ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_44124
Finance
ระบบสถาบันการเงินไทยและระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีโครงสร้างเชิงสถาบันมีข้อสังเกตุอย่างไรบ้าง ?
I dreamed a dream in times gone by I dreamed a dream in times gone by When hope was high and life worth living… When hope was high and life worth living… – I Dreamed a Dream เพลงจาก Les Misérables ที่ร้องโดยตัวละคร ฟองทีน – I Dreamed a Dream เพลงจาก Les Misérables ที่ร้องโดยตัวละคร ฟองทีน สวัสดีครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์กึ่งละครเพลงเรื่อง Les Misérables หรือที่มีชื่อไทยว่า เหยื่ออธรรม ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมชั้นครูที่แต่งโดยวิกตอร์ อูโก นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เหยื่ออธรรม เล่าเรื่องราวของประชาชนชาวฝรั่งเศสที่ถูกกดขี่ข่มเหงโดยชนชั้นสูงและระบบการปกครองจนนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789-1832 โดยบอกเล่าผ่านตัวละครเอกที่เป็นเหยื่อของระบบการปกครอง สังคมและวัฒนธรรมที่บิดเบี้ยว สวัสดีครับ เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์กึ่งละครเพลงเรื่อง Les Misérables หรือที่มีชื่อไทยว่า เหยื่ออธรรม ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมชั้นครูที่แต่งโดยวิกตอร์ อูโก นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส เหยื่ออธรรม เล่าเรื่องราวของประชาชนชาวฝรั่งเศสที่ถูกกดขี่ข่มเหงโดยชนชั้นสูงและระบบการปกครองจนนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789-1832 โดยบอกเล่าผ่านตัวละครเอกที่เป็นเหยื่อของระบบการปกครอง สังคมและวัฒนธรรมที่บิดเบี้ยว หนึ่งในตัวละครที่สะท้อนถึงการขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมคือ ฟองทีน (Fantine) เธอเคยเป็นเด็กสาวที่มีความฝันและเชื่อว่าโลกนั้นน่าอยู่ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ฟองทีนกลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่น่าสงสาร เธอพบรักกับ โธโลมิเย (Tholomyès) นักศึกษาจากครอบครัวชั้นสูงและให้กำเนิดลูกสาว แต่โธโลมิเยปฏิเสธความรับผิดชอบและทิ้งเธอไป ฟองทีนจึงต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง หนึ่งในตัวละครที่สะท้อนถึงการขาดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมคือ ฟองทีน (Fantine) เธอเคยเป็นเด็กสาวที่มีความฝันและเชื่อว่าโลกนั้นน่าอยู่ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ฟองทีนกลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่น่าสงสาร เธอพบรักกับ โธโลมิเย (Tholomyès) นักศึกษาจากครอบครัวชั้นสูงและให้กำเนิดลูกสาว แต่โธโลมิเยปฏิเสธความรับผิดชอบและทิ้งเธอไป ฟองทีนจึงต้องเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพัง หลังจากนั้นฟองทีนก็มีชีวิตที่ยากลำบาก เธอฝากลูกสาวไว้กับครอบครัวเดนาร์ติเยร์ (The Thénardiers) เพื่อออกมาหางาน แต่งานก็หายากและให้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย เพราะสังคมฝรั่งเศสในสมัยนั้นไม่ยอมรับหญิงที่ท้องโดยไม่มีสามี ซ้ำร้ายยังถูกครอบครัวเดนาร์ติเยร์เอาเปรียบโดยโกหกว่าลูกสาวของเธอป่วยและขอเงินค่ารักษา ในที่สุดฟองทีนจึงจำใจต้องขายผมกับฟันหน้าและกลายมาเป็นโสเภณี ฟองทีนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังห่วงลูกสาวและรู้สึกคับแค้นต่อโชคชะตาและสังคมรอบข้าง หลังจากนั้นฟองทีนก็มีชีวิตที่ยากลำบาก เธอฝากลูกสาวไว้กับครอบครัวเดนาร์ติเยร์ (The Thénardiers) เพื่อออกมาหางาน แต่งานก็หายากและให้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย เพราะสังคมฝรั่งเศสในสมัยนั้นไม่ยอมรับหญิงที่ท้องโดยไม่มีสามี ซ้ำร้ายยังถูกครอบครัวเดนาร์ติเยร์เอาเปรียบโดยโกหกว่าลูกสาวของเธอป่วยและขอเงินค่ารักษา ในที่สุดฟองทีนจึงจำใจต้องขายผมกับฟันหน้าและกลายมาเป็นโสเภณี ฟองทีนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิตเธอก็ยังห่วงลูกสาวและรู้สึกคับแค้นต่อโชคชะตาและสังคมรอบข้าง ฟองทีนเป็นตัวแทนของประชาชนชาวฝรั่งเศสที่ตกเป็นเหยื่อของ ‘กรอบ’ หรือ ‘กฎเกณฑ์’ ที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของประชาชนในยุคสมัยนั้น ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เราเรียกกรอบหรือกฎเกณฑ์นี้ว่า ‘โครงสร้างเชิงสถาบัน’ ชีวิตของเธอทำให้เราเห็นว่าโครงสร้างเชิงสถาบันสามารถกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนได้ เช่นเดียวกับชะตาของเศรษฐกิจและสังคม ฟองทีนเป็นตัวแทนของประชาชนชาวฝรั่งเศสที่ตกเป็นเหยื่อของ ‘กรอบ’ หรือ ‘กฎเกณฑ์’ ที่กำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของประชาชนในยุคสมัยนั้น ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เราเรียกกรอบหรือกฎเกณฑ์นี้ว่า ‘โครงสร้างเชิงสถาบัน’ ชีวิตของเธอทำให้เราเห็นว่าโครงสร้างเชิงสถาบันสามารถกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนได้ เช่นเดียวกับชะตาของเศรษฐกิจและสังคม จากบทความฉบับที่แล้ว ผมทิ้งคำถามไว้ว่า เราจะเปลี่ยนระบบสถาบันการเงินไทยอย่างไรเพื่อให้สถาบันการเงินมีบทบาทในการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น การจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้สัมฤทธิ์ผลจำเป็นต้องเปลี่ยนที่รากของปัญหานั่นคือ ‘โครงสร้างเชิงสถาบัน’ ที่กำหนดรูปแบบการดำเนินกิจการของสถาบันทางการเงิน ในบทความฉบับนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินที่ดี และหาคำตอบร่วมกันว่าโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินไทยเป็นอย่างไร จากบทความฉบับที่แล้ว ผมทิ้งคำถามไว้ว่า เราจะเปลี่ยนระบบสถาบันการเงินไทยอย่างไรเพื่อให้สถาบันการเงินมีบทบาทในการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น การจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้สัมฤทธิ์ผลจำเป็นต้องเปลี่ยนที่รากของปัญหานั่นคือ ‘โครงสร้างเชิงสถาบัน’ ที่กำหนดรูปแบบการดำเนินกิจการของสถาบันทางการเงิน ในบทความฉบับนี้ ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินที่ดี และหาคำตอบร่วมกันว่าโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินไทยเป็นอย่างไร นอกจากมีวรรณกรรมที่ดีแล้ว ฝรั่งเศสยังมีระบบสถาบันการเงินที่ดีด้วย โดยระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสประสบความสำเร็จทั้งในมิติของ 1. บทบาทในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างทั่วถึง 2. การแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงิน และ 3. การบริหารจัดการความเสี่ยง นอกจากมีวรรณกรรมที่ดีแล้ว ฝรั่งเศสยังมีระบบสถาบันการเงินที่ดีด้วย โดยระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสประสบความสำเร็จทั้งในมิติของ 1. บทบาทในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างทั่วถึง 2. การแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงิน และ 3. การบริหารจัดการความเสี่ยง ในมิติของบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างทั่วถึง ข้อมูลจาก Bank for International Settlements (BIS) ระบุว่า ในปี 2019 ฝรั่งเศสมีสัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจต่อมูลค่า GDP สูงถึง 150.1% ซึ่งเป็นอันดับที่ 6 จาก 48 ประเทศในถังข้อมูล นอกจากนี้ระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสยังสนับสนุนธุรกิจ SMEs ได้ดีอีกด้วย โดยข้อมูลจาก European Banking Federation (EBF) ระบุว่า สินเชื่อใหม่ที่ให้กับธุรกิจ SMEs คิดเป็นถึง 42% สินเชื่อปล่อยใหม่ทั้งหมดในเดือนธันวาคม 2019 นอกจากนี้คำขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนของ SMEs ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 ก็ได้รับการยินยอมให้กู้ถึง 97% ในมิติของบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างทั่วถึง ข้อมูลจาก Bank for International Settlements (BIS) ระบุว่า ในปี 2019 ฝรั่งเศสมีสัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจต่อมูลค่า GDP สูงถึง 150.1% ซึ่งเป็นอันดับที่ 6 จาก 48 ประเทศในถังข้อมูล นอกจากนี้ระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสยังสนับสนุนธุรกิจ SMEs ได้ดีอีกด้วย โดยข้อมูลจาก European Banking Federation (EBF) ระบุว่า สินเชื่อใหม่ที่ให้กับธุรกิจ SMEs คิดเป็นถึง 42% สินเชื่อปล่อยใหม่ทั้งหมดในเดือนธันวาคม 2019 นอกจากนี้คำขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนของ SMEs ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 ก็ได้รับการยินยอมให้กู้ถึง 97% ในมิติของการแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงิน ข้อมูลจาก EBF ระบุว่า ฝรั่งเศสมีธนาคารจดทะเบียน ณ สิ้นเดือนมกราคม 2020 สูงถึง 340 บริษัท ขณะที่ธนาคารโลกระบุว่าระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสมีการแข่งขันสูงเป็นอันดับที่ 55 จาก 160 ประเทศ การแข่งขันที่ดีส่งผลให้สถาบันการเงินฝรั่งเศสมี Overhead Cost ต่อสินทรัพย์รวมต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 31 จาก 186 ประเทศ และสามารถคิดอัตราเงินกู้และเงินฝากที่เหมาะสมสะท้อนจาก Net Interest Margin ที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 13 จาก 184 ประเทศทั่วโลก[i] ในมิติของการแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงิน ข้อมูลจาก EBF ระบุว่า ฝรั่งเศสมีธนาคารจดทะเบียน ณ สิ้นเดือนมกราคม 2020 สูงถึง 340 บริษัท ขณะที่ธนาคารโลกระบุว่าระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสมีการแข่งขันสูงเป็นอันดับที่ 55 จาก 160 ประเทศ การแข่งขันที่ดีส่งผลให้สถาบันการเงินฝรั่งเศสมี Overhead Cost ต่อสินทรัพย์รวมต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 31 จาก 186 ประเทศ และสามารถคิดอัตราเงินกู้และเงินฝากที่เหมาะสมสะท้อนจาก Net Interest Margin ที่ต่ำที่สุดเป็นอันดับที่ 13 จาก 184 ประเทศทั่วโลก [i] นอกจากนี้ระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสยังสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL) ที่ต่ำกว่า 3% นอกจากนี้สถาบันการเงินฝรั่งเศสยังมีความน่าจะเป็นที่จะล้มละลายน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 17 จาก 183 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย นอกจากนี้ระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสยังสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL) ที่ต่ำกว่า 3% นอกจากนี้สถาบันการเงินฝรั่งเศสยังมีความน่าจะเป็นที่จะล้มละลายน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 17 จาก 183 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งเศสมีระบบสถาบันการเงินที่ดี? ประวัติศาสตร์มีคำตอบครับ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งเศสมีระบบสถาบันการเงินที่ดี? ประวัติศาสตร์มีคำตอบครับ ก่อนหน้าที่สถาบันการเงินฝรั่งเศสจะเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพเหมือนทุกวันนี้ สถาบันการเงินฝรั่งเศสก็เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อน โดยหากย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สถาบันการเงินทั้งหมดถูกรวมศูนย์เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงการคลัง (The Treasury) ซึ่งทำให้ภาครัฐสามารถแทรกแซงกลไกการทำงานของระบบสถาบันการเงินได้ถึง 2 ต่อ ก่อนหน้าที่สถาบันการเงินฝรั่งเศสจะเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพเหมือนทุกวันนี้ สถาบันการเงินฝรั่งเศสก็เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อน โดยหากย้อนกลับไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สถาบันการเงินทั้งหมดถูกรวมศูนย์เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงการคลัง (The Treasury) ซึ่งทำให้ภาครัฐสามารถแทรกแซงกลไกการทำงานของระบบสถาบันการเงินได้ถึง 2 ต่อ ต่อแรก กระทรวงการคลังได้ก่อตั้ง Deposit Network ซึ่งเป็นเครือข่ายของสถาบันการเงินและสหกรณ์ขนาดใหญ่ โดยสถาบันการเงินที่อยู่ในเครือข่ายนี้จะสามารถเข้าถึงเงินฝากต้นทุนต่ำและได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงการคลัง สิทธิประโยชน์ดังกล่าวทำให้สมาชิกของ Deposit Network กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสไปโดยปริยาย โดยกระทรวงการคลังก่อตั้ง Deposit Network มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สถาบันการเงินในเครือข่ายเป็นเครื่องมือในการให้สินเชื่อกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ภาครัฐต้องการสนับสนุน (Subsidized Loan) ซึ่งธุรกิจบางรายมีผลการดำเนินงานที่แย่ ดังนั้นการให้สินเชื่อกับธุรกิจเหล่านี้จะเข้าข่าย Zombie Lending ต่อแรก กระทรวงการคลังได้ก่อตั้ง Deposit Network ซึ่งเป็นเครือข่ายของสถาบันการเงินและสหกรณ์ขนาดใหญ่ โดยสถาบันการเงินที่อยู่ในเครือข่ายนี้จะสามารถเข้าถึงเงินฝากต้นทุนต่ำและได้รับเงินอุดหนุนจากกระทรวงการคลัง สิทธิประโยชน์ดังกล่าวทำให้สมาชิกของ Deposit Network กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสไปโดยปริยาย โดยกระทรวงการคลังก่อตั้ง Deposit Network มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สถาบันการเงินในเครือข่ายเป็นเครื่องมือในการให้สินเชื่อกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ภาครัฐต้องการสนับสนุน (Subsidized Loan) ซึ่งธุรกิจบางรายมีผลการดำเนินงานที่แย่ ดังนั้นการให้สินเชื่อกับธุรกิจเหล่านี้จะเข้าข่าย Zombie Lending ต่อที่สอง ในช่วงปี 1970 ภาครัฐพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการให้สินเชื่อผ่านสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังต้องจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แทนที่จะยอมปรับอัตราดอกเบี้ยกลางให้สูงขึ้น กระทรวงการคลังกลับออกโปรแกรม Encadrement du crédit เพื่อตั้งเพดานการให้สินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ Deposit Network เพื่อจำกัดปริมาณเงินในระบบ ขณะเดียวกันก็อัดฉีดเงินให้สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network นำไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ภาครัฐต้องการอุ้ม ต่อที่สอง ในช่วงปี 1970 ภาครัฐพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการให้สินเชื่อผ่านสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังต้องจัดการกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แทนที่จะยอมปรับอัตราดอกเบี้ยกลางให้สูงขึ้น กระทรวงการคลังกลับออกโปรแกรม Encadrement du crédit เพื่อตั้งเพดานการให้สินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ Deposit Network เพื่อจำกัดปริมาณเงินในระบบ ขณะเดียวกันก็อัดฉีดเงินให้สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network นำไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ภาครัฐต้องการอุ้ม การแทรกแซงดังกล่าวเป็นการบิดเบือนกลไกการตลาดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทรัพยากรทางการเงินไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ได้สะท้อนถึงผลิตภาพการผลิตของธุรกิจหรือความต้องการสินเชื่ออย่างที่ควรจะเป็น การแทรกแซงดังกล่าวเป็นการบิดเบือนกลไกการตลาดอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทรัพยากรทางการเงินไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ได้สะท้อนถึงผลิตภาพการผลิตของธุรกิจหรือความต้องการสินเชื่ออย่างที่ควรจะเป็น การทำงานที่ผิดปกติของระบบสถาบันการเงินส่งผลให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสขาดความสมดุล สะท้อนจากการขาดดุลการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การแทรกแซงของภาครัฐกลายเป็นภาระทางการคลังมูลค่ามหาศาลจนภาครัฐไม่สามารถรองรับได้ ในที่สุดจึงเกิดการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในปลายปี 1984 โดยกระทรวงการคลังออกกฎหมาย 1985 Banking Act ที่ช่วยวางโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสเสียใหม่ การทำงานที่ผิดปกติของระบบสถาบันการเงินส่งผลให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสขาดความสมดุล สะท้อนจากการขาดดุลการชำระเงินอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การแทรกแซงของภาครัฐกลายเป็นภาระทางการคลังมูลค่ามหาศาลจนภาครัฐไม่สามารถรองรับได้ ในที่สุดจึงเกิดการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในปลายปี 1984 โดยกระทรวงการคลังออกกฎหมาย 1985 Banking Act ที่ช่วยวางโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบสถาบันการเงินฝรั่งเศสเสียใหม่ ภายใต้ 1985 Banking Act กระทรวงการคลังได้ประกาศยกเลิกการให้เงินอุดหนุนกับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network และยกเลิกการควบคุมเพดานการให้สินเชื่อภายใต้โปรแกรม Encadrement du crédit นอกจากนี้ภาครัฐยังยอมแปรรูปกิจการธนาคารขนาดใหญ่ให้เอกชนเข้ามาเป็นเจ้าของ (Privatization) ซึ่งธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้มีสัดส่วนสินทรัพย์สูงถึง 20% ของระบบธนาคารทั้งหมด ภายใต้ 1985 Banking Act กระทรวงการคลังได้ประกาศยกเลิกการให้เงินอุดหนุนกับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network และยกเลิกการควบคุมเพดานการให้สินเชื่อภายใต้โปรแกรม Encadrement du crédit นอกจากนี้ภาครัฐยังยอมแปรรูปกิจการธนาคารขนาดใหญ่ให้เอกชนเข้ามาเป็นเจ้าของ (Privatization) ซึ่งธนาคารขนาดใหญ่เหล่านี้มีสัดส่วนสินทรัพย์สูงถึง 20% ของระบบธนาคารทั้งหมด การบังคับใช้กฎหมาย 1985 Banking Act ส่งผลดีต่อระบบสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยสถาบันการเงินเริ่มกลับมาให้สินเชื่อโดยพิจารณาจากผลประกอบการและความเสี่ยงที่แท้จริงของธุรกิจ นอกจากนี้กฎหมายใหม่ยังช่วยลดบทบาทของสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network และช่วยให้การแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้น การบังคับใช้กฎหมาย 1985 Banking Act ส่งผลดีต่อระบบสถาบันการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยสถาบันการเงินเริ่มกลับมาให้สินเชื่อโดยพิจารณาจากผลประกอบการและความเสี่ยงที่แท้จริงของธุรกิจ นอกจากนี้กฎหมายใหม่ยังช่วยลดบทบาทของสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network และช่วยให้การแข่งขันภายในระบบสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้น โครงสร้างเชิงสถาบันที่ดีเอื้อให้สถาบันการเงินฝรั่งเศสก้าวขึ้นมามีบทบาทในการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและมีประสิทธิภาพสูง โดยงานศึกษาของ Bertrand, Schoar, and Thesmar (2007)[ii] พบว่า การปฏิรูประบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เร่งให้เกิดกระบวนการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ที่ปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจฝรั่งเศส และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โครงสร้างเชิงสถาบันที่ดีเอื้อให้สถาบันการเงินฝรั่งเศสก้าวขึ้นมามีบทบาทในการสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยและมีประสิทธิภาพสูง โดยงานศึกษาของ Bertrand, Schoar, and Thesmar (2007) [ii] พบว่า การปฏิรูประบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เร่งให้เกิดกระบวนการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ที่ปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจฝรั่งเศส และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน …Then I was young and unafraid …Then I was young and unafraid And dreams were made and used and wasted And dreams were made and used and wasted There was no ransom to be paid There was no ransom to be paid No song unsung, no wine untasted… No song unsung, no wine untasted… เรื่องราวของกฎหมาย 1985 Banking Act ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเชิงสถาบันมีความสำคัญต่อ ‘ชะตา’ ของระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวมมากเพียงใด เรามาทำความเข้าใจโครงสร้างเชิงสถาบันให้มากขึ้นกันครับ เรื่องราวของกฎหมาย 1985 Banking Act ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างเชิงสถาบันมีความสำคัญต่อ ‘ชะตา’ ของระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวมมากเพียงใด เรามาทำความเข้าใจโครงสร้างเชิงสถาบันให้มากขึ้นกันครับ ในหนังสือ Why Nations Fail (2012) ของ Daron Acemoglu และ James A. Robinson นักเศรษฐศาสตร์สถาบันชื่อดังแบ่งโครงสร้างเชิงสถาบันออกเป็น 2 ประเภท เพื่อให้เห็นภาพ เราสามารถเทียบโครงสร้างเชิงสถาบันทั้งสองประเภทกับเนื้อเพลง I Dreamed a Dream ได้ดังนี้ครับ ในหนังสือ Why Nations Fail (2012) ของ Daron Acemoglu และ James A. Robinson นักเศรษฐศาสตร์สถาบันชื่อดังแบ่งโครงสร้างเชิงสถาบันออกเป็น 2 ประเภท เพื่อให้เห็นภาพ เราสามารถเทียบโครงสร้างเชิงสถาบันทั้งสองประเภทกับเนื้อเพลง I Dreamed a Dream ได้ดังนี้ครับ โครงสร้างเชิงสถาบันที่ดีเรียกว่า Inclusive Institution อันหมายถึงโครงสร้างเชิงสถาบันที่สนับสนุนการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น มีกฎหมายที่เอื้อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม โดยประชาชนควรได้โอกาสในการเข้าสู่ตลาดและเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ต้องแบกรับต้นทุนที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ เช่น การถูกเอารัดเอาเปรียบหรือกดขี่ข่มเหง และหากดำเนินธุรกิจแล้ว ล้มเหลวก็ควรได้รับโอกาสกลับเข้าสู่ตลาดอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับระบบสถาบันการเงิน Inclusive Institution จะเอื้อให้ประชาชนเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินอย่างเท่าเทียม ณ ต้นทุนที่เหมาะสม คล้ายกับระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสในปัจจุบัน โครงสร้างเชิงสถาบันที่ดีเรียกว่า Inclusive Institution อันหมายถึงโครงสร้างเชิงสถาบันที่สนับสนุนการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น มีกฎหมายที่เอื้อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม โดยประชาชนควรได้โอกาสในการเข้าสู่ตลาดและเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ต้องแบกรับต้นทุนที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ เช่น การถูกเอารัดเอาเปรียบหรือกดขี่ข่มเหง และหากดำเนินธุรกิจแล้ว ล้มเหลวก็ควรได้รับโอกาสกลับเข้าสู่ตลาดอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับระบบสถาบันการเงิน Inclusive Institution จะเอื้อให้ประชาชนเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินอย่างเท่าเทียม ณ ต้นทุนที่เหมาะสม คล้ายกับระบบสถาบันการเงินของฝรั่งเศสในปัจจุบัน โครงสร้างเชิงสถาบันที่ไม่ดีเรียกว่า Extractive Institution ซึ่งหมายถึงโครงสร้างเชิงสถาบันที่กีดกันการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อำนาจกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์ (Vested Interest Group) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือธุรกิจขนาดใหญ่ ในประเทศที่มีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive Institutions กลุ่มผลประโยชน์จะแทรกแซงรูปแบบการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เช่น การพยายามกีดกันไม่ให้ธุรกิจรายใหม่เข้าสู่ตลาด หรือการใช้อำนาจฉกชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจจากคู่แข่งผ่านการใช้อำนาจโน้มน้าวให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินมาซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทของตน โครงสร้างเชิงสถาบันที่ไม่ดีเรียกว่า Extractive Institution ซึ่งหมายถึงโครงสร้างเชิงสถาบันที่กีดกันการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้อำนาจกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มผลประโยชน์ (Vested Interest Group) ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือธุรกิจขนาดใหญ่ ในประเทศที่มีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive Institutions กลุ่มผลประโยชน์จะแทรกแซงรูปแบบการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เช่น การพยายามกีดกันไม่ให้ธุรกิจรายใหม่เข้าสู่ตลาด หรือการใช้อำนาจฉกชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจจากคู่แข่งผ่านการใช้อำนาจโน้มน้าวให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินมาซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทของตน ดังนั้นระบบเศรษฐกิจใดที่มีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive คนในระบบเศรษฐกิจนั้นจะถูกฉกชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะรู้สึกคุ้นชินจนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการจัดสรรทรัพยากรที่บิดเบี้ยวไปแล้ว คล้ายกับที่ครอบครัวเดนาร์ติเยร์เอารัดเอาเปรียบฟองทีน ท้ายที่สุดกลไกการจัดสรรทรัพยากรที่บิดเบี้ยวจะฉีกความฝันของเราเป็นชิ้นๆ จนเราอายที่จะฝันถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้นระบบเศรษฐกิจใดที่มีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive คนในระบบเศรษฐกิจนั้นจะถูกฉกชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะรู้สึกคุ้นชินจนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการจัดสรรทรัพยากรที่บิดเบี้ยวไปแล้ว คล้ายกับที่ครอบครัวเดนาร์ติเยร์เอารัดเอาเปรียบฟองทีน ท้ายที่สุดกลไกการจัดสรรทรัพยากรที่บิดเบี้ยวจะฉีกความฝันของเราเป็นชิ้นๆ จนเราอายที่จะฝันถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า …But the tigers come at night …But the tigers come at night With their voices soft as thunder With their voices soft as thunder As they tear your hope apart As they tear your hope apart As they turn your dream to shame… As they turn your dream to shame… ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า ระบบสถาบันการเงินไทยและระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบใด ผมขอตอบคำถามด้วยข้อสังเกตสองประการ ถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า ระบบสถาบันการเงินไทยและระบบเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบใด ผมขอตอบคำถามด้วยข้อสังเกตสองประการ ข้อสังเกตที่ 1 ข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Extractive Institutions การระบุว่าระบบเศรษฐกิจหนึ่งมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบใด สามารถวัดจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ หากกลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทมากก็มีแนวโน้มที่ระบบเศรษฐกิจนั้นจะมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive ผมใช้วิธีวิจัยของ Knack (2003) ในการวัดอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ในไทย โดยนับว่าคนไทย 1 คนมีส่วนร่วมกับกลุ่มผลประโยชน์กี่จำพวก[iii] ผลปรากฏว่าในปี 2017 คนไทยมีส่วนร่วมในกลุ่มผลประโยชน์เฉลี่ยคนละ 0.44 จำพวกซึ่งสูงเป็นอันดับสองของกลุ่มตัวอย่าง (อันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา) ข้อสังเกตที่ 1 ข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Extractive Institutions การระบุว่าระบบเศรษฐกิจหนึ่งมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบใด สามารถวัดจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ หากกลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทมากก็มีแนวโน้มที่ระบบเศรษฐกิจนั้นจะมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive ผมใช้วิธีวิจัยของ Knack (2003) ในการวัดอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ในไทย โดยนับว่าคนไทย 1 คนมีส่วนร่วมกับกลุ่มผลประโยชน์กี่จำพวก [iii] ผลปรากฏว่าในปี 2017 คนไทยมีส่วนร่วมในกลุ่มผลประโยชน์เฉลี่ยคนละ 0.44 จำพวกซึ่งสูงเป็นอันดับสองของกลุ่มตัวอย่าง (อันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา) ข้อสังเกตที่ 2 สถาบันการเงินไทยเองก็อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน ผมอยากชวนท่านผู้อ่านมองระบบสถาบันการเงินไทยผ่านมุมมองของ Buttonwood คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่ง The Economist ซึ่งเคยเขียนบทความเรื่อง ‘The question of extractive elites’ ไว้เมื่อเดือนเมษายน 2012 คอลัมนิสต์ท่านนี้ตั้งข้อสังเกตว่า สถาบันการเงินขนาดใหญ่ก็เข้าข่ายที่จะเป็นกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน เพราะสถาบันการเงินเป็นเจ้าของเงินทุนมหาศาล ประกอบกับมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของประชาชน อีกทั้งยังมีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐและธนาคารกลาง ยิ่งสถาบันการเงินผูกขาดมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถเอาเปรียบประชาชนและมีอิทธิพลกับภาครัฐมากตามไปด้วย ข้อสังเกตที่ 2 สถาบันการเงินไทยเองก็อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน ผมอยากชวนท่านผู้อ่านมองระบบสถาบันการเงินไทยผ่านมุมมองของ Buttonwood คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่ง The Economist ซึ่งเคยเขียนบทความเรื่อง ‘The question of extractive elites’ ไว้เมื่อเดือนเมษายน 2012 คอลัมนิสต์ท่านนี้ตั้งข้อสังเกตว่า สถาบันการเงินขนาดใหญ่ก็เข้าข่ายที่จะเป็นกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน เพราะสถาบันการเงินเป็นเจ้าของเงินทุนมหาศาล ประกอบกับมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของประชาชน อีกทั้งยังมีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐและธนาคารกลาง ยิ่งสถาบันการเงินผูกขาดมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถเอาเปรียบประชาชนและมีอิทธิพลกับภาครัฐมากตามไปด้วย นอกจากนี้กฎระเบียบในการกำกับสถาบันการเงินต่างๆ ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ‘ปกป้อง’ สถาบันการเงินจากผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบาย Too Big Too Failed ซึ่งปกป้องไม่ให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจสร้างรอยขีดข่วนบนงบทางการเงินของสถาบันการเงินได้ การปกป้องสถาบันการเงินเป็นเรื่องจำเป็นต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แต่ต้องไม่ลืมว่าหากปกป้องมากเกินไปสถาบันการเงินจะช่วยรองรับหรือบรรเทาผลกระทบของวิกฤตที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้น้อยลง ทั้งที่เป็นหน้าที่อันดับแรกที่สถาบันการเงินพึงกระทำ นอกจากนี้เมื่อสถาบันการเงินล้มไม่ได้ก็จะยิ่งส่งผลให้การแข่งขันภายในสถาบันการเงินมีน้อยลง ปล่อยให้สถาบันการเงินบางรายมีอำนาจตลาดมากเกินไปคล้ายกับสถาบันการเงินชั้นอภิสิทธิ์ที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network ในฝรั่งเศสก่อนการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้กฎระเบียบในการกำกับสถาบันการเงินต่างๆ ยังถูกออกแบบมาเพื่อ ‘ปกป้อง’ สถาบันการเงินจากผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบาย Too Big Too Failed ซึ่งปกป้องไม่ให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจสร้างรอยขีดข่วนบนงบทางการเงินของสถาบันการเงินได้ การปกป้องสถาบันการเงินเป็นเรื่องจำเป็นต่อการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แต่ต้องไม่ลืมว่าหากปกป้องมากเกินไปสถาบันการเงินจะช่วยรองรับหรือบรรเทาผลกระทบของวิกฤตที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจริงได้น้อยลง ทั้งที่เป็นหน้าที่อันดับแรกที่สถาบันการเงินพึงกระทำ นอกจากนี้เมื่อสถาบันการเงินล้มไม่ได้ก็จะยิ่งส่งผลให้การแข่งขันภายในสถาบันการเงินมีน้อยลง ปล่อยให้สถาบันการเงินบางรายมีอำนาจตลาดมากเกินไปคล้ายกับสถาบันการเงินชั้นอภิสิทธิ์ที่เป็นสมาชิกของ Deposit Network ในฝรั่งเศสก่อนการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน ข้อสังเกตทั้งสองประการทำให้ผมกังวลว่าโครงสร้างเชิงสถาบันของเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินไทยอาจเป็นแบบ Extractive ซึ่งข้อบกพร่องดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถทำหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างเต็มที่ จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงิน (บทความเรื่อง ระบบเศรษฐกิจไทยควร ‘กลัว’ ความเสี่ยงแค่ไหน) และทำให้สุขภาพของภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริงแยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ (บทความเรื่อง ภาคการเงินไทยสุขภาพดีกว่าใคร เหตุใดจึงไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง?) ข้อสังเกตทั้งสองประการทำให้ผมกังวลว่าโครงสร้างเชิงสถาบันของเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินไทยอาจเป็นแบบ Extractive ซึ่งข้อบกพร่องดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถทำหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงได้อย่างเต็มที่ จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงิน ( บทความเรื่อง ระบบเศรษฐกิจไทยควร ‘กลัว’ ความเสี่ยงแค่ไหน ) และทำให้สุขภาพของภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจจริงแยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ( บทความเรื่อง ภาคการเงินไทยสุขภาพดีกว่าใคร เหตุใดจึงไปไม่ถึงภาคเศรษฐกิจจริง? ) ที่น่ากังวลใจไปกว่านั้น ถ้าโครงสร้างเชิงสถาบันไทยเป็นแบบ Extractive ทั้งในระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม สิ่งดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาส ฐานะทางสังคม และคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ถูกโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมปิดโอกาสให้เข้าถึงชีวิตที่ดี และจะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่เคยมีความฝัน แต่ไม่มีโอกาสได้ทำความฝันนั้นให้กลายเป็นจริง คล้ายกับเรื่องราวชีวิตของฟองทีน ที่น่ากังวลใจไปกว่านั้น ถ้าโครงสร้างเชิงสถาบันไทยเป็นแบบ Extractive ทั้งในระบบสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจโดยรวม สิ่งดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาส ฐานะทางสังคม และคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ถูกโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมปิดโอกาสให้เข้าถึงชีวิตที่ดี และจะมีคนไทยอีกจำนวนมากที่เคยมีความฝัน แต่ไม่มีโอกาสได้ทำความฝันนั้นให้กลายเป็นจริง คล้ายกับเรื่องราวชีวิตของฟองทีน …I had a dream my life would be …I had a dream my life would be So different from this hell I’m living So different from this hell I’m living So different now from what it seemed So different now from what it seemed Now life has killed the dream I dreamed. Now life has killed the dream I dreamed. พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า อ้างอิง: อ้างอิง: [i] ข้อมูลจาก Global Financial Development Database ของธนาคารโลก ข้อมูลปี 2017 [ii] BERTRAND, M., SCHOAR, A. and THESMAR, D. (2007), Banking Deregulation and Industry Structure: Evidence from the French Banking Reforms of 1985. The Journal of Finance, 62: 597-628. [iii] ผมใช้ข้อมูลจาก World Value Surveys ซึ่งสอบถามถึงกลุ่ม Association Activity ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีส่วนร่วม โดยกลุ่มที่จัดเป็น Vested Interest Groups ตามหลักเกณฑ์ของ Olson แบ่งออกเป็นสามจำพวก ได้แก่ Professional Associations, Trade Unions, และ Political Parties สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก Knack (2003) [i] ข้อมูลจาก Global Financial Development Database ของธนาคารโลก ข้อมูลปี 2017 [ii] BERTRAND, M., SCHOAR, A. and THESMAR, D. (2007), Banking Deregulation and Industry Structure: Evidence from the French Banking Reforms of 1985. The Journal of Finance, 62: 597-628. [ii] BERTRAND, M., SCHOAR, A. and THESMAR, D. (2007), Banking Deregulation and Industry Structure: Evidence from the French Banking Reforms of 1985. The Journal of Finance, 62: 597-628. [iii] ผมใช้ข้อมูลจาก World Value Surveys ซึ่งสอบถามถึงกลุ่ม Association Activity ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีส่วนร่วม โดยกลุ่มที่จัดเป็น Vested Interest Groups ตามหลักเกณฑ์ของ Olson แบ่งออกเป็นสามจำพวก ได้แก่ Professional Associations, Trade Unions, และ Political Parties สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก Knack (2003)
ข้อสังเกตที่ 1 ข้อมูลระบุว่า เศรษฐกิจไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Extractive Institutions การระบุว่าระบบเศรษฐกิจหนึ่งมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบใด สามารถวัดจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ หากกลุ่มผลประโยชน์มีบทบาทมากก็มีแนวโน้มที่ระบบเศรษฐกิจนั้นจะมีโครงสร้างเชิงสถาบันแบบ Extractive หากใช้วิธีวิจัยของ Knack (2003) ในการวัดอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์ในไทย โดยนับว่าคนไทย 1 คนมีส่วนร่วมกับกลุ่มผลประโยชน์กี่จำพวก[iii] ผลปรากฏว่าในปี 2017 คนไทยมีส่วนร่วมในกลุ่มผลประโยชน์เฉลี่ยคนละ 0.44 จำพวกซึ่งสูงเป็นอันดับสองของกลุ่มตัวอย่าง (อันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา) ข้อสังเกตที่ 2 สถาบันการเงินไทยเองก็อาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน ให้มองระบบสถาบันการเงินไทยผ่านมุมมองของ Buttonwood คอลัมนิสต์ชื่อดังแห่ง The Economist ซึ่งเคยเขียนบทความเรื่อง ‘The question of extractive elites’ ไว้เมื่อเดือนเมษายน 2012 คอลัมนิสต์ท่านนี้ตั้งข้อสังเกตว่า สถาบันการเงินขนาดใหญ่ก็เข้าข่ายที่จะเป็นกลุ่มผลประโยชน์เช่นกัน เพราะสถาบันการเงินเป็นเจ้าของเงินทุนมหาศาล ประกอบกับมีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางการเงินของประชาชน อีกทั้งยังมีบทบาทในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐและธนาคารกลาง ยิ่งสถาบันการเงินผูกขาดมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถเอาเปรียบประชาชนและมีอิทธิพลกับภาครัฐมากตามไปด้วย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13013
Medical
กรุณาสรุปบทความ คุณสมบัติและข้อควรระวังในการใช้ยา Tropicamide
โทรปิคาไมด์ Tropicamide โทรปิคาไมด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร โทรปิคาไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร โทรปิคาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร โทรปิคาไมด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร โทรปิคาไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้โทรปิคาไมด์อย่างไร โทรปิคาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษาโทรปิคาไมด์อย่างไร โทรปิคาไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยาPharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด โรคตาEye disease การตรวจตา Eye examination โรคจอตา Retinal disease สายตาผิดปกติ Refractive error ยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide เป็นยาประเภท Anticholinergic ถูกนำมาใช้เป็นยาขยายรูม่านตา เป็นยาช่วยในการทำหัตถการกับลูกตาของจักษุแพทย์เช่น การตรวจสอบแก้วตา น้ำวุ้นตาวุ้นตา และจอตาจอประสาทตา นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้ก่อนและหลังผ่าตัดอีกด้วย ยาโทรปิคาไมด์เป็นยาที่ออกฤทธิ์ระยะสั้น ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง หลังการหยอดยาม่านตาจะค่อยๆกลับสู่สภาพเดิมภายในระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โทรปิคาไมด์เป็นที่นิยมมากกว่ายา Atropine ด้วย Atropine จะออกฤทธิ์ที่นานกว่า บางครั้งกับผู้ป่วยบางรายทำให้การมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนานเป็นสัปดาห์ก็มี เคยมีรายงานที่พบว่า ผู้ป่วยเด็กที่มีตาสีฟ้าจะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยานี้ได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่น ซึ่งผลข้างเคียงของยานี้ที่พบบ่อยๆได้แก่ เกิดตาพร่าและมีอาการตาแพ้แสงสว่างได้ง่าย ดังนั้นหลังการใช้ยานี้ แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นกันแดดเพื่อลดอาการแพ้แสงดังกล่าว ยาโทรปิคาไมด์ได้รับการรับรองและบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย โดยระบุวัตถุประสงค์ของการใช้ เพื่อขยายม่านตาและตรวจสอบความผิดปกติทางสายตาของผู้ป่วยในสถานพยาบาล และการใช้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โทรปิคาไมด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีสรรพคุณใช้ขยายรูม่านตาก่อนการตรวจสอบทดสอบรักษาทางสายตาของจักษุแพทย์ โทรปิคาไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร กลไกการออกฤทธิ์ของยาโทรปิคาไมด์คือ ตัวยาจะทำให้เกิดการขยายของรูม่านตาโดยแสดงฤทธิ์เป็น Antimuscarinic ที่ทำให้กล้ามเนื้อลูกตาไม่ทำงาน รูม่านตาจึงขยายและลูกตาไม่สามารถปรับระยะการรับภาพ Loss of accommodation ได้ในช่วงระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ส่งผลให้ง่ายต่อการตรวจสอบทดสอบหรือการรักษาทางสายตาของแพทย์ โทรปิคาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาหยอดตาขนาดความเข้มข้น 0.5 และ 1 เทียบเท่า 5 และ 10 มิลลิกรัมมิลลิลิตร โทรปิคาไมด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีขนาดการบริหารยาการใช้ยาดังนี้เช่น ก.สำหรับขยายรูม่านตา ผู้ใหญ่และเด็ก หยอดยาขนาดความเข้มข้น 0.5 ปริมาณ 1 - 2 หยดที่ลูกตา รอประมาณ 15 - 20 นาทีก่อนการทำหัตถการของจักษุแพทย์ ข.สำหรับวัดและตรวจสอบสภาพสายตา ผู้ใหญ่และเด็ก หยอดยาขนาดความเข้มข้น 1 ปริมาณ 1 - 2 หยดที่ลูกตา หากจำเป็นอาจหยอดซ้ำอีกครั้งภายในประมาณ 5 นาที จากนั้นทำการทดสอบทางสายตาภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยา บาลและเภสัชกรดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัดหายใจลำ บาก มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาอะไรอยู่ เพราะยาโทรปิคาไมด์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินอยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ โทรปิคาไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ยาโทรปิคาไมด์สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ ผลข้างเคียงอาการข้างเคียง ดังนี้เช่น เกิดความดันภายในลูกตาเพิ่มสูง เกิดอาการปากแห้ง ตาพร่า ตาแพ้แสง หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ หากเป็นผู้ป่วยเด็กอาจมีภาวะรบกวนการทำงานในสมองอย่างรุนแรง มีข้อควรระวังการใช้โทรปิคาไมด์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้โทรปิคาไมด์ดังนี้เช่น ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคต้อหิน Narrow-angle glaucoma ระวังการใช้ยานี้กับผู้สูงอายุ เด็ก สตรีตั้งครรภ์ รวมถึงสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมารดา ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคหัวใจ แพทย์อาจนวดคลึงเบาๆในบริเวณใกล้ถุงน้ำตาเพื่อทำให้การดูดซึมยานี้เป็นไปอย่างเหมาะสม ห้ามใช้ยาหมดอายุ ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ยา ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด รวมยาโทรปิคาไมด์ด้วย ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมออ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน โทรปิคาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นดังนี้เช่น การใช้ยาโทรปิคาไมด์ร่วมกับยา Phenylephrine อาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน ยาโทรปิคาไมด์สามารถรบกวนหรือต่อต้านการออกฤทธิ์ของยาหยอดตาประเภทอื่นได้เช่น Carbachol และ Pilocarpine หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในเวลาเดียวกัน ควรเก็บรักษาโทรปิคาไมด์อย่างไร ควรเก็บยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide ในช่วงอุณหภูมิ 15 - 30 องศาเซลเซียส Celsius ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น เก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น โทรปิคาไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยาโทรปิคาไมด์ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้าอื่นและบริษัทผู้ผลิตเช่น ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต Mydriacyl มายเดรียซิล Alcon
ยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide เป็นยาประเภท Anticholinergic ถูกนำมาใช้เป็นยาขยายรูม่านตา เป็นยาช่วยในการทำหัตถการกับลูกตาของจักษุแพทย์เช่น การตรวจสอบแก้วตา น้ำวุ้นตาวุ้นตา และจอตาจอประสาทตา นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้ก่อนและหลังผ่าตัดอีกด้วย ยาโทรปิคาไมด์เป็นยาที่ออกฤทธิ์ระยะสั้น ประมาณ 4 - 8 ชั่วโมง หลังการหยอดยาม่านตาจะค่อยๆกลับสู่สภาพเดิมภายในระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โทรปิคาไมด์เป็นที่นิยมมากกว่ายา Atropine ด้วย Atropine จะออกฤทธิ์ที่นานกว่า บางครั้งกับผู้ป่วยบางรายทำให้การมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนานเป็นสัปดาห์ก็มี เคยมีรายงานที่พบว่า ผู้ป่วยเด็กที่มีตาสีฟ้าจะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากยานี้ได้ง่ายกว่าคนกลุ่มอื่น ซึ่งผลข้างเคียงของยานี้ที่พบบ่อยๆได้แก่ เกิดตาพร่าและมีอาการตาแพ้แสงสว่างได้ง่าย ดังนั้นหลังการใช้ยานี้ แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นกันแดดเพื่อลดอาการแพ้แสงดังกล่าว ยาโทรปิคาไมด์ได้รับการรับรองและบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย โดยระบุวัตถุประสงค์ของการใช้ เพื่อขยายม่านตาและตรวจสอบความผิดปกติทางสายตาของผู้ป่วยในสถานพยาบาล และการใช้ยานี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โทรปิคาไมด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีสรรพคุณใช้ขยายรูม่านตาก่อนการตรวจสอบทดสอบรักษาทางสายตาของจักษุแพทย์ โทรปิคาไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร กลไกการออกฤทธิ์ของยาโทรปิคาไมด์คือ ตัวยาจะทำให้เกิดการขยายของรูม่านตาโดยแสดงฤทธิ์เป็น Antimuscarinic ที่ทำให้กล้ามเนื้อลูกตาไม่ทำงาน รูม่านตาจึงขยายและลูกตาไม่สามารถปรับระยะการรับภาพ Loss of accommodation ได้ในช่วงระยะเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ส่งผลให้ง่ายต่อการตรวจสอบทดสอบหรือการรักษาทางสายตาของแพทย์ โทรปิคาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาหยอดตาขนาดความเข้มข้น 0.5 และ 1 เทียบเท่า 5 และ 10 มิลลิกรัมมิลลิลิตร โทรปิคาไมด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีขนาดการบริหารยาการใช้ยาดังนี้เช่น ก.สำหรับขยายรูม่านตา ผู้ใหญ่และเด็ก หยอดยาขนาดความเข้มข้น 0.5 ปริมาณ 1 - 2 หยดที่ลูกตา รอประมาณ 15 - 20 นาทีก่อนการทำหัตถการของจักษุแพทย์ ข.สำหรับวัดและตรวจสอบสภาพสายตา ผู้ใหญ่และเด็ก หยอดยาขนาดความเข้มข้น 1 ปริมาณ 1 - 2 หยดที่ลูกตา หากจำเป็นอาจหยอดซ้ำอีกครั้งภายในประมาณ 5 นาที จากนั้นทำการทดสอบทางสายตาภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยา บาลและเภสัชกรดังนี้ ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัดหายใจลำ บาก มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาอะไรอยู่ เพราะยาโทรปิคาไมด์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินอยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ โทรปิคาไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ยาโทรปิคาไมด์สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ ผลข้างเคียงอาการข้างเคียง ดังนี้เช่น เกิดความดันภายในลูกตาเพิ่มสูง เกิดอาการปากแห้ง ตาพร่า ตาแพ้แสง หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ หากเป็นผู้ป่วยเด็กอาจมีภาวะรบกวนการทำงานในสมองอย่างรุนแรง มีข้อควรระวังการใช้โทรปิคาไมด์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้โทรปิคาไมด์ดังนี้เช่น ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคต้อหิน Narrow-angle glaucoma ระวังการใช้ยานี้กับผู้สูงอายุ เด็ก สตรีตั้งครรภ์ รวมถึงสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมารดา ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคหัวใจ แพทย์อาจนวดคลึงเบาๆในบริเวณใกล้ถุงน้ำตาเพื่อทำให้การดูดซึมยานี้เป็นไปอย่างเหมาะสม ห้ามใช้ยาหมดอายุ ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ยา ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด รวมยาโทรปิคาไมด์ด้วย ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ โทรปิคาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ยาโทรปิคาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นดังนี้เช่น การใช้ยาโทรปิคาไมด์ร่วมกับยา Phenylephrine อาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน ยาโทรปิคาไมด์สามารถรบกวนหรือต่อต้านการออกฤทธิ์ของยาหยอดตาประเภทอื่นได้เช่น Carbachol และ Pilocarpine หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในเวลาเดียวกัน ควรเก็บรักษาโทรปิคาไมด์อย่างไร ควรเก็บยาโทรปิคาไมด์ Tropicamide ในช่วงอุณหภูมิ 15 - 30 องศาเซลเซียส Celsius ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น เก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น โทรปิคาไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยาโทรปิคาไมด์ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้าอื่นและบริษัทผู้ผลิตเช่น ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต Mydriacyl มายเดรียซิล Alcon
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology,เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_30477
Medical
การรักษาด้วยยามุ่งเป้ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
null
ข้อดีของการรักษาด้วยยามุ่งเป้า - มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง โดยเฉพาะมะเร็งบางชนิดที่มีการกลายพันธุ์ - ผลข้างเคียงน้อยกว่าการรักษาด้วยเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม - ยาสามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างตรงจุด - ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ข้อเสียของการรักษาด้วยยามุ่งเป้า - ยามีราคาแพง - ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น อาการแพ้ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือ ภาวะเลือดออก - ยาบางชนิดอาจไม่ตอบสนองต่อมะเร็งทุกชนิด - ผู้ป่วยอาจต้องดื้อยาในระยะยาว ตัวอย่างของยามุ่งเป้า ยา Trastuzumab (Herceptin) ใช้รักษามะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ยา Imatinib (Gleevec) ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด CML ยา Cetuximab (Erbitux) ใช้รักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งต่อมทอนซิล สรุป การรักษาด้วยยามุ่งเป้าเป็นแนวทางการรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีราคาแพงและอาจมผลข้างเคียง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง เพิ่มเติม การรักษาด้วยยามุ่งเป้าเป็นการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง มุ่งเป้าไปที่เซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ ช่วยให้รักษาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูง ยามุ่งเป้ามีหลายชนิด แต่ละชนิดจะใช้รักษามะเร็งชนิดที่แตกต่างกันไป แพทย์จะเลือกยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาด้วยยามุ่งเป้ามักใช้ร่วมกับการรักษาแบบอื่นๆ เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด ผลการรักษาด้วยยามุ่งเป้าจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย และการตอบสนองต่อยา คำแนะนำ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และอาการแพ้ต่างๆ ผู้ป่วยควรติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ผู้ป่วยควรดูแลสุขภาพตัวเอง ทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11823
Medical
ลีโวฟลอกซาซินมีสรรพคุณอย่างไร
1. เป็นยาที่สามารถจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ มีฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้ ซึ่งเป็นยาพื้นฐานที่มักใช้เพื่อบรรเทาไข้ อาการปวดศีรษะ 2. เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้รักษาเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น 3. เป็นยาใช้สำหรับป้องกันและรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ และภาวะป่วยที่เกิดจากการเดินทาง 4. รักษาไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง รวมถึงปอดบวม รักษาโรคผิวหนังติดเชื้อ รักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ กรวยไตอักเสบ และต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เนื่องจาก ลีโวฟลอกซาซินมีสรรพคุณ คุณสมบัติ รักษาโรคอะไร ยาลีโวฟลอกซาซินมีสรรพคุณรักษาโรคข้อบ่งใช้ เช่น รักษาไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง รวมถึงปอดบวม รักษาโรคผิวหนังติดเชื้อ รักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ กรวยไตอักเสบ และต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ ลีโวฟลอกซาซินมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร กลไกการออกฤทธ์ของยาลีโวฟลอกซาซินคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์ในแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Topoisomerase IV และ DNA gyrase ส่งผลให้การจำลองการสร้างสารพันธุกรรม DNA หยุดชะงัก และกระทบต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ทำให้ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้จนกระทั่งตายลงในที่สุด
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_5666
Legal
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเลิกเก็บค่าธรรมวีซ่านักท่องเที่ยวจนถึงวันที่เท่าไหร่
ก. 24 เมษายน 2562 ข. 31 ตุลาคม 2562 ค. 18 เมษายน 2563 ง. 1 พฤษภาคม 2562
คำตอบคือ ข. เพราะว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา 12 (1) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ เมื่อส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นการยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา 12 (1) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งมีสัญชาติของประเทศที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ตามข้อ 6 วรรคสอง แห่งกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ. 2545 สำหรับกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562
กฎหมายคนเข้าเมือง-การทำงานของคนต่างด้าว,กฎกระทรวง
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42579
Finance
อะไรคือบทเรียนที่มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนมากที่สุด
(a) ความเห็นที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความขัดแย้งส่วนตัว (b) ผู้นำที่คนพร้อมตาม ต้องกล้ายอมรับผิดและปรับตัว (c) ความถูกต้องควรอยู่เหนือคำวิพากษ์ (d) ยุติธรรมเหนืออภิสิทธิ์
ข้อที่ถูกต้องคือ (c) ความถูกต้องควรอยู่เหนือคำวิพากษ์ เนื่องจาก เหตุผล: ตัวเลือก (a) ความเห็นที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความขัดแย้งส่วนตัว - มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนในแง่การวิเคราะห์ และการตัดสินใจ - นักลงทุนควรเปิดใจรับฟัง ความคิดเห็นที่แตกต่าง - การวิเคราะห์อย่างรอบคอบ จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่าง ถูกต้อง ตัวเลือก (b) ผู้นำที่คนพร้อมตาม ต้องกล้ายอมรับผิดและปรับตัว - มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุน ในแง่การจัดการ ความเสี่ยง - นักลงทุนควรยอมรับเมื่อ ตัดสินใจผิดพลาด - การเรียนรู้จากความผิดพลาดจะช่วยให้พัฒนาทกษะการลงทุน ตัวเลือก (c) ความถูกต้องควรอยู่เหนือคำวิพากษ์ - มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุน ในแง่การยึดมั่นใน หลักการลงทุน - นักลงทุนควรยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ - การลงทุนระยะยาวมักขัดกับกระแสนิยม ซึ่งต้องอาศัยความกล้าที่จะแตกต่าง ตัวเลือก (d) ยุติธรรมเหนืออภิสิทธิ์ - มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุน ในแง่การลงทุนอย่างมีจริยธรรม - นักลงทุนควรลงทุนอย่างโปร่งใส และเท่าเทียม - การลงทุนอย่างมีจริยธรรม จะช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืน ข้อที่ถูก: ตัวเลือก (c) ความถูกต้องควรอยู่เหนือคำวิพากษ์ เหตุผล: - บทความนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะต้องเผชิญกับแรงกดดัน หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ - จอห์น แมคเคน เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ยึดมั่นในหลักการ ของเขาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคะแนนนิยม - การลงทุนเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและเหตุผลที่ถูกต้อง - นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นผู้ที่มีความกล้าที่จะแตกต่าง และ ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43516
Finance
ช่วยสรุปบทความ ตลาดหุ้น …. สถานที่แห่งการฝึกตน
มีเซียนหุ้นในตลาดคนหนึ่งเคยบอกกับผมตอนผมเข้าวงการใหม่ๆว่า เมื่อคุณอยู่ในตลาดหุ้นมานานพอ คุณจะรู้จักตัวตนของคุณดีขึ้น และเมื่อจักตัวตนดีขึ้น เมื่อนั้นการทำกำไรในตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป ตอนแรกผมก็สงสัยว่า รู้จักตัวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกำไร? แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้เข้าใจว่า เมื่อเราตั้งความคาดหวังจากการลงทุนอย่างเหมาะสม เข้าใจทั้งสัจธรรมของตลาด และเข้าใจทั้งตัวตนของตัวเองแล้ว เราจะเริ่มหาแนวทางที่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ไม่ฝืนเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ซึ่งสร้างภาวะแห่งสติ และหยั่งรู้ความเป้นไปของตลาดมากขึ้น สิ่งนี้มาจากการ Trail & Error คือการลองผิดลองถูกมาแบบนั้นครั้งไม่ถ้วน และนักลงทุนแต่ละปัจเจกบุคคลก็มีจุดที่เหมาะสมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ถึงแม้เราจะลอกวิธีของเซียนคนไหนมาแบบ 100% มันก็ยังไม่ใช่เครื่องการันตีผลตอบแทนว่าจะได้เหมือนเซียนคนนั้นไปตลอด เพราะยังไงเสีย ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราต่างจากเซียนคนนั้นอยู่ดี นั้นก็คือ “นิสัย” หน้าที่ของนักลงทุนที่สำคัญและไม่ควรละเลยอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ การฝึก “นิสัย” ให้เหมาะและเอิ้อกับการลงทุน และมันจะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าตลาดหุ้นอีกล่ะครับ ในเมื่อความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นอยู่ทุกวัน มันยิ่งช่วยให้เราเห็นนิสัยแย่ๆของตัวเองได้เร็วกว่าคนที่อยู่นอกตลาด เห็นหมดนิสัยแย่ๆ เห็นความโลภ (เห็นเพื่อนรวยหุ้น ก็อยากรวยบ้าง) เห็นความใจร้อน (ชอบหุ้นปั่น มันส์สะใจ) เห็นความประมาท (ใช้หูเล่น แทนที่จะใช้สมองวิเคราะห์) รู้ก็รู้ว่าเป็นแนวทางที่ไม่ดี แต่ก็เลิกไม่ได้ชิมิ เปลี่ยนมุมมองนะครับ กำไรจากตลาดหุ้น มันไม่มีเส้นชัยที่แน่นอนมาเป็นตัววัด เกมส์การลงทุน เป็นเกมส์ที่ต้องเล่นกันทั้งชีวิต และเมื่อต้องอยู่กับมันไปตลอด และสู้รบตบมือกับฝรั่งอันชาญฉลาด กองทุนอันร้ายกาจ และป๊อบเทรดสุดโหด จะสู้แบบนี้ไปเรื่อยๆจริงๆหรือ? เรามาใช้ตลาดหุ้นเป็นสถานที่แห่งการฝึกตนกันดีกว่า เพื่อเวลาเจอวิกฤตในคราวหน้า เราจะได้หาโอกาสเจอ และได้ประโยชน์จากมันทุกครั้งไป
การรู้จักตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญในการทำกำไรในตลาดหุ้น เมื่อเราเข้าใจทั้งสัจธรรมของตลาดและตัวตนของเราเอง จะช่วยให้เราหาแนวทางที่เหมาะสมและสร้างสภาวะแห่งสติในการลงทุน การทำ Trail & Error เป็นสิ่งที่สำคัญในการศึกษาตลาด และแต่ละนักลงทุนมีสไตล์และนิสัยที่ไม่เหมือนกัน การลอกเลียนเซียนไม่ได้รับการการันตีว่าจะได้ผลเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ "นิสัย" เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราแตกต่างจากผู้อื่นในการลงทุนในตลาดหุ้น การฝึก "นิสัย" เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมันช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและสภาวะของตลาด การมีความเปลี่ยนแปลงที่ตลาดทำให้เราเห็นนิสัยแย่ของตัวเองได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ เรายังมีโอกาสพบวิกฤติและประโยชน์จากมัน ตลาดหุ้นไม่มีเส้นทางที่แน่นอนในการวัดกำไร การลงทุนเป็นเกมที่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้องรับมือกับฝรั่งที่มีความชำนาญ กองทุนที่ร้ายกาจ และการเทรดที่ทรงพลัง การใช้ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ฝึกฝนตัวเองดีกว่า โดยมองเป็นเกมที่ต้องเล่นตลอดชีวิตและรับมือกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_46086
Legal
การอุ้มบุญอย่างไรไม่ผิดกฎหมาย
กฎหมายน่ารู้ : 56 “อุ้มบุญอย่างไรไม่ผิดกฎหมาย” ปัจจุบันการอุ้มบุญในประเทศไทยสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้…อย่างไรก็ตาม….การให้ผู้อื่นตั้งครรภ์แทน กำหนดให้ทำได้เฉพาะคู่สามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น การอุ้มบุญในประเทศไทย จึงถือว่ายังมีข้อจำกัดต่อผู้ที่ต้องการมีบุตร เพราะฉะนั้น การอุ้มบุญมีข้อควรรู้และข้อห้ามของหญิงตั้งครรภ์แทน รวมถึงเด็กที่จะคลอดออกมาด้วย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 อีกด้วย อุ้มบุญ คือ การรับตั้งครรภ์แทนจากคู่สมรสที่ต้องการมีลูก โดยอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ สามี ภรรยา สัญชาติไทย จดทะเบียนสมรส ต้องการจะมีลูก แพทย์ออกใบรับรองมีลูกยาก สามี หรือ ภรรยา คนใดคนหนึ่ง เป็นชาวต่างชาติ จดทะเบียนสมรส ไม่น้อยกว่า 3 ปี หลักเกณฑ์การรับตั้งครรภ์แทน ไม่เป็น พ่อแม่/ผู้สืบสันดานของสามีหรือภรรยาที่จะทำอุ้มบุญ เป็นญาติ สืบสายโลหิต ที่ชอบตัวกฎหมาย เป็นหญิงตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เคยมีบุตรก่อนเท่านั้นและได้รับความยินยอมจากสามี ข้อควรรู้การอุ้มบุญ สามี ภรรยา ที่ทำการอุ้มบุญ ต้องแจ้งเกิดตามกฎหมาย เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของสามีภรรยาที่ทำการอุ้มบุญ สามี ภรรยา เสียชีวิตก่อนเด็กเกิดให้หญิงตั้งครรภ์แทนผู้ปกครอง เด็กมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดก ข้อห้ามการรับตั้งครรภ์แทน ห้ามรับตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้า ห้ามสามีภรรยาที่อุ้มบุญปฏิเสธที่จะรับเป็นบุตร ห้ามเป็นคนกาง นายหน้าเรียกรับทรัพย์หรือทำการชี้ชองการรับตั้งครรภ์แทน ห้ามโฆษณา ว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์ หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำปรึกษาสามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ชั้น 4 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 02-193-7000 ต่อ18419 หรือ18418 และเฟซบุ๊ค กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โรงพยาบาล/สถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ จำแนกตามจังหวัด จำนวน 90 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ.2562 ) กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลวชิรพยาบาล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลกรุงเทพโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากเจตนินโรงพยาบาลเฉพาะทางขนาดเล็ก โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลบีเอ็นเอช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลปิยะเวท โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่เปาโล พยลโยธิน โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลพญาไท 3 โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่พระรามเก้า โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ วิภาวดี โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลเวชธานี โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลศิครินทร์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลสินแพทย์โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่เสรีรักษ์ คลินิกจินตบุตรการแพทย์ เจตนินไอวีเอฟคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรมมสูตินรีเวช เจเนซีสคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรมมสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา บอร์น ไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติ-นรีเวช คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวชทะคาระ ไอวีเอฟ บางกอก ศูนย์การแพทย์นวบุตร คลินิกเวชกรรมเฉพาะทาง นวบุตรสยาม คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวช คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติศาสตร์บางกอกไอวีเอฟลาดพร้าว คลินิกเวชกรรมแฟมิลี่เฮลท์ สาขาถนนเพชรบุรีตัดใหม่ วิชัยเวชสหคลินิก เวิลด์ไวด์คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสตอร์คเอ.อาร์.ที. สยามเฟอร์ทิลิตี้คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวชวิทยา สมาร์ทคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติ-นรีเวช เอฟเอฟซี คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เอสเอฟซี เฟอร์ทิลิตี้คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวชวิทยา เอสเอฟซีเฟอร์ทิลิตี้คลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช สาขารามอินทรา เอ็นเอช คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา เอ ไอวี เอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูติ – นรี เอส.เอ.อาร์.ทีคลินิกเวชกรรมเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวชไอดับบลิวซี ไอเบบี้ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช คลินิกศูนย์แพทย์อรุณอัมรินทร์ ลาวิดาคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช มิสกวานคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คอนราดี เอ.อาร์.ที. คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช เลเจ้นท์คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวช สตีเวนส์เฟอร์ทิลิตี้คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวช บีดีเอ็มเอส เวลเนส สหคลินิก คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวชอินสไปร์ สไมล์คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวช ไพร์มคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์นรีเวช อาร์เอฟจีคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวช มิลเลนเนียมคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวช โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง โรงพยาบาลทั่วไปขนาดกลาง โนวาวิด้าคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา เมโกะพระราม2 สหคลินิก อิเคไอคลินิกเฉพาะทางด้สยเวชกรรมสูติ-นรีเวช จังหวัดขอนแก่น 1. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ 2. เอสเอฟซี เฟอร์ทิลิตี้ ขอนแก่นคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวช จังหวัดเชียงใหม่ 1. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ 2. เชียงใหม่ ไอ.วี.เอฟ สหคลินิก 3. อภิชาติสูติ-นรีคลินิกเวชกรรมเฉพาะทาง จังหวังเชียงราย 1. โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค จังหวัดชลบุรี 1. โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา โรงพยาบบาลทั่วไปขนาดใหญ่ 2. โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ จังหวัดนครนายก 1. ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จังหวัดนครราชสีมา 1. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 2. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 3. โรงพยาบาลราชสีมา ฮอสพิทอล4. คลินิกหมอจำรัสเวชกรรม จังหวัดนครศรีธรรมราช 1. นครศรีไอวีเอฟคลินิกเฉพาะทางเวชกรรมสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา จังหวัดปทุมธานี 1. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดพิษณุโลก 1. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร 2. คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช นายแพทย์วิเศรษฐ ไอวีเอฟ พิษณุโลก จังหวัดภูเก็ต 1. โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตโรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ 2. ไอวีเอฟ ภูเก็ตคลินิกเฉพาะทางสูตินรีเวช จังหวัดฉะเชิงเทรา 1. จุฬารัตน์ 11 อินเตอร์ โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่ จังหวัดสมุทรสาคร 1. โรงพยาบาลทั่วไปขนาดใหญ่เอกชัย จังหวัดสงขลา 1. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ 2. โรงพยาบาลหาดใหญ่ 3. โรงพยาบาลศิครินทร์หาดใหญ่ 4. คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา หาดใหญ่ไอวีเอฟ จังหวัดอุดรธานี 1. โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร 2. คลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมสูตินรีเวชวิทยากิฟท์ไอวีเอฟอุดรธานี ที่มา : พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558
การอุ้มบุญในประเทศไทย จึงถือว่ายังมีข้อจำกัดต่อผู้ที่ต้องการมีบุตร เพราะฉะนั้น การอุ้มบุญมีข้อควรรู้และข้อห้ามของหญิงตั้งครรภ์แทน รวมถึงเด็กที่จะคลอดออกมาด้วย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 อีกด้วย อุ้มบุญ คือ การรับตั้งครรภ์แทนจากคู่สมรสที่ต้องการมีลูก โดยอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ สามี ภรรยา สัญชาติไทย จดทะเบียนสมรส ต้องการจะมีลูก แพทย์ออกใบรับรองมีลูกยาก สามี หรือ ภรรยา คนใดคนหนึ่ง เป็นชาวต่างชาติ จดทะเบียนสมรส ไม่น้อยกว่า 3 ปี หลักเกณฑ์การรับตั้งครรภ์แทน - ไม่เป็น พ่อแม่/ผู้สืบสันดานของสามีหรือภรรยาที่จะทำอุ้มบุญ - เป็นญาติ สืบสายโลหิต ที่ชอบตัวกฎหมาย - เป็นหญิงตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด - เคยมีบุตรก่อนเท่านั้นและได้รับความยินยอมจากสามี ข้อควรรู้การอุ้มบุญ - สามี ภรรยา ที่ทำการอุ้มบุญ ต้องแจ้งเกิดตามกฎหมาย - เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของสามีภรรยาที่ทำการอุ้มบุญ - สามี ภรรยา เสียชีวิตก่อนเด็กเกิดให้หญิงตั้งครรภ์แทนผู้ปกครอง - เด็กมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและมรดก ข้อห้ามการรับตั้งครรภ์แทน - ห้ามรับตั้งครรภ์แทน เพื่อประโยชน์ทางการค้า - ห้ามสามีภรรยาที่อุ้มบุญปฏิเสธที่จะรับเป็นบุตร - ห้ามเป็นคนกาง นายหน้าเรียกรับทรัพย์หรือทำการชี้ชองการรับตั้งครรภ์แทน - ห้ามโฆษณา ว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์
กฎหมายเยาวชนและครอบครัว พรบ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_341
Finance
5 เทคนิคบริหารเงินให้งอกเงย มีอะไรบ้าง
null
1. จดบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นประจำ หลายคนอาจรู้สึกว่าการจดบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นเหมือนยาขม ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา เช่น ลืมจด ไม่สะดวก ขี้เกียจ แต่การไม่จดบันทึกจะทำให้ไม่สามารถติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมการใช้เงินในชีวิตประจำวันของตัวเองได้ การจดบันทึกรายรับรายจ่าย ทุกคนสามารถลงมือทำได้ทันที เพียงมีกระดาษหนึ่งแผ่น ปากกาหนึ่งด้าม จากนั้นให้พกกระดาษแผ่นนี้นำติดตัวไปทุกที่ เมื่อมีการใช้จ่ายก็หยิบขึ้นมาจดบันทึก เช่น ซื้อข้าวเพียง 10 บาทก็ต้องจดบันทึก และเมื่อกลับถึงบ้านให้คัดลอกลงสมุดบันทึกเพื่อป้องกันการสูญหาย หรือถ้าต้องการความสะดวกสบายมากกว่านี้ก็ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันการบันทึกรายรับรายจ่ายลงมือถือ เมื่อใช้จ่ายเงินก็เปิดแอปพลิเคชันแล้วทำการจดบันทึก ซึ่งการทำแบบนี้เป็นประจำทุกวันจะสามารถติดตามการใช้เงินได้ตลอด และหากพบว่ามีการใช้เงินไปกับเรื่องใดมากเป็นพิเศษ ก็จะรู้และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายได้ทันที 2. จัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายเพื่อลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เมื่อทำการจดบันทึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องทำการทบทวนรายรับรายจ่ายเป็นประจำ เช่น เดือนละหนึ่งครั้ง และหากพบว่ารายจ่ายใดที่มากเกินความจำเป็น เช่น เพื่อความบันเทิง สังสรรค์ หรือรูดบัตรเครดิตเพื่อช้อปปิ้ง ก็ลองตั้งเป้าหมายเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ด้วยการแบ่งเงินเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค บันเทิง สังสรรค์ ซึ่งข้อดีของการแบ่งเงินเป็นหมวดหมู่จะทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และรู้ตัวว่ากำลังจับจ่ายไปกับเรื่องใดมากเกินควร 3. หาช่องทางเพิ่มหรือชดเชยรายได้ เมื่อจดบันทึกรายรับรายจ่ายและแบ่งหมวดหมู่รายจ่ายแล้ว อาจพบว่ารายรับส่วนใหญ่มักมีเพียง 1 รายการ คือ เงินเดือน ดังนั้น หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ถูกลดเงินเดือน ตกงาน หรือเจ็บป่วย อาจเจอกับรายได้ตึง ทางออก คือ มองหาช่องทางหารายได้เสริม ที่สำคัญควรป้องกันการสูญเสียรายได้จากอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย ผ่านการทำประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุด้วย 4. ให้เงินทำงานผ่านการลงทุน นอกจากการหารายได้เสริม อีกหนึ่งช่องทางในการเพิ่มรายได้ คือ นำเงินออมไปลงทุน ซึ่งปัจจุบันช่องทางการลงทุนมีหลากหลาย เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ โดยก่อนตัดสินใจลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และเลือกลงทุนกับสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับสไตล์ เป้าหมายและความเสี่ยงของตัวเอง 5. จัดระเบียบหนี้สินให้เป็นระบบ ผู้ที่มีหนี้สินและกำลังผ่อนจ่าย ยิ่งต้องจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างและส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับอะไร จากนั้นก็จัดการลดรายจ่ายแล้วนำเงินไปจ่ายหนี้เพิ่มเติมเพื่อให้หนี้หมดเร็วขึ้น หรือนำไปออมเพื่อใช้เป็นเงินสำรองในกรณีฉุกเฉิน จะได้ไม่ต้องไปก่อหนี้เพิ่ม โดยเมื่อเวลาผ่านไป หนี้ลดและหมดไป ก็โฟกัสที่การออมและการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง มั่นคงให้กับชีวิตตัวเองและครอบครัว
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10230
Medical
โปรดสรุปบทความ เครื่องอัลตราซาวนด์สำหรับให้น้ำเกลือในผู้ป่วยเด็ก ช่วยในการเปิดเส้นเลือดดำได้
เครื่องอัลตราซาวนด์ สำหรับให้น้ำเกลือในผู้ป่วยเด็ก ช่วยในการเปิดเส้นเลือดดำ การทำหัตถการในผู้ป่วย เช่น การให้น้ำเกลือ โดยทั่วไปแพทย์จำเป็นจะต้องใช้ทักษะและความชำนาญในการเปิดเส้นเลือดดำซึ่งความยากง่ายในการทำหัตถการนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเส้นเลือดดำใต้ผิวหนังของผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับผู้ป่วยบางรายที่เส้นเลือดดำบริเวณใกล้ผิวหนังหาได้ยาก และจำเป็นต้องเปิดเส้นเลือดดำที่ลึกลงไป อาจส่งผลให้การเปิดเส้นเลือดดำเพื่อแทงเข็มน้ำเกลือสำเร็จได้ยาก ทำให้แพทย์ต้องใช้เวลาและจำนวนครั้งในการทำหัตถการมากขึ้นตามไปด้วย อันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดของผู้ป่วย โดยเฉพาะการทำหัตถการในผู้ป่วยเด็กที่มีความยากและต้องใช้ทักษะสูงในการเปิดเส้นเลือดดำมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่นหลายเท่า นพ.พิพัฒน์ แซ่ยับ วิสัญญีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้ริเริ่มนำเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เข้ามาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงที่มาของการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ว่า แต่เดิมวิธีการทำหัตถการให้น้ำเกลือในผู้ป่วยเด็กด้วยการเปิดเส้นเลือดดำซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงน้อย 2 วิธี คือ 1) การใช้ทักษะเฉพาะตัวของแพทย์ในการเปิดเส้นเลือดดำที่มือของผู้ป่วยเด็ก พบว่าบางครั้งทำได้ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญสูง เนื่องจากเส้นเลือดดำที่มือผู้ป่วยเด็กมีขนาดค่อนข้างเล็ก บาง และเปราะ ทำให้ต้อง.ช้เวลาและจำนวนครั้งในการทำหัตถการค่อนข้างมากและยังสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยอีกด้วย 2) การใช้แสงสีแดง (Red Light Vein Finder) ส่องที่มือของผู้ป่วยเพื่อช่วยในการระบุตำแหน่งเส้นเลือดดำและสามารถเปิดเส้นเลือดดำได้ตรงตำแหน่ง แต่มีข้อจำกัดคือ แสงที่ส่องช่วยให้มองเห็นเส้นเลือดดำได้ในบริเวณที่มีผิวหนังบางๆ เท่านั้นไม่สามารถใช้กับเส้นเลือดดำที่อยู่ลึกในผิวหนังได้ แต่การนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำนั้นสามารถทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นเลือดดำได้อย่างชัดเจนสามารถทำการเปิดเส้นเลือดดำได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดจำนวนครั้งในการแทงเข็ม ลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย รวมถึงลดระยะเวลาในการทำหัตถการให้น้อยลงอีกด้วย เมื่อสอบถามถึงแรงบันดาลใจในการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็ก นพ.พิพัฒน์ เล่าว่า เกิดจากการที่ได้มีโอกาสไปศึกษาและปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลในเมืองเกียวโตโดยการสนับสนุนของสมาคมวิสัญญีแพทย์ประเทศญี่ปุ่น (Japanese Society of Anesthesiologists) เมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา พบว่ามีการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการเปิดเส้นเลือด ทั้งเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง แม้ว่าการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการทำหัตถการนี้จะต้องใช้ทักษะอื่นเพิ่มเติม แต่กลับช่วยให้การเปิดเส้นเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งกลับมาประเทศไทยก็พบว่าที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เองก็มีการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ลักษณะเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่นอยู่แล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่ที่นี่นำมาใช้สำหรับการอัลตราซาวนด์เพื่อระงับความรู้สึกของเส้นประสาทเท่านั้น และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้นำเครื่องอัลตราซาวนด์นี้มาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สำหรับประโยชน์ของการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็กคือ ช่วยให้แพทย์สามารถมองหาเส้นเลือดดำได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเส้นเลือดจะอยู่ลึกเพียงใด ทำให้สะดวกในการทำหัตถการ อีกทั้งตัวเครื่องอัลตราซาวนด์มีขนาดเล็ก กะทัดรัด เคลื่อนย้ายง่าย และสามารถใช้งานได้ด้วยคนเพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามการใช้งานเครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อใช้เปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็กนี้ แพทย์ผู้ใช้งานจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเนื่องจากต้องใช้ทักษะเพิ่มเติมที่แตกต่างจากการเปิดเส้นเลือดดำโดยทั่วไป ทั้งยังแตกต่างจากการใช้งานเครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อระงับความรู้สึกของเส้นประสาท กล่าวคือ ภาพที่ปรากฏบนจอสำหรับการระงับความรู้สึกของเส้นประสาทจะเห็นเป็นภาพตัวเข็มในแนวยาว แต่สำหรับการเปิดเส้นเลือดดำที่มือนั้น ภาพที่ปรากฏบนจอจะเห็นเพียงแค่ปลายเข็มที่มีลักษณะเป็นจุดเท่านั้น ดังนั้นหากฝึกฝนบ่อยๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยก็จะสามารถใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อเปิดเส้นเลือดดำให้กับผู้ป่วยได้อย่างชำนาญ และสามารถทำหัตถการให้น้ำเกลือผู้ป่วยได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น “การนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในหัตถการนี้ไม่ใช่ทักษะใหม่ เพียงแต่เพิ่มเติมบางขั้นตอนเข้าไปเท่านั้น ซึ่งช่วยให้แพทย์สะดวกในการรักษาและลดความเจ็บปวดของผู้ป่วยเด็ก” ปัจจุบัน นพ.พิพัฒน์ ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยให้แก่แพทย์ประจำบ้าน (Resident) ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อส่งต่อความรู้อันจะเป็นประโยชน์ในการทำหัตถการให้กับผู้ป่วยเด็กเนื่องจากเห็นว่าวิสัญญีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์อยู่มาก อีกทั้งการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในหัตถการนี้ก็ไม่ใช่ทักษะใหม่ หากแต่เป็นการนำทักษะการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เดิมมาเพิ่มเติมบางขั้นตอนเข้าไปเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับช่วยให้การทำหัตถการของแพทย์มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม และช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย นอกจากนี้ นพ.พิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในอนาคตอยากเชิญชวนให้แพทย์สาขาอื่นๆ นอกจากวิสัญญีแพทย์ เช่น แพทย์เวชบำบัดวิกฤต อายุรแพทย์ ได้มาฝึกฝนการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เพื่อเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งจะสามารถช่วยลดการรอเพื่อขอความช่วยเหลือจากวิสัญญีแพทย์ และช่วยให้การดูแลรักษาผู้ป่วยดำเนินไปได้สำเร็จลุล่วงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วิสัญญีแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ริเริ่มนำเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เข้ามาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำในผู้ป่วยเด็กในไทย เนื่องจากการเปิดเส้นเลือดดำต้องใช้ทักษะและความชำนาญ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยเป็นเด็ก หรือมีเส้นเลือดดำบริเวณใกล้ผิวหนังแบบค้นหาได้ยาก ซึ่งแต่เดิมมีวิธีการทำหัตถการให้น้ำเกลือในผู้ป่วยเด็กด้วยการเปิดเส้นเลือดดำที่มีความเสี่ยงน้อยแค่ 2 วิธี คือ 1) การใช้ทักษะเฉพาะตัวของแพทย์เปิดเส้นเลือดดำที่มือของผู้ป่วยเด็ก ซึ่งทำได้ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญสูง เนื่องจากเส้นเลือดดำที่มือผู้ป่วยเด็กค่อนข้างเล็ก บาง และเปราะ ทำให้ต้องใช้เวลาและจำนวนครั้งในการทำหัตถการค่อนข้างมาก รวมทั้งสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วย 2) การใช้แสงสีแดง (Red Light Vein Finder) ส่องที่มือของผู้ป่วย เพื่อให้ช่วยในการระบุตำแหน่งเส้นเลือดดำและสามารถเปิดเส้นเลือดดำได้ตรงตำแหน่ง มีข้อจำกัดคือ แสงที่ส่องช่วยให้มองเห็นเส้นเลือดดำได้ในบริเวณที่มีผิวหนังบางๆ เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเส้นเลือดดำที่อยู่ลึกในผิวหนังได้ สำหรับการนำเครื่องอัลตราซาวนด์มาใช้ในการเปิดเส้นเลือดดำ มีข้อดีคือสามารถทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นเลือดดำได้ชัดเจน และทำการเปิดเส้นเลือดดำได้สะดวก มีประสิทธิภาพ ลดจำนวนครั้งในการแทงเข็ม ลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย รวมถึงลดระยะเวลาในการทำหัตถการ
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,วิสัญญีวิทยา (วิสัญญีวิทยา) - Anesthesiology,รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43131
Finance
FN มี gross margin สูงถึงกี่เปอร์เซ็นต์
Factory Outlet เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนเข้าไปจับจ่ายซื้อของกัน และนับเป็นอีกธุรกิจที่เติบโตไปกับแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทย วันนี้ผมขอพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จัก FN หรือ บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จากัด (มหาชน ) ที่ทำการศึกษาไว้อย่างน่าสนใจโดยสมาชิกโครงการ SPACE by FINNOMENA คุณ Teerapol Jirathinan (ชื่อเฟสบุ๊ค) ไปดูกันเลยครับ Bottom-up SPACE คือแนวคิดการสร้างพื้นที่ด้านการลงทุนด้วยตัวคุณเอง เราเชื่อว่า การวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ตัดสินใจซื้อขายด้วยตัวเองเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในการลงทุนได้ ***โครงการนี้มีจุดประสงค์ในเรื่องของการศึกษา ไม่ได้เป็นการชี้นำ หรือเป็นการกำหนดมุมมองที่มีต่อหุ้น สนใจดูรายละเอียดได้ทางเฟสบุ๊ค ที่ บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จากัด (มหาชน) ( “FN”) ดำเนินธุรกิจศูนย์จัดจำหน่ายสินค้าประเภท “เอ๊าท์ เลท” ภายใต้ชื่อ “เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท (“เอ๊าท์เลท”)” ซึ่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ประเภทเสื้อผ้า เครื่องนอน เครื่องหนัง เฟอร์นิเจอร์ และของใช้ภายในบ้าน ภายใต้ตราสินค้าของบริษัท และตราสินค้าอื่น ๆ ที่เป็น International Brand เป็นส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความหลากหลาย และตอบสนองความต้องการได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งบริษัทเสาะหาและคัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพ โดยปัจจุบันบริษัทมีเอ๊าท์เลททั้ง สิ้น 7 สาขา ได้แก่ สาขาเพชรบุรี สาขากาญจนบุรี สาขาพัทยา สาขาปากช่อง สาขาสิงห์บุรี สาขาหัวหิน และสาขาศรีราชา ความน่าสนใจของ FN คือแผนจะเปิดสาขาให้ได้ปีละ 2 สาขาอย่างต่อเนื่อง และจะปรับรูปแบบธุรกิจจากเดิมที่เป็นร้านขายของตัวเองอย่างเดียว เป็นแบบพื้นที่ให้เช่า ในอนาคต หากสามารถปรับสาขาเดิมให้มีพื้นที่เช่าได้จริง รวมถึงสาขาใหม่เปิดขึ้นมาหลังจากนี้ FN จะเริ่มมีรายได้ที่มั่นคงจากค่าเช่าเข้ามาเสริมด้วย FN มี gross margin สูงถึง 45% และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น จากการที่เน้นขายสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเอง ถึงแม้ว่าจำนวนวันของสินค้าคงเหลือ ของ FN สูงถึง 200 กว่าวัน แต่การเปิดสาขาเพิ่มเติมมีแนวโน้มช่วยทำให้สินค้าคงเหลือของ FN หมุนได้เร็วขึ้น และจำนวนวันของสินค้าคงเหลือจะลดลง และสร้างกระแสเงินสดเข้ามาให้แก่บริษัทในอนาคตได้ การเติบโตของ FN หลัก ๆ คือการที่บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเอ๊าท์เลทเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมุ่งเน้นที่จะเปิดสาขาในจังหวัดที่เป็น เส้นทางสายหลัก สำหรับการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อรองรับความต้องการซื้อของลูกค้าในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งบริษัทเน้นการสร้างสรรค์รูปแบบเอ๊าท์เลทให้มีความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อ ของ รวมถึงการพักผ่อน ผ่านความพิถีพิถันในการสรรหาผลิตภัณฑ์ที่นำมาวางจำหน่ายให้มีความหลากหลายและสอดรับกับความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ภายในปี 2561 บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่ม 5 สาขา โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินที่ใช้ในการลงทุนจะมาจากเงินระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ แก่ประชาชนเป็น ครั้งแรกส่วนหนึ่ง ร่วมกับกระแสเงินสดภายในกิจการ และการขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ทั้งนี้สาขาที่เปิดใหม่จะมีรูปแบบเป็นเอ๊าท์เลท ซึ่งจะเปิดให้มีพื้น ที่เช่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั้นก็จะสามารถที่จะเพิ่มยอดขายและอัตรากำไรสุทธิได้ ทั้งหมดเป็นประเด็นหลัก ๆ ในการศึกษาบริษัท ของ บริษัท เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท จากัด (มหาชน ) โดยคุณ Teerapol Jirathinan (ชื่อเฟสบุ๊ค) ท่านใดสนใจรายละเอียดเต็ม ๆ พร้อมรูปประกอบ หรือต้องการไปแลกเปลี่ยนความรู้กัน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
FN มี gross margin สูงถึง 45% และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น จากการที่เน้นขายสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเอง ถึงแม้ว่าจำนวนวันของสินค้าคงเหลือ ของ FN สูงถึง 200 กว่าวัน แต่การเปิดสาขาเพิ่มเติม มีแนวโน้มช่วยทำให้สินค้าคงเหลือของ FN หมุนได้เร็วขึ้น และจำนวนวันของสินค้าคงเหลือจะลดลง และสร้างกระแสเงินสดเข้ามาให้แก่บริษัทในอนาคตได้
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43722
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Management มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Passive Management มากที่สุดในช่วงใด
(ก) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Dispersion สูง (ข) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Beta สูง (ค) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Alpha สูง (ง) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Correlation สูง
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ (ก) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Dispersion สูง เนื่องจาก เหตุผล ค่า Dispersion เป็นตัววัดการกระจายตัวของผลตอบแทนของหุ้นในตลาด เมื่อ ค่า Dispersion สูง หมายความว่า ผลตอบแทนของหุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกันมาก ช่วงที่ ค่า Dispersion สูง เป็นโอกาสที่ดีสำหรับ การเลือกหุ้น (Stock Selection) การลงทุนแบบ Active Management เน้นการเลือกหุ้นที่มีศักยภาพ ดังนั้น การลงทุนแบบ Active Management มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Passive Management ในช่วงที่ ค่า Dispersion สูง ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ถูกต้อง (ข) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Beta สูง : ค่า Beta วัดความเสี่ยงของหุ้นเทียบกับตลาด ไม่ได้วัดโอกาสในการสร้างผลตอบแทน (ค) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Alpha สูง : ค่า Alpha วัดผลตอบแทนส่วนเกินที่ได้จากการลงทุน มากกว่าผลตอบแทนจากตลาดโดยรวม ไม่ได้วัดโอกาสในการสร้างผลตอบแทน (ง) ช่วงที่ตลาดหุ้นมี ค่า Correlation สูง : ค่า Correlation วัดความสัมพันธ์ของผลตอบแทนระหว่างหุ้น ไม่ได้วัดโอกาสในการสร้างผลตอบแทน สรุป การลงทุนแบบ Active Management มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า Passive Management มากที่สุดในช่วงที่ ค่า Dispersion สูง
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12794
Medical
ยาโซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนตมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
A. ยาทา B. ยาฉีด C. ยาน้ำ D. ยาเม็ด
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ B. เนื่องจาก ยาโซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนตมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น ยาฉีดที่มีส่วนประกอบ Sodium ferric glutamate 12.5 มิลลิกรัมมิลลิลิตร โดยมีขนาดบรรจุ 5 มิลลิลิตรขวด โซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนตมีขนาดการบริหารยาอย่างไร ยกตัวอย่างขนาดการใช้ยาบริหารยาโซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนต สำหรับผู้ที่ขาดธาตุเหล็กจากการล้างไตฟอกเลือด เช่น ผู้ใหญ่ หลังการฟอกเลือด ให้เจือจางโซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนต 125 มิลลิกรัมในสารละลายโซเดียม คลอไรด์ 0.9 แล้วหยดเข้าหลอดเลือดดำโดยใช้ระยะเวลาในการให้ยานาน 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรืออาจต้องให้ยาในลักษณะนี้เพิ่มเติมโดยเป็นไปตามที่แพทย์สั่ง เด็กอายุตั้งแต่6ปีขึ้นไป คำนวณขนาดการให้ยากับเด็กที่ขนาดยา 1.5 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยเจือจางยานี้ด้วยโซเดียม คลอไรด์ 0.9 จำนวน 25 มิลลิลิตร จากนั้น หยดยาเข้าหลอดเลือดโดยใช้เวลาให้ยานาน 1 ชั่วโมงขึ้นไป เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ห้ามใช้ยานี้ อนึ่ง ห้ามผสมยาอื่นร่วมกับยาโซเดียม เฟอร์ริก กลูโคเนตเพื่อฉีดให้ผู้ป่วยโดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์ ควรมารับการให้ยานี้ตามแพทย์นัดหมายทุกครั้ง หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_25671
Medical
แผ่นเจลซิลิโคนเหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีใด
A. สีเหลือง B. สีดำ C. สีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน D. สีเขียว
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ C. เนื่องจาก แผ่นเจลซิลิโคน silicone gel sheet เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน ซึ่งมีรายงานว่าเมื่อใช้แผ่นเจลซิลิโคนแล้วจะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้ ในการใช้แผ่นเจลซิลิโคนนี้ไม่ควรจะใช้ในขณะแผลเปิด ควรเริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมสำหรับแผลเย็บ โดยปิดแผ่นเจลซิลิโคนนี้ทับแผลเป็นหรือคีลอยด์เป็นระยะเวลานานมากกว่า ๑๒ ชั่วโมงต่อวัน อาจเริ่มต้นด้วยระยะเวลาน้อยๆ และเพิ่มขึ้นจนมากกว่า ๑๒ ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยให้แผลเป็นนี้ยุบลงได้ โดยที่ไม่เจ็บ แต่ใช้เวลาอาจจะประมาณ ๔-๖ เดือน แผ่นซิลิโคนใสนี้ สามารถนำมาล้างทำความสะอาด ใช้สบู่ฟอก ใช้น้ำสะอาดล้าง แล้วผึ่งให้แห้ง นำมาใช้ปิดแผลเป็นได้จนกว่าจะปิดไม่อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถใช้ได้นาน ๑๔-๒๘ วัน ๒ การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ Intra lesional corticosteroid การฉีดยาสตีรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง plastic surgeon จะฉีดยาสตีรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ ยานี้ควรใช้เมื่อใช้แผ่นซิลิโคนใสแล้วยังไม่หายดี ขนาดของยาที่ใช้อยู่ระหว่าง ๑๐-๑๒๐ มิลลิกรัมต่อครั้ง
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,งานการพยาบาล
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_48104
Legal
ผู้เช่าซื้อ ส่งมอบรถยนต์ให้กับผู้อื่นถือครอบครองและใช้ประโยขน์ โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ครอบครองผ่อนชำระค่าเช่าซื้อแทน หากผู้ครอบครองนำรถที่เช่าซื้อไปไว้ที่อื่นเพื่อหลบเลี่ยงมิให้ผู้เช่าซื้อติดตามยืดรถคืนได้ หรือนำไปขายต่อ เป็นความผิดฐานยักยอกใช่หรือไม่
null
ใช่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่9532/2554 โจทก์เป็นผู้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกทั้งสองคันจาก บริษัท ร. โดยเป็นผู้ชำระเงินค่ามัดจำและค่าประกันภัย แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อจะยังเป็...นของบริษัท ร. ผู้ให้เช่าซื้อ แต่โจทก์ผู้เช่าซื้อมีกรรมสิทธิตามสัญญาที่จะครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อ แม้โจทก์จะส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์โดยมีเงื่อนไขให้จำเลยผ่อนชำระค่าเช่ารถแทนโจทก์ เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย ไม่มีผลถึงหน้าที่และความรับผิดที่โจทก์มีต่อผู้ให้เช่าซื้อ และโจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภำเรียนร้อยแก่ผู้ให้เช่าในกรณีที่มีเหตุต้องคืน ทั้งยังต้องรับผิดชดใช้ราคารถกับค่าเสียหายกรณีไม่สามารถติดตามรถคืนมาได้ การที่จำเลยเบียดบังนำรถยนต์บรรทุกที่โจทก์เช่าซื้อไปไว้ที่อื่นเพื่อหลบเลี่ยงมิให้ผู้ให้เช่าซื้อติดตามยึดรถคืนได้ก็ดี หรือนำไปขายต่อก็ดี ทำให้โจทก์เสียหายต้องรับผิดชอบต่อผู้ให้เช่าซื้อทางแพ่ง แสดงถึงเจตนาของจำเลยที่จะเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนและบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดอาญาฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก ความผิดฐานยักยอกรถยนต์ที่เช่าซื้อ เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และได้รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อมีเพียงสิทธิครอบครองรถยนต์คันนั้นเท่านั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้เช่าซื้อเมื่อได้จ่ายค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว ดังนั้นในระหว่างที่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ หากผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อ ไปจำหน่ายจ่ายโอน ก็อาจเข้าข่ายกระทำความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 มีคำพิพากษาฎีกาที่เป็นแนวบรรทัดฐานได้ เช่นคำพิพากษาฎีกาที่ 7727/2544 ที่วินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากบริษัท อ. โดยชำระเงินในวันทำสัญญาบางส่วน ที่เหลือผ่อนชำระเดือนละงวดรวม 36 งวด หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถไปแล้ว จำเลยไม่ชำระค่าเช่าซื้อและไม่ติดต่อกับผู้เสียหายอีกเลย บริษัท อ. จึงบอกเลิกสัญญา แต่จำเลยไม่ส่งมอบรถคืน เมื่อสอบถามจำเลย จำเลยแจ้งว่าขายไปแล้ว ดังนี้ การที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อและชำระเงินล่วงหน้าก็เพื่อให้ได้รถยนต์ไปไว้ในครอบครอง มิได้มีเจตนาจะชำระราคาอีก พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ของบริษัท อ. ที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอก หาใช่เป็นเพียงการกระทำผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ.มาตรา 352 วรรคแรก
ประมวลกฎหมายอาญา
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_45690
Legal
ฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีกี่ประเภท
1. 6 ประเภท 2. 5 ประเภท 3. 3 ประเภท 4. 4 ประเภท
คำตอบที่ถูกต้องคือ 4. เพราะว่า ฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีกี่ประเภท ? ฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมี 4 ประเภท คือ 1.เกษตร 2.ที่อยู่อาศัย 3.ที่อื่น 4.ที่ว่างเปล่า
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายหลักทรัพย์
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43637
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "เร่งยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตไทย ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน" ให้ด้วยค่ะ
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตต้องเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายมิติ จากผลสำรวจของ KPMG เรื่อง Global Manufacturing Prospects 2023 ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมการผลิตชั้นนำทั่วโลก พบว่า เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และความไม่แน่นอนในสถานการณ์ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการผลิตต้องเผชิญกับความท้าทายในหลากหลายมิติ จากผลสำรวจของ KPMG เรื่อง Global Manufacturing Prospects 2023 ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นจากผู้บริหารในอุตสาหกรรมการผลิตชั้นนำทั่วโลก พบว่า ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 85 ให้ความสำคัญกับการ Diversify Supply Chain หรือการเพิ่มความหลากหลาย เพิ่มช่องทาง/ทางเลือกต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่แน่นอน และสร้างความคล่องตัวให้กับห่วงโซ่อุปทาน ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 80 ให้ความสำคัญกับการทบทวนกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งมีผลมาจากการปรับเปลี่ยนของ Supply Chain รวมถึงให้สอดรับกับ Trend ใหม่ๆ เช่น การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 50 ให้ความสำคัญอย่างสูงกับการสร้าง Partnerships การควบรวมกิจการ เพื่อเร่งให้ธุรกิจเติบโต และเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ESG (Environmental, Social, and Governance) คือเป้าหมายสำคัญขององค์กร แต่ยังพบว่ามีความท้าทายในอีกหลายมิติ เช่น ความยากและซับซ้อนในการลดคาร์บอนจากห่วงโซ่อุปทาน การผลิตที่มีอยู่เดิม ขาดเทคโนโลยีในการสนับสนุน ขาดความรู้ความชำนาญของผู้เกี่ยวข้อง อีกทั้งขาดความต่อเนื่องในการวัดผล กำกับติดตามให้ได้ตามเป้าหมาย ผู้บริหารเชื่อว่าพนักงานคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่ต้องเร่งทบทวนการลงทุนด้าน Digital Technology โดยมุ่งลงทุนเพื่อตอบโจทย์โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และยกเลิกส่วนที่ล้าสมัย หรือส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุน ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 85 ให้ความสำคัญกับการ Diversify Supply Chain หรือการเพิ่มความหลากหลาย เพิ่มช่องทาง/ทางเลือกต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่แน่นอน และสร้างความคล่องตัวให้กับห่วงโซ่อุปทาน ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 80 ให้ความสำคัญกับการทบทวนกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งมีผลมาจากการปรับเปลี่ยนของ Supply Chain รวมถึงให้สอดรับกับ Trend ใหม่ๆ เช่น การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น ผู้บริหารมากกว่าร้อยละ 50 ให้ความสำคัญอย่างสูงกับการสร้าง Partnerships การควบรวมกิจการ เพื่อเร่งให้ธุรกิจเติบโต และเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ESG (Environmental, Social, and Governance) คือเป้าหมายสำคัญขององค์กร แต่ยังพบว่ามีความท้าทายในอีกหลายมิติ เช่น ความยากและซับซ้อนในการลดคาร์บอนจากห่วงโซ่อุปทาน การผลิตที่มีอยู่เดิม ขาดเทคโนโลยีในการสนับสนุน ขาดความรู้ความชำนาญของผู้เกี่ยวข้อง อีกทั้งขาดความต่อเนื่องในการวัดผล กำกับติดตามให้ได้ตามเป้าหมาย ผู้บริหารเชื่อว่าพนักงานคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่ต้องเร่งทบทวนการลงทุนด้าน Digital Technology โดยมุ่งลงทุนเพื่อตอบโจทย์โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และยกเลิกส่วนที่ล้าสมัย หรือส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุน เสริมความแข็งแกร่งให้ก้าวไกล ว่องไว ไม่สะดุด จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การนำองค์กรสู่การเติบโตภายใต้สถานการณ์ที่มีความท้าทายอยู่รอบด้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในหลายด้านควบคู่กันไป ดังนั้นแนวทาง ‘SUPER’ คืออีกหนึ่งแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจก้าวได้ไกล ว่องไว แบบไม่สะดุด จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การนำองค์กรสู่การเติบโตภายใต้สถานการณ์ที่มีความท้าทายอยู่รอบด้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการในหลายด้านควบคู่กันไป ดังนั้นแนวทาง คืออีกหนึ่งแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจก้าวได้ไกล ว่องไว แบบไม่สะดุด S: Supply Chain Resilience / Relocation พิจารณาเพิ่มความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่แน่นอน และสร้างความคล่องตัว ให้กับห่วงโซ่อุปทาน เช่น เพิ่มแหล่งจัดซื้อวัตถุดิบ เพิ่มรูปแบบการผลิตที่หลากหลาย ได้แก่ การผลิตเองควบคู่กับการจ้างผลิต พิจารณากระจายฐานการผลิต หรือเพิ่มเส้นทาง ช่องทางการขนส่งสินค้า เป็นต้น โดยการพิจารณาดำเนินการใดๆ ควรเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่ได้รับ และต้นทุน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มองหาโอกาสจากที่จีนมีการขยายการลงทุน ฐานผลิตมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเมินว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อมและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างกว้างขวาง พิจารณาเพิ่มความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่แน่นอน และสร้างความคล่องตัว ให้กับห่วงโซ่อุปทาน เช่น เพิ่มแหล่งจัดซื้อวัตถุดิบ เพิ่มรูปแบบการผลิตที่หลากหลาย ได้แก่ การผลิตเองควบคู่กับการจ้างผลิต พิจารณากระจายฐานการผลิต หรือเพิ่มเส้นทาง ช่องทางการขนส่งสินค้า เป็นต้น โดยการพิจารณาดำเนินการใดๆ ควรเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่ได้รับ และต้นทุน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น มองหาโอกาสจากที่จีนมีการขยายการลงทุน ฐานผลิตมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเมินว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อมและอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างกว้างขวาง U: Unify ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เพื่อให้ธุรกิจเติบโต และเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การผนึกกำลังกับพันธมิตร การควบรวมกิจการเพื่ออาศัยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ควรพิจารณาปรับใช้ โดยปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ของการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมมีดังนี้ ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เพื่อให้ธุรกิจเติบโต และเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การผนึกกำลังกับพันธมิตร การควบรวมกิจการเพื่ออาศัยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของพันธมิตร เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ควรพิจารณาปรับใช้ โดยปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ของการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมมีดังนี้ Chemistry: การมีเป้าหมาย แนวคิดที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน Credibility: ความน่าเชื่อถือในด้านต่างๆ ของพันธมิตร ทั้งด้านภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ผลการดำเนินงาน เป็นต้น Capability: ความสามารถที่ส่งเสริมกัน สามารถจับมือกันไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว Chemistry: การมีเป้าหมาย แนวคิดที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน Credibility: ความน่าเชื่อถือในด้านต่างๆ ของพันธมิตร ทั้งด้านภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ผลการดำเนินงาน เป็นต้น Capability: ความสามารถที่ส่งเสริมกัน สามารถจับมือกันไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว P: People & Digital Technology ปัจจุบันเรากำลังก้าวเข้าสู่ Industry 5.0 ซึ่งเป็นยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่เน้นการทำงานร่วมกันระหว่าง Humans กับ Smart Systems ในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดจากการทำงาน การใส่ใจในความปลอดภัย สถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ มุ่งเน้นการลดผลกระทบเชิงลบของกระบวนการทำงานและการผลิตที่จะมีต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น องค์กรควรเริ่มทบทวน ประเมิน และปรับกระบวนการทำงานในมิติต่างๆ เพื่อให้เกิดการทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เสริมสร้างทักษะความรู้ความสามารถให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานได้ใช้ศักยภาพในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคู่กับความใส่ใจ มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเรากำลังก้าวเข้าสู่ Industry 5.0 ซึ่งเป็นยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่เน้นการทำงานร่วมกันระหว่าง Humans กับ Smart Systems ในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดจากการทำงาน การใส่ใจในความปลอดภัย สถานประกอบการที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ มุ่งเน้นการลดผลกระทบเชิงลบของกระบวนการทำงานและการผลิตที่จะมีต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น องค์กรควรเริ่มทบทวน ประเมิน และปรับกระบวนการทำงานในมิติต่างๆ เพื่อให้เกิดการทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เสริมสร้างทักษะความรู้ความสามารถให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานได้ใช้ศักยภาพในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคู่กับความใส่ใจ มีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม People & Digital Technology Collaboration People & Digital Technology Collaboration อ้างอิง: KPMG อ้างอิง: KPMG E: ESG (Environmental, Social, and Governance) ESG ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือทางรอดขององค์กร ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไว้ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 โดยในระดับองค์กรก็ควรเร่งดำเนินการเรื่อง ESG เช่นกัน เพราะไม่เพียงรักษาโลกของเราไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในปัจจุบันหากองค์กรใดไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพภูมิอากาศ จะได้รับผลกระทบเชิงลบทางธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งจากการไม่ยอมรับจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง ตลอดทั้งการมีต้นทุนในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น จากนโยบายสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) ของสถาบันการเงินที่พิจารณาให้เงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยกำหนดเงื่อนไขเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเห็นได้ว่า ESG เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องผนวกเรื่อง ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจตลอดทั้ง Value Chain เริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายด้าน ESG ให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ขององค์กร เช่น ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทาน การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการดำเนินการด้าน ESG ตลอดทั้งควรกำหนดตัวชี้วัดและกระบวนการกำกับติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ESG ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือทางรอดขององค์กร ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไว้ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 โดยในระดับองค์กรก็ควรเร่งดำเนินการเรื่อง ESG เช่นกัน เพราะไม่เพียงรักษาโลกของเราไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในปัจจุบันหากองค์กรใดไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสภาพภูมิอากาศ จะได้รับผลกระทบเชิงลบทางธุรกิจเป็นอย่างมาก ทั้งจากการไม่ยอมรับจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง ตลอดทั้งการมีต้นทุนในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น จากนโยบายสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) ของสถาบันการเงินที่พิจารณาให้เงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำพิเศษ โดยกำหนดเงื่อนไขเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเห็นได้ว่า ESG เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น องค์กรจำเป็นต้องผนวกเรื่อง ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจตลอดทั้ง Value Chain เริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายด้าน ESG ให้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ขององค์กร เช่น ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทาน การนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการดำเนินการด้าน ESG ตลอดทั้งควรกำหนดตัวชี้วัดและกระบวนการกำกับติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ R: Rethinking Investment จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Supply Chain Relocation การให้ความสำคัญด้าน Climate Change จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรต้องพิจารณาพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับบริบทใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การลงทุนยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยหากมีการลงทุนใดที่ไม่สร้างผลกำไรหรือไม่คุ้มค่า ควรพิจารณาตัดทอนอย่างเหมาะสม โดยปัจจุบันสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นควบคู่กับการลงทุนคือการประเมิน การบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาวะสงคราม การเมือง และความตึงเครียดระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลทางตรง และ/หรือทางอ้อมต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Supply Chain Relocation การให้ความสำคัญด้าน Climate Change จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรต้องพิจารณาพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับบริบทใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การลงทุนยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยหากมีการลงทุนใดที่ไม่สร้างผลกำไรหรือไม่คุ้มค่า ควรพิจารณาตัดทอนอย่างเหมาะสม โดยปัจจุบันสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นควบคู่กับการลงทุนคือการประเมิน การบริหารความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาวะสงคราม การเมือง และความตึงเครียดระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลทางตรง และ/หรือทางอ้อมต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจให้เติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตไทยในช่วงความไม่แน่นอนและมีความท้าทายรอบด้าน ไม่สามารถทำได้เพียงมิติเดียว เราจำเป็นต้องทำหลากหลายมิติควบคู่กันไป โดยควรเริ่มจากการรับรู้/เข้าใจสภาพการณ์ภายนอกที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการทำ Organizational Scanning เพื่อให้รู้ถึงสภาพการณ์ภายในขององค์กรอย่างครอบคลุม พิจารณาทบทวนเป้าหมาย/กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมจัดลำดับความสำคัญและวางแผนงานที่ควรดำเนินการก่อนหลังอย่างเหมาะสม มุ่งใช้ทรัพยากรขององค์กรที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ควบคู่กับการมีพันธมิตรที่ตอบโจทย์เป้าหมาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนองค์กรของเราให้เกิดการเติบโต ก้าวไกลได้อย่างยั่งยืน สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่าการดำเนินธุรกิจให้เติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตไทยในช่วงความไม่แน่นอนและมีความท้าทายรอบด้าน ไม่สามารถทำได้เพียงมิติเดียว เราจำเป็นต้องทำหลากหลายมิติควบคู่กันไป โดยควรเริ่มจากการรับรู้/เข้าใจสภาพการณ์ภายนอกที่อาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการทำ Organizational Scanning เพื่อให้รู้ถึงสภาพการณ์ภายในขององค์กรอย่างครอบคลุม พิจารณาทบทวนเป้าหมาย/กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ พร้อมจัดลำดับความสำคัญและวางแผนงานที่ควรดำเนินการก่อนหลังอย่างเหมาะสม มุ่งใช้ทรัพยากรขององค์กรที่มีอยู่ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด ควบคู่กับการมีพันธมิตรที่ตอบโจทย์เป้าหมาย ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนองค์กรของเราให้เกิดการเติบโต ก้าวไกลได้อย่างยั่งยืน
การนำองค์กรสู่การเติบโตภายใต้สถานการณ์ที่มีความท้าทาย จำเป็นต้องเร่งดำเนินการในหลายด้านควบคู่กันไป แนวทาง SUPER คือแนวทางที่องค์กรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจก้าวไกล ว่องไว ไม่สะดุด - S : Supply Chain Resilience / Relocation พิจารณาเพิ่มความหลากหลายในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่แน่นอน และสร้างความคล่องตัวให้กับห่วงโซ่อุปทาน มองหาโอกาสการขยายการลงทุน ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อมและอยู่ในยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน เพื่อเชื่อมโยงตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างกว้างขวาง - U : Unify การผนึกกำลังกับพันธมิตร ควบรวมกิจการเพื่ออาศัยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่ง เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ควรพิจารณาปรับใช้ โดยปัจจัยสำคัญของการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมคือ การมีเป้าหมายในแนวทางเดียวกัน ความน่าเชื่อถือของพันธมิตร และความสามารถที่ส่งเสริมกัน สามารถจับมือไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว - P : People & Digital Technology ปัจจุบันเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคการทำงานรูปแบบใหม่ที่เน้นการทำงานร่วมกันระหว่าง Humans กับ Smart Systems องค์กรควรเริ่มทบทวน ประเมิน ปรับกระบวนการทำงาน เพื่อให้เกิดการทำงานด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เสริมทักษะความรู้ความสามารถให้พนักงาน เพื่อให้พนักงานใช้ศักยภาพในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ - E : Environmental, Social and Governance องค์กรจำเป็นต้องผนวกเรื่องนี้เข้ากับการดำเนินธุรกิจ เเพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน - R : Rethinking Investment การให้ความสำคัญด้าน Climate Change จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรต้องพิจารณาพอร์ตการลงทุนให้สอดรับกับบริบทใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การลงทุนยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดี
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11215
Medical
ช่วยสรุปบทความ โปลิโอ ให้หน่อย
โรคโปลิโอ หรือ Poliomyelitis หรือ Polio หรือ Infantile paralysis เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ ซึ่งในกลุ่มของผู้ที่มีอาการนั้นส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและไม่จำเพาะ มีเพียงส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรงและเมื่อผ่านไปหลายๆปีหลังการรักษา ผู้ป่วยที่เคยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงนี้อาจเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงซ้ำขึ้นอีกครั้ง รวมทั้งเกิดกล้ามเนื้อฝ่อลีบและเกิดความพิการของข้อได้ โรคนี้ไม่มียารัก ษา แต่มีวัคซีนสำหรับป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้ วัคซีนโปลิโอถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2498 ในปี พ.ศ. 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกวาดล้างโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั่วโลกลดลงไปมากถึง 99 โดยลดลงจาก 350000 ราย จาก 125 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2531 เหลือเพียง 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศ. 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังพบโรคมากอยู่คือ อินเดีย 400 กว่าราย ปากีสถาน ไนจีเรีย และอัฟกานิสถาน อะไรเป็นสาเหตุปัจจัยเสี่ยงของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอเกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ Poliovirus ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดย่อย 3 serotypes ไวรัสโปลิโอเป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม Enterovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถแบ่งตัวเจริญเติบโตอยู่ในลำไส้และก่อโรคได้หลายโรค ตัวอย่างของไวรัสอื่นๆในกลุ่มนี้ เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ-เท้า-ปาก และไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น เนื่องจากไวรัสนี้เจริญเติบโตอยู่ในลำไส้ของผู้ป่วย เชื้อจึงถูกขับออกจากร่างกายมากับอุจจาระและแพร่สู่ผู้อื่นผ่านการกินอาหารและดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วยนั่นเอง ซึ่งเกิดจากการขับถ่ายที่ไม่ถูกสุขลักษณะและการไม่ล้างมือก่อนการหยิบจับอาหาร โรคนี้จึงมักพบในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี การติดเชื้อโปลิโอมักพบในวัยเด็กมากกว่าในผู้ใหญ่ ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสติดเชื้อเท่าๆกัน โรคโปลิโอมีกลไกการเกิดโรคอย่างไร เมื่อได้รับเชื้อโปลิโอจากการดื่มน้ำหรือกินอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป เชื้อจะเดินทาง เข้าสู่ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในลำคอบริเวณโคนลิ้นมีทั้งด้านซ้ายและด้านขวา และแบ่งตัวเจริญเติบโต เชื้อที่เหลือจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และไปอาศัยอยู่ในลำ ไส้ใหญ่โดยไม่ได้ทำให้เยื่อเมือกบุกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ แต่เชื้อจะเดินทางลงสู่ชั้นใต้เยื่อเมือกบุลำไส้ที่มีเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ แบ่งตัวเจริญเติบโตและเดินทางต่อไปยังต่อมน้ำ เหลือง เข้าสู่ตับและม้ามและแบ่งตัวเจริญเติบโตอีกครั้ง เชื้อโปลิโอที่อยู่ในตับและม้ามนี้อาจกระจายเข้าสู่กระแสเลือด โลหิต และทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ได้ ในผู้ป่วยบางคนเชื้ออาจกระจายเข้าสู่ไขสันหลังและก้านสมองได้ โดยอาจเดินทางมาตาม กระแสเลือดและเข้าสู่ไขสันหลังโดยตรง หรืออาจเดินทางมาตามกระแสเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อ เข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลายในกล้ามเนื้อ แล้วจึงเดินทางไปตามเส้นประสาทเข้าสู่ไขสันหลังต่อ ไป ไม่ว่าเชื้อจะเข้าสู่ไขสันหลังและก้านสมองโดยทางไหน เชื้อโปลิโอจะเข้าไปทำลายเซลล์ประสาทสั่งการ Motor neuron ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆทั้งกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อของอวัยวะภายใน เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถทำงานได้เองโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การกำกับของสมอง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อของลำไส้ และกล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อของแขน ขา ทำให้กล้ามเนื้อต่างๆเหล่านี้เกิดอาการอ่อนแรงได้ โรคโปลิโอมีอาการอย่างไร โรคโปลิโอมีระยะฟักตัวของโรคคือ ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการประมาณ 3 - 6 วัน ทั้งนี้แบ่งผู้ป่วยตามอาการออกเป็น 4 กลุ่มคือ 1. ไม่ปรากฏอาการใดๆ ผู้ที่ติดเชื้อประมาณ 90 - 95 จะอยู่ในกลุ่มนี้ 2. กลุ่มมีอาการเพียงเล็กน้อย Abortive poliomyelitis ประมาณ 5 - 10 ของผู้ที่ติดเชื้อจะปรากฏอาการที่ไม่จำเพาะได้แก่ มีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง เมื่อยล้า ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ปวดหัว โดยเป็นอยู่ประมาณ 3 - 5 วันแล้วจะหายเป็นปกติ 3. กลุ่มมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ Nonparalytic poliomyelitis พบได้เพียง 1 ของผู้ที่ติดเชื้อ โดยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง ปวดต้นคอ คอแข็ง และอาจมีอาการปวดหลัง ในผู้ป่วยบางคนโดยเฉพาะในเด็กจะมีอาการเหมือนผู้ป่วย Abortive poliomyelitis นำมาก่อนเกิดอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะหายเป็นปกติด้วยเช่นกัน 4. กลุ่มมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง Paralytic poliomyelitis พบผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้น้อยมาก โดยเริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนผู้ป่วยกลุ่ม Nonparalytic poliomyelitis หลัง จากนั้นเป็นเวลาหลายวันจะเริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อต่างๆทั่วร่างกายอย่างรุนแรง และตามมาด้วยอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นแบบฉับพลันทันที ในผู้ป่วยบางรายอาการของ Nonparalytic poliomyelitis จะหายสนิทก่อนหลังจากนั้น 1 - 2 วันอาการไข้ก็จะกลับมาอีกและตามด้วยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทั้งนี้กล้ามเนื้อที่เกิดอาการอ่อนแรงจะเป็นแบบข้างซ้ายและขวาไม่สมมาตรกัน โดยกล้ามเนื้อที่พบเกิดอาการบ่อยที่สุดคือ กล้ามเนื้อที่ขา แต่ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อของร่างกายส่วนไหนก็สามารถเกิดอาการขึ้นได้ทั้งนั้น เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถทำลายเซลล์ประสาทที่มีหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อเหล่านั้นได้ในหลายๆตำแหน่ง
โรคโปลิโอเกิดจากไวรัส ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีอาการ ผู้ที่มีอาการมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงเล็กน้อย และเมื่อผ่านไปหลายปีอาจมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงซ้ำขึ้น โรคนี้ไม่มีการรักษา แต่มีวัคซีนป้องกัน ทำให้อัตราการป่วยทั่วโลกลดลงไปมากถึง 99 โดยลดลงจาก 350000 ราย จาก 125 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2531 เหลือเพียง 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศ. 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังพบโรคมากอยู่คือ อินเดีย 400 กว่าราย ปากีสถาน ไนจีเรีย และอัฟกานิสถาน โรคโปลิโอมีทั้งหมด 3 ชนิดของไวรัส (3 serotypes) ในกลุ่ม Enterovirus ที่เจริญเติบโตในลำไส้ สามารถแพร่กระจายผ่านอุจจาระและมักเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ การป้องกันควรรักษาสุขลักษณะการขับถ่ายและล้างมือก่อนการหยิบจับอาหารเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโปลิโอ โรคนี้มักพบในประเทศที่ขาดสุขอนามัย และมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อโปลิโอในเด็ก เชื้อโปลิโอที่เข้าร่างทางการดื่มหรือการทานอาหารปนเปื้อนเชื้อจะเดินทางผ่านต่อมทอนซิลลำคอทั้งซ้ายและขวา เจริญเติบโตในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก จากนั้นเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ ไม่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ แต่สามารถกระจายไปยังตับและม้าม ผลกระทบต่อระบบเลือด โลหิต และทำให้เกิดอาการในร่างกาย มีกรณีเชื้อกระจายไปยังไขสันหลังและก้านสมอง ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทั้งเรียบและในอวัยวะภายใน โดยทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่ปกติโดยไม่ได้รับสั่งการจากสมอง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อของลำไส้ และกล้ามเนื้อลาย กล้ามเนื้อของแขน ขา ทำให้กล้ามเนื้อต่างๆเหล่านี้เกิดอาการอ่อนแรงได้ โรคโปลิโอมีระยะฟักตัวของโรคคือ ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งเกิดอาการประมาณ 3 - 6 วัน ทั้งนี้แบ่งผู้ป่วยตามอาการออกเป็น 4 กลุ่มคือ 1. 90-95% ของผู้ติดเชื้อโปลิโอไม่มีอาการ 2. 5-10% มีอาการน้อยเรียกว่า Abortive poliomyelitis เช่นไข้, เบื่ออาหาร, อาเจียน 3. 1% มีอาการ Nonparalytic poliomyelitis ได้แก่ปวดศีรษะ, คอแข็ง, และปวดหลัง 4. Paralytic poliomyelitis มีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรงและอ่อนแรง มีความเป็นไปได้ที่กล้ามเนื้อที่ถูกทำลายอาจหายได้หรือกลับมาอีก 1-2 วัน
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12834
Medical
ยาดรอเพอริดอล (Droperidol) เป็นยาในกลุ่ม Antidopaminergic drug/Dopamine antagonist ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทยา Janssen Pharmaceutica เมื่อปีใด
A. ปี ค.ศ.1961 (พ.ศ. 2504) B. ปี ค.ศ.1963 (พ.ศ. 2506) C. ปี ค.ศ.1964 (พ.ศ. 2507) D. ปี ค.ศ.1962 (พ.ศ. 2505)
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ A. เพราะว่า ยาดรอเพอริดอล (Droperidol) เป็นยาในกลุ่ม Antidopaminergic drug/Dopamine antagonist ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ของบริษัทยา Janssen Pharmaceutica เมื่อปี ค.ศ.1961 (พ.ศ. 2504) ทางคลินิกนำมาใช้เป็นยาต้านการอาเจียนรวมถึงอาการอาเจียนที่เกิดหลังการผ่าตัด และด้วยมีฤทธิ์กล่อมประสาท/ยาคลายเครียดจึงนำมาใช้บำบัดอาการทางจิตได้อีกด้วย ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาด้านอื่นของยาดรอเพอริดอลคือ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว รวมถึงลดความดันของหลอดเลือดแดงในปอดส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำลง เงื่อนไขของการใช้ยาดรอเพอริดอลจะต้องนำประวัติสุขภาพของผู้ป่วยเข้ามาร่วมพิจารณา เช่น ต้องไม่มีประวัติแพ้ยาดรอเพอริดอล ต้องไม่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง ห้ามใช้ร่วมกับยา Astemizole, Cisapride ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Ketolide, Macrolide นอกจากนี้ยังมีกลุ่มยาอื่นที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกันกับยาดรอเพอริดอลหรือต้องเพิ่มความระวังในการใช้ โดยอาจต้องปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไปเช่น การใช้ยาดรอเพอริดอลร่วมกับยาต้านอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยากลุ่ม Phenothiazine ยากลุ่ม Quinolones ยาต้านภาวะซึมเศร้า หรือการใช้ยานี้ร่วมกับการดื่มสุราอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยาดรอเพอริดอลจะเป็นยาฉีดและมีการใช้แต่ในสถานพยาบาลเท่านั้น สำหรับข้อมูลที่ผู้บริโภคควรทราบในระหว่างที่ได้รับยาดรอเพอริดอลเช่น อาจพบอาการวิงเวียนและง่วงนอนจากฤทธิ์ของยาดรอเพอริดอลโดยตรง ดังนั้นระหว่างการใช้ยานี้จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์กดประสาทเช่น ยาคลายเครียด นอกจากนี้ยาดรอเพอริดอลยังทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น มีเหงื่อออกมาก มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งเป็นอาการข้างเคียง (ผลข้าง เคียง) ที่จัดว่ารุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจสอบค่า ECG/การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นระยะๆ ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้แพทย์เลือกใช้ยาดรอเพอริดอลก็ต่อเมื่อใช้ยาอื่นในการรักษาผู้ป่วยแล้วไม่ได้ผล ยังมีข้อจำกัดการใช้ยาดรอเพอริดอลกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี รวมถึงสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ซึ่งยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกมาสนับสนุนการใช้ยาดรอเพอริดอลกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ทั้งนี้ยาดรอเพอริดอลสามารถใช้ได้ทั้งกับผู้ใหญ่และเด็กแต่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งและการดูแลของแพทย์เท่านั้น
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3677
Finance
แม้ความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิดในประเทศไทยจะลดลงไปบ้าง และผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติมากขึ้น การทำงานนอกสถานที่ทำงานกลับยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาเพิ่มเติมจากเดิมที่ลูกจ้างสามารถทำงานที่บ้าน เป็นลูกจ้างสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เพราะเหตุใด
null
แม้ความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิดในประเทศไทยจะลดลงไปบ้าง และผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติมากขึ้น การทำงานนอกสถานที่ทำงานกลับยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาเพิ่มเติมจากเดิมที่ลูกจ้างสามารถทำงานที่บ้าน เป็นลูกจ้างสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ เพราะนายจ้างและลูกจ้างได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ในการทำงาน จนทำให้การทำงานนอกสถานที่ทำงานนั้นสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ นายจ้างและลูกจ้างยังได้ปรับตัวเข้ากับสภาพการทำงานใหม่นี้จนคุ้นเคย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานตามปกติไปแล้ว อนึ่ง นายจ้างและลูกจ้างยังได้รับประโยชน์จากการทำงานนอกสถานที่ทำงานอีกด้วย เช่น นายจ้างเองก็ได้ลดค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่สำนักงานลง สำหรับลูกจ้าง ก็มีอิสระและความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและทำงานมากขึ้น การทำงานนอกสถานที่ทำงานจึงอาจกลายมาเป็นวิถีชีวิตใหม่ ‘New Normal’ ของผู้คนต่อไปในอนาคต เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานนอกสถานที่ทำงาน เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 รัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ… โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำงานนอกสถานที่ทำงาน การคุ้มครองลูกจ้างที่ทำงานนอกสถานที่ทำงาน และการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงานนอกสถานที่ทำงาน ร่างพระราชบัญญัติฯ ได้เพิ่มเติมมาตรา 23/1 ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้ – เพื่อประโยชน์ในการประกอบกิจการของนายจ้าง และเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการทำงานของลูกจ้าง หรือในกรณีมีความจำเป็น นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงให้ลูกจ้างนำงานในทางการที่จ้างหรือที่ตกลงไว้กับนายจ้าง ซึ่งมีลักษณะหรือสภาพของงานที่ลูกจ้างสามารถปฏิบัติงานนอกสถานประกอบกิจการหรือนอกสำนักงานของนายจ้างได้โดยสะดวก ให้ลูกจ้างนำงานดังกล่าวไปทำที่บ้านหรือที่พักอาศัยของลูกจ้าง หรือตกลงให้ลูกจ้างทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานที่ใดๆ ได้ – การตกลงข้างต้น ให้นายจ้างจัดทำเป็นหนังสือหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึง และนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง โดยอาจตกลงให้มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ + ช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการตกลง + วัน เวลาทำงานปกติ เวลาพัก และการทำงานล่วงเวลา + หลักเกณฑ์การทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุด รวมทั้งการลาประเภทต่างๆ + ขอบเขตหน้าที่การทำงานของลูกจ้างและการควบคุมหรือกำกับการทำงานของนายจ้าง + ภาระหน้าที่เกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์การทำงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จำเป็น อันเนื่องจากการทำงาน – ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดสิทธิในการ ‘ยุติการเชื่อมต่อ’ (Right to Disconnect) สำหรับลูกจ้างที่ทำงานนอกสถานที่ทำงานด้วย กล่าวคือ เมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานปกติตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน หรือสิ้นสุดการทำงานตามที่นายจ้างมอบหมาย ลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธในการติดต่อสื่อสารไม่ว่าในทางใดๆ กับนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงาน เว้นแต่ลูกจ้างได้ให้ความยินยอมโดยทำหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน – ลูกจ้างซึ่งทำงานที่บ้าน หรือที่พักอาศัย หรือทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานที่ใดๆ มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบกิจการหรือสำนักงานของนายจ้าง ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งยังต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เรียบร้อยก่อน เมื่อประกาศแล้วร่างพระราชบัญญัติฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43213
Finance
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงิน คุณพิเชฐ เจียรมณีทวีสิน มีข้อเสนอแนะอย่างไร เกี่ยวกับการปฏิรูประบบประกันสังคมไทย เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
null
ข้อเสนอแนะของผม เกี่ยวกับการปฏิรูประบบประกันสังคมไทย มีดังนี้: 1. เพิ่มฐานเงินสมทบ: ปัจจุบันฐานเงินสมทบอยู่ที่ 15,000 บาท คิดเป็น 6% ของค่าจ้าง ควรปรับฐานเงินสมทบให้สูงขึ้น เช่น 20,000 บาท หรือ 10% ของค่าจ้าง การปรับฐานเงินสมทบจะช่วยเพิ่มเงินออมและเงินบำนาญของผู้ประกันตน 2. ขยายอายุเกษียณ: ปัจจุบันอายุเกษียณอยู่ที่ 60 ปี ควรขยายอายุเกษียณออกไป เช่น 65 ปี การขยายอายุเกษียณจะช่วยให้ผู้ประกันตนมีเวลาออมเงินนานขึ้น และรับเงินบำนาญนานขึ้น 3. เพิ่มผลตอบแทน: ปัจจุบันผลตอบแทนจากประกันสังคมอยู่ประมาณ 4-5% ควรหาวิธีเพิ่มผลตอบแทน เช่น ลงทุนในกองทุนรวม การเพิ่มผลตอบแทนจะช่วยให้เงินออมของผู้ประกันตนงอกเงย 4. เพิ่มทางเลือก: ปัจจุบันผู้ประกันตนมีทางเลือกน้อย ควรเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกันตน เช่น เลือกแผนประกันบำนาญเพิ่มเติม การเพิ่มทางเลือกจะช่วยให้ผู้ประกันตนเลือกแผนที่เหมาะสมกับตัวเอง 5. ส่งเสริมให้คนไทยออมเงิน: รัฐควรส่งเสริมให้คนไทยออมเงิน ออกกฎหมายจูงใจให้คนออมเงิน เช่น ลดหย่อนภาษี การส่งเสริมให้คนไทยออมเงินจะช่วยให้มีเงินออมเพียงพอหลังเกษียณ 6. พัฒนาระบบ: พัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก เพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสาร การพัฒนาระบบจะช่วยให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น 7. รณรงค์ให้ความรู้: รณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับระบบประกันสังคม ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ กระตุ้นให้คนสมัครเป็นสมาชิก การรณรงค์ให้ความรู้จะช่วยให้ประชาชนเข้าใจระบบประกันสังคมมากขึ้น 8. จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: รัฐควรจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สนับสนุนเงินทุนให้กับกองทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพิ่มเติม 9. ปรับโครงสร้าง: ปรับโครงสร้างระบบประกันสังคมให้เหมาะสม แยกเงินบำนาญออกจากเงินชราภาพ ตั้งคณะกรรมการที่มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วน การปรับโครงสร้างจะช่วยให้ระบบประกันสังคมยั่งยืน 10. ศึกษาโมเดลจากต่างประเทศ: ศึกษาโมเดลระบบประกันสังคมจากต่างประเทศ นำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย การศึกษาโมเดลจากต่างประเทศจะช่วยให้พัฒนาระบบประกันสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสรุป: การปฏิรูประบบประกันสังคมไทยเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต รัฐควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกันตนมีเงินออมเพียงพอหลังเกษียณ และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ ประชาชนควรเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ควรรอให้ถึงวัยเกษียณ การวางแผนการเงินที่ดี จะช่วยให้มีเงินออมเพียงพอหลังเกษียณ และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44114
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง เจาะลึกผลกระทบของเทคโนโลยี 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรม ได้ไหม
‘เทคโนโลยี 5G’ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคม ด้วยขีดความสามารถที่ดีกว่าระบบ 4G ทั้งในแง่ความเร็วของการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล อีกทั้งศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานทั้งภาพและเสียงที่มีความรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว ‘เทคโนโลยี 5G’ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสังคม ด้วยขีดความสามารถที่ดีกว่าระบบ 4G ทั้งในแง่ความเร็วของการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล อีกทั้งศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานทั้งภาพและเสียงที่มีความรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายจำนวนมาก และเมื่อใช้ร่วมงานกับการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) จะยิ่งช่วยต่อยอดให้ธุรกิจและบริการมีความรวดเร็วและสร้างสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ยังสามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายจำนวนมาก และเมื่อใช้ร่วมงานกับการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things: IoT) จะยิ่งช่วยต่อยอดให้ธุรกิจและบริการมีความรวดเร็วและสร้างสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างมหาศาล ข้อมูลจากรายงาน The global economic impact of 5G: Powering Your Tomorrow ของ PwC ที่ได้ทำการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยี 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรมทั่วโลก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคอัจฉริยะ อุตสาหกรรมผู้บริโภคและการใช้สื่อ อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน คาดการณ์ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถหนุนมูลค่า GDP โลกให้เติบโตสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 โดยมากกว่า 80% ของมูลค่า GDP ที่เพิ่มขึ้น หรือราว 5.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการปฏิรูปอุตสาหกรรมด้านสุขภาพในอีก 10 ปีข้างหน้า ข้อมูลจากรายงาน The global economic impact of 5G: Powering Your Tomorrow ของ PwC ที่ได้ทำการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยี 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรมทั่วโลก ประกอบด้วย อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคอัจฉริยะ อุตสาหกรรมผู้บริโภคและการใช้สื่อ อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน คาดการณ์ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวจะสามารถหนุนมูลค่า GDP โลกให้เติบโตสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 โดยมากกว่า 80% ของมูลค่า GDP ที่เพิ่มขึ้น หรือราว 5.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะมาจากการปฏิรูปอุตสาหกรรมด้านสุขภาพในอีก 10 ปีข้างหน้า ตัวเลขคาดการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการในการพลิกโฉมรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางด้านทักษะ สินค้าและบริการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านการใช้งาน 5G ที่จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกต่อไป ซึ่งสำหรับวันนี้ผมขอนำข้อมูลผลกระทบของ 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรมชั้นนำที่ว่านี้มาแลกเปลี่ยนกับคุณผู้อ่าน ดังนี้ ตัวเลขคาดการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการในการพลิกโฉมรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางด้านทักษะ สินค้าและบริการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านการใช้งาน 5G ที่จะกลายมาเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการส่งเสริม และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน นำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกต่อไป ซึ่งสำหรับวันนี้ผมขอนำข้อมูลผลกระทบของ 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรมชั้นนำที่ว่านี้มาแลกเปลี่ยนกับคุณผู้อ่าน ดังนี้ 1. อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ 1. ปัจจุบันการใช้งาน 5G มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพราะมีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายและคุณภาพของการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้การผ่าตัดทางไกล การวินิจฉัยโรค และการสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที ปัจจุบันการใช้งาน 5G มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพราะมีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อเครือข่ายและคุณภาพของการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้การผ่าตัดทางไกล การวินิจฉัยโรค และการสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที นอกจากนี้การใช้งาน 5G ร่วมกับการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เทคโนโลยี IoT และ AI จะช่วยให้เกิดระบบนิเวศทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีการเชื่อมต่อบนพื้นฐานของระบบสุขภาพ ‘4P Medicine’ ประกอบไปด้วย การคาดการณ์ (Predictive) การป้องกัน (Preventative) การแพทย์ส่วนบุคคล (Personalised) และการมีส่วนร่วมในการรักษาของผู้ป่วย (Participatory) ซึ่งการเชื่อมต่อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการประเมินความเสี่ยงจากการเกิดโรค การมอนิเตอร์อาการผู้ป่วย รวมถึงการขนส่งยาและเวชภัณฑ์ด้วยการใช้โดรน เป็นต้น นอกจากนี้การใช้งาน 5G ร่วมกับการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เทคโนโลยี IoT และ AI จะช่วยให้เกิดระบบนิเวศทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีการเชื่อมต่อบนพื้นฐานของระบบสุขภาพ ‘4P Medicine’ ประกอบไปด้วย การคาดการณ์ (Predictive) การป้องกัน (Preventative) การแพทย์ส่วนบุคคล (Personalised) และการมีส่วนร่วมในการรักษาของผู้ป่วย (Participatory) ซึ่งการเชื่อมต่อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการประเมินความเสี่ยงจากการเกิดโรค การมอนิเตอร์อาการผู้ป่วย รวมถึงการขนส่งยาและเวชภัณฑ์ด้วยการใช้โดรน เป็นต้น 2. อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคอัจฉริยะ เทคโนโลยี 5G ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดการระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สําคัญ เช่น การพัฒนามิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Metre) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการผลิตและจำหน่ายไฟให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลา ทำให้การคิดคํานวณค่าบริการไฟฟ้าทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยําขึ้น นอกจากนี้ 5G ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ผ่านการติดตามการรั่วไหลของน้ำแบบเรียลไทม์ และช่วยมอนิเตอร์การทิ้งขยะเพื่อให้รัฐฯ จัดเก็บภาษีขยะจากปริมาณและประเภทที่ทิ้ง (Pay as you throw) และสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในการลดปริมาณคาร์บอนและของเสียอย่างยั่งยืน แถมช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยต่อประชากรได้ถึง 10-20% เทคโนโลยี 5G ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดการระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สําคัญ เช่น การพัฒนามิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Metre) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการผลิตและจำหน่ายไฟให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลา ทำให้การคิดคํานวณค่าบริการไฟฟ้าทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยําขึ้น นอกจากนี้ 5G ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ผ่านการติดตามการรั่วไหลของน้ำแบบเรียลไทม์ และช่วยมอนิเตอร์การทิ้งขยะเพื่อให้รัฐฯ จัดเก็บภาษีขยะจากปริมาณและประเภทที่ทิ้ง (Pay as you throw) และสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในการลดปริมาณคาร์บอนและของเสียอย่างยั่งยืน แถมช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยต่อประชากรได้ถึง 10-20% 3. อุตสาหกรรมผู้บริโภคและการใช้สื่อ ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภคในโลกดิจิทัล โดยการใช้เทคโนโลยี 5G ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์ จะทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอบริการและเนื้อหาที่ตอบโจทย์มากขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน เช่น ห้างสรรพสินค้าอาจใช้ 5G ร่วมกับ AI และการตลาดอัตโนมัติในการส่งโฆษณาสินค้าให้กับลูกค้าใหม่ ที่มีข้อความแตกต่างจากลูกค้าประจำ ตลอดจนสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วม เช่น ในธุรกิจแฟชั่นที่ใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) ทำให้ลูกค้าสามารถลองเสื้อผ้าแบบเสมือนจริงได้โดยไม่ต้องไปที่ร้าน หรือในธุรกิจผู้ให้บริการเกมที่ใช้เทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ทำให้ผู้เล่นมีความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเกมนั้นจริงๆ ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ธุรกิจต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภคในโลกดิจิทัล โดยการใช้เทคโนโลยี 5G ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์ จะทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอบริการและเนื้อหาที่ตอบโจทย์มากขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ไหน เช่น ห้างสรรพสินค้าอาจใช้ 5G ร่วมกับ AI และการตลาดอัตโนมัติในการส่งโฆษณาสินค้าให้กับลูกค้าใหม่ ที่มีข้อความแตกต่างจากลูกค้าประจำ ตลอดจนสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วม เช่น ในธุรกิจแฟชั่นที่ใช้ 5G ร่วมกับเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) ทำให้ลูกค้าสามารถลองเสื้อผ้าแบบเสมือนจริงได้โดยไม่ต้องไปที่ร้าน หรือในธุรกิจผู้ให้บริการเกมที่ใช้เทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ทำให้ผู้เล่นมีความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเกมนั้นจริงๆ 4. อุตสาหกรรมการผลิต สำหรับภาคการผลิตและอุตสาหกรรมหนัก โรงงานผลิตแบบเดิมที่ใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลักจะยิ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นโรงงานอัจฉริยะที่ผสมผสานเทคโนโลยี 5G ในการควบคุมการผลิต ด้วยศักยภาพของ 5G ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงเวลาต่ำ (Low Latency) ทำให้การวางแผนการผลิตทำได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติและรถยนต์ไร้คนขับในการขนย้ายสินค้า ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานมนุษย์ รวมทั้งลดความเสี่ยงหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น สำหรับภาคการผลิตและอุตสาหกรรมหนัก โรงงานผลิตแบบเดิมที่ใช้แรงงานมนุษย์เป็นหลักจะยิ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นโรงงานอัจฉริยะที่ผสมผสานเทคโนโลยี 5G ในการควบคุมการผลิต ด้วยศักยภาพของ 5G ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงเวลาต่ำ (Low Latency) ทำให้การวางแผนการผลิตทำได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติและรถยนต์ไร้คนขับในการขนย้ายสินค้า ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานมนุษย์ รวมทั้งลดความเสี่ยงหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น 5. อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจบริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ได้ปรับกลยุทธ์การบริหารและดูแลลูกค้าเพื่อส่งมอบประสบการณ์ออนไลน์ เช่น นำ AI และหุ่นยนต์ที่ปรึกษาอัตโนมัติ (Robo-advice) มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี 5G และใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อป้องกันการทุจริต เป็นต้น ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจบริการทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ ได้ปรับกลยุทธ์การบริหารและดูแลลูกค้าเพื่อส่งมอบประสบการณ์ออนไลน์ เช่น นำ AI และหุ่นยนต์ที่ปรึกษาอัตโนมัติ (Robo-advice) มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี 5G และใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อป้องกันการทุจริต เป็นต้น นอกจากนี้ ธุรกิจประกันภัย ก็ใช้ประโยชน์จากความแม่นยำและรวดเร็วของเทคโนโลยี 5G ในการตรวจสอบจุดเกิดเหตุแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายเกินจริงด้วย นอกจากนี้ ธุรกิจประกันภัย ก็ใช้ประโยชน์จากความแม่นยำและรวดเร็วของเทคโนโลยี 5G ในการตรวจสอบจุดเกิดเหตุแบบเรียลไทม์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายเกินจริงด้วย จะเห็นได้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G เป็นกุญแจสำคัญที่สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นดิจิทัล และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในเวลานี้ประเทศไทยถือว่ามีความพร้อมต่อเทคโนโลยี 5G ในระดับหนึ่ง โดยเราเป็นประเทศแรกๆ ในภูมิภาคอาเซียนที่มีบริการ 5G เชิงพาณิชย์ ในระยะถัดไปรัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G กับธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับภาคธุรกิจ ผู้บริหารควรกำหนดกลยุทธ์ในการนำ 5G เข้ามาใช้กับสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างคุณค่าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง เพราะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา ผู้ที่เห็นโอกาส หรือเข้าสู่ตลาดเป็นรายแรกก็ย่อมที่จะได้เปรียบในการแข่งขันเหนือผู้เล่นรายอื่น จะเห็นได้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G เป็นกุญแจสำคัญที่สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นดิจิทัล และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในเวลานี้ประเทศไทยถือว่ามีความพร้อมต่อเทคโนโลยี 5G ในระดับหนึ่ง โดยเราเป็น ประเทศแรกๆ ในภูมิภาคอาเซียนที่มีบริการ 5G เชิงพาณิชย์ ในระยะถัดไปรัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G กับธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับภาคธุรกิจ ผู้บริหารควรกำหนดกลยุทธ์ในการนำ 5G เข้ามาใช้กับสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างคุณค่าและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง เพราะในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา ผู้ที่เห็นโอกาส หรือเข้าสู่ตลาดเป็นรายแรกก็ย่อมที่จะได้เปรียบในการแข่งขันเหนือผู้เล่นรายอื่น พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า อ้างอิง: อ้างอิง: The global economic impact of 5G. Powering Your Tomorrow, PwC Thailand leads ASEAN in 5G rollout due to pandemic, Nikkei Asia รัฐบาลปลื้ม!ไทยเปิดบริการ “5G” เชิงพาณิชย์ประเทศแรกในอาเซียน, โพสต์ทูเดย์ The global economic impact of 5G. Powering Your Tomorrow, PwC The global economic impact of 5G. Powering Your Tomorrow , PwC Thailand leads ASEAN in 5G rollout due to pandemic, Nikkei Asia Thailand leads ASEAN in 5G rollout due to pandemic , Nikkei Asia รัฐบาลปลื้ม!ไทยเปิดบริการ “5G” เชิงพาณิชย์ประเทศแรกในอาเซียน, โพสต์ทูเดย์ รัฐบาลปลื้ม!ไทยเปิดบริการ “5G” เชิงพาณิชย์ประเทศแรกในอาเซียน , โพสต์ทูเดย์
ขีดความสามารถที่ดีกว่าระบบ 4G ทั้งในแง่ความเร็วของการอัปโหลดและดาวน์โหลดข้อมูล อีกทั้งศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานทั้งภาพและเสียงที่มีความรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายจำนวนมาก ยิ่งช่วยต่อยอดให้ธุรกิจและบริการมีความรวดเร็วและสร้างสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างมหาศาล รายงาน The global economic impact of 5G: Powering Your Tomorrow ของ PwC ที่ได้ทำการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยี 5G ที่มีต่อ 5 อุตสาหกรรมทั่วโลก เห็นถึงโอกาสของผู้ประกอบการในการพลิกโฉมรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางด้านทักษะ สินค้าและบริการ และนวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านการใช้งาน 1. อุตสาหกรรมดูแลสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้การผ่าตัดทางไกล การวินิจฉัยโรค และการสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที การใช้งาน 5G ร่วมกับการใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด เทคโนโลยี IoT และ AI จะช่วยให้เกิดระบบนิเวศทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีการเชื่อมต่อบนพื้นฐานของระบบสุขภาพ ‘4P Medicine’ ประกอบไปด้วย การคาดการณ์ (Predictive) การป้องกัน (Preventative) การแพทย์ส่วนบุคคล (Personalised) และการมีส่วนร่วมในการรักษาของผู้ป่วย (Participatory) ซึ่งการเชื่อมต่อเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและการประเมินความเสี่ยงจากการเกิดโรค 2. อุตสาหกรรมสาธารณูปโภคอัจฉริยะ การพัฒนามิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Metre) และระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการผลิตและจำหน่ายไฟให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วงเวลา ทำให้การคิดคํานวณค่าบริการไฟฟ้าทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยําขึ้น นอกจากนี้ 5G ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ผ่านการติดตามการรั่วไหลของน้ำแบบเรียลไทม์ 3. อุตสาหกรรมผู้บริโภคและการใช้สื่อ โดยการใช้เทคโนโลยี 5G ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์ จะทำให้แบรนด์สามารถนำเสนอบริการและเนื้อหาที่ตอบโจทย์มากขึ้น 4. อุตสาหกรรมการผลิต ด้วยศักยภาพของ 5G ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงเวลาต่ำ (Low Latency) ทำให้การวางแผนการผลิตทำได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติและรถยนต์ไร้คนขับในการขนย้ายสินค้า ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานมนุษย์ 5. อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน นำ AI และหุ่นยนต์ที่ปรึกษาอัตโนมัติ (Robo-advice) มาใช้ควบคู่กับเทคโนโลยี 5G และใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อป้องกันการทุจริต
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_23498
Medical
ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีนใช่หรือไม่
null
ใช่ ความรู้เรื่องการกดจุดเป็นของเก่าแก่และมีมานานหลายพันปีซึ่งเป็นที่ยอมรับของชาวจีน ศาสตร์แห่งการกดจุดได้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะในยุโรป DrFrank Bahr แพทย์ชาวเยอรมัน เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการกดจุดโดยเฉพาะ ได้ศึกษาและเขียนตำราการกดจุดไว้ เพราะกดจุดก็คือ ศาสตร์แขนงเดียวกับการฝังเข็ม แต่การกดจุดเป็นการฝังเข็มโดยไร้เข็ม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเข็มเหมือนฝังเข็ม และไม่มีอันตรายใดๆ ต่อผู้ทำ หากกดถูกวิธีและมีประสิทธิภาพก็จะได้ผลในการรักษาทั้งยังช่วยเสริมการรักษาของแพทย์ให้หายเร็วขึ้น แต่หากทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่มีข้อเสียหายอะไร เมื่อเกิดความเครียดอยู่เรื่อยๆ จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่อหน่ายสิ่งต่างๆ ไม่อยากทำงาน หากกดจุดได้ผลจะช่วยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าอาการอ่อนเพลียเป็นมาก ควรให้แพทย์ตรวจร่างกายดูด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคร้ายแรงซ่อนอยู่ภายใน สำหรับการกดจุดนั้น มีตำแหน่งที่กดจุด กดจุดบนร่างกาย 1 จุด - เส้าชง Shao-chong จุดกระตุ้นหัวใจและจิตใจ วิธีหาจุด จุดอยู่ที่มือข้างซ้าย อยู่ใกล้กับฐานของเล็บด้านข้างของนิ้วก้อยด้านที่ติดกับนิ้วนาง วิธีนวด นวดอ้อมใต้เล็บมายังด้านตรงข้าม 2 จุด - เหอกู่ Ho-Ku วิธีหาจุด จุดอยู่ต่ำกว่าข้อที่โคนนิ้วชี้ประมาณ 2 นิ้วมือ และห่างจากนิ้วหัวแม่มือ ½ นิ้วมือ วิธีนวด นวดเข้าหาข้อมือ 3 จุด - เลี่ยเชีย lieh-chuch จุดสำหรับเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย วิธีหาจุด จุดอยู่ที่ท้องแขนในแนวเดียวกับหัวแม่มือ และอยู่เหนือฐานของฝ่ามือ 2 นิ้วมือ วิธีนวด นวดเข้าหาหัวแม่มือ 4 จุด - จู๋ซานหลี่ tsu-san-li จุดนี้สำหรับผู้ที่เหนื่อยง่ายจากประสาทเครียด วิธีหาจุด วางฝ่ามือของผู้ถูกนวดลงบนหัวเข่า กางนิ้วออกเล็กน้อย จุดจะอยู่ที่ปลายสุดของนิ้วนางพอดี วิธีนวด นวดลงล่าง กดจุดที่ใบหู หูขวา จุดกระตุ้นฮอร์โมนและระงับอาการทางประสาท -จุดที่ 1 จุดอยู่บริเวณรอบแอ่งหู วิธีนวด นวดจากส่วนที่สูงที่สุดถึงส่วนที่อยู่ล่างสุด จุดช่วยกระตุ้นประสาท -จุดที่ 2 จุดอยู่ที่เส้นหูส่วนที่โผล่มาจากแอ่งหู ดูรูปประกอบ วิธีนวด นวดขึ้นบนและเอียงไปทางด้านหน้า -จุดที่ 3 จุดอยู่บริเวณหน้าหู วิธีนวด นวดขึ้นบน หูซ้าย นวดเช่นเดียวกับหูขวา แต่ทิศทางตรงข้าม
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_6112
Legal
ในกรณีที่ผู้รับพินัยกรรมไม่ได้ฟ้องร้องคดีเรียกร้องตามพินัยกรรมภายในระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมาย ทายาทตามกฎหมายจะสามารถอ้างสิทธิในมรดกแทนผู้รับพินัยกรรมได้หรือไม่?
null
จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 บัญญัติไว้ว่า "คดีฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม มิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อผู้รับพินัยกรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม" และ "ถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อน ๆ นั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย" คดีตัวอย่าง: คดีพิพากษาศาลฎีกาที่ 7449/2544 เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทตามกฎหมายของเจ้ามรดก ฟ้องคดีเรียกร้องให้จำเลยทั้ง 4 ซึ่งเป็นทายาทโดยพินัยกรรม แบ่งมรดกให้โจทก์ด้วย แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา 1754 วรรคสอง ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: มาตรา 1748 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ว่า "ทายาทตามกฎหมายมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดก" มาตรา 1754 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้ว่า "คดีฟ้องเรียกตามข้อกำหนดพินัยกรรม มิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อผู้รับพินัยกรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงสิทธิซึ่งตนมีอยู่ตามพินัยกรรม และถึงอย่างไรก็ดี สิทธิเรียกร้องตามที่ว่ามาในวรรคก่อน ๆ นั้น มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย"
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),กฎหมายมรดก-พินัยกรรม
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_48826
Legal
การขอทุเลาการบังคับจำคุก : ทางออกชั่วคราวเมื่อต้องโทษจำคุก ใครบ้างที่มีสิทธิ์ร้องขอ? จงอธิบาย
null
1. ตัวจำเลยเอง 2. คู่สมรส 3. ญาติ 4. พนักงานอัยการ 5. ผู้บัญชาการเรือนจำ 6. พนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก 7. ศาลสามารถสั่งเองได้ เหตุผลที่สามารถร้องขอทุเลาได้: 1. จำเลยวิกลจริต เกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตหากต้องจำคุก 2. จำเลยตั้งครรภ์ (ปัจจุบันไม่กำหนดระยะเวลาตั้งครรภ์) 3. จำเลยคลอดบุตรแล้ว ยังไม่ถึง 3 ปี และจำเป็นต้องเลี้ยงดูบุตร หากศาลเห็นชอบให้ทุเลา จะมีผลอย่างไร? 1. ศาลจะสั่งให้ทุเลาการบังคับจำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุผลที่ร้องขอนั้นจะหมดไป 2. ศาลอาจกำหนดวิธีการหรือมาตรการในการทุเลา เช่น - กักขัง - ทำทัณฑ์บน - หาประกัน หรือห้ามเข้าเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง 3. ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ หากพฤติการณ์เปลี่ยนแปลง หรือจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการ/มาตรการ ระยะเวลาที่จำเลยอยู่ในความควบคุมก่อนหน้า จะนำมาหักล้างกับโทษจำคุกที่ศาลพิพากษา อย่างไรก็ตาม การขอทุเลาการบังคับจำคุกเป็นดุลพินิจของศาล ขึ้นอยู่กับสภาวะ พฤติการณ์ รูปคดี และโทษจำคุกที่ศาลพิพากษา จำเลยควรปรึกษาทนายความเพื่อรับคำแนะนำและแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสม ตัวอย่างฎีกา: ฎีกาที่ 6589/2547: จำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์ยังไม่ทันมีคำพิพากษา จำเลยคลอดบุตร เหตุในการขอทุเลาจึงหมดไป ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยว่าจำเลยมีเหตุตามมาตรา 246 (3) (4) หรือไม่ ข้อควรระวัง: 1. การขอทุเลาไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องติดคุก เป็นเพียงการผ่อนผันชั่วคราว 2. จำเลยต้องปฏิบัติตามวิธีการ/มาตรการที่ศาลกำหนดอย่างเคร่งครัด 3. หากฝ่าฝืนคำสั่ง ศาลมีอำนาจให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ 4. การขอทุเลาการบังคับจำคุกเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้จำเลยเลี่ยงการติดคุกชั่วคราว แต่จำเป็นต้องศึกษาข้อมูล เตรียมเอกสาร และปรึกษาทนายความเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุญาตจากศาล
กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร( พ
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5441
Legal
คำถามที่ 1: ตามกฎหมายการขุดดินและการถมดิน พ.ศ. 2543 ผู้ใดประสงค์จะทำการถมดินโดยมีความสูงของเนินดินเกินกว่าระดับที่ดินต่างเจ้าของที่อยู่ใกล้เคียง และมีพื้นที่ของเนินดินไม่เกินสองพันตารางเมตร จะต้องจัดให้มีการระบายน้ำอย่างไร คำถามที่ 2: ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 มาตรา 50 อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร มิให้มีส่วนของอาคารล้ำเข้ามาในแนวร่นดังกล่าว ยกเว้นรั้วหรือกำแพงกั้นแนวเขตที่สูงไม่เกิน 2 เมตร หมายความว่าอย่างไร คำถามที่ 3: ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 มาตรา 55 อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร (บ้านเดี่ยวประมาณ 2 ชั้น) ต้องมีที่ว่างโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 1 เมตร ยกเว้นบ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร หมายความว่าอย่างไร
null
คำตอบที่ 1 ตามกฎหมายการขุดดินและการถมดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 26 ผู้ใดประสงค์จะทำการถมดินโดยมีความสูงของเนินดินเกินกว่าระดับที่ดินต่างเจ้าของที่อยู่ใกล้เคียง และมีพื้นที่ของเนินดินไม่เกินสองพันตารางเมตร หรือ มีพื้นที่ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนด ต้องจัดให้มีการระบายน้ำเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียงหรือบุคคลอื่น พื้นที่ที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนดตามวรรคหนึ่ง ต้องไม่เกินสองพันตารางเมตร การถมดินที่มีพื้นที่เกินสองพันตารางเมตร หรือ มีพื้นที่เกินกว่าที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนดตามวรรคหนึ่ง นอกจากจะต้องจัดให้มีการระบายน้ำตามวรรคหนึ่ง ต้องแจ้งการถมดินนั้นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามแบบที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำหนด ดังนั้น การจัดให้มีการระบายน้ำตามมาตรา 26 ของกฎหมายการขุดดินและการถมดิน พ.ศ. 2543 นั้น จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ - ต้องเพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินที่อยู่ข้างเคียงหรือบุคคลอื่น - มีพื้นที่ระบายน้ำเพียงพอสำหรับพื้นที่เนินดินที่ทำการถม หากพื้นที่เนินดินที่ทำการถมมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นประกาศกำหนด จะต้องแจ้งการถมดินนั้นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นด้วย คำตอบที่ 2 ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 มาตรา 50 อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร มิให้มีส่วนของอาคารล้ำเข้ามาในแนวร่นดังกล่าว ยกเว้นรั้วหรือกำแพงกั้นแนวเขตที่สูงไม่เกิน 2 เมตร หมายความว่า อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 6 เมตร จะต้องร่นแนวอาคารออกจากกึ่งกลางถนนสาธารณะอย่างน้อย 3 เมตร เพื่อป้องกันอันตรายจากอาคารที่อาจล้มหรือพังลงมาใส่รถที่สัญจรไปมาบนถนนสาธารณะได้ ยกเว้นรั้วหรือกำแพงกั้นแนวเขตที่สูงไม่เกิน 2 เมตร ยังสามารถก่อสร้างชิดแนวถนนสาธารณะได้ คำตอบที่ 3 ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 มาตรา 55 อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร (บ้านเดี่ยวประมาณ 2 ชั้น) ต้องมีที่ว่างโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 1 เมตร ยกเว้นบ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร หมายความว่า อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร (บ้านเดี่ยวประมาณ 2 ชั้น) จะต้องมีที่ว่างโดยรอบอาคารไม่น้อยกว่า 1 เมตร เพื่อให้มีความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัยและบุคคลภายนอก ยกเว้นบ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 300 ตารางเมตร ในกรณีนี้ อาคารสามารถก่อสร้างชิดแนวที่ดินได้ แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 56 คือ ผนังด้านที่ไม่มีช่องเปิดสามารถสร้างห่างเขตที่ดินได้น้อยกว่า 1 เมตร ถ้าห่างเขตที่ดินน้อยกว่า 50 เซนติเมตร ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดินด้านนั้นด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายสิ่งแวดล้อม,กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร-การขุดและถมดิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44097
Finance
จงเสนอไอเดีย ทำไมเราต้องฉีดวัคซีนสำหรับป้องกันโควิด-19
null
ตอนนี้เรามีวัคซีนสำหรับป้องกันโควิด-19 ถูกนำมาใช้หลายตัว และใช้เทคโนโลยีหลายประเภท วัคซีนแต่ละตัวมีการวัด ‘ประสิทธิผล’ ของวัคซีนในงานวิจัยแบบที่เรียกว่า Randomized Control Trial และมีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ โดยการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครแบบสุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งฉีดวัคซีน อีกกลุ่มไม่ฉีด แล้วนับดูว่าสัดส่วนผู้ติดเชื้อในแต่ละกลุ่มแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ถ้ากลุ่มที่ฉีดวัคซีนมีผู้ติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอยู่มาก ก็เรียกว่าวัคซีนมีประสิทธิผลสูง แต่ถ้า 2 กลุ่ม มีสัดส่วนผู้ติดเชื้อใกล้เคียงกัน ก็เรียกว่าวัคซีนมีประสิทธิผลต่ำ แต่ก็มีหลายคนทักท้วงว่า เราไม่ควรนำตัวเลขประสิทธิผลของวัคซีนแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบกัน เพราะการทดลองและวัดผลไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่และเวลาเดียวกัน อัตราการติดเชื้อไม่เท่ากัน อาจจะเทียบกันไม่ได้ และเราไม่ได้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อเท่านั้น แต่เราฉีดวัคซีนไปเพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตด้วย เพื่อทำให้โรคระบาดร้ายแรงกลายเป็นโรคธรรมดาที่มีความรุนแรงน้อยลง เราจึงควรพิจารณาความสำเร็จของวัคซีนในการลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตด้วย อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังระบุว่า วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้เกิน 50% ก็ยอมรับได้แล้ว (และวัคซีนที่เราใช้กับหลายๆ โรคในปัจจุบันก็ไม่ได้มีประสิทธิผล 100%) อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญก็คือวัคซีนที่มีประสิทธิผลสูงที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันอยู่ได้นาน อาจมีส่วนช่วยทำให้เราสามารถเข้าสู่ภาวะ Herd Immunity ได้เร็วขึ้น ในขณะที่วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ต่ำ แม้จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ไม่ช่วยเรื่องการยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อไปยังกลุ่มที่ยังไม่ฉีดวัคซีน จึงทำให้การเข้าสู่ Herd Immunity ยิ่งช้าออกไป หากเราไม่สามารถฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพอ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_21656
Medical
จงสรุปบทความ หูหนวกกับพันธุกรรม
หูหนวกกับพันธุกรรมตอนจบ ก่อนอื่นผมต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ที่คอลัมน์ พันธุ์ดี หายหน้าหายตาไปเสียนาน เพราะภารกิจหน้าที่ประจำฉบับนี้ก็กลับมาทำหน้าที่อย่างเก่า ในสองตอนก่อน ฉบับที่ 59 60 ได้เล่าแล้วว่าหูตึงหูหนวกกรรมพันธุ์ในบางกรณีพบร่วมกับความผิดปกติอย่างอื่น เป็น กลุ่มอาการ เหล่านั้นดูบ้าง เพราะว่าลักษณะผิดปกติของร่างกายบางอย่างมันจะช่วยบอกเราว่าเด็กหรือคน ๆ นั้น จะหูหนวกหรือหูตึงด้วย และจะได้หาทางแนะนำช่วยเหลือ ความผิดปกติของใบหู มีหลักอยู่อย่างหนึ่งว่า ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของใบหูมักพบร่วมกับหูหนวกด้วย ถึงแม้หลักนี้จะไม่เป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นหลักสำคัญที่จะช่วยเตือนให้เราตั้งคำถามถามตัวเองว่า เด็กคนนี้ใบหูผิดปกติ เป็นคนหูหนวกด้วยหรือเปล่านะ โรคกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติของใบหูร่วมกับหูหนวกมีหลายโรค แต่จะไม่เล่ารายละเอียดในที่นี้ อวัยวะภายในหูชั้นกลางและชั้นในแข็งตัว นี่เป็นโรคที่ทำให้หูตึงและหนวกมากขึ้นเรื่อย ๆในผู้ใหญ่ที่พบบ่อยที่สุดฝรั่งประมาณร้อยละ 1 เป็นโรคนี้ เชื่อกันว่าโรคนี้เป็นกรรมพันธุ์แบบที่ได้รับยีนผิดปกติจากพ่อหรือแม่ฝ่ายเดียวก็เกิดโรคได้ ถ่ายทอดแบบเด่นออโตโสมัล โรคนี้เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า otosclerosis คนบางคนแม้มียีนผิดปกติของโรคนี้ แต่หูก็ไม่หนวก กลุ่มอาการอัลปอร์ท Alport syndrome เป็นโรคที่พบโรคไตอักเสบเรื้อรังร่วมกับหูตึง และอาการหูตึงเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ พบประมาณร้อยละ 1 ของหูตึงหูหนวกกรรมพันธุ์ทั้งหมด ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่นออโตโสมัลเช่นเดียวกัน และคนที่มียีนผิดปกติไม่ทุกคนที่แสดงลักษณะผิดปกติออกมา กลุ่มอาการที่หูหนวกร่วมกับความผิดปกติของกระดูก มีหลายโรค ได้แก่ กลุ่มอาการครูซอง Crouzon syndrome มีลักษณะผิดปกติของกะโหลกศีรษะและใบหน้าได้แก่ตา 2 ข้างอยู่ห่างกัน กระดูกแก้มไม่เจริญ และรูหูเล็ก รวมทั้งมีความผิดปกติของ กระดูกหูทำให้หูตึง กลุ่มอาการเทรเชอร์-คอลลิน Treacher Collins syndrome มีลักษณะหางตาชี้ลง หนังตาล่างโป่ง ขากรรไกรบนล่างลงกันได้ไม่ดี รูปร่างของใบหูผิดปกติ และหูหนวก กลุ่มอาการทั้งสองนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่น ออโตโสมัล กลุ่มอาการที่หูหนวก ร่วมกับความผิดปกติของสีผิวหนัง ที่รู้จักกันดีมี 2 กลุ่มอาการ คือกลุ่มอาการวอร์เดนเบิร์ก พบบ่อยถึงร้อยละ 2 ของหูหนวกกรรมพันธุ์ทั้งหมด ลักษณะผิดปกติที่เด่นชัดคือ ผมบริเวณด้านหน้าเหนือหน้าผากสีขาวเป็นหย่อม ดั้งจมูกแบนและกว้าง ขนคิ้วด้านในดกผิดปกติ และมีความผิดปกติของหูชั้นในทำให้หูหนวก กลุ่มอาการเสือดาว Leopard syndrome ได้ชื่อนี้เพราะผิวหนังลายเหมือนเสือดาว นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของร่างกายอีกหลายอย่าง ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ตา 2 ข้างห่างกัน เติบโตช้า อวัยวะเพศผิดปกติและหูหนวก กลุ่มอาการเสือดาว และกลุ่มอาการวอร์เดนเบิร์ก ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่น ออโตโสมัล กลุ่มอาการที่มีหูหนวก ได้รับยีนผิดปกติทั้งจากพ่อและแม่ ลักษณะทางกรรมพันธุ์ของกลุ่มนี้เรียกว่าถ่ายทอดแบบด้อย ออโตโสมัล มีกลุ่มอาการหลายอย่าง เช่น กลุ่มอาการเพ็นเดรด Pendred syndrome มีลักษณะเด่นคือ คอพอกต่อมธัยรอยด์โตร่วมกับหูหนวก กลุ่มอาการอัชเชอร์ Usher syndrome มีลักษณะจอตาอักเสบเนื่องจากมีสีผิดปกติทำให้ตาบอด และหูหนวก กลุ่มอาการ บาร์เดท์-บีเดิล Bardet-Biedl syndrome มีลักษณะอ้วน ปัญญาอ่อน ลักษณะทางเพศไม่เจริญและนิ้วเกิน และอาจมีหูหนวกร่วมด้วย กลุ่มอาการลอเรนซ์-มูน Laurence Moon syndrome มีลักษณะอัมพาต ปัญญาอ่อน และอวัยวะเพศไม่เจริญเติบโตและอาจหูหนวกร่วมด้วย กลุ่มอาการคอคเคน Cockayne syndrome มีลักษณะตัวเล็กผอมแห้ง ใบหน้าคล้ายนก และเหี่ยวคล้ายคนแก่ ปัญญาอ่อน และหูหนวก กลุ่มอาการเรฟสัม Refsum syndrome มีลักษณะจอตาอักเสบเนื่องจากมีสีผิดปกติทำให้ตาบอด เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและหูหนวก เอาเป็นว่าอาการหูตึงหูหนวกเป็นอาการที่พบร่วมในโรคกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติหลายๆ อวัยวะ ที่เรียกว่า กลุ่มอาการ ได้มากมายที่ยกมานี้พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น ที่นี้ก็มาถึงประเด็นว่า เราจะช่วยกันป้องกันหรือแก้ปัญหาหูตึงหูหนวกได้อย่างไร ที่ป้องกันได้ผลดีก็คือหูหนวกจากสาเหตุที่ไม่ใช่กรรมพันธุ์ พวกยา โรคติดเชื้อ ก็ต้องหลีกเลี่ยง ถ้าเด็กเป็นหูน้ำหนวกต้องพาไปหาหมอรักษาเสียให้หายขาด ที่ช่วยยากหน่อยก็คือหูหนวกกรรมพันธุ์นี่แหละ หากสงสัยว่าเด็กจะหูตึงหรือหูหนวกต้องพาไปตรวจที่โรงพยาบาลครับ เขามีเครื่องวัดว่าเด็กได้ยินชัดเจนดีหรือไม่ ถ้าผิดปกติจะได้หาทางแก้ไข อาจต้องใช้เครื่องช่วยฟังเด็กที่หูตึงจะพูดได้ไม่ดีไปด้วย อาจต้องมีการฝึกพูด เรื่องปัญหาเหล่านี้ถ้าไม่ช่วยเด็กให้ดี จะกลายเป็นคนหย่อนความสามารถไปตลอดชีวิต แม้เด็กที่หูหนวกสนิททั้งสองข้างจะไม่มีทางแก้ ก็ช่วยได้โดยพาไปเข้าโรงเรียนสอนคนหูหนวก ซึ่งจะช่วยให้เด็กสามารถเรียนหนังสือและใช้ภาษามือ พูด กับคนที่รู้ภาษามือได้ และถ้ารู้ว่าโรคหูหนวกชนิดใดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบใด ก็จะช่วยกันแนะนำเพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยงการมีบุตรเป็นคนหูหนวกได้ด้วย หมายเหตุ โรงเรียนสอนคนหูหนวกได้แก่ หมายถึงหูหนวกเป็นใบ้ 1โรงเรียนเศรษฐเสถียร 137 ถนนพระราม 5 ใกล้สี่แยกราชวัตร เขตดุสิต กทม 2โรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ 551 ถนนนางลิ้นจี่ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กทม 3โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดขอนแก่น ตในเมือง อเมือง จังหวัดขอนแก่น 4โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสงขลา ตคอหงส์ อหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 5โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดตาก ตป่ามะม่วง อเมือง จังหวัดตาก ส่วนโรงเรียนสอนคนหูตึง หูตึงมาก ได้แก่ 1โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดชลบุรี ตแสนสุข บางแสน อชลบุรี จังหวัดชลบุรี 2โรงเรียนอนุสารสุนทร 2 อเมือง เชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 3โรงเรียนโสตศึกษาวัดจำปา แขวงตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 4โรงเรียนพญาไท ถนนศรีอยุธยา เขตพญาไท กรุงเทพฯ 5โรงเรียนอนุบาลสามเสน สลากกินแบ่งอุปถัมภ์ ถนนพระราม 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ 6โรงเรียนอนุบาลวัดนางนอง ถนนวุฒากาศ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ 7โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ อาคารสงเคราะห์พิบูลวัฒนา เขตพระโขนง 8โรงเรียนอนุบาลลอออุทิศ ถนนประชาธิปไตย เขตดุสิต กรุงเทพฯ จากบทความเรื่อง การสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพของคนหูหนวก
ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของใบหูมักพบร่วมกับหูหนวกด้วย ถึงแม้หลักนี้จะไม่เป็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีโรคกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติของใบหูร่วมกับหูหนวกหลายโรค เช่น 1) อวัยวะภายในหูชั้นกลางและชั้นในแข็งตัว (otosclerosis) จัดเป็นโรคที่ทำให้หูตึงและหนวกมากขึ้นเรื่อยๆ ในผู้ใหญ่ เชื่อกันว่าโรคนี้เป็นกรรมพันธุ์แบบที่ได้รับยีนผิดปกติจากพ่อหรือแม่ฝ่ายเดียวก็เกิดโรคได้ ถ่ายทอดแบบเด่นออโตโสมัล แต่บางคนแม้มียีนผิดปกติของโรคนี้ แต่หูไม่หนวกก็มี 2) กลุ่มอาการอัลปอร์ท (Alport syndrome) เป็นโรคที่พบโรคไตอักเสบเรื้อรังร่วมกับหูตึง และอาการหูตึงเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่นออโตโสมัลเช่นเดียวกัน และคนที่มียีนผิดปกติไม่ทุกคนที่แสดงลักษณะผิดปกติออกมา 3) กลุ่มอาการที่หูหนวกร่วมกับความผิดปกติของกระดูก มีหลายโรค ได้แก่ กลุ่มอาการครูซอง (Crouzon syndrome) มีลักษณะผิดปกติของกะโหลกศีรษะและใบหน้าได้แก่ตา 2 ข้างอยู่ห่างกัน กระดูกแก้มไม่เจริญ และรูหูเล็ก รวมทั้งมีความผิดปกติของ กระดูกหูทำให้หูตึง กลุ่มอาการเทรเชอร์-คอลลิน (Treacher Collins syndrome) มีลักษณะหางตาชี้ลง หนังตาล่างโป่ง ขากรรไกรบนล่างลงกันได้ไม่ดี รูปร่างของใบหูผิดปกติ และหูหนวก โดยกลุ่มอาการทั้งสองนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่นออโตโสมัล 4) กลุ่มอาการที่หูหนวก ร่วมกับความผิดปกติของสีผิวหนัง ที่รู้จักกันดีมี 2 กลุ่มอาการ คือกลุ่มอาการวอร์เดนเบิร์ก พบบ่อยถึงร้อยละ 2 ของหูหนวกกรรมพันธุ์ทั้งหมด ลักษณะผิดปกติที่เด่นชัดคือ ผมบริเวณด้านหน้าเหนือหน้าผากสีขาวเป็นหย่อม ดั้งจมูกแบนและกว้าง ขนคิ้วด้านในดกผิดปกติ และมีความผิดปกติของหูชั้นในทำให้หูหนวก 5) กลุ่มอาการเสือดาว (Leopard syndrome) ได้ชื่อนี้เพราะผิวหนังลายเหมือนเสือดาว นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของร่างกายอีกหลายอย่าง ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ตา 2 ข้างห่างกัน เติบโตช้า อวัยวะเพศผิดปกติและหูหนวก กลุ่มอาการเสือดาว และกลุ่มอาการวอร์เดนเบิร์ก ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบเด่นออโตโสมัล 6) กลุ่มอาการที่หูหนวกจากการได้รับยีนผิดปกติทั้งจากพ่อและแม่ ลักษณะทางกรรมพันธุ์ของกลุ่มนี้เรียกว่าถ่ายทอดแบบด้อยออโตโสมัล มีกลุ่มอาการหลายอย่าง เช่น กลุ่มอาการเพ็นเดรด (Pendred syndrome) มีลักษณะเด่นคือ คอพอกต่อมธัยรอยด์โตร่วมกับหูหนวก กลุ่มอาการอัชเชอร์ (Usher syndrome) มีลักษณะจอตาอักเสบเนื่องจากมีสีผิดปกติทำให้ตาบอด และหูหนวก กลุ่มอาการบาร์เดท์-บีเดิล (Bardet-Biedl syndrome) มีลักษณะอ้วน ปัญญาอ่อน ลักษณะทางเพศไม่เจริญและนิ้วเกิน และอาจมีหูหนวกร่วมด้วย กลุ่มอาการลอเรนซ์-มูน (Laurence Moon syndrome) มีลักษณะอัมพาต ปัญญาอ่อน และอวัยวะเพศไม่เจริญเติบโตและอาจหูหนวกร่วมด้วย กลุ่มอาการคอคเคน (Cockayne syndrome) มีลักษณะตัวเล็กผอมแห้ง ใบหน้าคล้ายนก และเหี่ยวคล้ายคนแก่ ปัญญาอ่อน และหูหนวก กลุ่มอาการเรฟสัม (Refsum syndrome) มีลักษณะจอตาอักเสบเนื่องจากมีสีผิดปกติทำให้ตาบอด เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมและหูหนวก
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10381
Medical
จงสรุปบทความเรื่อง Syncope ให้หน่อยค่ะ
Epilepsy and associated conditions Syncope คือ อาการเป็นลมหมดสติหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หน้ามืดเป็นลม เป็นอาการแม้พบได้ไม่บ่อยแต่ มักจะทำให้เกิดความกังวลว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร เป็นอาการของโรคหัวใจหรือโรคลมชักและจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือไม่ เนื่องจาก syncope เป็นอาการที่พบทั้งในคนปกติและผู้ป๋วยในระบบต่างๆ แพทย์จึงต้องค้นหาสาเหตุ ในบทความ นี้จะกล่าวถึงสาเหตุของ syncope ในมุมมองของแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจ และแนะนำแนวทางในการสืบค้นหาสาเหตุ โดยให้ความสำคัญกับข้อมูลจากการซักประวัติการตรวจร่างกาย และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น คำจำกัดความ (Denition) syncope คือภาวะที่ผู้ป๋วยมีการสูญเสียความรู้สึกตัวและความตึงตัวของกล้ามเนื้อโดยมีสาเหตุจากเลือดไปเลี้ยง สมองไม่เพียงพอชั่วคราว อาการหมดสติจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ป๋วยจะสูญเสียการทรงตัว ทรุดตัวหรือล้มลง ผู้ป๋วยมัก จะหลับตาไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือการกระตุ้นสัมผัสแต่ยังคงหายใจได้ปกติ ไม่มีอาการเขียวและยังมีชีพจร อาการหมดสติ จะเป็นในเวลาสั้นๆ (2-3 วินาทีถึง 1-2 นาที) และสามารถหายเองได้ โดยผู้ป๋วยจะค่อยๆ รู้สึกตัวกลับมาเป็นปกติเหมือน เดิมโดยไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาทใดๆ หลงเหลืออยู่ อย่างไรก็ดียังมีภาวะที่คล้ายกับ syncope คือ presyncope และ dizziness โดย presyncope คือ ความรู้สึก ก่อนที่จะเป็นลม ผู้ป๋วยรู้สึกว่าตนเองเหมือนกำลังจะหมดสติแต่ยังรู้สึกตัวตลอดเวลาแต่จะมีภาวะสูญเสียความตึงตัวของ กล้ามเนื้อชั่วคราวร่วมด้วย ส่วนอาการ dizziness คืออาการเวียนศีรษะ ซึ่งถ้ามีอย่างเดียวและไม่หมดสติจะเป็นอาการที่ ไม่จำเพาะ แต่ถ้ามีอาการเหมือนบ้านหมุนหรือโคลงเคลงทำให้ผู้ป๋วยเวียนศีรษะทรงตัวไม่ได้จะเป็นอาการของ vestibular disorder ระบาดวิทยา (Epidemiology) อาการเป็นลมหมดสติพบได้ร้อยละ 15-50 ในเด็กอายุ 8-18 ปี โดยช่วงอายุที่พบได้บ่อยที่สุดคือ 15-19 ปี โดย เด็กผู้หญิงมีอาการเป็นบ่อยกว่าเด็กผู้ชาย เมื่อผู้ป๋วยมีอาการครั้งแรกแล้วจะมีโอกาสเป็นซาได้สูงถึงร้อยละ 33-51 ในช่วง หำปีแรกหลังเริ่มมีอาการ 1 Interesting Topic 2 Epilepsy Digest 2021พยาธิสรีรวิทยาและสาเหตุ (Pathophysiology and Causes) สาเหตุของอาการเป็นลมหมดสติเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาใดๆ ก็ตามที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมอง น้อยลงอย่างชั่วคราว (transient cerebral hypoperfusion) เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงต่ำกว่าระดับของ cerebral autoregulation จะทำให้การทำงานของสมองในด้านความรู้สึกตัวลดลง ในทางสรีรวิทยาแรงดันเลือดไปเลี้ยงสมอง cerebral perfusion pressure (CPP) คือ ผลต่างของ mean arterial pressure (MAP) กับ intracranial pressure (ICP) ในภาวะปกติร่างกายจะมีค่า MAP อยู่ประมาณ 60-160 mmHg เพื่อทำให้เกิด cerebral perfusion pressure ในช่วง 50-150 mmHg (ที่ ICP 10 mmHg) เมื่อใดก็ตามที่ systolic blood pressure (SBP) ต่ำกว่า 60-70 mmHg หรือ MAP ต่ำกว่า 40 mmHg ร่างกายจะไม่สามารถคงไ ว้ซึ่ง CPP ในช่วงที่ปกติทำให้ผู้ป๋วยหมดสติได้ซึ่งทางพยาธิสรีร วิทยาสามารถจำแนกสาเหตุของอาการเป็นลมหมดสติได้ 3 อย่าง คือ 1. Cardiogenic syncope (cardiovascular mediated syncope) คือภาวะเป็นลมหมดสติที่เกิดจากหัวใจ ทำงานผิดปกติ โดยมีสาเหตุจากโครงสร้างหัวใจผิดปกติ (structural cardiac problems) หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmias) หรือทั้งสองอย่าง ส่งผลให้เลือดที่ออกจากหัวใจมีปริมาณน้อยลงและไปเลี้ยงสมองไม่พอ cardiogenic syncope ถือว่าเป็นภาวะที่คุกคามต่อชีวิต แม้ว่าจะมีอุบัติการณ์ต่ำที่ร้อยละ 2-6 ของการเป็นลมในเด็ก แต่ทำให้ผู้ป๋วย เสียชีวิตได้ 2. Neurally mediated syncope (vasovagal or neurocardiogenic syncope) คือภาวะเป็นลมหมดสติที่ เกิดจาก cardiovascular re ex ตอบสนองไม่ เหมาะสมต่อสิ่งกระตุ้น โดยมีการตอบสนองโดยทำให้หลอดเลือดขยายตัว (vasodilation) และทำให้หัวใ จเต้นชำ (vagus nerve stimulation) ส่งผลให้ความดันโลหิตต่ำและเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ พอชั่วคราว vasovagal syncope เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กที่ร้อยละ 60-80 ของการเป็นลมในเด็ก และไม่ทำให้ ผู้ป๋วยเสียชีวิตแต่อาจทำให้เกิดการบาดเ จ็บต่อร่างกายจากการล้มได้ พยาธิสรีรวิทยาของการเกิด vasovagal syncope ได้รับการสันนิษฐานว่าเกิดจากการกระตุ้น medullary vasodepressor region ใน brainstem โดยมีตัวกระตุ้นชนิดต่างๆ และทำให้มีการเพิ่ม parasympathetic stimulation และการลด sympathetic stimulation (Bezold-Jarisch re ex) ทำให้เกิด para- doxical vasodilation และ bradycardia ซึ่งทำให้เกิดการลดลงของ preload และ cardiac output และท้ายสุดนำ ไปสู่ global cerebral hypoperfusion
Syncope คือ อาการเป็นลมหมดสติหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า หน้ามืดเป็นลม เป็นอาการแม้พบได้ไม่บ่อย แต่มักจะทำให้เกิดความกังวลว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร เนื่องจาก syncope เป็นอาการที่พบทั้งในคนปกติและผู้ป่วยในระบบต่างๆ แพทย์จึงต้องค้นหาสาเหตุ syncope คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีการสูญเสียความรู้สึกตัวและความตึงตัวของกล้ามเนื้อโดยมีสาเหตุจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วคราว อาการหมดสติจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ป่วยจะสูญเสียการทรงตัว ทรุดตัวหรือล้มลง ผู้ป่วยมักจะหลับตาไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือการกระตุ้นสัมผัส แต่ยังคงหายใจได้ปกติ ไม่มีอาการเขียวและยังมีชีพจร อาการหมดสติจะเป็นในเวลาสั้นๆ (2-3 วินาทีถึง 1-2 นาที) และสามารถหายเองได้ โดยผู้ป่วยจะค่อยๆ รู้สึกตัวกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม โดยไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาทใดๆ หลงเหลืออยู่
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10350
Medical
โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกลายพันธุ์ไปถึงกี่ตำแหน่ง
a. 12 ตำแหน่ง b. 11 ตำแหน่ง c. 9 ตำแหน่ง d. 10 ตำแหน่ง e. 36 ตำแหน่ง
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ e. เนื่องจาก โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกลายพันธุ์ไปถึง 36 ตำแหน่ง สามารถหลับเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโควิดพูดง่ายๆ ว่าเป็นเชื้อที่ดื้อมาก การกลายพันธุ์ของไวรัสเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่สาเหตุที่สายพันธุ์นี้ เกิดการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งสูงสุดเท่าที่เคยพบมา อาจเป็นเพราะในแอฟริกา ซึ่งเป็นที่การระบาดอยู่ในพื้นที่ห่างไกลกว่าจะมีการตรวจ Targeted Sequencing ซึ่งตรวจการกลายพันธุ์ในตำแหน่งต่างๆ ก็ต้องอาศัยเล็บที่มีความพร้อมจึงทำให้พบสายพันธุ์นี้ได้ในสุด องค์กรอนามัยโลกว่าพบการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดสายพันธุ์ B.1.1.529 หรือสายพันธุ์โอมิครอน ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ผ่านไปเพียง 1 เดือน มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อสายพันธ์นี้ใน 67 ประเทศทั่วโลก สาเหตุที่ทุกประเทศเอาจริงเอาจังกับการรับมือโควิดสายพันธ์โอมิครอน เพราะมีอัตราการระบาดสูง สามารถเข้ามาแทนที่การระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ในเวลาไม่ถึง 1 เดือน โดยมีการกลายพันธุ์ของตำแหน่งโปรตีนหนามเป็นปัจจัยสำคัญ นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบว่าสายพันธุ์โอมิครอนมีการกลายพันธุ์หลายตำแหน่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในสายพันธุ์อื่นๆ โดยเฉพาะที่โปรตีนหนาม (Spike Protein) เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิมคือสายพันธุ์อูฮั่นสายพันธุ์อัลฟาเกิดการกลายพันธุ์ไป 10 ตำแหน่ง สายพันธุ์เบต้า 11 ตำแหน่ง สายพันธุ์ เดลต้า 9 ตำแหน่ง สายพันธุ์แกมมา 12 ตำแหน่ง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43257
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ ความร่ำรวยไม่ได้เกิดขึ้นโดยโชคช่วยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความพยายาม วินัย และกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
null
แสงสว่างนำทางสู่ความมั่งคั่ง ณ ใจกลางเมืองหลวงอันวุ่นวาย ชายหนุ่มนามว่า อาทิตย์ กำลังนั่งจมอยู่กับความคิดในร้านกาแฟ ข้างกายเขาเต็มไปด้วยหนังสือการเงินและกองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลข เขากำลังทบทวนกลยุทธ์การลงทุนของตัวเอง อาทิตย์ ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตที่มั่งคั่ง เขาอ่านหนังสือการเงินมากมาย ศึกษาแนวทางการลงทุนจากนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ แต่เส้นทางสู่ความร่ำรวยนั้นช่างดูยากเย็น เขารู้สึกท้อแท้ สงสัยว่าตนเองนั้นจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ทันใดนั้น หญิงสาววัยกลางคนนามว่า ลลิน เดินมานั่งที่โต๊ะข้างๆ เธอสังเกตเห็นอาการครุ่นคิดของอาทิตย์จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม?" อาทิตย์ ลังเลอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจระบายความกังวลในใจให้ลลินฟัง เขาเล่าถึงความใฝ่ฝันของเขา กลยุทธ์ที่เขาใช้ และความท้อแท้ที่เขากำลังเผชิญ ลลิน ยิ้มอย่างใจดี หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา วาดภาพโคมไฟสามดวงบนนั้น เธออธิบายว่า โคมไฟแต่ละดวงเปรียบเสมือนปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่งคั่ง โคมไฟดวงแรกคือ "เงินทุนเริ่มต้น" ดวงที่สองคือ "ผลตอบแทนจากการลงทุน" และดวงที่สามคือ "ระยะเวลาการลงทุน" "โชคมีส่วนช่วยในความร่ำรวยจริง แต่มันไม่ใช่ปัจจัยเดียว" ลลิน อธิบาย "สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้จักปรับแสงสว่างของโคมไฟทั้งสามดวงด้วยตัวเอง" เธออธิบายต่อว่า เงินทุนเริ่มต้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากโชค เช่น เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากความพยายาม อาทิตย์ สามารถเพิ่มเงินทุนเริ่มต้นของเขาได้โดยการเก็บออมอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุน ลลิน แนะนำให้อาทิตย์ ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว และปัจจัยสุดท้ายคือ ระยะเวลาการลงทุน ลลิน เน้นย้ำว่า "เวลา" เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง อาทิตย์ ควรเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย และลงทุนอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ ฟังคำแนะนำของลลินอย่างตั้งใจ เขารู้สึกเหมือนมีแสงสว่างส่องเข้ามาในใจ เขาขอบคุณลลินสำหรับคำแนะนำอันล้ำค่า หลังจากวันนั้น อาทิตย์ เปลี่ยนแปลงตัวเอง เขาเริ่มเก็บออมอย่างจริงจัง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตัวเอง หลายปีผ่านไป แสงสว่างจากโคมไฟทั้งสามดวงของอาทิตย์ ค่อยๆ สุกสว่างขึ้น เขามีเงินทุนเริ่มต้นมากขึ้น ผลตอบแทนจากการลงทุนก็เพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญ เขามีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในที่สุด อาทิตย์ ก็ประสบความสำเร็จ เขาบรรลุเป้าหมายทางการเงิน มีชีวิตที่มั่งคั่งและมีความสุข
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_26726
Medical
ข้อใดคือสาเหตุของโรคลมจากความร้อนที่พบบ่อยที่สุด?
ก. การถูกสัตว์มีพิษกัด ข. การเผชิญกับคลื่นความร้อนติดต่อกันเป็นเวลานาน ค. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ง. การติดเชื้อแบคทีเรียในสมอง
ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก เหตุผล:ระบุว่า 1. โรคลมจากความร้อนเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ การเผชิญกับอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคลื่นความร้อนที่อุณหภูมิสูงเกิน 39°C (102.2°F) ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วันขึ้นไป ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของโรคลมจากความร้อน: ง. การติดเชื้อแบคทีเรียในสมอง: แม้ว่าอาจทำให้มีไข้สูงและอาการทางระบบประสาท แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลไกการระบายความร้อนของร่างกาย ค. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: แอลกอฮอล์อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ส่งผลต่อการควบคุมอุณหภูมิ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคลมจากความร้อน ก. การถูกสัตว์มีพิษกัด: พิษจากสัตว์อาจทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกับโรคลมจากความร้อน แต่กลไกเบื้องหลังจะแตกต่างกัน 2. หลักฐานสนับสนุนจากบทความ: "โรคลมจากความร้อน" อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุดังนี้ 2.1. เกิดจากการเผชิญกับอากาศร้อน เช่น การเกิดคลื่นความร้อนมากกว่า ๓๙๒ องศาเซลเซียส ๑๐๒๕ องศาฟาเรนไฮต์ ติดต่อกันตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไป 2.2 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมจากความร้อน ได้แก่ - เด็กเล็ก - ผู้ที่มีอายุมากกว่า ๖๕ ปี - คนอ้วน 2.3 ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคคอพอกเป็นพิษ โรคพาร์กินสัน เป็นต้น 2.4 รวมทั้งผู้ที่กินยาบางชนิดที่ขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย เช่น - ยารักษาโรคจิต - ยาแก้แพ้ - ยาที่ออกฤทธิ์แอนติโคลิ-เนอร์จิก - ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ - เสพยาโคเคน หรือแอมเฟตามีน ยาบ้า ถ้ากลุ่มคนที่มีความเสี่ยงเหล่านี้อยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศหรือการถ่ายเทอากาศไม่สะดวก 2.5 สาเหตุที่มักพบในคนหนุ่มสาวที่มีร่างกายแข็งแรงแต่ใช้พลังงานมาก เช่น นักกีฬา นัก-วิ่งไกล คนงาน ทหาร เป็นต้น สาเหตุดังกล่าวทำให้ - ร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อน เป็นเหตุให้มีอุณหภูมิแกนของร่างกาย โดยการวัดทางทวารหนัก ขึ้นสูงเกิน ๔๑ องศาเซลเซียส ๑๐๖ องศาฟาเรนไฮต์ - ความร้อนจะทำให้อวัยวะต่างๆ ถูกทำลายจนทำหน้าที่ผิดเพี้ยนไป และเกิดปฏิกิริยาการอักเสบของร่างกาย ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42645
Finance
อะไรคือจุดแข็งทางการเงินของ BDMS ที่ทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงพยาบาลเอกชนได้?
null
1. โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง: BDMS มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ (Debt-to-Equity Ratio) อยู่ที่ 0.44 เท่า แสดงว่าบริษัทมีหนี้สินน้อยเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของ ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงินต่ำและสามารถกู้ยืมเงินเพื่อขยายธุรกิจได้สะดวก BDMS มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations) ที่แข็งแกร่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างรายได้และเงินสดจากธุรกิจหลัก BDMS มีอัตราผลตอบแทนจากส่วนของเจ้าของ (Return on Equity) สูงอยู่ที่ 14.2% แสดงว่าบริษัทสามารถบริหารจัดการเงินทุนของเจ้าของได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. กลยุทธ์การขยายธุรกิจที่ชัดเจน: BDMS มุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งมีตลาดการแพทย์ที่เติบโตสูง BDMS เน้นการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าและขยายเครือข่ายให้ครอบคลุม BDMS ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและดึงดูดลูกค้า 3. ฐานลูกค้าที่หลากหลาย: BDMS มีฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ โดยมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 30% BDMS มีโรงพยาบาลในหลายระดับราคา รองรับลูกค้าทุกกลุ่ม BDMS ให้บริการทางการแพทย์ที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งการรักษาโรคทั่วไป โรคเฉพาะทาง และการตรวจสุขภาพ 4. ทีมแพทย์และพยาบาลที่มีคุณภาพ: BDMS มีทีมแพทย์และพยาบาลที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญสูง BDMS เน้นการพัฒนาทักษะและความรู้ของแพทย์และพยาบาลอย่างต่อเนื่อง BDMS มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพการรักษาและบริการ 5. เทรนด์การเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาล: ประชากรไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริการทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น คนไทยมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีกำลังซื้อในการใช้บริการทางการแพทย์เอกชนมากขึ้น รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทย สรุป: จุดแข็งทางการเงิน กลยุทธ์การขยายธุรกิจ ฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทีมแพทย์และพยาบาลที่มีคุณภาพ และเทรนด์การเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาล ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ BDMS สามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงพยาบาลเอกชนได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_26704
Medical
การทานเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ใช่หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างการทานเนื้อแดงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น งานวิจัยในปี 2559 พบว่า ผู้ที่ทานเนื้อแดงมากกว่า 170 กรัมต่อวัน มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าผู้ที่ทานเนื้อแดงน้อยกว่า 70 กรัมต่อวัน งานวิจัยในปี 2561 พบว่า ผู้ที่ทานเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน มากกว่า 50 กรัมต่อวัน มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าผู้ที่ทานเนื้อแปรรูปน้อยกว่า 25 กรัมต่อวัน สาเหตุที่การทานเนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจเป็นเพราะเนื้อแดงมีสารก่อมะเร็ง เช่น ฮีม (heme) สารไนโตรซามีน (nitrosamines) และสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (polycyclic aromatic hydrocarbons) อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จากการทานเนื้อแดง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเนื้อแดงที่ทานเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น วิธีการปรุงเนื้อแดง: การย่าง ปิ้ง รมควัน จะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งมากกว่าการต้ม นึ่ง หรือตุ๋น ประเภทของเนื้อแดง: เนื้อวัวมีความเสี่ยงมากกว่าเนื้อหมู พฤติกรรมการทานอาหารอื่นๆ: การทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ใยอาหาร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ข้อควรระวัง: ควรจำกัดการทานเนื้อแดง ไม่เกิน 50 กรัมต่อวัน ควรเลือกทานเนื้อแดงที่มีไขมันต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการทานเนื้อแปรรูป ควรทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ใยอาหาร เพิ่มเติม ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ สรุป: การทานเนื้อแดง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ควรจำกัดการทานเนื้อแดง เลือกทานเนื้อแดงที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงการทานเนื้อแปรรูป ทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ใยอาหาร เพิ่มเติม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,โภชนวิทยา
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_511
Finance
อธิบายเกี่ยวกับ วิธีการเลือกธุรกิจที่น่าสนใจเข้าพอร์ตการลงทุนของกองทุน K-CHINA-A ในมุมมองของคนที่ไม่เคยลงทุนเลย
null
"วิธีการเลือกธุรกิจที่น่าสนใจเข้าพอร์ตการลงทุนของกองทุน K-CHINA-A ตามที่เราเข้าใจโดยยังไม่เคยลงทุนนะ ขั้นแรกก็ต้องเลือกธุรกิจก่อน จะแบบไหนก็ได้เลือกเลย จากนั้นก็ทำการคัดเลือกหุ้นตามที่เราเข้าใจ ไม่ต้องเน้นหลักการรอะไรมาก แล้วก็เลือกลงทุนไปเลย" บทเรียนจากการอธิบายนี้ K-CHINA-A หรือ กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน-A เป็นกองทุนที่ลงทุนในบริษัทจีน ผ่านกองทุนแม่ คือ JPMorgan Funds – China Fund โดยมีวิธีการเลือกธุรกิจที่น่าสนใจเข้าพอร์ตการลงทุน คือ - เลือกธุรกิจแบบ bottom-up stock - คัดเลือกหุ้นโดยเน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน - เลือกลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างยั่งยืน - เน้นหุ้นกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่ได้ประโยชน์จากแผนพัฒนาของรัฐบาลจีน - กองทุนหลักบริหารแบบ active management เพื่อให้ผลประกอบการชนะดัชนีชี้วัด สำหรับนักลงทุนที่สนใจกองทุนนี้ ก็มีกองทุนให้เลือกอยู่ 2 คลาส คือ - K-CHINA-A(A) ที่เป็นชนิดสะสมมูลค่า (มีแบบ SSF และ RMF ให้เลือกด้วย) และ - K-CHINA-A(D) ที่เป็นชนิดจ่ายเงินปันผล จากข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2023 กองทุนหลักของ K-CHINA-A ยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม New Economy ที่ได้ประโยชน์จากแผนพัฒนาของรัฐบาลจีนเหมือนเดิม
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_20674
Medical
การทำประชาพิจารณ์ระบบหลักประกันสุขภาพ มีผลต่อการพัฒนาระบบสุขภาพไทยอย่างไร?
จาก เวทีเสียงบ่น สู่สมัชชาพิจารณ์ ในขณะที่คนไทยทั้งประเทศ กำลังรอคอยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำลังร่างใหม่ว่าหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร จะเป็นรัฐธรรมนูญที่ช่วย ปฏิรูปการเมือง ของประเทศให้ดีขึ้นได้สมดังเจตนารมย์ที่หลายคนมุ่งหมายอยู่หรือไม่ ที่สำคัญคือ จะมีกระบวนการรับฟังความเห็นของภาคีเครือข่ายต่างๆอีกหรือไม่ ก่อนที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ ผมอยากจะเรียนว่า ในบรรดากฎหมายต่างๆที่มีอยู่หลายร้อยฉบับในขณะนี้ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพ พศ 2545 ถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ทันสมัยมาก เพราะได้กำหนดไว้ในมาตรา 18 13 ว่า ต้องมีการจัดประชุมเพื่อให้คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นโดยทั่วไปจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการ เป็นประจำทุกปี โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ การทำประชาพิจารณ์ครั้งแรกนั้นเริ่มในปี 2546 โดยเป็นการจัดในระดับประเทศ บรรยากาศการประชุมค่อนข้างเป็นทางการ สถานที่คือโรงแรมในกรุงเทพมหานคร มีผู้ร่วมประชุมหลายร้อยคน บรรยากาศในวันนั้นค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ แปลกใหม่ สำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะคนไทยยังไม่เคยชินกับบรรยากาศที่ใครจะยกมือขอพูดเรื่องอะไรก็ได้ ในเรื่องหลักประกันสุขภาพซึ่งตอนนั้น คำว่า หลักประกันสุขภาพ ก็ยังเป็นคำที่แปลกใหม่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในมุมของภาคประชาชน สภาพบรรยากาศจึงค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วย เสียงบ่น – เสียงวิพากย์ การให้บริการของโรงพยาบาล ความไม่สะดวกในการได้รับบริการต่างๆนานาที่ประชาชนได้รับ ผู้แทนจากหน่วยบริการหลายคนมีท่าทีอึดอัดและไม่สบายใจต่อการถูกโจมตี ถูกต่อว่าต่อขานจากชาวบ้าน หลายท่านเสนอแนะในสิ่งที่ตนเอง คาดหวัง ซึ่งบางเรื่องจำเป็นต้องมีกระบวนการปรับปรุงกฎหมาย หรือสิทธิประโยชน์ต่างๆที่กำหนดไว้เดิม บางเรื่องต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการรองรับ การสรุปผลการประชุมจึงเป็นเรื่องที่ทำอย่างลำบากยากเย็นเพราะต้องพยายามนำสิ่งที่ถูกสะท้อนมาทั้งหมด ซึ่งมีทั้งเสียงบ่น ความคาดหวัง ข้อเสนอ ซึ่งระคนไปด้วยความไม่เข้าใจที่สุกๆดิบๆหรือยังไม่ได้กลั่นกรองสังเคราะห์ปะปนอยู่ด้วย ต่อมาในการทำประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 3 4 ได้เริ่มมีการจัดประชุมในระดับภาค และระดับเขต เพราะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เริ่มจัดตั้งสำนักงานสาขาในส่วนภูมิภาคขึ้นรองรับการทำงานในพื้นที่ อย่างไรก็ตามรูปแบบและบรรยากาศการจัดประชุมก็ยังคล้ายๆเดิม จะมีที่แตกต่างไปบ้างคือ เริ่มมีการกำหนดหัวข้อที่จะให้พูดอภิปรายที่เป็นระบบมากขึ้น เช่น การเน้นภารกิจหลัก 7 ประการที่เป็นบทบาทหน้าที่หลักของระบบหลักประกันสุขภาพในการดูแลประชาชน เรื่องการเงินการคลังของหน่วยบริการ สภาพคล่องทางการเงิน เริ่มถูกหยิบยกนำมาอภิปรายกันมากขึ้น เพราะในช่วงแรกเงินงบประมาณที่ได้รับยังมีการบริหารจัดการที่ยังไม่ลงตัวนัก ประโยชน์ของการทำประชาพิจารณ์ Public Hearing นั้นมีหลายประการ นับตั้งแต่ 1 เป็นกลไกใหม่ในการสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งหมอในโรงพยาบาล ประชาชนที่เข้ารับบริการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงองค์กรเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ 2 เป็นกระบวนการในการสร้าง ความเป็นเจ้าของร่วมกัน ownership ซึ่งทำให้เกิดความต้องการที่จะพัฒนาระบบให้ดีขึ้น 3 เป็นเวทีในการรับฟังข้อมูลต่างๆ ทั้งด้านบวกด้านลบ เพื่อนำไปประมวลสังเคราะห์ขอบเขตการให้บริการ สิทธิประโยชน์และคุณภาพบริการให้ดีขึ้น 4 เป็นกระบวนการสร้างความเข้าใจและตื่นตัว ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอยู่ใกล้ชิดประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน รูปธรรมง่ายๆที่เป็นตัวอย่าง คือ ผลจากการทำประชาพิจารณ์ได้ทำให้มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลผู้ป่วยจิตเวช ด้านการเข้าถึงยาราคาแพง ด้านการคลอดโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งและอื่นๆอีกมากมาย ในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้ ได้มีการพัฒนาการทำประชาพิจารณ์ให้ก้าวหน้า มีสาระ และเป็นประโยชน์กับระบบหลักประกันสุขภาพมากขึ้น อันได้แก่ ก มีการขยายการทำประชาพิจารณ์ไปจนถึงระดับจังหวัดและอำเภอ นำร่อง ในบางพื้นที่ เพื่อทำให้ประชาชนตื่นตัวและมีส่วนร่วมมากขึ้น ทำให้ได้คนหน้าใหม่ที่เข้าใจและใส่ใจต่อระบบสุขภาพมากขึ้น ข มีการจัดประชุมที่มอบหมายให้หน่วยงานย่อยในพื้นที่ทั้งภาครัฐบาลและประชาชน เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด มหาวิทยาลัยในพื้นที่ เครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ เป็นแกนหลักในการจัดประชุม แทนที่จะเป็นสำนักงานหลักประกันสุขภาพเขตพื้นที่อย่างที่ผ่านๆมา ค บางแห่งมีการจัดประชุมแบบสมัชชาซึ่งเป็นระบบที่องค์การอนามัยโลกและเวทีนานาชาติใช้อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัย ต้องมีการเตรียมข้อมูลเอกสารประกอบการประชุมอย่างดี และได้ข้อสรุปที่เป็น มติ ของพื้นที่นำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดได้ในทุกระดับ บางแห่งสามารถพัฒนานำไปสู่การสังเคราะห์ธรรมนูญพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกใหม่ที่มีคุณค่ามาก ง เกิดการออกระเบียบ และวิธีปฏิบัติในการทำประชาพิจารณ์ ตลอดจนมาตรฐานการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในปี 2558 จ ทำให้การพัฒนา กระบวนการนำข้อมูลและข้อเสนอ จากเวทีประชาพิจารณ์ไปใช้ประโยชน์ในเชิงระบบและมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง จวบจนถึงขณะนี้ เรามีเวทีประชาพิจารณ์ไปแล้ว 13 รอบ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา พศ 2546 – 2559 สังคมไทยได้มีการเรียนรู้และเกิดจิตสำนึกใหม่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จากเวทีเริ่มต้นที่เต็มไปด้วย เสียงบ่น พัฒนาไปสู่เวทีที่มีการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีเนื้อหาสาระและมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกระบวนการ สมัชชาพิจารณ์ ที่น่าประทับใจ ทั้งหมดนี้ คือ วิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่น่าตื่นตาตื่นใจและทรงคุณค่ายิ่ง
1. เป็นกลไกสร้างการมีส่วนร่วม: ประชาชน ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน แบ่งปันประสบการณ์ ปัญหา และข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพ 2. สร้างความเป็นเจ้าของร่วม: ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วม กระตุ้นให้ทุกคนมีบทบาทรับผิดชอบต่อระบบ 3. รับฟังข้อมูลทั้งแง่บวกและลบ: รับฟังเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานจริง ทั้งด้านบวก เช่น การบริการที่ประทับใจ ด้านลบ เช่น ปัญหาการเข้าถึงบริการ 4. พัฒนาระบบให้ดีขึ้น: นำข้อมูลที่ได้รับ ไปพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข สิทธิประโยชน์ คุณภาพบริการ 5. สร้างความเข้าใจ: ประชาชนเข้าใจระบบ สิทธิ หน้าที่ 6. กระตุ้นให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วม: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชน ตัวอย่างผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น: -ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลผู้ป่วยจิตเวช -เพิ่มการเข้าถึงยาราคาแพง -คลอดบุตรโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง -พัฒนาระบบนัดหมายล่วงหน้า -พัฒนาระบบส่งยาถึงบ้าน การพัฒนาการทำประชาพิจารณ์: -ขยายการจัดประชุมระดับจังหวัด อำเภอ -มอบหมายให้หน่วยงานย่อยจัดประชุม -จัดประชุมแบบสมัชชา -พัฒนาระเบียบ วิธีปฏิบัติ มาตรฐานการทำงาน -นำข้อมูล ข้อเสนอ ไปใช้ประโยชน์ ผลลัพธ์: -ประชาชนเรียนรู้ เข้าใจระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า -เสนอข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีเนื้อหาสาระ -พัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของประชาชน
สาธารณสุข (public health)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40234
Finance
สถิติการทำประกันปี 62-64 หลังจากโรคโควิด
null
1. ประกันชีวิต ในส่วนของประกันชีวิต ปี 62-64 ที่ผ่านมา จะพบว่า ในปี 63 ซึ่งเป็นปีแรกที่เกิดโควิด-19 มีผลอย่างมากที่ทำให้เกิดความกังวลกับชีวิตและคนที่อยู่ข้างหลัง ด้วยจำนวนกรรมธรรม์เติบโตถึง 8% และขยับลดลงในปีถัดมา ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคลี่คลายของสถานการณ์โควิด หรือแม้แต่ข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจทำประกันเพิ่มขึ้น 2. ประกันวินาศภัย ในส่วนของประกันวินาศภัย หากพิจารณาเฉพาะการประกันภัยสุขภาพในปี 62-64 จะเห็นว่าจำนวนกรมธรรม์การประกันภัยสุขภาพโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 62 มาปี 63 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา โดยโตถึง 616% สะท้อนความต้องการการได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลที่สะดวก รวดเร็ว รวมถึงความกังวลใจต่อค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องเลือกการรักษาพยาบาลนอกเหนือไปจากสวัสดิการทั้งของรัฐหรือสวัสดิการที่เคยมีอยู่เดิมได้อย่างชัดเจน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_407
Finance
SoR Risk คืออะไร
null
Sequence of Returns Risk (SoR Risk) เป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องถอนเงินออกจากเครื่องมือทางการเงินที่มีความผันผวน เช่น หุ้น กองทุนรวม เป็นต้น โดยหากผลตอบแทนจากการลงทุนในช่วงต้นของการถอนเงินระยะเวลา 5 - 10 ปีแรก เป็นช่วงตลาดขาลง (Bear Market) จะส่งผลให้เงินกองทุนปรับลดลงอย่างรวดเร็วและหมดก่อนเวลาอันสมควร ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นเกษียณด้วยเงินกองทุน 10,000,000 บาท และนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทน พบว่าผลตอบแทนค่าเฉลี่ยแบบเรขาคณิตหรือการคิดผลตอบแทนแบบทบต้น (Geometric Mean) ตลอดระยะเวลา 30 ปี มีค่าเท่ากับ 7% ต่อปี และผลตอบแทนเฉลี่ยแบบเรขาคณิต ตลอดระยะเวลา 30 ปี ก็มีค่าเท่ากับ 7% ต่อปีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีลำดับของผลตอบแทนในแต่ละปีสลับกัน เริ่มต้นผลตอบแทนด้วยกำไรหรือผลตอบแทนที่เป็นบวก และปิดท้ายช่วง 3 ปีสุดท้ายด้วยผลตอบแทนที่เป็นลบหรือขาดทุน แล้วสลับล่างขึ้นบน กล่าวคือ เริ่มต้นด้วยผลตอบแทนที่เป็นลบหรือขาดทุนในช่วง 3 ปีแรก และผลตอบแทนที่เป็นบวกลงไปอยู่ช่วงปลายทาง ซึ่งในโลกของการลงทุนเพื่อสะสมเงิน ลำดับของผลตอบแทน จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ทั้งเหมือนและต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิธีการลงทุน กล่าวคือ หากเป็นการลงทุนแบบครั้งเดียวหรือเรียกว่า LumpSum ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้จากการลงทุนจะเหมือนกันไม่มีความแตกต่างกัน แต่หากเปลี่ยนวิธีลงทุนเป็นการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ที่เรียกว่า Dollar Cost Averaging (DCA) จะให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จะเห็นได้ว่าหากลงทุนแบบ DCA ทุกปี ปีละ 100 บาท ผลลัพธ์สุดท้าย 30 ปี จะได้เงินจำนวน 15,272.78 บาท และ 7,806.93 บาท ตามลำดับ นั่นหมายความว่า ลำดับของผลตอบแทนมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุนแบบ DCA โดยเงินลงทุนปีละ 100 บาทเท่ากันทุกปี จำนวน 30 ปี ให้ผลลัพธ์ต่างกันมากกว่าเท่าตัว สะท้อนได้ชัดเจนว่าหากในช่วงระยะเวลาปลายทางของการลงทุน หากพบกับเหตุการณ์ตลาดขาลงจะส่งผลให้เงินสะสมลดลงอย่างรวดเร็ว
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_46028
Legal
ช่วยสรุปบทความ “หลักฐานจากกล้องวงจรปิด” ให้หน่อย
“หลักฐานจากกล้องวงจรปิด” ลองมาฟังสิว่า .. ศาลรับฟังสิ่งที่กล้องเห็นมากน้อยแค่ไหน.. เหมือนที่เราเข้าใจมั้ย.. กล้องวงจรปิด ไม่ใช่พยานบุคคล.. แต่ศาลก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้.. ก่อนอื่นต้อง ทำความเข้าใจเรื่องประเภทของพยานก่อน พยานแบ่งง่ายๆเป็น 2 ประเภท พยานตรง (ประจักษ์พยาน) พยานอ้อม (พยานแวดล้อม) 1. พยานตรง (direct evidence) คือ พยานที่รู้ หรือเห็นการกระทำความผิด.. ที่ฟันธงได้ว่า จำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ พยานตรงนี้ ศาลให้ความสำคัญมากที่สุดในบรรดาพยานหลักฐานทั้งหลาย.. เช่น นายเคข่มขืนนางบี นางบีเห็นหน้านายเคอย่างชัดเจน.. นางบีคือ ประจักษ์พยาน ศาลให้ความสำคัญมาก ถ้าศาลเชื่อนางบี ศาลจะพิพากษาว่านายเค มีความผิด นาย ก.ใช้มีดชิงสร้อยคอของนายข. ขณะที่นายข.นอนหลับ.. นายค.ผ่านมาเห็นพอดี นายค.คือพยานตรง ศาลให้ความสำคัญมากที่สุด ถ้า กล้องวงจรปิด มีภาพที่เห็นขณะที่จำเลยกระทำความผิด..เช่น เห็นขณะคนร้ายชิงทรัพย์ ภาพจากกล้องนั้น คือ พยานตรง.. 2. พยานอ้อม (indirect evidence) สมัยก่อนเรียกว่า พยานพฤติเหตุกรณี .. พยานอ้อม นี้ คือ พยานที่ไม่รู้ไม่เห็นการกระทำผิดโดยตรง.. แต่เชื่อมโยงไปได้ว่า จำเลยน่าจะกระทำความผิด พยานอ้อม นี้ ศาลให้ความสำคัญน้อยมากๆ บางทีไม่สนใจเลย.. เช่น นายเคข่มขืนนางบีในป่าข้างทาง หลังจากนั้น นายเอ ขับรถผ่านมา เห็นนางบีวิ่งออกมาจากป่าข้างทาง และเห็นนายเค เดินตามออกมา แบบนี้ นายเอ เป็นแค่พยานแวดล้อม นายก. ใช้มีดจี้ชิงสร้อยนายข. นายง. เห็นตอนนายก. ไปซื้อมีดก่อนไปชิงสร้อย ส่วนนายจ. เห็นนายก. เอาสร้อยไปขาย.. แบบนี้ ทั้งนายง. และนายจ. เป็นพยานอ้อม มีน้ำหนักน้อย ถ้ากล้องวงจรปิดไม่เห็นขณะจำเลยทำผิดแต่เห็นผ่านไปมาใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุ.. ภาพจากกล้องนั้น คือ พยานแวดล้อม 3. พยานตรง ถ้าน่าเชื่อถือ.. ศาลรับฟังได้เลยว่า จำเลยมีความผิด เช่น พยานเบิกความได้ไม่มีพิรุธ พยานเบิกความสอดคล้องกับพยานอื่น พยานเบิกความเป็นธรรมชาติ เป็นต้น 4. พยานตรง ถ้าไม่น่าเชื่อถือ.. ศาลอาจไม่รับฟังเลย.. ถ้าไม่มีพยานอื่นมาสืบ ศาลอาจยกฟ้องได้ เช่น พยานเบิกความขัดกับพยานตรงคนอื่น. พยานเบิกความมีพิรุธ. พยานเบิกความไม่เป็นธรรมชาติ เป็นต้น 5. พยานอ้อม อย่างเดียว แม้จะน่าเชื่อขนาดไหน ไม่มีพิรุธอะไร ก็มีน้ำหนักน้อย.. ศาลฟังพยานแวดล้อมมาลงโทษไม่ได้ 6. เว้นแต่ พยานอ้อมนั้นมีมาก มีความสอดคล้องกัน และไม่มีพิรุธเลย.. อาจมีความน่าเชื่อถึงขนาดรับฟังลงโทษได้ เช่น คดีคุณหมอวิสุทธิ์ เป็นต้น
“หลักฐานจากกล้องวงจรปิด”ศาลรับฟังสิ่งที่กล้องเห็นมากน้อยแค่ไหน กล้องวงจรปิด ไม่ใช่พยานบุคคลแต่ศาลก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ พยานแบ่งง่ายๆเป็น 2 ประเภท คือ พยานตรง (ประจักษ์พยาน) พยานอ้อม (พยานแวดล้อม) 1.พยานตรงคือผู้ที่รู้หรือเห็นการกระทำความผิดและสามารถยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาได้ทำความผิดจริง ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดในการพิจารณาคำพิพากษาของศาล ตัวอย่างเช่น หากนางบีเป็นพยานตรงที่เห็นนายเคข่มขืนนางบีอย่างชัดเจน การพิจารณาของศาลจะขึ้นอยู่กับการเชื่อถือของพยานตรงนี้ ซึ่งอาจทำให้นายเคถูกพิพากษาว่ามีความผิด ถ้ามีภาพจากกล้องวงจรปิดที่แสดงการกระทำความผิดชัดเจน ภาพจากกล้องวงจรปิดจะเป็นพยานตรง 2.พยานอ้อมหรือพยานพฤติเหตุกรณีคือผู้ไม่รู้หรือเห็นการกระทำความผิดโดยตรง แต่มีการเชื่อมโยงกับจำเลยว่าอาจได้ทำความผิด ศาลให้ความสำคัญน้อยมากๆ บางทีไม่สนใจเลย ถ้าภาพจากกล้องวงจรปิดไม่เห็นการกระทำความผิดโดยตรง แต่มีการบันทึกภาพเมื่อจำเลยผ่านไปใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ ภาพจากกล้องนั้นถือเป็นพยานแวดล้อม 3.พยานตรงที่น่าเชื่อถือจะทำให้ศาลพิจารณาว่าจำเลยมีความผิด 4.พยานตรงที่ไม่น่าเชื่อถืออาจทำให้ศาลไม่รับฟัง 5.พยานอ้อมมีน้ำหนักน้อย แม้จะน่าเชื่อถือขนาดไหนก็ตาม ศาลไม่สามารถลงโทษจำเลยได้ 6. ถ้าพยานอ้อมมีมาก มีความสอดคล้อง และไม่มีพิรุธเลย อาจมีความน่าเชื่อถึงขนาดที่ศาลจะรับฟังและลงโทษได้
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_5542
Legal
จงสรุปบทความเรื่อง หลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้หน่อยค่ะ
หลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ​ ยกเว้นภาษีเงินได้ค่าเบี้ยเลี้ยง เงินค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินที่นายจ้างให้เป็นการเฉพาะในกรณีพิเศษที่ตกลงกันตามสัญญาจ้าง เช่น ในกรณีที่ออกนอกสถานที่เป็นครั้งคราวหรือเกิดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าเบี้ยเลี้ยง (มาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดทุกข้อ ดังนี้… หลักเกณฑ์ 1. พนักงาน ต้องได้รับค่าเบี้ยเลี้ยง เนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ไม่ได้ออกไปเป็นประจำ 2. ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะการที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน 3. ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางต้องไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนด ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย หากไม่เกินจำนวนเงินไม่ต้องมีหลักฐาน การจ่ายเงินมาพิสูจน์ 4. ได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม ข้อ 3 และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม ข้อ 3 5. ในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณี เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีเงินพิเศษเดินทางต่างประเทศ ซึ่งพนักงานที่ปฏิบัติงาน ไปต่างประเทศเป็นครั้งคราวได้รับแยกจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายวันที่ได้รับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ถือเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร ผลวิเคราะห์กระแสในโลกออนไลน์ ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ มาดูกระแสบนโลกออนไลน์กันว่ามีการพูดถึงหรือค้นหา “ภาษีเงินได้” อย่างไร โดยเราใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Zanroo Search ใช้ในการค้นหา พบว่ามีการพูดถึงกันมากบนโลกออนไลน์ โดยใช้ค้นหาข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2563 ช่วงวันที่มีการพูดถึงเรื่องภาษีเงินได้มากที่สุด คือ ช่วงวันที่ 21-23 กันยายน 2563 โดยส่วนใหญ่พูดถึงผ่านช่องทาง Facebook โดยมีการพูดถึง “ภาษีเงินได้” ทั้งหมด 1,249 ข้อความ ซึ่งช่องทางที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดคือ Facebook จำนวน 498 ข้อความ จะเห็นได้ว่า เนื้อหาที่ได้รับความนิยมและผู้คนมีส่วนร่วมมากที่สุด มาจากช่องทาง Twitter โดยเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิติบุคคล ซึ่งมีการเข้าชมมากกว่า 24,670 ครั้ง นอกจากนั้น เครื่องมือ Zanroo ยังสามารถบอกได้อีกว่า คีย์เวิดที่มีการเสริชถึง “ภาษีเงินได้ มีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจากภาพการเสริชที่เป็นอันดับ 1 จะเป็นคำว่า เงินได้บุคคลธรรมดาครึ่ง มีจำนวน 185 Message และสุดท้าย โพสต์ที่เกี่ยวข้องจะเป็นของเพจ Taxbugnoms มีทั้งหมด 22 โพสต์ และส่วนของ Influencer นั้น อันดับ 1 คือ Taxbugnoms ที่ผู้คนมีส่วนร่วมมากถึง 15K ข้อความต่อโพสต์ สุดท้าย ต้องขอขอบคุณสำหรับเครื่องมือ Zanroo Search ที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลและการเปรียบเทียบเพื่อทำการตลาดที่ง่ายขึ้น หากใครที่สนใจสามารถทดลองใช้งานได้ที่ ยกเว้นภาษีเงินได้ค่าเบี้ยเลี้ยง เงินค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินที่นายจ้างให้เป็นการเฉพาะในกรณีพิเศษที่ตกลงกันตามสัญญาจ้าง เช่น ในกรณีที่ออกนอกสถานที่เป็นครั้งคราวหรือเกิดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าเบี้ยเลี้ยง (มาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดทุกข้อ ดังนี้… หลักเกณฑ์ 1. พนักงาน ต้องได้รับค่าเบี้ยเลี้ยง เนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ไม่ได้ออกไปเป็นประจำ 2. ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะการที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน 3. ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางต้องไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนด ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย หากไม่เกินจำนวนเงินไม่ต้องมีหลักฐาน การจ่ายเงินมาพิสูจน์ 4. ได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม ข้อ 3 และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม ข้อ 3 5. ในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณี เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีเงินพิเศษเดินทางต่างประเทศ ซึ่งพนักงานที่ปฏิบัติงาน ไปต่างประเทศเป็นครั้งคราวได้รับแยกจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายวันที่ได้รับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ถือเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร ผลวิเคราะห์กระแสในโลกออนไลน์ ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ มาดูกระแสบนโลกออนไลน์กันว่ามีการพูดถึงหรือค้นหา “ภาษีเงินได้” อย่างไร โดยเราใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Zanroo Search ใช้ในการค้นหา พบว่ามีการพูดถึงกันมากบนโลกออนไลน์ โดยใช้ค้นหาข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2563 ช่วงวันที่มีการพูดถึงเรื่องภาษีเงินได้มากที่สุด คือ ช่วงวันที่ 21-23 กันยายน 2563 โดยส่วนใหญ่พูดถึงผ่านช่องทาง Facebook โดยมีการพูดถึง “ภาษีเงินได้” ทั้งหมด 1,249 ข้อความ ซึ่งช่องทางที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดคือ Facebook จำนวน 498 ข้อความ จะเห็นได้ว่า เนื้อหาที่ได้รับความนิยมและผู้คนมีส่วนร่วมมากที่สุด มาจากช่องทาง Twitter โดยเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิติบุคคล ซึ่งมีการเข้าชมมากกว่า 24,670 ครั้ง นอกจากนั้น เครื่องมือ Zanroo ยังสามารถบอกได้อีกว่า คีย์เวิดที่มีการเสริชถึง “ภาษีเงินได้ มีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจากภาพการเสริชที่เป็นอันดับ 1 จะเป็นคำว่า เงินได้บุคคลธรรมดาครึ่ง มีจำนวน 185 Message และสุดท้าย โพสต์ที่เกี่ยวข้องจะเป็นของเพจ Taxbugnoms มีทั้งหมด 22 โพสต์ และส่วนของ Influencer นั้น อันดับ 1 คือ Taxbugnoms ที่ผู้คนมีส่วนร่วมมากถึง 15K ข้อความต่อโพสต์ สุดท้าย ต้องขอขอบคุณสำหรับเครื่องมือ Zanroo Search ที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลและการเปรียบเทียบเพื่อทำการตลาดที่ง่ายขึ้น หากใครที่สนใจสามารถทดลองใช้งานได้ที่ ยกเว้นภาษีเงินได้ค่าเบี้ยเลี้ยง เงินค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินที่นายจ้างให้เป็นการเฉพาะในกรณีพิเศษที่ตกลงกันตามสัญญาจ้าง เช่น ในกรณีที่ออกนอกสถานที่เป็นครั้งคราวหรือเกิดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าเบี้ยเลี้ยง (มาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดทุกข้อ ดังนี้… หลักเกณฑ์ 1. พนักงาน ต้องได้รับค่าเบี้ยเลี้ยง เนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ไม่ได้ออกไปเป็นประจำ 2. ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะการที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน 3. ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางต้องไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนด ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย หากไม่เกินจำนวนเงินไม่ต้องมีหลักฐาน การจ่ายเงินมาพิสูจน์ 4. ได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม ข้อ 3 และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม ข้อ 3 5. ในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณี เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีเงินพิเศษเดินทางต่างประเทศ ซึ่งพนักงานที่ปฏิบัติงาน ไปต่างประเทศเป็นครั้งคราวได้รับแยกจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายวันที่ได้รับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ถือเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร ผลวิเคราะห์กระแสในโลกออนไลน์ ในช่วงสถานการณ์โควิดนี้ มาดูกระแสบนโลกออนไลน์กันว่ามีการพูดถึงหรือค้นหา “ภาษีเงินได้” อย่างไร โดยเราใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Zanroo Search ใช้ในการค้นหา พบว่ามีการพูดถึงกันมากบนโลกออนไลน์ โดยใช้ค้นหาข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 กันยายน 2563 ช่วงวันที่มีการพูดถึงเรื่องภาษีเงินได้มากที่สุด คือ ช่วงวันที่ 21-23 กันยายน 2563 โดยส่วนใหญ่พูดถึงผ่านช่องทาง Facebook โดยมีการพูดถึง “ภาษีเงินได้” ทั้งหมด 1,249 ข้อความ ซึ่งช่องทางที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดคือ Facebook จำนวน 498 ข้อความ จะเห็นได้ว่า เนื้อหาที่ได้รับความนิยมและผู้คนมีส่วนร่วมมากที่สุด มาจากช่องทาง Twitter โดยเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนิติบุคคล ซึ่งมีการเข้าชมมากกว่า 24,670 ครั้ง นอกจากนั้น เครื่องมือ Zanroo ยังสามารถบอกได้อีกว่า คีย์เวิดที่มีการเสริชถึง “ภาษีเงินได้ มีจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งจากภาพการเสริชที่เป็นอันดับ 1 จะเป็นคำว่า เงินได้บุคคลธรรมดาครึ่ง มีจำนวน 185 Message และสุดท้าย โพสต์ที่เกี่ยวข้องจะเป็นของเพจ Taxbugnoms มีทั้งหมด 22 โพสต์ และส่วนของ Influencer นั้น อันดับ 1 คือ Taxbugnoms ที่ผู้คนมีส่วนร่วมมากถึง 15K ข้อความต่อโพสต์ สุดท้าย ต้องขอขอบคุณสำหรับเครื่องมือ Zanroo Search ที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลและการเปรียบเทียบเพื่อทำการตลาดที่ง่ายขึ้น หากใครที่สนใจสามารถทดลองใช้งานได้ที่
เงินค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินที่นายจ้างให้เป็นการเฉพาะในกรณีพิเศษที่ตกลงกันตามสัญญาจ้าง เช่น ในกรณีที่ออกนอกสถานที่เป็นครั้งคราวหรือเกิดค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางไปปฏิบัติงานทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าเบี้ยเลี้ยง (มาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร) ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดทุกข้อ ดังนี้ 1. พนักงาน ต้องได้รับค่าเบี้ยเลี้ยง เนื่องจากการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ในประเทศหรือต่างประเทศเป็นครั้งคราว ไม่ได้ออกไปเป็นประจำ 2. ต้องเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะการที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของตน 3. ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางต้องไม่เกินอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงสูงสุดที่ทางราชการกำหนด ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการในประเทศหรือต่างประเทศ แล้วแต่กรณี ตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายในลักษณะเหมาจ่าย หากไม่เกินจำนวนเงินไม่ต้องมีหลักฐาน การจ่ายเงินมาพิสูจน์ 4. ได้รับค่าเบี้ยเลี้ยงในอัตราเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงตาม ข้อ 3 และบุคคลดังกล่าวไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น ให้ถือว่าค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงซึ่งบุคคลนั้นได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็น เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินอัตราตาม ข้อ 3 5. ในการเดินทางไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ต้องมีหลักฐานการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกสถานที่จากนายจ้างหรือผู้จ่ายเงินได้โดยต้องระบุลักษณะงานที่ทำและระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วแต่กรณี เงินค่าเบี้ยเลี้ยงที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น กรณีเงินพิเศษเดินทางต่างประเทศ ซึ่งพนักงานที่ปฏิบัติงาน ไปต่างประเทศเป็นครั้งคราวได้รับแยกจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายวันที่ได้รับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ถือเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42(1) แห่งประมวลรัษฎากร
กฎหมายภาษี
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_31067
Medical
การดื่มน้ำผลไม้กล่องส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
null
การดื่มน้ำผลไม้กล่องเป็นประจำ ส่งผลเสียต่อร่างกายหลายประการ ดังนี้ 1. ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น น้ำผลไม้กล่องมีน้ำตาลสูงมาก 1 แก้วอาจมีน้ำตาลมากกว่า 5 ช้อนชา การดื่มน้ำผลไม้กล่องเป็นประจำ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ 2. ขาดใยอาหาร น้ำผลไม้กล่องมักผ่านกระบวนการคั้นแยกกาก ทำให้สูญเสียใยอาหาร ใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ช่วยให้อิ่มนาน และช่วยระบบขับถ่าย เมื่อร่างกายได้รับใยอาหารไม่เพียงพอ จะทำให้ท้องผูก ระดับคอเลสเตอรอลสูง และเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 3. สารอาหารสูญเสีย การผ่านกระบวนการผลิต น้ำผลไม้กล่องสูญเสียวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 4. กรดกัดกร่อน น้ำผลไม้กล่องมีกรดสูง การดื่มเป็นประจำ จะทำให้ฟันผุ 5. แคลอรี่สูง น้ำผลไม้กล่องมีแคลอรี่สูง การดื่มเป็นประจำ จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 6. เชื้อโรค การผลิตน้ำผลไม้กล่องที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจปนเปื้อนเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ทางเลือกที่ดีกว่า ทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้กล่อง เลือกน้ำผลไม้ 100% ไม่ผสมน้ำตาล ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ข้อควรระวัง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้กล่อง เด็กเล็กไม่ควรกินน้ำผลไม้กล่อง สรุป การดื่มน้ำผลไม้กล่องเป็นประจำ ส่งผลเสียต่อร่างกายหลายประการ ทางเลือกที่ดีกว่าคือ ทานผลไม้สด ดื่มน้ำเปล่า และเลือกน้ำผลไม้ 100% ไม่ผสมน้ำตาล
โภชนวิทยา
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_6173
Legal
ยักยอกซับนายจ้างคืออย่างไร
a. ยืมนายจ้างไปแบบไม่บอกแล้วนำมาคืน b. ตั้งใจเอาไปแล้วนำมาคืนภายหลังโดยที่นายจ้างไม่รู้ c. ยืมของนายจ้างไปแล้วค่อยนำมาคืน d. ลูกจ้างต้องมีตำแหน่งหน้าที่ที่จะต้อง ”ครอบครองทรัพย์” ของนายจ้างไว้ และเบียดบังหรือนำทรัพย์นั้นไป
ข้อที่ถูกต้องคือ d. เพราะว่า ลูกจ้างลักทรัพย์นายจ้างกับยักยอกทรัพย์นายจ้าง ต่างกันอย่างไร ๑.ยักยอกทรัพย์นายจ้าง เป็นกรณีที่ลูกจ้างต้องมีตำแหน่งหน้าที่ที่จะต้อง ”ครอบครองทรัพย์” ของนายจ้างไว้ และเบียดบังหรือนำทรัพย์นั้นไป เช่น มีหน้าที่ส่งของและเก็บเงินจากลูกค้ากดต่างจังหวัดและนำเงินมามอบให้นายจ้าง ๒.สลักทรัพย์นายจ้างนั้น เป็นกรณีที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิหน้าที่ในการ ครอบครองทรัพย์ของนายจ้างแต่ลักเอาไป เช่น ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานบัญชี ไม่มีหน้าที่ในการเก็บเงินและครอบครองเงินไว้ แต่ลักเอาเงินของนายจ้างไป ซึ่ง การยักยอกทรัพย์ต้องดูว่ามีการ “ครอบครองทรัพย์” นั้นไว้หรือไม่ หากไม่มีการครอบครองก็ไม่ใช่ยักยอก ในคดียักยอกทรัพย์นั้นเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ ลักทรัพย์นายจ้าง เป็นคดีอาญาแผ่นดิน ตัวอย่างฎีกาศาลตัดสินว่าเป็นลักทรัพย์ ”ไม่เป็นการครอบครอง” ทรัพยของนายจ้าง
ประมวลกฎหมายอาญา,ประมวลกฎหมายวิธีพิจาณาความอาญา(วิอาญา),กฎหมายแรงงาน,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ (ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง),คำพิพากษาศาลฎีกา
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_22192
Medical
อาการท้องเสียของเด็กที่จะเป็นปัญหา คือ ท้องเสียเนื่องจากอะไร
1. เชื้อโรคเข้าไปในลำไส้ 2. อดอาหาร 3. คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่สลับกับนมวัว 4. น้ำหนักเพิ่มในอัตราปกติ 5. เด็กกินอาหารเสริม
คำตอบได้แก่ 1. เพราะว่า เพราะอาการท้องเสียของเด็กที่จะเป็นปัญหา คือ ท้องเสียเนื่องจากเชื้อโรค เช่น เชื้อบิด หรือเชื้ออีโคไล(E.coli) เข้าไปในลำไส้ ในกรณีเช่นนี้ ตัวเด็กจะแสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น เช่น มีไข้ ไม่ค่อยยอมกินนม หรือกินนมแล้วอาเจียน ไม่ค่อยร่าเริง น้ำหนักลดลงกะทันหัน แสดงว่าเป็นโรค แต่โรคจากเชื้อโรคเหล่านี้ สามารถป้องกันได้โดยการฆ่าเชื้อโรคอย่างเคร่งครัด เวลาชงนมและคั้นน้ำผลไม้ เด็กที่กินนมแม่และไม่ได้น้ำผลไม้ อาจกล่าวได้ว่าเกือบไม่เป็นโรคท้องร่วงเลย นอกจากกรณีที่แม่ท้องเสียมา 2-3 วัน แล้วไม่ล้างมือให้สะอาดเวลาให้นม เชื้อโรคจากมือแม่อาจติดเข้าปากลูกได้ โรคท้องร่วงเนื่องจากเชื้อโรคเหล่านี้ รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ถ้ารักษาให้ถูกต้อง เด็กจะเป็นอยู่ไม่นาน อาการท้องเสียที่มักจะเป็นอยู่นาน มักเกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ระวังเกินไป เช่น เลี้ยงลูกด้วยนมแม่สลับกับนมวัว แล้วบังเอิญลูกอึเหลว คุณแม่รีบหยุดให้นมวัว ตั้งใจจะให้นมวัวอีกเมื่อลูกหายท้องเสีย แต่เด็กมักจะอึเหลวไม่หายสักที จึงได้แต่กินนมแม่และท้องจะเสียอยู่เช่นนั้นเป็นอาทิตย์ ในกรณีเช่นนี้ ถ้าค่อยๆ ให้กินนมวัว กลับไปเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สลับนมวัวตามเดิม อาการท้องเสียจะหายไป แต่ส่วนใหญ่คุณแม่มักไม่กล้าตัดสินใจ นอกจากนั้น ในกรณีที่เด็กกินอาหารเสริมแล้ว ต่อมาเกิดท้องเสีย คุณแม่มักหยุดให้อาหารเสริม, ให้กินแต่นมอย่างเดียว ทำให้ท้องเสียไม่หายก็มี ถ้ากลับให้อาหารเสริมตามเดิมเมื่อไร อาการท้องเสียจะหายไป ถ้าเด็กแข็งแรงร่าเริงเป็นปกติดี แต่มีอาการท้องเสียไม่หาย เพราะแม่ไม่ยอมให้กินอะไรนอกจากนมแม่หรือนมผงชงจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กร้องหิว อาการท้องเสียแบบนี้น่าจะเรียกว่า “ท้องเสียเพราะอดอาหาร”
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3849
Finance
กลยุทธ์การลงทุนในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูง และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์หมายความว่าอย่างไร มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
null
ปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งเหล่านี้สร้างความสับสนให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต บทความนี้จะวิเคราะห์ภาพเศรษฐกิจล่าสุด ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และมุมมองต่อทิศทางนโยบายการเงินโลก เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม 1. ภาพเศรษฐกิจโลก: เศรษฐกิจโลกเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของทั้งโลกและสหรัฐฯ ชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2565 ลงจาก 4.9% เหลือ 4.4% สาเหตุหลักมาจาก: นโยบายการคลังที่ลดลง นโยบาย Zero COVID ของจีน ต้นทุนการผลิตและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เงินเฟ้อ 2. เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในประเทศเจริญแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในองค์ประกอบเงินเฟ้อฝั่งการผลิต ค่าเช่า และค่าจ้าง เงินเฟ้อของยูโรโซนปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 5.1% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่แรงกดดันจาก Supply Chain เริ่มลดลง เงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลาย ราคาบ้านเริ่มลดลง อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย 30 ปี ปรับตัวขึ้น ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้อผ่านค่าจ้างเริ่มลดลง 3. ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์: สถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซียยังคงตึงเครียด แต่โอกาสที่รัสเซียจะบุกยูเครนอาจมีไม่มากนัก เนื่องจากจะเผชิญกับ: - การคว่ำบาตรด้านเศรษฐกิจ - การตอบโต้จากยูเครนและพันธมิตร 4. ทิศทางนโยบายการเงินโลก: ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปี 2565 ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมยุติโครงการ QE เร็วๆ นี้ กลยุทธ์การลงทุน: 1. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ: เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ได้พึ่งพาเศรษฐกิจโลกมากนัก 2. ลงทุนในสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยง: ทองคำ เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามเศรษฐกิจไม่แน่นอน 3. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใกลชิด: ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สรุป: เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายหลายประการ นักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม เน้นกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นที่มีคุณภาพ และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_21944
Medical
เสียงฟู่เต้นที่ได้ยินดังที่สุดที่ตำแหน่งที่ 2 ของการฟังเสียงหัวใจ บ่งบอกถึงความผิดปกติของลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่วหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: -ตำแหน่งการฟังเสียงฟู่: เสียงฟู่เต้นที่ได้ยินดังที่สุดที่ตำแหน่งที่ 2 ของการฟังเสียงหัวใจ อาจจะบ่งบอกถึงความผิดปกติของลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่ว หรือ ผนังบนรั่ว atrial septal defect (ASD) -ลักษณะของเสียงฟู่: ลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่ว: เสียงฟู่จะดังที่สุดที่ตำแหน่งที่ 2 มักจะเป็นเสียงฟู่คลาย diastolic murmur ผนังบนรั่ว: -เสียงฟู่จะดังที่สุดที่ตำแหน่งที่ 2 -เสียงฟู่มักจะเป็นเสียงฟู่เต้น systolic murmur -เสียงฟู่มักจะยาว ค่อนข้างดัง และอาจกลบเสียงหนึ่งและเสียงสอง การวินิจฉัยแยกโรค: 1. ลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่ว: -มักพบร่วมกับภาวะหัวใจซ้ายโต -ชีพจรจะเต้นเร็ว -ชีพจรจะกระด้าง 2. ผนังบนรั่ว: -มักพบร่วมกับภาวะหัวใจขวาโต -ชีพจรจะเต้นเร็ว -ชีพจรจะไม่กระด้าง -การตรวจเพิ่มเติม: การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ: -ลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่ว: คลื่นไฟฟ้าหัวใจจะมีการเปลี่ยนแปลง -ผนังบนรั่ว: คลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจจะปกติ หรือมีการเปลี่ยนแปลง การตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ: -ลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่ว: จะเห็นลิ้นหัวใจที่ 2 รั่ว -ผนังบนรั่ว: จะเห็นผนังบนรั่ว สรุป: เสียงฟู่เต้นที่ได้ยินดังที่สุดที่ตำแหน่งที่ 2 ของการฟังเสียงหัวใจ ไม่ได้บ่งบอกถึงความผิดปกติของลิ้นหัวใจลิ้นที่ 2 รั่วเสมอไป จำเป็นต้องพิจารณา ลักษณะของเสียงฟู่ อาการอื่น ๆ ผลการตรวจเพิ่มเติม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวินิจฉัยโรคที่แท้จริง หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยโรคจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_16597
Medical
การผ่าตัดต่อท่อน้ำดีกับลำไส้แบบ Kasai เหมาะกับใคร
ทางเดินน้ำดีตีบตัน ตอนที่ 3 และตอนจบ ทางเดินน้ำดีตีบตัน ตอนที่ 3 และตอนจบ สำหรับการรักษาโรคทางเดินน้ำดีตีบตันสามารถทำได้ด้วยการผ่าตัดที่เรียกว่า Kasai procedure หรือการปลูกถ่ายตับ Liver transplant โดย การผ่าตัดต่อท่อน้ำดีกับลำไส้แบบ Kasai เป็นการผ่าตัดเพื่อให้น้ำดีสามารถไหลลงลำไส้ได้โดยตรง วิธีนี้เหมาะกับทารกที่มีอายุน้อยกว่า 3 เดือน เพราะพบว่าทารกที่อายุมากกว่านี้ ทางเดินน้ำดีขนาดเล็กภายในตับและขั้วตับจะถูกทำลายลงอย่างมาก อาจจะมีลักษณะตับแข็งและไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนมาเหมือนปกติได้ หากการผ่าตัดไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีประมาณร้อยละ15-40 จะต้องทำการปลูกถ่ายตับภายในระยะเวลา 1-2 ปี และแม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ ทารกส่วนใหญ่จะตับแข็งและต้องทำการปลูกถ่ายตับตอนโต ส่วนกรณีที่ไม่ผ่าตัด ทารกที่เป็นโรคทางเดินน้ำดีตีบตันมักจะมีอายุไม่เกิน 2 ปี การปลูกถ่ายตับ Liver transplant เป็นวิธีสุดท้ายของการรักษาโรคทางเดินน้ำดีตีบตัน โดยมีอัตราการอยู่รอดที่เพิ่มขึ้นทุกปี การปลูกถ่ายตับสามารถทำได้โดยการรับบริจาคตับในขนาดที่เท่ากัน กล่าวคือ เป็นตับจากเด็กเล็กด้วยกัน อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการที่ก้าวหน้า ทำให้สามารถผ่าเอาตับบางส่วนของผู้ใหญ่มาใส่ในเด็กที่เรียกว่า Reduced-size Split-liver transplant ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี โดยตับนั้นอาจได้รับจากทั้งผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเซลล์ตับที่แข็งแรงจะสามารถโตได้เร็ว ทำให้ตับของผู้ให้และผู้รับกลับมาสมบูรณ์ได้ ทั้งนี้ การผ่าตัดแบบ Kasai อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ดังนี้ ท้องมานหรือน้ำขังในช่องท้อง Ascites ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่เกิดจากการมีน้ำในช่องท้อง Spontaneous bacterial peritonitis SBP โดยอาการท้องมานมักหายไปในไม่กี่สัปดาห์ อย่างไรก็ดีหากมีอาการท้องมานนานเกิน 6 สัปดาห์ ทารกมักจะเป็นตับแข็งและบางทีต้องทำการปลูกถ่ายตับ ท่อน้ำดีอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย Bacterial cholangitis ซึ่งรักษาได้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ Antibiotics ภาวะความดันในหลอดเลือดดำ Portal hypertension เพราะหลอดเลือดดำเป็นตัวนำเลือดจากท้อง ลำไส้ ม้าม Spleen ถุงน้ำดี Gallbladder และตับอ่อน Pancreas ไปยังตับ กรณีตับแข็ง เลือดจะไหลช้าลงทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น ซึ่งสามารถทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้ ต้องรับการผ่าตัดหรือปลูกถ่ายตับในที่สุด อาการคัน Pruritus ที่เกิดจากน้ำดีในเลือดที่ระคายต่อผิวหนัง ซึ่งรักษาได้ด้วยการให้ยา ทารกที่เป็นโรคทางเดินน้ำดีตีบตันมักมีอาการทุพโภชนาการ ขาดสารอาหาร และต้องการอาหารพิเศษเพื่อการเจริญเติบโต อาจจำเป็นต้องได้รับอาหารที่มีแคลอรี่สูง เพราะโรคทางเดินน้ำดีตีบตันทำให้มีการเผาผลาญที่เร็วมาก Faster metabolism นอกจากนี้โรคทางเดินน้ำดีตีบตันยังทำให้การย่อยไขมันเป็นไปได้ยากอันเป็นสาเหตุของการขาดโปรตีนและวิตามิน ดังนั้นจึงอาจต้องมีการให้อาหารเสริมวิตามินและกรดไขมันขนาดโมเลกุลปานกลาง Medium-chain triglyceride oil ผสมลงในอาหาร เครื่องดื่ม และนม เพื่อให้ย่อยง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยน้ำดี
การผ่าตัดต่อท่อน้ำดีกับลำไส้แบบ Kasai เป็นการผ่าตัดเพื่อให้น้ำดีสามารถไหลลงลำไส้ได้โดยตรง วิธีนี้เหมาะกับทารกที่มีอายุน้อยกว่า 3 เดือน เพราะพบว่าทารกที่อายุมากกว่านี้ ทางเดินน้ำดีขนาดเล็กภายในตับและขั้วตับจะถูกทำลายลงอย่างมาก อาจจะมีลักษณะตับแข็งและไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนมาเหมือนปกติได้ หากการผ่าตัดไม่ประสบความสำเร็จ (ซึ่งมีประมาณร้อยละ15-40) จะต้องทำการปลูกถ่ายตับภายในระยะเวลา 1-2 ปี และแม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ ทารกส่วนใหญ่จะตับแข็งและต้องทำการปลูกถ่ายตับตอนโต ส่วนกรณีที่ไม่ผ่าตัด ทารกที่เป็นโรคทางเดินน้ำดีตีบตันมักจะมีอายุไม่เกิน 2 ปี
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42032
Finance
เว็บไซต์แหล่งข้อมูลตลาดการเงินทั่วโลกที่จำเป็นในช่วงวิกฤติ มีอะไรบ้าง
บทความพิเศษ FINNOMENA x การเงินธนาคาร: แชร์เว็บไซต์แหล่งข้อมูลตลาดการเงินทั่วโลกที่จำเป็นในช่วงวิกฤติ ​ ตอนนี้วารสารการเงินธนาคาร มีคอนเทนต์แพลตฟอร์มแห่งใหม่ในรูปแบบออนไลน์แล้วนะครับ จากประสบการณ์ทำสื่อด้านเศรษฐกิจมา 39 ปี และตอนนี้การเงินธนาคารได้ก้าวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ก็ถือว่าเป็นการทำให้คอนเทนต์ต่างๆ เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น และเป็นการสร้าง financial literacy ให้กับคนไทยในวงกว้างมากขึ้นด้วย สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของการเงินธนาคารได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ นับตั้งแต่เข้าเดือนมีนาคม ตลาดการเงินทั่วโลกร่วงกันถ้วนหน้าในระดับเดียวกับวิกฤติิปี 2008 นักลงทุนหลายท่านคงกำลังหาโอกาสจากวิกฤติิครั้งนี้ ขณะที่หลายท่านคงกำลังปวดหัวกับข้อมูลที่ไหลมาเทมาจนเยอะเกินไป โอกาสนี้เลยขอแชร์เว็บไซต์และมุมมองที่ใช้ติดตามตลาดในแบบฉบับ CrisisMan เผื่อว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก 1. Investing.com ตอนนี้วารสารการเงินธนาคาร มีคอนเทนต์แพลตฟอร์มแห่งใหม่ในรูปแบบออนไลน์แล้วนะครับ จากประสบการณ์ทำสื่อด้านเศรษฐกิจมา 39 ปี และตอนนี้การเงินธนาคารได้ก้าวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ก็ถือว่าเป็นการทำให้คอนเทนต์ต่างๆ เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น และเป็นการสร้าง financial literacy ให้กับคนไทยในวงกว้างมากขึ้นด้วย สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของการเงินธนาคารได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ นับตั้งแต่เข้าเดือนมีนาคม ตลาดการเงินทั่วโลกร่วงกันถ้วนหน้าในระดับเดียวกับวิกฤติิปี 2008 นักลงทุนหลายท่านคงกำลังหาโอกาสจากวิกฤติิครั้งนี้ ขณะที่หลายท่านคงกำลังปวดหัวกับข้อมูลที่ไหลมาเทมาจนเยอะเกินไป โอกาสนี้เลยขอแชร์เว็บไซต์และมุมมองที่ใช้ติดตามตลาดในแบบฉบับ CrisisMan เผื่อว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก 1. Investing.com ตอนนี้วารสารการเงินธนาคาร มีคอนเทนต์แพลตฟอร์มแห่งใหม่ในรูปแบบออนไลน์แล้วนะครับ จากประสบการณ์ทำสื่อด้านเศรษฐกิจมา 39 ปี และตอนนี้การเงินธนาคารได้ก้าวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ก็ถือว่าเป็นการทำให้คอนเทนต์ต่างๆ เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น และเป็นการสร้าง financial literacy ให้กับคนไทยในวงกว้างมากขึ้นด้วย สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของการเงินธนาคารได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ นับตั้งแต่เข้าเดือนมีนาคม ตลาดการเงินทั่วโลกร่วงกันถ้วนหน้าในระดับเดียวกับวิกฤติิปี 2008 นักลงทุนหลายท่านคงกำลังหาโอกาสจากวิกฤติิครั้งนี้ ขณะที่หลายท่านคงกำลังปวดหัวกับข้อมูลที่ไหลมาเทมาจนเยอะเกินไป โอกาสนี้เลยขอแชร์เว็บไซต์และมุมมองที่ใช้ติดตามตลาดในแบบฉบับ CrisisMan เผื่อว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก 1. Investing.com ตอนนี้วารสารการเงินธนาคาร มีคอนเทนต์แพลตฟอร์มแห่งใหม่ในรูปแบบออนไลน์แล้วนะครับ จากประสบการณ์ทำสื่อด้านเศรษฐกิจมา 39 ปี และตอนนี้การเงินธนาคารได้ก้าวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ก็ถือว่าเป็นการทำให้คอนเทนต์ต่างๆ เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น และเป็นการสร้าง financial literacy ให้กับคนไทยในวงกว้างมากขึ้นด้วย สามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของการเงินธนาคารได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ นับตั้งแต่เข้าเดือนมีนาคม ตลาดการเงินทั่วโลกร่วงกันถ้วนหน้าในระดับเดียวกับวิกฤติิปี 2008 นักลงทุนหลายท่านคงกำลังหาโอกาสจากวิกฤติิครั้งนี้ ขณะที่หลายท่านคงกำลังปวดหัวกับข้อมูลที่ไหลมาเทมาจนเยอะเกินไป โอกาสนี้เลยขอแชร์เว็บไซต์และมุมมองที่ใช้ติดตามตลาดในแบบฉบับ CrisisMan เผื่อว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก 1. Investing.com Investing.com เป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าวซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency นอกจากนี้ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง เรียกได้ว่าหากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน Link: Investing.com ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 1. Trading Economics Investing.com เป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าวซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency นอกจากนี้ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง เรียกได้ว่าหากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน Link: Investing.com ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 1. Trading Economics Investing.com เป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าวซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency นอกจากนี้ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง เรียกได้ว่าหากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน Link: Investing.com ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 1. Trading Economics Investing.com เป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าวซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency นอกจากนี้ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง เรียกได้ว่าหากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน Link: Investing.com Investing.com ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 1. Trading Economics เป็นแหล่งข้อมูลที่คล้ายกับ Investing.com แต่จุดเด่นของเว็บไซต์นี้จะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของแต่ละประเทศทั้งปัจจุบันและย้อนหลังที่ครบถ้วน เช่น GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest rate), ดุลการค้า (Trade balance), งบประมาณต่อ GDP ฯลฯ เพียงเข้าหน้าเว็บไซต์และพิมพ์ keyword ข้อมูลที่ต้องการในช่อง Search ก็ตามอ่านได้ง่ายๆ Link: 2. ETF.com เป็นแหล่งข้อมูลที่คล้ายกับ Investing.com แต่จุดเด่นของเว็บไซต์นี้จะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของแต่ละประเทศทั้งปัจจุบันและย้อนหลังที่ครบถ้วน เช่น GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest rate), ดุลการค้า (Trade balance), งบประมาณต่อ GDP ฯลฯ เพียงเข้าหน้าเว็บไซต์และพิมพ์ keyword ข้อมูลที่ต้องการในช่อง Search ก็ตามอ่านได้ง่ายๆ Link: 2. ETF.com เป็นแหล่งข้อมูลที่คล้ายกับ Investing.com แต่จุดเด่นของเว็บไซต์นี้จะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของแต่ละประเทศทั้งปัจจุบันและย้อนหลังที่ครบถ้วน เช่น GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest rate), ดุลการค้า (Trade balance), งบประมาณต่อ GDP ฯลฯ เพียงเข้าหน้าเว็บไซต์และพิมพ์ keyword ข้อมูลที่ต้องการในช่อง Search ก็ตามอ่านได้ง่ายๆ Link: 2. ETF.com เป็นแหล่งข้อมูลที่คล้ายกับ Investing.com แต่จุดเด่นของเว็บไซต์นี้จะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของแต่ละประเทศทั้งปัจจุบันและย้อนหลังที่ครบถ้วน เช่น GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest rate), ดุลการค้า (Trade balance), งบประมาณต่อ GDP ฯลฯ เพียงเข้าหน้าเว็บไซต์และพิมพ์ keyword ข้อมูลที่ต้องการในช่อง Search ก็ตามอ่านได้ง่ายๆ Link: 2. ETF.com แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ จุดประสงค์หลักเพื่อติดตาม Momentum ของเงินทุนในตลาดการเงินโลก Link: etf.com 3. Signs of stress แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ จุดประสงค์หลักเพื่อติดตาม Momentum ของเงินทุนในตลาดการเงินโลก Link: etf.com 3. Signs of stress แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ จุดประสงค์หลักเพื่อติดตาม Momentum ของเงินทุนในตลาดการเงินโลก Link: etf.com 3. Signs of stress แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ จุดประสงค์หลักเพื่อติดตาม Momentum ของเงินทุนในตลาดการเงินโลก Link: etf.com etf.com 3. Signs of stress หนึ่งในสุดยอดเว็บไซต์ที่ต้องใช้ในช่วงที่ตลาดปกคลุมด้วยความกังวล สร้างสรรค์โดย REUTERS Graphics ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ (Dollar/Yen), 2-10 Spread หรือแม้กระทั่ง LIBOR/OIS SPREADS, TED SPREAD ซึ่งเป็นความตึงเครียดในตลาดเงินที่ถูกตีความมาจากต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคาร (short-term interbank lending rates) Link: ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน 1. Balance sheets / Repo Operations หนึ่งในสุดยอดเว็บไซต์ที่ต้องใช้ในช่วงที่ตลาดปกคลุมด้วยความกังวล สร้างสรรค์โดย REUTERS Graphics ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ (Dollar/Yen), 2-10 Spread หรือแม้กระทั่ง LIBOR/OIS SPREADS, TED SPREAD ซึ่งเป็นความตึงเครียดในตลาดเงินที่ถูกตีความมาจากต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคาร (short-term interbank lending rates) Link: ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน 1. Balance sheets / Repo Operations หนึ่งในสุดยอดเว็บไซต์ที่ต้องใช้ในช่วงที่ตลาดปกคลุมด้วยความกังวล สร้างสรรค์โดย REUTERS Graphics ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ (Dollar/Yen), 2-10 Spread หรือแม้กระทั่ง LIBOR/OIS SPREADS, TED SPREAD ซึ่งเป็นความตึงเครียดในตลาดเงินที่ถูกตีความมาจากต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคาร (short-term interbank lending rates) Link: ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน 1. Balance sheets / Repo Operations หนึ่งในสุดยอดเว็บไซต์ที่ต้องใช้ในช่วงที่ตลาดปกคลุมด้วยความกังวล สร้างสรรค์โดย REUTERS Graphics ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ (Dollar/Yen), 2-10 Spread หรือแม้กระทั่ง LIBOR/OIS SPREADS, TED SPREAD ซึ่งเป็นความตึงเครียดในตลาดเงินที่ถูกตีความมาจากต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคาร (short-term interbank lending rates) Link: ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน 1. Balance sheets / Repo Operations ในยุคที่ตลาดการเงินเสพติดสภาพคล่อง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องติดตามงบดุลของธนาคารกลาง (Balance sheets) ที่การเพิ่มลดแต่ละครั้งส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาด สำหรับ Balance sheets ของธนาคารกลางที่สำคัญ ประกอบไปด้วย Fed, ECB, BOJ และ PBOC ซึ่งจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้ง Link: ส่วน Balance sheets ของ Fed ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องติดตามมากที่สุด สามารถติดตามได้จาก Link: ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว Fed เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดซื้อคืน (Repo market) หลังมีภาวะสภาพคล่องตึงตัว และยังคงอัดฉีดสภาพคล่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการติดตามปริมาณสภาพคล่องที่เข้าสู่ระบบก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความตึงตัวในระบบได้ ใน link ด้านล่าง จะมีข้อมูลการเพิ่มสภาพคล่องที่ทำไปแล้ว รวมถึงปริมาณที่จะทำในอนาคตอีกด้วย Link: Market Indicators 1. Fear & Greed Index ในยุคที่ตลาดการเงินเสพติดสภาพคล่อง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องติดตามงบดุลของธนาคารกลาง (Balance sheets) ที่การเพิ่มลดแต่ละครั้งส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาด สำหรับ Balance sheets ของธนาคารกลางที่สำคัญ ประกอบไปด้วย Fed, ECB, BOJ และ PBOC ซึ่งจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้ง Link: ส่วน Balance sheets ของ Fed ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องติดตามมากที่สุด สามารถติดตามได้จาก Link: ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว Fed เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดซื้อคืน (Repo market) หลังมีภาวะสภาพคล่องตึงตัว และยังคงอัดฉีดสภาพคล่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการติดตามปริมาณสภาพคล่องที่เข้าสู่ระบบก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความตึงตัวในระบบได้ ใน link ด้านล่าง จะมีข้อมูลการเพิ่มสภาพคล่องที่ทำไปแล้ว รวมถึงปริมาณที่จะทำในอนาคตอีกด้วย Link: Market Indicators 1. Fear & Greed Index ในยุคที่ตลาดการเงินเสพติดสภาพคล่อง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องติดตามงบดุลของธนาคารกลาง (Balance sheets) ที่การเพิ่มลดแต่ละครั้งส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาด สำหรับ Balance sheets ของธนาคารกลางที่สำคัญ ประกอบไปด้วย Fed, ECB, BOJ และ PBOC ซึ่งจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้ง Link: ส่วน Balance sheets ของ Fed ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องติดตามมากที่สุด สามารถติดตามได้จาก Link: ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว Fed เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดซื้อคืน (Repo market) หลังมีภาวะสภาพคล่องตึงตัว และยังคงอัดฉีดสภาพคล่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการติดตามปริมาณสภาพคล่องที่เข้าสู่ระบบก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความตึงตัวในระบบได้ ใน link ด้านล่าง จะมีข้อมูลการเพิ่มสภาพคล่องที่ทำไปแล้ว รวมถึงปริมาณที่จะทำในอนาคตอีกด้วย Link: Market Indicators 1. Fear & Greed Index ในยุคที่ตลาดการเงินเสพติดสภาพคล่อง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องติดตามงบดุลของธนาคารกลาง (Balance sheets) ที่การเพิ่มลดแต่ละครั้งส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาด สำหรับ Balance sheets ของธนาคารกลางที่สำคัญ ประกอบไปด้วย Fed, ECB, BOJ และ PBOC ซึ่งจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้ง Link: ส่วน Balance sheets ของ Fed ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องติดตามมากที่สุด สามารถติดตามได้จาก Link: ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว Fed เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดซื้อคืน (Repo market) หลังมีภาวะสภาพคล่องตึงตัว และยังคงอัดฉีดสภาพคล่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการติดตามปริมาณสภาพคล่องที่เข้าสู่ระบบก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความตึงตัวในระบบได้ ใน link ด้านล่าง จะมีข้อมูลการเพิ่มสภาพคล่องที่ทำไปแล้ว รวมถึงปริมาณที่จะทำในอนาคตอีกด้วย Link: Market Indicators Market Indicators 1. Fear & Greed Index มาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดย CNN ที่นำตัวชี้วัดจำนวน 7 ตัว มาใช้คำนวณ ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความผันผวน การเก็งกำไร การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับสินทรัพย์ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแนวโน้มดัชนีตลาด นอกจากนั้นยังแสดงดัชนีในอดีตออกมาเป็นกราฟ ให้ได้เปรียบเทียบความกลัวหรือโลภของตลาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย Link: Economic Indicators 1. The 12 Global Economic Indicators to Watch มาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดย CNN ที่นำตัวชี้วัดจำนวน 7 ตัว มาใช้คำนวณ ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความผันผวน การเก็งกำไร การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับสินทรัพย์ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแนวโน้มดัชนีตลาด นอกจากนั้นยังแสดงดัชนีในอดีตออกมาเป็นกราฟ ให้ได้เปรียบเทียบความกลัวหรือโลภของตลาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย Link: Economic Indicators 1. The 12 Global Economic Indicators to Watch มาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดย CNN ที่นำตัวชี้วัดจำนวน 7 ตัว มาใช้คำนวณ ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความผันผวน การเก็งกำไร การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับสินทรัพย์ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแนวโน้มดัชนีตลาด นอกจากนั้นยังแสดงดัชนีในอดีตออกมาเป็นกราฟ ให้ได้เปรียบเทียบความกลัวหรือโลภของตลาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย Link: Economic Indicators 1. The 12 Global Economic Indicators to Watch มาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดย CNN ที่นำตัวชี้วัดจำนวน 7 ตัว มาใช้คำนวณ ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความผันผวน การเก็งกำไร การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับสินทรัพย์ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแนวโน้มดัชนีตลาด นอกจากนั้นยังแสดงดัชนีในอดีตออกมาเป็นกราฟ ให้ได้เปรียบเทียบความกลัวหรือโลภของตลาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย Link: Economic Indicators Economic Indicators 1. The 12 Global Economic Indicators to Watch ถ้าหากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจรายวันเป็นอะไรที่มากเกินไป Bloomberg ได้รวบรวม 12 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีการอัปเดตรายวัน รวมทั้งสามารถปรับรูปแบบแยกตามแต่ละภูมิภาค หรือเรียงตามข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด หรือเรียงตามข้อมูลที่กำลังจะอัปเดตในลำดับต่อไปก็ได้ Link: 2. The Jobs Numbers: Who’s Hiring in America—and Who’s Not ถ้าหากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจรายวันเป็นอะไรที่มากเกินไป Bloomberg ได้รวบรวม 12 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีการอัปเดตรายวัน รวมทั้งสามารถปรับรูปแบบแยกตามแต่ละภูมิภาค หรือเรียงตามข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด หรือเรียงตามข้อมูลที่กำลังจะอัปเดตในลำดับต่อไปก็ได้ Link: 2. The Jobs Numbers: Who’s Hiring in America—and Who’s Not ถ้าหากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจรายวันเป็นอะไรที่มากเกินไป Bloomberg ได้รวบรวม 12 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีการอัปเดตรายวัน รวมทั้งสามารถปรับรูปแบบแยกตามแต่ละภูมิภาค หรือเรียงตามข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด หรือเรียงตามข้อมูลที่กำลังจะอัปเดตในลำดับต่อไปก็ได้ Link: 2. The Jobs Numbers: Who’s Hiring in America—and Who’s Not ถ้าหากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจรายวันเป็นอะไรที่มากเกินไป Bloomberg ได้รวบรวม 12 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีการอัปเดตรายวัน รวมทั้งสามารถปรับรูปแบบแยกตามแต่ละภูมิภาค หรือเรียงตามข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด หรือเรียงตามข้อมูลที่กำลังจะอัปเดตในลำดับต่อไปก็ได้ Link: 2. The Jobs Numbers: Who’s Hiring in America—and Who’s Not อีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg อย่างที่ทราบกันว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นภาคส่วนที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ในเว็บไซต์นี้จะอัปเดตตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน และยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงการจ้างงานและอัตราค่าจ่างเฉลี่ยรายชั่วโมงโดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องและดูง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเลขภาคแรงงาน Link: สุดท้ายมีอีกแหล่งข้อมูลที่อยากแนะนำ คือ Covid-19 Investment War Room ที่ทีมงานของ FINNOMENA จัดทำเฉพาะกิจขึ้นมาครับ เป็นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในการติดตามสถานการณ์การลงทุนในช่วงวิกฤติ Covid-19 มาไว้ในที่เดียวให้ติดตามได้ง่ายๆ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ เขียนโดย CrisisMan facebook.com/MrCrisisman/ อีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg อย่างที่ทราบกันว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นภาคส่วนที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ในเว็บไซต์นี้จะอัปเดตตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน และยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงการจ้างงานและอัตราค่าจ่างเฉลี่ยรายชั่วโมงโดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องและดูง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเลขภาคแรงงาน Link: สุดท้ายมีอีกแหล่งข้อมูลที่อยากแนะนำ คือ Covid-19 Investment War Room ที่ทีมงานของ FINNOMENA จัดทำเฉพาะกิจขึ้นมาครับ เป็นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในการติดตามสถานการณ์การลงทุนในช่วงวิกฤติ Covid-19 มาไว้ในที่เดียวให้ติดตามได้ง่ายๆ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ เขียนโดย CrisisMan facebook.com/MrCrisisman/ อีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg อย่างที่ทราบกันว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นภาคส่วนที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ในเว็บไซต์นี้จะอัปเดตตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน และยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงการจ้างงานและอัตราค่าจ่างเฉลี่ยรายชั่วโมงโดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องและดูง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเลขภาคแรงงาน Link: สุดท้ายมีอีกแหล่งข้อมูลที่อยากแนะนำ คือ Covid-19 Investment War Room ที่ทีมงานของ FINNOMENA จัดทำเฉพาะกิจขึ้นมาครับ เป็นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในการติดตามสถานการณ์การลงทุนในช่วงวิกฤติ Covid-19 มาไว้ในที่เดียวให้ติดตามได้ง่ายๆ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ เขียนโดย CrisisMan facebook.com/MrCrisisman/ อีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg อย่างที่ทราบกันว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นภาคส่วนที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ในเว็บไซต์นี้จะอัปเดตตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน และยิ่งไปกว่านั้นยังแสดงการจ้างงานและอัตราค่าจ่างเฉลี่ยรายชั่วโมงโดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องและดูง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเลขภาคแรงงาน Link: สุดท้ายมีอีกแหล่งข้อมูลที่อยากแนะนำ คือ Covid-19 Investment War Room ที่ทีมงานของ FINNOMENA จัดทำเฉพาะกิจขึ้นมาครับ เป็นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดในการติดตามสถานการณ์การลงทุนในช่วงวิกฤติ Covid-19 มาไว้ในที่เดียวให้ติดตามได้ง่ายๆ Covid-19 Investment War Room ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ เขียนโดย CrisisMan facebook.com/MrCrisisman/ facebook.com/MrCrisisman/
นับตั้งแต่เข้าเดือนมีนาคม 2020 ตลาดการเงินทั่วโลกร่วงกันถ้วนหน้าในระดับเดียวกับวิกฤติิปี 2008 นักลงทุนหลายท่านคงกำลังหาโอกาสจากวิกฤติิครั้งนี้ ดังนั้นจึงรวบรวมเว็บไซต์แหล่งข้อมูลตลาดการเงินทั่วโลกที่จำเป็นในช่วงวิกฤติ ดังนี้ ข่าวและดัชนีตลาดการเงินทั่วโลก Investing.com เป็นทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นที่อัปเดตข่าว ซึ่งรวบรวมมาจากสำนักข่าวชื่อดัง นอกจากข่าวแล้วยังสามารถติดตามดัชนีตลาดการเงินที่อัปเดตตลอดเวลาได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นดัชนีตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ETFs, ตลาดตราสารหนี้, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และ Cryptocurrency นอกจากนี้ยังมีปฏิทินประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับคาดการณ์ของตลาดและข้อมูลย้อนหลัง หากมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีแล้วต้องการแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วน Investing.com ตอบโจทย์นี้อย่างแน่นอน ข้อมูลเศรษฐกิจและตลาดการเงิน 1. Trading Economics เป็นแหล่งข้อมูลที่คล้ายกับ Investing.com แต่จุดเด่นของเว็บไซต์นี้ จะเป็นข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของแต่ละประเทศทั้งปัจจุบันและย้อนหลังที่ครบถ้วน เช่น GDP, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Interest rate), ดุลการค้า (Trade balance), งบประมาณต่อ GDP ฯลฯ เพียงเข้าหน้าเว็บไซต์และพิมพ์ keyword ข้อมูลที่ต้องการในช่อง Search ก็ตามอ่านได้ง่ายๆ 2. ETF.com แหล่งข้อมูลสำหรับอัปเดต Fund flows ของตลาดกองทุน ETF โดยเฉพาะ จุดประสงค์หลักเพื่อติดตาม Momentum ของเงินทุนในตลาดการเงินโลก 3. Signs of stress หนึ่งในสุดยอดเว็บไซต์ที่ต้องใช้ในช่วงที่ตลาดปกคลุมด้วยความกังวล สร้างสรรค์โดย REUTERS Graphics ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาได้ยากเกี่ยวกับความตึงเครียดในตลาดการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินเยนเทียบกับดอลลาร์ (Dollar/Yen), 2-10 Spread หรือแม้กระทั่ง LIBOR/OIS SPREADS, TED SPREAD ซึ่งเป็นความตึงเครียดในตลาดเงินที่ถูกตีความมาจากต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นระหว่างธนาคาร (short-term interbank lending rates) ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน Balance sheets / Repo Operations ในยุคที่ตลาดการเงินเสพติดสภาพคล่อง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ต้องติดตามงบดุลของธนาคารกลาง (Balance sheets) ที่การเพิ่มลดแต่ละครั้งส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาด สำหรับ Balance sheets ของธนาคารกลางที่สำคัญ ประกอบไปด้วย Fed, ECB, BOJ และ PBOC ซึ่งจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้ง และ Balance sheets ของ Fed ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องติดตามมากที่สุด นอกจากนี้การติดตามปริมาณสภาพคล่องที่เข้าสู่ระบบก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกความตึงตัวในระบบได้ จะมีข้อมูลการเพิ่มสภาพคล่องที่ทำไปแล้ว รวมถึงปริมาณที่จะทำในอนาคตอีกด้วย Market Indicators Fear & Greed Index มาตรวัดความกลัว / ความโลภ ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จัดทำโดย CNN ที่นำตัวชี้วัดจำนวน 7 ตัว มาใช้คำนวณ ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดด้านความผันผวน การเก็งกำไร การเปรียบเทียบผลตอบแทนกับสินทรัพย์ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งแนวโน้มดัชนีตลาด นอกจากนั้นยังแสดงดัชนีในอดีตออกมาเป็นกราฟ ให้ได้เปรียบเทียบความกลัวหรือโลภของตลาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย Economic Indicators 1. The 12 Global Economic Indicators to Watch ถ้าหากข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจรายวันเป็นอะไรที่มากเกินไป Bloomberg ได้รวบรวม 12 ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกมาไว้ในที่เดียว ซึ่งมีการอัปเดตรายวัน รวมทั้งสามารถปรับรูปแบบแยกตามแต่ละภูมิภาค หรือเรียงตามข้อมูลที่อัปเดตล่าสุด หรือเรียงตามข้อมูลที่กำลังจะอัปเดตในลำดับต่อไปก็ได้ 2. The Jobs Numbers: Who’s Hiring in America—and Who’s Not อีกแหล่งข้อมูลที่รวบรวมโดย Bloomberg ตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นภาคส่วนที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ในเว็บไซต์นี้จะอัปเดตตัวเลขการจ้างงานและอัตราการว่างงาน และยังแสดงการจ้างงานและอัตราค่าจ่างเฉลี่ยรายชั่วโมงโดยแยกแต่ละอุตสาหกรรมอีกด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องและดูง่ายที่สุดแล้วสำหรับตัวเลขภาคแรงงาน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43667
Finance
ช่วยสรุปบทความ สำรวจ 6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมของกำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ 1. มุมมองต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจ รายงานพบว่า 51% ของพนักงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่า บริษัทที่ตนทำงานอยู่จะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากยังดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ใกล้เคียงกับแรงงานไทยที่ 49% โดยยังพบด้วยว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง มิลเลนเนียล (47%) มีมุมมองเชิงบวกต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจน้อยกว่า กลุ่ม Gen X (62%) 2. ความรู้สึกของพนักงาน พนักงานในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในงานที่ทำอยู่ โดย 57% แสดงความพึงพอใจในงานปัจจุบัน ในขณะที่ 79% ของกำลังแรงงานไทยมีความพึงพอใจในงานของตน ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ความพึงพอใจของกำลังแรงงานในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ 29% ถึง 45% อย่างไรก็ดี พนักงานมากกว่า 40% ในภูมิภาคนี้ ต้องการขอขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งในอีก 12 เดือนข้างหน้า เช่นเดียวกับกำลังแรงงานไทยที่ 47% นอกจากนี้ 28% ของกำลังแรงงานในภูมิภาคก็กำลังมองหางานใหม่มากขึ้นกว่าปีก่อนที่ 18% สำหรับแรงงานไทยมี 30% ที่ต้องการเปลี่ยนงาน เปรียบเทียบกับปีก่อนที่ 13% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น 3. ทักษะแรงงาน 70% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า ทักษะที่จำเป็นในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในอีก 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ 44% และสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยทักษะในการทำงานร่วมกัน (Collaborative Skills) มีความสำคัญเป็นอันดับแรกที่ 84% ตามมาด้วยทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic Skills) และทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership Skills) ที่ 83% เท่ากัน อย่างไรก็ดี ทักษะด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Green Skills) ยังคงถูกมองว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก 4. เทคโนโลยีเกิดใหม่ แรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีต่องานของตน โดยมองว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้ โดย 47% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน และ 44% มองว่า AI จะสร้างโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างไรก็ดี ยังมีแรงงานอีกส่วนหนึ่งที่ขาดความมั่นใจในการเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับ AI สำหรับทักษะด้านดิจิทัลนั้นๆ มากกว่า 50% ของแรงงานในภูมิภาคนี้เชื่อว่า ทักษะดิจิทัลจะมีความสำคัญต่อการทำงานในอนาคต เช่นเดียวกับแรงงานไทยที่ 77% 5. สภาพแวดล้อมในการทำงาน กำลังแรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความคิดเห็นและความรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ แต่โดยรวมยังมีข้อแนะนำที่องค์กรสามารถปรับปรุงได้ในหลายๆ ด้าน เช่น การสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ทันสมัย สนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการมีส่วนร่วม และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน เป็นที่น่าสนใจว่า 71% ของกำลังแรงงานไทยกล่าวว่า ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมจากหัวหน้างาน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาค และ 42% กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนให้แสดงความคิดเห็นและโต้แย้งได้ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการให้ข้อเสนอแนะ (Feedback) จะถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการทำงาน แต่มีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานในภูมิภาคเท่านั้นที่มีความกระตือรือร้นในการได้รับข้อเสนอแนะและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน 6. แนวปฏิบัติด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กร แม้ว่าในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในกระแสสำคัญของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน แต่รายงานพบว่า กำลังแรงงานในภูมิภาคยังคงไม่มีความกระตือรือร้นในการผลักดันให้นายจ้างหันมาให้ความสำคัญในประเด็นนี้ โดยมีเพียง 41% ของกำลังแรงงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเท่านั้นที่มองว่า นายจ้างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม เปรียบเทียบกับแรงงานไทยที่ 56% ขณะที่ 61% เชื่อว่านายจ้างของตนมีการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เพียงพอ
6 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ 1.มุมมองต่อความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจ 51% ของพนักงานในเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่า บริษัทที่ทำงานจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอีก 10 ปี หากไม่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ 2.ความรู้สึกของพนักงาน 57% ของพนักงานในเอเชียแปซิฟิกแสดงความพึงพอใจในงานปัจจุบัน, 79% ของกำลังแรงงานไทยรู้สึกพึงพอใจ 28% ของกำลังแรงงานในเอเชียแปซิฟิกกำลังมองหางานใหม่มากขึ้น 3.ทักษะแรงงาน 70% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่าทักษะที่จำเป็นในการทำงานจะเปลี่ยนแปลงมากในอีก 5 ปี ทักษะในการทำงานร่วมกันมีความสำคัญมากที่สุดที่ 84% 4.เทคโนโลยีเกิดใหม่ 47% ของกำลังแรงงานไทยเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 50% ของแรงงานไม่มีความมั่นใจในการเรียนรู้ทักษะด้าน AI 5. สภาพแวดล้อมในการทำงาน 71% ของกำลังแรงงานไทยรู้สึกได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมจากหัวหน้า. 42% กำลังแรงงานมองหาการสนับสนุนในการแสดงความคิดเห็น 6.แนวปฏิบัติด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กร 41% ของกำลังแรงงานในเอเชียแปซิฟิกเชื่อว่านายจ้างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม 61% ของแรงงานไทยเชื่อว่านายจ้างมีการปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่เพียงพอ
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40101
Finance
ในแผนที่ 2 "แผนเงินทุนสำรองยามฉุกเฉิน" บทความแนะนำให้เตรียมเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 3-6 เดือน แต่สำหรับนักลงทุน เงินสำรองฉุกเฉินควรมีจำนวนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม? และทำไมนักลงทุนถึงควรมีเงินสำรองมากกว่าคนทั่วไป?
การวางแผนทางการเงินก่อนลงทุน การวางแผนทางการเงินก่อนลงทุน* ปัจจุบันการลงทุนมีหลายรูปแบบ ถ้ากล่าวถึงการลงทุนนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการลงทุนในระยะยาวเพื่ออนาคต คำว่า “ลงทุนระยะยาว” หมายความว่าจะต้องเก็บออม และประหยัดการใช้จ่ายในปัจจุบัน นำเงินเก็บไปลงทุน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับชีวิตในอนาคตยามที่ไม่ได้ทำงานแล้ว ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนยาวๆ และไม่สามารถนำมาใช้ได้ในระยะสั้น ก็ควรที่จะมีการวางแผนการเงินก่อนลงทุนอย่างฉลาด เพื่อให้การลงทุนราบรื่น และไม่สะดุดเสียกลางทาง โดยมีรายละเอียดดังนี้ แผนที่ 1 “วางแผนที่ทางความรู้” ก่อนจะลงทุนจริง ใช้เงินจริงๆ จะต้องวางแผนทางความรู้ก่อน นักเดินทางแสวงหาควรกางแผนที่ทางความรู้ออกมา ศึกษาพิจารณาข้อเด่น-ข้อด้อยของการลงทุนแต่ละประเภทอย่างรอบคอบ ปัจจุบันแหล่งความรู้ก็มีให้ศึกษาอย่างมากมาย ทั้งเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งความรู้ทางการเงิน การลงทุนขนาดใหญ่ให้ได้ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเราที่สุด แผนที่ 2 “แผนเงินทุนสำรองยามฉุกเฉิน” อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น การลงทุนนั้นต้องใช้เวลา มิใช่จะสำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืน จึงควรวางแผนเงินสำรองยามฉุกเฉินเผื่อเอาไว้ เงินสำรองนั้นควรจะมีมากพอที่ให้ตัวเราเอง และครอบครัวอยู่ได้ 3-6 เดือนเป็นขั้นต่ำ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า จึงควรกันเงินส่วนนี้ออกมาแช่แข็งเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น แผนที่ 3 “วางแผนสภาพคล่องทางการลงทุน” สภาพคล่องทางการลงทุน คือ เงินส่วนเกินจากเงินที่ลงทุน เช่น มีพอร์ตหุ้น 5 ล้านบาท ควรมีเงินสำรองเก็บเอาไว้อย่างน้อย 5-10% ของขนาดพอร์ตการลงทุน เพื่อเวลาเกิดเหตุการณ์ “หุ้นตก” หรือ “ราคาขายของกองทุนรวมตก” จะได้มีเงินไปซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาต่ำ หากสามารถรักษาสภาพคล่องได้ 5-10% ตลอดเวลา นับว่าเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor นั่นเอง แผนที่ 4 “แผนการลงทุนแบบทบต้น” การทบต้นทางการลงทุน คือ การลงทุนอย่างต่อเนื่องทบเข้าไปทุกเดือน ทุกปี ยกตัวอย่างเช่น มีพอร์ตลงทุนในกองทุนรวม 1 ล้านบาท แผนการลงทุนก็คือ จะลงทุนแบบทบต้นทุกเดือน โดยตัดเงินจากบัญชี ออมทรัพย์ทุกเดือนเท่าๆ กัน หากสามารถทบต้นการลงทุนได้ปีละ 5% ของขนาดพอร์ต และพอร์ตกองทุนรวมสามารถสร้างผลตอบแทนทางการลงทุน หรือสามารถเติบโตได้ปีละ 5% หมายความว่า ขนาดพอร์ตกองทุนรวมจะโตปีละ 10% ต่อปี ด้วยการเติบโตปีละกว่า 10% นี้ พอร์ตจะโตเป็นสองเท่า หรือ 2 ล้านบาท ภายใน 5-7 ปี สิ่งนี้เรียกว่าการลงทุนแบบทบต้น ยิ่งสามารถทำผลตอบแทนได้สูงขึ้น พอร์ตก็จะโตเร็วขึ้น นั่นคือแผนการลงทุนแบบทบต้นที่สำคัญไม่แพ้แผนการลงทุนอื่นๆ เลยทีเดียว
จำนวนเงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้: ความผันผวนของพอร์ตการลงทุน: พอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนสูง ย่อมมีความเสี่ยงที่มูลค่าพอร์ตจะลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้น นักลงทุนในพอร์ตที่มีความผันผวนสูง ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่านักลงทุนในพอร์ตที่มีความผันผวนต่ำ สภาพคล่องของสินทรัพย์ที่ลงทุน: หากนักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น อสังหาริมทรัพย์ การขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้ยามฉุกเฉินอาจทำได้ยากและใช้เวลานาน ดังนั้น นักลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่านักลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง รายจ่ายประจำเดือน: นักลงทุนที่มีรายจ่ายประจำเดือนสูง ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่านักลงทุนที่มีรายจ่ายประจำเดือนต่ำ ภาระผูกพัน: นักลงทุนที่มีภาระผูกพัน เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่านักลงทุนที่ไม่มีภาระผูกพัน เป้าหมายทางการเงิน: นักลงทุนที่มีเป้าหมายทางการเงินระยะสั้น เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินมากกว่านักลงทุนที่มีเป้าหมายทางการเงินระยะยาว โดยทั่วไปแล้ว เงินสำรองฉุกเฉินสำหรับนักลงทุนควรมีมากกว่า 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น เหตุผลที่นักลงทุนควรมีเงินสำรองมากกว่าคนทั่วไป มีดังนี้: เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด: ตลาดการเงินมีความผันผวนอยู่เสมอ มูลค่าพอร์ตการลงทุนอาจลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ เงินสำรองฉุกเฉินจะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์การลงทุนในช่วงที่ราคาตกต่ำ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน: เงินสำรองฉุกเฉินจะช่วยให้นักลงทุนสามารถชำระค่าใช้จ่ายจำเป็นได้โดยไม่ต้องกู้ยืมเงิน ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและป้องกันปัญหาการล้มละลาย เพื่อรักษาสุขภาพจิต: ความเครียดจากปัญหาการเงินสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เงินสำรองฉุกเฉินจะช่วยให้นักลงทุนรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น ตัวอย่าง: นาย A เป็นนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนมูลค่า 10 ล้านบาท พอร์ตของเขาลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ซึ่งมีความผันผวนสูง นาย A มีรายจ่ายประจำเดือน 50,000 บาท และมีภาระผูกพันเป็นสินเชื่อบ้าน 5 ล้านบาท จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น เงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสมสำหรับนาย A ควรมีมากกว่า 3-6 เดือน สมมติว่า นาย A กำหนดเงินสำรองฉุกเฉินไว้ 9 เดือน คิดเป็นเงิน 450,000 บาท
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13016
Medical
ยาโทรสเปียมคลอไรด์มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
null
1. ผลต่อการทำงานของหัวใจ: อาจมีอาการหัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตสูง 2. ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: มีอาการ ท้องผูก ปวดท้อง ปากคอแห้ง อาหารไม่ย่อย อาเจียน ท้องอืด กระเพาะอาหารอักเสบ 3. ผลต่อระบบประสาท: มีอาการ ปวดหัว วิงเวียน รู้สึกสับสน ง่วงนอน อาจพบอาการประสาทหลอน 4. ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เกิดอาการปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่ออก 5. ผลต่อตา: ทำให้มีอาการ ตาแห้ง ตาพร่า 6. ผลต่อผิวหนัง: เกิดภาวะผิวแห้งและผื่นคัน รวมถึงภาวะ Stevens-Johnson syndrome 7. ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย หมายเหตุ: ผลข้างเคียงที่รุนแรงและหายาก เช่น ภาวะ Stevens-Johnson syndrome ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ใช้ยาโทรสเปียมคลอไรด์เป็นเวลานาน หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย อาจมีอาการ ปากคอแห้ง ท้องผูก วิงเวียน ง่วงนอน อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นชั่วคราว ในช่วงเริ่มต้นใช้ยา และจะค่อยๆดีขึ้นเอง วิธีการลดผลข้างเคียง: 1. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ 2. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับอาการข้างเคียงที่เกิดขน 3. ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด 4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด 6. หยุดใช้ยาและรีบพบแพทย์ทันทีหากเกิดอาการแพ้ยานี้ เช่น หายใจลำบาก มีผื่นขึ้นตามตัว ข้อควรระวัง: 1. ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่แพ้ยานี้ ห้ามใช้ยานี้กับ สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก 2. ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง 3. ห้ามไปซื้อยานี้มารับประทานเอง 4. ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 5. ห้ามใช้ยานี้กับ ผู้ป่วยโรคต้อหิน ผู้ที่มีภาวะปัสสาวะไม่ออกปัสสาวะขัด ผู้ที่มีภาวะกระเพาะอาหารลำไส้อุดตัน
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26899
Medical
ช่วยสรุปบทความ ไอเพอร์แอ๊กทีฟ
ไอเพอร์แอ๊กทีฟ ไฮเพอร์ มาจากศัพท์ ไฮเพอร์แอ๊กทีฟ hyperactive หมายถึง ลักษณะของเด็กที่อยู่ไม่นิ่ง วิ่งซนทั้งวัน และมีอาการสมาธิสั้นร่วมด้วย เป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาวะทางพฤติกรรม สาเหตุหลักๆ ของไฮเพอร์แอ๊กทีฟมี ๓ ประการ คือ ๑ ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เด็กไฮเพอร์ประมาณร้อยละ ๓๐-๔๐ มีญาติ พี่น้องที่มีปัญหานี้ แต่ก็ไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเด็กในครอบครัวที่มีปัญหาไฮเพอร์จะต้องมีอาการไฮเพอร์ทุกคน ๒ สารเคมีในสมอง ถ้าคนเราขาดสารเคมีที่เป็นปัจจัยสำคัญในการส่งผ่านข้อมูลต่างๆ หรือมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอ ก็อาจเป็นสาเหตุของอาการไฮเพอร์ได้ ๓ สภาพแวดล้อม ก่อนคลอด มักเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในครรภ์ ได้แก่ แม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสิ่งเสพติด ภาวะขาดสารอาหารของแม่ รวมไปถึงการที่แม่ได้รับสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น สารตะกั่ว หลังคลอด ได้แก่ การที่สมองของทารกได้รับบาดเจ็บในระหว่างคลอดหรือหลังคลอด การติดเชื้อ ขาดธาตุเหล็กซึ่งทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง และทารกได้รับสารเคมีอันตราย เด็กไฮเพอร์สังเกตได้จากพฤติกรรม ๒ กลุ่ม คือ ๑ กลุ่มที่ซนมากผิดปกติ เด็กซนมากผิดปกติคือไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ อยู่ไม่นิ่ง ชอบวิ่งไปมาและปีนป่าย มีอาการลุกลี้ลุกลน ชอบลุกจากที่นั่งบ่อยๆ ไม่สามารถเล่นคนเดียวเงียบๆได้ อารมณ์ร้อนและแปรปรวนง่าย ขาดความอดทนในการรอคอย พูดมาก ชอบพูดขัดจังหวะ และช่างฟ้อง ๒ กลุ่มสมาธิบกพร่องหรือสมาธิสั้น เด็กสมาธิสั้นมักมีปัญหาในการทำกิจกรรมตามลำพัง และการฟังคำสั่ง โดยเฉพาะกิจกรรมที่ใช้คำสั่งยาวๆ มีปัญหาในการทำกิจกรรมหรือการงานใดๆ ให้สำเร็จลุล่วง มีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดนานๆ ขี้ลืม ทำอุปกรณ์การเรียนหายบ่อยๆ ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าต่างๆ ได้ง่ายมาก มีอาการวอกแวก เหม่อลอย หรือเพ้อฝัน ขาดสมาธิและความตั้งใจในการเรียนหรือการทำกิจกรรมที่มีรายละเอียดปลีกย่อย เด็กบางคนอาจมีพฤติกรรมคล้ายเด็กไฮเพอร์ แต่ความจริงพฤติกรรมนั้นอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติ เช่น การสูญเสียการได้ยิน ปัญหาต่อมไทรอยด์ ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น อาการชักบางประเภท และอาการของโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ ทำให้เด็กขาดสมาธิ มีอาการลุกลี้ลุกลนจนทำให้เข้าใจผิดว่าลูกเป็นเด็กไฮเพอร์ คนที่อยู่ไม่นิ่ง ชอบทำโน่นทำนี่ทั้งวัน มักจะมีคนว่าเป็นคนไฮเพอร์ อาการไฮเพอร์เป็นปัญหาที่น่าเห็นใจ และต้องทำการเยียวยารักษา เป็นความทุกข์ของครอบครัว
ไฮเพอร์แอ็กทีฟเป็นศัพท์ที่มาจากคำว่า "hyperactive" ซึ่งหมายถึงลักษณะของเด็กที่ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ มีการวิ่งซนตลอดวันและมีอาการสมาธิสั้นร่วมด้วย สาเหตุหลักมี 3 ประการ คือ 1) ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่มีญาติที่มีปัญหานี้ประมาณ 30-40% 2) สารเคมีในสมองที่ขาดหายไปหรือไม่เพียงพอ และ 3) สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาของเด็ก รวมถึงสภาพในครรภ์ แม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสิ่งเสพติด ภาวะขาดสารอาหารของแม่ และการติดเชื้อหลังคลอดที่เป็นต้น เด็กไฮเพอร์แสดงพฤติกรรมที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ซนมากผิดปกติและกลุ่มที่สมาธิบกพร่องหรือสมาธิสั้น กลุ่มแรกมีลักษณะเด็กที่ไม่ระมัดระวังตัวเอง, เกิดอุบัติเหตุบ่อย, ไม่นิ่ง, ชอบวิ่งไปมา, ลุกจากที่นั่งบ่อย, ไม่สามารถเล่นคนเดียวได้, อารมณ์ร้อนและแปรปรวนง่าย, ขาดความอดทน, พูดมาก, ชอบพูดขัดจังหวะและช่างฟ้อง กลุ่มที่สองมีสมาธิบกพร่องหรือสมาธิสั้น, มีปัญหาในการทำกิจกรรมตามลำพังและการฟังคำสั่งยาว, มีปัญหาในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดนาน, ขี้ลืม, ทำอุปกรณ์การเรียนหายบ่อย และถูกรบกวนจากสิ่งเร้าต่างๆ เด็กบางคนที่มีพฤติกรรมคล้ายเด็กไฮเพอร์อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติ เช่น การสูญเสียการได้ยิน, ปัญหาต่อมไทรอยด์, ปัญหาการมองเห็น, อาการชักบางประเภท และโรคเรื้อรัง เช่น โรคภูมิแพ้ ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเด็กไฮเพอร์ การแสดงอาการไฮเพอร์ควรถูกเข้าใจว่าเป็นปัญหาที่ต้องรับการรักษา เป็นความทุกข์ของครอบครัว
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21636
Medical
สารอาหารใดบ้างที่สามารถป้องกันมะเร็งได้
อาหารป้องกันโรคมะเร็ง มะเร็งเป็นโรคร้ายที่ใครๆก็ไม่อยากจะเป็น เพราะเป็นมะเร็งแล้วความตายรู้สึกใกล้เข้ามาเหลือเกิน แต่จำนวนคนเป็นมะเร็งดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ต้องอะไร คนใกล้ชิดเราเดี๋ยวมีข่าวว่าคนโน้น คนนี้เป็นมะเร็งกัน ดูจะเป็นแฟชั่นในยุคนี้ ใครที่ไม่ตายด้วยโรคมะเร็งเหมือนจะไม่ทันสมัย ในอเมริกาประมาณว่า หนึ่งในสี่คนจะต้องเจอกับมะเร็งด้วยตนเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง หรือมองง่ายๆว่าอเมริกาซึ่งมีประชากรราว 200 ล้านคน เป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละหนึ่งล้านทุกๆ ปี จำนวนที่ตายจากมะเร็งราว 4 แสนคนต่อปี เมืองไทยเราไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่พอประมาณได้ว่าไม่หนีจากอัตรานี้เท่าไหร่ ใครบอกถูกว่าเป็นมะเร็ง ก็เหมือนนำคำพิพากษาประหารมาให้ แม้การแพทย์จะก้าวหน้าเพียงไร การรักษามะเร็งยังทำได้ยากและผลสำเร็จน้อย วิธีที่ดีที่สุด จึงน่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็ง ท่านทราบไหมว่าอาวุธที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งไม่ใช่ยา ไม่ใช่วัคซีน แต่เป็นของธรรมดาที่เราเสพย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันครับ อาหารนี่แหละเป็นสิ่งที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด คำกล่าวนี้ ผู้เขียนมิได้นั่งเทียนเขียนเอง หากแต่ลอกมาจากคำสรุปของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งซึ่งรายงานต่อสำนักงานประเมินเทคโนโลยีของสภาผู้แทนอเมริกัน เขาบอกต่อไปด้วยว่า ถ้าเลือกกินอาหารให้ถูกต้องจะสามารถอัตราการตายจากโรคมะเร็ง ในคนอเมริกัน ลงได้ 35 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่าจะช่วยชีวิตคนอเมริกันไว้ได้ 150000 คนต่อปี ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อนะครับแต่ทว่าไม่ใช่เป็นความฝันกลางวันแต่อย่างใด นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มรวมทั้งสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน และหน่วยงานอื่นๆของอเมริกัน อันได้แก่กรรมาธิการอาหารและมะเร็งของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และฝ่ายบริการสุขภาพและมนุษยชนได้ผนึกกำลังกันโฆษณาให้ชาวอเมริกัน กินอาหารที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง บางคนอาจแปลกใจว่าอยู่ๆ ทำไมโหมโฆษณาการต่อต้านมะเร็งด้วยอาหารกัน ที่จริงเรื่องอาหารกับมะเร็งไม่ใช่ของใหม่อะไร นักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานแล้ว ว่าอาหารหลายชนิดมีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง ทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ในทางกลับกัน อาหารบางชนิดช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ฉะนั้นถ้าเราจะลดการกินอาหารที่ทำให้เกิดมะเร็งลง และกินอาหารที่ช่วยป้องกันมะเร็งให้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยให้อัตราการเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลดลงได้ อาหารอะไรล่ะ ที่ทำให้เกิดมะเร็ง ตอบง่ายๆ อาหารที่มีไขมันสูง เหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ และเนื้อที่ผ่านการปรุงแต่งโดยเติมสารจำพวกดินประสิวลงไป แล้วอาหารจำพวกไหนที่ป้องกันมะเร็ง เป็นอาหารอย่างง่ายๆอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึง หาได้ทั่วไป และราคาถูกกว่าอาหารพวกแรก นั่นคือ อาหารจำพวกผัก ข้างกล้อง ถั่ว งา ฯลฯ โดยเน้นที่สาร 5 ตัวคือ คาโรตีน และวิตามินเอ วิตามินซี ไฟเบอร์ อินโดลส์ และอาจรวมถึงวิตามินอี และแร่ซีลีเนี่ยม เรามาลองดูกันว่า อาหารหรือสารพวกนี้ป้องกันมะเร็งได้อย่างไร วิตามินเอ และคาโรตีน วิตามินเอ และคาโรตีนเป็นสาร 2 ตัว ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง วิตามินเอมีในธรรมชาติ เฉพาะอาหารจากสัตว์ คาโรตีนอุดมในพืชและเมื่อเข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ก่อนนำไปใช้ข้อมูลระยะนี้ยังสับสนอยู่ว่า เฉพาะคาโรตีนหรือวิตามินเอ ที่มีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็ง หรือใช้ได้ทั้ง 2 ตัว วิตามินเอ พบว่ามีส่วนสัมพันธ์กับอัตราการเกิดมะเร็งของปอด กระเพาะ หลอดอาหาร เต้านม และ กระเพาะปัสสาวะ กล่าวคือ ในกลุ่มคนที่กินอาหารที่มีวิตามินเอมาก จะมีโอกาสเป็นมะเร็งในอวัยวะเหล่านี้ต่ำกว่ากลุ่มที่ได้วิตามินเอน้อย อย่างไรก็ดี เนื่องจากในกลุ่มที่กินอาหารที่มีวิตามินเอมาก ได้วิตามินเอในรูปของคาโรตีนเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า คาโรตีนเป็นตัวสำคัญในการป้องกันมะเร็ง อะไรทำให้วิตามินเอและคาโรตีน ป้องกันมะเร็งได้นั้น ยังไม่เป็นที่รู้กัน เรารู้ว่าวิตามินเอ มีส่วนควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ และอาจมีส่วนช่วยในปฏิกิริยาภูมิต้านทานด้วยนอกจากนี้คาโรตีนเองยังอาจป้องกันปฏิกิริยาการเติมออกซิเจน oxidation ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้โครโมโซมเสียหาย เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ปกติเป็นเซลล์มะเร็งได้ ขณะนี้งานวิจัยเกี่ยวกับผลของคาโรตีนกับการต่อต้านมะเร็งกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากในคาโนตีนขนาดสูงไม่มีพิษภัย นอกจากทำให้ผิวหนังเป็นสีเหลืองชั่วคราว การทดลองในคนจึงกระทำได้ และเราคงได้ยินรายงานใหม่ๆ ออกมาในไม่ช้านี้ อาหารอะไรที่มีคาโรตีนมาก พวกผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง สีแดง เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ฟักทอง มะม่วงสุก ฯลฯ ส่วนวิตามินเอ มีมากใน ตับและไข่แดง เนื่องจากวิตามินเอมักมีในอาหารที่มีไขมันสูง และวิตามินเอขนาดสูง เกินกว่า 25000 หน่วยต่อวัน มีโทษได้ การกินอาหารที่มีวิตามินเอ และวิตามินเอในรูปเม็ดยา จึงสู้การกินคาโรตีนจากพืชไม่ได้ นอกจากนี้พืชผักยังให้วิตามินซีและอินโดลส์อีกด้วย วิตามิน ซี วิตามินซีทำหน้าที่สารต่อต้านการเติมออกซิเจน เช่นเดียวกับคาโรตีน นักวิจัยจากหลายประเทศพบว่า วิตามินซีมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งของ กล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร กล่าวคือในกลุ่มชนที่กินอาหารที่มีวิตามินซีน้อยจะเกิดเป็นมะเร็งของอวัยวะเหล่านี้ได้สูงกว่ากินวิตามินซีมาก อย่างไรก็ดี เนื่องจากวิตามินซีกับคาโรตีนมักมีอยู่ในอาหารอย่างเดียวกันจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นผลของสารตัวไหนกันแน่ แม้ว่าคาโรตีนจะมีเหตุผลสนับสนุนมากกว่า ในทางทฤษฏี วิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ ดังนั้นจึงน่าที่จะทำการทดลองต่อไปให้รู้อย่างแน่ชัด พร้อมกับทำการตอบปัญหาที่ว่า วิตามินซีขนาดไหนที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ กล่าวคือ ในกลุ่มที่กินอาหารที่มีวิตามินซีน้อยกว่าที่ควร ต่ำกว่า 60 มิลลิกรัมต่อวัน จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมาก หรือว่าร่างกายต้องการวิตามินซีในปริมาณสูง 60-200 มิลลิกรัมต่อวัน จึงจะป้องกันมะเร็งได้ วิตามินซีมีประโยชน์เวลาเรากินอาหารที่มีดินประสิว ไนเตร๊ท ดินประสิวใช้ในการทำอาหารบางอย่าง เช่น แหนม แฮม ไส้กรอก เนื้อเค็ม เขาพบว่าดินประสิวทำให้เป็นมะเร็งได้ โดยการเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็ง วิตามินซีช่วยป้องกันไม่ให้ดินประสิวเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ เราจึงควรกินอาหารพวกที่มีดินประสิวเหล่านี้ร่วมไปกับอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ วิตามินอีและเซเลเนี่ยม ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนเหมือนๆ กัน ในห้องทดลอง วิตามินอีช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ mutation ของเซลล์แบคทีเรียได้ โดยอาศัยคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนที่ว่า และในบางรายงานพบว่าช่วยป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ดีรายงานการศึกษาในคนยังมีน้อยเกิดกว่าจะสรุปผลอะไรได้ เซเลเนี่ยม ช่วยลดการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง การศึกษาในคนพบว่าอาจให้ผลคล้ายคลึงกัน แต่เช่นเดียวกับวิตามินอี ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเซเลเนียมมากพอที่จะช่วยตัดสินใจให้คำแนะนำอย่างแน่นอน ไฟเบอร์ หลักฐานที่ว่าไฟเบอร์ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ค่อนข้างแน่นหนา ไฟเบอร์ คืออะไร เป็นการยากที่จะให้คำจำกัดความของไฟเบอร์ เพราะไฟเบอร์มีมากมายหลายชนิด มีความแตกต่างกันและเรียกชื่อผิดแผกกันไป ไฟเบอร์อาจเรียกง่ายๆว่า เป็นกากของผัก ผลไม้ และข้าว แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ พวกแรก กลุ่มที่ละลายน้ำได้พบในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ พวกนี้มีคุณสมบัติลดโคเลสเตอรอลได้อย่างอ่อนๆ พวกที่สอง อันเป็นกลุ่มที่นักวิจัยทางมะเร็งให้ความสนใจ คือ พวกที่ไม่ละลายน้ำ พบในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพดกากเหล่านี้จะทำให้อุจจาระมีปริมาณมากและเคลื่อนที่ได้เร็ว ก็เลยคิดว่าผลอันนี้ที่ทำให้ไฟเบอร์มีชื่อทางต่อต้านมะเร็ง กล่าวคือ เมื่ออุจจาระผ่านลำไส้ได้เร็ว ก็จะทำให้พวกสารพิษต่างๆ อันมีปะปนกันอยู่ในอุจจาระมีเวลาออกฤทธิ์ได้น้อยลง นอกจากนี้ การที่อุจจาระมีปริมาณมากจากผลของกาก ก็ทำให้สารพิษถูกละลายเจือจางลงด้วย หลักฐานใหม่ๆ ยังแสดงว่า ไฟเบอร์อาจมีส่วนช่วยลดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ โดยขบวนการที่พิสดารยอกย้อนกว่าที่กล่าวมาแล้วอีก การวิจัยจากหลายๆ ที่พบว่าอัตราการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่ในประเทศศิวิไลซ์ สูงกว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาถึง 8 เท่า ประชากรของประเทศกลุ่มหลังกินอาหารที่มีไฟเบอร์มากกว่าชาวประเทศพัฒนา นี่ก็มีคนแย้งว่า อาจเป็นเพราะพวกประเทศอุตสาหกรรมกินไขมันมากกว่าก็เป็นไปได้ แต่มีการศึกษาจากประเทศที่กินไขมันพอๆ กัน แต่ประเทศหนึ่งกินไฟเบอร์มากกว่า พบว่า ประชากรไม่ค่อยเป็นมะเร็งลำไส้ นั่นคือ การศึกษาประเทศฟินแลนด์กับอเมริกาชาวฟินแลนด์ซึ่งชอบกินขนมปังจากข้าวไรย์ ได้ไฟเบอร์มากกว่าชาวอเมริกัน พวกฟินแลนด์จึงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของคนอเมริกัน หรืออย่างคนที่อยู่ในประเทศที่มีอัตรามะเร็งลำไส้ใหญ่สูง เมื่อย้ายไปอยู่ในประเทศที่มีอัตราต่ำ อัตราเสี่ยงก็พลอยต่ำไปด้วย ปัจจุบันมีไฟเบอร์ขายกันในรูปเม็ดหรือแคปซูล ซึ่งแม้ว่าจะดูง่าย แต่ไม่ได้ผล เหตุเพราะว่าไฟเบอร์เป็นสารที่ต้องการเนื้อที่ เมื่อจับไปอัดไว้ในเม็ดยาจึงใส่ได้ไม่มาก ราวครึ่งกรัม ฉะนั้น ถ้าจะกินให้ได้ปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน 30-40 กรัม ก็เท่ากับว่า ต้องซื้อมากินวันละ 60-80 เม็ด วิธีง่ายๆ ที่จะให้ได้ไฟเบอร์ คือ การกินข้าวกล้อง ดู หมอชาวบ้าน ฉบับ 62 ผัก และผลไม้ ถ้าเป็นขนมปังก็เลือกชนิด โฮลเกรน หรือ โฮลวีท ซึ่งก็มีผู้ทำออกมาจำหน่ายวางขายทั่วไป อินโดลส์ Indoles อินโดลส์เป็นสารกลุ่มหนึ่งที่พบในผักโดยเฉพาะในกลุ่มกะหล่ำ อันได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร๊อคเคอรี่ ผักคะน้า หัวไช้เท้า ฯลฯ อินโดลส์ ช่วยต่อต้านมะเร็งโดยการทำปฏิกิริยากับสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่จะไปทำปฏิกิริยาอย่างไรยังมาทราบแน่ชัด นักวิจัยพบว่า ในสัตว์ทดลองอินโดลส์ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งและในคนที่กินผักในกลุ่มกะหล่ำมากมีอัตราการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่น้อย อาหารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง พูดถึงฝ่ายต่อต้านมากแล้วลองมาดูฝ่ายสนับสนุนบ้าง ดังที่เกริ่นไว้ อาหารที่ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง คือ ไขมัน แอลกอฮอล์และอาหารที่ใส่ดินประสิว นอกจากนี้ การกินอาหารมากเกินไปก็ทำให้เป็นมะเร็ง ไขมัน ไขมันดูจะเป็นตัวที่ร้ายที่สุด ในสมัยก่อนอาหารไทยเรามีมันไม่มาก แต่ปัจจุบันจากอิทธิพลของความศิวิไลซ์ และอารยธรรมตะวันตก ทำให้เรากินไขมันมากกว่าที่เคย ตัวอย่างเช่น เนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ ใครที่ชอบอาหารฝรั่งจึงควรระวังกันไว้ เช่น อาหารอเมริกันมีไขมันอยู่ ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของแคลอรี่ที่ได้ หรืออาหารโต๊ะจีน อาหารเหลาก็เหมือนกัน อุดมไปด้วยไขมัน คนที่กินไขมันเยอะจนเป็นมะเร็งของเต้านม ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก รังไข่ และมดลูกมาก สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ อเมริกา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการกินไขมันน้อย กับ การไม่ค่อยเป็นมะเร็ง เป็นไปอย่างน่าเชื่อถือที่สุด ในกระบวนผลการศึกษาเรื่องอาหารกับมะเร็งที่ทางสถาบันทำมา 2 ปี คณะกรรมาธิการอาหาร โภชนาการและมะเร็ง อเมริกัน และสมาคมมะเร็งอเมริกัน แนะนำว่า อาหารที่กินไม่ควรมีไขมันเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้อาหารมีปริมาณไขมันในระดับดังกล่าวมีหลัก 4 ข้อ คือ หนึ่ง อาหารเนื้อ ควรใช้เนื้อแดงที่ติดมันให้น้อยที่สุด เป็ด ไก่ ควรเลี่ยงการกินหนัง สอง ถ้ากินนมหรือเนย ให้ใช้ชนิดพร่องมันเนย คือตักมันที่ลอยหน้าออกแล้วในกระบวนการผลิต หลีกเลี่ยงไอศกรีมชนิดใส่นม สาม ใช้น้ำมันในการทอดหรือผัดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงเพื่อรักษารสไว้เท่านั้น สี่ พยายามกินอาหารผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ฯลน ให้มากๆ แอลกอฮอล์ คนที่ดื่มหนัก มีโอกาสเป็นมะเร็งของกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่สูง ถ้าดื่มด้วย สูบบุหรี่ด้วย จะเป็น มะเร็ง ปาก คอ และหลอดอาหารเพิ่ม ดื่มแค่ไหนจึงจะไม่มากเกินไป ออกจะเป็นการยากที่จะให้คำตอบ ถ้าเป็นไปได้ควรถือ มัชวิรัติ คือ งดดื่มเสียเลย ถ้าหากเลิกไม่ได้ อย่าให้เกิดกว่าเบียร์ 1 แก้ว หรือเหล้า 1 ก๊ง ต่อวัน นั้นไม่ได้หมายความว่าตัวเลขที่ให้จะปลอดภัยจากมะเร็ง เพราะยังไม่มีใครรู้แน่นอนว่า แค่ไหนถึงจะปลอดภัย อาหารใส่ดินประสิว ดินประสิวถูกใส่ลงไปในเนื้อ เพื่อให้มีสีแดงดูน่ากินเช่น ในไส้กรอก เนื้อเค็ม แหนม บางทีก็ใส่ในปลาร้า ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ดินประสิวหรือไนไตร๊ท์ถูกเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนส์ซึ่งทำให้เกิดมะเร็ง เราจึงควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีดินประสิวผสมอยู่ การกินมากไป กินมากไปคือ กินจนเหลือใช้ร่างกายต้องเอาไปเก็บไว้ในรูปไขมัน มีหลักฐานหลายอันที่แสดงว่าการกินมากไป ไม่ว่าตั้งแต่ในวัยเด็กหรือในตอนโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้น หมอเดอ วอร์ด พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างความอ้วนใหญ่ กับมะเร็งของเต้านม โดยเฉพาะในหญิงวัยเลขหมดประจำเดือน คนที่อ้วนจะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าคนปกติ ถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่า มะเร็งของมดลูกและถุงน้ำดี ก็มีส่วนสัมพันธ์กับน้ำหนักที่มากเช่นกัน ทำไมความอ้วนจึงทำให้เป็นมะเร็งได้ ยังไม่ทราบกันแน่นอน มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายอยู่หลายอัน อันหนึ่งว่า การกินมากกระตุ้นให้เซลล์มีการแบ่งตัวมากโดยเฉพาะในวัยเด็กเมื่อมีการแบ่งตัวมากโอกาสเกิดเซลล์ที่ผ่าเหล่าผ่ากอกลายเป็นมะเร็งก็มีมากตาม บางคนว่า เป็นจากการเปลี่ยนแปลงในฮอร์โมนส์ในคนอายุมาก หรือบ้างก็ว่า เป็นจากความอ่อนแอของปฎิกิริยาภูมิคุ้มกัน ครับ ก็ยังไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ อ้วนไป มีโอกาสเป็นมะเร็งง่าย อะไรที่กินได้ ถึงตรงนี้ผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดในใจว่า รายการห้ามไม่ให้กินมาอีกแล้ว จริงครับถ้าเราติดตามข่าวคราวหน้าหนังสือพิมพ์จะพบอยู่เรื่อยว่า เดี๋ยวไอ้นี่ก็กินไม่ได้ ไอ้นั้นก็เป็นพิษ จนรู้สึกว่าถ้าจะเชื่อตามเขา คงกินอะไรไม่ได้สักอย่าง บางท่านก็เลยพลอยเลิกเชื่อไปเลย กินมันหมดทุกอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และเรื่องที่ผู้เขียนพยายามจะหลีกเลี่ยงในวันนี้ คือ ไม่ให้ท่านมีความรู้สึกว่า กินอะไรก็ไม่ได้ สรุปกันออกมาสั้นๆ ท่านควรจะกินอะไรดี ผู้เขียนมีความเห็น ส่วนตัว ว่า การกินอาหารแบบไทยๆดีที่สุด อาหารไทยคือ อาหารที่มีข้าวเป็นหลัก ถ้าเป็นข้าวกล้อง จะดีที่สุดเลยครับ มีกับเป็นผัก ปลา บวก เนื้อสัตว์ และไข่ ตบท้ายด้วยผลไม้ อาหารไทยจะไม่ใส่มันมากจนเลี่ยน อาหารไทยไม่มีไส้กรอก หมูแฮม อาหารไทยอุดมด้วยกาก หรือไฟเบอร์ ฯลฯ ถึงแม้ว่าการกินอาหารที่แนะนำมาตั้งแต่ต้น จะไม่มีหลักฐานยืนยันพันเปอร์เซ็นต์ ว่าจะทำให้ท่านไม่เป็นมะเร็ง แต่ก็จะทำให้สุขภาพท่านดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ลดอัตราการเสี่ยงจากโรคหัวใจ เบาหวาน เก๊าท์ ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ ท่านจึงไม่เสียอะไรเลยในการปฎิบัติตัวตามคำแนะนำ มีแต่ได้กับได้แล้วท่านจะมัวรออะไรอีกเล่าครับ เอกสารอ้างอิง
สารอาหารใดบ้างที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ ⇒ วิตามินเอ และคาโรตีน วิตามินเอ และคาโรตีนเป็นสาร 2 ตัว ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง วิตามินเอมีในธรรมชาติ เฉพาะอาหารจากสัตว์ คาโรตีนอุดมในพืชและเมื่อเข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ก่อนนำไปใช้ข้อมูลระยะนี้ยังสับสนอยู่ว่า เฉพาะคาโรตีนหรือวิตามินเอ ที่มีประโยชน์ในการป้องกันมะเร็ง หรือใช้ได้ทั้ง 2 ตัว ⇒ วิตามิน ซี วิตามินซีทำหน้าที่สารต่อต้านการเติมออกซิเจน เช่นเดียวกับคาโรตีน นักวิจัยจากหลายประเทศพบว่า วิตามินซีมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งของกล่องเสียง หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร กล่าวคือในกลุ่มชนที่กินอาหารที่มีวิตามินซีน้อยจะเกิดเป็นมะเร็งของอวัยวะเหล่านี้ได้สูงกว่ากินวิตามินซีมาก อย่างไรก็ดี เนื่องจากวิตามินซีกับคาโรตีนมักมีอยู่ในอาหารอย่างเดียวกันจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเป็นผลของสารตัวไหนกันแน่ แม้ว่าคาโรตีนจะมีเหตุผลสนับสนุนมากกว่า ในทางทฤษฏี วิตามินซีอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ ⇒ วิตามินอีและเซเลเนี่ยม ทั้ง 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนเหมือนๆ กัน ในห้องทดลอง วิตามินอีช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ( mutation ) ของเซลล์แบคทีเรียได้ โดยอาศัยคุณสมบัติต่อต้านการเติมออกซิเจนที่ว่า และในบางรายงานพบว่าช่วยป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ดีรายงานการศึกษาในคนยังมีน้อยเกิดกว่าจะสรุปผลอะไรได้ เซเลเนี่ยม ช่วยลดการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง การศึกษาในคนพบว่าอาจให้ผลคล้ายคลึงกัน แต่เช่นเดียวกับวิตามินอี ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเซเลเนียมมากพอที่จะช่วยตัดสินใจให้คำแนะนำอย่างแน่นอน ⇒ ไฟเบอร์ หลักฐานที่ว่าไฟเบอร์ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ค่อนข้างแน่นหนา ไฟเบอร์ คืออะไร ? เป็นการยากที่จะให้คำจำกัดความของไฟเบอร์ เพราะไฟเบอร์มีมากมายหลายชนิด มีความแตกต่างกันและเรียกชื่อผิดแผกกันไป ไฟเบอร์อาจเรียกง่ายๆว่า เป็นกากของผัก ผลไม้ และข้าว แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ พวกแรก กลุ่มที่ละลายน้ำได้พบในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ พวกนี้มีคุณสมบัติลดโคเลสเตอรอลได้อย่างอ่อนๆ พวกที่สอง อันเป็นกลุ่มที่นักวิจัยทางมะเร็งให้ความสนใจ คือ พวกที่ไม่ละลายน้ำ พบในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพดกากเหล่านี้จะทำให้อุจจาระมีปริมาณมากและเคลื่อนที่ได้เร็ว ก็เลยคิดว่าผลอันนี้ที่ทำให้ไฟเบอร์มีชื่อทางต่อต้านมะเร็ง กล่าวคือ เมื่ออุจจาระผ่านลำไส้ได้เร็ว ก็จะทำให้พวกสารพิษต่างๆ อันมีปะปนกันอยู่ในอุจจาระมีเวลาออกฤทธิ์ได้น้อยลง นอกจากนี้ การที่อุจจาระมีปริมาณมากจากผลของกาก ก็ทำให้สารพิษถูกละลายเจือจางลงด้วย หลักฐานใหม่ๆ ยังแสดงว่า ไฟเบอร์อาจมีส่วนช่วยลดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ⇒ อินโดลส์ ( Indoles) อินโดลส์เป็นสารกลุ่มหนึ่งที่พบในผักโดยเฉพาะในกลุ่มกะหล่ำ อันได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร๊อคเคอรี่ ผักคะน้า หัวไช้เท้า ฯลฯ อินโดลส์ ช่วยต่อต้านมะเร็งโดยการทำปฏิกิริยากับสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แต่จะไปทำปฏิกิริยาอย่างไรยังมาทราบแน่ชัด นักวิจัยพบว่า ในสัตว์ทดลองอินโดลส์ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งและในคนที่กินผักในกลุ่มกะหล่ำมากมีอัตราการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่น้อย
โภชนวิทยา
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11669
Medical
ยา Depolarizing blocking agent เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ยา Depolarizing blocking agent ไม่ได้ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ยา Depolarizing blocking agent เป็นยาที่ใช้เพื่อคลายกล้ามเนื้อ กลไกการออกฤทธิ์ของยา Depolarizing blocking agent คือ ยาจะเข้าจับกับตัวรับ Acetylcholine receptor บนกล้ามเนื้อ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหดตัวเป็นหย่อมๆ ก่อนที่จะเกิดภาวะอัมพาต ยา Depolarizing blocking agent มักใช้ในหัตถการทางการแพทย์ เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร การดัดดึงทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ความผิดปกติของระบบประสาท ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ หรือผลข้างเคียงจากยา การรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ในบางกรณี แพทย์อาจสั่งยาเพื่อเพิ่มแรงกล้ามเนื้อ แต่ยา Depolarizing blocking agent ไม่ได้ใช้เพื่อเพิ่มแรงกล้ามเนื้อ ตัวอย่าง: -นาย A มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แพทย์วินิจฉัยว่านาย A เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากความผิดปกติของระบบประสาท แพทย์สั่งยาเพื่อเพิ่มแรงกล้ามเนื้อ ยาที่แพทย์สั่งไม่ใช่ยา Depolarizing blocking agent ยา Depolarizing blocking agent ไม่ได้ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ข้อควรระวัง: -ยา Depolarizing blocking agent มีผลข้างเคียงหลายอย่าง -ควรใช้ยา Depolarizing blocking agent ภายใต้การดูแลของแพทย์
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_43926
Finance
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่จะทำให้เงินในบริษัทประกันล้มไปคืออะไร
null
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่จะทำให้เงินในบริษัทประกันล้มไป คือ การที่สมาชิกในกองพยายามไปขโมยเงินกองนี้ออกมา หรือไปเอาเงินกองกลางออกมาใช้โดยที่ไม่ได้ทุกข์จริง การประมาทหรือการเจาะจงไปติดโควิดเพื่อหวังเรียกเอาเงินประกันไม่ได้เป็นการเฉลี่ยทุกข์ที่แท้จริง และมันสามารถกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ขยายไปในวงกว้างที่มองไม่เห็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่เห็นแต่ยอดภูเขา แต่จริงๆ แล้วข้างใต้ภูเขานั้นแข็งจะใหญ่กว่ายอดภูเขาอีกหลายสิบเท่า เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นโรคระบาด ทำให้คนที่ไม่ได้เจาะจงติดโควิดก็จะพลอยติดไปด้วย เพราะมันจะแพร่ต่อออกไปไม่รู้อีกกี่ทอด ยิ่งโรงพยาบาลเริ่มไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้หมด ก็จะทำให้กราฟจำนวนคนติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างทวีคูณขึ้นไปอีกหลายเท่า จากที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าแบบประกันเจอ จ่าย จบ ได้ส่งเสริมให้คนเจาะจงไปติดโควิดกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากวันแรกจนถึงวันนี้ที่ทุนประกันที่ให้ยังคงเท่าเดิม ทำให้ยิ่งอาการโควิดแต่ละระลอกเบาลงมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คนมีแรงจูงใจหวังเอาเงินประกันจากการเจาะจงไปติดมากขึ้นเท่านั้น (แต่ก็ไม่เสมอไปสำหรับทุกคน) เงินกองนั้นจะมีเหลือให้กับคนที่ต้องการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขที่แท้จริงได้พอหรือไม่ นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นกับช่องโหว่ประกันเจอ จ่าย จบ และนี่เป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ คืบคลานและกัดกร่อนสังคมไทยมาตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว ทำไมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นจากโควิดเหมือนประเทศอื่น ทำไมยอดคนติดโควิดไม่ลดลงอย่างที่คิด ทั้งๆ ที่อุตส่าห์กักตัว ใส่หน้ากากอนามัย และระมัดระวังตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11432
Medical
ยาไฟโสสติกมีนมีข้อควรระวังอะไรบ้างในการใช้กับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ
null
1. โรคต้อหินบางชนิด (Secondary glaucoma): ห้ามใช้ยาไฟโสสติกมีนกับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินบางชนิด เช่น ต้อหินมุมตาปิด (Angle-closure glaucoma) เพราะยาอาจทำให้ม่านตาขยายและเพิ่มความดันตาจนอาจส่งผลร้ายแรงต่อจอประสาทตา ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคต้อหินชนิดอื่นๆ เช่น ต้อหินเรื้อรังมุมเปิด (Chronic open-angle glaucoma) 2. โรคเยื่อบุตาอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute iritis), โรคเยื่อบุตาอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute uveitis) หรือโรคเยื่อบุตาหน้าม่านตาอักเสบ (Anterior uveitis): ห้ามใช้ยาไฟโสสติกมีนกับผู้ป่วยที่มีโรคเยื่อบุตาอักเสบแบบเฉียบพลัน โรคเยื่อบุตาอักเสบแบบเฉียบพลัน หรือโรคเยื่อบุตาหน้าม่านตาอักเสบ เพราะยาอาจทำให้การอักเสบแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคเหล่านี้ 3. โรคจอตาหลุดลอก (Retinal detachment): ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีประวัติโรคจอตาหลุดลอก เพราะยาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดจอตาหลุดลอกซ้ำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีประวัติโรคนี้ 4. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด เช่น โรคหัวใจเต้นช้า (Bradycardia) เพราะยาอาจทำให้หัวใจเต้นช้าลงไปอีก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ 5. โรคหอบหืด: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคหอบหืด เพราะยาอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคหอบหืด 6. โรคพาร์กินสัน: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคพาร์กินสัน เพราะยาอาจทำให้เกิดอาการสั่นของกล้ามเนื้อแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคพาร์กินสัน 7. โรคอัลไซเมอร์: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคอัลไซเมอร์ เพราะยาอาจทำให้เกิดอาการสับสนทางความคิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคอัลไซเมอร์ 8. โรคพิษต่อระบบประสาท: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคพิษต่อระบบประสาท เพราะยาอาจทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคพิษต่อระบบประสาท 9. โรคไทรอยด์เป็นพิษ: ควรระวังการใช้ยาไฟโสสติกมีนในผู้ป่วยที่มีโรคไทรอยด์เป็นพิษ เพราะยาอาจทำให้ภาวะไทรอย
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4047
Finance
หากหยวนดิจิทัลสามารถเอาชนะความท้าทายทางเทคโนโลยีและพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ มีความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงิน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการและธุรกรรมทางการเงิน ปัจจัยใดที่จะช่วยเร่งการแพร่หลายของหยวนดิจิทัลสู่ระดับสากล
null
ปัจจัยที่จะช่วยเร่งการแพร่หลายของหยวนดิจิทัลสู่ระดับสากล มีดังนี้ การสนับสนุนจากรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนการออกหยวนดิจิทัลและส่งเสริมให้หยวนดิจิทัลกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในระดับสากล รัฐบาลจีนอาจใช้มาตรการต่างๆ เช่น การลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้หยวนดิจิทัล การส่งเสริมการใช้หยวนดิจิทัลในโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นต้น ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ จีนอาจร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในการออกและใช้งานหยวนดิจิทัลร่วมกัน ตัวอย่างเช่น จีนอาจร่วมมือกับประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ในการออกหยวนดิจิทัลร่วมกัน หรือร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการออกหยวนดิจิทัลร่วมกัน เป็นต้น การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยี blockchain เทคโนโลยีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะช่วยให้หยวนดิจิทัลมีความปลอดภัย สะดวก และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคในการยอมรับหยวนดิจิทัลจากต่างประเทศ นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจช่วยเร่งการแพร่หลายของหยวนดิจิทัลสู่ระดับสากล ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลก การแข่งขันระหว่างประเทศ และพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นต้น โดยสรุปแล้ว หากหยวนดิจิทัลสามารถเอาชนะความท้าทายทางเทคโนโลยีและพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ มีความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มความสะดวกสบายในการชำระเงิน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการและธุรกรรมทางการเงิน ปัจจัยสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งการแพร่หลายของหยวนดิจิทัลสู่ระดับสากล
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21198
Medical
การทดสอบวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในมนุษย์ จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ในกรณีอาสาสมัครที่มีอายุ 12-18 ปี หรือไม่
null
ใช่ เหตุผล: อาสาสมัครที่มีอายุ 12-18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หมายความว่า ยังไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ ตามหลักจริยธรรมสากล 3 ประการ ข้อ 1 การเคารพบุคคลในการตัดสินใจ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ในประเทศไทย ใช้อายุ 18 ปีเป็นเกณฑ์ตามคำประกาศสิทธิผู้ป่วย ข้อ 10 มาตรา 8 ของ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้ว่า ผู้เข้าร่วมการวิจัยต้องได้รับแจ้งข้อมูลการวิจัยอย่างครบถ้วน และสามารถปฏิเสธหรือถอนความยินยอมได้ทุกเมื่อ กรณีอาสาสมัครที่มีอายุ 12-18 ปี ผู้ปกครองจำเป็นต้องได้รับข้อมูลการวิจัยอย่างครบถ้วน เพื่อประกอบการตัดสินใจแทนบุตรหลาน ข้อมูลการวิจัยที่ต้องแจ้งให้ผู้ปกครองทราบ เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ แหล่งทุน ประโยชน์ ความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย การดูแลรักษา สิทธิในการปฏิเสธหรือถอนความยินยอม ฯลฯ การได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ช่วยให้มั่นใจว่า อาสาสมัครได้รับการคุ้มครองสิทธิ และเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การทดสอบวัคซีนมีความเสี่ยงบางประการ อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการแพ้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ฯลฯ ในบางกรณี อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง ผู้ปกครองควรได้รับข้อมูลเหล่านี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ สรุป: การทดสอบวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ในมนุษย์ จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ในกรณีอาสาสมัครที่มีอายุ 12-18 ปี เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิ และป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ภาควิชาระบาดวิทยา Epidemiology,สาธารณสุข (public health)
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_24277
Medical
สำหรับอันตรายที่เกิดจากโรคเบาจืดคืออะไร
ก. ทำให้ความดันสูง ข. มีโรคแทรกซ้อน ค. เสียชีวิต ง. ทำให้ความดันเลือดตก และเกิดช็อกได้ในที่สุด
คำตอบคือ ง. เพราะว่า สำหรับอันตรายที่เกิดจากโรคเบาจืดเองจริงๆ นั้นก็คงมีอยู่กรณีเดียว คือ เมื่อร่างกายขาดน้ำแต่คนไข้ไม่สามารถชดเชยน้ำที่สูญเสียไปได้ทันท่วงที อาจจะทำให้ความดันเลือดตก และเกิดช็อกได้ในที่สุด โดยเฉพาะกรณีที่คนไข้สลบไปด้วยสาเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว แต่ตราบใดที่คนไข้สามารถดื่มน้ำทดแทนได้เพียงพอก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น เว้นแต่จะไม่สะดวก หรือเกิดความรำคาญบ้างที่ต้องดื่มน้ำและปัสสาวะบ่อยๆ ด้วยเหตุที่สิ่งที่คนไข้เสียไปในปัสสาวะนั้น คือ น้ำแท้ๆ เลย ไม่ได้มีเกลือแร่ และน้ำตาลติดออกมาเหมือนโรคเบาหวาน ฉะนั้น จึงควรทดแทนสิ่งที่เสียไปนั้นด้วยน้ำสะอาดบริสุทธิ์ การรักษาโรคนี้ในคนไข้เบาจืดที่ปัสสาวะไม่บ่อยมาก ประมาณวันละ 2-3 ลิตร ควรทำแค่เพียงดื่มน้ำทดแทนก็พอ คือ ไม่ต้องใช้ยาเลย แต่ถ้าคนไข้มีอาการรุนแรง กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยมาก กรณีนี้จำเป็นจะต้องใช้ยาช่วย และการปฏิบัติตัวที่สำคัญที่สุดของคนไข้โรคนี้ ก็คือ 1 คนไข้จำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ และถ้าเมื่อใดก็ตามที่ไปอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด ร่างกายต้องสูญเสียน้ำไปทางผิวหนังมาก หรือการที่คนไข้มีอาการท้องเดิน ท้องเสีย ต้องพยายามทดแทนโดยการดื่มน้ำเปล่าให้มากพอ คำว่า มากพอ ในที่นี้หมายถึง ดื่มจนหายกระหายน้ำ หรืออาจจะให้แพทย์แนะนำว่า ในคนไข้แต่ละราย ควรดื่มน้ำมากขนาดไหนจึงจะพอ 2 อาหาร
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_16518
Medical
ถ้าการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ยาฆ่าแมลงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในเด็กจริง รัฐจะต้องทำอย่างไร
คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็งตอน ยาฆ่าแมลงที่ใช้ในบ้านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งในเด็ก คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็งตอน ยาฆ่าแมลงที่ใช้ในบ้านอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งในเด็ก ผลการศึกษาพบว่า เด็กที่ในบ้านใช้ยาฆ่าแมลง มีปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสูงกว่าเด็กที่ในบ้านไม่ใช้ยาฆ่าแมลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าการใช้ยาฆ่าแมลงนอกบ้าน ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งทั้ง2 ชนิดนี้ นอกจากนั้น ยังพบว่า เด็กที่ในบ้านใช้ยาฆ่าแมลง มีปัจจัยเสี่ยงเกิดเนื้องอกสมองสูงกว่าเด็กที่ในบ้านไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง แต่การเพิ่มขึ้นกรณีโรคนี้ ยังไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาขั้นต้นที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ประชากรในการศึกษาเพิ่มเติมในปริมาณที่มากพอที่จะช่วยยืนยันผลการศึกษา ว่า การใช้ยาฆ่าแมลงในบ้านเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในเด็กจริง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นการศึกษาในเบื้องต้น แต่ครอบครัวควรตระหนัก และควรต้องพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงภายในบ้าน และนักวิทยาศาสตร์ควรต้องศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ยาฆ่าแมลงชนิดที่ไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดพบบ่อยทั้งในเด็กและในคนทั่วไป และถ้าการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า ยาฆ่าแมลงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในเด็กจริง รัฐก็สมควรที่จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนทราบ และให้มีคำเตือนในเรื่องนี้อย่างชัดเจนที่ระบุในบรรจุภัณฑ์ทุกชนิดของยาฆ่าแมลง
รัฐควรที่จะต้องรณรงค์ให้ประชาชนทราบ และให้มีคำเตือนในเรื่องนี้อย่างชัดเจนที่ระบุในบรรจุภัณฑ์ทุกชนิดของยาฆ่าแมลง
สาธารณสุข (public health),กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24202
Medical
สมุนไพรที่ใช้ในตำรับยาลูกประคบควรเป็นยาสด หรือ ยาแห้ง
null
ยาสด สมุนไพรที่ใช้ตามตำรับยาลูกประคบควรเป็นยาสด เพราะจะมีสรรพคุณดีกว่ายาแห้ง โดยใช้สมุนไพร เช่น หัวไพร ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ตะไคร้ ผิวมะกรูด เป็นต้น ซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยเป็น สาระสำคัญในการออกฤทธิ์ ถ้าเป็นยาแห้งน้ำมันหอมระเหยจะระเหยออกไปมากแล้วจะมีผลในการรักษาได้น้อย สมุนไพรที่ใช้ในตำรับยาลูกประคบอาจแตกต่างกันไปโดยทั่วๆไปตัวยาหลักจะคล้ายๆกัน ซึ่งมีตัวยาที่สำคัญ คือ หัวไพร ผลของการรักษาด้วยการประคบสมุนไพรเกิดจากผลของความร้อนที่ได้จากการประคบ และผลจากการที่ตัวยาสมุนไพรซึมผ่านชั้นผิวหนัง เข้าสู่ร่างกาย ตัวยาสมุนไพรส่วนใหญ่มีตัวยาที่มีสรรพคุณในการแก้เคล็ดขัดยอกฟกช้ำ ทำให้เส้นเอ็นหย่อน ซึ่งเมื่อผสานกับความร้อนจากลูกประคบแล้วก็เท่ากับเป็นการเสริมฤทธิ์ ในการรักษาซึ่งกันและกันผลของความร้อนจากการประคบที่มีต่อการรักษานั้น มีดังต่อไปนี้ คือ 1 ช่วยทำให้เนื้อเยื่อพังผืดยืดตัวออก 2 ลดการติดขัดของข้อต่อ 3 ลดการเกร็งตัวของ กล้ามเนื้อ 4 ลดปวด 5 ช่วยลดอาการบวมที่เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อหลัง 24-48 ชั่วโมง 6 ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งการประคบสมุนไพรเป็นวิธีการ บำบัดรักษาของการแพทย์แผนไทยอีกวิธีหนึ่ง สามารถนำไปใช้ควบคู่กับการนวดไทย โดยมากมักใช้วิธีการประคบสมุนไพรหลังจากทำการนวดเสร็จเรียบร้อย
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_21794
Medical
เส้นเลือดแดงคืออะไร
หัวใจของเรา ผู้ที่สนใจจะรักษาตนเองเบื้องต้น ในยามเจ็บป่วย ก่อนอื่นก็ควรจะรู้จักตัวเองในยามไม่เจ็บป่วยเสียก่อน คอลัมน์ ร่างกายของเรา จะมาคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องความเป็นไปในร่างกายของตัวเราเองในยามปกติหรือเรียกให้หรูอีกนิดคือ ว่าด้วยวิชากายวิภาคสรีรวิทยาระดับชาวบ้าน ซึ่งเราจะเล่าสู่กันฟังเป็นตอนๆ ไป ใครๆ ก็รู้ว่า หัวใจ ทำหน้าที่ฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ใครๆ ก็รู้ว่าหัวใจเป็นอวัยวะที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งของร่างกาย ทั้งนี้เป็นเพราะเซลล์ร่างกายทุกเซลล์ล้วนต่างต้องพึ่งพาหัวใจให้ช่วยฉีดเลือดที่มีอาหารและออกซิเจนไปให้ใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการทำงานหัวใจหยุดเต้นเมื่อใด เซลล์ในร่างกายของเราก็ทำงานไม่ได้เมื่อนั้น การทำงานของหัวใจคือการเต้น ถ้าคุณต้องการฟังการทำงานของหัวใจก็ลองแนบหูกับอกข้างซ้ายของคนอื่นยิ่งเป็นเด็กคุณจะได้ยินเสียหัวใจเต้นชัดทีเดียวเพราะผนังหน้าอกเด็กบาง หัวใจจะเต้นเป็น 2 จังหวะ คือ ตุ๊บ-ตุบ แต่ละ ตุ๊บ-ตุบ นับเป็นการเต้นของหัวใจ 1 ครั้ง สำหรับผู้ใหญ่หัวใจจะเต้นประมาณ 72 ครั้ง ต่อนาที ของเด็กเต้นเร็วกว่าคือ 80-90 ครั้งต่อนาที เด็กยิ่งเล็กหัวใจยิ่งเต้นเร็ว เด็กแรกเกิดหัวใจเต้นถึง 140 ครั้งต่อนาที เด็กโตขึ้นหัวใจจะเต้นช้าลง หัวใจเป็นก้อนเนื้อที่ภายในกลวง รูปร่างเป็นดอกบัวตูมที่ปลายคว่ำลง หนัก 225-350 กรัม ผู้หญิงจะมีหัวใจเล็กกว่า ขนาดของหัวใจนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของตัวเจ้าของ หัวใจปกติมีขนาดเท่ากับกำปั้นข้างซ้ายของเรา ตำแหน่งของหัวใจโดยทั่วไปอยู่ทางซ้ายของทรวงอก หายากที่ใครจะมีหัวใจอยู่ทางด้านขวา หัวใจมีผนังกั้นแบ่งหัวใจออกเป็น 2 ซีก คือ ซีกซ้ายกับซีกขวา แต่ละซีกยังถูกกันออกเป็นห้องข้างบนและห้องข้างล่าง หัวใจห้องบนรับเลือดจากเส้นเลือดดำ ส่วนหัวใจห้องล่างทำหน้าที่บีบตัวไล่เลือดออกไปจากหัวใจ หัวใจห้องบนติดต่อกับหัวใจห้องล่างในข้างเดียวกัน รูที่ติดต่อกันมีลิ้นปิด-เปิด ลิ้นของหัวใจเป็นแผ่นเนื้อเยื่อบางแต่เหนี่ยว และแข็งแรง ลิ้นหัวใจระหว่างบนขวากับห้องล่างขวาเป็นล้นที่มี 3 แฉก ลิ้นที่กั้นระหว่าห้องบนซ้ายกับห้องล่างซ้ายเป็นลิ้นที่มี 2 แฉก ทำหน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลทะลักขึ้นไปห้องบนเวลาหัวใจห้องล่างบีบตัว ส่วนลิ้นหัวใจที่อยู่เส้นเลือดแดงเอโอต้ากับเส้นเลือดไปยังปอดทำหน้าที่กั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ หัวใจเป็นศูนย์บัญชาการของระบบไหลเวียนโลหิต เลือดจากร่างกายไหลเข้าหัวใจทางด้านขวา เลือดทีมีออกซิเจนจะถูกฉีดออกไปทางด้านซ้ายของเสียจากการใช้ของร่างกาย-คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกำจัดออกไปทางปอด ดังนั้นระบบการไหลเวียนจึงต้องมี 2 วงจร วงจรแรกเป็นวงจรที่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อนำอาหารและออกซิเจนไปให้เซลล์ต่างๆ ใช้ ส่วนอีกวงจรหนึ่งเป็นวงจรที่ไปยังปอดโดยเฉพาะเพื่อนำเอาของเสียไปกำจัดทิ้งแล้วเปลี่ยนขนเอาออกซิเจนกลับเข้าหัวใจ หัวใจห้องล่างขวามีกล้ามเนื้อหนาภายในห้องหัวใจมีติ่งเนื้อเล็กๆ บางอันมีเอ็นยึดต่อไปติดกับลิ้นหัวใจทำหน้าที่ปิดเปิดลิ้น หัวใจห้องล่างขวามีลักษณะคล้ายท่อที่บิดเบี้ยว ทางหนึ่งเปิดรับเลือดจากหัวหัวใจห้องบน อีกด้านหนึ่งต่อกับเส้นเลือดที่ไปยังปอด เส้นเลือดที่ไปยังปอดแบ่งออกเป็น 2 แขนงใหญ่เพื่อแยกนำเลือดไปยังปอดทั้งสองข้าง ในเนื้อปอดเส้นเลือดจะแตกกิ่งก้านออกเป็นสาขาคล้ายต้นไม่ข่ายของเส้นเลือดไปสุดอยู่ที่ถุงลมปอด เมื่อเลือดถ่ายเทเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออก รับเอาออกซิเจนแล้วก็จะไหลเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายทางเส้นเลือดดำ ถึงต้อนนี้คุณอาจจะสับสนกับคำว่าเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ คำว่าแดงกับดำ อาจจะเป็นคำที่ใช้เรียกอย่างง่ายๆ แต่แท้จริงแล้ว เส้นเลือดแดงเป็นเส้นเลือดที่มีผนังหนาและเป็นเส้นเลือดที่นำเลือดออกไปจากหัวใจ เส้นเลือดดำเป็นเส้นเลือดที่มีผนังบางและนำเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ โดยทั่วไปแล้วเส้นเลือดแดงจะมีเลือดที่มีออกซิเจนและเส้นเลือดดำมีเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์แต่สำหรับวงจรการไหลเวียนโลหิตที่ไปยังปอดจะกลับกับที่กล่าวมาข้างต้นคือ เส้นเลือดแดงเป็นเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ เส้นเลือดดำมีเลือดที่มีออกซิเจน เลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจทางห้องบนซ้ายแล้วถ่ายเทผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างซ้าย หัวใจห้องล่างซ้าย มีผนังหนาที่สุด ภายในก็มีติ่งยื่นไปติดกับลิ้นหัวใจ เหมือนห้องกล่าวขวา ผนังของหัวใจห้องล่างซ้ายนี้เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากและหนากว่าห้องทางขวาถึง 3 เท่า เอาไว้ทำหน้าที่ฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เลือดออกจากหัวใจไปทางเส้นเลือดแดงที่ใหญ่ที่สุด ที่เรียกว่าเอโอต้า มาถึงตอนนี้ คุณอาจจะลืมหมดแล้วว่าเลือดมันไหลเข้า ออกอย่างไร จะสรุปให้อีกครั้งว่า เลือดจากร่างกายเข้าหัวใจทางหัวใจห้องบนขวา – ผ่านเข้าห้องล่างขวา – ถูกส่งไปยังปอด – มีการแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนที่ถุงลมปอด – เลือดกลับเข้าหัวใจทางห้องบนซ้าย – ไหลลงห้องล่างซ้าย – ถูกฉีดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทีนี้มาถึงปัญหาที่ว่าหัวใจเต้นได้อย่างไร จริงๆ แล้วความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรเป็นเหตุทำให้หัวใจเต้น แต่เรารู้ว่ามีกระแสฟ้าที่ส่งผ่านในกล้ามเนื้อหัวใจ แหล่งกำเนิดของกระแสดังกล่าวอยู่ที่กลุ่มของเนื้อเยื่อที่เรียกว่า ปมไซโนเอเทรียล ซึ่งอยู่ในส่วนบนของหัวใจห้องบนขวา กระแสที่ออกจากปมดังกล่าวเป็นกระแสที่สามารถไปกระตุ้นให้เกิดการส่งผ่านของกระแสไฟฟ้าไปทั่วหัวใจห้องบนซ้ายขวา ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจส่วนนั้นหดตัว กระแสกระตุ้นอีกส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังปมที่สองที่เรียกว่า เอทรีโอ-เวนตริคูล่า ที่อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างทั้งสอบตอนบน กระแสจากนี้จะผ่านไปยังกล้ามเนื้อหัวใจทำให้หัวใจห้องล่างหดตัวบีบเลือดให้ฉีดออกจากหัวใจ การเต้นของหัวใจไม่ได้เกิดเพราะการสั่งงานาของเส้นประสาท แต่ว่าเสร้นประสาทก็มีส่วนควบคุมการเต้นของหัวใจ คือ เส้นประสาทมองเส้นเป็นวง ปมผลิตกระแสสั่งงานที่อยู่ที่ประสาทของระบบประสาทอัตโนมัติเส้นประสาทเส้นที่ 10 ทำหน้าที่เหมือนเบรกรถยนต์คือ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และลดความแรงของการบีบตัว เส้นประสาทเส้นที่ 11 ทำหน้าที่ตรงกันข้ามคือ เป็นคันเร่งโดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น และเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ กระแสไฟฟ้าในหัวใจดังกล่าวผ่านถึงกล้ามเนื้อหัวใจห้องบนล่างในเวลาที่พอดีทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อในหัวใจห้องบนเกิดขึ้นก่อน พอเลือดจากห้องบนไหลลงสู่ห้องล่างเต็มก็เป็นเวลาพอดีที่หัวใจห้องล่างได้รับกระแสสั่งงานให้กล้ามเนื้อหดตัวบีบไล่เลือดออกไป การบีบตัวของหัวใจห้องบนและล่างจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปอย่างเป็นระเบียบ หัวใจทำงานตลอดเวลาและต้องการเชื้อเพลิงในการทำงานมาก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจจึงเป็นระบบเล็กๆ ที่สำคัญมาก เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจแตกแขนงออกจากเส้นเลือดแดงใหญ่เอโอต้า ในระดับเหนือลิ้นปิดเพียงชนิดเดียว เส้นเลือดเลี้ยงหัวใจมี 2 เส้น แยกไปเลี้ยงหัวใจซีกซ้ายและซีกขวาแล้วอ้อมไปเชื่อมเส้นประสาทเส้นที 10 ทำหน้าที่หัวใจซีกซ้ายและซีกขวาแล้วอ้อมไปเชื่อมเส้นประสาทเส้นที่ 10 ทำหน้าที่หัวใจห้องบนขวาได้รับอาหารจากเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจโดยตรง ดังนั้นหากเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจผิดปกติ ปมไซโน-เอ-เทรียลก็จะถูกกระทบกระเทือนทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไป วันหนึ่งๆ หัวใจเต้นประมาณ 12000 ครั้ง ไม่ว่าคุณจะหลับหรือตื่นหัวใจจะทำงานฉีดเลือดไปทั่วร่างกายกว่า 3000 รอบ จะเห็นได้ว่าหัวใจของคุณทำงานหนักมาก และคุณคงไม่ลืมว่าหัวใจของคุณคือกล้ามเนื้อ เราต้องออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อให้ร่างกายแข็งแรงฉันใด ถ้าต้องการให้หัวใจแข็งแรง เราก็ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากนั่งอยู่เฉย ๆ ทั้งวันหัวใจก็จะอ่อนแอ ถ้าคุณอ้วนมากเพราะกินจุ ร่างกายเต็มไปด้วยไขมันพอกอยู่เป็นจำนวนมาก การทำงานของหัวใจก็จะอืดอาดเหมือนเวลาทีคนอ้วนเดิน ขณะที่คุณวิ่งหรือออกกำลังกายหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นแรงขึ้นเพื่อฉีดเลือดให้ได้มากกว่า และในอัตราที่เร็วกว่าปกติ ถ้าคุณวิ่งเป็นเวลานานๆ คุณจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นอยู่ในอกของคุณ ถ้าฝึกบ่อยๆ แบบนี้หัวใจคุณก็จะแข็งแรงกรณีที่คุณตกใจหรือกลัวหัวใจก็จะเต้นเร็วขึ้นตามคำสั่งของประสาทอัตโนมัติคือเส้นประสาทสมองเส้นที่ 11 แต่สักครู่การเต้นก็จะเป็นปกติเมื่อเรื่องราวที่ตื่นเต้นผ่านไปแล้ว ตรงข้ามกับเวลาที่คุณหลับหัวใจจะเต้นช้าลงเล็กน้อยเท่ากับเป็นการพักของหัวใจ เพื่อที่จะทำให้หัวใจแข็งแรงควรปฏิบัติดังนี้ 1 วิ่งหรืออกกำลังกายสม่ำเสมอ 2 ไม่กินอิ่มจนเกินไปเพราะจะทำให้อ้วน 3 เมื่อเจ็บไข้ อย่าฝืนทำงานจงพักตามที่หมอสั่งให้พัก 4 ไม่ควรทำงานหนัก หักโหมจนเหนื่อยเกินไป 5 กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและกินให้ถูกส่วน 6 พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง ถ้าเป็นเด็กวันละ 8-10 ชั่วโมง ​
เป็นเส้นเลือดที่มีผนังหนาและเป็นเส้นเลือดที่นำเลือดออกไปจากหัวใจ เส้นเลือดดำเป็นเส้นเลือดที่มีผนังบางและนำเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ โดยทั่วไปแล้วเส้นเลือดแดงจะมีเลือดที่มีออกซิเจนและเส้นเลือดดำมีเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์แต่สำหรับวงจรการไหลเวียนโลหิตที่ไปยังปอดจะกลับกับที่กล่าวมาข้างต้นคือ เส้นเลือดแดงเป็นเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ เส้นเลือดดำมีเลือดที่มีออกซิเจน เลือดจากปอดเข้าสู่หัวใจทางห้องบนซ้ายแล้วถ่ายเทผ่านลิ้นหัวใจลงสู่ห้องล่างซ้าย หัวใจห้องล่างซ้าย มีผนังหนาที่สุด ภายในก็มีติ่งยื่นไปติดกับลิ้นหัวใจ เหมือนห้องกล่าวขวา ผนังของหัวใจห้องล่างซ้ายนี้เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากและหนากว่าห้องทางขวาถึง 3 เท่า เอาไว้ทำหน้าที่ฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เลือดออกจากหัวใจไปทางเส้นเลือดแดงที่ใหญ่ที่สุด ที่เรียกว่าเอโอต้า มาถึงตอนนี้ คุณอาจจะลืมหมดแล้วว่าเลือดมันไหลเข้า ออกอย่างไร จะสรุปให้อีกครั้งว่า เลือดจากร่างกายเข้าหัวใจทางหัวใจห้องบนขวา – ผ่านเข้าห้องล่างขวา – ถูกส่งไปยังปอด – มีการแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนที่ถุงลมปอด – เลือดกลับเข้าหัวใจทางห้องบนซ้าย – ไหลลงห้องล่างซ้าย – ถูกฉีดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
Anatomy
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20977
Medical
จงสรุปบทความเรื่อง "การบริหารสมอง" ให้หน่อยค่ะ
การบริหารสมองBrain Activation การบริหารสมอง brain activation หมายถึง การบริหารร่างกายในส่วนที่สมองควบคุมโดยเฉพาะกล้ามเนื้อ corpus callosum ซึ่งเชื่อมสมอง ๒ ซีกเข้าด้วยกันให้ประสานกัน แข็งแรงและทำงานคล่องแคล่ว จะทำให้การถ่ายโยงข้อมูลและการเรียนรู้ของสมอง ๒ ซีกเป็นไปอย่างสมดุลเกิดประสิทธิภาพ และยังช่วยให้เกิดการผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้สภาพจิตใจเกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้ เกิดความจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีอารมณ์ขันเพราะคลื่นสมอง brain wave จะลดความเร็วลง คลื่นบีตา beta เป็นแอลฟา alpha ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑ การบริหารปุ่มสมอง ปุ่มขมับ ปุ่มใบหู ►ปุ่มสมอง ใช้มือซ้ายวางบริเวณใต้กระดูกคอและซี่โครงของกระดูกอก หรือที่เรียกว่าไหปลาร้า จะมีหลุมตื้นๆ บนผิวหนัง ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คลำหาร่องหลุมตื้นๆ ๒ ช่องนี้ซึ่งห่างกันประมาณ ๑ นิ้ว หรือมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของแต่ละคนที่มีขนาดไม่เท่ากัน ให้นวดบริเวณนี้ประมาณ ๓๐ วินาที และให้นำมือขวาวางไปที่ตำแหน่งสะดือ ขณะที่นวดปุ่มสมองก็ให้กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย และจากพื้นขึ้นเพดาน จากนั้นให้เปลี่ยนมือด้านขวาทำเช่นเดียวกัน ประโยชน์ของการบริหารปุ่มสมอง ♦ เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้ดีขึ้น ♦ ช่วยสร้างให้ระบบการสื่อสารระหว่างสมอง ๒ ซีกที่เกี่ยวกับการพูด การอ่าน การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ►ปุ่มขมับ ๑ ใช้นิ้วทั้ง ๒ ข้างนวดขมับเบาๆ วนเป็นวงกลม ประมาณ ๓๐ วินาที ถึง ๑ นาที ๒ กวาดตามองจากซ้ายไปขวา และจากพื้นมองขึ้นไปที่เพดาน ประโยชน์ของการนวดปุ่มขมับ ♦ เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการมองเห็นให้ทำงานดีขึ้น ♦ ทำให้การทำงานของสมองทั้ง ๒ ซีกสมดุลกัน ► ปุ่มใบหู ๑ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับที่ส่วนบนสุดด้านนอกของใบหูทั้ง ๒ ข้าง ๒ นวดตามริมขอบนอกของใบหูทั้ง ๒ ข้างพร้อมๆ กัน ให้นวดไล่ลงมาจนถึงติ่งหูเบาๆ ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ควรทำท่านี้ก่อนอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มความจำและมีสมาธิมากขึ้น ประโยชน์ของการกระตุ้นปุ่มใบหู ♦ เพื่อกระตุ้นหลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการได้ยินและความจำระยะสั้นให้ดีขึ้น ♦ สามารถเพิ่มการรับฟังที่เป็นจังหวะได้ดีขึ้น ๒ การเคลื่อนไหวสลับข้าง cross crawl ท่าที่ ๑ นับ ๑-๑๐ ๑ ยกมือทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ มือขวา ชูนิ้วชี้ตั้งขึ้น นับ ๑ มือซ้าย ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขนานกับพื้น ๓ นับ ๒ ให้เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายชู ๒ นิ้ว คือ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง ส่วนมือขวาก็ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๔ นับ ๓ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ๓ นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง มือซ้ายก็ให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๕ นับ ๔ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย ๔ นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๖ นับ ๕ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ๕ นิ้ว คือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๗ นับ ๖ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วก้อย ส่วนมือขวาให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๘ นับ ๗ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วนาง ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๙ นับ ๘ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มือ คือแตะที่นิ้วกลาง ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๑๐ นับ ๙ ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วชี้ ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ๑๑ นับ ๑๐ ให้เปลี่ยนมาเป็นกำมือซ้าย ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น ประโยชน์ของการบริหารท่านับ ๑-๑๐ ♦ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อก ♦ เพื่อกระตุ้นสมองที่มีการสั่งการให้เกิดความสมดุลทั้งซ้าย-ขวา ♦ เพื่อกระตุ้นความจำ ท่าที่ ๒ จีบ L ๑ ยกมือทั้ง ๒ ข้างขึ้นมา ให้มือขวาทำท่าจีบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือประกบกับนิ้วชี้ ส่วนนิ้วอื่นๆ ให้เหยียดออกไป ๒ มือซ้ายให้ทำเป็นรูปตัวแอล L โดยให้กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออกไป ส่วนนิ้วที่เหลือให้กำเอาไว้ ๓ เปลี่ยนเป็นจีบด้วยมือซ้ายบ้าง ทำเช่นเดียวกับข้อ ๑ ส่วนมือขวาก็ทำเป็นรูปตัวแอล L เช่นเดียวกับข้อ ๒ ๔ ให้ทำสลับกันไปมา ๑๐ ครั้ง ประโยชน์ของการบริหารท่าจีบซ้าย-ขวา ♦ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน เพื่อไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อก ♦ เพื่อกระตุ้นสมองเกี่ยวกับการสั่งการให้สมดุล มีการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ♦ เพื่อกระตุ้นการทำงานความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ท่าที่ ๓ โป้ง-ก้อย ๑ ยกมือทั้ง ๒ ข้างขึ้นมาให้มือขวาทำท่าโป้ง โดยกำมือและยกหัวแม่มือขึ้นมา ส่วนมือซ้ายให้ทำท่าก้อย โดยกำมือและเหยียดนิ้วก้อยชี้ออกมา ๒ เปลี่ยนมาเป็นโป้งด้วยมือซ้ายและก้อยด้วยมือขวา ๓ ให้ทำสลับกันไปมา ๑๐ ครั้ง ท่าที่ ๔ แตะจมูก-แตะหู ๑ มือขวาไปแตะที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายให้ไปแตะที่จมูก ลักษณะมือไขว้กัน ๒ เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายแตะที่หูขวา ส่วนมือขวาไปแตะที่จมูก ลักษณะมือไขว้กัน ประโยชน์ของการบริหารท่าแตะจมูก-แตะหู ♦ ช่วยให้มองเห็นภาพทางด้านซ้ายและขวาดีขึ้น ท่าที่ ๕ แตะหู ๑ มือขวาอ้อมไปที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวา ๒ เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวา ส่วนมือขวาอ้อมไปจับหูซ้าย ประโยชน์ของการบริหารท่าโป้ง-ก้อย แตะจมูก-แตะหู ♦ เพื่อกระตุ้นการสั่งการของสมองให้สมดุลทั้งซีกซ้ายและซีกขวา ♦ เพื่อกระตุ้นสมองส่วนการคิดคำนวณกะระยะ ♦ เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหัวไหล่เกิดการติดยึด ๓ การผ่อนคลาย ยืนใช้มือทั้ง ๒ ข้างประกบกันในลักษณะพนมมือเป็นรูปดอกบัวตูม โดยให้นิ้วทุกนิ้วสัมผัสกันเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้า-ออก ทำท่านี้ประมาณ ๕-๑๐ นาที ประโยชน์ของการบริหารท่าผ่อนคลาย ♦ ทำให้เกิดสมาธิ เป็นการเจริญสติ
การบริหารสมอง หมายถึง การบริหารร่างกายในส่วนที่สมองควบคุมโดยเฉพาะกล้ามเนื้อ corpus callosum ซึ่งเชื่อมสมอง ๒ ซีกเข้าด้วยกันให้แข็งแรงและทำงานคล่องแคล่ว ทำให้การถ่ายโยงข้อมูลและการเรียนรู้ของสมองเป็นไปอย่างสมดุล เกิดประสิทธิภาพ และช่วยให้เกิดการผ่อนคลายความเครียด ทำให้สภาพจิตใจพร้อมที่จะเรียนรู้ เกิดความจำ มีอารมณ์ขันเพราะคลื่นสมองลดความเร็วลง 1. การบริหารปุ่มสมอง ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้ดีขึ้น ช่วยให้ระบบการสื่อสารที่เกี่ยวกับการพูด การอ่าน การเขียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. การบริหารปุ่มขมับ ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการมองเห็นให้ทำงานดีขึ้น การทำงานของสมอง ๒ ซีกสมดุลกัน 3. การบริหารปุ่มใบหู ช่วยกระตุ้นหลอดเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงสมองส่วนการได้ยินและความจำระยะสั้นให้ดีขึ้น เพิ่มการรับฟังที่เป็นจังหวะได้ดีขึ้น 4. การเคลื่อนไหวสลับข้าง นับ ๑-๑๐ ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน ไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อก กระตุ้นสมองที่สั่งการให้เกิดความสมดุลทั้งซ้าย-ขวา กระตุ้นความจำ 5. การเคลื่อนไหวสลับข้าง ท่าจีบ L ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อมือให้ประสานกัน ไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อก กระตุ้นสมองเกี่ยวกับการสั่งการให้สมดุล เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว กระตุ้นการทำงานระหว่างมือกับตา 6. การเคลื่อนไหวสลับข้าง ท่าโป้ง-ก้อย ช่วยให้มองเห็นภาพทางด้านซ้ายและขวาดีขึ้น กระตุ้นการสั่งการของสมองให้สมดุล กระตุ้นสมองส่วนการคิดคำนวณ ป้องกันกล้ามเนื้อหัวไหล่ยึด
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_10632
Medical
น้ำตา คืออะไร
null
น้ำตา คือ ของเหลวหรือสารคัดหลั่งที่สร้างจากต่อมน้ำตา มีลักษณะเป็นแผ่นน้ำตา/ฟิล์มน้ำตา (Tear film) โดยฟิล์มน้ำตาที่ฉาบผิวลูกตามีอยู่ 3 ชั้น คือ 1. ชั้นไขมัน (Lipid layer) เป็นแผ่นน้ำตาชั้นนอกสุด ที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก โดยสร้างจากต่อมน้ำตาขนาดจิ๋วที่อยู่ที่ขอบหนังตาชื่อ ต่อม Meibomian gland ที่อยู่ในหนังตา ซึ่งแผ่นน้ำตาชั้นนี้ อยู่ผิวหน้าสุดของฟิล์มน้ำตา มีหน้าที่ - ป้องกันการระเหยของน้ำตา เนื่องจากอยู่ผิวหน้าสุด จึงสัมผัสกับอากาศ - นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่ในการหักเหแสงช่วยการมองเห็น - และมีแรงตึงผิว (Surface tension, แรงดึงดูดระหว่างของเหลว) ช่วยทำให้น้ำตาทั้งหมดฉาบทั่วผิวด้านหน้าลูกตา - และยังช่วยปกป้องชั้นผิวหนังบริเวณขอบหนังตา โดยกันน้ำตาชั้นอื่นๆไม่ให้สัมผัสเปียกผิวหนังส่วนนี้โดยตรง 2. ชั้นสารน้ำ (Aqueous layer) เป็นแผ่นน้ำตาชั้นที่ 2 สร้างจากต่อมน้ำตาเสริม (Accessory lacrimal gland, ต่อมน้ำตาขนาดจิ๋วที่อยู่ที่เยื่อบุตา) และจากต่อมน้ำตาประธาน (Main lacrimal gland, ต่อมน้ำตาขนาดใหญ่ที่อยู่ในเบ้าตาด้านบนสุดทางด้านหางตา ซึ่งเป็นต่อมหลักในการสร้างน้ำตา) น้ำตาชั้นนี้ มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก และยังประกอบด้วย เกลือแร่ (Electrolyte), โปรตีน, รวมไปถึงสารภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immunoglobulin) และเอนไซม์ (Enzyme) ต่างๆ ที่ฆ่าเชื้อโรคได้ เช่น Lysozyme หน้าที่ของน้ำตาชั้นนี้ คือ ให้ออกซิเจนแก่กระจกตา, ปรับระดับเกลือแร่ในน้ำตาให้เหมาะสม ไม่ให้น้ำตาก่อการระคายเคืองต่อลูกตา, ชะล้างสิ่งสกปรกและขี้ตา, ฆ่าเชื้อโรคด้วยเอนไซม์ และสารภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่างๆที่มีอยู่ และช่วยปรับผิวตาดำให้เรียบเมื่อตาดำมีแผลขรุขระเล็กน้อย ซึ่งช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้น 3. ชั้นเมือก (Mucous layer) ซึ่งสร้างจากเซลล์สร้างน้ำตาชื่อ Goblet cell ของหนังตา ซึ่งน้ำตาชั้นนี้เป็นแผ่นน้ำตาชั้นในสุด เป็นชั้นที่แนบติดกับเซลล์ผิวของเยื่อบุตาและของกระจกตา โดยมีส่วนประกอบเป็นสารหลายชนิด เช่น Mucin (เมือก), โปรตีน และเกลือแร่ โดยแผ่นน้ำตาชั้นนี้มีหน้าที่ - สารเมือก ทำให้เซลล์ผิวกระจกตาซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Hydrophobic (ตัวผลักน้ำออก) กลายเป็น Hydrophilic (ตัวจับน้ำไว้) จึงจับน้ำตาชั้นสารน้ำได้ดี หากไม่มีน้ำตาชั้นนี้ เซลล์ผิวกระจกตาจะไม่เรียบ ซึ่งทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด - หล่อลื่นผิวด้านหน้าลูกตาทั้งหมด - ร่วมกับน้ำตาชั้นไขมัน ช่วยเพิ่มแรงตึงผิวของน้ำตา จึงช่วยยึดชั้นต่างๆ ของน้ำตาให้อยู่กันอย่างมั่นคง (Stabilize tear film) - จับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรคไว้ เป็นการป้องกันลูกตาติดเชื้อ
Anatomy
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40149
Finance
กลยุทธ์อะไรบ้างที่สามารถช่วยให้มนุษย์เงินเดือนจัดการกับปัญหา "รายจ่ายไม่เพียงพอ" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
null
กลยุทธ์ที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนจัดการกับปัญหา "รายจ่ายไม่เพียงพอ" มีดังนี้ 1. วางแผนการเงินอย่างรัดกุม: - จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียด: แบ่งเป็นหมวดหมู่ แยกประเภทของค่าใช้จ่าย วิเคราะห์ว่ารายจ่ายใดจำเป็น รายจ่ายใดฟุ่มเฟือย - ตั้งงบประมาณสำหรับแต่ละหมวดหมู่: กำหนดจำนวนเงินที่ใช้จ่ายในแต่ละหมวดหมู่ ควบคุมไม่ให้เกินงบ - ออมเงินก่อนใช้: แบ่งเงินออมส่วนหนึ่งออกจากเงินเดือนทันทีหลังได้รับ โดยไม่ต้องรอให้เหลือจากค่าใช้จ่าย - หารายได้เสริม: เพิ่มช่องทางหารายได้เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มเงินออม 2. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย: - ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น: ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น กาแฟแก้วละร้อย ทานอาหารนอกบ้าน บริการสตรีมมิ่งที่ไม่ได้ใช้งาน - เปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ: หาราคาที่คุ้มค่า เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เหมาะสม - เลือกใช้สินค้าทดแทน: มองหาสินค้าทางเลือกที่ราคาถูกกว่า ของแบรนด์รอง หรือสินค้ามือสอง - ซ่อมแซมแทนการซื้อใหม่: ประหยัดเงินโดยการซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดแทนการซื้อใหม่ 3. หาแหล่งเงินทุนสำรอง: - วางแผนออมเงินฉุกเฉิน: ตั้งเป้าหมายออมเงินสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน - หาเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ: พิจารณากู้เงินจากแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยต่ำ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจำเป็น หาบัตรเครดิตที่มีโปรโมชั่นผ่อน 0%: เลือกบัตรเครดิตที่เสนอโปรโมชั่นผ่อน 0% สำหรับสินค้าจำเป็น 4. พัฒนาความรู้ด้านการเงิน: - ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการเงิน: เรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงิน การออม การลงทุน - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน: หาคำแนะนำจากนักวางแผนการเงินมืออาชีพ 5. หารายได้เพิ่มเติม: - หางานเสริม: หางานพิเศษในเวลาว่าง เพิ่มช่องทางหารายได้ - ลงทุน: ศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ กลยุทธ์เหล่านี้ จะช่วยให้มนุษย์เงินเดือนสามารถจัดการกับปัญหา "รายจ่ายไม่เพียงพอ" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น - ฝึกนิสัยอดออม: ฝึกฝนการอดออม รู้จักรอคอยก่อนซื้อของที่ต้องการ - หาแรงบันดาลใจ: หาตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการจัดการการเงิน - ตั้งเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_27199
Medical
ผู้หญิงที่ให้นมบุตร สามารถใช้ยาฝังคุมกำเนิดได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ฮอร์โมน: ยาฝังคุมกำเนิดมีฮอร์โมนชนิดโปรเจสติน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาและเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนภายในร่างกาย 2. กลไกการคุมกำเนิด: ฮอร์โมนโปรเจสติน - จะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ - ส่งผลทำให้ไม่มีการตกของไข่ - จึงทำให้ป้องกันการตั้งครรภ์ 3. ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงบางอย่างของยาฝังคุมกำเนิดเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น - ประจำเดือนมาไม่ปกติ - น้ำหนักตัวขึ้น - สิวขึ้น - ปวดศีรษะ - เจ็บเต้านม และ - อารมณ์แปรปรวน 4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน: - ระดับฮอร์โมนโปรเจสติน: เพิ่มสูงขึ้น - ส่งผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย 5. ผลต่อระบบสืบพันธุ์: - ยับยั้งการตกไข่ - ป้องกันการตั้งครรภ์ - ลดอาการปวดประจำเดือน - ลดภาวะประจำเดือนมามาก 6. ผลต่อระบบอื่นๆ: - อาจมีผลต่อระบบเผาผลาญ - น้ำหนักตัวขึ้น - อาจมีผลต่อระบบผิวหนัง สิวขึ้น - อาจมีผลต่อระบบประสาท ปวดศีรษะ - อารมณ์แปรปรวน ข้อควรระวัง: 1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาฝังคุมกำเนิด 2. ผลข้างเคียง: แจ้งแพทย์หากมีผลข้างเคียง สรุป: ยาฝังคุมกำเนิด มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ผู้ใช้ควรศึกษาข้อมูล ปรึกษาแพทย์ และสังเกตุผลข้างเคียง
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_14099
Medical
สภาพผักคืออะไร
A. ผู้ป่วยประสบภาวะเจ้าชายนิทรานานกว่า 6 เดือนในกรณีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงสมอง หรือประสบภาวะเจ้าชายนิทรานานกว่า 12 เดือนในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บที่สมอง B. เป็นภาวะที่ผู้ป่วยซึ่งได้รับความเสียหายรุนแรงที่สมองซึ่งเคยอยู่ในภาวะโคม่าได้ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะตื่นโดยไม่มีสติรู้ตัว C. โรคข้ออักเสบจำเพาะที่เกิดเนื่องจากมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ D. ภาวะที่สมองได้มีความเสียหายอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงบางส่วน ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นทั้ง หมดจึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก สภาพผัก คือ ภาวะที่สมองได้มีความเสียหายอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงบางส่วน ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และต้องได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นทั้ง หมดจึงจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สภาพผักต่างจากภาวะโคม่าอย่างไร สภาพผักต่างจากภาวะโคม่าดังนี้ สภาพผัก เป็นภาวะที่สมองสูญเสียความสามารถในการรับรู้ ความเข้าใจ การตอบ สนองต่อสิ่งเร้า แต่ยังคงสามารถหลับตา ลืมตา ได้เอง โดยอาจไม่รับรู้ และไม่มีความหมายใดๆ อาจหัวเราะ ร้องไห้ แต่ไม่มีความหมายโดยตรงกับการแสดงออกเหล่านั้น ความเสียหายของสมองที่ได้รับ คือ ส่วนสมองใหญ่ Cerebrum แต่ก้านสมอง Brain stem ยังทำงานได้บาง ส่วน ดังนั้น ผู้ป่วยจึงสามารถหายใจเองได้ ไอได้ ลืมตาได้ และสามารถกลับบ้านไปดูแลต่อ เนื่องที่บ้านได้ สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยสภาพผักที่พบบ่อย คือ ภาวะแทรกซ้อนผลข้าง เคียงที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ ไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวร่างกายได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_5603
Legal
จงสรุปบทความ ความรู้เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาควบคุมธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
ครม. อนุมัติร่างกฎหมาย Digital Platform บังคับต้องแจ้งข้อมูลธุรกิจ เพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการ ” ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อหรือคนขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ จะได้รับข้อมูลที่จำเป็น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์มฯ “ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติ “อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาควบคุมธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการให้บริการแพลตฟอร์มให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ วัตถุประสงค์ • เพื่อสนับสนุนและควบคุมผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ต้องบริการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน มีความโปร่งใสและเป็นธรรม • ผู้ใช้บริการจะได้ทราบข้อมูลที่จำเป็น ทั้งเงื่อนไขการให้บริการ ช่องทางการร้องเรียนต่าง ๆ • เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์ม บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล หมายถึง การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลาง มีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและผู้บริโภคเชื่อมต่อกัน โดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ • มีความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฎหมาย • ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน • ได้รับความน่าเชื่อถือ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ได้รับความเป็นธรรม ความโปร่งใส • ได้รับบริการจากแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐาน • มีช่องทางให้รับรู้ถึงความเสี่ยง การตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์ม • ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ถึงสถานะของบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าได้มีการแจ้งให้ ETDA ทราบแล้วหรือยัง บังคับใช้เมื่อไหร่ ? นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไป 180 วัน ผู้ประกอบุรกิจจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ มีผลใช้บังคับ ครม. อนุมัติร่างกฎหมาย Digital Platform บังคับต้องแจ้งข้อมูลธุรกิจ เพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการ ” ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อหรือคนขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ จะได้รับข้อมูลที่จำเป็น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์มฯ “ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติ “อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาควบคุมธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการให้บริการแพลตฟอร์มให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ วัตถุประสงค์ • เพื่อสนับสนุนและควบคุมผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ต้องบริการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน มีความโปร่งใสและเป็นธรรม • ผู้ใช้บริการจะได้ทราบข้อมูลที่จำเป็น ทั้งเงื่อนไขการให้บริการ ช่องทางการร้องเรียนต่าง ๆ • เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์ม บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล หมายถึง การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลาง มีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและผู้บริโภคเชื่อมต่อกัน โดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ • มีความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฎหมาย • ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน • ได้รับความน่าเชื่อถือ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ได้รับความเป็นธรรม ความโปร่งใส • ได้รับบริการจากแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐาน • มีช่องทางให้รับรู้ถึงความเสี่ยง การตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์ม • ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ถึงสถานะของบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าได้มีการแจ้งให้ ETDA ทราบแล้วหรือยัง บังคับใช้เมื่อไหร่ ? นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไป 180 วัน ผู้ประกอบุรกิจจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ มีผลใช้บังคับ ครม. อนุมัติร่างกฎหมาย Digital Platform บังคับต้องแจ้งข้อมูลธุรกิจ เพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการ ” ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อหรือคนขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ จะได้รับข้อมูลที่จำเป็น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์มฯ “ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติ “อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาควบคุมธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการให้บริการแพลตฟอร์มให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ วัตถุประสงค์ • เพื่อสนับสนุนและควบคุมผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ต้องบริการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน มีความโปร่งใสและเป็นธรรม • ผู้ใช้บริการจะได้ทราบข้อมูลที่จำเป็น ทั้งเงื่อนไขการให้บริการ ช่องทางการร้องเรียนต่าง ๆ • เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์ม บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล หมายถึง การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลาง มีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและผู้บริโภคเชื่อมต่อกัน โดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ • มีความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามกฎหมาย • ดำเนินงานภายใต้มาตรฐานเดียวกัน • ได้รับความน่าเชื่อถือ ประโยชน์ของกฏหมายนี้ สำหรับผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล • ได้รับความเป็นธรรม ความโปร่งใส • ได้รับบริการจากแพลตฟอร์มที่มีมาตรฐาน • มีช่องทางให้รับรู้ถึงความเสี่ยง การตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์ม • ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ถึงสถานะของบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่าได้มีการแจ้งให้ ETDA ทราบแล้วหรือยัง บังคับใช้เมื่อไหร่ ? นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไป 180 วัน ผู้ประกอบุรกิจจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ มีผลใช้บังคับ
ครม. อนุมัติร่างกฎหมาย Digital Platform หรือร่างพระราชกฤษฎีกาควบคุมธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งหมด ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการให้บริการแพลตฟอร์มแก่สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมภายใต้มาตรฐานเดียวกัน สร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแพลตฟอร์ม รวมไปถึึงเพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบข้อมูลที่จำเป็น ทั้งเงื่อนไขการให้บริการ ช่องทางการร้องเรียนต่างๆ ซึ่งภายในร่างพระราชกฤษฎีการะบุรายละเอียดไว้ว่า บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล หมายถึง การให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลาง มีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและผู้บริโภคเชื่อมต่อกัน โดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเป็นเวลา 180 วัน ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับนี้ ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ นี้ มีผลใช้บังคับ
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_42683
Finance
ประเด็นเรื่องการซื้อหุ้นว่าควรเน้นหุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ประเภท “บลูชิพ” ดีนั้น ขึ้นอยู่กับอะไร
a. การปรับตัวลงของหุ้น b. ความรู้ความสามารถของนักลงทุน c. หุ้นที่ขาดทุน d. หุ้นที่มีผลประกอบการมั่นคง
คำตอบที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า เพราะประเด็นเรื่องการซื้อหุ้นว่าควรเน้นหุ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ประเภท “บลูชิพ” ดีนั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของนักลงทุน แต่โดยทั่วไปแล้ว หุ้นตัวใหญ่น่าจะปลอดภัยและราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ก่อนหุ้นตัวเล็ก เหตุผลก็คือ หลังจากแพนิกหรือเกิดวิกฤติ นักเก็งกำไรจะหายไปมาก กว่าที่พวกเขาจะกลับมาเป็นกอบเป็นกำนั้นก็มักจะหลังจากที่หุ้นตัวใหญ่ปรับตัวขึ้นไปแล้วซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นและดึงดูดนักลงทุนโดยเฉพาะสถาบันต่างประเภทกลับมาซื้อหุ้นจนทำให้หุ้นคึกคักและดึงดูดนักลงทุนรายย่อยกลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่ นอกจากนั้น ด้วยค่า PE ของหุ้นตัวเล็กที่มักจะสูงกว่าหุ้นตัวใหญ่ในภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน Valuation ของหุ้นตัวใหญ่ก็น่าจะยังดีกว่าหุ้นตัวเล็กแม้ว่าราคาหุ้นตัวเล็กอาจจะตกมากกว่าหุ้นตัวใหญ่ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดจะอยู่ที่การซื้อหุ้น Super Stock ที่มีราคาลงไปมากและต่ำกว่าพื้นฐาน ถ้าสามารถประเมินได้ การซื้อเก็บไว้ก็มักจะ “การันตี” ว่าจะได้ผลตอบแทนที่งดงาม นึกถึงหุ้นอย่างอเมซอนที่ราคาเคยตกลงไปกว่า 90% ในช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000 ถ้าใครวิเคราะห์ได้ว่ามันจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกและซื้อและถือไว้จนถึงวันนี้ก็จะกลายเป็นคนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้มหาศาลจนรวยไปเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกอยู่แล้วก็อาจจะไม่ได้ตกลงมามากพอ ส่วนหุ้นที่ยังไม่เป็นแต่กำลังจะเป็นนั้นบางทีก็ดูยาก ดังนั้น คนที่จะใช้กลยุทธ์นี้จะต้อง “มองขาด” จริง ๆ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_21474
Medical
แมลงกินได้ ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือไม่?
null
ไม่ปลอดภัย เหตุผล: แมลงเป็นพาหะนำโรคต่างๆ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคไข้ไทฟอยด์ โรคบิด โรคพยาธิ อาหารแมลงที่ปรุงไม่สุกหรือปรุงไม่สะอาดอาจปนเปื้อนเชื้อโรคเหล่านี้ได้ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ร่างกายของพวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ การติดเชื้อโรคในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจรุนแรงและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด โรคปอดบวม โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ แมลงบางชนิดอาจมีสารพิษหรือสารก่อภูมิแพ้ที่อาจส่งผลต่อผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องควรหลีกเลี่ยงการกินแมลงดิบ แมลงที่ปรุงไม่สุก แมลงที่ปรุงไม่สะอาด แมลงที่มาจากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการสัมผัสแมลง ควรปรุงแมลงให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนกิน ควรเลือกซื้อแมลงจากแหล่งที่ปลอดภัย เช่น ร้านค้าที่เชื่อถือได้ ตลาดที่ได้มาตรฐาน ทางเลือกอื่น: ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องควรได้รับสารอาหารจากแหล่งอื่นที่ปลอดภัย เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ปลา นม ผัก ผลไม้ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง สรุป: แมลงกินได้ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรหลีกเลี่ยงการกินแมลงเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,โภชนวิทยา
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_13943
Medical
60-70% ของโรคตับแข็งเกิดจากสาเหตุใด
A. จากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ B. จากโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ โรคไวรัสตับอักเสบ ซี C. จากภาวะร่างกายมีเกลือแร่(ธาตุ)เหล็กสูง D. จากโรคต่างๆของท่อน้ำดี
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ A. เนื่องจาก โรคตับแข็ง เกิดจากการที่เนื้อเยื่อตับบาดเจ็บและถูกทำลายจากการอักเสบเรื้อรังจากสาเหตุต่างๆ เนื้อเยื่อตับจึงกลายเป็นพังผืด จนทำให้ตับสูญเสียการทำงาน โดยเมื่อเริ่มเกิดโรค ตับจะมีขนาดปกติ แต่ต่อมาเมื่อการอักเสบมีมากขึ้นจึงเกิดการบวมของเนื้อเยื่อตับ จึงเกิดตับโตจนคลำได้(ปกติ จะคลำตับไม่ได้ เพราะอยู่ใต้ชายโครง) แต่เมื่อการอักเสบเรื้อรัง จนเนื้อเยื่อตับเป็นพังผืดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเยื่อตับจึงมีลักษณะแข็งขึ้น(เป็นที่มาของคำว่า โรคตับแข็ง) และขนาดของตับจะหดเล็กลงเรื่อยๆ นอกจากนั้น เนื้อเยื่อตับที่เหลืออยู่ จะพยายามซ่อมแซมตัวเอง จึงเกิดเป็นปุ่มก้อนเนื้อขึ้น เมื่อร่วมกับการเกิดพังผืด จึงก่อให้ตับแข็งมีลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำทั่วทั้งตับ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็ง มีได้มากมาย แต่ที่พบบ่อย คือ - จากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย 60-70% ของตับแข็งเกิดจากสาเหตุนี้ - จากโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ โรคไวรัสตับอักเสบ ซี (เป็นสาเหตุประมาณ 10%) - จากภาวะร่างกายมีเกลือแร่(ธาตุ)เหล็กสูง เหล็กจึงไปสะสมในตับ ส่งผลให้เกิดตับแข็ง เช่น ในโรคธาลัสซีเมีย (เป็นสาเหตุประมาณ 5-10%) - จากโรคต่างๆของท่อน้ำดี(เป็นสาเหตุประมาณ 10%) เช่น ท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรังจากโรคภูมิแพ้ตนเอง(ภูมิต้านตนเอง) หรือ ท่อน้ำน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด - จากโรค หรือ ภาวะอื่นๆ รวมกันประมาณ 5% เช่น ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง หรือ ยารักษาวัณโรค หรือ วิตามินเอเสริมอาหารปริมาณสูง จากโรคภูมิแพ้ตนเอง/โรคออโตอิมมูน จากโรคไขมันพอกตับ(มักพบในคนอ้วน จากตับติดเชื้อบางชนิด เช่น ติดเชื้อพยาธิใบไม้เลือด และ จากโรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12748
Medical
ยาเซฟาแมนโดลมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง และควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบผลข้างเคียงจากยาเซฟาแมนโดล?
null
ยาเซฟาแมนโดลเป็นยาปฏิชีวนะที่มีประโยชน์ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่เหมือนกับยาทุกชนิด ยาเซฟาแมนโดลอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ป่วยได้ ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยาเซฟาแมนโดล: 1.ระบบทางเดินอาหาร: อาจพบภาวะลำไส้ใหญ่อักเสบ ชนิด Pseudomembranous colitis คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย 2.ระบบประสาท: เกิดอาการชัก เกิดพิษต่อสมองสมองอักเสบ 3.ผิวหนัง: มีภาวะ ผด ผื่น คัน 4.ระบบเลือด: เกล็ดเลือดทำงานได้ช้ากว่าปกติจนอาจเกิดภาวะเลือดออกง่าย 5.ตับ: ตับทำงานผิดปกติตับอักเสบ ค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดเพิ่มสูงขึ้น 6.ไต: เป็นพิษกับไตไตอักเสบ กรณีพบผลข้างเคียงจากยาเซฟาแมนโดล: 1. หยุดใช้ยา: หยุดใช้ยาเซฟาแมนโดลทันที และแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเพื่อรับคำแนะนำ 2. สังเกตุอาการ: สังเกตุอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด 3. บันทึกข้อมูล: บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาการ เวลา และความรุนแรงของอาการ 4.ปรึกษาแพทย์: ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรโดยเร็วที่สุด เพื่อรับคำแนะนำในการรักษา ข้อควรระวัง: -ผลข้างเคียงบางชนิดอาจรุนแรงและต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์อย่างทันที -ห้ามใช้ยาแก้ปวดหรือยาลดไข้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ -แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้อยู่ก่อน -เก็บยาเซฟาแมนโดลให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3611
Finance
ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเหตุใด
null
ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากบริษัทใดพยายามปกปิดหรือบิดเบือนข้อมูลด้าน ESG จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อนักลงทุน และอาจเข้าข่ายการสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือที่เรียกว่า ‘การฟอกเขียว’ หรือ Greenwashing ความโปร่งใสจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อธุรกิจเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ในมิติสำคัญต่างๆ อย่างครบถ้วน รอบด้าน และตรงกับข้อเท็จจริง โดยสามารถเปิดเผยได้ผ่าน One Report, รายงานประจำปี / รายงานความยั่งยืน, เว็บไซต์ของบริษัท และช่องทางอื่นๆ ซึ่งนักลงทุนต้องศึกษาทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้ให้ถ่องแท้ และเปรียบเทียบกับข้อมูลของบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน นอกจากนี้นักลงทุนควรตรวจสอบว่าข้อมูลด้าน ESG ที่บริษัทเปิดเผยมีความน่าเชื่อถือเพียงใด เช่น ข้อมูลตัวเลขต่างๆ ได้รับการสอบทาน หรือ Audit จากผู้สอบทานที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และควรดูว่าการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทนั้น นอกจากจะนำเสนอผลงานและความสำเร็จแล้ว มีการสื่อสารถึงประเด็นท้าทายและจุดที่ควรปรับปรุงด้วยหรือไม่ เพราะไม่มีธุรกิจไหนในโลกที่สมบูรณ์แบบในเรื่อง ESG ธุรกิจที่ดีจึงควรสื่อสารกับนักลงทุนด้วยความจริงใจ ยอมรับว่ามีประเด็น ESG ใดบ้างที่บริษัทยังทำงานได้ไม่เต็มที่หรือยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43806
Finance
จงสรุปข่าวดอกเบี้ยนโยบายไทย
ในที่สุดเศรษฐกิจไทยก็เข้าสู่ยุค ‘ดอกเบี้ยขาขึ้น’ ตามประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้าสักพักแล้ว หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเป็นครั้งแรกใน 4 ปีเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในที่สุดเศรษฐกิจไทยก็เข้าสู่ยุค ‘ดอกเบี้ยขาขึ้น’ ตามประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปก่อนหน้าสักพักแล้ว หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเป็นครั้งแรกใน 4 ปีเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในรอบนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละครั้งและจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในรอบนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับขนาดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละครั้งและจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ข่าวที่เกี่ยวข้อง กูรูต่างประเทศมอง ธปท. กำลังเดิมพันดอกเบี้ยกับ เงินเฟ้อ ชี้นโยบายการเงินไทยมองโลกในแง่ดีเกินไป ด้าน ‘อาคม’ ย้ำยังไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย วิเคราะห์ 5 สัญญาณ บ่งชี้ เงินเฟ้อ โลกใกล้ถึงจุดพีค 10 อันดับ สกุลเงินเอเชีย ที่อ่อนค่าสูงสุดนับจากต้นปี 2565 ในประเด็นแรกนั้น แถลงข่าวผลการประชุม กนง. และคำสัมภาษณ์ในหลายวาระของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกไว้ชัดเจนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด (Smooth Takeoff) ซึ่งตีความได้ว่า กนง. น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงครั้งละร้อยละ 0.25 ต่อปี ซึ่งเป็นขนาดปกติของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แทนการปรับขึ้นร้อยละ 0.5 หรือร้อยละ 0.75 ต่อปี ซึ่งแรงกว่าปกติแบบที่เราเห็นในหลายประเทศ ในประเด็นแรกนั้น แถลงข่าวผลการประชุม กนง. และคำสัมภาษณ์ในหลายวาระของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกไว้ชัดเจนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยไม่สะดุด (Smooth Takeoff) ซึ่งตีความได้ว่า กนง. น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงครั้งละร้อยละ 0.25 ต่อปี ซึ่งเป็นขนาดปกติของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แทนการปรับขึ้นร้อยละ 0.5 หรือร้อยละ 0.75 ต่อปี ซึ่งแรงกว่าปกติแบบที่เราเห็นในหลายประเทศ อย่างไรก็ดี กนง. ทิ้งท้ายไว้ว่า การปรับนโยบายการเงินต้องสอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่าร้อยละ 0.25 ต่อปีก็ได้ หาก กนง. พิจารณาแล้วเห็นสมควร ซึ่งในภาษาวิชาการเราเรียกว่าเป็นการปรับนโยบายแบบขึ้นกับพัฒนาการของข้อมูล (Data Dependent) อย่างไรก็ดี กนง. ทิ้งท้ายไว้ว่า การปรับนโยบายการเงินต้องสอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า กนง. อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่าร้อยละ 0.25 ต่อปีก็ได้ หาก กนง. พิจารณาแล้วเห็นสมควร ซึ่งในภาษาวิชาการเราเรียกว่าเป็นการปรับนโยบายแบบขึ้นกับพัฒนาการของข้อมูล (Data Dependent) เช่น ถ้าสัปดาห์หน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ร้อยละ 1 ต่อปี ตามที่ผู้เล่นในตลาดบางรายเริ่มคาดการณ์หลังจากเห็นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด จากเดือนก่อนที่ส่วนใหญ่คาดกันว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.5 ต่อปี ก็จะถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ กนง. จะเอามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ เช่น ถ้าสัปดาห์หน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ร้อยละ 1 ต่อปี ตามที่ผู้เล่นในตลาดบางรายเริ่มคาดการณ์หลังจากเห็นตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุด จากเดือนก่อนที่ส่วนใหญ่คาดกันว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.5 ต่อปี ก็จะถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ กนง. จะเอามาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ประเด็นที่สอง อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นไปสูงสุดแค่ไหน ตอบยากกว่าข้อแรกมาก ยิ่งมองข้างหน้าไปไกล ความไม่แน่นอนของพัฒนาการของข้อมูลยิ่งสูงกว่าในระยะสั้น แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรให้เกาะทีเดียว โดยถ้าเศรษฐกิจไทยกลับไปเป็นปกติ ระดับของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยก็ควรจะกลับไปเป็นปกติด้วย ประเด็นที่สอง อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นไปสูงสุดแค่ไหน ตอบยากกว่าข้อแรกมาก ยิ่งมองข้างหน้าไปไกล ความไม่แน่นอนของพัฒนาการของข้อมูลยิ่งสูงกว่าในระยะสั้น แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรให้เกาะทีเดียว โดยถ้าเศรษฐกิจไทยกลับไปเป็นปกติ ระดับของอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยก็ควรจะกลับไปเป็นปกติด้วย คำถามคือ แล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระดับปกติอยู่ที่เท่าไร โดยทั่วไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์จะมองว่า ในภาวะปกติอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรจะอยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเล็กน้อย เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยนโยบายลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ) เป็นบวก เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาเงินเฟ้อที่คุมไม่ได้ (Runaway Inflation) และการเก็งกำไรในระบบการเงิน คำถามคือ แล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระดับปกติอยู่ที่เท่าไร โดยทั่วไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์จะมองว่า ในภาวะปกติอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรจะอยู่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเล็กน้อย เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยนโยบายลบด้วยอัตราเงินเฟ้อ) เป็นบวก เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาเงินเฟ้อที่คุมไม่ได้ (Runaway Inflation) และการเก็งกำไรในระบบการเงิน
1. อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในเศรษฐกิจไทย: ตลาดโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกใน 4 ปีเมื่อสิงหาคม ทำให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุค 'ดอกเบี้ยขาขึ้น' 2. ผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับขนาดและจุดสูงสุดของการปรับขึ้น กนง. แสดงว่าการปรับขึ้นอาจเป็นค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่สะดุดเศรษฐกิจ 3. การดำเนินการของกนง.: กนง. พิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามพัฒนาการข้อมูล (Data Dependent) การปรับขึ้นอาจเป็นร้อยละ 0.25 ต่อปี, ขนาดปกติของการปรับ 4. ความไม่แน่นอนของการปรับ: อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระดับปกติยังไม่แน่นอน ถ้าเศรษฐกิจไทยกลับไปเป็นปกติ, อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยควรกลับไปเป็นปกติด้วย 5. คำถามที่ยากตอบ: อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระดับปกติอยู่ที่เท่าไรยังคงเป็นคำถามที่ยากตอบ ปรับขึ้นอาจเป็นไปในขนาดที่มากกว่าร้อยละ 0.25 ต่อปีหากมีข้อมูลที่พิจารณาสมควร เนื้อหานี้สะท้อนถึงความแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเศรษฐกิจไทย การดำเนินการของกนง. และความไม่แน่นอนในการตอบคำถามเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_5781
Legal
ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้วันใด
ก. 10 มกราคม 2566 ข. 10 มกราคม 2567 ค. 15 มกราคม 2565 ง. 10 มกราคม 2565
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า ซื้อรถต้องรู้ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ 10 มกราคม 2566 สาระสำคัญที่ผู้ซื้อรถต้องรู้ มี 4 เรื่อง ได้แก่ 1. การกำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ มี 3 ประเภท 1.1 รถยนต์ใหม่ ต้องไม่เกินอัตรา ร้อยละ 10 ต่อปี 1.2 รถยนต์ใช้แล้ว ต้องไม่เกินอัตรา ร้อยละ 15 ต่อปี 1.3 รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกิน ร้อยละ 23 ต่อปี 2. หากผู้บริโภคนำเงินมาชำระค่างวดครบก่อนกำหนด (ปิดบัญชี) จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย ในการปิดค่างวดเป็นขั้นบันได มี 3 กรณี ดังนี้ 2.1 ชำระค่างวด ไม่เกินหนึ่งในสาม ของค่างวดตามสัญญา ให้ได้รับส่วนลด ไม่น้อยกว่า ร้อยละหกสิบ ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ 2.2 ชำระค่างวด ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม แต่ไม่เกินสองในสาม ของค่างวดตามสัญญา ให้ได้รับส่วนลด ไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบ ของดอกเบี้ยเช่า ซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ 2.3 ชำระค่างวด เกินกว่าสองในสาม ของค่างวดตามสัญญา ให้ได้รับ ส่วนลดทั้งหมด ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ 3. ส่วนต่างของหนี้ที่ยังขาดหลังขายทอดตลาด (ติ่งหนี้) ในกรณีนำรถออกขายทอดตลาด หากผู้เช่าซื้อถูกยกเลิกสัญญา และผู้ให้เช่าซื้อนำรถออกขายทอดตลาด โดยปกติแล้ว ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบค่างวดที่ค้างอยู่ตามสัญญาประกอบด้วยเงินต้นและดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งตามประกาศฉบับนี้ให้คิดได้เฉพาะเงินต้นเท่านั้น 4. การคิดเบี้ยปรับการผิดนัดชำระ กรณีผู้เช่าซื้อชำระค่างวดล่าช้า หรือผิดนัดชำระค่างวด ผู้ให้เช่าซื้อ(ไฟแนนซ์)คิดเบี้ยปรับได้ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี โดยคำนวณจากยอดเงินที่ผิดนัดชำระ ทั้งนี้ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ซึ่งจะบังคับใช้เฉพาะสัญญาเช่าซื้อที่ทำตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ส่วนสัญญาเช่าซื้อที่ทำก่อนวันที่ 10 มกราคม 2566 ยังคงมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าจะสิ้นสุดสัญญา หากผู้เช่าซื้อถูกละเมิดสิทธิจากผู้ประกอบธุรกิจ
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค-ราคาสินค้าและบริการ
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_49936
Legal
จงสรุปข่าวเกี่ยวกับศาลอังกฤษระบุ เชค โมฮัมเหม็ด แห่งดูไบ ทรงลักพาตัวพระธิดาและข่มขู่พระชายา ให้หน่อย
ลักพาตัว, บังคับให้กลับ, ทรมาน และข่มขู่ นี่คือข้อกล่าวหาที่เจ้าหญิงฮายา บินต์ อัล-ฮุสเซน อดีตพระชายา ทรงกล่าวหา เชค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล-มักตูม เจ้าผู้ครองนครดูไบผู้ร่ำรวย ซึ่งศาลสูงของอังกฤษได้ตัดสินแล้วว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นความจริง กระบวนการพิจารณาคดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อ 8 เดือนก่อนและเป็นคดีที่มีผู้ให้ความสนใจอย่างมาก ล่าสุด ศาลได้เผยแพร่คำตัดสินค้นหาความจริง (Fact Finding Judgement--FFJ) ที่เป็นคุณแก่เจ้าหญิงฮายา เจ้าหญิงฮายาทรงลี้ภัยออกมาจากนครดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับองค์ทายาท 2 พระองค์ เจ้าหญิงตรัสกับพระสหายถึงความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตหลังจากหลบหนีออกมา เชค โมฮัมเหม็ด ทรงพยายามที่จะไม่ให้มีการเผยแพร่คำตัดสินนี้ต่อสาธารณชน แต่ไม่สำเร็จ คำอุทธรณ์ของพระองค์ถูกปฏิเสธ ศาลให้เหตุผลว่า คดีนี้อยู่ในความสนใจของสาธารณชน พร้อมกับระบุว่าเจ้าผู้ครองนครดูไบทรง "ไม่เปิดเผยและซื่อสัตย์กับศาล" ในแถลงการณ์ที่ออกมาหลังคำตัดสินได้รับการเผยแพร่ เชค โมฮัมเหม็ด ทรงระบุว่า "ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้าร่วมในกระบวนการค้นหาความจริงของศาลได้ เรื่องนี้จึงส่งผลให้มีการเผยแพร่คำตัดสินค้นหาความจริง ที่พูดถึงเรื่องราวเพียงด้านเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" พระองค์ทรงยืนกรานว่า คดีนี้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ "ข้าพเจ้าขอให้สื่อเคารพความเป็นส่วนตัวของลูก ๆ ของเรา และอย่ารุกล้ำชีวิตของพวกเขาในสหราชอาณาจักร" พระองค์ทรงระบุ 'หญิงสาวที่สูญสิ้นอิสรภาพ' หลังจากได้รับฟังถ้อยคำให้การของพยานจำนวนมาก ศาลพบว่า เชค โมฮัมเหม็ด ทรงมีส่วนในการลักพาตัวพระราชธิดา 2 พระองค์กับพระชายาพระองค์อื่น และบังคับให้พระราชธิดากลับดูไบ เจ้าหญิง ชัมซา ทรงหนีออกมาจากบ้านของราชวงศ์แห่งดูไบในเมืองเซอร์รีย์ของอังกฤษในปี 2000 แต่ต่อมาทรงถูกสายลับของเชค โมฮัมเหม็ด จับตัวได้ในมณฑลเคมบริดจ์เชียร์ มีรายงานว่า ทรงถูกฉีดยาสลบและถูกพากลับนครดูไบอย่างไม่เต็มพระทัย พระองค์ทรงถูกควบคุมตัวที่นั่น คำร้องขอของตำรวจมณฑลเคมบริดจ์เชียร์ในการเดินทางไปสอบสวนการลักพาตัวเจ้าหญิงชัมซาที่นครดูไบถูกปฏิเสธ เจ้าหญิงลาติฟา ทรงพยายามหนีออกมาจากราชวงศ์แห่งดูไบของพระราชบิดา 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ คือในปี 2002 และ 2018 หลังจากครั้งแรก พระราชบิดาได้คุมขังพระองค์ไว้ในนครดูไบนานกว่า 3 ปี ส่วนในความพยายามครั้งที่ 2 พระองค์ทรงถูกจับตัวได้กลางทะเลนอกชายฝั่งอินเดีย และถูกบังคับให้กลับดูไบ ซึ่งขณะนี้พระองค์ยังทรงถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านพัก ผู้พิพากษาพบว่า ข้อกล่าวหาต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงจนเทียบเท่ากับการทรมาน ที่เจ้าหญิงลาติฟาทรงระบุในวิดีโอที่เผยแพร่ต่อสาธารณชน มีความน่าเชื่อถือ ผู้พิพากษาพบว่า เชค โมฮัมเหม็ด "ทรงปกครองต่อไป โดยที่หญิงสาวทั้ง 2 คนนี้สูญสิ้นอิสรภาพ" เจ้าหญิงฮายา พระชันษา 45 ปี ทรงเป็นพระราชธิดาของอดีตกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนที่สวรรคตไปแล้ว และเป็นอดีตนักกีฬาขี่ม้าโอลิมปิก ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเชค โมฮัมเหม็ด แห่งดูไบ พระชันษา 70 ปี ในปี 2004 ทรงเป็นพระชายาพระองค์ที่ 6 และมีพระชันษาน้อยที่สุดในบรรดาพระชายาทั้งหมดของ เชค โมฮัมเหม็ด ทั้งสองพระองค์ทรงมีองค์ทายาทด้วยกัน 2 พระองค์ พระชันษา 7 ปี และ 11 ปี ในตอนแรก เจ้าหญิงฮายา ทรงเชื่อคำอธิบายของ เชค โมฮัมเหม็ด เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าหญิงทั้ง 2 พระองค์ว่าทรง "ได้รับการช่วยชีวิต" และขณะนี้ทรงอยู่กับครอบครัวอย่างปลอดภัย แต่ในช่วงต้นปี 2019 เจ้าหญิงฮายา ทรงเริ่มสงสัยและแสดงความกังวล พระองค์ยังได้ทรงเป็นชู้กับองครักษ์ชาวอังกฤษด้วย สายลับของ เชค โมฮัมเหม็ด จึงเริ่มการข่มขู่ และศาลได้รับฟังว่า มีการวางปืนไว้บนพระเขนย (หมอน) ของพระองค์ 2 ครั้ง มีเฮลิคอปเตอร์ลงมาจอดที่ด้านนอกพระตำหนักพร้อมด้วยคำขู่ว่าจะพาพระองค์ไปไว้ที่เรือนจำในทะเลทรายอันห่างไกล ผู้พิพากษาตัดสินว่า "ดังนั้น ผู้เป็นพ่อจึงได้กระทำการตั้งแต่สิ้นปี 2018 ในลักษณะที่มีจุดมุ่งหมายในการข่มขู่และทำให้ผู้เป็นแม่หวาดกลัว และยังให้คนอื่น ๆ กระทำการดังกล่าวแทนด้วย" 'ความน่าอับอายครั้งใหญ่' ในเดือน เม.ย. 2019 เจ้าหญิงฮายา ทรงหนีไปอังกฤษ พร้อมกับองค์ทายาท 2 พระองค์ ศาลได้รับฟังว่า เชค โมฮัมเหม็ด ทรงข่มขู่โดยไม่แสดงออกโดยตรง ทำให้เจ้าหญิงฮายาทรงวิตกถึงความปลอดภัยของพระองค์ รวมถึงกลัวว่า องค์ทายาทอาจจะถูกลักพาตัวและถูกบังคับให้กลับดูไบ ในเดือน พ.ค. 2019 เจ้าหญิงฮายาตรัสว่า เชค โมฮัมเหม็ด ตรัสกับพระองค์ว่า "เจ้าและลูก ๆ จะไม่มีวันปลอดภัยในอังกฤษ" เชค โมฮัมเหม็ด ยังทรงเผยแพร่บทกวีที่ชื่อว่า "You lived, you died" ด้วย ศาลได้รับฟังถึง การที่ เชค โมฮัมเหม็ด ทรงใช้สื่อของพระองค์ในการเผยแพร่บทความในแง่ลบเกี่ยวกับเจ้าหญิงฮายา โดยหลายบทความ "เนื้อหาคลาดเคลื่อนทั้งหมด" คำตัดสินเหล่านี้ และข้อกล่าวต่าง ๆ สร้างความอับอายอย่างมากต่อ เชค โมฮัมเหม็ด อัล-มักตูม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คณะทำงานด้านกฎหมายของพระองค์จะพยายามยับยั้งการเผยแพร่คำตัดสินและข้อกล่าวหาต่าง ๆ ต่อสาธารณชน ในถ้อยแถลงล่าสุด พระองค์ตรัสว่า "การอุทธรณ์ทำขึ้นเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์และสวัสดิภาพของลูก ๆ คำตัดสินนี้ไม่ได้คุ้มครองลูก ๆ ของข้าพเจ้าจากความสนใจของสื่อในแบบที่เด็กคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่ดำเนินการในชั้นศาลในสหราชอาณาจักรได้รับความคุ้มครอง" เจ้าหญิงฮายาไม่ได้ออกสื่อมากนัก ต่างกับเชค โมฮัมเหม็ด ที่ทรงโด่งดังในวงการแข่งม้า ทรงเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้ง โกดอลฟิน สเตเบิลส์ (Godolphin Stables) ด้วย พระองค์ทรงถูกฉายพระรูปพร้อมกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักรอยู่บ่อยครั้ง และทรงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วตะวันออกกลาง จากการเปลี่ยนนครดูไบให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง เป็นทั้งจุดหมายปลายทางในการทำธุรกิจและพักผ่อนหย่อนใจ กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มต่างแสดงความยินดีต่อคำตัดสินนี้
เจ้าหญิงฮายา พระชันษา 45 ปี ทรงเป็นพระราชธิดาของอดีตกษัตริย์ฮุสเซนแห่งจอร์แดนที่สวรรคตไปแล้ว และเป็นอดีตนักกีฬาขี่ม้าโอลิมปิก ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเชค โมฮัมเหม็ด แห่งดูไบ พระชันษา 70 ปี ในปี 2004 ทรงเป็นพระชายาพระองค์ที่ 6 และมีพระชันษาน้อยที่สุดในบรรดาพระชายาทั้งหมดของ เชค โมฮัมเหม็ด ทั้งสองพระองค์ทรงมีองค์ทายาทด้วยกัน 2 พระองค์ พระชันษา 7 ปี และ 11 ปี ในตอนแรก เจ้าหญิงฮายา ทรงเชื่อคำอธิบายของ เชค โมฮัมเหม็ด เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าหญิงทั้ง 2 พระองค์ว่าทรง "ได้รับการช่วยชีวิต" และขณะนี้ทรงอยู่กับครอบครัวอย่างปลอดภัย แต่ในช่วงต้นปี 2019 เจ้าหญิงฮายา ทรงเริ่มสงสัยและแสดงความกังวล พระองค์ยังได้ทรงเป็นชู้กับองครักษ์ชาวอังกฤษด้วย สายลับของ เชค โมฮัมเหม็ด จึงเริ่มการข่มขู่ และศาลได้รับฟังว่า มีการวางปืนไว้บนพระเขนย (หมอน) ของพระองค์ 2 ครั้ง มีเฮลิคอปเตอร์ลงมาจอดที่ด้านนอกพระตำหนักพร้อมด้วยคำขู่ว่าจะพาพระองค์ไปไว้ที่เรือนจำในทะเลทรายอันห่างไกล ผู้พิพากษาตัดสินว่า "ดังนั้น ผู้เป็นพ่อจึงได้กระทำการตั้งแต่สิ้นปี 2018 ในลักษณะที่มีจุดมุ่งหมายในการข่มขู่และทำให้ผู้เป็นแม่หวาดกลัว และยังให้คนอื่น ๆ กระทำการดังกล่าวแทนด้วย" ในเดือน เม.ย. 2019 เจ้าหญิงฮายา ทรงหนีไปอังกฤษ พร้อมกับองค์ทายาท 2 พระองค์ ศาลได้รับฟังว่า เชค โมฮัมเหม็ด ทรงข่มขู่โดยไม่แสดงออกโดยตรง ทำให้เจ้าหญิงฮายาทรงวิตกถึงความปลอดภัยของพระองค์ รวมถึงกลัวว่า องค์ทายาทอาจจะถูกลักพาตัวและถูกบังคับให้กลับดูไบ ในเดือน พ.ค. 2019 เจ้าหญิงฮายาตรัสว่า เชค โมฮัมเหม็ด ตรัสกับพระองค์ว่า "เจ้าและลูก ๆ จะไม่มีวันปลอดภัยในอังกฤษ" เชค โมฮัมเหม็ด ยังทรงเผยแพร่บทกวีที่ชื่อว่า "You lived, you died" ด้วย ศาลได้รับฟังถึง การที่ เชค โมฮัมเหม็ด ทรงใช้สื่อของพระองค์ในการเผยแพร่บทความในแง่ลบเกี่ยวกับเจ้าหญิงฮายา โดยหลายบทความ "เนื้อหาคลาดเคลื่อนทั้งหมด" คำตัดสินเหล่านี้ และข้อกล่าวต่าง ๆ สร้างความอับอายอย่างมากต่อ เชค โมฮัมเหม็ด อัล-มักตูม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คณะทำงานด้านกฎหมายของพระองค์จะพยายามยับยั้งการเผยแพร่คำตัดสินและข้อกล่าวหาต่าง ๆ ต่อสาธารณชน ในถ้อยแถลงล่าสุด พระองค์ตรัสว่า "การอุทธรณ์ทำขึ้นเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์และสวัสดิภาพของลูก ๆ คำตัดสินนี้ไม่ได้คุ้มครองลูก ๆ ของข้าพเจ้าจากความสนใจของสื่อในแบบที่เด็กคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่ดำเนินการในชั้นศาลในสหราชอาณาจักรได้รับความคุ้มครอง"
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายสิทธิมนุษยชน,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43400
Finance
ผลตอบแทนการลงทุนระหว่างกระเป๋า Hermès Birkin กับตลาดหุ้นและทองคำ คุณคิดว่าการเปรียบเทียบนี้มีความเหมาะสมหรือไม่? อธิบายเหตุผล
ซื้อกระเป๋า เบอร์กิ้นวันนี้ อาจเป็นการลงทุนที่ดีกว่าตลาดหุ้นเสียอีก ซื้อกระเป๋า เบอร์กิ้นวันนี้ อาจเป็นการลงทุนที่ดีกว่าตลาดหุ้นเสียอีก กระเป๋า Hermès Birkin handbag ถือว่าเป็นกระเป๋าถือที่เป็นสุดยอดของสุดยอดของความพิเศษ และดูเหมือนจะเป็นสินค้าที่สุดฟุ่มเฟือย แต่ถ้าคุณมีโอกาส(ที่ยากมาก)จะเป็นเจ้าของมันสักครั้ง กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่การใช้จ่ายไม่คุ้มค่าไปซะทีเดียว การศึกษาล่าสุดค้นพบแล้วว่า การซื้อกระเป๋าเบอร์กิ้นสักใบ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงน้อยกว่าซื้อทองหรือลงทุนในตลาดหุ้นเสียอีก เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน งานวิจัยนี้จัดทำโดย BagHunter เวบไซต์สำหรับซื้อขายกระเป๋าแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ ก็แน่นอนว่าก็อาจไม่ได้ทำการศึกษาแบบตรงไปตรงมานัก แต่ถ้าดูตามความเป็นจริงแล้ว ราคาของกระเป๋าใบนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีความปรารถนาที่จะครอบครอง ของสาวๆนักช็อปทั่วโลก เป็นแรงผลักดันราคาให้ทะลุเพดานไม่หยุด การวิจัยพบว่าเมื่อเปรียบเทียบ ดัชนี S&P500 ทองคำและกระเป๋าเบอร์กิ้น โดยดูที่การเปลี่ยนแปลงของราคาตลอดช่วง 35 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 11.66% ต่อปีและเหลือเพียง 8.65% เมื่อรวมอัตราเงินเฟ้อแล้ว ทองคำให้ตอบแทนต่อปีเพียง 1.9% และผลตอบแทนติดลบ -1.5% หลังหักเงินเฟ้อออก (ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นการซื้อและถือยาวไม่มีการเทรดดิ้งใดๆตลอด 35ปี) ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 11.66% ต่อปี ทองคำให้ตอบแทนต่อปีเพียง 1.9% ในขณะที่ กระเป๋าเบอร์กิ้น มูลค่าปรับขึ้นกว่า 14.2% ต่อปี ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น การลงทุนตลาดหุ้นและทองคำอาจจะมีความผันผวนสูง ราคาสวิงขึ้นลง หัวใจจะวายตลอดทาง แต่กระเป๋าเบอร์กิ้นราคาค่อยๆ ขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ และมีอยู่ปีหนึ่งที่ราคาปรับขึ้นกว่า 25% คือปี 2001 นอกจากนั้นก็เป็นลักษณะแพงขึ้นอย่างเงียบๆ ล่าสุดกระเป๋ารุ่นนี้ถูกขายในงานประมูลด้วยราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8,251,000 บาท กระเป๋าเบอร์กิ้น มูลค่าปรับขึ้นกว่า 14.2% ต่อปี ทำไมมันถึงได้แพงหูฉีกขนาดนั้น ? ก็เพราะมันหายากมาก ระดับซูเปอร์แรร์ไอเท็ม ไม่ใช่มีเงินแล้วจะซื้อได้ เพราะกระบวนการผลิตที่สุดปราณีต กว่าจะได้มาครอบครองสักใบอาจต้องรอคิวเป็นปี หรือหลายปี จนถึงขั้นบางร้านในสิงคโปร์ปิดการจองไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และเป็นที่มาของตลาดมือสองที่มีความคึกคักเป็นอย่างมาก ในเมืองไทย เราอาจต้องซื้อของแบรนด์นี้หลายต่อหลายชิ้นเพื่อที่จะจองกระเป๋าคอลเลคชั่นนี้สักใบ (ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “ถือว่าคุณโชคดีแล้ว ที่ได้อยู่ใน Waiting list ของ Waiting List ของกระเป๋าเบอร์กิ้น) นิตยสาร Fortune รายงานว่า คุณสามารถส่งกระเป๋าไปซ่อมได้ตลอดอายุของมัน รับประกันตลอดอายุการใช้งาน ซึ่งแปลว่า มันจะอยู่กับคุณไปจนชั่วลูกชั่วหลาน หรือถ้าไม่งั้น เอาง่ายๆ ก็ขายใน eBay ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว แถมได้ราคาสูงเสียด้วย นอกจากนั้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัวตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กระเป๋าไฮเอนด์ใบนี้ก็มิได้สะทกสะท้านแต่ประการใด ผู้ก่อตั้งเวบ BagHunter บอกว่า มันมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง สินค้าหรู (Luxury Product) กับสินค้าหรูสุดติ่งกระดิ่งแมว (Ultra-Luxury Product) โดยสินค้าหรูปกติจะยังได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจซบเซา แต่สินค้าหรูระดับตัวท๊อปจะยืนหยัดต่อสู้กับปัจจัยกดดันเหล่านั้นได้อย่างดี ซึ่งแตกต่างจากสินค้าที่วางตามห้างร้านขายปลีกทั่วไป หรือแม้แต่ตลาดหุ้นก็เช่นกัน จากภาพสังเกตว่าในตลาดมือสองอย่าง eBay ราคาตั้งสูงถึง 170,000 USD ก็มีให้เห็นกันทั่วไป แต่ถึงแม้จะเป็นการลงทุนที่ดีอย่างไรก็ตาม กระเป๋า เบอร์กิ้นหนังครอกของ แอร์เมส ก็ไม่ใช่ตัวท๊อป ในด้านราคาจริงๆ ข้อมูลจาก financeonline.com สำรวจออกมาแล้วยังอยู่แค่อันดับ 6 จาก 10 ใบที่แพงที่สุดในโลกเท่านั้นเอง โดยแอดมึนของอนุญาตแปะรูป กระเป๋าใบที่ชนะเลิศด้านค่าตัวแพงที่สุดไว้เป็นบุญตาสาวๆ แต่เป็นภัยต่อกระเป๋าหนุ่มๆ ไว้ ณ ที่นี้ #1 Mouawad’s 1001 Nights Diamond Purse – $3.8 million หรือราวๆ 140 ล้านบาท เท่านั้นเอง !!! (แอดมึน ยังไม่รู้เลย ว่ามันอ่านออกเสียงยังไง) #1 Mouawad’s 1001 Nights Diamond Purse – $3.8 million หรือราวๆ 140 ล้านบาท เท่านั้นเอง !!! (แอดมึน ยังไม่รู้เลย ว่ามันอ่านออกเสียงยังไง) หมายเหตุ ผู้เขียนไม่ใช่ ผู้ชำนาญการด้านกระเป๋า หากมีข้อมูลใดผิดพลาด กราบขออภัยสาวกไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ Source : FINNOMENA Opinion FINNOMENA Opinion เนื่องจากแอดมึนเป็นผู้ชายอกสามศอก การจะเข้าใจศาสตร์ความงามของกระเป๋านี้ ยากจะเข้าถึงนัก แต่หนุ่มๆอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ถอนกำลังออกจากตลาดหุ้นแห่ไปซื้อกระเป๋ากันหมด (ซึ่งจะทำให้ราคามันพุ่งปรี๊ดไปอีก) การแปลบทความนี้อาจเป็นมุมมองเพียงบางส่วน ที่ยังขาดในส่วนของปัจจัยอื่นๆ ส่วนตัวมองว่าการเปรียบเทียบกันที่ระยะเวลา 35 ปี อาจยาวนานเกินไป ไม่เหมาะกับวงจรเศรษฐกิจที่ขึ้นและลงในรอบ 7-10 ปี รวมถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลอาจยังไม่ถูกนำมาคำนวณ ก็เช่นกัน อย่างไรก็ดี ถ้าพ่อบ้านอย่างเราๆ คอยติดตามข่าวสารและวิเคราะห์เหตุปัจจัยด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การจะเลือกลงทุนให้ผลตอบแทนชนะคุณนายที่บ้าน (Benchmark คือราคากระเป๋าหนังจรเข้) ก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงนัก
การเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนระหว่างกระเป๋า Hermès Birkin กับตลาดหุ้นและทองคำ มีความเหมาะสม เหตุผล: 1.ประเภทของสินทรัพย์: ทั้งสามอย่างเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนนิยมซื้อเพื่อรักษามูลค่าและสร้างผลตอบแทน 2.ข้อมูล: ใช้วิธีเปรียบเทียบผลตอบแทนระยะยาว (35 ปี) 3.ปัจจัยเสี่ยง: ทั้งสามอย่างมีปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน ข้อจำกัด: -ระยะเวลา: 35 ปีอาจยาวนานเกินไป ไม่เหมาะกับวงจรเศรษฐกิจที่ขึ้นและลงในรอบ 7-10 ปี -ปัจจัยอื่น: บทความไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น เงินปันผล ค่าธรรมเนียม ภาษี -ความคล่องตัว: กระเป๋า Hermès Birkin มีสภาพคล่องต่ำกว่าตลาดหุ้นและทองคำ ตัวอย่าง: -ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงสูง -ทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ -กระเป๋า Hermès Birkin หายากและมีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่สภาพคล่องต่ำ สรุป: การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท แต่ไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงจากข้อมูลนี้ ควรศึกษาปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26452
Medical
การกินอาหารที่มีค่า SPF สูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ค่า SPF (Sun Protection Factor) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของยากันแดดในการป้องกันรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวไหม้แดด อาหารที่มีค่า SPF สูง หมายถึง อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสามารถช่วยป้องกันรังสี UVA ได้ รังสี UVA เป็นสาเหตุของริ้วรอย และความแก่ก่อนวัย แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งผิวหนังเกิดจากหลายสาเหตุหลักๆ ดังนี้ การสัมผัสรังสี UVB เป็นเวลานาน พันธุกรรม ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การสัมผัสสารก่อมะเร็ง งานวิจัยเกี่ยวกับอาหารที่มีค่า SPF สูง: มีงานวิจัยบางชิ้นที่พบว่า การกินอาหารที่มีค่า SPF สูง เช่น มะเขือเทศ ชาเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเหล่านี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมศึกษาไม่มากพอ ระยะเวลาการศึกษาสั้น ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า การกินอาหารที่มีค่า SPF สูง ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ข้อแนะนำ: การป้องกันมะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสี UV โดยตรง ทายากันแดดเป็นประจำ โดยเลือกค่า SPF ที่เหมาะสมกับสภาพผิว สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใส่หมวก กางร่ม หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน กินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักผลไม้ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพกับแพทย์ผิวหนังเป็นประจำ สรุป: การกินอาหารที่มีค่า SPF สูง ไม่ได้ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังโดยตรง การป้องกันมะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสรังสี UV โดยตรง ทายากันแดด กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพกับแพทย์ผิวหนังเป็นประจำ
ผิวหนัง Dermatology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_15662
Medical
อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ มีสาเหตุจากอะไรบ้าง
กลั้นไว้ ไม่ไหวแล้ว ตอนที่ 1 กลั้นไว้ ไม่ไหวแล้ว ตอนที่ 1 ศ.นพ.วชิร คชการ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ได้อธิบายว่า การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่พบบ่อย จนกลายเป็นความเคยชินเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ เป็นภาวะที่สามารถรักษาดูแลให้หาย หรือทําให้อาการดีขึ้นได้ ซึ่งการดูแลรักษาอาจมีความแตกต่างจากผู้ที่มีอายุน้อยกว่าอยู่บ้าง เพราะปัจจัยด้านสุขภาพที่แตกต่างกันของผู้ป่วยแต่ละคน ศ.นพ.วชิร ชี้แจงว่า อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุนี้ อาจเกิดได้จากสาเหตุที่แตกต่างจากอาการในผู้อายุน้อยกว่า และอาจเป็นสิ่งที่แก้ไขกลับคืนได้ง่าย หรือเป็นสภาวะที่เป็นเพียงชั่วคราว โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้ ผู้ป่วยสูงอายุมีอาการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุอื่น ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทํางานของระบบปัสสาวะ ซึ่งการเจ็บป่วยดังกล่าว อาจเกิดผลกระทบต่อการทํางานของสมอง ทําให้เกิดอาการเพ้อ สับสน จนทําให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีปัสสาวะเล็ดราด เมื่อได้ทําการรักษาอาการเจ็บป่วยนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว อาการดังกล่าวจะหายไปด้วย การอักเสบติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทําให้มีอาการปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะราด ซึ่งหลังจากรักษาอาการอักเสบติดเชื้อหายแล้ว อาการปัสสาวะเล็ดราดหายไปได้ ปัญหาด้านจิตใจ โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในวัยผู้สูงอายุ เมื่อเกิดอาการซึมเศร้าก็อาจจะมีปัสสาวะเล็ดราด หลายครั้งพบว่าผู้สูงอายุมีอาการซึมเศร้า เพราะถูกทอดทิ้ง ขาดการเอาใจใส่จากลูกหลาน และมีอาการปัสสาวะเล็ดราดตามมา เมื่อได้ทําการรักษาอาการซึมเศร้า หรือทําให้ดีขึ้น ก็จะทําให้อาการปัสสาวะเล็ดราดหายไปด้วย ผลจากการใช้ยา มียาหลายชนิดที่ส่งผลให้มีปัสสาวะเล็ดราด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้อากาศ ยาขยายหลอดลม ยาแก้ไอ ยาแก้ปวดท้องที่ทําให้มีปัสสาวะตกค้างถ่าย มีปัสสาวะล้นออกมา ยาลดอาการซึมเศร้า หรือยาที่ใช้ในการรักษากระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ ทําให้มีปัสสาวะออกไม่หมด มีปัสสาวะล้นออกมาเช่นกัน และประการสําคัญ ผู้สูงอายุมักมียาประจําตัวหลายชนิด รวมถึงอาจได้รับยาเพิ่ม เมื่อมีอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ได้ เพียงปรับการใช้ยาหรือเปลี่ยนยาบางชนิดเท่านั้น ความผิดปกติของฮอร์โมนทําให้มีปัญหาเบาหวาน เบาจืด ทําให้มีผลต่อการกลั้นปัสสาวะ เพราะเบาหวาน ซึ่งพบได้ในวัยสูงอายุอาจจะมีน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทําให้ระคายเคือง หรือทําให้ปัสสาวะออกมามากได้ ส่วนเบาจืดเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ ทําให้การดูดน้ำกลับผิดปกติ ทําให้ปริมาณปัสสาวะออกมามาก ทําให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้เช่นกัน หากเกิดจากปัญหาทั้งสองก็ต้องรักษาสาเหตุพื้นฐานดังกล่าวก่อน จึงจะทําให้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ดีขึ้นได้ ข้อจํากัดในการเดิน การเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มีอาการปวดเอว ปวดหลัง ปวดเข่า ทําให้เดินลําบาก จะขยับตัวเดินไปห้องน้ำได้ใช้เวลานาน ทําให้ปัสสาวะราดออกมาก่อน นอกจากนั้น อาจมีปัญหาด้านสายตาที่มองไม่ชัด ทําให้เดินไปห้องน้ำช้า ปัสสาวะราดก่อนเช่นกัน การแก้ไขคือ ต้องอํานวยความสะดวกในการเข้าห้องน้ำ เช่น เพิ่มแสงสว่าง ร่นระยะทางการไปห้องน้ำ หรืออาจใช้กระโถนช่วยก็ได้ ท้องผูก ทําให้ก้อนอุจจาระที่จับเป็นก้อนแข็งกดบริเวณท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะส่งผลให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เมื่อได้รับการแก้ไขเอาก้อนอุจจาระออก จะทําให้การกลั้นปัสสาวะดีขึ้นได้
อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ อาจเกิดได้จากสาเหตุที่แตกต่างจากอาการในผู้อายุน้อยกว่า และอาจเป็นสิ่งที่แก้ไขกลับคืนได้ง่าย หรือเป็นสภาวะที่เป็นเพียงชั่วคราว โดยมีสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. ผู้ป่วยสูงอายุมีอาการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุอื่น ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทํางานของระบบปัสสาวะ ซึ่งการเจ็บป่วยดังกล่าว อาจเกิดผลกระทบต่อการทํางานของสมอง ทําให้เกิดอาการเพ้อ สับสน จนทําให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือมีปัสสาวะเล็ดราด เมื่อได้ทําการรักษาอาการเจ็บป่วยนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว อาการดังกล่าวจะหายไปด้วย 2. การอักเสบติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทําให้มีอาการปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะราด ซึ่งหลังจากรักษาอาการอักเสบติดเชื้อหายแล้ว อาการปัสสาวะเล็ดราดหายไปได้ 3. ปัญหาด้านจิตใจ โดยเฉพาะอาการซึมเศร้า ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในวัยผู้สูงอายุ เมื่อเกิดอาการซึมเศร้าก็อาจจะมีปัสสาวะเล็ดราด หลายครั้งพบว่าผู้สูงอายุมีอาการซึมเศร้า เพราะถูกทอดทิ้ง ขาดการเอาใจใส่จากลูกหลาน และมีอาการปัสสาวะเล็ดราดตามมา เมื่อได้ทําการรักษาอาการซึมเศร้า หรือทําให้ดีขึ้น ก็จะทําให้อาการปัสสาวะเล็ดราดหายไปด้วย 4. ผลจากการใช้ยา มียาหลายชนิดที่ส่งผลให้มีปัสสาวะเล็ดราด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้อากาศ ยาขยายหลอดลม ยาแก้ไอ ยาแก้ปวดท้องที่ทําให้มีปัสสาวะตกค้างถ่าย มีปัสสาวะล้นออกมา ยาลดอาการซึมเศร้า หรือยาที่ใช้ในการรักษากระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ ทําให้มีปัสสาวะออกไม่หมด มีปัสสาวะล้นออกมาเช่นกัน และประการสําคัญ ผู้สูงอายุมักมียาประจําตัวหลายชนิด รวมถึงอาจได้รับยาเพิ่ม เมื่อมีอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ได้ เพียงปรับการใช้ยาหรือเปลี่ยนยาบางชนิดเท่านั้น 5. ความผิดปกติของฮอร์โมนทําให้มีปัญหาเบาหวาน เบาจืด ทําให้มีผลต่อการกลั้นปัสสาวะ เพราะเบาหวาน ซึ่งพบได้ในวัยสูงอายุอาจจะมีน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ ทําให้ระคายเคือง หรือทําให้ปัสสาวะออกมามากได้ ส่วนเบาจืดเกิดจากการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ ทําให้การดูดน้ำกลับผิดปกติ ทําให้ปริมาณปัสสาวะออกมามาก ทําให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้เช่นกัน หากเกิดจากปัญหาทั้งสองก็ต้องรักษาสาเหตุพื้นฐานดังกล่าวก่อน จึงจะทําให้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ดีขึ้นได้ 6. ข้อจํากัดในการเดิน การเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น มีอาการปวดเอว ปวดหลัง ปวดเข่า ทําให้เดินลําบาก จะขยับตัวเดินไปห้องน้ำได้ใช้เวลานาน ทําให้ปัสสาวะราดออกมาก่อน นอกจากนั้น อาจมีปัญหาด้านสายตาที่มองไม่ชัด ทําให้เดินไปห้องน้ำช้า ปัสสาวะราดก่อนเช่นกัน การแก้ไขคือ ต้องอํานวยความสะดวกในการเข้าห้องน้ำ เช่น เพิ่มแสงสว่าง ร่นระยะทางการไปห้องน้ำ หรืออาจใช้กระโถนช่วยก็ได้ 7. ท้องผูก ทําให้ก้อนอุจจาระที่จับเป็นก้อนแข็งกดบริเวณท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะส่งผลให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เมื่อได้รับการแก้ไขเอาก้อนอุจจาระออก จะทําให้การกลั้นปัสสาวะดีขึ้นได้
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42167
Finance
"Disruption หรือการทำให้ธุรกิจดั้งเดิม “ล่มสลาย”" อะไรคือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินของธุรกิจมากที่สุด?
(A) เทคโนโลยีดิจิทัล (B) การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม (C) การบริหารจัดการที่ผิดพลาด (D) วิกฤตเศรษฐกิจ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ (B) การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม เพราะว่า เหตุผล: (A) เทคโนโลยีดิจิทัล: บทความอธิบายว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวการหลักที่ disrupt ธุรกิจดั้งเดิม ตัวอย่างเช่น ธุรกิจค้าทองที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ถูกลดบทบาทลงอย่างมากจากการเกิดขึ้นของธุรกรรมออนไลน์ (B) การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม: บทความชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น อาณาจักรของผู้ค้าข้าวและโรงสีใหญ่ เผชิญปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร (C) การบริหารจัดการที่ผิดพลาด: แม้บทความจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้โดยตรง แต่การบริหารจัดการที่ผิดพลาด อาจส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การขาดการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ (D) วิกฤตเศรษฐกิจ: บทความยกตัวอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่ส่งผลต่อธุรกิจธนาคารขนาดใหญ่ แต่ทว่า วิกฤตเศรษฐกิจเป็นเพียงปัจจัยภายนอก คำตอบที่ถูกต้อง: (B) การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม เหตุผล: การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างธุรกิจที่ล่มสลาย ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม เทคโนโลยีดิจิทัล วิกฤตเศรษฐกิจ และการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจ แต่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อปัจจัยอื่น ๆ เหล่านี้ สรุป: "Disruption หรือการทำให้ธุรกิจดั้งเดิม “ล่มสลาย”" การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคม เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการเงินของธุรกิจมากที่สุด ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_41246
Finance
สรุปเกี่ยวกับ กรณีศึกษา NFT กับอนาคตของวงการเพลง ส่งผลยังไงกับธุรกิจการเงิน
Non-Fungible Token หรือ NFT เป็นกระแสที่มาแรงมากนับตั้งแต่ปี 2021 และได้มีการนำไปปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น วงการศิลปะ มีศิลปินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายออกมาสร้างผลงานในรูปแบบ NFT, วงการเกมที่มีการนำ NFT ไปใช้กับตัวละครหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในเกม และอีกหนึ่งวงการที่น่าจับตามอง อีกทั้งเริ่มเห็นการขยับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ในหลายประเทศ นั่นคือ วงการเพลง Warner Music Group (WMG) Warner Music Group (WMG) ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศิลปินชื่อดังในสังกัดมากมาย ตัวอย่างเช่น Bruno Mars, Charlie Puth, Ed Sheeran เป็นต้น โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2022 มีการประกาศจับมือกับ 2 แพลตฟอร์มดังที่มีความเกี่ยวข้องกับ NFT เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ร่วมกัน ได้แก่ The Sandbox และ Splinterlands The Sandbox เป็นแพลตฟอร์มคริปโตฯ ที่เกี่ยวข้องกับ NFT และ Metaverse มีบริษัทที่เข้ามาร่วมกับแพลตฟอร์มนี้แล้วมากมายจากหลายวงการ ซึ่งการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ใช้งานบน Metaverse นอกจากนั้น การประกาศดังกล่าวยังได้มีการระบุอีกด้วยว่า ทาง Warner Music Group (WMG) ได้มีการเข้าไปถึงครองที่ดินบน The Sandbox และจะมีการจัดบริเวณโดยรอบในอีกไม่ช้า Splinterlands เป็นเกมคริปโตฯ ในลักษณะเกมการ์ด โดยการจับมือในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อสร้างและพัฒนาเกมแนวอาร์เดค (Arcade Game) ร่วมกัน YG Entertainment (YG) YG Entertainment ค่ายเพลงจากเกาหลีที่ปั้นศิลปินชื่อดังมากมายดังไกลระดับโลกอย่าง BIGBANG, BLACKPINK ได้ออกมาประกาศความร่วมมือกับ Binance ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อพัฒนาเกมที่อยู่บน Binance Smart Chain และสร้างโลกของ Metaverse ร่วมกัน คุณ Bo Kyung Hwang ตำแหน่ง Chief Executive Officer (CEO) ของ YG กล่าวว่า “ในฐานผู้นำของ Kpop พวกเราวางแผนที่จะสร้างระบบนิเวศของ NFT ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยความร่วมมือกับ Binance ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ YG ในเรื่องค่าลิขสิทธิ์และโอกาสในการทำธุรกิจ อีกทั้งพวกเรายังหวังว่าจะสามารถเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟน ๆ ให้มากขึ้นได้” SM Brand Marketing (SMBM) หลังจาก YG Entertainment ประกาศความร่วมมือกับ Binance ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ ค่ายเพลงชื่อดังอีกหนึ่งค่ายของเกาหลีอย่าง SM Brand Marketing (SMBM) ซึ่งมีศิลปินในสังกัดมากมาย เช่น EXO, Red Velvet, NCT, aespa ก็ได้ออกมาประกาศความร่วมมือกับทาง Binance ด้วยเช่นกัน โดยเปิดตัวมาด้วยแนวคิดที่ว่า “Play-to-Create หรือ P2C” ซึ่งจะเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจาก Play-to-Earn นอกจากนั้น ยังประกาศจับมือกับ The Sandbox เพื่อสร้าง SMTOWN ในพื้นที่โซน K-Verse ด้วยเช่นกัน GMM Grammy ข้างต้นเป็นตัวอย่างของค่ายเพลงในต่างประเทศ สำหรับค่ายเพลงในประเทศไทยก็มีการขยับตัวเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น GMM Grammy ในช่วงปลายปี 2021 มีการประกาศความร่วมมือกับหลายแพลตฟอร์ม โดยล่าสุดมีการเปิดตัว NFT Collection ของวง Getsunova ที่มีชื่อว่า “Thailander” ซึ่งสร้างขึ้นบน Zixel แพลตฟอร์ม NFT จาก Zipmex ให้แฟน ๆ ของวง Getsunova และผู้ที่สนใจได้จับจองเป็นเจ้าของกันได้แล้ววันนี้ รายละเอียดเพิ่มเติม https://zipmex.app/uekvq https://zipmex.app/uekvq สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามอง นั่นคือ ค่ายเพลงต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีทรัพย์สินที่มีลักษณะเป็น NFT และสิ่งที่สามารถเสริมเพิ่มเติมให้ NFT มีความน่าสนใจและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ศิลปิน, ลิขสิทธิ์เพลง, ฐานแฟนคลับที่ชื่นชนศิลปิน, การจัดงานแสดง-คอนเสิร์ตต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งแต่ละบริษัทอาจมีการเลือกนำ NFT ไปปรับใช้กับธุรกิจในแง่มุมที่แตกต่างกัน เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าและบริษัท นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสนุกและความท้าทายของ NFT ในวงการเพลง
Non-Fungible Token หรือ NFT เป็นกระแสที่มาแรงมากนับตั้งแต่ปี 2021 และได้มีการนำไปปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งวงการที่น่าจับตามอง อีกทั้งเริ่มเห็นการขยับตัวของผู้เล่นรายใหญ่ในหลายประเทศ นั่นคือ วงการเพลง ซึ่งมีหลายค่ายเพลงต่างๆ เช่น - Warner Music Group (WMG) ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีศิลปินชื่อดังในสังกัดมากมาย ตั้งแต่ต้นปี 2022 มีการประกาศจับมือกับ 2 แพลตฟอร์มดังที่มีความเกี่ยวข้องกับ NFT โดยจับมือกับ The Sandbox เพื่อสร้างโลกของเสียงเพลงและเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ใช้งานบน Metaverse และ ส่วนจับกับ Splinterlands เพื่อสร้างและพัฒนาเกมแนวอาร์เดค (Arcade Game) ร่วมกัน - YG Entertainment ค่ายเพลงจากเกาหลีที่ปั้นศิลปินชื่อดังมากมายดังไกลระดับโลก ได้ออกมาประกาศความร่วมมือกับ Binance ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อพัฒนาเกมที่อยู่บน Binance Smart Chain และสร้างโลกของ Metaverse ร่วมกัน โดยวางแผนที่จะสร้างระบบนิเวศของ NFT ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ YG ในเรื่องค่าลิขสิทธิ์และโอกาสในการทำธุรกิจ และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินและแฟน ๆ ให้มากขึ้นได้ - SM Brand Marketing (SMBM) ซึ่งมีศิลปินในสังกัดมากมาย ก็ได้ออกมาประกาศความร่วมมือกับทาง Binance ด้วยเช่นกัน และยังประกาศจับมือกับ The Sandbox เพื่อสร้าง SMTOWN ในพื้นที่โซน K-Verse ด้วยเช่นกัน - GMM Grammy ในช่วงปลายปี 2021 มีการประกาศความร่วมมือกับหลายแพลตฟอร์ม โดยล่าสุดมีการเปิดตัว NFT Collection ของวง Getsunova ที่มีชื่อว่า “Thailander” ซึ่งสร้างขึ้นบน Zixel แพลตฟอร์ม NFT จาก Zipmex ให้แฟน ๆ ของวง Getsunova ทั้งนี้ทั้งนั้นความสนุกและความท้าทายของ NFT ในวงการเพลง ที่สามารถเสริมเพิ่มเติมให้ NFT มีความน่าสนใจและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ - ยกตัวอย่างเช่น ศิลปิน, ลิขสิทธิ์เพลง, ฐานแฟนคลับที่ชื่นชนศิลปิน, การจัดงานแสดง-คอนเสิร์ตต่าง ๆ เป็นต้น - ซึ่งแต่ละบริษัทอาจมีการเลือกนำ NFT ไปปรับใช้กับธุรกิจในแง่มุมที่แตกต่างกัน เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าและบริษัท
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_568
Finance
เป้าหมายที่เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งแทนที่ความเท่าเทียมเป็นหลัก คืออะไร
null
เป้าหมายที่เป็นทางเลือกอย่างหนึ่งแทนที่ความเท่าเทียมเป็นหลัก คือ การลดจำนวนประชากรที่ยังอยู่ใต้ขีดความยากจนของประเทศให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย พูดง่าย ๆ ทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่ดีเพียงพออย่างมีศักดิ์ศรีตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ มีสวัสดิการรองรับในด้านของความเจ็บป่วย การศึกษาและการตกงาน เป็นต้น โดยเป้าหมายนี้ยังเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยความเชื่อที่ว่า เมื่อประเทศรวยจนถึงระดับหนึ่ง เช่น กลายเป็นสังคมที่มีรายได้สูงแล้ว การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะง่ายขึ้นมาก เพราะรัฐจะมีเงินมากพอ เช่นเดียวกับประชาชนส่วนใหญ่ที่มีความมั่งคั่งพอที่จะจ่ายภาษีในอัตราที่สูงได้ และนี่ก็คงเป็นโมเดลของประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปหลายประเทศ หลายคนอาจจะคิดว่า การพูดว่าตลาดทุนหรือตลาดหุ้นจะพัง หรือมีประสิทธิภาพลดลงมากจนไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้นั้น อาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่คิดว่าในโลกยุคปัจจุบันนั้น ความเชื่อสำคัญเท่า ๆ กับความจริง กล่าวคือ ถ้าคนเชื่อว่าประเทศไทยไม่สนับสนุนตลาดทุนหรือตลาดหุ้น หรือจะเป็นสังคมนิยม เขาก็จะตัดสินใจไม่มาลงทุนหรือถอนการลงทุนออกไป อาจจะโดยการขายหุ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง นั่นก็จะทำให้คนอื่นต้องทำตามเพราะกลัวหุ้นตก และในที่สุดก็ทำให้ตลาดทุนและตลาดหุ้นตกต่ำลง ความเชื่อก็กลายเป็นความจริง
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13266
Medical
ยาเพนทามิดีน (Pentamidine) สามารถใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากเชื้อรา Pneumocystis jirovecii ในผู้ป่วยโรคเอดส์ได้หรือไม่?
null
ได้ เหตุผล: ยาเพนทามิดีนเป็นยาต้านโปรโตซัว (Antiprotozoal drug) ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคปอดอักเสบจากเชื้อรา Pneumocystis jirovecii (PCP) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ กลไกการออกฤทธิ์ของยาเพนทามิดีน คือ ยับยั้งกระบวนการทางชีวภาพของเชื้อรา Pneumocystis jirovecii ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น กระบวนการ Oxidative phosphorylation การรวมตัวของ DNA/RNA และการสังเคราะห์โปรตีน จากการศึกษาทางคลินิก พบว่ายาเพนทามิดีนมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค PCP ในผู้ป่วยโรคเอดส์ โดยสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ยาเพนทามิดีนได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย และจัดอยู่ในหมวดยาอันตราย ซึ่งหมายความว่า ยานี้สามารถใช้รักษาโรค PCP ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ยาเพนทามิดีนมีรูปแบบยาแผนปัจจุบัน 2 รูปแบบ คือ ยาสูดพ่นเข้าระบบทางเดินหายใจ และยาฉีด โดยขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ ยาเพนทามิดีนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ไตวาย ตับทำงานผิดปกติ ความผิดปกติของระบบเลือด น้ำตาลในเลือดต่ำ ความดันโลหิตต่ำ และอาการทางระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หรือ กำลังกินยาอื่นๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาเพนทามิดีน ยาเพนทามิดีนควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 2 - 8 องศาเซลเซียส ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็ง เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแสงแดด ความร้อน และความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง สรุป: ยาเพนทามิดีนสามารถใช้รักษาโรคปอดอักเสบจากเชื้อรา Pneumocystis jirovecii ในผู้ป่วยโรคเอดส์ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_353
Finance
ขอคำแนะนำหน่อย เคล็ดลัดเพิ่มเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
null
เคล็ดลับ เพิ่มเงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่จะช่วยให้เราได้ประโยชน์สูงสุด ดังนี้ 1. ออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เต็มสิทธิ ลองเปลี่ยนมุมมองซักนิดว่า หากให้เราเก็บเงินเอง ก็อาจจะเก็บไม่อยู่ แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้วิธีหักเงินออมจากเงินเดือนมาสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเลย ก็รับประกันได้ว่าเราจะมีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณแน่นอน ดังนั้น เราควรเลือกหักเงินสะสมในอัตราสูงสุด พูดง่ายๆ คือ นายจ้างให้สิทธิออมได้สูงสุดเท่าไหร่ ก็เลือกใช้สิทธิเท่านั้น ซึ่งบางบริษัทให้เราสะสมได้ถึง 15% ของเงินเดือน และนายจ้างจะจ่ายเงินสมทบให้อีกตามข้อกำหนดของบริษัท 2. เลือกนโยบายการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การเลือกนโยบายลงทุน หรือ Employee’s Choice นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากต้องการให้เงินออมของเราโตมากๆ คาดหวังอัตราผลตอบแทนสูงๆ เป็นตัวเลขสองหลัก แต่เลือกนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ 100% ก็คงเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ไม่มีทางที่นโยบายการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว จะทำให้เราได้รับอัตราผลตอบแทนเป็นตัวเลขสองหลักแน่นอน นั่นหมายความว่า... หากคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ก็ควรเลือกนโยบายการลงทุนที่แบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงๆ อย่าง “หุ้น” ด้วยคำถามที่ตามมา คือ ควรแบ่งไปลงทุนในหุ้นสักกี่เปอร์เซ็นต์ดี 20% 30% 50% หรือ 70% คำตอบว่าควรจะแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นเท่าไหร่ดีนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนที่เราคาดหวังว่าจะได้จากเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อให้บรรลุเป้าหมายวัยเกษียณ นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของตัวเราเอง รวมไปถึงทางเลือกในนโยบายการลงทุน หรือ Choice ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเรามีให้เลือกอีกด้วย แต่เนื่องจาก “หุ้น” ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าเงินฝากและตราสารหนี้ จึงทำให้หุ้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน หลายคนจึงกังวลว่าถ้าแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นแล้วจะทำให้ขาดทุน หรือเงินต้นจะสูญ อย่าลืมว่า... การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนที่มีระยะเวลายาวนาน 20 - 40 ปี ซึ่งทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของการลงทุนในหุ้นลดลง ขณะเดียวกันเงินออมของเราก็มีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจากการลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า เราจะมีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณที่เพิ่มมากขึ้น 3. ทบทวนนโยบายการลงทุนและสัดส่วนที่เหมาะกับตัวเองในแต่ละช่วงเวลา ตลอดระยะเวลาการออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น เราควรทบทวนนโยบายและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะกับตัวเราเองในแต่ละช่วงเวลา เพื่อเลือก Choice ให้เหมาะกับตนเองอยู่เสมอ โดยพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจการลงทุนที่เปลี่ยนไป หรือการยอมรับความเสี่ยงของเราที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น อายุ ฐานะ รวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเมื่ออายุมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนและปกป้องเงินต้น ซึ่งก็จะส่งผลต่อจำนวนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่จะได้รับในอนาคตเช่นกัน
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_467
Finance
อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้ Nvidia ครองตลาด AI?
A. ราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง B. เทคโนโลยีชิปที่ล้ำหน้า C. แบรนด์ที่มีชื่อเสียง D. กลยุทธ์การตลาดที่รัดกุม
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า Nvidia ครองตลาด AI เนื่องจากเทคโนโลยีชิปที่ล้ำหน้า โดยเฉพาะชิป A100 ที่ออกแบบภายใต้สถาปัตยกรรม Ampere ซึ่งมีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่าและเร็วกว่าเทคโนโลยีของคู่แข่ง ชิปเหล่านี้ได้รับการนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการการประมวลผลที่มีพลังสูง เช่น Generative AI, Cloud Computing, และ Autonomous Vehicles นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจ Data Center ที่ต้องใช้ชิปของ Nvidia ทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่สูงขึ้นอย่างมากในปี 2023 ประสิทธิภาพของชิป Nvidia ที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งในด้านความเร็วและพลังการประมวลผล จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทครองตลาด AI ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3658
Finance
เขียนแนวคิดเกี่ยวกับ "เมื่อบริษัทประกันชีวิตพบกับท้ายเกม ด้วยการเรียนรู้จากความล้มเหมือนของธนาคาร SVB"
null
การตั้งคำถามเกี่ยวกับว่า "บริษัทประกันชีวิตจะล้มเหมือนธนาคาร SVB ที่เพิ่งจะล้มไปหรือไม่?" เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับมุมมองและข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้คือแนวคิดที่อาจจะพิจารณา: 1. ความแตกต่างในโครงสร้างและการดำเนินธุรกิจ: บริษัทประกันชีวิตและธนาคารมีโครงสร้างและลักษณะการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างมาก ธนาคารมีการดำเนินธุรกิจทางการเงินและการให้บริการทางการเงินโดยใช้เงินฝากของลูกค้าในการให้สินเชื่อและการลงทุน ในขณะที่บริษัทประกันชีวิตมุ่งเน้นในการให้บริการประกันชีวิตและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพย์สินของลูกค้า 2. การบริหารจัดการความเสี่ยง: ภาวะความเสี่ยงที่อาจพบในธนาคารและบริษัทประกันชีวิตมีความแตกต่างกัน เช่น ธนาคารอาจเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินและเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการสูญเสียจากการให้สินเชื่อที่ผิดพลาด ในขณะที่บริษัทประกันชีวิตมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการคำนวณรายได้ที่มาจากเบี้ยประกันชีวิต 3. การควบคุมและกำกับดูแล: ภาคการเงินมีระบบการควบคุมและกำกับดูแลที่เข้มงวดอยู่ เช่น การตรวจสอบการเงิน การกำกับดูแลการป้องกันการฟอกเงิน และการควบคุมการเงินที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อ ในขณะที่ภาคการเงินมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดอยู่ บริษัทประกันชีวิตก็มีการกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานการกำกับดูแลที่กำหนดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4. ผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ: สภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของทั้งธนาคารและบริษัทประกันชีวิต การลงทุนและการออกแบบผลิตภัณฑ์จะต้องพิจารณาถึงสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและอนาคตที่เป็นไปได้ เศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองอาจส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตมีโอกาสทำกำไรมากขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจที่ชะลออาจส่งผลให้บริษัทประกันชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่จะลดกำไรหรือสูญเสีย 5. การบริหารจัดการโดยเจ้าของธุรกิจ: การบริหารจัดการโดยเจ้าของธุรกิจมีผลต่อความเสถียรของบริษัท การบริหารจัดการที่ดีอาจช่วยให้บริษัทประกันชีวิตหลีกเลี่ยงการล้มเหลว โดยการดำเนินการอย่างรอบคอบและมีความระมัดระวังในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สรุป แม้ว่าบริษัทประกันชีวิตจะไม่ล้มเหมือนธนาคาร SVB การวิเคราะห์และการบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าและการรักษาความเสถียรภาพในอุตสาหกรรมนี้
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_296
Finance
การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) มีอีกชื่อเรียกว่าอะไร ระหว่าง การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ การออมหุ้นต่างประเทศ
null
การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย เพราะการลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) มีอีกชื่อเรียกว่า การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย เป็นการลงทุนด้วยเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน วิธีนี้จะทำให้สามารถซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้นเมื่อราคาต่ำลง และจะซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น เหมาะสมอย่างยิ่งกับสภาวะตลาดที่มีความผันผวน ส่วนการออมหุ้นต่างประเทศ เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้ในระยาว โดยหลักการจะคล้ายกับการออมหุ้นไทยหรือกองทุนรวมที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ตลาดหุ้นต่างประเทศจะค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่กว่า มีประเภทธุรกิจหลากหลายกว่าให้เลือก การลงทุนแบบ DCA ช่วยให้นักลงทุนที่ยังไม่เคยจับจังหวะการเข้าซื้อหุ้นต่างประเทศ ก็สามารถใช้ DCA มาช่วยจับจังหวะการลงทุนได้เหมือนกัน ลงทุนออมหุ้นต่างประเทศ กับ บล.ฟิลลิป มีหุ้นอะไรให้ลงทุนบ้าง • ออมหุ้นตลาดเอเชีย (Asia Share Builder Plan) เริ่มต้นลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ต่อ 1 หลักทรัพย์ China (ICBC Bank, China Petroleum & Chemical Corp) Hong Kong (Lenovo Group Limited, Oriental Watch Holdings Limited, CSOP Hang Seng TECH Index ETF) Singapore (Genting Singapore Limited, Thai Beverage Public Company Limited, HRnetGroup Limited, Keppel REIT) • ออมหุ้นอเมริกา (Global Share Builder Plan) เงินลงทุนขั้นต่ำในแต่ละเดือน 10,000 บาท/หุ้น AAPL, DIS, NIKE, WMT, IAU, HERO, IXUS, MCHI, VT, ARKK, AMZN, TSLA, GOOGL เงินลงทุนขั้นต่ำในแต่ละเดือน 20,000 บาท/หุ้น META, MSFT, BRKb, QQQ, VOO, NVDA เงินลงทุนขั้นต่ำในแต่ละเดือน 30,000 บาท/หุ้น
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_21080
Medical
จากสูตรคำนวณพลังงาน "พลังงานที่ใช้ไป (กิโลแคลอรี) = ๐.๐๑๗๕ X น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) X เวลาที่ทำกิจกรรม (นาที) X MET" พลังงานที่ใช้ไปจะขึ้นกับอะไรบ้าง
กิจกรรม ลดอ้วน การลดความอ้วนหรือการลดพุงนั้นไม่ยากหากมีการออกกำลังร่วมด้วย ผู้เขียนจะนำเสนอวิธีการออกกำลังที่เหมาะสม โดยใช้หลักการเผาผลาญไขมันจากการใช้พลังงานของร่างกาย หลักการลดน้ำหนักนั้นง่ายมากคือกินให้น้อยลง ใช้ให้มากขึ้น American College of Sport Medicine แนะนำให้กินให้น้อยลงวันละ ๒๕๐ กิโลแคลอรี และออกกำลังหรือทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นจากเดิมวันละ ๒๕๐ กิโลแคลอรี รวมเป็น ๕๐๐ กิโลแคลอรี เท่ากับใช้ไขมันไป ๕๐๐๙ ๕๕ กรัม ไขมัน ๑ กรัมให้พลังงาน ๙ กิโลแคลอรี หรือประมาณครึ่งขีด ๑ ขีด ๑๐๐ กรัม ถ้าทำต่อเนื่อง ๒๐ วันจะลดได้ ๑ กิโลกรัม ๖๐ วันหรือ ๓ เดือนจะลดได้ ๓ กิโลกรัม ออกกำลังร่วมกับลดการกินจะดีกว่าการลดอาหารอย่างเดียว ซึ่งต้องทนหิวและทรมานตัวเองมากไป กิจกรรมกับการใช้พลังงาน กิจกรรมในชีวิตประจำวันใช้พลังงานทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ที่จะลดความอ้วนควรจะเพิ่มกิจกรรมจากเดิมที่เคยทำในแต่ละวันให้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ๒๕๐ กิโลแคลอรี อาจคำนวณพลังงานที่ใช้จากสูตรนี้ พลังงานที่ใช้ไป กิโลแคลอรี ๐๐๑๗๕ X น้ำหนักตัว กิโลกรัม X เวลาที่ทำกิจกรรม นาที X MET จากสูตร พลังงานที่ใช้ไปจะขึ้นกับ ๑ น้ำหนักตัว ยิ่งน้ำหนักตัวมากจะต้องใช้พลังงานมาก คนที่มีน้ำหนักตัวมาก จะใช้พลังงานเข้าใกล้เป้าหมายคือ ๒๕๐ กิโลแคลอรีได้ง่ายกว่าคนผอม ๒ เวลาในการทำกิจกรรม ยิ่งทำนานจะใช้แคลอรีมากขึ้น ๓ ค่า MET ของกิจกรรมๆ นั้น ค่า MET ย่อมาจาก Metabolic Equivalent เป็นหน่วยบอกจำนวนเท่าของการใช้พลังงานในกิจกรรมใดๆ เทียบกับขณะนั่งพัก หรือ ๑ MET ยกตัวอย่างเช่น การเดินขึ้นบันไดใช้พลังงาน ๙ เท่าของขณะพักหรือ ๙ METs การเดินเร็วจะใช้พลังงาน ๕ เท่าของขณะพักหรือ ๕ METs คุณท้วมหนัก ๗๕ กิโลกรัม ต้องการออกกำลังด้วยการเดินเร็วให้ใช้พลังงาน ๒๕๐ กิโลแคลอรี คุณท้วมควรเดินนานเท่าไร ๒๕๐ กิโลแคลอรี ๐๐๑๗๕ X ๗๕ กิโลกรัม X เวลาที่ออกกำลัง นาที X ๕ METs เวลาที่ทำกิจกรรม นาที ๒๕๐๐๐๑๗๕ X ๗๕ X ๕ ๓๘ นาที กิจกรรมแต่ละชนิดจะมีความหนักที่แตกต่างกันไป ขอยกตัวอย่างกิจกรรมออกกำลังที่ทำกันบ่อยๆ ดังต่อไปนี้ ♦ เล่นโยคะ ๒๕ METs ♦ ไท่จี๋ ๔๐ METs ♦ ขี่จักรยานตามสบาย ๔๐ METs ♦เต้นรำจังหวะเร็ว ๔๕ METs ♦ เดินเร็ว ๕๐ METs ♦ เดินเร็วมาก ๖๓ METs ♦ เต้นแอโรบิก ๖๕ METs ♦ ว่ายน้ำ ๗๐ METs ♦ วิ่ง ๗๐ METs ♦ ขี่จักรยานเร็ว ๘๐ METs ♦ กระโดดเชือก ๑๐๐ METs ลองเลือกกิจกรรมที่ตัวเองชอบแล้วคำนวณเพื่อให้ได้เวลาที่จะต้องทำกิจกรรมนั้นเพื่อให้ใช้พลังงานได้ ๒๕๐ กิโลแคลอรี ข้อแนะนำคืออย่าเลือกกิจกรรมที่หนักหรือเบาเกินไป และกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อข้อ เช่น ถ้าคุณท้วมหนัก ๗๕ กิโลกรัม อยากจะกระโดดเชือก ๑๐ METs จะต้องใช้เวลา ๒๕๐๐๐๑๗๕ X ๗๕ X ๑๐ ๒๐ นาที คุณท้วมอาจทำไม่ไหวเพราะขาจะล้าเสียก่อน ข้อสะโพก เข่าและเท้าจะบาดเจ็บเพราะแรงกระแทกไปเสียก่อนที่น้ำหนักจะลด ถ้าเลือกไท่จี๋ ๔ METs ต้องใช้เวลา ๒๕๐๐๐๑๗๕ X ๗๕ X ๔ ๔๗ นาที อาจนานเกินไปสำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลัง จะเบื่อเสียก่อน การเดินเร็วเป็นวิธีที่เหมาะสมและง่ายที่สุดสำหรับผู้ที่จะลดน้ำหนักเพราะใช้เวลาไม่มากเกินไป ๓๐-๔๕ นาที ไม่ยุ่งยากมีเพียงรองเท้าผ้าใบส้นหนาๆ เพื่อลดแรงกระแทกสักคู่หนึ่งก็พอ ผู้ที่มีเครื่องออกกำลังที่บ้าน เช่น ลู่วิ่ง จักรยานอยู่กับที่ การออกกำลังเพื่อลดอ้วนยิ่งง่าย เพราะไม่ต้องคำนวณสูตรข้างต้นให้ยุ่งยาก เครื่องออกกำลังส่วนใหญ่จะคำนวณแคลอรีที่ใช้ให้ ที่สำคัญคือต้องใส่ข้อมูลน้ำหนักตัว ให้เครื่องคำนวณแคลอรีด้วย เลิกเอาเครื่องออกกำลังเป็นราวตากผ้าเสียที ท่านที่ชอบอุปกรณ์ไฮเทค เช่น เครื่องนับก้าว เครื่องวัดระยะทางที่มีตัวส่งสัญญาณที่รองเท้า อุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถวัดพลังงานที่ใช้จากการเคลื่อนไหวได้ในหน่วยกิโลแคลอรี เพียงแต่ต้องตั้งเครื่องให้นับแคลอรีได้ เมื่อลดอาหารและออกกำลังไปสักพักน้ำหนักตัวจะลดลง ต้องคำนวณเวลาออกกำลังใหม่ ยิ่งน้ำหนักลดลง เวลาที่ใช้ในการออกกำลังจะนานขึ้นจึงจะถึงแคลอรีเป้าหมาย ๒๕๐ ซึ่งเป็นข้อดีเพราะทำได้ง่ายในช่วงแรกและจะยากหรือนานขึ้นเรื่อยๆ เมื่อน้ำหนักลดลงแล้ว ต้องออกกำลังต่อไปร่วมกับการควบคุมการกินอาหารให้เป็นนิสัย ซึ่งจะไม่ยากมากนัก เพราะการลดอาหารและออกกำลังด้วยวิธีนี้ กินน้อยลงวันละ ๒๕๐ กิโลแคลอรี ออกกำลังเพิ่มขึ้นวันละ ๒๕๐ กิโลแคลอรี เป็นการลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ได้ผลช้าก็จริง แต่เป็นการค่อยปรับสภาพร่างกายไปสู่น้ำหนักตัวที่เบาขึ้น จะดีกว่าวิธีจำกัดแคลอรีที่ให้กินได้ ๘๐๐ กิโลแคลอรี หรือวิธีของแอตคินส์ ไม่กินคาร์โบไฮเดรตเลย ๒ วิธีที่กล่าวมานี้น้ำหนักตัวจะลดลงเร็วในช่วงแรก แต่มักไม่ยั่งยืน เป็นการปรับพฤติกรรมแบบหักดิบ ผู้ที่ใช้วิธีเหล่านี้มักมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดโปรแกรม กิจกรรมเสริม นอกจากการออกกำลังเพื่อใช้พลังงานแล้ว ผู้ที่จะลดอ้วนควรเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นด้วยการทำกิจกรรมเสริม ใช้พลังงานในแต่ละวันเพิ่มขึ้น กิจกรรมเสริมนี้อาจจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน เช่น การจอดรถให้ห่างจากสถานที่ทำงาน การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การขี่จักรยานหรือเดินไปตามสถานที่ต่างๆ แทนการใช้รถ การทำสวน ล้างรถ ทำงานบ้าน ฯลฯ พลังงานที่ใช้ในกิจกรรมเหล่านี้จะสะสมได้ แต่มักจะไม่ถึงเป้าคือ ๒๕๐ กิโลแคลอรี แต่เป็นการเสริมการใช้พลังงานของร่างกายทำให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้น ก่อนจะจบขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีน้ำหนักเกินทุกท่าน ความตั้งใจ มุ่งมั่น และสม่ำเสมอเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านลดน้ำหนักได้ เมื่อลดน้ำหนักได้แล้วจะเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งในชีวิต ที่สำคัญคือ สุขภาวะทั้งกายและใจจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวเบาขึ้น ความดันโลหิต ไขมัน น้ำตาลในเลือดที่เคยสูงจะลดลง ห่างไกลโรคร้ายที่อาจตาม เช่น โรคหัวใจและอัมพาต
พลังงานที่ใช้ไป (กิโลแคลอรี) = ๐.๐๑๗๕ X น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) X เวลาที่ทำกิจกรรม (นาที) X MET จากสูตร พลังงานที่ใช้ไปจะขึ้นกับ ๑. น้ำหนักตัว ยิ่งน้ำหนักตัวมากจะต้องใช้พลังงานมาก คนที่มีน้ำหนักตัวมาก จะใช้พลังงานเข้าใกล้เป้าหมายคือ ๒๕๐ กิโลแคลอรีได้ง่ายกว่าคนผอม ๒. เวลาในการทำกิจกรรม ยิ่งทำนานจะใช้แคลอรีมากขึ้น ๓. ค่า MET ของกิจกรรมๆ นั้น ค่า MET ย่อมาจาก Metabolic Equivalent เป็นหน่วยบอกจำนวนเท่าของการใช้พลังงานในกิจกรรมใดๆ เทียบกับขณะนั่งพัก หรือ ๑ MET ยกตัวอย่างเช่น การเดินขึ้นบันไดใช้พลังงาน ๙ เท่าของขณะพักหรือ ๙ METs การเดินเร็วจะใช้พลังงาน ๕ เท่าของขณะพักหรือ ๕ METs
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22361
Medical
การวิฉัยโรคด้วยสีหน้าคืออะไร
null
สีหน้า คือ การแสดงออกทางอารมณ์ที่หน้าตาของคนไข้ การแสดงออกทางอารมณ์ที่หน้าตาของคนไข้ จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้เป็นอย่างดี และช่วยให้การตรวจรักษาต่อไปถูกทางยิ่งขึ้น ก หน้าบูดหน้าบึ้ง แสดงว่าคนไข้กำลังไม่สบายใจ กำลังโกรธ เพราะถูกคนขัดใจ หรือเกิดความไม่สมหวัง ความผิดหวัง การตรวจรักษาต่อไป จึงควรจะสอบถามจะโดยทรงตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ถึงสาเหตุที่ทำให้คนไข้ไม่สบายใจ และหากได้ช่วยแก้ไขได้ ถึงจะช่วยแก้หาสาเหตุไม่ได้เลย เช่น สามีไปมีภรรยาใหม่ อย่างน้อยการพูดคุยกับคนไข้ในเรื่องนี้ ก็จะช่วยให้คนไข้ได้ระบายความคับแค้นในจิตใจของตนออก ทำให้คนไข้สบายใจขึ้น หน้ากังวล หน้าเครียด หน้าหงุดหงิด หน้าเศร้า แสดงว่าคนไข้กำลังไม่สบายใจ เพราะห่วงหรือคิดหนักในเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือหลายเรื่องอยู่ เช่น เรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว หรือผิดหวังในเรื่องหนึ่งเรื่องใด การตรวจรักษาต่อไป จึงควรจะสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนไข้ไม่สบายใจ และหาทางช่วยแก้ไขให้คนไข้ นอกจากนั้น ก็ควรจะพูดคุยให้กำลังใจ ให้คติสอนใจ และให้คนไข้ได้ขำขัน คนไข้จะได้รู้สึกสบายใจขึ้น อย่างน้อยก็ในขณะที่เรากำลังพูดคุยซักประวัติ และตรวจร่างกายของผู้ป่วยอยู่ ค หน้าเบื่อ หน้าเซ็ง แสดงว่า คนไข้กำลังเบื่อหน่าย ท้อถอยหรือหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคแห่งชีวิต เพราะเกิดความผิดหวังหรือไม่สมหวังในสิ่งที่ตนตั้งใจ การตรวจรักษาต่อไป จึงควรจะสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนไข้เบื่อหรือเซ็ง และหาทางช่วยแก้ไขให้ ทำให้คนไข้เกิดกำลังใจ และมองเห็นช่องทางที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ อีก ง หน้าตื่น แสดงว่า คนไข้กำลังตกใจ กลัว หรือตื่นเต้น เพราะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปทำให้คนไข้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น การตรวจรักษาต่อไป จึงควรสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้คนไข้กลัวหรือตื่นเต้น เช่น ฝันร้าย คำพยากรณ์ ของหมอดู หรืออื่น ๆ แล้วหาทางปัดเป่าหรือทำให้ความกลัวหรือความตื่นเต้นนั้นคลายลง อาการเจ็บป่วยจึงจะดีขึ้นได้ จ หน้าเฉย หรือสีหน้าไม่เข้ากับอารมณ์ แสดงว่าคนไข้เป็นโรคจิตบ้า หรือแกล้งทำ หรือเป็นโรคสั่นเมื่อว่าง โรคพาร์กินสัน Parkinsons disease หรือ เป็นโรคแรงตกเร็ว โรคมัยแอ๊สธีเนีย Myasthenia gravis จึงควรจะซักถามและตรวจร่างกายให้รู้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรแน่
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12475
Medical
กัวอะนิลเลท ไซเคลสจะคอยทำหน้าที่เปลี่ยนสารชีวะโมเลกุลที่ชื่อว่าอะไร
A. unsaturation B. Guanosine-5-triphosphate GTP C. Fatty acids D. unsaturated fatty acids
คำตอบที่ถูกต้องคือ B. เพราะว่า กัวอะนิลเลท ไซเคลสจะคอยทำหน้าที่เปลี่ยนสารชีวะโมเลกุลที่ชื่อว่า Guanosine-5-triphosphate GTPสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย ไปเป็น 3 5-Guanosine monophosphate cGMPสารที่เกี่ยวข้องกับการคลายตัวของหลอดเลือด และการทำงานต่างๆของเซลล์ร่างกาย และ Pyrophosphateสารที่เกี่ยวข้องกับDNAและRNA ซึ่งสาร cGMP มีความสำคัญต่อกระบวนการชีวภาพของร่างกายมนุษย์หลายประการ เช่น มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการคลายตัวของหลอดเลือด การตอบสนองต่อแสงสว่างของจอตา การเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ การหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน การบีบตัวของทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม cGMP จะถูกจำกัดหรือทำหน้าที่ได้น้อยลงโดยเอนไซม์ที่มีชื่อเรียกว่า ฟอสโฟไดเอสเทอเรสPhosphodiesterase เอนไซม์สำคัญที่ใช้ในการทำงานต่างๆของเซลล์ การเข้าใจกลไกข้างต้นสามารถนำมาใช้พัฒนายารักษาโรคชนิดต่างๆได้เป็นอย่างดี สาร กัวอะนิลเลท ไซเคลส ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12588
Medical
ยาคีโนไดออลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
1. ยาฉีด 2. ยาน้ำชนิดรับประทาน 3. ยาทา 4. ยาเม็ดชนิดรับประทาน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4. เพราะว่า ยาคีโนไดออล มีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น ยาเม็ดชนิดรับประทาน ที่ประกอบด้วย Chenodeoxycholic acid 250 มิลลิกรัมเม็ด คีโนไดออลมีขนาดรับประทานอย่างไร -ยาคีโนไดออลมีขนาดรับประทานเพื่อรักษานิ่วในถุงน้ำดี เช่น ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่18ปีขึ้นไป เริ่มต้นรับประทานยา 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง พร้อมอาหาร ขนาดรับประทานยาคีโนไดออลเพื่อรักษาอาการอย่างต่อเนื่องคือ 13–16 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมวัน โดยแบ่งรับประทานเป็น 2 ครั้งวัน ระยะเวลาการรักษาประมาณ 24 เดือน ผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี ห้ามใช้ยานี้ อนึ่ง ยานี้ ไม่สามารถรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่มีสาเหตุจากก้อนนิ่วที่เกิดจากแคลเซียมหินปูนมารวมตัวกัน การปรับขนาดรับประทาน แพทย์จะเริ่มหลังจากผู้ป่วยเริ่มรับประทานยานี้ไปแล้วประมาณ2 สัปดาห์ ในช่วง 3 เดือนแรกของการรับประทานยานี้ ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจเลือดดูสภาพการทำงานของตับตามคำสั่งแพทย์ว่ายังปกติดีหรือไม่ หมายเหตุ -ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ -เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาคีโนไดออล ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยาบาล และเภสัชกร
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_11064
Medical
โรคอะไรบ้างที่ส่งผลต่อทรวงอก?
null
โรคที่ส่งผลต่อทรวงอกมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบในช่องอก โรคบางชนิดส่งผลต่อปอด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD): โรคเรื้อรังที่ทำให้หายใจลำบาก ไอเรื้อรัง และหายใจมีเสียงหวีด โรคหอบหืด: โรคเรื้อรังที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบ และแคบลง ส่งผลให้หายใจลำบาก ไอ หายใจมีเสียงหวีด และแน่นหน้าอก โรคปอดบวม: ภาวะที่มีน้ำคั่งในปอด ทำให้หายใจลำบาก ไอ มีเสมหะ และหายใจมีเสียงหวีด มะเร็งปอด: โรคมะเร็งที่พบได้บ่อย ส่งผลให้หายใจลำบาก ไอ มีเสมหะ ปวดหน้าอก และไอมีเลือดปน โรคบางชนิดส่งผลต่อหัวใจ เช่น โรคหัวใจวาย: ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถได้รับออกซิเจนเพียงพอ ส่งผลให้เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก เหงื่อออก และคลื่นไส้ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ: ภาวะที่หัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ ส่งผลให้รู้สึกใจสั่น วิงเวียนศีรษะ และหมดสติ โรคหัวใจล้มเหลว: ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้หายใจลำบาก อ่อนเพลีย และบวม โรคบางชนิดส่งผลต่ออวัยวะอื่นๆ ในช่องอก เช่น โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ: ภาวะที่เยื่อหุ้มปอดอักเสบ ส่งผลให้เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอแห้ง และหายใจมีเสียงหวีด โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ: ภาวะที่เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ส่งผลให้เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอ และมีไข้ โรคเนื้องอกในช่องอก: เนื้องอกที่เกิดขึ้นในช่องอก ส่งผลให้หายใจลำบาก ไอ มีเสมหะ และเจ็บหน้าอก อธิบายเพิ่มเติม ช่องอกเป็นที่ตั้งของอวัยวะสำคัญหลายอย่าง เช่น ปอด หัวใจ หลอดเลือดขนาดใหญ่ และอวัยวะคั่นระหว่างปอด โรคที่ส่งผลต่ออวัยวะเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของบุคคลได้มาก การวินิจฉัยโรคที่ส่งผลต่อทรวงอกจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจเพิ่มเติม เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก การตรวจ CT Scan ทรวงอก การตรวจวัดการทำงานของปอด และการตรวจหัวใจ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44002
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....เศรษฐกิจไทยหลังคลายล็อกดาวน์ยังมีความเปราะบาง ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
null
เศรษฐกิจไทยหลังคลายล็อก: ฟื้นจริงหรือแค่ฝัน? ตัวละคร: คุณสมชาย: เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ในกรุงเทพ คุณนวล: พนักงานออฟฟิศ คุณพงษ์: นักเศรษฐศาสตร์ เรื่องราว: เช้าวันจันทร์ อากาศปลอดโปร่ง ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติหลังจากคลายล็อกดาวน์ คุณสมชาย เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ในกรุงเทพ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีใจที่ลูกค้าเริ่มกลับมาอุดหนุนร้านอีกครั้ง “ในที่สุดก็คลายล็อกแล้ว หวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นนะ” คุณสมชายพูดกับคุณนวล พนักงานออฟฟิศที่มานั่งทานข้าว “จริงค่ะ พนักงานออฟฟิศหลายคนก็เริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศแล้ว หวังว่าเงินเดือนจะขึ้นเร็วๆ นี้” คุณนวลตอบ “แต่ว่าเศรษฐกิจจะดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณพงษ์ นักเศรษฐศาสตร์ที่นั่งโต๊ะข้างๆ พูดแทรกขึ้น “ทำไมเหรอคะ คุณพงษ์?” คุณนวลถาม “ก็ตอนนี้คนไทยยังติดเชื้อโควิดอยู่เยอะ แถมยังฉีดวัคซีนไม่ครบทุกคน เศรษฐกิจก็ยังไม่มั่นคง” คุณพงษ์อธิบาย “จริงค่ะ พนักงานออฟฟิศหลายคนก็ยังกังวลเรื่องการติดเชื้อ กลัวจะลาป่วยแล้วถูกหักเงินเดือน” คุณนวลพูด “แล้วร้านอาหารของคุณสมชายเป็นอย่างไรบ้างคะ?” คุณพงษ์ถาม “ก็ดีขึ้นบ้าง หลังจากคลายล็อกดาวน์ ลูกค้าเริ่มกลับมาทานข้าวที่ร้าน แต่ก็ยังไม่เหมือนเดิม คนยังกลัวออกจากบ้าน กลัวติดเชื้อ” คุณสมชายตอบ “ใช่ค่ะ ตอนนี้คนยังระวังตัวกันอยู่ เศรษฐกิจก็ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่” คุณพงษ์พูดต่อ “แล้วคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่คะ?” คุณนวลถาม “ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด การฉีดวัคซีน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฯลฯ” คุณพงษ์ตอบ “ก็หวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวเร็วๆ นะคะ” คุณนวลพูด “ใช่ค่ะ หวังว่าทุกคนจะมีงานทำ มีรายได้ มีเงินใช้จ่าย เศรษฐกิจไทยจะได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง” คุณสมชายพูด
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_399
Finance
เขียนโฆษณาแคมเปญเกี่ยวกับบัตรเครดิตเพื่อแก้ปัญหาหนี้ท่วมหัว
null
"ไม่อยากหนี้ท่วมหัว ต้องนี้! บัตรเครดิต พาวเวอร์มันนี่ บัตรเดียวจัดการปัญหาหนี้ท่วมหัวครบ จบ ในหนึ่งเดียว สามารถจ่ายแบบเต็มจำนวนโดยไม่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินโดยตรง ลดปัญหาการก่อหนี้เพิ่ม และสามารถdesofวงเงินการใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้ชัดเจนผ่านแอพลิเคชันได้ ง่าย สะดวก รวดเร็วแบบนี้ ต้องมีบัตรเครดิต พาวเวอร์มันนี่ ไว้ครอบครองแล้วล่ะ!!!" สรุปจากโฆษณาแคมเปญ เทคนิคการใช้บัตรเครดิตให้ห่างไกลหนี้ท่วมหัว - จัดการหนี้เก่า อย่าให้เป็น “หนี้เสีย” สำหรับผู้ที่สามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ เมื่อถึงเวลาจ่ายหนี้ก็ควรเลือกจ่ายแบบเต็มจำนวน แต่ถ้ารายได้เริ่มลดลงและมีแววว่าจะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ไหว ควรวางแผนจ่ายหนี้ให้หมดก่อนที่จะกลายเป็น “หนี้เสีย” เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเครดิตทางด้านการเงินของตัวเอง แต่ถ้าประเมินแล้วว่าไม่สามารถผ่อนชำระได้จริงๆ ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ในการหาทางออกร่วมกัน ซึ่งในช่วงนี้ภาครัฐและสถาบันการเงินออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น ลดดอกเบี้ย ผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระเงินกู้ พักชำระหนี้ชั่วคราว พักชำระเงินต้น หรือจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกหนี้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้ - อย่าก่อหนี้เพิ่ม ในช่วงที่รายได้ไม่แน่นอน นอกจากต้องเร่งจัดการกับหนี้เก่าแล้ว ก็ไม่ควรก่อหนี้ก้อนใหม่ด้วย ถึงแม้บางคนจะบอกว่าตัวเองมีรายได้แน่นอน หางานใหม่ได้ไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าย่ามใจไปก่อหนี้ใหม่แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น เจ็บป่วยจนทำงานไม่ได้ ลูกค้าหด กำไรหาย หนี้ก้อนใหม่จะกลายเป็นภาระและมีผลต่อเงินเก็บออมได้ อย่าลืมว่าการมีรายจ่ายหรือก่อหนี้ระยะยาวในช่วงที่ไม่มีความแน่นอนเป็นความเสี่ยงสูง สิ่งที่เป็นอันตรายอีกอย่างหนึ่งสำหรับการใช้บัตรเครดิต คือ ข้อเสนอของโปรโมชั่นผ่อน 0% เพราะถ้าผ่อนไปแล้วเกิดรายได้หดหายจนไม่สามารถผ่อนต่อได้ เกิดการผิดนัดชำระหรือจ่ายเงินผ่อนชำระค่างวดแบบขั้นต่ำ สิ่งที่ตามมา คือ ดอกเบี้ย ดังนั้น ก่อนจะผ่อนอะไรต้องมั่นใจว่าสามารถจ่ายเงินในแต่ละงวดได้ไปจนครบกำหนดตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ที่สำคัญควรผ่อนข้าวของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น - กดเงินสดจากบัตรเครดิต อย่าหาทำ แม้ว่าบัตรเครดิตจะใช้กดเงินสดได้ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด เพราะวัตถุประสงค์หลักของบัตรเครดิต คือ มีไว้สำหรับการรูดซื้อสินค้าและบริการ หากนำไปกดเงินสดก็จะเสียทั้งค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยสูงมาก เพราะดอกเบี้ยจะคิดตั้งแต่วันที่กดเงินสดเลย - อย่าใช้จนเต็มวงเงิน เมื่อไม่มีใครล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตและไม่รู้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นเมื่อใด เช่น เจ็บป่วยต้องการใช้เงินด่วนก้อนหนึ่งเป็นค่ารักษาพยาบาล สมมติว่าตอนนั้นมีเงินไม่เพียงพอ บัตรเครดิตก็เป็นพระเอกขี่ม้าขาวที่ช่วยได้ โดยเฉพาะช่วงที่ไม่มีเงินสดติดตัว ดังนั้น ควรเก็บวงเงินบัตรเครดิตไว้สำหรับสำรองค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินด้วยใช้จ่ายอย่างมีสติ บัตรเครดิต คือ การซื้อสินค้าและบริการก่อนแล้วค่อยจ่ายทีหลัง ดังนั้น ควรกำหนดวงเงินการใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้รูดบัตรจนเกินกำลังการจ่ายหนี้คืนในแต่ละงวด สำหรับผู้ที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนมือเติบ ก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้จ่ายด้วยการคิดให้รอบคอบก่อนจะรูดบัตรเพื่อซื้อข้าวของ เช่น ข้าวของชิ้นที่จะซื้อวันนี้มีแล้วหรือยัง หรือจำเป็นกับชีวิตในตอนนี้หรือไม่ ถ้ารูดบัตรไปแล้วจะมีเงินชำระหนี้เต็มจำนวนหรือไม่ ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวงก็ควรหักห้ามใจในการใช้บัตรเครดิต
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_27664
Medical
ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองเป็นภาวะเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาด้วยการผ่าตัดใส่สายระบายน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง จะช่วยลดแรงกดของสมองและระบายน้ำที่คั่งในโพรงสมองออกไป ผลลัพธ์หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างช้าๆ มากน้อยแตกต่างกันไป ปัญหาเรื่องการเดินที่ผิดปกติจะดีขึ้นชัดเจนที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจต้องใช้ชีวิตกับโรคนี้ต่อไป สาเหตุที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด: สาเหตุของภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองบางชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ภาวะที่เกิดขึ้นตามอายุ การผ่าตัดมีข้อจำกัด ไม่สามารถแก้ไขความเสียหายของเนื้อสมองที่เกิดขึ้นจากแรงกดของน้ำคั่งในโพรงสมองได้ทั้งหมด ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการติดตามผลและรักษาอย่างต่อเนื่อง แนวทางการรักษา: การผ่าตัดใส่สายระบายน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง ยา: แพทย์อาจสั่งยาบางชนิดเพื่อช่วยควบคุมอาการ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาแก้สมองเสื่อม ยาคลายกล้ามเนื้อ กายภาพบำบัด: ช่วยฟื้นฟูการทรงตัว การเดิน และการทำงานของกล้ามเนื้อ การรักษาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วย เช่น การฝึกพูด การฝึกกลืน การฝึกขับถ่าย แนวทางการป้องกัน: ดูแลสุขภาพทั่วไป ทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมความดันโลหิต ไขมัน และน้ำตาลในเลือด ตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ป้องกันอุบัติเหตุที่ศีรษะ สรุป: ภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด และการรักษาอื่นๆ ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามผลและดูแลอย่างต่อเนื่อง
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_14360
Medical
ช่วยสรุป เกี่ยวกับการใช้เครื่องยิงเซลล์มะเร็งในประเทศไทย
เครื่องยิงฆ่าเซลล์มะเร็ง ตอนที่ 1 เครื่องยิงฆ่าเซลล์มะเร็ง ตอนที่ 1 ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มศว ร่วมกับบริษัทเอกชนทำวิจัยและให้บริการเครื่อง High-Intensity Focused Ultrasound HIFU ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้รักษาโรคในต่างประเทศมากกว่า 10 ปี ก่อนที่จะมีการนำเครื่องนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นเครื่องแรกของประเทศ และทำการติดตั้งที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ มศว. องครักษ์ จ.นครนายก ปัจจุบันได้มีการเปิดให้บริการใช้เครื่องรักษาขั้นต้นแล้วจำนวน 5 โรค ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งทางเดินน้ำดี มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก และเนื้องอกที่มดลูก เครื่อง HIFU บางทีเรียกว่า Focused UltraSound FUS เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำ ที่ใช้ความร้อนจากพลังคลื่นเสียงความถี่สูง Ultrasound ชนิดเข้มข้นเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือตัดเนื้อเยื่อ Tissue ออก การทำงานของเครื่องมีหลักการคล้ายกับการใช้แว่นขยายรวมแสงอาทิตย์ให้ตกอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน Focus ทำให้ความเข้มข้นของแสงสูงจนเกิดเป็นความร้อนได้ แต่เครื่อง HIFU จะเป็นการรวมคลื่นเสียงความถี่สูง โดยมีการส่งคลื่นเสียงจากแหล่งกำเนิดขนาดเล็กจำนวน 256 ชิ้น วางตัวทำมุม 80 องศา ทำให้เกิดการรวมของคลื่นเสียงในจุดที่กำหนดไว้ แหล่งความร้อนที่เกิดขึ้นจะมีขนาด 3x3x1 มิลลิเมตร และมีความร้อนประมาณ 55 - 60 องศาเซลเซียส เพื่อช่วยรักษาเซลล์มะเร็งหรือเสมือนเครื่องยิงฆ่าเซลล์มะเร็ง ความร้อนที่เกิดจากเครื่อง HIFU นำมาใช้ทางการแพทย์ในการรักษาโรคมะเร็งและก้อนเนื้องอกต่างๆ โดยอาศัยหลักการรักษาในลักษณะเดียวกับ Extracorporal therapy หรือ Percutaneous therapy ชนิดอื่นๆ เช่น Radiofrequency ablation และ Microwave ablation กล่าวคือเมื่อเครื่องให้ความร้อนถึงประมาณ 60 องศาเซลเซียส เซลล์จะเกิดภาวะ Coagulative necrosis ทำให้เซลล์ตาย จึงมีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของเครื่อง HIFU ในการรักษามะเร็งและเนื้องอกต่างๆ ในร่างกาย อันได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี ส่วนเนื้องอกที่รักษาได้ดี ได้แก่ ก้อนเนื้องอกของมดลูก Myoma uteri โดยการรักษาด้วยเครื่อง HIFU จะทำให้ก้อนมะเร็งหรือเนื้องอกหยุดการเจริญเติบโตหรือลดขนาดลง เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ทรมานจากความเจ็บปวด แต่ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หัวใจของการรักษาด้วยเครื่อง HIFU ก็คือการนำพลังงานไปเพิ่มอุณหภูมิให้กับเนื้อเยื่อในระดับที่สามารถทำลายเซลล์ Cytotoxic level และเร็วจนไม่มีผลต่อระบบหลอดเลือด ปัจจุบันได้มีความนิยมในการใช้เครื่อง HIFU กันในการรักษาเฉพาะอย่างในเอเชียและยุโรป อย่างไรก็ดี ยังถือว่าการใช้เครื่อง HIFU อยู่ในขั้นเริ่มต้น การวิจัยที่มากขึ้นจะช่วยทำให้การใช้เครื่อง HIFU สามารถใช้ได้หลากหลายมากขึ้น
ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มศว ร่วมกับบริษัทเอกชนทำวิจัยและให้บริการเครื่อง High-Intensity Focused Ultrasound HIFU โดยมีการนำเครื่องนี้เข้ามาใช้ในประเทศไทยและทำการติดตั้งที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ มศว. องครักษ์ จ.นครนายก เป็นเครื่องแรก ปัจจุบันได้มีการเปิดให้บริการใช้เครื่องรักษาขั้นต้นแล้วจำนวน 5 โรค ได้แก่ มะเร็งตับ มะเร็งทางเดินน้ำดี มะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก และเนื้องอกที่มดลูก ความร้อนที่เกิดจากเครื่อง HIFU นำมาใช้ทางการแพทย์ในการรักษาโรคมะเร็งและก้อนเนื้องอกต่างๆ โดยอาศัยหลักการรักษาในลักษณะเดียวกับ Extracorporal therapy หรือ Percutaneous therapy ชนิดอื่นๆ เช่น Radiofrequency ablation และ Microwave ablation กล่าวคือเมื่อเครื่องให้ความร้อนถึงประมาณ 60 องศาเซลเซียส เซลล์จะเกิดภาวะ Coagulative necrosis ทำให้เซลล์ตาย การรักษาด้วยเครื่อง HIFU จะทำให้ก้อนมะเร็งหรือเนื้องอกหยุดการเจริญเติบโตหรือลดขนาดลง เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ทรมานจากความเจ็บปวด แต่ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หัวใจของการรักษาด้วยเครื่อง HIFU ก็คือการนำพลังงานไปเพิ่มอุณหภูมิให้กับเนื้อเยื่อในระดับที่สามารถทำลายเซลล์ Cytotoxic level และเร็วจนไม่มีผลต่อระบบหลอดเลือด ปัจจุบันได้มีความนิยมในการใช้เครื่อง HIFU กันในการรักษาเฉพาะอย่างในเอเชียและยุโรป ยุโรป อย่างไรก็ดี ยังถือว่าการใช้เครื่อง HIFU อยู่ในขั้นเริ่มต้น การวิจัยที่มากขึ้นจะช่วยทำให้การใช้เครื่อง HIFU สามารถใช้ได้หลากหลายมากขึ้น
รังสีวิทยา (รังสีวิทยา) - Radiology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11184
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง ไข้ละอองฟาง ได้ไหม
ไข้ละอองฟาง Hay fever ไข้ละอองฟางเกิดจากอะไร ใครมีปัจจัยเสี่ยงอะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการรุนแรง ไข้ละอองฟางมีอาการอย่างไร ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่ แพทย์วินิจฉัยไข้ละอองฟางได้อย่างไร รักษาไข้ละอองฟางอย่างไร ไข้ละอองฟางมีผลข้างเคียงอย่างไร ไข้ละอองฟางมีการพยากรณ์โรคอย่างไร ดูแลตนเองและป้องกันไข้ละอองฟางอย่างไรควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่ โรคหูคอจมูก โรคทางหูคอจมูก โรคระบบหูคอจมูก ENT disease โรคภูมิแพ้ Allergy โรคภูมิแพ้หูคอจมูก ENT and Allergy โรคหืด Asthma โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก Atopic dermatitis ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาแอนติฮิสตามีน Antihistamine drug ยาขับเสมหะ Expectorants และยาละลายเสมหะ Mucolytics ไข้ละอองฟาง Hay fever หรือ Allergic rhinitis เป็นโรคเกิดจากเยื่อเมือกบุภายในโพรงจมูกเกิดการแพ้ การอักเสบชนิดไม่มีการติดเชื้อต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ ละออง จากฟาง หญ้าแห้ง ดอกหญ้า หรือละอองจากต้นหญ้า จึงทำให้ได้ชื่อว่า ไข้ละอองฟาง แต่เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบลักษณะนี้มีหลากหลายชนิด ไม่จำกัดเฉพาะจากละอองหญ้าดัง กล่าว โรคนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อตามพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ Allergic rhinitis โรคไข้ละอองฟาง เป็นโรคพบบ่อยทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย พบทุกอายุ ทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย แต่มักพบในอายุต่ำกว่า 20 ปี และพบได้น้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น ในประเทศไทยพบได้ประมาณ 10-25 ของประชากรทั่วไป ส่วนทั่วโลกพบได้ประมาณ 10-30 ของประชากรผู้ใหญ่ และประมาณ 40ในประชากรเด็ก ไข้ละอองฟางเกิดจากอะไร ใครมีปัจจัยเสี่ยง อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้อาการรุนแรง สาเหตุของไข้ละอองฟางเกิดจาก เยื่อเมือกบุโพรงจมูกเกิดการแพ้ การอักเสบชนิดไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ จากการหายใจเข้าไป ส่งผลให้เยื่อเมือกเกิดการ บวม แดง และหลั่งน้ำมูกมากขึ้น นอกจากนี้ อวัยวะอื่นที่สัมผ้สสารก่อภูมิแพ้นี้อาจเกิดการแพ้ ไปด้วยเช่น เยื่อบุตา ตาบวม แดง น้ำตาไหล สารก่อภูมิแพ้นี้ อาจมีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น นอกบ้าน เช่น ละอองหญ้า ละอองดอกไม้ ดอกหญ้า ละอองจากพืชต่างๆ ฝุ่นละอองในอากาศ หรือ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่น ฝุ่นละอองจากเครื่องใช้ในบ้าน หรือตัวสัตว์ หรือแมลงที่อาศัยในบ้าน หรือปฏิกูลของมันเช่น ไรฝุ่น แมลงสาป ยุง แมลงวัน ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไข้ละอองฝาง ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไข้ละอองฝาง เช่น พันธุกรรม เพราะจะพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้หรือเป็นโรคภูมิแพ้ ผู้ที่เป็นโรคหืดหรือโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ ทั้งนี้รวมทั้งสารก่อภูมิแพ้ในบ้านและหรือนอกบ้าน มีความผิดปกติทางกายวิภาคของจมูกที่ส่งผลถึงการหายใจ เช่น มีผนังกั้นโพรงจมูกคด ปัจจัยกระตุ้นให้อาการแพ้รุนแรง ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ หรือให้อาการแพ้รุนแรง เช่น กลิ่นต่างๆ ควัน ต่างๆ การออกกำลังกายโดยเฉพาะเมื่อหักโหม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งหนาวหรือ ร้อน ความเครียด ความวิตกกังวล ไข้ละอองฟางมีอาการอย่างไร อาการที่พบได้ในโรคไข้ละอองฟางมีหลายอาการร่วมกัน และไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ เช่น อาการทางจมูก เช่น จาม คัน คัดจมูกแน่นจมูก มีน้ำมูกใสๆ จมูกอาจได้กลิ่นน้อยลง หรือ ไม่ได้กลิ่น อาการทางตา เช่น คันตา ตาแดง บวม น้ำตาไหล อาการทางคอ เช่น มีน้ำมูกไหลลงคอ คันคอ อาการทางหู เช่น หูอื้อ ปวดหู จากมีน้ำมูกไหลลงคอ จึงส่งผลให้ท่อ Eustachian tube ที่เป็นท่อระบายอากาศจากหูสู่คอเกิดการบวม จึงเกิดอาการทางหูได้ อาการทั่วไป เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ถ้าอาการรุนแรง อาจมีอาการคล้าย โรคหืด หายใจลำบาก และ อาจช็อกได้ แต่พบได้น้อย นอกจากนั้น ไข้ละอองฟางยังทำให้อาการ โรคหืด และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รุนแรงขึ้น ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่ เมื่อมีอาการดังกล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง หรืออาการเกิดบ่อย ควรพบแพทยฺไปโรงพยาบาลเสมอ แพทย์วินิจฉัยไข้ละอองฟางได้อย่างไร แพทย์วินิจฉัยโรคไข้ละอองฟางได้จาก การซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ โรคประจำตัว ประวัติโรคในครอบครัว ถิ่นที่อยู่อาศัย การตรวจร่างกาย การตรวจทางหูคอจมูก และ อาจมีการตรวจสืบค้นด้วยวิธีเฉพาะอื่นๆตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจทดสอบทางผิวหนังหาชนิดสารก่อภูมิแพ้ Skin test การตรวจเลือดดูเม็ดเลือดขาวชนิดที่ตอบสนองต่อการแพ้ ชนิดที่เรียกว่า Eosinophil การตรวจเลือดดูค่าสารภูมิต้านทาน ต่อสารก่อภูมิแพ้ต่างๆที่เรียกว่า IgE Immunoglobulin E การเอกซเรย์เมื่อแพทย์สงสัยมีความผิดปกติของอวัยวะทางหูคอจมูก เช่น เอกซเรย์ภาพจมูก หรือ อาจมีการส่องกล้องตรวจในโพรงจมูก รวมถึง อาจมีการตัดชิ้นเนื้อที่ตำแหน่งรอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อการวินิจฉัยแยกโรคนี้จากโรคโพรงจมูกอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ เช่น จากการติดเชื้อวัณโรค รักษาไข้ละอองฟางอย่างไร แนวทางการรักษาไข้ละอองฟางมี 4 วิธีการหลัก ซึ่งมักต้องใช้หลายวิธีการร่วมกัน ได้แก่ ก. การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่ง ในบ้าน เช่น การรักษาความสะอาดเครื่องใช้ต่างๆ การกำจัดฝุ่นละอองและสัตว์แมลงต่างๆ ส่วนนอกบ้าน เช่น การหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีสารก่อภูมิแพ้ สถานที่แออัด มีฝุ่น มีควัน การหลีก เลี่ยงดอกไม้ และรู้จักการใช้หน้ากากอนามัย เป็นต้น นอกจากนั้นคือ หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอื่น เช่น ความเครียด การออกกำลังกายที่หักโหม การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ข. การใช้ยาช่วยควบคุมและป้องกันการเกิดอาการ ซึ่งมีทั้ง ยากิน ยาพ่น และยาฉีด ที่แพทย์จะเลือกเลือกใช้ตามความรุนแรงของอาการ เช่น ยาในกลุ่ม Antihistamine ยาในกลุ่ม Corticosteroids เป็นต้น ค. การฉีดสารที่เตรียมจากสารก่ออาการแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่มักเรียกว่าวัคซีน Allergen Immunotherapy ซึ่งมักใช้กรณีมีอาการรุนแรง หรืออาการดื้อต่อยาต่างๆ โดยวัคชีนจะเฉพาะแต่ละบุคคลซึ่งแพทย์ผลิตเฉพาะกรณีจากสารก่อภูมิแพ้ของแต่ละบุคคล จ. การผ่าตัดที่รวมถึงการใช้เลเซอร์ ใช้เฉพาะเมื่อพบว่า มีความผิดปกติทาง กายวิภาคของจมูก เช่น กรณีผนังกั้นจมูกคด หรือ การใช้เลเซอร์เพื่อลดการบวมหนาของเยื่อเมือกในโพรงจมูก กรณีที่เป็นมากเรื้อรัง จนเยื่อเมือกบวมหนาจนปิดกั้นทางเดินหายใจ อนึ่ง ทุกวิธีการรักษาต้องใช้ร่วมกับวิธีการ ‘ข้อ ก. เสมอ ส่วนการจะเลือกใช้ยาตัวใดหรือวิธีอื่นๆเพิ่มเติมจะขึ้นกับ อาการผู้ป่วย การดื้อยา พยาธิสภาพของโพรงจมูก ความประสงค์ของผู้ป่วย และ ดุลพินิจของแพทย์ ไข้ละอองฟางมีผลข้างเคียงอย่างไร ผลข้างเคียงที่พบได้จากไข้ละอองฟาง เช่น ไซนัสอักเสบเรื้อรัง หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง การหายใจทางปาก ส่งผลให้ปากแห้ง โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ จากการอุดกั้นทางเดินหายใจจากการบวมของเยื่อเมือกบุโพรงจมูก และจากน้ำมูกแห้งอุดตัน หรือจากมีความผิดปกติทางกายวิภาคของจมูก ไข้ละอองฟางมีการพยากรณ์โรคอย่างไร โดยทั่วไป ไข้ละอองฟางมีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษาควบคุมโรคได้ดีเสมอ เมื่อปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ และพบแพทย์มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ ยกเว้น ส่วนน้อยมากในบางคนที่มีอาการรุนแรง ที่อาจถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ ดูแลตนเองและป้องกันไข้ละอองฟางอย่างไรควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่ การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไข้ละอองฟาง จะเช่นเดียวกับการป้องกันการเกิดอาการจากไข้ละอองฟาง ซึ่งที่สำคัญคือ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ รักษาความสะอาด บ้านเรือน เสื้อผ้า เครื่องใช้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัย การเดินทางไปต่างถิ่น ควรต้องศึกษาก่อนล่วงหน้าถึงโอกาสมีสารก่อภูมิแพ้ เพื่อเตรียมป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไม่ไป หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ สาเหตุปัจจัยเสี่ยงฯ ปฏิบัติตาม แพทย์พยาบาล แนะนำ กินยา ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา พบแพทย์มาโรงพยาบาลตรงตามแพทย์นัดเสมอ พบแพทย์มาโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ อาการเลวลง เป็นบ่อยขึ้น ใช้ยาไม่ได้ผล มีอาการผิดไปจากเดิมมีอาการใหม่ๆเกิดขึ้น มีผลข้างเคียงจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นผื่น ง่วงนอน หรือ นอนไม่หลับ ต่อเนื่อง กังวลในอาการ
ไข้ละอองฟางมีชื่อเรียกอีกชื่อตามพยาธิสภาพคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ Allergic rhinitis พบบ่อยทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย พบทุกอายุ ทั้งในผู้หญิงและในผู้ชาย มีความผิดปกติทางกายวิภาคของจมูกที่ส่งผลถึงการหายใจ แนวทางการรักษาไข้ละอองฟางมี 4 วิธีการหลัก ซึ่งมักต้องใช้หลายวิธีการร่วมกัน ได้แก่ ก. การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอื่น เช่น ความเครียด ค. การฉีดสารที่เตรียมจากสารก่ออาการแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่มักเรียกว่าวัคซีน Allergen Immunotherapy จ. การผ่าตัดที่รวมถึงการใช้เลเซอร์ ใช้เฉพาะเมื่อพบว่า มีความผิดปกติทาง กายวิภาคของจมูก ผลข้างเคียงที่พบได้จากไข้ละอองฟาง เช่น ไซนัสอักเสบเรื้อรัง หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ส่วนน้อยมากในบางคนที่มีอาการรุนแรง แนะนำให้กินยา ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา พบแพทย์มาโรงพยาบาลตรงตามแพทย์นัดเสมอ
โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_23233
Medical
ยาแก้อักเสบ Anti-inflamatory drugs หมายถึงอะไร
null
ยาที่ใช้ลดการอักเสบต่างๆซึ่งจะแสดงอาการปวด บวม แดง ร้อน และบางครั้งอาจเป็นไข้ ตัวร้อน ร่วมด้วย ส่วนมากมีสาเหตุมาจากโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น แผลอักเสบเป็นหนอง ต่อมทอนซิลอักเสบ หรือปอดอักเสบ เป็นต้น ส่วนน้อยเกิดขึ้นโดยไม่ได้เกี่ยวกับการติดเชื้อ แต่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อภาวะบางอย่าง เช่น โรคปวดข้อจากความเสื่อม เช่น ปวดข้อเข่าในคนสูงอายุหรือคนอ้วน โรคเอสแอลอี SLE ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อต่างๆของตัวเอง ทำให้มีไข้และปวดตามข้อต่างๆนานเป็นแรมเดือน โรคไตเนโฟรติก Nephrotic Syndrome ซึ่งเกิดจากร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อไตของตัวเอง ทำให้มีอาการบวมทั้งตัว เป็นต้น ยาแก้อักเสบที่หมอชาวบ้านกล่าวขวัญถึงบ่อยก็คือ ยากลุ่มสเตอรอยด์ Steroid เช่น เพรดนิโซโลน เดกซาเมทาโซน เป็นต้น ซึ่งใช้ลดการอักเสบได้สารพัด แต่ก็มีโทษมหันต์ ควรใช้โดยแพทย์เท่านั้น ห้ามใช้กันเอง แต่ยาตัวนี้จะมีผสมอยู่ในยาชุดแทบทุกชนิด อันตรายของยาชุดก็อยู่ที่ยาตัวนี้นี่เอง ยาแก้อักเสบอีกชนิดนี้เรียกว่า ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ Non-steroid Anti-inflamatory drug ย่อว่า NSAID อ่านว่า เอ็น-เซด ได้แก่ ยาที่ใช้รักษาอาการปวดข้อทั้งหลายแหล่รวมทั้งแอสไพริน ซึ่งใช้แก้ปวดลดไข้ ก็จัดว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบเช่นเดียวกับยาในกลุ่มนี้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบเป็นยาคนละชนิดกัน
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5622
Legal
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 2 เดือน เพื่ออะไร
บทสรุป “ขยายเวลาเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอร่าง พ.ร.ก.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2564 เป็นการทั่วไป ออกไปอีก 2 เดือน ขยายเวลาการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 39 2. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมิน ทุนทรัพย์ อัตราภาษีและรายละเอียดอื่นในการจัดเก็ยภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ก่อนวันที่ 1 เม.ย. 64 ขยายเวลาการแจ้งการประเมินภาษีโดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 44 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการดำเนินการตามพ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 6 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน เม.ย. 64 ขยายเวลาการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ระยะเวลาเดิม ภายในเดือน เม.ย. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน มิ.ย.64 ขยายเวลาการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 52 วรรค 2 2. กฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : งวด 1 : ภายในเดือน เม.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน พ.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : งวด 1 : ภายในเดือน มิ.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน ก.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน ส.ค.64 ขยายเวลาการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 61 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน พ.ค.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ก.ค.64 ขยายเวลาการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 60 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ส.ค.64 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอร่าง พ.ร.ก.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2564 เป็นการทั่วไป ออกไปอีก 2 เดือน ขยายเวลาการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 39 2. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมิน ทุนทรัพย์ อัตราภาษีและรายละเอียดอื่นในการจัดเก็ยภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ก่อนวันที่ 1 เม.ย. 64 ขยายเวลาการแจ้งการประเมินภาษีโดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 44 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการดำเนินการตามพ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 6 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน เม.ย. 64 ขยายเวลาการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ระยะเวลาเดิม ภายในเดือน เม.ย. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน มิ.ย.64 ขยายเวลาการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 52 วรรค 2 2. กฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : งวด 1 : ภายในเดือน เม.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน พ.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : งวด 1 : ภายในเดือน มิ.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน ก.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน ส.ค.64 ขยายเวลาการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 61 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน พ.ค.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ก.ค.64 ขยายเวลาการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 60 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ส.ค.64 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอร่าง พ.ร.ก.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2564 เป็นการทั่วไป ออกไปอีก 2 เดือน ขยายเวลาการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 39 2. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมิน ทุนทรัพย์ อัตราภาษีและรายละเอียดอื่นในการจัดเก็ยภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ก่อนวันที่ 1 เม.ย. 64 ขยายเวลาการแจ้งการประเมินภาษีโดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 44 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการดำเนินการตามพ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 6 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน เม.ย. 64 ขยายเวลาการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ระยะเวลาเดิม ภายในเดือน เม.ย. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน มิ.ย.64 ขยายเวลาการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 52 วรรค 2 2. กฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : งวด 1 : ภายในเดือน เม.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน พ.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : งวด 1 : ภายในเดือน มิ.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน ก.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน ส.ค.64 ขยายเวลาการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 61 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน พ.ค.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ก.ค.64 ขยายเวลาการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 60 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ส.ค.64
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นชอบให้ขยายกำหนดเวลาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ออกไปอีก 2 เดือน เพื่อให้การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอร่าง พ.ร.ก.ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ประจำปี 2564 เป็นการทั่วไป ออกไปอีก 2 เดือน ขยายเวลาการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 39 2. กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมิน ทุนทรัพย์ อัตราภาษีและรายละเอียดอื่นในการจัดเก็ยภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ก่อนวันที่ 1 เม.ย. 64 ขยายเวลาการแจ้งการประเมินภาษีโดยส่งแบบประเมินภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 44 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการดำเนินการตามพ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 6 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน ก.พ. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน เม.ย. 64 ขยายเวลาการชำระภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษี ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ระยะเวลาเดิม ภายในเดือน เม.ย. 64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน มิ.ย.64 ขยายเวลาการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ข้อกฎหมาย 1. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 52 วรรค 2 2. กฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ข้อ 3 ระยะเวลาเดิม : งวด 1 : ภายในเดือน เม.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน พ.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : งวด 1 : ภายในเดือน มิ.ย.64, งวด 2 : ภายในเดือน ก.ค.64, งวด 3 : ภายในเดือน ส.ค.64 ขยายเวลาการมีหนังสือแจ้งเตือนผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างชำระ ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 61 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน พ.ค.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ก.ค.64 ขยายเวลาการแจ้งรายการภาษีค้างชำระให้สำนักงานที่ดินหรือสำนักงานที่ดินสาขา ผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 60 ระยะเวลาเดิม : ภายในเดือน มิ.ย.64 ระยะเวลาที่ขยายออกไป : ภายในเดือน ส.ค.64
กฎหมายภาษี
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43829
Finance
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 สถานะสุทธิสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX ของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนได้กลายเป็นอะไรต่อเนื่องติดต่อกัน
สถานะสุทธิของข้อมูลที่แยกประเภทของคณะกรรมาธิการการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ ( CFTC ) ของสหรัฐฯ ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างจำนวนสถานะซื้อ (Long Position) และสถานะขาย (Short Position) โดยนักลงทุนจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อประเมินอารมณ์โดยทั่วไปของนักเก็งกำไรในตลาดทองคำได้ สถานะสุทธิของข้อมูลที่แยกประเภทของคณะกรรมาธิการการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ ( CFTC ) ของสหรัฐฯ ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างจำนวนสถานะซื้อ (Long Position) และสถานะขาย (Short Position) โดยนักลงทุนจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อประเมินอารมณ์โดยทั่วไปของนักเก็งกำไรในตลาดทองคำได้ นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 สถานะสุทธิสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX ของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนได้กลายเป็น ‘สถานะซื้อสุทธิ’ ต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากกองทุนเฮดจ์และผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสถานะซื้อและลดสถานะขาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกที่เคยสร้างแรงหนุนให้ราคาทองคำนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 สถานะสุทธิสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX ของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนได้กลายเป็น ‘สถานะซื้อสุทธิ’ ต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากกองทุนเฮดจ์และผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสถานะซื้อและลดสถานะขาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกที่เคยสร้างแรงหนุนให้ราคาทองคำนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข่าวที่เกี่ยวข้อง ‘ทองคำ’ ร่วงต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ หลัง Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแรง กูรูมองแนวโน้มขาลงถึงปลายปี 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ ลงทุนอย่างมั่นใจ ราคาทองคำไปทางไหนก็ได้รีเทิร์น ผ่านกองทุน Double Shark-Fin Note แต่ภาพรวมของการถือครองสถานะการลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา สะท้อนจากจำนวนสถานะซื้อที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่จำนวนสถานะขายก็ค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้จำนวนสถานะซื้อสุทธิลดลงเรื่อยมา แต่ภาพรวมของการถือครองสถานะ สะท้อนจากจำนวนสถานะซื้อที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่จำนวนสถานะขายก็ค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้จำนวนสถานะซื้อสุทธิลดลงเรื่อยมา จนกระทั่งล่าสุดข้อมูลจาก CFTC ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 กรกฎาคม 2022 บ่งชี้ว่า บรรดากองทุนเฮดจ์และผู้จัดการกองทุนได้ ‘ลด’ สถานะซื้อในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำลงเหลือ 91,669 สัญญา ซึ่งลดลง 11,803 สัญญา หากเปรียบเทียบกับสถานะซื้อในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะเดียวกันสถานะขายในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำกลับเพิ่มขึ้น 11,364 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้า สู่ระดับ 97,802 สัญญา จนทำให้สถานะสุทธิในตลาดกลับมาเป็น ‘สถานะขายสุทธิ’ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี หรือนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 เมษายน 2019 จนกระทั่งล่าสุดข้อมูลจาก CFTC ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 กรกฎาคม 2022 บ่งชี้ว่า บรรดากองทุนเฮดจ์และผู้จัดการกองทุนได้ ‘ลด’ สถานะซื้อในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำลงเหลือ 91,669 สัญญา ซึ่งลดลง 11,803 สัญญา หากเปรียบเทียบกับสถานะซื้อในสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะเดียวกันสถานะขายในสัญญาฟิวเจอร์สทองคำกลับเพิ่มขึ้น 11,364 สัญญาจากสัปดาห์ก่อนหน้า สู่ระดับ 97,802 สัญญา จนทำให้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ่งชี้ถึงแรงเก็งกำไรในทิศทางขาลงที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ปิดปรับตัวลดลงในรายเดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนเป็นต้นมา ขณะที่เดือนกรกฎาคมราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ และมีแนวโน้มจะปิดตลาดรายเดือนในแดนลบเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ทั้งนี้ หากสถานะขายสุทธิยังดำเนินต่อไปจะถือเป็น Sentiment เชิงลบ ที่อาจทำให้ราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ่งชี้ถึงแรงเก็งกำไรในทิศทางขาลงที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ปิดปรับตัวลดลงในรายเดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนเป็นต้นมา ขณะที่เดือนกรกฎาคมราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อ และมีแนวโน้มจะปิดตลาดรายเดือนในแดนลบเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ทั้งนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจะต้องระมัดระวังเพิ่มเติม YLG แนะนำให้นักลงทุนติดตามข้อมูลดังกล่าว แต่ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก เพราะในบางครั้งปริมาณสถานะสุทธิในตลาดสามารถใช้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจำนวนสถานะสุทธิสูงหรือต่ำเกินไป จะเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า ตลาดอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ได้อีกด้วย จึงแนะนำนักลงทุนติดตามข้อมูลดังกล่าว เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจลงทุน YLG แนะนำให้นักลงทุนติดตามข้อมูลดังกล่าว แต่ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก เพราะในบางครั้งปริมาณสถานะสุทธิในตลาดสามารถใช้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของตลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจำนวนสถานะสุทธิสูงหรือต่ำเกินไป จะเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า ตลาดอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือภาวะขายมากเกินไป (Oversold) ได้อีกด้วย จึงแนะนำนักลงทุนติดตามข้อมูลดังกล่าว เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจลงทุน
นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2019 สถานะสุทธิสัญญาฟิวเจอร์สทองคำตลาด COMEX ของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนได้กลายเป็น ‘สถานะซื้อสุทธิ’ ต่อเนื่องติดต่อกัน หลังจากกองทุนเฮดจ์และผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสถานะซื้อและลดสถานะขาย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกที่เคยสร้างแรงหนุนให้ราคาทองคำ
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40283
Finance
Yield คืออะไร
[ประเด็นสำคัญ] Yield หมายถึง อัตราผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเปรียบเทียบ Yield กับสินทรัพย์หรือการลงทุนอื่น ๆ จำเป็นต้องทำให้ Yield ที่ได้นั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ Yield ที่ได้ในรอบ 1 ปี เป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อเราซื้อสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม เราก็มักจะมองหาว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่าหรือไม่ และ Yield ก็คือตัวเลขที่จะบอกว่าเราได้อัตราผลตอบแทนเท่าไรนั่นเอง โดย Yield หรือ อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งหาได้จาก “ผลตอบแทนที่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หารด้วย เงินลงทุนทั้งหมด” ค่าที่ได้จะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อช่วงระยะเวลาที่นำมาหาร แต่หากต้องการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้กับการลงทุนอื่น ๆ ก็จะต้องปรับอัตราผลตอบแทนให้เป็นรอบระยะเวลาที่เท่ากันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้ในรอบระยะเวลา 1 ปี ซึ่ง Yield สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ตามแต่ว่าเราลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด และเราได้ผลตอบแทนเป็นอะไร เช่น 1. ถ้าเราถือหุ้นที่มีการจ่ายปันผล เราก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือที่เรียกว่า Dividend Yield เช่น เราซื้อหุ้น A มาในราคา 100 บาทต่อหุ้น หุ้น A ให้เงินปันผล 5 บาทต่อหุ้นต่อปี เพราะฉะนั้น Dividend Yield คือ 5 บาทต่อปี / 100 บาท = 5% ต่อปี 2. ถ้าเราถือตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชน เราก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร ซึ่งอยู่ในรูปของดอกเบี้ย หรือที่เรียกว่า Bond Yield เช่น เราซื้อพันธบัตรรัฐบาลมาในราคา 1,000 บาท โดยระบุว่าจะได้รับดอกเบี้ย 20 บาท ทุก ๆ 6 เดือน เพราะฉะนั้น Bond Yield คือ 20 x 2 บาทต่อปี / 1,000 บาท = 4% ต่อปี 3. ถ้าเรามีอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า เราก็จะสนใจ อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่า หรือที่เรียกว่า Rental Yield เช่น เราซื้อคอนโดมิเนียมมาในราคา 4,000,000 บาท และสามารถปล่อยเช่าได้ในราคา 20,000 บาทต่อเดือน เพราะฉะนั้น Rental Yield คือ 20,000 x 12 บาทต่อปี / 4,000,000 บาท = 6% ต่อปี ข้อดีของ Yield คือ ตัวเลขที่ได้จะมีหน่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ต่อช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นอัตราผลตอบแทนในรอบระยะเวลาเดียวกัน เพื่อให้เราสามารถนำอัตราผลตอบแทนที่ได้มาเปรียบเทียบข้ามสินทรัพย์ได้ อย่างเช่น - การตัดสินใจลงทุนในกรณีที่เรามีทุนจำกัด และต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง - หรือเปรียบเทียบ ดอกเบี้ยจากการกู้เงินเพื่อมาลงทุนในสินทรัพย์ กับผลตอบแทนที่ได้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าผลตอบแทนไม่ได้สูงกว่าดอกเบี้ยจากการกู้มา ก็จะดูไม่น่าลงทุน ข้อสังเกตของ Yield ก็คือ เงินที่เราลงทุนหรือเงินที่เราซื้อสินทรัพย์นั้น เป็น “ตัวหาร” นั่นหมายความว่า การที่เราซื้อสินทรัพย์เดียวกัน ในราคาที่ต่างกัน จะทำให้เราได้ Yield ที่ต่างกันได้ Close Ad ถ้าเราซื้อสินทรัพย์ในราคาที่แพงขึ้น ก็จะทำให้เราได้ Yield ที่ลดลง และถ้าซื้อสินทรัพย์ได้ในราคาที่ถูกลง เราก็จะได้ Yield ที่มากขึ้นเช่นกัน ในบางครั้งการคำนวณหาผลตอบแทนจากการลงทุน นักลงทุนอาจใช้คำว่า Capitalization Rate หรือ Cap Rate ซึ่งจะคำนวณได้จาก รายได้จากการดำเนินงานสุทธิ หารด้วย มูลค่าตลาดปัจจุบัน ซึ่งเป็นการคำนวณที่คล้ายกับ Yield เช่นกัน
Yield หมายถึง อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเปรียบเทียบ Yield กับสินทรัพย์หรือการลงทุนอื่น ๆ จำเป็นต้องทำให้ Yield ที่ได้นั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ Yield ที่ได้ในรอบ 1 ปี เป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อซื้อสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม ก็มักจะมองหาว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่าหรือไม่ และ Yield ก็คือตัวเลขที่จะบอกว่าได้อัตราผลตอบแทนเท่าไรนั่นเอง โดย Yield หรือ อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ หาได้จาก “ผลตอบแทนที่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หารด้วย เงินลงทุนทั้งหมด” ค่าที่ได้จะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อช่วงระยะเวลาที่นำมาหาร แต่หากต้องการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้กับการลงทุนอื่น ๆ ก็จะต้องปรับอัตราผลตอบแทนให้เป็นรอบระยะเวลาที่เท่ากันเสียก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่ได้ในรอบระยะเวลา 1 ปี
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0