข็งในพื้นที่ ส่งเสริมให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ โดยผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ นําไปปฏิบัติเองได้จริง และทําให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ วันนี้ผมอยากพูดถึงเรื่องที่มีความสําคัญกับพวกเราทุกคน และที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด คือ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้องและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ผมอยากเรียนให้ทราบว่า จากข้อมูลในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมค่อย ๆ ดีขึ้น อย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของภาคเอกชนทยอยปรับดีขึ้น ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจก็ค่อย ๆ ดีชัดเจนมากขึ้น ล่าสุด การค้าขายระหว่างประเทศของไทยปรับดีขึ้นเทียบกับในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมาทั้งการส่งออกที่เริ่มเห็นว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และถือเป็นการเติบโตจากปีก่อนถึงร้อยละ 7.91 ขณะที่การนําเข้าสินค้าจากต่างประเทศก็สูงขึ้นมากด้วยเช่นกัน เทียบกับปีก่อน เติบโตได้เกือบถึงร้อยละ 10 ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริโภคสินค้าและบริการในประเทศ หรือการนําเข้าสินค้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเราไปถามพี่น้องประชาชน ก็จะทราบว่ากิจกรรมการจับจ่ายใช้สอยและรายได้ ยังไม่ได้ลงไปสู่ประชาชนฐานรากอย่างทั่วถึงรัฐบาลทราบดี ที่ได้ก็คือคนที่อยู่ร่วมในกิจการส่งออกการผลิต การแปรรูป ในส่วนที่ยังทําเป็นอิสระอยู่จํานวนมากนั้น ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นตามนั้น ซึ่งรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย อย่างที่เขากล่าวอ้างกัน เราได้รับทราบถึงปัญหา และได้มีการทํางานอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งกับการเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชน พี่น้องเกษตรกร อย่างเช่น โครงการ 9101 ที่กล่าวมา รวมถึงSMEsที่ยังไม่สามารถจะเติบโตไปกับเศรษฐกิจในภาพรวมได้ ก่อนอื่น ผมอยากให้เราเข้าใจร่วมกันว่าต้นตอของปัญหาเศรษฐกิจคืออะไรบ้างเพื่อที่เราจะได้ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ผมมองว่า ส่วนหนึ่งที่เศรษฐกิจยังขยายตัว แต่ไม่ทั่วถึงนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปว่า ปัจจัยสําคัญปัจจัยแรก ก็คือเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจาก“วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์”ได้อย่างช้า ๆ เรายังเห็นว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศยังอ่อนแอ ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการยังน้อยอยู่ การส่งออกของไทยก็เลยฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่วันนี้ แม้จะดีขึ้น แต่ก็เนื่องจากอ่อนแอมาเป็นเวลานาน จึงทําให้ราคาสินค้าเกษตร รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ํามัน หรือทอง ลดลงมาในระดับต่ําต่อเนื่องหลายปี ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรหลาย ๆ ประเภทในบ้านเรา และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรไม่สามารถกระเตื้องขึ้นได้เท่าที่ควร เรื่องเศรษฐกิจโลกก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งของปัญหา คือโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยนั้นเอง ที่ไม่เข้มแข็ง ที่ยังไม่ได้รับมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นพลวัตเท่าที่ควร ศักยภาพการผลิตและความสามารถในการแข่งขันก็ยังคงต้องเร่งพัฒนาให้ทันสมัยด้วย ให้ทันต่อสถานการณ์ด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัฐบาลนี้ ต้องการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทุกระบบ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็ง รองรับการพัฒนาในอนาคต และแก้ปัญหาประเทศ แบบองค์รวมให้ได้ในระยะยาว เราต้องทําพร้อม ๆ กัน ทั้งการผลิต การแปรรูป การจําหน่าย ให้เข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้ด้วย ที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีมาตรการทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่มาจากทั้งภายในและภายนอก โดยในช่วงที่การจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชน ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ภาครัฐก็ต้องเร่งเสริมการใช้จ่าย เพื่อให้มีเม็ดเงินลงไปสู่เศรษฐกิจ ลงไปสู่ฐานรากให้ได้มากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการเร่งเดินหน้าเพื่อใช้จ่ายงบประมาณให้ทันตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งด้านรายจ่ายประจํา และรายจ่ายเพื่อการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การใช้จ่ายเหล่านี้ ถือเป็นภาระและเป็นหน้าที่สําคัญของภาครัฐด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ของภาครัฐนั้น มีการวางแผนไปข้างหน้า มีการดูรายรับ เทียบกับรายจ่าย และความต้องการของเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วยถ้าเศรษฐกิจดี รัฐก็ไม่ต้องลงไปใช้จ่ายมาก ให้เอกชนเป็นผู้นําและก็ใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่แต่ในวันที่เศรษฐกิจอ่อนแรง เอกชนยังไม่มั่นใจ ซึ่งการเมืองก็มีส่วนตรงนี้ด้วย อาจจะมีการบิดเบือนบ้างอะไรบ้าง ให้ร้ายการทํางานของรัฐบาล ทุกอย่างมันช้าไป รัฐบาลก็จําเป็นต้องมีหน้าที่เข้าไปเสริมและเมื่อมองภาพภาระของภาครัฐในช่วงนี้ไปจนถึงระยะข้างหน้า อีกหลายปี พบว่าหนี้สาธารณะของประเทศก็ยังไม่เกินร้อยละ 60 ที่เป็นเกณฑ์สากล ผมยืนยันว่า เราให้ความสําคัญในเรื่องนี้มาก และกําชับให้ทุกฝ่ายดําเนินการด้วยความระมัดระวัง อย่างที่สุด ผมขอยกตัวอย่างโครงการที่รัฐบาลได้เร่งดําเนินการ ทั้งเพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อการสนับสนุนรายได้ในระยะสั้น และการเร่งดําเนินการเพื่อวางรากฐาน ปรับฐานการผลิต สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้กับประเทศ ซึ่งได้แก่ มาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ทําแบบครบวงจร ซึ่งผมได้เรียนให้ทราบแล้วข้างต้น โดยเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ตั้งแต่การวางแผน การผลิตและการตลาด เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรแปลงใหญ่ และความร่วมมือในโครงการประชารัฐต่าง ๆ นอกจากนี้ เรายังเห็นการเร่งรัดโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านการคมนาคม ซึ่งล่าสุด คณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติการดําเนินงานของรถไฟสายสีม่วงส่วนใต้ เพื่อเชื่อมต่อกับสายสีม่วงเดิม หรือการเร่งรัดการวางรากฐานเพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)ทั้งในเรื่องการสนับสนุนการศึกษา และปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อดึงการลงทุนที่จะสร้างอาชีพให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย การดําเนินงานในด้านมาตรการของภาครัฐนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกกระทรวง ไม่ใช่เพียงกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ฯ แต่ยังมีงานด้านอื่น ๆ ของทุกกระทรวง ที่ต้องเร่งดําเนินการให้เป็นรูปธรรมในลักษณะการบูรณาการ สร้างความเชื่อมโยง สร้างห่วงโซ่ทุกกิจกรรมให้ถึงประชาชนและท้องถิ่นให้ได้ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนและประเทศในภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนสําหรับโครงการต่าง ๆ ที่ให้ไว้ จะต้องดําเนินการให้ได้โดยเร็ว มีการปฏิบัติงานลงไปสู่ภาคจังหวัด พื้นที่ ชุมชน โดยกระทรวงต่าง ๆ ต้องทั้งทํางานในส่วนงานฟังก์ชั่น และงานบูรณาการกับกระทรวงหรือหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ให้เกิดผลที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม ซึ่งผมจะประเมินการทํางานของทุกกระทรวงต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดด้วย ในส่วนของภาคเอกชน รัฐได้เข้าไปช่วยสนับสนุนหรือยกระดับ กระตุ้นในเรื่องของการลงทุนให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยในห้วงครึ่งแรกของปีนี้ มกราคม ถึง มิถุนายน 2560มีโครงการลงทุนจากเอกชน ที่เข้ามาขอรับการส่งเสริมการลงทุนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จํานวน 612 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 290,000 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 46 ของโครงการที่ขอจะลงทุน อยู่ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน โดยเฉพาะกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่“ประเทศไทย 4.0”และหากแยกมิติพื้นที่ พบว่าร้อยละ 25 ของโครงการที่ขอ ก็จะอยู่ในพื้นที่EECชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ในห้วงเวลาดังกล่าว คณะกรรมการBOIซึ่งผมเป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุนไปแล้วกว่า 590 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 340,000 ล้านบาท ในกิจการดิจิทัล เกษตรแปรรูป ผลิตพลังงานไฟฟ้า กิจการขนถ่ายสินค้าสําหรับเรือบรรทุกสินค้า เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเพิ่มการจ้างงานให้คนไทยกว่า 33,000 ตําแหน่งงาน และล้วนเป็นโครงการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในโครงการที่ได้อนุมัติไปแล้วในครึ่งแรกของปี 2560 นั้น จะส่งผลให้มีการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีการใช้น้ํามันปาล์มเพิ่มขึ้นอีก 21,600 ตันต่อปี และใช้ยางพาราเพิ่มอีกกว่า 900,000 ตันต่อปีด้วย ผมขอเรียกร้องให้ภาคเอกชนร่วมกันลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ยิ่งท่านลงทุนเร็วเท่าไหร่ เงินก็จะหมุนเวียนในระบบเร็วขึ้น พี่น้องประชาชนคนไทยและภาคเอกชนรายเล็ก ๆ จะได้รับอานิสงค์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย รัฐบาลมีหน้าที่สร้างบรรยากาศการลงทุนให้ดี ผมจะพยายามทําให้ดีที่สุด อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า ภาครัฐ นอกจากจะมีหน้าที่เข้าไปเสริมเม็ดเงินเพื่อช่วยสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องมีหน้าที่ในการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการใช้จ่าย การลงทุน ของภาคเอกชน และประชาชนในทุกกลุ่มด้วย ซึ่งภายใต้คณะกรรมการ ปยป. ในส่วนของการปฏิรูป จะเร่งรัดดําเนินการพิจารณากฎระเบียบ หรือกฎหมาย ที่เป็นอุปสรรคของการทําธุรกิจ การลงทุน หรือการดํารงชีวิตของพี่น้องประชาชนเพื่อปรับปรุงให้สมเหตุสมผลขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยย่นระยะเวลาและต้นทุนของภาคธุรกิจและของพี่น้องประชาชนได้ ซึ่งผมมองว่า การปฏิรูปกฎระเบียบ หรือกฎหมายนี้ ถือเป็นรากฐานสําคัญที่จะนําไปสู่การปฏิรูปด้านอื่น ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีผลสัมฤทธิ์ด้วย ถ้าทําไม่ได้ ก็ยากที่จะปฏิรูปด้านอื่น ๆ ในส่วนของเกณฑ์สากลที่เราต้องปฏิบัติตาม เช่นICAOและIUUเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อให้เราได้มาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุน รัฐบาลจะเดินหน้าดําเนินการอย่างเหมาะสมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนต่อไป สิ่งเหล่านี้ ที่ผ่านมาไม่ค่อยให้ความสําคัญกันมากนัก นอกจากนี้ การทํางานของภาครัฐเอง หรือกระทรวงต่าง ๆ ก็ต้องมุ่งไปในเชิงรุกมากขึ้น รัฐบาลนี้เหลือเวลาอีกไม่นานนักในการปฏิบัติงาน ตามRoad Mapผมอยากให้เราได้วางรากฐาน วางแนวคิด แนวปฏิบัติ สร้างความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องไปได้ในระยะยาวหลาย ๆ รัฐบาล เราจะมุ่งสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้นในช่องทางต่าง ๆ จะมีการคุยกันใกล้ชิดให้มากยิ่งขึ้น หารือกัน อธิบายต่อกัน ว่าอะไรทําได้ อะไรทําไม่ได้ เพราะเหตุใด มีปัญหาหรือที่ยังทําไม่ได้นั้นเป็นเพราะสาเหตุใด ซึ่งแผนงานของรัฐบาลและ คสช. จนถึงวันที่ 31 กันยายน 2561 ในด้านนี้ มีทั้งการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรการตรวจเยี่ยม พบปะ ประชาชน ในภาคกลุ่มจังหวัด จังหวัด ชุมชน ท้องถิ่น ในพื้นที่ เพื่อไถ่ถาม หารือ ถึงสิ่งที่ต้องการ สําหรับจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่โดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหา หรือสร้างงานต่าง ๆ ให้เกิดผลโดยเร็ว สําหรับพี่น้องประชาชนเอง ก็สามารถติดต่อ พูดคุย แจ้งปัญหาและความต้องการกับรัฐบาลได้หลายช่องทางนอกเหนือไปจากหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ศูนย์ดํารงธรรม (สายด่วน 1567) ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้รับเรื่อง และจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ได้เร็วขึ้นศูนย์ปฏิบัติการป้องกันการทุจริตของกระทรวงต่าง ๆ และล่าสุด ก็ได้มีคําสั่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และกองทัพบก ซึ่งรวมไปถึงกองทัพภาคและหน่วยทหารของกองทัพบกในทุกพื้นที่ เป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบ เรียกรับสินบนหรือผลประโยชน์ทุกรูปแบบที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะจะกระทบต่อประชาชนโดยตรง และอาจจะเชื่อมโยงไปสู่การค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นวาระชาติด้วยการเปิดตู้ ปณ. และสายด่วน รายละเอียดตามหน้าจอ เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้แจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ ได้มากขึ้น สะดวกขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึกในสังคมมายาวนาน เปลี่ยนประเทศไทยให้ใสสะอาด และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ทั้งนี้ ผมมองว่า พี่น้องประชาชนฐานราก ไม่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอนาน ทําให้เกิดปัญหาหนี้สินพะรุงพะรัง และเป็นหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แก้ไขได้ยาก และส่งผลถึงความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน เพราะต้องนํารายได้มาใช้หนี้ ซึ่งภาครัฐ ได้พยายามเข้าไปดําเนินการช่วยเหลือแบบครบวงจรมากขึ้น ตั้งแต่การไกล่เกลี่ยหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ การให้ความรู้ทางการเงินไม่ให้เกิดการก่อหนี้เพิ่มเติม โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังมีคลินิกแก้หนี้สําหรับประชาชนที่มีหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ด้วย เรื่องSMEsเช่นกัน กําลังให้หามาตรการช่วยเหลือ ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและทั่วถึง ทั้งจากธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ เพราะบางส่วนของวิสาหกิจเรานั้นยังอ่อนแออยู่ ไม่ขึ้นทะเบียน กลัวการเสียภาษี ไม่ปรับระบบบัญชี ไม่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือเรียนรู้เรื่องการตลาดที่เพียงพอ หรือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน อีกส่วนหนึ่งของหนี้ครัวเรือน คือหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลช่องทางเพื่อกู้ยืมนี้ มีความสะดวก เกิดการใช้งานง่ายจ่ายคล่อง ทําให้ประชาชนใช้เงินไปในสิ่งที่จําเป็น และไม่จําเป็นด้วยซึ่งล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้มีมาตรการเพื่อดูแลการเข้าถึงสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกํากับ ซึ่งจะนํามาใช้สําหรับลูกค้าใหม่ ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ ต้องเข้าใจ ถ้าเราปล่อยเสรีมากเกินไป ก็ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ เราต้องแก้ไปด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อจะลดโอกาสในการก่อหนี้สินล้นพ้นตัวของพี่น้องประชาชนกลุ่มที่มีฐานะเปราะบาง และจะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาวอีกด้วย พี่น้องประชาชนสามารถอ่านรายละเอียดของมาตรการเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท. ในเรื่องการเป็นหนี้นี้ มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐจะสามารถช่วยบรรเทาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะต้นตอของปัญหาก็คือตัวเราเอง คือพฤติกรรมการใช้จ่ายของเรา เราก็ต้องปรับตัวเอง ลองพยายามลดความฟุ่มเฟือยลง ใช้ตามความจําเป็น ปรับใช้ตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง พอใจและมีความสุขในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช้คนอื่นเป็นไม้บรรทัด แต่ควรจะใช้ตัวเราเองเป็น ไม้บรรทัดครอบครัว บุตรหลาน ก็ต้องช่วยผู้ปกครองประหยัดด้วยการมองศักยภาพตนเอง ของครอบครัวเราด้วย การปรับเปลี่ยนตัวเองได้จะเป็นอย่างแรก ที่ถือว่าดีที่สุด สุดท้ายนี้ ผมขอเชิญพี่น้องประชาชน ได้ร่วมรับชมคอนเสิร์ตแห่งปี “จากดวงใจ ไทยทั่วหล้า”ในเขตพระราชฐาน ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) ในวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 19.00 นาฬิกา เป็นต้นไป โดยการแสดงดนตรี ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้พระลาน พระราชวัง ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จากครั้งแรกวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันประสูติของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งครั้งนี้ เป็นโอกาสพิเศษเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2560 เป็นการรวมวงดนตรีบิ๊กแบรนด์ชื่อดังครั้งสําคัญในประวัติศาสตร์มาไว้เวทีเดียวกัน อาทิ วงดุริยางค์ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ วงดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ วงดุริยางค์กรมศิลปากร และวงเฉลิมราชย์ อีกทั้งศิลปินนักร้องหลากหลายค่ายเพลงศิลปินแห่งชาติ รวมถึงนักร้องจากกรมประชาสัมพันธ์ ที่จะมามอบความสุข และสืบสานศิลปะแบบไทย ๆ ในโอกาสพิเศษเดียวกันนี้ ผมขอให้คนไทยทุกคนร่วมกันทําความดี ถวายเป็นพระราชกุศลเพราะความดีนั้นทําได้ไม่ยาก และขอให้เป็นการทําความดีโดยไม่หวังผลตอบแทน เหมือนคุณสุมน มหิดุลย์ พนักงานเก็บเงินรถประจําทาง ขสมก. ที่เก็บกระเป๋าที่มีเงินสด ล้านกว่าบาท คืนเจ้าของ นอกจากนี้ ผมขอให้คนไทยมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ เหมือน เด็กชาย สเตฟาน ควิ้นท นักเรียนชั้น ม.1 ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก นานาชาติ ณ ประเทศสิงคโปร์ แม้จะป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะที่ 3 ขอชื่นชมจากใจ และขอเป็นกําลังใจให้ ทั้งน้องสเตฟานและครอบครัว ขอให้แข็งแรงต่อไป ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ มหามงคลนี้นะครับสวัสดีครับ ................................................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กบี้’ พร้อมลงพื้นที่นครสวรรค์ เตรียมแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในเขตภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ‘บิ๊กบี้’ พร้อมลงพื้นที่นครสวรรค์ เตรียมแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในเขตภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน รมว.แรงงาน เตรียมลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ติดตามผลการดําเนินงานการเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน 4 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 18 (นครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจศูนย์กลางการคมนาคมในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอ นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่ 23 มิถุนายน 2560 พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ จะลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ติดตามผลการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจศูนย์กลางการคมนาคมในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ซึ่งเป็นชุมทางของคมนาคมที่หลากหลายทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ํา และกระตุ้นให้เกิดการลงทุน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะได้ รับฟังประเด็นปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบ แนวทางการปฏิบัติราชการแก่หัวหน้าส่วนราชการภูมิภาคในสังกัดกระทรวงแรงงานของเขตตรวจราชการที่ 18 ทั้ง 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดนครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนช่วงบ่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีรับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ ประเทศไทย จํากัด รวมทั้งเยี่ยมชมกิจการและให้กําลังใจแรงงานในสถานประกอบกิจการ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จํากัด ตําบลหนองโพ อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ด้วย “นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะไปเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ มณฑลทหารบกที่ 31 กระทรวงกลาโหม โดยมุ่งเน้นพัฒนาฝีมือให้แก่ทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งมี 4 หลักสูตร ได้แก่ สาขาการบํารุงรักษารถยนต์เบื้องต้น สาขาช่างประกอบโครงอลูมิเนียมและการติดตั้งฝ้าเพดานยิปซั่ม สาขาช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร และสาขาช่างเครื่องปรับอากาศ” นายอนันต์ชัย กล่าว +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว 21 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กบี้’ พร้อมลงพื้นที่นครสวรรค์ เตรียมแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในเขตภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 ‘บิ๊กบี้’ พร้อมลงพื้นที่นครสวรรค์ เตรียมแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในเขตภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน รมว.แรงงาน เตรียมลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ติดตามผลการดําเนินงานการเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน 4 จังหวัด เขตตรวจราชการที่ 18 (นครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจศูนย์กลางการคมนาคมในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอ นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า วันที่ 23 มิถุนายน 2560 พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ จะลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ติดตามผลการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจศูนย์กลางการคมนาคมในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ซึ่งเป็นชุมทางของคมนาคมที่หลากหลายทั้งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ํา และกระตุ้นให้เกิดการลงทุน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะได้ รับฟังประเด็นปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน นักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมมอบ แนวทางการปฏิบัติราชการแก่หัวหน้าส่วนราชการภูมิภาคในสังกัดกระทรวงแรงงานของเขตตรวจราชการที่ 18 ทั้ง 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดนครสวรรค์ กําแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนช่วงบ่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีรับมอบศูนย์ฝึกอบรมช่างสีรถยนต์ จาก บริษัท นิปปอนด์เพ้นท์ ประเทศไทย จํากัด รวมทั้งเยี่ยมชมกิจการและให้กําลังใจแรงงานในสถานประกอบกิจการ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จํากัด ตําบลหนองโพ อําเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ด้วย “นอกจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะไปเยี่ยมชมโครงการความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กับ มณฑลทหารบกที่ 31 กระทรวงกลาโหม โดยมุ่งเน้นพัฒนาฝีมือให้แก่ทหารก่อนปลดประจําการ เพื่อสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบกิจการ ซึ่งมี 4 หลักสูตร ได้แก่ สาขาการบํารุงรักษารถยนต์เบื้องต้น สาขาช่างประกอบโครงอลูมิเนียมและการติดตั้งฝ้าเพดานยิปซั่ม สาขาช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร และสาขาช่างเครื่องปรับอากาศ” นายอนันต์ชัย กล่าว +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ข่าว 21 มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4687
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 วันนี้ (12 ก.ค. 61) เวลา 10.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนทั้งสิ้น 120 คน เข้าร่วมประชุม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการจัดระดับประเทศไทยอยู่ระดับ 2 (Tier 2) ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจําปี 2561 และการดําเนินงานของคณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ที่มีพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยตั้งแต่ปี 2556 - 2561 มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ รวม 57 ราย ดําเนินการทางอาญา พิพากษาลงโทษ 41 ราย อยู่ระหว่างสอบสวนและไต่สวนข้อเท็จจริง 16 ราย ดําเนินการทางวินัยทุกรายแล้ว อีกทั้งได้ยึดและอายัดทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งสิ้น 45,027,656 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะ 11 ข้อ ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯประจําปี 2561 ซึ่งประกอบด้วย ด้านการดําเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ และด้านการป้องกัน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการให้เห็นผลงานเป็นรูปธรรม เพื่อนําไปจัดทํารายงานของประเทศในปี 2561 และจะติดตามความคืบหน้าการทํางานเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบให้กระทรวง พม. เสนอคณะรัฐมนตรีทราบมาตรการเร่งรัดการดําเนินคดีค้ามนุษย์ และคดีค้ามนุษย์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อจะได้มอบทุกหน่วยงานถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่ได้ร่วมกันเร่งรัดการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้มีผลงานเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง และร่วมกันจัดทํารายงานของประเทศไทยส่งให้สหรัฐฯ เพื่อสะท้อนความพยายามและผลการดําเนินงานสําคัญของรัฐบาลจนส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยกระดับเป็นระดับ 2 และหากหน่วยงานใดมีปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงาน รัฐบาลยินดีให้ การช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอให้ทุกคนมุ่งมั่น ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เกิด ผลเป็นรูปธรรม โดยการคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 วันนี้ (12 ก.ค. 61) เวลา 10.00 น. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ครั้งที่ 3/2561 และคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปกค.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนทั้งสิ้น 120 คน เข้าร่วมประชุม ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลการจัดระดับประเทศไทยอยู่ระดับ 2 (Tier 2) ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา ประจําปี 2561 และการดําเนินงานของคณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ที่มีพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยตั้งแต่ปี 2556 - 2561 มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ รวม 57 ราย ดําเนินการทางอาญา พิพากษาลงโทษ 41 ราย อยู่ระหว่างสอบสวนและไต่สวนข้อเท็จจริง 16 ราย ดําเนินการทางวินัยทุกรายแล้ว อีกทั้งได้ยึดและอายัดทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งสิ้น 45,027,656 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะ 11 ข้อ ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯประจําปี 2561 ซึ่งประกอบด้วย ด้านการดําเนินคดี ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ และด้านการป้องกัน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการให้เห็นผลงานเป็นรูปธรรม เพื่อนําไปจัดทํารายงานของประเทศในปี 2561 และจะติดตามความคืบหน้าการทํางานเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ยังได้เห็นชอบให้กระทรวง พม. เสนอคณะรัฐมนตรีทราบมาตรการเร่งรัดการดําเนินคดีค้ามนุษย์ และคดีค้ามนุษย์ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อจะได้มอบทุกหน่วยงานถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่ได้ร่วมกันเร่งรัดการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้มีผลงานเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง และร่วมกันจัดทํารายงานของประเทศไทยส่งให้สหรัฐฯ เพื่อสะท้อนความพยายามและผลการดําเนินงานสําคัญของรัฐบาลจนส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยกระดับเป็นระดับ 2 และหากหน่วยงานใดมีปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงาน รัฐบาลยินดีให้ การช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอให้ทุกคนมุ่งมั่น ร่วมกันปฏิบัติงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้เกิด ผลเป็นรูปธรรม โดยการคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13813
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย วันนี้ (10 ก.ย. 61) เวลา 09.00 น. ที่ห้องปริ๊นซ์บอลรูม 2-3 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ความเท่าเทียมระหว่างเพศ : จากแนวคิดสู่นโยบาย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นให้คนในสังคมเกิดความตระหนักเห็นความสําคัญของการป้องกันการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ โดยมีผู้ร่วมงาน ประกอบด้วย ผู้บริหารด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชาย (Chief Gender Equality Officer: CGEO) เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานด้านความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย (Gender Focal Point: GFP) ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐในระดับภูมิภาค ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนกลุ่มและองค์กรต่างๆ รวมถึงภาคส่วนประชาสังคม รวมจํานวน 500 คน พลเอก อนันตพรกล่าวว่า ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 ทําให้มีพันธกิจที่รัฐต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางตามอนุสัญญาดังกล่าว คือ ต้องกําหนดนโยบาย มาตรการ กลไก รวมทั้งแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคระหว่างเพศขึ้น จึงได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นโยบาย และระเบียบต่างๆ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่สตรี รวมถึงบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างเท่าเทียม มีการห้ามการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และ พ.ศ. 2550 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรีและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จึงได้ผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดระบบในการส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมระหว่างเพศ และให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิและไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเหตุแห่งเพศ ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือ รวมทั้งได้กําหนดให้มีกลไกการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวในรูปแบบของคณะกรรมการ ประกอบด้วย คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือ สทพ. มี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ อีกทั้งยังมีกรรมการจากหน่วยงานภาครัฐ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรสตรีและองค์กรที่ทํางานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศด้านนิติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสังคมศาสตร์หรือด้านจิตวิทยา ให้มาร่วมกันกําหนดนโยบาย มาตรการ แผนปฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย นอกจากนี้ ยังได้กําหนดให้มีกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพื่อให้เป็นทุนใช้จ่ายในการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งช่วยเหลือ ชดเชย และเยียวยาหรือบรรเทาทุกข์แก่บุคคลซึ่งตกเป็นผู้เสียหายจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างครบถ้วน พลเอก อนันตพรกล่าวต่ออีกว่า สําหรับพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ มีการบังคับใช้ผ่านมาแล้ว 3 ปี แต่สถานการณ์การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศยังคงปรากฏให้เห็นอยู่หลายประเด็น อาทิ ยังมีผู้หญิงที่ถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน เนื่องจากนายจ้างเห็นว่าผู้หญิงต้องตั้งครรภ์และคลอดบุตร และกลุ่มผู้ที่แสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกําเนิดถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงานเช่นกัน รวมถึงการไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ จึงได้ร่วมกันพิจารณาหาสาเหตุดังกล่าว พบว่า 1) สังคมยังขาดการรับรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 และกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2) คนในสังคมมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ดังนั้น แม้จะมีการรับรู้ แต่ก็อาจจะไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะเข้ามาใช้ช่องทางเพื่อช่วยเหลือตนเอง 3) คนที่รับรู้และตั้งใจเข้ามาใช้บริการแต่ติดเงื่อนไขทางเอกสารที่มีความยากต่อการทําความเข้าใจ ทําให้ผู้รับบริการไม่สะดวกที่จะขอรับบริการความช่วยเหลือ และ 4) การสร้างการรับรู้ที่ผ่านมา สร้างความเข้าใจผิดว่าพระราชบัญญัติฯ เป็นกฎหมายเฉพาะของคนบางกลุ่ม ดังนั้น คนกลุ่มอื่นๆ จึงไม่ได้เข้ามาร่วมใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งแนวทางแก้ไข จึงควรสร้างการรับรู้ที่รวมคนทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงสิทธิและประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเสริมพลังสําหรับผู้เสียหายกลุ่มที่ยังไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะใช้สิทธิ รวมถึงควรมีการปรับปรุง ระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิ ตลอดจนสร้างเครือข่ายหน่วยงานและองค์กร เพื่อช่วยเผยแพร่และทําให้การรับรู้ขยายสู่วงกว้างมากยิ่งขึ้น พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมที่สําคัญของโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1) การอภิปราย เรื่อง กลไกการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ นายประเสริฐ กาญจนอุทัย อนุกรรมการด้านกฎหมาย สทพ. ศาสตราจารย์ มาลี พฤกษ์พงศาวลี ประธานกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ นางสาวสุพัตรา ภู่ธนานุสรณ์ กรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และ 2) การประชุมกลุ่มย่อย เรื่อง การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ : จากปัญหาสู่นโยบาย โดยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ได้มีการมอบทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายความเท่าเทียมระหว่างเพศ การจัดทํายุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ การพัฒนาช่องทางการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ วลพ. โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงพระราชบัญญัติฯ โดยให้ความสําคัญกับความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ให้อยู่บนหลักความโปร่งใส และต้องรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกําหนดประชุมปีละ 4 ครั้ง หรือ 3 เดือนต่อครั้ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย พม. จัดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ มุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย วันนี้ (10 ก.ย. 61) เวลา 09.00 น. ที่ห้องปริ๊นซ์บอลรูม 2-3 โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซ กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ความเท่าเทียมระหว่างเพศ : จากแนวคิดสู่นโยบาย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นให้คนในสังคมเกิดความตระหนักเห็นความสําคัญของการป้องกันการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ โดยมีผู้ร่วมงาน ประกอบด้วย ผู้บริหารด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชาย (Chief Gender Equality Officer: CGEO) เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานด้านความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย (Gender Focal Point: GFP) ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐในระดับภูมิภาค ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนกลุ่มและองค์กรต่างๆ รวมถึงภาคส่วนประชาสังคม รวมจํานวน 500 คน พลเอก อนันตพรกล่าวว่า ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2528 ทําให้มีพันธกิจที่รัฐต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางตามอนุสัญญาดังกล่าว คือ ต้องกําหนดนโยบาย มาตรการ กลไก รวมทั้งแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในเรื่องต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาคระหว่างเพศขึ้น จึงได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นโยบาย และระเบียบต่างๆ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่สตรี รวมถึงบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างเท่าเทียม มีการห้ามการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องเพศ โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และ พ.ศ. 2550 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรีและการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ จึงได้ผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดระบบในการส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมระหว่างเพศ และให้ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิและไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะเหตุแห่งเพศ ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือ รวมทั้งได้กําหนดให้มีกลไกการขับเคลื่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวในรูปแบบของคณะกรรมการ ประกอบด้วย คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือ สทพ. มี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ อีกทั้งยังมีกรรมการจากหน่วยงานภาครัฐ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งแต่งตั้งจากผู้แทนองค์กรสตรีและองค์กรที่ทํางานด้านสิทธิความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศด้านนิติศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านสังคมศาสตร์หรือด้านจิตวิทยา ให้มาร่วมกันกําหนดนโยบาย มาตรการ แผนปฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในสังคมไทย นอกจากนี้ ยังได้กําหนดให้มีกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพื่อให้เป็นทุนใช้จ่ายในการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมทั้งช่วยเหลือ ชดเชย และเยียวยาหรือบรรเทาทุกข์แก่บุคคลซึ่งตกเป็นผู้เสียหายจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างครบถ้วน พลเอก อนันตพรกล่าวต่ออีกว่า สําหรับพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ มีการบังคับใช้ผ่านมาแล้ว 3 ปี แต่สถานการณ์การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศยังคงปรากฏให้เห็นอยู่หลายประเด็น อาทิ ยังมีผู้หญิงที่ถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน เนื่องจากนายจ้างเห็นว่าผู้หญิงต้องตั้งครรภ์และคลอดบุตร และกลุ่มผู้ที่แสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกําเนิดถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงานเช่นกัน รวมถึงการไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ทั้งนี้ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ จึงได้ร่วมกันพิจารณาหาสาเหตุดังกล่าว พบว่า 1) สังคมยังขาดการรับรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 และกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2) คนในสังคมมีต้นทุนที่แตกต่างกัน ดังนั้น แม้จะมีการรับรู้ แต่ก็อาจจะไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะเข้ามาใช้ช่องทางเพื่อช่วยเหลือตนเอง 3) คนที่รับรู้และตั้งใจเข้ามาใช้บริการแต่ติดเงื่อนไขทางเอกสารที่มีความยากต่อการทําความเข้าใจ ทําให้ผู้รับบริการไม่สะดวกที่จะขอรับบริการความช่วยเหลือ และ 4) การสร้างการรับรู้ที่ผ่านมา สร้างความเข้าใจผิดว่าพระราชบัญญัติฯ เป็นกฎหมายเฉพาะของคนบางกลุ่ม ดังนั้น คนกลุ่มอื่นๆ จึงไม่ได้เข้ามาร่วมใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งแนวทางแก้ไข จึงควรสร้างการรับรู้ที่รวมคนทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงสิทธิและประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อเป็นการเสริมพลังสําหรับผู้เสียหายกลุ่มที่ยังไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะใช้สิทธิ รวมถึงควรมีการปรับปรุง ระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสิทธิ ตลอดจนสร้างเครือข่ายหน่วยงานและองค์กร เพื่อช่วยเผยแพร่และทําให้การรับรู้ขยายสู่วงกว้างมากยิ่งขึ้น พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมที่สําคัญของโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1) การอภิปราย เรื่อง กลไกการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ นายประเสริฐ กาญจนอุทัย อนุกรรมการด้านกฎหมาย สทพ. ศาสตราจารย์ มาลี พฤกษ์พงศาวลี ประธานกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ นางสาวสุพัตรา ภู่ธนานุสรณ์ กรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และ 2) การประชุมกลุ่มย่อย เรื่อง การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ : จากปัญหาสู่นโยบาย โดยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ได้มีการมอบทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายความเท่าเทียมระหว่างเพศ การจัดทํายุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ การพัฒนาช่องทางการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ วลพ. โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงพระราชบัญญัติฯ โดยให้ความสําคัญกับความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ให้อยู่บนหลักความโปร่งใส และต้องรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกําหนดประชุมปีละ 4 ครั้ง หรือ 3 เดือนต่อครั้ง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้ง
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้ง รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง พร้อมเร่งขับเคลื่อนงานตามนโยบายสําคัญด้านเกษตร นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลออนไลน์ (Web Conference) เรื่อง การเตรียมมาตรการรับมือภัยแล้งและมอบนโยบายด้านการเกษตรณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและภูมิภาคในการเตรียมการรับมือภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง แม้ว่ากรมชลประทานยืนยันว่าจะมีน้ําใช้จนถึงพฤษภาคมนี้ก็ตาม แต่มีการคาดการณ์ว่าหน้าแล้งนี้จะแล้งและร้อนยาวนานกว่าปกติ ซึ่งได้มอบนโยบายในการรับมือภัยแล้งนี้โดยเน้นการบูรณาการทํางานร่วมกันในพื้นที่ระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อาทิ ชลประทานจังหวัด เกษตรและสหกรณ์จังหวัด พัฒนาที่ดินจังหวัด ร่วมกับสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น โดยจะใช้กลไกคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด (อ.พ.ก.) เป็นตัวขับเคลื่อนการทํางาน โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้ชลประทานจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการสํารวจปริมาณน้ําที่มีในพื้นที่ คือ น้ําสําหรับใช้อุปโภคบริโภค น้ําเพื่อการเกษตร น้ําเพื่อใช้ในระบบอุตสาหกรรม และน้ําเพื่อการรักษาระบบนิเวศน์ ว่ามีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ของประชาชนและเกษตรกรหรือไม่ จากนั้นจะประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเพื่อเตรียมมาตรการในการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งของแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม แล้วรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบสถานการณ์และดําเนินการต่อไป รวมทั้งให้เน้นการประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในพื้นที่ผ่านหอกระจายข่าวของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ ในการขอความร่วมมือให้ใช้น้ําอย่างประหยัด สําหรับการบัญชาการงานในส่วนกลางได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งศูนย์และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ําหน้าแล้งเพิ่มเติม โดยมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานความก้าวหน้าทุกสัปดาห์ด้วย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เริ่มต้นแผนปฏิบัติการจํากัดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ได้รายงานต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายไปแล้ว โดยเบื้องต้นให้สํารวจและรวบรวมพื้นที่ที่ทําเกษตรเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ เพื่อนํามาบูรณาการร่วมกับแผนปฏิบัติการที่ได้วางแนวทางไว้ ซึ่งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดูแลภาพรวมและขับเคลื่อนแผนต่อไป ขณะที่การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรที่สําคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา นั้น ได้เน้นย้ําให้ดําเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาผลผลิตทางการเกษตรให้อยู่ในเกณฑ์เป็นที่น่าพอใจจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงานต่อ โดยให้ริเริ่มระบบวิสาหกิจแปลงใหญ่ควบคู่กันไป สําหรับความก้าวหน้ามาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยจากพายุปาบึก ได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ประสบภัยไปแล้วเกือบ 100% ส่วนการจ่ายเงินเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 สืบเนื่องจากการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย นั้น ได้ข้อสรุปว่าจะรับซื้อเรือจํานวน 305 ลํา โดยมีหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินรอบแรก 30% อีก 70% เจ้าของเรือจะต้องทําแผน และทําลายเรือจริง จึงจ่ายส่วนที่เหลือ ซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน และเจ้าของเรือจะต้องไม่นําเงินในส่วนนี้ไปใช้ในการทําประมงที่ผิดกฎหมายอีกต่อไปด้วย. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้ง วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้ง รัฐมนตรีเกษตรฯ แจงเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศเตรียมรับมือภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง พร้อมเร่งขับเคลื่อนงานตามนโยบายสําคัญด้านเกษตร นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลออนไลน์ (Web Conference) เรื่อง การเตรียมมาตรการรับมือภัยแล้งและมอบนโยบายด้านการเกษตรณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและภูมิภาคในการเตรียมการรับมือภัยแล้งที่กําลังจะมาถึง แม้ว่ากรมชลประทานยืนยันว่าจะมีน้ําใช้จนถึงพฤษภาคมนี้ก็ตาม แต่มีการคาดการณ์ว่าหน้าแล้งนี้จะแล้งและร้อนยาวนานกว่าปกติ ซึ่งได้มอบนโยบายในการรับมือภัยแล้งนี้โดยเน้นการบูรณาการทํางานร่วมกันในพื้นที่ระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ อาทิ ชลประทานจังหวัด เกษตรและสหกรณ์จังหวัด พัฒนาที่ดินจังหวัด ร่วมกับสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น โดยจะใช้กลไกคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัด (อ.พ.ก.) เป็นตัวขับเคลื่อนการทํางาน โดยเบื้องต้นได้สั่งการให้ชลประทานจังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการสํารวจปริมาณน้ําที่มีในพื้นที่ คือ น้ําสําหรับใช้อุปโภคบริโภค น้ําเพื่อการเกษตร น้ําเพื่อใช้ในระบบอุตสาหกรรม และน้ําเพื่อการรักษาระบบนิเวศน์ ว่ามีปริมาณเพียงพอต่อการใช้ของประชาชนและเกษตรกรหรือไม่ จากนั้นจะประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดเพื่อเตรียมมาตรการในการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งของแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม แล้วรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดรับทราบสถานการณ์และดําเนินการต่อไป รวมทั้งให้เน้นการประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในพื้นที่ผ่านหอกระจายข่าวของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ ในการขอความร่วมมือให้ใช้น้ําอย่างประหยัด สําหรับการบัญชาการงานในส่วนกลางได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งศูนย์และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ําหน้าแล้งเพิ่มเติม โดยมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานความก้าวหน้าทุกสัปดาห์ด้วย นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้เริ่มต้นแผนปฏิบัติการจํากัดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ได้รายงานต่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายไปแล้ว โดยเบื้องต้นให้สํารวจและรวบรวมพื้นที่ที่ทําเกษตรเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ เพื่อนํามาบูรณาการร่วมกับแผนปฏิบัติการที่ได้วางแนวทางไว้ ซึ่งมอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดูแลภาพรวมและขับเคลื่อนแผนต่อไป ขณะที่การบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตรที่สําคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา นั้น ได้เน้นย้ําให้ดําเนินมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาผลผลิตทางการเกษตรให้อยู่ในเกณฑ์เป็นที่น่าพอใจจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารงานต่อ โดยให้ริเริ่มระบบวิสาหกิจแปลงใหญ่ควบคู่กันไป สําหรับความก้าวหน้ามาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยจากพายุปาบึก ได้โอนเงินเข้าบัญชีผู้ประสบภัยไปแล้วเกือบ 100% ส่วนการจ่ายเงินเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 สืบเนื่องจากการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย นั้น ได้ข้อสรุปว่าจะรับซื้อเรือจํานวน 305 ลํา โดยมีหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินรอบแรก 30% อีก 70% เจ้าของเรือจะต้องทําแผน และทําลายเรือจริง จึงจ่ายส่วนที่เหลือ ซึ่งมีระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน และเจ้าของเรือจะต้องไม่นําเงินในส่วนนี้ไปใช้ในการทําประมงที่ผิดกฎหมายอีกต่อไปด้วย. กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-สอศ. ลงนามความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพ
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 สพฐ.-สอศ. ลงนามความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ "ห้องเรียนอาชีพ" ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.)และนายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมบันทึกลงนามข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษา ตามความถนัดและความสนใจให้แก่เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยการจัดการเรียนการสอนแบบทวิศึกษา เป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในการเข้าสู่การศึกษาระดับอาชีวศึกษา และเป็นทางเลือกสําหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความประสงค์จะเรียนควบคู่ไปกับหลักสูตรสายอาชีพ เพื่อให้ได้รับวุฒิการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในสาขาวิชาร่วมที่กําหนด โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะได้เรียนรู้และฝึกทักษะ ด้วยการฝึกงานจริงในช่วงปิดภาคเรียน ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาอาชีวศึกษา และหน่วยงานเอกชน รวมทั้งเครือข่ายประชาชนในการร่วมกันจัดการเรียนการสอน การฝึกประสบการณ์ และพัฒนากําลังคนให้มีความรู้พื้นฐาน รวมถึงทักษะด้านอาชีพ พร้อมคุณภาพและคุณธรรมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน นายบุญรักษ์ ยอดเพชรกล่าวว่าสพฐ.ได้ดําเนินโครงการห้องเรียนอาชีพ ปีการศึกษา 2560 เพื่อต้องการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความถนัดและความสนใจต้องการจะเรียนต่อสายอาชีพได้รับการพัฒนา โดยเน้นการฝึกทักษะประสบการณ์เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพเรียนจบแล้วมีอาชีพรองรับทันที สามารถสร้างอาชีพให้สอดคล้องกับศักยภาพในพื้นที่ได้ด้วยการเริ่มดําเนินการกับโรงเรียนในพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จํานวน 6 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเวียงสุวรรณวิทยาคมจังหวัดนราธิวาสสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ช่างเชื่อมโลหะ และคหกรรม รวม 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนเบตง "วีระราษฎร์ประสาน”จังหวัดยะลา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ การโรงแรม และคหกรรม รวม 2 ห้อง เปิดรับนักเรียน ห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนราชมุนีรังสฤษฎ์จังหวัดปัตตานีสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ ช่างเชื่อม และคอมพิวเตอร์ธุรกิจ รวม 2 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์จังหวัดเชียงราย สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ สาขาอุตสาหกรรมการเกษตร ช่างก่อสร้างและช่างไฟฟ้ากําลัง จํานวน 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนแม่จันวิทยาคมจังหวัดเชียงราย สงกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ สาขาอาหารและโภชนาการ ช่างไฟฟ้ากําลัง และพืชศาสตร์ จํานวน 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนสรรพวิทยาคมจังหวัดตาก สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 38เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และการบัญชี จํานวน 2 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน ทั้ง 6 โรงเรียนดังกล่าว ถือเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่สามารถเปิดสอนอาชีพที่มีความสอดคล้องกับบริบทอาชีพในพื้นที่ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดที่ได้รับการประกาศจากรัฐบาลให้เป็นพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (นราธิวาส ยะลา และปัตตานี) และจังหวัดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (เชียงราย ตาก)โดยแต่ละโรงเรียนได้มีการประสานงานและวางแผนการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนอาชีพ ร่วมกันกับสถานศึกษาอาชีวศึกษาในแต่ละพื้นที่โดยมีการส่งเสริมความรู้พื้นฐานทางด้านการบริหารจัดการ การบริหารธุรกิจขั้นพื้นฐาน (Basic Modern Business Administrative : BMBA) ทักษะอาชีพที่สนใจ และสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ เติมกระบวนการแนะแนวแบบเข้ม และการเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยการฝึกงานจริงในช่วงปิดภาคเรียน ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่ดี เมื่อสําเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ใน 9 สาขาได้แก่ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การบัญชี คหกรรม การโรงแรม ช่างไฟฟ้ากําลัง ช่างก่อสร้าง พืชศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร และช่างเชื่อมโลหะ โดยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ได้รับสมัครนักเรียนและมีนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียน รวมจํานวนทั้งสิ้น310 คนซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากห้องเรียนอาชีพสามารถนําความรู้และทักษะอาชีพ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน และประกอบอาชีพที่กําลังขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งภาคธุรกิจบริการภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และเป็นกําลัง สําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป สําหรับพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพในครั้งนี้ มีผู้บริหารจากส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทินายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ,นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติเลขาธิการศอ.บต,นายปราโมทย์ แก้วสุข ที่ปรึกษาสํานักปลัดกระทรวง ด้านการพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้,ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษาเขต15-16รวมทั้งคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน เข้าร่วมพิธีลงนามในครั้งนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-สอศ. ลงนามความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพ วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 สพฐ.-สอศ. ลงนามความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการ "ห้องเรียนอาชีพ" ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.)และนายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมบันทึกลงนามข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาด้านอาชีวศึกษา ตามความถนัดและความสนใจให้แก่เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยการจัดการเรียนการสอนแบบทวิศึกษา เป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในการเข้าสู่การศึกษาระดับอาชีวศึกษา และเป็นทางเลือกสําหรับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความประสงค์จะเรียนควบคู่ไปกับหลักสูตรสายอาชีพ เพื่อให้ได้รับวุฒิการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในสาขาวิชาร่วมที่กําหนด โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะได้เรียนรู้และฝึกทักษะ ด้วยการฝึกงานจริงในช่วงปิดภาคเรียน ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ดี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบูรณาการทํางานร่วมกันระหว่างสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาอาชีวศึกษา และหน่วยงานเอกชน รวมทั้งเครือข่ายประชาชนในการร่วมกันจัดการเรียนการสอน การฝึกประสบการณ์ และพัฒนากําลังคนให้มีความรู้พื้นฐาน รวมถึงทักษะด้านอาชีพ พร้อมคุณภาพและคุณธรรมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน นายบุญรักษ์ ยอดเพชรกล่าวว่าสพฐ.ได้ดําเนินโครงการห้องเรียนอาชีพ ปีการศึกษา 2560 เพื่อต้องการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่มีความถนัดและความสนใจต้องการจะเรียนต่อสายอาชีพได้รับการพัฒนา โดยเน้นการฝึกทักษะประสบการณ์เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่อาชีพเรียนจบแล้วมีอาชีพรองรับทันที สามารถสร้างอาชีพให้สอดคล้องกับศักยภาพในพื้นที่ได้ด้วยการเริ่มดําเนินการกับโรงเรียนในพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จํานวน 6 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเวียงสุวรรณวิทยาคมจังหวัดนราธิวาสสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ช่างเชื่อมโลหะ และคหกรรม รวม 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนเบตง "วีระราษฎร์ประสาน”จังหวัดยะลา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ การโรงแรม และคหกรรม รวม 2 ห้อง เปิดรับนักเรียน ห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนราชมุนีรังสฤษฎ์จังหวัดปัตตานีสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 15 เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ ช่างเชื่อม และคอมพิวเตอร์ธุรกิจ รวม 2 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์จังหวัดเชียงราย สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ สาขาอุตสาหกรรมการเกษตร ช่างก่อสร้างและช่างไฟฟ้ากําลัง จํานวน 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนแม่จันวิทยาคมจังหวัดเชียงราย สงกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 เปิดรับ 3 สาขา ได้แก่ สาขาอาหารและโภชนาการ ช่างไฟฟ้ากําลัง และพืชศาสตร์ จํานวน 3 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน โรงเรียนสรรพวิทยาคมจังหวัดตาก สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 38เปิดรับ 2 สาขา ได้แก่ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และการบัญชี จํานวน 2 ห้อง เปิดรับนักเรียนห้องละไม่เกิน 30 คน ทั้ง 6 โรงเรียนดังกล่าว ถือเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่สามารถเปิดสอนอาชีพที่มีความสอดคล้องกับบริบทอาชีพในพื้นที่ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดที่ได้รับการประกาศจากรัฐบาลให้เป็นพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน (นราธิวาส ยะลา และปัตตานี) และจังหวัดในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (เชียงราย ตาก)โดยแต่ละโรงเรียนได้มีการประสานงานและวางแผนการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนอาชีพ ร่วมกันกับสถานศึกษาอาชีวศึกษาในแต่ละพื้นที่โดยมีการส่งเสริมความรู้พื้นฐานทางด้านการบริหารจัดการ การบริหารธุรกิจขั้นพื้นฐาน (Basic Modern Business Administrative : BMBA) ทักษะอาชีพที่สนใจ และสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ เติมกระบวนการแนะแนวแบบเข้ม และการเพิ่มพูนประสบการณ์ด้วยการฝึกงานจริงในช่วงปิดภาคเรียน ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมที่ดี เมื่อสําเร็จการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และวุฒิการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ใน 9 สาขาได้แก่ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การบัญชี คหกรรม การโรงแรม ช่างไฟฟ้ากําลัง ช่างก่อสร้าง พืชศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร และช่างเชื่อมโลหะ โดยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 ได้รับสมัครนักเรียนและมีนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียน รวมจํานวนทั้งสิ้น310 คนซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากห้องเรียนอาชีพสามารถนําความรู้และทักษะอาชีพ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน และประกอบอาชีพที่กําลังขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งภาคธุรกิจบริการภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และเป็นกําลัง สําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป สําหรับพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการห้องเรียนอาชีพในครั้งนี้ มีผู้บริหารจากส่วนกลางและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทินายอดินันท์ ปากบารา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ,นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติเลขาธิการศอ.บต,นายปราโมทย์ แก้วสุข ที่ปรึกษาสํานักปลัดกระทรวง ด้านการพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้,ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษาเขต15-16รวมทั้งคณะผู้บริหารสถานศึกษา ครู และนักเรียน เข้าร่วมพิธีลงนามในครั้งนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.แนะนายจ้างและลูกจ้าง ดูแลความปลอดภัยช่วงฝนตกหนัก 1-5 พ.ค.นี้
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 กสร.แนะนายจ้างและลูกจ้าง ดูแลความปลอดภัยช่วงฝนตกหนัก 1-5 พ.ค.นี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แนะนายจ้าง ลูกจ้าง ร่วมมือดูแลความปลอดภัยในการทํางานในช่วง ฝนตกหนัก เพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบเครื่องจักรโดยเฉพาะอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้า พร้อมเพิ่มมาตรการให้ลูกจ้างขับขี่อย่างปลอดภัย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมในช่วงวันที่ 1 – 5 พฤษภาคมนี้กสร.จึงขอให้นายจ้าง ลูกจ้างได้ร่วมกันดูแลสถานประกอบกิจการให้มีความปลอดภัยในการทํางาน โดยร่วมกันตรวจสอบเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟฟ้ารั่วและดูด เป็นต้น สําหรับสถานประกอบกิจการที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบขอให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดเหตุความไม่ปลอดภัย เช่น เกิดน้ําท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม ทําให้อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างทรุดตัวหรือพังทลาย โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโครงสร้าง อาคาร สถานที่ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ขอนายจ้างได้จัดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัย ทั้งในการให้ความรู้และกํากับดูแลให้ลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะ รวมไปถึงลูกจ้างที่ใช้ยานพาหนะ เพิ่มความระมัดระวังและตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ที่อาจเกิดขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.แนะนายจ้างและลูกจ้าง ดูแลความปลอดภัยช่วงฝนตกหนัก 1-5 พ.ค.นี้ วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 กสร.แนะนายจ้างและลูกจ้าง ดูแลความปลอดภัยช่วงฝนตกหนัก 1-5 พ.ค.นี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน แนะนายจ้าง ลูกจ้าง ร่วมมือดูแลความปลอดภัยในการทํางานในช่วง ฝนตกหนัก เพิ่มความระมัดระวัง ตรวจสอบเครื่องจักรโดยเฉพาะอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้า พร้อมเพิ่มมาตรการให้ลูกจ้างขับขี่อย่างปลอดภัย นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ตามที่ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมในช่วงวันที่ 1 – 5 พฤษภาคมนี้กสร.จึงขอให้นายจ้าง ลูกจ้างได้ร่วมกันดูแลสถานประกอบกิจการให้มีความปลอดภัยในการทํางาน โดยร่วมกันตรวจสอบเครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟฟ้ารั่วและดูด เป็นต้น สําหรับสถานประกอบกิจการที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่อาจได้รับผลกระทบขอให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดเหตุความไม่ปลอดภัย เช่น เกิดน้ําท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม ทําให้อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างทรุดตัวหรือพังทลาย โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโครงสร้าง อาคาร สถานที่ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ขอนายจ้างได้จัดให้มีมาตรการเกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัย ทั้งในการให้ความรู้และกํากับดูแลให้ลูกจ้างที่ปฏิบัติหน้าที่ขับขี่ยานพาหนะ รวมไปถึงลูกจ้างที่ใช้ยานพาหนะ เพิ่มความระมัดระวังและตรวจสอบสภาพความพร้อมของรถก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ที่อาจเกิดขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11918
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ำส่งท้ายปี ชูดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ส่วนลดสูงสุด 50% ราคาต่ำสุดเพียง 40,000 บาท เริ่ม 18 พ.ย. 2560
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ธอส.จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี ชูดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ส่วนลดสูงสุด 50% ราคาต่ําสุดเพียง 40,000 บาท เริ่ม 18 พ.ย. 2560 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี สําหรับทรัพย์ส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการ นํามาจําหน่ายพร้อมกัน 57 สาขา ทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี สําหรับทรัพย์ส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการ นํามาจําหน่ายพร้อมกัน 57 สาขา ทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ข้อเสนอจูงใจด้วยส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 450 รายการ คงราคาจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติเช่นกัน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 หวังดันยอดขายทรัพย์ NPA ปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 10 เดือนแรก สามารถขายทรัพย์ได้แล้ว 2,490 ล้านบาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายธนาคารที่ต้องการสร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับผลักดันให้ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ NPA ในปี 2560 ได้ตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท ภายหลังจากในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2560 สามารถจําหน่ายได้แล้วกว่า 2,490 ล้านบาท ธนาคารจึงได้จัด งานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี คัดทรัพย์ NPA เฉพาะในส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการจากทั่วประเทศ ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า มาเปิดจําหน่ายในส่วนลดพิเศษ 10-50% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% จํานวนมากกว่า 300 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดคือที่ดินเปล่า เนื้อที่ 50 ตารางวา ในโครงการทานตะวัน 1 และโครงการเอเวอร์กรีนวิว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ราคาเพียง 40,000 บาทเท่านั้น ซึ่งงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ณ ที่ทําการสาขาทั้ง 57 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ ทรัพย์รายการใดมีผู้สนใจจองสิทธิ์มากกว่า 1 ราย จะใช้วิธีการจับฉลาก ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร 0-2202-1170 และ 0-2202-2036 นอกจากนี้ ธนาคารยังได้คงราคาทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า ที่เคยออกจําหน่ายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 5-8 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา และงานมหกรรมการเงิน ส่งท้ายปี ครั้งที่ 1 Money Expo Year-End 2017 ที่กําลังจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2560 รวมกว่า 450 รายการ ด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติ ทรัพย์ราคาเริ่มต้นต่ําสุดเพียง 41,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นห้องชุดในโครงการแฟลตปลาทอง อําเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ประชาชนที่พลาดการซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ทั้ง 2 งาน ยังสามารถซื้อทรัพย์ได้ในราคาที่มีส่วนลดพิเศษเหมือนกับที่จําหน่ายในงานได้ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 เท่านั้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอเข้าดูทรัพย์จริงได้ที่ฝ่ายบริหาร NPA ชั้น 8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 โทร 0-202-1582, 0-2202-1583 และ 0-2202-1016 ทั้งนี้ ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน”(เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) พร้อมเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ำส่งท้ายปี ชูดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ส่วนลดสูงสุด 50% ราคาต่ำสุดเพียง 40,000 บาท เริ่ม 18 พ.ย. 2560 วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 ธอส.จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี ชูดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน ส่วนลดสูงสุด 50% ราคาต่ําสุดเพียง 40,000 บาท เริ่ม 18 พ.ย. 2560 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี สําหรับทรัพย์ส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการ นํามาจําหน่ายพร้อมกัน 57 สาขา ทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น จัดงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี สําหรับทรัพย์ส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการ นํามาจําหน่ายพร้อมกัน 57 สาขา ทั่วประเทศ ในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ข้อเสนอจูงใจด้วยส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 450 รายการ คงราคาจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติเช่นกัน ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 หวังดันยอดขายทรัพย์ NPA ปี 2560 เป็นไปตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 10 เดือนแรก สามารถขายทรัพย์ได้แล้ว 2,490 ล้านบาท นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากนโยบายธนาคารที่ต้องการสร้างโอกาสทําให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมกับผลักดันให้ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ NPA ในปี 2560 ได้ตามเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท ภายหลังจากในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2560 สามารถจําหน่ายได้แล้วกว่า 2,490 ล้านบาท ธนาคารจึงได้จัด งานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี คัดทรัพย์ NPA เฉพาะในส่วนภูมิภาคกว่า 3,000 รายการจากทั่วประเทศ ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า มาเปิดจําหน่ายในส่วนลดพิเศษ 10-50% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ที่ให้ส่วนลดสูงสุด 50% จํานวนมากกว่า 300 รายการ โดยทรัพย์ที่มีราคาจําหน่ายต่ําสุดคือที่ดินเปล่า เนื้อที่ 50 ตารางวา ในโครงการทานตะวัน 1 และโครงการเอเวอร์กรีนวิว ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อําเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ราคาเพียง 40,000 บาทเท่านั้น ซึ่งงานมหกรรมบ้านมือสอง ลดกระหน่ําส่งท้ายปี จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ณ ที่ทําการสาขาทั้ง 57 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ ทรัพย์รายการใดมีผู้สนใจจองสิทธิ์มากกว่า 1 ราย จะใช้วิธีการจับฉลาก ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร 0-2202-1170 และ 0-2202-2036 นอกจากนี้ ธนาคารยังได้คงราคาทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า ที่เคยออกจําหน่ายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 37 ระหว่างวันที่ 5-8 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา และงานมหกรรมการเงิน ส่งท้ายปี ครั้งที่ 1 Money Expo Year-End 2017 ที่กําลังจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2560 รวมกว่า 450 รายการ ด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติ ทรัพย์ราคาเริ่มต้นต่ําสุดเพียง 41,000 บาทเท่านั้น โดยเป็นห้องชุดในโครงการแฟลตปลาทอง อําเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ประชาชนที่พลาดการซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ทั้ง 2 งาน ยังสามารถซื้อทรัพย์ได้ในราคาที่มีส่วนลดพิเศษเหมือนกับที่จําหน่ายในงานได้ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 เท่านั้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือขอเข้าดูทรัพย์จริงได้ที่ฝ่ายบริหาร NPA ชั้น 8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 โทร 0-202-1582, 0-2202-1583 และ 0-2202-1016 ทั้งนี้ ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน”(เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) พร้อมเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8143
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ ในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกได้มีข้อความสารแสดงความยินดีถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิตที่ดีในฐานะมิตรประเทศที่มีความสําคัญยิ่ง ดังนี้ Your Honorable, On this auspicious day marking the 241stAnniversary of the Independence of the United States of America, I have the honour to extend to you and to the American people, on behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, my warmest congratulations and best wishes for the joyous celebration of your national day. I am confident that with you at the helm, the long - standing and close ties of friendship and cooperation between Thailand and the United States, our great ally, will be reinvigorated, and will advance and flourish in the years to come. Accept, Your Honorable, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีมีข้อความสารแสดงความยินดีถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ ในโอกาสวันครบรอบวันประกาศอิสรภาพและวันชาติของสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม 2560 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกได้มีข้อความสารแสดงความยินดีถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิตที่ดีในฐานะมิตรประเทศที่มีความสําคัญยิ่ง ดังนี้ Your Honorable, On this auspicious day marking the 241stAnniversary of the Independence of the United States of America, I have the honour to extend to you and to the American people, on behalf of the Royal Thai Government and the people of Thailand, my warmest congratulations and best wishes for the joyous celebration of your national day. I am confident that with you at the helm, the long - standing and close ties of friendship and cooperation between Thailand and the United States, our great ally, will be reinvigorated, and will advance and flourish in the years to come. Accept, Your Honorable, the renewed assurances of my highest consideration. General Prayut Chan-o-cha (Ret.) Prime Minister of the Kingdom of Thailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5013
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 “รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย “รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย หนุนนํากล่องนมใช้แล้วมา Recycle เป็นผลิตภัณฑ์ใช้ประโยชน์ให้โรงเรียน พร้อมพบปะให้กําลังใจเกษตรผู้เลี้ยงโคนม และมอบถุงยังชีพประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (8 ก.ย.62) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและรับฟังสรุปผลการดําเนินงานของสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคเหนือตอนล่าง ณ อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนล่าง ตําบลคลองมะพลับ อําเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ว่า ได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารและพนักงานของสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดสุโขทัย โดยให้มุ่งเน้นส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะกล่องนม ให้บริหารจัดการทําให้ต้นทุนของกล่องนมลดลง และนําส่วนที่ใช้แล้วมา Recycle เพื่อลดการใช้พลาสติกและลดโลกร้อน โดยสนับสนุนนํากล่องนมที่ใช้แล้วไปรีไซเคิลให้เกิดประโยชน์ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น โต้ะ เก้าอี้ ชั้นวางของ หลังคา ที่รองแก้ว ที่วางซีดี ที่ใส่ของ และเครื่องใช้สิ่งของอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถนํามาสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดประโยชน์ได้ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ลดขยะ ยังมีส่วนสร้างจิตสํานึก ตระหนักคุณค่าของกล่องนมที่ผ่านการบริโภคแล้วนํามาต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น การทําโต้ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์การเรียนต่างๆให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนชุมชน เป็นต้น ในส่วนการบริหารจัดการ ได้เน้นย้ําให้ควบคุมคุณภาพด้านการขนส่ง ซึ่งต้องถูกสุขอนามัยให้ความสําคัญตั้งแต่ระดับต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา โดยเฉพาะการขนส่งนมโรงเรียนต้องเข้มงวดเรื่องคุณภาพในการขนส่งและเก็บรักษาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ได้กําชับให้ อ.ส.ค. ดูแลเรื่องสวัสดิการ ขวัญกําลังใจ และสุขอนามัยของพนักงานทุกคน ตลอดทั้งการจัดภูมิทัศน์ให้สะอาดและเชื่อมโยงกับชุมชน รวมทั้งสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจอาชีพเลี้ยงโคนมมากขึ้น ซึ่งเป็นอาชีพที่มีต้นทุนที่ไม่สูงมาก ด้วยการส่งเสริมองค์ความรู้ การฝึกอบรมวิธีการเลี้ยงโคนม เพื่อเป็นอาชีพเสริมรองความเสี่ยงกับปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้พืชเกษตรเสียหาย “ขอให้ อ.ส.ค.บูรณาการการทํางาน โดยคํานึงถึงชุมชน สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการของพนักงาน รวมทั้งเชื่อมโยงการบริหารจัดการกับชุมชน เช่น เมื่อมีกล่องนมที่ผ่านการใช้แล้วให้นํามาต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เช่น การทําโต้ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์การเรียนต่างๆให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนชุมชน รวมทั้งให้ความสําคัญในเรื่องคุณภาพมาตรฐานการผลิตและการขนส่งนมตั้งแต่ระดับต้นน้ํา จนถึงปลายน้ํา” นางสาวมนัญญา กล่าว โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้พบปะพูดคุยให้กําลังใจเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ประชาชน และผู้ประสบอุทกภัย และแจกถุงยังชีพให้ประมาณ 400 คน ณ บริเวณหน้าสํานักงานอ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง พร้อมเยี่ยมชมศูนย์รับน้ํานมดิบ ศูนย์ฯ ศรีนคร ของ อ.ส.ค ภาคเหนือตอนล่าง และเยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ของ อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่างด้วย สําหรับโรงงานผลิตภัณฑ์นมสุโขทัย เกิดจากการที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแผนปรับโครงสร้างระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) ในปี 2537-2539 งบประมาณ 324 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม โดยให้จัดตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์นมระบบ ยู.เอช.ที. กําลังการผลิต 80 ตัน/วัน และนมพาสเจอร์ไรส์ 10 ตัน/วัน โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ให้อ.ส.ค.ใช้ที่ดินก่อสร้างในเขต จัดสรรนิคมสหกรณ์สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ โดยมีภารกิจ คือ 1.ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมสมาชิก อ.ส.ค.ในเขตภาคเหนือตอนล่าง (สุโขทัย -พิจิตร) 2.ส่งเสริมและสนับสนุนสหกรณ์ในเขตภาคเหนือในการเลี้ยงโคนมและจัดการคุณภาพน้ํานม และ 3.รับซื้อแปรรูปน้ํานมดิบเป็นผลิตภัณฑ์นมจากเกษตรกรและสหกรณ์ เป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง ได้จัดหาน้ํานมดิบจากศูนย์รับน้ํานมดิบอ.ส.ค.จํานวน 10.68 ตัน/วัน ซึ่งมาจาก 5 ศูนย์ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมศรีนคร ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมคีรีมาศ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมทุ่งเสลี่ยม ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมกงไกรลาศ และศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมโพทะเล โดยมียอดรวมปริมาณน้ํานมดิบ 331.15 ตัน และยอดมูลค่าน้ํานมดิบ 6,222,657บาท ซึ่งปัจจุบันโรงงานสามารถรองรับได้ 140 ตัน/วัน สามารถผลิตครีม 1.2 ตัน/สัปดาห์ นมพาสเจอร์ไรส์ถุง 18 ตัน/วัน และนมกล่องยูเอชที 140 ตัน/วัน ทั้งนี้ โครงการ Recycle กล่องนม เป็นหนึ่งในแผนงานโครงการที่สําคัญของ อ.ส.ค. เพื่อลดการใช้พลาสติก สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 “รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย “รมช.มนัญญา” ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง จ.สุโขทัย หนุนนํากล่องนมใช้แล้วมา Recycle เป็นผลิตภัณฑ์ใช้ประโยชน์ให้โรงเรียน พร้อมพบปะให้กําลังใจเกษตรผู้เลี้ยงโคนม และมอบถุงยังชีพประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (8 ก.ย.62) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและรับฟังสรุปผลการดําเนินงานของสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคเหนือตอนล่าง ณ อ.ส.ค. ภาคเหนือตอนล่าง ตําบลคลองมะพลับ อําเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ว่า ได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารและพนักงานของสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคเหนือตอนล่าง จังหวัดสุโขทัย โดยให้มุ่งเน้นส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะกล่องนม ให้บริหารจัดการทําให้ต้นทุนของกล่องนมลดลง และนําส่วนที่ใช้แล้วมา Recycle เพื่อลดการใช้พลาสติกและลดโลกร้อน โดยสนับสนุนนํากล่องนมที่ใช้แล้วไปรีไซเคิลให้เกิดประโยชน์ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ เช่น โต้ะ เก้าอี้ ชั้นวางของ หลังคา ที่รองแก้ว ที่วางซีดี ที่ใส่ของ และเครื่องใช้สิ่งของอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถนํามาสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดประโยชน์ได้ ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ลดขยะ ยังมีส่วนสร้างจิตสํานึก ตระหนักคุณค่าของกล่องนมที่ผ่านการบริโภคแล้วนํามาต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่สังคมได้ เช่น การทําโต้ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์การเรียนต่างๆให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนชุมชน เป็นต้น ในส่วนการบริหารจัดการ ได้เน้นย้ําให้ควบคุมคุณภาพด้านการขนส่ง ซึ่งต้องถูกสุขอนามัยให้ความสําคัญตั้งแต่ระดับต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา โดยเฉพาะการขนส่งนมโรงเรียนต้องเข้มงวดเรื่องคุณภาพในการขนส่งและเก็บรักษาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ได้กําชับให้ อ.ส.ค. ดูแลเรื่องสวัสดิการ ขวัญกําลังใจ และสุขอนามัยของพนักงานทุกคน ตลอดทั้งการจัดภูมิทัศน์ให้สะอาดและเชื่อมโยงกับชุมชน รวมทั้งสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจอาชีพเลี้ยงโคนมมากขึ้น ซึ่งเป็นอาชีพที่มีต้นทุนที่ไม่สูงมาก ด้วยการส่งเสริมองค์ความรู้ การฝึกอบรมวิธีการเลี้ยงโคนม เพื่อเป็นอาชีพเสริมรองความเสี่ยงกับปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลให้พืชเกษตรเสียหาย “ขอให้ อ.ส.ค.บูรณาการการทํางาน โดยคํานึงถึงชุมชน สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการของพนักงาน รวมทั้งเชื่อมโยงการบริหารจัดการกับชุมชน เช่น เมื่อมีกล่องนมที่ผ่านการใช้แล้วให้นํามาต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เช่น การทําโต้ะ เก้าอี้ และอุปกรณ์การเรียนต่างๆให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนชุมชน รวมทั้งให้ความสําคัญในเรื่องคุณภาพมาตรฐานการผลิตและการขนส่งนมตั้งแต่ระดับต้นน้ํา จนถึงปลายน้ํา” นางสาวมนัญญา กล่าว โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้พบปะพูดคุยให้กําลังใจเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ประชาชน และผู้ประสบอุทกภัย และแจกถุงยังชีพให้ประมาณ 400 คน ณ บริเวณหน้าสํานักงานอ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง พร้อมเยี่ยมชมศูนย์รับน้ํานมดิบ ศูนย์ฯ ศรีนคร ของ อ.ส.ค ภาคเหนือตอนล่าง และเยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค ของ อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่างด้วย สําหรับโรงงานผลิตภัณฑ์นมสุโขทัย เกิดจากการที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแผนปรับโครงสร้างระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) ในปี 2537-2539 งบประมาณ 324 ล้านบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม โดยให้จัดตั้งโรงงานผลิตภัณฑ์นมระบบ ยู.เอช.ที. กําลังการผลิต 80 ตัน/วัน และนมพาสเจอร์ไรส์ 10 ตัน/วัน โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ให้อ.ส.ค.ใช้ที่ดินก่อสร้างในเขต จัดสรรนิคมสหกรณ์สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ โดยมีภารกิจ คือ 1.ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมสมาชิก อ.ส.ค.ในเขตภาคเหนือตอนล่าง (สุโขทัย -พิจิตร) 2.ส่งเสริมและสนับสนุนสหกรณ์ในเขตภาคเหนือในการเลี้ยงโคนมและจัดการคุณภาพน้ํานม และ 3.รับซื้อแปรรูปน้ํานมดิบเป็นผลิตภัณฑ์นมจากเกษตรกรและสหกรณ์ เป็นผลิตภัณฑ์นมที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ อ.ส.ค.ภาคเหนือตอนล่าง ได้จัดหาน้ํานมดิบจากศูนย์รับน้ํานมดิบอ.ส.ค.จํานวน 10.68 ตัน/วัน ซึ่งมาจาก 5 ศูนย์ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมศรีนคร ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมคีรีมาศ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมทุ่งเสลี่ยม ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมกงไกรลาศ และศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมโพทะเล โดยมียอดรวมปริมาณน้ํานมดิบ 331.15 ตัน และยอดมูลค่าน้ํานมดิบ 6,222,657บาท ซึ่งปัจจุบันโรงงานสามารถรองรับได้ 140 ตัน/วัน สามารถผลิตครีม 1.2 ตัน/สัปดาห์ นมพาสเจอร์ไรส์ถุง 18 ตัน/วัน และนมกล่องยูเอชที 140 ตัน/วัน ทั้งนี้ โครงการ Recycle กล่องนม เป็นหนึ่งในแผนงานโครงการที่สําคัญของ อ.ส.ค. เพื่อลดการใช้พลาสติก สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22930
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน วันนี้ (4 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล Mr. Jack Su Marketing Director บริษัท ซีซีเอส คอมเซอร์วิส (ประเทศไทย) จํากัด ได้มอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น แก่นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อแจกจ่ายให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีภารกิจติดตามและสนับสนุนงานของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลที่ต้องออกไปทําข่าวภารกิจด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน รมต.นร. นาย เทวัญ ฯ รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น จากภาคเอกชน วันนี้ (4 มีนาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล Mr. Jack Su Marketing Director บริษัท ซีซีเอส คอมเซอร์วิส (ประเทศไทย) จํากัด ได้มอบหน้ากากอนามัย จํานวน 2,000 ชิ้น แก่นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อแจกจ่ายให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีภารกิจติดตามและสนับสนุนงานของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลที่ต้องออกไปทําข่าวภารกิจด้วย .................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 “เศรษฐกิจไทยปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนเมษายน 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2560 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.6 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.3 – 3.9) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจากการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน ตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลําดับ นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญ โดยเฉพาะจากการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ 2560 จํานวน 1.9 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในเขตเมือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ํา อันจะช่วยให้ต้นทุนการดําเนินธุรกิจอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น ขณะที่แนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกและผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2560 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 1.1 -1.7) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 39.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.9 – 9.5 ของ GDP)” ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความผันผวนของตลาดเงินโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางการเมืองของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ” รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในปี 2560 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.6 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.3 – 3.9) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.1 – 2.7) ตามการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน โดยได้รับอานิสงศ์จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลําดับ ขณะที่การส่งออกบริการขยายตัวได้ต่อเนื่องตามจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญ โดยเฉพาะจากการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ 2560 จํานวน 1.9 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่อาทิ โครงการรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในเขตเมือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.6 – 11.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.4 – 3.0) ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ํา ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการดําเนินธุรกิจอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติและกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น ขณะที่แนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มรายได้นอกภาคเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นแรงสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 – 3.1) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย 2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2560 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.1 – 1.7) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 39.0 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.9 - 9.5 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 29.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 29.0 – 29.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้านําเข้าที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 7.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.2 – 7.8) ในขณะที่มูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 - 3.6) สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560 รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 “เศรษฐกิจไทยปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือนเมษายน 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยในปี 2560 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.6 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.3 – 3.9) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจากการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน ตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลําดับ นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญ โดยเฉพาะจากการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ 2560 จํานวน 1.9 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในเขตเมือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ํา อันจะช่วยให้ต้นทุนการดําเนินธุรกิจอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น ขณะที่แนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกและผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2560 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (โดยมีช่วงประมาณการที่ร้อยละ 1.1 -1.7) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 39.0 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.9 – 9.5 ของ GDP)” ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจําเป็นต้องคํานึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความผันผวนของตลาดเงินโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางการเมืองของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ” รายงานประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2560 1. ด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในปี 2560 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 3.6 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.3 – 3.9) เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.1 – 2.7) ตามการส่งออกสินค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นจากปีก่อนอย่างชัดเจน โดยได้รับอานิสงศ์จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามลําดับ ขณะที่การส่งออกบริการขยายตัวได้ต่อเนื่องตามจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สําคัญ โดยเฉพาะจากการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจําปีงบประมาณ 2560 จํานวน 1.9 แสนล้านบาท และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่อาทิ โครงการรถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในเขตเมือง โครงการมอเตอร์เวย์ และโครงการพัฒนาท่าอากาศยาน ส่งผลให้การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 10.9 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 10.6 – 11.2) เช่นเดียวกับการบริโภคภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.4 – 3.0) ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ํา ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการดําเนินธุรกิจอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนี้ การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติและกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ยังจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น ขณะที่แนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มรายได้นอกภาคเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นแรงสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.0 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.7 – 3.3) ส่วนปริมาณการนําเข้าสินค้าและบริการคาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 2.8 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 – 3.1) สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเร่งขึ้นและการฟื้นตัวของภาคการส่งออก นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอีกด้วย 2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2560 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 1.1 – 1.7) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามแนวโน้มต้นทุนจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น สําหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 39.0 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 8.9 - 9.5 ของ GDP) เนื่องจากดุลการค้าที่คาดว่าจะเกินดุลที่ 29.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 29.0 – 29.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามมูลค่าสินค้านําเข้าที่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ร้อยละ 7.5 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 7.2 – 7.8) ในขณะที่มูลค่าสินค้าส่งออกคาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.0 - 3.6) สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3338
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก
วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นประธาน ในพิธีส่งมอบห้องสมุด สนามเด็กเล่น และปรับปรุงอาคารเรียน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2560 เวลา 13.30 น. พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นประธาน ในพิธีส่งมอบห้องสมุด สนามเด็กเล่น และปรับปรุงอาคารเรียน โดยมีนายฐานุพงษ์ เจริญสุรภิรมย์ ผู้ว่าราชการ จังหวัดพิษณุโลก หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้บริหารสถานศึกษา และคณะครูนักเรียนโรงเรียนบ้านใหม่ เจริญธรรมร่วมให้การต้อนรับ เมื่อคณะของรองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปถึง นายศรีทน ละม่อม ผู้อํานวยการโรงเรียน บ้านใหม่เจริญธรรม ได้กล่าวรายงานถึงโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส สรุปได้ว่า โครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาสเกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง และส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้ มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อ การศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียน โดยมี การคัดเลือกโรงเรียนในจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการมีจํานวน 19 แห่ง ซึ่งโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าวด้วย จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ โรงเรียนฯ และกล่าวขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนที่ได้ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯได้เห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดศักยภาพและมี ความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน โดยรัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อให้คนไทยทุก วัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่ตนใฝ่ฝัน ปัจจุบันพบว่า สถานศึกษาหลายแห่งยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณสุข เกิดความเหลื่อมล้ําและขาด โอกาสในการได้รับบริการจากรัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานอื่น ๆ ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างอนาคตของชาติร่วมกัน การดําเนินการครั้งนี้มี หน่วยงาน บริษัทต่าง ๆ รวมถึงชุมชนในพื้นที่ร่วมให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต้องการพัฒนา โรงเรียนให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม นักเรียนมีคุณภาพชีวิต สุขภาพกายใจดีขึ้น มีจิตสาธารณะ รวมทั้ง เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษาด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้าง สิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยในตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงาน ชุมชน ในพื้นที่ บริษัทต่าง ๆ รวมทั้งสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุนการดําเนินงาน โครงการฯ จนสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ในการนี้รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ทําการส่งมอบโครงการและ สิ่งของให้กับโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม รวมทั้งได้มอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ด้วย สําหรับการส่งมอบโครงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ปี 2560 ให้แก่โรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรมในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย การส่งมอบระบบกรองน้ําดื่ม ระบบไฟฟ้า ทักษะ อาชีพ และกระเบื้องหลังคาอาคารเรียนและโรงอาหาร การส่งมอบห้องสมุดมีชีวิต การส่งมอบสนามเด็กเล่น รวมทั้งการมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด และอุปกรณ์กีฬา การมอบถังน้ํา 1,500 ลิตร การมอบ โปรแกรม The 1 books E-library พัดลม 6 ตัว พร้อมชุดอุปกรณ์การเรียนและหนังสือ การมอบเสื้อกล้าม และชุดชั้นในสําหรับเด็ก การมอบเสื้อยืด การมอบยาเวชภัณฑ์ การมอบโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี พัดลม คอมพิวเตอร์ หลอดไฟ การมอบจักรยาน การมอบกระปุกออมสิน การมอบไก่ไข่ การมอบโต๊ะ เก้าอี้ เสื้อกีฬา ขนมและนม การมอบคอมพิวเตอร์ โปสการ์ด และหนังสือพระบรมราโชวาทฯ จากหน่วยงาน มูลนิธิ ชมรม บริษัทต่าง ๆ และสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯ ที่มีจิตศรัทธาเข้าร่วมโครงการฯ ............................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก รองนายกรัฐมนตรีมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนด้อยโอกาสที่จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นประธาน ในพิธีส่งมอบห้องสมุด สนามเด็กเล่น และปรับปรุงอาคารเรียน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2560 เวลา 13.30 น. พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นประธาน ในพิธีส่งมอบห้องสมุด สนามเด็กเล่น และปรับปรุงอาคารเรียน โดยมีนายฐานุพงษ์ เจริญสุรภิรมย์ ผู้ว่าราชการ จังหวัดพิษณุโลก หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดพิษณุโลก ผู้บริหารสถานศึกษา และคณะครูนักเรียนโรงเรียนบ้านใหม่ เจริญธรรมร่วมให้การต้อนรับ เมื่อคณะของรองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปถึง นายศรีทน ละม่อม ผู้อํานวยการโรงเรียน บ้านใหม่เจริญธรรม ได้กล่าวรายงานถึงโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส สรุปได้ว่า โครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาสเกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง และส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนให้ มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อ การศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียน โดยมี การคัดเลือกโรงเรียนในจังหวัดต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการมีจํานวน 19 แห่ง ซึ่งโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าวด้วย จากนั้น พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ โรงเรียนฯ และกล่าวขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนที่ได้ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ว่า สํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯได้เห็นถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดศักยภาพและมี ความพร้อมในการเข้าสู่สังคมปัจจุบัน โดยรัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เกิดการปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อให้คนไทยทุก วัยได้รับโอกาสในการเสริมสร้างสมรรถนะของตน เพื่อก้าวสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่ตนใฝ่ฝัน ปัจจุบันพบว่า สถานศึกษาหลายแห่งยังขาดแคลนระบบสาธารณูปโภคและระบบสาธารณสุข เกิดความเหลื่อมล้ําและขาด โอกาสในการได้รับบริการจากรัฐอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จําเป็นอย่างยิ่งที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานอื่น ๆ ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างอนาคตของชาติร่วมกัน การดําเนินการครั้งนี้มี หน่วยงาน บริษัทต่าง ๆ รวมถึงชุมชนในพื้นที่ร่วมให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ต้องการพัฒนา โรงเรียนให้มีโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม นักเรียนมีคุณภาพชีวิต สุขภาพกายใจดีขึ้น มีจิตสาธารณะ รวมทั้ง เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงระบบการศึกษาด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้าง สิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยในตอนท้ายรองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงาน ชุมชน ในพื้นที่ บริษัทต่าง ๆ รวมทั้งสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจร่วมสนับสนุนการดําเนินงาน โครงการฯ จนสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ในการนี้รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ทําการส่งมอบโครงการและ สิ่งของให้กับโรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรม รวมทั้งได้มอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ด้วย สําหรับการส่งมอบโครงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ปี 2560 ให้แก่โรงเรียนบ้านใหม่เจริญธรรมในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย การส่งมอบระบบกรองน้ําดื่ม ระบบไฟฟ้า ทักษะ อาชีพ และกระเบื้องหลังคาอาคารเรียนและโรงอาหาร การส่งมอบห้องสมุดมีชีวิต การส่งมอบสนามเด็กเล่น รวมทั้งการมอบทุนการศึกษา ทุนบํารุงห้องสมุด และอุปกรณ์กีฬา การมอบถังน้ํา 1,500 ลิตร การมอบ โปรแกรม The 1 books E-library พัดลม 6 ตัว พร้อมชุดอุปกรณ์การเรียนและหนังสือ การมอบเสื้อกล้าม และชุดชั้นในสําหรับเด็ก การมอบเสื้อยืด การมอบยาเวชภัณฑ์ การมอบโทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี พัดลม คอมพิวเตอร์ หลอดไฟ การมอบจักรยาน การมอบกระปุกออมสิน การมอบไก่ไข่ การมอบโต๊ะ เก้าอี้ เสื้อกีฬา ขนมและนม การมอบคอมพิวเตอร์ โปสการ์ด และหนังสือพระบรมราโชวาทฯ จากหน่วยงาน มูลนิธิ ชมรม บริษัทต่าง ๆ และสํานักงานรองนายกรัฐมนตรีฯ ที่มีจิตศรัทธาเข้าร่วมโครงการฯ ............................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562 รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับคณะรัฐมนตรี โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรีพร้อมภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และลงนามถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562 รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รมว.ทส. ร่วมกับคณะรัฐมนตรีถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันที่ 24 กรกฎาคม 2562 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับคณะรัฐมนตรี โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นําคณะรัฐมนตรีพร้อมภริยา ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และลงนามถวายพระพรให้ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 รอง นรม. ประวิตร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 รับทราบรายงานความคืบหน้า พร้อมกับรับทราบปัญหาในการขับเคลื่อนปฏิรูป สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการประชุมฯ เพื่อรายงานความคืบหน้าในการดําเนินการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ พร้อมกับรายงานปัญหาที่ติดขัดระหว่างการดําเนินงาน เพื่อรายงานตีอนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาสั่งการในระยะต่อไป โดยมีผลของการประชุมฯ สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าของการแก้ปัญหารุกล้ําพื้นที่คลองลาดพร้าว โดยทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ดําเนินงานตามแผนโครงการบ้านประชารัฐริมคลอง เพื่อจัดระเบียบความเป็นอยู่คนในชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมคลองลาดพร้าว เพื่อให้พี่น้องชุมชนริมคลองลาดพร้าวมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย วางรากฐานช่วยยกระดับคุณภาพที่ดีขึ้น รวมไปถึงเป็นการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมริมคลองลาดพร้าวให้มีทัศนวิสัยให้สวยงาม เพื่อเป็นภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศด้วย อีกทั้ง ชุมชนริมคลองฯ ยังได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และบริษัท TOT ในการส่งเสริมและเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในโครงการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง ซึ่งที่ผ่านมา พม. ได้ดําเนินการวางศิลาฤกษ์อาคารพักอาศัยแปลง G เสร็จสิ้นแล้ว และยังได้จัดอบรมหลักสูตรการอยู่อาศัยร่วมกันภายในอาคารขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพักอาศัยภายในอาคารร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ ต่อยอดผลสําเร็จไปถึงการอนุมัติโครงการอาคารที่พักอาศัยแปลงอื่นได้ในอนาคต ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องชุมชนดินแดง ที่สอดคล้องกับการตอบสนองวิสัยทัศน์ประเทศไทย ที่จะลดความเลื่อมล้ําในสังคมอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย ทั้งนี้การสร้างอาคารพักอาศัยจํานวน 20,292 หน่วย มีกําหนดจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าพักอาศัยได้อย่างสมบูรณ์ในอีก 8 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการสร้างความ มั่นคง และยั่งยืนให้กับคนชุมชนดินแดง ได้มีที่พักอาศัยที่อบอุ่นต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมีแผนงานสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงทุกเส้นทางให้สามารถสัญจรไปมาอย่างสะดวกและปลอดภัยได้ โดยได้มีแนวทางในการปรับปรุงในรูปแบบให้คงความเป็นวัฒนธรรมไทยไว้ด้วย ซึ่งทาง มท. ได้ดําเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นเรียบร้อย และรอการดําเนินตอบกลับ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนต่อไป ในส่วนของปัญหาการดําเนินงานดังกล่าวนั้น ได้รับการต่อต้านจากคณะกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีจําเป็นที่จะต้องเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง ที่รัฐบาลดําเนินการเพื่อมุ่งหวังประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศและประชาชน โดยมอบหมายให้ กทม. ให้ดําเนินการและวางแนวทางเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบที่จะต้องย้ายที่อยู่อาศัย และให้ช่วยจัดการดูแลเบื้องต้นต่อไป นอกจากนั้น ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวทางการจัดทําผังเมือง และการป้องกันอุทกภัยในอนาคตโดยมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการจัดทําและปรับปรุงแบบผังเมืองใหม โดยเป็นการปรับพื้นที่สิ่งก่อสร้างที่จะขวางเส้นทางไหลผ่านของน้ําได้ พร้อมกับ มอบหมาย กรมโยธาธิการและผังเมืองรวบรวมแผนที่เส้นทางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นํามาปรับปรุงให้สอดคล้องแล้วส่งกลับเพื่อนําไปเป็นแบบในการสร้างเป็นฐานในอนาคต ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างยั่งยืนได้ต่อไป อีกทั้ง ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้า เกี่ยวกับการดําเนินงานแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประมงผิดกฎหมาย โดยประธานได้สั่งการให้ทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพเรือ และกรมประมง บังคับใช้กฎหมายผู้กระทําผิดในการทําการประมงอย่างชัดเจน พร้อมกับให้กรมประมงหาวิธีแก้ไขปัญหาการทําประมงโพงพางในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดสตูลโดยเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นการลงทะเบียนเพื่อรับการเยียวยาสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และช่วยส่งเสริมการประกอบอาชีพไดระยะต่อไปทั้งนี้สําหรับเรือประมงที่มีความเสี่ยงในการทําการประมงที่อยู่ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดีย รัฐบาลได้ดําเนินการเรียกตัวกลับโดยด่วนภายใน 30 วัน ก็เนื่องมาจากได้มีการกําหนดข้อบังคับทางกฎหมายในระดับนานาชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อีกทั้ง ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน และการปลดธงแดง โดยได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับการตรวจสอบ จาก IKO และ FAA ไว้ทั้งหมดแล้ว เพื่อนเร่งดําเนินการปลดธงแดงให้กับบริษัท การบินไทย จํากัดมหาชน และบริษัทการบินพลเรือนของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์นานาชาติ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสายการบินของไทยและได้รับความไว้วางใจตามกฎกติกาสากล เพื่อสามารถนําเครื่องบินรับ-ส่งผู้โดยสารภายในเขตพื้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ต่อไป ตอนท้าย ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยได้มีการจัดทําระบบอิเล็กทรอนิกส์สารสนเทศในการระบุสัญชาติ เก็บข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งระบบดังกล่าวสามารถแสดงตัวตนจากระบบดังกล่าวได้ ทั้งนี้ได้สั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงแรงงาน (รง.) เร่งดําเนินการพิสูจน์สัญชาติให้ได้โดยเร็ว เพื่อควบคุมปัญหาเรื่องจํานวนแรงงานต่างด้าว เนื่องจากในอนาคต อาชีพแรงงานของบุคคลเหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญของกลไกลการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างมั่นคง และยั่งยืน ตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันดําเนินการปฏิรูปเพื่อสร้างความก้าวหน้าของประเทศอย่างเต็มกําลัง รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งหวังพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีขึ้น ที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย มีผลทําให้แผนงานหลายอย่างประสบความสําเร็จได้ด้วยดี ขาดเพียงแค่จะต้องช่วยกันดําเนินงานประชาสัมพันธ์ ที่จะสร้างการรับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องให้กับประชาชนและบุคลากรทุกภาคส่วน เพื่อให้เข้าใจถึงแผนงานการดําเนินงานทั้งหมดที่รัฐบาลมุ่งหวังเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน -------------------------------- กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 รอง นรม. ประวิตร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 รับทราบรายงานความคืบหน้า พร้อมกับรับทราบปัญหาในการขับเคลื่อนปฏิรูป สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 2/2560 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ วัตถุประสงค์ของการประชุมฯ เพื่อรายงานความคืบหน้าในการดําเนินการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ พร้อมกับรายงานปัญหาที่ติดขัดระหว่างการดําเนินงาน เพื่อรายงานตีอนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาสั่งการในระยะต่อไป โดยมีผลของการประชุมฯ สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าของการแก้ปัญหารุกล้ําพื้นที่คลองลาดพร้าว โดยทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ดําเนินงานตามแผนโครงการบ้านประชารัฐริมคลอง เพื่อจัดระเบียบความเป็นอยู่คนในชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณริมคลองลาดพร้าว เพื่อให้พี่น้องชุมชนริมคลองลาดพร้าวมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย วางรากฐานช่วยยกระดับคุณภาพที่ดีขึ้น รวมไปถึงเป็นการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมริมคลองลาดพร้าวให้มีทัศนวิสัยให้สวยงาม เพื่อเป็นภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศด้วย อีกทั้ง ชุมชนริมคลองฯ ยังได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และบริษัท TOT ในการส่งเสริมและเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยในโครงการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการฟื้นฟูชุมชนดินแดง ซึ่งที่ผ่านมา พม. ได้ดําเนินการวางศิลาฤกษ์อาคารพักอาศัยแปลง G เสร็จสิ้นแล้ว และยังได้จัดอบรมหลักสูตรการอยู่อาศัยร่วมกันภายในอาคารขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานที่มั่นคงในการพักอาศัยภายในอาคารร่วมกันอย่างเป็นระเบียบ ต่อยอดผลสําเร็จไปถึงการอนุมัติโครงการอาคารที่พักอาศัยแปลงอื่นได้ในอนาคต ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องชุมชนดินแดง ที่สอดคล้องกับการตอบสนองวิสัยทัศน์ประเทศไทย ที่จะลดความเลื่อมล้ําในสังคมอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย ทั้งนี้การสร้างอาคารพักอาศัยจํานวน 20,292 หน่วย มีกําหนดจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าพักอาศัยได้อย่างสมบูรณ์ในอีก 8 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นการสร้างความ มั่นคง และยั่งยืนให้กับคนชุมชนดินแดง ได้มีที่พักอาศัยที่อบอุ่นต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา โดยมีแผนงานสร้างเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงทุกเส้นทางให้สามารถสัญจรไปมาอย่างสะดวกและปลอดภัยได้ โดยได้มีแนวทางในการปรับปรุงในรูปแบบให้คงความเป็นวัฒนธรรมไทยไว้ด้วย ซึ่งทาง มท. ได้ดําเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นเรียบร้อย และรอการดําเนินตอบกลับ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนต่อไป ในส่วนของปัญหาการดําเนินงานดังกล่าวนั้น ได้รับการต่อต้านจากคณะกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีจําเป็นที่จะต้องเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง ที่รัฐบาลดําเนินการเพื่อมุ่งหวังประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศและประชาชน โดยมอบหมายให้ กทม. ให้ดําเนินการและวางแนวทางเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบที่จะต้องย้ายที่อยู่อาศัย และให้ช่วยจัดการดูแลเบื้องต้นต่อไป นอกจากนั้น ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้า เกี่ยวกับแนวทางการจัดทําผังเมือง และการป้องกันอุทกภัยในอนาคตโดยมอบหมายให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ดําเนินการจัดทําและปรับปรุงแบบผังเมืองใหม โดยเป็นการปรับพื้นที่สิ่งก่อสร้างที่จะขวางเส้นทางไหลผ่านของน้ําได้ พร้อมกับ มอบหมาย กรมโยธาธิการและผังเมืองรวบรวมแผนที่เส้นทางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นํามาปรับปรุงให้สอดคล้องแล้วส่งกลับเพื่อนําไปเป็นแบบในการสร้างเป็นฐานในอนาคต ทั้งหมดนี้จะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยได้อย่างยั่งยืนได้ต่อไป อีกทั้ง ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้า เกี่ยวกับการดําเนินงานแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประมงผิดกฎหมาย โดยประธานได้สั่งการให้ทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพเรือ และกรมประมง บังคับใช้กฎหมายผู้กระทําผิดในการทําการประมงอย่างชัดเจน พร้อมกับให้กรมประมงหาวิธีแก้ไขปัญหาการทําประมงโพงพางในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดสตูลโดยเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นการลงทะเบียนเพื่อรับการเยียวยาสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และช่วยส่งเสริมการประกอบอาชีพไดระยะต่อไปทั้งนี้สําหรับเรือประมงที่มีความเสี่ยงในการทําการประมงที่อยู่ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดีย รัฐบาลได้ดําเนินการเรียกตัวกลับโดยด่วนภายใน 30 วัน ก็เนื่องมาจากได้มีการกําหนดข้อบังคับทางกฎหมายในระดับนานาชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ อีกทั้ง ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน และการปลดธงแดง โดยได้มีการเตรียมพร้อมเพื่อรับการตรวจสอบ จาก IKO และ FAA ไว้ทั้งหมดแล้ว เพื่อนเร่งดําเนินการปลดธงแดงให้กับบริษัท การบินไทย จํากัดมหาชน และบริษัทการบินพลเรือนของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐานตามหลักเกณฑ์นานาชาติ ซึ่งจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสายการบินของไทยและได้รับความไว้วางใจตามกฎกติกาสากล เพื่อสามารถนําเครื่องบินรับ-ส่งผู้โดยสารภายในเขตพื้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ต่อไป ตอนท้าย ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยได้มีการจัดทําระบบอิเล็กทรอนิกส์สารสนเทศในการระบุสัญชาติ เก็บข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งระบบดังกล่าวสามารถแสดงตัวตนจากระบบดังกล่าวได้ ทั้งนี้ได้สั่งการเพิ่มเติมให้กระทรวงแรงงาน (รง.) เร่งดําเนินการพิสูจน์สัญชาติให้ได้โดยเร็ว เพื่อควบคุมปัญหาเรื่องจํานวนแรงงานต่างด้าว เนื่องจากในอนาคต อาชีพแรงงานของบุคคลเหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญของกลไกลการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศให้เป็นไปอย่างมั่นคง และยั่งยืน ตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันดําเนินการปฏิรูปเพื่อสร้างความก้าวหน้าของประเทศอย่างเต็มกําลัง รัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งหวังพัฒนาประเทศไปในทางที่ดีขึ้น ที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย มีผลทําให้แผนงานหลายอย่างประสบความสําเร็จได้ด้วยดี ขาดเพียงแค่จะต้องช่วยกันดําเนินงานประชาสัมพันธ์ ที่จะสร้างการรับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องให้กับประชาชนและบุคลากรทุกภาคส่วน เพื่อให้เข้าใจถึงแผนงานการดําเนินงานทั้งหมดที่รัฐบาลมุ่งหวังเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน -------------------------------- กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม จํานวน 3,000 ล้านบาท จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2560 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดจําหน่ายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 ขณะนี้จําหน่ายได้ครบตามวงเงินที่ประกาศแล้ว และเนื่องจากยังมีความต้องการซื้อจากประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงเห็นชอบให้จัดสรรวงเงินจําหน่ายเพิ่มเติมจํานวน 3,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิม คือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.35 ต่อปี และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2560 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการจําหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น รายละไม่เกิน 2,000,000 บาทต่อธนาคารตัวแทนจําหน่าย ผู้สนใจสามารถซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2560 หรือจนกว่าวงเงินจําหน่ายจํานวน 3,000 ล้านบาทจะหมดลง โดยสามารถทํารายการซื้อผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และระบบ Internet Banking ของธนาคารตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง ตามรายละเอียดดังนี้ ธนาคารกรุงเทพฯ www.bangkokbank.com/ibanking ธนาคารกรุงไทยฯ www.ktbnetbank.com ธนาคารกสิกรไทยฯ https://online.kasikornbankgroup.com ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ www.scbeasy.com จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5806 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 เพิ่มเติม จํานวน 3,000 ล้านบาท จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2560 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานผลการจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 2 วงเงิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งเปิดจําหน่ายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 ขณะนี้จําหน่ายได้ครบตามวงเงินที่ประกาศแล้ว และเนื่องจากยังมีความต้องการซื้อจากประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงเห็นชอบให้จัดสรรวงเงินจําหน่ายเพิ่มเติมจํานวน 3,000 ล้านบาท ตามรุ่นอายุและอัตราดอกเบี้ยเดิม คือเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) รุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.35 ต่อปี และอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.00 ต่อปี จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2560 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการจําหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น รายละไม่เกิน 2,000,000 บาทต่อธนาคารตัวแทนจําหน่าย ผู้สนใจสามารถซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 31 สิงหาคม 2560 หรือจนกว่าวงเงินจําหน่ายจํานวน 3,000 ล้านบาทจะหมดลง โดยสามารถทํารายการซื้อผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และระบบ Internet Banking ของธนาคารตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง ตามรายละเอียดดังนี้ ธนาคารกรุงเทพฯ www.bangkokbank.com/ibanking ธนาคารกรุงไทยฯ www.ktbnetbank.com ธนาคารกสิกรไทยฯ https://online.kasikornbankgroup.com ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ www.scbeasy.com จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5806 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สัมภาษณ์พิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ และ อปท.ทีวีนิวส์
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560 สัมภาษณ์พิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ และ อปท.ทีวีนิวส์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อเผยแพร่ผ่านทาง “หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์” และ “อปท.ทีวีนิวส์” เมื่อวันพุธที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อเผยแพร่ผ่านทาง “หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์” และ “อปท.ทีวีนิวส์” ในประเด็น การดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนผ่านทางกองทุนยุติธรรม การบูรณาการความร่วมมือกับศูนย์ยุติธรรมชุมชน ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งนโยบายของกระทรวงยุติธรรมกับการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ที่เกี่ยวข้องในด้านการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม การสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้กับประชาชน รวมทั้งการนํานวัตกรรมมาปรับใช้ในการให้บริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สัมภาษณ์พิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ และ อปท.ทีวีนิวส์ วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560 สัมภาษณ์พิเศษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์ และ อปท.ทีวีนิวส์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อเผยแพร่ผ่านทาง “หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์” และ “อปท.ทีวีนิวส์” เมื่อวันพุธที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษเพื่อเผยแพร่ผ่านทาง “หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์” และ “อปท.ทีวีนิวส์” ในประเด็น การดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และอํานวยความยุติธรรมให้กับประชาชนผ่านทางกองทุนยุติธรรม การบูรณาการความร่วมมือกับศูนย์ยุติธรรมชุมชน ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งนโยบายของกระทรวงยุติธรรมกับการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 ที่เกี่ยวข้องในด้านการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม การสร้างการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้กับประชาชน รวมทั้งการนํานวัตกรรมมาปรับใช้ในการให้บริการประชาชนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน กับ สกสค. บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูพร้อมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการ ช.พ.ค.-ช.พ.ส. ฉบับใหม่แล้ว
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 ออมสิน กับ สกสค. บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูพร้อมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการ ช.พ.ค.-ช.พ.ส. ฉบับใหม่แล้ว ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ร่วมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. - ช.พ.ส. ครั้งที่ 1 วันนี้ (7 พฤษภาคม 2561) นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยนายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติม ข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. - ช.พ.ส. ครั้งที่ 1 ระหว่าง สกสค. กับ ธนาคารออมสิน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของผู้กู้ในโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. – ช.พ.ส. ตามบันทึกข้อตกลงเดิม ณ กระทรวงศึกษาธิการ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน กับ สกสค. ได้ทําบันทึกข้อตกลงร่วมกันเพื่อช่วยเหลือสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) จํานวน 5 ฉบับ ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาโครงการ 2 ถึงโครงการ 6 โครงการเกื้อกูลผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา (โครงการ 7) และโครงการสวัสดิการเงินกู้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (โครงการ ช.พ.ส.) โดยที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกันในการปรับปรุงแนวทางการดําเนินงานของสินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสนับสนุนแนวงทางความมีวินัยทางการเงิน แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นั้น “ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันกับธนาคารออมสิน แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกข้อตกลงเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ ยกเลิกเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงเดิมที่กําหนดให้ธนาคารออมสินจ่ายเงินสนับสนุนให้กับสํานักงานฯ ตามอัตราและระยะเวลาที่กําหนดตามแต่ละโครงการ ซึ่งธนาคารให้เพื่อนําไปใช้ในการพัฒนาสมาชิกและกิจการ ช.พ.ค. รวมทั้งชําระหนี้ค้างแทนสมาชิก ช.พ.ค. ที่ไม่สามารถชําระเงินงวดให้กับธนาคารเกิน 3 เดือนติดต่อกันได้ ทั้งนี้ สํานักงานฯ จะไม่รับเงินสนับสนุนดังกล่าว แต่ให้ธนาคารนําเงินสนับสนุนไปลดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้กู้ที่ได้กู้เงินตามโครงการนั้น ๆ ในเดือนถัดจากเดือนที่บันทึกข้อตกลงนี้มีผลใช้บังคับ”ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าว นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า สําหรับผู้กู้ ซึ่งหมายถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาตามโครงการฯ ที่จะได้รับสิทธิลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราข้างต้น จะต้องมีคุณสมบัติ คือ มีสถานะหนี้ปกติ หรือเข้าร่วมมาตรการแก้ไขหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต้องชําระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 100 และชําระดอกเบี้ยที่ตั้งพักทั้งหมด หรือ ผู้กู้เข้าร่วมมาตรการแก้ไขหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากมีเงื่อนไขชําระดอกเบี้ยน้อยกว่าร้อยละ 100 เมื่อครบระยะเวลาผ่อนปรนแล้ว สามารถจ่ายชําระหนี้ได้ตามปกติ และชําระดอกเบี้ยที่ตั้งพักทั้งหมด ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่ผู้กู้จะได้รับจากการลดดอกเบี้ยแล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระการผ่อนชําระในแต่ละเดือน ผู้กู้ยังสามารถขอลดเงินงวดผ่อนชําระ โดยให้ติดต่อสาขาที่กู้เงิน สําหรับผู้ที่ไม่ประสงค์ลดเงินงวดในแต่ละเดือน ก็จะไปลดเงินต้นได้มากขึ้น ทําให้หมดภาระหนี้เร็ว “เม็ดเงินที่ธนาคารออมสินเคยจัดสรรเพื่อสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการ ช.พ.ค. เดือนละประมาณ 200 ล้านบาท จะเปลี่ยนไปเข้าบัญชีครูและบุคลากรทางการศึกษาแทน รวมแล้วปีละ 2,000 ล้านบาท โดยครูที่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถผ่อนชําระหนี้ได้ตามกําหนด ขอให้มาเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งโครงการและมาตรการนี้ เป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ธนาคารออมสินเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครู อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการและธนาคารออมสินมีเจตนารมณ์ที่ดีที่จะสร้างวินัยทางการเงินและตอบแทนครูดี เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครูได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายชาติชาย กล่าวในที่สุด.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน กับ สกสค. บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูพร้อมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการ ช.พ.ค.-ช.พ.ส. ฉบับใหม่แล้ว วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 ออมสิน กับ สกสค. บรรลุข้อตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครูพร้อมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการ ช.พ.ค.-ช.พ.ส. ฉบับใหม่แล้ว ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ร่วมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. - ช.พ.ส. ครั้งที่ 1 วันนี้ (7 พฤษภาคม 2561) นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยนายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ร่วมลงนามบันทึกแก้ไขเพิ่มเติม ข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. - ช.พ.ส. ครั้งที่ 1 ระหว่าง สกสค. กับ ธนาคารออมสิน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของผู้กู้ในโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. – ช.พ.ส. ตามบันทึกข้อตกลงเดิม ณ กระทรวงศึกษาธิการ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน กับ สกสค. ได้ทําบันทึกข้อตกลงร่วมกันเพื่อช่วยเหลือสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) จํานวน 5 ฉบับ ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาโครงการ 2 ถึงโครงการ 6 โครงการเกื้อกูลผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา (โครงการ 7) และโครงการสวัสดิการเงินกู้แก่สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (โครงการ ช.พ.ส.) โดยที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกันในการปรับปรุงแนวทางการดําเนินงานของสินเชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสนับสนุนแนวงทางความมีวินัยทางการเงิน แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นั้น “ล่าสุด กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันกับธนาคารออมสิน แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกข้อตกลงเดิม ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ ยกเลิกเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลงเดิมที่กําหนดให้ธนาคารออมสินจ่ายเงินสนับสนุนให้กับสํานักงานฯ ตามอัตราและระยะเวลาที่กําหนดตามแต่ละโครงการ ซึ่งธนาคารให้เพื่อนําไปใช้ในการพัฒนาสมาชิกและกิจการ ช.พ.ค. รวมทั้งชําระหนี้ค้างแทนสมาชิก ช.พ.ค. ที่ไม่สามารถชําระเงินงวดให้กับธนาคารเกิน 3 เดือนติดต่อกันได้ ทั้งนี้ สํานักงานฯ จะไม่รับเงินสนับสนุนดังกล่าว แต่ให้ธนาคารนําเงินสนับสนุนไปลดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้กู้ที่ได้กู้เงินตามโครงการนั้น ๆ ในเดือนถัดจากเดือนที่บันทึกข้อตกลงนี้มีผลใช้บังคับ”ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กล่าว นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า สําหรับผู้กู้ ซึ่งหมายถึงครูและบุคลากรทางการศึกษาตามโครงการฯ ที่จะได้รับสิทธิลดอัตราดอกเบี้ยในอัตราข้างต้น จะต้องมีคุณสมบัติ คือ มีสถานะหนี้ปกติ หรือเข้าร่วมมาตรการแก้ไขหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต้องชําระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 100 และชําระดอกเบี้ยที่ตั้งพักทั้งหมด หรือ ผู้กู้เข้าร่วมมาตรการแก้ไขหนี้หรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากมีเงื่อนไขชําระดอกเบี้ยน้อยกว่าร้อยละ 100 เมื่อครบระยะเวลาผ่อนปรนแล้ว สามารถจ่ายชําระหนี้ได้ตามปกติ และชําระดอกเบี้ยที่ตั้งพักทั้งหมด ซึ่งนอกจากประโยชน์ที่ผู้กู้จะได้รับจากการลดดอกเบี้ยแล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระการผ่อนชําระในแต่ละเดือน ผู้กู้ยังสามารถขอลดเงินงวดผ่อนชําระ โดยให้ติดต่อสาขาที่กู้เงิน สําหรับผู้ที่ไม่ประสงค์ลดเงินงวดในแต่ละเดือน ก็จะไปลดเงินต้นได้มากขึ้น ทําให้หมดภาระหนี้เร็ว “เม็ดเงินที่ธนาคารออมสินเคยจัดสรรเพื่อสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการ ช.พ.ค. เดือนละประมาณ 200 ล้านบาท จะเปลี่ยนไปเข้าบัญชีครูและบุคลากรทางการศึกษาแทน รวมแล้วปีละ 2,000 ล้านบาท โดยครูที่ไม่แน่ใจว่าจะสามารถผ่อนชําระหนี้ได้ตามกําหนด ขอให้มาเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งโครงการและมาตรการนี้ เป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ธนาคารออมสินเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครู อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการและธนาคารออมสินมีเจตนารมณ์ที่ดีที่จะสร้างวินัยทางการเงินและตอบแทนครูดี เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครูได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายชาติชาย กล่าวในที่สุด.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ บริเวณลานหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายณรงค์ ทองคํา ทนายความ ในฐานะผู้ประสานงานทางกฎหมายของพลเมืองจีนในประเทศไทย นํานายจูนไหม่ เกา บิดาของนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนซึ่งได้เช่ารถจักรยานยนต์ขับขี่ท่องเที่ยวในเมืองชะอํา แต่ถูกรถตู้ชนขณะกําลังกลับรถ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหัวหิน และได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือด้านการดําเนินคดี เนื่องจากรถตู้คู่กรณีเป็นของนักธุรกิจรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนดําเนินคดี ด้านโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมจะติดตามการดําเนินการในเรื่องของคดีความ เนื่องจากขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่คู่กรณี ซึ่งเบื้องต้นต้องรอการแจ้งข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตํารวจเสียก่อนจึงจะสามารถดําเนินการต่อได้ และหากมีความจําเป็นต้องดําเนินคดี กระทรวงยุติธรรม โดยกองทุนยุติธรรม จะให้ความช่วยเหลือด้านค่าทนายความในการดําเนินคดี และหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้เสียชีวิตไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตที่เกิดขึ้น จะสามารถขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ นอกจากนี้ จะประสานงานไปยังกระทรวงสาธารณสุขเพื่อหารือในประเด็นค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาศพในโรงพยาบาลว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม พร้อมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต กระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกรถตู้ชนเสียชีวิต ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ บริเวณลานหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายณรงค์ ทองคํา ทนายความ ในฐานะผู้ประสานงานทางกฎหมายของพลเมืองจีนในประเทศไทย นํานายจูนไหม่ เกา บิดาของนักท่องเที่ยวสาวชาวจีนซึ่งได้เช่ารถจักรยานยนต์ขับขี่ท่องเที่ยวในเมืองชะอํา แต่ถูกรถตู้ชนขณะกําลังกลับรถ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหัวหิน และได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือด้านการดําเนินคดี เนื่องจากรถตู้คู่กรณีเป็นของนักธุรกิจรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนดําเนินคดี ด้านโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมจะติดตามการดําเนินการในเรื่องของคดีความ เนื่องจากขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่คู่กรณี ซึ่งเบื้องต้นต้องรอการแจ้งข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตํารวจเสียก่อนจึงจะสามารถดําเนินการต่อได้ และหากมีความจําเป็นต้องดําเนินคดี กระทรวงยุติธรรม โดยกองทุนยุติธรรม จะให้ความช่วยเหลือด้านค่าทนายความในการดําเนินคดี และหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้เสียชีวิตไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตที่เกิดขึ้น จะสามารถขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ นอกจากนี้ จะประสานงานไปยังกระทรวงสาธารณสุขเพื่อหารือในประเด็นค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาศพในโรงพยาบาลว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม พร้อมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7389
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี 2562
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัย เนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยเนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 วันนี้ 26 ธันวาคม 2562 ที่กระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้วันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันที่เกิดภัยพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศไทย คือ เหตุการณ์ “สึนามิ” เมื่อปี 2547 หรือเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจํานวนมาก กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําแผนงานเพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศและกําหนดให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ปลูกจิตสํานึกด้านความปลอดภัย และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยแก่ประชาชน ให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากภัยพิบัติ รู้จักการป้องกันตนเองและเตรียมความพร้อมของชุมชนในการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทั้งภัยที่เกิดจากธรรมชาติและภัยที่เกิดจากมนุษย์ จึงขอถือโอกาสนี้ในการเชิญชวนประชาชนได้ตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมในการรับมือจากภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงร่วมกันสร้างจิตสํานึกการดําเนินชีวิตที่ปลอดภัยและพัฒนาไปสู่วัฒนธรรมความปลอดภัยพร้อมกันทั่วประเทศ โดยทุกจังหวัดได้จัดให้มีกิจกรรมเช่น การให้ความรู้ ฝึกทักษะ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามความเสี่ยงภัยของแต่ละพื้นที่ การจัดนิทรรศการให้ความรู้ การสาธิตการใช้อุปกรณ์เครื่องมือในการกู้ชีพกู้ภัย และแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อการป้องกันอุบัติภัยจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบสารเนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญการเตรียมความพร้อมป้องกันอุบัติภัยและร่วมกันสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยให้เกิดขึ้น โดยมีความตอนหนึ่งว่ารัฐบาลได้มีเป้าหมายสําคัญในการป้องกันอุบัติภัยและยกระดับความปลอดภัยสู่มาตรฐานสากล ไปจนถึงได้วางแนวทางการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด ตลอดจนสร้างการรับรู้ และปลูกฝังจิตสํานึกด้านความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในการดําเนินชีวิตประจําวัน และต้องการให้ทุกภาคส่วนในสังคมทุกระดับบูรณาการลดความเสี่ยงภัย และรู้จักการเตรียมความพร้อมป้องกันตนเอง การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยระหว่างเกิดภัยและหลังเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ ตลอดจนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้การเตือนภัยและการเฝ้าระวังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนดําเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 220/2562 วันที่ 26 ธ.ค. 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย เนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี 2562 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัย เนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 มหาดไทย รณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยเนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 วันนี้ 26 ธันวาคม 2562 ที่กระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้กําหนดให้วันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันที่เกิดภัยพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศไทย คือ เหตุการณ์ “สึนามิ” เมื่อปี 2547 หรือเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจํานวนมาก กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดทําแผนงานเพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างจิตสํานึกด้านความปลอดภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศและกําหนดให้ทุกจังหวัดจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ปลูกจิตสํานึกด้านความปลอดภัย และสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยแก่ประชาชน ให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากภัยพิบัติ รู้จักการป้องกันตนเองและเตรียมความพร้อมของชุมชนในการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทั้งภัยที่เกิดจากธรรมชาติและภัยที่เกิดจากมนุษย์ จึงขอถือโอกาสนี้ในการเชิญชวนประชาชนได้ตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมในการรับมือจากภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงร่วมกันสร้างจิตสํานึกการดําเนินชีวิตที่ปลอดภัยและพัฒนาไปสู่วัฒนธรรมความปลอดภัยพร้อมกันทั่วประเทศ โดยทุกจังหวัดได้จัดให้มีกิจกรรมเช่น การให้ความรู้ ฝึกทักษะ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามความเสี่ยงภัยของแต่ละพื้นที่ การจัดนิทรรศการให้ความรู้ การสาธิตการใช้อุปกรณ์เครื่องมือในการกู้ชีพกู้ภัย และแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อการป้องกันอุบัติภัยจากหน่วยงานภาคีเครือข่ายเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการสร้างความปลอดภัยในพื้นที่ ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบสารเนื่องในโอกาสวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจําปี 2562 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสําคัญการเตรียมความพร้อมป้องกันอุบัติภัยและร่วมกันสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยให้เกิดขึ้น โดยมีความตอนหนึ่งว่ารัฐบาลได้มีเป้าหมายสําคัญในการป้องกันอุบัติภัยและยกระดับความปลอดภัยสู่มาตรฐานสากล ไปจนถึงได้วางแนวทางการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด ตลอดจนสร้างการรับรู้ และปลูกฝังจิตสํานึกด้านความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในการดําเนินชีวิตประจําวัน และต้องการให้ทุกภาคส่วนในสังคมทุกระดับบูรณาการลดความเสี่ยงภัย และรู้จักการเตรียมความพร้อมป้องกันตนเอง การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยระหว่างเกิดภัยและหลังเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ ตลอดจนการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เป็นเครื่องมือช่วยให้การเตือนภัยและการเฝ้าระวังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนดําเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 220/2562 วันที่ 26 ธ.ค. 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ BSA The Software Alliance และกลุ่มบริษัทจากต่างประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ BSA The Software Alliance และกลุ่มบริษัทจากต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับตัวแทนจาก BSA The Software Alliance และตัวแทนจากบริษัทประเทศต่างๆ อาทิ Amazon Web Services, Microsoft Australia, Cisco System Inc., IBM และ Symantec Corporation เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 ณ กรมอุตุนิยมวิทยา โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินงานของกระทรวงฯ ที่กําลังดําเนินการผลักดันอยู่ โดยแบ่งเป็น 5 ด้านสําคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ด้านการผลักดันรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ด้านการพัฒนากําลังคนไซเบอร์ (Digital Manpower) และด้านการพัฒนาแอปพลิเคชั่น (Digital Application & Development) ตลอดจนการพัฒนาโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park) ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ การประชุมหารือดังกล่าว ที่ประชุมมีเห็นควรให้ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. จัดตั้ง Cyber Security Business Group และสร้าง Audit Assessment Program ขึ้น เพื่อประสานการทํางานร่วมกับศูนย์ความร่วมมือ อาเซียน - ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Program) ทั้งยังได้กล่าวถึงการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ในปี 2562 ในชื่อ ASEAN Digital Agility ประกอบด้วยการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ 1) Cyber Security เช่น Cyber War Game, Cyber Personnel Training 2) Smart City เช่น 26 Cities Conference, City Data Platform 3) Connectivity & Mobility เช่น ASEAN Submarine Cable Network, ASEAN Biometric VISA 4) Harmonization & Alignment เช่น ASEAN Data Protection Framework, ASEAN Single window และ 5) Manpower & Society เช่น ASEAN Startup Hackathon, Social Media Review, eSport in ASEAN นอกจากนี้ ยังได้มีการเชิญชวนกลุ่มบริษัทต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนกลุ่มนักลงทุนในด้านต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ Digital Park ในพื้นที่ EEC ซึ่งไทยกําลังให้ความสําคัญในการผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ BSA The Software Alliance และกลุ่มบริษัทจากต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมร่วมกับ BSA The Software Alliance และกลุ่มบริษัทจากต่างประเทศ รมว.ดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับตัวแทนจาก BSA The Software Alliance และตัวแทนจากบริษัทประเทศต่างๆ อาทิ Amazon Web Services, Microsoft Australia, Cisco System Inc., IBM และ Symantec Corporation เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 ณ กรมอุตุนิยมวิทยา โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินงานของกระทรวงฯ ที่กําลังดําเนินการผลักดันอยู่ โดยแบ่งเป็น 5 ด้านสําคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ด้านการผลักดันรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ด้านการพัฒนากําลังคนไซเบอร์ (Digital Manpower) และด้านการพัฒนาแอปพลิเคชั่น (Digital Application & Development) ตลอดจนการพัฒนาโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park) ในเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ การประชุมหารือดังกล่าว ที่ประชุมมีเห็นควรให้ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. จัดตั้ง Cyber Security Business Group และสร้าง Audit Assessment Program ขึ้น เพื่อประสานการทํางานร่วมกับศูนย์ความร่วมมือ อาเซียน - ญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาบุคลากรความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ASEAN-Japan Cybersecurity Capacity Building Program) ทั้งยังได้กล่าวถึงการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ในปี 2562 ในชื่อ ASEAN Digital Agility ประกอบด้วยการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ 1) Cyber Security เช่น Cyber War Game, Cyber Personnel Training 2) Smart City เช่น 26 Cities Conference, City Data Platform 3) Connectivity & Mobility เช่น ASEAN Submarine Cable Network, ASEAN Biometric VISA 4) Harmonization & Alignment เช่น ASEAN Data Protection Framework, ASEAN Single window และ 5) Manpower & Society เช่น ASEAN Startup Hackathon, Social Media Review, eSport in ASEAN นอกจากนี้ ยังได้มีการเชิญชวนกลุ่มบริษัทต่างๆ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนกลุ่มนักลงทุนในด้านต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ Digital Park ในพื้นที่ EEC ซึ่งไทยกําลังให้ความสําคัญในการผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมงานสัมมนา “Doing Business Portal Roadmap”
วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมงานสัมมนา “Doing Business Portal Roadmap” ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงานสัมมนา “การเตรียมความพร้อมเพื่อขับเคลื่อนไปสู่ระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal Roadmap)” โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฯ ซึ่งสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร.จัดขึ้น เพื่อนําเสนอผลการสํารวจสถานภาพปัจจุบันของใบอนุญาต/บริการสําคัญที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจ และผลการออกแบบสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร พร้อมนําเสนอร่างแนวทางและแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ระยะ 2 ปี (Doing Business Portal Master Plan) ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่หน่วยงานหลักเพื่อเตรียมการพัฒนาระบบ Doing Business Portal ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการอํานวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนอย่างครบวงจร ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปงานบริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Transformation Program) บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ อันจะนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการติดต่อราชการ ให้สามารถติดต่อหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว โดยไม่ต้องส่งเอกสารที่ซ้ําซ้อน สะดวกรวดเร็ว และมีความโปร่งใสต่อไป เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ณ ห้องแคทลียา โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมงานสัมมนา “Doing Business Portal Roadmap” วันพุธที่ 27 มิถุนายน 2561 ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าร่วมงานสัมมนา “Doing Business Portal Roadmap” ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงานสัมมนา “การเตรียมความพร้อมเพื่อขับเคลื่อนไปสู่ระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร (Doing Business Portal Roadmap)” โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฯ ซึ่งสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร.จัดขึ้น เพื่อนําเสนอผลการสํารวจสถานภาพปัจจุบันของใบอนุญาต/บริการสําคัญที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินธุรกิจ และผลการออกแบบสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร พร้อมนําเสนอร่างแนวทางและแผนการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ระยะ 2 ปี (Doing Business Portal Master Plan) ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับมอบหมายให้ทําหน้าที่หน่วยงานหลักเพื่อเตรียมการพัฒนาระบบ Doing Business Portal ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ในการอํานวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนอย่างครบวงจร ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปงานบริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Transformation Program) บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ อันจะนําไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการติดต่อราชการ ให้สามารถติดต่อหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว โดยไม่ต้องส่งเอกสารที่ซ้ําซ้อน สะดวกรวดเร็ว และมีความโปร่งใสต่อไป เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 ณ ห้องแคทลียา โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13368
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลนำโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 รัฐบาลนําโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ รัฐบาลนําโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ วันนี้ (8 ม.ค.63) เวลา 09.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนจากกระทรวง รวมถึงผู้แทนจากกลุ่มสมัชชาคนจนเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวันที่ 6-23 ตุลาคม 2562 กลุ่มสมัชชาคนจน จํานวนประมาณ 400 คน นําโดยนายบารมี ชัยรัตน์ ได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณถนนลูกหลวง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยกลุ่มสมัชชาได้เสนอการแก้ไขปัญหา 35 กรณี รวม 5 กลุ่มปัญหา ได้แก่ เรื่องเขื่อน ที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่รัฐ แรงงาน การเกษตร และผลกระทบจากโครงการของรัฐ/เอกชน ทั้งนี้ประเด็นเร่งด่วนที่กลุ่มสมัชชาต้องการให้ดําเนินการแก้ไข คือ เรื่องที่อยู่อาศัยและทํากินในพื้นที่ของรัฐ ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย 30 กรณี รวม 9 กลุ่มข้อเสนอ และขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของ สคจ. เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านต่างๆ และขอให้นําผลการเจรจาเสนอคณะรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมา นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ทําหน้าที่เจรจาแก้ไขปัญหาของ สคจ. แทนนายกรัฐมนตรี ได้รายงานผลการเจรจาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บัญชาให้ 11 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการร่วมกัน สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยขับเคลื่อนการนําข้อเสนอต่างๆ สู่กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็วต่อไป ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลนำโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 รัฐบาลนําโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ รัฐบาลนําโดย รองนายกฯ ประวิตร ร่วมหารือคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน (สคจ.) เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอ วันนี้ (8 ม.ค.63) เวลา 09.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนจากกระทรวง รวมถึงผู้แทนจากกลุ่มสมัชชาคนจนเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อวันที่ 6-23 ตุลาคม 2562 กลุ่มสมัชชาคนจน จํานวนประมาณ 400 คน นําโดยนายบารมี ชัยรัตน์ ได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณถนนลูกหลวง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ โดยกลุ่มสมัชชาได้เสนอการแก้ไขปัญหา 35 กรณี รวม 5 กลุ่มปัญหา ได้แก่ เรื่องเขื่อน ที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่รัฐ แรงงาน การเกษตร และผลกระทบจากโครงการของรัฐ/เอกชน ทั้งนี้ประเด็นเร่งด่วนที่กลุ่มสมัชชาต้องการให้ดําเนินการแก้ไข คือ เรื่องที่อยู่อาศัยและทํากินในพื้นที่ของรัฐ ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย 30 กรณี รวม 9 กลุ่มข้อเสนอ และขอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของ สคจ. เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาด้านต่างๆ และขอให้นําผลการเจรจาเสนอคณะรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วน ที่ผ่านมา นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ทําหน้าที่เจรจาแก้ไขปัญหาของ สคจ. แทนนายกรัฐมนตรี ได้รายงานผลการเจรจาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้บัญชาให้ 11 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการร่วมกัน สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติร่วมกันในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยขับเคลื่อนการนําข้อเสนอต่างๆ สู่กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็วต่อไป ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์คว้าตะหลิวโชว์ต้มยำกุ้งกลางห้าง Foodhall อินเดีย ส่งเสริมการค้าไทย
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 จุรินทร์คว้าตะหลิวโชว์ต้มยํากุ้งกลางห้าง Foodhall อินเดีย ส่งเสริมการค้าไทย 18 มกราคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง Food hall ของประเทศอินเดีย ซึ่งมีอยู่กว่า 2000 สาขาทั่วประเทศ คลอบคลุมจนถึงประชากรที่เป็นเป้าหมายผู้บริโภค กว่า 600 คน ช่วงบ่ายวานนี้ ( 17 มกราคม 2563 ) โดยได้นําคณะสํารวจสินค้าไทยซึ่งมีขายอยู่ในชั้นวางของห้าง ทั้งเครื่องปรุงรส น้ําปลา พริกและเครื่องเทศต่างๆที่มาจากประเทศไทย ในโอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีได้สาธิตการปรุงอาหาร เมนูต้มยํากุ้งและผัดไท ร่วมกับเชฟจากสถานทูต ไทย โดยไฮไลท์เมนูต้มยํากุ้งนั้นได้มีบล็อกเกอร์หรือ YouTuber ทางด้านอาหารของอินเดียมานั่งสังเกตการณ์กว่า 10 รายเพื่อถ่ายทอดและชิมการปรุงอาหารไทยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มของอินเดีย ซึ่งล้วนได้รับความสนใจโดยเฉพาะเมนูต้มยํากุ้งเราบรรดา Food Blogger ต่างยกนิ้วให้ถึงความอร่อย สร้างสีสันในการส่งเสริมการค้าระหว่างไทยกับอินเดียครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้วในระหว่างเวลาเดียวกันยังมีการประชุมหารือหัวข้อศักยภาพและโอกาสของแป้งมันสําปะหลังไทยในอินเดียโดย กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมแป้งมัน สมาคมการค้ามัน และภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายอีกด้วย จากนั้น นายจุรินทร์พร้อมคณะจึงเดินทางมาที่เมืองไฮเดอร์ราบัดสําหรับวันที่ 18 มกราคม 2563 จะมีการเข้าเยี่ยมคารวะจาก รัฐมนตรีพาณิชย์ของเมืองนี้ และจะได้มีการสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมไม้ยางพาราระหว่างไทยอินเดียและกิจกรรมเจรจาการค้าและสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างไทยอินเดียเช่นกันโดยจะมีสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งรัฐเตลังกานามาร่วมด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์คว้าตะหลิวโชว์ต้มยำกุ้งกลางห้าง Foodhall อินเดีย ส่งเสริมการค้าไทย วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563 จุรินทร์คว้าตะหลิวโชว์ต้มยํากุ้งกลางห้าง Foodhall อินเดีย ส่งเสริมการค้าไทย 18 มกราคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง Food hall ของประเทศอินเดีย ซึ่งมีอยู่กว่า 2000 สาขาทั่วประเทศ คลอบคลุมจนถึงประชากรที่เป็นเป้าหมายผู้บริโภค กว่า 600 คน ช่วงบ่ายวานนี้ ( 17 มกราคม 2563 ) โดยได้นําคณะสํารวจสินค้าไทยซึ่งมีขายอยู่ในชั้นวางของห้าง ทั้งเครื่องปรุงรส น้ําปลา พริกและเครื่องเทศต่างๆที่มาจากประเทศไทย ในโอกาสนี้รองนายกรัฐมนตรีได้สาธิตการปรุงอาหาร เมนูต้มยํากุ้งและผัดไท ร่วมกับเชฟจากสถานทูต ไทย โดยไฮไลท์เมนูต้มยํากุ้งนั้นได้มีบล็อกเกอร์หรือ YouTuber ทางด้านอาหารของอินเดียมานั่งสังเกตการณ์กว่า 10 รายเพื่อถ่ายทอดและชิมการปรุงอาหารไทยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มของอินเดีย ซึ่งล้วนได้รับความสนใจโดยเฉพาะเมนูต้มยํากุ้งเราบรรดา Food Blogger ต่างยกนิ้วให้ถึงความอร่อย สร้างสีสันในการส่งเสริมการค้าระหว่างไทยกับอินเดียครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้วในระหว่างเวลาเดียวกันยังมีการประชุมหารือหัวข้อศักยภาพและโอกาสของแป้งมันสําปะหลังไทยในอินเดียโดย กรมการค้าต่างประเทศ สมาคมแป้งมัน สมาคมการค้ามัน และภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายอีกด้วย จากนั้น นายจุรินทร์พร้อมคณะจึงเดินทางมาที่เมืองไฮเดอร์ราบัดสําหรับวันที่ 18 มกราคม 2563 จะมีการเข้าเยี่ยมคารวะจาก รัฐมนตรีพาณิชย์ของเมืองนี้ และจะได้มีการสัมมนาโอกาสใหม่ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมไม้ยางพาราระหว่างไทยอินเดียและกิจกรรมเจรจาการค้าและสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างไทยอินเดียเช่นกันโดยจะมีสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งรัฐเตลังกานามาร่วมด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25956
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย หน่วยงานและบุคลากร ให้เป็นกลไกรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย หน่วยงานและบุคลากร ให้เป็นกลไกรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 พร้อมกําชับให้ร่วมกันพัฒนาด้านความมั่นคงและความปลอดภัยในไซเบอร์ของประเทศ วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 10.00 ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการในครั้งนี้ด้วย รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมโดยกล่าวมอบนโยบายว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้เป็นประธานและประสานการประชุม ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก เพื่อติดตามภาพรวมการดําเนินการ เร่งผลักดันกลไกระดับนโยบาย ทั้งเรื่องการจัดตั้งสํานักงานเพื่อเป็นหน่วยงานกําลังของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) แนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการต่างๆ รวมทั้งการจัดทํากฎหมายรอง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพื่อกํากับ ดูแล ติดตามเฝ้าระวังความมั่นคงทางปลอดภัย และรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการพัฒนาความมั่นคงและดูแลความปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในที่ประชุมได้รับทราบในเรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) พร้อมทั้งแผนการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และแผนการจัดทํากฎหมายลําดับรอง ร่างโครงสร้างและอัตรากําลังของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) รวมถึงข้อเสนอเพื่อให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบมอบหมายให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย ThaiCERT โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ทําหน้าที่เป็นศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NationalCERT ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ระหว่างนี้ โดยขอให้ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สนับสนุน ดูแลจนกว่าจะมีการตั้งศูนย์ NationalCERT แล้วเรียบร้อย ก่อนเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความสําคัญของการรับมือกับสถานการณ์ด้านภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเตรียมพร้อมให้ประเทศไทย สร้างแรงผลักดัน ให้เกิดการพัฒนาและการรักษาความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ และกําชับให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยติดตามและผลักดันการดําเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้เป็นไปตามทิศทางที่คณะกรรมการได้กําหนดไว้ต่อไป ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย หน่วยงานและบุคลากร ให้เป็นกลไกรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 รอง นรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย หน่วยงานและบุคลากร ให้เป็นกลไกรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ประชุม คกก. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 พร้อมกําชับให้ร่วมกันพัฒนาด้านความมั่นคงและความปลอดภัยในไซเบอร์ของประเทศ วันนี้ (13 ม.ค. 63) เวลา 10.00 ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการในครั้งนี้ด้วย รองนายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมโดยกล่าวมอบนโยบายว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้เป็นประธานและประสานการประชุม ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรก เพื่อติดตามภาพรวมการดําเนินการ เร่งผลักดันกลไกระดับนโยบาย ทั้งเรื่องการจัดตั้งสํานักงานเพื่อเป็นหน่วยงานกําลังของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) แนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการต่างๆ รวมทั้งการจัดทํากฎหมายรอง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 เพื่อกํากับ ดูแล ติดตามเฝ้าระวังความมั่นคงทางปลอดภัย และรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ เพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถในการพัฒนาความมั่นคงและดูแลความปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในที่ประชุมได้รับทราบในเรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) พร้อมทั้งแผนการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และแผนการจัดทํากฎหมายลําดับรอง ร่างโครงสร้างและอัตรากําลังของสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) รวมถึงข้อเสนอเพื่อให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบมอบหมายให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย ThaiCERT โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ทําหน้าที่เป็นศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NationalCERT ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ระหว่างนี้ โดยขอให้ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สนับสนุน ดูแลจนกว่าจะมีการตั้งศูนย์ NationalCERT แล้วเรียบร้อย ก่อนเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ําถึงความสําคัญของการรับมือกับสถานการณ์ด้านภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเตรียมพร้อมให้ประเทศไทย สร้างแรงผลักดัน ให้เกิดการพัฒนาและการรักษาความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ และกําชับให้คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยติดตามและผลักดันการดําเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อให้เป็นไปตามทิศทางที่คณะกรรมการได้กําหนดไว้ต่อไป ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25751
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 26.6 และ 0.9 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 29.6 และ 22.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถ ปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 38.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 23.1 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตยางพารา และกุ้ง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 8.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 3.1 และ 10.9 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.9 และ 10.6 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 6.8 และ 2.4 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 13.2 และ 10.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวในอัตราเร่งเช่นกันที่ ร้อยละ 9.0 และ 17.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกจังหวัด สําหรับด้านอุปทานขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 และ 5.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.3 ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 14.2 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 18.3 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 66.4 ตามการลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 35.6 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 15.7 และ 1.0 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.9 และ 11.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ทําให้ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.0 ต่อปี ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 และ 7.1 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ -1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 และ 98.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 7.8 และ 108.2 ต่อปี ตามลําดับ ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 และ 20.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 12.5 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 15.9 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 0.4 ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2560 มีเงินลงทุน 3,977 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 133.5 ต่อปี ตามการลงทุนในเกือบทุกจังหวัด ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.2 และ 7.8 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน "เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี" นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจภูมิภาคในเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวต่อเนื่อง นําโดย ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในหลายภูมิภาค รวมถึงการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว สําหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจทุกภูมิภาคยังอยู่ในเกณฑ์ดี” โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ภาคใต้ เศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 26.6 และ 0.9 ต่อปี ตามลําดับ ตามการขยายตัวในเกือบทุกจังหวัด ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 29.6 และ 22.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถ ปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวที่ร้อยละ 29.0 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 38.0 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากจํานวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.5 และ 23.1 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับผลผลิตสินค้าเกษตรที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง จากผลผลิตยางพารา และกุ้ง เป็นสําคัญ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออก เศรษฐกิจขยายตัว โดยมีการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยการบริโภคภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 8.2 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 3.1 และ 10.9 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับด้านอุปทาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวขยายตัวในเกณฑ์ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.9 และ 10.6 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคกลาง เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยวเป็นหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 6.8 และ 2.4 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 13.2 และ 10.7 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้น จากยอดรถปิคอัพและรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ที่ขยายตัวในอัตราเร่งเช่นกันที่ ร้อยละ 9.0 และ 17.0 ต่อปี ตามลําดับ ตามการปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกจังหวัด สําหรับด้านอุปทานขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 1.9 และ 5.5 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ -0.6 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 1.7 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 0.3 ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน จากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 14.2 ต่อปี ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 18.3 ต่อปี เช่นเดียวกันกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรม ในเดือนมิถุนายน ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 66.4 ตามการลงทุนในจังหวัดเศรษฐกิจสําคัญ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี เป็นต้น ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 35.6 ต่อปี สําหรับด้านอุปทาน ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 2.9 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคเหนือ เศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 15.7 และ 1.0 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 17.9 และ 11.2 ต่อปี ตามลําดับ สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถบรรทุกจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 14.6 ต่อปี ทําให้ใน ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.0 ต่อปี ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 3.4 และ 7.1 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ -1.2 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค กทม.และปริมณฑล เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่และเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายนที่ขยายตัวร้อยละ 1.5 และ 98.8 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 7.8 และ 108.2 ต่อปี ตามลําดับ ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน ในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 4.4 และ 20.4 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 อยู่ในระดับเอื้อต่อการบริโภคที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค ภาคตะวันตก เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยมีการบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการท่องเที่ยว เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สะท้อนจากเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากยอดรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ขยายตัวที่ร้อยละ 12.5 ต่อปี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 15.9 ต่อปี สอดคล้องกับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากยอดรถปิคอัพจดทะเบียนใหม่ ขยายตัวร้อยละ 0.4 ทําให้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.9 ต่อปี เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2560 มีเงินลงทุน 3,977 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 133.5 ต่อปี ตามการลงทุนในเกือบทุกจังหวัด ส่วนด้านอุปทาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีทั้งจํานวนและรายได้จากการเยี่ยมเยือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.2 และ 7.8 ต่อปี ตามลําดับ ในขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมิถุนายน (เบื้องต้น) 2560 ที่ยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี และอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ของกําลังแรงงานรวมของภูมิภาค
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย"
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย" รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย" นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนา เรื่อง ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย ที่จัดขึ้นโดยสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า มติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปี ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่สําคัญในเรื่องการพัฒนาขีดความสามารถใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย โดยในภาคการเกษตรมีแนวทางที่สําคัญในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในด้านการผลิตในภาคเกษตร นั่นก็คือการเป็นเกษตรอัจฉริยะหรือสมาทฟาร์มมิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญ การจัดสัมมนาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จะช่วยให้การผลิตทางด้านการเกษตรของไทยมีความสามารถในการแข่งขันได้ ทําให้ภาคการเกษตรมีความเจริญเติบโตต่อเนื่องจากในอดีตได้ และนําไปสู่การเป็นเกษตร 4.0 ได้ในอนาคต ในส่วนของทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางในการสนับสนุนการทําเกษตรอัจฉริยะ โดยการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่จะมาช่วยพัฒนาและสนับสนุนให้ลูกหลานเกษตรกร ที่ถือเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จ เข้ามาช่วยเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างองค์ความรู้สมัยใหม่กับเกษตรกร ซึ่ง Young Smart Farmer จะช่วยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาช่วยในเรื่องการเพาะปลูกเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงกระบวนการในการรวบรวม แปรรูป และการตลาด จะยิ่งช่วยยกระดับขีดความสามารถในภาคการเกษตรเป็นให้นําไปใช้ได้จริง นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังมีแนวทางให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกัน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน รวมถึงยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ และสถาบันการศึกษาเพื่อให้การถ่ายทอดองค์ความรู้นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การดําเนินการดังกล่าวจึงถือเป็นส่วนสําคัญที่จะทําให้ต้นทุนทางการผลิดลดลง ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้น และในขณะเดียวกันยังมีข้อมูลข่าวสารทางการตลาดเพื่อให้เกษตรกรได้พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องการทํางานร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเกษตรหรือเทคโนโลยีด้านการเกษตร เนื่องจากสถาบันการศึกษาเปรียบเสมือนประตูที่จะนําไปสู่เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า และถ้าสถาบันการศึกษาเข้ามาให้ความร่วมมือจะทําให้การนําเทคโนโลยีสู่ภาคการปฏิบัติร่วมกับชุมชน เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังได้มีการดําเนินงานร่วมกับสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เนื่องจากเงินทุนถือเป็นปัจจัยที่จะทําให้การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเดิมไปสู่เทคโนโลยีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเป็นเงินทุนที่มีต้นทุนไม่สูงจนเกินไป ก็จะทําให้การตัดสินใจของเกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย" วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย" รมช.ลักษณ์ เปิดการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษ " ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย" นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดการสัมมนา เรื่อง ความเป็นไปได้ของเกษตรอัจฉริยะในประเทศไทย ที่จัดขึ้นโดยสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า มติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบยุทธศาสตร์ของชาติ 20 ปี ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่สําคัญในเรื่องการพัฒนาขีดความสามารถใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย โดยในภาคการเกษตรมีแนวทางที่สําคัญในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในด้านการผลิตในภาคเกษตร นั่นก็คือการเป็นเกษตรอัจฉริยะหรือสมาทฟาร์มมิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญ การจัดสัมมนาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จะช่วยให้การผลิตทางด้านการเกษตรของไทยมีความสามารถในการแข่งขันได้ ทําให้ภาคการเกษตรมีความเจริญเติบโตต่อเนื่องจากในอดีตได้ และนําไปสู่การเป็นเกษตร 4.0 ได้ในอนาคต ในส่วนของทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางในการสนับสนุนการทําเกษตรอัจฉริยะ โดยการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่จะมาช่วยพัฒนาและสนับสนุนให้ลูกหลานเกษตรกร ที่ถือเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จ เข้ามาช่วยเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างองค์ความรู้สมัยใหม่กับเกษตรกร ซึ่ง Young Smart Farmer จะช่วยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาช่วยในเรื่องการเพาะปลูกเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงกระบวนการในการรวบรวม แปรรูป และการตลาด จะยิ่งช่วยยกระดับขีดความสามารถในภาคการเกษตรเป็นให้นําไปใช้ได้จริง นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงเกษตรฯ ยังมีแนวทางให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกัน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน รวมถึงยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯ และสถาบันการศึกษาเพื่อให้การถ่ายทอดองค์ความรู้นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การดําเนินการดังกล่าวจึงถือเป็นส่วนสําคัญที่จะทําให้ต้นทุนทางการผลิดลดลง ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้น และในขณะเดียวกันยังมีข้อมูลข่าวสารทางการตลาดเพื่อให้เกษตรกรได้พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องการทํางานร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านการเกษตรหรือเทคโนโลยีด้านการเกษตร เนื่องจากสถาบันการศึกษาเปรียบเสมือนประตูที่จะนําไปสู่เทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า และถ้าสถาบันการศึกษาเข้ามาให้ความร่วมมือจะทําให้การนําเทคโนโลยีสู่ภาคการปฏิบัติร่วมกับชุมชน เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังได้มีการดําเนินงานร่วมกับสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เนื่องจากเงินทุนถือเป็นปัจจัยที่จะทําให้การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเดิมไปสู่เทคโนโลยีใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเป็นเงินทุนที่มีต้นทุนไม่สูงจนเกินไป ก็จะทําให้การตัดสินใจของเกษตรกรที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 ประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 3 ประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอ 3 ประเด็นสําคัญเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตโควิด-19 ในกิจกรรมขององค์การสหประชาชาติ ประกอบด้วย 1. ความพร้อมของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง งบประมาณด้านสาธารณสุข หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยประเทศไทยมีระบบ อสม.ที่มีประสิทธิภาพ 2. สภาพแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่เป็นมิตร และการยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่เปิดกว้าง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และ 3. การวางแผนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน รองรับความปรกติใหม่ คือ การดูแลสภาพแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 ประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 3 ประเด็นฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอ 3 ประเด็นสําคัญเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากวิกฤตโควิด-19 ในกิจกรรมขององค์การสหประชาชาติ ประกอบด้วย 1. ความพร้อมของระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง งบประมาณด้านสาธารณสุข หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยประเทศไทยมีระบบ อสม.ที่มีประสิทธิภาพ 2. สภาพแวดล้อมทางการค้าและการลงทุนที่เป็นมิตร และการยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่เปิดกว้าง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ และ 3. การวางแผนเพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน รองรับความปรกติใหม่ คือ การดูแลสภาพแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31904
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจระบบการเยี่ยมญาติของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจระบบการเยี่ยมญาติของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อให้กําลังใจญาติผู้ต้องขัง สอบถามถึงความต้องการ และสิ่งที่ขาดเหลือในเวลาเยี่ยมญาติ พร้อมทั้ง เข้าเยี่ยมสถานฝึกอาชีพทัณฑสถานหญิงกลาง ณ ครัวชวนชม โดยมี พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้การต้อนรับ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวความตอนหนึ่งว่า จากการตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ทุกคนทํางานด้วยความตั้งใจ มีระบบการบริการที่ดี ในการดูแลญาติพี่น้องที่เดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องขัง จากการสอบถามกับประชาชน ก็ไม่มีการสะท้อนว่ากรมราชทัณฑ์มีจุดบกพร่องในส่วนนี้ การเดินทางมาในครั้งนี้ เนื่องจากได้รับฟังเสียงสะท้อนถึงปัญหา อาทิ ในการเยี่ยมญาติไม่มีความสะดวกสบาย ผู้ต้องขังล้นเรือนจํา จึงได้เดินทางมาติดตามว่ามีปัญหาจริงหรือไม่ อาจจะมีเพียงแค่บางจุดที่เป็นเรือนจําเก่า ก็ต้องพัฒนากันต่อไป สําหรับแนวทางการแก้ปัญหานักโทษเมื่อออกจากเรือนจําแล้วไม่มีงานทํา ขณะนี้กําลังหาแนวทางร่วมกันว่า หากเราไปขอสิทธิให้กับบริษัทห้างร้านที่รับผู้ต้องขังไปทํางาน จะได้รับสิทธิพิเศษในการลดภาษีจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกไปแล้วนั้น ล้วนมีฝีมือชํานาญในทักษะต่างๆ เช่น ด้านคหกรรม งานช่างต่างๆ เวลานี้จึงขาดเพียงโอกาส และหากทุกคนเปิดใจเราจะสามารถช่วยสังคมได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจระบบการเยี่ยมญาติของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจระบบการเยี่ยมญาติของเรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเรือนจําพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อให้กําลังใจญาติผู้ต้องขัง สอบถามถึงความต้องการ และสิ่งที่ขาดเหลือในเวลาเยี่ยมญาติ พร้อมทั้ง เข้าเยี่ยมสถานฝึกอาชีพทัณฑสถานหญิงกลาง ณ ครัวชวนชม โดยมี พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้การต้อนรับ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวความตอนหนึ่งว่า จากการตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ทุกคนทํางานด้วยความตั้งใจ มีระบบการบริการที่ดี ในการดูแลญาติพี่น้องที่เดินทางมาเยี่ยมผู้ต้องขัง จากการสอบถามกับประชาชน ก็ไม่มีการสะท้อนว่ากรมราชทัณฑ์มีจุดบกพร่องในส่วนนี้ การเดินทางมาในครั้งนี้ เนื่องจากได้รับฟังเสียงสะท้อนถึงปัญหา อาทิ ในการเยี่ยมญาติไม่มีความสะดวกสบาย ผู้ต้องขังล้นเรือนจํา จึงได้เดินทางมาติดตามว่ามีปัญหาจริงหรือไม่ อาจจะมีเพียงแค่บางจุดที่เป็นเรือนจําเก่า ก็ต้องพัฒนากันต่อไป สําหรับแนวทางการแก้ปัญหานักโทษเมื่อออกจากเรือนจําแล้วไม่มีงานทํา ขณะนี้กําลังหาแนวทางร่วมกันว่า หากเราไปขอสิทธิให้กับบริษัทห้างร้านที่รับผู้ต้องขังไปทํางาน จะได้รับสิทธิพิเศษในการลดภาษีจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากผู้ต้องขังที่พ้นโทษออกไปแล้วนั้น ล้วนมีฝีมือชํานาญในทักษะต่างๆ เช่น ด้านคหกรรม งานช่างต่างๆ เวลานี้จึงขาดเพียงโอกาส และหากทุกคนเปิดใจเราจะสามารถช่วยสังคมได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ว่าด้วยเรื่องปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จะแก้ได้อย่างไร? มาดูกัน
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ว่าด้วยเรื่องปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก จะแก้ได้อย่างไร? มาดูกัน .. สทนช.และหน่วยงานด้านน้ําบูรณาการวางแผนบริหารจัดการน้ําในพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก ท่วมแล้วท่วมอีก ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มีทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ว่าด้วยเรื่องปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก จะแก้ได้อย่างไร? มาดูกัน วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ว่าด้วยเรื่องปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก จะแก้ได้อย่างไร? มาดูกัน .. สทนช.และหน่วยงานด้านน้ําบูรณาการวางแผนบริหารจัดการน้ําในพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก ท่วมแล้วท่วมอีก ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม มีทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น ระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ วันนี้ (21 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น.นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดตัวหน้ากากผ้าสําหรับคนพิการทางการได้ยิน (ซึ่งหน้ากากผ้าดังกล่าวมีพลาสติกใสอยู่ตรงกลาง) เพื่อช่วยให้การพูดสื่อสารมีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยการมองเห็นรูปปากที่ชัดเจน และเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยมีนางสาวอณิรา ธินนท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรีกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนพิการเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงวิธีการป้องกันตนเองและการดูแลสุขอนามัยที่ดีได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้มีมาตรการดูแลคนพิการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดสอนการเย็บหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด พก. เพื่อฝึกสอนประชาชนและจิตอาสา รวมทั้งผลิตหน้ากากผ้าโดยคนพิการ และจําหน่ายในราคาย่อมเยาว์ มีเอกลักษณ์เป็นลายผ้าขาวม้า ด้วยลวดลายสวยงามตามธรรมชาติ สามารถใส่ได้ 2 ด้าน ซักรีดได้ แล้วนํากลับมาใช้ใหม่ นางสาวอณิรากล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การใช้หน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังเกิดอุปสรรคในการสื่อสารสําหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย (คนหูหนวก) ที่ไม่สะดวกในการสื่อสารผ่านหน้ากากผ้าทั่วไป ระหว่างล่ามภาษามือ คู่สนทนา หรือคนพิการด้วยกันเอง ซึ่งไม่สามารถเห็นรูปปาก หรือการเคลื่อนไหว เพื่อแสดงความรู้สึกผ่านใบหน้า ทําให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งปัจจุบันมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จํานวน 382,615 คน หรือร้อยละ 18.87 จากทะเบียนคนพิการทั้งหมด จํานวนกว่า 2 ล้านคน ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้เล็งเห็นถึงความจําเป็นดังกล่าว จึงได้นํารูปแบบจากต่างประเทศมาปรับใช้และออกแบบหน้ากากผ้าเป็นแบบใสให้เห็นรูปปาก ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเทียบเท่ากับหน้ากากผ้า 3 ชั้น ได้มาตรฐาน และป้องกันละอองฝอยจากน้ําลาย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายจองเชื้อโรค อีกทั้ง ยังเป็นเครื่องมือช่วยในการสื่อสารสําหรับคนหูหนวก ล่ามภาษามือ คู่สนทนาทั้งคนปกติและคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายด้วยกัน ทําให้คนพิการมีความสุขในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความปลอดภัย ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตและจัดจําหน่ายได้ภายในเดือนเมษายนนี้ นางสาวอณิรากล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับวันนี้ มีการสาธิตการใช้หน้ากากผ้าแบบใสโดยคนพิการทางการได้ยินพร้อมล่ามภาษามือ โดยจะมีการสอนทําหน้ากากดังกล่าวฟรีทางสื่อโซเชียลมีเดียในเร็วๆ นี้ และกระทรวง พม. โดย พก. ยินดีเป็นสื่อกลาง สําหรับประชาชนที่สนใจบริจาคอุปกรณ์ทําหน้ากาก สามารถบริจาคได้ที่ อาคาร 60 ปี กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ บ้านราชวิถี กรุงเทพฯ ซึ่งอุปกรณ์ที่ประชาชนนํามาบริจาค เจ้าหน้าที่จะนําไปผลิตหน้ากากแบบดังกล่าวเพื่อนําไปส่งมอบให้กับล่ามและคนพิการทางการได้ยินที่มีความจําเป็นต้องใช้ในสื่อสาร นอกจากนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ยังได้เปิดร้านค้าออนไลน์สําหรับคนพิการนําสินค้ามาจําหน่ายในชื่อเพจเฟซบุ๊ก "ฝากร้านคนพิการ" ทั้งนี้ คนพิการสามารถนําสินค้ามาโพสต์ขายได้ฟรีในช่องทางดังกล่าว และขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมอุดหนุนซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือคนพิการ เพื่อร่วมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในช่วงภาวะวิกฤตของโรคโควิด-19 และเพื่อให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563 พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] พม. เปิดตัวหน้ากากผ้าแบบใสเพื่อคนพิการทางการได้ยิน พร้อมเชิญชวนอุดหนุนสินค้าออนไลน์จากฝีมือคนพิการ วันนี้ (21 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น.นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดตัวหน้ากากผ้าสําหรับคนพิการทางการได้ยิน (ซึ่งหน้ากากผ้าดังกล่าวมีพลาสติกใสอยู่ตรงกลาง) เพื่อช่วยให้การพูดสื่อสารมีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยการมองเห็นรูปปากที่ชัดเจน และเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 โดยมีนางสาวอณิรา ธินนท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรีกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มคนพิการเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงวิธีการป้องกันตนเองและการดูแลสุขอนามัยที่ดีได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้มีมาตรการดูแลคนพิการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดสอนการเย็บหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด พก. เพื่อฝึกสอนประชาชนและจิตอาสา รวมทั้งผลิตหน้ากากผ้าโดยคนพิการ และจําหน่ายในราคาย่อมเยาว์ มีเอกลักษณ์เป็นลายผ้าขาวม้า ด้วยลวดลายสวยงามตามธรรมชาติ สามารถใส่ได้ 2 ด้าน ซักรีดได้ แล้วนํากลับมาใช้ใหม่ นางสาวอณิรากล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม การใช้หน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังเกิดอุปสรรคในการสื่อสารสําหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย (คนหูหนวก) ที่ไม่สะดวกในการสื่อสารผ่านหน้ากากผ้าทั่วไป ระหว่างล่ามภาษามือ คู่สนทนา หรือคนพิการด้วยกันเอง ซึ่งไม่สามารถเห็นรูปปาก หรือการเคลื่อนไหว เพื่อแสดงความรู้สึกผ่านใบหน้า ทําให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งปัจจุบันมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จํานวน 382,615 คน หรือร้อยละ 18.87 จากทะเบียนคนพิการทั้งหมด จํานวนกว่า 2 ล้านคน ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ได้เล็งเห็นถึงความจําเป็นดังกล่าว จึงได้นํารูปแบบจากต่างประเทศมาปรับใช้และออกแบบหน้ากากผ้าเป็นแบบใสให้เห็นรูปปาก ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นเทียบเท่ากับหน้ากากผ้า 3 ชั้น ได้มาตรฐาน และป้องกันละอองฝอยจากน้ําลาย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายจองเชื้อโรค อีกทั้ง ยังเป็นเครื่องมือช่วยในการสื่อสารสําหรับคนหูหนวก ล่ามภาษามือ คู่สนทนาทั้งคนปกติและคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายด้วยกัน ทําให้คนพิการมีความสุขในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพด้วยความปลอดภัย ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตและจัดจําหน่ายได้ภายในเดือนเมษายนนี้ นางสาวอณิรากล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับวันนี้ มีการสาธิตการใช้หน้ากากผ้าแบบใสโดยคนพิการทางการได้ยินพร้อมล่ามภาษามือ โดยจะมีการสอนทําหน้ากากดังกล่าวฟรีทางสื่อโซเชียลมีเดียในเร็วๆ นี้ และกระทรวง พม. โดย พก. ยินดีเป็นสื่อกลาง สําหรับประชาชนที่สนใจบริจาคอุปกรณ์ทําหน้ากาก สามารถบริจาคได้ที่ อาคาร 60 ปี กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ บ้านราชวิถี กรุงเทพฯ ซึ่งอุปกรณ์ที่ประชาชนนํามาบริจาค เจ้าหน้าที่จะนําไปผลิตหน้ากากแบบดังกล่าวเพื่อนําไปส่งมอบให้กับล่ามและคนพิการทางการได้ยินที่มีความจําเป็นต้องใช้ในสื่อสาร นอกจากนี้ กระทรวง พม. โดย พก. ยังได้เปิดร้านค้าออนไลน์สําหรับคนพิการนําสินค้ามาจําหน่ายในชื่อเพจเฟซบุ๊ก "ฝากร้านคนพิการ" ทั้งนี้ คนพิการสามารถนําสินค้ามาโพสต์ขายได้ฟรีในช่องทางดังกล่าว และขอเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมอุดหนุนซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์คุณภาพจากฝีมือคนพิการ เพื่อร่วมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในช่วงภาวะวิกฤตของโรคโควิด-19 และเพื่อให้คนพิการสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับปรุง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพิ่มการดูแลลูกจ้าง
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 รัฐบาลปรับปรุง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพิ่มการดูแลลูกจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการดูแลจากนายจ้างและสถานประกอบการอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2541 ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เช่น กําหนดให้ลูกจ้างชายหญิงที่ทํางานในคุณภาพและปริมาณเท่ากันได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกัน กําหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระได้ไม่น้อยกว่า 3 วันทํางานต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง ลูกจ้างที่ทํางานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินชดเชย เมื่อเลิกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน ในกรณีเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ลูกจ้างมีสิทธิภายใน 3 วัน และจ่ายค่าชดเชยพิเศษภายใน 7 วันนับแต่วันที่สิ้นสุดการจ้าง เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดความเหลื่อมล้ําในสังคม อํานวยประโยชน์ให้ผู้ใช้แรงงานได้รับการคุ้มครอง และมีกําลังใจในการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นกําลังสําคัญของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปรับปรุง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพิ่มการดูแลลูกจ้าง วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 รัฐบาลปรับปรุง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน เพิ่มการดูแลลูกจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างได้รับการดูแลจากนายจ้างและสถานประกอบการอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2541 ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน เช่น กําหนดให้ลูกจ้างชายหญิงที่ทํางานในคุณภาพและปริมาณเท่ากันได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกัน กําหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระได้ไม่น้อยกว่า 3 วันทํางานต่อปีโดยได้รับค่าจ้าง ลูกจ้างที่ทํางานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินชดเชย เมื่อเลิกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน ในกรณีเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ลูกจ้างมีสิทธิภายใน 3 วัน และจ่ายค่าชดเชยพิเศษภายใน 7 วันนับแต่วันที่สิ้นสุดการจ้าง เป็นต้น ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดความเหลื่อมล้ําในสังคม อํานวยประโยชน์ให้ผู้ใช้แรงงานได้รับการคุ้มครอง และมีกําลังใจในการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นกําลังสําคัญของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ??
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ?? หน้ากากอนามัยจําเป็นไหม ? Q: ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ?? A: การใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันละอองฝอยที่ออกมากับลมหายใจและน้ําลายจึงแนะนําให้ผู้ป่วยทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆขณะที่ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องเข้าพื้นที่ชุมชนที่แออัดมากต้องใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์เช่นกันส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอาจเลือกใส่หน้ากากแบบผ้าแทนได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ?? วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ?? หน้ากากอนามัยจําเป็นไหม ? Q: ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ?? A: การใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันละอองฝอยที่ออกมากับลมหายใจและน้ําลายจึงแนะนําให้ผู้ป่วยทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆขณะที่ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องเข้าพื้นที่ชุมชนที่แออัดมากต้องใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์เช่นกันส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอาจเลือกใส่หน้ากากแบบผ้าแทนได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27610
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานพร้อมปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน “April Series 2018”
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานพร้อมปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน “April Series 2018” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “April Series 2018” พร้อมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Transforming Higher Education to Serve With Digital Economy and Society” โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) จัดขึ้น ซึ่งการจัดงานฯ ดังกล่าว เป็นการรวมงานประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยี ด้านการศึกษา และการแพทย์สาธารณสุขเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย งาน Education ICT Forum 2018 งาน Healthcare Technology Summit 2018 และงาน Innovative School Summit 2018 เพื่อเป็นเวทีสําคัญในการเรียนรู้ พร้อมปรับปรุงข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการแพทย์สาธารณสุข ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการให้ดิจิทัลเทคโนโลยีช่วยตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น โดยโลกและประเทศไทยกําลังเปลี่ยนผ่านด้วยความรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเตรียมพร้อมรับมืออย่างรู้เท่าทัน จะทําให้ประเทศไทยได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2561 ณ ห้องวายุภักษ์ 2-4 โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานพร้อมปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน “April Series 2018” วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานพร้อมปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดงาน “April Series 2018” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “April Series 2018” พร้อมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Transforming Higher Education to Serve With Digital Economy and Society” โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) จัดขึ้น ซึ่งการจัดงานฯ ดังกล่าว เป็นการรวมงานประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยี ด้านการศึกษา และการแพทย์สาธารณสุขเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย งาน Education ICT Forum 2018 งาน Healthcare Technology Summit 2018 และงาน Innovative School Summit 2018 เพื่อเป็นเวทีสําคัญในการเรียนรู้ พร้อมปรับปรุงข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการแพทย์สาธารณสุข ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการให้ดิจิทัลเทคโนโลยีช่วยตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น โดยโลกและประเทศไทยกําลังเปลี่ยนผ่านด้วยความรวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเตรียมพร้อมรับมืออย่างรู้เท่าทัน จะทําให้ประเทศไทยได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2561 ณ ห้องวายุภักษ์ 2-4 โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน วันนี้ ( 20 ก.ย.59) เวลา 13.10 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ การประชุม ครม.แทนพันเอก อธิสิทธิ์ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการต่อที่ประชุมครม.เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมาหานครและปริมณฑลว่า สาเหตุสําคัญของปัญหาดังกล่าวคือการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเมืองและยานพาหนะ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการละเลยวินัยจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการจราจรไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา พร้อมได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน โดยเฉพาะการจราจรในช่วงโมงเร่งด่วนซึ่งจะมีกรณีอุบัติเหตุที่ทําให้กีดขวางการจราจรก็ให้ดําเนินการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ที่การใช้ถนนของรถจักรยานและรถสาธารณะให้มีการกําหนดมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการชําระค่าปรับ การต่อทะเบียนรถ และการขอใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ทั้งนี้ ให้ดําเนินการควบคู่กับการสร้างการรับรู้ ปลูกจิตสํานึก การมีส่วนร่วมเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และการรักษาวินัยจราจรแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ําให้สร้างการรับรู้เรื่องดังกล่าวกับเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใช้รถใช้ถนนในอนาคตด้วย สําหรับเรื่องสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนักในภาคเหนือทําให้ระดับในแม่น้ํายมเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้น้ําไหลเข้าท่วมพื้นที่ตัวเมืองทั้งในจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียงนั้น สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบัน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งระบายน้ําออกนอกพื้นที่และประสานส่วนราชการต่าง ๆ ให้ช่วยเหลือประชาชนซึ่งจะทําให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตามได้รับรายงานว่าสัปดาห์นี้จะมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณพื้นที่ภาคเหนือจะทําให้เกิดฝนตกติดต่อกันอีกหลายวัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการระบายน้ําและความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่จะได้รับความเดือดร้อนเป็นไปอย่างทันท่วงที ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน ผู้ช่วยโฆษกฯ เผย รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน วันนี้ ( 20 ก.ย.59) เวลา 13.10 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ การประชุม ครม.แทนพันเอก อธิสิทธิ์ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการต่อที่ประชุมครม.เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมาหานครและปริมณฑลว่า สาเหตุสําคัญของปัญหาดังกล่าวคือการเพิ่มขึ้นของจํานวนประชากรเมืองและยานพาหนะ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการละเลยวินัยจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการจราจรไปแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา พร้อมได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เร่งแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 เดือน โดยเฉพาะการจราจรในช่วงโมงเร่งด่วนซึ่งจะมีกรณีอุบัติเหตุที่ทําให้กีดขวางการจราจรก็ให้ดําเนินการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ที่การใช้ถนนของรถจักรยานและรถสาธารณะให้มีการกําหนดมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการชําระค่าปรับ การต่อทะเบียนรถ และการขอใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ทั้งนี้ ให้ดําเนินการควบคู่กับการสร้างการรับรู้ ปลูกจิตสํานึก การมีส่วนร่วมเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และการรักษาวินัยจราจรแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ําให้สร้างการรับรู้เรื่องดังกล่าวกับเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใช้รถใช้ถนนในอนาคตด้วย สําหรับเรื่องสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนักในภาคเหนือทําให้ระดับในแม่น้ํายมเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้น้ําไหลเข้าท่วมพื้นที่ตัวเมืองทั้งในจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์และจังหวัดใกล้เคียงนั้น สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบัน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เร่งระบายน้ําออกนอกพื้นที่และประสานส่วนราชการต่าง ๆ ให้ช่วยเหลือประชาชนซึ่งจะทําให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตามได้รับรายงานว่าสัปดาห์นี้จะมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณพื้นที่ภาคเหนือจะทําให้เกิดฝนตกติดต่อกันอีกหลายวัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการระบายน้ําและความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่จะได้รับความเดือดร้อนเป็นไปอย่างทันท่วงที ------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัยง่ายๆ เพื่อป้องกันโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 สุขอนามัยง่ายๆ เพื่อป้องกันโควิด-19 รักษาสุขอนามัยให้ดีอยู่สม่ําเสมอ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุขอนามัยง่ายๆ เพื่อป้องกันโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 สุขอนามัยง่ายๆ เพื่อป้องกันโควิด-19 รักษาสุขอนามัยให้ดีอยู่สม่ําเสมอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวพันธุ์ เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ครั้งที่ 19/2559
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 รมต.นร.สุวพันธุ์ เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ครั้งที่ 19/2559 คณะแพทย์และพยาบาล พร้อมดูแลสุขภาพของประชาชนและผู้สูงอายุครอบคลุม 20 จุด ในพื้นที่สนามหลวงตลอด 24 ช.ม. วันนี้ (2 ธันวาคม 2559) เวลา 15.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ ครั้งที่ 19/2559 ภายหลังเลิกการประชุมเวลาประมาณ 17.30 น. รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการอํานวยความสะดวกดูแลประชาชน ในการถวายบังคมพระบรมศพฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งด้านการอํานวยความสะดวกในเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม และเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ตลอดจนพบว่ายอดจํานวนพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพฯ มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นตามลําดับ โดยเฉพาะช่วงเช้าและค่ํา โดยมียอดรวมจํานวนประชาชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีจํานวนมากถึง 4 หมื่น 5 พันคน พร้อมกันนี้ มีการประเมินว่า ในช่วงวันหยุดราชการต่อเนื่องระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2559 จะมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานฯ มากยิ่งขึ้น ส่วนระบบการจราจร ณ พื้นที่สนามหลวงระหว่างวันหยุดราชการต่อเนื่องดังกล่าวจะมีการปิดจราจรเช่นเดิม โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตํารวจอํานวยความสะดวกด้านการจราจรแก่ประชาชนอย่างดีที่สุด รวมทั้งด้านการให้บริการทางการแพทย์จะมีการปรับแผนการดูแลครอบคลุมพื้นที่โซนเหนือและโซนใต้ของพื้นที่สนามหลวง โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลตลอด 24 ช.ม. จํานวน 20 จุด โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนผู้สูงอายุที่มาร่วมงานจํานวนมากให้ดีที่สุด อนึ่ง องค์กรมูลนิธิ หรือกลุ่มประชาชนที่มีความประสงค์ที่จะมาจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงความอาลัยในบริเวณพื้นที่สนามหลวง จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ในการอํานวยความสะดวกแก่ทุกภาคส่วนดังกล่าวให้มีความเรียบร้อยและทั่วถึงมากที่สุด ***************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวพันธุ์ เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ครั้งที่ 19/2559 วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 รมต.นร.สุวพันธุ์ เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ครั้งที่ 19/2559 คณะแพทย์และพยาบาล พร้อมดูแลสุขภาพของประชาชนและผู้สูงอายุครอบคลุม 20 จุด ในพื้นที่สนามหลวงตลอด 24 ช.ม. วันนี้ (2 ธันวาคม 2559) เวลา 15.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ ครั้งที่ 19/2559 ภายหลังเลิกการประชุมเวลาประมาณ 17.30 น. รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุม ดังนี้ ที่ประชุมรับทราบการอํานวยความสะดวกดูแลประชาชน ในการถวายบังคมพระบรมศพฯ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งด้านการอํานวยความสะดวกในเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม และเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ตลอดจนพบว่ายอดจํานวนพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพฯ มีจํานวนเพิ่มมากขึ้นตามลําดับ โดยเฉพาะช่วงเช้าและค่ํา โดยมียอดรวมจํานวนประชาชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีจํานวนมากถึง 4 หมื่น 5 พันคน พร้อมกันนี้ มีการประเมินว่า ในช่วงวันหยุดราชการต่อเนื่องระหว่างวันที่ 3 – 5 ธันวาคม 2559 จะมีประชาชนเดินทางมาร่วมงานฯ มากยิ่งขึ้น ส่วนระบบการจราจร ณ พื้นที่สนามหลวงระหว่างวันหยุดราชการต่อเนื่องดังกล่าวจะมีการปิดจราจรเช่นเดิม โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตํารวจอํานวยความสะดวกด้านการจราจรแก่ประชาชนอย่างดีที่สุด รวมทั้งด้านการให้บริการทางการแพทย์จะมีการปรับแผนการดูแลครอบคลุมพื้นที่โซนเหนือและโซนใต้ของพื้นที่สนามหลวง โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลตลอด 24 ช.ม. จํานวน 20 จุด โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนผู้สูงอายุที่มาร่วมงานจํานวนมากให้ดีที่สุด อนึ่ง องค์กรมูลนิธิ หรือกลุ่มประชาชนที่มีความประสงค์ที่จะมาจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงความอาลัยในบริเวณพื้นที่สนามหลวง จะมีคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ในการอํานวยความสะดวกแก่ทุกภาคส่วนดังกล่าวให้มีความเรียบร้อยและทั่วถึงมากที่สุด ***************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม วันนี้ (14 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 20 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมความสําเร็จของความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา จนถือได้ว่าเป็นกรอบความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกรอบหนึ่งที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง และยินดีที่จะร่วมรับรองปฏิญญามะนิลาในโอกาสครบรอบ 20 ปีของความร่วมมืออาเซียนบวกสาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้เข้มแข็ง และขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมระหว่างประเทศอาเซียนบวกสามในอีก 20 ปีข้างหน้า และเสนอแนวทางดําเนินการ ดังนี้ ประการแรก ต้องเสริมสร้างความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี โดยพัฒนาแนวคิดความเป็นหุ้นส่วนอาเซียนบวกสาม ด้านความเชื่อมโยง ที่ผู้นําอาเซียนบวกสามได้รับรองตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มประเทศอาเซียน บวกสามเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการรวมตัวที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมความเชื่อมโยงควรเน้นหลายมิติพร้อม ๆ กัน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านกายภาพ ด้านกฎระเบียบ ด้านดิจิทัล และระหว่างเอกชนกับเอกชน และประชาชนกับประชาชน เพื่อให้เกิดพื้นที่เศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ไทยเสนอให้อาเซียนบวกสามร่วมกันพัฒนาแนวคิดความเป็นหุ้นส่วนอาเซียนบวกสามด้านความเชื่อมโยง โดยอาจใช้ประโยชน์จากผลการประชุมอาเซียนบวกสามว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งเสนอแนะให้เน้นการจัดทําโครงการ ที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยอาจให้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคาร เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ซึ่งทั้งสองสถาบันน่าจะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงอาเซียนบวกสามและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกต่อไป ประการที่สอง ประเทศบวกสามควรใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวของประชาคมอาเซียน ด้วยการเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุนในอาเซียนให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ในขณะนี้อาเซียนจะเร่งรัดการอํานวยความสะดวกทางการค้า เช่น การลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าภายในภูมิภาคลงร้อยละ 10 ภายในปี ค.ศ. 2020 การพิจารณาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window) การจัดทําระบบรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า ด้วยตนเองของอาเซียน และการจัดการกับมาตรการที่มิใช่ภาษี เป็นต้น ทั้งนี้ อาเซียนบวกสามมีความคืบหน้าในความร่วมมือในหลากหลายสาขา อาทิ ด้านการเงิน โดยเห็นได้จากมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralization: CMIM) และด้านการเกษตร ในการนี้ โดยที่ประเทศบวกสามมีความก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม และพลังงานสะอาด เป็นต้น นายกรัฐมนตรีหวังว่าประเทศในอาเซียนบวกสามจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการค้นคว้าวิจัย และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นพื้นฐานสําหรับการรวมตัวทางเศรษฐกิจในกรอบอาเซียนบวกสามอย่างต่อเนื่องต่อไป ในระยะยาว หากทั้ง 13 ประเทศสามารถต่อยอดความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นในด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งดําเนินการตามแผนงานความร่วมมืออาเซียนบวกสามอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับอาเซียนบวกสามให้เป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก รุ่นที่ 2 เพื่อส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีความเข้มแข็งและความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ภายใต้กรอบอาเซียนบวกสาม ซึ่งจะทําให้ภูมิภาค เอเชียตะวันออกสามารถรักษาสถานะและพลวัตด้านเศรษฐกิจให้ยั่งยืนต่อไปในระบบเศรษฐกิจโลก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน 2560 นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม วันนี้ (14 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 20 ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติฟิลิปปินส์ (PICC) กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมความสําเร็จของความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา จนถือได้ว่าเป็นกรอบความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกรอบหนึ่งที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง และยินดีที่จะร่วมรับรองปฏิญญามะนิลาในโอกาสครบรอบ 20 ปีของความร่วมมืออาเซียนบวกสาม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกให้เข้มแข็ง และขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างยั่งยืน ในการนี้ นายกรัฐมนตรีสนับสนุนการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมระหว่างประเทศอาเซียนบวกสามในอีก 20 ปีข้างหน้า และเสนอแนวทางดําเนินการ ดังนี้ ประการแรก ต้องเสริมสร้างความเชื่อมโยงที่ไร้รอยต่อในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะระหว่างอาเซียนกับจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี โดยพัฒนาแนวคิดความเป็นหุ้นส่วนอาเซียนบวกสาม ด้านความเชื่อมโยง ที่ผู้นําอาเซียนบวกสามได้รับรองตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มประเทศอาเซียน บวกสามเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีการรวมตัวที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมความเชื่อมโยงควรเน้นหลายมิติพร้อม ๆ กัน เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านกายภาพ ด้านกฎระเบียบ ด้านดิจิทัล และระหว่างเอกชนกับเอกชน และประชาชนกับประชาชน เพื่อให้เกิดพื้นที่เศรษฐกิจที่มีความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ไทยเสนอให้อาเซียนบวกสามร่วมกันพัฒนาแนวคิดความเป็นหุ้นส่วนอาเซียนบวกสามด้านความเชื่อมโยง โดยอาจใช้ประโยชน์จากผลการประชุมอาเซียนบวกสามว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งเสนอแนะให้เน้นการจัดทําโครงการ ที่ก่อให้เกิดรายได้ โดยอาจให้รับการสนับสนุนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และธนาคาร เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ซึ่งทั้งสองสถาบันน่าจะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันเพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงอาเซียนบวกสามและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกต่อไป ประการที่สอง ประเทศบวกสามควรใช้ประโยชน์จากการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวของประชาคมอาเซียน ด้วยการเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุนในอาเซียนให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ในขณะนี้อาเซียนจะเร่งรัดการอํานวยความสะดวกทางการค้า เช่น การลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าภายในภูมิภาคลงร้อยละ 10 ภายในปี ค.ศ. 2020 การพิจารณาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (ASEAN Single Window) การจัดทําระบบรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า ด้วยตนเองของอาเซียน และการจัดการกับมาตรการที่มิใช่ภาษี เป็นต้น ทั้งนี้ อาเซียนบวกสามมีความคืบหน้าในความร่วมมือในหลากหลายสาขา อาทิ ด้านการเงิน โดยเห็นได้จากมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralization: CMIM) และด้านการเกษตร ในการนี้ โดยที่ประเทศบวกสามมีความก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม และพลังงานสะอาด เป็นต้น นายกรัฐมนตรีหวังว่าประเทศในอาเซียนบวกสามจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการค้นคว้าวิจัย และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นพื้นฐานสําหรับการรวมตัวทางเศรษฐกิจในกรอบอาเซียนบวกสามอย่างต่อเนื่องต่อไป ในระยะยาว หากทั้ง 13 ประเทศสามารถต่อยอดความร่วมมือในกรอบอาเซียนบวกสามให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นในด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งดําเนินการตามแผนงานความร่วมมืออาเซียนบวกสามอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับอาเซียนบวกสามให้เป็นประชาคมเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ตามข้อเสนอแนะของกลุ่มวิสัยทัศน์เอเชียตะวันออก รุ่นที่ 2 เพื่อส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีความเข้มแข็งและความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ภายใต้กรอบอาเซียนบวกสาม ซึ่งจะทําให้ภูมิภาค เอเชียตะวันออกสามารถรักษาสถานะและพลวัตด้านเศรษฐกิจให้ยั่งยืนต่อไปในระบบเศรษฐกิจโลก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ วางจําหน่ายแล้วที่ร้านจิตอาสา 904 และ ร้านโกลเด้น เพลส (Golden Place) ทุกสาขา วันนี้ (7 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์กระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ จากร้านจิตอาสา 904 ทั้งนี้ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า เป็นกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยเป็นรูปการละเล่นพื้นบ้าน จําหน่ายราคา 359 บาท ซึ่งประชาชนสามารถใช้ได้ทุกโอกาส โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมอุดหนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ จํานวน 5 ใบพร้อมกับกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนร่วมสนับสนุนและสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่ร้านจิตอาสา 904 หรือ ร้านโกลเด้น เพลส (Golden Place) ทุกสาขา ....................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 นรม. เชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนประชาชนสนับสนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ วางจําหน่ายแล้วที่ร้านจิตอาสา 904 และ ร้านโกลเด้น เพลส (Golden Place) ทุกสาขา วันนี้ (7 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์กระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ จากร้านจิตอาสา 904 ทั้งนี้ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวรายงานว่า เป็นกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 โดยเป็นรูปการละเล่นพื้นบ้าน จําหน่ายราคา 359 บาท ซึ่งประชาชนสามารถใช้ได้ทุกโอกาส โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมอุดหนุนกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนลายภาพวาดฝีพระหัตถ์ฯ จํานวน 5 ใบพร้อมกับกล่าวเชิญชวนให้ประชาชนร่วมสนับสนุนและสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่ร้านจิตอาสา 904 หรือ ร้านโกลเด้น เพลส (Golden Place) ทุกสาขา ....................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ยืนยัน จะดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลให้เรียบร้อยและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นไป ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง รวมทั้งเป็นไปตามข้อสังเกตุของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่รายงานผลการตรวจการบริหารงานของกองทุนฯ ที่ผ่านมา โดยมีสาระสําคัญ คือ 1) ธ.ก.ส.จะดําเนินการแจ้งสาขาทั่วประเทศ เพื่อแจ้งให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ และเป็นลูกหนี้ที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ วันที่ 31ธันวาคม 2560 ที่ได้รับสิทธิ จํานวน 36,605 ราย มาแสดงตนเพื่อแจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ 2) ธ.ก.ส.จะให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. ที่มีหนี้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มาทําสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ โดยให้นําหนี้เงินต้นที่ยังค้างชําระมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ๆ ละเท่า ๆ กัน (50/50) แล้วนําหนี้ส่วนแรก (50) มาทําสัญญาใหม่ เพื่อให้โอกาสเกษตรกรมาผ่อนชําระภายในเวลาไม่เกิน 15 ปี โดย ธ.ก.ส.จะคิดดอกเบี้ยต่ํากว่าปกติ และกําหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบกลั่นกรองคุณสมบัติของเกษตรกรที่จะเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ 3) ในระหว่างการผ่อนชําระหนี้ตามสัญญาใหม่นั้น กระทรวงเกษตรฯ จะร่วมกับ ธ.ก.ส. กองทุนฟื้นฟูฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําแผนพัฒนาอาชีพ ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ตามความถนัดของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีผลตอบแทนที่สามารถนํามาชําระหนี้ตามสัญญาใหม่และมีเงินเหลือเพื่อการดํารงชีพอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะประสานงานภาคเอกชนมารับซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยมีการทําสัญญารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ หรือหาตลาดรองรับผลผลิตเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการด้วย และ 4) สําหรับหนี้เงินต้นส่วนหลังที่ค้างชําระอีกจํานวน 50 ส่วนและดอกเบี้ยนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หารือร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อออกระเบียบในการดําเนินการให้เกิด ความเป็นธรรมกับเกษตรกรมากที่สุด ซึ่งสามารถดําเนินการได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความหนักเบาของสภาพปัญหาของเกษตรกรแต่ละราย ซึ่งจะได้มีการตกลงระหว่างเกษตรกรลูกหนี้กับ ธ.ก.ส.เจ้าหนี้เป็นราย ๆ ไป เช่น หากเกษตรกรลูกหนี้เสียชีวิตโดยไม่มีทายาทมารับสภาพหนี้หรือเกษตรกรลูกหนี้เป็นผู้ป่วยทุพพลภาพหรือสูงอายุ จนไม่สามารถประกอบอาชีพได้และไม่มีรายได้ ธ.ก.ส.ก็อาจพิจารณาจําหน่ายหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาตามระเบียบของธ.ก.ส.ต่อไป สําหรับดอกเบี้ยเดิมส่วนที่ค้างไว้นั้น ธ.ก.ส.อาจจะพิจารณายกให้เกษตรกรลูกหนี้ด้วยก็ได้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับสถาบันการเงินหรือธนาคารอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ส่วนที่เหลือกลุ่มอื่น ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมและไม่มีผลกระทบระบบเศรษฐกิจและวินัยการเงินของประเทศด้วย ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่กระทรวงเกษตรฯ จะได้ร่วมกับสถาบันการเงินแก้ไขปัญหาหนี้สิน ได้แก่ 1) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐอื่น ๆ รวมทั้งสหกรณ์การเกษตรด้วย และ 2) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เกินกว่า 2.5 ล้านบาท และเป็นหนี้ที่อ้างว่าเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร "ขอให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ต้องการเสนอแนวทางแก้ไขหนี้ดังกล่าว ให้ทําเป็นหนังสือโดยระบุรายละเอียดข้อเสนอต่าง ๆ ส่งผ่านสํานักงานกองทุนฟื้นฟูจังหวัดมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจะได้นํามาพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินดังกล่าวต่อไป โดยไม่จําเป็นต้องระดมสมาชิกทั้งหมดเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะจะเป็นการเสียทั้งเวลาประกอบอาชีพ ตลอดจนการทํามาหากิน และค่าใช้จ่ายของเกษตรกรเอง อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเรียนว่าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฯ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานานนับ 10 ปี จนตกทอดมาถึงรัฐบาลนี้ ก็ได้หาทางขอผ่อนปรนและหามาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้าหนี้ธนาคารต่าง ๆ มาโดยตลอด ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีหน้าที่ดูแลรักษาระบบการเงินของประเทศไม่ให้ได้รับความเสียหายหรือมีผลเสียกระทบต่อการบริหารงานของสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน กระทรวงเกษตรฯ จึงขอยืนยันว่าจะได้ร่วมมือกับทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรแต่ละกลุ่มให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลให้เรียบร้อยและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป" นายกฤษฎา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561 รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร รมว.กฤษฎา พร้อมลุยแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ยืนยัน จะดําเนินการให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลให้เรียบร้อยและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นไป ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง รวมทั้งเป็นไปตามข้อสังเกตุของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่รายงานผลการตรวจการบริหารงานของกองทุนฯ ที่ผ่านมา โดยมีสาระสําคัญ คือ 1) ธ.ก.ส.จะดําเนินการแจ้งสาขาทั่วประเทศ เพื่อแจ้งให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ และเป็นลูกหนี้ที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ วันที่ 31ธันวาคม 2560 ที่ได้รับสิทธิ จํานวน 36,605 ราย มาแสดงตนเพื่อแจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ 2) ธ.ก.ส.จะให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ซึ่งเป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส. ที่มีหนี้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มาทําสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ โดยให้นําหนี้เงินต้นที่ยังค้างชําระมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ๆ ละเท่า ๆ กัน (50/50) แล้วนําหนี้ส่วนแรก (50) มาทําสัญญาใหม่ เพื่อให้โอกาสเกษตรกรมาผ่อนชําระภายในเวลาไม่เกิน 15 ปี โดย ธ.ก.ส.จะคิดดอกเบี้ยต่ํากว่าปกติ และกําหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบกลั่นกรองคุณสมบัติของเกษตรกรที่จะเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ 3) ในระหว่างการผ่อนชําระหนี้ตามสัญญาใหม่นั้น กระทรวงเกษตรฯ จะร่วมกับ ธ.ก.ส. กองทุนฟื้นฟูฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําแผนพัฒนาอาชีพ ทั้งด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ ตามความถนัดของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีผลตอบแทนที่สามารถนํามาชําระหนี้ตามสัญญาใหม่และมีเงินเหลือเพื่อการดํารงชีพอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะประสานงานภาคเอกชนมารับซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยมีการทําสัญญารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ หรือหาตลาดรองรับผลผลิตเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการด้วย และ 4) สําหรับหนี้เงินต้นส่วนหลังที่ค้างชําระอีกจํานวน 50 ส่วนและดอกเบี้ยนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หารือร่วมกับ ธ.ก.ส. เพื่อออกระเบียบในการดําเนินการให้เกิด ความเป็นธรรมกับเกษตรกรมากที่สุด ซึ่งสามารถดําเนินการได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความหนักเบาของสภาพปัญหาของเกษตรกรแต่ละราย ซึ่งจะได้มีการตกลงระหว่างเกษตรกรลูกหนี้กับ ธ.ก.ส.เจ้าหนี้เป็นราย ๆ ไป เช่น หากเกษตรกรลูกหนี้เสียชีวิตโดยไม่มีทายาทมารับสภาพหนี้หรือเกษตรกรลูกหนี้เป็นผู้ป่วยทุพพลภาพหรือสูงอายุ จนไม่สามารถประกอบอาชีพได้และไม่มีรายได้ ธ.ก.ส.ก็อาจพิจารณาจําหน่ายหนี้รายดังกล่าวออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาตามระเบียบของธ.ก.ส.ต่อไป สําหรับดอกเบี้ยเดิมส่วนที่ค้างไว้นั้น ธ.ก.ส.อาจจะพิจารณายกให้เกษตรกรลูกหนี้ด้วยก็ได้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับสถาบันการเงินหรือธนาคารอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ส่วนที่เหลือกลุ่มอื่น ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมและไม่มีผลกระทบระบบเศรษฐกิจและวินัยการเงินของประเทศด้วย ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่กระทรวงเกษตรฯ จะได้ร่วมกับสถาบันการเงินแก้ไขปัญหาหนี้สิน ได้แก่ 1) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารรัฐอื่น ๆ รวมทั้งสหกรณ์การเกษตรด้วย และ 2) กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เกินกว่า 2.5 ล้านบาท และเป็นหนี้ที่อ้างว่าเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร "ขอให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ต้องการเสนอแนวทางแก้ไขหนี้ดังกล่าว ให้ทําเป็นหนังสือโดยระบุรายละเอียดข้อเสนอต่าง ๆ ส่งผ่านสํานักงานกองทุนฟื้นฟูจังหวัดมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจะได้นํามาพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินดังกล่าวต่อไป โดยไม่จําเป็นต้องระดมสมาชิกทั้งหมดเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะจะเป็นการเสียทั้งเวลาประกอบอาชีพ ตลอดจนการทํามาหากิน และค่าใช้จ่ายของเกษตรกรเอง อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเรียนว่าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฯ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อมานานนับ 10 ปี จนตกทอดมาถึงรัฐบาลนี้ ก็ได้หาทางขอผ่อนปรนและหามาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้าหนี้ธนาคารต่าง ๆ มาโดยตลอด ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีหน้าที่ดูแลรักษาระบบการเงินของประเทศไม่ให้ได้รับความเสียหายหรือมีผลเสียกระทบต่อการบริหารงานของสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน กระทรวงเกษตรฯ จึงขอยืนยันว่าจะได้ร่วมมือกับทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรแต่ละกลุ่มให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลให้เรียบร้อยและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป" นายกฤษฎา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ก.ดิจิทัลฯ จัดอบรมการออกแบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 ก.แรงงาน จับมือ ก.ดิจิทัลฯ จัดอบรมการออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล จัดโครงการฝึกอบรม หลักสูตร “การออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร” วันที่ 13 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการจัดฝึกอบรมหัวข้อ “การออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร (Data Design for Executives)” ณ ห้องประชุม จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยกล่าวว่า การฝึกอบรมครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีสําหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่จะได้เรียนรู้จากคณาจารย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการวิทยาศาสตร์ข้อมูล เกี่ยวกับแนวทางและวิธีในการบูรณาการและการบริหารจัดการข้อมูลด้านการแรงงาน รวมทั้งได้ทดลองออกแบบโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการแรงงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสามารถนําไปปรับใช้กับการทํางานของทุกหน่วยงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุค “ความปกติใหม่” (New Normal) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ณ อาคารสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ทั้งสองหน่วยงานได้มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรของกระทรวงแรงงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารรดับสูง ผู้อํานวยการกอง (รวมถึงอัครราชทูตที่ปรึกษา) และผู้ปฏิบัติงาน ให้มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถนําข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งมีความเข้าใจถึงแนวทาง วิธีการในการบูรณาการ และจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวง อันเป็นการวางรากฐานการจัดตั้งสํานักงานเศรษฐกิจแรงงานในอนาคต สําหรับการจัดการฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เพื่อการกําหนดกลยุทธ์เชิงข้อมูล (Data Strategy Formulation) ซึ่งต่อเนื่องจากกิจกรรมการสัมมนาผู้บริหารระดับสูง และการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ฝึกอบรมเป็นผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงแรงงานสังกัดส่วนกลางจากทุกกรม มีระยะเวลาการฝึกอบรมจํานวน 24 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 8 ครั้ง ๆ ละ 3 ชั่วโมง เป็นเวลา 8 วัน แบบไม่ต่อเนื่อง และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) หรือผู้แทนจากสํานักงานแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยใช้สอนสดผ่านระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมการประชุมระบบทางไกล จํานวน 9 ชั่วโมง โดยมีโจทย์ที่เป็นกรอบการวิเคราะห์เกี่ยวข้องกับภารกิจของทุกหน่วยงาน ได้แก่ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานภายหลังการหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แรงงานไทยที่ทํางานต่างประเทศทั้งที่ถูกและไม่ถูกกฎหมาย การจัดเก็บข้อมูลแรงงานไทยที่กลับจากการทํางานในต่างประเทศ Transfer Occupation, Up-Skill, Re-Skill การพยากรณ์การปิดกิจการของสถานประกอบการ และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้ประกันสังคมเพื่อปรับปรุงการให้บริการให้ตรงตามความต้องการ และส่งเสริมให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และสามารถตัดสินใจจากการประยุกต์ใช้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถชี้ประเด็นในการนําข้อมูลมาใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมไปถึงสามารถเสนอแนะแนวทางการกําหนดนโยบายเชิงข้อมูลทั้งต่อผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปและผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นระดับผู้ปฏิบัติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ก.ดิจิทัลฯ จัดอบรมการออกแบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 ก.แรงงาน จับมือ ก.ดิจิทัลฯ จัดอบรมการออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ ในสังกัดของสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล จัดโครงการฝึกอบรม หลักสูตร “การออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร” วันที่ 13 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการจัดฝึกอบรมหัวข้อ “การออกแบบข้อมูลสําหรับผู้บริหาร (Data Design for Executives)” ณ ห้องประชุม จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยกล่าวว่า การฝึกอบรมครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีสําหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่จะได้เรียนรู้จากคณาจารย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการวิทยาศาสตร์ข้อมูล เกี่ยวกับแนวทางและวิธีในการบูรณาการและการบริหารจัดการข้อมูลด้านการแรงงาน รวมทั้งได้ทดลองออกแบบโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการแรงงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสามารถนําไปปรับใช้กับการทํางานของทุกหน่วยงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในยุค “ความปกติใหม่” (New Normal) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ณ อาคารสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ทั้งสองหน่วยงานได้มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการพัฒนาทักษะให้กับบุคลากรของกระทรวงแรงงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารรดับสูง ผู้อํานวยการกอง (รวมถึงอัครราชทูตที่ปรึกษา) และผู้ปฏิบัติงาน ให้มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถนําข้อมูลขนาดใหญ่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งมีความเข้าใจถึงแนวทาง วิธีการในการบูรณาการ และจัดระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวง อันเป็นการวางรากฐานการจัดตั้งสํานักงานเศรษฐกิจแรงงานในอนาคต สําหรับการจัดการฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เพื่อการกําหนดกลยุทธ์เชิงข้อมูล (Data Strategy Formulation) ซึ่งต่อเนื่องจากกิจกรรมการสัมมนาผู้บริหารระดับสูง และการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดยผู้ฝึกอบรมเป็นผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงแรงงานสังกัดส่วนกลางจากทุกกรม มีระยะเวลาการฝึกอบรมจํานวน 24 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 8 ครั้ง ๆ ละ 3 ชั่วโมง เป็นเวลา 8 วัน แบบไม่ต่อเนื่อง และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) หรือผู้แทนจากสํานักงานแรงงานไทยในต่างประเทศ โดยใช้สอนสดผ่านระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมการประชุมระบบทางไกล จํานวน 9 ชั่วโมง โดยมีโจทย์ที่เป็นกรอบการวิเคราะห์เกี่ยวข้องกับภารกิจของทุกหน่วยงาน ได้แก่ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานภายหลังการหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แรงงานไทยที่ทํางานต่างประเทศทั้งที่ถูกและไม่ถูกกฎหมาย การจัดเก็บข้อมูลแรงงานไทยที่กลับจากการทํางานในต่างประเทศ Transfer Occupation, Up-Skill, Re-Skill การพยากรณ์การปิดกิจการของสถานประกอบการ และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้ประกันสังคมเพื่อปรับปรุงการให้บริการให้ตรงตามความต้องการ และส่งเสริมให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก และสามารถตัดสินใจจากการประยุกต์ใช้ข้อมูลที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถชี้ประเด็นในการนําข้อมูลมาใช้ได้อย่างเหมาะสม รวมไปถึงสามารถเสนอแนะแนวทางการกําหนดนโยบายเชิงข้อมูลทั้งต่อผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปและผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นระดับผู้ปฏิบัติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33326
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช้อปส่งท้ายปิดตลาดคลองผดุงธพว.ยกทัพของดีราคาถูกจากสุดยอด SMEs-Otopทั่วไทย
วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560 ช้อปส่งท้ายปิดตลาดคลองผดุงธพว.ยกทัพของดีราคาถูกจากสุดยอด SMEs-Otopทั่วไทย ธพว.ประกาศพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อ “สุดยอด SMEsส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคมนี้ ธพว.ประกาศพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อ “สุดยอด SMEsส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคมนี้จัดเต็มโปรโมชั่นนาทีทองนาทีถูก รวบรวมสินค้าดีจากผู้ผลิตตัวจริงกว่า 400 รายทั่วประเทศ มั่นใจเงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท ยอดผู้เที่ยวงานทะลุ 1แสนคน นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม และนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ว่า ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เริ่มจัดตั้งแต่ปี 2558 และต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว โดยตลอดระยะ 3 ปีที่ผ่านมา จัดมาทั้งหมด 37 ครั้งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าภาพการจัดงานจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ จํานวน 24 หน่วยงาน และในการจัดงานครั้งที่ 38นี้ SME Development Bank ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคม 2560 โดยถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่จะได้เก็บประสบการณ์และความประทับใจในการมาเที่ยวตลาดเพื่อประชาชนแห่งนี้ เนื่องจากจะเป็นการจัดงานครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่ทําเนียบรัฐบาล และนําความสําเร็จของตลาดคลองผดุงกรุงเกษมไปใช้เป็นต้นแบบสู่การจัดตลาดประชารัฐตามจุดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป ด้านนายมงคล กล่าวเสริมว่า ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาตลาดการค้าเพื่อผู้ประกอบการรายย่อยทั้งกลุ่มเกษตร วิสาหกิจชุมชน และเอสเอ็มอีให้ได้มีพื้นที่จําหน่ายสินค้าส่งตรงจากผู้ผลิตถึงมือผู้บริโภคในราคายุติธรรม โดยการจัดงานครั้งที่ผ่านๆ มามีผู้ประกอบการจํานวนมากเมื่อนําสินค้ามาจําหน่ายยังตลาดแห่งนี้แล้วส่งผลดีช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาดในวงกว้าง เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสําหรับการจัดงาน “สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” โดยSME Development Bank เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาชนจะได้เก็บความทรงจําและประทับใจของตลาดเพื่อประชาชนแห่งนี้ คาดจะมีผู้เที่ยวงาน 8,000-10,000 คนต่อวัน หรือกว่า 1 แสนคนตลอดการจัดงานคาดก่อให้เกิดเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ํากว่า 50 ล้านบาท และที่สําคัญถือเป็นการกระจายรายได้ถึงมือผู้ผลิตโดยตรงอย่างแท้จริง นายมงคล กล่าวต่อว่า ในงานได้รวบรวมสินค้าดีมีมาตรฐานจากผู้ประกอบการที่มีศักยภาพทั่วประเทศกว่า 400 ราย ทั้งเอสเอ็มอี โอทอป กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น แบ่งรูปแบบการจัดงานเป็น 2 สัปดาห์ คือ สัปดาห์ที่ 1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-18 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “SMEs สินค้าดี 4.0 ท่องเที่ยวชุมชน” รวบรวมสินค้ามาตรฐานเยี่ยม มีนวัตกรรมจากเอสเอ็มอี โอทอป และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวชุมชน เช่น แพคเกจท่องเที่ยวไทยปี 2561สินค้าที่ระลึกจากท้องถิ่น เป็นต้น และในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 19-27 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “ของดีของดังของขวัญปีใหม่” คัดสรรสินค้าคุณภาพดีเหมาะซื้อหาเป็นของขวัญในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นอกจากนั้น ยังพบกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ ช่วง “สินค้านาทีทองนาทีถูก” โปรโมชั่นที่จะมาช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน เช่น ไข่ไก่ 3 แผง ขายราคา 100 บาท น้ํามันพืช 2 ขวดเพียง 50 บาท รวมถึงสินค้าราคาถูกพิเศษจากผู้ประกอบการที่พร้อมใจนํามาลดราคาส่งท้ายปี อีกทั้ง ยังมีบริการจําหน่ายกระเช้าของขวัญราคาพิเศษ ห่อของขวัญฟรี กิจกรรมฝึกอาชีพจากหน่วยงานต่างๆ การออกร้านจําหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกจากกรมธนารักษ์ มุมความรู้เพื่อให้คําปรึกษาด้านเงินทุน บริการสินเชื่อโปรโมชั่น 7-1-0 คืออนุมัติสินเชื่อด่วนภายใน 7 วันเบิกจ่ายฉับไวใน 1 วันและค่าธรรมเนียม 0 บาท บริการเขียนแผนธุรกิจแก่ผู้สนใจ บริการสินเชื่อเพื่อผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ที่ได้รับการการันตีจากกระทรวงพาณิชย์และในช่วงท้ายของการจัดงานได้รับการยืนยันจากผู้ประกอบการว่าจะมีการจําหน่ายสินค้าในราคาถูกลงกว่าเดิม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ที่มาเที่ยวงาน ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ช้อปส่งท้ายปิดตลาดคลองผดุงธพว.ยกทัพของดีราคาถูกจากสุดยอด SMEs-Otopทั่วไทย วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2560 ช้อปส่งท้ายปิดตลาดคลองผดุงธพว.ยกทัพของดีราคาถูกจากสุดยอด SMEs-Otopทั่วไทย ธพว.ประกาศพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อ “สุดยอด SMEsส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคมนี้ ธพว.ประกาศพร้อมจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมครั้งสุดท้าย ภายใต้ชื่อ “สุดยอด SMEsส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคมนี้จัดเต็มโปรโมชั่นนาทีทองนาทีถูก รวบรวมสินค้าดีจากผู้ผลิตตัวจริงกว่า 400 รายทั่วประเทศ มั่นใจเงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท ยอดผู้เที่ยวงานทะลุ 1แสนคน นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานคณะกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม และนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน “สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” ว่า ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เริ่มจัดตั้งแต่ปี 2558 และต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว โดยตลอดระยะ 3 ปีที่ผ่านมา จัดมาทั้งหมด 37 ครั้งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าภาพการจัดงานจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างๆ จํานวน 24 หน่วยงาน และในการจัดงานครั้งที่ 38นี้ SME Development Bank ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดระหว่างวันที่ 12-27 ธันวาคม 2560 โดยถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่จะได้เก็บประสบการณ์และความประทับใจในการมาเที่ยวตลาดเพื่อประชาชนแห่งนี้ เนื่องจากจะเป็นการจัดงานครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่ทําเนียบรัฐบาล และนําความสําเร็จของตลาดคลองผดุงกรุงเกษมไปใช้เป็นต้นแบบสู่การจัดตลาดประชารัฐตามจุดอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป ด้านนายมงคล กล่าวเสริมว่า ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาตลาดการค้าเพื่อผู้ประกอบการรายย่อยทั้งกลุ่มเกษตร วิสาหกิจชุมชน และเอสเอ็มอีให้ได้มีพื้นที่จําหน่ายสินค้าส่งตรงจากผู้ผลิตถึงมือผู้บริโภคในราคายุติธรรม โดยการจัดงานครั้งที่ผ่านๆ มามีผู้ประกอบการจํานวนมากเมื่อนําสินค้ามาจําหน่ายยังตลาดแห่งนี้แล้วส่งผลดีช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาดในวงกว้าง เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสําหรับการจัดงาน “สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม 2560” โดยSME Development Bank เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างยิ่ง เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ประชาชนจะได้เก็บความทรงจําและประทับใจของตลาดเพื่อประชาชนแห่งนี้ คาดจะมีผู้เที่ยวงาน 8,000-10,000 คนต่อวัน หรือกว่า 1 แสนคนตลอดการจัดงานคาดก่อให้เกิดเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ํากว่า 50 ล้านบาท และที่สําคัญถือเป็นการกระจายรายได้ถึงมือผู้ผลิตโดยตรงอย่างแท้จริง นายมงคล กล่าวต่อว่า ในงานได้รวบรวมสินค้าดีมีมาตรฐานจากผู้ประกอบการที่มีศักยภาพทั่วประเทศกว่า 400 ราย ทั้งเอสเอ็มอี โอทอป กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น แบ่งรูปแบบการจัดงานเป็น 2 สัปดาห์ คือ สัปดาห์ที่ 1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-18 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “SMEs สินค้าดี 4.0 ท่องเที่ยวชุมชน” รวบรวมสินค้ามาตรฐานเยี่ยม มีนวัตกรรมจากเอสเอ็มอี โอทอป และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวชุมชน เช่น แพคเกจท่องเที่ยวไทยปี 2561สินค้าที่ระลึกจากท้องถิ่น เป็นต้น และในสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 19-27 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “ของดีของดังของขวัญปีใหม่” คัดสรรสินค้าคุณภาพดีเหมาะซื้อหาเป็นของขวัญในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นอกจากนั้น ยังพบกิจกรรมพิเศษมากมาย อาทิ ช่วง “สินค้านาทีทองนาทีถูก” โปรโมชั่นที่จะมาช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน เช่น ไข่ไก่ 3 แผง ขายราคา 100 บาท น้ํามันพืช 2 ขวดเพียง 50 บาท รวมถึงสินค้าราคาถูกพิเศษจากผู้ประกอบการที่พร้อมใจนํามาลดราคาส่งท้ายปี อีกทั้ง ยังมีบริการจําหน่ายกระเช้าของขวัญราคาพิเศษ ห่อของขวัญฟรี กิจกรรมฝึกอาชีพจากหน่วยงานต่างๆ การออกร้านจําหน่ายเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกจากกรมธนารักษ์ มุมความรู้เพื่อให้คําปรึกษาด้านเงินทุน บริการสินเชื่อโปรโมชั่น 7-1-0 คืออนุมัติสินเชื่อด่วนภายใน 7 วันเบิกจ่ายฉับไวใน 1 วันและค่าธรรมเนียม 0 บาท บริการเขียนแผนธุรกิจแก่ผู้สนใจ บริการสินเชื่อเพื่อผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ที่ได้รับการการันตีจากกระทรวงพาณิชย์และในช่วงท้ายของการจัดงานได้รับการยืนยันจากผู้ประกอบการว่าจะมีการจําหน่ายสินค้าในราคาถูกลงกว่าเดิม เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ที่มาเที่ยวงาน ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ แถลงข่าวงาน "OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน" พร้อมยกทัพสินค้าราคาโรงงาน จัดหนักจัดเต็ม
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 ปลัดกอบชัยฯ แถลงข่าวงาน "OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน" พร้อมยกทัพสินค้าราคาโรงงาน จัดหนักจัดเต็ม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงข่าวงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น2 กระทรวงอุตสาหกรรม วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ และผู้บริหารระดับสูงโดย แถลงข่าวงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น2 กระทรวงอุตสาหกรรม โดยภายในงานมีสินค้ามากมายที่เข้าร่วมออกบูธในครั้งนี้ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าOTOP และอีกมากมาย โดยงานนี้จะจัด ระหว่างวันที่ 24 – 26 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ แถลงข่าวงาน "OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน" พร้อมยกทัพสินค้าราคาโรงงาน จัดหนักจัดเต็ม วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 ปลัดกอบชัยฯ แถลงข่าวงาน "OUTLET ของขวัญเพื่อประชาชน" พร้อมยกทัพสินค้าราคาโรงงาน จัดหนักจัดเต็ม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงข่าวงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น2 กระทรวงอุตสาหกรรม วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562 เวลา 13.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ และผู้บริหารระดับสูงโดย แถลงข่าวงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น2 กระทรวงอุตสาหกรรม โดยภายในงานมีสินค้ามากมายที่เข้าร่วมออกบูธในครั้งนี้ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าOTOP และอีกมากมาย โดยงานนี้จะจัด ระหว่างวันที่ 24 – 26 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก วันนี้ (12 มกราคม 2562) เวลา 15.00 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะกลุ่มกาแฟออแกนิกส์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มผู้ผลิตกาแฟจาก 14 ดอย ภายใต้ชื่อกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวนิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนางจันทรรัตน์ ปิยพันธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมลงพื้นที่ และนายสุเวช เวฬุธนราชัน ประธานกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ กลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการรวมกลุ่มของสมาชิกผู้ปลูกกาแฟ ในจังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 14 กลุ่ม จาก อ.แม่แตง อ.ไชยปราการ อ.แม่วาง อ.แม่อาย อ.แม่ริม อ.ดอยสะเก็ด อ.สะเมิง และ อ.กัลยาณิวัฒนา เพื่อผลิตเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดจากแหล่งเพาะปลูกและผลิตกาแฟคุณภาพ ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นกาแฟอินทรีย์ (Organic Cerified) ด้วยคุณภาพที่ได้รับรองมาตรฐาน GMP มีปริมาณผลผลิต (กาแฟกะลา) จํานวน 40,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 4.8 ล้านบาทต่อปี โดยกลุ่มกาแฟฯ มีการเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2561 เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลผลิตกาแฟ (ต้นทาง - ผู้เพาะปลูก) ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ประกอบการในการประกอบธุรกิจ งบพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องการเตรียมความพร้อมการรับรองมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ โดยที่ปรึกษา (ห้างหุ้นส่วนจํากัดแอ็ดอวอร์ด) ได้ให้คําปรึกษาเชิงลึก เริ่มด้วยการตรวจวัดสารตกค้างที่เป็นเคมีในดิน การทําปุ๋ยอินทรีย์ ในการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ดี มีคุณภาพ การดูแลและป้องกันสารเคมี การจัดระบบเอกสารและปรับปรุงระบบการควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐาน และปีงบประมาณ 2562 กลุ่มดังกล่าวได้เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มศักยภาพและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (กลุ่มเชียงใหม่ เมืองกาแฟ จังหวัดเชียงใหม่) เพื่อสร้างความเชื่อมโยงการ พัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม ในรูปแบบเครือข่ายคลัสเตอร์ ขณะนี้กลุ่มอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา(USDA Organic) ซึ่งจะ ทําให้กลุ่มมีระบบการผลิตและควบคุมคุณภาพที่มีมาตรฐาน และเอกสารสามารถตรวจสอบได้ มีองค์ความรู้ ด้านระบบการทําเกษตรอินทรีย์ การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดแยกที่ถูกต้อง นอกจากนี้กลุ่มได้รับการสนับสนุนด้านการเงินกองทุนพัฒนาเอ็สเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นจํานวนเงิน 1,000,000 บาท เพื่อปลูกสร้างอาคารโรงงานสําหรับใช้เป็นโรงเก็บเมล็ดกาแฟ และซื้อเครื่องคั่วกาแฟ และกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของ ผลผลิตกาแฟและพืชอินทรีย์ (ต้นทาง-ผู้ปลูก) ร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับเกษตรกร ที่สนใจแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานออร์กานิค ทั้งนี้ กลุ่มกาแฟฯ มีความต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนในการสร้างแบรนด์ สร้างแฟรนไซส์ เพื่อให้กาแฟเป็นกาแฟระดับโลก #prindustry #กระทรวงอุตสาหกรรมp
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2562 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ พบปะกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เร่งผลักดันสู่แบรนด์กาแฟระดับโลก วันนี้ (12 มกราคม 2562) เวลา 15.00 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะกลุ่มกาแฟออแกนิกส์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มผู้ผลิตกาแฟจาก 14 ดอย ภายใต้ชื่อกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสิริรัตน์ ไกรวนิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจารุพันธ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนางจันทรรัตน์ ปิยพันธไชย์ อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมลงพื้นที่ และนายสุเวช เวฬุธนราชัน ประธานกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ กลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการรวมกลุ่มของสมาชิกผู้ปลูกกาแฟ ในจังหวัดเชียงใหม่ จํานวน 14 กลุ่ม จาก อ.แม่แตง อ.ไชยปราการ อ.แม่วาง อ.แม่อาย อ.แม่ริม อ.ดอยสะเก็ด อ.สะเมิง และ อ.กัลยาณิวัฒนา เพื่อผลิตเมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดจากแหล่งเพาะปลูกและผลิตกาแฟคุณภาพ ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นกาแฟอินทรีย์ (Organic Cerified) ด้วยคุณภาพที่ได้รับรองมาตรฐาน GMP มีปริมาณผลผลิต (กาแฟกะลา) จํานวน 40,000 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 4.8 ล้านบาทต่อปี โดยกลุ่มกาแฟฯ มีการเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2561 เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของผลผลิตกาแฟ (ต้นทาง - ผู้เพาะปลูก) ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ประกอบการในการประกอบธุรกิจ งบพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องการเตรียมความพร้อมการรับรองมาตรฐาน GAP และเกษตรอินทรีย์ โดยที่ปรึกษา (ห้างหุ้นส่วนจํากัดแอ็ดอวอร์ด) ได้ให้คําปรึกษาเชิงลึก เริ่มด้วยการตรวจวัดสารตกค้างที่เป็นเคมีในดิน การทําปุ๋ยอินทรีย์ ในการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ดี มีคุณภาพ การดูแลและป้องกันสารเคมี การจัดระบบเอกสารและปรับปรุงระบบการควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐาน และปีงบประมาณ 2562 กลุ่มดังกล่าวได้เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มศักยภาพและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (กลุ่มเชียงใหม่ เมืองกาแฟ จังหวัดเชียงใหม่) เพื่อสร้างความเชื่อมโยงการ พัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม ในรูปแบบเครือข่ายคลัสเตอร์ ขณะนี้กลุ่มอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สหรัฐอเมริกา(USDA Organic) ซึ่งจะ ทําให้กลุ่มมีระบบการผลิตและควบคุมคุณภาพที่มีมาตรฐาน และเอกสารสามารถตรวจสอบได้ มีองค์ความรู้ ด้านระบบการทําเกษตรอินทรีย์ การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการคัดแยกที่ถูกต้อง นอกจากนี้กลุ่มได้รับการสนับสนุนด้านการเงินกองทุนพัฒนาเอ็สเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นจํานวนเงิน 1,000,000 บาท เพื่อปลูกสร้างอาคารโรงงานสําหรับใช้เป็นโรงเก็บเมล็ดกาแฟ และซื้อเครื่องคั่วกาแฟ และกลุ่มกาแฟต้นทางจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของ ผลผลิตกาแฟและพืชอินทรีย์ (ต้นทาง-ผู้ปลูก) ร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับเกษตรกร ที่สนใจแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานออร์กานิค ทั้งนี้ กลุ่มกาแฟฯ มีความต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนในการสร้างแบรนด์ สร้างแฟรนไซส์ เพื่อให้กาแฟเป็นกาแฟระดับโลก #prindustry #กระทรวงอุตสาหกรรมp
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18097
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2560
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2560 วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2560 วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 21 กุมภาพันธ์ 2560 วันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1968
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ชวนนายจ้างประเมิน“ภาวะสันติสุข”ลดข้อขัดแย้งในองค์กร
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 กสร. ชวนนายจ้างประเมิน“ภาวะสันติสุข”ลดข้อขัดแย้งในองค์กร กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชวนนายจ้าง ตรวจสุขภาพด้านแรงงานสัมพันธ์ ผ่านเครื่องมือวัดภาวะสันติสุขในสถานประกอบกิจการ ลดข้อขัดแย้งในองค์กร เพิ่มคุณภาพชีวิตลูกจ้างและเสริมความเข้มแข็งในการประกอบการให้กับนายจ้าง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้จัดทําแบบประเมินข้อมูลพื้นฐานด้านแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน(Labour relation partnership Checklist : LC) เพื่อเป็นเครื่องมือวัดภาวะสันติสุขในสถานประกอบกิจการโดยแบบประเมินดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการประเมินสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ใน สถานประกอบกิจการด้านต่าง ๆ ซึ่งหากสถานประกอบการตรวจสอบแล้วพบว่าขาดการดําเนินการในเรื่องใด หรือการดําเนินการยังมีข้อบกพร่อง เช่น ขาดการสื่อสารระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไม่มีกระบวนการยุติ ข้อร้องทุกข์ ก็สามารถแก้ไข ปรับปรุงหรือจัดให้มีขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการลดและการป้องกันข้อขัดแย้งในองค์กร ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง และส่งผลดีต่อผลผลิตและธุรกิจของผู้ประกอบการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า การที่สถานประกอบกิจการนําแบบประเมินข้อมูลพื้นฐานด้านแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนหรือ LC ไปใช้นอกจากจะเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างแล้ว ผลการประเมินจากสถานประกอบกิจการต่าง ๆ จะเป็นข้อมูลที่จะช่วยให้การบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถดาวโหลดแบบประเมินได้ที่ http://relation.labour.go.th/new สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สํานักแรงงานสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2643 4471, 0 2643 4477 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ชวนนายจ้างประเมิน“ภาวะสันติสุข”ลดข้อขัดแย้งในองค์กร วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 กสร. ชวนนายจ้างประเมิน“ภาวะสันติสุข”ลดข้อขัดแย้งในองค์กร กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชวนนายจ้าง ตรวจสุขภาพด้านแรงงานสัมพันธ์ ผ่านเครื่องมือวัดภาวะสันติสุขในสถานประกอบกิจการ ลดข้อขัดแย้งในองค์กร เพิ่มคุณภาพชีวิตลูกจ้างและเสริมความเข้มแข็งในการประกอบการให้กับนายจ้าง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้จัดทําแบบประเมินข้อมูลพื้นฐานด้านแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน(Labour relation partnership Checklist : LC) เพื่อเป็นเครื่องมือวัดภาวะสันติสุขในสถานประกอบกิจการโดยแบบประเมินดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการประเมินสถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ใน สถานประกอบกิจการด้านต่าง ๆ ซึ่งหากสถานประกอบการตรวจสอบแล้วพบว่าขาดการดําเนินการในเรื่องใด หรือการดําเนินการยังมีข้อบกพร่อง เช่น ขาดการสื่อสารระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไม่มีกระบวนการยุติ ข้อร้องทุกข์ ก็สามารถแก้ไข ปรับปรุงหรือจัดให้มีขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการลดและการป้องกันข้อขัดแย้งในองค์กร ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง และส่งผลดีต่อผลผลิตและธุรกิจของผู้ประกอบการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า การที่สถานประกอบกิจการนําแบบประเมินข้อมูลพื้นฐานด้านแรงงานสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนหรือ LC ไปใช้นอกจากจะเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ของนายจ้างและลูกจ้างแล้ว ผลการประเมินจากสถานประกอบกิจการต่าง ๆ จะเป็นข้อมูลที่จะช่วยให้การบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วย สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถดาวโหลดแบบประเมินได้ที่ http://relation.labour.go.th/new สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่สํานักแรงงานสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0 2643 4471, 0 2643 4477 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่สถานประกอบกิจการตั้งอยู่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8354
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะประชาชน อิ่มบุญ-สุขภาพดีในเทศกาลกินเจ 2561
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 สธ. แนะประชาชน อิ่มบุญ-สุขภาพดีในเทศกาลกินเจ 2561 กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ-สุขภาพดี แนะนําถือศีลกินเจกินอย่างถูกหลักโภชนาการ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด และไขมันสูง กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ-สุขภาพดี แนะนําถือศีลกินเจกินอย่างถูกหลักโภชนาการ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด และไขมันสูง วันนี้ (9 ตุลาคม 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 9 -17 ตุลาคม 2561 เป็นเทศกาลกินเจ เป็นช่วงเวลาที่ประชาชน จะรักษาศีลปฏิบัติธรรม และไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ โดยงดบริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานทานผัก ผลไม้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งอาหารจําพวกคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนจากถั่ว จะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์และไขมันมาก ทําให้ระบบย่อยอาหาร ทั้งกระเพาะอาหาร ลําไส้เล็ก และลําไส้ใหญ่ ได้หยุดพักจากการทํางานหนักมาตลอดปี ถุงน้ําดีจะมีความแข็งแรงขึ้น ผัก ผลไม้ มีกากใยที่ช่วยระบบขับถ่ายและการย่อยอาหารทํางานได้ดี ช่วยขับของเสียและสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด ลดการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งโดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 17.7 ล้านคน “อาหารเจส่วนใหญ่จะเป็นประเภทแป้ง มีไขมันสูง หากรับประทานมากเกินไปจะทําให้น้ําหนักตัวเพิ่ม จึงขอให้รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และคํานึงถึงหลักโภชนาการ รับประทานให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเจที่ปรุงโดยใช้น้ํามันเยอะๆ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด ไขมันสูง รวมทั้งขอให้ออกกําลังกายเป็นประจํา เพื่อสุขภาพที่ดี ลดการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว ******************************* 9 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แนะประชาชน อิ่มบุญ-สุขภาพดีในเทศกาลกินเจ 2561 วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 สธ. แนะประชาชน อิ่มบุญ-สุขภาพดีในเทศกาลกินเจ 2561 กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ-สุขภาพดี แนะนําถือศีลกินเจกินอย่างถูกหลักโภชนาการ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด และไขมันสูง กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนร่วมเทศกาลกินเจ อิ่มบุญ-สุขภาพดี แนะนําถือศีลกินเจกินอย่างถูกหลักโภชนาการ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด และไขมันสูง วันนี้ (9 ตุลาคม 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 9 -17 ตุลาคม 2561 เป็นเทศกาลกินเจ เป็นช่วงเวลาที่ประชาชน จะรักษาศีลปฏิบัติธรรม และไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ โดยงดบริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานทานผัก ผลไม้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ ซึ่งอาหารจําพวกคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนจากถั่ว จะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์และไขมันมาก ทําให้ระบบย่อยอาหาร ทั้งกระเพาะอาหาร ลําไส้เล็ก และลําไส้ใหญ่ ได้หยุดพักจากการทํางานหนักมาตลอดปี ถุงน้ําดีจะมีความแข็งแรงขึ้น ผัก ผลไม้ มีกากใยที่ช่วยระบบขับถ่ายและการย่อยอาหารทํางานได้ดี ช่วยขับของเสียและสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือด ลดการเจ็บป่วยจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสําคัญของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งโดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 17.7 ล้านคน “อาหารเจส่วนใหญ่จะเป็นประเภทแป้ง มีไขมันสูง หากรับประทานมากเกินไปจะทําให้น้ําหนักตัวเพิ่ม จึงขอให้รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และคํานึงถึงหลักโภชนาการ รับประทานให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเจที่ปรุงโดยใช้น้ํามันเยอะๆ ลดอาหารเค็มจัด หวานจัด ไขมันสูง รวมทั้งขอให้ออกกําลังกายเป็นประจํา เพื่อสุขภาพที่ดี ลดการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าว ******************************* 9 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-สกอ.ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 สพฐ.-สกอ.ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ตามลําดับได้ออกมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ตามลําดับ ได้ออกมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมปีนี้ที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018ซึ่งถึงแม้มาตรการจะแตกต่างกันบ้างก็เพราะความเหมาะสมของหน่วยงานและสถานศึกษาแต่ละระดับโดย สพฐ.กําหนด7มาตรการ สกอ.กําหนด10มาตรการ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาต่างก็มุ่งหวังไม่ให้ "ปัญหาหนี้พนัน" เกิดขึ้นกับนักเรียนนักศึกษา อันจะส่งผลทําให้ชีวิตพัง และเกิดปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย มาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1. ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และสถานศึกษา ดูแล รับผิดชอบการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันทายผลฟุตบอลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ถือเป็นพันธกิจที่ต้องปฏิบัติทุกระดับชั้น หากบุคลากรที่ได้รับมอบหมายละเลย ให้ถือว่าผู้นั้นจงใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการทางวินัยทันที 2. ครู บุคลากรทางการศึกษา ลูกจ้างประจํา และลูกจ้างชั่วคราวในสถานศึกษาต้องให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหาอย่างเต็มศักยภาพ 3.ขอความร่วมมือจากผู้ปกครองและญาติของนักเรียนให้ดูแลอย่างใกล้ชิด 4.หากพบว่าครู บุคลากร และลูกจ้างในสถานศึกษามีพฤติกรรมการเล่นพนันให้ว่ากล่าวตักเตือน หากยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมอีกให้พิจารณาโทษทางวินัย 5.ให้สถานศึกษาตรวจสอบและประมวลผลการมาสาย หรือไม่มาเรียนของนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา เปรียบเทียบช่วงก่อนและระหว่างมีการแข่งขันว่าผิดปกติหรือไม่ และมีผลมาจากการแข่งขันฟุตบอลหรือไม่ พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขให้เหมาะสม 6.ให้สถานศึกษาบันทึกการแข่งขันฟุตบอล เพื่อเปิดให้นักเรียนชมในเวลาที่เหมาะสม 7.หากโรงเรียนประสบปัญหาพนันบอลไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ ขอให้ประสานความช่วยเหลือมาที่สํานักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สพฐ. ประกาศสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันในสถาบันอุดมศึกษา โดยกําหนดแนวทางให้สถาบันอุดมศึกษาดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันในสถาบันอุดมศึกษา ดังนี้ 1. กํากับดูแลไม่ให้นิสิต นักศึกษาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันทุกชนิด 2. ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมทางบวก เพื่อนําไปสู่การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับนิสิต นักศึกษา 3. จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของการพนัน ชี้ให้นิสิตนักศึกษา ตระหนักถึงผลเสียการเล่นพนัน พร้อมประชาสัมพันธ์สายด่วนการแจ้งเบาะแสการพนันฟุตบอลออนไลน์ 4. ให้อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ประจําวิชาสอดแทรกเรื่องผลเสียหายที่เกิดจากพนันทุกครั้งที่มีโอกาส 5. สนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายนิสิตนักศึกษา เพื่อเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส หากพบให้แจ้งผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเพื่อดําเนินการแก้ไข 6. สร้างช่องทางในการแจ้งเบาะแส หรือศูนย์ฮอตไลน์ เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและใกล้ชิด 7. ให้อาจารย์ประจําห้องคอมพิวเตอร์ดูแลไม่ให้นิสิตนักศึกษาใช้ช่องทางระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อการเล่นพนัน 8. ประสานสถานีตํารวจในท้องที่ให้หมั่นตรวจตราและจับกุมแหล่งรับพนันฟุตบอลที่แอบเข้ามารับพนันฟุตบอลในสถาบันอุดมศึกษา บริเวณโดยรอบ หรือบริเวณหอพักนิสิต นักศึกษา 9. มีมาตรการและบทลงโทษทางวินัยกับนิสิตนักศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับการพนัน โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้ามือจะต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด 10. พิจารณาออกมาตรการอื่นเพิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาการพนันทุกชนิดในสถาบันอุดมศึกษา โดยสอดคล้องกับประกาศ สกอ. Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สพฐ.-สกอ.ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 สพฐ.-สกอ.ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ตามลําดับได้ออกมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ตามลําดับ ได้ออกมาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมปีนี้ที่จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018ซึ่งถึงแม้มาตรการจะแตกต่างกันบ้างก็เพราะความเหมาะสมของหน่วยงานและสถานศึกษาแต่ละระดับโดย สพฐ.กําหนด7มาตรการ สกอ.กําหนด10มาตรการ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาต่างก็มุ่งหวังไม่ให้ "ปัญหาหนี้พนัน" เกิดขึ้นกับนักเรียนนักศึกษา อันจะส่งผลทําให้ชีวิตพัง และเกิดปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย มาตรการในการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันบอลในสถานศึกษา ของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1. ให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และสถานศึกษา ดูแล รับผิดชอบการป้องกันและแก้ปัญหาการเล่นพนันทายผลฟุตบอลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ถือเป็นพันธกิจที่ต้องปฏิบัติทุกระดับชั้น หากบุคลากรที่ได้รับมอบหมายละเลย ให้ถือว่าผู้นั้นจงใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการทางวินัยทันที 2. ครู บุคลากรทางการศึกษา ลูกจ้างประจํา และลูกจ้างชั่วคราวในสถานศึกษาต้องให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหาอย่างเต็มศักยภาพ 3.ขอความร่วมมือจากผู้ปกครองและญาติของนักเรียนให้ดูแลอย่างใกล้ชิด 4.หากพบว่าครู บุคลากร และลูกจ้างในสถานศึกษามีพฤติกรรมการเล่นพนันให้ว่ากล่าวตักเตือน หากยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมอีกให้พิจารณาโทษทางวินัย 5.ให้สถานศึกษาตรวจสอบและประมวลผลการมาสาย หรือไม่มาเรียนของนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา เปรียบเทียบช่วงก่อนและระหว่างมีการแข่งขันว่าผิดปกติหรือไม่ และมีผลมาจากการแข่งขันฟุตบอลหรือไม่ พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขให้เหมาะสม 6.ให้สถานศึกษาบันทึกการแข่งขันฟุตบอล เพื่อเปิดให้นักเรียนชมในเวลาที่เหมาะสม 7.หากโรงเรียนประสบปัญหาพนันบอลไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ ขอให้ประสานความช่วยเหลือมาที่สํานักพัฒนากิจกรรมนักเรียน สพฐ. ประกาศสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เรื่อง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันในสถาบันอุดมศึกษา โดยกําหนดแนวทางให้สถาบันอุดมศึกษาดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการพนันในสถาบันอุดมศึกษา ดังนี้ 1. กํากับดูแลไม่ให้นิสิต นักศึกษาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันทุกชนิด 2. ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมทางบวก เพื่อนําไปสู่การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับนิสิต นักศึกษา 3. จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของการพนัน ชี้ให้นิสิตนักศึกษา ตระหนักถึงผลเสียการเล่นพนัน พร้อมประชาสัมพันธ์สายด่วนการแจ้งเบาะแสการพนันฟุตบอลออนไลน์ 4. ให้อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ประจําวิชาสอดแทรกเรื่องผลเสียหายที่เกิดจากพนันทุกครั้งที่มีโอกาส 5. สนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายนิสิตนักศึกษา เพื่อเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส หากพบให้แจ้งผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเพื่อดําเนินการแก้ไข 6. สร้างช่องทางในการแจ้งเบาะแส หรือศูนย์ฮอตไลน์ เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและใกล้ชิด 7. ให้อาจารย์ประจําห้องคอมพิวเตอร์ดูแลไม่ให้นิสิตนักศึกษาใช้ช่องทางระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อการเล่นพนัน 8. ประสานสถานีตํารวจในท้องที่ให้หมั่นตรวจตราและจับกุมแหล่งรับพนันฟุตบอลที่แอบเข้ามารับพนันฟุตบอลในสถาบันอุดมศึกษา บริเวณโดยรอบ หรือบริเวณหอพักนิสิต นักศึกษา 9. มีมาตรการและบทลงโทษทางวินัยกับนิสิตนักศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับการพนัน โดยเฉพาะผู้เป็นเจ้ามือจะต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด 10. พิจารณาออกมาตรการอื่นเพิ่ม เพื่อแก้ไขปัญหาการพนันทุกชนิดในสถาบันอุดมศึกษา โดยสอดคล้องกับประกาศ สกอ. Written byบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) เวลา 08.00 น. ณ ห้องประชุม 1 สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร (H.E. Mr. Michael George DeSombre) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับการเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ไทยพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการทํางานของเอกอัครราชทูตอย่างเต็มที่เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันมายาวนานให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ท่ามกลางความท้าทายในการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตที่สามารถพลิกเป็นโอกาสในการวางแผนเพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือและแลกเปลี่ยนการลงทุนร่วมกันได้ในอนาคต เอกอัครราชทูตชื่นชมการทํางานของรัฐบาลไทยในการใช้มาตรการสาธารณสุขที่เข้มข้น ทําให้สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังสามารถกระตุ้นภาคเศรษฐกิจให้ดําเนินการได้ต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนและภาคการผลิต ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐฯ พร้อมยืนยันที่จะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสานต่อการลงทุนในไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือทุกมิติ โดยพร้อมที่จะเร่งฟื้นฟูภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมทั้งเห็นพ้องถึงความสําคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร (Smart Farmer) ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและนวัตกรรม โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ร่วมลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการลงทุนของไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีศักยภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ไทย-สหรัฐ ต่อยอดความร่วมมือทุกมิติ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) เวลา 08.00 น. ณ ห้องประชุม 1 สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมเบร (H.E. Mr. Michael George DeSombre) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเข้ารับหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับการเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ไทยพร้อมร่วมมือและสนับสนุนการทํางานของเอกอัครราชทูตอย่างเต็มที่เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันมายาวนานให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ท่ามกลางความท้าทายในการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นวิกฤตที่สามารถพลิกเป็นโอกาสในการวางแผนเพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือและแลกเปลี่ยนการลงทุนร่วมกันได้ในอนาคต เอกอัครราชทูตชื่นชมการทํางานของรัฐบาลไทยในการใช้มาตรการสาธารณสุขที่เข้มข้น ทําให้สามารถแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังสามารถกระตุ้นภาคเศรษฐกิจให้ดําเนินการได้ต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนและภาคการผลิต ซึ่งภาคเอกชนสหรัฐฯ พร้อมยืนยันที่จะส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสานต่อการลงทุนในไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเศรษฐกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือทุกมิติ โดยพร้อมที่จะเร่งฟื้นฟูภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมทั้งเห็นพ้องถึงความสําคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคเอกชน เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร (Smart Farmer) ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและนวัตกรรม โดยรองนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ร่วมลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการลงทุนของไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีศักยภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33035
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนคนไทยร่วมทำความดีแบบไทยนิยม
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เชิญชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม ความดีแบบไทยนิยม จะสร้างความเข้มแข็งทางใจให้แก่คนไทย เพื่อให้ทุกคนช่วยกันสร้างอนาคตของประเทศไทยที่สดใสอย่างยั่งยืน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันทําความดีตามแบบไทยนิยม เพื่อช่วยกันประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น นําพาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ ได้แก่ การมีจิตสํานึกรู้รักสามัคคี ช่วยเหลือดูแลกัน ไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งอยู่ดีมีสุข เรียนรู้การใช้ชีวิตตามวิถีพอเพียง รู้สิทธิและหน้าที่ของตนเอง เข้าใจกลไกของราชการ รู้รักประชาธิปไตย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และร่วมมือกันทํางานตามแนวทางประชารัฐ เพื่อนําพาบ้านเมืองก้าวพ้นจากความขัดแย้งในอดีต และเดินหน้าฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนคนไทยร่วมทำความดีแบบไทยนิยม วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เชิญชวนคนไทยร่วมทําความดีแบบไทยนิยม ความดีแบบไทยนิยม จะสร้างความเข้มแข็งทางใจให้แก่คนไทย เพื่อให้ทุกคนช่วยกันสร้างอนาคตของประเทศไทยที่สดใสอย่างยั่งยืน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมกันทําความดีตามแบบไทยนิยม เพื่อช่วยกันประคับประคองการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ราบรื่น นําพาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าตามยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ ได้แก่ การมีจิตสํานึกรู้รักสามัคคี ช่วยเหลือดูแลกัน ไม่ทอดทิ้งกัน เพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็งอยู่ดีมีสุข เรียนรู้การใช้ชีวิตตามวิถีพอเพียง รู้สิทธิและหน้าที่ของตนเอง เข้าใจกลไกของราชการ รู้รักประชาธิปไตย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และร่วมมือกันทํางานตามแนวทางประชารัฐ เพื่อนําพาบ้านเมืองก้าวพ้นจากความขัดแย้งในอดีต และเดินหน้าฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน วันนี้ (7 ธันวาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิดโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่รวมตัวชุมนุมข้างทําเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ... ว่านายกรัฐมนตรีรับทราบและเข้าใจปัญหา รวมทั้งได้พยายามแก้ไขมาโดยตลอด พร้อมกับยืนยันว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุดตามข้อเท็จจริง โดยอยากให้ทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุและผล ซึ่งเป็นจุดยืนของรัฐบาลนี้ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ สําหรับผลการเจรจาระหว่างตัวแทนภาครัฐกับเครือข่ายประชาชนฯ เป็นไปด้วยดี โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ได้เดินทางไปสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว จากเดิมที่ต้องการให้นํากลับมาทบทวนทั้งหมด ทั้งนี้ หลังจากที่ สนช. รับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระที่ 1 ไปแล้ว เมื่อ 24 พ.ย.60 จึงได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณากฎหมายในวาระที่ 2 ให้มีความรัดกุมมากขึ้น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่คณะกรรมาธิการจะรับฟังข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนฯ ได้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สามารถขอปรับแก้ไขได้โดยอาจแก้ไขเป็นบางมาตราก่อน หรือออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 ที่ว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เช่นเดียวกับตัวแทนของภาครัฐที่ได้ไปพูดคุยกับเครือข่ายประชาชนฯ ก็จะนําข้อเสนอและความห่วงใยทั้งหมดของเครือข่ายประชาชนฯ ไปชี้แจงในขั้นคณะกรรมาธิการด้วย โดยมีเวลาที่ สนช. จะพิจารณาอีก ไม่เกิน 60 วัน ตามมาตรา 278 ของรัฐธรรมนูญ” ......................................... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน รัฐบาลเผยเข้าใจปัญหาผู้ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ยืนยันดูแลให้ดีที่สุด วอนทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุผล ชี้ผลการเจรจาเป็นไปด้วยดี พร้อมเสนอ สนช.พิจารณาแก้ไขภายใน 60 วัน วันนี้ (7 ธันวาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิดโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่รวมตัวชุมนุมข้างทําเนียบรัฐบาล เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ... ว่านายกรัฐมนตรีรับทราบและเข้าใจปัญหา รวมทั้งได้พยายามแก้ไขมาโดยตลอด พร้อมกับยืนยันว่าจะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุดตามข้อเท็จจริง โดยอยากให้ทุกฝ่ายรับฟังกันด้วยเหตุและผล ซึ่งเป็นจุดยืนของรัฐบาลนี้ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ สําหรับผลการเจรจาระหว่างตัวแทนภาครัฐกับเครือข่ายประชาชนฯ เป็นไปด้วยดี โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ได้เดินทางไปสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อยื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว จากเดิมที่ต้องการให้นํากลับมาทบทวนทั้งหมด ทั้งนี้ หลังจากที่ สนช. รับหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ในวาระที่ 1 ไปแล้ว เมื่อ 24 พ.ย.60 จึงได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณากฎหมายในวาระที่ 2 ให้มีความรัดกุมมากขึ้น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่คณะกรรมาธิการจะรับฟังข้อเสนอของเครือข่ายประชาชนฯ ได้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สามารถขอปรับแก้ไขได้โดยอาจแก้ไขเป็นบางมาตราก่อน หรือออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 ที่ว่าด้วยการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เช่นเดียวกับตัวแทนของภาครัฐที่ได้ไปพูดคุยกับเครือข่ายประชาชนฯ ก็จะนําข้อเสนอและความห่วงใยทั้งหมดของเครือข่ายประชาชนฯ ไปชี้แจงในขั้นคณะกรรมาธิการด้วย โดยมีเวลาที่ สนช. จะพิจารณาอีก ไม่เกิน 60 วัน ตามมาตรา 278 ของรัฐธรรมนูญ” ......................................... สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8608
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจำปี 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วันนี้ (11 ก.ย. 60) เวลา 10.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีคณะเยาวชนพิการไทย ผู้ดูแลคนพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความสามารถดํารงชีวิตประจําวัน และมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้อย่างประจักษ์ชัดว่า คนพิการเป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีศักยภาพ มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเยาวชนพิการไทย ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติและของโลกที่มีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า สําหรับในปีนี้ องค์กร Korean Society for Rehabilitation of Persons with Disabilities (KSRPD) จากสาธารณรัฐเกาหลี ได้กําหนดจัดการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมโอกาสให้เยาวชนพิการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ และเสริมสร้างศักยภาพแก่เยาวชนพิการ โดยแบ่งการแข่งขันเป็นประเภทรายบุคคลและประเภททีม ซึ่งมีการแข่งขัน 4 ประเภท ดังนี้ 1. eTool Challenge 2. eLifemap Challenge 3. eDesign Challenge และ 4. eCreative Challenge โดย พก. ได้จัดค่ายคัดเลือกเยาวชนพิการไทยเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 เพื่อดําเนินการคัดเลือกผู้แทนเยาวชนพิการเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา และได้คัดเลือกผู้แทนเยาวชนพิการไทย อายุระหว่าง 13 - 19 ปี เป็นผู้แทนหลัก จํานวน 4 คน ประกอบด้วย 1. นายปณิธาน ภิธรรมา อายุ 18 ปี พิการทางร่างกายและการเคลื่อนไหว จากโรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา 2. นายณัชพล การวิวัฒน์ อายุ 17 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพฯ 3. นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานงค์ อายุ 16 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ และ 4. นายวชิรวิทย์ ชมภิรมย์ อายุ 18 ปี พิการออทิสติก จากสมาคมออทิสติกสามัคคีไทย และผู้แทนสํารอง จํานวน 4 คน ประกอบด้วย 1. นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง อายุ 18 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากโรงเรียนอาชีว พระมหาไถ่ พัทยา 2. นางสาวสุภาวดี มาเที่ยง อายุ 18 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ 3. นายหิรัญ มณินทุ อายุ 18 ปี พิการทางสติปัญญาจากศูนย์พัฒนาการเด็กพิเศษมหาไถ่ และ 4. เด็กชายสริภพ เรียบสําเร็จ อายุ 15 ปี พิการทางการมองเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพฯ "ตนหวังว่าเยาวชนพิการไทย ทั้ง 8 คน ที่เข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะประสบความสําเร็จ พร้อมกับนําชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนเยาวชนพิการไทยทุกคนอย่างเต็มที่ และนําประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ มาเสริมสร้างศักยภาพทางด้านความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เยาวชนพิการไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ และข้อมูลข่าวสารในสังคมได้มากยิ่งขึ้น โดยสิ่งที่สําคัญ คือ ความซื่อสัตย์ สุจริต เคารพในกติกา การรู้แพ้ รู้ชนะ มีน้ําใจให้กันและกัน และสร้างมิตรภาพที่ดีต่อเพื่อนเยาวชนพิการประเทศอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน พร้อมนําความรู้ความสามารถมาพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจำปี 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รมว.พม. ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะ และรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม วันนี้ (11 ก.ย. 60) เวลา 10.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้คณะเยาวชนพิการไทยเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาทในการเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 (2017 Global IT Challenge for Youth with Disabilities) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีคณะเยาวชนพิการไทย ผู้ดูแลคนพิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความสามารถดํารงชีวิตประจําวัน และมีส่วนร่วมในสังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป ซึ่งปัจจุบันจะเห็นได้อย่างประจักษ์ชัดว่า คนพิการเป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีศักยภาพ มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับเยาวชนพิการไทย ซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติและของโลกที่มีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่ออีกว่า สําหรับในปีนี้ องค์กร Korean Society for Rehabilitation of Persons with Disabilities (KSRPD) จากสาธารณรัฐเกาหลี ได้กําหนดจัดการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 18 - 22 กันยายน 2560 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมโอกาสให้เยาวชนพิการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ และเสริมสร้างศักยภาพแก่เยาวชนพิการ โดยแบ่งการแข่งขันเป็นประเภทรายบุคคลและประเภททีม ซึ่งมีการแข่งขัน 4 ประเภท ดังนี้ 1. eTool Challenge 2. eLifemap Challenge 3. eDesign Challenge และ 4. eCreative Challenge โดย พก. ได้จัดค่ายคัดเลือกเยาวชนพิการไทยเพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 เพื่อดําเนินการคัดเลือกผู้แทนเยาวชนพิการเข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าว ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา และได้คัดเลือกผู้แทนเยาวชนพิการไทย อายุระหว่าง 13 - 19 ปี เป็นผู้แทนหลัก จํานวน 4 คน ประกอบด้วย 1. นายปณิธาน ภิธรรมา อายุ 18 ปี พิการทางร่างกายและการเคลื่อนไหว จากโรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา 2. นายณัชพล การวิวัฒน์ อายุ 17 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพฯ 3. นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานงค์ อายุ 16 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ และ 4. นายวชิรวิทย์ ชมภิรมย์ อายุ 18 ปี พิการออทิสติก จากสมาคมออทิสติกสามัคคีไทย และผู้แทนสํารอง จํานวน 4 คน ประกอบด้วย 1. นางสาวมุกรวี ปิ่นทอง อายุ 18 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากโรงเรียนอาชีว พระมหาไถ่ พัทยา 2. นางสาวสุภาวดี มาเที่ยง อายุ 18 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ 3. นายหิรัญ มณินทุ อายุ 18 ปี พิการทางสติปัญญาจากศูนย์พัฒนาการเด็กพิเศษมหาไถ่ และ 4. เด็กชายสริภพ เรียบสําเร็จ อายุ 15 ปี พิการทางการมองเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพฯ "ตนหวังว่าเยาวชนพิการไทย ทั้ง 8 คน ที่เข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2560 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะประสบความสําเร็จ พร้อมกับนําชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนเยาวชนพิการไทยทุกคนอย่างเต็มที่ และนําประสบการณ์จากการแข่งขันในครั้งนี้ มาเสริมสร้างศักยภาพทางด้านความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เยาวชนพิการไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ และข้อมูลข่าวสารในสังคมได้มากยิ่งขึ้น โดยสิ่งที่สําคัญ คือ ความซื่อสัตย์ สุจริต เคารพในกติกา การรู้แพ้ รู้ชนะ มีน้ําใจให้กันและกัน และสร้างมิตรภาพที่ดีต่อเพื่อนเยาวชนพิการประเทศอื่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน พร้อมนําความรู้ความสามารถมาพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “อนุทิน” เผยรอผลทดลองวัคซีนโควิด 19 ในลิงหากได้ผลดีเตรียมทดลองในคน
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 “อนุทิน” เผยรอผลทดลองวัคซีนโควิด 19 ในลิงหากได้ผลดีเตรียมทดลองในคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคนา 2019ผลการทดลองในหนู ได้ผลดี ส่วนในลิงรอผลอีก 2 สัปดาห์ หากได้ผลดีเตรียมผลิต 10,000 โด้ส เพื่อทดลองในคน ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท หนุนนักวิจัยทั้งรัฐและเอกชน ให้ได้วัคซีนสําหรับคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคนา 2019ผลการทดลองในหนู ได้ผลดี ส่วนในลิงรอผลอีก 2 สัปดาห์ หากได้ผลดีเตรียมผลิต 10,000 โด้ส เพื่อทดลองในคน ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท หนุนนักวิจัยทั้งรัฐและเอกชน ให้ได้วัคซีนสําหรับคนไทย วันนี้ (24 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.)ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหาร หารือความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเห็นความสําคัญและมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้การสนับสนุนทุกสถาบันในการค้นคว้าวิจัยวัคซีนโควิด 19 โดยได้จัดสรรงบจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนและร่วมทําการค้นคว้าวิจัยวัคซีนโรคโควิด 19 กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนชาวไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยถือว่าบริหารสถานการณ์โควิด 19 ในด้านการป้องกันควบคุมสอบสวน รักษาพยาบาล และให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ต่างๆ ได้ดี ซึ่งเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือการมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สําหรับคนไทย นายอนุทิน กล่าวต่อว่า โดยในวันนี้ทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้นําเสนอความก้าวหน้าของการทดลองวัคซีนโดยได้ทดลองในหนู ได้ผลดี ภูมิคุ้มกันเพิ่มในระดับที่น่าพอใจและขณะนี้ได้ทดลองในลิง รอบที่ 1 อยู่ระหว่างรอผล ระยะต่อไปจะเป็นการทดลองในคน สิ่งที่ต้องดําเนินการต่อคือต้องหากลุ่มตัวอย่างทดสอบวัคซีน โดยจะมีแผนหารือความร่วมมือทดลองและผลิตในระดับอาเซียน ด้านนายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลการทดสอบวัคซีนในหนูทั้ง 2 ครั้ง พบภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และสามารถยับยั้งเชื้อในหลอดทดลองได้ ส่วนในลิงอยู่ในระหว่างรอผลการฉีดครั้งที่ 2 คาดว่าจะทราบผลใน 2 สัปดาห์ หากผลเป็นที่น่าพอใจ โรงงานผลิตที่จองไว้ก็จะเริ่มผลิตจํานวน 10,000 โดส ถ้าเป็นไปตามแผนก็จะเริ่มที่อาสาสมัครคนไทย อย่างไรก็ตามการทดลองในคนต้องผ่าน อย. และกรรมการจริยธรรม นอกจากนี้ในส่วนของประเทศไทยจะเตรียมความพร้อมโรงงานสําหรับผลิตวัคซีนในปีหน้า ****************************24 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- “อนุทิน” เผยรอผลทดลองวัคซีนโควิด 19 ในลิงหากได้ผลดีเตรียมทดลองในคน วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 “อนุทิน” เผยรอผลทดลองวัคซีนโควิด 19 ในลิงหากได้ผลดีเตรียมทดลองในคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคนา 2019ผลการทดลองในหนู ได้ผลดี ส่วนในลิงรอผลอีก 2 สัปดาห์ หากได้ผลดีเตรียมผลิต 10,000 โด้ส เพื่อทดลองในคน ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท หนุนนักวิจัยทั้งรัฐและเอกชน ให้ได้วัคซีนสําหรับคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงความคืบหน้าวัคซีนรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคนา 2019ผลการทดลองในหนู ได้ผลดี ส่วนในลิงรอผลอีก 2 สัปดาห์ หากได้ผลดีเตรียมผลิต 10,000 โด้ส เพื่อทดลองในคน ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท หนุนนักวิจัยทั้งรัฐและเอกชน ให้ได้วัคซีนสําหรับคนไทย วันนี้ (24 มิถุนายน 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.)ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และคณะผู้บริหาร หารือความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเห็นความสําคัญและมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะให้การสนับสนุนทุกสถาบันในการค้นคว้าวิจัยวัคซีนโควิด 19 โดยได้จัดสรรงบจาก พ.ร.ก.เงินกู้ ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนและร่วมทําการค้นคว้าวิจัยวัคซีนโรคโควิด 19 กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนชาวไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยถือว่าบริหารสถานการณ์โควิด 19 ในด้านการป้องกันควบคุมสอบสวน รักษาพยาบาล และให้บริการทางการแพทย์ รวมถึงแก้ปัญหาการขาดแคลนเวชภัณฑ์ต่างๆ ได้ดี ซึ่งเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือการมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 สําหรับคนไทย นายอนุทิน กล่าวต่อว่า โดยในวันนี้ทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้นําเสนอความก้าวหน้าของการทดลองวัคซีนโดยได้ทดลองในหนู ได้ผลดี ภูมิคุ้มกันเพิ่มในระดับที่น่าพอใจและขณะนี้ได้ทดลองในลิง รอบที่ 1 อยู่ระหว่างรอผล ระยะต่อไปจะเป็นการทดลองในคน สิ่งที่ต้องดําเนินการต่อคือต้องหากลุ่มตัวอย่างทดสอบวัคซีน โดยจะมีแผนหารือความร่วมมือทดลองและผลิตในระดับอาเซียน ด้านนายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อํานวยการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลการทดสอบวัคซีนในหนูทั้ง 2 ครั้ง พบภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น และสามารถยับยั้งเชื้อในหลอดทดลองได้ ส่วนในลิงอยู่ในระหว่างรอผลการฉีดครั้งที่ 2 คาดว่าจะทราบผลใน 2 สัปดาห์ หากผลเป็นที่น่าพอใจ โรงงานผลิตที่จองไว้ก็จะเริ่มผลิตจํานวน 10,000 โดส ถ้าเป็นไปตามแผนก็จะเริ่มที่อาสาสมัครคนไทย อย่างไรก็ตามการทดลองในคนต้องผ่าน อย. และกรรมการจริยธรรม นอกจากนี้ในส่วนของประเทศไทยจะเตรียมความพร้อมโรงงานสําหรับผลิตวัคซีนในปีหน้า ****************************24 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ พร้อมรับทราบสถานการณ์การผลิตและการใช้ไบโอดีเซลทั้งประเทศ รวม 6,618,600 ลิตรต่อวัน วันนี้ (19 มีนาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561มีสาระการประชุม สรุปดังนี้ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์และแนวโน้มปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ได้แก่ 1. สถานการณ์การผลิตและตลาดของโลก ปี 2560/61 เพิ่มจากปีที่ผ่านมา โดยด้านการผลิตเพิ่ม 7.02% ด้านความต้องการใช้เพิ่ม 4.78% ด้านสต็อกคงเหลือเพิ่ม 24.33% ในส่วนด้านราคาตลาดต่างประเทศ ปี 2561 คาดว่าราคาน้ํามันปาล์มในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปี 2560 โดยราคาน้ํามันปาล์มในตลาดมาเลเซียจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับเฉลี่ยตันละ 2,300.00 ริงกิต (20.00 บาทต่อกิโลกรัม) 2. สถานการณ์การผลิตและตลาดของไทย ปี 2561 ด้านการผลิต ในปี 2561 มีผลผลิตปาล์มน้ํามันรวม 15.18 ล้านตัน หรือคิดเป็นน้ํามันปาล์มดิบ 2.67 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ 14.24 ล้านตัน เนื่องจากเนื้อที่ให้ผลและปริมาณน้ําฝนเพิ่มขึ้น ด้านการตลาด สต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือทั้งระบบ (ม.ค. 61) มีผลผลิตน้ํามันปาล์มดิบ 246,183 ตัน ยอดการส่งออก 86,432 ตัน ความต้องการใช้ในประเทศ 222,114 ตัน ทั้งนี้ ในส่วนราคาน้ํามันปาล์มดิบ ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น ซึ่งน้ํามันปาล์มดิบไทย 20.50 บาทต่อลิตร และน้ํามันปาล์มดิบมาเลเซีย 19.31 บาทต่อลิตร (13 มี.ค. 61) โดยคณะกรรมการฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม โดย 1. ติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาดอย่างใกล้ชิด 2. หน่วยงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหาแนวทางร่วมกัน โดยรณรงค์ให้ใช้น้ํามันปาล์มภายในประเทศมากขึ้น และเพิ่มความต้องการใช้ภายในประเทศด้านนวัตกรรม 3. เห็นควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดที่ตั้งโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม บริหารจัดการให้โรงงานสกัดฯ มีการแจ้งจังหวัดล่วงหน้าในการหยุดรับซื้อผลผลิตและการปิดซ่อมปรับปรุงโรงงาน โดยบริหารจัดการไม่ให้หยุดหรือปิดโรงงานพร้อม ๆ กัน ด้านพลังงาน สถานการณ์การผลิตและการใช้ไบโอดีเซล รวมกําลังการผลิตทั้งประเทศ รวม 6,618,600 ลิตรต่อวัน และการจําหน่ายน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว ค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 63.76 ล้านลิตรต่อวัน ในส่วนการผลิตไบโอดีเซล มีค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 3.88 ล้านลิตรต่อวัน และการใช้ไบโอดีเซล มีค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 3.83 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบผลความก้าวหน้าการดําเนินการ ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) (7 ธ.ค. 60) โดยมอบหมายให้คณะทํางานการแก้ไขปัญหาการนําเข้าน้ํามันปาล์ม และผลิตภัณฑ์น้ํามันปาล์ม ไปดําเนินการแต่งตั้งชุดปฏิบัติการฯ เดินทางไปติดตามและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําความผิดการนําเข้า-ส่งออก น้ํามันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ํามันปาล์มในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม 2561 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ พร้อมรับทราบสถานการณ์การผลิตและการใช้ไบโอดีเซลทั้งประเทศ รวม 6,618,600 ลิตรต่อวัน วันนี้ (19 มีนาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561มีสาระการประชุม สรุปดังนี้ ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์และแนวโน้มปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม ได้แก่ 1. สถานการณ์การผลิตและตลาดของโลก ปี 2560/61 เพิ่มจากปีที่ผ่านมา โดยด้านการผลิตเพิ่ม 7.02% ด้านความต้องการใช้เพิ่ม 4.78% ด้านสต็อกคงเหลือเพิ่ม 24.33% ในส่วนด้านราคาตลาดต่างประเทศ ปี 2561 คาดว่าราคาน้ํามันปาล์มในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปี 2560 โดยราคาน้ํามันปาล์มในตลาดมาเลเซียจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับเฉลี่ยตันละ 2,300.00 ริงกิต (20.00 บาทต่อกิโลกรัม) 2. สถานการณ์การผลิตและตลาดของไทย ปี 2561 ด้านการผลิต ในปี 2561 มีผลผลิตปาล์มน้ํามันรวม 15.18 ล้านตัน หรือคิดเป็นน้ํามันปาล์มดิบ 2.67 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ 14.24 ล้านตัน เนื่องจากเนื้อที่ให้ผลและปริมาณน้ําฝนเพิ่มขึ้น ด้านการตลาด สต็อกน้ํามันปาล์มคงเหลือทั้งระบบ (ม.ค. 61) มีผลผลิตน้ํามันปาล์มดิบ 246,183 ตัน ยอดการส่งออก 86,432 ตัน ความต้องการใช้ในประเทศ 222,114 ตัน ทั้งนี้ ในส่วนราคาน้ํามันปาล์มดิบ ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น ซึ่งน้ํามันปาล์มดิบไทย 20.50 บาทต่อลิตร และน้ํามันปาล์มดิบมาเลเซีย 19.31 บาทต่อลิตร (13 มี.ค. 61) โดยคณะกรรมการฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์ม โดย 1. ติดตามสถานการณ์การผลิต การตลาดอย่างใกล้ชิด 2. หน่วยงานและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหาแนวทางร่วมกัน โดยรณรงค์ให้ใช้น้ํามันปาล์มภายในประเทศมากขึ้น และเพิ่มความต้องการใช้ภายในประเทศด้านนวัตกรรม 3. เห็นควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดที่ตั้งโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม บริหารจัดการให้โรงงานสกัดฯ มีการแจ้งจังหวัดล่วงหน้าในการหยุดรับซื้อผลผลิตและการปิดซ่อมปรับปรุงโรงงาน โดยบริหารจัดการไม่ให้หยุดหรือปิดโรงงานพร้อม ๆ กัน ด้านพลังงาน สถานการณ์การผลิตและการใช้ไบโอดีเซล รวมกําลังการผลิตทั้งประเทศ รวม 6,618,600 ลิตรต่อวัน และการจําหน่ายน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว ค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 63.76 ล้านลิตรต่อวัน ในส่วนการผลิตไบโอดีเซล มีค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 3.88 ล้านลิตรต่อวัน และการใช้ไบโอดีเซล มีค่าเฉลี่ยระหว่างเดือน ม.ค. – ธ.ค. 60 ประมาณ 3.83 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบผลความก้าวหน้าการดําเนินการ ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) (7 ธ.ค. 60) โดยมอบหมายให้คณะทํางานการแก้ไขปัญหาการนําเข้าน้ํามันปาล์ม และผลิตภัณฑ์น้ํามันปาล์ม ไปดําเนินการแต่งตั้งชุดปฏิบัติการฯ เดินทางไปติดตามและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําความผิดการนําเข้า-ส่งออก น้ํามันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ํามันปาล์มในช่วงเดือนมีนาคม 2561 ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา พิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors) (วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๒) เวลา ๑๗.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors) โดยมี H.E. Mr. Lyu Jian เอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นาย Qian Ji Kui รองผู้อํานวยการสํานักบริหารมรดกวัฒนธรรมมลฑลส่านซี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วมพิธี ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นิทรรศการพิเศษ จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา เป็น ความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชน สํานักงานบริหารมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซี ศูนย์ส่งเสริมมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซี พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี และพิพิธภัณฑ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รวบรวมโบราณวัตถุ สําคัญ จํานวน ๘๖ รายการ (๑๓๓ ชิ้น) ซึ่งมีอายุกว่า ๒,๒๐๐ ปี จากพิพิธภัณฑ์ชั้นนํา ๑๔ แห่ง ในสาธารณรัฐประชาชนจีน มาจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยแบ่ง เนื้อหานิทรรศการเป็น ๔ หัวข้อหลัก ดังนี้ ๑. พัฒนาการก่อนการรวมชาติ ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก นําเสนอความเป็นแคว้นต่าง ๆ ที่มีการ ปกครองเป็นเอกเทศ มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการหล่อสําริด เช่น การผลิตอาวุธ เครื่องดนตรี ภาชนะ และเงินตรา รวมถึงความก้าวหน้าทางการทหาร ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้แคว้นฉินที่เป็นแคว้นขนาดเล็กในเขตชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนโบราณ กลายเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งในเวลาต่อมา ซึ่งโบราณวัตถุที่นํามาจัดแสดงทําให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านโลหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสําริด อาวุธและเงินตรา ๒. จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน ผู้ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์ มหาราชองค์แรกใน ประวัติศาสตร์จีนที่โลกต้องจารึก ประมาณ ๒,๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นฉิน เมื่อพระชนมายุ ๑๓ พรรษา ได้รับการสถาปนาขึ้นปกครองแคว้นฉินแทนพระราชบิดา และประกอบพิธีราชาภิเษกเมื่อพระชนมายุ ๒๒ พรรษา พระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน เช่น การสถาปนาราชวงศ์ฉิน การผนวกแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น การปฏิรูประบบการปกครองแบบรวมอํานาจเข้าสู่ศูนย์กลาง กําหนดมาตรฐานหน่วยชั่ง ตวง วัด ระบบเงินตรา ภาษาเขียน และการพัฒนาสาธารณูปโภค ทรงริเริ่มให้มีการก่อสร้างและเชื่อมต่อแนวกําแพงดินอัดของแคว้นต่างๆ เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกศัตรูจนกลายเป็นกําแพงเมืองจีน ๓. สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี มหาอาณาจักรใต้พิภพ จิ๋นซีฮ่องเต้มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ จึงเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะและสร้างสุสานเตรียมพร้อมสําหรับชีวิตหลังความตายหรือโลกหน้า ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดย “ซือหม่าเฉียน” อาลักษณ์สมัยราชวงศ์ฮั่น พรรณนารายละเอียดอันน่าทึ่งของมหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี และปริศนาได้กระจ่างขึ้นเมื่อมีการค้นพบหุ่นทหารดินเผา เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗ หรือคริสต์ศักราช ๑๙๗๔ ซึ่งองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ยกย่องและประกาศให้สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๐ โบราณวัตถุในส่วนจัดแสดงนี้เป็นส่วนสําคัญของนิทรรศการ เช่น หุ่นทหารและม้าดินเผา เสื้อเกราะ อาวุธสําริด และรถม้าสําริด ๔. สืบสานความรุ่งโรจน์: ยุคราชวงศ์ฮั่น มรดกทางวัฒนธรรมจากจักรพรรดิจิ๋นซีและราชวงศ์ฉินส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่น ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการจัดแสดงโบราณวัตถุจากสุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่น และโบราณวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวประเพณี วิถีชีวิต ความรุ่งเรือง ทางด้านวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง สังคม เกษตรกรรม และเทคโนโลยีทางการทหาร ตลอดจนการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวจีนโบราณกับชาวต่างชาติ บนเส้นทางสายแพรไหมสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นับเป็นยุคทองของงานศิลปกรรมและอารยธรรมจีนอย่างแท้จริง ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “จิ๋นซี ฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นพิเศษในวันจันทร์ที่ ๑๖ และวันอังคารที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๒ จากนั้นจะเปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ – อาทิตย์ จนถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา พิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors) (วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๒) เวลา ๑๗.๐๐ น. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดนิทรรศการพิเศษ เรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors) โดยมี H.E. Mr. Lyu Jian เอกอัครราชทูตจีนประจําประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นาย Qian Ji Kui รองผู้อํานวยการสํานักบริหารมรดกวัฒนธรรมมลฑลส่านซี ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าร่วมพิธี ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นิทรรศการพิเศษ จิ๋นซีฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา เป็น ความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชน สํานักงานบริหารมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซี ศูนย์ส่งเสริมมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซี พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มณฑลส่านซี และพิพิธภัณฑ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รวบรวมโบราณวัตถุ สําคัญ จํานวน ๘๖ รายการ (๑๓๓ ชิ้น) ซึ่งมีอายุกว่า ๒,๒๐๐ ปี จากพิพิธภัณฑ์ชั้นนํา ๑๔ แห่ง ในสาธารณรัฐประชาชนจีน มาจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยแบ่ง เนื้อหานิทรรศการเป็น ๔ หัวข้อหลัก ดังนี้ ๑. พัฒนาการก่อนการรวมชาติ ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก นําเสนอความเป็นแคว้นต่าง ๆ ที่มีการ ปกครองเป็นเอกเทศ มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการหล่อสําริด เช่น การผลิตอาวุธ เครื่องดนตรี ภาชนะ และเงินตรา รวมถึงความก้าวหน้าทางการทหาร ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมให้แคว้นฉินที่เป็นแคว้นขนาดเล็กในเขตชายแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนโบราณ กลายเป็นจักรวรรดิที่แข็งแกร่งในเวลาต่อมา ซึ่งโบราณวัตถุที่นํามาจัดแสดงทําให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านโลหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสําริด อาวุธและเงินตรา ๒. จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน ผู้ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์ มหาราชองค์แรกใน ประวัติศาสตร์จีนที่โลกต้องจารึก ประมาณ ๒,๒๐๐ กว่าปีมาแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ประสูติในฐานะเจ้าชายแห่งแคว้นฉิน เมื่อพระชนมายุ ๑๓ พรรษา ได้รับการสถาปนาขึ้นปกครองแคว้นฉินแทนพระราชบิดา และประกอบพิธีราชาภิเษกเมื่อพระชนมายุ ๒๒ พรรษา พระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน เช่น การสถาปนาราชวงศ์ฉิน การผนวกแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น การปฏิรูประบบการปกครองแบบรวมอํานาจเข้าสู่ศูนย์กลาง กําหนดมาตรฐานหน่วยชั่ง ตวง วัด ระบบเงินตรา ภาษาเขียน และการพัฒนาสาธารณูปโภค ทรงริเริ่มให้มีการก่อสร้างและเชื่อมต่อแนวกําแพงดินอัดของแคว้นต่างๆ เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกศัตรูจนกลายเป็นกําแพงเมืองจีน ๓. สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี มหาอาณาจักรใต้พิภพ จิ๋นซีฮ่องเต้มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ จึงเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะและสร้างสุสานเตรียมพร้อมสําหรับชีวิตหลังความตายหรือโลกหน้า ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดย “ซือหม่าเฉียน” อาลักษณ์สมัยราชวงศ์ฮั่น พรรณนารายละเอียดอันน่าทึ่งของมหาสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี และปริศนาได้กระจ่างขึ้นเมื่อมีการค้นพบหุ่นทหารดินเผา เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗ หรือคริสต์ศักราช ๑๙๗๔ ซึ่งองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ยกย่องและประกาศให้สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๐ โบราณวัตถุในส่วนจัดแสดงนี้เป็นส่วนสําคัญของนิทรรศการ เช่น หุ่นทหารและม้าดินเผา เสื้อเกราะ อาวุธสําริด และรถม้าสําริด ๔. สืบสานความรุ่งโรจน์: ยุคราชวงศ์ฮั่น มรดกทางวัฒนธรรมจากจักรพรรดิจิ๋นซีและราชวงศ์ฉินส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่น ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการจัดแสดงโบราณวัตถุจากสุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่น และโบราณวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวประเพณี วิถีชีวิต ความรุ่งเรือง ทางด้านวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง สังคม เกษตรกรรม และเทคโนโลยีทางการทหาร ตลอดจนการค้าและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวจีนโบราณกับชาวต่างชาติ บนเส้นทางสายแพรไหมสะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ นับเป็นยุคทองของงานศิลปกรรมและอารยธรรมจีนอย่างแท้จริง ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าชมนิทรรศการพิเศษ เรื่อง “จิ๋นซี ฮ่องเต้: จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา” ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นพิเศษในวันจันทร์ที่ ๑๖ และวันอังคารที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๒ จากนั้นจะเปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ – อาทิตย์ จนถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โทร. ๐ ๒๒๒๔ ๑๓๓๓ และ ๐ ๒๒๒๔ ๑๔๐๒
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23141
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๕๕ น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จถึงเรือนจําชั่วคราวดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในงานครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริฯ โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางอัญชลี พัฒนสาร รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นายกําจัด พ่วงสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ปรึกษาโครงการกําลังใจในพระดําริฯ และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เฝ้ารับเสด็จ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กราบทูลรายงานความเป็นมาและวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมครบรอบ ๑๒ ปี ความตอนหนึ่งว่า “การดําเนินโครงการกําลังใจฯ ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน นอกจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ผู้ต้องขังระหว่างอยู่ในเรือนจําแล้ว พระเจ้าหลานเธอฯ ยังได้นําเรื่องของการพัฒนาจิตใจโดยใช้หลักธรรมในแนวทางต่างๆ เข้ามาพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังเพื่อสร้างความมั่นคงทางใจให้ผู้ต้องขังอย่างยั่งยืน รวมทั้งน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางการพัฒนาทางเลือกมาปรับใช้กับผู้ต้องขังซึ่งทําให้ผู้ต้องขังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับเรือนจําชั่วคราวดอยฮางแห่งนี้ ได้ทรงประทานคําแนะนําให้จัดกิจกรรมเพื่อเปิดพื้นที่เรือนจําให้สังคม ชุมชน ทั้งในจังหวัดเชียงรายและในประเทศไทยทราบว่าในพื้นที่เรือนจําสามารถจัดกิจกรรมได้มากมาย โดยใช้ประโยชน์จากผู้ต้องขังที่ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยแล้ว และในอีกด้านหนึ่งก็ทําให้ผู้ต้องขังรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าที่ได้เข้ามาทําประโยชน์ให้กับบุคคลต่างๆ ที่เข้ามาดูงาน เข้ามาใช้บริการ ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง” ในลําดับต่อมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประทานรางวัลเรือนจําดีเด่นที่ได้มีการดําเนินงานโครงการกําลังใจในมิติต่างๆ ๖ ด้าน คือ งานแม่และเด็ก , การช่วยเหลือให้ความรู้ทางกฎหมาย การฝึกอบรมวิชาชีพ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย นวัตกรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากนั้น ประทานของที่ระลึกให้ผู้สนับสนุนโครงการกําลังใจในพระดําริฯ จากนั้นเสด็จไปทรงเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง และทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานโครงการกําลังใจในพระดําริฯ ที่มีผลการดําเนินงานมากว่า ๑๒ ปี แล้ว มีผลงานเด่น อาทิ “งานพัฒนาคุณภาพชีวิต” ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต การพัฒนาสภาพแวดล้อม “การสร้างอนาคตที่ยั่งยืน” ได้แก่ การสร้างทักษะอาชีพ การสร้างผลิตภัณฑ์ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “งานวิจัยและงานวิชาการ” ได้แก่ ผลงานวิจัยภายใต้โครงการกําลังใจ จํานวน ๕๙ เรื่อง ผลงานแปลหนังสือ จํานวน ๓๔ เรื่อง และคู่มือ ๑๖ เรื่อง “งานด้านกองทุนกําลังใจ” “การพัฒนาด้านกฎหมายเพื่อความยั่งยืน” “การหาแนวร่วมเพื่อสนับสนุนโครงการกําลังใจฯ และสร้างการยอมรับ” “การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการกําลังใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ” พร้อมกันนี้ทรงเปิดแปลงการรดน้ําแปลงผักเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบ Application ทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จํานวน ๑ ต้น และเสด็จไปยังตลาดนัดกาดหมั้ว คัวศิลป์ ถิ่นวัฒนธรรม และโซน Rice สาระ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องข้าว ตั้งแต่พันธุ์ข้าว เมล็ดข้าว การแปรรูป และวัสดุเหลือใช้จากข้าว การสาธิตการทําหุ่นฟาง เป็นต้น นอกจากนี้ที่เรือนจําชั่วคราวดอยฮางได้มีบ้านตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง จํานวน ๓ หลัง หลังที่ ๑ “ปรับปรุงบํารุงดิน” หลังที่ ๒ “จุลินทรีย์สุขภาพพืช” หลังที่ ๓ สมุนไพรไล่แมลง โดยมีผู้ต้องขังที่ได้รับการอบรมความรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเฝ้ารับเสด็จด้วย ในเวลาต่อมาเสด็จไปยังโซน Herb ทรงตัดแถบแพรเปิดโซน Herb และทอดพระเนตรนิทรรศการ โซน Herb ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกทักษะผู้ต้องขัง มีการสาธิตนวดตอกเส้น การนวดย่ําไฟ จากนั้นเสด็จไปยังบ้านต้นไม้ บริเวณร้านกาแฟ ทอดพระเนตรการแสดงการต้อนรับของบาริสต้าผู้ต้องขังร้านกาแฟ Inspire By Princess ซึ่งได้เปิดให้บริการแก่ประชาชนที่มาเยี่ยมชม ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง ในปัจจุบันมีสถานที่ที่สวยงามร่มรื่น มีจุดชมวิวบ้านต้นไม้บรรยากาศดี มีเครื่องดื่มนับสิบเมนู และขนม เบเกอรี่ ให้บริการทุกวันอีกด้วย และในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๖.๐๐ น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปยังบริเวณกิจกรรมการวิ่งเทรล ในโอกาสครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจ (Run for Better Life Doi Hang Cross Country Trail) ที่มีการแข่งขันวิ่ง ระยะทาง ๑๐ กิโลเมตร ๕ กิโลเมตร และ ๓ กิโลเมตร โดยมี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สําหรับกิจกรรมในงานครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริฯ จะมีการแสดงนิทรรศการผลงานโครงการกําลังใจฯ และกาดหมั้ว คัวศิลป์ ถิ่นวัฒนธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๔ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกำลังใจในพระดำริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเปิดศูนย์การเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง จ.เชียงราย เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๕๕ น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จถึงเรือนจําชั่วคราวดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อทรงเป็นองค์ประธานในงานครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริฯ โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางอัญชลี พัฒนสาร รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ นายกําจัด พ่วงสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ปรึกษาโครงการกําลังใจในพระดําริฯ และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ เฝ้ารับเสด็จ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กราบทูลรายงานความเป็นมาและวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมครบรอบ ๑๒ ปี ความตอนหนึ่งว่า “การดําเนินโครงการกําลังใจฯ ที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน นอกจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ผู้ต้องขังระหว่างอยู่ในเรือนจําแล้ว พระเจ้าหลานเธอฯ ยังได้นําเรื่องของการพัฒนาจิตใจโดยใช้หลักธรรมในแนวทางต่างๆ เข้ามาพัฒนาจิตใจผู้ต้องขังเพื่อสร้างความมั่นคงทางใจให้ผู้ต้องขังอย่างยั่งยืน รวมทั้งน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางการพัฒนาทางเลือกมาปรับใช้กับผู้ต้องขังซึ่งทําให้ผู้ต้องขังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับเรือนจําชั่วคราวดอยฮางแห่งนี้ ได้ทรงประทานคําแนะนําให้จัดกิจกรรมเพื่อเปิดพื้นที่เรือนจําให้สังคม ชุมชน ทั้งในจังหวัดเชียงรายและในประเทศไทยทราบว่าในพื้นที่เรือนจําสามารถจัดกิจกรรมได้มากมาย โดยใช้ประโยชน์จากผู้ต้องขังที่ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤตินิสัยแล้ว และในอีกด้านหนึ่งก็ทําให้ผู้ต้องขังรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าที่ได้เข้ามาทําประโยชน์ให้กับบุคคลต่างๆ ที่เข้ามาดูงาน เข้ามาใช้บริการ ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง” ในลําดับต่อมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ประทานรางวัลเรือนจําดีเด่นที่ได้มีการดําเนินงานโครงการกําลังใจในมิติต่างๆ ๖ ด้าน คือ งานแม่และเด็ก , การช่วยเหลือให้ความรู้ทางกฎหมาย การฝึกอบรมวิชาชีพ การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย นวัตกรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากนั้น ประทานของที่ระลึกให้ผู้สนับสนุนโครงการกําลังใจในพระดําริฯ จากนั้นเสด็จไปทรงเปิดป้ายศูนย์การเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรดอยฮาง และทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานโครงการกําลังใจในพระดําริฯ ที่มีผลการดําเนินงานมากว่า ๑๒ ปี แล้ว มีผลงานเด่น อาทิ “งานพัฒนาคุณภาพชีวิต” ได้แก่ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต การพัฒนาสภาพแวดล้อม “การสร้างอนาคตที่ยั่งยืน” ได้แก่ การสร้างทักษะอาชีพ การสร้างผลิตภัณฑ์ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “งานวิจัยและงานวิชาการ” ได้แก่ ผลงานวิจัยภายใต้โครงการกําลังใจ จํานวน ๕๙ เรื่อง ผลงานแปลหนังสือ จํานวน ๓๔ เรื่อง และคู่มือ ๑๖ เรื่อง “งานด้านกองทุนกําลังใจ” “การพัฒนาด้านกฎหมายเพื่อความยั่งยืน” “การหาแนวร่วมเพื่อสนับสนุนโครงการกําลังใจฯ และสร้างการยอมรับ” “การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการกําลังใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ” พร้อมกันนี้ทรงเปิดแปลงการรดน้ําแปลงผักเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบ Application ทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จํานวน ๑ ต้น และเสด็จไปยังตลาดนัดกาดหมั้ว คัวศิลป์ ถิ่นวัฒนธรรม และโซน Rice สาระ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องข้าว ตั้งแต่พันธุ์ข้าว เมล็ดข้าว การแปรรูป และวัสดุเหลือใช้จากข้าว การสาธิตการทําหุ่นฟาง เป็นต้น นอกจากนี้ที่เรือนจําชั่วคราวดอยฮางได้มีบ้านตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง จํานวน ๓ หลัง หลังที่ ๑ “ปรับปรุงบํารุงดิน” หลังที่ ๒ “จุลินทรีย์สุขภาพพืช” หลังที่ ๓ สมุนไพรไล่แมลง โดยมีผู้ต้องขังที่ได้รับการอบรมความรู้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเฝ้ารับเสด็จด้วย ในเวลาต่อมาเสด็จไปยังโซน Herb ทรงตัดแถบแพรเปิดโซน Herb และทอดพระเนตรนิทรรศการ โซน Herb ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกทักษะผู้ต้องขัง มีการสาธิตนวดตอกเส้น การนวดย่ําไฟ จากนั้นเสด็จไปยังบ้านต้นไม้ บริเวณร้านกาแฟ ทอดพระเนตรการแสดงการต้อนรับของบาริสต้าผู้ต้องขังร้านกาแฟ Inspire By Princess ซึ่งได้เปิดให้บริการแก่ประชาชนที่มาเยี่ยมชม ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง ในปัจจุบันมีสถานที่ที่สวยงามร่มรื่น มีจุดชมวิวบ้านต้นไม้บรรยากาศดี มีเครื่องดื่มนับสิบเมนู และขนม เบเกอรี่ ให้บริการทุกวันอีกด้วย และในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๖.๐๐ น. พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปยังบริเวณกิจกรรมการวิ่งเทรล ในโอกาสครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจ (Run for Better Life Doi Hang Cross Country Trail) ที่มีการแข่งขันวิ่ง ระยะทาง ๑๐ กิโลเมตร ๕ กิโลเมตร และ ๓ กิโลเมตร โดยมี พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สําหรับกิจกรรมในงานครบรอบ ๑๒ ปี โครงการกําลังใจในพระดําริฯ จะมีการแสดงนิทรรศการผลงานโครงการกําลังใจฯ และกาดหมั้ว คัวศิลป์ ถิ่นวัฒนธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๔ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ เรือนจําชั่วคราวดอยฮาง ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17525
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันอังคารที่ 9 มกราคม 2561 มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือระยะที่ 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือระยะที่ 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1.หลักการ 1) การวิเคราะห์และให้ความช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคล (Personalized Plan) โดยจัดให้มีผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) เพื่อทําหน้าที่สํารวจสภาพข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์ และให้คําแนะนําแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม ซึ่งจะทําให้รัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และมีความยั่งยืน 2) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามความจําเป็นอย่างรอบด้าน (4 มิติ) เพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างยั่งยืน จึงมุ่งเน้นการสร้างโอกาสอย่างรอบด้านใน 4 มิติ ได้แก่ (1) การมีงานทํา (2) การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา (3) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และ (4) การเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน 3) การเข้าหาและติดตามผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “ทุกคน” ที่มีรายได้ต่ํากว่า 30,000 บาท และอยู่ในวัยแรงงาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการดํารงชีพ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการกลุ่มอื่น ๆ เข้าร่วมการพัฒนาตนเองได้โดยสมัครใจ 4) การบูรณาการการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ําจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการในทุกมิติรวมกว่า 34 โครงการ จากความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 13 หน่วยงาน (6 กระทรวง 3 ธนาคาร 2 กองทุนและ 2 หน่วยงาน) 2. การดําเนินงาน เพื่อให้การดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ จึงกําหนดโครงสร้างการดําเนินงาน ดังนี้ 1) คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) ทําหน้าที่กําหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) ทําหน้าที่ติดตามความคืบหน้าและผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคล 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัด (คอจ.) ทําหน้าที่ แต่งตั้ง กํากับดูแล และกําหนดแนวทางการปฏิบัติงาน และการลงพื้นที่ของคณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐประจําอําเภอ และมอบหมายและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคล 4) คณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําอําเภอ หรือ“ทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.)” ประกอบด้วยคณะทํางานระดับอําเภอ และผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (AO) ซึ่งทําหน้าที่ดูแลและให้คําแนะนําแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เหมาะสมและสอดคล้องตามความจําเป็นของแต่ละบุคคลโดยการสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหา สอบถามความประสงค์ เช่น การทํางาน การฝึกอบรมอาชีพ เป็นต้น โดย AO ต้องรับผิดชอบดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ละรายตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการวิเคราะห์ และติดตามเพื่อให้ทราบว่าผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายนั้น มีการพัฒนาอย่างไรหรือมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่เพียงใด 3. โครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต โครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เป็นการบูรณาการโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น โดยมีโครงการเพื่อรองรับจําแนก ตามมิติต่าง ๆ ดังนี้ 1) มิติที่ 1 การมีงานทํา เช่น การจัดหางานในประเทศและต่างประเทศโดยกระทรวงแรงงาน โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อผู้มีรายได้น้อยโดยกระทรวงพาณิชย์ โครงการตลาดประชารัฐโดยกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น 2) มิติที่ 2 การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา เช่น โครงการฝึกอาชีพเร่งด่วนอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) โดยกระทรวงแรงงาน โครงการเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐโดยกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ โครงการมหาวิทยาลัยประชาชนโดยธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) โครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกรลูกค้าผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น 3) มิติที่ 3 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดย ธ.ก.ส. โครงการสินเชื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ โครงการสินเชื่อ Street Food โดย ธ.ออมสิน เป็นต้น 4) มิติที่ 4 การเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน เช่น โครงการให้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์และกระทรวงการคลัง การออมเพื่อการเกษียณอายุสําหรับแรงงานนอกระบบโดยกองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นสามารถให้การสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐได้อย่างน้อย 4,695,407 คน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ สามารถเสนอโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เพิ่มเติมได้ และโครงการต่าง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความจําเป็นในการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยความเห็นชอบของ คอต. 4. มาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล จะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด ตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติม โดยจะเริ่มได้รับในเดือนถัดไปหลังจากเดือนที่แสดงความประสงค์ จนถึงเดือนธันวาคม 2561 ดังนี้ 1) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมจํานวน 200 บาท/คน/เดือน 2) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมจํานวน 100 บาท/คน/เดือน 5. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคลและจูงใจให้นายจ้างที่เป็นนิติบุคคลจัดการฝึกทักษะฝีมือให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือพิจารณาจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นกรณีพิเศษโดยให้หักรายจ่ายเป็นจํานวน 1.5 เท่าของรายจ่าย ดังนี้ 1) รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการฝึกทักษะอาชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยการจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในส่วนที่ไม่เกินร้อยละสิบของจํานวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวย้ําว่า มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ จะช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างเป็นรูปธรรม และถือเป็นมิติใหม่ของการจัดทํามาตรการของรัฐบาล ใน 5 ประการด้วยกัน ดังนี้ 1. เป็นครั้งแรกของการจัดทํามาตรการที่มีการบูรณาการความร่วมมือและโครงการในการแก้ไขปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าของประเทศ 2. เป็นการแก้ไขปัญหาของประชาชนแบบไม่เหวี่ยงแห มีเป้าหมายชัดเจน (Targeted Poverty Alleviation) 3. เป็นการออกแบบแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคลโดยทีม ปรจ. ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และเสนอแนะแผนที่ชีวิตให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 4. มีการบันทึกและติดตามผลสัมฤทธิ์อย่างใกล้ชิดจากผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5. เป็นการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างรอบด้าน และยั่งยืน เพราะเป็นการติดอาวุธให้เครื่องมือแก่ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3519 และ 3509 โทรสาร 0 2273 9088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันอังคารที่ 9 มกราคม 2561 มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือระยะที่ 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ซึ่งเป็นโครงการให้ความช่วยเหลือระยะที่ 2 แก่ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1.หลักการ 1) การวิเคราะห์และให้ความช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคล (Personalized Plan) โดยจัดให้มีผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) เพื่อทําหน้าที่สํารวจสภาพข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์ และให้คําแนะนําแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม ซึ่งจะทําให้รัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล และมีความยั่งยืน 2) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามความจําเป็นอย่างรอบด้าน (4 มิติ) เพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างยั่งยืน จึงมุ่งเน้นการสร้างโอกาสอย่างรอบด้านใน 4 มิติ ได้แก่ (1) การมีงานทํา (2) การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา (3) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และ (4) การเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน 3) การเข้าหาและติดตามผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ “ทุกคน” ที่มีรายได้ต่ํากว่า 30,000 บาท และอยู่ในวัยแรงงาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อการดํารงชีพ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการกลุ่มอื่น ๆ เข้าร่วมการพัฒนาตนเองได้โดยสมัครใจ 4) การบูรณาการการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ําจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการในทุกมิติรวมกว่า 34 โครงการ จากความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 13 หน่วยงาน (6 กระทรวง 3 ธนาคาร 2 กองทุนและ 2 หน่วยงาน) 2. การดําเนินงาน เพื่อให้การดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ จึงกําหนดโครงสร้างการดําเนินงาน ดังนี้ 1) คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) ทําหน้าที่กําหนดนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) ทําหน้าที่ติดตามความคืบหน้าและผลการดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคล 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัด (คอจ.) ทําหน้าที่ แต่งตั้ง กํากับดูแล และกําหนดแนวทางการปฏิบัติงาน และการลงพื้นที่ของคณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐประจําอําเภอ และมอบหมายและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคล 4) คณะทํางานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําอําเภอ หรือ“ทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.)” ประกอบด้วยคณะทํางานระดับอําเภอ และผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (AO) ซึ่งทําหน้าที่ดูแลและให้คําแนะนําแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เหมาะสมและสอดคล้องตามความจําเป็นของแต่ละบุคคลโดยการสัมภาษณ์ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหา สอบถามความประสงค์ เช่น การทํางาน การฝึกอบรมอาชีพ เป็นต้น โดย AO ต้องรับผิดชอบดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ละรายตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการวิเคราะห์ และติดตามเพื่อให้ทราบว่าผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายนั้น มีการพัฒนาอย่างไรหรือมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่เพียงใด 3. โครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต โครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เป็นการบูรณาการโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพและมีความครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น โดยมีโครงการเพื่อรองรับจําแนก ตามมิติต่าง ๆ ดังนี้ 1) มิติที่ 1 การมีงานทํา เช่น การจัดหางานในประเทศและต่างประเทศโดยกระทรวงแรงงาน โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อผู้มีรายได้น้อยโดยกระทรวงพาณิชย์ โครงการตลาดประชารัฐโดยกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น 2) มิติที่ 2 การฝึกอบรมอาชีพและการศึกษา เช่น โครงการฝึกอาชีพเร่งด่วนอเนกประสงค์ (ช่างชุมชน) โดยกระทรวงแรงงาน โครงการเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐโดยกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ โครงการมหาวิทยาลัยประชาชนโดยธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) โครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกรลูกค้าผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น 3) มิติที่ 3 การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดย ธ.ก.ส. โครงการสินเชื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการสินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ โครงการสินเชื่อ Street Food โดย ธ.ออมสิน เป็นต้น 4) มิติที่ 4 การเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน เช่น โครงการให้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์และกระทรวงการคลัง การออมเพื่อการเกษียณอายุสําหรับแรงงานนอกระบบโดยกองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นสามารถให้การสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐได้อย่างน้อย 4,695,407 คน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ สามารถเสนอโครงการเพื่อรองรับมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ เพิ่มเติมได้ และโครงการต่าง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความจําเป็นในการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยความเห็นชอบของ คอต. 4. มาตรการส่งเสริมให้พัฒนาตนเอง ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล จะได้รับวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กําหนด ตามแนวทางประชารัฐสวัสดิการเพิ่มเติม โดยจะเริ่มได้รับในเดือนถัดไปหลังจากเดือนที่แสดงความประสงค์ จนถึงเดือนธันวาคม 2561 ดังนี้ 1) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมจํานวน 200 บาท/คน/เดือน 2) ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาทในปี 2559 จะได้รับวงเงินเพิ่มเติมจํานวน 100 บาท/คน/เดือน 5. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายบุคคลและจูงใจให้นายจ้างที่เป็นนิติบุคคลจัดการฝึกทักษะฝีมือให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือพิจารณาจ้างงานผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นกรณีพิเศษโดยให้หักรายจ่ายเป็นจํานวน 1.5 เท่าของรายจ่าย ดังนี้ 1) รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการฝึกทักษะอาชีพให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2) รายจ่ายที่นายจ้างได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยการจ่ายค่าจ้างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฉพาะรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในส่วนที่ไม่เกินร้อยละสิบของจํานวนลูกจ้างในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ สําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวย้ําว่า มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ จะช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างเป็นรูปธรรม และถือเป็นมิติใหม่ของการจัดทํามาตรการของรัฐบาล ใน 5 ประการด้วยกัน ดังนี้ 1. เป็นครั้งแรกของการจัดทํามาตรการที่มีการบูรณาการความร่วมมือและโครงการในการแก้ไขปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหารากเหง้าของประเทศ 2. เป็นการแก้ไขปัญหาของประชาชนแบบไม่เหวี่ยงแห มีเป้าหมายชัดเจน (Targeted Poverty Alleviation) 3. เป็นการออกแบบแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคลโดยทีม ปรจ. ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และเสนอแนะแผนที่ชีวิตให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 4. มีการบันทึกและติดตามผลสัมฤทธิ์อย่างใกล้ชิดจากผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5. เป็นการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างรอบด้าน และยั่งยืน เพราะเป็นการติดอาวุธให้เครื่องมือแก่ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3519 และ 3509 โทรสาร 0 2273 9088
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9266
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ มุ่งหวังให้ประชาชนบริโภคอาหารปลอดภัย รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ มุ่งหวังให้ประชาชนบริโภคอาหารปลอดภัย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ จังหวัดจันทบุรี ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช (อาคารหอกระต่าย) เทศบาลเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ว่า ปัจจุบันกระแสความสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ บริโภคอาหารปลอดสารเคมี และสินค้าเกษตรอินทรีย์ กําลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงตระหนักและให้ความสําคัญกับการปลูกผักและผลไม้ปลอดสารเคมี ซึ่งจังหวัดจันทบุรีเป็นหนึ่งใน 26 จังหวัดต้นแบบการขับเคลื่อนวาระเกษตรอินทรีย์แห่งชาติตั้งแต่ปี 2548 และจากการดําเนินงานที่ผ่านมา สภาเกษตรจังหวัดจันทบุรีได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติจริงโดยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ประชาชน ประชาสังคมและสื่อมวลชน ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์วิถีคนจันท์ จึงเป็นผลให้การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์มีความชัดเจนมากขึ้น มีการพัฒนาเกษตรกรให้มีองค์ความรู้ และพัฒนาระบบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) จันทบุรี เพื่อเพิ่มความสามารถในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างครบวงจรและยั่งยืน “ปัจจุบันรัฐบาลมุ่งเน้นการทําเกษตรอินทรีย์ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้ให้ความสําคัญกับการทําการเกษตรปลอดภัยและการทําเกษตรอินทรีย์ และได้บูรณาการหน่วยงานในสังกัดร่วมกันดําเนินการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การทําปุ๋ยสั่งตัดที่เป็นอินทรีย์โดยเฉพาะ และการให้ความรู้แก่เกษตรกร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ จังหวัดจันทบุรีได้ดําเนินการสนับสนุนการทําเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง และได้จัดทําโครงการนี้ เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์เกษตรอินทรีย์ให้ประชาชนโดยทั่วไปรับรู้ พร้อมสร้างความปลอดภัยให้แก่เกษตรกรและประชาชนผู้บริโภค” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าว คาดว่าจะเกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรี การเกิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่เข้มแข็ง เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เชิงนโยบาย เกิดกลไกที่ส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรีอย่างชัดเจน เกิดการให้ข้อมูลที่เป็นถูกต้องเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์และผู้บริโภคเกิดความตระหนักรู้ เกิดการยอมรับ และมีความเชื่อมั่นในระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) จันทบุรีต่อไป กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ มุ่งหวังให้ประชาชนบริโภคอาหารปลอดภัย รมช.เกษตรฯ เปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ มุ่งหวังให้ประชาชนบริโภคอาหารปลอดภัย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการสัมมนารวมพลคนเกษตรอินทรีย์ จังหวัดจันทบุรี ณ ศาลาเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช (อาคารหอกระต่าย) เทศบาลเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ว่า ปัจจุบันกระแสความสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ บริโภคอาหารปลอดสารเคมี และสินค้าเกษตรอินทรีย์ กําลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทางกระทรวงเกษตรฯ จึงตระหนักและให้ความสําคัญกับการปลูกผักและผลไม้ปลอดสารเคมี ซึ่งจังหวัดจันทบุรีเป็นหนึ่งใน 26 จังหวัดต้นแบบการขับเคลื่อนวาระเกษตรอินทรีย์แห่งชาติตั้งแต่ปี 2548 และจากการดําเนินงานที่ผ่านมา สภาเกษตรจังหวัดจันทบุรีได้น้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติจริงโดยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ประชาชน ประชาสังคมและสื่อมวลชน ขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์วิถีคนจันท์ จึงเป็นผลให้การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์มีความชัดเจนมากขึ้น มีการพัฒนาเกษตรกรให้มีองค์ความรู้ และพัฒนาระบบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) จันทบุรี เพื่อเพิ่มความสามารถในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างครบวงจรและยั่งยืน “ปัจจุบันรัฐบาลมุ่งเน้นการทําเกษตรอินทรีย์ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้ให้ความสําคัญกับการทําการเกษตรปลอดภัยและการทําเกษตรอินทรีย์ และได้บูรณาการหน่วยงานในสังกัดร่วมกันดําเนินการพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การทําปุ๋ยสั่งตัดที่เป็นอินทรีย์โดยเฉพาะ และการให้ความรู้แก่เกษตรกร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ จังหวัดจันทบุรีได้ดําเนินการสนับสนุนการทําเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง และได้จัดทําโครงการนี้ เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบายยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์ เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์เกษตรอินทรีย์ให้ประชาชนโดยทั่วไปรับรู้ พร้อมสร้างความปลอดภัยให้แก่เกษตรกรและประชาชนผู้บริโภค” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ การจัดงานดังกล่าว คาดว่าจะเกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรี การเกิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ที่เข้มแข็ง เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์เชิงนโยบาย เกิดกลไกที่ส่งเสริมการทําเกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรีอย่างชัดเจน เกิดการให้ข้อมูลที่เป็นถูกต้องเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์และผู้บริโภคเกิดความตระหนักรู้ เกิดการยอมรับ และมีความเชื่อมั่นในระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (PGS) จันทบุรีต่อไป กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50 พร้อมมอบโอวาทแก่ข้าราชการใหม่ที่เข้ารับการอบรม ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความอดทนเสียสละ และเน้นย้ําการเรียนรู้ตลอดชีวิต วันนี้ (7 ก.พ. 2561) เวลา 10.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 50 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ มีผู้เข้ารับการอบรมจํานวนทั้งสิ้น 100 คน ประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย 92 คน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จํานวน 8 คน การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อต้องการให้ข้าราชการบรรจุใหม่ได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีระยะเวลาในการอบรมจํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 7 – 16 กุมภาพันธ์ 2561 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่เข้ารับการอบรม พร้อมมอบโอวาทว่า การเป็นข้าราชการที่ดีนั้นจะต้องผ่านระยะเวลาในการพิสูจน์คุณค่าที่อยู่ในตัวเอง ดังคําสุภาษิตที่กล่าวว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” พร้อมนี้ได้มอบแนวทางการทํางานให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 3 ประการ มาเป็นหลักคิดและปฏิบัติตนในการทํางาน ประการแรก คือ การน้อมนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดํารงชีวิต โดยเริ่มต้นจากการใช้จ่ายเงินจะต้องไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว และต้องฝึกการออมให้เป็นนิสัย ซึ่งการออมขอให้แบ่งเป็น 4 บัญชีด้วยกัน ประกอบด้วย บัญชีเงินฝากหลังเกษียณอายุราชการ บัญชีเงินฝากเพื่อสุขภาพ บัญชีเงินฝากเพื่อครอบครัว และบัญชีเงินฝากเพื่อการท่องเที่ยว ประการต่อมา คือ ความเสียสละและความอดทนในการทํางาน ซึ่งการเป็นข้าราชการที่ดีนั้นจะอาศัยแต่ความเก่งอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องยึดหลักหิริโอตัปปะมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ และปฏิบัติตามหน้าที่ระเบียบ/กฎหมาย ในฐานะกลไกแห่งรัฐ ประการสุดท้าย คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง โดยจะต้องเป็นคนรอบรู้ทั้งเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่และไม่อยู่ในอํานาจหน้าที่ และต้องรู้งานและวิธีคิดแบบหัวหน้างาน สุดท้ายได้เน้นย้ําให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฝึกฝนทักษะด้านภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการทํางานในระบบราชการในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50 วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50 รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานเปิดโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 50 พร้อมมอบโอวาทแก่ข้าราชการใหม่ที่เข้ารับการอบรม ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความอดทนเสียสละ และเน้นย้ําการเรียนรู้ตลอดชีวิต วันนี้ (7 ก.พ. 2561) เวลา 10.00 น. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการศึกษาอบรม หลักสูตร “การเป็นข้าราชการที่ดี” รุ่นที่ 50 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ณ ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นโดย สถาบันดํารงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ มีผู้เข้ารับการอบรมจํานวนทั้งสิ้น 100 คน ประกอบด้วย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย 92 คน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จํานวน 8 คน การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อต้องการให้ข้าราชการบรรจุใหม่ได้เรียนรู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นข้าราชการที่ดี โดยมีระยะเวลาในการอบรมจํานวน 10 วัน ในระหว่างวันที่ 7 – 16 กุมภาพันธ์ 2561 ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ในโอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการที่เข้ารับการอบรม พร้อมมอบโอวาทว่า การเป็นข้าราชการที่ดีนั้นจะต้องผ่านระยะเวลาในการพิสูจน์คุณค่าที่อยู่ในตัวเอง ดังคําสุภาษิตที่กล่าวว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” พร้อมนี้ได้มอบแนวทางการทํางานให้แก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 3 ประการ มาเป็นหลักคิดและปฏิบัติตนในการทํางาน ประการแรก คือ การน้อมนําปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดํารงชีวิต โดยเริ่มต้นจากการใช้จ่ายเงินจะต้องไม่ใช้จ่ายเงินเกินตัว และต้องฝึกการออมให้เป็นนิสัย ซึ่งการออมขอให้แบ่งเป็น 4 บัญชีด้วยกัน ประกอบด้วย บัญชีเงินฝากหลังเกษียณอายุราชการ บัญชีเงินฝากเพื่อสุขภาพ บัญชีเงินฝากเพื่อครอบครัว และบัญชีเงินฝากเพื่อการท่องเที่ยว ประการต่อมา คือ ความเสียสละและความอดทนในการทํางาน ซึ่งการเป็นข้าราชการที่ดีนั้นจะอาศัยแต่ความเก่งอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องยึดหลักหิริโอตัปปะมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ และปฏิบัติตามหน้าที่ระเบียบ/กฎหมาย ในฐานะกลไกแห่งรัฐ ประการสุดท้าย คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเอง โดยจะต้องเป็นคนรอบรู้ทั้งเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่และไม่อยู่ในอํานาจหน้าที่ และต้องรู้งานและวิธีคิดแบบหัวหน้างาน สุดท้ายได้เน้นย้ําให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฝึกฝนทักษะด้านภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการทํางานในระบบราชการในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ำ ที่ จ.ภูเก็ต
วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 รมว.พม. กําชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ํา ที่ จ.ภูเก็ต รมว.พม. กําชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ํา ที่ จ.ภูเก็ต พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมที่ จ.สกลนคร และ จ.ลําปาง วันนี้ (6 ธ.ค. 60) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 1/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 7 ขวบ สัญชาติพม่า อาศัยอยู่กับพ่อ-แม่ และพี่ชาย วัย 9 ขวบ ในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ถูกล่ามกับโซ่ล็อคแม่กุญแจที่ข้อเท้า และตามลําตัวมีรอยฟกช้ํา ซึ่งเด็กทั้ง 2 คน ไม่มีเอกสารประจําตัวใดๆ โดยผู้เป็นแม่อ้างถึงสาเหตุที่ต้องล่ามโซ่ว่าเด็กมีพฤติกรรมดื้อและชอบลักขโมยของ ที่จังหวัดภูเก็ต นั้น ตนได้กําชับให้ทีม ONE HOME ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. อีกทั้ง เร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และดูแลช่วยเหลือในเรื่องของการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กทั้ง 2 คน พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวเรื่องการเลี้ยงดูเด็กอย่างถูกต้อง หากประเมินทางครอบครัวว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ทางกระทรวง พม. มีหน่วยงานในพื้นที่ คือ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต พร้อมรับเด็กเข้ามาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พลเอก อนันตพรกล่าวต่ออีกว่า สําหรับกรณีหญิงชราวัย 70 ปี ที่ร่างกายพิการ แต่ต้องรับภาระดูแลเหลนเล็กๆ ถึง 6 คน วัย 3-7 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ-แม่ มีเพียงหลานชายวัย 30 ปี ที่ทําหน้าที่เป็นเสาหลักหารายได้จุนเจือครอบครัวเพียงคนเดียว ครอบครัวมีฐานะยากจน เมื่อสภาพอากาศหนาวเย็น ต้องรวมตัวกันผิงไฟ เพราะขาดแคลนเสื้อผ้าสวมใส่ ที่อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสกลนคร (พมจ.สกลนคร) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 6 คนในระยะยาว และการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ถูกชายชราวัย 65 ปี บังคับล่อลวงไปล่วงละเมิดทางเพศจํานวนหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะให้เงินครั้งละ 300-500 บาท และข่มขู่ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร ที่จังหวัดลําปาง นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (พมจ.ลําปาง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ของกระทรวง พม. อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิด โดยด่วน ขณะนี้ ทางกระทรวง พม. ได้รับตัวเด็กหญิงเข้ามาอยู่ในความดูแลของบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลําปาง เรียบร้อยแล้ว เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. กำชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ำ ที่ จ.ภูเก็ต วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 รมว.พม. กําชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ํา ที่ จ.ภูเก็ต รมว.พม. กําชับทีม ONE HOME พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจเด็กวัย 7 ขวบ ถูกล่ามโซ่ที่ข้อเท้าและตามตัวมีรอยฟกช้ํา ที่ จ.ภูเก็ต พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมที่ จ.สกลนคร และ จ.ลําปาง วันนี้ (6 ธ.ค. 60) เวลา 08.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 1/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหาดังกล่าว โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงฯ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพรกล่าวว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 7 ขวบ สัญชาติพม่า อาศัยอยู่กับพ่อ-แม่ และพี่ชาย วัย 9 ขวบ ในห้องเช่าสภาพเก่าทรุดโทรมและคับแคบ ถูกล่ามกับโซ่ล็อคแม่กุญแจที่ข้อเท้า และตามลําตัวมีรอยฟกช้ํา ซึ่งเด็กทั้ง 2 คน ไม่มีเอกสารประจําตัวใดๆ โดยผู้เป็นแม่อ้างถึงสาเหตุที่ต้องล่ามโซ่ว่าเด็กมีพฤติกรรมดื้อและชอบลักขโมยของ ที่จังหวัดภูเก็ต นั้น ตนได้กําชับให้ทีม ONE HOME ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. อีกทั้ง เร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และดูแลช่วยเหลือในเรื่องของการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กทั้ง 2 คน พร้อมให้คําแนะนําแก่ครอบครัวเรื่องการเลี้ยงดูเด็กอย่างถูกต้อง หากประเมินทางครอบครัวว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ทางกระทรวง พม. มีหน่วยงานในพื้นที่ คือ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต พร้อมรับเด็กเข้ามาดูแลและคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พลเอก อนันตพรกล่าวต่ออีกว่า สําหรับกรณีหญิงชราวัย 70 ปี ที่ร่างกายพิการ แต่ต้องรับภาระดูแลเหลนเล็กๆ ถึง 6 คน วัย 3-7 ขวบ ที่กําพร้าพ่อ-แม่ มีเพียงหลานชายวัย 30 ปี ที่ทําหน้าที่เป็นเสาหลักหารายได้จุนเจือครอบครัวเพียงคนเดียว ครอบครัวมีฐานะยากจน เมื่อสภาพอากาศหนาวเย็น ต้องรวมตัวกันผิงไฟ เพราะขาดแคลนเสื้อผ้าสวมใส่ ที่อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสกลนคร (พมจ.สกลนคร) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม ของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์ทางการศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือดูแล ในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้ง 6 คนในระยะยาว และการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง แข็งแรง ถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมให้คําแนะนําปรึกษาแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาวต่อไป พลเอก อนันตพรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีเด็กหญิงวัย 10 ขวบ ถูกชายชราวัย 65 ปี บังคับล่อลวงไปล่วงละเมิดทางเพศจํานวนหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งจะให้เงินครั้งละ 300-500 บาท และข่มขู่ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร ที่จังหวัดลําปาง นั้น ตนได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดลําปาง (พมจ.ลําปาง) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้การช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็ก ของกระทรวง พม. อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงอย่างใกล้ชิด โดยด่วน ขณะนี้ ทางกระทรวง พม. ได้รับตัวเด็กหญิงเข้ามาอยู่ในความดูแลของบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลําปาง เรียบร้อยแล้ว เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8576
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลาก ฯ ประสานกำลังทหาร-ตำรวจ เข้าตรวจสอบการจำหน่ายสลาก เตรียมตัดโควตา ยกเลิกสัญญา 20 ราย
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 สํานักงานสลาก ฯ ประสานกําลังทหาร-ตํารวจ เข้าตรวจสอบการจําหน่ายสลาก เตรียมตัดโควตา ยกเลิกสัญญา 20 ราย ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ กองกําลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เข้าดําเนินตรวจสอบการเบิกสลากของตัวแทนจําหน่าย ภายในบริเวณอาคารสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล วันนี้ (1 สิงหาคม 2560) เวลาประมาณ 12.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พลตรีฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ กองกําลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เข้าดําเนินตรวจสอบการเบิกสลากของตัวแทนจําหน่าย ภายในบริเวณอาคารสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนสนามบินน้ํา ตามนโยบายและข้อสั่งการของพลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จากการตรวจสอบดังกล่าว พบผู้ที่มีพฤติกรรมรับซื้อรวบรวมสลากจากตัวแทนจําหน่าย จํานวนไม่น้อยกว่า 180 ราย คิดเป็นจํานวนสลาก 918 เล่ม ซึ่งสลากที่ตรวจพบในครั้งนี้ จะนําไปตรวจสอบว่าเป็นสลากของตัวแทนจําหน่ายรายใด เพื่อนําไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาทั้งหมดต่อไป ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กล่าวเตือนตัวแทนจําหน่ายว่า เมื่อได้รับสลากไปแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องนําสลากไปจําหน่ายด้วยตนเองทุกงวดตลอดอายุสัญญา และต้องขายในลักษณะขายปลีกให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น ห้ามนําไปขายส่งหรือขายให้แก่ผู้ซื้อสลากเพื่อนําไปขายต่อเป็นอันขาด หากตรวจสอบพบเช่นพฤติกรรมในวันนี้ จะถือว่าผิดสัญญาและถูกยกเลิกโควตา ไม่ได้รับสลากไปจําหน่ายตลอดชีพ นอกจากนี้ ผู้ขายจะต้องไม่นําสลากของตนไปรวมชุดกับผู้อื่น หรือนําสลากของตนไปขายให้แก่ผู้อื่นเพื่อรวมชุด หรือแลกเปลี่ยนสลากกับผู้อื่น หากพบพฤติกรรมดังกล่าว จะสันนิษฐานว่าไม่ได้ขายสลากด้วยตนเองและถือว่าผิดสัญญาเช่นกัน ทั้งนี้ รวมถึงผู้ที่ซื้อสลากจากโครงการซื้อ-จองล่วงหน้าด้วย หากตรวจสอบพบว่าเป็นสลากจากโครงการดังกล่าว ผู้ที่เป็นเจ้าของสลากจะถูกยกเลิกการลงทะเบียนในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ทันที
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลาก ฯ ประสานกำลังทหาร-ตำรวจ เข้าตรวจสอบการจำหน่ายสลาก เตรียมตัดโควตา ยกเลิกสัญญา 20 ราย วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 สํานักงานสลาก ฯ ประสานกําลังทหาร-ตํารวจ เข้าตรวจสอบการจําหน่ายสลาก เตรียมตัดโควตา ยกเลิกสัญญา 20 ราย ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ กองกําลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เข้าดําเนินตรวจสอบการเบิกสลากของตัวแทนจําหน่าย ภายในบริเวณอาคารสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล วันนี้ (1 สิงหาคม 2560) เวลาประมาณ 12.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พลตรีฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ กองกําลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เข้าดําเนินตรวจสอบการเบิกสลากของตัวแทนจําหน่าย ภายในบริเวณอาคารสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนสนามบินน้ํา ตามนโยบายและข้อสั่งการของพลโทอภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาค 1 ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จากการตรวจสอบดังกล่าว พบผู้ที่มีพฤติกรรมรับซื้อรวบรวมสลากจากตัวแทนจําหน่าย จํานวนไม่น้อยกว่า 180 ราย คิดเป็นจํานวนสลาก 918 เล่ม ซึ่งสลากที่ตรวจพบในครั้งนี้ จะนําไปตรวจสอบว่าเป็นสลากของตัวแทนจําหน่ายรายใด เพื่อนําไปสู่กระบวนการยกเลิกสัญญาทั้งหมดต่อไป ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้กล่าวเตือนตัวแทนจําหน่ายว่า เมื่อได้รับสลากไปแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด โดยจะต้องนําสลากไปจําหน่ายด้วยตนเองทุกงวดตลอดอายุสัญญา และต้องขายในลักษณะขายปลีกให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น ห้ามนําไปขายส่งหรือขายให้แก่ผู้ซื้อสลากเพื่อนําไปขายต่อเป็นอันขาด หากตรวจสอบพบเช่นพฤติกรรมในวันนี้ จะถือว่าผิดสัญญาและถูกยกเลิกโควตา ไม่ได้รับสลากไปจําหน่ายตลอดชีพ นอกจากนี้ ผู้ขายจะต้องไม่นําสลากของตนไปรวมชุดกับผู้อื่น หรือนําสลากของตนไปขายให้แก่ผู้อื่นเพื่อรวมชุด หรือแลกเปลี่ยนสลากกับผู้อื่น หากพบพฤติกรรมดังกล่าว จะสันนิษฐานว่าไม่ได้ขายสลากด้วยตนเองและถือว่าผิดสัญญาเช่นกัน ทั้งนี้ รวมถึงผู้ที่ซื้อสลากจากโครงการซื้อ-จองล่วงหน้าด้วย หากตรวจสอบพบว่าเป็นสลากจากโครงการดังกล่าว ผู้ที่เป็นเจ้าของสลากจะถูกยกเลิกการลงทะเบียนในการทํารายการซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ทันที
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5614
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ฝากแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ รู้จักอดออม เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 ก.แรงงาน ฝากแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ รู้จักอดออม เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้โอวาทแรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ฝากให้ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ของมึนเมา การพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินกลับให้ครอบครัว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้โอวาทแรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ฝากให้ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ของมึนเมา การพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินกลับให้ครอบครัว พร้อมเก็บประสบการณ์นํากลับมาใช้ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวให้โอวาทแก่แรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ณ ห้องอบรมคนหางานก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ชั้น 11 อาคารสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับทุกคนที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ กว่าจะถึงวันนี้ทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือก ต้องฝึกฝนทั้งทักษะในงานที่จะเดินทางไปทํางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขอชื่นชมในความพยายามในการฝึกฝนและความอดทนเพื่อที่จะมีวันนี้ของทุกคน จะเป็นสิ่งสําคัญในการไปทํางานและการใช้ชีวิตในต่างประเทศ พล.ท.นันทเดชฯ ได้ฝากให้ทุกคนตั้งใจทํางานและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สิ่งของมึนเมา และการพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินให้กับครอบครัวที่ประเทศไทย และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทํางาน สิ่งใดที่ดีเป็นประโยชน์ ขอให้จดจําและนํากลับมาใช้ในประเทศไทย เมื่อครบสัญญาจ้างและเดินทางกลับประเทศไทย จะช่วยให้หางานทําได้โดยง่าย รวมทั้งถ่ายทอดให้กับสมาชิกในครอบครัวหรือคนในชุมชน ซึ่งหากทุกคนนําไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัวและชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อจํานวนแรงงานไทยที่จะได้เดินทางไปทํางานรุ่นอื่น ๆ ต่อไป นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การเดินทางไปทํางานต่างประเทศของคนหางานโดยบริษัทจัดหางานจัดส่งในวันนี้จํานวน 291 คน ประกอบด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน 148 คน ไปทํางานในประเภทอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น 42 คน ในตําแหน่งฉีดโลหะด้วยมือ ฮ่องกง ตําแหน่งแม่บ้าน 1 คน และอิสราเอล 100 คน ซึ่งคนหางานจะได้รับสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ ค่าจ้าง ตามที่กฎหมายของประเทศนั้น ๆ กําหนด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ฝากแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ รู้จักอดออม เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 ก.แรงงาน ฝากแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ รู้จักอดออม เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้โอวาทแรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ฝากให้ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ของมึนเมา การพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินกลับให้ครอบครัว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้โอวาทแรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ฝากให้ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ของมึนเมา การพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินกลับให้ครอบครัว พร้อมเก็บประสบการณ์นํากลับมาใช้ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวให้โอวาทแก่แรงงานที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ณ ห้องอบรมคนหางานก่อนเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ชั้น 11 อาคารสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3 โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน โดยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับทุกคนที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ กว่าจะถึงวันนี้ทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือก ต้องฝึกฝนทั้งทักษะในงานที่จะเดินทางไปทํางาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขอชื่นชมในความพยายามในการฝึกฝนและความอดทนเพื่อที่จะมีวันนี้ของทุกคน จะเป็นสิ่งสําคัญในการไปทํางานและการใช้ชีวิตในต่างประเทศ พล.ท.นันทเดชฯ ได้ฝากให้ทุกคนตั้งใจทํางานและรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สิ่งของมึนเมา และการพนัน รู้จักอดออม ส่งเงินให้กับครอบครัวที่ประเทศไทย และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทํางาน สิ่งใดที่ดีเป็นประโยชน์ ขอให้จดจําและนํากลับมาใช้ในประเทศไทย เมื่อครบสัญญาจ้างและเดินทางกลับประเทศไทย จะช่วยให้หางานทําได้โดยง่าย รวมทั้งถ่ายทอดให้กับสมาชิกในครอบครัวหรือคนในชุมชน ซึ่งหากทุกคนนําไปปฏิบัติก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัวและชื่อเสียงของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อจํานวนแรงงานไทยที่จะได้เดินทางไปทํางานรุ่นอื่น ๆ ต่อไป นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การเดินทางไปทํางานต่างประเทศของคนหางานโดยบริษัทจัดหางานจัดส่งในวันนี้จํานวน 291 คน ประกอบด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน 148 คน ไปทํางานในประเภทอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น 42 คน ในตําแหน่งฉีดโลหะด้วยมือ ฮ่องกง ตําแหน่งแม่บ้าน 1 คน และอิสราเอล 100 คน ซึ่งคนหางานจะได้รับสิทธิประโยชน์ สวัสดิการ ค่าจ้าง ตามที่กฎหมายของประเทศนั้น ๆ กําหนด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคที่จังหวัดเชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคที่จังหวัดเชียงใหม่ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคของประเทศไทย ณ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมแสดงความยินดีกับชาวเชียงใหม่ที่จะได้สัมผัสงานบริการจากภาครัฐที่มีความทันสมัย รวดเร็วทันใจ และตอบรับยุคประเทศไทย 4.0 โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ./EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้พัฒนาระบบศูนย์กลางบริการภาครัฐสําหรับประชาชน (GovChannel) เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบราชการยุคใหม่ให้เกิดการบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ด้วยการนําตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐมาติดตั้ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ชาวเชียงใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐแบบครบวงจรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยการยืนยันตัวตนในการเข้าถึงบริการด้วยบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมการปกครอง สํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา การประปานครหลวง บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานราชการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการอํานวยความสะดวกด้านข้อมูลและบริการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ณ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เอ๊กซ์ตร้า สาขาเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคที่จังหวัดเชียงใหม่ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคที่จังหวัดเชียงใหม่ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดจุดบริการตู้อเนกประสงค์ของภาครัฐ (Government Smart Kiosk) ในระดับภูมิภาคของประเทศไทย ณ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมแสดงความยินดีกับชาวเชียงใหม่ที่จะได้สัมผัสงานบริการจากภาครัฐที่มีความทันสมัย รวดเร็วทันใจ และตอบรับยุคประเทศไทย 4.0 โดยสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ./EGA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้พัฒนาระบบศูนย์กลางบริการภาครัฐสําหรับประชาชน (GovChannel) เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบราชการยุคใหม่ให้เกิดการบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ด้วยการนําตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐมาติดตั้ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ชาวเชียงใหม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐแบบครบวงจรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยการยืนยันตัวตนในการเข้าถึงบริการด้วยบัตรประจําตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมการปกครอง สํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา การประปานครหลวง บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ รวมถึงหน่วยงานราชการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการอํานวยความสะดวกด้านข้อมูลและบริการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ณ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เอ๊กซ์ตร้า สาขาเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2661
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส.
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า วันนี้ (9 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายนพดล พลเสน) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายยุทธพล อังกินันทน์) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์) รองปลัดกระทรวงทรัพยการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจราชการ ทส. เลขาธิการ สผ. อธิบดี และผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับฟังการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคราวประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานและนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานและอื่นๆ ได้แก่ ด้านทรัพยากรน้ําในแผ่นดิน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านทรัพยากรธรรมชาติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส. วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า ทส. ประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการ รมว.ทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า วันนี้ (9 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา) เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานในสังกัด ทส. เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมหน้า โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายนพดล พลเสน) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายยุทธพล อังกินันทน์) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์) รองปลัดกระทรวงทรัพยการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจราชการ ทส. เลขาธิการ สผ. อธิบดี และผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับฟังการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานตามข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในคราวประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานและนโยบายเพื่อประกอบการจัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยงานและอื่นๆ ได้แก่ ด้านทรัพยากรน้ําในแผ่นดิน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านทรัพยากรธรรมชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22940
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (9 เมษายน 2563) เวลา 19.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ร้านขายอาหารบริเวณถนนบรรทัดทอง กรุงเทพมหานคร หลังตรวจสอบพบว่าการใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์และบริการส่งอาหาร Delivery มีจํานวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการที่รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนไม่รับประทานอาหารที่ร้าน เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยร้านค้ายังสามารถเปิดให้บริการขายอาหารให้ประชาชนสามารถซื้อกลับบ้าน หรือรับสั่งอาหารทางระบบออนไลน์ได้ ปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคนิยมสั่งอาหารออนไลน์ผ่านทางบริษัทให้บริการส่งอาหาร Delivery เนื่องจากมีความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านเอง ขณะเดียวกันบริษัทที่เปิดบริการส่งอาหาร Delivery ก็มีโปรโมชั่นจูงใจมากขึ้น ดังนั้น ร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่เดิม เมื่อปรับตัวมาใช้ระบบการสั่งอาหารออนไลน์ก็จะสามารถประคองตัวอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคบางส่วนยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย และความสะอาดของบรรจุภัณฑ์และตัวพนักงานส่งอาหาร ประกอบกับไม่มั่นใจว่าร้านอาหารได้จัดระเบียบการรับสินค้าตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ให้มีการเว้นระยะห่างและมาตรการความปลอดภัยอื่นหรือไม่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันร้านค้าขายอาหารได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นจํานวนมาก ขณะเดียวกันประชาชนที่นิยมสั่งอาหารระบบออนไลน์ก็มีความกังวลเรื่องมาตรฐานความปลอดดภัยและการปลอดเชื้อ ดังนั้น การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อแนะนําและติดตามการดูแลความสะอาดตั้งแต่ต้นทางร้านค้าก่อนถึงมือผู้บริโภค โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังได้แจกหน้ากากอนามัยและเจลล์ล้างมือแก่พนักงานขับรถส่งอาหาร Delivery พร้อมย้ําเรื่องความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ติดตามมาตรการความปลอดภัยการให้บริการส่งอาหาร Delivery หลังพบว่าประชาชนใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (9 เมษายน 2563) เวลา 19.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ร้านขายอาหารบริเวณถนนบรรทัดทอง กรุงเทพมหานคร หลังตรวจสอบพบว่าการใช้บริการสั่งอาหารออนไลน์และบริการส่งอาหาร Delivery มีจํานวนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการที่รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนไม่รับประทานอาหารที่ร้าน เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยร้านค้ายังสามารถเปิดให้บริการขายอาหารให้ประชาชนสามารถซื้อกลับบ้าน หรือรับสั่งอาหารทางระบบออนไลน์ได้ ปัจจุบันพบว่าผู้บริโภคนิยมสั่งอาหารออนไลน์ผ่านทางบริษัทให้บริการส่งอาหาร Delivery เนื่องจากมีความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านเอง ขณะเดียวกันบริษัทที่เปิดบริการส่งอาหาร Delivery ก็มีโปรโมชั่นจูงใจมากขึ้น ดังนั้น ร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่เดิม เมื่อปรับตัวมาใช้ระบบการสั่งอาหารออนไลน์ก็จะสามารถประคองตัวอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคบางส่วนยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย และความสะอาดของบรรจุภัณฑ์และตัวพนักงานส่งอาหาร ประกอบกับไม่มั่นใจว่าร้านอาหารได้จัดระเบียบการรับสินค้าตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด ให้มีการเว้นระยะห่างและมาตรการความปลอดภัยอื่นหรือไม่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันร้านค้าขายอาหารได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นจํานวนมาก ขณะเดียวกันประชาชนที่นิยมสั่งอาหารระบบออนไลน์ก็มีความกังวลเรื่องมาตรฐานความปลอดดภัยและการปลอดเชื้อ ดังนั้น การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อแนะนําและติดตามการดูแลความสะอาดตั้งแต่ต้นทางร้านค้าก่อนถึงมือผู้บริโภค โดยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังได้แจกหน้ากากอนามัยและเจลล์ล้างมือแก่พนักงานขับรถส่งอาหาร Delivery พร้อมย้ําเรื่องความสะอาด ปลอดเชื้อ ปลอดภัย ...................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งเยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัย
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ธ.ก.ส. เร่งเยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัย ธ.ก.ส. เร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวบรรเทาความเดือดร้อน พักชําระต้นเงิน 1 ปี พร้อมลงพื้นที่มอบถุงยังชีพและสํารวจความเสียหายเพื่อฟื้นฟูอาชีพในระยะยาว นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการเพื่อเยียวยาเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ โดยมาตรการที่ดําเนินการเร่งด่วนคือได้ให้พนักงานออกเยี่ยมเยียนลูกค้าที่ประสบอุทกภัย โดยนําถุงยังชีพมอบให้เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้นรวมถึงให้กําลังใจแก่เกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ ทั้งนี้ในเบื้องต้น ธ.ก.ส.ได้มอบถุงยังชีพไปแล้วทั้งสิ้น 33,000 ชุด โดยใช้เงินจากกองทุนบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัยธรรมชาติและภัยพิบัติของ ธ.ก.ส. จํานวน 16,500,000 บาท ส่วนภาระหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าทาง ธ.ก.ส. ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติอ โดยการพักชําระหนี้ต้นเงินเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา 1 ปี และงดคิดดอกเบี้ยปรับ ทั้งนี้ภายหลังสถานการณ์น้ําท่วมคลี่คลายแล้ว ธนาคารจะเข้าไปสํารวจความเสียหาย เพื่อให้ได้ข้อมูลสําหรับพิจารณามาตรการฟื้นฟูการประกอบอาชีพและมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป “ ธ.ก.ส.ได้เข้าไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าในทุกพื้นที่ที่ประสบภัยเป็นการเร่งด่วนแล้ว สําหรับภาระหนี้สินที่เกษตรกรลูกค้ามีอยู่กับ ธ.ก.ส.นั้น ไม่ต้องกังวลใจธนาคารพร้อมเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่” นายอภิรมย์กล่าว ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เร่งเยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัย วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ธ.ก.ส. เร่งเยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัย ธ.ก.ส. เร่งช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวบรรเทาความเดือดร้อน พักชําระต้นเงิน 1 ปี พร้อมลงพื้นที่มอบถุงยังชีพและสํารวจความเสียหายเพื่อฟื้นฟูอาชีพในระยะยาว นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการเพื่อเยียวยาเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ โดยมาตรการที่ดําเนินการเร่งด่วนคือได้ให้พนักงานออกเยี่ยมเยียนลูกค้าที่ประสบอุทกภัย โดยนําถุงยังชีพมอบให้เพื่อช่วยเหลือในเบื้องต้นรวมถึงให้กําลังใจแก่เกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ ทั้งนี้ในเบื้องต้น ธ.ก.ส.ได้มอบถุงยังชีพไปแล้วทั้งสิ้น 33,000 ชุด โดยใช้เงินจากกองทุนบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประสบภัยธรรมชาติและภัยพิบัติของ ธ.ก.ส. จํานวน 16,500,000 บาท ส่วนภาระหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าทาง ธ.ก.ส. ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติอ โดยการพักชําระหนี้ต้นเงินเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา 1 ปี และงดคิดดอกเบี้ยปรับ ทั้งนี้ภายหลังสถานการณ์น้ําท่วมคลี่คลายแล้ว ธนาคารจะเข้าไปสํารวจความเสียหาย เพื่อให้ได้ข้อมูลสําหรับพิจารณามาตรการฟื้นฟูการประกอบอาชีพและมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป “ ธ.ก.ส.ได้เข้าไปดูแลช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าในทุกพื้นที่ที่ประสบภัยเป็นการเร่งด่วนแล้ว สําหรับภาระหนี้สินที่เกษตรกรลูกค้ามีอยู่กับ ธ.ก.ส.นั้น ไม่ต้องกังวลใจธนาคารพร้อมเข้าไปดูแลอย่างเต็มที่” นายอภิรมย์กล่าว ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1271