ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
4 values
Instruction
stringlengths
9
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
36
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Medical_27816
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศภายในโรงพยาบาล?
null
"ตรงไหนในโรงพยาบาล ที่พบเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ในระดับสูง?" มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศภายในโรงพยาบาล ดังนี้ 1. ระยะห่างจากผู้ป่วย: อากาศบริเวณใกล้ๆรอบตัวผู้ป่วย (น้อยกว่า 1 เมตร) พบ SARS-CoV-2 RNA 27.5% อากาศที่มีระยะห่างจากผู้ป่วย 1 – 5 เมตร พบ SARS-CoV-2 เพียง 1.5% 2. สถานที่: - ห้องน้ำผู้ป่วย: 23.8% บริเวณที่ใช้เพื่อการตรวจรักษาต่าง ๆ (clinical areas): 9.5% - บริเวณที่ทำงานของเจ้าหน้าที่: 12.4% พื้นที่สาธารณะ: 34.1% 3. ระบบการระบายอากาศ: - ระบบการระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศได้ - การเปิดหน้าต่างช่วยเพิ่มการระบายอากาศและลดการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศ 4. มาตรการป้องกัน: - การสวมหน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจายของ SARS-CoV-2 ในอากาศได้ - การล้างมือบ่อยๆ สามารถลดการแพร่กระจายของ SARS-CoV-2 ผ่านการสัมผัสพื้นผิว 5. กิจกรรม: - กิจกรรมที่ก่อให้เกิดละอองฝอย เช่น ไอ จาม พูด ร้องเพลง - กิจกรรมทางการแพทย์ เช่น การส่องกล้อง การดูดเสมหะ บทสรุป: การปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศภายในโรงพยาบาลขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โรงพยาบาลควรมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเพื่อลดการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศและป้องกันการแพร่กระจายของโรค COVID-19 คำอธิบายเพิ่มเติม: - การศึกษาชิ้นนี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (Systematic Review) ซึ่งหมายความว่าผู้วิจัยได้รวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์ที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ - ผลการศึกษาชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าอากาศบริเวณใกล้ๆรอบตัวผู้ป่วย COVID-19 มักมีการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 RNA - ห้องน้ำผู้ป่วยเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 - ระบบการระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพและมาตรการป้องกันที่เข้มงวดสามารถลดการปนเปื้อนของ SARS-CoV-2 ในอากาศได้ ข้อควรระวัง: 1. ผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลยยอนหลัง (retrospective analysis) 2. ผลการศึกษาชิ้นนี้อาจไม่สามารถนำไปใช้กับโรงพยาบาลทุกแห่งได้
ภาควิชาระบาดวิทยา Epidemiology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43501
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ "Value Investing" เป็นแนวทางการลงทุนที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ แต่ต้องอาศัยความอดทน และวินัย
null
หุ้นในดวงใจ ท้องฟ้าสีครามสดใสสะท้อนผ่านกระจกบานใหญ่ของตึกออฟฟิศ ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ชายหนุ่มวัย 25 ปี นามว่า "ธันวา" กำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ บนนั้นเต็มไปด้วยกราฟ เส้นกราฟสีเขียวสลับแดง ดิ่งขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว เขาจิบกาแฟยามเช้า สายตาจับจ้องไปที่หุ้นตัวหนึ่ง "CPALL" หุ้นที่เขาเฝ้าติดตามมาเป็นเวลานาน ธันวาใฝ่ฝันอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เขาอ่านหนังสือและบทความเกี่ยวกับการลงทุนมากมาย หนึ่งในปรัชญาการลงทุนที่เขาชื่นชอบคือ "Value Investing" แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่มุ่งเน้นไปที่การค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ธันวาเริ่มศึกษา "CPALL" อย่างละเอียด เขาอ่านงบการเงิน วิเคราะห์ผลประกอบการ ศึกษาคู่แข่ง และกลยุทธ์ของบริษัท เขาใช้เวลาหลายเดือนในการวิเคราะห์ จนกระทั่งมั่นใจว่า "CPALL" เป็นหุ้นที่มีคุณค่าแท้จริง ในที่สุด โอกาสก็มาถึง ราคาหุ้น "CPALL" ปรับตัวลงอย่างรุนแรง ธันวาตัดสินใจซื้อหุ้นจำนวนมาก แม้จะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เขามั่นใจในผลวิเคราะห์ของตัวเอง เวลาผ่านไป หลายเดือน หลายปี ราคาหุ้น "CPALL" ค่อยๆ ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธันวาอดทน รอคอยอย่างใจเย็น เขาทุ่มเทเวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ไม่เคยหวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดหุ้น ในที่สุด วันแห่งความสำเร็จก็มาถึง ราคาหุ้น "CPALL" พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ธันวาตัดสินใจขายหุ้น กำไรมหาศาลไหลเข้าบัญชีของเขา เขายิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ธันวาเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์ครั้งนี้ เขาเข้าใจว่า "Value Investing" ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ได้ผลเสมอไป แต่ต้องอาศัยความอดทน การวิเคราะห์อย่างละเอียด และที่สำคัญคือ "วินัย"
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43775
Finance
บทบาทของ HR ในปี 2023 มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงินอย่างไร? อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
null
บทบาทของ HR ในปี 2023 นั้นมีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงินอย่างมาก เพราะ HR มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (Transformation) ขององค์กร ซึ่งส่งผลต่อผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินโดยตรง เหตุผล: 1. การปรับโครงสร้างองค์กร: HR มีบทบาทสำคัญในการออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์และเป้าหมายทางธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร งบประมาณฝึกอบรม และค่าชดเชย ตัวอย่าง: องค์กรเลิกจ้างพนักงานในบางแผนกที่ไม่จำเป็น องค์กรจ้างพนักงานใหม่ที่มีทักษะเฉพาะทาง องค์กรปรับเปลี่ยนโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการ 2. การพัฒนาทักษะพนักงาน: HR มีหน้าที่จัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรม งบประมาณสำหรับเทคโนโลยีการเรียนรู้ และประสิทธิภาพการทำงาน ตัวอย่าง: องค์กรจัดฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน องค์กรสนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ องค์กรพัฒนากลยุทธ์การเรียนรู้แบบ Personalized 3. การสร้างแรงจูงใจ: HR มีหน้าที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านโบนัส ค่าคอมมิชชั่น และสวัสดิการอื่นๆ ตัวอย่าง: องค์กรออกแบบระบบผลตอบแทนใหม่ที่เชื่อมโยงกับผลงาน องค์กรให้รางวัลแก่พนักงานที่มีผลงานดี องค์กรสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ 4. การจัดการความเสี่ยง: HR มีหน้าที่จัดการความเสี่ยงด้านทรัพยากรบุคคล เช่น การสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถ ปัญหาความสัมพันธ์ในองค์กร และความเสี่ยงด้านกฎหมาย ตัวอย่าง: องค์กรออกแบบกลยุทธ์การรักษาพนักงานที่มีความสามารถ องค์กรจัดระบบการสื่อสารภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ องค์กรมีระบบการจัดการข้อร้องเรียนและปัญหาความสัมพันธ์ในองค์กร 5. การวิเคราะห์ข้อมูล: HR มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านทรัพยากรบุคคล เพื่อนำมาสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่าง: องค์กรวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาสาเหตุของการลาออก องค์กรวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความต้องการพนักงานในอนาคต องค์กรวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวัดผลความพึงพอใจของพนักงาน สรุป: บทบาทของ HR ในปี 2023 นั้นมีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงินอย่างมาก เพราะ HR มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (Transformation) ขององค์กร ซึ่งส่งผลต่อผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินโดยตรง คำแนะนำ: 1. ฝ่าย HR ควรทำงานร่วมกับฝ่ายการเงินอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนากลยุทธ์การจัดการทรัพยากรบุคคลที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ 2. ฝ่าย HR ควรใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ 3. ฝ่าย HR ควรพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_43952
Finance
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเผชิญกับ 2 ทางเลือกหลัก ได้แก่อะไรบ้าง
null
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเผชิญกับ 2 ทางเลือกหลัก หนึ่ง คือ การใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาเพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน สอง คือ การใช้แรงงานจากต่างชาติเพื่อทดแทนแรงงานไทยที่ขาดแคลน แม้ทางเลือกแรกจะเป็นทางเลือกที่ทุกสถานประกอบการถวิลหา เพราะไม่เพียงลดการพึ่งพาแรงงาน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นำไปสู่การยกระดับการผลิตในระยะยาว แต่ระบบอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงานมักมีราคาแพง ด้วยข้อจำกัดนี้ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังมีเงินทุนภายในไม่มากจึงต้องมองหาทางเลือกอื่น เพื่อให้กระบวนการผลิตดำเนินต่อไปได้ การใช้แรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เป็นไปได้ ปริมาณแรงงานต่างด้าวในไทยอธิบายได้ด้วยหลักอุปสงค์และอุปทาน ในด้านอุปสงค์นั้น ผู้ประกอบการบางส่วนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะงานในกลุ่มที่คนไทยไม่นิยมทำ เช่น งาน 3D (Dirty, Dangerous, Difficult) ในขณะที่ผู้ประกอบการบางส่วนอาจเลือกที่จะใช้แรงงานต่างด้าว เนื่องจากอยากรักษาต้นทุนการผลิตต่อหน่วยให้ต่ำเพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน ในด้านอุปทานนั้น ด้วยค่าจ้างแรงงานของไทยที่สูงกว่า รวมถึงอายุเฉลี่ยของประชากรของประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า ลาว และกัมพูชา) น้อยกว่าของไทย ผนวกกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่เป็นไปอย่างเป็นระบบมากขึ้น แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจึงไหลเข้าสู่ไทยเป็นต่อเนื่อง และได้กลายมาเป็นกลจักรสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว ในเดือนมิถุนายน 2564 คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักรมีมากกว่า 2.38 ล้านคน กว่าร้อยละ 90 เป็นแรงงานจากประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม และมักทำงานในภาคการผลิต เช่น กิจการต่อเนื่องการเกษตร เสื้อผ้า และพลาสติก และการบริการพื้นฐาน เช่น การขายส่งและการขายปลีก นอกจากนั้นงานในภาคก่อสร้าง การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม และงานทำสวนผักและผลไม้ เป็นงานที่แรงงานต่างด้าวทำเป็นจำนวนมาก
ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_30369
Medical
โรคมือ เท้า ปาก คืออะไร
null
โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่มักเกิดขึ้นในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี แรกเริ่มจะมีไข้ต่ำ ๆ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ครั่นเนื้อครั่นตัว หลังจากนั้นจะมีผื่นแดงในช่องปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก ซึ่งเด็กเล็กมักจะไม่สามารถบอกได้ว่าเจ็บ แต่สามารถสังเกตอาการได้จากการที่ไม่ยอมรับประทานอาหาร ไม่ดูดนม ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มพองใสภายในปาก เมื่อแตกออกจะเป็นแผลในช่องปาก อาการต่อมา จะมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งอาจเป็นตุ่มแดง หรือตุ่มพองใสได้ ในบางรายอาจมีผื่นลามมาที่แขน ขา และก้นได้ สาเหตุสำคัญเกิดจากเชื้อในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส ซึ่งแบ่งได้หลายชนิด แต่ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ คอกซากี่เอ 16 เอ็นเทอโรไวรัส 71 และคอกซากี่เอ 6 เป็นต้น ในผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 71 มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น ไข้สมองอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในผู้ใหญ่มีโอกาสป่วยด้วยโรคนี้ได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยและอาการในผู้ใหญ่มักจะไม่รุนแรง อาจมีเพียงไข้ธรรมดา ปวดเมื่อยตามตัว ผื่นไม่ชัดเจนได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคนี้ อยู่ในน้ำลาย อุจจาระ น้ำในตุ่มพอง หรือแผลของผู้ป่วย ดังนั้น การติดต่อเกิดขึ้นได้โดยตรงจากการรับประทานอาหารร่วมกันกับผู้ป่วยการนำของเล่นหรืออมนิ้วมือที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าปาก การไอ จาม การติดต่อจึงเกิดขึ้นได้ง่าย โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่สามารถระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในศูนย์เลี้ยงเด็ก เนิร์สเซอรี่ และโรงเรียนอนุบาล โดยทั่วไปแนะนำว่า เด็กที่เป็นโรคนี้ควรหยุดเรียนจนกว่าไข้และผื่นจะหายไป ซึ่งมักจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กจะหายจากอาการป่วยแล้ว ก็ยังสามารถแพร่เชื้อโรคได้ เพราะเชื้อโรคอาจจะอยู่ในอุจจาระของผู้ป่วยได้นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน แต่การติดต่อในระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_49801
Legal
มูลเหตุแห่งการเกิดเหตุกราดยิงโคราช เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 มาจากอะไร
null
มูลเหตุแห่งการเกิดเหตุกราดยิงโคราช เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 มาจากการที่ผู้ก่อเหตุ คือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ โดย 2 ฝ่ายได้ซื้อขายที่ดินผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน เหตุกราดยิงที่โคราช (จังหวัดนครราชสีมา) เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา โดยผู้ก่อเหตุคือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา เริ่มแรกได้กราดยิงผู้บังคับบัญชา ก่อนที่จะขับรถไปยังสถานที่ต่าง ๆ กราดยิงประชาชน โดยจุดสุดท้ายคือ ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช จึงทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ เนื่องจากมีการจับประชาชนเป็นตัวประกัน 50 คน ปฏิบัติการครั้งนั้น ใช้ทั้งเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ส่วนกลางอย่าง พล.ต.ต. จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการปราบปราม (ในขณะนั้น) พร้อมด้วยทีมหนุมานกองปราบหน่วยคอมมานโดมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 รวมทั้ง พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในขณะนั้น พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. (ในขณะนั้น) ลงมายังพื้นที่เพื่อควบคุมปฏิบัติการ โดยใช้ระยะเวลาในการควบคุมเหตุกราดยิงแบบข้ามวันข้ามคืน จนถึงการลงมือวิสามัญฆาตกรรม รวมทั้งสิ้น 17 ชั่วโมง สำหรับความสูญเสียต่อชีวิต เหตุการณ์นี้มีประชาชนเสียชีวิตรวม 29 ราย และบาดเจ็บ 57 ราย สำหรับมูลเหตุแห่งการเกิดเหตุ คือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ โดย 2 ฝ่ายได้ซื้อขายที่ดินผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_41978
Finance
กองทุนส่วนบุคคล คืออะไร
null
กองทุนส่วนบุคคล คือ กองทุนที่บริหารจัดการเงินของผู้ลงทุน โดยมีผู้จัดการกองทุนจากบริษัทจัดการมาช่วยบริหาร แต่เนื่องเพราะเป็นกองทุนส่วนบุคคล ผู้ลงทุนจึงสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย หรือรายละเอียดในการลงทุนได้ เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตนมากที่สุด สรุปคือ หากลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล ผู้ลงทุนจะสามารถร่วมกำหนดได้ว่านโยบายการลงทุนจะเป็นอย่างไร จะเรียกว่าเป็นการลงทุนแบบตามใจฉันก็ได้ มีความเป็นส่วนตัว ในขณะที่ถ้าเป็นกองทุนรวมนั้น หน้าที่นี้จะเป็นของผู้จัดการกองทุน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ส่วนผู้ลงทุนนั้นทำเพียงเลือกกองทุนที่มีนโยบายสอดคล้องแนวทางของตนมากที่สุด โดยกองทุนส่วนบุคคลนั้นผู้ลงทุนสามารถเป็นบุคคลธรรมดาเพียงคนเดียว เป็นนิติบุคคล (เช่น บริษัท มูลนิธิ สหกรณ์ออมทรัพย์ ฯลฯ) หรือจะเป็นคณะบุคคลตั้งแต่ 2-35 คนก็ได้
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20504
Medical
โรคตึกเป็นพิษ มีสาเหตุเกิดจากอะไร
null
โรคตึกเป็นพิษ หรือ Sick Building Syndrome (SBS) เป็นโรคที่เกิดในกลุ่มคนทำงานในอาคารสำนักงาน โดยมีอาการอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เวียนหัว แสบคอ คันตา คันจมูก คันตามผิวหนัง หายใจไม่สะดวก ไอ จามในขณะอยู่ในอาคารสำนักงาน แต่เมื่อออกไปนอกอาคารแล้ว อาการดังกล่าวจะค่อย ๆ บรรเทาหายไป แม้จะยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดได้ถึงสาเหตุที่ทำให้ป่วยเป็นโรคตึกเป็นพิษ แต่คาดว่าคุณภาพของอากาศภายในอาคาร เป็นปัจจัยหลักทำให้เกิดอาการป่วยขึ้น ซึ่งสิ่งที่ต้องระวัง ได้แก่ 1. ฝุ่นในพรม บนฝ้าเพดาน ผ้าม่าน สามารถฟุ้งกระจาย หรือหมุนเวียนอยู่ภายในระบบปรับอากาศของอาคารได้ 2. ระบบปรับอากาศและระบบถ่ายเทอากาศของอาคารไม่เหมาะสม ปริมาณอากาศภายนอกที่ไหลเวียนเข้าสู่ภายในอาคารไม่เพียงพอ 3. เชื้อราบนผนังหรือฝ้าอาคาร 4. สารเคมีที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว เช่น กาว ทินเนอร์ น้ำยาทำความสะอาด ยาฆ่าแมลง สเปรย์ดับกลิ่น เครื่องถ่ายเอกสาร ควันบุหรี่ 5. วัสดุก่อสร้าง สีที่ใช้ทาภายในอาคารที่อาจปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย ปัจจุบันหน่วยงานหลายแห่ง ให้ความสำคัญกับแนวคิดออกแบบอาคารเพื่อรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นับตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างให้ตัวอาคารมีระบบที่ช่วยถ่ายเทอากาศได้ดี มีหน้าต่างเพียงพอ หรือติดตั้งระบบหมุนเวียนอากาศ เพื่อให้อากาศเก่าไหลออก และอากาศใหม่เข้ามาในอาคารได้ตลอดเวลา ส่วนตึกหรืออาคารที่สร้างเสร็จไปแล้ว สามารถใช้เครื่องฟอกอากาศมาช่วยเสริมได้ และต้องพยายามกำจัด หรือควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื้อโรคต่าง ๆ และใช้เครื่องดูดฝุ่นคุณภาพดี หมั่นทำความสะอาดสิ่งที่เป็นแหล่งสะสมฝุ่น หรือเชื้อโรคเป็นประจำ แนวทางดังกล่าวนี้ถือเป็นการป้องกันโรคตึกเป็นพิษ ให้แก่กลุ่มคนทำงานในอาคารสำนักงาน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43873
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...Thematic Growth เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
null
บทเพลงแห่งอนาคต: บทเรียนจาก Thematic Growth ณ ใจกลางเมืองใหญ่ ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า แสงไฟสว่างไสว ชายหนุ่มนามว่า "ธันวา" กำลังนั่งจิบกาแฟยามเช้า สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บนหน้าจอปรากฏบทความเกี่ยวกับ "Thematic Growth" หัวข้อที่เขาสนใจเป็นพิเศษ ธันวาเป็นนักลงทุนหนุ่มไฟแรง เขาใฝ่ฝันที่จะร่ำรวยจากการลงทุนในตลาดหุ้น เขาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอยู่เสมอ บทความเกี่ยวกับ Thematic Growth นี้ กระตุ้นความคิดของเขาอย่างมาก Thematic Growth หมายถึง การลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง อ้างอิงจากธีมหรือเทรนด์สำคัญของโลก เช่น เทคโนโลยี Fintech พลังงานสะอาด สุขภาพ และอื่นๆ ธันวาอ่านบทความอย่างตั้งใจ เขาเรียนรู้ว่า Thematic Growth นั้นมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน เขาเริ่มคิดวิเคราะห์ พยายามหาคำตอบว่า "เขาควรลงทุนใน Thematic Growth หรือไม่?" เขาเริ่มศึกษาข้อมูลของหุ้นกลุ่ม Thematic Growth วิเคราะห์ Valuation คาดการณ์การเติบโต เปรียบเทียบกับตลาดหุ้นโดยรวม ธันวาใช้เวลาหลายวันในการศึกษา เขาถกเถียงกับตัวเอง ชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและผลตอบแทน ในที่สุด ธันวาก็ตัดสินใจลงทุนใน Thematic Growth เขาเลือกธีมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง Valuation อยู่ในระดับที่เหมาะสม ธันวาลงทุนในหุ้นกลุ่ม Thematic Growth เป็นจำนวนเงินไม่มากนัก เขาต้องการทดสอบแนวทางนี้ เรียนรู้จากประสบการณ์จริง หลังจากนั้น ธันวาก็ติดตามผลการลงทุนอย่างใกล้ชิด เขาศึกษาข่าวสาร วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ บางช่วง ราคาหุ้นกลุ่ม Thematic Growth ปรับตัวลง ธันวารู้สึกกังวล แต่เขาเลือกที่จะอดทน ศรัทธาในกลยุทธ์ของตัวเอง ในที่สุด ความอดทนของธันวาก็ได้รับผลตอบแทน ราคาหุ้นกลุ่ม Thematic Growth กลับมาฟื้นตัว ธันวาขายหุ้นบางส่วน เขาทำกำไรได้อย่างงาม จากประสบการณ์ครั้งนี้ ธันวาเรียนรู้บทเรียนสำคัญ ดังนี้ Thematic Growth เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน นักลงทุน ควรศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ความเสี่ยง และเลือกธีมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ความอดทน เป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนควรอดทน ศรัทธาในกลยุทธ์ ไม่ควรหวั่นไหวกับความผันผวนของตลาด ธันวารู้สึกขอบคุณบทความเกี่ยวกับ Thematic Growth บทความนี้ช่วยให้เขาค้นพบโอกาสใหม่ เรียนรู้บทเรียนสำคัญ และประสบความสำเร็จในการลงทุน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_966
Finance
Nodes บนบล็อกเชน VeChainThor แบบใด ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบน VeChainThor ระหว่าง Authority Masternodes (AM), Economic X Nodes (XN) หรือ Economic Nodes (EN)
null
Authority Masternodes (AM) เพราะ Authority Masternodes (AM) เป็น node ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบน VeChainThor โดย node กลุ่มนี้จะต้องทำ Know Your Customer (KYC) ก่อนได้รับการอนุญาตจาก VeChain foundation และทำการวาง (stake) VET ซึ่งเป็นโทเคนประจำ VeChainThor อย่างน้อย 25 ล้านเหรียญ จึงจะตรวจสอบธุรกรรมได้ และจะได้ VTHO ซึ่งเป็นโทเคนอีกตัวหนึ่งเป็นค่าตอบแทน นอกจากนี้ AM จะมีสิทธิในการโหวตแสดงความคิดเห็นใน proposal ต่าง ๆ ของบล็อกเชน โดยจำนวนเสียงในการโหวตก็จะแปรผันตามมูลค่า VET ที่ วางไว้ โดยมี node กลุ่มนี้อยู่ 101 nodes ส่วน Economic X Nodes (XN) เป็น node กลุ่มที่ไม่ต้องทำ KYC และไม่ต้องผ่านการอนุญาตจาก VeChain foundation โดย node กลุ่มนี้จะไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลธุรกรรม แต่จะมีสิทธิในการโหวตแสดงความคิดเห็น proposal ที่ถูกเสนอขึ้นมาเพื่อปรับปรุงบล็อกเชน เช่นเดียวกันกับ AM นอกจากนี้ XN ยังมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเล็กน้อย เช่น XN จะได้สิทธิในการเข้าถึงการทำ initial coin offering (ICO) บนบล็อกเชน และในอนาคตก็อาจจะมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามมา และ Economic Nodes (EN) เป็น node อีกหนึ่งกลุ่มที่ไม่ต้องทำ KYC และไม่ต้องผ่านการอนุญาตจาก VeChain foundation และมีสิทธิในการโหวตแสดงความคิดเห็นใน proposal ต่าง ๆ เช่นเดียวกับ AM และ XN แต่จะมีสิทธิประโยชน์น้อยกว่า
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_2863
Finance
เมื่อเจอกับดักรายจ่ายไม่คาดฝัน เราจะรับมือยังไงดี?
null
หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของความพยายามใช้เงินตามแผนที่วางไว้ในแต่ละเดือน คือความไม่คาดฝันต่างๆ ความไม่คาดฝันนั้นอาจแบ่งได้เป็นสองประเภท คือ 1) ไม่คาดฝันแบบฉุกเฉิน 2) ไม่คาดฝันแบบไม่ฉุกเฉิน ประเภทแรกคงหนีไม่พ้นอะไรก็ตามที่เสี่ยงต่อชีวิต เช่น อุบัติเหตุ อาการป่วย คนที่รักเสียชีวิต แน่นอนว่าหลายคนอาจจะมองความไม่คาดฝันว่ามีอยู่แค่นี้แหละ และจะเตรียมพร้อมไว้อย่างดีแล้ว ทว่าหลายคนมักจะลืมว่ามีความไม่คาดฝันอีกประเภทที่ดูไม่ร้ายแรงเท่า แต่พร้อมจะสูบเงินแบบไม่ทันให้ตั้งตัวได้เหมือนกัน นั่นก็คือความไม่คาดฝันแบบไม่ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถไม่คาดฝัน ปาร์ตี้ไม่คาดฝัน หรือแม้กระทั่งเจอป้าย SALE! โดยไม่คาดฝัน สิ่งเหล่านี้คือกับดักรายจ่ายไม่คาดฝันนี่เอง เพราะไม่ได้มองว่ามันฉุกเฉิน ไม่ถึงเป็นถึงตาย หลายๆ ครั้งจึงโยนความผิดให้ความไม่คาดฝันแบบไม่ฉุกเฉินเหล่านั้น โดยคิดว่าเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้ มันเข้ามาเอง เลยไม่คิดจะวางแผนล่วงหน้า มันไม่ใช่ค่าหอ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ที่ค่อนข้างจะสม่ำเสมอในทุกเดือน สามารถเห็นได้ชัดๆ ล่วงหน้าว่าจะต้องจ่ายเท่าไร ไม่ได้รู้เลยว่าความไม่คาดฝันเหล่านี้นี่แหละที่เป็นหนึ่งในตัวการบ่อนทำลายพฤติกรรมการใช้เงิน เพราะรายจ่ายไม่คาดฝันหลายๆ อย่างเมื่อรวมกันแล้วก็อาจทำให้เผลอใช้เงินมากกว่าที่วางแผนไว้ ทำอย่างไรถึงจะสามารถต่อกรกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้ หรือแท้จริงแล้วความไม่แน่นอนเหล่านี้คือความแน่นอนกันนะ? ค่าใช้จ่ายไม่คาดฝันทั้งหลาย แท้จริงแล้วสามารถคาดการณ์ได้ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าไม่สามารถคาดเดาได้หรอกว่าเดือนนั้นๆ จะมีเซอร์ไพรส์เรียกตังค์อะไรบ้าง รู้ตัวอีกที เอ้า ปาร์ตี้นัดรวมพล! เปลี่ยนยางรถ! รองเท้าพัง! สารพัดความไม่แน่นอนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด นอกจากจะโทษมันว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ที่สาหัสคือสิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัจจัยให้หลายๆ คนมองว่าการวางแผนการเงินนั้นไม่จำเป็นสักหน่อย! เพราะจะไปรู้ได้ยังไงว่าแต่ละเดือนเราจะต้องพบเจอรายจ่ายอะไรบ้าง หารู้ไม่ว่าอันที่จริงแล้วหากสังเกตพฤติกรรมการใช้เงินในแต่ละเดือนของตัวเอง จะสามารถคาดการณ์อนาคตได้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นบ้างในเดือนนั้นๆ เพราะการที่รู้จักพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเอง มันจะทำให้เข้าใจว่าเสียเงินไปกับอะไรซ้ำๆ และค่าใช้จ่ายแบบไหนที่ควรต้องระวังเอาไว้ รับมือกับเซอร์ไพรส์เงินหายยังไงดี มีวิธีง่ายๆ ให้ลองเริ่มนำไปใช้กัน หากใครได้บันทึกรายรับรายจ่ายของตัวเองไว้ หรือมีสลิปเครดิตการ์ดให้ย้อนกลับไปดู แนะนำว่าให้ลองนำบันทึกรายจ่ายในอดีตนั้นมาศึกษา ดูว่าที่ผ่านมาต้องเสียเงินไปกับเซอร์ไพรส์ถี่แค่ไหน เสียเงินไปประมาณไหน หากได้ตัวเลขตรงนี้ก็พอจะกะคร่าวๆ ได้ว่ามีค่าเซอร์ไพรส์ที่ต้องเสียไปในแต่ละเดือนเยอะเท่าไร ความไม่คาดฝันทั้งหลายมักมาจากสิ่งรอบๆ ตัวนั่นแหละ ลองนึกดูว่าข้องเกี่ยวกับอะไรบ้าง เช่น หากมีรถ ก็มีความเสี่ยงที่ว่าจะต้องนำเข้าอู่ หรือถ้ามีลูก ก็อาจจะต้องมีการซื้อของเพื่อกิจกรรมของลูกเป็นครั้งคราว ลองดูว่าความถี่ของการเสียเงินให้สิ่งเหล่านี้เป็นยังไงบ้าง แล้วกันเงินเผื่อเอาไว้ การกันเงินเผื่อไว้ยังไงก็ดีกว่า ควรมองว่าเซอร์ไพรส์เงินหายเหล่านี้ไม่ใช่เซอร์ไพรส์หรอก แต่เป็นรายจ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นควรวางแผนกันเงินเผื่อไว้ส่วนนึง อาจจะเรียกมันว่า ‘สำหรับค่าใช้จ่ายไม่คาดฝันก็ได้’ นั่นหมายความว่าจะไม่แตะส่วนนี้เลยหากไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์จริงๆ โดย Ramit Sethi ผู้เขียนหนังสือ “I Will Teach You To Be Rich” ได้ให้คำแนะนำว่าเบื้องต้นลองเพิ่มเงิน 15% จากค่าใช้จ่ายคงที่ที่คาดการณ์ไว้ เผื่อล่วงหน้าสำหรับเซอร์ไพรส์ต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นเรื่องฉุกเฉิน และหากทบเงิน 15% นี้ไปเรื่อยๆ ทุกเดือน ก็จะมีเงินตุนไว้เยอะขึ้นสำหรับเซอร์ไพรส์ไม่คาดฝัน ใครอยากนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ก็ต้องดูความเสี่ยงให้ดีๆ หากใครได้บันทึกรายรับรายจ่ายของตัวเองไว้ หรือมีสลิปเครดิตการ์ดให้ย้อนกลับไปดู หลายคนอาจจะขี้เกียจกันเงินส่วนนึงเผื่อไว้สำหรับรายจ่ายที่อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ๆ และเซอร์ไพรส์เงินหายเหล่านี้มาแต่ละทีก็ไม่ได้มาเล่นๆ แต่จะสูบเงินไปเยอะทีเดียว
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42550
Finance
พื้นฐานสำคัญของการเป็นนักลงทุนคือ ความรู้ โดยเฉพาะในเรื่องของอะไร
ก. การแข่งขัน ข. ราคาหุ้น ค. เวลา ง. จินตนาการ จ. ธุรกิจ
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ จ. เพราะว่า เพราะพื้นฐานสำคัญของการเป็นนักลงทุนก็คือ “ความรู้” โดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจ เริ่มต้นก็คงเป็นเรื่องของการตลาด เพราะถ้าไม่รู้เรื่องนี้ สิ่งที่ตามมาเช่นเรื่องรายได้ ผลกำไรและอื่น ๆ ก็อาจจะผิด และเมื่อมันผิด การวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่ตามมาก็ผิด ซึ่งในการลงทุนหุ้นโดยเฉพาะในระยะยาวแล้วก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงได้ ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนนั้นมีมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะรู้อย่างยิ่งก็คือเรื่องของ “พฤติกรรมมนุษย์” เพราะถ้ารู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ก็สามารถวิเคราะห์เรื่องอื่น ๆ ได้ง่าย พฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์นั้นก็คือ พยายามและเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ มีอุปนิสัยในการชอบสื่อสารและอยู่กันเป็นสังคมและชอบจินตนาการ ความจริงสำหรับการลงทุนคือสถานะของตัวบริษัท ไล่มาตั้งแต่บริษัททำสินค้าอะไร อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต อิ่มตัวหรือถดถอย ตัวบริษัทเองอยู่ในตำแหน่งไหน อันดับที่เท่าไร ความสามารถในการแข่งขันเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับรายอื่น จากนั้นก็ต้องดูผลประกอบการและฐานะการเงินที่ผ่านมาอย่างน้อย 4-5 ปีจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นก็ควรจะต้องดูถึงราคาหุ้นและความถูก-แพงในอดีตที่ผ่านมาและอื่น ๆ ว่ามีความสมเหตุผลหรือไม่และอาจจะหาเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร ในขณะที่คิดถึงเรื่องของความจริงอย่าเอาการคาดการณ์หรือจินตนาการเข้ามาเกี่ยวข้องมิฉะนั้นอาจจะเกิดความลำเอียงได้
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43688
Finance
นโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลจะส่งผลดีต่อระบบการเงินการคลังของประเทศไทยในระยะยาวหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: 1. ภาระทางการคลัง: นโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น นโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ล้วนมีภาระค่าใช้จ่ายสูงซึ่งจะเพิ่มภาระทางการคลังของรัฐบาล significantly. 2. นโยบายสวัสดิการถ้วนหน้า: นโยบายนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายของรัฐบาลประมาณ 3.5 ล้านล้านบาทต่อปี 3.การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ: นโยบายนี้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจและอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ 4.การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร: นโยบายนี้จะส่งผลต่องบประมาณกลาโหม 5.การจัดเก็บภาษี: นโยบายของพรรคก้าวไกล เช่น การเก็บภาษีความมั่งคั่ง และการเพิ่มอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้สูง อาจทำให้เกิด capital flight 6. การเก็บภาษีความมั่งคั่ง: นโยบายนี้จะนำไปสู่การย้ายถิ่นฐานของบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย 7.การเพิ่มอัตราภาษีบุคคลธรรมดา: นโยบายนี้จะนำไปสู่การหลีกเลี่ยงภาษี 8.บทบาทของรัฐ: นโยบายของพรรคก้าวไกลมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มบทบาทของรัฐในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาด 9.การแทรกแซงของรัฐ: นโยบายนี้จะนำไปสู่การคอรัปชั่นและความไร้ประสิทธิภาพ 10.การจำกัดเสรีภาพ: นโยบายนี้จะจำกัดเสรีภาพของภาคธุรกิจ 11.ความเสี่ยงทางการเมือง: นโยบายของพรรคก้าวไกล some of which are considered radical, may create uncertainty and instability in the political landscape. 12.ความไม่แน่นอน: นโยบายนี้จะสร้างความกังวลต่อนักลงทุน 13.ความไม่มั่นคง: นโยบายนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ข้อสรุป: นโยบายเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกลมีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อระบบการเงินการคลังของประเทศไทยในระยะยาว นโยบายเหล่านี้จะเพิ่มภาระทางการคลัง หมายเหตุ: การวิเคราะห์นี้เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ผลลัพธ์ที่แท้จริงอาจแตกต่างกันไป ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่อาจส่งผลต่อระบบการเงินการคลังของประเทศไทย
ความรู้ทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_12780
Medical
โซดาไฟ หรือ โซดาแผดเผา หรือ คอสติกโซดา(Caustic soda) คือ อะไร
A. คือ สารประกอบ ไฮเดรตเต็ดโพแทสเซียมอะลูมิเนียมซัลเฟต (โพแทสเซียมอะลัม) สูตรเคมีว่า KAl(SO4)2.12H2O B. คือ สารประกอบทางเคมีที่มีโครงสร้างเป็นผลึก ประกอบด้วยไอออนบวกของโลหะ (หรือไอออนบวกของแอมโมเนียม NH 4 + ) และแอนไอออนของกรด C. โซดาไฟ หรือ โซดาแผดเผา หรือ คอสติกโซดา(Caustic soda) เป็นสารประกอบ อนินทรีย์ที่มีสูตรเคมี NaOH(Sodium hydroxide) D. เป็น ของเหลวที่ได้จากกระบวนการหมัก มีองค์ประกอบหลักคือกรดน้ำส้ม (กรดอะซิติก) มีสูตรทางเคมีคือ CH3COOH
คำตอบคือ C. เนื่องจาก โซดาไฟ หรือ โซดาแผดเผา หรือ คอสติกโซดา(Caustic soda) เป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่มีสูตรเคมี NaOH(Sodium hydroxide) มีลักษณะเป็นของแข็งไม่มีสี มีฤทธิ์เป็นด่างสูงมาก สามารถทำลายเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต และเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนเมื่อนำมาละลายน้ำ การเก็บรักษาจึงต้องอยู่ในที่แห้งหรือมีความชื้นต่ำและอยู่ในภาชนะที่มิดชิด โซดาไฟถูกนำมาในกระบวนการอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น การผลิตกระดาษ อุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตน้ำดื่ม การทำสบู่ ผงซักฟอก และเคมีภัณฑ์ที่ใช้กำจัดสิ่งปฏิกูลในห้องน้ำ ท่อระบายน้ำ กล่าวได้ว่า โซดาไฟ เป็นสารเคมีที่รู้จักกันดีในหมู่คนทั่วโลก อย่างไรก็ตามการใช้งานโซดาไฟในชีวิตประจำวัน ต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ร่วมกับใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลชนิดต่างๆมาประกอบกัน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เรียก โซดาไฟ อีกชื่อว่า “โซดาแผดเผา” หมายถึง สารประกอบชนิดหนึ่งชื่อ โซเดียมไฮดรอกไซด์(NaOH) เป็นของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทำสบู่ ไหมเรยอง, โซดาไฟ หรือ คอสติกโซดา (Caustic soda) ก็เรียก โซดาไฟ เป็นสารเคมีคนละชนิดกับ เบกกิ้งโซดา/(Baking soda) หรือ ผงฟู (Baking powder) มีคุณสมบัติการใช้งานที่ต่างกันอย่างมาก รวมถึงโทษหรือความเป็นพิษต่อร่างกายด้วย
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_356
Finance
จงเสนอไอเดีย สาเหตุหลัก ๆ อะไรบ้าง ที่ทำให้กองทุนสำรอง “ไม่พอ” เลี้ยงชีพ
null
1. ไม่ทราบยอดเงินที่จำเป็นต้องใช้เมื่อเกษียณอายุ การออมโดยไม่มีเป้าหมาย ก็เปรียบเสมือนการเดินทางออกจากบ้านโดยไม่ทราบว่าจะไปที่ใด หลายคนไม่เคยรู้ว่าต้องเตรียมเงินไว้เท่าไหร่จึงจะเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในวัยเกษียณ ที่จริงเราสามารถประเมินวงเงินที่จำเป็นต้องใช้ยามเกษียณอย่างง่ายๆ ดังนี้ - กำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนในปัจจุบัน - นำค่าใช้จ่ายรายเดือนคูณด้วย 12 เพื่อปรับให้เป็นค่าใช้จ่ายต่อปี - นำค่าใช้จ่ายรายปีคูณด้วย 70% เพื่อปรับให้เป็นค่าใช้จ่ายที่ใช้จริงตอนไม่ได้ทำงานแล้ว - นำค่าใช้จ่ายที่ใช้จริงยามเกษียณคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ ขั้นต่ำควรเริ่มจากตัวเลข 25 ซึ่งมาจากการประมาณการว่าเกษียณอายุที่ 60 ปี และจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงอายุ 85 ปี - นำผลลัพธ์ที่ได้คูณด้วย 2 เพื่อเป็นการปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 3% ต่อปี 2.จ่ายเงินสะสมเพียง “ขั้นต่ำ” ปกติเราสามารถเลือกได้ว่าจะจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนเท่าไหร่ ตั้งแต่ 2 - 15% ของเงินเดือน โดยบริษัทจะตัดเงินส่วนนี้เข้ากองทุนไปเลย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเลือกให้หักน้อยที่สุด เพราะจะได้เหลือเงินไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนมากหน่อยอาจหรือบางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องออมมากมาย เดี๋ยวลูกหลานก็เลี้ยงดู ให้กินให้อยู่อย่างสุขสบาย หรือบางคนอาจบอกไม่ต้องห่วงเลยก็ได้ ยังไงรัฐก็มีสวัสดิการตั้งมากมายมอบให้ผู้สูงอายุอยู่แล้ว เรื่องของอนาคต... คงไม่มีใครฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเป็นไปตามที่เราคาด หากเรามองโลกในแง่ดีจนเกินไป เกิดวันหนึ่งรัฐบาลไม่พร้อมจะช่วยเหลือ แถมลูกหลานก็มีภาระรัดตัว ชีวิตเรามิต้องเคว้งคว้างไร้คนดูแลหรอกหรือ โดยเราควรหักเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างน้อย 10% ของเงินเดือน แต่ถ้าจะให้ดี... เลือกหักในอัตราสูงสุด 15% ไปเลย ยิ่งออมต่อเดือนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเอง 3. เลือกนโยบายการลงทุนในหุ้นน้อยเกินไปไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 3% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ข้อมูลสถิติได้แสดงให้เราเห็นกันอยู่แล้วว่าข้าวของมีราคาสูงขึ้นทุกวัน ราคาสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% ต่อปี และข้อมูลสถิติอีกเช่นกันที่ทำให้เราทราบว่า... ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้อย่างขาดลอย 4. คิดว่ายอดเงินทั้งหมดจากใบแจ้งยอดกองทุนเป็นเงินของเรา โดยไม่มีเงื่อนไข สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า... ยอดรวมของเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามใบแจ้งยอดที่ได้รับทุก 6 เดือนนั้น จะตกเป็นของเราทั้งหมด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะการแยกวงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกเป็นเงินสะสม ผลประโยชน์ของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินสมทบนั้น นอกจากเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นเจ้าของเงินในฐานะลูกจ้างและนายจ้างอีกด้วย เงินในส่วนของนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นเงินสมทบหรือผลประโยชน์ของเงินสมทบนั้น นายจ้างมีสิทธิที่จะไม่ให้ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างถูกไล่ออก หรือมีความผิดอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ นายจ้างยังมีสิทธิที่จะแบ่งเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบเป็นสัดส่วนตามอายุงาน รวมไปถึงการกระจายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนที่ลูกจ้างไม่ได้รับเมื่อออกจากงาน ไปให้สมาชิกกองทุนรายอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างอยู่ทำงานกับนายจ้างนานขึ้น ข้อกำหนดเหล่านี้จะถูกระบุไว้ใน “ข้อบังคับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” สมาชิกสามารถขอดูได้จากคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับการแต่งตั้งและเลือกตั้งภายในบริษัทของเรา ซึ่งโดยทั่วไปสมาชิกกองทุนจะได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมดตามใบแจ้งยอดแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ต่อเมื่อสมาชิกเกษียณอายุ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต 5. ถอนเงินออกมาใช้มากเกินกว่า4% ต่อปี หากเราคาดว่าจะใช้เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้หมดภายในระยะเวลา 25 ปี เงินที่เราได้รับมาทั้งหมดควรจะนำมาใช้ในอัตราไม่เกิน 4% ต่อปี ซึ่งคำนวณได้จากตัวเลข 100 หารด้วยระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้เงินให้หมด โดยมีสมมติฐานว่าเงินที่ยังคงเหลือในกองทุนนั้นได้รับอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น หากเราได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ วันที่เกษียณมาทั้งหมด 1,000,000 บาท เราก็ควรจะนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้ปีละไม่เกิน 40,000 บาท เพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณไปอีก 25 ปี แต่หากคาดว่าจะใช้เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้หมดภายในระยะเวลา 40 ปีเราก็ควรจะนำเงินออกมาใช้ในอัตราที่น้อยกว่า 2.5% ต่อปี เป็นต้น
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_578
Finance
จากข้อมูล 5 บริษัท Trillion Dollar Club นั้น อะไรคือกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว?
null
กลยุทธ์การลงทุนในบริษัท Trillion Dollar Club: 1. การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing): -เลือกบริษัทที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalued) โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น อัตราส่วน P/E, P/B, PEG Ratio -มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงิน แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ตัวอย่าง: Apple, Microsoft 2. การลงทุนแบบเน้นการเติบโต (Growth Investing): -เลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยพิจารณาจากปัจจัย เช่น อัตราการเติบโตของรายได้ กำไร และส่วนแบ่งตลาด -มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่อยู่ในตลาดที่มีการเติบโตสูง เช่น ตลาดเทคโนโลยี ตลาดอีคอมเมิร์ซ ตัวอย่าง: Amazon, Alphabet 3. การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversification): -กระจายเงินลงทุนไปยังบริษัท Trillion Dollar Club หลายกลุ่ม แบ่งตามขนาดบริษัท สัญชาติ ประเภทธุรกิจ -ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาบริษัทใดบริษัทหนึ่งมากเกินไป ตัวอย่าง: ลงทุนในทั้ง Apple (บริษัทอเมริกา) และ Microsoft (บริษัทอเมริกา) , ลงทุนในทั้ง Amazon (ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ) และ Alphabet (ธุรกิจเทคโนโลยี) 4. การติดตามข่าวสารและเทรนด์: -ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท Trillion Dollar Club เทรนด์ใหม่ เทคโนโลยี -วิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี ต่อบริษัท -ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 5. การลงทุนระยะยาว: -อดทน รอคอยผลตอบแทนในระยะยาว -ไม่ควรใจร้อน ซื้อขายหุ้นบ่อย -เน้นการลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ข้อควรระวัง: -การลงทุนมีความเสี่ยง -ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน -ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพิ่มเติม: -กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละคนอาจแตกต่างกัน -นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_12002
Medical
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถใช้ยาทาเล็บอะมอร์โรลฟีน (Amorolfine) รักษาการติดเชื้อราที่เล็บได้หรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ยาอะมอร์โรลฟีนมีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อราที่เล็บ ศึกษาทางคลินิกหลายแห่งได้แสดงให้เห็นว่ายาอะมอร์โรลฟีนมีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อราที่เล็บ โดยเฉพาะเชื้อรา Dermatophytes ยาอะมอร์โรลฟีนมีรูปแบบเป็นยาทาเล็บ ช่วยให้ตัวยาสามารถแทรกซึมผ่านเล็บได้ดี ยาอะมอร์โรลฟีนมีกลไกการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อราที่เล็บ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อราได้ยากขึ้น ยาอะมอร์โรลฟีนมีความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ศึกษาทางคลินิกไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยาอะมอร์โรลฟีนในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ผลข้างเคียงที่พบมักเป็นอาการไม่รุนแรง เช่น แสบคันบริเวณผิวหนังที่ทายา ยาอะมอร์โรลฟีนเป็นยาทาเล็บ ไม่ได้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด การใช้ยาอะมอร์โรลฟีนจึงมีความเสี่ยงต่ำต่อการเกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม การใช้ยาอะมอร์โรลฟีนในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ แพทย์จะประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อราที่เล็บ แพทย์จะเลือกขนาดยาและระยะเวลาการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะติดตามผลการรักษาและตรวจหาผลข้างเคียง สรุป: ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถใช้ยาทาเล็บอะมอร์โรลฟีนรักษาการติดเชื้อราที่เล็บได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_10895
Medical
สรุปบทความเรื่อง ระบบโรคไต ให้หน่อย
ระบบโรคไต Nephrology โรคไต Kidney disease โรคไตเรื้อรัง Chronic kidney disease ไตวาย ไตล้มเหลว Renal failure การล้างไต การบำบัดทดแทนไต Renal replacement therapy โรคไตอักเสบในเด็ก Pediatric nephritis อาหารในโรคไต Kidney disease diet กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ Anatomy and physiology of Urinary tract ไต Kidney ระบบโรคไต Nephrology เป็นระบบทางการแพทย์ด้านอายุรกรรม อายุรกรรมโรคไต Neprology หรือกุมารเวช กุมารเวชโรคไต Pediatric Nephrology ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและกับโรคไตที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยศัลยกรรมเช่น โรคไตอักเสบเฉียบ พลัน โรคไตอักเสบเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง และภาวะไตวาย เป็นต้น
ระบบโรคไต เป็นระบบทางการแพทย์ด้านอายุรกรรม อายุรกรรมโรคไต หรือกุมารเวช กุมารเวชโรคไต ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและกับโรคไตที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยศัลยกรรม เช่น โรคไตอักเสบเรื้อรัง และภาวะไตวาย
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_27057
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "การเตรียมความพร้อมและขั้นตอนการปลูกถ่ายไต: ข้อมูลสำหรับผู้ป่วยและกระบวนการทางการแพทย์" ให้หน่อยคะ
การปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยควรมีการเตรียมความพร้อม และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อพร้อมรับการติดต่อในการเปลี่ยนไตได้ตลอด ตรวจประเมินผู้ป่วยก่อนปลูกถ่ายไต 1.ตรวจเลือด ดูการทำงานของไต – ตับ ความเข้มข้นของเลือด ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส ซีเอ็มวีไวรัส เอชไอวี และหากผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบต้องได้รับการตรวจรักษากับแพทย์ก่อนและผู้ป่วยที่ไม่มีภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบีจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนก่อนทุกราย 2. ตรวจปัสสาวะ ถ้ายังมีปัสสาวะ 3. เอกซเรย์ปอด เพื่อดูลักษณะของหัวใจและปอด 4. การตรวจหัวใจ เริ่มแรกจะมีการตรวจคลื่นหัวใจ เพื่อดูการทำงานของหัวใจ หากมีข้อบ่งชี้อาจมีการตรวจ อัลตราซาวนด์คลื่นเสียง และ/หรือวิ่งสายพานเพื่อดูความพร้อมของหัวใจ หากมีอาการผิดปกติต้องมีการแก้ไขก่อนและได้รับความเห็นชอบจากแพทย์หน่วยโรคหัวใจว่าสามารถผ่าตัดปลูกถ่ายไตได้ 5. ตรวจเลือด เพื่อเปรียบเทียบเนื้อเยื่อ 6. อัลตราซาวนด์ โดยแพทย์แผนกรังสีจะใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงวางบริเวณหน้าท้อง 7. การตรวจสุขภาพฟัน โดยทันตแพทย์ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพฟันต้องรีบรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบติดเชื้อ การเตรียมตัวในช่วงเวลาที่ต้องรอเปลี่ยนไต 1. ควรตรวจสอบว่าแพทย์ผู้รักษา ได้มีการส่งข้อมูลผู้รอรับทั้งหมด เพื่อมาลงทะเบียนไว้กับศูนย์บริจาคอวัยะแล้วในช่วงนั้น 2. หลังจากที่ได้มีการลงทะเบียนเพื่อขอรอรับการบริจาคไต ผู้ป่วยจะต้องตรวจเลือดทุก 2 เดือน พร้อมทั้งตรวจสภาพร่างกายทุก 2 – 3 เดือน 3. ผู้ป่วยที่ต้องการเปลี่ยนไต และผู้ป่วยสูงอายุ หรือ ผู้ป่วยเบาหวานเรื้อรัง จะต้องถูกตรวจเพื่อดูเส้นเลือดที่จะนำไตใหม่ไปปลูกถ่าย ว่าเส้นเลือดมีความแข็งแรง และมีความแคลเซียมเกาะอยู่หรือไม่ 4. ผู้ป่วยจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเข้ารับการติดต่อผู้ประสานงานการเปลี่ยนไตได้ตลอด 5. ผู้ป่วยจะต้องเข้าพบแพทย์ตามกำหนด 6. ควรส่งเลือดทุกเดือน เพื่อตรวจหาโอกาสในการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ 7. ผู้ป่วยจะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงระหว่างนี้ เมื่อถูกเรียกมาปลูกถ่ายไตต้องทำอย่างไร 1. งดอาหารและน้ำดื่ม อย่างน้อย 6 ชั่วโมง โดยพยาบาลจะแจ้ง ให้ทราบว่าจะต้องเริ่มงดเวลาใด 2. ให้เตรียมเดินทางมาทันทีที่พยาบาลโทรแจ้งให้เดินทางได้ ผู้ป่วยควรจะวางแผนการเดินทางโดยตรวจสอบสายการบินไว้ เตรียมรถส่วนตัว และไม่ควรเดินทางโดยรถประจำทาง 3.นำยาทุกประเภทที่รับประทานมาด้วย ถ้ามีการรับประทานยาละลายลิ่มเลือดให้แจ้งพยาบาลผู้ประสานงานฯ ด้วยทุกครั้ง 4. ไม่รับเลือดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 5. ทำการฟอกเลือดรอไว้หากท่านฟอกเลือดมานานเกิน 48 ชั่วโมง ส่วนผู้ป่วยที่ล้างของเสียผ่านทางหน้าท้องให้เตรียมน้ำยาและอุปกรณ์ทุกอย่างมาโรงพยาบาลด้วย ข้อมูลจาก ศูนย์ปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลไทยนครินทร์
การปลูกถ่ายไตเป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ต้องมีการเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้ป่วยพร้อมรับการติดต่อและการเปลี่ยนไตได้ตลอดช่วงเวลา การตรวจประเมินผู้ป่วยก่อนปลูกถ่ายไตมีขั้นตอนหลายข้อ: 1. ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของไต-ตับ ความเข้มข้นของเลือด และตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ตับอักเสบซี ซิฟิลิส ซีเอ็มวี และเอชไอวี 2. ตรวจปัสสาวะ 3. เอกซเรย์ปอดเพื่อตรวจสอบหัวใจและปอด 4. การตรวจหัวใจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นหัวใจและอัลตราซาวนด์ 5. ตรวจเลือดเพื่อเปรียบเทียบเนื้อเยื่อ 6. อัลตราซาวนด์เพื่อตรวจเส้นเลือดที่จะนำไตใหม่ไปปลูกถ่าย 7. ตรวจสุขภาพฟันเพื่อป้องกันการอักเสบติดเชื้อ ในช่วงเวลาที่ต้องรอการเปลี่ยนไต, ผู้ป่วยต้องตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดกับแพทย์, ตรวจเลือดทุก 2 เดือน และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง. ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพฟันควรรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบติดเชื้อ. เมื่อถูกเรียกมาปลูกถ่ายไต, ผู้ป่วยต้องงดอาหารและน้ำ อย่างน้อย 6 ชั่วโมง, พร้อมทั้งตรวจสอบยาที่รับประทาน, งดเลือดอย่างน้อย 2 สัปดาห์, และเตรียมเดินทางมาโรงพยาบาล. ในกระบวนการปลูกถ่ายไต, มีขั้นตอนที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น งดอาหารและน้ำ, ตรวจสอบยาที่รับประทาน, และเตรียมเดินทางมาโรงพยาบาลทันทีที่ได้รับการโทรแจ้ง ในระหว่างรอเปลี่ยนไต, ผู้ป่วยต้องตรวจเลือดทุก 2 เดือน, รักษาสุขภาพ, และเตรียมตัวให้พร้อมติดต่อผู้ประสานงานการเปลี่ยนไต. ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากศูนย์ปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลไทยนครินทร์.
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_27586
Medical
จงสรุปเรื่อง โรคหลอดเลือดสมอง ให้ทีค่ะ
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เส้นเลือดในสมองตีบ แตก ตัน อันตราย โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือ ภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดและออกซิเจนที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อยๆ ตายลง โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ หลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน (ischemic stroke) หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง (intracerebral hemorrhage) หรือเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน มีอาการอย่างไร? มีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด หลับตาไม่สนิท หรือชาที่ใบหน้า มีอาการแขนขาอ่อนแรงอย่างเฉียบพลันโดยมักเป็นครึ่งซีก มีอาการแขนหรือขาชาอย่างเฉียบพลัน มักจะเป็นซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย พูดไม่ออก หรือฟังไม่เข้าใจ รวมทั้งพูดลำบาก หรือพูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็น มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเฉียบพลัน โดยที่ไม่มีสาเหตุ มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ซึมลง เรียกไม่รู้ตัว มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน มีอาการเดินเซ เดินลำบาก การทรงตัวไม่ดีอย่างเฉียบพลัน ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง สามารถเกิดได้จากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ทั้งปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ ปัจจัยเสี่ยงของเส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ได้แก่ อายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เพศ ผู้ชายจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้มากกว่าผู้หญิง เชื้อชาติ พันธุกรรมบางชนิด ปัจจัยเสี่ยงของเส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน ที่สามารถควบคุมได้ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ โรคเลือดบางชนิด เช่น ภาวะเลือดข้นผิดปกติ เกล็ดเลือดสูง เม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ รวมทั้งหัวใจวายและภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด โรคอ้วน และภาวะนอนกรน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด หรือยากระตุ้นบางชนิด ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีภาวะเครียด การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน การซักประวัติอาการของผู้ป่วย การตรวจร่างกายเบื้องต้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI brain) การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ โดยแบ่งตามลักษณะของโรค ดังนี้ 1. หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (ischemic stroke) สามารถรักษาได้ 2 วิธี ได้แก่ การรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด (rtPA) จะใช้ในกรณีผู้ป่วยมาพบแพทย์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 4.5 ชั่วโมงนับจากมีอาการ และพิจารณาความเหมาะสมของร่างกายผู้ป่วยแล้ว โดยแพทย์จะทำการฉีดยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ เพื่อละลายลิ่มเลือดที่ปิดกั้นหลอดเลือดอยู่ออกเพื่อช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองอีกครั้ง การใส่สายสวนลากลิ่มเลือด (Clot Retrieval) หากเส้นเลือดที่ตีบเป็นเส้นเลือดใหญ่ โดยการใส่สายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดงใหญ่พร้อมขดลวดที่ขาหนีบไปจนถึงจุดที่เกิดการอุดตัน แล้วดึงเอาลิ่มเลือดที่อุดตันออกจากหลอดเลือดสมองเพื่อเปิดรูของหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ช่วยให้เลือดกลับไปเลี้ยงสมองอีกครั้ง 2. หลอดเลือดสมองแตก (hemorrhagic stroke) จะต้องการควบคุมปริมาณเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันโลหิต โดยให้ยาลดความดันโลหิตเพื่อป้องกันการแตกซ้ำ พร้อมทั้งหาสาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตก ในกรณีที่เลือดออกมาก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเพื่อป้องกันความเสียหายต่อสมอง โดยการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเลือดที่ออกภายในสมองและขนาดของก้อนเลือด การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย รองจากโรคมะเร็ง นอกจากการตรวจสุขภาพเป็นประจำแล้ว การดูแลสุขอนามันของตนเองก็สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ แตกหรืออุดตันได้ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีเส้นใยมาก ลดอาหารรสเค็ม อาหารคอเลสเตอรอลสูง อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ กรณีมีความดันโลหิตสูง ควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นระยะและรับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำเสมอ
โรคหลอดเลือดสมอง คือ ภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อยๆ ตายลง แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ หลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน และ หลอดเลือดสมองแตก 1.อาการของโรค -มีอาการดังนี้ มีอาการอ่อนแรงที่ใบหน้า ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด มีอาการแขนหรือขาชาอย่างเฉียบพลัน พูดลำบาก หรือพูดไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุ เดินเซ เดินลำบาก 2.ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งเป็น 2 ข้อดังนี้ 2.1 ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อายุ เพศ เชื้อชาติ 2.2 ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคเลือด โรคอ้วน การกินเหล้า สูบบุหรี่ 3.การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง สามารถรักษาตามลักษณะของโรคดังนี้ 3.1 หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน รักษาโดย ให้ยาละลายลิ่มเลือด และการใส่สายสวนลากลิ่มเลือด 3.2 หลอดเลือดสมองแตก รักษาได้โดย ควบคุมปริมาณเลือดที่ออกด้วยการรักษาระดับความดันโลหิต โดยให้ยาลดความดันโลหิตเพื่อป้องกันการแตกซ้ำ 4.การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง -นอกจากการตรวจสุขภาพเป็นประจำแล้ว การดูแลสุขอนามันของตนเองก็สำคัญ เช่น รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ลดอาหารเค็ม ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_27216
Medical
ช่วยสรุปบทความ โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ พบได้ไม่บ่อย แต่ร้ายแรง
โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ พบได้ไม่บ่อย แต่ร้ายแรง โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ (cardiac amyloidosis) เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อย พบได้ประมาณ 1 ในแสนคนเท่านั้น และเป็นโรคที่อันตรายร้ายแรง ที่เกิดจากร่างกายสร้างโปรตีนอะไมลอยด์ออกมามากเกินไป โดยโปรตีนชนิดนี้มีโครงสร้างผิดปกติทำให้โปรตีนเหล่านี้ไม่ละลายน้ำ จนเกิดการสะสมในกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อรอบข้าง ส่งผลทำให้ระบบการทำงานของหัวใจเกิดความผิดปกติ ที่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ โรคอะไมลอยด์โดสิสที่เกี่ยวข้องกับหัวใจมีกี่ชนิด โรคอะไมลอยด์โดสิสแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ตามสาเหตุของการเกิดโรค แต่ชนิดที่เกี่ยวข้องกับหัวใจโดยตรง จะมีอยู่เพียง 2 ชนิด ได้แก่ AL amyloidosis เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิด plasma cell ในไขกระดูกมีการสร้างโปรตีนที่ช่วยปกป้องร่างกายที่ชื่อว่า immunoglobulin light chain มากผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ จนส่งผลกระทบต่ออวัยวะทั่วร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ลำไส้และเส้นประสาท ATTR amyloidosis เกิดจากโปรตีน transthyretin หรือ TTR ออกมาโดยมีรูปร่างที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะตามเส้นประสาทและหัวใจ แบ่งย่อยได้เป็น 2 ชนิดคือ Hereditary amyloidosis เป็นชนิดที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้ตับสร้างโปรตีน transthyretin (TTR) ออกมาผิดปกติ Wild-type หรือ senile amyloidosis เกิดจากตับสร้างโปรตีน TTR ออกมาในปริมาณที่ปกติ แต่ผลิตโปรตีน amyloid โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุและมักเกิดที่หัวใจ อาการของโรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจมีอะไรบ้าง อาการของโรคอะไมลอยด์โดสิส (cardiac amyloidosis) ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และมักมีอาการในผู้สูงอายุตั้งแต่ อายุ 60 ปีขึ้นไป ได้แก่ มีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย มีอาการใจสั่น มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการหน้ามืด ขณะเปลี่ยนท่าทาง อาจทำให้มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการบวม น้ำคั่งอยู่ในร่างกายตามส่วนต่างๆ เช่น ท้อง ขา ข้อเท้า หายใจลำบากเมื่ออยู่ในท่านอน หากรุนแรงมากอาจจะมีอาการน้ำท่วมปอด อาจมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น อาการชาปลายมือ ปลายเท้า แพทย์วินิจฉัยโรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจได้ย่างไร การวินิจฉัยโรคนั้นอาจเป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการแสดงที่ไม่จำเพาะและเกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ ในร่างกายหลายระบบ ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติร่วมกับการตรวจร่างกาย หากพบความผิดปกติทางระบบหัวใจ โดยไม่มีประวัติเคยเป็นโรคใดๆ มาก่อน อย่างโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งการตรวจเจอกล้ามเนื้อหัวใจหนาตั้งแต่ 12 มิลลิเมตรขึ้นไป เป็นต้น ซึ่งการตรวจ ได้แก่ การเอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) ตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ตรวจเลือด ดูภาวะซีด หรือวัดระดับ immunoglobulin light chain และ serum immunofixation electrophoresis (IFE) ตรวจปัสสาวะดูโปรตีนรั่วในปัสสาวะ และ urine immunofixation electrophoresis (IFE) ตรวจทางรังสีวิทยา 99mTechnitium pyrophosphate (PYP) scan หรือ bone scan เพื่อแยกชนิดของโรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ (cardiac amyloidosis) หากวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคอะไมลอยด์โดสิสชนิด ATTR จะมีการตรวจการกลายพันธุ์ของยีน TTR (TTR mutation) เพื่อแยกว่าโรคเกิดจากพันธุกรรมหรือเกิดจากวัย
โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจเป็นโรคหากันได้น้อย พบประมาณ 1 ในแสนคน เกิดจากการสะสมของโปรตีนอะไมลอยด์ในกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้ระบบการทำงานของหัวใจผิดปกติและอันตรายได้ โรคอะไมลอยด์โดสิสมี 4 ประเภท แต่ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจมี 2 ชนิดคือ AL amyloidosis ที่เกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว plasma cell และส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ และ ATTR amyloidosis ที่เกิดจากโปรตีน transthyretin (TTR) ที่มีรูปร่างผิดปกติ แบ่งเป็น Hereditary amyloidosis ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม และ Wild-type หรือ senile amyloidosis ที่ไม่ทราบสาเหตุและเกิดมากับผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักเกิดที่หัวใจ อาการของโรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจมีอาการเหนื่อย, ใจสั่น, หน้ามืดเมื่อเปลี่ยนท่า, บวม, หายใจลำบาก, และอาจมีอาการทางระบบประสาทเช่น ชาปลายมือ ปลายเท้า มักพบในผู้สูงอายุและผู้ชาย การวินิจฉัยโรคอะไมลอยด์โดสิสให้ยากเนื่องจากอาการไม่เจอกันบ่อย แต่สามารถใช้เครื่องมือการตรวจร่างกายและระบบต่าง ๆ เพื่อช่วยในการวินิจฉัย เช่น การซักประวัติ, การตรวจร่างกาย, การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การเอกซเรย์ปอด, การตรวจด้วยคลื่นเสียง, การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การตรวจเลือด, การตรวจปัสสาวะ, และการตรวจทางรังสีวิทยา เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและระบุประเภทของโรคอะไมลอยด์โดสิสที่เกิดขึ้น
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43990
Finance
ช่วยเขียนความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง "เส้นทางของเศรษฐกิจ: จากการลด QE ถึงการลุ้น Debt Ceiling"
null
"จาก QE Tapering (with less tantrum?) สู่การลุ้น Debt Ceiling Lifting" การเฝ้าระวังและการจัดการกับนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างการลดปริมาณเงินเยน (QE) และการยกระดับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล (Debt Ceiling) เป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญในการเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ และมีผลกระทบต่อตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง การลดปริมาณเงินเยน (QE Tapering) เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางลดการซื้อหลักทรัพย์ในตลาด เพื่อลดความกดดันทางเงินตราของประเทศ การลดนโยบาย QE ส่วนใหญ่จะมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศนั้น ๆ และส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและตลาดทรัพย์ระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะในปีก่อนหน้านี้ มีความกังวลเกี่ยวกับการลด QE ในสหรัฐอเมริกา ที่อาจทำให้เกิดสถานการณ์ "tantrum" หรือการเกิดความไม่สงบในตลาดทุน เมื่อนักลงทุนรีบขายหุ้นและตราสารทุนอื่น ๆ เมื่อราคาของหลักทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในการลด QE ครั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิด "tantrum" น้อยลงเนื่องจากตลาดได้รับทราบล่วงหน้าและผนวกไปกับมันให้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน การลุ้นการยกระดับค่าใช้จ่ายของรัฐบาล (Debt Ceiling) เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อความเสถียรของเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องขออนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรในการเพิ่มขีดจำกัดของหนี้สูงสุดที่สามารถยอมรับได้ เมื่อไม่มีข้อตกลงถึงการยกระดับค่าใช้จ่าย รัฐบาลอาจต้องพักการดำเนินการบางอย่าง หรือแก้ไขด้วยวิธีการชั่วคราวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลุ้นการยกระดับค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสามารถทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดทุนและตลาดทรัพย์ เนื่องจากการพักการดำเนินการของรัฐบาลหรือการแก้ไขด้วยวิธีชั่วคราวอาจมีผลกระทบต่อการลงทุนและการบริโภค นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการเงินทั่วไปของประชาชนและธุรกิจ ดังนั้น การเฝ้าระวังการลด QE และการลุ้นการยกระดับค่าใช้จ่ายของรัฐบาลมีความสำคัญอย่างมากในการเข้าใจและวางแผนกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในตลาดการเงินและตลาดทุนในอนาคต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43095
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ สินค้าไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีซับซ้อน แค่เริ่มจากสินค้าเดิมๆที่คนใช้อยู่ แต่หยิบมาปรับเปลี่ยนใหม่ให้ตรงใจผู้บริโภค
null
บทเรียนจากก้อนสบู่: กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของเบนเนท ณ ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท พาภิญโญ กรุ๊ป บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด คุณชาย ปราบเล่ง ประธานกรรมการบริษัท กำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ ยอดขายสบู่เบนเนท สินค้าหลักของบริษัท กำลังมีแนวโน้มชะลอตัว “เราต้องทำอะไรสักอย่าง!” คุณชายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “ยอดขายเบนเนทเริ่มทรงตัว คู่แข่งก็ออกมาทำสินค้าคล้ายกัน เราต้องหาทางเพิ่มยอดขายให้ได้!” เหล่าผู้บริหารต่างเสนอแนะกลยุทธ์ต่างๆ บ้างก็ว่าควรลดราคา บ้างก็ว่าควรเพิ่มงบโฆษณา แต่คุณชายกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป “เบนเนทเป็นสบู่ที่คนไทยใช้มานานกว่า 20 ปี อะไรคือสิ่งที่ทำให้เบนเนทประสบความสำเร็จ?” คุณชายตั้งคำถาม “เราอาจจะลืมกลยุทธ์ดั้งเดิมที่ทำให้เบนเนทเป็นเบนเนทไปแล้ว” คุณชายเล่าเรื่องราวความสำเร็จของเบนเนทให้ผู้บริหารฟัง ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตลาดสบู่ในประเทศไทยเต็มไปด้วยแบรนด์ต่างประเทศ แต่คุณชายเล็งเห็นถึงโอกาสในตลาดสบู่สมุนไพร “คนไทยนิยมใช้สมุนไพรมาช้านาน ผมเชื่อว่าสบู่สมุนไพรต้องมีตลาดแน่นอน” คุณชายเล่า “แต่ปัญหาคือ สบู่สมุนไพรในท้องตลาดมักมีราคาแพง และคุณภาพไม่ดี ผมเลยอยากทำสบู่สมุนไพรที่มีราคาจับต้องได้ และคุณภาพดี” คุณชายทุ่มเทเวลาและเงินทุนไปกับการวิจัยและพัฒนาสูตรสบู่สมุนไพร ในที่สุดก็ได้สูตรสบู่เบนเนทที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและอี ที่ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใส “แต่แค่มีสินค้าดีอย่างเดียวไม่พอ เราต้องทำให้คนรู้จักเบนเนทด้วย” คุณชายกล่าวต่อ “ผมเลยตัดสินใจเลือกคุณบุ๋ม ปนัดดา เป็นพรีเซนเตอร์ เพราะคุณบุ๋มมีภาพลักษณ์ที่ดี และเหมาะกับสินค้าของเรา” กลยุทธ์ของชาย proved to be successful. สบู่เบนเนทกลายเป็นที่รู้จักและโด่งดังไปทั่วประเทศ ยอดขายพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว “เบนเนทประสบความสำเร็จเพราะเราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค” คุณชายสรุป “เราทำสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคาจับต้องได้ และใช้พรีเซนเตอร์ที่เหมาะกับสินค้า กลยุทธ์เหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เบนเนทอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน” คุณชายหันไปหาเหล่าผู้บริหาร “ผมอยากให้ทุกคนจำไว้ว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือกลยุทธ์ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า จงอย่าลืมกลยุทธ์ดั้งเดิมที่ทำให้เบนเนทเป็นเบนเนท และจงพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ”
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_10232
Medical
แขนกลช่วยผ่าตัดคืออะไร ใช้กับการผ่าตัดอะไร มีข้อจำกัดใดบ้าง
จงตั้งสรุป บทความ ให้เกี่ยวข้องกับ Medical ​ บทความ Medical_10232 แขนกลช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) ทางเลือกที่แพทย์ใช้ – ทางรอดที่ผู้ป่วย “มะเร็งต่อมลูกหมาก” มั่นใจ จากจินตนาการในนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่อง “หุ่นยนต์ผ่าตัด” ได้กลายเป็นความจริงเรียบร้อยแล้วสำหรับวงการแพทย์แห่งศตวรรที่ 21 ศัลยแพทย์ชั้นนำทั่วโลกต่างยอมรับ “หุ่นยนต์” ในฐานะแขนกล “ผู้ช่วย” ผ่าตัดซึ่งทำให้ศัลยแพทย์ก้าวข้ามข้อจำกัดหลายประการในการผ่าตัดบริเวณที่ซับซ้อนและเข้าถึงได้ยากของร่างกายมนุษย์ ผลลัพธ์คือผู้ป่วยเจ็บตัวน้อยลง มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากขึ้น เกิดผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนน้อยมาก อีกทั้งแขนกลช่วยผ่าตัดยังมีผลงานที่โดดเด่นและน่าสนใจก็คือ การรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยผู้ป่วยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศหลังการผ่าตัดอีกด้วย ผศ.นพ.อภิรักษ์ สันติงามกุล หัวหน้าหน่วยศัลยกรรมระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่าการผ่าตัดโดยใช้แขนกลหรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery)เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อราวๆ 10 ปีที่ผ่านมา หุ่นยนต์ไม่ได้เป็นผู้ผ่าตัดเอง แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้ศัลยแพทย์ผ่าตัดได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยมีหลักการทำงานคล้ายกับเครื่องกระตุ้น เมื่อศัลยแพทย์ขยับมือ แขนกลก็จะขยับตาม ดังนั้นการผ่าตัดในตำแหน่งที่ “ยาก” จึง “ง่ายขึ้น” ในทันที การใช้ “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด” ถือเป็นวิธีการรักษาที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก “การผ่าตัดด้วยกล้อง”ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า การสอดเครื่องมือเข้าไปผ่าตัดในร่างกายของผู้ป่วยโดยไม่ต้องเปิดปากแผลกว้าง ทำให้ร่างกายผู้ป่วยบอบช􀄞้ำน้อย มีโอกาสฟื้นตัวเร็วกลับบ้านได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) และหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีระบบภาพ 3 มิติที่มีความละเอียดสูงและมีก􀄞ำลังขยายภาพอย่างน้อย 5 เท่า (3D High Definition : 3D HD) จากเดิมที่การผ่าตัดโดยใช้กล้องสามารถให้เพียงภาพ 2 มิติเท่านั้นในขณะที่ “แขนกล” ก็ถูกพัฒนาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ใกล้เคียงกับ “ข้อมือมนุษย์” ที่สามารถพลิกหรือหักงอได้อย่างอิสระตามการควบคุมของศัลยแพทย์ เปรียบเสมือนมือของศัลยแพทย์ที่สามารถสอดเข้าไปทำการผ่าตัดรักษาได้ในบริเวณที่อยู่ลึกหรือที่แคบซึ่งยากต่อการเข้าถึงกว่าการผ่าตัดแบบปกติ “คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าหุ่นยนต์สามารถผ่าตัดได้เอง แต่ความจริงแล้วศัลยแพทย์จะเป็นผู้ควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ หุ่นยนต์เป็นเพียง “ผู้ช่วย” ให้การผ่าตัดสะดวกยิ่งขึ้นและลดผลข้างเคียงต่อร่างกายผู้ป่วยให้น้อยลง” ผศ.นพ.อภิรักษ์ กล่าว สำหรับโลกของวิทยาการทางการแพทย์ได้พัฒนา “หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด” มาจนเข้าสู่ยุคที่ 3 – 4 ซึ่งหุ่นยนต์ในยุคนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น ระบบแขนกลทำหัตถการที่มีความแม่นยำสูง สามารถช่วยขจัดอุปสรรคหรือความเสี่ยงต่างๆ เช่น อาการมือสั่นของศัลยแพทย์ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนมีระบบความปลอดภัยและระบบสำรองไฟฟ้า สำหรับกรณีไฟฟ้าดับก็ยังสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผศ.นพ.อภิรักษ์ อธิบายว่า ข้อจำกัดของการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมีเพียงอย่างเดียวคือ มีราคาสูง ครั้งละ 200,000 – 250,000 บาท แม้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดจะสามารถใช้กับการผ่าตัดได้ทุกประเภทและให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ศัลยแพทย์จะประเมินความคุ้มค่า เลือกใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเฉพาะในกรณีการผ่าตัดที่ยากอยู่บริเวณที่ลึกมาก มีเส้นประสาทมาก หรือต้องมีการเย็บแผล สร้างเนื้อเยื่อขึ้นใหม่ ได้แก่ การผ่าตัดรักษาโรค “มะเร็งต่อมลูกหมาก” และ “มะเร็งไต” เป็นหลัก การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากทั่วโลก โดยร้อยละ 90 ของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในสหรัฐอเมริกาจะเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ เนื่องจากต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณรอบท่อปัสสาวะหรือในส่วนอุ้งเชิงกรานของผู้ป่วยซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ลึก ดังนั้นการใช้แขนกลเข้าไปช่วยผ่าตัดจึงเป็นวิธีที่ทำให้ปากแผลผ่าตัดเล็ก แต่ศัลยแพทย์สามารถทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะมีเทคโนโลยีกล้องภาพ 3 มิติความคมชัดสูงที่ทำให้ศัลยแพทย์มองเห็นเส้นประสาทและต่อมต่างๆ ที่อยู่โดยรอบได้อย่างชัดเจนเอื้อต่อการเก็บรายละเอียดในบริเวณผ่าตัดที่เต็มไปด้วยเส้นประสาท จึงทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายของผู้ป่วยน้อยลง โดยพบว่าหลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดรักษาแล้ว ยังสามารถลดความเสี่ยงของการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย เช่นเดียวกับการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งไต โดยพบว่าให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ศัลยแพทย์จะใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากเดิมที่อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมงในการผ่าตัดแบบดั้งเดิม หรือการผ่าตัดแบบเปิดสำหรับการทำหัตถการแบบเดียวกัน จึงเท่ากับว่าสามารถช่วยลดระยะเวลาในการที่ต้องหนีบเส้นเลือดแดงให้สั้นลง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดน้อยลงนั่นเอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยได้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเข้ามาให้บริการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งไตมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว นอกเหนือจากสถานพยาบาลชั้นนำ 4 แห่งทั่วประเทศที่มีการใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันนอกจากนั้นแล้วโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังได้ใช้เทคโนโลยีในการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยเฉพาะทางอีกหลากหลายสาขา เช่น สาขาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา ศัลยศาสตร์ทั่วไป ศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นต้น แม้ว่าหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดจะไม่ใช่วิทยาการที่แปลกใหม่อีกต่อไป แต่ก็ยังคงเป็น “ทางเลือกที่ดีที่สุด” ที่ ผศ.นพ.อภิรักษ์ หนึ่งในศัลยแพทย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะแถวหน้าของเมืองไทยแนะนำ หลังจากที่ทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ใช้ “หุ่นยนต์ผู้ช่วยผ่าตัด” ในการเปิดทางรอดชีวิต พร้อมเพิ่มโอกาสการกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติให้กับผู้ป่วยจำนวนมากตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดในผู้ป่วยก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การผ่าตัดโดยใช้แขนกลหรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ มีหลักการทำงานคล้ายกับเครื่องกระตุ้น เมื่อแพทย์ขยับมือ แขนกลก็จะขยับตาม ดังนั้นการผ่าตัดในตำแหน่งที่ “ยาก” จึง “ง่ายขึ้น” หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ถูกพัฒนามาจาก “การผ่าตัดด้วยกล้อง” ซึ่งเป็นการผ่าตัดโดยสอดเครื่องมือเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยโดยไม่ต้องเปิดปากแผลกว้าง ทำให้ร่างกายช้ำน้อย มีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิด หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดยังได้รับการพัฒนาอีกหลายด้าน ทำให้มีระบบภาพที่มีความละเอียดสูง มีกำลังขยายภาพสูง ทำงานได้ใกล้เคียงกับ ข้อมือมนุษย์ สามารถสอดเข้าไปทำการผ่าตัดรักษาได้ในบริเวณที่อยู่ลึกหรือที่แคบซึ่งยากต่อการเข้าถึงกว่าการผ่าตัดแบบปกติ มีความแม่นยำสูง ช่วยขจัดอุปสรรคหรือความเสี่ยงต่างๆ มีระบบความปลอดภัยและระบบสำรองไฟฟ้า ใช้กับการผ่าตัดได้ทุกประเภทและให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่มีราคาที่สูงมาก แพทย์จึงจะเลือกใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดเฉพาะในกรณีการผ่าตัดที่ยากอยู่บริเวณที่ลึกมาก มีเส้นประสาทมาก หรือต้องมีการเย็บแผล สร้างเนื้อเยื่อขึ้นใหม่ ได้แก่ การผ่าตัดรักษาโรค “มะเร็งต่อมลูกหมาก” และ “มะเร็งไต” เป็นหลัก
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20640
Medical
วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวสำหรับฝ่ายชายคืออะไร
ก. ถุงยางอนามัย ข. ยาเม็ดคุมกำเนิด ค. ห่วงยางอนามัย ง. ยาสอดในช่องคลอด
คำตอบคือ ก. เพราะว่า วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราว 1 สำหรับฝ่ายชาย ก็คือ ถุงยาง มีชัย หรือเรียกอย่างชาวบ้านก็ว่า ปลอก 2 สำหรับฝ่ายหญิง ที่นิยมใช้ก็มี ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาสอดในช่องคลอด ห่วงยางอนามัย วิธีคุมกำเนิดแบบถาวร 1 การทำหมันชาย 2 การทำหมันหญิง การป้องกันไม่ให้ท้องในเวลาที่ยังไม่ต้องการนี้ มีผลดีดังนี้ คือ 1 อยากจะท้อง หรือไม่ท้องในตอนไหนก็ได้ สามีภรรยาบางคู่เพิ่งแต่งงานใหม่ๆ เรียกว่า ยังข้าวใหม่ปลามันกันอยู่ ก็ยังไม่อยากท้องในตอนนี้ หรือในบางคู่ที่รายได้ไม่พอใช้ อยากจะรอให้ร่ำรวยกว่าตอนนี้เสียหน่อยก็คุมกำเนิดไว้ก่อนได้ 2 สามารถกะระยะตั้งท้องให้ห่างกี่ปีก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้สุขร่างกายของแม่ดีขึ้น ไม่มีลูกถี่แบบหัวปีท้ายปี
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_13055
Medical
ยานอร์อีแทนโดรโลนถูกนำมาใช้และเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อปีใด
A. พ.ศ.2498 B. พ.ศ.2499 C. พ.ศ.2491 D. พ.ศ.2497
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ D. เนื่องจาก ยานอร์อีแทนโดรโลนถูกนำมาใช้และเป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1954 พ.ศ.2497 สมัยนั้นตัวยามีรูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยาชนิดรับประทาน ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำรวมถึงเป็นยาฉีด ยานอร์อิแทนโดรโลน ยังถูกใช้เพื่อฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วยหลังจากการผ่าตัด ใช้กับผู้ที่อยู่ในสภาวะเจ็บป่วยเป็นเวลานานๆ ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ได้สัดส่วนจนเกิดผลเสียต่อร่างกาย ผู้ป่วยแผลไหม้ระยะรุนแรง ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน กระดูกหัก ผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินอาหาร ผู้ที่มีสุขภาพไม่ดีเพราะทานอาหารไม่ถูกต้อง และสามารถใช้ยายี้ได้ทั้งกับผู้ใหญ่และเด็ก การใช้ยากลุ่ม Anabolic steroidที่รวมยานอร์อีแทนโดรโลน อาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาผิดขนาด ผิดวิธี ได้รับผลกระทบผลข้างเคียงอย่างรุนแรงได้ กล่าวคือ ยานอร์อีแทนโดรโลนมีการแสดงฤทธิ์ออกฤทธิ์เป็น 2 ลักษณะ คือ ทำหน้าที่ของฮอร์โมนเพศชาย โดยช่วยสะสมสารโปรตีนในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้ขนดก ผิวมัน ผมร่วง ในขณะเดียวกัน ก็แสดงฤทธิ์ของความเป็นฮอร์โมนเพศหญิงด้วย คือทำให้หน้าอกเต้านมโต นอกจากนี้การใช้ยานี้ต่อเนื่องนานๆ และผิดวิธีจากที่แพทย์แนะนำ สามารถก่อให้เกิดอันตรายโดยทำให้เกิดพิษกับตับตับอักเสบ
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42363
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น และมีข้อคิดเรื่อง "Keep Calm And Carry On" - จงใจเย็น และเดินหน้าต่อไป
null
ใจเย็น ๆ ตลาดหุ้นยังมีพรุ่งนี้ ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ใบหน้าของนักลงทุนหลายคนซีดเผือด เหงื่อ มือไม้เย็นเฉียบ ต่างจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความหวาดหวั่น ดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก กราฟราคาหุ้นดิ่งลงเหว ท่ามกลางความวุ่นวาย ชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่า "ธันวา" กลับนั่งนิ่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไร้ซึ่งความกังวล ธันวาเป็นนักลงทุนสาย VI เขายึดหลักการลงทุนระยะยาว มองข้ามความผันผวนระยะสั้น เขาเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุน unlike others ที่ตกใจกลัวและรีบขายหุ้นทิ้ง ธันวาเลือกที่จะ "ใจเย็น" วิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ "ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง เป็นเรื่องปกติ" ธันวาพึมพำกับตัวเอง "สิ่งสำคัญคือ เราต้องควบคุมอารมณ์ ยึดมั่นในกลยุทธ์ และไม่ตื่นตระหนก" เขาหยิบหนังสือ "The Intelligent Investor" ของ Benjamin Graham ขึ้นมาอ่าน ทบทวนบทเรียนการลงทุน จิบกาแฟยามเช้า ☕️ ปล่อยให้เสียงโห่ร้องรอบข้างดังก้องไป หลายวันผ่านไป ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว ดัชนีค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น นักลงทุนที่ขายหุ้นไปตอนแรกเริ่มรู้สึกเสียดาย แต่ธันวา ยังคงนิ่งเฉย ไม่รีบร้อน รอจังหวะที่เหมาะสม ในที่สุด ตลาดหุ้นก็กลับมาพุ่งสูงทะยาน ธันวาขายหุ้นบางส่วน ทำกำไรได้อย่างงาม
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_18491
Medical
การผ่าตัดผ่านกล้องฯ ที่เรียกว่า Transurethral resection of bladder tumor (TUR-BT) มีการผ่าตัดโดยใช้แสงอะไร
คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน ผลการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะยังไม่ลุกลามเข้าชั้นกล้ามเนื้อ คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน ผลการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะยังไม่ลุกลามเข้าชั้นกล้ามเนื้อ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นมะเร็งพบบ่อยในคนไทย โดยพบได้4.5รายต่อชายไทย1แสนคน และ1.2รายต่อหญิงไทย1แสนคน และปัจจุบันเมื่อมีความผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อมีปัสสาวะเป็นเลือด รวมถึงการตรวจหามะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ด้วยการตรวจเซลล์มะเร็งในน้ำปัสสาวะร่วมกับการส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะทำให้ในคนไทย แพทย์ตรวจพบมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในระยะต้นๆที่โรคยังไม่ลุกลามเข้าชั้นกล้ามเนื้อได้มากขึ้น ซึ่งการรักษาโรคในระยะยังไม่ลุกลามฯนี้ มีหลายวิธี เช่น การผ่าตัดผ่านกล้องที่ผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะ การรักษาด้วยการใส่ยาสารเคมีเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ และการใส่สารในกลุ่มกระตุ้นภูมิคุ้มกันเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ปัจจุบัน การผ่าตัดผ่านกล้องฯที่เรียกว่า Transurethral resection of bladder tumorTUR-BT มีการผ่าตัดโดยใช้แสงขาวWLI White light imaging และการผ่าตัดด้วยแสงตัวใหม่ที่ช่วยใหแพทย์มองเห็นตำแหน่งของรอยโรคมะเร็งได้ชัดเจนกว่าแสงขาว ที่เรียกว่าแสงNBINarrow band imaging ทั้งนี้ ในมะเร็งฯระยะนี้ เมื่อมีการย้อนกลับเป็นซ้ำหลังผ่าตัด มักเกิดในช่วง3เดือนหลังผ่าตัด ซึ่งในต่างประเทศมีรายงานว่า การผ่าตัดด้วยแสงNBI ได้ผลการรักษาที่ลดอัตราการเกิดโรคย้อนกลับเป็นซ้ำที่3เดือนได้ดีกว่า คณะศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลรามาธิบดี นำโดย หลังผ่าตัดพบว่า ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่ม มีลักษณะก้อนมะเร็งไม่ต่างกันทางสถิติ p0.15 และมีผลข้างเคียงจากการผ่าตัดไม่ต่างกันทางสถิติเช่นกันp0.692 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ทั้งสองกลุ่ม อยู่โรงพยาบาลไม่เกิน2วัน เฉลี่ยคือ 1วัน เมื่อติดตามผลที่3เดือน ในกลุ่มรักษาด้วยWLIพบโรคกลับเป็นซ้ำ 61.3 ส่วนกลุ่ม NBIพบโรคกลับเป็นซ้ำน้อยกว่าอย่างมีความสำคัฯทางสถิติ คือ 31.8 p0.011 คณะแพทย์ผู้ศึกษาสรุปว่า การศึกษาครั้งนี้ ให้ผลเช่นเดียวกับผลจากต่างประเทศ คือ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ที่การรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะระยะโรคยังไม่ลุกลามเข้าชั้นกล้ามเนื้อด้วยการผ่าตัดผ่านการส่องกล้องผ่านทางท่อปัสสาวะด้วยแสงNGIให้ผลดีกว่าการผ่าตัดฯด้วยแสงขาวWLI
การผ่าตัดผ่านกล้องฯ ที่เรียกว่า Transurethral resection of bladder tumor (TUR-BT) มีการผ่าตัดโดยใช้แสงขาว (WLI, White light imaging) และการผ่าตัดด้วยแสงตัวใหม่ที่ช่วยใหแพทย์มองเห็นตำแหน่งของรอยโรคมะเร็งได้ชัดเจนกว่าแสงขาว ที่เรียกว่าแสง NBI(Narrow band imaging)
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43745
Finance
โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามปี 2024: มุมมองเชิงบวกมีอะไรบ้าง
null
เหตุผลว่าทำไมตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าสนใจลงทุนระยะยาว: วิเคราะห์ผลกระทบจากการลาออกของประธานาธิบดีเวียดนามชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียดนาม ความเสี่ยงที่ต้องระวัง 1. เหตุผลที่ควรลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม: - เศรษฐกิจเติบโต: เวียดนามมีศักยภาพการเติบโตสูง คาดการณ์ GDP ปี 2024 เติบโต 6.5% - 7.0% - ประชากรวัยทำงาน: ประชากรเวียดนามเกือบ 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน สนับสนุนการเติบโตของภาคการบริโภค - ฐานการผลิต: เวียดนามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้าตั้งฐานการผลิต เงินลงทุนโดยตรง (FDI) ไหลเข้าประเทศสูง - นโยบายรัฐ: รัฐบาลเวียดนามสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น 2. ผลกระทบจากการลาออกของประธานาธิบดี - ตลาดหุ้นเวียดนามมีแรงซื้อจากต่างชาติไหลเข้าหลังการลาออก - สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณดีต่อความเข้มงวดเรื่องทุจริต - นโยบายหลักของเวียดนามยังคงมุ่งสู่การเติบโต ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง 3. ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต - การส่งออก: เวียดนามเป็นฐานการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ส่งออกสินค้าเกษตร - การท่องเที่ยว: การเปิดประเทศเต็มรูปแบบหนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว - การลงทุนจากต่างประเทศ: เงินลงทุนโดยตรง (FDI) ไหลเข้าต่อเนื่อง - การขยายตัวของเมือง: เมืองใหญ่ๆ ในเวียดนามมีการเติบโตสูง หนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ 4. ความเสี่ยงที่ต้องระวัง - อัตราเงินเฟ้อ: คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2024 อยู่ที่ 4.5% - 5.0% - การขาดดุลการคลัง: รัฐบาลเวียดนามมีการขาดดุลการคลัง - อัตราดอกเบี้ย: ธนาคารกลางเวียดนามอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย - ความเสี่ยงภาคอสังหาริมทรัพย์: ปัญหาหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ สรุป: ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูงระยะยาว แม้จะมีความเสี่ยงที่ต้องระวัง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20992
Medical
หากเราต้องการใส่เข็มขัดรัดหลังควรตัดสินใจจากอะไรบ้าง ?
เข็มขัดรัดหลัง ถาม พิยดาสมุทรปราการ ดิฉันทำงานโรงงานอุตสาหกรรม มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของคนทำงาน ดังนี้ ๑ ที่โรงงานมี back support ไว้ให้พนักงานเบิก แต่ต้องให้ทางห้องพยาบาลพิจารณา และยังไม่มีเกณฑ์ที่จะใช้ในการตัดสินใจให้ใส่หรือไม่ใส่เสื้อเกราะ เท่าที่ทำได้คือถ้าบาดเจ็บมาเดี๋ยวนั้นก็จะให้ใส่ในระยะสั้นๆ แล้วนัดตรวจติดตาม พร้อมทั้งสอนวิธีบริหารร่างกายซึ่งดูจากหมอชาวบ้าน หรือใช้ท่า straight rising leg test ที่ให้นอนหงายยกขาขึ้นตรงๆ ทดสอบ ถ้ามีอาการเจ็บชัดเจนก็จะให้ใส่ แต่ไม่ค่อยมั่นใจ อยากได้ เกณฑ์ที่จะใช้ตัดสิน คือพยายามบอกให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางก่อนก็ไม่ยอมไปกัน ๒ พนักงานอีกโรงงานทำเกี่ยวกับตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป ที่นั่งของพนักงานเป็นเก้าอี้ที่ไม่มีพนัก แล้วต้องนั่งทำงานกันวันละกว่า ๑๐ ชั่วโมงทุกวัน เคยคุยกับเขาว่าจะเสี่ยงกับ ปวดหลัง เขาก็พูดทำนองว่าโรงงานอื่นก็นั่งแบบนี้ ไม่เห็นเป็นไร ตอบ ดรวรรธนะ ชลายนเดชะ ขอตอบปัญหาเป็นข้อๆ ดังนี้ ๑ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าเข็มขัดรัดหลังจะแบ่งกว้างๆ ได้ ๒ แบบ คือแบบที่ใช้ในทางการแพทย์ และแบบที่ใช้ในคนงานหรือนักกีฬา แบบที่ใช้ในทางการแพทย์จะมีผลช่วยให้หลังมีความมั่นคง ร่วมกับการป้องกันการเคลื่อนไหวของส่วนหลังที่มากเกินไป เข็มขัดแบบนี้จะมีขนาดใหญ่ ใส่แล้วจะก้มหรือเงยหลังได้ลำบาก ส่วนแบบที่ใช้ในโรงงานจะมีขนาดเล็กกว่า เชื่อกันว่าสามารถเพิ่มความมั่นคงของหลังได้แต่จะไม่จำกัดการเคลื่อนไหว คาดว่าเข็มขัดรัดหลังที่ถามมาน่าจะเป็นแบบที่ใช้ในโรงงานมากกว่า การตัดสินว่าควรใส่หรือไม่ใส่เข็มขัดรัดหลัง ควรแยกอาการปวดหลังที่มาจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและข้อ เช่น ปวดจากอวัยวะภายใน มะเร็ง ออกเสียก่อน หลังจากนั้นควรสังเกตอาการว่ามากน้อยเพียงใด เช่น ถ้าปวดมากจนขยับไม่ได้ เปลี่ยนอิริยาบถได้ลำบาก จึงสมควรใส่ ในกรณีนี้มักจะเป็นมาใหม่ๆ การใส่จะช่วยประคองหลังพร้อมกับจำกัดการเคลื่อนไหวของหลัง ไม่ให้บาดเจ็บซ้ำและให้โอกาสส่วนที่บาดเจ็บได้ซ่อมแซม โดยทั่วไปไม่ควรใส่เข็มขัดรัดหลังเกิน ๒ สัปดาห์ ถ้าเกินนั้นกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลังที่เป็นกลไกที่สำคัญของร่างกายในการป้องกันอาการบาดเจ็บอีก จะเสียหน้าที่ไป ดังนั้น ถ้าใส่นานผู้ใส่จะเกิดอาการ ติดการใส่ ถ้าไม่ได้ใส่แล้วจะทำงานไม่ได้ รู้สึกไม่ปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังไม่มาก แต่ต้องทำงานจะอยากใส่เข็มขัดรัดหลังเพราะรู้สึกปลอดภัย กรณีแบบนี้ก็ไม่ควรใส่เพราะกล้ามเนื้อช่วยพยุงหลังจะทำงานน้อยลงหรือไม่ทำงานเลย ควรรักษาอาการปวดหลังให้ดีขึ้น ยกขนน้ำหนักที่น้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มจนยกได้มากขึ้นโดยไม่ปวด กล้ามเนื้อพยุงหลังจะค่อยๆ ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นทีละน้อยจนเป็นปกติ การทำ straight leg raising test หรือการยกขาขึ้นตรงๆ จะช่วยบอกได้คร่าวๆ ว่ามีการกดเส้นประสาทขาซึ่งส่วนใหญ่มาจากการแตกของหมอนรองกระดูกหรือไม่ ถ้ายกได้ไม่ถึง ๓๐ องศาแล้วมีอาการร้าวลงขา จะมีโอกาสหมอนรองกระดูกแตกได้สูง กรณีนี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด ไม่ควรปล่อยไว้เพราะโอกาสที่หมอนรองกระดูกจะกลับเข้าที่ด้วยตัวเองจะมีไม่มาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาและคำแนะนำที่ถูกต้องจะทำให้เป็นเรื้อรังและรักษาหายได้ยาก ๒ เรื่องของพนักพิงหลังถ้ามีก็ดี จะช่วยดัดหลังในขณะนั่งทำงาน ในทางปฏิบัติแล้วคนที่ทำงานลักษณะนี้จะพิงหลังน้อยมาก ที่พิงหลังอาจไม่จำเป็นสำหรับบางคน ที่สำคัญคือการลุกขึ้นยืนมาดัดหลังมากกว่า ถ้าโรงงานไม่ยอมให้มีพนักพิงหลัง ควรให้โอกาสพนักงานยืนขึ้นอย่างน้อยทุกชั่วโมงเพื่อดัดหลัง เพราะอาการปวดหลังจากการนั่งมักจะเกิดจาก ๑ การที่หลังโค้งกลับทิศ หรือปูดออกทางด้านหลังซึ่งไม่เหมือนส่วนโค้งปกติ กรณีนี้ แรงดันในหมอนรองกระดูกจะเพิ่มขึ้น ส่วนของเอ็นด้านหลังจะถูกยืด ๒ การอยู่นิ่งหรือนั่งนานจะทำให้มีเลือดมาเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ รวมทั้งกล้ามเนื้อน้อยลง ทำให้ความยืดหยุ่นเสียไป มีโอกาสบาดเจ็บและนำมาซึ่งอาการปวดได้ง่าย โดยสรุปการมีพนักพิงจะช่วยได้แต่ไม่มากเท่ากับการยืนขึ้นดัดหลัง เปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเดินหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่การนั่ง ป้ายคำ ถามตอบปัญหาสุขภาพ คุยสุขภาพ ถามตอบปัญหาสุขภาพ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับยาเคมีบำบัด ยาเคมีบำบัด chemotherapy เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง โดยมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโต หรือหยุดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยกลไกที่สำคัญคือ ยับยั้งการสร้างโปรตีน inhibition of protein synthesis และยับยั้งการแบ่งตัวในวงจรชีวิตของเซลล์มะเร็ง inhibition of cell-cycle ในปัจจุบัน ยาเคมีบำบัดถูกใช้เป็นการรักษาหลักของโรคมะเร็งหลายชนิด ในขณะเดียวกันยังถูกใช้เป็นการรักษาร่วมกับการผ่าตัด surgery การฉายรังสี radiation therapy และรวมไปถึงการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน immunotherapy ยาเคมีบำบัดเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำลายทั้งเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติที่มีการแบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ของเยื่อบุทางเดินอาหาร ผม และเซลล์ไขกระดูก ในเซลล์ปกติ เช่น เซลล์ไขกระดูก จะมีการฟื้นตัวได้เร็ว จึงเป็นตัวชี้วัดว่าขนาดของยาเคมีบำบัดที่ใช้เพียงพอเหมาะสมหรือไม่ เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรักษาซึ่งได้แก่ การรักษาให้หายขาด cure การควบคุมโรค control หรือการรักษาแบบประคับประคอง palliation อาการข้างเคียงของยารักษามะเร็งที่พบบ่อย 1 อาการคลื่นไส้อาเจียน ทั้งชนิดเฉียบพลัน acute และชนิดไม่เฉียบพลัน delayed อาจเกิดขึ้นภายใน 1-6 ชั่วโมงหลังจากได้รับยา และอาจหายภายใน 24 ชั่วโมง หรืออาจต่อเนื่องไปถึง 5 วัน ในชนิดไม่เฉียบพลัน delayed 2 อาการไข้ หนาวสั่น อาจเกิดขึ้นหลังให้ยาเคมีบำบัด อย่างเฉียบพลัน ถึง 6 ชั่วโมง และอาจสิ้นสุดภายใน 24 ชั่วโมง 3 อาการเพลีย อ่อนแรง อาจนานถึงสัปดาห์ หรือเดือน หลังจากการให้ยาเคมีบำบัด 4 อาการผมร่วง ซึ่งอาจร่วงหลังจากให้ยาไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ 5 อาการจากการกดไขกระดูก ซึ่งเกิดจากค่าของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดต่ำสุดจากค่าปกติ เรียกว่า Nadir ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของยาเคมีบำบัด Nadir จะเกิดภายใน 8-14 วัน และ จะคืนสู่ระดับปกติใน 3-4 สัปดาห์ ปัญหาที่พบบ่อยจากการใช้ยาเคมีบำบัด เนื่องจากยาเคมีบำบัดเป็นกลุ่มยาที่มีพิษรุนแรง นอกจากนี้ยังมีวิธีการบริหารยาที่ซับซ้อน ประกอบกับความหลากหลายของสูตรยาเคมีผสม จึงทำให้เกิดความผิดพลาดได้บ่อยครั้ง ปัญหาที่พบบ่อยได้แก่ 1 ขนาดของยาที่ผิดพลาดเนื่องจากการคำนวณ inappropriate dose calculation 2 ความผิดพลาดในการบริการยา เช่น ใช้ยาผิดประเภท wrong drug หรือการบริหารยาผิดประเภท wrong route of administration 3 ความผิดพลาดในการเตรียมผสม เช่น ความไม่เข้ากันของยากับตัวทำละลาย 4 การจัดเวลา หรือเปลี่ยนแปลงเวลาของการรักษาทำให้ผู้ป่วยได้รับยาในขณะที่มีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ 5 ความไม่มาตรฐานของสูตรผสมเคมีบำบัด และการปรับขนาดยา 6 มีข้อมูลไม่เพียงพอในกรณีที่เป็นยาที่ใช้ในการศึกษาทางคลินิก clinical study 7 การใช้คำย่อที่ไม่เป็นมาตรฐาน 8 การให้ยาเคมีบำบัดโดยไม่คำนึงถึงสภาวะของผู้ป่วย performance status 9 ปฏิกิริยาระหว่างยา 10 บุคลากรทางการแพทย์ไม่ทราบถึงการเฝ้าระวังอาการข้างเคียงและผู้ป่วยไม่ทราบถึงวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องขณะที่ได้รับยาเคมีบำบัด 1 ตรวจเช็กผลเลือด ซึ่งสัมพันธ์กับชนิดของยาเคมีบำบัดที่ให้ 2 ผู้ป่วยต้องไม่อยู่ในสภาวะที่มีไข้สูง afebrile and non-toxic 3 แพทย์ผู้สั่งยาควรเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนเฉพาะทาง และสั่งจ่ายยาตาม standard protocol 4 บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารยา ควรมีการฝึกฝนเรื่องการทำความสะอาดมือ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันการปนเปื้อนจากการให้ยาเคมีบำบัด รวมไปถึงการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้บริการยาให้ผู้ป่วย 5 ตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้ต้องครบถ้วน - ชื่อผู้ป่วย - เลขรหัสประจำตัวผู้ป่วย - ประวัติการแพ้ยา - ชื่อยา ชื่อสามัญ - ขนาดของยา ขนาดของยาต่อ body surface area - วันที่บริหารยา - วิธีบริหารยา route of administration - ความถี่ของการให้ยา - ระยะเวลาของการให้ยา - การหมดอายุของยาที่เตรียม พิษและอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดที่ควรเฝ้าระวัง ปฏิกิริยาระหว่างยาที่ควรพึงระวัง กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา Allopurinol ยับยั้งกระบวนการ metabolism ของ 6-Mercaptopurine ชึ่งเป็น active metabolites ของ azathioprine การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ทำให้ฤทธิ์ของยากลุ่มนี้สูงขึ้นและในขณะเดียวกันพิษของยา azathioprine และ 6-Mercaptopurine ก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย โดยทั่วไปแล้วการใช้ยา 2 กลุ่มนี้ร่วมกันควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหากจำเป็น ที่จะต้องใช้ร่วมกันก็ควรมีการเฝ้าระวังเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์อย่างใกล้ชิด ข้อแนะนำ การใช้ยา 2 กลุ่มนี้ร่วมกันควรจะใช้เมื่อประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับมีมากกว่าโทษ ในกรณีนี้ขนาดของ azathioprine หรือ 6-MP ควรถูกลดลง 50-75 เมื่อใช้ร่วมกับ allopurinol การติดตามผล 1 Clinical status ของผู้ป่วย ในกรณีที่ al-lopurinol ใช้ร่วมกับ antimetabolites เฝ้าระวัง toxicity ของ antimetabolites 2 ตรวจระดับเลือด complete blood count สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนแรกที่ใช้ยาร่วม หลังจากนั้นตรวจเดือนละ 1 ครั้ง 3 ขนาดยาของ antimetabolites ควรมีการ ปรับเปลี่ยนทุกครั้งที่มีการเริ่ม หรือหยุด หรือปรับเปลี่ยนขนาดของยา allopurinol กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ในผู้ป่วยที่ได้รับยา methotrexate ในขนาดยาที่สูงหรือเป็นขนาดยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง antineoplastic dose เมื่อใช้ร่วมกับยากลุ่ม NSAIDs หรือ salicylates และยากลุ่ม penicillins ยกตัวอย่างเช่น amoxicillin พบว่ามีความสัมพันธ์ต่อการเกิดพิษต่อไขกระดูกและพิษต่อระบบทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังไม่แน่ชัด แต่พึงสังเกตว่าพิษที่เกิดขึ้นจะรุนแรงกว่าในกรณีที่ใช้ methotrexate ในขนาดที่ต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ใช้รักษา arthritis ในผู้ป่วยที่ได้รับยา methotrexate ในขนาดยาที่สูงหรือเป็นขนาดยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง antineoplastic dose เมื่อใช้ร่วมกับยา probenecid จะพบว่าระดับยาของ methotrexate ในกระแสโลหิตจะสูงขึ้นประมาณ 2-3 เท่า จึงควรมีการเฝ้าระวังพิษที่เกิดจากยา methotrexate อย่างใกล้ชิด ข้อแนะนำ ควรประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดพิษของผู้ป่วย หรือเปลี่ยนมาใช้ยากลุ่ม paracetamol หรือ specific COX-2 inhibitors การติดตามผล ยาเหล่านี้ยับยั้ง anionic tubular secretion ของ methotraxate ควรมีการตรวจวัดระดับยาในเลือด ถ้าจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา Vincristine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะผ่านกระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 cytochrome P450 3A4 ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะได้รับพิษอย่างรุนแรงจาก vincristine เมื่อถูกใช้ร่วมกับ cyp 3A4 inhibitors สำหรับ vinblastine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะผ่านกระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 เช่นเดียวกันกับ vincristine ข้อแนะนำ ควรประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดพิษของผู้ป่วย โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับยากลุ่ม azole antifungals Azole antifungals ยับยั้ง cyp 3A4 โดย fluconazole จะเป็น weaker inhibitor ในขณะที่ itraconazol และ ketoconazole เป็น potent inhibitors ถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ ก็ควรเลือก fluconazole หรือให้หลีกเลี่ยงไปใช้ยาขนานอื่น เช่น terbintine ซึ่งไม่เป็น cyp 3A4 inhibitor การติดตามผล เฝ้าระวังอาการข้างเคียงที่เพิ่มขึ้นของ vincristine อันได้แก่ อาการ peripheral neuropathy และอาการข้างเคียงของ vinblastine อันได้แก่ bone marrow suppression กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา Vincristine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะผ่านกระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 cytochrome P450 3A4 ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะได้รับพิษอย่างรุนแรงจาก vincristine เมื่อถูกใช้ร่วมกับ cyp 3A4 inhibitors สำหรับ vinblastine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะผ่านกระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 เช่นเดียวกันกับ vincristine ข้อแนะนำ ควรประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดพิษของผู้ป่วย หรือหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่มดังกล่าว ในกรณีที่จำเป็นควรเลือกใช้ azitromycin และ dirithromycin ซึ่งไม่มีคุณสมบัติเป็น cyp 3A4 inhibitor การติดตามผล เฝ้าระวังอาการข้างเคียงที่เพิ่มขึ้นของ vincristine อันได้แก่ อาการ peripheral neuropathy paresthesia neuritic pain contipation และบางครั้งลุกลามไปเป็น paralytic ileus และอาการข้างเคียงของ vinblastine อันได้แก่ bone marrow suppression กลไกของการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา Vincristine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะผ่านกระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะได้รับพิษอย่างรุนแรงจาก vincristine เมื่อถูกใช้ร่วมกับ cyp 3A4 inhibitors สำหรับ vinblastine เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะผ่าน กระบวนการ metabolism โดยอาศัย cyp 3A4 เช่นเดียวกันกับ vincristine นอกจากนี้ยังพบว่าเมื่อใช้ร่วมกับ ritonavir ในระยะยาว ritonavir ยังมีคุณสมบัติเป็น cyp 3A4 enzyme inducer อีกด้วย ข้อแนะนำ ใช้ยา antidepressant กลุ่ม sertraline citalopram venlafaxine paroxitine มีความสามารถในการยับยั้ง cyp 3A4 ได้น้อยกว่า fluvoxamine หรือ nefazodone บางครั้งอาจพิจารณา fluoxitine เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นเพียง weak inhibitor of cyp 3A4 การติดตามผล เฝ้าระวังอาการข้างเคียงที่เพิ่มขึ้นของ vincristine อันได้แก่ อาการ peripheral neuropathy paresthesia neuritic pain contipation และบางครั้งลุกลามไปเป็น paralytic ileus และอาการข้างเคียงของ vinblastine อันได้แก่ bone marrow suppression เอกสารอ้างอิง สุภัสร์ สุบงกช ภบ MSc Clinical Research PharmD ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
การตัดสินว่าควรใส่หรือไม่ใส่เข็มขัดรัดหลัง ควรแยกอาการปวดหลังที่มาจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและข้อ เช่น ปวดจากอวัยวะภายใน มะเร็ง ออกเสียก่อน หลังจากนั้นควรสังเกตอาการว่ามากน้อยเพียงใด เช่น ถ้าปวดมากจนขยับไม่ได้ เปลี่ยนอิริยาบถได้ลำบาก จึงสมควรใส่ ในกรณีนี้มักจะเป็นมาใหม่ๆ การใส่จะช่วยประคองหลังพร้อมกับจำกัดการเคลื่อนไหวของหลัง ไม่ให้บาดเจ็บซ้ำและให้โอกาสส่วนที่บาดเจ็บได้ซ่อมแซม โดยทั่วไปไม่ควรใส่เข็มขัดรัดหลังเกิน ๒ สัปดาห์ ถ้าเกินนั้นกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหลังที่เป็นกลไกที่สำคัญของร่างกายในการป้องกันอาการบาดเจ็บอีก จะเสียหน้าที่ไป ดังนั้น ถ้าใส่นานผู้ใส่จะเกิดอาการ ติดการใส่ ถ้าไม่ได้ใส่แล้วจะทำงานไม่ได้ รู้สึกไม่ปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังไม่มาก แต่ต้องทำงานจะอยากใส่เข็มขัดรัดหลังเพราะรู้สึกปลอดภัย กรณีแบบนี้ก็ไม่ควรใส่เพราะกล้ามเนื้อช่วยพยุงหลังจะทำงานน้อยลงหรือไม่ทำงานเลย ควรรักษาอาการปวดหลังให้ดีขึ้น ยกขนน้ำหนักที่น้อยก่อน แล้วค่อยเพิ่มจนยกได้มากขึ้นโดยไม่ปวด กล้ามเนื้อพยุงหลังจะค่อยๆ ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นทีละน้อยจนเป็นปกติ การทำ straight leg raising test หรือการยกขาขึ้นตรงๆ จะช่วยบอกได้คร่าวๆ ว่ามีการกดเส้นประสาทขาซึ่งส่วนใหญ่มาจากการแตกของหมอนรองกระดูกหรือไม่ ถ้ายกได้ไม่ถึง ๓๐ องศาแล้วมีอาการร้าวลงขา จะมีโอกาสหมอนรองกระดูกแตกได้สูง กรณีนี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด ไม่ควรปล่อยไว้เพราะโอกาสที่หมอนรองกระดูกจะกลับเข้าที่ด้วยตัวเองจะมีไม่มาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาและคำแนะนำที่ถูกต้องจะทำให้เป็นเรื้อรังและรักษาหายได้ยาก
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21501
Medical
โรคตับแข็งคืออะไร
ตับแข็ง ตับแข็งเป็นโรคตับเรื้อรังที่เกิดจากเซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด ทำให้ตับมีลักษณะ แข็งกว่าปกติ และไม่อาจทำหน้าที่ได้ตามปกติ เกิดอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ น้ำหนักลด เท้าบวม ท้องบวม ดีซ่าน และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โรคนี้เกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ที่สำคัญคือ พิษจากการดื่มสุราจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน ♦ ชื่อภาษาไทย ตับแข็ง ♦ ชื่อภาษาอังกฤษ Cirrhosis ♦ สาเหตุ ที่สำคัญได้แก่ การดื่มสุราจัดนานนับสิบปี แอลกอฮอล์ในสุราจะมีพิษต่อตับ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี นานนับ 20-30 ปี โดยที่ผู้ป่วยเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเหล่านี้หรือเป็นตับอักเสบเรื้อรัง เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกบ่อนทำลายจนกลายเป็นตับแข็ง นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากพิษของยา เช่น พาราเซตามอล ยารักษาวัณโรค สารเคมี เช่น สารหนู สารโลหะหนัก ภาวะไขมันสะสมในตับ fatty liver ซึ่งมักพบในคนอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง โรคตับอักเสบที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง โดยร่างกายมีการสร้างสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต่อตับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง ภาวะขาดสารอาหาร รวมทั้งเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ เช่น ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ท่อน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด เป็นต้น ♦ อาการ ระยะแรกเริ่ม อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน จนเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักลด เท้าบวม ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง คันตามตัว อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย ความรู้สึกทางเพศลดลง บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาด หรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย ในผู้ชายอาจมีอาการนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว องคชาตไม่แข็งตัว ในระยะท้ายของโรค หลังจากเป็นตับแข็งอยู่ หลายปี หรือผู้ป่วยยังคงดื่มสุราจัด ผู้ป่วยจะมีอาการท้องบวม มีน้ำในท้องหรือท้องมาน หลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง อาเจียนเป็นเลือดสด เนื่องจากมีหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร แล้วเกิดการปริแตกขึ้นมา มีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว ในที่สุดเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายจนหมดสิ้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการผิดปกติทางสมอง เกิดอาการซึม เพ้อ มือสั่น ค่อยๆ ไม่รู้สึกตัวลงจนกระทั่งหมดสติ ♦ การแยกโรค อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ดีซ่าน อาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ซึ่งมักจะแยกจากโรคตับแข็งได้ค่อนข้างยาก อาจจำเป็น ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการในการวินิจฉัย อาการน้ำหนักลดและท้องบวม ท้องมาน อาจเกิดจากมะเร็งตับ มะเร็งของอวัยวะอื่นๆ ในช่องท้อง เช่น รังไข่ กระเพาะอาหาร ♦ การวินิจฉัย แพทย์มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดดูการทำงาน ของตับ liver function test ถ่ายภาพตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง อัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ บางรายอาจต้องทำการเจาะตับนำชิ้นเนื้อไปตรวจ ♦ การดูแลตนเอง เมื่อมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคตับแข็ง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักลด ดีซ่าน ฝ่ามือแดง จุดแดงตามหน้าอก หน้าท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีประวัติดื่มสุราจัด หรือเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีมาก่อน ก็ควรจะรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ถ้าตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ก็ควรปฏิบัติตัวดังนี้ - ติดต่อรักษากับแพทย์เป็นประจำ อาจต้องตรวจเลือดดูการเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นระยะๆ - ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น - กินอาหารพวกแป้งและของหวาน ผัก ผลไม้ และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ ยกเว้นในระยะท้ายของโรคที่มีอาการทางสมองร่วมด้วย จำเป็นต้องลดปริมาณโปรตีนลง เนื่องเพราะโปรตีนจะสลายเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง - ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน ควรงดอาหารเค็มและห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลมใหญ่ หรือ 5 แก้ว 1500 มิลลิลิตร - อย่าซื้อยากินเอง เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น - หลีกเลี่ยงการกินหอยแมลงภู่และหอยนางรมอย่างดิบๆ เนื่องเพราะอาจทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่าวิบริโอวาลนิฟิคัส Vibrio vulnificus จนกลายเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงถึงขั้นเชื้อเข้ากระแสเลือด หรือโลหิตเป็นพิษ เป็นอันตรายได้ ♦ การรักษา แพทย์จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นตับแข็งระยะแรกเริ่ม มักจะให้การรักษาตามอาการ ให้วิตามินรวมและกรดโฟลิกเสริมบำรุง ข้อสำคัญคือ กำชับให้ผู้ป่วยงดดื่มสุราโดยเด็ดขาด ถ้ามีอาการเท้าบวมหรือท้องมาน ก็จะให้ยาขับปัสสาวะ เช่น สไปโนโรแล็กโทน spinorolactone กินเป็นประจำ ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น อาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหารปริแตก ก็จะให้เลือดและทำการห้ามเลือด บางรายแพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับซึ่งช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ แต่ยังเป็นวิธีรักษาที่ยุ่งยาก ราคาแพง และหาตับที่มีผู้บริจาคได้ค่อนข้างน้อย ♦ ภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยตับแข็งมักมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น ปอดอักเสบ วัณโรคปอด ในระยะท้ายของโรค ผู้ป่วยมักมีหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร ซึ่งมีโอกาสปริแตก อาเจียนเป็นเลือดรุนแรง อาจถึงช็อกและเสียชีวิตได้ นอกจากนี้มักเกิดภาวะตับวาย ตับทำงานไม่ได้ ทำให้มีอาการทางสมอง เช่น ซึม เพ้อ หมดสติ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูงกว่าคนปกติ ♦ การดำเนินโรค โรคนี้ถ้าเป็นระยะแรกเริ่มและปฏิบัติตัวได้เหมาะสม ไม่ดื่มสุราอย่างเด็ดขาด จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5 ปี ประ-มาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยอาจอยู่ได้เกิน 5 ปี ♦ การป้องกัน 1 หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด 2 ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี ซึ่งนิยมฉีดตั้งแต่แรกเกิด 3 ระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ ♦ ความชุก โรคนี้พบบ่อยในผู้ที่ดื่มสุราจัด และผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีแบบเรื้อรัง มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
เป็นโรคตับเรื้อรังที่เกิดจากเซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด ทำให้ตับมีลักษณะ แข็งกว่าปกติ และไม่อาจทำหน้าที่ได้ตามปกติ เกิดอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ น้ำหนักลด เท้าบวม ท้องบวม ดีซ่าน และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โรคนี้เกิดจากสาเหตุได้หลายประการ ที่สำคัญคือ พิษจากการดื่มสุราจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน ♦ ชื่อภาษาไทย ตับแข็ง ♦ ชื่อภาษาอังกฤษ Cirrhosis ♦ สาเหตุ ที่สำคัญได้แก่ การดื่มสุราจัดนานนับสิบปี แอลกอฮอล์ในสุราจะมีพิษต่อตับ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี นานนับ 20-30 ปี โดยที่ผู้ป่วยเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเหล่านี้หรือเป็นตับอักเสบเรื้อรัง เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกบ่อนทำลายจนกลายเป็นตับแข็ง นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากพิษของยา เช่น พาราเซตามอล ยารักษาวัณโรค สารเคมี เช่น สารหนู สารโลหะหนัก ภาวะไขมันสะสมในตับ fatty liver ซึ่งมักพบในคนอ้วน ผู้ป่วยเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง โรคตับอักเสบที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง โดยร่างกายมีการสร้างสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีต่อตับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็ง ภาวะขาดสารอาหาร รวมทั้งเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ เช่น ทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ซึ่งถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ท่อน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11220
Medical
แพทย์มีวิธีการประเมินภาวะขาดของเหลวและอีเล็กโทรไลต์ของร่างกายอย่างไร
null
แพทย์มีวิธีการประเมินภาวะขาดของเหลวและอีเล็กโทรไลต์ของร่างกายโดย 1. การซักประวัติ เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุ และเพื่อประเมินว่าร่างกายมีการขาดน้ำและอีเล็กโทรไลต์ไปมากน้อยเพียงใด โดยแพทย์จะซักประวัติต่อไปนี้ เสียปริมาณน้ำและเกลือแร่ออกไปเท่าใดทั้งทางอุจจาระและทางอาเจียนกี่ครั้ง ปริมาณครั้งละเท่าใด รวมทั้งลักษณะของอุจจาระ วิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้แพทย์หาสาเหตุของโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงท้องเสียได้ ได้รับการรักษาด้วยสารน้ำและเกลือแร่หรือของเหลวต่างๆ เช่น น้ำข้าว น้ำเกลือทำเอง หรือน้ำแกงจืด ไปเท่าใด อาการร่วมต่าง ๆ เช่น มีไข้ น้ำมูก ในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส มักมีไข้ มีน้ำมูกนำมาก่อน หรือเกิดจากการกินอาหารมีเชื้อโรคซึ่งคนหลายคนที่กินด้วยกันมีอาการด้วย หรือมีอาการหอบ ทำให้บอกได้ว่าต้องเสียน้ำไปมากพอสมควรและร่างกายเสียด่างออกไปจนมีภาวะกรดในร่างกาย การรักษาต่างๆที่เด็กได้รับไปแล้วและผลต่อการรักษานั้นๆ ที่สำคัญคือปัสสาวะครั้งสุดท้ายและจำนวนปัสสาวะซึ่งจะช่วยบอกว่าร่างกายขาดน้ำและอีเล็กโทรไลต์มากน้อยเพียงใด ถ้าปัสสาวะครั้งสุดท้ายภายใน 4 ชั่วโมงและปัสสาวะออกปริมาณมากพอสมควรแสดงว่าของเหลวหรือน้ำในร่างกายยังเพียงพอ 2. การตรวจร่างกาย โดยประเมินการสูญเสียน้ำและอีเล็กโทรไลต์ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาทดแทนต่อไป ทั้งนี้แพทย์จะตรวจชีพจร ความดันโลหิต ในเด็กที่เสียน้ำจะมีชีพจรเร็วขึ้นและความดันโลหิตลดลง และบางคนที่มีการสูญเสียน้ำมากๆเช่น ในพวกท้องร่วงจากเชื้ออหิวาตกโรคซึ่งถ่ายท้องร่วงตลอดเวลาและไม่ได้รับการทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เพียงพอ เด็กจะช็อกคือ ตรวจชีพจรเบา เร็ว ความดันเลือดต่ำมาก มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงได้แก่ กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ซึมมาก เนื่องจากขาดของเหลวไปเลี้ยงสมอง นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจเยื่อบุช่องปาก ตรวจกระหม่อมด้านหน้ากะโหลก และกระบอกตาว่า บุ๋มหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ตรวจความยืดหยุ่นของผิวหนัง ในเด็กที่ขาดน้ำมากเมื่อจับผิวหนังขึ้นมาผิวหนังจะตั้งได้ แต่หากขาดน้ำเพียงเล็กน้อยเมื่อจับผิวหนังขึ้นมาพอปล่อยมือผิว หนังก็กลับไปอย่างเดิม แพทย์จะกดดูที่ปลายนิ้วเล็บ และปล่อยมือว่ามีเลือดไปเลี้ยงได้ดีหรือ ไม่ พวกที่ขาดน้ำมากเมื่อกดที่เล็บพอปล่อยมือที่กดออก กว่าเลือดจะเข้าไปที่ปลายเล็บแดงเหมือนเดิมมักใช้เวลานานเกินกว่า 2 วินาทีขึ้นไป แพทย์จะสังเกตดูว่าเด็กมีอาการกระหายน้ำหรือไม่ หรือร้องไห้มีน้ำตาหรือไม่ เด็กที่ขาดน้ำมาก ร้องไห้น้ำตาน้อยลงหรือไม่มีน้ำตา แพทย์จะประเมินแล้วแบ่งอาการขาดน้ำเป็น รุนแรงน้อย ปานกลาง และรุนแรงมาก
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21354
Medical
จากบทความ "ลูกของฉันครบ 32 หรือเปล่า" อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเกิดมาพิการหรือมีความผิดปกติทางร่างกาย?
null
สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเกิดมาพิการหรือมีความผิดปกติทางร่างกาย แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1. ความผิดปกติของโครโมโซม 1.1 จำนวนโครโมโซมผิดปกติ: -ดาวน์ซินโดรม: เกิดจากมีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 อัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้า ปัญญาอ่อน หางตาชี้ขึ้น ตาเล็ก คล้ายชนเผ่ามองโกล -กลุ่มอาการเทอร์เนอร์: เด็กหญิงมีลักษณะตัวเตี้ยแคระ คอสั้นและกางเป็นปีก มีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ไม่มีประจำเดือน 1.2 โครงสร้างของโครโมโซมผิดปกติ: -แขนโครโมโซมสั้นหรือยาวผิดปกติ: ทำให้เด็กเกิดมาพิการต่างๆ ที่มีลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆ -ยีนในโครโมโซมผิดปกติ: ยีนลักษณะเด่น: ถ่ายทอดไปยังลูก 50% เด็กมีโอกาสเป็นโรค 100% ยีนลักษณะด้อย:เด็กต้องได้รับยีนด้อยจากทั้งพ่อและแม่ ถึงจะแสดงอาการ พ่อหรือแม่เป็นพาหะโรค ไม่แสดงอาการ แต่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ 2. ความผิดปกติของยีน ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ตามหลักของเมนเดล ยีนที่ผิดปกติอาจเป็นชนิดที่มีลักษณะเด่นหรือด้อย ตัวอย่างโรคที่เกิดจากยีน: -ยีนลักษณะเด่น: โรคอะคอนโดรเพลเซีย (คนแคระ) -ยีนลักษณะด้อย: โรคทาลัสซีเมีย 3. สิ่งแวดล้อม เชื้อโรค สารเคมี รังสี ความร้อน ยาบางชนิด ภาวะโภชนาการของแม่ ส่งผลต่อทารกในครรภ์ สรุป: สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเกิดมาพิการหรือมีความผิดปกติทางร่างกาย เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ความผิดปกติของโครโมโซม ยีน และสิ่งแวดล้อม
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45671
Legal
ภาษีความหวาน คืออะไร
จากประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่ทำการล่อซื้อน้ำส้ม ขอดูใบอนุญาต และเรียกค่าปรับจำนวนหนึ่ง หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ทำน้ำส้มขายต้องมีใบอนุญาตด้วยหรือ ?” มาทำความเข้าใจกันครับ การจดทะเบียน การผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ปิดสนิท ต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และการผลิตเพื่อส่งไปจำหน่ายยังที่ต่าง ๆ ถือว่าสถานที่ผลิตเป็นโรงงาน จะต้องมีการจดทะเบียน และขอเลข อย. เพื่อตรวจสอบคุณภาพก่อนทำการผลิตเพื่อจำหน่าย คำว่า น้ำส้ม 100% หากต้องการจะทำฉลากที่เขียนว่า น้ำส้ม 100% จะต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยต้องนำผลิตภัณฑ์ไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. และห้ามใส่น้ำตาล เกลือ หรือน้ำเปล่า ในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ อย. ร้านค้า หรือรถเข็น ที่คั้นสด ๆ แล้วจำหน่าย น้ำส้ม ทันที ต้องทำอย่างไร ? จะต้องขออนุญาตจำหน่ายจากท้องที่ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบมาตรฐาน ในการผลิต ตามที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในการผลิตขนาดใหญ่ (Mass Product) การใส่สารให้ความหวาน หรือน้ำตาล เพิ่มเติมลงไปใน น้ำส้ม จะต้องเสีย “ภาษีความหวาน” กับกรมสรรพสามิต 1. นำผลิตภัณฑ์นั้นไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. 2. นำไปขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตเพื่อเสียภาษีความหวาน ภาษีความหวาน คืออะไร ? คือภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องเสียให้กับกรมสรรพสามิตในการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาล เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องเสียภาษีความหวานนี้เพิ่มเติมจากการเสียภาษีตามปกติ อัตราภาษี ปริมาณน้ำตาล ไม่เกิน 6 กรัม/100 มล. ได้รับการยกเว้นภาษี 10 – 14 กรัม/100 มล. เสียภาษี 1 บาท/ลิตร 14 – 18 กรัม/100 มล. เสียภาษี 3 บาท/ลิตร 18 กรัมขึ้นไป/100 มล. เสียภาษี 5 บาท/ลิตร จากประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่ทำการล่อซื้อน้ำส้ม ขอดูใบอนุญาต และเรียกค่าปรับจำนวนหนึ่ง หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ทำน้ำส้มขายต้องมีใบอนุญาตด้วยหรือ ?” มาทำความเข้าใจกันครับ การจดทะเบียน การผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ปิดสนิท ต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และการผลิตเพื่อส่งไปจำหน่ายยังที่ต่าง ๆ ถือว่าสถานที่ผลิตเป็นโรงงาน จะต้องมีการจดทะเบียน และขอเลข อย. เพื่อตรวจสอบคุณภาพก่อนทำการผลิตเพื่อจำหน่าย คำว่า น้ำส้ม 100% หากต้องการจะทำฉลากที่เขียนว่า น้ำส้ม 100% จะต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยต้องนำผลิตภัณฑ์ไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. และห้ามใส่น้ำตาล เกลือ หรือน้ำเปล่า ในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ อย. ร้านค้า หรือรถเข็น ที่คั้นสด ๆ แล้วจำหน่าย น้ำส้ม ทันที ต้องทำอย่างไร ? จะต้องขออนุญาตจำหน่ายจากท้องที่ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบมาตรฐาน ในการผลิต ตามที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในการผลิตขนาดใหญ่ (Mass Product) การใส่สารให้ความหวาน หรือน้ำตาล เพิ่มเติมลงไปใน น้ำส้ม จะต้องเสีย “ภาษีความหวาน” กับกรมสรรพสามิต 1. นำผลิตภัณฑ์นั้นไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. 2. นำไปขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตเพื่อเสียภาษีความหวาน ภาษีความหวาน คืออะไร ? คือภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องเสียให้กับกรมสรรพสามิตในการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาล เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องเสียภาษีความหวานนี้เพิ่มเติมจากการเสียภาษีตามปกติ อัตราภาษี ปริมาณน้ำตาล ไม่เกิน 6 กรัม/100 มล. ได้รับการยกเว้นภาษี 10 – 14 กรัม/100 มล. เสียภาษี 1 บาท/ลิตร 14 – 18 กรัม/100 มล. เสียภาษี 3 บาท/ลิตร 18 กรัมขึ้นไป/100 มล. เสียภาษี 5 บาท/ลิตร จากประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่ทำการล่อซื้อน้ำส้ม ขอดูใบอนุญาต และเรียกค่าปรับจำนวนหนึ่ง หลาย ๆ คนสงสัยว่า “ทำน้ำส้มขายต้องมีใบอนุญาตด้วยหรือ ?” มาทำความเข้าใจกันครับ การจดทะเบียน การผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ปิดสนิท ต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และการผลิตเพื่อส่งไปจำหน่ายยังที่ต่าง ๆ ถือว่าสถานที่ผลิตเป็นโรงงาน จะต้องมีการจดทะเบียน และขอเลข อย. เพื่อตรวจสอบคุณภาพก่อนทำการผลิตเพื่อจำหน่าย คำว่า น้ำส้ม 100% หากต้องการจะทำฉลากที่เขียนว่า น้ำส้ม 100% จะต้องปฏิบัติตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข โดยต้องนำผลิตภัณฑ์ไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. และห้ามใส่น้ำตาล เกลือ หรือน้ำเปล่า ในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของ อย. ร้านค้า หรือรถเข็น ที่คั้นสด ๆ แล้วจำหน่าย น้ำส้ม ทันที ต้องทำอย่างไร ? จะต้องขออนุญาตจำหน่ายจากท้องที่ก่อน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบมาตรฐาน ในการผลิต ตามที่ระบุไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ในการผลิตขนาดใหญ่ (Mass Product) การใส่สารให้ความหวาน หรือน้ำตาล เพิ่มเติมลงไปใน น้ำส้ม จะต้องเสีย “ภาษีความหวาน” กับกรมสรรพสามิต 1. นำผลิตภัณฑ์นั้นไปจดแจ้งเพื่อขอเลข อย. 2. นำไปขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพสามิตเพื่อเสียภาษีความหวาน ภาษีความหวาน คืออะไร ? คือภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องเสียให้กับกรมสรรพสามิตในการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาล เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องเสียภาษีความหวานนี้เพิ่มเติมจากการเสียภาษีตามปกติ อัตราภาษี ปริมาณน้ำตาล ไม่เกิน 6 กรัม/100 มล. ได้รับการยกเว้นภาษี 10 – 14 กรัม/100 มล. เสียภาษี 1 บาท/ลิตร 14 – 18 กรัม/100 มล. เสียภาษี 3 บาท/ลิตร 18 กรัมขึ้นไป/100 มล. เสียภาษี 5 บาท/ลิตร TAG กรมสรรพสามิต ขายน้ำส้ม จดทะเบียน
ภาษีความหวาน คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการจะต้องเสียให้กับกรมสรรพสามิตในการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณน้ำตาล เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะต้องเสียภาษีความหวานนี้เพิ่มเติมจากการเสียภาษีตามปกติ
กฎหมายภาษี,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11663
Medical
ยาหยอดหูทางเภสัชกรรมหมายความว่าอย่างไร
ก. สารเคมีที่ได้จากเชื้อจุลชีพชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ หรือ จากการสังเคราะห์ ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ข. เป็นยาที่สามารถจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ มีฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้ ค. เป็นยาใช้สำหรับป้องกันและรักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ง. เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องหู รักษาการอักเสบภายในหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง
คำตอบคือ ง. เนื่องจาก ยาหยอดหู Ear drops ยาหยอดหูทางเภสัชกรรมหมายความว่าอย่างไร ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด หู กายวิภาคหู Ear anatomy สรีรวิทยาของหู Ear physiology โรคหูคอจมูก โรคทางหูคอจมูก โรคระบบหูคอจมูก ENT disease หูติดเชื้อ Ear infection ภาวะขี้หูอุดตัน Impacted cerumen หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง หูน้ำหนวก Chronic otitis media ยาใช้ภายนอก External Use drug แก้วหูทะลุ Ruptured eardrum ยาหยอดหูทางเภสัชกรรมหมายความว่าอย่างไร ทางเภสัชกรรมแบ่งยาหยอดหูเป็นประเภทใดบ้าง ยาหยอดหูอยู่ในรูปแบบใดบ้าง ยาหยอดหูมีข้อบ่งใช้อย่างไร มีข้อห้ามใช้ยาหยอดหูอย่างไร มีข้อควรระวังในการใช้ยาหยอดหูอย่างไร การใช้ยาหยอดหูในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร การใช้ยาหยอดหูในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร การใช้ยาหยอดหูในเด็กควรเป็นอย่างไร มีผลข้างเคียงจากการใช้ยาหยอดหูอย่างไร คำแนะนำวิธีใช้ยาหยอดหู ยาหยอดหูทางเภสัชกรรมหมายความว่าอย่างไร ยาหยอดหู Ear drop ความหมายทางเภสัชกรรมคือ เป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในช่องหู รักษาการอักเสบภายในหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง หู กายวิภาคหูและสรีระวิทยาหู และรวมทั้งรักษาการอุดตันของขี้หู ทางเภสัชกรรมแบ่งยาหยอดหูเป็นประเภทใดบ้าง ทางเภสัชกรรมแบ่งยาหยอดหูเป็นประเภทต่างๆดังนี้เช่น ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย Antibacterial drug หรือยาปฏิชีวนะ Antibiotic
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_611
Finance
ประเด็นที่สนับสนุนการใช้เงินหยวน มีประเด็นใดบ้าง
null
ประเด็นที่สนับสนุนการใช้เงินหยวน ได้แก่ - เรื่องเศรษฐกิจ แม้ขนาดจะมีความสำคัญมาก แต่แค่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งอาจไม่ได้ยืนยันว่าจะต้องได้เป็นสกุลเงินหลัก มีการถกเถียงกันมากว่าขนาดเศรษฐกิจของจีนแซงหน้าสหรัฐไปแล้วหรือไม่ และควรได้เวลาที่ทั่วโลกควรเปลี่ยนไปใช้เงินหยวน แต่จากข้อมูลในอดีตด้านขนาดเศรษฐกิจ กว่าที่โลกจะเริ่มเปลี่ยนจากสกุลเงินปอนด์อังกฤษ มาใช้ดอลลาร์ในช่วงราวปี 1945 ขนาดของเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตจนมีใหญ่กว่าสหราชอาณาจักรไปแล้วถึง 4.7 เท่า แม้จะมองย้อนไปที่งานวิจัยของ Eichengreen et al. (2012) ก็ยังพบคำตอบเดิมว่าดอลลาร์ก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินหลักแทนปอนด์ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 หลังจากที่เศรษฐกิจสหรัฐมีขนาดใหญ่กว่าสหราชอาณาจักรถึง 3.5 เท่า ขนาดของเศรษฐกิจจีนตอนนี้จึงไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทั่วโลกจะต้องหันมาใช้เงินหยวนแทนสกุลเงินหลักปัจจุบัน - การเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ การตัดสินใจอาจไม่ได้เกิดจากแค่ความเกี่ยวข้องกันทางเศรษฐกิจ มีความเคลื่อนไหวของเงินหยวนในการก้าวขึ้นมาเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศตั้งแต่ IMF รับเงินหยวนเข้าเป็น SDR (Special Drawing Rights) ในปี 2016 แต่สิ่งที่พบคือ สัดส่วนของเงินหยวนเพิ่มขึ้นช้ามากคิดเป็นแค่ราว 0.5% ต่อปี ทำให้สิ้นปี 2022 เงินหยวนมีสัดส่วนเพียง 2.7% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด แม้ในช่วงเดียวกันรายงานของ IMF จะระบุว่าดอลลาร์เสียสถานะทุนสำรองไปกว่า 6% แต่ดูจะมาจากค่าเงินเป็นหลัก ขณะที่การเปลี่ยนสกุลเงินมักอยู่ในรูปยูโรและเยน เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงและเคลื่อนย้ายได้จริงมากกว่าหยวน นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของเงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินหยวนยังมาจากเหตุการณ์เฉพาะ เช่น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วที่สุดในช่วงสงครามรัสเซียยูเครน เมื่อรัสเซียย้ายมาถือเงินหยวน 1/3 ของทุนสำรองระหว่างประเทศหรือราว 1.2 แสนล้านเหรียญ แม้จะมีกระแส BRIC Reserve Currency แต่ต่อให้ประเทศที่เหลืออย่างอินเดีย ที่มีทุนสำรองราว 5 แสนล้านดอลลาร์ และบราซิลที่มีทุนสำรองราว 3 แสนล้านดอลลาร์ เปลี่ยนสกุลเงิน 30% มาเป็นหยวนเช่นเดียวกับรัสเซีย การถือเงินหยวนก็น่าจะเพิ่มขึ้นเพียงราว 2-3 แสนล้านเหรียญ คิดเป็นเพียง 2% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด และเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของทุนสำรองของจีนที่ 3.2 ล้านล้านเหรียญด้วยซ้ำ - การเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้าย ด้วยโครงสร้างทางการเงินของจีนปัจจุบัน มีความท้าทายอย่างมาก และอาจมากเกินกว่าที่จีนจะต้องเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เพราะการเปิดเสรีให้เงินทุนเข้าออกอาจไม่ตรงกับเป้าหมายการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายของจีนตั้งแต่แรก ด้วยตลาดบอนด์และหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ขณะที่การถือครองของต่างชาติทั้งสองสินทรัพย์อยู่ต่ำกว่า 10% ของมูลค่าตลาด การเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายอาจนำไปสู่กระแสเงินทุนไหลเข้า จนเงินหยวนแข็งค่าเร็ว ภาคส่งออกอาจปรับตัวไม่ทันก็เป็นได้ ในทางกลับกัน ปริมาณเงินในระบบ (M2) ของจีนมีมากถึง 2.25 เท่าของจีดีพี ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศใหญ่อื่น ๆ เช่น สหรัฐที่ 0.8 เท่าหรือเฉลี่ยประเทศในยุโรปที่ 1 เท่า เงินในระบบที่สูงผิดปกตินี้เองที่เป็นตัวช่วยหนุนเศรษฐกิจจีน หุ้นขนาดเล็ก ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ของจีนในปัจจุบัน การเปิดเสรีในขณะที่สภาพคล่องสูงกว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาจทำให้เงินหยวนจากคนจีน ไหลออกไปลงทุนต่างประเทศอย่างรวดเร็วและอาจเสี่ยงเกิดวิกฤติอสังหาฯ ซ้ำรอยขึ้นมาอีก
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10918
Medical
โรคที่มากับน้ำท่วมหรือหลังน้ำท่วม และโรคที่มากับฤดูฝนที่พบบ่อย มีโรคอะไรบ้าง
โรคที่มากับน้ำท่วมและฤดูฝน Disease and injury in flood and Rain and diseases โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ Infectious disease โรคทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินอาหาร Digestive disease ไข้เลือดออก Dengue hemorrhagic fever ไข้จับสั่น Malaria โรคระบบทางเดินหายใจ Respiratory tract disease งูกัด Snake bite สัตว์และคนกัด การปฐมพยาบาล การดูแลรักษา สุนัขกัด แมวกัด สัตว์ฟันแทะอื่นๆกัด คนกัด ผึ้ง ต่อ มด กัดต่อย การปฐมพยาบาล การรักษาและการป้องกัน Bee Wasp Hornet and Ant stings โรคที่มากับน้ำท่วมหรือหลังน้ำท่วม และโรคที่มากับฤดูฝน จะเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะเกิดจากสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ที่พบบ่อยได้แก่ โรคน้ำกัดเท้า โรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคตาแดง โรคติดเชื้อจากอาหารและน้ำดื่ม เช่น ท้องเสีย โรคอาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค โรคไทฟอยด์ และโรคไวรัสตับอักเสบ เอ โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก โรคหัด โรคมาลาเรีย ไข้จับสั่น จากถูกสัตว์มีพิษที่หนีน้ำกัดต่อย เช่น แมลงป่องหรืองู อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง งูกัด เรื่อง สัตว์และคนกัด การปฐมพยาบาล การดูแลรักษา สุนัขกัด แมวกัด สัตว์ฟันแทะอื่นๆกัด คนกัด และเรื่อง ผึ้ง ต่อ มด กัดต่อย การปฐมพยาบาลการรักษาและการป้องกัน แผลที่เกิดจากการย่ำน้ำ เช่น จากตะปูตำ ของมีคมบาด หรือจากเศษไม้ทิ่มตำ 1. เมธี ชยะกุลศิริ. โรคที่มากับหน้าฝน 2014Aug30 2. 9 โรคร้าย ที่มากับ น้ำท่วม หลังน้ำท่วม 2014Aug30 - เกร็ด Symptom น้ำท่วม Organ อื่นๆ Systemโรคติดเชื้อ
โรคที่มากับน้ำท่วมหรือหลังน้ำท่วม และโรคที่มากับฤดูฝน จะเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะเกิดจากสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. โรคน้ำกัดเท้า 2. โรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ 3. โรคปอดบวม 4. โรคตาแดง 5. โรคติดเชื้อจากอาหารและน้ำดื่ม เช่น ท้องเสีย โรคอาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค โรคไทฟอยด์ และโรคไวรัสตับอักเสบ เอ 6. โรคฉี่หนู 7. โรคไข้เลือดออก 8. โรคหัด 9. โรคมาลาเรีย (ไข้จับสั่น) 10. จากถูกสัตว์มีพิษที่หนีน้ำกัดต่อย เช่น แมลงป่องหรืองู 11. แผลที่เกิดจากการย่ำน้ำ เช่น จากตะปูตำ ของมีคมบาด หรือจากเศษไม้ทิ่มตำ
สาธารณสุข (public health),อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3655
Finance
อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
null
สัญญาณความเสี่ยงทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้สูงที่ Fed จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ สาเหตุหลัก ๆ ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1. วิกฤตสภาพคล่องสถาบันการเงิน: เหตุการณ์วิกฤตของ Silicon Valley Bank (SVB) และ Credit Suisse สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสภาพคล่องที่เริ่มก่อตัวในระบบการเงิน สถาบันการเงินขนาดเล็กและกลางมีความเสี่ยงสูงต่อการเผชิญกับ Silence Bank Run หรือการไหลออกของเงินฝากอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม 2. เศรษฐกิจชะลอตัว: สัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวเริ่มปรากฏชัด - ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (LEI) ของ Conference Board หดตัวติดต่อกัน 12 เดือน - ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ลดลง - ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการชะลอตัว ปัจจัยเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอย 3. สัญญาณจากตลาดพันธบัตร: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นพุ่งสูงกว่าระยะยาว ส่งผลให้เส้นผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve) กลับด้าน (Inverted) สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว Fed จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ผลกระทบต่อนักลงทุน: การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ย่อมส่งผลกระทบต่อนักลงทุนในหลายด้าน ดังนี้ 1. ตลาดหุ้น: โดยทั่วไป ตลาดหุ้นมีแนวโน้มดีต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะช่วยลดต้นทุนการเงินของบริษัท 2. ตลาดพันธบัตร: ราคาพันธบัตรระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น 3. ตลาดทองคำ: ทองคำมักถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย ไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ข้อควรระวัง: 1. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจไม่สามารถหยุดยังวิกฤตสภาพคล่องของสถาบันการเงินได้ 2. เศรษฐกิจอาจถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ 3. ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง บทสรุป: Fed มีแนวโน้มสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ สาเหตุหลักมาจากวิกฤตสภาพคล่อง เศรษฐกิจชะลอตัว และสัญญาณจากตลาดพันธบัตร นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13383
Medical
ผู้ที่มีฟันคุดฝังอยู่ใต้เหงือกโดยไม่แสดงอาการ จำเป็นต้องผ่าตัดฟันคุดออกหรือไม่?
null
ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ลักษณะและตำแหน่งของฟันคุด: ฟันคุดที่ฝังอยู่ในแนวตั้ง ไม่เอียง ไม่ชนฟันข้างเคียง และไม่มีรากฟันคุดใกล้เส้นประสาท โอกาสที่จะสร้างปัญหาจะน้อย ฟันคุดที่ฝังในแนวนอน เอียง ชนฟันข้างเคียง หรือมีรากฟันคุดใกล้เส้นประสาท มีโอกาสที่จะสร้างปัญหาในอนาคต เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ กระดูกละลาย เกิดถุงน้ำ หรือฟันเก สุขภาพช่องปากโดยรวม: ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากดี ดูแลความสะอาดได้ดี โอกาสที่จะเกิดปัญหาจากฟันคุดน้อย ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากไม่ดี ดูแลความสะอาดได้ยาก โอกาสที่จะเกิดปัญหาจากฟันคุดมาก ความเสี่ยงต่อการผ่าตัด: ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเลือดออกง่าย จำเป็นต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนผ่าตัด ความต้องการของผู้ป่วย: ผู้ป่วยบางคนมีความกังวล กลัวการผ่าตัด อาจจะเลือกที่จะไม่ผ่าตัด โดยสรุป: ผู้ที่มีฟันคุดฝังอยู่ใต้เหงือกโดยไม่แสดงอาการ ไม่ได้แปลว่าไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ทันตแพทย์จะพิจารณาจากลักษณะและตำแหน่งของฟันคุด สุขภาพช่องปากโดยรวม ความเสี่ยงต่อการผ่าตัด และความต้องการของผู้ป่วย ผู้ป่วยควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม เหตุผล: ฟันคุดที่ฝังอยู่ใต้เหงือก แม้จะไม่แสดงอาการ แต่มีโอกาสที่จะสร้างปัญหาในอนาคต เช่น ฟันผุ เหงือกอักเสบ กระดูกละลาย เกิดถุงน้ำ หรือฟันเก การผ่าตัดฟันคุดในระยะแรกๆ แผลจะหายเร็วและผลแทรกซ้อนน้อย ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด จำเป็นต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยควรเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยคำนึงถึงข้อมูลและคำแนะนำจากทันตแพทย์ ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีฟันคุดฝังอยู่ใต้เหงือก ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและถ่ายภาพรังสี X-ray เพื่อประเมินความเสี่ยง ควรรักษาความสะอาดช่องปากให้ดี แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ และใช้ไหมขัดฟัน สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง อักเสบ หรือมีเลือดออก ควรรีบไปพบทันตแพทย์
ทันตกรรม Dentistry
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40421
Finance
จงสรุปจากบทความโสด สบายใจ ไร้กังวล วางแผนชีวิตให้พร้อมรับอนาคต มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
null
1. เตรียมใจให้พร้อมสำหรับชีวิตโสด: - ปรับตัวให้คุ้นเคยกับการอยู่คนเดียว - หากิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อเติมเต็มเวลาว่าง - มองโลกในแง่ดีและคิดบวก - รักและดูแลตัวเอง 2. เตรียมร่างกายให้แข็งแรง: - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - ทานอาหารที่มีประโยชน์ - ตรวจสุขภาพ định kỳ - พักผ่อนให้เพียงพอ 3. เตรียมเงินออมสำหรับอนาคต: - ตั้งเป้าหมายการออม - วางแผนการใช้จ่าย - เก็บออมก่อนใช้ - ลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน 4. เตรียมเพื่อนแท้และผู้ช่วย: - มีเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน 5. เทคนิคการออมการลงทุนสำหรับคนโสด: - เก็บก่อนใช้ แบ่งเงินเป็นสัดส่วน - ลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ - กระจายความเสี่ยง - ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน - อดทนและรอคอยผลตอบแทน 6. แนวคิดการจัดพอร์ตลงทุน: - ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย - ปรับพอร์ตลงทุนตามช่วงวัย - เลือกกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนดี 7. เครื่องมือช่วยบริหารจัดการเงิน: - แอปพลิเคชันบันทึกรายรับรายจ่าย - เครื่องคำนวณการออม - โปรแกรมวางแผนการเงิน สรุป: การเป็นโสดไม่ได้แปลว่าต้องใช้ชีวิตอย่างลำพัง การวางแผนชีวิตและการเงินที่ดีจะช่วยให้เราใช้ชีวิตโสดได้อย่างมีความสุขและมั่นคง
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40131
Finance
ช่วยสรุป เกี่ยวกับการวางแผนการเงินกับโรคที่ต้องระวังในช่วงหน้าฝน
โรคที่ต้องระวังในช่วงเข้าหน้าฝน ตอนนี้เข้าหน้าฝนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว จะเริ่มได้ข่าวเกี่ยวกับโรคต่างๆที่มาพร้อมกับฝน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุก็มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยด้วยกันทั้งนั้น โรคก็มีแตกต่างกันไป เราจะรวบรวมให้ดูเพื่อจะเตรียมรับมือกับหน้าฝนที่มานี้ -โรคทางเดินหายใจ โรคนี้มักจะเป็นกันบ่อยมาก เพราะเชื้อโรคลอยในอากาศจึงมีโอกาสที่จะเป็นสูง เช่น พวกโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ รวมถึงพวก RSVที่มักจะเกิดกับเด็กเล็กที่เป็นแล้วมักมีโอกาสเป็นซ้ำได้สูงมาก -โรคที่มียุงเป็นพาหะ หลีกไม่ได้เลยเมื่อมีฝนตกก็มักจะมีน้ำขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง โรคที่มากับยุงนั้นอันตรายสูงมาก มีโอกาสเสียชีวิตได้สูงมากเช่นกัน อย่างเช่น ไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ มาลาเลีย รวมถึงโรคปวดข้อยุงลาย หรือเรียกอีกชื่อว่า ชิกุนคุนย่า ก็มียุงเป็นพาหะทั้งสิ้น -โรคที่ติดต่อทางน้ำและอาหาร ที่เชื่อโรคมาทางน้ำ และผ่านทางอาหารเข้าสู่ร่างกาย เช่นโรคท้องเสีย บิด อาหารเป็นพิษเป็นต้น -โรคติดเชื้อทางบาดแผลและผิวหนัง เมื่อมีแผลแล้วต้องเดินผ่านน้ำท่วมก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อเหล่านั้นได้ อาทิ โรคฉี่หนู หรือติดเชื้อที่ตา หรือตาแดง -โรคมือเท้าปาก ที่จะเป็นกับเด็กเล็กซึ่งทรมานมาก จะมีตุ่มแดงตาม มือ เท้า ปากและมีไข้ ทำให้เด็กไม่สามารถทานอะไรได้และติดต่อได้ง่ายมากเพราะเป็นเชื้อไวรัส เวลาที่เด็กเล็กเข้าเรียนหากเกิดโรคนี้ขึ้นจะปิดชั้นเรียนและทำความสะอาดกันยกใหญ่เลย เห็นไหมว่าโรคที่มากับฝนนั้นมีหลายโรคที่เดียว ยิ่งเมื่อเกิดเป็นโรคต่างๆเหล่านี้ขึ้นมาแล้ว จะเกิดอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นยิ่งถ้าเป็นเด็กด้วยแล้วจะยิ่งอันตรายมาก เนื่องจากเด็กยังมีภูมิคุ้มกันไม่เท่ากับผู้ใหญ่ แล้วเด็กยังไม่แข็งแรงมากพอที่จะทนกับโรคต่างๆเหล่านี้ได้ ผู้ปกครองจึงมักจะนำไปพบแพทย์ ทำให้เด็กๆมีโอกาสที่จะเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสูง หากผู้ปกครองไม่ได้เตรียมค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ไว้จะทำให้มีปัญหาในอนาคตได้ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันมีราคาสูงขึ้นมาก (โรงพยาบาลเอกชน) เพราะถ้าเป็นโรคที่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายๆวันเช่น ไข้เลือดออก RSV หรือ มือเท้าปาก อาจจะมีค่าใช้จ่ายถึงหลักแสนได้เลย ดังนั้นหากผู้ปกครองไม่ได้มีเตรียมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้ จะมีผลกระทบกับระบบการเงินแน่นอน หรือจะมีการเตรียมได้อีกวิธีคือการซื้อความเสี่ยง หรือซื้อประกันสุขภาพไว้ จะทำให้อุ่นใจไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย ที่สำคัญตัดสินใจไปหาหมอได้ง่าย บางโรคเมื่อถึงมือหมอได้เร็วก็จะรักษาได้ง่ายและโรคไม่รุนแรงมาก แต่ไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ก็ควรวางแผนสุขภาพด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยและบริหารได้ก่อน หากจำเป็นต้องใช้ จะช่วยทำให้ไม่เดือดร้อนและกระทบแผนการเงินต่างๆด้วย
เมื่อเข้าช่วงหน้าฝน มักจะมีข่าวเกี่ยวกับโรคต่างๆที่มาพร้อมกับฝนไม่ว่าวัยไหนก็สามารถป่วยกันได้ เช่น - โรคทางเดินหายใจ รวมถึง RSV มักจะเกิดกับเด็กเล็กที่เป็นแล้วมักมีโอกาสเป็นซ้ำได้สูงมาก - โรคที่มียุงเป็นพาหะ เพราะเมื่อมีฝนตกมักมีน้ำขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และโรคที่มากับยุงนั้นอันตรายสูงมาก มีโอกาสเสียชีวิตได้ - โรคที่ติดต่อทางน้ำและอาหาร - โรคติดเชื้อทางบาดแผลและผิวหนัง เมื่อมีแผลแล้วต้องเดินผ่านน้ำท่วมก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อเหล่านั้นได้ - โรคมือเท้าปาก ที่จะเป็นกับเด็กเล็กซึ่งทรมานมาก และติดต่อได้ง่ายมากเพราะเป็นเชื้อไวรัส จะเห็นได้ว่ามีโรคต่างๆมากมายที่มาพร้อมกับฝน และบางโรคอันตรายมาก อาจถึงชีวิตได้ และยิ่งถ้าเป็นเด็กด้วยแล้วยิ่งอันตราย ผู้ปกครองจึงมักนำไปพบแพทย์ แล้วมีโอกาสที่จะเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูง ซึ่งจะนำมาด้วยค่ารักษาที่สูง (ยิ่งถ้าเป็นรพ.เอกชน) เพราะบางโรคอาจต้องนอนรพ.หลายวัน ดังนั้นหากผู้ปกครองไม่ได้มีเตรียมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไว้ จะมีผลกระทบกับระบบการเงินแน่นอน หรืออีกวิธีคือการซื้อความเสี่ยง ซื้อประกันสุขภาพไว้ จะทำให้อุ่นใจไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย ที่สำคัญตัดสินใจไปหาหมอได้ง่าย บางโรคเมื่อถึงมือหมอได้เร็วก็จะรักษาได้ง่ายและโรคไม่รุนแรงมาก แต่ไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ก็ควรวางแผนสุขภาพด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยและบริหารได้ก่อน หากจำเป็นต้องใช้ จะช่วยทำให้ไม่เดือดร้อนและกระทบแผนการเงินต่างๆด้วย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40438
Finance
ช่วยสรุปเกี่ยวกับ ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น คือ เงินต้นที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อเงินต้นเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยที่ได้รับจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น คือ จำนวนเงินลงทุน ระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ย โดยยิ่งมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ระยะเวลานานขึ้น ผลตอบแทนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้าอยากรวย ต้องรู้จักให้เงินทำงาน” เป็นประโยคที่ได้ยินกันบ่อย ๆ แต่อาจมีข้อสงสัยว่า “แล้วเงินไปทำงานอย่างไร” คำตอบคือ เมื่อมีรายได้ มีเงินเดือน ช่องทางการออมเงินที่คนไทยคุ้นเคยและทำได้ง่ายที่สุด ก็คือ การนำไปฝากธนาคาร เช่นเดียวกัน ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็ไปกู้เงินจากธนาคาร โดยที่ธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ระหว่างผู้ที่มีเงินออมกับผู้ที่ต้องการเงินออม โดยธนาคารจะเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากผู้ที่มากู้เงิน แล้วนำรายได้จากดอกเบี้ยที่เก็บได้หรือรายได้อื่น ๆ มาแบ่งให้ผู้ที่ฝากเงินเป็นรูปแบบดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งวิธีการดังกล่าว เงินก็ได้เริ่มต้นการทำงานแล้ว แต่ก่อนที่จะให้เงินไปทำงานหรือไปลงทุน มาทำความเข้าใจลักษณะการทำงานของดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนกันก่อน สมมติว่า เริ่มต้นด้วยการนำเงินไปออมหรือลงทุนแล้วได้ดอกเบี้ยปีละ 10% หมายความว่า ถ้าวันนี้เริ่มต้นด้วยเงินออมหรือเงินลงทุน 100 บาท เมื่อครบ 1 ปี จะได้ดอกเบี้ย 10 บาท โดยถ้าไม่มีการถอนดอกเบี้ยออกมาใช้จ่าย ดอกเบี้ย 10 บาทที่เกิดขึ้นนี้ก็จะไปทำงานให้ในปีถัดไป หมายความว่า ต้นปีที่ 2 จะมีเงินทั้งสิ้น 110 บาท (เงินต้น 100 บาท + ดอกเบี้ยปีแรก 10 บาท) และเมื่อครบปีที่ 2 จะได้ดอกเบี้ยอีก 11 บาท (ได้ดอกเบี้ย 10% ของเงิน 110 บาท) จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยในปีที่ 2 เพิ่มขึ้น 1 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยปีแรก เสมือนเป็นดอกเบี้ยของดอกเบี้ย เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นเป็นตัวเลขง่าย ๆ ดังนี้ จากตาราง จะเห็นได้ว่าถ้าสามารถเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก และได้รับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูง ๆ และมีระยะเวลาในการลงทุนยาวนาน เงินก็จะยิ่งเติบโตเร็วและเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่า เงินสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน ถ้าไปกู้เงินแล้วไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยตรงเวลาจนเกิดดอกเบี้ยคงค้าง ผลของดอกเบี้ยทบต้น จะเกิดในทิศทางตรงกันข้ามกับตอนที่นำเงินไปออมหรือลงทุน แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดสถานการณ์ดอกเบี้ยทบต้นในฝั่งของเงินกู้ เพราะว่าเงินกู้ที่ต้องจ่ายคืนเจ้าหนี้โตเร็วมาก แถมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนจะไปกู้ยืมเงิน แต่หากจำเป็นต้องกู้เงิน ก็ต้องผ่อนจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ตรงเวลา มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนรู้แล้วว่าถ้าต้องการให้เงินทำงานขยันขันแข็งเต็มประสิทธิภาพ ต้องสร้างปัจจัยสนับสนุนการทำงานด้วยกัน 3 ข้อ ดังนี้ จำนวนเงินลงทุน วิธีการเพิ่มเงินลงทุนหรือเงินออม สามารถทำได้ด้วยการเพิ่มรายรับและลดรายจ่าย ดังนั้น หากต้องการเพิ่มเงินลงทุนก็ต้องขยันหา ขยันออม มีวินัยทางการเงินด้วยการเริ่มจากการจดบันทึกรายรับจ่าย ประหยัดเพื่ออุดรูรั่วทางการเงิน ระยะเวลาที่ให้เงินทำงาน วิธีการเพิ่มระยะเวลาให้เงินทำงาน ก็คือ เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด แต่การจะเริ่มต้นลงทุนให้เร็วได้ก็ต้องรู้จักวางแผนการเงิน จัดการเรื่องเงินให้ดี ไม่ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย ในสองปัจจัยแรก คือ จำนวนเงินกับระยะเวลาที่มีให้เงินทำงาน โดยยิ่งมีเงินมากก็ยิ่งสร้างผลตอบแทนได้มาก ยิ่งมีเวลาให้เงินทำงานมากก็ยิ่งมีระยะเวลาสร้างผลตอบแทนมาก แต่สำหรับอัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย เนื่องจากมีเรื่องของความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นหมายความว่า หากนำเงินไปลงทุนในที่เสี่ยงมาก ๆ ก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย ขณะเดียวกันก็มีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนสูงตามไปด้วย ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจลักษณะของความเสี่ยงจากการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง การบริหารจัดการเงินเพื่อให้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นอย่างเต็มที่ ควรเริ่มต้นจากการบริหารจัดการรายรับรายจ่ายให้ดี เริ่มออมเงินและลงทุนให้เร็วและวางแผนการเงินให้ดีและสอดคล้องกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง เช่นเดียวกันหากจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินก็ต้องมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายคืนหนี้สินโดยไม่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยทบต้นในส่วนของหนี้สิน
ความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น คือ เงินต้นที่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอัตโนมัติ เมื่อเงินต้นเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยที่ได้รับจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น คือ จำนวนเงินลงทุน ระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ย โดยยิ่งมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ระยะเวลานานขึ้น ผลตอบแทนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าอยากรวย ก็ต้องปล่อยให้เงินทำงาน โดยการออมเงินแล้วได้ดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ถือว่าเงินได้เริ่มทำงานแล้ว ก่อนที่จะให้เงินทำงานหรือไปลงทุน ต้องเข้าใจการทำงานของดอกเบี้ยและผลตอบแทนก่อน ตัวอย่างเช่น ออมเงินแล้วได้ดอกเบี้ยปีละ 10% คือ ลงทุน 100 บาท ครบปีจะได้ดอกเบี้ย 10 บาท ถ้าไม่ถอนดอกเบี้ยมาใช้ ปีถัดไปจะมีเงินต้น 110 บาท แล้วดอกเบี้ยจะเป็น 11 บาท จะเห็นว่าดอเบี้ยในปีที่ 2 เพิ่มขึ้น 1 บาทจากปีแรก สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า ดอกเบี้ยทบต้น ดังนั้นถ้าเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก และได้รับดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนสูง ๆ และมีระยะเวลาในการลงทุนยาวนาน เงินก็จะยิ่งเติบโตเร็วและเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่า เงินสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในทางกลับกันถ้าไปกู้แล้วจ่ายดอกเบี้ยไม่ตรงเวลาเกิดดอกเบี้ยคงค้าง ผลของดอกเบี้ยทบต้น จะเกิดในทิศทางตรงกันข้ามกับตอนที่นำเงินไปออมหรือลงทุน เพราะว่าเงินกู้ที่ต้องจ่ายคืนเจ้าหนี้โตเร็วมาก แถมดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นต้องผ่อนจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ตรงเวลา แล้วถ้าต้องการให้เงินทำงานขยันขันแข็งเต็มประสิทธิภาพ ต้องสร้างปัจจัยสนับสนุนการทำงานดังนี้ - จำนวนเงินลงทุน สามารถทำได้ด้วยการเพิ่มรายรับและลดรายจ่าย - ระยะเวาลาที่ให้เงินทำงาน คือ เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด - อัตราผลตอบแทนหรือดอกเบี้ย อาจมีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยว คือถ้าเสี่ยงมาก ก็ย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นควรทำความเข้าใจลักษณะความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ดัังนั้นการบริหารจัดการเงินเพื่อให้ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นอย่างเต็มที่ ควรเริ่มจากบริหารจัดการรายรับรายจ่ายให้ดี เริ่มออมเงินและลงทุนให้เร็ว วางแผนการเงินให้ดีและสอดคล้องกับสไตล์การลงทุนของตัวเอง และหากจำเป็นต้องมีการกู้ยืมเงินก็ต้องมั่นใจว่าจะจ่ายคืนหนี้สินโดยไม่ให้เกิดดอกเบี้ยทบต้นในส่วนของหนี้สินได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_22749
Medical
ช่วยสรุปบทควาเรื่อง "การดูแลและรักษาฟันปลอม: วิธีการแก้ปัญหากลิ่นปากและการรักษาโรคช่องปาก" ให้หน่อยสิคะ
ฟันปลอม ในการถามเกี่ยวกับเรื่องการเจ็บป่วยส่วนตัว ถ้าจะให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ควรจะเล่าประวัติอาการการตรวจรักษา การใช้ยา การแพ้ยา ถ้าเคย ผลการตรวจเลือด เอกซเรย์ ถ้ามี ให้ละเอียด และโปรดแจ้งชื่อ อายุ เพศ อาชีพ ที่อยู่ ให้ชัดเจน โปรดกรุณาแยกคำถาม แต่ละโรค กรุณาอย่าถามคำถามรวมในฉบับเดียวกัน เช่น แยกโรคเกี่ยวกับกายภาพบำบัด สุขภาพช่องปาก การรักษาความสะอาดฟันปลอมควรปฏิบัติอย่างไร และกลิ่นปากมีสาเหตุมาจากฟันปลอมได้หรือไม่ ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยครู มีปัญหาเกี่ยวกับฟันผุมากค่ะ เคยถอนฟันซี่ที่ 2 นับจากข้างในออกมา ตอนนั้นซี่แรกเริ่มผุเหมือนกันแต่ไม่มาก แต่ตอนนี้หักไปครึ่งซี่ พอเรียนปี 2 ไปถอนฟันอีกข้างหนึ่ง มีลักษณะเหมือนกับฟันซี่แรกที่ติดกัน ซึ่งผุมาก และแตกออกเรื่อย ๆ ต่อมาฟันหน้าซี่บน ผุอีก 1 ซี่ จึงไปอุดโดยหมอเขาอุดหินปูนไว้ 1 ปีต่อมาหินปูนหลุดออกเกือบหมด ไปหาหมอคิดว่าจะอุดอีก แต่หมอแนะนำให้ถอน ดิฉันจึงไปถอนออก ตั้งแต่ถอนฟันมารู้สึกว่ามีกลิ่นปากมากจนไม่อยากจะพูดกับใคร เวลาหัวเราะฟันก็สบกันไม่สนิท ทำให้รู้ว่าใส่ฟันปลอม ขอเรียนถามปัญหาดังนี้ 1 สาเหตุที่ทำให้เกิดมีกลิ่นปาก มีสาเหตุมาจากการใส่ฟันปลอมหรือเปล่าคะ จะรักษาโดยใช้ยาอะไร 2 การรักษาและทำความสะอาดฟันปลอม ควรปฏิบัติอย่างไร จะใช้ได้นานเท่าไหร่จึงจะเปลี่ยนใหม่ 3 ฟันที่แตกออกไปครึ่งซี่ ถ้าจะถอนออกทุกซี่โดยไม่ใส่ฟันปลอมได้หรือเปล่าคะ เวลากินข้างหรือเคี้ยวอาหารไม่เคยละเอียดเลย ฟันที่เคยถอนแต่ก่อนไม่เคยใส่ใหม่เลย ซี่ที่ติดกันยังแตกทุกข้าง 4 ฟันปลอมเขาสร้างโครงร่างไม่ถูกหรือตรงกับซี่เดิม จะเปลี่ยนโครงใหม่โดยใช้ฟันซี่นั้นได้อีกหรือไม่คะ อมราอุดรธานี ตอบ จากจดหมายของคุณที่เขียนมาปรึกษาเรื่องการผุของฟัน การมีกลิ่นปากและการรักษาฟันปลอมนั้น ขอตอบปัญหาของคุณเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1 โดยทั่ว ๆ ไป การเกิดกลิ่นปากอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น จากโรคของระบบการย่อยอาหาร จากโรคของระบบหายใจ หรือจากโรคที่เกิดขึ้นในช่องปากโดยตรง กรณีของคุณนั้น เนื่องจากคุณมีฟันผุหลายซี่และบางซี่ก็ผุมากจนเหลือเพียงครึ่งซี่เท่านั้น เมื่อกินอาหารจะมีเศษอาหารตกค้างอยู่ตามโพรงของฟันที่ผุ เมื่อสะสมอยู่นาน ๆ ก็ทำให้เกิดมีกลิ่นเหม็นได้ นอกจากนี้การที่ฟันผุมากและลึกเข้าไปในเนื้อฟัน อาจทำให้เกิดการอักเสบและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อภายในโพรงประสาทก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ อีกประการหนึ่ง การที่คุณใส่ฟังชนิดที่มีฐานหรือโครงฟันนี้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เพราะในการกินอาหารทุกครั้ง จะมีเศษอาหารบางส่วนลอดเข้าไปติดอยู่ใต้ฐานของฟันปลอม ถ้าไม่ได้ถอดออกมาล้างให้สะอาด เศษอาหารที่ติดอยู่จะบูดเน่าและเกิดกลิ่นได้ 2 การรักษาและการทำความสะอาดฟันปลอม ทำได้โดยการถอดฟันปลอมออกมาล้างให้สะอาดทุกครั้งหลังการกินอาหาร การล้างอาจใช้น้ำสะอาดอย่างเดียว หรือใช้แปรงและยาสีฟันช่วยในการล้างก็ได้ ก่อนเข้านอนควรถอดฟันปลอมออก แช่น้ำธรรมดา หรือน้ำที่ผสมน้ำยาบ้วนปากลงไป 1-2 หยด เพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดอยู่ที่ฟันปลอม อย่าทิ้งฟันปลอมไว้โดยไม่แช่น้ำ หรือเก็บไว้ในที่ ๆ อุณหภูมิสูง หรือในที่ ๆ ร้อน เพราะจะทำให้ฐานของฟันปลอมร้าว หรือบิดเบี้ยวได้ อายุฟันปลอมไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา แต่ถ้าใช้ฟันปลอมไประยะหนึ่งแล้วรู้สึกหลวมก็ควรปรึกษาทันตแพทย์ 3 ฟังที่แตกออกไปครึ่งซี่ ถ้าจะถอนออกทุกซี่ก็อาจทำได้ แต่ก็ไม่ดีเท่ากับกับการที่จะบูรณะเอาไว้ เท่าที่จะทำได้ ฟันที่ผุมาก ๆ จนถึงประสาทฟัน ก็อาจทำการรักษาคลองรากฟันแล้วทำการบูรณะ ซึ่งอาจจะเป็นการอุด หรือครอบ แล้วแต่ความเหมาะสม แต่ถ้าคุณต้องการถอน หลังจากถอนควรใส่ฟันปลอมแทนฟันที่ถอนไป ถ้าไม่ใส่ ฟันที่อยู่ข้างเคียงกับฟันที่ถูกถอนอาจจะเคลื่อนที่ไปจากเดิม หรือล้มลง เอียงลง เข้าหาส่วนที่เป็นช่องว่างนั้น ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อการบดเคี้ยว ทำให้การบดเคี้ยวได้ไม่สมบูรณ์ และอาจทำให้เกิดอาการปวดที่ข้อต่อของกรรไกรในขณะบดเคี้ยวได้ 4 การที่คุณต้องการทำฟันปลอมใหม่ และต้องการใช้ซี่ฟันที่มีอยู่อาจทำได้แต่ไม่ดีนัก เพราะฟันที่ใช้แล้ว จะถูกกรอตัดบางส่วนออกเพื่อให้เข้ากับลักษณะของบริเวณที่ต้องการใส่ในขณะนั้น เมื่อทำใหม่ โครงสร้างของช่องปากในบริเวณนั้น อาจเปลี่ยนไปทำให้ฟันปลอมซี่นั้น ไม่เหมาะสมกับช่องว่างที่บริเวณดังกล่าวหรือทำแล้วไม่สวย หรือไม่เข้ากับฟันข้างเคียง นอกจากนี้ ฟันที่ใช้แล้วจะดูดซับเอากลิ่นและสารบางอย่างเข้าไว้ด้วย เมื่อนำมาเชื่อมต่อกับฐานใหม่ รายต่ออาจจะไม่เชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน อาจหลุดออกจากกันได้โดยง่าย ดังนั้นเพื่อความสวยงาม ความคงทนของฟันปลอม และประสิทธิภาพการบดเคี้
การสรุปคำถามและปัญหาที่คุณต้องการให้คำแนะนำมีดังนี้ 1. สาเหตุของกลิ่นปาก - กลิ่นปากอาจมีหลายสาเหตุ เช่น จากโรคของระบบย่อยอาหาร, ระบบหายใจ, หรือโรคในช่องปากเอง - การผุของฟันและการสะสมเศษอาหารใต้โพรงของฟันที่ผุ อาจเป็นสาเหตุ 2. การรักษาและทำความสะอาดฟันปลอม - ถอดฟันปลอมออกมาล้างให้สะอาดหลังการกินอาหาร - การใช้น้ำสะอาด, แปรง, และยาสีฟันในการล้าง - การแช่ฟันปลอมในน้ำธรรมดาหรือน้ำผสมน้ำยาบ้วนปาก - การอุดหรือครอบฟันปลอมเพื่อป้องกันการผุและปัญหาอื่น ๆ 3. การถอนฟันและการใส่ฟันปลอม - การถอนฟันทุกซี่และไม่ใส่ฟันปลอมได้ แต่อาจทำให้เกิดปัญหาการบดเคี้ยว - การถอนฟันแล้วใส่ฟันปลอมเพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟันและปัญหาอื่น ๆ - การปรึกษาทันตแพทย์เพื่อคำแนะนำเกี่ยวกับการทำฟันปลอมใหม่, การรักษา, และดูแลรักษา 4. การดูแลและรักษาฟันปลอม: - การถอดฟันปลอมออกเพื่อล้างให้สะอาด, และการแช่ในน้ำ - การใส่ฟันปลอมทุกครั้งหลังการกินอาหาร - ความสำคัญของการรักษาความสะอาดฟันปลอมเพื่อป้องกันกลิ่นปากและปัญหาอื่น ๆ สรุปทั้งหมดคือการรักษาความสะอาดของฟันปลอม, การทำความสะอาดอย่างถูกวิธี, และการดูแลรักษาฟันปลอมให้ใช้ได้นาน. นอกจากนี้, การคำนึงถึงการแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างของฟันปลอมเมื่อจำเป็น.
ทันตกรรม Dentistry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_45712
Legal
จงสรุปบทความเรื่อง “ระบบตัดแต้มใบขับขี่” พ.ร.บ.จราจรทางบก 2562 ให้หน่อย
“ระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ” เป็นการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน และการคืนคะแนน ออกตามพ.ร.บ.จราจรทางบก 2562 เพื่อควบคุมพฤติกรรมความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ บังคับใช้กับผู้ที่มีใบขับขี่เท่านั้น ไม่ว่าจะมีใบขับขี่กี่ประเภทก็ตาม “ผู้ขับขี่ทุกคนจะได้รับคนละ 12 คะแนน” เมื่อทำผิดในข้อหาที่ประกาศ จะถูกตัดคะแนนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หากคะแนนถูกตัดจนหมด จะถูกพักใบอนุญาตขับขี่ 90 วัน โดยการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน การคืนคะแนน และการเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร พ.ศ.2562 มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ … เกณฑ์การตัดคะแนน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ข้อหาที่ตัด 1 คะแนน • ใช้มือถือขณะขับขี่ • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ขับรถบนทางเท้า • ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด • ไม่ชำระค่าปรับในระยะเวลาที่กำหนด • ไม่หลบรถฉุกเฉิน • ไม่หยุดให้คนข้ามถนน ข้อหาที่ตัด 2 คะแนน • ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง • ขับรถย้อนศร • ขับรถประมาท • เมาแล้วขับ • ขับรถระหว่างโดนพักใช้ใบขับขี่ ข้อหาที่ตัด 3 คะแนน • เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งรถบนท้องถนน • ชนแล้วหนี • หย่อนความสามารถในการขับขี่ • ขับรถขณะเสพยาเสพติด • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ข้อหาที่ตัด 4 คะแนน • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • เสพยาเสพติดแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • แข่งรถบนท้องถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต • ขับรถโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ปลอดภัย การคืนคะแนน 1. เมื่อครบ 1 ปี คะแนนที่ถูกตัดไปจะได้รับคืน 2. หากถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ 90 วัน เมื่อพ้นกำหนด และผ่านการอบรมจะได้คืนกลับมาทั้งหมด 12 คะแนน 3. เมื่อพ้นกำหนด แต่ไม่ผ่านการอบรม จะได้คะแนนคืน 8 คะแนน และหากไม่ทำผิดอีก จะได้คืนอีกปีละ 2 คะแนน การอบรมวินัยจราจรเพื่อรับคะแนนคืน 1. เป็นการอบรมของกรมขนส่งทางบกซึ่งผู้อบรมต้องชำระค่าอบรมเอง 2. เมื่อถูกตัดเหลือ 6 คะแนน สามารถอบรมเพื่อรับคะแนนคืนได้ โดยมีสิทธิอบรมปีละ 1 ครั้ง 3. เมื่อถูกตัดเหลือ 0 คะแนน สามารถอบรมเพื่อให้ได้คืน 12 คะแนนได้ “ระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ” เป็นการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน และการคืนคะแนน ออกตามพ.ร.บ.จราจรทางบก 2562 เพื่อควบคุมพฤติกรรมความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ บังคับใช้กับผู้ที่มีใบขับขี่เท่านั้น ไม่ว่าจะมีใบขับขี่กี่ประเภทก็ตาม “ผู้ขับขี่ทุกคนจะได้รับคนละ 12 คะแนน” เมื่อทำผิดในข้อหาที่ประกาศ จะถูกตัดคะแนนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หากคะแนนถูกตัดจนหมด จะถูกพักใบอนุญาตขับขี่ 90 วัน โดยการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน การคืนคะแนน และการเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร พ.ศ.2562 มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ … เกณฑ์การตัดคะแนน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ข้อหาที่ตัด 1 คะแนน • ใช้มือถือขณะขับขี่ • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ขับรถบนทางเท้า • ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด • ไม่ชำระค่าปรับในระยะเวลาที่กำหนด • ไม่หลบรถฉุกเฉิน • ไม่หยุดให้คนข้ามถนน ข้อหาที่ตัด 2 คะแนน • ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง • ขับรถย้อนศร • ขับรถประมาท • เมาแล้วขับ • ขับรถระหว่างโดนพักใช้ใบขับขี่ ข้อหาที่ตัด 3 คะแนน • เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งรถบนท้องถนน • ชนแล้วหนี • หย่อนความสามารถในการขับขี่ • ขับรถขณะเสพยาเสพติด • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ข้อหาที่ตัด 4 คะแนน • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • เสพยาเสพติดแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • แข่งรถบนท้องถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต • ขับรถโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ปลอดภัย การคืนคะแนน 1. เมื่อครบ 1 ปี คะแนนที่ถูกตัดไปจะได้รับคืน 2. หากถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ 90 วัน เมื่อพ้นกำหนด และผ่านการอบรมจะได้คืนกลับมาทั้งหมด 12 คะแนน 3. เมื่อพ้นกำหนด แต่ไม่ผ่านการอบรม จะได้คะแนนคืน 8 คะแนน และหากไม่ทำผิดอีก จะได้คืนอีกปีละ 2 คะแนน การอบรมวินัยจราจรเพื่อรับคะแนนคืน 1. เป็นการอบรมของกรมขนส่งทางบกซึ่งผู้อบรมต้องชำระค่าอบรมเอง 2. เมื่อถูกตัดเหลือ 6 คะแนน สามารถอบรมเพื่อรับคะแนนคืนได้ โดยมีสิทธิอบรมปีละ 1 ครั้ง 3. เมื่อถูกตัดเหลือ 0 คะแนน สามารถอบรมเพื่อให้ได้คืน 12 คะแนนได้ “ระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ” เป็นการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน และการคืนคะแนน ออกตามพ.ร.บ.จราจรทางบก 2562 เพื่อควบคุมพฤติกรรมความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ บังคับใช้กับผู้ที่มีใบขับขี่เท่านั้น ไม่ว่าจะมีใบขับขี่กี่ประเภทก็ตาม “ผู้ขับขี่ทุกคนจะได้รับคนละ 12 คะแนน” เมื่อทำผิดในข้อหาที่ประกาศ จะถูกตัดคะแนนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หากคะแนนถูกตัดจนหมด จะถูกพักใบอนุญาตขับขี่ 90 วัน โดยการกำหนดคะแนน การตัดคะแนน การคืนคะแนน และการเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร พ.ศ.2562 มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ … เกณฑ์การตัดคะแนน แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ข้อหาที่ตัด 1 คะแนน • ใช้มือถือขณะขับขี่ • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ขับรถบนทางเท้า • ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด • ไม่ชำระค่าปรับในระยะเวลาที่กำหนด • ไม่หลบรถฉุกเฉิน • ไม่หยุดให้คนข้ามถนน ข้อหาที่ตัด 2 คะแนน • ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง • ขับรถย้อนศร • ขับรถประมาท • เมาแล้วขับ • ขับรถระหว่างโดนพักใช้ใบขับขี่ ข้อหาที่ตัด 3 คะแนน • เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งรถบนท้องถนน • ชนแล้วหนี • หย่อนความสามารถในการขับขี่ • ขับรถขณะเสพยาเสพติด • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ข้อหาที่ตัด 4 คะแนน • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • เสพยาเสพติดแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • แข่งรถบนท้องถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต • ขับรถโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ปลอดภัย การคืนคะแนน 1. เมื่อครบ 1 ปี คะแนนที่ถูกตัดไปจะได้รับคืน 2. หากถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ 90 วัน เมื่อพ้นกำหนด และผ่านการอบรมจะได้คืนกลับมาทั้งหมด 12 คะแนน 3. เมื่อพ้นกำหนด แต่ไม่ผ่านการอบรม จะได้คะแนนคืน 8 คะแนน และหากไม่ทำผิดอีก จะได้คืนอีกปีละ 2 คะแนน การอบรมวินัยจราจรเพื่อรับคะแนนคืน 1. เป็นการอบรมของกรมขนส่งทางบกซึ่งผู้อบรมต้องชำระค่าอบรมเอง 2. เมื่อถูกตัดเหลือ 6 คะแนน สามารถอบรมเพื่อรับคะแนนคืนได้ โดยมีสิทธิอบรมปีละ 1 ครั้ง 3. เมื่อถูกตัดเหลือ 0 คะแนน สามารถอบรมเพื่อให้ได้คืน 12 คะแนนได้
ระบบการบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ เป็นการกำหนด การตัด และการคืนคะแนน ตามพ.ร.บ.จราจรทางบก 2562 เพื่อควบคุมพฤติกรรมความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ บังคับใช้กับผู้ที่มีใบขับขี่เท่านั้น เมื่อทำผิดในข้อหาที่ประกาศ จะถูกตัดคะแนนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หากคะแนนหมด จะถูกพักใบขับขี่ 90 วัน มีเกณฑ์การตัดคะแนน 4 กลุ่ม ดังนี้ ตัด 1 คะแนน • ใช้มือถือขณะขับขี่ • ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและผู้โดยสาร • ขับรถบนทางเท้า • ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด • ไม่ชำระค่าปรับในระยะเวลาที่กำหนด • ไม่หลบรถฉุกเฉิน • ไม่หยุดให้คนข้ามถนน ตัด 2 คะแนน • ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง • ขับรถย้อนศร • ขับรถประมาท • เมาแล้วขับ • ขับรถระหว่างโดนพักใช้ใบขับขี่ ตัด 3 คะแนน • เกี่ยวข้องกับการจัดแข่งรถบนท้องถนน • ชนแล้วหนี • หย่อนความสามารถในการขับขี่ • ขับรถขณะเสพยาเสพติด • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 4 คะแนน • เมาแล้วขับ โดยมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • เสพยาเสพติดแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสหรือเสียชีวิต • แข่งรถบนท้องถนนโดยไม่ได้รับอนุญาต • ขับรถโดยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ปลอดภัย การคืนคะแนน 1. จะได้รับคะแนนคืนเมื่อครบ 1 ปี 2. หากถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ 90 วัน เมื่อพ้นกำหนด และผ่านการอบรมจะได้คืนกลับมาทั้งหมด 12 คะแนน 3. เมื่อพ้นกำหนด แต่ไม่ผ่านการอบรม จะได้คะแนนคืน 8 คะแนน และหากไม่ทำผิดอีก จะได้คืนอีกปีละ 2 คะแนน การอบรมวินัยจราจรเพื่อรับคะแนนคืน 1. เป็นการอบรมของกรมขนส่งทางบกซึ่งผู้อบรมต้องชำระค่าอบรมเอง 2. เมื่อถูกตัดเหลือ 6 คะแนน สามารถอบรมเพื่อรับคะแนนคืนได้ โดยมีสิทธิอบรมปีละ 1 ครั้ง 3. เมื่อถูกตัดเหลือ 0 คะแนน สามารถอบรมเพื่อให้ได้คืน 12 คะแนนได้
กฎหมายจราจร
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_278
Finance
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 2566 ของสิงคโปร์เติบโตที่ระดับใด
A. การค้าโดยรวมของสิงคโปร์ขยายตัว 17.7% B. การก่อสร้างเติบโต 6.7% C. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 2566 ของสิงคโปร์เติบโตที่ระดับ 0.5% D. การผลิตปี 2565 เติบโต 2.5%
ข้อที่ถูกต้องคือ C. เนื่องจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 2566 ของสิงคโปร์เติบโตที่ระดับ 0.5% ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าที่ 0.7% แต่ก็ยังได้แรงหนุนจากการกลับมาเปิดประเทศของจีน เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค ยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภาวะอุปสงค์ชะลอตัวทั่วโลก เช่น การค้าโดยรวมของสิงคโปร์ขยายตัว 17.7% ในปี 2565 หลังเพิ่มขึ้น 19.7% ในปี 2564 การผลิตปี 2565 เติบโต 2.5% หลังจากขยายตัว 13.3% ในปี 2564 การก่อสร้างเติบโต 6.7% หลังจากเพิ่มขึ้น 20.5% ในปี 2564
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_21245
Medical
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีโครงการจัดตั้งศูนย์ปลูกถ่ายตับของภาคเหนือขึ้น เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2551 เพื่ออะไร
null
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีโครงการจัดตั้งศูนย์ปลูกถ่ายตับของภาคเหนือขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรคที่มีภาวะตับวาย ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้จะเสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้นเนื่องจากภาวะตับวาย การผ่าตัดเปลี่ยนตับจึงได้นำมาใช้เพื่อต่อชีวิตให้ผู้ป่วยได้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพขึ้น ซึ่งปัจจุบันวิวัฒนาการของการปลูกถ่ายตับได้พัฒนาแพร่หลายไปอย่างมาก อัตราการอยู่รอดหลังผ่าตัดโดยเฉลี่ยในระยะ 5 ปี มีมากกว่าร้อยละ 80 และมีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดที่ลดลง เนื่องจากภาวะการขาดแคลนผู้บริจาคอวัยวะ จากภาวะสมองตายในประเทศไทยมีจำนวนที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนอวัยวะ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องรับบริจาคอวัยวะจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต ซึ่งเป็นบุคคลภายในครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่มีความเกี่ยวข้องกัน จะช่วยลดอัตราการตายจากการรออวัยวะของผู้รับบริจาคและลดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดลงได้มาก เนื่องจากผู้รับบริจาคอวัยวะสามารถได้ตับมาเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และมีการเข้ากันของเนื้อเยื่อได้ดีมากขึ้น รศ.นพ.นิเวศน์ นันทจิต เปิดเผยว่า ทีมของคณะแพทย์ฯ ประกอบด้วย รศ.นพ.ณัฐพงษ์ อัครผล, ผศ.นพ.สุรพงษ์ หล่อสมดี, อ.นพ.วีระวร อริยขจร ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายตับจากแม่สู่ลูกเป็นรายแรกของภาคเหนือ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2551
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3530
Finance
ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของผู้จัดการกองทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการติดตามการประกาศของตัวเลขเศรษฐกิจ แต่เป็นสิ่งใด
การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน จากการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ที่ผมได้เสนอให้ท่านผู้อ่านติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสองตัวหลัก คือ ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ใน Inflation Report ของแบงค์ชาติ ซึ่งผมมองว่าเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ นอกจากนั้นมีตัวเลขเศรษฐกิจอีกชุดนึงที่ควรรติดตามตัวเลขการเติบโตจริงของประเทศที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ฯ เพื่อให้ทราบว่าการเติบโตจริงของประเทศ และนำไป cross check กับตัวเลขประมาณการของแบงค์ชาติด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแบงค์ชาติประมาณการเศรษฐกิจจะโต 5% แต่หาตัวเลขจริงที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ ใน 2 ไตรมาสแรกโตแค่ 2% นั่นคือมีโอกาสสูงที่แบงค์ชาติจะปรับประมาณการเศรษฐกิจลดลง ซึ่งแน่นอนจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และค่าเงิน สำหรับรายละเอียดว่าตัวเลขแต่ละชุดจะมีกำหนดออกอย่างไร ความถี่ในการเผยแพร่ และแหล่งข้อมูลในการติดต่อหา สามารถติดตามได้จากบล็อก FundTalk9 ครับ ต่อเนื่องจากบล็อกบทความที่แล้ว ที่ผมได้เสนอให้ท่านผู้อ่านติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสองตัวหลัก คือ ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ใน Inflation Report ของแบงค์ชาติ ซึ่งผมมองว่าเป็นตัวเลขคาดการณ์ที่นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ นอกจากนั้นมีตัวเลขเศรษฐกิจอีกชุดนึงที่ควรรติดตามตัวเลขการเติบโตจริงของประเทศที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ฯ เพื่อให้ทราบว่าการเติบโตจริงของประเทศ และนำไป cross check กับตัวเลขประมาณการของแบงค์ชาติด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแบงค์ชาติประมาณการเศรษฐกิจจะโต 5% แต่หาตัวเลขจริงที่ประกาศโดยสภาพัฒน์ ใน 2 ไตรมาสแรกโตแค่ 2% นั่นคือมีโอกาสสูงที่แบงค์ชาติจะปรับประมาณการเศรษฐกิจลดลง ซึ่งแน่นอนจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และค่าเงิน สำหรับรายละเอียดว่าตัวเลขแต่ละชุดจะมีกำหนดออกอย่างไร ความถี่ในการเผยแพร่ และแหล่งข้อมูลในการติดต่อหา สามารถติดตามได้จากบล็อก FundTalk9 ครับ Your view against Market Consensus ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของ ผู้จัดการกองทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการติดตามการประกาศของตัวเลขเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการมีมุมมอง (Market View) ที่แตกต่างจากสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อ (Market Consensus) ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อก็มักจะเป็นตัวเลขจากแหล่งที่น่า เชื่อถือเช่นแบงค์ชาติ หรือสภาพัฒน์ดังที่แนะนำให้ท่านติดตามนั่นเอง Your view against Market Consensus ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของ ผู้จัดการกองทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการติดตามการประกาศของตัวเลขเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการมีมุมมอง (Market View) ที่แตกต่างจากสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อ (Market Consensus) ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อก็มักจะเป็นตัวเลขจากแหล่งที่น่า เชื่อถือเช่นแบงค์ชาติ หรือสภาพัฒน์ดังที่แนะนำให้ท่านติดตามนั่นเอง ขอ ยกเป็นตัวอย่างครับ ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม แบงค์ชาติได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในปี 2010 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปรับตัวเลข GDP growth ปีหน้าจากเฉลี่ย 2.5% เป็น 4.0% และปรับตัวเลขเงินเฟ้อจากเฉลี่ย 2.0% เป็น 4.5% ซึ่งการปรับเพิ่มประมาณการครั้งเดียว 1.5 – 2.5% ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมาก (ถ้าดูย้อนหลังในอดีตจะเห็นว่าการปรับประมาณการแต่ละครั้งโดยเฉลี่ยจะปรับน้อยกว่านี้) Before Fact การ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน ก่อนที่ตัวเลขจะประกาศ หากเราทำการวิเคราะห์ก่อนหน้าที่แบงค์ชาติจะปรับประมาณการ และเชื่อว่าจะมีการปรับประมาณการแบบ Positive Surprise เราก็ควรจะปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ก่อนที่จะถึงวันที่แบงค์ชาติจะประกาศประมาณ การตัวเลขเศรษฐกิจ (เวลาเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อสูงราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนราคาตราสารหนี้จะปรับลดลง) Before Fact การ กำหนดกลยุทธ์การลงทุน ก่อนที่ตัวเลขจะประกาศ หากเราทำการวิเคราะห์ก่อนหน้าที่แบงค์ชาติจะปรับประมาณการ และเชื่อว่าจะมีการปรับประมาณการแบบ Positive Surprise เราก็ควรจะปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ก่อนที่จะถึงวันที่แบงค์ชาติจะประกาศประมาณ การตัวเลขเศรษฐกิจ (เวลาเศรษฐกิจดี เงินเฟ้อสูงราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนราคาตราสารหนี้จะปรับลดลง) After Fact After Fact หลัง จากตัวเลขการคาดการเศรษฐกิจของแบงค์ชาติประกาศ ตลาดก็จะปรับตัวไปตามการคาดการณ์นั้น หาก ผู้จัดการกองทุน มีมุมมองที่ต่างจากแบงค์ชาติ ยกตัวอย่างเช่น หาก ผู้จัดการกองทุน มองว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะโตเพียง 2% นั่นคือเชื่อว่าในอนาคตจะมีการลดประมาณการ GDP เราก็ควรจะปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ โดยสรุป การกำหนดกลยุทธ์ การลงทุน เพื่อชนะตลาด ต้องทำเมื่อนักลงทุน คิดแตกต่างจากสิ่งที่ตลาดคิด (Our view against consensus) ดังนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรมีคือมีมุมมองของตัวเอง เพื่อนำไปเทียบกับสิ่งที่ตลาดคิด แล้วนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน นั่นเอง โดย เจษฎา สุขทิศ, CFA. ผู้จัดการกองทุน, บลจ. อยุธยา จำกัด.
ในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของผู้จัดการกองทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงการติดตามการประกาศของตัวเลขเศรษฐกิจ หากแต่เป็นการมีมุมมอง (Market View) ที่แตกต่างจากสิ่งที่นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อ (Market Consensus)
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22431
Medical
โรคไตมีอาการอย่างไร
โรคไต โรคไต เมื่อพูดถึงโรคไต คนทั่วไปมักจะนึกถึงอาการปวดหลัง อันนี้เนื่องจากเป็นการบอกเล่าต่อๆ กันมา ซึ่งก็พ้องกับความรู้ในทางการแพทย์ที่พบว่า ไตเป็นอวัยวะที่อยู่ทางด้านหลังของช่องท้องระดับเอว เมื่อมีโรคของไตก็น่าจะแสดงอาการตรงที่ไตอยู่ แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนไข้ที่ไปให้แพทย์ตรวจด้วยโรคปวดหลังและสงสัยว่าตนเองเป็นโรคไตนั้น เมื่อแพทย์ตรวจจริงๆ แล้วพบว่าเป็นโรคไตน้อยมาก คนไข้โรคไตมักจะไปหาแพทย์ด้วยอาการอย่างอื่นโดยไม่ได้สงสัยเลยว่าตนเป็นโรคไต อาการดังกล่าวนั้นก็คือ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร ซึ่งเป็นเพราะไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เมื่อเป็นโรคไต และไตทำงานน้อยลง จะมีของเสียคั่งอยู่ในร่างกาย หรืออาจจะไปหาแพทย์ด้วยอาการบวม ซึ่งเกิดจากไตซึ่งปกติเคยขับถ่ายน้ำและเกลือออกจากร่างกาย เมื่อไตผิดปกติ ก็จะมีอาการคั่งของน้ำและเกลือเกิดอาการบวมขึ้น นอกจากนั้นโรคไตยังทำให้เกิดอาการซีด ความดันโลหิตสูง หอบเหนื่อย จะเห็นว่าไตทำหน้าที่หลายอย่างมากในการควบคุมระดับของสารต่างๆ ในร่างกายให้คงที่เพื่อที่จะทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ เมื่อเป็นโรคไตจึงทำให้เกิดอาการอื่นๆ อีกได้ดังกล่าวแล้ว การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราอาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง แล้วก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพราะไตข้างที่เหลือจะทำงานแทนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้าไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆ ร่างกายก็จะปรับตัวไปได้เรื่อยๆ ก็ยังไม่เกิดอาการอะไรเช่นกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ทำงานได้เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ จึงจะเกิดมีอาการ ซึ่งอาการก็ไม่ได้ชี้บ่งเฉพาะว่ามีโรคไต เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น การจะวินิจฉัยโรคได้ก็ต้องอาศัยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งเป็นผลิตผลที่ได้มาจากไต เมื่อมีโรคไตก็จะต้องมีการผิดปกติในปัสสาวะให้เห็น ดังนั้นในประชาชนทั่วไป การสังเกตดูปัสสาวะตนเองก็เป็นการช่วยการวินิจฉัยโรคไตแต่เนิ่นๆ ได้สีของปัสสาวะโดยปกติในรายที่กินน้ำมาก จะขับถ่ายน้ำออกมามากปัสสาวะก็จะใส แต่ถ้าร่างกายขาดน้ำ เช่น เวลาที่เรามีไข้มักพบว่าสีของปัสสาวะจะเหลืองกว่าธรรมดาก็ยังถือว่าปกติ แต่ถ้าเหลืองจัดมากเหมือนจีวรพระก็อาจจะเป็นโรคดีซ่านได้ หรือถ้าปัสสาวะสีแดงเป็นเลือดเลย ก็บอกถึงว่ามีเลือดออกในไต หรือทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะขุ่นเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไปมาก ปัสสาวะปกติแล้วมักจะใส แต่ถ้าตั้งทิ้งไว้อาจจะมีตะกอนได้ เนื่องจากมีสารบางอย่างที่ร่างกายขับออกมาตกตะกอน แต่ถ้าขุ่นมากและลักษณะเป็นหนองก็ถือว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่ง อากัปกิริยาของการถ่ายปัสสาวะก็เป็นส่วนช่วยในการที่จะช่วยวินิจฉัย ถ้าปัสสาวะขัด แสบ ไม่พุ่งเป็นสาย มักจะบอกถึงความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ถ้าเป็นคุณผู้ชายก็อาจจะเป็นผลจากการผ่านศึกหนักอย่างช่ำชองมานาน เป็นหนองในเรื้อรัง มีการตีบตันของทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้ ถ้าโรคลามจากส่วนล่างขึ้นไปถึงไตก็จะมีอาการไข้ ปวดหลัง อาจจะร้าวจากเอวลงมาที่หัวเหน่า ก็พึงรู้ว่าข้าศึกได้ลุกคืบหน้าขึ้นไปถึงไตแล้ว ท่านว่าให้รีบรักษาเสีย มิฉะนั้นเชื้อโรคก็จะแทรกซึมเข้าไปในกระแสโลหิตไปทั่วตัวได้ อาการบวม ก็เป็นอีกลักษณะอาการหนึ่งของโรคไต ทำให้ผู้ป่วยตกใจรีบไปหาหมอ เพราะดูเป็นอาการที่น่าตกใจ และมักจะเชื่อว่าถ้าถึงกับบวมแล้วคงรักษาไม่หาย เอาชีวิตไม่รอดแน่ ซึ่งความเชื่ออันนี้ไม่แน่เสมอไป เพราะอาการบวมอาจเป็นอาการเริ่มแรกของโรคไตบางชนิด ซึ่งอาจจะรักษาให้หายได้ อาจจะเป็นผลดีกับผู้ป่วยด้วยซ้ำ ที่แสดงอาการให้เป็นที่น่าตกใจรีบไปหาหมอ เมื่อเทียบกับโรคไตที่ค่อยๆ เป็นทีละเล็กละน้อยไม่มีอาการอะไรได้มากนัก ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตชนิดบวมนี้เองที่หมอมักจะให้ผู้ป่วยงดอาหารที่มีรสเค็ม เพราะถ้ายิ่งกินจะยิ่งบวม คนทั่วไปก็เลยเหมาว่าเป็นโรคไตแล้วต้องงดเค็ม ซึ่งไม่เป็นความจริง โรคไตบางชนิดอาจต้องกินเค็มมากกว่าธรรมดาด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงมีเพียงผู้ป่วยโรคไตที่บวม หรือมีความดันโลหิตสูงเท่านั้นที่ควรจะงดเค็มจัด เมื่อเกิดอาการบวมขึ้น ผู้ที่ชอบรักษาตัวเองก็มักจะนึกถึงยาขับยาบำรุงไตให้แข็งแรง แล้วก็เวียนไปซื้อยาประเภทนี้มากินเอง ซึ่งเมื่อกินแล้วปัสสาวะก็ออกมาเป็นสี จึงเกิดความรู้สึกว่าได้ผล แต่ที่จริงแล้วยาพวกนั้นเป็นยาที่มีสีผสมอยู่ สีจึงถูกขับถ่ายออกมาทางไตเท่านั้น เพราะไตทำหน้าที่เหมือนโรงงานเก็บขยะ เมื่อเลือดผ่านมาเลี้ยงไต สิ่งใดที่เป็นของเสียไตก็สกัดออกจากเลือด สิ่งใดที่เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เรากินเข้าไปแล้วไม่ต้องการใช้ในร่างกาย เช่น ยา สี สารเป็นพิษ ไตก็จะสกัดออกมาเช่นกัน ฉะนั้นยาขับต่างๆ ที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสี ก็เป็นเพียงวัตถุแปลกปลอมที่ไตขับออกมาเท่านั้น ยาบำรุงไตก็เช่นเดียวกันไม่มียาอะไรที่จะทำให้ไตแข็งแรงขึ้นมาได้ ถ้าโชคร้ายตัวยาบำรุงนี้เองอาจจะเป็นพิษทำให้ไตเสียมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นการจะฉีดยา กินยาอะไรระหว่างที่เป็นโรคไต ควรระมัดระวังให้ดี เป็นต้นว่า ยาซัลฟา ยาแก้ปวด สเตร๊ปโตมัยซิน กาน่ามัยซิน พวกนี้มีพิษต่อไตทั้งสิ้น บางคนเรียกโรคไตว่าโรค ตาย ทั้งนี้เป็นเพราะพอมีอาการก็มักจะพบว่า ไตฝ่อเป็นแผลไปหมดแล้ว ทำให้ฟื้นคืนดีได้ยาก ส่วนขณะที่อาการยังไม่ปรากฏแต่แพทย์ตรวจพบว่ามีโรคไตอยู่ คนไข้ก็ลังเลที่จะให้แพทย์รักษา เพราะอยู่ดีๆ ตรวจปัสสาวะพบว่าผิดปกติเข้าก็จับมาทำการเจาะเลือด เอ๊กซเรย์ บางครั้งก็เจ็บตัวมากกว่านั้น เพราะต้องได้รับการเจาะไตอีกด้วยจึงจะวินิจฉัยโรคได้ พอเริ่มรักษาก็ต้องกินยามากมาย เกิดอาการจากฤทธิ์ข้างเคียงของยาก็มาก หมอก็นัดมาตรวจเช็คบ่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็สูง ก็อยู่ดีๆ ไม่มีอาการอะไรจะให้มาเจ็บตัว เสียเงินเสียทอง เสียเวลามากมายด้วยเหตุผลอะไรกัน ดังนั้นการรักษาโรคไตให้ได้ผลจึงขึ้นอยู่กับความเข้าใจระหว่างหมอกับคนไข้พอสมควร โรคไตบางชนิดก็หายไปได้เอง บางชนิดก็เป็นเรื้อรังต้องติดตามการรักษาระยะยาว หมอที่ดูแลคนไข้โรคไตมามากมาย พอจะหลับตามองเห็นการลุกลามของโรคไตในระยะต่อไปได้ แม้ว่าขณะนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการอะไรแต่อีกไม่กี่ปีไตก็จะฝ่อไป จึงเสี่ยงที่จะให้ยาทั้งๆ ที่รู้ว่าอาการข้างเคียงมาก ดีกว่าที่จะปล่อยไตไว้ให้เสียมาก แล้วทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันการใช้ไตเทียม ก็พึงสังวรไว้เถิดว่าอะไรที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้กลไกของธรรมชาตินั้น ไม่มีวันจะสมบูรณ์ ต้องได้รับการทำไตเทียมเป็นระยะๆ ชีวิตไปพึ่งอยู่กับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำหน้าที่ไม่ได้ดีเท่ากับไตของเราเอง จะหวังพึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนไตก็เช่นเดียวกัน กว่าจะหาไตของคนตายที่เขาบริจาคให้ได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น หามาได้แล้วอาจจะไม่เข้ากับตัวคนไข้อีก เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจ มันไม่ยั่งยีนหรอก ต่อไปร่างกายเราก็ไม่ยอมรับไตที่เอามาใช้แทน ก็พังไปอีก นอกจากนั้นการทำไตเทียม และผ่าตัดเปลี่ยนไตก็เสียค่าใช้จ่ายสูงมาก เป็นแสนๆ บาทต่อคน จะมีคนในบ้านเราสักกี่คนที่จะมีเงินมีทองทำเช่นนั้นได้ อย่ากระนั้นเลย พยายามรักษาไตของเราเองไว้ดีกว่า
คือ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร ซึ่งเป็นเพราะไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เมื่อเป็นโรคไต และไตทำงานน้อยลง จะมีของเสียคั่งอยู่ในร่างกาย หรืออาจจะไปหาแพทย์ด้วยอาการบวม ซึ่งเกิดจากไตซึ่งปกติเคยขับถ่ายน้ำและเกลือออกจากร่างกาย เมื่อไตผิดปกติ ก็จะมีอาการคั่งของน้ำและเกลือเกิดอาการบวมขึ้น นอกจากนั้นโรคไตยังทำให้เกิดอาการซีด ความดันโลหิตสูง หอบเหนื่อย จะเห็นว่าไตทำหน้าที่หลายอย่างมากในการควบคุมระดับของสารต่างๆ ในร่างกายให้คงที่เพื่อที่จะทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ เมื่อเป็นโรคไตจึงทำให้เกิดอาการอื่นๆ อีกได้ดังกล่าวแล้ว การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราอาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง แล้วก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพราะไตข้างที่เหลือจะทำงานแทนได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้าไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆ ร่างกายก็จะปรับตัวไปได้เรื่อยๆ ก็ยังไม่เกิดอาการอะไรเช่นกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ทำงานได้เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ จึงจะเกิดมีอาการ ซึ่งอาการก็ไม่ได้ชี้บ่งเฉพาะว่ามีโรคไต เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,Anatomy,Physiology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43171
Finance
ข้อใดเป็นข้อจำกัดของ Robo-Advisor ในปัจจุบัน?
(A) Robo-Advisor ยังไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เสมอไป (B) Robo-Advisor มีค่าธรรมเนียมสูง (C) Robo-Advisor เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนสูง (D) Robo-Advisor ไม่สามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละคนได้
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ (A) Robo-Advisor ยังไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เสมอไป เพราะว่า เหตุผล (A) ข้อนี้เป็นข้อจำกัดของการลงทุนในตลาดหุ้นทุกประเภท ไม่ได้จำกัดเฉพาะ Robo-Advisor เท่านั้น (B) ข้อนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป Robo-Advisor หลายแห่งมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ (C) ข้อนี้ไม่เป็นความจริง Robo-Advisor หลายแห่งเปิดรับนักลงทุนที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง (D) ข้อนี้ไม่เป็นความจริง Robo-Advisor หลายแห่งสามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามความต้องการของนักลงทุนแต่ละคนได้ ข้อที่ถูกต้อง (A) Robo-Advisor ยังไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้เสมอไป เหตุผลเพิ่มเติม Robo-Advisor อาศัยอัลกอริทึมและโมเดลทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์และจัดพอร์ตการลงทุน ซึ่งแม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ ไม่สามารถวิเคราะห์ปัจจัยทางจิตวิทยาของตลาดได้ และอาจประสบปัญหาขาดทุนได้เช่นเดียวกับการลงทุนแบบอื่น สรุป แม้ Robo-Advisor จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุน ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดการลงทุนได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนสูง และไม่ต้องมีเวลาศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_11223
Medical
เกล็ดเลือดคืออะไร
null
เป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเลือดที่อยู่ในกระแสเลือด ในกระแสเลือดมีเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด มีหน้าที่สำคัญทำให้เลือดอยู่ในภาวะปกติ ไม่เกิดเลือดออกง่าย แต่หยุดยาก โดยจำนวนและหน้าที่ของเกล็ดเลือดต้องปกติ เลือดแข็งตัวได้อย่างไร ในภาวะปกติ เลือดเป็นของเหลวเพื่อไหลเวียนนำสิ่งสำคัญต่อชีวิตไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย แต่หากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดจะมีเลือดออก กระบวนการของร่างกายที่จะช่วยไม่ให้เลือดออกมากมีส่วนสำคัญ 4 ส่วนคือ หลอดเลือด เกล็ดเลือด ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด Coagulation factor และเนื้อเยื่อรอบๆหลอดเลือด ทุกส่วนต้องประสานกันเป็นอย่างดี เมื่อเริ่มมีผนังด้านในของหลอดเลือดฉีกขาดเพียงเล็กน้อย หลอดเลือดจะหดตัวก่อน ถ้ายังจัด การเรื่องเลือดออกไม่ได้ เกล็ดเลือดที่โดยปกติจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดไม่เกาะกลุ่มกัน จะมาเกาะที่ผิวด้านในของหลอดเลือดที่เสียหาย แล้วเกิดกระบวนการปล่อยสารจากเกล็ดเลือดนั้น ทำให้เกล็ดเลือดอื่นๆมาเกาะเพิ่ม เหมือนกับเอาก้อนหิน หรือถุงทรายมาทับตรงบริเวณท่อน้ำรั่ว แต่การทับถมกันนี้ไม่แน่นหนาพอ ต้องมีปัจจัยการแข็งตัวของเลือด ซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นต่อเนื่องกันไปเกิดไฟบริน Fibrin คือโปรตีนชนิดหนึ่งในเลือดที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว ไฟบริน เปรียบเหมือนเป็นซีเมนต์ที่เอามายาเกร็ดเลือดที่ยังเกาะกันหลวมๆ ให้แน่นขึ้น ทำให้เลือดหยุดออก เนื้อเยื่อภายนอกหลอดเลือดต้องแข็งแรงด้วย จึงจะทำให้เลือดหยุดได้ดี
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_348
Finance
ผลกระทบที่สงผลมี่สุดต่อความเสี่ยงของชีวิตหลังเกษียรของคนไทยคือข้อใด
ก. ความเสี่ยงจากการหางานใหม่ ข. ความเสี่ยงจากเกษียณผิดเวลา ค. ความเสี่ยงจากการสูญเสียคู่สมรส ง. ความเสี่ยงจากการถอนเงินมากเกินไป
คำตอบคือ ง. เนื่องจาก เพราะ การถอนเงินออกมาใช้มากเกินไป จะส่งผลให้เงินเก็บเพื่อเกษียณหมดลงก่อนเวลาอันควร หรืออาจจะเรียกว่า “เงินหมดก่อนตาย” ก็ได้ การถอนเงินออกมาใช้มากเกินไป จะส่งผลทำให้เงินหมดลงอย่างรวดเร็วจนอาจส่งผลให้เงินหมดก่อนตาย แต่ในทางตรงข้ามหากถอนเงินออกมาใช้ในอัตราที่น้อยเกินไป ก็จะทำให้มีเงินใช้ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความสุขหลังเกษียณ ซึ่งความเสี่ยงหลังเกษียณที่สำคัญที่คนไทยควรทำความเข้าใจและหาวิธีบริหารจัดการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด คือ ให้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขตามแผนที่วางไว้
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12726
Medical
ยาซูคราลเฟต (Sucralfate) มีข้อบ่งใช้และกลไกการออกฤทธิ์อย่างไรบ้าง? และมีข้อควรระวังในการใช้ยานี้อย่างไร?
null
ยาซูคราลเฟต (Sucralfate) เป็นยาชนิดรับประทานเพื่อรักษาแผลที่ลำไส้และโรคกรดไหลย้อน มีจำหน่ายในหลายประเทศทั้งแถบยุโรป อเมริกา แคนนาดา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากข้อมูลทางเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic, การศึกษาความเป็นไปของยาเมื่อยาเข้าสู่ร่างกาย) พบว่า โครงสร้างทางเคมีของยานี้ประกอบด้วยน้ำตาลซูโครส (Sucrose) ที่รวมอยู่กับสารซัลเฟต-อะลูมิเนียม (Sulfate-Aluminium) ทำให้การดูดซึมจากทางเดินอาหารมีเพียง 3 - 5% ตัวยาจะถูกเปลี่ยนแปลงจากระบบทางเดินอาหารและบางส่วนถูกเปลี่ยนแปลงโดยตับ ร่างกาย จะขับยานี้ออกโดยผ่านไปกับอุจจาระและปัสสาวะ และมีข้อบ่งใช้ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (แผลเปบติค) รักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง ภาวะกรดไหลย้อน ป้องกันการเกิดแผลจากการใช้ยากลุ่มเอ็นเซด (NSAIDs) และรักษาแผลพุพองและอักเสบของผิวหนังจากรังสีหรือเคมีบำบัด ซูคราลเฟตทำงานโดยการสร้างเยื่อเมือกปกคลุมผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร ไม่ให้สัมผัสกับกรดและเอนไซม์ย่อยอาหาร เช่น เปปซินและน้ำดี ช่วยป้องกันและรักษาแผลได้ ข้อควรระวังในการใช้ซูคราลเฟต ได้แก่ ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ ควรระวังการเกิดพิษจากเกลืออะลูมิเนียมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในผู้ป่วยโรคไตวาย ระมัดระวังการใช้ในเด็กทารก เด็ก สตรีตั้งครรภ์ และสตรีที่ให้นมบุตร ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นและห้ามใช้ยาที่หมดอายุ ควรแจ้งแพทย์ พยาบาล และเภสัชกรหากมีประวัติแพ้ยา มีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาอื่นๆ เพื่อป้องกันปฏิกิริยาระหว่างยาและการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย คลื่นไส้ วิงเวียน ปากแห้ง และผื่นคันตามผิวหนัง ผู้ใช้ยาควรปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10318
Medical
อาการและผลกระทบระยะยาวที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย Long COVID มีอะไรบ้าง และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
null
อาการและผลกระทบระยะยาวที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย Long COVID มีดังนี้: 1. อ่อนเพลีย: พบได้บ่อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60-70 มักพบในกลุ่มคนไข้ที่เป็นโควิดแบบอาการน้อยๆ และกลุ่มคนไข้ที่เป็นโควิดแบบอาการรุนแรง เกิดจากการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ฮอร์โมน และระบบประสาท 2. หายใจลำบาก: พบได้ร้อยละ 20-30 มักพบในกลุ่มคนไข้ที่เป็นโควิดแบบอาการรุนแรง เกิดจากเนื้อปอดเสียหาย เกิดพังผืด สมรรถภาพของปอดลดลง 3. ผมร่วง: เกิดจากความเครียดทั้งกายและใจจากการป่วยโรคโควิด 4. อาการอื่นๆ: เช่น ใจสั่น รู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย สมาธิสั้น ซึมเศร้า กลไกการเกิด Long COVID: -การอักเสบเรื้อรัง: ไวรัสโควิดกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกาย สารกระตุ้นการอักเสบที่หลั่งออกมาก็ทำลายทั้งไวรัสและเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วย -ความเสียหายของเนื้อปอด: ในผู้ป่วยโควิดอาการรุนแรง เนื้อปอดจะอักเสบต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เกิดพังผืด ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนออกซิเจน -ลิ่มเลือดอุดตัน: เกิดจากการอักเสบในร่างกาย ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด -ผลทางจิตใจ: เกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล ซึมเศร้า การรักษา Long COVID: -รักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาคลายกังวล ยาต้านเศร้า -การฟื้นฟูปอดด้วยกายภาพบำบัด -การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารดี นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การป้องกัน Long COVID: -ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง -ป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโควิด Long COVID เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่หายจากโควิดแล้ว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_30579
Medical
ช่วยสรุปบทความ รู้จักเลเซอร์ และคำแนะนำก่อนการเลือกใช้
รู้จักเลเซอร์ และคำแนะนำก่อนการเลือกใช้ ฉบับที่แล้วได้กล่าวค้างไว้ถึงเรื่องข้อจําากัดของเลเซอร์ในแง่การกระตุ้นผิวชั้นลึก เช่น ผิวหย่อนคล้อย ปัญหาร่องแก้ม คางเป็นสองชั้น หนังตาเริ่มตก ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเลเซอร์ แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถกระตุ้นผิวชั้นลึกได้สําเร็จแล้ว วิธีการที่ที่ได้ยินกันบ่อยๆ จนคุ้นหู ได้แก่ วิธีการใช้คลื่นวิทยุหรือที่เรียกสั้นๆ กันติดปากว่า เครื่องอาร์เอฟ (RF) ซึ่งเป็นเครื่องที่ช่วยยกกระชับผิวหน้าและคอที่ให้ผลดีมาก หลักการทํางานของเครื่องนี้ จะทําการปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุเพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดกระชับของเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทําให้ผิวแข็งแรงและเต่งตึงนอกจากนี้ยังมีเครื่องที่เรียกว่า อัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) ที่สามารถรักษาเรื่องความหย่อนคล้อยได้ดีไม่แพ้กันเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันทันตสาธารณสุขและวันพยาบาลแห่งชาติ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี จึงได้จัดงานเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพโดยมุ่งเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับดูแลตนเองอย่างง่ายมากมายหลายงาน หนึ่งในงานที่มีผู้ให้ความสนใจกันมากนั่นคือ งานบรรยายเรื่องรักษ์ฟัน ณ หอประชุมอารี วัลยะเสวี ได้มีการนําเสนอข้อมูลเกี่ยวกับฟันที่ทุกคนควรต้องรู้จักดูแลกัน ทั้งสองวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการหรือยังเป็นไม่มาก และยังเหมาะสําหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัด เพราะไม่มีแผล สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังรักษา แต่สําหรับเครื่องมือยอดนิยมที่จะแนะนําให้รู้จักคือ IPL (Intense Pulsed Light) “ไอพีแอล หรือ อินเทนซ์ เพลาซ์ ไลท์” แปลตรงตัวก็คือ แสงความเข้มสูง ซึ่งคนส่วนมากจะเข้าใจผิดว่าคือเลเซอร์ เครื่องนี้จะมีหลักการทํางานโดยการปล่อยคลื่นแสงในช่วงคลื่น 500-1,200 นาโนเมตร ข้อดีของเครื่องนี้คือ เครื่องปล่อยแสงเป็นวงกว้าง ทําให้สามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายชนิดด้วยเครื่องตัวเดียว เช่น รอยดํา รอยแดง ทําให้ใบหน้าขาวใสขึ้นนอกจากนี้ยังใช้กําจัดขนได้ด้วย เนื่องจากแสงค่อนข้างกระจัดกระจาย ซึ่งแตกต่างจากเลเซอร์ ดังนั้น จึงมีข้อจําากัดในการรักษา โดยเราจะพบได้บ่อยว่าไปทําไอพีแอลรักษารอยดํามาเป็นสิบครั้งเหมือนจะจางลงช่วง 1-2 ครั้งแรก แต่หลังจากนั้นทําไมรอยดําไม่จางลง หรือไปถอนขนมาหลายครั้ง ครั้งแรกๆ เหมือนจะดี แต่ทําไปเรื่อยๆ แล้วไม่ค่อยเห็นผล นั่นเป็นเพราะคลื่นแสงที่ออกมาจากเครื่องยังไม่จําเพาะเจาะจงมากพอเมื่อเทียบกับเลเซอร์ เราจึงมาคุยกันเรื่องโทษหรือข้อจํากัดของการใช้เลเซอร์เพื่อความงามกันดีกว่า แม้การใช้เลเซอร์เพื่อรักษาในเรื่องความงามจะให้ผลรักษาที่ค่อนข้างดี แต่หลักการทํางานของเลเซอร์คือทําให้เกิดความร้อนที่ผิวหนัง ดังนั้น อาจมีผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ทําาให้เกิดอาการแดง ดํา หรือรอยด่าง ซึ่งส่วนมากจะเป็นชั่วคราว และจะค่อยๆ หายไปได้เอง อย่างไรก็ตามถ้าเลือกวิธีใช้อย่างไม่ถูกวิธีก็อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้อีกมาก ดังเช่น การใช้เลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมกับโรค เช่น เป็นกระลึก แต่เลือกใช้เลเซอร์ชนิดลอกหน้าทําให้เกิดรอยไหม้หรือแผลเป็นได้ หรือเลือกใช้ไอพีแอลก็จะทําให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์เพราะไม่หาย การรักษาโดยขาดความชํานาญจากแพทย์ในสาขาผิวหนังเฉพาะ ทําให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น เกิดรอยดํา เกิดรอยแผลเป็น ดังนั้น หากต้องการรับการรักษาความงามด้วยเลเซอร์ สิ่งที่ควรคํานึงถึงเสมอคือ ต้องแน่ใจว่าแพทย์ที่ให้การรักษานั้น เป็นแพทย์เฉพาะทางบอร์ดผิวหนัง (ตจวิทยา) และมีความชํานาญในการใช้เลเซอร์ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์เฉพาะทางบอร์ดผิวหนังได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
การกระตุ้นผิวชั้นลึกโดยเลเซอร์มีข้อจำกัด เช่น ผิวหย่อนคล้อย, ปัญหาร่องแก้ม, คางเป็นสองชั้น, และหนังตาเริ่มตก แต่นวัตกรรมใหม่ใช้คลื่น RF เพื่อยกกระชับผิวหน้าและคอได้ผลดี อีกทั้งยังมีเครื่อง Ultrasound ที่ช่วยรักษาความหย่อนคล้อยได้ดี การสื่อสารความรู้เกี่ยวกับดูแลฟันที่งานสุขภาพชุมชนจัดขึ้นในวันทันตสาธารณสุขและวันพยาบาลแห่งชาติที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองอย่างง่าย และมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลฟัน วิธีการรักษาผิวด้วย IPL และอุปกรณ์ยอดนิยมคือ Intense Pulsed Light (IPL) หรือ แสงความเข้มสูง ซึ่งไม่ต้องผ่าตัดและเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัด เครื่องนี้มีข้อดีในการแก้ไขหลายปัญหาผิว เช่น รอยดํา, รอยแดง, และการกำจัดขน ด้วยการปล่อยคลื่นแสงในช่วงคลื่น 500-1,200 นาโนเมตร ทําให้เครื่องสามารถใช้กับหลายปัญหาผิวด้วยคลื่นเดียว อย่างไรก็ตาม, มีข้อจำกัดในการรักษา เช่น ความจําเพาะเจาะจงของคลื่นแสงที่น้อยกว่าเลเซอร์ ทําให้ผลลัพธ์ไม่มีความมั่นคง ในบางกรณี การรักษา IPL อาจต้องทําซ้ำมากมายโดยไม่เห็นผลลัพธ์ทันที การใช้เลเซอร์ในการรักษาความงามมีผลรักษาที่ดี แต่อาจเกิดผลกระทบไม่ได้หลีกเลี่ยง เช่น อาการแดง, ดํา, หรือรอยด่าง ส่วนมากจะเป็นชั่วคราวและหายเอง การใช้เลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกวิธีอาจเกิดปัญหาเพิ่มเติม เช่น รอยไหม้หรือแผล เลือกวิธีรักษาไม่ถูกต้อง การรักษาโดยขาดความชํานาญจากแพทย์ผิวหนังเฉพาะอาจเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น รอยดํา, รอยแผล เพื่อป้องกันปัญหานี้, ควรเลือกแพทย์ที่มีความชํานาญในการใช้เลเซอร์และเป็นแพทย์เฉพาะทาง
ผิวหนัง Dermatology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1555
Finance
ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงไตรมาส 2 ปี 2021 ไม่รวม Crypto เป็นอย่างไรบ้าง
null
ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงไตรมาส 2 ปี 2021 ไม่รวม Crypto ดัชนีที่หยิบมาแสดงเป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ที่น่าจะรู้จักหรือเคยลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในประเทศนั้น ๆ ไม่มากก็น้อย อย่างเช่น S&P 500, Nasdaq, Dow Jones, UK 100, Dax, Cac40, Nikkei, Kospi, Shanghai Composite, Hang Seng, Straits Times, Set, MSCI All Country ex Japan, MSCI Emerging, Vietnam, Oil, Gold เป็นต้น สินทรัพย์ทุกชนิดยกเว้นทองคำ ให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 มีบางช่วงเวลาอย่างเดือนมีนาคม เมษายน ที่ติดลบลงมาบ้าง ในสุดท้ายก็กลับขึ้นมาได้ สาเหตุหลักที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงโดดเด่นสวนทางกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ตกต่ำ เพราะภาวะโควิด-19 เพราะสถานการณ์เงินล้นโลก แม้จะมีข่าวเรื่องการลดขนาดเข้ามาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อย่างตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน กับตลาดหุ้นที่เทรดบน Valuation ที่แสนแพงในบางอุตสาหกรรม ตลาดหุ้นอาจจะปลอดภัยกว่า เพราะโอกาสของการปรับขึ้นดอกเบี้ยและที่สำคัญคือ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทก็ผลประกอบการไม่ดี เมื่อผลประกอบการไม่ดี โอกาสที่ตราสารหนี้ของบริษัทนั้นจะผิดนัดชำระหนี้ก็มีสูงขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นที่มาให้ตลาดหุ้น คึกคักแบบคึกแล้วคึกอีก การกระจายตัวของผลตอบแทนค่อนข้างกว้าง ค่าเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 8-10% แต่ที่โดดเด่นเลยจะเป็นตลาดสหรัฐฯ นำมาโดยหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นเทคโนโลยี บางบริษัท PE 1000 เท่ายัง New High แล้ว New High อีก ทำให้ตลาดสหรัฐฯ บวกไปประมาณ 14-15% แต่ที่โดดเด่นนำตลาดอื่นคือ ตลาดเวียดนาม ที่บวกไปถึง 25% สะท้อนถึงการเติบโตและความคาดหวังของนักลงทุนต่อตลาดนี้เป็นอย่างมาก ส่วนราคาน้ำมันที่ครึ่งปีแรก 2021 ก็ขยับขึ้นกว่า 50% แล้ว (ยังดีที่ WFH ไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อย) แต่ก็กระทบทางอ้อมอยู่ดี เพราะน้ำมันคือ ต้นทุนการผลิตของสินค้าบริการหลายชนิด หนียังไงก็ไม่พ้น
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_16668
Medical
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกรดยูริก สูงอันเป็นสาเหตุให้เกิดเกาต์ มีอะไรบ้าง
เกาต์กำเริบ ตอนที่ 4 เกาต์กำเริบ ตอนที่ 4 ระยะเวลาของอาการเกาต์โดยประมาณ ส่วนใหญ่จะหายหลัง 1 สัปดาห์ กรณีที่เป็นแบบอ่อนอาจจะหายภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือ 1-2 วัน ทำให้มีการวินิจฉัยผิดคิดว่าเป็นโรคเอ็นอักเสบ Tendinitis หรือ ข้อเคล็ดข้อแพลง Sprain กรณีที่เป็นแบบรุนแรงจะใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือนานถึง 1 เดือน ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นเกาต์จะกลับมาเป็นอีกครั้งภายในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 2 ปี หลังการเป็นครั้งแรก และหากไม่ทำการรักษาจะทำให้มีโอกาสเกาต์กำเริบบ่อยขึ้น สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกรดยูริกสูงอันเป็นสาเหตุให้เกิดเกาต์ ได้แก่ อาหาร – การกินอาหารที่เป็นพวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มที่มีรสหวานด้วยฟรุคโตส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์ จะเพิ่มระดับของกรดยูริก การขาดน้ำอยู่บ่อยๆ Dehydration ความอ้วน – หากมีน้ำหนักเกิน ร่างกายจะผลิตกรดยูริกมากขึ้น และไตจะใช้เวลามากในการกำจัดกรดยูริก โรคอื่นๆ – โรคบางชนิดก็มักทำให้มีโอกาสเป็นเกาต์ได้มากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคเรื้อรังอย่าง โรคเบาหวาน กลุ่มอาการอ้วนลงพุง Metabolic syndrome โรคหัวใจ และโรคไต ยาบางชนิด – เช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่มยาไทอะไซด์ Thiazide diuretics ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาแอสไพริน ยาเคมีบำบัด Chemotherapy medicines หรือยาป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ Anti-rejection drugs ที่ใช้ในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ล้วนสามารถเพิ่มระดับของกรดยูริกได้ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์ – จะมีความเสี่ยงในการเป็นเกาต์มากขึ้น อายุและเพศ – เกาต์มักเกิดในเพศชายเพราะมีกรดยูริกมากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ดีหลังวัยหมดประจำเดือน เพศหญิงจะมีกรดยูริกพอๆ กับเพศชาย นอกจากนี้เพศชายมักเป็นเกาต์ตอนอายุระหว่าง 30-50 ปี ในขณะที่เพศหญิงมักมีอาการเป็นเกาต์หลังวัยหมดประจำเดือน มีการผ่าตัดหรือได้รับบาดเจ็บ – จะมีความเสี่ยงในการเป็นเกาต์มากขึ้น เป็นโรคแต่กำเนิดที่เป็นสาเหตุให้มีระดับกรดยูริคในเลือดสูง เช่น ผู้ที่เป็นโรค Kelley-Seegmiller syndrome หรือโรค Lesch-Nyhan syndrome ซึ่งจะขาดเอนไซม์ในการควบคุมระดับกรดยูริค ผู้ที่เป็นโรคเกาต์สามารถมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้ถ้า มีการกลับมาเป็นซ้ำ Recurrent gout – บางคนอาจไม่มีอาการกลับมาเป็นซ้ำ ในขณะที่บางคนมีการเป็นซ้ำหลายครั้งในแต่ละปี ซึ่งยาอาจจะช่วยได้ แต่หากไม่ทำการรักษาแล้วเกาต์จะเป็นสาเหตุให้ข้อถูกทำลาย เกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการสะสมของผลึกยูเรทใต้ผิวหนังที่เป็นก้อน Tophi ในหลายบริเวณ เช่น นิ้วมือ มือ เท้า ข้อศอก หรือเอ็นร้อยหวายหลังเท้า ซึ่งมักจะไม่เจ็บ แต่จะบวมและนุ่มระหว่างที่เกาต์กำเริบ ผลึกยูเรทอาจสะสมในทางเดินปัสสาวะของผู้ที่เป็นโรคเกาต์ทำให้เป็นนิ่วในไต Kidney stones
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดกรดยูริก สูงอันเป็นสาเหตุให้เกิดเกาต์ ได้แก่ -1. อาหาร -การกินอาหารที่เป็นพวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มที่มีรสหวานด้วยฟรุคโตส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะเบียร์ จะเพิ่มระดับของกรดยูริก - การขาดน้ำอยู่บ่อยๆ (Dehydration) 2. ความอ้วน – หากมีน้ำหนักเกิน ร่างกายจะผลิตกรดยูริกมากขึ้น และไตจะใช้เวลามากในการกำจัดกรดยูริก 3. โรคอื่นๆ – โรคบางชนิดก็มักทำให้มีโอกาสเป็นเกาต์ได้มากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูงและโรคเรื้อรังอย่าง โรคเบาหวาน กลุ่มอาการอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) โรคหัวใจ และโรคไต 4.ยาบางชนิด – เช่น ยาขับปัสสาวะกลุ่มยาไทอะไซด์ (Thiazide diuretics) ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาแอสไพริน ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy medicines) หรือยาป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ (Anti-rejection drugs) ที่ใช้ในผู้ปลูกถ่ายอวัยวะ ล้วนสามารถเพิ่มระดับของกรดยูริกได้ 5. มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกาต์ – จะมีความเสี่ยงในการเป็นเกาต์มากขึ้น 6. อายุและเพศ – เกาต์มักเกิดในเพศชายเพราะมีกรดยูริกมากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ดีหลังวัยหมดประจำเดือน เพศหญิงจะมีกรดยูริกพอๆ กับเพศชาย นอกจากนี้เพศชายมักเป็นเกาต์ตอนอายุระหว่าง 30-50 ปี ในขณะที่เพศหญิงมักมีอาการเป็นเกาต์หลังวัยหมดประจำเดือน 7. มีการผ่าตัดหรือได้รับบาดเจ็บ – จะมีความเสี่ยงในการเป็นเกาต์มากขึ้น 8. เป็นโรคแต่กำเนิดที่เป็นสาเหตุให้มีระดับกรดยูริคในเลือดสูง เช่น ผู้ที่เป็นโรค Kelley-Seegmiller syndrome หรือโรค Lesch-Nyhan syndrome ซึ่งจะขาดเอนไซม์ในการควบคุมระดับกรดยูริค
โภชนวิทยา
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27112
Medical
ข้อใดคือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง?
1. ความดันโลหิตสูง 2. กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ 3. การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดง 4. การเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดชั้นในหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการสะสมของตะกอนไขมัน คอเลสเตอรอล หรือแคลเซียม
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 4. เนื่องจาก ระบุชัดเจนว่าภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเกิดจากการสะสมของตะกอนไขมัน คอเลสเตอรอล หรือแคลเซียม บนผนังหลอดเลือดชั้นใน ทำให้ผนังหนาตัวขึ้นและแคบลง ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ตัวเลือกอื่นๆ ไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุหลักของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง: ตัวเลือก (B) อธิบายถึงสาเหตุของภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ตัวเลือก (C) อธิบายถึงสาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ ตัวเลือก (D) อธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง แต่ไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุโดยตรง หลักฐานสนับสนุนเพิ่มเติม: ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น สูบบุหรี่ เป็นโรคเบาหวาน และมีความดันโลหิตสูง ข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เช่น สมาคมโรคหัวใจแห่งประเทศไทย ก็ยืนยันว่าการสะสมของตะกอนไขมัน คอเลสเตอรอล หรือแคลเซียม บนผนังหลอดเลือดชั้นใน เป็นสาเหตุหลักของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12341
Medical
ในกรณีใดบ้างที่แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรค?
null
การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ใช้ในการวินิจฉัยโรค โดยแพทย์จะตัดชิ้นเนื้อหรือเนื้อเยื่อจากร่างกายผู้ป่วย นำมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาสาเหตุของโรค แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัยโรค ในกรณีดังต่อไปนี้: มีก้อนเนื้อหรือเนื้องอกผิดปกติ: แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อหรือเนื้องอกเพื่อตรวจว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือเป็นโรคอะไร มีอาการผิดปกติที่ไม่ทราบสาเหตุ: เช่น อาการปวดท้องเรื้อรัง อาการไอเรื้อรัง อาการเลือดออกผิดปกติ แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อจากอวัยวะที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของอาการเพื่อหาสาเหตุ มีการติดเชื้อ: แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อจากแผลหรือจากเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อเพื่อตรวจหาชนิดของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ต้องการตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อ: แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อจากอวัยวะที่สงสัยว่ามีความผิดปกติของเนื้อเยื่อ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อ เพื่อติดตามผลการรักษา: แพทย์จะพิจารณาตัดชิ้นเนื้อจากอวัยวะที่ได้รับการรักษา เช่น การผ่าตัดรักษามะเร็ง เพื่อติดตามผลการรักษาว่ามะเร็งหายไปหรือไม่ ข้อควรระวัง: การตัดชิ้นเนื้อ อาจทำให้เกิดอาการปวด บวม หรือเลือดออกเล็กน้อย ในบางกรณี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น การติดเชื้อ เลือดออกมาก หรืออวัยวะเสียหาย ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทาน และแพ้ยา ก่อนเข้ารับการตัดชิ้นเนื้อ การตัดชิ้นเนื้อ เป็นวิธีการวินิจฉัยโรคที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24683
Medical
จงสรุปบทความเรื่อง "การรักษาและควบคุมอาการหลังจากการบาดเจ็บหัวเข่า: คำแนะนำจากคุณหมอเทวกุล" ให้หน่อยคะ
ชายังไม่หาย แต่แกะเฝือกออกเอง สุรศักดิ์ กรุงเทพฯ ผู้ถาม ปัจจุบันผมอายุ 35 ปี เมื่อต้นปี 2544 ได้ตกถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ทำให้หัวเข่าข้างซ้ายบาดเจ็บ เดินไม่สะดวก เวลาเดินจะปวดมาก ไปหาหมอที่คลินิกกระดูกในจังหวัด หมอดูอาการแล้วบอกว่าเส้นเอ็นแตกโดยยืดหยุ่นอย่างแรง หมอให้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้าเฝือกไว้ เพื่อเข่ากระทบกระเทือนและเคลื่อนไหวน้อยที่สุดประมาณ 30 วัน แต่พอเข้าเฝือกไว้ได้ 7 วัน ก็แกะเฝือกออก โดยพลการ เพราะคิดว่าหายแล้ว เพื่อที่จะได้เดินสะดวก พอเอาเฝือกก็เจ็บและยังเดินลำบากเหมือนเดิม โดยเฉพาะขณะงอเข่าขึ้นบันได้ ผมปล่อยจนอาการทุเลามาได้ทุกวันนี้ แต่ยังมีอาการเดินขัด ๆ อยู่แต่ไม่ปวด จึงขอเรียนถามคุณหมอดังนี้ครับ 1 ถ้าจะกลับไปเข้าเฝือกใหม่เพื่อรักษาให้หายสนิทจะได้ไหมครับ 2 ถ้าไม่เข้าเฝือก มีวิธีอื่นที่จะรักษาให้หายได้อีกไหมครับ 3 มียาที่ใช้ในการรักษาไหมครับ 4 ควรควบคุมอาการประเภทใดบ้าง อาจารย์มนูญ บัญชรเทวกุล ผู้ตอบ คุณหมอที่เข้าเฝือกให้คำแนะนำและหลักการที่ถูกต้องแล้ว ข้อควรจำสำหรับการเข้าเฝือก ถ้าแน่นเกินไปต้องรีบกลับไปพบคุณหมอเพื่อแก้ไข 1 การกลับไปคุยกับคุณหมอคนเดิมที่เข้าเฝือกให้ ถ้าไม่ลำบากเกินไป ควรจะทำครับ และคุณหมอจะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง 2 ถ้าคุณหมอมีความเห็นว่าไม่ต้องเข้าเฝือกใหม่ แต่คุณยังมีอาการขัดของขาข้างซ้ายเวลาเดิน จะแก้ไขไดด้วยการใช้ไม้ค้ำรักแร้ 2 ข้าง เดินให้ใช้ขาข้างซ้ายรับน้ำหนักน้อยที่สุด โดยไม่รู้สึกขัดในข้อประมาณ 1-2 เดือน และต้องทำกายบริหารข้อเข่าซ้ายให้แข็งแรงขึ้งด้วยท่าต่อไปนี้ - นั่งห้อยขาบนเก้าอี้ กระดกข้อเท้าข้างที่เจ็บ แล้วเกร็งเข่าให้ตรง นับ 2-5 แล้วปล่อยห้อยเท้าดังเดิม ทำ 10 ครั้ง ดังภาพที่ 1 - ยืนเกาะเก้าอี้ และยกขาข้างที่เจ็บ ตีเข่าขึ้น ให้ท่อนขาช่วงบนขนานกับพื้น เกร็งค้างนับ 1-5 แล้ววางเท้าลงพื้น ทำ 10 ครั้ง ดังภาพที่ 2 กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าจะแข็งแรงขึ้น ถ้าเพิ่มจำนวนครั้งมากขึ้น 3 ถ้ามีอาการเจ็บจากการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอยู่ อาจใช้ยาจำพวกยาแก้อักเสบ antiinflammatoy drugs Diclofefenac Sodium 25 มิลลิกรัม หรือ Piroxicam 20 มิลลิกรัม ยาจำพวกนี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ ถ้ากินตอนท้องว่าง ดังนั้น ถ้าไม่มีอาการเจ็บ ไม่ต้องใช้ยา 4 ไม่มีข้อห้ามในการกินอาหารชนิดใดครับ ป้ายคำ ถามตอบปัญหาสุขภาพ คุยสุขภาพ ถามตอบปัญหาสุขภาพ เฝือก มนูญ บัญชรเทวกุล
ผู้ถามเป็นชายอายุ 35 ปีที่ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าข้างซ้ายจากการตกถังน้ำมัน ตามที่คุณหมอได้ตรวจพบว่าเส้นเอ็นแตกและจำเป็นต้องเข้าเฝือกเพื่อรักษา แต่หลังจากเข้าเฝือกไว้ 7 วัน ผู้ถามก็ทำการแกะเฝือกด้วยตนเองเพราะคิดว่าอาการหายแล้ว แต่พบว่ายังมีอาการเดินขัดข้อ โดยเฉพาะขณะงอเข่าขึ้นบันได้ คำถาม: 1. ถ้าจะกลับไปเข้าเฝือกใหม่เพื่อรักษาให้หายสนิทได้ไหม? 2. ถ้าไม่เข้าเฝือก มีวิธีอื่นที่จะรักษาให้หายได้อีกไหม? 3. มียาที่ใช้ในการรักษาไหม? 4. ควรควบคุมอาการประเภทใดบ้าง? คำแนะนำจากคุณหมอ: 1. การกลับไปคุยกับคุณหมอที่เข้าเฝือกให้คำแนะนำและความเห็นเพื่อแก้ไขอาการที่ยังมีอยู่ 2. ถ้าไม่ต้องเข้าเฝือกใหม่ ให้ใช้ไม้ค้ำรักแร้ 2 ข้างเพื่อเดินโดยรับน้ำหนักน้อยที่สุดในขาข้างซ้าย 3. ทำกายบริหารข้อเข่าซ้ายเพื่อเสริมกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า 4. ถ้ามีอาการเจ็บจากการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ใช้ยาแก้อักเสบตามคำแนะนำของคุณหมอ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ปฏิบัติการกายภาพบำบัดตามท่าที่คุณหมอแนะนำเพื่อเสริมกล้ามเนื้อและป้องกันอาการขัดข้อเดินต่อไป ยังมีการแนะนำให้ใช้ยาแก้อักเสบเมื่อมีอาการเจ็บ ๆ และควรปฏิบัติการกายบริหารเพิ่มเติมเพื่อเสริมกระบวนการฟื้นฟูข้อเข่าซ้ายให้ดีขึ้น
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_30296
Medical
อะไรคือสิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย?
null
สิ่งสำคัญในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย มีหลายประการ ดังนี้ 1. การดูแลทางกาย: เน้นการบรรเทาอาการต่างๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยทรมาน เช่น อาการเจ็บปวด หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ควบคุมอาการปวดอย่างเต็มที่ รักษาอาการทางจิตเวช เช่น อาการเศร้า ความคิดอยากฆ่าตัวตาย หลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่จำเป็น ดูแลด้านการนอน การขับถ่าย การดูแลเนื้อตัว ให้อาหารให้เพียงพอ 2. การดูแลทางจิตใจ: ให้เวลา พูดคุย สนับสนุน ให้ผู้ป่วยซักถาม แสดงความคิด ความรู้สึก ประเมินความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ให้ความมั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด 3. การดูแลทางสังคมเศรษฐกิจ: จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในบรรยากาศที่สงบ อบอุ่น มีคนดูแล ช่วยให้ผู้ป่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย คำนึงถึงปัญหาทางการเงิน ภาระการใช้จ่าย 4. การบอกความจริงกับผู้ป่วย: ผู้ป่วยควรมีสิทธิได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเจ็บป่วย ประเมินว่าผู้ป่วยต้องการข้อมูลมากน้อยแค่ไหน ให้ข้อมูลตามที่ผู้ป่วยต้องการ เข้าใจ และรับได้ แสดงความเห็นใจ เข้าใจปฏิกิริยาต่อข่าวร้าย ให้ความหวังและความมั่นใจ ว่าจะให้การดูแลและช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การให้ความรัก ความเมตตา และความห่วงใยแก่ผู้ป่วย บุคคลากรทางการแพทย์ควร: ทำความเข้าใจและเอาชนะความรู้สึกอึดอัดใจของตนเอง มองให้เห็นถึงสิ่งที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ ทำงานร่วมกับครอบครัว เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีที่สุด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นงานที่ท้าทายและยากลำบาก แต่ก็เป็นงานที่มีคุณค่า บุคคลากรทางการแพทย์ มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยผ่านช่วงสุดท้ายของชีวิตได้อย่างสงบ และมีศักดิ์ศรี การดูแลแบบองค์รวม ที่คำนึงถึงทั้งด้านกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้อย่างดีที่สุด
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,งานการพยาบาล
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20981
Medical
สาเหตุของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome) ที่เป็นไปได้ มีอะไรบ้าง
(ก) โรคติดเชื้อเรื้อรัง (ข) ขาดสารอาหาร (ค) ขาดฮอร์โมนบางอย่าง (ง) ทั้งหมดข้างต้น
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ (ง) ทั้งหมดข้างต้น เพราะว่า เหตุผล: สาเหตุของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome) นั้นยังไม่แน่ชัด แต่อาจเป็นผลมาจาก: โรคติดเชื้อเรื้อรัง: เช่น วัณโรค โรคเอดส์ ขาดสารอาหาร: เช่น ขาดวิตามินบี12 ธาตุเหล็ก ขาดฮอร์โมนบางอย่าง: เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ ภาวะเครียดเรื้อรัง: ตัวเลือกอื่นๆ: (ก) โรคติดเชื้อเรื้อรัง: เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว (ข) ขาดสารอาหาร: เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว (ค) ขาดฮอร์โมนบางอย่าง: เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว หมายเหตุ: อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ เจ็บคอ มีไข้ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า เป็นต้น โรคนี้พบได้ไม่บ่อย การรักษานั้นต้องใช้ทั้งยา โภชนบำบัด และปรับวิถีชีวิตให้สมดุล
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,โภชนวิทยา
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_5936
Legal
ช่วยสรุปบทความ อย่าเอาเปรียบผู้บริโภคด้วยการโฆษณา
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ กำหนดสิทธิของผู้บริโภคไว้ 5 ประการ ดังนี้ (1) สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้อง และเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้อง เพียงพอที่จะไม่หลงผิดในการซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม (2) สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ (3) สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัยมีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือระมัดระวังตามสภาพของสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว (4) สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา (5) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคตามข้อ (1)-(4) ดังกล่าว พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ได้กำหนดให้มี “คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา” มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคต่อการโฆษณาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งหมายถึง (1) ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรือ (2) ข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสังคมเป็นส่วนรวม ไม่ว่าข้อความนั้นจะเกี่ยวข้องกับตัวสินค้าหรือบริการโดยตรงหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้น การโฆษณาที่ไม่เป็นธรรมคืออะไร – มุ่งเน้นไปที่ข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเป็นสำคัญมากกว่าวิธีการของการโฆษณา คือ “เน้นเนื้อหา” ยิ่งกว่า “รูปแบบ” และแม้ผู้ทำการโฆษณาหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาสินค้าหรือบริการนั้นจะเป็นการทำให้เปล่าหรือมิได้รับค่าตอบแทนก็ตาม หากเข้าลักษณะการกระทำการเพื่อให้บุคคลอื่น ๆ เห็นหรือทราบข้อความที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ที่โฆษณา ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ และการกระทำนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการค้าก็ถือว่าเป็นการโฆษณาที่ผิดกฎหมาย – มีโทษทางอาญา “ผู้ใดโดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับ ไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” – มีข้อน่าสังเกตว่า ระบบกฎหมายไทยมักจะเน้นในเรื่องการดำเนินการทางอาญาและการบังคับใช้กฎหมายโดยหน่วยงานรัฐซึ่งมีข้อจำกัดโดยสภาพหลายประการ ในขณะที่กระบวนการฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อให้เกิดการหราบจำและ ทำให้ผู้กระทำผิดต้องชดใช้เป็นตัวเงินจริง ๆ ให้แก่ผู้เสียหายยังคงเป็นเรื่องที่กระทำได้ยากอยู่ แม้ว่าจะสามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มในคดีผู้บริโภคได้แล้วก็ตาม
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคกำหนดสิทธิของผู้บริโภค 5 ประการ: 1.สิทธิได้รับข้อมูลและคำพรรณนาที่ถูกต้องเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ 2.สิทธิมีอิสระในการเลือกสินค้าหรือบริการ 3.สิทธิได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ 4.สิทธิได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา 5.สิทธิได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิตามข้อ (1)-(4) พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ กำหนด "คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณา" คุ้มครองผู้บริโภคจากโฆษณาไม่เป็นธรรม (1) ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค หรือ (2) อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคม ไม่ว่าเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการหรือเรื่องที่เกี่ยวข้อง "โฆษณาที่ไม่เป็นธรรม" เน้นที่ข้อความมากกว่ารูปแบบ แม้ไม่ได้รับค่าตอบแทน การโฆษณาเพื่อทำให้คนเห็นหรือรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ทุกรูปแบบ ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษทางอาญาสำหรับผู้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ โดยใช้ข้อความที่เท็จหรือทราบว่ามีความเสี่ยงทำให้เกิดความเข้าใจผิด โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท นับว่าระบบกฎหมายไทยมีการเน้นดำเนินการทางอาญา และการบังคับใช้กฎหมายโดยหน่วยงานรัฐ แต่กระบวนการฟ้องคดีทางแพ่งยังมีความยากลำบาก แม้สามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายแก่ประชาชน,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_1162
Finance
กองทุนในพอร์ต GGG (Next-Generation Global Growth) มีกองทุนอะไรบ้าง
null
กองทุนในพอร์ต GGG (Next-Generation Global Growth) ได้แก่ - PRINCIPAL VNEQ-A นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือมีธุรกิจหลักในประเทศเวียดนามที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศเวียดนาม และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 2.3450% - KFHHCARE-A นโยบายกองทุน: – กองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทหมวดอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ โดยกองทุน KFFHCARE-A จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในหน่วยลงทุนชื่อ JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class C (acc) – USD(กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมสุขภาพ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด/เกือบทั้งหมด) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ยังไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.0349% - P-CGREEN นโยบายกองทุน: เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ KraneShares MSCI China Clean Technology Index ETF (กองทุนปลายทาง) ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะเน้นติดตามผลการดำเนินงานของดัชนี MSCI China IMI Environment 10/40 ซึ่งเป็นดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทในประเทศจีนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) การพัฒนาและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน (Sustainable Water) การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Green Building) การป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention) และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงของการลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินในต่างประเทศ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.6993% - MRENEW-A นโยบายกองทุน: กองทุนเน้นลงทุนในกองทุน BGF Sustainable Energy Fund (กองทุนหลัก) ในชนิดหน่วยลงทุน (share class) “I2 USD” ในสกุลเงินเหรียญสหรัฐโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืน (sustainable energy companies) ทั่วโลก โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุดตัวในประเทศสหรัฐฯ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 2.0611% - BCAP-CTECH นโยบายกองทุน: เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศในบริษัทที่ดำเนินการและ/หรือมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน โดยเน้นทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศจีน และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงบางส่วน) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 500 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 500 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 0.8560% ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้นไม่เรียกเก็บ ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.98765% - TMB-ES-STARTECH นโยบายกองทุน: กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนต่างประเทศเพียงกองเดียว คือ กองทุน KraneShares SSE STAR Market 50 Index ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามดัชนี Shanghai Stock Exchange (SSE) Science and Technology Innovation Board 50 Index โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: ความเสี่ยงจากการที่กองทุนหลักอาจเข้าลงทุนในบางบริษัทที่เพิ่งเริ่มกิจการ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.0000% ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.2531% - ASP-DIGIBLOC นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets Companies) และ/หรือบริษัทที่มีรายได้จากการดำเนินธุรกิจและ/หรือมีความเกี่ยวข้องกับระบบสินทรัพย์ดิจิทัล และ/หรือบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนรวมอาจมีการกระจุกตัวของการถือหน่วยลงทุนของบุคคลใดเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมด, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.25% ค่าธรรมเนียมขาย ไม่มี ค่าธรรมเนียมรวมรายปี สูงสุดไม่เกิน 4.49% - LHCYBER-A นโยบายกองทุน: กองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ (หรือ “กองทุนหลัก (Master fund)”) ที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ดําเนินการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยจะลงทุนในกองทุนหลัก ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนหลักมีสัดส่วนการลงทุนแบบกระจุกตัวในประเทศสหรัฐฯ, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 100 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ค่าธรรมเนียมซื้อ 1.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้น ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 1.632285% - UHERO นโยบายกองทุน: กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ Global X Video Games & Esports ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจวิดิโอเกมส์และอีสปอร์ต โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนรวมอาจมีการกระจุกตัวของการถือหน่วยลงทุนของบุคคลใดเกิน 1 ใน 3 ของจํานวนหน่วยลงทุนทั้งหมด และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,010 บาท (รวมค่าธรรมเนียม (ถ้ามี)) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: ไม่กำหนด ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ 0.5000% ค่าธรรมเนียมขาย ยกเว้น ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.6741% - KKP SEMICON-H นโยบายกองทุน: กองทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลักในต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว คือ iShares Semiconductor ETF (กองทุนหลัก) ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก โดยกองทุนมีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 7 กลยุทธ์ในการบริหารจัดการลงทุน: กองทุนหลักมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนีชี้วัด (Passive Management) ปัจจัยความเสี่ยงที่ควรทราบ: กองทุนหลักเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารทุนบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก และมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด/เกือบทั้งหมด) มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก: 1,000 บาท มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งถัดไป: 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ : ค่าธรรมเนียมซื้อ ปัจจุบันยกเว้นถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ค่าธรรมเนียมขาย ปัจจุบันยกเว้น ค่าธรรมเนียมรวมรายปี 0.9416%
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_19992
Medical
หากผู้ป่วยที่มีอาการของโรคทางจิตเวชเหล่านี้ ต้องการหยุดนิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง ควรทำอย่างไร
null
หากผู้ป่วยที่มีอาการของโรคทางจิตเวชเหล่านี้ ต้องการหยุดนิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง ควรทำดังนี้ เข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือนักจิตวิทยา แพทย์หรือนักจิตวิทยาจะทำการวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยา การให้คำปรึกษา และการฝึกทักษะต่างๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง เช่น แบ่งงานให้เล็กลง ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน หาวิธีสร้างแรงจูงใจ และให้รางวัลตนเองเมื่อทำสำเร็จ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคซึมเศร้า ควรหาวิธีจัดการกับอารมณ์เศร้า เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง ใช้เวลากับคนรักหรือครอบครัว ควรหากิจกรรมที่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างความรู้สึกมีคุณค่าและเติมเต็มให้กับตนเอง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรควิตกกังวล ควรฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียดและความกังวล ควรฝึกการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้กลัว จะช่วยให้ความกลัวลดลง สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคสมาธิสั้น ควรหลีกเลี่ยงการกระตุ้นต่างๆ ที่อาจทำให้เสียสมาธิ เช่น โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ควรหาวิธีจดบันทึกหรือจัดลำดับความสำคัญของงาน จะช่วยให้จดจ่อกับงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเอง
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_6026
Legal
สรุปบทความเรื่อง พ.ร.บ.รถยนต์ ให้หน่อย
พ.ร.บ.รถยนต์ คุ้มครองทุกคนทันที เมื่อมีอุบัติเหตุ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ เราไม่อาจรู้ได้แต่หากมันเกิดไปแล้ว ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้างตามกฎหมาย ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายทันทีภายใน 7 วัน) ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูก – ผิด บาดเจ็บ : ค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาท/ต่อ บาดเจ็บ > ทุพพลภาพหรือตาย : ค่าเสียหายรวมกันไม่เกิน 65,000 บาท/คน ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ : 35,000 บาท/คน ตาย : ค่าปลงศพ จัดการศพ 35,000 บาท/คน ผู้ประสบภัยต้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากบริษัทประกันภัย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเสียหาย หรือ ติดต่อ สายด่วน 1186 ที่มา : พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 Facebook Twitter Lin
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายเบื้องต้นได้ จากบริษัทประกันภัย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเสียหาย และต้องจ่ายภายใน 7 วัน ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูก – ผิด 1. บาดเจ็บ ได้ค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 30,000 บาท 2. ทุพพลภาพหรือตาย ค่าเสียหายรวมกันไม่เกิน 65,000 บาท 3. ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ จ่าย 35,000 บาท 4. ตาย จ่าย 35,000 บาท
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,กฎหมายประกันภัย
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_27252
Medical
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายควรเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตแบบใด?
null
การเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง 1. สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวรุนแรง เหมาะกับการปลูกถ่ายไต ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน อาจไม่เหมาะกับการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยที่มีอายุมาก อาจมีความเสี่ยงต่อการผ่าตัดปลูกถ่ายไต 2. ความชอบของผู้ป่วย: ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ต้องการการผ่าตัด เลือกวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยบางรายอาจต้องการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องจักร เลือกวิธีการล้างไตทางช่องท้อง 3. ความพร้อมของผู้ดูแล: การล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยต้องได้รับการฝึกฝนให้สามารถทำเองได้ หรือต้องมีผู้ดูแลที่ช่วยเหลือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ป่วยต้องเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ 4. ค่าใช้จ่าย: การปลูกถ่ายไตมีค่าใช้จ่ายสูง การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมมีค่าใช้จ่ายปานกลาง การล้างไตทางช่องท้องมีค่าใช้จ่ายต่ำ แพทย์จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ร่วมกับผู้ป่วย เพื่อเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมที่สุด โดยสรุป: การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม และการล้างไตทางช่องท้อง เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพรองลงมา การเลือกวิธีบำบัดทดแทนไต ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ความชอบของผู้ป่วย ความพร้อมของผู้ดูแล และค่าใช้จ่าย แพทย์จะร่วมพิจารณากับผู้ป่วย เพื่อเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น: ระยะทางไปโรงพยาบาล อาชีพของผู้ป่วย ฐานะทางสังคม ผู้ป่วยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีบำบัดทดแทนไตแต่ละวิธีอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์ และครอบครัว เพื่อตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1001
Finance
ลักษณะการลงทุนของ Thematic คืออะไร
null
ลักษณะการลงทุนของ Thematic คือ การคัดเลือกบริษัทที่มี Story Line อันเป็นธีมเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น Short – term Themes เช่น Inflation / การป้องกันสงคราม และ Long – term Themes ซึ่งมีอยู่ 6 ธีมด้วยกัน ดังนี้ - Consumer Evolution เช่น การลงทุนในธุรกิจเกมหรือ Digital World ซึ่งสถานการณ์เงินเฟ้อสูงก่อให้เกิดความกดดันสำหรับการลงทุนธีมนี้ เนื่องจากกลุ่ม Digital World เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน - Industrial Revolution คือการเปลี่ยนแปลงเชิงอุตสาหกรรมในการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นธีม Robotics & AI ที่อยู่ในกลุ่มบริษัทที่มีการปรับตัว หรือในกลุ่ม Disruptor/ Innovator โดยบริษัทเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้เจาะจงว่าจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมใด แต่มีความพิเศษในการสร้าง Efficiency ของธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น - Energy and Sustainability ภาครัฐจะพยายามผลักดันกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานให้กลายเป็นพลังงานสะอาดมากขึ้นในอนาคต - Fintech and Security การปรับลงของคริปโตเคอเรนซีทำให้เกิดกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจมากขึ้น ภาครัฐอาจเข้ามาช่วยควบคุม อย่างไรก็ตาม โลกเสมือนหรือ Digital Worldยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต - Disruptive Technology เงินเฟ้อทำให้เกิดต้นทุนการเงินสูง อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนภายใน 1 – 2 ปี - Healthcare Innovation ต้นทุนการเงินสูง อย่างไรก็ตาม เทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_3897
Finance
เขียนเรื่องสั้นเรื่อง "ความสำเร็จของอาร์ต: การเรียนรู้และปรับตัวในยุคของการเรียนออนไลน์"
null
ในชุมชนเล็กๆ อยู่ในทุกมุมของประเทศ เมืองนี้เต็มไปด้วยเด็กน้อยที่มีความฉลาดและมีความสนใจในการเรียนรู้อย่างมาก นับเป็นกลุ่มเด็กที่มีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาต่อไปในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังปรับตัวกับการเรียนรู้ออนไลน์ในช่วงวิกฤติของโรคระบาดที่มาถึงซึ่งเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ในหนึ่งในบ้านของชุมชนนี้ มีเด็กชายชื่อว่าอาร์ต ซึ่งเป็นเด็กที่ฉลาดและมีความสามารถในการศึกษาอย่างเป็นพิเศษ แม้ว่าสถานการณ์ที่เข้ามาขณะนี้จะทำให้เขาต้องเรียนออนไลน์ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้อาร์ตเสียใจหรือสะดุดใจเป็นอย่างที่คนทั่วไปคิด แทนที่จะเสียใจ อาร์ตเอามันมาใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันแรกของการเรียนออนไลน์ เมื่อครูที่รับผิดชอบการสอนของอาร์ตเข้ามาบอกว่าจะมีการทดลองทางการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน อาร์ตรู้สึกกระตือรือร้นอย่างมาก และอาร์ตเริ่มวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่ต้นเช้า ในช่วงเวลาที่เหลือในวันนั้น อาร์ตใช้เวลาให้ความสำคัญกับการศึกษาทั้งในช่วงเวลาที่ได้รับการสอนจากครูและในช่วงเวลาที่มีอยู่เอง โดยเขาใช้เทคโนโลยีเพื่อค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถูกสอนในห้องเรียน และใช้แหล่งเรียนรู้ออนไลน์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องที่เขาสนใจอย่างลึกซึ้งขึ้น อาร์ตไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวที่สามารถช่วยเหลือเขาในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ แทนที่จะท้อถอยหรือหยุดหย่อน เขาเลือกใช้เวลาของเขาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนกระทั่งวันสุดท้ายของช่วงการเรียนรู้ออนไลน์ อาร์ตได้รับคำชมจากครูและเพื่อนร่วมชั้นในการที่เขามีสมรรถนะที่ดีในการจัดการกับการเรียนรู้ออนไลน์ และความสามารถในการที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินอย่างนี้อาร์ตเข้าใจดีว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียนเท่านั้น แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ทำให้เด็กฉลาดของชาติเจริญมีความสำเร็จในทุกสถานการณ์และทุกเงื่อนไขของชีวิต เรื่องนี้เล่าถึงความสำคัญของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัวในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติที่เกิดขึ้น เรื่องนี้สะท้อนถึงว่าเด็กฉลาดไม่ใช่เพียงแค่มีความสามารถทางอัจฉริยภาพ เช่น ความสามารถทางการเรียนรู้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการจัดการกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน การที่เด็กๆ เหล่านี้สามารถปรับตัวและใช้โอกาสที่เกิดขึ้นให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ เป็นตัวอย่างที่ดีว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในสถานที่เดียวและมีวิธีการหลายแบบที่สามารถนำมาใช้ได้ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ที่เจอผลักดัน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_12416
Medical
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของอาการอ่อนแรงมีอะไรบ้าง
null
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยของอาการอ่อนแรง ประกอบด้วย - ความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Muscular dystrophy ที่พบในผู้ที่มีประ วัติครอบครัว หรือคนในชุมชนเดียวกันมีประวัติเป็นโรคนี้ หรือการแต่งงานในหมู่ญาติ เพราะคนกลุ่มเหล่านี้มีโอกาสถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรมได้สูง - อุบัติเหตุต่อสมอง ไขสันหลังหรือเส้นประสาท (Trauma Injury) พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่น ขี่มอ เตอร์ไซด์ ไม่สวมหมวกกันน็อก และดื่มสุรา - โรคหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดสมองตีบ ตัน หรือแตก (อัมพาต/ Stroke) ซึ่งพบบ่อยใน ผู้สูง อายุ ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย และผู้ที่สูบบุหรี่ - โรคการอักเสบของกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาท (Inflammation) พบบ่อยในผู้ป่วยที่มีโรคระ บบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ/โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง (Autoimmune disorder ) เช่น โรคลูปัส-โรค เอสแอลอี - โรคระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine) หรือความผิดปกติทางเมตาโบลิก/กลุ่มอาการเมตาโบลิก (Metabolic disorder) เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน พบบ่อยในผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคในระบบนี้ - โรคเนื้องอกต่างๆ (Tumor) ในระบบประสาท เช่น เนื้องอกสมอง เนื้องอกไขสันหลัง - โรคมะเร็งจากอวัยวะอื่นๆแล้วแพร่กระจายสู่ สมอง และ/หรือไขสันหลัง ซึ่งเป็นภาวะพบบ่อย เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม - โรคติดเชื้อ (Infection) ในระบบประสาท เช่น ฝีในสมอง พบเกิดบ่อยในผู้ป่วยโรคหัวใจพิ การแต่กำเนิด แลผู้ป่วยโรคหูน้ำหนวก
ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43614
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า..."สองสูง" เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวัง
null
สองสูง: บททดสอบแห่งนักลงทุน ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ชายหนุ่มนามว่า "ธันวา" กำลังนั่งจิบกาแฟยามเช้า สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บนหน้าจอแสดงกราฟราคาหุ้นและพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธันวาครุ่นคิดถึงบทความที่เขาเพิ่งอ่านจบเกี่ยวกับความเสี่ยง "สองสูง" "บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง เกือบแตะจุดสูงสุดในช่วงวิกฤตโควิด..." ธันวาพึมพำกับตัวเอง เขาเริ่มกังวลเกี่ยวกับพอร์ตการลงทุนของเขา ธันวาเป็นนักลงทุนหนุ่มไฟแรง เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่อายุ 20 ปี ด้วยความมุ่งมั่นและใฝ่รู้ เขาเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนอย่างจริงจัง ผลตอบแทนที่งดงามในอดีตทำให้เขามั่นใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ เขาเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ "สองสูง" จะส่งผลต่อพอร์ตของเขาอย่างไร? เขาควรปรับกลยุทธ์อย่างไร? ธันวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยิบหนังสือ "The Intelligent Investor" ของ Benjamin Graham ขึ้นมาอ่าน เขาต้องการทบทวนหลักการลงทุนที่มั่นคง เย็นวันนั้น ธันวาไปพบกับ "คุณนลิน" ผู้จัดการกองทุนที่ปรึกษาการลงทุนของเขา คุณนลินเป็นผู้มากประสบการณ์ เธอเคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง "ธันวา กังวลเรื่อง 'สองสูง' อยู่ใช่ไหม?" คุณนลินถาม ธันวาพยักหน้า "เข้าใจนะ 'สองสูง' เป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม แต่ไม่ใช่ว่าเราจะลงทุนไม่ได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจความเสี่ยง และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม" คุณนลินอธิบาย คุณนลินแนะนำให้ธันวา กระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท "อย่าลืมว่า ตลาดหุ้นมีวัฏจักรขาขึ้นและขาลง ในช่วงขาลง เราต้องอดทน รอให้ตลาดฟื้นตัว" คุณนลินกล่าว ธันวารู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากพูดคุยกับคุณนลิน เขาเริ่มเข้าใจ "สองสูง" มากขึ้น "ขอบคุณครับคุณนลิน ผมจะปรับพอร์ตลงทุนตามคำแนะนำ" ธันวากล่าว "ไม่เป็นไร จำไว้ว่า การลงทุนเป็นการเดินทางระยะยาว เราต้องใจเย็น เรียนรู้ และปรับตัวอยู่เสมอ" คุณนลินยิ้ม ธันวากลับบ้านด้วยความมั่นใจ เขารู้ว่า เขาพร้อมเผชิญกับความเสี่ยง "สองสูง"
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_21147
Medical
อาการอะไรบ้างที่เกิดจาก เชื้ออะแคนทะมีบา สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทกเลนส์เป็นประจำ
a. สู้แสงไม่ได้ หากติดเชื้อจะทำให้ปวดตามาก b. สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เกิดแผลอักเสบที่กระจกตา หากติดเชื้อจะทำให้ปวดตามาก c. ตาแห้ง กระจกตาขุ่น ฝ้า เกิดแผลอักเสบที่กระจกตา หากติดเชื้อจะทำให้ปวดตามาก d. สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เกิดแผลอักเสบที่กระจกตา หากติดเชื้อจะไม่รู้สึกปวด
คำตอบที่ถูกต้องคือ b. เพราะว่า การใส่คอนแทกเลนส์ของบางคนก็อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้ กรณีของเชื้ออะแคนทะมีบา ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เชื้อตัวนี้ทนอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ และมีฤทธิ์ทำลายดวงตาได้ ดังนั้น ผู้ที่ใส่คอนแทกเลนส์จะต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เพราะเชื้อตัวนี้เป็นสาเหตุสำคัญของกระจกตาอักเสบ หากติดเชื้อจะทำให้ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เกิดแผลอักเสบที่กระจกตา การรักษาต้องให้จักษุแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนใช้ยาฆ่าเชื้อหยอดตาที่แพทย์จัดให้ โดยต้องหยอดตาบ่อยๆ เป็นเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี พร้อมเฝ้าติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง บางคนดวงตาไม่ตอบสนองต่อยาหยอดตา เชื้ออาจลุกลามไปทั่วกระจกตา มีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก เนื่องจากนำกระจกตาส่วนที่มีรอยโรคออก แต่ส่วนที่ดูว่าใสยังอาจมีเชื้ออยู่ ผู้ที่ใส่คอนแทกเลนส์จะต้องระมัดระวังและทำความสะอาดล้างคอนแทกเลนส์ให้ถูกวิธี เพราะมีโอกาสที่เชื้อจะเข้าสู่ดวงตาได้ง่ายมาก ผู้ที่มีอาการเปลือกตาอักเสบ ตาแห้ง เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ควรใส่คอนแทกเลนส์ สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ ไม่แนะนำให้ใส่คอนแทกเลนส์จะปลอดภัยกว่า และถ้าคอนแทกเลนส์หล่นลงพื้นอย่านำมาใช้อีก เพราะเสี่ยงกับการติดเชื้อได้ การดูแลรักษาความสะอาดเลนส์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นเดียวกับการใส่ ควรศึกษารายละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจากการใส่คอนแทกเลนส์ได้ ฉะนั้นก่อนตัดสินใจใส่คอนแทกเลนส์ จะต้องให้จักษุแพทย์ตรวจตาให้ละเอียด เพื่อหาความผิดปกติหรือความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้เลือกชนิดและขนาดของคอนแทกเลนส์ได้เหมาะกับดวงตา เมื่อคิดจะใส่คอนแทกเลนส์ ก็ต้องรู้วิธีที่จะดูแลรักษาคอนแทกเลนส์ ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด ก่อนทำความสะอาดคอนแทกเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนแทกเลนส์ และขัดถูคอนแทกเลนส์ทั้ง 2 ด้าน พร้อมขัดถูตลับแช่เลนส์ทุกครั้งก่อนแช่ และเปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกวัน รุ่งเช้าก่อนใส่คอนแทกเลนส์จะต้องล้างน้ำยาแช่คอนแทกเลนส์ออกด้วยน้ำเกลือสะอาดปราศจากเชื้อแบบขวดเล็กสุดให้หมดขวดในครั้งเดียว ซึ่งจะส่งผลดีกว่าการใช้น้ำเกลือขวดใหญ่แต่มีผลเสียจากเชื้อโรคในอากาศอาจเข้าไปเจริญเติบโตในขวดน้ำเกลือได้
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_40389
Finance
กลยุทธ์การลงทุนแบบ "ปันผลฟรี" ใน Single Stock Futures มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
null
กลยุทธ์ "ปันผลฟรี" ใน Single Stock Futures เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยจังหวะการจ่ายเงินปันผลของหุ้นอ้างอิง มาทำกำไรจากการ Spread ราคา SSF กับราคาหุ้นอ้างอิง โดยนักลงทุนจะเปิดสถานะ Short SSF ก่อนวัน XD และปิดสถานะหลังจากจ่ายปันผล กลยุทธ์นี้มีข้อจำกัดดังนี้: 1. ความเสี่ยงจากราคาหุ้น: แม้ว่าโดยปกติราคาหุ้นมักจะปรับตัวลงหลังจ่ายปันผล แต่ก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะไม่ลง หรืออาจจะขึ้น กรณีราคาหุ้นไม่ลงหรือขึ้น นักลงทุนจะขาดทุนจากสถานะ Short SSF 2. ต้นทุนการซื้อขาย: กลยุทธ์นี้มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายสองครั้ง คือ ตอนเปิดสถานะ Short และตอนปิดสถานะ ต้นทุนเหล่านี้จะกินกำไรที่ได้จากปันผล 3. การคำนวณจำนวนสัญญา: นักลงทุนต้องคำนวณจำนวนสัญญา SSF ให้เหมาะสมกับจำนวนหุ้นที่ถือ การคำนวณที่ผิดพลาดอาจทำให้ไม่ได้ "ปันผลฟรี" หรืออาจเกิดการขาดทุน 4. สภาพคล่อง: ในช่วงที่มีการจ่ายปันผล สภาพคล่องของ SSF อาจจะต่ำลง ทำให้นักลงทุนอาจเผชิญปัญหาในการเข้า-ออกสถานะ 5. ความรู้และประสบการณ์: กลยุทธ์นี้ requires ความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ราคาหุ้น มือใหม่ควรศึกษาและฝึกฝนก่อนนำไปใช้จริง ตัวอย่าง: สมมติว่าหุ้น A ราคา 100 บาท จ่ายเงินปันผล 5 บาท นักลงทุนมีหุ้น A 100 หุ้น กลยุทธ์: เปิดสถานะ Short SSF 1 สัญญา (1 สัญญา = 100 หุ้น) ราคา 95 บาท รอรับเงินปันผล 5 บาท จากหุ้น A 100 หุ้น ปิดสถานะ Short SSF ราคา 95 บาท ผลลัพธ์: นักลงทุนได้รับเงินปันผล 5 บาท กำไรจาก SSF = (95 - 95) = 0 บาท ต้นทุนการซื้อขาย = 2 * 0.10 บาท = 0.20 บาท กำไรสุทธิ = 5 - 0.20 = 4.80 บาท สรุป: กลยุทธ์ "ปันผลฟรี" ใน Single Stock Futures เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรได้ แต่มีข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องพิจารณา คำแนะนำ: ศึกษาและวิเคราะห์ราคาหุ้นอย่างละเอียด คำนวณจำนวนสัญญา SSF ให้ถูกต้อง เผื่อเวลาสำหรับการเข้า-ออกสถานะ ฝึกฝนการใช้กลยุทธ์ในบัญชี Demo ก่อนนำไปใช้จริง
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5672
Legal
ข้อใดเป็นคุณสมบัติของ SMEs
A. เป็น SMEs ที่ประกอบกิจการโดยขัดต่อศีลธรรมอันดี B. เป็น SMEs ประเภทนิติบุคคลที่ไม่ใช่สัญชาติไทย C. เป็น SMEs ที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท D. เป็น SMEs ที่ได้รับสินเชื่อใหม่ และนำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ
คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เพราะว่า เพราะการเป็น SMEs ที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท อยู่ในคุณสมบัติ SMEs ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง คุณสมบัติ SMEs - เป็น SMEs ที่มีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท - เป็น SMEs ประเภทบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่มีสัญชาติไทย - เป็น SMEs ที่ประกอบกิจการโดยชอบด้วยกฎหมาย และต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี - เป็น SMEs ที่ได้รับสินเชื่อใหม่ และต้องไม่นำไปชำระหนี้เดิมกับสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ - เป็น SMEs ที่เป็นลูกหนี้จัดชั้นปกติหรือจัดชั้นดังกล่าวถึงเป็นพิเศษ ตามเกณฑ์ข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย - เป็น SMEs ที่ผ่านการคัดกรองความเสี่ยงของลูกค้าตามเกณฑ์ที่ บสย. กำหนด - กรณีเป็น SMEs ผู้ประกอบการรายใหม่ (Start-up SMEs) มีอายุกิจการไม่เกิน 3 ปี โดยพิจารณาจากการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือการจดทะเบียนการค้า หรือเอกสารทางราชการ หรือเอกสารอื่นใดที่ บสย. เห็นชอบ - กรณีเป็น SMEs ผู้ประกอบการเทคโนโลยีนวัตกรรม (Innobiz) 1. เป็น SMEs ที่ผ่านเกณฑ์การตรวจสอบด้วยเครื่องมือในการประเมินเทคโนโลยี (Thailand Technology Rating System : TTRS) หรือเกณฑ์อื่น ๆ ตามที่ บสย. กำหนด 2. เป็น SMEs ที่มีรายชื่อผ่านการพิจารณาคุณสมบัติจากหน่วยงานรัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่ บสย. เห็นชอบ
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_40479
Finance
รายได้หลังเกษียณมีอะไรบ้างคะ
HARE 7 SHARE 7 SHARE 7 SHARE 7 SHARE 7 Highlights ผลการสำรวจประชากรไทยจำนวน 67.6 ล้านคน ในปี 2560 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.3 ล้านคน โดยแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากบุตร รองลงมา คือ จากการทำงาน และจากเบี้ยยังชีพจากทางราชการ แหล่งรายได้หลังเกษียณแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ การนำเงินจากแหล่งรายได้ต่างๆ ไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย สามารถออกดอกออกผลมาเป็นรายได้ เพื่อยืดอายุเงินออมที่เก็บไว้ให้พอใช้ไปนานๆ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง จึงต้องศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยกี่ครั้ง “รายได้จากลูกหลาน” ก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่สำคัญของผู้สูงอายุ แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะมีคนที่ “เกษียณโสด” และ “เกษียณไม่มีลูก” มากขึ้น หรือไม่ลูกหลานก็มีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ ไม่สามารถดูแลได้ ทำให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังต้องทำงานหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเอง แต่รู้หรือไม่... นอกจากรายได้จากลูกหลานและรายได้จากการทำงานแล้ว ในวัยเกษียณยังมีแหล่งรายได้อีกหลายช่องทาง โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ ดังนี้ 1 เงินก้อนใหญ่ นี่คือเวลาที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของเงินก้อนใหญ่ที่ได้เก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิตการทำงาน ยอม “หักเงิน” ทุกเดือน เพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ โดยแหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ มีดังนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เป็นเงินก้อนใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับเมื่อเกษียณ ซึ่งแต่ละคนจะได้รับไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น... ฐานเงินเดือน อัตราเงินสะสมของเรา อัตราเงินสมทบของนายจ้าง ระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุน นโยบายการลงทุน และผลตอบแทนที่ได้รับ รวมถึงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ เป็นต้น โดยหากลาออกจากกองทุน เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ (เฉพาะกรณีเกษียณอายุ) และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน ในส่วนของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งจำนวน นอกจากนี้ หากยังไม่รู้จะบริหารจัดการเงินก้อนนี้อย่างไร สามารถเลือกที่จะ “คงเงิน” เอาไว้ในกองทุนก่อนได้ โดยเงินที่คงไว้จะยังสามารถเติบโตต่อไปได้ตามนโยบายการลงทุนที่เลือกไว้ หรือจะเลือกขอรับเงินเป็น “เงินงวด” โดยให้กองทุนทยอยจ่ายแบบเดียวกับเงินบำนาญก็ได้ (แต่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกองทุนด้วย แต่อย่างน้อยที่สุดกองทุนให้สิทธิสมาชิกขอคงเงินได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับจากวันที่ออกจากงาน) หรือจะเลือกโอนเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยต่อเนื่องก็ได้เช่นกัน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเพื่อให้เกิดการออม โดยสามารถนำเงินไปลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และพอเกษียณก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและได้รับการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน โดยต้องลงทุนไปจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุนครั้งแรก (นับวันชนวัน) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ การทำประกันชีวิต นอกจากจะได้เงินก้อนใหญ่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้ ทั้งเงินคืนระหว่างสัญญา และเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ไม่ต้องนำไปเสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำค่าเบี้ยประกันที่ชำระในแต่ละปีไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาทได้อีกด้วย บำเหน็จดำรงชีพ สำหรับข้าราชการบำนาญ จะมีสิทธิได้รับเงินอีกก้อนหนึ่งที่เรียกว่า “บำเหน็จดำรงชีพ” อีก 15 เท่าของบำนาญรายเดือน แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท โดยที่เงินก้อนนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ หากคูณออกมาแล้วได้เกิน 200,000 บาท กรมบัญชีกลางจะแบ่งจ่าย 2 ครั้ง โดย 200,000 บาทแรก จะจ่ายในปีที่เกษียณ และส่วนที่เกิน 200,000 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท จะจ่ายอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตัวอย่างเช่น หากได้รับบำนาญเดือนละ 20,000 บาท จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จดำรงชีพเท่ากับ 300,000 บาท ดังนั้น ในปีที่เกษียณจะได้รับเงิน 200,000 บาท และปีที่อายุครบ 65 ปี จึงจะได้รับอีก 100,000 บาท เป็นต้น เงินชดเชยตามกฎหมาย ในมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้างในกรณีที่เลิกจ้าง ซึ่งรวมถึงกรณีเกษียณอายุด้วย โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยตามอายุงาน ดังนี้ 2 รายได้ประจำ แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้ว ยังสามารถมี “รายได้ประจำ” ได้เหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเท่านั้นเอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน ทั้งในรูปแบบของสวัสดิการ และผลตอบแทนจากการออมและการลงทุน ดังนี้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เมื่ออายุครบ 60 ปี คนไทยทุกคน (ที่มีสัญชาติไทย) จะมีสิทธิได้รับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เหมือนกันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยเบี้ยยังชีพนี้จะจ่ายเป็นรายเดือน โดยเข้าบัญชีเงินฝากภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ตามอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุดังนี้ โดยผู้ที่มีสิทธิจะต้องยื่นคำขอหรือลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร หรือที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีถัดไป ดังนั้น ควรลงทะเบียนล่วงหน้า 1 ปี ก่อนอายุครบ 60 ปี เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพทันทีเมื่ออายุครบ 60 ปี กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สำหรับคนที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญ เช่น พ่อค้า แม่ค้า เกษตรกร ผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ก็สามารถมีเงินบำนาญไว้ใช้ในวัยเกษียณได้ โดยการเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งสามารถส่งเงินสะสมครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 บาท และรวมกันแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยไม่จำเป็นต้องส่งเงินสะสมทุกเดือน และจำนวนเงินไม่ต้องเท่ากันทุกครั้งก็ได้ จากนั้น รัฐบาลจะให้เงินสมทบตามสัดส่วนเงินสะสมและช่วงอายุ ดังนี้ โดย กอช. จะเริ่มจ่ายเงินบำนาญให้เราเมื่ออายุครบ 60 ปี โดยจำนวนเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ “เงินในบัญชีรายบุคคล” ที่สะสมมาจนถึงอายุ 60 ปี และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะได้บำนาญเดือนละกี่บาท หรือจะได้เป็นเงินดำรงชีพ ก็ยังมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีกด้วย ดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้ แม้ว่า รายได้จากดอกเบี้ยจะน้อยนิด เนื่องจากอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ถือเป็นช่องทางสร้างรายได้ประจำที่วัยเกษียณจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะพันธบัตรออมทรัพย์ จะได้ดอกเบี้ยดีกว่าพันธบัตรปกติและไม่มีภาษี ขณะที่รายได้จากเงินฝากประจำและตราสารหนี้อื่นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และถ้าได้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ปีละ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตรา 15% แต่หากเป็นเงินฝากประจําสําหรับผู้สูงอายุ จะได้รับการยกเว้นภาษีสําหรับผู้ฝากเงินที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทรวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รวมทั้งดอกเบี้ยเงินฝากประจำแบบผูกพัน 2 ปี ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ ไปจนถึง ที่ดิน และอพาร์ทเม้นท์ น่าจะถูกใจวัยเกษียณ เพราะไม่ต้องออกแรงมากนักก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน (ถ้ามีผู้เช่าต่อเนื่อง) แถมยังเป็นรายได้ที่ไม่ต้องกลัวว่า เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าน้อยลง เพราะสามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม การลงทุนในหุ้นปันผลดีๆ ก็เหมือนการเลี้ยง “ห่านทองคำ” ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ จะได้ออกไข่ทองคำมาให้เราเก็บอย่างต่อเนื่อง โดยเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่สามารถขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้ เมื่อนำเงินปันผลไปรวมกับรายได้อื่นๆ แล้ว ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี หรือ ฐานภาษีต่ำ แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นประจำเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีกองทุนอีกหลายประเภทที่เหมาะสำหรับวัยเกษียณ ที่ต้องการรายได้ประจำเพื่อดำรงชีพ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนมาจ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมก็ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนกับเงินปันผลที่ได้จากหุ้น แต่หลายกองทุนหาทางออกให้ผู้ลงทุน โดยใช้วิธีการขายหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) แทนการจ่ายเงินปันผล ทำให้ไม่เสียภาษีเงินปันผล ประกันชีวิตแบบบำนาญ ถ้าคุ้นเคยกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะเห็นว่า จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา (อาจจะมีเงินคืนระหว่างทางได้บ้าง) ขณะที่ประกันชีวิตแบบบำนาญจะไม่มีผลตอบแทนระหว่างทาง แต่ไปทยอยจ่ายผลประโยชน์เป็นงวดๆ ในวัยเกษียณ ดังนั้นการทำประกันชีวิตแบบบำนาญจึงเป็นการรับประกันว่า เราจะมีรายได้ประจำ สม่ำเสมอ และต่อเนื่องหลังจากที่เกษียณอายุแล้ว เพราะบริษัทประกันจะจ่ายผลประโยชน์ให้หลังจากเราอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี (แล้วแต่แบบของกรมธรรม์) เรื่อยไปจนถึงอายุ 85 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งเรียกว่า “ช่วงรับเงินบำนาญ” นอกจากนี้ ยังสามารถนำเงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันแบบบำนาญไปลดหย่อนภาษีได้ โดยจะต้องซื้อกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และระบุชัดเจนว่า เป็น “ประกันชีวิตแบบบำนาญที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้” รายได้จากอาชีพหลังเกษียณ แม้ว่าจะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีใจอยากจะทำงาน โดยเฉพาะในช่วงต้นของวัยเกษียณ ที่ยังเรี่ยวแรงดี มีประสบการณ์ พร้อมแบ่งปัน แถมยังมี “อาชีพในฝัน” ที่อยากทำ และถ้าทำได้ดี นี่จะเป็นแหล่งรายได้ประจำหลังเกษียณอีกทางหนึ่ง และไม่ว่าจะอายุเท่าไร ถ้ายังมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ แต่สำหรับผู้ที่มีเงินได้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีนั้น จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท 3 เลือกรับ “เงินก้อน” หรือ “รายได้ประจำ” แหล่งรายได้บางอย่างเป็นไปได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และรายได้ประจำ ซึ่งในบางกรณีสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เป็นแบบไหน กองทุนประกันสังคม เงินประกันสังคมที่ถูกหักไปเดือนละไม่กี่ร้อยบาท เมื่อถึงวัยเกษียณจะงอกเงยกลายเป็นเงินแสนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะนับตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2541 ทุกๆ 3% ของรายได้ ที่เป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (หรือเท่ากับ 750 บาท โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33) จะถูกเก็บไปเป็น “เงินสมทบกรณีชราภาพ” ซึ่งจะกลายมาเป็น “บำเหน็จชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ จ่ายเงินสมทบ ไม่ถึง 12 เดือน จะได้บำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบจ่ายเข้ากองทุน เพราะฉะนั้น ถ้าเงินเดือน 15,000 บาท และส่งเงินสมทบกรณีชราภาพเดือนละ 450 บาท จะได้เงินบำเหน็จเท่ากับ 450 บาท คูณกับจำนวนเดือนที่ส่งเงินสมทบ จ่ายเงินสมทบ ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป (แต่ไม่ถึง 180 เดือน) จะได้เงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งมาจาก 3 ส่วน คือ เงินสมทบของเรา เงินสมทบของนายจ้าง ที่สมทบมาทั้งหมด บวกกับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด แต่ถ้ายังไม่เกษียณอายุและทำงานประจำต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้ประกันตนต่อเนื่อง จะเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบกรณีชราภาพได้มากกว่า 180 เดือน ก็จะมีสิทธิได้รับ “บำนาญชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม) อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุด อัตราเงินบำนาญรายเดือนจะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (เศษเกินปัดทิ้ง) แต่ไม่ว่าจะเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญ ก็ต้องไปยื่นคำขอที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา (จะไปยื่นที่ไหนก็ได้) แต่ต้องไปภายใน 2 ปีนับจากวันที่มีสิทธิได้รับประโยชน์กรณีชราภาพ หรือวันที่สิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับข้าราชการน่าจะสบายใจเรื่องแหล่งรายได้หลังเกษียณ เพราะถ้ามีเวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป จะเลือกได้เลยว่า จะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ โดยมีสูตรคำนวณต่างกันระหว่างข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กับข้าราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. ถ้าเป็นแหล่งรายได้ในรูปแบบบำนาญที่มีคนบริหารจัดการให้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินก้อนที่ได้ในวันเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ เงินบำเหน็จชราภาพจากกองทุนประกันสังคม แบบนี้น่าเป็นห่วง เพราะหากบริหารจัดการไม่ดีพอ เงินก้อนใหญ่อาจจะกลายเป็นศูนย์ภายในเวลาไม่นาน เพราะฉะนั้นเพื่อยืดอายุเงินก้อนใหญ่ให้พอใช้ไปอีกนานๆ ก็ควรนำไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย โดยอาจจะงอกออกมาเป็นดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ และออกมาเป็นกำไรจากการลงทุน แต่การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนที่เป็นวัยเก๋า จึงต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งด้วย สำหรับใครที่อยากรู้เทคนิคและวิธีการบริหารจัดการเงินหลังเกษียณ เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนการเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ เกษียณอายุ วัยเกษียณ รายได้หลังเกษียณ บริหารเงินหลังเกษียณ Highlights ผลการสำรวจประชากรไทยจำนวน 67.6 ล้านคน ในปี 2560 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.3 ล้านคน โดยแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากบุตร รองลงมา คือ จากการทำงาน และจากเบี้ยยังชีพจากทางราชการ แหล่งรายได้หลังเกษียณแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ การนำเงินจากแหล่งรายได้ต่างๆ ไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย สามารถออกดอกออกผลมาเป็นรายได้ เพื่อยืดอายุเงินออมที่เก็บไว้ให้พอใช้ไปนานๆ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง จึงต้องศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน Highlights Highlights ผลการสำรวจประชากรไทยจำนวน 67.6 ล้านคน ในปี 2560 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.3 ล้านคน โดยแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากบุตร รองลงมา คือ จากการทำงาน และจากเบี้ยยังชีพจากทางราชการ แหล่งรายได้หลังเกษียณแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ การนำเงินจากแหล่งรายได้ต่างๆ ไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย สามารถออกดอกออกผลมาเป็นรายได้ เพื่อยืดอายุเงินออมที่เก็บไว้ให้พอใช้ไปนานๆ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง จึงต้องศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการสำรวจประชากรไทยจำนวน 67.6 ล้านคน ในปี 2560 มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.3 ล้านคน โดยแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากบุตร รองลงมา คือ จากการทำงาน และจากเบี้ยยังชีพจากทางราชการ แหล่งรายได้หลังเกษียณแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ การนำเงินจากแหล่งรายได้ต่างๆ ไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย สามารถออกดอกออกผลมาเป็นรายได้ เพื่อยืดอายุเงินออมที่เก็บไว้ให้พอใช้ไปนานๆ แต่การลงทุนมีความเสี่ยง จึงต้องศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน ไม่ว่าจะสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยกี่ครั้ง “รายได้จากลูกหลาน” ก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่สำคัญของผู้สูงอายุ แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะมีคนที่ “เกษียณโสด” และ “เกษียณไม่มีลูก” มากขึ้น หรือไม่ลูกหลานก็มีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ ไม่สามารถดูแลได้ ทำให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังต้องทำงานหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเอง แต่รู้หรือไม่... นอกจากรายได้จากลูกหลานและรายได้จากการทำงานแล้ว ในวัยเกษียณยังมีแหล่งรายได้อีกหลายช่องทาง โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ ดังนี้ ไม่ว่าจะสำรวจประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยกี่ครั้ง “รายได้จากลูกหลาน” ก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่สำคัญของผู้สูงอายุ แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะมีคนที่ “เกษียณโสด” และ “เกษียณไม่มีลูก” มากขึ้น หรือไม่ลูกหลานก็มีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ ไม่สามารถดูแลได้ ทำให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งยังต้องทำงานหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเอง แต่รู้หรือไม่... นอกจากรายได้จากลูกหลานและรายได้จากการทำงานแล้ว ในวัยเกษียณยังมีแหล่งรายได้อีกหลายช่องทาง โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ แหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ และแหล่งรายได้ที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ ดังนี้ 1 เงินก้อนใหญ่ 1 1 เงินก้อนใหญ่ นี่คือเวลาที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของเงินก้อนใหญ่ที่ได้เก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิตการทำงาน ยอม “หักเงิน” ทุกเดือน เพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ โดยแหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ มีดังนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เป็นเงินก้อนใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับเมื่อเกษียณ ซึ่งแต่ละคนจะได้รับไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น... ฐานเงินเดือน อัตราเงินสะสมของเรา อัตราเงินสมทบของนายจ้าง ระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุน นโยบายการลงทุน และผลตอบแทนที่ได้รับ รวมถึงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ เป็นต้น โดยหากลาออกจากกองทุน เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ (เฉพาะกรณีเกษียณอายุ) และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน ในส่วนของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งจำนวน นอกจากนี้ หากยังไม่รู้จะบริหารจัดการเงินก้อนนี้อย่างไร สามารถเลือกที่จะ “คงเงิน” เอาไว้ในกองทุนก่อนได้ โดยเงินที่คงไว้จะยังสามารถเติบโตต่อไปได้ตามนโยบายการลงทุนที่เลือกไว้ หรือจะเลือกขอรับเงินเป็น “เงินงวด” โดยให้กองทุนทยอยจ่ายแบบเดียวกับเงินบำนาญก็ได้ (แต่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกองทุนด้วย แต่อย่างน้อยที่สุดกองทุนให้สิทธิสมาชิกขอคงเงินได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับจากวันที่ออกจากงาน) หรือจะเลือกโอนเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยต่อเนื่องก็ได้เช่นกัน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเพื่อให้เกิดการออม โดยสามารถนำเงินไปลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และพอเกษียณก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและได้รับการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน โดยต้องลงทุนไปจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุนครั้งแรก (นับวันชนวัน) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ การทำประกันชีวิต นอกจากจะได้เงินก้อนใหญ่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้ ทั้งเงินคืนระหว่างสัญญา และเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ไม่ต้องนำไปเสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำค่าเบี้ยประกันที่ชำระในแต่ละปีไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาทได้อีกด้วย บำเหน็จดำรงชีพ สำหรับข้าราชการบำนาญ จะมีสิทธิได้รับเงินอีกก้อนหนึ่งที่เรียกว่า “บำเหน็จดำรงชีพ” อีก 15 เท่าของบำนาญรายเดือน แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท โดยที่เงินก้อนนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ หากคูณออกมาแล้วได้เกิน 200,000 บาท กรมบัญชีกลางจะแบ่งจ่าย 2 ครั้ง โดย 200,000 บาทแรก จะจ่ายในปีที่เกษียณ และส่วนที่เกิน 200,000 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท จะจ่ายอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตัวอย่างเช่น หากได้รับบำนาญเดือนละ 20,000 บาท จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จดำรงชีพเท่ากับ 300,000 บาท ดังนั้น ในปีที่เกษียณจะได้รับเงิน 200,000 บาท และปีที่อายุครบ 65 ปี จึงจะได้รับอีก 100,000 บาท เป็นต้น เงินชดเชยตามกฎหมาย ในมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้างในกรณีที่เลิกจ้าง ซึ่งรวมถึงกรณีเกษียณอายุด้วย โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยตามอายุงาน ดังนี้ นี่คือเวลาที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของเงินก้อนใหญ่ที่ได้เก็บหอมรอมริบมาตลอดชีวิตการทำงาน ยอม “หักเงิน” ทุกเดือน เพื่อเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ โดยแหล่งรายได้ที่เป็นเงินก้อนใหญ่ มีดังนี้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เป็นเงินก้อนใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับเมื่อเกษียณ ซึ่งแต่ละคนจะได้รับไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น... ฐานเงินเดือน อัตราเงินสะสมของเรา อัตราเงินสมทบของนายจ้าง ระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุน นโยบายการลงทุน และผลตอบแทนที่ได้รับ รวมถึงหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ เป็นต้น โดยหากลาออกจากกองทุน เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ (เฉพาะกรณีเกษียณอายุ) และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน ในส่วนของเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งจำนวน นอกจากนี้ หากยังไม่รู้จะบริหารจัดการเงินก้อนนี้อย่างไร สามารถเลือกที่จะ “คงเงิน” เอาไว้ในกองทุนก่อนได้ โดยเงินที่คงไว้จะยังสามารถเติบโตต่อไปได้ตามนโยบายการลงทุนที่เลือกไว้ หรือจะเลือกขอรับเงินเป็น “เงินงวด” โดยให้กองทุนทยอยจ่ายแบบเดียวกับเงินบำนาญก็ได้ (แต่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกองทุนด้วย แต่อย่างน้อยที่สุดกองทุนให้สิทธิสมาชิกขอคงเงินได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับจากวันที่ออกจากงาน) หรือจะเลือกโอนเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยต่อเนื่องก็ได้เช่นกัน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเพื่อให้เกิดการออม โดยสามารถนำเงินไปลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และพอเกษียณก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและได้รับการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน โดยต้องลงทุนไปจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุนครั้งแรก (นับวันชนวัน) ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ การทำประกันชีวิต นอกจากจะได้เงินก้อนใหญ่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้ ทั้งเงินคืนระหว่างสัญญา และเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ไม่ต้องนำไปเสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำค่าเบี้ยประกันที่ชำระในแต่ละปีไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาทได้อีกด้วย บำเหน็จดำรงชีพ สำหรับข้าราชการบำนาญ จะมีสิทธิได้รับเงินอีกก้อนหนึ่งที่เรียกว่า “บำเหน็จดำรงชีพ” อีก 15 เท่าของบำนาญรายเดือน แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท โดยที่เงินก้อนนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ หากคูณออกมาแล้วได้เกิน 200,000 บาท กรมบัญชีกลางจะแบ่งจ่าย 2 ครั้ง โดย 200,000 บาทแรก จะจ่ายในปีที่เกษียณ และส่วนที่เกิน 200,000 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท จะจ่ายอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ ตัวอย่างเช่น หากได้รับบำนาญเดือนละ 20,000 บาท จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จดำรงชีพเท่ากับ 300,000 บาท ดังนั้น ในปีที่เกษียณจะได้รับเงิน 200,000 บาท และปีที่อายุครบ 65 ปี จึงจะได้รับอีก 100,000 บาท เป็นต้น เงินชดเชยตามกฎหมาย ในมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้างในกรณีที่เลิกจ้าง ซึ่งรวมถึงกรณีเกษียณอายุด้วย โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยตามอายุงาน ดังนี้ 2 รายได้ประจำ 2 2 รายได้ประจำ แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้ว ยังสามารถมี “รายได้ประจำ” ได้เหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเท่านั้นเอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน ทั้งในรูปแบบของสวัสดิการ และผลตอบแทนจากการออมและการลงทุน ดังนี้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เมื่ออายุครบ 60 ปี คนไทยทุกคน (ที่มีสัญชาติไทย) จะมีสิทธิได้รับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เหมือนกันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยเบี้ยยังชีพนี้จะจ่ายเป็นรายเดือน โดยเข้าบัญชีเงินฝากภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ตามอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุดังนี้ แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้ว ยังสามารถมี “รายได้ประจำ” ได้เหมือนเดิม เพียงแต่รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเท่านั้นเอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่ไม่ต้องออกแรงทำงาน ทั้งในรูปแบบของสวัสดิการ และผลตอบแทนจากการออมและการลงทุน ดังนี้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เมื่ออายุครบ 60 ปี คนไทยทุกคน (ที่มีสัญชาติไทย) จะมีสิทธิได้รับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เหมือนกันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว โดยเบี้ยยังชีพนี้จะจ่ายเป็นรายเดือน โดยเข้าบัญชีเงินฝากภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ตามอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุดังนี้ โดยผู้ที่มีสิทธิจะต้องยื่นคำขอหรือลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร หรือที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีถัดไป ดังนั้น ควรลงทะเบียนล่วงหน้า 1 ปี ก่อนอายุครบ 60 ปี เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพทันทีเมื่ออายุครบ 60 ปี กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สำหรับคนที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญ เช่น พ่อค้า แม่ค้า เกษตรกร ผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ก็สามารถมีเงินบำนาญไว้ใช้ในวัยเกษียณได้ โดยการเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งสามารถส่งเงินสะสมครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 บาท และรวมกันแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยไม่จำเป็นต้องส่งเงินสะสมทุกเดือน และจำนวนเงินไม่ต้องเท่ากันทุกครั้งก็ได้ จากนั้น รัฐบาลจะให้เงินสมทบตามสัดส่วนเงินสะสมและช่วงอายุ ดังนี้ โดยผู้ที่มีสิทธิจะต้องยื่นคำขอหรือลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร หรือที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีถัดไป ดังนั้น ควรลงทะเบียนล่วงหน้า 1 ปี ก่อนอายุครบ 60 ปี เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพทันทีเมื่ออายุครบ 60 ปี กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) สำหรับคนที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญ เช่น พ่อค้า แม่ค้า เกษตรกร ผู้ที่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ก็สามารถมีเงินบำนาญไว้ใช้ในวัยเกษียณได้ โดยการเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งสามารถส่งเงินสะสมครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 บาท และรวมกันแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยไม่จำเป็นต้องส่งเงินสะสมทุกเดือน และจำนวนเงินไม่ต้องเท่ากันทุกครั้งก็ได้ จากนั้น รัฐบาลจะให้เงินสมทบตามสัดส่วนเงินสะสมและช่วงอายุ ดังนี้ โดย กอช. จะเริ่มจ่ายเงินบำนาญให้เราเมื่ออายุครบ 60 ปี โดยจำนวนเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ “เงินในบัญชีรายบุคคล” ที่สะสมมาจนถึงอายุ 60 ปี และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะได้บำนาญเดือนละกี่บาท หรือจะได้เป็นเงินดำรงชีพ ก็ยังมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีกด้วย ดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้ แม้ว่า รายได้จากดอกเบี้ยจะน้อยนิด เนื่องจากอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ถือเป็นช่องทางสร้างรายได้ประจำที่วัยเกษียณจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะพันธบัตรออมทรัพย์ จะได้ดอกเบี้ยดีกว่าพันธบัตรปกติและไม่มีภาษี ขณะที่รายได้จากเงินฝากประจำและตราสารหนี้อื่นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และถ้าได้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ปีละ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตรา 15% แต่หากเป็นเงินฝากประจําสําหรับผู้สูงอายุ จะได้รับการยกเว้นภาษีสําหรับผู้ฝากเงินที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทรวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รวมทั้งดอกเบี้ยเงินฝากประจำแบบผูกพัน 2 ปี ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ ไปจนถึง ที่ดิน และอพาร์ทเม้นท์ น่าจะถูกใจวัยเกษียณ เพราะไม่ต้องออกแรงมากนักก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน (ถ้ามีผู้เช่าต่อเนื่อง) แถมยังเป็นรายได้ที่ไม่ต้องกลัวว่า เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าน้อยลง เพราะสามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม การลงทุนในหุ้นปันผลดีๆ ก็เหมือนการเลี้ยง “ห่านทองคำ” ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ จะได้ออกไข่ทองคำมาให้เราเก็บอย่างต่อเนื่อง โดยเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่สามารถขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้ เมื่อนำเงินปันผลไปรวมกับรายได้อื่นๆ แล้ว ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี หรือ ฐานภาษีต่ำ แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นประจำเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีกองทุนอีกหลายประเภทที่เหมาะสำหรับวัยเกษียณ ที่ต้องการรายได้ประจำเพื่อดำรงชีพ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนมาจ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมก็ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนกับเงินปันผลที่ได้จากหุ้น แต่หลายกองทุนหาทางออกให้ผู้ลงทุน โดยใช้วิธีการขายหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) แทนการจ่ายเงินปันผล ทำให้ไม่เสียภาษีเงินปันผล ประกันชีวิตแบบบำนาญ ถ้าคุ้นเคยกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะเห็นว่า จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา (อาจจะมีเงินคืนระหว่างทางได้บ้าง) ขณะที่ประกันชีวิตแบบบำนาญจะไม่มีผลตอบแทนระหว่างทาง แต่ไปทยอยจ่ายผลประโยชน์เป็นงวดๆ ในวัยเกษียณ ดังนั้นการทำประกันชีวิตแบบบำนาญจึงเป็นการรับประกันว่า เราจะมีรายได้ประจำ สม่ำเสมอ และต่อเนื่องหลังจากที่เกษียณอายุแล้ว เพราะบริษัทประกันจะจ่ายผลประโยชน์ให้หลังจากเราอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี (แล้วแต่แบบของกรมธรรม์) เรื่อยไปจนถึงอายุ 85 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งเรียกว่า “ช่วงรับเงินบำนาญ” นอกจากนี้ ยังสามารถนำเงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันแบบบำนาญไปลดหย่อนภาษีได้ โดยจะต้องซื้อกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และระบุชัดเจนว่า เป็น “ประกันชีวิตแบบบำนาญที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้” รายได้จากอาชีพหลังเกษียณ แม้ว่าจะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีใจอยากจะทำงาน โดยเฉพาะในช่วงต้นของวัยเกษียณ ที่ยังเรี่ยวแรงดี มีประสบการณ์ พร้อมแบ่งปัน แถมยังมี “อาชีพในฝัน” ที่อยากทำ และถ้าทำได้ดี นี่จะเป็นแหล่งรายได้ประจำหลังเกษียณอีกทางหนึ่ง และไม่ว่าจะอายุเท่าไร ถ้ายังมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ แต่สำหรับผู้ที่มีเงินได้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีนั้น จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท โดย กอช. จะเริ่มจ่ายเงินบำนาญให้เราเมื่ออายุครบ 60 ปี โดยจำนวนเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ “เงินในบัญชีรายบุคคล” ที่สะสมมาจนถึงอายุ 60 ปี และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะได้บำนาญเดือนละกี่บาท หรือจะได้เป็นเงินดำรงชีพ ก็ยังมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีกด้วย ดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้ แม้ว่า รายได้จากดอกเบี้ยจะน้อยนิด เนื่องจากอยู่ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็ถือเป็นช่องทางสร้างรายได้ประจำที่วัยเกษียณจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะพันธบัตรออมทรัพย์ จะได้ดอกเบี้ยดีกว่าพันธบัตรปกติและไม่มีภาษี ขณะที่รายได้จากเงินฝากประจำและตราสารหนี้อื่นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และถ้าได้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ปีละ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษีในอัตรา 15% แต่หากเป็นเงินฝากประจําสําหรับผู้สูงอายุ จะได้รับการยกเว้นภาษีสําหรับผู้ฝากเงินที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภทรวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รวมทั้งดอกเบี้ยเงินฝากประจำแบบผูกพัน 2 ปี ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ ไปจนถึง ที่ดิน และอพาร์ทเม้นท์ น่าจะถูกใจวัยเกษียณ เพราะไม่ต้องออกแรงมากนักก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน (ถ้ามีผู้เช่าต่อเนื่อง) แถมยังเป็นรายได้ที่ไม่ต้องกลัวว่า เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าน้อยลง เพราะสามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้ เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม การลงทุนในหุ้นปันผลดีๆ ก็เหมือนการเลี้ยง “ห่านทองคำ” ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอ จะได้ออกไข่ทองคำมาให้เราเก็บอย่างต่อเนื่อง โดยเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่สามารถขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้ เมื่อนำเงินปันผลไปรวมกับรายได้อื่นๆ แล้ว ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี หรือ ฐานภาษีต่ำ แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดีสม่ำเสมอ และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นประจำเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีกองทุนอีกหลายประเภทที่เหมาะสำหรับวัยเกษียณ ที่ต้องการรายได้ประจำเพื่อดำรงชีพ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนมาจ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมก็ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนกับเงินปันผลที่ได้จากหุ้น แต่หลายกองทุนหาทางออกให้ผู้ลงทุน โดยใช้วิธีการขายหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) แทนการจ่ายเงินปันผล ทำให้ไม่เสียภาษีเงินปันผล ประกันชีวิตแบบบำนาญ ถ้าคุ้นเคยกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะเห็นว่า จะได้รับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนใหญ่เมื่อครบกำหนดสัญญา (อาจจะมีเงินคืนระหว่างทางได้บ้าง) ขณะที่ประกันชีวิตแบบบำนาญจะไม่มีผลตอบแทนระหว่างทาง แต่ไปทยอยจ่ายผลประโยชน์เป็นงวดๆ ในวัยเกษียณ ดังนั้นการทำประกันชีวิตแบบบำนาญจึงเป็นการรับประกันว่า เราจะมีรายได้ประจำ สม่ำเสมอ และต่อเนื่องหลังจากที่เกษียณอายุแล้ว เพราะบริษัทประกันจะจ่ายผลประโยชน์ให้หลังจากเราอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี (แล้วแต่แบบของกรมธรรม์) เรื่อยไปจนถึงอายุ 85 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งเรียกว่า “ช่วงรับเงินบำนาญ” นอกจากนี้ ยังสามารถนำเงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันแบบบำนาญไปลดหย่อนภาษีได้ โดยจะต้องซื้อกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และระบุชัดเจนว่า เป็น “ประกันชีวิตแบบบำนาญที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้” รายได้จากอาชีพหลังเกษียณ แม้ว่าจะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีใจอยากจะทำงาน โดยเฉพาะในช่วงต้นของวัยเกษียณ ที่ยังเรี่ยวแรงดี มีประสบการณ์ พร้อมแบ่งปัน แถมยังมี “อาชีพในฝัน” ที่อยากทำ และถ้าทำได้ดี นี่จะเป็นแหล่งรายได้ประจำหลังเกษียณอีกทางหนึ่ง และไม่ว่าจะอายุเท่าไร ถ้ายังมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ แต่สำหรับผู้ที่มีเงินได้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีนั้น จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท 3 เลือกรับ “เงินก้อน” หรือ “รายได้ประจำ” 3 3 เลือกรับ “เงินก้อน” หรือ “รายได้ประจำ” แหล่งรายได้บางอย่างเป็นไปได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และรายได้ประจำ ซึ่งในบางกรณีสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เป็นแบบไหน กองทุนประกันสังคม เงินประกันสังคมที่ถูกหักไปเดือนละไม่กี่ร้อยบาท เมื่อถึงวัยเกษียณจะงอกเงยกลายเป็นเงินแสนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะนับตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2541 ทุกๆ 3% ของรายได้ ที่เป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (หรือเท่ากับ 750 บาท โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33) จะถูกเก็บไปเป็น “เงินสมทบกรณีชราภาพ” ซึ่งจะกลายมาเป็น “บำเหน็จชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ จ่ายเงินสมทบ ไม่ถึง 12 เดือน จะได้บำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบจ่ายเข้ากองทุน เพราะฉะนั้น ถ้าเงินเดือน 15,000 บาท และส่งเงินสมทบกรณีชราภาพเดือนละ 450 บาท จะได้เงินบำเหน็จเท่ากับ 450 บาท คูณกับจำนวนเดือนที่ส่งเงินสมทบ จ่ายเงินสมทบ ตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป (แต่ไม่ถึง 180 เดือน) จะได้เงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งมาจาก 3 ส่วน คือ เงินสมทบของเรา เงินสมทบของนายจ้าง ที่สมทบมาทั้งหมด บวกกับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด แต่ถ้ายังไม่เกษียณอายุและทำงานประจำต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้ประกันตนต่อเนื่อง จะเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบกรณีชราภาพได้มากกว่า 180 เดือน ก็จะมีสิทธิได้รับ “บำนาญชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม) อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุด อัตราเงินบำนาญรายเดือนจะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (เศษเกินปัดทิ้ง) แหล่งรายได้บางอย่างเป็นไปได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และรายได้ประจำ ซึ่งในบางกรณีสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เป็นแบบไหน กองทุนประกันสังคม เงินประกันสังคมที่ถูกหักไปเดือนละไม่กี่ร้อยบาท เมื่อถึงวัยเกษียณจะงอกเงยกลายเป็นเงินแสนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะนับตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2541 ทุกๆ 3% ของรายได้ ที่เป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (หรือเท่ากับ 750 บาท โดยคำนวณจากฐานค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33) จะถูกเก็บไปเป็น “เงินสมทบกรณีชราภาพ” ซึ่งจะกลายมาเป็น “บำเหน็จชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ แต่ถ้ายังไม่เกษียณอายุและทำงานประจำต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้ประกันตนต่อเนื่อง จะเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบกรณีชราภาพได้มากกว่า 180 เดือน ก็จะมีสิทธิได้รับ “บำนาญชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม) อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุด อัตราเงินบำนาญรายเดือนจะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (เศษเกินปัดทิ้ง) แต่ไม่ว่าจะเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญ ก็ต้องไปยื่นคำขอที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา (จะไปยื่นที่ไหนก็ได้) แต่ต้องไปภายใน 2 ปีนับจากวันที่มีสิทธิได้รับประโยชน์กรณีชราภาพ หรือวันที่สิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับข้าราชการน่าจะสบายใจเรื่องแหล่งรายได้หลังเกษียณ เพราะถ้ามีเวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป จะเลือกได้เลยว่า จะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ โดยมีสูตรคำนวณต่างกันระหว่างข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กับข้าราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. แต่ไม่ว่าจะเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญ ก็ต้องไปยื่นคำขอที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา (จะไปยื่นที่ไหนก็ได้) แต่ต้องไปภายใน 2 ปีนับจากวันที่มีสิทธิได้รับประโยชน์กรณีชราภาพ หรือวันที่สิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับข้าราชการน่าจะสบายใจเรื่องแหล่งรายได้หลังเกษียณ เพราะถ้ามีเวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป จะเลือกได้เลยว่า จะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ โดยมีสูตรคำนวณต่างกันระหว่างข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กับข้าราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. ถ้าเป็นแหล่งรายได้ในรูปแบบบำนาญที่มีคนบริหารจัดการให้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินก้อนที่ได้ในวันเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ เงินบำเหน็จชราภาพจากกองทุนประกันสังคม แบบนี้น่าเป็นห่วง เพราะหากบริหารจัดการไม่ดีพอ เงินก้อนใหญ่อาจจะกลายเป็นศูนย์ภายในเวลาไม่นาน เพราะฉะนั้นเพื่อยืดอายุเงินก้อนใหญ่ให้พอใช้ไปอีกนานๆ ก็ควรนำไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย โดยอาจจะงอกออกมาเป็นดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ และออกมาเป็นกำไรจากการลงทุน แต่การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนที่เป็นวัยเก๋า จึงต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งด้วย สำหรับใครที่อยากรู้เทคนิคและวิธีการบริหารจัดการเงินหลังเกษียณ เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนการเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ ถ้าเป็นแหล่งรายได้ในรูปแบบบำนาญที่มีคนบริหารจัดการให้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินก้อนที่ได้ในวันเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ เงินบำเหน็จชราภาพจากกองทุนประกันสังคม แบบนี้น่าเป็นห่วง เพราะหากบริหารจัดการไม่ดีพอ เงินก้อนใหญ่อาจจะกลายเป็นศูนย์ภายในเวลาไม่นาน เพราะฉะนั้นเพื่อยืดอายุเงินก้อนใหญ่ให้พอใช้ไปอีกนานๆ ก็ควรนำไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย โดยอาจจะงอกออกมาเป็นดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ และออกมาเป็นกำไรจากการลงทุน แต่การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนที่เป็นวัยเก๋า จึงต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งด้วย สำหรับใครที่อยากรู้เทคนิคและวิธีการบริหารจัดการเงินหลังเกษียณ เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “วางแผนการเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ เกษียณอายุ วัยเกษียณ รายได้หลังเกษียณ บริหารเงินหลังเกษียณ แท็กที่เกี่ยวข้อง: วางแผนการเงิน วางแผนเกษียณ เกษียณอายุ วัยเกษียณ รายได้หลังเกษียณ บริหารเงินหลังเกษียณ แท็กที่เกี่ยวข้อง: e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ 26 ไม่มีค่าธรรมเนียม ต.ค. 66 หมดหนี้มีออม @ บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด (HMT0001_รอบ 758) 26 ต.ค. 66 เวลา 11:00-13:30 น. บริษัท เอสซีลอร์ ออพติคอล แลบอราทอรี (ประเทศไทย) จำกัด นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เปิดรับสมัคร : 50 ที่นั่ง (ที่นั่งเต็ม) e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ
แบ่งเป็นหัวข้อหลักๆดังนี้ 1. เงินก้อนใหญ่ มากจาก กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ บำเหน็จ บำนาญ งินชดเชยตามกฎหมาย 2. รายได้ประจำ มาจาก เบี้ยผู้สูงอายุ กองทุนการออมแห่งชาติ ดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้ เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม ประกันชีวิตแบบบำนาญ และอาชีพหลังเกษียณ เราควรจะศึกษาการลงทุนให้ดี ยิ่งเงินก้อนที่ได้หลังเกษียณ ถ้าบริหารไม่ดีก็จะหมดอย่างรวดเร็ว ควรนำไปต่อยอดลงทุนให้งอกเงย ทำตัวให้เป็นนักลงทุนวัยเก๋า เพื่อให้เงินที่มีได้เพิ่มพูนในอนาคต
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40191
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นโอกาสใหม่ในการลงทุน แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดี เข้าใจเทคโนโลยี และลงทุนด้วยความระมัดระวัง
null
โอกาสทองในโลกดิจิทัล: เรื่องราวของนักลงทุนหนุ่มและสินทรัพย์ดิจิทัล ตัวละคร: กวิน: นักลงทุนหนุ่มไฟแรง วัย 25 ปี จบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์ มหาวิทยาลัยชั้นนำ ใฝ่ฝันอยากประสบความสำเร็จในวงการการเงิน เบล: เพื่อนสนิทของกวิน เรียนสายคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่เสมอ เรื่องราว: กวินและเบล นั่งคุยกันในร้านกาแฟ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการเงินในปัจจุบัน กวินรู้สึกกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนแบบดั้งเดิมไม่น่าพอใจ "เบล ว่าเธอมีวิธีไหนที่จะทำให้เงินของเราเติบโตเร็วๆ บ้างไหม?" กวินถามเบลด้วยความกังวล "ลองอ่านบทความนี้ดูสิ" เบลหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา ยื่นให้กวินดู "มันเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล อนาคตของการลงทุนเลยนะ" กวินอ่านบทความอย่างตั้งใจ รู้สึกสนใจกับคำว่า "สินทรัพย์ดิจิทัล" ขึ้นมา เขาไม่เคยลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้มาก่อน แต่เคยได้ยินเพื่อนๆ พูดถึงอยู่บ้าง "น่าสนใจมากเลยนะ" กวินพูด "แต่ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เลย ว่ามันคืออะไร ลงทุนยังไง เสี่ยงไหม?" "เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟัง" เบลเริ่มอธิบายเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัล และ NFT ให้กวินฟัง กวินตั้งใจฟังอย่างสนใจ ถามคำถามเบลอยู่บ่อยๆ "ฟังดูน่าสนใจดีนะ" กวินพูด "แต่ฉันก็ยังกลัวๆ อยู่ ว่ามันจะเสี่ยงเกินไปไหม" "ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงอยู่แล้ว" เบลพูด "แต่ถ้าเราศึกษาข้อมูลให้ดี เข้าใจเทคโนโลยี และลงทุนด้วยความระมัดระวัง เราก็สามารถลดความเสี่ยงลงได้" กวินตัดสินใจศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม เขาอ่านบทความ ดูวิดีโอ และเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์ที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น "โอเค ฉันคิดว่าฉันพร้อมที่จะลองลงทุนแล้ว" กวินพูดกับเบล กวินเปิดบัญชีกับเว็บไซต์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และเริ่มลงทุนด้วยจำนวนเงินน้อยๆ เขาเรียนรู้วิธีวิเคราะห์กราฟราคา ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญต่างๆ และกระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในเหรียญหลายๆ ตัว ในช่วงแรก กวินต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล บางครั้งราคาขึ้นสูง บางครั้งราคาลงต่ำ แต่เขาอดทนศึกษารู้สึกเรียนรู้ และไม่ขายทิ้ง เขาเชื่อมั่นว่าในระยะยาว สินทรัพย์ดิจิทัลมีศักยภาพที่จะเติบโต หลังจากผ่านไป 1 ปี เงินลงทุนของกวินเติบโตขึ้นอย่างมาก เขาสามารถทำกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้หลายเท่าตัว กวินรู้สึกดีใจกับความสำเร็จของเขา "ขอบคุณนะเบล ที่แนะนำให้ฉันรู้จักกับสินทรัพย์ดิจิทัล" กวินพูดกับเบล "ยินดีด้วยนะ" เบลพูด "ฉันดีใจที่เธอประสบความสำเร็จ"
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_21098
Medical
ยาคลอร์เฟนิรามีนเป็นยาแก้แพ้สีอะไร
1. สีเหลือง 2. สีแดง 3. สีขาว 4. สีเขียว
คำตอบที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า ยาคลอร์เฟนิรามีนเป็นยาแก้แพ้เม็ดเล็กๆ สีเหลือง ราคาไม่แพง ได้ผลดี
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_26904
Medical
ผู้ป่วยที่ผ่าตัดต้อกระจก สามารถอาบน้ำได้หลังผ่าตัดทันทีหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: แผลผ่าตัดต้อกระจก มักใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ในการสมานแผล การโดนน้ำโดยตรง อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดได้ คำแนะนำ: ควร งด อาบน้ำโดยตรง ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด สามารถใช้ ผ้าชุบน้ำ เช็ดทำความสะอาดร่างกายแทนการอาบน้ำ ระวัง อย่าให้น้ำ เข้าตาข้างที่ผ่าตัด สระผม โดยให้นอนหงาย ให้ผู้อื่นสระให้ ปิดตา ด้วยผ้าก๊อซ และฝาครอบตา while showering to prevent water from entering the eye. ผลที่ตามมา การติดเชื้อ ที่แผลผ่าตัด อาจทำให้เกิดอาการตาแดง บวม คัน เจ็บ และมีหนองไหล การอักเสบ ของแผลผ่าตัด อาจทำให้แผลหายช้า หรือเกิดแผลเป็น การติดเชื้อ ที่รุนแรง อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของดวงตา ข้อควรระวังเพิ่มเติม ห้าม ขยี้ตา หรือสัมผัสตาข้างที่ผ่าตัด ล้างมือ ให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้า หรือดวงตา สังเกต อาการผิดปกติ เช่น ตาแดง บวม คัน เจ็บ หรือมีหนองไหล รีบมาพบแพทย์ ทันที if you experience any unusual symptoms. สรุป: ผู้ป่วยที่ผ่าตัดต้อกระจก ควร งดอาบน้ำโดยตรง ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด ควร ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดร่างกายแทนการอาบน้ำ ควร ระวังอย่าให้น้ำเข้าตาข้างที่ผ่าตัด ควร ปิดตาด้วยผ้าก๊อซ และฝาครอบตา while showering. ควร ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_26775
Medical
คุณค่าทางโภชนาการของยำดอกแค มีอะไรบ้าง
null
คุณค่าทางโภชนาการของยำดอกแค เมื่อกินกับข้าวสวย 3 ทัพพี ให้พลังงานประมาณ 324 กิโลแคลอรี ให้ไขมันเพียง 1.9 กรัม จึงจัดว่าเป็นอาหารอีกสำรับหนึ่งที่ให้พลังงานและไขมันน้อย รวมทั้งเป็นแหล่งของโปรตีนที่ดี เนื่องจากให้โปรตีนประมาณร้อยละ 32 ของปริมาณที่แนะนำให้กินในหนึ่งวัน โดยโปรตีนส่วนใหญ่มาจากเนื้อสัตว์ ได้แก่ ปลาหมึก กุ้ง และเนื้อหมู ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีให้กรดอะมิโนที่ครบถ้วน อาหารจานนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนักตัว อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานตามปกติ เช่น 1,600 กิโลแคลอรีสำหรับเด็ก หญิงวัยทำงาน ผู้สูงอายุ หรือ 2,000 กิโลแคลอรี สำหรับวัยรุ่นและชายวัยทำงาน การกินอาหารจานนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน ควรกินอาหารประเภทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาจมีกับข้าวอื่นเพิ่มอีกสักอย่างหรือผลไม้ เป็นต้น เมื่อดูปริมาณใยอาหาร ยำดอกแคพร้อมข้าวสวย ให้ใยอาหารค่อนข้างน้อย คิดเป็นร้อยละ 6.4 ของปริมาณที่แนะนำให้กินต่อหนึ่งวันเท่านั้น (แนะนำ 25 กรัม ต่อวัน) ดังนั้นอาหารที่ควรเลือกกินเพิ่มเติมพร้อมกับอาหารจานนี้ หรือการกินอาหารในมื้อถัดไปควรให้มีใยอาหารมากขึ้น โดยการเลือกกินอาหารที่มีพืชผักเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งผลไม้ด้วย สำหรับปริมาณคอเลสเตอรอล อาหารจานนี้นับว่ามีปริมาณคอเลสเตอรอลไม่มากเกินไป คือคิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณที่แนะนำให้กินต่อวันเท่านั้น (แนะนำให้กินไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม)
โภชนวิทยา
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_40082
Finance
ช่วยสรุปเรื่อง "Machine Learning กับการลงทุนในโลกยุคปัจจุบัน" ให้หน่อยค่ะ
Machine Learning คือ การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากฐานข้อมูลที่มีอยู่เพื่อทำการแยกแยะ หาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ หรือ คาดการณ์ผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยกระบวนการเรียนรู้นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ 1. Supervised Learning กระบวนการเรียนรู้วิธีนี้คอมพิวเตอร์จะได้รับข้อมูล 2 ชุด ได้แก่ ชุดข้อมูลที่เป็น Input และ ชุดข้อมูลที่เป็น Output (ผลลัพธ์) โดยวัตถุประสงค์ของกระบวนการเรียนรู้แบบนี้นั้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์หากฎเกณฑ์หรือแบบจำลองที่จะเชื่อมข้อมูล Input ไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง 2. Unsupervised Learning กระบวนการเรียนรู้วิธีนี้คอมพิวเตอร์จะได้รับข้อมูลมาโดยที่ไม่ได้มีการแบ่งข้อมูลเป็น Input หรือ Output เหมือนในวิธีแรก แต่จะให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ที่จะหาโครงสร้างหรือรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลด้วยตนเองและมีความซับซ้อนในการสร้างระบบที่มากกว่าแบบแรก ในปัจจุบันกองทุนเริ่มมีการนำ Machine Learning หรือ AI เข้ามาช่วยในการบริหารพอร์ตการลงทุนมากขึ้น ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีวิธีการในการนำเครื่องมีเหล่านี้มาใช้ในส่วนต่างๆ ของการลงทุน เช่น ช่วยในการ คัดกรองหุ้นและจัดสรรน้ำหนักการลงทุนตามสภาวะตลาดในแบบต่างๆ เป็นต้น ถ้านักลงทุนสนใจลงทุนในกองทุนประเภทนี้ ควรจะต้องเข้าไปศึกษาในหนังสือชี้ชวนของกองทุนว่าได้มีการนำ Machine Learning ไปใช้ในรูปแบบใด ใช้ factor อะไรเข้ามาวิเคราะห์ และมีกระบวนการในการทำงานอย่างไร จะได้เข้าใจว่า Machine ตัวนี้มีการ Learning ในแบบใด เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน ถึงแม้ว่ากองทุนที่ใช้ Machine Learning ในปัจจุบันยังมีไม่มากนัก แต่คาดว่าในอนาคตจะเห็นการเติบโตของกองทุนประเภทนี้อย่างมาก ดังนั้นการเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนที่ใช้ Machine Learning จะเป็นประโยชน์และเพิ่มโอกาสในการลงทุนของนักลงทุนได้อย่างแน่นอน
Machine Learning คือ การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อแยกแยะ หาความสัมพันธ์ หรือคาดการณ์ผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. Supervised Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คอมพิวเตอร์รับข้อมูล 2 ชุด ได้แก่ Input และ Output เพื่อให้คอมพิวเตอร์หากฎเกณฑ์ที่จะเชื่อมข้อมูล Input ไปสู่ Output ที่เกิดขึ้น 2. Unsupervised Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่คอมพิวเตอร์รับข้อมูลโดยไม่ได้แบ่งข้อมูลเป็น Input หรือ Output แต่จะให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ที่จะหารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลด้วยตนเองและมีความซับซ้อนในการสร้างระบบ ในปัจจุบันกองทุนนำ Machine Learning เข้ามาช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนมากขึ้น ถ้านักลงทุนสนใจลงทุน ควรจะศึกษาในหนังสือชี้ชวนของกองทุนว่ามีการนำ Machine Learning ไปใช้ในรูปแบบใด ใช้ factor อะไรมาวิเคราะห์ และมีกระบวนการในการทำงานอย่างไร เพื่อสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน ดังนั้นการเริ่มศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนที่ใช้ Machine Learning จะเป็นประโยชน์และเพิ่มโอกาสในการลงทุนอย่างแน่นอน
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_42220
Finance
อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่มีเงินไม่พอใช้เมื่อเกษียณอายุ?
คำว่า “เกษียณ” เป็นเหมือนเทรนด์สินค้าการเงินที่สื่อการเงินหลายสำนักพร้อมใจกันโปรโมทอย่างคึกคัก โดยเสนอทั้งวิธีวางแผนและการลงทุนเพื่อการเกษียณ ไม่ว่าจะเปิดเฟซบุ๊กหรือกำลังดูซีรีส์ จะเห็นโฆษณาเรื่องการลงทุนเพื่อการเกษียณคั่นเป็นระยะแทบทุกวัน คนอายุยังไม่ถึง 50 อาจมองบน แล้วคิดว่าไกลตัวและน่าเบื่อ แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง มันจะเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว จากประสบการณ์ในแวดวงการเงินกว่า 10 ปีของผม ผมพบว่าสิ่งที่คนละเลยมากที่สุดคือเรื่องการวางแผนเกษียณ ขณะที่ฝั่งยุโรปมีการประท้วงเนื่องจากรัฐบาลประกาศให้คนเกษียณอายุช้าไปอีก 5 ปี คือแทนที่จะเกษียณที่อายุ 60 ก็ขยายเป็น 65 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าจะขยับอายุการเกษียณออกไปอีก เนื่องจากรัฐไม่สามารถจ่ายสวัสดิการได้ทัน ขณะเดียวกัน เมื่อมองกลับมาที่ตัวคนใกล้เกษียณเอง ก็มีเงินเก็บเพื่อการเกษียณของตัวเองไม่มากพอ ปัญหาเกือบ 100% ที่พบเจอในเคสเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในช่วงที่เรียกว่า Transferring และ Landing Stage ซึ่งหมายถึงช่วงของการ “ถ่ายโอน” เงินจากฝั่งทำงานหรือธุรกิจที่ใช้ความสามารถของตัวเอง ไปสู่ฝั่งค่าใช้จ่ายส่วนตัวและครอบครัว แล้วส่งผลกระทบแบบโดมิโน่ (Domino) ในระยะยาวไปถึงช่วงหยุดทำงานเมื่อเกษียณอายุ พูดง่ายๆ คือจุดตัด หรือ Turning Point ของชีวิตบั้นปลาย คือจุด Transferring Stage การล้มแบบโดมิโน่ในบัญชีเงินเก็บ ซึ่งส่งผลไปถึงการมีเงินไม่พอใช้เมื่อขาดรายได้ในวัยเกษียณของคนส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นจากการ “ถอน” โดยตรงจากบัญชีเงินเดือนหรือบัญชีธุรกิจส่วนตัว แล้วนำไปใช้จ่าย พูดง่ายๆ คือไม่มีกระเป๋าที่สองไว้เก็บ เงินเข้าหมื่น ถอนหมื่น ถ้าเหลือ ก็ค้างไว้ในกระเป๋าใบเดิม ไม่ได้จัดเก็บให้เป็นระบบ ไม่ได้บริหารต่อให้งอกเงย การวางแผนเกษียณเริ่มต้นง่ายๆ ครับด้วยการทำ “สองบัญชี” บัญชีแรกคือบัญชีรายได้เข้า ทั้งจากเงินเดือนสำหรับพนักงานประจำ หรือเงินจากธุรกิจส่วนตัวสำหรับผู้ประกอบการ บัญชีที่สองคือบัญชีเพื่อการวางแผน เปิดไว้เพื่อออมเงินและลงทุนทางการเงิน ดังนั้นแทนที่จะถอนออกมาใช้จ่ายโดยตรงเมื่อมีเงินเข้า ก็เปลี่ยนเป็นการโอนตามสัดส่วนที่วางเป้าหมายทางการเงินไว้ เพื่อให้เงินที่ย้ายไปยังกระเป๋าที่สองหรือบัญชีที่สองทำงาน และเติบโตงอกเงยเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าใครก็ทำได้ครับ และทุกคนที่มีรายได้ควรบริหารการเงินง่ายๆ ของตัวเองในลักษณะนี้ ถ้าเป็นพนักงานประจำ ยิ่งทำงาน มีอายุงานมาก มีความรับผิดชอบมาก ยิ่งต้องวางแผนโอนเงินออกมาทำเงินให้โตเท่าๆ กับรายได้ที่ได้รับตอนยังไม่เกษียณ เพื่อคงไว้ซึ่งมาตรฐานชีวิตพื้นฐานไม่ให้ต่ำกว่าเดิม พร้อมทั้งปกป้อง รักษา และทำให้เติบโตไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายของชีวิต ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ การส่งต่อธุรกิจให้ทายาทในยุคปัจจุบันอาจไม่ราบรื่นเหมือนเคย เพราะคนใน Gen X Y Z มีข้อมูลใหม่ๆ ด้านธุรกิจมากมาย จำนวนไม่น้อยมีแพสชั่นในการสร้างธุรกิจของตัวเอง ทำให้คนรุ่นพ่อซึ่งบุกเบิกและทุ่มเทก่อร่างสร้างธุรกิจ จนขยายและต่อยอดออกไปกว้างไกลเพื่อจะส่งต่อให้ลูกนั้น อาจเกิดการสะดุดในช่วง Transferring Stage คนกลุ่มนี้ต้องจัดสัดส่วนเงินที่เป็นกำไรอันเกิดจากการทำธุรกิจ ถ่ายโอนออกมาบริหารเงินให้เติบโตในตลาดการเงิน แทนที่จะนำกำไรทั้งหมดไปต่อยอดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ไม่ให้กลายเป็นยิ่งขยายยิ่งรวย แต่ยิ่งขยายก็ยิ่งยุ่ง จนเข้าสำนวนที่ว่า “ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้” กรณี Landing ของเจ้าของธุรกิจที่มีทายาทสานต่อธุรกิจ ควรแบ่งสรรปันส่วนสินทรัพย์ทั้งในธุรกิจและมรดกสินทรัพย์อื่นๆ ให้เรียบร้อยลงตัว ยุติธรรม และมีเหตุผล ไม่ควรแบ่งด้วยอารมณ์ห่วงคนนั้นหรือรักคนนี้มากกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและฟ้องร้องกันจนกลายเป็นศึกสายเลือด การ landing ของต้นตระกูลแล้วส่งต่อให้กัปตันคนใหม่นำเครื่องทะยานต่อไปให้ไกลกว่าเดิม อาจกลายเป็นล้อไม่กาง ยางแตก ไฟลุกท่วม จนเป็นมรดกเลือดทิ้งไว้แทนก็เป็นได้ เมื่อมองในมุมนี้ ธุรกิจที่ไม่มีทายาทสานต่ออาจแลนดิ้งได้ง่ายกว่า อย่างไรก็ตาม การบริหารธุรกิจให้ปิดลงด้วยมูลค่าที่เหมาะสมกับความทุ่มเท เป็นเรื่องที่ต้องใช้การวางแผนที่ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งความคิดของเจ้าของที่มีต่อมูลค่าในใจ กับมูลค่าที่เหมาะสมในความเป็นไปได้ ซึ่งมักไม่ค่อยสอดคล้องกัน แต่หากเราได้กระจายเงินกำไรมาสร้างกระแสเงินสดที่สามารถเติบโต และสร้างเป็นรายได้ให้เราโดยไม่ต้องออกแรงตั้งแต่ต้นแล้ว การลงจากหลังเสือย่อมราบรื่นไร้รอยขีดข่วนอย่างแน่นอน การวางแผนเกษียณเพื่อแลนดิ้งอย่างนุ่มนวลควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพราะการหาเงินได้มากไม่สำคัญเท่าความสามารถที่จะ “ปกป้องและรักษา” เงินให้หล่อเลี้ยงเราได้ตลอดชีวิตที่เหลือ และมีพอที่จะส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า…เท่านั้นเอง
สาเหตุหลักแบ่งได้ดังนี้: 1. ไม่มีการวางแผนการเงิน: -คนส่วนใหญ่ไม่ได้วางแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุ -ไม่ได้แยกบัญชีเงินเดือนออกจากบัญชีออม -ไม่ได้กำหนดเป้าหมายการออม -ไม่ได้ศึกษาและลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม 2. การใช้จ่ายเกินตัว: -ใช้จ่ายเงินมากกว่าที่หาได้ -ไม่เก็บออม -ชอบซื้อของฟุ่มเฟือย -มีหนี้สินจำนวนมาก 3. ขาดความรู้ทางการเงิน: -ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงิน -ไม่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน -ไม่รู้วิธีการลงทุน 4. เหตุการณ์ไม่คาดฝัน: -เจ็บป่วย -เสียงาน -ประสบอุบัติเหตุ -ธุรกิจล้มละลาย ผลลัพธ์: -เมื่อถึงวัยเกษียณอายุ จะไม่มีเงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่าย -ต้องพึ่งพาเงินจากลูกหลาน -ต้องกลับมาทำงานต่อ -ต้องลดคุณภาพชีวิต แนวทางแก้ไข: -วางแผนการเงินตั้งแต่อายุน้อย -แยกบัญชีเงินเดือนออกจากบัญชีออม -กำหนดเป้าหมายการออม -ศึกษาและลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม -ใช้จ่ายเงินอย่างมีสติ เก็บออม ลดหนี้สิน -ศึกษาหาความรู้ทางการเงิน -เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24586
Medical
"อัมพาต โรคหัวใจ ป้องกันได้" อะไรคือ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ?
1. พันธุกรรม 2. โรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง 3. อายุที่มากขึ้น 4. พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
คำตอบคือ 2. เพราะว่า : 1. โรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เหตุผล:บทวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ คือ "โรคประจำตัว" ประกอบไปด้วย - โรคความดันโลหิตสูง - โรคเบาหวาน - โรคไขมันในเลือดสูง - ตัวเลือกอื่นๆ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ แต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก 2. พันธุกรรม: แม้ว่าพันธุกรรมจะมีบทบาทในการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก เพราะบุคคลที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม แต่ดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสป้องกันโรคนี้ได้ 3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต: พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก เพราะบุคคลที่ไม่มีโรคประจำตัว แต่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี ก็มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้น้อย 4. อายุที่มากขึ้น: อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก เพราะบุคคลที่มีอายุน้อย แต่มีโรคประจำตัว ก็มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้ ดังนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งและตีบ คือ "โรคประจำตัว"
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43684
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นโดยมีข้อคิดว่า...นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ
null
เกมพลิกผันในตลาดการเงิน ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุของเดือนพฤษภาคม วายุ หนุ่มนักลงทุนวัย 28 ปี กำลังนั่งจิบกาแฟยามบ่ายในร้านโปรด สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างใจจดใจจ่อ กราฟราคาหุ้นในตลาดการเงินผันผวนอย่างรุนแรง เหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เริ่มต้นจากเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก วายุถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหตุการณ์นี้ช่างคุ้นเคย เขาเคยผ่านประสบการณ์ Government Shutdown อันเลวร้ายในสมัยประธานาธิบดีโอบามา มาแล้ว ครั้งนั้นตลาดการเงินตกต่ำอย่างหนัก นักลงทุนสูญเสียเงินเป็นจำนวนมหาศาล "ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร?" วายุครุ่นคิด เขาลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ข่าวบนหน้าหนึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ และการเงิน วายุอ่านอย่างตั้งใจ พยายามวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ "ดูเหมือนว่าความเสี่ยงในตลาดจะเพิ่มสูงขึ้น" วายุพึมพำกับตัวเอง เขาตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุน ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง เน้นไปที่ตราสารหนี้และตลาดเงินมากขึ้น "ช่วงนี้ต้องตั้งรับไว้ก่อน" วายุคิด ในขณะเดียวกัน ข่าวการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยก็สร้างความฮือฮา วายุติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ผลการเลือกตั้งที่ออกมาชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ "นี่อาจจะเป็นโอกาสใหม่" วายุคิด เขากลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง ตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย เน้นไปที่กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ "ประเทศไทยกำลังจะเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวจะกลับมา เศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น" วายุวิเคราะห์ เดือนมิถุนายนมาถึง วายุเข้าร่วมประชุมนักลงทุน ฟังบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หลายคนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ "นี่จะเป็นความท้าทายใหม่สำหรับนักลงทุน" วายุคิด เขากลับมาทบทวนกลยุทธ์การลงทุนอีกครั้ง มุ่งเน้นไปที่การกระจายความเสี่ยง ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท "โลกของการเงินเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่เสมอ" วายุคิด
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_43646
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....วิกฤตทุกครั้ง ล้วนแฝงโอกาสไว้เสมอ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่จะกลัว กลัวที่จะลงทุน กลัวที่จะสูญเสีย นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะกล้าที่จะลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน และเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
null
แ ดาวน์เกรดสหรัฐฯ: โอกาสท่ามกลางความไม่แน่นอน ณ ห้องทำงานใจกลางกรุงเทพ "คุณชลวิทย์ครับ Fitch ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงแล้วครับ" เสียงของธานิน ทีมนักวิเคราะห์การลงทุน เอ่ยขึ้น ชลวิทย์ นักลงทุนรุ่นเก๋า ถอนหายใจ พลางเอ่ยว่า "ไม่น่าเชื่อ... สหรัฐอเมริกา เคยเป็นประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก ดาวน์เกรดครั้งนี้ คงส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลกแน่ๆ" "ใช่ครับคุณชลวิทย์ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงทันทีหลังมีข่าวนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนี Dow Jones ร่วงลงกว่า 1%" ธานินรายงานต่อ ชลวิทย์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า "ธานิน เตรียมพอร์ตของฉันหน่อยสิ ฉันอยากหาโอกาสลงทุนในช่วงนี้" "แต่คุณชลวิทย์ ตลาดกำลังผันผวนหนักขนาดนี้ ลงทุนตอนนี้ไม่เสี่ยงเหรอครับ?" ธานินถามด้วยความกังวล ชลวิทย์ยิ้ม "ธานิน ลืมคำสอนของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไปแล้วเหรอ 'จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกลัว' ตอนนี้ตลาดกำลังตื่นกลัว นั่นคือโอกาสของเรา!" "แต่ว่า..." ธานินยังลังเล ชลวิทย์เอ่ยต่อ "ธานิน ฉันลงทุนในตลาดมานานกว่า 30 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายวิกฤต สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจความเสี่ยง และบริหารความเสี่ยงให้ดี อย่ากลัวที่จะลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน แต่ต้องเลือกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว" "ครับคุณชลวิทย์" ธานินรับคำสั่ง ชลวิทย์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองดูวิวเมืองกรุงเทพยามค่ำคืน "ธานิน จำไว้ว่า วิกฤตทุกครั้ง ล้วนแฝงโอกาสไว้เสมอ หน้าที่ของเราคือ ต้องค้นหาโอกาสเหล่านั้นให้เจอ" หลายสัปดาห์ต่อมา ชลวิทย์นั่งดูผลตอบแทนของพอร์ตลงทุน ยิ้มด้วยความพึงพอใจ "ธานิน พอร์ตของฉันทำผลงานได้ดีนะ หุ้นที่เราซื้อตอนตลาดผันผวน ล้วนปรับตัวขึ้นอย่างมาก" "ครับคุณชลวิทย์ พอร์ตของเราทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดถึง 5%" ธานินรายงาน ชลวิทย์พยักหน้า "ผมบอกแล้วไง ว่าวิกฤตทุกครั้ง ล้วนแฝงโอกาสไว้เสมอ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่จะกลัว กลัวที่จะลงทุน กลัวที่จะสูญเสีย แต่เราต่างจากพวกเขา เราเลือกที่จะลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน และเลือกสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ "ครับคุณชลวิทย์" ธานินตอบ ชลวิทย์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง มองดูวิวเมืองกรุงเทพยามค่ำคืนอีกครั้ง "ธานิน จำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน"
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_45683
Legal
ใครเป็นผู้มีอำนาจในการออกใบอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร?
(ก) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (ข) กระทรวงการคลัง (ค) สำนักงานคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร (ง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คำตอบคือ (ก) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เนื่องจาก เหตุผล: (ก) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตให้ทำการเรี่ยไรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร according to มาตรา 4 of พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 (ข) กระทรวงการคลัง ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตให้ทำการเรี่ยไร (ค) สำนักงานคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร มีหน้าที่กำกับดูแลการเรี่ยไร แต่ไม่มีอำนาจออกใบอนุญาต (ง) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตให้ทำการเรี่ยไร คำตอบที่ถูกต้อง: (ก) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เหตุผล: ตาม มาตรา 4 of พ.ร.บ. ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487 ระบุไว้ว่า "ผู้ใดประสงค์จะเรี่ยไรในที่สาธารณะ หนังสือพิมพ์ หรือวิทยุโทรทัศน์ ในท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เว้นแต่การเรี่ยไรตามมาตรา 6 ให้ขออนุญาตจากกรมการปกครอง" ข้อควรระวัง: การเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 17) ผู้รับใบอนุญาตต้องมีใบอนุญาตติดตัว และแสดงต่อเจ้าหน้าที่เมื่อขอตรวจดู (มาตรา 12) เงินหรือทรัพย์สินที่เรี่ยไรได้ ห้ามนำไปใช้จ่ายในกิจการอื่น นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่แสดงไว้ (มาตรา 14)
ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ,กฎหมายปกครอง(วิธีปฏิบัติราชการ-จัดตั้งและพิจารณาคดีของศาลปกครอง),ความรู้พื้นฐานกฏหมาย
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_40272
Finance
ใครสามารถเป็นผู้รับประโยชน์ประกันชีวิตได้บ้าง
null
1. กลุ่มคู่รัก (สามีภรรยา คู่รักเพศเดียวกัน คู่หมั้น แฟน) สามีภรรยาหรือคู่แต่งงานสามารถระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมาย จะต้องแสดงเอกสารหรือทำหนังสือรับรองความสัมพันธ์ระหว่างผู้ทำประกันและผู้รับประโยชน์ให้กับบริษัทประกัน คู่รักเพศเดียวกันก็สามารถระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้โดยจะต้องมีการแสดงหลักฐานเพิ่มเติม หรือมีเงื่อนไขบางอย่าง เช่น หนังสือหรือจดหมายรับรองความสัมพันธ์คู่ชีวิต หรือ ให้ทำประกันทั้งคู่แล้วยกผลประโยชน์ให้แก่กันและกัน ส่วนคนที่เป็นคู่หมั้นหรือแฟน ก็สามารถระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ควรเช็กกับบริษัทประกันอีกครั้ง หากบริษัทประกันยินยอมในส่วนนี้ก็สามารถทำได้ 2. กลุ่มสมาชิกในครอบครัว (ตนเอง ญาติ บุตรบุญธรรม) ผู้ทำประกันสามารถระบุตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ได้ ทั้งนี้ควรพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มด้วย เช่น อายุ ณ วันที่ทำประกัน อายุของกรมธรรม์ วันสิ้นสุดของกรมธรรม์ อาชีพ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นที่อาจส่งผลต่อผู้ทำประกันภัย เป็นต้น เพื่อให้สามารถอยู่รับผลประโยชน์ตามที่ระบุ ส่วนลูกมีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสามารถระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้โดยตรง บุตรบุญธรรม แม้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดก็สามารถระบุเป็นผู้รับประโยชน์ได้เช่นกัน โดยจะต้องมีการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฏหมาย ส่วนญาติในที่นี้หมายถึง ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ฯลฯ มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ถือว่าเป็นผู้รับประโยชน์ลำดับรองจากคู่สมรสและบุตร 3. กลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ หมายถึงบุคคลที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ถ้าผู้ทำประกันเสียชีวิตจะกระทบกับธุรกิจได้ ซึ่งความสัมพันธ์นี้ แบ่งออกเป็น 3.1 หุ้นส่วนทางธุรกิจ : หากผู้ทำประกันเสียชีวิต ธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบหรืออาจจะต้องปิดกิจการ จึงสามารถระบุหุ้นส่วน หรือบุคคลในธุรกิจเป็นผู้รับประโยชน์ได้ ทางกฏหมายเรียกว่าเป็นการเอาประกันชีวิตซึ่งกันและกัน 3.2 เจ้าหนี้กับลูกหนี้ : หากลูกหนี้เสียชีวิต เจ้าหนี้ก็จะได้รับผลกระทบ ทายาทที่รับมรดกต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่ไม่เกินทรัพย์มรดกที่ได้รับ ดังนั้น เจ้าหนี้จึงสามารถเป็นผู้รับประโยชน์โดยการเอาประกันชีวิตลูกหนี้ได้ ในทางกลับกันหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลูกหนี้จะไม่ได้มีส่วนได้เสียใดๆ ลูกหนี้จึงไม่สามารถเป็นผู้รับประโยชน์จากประกันชีวิตได้ 3.3 นายจ้างกับลูกจ้าง : หากนายจ้างเสียชีวิต ลูกจ้างอาจได้รับผลกระทบทางการเงินเนื่องจากไม่มีใครจ่ายเงินเดือน หรือธุรกิจนั้นต้องปิดตัวลง อีกกรณีคือหากลูกจ้างที่เป็นหัวใจสำคัญหรือผู้บริหารคนสำคัญเสียชีวิต นายจ้างก็ได้รับผลกระทบเช่นกันเนื่องจากขาดคนมาทำงาน เรียกได้ว่ามีส่วนได้เสียกันที่จะเอาประกันภัยได้ 4. กลุ่มองค์กรการกุศล สภากาชาด วัด แม้องค์กรการกุศลจะไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย แต่ก็สามารถระบุชื่อผู้รับประโยชน์ได้ เพราะผู้ทำประกันบางคนอาจเป็นคนชอบทำบุญ ไม่มีญาติพี่น้อง หรือไม่ได้มีบุคคลที่อยากให้เป็นผู้รับผลประโยชน์ จึงมอบผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ให้กับวัด สภากาชาด หรือ องค์กรการกุศล
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1378
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง หุ้นเปิดเมือง ให้หน่อยค่ะ
หุ้นเปิดเมือง ​ สัปดาห์ก่อนนายกรัฐมนตรีได้ประกาศ “เปิดประเทศ” ให้ชาวต่างชาติที่มาจากประเทศที่มี “ความเสี่ยงต่ำ” และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว สามารถเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป ข่าวนี้ทำให้วันรุ่งขึ้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 10 จุด แม้ว่าจะไม่มาก แต่เมื่อคำนึงถึงว่าดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศในวันนั้นต่างก็ไม่ดีนักก็ต้องถือว่านั่นเป็น “ข่าวดี” ที่ประชาชนและนักลงทุนต่างก็ตื่นเต้นที่คาดว่าภายในช่วงสิ้นปีนี้การท่องเที่ยวจะดีขึ้นมาก และนั่นก็จะหมายถึงว่าเศรษฐกิจโดยรวมก็น่าจะเริ่มฟื้นตัวและจะดีขึ้นอีกมากในปีต่อไป ราคาของหุ้นโดยรวมจึงปรับตัวขึ้น และหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยตรงทั้งจากต่างประเทศและในประเทศก็ปรับตัวขึ้นไปมากยิ่งกว่า นักวิเคราะห์และ “นักเก็งกำไร” ซึ่งมีเพิ่มขึ้นมากในช่วงโควิดต่างก็แนะนำให้ซื้อหุ้นและเข้าซื้อหุ้นโดยเฉพาะที่จะได้รับผลดีจากการเปิดเมืองโดยตรง ยิ่งได้ผลดีมากเท่าไร ก็น่าซื้อมากขึ้นเท่านั้น แต่ผมเองกลับมีความรู้สึกว่านี่อาจจะเป็น “ความเสี่ยง” ที่จะซื้อหุ้นแพงที่เกิดจากแรงกระตุ้นของการเก็งกำไรและการมองโลกในแง่ที่ดีเกินไป ประเด็นของผมก็คือ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจนั้น อาจจะดีขึ้นเร็วในช่วงแรก อาจจะซัก 1 ปี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจาก “Pent-Up Demand” หรือความต้องการที่เพิ่มขึ้นแรงทันทีเพราะกิจกรรมถูก “อั้นไว้” ไม่สามารถทำได้มานาน แต่เมื่อได้ทำแล้ว หลังจากนั้นความต้องการก็จะกลับสู่ภาวะปกติซึ่งก็อาจจะเติบโตช้าลงมากในปีต่อ ๆ ไปซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ประชาชนมีหนี้สินมากขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น คนแก่ตัวลง และอาจจะบริโภคสิ่งที่เคยบริโภคบางอย่างน้อยลงเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงเกือบ 2 ปีของการระบาดของโควิด-19 ทั้งหมดนั้นทำให้การเติบโตในระยะยาวซัก 3-4 ปีจากนี้อาจจะค่อนข้างต่ำ ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้มากนัก และนั่นก็นำไปสู่มูลค่าหุ้นของกิจการที่จะ “ไปไม่ไกล” จากระดับที่เคยสูงสุดก่อนหน้าที่จะเกิดโควิดระบาดเมื่อสิ้นปี 2562 ลองมาดูหุ้นที่น่าสนใจในแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะที่มีราคาเพิ่มขึ้นแรงเพราะผลของการประกาศเปิดเมือง โดย “กรอบความคิด” ของผมก็คือ ผมมีความเชื่อว่าโควิด-19 นั้น ได้ทำลายหรือทำร้ายเศรษฐกิจไทยค่อนข้างรุนแรงและเกิดขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแอและอาจจะกำลังอิ่มตัวเนื่องจากโครงสร้างประชากรที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วประกอบกับการที่ระบบการปกครองและโครงสร้างของสังคมไทยมีปัญหาค่อนข้างมากซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้อีกมากอย่างที่เคยเป็นและอาจจะกลายเป็นสังคมที่ “ติดกับดักรายได้ปานกลาง” ไปอีกนาน ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ราคาหุ้นที่อาจจะนิ่งเป็น “Sideways” ไปอีกนานหลังจากที่ปรับตัวขึ้นไปจนถึงระดับเมื่อก่อนสิ้นปี 2562 แล้ว หุ้นตัวแรกคือหุ้นสนามบินซึ่งมีแค่ตัวเดียวก็คือ AOT และราคาปรับตัวขึ้นไปแรงมากในวันแรกหลังประกาศ อาจจะเพราะการบินที่จะเปิดขึ้นรับกับการท่องเที่ยวที่ต้องใช้บริการของบริษัทอย่างแน่นอน นั่นทำให้นักลงทุนต่างก็เห็นว่าจะได้ประโยชน์เต็มที่จึงเข้ามาแย่งซื้อกันมากมายจนมูลค่าหุ้นนั้นใกล้เคียงกับราคาเมื่อสิ้นปี 2562 ที่เป็นจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามการคาดการณ์ของคนที่อยู่ในวงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยแค่ประมาณ 10 ล้านคนในปี 2565 และกว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนเท่ากับปี 2562 ก็คงจะใช้เวลาอีกไม่น่าจะน้อยกว่า 3 ปีในปี 2567 ดังนั้น ราคาหุ้นที่เป็นอยู่ของ AOT จึงเป็นการมอง “ล่วงหน้า” ไปไกลมากว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเมืองไทยอย่างแน่นอนและจะยังเติบโตต่อไปจนเกิน 40 ล้านคนอีกมาก เป็นหุ้นที่จะโตเร็วมากและค่า PE ของหุ้นที่สูงระดับ 40 เท่ามาตลอดก็เป็นตัวสะท้อนความเชื่อนั้น หุ้นตัวต่อไปที่เกี่ยวข้องโดยตรงชัดเจนก็คือการบิน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้ประโยชน์เท่ากับสนามบินเพราะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่มูลค่าหุ้นปัจจุบันนั้นกลับสูงกว่าสิ้นปี 2562 ไปมากแล้ว แต่ยังต่ำกว่าปี 60 และ 61 ซึ่งเป็น “ปีทอง” อยู่มาก ถ้ามองจากมุมนี้ก็หมายความว่าโควิด-19 อาจจะเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัทในแง่ที่ว่ามันอาจจะ “ทำลายคู่แข่ง” ไปมากกว่ามาก และดังนั้น หุ้นที่ยังอยู่ก็จะได้ประโยชน์และพร้อมที่จะโตต่อไปหลังจากเปิดเมืองแล้ว นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ หุ้นกลุ่มโรงแรมและ/หรืออาหาร นี่คือกลุ่มที่เจ็บหนักมากรอง ๆ จากสองกลุ่มแรกและกว่าที่จะกลับมาทำกำไรเท่าเดิมหลังจากโควิดคงจะใช้เวลายาวนานกว่าเนื่องจากมีการแข่งขันสูงมาก โดยปกติ กว่าที่ Occupancy Rate หรืออัตราการใช้ห้องพักจะคุ้มทุนก็น่าจะอยู่ระดับ 50-60% ขึ้นไปในโรงแรมแต่ละแห่ง ดังนั้น กว่าลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติจะกลับมามากพอก็คงกินเวลาหลายปี นั่นแปลว่าโรงแรมอาจจะขาดทุนต่อไปอีกหลายปีหลังจากที่ขาดทุนหนักมากมาเกือบ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ามูลค่าหุ้นของโรงแรมส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกกระทบอะไรมาก ว่าที่จริงหุ้นโรงแรมส่วนใหญ่ตอนนี้มีมูลค่ามากกว่าก่อนเกิดโควิดเมื่อสิ้นปี 2562 ไปแล้ว ดูเหมือนว่านักลงทุนจะคิดว่าหุ้นโรงแรมนั้นได้ประโยชน์จากการเกิดโควิด-19 ด้วยซ้ำและแม้ว่าจะขาดทุนติดต่อกันหลายปีและผลขาดทุนมหาศาลพร้อม ๆ กับหนี้ก้อนใหญ่มากจนรับแทบไม่ไหว นักลงทุนก็ “รอได้” พวกเขาคิดว่าทรัพย์สินที่มีอยู่นั้น ในที่สุดก็จะสร้างผลกำไรที่สูงมาก เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศไทยอย่างไรเสียก็คงเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลก ดังนั้น โรงแรมจึงมีค่ามากกว่าปกติ หุ้นห้างหรือพวกช็อปปิ้งมอลรวมทั้งโรงภาพยนตร์ที่ถูกกระทบหนักเพราะต้องปิดไปหลายช่วงเวลา เมื่อมีการประกาศเปิดเมืองนั้น วันแรก ๆ ห้างก็แทบจะ “ระเบิด” เพราะคน “อัดอั้น” ที่ต้องอยู่กับบ้านมานาน และคนไทยซึ่งมองห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและจับจ่ายใช้สอยและต้องไปแทบจะทุกสัปดาห์จึงต่างก็แห่กันไปใช้บริการ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของหุ้นแม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงระดับก่อนโควิดในปี 2562 และยังต่ำกว่ามูลค่าห้างในปี 2561 และ 2560 ที่เป็นปีที่น่าจะสูงสุดอยู่มาก ดังนั้น เหตุผลที่มูลค่าห้างมีราคาที่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะมีการเปิดห้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จน “ล้น” ในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดโควิด-19 โควิดทำให้เศรษฐกิจของห้างแย่ลงไปอีกเพราะห้างถูกปิดและคนเข้าห้างน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น การค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซที่เฟื่องฟูขึ้นมากเนื่องจากโควิดก็ยังน่าจะทำให้การค้าขายผ่านห้างแย่ลงในระยะยาว ดังนั้น แม้ว่าในที่สุดโควิดก็จะหมดไป แต่ห้างก็อาจจะไม่ดีเท่าเดิมได้ ดังนั้น มูลค่าหุ้นห้างจึงไม่ได้ปรับตัวดีเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ร้านค้าขายสินค้าจำเป็นเช่นอาหารหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านทั้งที่เป็นแนวร้านใหญ่และสะดวกซื้อนั้น มองในแง่พื้นฐานระยะยาวแล้วน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย การเกิดโควิด-19 นั้น ทำให้การเดินทางลดลงไปมาก ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะขายได้น้อยลงมาก แต่เมื่อโควิดจบ และคนเดินทางเป็นปกติ ยอดขายก็น่าจะกลับมา อาจจะขาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปบ้างเพราะจำนวนยังไม่เท่าเดิมแต่ก็ไม่น่าจะมากนักเมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ในส่วนของร้านใหญ่เองนั้น ผลกระทบต่อยอดขายและกำไรก็อาจจะไม่มากเลย เพราะมันเป็นสินค้าจำเป็นที่ยังไงคนต้องกินต้องใช้ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงไปก็อาจจะทำให้มีการใช้จ่ายลดลงบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมากนัก เพราะคนจะงดใช้สินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่า ดังนั้น ทั้งสองกลุ่มนั้น เมื่อโควิด-19 สงบลงและมีการเปิดเมืองแล้ว ยอดขายก็คงจะกลับมาเท่าของเดิมก่อนสิ้นปี 2562 ได้ในเวลาไม่นานและดังนั้นมูลค่าหุ้นก็คงจะกลับไปที่เดิมได้ ว่าที่จริงหุ้นห้างขนาดใหญ่นั้นมีมูลค่าหุ้นสูงขึ้นตั้งแต่เกิดโควิดและปัจจุบันสูงกว่าปี 2562 ไปมากแล้ว โควิดก่อให้เกิดผลดีต่อห้างขนาดใหญ่มาก นิคมอุตสาหกรรมและการก่อสร้างเองนั้น มูลค่าหุ้นบางบริษัทก็ได้ปรับตัวขึ้นไปมากและสูงกว่าก่อนปีโควิดแล้ว โดยเหตุผลที่ถูกนำมาใช้ก็คือ จะมีคนมาลงทุนมากขึ้นหลังจากที่ต้องหยุดไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม การลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยเองนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยจะสดใสนักเพราะประเทศไทยดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย เป็นต้น ดังนั้น การที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสู่จุดที่สูงสุดก่อนโควิดจึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่ามันจะไปต่อได้แค่ไหนถ้าอุตสาหกรรมการผลิตโดยเฉพาะการส่งออกอิ่มตัวไปแล้ว สุดท้ายก็คือ แม้แต่หุ้นเล็ก ๆ เช่นหุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้น ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด สุดท้ายก็คือ แม้แต่หุ้นเล็ก ๆ เช่นหุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนั้น ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ:
การประกาศเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติที่มาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบถ้วนแล้ว สามารถเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นเร็วในช่วงแรก อาจจะซัก 1 ปี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจาก “Pent-Up Demand” หรือ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นแรงทันที เพราะกิจกรรมถูกอั้นไว้ไม่สามารถทำได้มานาน แต่เมื่อได้ทำแล้ว หลังจากนั้นความต้องการก็จะกลับสู่ภาวะปกติซึ่งก็อาจจะเติบโตช้าลงมากในปีต่อ ๆ ไปซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ประชาชนมีหนี้สินมากขึ้น รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น คนแก่ตัวลง และอาจจะบริโภคสิ่งที่เคยบริโภคบางอย่างน้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงเกือบ 2 ปีของการระบาดของโควิด-19 ทำให้การเติบโตในระยะยาวอาจจะค่อนข้างต่ำ ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากไม่สามารถเติบโตได้มากนัก และนั่นก็นำไปสู่มูลค่าหุ้นของกิจการที่จะไปไม่ไกลจากระดับที่เคยสูงสุดก่อนหน้าที่จะเกิดโควิดระบาดเมื่อสิ้นปี 2562 หุ้นตัวแรกคือ หุ้นสนามบิน ซึ่งมีแค่ตัวเดียวก็คือ AOT อาจจะเพราะการบินที่จะเปิดขึ้นรับกับการท่องเที่ยวที่ต้องใช้บริการของบริษัทอย่างแน่นอน ทำให้นักลงทุนต่างเห็นว่าจะได้ประโยชน์เต็มที่จึงเข้ามาแย่งซื้อกันมากมายจนมูลค่าหุ้นนั้นใกล้เคียงกับราคาเมื่อสิ้นปี 2562 ที่เป็นจุดสูงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าดูตามการคาดการณ์ของคนที่อยู่ในวงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยแค่ประมาณ 10 ล้านคนในปี 2565 และกว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคนเท่ากับปี 2562 ก็คงจะใช้เวลาอีกไม่น่าจะน้อยกว่า 3 ปีในปี 2567 ดังนั้น ราคาหุ้นที่เป็นอยู่ของ AOT จึงเป็นการมองล่วงหน้าไปไกลมากว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเมืองไทยอย่างแน่นอนและจะยังเติบโตต่อไปจนเกิน 40 ล้านคนอีกมาก เป็นหุ้นที่จะโตเร็วมากและค่า PE ของหุ้นที่สูงระดับ 40 เท่ามาตลอดก็เป็นตัวสะท้อนความเชื่อนั้น หุ้นตัวต่อไปที่เกี่ยวข้องโดยตรงชัดเจนก็คือ การบิน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์เท่ากับสนามบิน เพราะมีคู่แข่งจำนวนมาก แต่มูลค่าหุ้นกลับสูงกว่าสิ้นปี 2562 ไปมาก แต่ยังต่ำกว่าปี 60 และ 61 ซึ่งเป็นปีทองอยู่มาก หมายความว่าโควิด-19 อาจจะเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัทในแง่ที่ว่าอาจจะทำลายคู่แข่งไปมากกว่ามาก และดังนั้น หุ้นที่ยังอยู่ก็จะได้ประโยชน์และพร้อมที่จะโตต่อไปหลังจากเปิดเมืองแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ หุ้นกลุ่มโรงแรมและอาหาร คือกลุ่มที่เจ็บหนักมากรอง ๆ จากสองกลุ่มแรกและกว่าที่จะกลับมาทำกำไรเท่าเดิมหลังจากโควิดคงจะใช้เวลายาวนานกว่า เนื่องจากมีการแข่งขันสูงมาก โดยปกติกว่าที่อัตราการใช้ห้องพักจะคุ้มทุนก็น่าจะอยู่ระดับ 50-60% ขึ้นไปในโรงแรมแต่ละแห่ง ดังนั้น กว่าลูกค้าโดยเฉพาะชาวต่างชาติจะกลับมามากพอก็คงกินเวลาหลายปี แปลว่าโรงแรมอาจจะขาดทุนต่อไปอีกหลายปี หลังจากที่ขาดทุนหนักมากมาเกือบ 2 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มูลค่าหุ้นของโรงแรมส่วนใหญ่จะไม่ได้ถูกกระทบอะไรมาก หุ้นโรงแรมส่วนใหญ่มีมูลค่ามากกว่าก่อนเกิดโควิดเมื่อสิ้นปี 2562 ไปแล้ว ดูเหมือนว่านักลงทุนจะคิดว่าหุ้นโรงแรมนั้นได้ประโยชน์จากการเกิดโควิด-19 ด้วยซ้ำและแม้ว่าจะขาดทุนติดต่อกันหลายปีและผลขาดทุนมหาศาลพร้อม ๆ กับหนี้ก้อนใหญ่มากจนรับแทบไม่ไหว นักลงทุนก็รอได้ พวกเขาคิดว่าทรัพย์สินที่มีอยู่นั้น ในที่สุดก็จะสร้างผลกำไรที่สูงมาก เหนือสิ่งอื่นใด ประเทศไทยอย่างไรเสียก็คงเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลก ดังนั้น โรงแรมจึงมีค่ามากกว่าปกติ หุ้นห้างหรือพวกช็อปปิ้งมอล รวมทั้งโรงภาพยนตร์ที่ถูกกระทบหนักเพราะต้องปิดไปหลายช่วงเวลา เมื่อมีการประกาศเปิดเมืองนั้น วันแรก ๆ ห้างก็แทบจะระเบิดเพราะคนอัดอั้นที่ต้องอยู่กับบ้านมานาน และคนไทยซึ่งมองห้างเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและจับจ่ายใช้สอยและต้องไปแทบจะทุกสัปดาห์ จึงต่างก็แห่กันไปใช้บริการ อย่างไรก็ตาม มูลค่าของหุ้นแม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงระดับก่อนโควิดในปี 2562 และยังต่ำกว่ามูลค่าห้างในปี 2561 และ 2560 ที่เป็นปีที่น่าจะสูงสุดอยู่มาก ดังนั้น เหตุผลที่มูลค่าห้างมีราคาที่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ อาจจะเป็นเพราะมีการเปิดห้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้น ก่อนที่จะเกิดโควิด-19 โควิดทำให้เศรษฐกิจของห้างแย่ลงไปอีก เพราะห้างถูกปิดและคนเข้าห้างน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น การค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซที่เฟื่องฟูขึ้นมาก เนื่องจากโควิดก็ยังน่าจะทำให้การค้าขายผ่านห้างแย่ลงในระยะยาว แม้ว่าในที่สุดโควิดจะหมดไป แต่ห้างก็อาจจะไม่ดีเท่าเดิมได้ ดังนั้น มูลค่าหุ้นห้างจึงไม่ได้ปรับตัวดีเหมือนกลุ่มอื่น ๆ ร้านค้าขายสินค้าทั้งที่เป็นแนวร้านใหญ่และสะดวกซื้อ มองในแง่พื้นฐานระยะยาวแล้วน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย การเกิดโควิด-19 ทำให้การเดินทางลดลงไปมาก ร้านสะดวกซื้อก็น่าจะขายได้น้อยลงมาก แต่เมื่อโควิดจบ และคนเดินทางเป็นปกติ ยอดขายก็น่าจะกลับมา อาจจะขาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปบ้าง เพราะจำนวนยังไม่เท่าเดิม แต่ก็ไม่น่าจะมากนักเมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ ในส่วนของร้านใหญ่ ผลกระทบต่อยอดขายและกำไรก็อาจจะไม่มาก เพราะเป็นสินค้าจำเป็นที่ยังไงคนต้องกินต้องใช้ ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงไปก็อาจจะทำให้มีการใช้จ่ายลดลงบ้างแต่ก็ไม่น่าจะมากนัก เพราะคนจะงดใช้สินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่า ดังนั้น ทั้งสองกลุ่มนี้ เมื่อโควิด-19 สงบลงและมีการเปิดเมืองแล้ว ยอดขายก็คงจะกลับมาเท่าของเดิมก่อนสิ้นปี 2562 ได้ในเวลาไม่นานและมูลค่าหุ้นก็คงจะกลับไปที่เดิมได้ นิคมอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง มูลค่าหุ้นบางบริษัทก็ได้ปรับตัวขึ้นไปมากและสูงกว่าก่อนโควิด โดยเหตุผลที่ถูกนำมาใช้คือ จะมีคนมาลงทุนมากขึ้นหลังจากที่ต้องหยุดไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม การลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทยดูเหมือนว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยจะสดใสนัก เพราะดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ ดังนั้น การที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นสู่จุดที่สูงสุดก่อนโควิด จึงเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่ามันจะไปต่อได้แค่ไหน ถ้าอุตสาหกรรมการผลิตโดยเฉพาะการส่งออกอิ่มตัวไปแล้ว หุ้นเล็ก ๆ เช่น หุ้นที่ขายเครื่องสำอางหรือบริการนวดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็พลอยปรับตัวขึ้นแรงเช่นเดียวกัน ในฐานะนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานระยะยาวของกิจการ จะต้องวิเคราะห์และพิจารณาว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่เพียงใด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11405
Medical
การใช้ยาฟีโนบาร์บิทัล มีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
null
ข้อควรระวังการใช้ยาฟีโนบาร์บิทัล เช่น - ห้ามใช้ยานี้ในผู้ที่แพ้ยา ฟีโนบาร์บิทัล - ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ ด้วยยาฟีโนบาร์บิทัลส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์มารดา โดยอาจทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด หรือการแท้งบุตรได้ - ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรคตับในระยะรุนแรง - การใช้ยาฟีโนบาร์บิทัลไปนานๆอาจก่อให้เกิดภาวะดื้อยา ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าการใช้ยาไม่มีประสิทธิผล จนผู้ป่วยต้องการปรับขนาดการรับประทาน ซึ่งควรต้องให้แพทย์ทำความเข้า ใจกับผู้ป่วย และเป็นผู้ปรับขนาดรับประทานหรือเปลี่ยนตัวยา - ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีภาวะช่องทางเดินหายใจอุดตัน - ระวังการใช้ยานี้กับ ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยด้วย โรคตับ โรคไต - ยานี้อาจทำให้เกิดอาการ วิงเวียน ง่วงนอน ระหว่างการใช้ยาจึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือการควบคุมเครื่องจักรเพราะจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย - ห้ามหยุดการใช้ยานี้กระทันหันโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่รับประทานยาเพื่อป้องกันโรคลม ชัก เพราะอาจเกิดการกำเริบของโรคจนเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย - มีการทำวิจัยการใช้ยานี้อาจมีผลสัมพันธ์ต่อการเกิดเนื้องอกสมองในเด็ก - ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้ - ห้ามใช้ยาหมดอายุ - ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมถึงยาฟีโนบาร์บิทัลด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้น เมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27379
Medical
โรคหัวใจในเด็กที่พบบ่อย สามารถจำแนกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
a. 1. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 2. โรคหัวใจที่เกิดภายหลังเกิด b. 1. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 2. โรคไข้รูมาติก c. 1. โรคคาวาซากิ 2. โรคหัวใจที่เกิดภายหลังเกิด d. 1. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
คำตอบได้แก่ a. เนื่องจาก โรคหัวใจในเด็กที่พบบ่อย โรคหัวใจในเด็ก สามารถจำแนกเป็น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดและโรคหัวใจที่เกิดภายหลังเกิด ดังนี้ 1. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก โรคนี้อาจตรวจพบได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หลังคลอด หรือเมื่อโตแล้ว เด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจำนวนหนึ่งจะไม่มีอาการ และตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติในสัปดาห์แรก แต่ในบางรายมีความผิดปกติของอวัยวะอย่างอื่นร่วมด้วย บางรายเป็นเด็กกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม และบางรายเป็นความผิดปกติจากมารดาได้รับเชื้อในระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เช่น หัดเยอรมัน โรคประจำตัว โรคเบาหวาน เป็นต้น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด สามารถแบ่งเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดเขียวและไม่เขียว ซึ่งจะมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ไม่มีอาการแสดงจนถึงรุนแรงมากจนถึงเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด โดยชนิดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบบ่อย เช่น ผนังกั้นห้องหัวใจส่วนล่างรั่ว ผนังกั้นห้องหัวใจส่วนบนรั่ว ความผิดปกติของเส้นเลือดใหญ่ระหว่างหัวใจและปอด ลิ้นหัวใจรั่ว เป็นต้น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบางชนิด เช่น มีรูรั่วเล็กๆ ที่ผนังกั้นห้องล่าง หรือมีลิ้นหัวใจตีบเพียงเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องรับการรักษา ก็สามารถมีชีวิตเหมือนคนปกติ แต่ต้องป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจหรือบริเวณรูรั่ว 2. โรคหัวใจในเด็กที่เกิดภายหลัง หรือเกิดขึ้นหลังคลอด ที่พบได้บ่อยคือ โรคคาวาซากิ มักพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โดยส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยกว่า 2 ปี เป็นกลุ่มอาการที่มีการอักเสบของหลอดเลือดขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วร่างกาย มีไข้สูง ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เยื่อบุผิว และต่อมน้ำเหลืองที่คอโต สาเหตุที่แท้จริงของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย โรคนี้ทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หลอดเลือดหัวใจมีลักษณะโป่งพอง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในระยะเฉียบพลัน หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ลิ้นหัวใจอักเสบ เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ โรคไข้รูมาติก มักพบในเด็กอายุ 5 ขวบขึ้นไป สาเหตุเกิดหลังการติดเชื้อที่บริเวณคอแล้วเกิดอาการอักเสบตามมาซึ่งจะมีการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ และลิ้นหัวใจ ทำให้มีลิ้นหัวใจรั่ว หรือถ้าเป็นเรื้อรังทำให้ลิ้นหัวใจตีบ โดยจะมีอาการเป็นไข้ ปวด และบวมตามข้อ ผิวหนังมีผื่นแดง และชั้นใต้ผิวหนังมีตุ่มแข็ง หากมีหัวใจอักเสบร่วมด้วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หอบ ขาและเท้าบวม โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มักเกิดจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโรคหัดและโรคหัดเยอรมัน นอกจากนั้นยังพบเกิดได้จาก ไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบ ซี และไวรัสโรคชิคุนกุนยา ซึ่งทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ในรายที่อาการรุนแรง อาจเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้ หัวใจเต้นผิดจังหวะในเด็ก อัตราการเต้นช้าหรือเร็วเกินไป ส่วนใหญ่ในเด็กมักพบเป็นชนิดเต้นเร็วผิดปกติ มีอาการเป็นๆ หายๆ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้ โรคนี้มักไม่มีอาการ แต่สามารถสังเกตได้ คือ เด็กมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นแรง ขณะนอนหลับ หรือพักผ่อน โดยที่เด็กไม่ได้ร้องไห้ หรือวิ่งเล่น จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ อาจรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นเป็นพักๆ เด็กๆ อ่อนเพลีย หรือมีอาการหน้ามืด
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_20010
Medical
อาการง่วงนอนมากคืออะไร
null
เป็นอาการที่มีความรู้สึกง่วงมาก ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน นอนหลับแล้วรู้สึกตื่นตัวยาก มีความรู้สึกไม่สดชื่น แม้ว่าจะนอนแล้วมากกว่า 9 ชั่วโมง เผลองีบหลับระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ขณะอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ขับรถ บางกรณีอาจทำพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว (พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน) เนื่องมาจากความง่วงนอน ผลกระทบของอาการง่วงนอนมาก ผู้ป่วยจะมีอาการ ไม่สดชื่น รู้สึกเหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง ขาดสมาธิ สมองเฉื่อยชา หลงลืมง่าย อารมณ์เสียหงุดหงิดง่าย วิตกกังวลไปจนถึงซึมเศร้า น้ำหนักเกิน ส่งผลไปถึงการทำงานและชีวิตประจำวัน เช่น หลับจนเกินเวลาทำให้พลาดธุระสำคัญ ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสือ อารมณ์ไม่ดีส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ไปจนถึงอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อมีอาการง่วงระหว่างขับรถหรือผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักรอันตราย สังเกตอาการง่วงนอนมากเกิน เราสามารถสังเกตตนเองได้ด้วยการสังเกตจากความรู้สึกง่วง ไม่สดชื่นระหว่างวัน แม้ว่าจะได้นอนหลับเพียงพอในเวลากลางคืน อีกวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ แบบประเมินความง่วง THE EPWORTH SLEEPINESS SCALE ซึ่งสามารถทำได้ที่นี่.. มีความเป็นไปได้เพียงใดที่คุณจะงีบหรือเผลอหลับในสถานการณ์ต่างๆ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12071
Medical
ยาอินดาคาเทอรอลมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดอย่างไร
null
ความดันโลหิตสูง: ยาอินดาคาเทอรอล อาจ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราว โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ: ยาอินดาคาเทอรอล อาจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจอยู่แล้ว ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด: ยาอินดาคาเทอรอล อาจ ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้สูงอายุ กลไกการออกฤทธิ์: ยาอินดาคาเทอรอล ทำงานโดยไปจับกับตัวรับ 5-HT1B/D ในสมอง ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดในสมองหดตัว ทำให้ปวดศีรษะไมเกรนบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม ยาอินดาคาเทอรอล ยังส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดด้วย กลไกที่เป็นไปได้ ดังนี้: - การกระตุ้นเบต้า2 แอดริเนอร์จิก: ยาอินดาคาเทอรอลกระตุ้นตัวรับเบต้า2 แอดริเนอร์จิกในร่างกาย ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดหลายอย่าง เช่น เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ขยายหลอดเลือด และเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ - การเพิ่มระดับแคลเซียม: ยาอินดาคาเทอรอล อาจ เพิ่มระดับแคลเซียมในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจ - การเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบประสาท: ยาอินดาคาเทอรอล อาจ ส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ส่งผลต่อการควบคุมความดันโลหิตและการเต้นของหัวใจ ข้อควรระวัง: - ห้ามใช้ยาอินดาคาเทอรอลในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจวาย โรคลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง - ห้ามใช้ยาอินดาคาเทอรอลในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง - ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว ยาที่ใช้ และอาหารเสริมที่รับประทานก่อนใช้ยาอินดาคาเทอรอล - ควรหยุดใช้ยาอินดาคาเทอรอลทันที หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42274
Finance
การที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ Chrysler ออกรถ minivan โดยใช้สเป็คที่มีพื้นที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ Chrysler หรือไม่
null
ใช่ เหตุผล การออกรถ minivan เป็นการตอบสนองความต้องการของตลาด ในยุค 1980 ครอบครัวชาวอเมริกันมีแนวโน้มมีลูกน้อยลง แต่ต้องการพื้นที่ภายในรถที่กว้างขวางสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ รถ minivan ของ Chrysler ตอบสนองความต้องการนี้ได้ดีกว่ารถยนต์ประเภทอื่นๆ ในตลาด การออกรถ minivan ช่วยให้ Chrysler เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ก่อนการออกรถ minivan Chrysler มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 10% แต่หลังจากการออกรถ minivan ส่วนแบ่งการตลาดของ Chrysler เพิ่มขึ้นเป็น 16% การออกรถ minivan ช่วยให้ Chrysler เพิ่มผลกำไร รถ minivan มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่ารถยนต์ประเภทอื่นๆ การออกรถ minivan ช่วยให้ Chrysler ฟื้นตัวจากวิกฤตการเงิน ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 Chrysler เผชิญวิกฤตการเงินอย่างหนัก การออกรถ minivan ช่วยให้ Chrysler ฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินและกลับมามีกำไรอีกครั้ง สรุป การที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุญาตให้ Chrysler ออกรถ minivan โดยใช้สเป็คที่มีพื้นที่กว้างขวางเมื่อเทียบกับขนาดเครื่องยนต์ที่ใช้ ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ Chrysler การออกรถ minivan เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดของ Lee Iacocca การอนุญาตให้ Chrysler ออกรถ minivan ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสามารถมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือธุรกิจ
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_12975
Medical
จงสรุปให้หน่อย ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) คือยาอะไรและมีสรรพคุณอย่างไร
มะเร็งเต้านม: เกิดจากเนื้อเยื่อของเต้านมมีการแบ่งตัวเพิ่มปริมาณของเซลล์ที่ผิดปกติ/เซลล์มะเร็งเต้านม โดยการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติเหล่านั้นจะทำลายเซลล์ปกติของเต้านมและของร่างกาย และสามารถอาศัยการหมุนเวียนของเลือดนำพาเอาเซลล์มะเร็งเต้านมแพร่กระจายไปเจริญเติบโตเป็นก้อนมะเร็งก้อนใหม่ที่อวัยวะอื่นๆนอกเหนือจากเต้านมได้เช่น ปอด กระดูก ตับ สมอง โดยปกติแล้ว การเจริญเติบโตและการทำงานของเต้านมขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศภายในร่าง กาย ดังนั้นการเจริญเติบโตของมะเร็งเต้านมจึงมีส่วนขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเพศเช่นกัน โดยมะเร็งเต้านมจะเติบโตขึ้นเมื่อได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศหญิง การลดปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายลงหรือการขัดขวางการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายที่จะไปกระตุ้นเซลล์มะ เร็งเต้านมจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตามผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่สามารถรับการรักษาทางด้านฮอร์โมนได้ต้องเป็นผู้ที่ผลตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งพบเซลล์ที่มีตัวรับ ฮอร์โมน (Hormone receptor) ของฮอร์โมนเพศหญิงนี้อยู่ได้แก่ ตัวรับของเอสโตรเจน (Estrogen receptor ย่อว่า ER) และตัวรับของโพรเจสเทอโรน (Progesterone receptor ย่อว่า PR) ทาม็อกซิเฟนคือยาอะไร? ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) คือ ยาที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงคือ เอสโตรเจน (Estrogen) แต่ในขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน(Antiestrogenic)โดยขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือเซลล์เป้าหมายที่ยาไปออกฤทธิ์ ได้แก่ บริเวณกระดูกและมดลูก ยาทาม็อกซิเฟนมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่สำหรับเต้านม ยาทาม็อกซิเฟนมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน ยาทาม็อกซิเฟน ถูกใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันเพื่อรักษามะเร็งเต้านม ทั้งนี้สามารถใช้ยานี้ได้ทั้งในสตรีวัยเจริญพันธุ์และสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยสามารถใช้ได้ในการลดการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมภาย หลังการรักษาด้วยวิธีอื่นเช่น การผ่าตัด ยาเคมีบำบัด รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็งเต้านมลง จนเหลือขนาดที่แพทย์สามารถผ่าตัดก้อนเนื้อออกได้ (มักใช้ในผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่สามารถรับยาเคมีบำบัดได้), หรือใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ในสตรีที่มีความเสี่ยง/ปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บท ความเรื่อง มะเร็งเต้านม) ยาทาม็อกซิเฟนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร? ทาม็อกซิเฟน ยาทาม็อกซิเฟนมีสรรพคุณรักษาโรค/ข้อบ่งใช้: เช่น ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมชนิดแพร่กระจาย (Metastatic breast cancer: มะเร็งระยะที่ 4) ทั้งในเพศหญิงและในเพศชาย ใช้รักษาร่วมกับการรักษาหลักของโรคมะเร็งเต้านม ได้แก่ ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือ ยาเคมีบำบัด และ/หรือ รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่ ใช้เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมในกรณีเป็นมะเร็งเต้านมระยะศูนย์(Ductal carcinoma in situ, ดีซีไอเอส/DCIS/ มะเร็งระยะศูนย์)หลังการผ่าตัด และ/หรือ รังสีรักษา(รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่) ใช้เพื่อลดโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมในสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งเต้านม (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง มะเร็งเต้านม) นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้นอกเหนือจากข้อบ่งชี้ที่ระบุไว้ในฉลากยา (Unlabeled/ investigational use) โดยเป็นข้อมูลการรักษาที่ได้จากการศึกษาทางการแพทย์ เช่น ใช้ในการรักษาอาการปวด/เจ็บเต้านม (Mastalgia หรือ Breast pain) ภาวะนมแตกพาน หรือภาวะผู้ชายมีนม (Gynecomastia) เนื่องจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงกว่าปกติ บางระยะของโรคมะเร็งชนิดอื่นๆนอกเหนือจากมะเร็งเต้านม เช่น มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer), มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer) ใช้ทางสูตินรีเวชเพื่อเหนี่ยวนำการตกไข่ในหญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก (Induction of ovula tion) ใช้รักษาภาวการณ์เป็นหนุ่มสาวก่อนวัย/ภาวะเจริญก่อนวัย (Precocious puberty) ยาทาม็อกซิเฟนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร? ยาทาม็อกซิเฟนมีกลไกการออกฤทธิ์โดยการแย่งจับกับตัวรับ(Receptor)ของฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen receptor) ของเซลล์มะเร็งเต้านมอย่างเฉพาะเจาะจงที่เรียกว่า Selective Estrogen Receptor Modulators; SERMs ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีอยู่ในร่างกายไม่มีโอกาสกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งที่มีตัวรับนั้นเติบโตได้ หรือหากจะเติบโตได้ก็จะมีการเติบโตที่ช้ากว่าปกติ ยาทาม็อกซิเฟนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร? รูปแบบทางเภสัชภัณฑ์/รูปแบบการจัดจำหน่ายของยาทาม็อกซิเฟน: ยาเม็ดสำหรับรับประทาน ขนาด 10, 15, 20 และ 30 มิลลิกรัม โดยเป็นยาเม็ด (Tablet) หรือยาเม็ดเคลือบ (Film-coat tablet) ทั้งนี้ เนื่องจากยานี้มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน จึงควรหลีกเลี่ยง การหัก แบ่ง บด เคี้ยว หรือทำให้เม็ดยาแตก หากมีความจำเป็นต้องให้ยาผ่านทางสายให้อาหาร (Enteral tube feeding) สามารถบดยาได้แต่ต้องให้ยาทันทีหลังบดยา เนื่องจากยาทั้งสองรูปแบบอยู่ในรูปแบบที่ปลด ปล่อยตัวยาทันที (Immediate release) แต่ผู้ที่เตรียมหรือป้อนยาให้แก่ผู้ป่วยจะต้องสวมถุงมือรวมทั้งผูกผ้าปิดจมูกและปาก (หน้ากากอนามัย) และควรต้องบดเม็ดยาในภาชนะที่ปิดสนิท
ยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) คือ ยาที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงคือ เอสโตรเจน (Estrogen) แต่ในขณะเดียวกันก็มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน(Antiestrogenic)โดยขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือเซลล์เป้าหมายที่ยาไปออกฤทธิ์ ได้แก่ บริเวณกระดูกและมดลูก ยาทาม็อกซิเฟนมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่สำหรับเต้านม ยาทาม็อกซิเฟนมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเอสโตรเจน ยาทาม็อกซิเฟน ถูกใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันเพื่อรักษามะเร็งเต้านม ทั้งนี้สามารถใช้ยานี้ได้ทั้งในสตรีวัยเจริญพันธุ์และสตรีวัยหมดประจำเดือน โดยสามารถใช้ได้ในการลดการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมภาย หลังการรักษาด้วยวิธีอื่นเช่น การผ่าตัด ยาเคมีบำบัด รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็งเต้านมลง จนเหลือขนาดที่แพทย์สามารถผ่าตัดก้อนเนื้อออกได้ (มักใช้ในผู้สูงอายุที่ร่างกายไม่สามารถรับยาเคมีบำบัดได้), หรือใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม ในสตรีที่มีความเสี่ยง/ปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ยาทาม็อกซิเฟนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร? ทาม็อกซิเฟน ยาทาม็อกซิเฟนมีสรรพคุณรักษาโรค/ข้อบ่งใช้: เช่น - ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมชนิดแพร่กระจาย (Metastatic breast cancer: มะเร็งระยะที่ 4) ทั้งในเพศหญิงและในเพศชาย - ใช้รักษาร่วมกับการรักษาหลักของโรคมะเร็งเต้านม ได้แก่ ร่วมกับการผ่าตัด และ/หรือ ยาเคมีบำบัด และ/หรือ รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่ - ใช้เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดเป็นมะเร็งเต้านมในกรณีเป็นมะเร็งเต้านมระยะศูนย์(Ductal carcinoma in situ, ดีซีไอเอส/DCIS/ มะเร็งระยะศูนย์)หลังการผ่าตัด และ/หรือ รังสีรักษา(รังสีรักษา-ฉายรังสี-ใส่แร่) - ใช้เพื่อลดโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมในสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งเต้านม นอกจากนี้ยังมีการใช้ยานี้นอกเหนือจากข้อบ่งชี้ที่ระบุไว้ในฉลากยา (Unlabeled/ investigational use) โดยเป็นข้อมูลการรักษาที่ได้จากการศึกษาทางการแพทย์ เช่น - ใช้ในการรักษาอาการปวด/เจ็บเต้านม (Mastalgia หรือ Breast pain) - ภาวะนมแตกพาน หรือภาวะผู้ชายมีนม (Gynecomastia) เนื่องจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงกว่าปกติ - บางระยะของโรคมะเร็งชนิดอื่นๆนอกเหนือจากมะเร็งเต้านม เช่น มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer), มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer) - ใช้ทางสูตินรีเวชเพื่อเหนี่ยวนำการตกไข่ในหญิงที่มีภาวะมีบุตรยาก (Induction of ovula tion) - ใช้รักษาภาวการณ์เป็นหนุ่มสาวก่อนวัย/ภาวะเจริญก่อนวัย (Precocious puberty)
เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_113
Finance
ความเสี่ยงใดของการลงทุน DR ที่ระหว่างวันอาจมีข่าวหรือปัจจัยมากระทบ ระหว่าง ความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท หรือ ความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time
null
ความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time เพราะความเสี่ยงด้านราคาที่เปลี่ยนแปลงได้แบบ real-time เป็นความเสี่ยงของการลงทุน DR ที่ระหว่างวันอาจมีข่าวหรือปัจจัยมากระทบ ทำให้ราคาหรือกำไรขาดทุนที่จะได้รับมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ ต่างจาการลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่ราคากองทุนเปลี่ยนแปลงวันละ 1 ครั้ง หลังสิ้นวันทำการ ส่วนความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัท เป็นความเสี่ยงของการลงทุน DR สำหรับ DR ที่อ้างอิงหุ้นบริษัทใดบริษัทหนี่ง ซึ่งราคาตลาดอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ ข่าวสารที่มากระทบ หรือผลประกอบการของบริษัทที่ DR อ้างอิง ตัวอย่างเช่น กรณีที่ Ant Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba ถูกระงับการ IPO จากทางการจีน ด้วยเหตุผลด้านการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้น Alibaba และ DR BABA80 เป็นต้น เริ่มต้นอย่างไร เมื่ออยากลงทุน DR • ผู้ที่มีการลงทุนหุ้นอยู่แล้วสามารถใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในการซื้อขาย DR ได้เหมือนกับหุ้นทั่วไป สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีซื้อชายหุ้น สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล.กสิกรไทย ได้ทันทีด้วยแอปพลิเคชัน K PLUS บนมือถือ • แบ่งเงินลงทุนให้เหมาะสม เนื่องจากการลงทุน DR เป็นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศหรือดัชนีหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง แนะนำให้เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนไม่เกิน 10%-20% ของเงินลงทุน • ติดตามข้อมูลการลงทุนต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ ทั้งแหล่งข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานหรือสำนักข่าวของไทย และแหล่งข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศ เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อขาย DR ได้ทันกับสถานการณ์ การลงทุนต่างประเทศด้วย DR เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมและหลายคนกำลังพูดถึง เพราะเริ่มต้นได้ง่าย เงินลงทุนต่ำ ที่สำคัญซื้อขายได้ราคาแบบ real-time เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนที่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด Disclaimer: ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_22210
Medical
การป้องกันโรคในเด็กคืออะไร
null
แบ่งได้เป็น 5 ระดับ คือ 1 การส่งเสริม เช่น การให้คำแนะนำเรื่องอาหาร 2 การป้องกันเฉพาะโรค เช่น การให้วัคซีนป้องกันโรค 3 การวินิจฉัยโรคซึ่งไม่ปรากฏอาการแต่แก้ไขได้ เช่น การตรวจสอบสายตาเด็ก ซึ่งน่าจะทำได้ในโรงเรียนทั่ว ๆ ไป เพราะใครก็ตาม ถ้าได้รับการแนะนำเพียงเล็กน้อยก็สามารถเป็นผู้ตรวจได้ ลูกชายผมสองคนสายตาสั้น คนแรกกว่าจะรู้ว่าสายตาสั้นก็เป็นมากแล้ว เพราะไม่ได้ตรวจประจำทั้ง ๆ ที่มีแผ่นสำหรับตรวจสายตาอยู่ในบ้าน คนที่สองจึงต้องคอยตรวจ ก็พบว่าสายตาสั้นอีกคนหนึ่ง เรื่องหูก็เช่นกันต้องคอยตรวจสอบ ถ้าตาหูไม่ดีอาจทำให้การเรียนเลวลงได้ ถ้าเราสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจแก้ไขรักษาได้ เช่น ใส่แว่นตาหรือให้เด็กไปนั่งข้างหน้า เป็นต้น 4 การตรวจค้นและรักษาโรคซึ่งเมื่อมีอาการไม่มาก เพื่อป้องกันโรคร้ายแรงซึ่งอาจเกิดติดตามมาภายหลังได้ เช่น การวินิจฉัยและรักษาโรคเจ็บคอจากเชื้อสเตร๊ปโตคอคคัส เพื่อป้องกันโรคไข้รูห์มาติค โรคหัวใจรูห์มาติค ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว และโรคไตอักเสบ 5 การป้องกันความพิการในโรคเรื้อรัง เช่น การฟื้นฟูสมรรถภาพโดยกายภาพบำบัด เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัวในเด็กที่เป็นอัมพาต
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26607
Medical
การใช้ผ้ารัดเพื่อประคองและกระชับกล้ามเนื้อบริเวณข้อศอก สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคข้อศอกเทนนิสได้หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: การใช้ผ้ารัดช่วยลดแรงกดบนกล้ามเนื้อ: กล้ามเนื้อบริเวณข้อศอกมีจุดเกาะอยู่ที่ปุ่มกระดูกด้านนอก เมื่อมีการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ หรือใช้งานหนัก จะส่งผลให้เกิดแรงดึงและแรงกดที่จุดเกาะกล้ามเนื้อ แรงกดดันนี้เองที่ทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบ การใช้ผ้ารัดจะช่วยลดแรงกดบนกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยลดอาการปวด บวม และอักเสบ การใช้ผ้ารัดช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ: การใช้ผ้ารัดจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิบริเวณข้อศอก ซึ่งส่งผลดีต่อความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ผ้ารัดช่วยลดการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป: การเคลื่อนไหวของข้อศอกที่มากเกินไป อาจจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดและอักเสบ การใช้ผ้ารัดจะช่วยจำกัดการเคลื่อนไหวของข้อศอก ช่วยให้กล้ามเนื้อได้พัก และลดการกระตุ้นอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ผ้ารัดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะบรรเทาอาการของโรคข้อศอกเทนนิส จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การประคบเย็น: การประคบเย็นช่วยลดอาการปวด บวม และอักเสบ การพักการใช้งาน: การพักการใช้งานกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อมีเวลาซ่อมแซมตัวเอง การยืดกล้ามเนื้อ: การยืดกล้ามเนื้อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึง การทานยา: ยาแก้ปวดและยาลดการอักเสบ เช่น ibuprofen หรือ paracetamol การกายภาพบำบัด: นักกายภาพบำบัดจะสอนท่าออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ผ้ารัดแน่นเกินไป เพราะอาจจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ไม่ควรใช้ผ้ารัดเป็นเวลานานๆ เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ ควรเลือกผ้ารัดที่มีขนาดพอดีกับข้อศอก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผ้ารัด สรุป: การใช้ผ้ารัดเพื่อประคองและกระชับกล้ามเนื้อบริเวณข้อศอก สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคข้อศอกเทนนิสได้ แต่ควรใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ร่วมด้วย และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผ้ารัด
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40436
Finance
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) คืออะไร
null
เป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อสร้างวินัยการออมที่ดีให้กับข้าราชการ ถือเป็นแหล่งเงินออมเพื่อเกษียณก้อนโตอีกแหล่งหนึ่ง นอกเหนือจากเงินบำนาญที่จะได้รับจากกระทรวงการคลัง ทางเลือกในการบริหารเงินออม กบข. คือ สามารถออมเงินสะสมเพิ่มได้สูงสุดไม่เกิน 15% แถมยังสามารถเลือกแผนการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มเงินออมตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ที่สำคัญ เมื่อเกษียณอายุก็ยังเลือกได้ว่าจะให้กองทุนบริหารเงินต่อ หรือจะขอทยอยรับเงินออกไป “ข้าราชการมีหน้าที่การงานมั่นคง สวัสดิการดี เกษียณไปก็มีเงินบำเหน็จบำนาญให้ใช้ด้วย” เมื่อกล่าวถึงความมั่นคงของงานและสวัสดิการที่ข้าราชการได้รับ ถือว่าดีกว่าบริษัทเอกชนอย่างมาก ถึงแม้รายได้อาจจะไม่ได้หวือหวามากมาย ก็ยังพอกินพอใช้ได้อย่างไม่ลำบาก แต่ด้วยสภาพสังคมในปัจจุบัน ก็มีโอกาสทำให้เกิดการใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น ดังนั้น การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสมและวางแผนออมเงินเพื่อเป้าหมายเกษียณสุขโดยเร็วที่สุด จะช่วยกำจัด “ภาวะเกษียณทุกข์” ให้ห่างไกลได้ด้วย “2 วิธีออมเงิน ฉบับข้าราชการ” 1. ออมเงินอย่างเป็นระบบกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ด้วยรัฐบาลเองก็อยากสนับสนุนให้ข้าราชการเก็บเงินเพื่อการเกษียณ จึงมีนโยบายให้จัดตั้ง กบข. เพื่อให้สมาชิก (ข้าราชการ) ส่งเงินสะสมทุกเดือนในอัตรา 3% ของเงินเดือน และรัฐบาลจะสมทบให้อีก 3% ของเงินเดือน ซึ่งเงินสมทบดังกล่าว สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 500,000 บาท การออมอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ จะช่วยให้ข้าราชการมีเงินออมก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไว้ใช้ในยามเกษียณ นอกเหนือจากเงินบำนาญที่ได้รับจากกระทรวงการคลัง 2. ออมเพิ่มผ่านทางเลือกรูปแบบอื่น ๆ หากเงินบำนาญและเงินที่จะได้รับจาก กบข. ยังไม่เพียงพอ เราก็ควรออมเพิ่มในทางเลือกการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น การซื้อหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งมีโอกาสได้รับเงินปันผลทุกปี บางแห่งอาจสูงกว่า 6% ก็เป็นได้ หรือการออมเงินผ่านประกันชีวิต ทั้งแบบสะสมทรัพย์และแบบบำนาญ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มเติมด้วย รวมทั้งหากสามารถรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่นอกจากจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นแล้ว เงินลงทุนยังนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ทำให้เรามีเงินออมเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_42693
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้ง success และ failure ข้อคิดคือ ตัดสินใจอย่างรอบคอบ ใจเย็น ไม่ประมาท
null
บทเรียนราคาแพง: ตัดสินใจผิดพลาด สูญเสียเงินทุน ตัวละคร: ธันวา: นักลงทุนมือใหม่ ไฟแรง ใฝ่ฝันรวยจากตลาดหุ้น คุณพ่อ: นักลงทุนมากประสบการณ์ เน้นการลงทุนระยะยาว เนื้อเรื่อง: ธันวา เพิ่งเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินเก็บทั้งหมด เขามุ่งมั่นศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนการวิเคราะห์หุ้น ใฝ่ฝันอยากร่ำรวยจากการลงทุน เขาตัดสินใจซื้อหุ้น "XYZ" บริษัทเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง ด้วยความมั่นใจว่าราคาหุ้นจะพุ่งสูงขึ้น ธันวา: "คุณพ่อครับ ผมซื้อหุ้น XYZ มาแล้ว เชื่อว่ามันจะขึ้นไปอีกเยอะ!" คุณพ่อ: "ใจเย็นๆ หนุ่มน้อย การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ อย่าเพิ่งมั่นใจจนเกินไป" ธันวา: "ผมศึกษามาอย่างดีแล้วครับ หุ้นตัวนี้มีอนาคตแน่นอน" คุณพ่อ: "อย่าลืมว่าตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง อะไรก็เกิดขึ้นได้ จงมีแผนสำรองเผื่อไว้เสมอ" ธันวา มองข้ามคำเตือนของพ่อ มุ่งมั่นกับการลงทุน เขาเฝ้าดูราคาหุ้น XYZ อย่างใกล้ชิด ในช่วงแรก ราคามีการปรับตัวขึ้นตามคาดการณ์ ธันวารู้สึกดีใจ ธันวา: "ผมเก่งจริงๆ! เดี๋ยวรวยแน่ๆ!" แต่แล้ว ตลาดหุ้นก็ผันผวน ราคามีการปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ธันวารู้สึกกังวล แต่เขาเลือกที่จะ "ถือ" หุ้นไว้ หวังว่าราคาจะกลับมาขึ้น ธันวา: "แค่พักฐานชั่วคราว เดี๋ยวก็ขึ้นต่อ!" คุณพ่อ: "ธันวา ตัดสินใจขายหุ้นเถอะ ตลาดกำลังขาลง เสียหายน้อยไว้ก่อน" ธันวา: "ไม่ครับ ผมเชื่อว่ามันจะขึ้น ผมจะไม่ขาย!" ธันวา ยืนกรานที่จะถือหุ้นต่อไป ราคายังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่อง เงินลงทุนของเขาสูญเสียไปมาก เขารู้สึกเครียด กังวล กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ธันวา: "ผมทำอะไรลงไป... เงินทั้งหมดของผม..." คุณพ่อ: "ธันวา ลองคิดดู การตัดสินใจครั้งนี้สอนอะไรเราบ้าง" ธันวา: "ผม... ผมผิดพลาด ผมควรฟังคุณพ่อ..." คุณพ่อ: "ไม่เป็นไร ทุกคนมีผิดพลาด จงเรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ ครั้งหน้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำ" ธันวา ตัดสินใจขายหุ้น XYZ ทิ้ง แม้จะสูญเสียเงินทุนไปมาก แต่เขาได้รับบทเรียนราคาแพง เขาเริ่มเข้าใจความเสี่ยงของตลาดหุ้น เรียนรู้ที่จะวางแผน กลยุทธ์ และมีวินัยในการลงทุน ธันวา กลับมาทบทวนตัวเอง ศึกษาเพิ่มเติมจากคุณพ่อ เขาเริ่มลงทุนอย่างมีสติ วางแผน กลยุทธ์ และมีวินัย เขารู้ว่าเส้นทางการลงทุนยังอีกยาวไกล ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้เขารู้จัก "การตัดสินใจ" ที่สำคัญต่ออนาคตของเขา
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_40427
Finance
4 ขั้นตอน วางแผนออมเงินฉบับฟรีแลนซ์คืออะไรบ้าง
null
1. ออมเผื่อฉุกเฉินไว้สบายใจกว่าเยอะ เหล่าฟรีแลนซ์ควรเตรียมเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉินมากเป็นพิเศษ เพื่อใช้ในยามขาดรายได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นเวลาหลายเดือน ดังนั้น ทางที่ดีก็ควรเตรียมเงินสำรองสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของเรา 2. สร้างหลักประกันพื้นฐานให้ชีวิต หากลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน ก็ควรส่งเงินสะสมเข้ากองทุนประกันสังคมตามมาตรา 39 เพื่อให้ได้รับสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง หรือหากเป็นฟรีแลนซ์มาตั้งแต่แรก ก็สามารถเลือกได้ว่าจะสมัครกองทุนประกันสังคมมาตรา 40 หรือเลือกใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ก็ได้ แต่หากคิดว่ายังไม่เพียงพอ ก็สามารถซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติม เพื่อความสะดวกสบายในการเข้ารับการรักษา และครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนที่สวัสดิการรัฐบาลไม่สนับสนุน รวมทั้งครอบคลุมการชดเชยรายได้ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายรายวัน เพราะหากเจ็บป่วยคงไม่สามารถหารายได้ในช่วงดังกล่าวได้เป็นแน่ 3. จัดการเงินส่วนตัวและเงินจากการทำงานให้ชัดเจน โดยแยกเป็นอย่างน้อย 2 บัญชี คือ บัญชีส่วนตัว และบัญชีรายได้จากการทำงาน ซึ่งทำหน้าที่เสมือนบัญชีบริษัท หากต้องการเบิกเงินในบัญชีนี้จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานเท่านั้น จากนั้น ให้ทยอยแบ่งจ่ายเงินเข้าบัญชีส่วนตัวเท่า ๆ กันทุกเดือน เสมือนเป็นการให้เงินเดือนตนเอง ซึ่งควรจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนที่จำเป็นเท่านั้น จะได้ช่วยลดการใช้จ่ายที่มากเกินไปด้วยนั่นเอง เนื่องจากอาชีพฟรีแลนซ์มีรายได้จากผู้จ้างหลายราย อาจทำให้ภาษีที่หักไว้ไม่ครบถ้วน พอถึงเวลาต้องยื่นภาษีเงินได้ กลายเป็นว่าต้องจ่ายภาษีเพิ่มจำนวนมาก ซึ่งหลาย ๆ คนมักจะไม่ได้เตรียมเงินจำนวนนี้ไว้ จึงอาจกลายเป็นภาระทางการเงินตามมา ดังนั้น ควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ในบัญชีรายได้จากการทำงาน เพื่อเตรียมไว้ชำระภาษีเงินได้ประจำปี 4. วางแผนออมเพื่อเกษียณอย่างจริงจัง สำหรับคนที่เคยทำงานประจำ พอเปลี่ยนมาเป็นฟรีแลนซ์ สวัสดิการเพื่อการเกษียณที่เคยมี อย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาจข้าราชการ ก็จะหายไป จึงควรเตรียมแผนการออมเพื่อเกษียณด้วยตนเองเช่นเดียวกับคนที่เป็นฟรีแลนซ์มาตั้งแต่แรกก็ยิ่งต้องเริ่มวางแผนให้เร็วที่สุด
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21398
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "วิธีดูแลและป้องกันผิวแห้งในช่วงเทศกาลและอากาศหนาว" ให้หน่อยนะคะ
ผิวสวยและสายลมหนาว ฤดูหนาวเช่นนี้ แถมยังมีเทศกาลวันหยุดรวมทั้งช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผู้คนจึงนิยมท่องเที่ยวรับสายลมหนาวกัน ทำให้พบโรคผิวแห้งบ่อยขึ้น สาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งมีหลายอย่าง 1 ผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงสามารถดูดซับน้ำไว้ได้ต่างกัน ดังนั้นบางคนจึงมีอาการผิวแห้งเกิดได้ง่ายกว่าคนอื่น หรือมีโรคทางกรรมพันธุ์ที่ทำให้ผิวแห้งและแตกดูคล้ายเกล็ดปลา เกล็ดงู 2 น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวหนังผลิตโดยต่อมไขมัน มีหน้าที่ฉาบเคลือบผิวหนังเพื่อคงความชุ่มชื้นไว้ จะมีปริมาณและส่วนประกอบแตกต่างกันออกไป 3 ระดับความชื้นสัมพัทธ์ในบรรยากาศ เมื่อความชื้นสูงเกินร้อยละ 60 เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดจะชุ่มชื้น หากระดับความชื้นต่ำกว่าร้อยละ 60 น้ำจะเริ่มระเหยออกจากเซลล์ผิวหนังทำให้ผิวเริ่มแห้ง ซึ่งขณะนี้มีอากาศหนาวเย็นและมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ จึงทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งขึ้น 4 การอาบน้ำฟอกสบู่บ่อยครั้งเกินไป การอาบน้ำร้อนหรือนอนแช่ในอ่างอาบน้ำก็ ทำให้ผิวแห้ง เพราะไขมันที่เคลือบผิวหนังละลายออกไป ผิวจึงยิ่งแห้ง ยิ่งคันขึ้น หลายคนเข้าใจผิดว่า ผิวคันเพราะสกปรก จึงยิ่งฟอกสบู่หรือใช้สบู่ยาขัดถูผิวหนังจนผิวอักเสบแดงและแตกเป็นร่อง การดูแลรักษาปัญหาผิวแห้ง 1 ลดการอาบน้ำและฟอกสบู่ อาจเลือกฟอกสบู่เฉพาะบริเวณอับชื้น เช่น รักแร้ ส่วนบริเวณแขนขา ซึ่งเกิดผิวแห้งได้ง่ายให้งดฟอกสบู่ 2 หากยังมีผิวแห้งก็ต้องใช้ครีมให้ความชุ่มชื้น ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ น้ำและน้ำมัน ควรเลือกซื้อครีมที่มีราคายุติธรรม ต้องเข้าใจว่าครีมให้ความชุ่มชื้นช่วยแก้ไขปัญหาผิวแห้ง แต่ไม่อาจแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากความชราได้ ทั้งนี้เพราะรอยเหี่ยวย่นเหล่านี้อยู่ลึกในชั้นหนังแท้ ซึ่งครีมให้ความชุ่มชื้นไม่อาจซึมลงไปออกฤทธิ์ได้ 3 ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งควรงดทายาแก้คัน ที่มีลักษณะเป็นแป้งน้ำเพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง และต้องไม่ใช้ยารักษาโรคเชื้อรามาทาเอง เพราะนอกจากจะไม่แก้ไขปัญหาผิวแห้งแล้ว ยังอาจทำให้โรคผิวแห้งกำเริบขึ้น 4 หน้าหนาวอากาศแห้ง ต้องระวังการใช้ครีมบางชนิด เช่น กรดผลไม้ กรดวิตามินเอ ครีมรักษาสิว เบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ โลชั่นทาสิว กำมะถัน เพราะทำให้ผิวแห้งระคายเคืองได้ง่าย อาจจำเป็นต้องทายาให้น้อยลง ลดการฟอกสบู่ใบหน้า และควรงดการใช้สบู่ที่มีเม็ดขัดถูใบหน้าด้วย 5 สวมเสื้อผ้าปกคลุมอย่างมิดชิด นอกจากจะลดปัญหาผิวแห้งได้แล้ว ยังป้องกันโรคหวัดอีกด้วย หน้าหนาวหลายคนจะมีผื่นแดงเป็นขุยที่ร่องจมูก แก้ม เหนือคิ้ว และแนวไรผม เรียกว่าโรคเซ็บเดิม ถ้าล้างหน้าฟอกสบู่บ่อยโรคนี้จะกำเริบ บางคนมีรังแคของหนังศีรษะมาก ควรใช้แชมพูขจัดรังแคและครีมนวดผม อีกทั้งการสวมหมวกจะช่วยป้องกันหนังศีรษะแห้งและลดรังแคได้ หากไปเที่ยวแล้วต้องอยู่กลางแจ้งต้องถูกแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดและสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องนัยน์ตาด้วย
ช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวและสายลมหนาวพุ่งขึ้นมีผลต่อสุขภาพผิวหนังของคน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันหยุดและปีใหม่ทำให้ผู้คนมีนการท่องเที่ยวเพื่อรับสายลมหนาว ทำให้ปัญหาผิวแห้งเพิ่มขึ้น 1. ผิวแห้งเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น ผิวแตกและโรคทางกรรมพันธุ์ 2. น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวหนังมีบทบาทในการรักษาความชุ่มชื้น แต่ปริมาณและส่วนประกอบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล 3. ระดับความชื้นในบรรยากาศมีผลต่อผิวหนัง ในสภาวะความชื้นต่ำ 60% ผิวหนังจะแห้งขึ้น 4. การอาบน้ำฟอกสบู่บ่อย น้ำร้อนหรือนอนแช่ทำให้ผิวแห้ง เลือกใช้สบู่เฉพาะบริเวณอับชื้น 5. การใช้ครีมช่วยควบคุมความชุ่มชื้นในผิวหนัง ควรเลือกครีมที่ไม่ทำให้ผิวแห้งและรับรองมีราคายุติธรรม 6. การป้องกันการแห้งของผิวหนังในฤดูหนาว ระวังการใช้ครีมบางชนิดที่มีสารกรดผลไม้ กรดวิตามินเอ และสารที่ทำให้ผิวแห้ง 7. การป้องกันโรคหวัด สวมเสื้อผ้าปกคลุมให้มิดชิดเพื่อลดการแห้งของผิวและป้องกันโรคเซ็บเดิม 8. การใช้ครีมกันแดดและสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังจากรังแคและรังแคในฤดูหนาว การดูแลผิวหนังในช่วงเทศกาลหน้าหนาวจึงเป็นสำคัญ เพื่อป้องกันการแห้งและรักษาสุขภาพของผิวให้คงทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนในฤดูหนาว
ผิวหนัง Dermatology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12704
Medical
ช่วยสรุปบทความ ซิมพาโทมิเมติค ให้หน่อย
ซิมพาโทมิเมติค เป็นยาที่สามารถออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเช่น สมอง และประสาทส่วนปลายในอวัยวะของร่างกายหลายระบบเช่น การเต้น ของหัวใจ การไหลเวียนของเลือด การบีบตัวของหลอดเลือด การขยายของหลอดลม เป็นต้น หากจะแบ่งยาในหมวดนี้ตามการออกฤทธิ์ที่ตัวรับ Receptors แต่ละชนิด ซึ่งมีอยู่ที่ระบบประสาททั่วไปในร่างกาย สามารถแบ่งได้เป็น 6 ประเภทดังนี้ 1. การออกฤทธิ์ต่อตัวรับ ซีเลคทีฟ แอลฟา-1 Selective Alpha-1 receptor โดยส่งผลต่อการหดตัวของหลอดเลือด การขยายของรูม่านตา ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Phenylephrine Methoxamine Cirazoline Metazoline 2. ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ ซีเลคทีฟ แอลฟา-2 Selective Alpha-2 receptor โดยส่งผลต่อการทำงานของสมองและไขสันหลัง รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตของร่างกาย ตัวอย่างยา ในกลุ่มนี้เช่น Clonidine Guanabenz Oxymetazoline Methylepinephrine 3. ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ ซีเลคทีฟ เบต้า-1 Selective Beta-1 receptor โดยส่งผลด้านการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ถูกนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Dobutamine Prenalterol Xamoterol 4. ออกฤทธิ์ต่อตัวรับ ซีเลคทีฟ เบต้า-2 Selective Beta-2 receptor ส่งผลต่อการทำงานของกล้าม เนื้อเรียบ นำมาใช้รักษาอาการโรคหืดและโรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Salbuta mol Turbutaline Ritodrine Salmeterol Clenbuterol Fenoterol 5. ออกฤทธิ์ต่อทั้งตัวรับ นอนซีเลคทีฟ แอลฟา และเบต้า Non-Selective Alpha and Beta receptor ส่งผลต่อกลไกของความดันโลหิตลดหรือเพิ่มความดันโลหิต ออกฤทธิ์ต่อศูนย์ควบคุมความหิวในสมองช่วยลดน้ำหนัก ออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมทำให้หลอดลมคลายตัว เป็นต้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Epinephrine Norepinephrine Dobutamine Ephedrine Amphetamine 6. ออกฤทธิ์ต่อตัวรับโดพามีน Dopamine receptor stimulants ส่งผลต่อสมองในฐานะสารสื่อประ สาทและการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายเช่น ขยายหลอดเลือด การหลั่งอินซูลิน การย่อยอาหาร ลดการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เพิ่มการขับเกลือโซ เดียมและปัสสาวะออกจากร่างกาย เป็นต้น ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น Dopamine Bromocryptine ยาซิมพาโทมิเมติคมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาซิมพาโทมิเมติคมีสรรพคุณดังนี้ รักษาโรคหัวใจเช่น หัวใจล้มเหลว ช่วยเพิ่มหรือลดความดันโลหิตของร่างกาย รักษาโรคหืดชนิดเฉียบพลันและโรคหืดที่เป็นระดับรุนแรง รักษาโรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง ใช้เป็นยาลดน้ำมูก บรรเทาอาการคัดจมูก อาการไอ ใช้ขยายรูม่านตา รักษาไมเกรน บรรเทาอาการปวดของโรคมะเร็ง ป้องกันการคลอดบุตรก่อนกำหนด รักษาอาการของโรคพาร์กินสัน ใช้ลดน้ำหนัก เป็นส่วนผสมในยาชาเฉพาะที่เพื่อลดการดูดซึมของยาชาเข้าสู่หลอดเลือด ยาซิมพาโทมิเมติคมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ด้วยยาในกลุ่มนี้สามารถออกฤทธิ์ได้ทั้งกับสมองและกับระบบการทำงานของระบบประสาทหลายอย่าง อาจกล่าวโดยภาพรวมได้ว่า สารพวกซิมพาโทมิเมติคจะเข้าจับกับตัวรับ Receptor ต่างๆของระบบประสาท ไม่ว่าจะเป็นแอลฟา-รีเซพเตอร์ Alpha receptor เบต้า-รีเซพเตอร์ Beta receptor และโดพามีน-รีเซพเตอร์ Dopapine receptor มีผลทำให้อวัยวะตลอดจนระบบการทำ งานต่างๆของร่างกายตอบสนองต่อสารซิมพาโทมิเมติคแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป จึงทำให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ
ซิมพาโทมิเมติคเป็นยาที่มีออกฤทธิ์ต่อระบบประสาททั้งในสมองและระบบประสาทที่แปลกประหลาดในอวัยวะต่างๆของร่างกาย มี 6 ประเภทขึ้นอยู่กับตัวรับที่มีผลต่อ เช่น Alpha-1, Alpha-2, Beta-1, Beta-2, และ Non-Selective Alpha-Beta receptors Alpha-1: ทำให้หลอดเลือดหดตัว และขยายรูม่านตา Alpha-2: ทำให้สมองและไขสันหลังทำงานลดลง รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ Beta-1: กระตุ้นการทำงานของหัวใจ เป็นประโยชน์ในโรคหัวใจล้มเหลว Beta-2: กระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบ เช่น ในการรักษาโรคหืด Non-Selective Alpha-Beta: กระทำทั้งที่ตัวรับ Alpha และ Beta ส่งผลต่อความดันโลหิต Dopamine receptor stimulants: กระตุ้นตัวรับโดพามีน ทำให้มีผลต่อสมองและระบบต่างๆในร่างกาย ยาซิมพาโทมิเมติคมีสรรพคุณรักษาโรคหัวใจเช่น หัวใจล้มเหลวและช่วยปรับความดันโลหิต รักษาโรคหืดชนิดเฉียบพลันและโรคหืดระดับรุนแรง รักษาโรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง ลดน้ำมูกและบรรเทาอาการคัดจมูก ช่วยขยายรูม่านตาและรักษาไมเกรน บรรเทาอาการปวดของโรคมะเร็ง ป้องกันการคลอดบุตรก่อนกำหนด รักษาอาการของโรคพาร์กินสัน ลดน้ำหนักและใช้เป็นส่วนผสมในยาชาเฉพาะ เป็นผลจากการกระทำที่เฉพาะเจาะจงของสารซิมพาโทมิเมติคที่กระทำกับตัวรับของระบบประสาท เช่น Alpha receptor, Beta receptor และ Dopapine receptor ทำให้เกิดฤทธิ์การรักษาตามคุณสมบัติของแต่ละชนิดของยานี้โดยรวม ยาซิมพาโทมิเมติคมีกลไกการออกฤทธิ์ทั้งในสมองและระบบประสาทต่าง ๆ ทำให้เกิดผลกระทบที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่าง ๆ
เภสัชวิทยา Pharmacology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0