title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 ‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) และครอบครัว เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน จํานวน 1,851,643.67 บาท เงินช่วยพิเศษ 290,464.22 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพสําหรับครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศซาอุดีอาระเบียในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 จํานวน 100,000 บาท จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับมอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,242,107.89 บาท เพื่อช่วยเหลือและให้กําลังใจแก่ครอบครัว ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน นายปรีดา เชื้อผู้ดี ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีและนายกองค์การบริหารสวนตําบลท่าอิฐ นายประสิทธิ์ มะหะหมัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 19 พรรคพลังประชารัฐ นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า โรงพยาบาลกรุงเทพ นางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน และบุตรชายอีก 2 คน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ได้เสียชีวิตเนื่องจากปอดติดเชื้อและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานดินไปในการฝังศพเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ณ มัสยิดบุสตานุ้ลอารีฟีน ในอําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยต่อครอบครัวของนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่ได้สูญเสียเสาหลักของครอบครัว จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งในวันนี้จึงได้มอบเงินเป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2 ล้าน 2 แสนบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้กําลังใจแก่ครอบครัวของนายหมัดฯ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า นายหมัด มะมิน เป็นล่ามให้กระทรวงแรงงานมากว่า 20 ปี ถือเป็นผู้เสียสละที่ได้ช่วยเหลือแรงงานไทยทั้งใน ซาอุดีอาระเบีย และพื้นที่อาณาทั้งในคูเวต บาห์เรน เลบานอน มามากมาย โดยได้ออกไปทํางานเพื่อช่วยให้คนไทยที่เจ็บป่วยได้เดินทางกลับบ้านในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 และได้ดําเนินการจนสําเร็จลุล่วง จนทําให้ตัวเองต้องล้มป่วยจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา และกลับมารักษาตัวจนต้องมาเสียชีวิตที่ประเทศไทยในที่สุด สําหรับการให้ความช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน ผมและท่านปลัดกระทรวงได้มอบหมายให้สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือครอบครัวนายหมัด ได้แก่ การรับพระราชทานดินในการฝังศพ การมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน จํานวน 50,000 บาท การขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่ํากว่าสายสะพาย เป็นกรณีพิเศษ สําหรับผู้วายชนม์ ชั้นตรา เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่นายหมัดฯ การทําหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเรื่อง ขออนุมัติจ่ายเงินช่วยพิเศษและเงินค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางานให้แก่นายหมัดฯ โดยได้รับอนุมัติแล้ว รวม 2,142,107.89 บาท และการทําหนังสือถึงสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอสนับสนุนเงินบริจาคบัญชี “สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อบริจาคสนับสนุนแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 โดยได้รับเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพฯ 100,000 บาท เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 ‘สุชาติ’มอบเงินกว่า 2.2 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัว จนท.ล่ามแรงงานในกรุงริยาด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวนางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) และครอบครัว เป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน จํานวน 1,851,643.67 บาท เงินช่วยพิเศษ 290,464.22 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพสําหรับครอบครัวนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศซาอุดีอาระเบียในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 จํานวน 100,000 บาท จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบเงินช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้รับมอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,242,107.89 บาท เพื่อช่วยเหลือและให้กําลังใจแก่ครอบครัว ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน นายปรีดา เชื้อผู้ดี ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีและนายกองค์การบริหารสวนตําบลท่าอิฐ นายประสิทธิ์ มะหะหมัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขต 19 พรรคพลังประชารัฐ นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า โรงพยาบาลกรุงเทพ นางอนุรักษ์ มะมิน ภรรยาของนายหมัด มะมิน และบุตรชายอีก 2 คน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ซึ่งนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ได้เสียชีวิตเนื่องจากปอดติดเชื้อและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานดินไปในการฝังศพเป็นกรณีพิเศษเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ณ มัสยิดบุสตานุ้ลอารีฟีน ในอําเภอบางน้ําเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยต่อครอบครัวของนายหมัด มะมิน ล่ามประจําสํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ที่ได้สูญเสียเสาหลักของครอบครัว จึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเข้าไปดูแลช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งในวันนี้จึงได้มอบเงินเป็นค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางาน เงินช่วยพิเศษ และเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพซึ่งรับมอบจากนายกรัฐมนตรี รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2 ล้าน 2 แสนบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้กําลังใจแก่ครอบครัวของนายหมัดฯ นายสุชาติ กล่าวต่อว่า นายหมัด มะมิน เป็นล่ามให้กระทรวงแรงงานมากว่า 20 ปี ถือเป็นผู้เสียสละที่ได้ช่วยเหลือแรงงานไทยทั้งใน ซาอุดีอาระเบีย และพื้นที่อาณาทั้งในคูเวต บาห์เรน เลบานอน มามากมาย โดยได้ออกไปทํางานเพื่อช่วยให้คนไทยที่เจ็บป่วยได้เดินทางกลับบ้านในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 และได้ดําเนินการจนสําเร็จลุล่วง จนทําให้ตัวเองต้องล้มป่วยจากปอดติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ดื้อยา และกลับมารักษาตัวจนต้องมาเสียชีวิตที่ประเทศไทยในที่สุด สําหรับการให้ความช่วยเหลือของกระทรวงแรงงาน ผมและท่านปลัดกระทรวงได้มอบหมายให้สํานักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือครอบครัวนายหมัด ได้แก่ การรับพระราชทานดินในการฝังศพ การมอบเงินช่วยเหลือจากกองทุนสวัสดิการสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน จํานวน 50,000 บาท การขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่ํากว่าสายสะพาย เป็นกรณีพิเศษ สําหรับผู้วายชนม์ ชั้นตรา เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย ให้แก่นายหมัดฯ การทําหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเรื่อง ขออนุมัติจ่ายเงินช่วยพิเศษและเงินค่าตอบแทนสิ้นสุดการทํางานให้แก่นายหมัดฯ โดยได้รับอนุมัติแล้ว รวม 2,142,107.89 บาท และการทําหนังสือถึงสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอสนับสนุนเงินบริจาคบัญชี “สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อบริจาคสนับสนุนแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -19 โดยได้รับเงินสงเคราะห์จากเงินทุนเลี้ยงชีพฯ 100,000 บาท เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37608
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยประกันราคายางพาราแผ่นดิบ 60 บาท/กก. น้ํายางสด 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย 23 บาท/กก. เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย วงเงินกว่า 9,700 ล้านบาท ดีเดย์โอนเงินรอบแรก 10 ธันวาคมนี้ เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงกว่า 9 แสนราย เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้ที่แน่นอนจากการประกันรายได้ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ํา อันเนื่องมากจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย พื้นที่สวนยางกว่า 18.28 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณ 9,717 ล้านบาท โดยประกันรายได้ตามการผลิตแต่ละประเภท ได้แก่ ยางพาราแผ่นดิบคุณภาพดี ประกันราคา 60 บาท/กิโลกรัม น้ํายางสด (DRC 100%) ประกันราคา 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ประกันราคา 23 บาท/กิโลกรัม กําหนดระยะเวลาประกันรายได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564) โดยในวันนี้ (10 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินประกันรายได้ดังกล่าวไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท แก่เกษตรกรจํานวนกว่า 9 แสนราย สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรชาวสวนยางต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่การปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยเป็นสวนยางพาราอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ กําหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จํานวน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จํานวน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยจะทําการตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ พร้อมทั้งประมวลผล ส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินค่าประกันรายได้ในแต่ละเดือน = (ราคายางที่ประกันรายได้-ราคาอ้างอิงการขาย) X ปริมาณผลผลิตยางตามเนื้อที่กรีดยาง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ หากเจ้าของสวนกรีดเองจะได้รับส่วนต่างประกันรายได้ทั้งจํานวน กรณีจ้างกรีดยาง เจ้าของสวนยางจะได้ร้อยละ 60 และคนกรีดจะได้ร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด โดยมีการประกาศราคากลางอ้างอิงทุกเดือน และจะมีการจ่ายเงิน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 – กันยายน 2564 ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 ธ.ก.ส. เดินหน้าโอนเงินประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ธ.ก.ส. พร้อมจ่ายเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 แก่เจ้าของสวนยางและคนกรีดยาง เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางพาราตกต่ํา อันเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยประกันราคายางพาราแผ่นดิบ 60 บาท/กก. น้ํายางสด 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย 23 บาท/กก. เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย วงเงินกว่า 9,700 ล้านบาท ดีเดย์โอนเงินรอบแรก 10 ธันวาคมนี้ เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงกว่า 9 แสนราย เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเสนอโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 2 เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้ที่แน่นอนจากการประกันรายได้ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ํา อันเนื่องมากจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสร้างความมั่นคงในอาชีพ เป้าหมายเกษตรกร 1.83 ล้านราย พื้นที่สวนยางกว่า 18.28 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณ 9,717 ล้านบาท โดยประกันรายได้ตามการผลิตแต่ละประเภท ได้แก่ ยางพาราแผ่นดิบคุณภาพดี ประกันราคา 60 บาท/กิโลกรัม น้ํายางสด (DRC 100%) ประกันราคา 57 บาท/กิโลกรัม และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) ประกันราคา 23 บาท/กิโลกรัม กําหนดระยะเวลาประกันรายได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน (เดือนตุลาคม 2563 – มีนาคม 2564) โดยในวันนี้ (10 ธันวาคม 2563) ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินประกันรายได้ดังกล่าวไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท แก่เกษตรกรจํานวนกว่า 9 แสนราย สําหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินประกันรายได้ เกษตรกรชาวสวนยางต้องขึ้นทะเบียนและแจ้งข้อมูลพื้นที่การปลูกยางกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) โดยเป็นสวนยางพาราอายุ 7 ปีขึ้นไป ที่เปิดกรีดแล้ว รายละไม่เกิน 25 ไร่ กําหนดปริมาณผลผลิตยางที่จะประกันรายได้ ผลผลิตยางแห้ง (DRC 100%) จํานวน 20 กิโลกรัม/ไร่/เดือน และผลผลิตยางก้อนถ้วย (DRC 50%) จํานวน 40 กิโลกรัม/ไร่/เดือน ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยจะทําการตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ พร้อมทั้งประมวลผล ส่งมายัง ธ.ก.ส. เพื่อให้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ซึ่งเงินค่าประกันรายได้ในแต่ละเดือน = (ราคายางที่ประกันรายได้-ราคาอ้างอิงการขาย) X ปริมาณผลผลิตยางตามเนื้อที่กรีดยาง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ หากเจ้าของสวนกรีดเองจะได้รับส่วนต่างประกันรายได้ทั้งจํานวน กรณีจ้างกรีดยาง เจ้าของสวนยางจะได้ร้อยละ 60 และคนกรีดจะได้ร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด โดยมีการประกาศราคากลางอ้างอิงทุกเดือน และจะมีการจ่ายเงิน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 – กันยายน 2564 ซึ่งเกษตรกรสามารถตรวจสอบการโอนเงินได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และกรณีที่เกษตรกรลูกค้าสมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีของท่านแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง ธอส.จัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจําเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) จําหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจําเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้(12 ธันวาคม 2563) จําหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ครองแชมป์ประเภททรัพย์ที่ขายได้มากที่สุด พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลห้ามพลาดส่วนลดราคาพิเศษเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทําสัญญาและทํานิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจําเดือนธันวาคม 2563 เปิดประมูลทรัพย์ NPA พร้อมกัน 111 รายการ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งผลปรากฏว่าธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้ถึง 42 รายการ คิดเป็นมูลค่าที่จําหน่ายได้รวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ โดยทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ถือเป็นประเภททรัพย์ที่ลูกค้าประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งธนาคารสามารถจําหน่ายได้ประเภทละ 16 รายการเท่ากัน ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น หมู่บ้านพาทิโอศรีนครินทร์-พระราม 9 เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายการทรัพย์เด่นทําเลดีใจกลางเมืองเดินทางสะดวกที่ธนาคารนํามาออกประมูลในครั้งนี้ จากราคาเริ่มต้น 4,240,000 บาท จําหน่ายได้ในราคาปิดประมูล 4,360,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ประเภทห้องชุดขนาด 37.53 ตารางเมตร ในโครงการไอ-เซนคอนโดมิเนียมเอกมัย-รามอินทรา ถนนนาคนิวาส เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เป็นอีกรายการที่เดินทางสะดวก ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทางขึ้น-ลงทางด่วน สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้างสรรพสินค้า และโรงเรียน ปิดประมูลขายได้ในราคาเพียง 1,695,000 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาเริ่มต้นประมูลจํานวน 10,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ที่ดินเปล่า ขนาด 60 ตารางวา ในโครงการหาดเพชรแลนด์ อําเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เปิดประมูลในราคาเริ่มต้น 75,000 บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลมากที่สุดถึง 10 ราย ก่อนที่จะปิดประมูลไปในราคา 320,000 บาท “ธอส. เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่เริ่มเปิดประมูลบ้านมือสองออนไลน์มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ซึ่งนับว่าลูกค้าประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลการประมูลทั้ง 6 ครั้งในปีนี้ ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้รวมกันมากกว่า 120 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 190 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้านในรูปแบบที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ในขณะเดียวกันยังเป็นผลมาจากทรัพย์ NPA ของ ธอส. ที่นําออกประมูลถือเป็นรายการที่น่าสนใจ มีสภาพดี เดินทางสะดวก คุ้มค่ากับราคา และผู้ซื้อยังสามารถเลือกใช้บริการโปรโมชั่นสินเชื่อหรือผ่อนดาวน์ อัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งจัดทําขึ้นพิเศษสําหรับผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ได้อีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ ในปี 2564 ธนาคารจะยังจัดมหกรรมประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เช่นเดิม โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์เพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันที หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 12.12 ดีลดี ได้มีบ้าน ทรัพย์มือสอง ธอส. ประมูลขายผ่านแอปฯ GH Bank Smart NPA ลูกค้าแห่ซื้อ 42 รายการ เกือบ 60 ล้านบาท ภายใน 1 ชั่วโมง ธอส.จัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจําเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) จําหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application GH Bank Smart NPA ประจําเดือนธันวาคม 2563 ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. วานนี้(12 ธันวาคม 2563) จําหน่ายทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 42 รายการ มูลค่ารวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ครองแชมป์ประเภททรัพย์ที่ขายได้มากที่สุด พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลห้ามพลาดส่วนลดราคาพิเศษเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทําสัญญาและทํานิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยถึงผลการจัดมหกรรม 12.12 ประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ประจําเดือนธันวาคม 2563 เปิดประมูลทรัพย์ NPA พร้อมกัน 111 รายการ ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA วานนี้ (12 ธันวาคม 2563) ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งผลปรากฏว่าธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้ถึง 42 รายการ คิดเป็นมูลค่าที่จําหน่ายได้รวม 59.475 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 10 รายการ และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 32 รายการ โดยทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ ถือเป็นประเภททรัพย์ที่ลูกค้าประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด ซึ่งธนาคารสามารถจําหน่ายได้ประเภทละ 16 รายการเท่ากัน ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น หมู่บ้านพาทิโอศรีนครินทร์-พระราม 9 เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรายการทรัพย์เด่นทําเลดีใจกลางเมืองเดินทางสะดวกที่ธนาคารนํามาออกประมูลในครั้งนี้ จากราคาเริ่มต้น 4,240,000 บาท จําหน่ายได้ในราคาปิดประมูล 4,360,000 บาท ขณะที่ทรัพย์ประเภทห้องชุดขนาด 37.53 ตารางเมตร ในโครงการไอ-เซนคอนโดมิเนียมเอกมัย-รามอินทรา ถนนนาคนิวาส เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ เป็นอีกรายการที่เดินทางสะดวก ตั้งอยู่ไม่ห่างจากทางขึ้น-ลงทางด่วน สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้างสรรพสินค้า และโรงเรียน ปิดประมูลขายได้ในราคาเพียง 1,695,000 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาเริ่มต้นประมูลจํานวน 10,000 บาทเท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาถูกที่สุด คือ ที่ดินเปล่า ขนาด 60 ตารางวา ในโครงการหาดเพชรแลนด์ อําเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เปิดประมูลในราคาเริ่มต้น 75,000 บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมประมูลมากที่สุดถึง 10 ราย ก่อนที่จะปิดประมูลไปในราคา 320,000 บาท “ธอส. เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกที่เริ่มเปิดประมูลบ้านมือสองออนไลน์มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 ซึ่งนับว่าลูกค้าประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลการประมูลทั้ง 6 ครั้งในปีนี้ ธนาคารสามารถจําหน่ายทรัพย์ได้รวมกันมากกว่า 120 รายการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 190 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ต้องการมีบ้านในรูปแบบที่สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ หรือ New Normal ในขณะเดียวกันยังเป็นผลมาจากทรัพย์ NPA ของ ธอส. ที่นําออกประมูลถือเป็นรายการที่น่าสนใจ มีสภาพดี เดินทางสะดวก คุ้มค่ากับราคา และผู้ซื้อยังสามารถเลือกใช้บริการโปรโมชั่นสินเชื่อหรือผ่อนดาวน์ อัตราดอกเบี้ย 0% ซึ่งจัดทําขึ้นพิเศษสําหรับผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ได้อีกด้วย” นายฉัตรชัย กล่าว ทั้งนี้ ในปี 2564 ธนาคารจะยังจัดมหกรรมประมูลบ้านออนไลน์กับ ธอส. ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เช่นเดิม โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเข้าร่วมประมูลออนไลน์เพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันที หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ www.ghbank.co.th หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ฝ่ายบริหาร NPA โทร. 0-2202-1582-3 และ 0-2202-1016 และฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค โทร.0-2202-1170 และ 0-2202-2036
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จํานวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทําตามมาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จํานวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทําตามมาตรการ New Normal ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต้องร่วมมือปฏิบัติตาม วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยและการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ในคอนเสิร์ต นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 28 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันทุกประเภท27 ราย และติดเชื้อในประเทศ 1 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 17 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,237 ราย รักษาหายสะสม 3,940 ราย กําลังรักษาในโรงพยาบาล 237 ราย และเสียชีวิต 60 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 27 ราย ประกอบด้วย บาห์เรน 7 ราย เมียนมา 6 ราย สหราชอาณาจักร 3 ราย ฝรั่งเศส และโปแลนด์ ประเทศละ 2 ราย สวีเดน ยูเครน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อาเซอร์ไบจาน เยอรมนี และจอร์แดน ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 23 ราย และคนต่างชาติ 4 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 27 ปี อาชีพบุคลากรทางการแพทย์ เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชนที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 6 ราย สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5.39 แสนราย ยอดสะสมรวม 72.6 ล้านราย อาการรุนแรง 106,189 ราย รักษาหายแล้ว 50.8 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 7.6 พันราย เสียชีวิตสะสม 1.6 ล้านราย 5 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.7 ล้านราย อินเดีย 9.88 ล้านราย บราซิล 6.9 ล้านราย รัสเซีย 2.65 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.37 ล้านราย สําหรับประเทศเมียนมา ผู้ป่วยรายใหม่ 1,127 ราย ผู้ป่วยสะสม 108,342 ราย และมาเลเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 1,229 ราย ผู้ป่วยสะสมรวม 83,475 ราย นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการจัดคอนเสิร์ตนั้น การรวมกันของคนจํานวนมากถือว่ามีความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด จึงต้องอยู่ในวิถีของ New Normal ดังนั้น คอนเสิร์ตสามารถจัดได้ โดยต้องมี New Normal คือการสร้างระยะห่าง ผู้จัดงานต้องทําตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดี อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวางแผนเอาไว้อย่างดี แต่หน้างานที่มีคนเรือนหมื่นมาอยู่รวมกัน อาจมีความยากลําบากในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนการที่กําหนด โดยเฉพาะประตูทางเข้าที่อาจทําให้เกิดความแออัดได้ จึงขอให้ผู้จัดงานประมาณการณ์จํานวนคนเข้าร่วมงาน และพิจารณาเรื่องของการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป การขอความร่วมมือจึงยากมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ ดังนั้น การจัดงานคอนเสิร์ตหรืองานใดก็ตาม ต้องอาศัยความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวถึง บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 รายที่ 7 นี้ เป็นเพื่อนร่วมห้องพักของผู้ป่วยบุคลากรทางการแพทย์รายที่ 6 ดังนั้นผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเริ่มจากการมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากการปฏิบัติงานภายในสถานกักกันที่รัฐกําหนด (ASQ) และนํามาติดเพื่อนบุคลากรจากการมีกิจกรรมร่วมกันนอกเวลางาน ใช้ชีวิตด้วยกัน พักด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน จากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 7 มีความเกี่ยวข้อง โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ทํางานร่วม Ward กับผู้ป่วยรายที่ 4 ที่เริ่มป่วยเป็นคนแรก, พักอาศัยร่วมห้องกับผู้ป่วยรายที่ 6 เมื่อวันที่ 5-7 ธันวาคม 2563 ก่อนที่จะทราบว่าผู้ป่วยรายที่ 6 ติดเชื้อ, วันที่ 8 ธันวาคม 2563 เก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อครั้งแรก ผลไม่พบเชื้อ และเข้ารับการกักกันในโรงพยาบาลเอกชนวันที่ 9-11 ธันวาคม 2563 ระหว่างนี้ไม่มีอาการ กระทั่งวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีอาการเจ็บคอ แน่นจมูก ผลตรวจแล้วพบเชื้อ ขณะนี้อยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์ “ผู้ป่วยรายที่ 7 อยู่ในสถานที่กักกันโรคตั้งแต่วันที่ 8-12 ธันวาคม จึงไม่มีการสัมผัสกับผู้อื่น ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ผู้ที่พักในคอนโดเดียวกัน หากไม่มีอาการป่วย ไม่มีอาการผิดปกติ ถือเป็นกลุ่มที่ไม่เสี่ยง ส่วนกรณีสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วยเนื่องจากมีความใกล้ชิดช่วงก่อนหน้านี้ เช่น มีอาการทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ํามูก ไม่ได้กลิ่น ไม่รับรส สามารถไปตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนพบว่าเป็นการติดเชื้อภายในกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น และขอให้ประชาชนยังคงตระหนักป้องกันโรคด้วยการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่ใช้ร่วมกัน” นายแพทย์โสภณกล่าว สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เดินทางมาจากเมียนมา 6 ราย เดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องและเข้ารับการกักกันในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) จ.เชียงราย แล้วจึงตรวจพบเชื้อ ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดย 4 รายติดเชื้อไม่มีอาการ อีก 2 รายมีอาการเล็กน้อย จึงไม่ต้องตระหนก เนื่องจากไม่ได้มีการสัมผัสกับผู้อื่นภายนอก ************************************ 14 ธันวาคม 2563 *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้ วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 สธ.แจงบุคลากรทางการแพทย์ติดโควิด 19 รายที่ 7 เป็นกลุ่มผู้สัมผัสที่เฝ้าระวังก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จํานวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทําตามมาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผยมีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ 28 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ากักกันตามระบบ 27 ราย จํานวนนี้มาจากเมียนมา 6 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 1 ราย เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อรายที่ 7ส่วนคอนเสิร์ตสามารถจัดได้ แต่ต้องทําตามมาตรการ New Normal ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต้องร่วมมือปฏิบัติตาม วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยและการควบคุมป้องกันโรคโควิด 19 ในคอนเสิร์ต นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 28 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันทุกประเภท27 ราย และติดเชื้อในประเทศ 1 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 17 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,237 ราย รักษาหายสะสม 3,940 ราย กําลังรักษาในโรงพยาบาล 237 ราย และเสียชีวิต 60 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 27 ราย ประกอบด้วย บาห์เรน 7 ราย เมียนมา 6 ราย สหราชอาณาจักร 3 ราย ฝรั่งเศส และโปแลนด์ ประเทศละ 2 ราย สวีเดน ยูเครน ปากีสถาน อินโดนีเซีย อาเซอร์ไบจาน เยอรมนี และจอร์แดน ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 23 ราย และคนต่างชาติ 4 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อในประเทศ 1 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 27 ปี อาชีพบุคลากรทางการแพทย์ เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลเอกชนที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 6 ราย สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5.39 แสนราย ยอดสะสมรวม 72.6 ล้านราย อาการรุนแรง 106,189 ราย รักษาหายแล้ว 50.8 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 7.6 พันราย เสียชีวิตสะสม 1.6 ล้านราย 5 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.7 ล้านราย อินเดีย 9.88 ล้านราย บราซิล 6.9 ล้านราย รัสเซีย 2.65 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.37 ล้านราย สําหรับประเทศเมียนมา ผู้ป่วยรายใหม่ 1,127 ราย ผู้ป่วยสะสม 108,342 ราย และมาเลเซีย ผู้ป่วยรายใหม่ 1,229 ราย ผู้ป่วยสะสมรวม 83,475 ราย นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีการจัดคอนเสิร์ตนั้น การรวมกันของคนจํานวนมากถือว่ามีความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด จึงต้องอยู่ในวิถีของ New Normal ดังนั้น คอนเสิร์ตสามารถจัดได้ โดยต้องมี New Normal คือการสร้างระยะห่าง ผู้จัดงานต้องทําตามมาตรการป้องกันควบคุมโรค ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมืออย่างดี อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวางแผนเอาไว้อย่างดี แต่หน้างานที่มีคนเรือนหมื่นมาอยู่รวมกัน อาจมีความยากลําบากในการบริหารจัดการให้เป็นไปตามแผนการที่กําหนด โดยเฉพาะประตูทางเข้าที่อาจทําให้เกิดความแออัดได้ จึงขอให้ผู้จัดงานประมาณการณ์จํานวนคนเข้าร่วมงาน และพิจารณาเรื่องของการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป การขอความร่วมมือจึงยากมากขึ้น ซึ่งความร่วมมือของประชาชนเป็นสิ่งสําคัญ ดังนั้น การจัดงานคอนเสิร์ตหรืองานใดก็ตาม ต้องอาศัยความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวถึง บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 รายที่ 7 นี้ เป็นเพื่อนร่วมห้องพักของผู้ป่วยบุคลากรทางการแพทย์รายที่ 6 ดังนั้นผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเริ่มจากการมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อจากการปฏิบัติงานภายในสถานกักกันที่รัฐกําหนด (ASQ) และนํามาติดเพื่อนบุคลากรจากการมีกิจกรรมร่วมกันนอกเวลางาน ใช้ชีวิตด้วยกัน พักด้วยกัน รับประทานอาหารด้วยกัน จากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยรายที่ 7 มีความเกี่ยวข้อง โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ทํางานร่วม Ward กับผู้ป่วยรายที่ 4 ที่เริ่มป่วยเป็นคนแรก, พักอาศัยร่วมห้องกับผู้ป่วยรายที่ 6 เมื่อวันที่ 5-7 ธันวาคม 2563 ก่อนที่จะทราบว่าผู้ป่วยรายที่ 6 ติดเชื้อ, วันที่ 8 ธันวาคม 2563 เก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อครั้งแรก ผลไม่พบเชื้อ และเข้ารับการกักกันในโรงพยาบาลเอกชนวันที่ 9-11 ธันวาคม 2563 ระหว่างนี้ไม่มีอาการ กระทั่งวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีอาการเจ็บคอ แน่นจมูก ผลตรวจแล้วพบเชื้อ ขณะนี้อยู่ในการดูแลรักษาของแพทย์ “ผู้ป่วยรายที่ 7 อยู่ในสถานที่กักกันโรคตั้งแต่วันที่ 8-12 ธันวาคม จึงไม่มีการสัมผัสกับผู้อื่น ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ผู้ที่พักในคอนโดเดียวกัน หากไม่มีอาการป่วย ไม่มีอาการผิดปกติ ถือเป็นกลุ่มที่ไม่เสี่ยง ส่วนกรณีสงสัยว่าอาจจะมีอาการป่วยเนื่องจากมีความใกล้ชิดช่วงก่อนหน้านี้ เช่น มีอาการทางเดินหายใจ ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ํามูก ไม่ได้กลิ่น ไม่รับรส สามารถไปตรวจสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนพบว่าเป็นการติดเชื้อภายในกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ใช้ชีวิตร่วมกันเท่านั้น และขอให้ประชาชนยังคงตระหนักป้องกันโรคด้วยการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสที่ใช้ร่วมกัน” นายแพทย์โสภณกล่าว สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ ที่เดินทางมาจากเมียนมา 6 ราย เดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องและเข้ารับการกักกันในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) จ.เชียงราย แล้วจึงตรวจพบเชื้อ ได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โดย 4 รายติดเชื้อไม่มีอาการ อีก 2 รายมีอาการเล็กน้อย จึงไม่ต้องตระหนก เนื่องจากไม่ได้มีการสัมผัสกับผู้อื่นภายนอก ************************************ 14 ธันวาคม 2563 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกําลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกําลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคโควิด 19 จากใบพืช ในประเทศโดยคนไทยเพื่อคนไทย วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงนามความร่วมมือ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคจากเชื้อโควิด 19 (Covid-19) พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม โดยนายอนุทินกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ถือเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงและความปลอดภัยด้านสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่รัดกุมในระดับสูงสุด ทําให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สิ่งที่ดําเนินการควบคู่กันคือการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาตรฐานมาฉีดให้กับคนไทย ขณะนี้ได้จองซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จํากัด ไว้แล้วจํานวน 26 ล้านโดส สําหรับคนไทยกลุ่มแรก 13 ล้านคน และยังได้วางแผนจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น และให้ความสําคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ โดยได้ผนึกกําลังเป็น “ทีมไทยแลนด์” ถือเป็นความหวัง ความภูมิใจ และเป็นขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทยที่จะผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นน้ํา ลดการพึ่งพาต่างชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงการวัคซีนเพื่อคนไทยสําเร็จลุล่วง นายอนุทินกล่าวต่อว่า “ทีมไทยแลนด์” ประกอบด้วย องค์การเภสัชกรรม บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด และ บริษัท คินเจน ไบโอเทค จํากัด ที่ได้ร่วมมือกัน ค้นคว้า วิจัย พัฒนา วัคซีนป้องกันโควิด 19 จากใบพืชได้สําเร็จ เป็นครั้งแรกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (Covid-19 vaccine) เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเร็วที่สุด ครั้งนี้เป็นการผลิตวัคซีนโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง โดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงาน โดยได้ร่วมมือจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย คือ บริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม เป็นผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา ผลิตวัคซีนตั้งต้น บริษัท คินเจน ไบโอเทค เป็นผู้ทําวัคซีนให้บริสุทธิ์ และองค์การเภสัชกรรมจะทําหน้าที่ตั้งตํารับและบรรจุวัคซีนสําเร็จรูป สําหรับการทดสอบทางคลินิกเฟส 1-2 ในมนุษย์ ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมได้มีบทบาทในการพัฒนาและจัดหาวัคซีน 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาจากต้นน้ํา ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ไก่ฟัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง และจะศึกษาประสิทธิภาพในมนุษย์ต่อไป 2) โครงการนําเข้าวัคซีนมาแบ่งบรรจุ โดยได้ร่วมมือกับบริษัท Sinopharm ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือ และเตรียมความพร้อมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 3)ให้ทุนกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคโควิด 19 อาทิ วัคซีน Subunit จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัคซีน Virus-like particle จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 4)ร่วมมือกับบริษัทวิจัยในประเทศไทย ในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช ซึ่งได้ทําการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ********************* 14 ธันวาคม 2563 *******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 อนุทินเผย ผนึกพลัง “ทีมไทยแลนด์” ลงนามพัฒนาผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช โดยคนไทยเพื่อคนไทย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกําลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยกระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรม ลงนามความร่วมมือกับ บจก.ใบยา ไฟโตฟาร์ม สตาร์ทอัพโดยนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บจก. คินเจน ไบโอเทค ผนึกกําลังเป็นทีมไทยแลนด์ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคโควิด 19 จากใบพืช ในประเทศโดยคนไทยเพื่อคนไทย วันนี้ (14 ธันวาคม 2563) ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงนามความร่วมมือ ในการพัฒนาและผลิตวัคซีนป้องโรคจากเชื้อโควิด 19 (Covid-19) พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม โดยนายอนุทินกล่าวว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ถือเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงและความปลอดภัยด้านสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ได้มีมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่รัดกุมในระดับสูงสุด ทําให้ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สิ่งที่ดําเนินการควบคู่กันคือการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาตรฐานมาฉีดให้กับคนไทย ขณะนี้ได้จองซื้อวัคซีนจาก บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จํากัด ไว้แล้วจํานวน 26 ล้านโดส สําหรับคนไทยกลุ่มแรก 13 ล้านคน และยังได้วางแผนจัดหาวัคซีนจากแหล่งอื่น และให้ความสําคัญกับการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนในประเทศ โดยได้ผนึกกําลังเป็น “ทีมไทยแลนด์” ถือเป็นความหวัง ความภูมิใจ และเป็นขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทยที่จะผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นน้ํา ลดการพึ่งพาต่างชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ผ่านสถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้โครงการวัคซีนเพื่อคนไทยสําเร็จลุล่วง นายอนุทินกล่าวต่อว่า “ทีมไทยแลนด์” ประกอบด้วย องค์การเภสัชกรรม บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด และ บริษัท คินเจน ไบโอเทค จํากัด ที่ได้ร่วมมือกัน ค้นคว้า วิจัย พัฒนา วัคซีนป้องกันโควิด 19 จากใบพืชได้สําเร็จ เป็นครั้งแรกและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คนไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียม ด้านนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 (Covid-19 vaccine) เพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอย่างเร็วที่สุด ครั้งนี้เป็นการผลิตวัคซีนโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง โดยใช้ความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงาน โดยได้ร่วมมือจากบริษัทวิจัยในประเทศไทย คือ บริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม เป็นผู้ค้นคว้า วิจัยและพัฒนา ผลิตวัคซีนตั้งต้น บริษัท คินเจน ไบโอเทค เป็นผู้ทําวัคซีนให้บริสุทธิ์ และองค์การเภสัชกรรมจะทําหน้าที่ตั้งตํารับและบรรจุวัคซีนสําเร็จรูป สําหรับการทดสอบทางคลินิกเฟส 1-2 ในมนุษย์ ทั้งนี้ องค์การเภสัชกรรมได้มีบทบาทในการพัฒนาและจัดหาวัคซีน 4 แนวทาง ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาจากต้นน้ํา ใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ไก่ฟัก ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง และจะศึกษาประสิทธิภาพในมนุษย์ต่อไป 2) โครงการนําเข้าวัคซีนมาแบ่งบรรจุ โดยได้ร่วมมือกับบริษัท Sinopharm ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามความร่วมมือ และเตรียมความพร้อมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 3)ให้ทุนกับมหาวิทยาลัยในการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรคโควิด 19 อาทิ วัคซีน Subunit จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัคซีน Virus-like particle จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 4)ร่วมมือกับบริษัทวิจัยในประเทศไทย ในการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด จากใบพืช ซึ่งได้ทําการลงนามความร่วมมือในวันนี้ ********************* 14 ธันวาคม 2563 *******************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ ธอส.ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.99% ต่อปีเท่านั้น ฟรี! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พร้อมเอาใจคนรักการออมด้วยสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน และเงินฝากออมทรัพย์ New Flexi For Welfare and Corporate รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.10% ต่อปี เฉพาะที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่าเพื่อเป็นการมอบโอกาสดี ๆให้แก่ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคารได้สะดวกยิ่งขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคารไปให้บริการลูกค้านําโดย สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการเท่ากับ MRR ลบ 1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป MOU เท่ากับ MRR ลบ 0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไปเท่ากับ MRR ลบ 0.50% ต่อปี วัตถุประสงค์การให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร ทั้งนี้ เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.สมุทรปราการเท่านั้น พิเศษ! ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2563 – 15 มกราคม 2564 อนุมัติและทํานิติกรรมภายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อที่มีวงเงินทํานิติกรรมสูงสุด 5 อันดับแรก ยังมีสิทธิ์ได้ของสมนาคุณพิเศษจากธนาคารอีกด้วย สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท จําหน่ายหมวดละ 1 ล้านหน่วย อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกําหนดรับผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือนรวม 24 ครั้ง ได้ลุ้นรางวัลมากมาย แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 รางวัลละ 50,000 บาท 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 รางวัลละ 5,000 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 รางวัลละ 500 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน พิเศษสําหรับผู้ที่จองสิทธิ์ และซื้อสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาวภายในงานหรือภายในระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับกระเป๋าผ้าลดโลกร้อน 1 ราย ต่อ 1 ใบ เงินฝากออมทรัพย์ New Flexi for Welfare and Corporate สําหรับลูกค้าที่มีเงินเดือนประจําจากหน่วยงานหรือบริษัท หากเปิดบัญชีและมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อปี พิเศษ!! หากเดือนใดไม่มีการถอนจะได้รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 1.10% ต่อปี) เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท พิเศษสําหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีตามระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับตุ๊กตาหมี 1 ตัว ต่อ 1 ราย ทั้งนี้ งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 โปรดีเต็ม 10 ไม่มีหักกับ ธอส.ที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.99% /ปี พร้อมเงินฝากและสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาว ออมแค่ 5,000 บาท ลุ้นรับ 1 ลบ ธอส.ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษของธนาคารส่งท้ายปี 2563 นําโดยสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.99% คงที่ 2 ปีแรก ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 2.99% ต่อปีเท่านั้น ฟรี! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ พร้อมเอาใจคนรักการออมด้วยสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท ได้ลุ้นรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท ตลอด 24 เดือน และเงินฝากออมทรัพย์ New Flexi For Welfare and Corporate รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.10% ต่อปี เฉพาะที่งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่าเพื่อเป็นการมอบโอกาสดี ๆให้แก่ลูกค้าประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ของธนาคารได้สะดวกยิ่งขึ้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 โดยนําผลิตภัณฑ์พิเศษของธนาคารไปให้บริการลูกค้านําโดย สินเชื่อบ้าน อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2 ปีแรก คงที่ 2.99% ต่อปี ปีที่ 3 MRR ลบ 3.16% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกอัตราดอกเบี้ยเพียง 2.99 % ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.150% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการเท่ากับ MRR ลบ 1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป MOU เท่ากับ MRR ลบ 0.75% ต่อปี และกรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไปเท่ากับ MRR ลบ 0.50% ต่อปี วัตถุประสงค์การให้กู้ เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น ซื้อที่ดินเปล่าที่เป็นทรัพย์ NPA ของ ธอส. และกู้เพิ่มเพื่อปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย และซ่อมแซมอาคาร ทั้งนี้ เฉพาะที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และ จ.สมุทรปราการเท่านั้น พิเศษ! ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ โดยต้องจองสิทธิ์สินเชื่อภายในงาน ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2563 – 15 มกราคม 2564 อนุมัติและทํานิติกรรมภายในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ ลูกค้าสินเชื่อที่มีวงเงินทํานิติกรรมสูงสุด 5 อันดับแรก ยังมีสิทธิ์ได้ของสมนาคุณพิเศษจากธนาคารอีกด้วย สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดเกล็ดดาว หน่วยละ 5,000 บาท จําหน่ายหมวดละ 1 ล้านหน่วย อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกําหนดรับผลตอบแทนหน้าสลาก 0.4% ต่อปี ออกรางวัลทุกเดือนรวม 24 ครั้ง ได้ลุ้นรางวัลมากมาย แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 มูลค่ารางวัลสูงถึง 1,000,000 บาท/หมวด รางวัลที่ 2 รางวัลละ 50,000 บาท 4 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 3 รางวัลละ 5,000 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลที่ 4 รางวัลละ 500 บาท 20 รางวัล/หมวด รางวัลเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 100 บาท รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว รางวัลละ 50 บาท รางวัลเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 50 บาท และรางวัลเลขสลับเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 20 บาท ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน พิเศษสําหรับผู้ที่จองสิทธิ์ และซื้อสลากออมทรัพย์ชุดเกล็ดดาวภายในงานหรือภายในระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับกระเป๋าผ้าลดโลกร้อน 1 ราย ต่อ 1 ใบ เงินฝากออมทรัพย์ New Flexi for Welfare and Corporate สําหรับลูกค้าที่มีเงินเดือนประจําจากหน่วยงานหรือบริษัท หากเปิดบัญชีและมียอดเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อปี พิเศษ!! หากเดือนใดไม่มีการถอนจะได้รับดอกเบี้ยบวกเพิ่ม 0.25% ต่อปี (คิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 1.10% ต่อปี) เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ํา 10,000 บาท พิเศษสําหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีตามระยะเวลาที่กําหนดจะได้รับตุ๊กตาหมี 1 ตัว ต่อ 1 ราย ทั้งนี้ งาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ ครั้งที่ 11 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 ธันวาคม 2563 ณ ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37559
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนครศรีธรรมราช
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมนครศรีธรรมราช กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมนครศรีธรรมราช เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางไปราชการเพื่อตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเครือข่ายทางด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และเครือข่ายชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติอุทกภัย โดยมี นายสมพงษ์ มากมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้อํานวยการกองกลาง นางกฤตษญา ตระบันพฤกษ์ วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมวัดศรีสุวรรณนาราม หมู่ที่ ๗ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีนายประจักร์ แขดวง ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้กล่าวต้อนรับและรายงานสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในช่วงระหว่างวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ทําให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบถุงยังชีพแก่ตัวแทนผู้ประสบภัยจํานวน ๒๐ ครัวเรือน พร้อมกล่าวให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัย เดินทางไปวัดศรีสุวรรณาราม กราบนมัสการพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม พร้อมถวายผ้าไตรแก่คณะสงฆ์จํานวน ๔ รูป จากนั้นลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ ด้วย ทั้งนี้ชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม (บ้านเปี๊ยะหัวเนิน) เดิมพื้นที่แห่งนี้มีแม่น้ําไหลผ่านเป็นระยะทางยาวมาก และมีแตกสาขาเป็นคลองเล็กๆ หลายสาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “คลองน้อย” ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งตําบลขึ้นมาจึงใช้ชื่อว่า “ตําบลคลองน้อย” มาจนถึงปัจจุบัน มีหมู่บ้านทั้งสิ้น ๑๖ หมู่บ้าน ทําอาชีพเกษตรกรรม รับจ้าง มีผลไม้ขึ้นชื่อ คือ ส้มโอแสงวิมาน อยู่ห่างจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๙ กิโลเมตร โดยชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม มีพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาวัดศรีสุวรรณาราม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนครศรีธรรมราช วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมนครศรีธรรมราช กระทรวงวัฒนธรรม เร่งช่วยเครือข่ายวัฒนธรรม-ชุมชนคุณธรรมฯ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ําท่วมนครศรีธรรมราช เมื่อเร็วๆนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม เดินทางไปราชการเพื่อตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเครือข่ายทางด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และเครือข่ายชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลัง บวร ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติอุทกภัย โดยมี นายสมพงษ์ มากมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นางโชติกา อัครกิจโสภากุล ผู้อํานวยการกองกลาง นางกฤตษญา ตระบันพฤกษ์ วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมวัดศรีสุวรรณนาราม หมู่ที่ ๗ ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช โดยมีนายประจักร์ แขดวง ผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้กล่าวต้อนรับและรายงานสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในช่วงระหว่างวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ ทําให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง ในโอกาสนี้ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบถุงยังชีพแก่ตัวแทนผู้ประสบภัยจํานวน ๒๐ ครัวเรือน พร้อมกล่าวให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัย เดินทางไปวัดศรีสุวรรณาราม กราบนมัสการพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม พร้อมถวายผ้าไตรแก่คณะสงฆ์จํานวน ๔ รูป จากนั้นลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในพื้นที่ชุมชนคุณธรรมฯ ด้วย ทั้งนี้ชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม (บ้านเปี๊ยะหัวเนิน) เดิมพื้นที่แห่งนี้มีแม่น้ําไหลผ่านเป็นระยะทางยาวมาก และมีแตกสาขาเป็นคลองเล็กๆ หลายสาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า “คลองน้อย” ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งตําบลขึ้นมาจึงใช้ชื่อว่า “ตําบลคลองน้อย” มาจนถึงปัจจุบัน มีหมู่บ้านทั้งสิ้น ๑๖ หมู่บ้าน ทําอาชีพเกษตรกรรม รับจ้าง มีผลไม้ขึ้นชื่อ คือ ส้มโอแสงวิมาน อยู่ห่างจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๙ กิโลเมตร โดยชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีสุวรรณาราม มีพระถาวร ถาวโร รักษาการเจ้าอาวาวัดศรีสุวรรณาราม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นร กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ ทําความสะอาดห้องน้ํา สังเกตอาการตนเองหลังเดินทางกลับ สําหรับผู้ป่วยโควิด 19 วันนี้มีติดเชื้อเพิ่ม 11 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวทั้งหมด วันนี้ (11 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจําวันที่ 11 ธันวาคม มีผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,180 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,718 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,192 ราย หายป่วยสะสม 3,903 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เมียนมา 3 ราย ซาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน ประเทศละ 2 ราย เกาหลีใต้ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และโปรตุเกส ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 8 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 6 ราย ติดเชื้อมีอาการ 5 ราย ส่วนใหญ่มีไข้ น้ํามูก ปวดศีรษะ และเจ็บคอ สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเมียนมา 3 ราย ซึ่งอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้หลังเดินทางกลับมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทําให้ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา รวมเป็น 49 ราย แบ่งเป็นลักลอบเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ 17 ราย เข้ามาอย่างถูกต้องและเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 30 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย กระจายในจ.เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 37 ราย พะเยา 1 ราย กทม. 3 ราย พิจิตร 1 ราย ราชบุรี 1 ราย และสิงห์บุรี 1 ราย ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 70.7 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.76 แสนราย อาการหนัก 106,710 ราย คิดเป็น 0.2 เปอร์เซ็นต์ เสียชีวิตรวม 1.58 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย คิดเป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16 ล้านรายอินเดีย 9.79 ล้านรายบราซิล 6.78 ล้านราย รัสเซีย 2.56 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.33 ล้านรายส่วนสถานการณ์ของทวีปเอเชียที่พบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมา โดยเฉพาะเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1,321 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 104,487 ราย และมาเลเซียมีผู้ป่วยรายใหม่ 2,234 ราย ผู้ป่วยสะสม 78,499 ราย จึงยังต้องเฝ้าระวังชายแดนอย่างเข้มข้น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถควบคุมได้ จากการตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา และการคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่รวมกว่า 7 พันคน ผลเป็นลบ มีการติดเชื้อเพียง 2 รายอยู่ในการดูแลรักษาแล้ว และผู้ติดเชื้อที่เคยพบใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ กทม. พะเยา พิจิตร ราชบุรี และสิงห์บุรี ได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าควบคุมและติดตามผู้สัมผัสได้รวดเร็ว ส่งผลให้ไม่มีการระบาดเป็นวงกว้าง ถือว่ามีความปลอดภัยเท่ากับจังหวัดอื่น ดังนั้น ขอความร่วมมือภาคเอกชนทําความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องกักตัว ส่วนกรณีชายไทยลักลอบเดินทางเข้าประเทศทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางโดยรถตู้สายแม่สอด-มุกดาหาร ไป จ.นครพนม อสม.เป็นผู้พบความผิดปกติ ทําให้ควบคุมบุคคลนี้ได้ เมื่อตรวจหาเชื้อผลเป็นลบ ไม่มีการติดเชื้อตามที่เป็นข่าว และติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความสําเร็จในการควบคุมโรค และติดตามผู้สัมผัส เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนและประชาชน เมื่อเราร่วมมือกันเช่นนี้ ประเทศจะปลอดภัย ประชาชนสามารถไปพักผ่อนท่องเที่ยวได้ สําหรับช่วงวันหยุดยาว การจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ สามารถจัดได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่จังหวัดไหนที่มีการแพร่ระบาด เน้นขอความร่วมมือผู้จัดงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค มีจุดคัดกรองวัดไข้ ลงทะเบียนไทยชนะ จัดอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มีการแยกกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการปะปนมากเกินไป ส่วนบริเวณที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ห้องน้ํา ต้องทําความสะอาดบ่อยๆ บริเวณขายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ค้าจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาและเว้นระยะห่าง หรือบริเวณหน้าเวทีระวังอย่าให้ใกล้ชิดจนแออัด สําหรับผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นช่วงรับประทาน ล้างมือ ลงทะเบียนไทยชนะ เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวแล้วมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้ไปสถานพยาบาลและแจ้งประวัติ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจตราร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้วย หากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งเตือน หากไม่ปรับปรุงจะปิดสถานที่ และขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากปฏิบัติเช่นนี้จะทําให้มีกิจกรรมช่วงเทศกาลอย่างมีความสุขทุกคน นายแพทย์โอภาสกล่าวอีกว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พบการติดเชื้อจํานวน 108 คน แต่เมื่อรู้จักโรคนี้ดีขึ้น ทําให้ช่วงหลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาไม่พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้ออีกเลย กระทั่งมี 1 รายที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) และนําไปติดเพื่อนที่เป็นบุคลากรด้วยกัน ซึ่งไม่ได้ติดจากการทํางาน เป็นการติดจากการใช้ชีวิตประจําวันร่วมกัน จึงต้องเคร่งครัดมาตรการใส่เครื่องป้องกัน ซักซ้อมการถอดใส่อุปกรณ์ตามมาตรฐานมากขึ้น ยังไม่ถึงขั้นต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลโดยไม่ออกมาภายนอก ขณะนี้ควรให้กําลังใจในการทํางาน ด้านนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด 19 ขณะนี้มีเพียง 6 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในโรงพยาบาลเอกชน 31 ราย ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม ผลเป็นลบ ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ผลเป็นลบ 30 ราย ติดเชื้อ 1 ราย คือผู้ป่วยรายที่ 6 โดยจะมีการตรวจเชื้อครั้งที่ 3 ต่อไป ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในหอพัก ห้องสัมภาษณ์งานโรงพยาบาลรัฐ และสมาชิกครอบครัว ให้ผลเป็นลบทั้งหมด ได้เก็บตัวอย่างแล้ว คาดว่าผลจะออกในวันที่ 12-13 ธันวาคม ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 888 รายผลเป็นลบ ส่วนกรณีผู้ป่วยรายแรกที่มีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT และ BTS ช่วงเวลาสั้นๆ 10-15 นาที มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา และไม่มีการพูดคุย ถือว่ามีความเสี่ยงต่ํา ดังนั้น การใส่หน้ากากขณะโดยสารรถขนส่งสาธารณะต่างๆ จะช่วยป้องกันตัวเองและลดความเสี่ยงลงได้ ***************************** 11 ธันวาคม 2563 ********************************* ***************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 สธ.ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยกรณีท่าขี้เหล็ก จัดกิจกรรม/ท่องเที่ยวได้ กลับมาไม่ต้องกักตัว กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นร กระทรวงสาธารณสุข ยันไม่มีการแพร่ระบาดใน 7 จังหวัดที่พบผู้ป่วยโควิด 19 กรณีท่าขี้เหล็ก ถือว่ามีความปลอดภัยเท่าจังหวัดอื่นๆ ประชาชนสามารถท่องเที่ยวได้ เดินทางกลับมาไม่ต้องกักตัว ส่วนช่วงวันหยุดยาวจัดกิจกรรมได้ เน้นคัดกรองวัดไข้ ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สแกนไทยชนะ ทําความสะอาดห้องน้ํา สังเกตอาการตนเองหลังเดินทางกลับ สําหรับผู้ป่วยโควิด 19 วันนี้มีติดเชื้อเพิ่ม 11 ราย มาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวทั้งหมด วันนี้ (11 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจําวันที่ 11 ธันวาคม มีผู้ป่วยรายใหม่ 11 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,180 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,718 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,192 ราย หายป่วยสะสม 3,903 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เมียนมา 3 ราย ซาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน ประเทศละ 2 ราย เกาหลีใต้ สวีเดน สหรัฐอเมริกา และโปรตุเกส ประเทศละ 1 ราย แบ่งเป็นคนไทย 8 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 6 ราย ติดเชื้อมีอาการ 5 ราย ส่วนใหญ่มีไข้ น้ํามูก ปวดศีรษะ และเจ็บคอ สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่จากเมียนมา 3 ราย ซึ่งอยู่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้หลังเดินทางกลับมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทําให้ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา รวมเป็น 49 ราย แบ่งเป็นลักลอบเข้ามาตามเส้นทางธรรมชาติ 17 ราย เข้ามาอย่างถูกต้องและเข้าสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) 30 ราย และติดเชื้อในประเทศ 2 ราย กระจายในจ.เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 37 ราย พะเยา 1 ราย กทม. 3 ราย พิจิตร 1 ราย ราชบุรี 1 ราย และสิงห์บุรี 1 ราย ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลกมีผู้ป่วยสะสมรวม 70.7 ล้านราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6.76 แสนราย อาการหนัก 106,710 ราย คิดเป็น 0.2 เปอร์เซ็นต์ เสียชีวิตรวม 1.58 ล้านราย เสียชีวิตเพิ่ม 1.2 หมื่นราย คิดเป็น 2.2 เปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16 ล้านรายอินเดีย 9.79 ล้านรายบราซิล 6.78 ล้านราย รัสเซีย 2.56 ล้านราย และฝรั่งเศส 2.33 ล้านรายส่วนสถานการณ์ของทวีปเอเชียที่พบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมา โดยเฉพาะเมียนมามีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 1,321 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 104,487 ราย และมาเลเซียมีผู้ป่วยรายใหม่ 2,234 ราย ผู้ป่วยสะสม 78,499 ราย จึงยังต้องเฝ้าระวังชายแดนอย่างเข้มข้น นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถควบคุมได้ จากการตรวจผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา และการคัดกรองเชิงรุกในพื้นที่รวมกว่า 7 พันคน ผลเป็นลบ มีการติดเชื้อเพียง 2 รายอยู่ในการดูแลรักษาแล้ว และผู้ติดเชื้อที่เคยพบใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ กทม. พะเยา พิจิตร ราชบุรี และสิงห์บุรี ได้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าควบคุมและติดตามผู้สัมผัสได้รวดเร็ว ส่งผลให้ไม่มีการระบาดเป็นวงกว้าง ถือว่ามีความปลอดภัยเท่ากับจังหวัดอื่น ดังนั้น ขอความร่วมมือภาคเอกชนทําความเข้าใจตรงกันว่า ผู้ที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องกักตัว ส่วนกรณีชายไทยลักลอบเดินทางเข้าประเทศทาง อ.แม่สอด จ.ตาก เดินทางโดยรถตู้สายแม่สอด-มุกดาหาร ไป จ.นครพนม อสม.เป็นผู้พบความผิดปกติ ทําให้ควบคุมบุคคลนี้ได้ เมื่อตรวจหาเชื้อผลเป็นลบ ไม่มีการติดเชื้อตามที่เป็นข่าว และติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความสําเร็จในการควบคุมโรค และติดตามผู้สัมผัส เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนและประชาชน เมื่อเราร่วมมือกันเช่นนี้ ประเทศจะปลอดภัย ประชาชนสามารถไปพักผ่อนท่องเที่ยวได้ สําหรับช่วงวันหยุดยาว การจัดงานรื่นเริงต่าง ๆ สามารถจัดได้ เนื่องจากไม่มีพื้นที่จังหวัดไหนที่มีการแพร่ระบาด เน้นขอความร่วมมือผู้จัดงานปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค มีจุดคัดกรองวัดไข้ ลงทะเบียนไทยชนะ จัดอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ มีการแยกกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดการปะปนมากเกินไป ส่วนบริเวณที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ เช่น ห้องน้ํา ต้องทําความสะอาดบ่อยๆ บริเวณขายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ค้าจะต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาและเว้นระยะห่าง หรือบริเวณหน้าเวทีระวังอย่าให้ใกล้ชิดจนแออัด สําหรับผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกเว้นช่วงรับประทาน ล้างมือ ลงทะเบียนไทยชนะ เมื่อกลับจากการท่องเที่ยวแล้วมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ขอให้ไปสถานพยาบาลและแจ้งประวัติ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจตราร้านค้า ผู้ประกอบการต่างๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรการด้วย หากไม่ปฏิบัติตามจะแจ้งเตือน หากไม่ปรับปรุงจะปิดสถานที่ และขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากปฏิบัติเช่นนี้จะทําให้มีกิจกรรมช่วงเทศกาลอย่างมีความสุขทุกคน นายแพทย์โอภาสกล่าวอีกว่า กรณีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิด 19 ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม พบการติดเชื้อจํานวน 108 คน แต่เมื่อรู้จักโรคนี้ดีขึ้น ทําให้ช่วงหลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาไม่พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้ออีกเลย กระทั่งมี 1 รายที่ติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ) และนําไปติดเพื่อนที่เป็นบุคลากรด้วยกัน ซึ่งไม่ได้ติดจากการทํางาน เป็นการติดจากการใช้ชีวิตประจําวันร่วมกัน จึงต้องเคร่งครัดมาตรการใส่เครื่องป้องกัน ซักซ้อมการถอดใส่อุปกรณ์ตามมาตรฐานมากขึ้น ยังไม่ถึงขั้นต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลโดยไม่ออกมาภายนอก ขณะนี้ควรให้กําลังใจในการทํางาน ด้านนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมควบคุมโรค กล่าวว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด 19 ขณะนี้มีเพียง 6 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในโรงพยาบาลเอกชน 31 ราย ตรวจหาเชื้อครั้งแรกวันที่ 5 ธันวาคม ผลเป็นลบ ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ผลเป็นลบ 30 ราย ติดเชื้อ 1 ราย คือผู้ป่วยรายที่ 6 โดยจะมีการตรวจเชื้อครั้งที่ 3 ต่อไป ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในหอพัก ห้องสัมภาษณ์งานโรงพยาบาลรัฐ และสมาชิกครอบครัว ให้ผลเป็นลบทั้งหมด ได้เก็บตัวอย่างแล้ว คาดว่าผลจะออกในวันที่ 12-13 ธันวาคม ขณะที่ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 888 รายผลเป็นลบ ส่วนกรณีผู้ป่วยรายแรกที่มีการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า MRT และ BTS ช่วงเวลาสั้นๆ 10-15 นาที มีการสวมหน้ากากตลอดเวลา และไม่มีการพูดคุย ถือว่ามีความเสี่ยงต่ํา ดังนั้น การใส่หน้ากากขณะโดยสารรถขนส่งสาธารณะต่างๆ จะช่วยป้องกันตัวเองและลดความเสี่ยงลงได้ ***************************** 11 ธันวาคม 2563 ********************************* ***************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทําความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เมื่อวันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อกําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทําความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมบังคับคดี สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติในการกําหนดแนวทางการดําเนินการของคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดอันเกิดจากการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยเน้นย้ําให้ความช่วยเหลือประชาชนในเชิงรุก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากที่สุด และกําหนดแนวทางการดําเนินคดีตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยเห็นควรให้มีการกําหนดแนวทางการดําเนินคดีให้มีความชัดเจน และสามารถบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการดําเนินการกรณีการบังคับคดีแก่จําเลยในคดีอาญาฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งต่อมามีการถูกฟ้องล้มละลาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เดินหน้ากําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทําความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เมื่อวันอังคารที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพื่อกําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามการกระทําความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการฯ พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กรมบังคับคดี สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติในการกําหนดแนวทางการดําเนินการของคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดอันเกิดจากการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยเน้นย้ําให้ความช่วยเหลือประชาชนในเชิงรุก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากที่สุด และกําหนดแนวทางการดําเนินคดีตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยเห็นควรให้มีการกําหนดแนวทางการดําเนินคดีให้มีความชัดเจน และสามารถบูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งกําหนดแนวทางการดําเนินการกรณีการบังคับคดีแก่จําเลยในคดีอาญาฐานความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งต่อมามีการถูกฟ้องล้มละลาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ “สุชาติ” ชี้ช่องทางช่วยเหลือสถานประกอบกิจการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบน้ําท่วม กู้เงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ด้วยดอกเบี้ยต่ํา ปลอดเงินต้นในปีแรก ฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ มีสถานประกอบกิจการและลูกจ้างได้รับผลกระทบหลายแห่ง ซึ่งได้กําชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือดําเนินการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนายจ้าง สถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง โดยในระยะแรกให้สํานักงานสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงานจังหวัด เข้าไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่ประสบปัญหาอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดําเนินการให้ความช่วยเหลือ ตามความเหมาะสมและขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทํางาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทํางานได้ตามปกติสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลาระยะที่สองดําเนินการบรรเทาความเดือดร้อนหลังจากน้ําลด ซึ่งสถานประกอบกิจการที่เกิดปัญหาเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์การผลิตเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทํางานของลูกจ้างได้ จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนําเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานมาให้สถานประกอบกิจการกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ํา เพื่อนําไปเป็นเงินทุนในการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการผลิตหรือดําเนินกิจการต่อไปได้อย่างปลอดภัย นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเสริมว่า เงินกองทุนดังกล่าวจัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน การแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคอันเนื่องจากการทํางาน รวมทั้งการดําเนินกิจกรรมใด ๆ เพื่อการส่งเสริมและการพัฒนางานด้านความปลอดภัยฯ ภายในกรอบวงเงิน300ล้านบาท โดยนายจ้าง สถานประกอบกิจการสามารถกู้ยืมไปฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลดได้โดยไม่จํากัดวงเงินตามแต่ความต้องการ และเหตุผลที่เหมาะสมในการปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อการทํางานของลูกจ้าง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ2ต่อปี ผ่อนชําระไม่เกิน5ปี ปลอดเงินต้นในปีแรก ทั้งนี้ หากสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 ต่อ 801-2 หรือที่E-mailSafetyfind@labour.mail.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” ชี้ช่อง ช่วยสถานประกอบกิจการฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลด ด้วยเงินกองทุนความปลอดภัยฯ “สุชาติ” ชี้ช่องทางช่วยเหลือสถานประกอบกิจการในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบน้ําท่วม กู้เงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ด้วยดอกเบี้ยต่ํา ปลอดเงินต้นในปีแรก ฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลด นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ มีสถานประกอบกิจการและลูกจ้างได้รับผลกระทบหลายแห่ง ซึ่งได้กําชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในแต่ละจังหวัดที่ได้รับผลกระทบลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือดําเนินการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับนายจ้าง สถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง โดยในระยะแรกให้สํานักงานสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงานจังหวัด เข้าไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่ประสบปัญหาอุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานดําเนินการให้ความช่วยเหลือ ตามความเหมาะสมและขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ผ่อนผันเวลาทํางาน หรืออนุญาตให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถมาทํางานได้ตามปกติสามารถหยุดงานโดยไม่ถือเป็นวันลาระยะที่สองดําเนินการบรรเทาความเดือดร้อนหลังจากน้ําลด ซึ่งสถานประกอบกิจการที่เกิดปัญหาเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์การผลิตเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการทํางานของลูกจ้างได้ จึงได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนําเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานมาให้สถานประกอบกิจการกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ํา เพื่อนําไปเป็นเงินทุนในการปรับปรุงซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการผลิตหรือดําเนินกิจการต่อไปได้อย่างปลอดภัย นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเสริมว่า เงินกองทุนดังกล่าวจัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ.2554 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน การแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและโรคอันเนื่องจากการทํางาน รวมทั้งการดําเนินกิจกรรมใด ๆ เพื่อการส่งเสริมและการพัฒนางานด้านความปลอดภัยฯ ภายในกรอบวงเงิน300ล้านบาท โดยนายจ้าง สถานประกอบกิจการสามารถกู้ยืมไปฟื้นฟูกิจการหลังน้ําลดได้โดยไม่จํากัดวงเงินตามแต่ความต้องการ และเหตุผลที่เหมาะสมในการปรับปรุง ซ่อมแซม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อการทํางานของลูกจ้าง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ2ต่อปี ผ่อนชําระไม่เกิน5ปี ปลอดเงินต้นในปีแรก ทั้งนี้ หากสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2448 9128-39 ต่อ 801-2 หรือที่E-mailSafetyfind@labour.mail.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต ‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต วันที่ 11 ธันวาคม 2563 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ว่า ปัจจุบันแปลงการเรียนรู้ตามระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ “จิ้งหรีด” จังหวัดขอนแก่น ของนายเพ็ชร วงศ์ธรรม มีการเลี้ยงจิ้งหรีดระบบปิด จํานวน 11 บ่อ ซึ่งเป็นแปลงเรียนรู้และเป็นตัวอย่างของชุมชน ซึ่งแมลงนับเป็นแหล่งอาหารชั้นดีและราคาไม่แพง ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า จิ้งหรีด 4 ตัว ให้คุณค่าทางแคลเซียมเท่ากับดื่มนม 1 แก้ว จิ้งหรีดมีคุณค่าทางโปรตีน “ในอุตสาหกรรมอาหารต่างประเทศจิ้งหรีดเป็นที่ต้องการของตลาด มีการนําไปทําเส้นพาสต้า โปรตีนผง คุกกี้จิ้งหรีด ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้รับความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก สร้างรายได้ อาชีพทางเลือก เพิ่มศักยภาพใหม่ให้กับชุมชน ได้มีทางเลือกที่หลากหลาย” นายประภัตร กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต ‘รมช.ประภัตร’ ตรวจเยี่ยมศพก.การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ สนับสนุนสร้างรายได้อาหารแห่งอนาคต วันที่ 11 ธันวาคม 2563 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสลงพื้นที่เยี่ยมชม ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การเลี้ยงจิ้งหรีดบ้านแสนตอ อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ว่า ปัจจุบันแปลงการเรียนรู้ตามระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ “จิ้งหรีด” จังหวัดขอนแก่น ของนายเพ็ชร วงศ์ธรรม มีการเลี้ยงจิ้งหรีดระบบปิด จํานวน 11 บ่อ ซึ่งเป็นแปลงเรียนรู้และเป็นตัวอย่างของชุมชน ซึ่งแมลงนับเป็นแหล่งอาหารชั้นดีและราคาไม่แพง ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า จิ้งหรีด 4 ตัว ให้คุณค่าทางแคลเซียมเท่ากับดื่มนม 1 แก้ว จิ้งหรีดมีคุณค่าทางโปรตีน “ในอุตสาหกรรมอาหารต่างประเทศจิ้งหรีดเป็นที่ต้องการของตลาด มีการนําไปทําเส้นพาสต้า โปรตีนผง คุกกี้จิ้งหรีด ดังนั้นจึงต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เกษตรกรไทยได้รับความรู้ ส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก สร้างรายได้ อาชีพทางเลือก เพิ่มศักยภาพใหม่ให้กับชุมชน ได้มีทางเลือกที่หลากหลาย” นายประภัตร กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 สธ.ย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้ กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กําหนด กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กําหนด พร้อมขอประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นหลัก ให้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก ตื่นตัวไม่ตื่นตูม วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กําธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรวม 49 ราย โดยสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อจากเมียนมาทั้งหมดเข้าสู่ระบบช่องทางปกติเข้ารับการกักตัวในสถานกักกันของรัฐทั้งหมด (Local Quarantine) แสดงให้เห็นว่ามีมาตรการที่รัดกุมไม่พบผู้ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งวานนี้ (11 ธันวาคม) จ.เชียงรายร่วมกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จัดระบบให้คนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับอย่างถูกกฎหมาย มีผู้แสดงความจํานงแล้ว 107 คน เป็นผู้ใหญ่ 104 คน และเด็ก 3 คน โดยเมียนมาได้ตรวจหาเชื้อก่อนการเดินทางพบผู้ติดเชื้อ 5 คน ส่งไปดูแลรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันที นับเป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเชื้อจะเข้ากักตัวในสถานกักตัวของรัฐที่ทาง จ.เชียงรายจัดให้ พร้อมตรวจหาเชื้อทันที ซึ่งในกลุ่มนี้ได้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย เข้าสู่ระบบการรักษา รวมมีผู้ติดเชื้อเป็น 9 ราย ทั้งนี้ จ.เชียงราย ได้เตรียมอุปกรณ์ ยารักษาโรค ห้องแยกโรคไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะได้รับการอํานวยความสะดวก ครอบครัว ชุมชน สังคมปลอดภัย ขอย้ําว่าผู้ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ /เชียงราย ไม่ต้องกักตัวโดยผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อ คือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ได้แก่ คนในครอบครัว ผู้ที่พูดคุยกับผู้ติดเชื้อเกิน 5 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่ไอ/จามรดกัน และการอยู่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เกิน 15 นาที ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ผู้ที่เดินทางมาจาก 7 จังหวัด และไม่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงการผู้ที่สัมผัสพูดคุยกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยถือว่าไม่มีความเสี่ยง สามารถเดินทางได้ตามปกติ นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นมาตรการสําคัญที่ป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากการสํารวจพบว่าคนไทยสวมหน้ากากอนามัยสูงมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งช่วยให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ และหากทุกคนสวมหน้ากากความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 จะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลงอย่างชัดเจนมากกว่า 10 เท่า ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งในที่สาธารณะ เป็นมาตรการสําคัญลดโรคติดต่อทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา อาจทําให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งแตกต่างสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดจากอู่ฮั่น โดยสายพันธุ์ G มีแนวโน้มการแพร่กระจายของโรคได้ง่ายกว่าเดิม แต่ความรุนแรงของโรคน้อยลง การทดสอบในวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพดีเกินกว่าร้อยละ 70 และจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดีย เข้าสู่เมียนมาและเข้าสู่ประเทศไทย สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจํากัดได้ “ขอยืนยัน ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีจุดใดที่มีการระบาด การจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ โดยขอให้ผู้เกี่ยวข้องดําเนินการดังนี้ 1)ผู้จัดงาน ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อม เช่น ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวมหน้ากากอนามัย จัดจุดล้างมือให้เพียงพอ สแกนไทยชนะ และแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ร่วมงานรับทราบ 2)ผู้เข้าร่วมงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อมีการสัมผัสจุดร่วมให้ล้างมือทําความสะอาด สแกนไทยชนะ และเมื่อกลับจากร่วมกิจกรรม ให้สังเกตอาการ หากไม่สบาย มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม 3) เจ้าหน้าที่ ให้ติดตามกํากับผู้ประกอบกิจกรรม หากพบว่าไม่ให้ความร่วมมือ ต้องตักเตือน หากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้แจ้งระงับกิจกรรม หรือปิดสถานที่ หากทุกคนร่วมมือกันจะทําให้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข” นายแพทย์โอภาส กล่าว ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากรายที่ 1 พบการติดเชื้อ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 4 ราย (รายที่ 2,3,4,5) ต่อมาเมื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบเพิ่มอีก 1 ราย (รายที่ 6) ขณะนี้ทุกรายอยู่ในการดูแลของแพทย์และอาการน้อย ไม่รุนแรง สําหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุด เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 ราย ในระบบเฝ้าระวัง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยสรุปผลตรวจผู้สัมผัสของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 888 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 ราย พบติดเชื้อเพียง 1 ราย (รายที่6) ซึ่งรายนี้มีผู้สัมผัส 10 คน ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมดผลเป็นลบ สถานการณ์สามารถควบคุมได้ และต้องติดตามสังเกตอาการจนครบ 14 วัน ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กําธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การพบผู้ลักลอบเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถติดตามได้ทั้งหมด เป็นการติดเชื้อจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่ายังไม่เป็นการระบาด อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรอง และกักกันที่ถูกต้องจากระบบโดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ กลไกสําคัญที่สุดของการควบคุมโรค คือ ความร่วมมือของประชาชน ไม่ตื่นตระหนก ไม่ตื่นตูม “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” และ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม” ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง สังเกตผู้ที่เข้ามาทางพื้นที่ชายแดน หรือมีประวัติว่าได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากเราร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทาง ก็จะไม่ทําให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงการสแกนไทยชนะ ถึงแม้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่จะช่วยให้ทราบว่าเราไปในสถานที่แห่งนั้น หากพบผู้ติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนให้ไปตรวจทันที ช่วยให้ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีความปลอดภัย" สําหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจําวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีผู้ป่วยรายใหม่ 12 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 12 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,192 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,730 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,204 ราย หายป่วยสะสม 3,915 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร อินเดีย คูเวตประเทศละ 1 ราย และบาเรนห์ 7 ราย แบ่งเป็นคนไทย 9 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 11 ราย มีอาการ1 ราย คือ ปวดศีรษะ ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั่วโลกยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการแพร่ระบาดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาวทําให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 702,513 ราย ทําให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 71,432,996 ราย ซึ่งคาดจํานวนผู้ติดเชื้อจริงอาจมากกว่าที่ได้รับรายงานอยู่มากโดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.2 ล้านราย อินเดีย 9.8 ล้านราย บราซิล 6.8 ล้านราย รัสเซีย 2.5 ล้านราย ฝรั่งเศส 2.3 ล้านราย ********************************* 12 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ย้ำมาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้ วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 สธ.ย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงแพร่สัมผัสเชื้อได้ กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กําหนด กระทรวงสาธารณสุข เผยเน้นย้ํามาตรการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้งอย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ ส่วนการจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ ขอให้ผู้จัด ผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ เคร่งครัดมาตรการที่กําหนด พร้อมขอประชาชนรับฟังข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐเป็นหลัก ให้ตระหนักแต่ไม่ตระหนก ตื่นตัวไม่ตื่นตูม วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กําธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ว่า ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรวม 49 ราย โดยสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อจากเมียนมาทั้งหมดเข้าสู่ระบบช่องทางปกติเข้ารับการกักตัวในสถานกักกันของรัฐทั้งหมด (Local Quarantine) แสดงให้เห็นว่ามีมาตรการที่รัดกุมไม่พบผู้ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งวานนี้ (11 ธันวาคม) จ.เชียงรายร่วมกับ จ.ท่าขี้เหล็ก จัดระบบให้คนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับอย่างถูกกฎหมาย มีผู้แสดงความจํานงแล้ว 107 คน เป็นผู้ใหญ่ 104 คน และเด็ก 3 คน โดยเมียนมาได้ตรวจหาเชื้อก่อนการเดินทางพบผู้ติดเชื้อ 5 คน ส่งไปดูแลรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ทันที นับเป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ส่วนผู้ที่ไม่พบการติดเชื้อจะเข้ากักตัวในสถานกักตัวของรัฐที่ทาง จ.เชียงรายจัดให้ พร้อมตรวจหาเชื้อทันที ซึ่งในกลุ่มนี้ได้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย เข้าสู่ระบบการรักษา รวมมีผู้ติดเชื้อเป็น 9 ราย ทั้งนี้ จ.เชียงราย ได้เตรียมอุปกรณ์ ยารักษาโรค ห้องแยกโรคไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลพร้อมดูแลคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ขอให้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะได้รับการอํานวยความสะดวก ครอบครัว ชุมชน สังคมปลอดภัย ขอย้ําว่าผู้ที่เดินทางมาจาก จ.เชียงใหม่ /เชียงราย ไม่ต้องกักตัวโดยผู้ที่ต้องเข้ารับการกักตัว และตรวจหาเชื้อ คือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ได้แก่ คนในครอบครัว ผู้ที่พูดคุยกับผู้ติดเชื้อเกิน 5 นาที ในระยะไม่เกิน 1 เมตร ผู้ที่ไอ/จามรดกัน และการอยู่ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เกิน 15 นาที ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ ผู้ที่เดินทางมาจาก 7 จังหวัด และไม่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อในช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงการผู้ที่สัมผัสพูดคุยกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยถือว่าไม่มีความเสี่ยง สามารถเดินทางได้ตามปกติ นายแพทย์โอภาส กล่าวต่อว่า การสวมหน้ากากอนามัยยังเป็นมาตรการสําคัญที่ป้องกันการแพร่กระจายของโรค จากการสํารวจพบว่าคนไทยสวมหน้ากากอนามัยสูงมากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งช่วยให้ป้องกันการแพร่ระบาดได้ และหากทุกคนสวมหน้ากากความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 จะสูงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ลงอย่างชัดเจนมากกว่า 10 เท่า ยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งในที่สาธารณะ เป็นมาตรการสําคัญลดโรคติดต่อทางเดินหายใจได้ อย่างไรก็ตาม เชื้อโควิด 19 มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา อาจทําให้เกิดการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น เชื้อมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ในขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งแตกต่างสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดจากอู่ฮั่น โดยสายพันธุ์ G มีแนวโน้มการแพร่กระจายของโรคได้ง่ายกว่าเดิม แต่ความรุนแรงของโรคน้อยลง การทดสอบในวัคซีนถือว่ามีประสิทธิภาพดีเกินกว่าร้อยละ 70 และจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวพบว่า มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอินเดีย เข้าสู่เมียนมาและเข้าสู่ประเทศไทย สามารถควบคุมให้อยู่ในวงจํากัดได้ “ขอยืนยัน ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีจุดใดที่มีการระบาด การจัดกิจกรรมต่างๆทําได้ โดยขอให้ผู้เกี่ยวข้องดําเนินการดังนี้ 1)ผู้จัดงาน ต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อม เช่น ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสวมหน้ากากอนามัย จัดจุดล้างมือให้เพียงพอ สแกนไทยชนะ และแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ผู้ร่วมงานรับทราบ 2)ผู้เข้าร่วมงาน ขอให้สวมหน้ากากอนามัยแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งอากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อมีการสัมผัสจุดร่วมให้ล้างมือทําความสะอาด สแกนไทยชนะ และเมื่อกลับจากร่วมกิจกรรม ให้สังเกตอาการ หากไม่สบาย มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสให้ไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าร่วมกิจกรรม 3) เจ้าหน้าที่ ให้ติดตามกํากับผู้ประกอบกิจกรรม หากพบว่าไม่ให้ความร่วมมือ ต้องตักเตือน หากยังไม่ปฏิบัติตาม ให้แจ้งระงับกิจกรรม หรือปิดสถานที่ หากทุกคนร่วมมือกันจะทําให้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุข” นายแพทย์โอภาส กล่าว ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคกล่าวถึงกรณีผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ หลังจากรายที่ 1 พบการติดเชื้อ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2563 ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน มีการค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง พบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเพิ่ม 4 ราย (รายที่ 2,3,4,5) ต่อมาเมื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 พบเพิ่มอีก 1 ราย (รายที่ 6) ขณะนี้ทุกรายอยู่ในการดูแลของแพทย์และอาการน้อย ไม่รุนแรง สําหรับผู้ติดเชื้อรายล่าสุด เพศหญิง อายุ 29 ปี เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 31 ราย ในระบบเฝ้าระวัง พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 โดยสรุปผลตรวจผู้สัมผัสของกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 888 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 ราย พบติดเชื้อเพียง 1 ราย (รายที่6) ซึ่งรายนี้มีผู้สัมผัส 10 คน ได้รับการตรวจหาเชื้อแล้วทั้งหมดผลเป็นลบ สถานการณ์สามารถควบคุมได้ และต้องติดตามสังเกตอาการจนครบ 14 วัน ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์กําธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวถึงสถานการณ์การพบผู้ลักลอบเดินทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ขณะนี้สามารถติดตามได้ทั้งหมด เป็นการติดเชื้อจากการอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่ายังไม่เป็นการระบาด อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรอง และกักกันที่ถูกต้องจากระบบโดยระบบการแพทย์และสาธารณสุขของไทยมีประสิทธิภาพ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งนี้ กลไกสําคัญที่สุดของการควบคุมโรค คือ ความร่วมมือของประชาชน ไม่ตื่นตระหนก ไม่ตื่นตูม “ตระหนักแต่ไม่ตระหนก” และ “ตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม” ขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง สังเกตผู้ที่เข้ามาทางพื้นที่ชายแดน หรือมีประวัติว่าได้อยู่ใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หากเราร่วมมือกันตั้งแต่ต้นทาง ก็จะไม่ทําให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น รวมถึงการสแกนไทยชนะ ถึงแม้ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่จะช่วยให้ทราบว่าเราไปในสถานที่แห่งนั้น หากพบผู้ติดเชื้อ ระบบจะแจ้งเตือนให้ไปตรวจทันที ช่วยให้ตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีความปลอดภัย" สําหรับสถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยประจําวันที่ 12 ธันวาคม 2563 มีผู้ป่วยรายใหม่ 12 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 12 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสม 4,192 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,462 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 1,730 ราย เข้าสถานที่กักกัน 1,204 ราย หายป่วยสะสม 3,915 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 217 ราย และเสียชีวิตสะสม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันตามระบบ ได้แก่ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร อินเดีย คูเวตประเทศละ 1 ราย และบาเรนห์ 7 ราย แบ่งเป็นคนไทย 9 ราย และคนต่างชาติ 3 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษาตามระบบแล้ว โดยเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ 11 ราย มีอาการ1 ราย คือ ปวดศีรษะ ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศ ทั่วโลกยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการแพร่ระบาดส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาวทําให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยในวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 702,513 ราย ทําให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 71,432,996 ราย ซึ่งคาดจํานวนผู้ติดเชื้อจริงอาจมากกว่าที่ได้รับรายงานอยู่มากโดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 16.2 ล้านราย อินเดีย 9.8 ล้านราย บราซิล 6.8 ล้านราย รัสเซีย 2.5 ล้านราย ฝรั่งเศส 2.3 ล้านราย ********************************* 12 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ชวนคนไทยออกกำลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 สาธิต ชวนคนไทยออกกําลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่มีนาคม - มิถุนายน เป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564 วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์กีฬาสะพานหิน เทศบาลนครภูเก็ต จ.ภูเก็ต ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวโครงการมหกรรม “ภูเก็ต ท้าใจ ชวนพลพรรค รักษ์สุขภาพ” พื้นที่เขตสุขภาพที่ 11ภายใต้โครงการก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย โดยดร.สาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า ในปี 2564 กระทรวงสาธารณสุขชวนคนไทยสร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ด้วยการออกกําลังกายทุกรูปแบบ จัดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ” ต่อเนื่องเป็นซีซั่น 3 ซึ่งผลงานก้าวท้าใจทั้ง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา และโครงการ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ พบว่าประสบความสําเร็จเป็นที่น่าพอใจ มีประชาชนทั่วประเทศให้ความสนใจ ลงทะเบียนร่วมโครงการถึง 1,344,328 คน โดยมีพลังงานสะสมรวม 1,153,009,863 กิโลแคลลอรี และมียอดสะสมของระยะทาง เดิน-วิ่ง รวม 15,005,096 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 2,815,318 กิโลเมตร แอโรบิค 20,534,603 นาที คีตะมวยไทย 3,429,236 นาที โยคะ 3,987,730 นาที และบอดี้เวทเทรนนิ่ง 6,218,454 นาที สําหรับก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 จะเปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2564 มีเป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และตั้งเป้าครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564 โดยให้ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานในสังกัด ทั้งเขตสุขภาพ 13 เขต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ร่วมกิจกรรมและรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายในสถานประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://activefam.anamai.moph.go.th/ หรือสอบถามกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย โทร. 0 2590 4413 “การเปิดตัวโครงการที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เป็นการสร้างกระแสความตื่นตัวเรื่องการออกกําลังกายที่เหมาะสม ถูกวิธี และทําอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและกระดูก ลดการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล รวมทั้งยังทําให้เกิดความกระตือรือร้น ลดความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย” ดร.สาธิตกล่าว ********************************* 12 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต ชวนคนไทยออกกำลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่ วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 สาธิต ชวนคนไทยออกกําลังกาย “ก้าวท้าใจ ซีซั่น 3” ห่างไกลโรค สุขภาพดีรับปีใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารารณสุข เปิดตัวกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 ชวนคนไทยออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ เปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่มีนาคม - มิถุนายน เป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564 วันนี้ (12 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์กีฬาสะพานหิน เทศบาลนครภูเก็ต จ.ภูเก็ต ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดตัวโครงการมหกรรม “ภูเก็ต ท้าใจ ชวนพลพรรค รักษ์สุขภาพ” พื้นที่เขตสุขภาพที่ 11ภายใต้โครงการก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย โดยดร.สาธิต ให้สัมภาษณ์ว่า ในปี 2564 กระทรวงสาธารณสุขชวนคนไทยสร้างสุขภาพดี รับปีใหม่ด้วยการออกกําลังกายทุกรูปแบบ จัดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ” ต่อเนื่องเป็นซีซั่น 3 ซึ่งผลงานก้าวท้าใจทั้ง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา และโครงการ 10 ล้านครอบครัวไทยออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ พบว่าประสบความสําเร็จเป็นที่น่าพอใจ มีประชาชนทั่วประเทศให้ความสนใจ ลงทะเบียนร่วมโครงการถึง 1,344,328 คน โดยมีพลังงานสะสมรวม 1,153,009,863 กิโลแคลลอรี และมียอดสะสมของระยะทาง เดิน-วิ่ง รวม 15,005,096 กิโลเมตร ปั่นจักรยาน 2,815,318 กิโลเมตร แอโรบิค 20,534,603 นาที คีตะมวยไทย 3,429,236 นาที โยคะ 3,987,730 นาที และบอดี้เวทเทรนนิ่ง 6,218,454 นาที สําหรับก้าวท้าใจ ซีซั่น 3 จะเปิดรับสมัครในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เริ่มสะสมระยะทาง, ระยะเวลา และบันทึกสะสมแต้มสุขภาพ (Health point) ตั้งแต่เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2564 มีเป้าหมาย 100 วัน 100 กิโลเมตร 1 ล้านคน และตั้งเป้าครบ 2 ล้านคนภายในปี 2564 โดยให้ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานในสังกัด ทั้งเขตสุขภาพ 13 เขต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล ร่วมกิจกรรมและรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายในสถานประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ ติดตามรายละเอียดได้ที่ https://activefam.anamai.moph.go.th/ หรือสอบถามกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย โทร. 0 2590 4413 “การเปิดตัวโครงการที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เป็นการสร้างกระแสความตื่นตัวเรื่องการออกกําลังกายที่เหมาะสม ถูกวิธี และทําอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและกระดูก ลดการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ลดภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล รวมทั้งยังทําให้เกิดความกระตือรือร้น ลดความเครียด และภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย” ดร.สาธิตกล่าว ********************************* 12 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจํานวนมาก รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจํานวนมาก นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากการที่รัฐบาลโดยสํานักงานพระพุทธศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันเสาร์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับแผ่นดินและในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2563พบว่าประชาชนสนใจเข้าร่วมเป็นจํานวนมากจึงได้เสนอไปยังมหาเถรสมาคมพิจารณาจัดพิธีต่อเนื่องนั้น สําหรับวันนี้พบว่าหลายจังหวัดมีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์อย่างต่อเนื่องโดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครจัดขึ้นที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารโดยมีสมเด็จพระวันรัตกรรมการมหาเถรสมาคมเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นประธานฝ่ายสงฆ์มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจํานวนมากซึ่งประชาชนส่วนมากเคยมาร่วมพิธีแล้วและเมื่อได้รับข่าวสารขยายเวลาการจัดพิธีจนถึงสิ้นปีจึงทยอยมาร่วมพิธีในวันนี้นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนที่เคยร่วมพิธีเป็นครั้งแรกโดยส่วนมากมองว่าเป็นกิจกรรมที่ดีได้ร่วมน้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนาไปถือปฏิบัติในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญปัญหาหลายด้านอีกทั้งยังเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่9แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ สําหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์วันเสาร์อีก2ครั้งก่อนสิ้นปีตรงกับวันเสาร์ที่19ธันวาคม2563และวันเสาร์ที่26ธันวาคม2563โดยกําหนดจัดพิธีพร้อมกันทั่วประเทศเวลา10.00น.เป็นต้นไปประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียงสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารประชาชนต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดประจําจังหวัดหรืออําเภอหรือสถานที่ตามที่ทางจังหวัดเห็นสมควรจึงขอเชิญประชาชนเข้าร่วมพิธีตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน .................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจํานวนมาก รัฐบาลจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกเสาร์ต่อเนื่องถึงปีใหม่ ปลื้มประชาชนสนใจเข้าร่วมจํานวนมาก นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าจากการที่รัฐบาลโดยสํานักงานพระพุทธศาสนาจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทุกวันเสาร์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับแผ่นดินและในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ5ธันวาคม2563พบว่าประชาชนสนใจเข้าร่วมเป็นจํานวนมากจึงได้เสนอไปยังมหาเถรสมาคมพิจารณาจัดพิธีต่อเนื่องนั้น สําหรับวันนี้พบว่าหลายจังหวัดมีการจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์อย่างต่อเนื่องโดยในพื้นที่กรุงเทพมหานครจัดขึ้นที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารโดยมีสมเด็จพระวันรัตกรรมการมหาเถรสมาคมเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นประธานฝ่ายสงฆ์มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจํานวนมากซึ่งประชาชนส่วนมากเคยมาร่วมพิธีแล้วและเมื่อได้รับข่าวสารขยายเวลาการจัดพิธีจนถึงสิ้นปีจึงทยอยมาร่วมพิธีในวันนี้นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางส่วนที่เคยร่วมพิธีเป็นครั้งแรกโดยส่วนมากมองว่าเป็นกิจกรรมที่ดีได้ร่วมน้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนาไปถือปฏิบัติในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญปัญหาหลายด้านอีกทั้งยังเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่9แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ สําหรับพิธีเจริญพระพุทธมนต์วันเสาร์อีก2ครั้งก่อนสิ้นปีตรงกับวันเสาร์ที่19ธันวาคม2563และวันเสาร์ที่26ธันวาคม2563โดยกําหนดจัดพิธีพร้อมกันทั่วประเทศเวลา10.00น.เป็นต้นไปประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียงสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหารประชาชนต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมพิธีได้ที่วัดประจําจังหวัดหรืออําเภอหรือสถานที่ตามที่ทางจังหวัดเห็นสมควรจึงขอเชิญประชาชนเข้าร่วมพิธีตามวันเวลาและสถานที่ดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37543
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด ปทุมธานี-กรุงเทพ-สมุทรปราการ พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตและโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทองโดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนจะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรีไปยังสถานีคลองสานเพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทองเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันพุธที่16 ธันวาคมนี้ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ทําให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง3จังหวัดคือปทุมธานีกรุงเทพฯและสมุทรปราการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสําหรับประชาชนรวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทยช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย ทั้งนี้ การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตเพิ่มจํานวน7สถานี(สถานีพหลโยธิน59สถานีสายหยุดสถานีสะพานใหม่สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชสถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศสถานีแยกคปอ.และสถานีคูคต)ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายเป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวประสบความสําเร็จในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี ตลอดเส้นทางทั้ง59สถานีรวมระยะทางกว่า68กิโลเมตรคาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง1,500,000เที่ยว/คนต่อวัน ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรองระยะที่1มีระยะทาง1.8กิโลเมตรประกอบด้วย3สถานี คือกรุงธน-เจริญนคร-คลองสาน เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนําทางอัตโนมัติAutomated Guideway Transit (AGT)หรือรถไฟฟ้าระบบAutomated People Mover (APM) คาดการณ์ผู้โดยสาร42,000เที่ยวคน/วันซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อรางรวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ําเจ้าพระยาอีกด้วย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้ง14สายระยะทางกว่า553.41กิโลเมตรปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว9เส้นทางและตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆปีเช่น2564ได้แก่สีแดงเข้ม(บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน(บางซื่อ–ตลิ่งชัน)ปี2565 สีชมพู(แคราย-มีนบุรี) สีเหลือง(ลาดพร้าว-สําโรง)และปี2566 สีแดงเข้ม(รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต) สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศาลายา) -สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศิริราช)เป็นต้น “ทั้งนี้รัฐบาลยังมีการลงทุนพัฒนาระบบรางทั้งรถไฟฟ้า​ รถไฟ​ทาง​คู่รถไฟ​ทางสาย​ใหม่​และ​รถ​ไฟความเร็ว​สูง​ที่อยู่รหว่างการดําเนินสูงถึง1.5ล้านล้านบาทเพื่อเป็นแกนหลักการเดินทางและขนส่งของประเทศยกระดับการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯและภูมิภาคต่างๆให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน”โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ํา ..................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดเส้นทางทั้ง 59 สถานี เชื่อมการเดินทาง 3 จังหวัด ปทุมธานี-กรุงเทพ-สมุทรปราการ พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีทองไร้คนขับสายแรกของไทยเที่ยวปฐมฤกษ์ 16 ธ.ค.นี้ นายอนุชาบูรพชัยศรีโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเป็นประธานการเปิดบริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตและโครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทองโดยนายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนจะได้ร่วมโดยสารรถไฟฟ้าสายสีทองที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากสถานีกรุงธนบุรีไปยังสถานีคลองสานเพื่อเป็นการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีทองเที่ยวปฐมฤกษ์ในวันพุธที่16 ธันวาคมนี้ด้วยการพัฒนาระบบรถขนส่งมวลชนแบบไร้รอยต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีทองนี้ทําให้สามารถเชื่อมการเดินทางของประชาชนถึง3จังหวัดคือปทุมธานีกรุงเทพฯและสมุทรปราการเพิ่มทางเลือกในการเดินทางสําหรับประชาชนรวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีทองยังเป็นระบบรถไฟฟ้าล้อยางไร้คนขับสายแรกของประเทศไทยช่วยลดมลพิษและประหยัดพลังงานอีกด้วย ทั้งนี้ การเปิดให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตเพิ่มจํานวน7สถานี(สถานีพหลโยธิน59สถานีสายหยุดสถานีสะพานใหม่สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชสถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศสถานีแยกคปอ.และสถานีคูคต)ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายเป็นผลให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวประสบความสําเร็จในการเปิดให้บริการครบทุกสถานี ตลอดเส้นทางทั้ง59สถานีรวมระยะทางกว่า68กิโลเมตรคาดว่าเมื่อรวมกับเส้นทางที่เปิดสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง1,500,000เที่ยว/คนต่อวัน ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองเป็นโครงการขนส่งมวลชนขนาดรองระยะที่1มีระยะทาง1.8กิโลเมตรประกอบด้วย3สถานี คือกรุงธน-เจริญนคร-คลองสาน เป็นระบบขนส่งมวลชนแบบนําทางอัตโนมัติAutomated Guideway Transit (AGT)หรือรถไฟฟ้าระบบAutomated People Mover (APM) คาดการณ์ผู้โดยสาร42,000เที่ยวคน/วันซึ่งสามารถเชื่อมโยงการเดินทางด้วยระบบล้อรางรวมทั้งการเดินทางด้วยเรือโดยสารในแม่น้ําเจ้าพระยาอีกด้วย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่าการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้ง14สายระยะทางกว่า553.41กิโลเมตรปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว9เส้นทางและตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในทุกๆปีเช่น2564ได้แก่สีแดงเข้ม(บางซื่อ-รังสิต) สีแดงอ่อน(บางซื่อ–ตลิ่งชัน)ปี2565 สีชมพู(แคราย-มีนบุรี) สีเหลือง(ลาดพร้าว-สําโรง)และปี2566 สีแดงเข้ม(รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต) สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศาลายา) -สีแดงอ่อน(ตลิ่งชัน-ศิริราช)เป็นต้น “ทั้งนี้รัฐบาลยังมีการลงทุนพัฒนาระบบรางทั้งรถไฟฟ้า​ รถไฟ​ทาง​คู่รถไฟ​ทางสาย​ใหม่​และ​รถ​ไฟความเร็ว​สูง​ที่อยู่รหว่างการดําเนินสูงถึง1.5ล้านล้านบาทเพื่อเป็นแกนหลักการเดินทางและขนส่งของประเทศยกระดับการเดินทางของประชาชนในกรุงเทพฯและภูมิภาคต่างๆให้มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน”โฆษกรัฐบาลกล่าวย้ํา ..................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว รมช. แรงงาน ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงาน เสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ตามนโยบาย สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ย้ํา! การฝึกต้องเข้มข้น ทันสมัยและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย วันที่ 12 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามและรับฟังผลการดําเนินงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ซึ่งมีการจัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานในพื้นที่ ได้แก่ เยี่ยมชมกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าตําบลน้ําแพร่ อ.หางดง โดยกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้ เป็นศูนย์เรียนรู้และการศึกษาดูงานให้แก่นักศึกษาและนักท่องเที่ยว เข้ามาศึกษาดูงาน ทําให้สมาชิกของกลุ่มมีรายได้จากการจําหน่ายเสื้อผ้าด้วย และยังพบอีกด้วยว่า คณะทํางานมาจากแต่ละหมู่บ้านในตําบลน้ําแพร่มีความเข้มแข็ง องค์ความรู้ที่มีเกิดจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ทําให้สามารถถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มมีความรู้ความสามารถและทักษะฝีมือในการประกอบอาชีพตามที่ผ่านการฝึกอบรมการตัดเย็บ อย่างมีประสิทธิภาพ สวยงาม ออกแบบได้ตรงใจลูกค้าและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว หลังจากนั้น ได้เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ (สพร.19 เชียงใหม่) ได้แก่ การชงกาแฟสด อาหารจานด่วน และการตัดเย็บเสื้อพื้นเมือง ผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มแรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมแปลงผักสาธิต การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ระบบน้ําลึก และระบบควบคุมการปลูกพืชด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ภายใต้แนวคิด “ขอพื้นที่เหลือ เพื่อการทําเกษตรแบบพึ่งพาตนเองในสังคมเมือง” รวมถึงตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ผู้เข้าทดสอบเป็นแรงงานในสถานประกอบกิจการและบุคคลทั่วไป และในปีงบประมาณ 2564 สพร.19 เชียงใหม่ มีเป้าหมายพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่ จํานวน 29,310 คน ประกอบด้วย ดําเนินการเอง 2,210 คน และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดําเนินการอีก 27,100 คน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่รวมเยี่ยมชมกิจกรรมดังกล่าวด้วย รมช.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า “จังหวัดเชียงใหม่ถือว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สําคัญในภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ดังนั้น การพัฒนาแรงงานต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ สร้างแรงงานที่มีคุณภาพ ยกระดับมาตรฐานฝีมือให้สูงขึ้น และให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจต่อไป การพัฒนาทักษะฝีมือต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานในพื้นที่ และตรงกับตลาดต้องการด้วย จึงจะส่งผลให้แรงงานมีอาชีพ สร้างรายได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ขอให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ คัดเลือกหรือพัฒนาหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบูรณาการการทํางานใน 5 เสือแรงงาน รวมถึงภาคีเครือข่ายอื่นๆ เพื่อให้การพัฒนาแรงงานมีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 นฤมล บินลัดฟ้าขึ้นเหนือเยือนเชียงใหม่ หนุนแรงงาน เสริมการท่องเที่ยว รมช. แรงงาน ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงาน เสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ตามนโยบาย สร้าง-ยก-ให้ รวมไทยสร้างชาติ พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ย้ํา! การฝึกต้องเข้มข้น ทันสมัยและครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย วันที่ 12 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามและรับฟังผลการดําเนินงานหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน พร้อมตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ ซึ่งมีการจัดฝึกอบรมให้แก่แรงงานในพื้นที่ ได้แก่ เยี่ยมชมกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าตําบลน้ําแพร่ อ.หางดง โดยกลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งนี้ เป็นศูนย์เรียนรู้และการศึกษาดูงานให้แก่นักศึกษาและนักท่องเที่ยว เข้ามาศึกษาดูงาน ทําให้สมาชิกของกลุ่มมีรายได้จากการจําหน่ายเสื้อผ้าด้วย และยังพบอีกด้วยว่า คณะทํางานมาจากแต่ละหมู่บ้านในตําบลน้ําแพร่มีความเข้มแข็ง องค์ความรู้ที่มีเกิดจากการได้ลงมือปฏิบัติจริง ทําให้สามารถถ่ายทอดได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้กลุ่มมีความรู้ความสามารถและทักษะฝีมือในการประกอบอาชีพตามที่ผ่านการฝึกอบรมการตัดเย็บ อย่างมีประสิทธิภาพ สวยงาม ออกแบบได้ตรงใจลูกค้าและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว หลังจากนั้น ได้เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ (สพร.19 เชียงใหม่) ได้แก่ การชงกาแฟสด อาหารจานด่วน และการตัดเย็บเสื้อพื้นเมือง ผู้เข้าอบรมเป็นกลุ่มแรงงานได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมแปลงผักสาธิต การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ระบบน้ําลึก และระบบควบคุมการปลูกพืชด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ภายใต้แนวคิด “ขอพื้นที่เหลือ เพื่อการทําเกษตรแบบพึ่งพาตนเองในสังคมเมือง” รวมถึงตรวจเยี่ยมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 ผู้เข้าทดสอบเป็นแรงงานในสถานประกอบกิจการและบุคคลทั่วไป และในปีงบประมาณ 2564 สพร.19 เชียงใหม่ มีเป้าหมายพัฒนาฝีมือแรงงานในพื้นที่ จํานวน 29,310 คน ประกอบด้วย ดําเนินการเอง 2,210 คน และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการดําเนินการอีก 27,100 คน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเชียงใหม่รวมเยี่ยมชมกิจกรรมดังกล่าวด้วย รมช.แรงงาน กล่าวต่ออีกว่า “จังหวัดเชียงใหม่ถือว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สําคัญในภาคเหนือของประเทศไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร ดังนั้น การพัฒนาแรงงานต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม ทั้งแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ สร้างแรงงานที่มีคุณภาพ ยกระดับมาตรฐานฝีมือให้สูงขึ้น และให้โอกาสแก่กลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงบริการของรัฐ ตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจต่อไป การพัฒนาทักษะฝีมือต้องสามารถตอบสนองต่อความต้องการของแรงงานในพื้นที่ และตรงกับตลาดต้องการด้วย จึงจะส่งผลให้แรงงานมีอาชีพ สร้างรายได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ขอให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 19 เชียงใหม่ คัดเลือกหรือพัฒนาหลักสูตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบูรณาการการทํางานใน 5 เสือแรงงาน รวมถึงภาคีเครือข่ายอื่นๆ เพื่อให้การพัฒนาแรงงานมีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37546
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก ‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิด ”กิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน” บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว อําเภอซําสูง จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี ดร.สมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และชาวชุมชนบ้านแห้วให้การต้อนรับ ว่า การจัดกิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของวิถีชีวิตชุมชนในการจัดทํากิจกรรมการลงแขกเกี่ยวข้าวและเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP ตามนโยบายรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้พื้นที่สาธารณะหนองทุ่งมน ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ ปัจจุบันกลุ่มชุมชนบ้านแห้วได้ใช้พื้นที่ส่วนนี้ทําการเกษตร เพื่อนํารายได้มาพัฒนาหมู่บ้าน นอกจากนี้ชุมชนบ้านแห้ว ยังมีแผนแนวทางพัฒนาส่งเสริมอาชีพปลูกผักเพื่อส่งออกสู่ตลาด โดยมีตลาดศรีเมืองทองซึ่งร่วมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ด้วยนโยบายการพัฒนาสร้างความข้มแข็งจากฐานรากของรัฐบาล ได้ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ได้แก่ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงผลผลิตสิ่งทอ เครื่องจักรสาน ได้แก่ ผ้าขาวม้า ผ้าทอมือ ไม้กวาด เป็นต้น ซึ่งเป็นผลผลิตสําคัญของชาวชุมชนบ้านแห้ว การพัฒนาคุณภาพข้าวและการเพิ่มผลผลิตข้าว รวมถึงการเพิ่มพูนความรู้ในการพัฒนาคุณภาพ ข้าวให้กับเกษตรกร ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายดังกล่าวทั้งสิ้น การจัดกิจกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการกระตุ้นทั้งทางด้านการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชนและการเกษตร ให้กับชาวชุมชนบ้านแห้ว พร้อมกับการมีตลาดรองรับที่แน่นอน นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังได้มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือซึ่งจัดทําขึ้นระหว่างตลาดศรีเมืองทอง กลุ่มเกษตรกรปลูกผักบ้านแห้ว และหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เห็นชอบและตระหนักร่วมกันว่าการส่งเสริมอาชีพการปลูกพืชผัก ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานปลอดภัยตามระบบ GAP ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในระยะเวลาสั้นตามหลัก “ตลาดนําการผลิต” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้การส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครบทุกขั้นตอน เป็นภารกิจสําคัญของทุกหน่วยงานที่ต้องร่วมกันดําเนินงานต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวชุมชนบ้านแห้ว จากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการ ร้านค้าของชุมชน อาทิ กลุ่มหัตถกรรมค้ําคูณ แผงผักหยอดเหรียญโรงเรียนบ้านแห้ว แผงผักขายดีสถานีพอเพียง และมอบเมล็ดพันธ์ุข้าวและเมล็ดพันธ์ุพริก และปล่อยพันธุ์ปลา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2563 ‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก ‘รมช.ประภัตร’ ลุยเกี่ยวข้าวเปิดกิจกรรม “ข้าวใหม่ปลามัน” ชุมชนชาวบ้านแห้ว จ.ขอนแก่น พร้อมลงนาม MOU เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผัก ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิด ”กิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน” บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว อําเภอซําสูง จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี ดร.สมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และชาวชุมชนบ้านแห้วให้การต้อนรับ ว่า การจัดกิจกรรมข้าวใหม่ปลามัน บ้านฉันจังซี่ ชุมชนชาวบ้านแห้ว เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมดั้งเดิมของวิถีชีวิตชุมชนในการจัดทํากิจกรรมการลงแขกเกี่ยวข้าวและเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ OTOP ตามนโยบายรัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้พื้นที่สาธารณะหนองทุ่งมน ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 100 ไร่ ปัจจุบันกลุ่มชุมชนบ้านแห้วได้ใช้พื้นที่ส่วนนี้ทําการเกษตร เพื่อนํารายได้มาพัฒนาหมู่บ้าน นอกจากนี้ชุมชนบ้านแห้ว ยังมีแผนแนวทางพัฒนาส่งเสริมอาชีพปลูกผักเพื่อส่งออกสู่ตลาด โดยมีตลาดศรีเมืองทองซึ่งร่วมบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เพื่อส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า ด้วยนโยบายการพัฒนาสร้างความข้มแข็งจากฐานรากของรัฐบาล ได้ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ได้แก่ ผลผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว พืชผักสวนครัวและสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงผลผลิตสิ่งทอ เครื่องจักรสาน ได้แก่ ผ้าขาวม้า ผ้าทอมือ ไม้กวาด เป็นต้น ซึ่งเป็นผลผลิตสําคัญของชาวชุมชนบ้านแห้ว การพัฒนาคุณภาพข้าวและการเพิ่มผลผลิตข้าว รวมถึงการเพิ่มพูนความรู้ในการพัฒนาคุณภาพ ข้าวให้กับเกษตรกร ล้วนแต่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายดังกล่าวทั้งสิ้น การจัดกิจกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นการกระตุ้นทั้งทางด้านการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชนและการเกษตร ให้กับชาวชุมชนบ้านแห้ว พร้อมกับการมีตลาดรองรับที่แน่นอน นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังได้มีการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือซึ่งจัดทําขึ้นระหว่างตลาดศรีเมืองทอง กลุ่มเกษตรกรปลูกผักบ้านแห้ว และหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เห็นชอบและตระหนักร่วมกันว่าการส่งเสริมอาชีพการปลูกพืชผัก ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานปลอดภัยตามระบบ GAP ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในระยะเวลาสั้นตามหลัก “ตลาดนําการผลิต” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน และเพื่อให้การส่งเสริมอาชีพการปลูกผักชุมชนบ้านแห้ว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครบทุกขั้นตอน เป็นภารกิจสําคัญของทุกหน่วยงานที่ต้องร่วมกันดําเนินงานต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมเกี่ยวข้าวกับชาวชุมชนบ้านแห้ว จากนั้นเยี่ยมชมนิทรรศการ ร้านค้าของชุมชน อาทิ กลุ่มหัตถกรรมค้ําคูณ แผงผักหยอดเหรียญโรงเรียนบ้านแห้ว แผงผักขายดีสถานีพอเพียง และมอบเมล็ดพันธ์ุข้าวและเมล็ดพันธ์ุพริก และปล่อยพันธุ์ปลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น วันนี้ (13 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดําเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดําเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คําพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง บทบาทของเจ้าหน้าที่ตํารวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สําหรับกรณีการดําเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนํามาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนําความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โฆษกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กฎหมายและเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น วันนี้ (13 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมิได้ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ตราบใดที่การชุมนุมดําเนินการด้วยความสงบ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวต้องดําเนินการภายใต้กฎหมายและต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของรัฐ รัฐบาลสนับสนุนการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่สร้างสรรค์ ไม่ก้าวร้าวหรือมีลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือใช้คําพูดที่สร้างความเกลียดชังอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ โดยเคารพมุมมองของผู้ที่เห็นต่าง บทบาทของเจ้าหน้าที่ตํารวจในขณะนี้คือการให้ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยใช้ความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมชุมนุมและประชาชนที่สัญจรในบริเวณโดยรอบที่ชุมนุม สําหรับกรณีการดําเนินคดีผู้ชุมนุมบางรายนั้น เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ละเมิดกฎหมาย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด และผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลยังมีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ชุมนุมจะเข้าร่วมคณะกรรมการสมานฉันท์ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐสภา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า และนํามาสู่การหาทางออกในการแก้ไขปัญหาความเห็นต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประชาชนทุกกลุ่ม และนําความสงบสุขกลับสู่สังคมไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง ตามเพจ “วิชชั่นใหม่เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” เผยแพร่ข่าวว่า “ธ.โลกรายงานประเด็น ศก.ไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสําคัญที่สุดคือตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจํานวน 1.9 ลลบ. คิดเป็น 13% ของ GDP” ตามที่เพจ “วิชชั่นใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” ได้มีการเผยแพร่ข่าว ว่า “ธนาคารโลกรายงานประเด็นเศรษฐกิจไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสําคัญที่สุด คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจํานวน 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP” นั้น นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ดังนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดําเนินมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ส่งผลให้การดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลกและยังไม่สามารถคาดการณ์การหยุดการระบาดได้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงเช่นกัน รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกําหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท และ 3) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พ.ร.ก. 2) และ 3) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนําไปดําเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รัฐบาลจะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง 1 ล้านล้านบาท มิใช่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังดําเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจํานวน 348,761 ล้านบาท สําหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจํานวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.53 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุดเท่ากับ ร้อยละ 59.98 เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) พบว่า รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ํา (ร้อยละ 44.37) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.89 (IMF, 2563) นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN และประเทศกําลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบงบประมาณ และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 หนี้สาธารณะปี 2564 ทะลุเพดานไม่เป็นความจริง ตามเพจ “วิชชั่นใหม่เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” เผยแพร่ข่าวว่า “ธ.โลกรายงานประเด็น ศก.ไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสําคัญที่สุดคือตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจํานวน 1.9 ลลบ. คิดเป็น 13% ของ GDP” ตามที่เพจ “วิชชั่นใหม่ เพื่อเศรษฐกิจไทยมั่นคง” ได้มีการเผยแพร่ข่าว ว่า “ธนาคารโลกรายงานประเด็นเศรษฐกิจไทยจะเผชิญภาวะวิกฤตอย่างรุนแรง หนึ่งในปัญหาสําคัญที่สุด คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทะลุเพดานสูงสุดในรอบ 18 ปี ซึ่งเกิดจากรัฐบาลกู้เงินจํานวน 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP” นั้น นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และขอชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ดังนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดําเนินมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ส่งผลให้การดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลกและยังไม่สามารถคาดการณ์การหยุดการระบาดได้ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 อย่างรุนแรงเช่นกัน รัฐบาลจึงได้ตราพระราชกําหนด (พ.ร.ก.) เพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1) พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2) พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 วงเงิน 500,000 ล้านบาท และ 3) พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พ.ร.ก. 2) และ 3) เป็นการช่วยเหลือทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน มิได้เป็นการกู้เงินเพื่อนําไปดําเนินงาน จึงไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ดังนั้น สรุปได้ว่า รัฐบาลจะมีภาระจากการกู้เงินโดยตรงเพียง 1 ล้านล้านบาท มิใช่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังดําเนินการกู้เงินภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าวแล้วจํานวน 348,761 ล้านบาท สําหรับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2563 มีจํานวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.53 ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ขณะที่ปี 2543 มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงสุดเท่ากับ ร้อยละ 59.98 เนื่องจากประสบกับวิกฤติของสถาบันการเงินในประเทศ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) พบว่า รัฐบาลไทยมีหนี้อยู่ในระดับต่ํา (ร้อยละ 44.37) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย (Emerging and Developing Asia Countries) ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 62.89 (IMF, 2563) นอกจากนี้ สัดส่วนของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม ASEAN และประเทศกําลังพัฒนาด้วยกัน เนื่องจากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เกิดจากการกู้เพื่อเป็นรายจ่ายลงทุนในระบบงบประมาณ และการกู้เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้านต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ GDP ของประเทศเกิดการขยายตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ระดับสากล ได้แก่ S&P Moody’s และ Fitch ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เนื่องจากประเทศไทยมีภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ที่แข็งแกร่งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง อํานวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตน วันที่ 13 ธันวาคม 2563 เวลา 09:00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ณ สถานที่ก่อสร้างอาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ตําบลแม่น้ําคู้ อําเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมด้วยนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในพิธี โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ และนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชื่นชมยินดีกับคณะเจ้าหน้าที่สํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยองที่ได้มีการสร้างสํานักงานใหม่ ยินดีกับผู้ประกันตน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะมีสถานที่ติดต่อราชการแห่งใหม่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งทางด้านการเดินทาง และการอํานวยความสะดวกด้านการให้บริการ จากสํานักงานประกันสังคม “สํานักงานประกันสังคมมุ่งเน้นนโยบายการให้บริการ การอํานวยความสะดวกผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นสําคัญ ที่ผ่านมาสํานักงานประกันสังคมได้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ทันสมัย รวมถึงเรื่องอาคารสถานที่ในการรองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการเพื่อความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ประกันตน ตลอดจนนายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจของสํานักงานประกันสังคม เป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้งเป็นขวัญกําลังใจ ความภาคภูมิใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน ที่พร้อมนําส่งการบริการที่ยอดเยี่ยมในทุกมิติ” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย สํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง มีนายจ้างในความรับผิดชอบ จํานวน 2,856 แห่ง ลูกจ้าง 250,000 คน ที่ทําการปัจจุบันเป็นอาคารเช่า เกิดการคับแคบ คณะกรรมการกองทุนประกันสังคม จึงได้อนุมัติเมื่อปี 2562 ให้มีการก่อสร้างที่ทําการใหม่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตนเป็นสําคัญ และตอบสนองการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย รองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดและเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้ง เป็นขวัญกําลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” ประธานวางศิลาฤกษ์อาคารประกันสังคมปลวกแดง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง อํานวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตน วันที่ 13 ธันวาคม 2563 เวลา 09:00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ณ สถานที่ก่อสร้างอาคารสํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง ตําบลแม่น้ําคู้ อําเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง พร้อมด้วยนายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในพิธี โดยมีนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวต้อนรับ และนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม กล่าวรายงาน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชื่นชมยินดีกับคณะเจ้าหน้าที่สํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยองที่ได้มีการสร้างสํานักงานใหม่ ยินดีกับผู้ประกันตน นายจ้าง เจ้าของสถานประกอบการ ตลอดจนประชาชนทั่วไป ที่จะมีสถานที่ติดต่อราชการแห่งใหม่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งทางด้านการเดินทาง และการอํานวยความสะดวกด้านการให้บริการ จากสํานักงานประกันสังคม “สํานักงานประกันสังคมมุ่งเน้นนโยบายการให้บริการ การอํานวยความสะดวกผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นสําคัญ ที่ผ่านมาสํานักงานประกันสังคมได้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการให้บริการที่สะดวกรวดเร็ว ทันสมัย รวมถึงเรื่องอาคารสถานที่ในการรองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการเพื่อความพึงพอใจและมีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ประกันตน ตลอดจนนายจ้างเจ้าของสถานประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจของสํานักงานประกันสังคม เป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้งเป็นขวัญกําลังใจ ความภาคภูมิใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน ที่พร้อมนําส่งการบริการที่ยอดเยี่ยมในทุกมิติ” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย สํานักงานประกันสังคมจังหวัดระยอง สาขาปลวกแดง มีนายจ้างในความรับผิดชอบ จํานวน 2,856 แห่ง ลูกจ้าง 250,000 คน ที่ทําการปัจจุบันเป็นอาคารเช่า เกิดการคับแคบ คณะกรรมการกองทุนประกันสังคม จึงได้อนุมัติเมื่อปี 2562 ให้มีการก่อสร้างที่ทําการใหม่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและผู้ประกันตนเป็นสําคัญ และตอบสนองการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และทันสมัย รองรับการให้บริการที่เพียงพอและพร้อมต่อการให้บริการ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดและเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร อีกทั้ง เป็นขวัญกําลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุก ๆ คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมสนับสนุน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และเกษตรกรไทยให้มีช่องทางการตลาด มีรายได้จากการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชนทั่วประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนการส่งความสุขปีใหม่ ด้วยสินค้าเอสเอ็มอีและ OTOP และผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมสนับสนุน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP และเกษตรกรไทยให้มีช่องทางการตลาด มีรายได้จากการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสนับสนุนการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชนทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง)
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจร ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่าปีละแสนคน สร้างรายได้คืนสู่เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานและฟังการกล่าวรายงานผลการดําเนินงานของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ตําบลแม่วิน อําเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เริ่มจัดทําการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเป็นการสนับสนุนปีการท่องเที่ยว (Amazing Thailand) จากการที่กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่มีศูนย์วิจัยกระจายอยู่ในจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ และมีสถานที่ตั้งอยู่ในแหล่งธรรมชาติ ซึ่งมีพื้นที่ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาแปลงการผลิตพืช ขยายพันธุ์ การอารักขาพืช การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แปลงต้นแบบการผลิตพืชทฤษฎีใหม่ รวมถึงแปลงรวบรวมและอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมพืชจํานวนมาก จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ความรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจรแก่เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ได้รับคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่มีสถานที่สวยงาม มีกิจกรรมด้านการเกษตรที่น่าสนใจ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการจัดสร้างสิ่งอํานวยความสะดวก เช่น ห้องพัก สถานที่จอดรถ ถนน ห้องน้ํา ห้องอาหาร ศาลาชมวิว เป็นต้น จุดเด่นของศูนย์ฯ คือมีดอกพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่งดงาม ซึ่งจะบานในช่วงเดือนมกราคม และมีจํานวนนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวมากกว่าศูนย์อื่นๆ ถึง 290,000 คน (จํานวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2559-2563) รมช.มนัญญา กล่าวว่า ด้วยกระแสการท่องเที่ยวของโลกในปัจจุบัน เป็นไปในลักษณะการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จึงเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบหนึ่งของไทยที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การเกษตรมีความเกี่ยวข้องและผูกพันกับวิถีความเป็นอยู่ของคนไทย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงและสัมผัสกับการเกษตรหลากหลายรูปแบบ ภูมิปัญญาและการพัฒนาด้านการเกษตรของไทย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้คนไทยได้รู้จักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร การท่องเที่ยวเกษตรสีเขียว แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ และยังสามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน เกษตรกรในพื้นที่รอบศูนย์วิจัยก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน จากการมีรายได้จากการจ้างงานและการขายผลผลิตทางการเกษตร เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรและชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมแปลงพันธุ์พืชในโครงการพระราชดําริ ของในหลวงรัชการที่ 9 ฟังการบรรยายการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งเพื่อให้เกษตรกรนําไปปลูก ชมแปลงปลูกองุ่นพันธุ์จากอาร์เมเนีย ชมต้นไม้ทรงปลูกของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชมสวนมะคาเดเมีย และร่วมปลูกต้นพญาเสือโคร่ง (ดอกซากุระมืองไทย) ด้วย ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรมีศูนย์วิจัยที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จํานวน 22 แห่ง อยู่ในภาคเหนือ 10 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคใต้ 5 แห่ง ภาคตะวันออก 2 แห่ง และภาคกลาง 1 แห่ง ดังนี้ 1. ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย 2. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) 3. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ (ฝาง) 4. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน 5. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) 6. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง) 7. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ 8. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก (ดอยมูเซอ) 9. ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย (ท่าชัย) 10. ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย (ภูเรือ) 11. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ (เขาค้อ) 12. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย 13. ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี 14. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี 15. ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร 16. ศูนย์วิจัยปาล์มน้ํามันสุราษฎร์ธานี 17. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ (ยางในช่อง) 18. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรภูเก็ต 19. ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ 20. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจันทบุรี 21. ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง และ 22. สถานีทดลองพืชสวนร่มเกล้า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) รมช.มนัญญา ลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจร ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้กว่าปีละแสนคน สร้างรายได้คืนสู่เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดําเนินงานและฟังการกล่าวรายงานผลการดําเนินงานของศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ตําบลแม่วิน อําเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เริ่มจัดทําการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งเป็นความร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อเป็นการสนับสนุนปีการท่องเที่ยว (Amazing Thailand) จากการที่กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่มีศูนย์วิจัยกระจายอยู่ในจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ และมีสถานที่ตั้งอยู่ในแหล่งธรรมชาติ ซึ่งมีพื้นที่ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาแปลงการผลิตพืช ขยายพันธุ์ การอารักขาพืช การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แปลงต้นแบบการผลิตพืชทฤษฎีใหม่ รวมถึงแปลงรวบรวมและอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมพืชจํานวนมาก จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ความรู้ด้านการเกษตรอย่างครบวงจรแก่เกษตรกร นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ได้รับคัดเลือกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่มีสถานที่สวยงาม มีกิจกรรมด้านการเกษตรที่น่าสนใจ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการจัดสร้างสิ่งอํานวยความสะดวก เช่น ห้องพัก สถานที่จอดรถ ถนน ห้องน้ํา ห้องอาหาร ศาลาชมวิว เป็นต้น จุดเด่นของศูนย์ฯ คือมีดอกพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) ที่งดงาม ซึ่งจะบานในช่วงเดือนมกราคม และมีจํานวนนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวมากกว่าศูนย์อื่นๆ ถึง 290,000 คน (จํานวนนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2559-2563) รมช.มนัญญา กล่าวว่า ด้วยกระแสการท่องเที่ยวของโลกในปัจจุบัน เป็นไปในลักษณะการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จึงเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบหนึ่งของไทยที่ทั่วโลกให้ความสนใจ การเกษตรมีความเกี่ยวข้องและผูกพันกับวิถีความเป็นอยู่ของคนไทย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงและสัมผัสกับการเกษตรหลากหลายรูปแบบ ภูมิปัญญาและการพัฒนาด้านการเกษตรของไทย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้คนไทยได้รู้จักการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร การท่องเที่ยวเกษตรสีเขียว แหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ และยังสามารถกระจายรายได้สู่ชุมชน เกษตรกรในพื้นที่รอบศูนย์วิจัยก็จะได้รับประโยชน์เช่นกัน จากการมีรายได้จากการจ้างงานและการขายผลผลิตทางการเกษตร เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีการกระจายรายได้ไปสู่เกษตรกรและชุมชนให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมแปลงพันธุ์พืชในโครงการพระราชดําริ ของในหลวงรัชการที่ 9 ฟังการบรรยายการผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งเพื่อให้เกษตรกรนําไปปลูก ชมแปลงปลูกองุ่นพันธุ์จากอาร์เมเนีย ชมต้นไม้ทรงปลูกของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ชมสวนมะคาเดเมีย และร่วมปลูกต้นพญาเสือโคร่ง (ดอกซากุระมืองไทย) ด้วย ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรมีศูนย์วิจัยที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านการเกษตร จํานวน 22 แห่ง อยู่ในภาคเหนือ 10 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 แห่ง ภาคใต้ 5 แห่ง ภาคตะวันออก 2 แห่ง และภาคกลาง 1 แห่ง ดังนี้ 1. ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย 2. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย (วาวี) 3. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงใหม่ (ฝาง) 4. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน 5. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) 6. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (แม่จอนหลวง) 7. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ 8. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก (ดอยมูเซอ) 9. ศูนย์วิจัยพืชสวนสุโขทัย (ท่าชัย) 10. ศูนย์วิจัยพืชสวนเลย (ภูเรือ) 11. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ (เขาค้อ) 12. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย 13. ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี 14. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี 15. ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร 16. ศูนย์วิจัยปาล์มน้ํามันสุราษฎร์ธานี 17. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกระบี่ (ยางในช่อง) 18. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรภูเก็ต 19. ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ 20. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจันทบุรี 21. ศูนย์วิจัยพืชสวนตรัง และ 22. สถานีทดลองพืชสวนร่มเกล้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ”
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ” กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 และ 4 ประสานงานผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลันและน้ําไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งมีประชาชนเสียชีวิต กระทรวงอุตสาหกรรมมีความห่วงใยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงออกนโยบายในการช่วยเหลือประชาชน โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยต่อไป นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กพร. ได้ประสานงานกับสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 สงขลา (สรข.1) และสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 4 ภูเก็ต (สรข.4) เพื่อขอความร่วมมือผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ทั้งในส่วนของการดํารงชีพ สาธารณูปโภค และการคมนาคม โดยได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการเหมืองแร่หลายรายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาทิ บริษัท ท่าอุแทไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนรถออฟโรด (Off Road) และนําทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ฝ่าน้ําท่วมเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบภัย, บริษัท ร็อคศิลาไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนอาหารและน้ําดื่ม, บริษัท ไลยมาศ จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม นําเครื่องจักรเข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะที่ถูกน้ํากัดเซาะจนขาดให้คืนสภาพเดิม, บริษัท แร่สัมพันธ์ จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่โดโลไมต์ ร่วมกับกํานันตําบลท่าอุแท นําสิ่งของอาหารแห้งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยกลุ่มผู้สูงอายุ, บริษัท เอส.ซี.จี. 1995 จํากัด ร่วมกับโรงโม่ศรีชัยพุนพิน ผู้ประกอบการเหมืองหิน เข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะและบ้านเรือนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย, บริษัท แอล.เอส.ไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม ดําเนินการขุดลอกลําห้วยเพื่อใช้สําหรับระบายน้ําที่ท่วมอยู่ในพื้นที่ชุมชน และมอบถุงยังชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง โรงโม่หินกฤษณ์ศิลาพร ได้ให้การสนับสนุนข้าวสารอาหารแห้ง จํานวน 4 หมู่บ้าน รวม 1,096 ครัวเรือน และในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช บริษัท ผาทองทุ่งสง จํากัด ได้ให้การสนับสนุนรถน้ํา เข้าช่วยทําความสะอาดบ้านเรือนและพื้นที่ชุมชนรอบเหมือง รวมทั้งเครือข่ายความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ยังได้เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย “เหตุการณ์อุทกภัยภาคใต้ในครั้งนี้ แม้จะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง แต่ในทางกลับกันก็เผยให้เห็นถึงธารน้ําใจจากคนไทยทั่วทุกสารทิศที่ส่งมอบให้กับคนไทยด้วยกันในยามทุกข์ยาก ขอขอบคุณกลุ่มผู้ประกอบการเหมืองแร่ในจังหวัดภาคใต้ และเครือข่าย CSR-DPIM ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เราจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป” อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ” วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2563 กพร. ร่วมกับผู้ประกอบการเหมืองแร่ในพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบาย “สุริยะ” กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 และ 4 ประสานงานผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลันและน้ําไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งมีประชาชนเสียชีวิต กระทรวงอุตสาหกรรมมีความห่วงใยประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงออกนโยบายในการช่วยเหลือประชาชน โดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อหามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยต่อไป นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวเพิ่มเติมว่า กพร. ได้ประสานงานกับสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 1 สงขลา (สรข.1) และสํานักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เขต 4 ภูเก็ต (สรข.4) เพื่อขอความร่วมมือผู้ประกอบการเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน ทั้งในส่วนของการดํารงชีพ สาธารณูปโภค และการคมนาคม โดยได้รับความร่วมมือจากสถานประกอบการเหมืองแร่หลายรายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาทิ บริษัท ท่าอุแทไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนรถออฟโรด (Off Road) และนําทีมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ฝ่าน้ําท่วมเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ประสบภัย, บริษัท ร็อคศิลาไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองหิน ให้การสนับสนุนอาหารและน้ําดื่ม, บริษัท ไลยมาศ จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม นําเครื่องจักรเข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะที่ถูกน้ํากัดเซาะจนขาดให้คืนสภาพเดิม, บริษัท แร่สัมพันธ์ จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่โดโลไมต์ ร่วมกับกํานันตําบลท่าอุแท นําสิ่งของอาหารแห้งเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยกลุ่มผู้สูงอายุ, บริษัท เอส.ซี.จี. 1995 จํากัด ร่วมกับโรงโม่ศรีชัยพุนพิน ผู้ประกอบการเหมืองหิน เข้าซ่อมแซมเส้นทางสาธารณะและบ้านเรือนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย, บริษัท แอล.เอส.ไมนิ่ง จํากัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ยิปซัม ดําเนินการขุดลอกลําห้วยเพื่อใช้สําหรับระบายน้ําที่ท่วมอยู่ในพื้นที่ชุมชน และมอบถุงยังชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง โรงโม่หินกฤษณ์ศิลาพร ได้ให้การสนับสนุนข้าวสารอาหารแห้ง จํานวน 4 หมู่บ้าน รวม 1,096 ครัวเรือน และในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช บริษัท ผาทองทุ่งสง จํากัด ได้ให้การสนับสนุนรถน้ํา เข้าช่วยทําความสะอาดบ้านเรือนและพื้นที่ชุมชนรอบเหมือง รวมทั้งเครือข่ายความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแร่ (CSR-DPIM) ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ยังได้เดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วย “เหตุการณ์อุทกภัยภาคใต้ในครั้งนี้ แม้จะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง แต่ในทางกลับกันก็เผยให้เห็นถึงธารน้ําใจจากคนไทยทั่วทุกสารทิศที่ส่งมอบให้กับคนไทยด้วยกันในยามทุกข์ยาก ขอขอบคุณกลุ่มผู้ประกอบการเหมืองแร่ในจังหวัดภาคใต้ และเครือข่าย CSR-DPIM ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เราจะยังคงติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนต่อไป” อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5ช่วยอนุรักษ์โบราณสถาน-สืบทอดประวัติศาสตร์สู่คนรุ่นใหม่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ณ สวนสาธารณะโบราณสถานลายพระหัตถ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563”โดยมีนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี ปทุมธานี ราชบุรี ชลบุรี ผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอําเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสํานึก มีความตระหนัก และเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ วัฒนธรรม ประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ําค่าของชาติไทยต่อไป ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานพิธีเปิดงานงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี2563”โดยมีนายวรพันธุ์สุวัณณุสส์ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรีผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอําเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสํานึก มีความตระหนักและเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์โบราณสถานโบราณวัตถุวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ําค่าของชาติไทยต่อไป ปลัด วธ. กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจแทนพี่น้องชาวอําเภอศรีมหาโพธิและชาวจังหวัดปราจีนบุรีเป็นอย่างมากที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับเสด็จล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ณ บริเวณสถานที่แห่งนี้ การเสด็จประพาสหัวเมืองในแต่ละครั้งพระองค์จะทรงบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ได้ทอดพระเนตรไว้อย่างละเอียดเป็นจํานวนมากนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งที่เราควรจะศึกษาเรียนรู้เพื่อจะได้ทราบถึงความเป็นมาต่าง ๆ ในอดีต “สําหรับชาวอําเภอศรีมหาโพธินั้นต้องถือว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่นอกจากพระองค์ท่านจะได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนทอดพระเนตรความเป็นอยู่วิถีชีวิตและทุกข์สุขของราษฎรแล้วยังได้พระราชทานลายพระหัตถ์ไว้เป็นสิริมงคลอย่างสูงยิ่งต่อบ้านเมืองอีกด้วย ขอขอบคุณชาวปราจีนบุรี พี่น้องประชาชนชาวอําเภอศรีมหาโพธิและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานเฉลิมฉลอง 112 ปีลายพระหัตถ์ขึ้นมาในวันนี้ถือเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพระองค์ท่านและเป็นการช่วยกันอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศตลอดมา”ปลัดวธ. กล่าว ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่17-18 ธันวาคมมีการจัดกิจกรรม อาทิ พิธีบวงสรวงถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5พิธีเจริญพระพุทธมนต์เย็น กิจกรรมส่งเสริมทางวิชาการ นิทรรศการพระราชกรณียกิจของ รัชกาลที่ 5พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันและการตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ และการจําลองวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิต จําหน่ายสินค้าพื้นบ้านเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและนําเสนอชุมชนคุณธรรม เดินขบวนพาเหรดแต่งกายย้อนยุคการแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ ประจำปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน “เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ วธ.รวมใจชาวปราจีนเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี2563” ยกย่องเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5ช่วยอนุรักษ์โบราณสถาน-สืบทอดประวัติศาสตร์สู่คนรุ่นใหม่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ณ สวนสาธารณะโบราณสถานลายพระหัตถ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน“เฉลิมฉลอง 112 ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี 2563”โดยมีนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี นางสาวเพชรรัตน์ สายทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี ปทุมธานี ราชบุรี ชลบุรี ผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอําเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสํานึก มีความตระหนัก และเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุ วัฒนธรรม ประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ําค่าของชาติไทยต่อไป ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานพิธีเปิดงานงาน“เฉลิมฉลอง 112ปี ลายพระหัตถ์ อําเภอศรีมหาโพธิ ประจําปี2563”โดยมีนายวรพันธุ์สุวัณณุสส์ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ดร.บังอร วิลาวัลย์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรี หัวหน้าส่วนราชการ วัฒนธรรมจังหวัดปราจีนบุรีผู้บริหารสถานศึกษา และชาวอําเภอศรีมหาโพธิเข้าร่วม งานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสํานึก มีความตระหนักและเห็นถึงความสําคัญของการอนุรักษ์โบราณสถานโบราณวัตถุวัฒนธรรมประเพณีอันทรงคุณค่าและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่เป็นมรดกที่ล้ําค่าของชาติไทยต่อไป ปลัด วธ. กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานเปิดงานครั้งนี้ รู้สึกภาคภูมิใจแทนพี่น้องชาวอําเภอศรีมหาโพธิและชาวจังหวัดปราจีนบุรีเป็นอย่างมากที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับเสด็จล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ณ บริเวณสถานที่แห่งนี้ การเสด็จประพาสหัวเมืองในแต่ละครั้งพระองค์จะทรงบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ได้ทอดพระเนตรไว้อย่างละเอียดเป็นจํานวนมากนับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งที่เราควรจะศึกษาเรียนรู้เพื่อจะได้ทราบถึงความเป็นมาต่าง ๆ ในอดีต “สําหรับชาวอําเภอศรีมหาโพธินั้นต้องถือว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่นอกจากพระองค์ท่านจะได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนทอดพระเนตรความเป็นอยู่วิถีชีวิตและทุกข์สุขของราษฎรแล้วยังได้พระราชทานลายพระหัตถ์ไว้เป็นสิริมงคลอย่างสูงยิ่งต่อบ้านเมืองอีกด้วย ขอขอบคุณชาวปราจีนบุรี พี่น้องประชาชนชาวอําเภอศรีมหาโพธิและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานเฉลิมฉลอง 112 ปีลายพระหัตถ์ขึ้นมาในวันนี้ถือเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพระองค์ท่านและเป็นการช่วยกันอนุรักษ์โบราณสถานแห่งนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไปได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรและประเทศตลอดมา”ปลัดวธ. กล่าว ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่17-18 ธันวาคมมีการจัดกิจกรรม อาทิ พิธีบวงสรวงถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5พิธีเจริญพระพุทธมนต์เย็น กิจกรรมส่งเสริมทางวิชาการ นิทรรศการพระราชกรณียกิจของ รัชกาลที่ 5พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9และพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันและการตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์ และการจําลองวัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิต จําหน่ายสินค้าพื้นบ้านเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและนําเสนอชุมชนคุณธรรม เดินขบวนพาเหรดแต่งกายย้อนยุคการแสดงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน โดยมีท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช นายกก่อตั้งสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย และคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ นายกสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี โดยมีกรรมการฯ และสมาชิกสมาคม ตพส.ไทย เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๔ อาคารพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีการเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางจินตนา จันทร์บํารุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาชีวิตคนพิการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน ปลัดวธ.ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมงานเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่สตรีที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน โดยมีท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช นายกก่อตั้งสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย และคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ นายกสมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดี โดยมีกรรมการฯ และสมาชิกสมาคม ตพส.ไทย เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น ๔ อาคารพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ทั้งนี้ งานดังกล่าวมีการเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีแด่นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางจินตนา จันทร์บํารุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และนางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาชีวิตคนพิการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37762
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน"
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" ในโครงการดนตรีสําหรับประชาชน ปีที่ ๖๔ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ศิลปิน ประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมชมการแสดง ณ สังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดการแสดงรายการ "เหมันต์หรรษา สังคีตศาลาพาเพลิน" ในโครงการดนตรีสําหรับประชาชน ปีที่ ๖๔ โดยมี นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหาร ศิลปิน ประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมชมการแสดง ณ สังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37764
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานความคืบหน้าการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจํานวนมาก และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก และจังหวัดสมุทรสาครได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น จึงได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ กําชับให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง ปฏิบัติตามแนวทางและคําสั่งจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค โควิด-19 อย่างเคร่งครัด “กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการบังคับและสั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และการนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ขอให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกวดขัน คัดกรองพนักงาน โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงาน และให้ดูแลสุขอนามัย ในโรงงาน อาทิ การเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นทางเดินเข้า–ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ํา ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็ดทําความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะต่างๆ และลดความเสี่ยงการติดเชื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ทั้งนี้จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานในนิคมและนอกนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครกว่า 6,082 โรงงาน คนงานกว่า 345,464 คน” นายสุริยะ กล่าว และได้มีมาตรการสําหรับการปฏิบัติงานสําหรับข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้ติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด และกําหนดมาตรการเกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในของสํานักงาน เช่น การให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้าน (work from home) ได้ตามความจําเป็น และให้งดเดินทางออกจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครหากมีความจําเป็นต้องปฏิบัติงานติดต่อกับส่วนราชการอื่นให้ใช้การประสานงานทางโทรศัพท์ทางระบบสารสนเทศหรือการประชุมโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก สําหรับส่วนราชการอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและหรือพื้นที่เสี่ยงระมัดระวัง สังเกตอาการ ของเจ้าหน้าที่และให้ส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบทุกคน และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดในช่วงเวลาที่จังหวัดสมุทรสาครกําหนดให้พิจารณาดําเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัดซึ่งอาจจะมีการประกาศต่อไป ด้านส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งหมดให้งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเว้นแต่กรณีที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งต้องมีการแจ้งให้หรือประสานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครทราบเพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแจ้งนโยบายของผู้ว่าและกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ประสานงานกันก่อนในช่วงระหว่างนี้ให้ใช้การติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์เทคนิคหรือช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ แทนการเข้าพื้นที่ และให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและดําเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องสอดรับอย่างเคร่งครัด -----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 สุริยะ สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวกวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานความคืบหน้าการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจํานวนมาก และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก และจังหวัดสมุทรสาครได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น จึงได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ กําชับให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง ปฏิบัติตามแนวทางและคําสั่งจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค โควิด-19 อย่างเคร่งครัด “กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการบังคับและสั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และการนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ขอให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกวดขัน คัดกรองพนักงาน โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงาน และให้ดูแลสุขอนามัย ในโรงงาน อาทิ การเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นทางเดินเข้า–ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ํา ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็ดทําความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะต่างๆ และลดความเสี่ยงการติดเชื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ทั้งนี้จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานในนิคมและนอกนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครกว่า 6,082 โรงงาน คนงานกว่า 345,464 คน” นายสุริยะ กล่าว และได้มีมาตรการสําหรับการปฏิบัติงานสําหรับข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้ติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด และกําหนดมาตรการเกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในของสํานักงาน เช่น การให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้าน (work from home) ได้ตามความจําเป็น และให้งดเดินทางออกจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครหากมีความจําเป็นต้องปฏิบัติงานติดต่อกับส่วนราชการอื่นให้ใช้การประสานงานทางโทรศัพท์ทางระบบสารสนเทศหรือการประชุมโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก สําหรับส่วนราชการอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและหรือพื้นที่เสี่ยงระมัดระวัง สังเกตอาการ ของเจ้าหน้าที่และให้ส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบทุกคน และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดในช่วงเวลาที่จังหวัดสมุทรสาครกําหนดให้พิจารณาดําเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดอย่างเคร่งครัดซึ่งอาจจะมีการประกาศต่อไป ด้านส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งหมดให้งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเว้นแต่กรณีที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งต้องมีการแจ้งให้หรือประสานสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครทราบเพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแจ้งนโยบายของผู้ว่าและกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ประสานงานกันก่อนในช่วงระหว่างนี้ให้ใช้การติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์เทคนิคหรือช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ แทนการเข้าพื้นที่ และให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและดําเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องสอดรับอย่างเคร่งครัด -----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ํากว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกําลังทํางานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ําประชาชนสวมหน้ากาก 100 กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ํากว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกําลังทํางานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ําประชาชนสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด ผู้ที่มีประวัติไปตลาดกลางกุ้งขอคําแนะนําได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อํานวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการติดเชื้อโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จํานวน 382 ราย เป็นการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 360 ราย ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกัน 8 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 12 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 5,289 ราย รักษาหายรวม 4,053 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,176 ราย เสียชีวิตรวม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศและเข้ากักกัน 8 รายได้แก่ สหรัฐอเมริกา 3 ราย สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยูเครน คูเวต และซูดาน ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษา ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 1 รายติดเชื้อมีอาการไข้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 รายในจํานวนนี้12 รายมีประวัติเชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาครแบ่งเป็นชายไทย 5 ราย หญิงไทย 6 ราย และชายลาว 1 ราย ตรวจหาเชื้อช่วงวันที่ 18-19 ธ.ค. ผลพบเชื้อมีอาการ 8 ราย ได้แก่ เจ็บคอ ไอ น้ํามูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และไข้ ไม่มีอาการ 4 รายส่วนอีก 2 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 29 ปีช่างเสริมสวยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 ธ.ค. ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ รักษารพ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา และหญิงเมียนมาอายุ 42 ปีอาชีพพนักงานห้าง อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและประวัติเสี่ยง ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษา รพ.แม่สอด จ.ตาก สําหรับการติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 360 รายมากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีอาการ และรอผลการตรวจอีก 2,600 กว่าราย นอกจากนี้ จะมีการตรวจเชิงรุกเพิ่มอีก 10,300 ราย ผลการตรวจจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ การติดเชื้อยังคงสูงอยู่ที่บริเวณตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร อัตราติดเชื้อประมาณร้อยละ 42 วงรอบนอกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 ส่วนการปิดหอพักเพื่อไม่ให้แรงงานเมียนมานําเชื้อออกมานั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้ ภาครัฐจะจัดส่งอาหารและน้ําดูแล หากมีอาการจะส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้ หอพักประมาณ 100 เตียง ส่วนผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้ออยู่แล้ว จึงให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับประเทศสิงคโปร์ นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สําหรับลูกค้าประจําตลาดกลางกุ้ง 1,000 กว่าราย ได้มีการติดตามทุกคน ส่วนผู้ที่เคยไปตลาดกุ้งตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ขอให้แสดงตัวและไปรับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน สําหรับการขนส่งสินค้าออกมาจาก จ.สมุทรสาคร ขอให้บริษัทขนส่งเข้มกระบวนการขนส่งทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องของภาชนะต่าง ๆ ต้องสะอาด เนื่องจากการติดเชื้อมีโอกาสเกิดขึ้นจากการสัมผัส การรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน ไม่ทําให้เกิดการติดเชื้อ ทั้งนี้ ภาครัฐจะมีการตรวจสอบรถและพนักงานขับรถอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนและเตรียมหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์พื้นที่ตามความเหมาะสม เน้นย้ําการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ สวมตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ และขอให้ช่วยแนะนําคนรอบข้างให้สวมหน้ากากด้วยความหวังดีและความห่วงใยในสุขภาพ สําหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 77,166,774 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 546,756 ราย เสียชีวิต 1,699,497 ราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 18,267,579 ราย อินเดีย 10,056,248 ราย บราซิล 7,238,600 ราย รัสเซีย 2,848,377 ราย ฝรั่งเศส 2,473,354 ราย ด้านนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อํานวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร ณ 21 ธันวาคม 2563 ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 821 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและติดตามผู้สัมผัส 33 ราย และการค้นหาในชุมชนส่งตรวจทั้งหมด 4,688 ราย ผลออกแล้ว 1,861 ราย ให้ผลบวกสะสม 788 ราย จากแผนที่การระบาด และการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นค่อนข้างแน่ชัดว่าจุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง ซึ่งเป็นตลาดกุ้งเลี้ยง ไม่ใช่อาหารทะเลทั้งหมด หลังจากนั้นการระบาดเป็นวงเฉพาะในกลุ่มแรงงานเมียนมา และพบบางรายในบางจังหวัดที่มีความเชื่อมโยงกับแรงงานเมียนมา โดยขณะนี้ฝ่ายปกครองได้ล็อกดาวน์จุดที่พบผู้ติดเชื้อมากคือพื้นที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว สมมุติฐานเรื่องสาเหตุของการระบาดในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากแรงงานเมียนมา เพราะจากการค้นหาตรวจเชิงรุกพบว่าการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีการเคลื่อนย้ายของแรงงานเมียนมาเข้ามาจากต่างประเทศในช่วงก่อนการระบาด และนําเข้ามาแพร่สู่ชุมชนเมียนมาที่มีอยู่เดิมแล้วในพื้นที่สมุทรสาคร อย่างไรก็ตามเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานดังกล่าว จะได้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพิ่มเติมเพื่อดูรหัสพันธุกรรมว่ามีความเชื่อมโยงกับที่ไหน หรือกรณีใดบ้างต่อไป ส่วนสาเหตุที่ทําให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในกลุ่มแรงงานเมียนมานั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเกิดจากการอยู่กันอย่างแออัดในที่พักอาศัย และมีการติดต่อใกล้ชิดกันจากชีวิตประจําวัน โดยไม่มีมาตรการป้องกันตนเอง เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ นายแพทย์วิชาญกล่าวต่อว่า จากการค้นหา ขีดวง เฝ้าระวัง ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ทั้งใน จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวในจังหวัดอื่น จะทําให้พบรายงานผู้ป่วยที่มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น และอาจมีข่าวพบผู้ติดเชื้อในหลายจังหวัด ซึ่งตามหลักระบาดวิทยาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ว่าระบบเฝ้าระวังโรคของเราในทุกพื้นที่ ระบบเฝ้าระวังเชิงรุก และเจ้าหน้าที่กําลังทํางานกันอย่างเข้มแข็ง ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ขอให้ประชาชนอย่าตระหนก แต่ให้ตระหนักในการป้องกันตนเอง มาตรการสําคัญที่จะต้องขอความร่วมมือจากประชาชน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด และสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ ยกการ์ดให้สูง เพื่อไม่ให้ขยายการระบาดเป็นวงกว้าง ประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจากจ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้โทรปรึกษา สายด่วนของจังหวัดหรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือ มีประวัติไปตลาดกลางกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือเคยสัมผัสกับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงและไม่สบายด้วย สามารถเดินทางไปเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน โดยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงและพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วแต่กรณี “ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าเชื่อข่าวปลอม อย่าส่งต่อ ให้ติดตามข้อมูลจากทางการ และดูว่าตัวเองเป็นผู้สัมผัสกลุ่มไหน เสี่ยงสูงหรือไม่ และปฏิบัติตามข้อแนะนําอย่างเคร่งครัด หากเสี่ยงสูงไปรับการตรวจ เสี่ยงปานกลางปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อประเมินอาการ เสี่ยงต่ําสังเกตอาการตัวเอง 14 วัน และทุกกลุ่มต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกการ์ด100% ใช้ชีวิตแบบ New normal ใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ ใช้ช้อนตัวเอง งดอยู่ในพื้นที่แออัด ผู้ประกอบการต้องมีการคัดกรอง และบังคับสแกน ไทยชนะ ทุกคน เพื่อช่วยติดตามตัว นอกจากนี้ โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซนต์ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน ขอให้เข้มมาตรการตามข้อสั่งการ การ์ดอย่าตก” นายแพทย์วิชาญกล่าว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.เผยความคืบหน้าการค้นหาผู้ติดเชื้อกรณี จ.สมุทรสาคร กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ํากว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกําลังทํางานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ําประชาชนสวมหน้ากาก 100 กระทรวงสาธารณสุข เผยการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่จังหวัดสมุทรสาคร ยอดสะสม 821 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เร่งคัดกรองเพิ่ม เป้าหมายไม่ต่ํากว่า 10,300 ราย ระบบเฝ้าระวังเชิงรุกกําลังทํางานอย่างเข้มแข็งทุกพื้นที่ ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ย้ําประชาชนสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด ผู้ที่มีประวัติไปตลาดกลางกุ้งขอคําแนะนําได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) และนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อํานวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการติดเชื้อโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร นายแพทย์ทวีศิลป์กล่าวว่า วันนี้มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ จํานวน 382 ราย เป็นการติดเชื้อในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 360 ราย ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกัน 8 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 12 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 5,289 ราย รักษาหายรวม 4,053 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,176 ราย เสียชีวิตรวม 60 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศและเข้ากักกัน 8 รายได้แก่ สหรัฐอเมริกา 3 ราย สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยูเครน คูเวต และซูดาน ประเทศละ 1 ราย ทั้งหมดเข้ารับการรักษา ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ มีเพียง 1 รายติดเชื้อมีอาการไข้ผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 14 รายในจํานวนนี้12 รายมีประวัติเชื่อมโยงกับตลาดกุ้ง จ.สมุทรสาครแบ่งเป็นชายไทย 5 ราย หญิงไทย 6 ราย และชายลาว 1 ราย ตรวจหาเชื้อช่วงวันที่ 18-19 ธ.ค. ผลพบเชื้อมีอาการ 8 ราย ได้แก่ เจ็บคอ ไอ น้ํามูก ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และไข้ ไม่มีอาการ 4 รายส่วนอีก 2 ราย เป็นหญิงไทยอายุ 29 ปีช่างเสริมสวยที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 ธ.ค. ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ รักษารพ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา และหญิงเมียนมาอายุ 42 ปีอาชีพพนักงานห้าง อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคและประวัติเสี่ยง ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษา รพ.แม่สอด จ.ตาก สําหรับการติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว 360 รายมากกว่าร้อยละ 90 ไม่มีอาการ และรอผลการตรวจอีก 2,600 กว่าราย นอกจากนี้ จะมีการตรวจเชิงรุกเพิ่มอีก 10,300 ราย ผลการตรวจจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ การติดเชื้อยังคงสูงอยู่ที่บริเวณตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร อัตราติดเชื้อประมาณร้อยละ 42 วงรอบนอกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 ส่วนการปิดหอพักเพื่อไม่ให้แรงงานเมียนมานําเชื้อออกมานั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้ ภาครัฐจะจัดส่งอาหารและน้ําดูแล หากมีอาการจะส่งต่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้ หอพักประมาณ 100 เตียง ส่วนผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้ออยู่แล้ว จึงให้อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับประเทศสิงคโปร์ นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สําหรับลูกค้าประจําตลาดกลางกุ้ง 1,000 กว่าราย ได้มีการติดตามทุกคน ส่วนผู้ที่เคยไปตลาดกุ้งตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ขอให้แสดงตัวและไปรับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน สําหรับการขนส่งสินค้าออกมาจาก จ.สมุทรสาคร ขอให้บริษัทขนส่งเข้มกระบวนการขนส่งทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องของภาชนะต่าง ๆ ต้องสะอาด เนื่องจากการติดเชื้อมีโอกาสเกิดขึ้นจากการสัมผัส การรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร้อน ไม่ทําให้เกิดการติดเชื้อ ทั้งนี้ ภาครัฐจะมีการตรวจสอบรถและพนักงานขับรถอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขทบทวนและเตรียมหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์พื้นที่ตามความเหมาะสม เน้นย้ําการสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ สวมตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ และขอให้ช่วยแนะนําคนรอบข้างให้สวมหน้ากากด้วยความหวังดีและความห่วงใยในสุขภาพ สําหรับสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวม 77,166,774 ราย เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 546,756 ราย เสียชีวิต 1,699,497 ราย ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 18,267,579 ราย อินเดีย 10,056,248 ราย บราซิล 7,238,600 ราย รัสเซีย 2,848,377 ราย ฝรั่งเศส 2,473,354 ราย ด้านนายแพทย์วิชาญ ปาวัน ผู้อํานวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ความคืบหน้าผู้ติดเชื้อโควิด 19 จ.สมุทรสาคร ณ 21 ธันวาคม 2563 ผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 821 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่มาตรวจในโรงพยาบาลและติดตามผู้สัมผัส 33 ราย และการค้นหาในชุมชนส่งตรวจทั้งหมด 4,688 ราย ผลออกแล้ว 1,861 ราย ให้ผลบวกสะสม 788 ราย จากแผนที่การระบาด และการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นค่อนข้างแน่ชัดว่าจุดตั้งต้นอยู่ที่ตลาดกลางกุ้ง ซึ่งเป็นตลาดกุ้งเลี้ยง ไม่ใช่อาหารทะเลทั้งหมด หลังจากนั้นการระบาดเป็นวงเฉพาะในกลุ่มแรงงานเมียนมา และพบบางรายในบางจังหวัดที่มีความเชื่อมโยงกับแรงงานเมียนมา โดยขณะนี้ฝ่ายปกครองได้ล็อกดาวน์จุดที่พบผู้ติดเชื้อมากคือพื้นที่ตลาดกลางกุ้งและหอพัก ไม่ให้มีการเข้าออกแล้ว สมมุติฐานเรื่องสาเหตุของการระบาดในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากแรงงานเมียนมา เพราะจากการค้นหาตรวจเชิงรุกพบว่าการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 90 เป็นแรงงานเมียนมา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า น่าจะมีการเคลื่อนย้ายของแรงงานเมียนมาเข้ามาจากต่างประเทศในช่วงก่อนการระบาด และนําเข้ามาแพร่สู่ชุมชนเมียนมาที่มีอยู่เดิมแล้วในพื้นที่สมุทรสาคร อย่างไรก็ตามเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานดังกล่าว จะได้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพิ่มเติมเพื่อดูรหัสพันธุกรรมว่ามีความเชื่อมโยงกับที่ไหน หรือกรณีใดบ้างต่อไป ส่วนสาเหตุที่ทําให้มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างในกลุ่มแรงงานเมียนมานั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเกิดจากการอยู่กันอย่างแออัดในที่พักอาศัย และมีการติดต่อใกล้ชิดกันจากชีวิตประจําวัน โดยไม่มีมาตรการป้องกันตนเอง เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ นายแพทย์วิชาญกล่าวต่อว่า จากการค้นหา ขีดวง เฝ้าระวัง ค้นหากลุ่มเสี่ยงทั้งหมดโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ทั้งใน จ.สมุทรสาคร และชุมชนแรงงานต่างด้าวในจังหวัดอื่น จะทําให้พบรายงานผู้ป่วยที่มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น และอาจมีข่าวพบผู้ติดเชื้อในหลายจังหวัด ซึ่งตามหลักระบาดวิทยาถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ว่าระบบเฝ้าระวังโรคของเราในทุกพื้นที่ ระบบเฝ้าระวังเชิงรุก และเจ้าหน้าที่กําลังทํางานกันอย่างเข้มแข็ง ทําให้ตรวจจับได้เร็ว ขอให้ประชาชนอย่าตระหนก แต่ให้ตระหนักในการป้องกันตนเอง มาตรการสําคัญที่จะต้องขอความร่วมมือจากประชาชน คือ สวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ไม่เข้าสถานที่แออัด และสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการทางเดินหายใจ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้สวมหน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ ยกการ์ดให้สูง เพื่อไม่ให้ขยายการระบาดเป็นวงกว้าง ประชาชน จ.สมุทรสาคร และคนที่ออกมาจากจ.สมุทรสาครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 ให้สังเกตอาการตนเอง หากสงสัยให้โทรปรึกษา สายด่วนของจังหวัดหรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงคือ มีประวัติไปตลาดกลางกุ้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือเคยสัมผัสกับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงและไม่สบายด้วย สามารถเดินทางไปเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ที่โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน โดยแพทย์จะประเมินความเสี่ยงและพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้วแต่กรณี “ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าเชื่อข่าวปลอม อย่าส่งต่อ ให้ติดตามข้อมูลจากทางการ และดูว่าตัวเองเป็นผู้สัมผัสกลุ่มไหน เสี่ยงสูงหรือไม่ และปฏิบัติตามข้อแนะนําอย่างเคร่งครัด หากเสี่ยงสูงไปรับการตรวจ เสี่ยงปานกลางปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อประเมินอาการ เสี่ยงต่ําสังเกตอาการตัวเอง 14 วัน และทุกกลุ่มต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา ยกการ์ด100% ใช้ชีวิตแบบ New normal ใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ ใช้ช้อนตัวเอง งดอยู่ในพื้นที่แออัด ผู้ประกอบการต้องมีการคัดกรอง และบังคับสแกน ไทยชนะ ทุกคน เพื่อช่วยติดตามตัว นอกจากนี้ โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซนต์ ทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน ขอให้เข้มมาตรการตามข้อสั่งการ การ์ดอย่าตก” นายแพทย์วิชาญกล่าว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมอ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมออก 7 ข้อสั่งการ เน้นย้ําสื่อสารประชาชนไม่ให้เกิดความตระหนก สวมหน้ากาก 100% วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคโควิด 19 ร่วมกับผู้บริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาค และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร สันนิษฐานว่า มาจากแรงงานเมียนมา จึงมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกแรงงานเมียนมาบริเวณหอพักใกล้ตลาดกลางกุ้ง ทําให้พบผู้ติดเชื้อจํานวนมาก ได้ปิดพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดห้ามเข้าออกเพื่อจํากัดวงการระบาด ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง เกิดจากการตรวจพบเชื้อและมีการสอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ไม่เกิดการแพร่กระจาย เป็นการดําเนินงานเหมือนกรณีสนามมวยลุมพินี นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ โดยให้ อสม.ช่วยฝ่ายปกครองสอดส่องผู้ที่มาจาก จ.สมุทรสาคร ให้ไปแสดงตัวและประเมินความเสี่ยง โดยไม่จําเป็นต้องกักตัว หากมีความเสี่ยงสูงจะตรวจทางห้องปฏิบัติการ หากเสี่ยงต่ําอาจให้แยกตัวเฝ้าระวังอาการ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในจังหวัดต้องสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสอย่างรวดเร็ว คัดกรองเชิงรุกในชุมชนแรงงานเมียนมา หากมีการติดเชื้ออาจใช้สมุทรสาครโมเดล โดยการปิดพื้นที่ทํา OQ (Organization Quarantine) ซึ่งเป็นการจัดการสถานการณ์อย่างเหมาะสม ปิดเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยง ไม่ได้เป็นการปิดทั้งจังหวัด และต้องสื่อสารให้ความรู้ประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากการปิดพื้นที่อาจทําให้ประชาชนกังวลและเดินทางออกจากพื้นที่ ขอให้มีการซักซ้อมความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ รวมถึงขอให้สถานประกอบการที่มีแรงงานเมียนมาจํานวนมาก ดําเนินการตรวจด้วย Rapid Test นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มี 7 ข้อสั่งการจากกรณีพื้นที่จ.สมุทรสาคร ดังนี้ 1.สื่อสารประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเรื่องของข่าวปลอมต่าง ๆ 2.เน้นย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน สังเกตอาการตนเอง โดยให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ต้นแบบสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ 3.เน้นย้ําและตรวจสอบมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้งส่วนบุคคลและสถานที่ ดําเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ DMHT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก จัดที่ล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ หากสงสัยให้เข้ารับการตรวจ เข้มการสแกนไทยชนะ และทําความสะอาดพื้นผิว 4.ลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจํานวนมาก กรณีจําเป็นให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด 5.สุ่มตรวจกลุ่มแรงงานต่างด้าวตามแนวทางที่กรมควบคุมโรคกําหนด 6.ให้ทุกจังหวัดเตรียมเรื่องเตียงและโรงพยาบาลสนาม และ7.ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดูแลเรื่องการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้เพียงพอและรวดเร็ว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ปลัด สธ.สั่งทุกจังหวัดตรวจโควิด 19 เชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา ใช้สมุทรสาครโมเดล ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมอ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เตรียมพร้อมรับมือโควิด 19 ให้คัดกรองเชิงรุกชุมชนแรงงานเมียนมา หากพบติดเชื้อใช้สมุทรสาครโมเดล ปิดพื้นที่เสี่ยง ติดตามผู้มาจากสมุทรสาคร หากพบการติดเชื้อให้สอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสโดยเร็ว พร้อมออก 7 ข้อสั่งการ เน้นย้ําสื่อสารประชาชนไม่ให้เกิดความตระหนก สวมหน้ากาก 100% วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคโควิด 19 ร่วมกับผู้บริหารส่วนกลางส่วนภูมิภาค และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร สันนิษฐานว่า มาจากแรงงานเมียนมา จึงมีการตรวจคัดกรองเชิงรุกแรงงานเมียนมาบริเวณหอพักใกล้ตลาดกลางกุ้ง ทําให้พบผู้ติดเชื้อจํานวนมาก ได้ปิดพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดห้ามเข้าออกเพื่อจํากัดวงการระบาด ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง เกิดจากการตรวจพบเชื้อและมีการสอบสวนโรคติดตามผู้สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ไม่เกิดการแพร่กระจาย เป็นการดําเนินงานเหมือนกรณีสนามมวยลุมพินี นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ โดยให้ อสม.ช่วยฝ่ายปกครองสอดส่องผู้ที่มาจาก จ.สมุทรสาคร ให้ไปแสดงตัวและประเมินความเสี่ยง โดยไม่จําเป็นต้องกักตัว หากมีความเสี่ยงสูงจะตรวจทางห้องปฏิบัติการ หากเสี่ยงต่ําอาจให้แยกตัวเฝ้าระวังอาการ เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในจังหวัดต้องสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสอย่างรวดเร็ว คัดกรองเชิงรุกในชุมชนแรงงานเมียนมา หากมีการติดเชื้ออาจใช้สมุทรสาครโมเดล โดยการปิดพื้นที่ทํา OQ (Organization Quarantine) ซึ่งเป็นการจัดการสถานการณ์อย่างเหมาะสม ปิดเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยง ไม่ได้เป็นการปิดทั้งจังหวัด และต้องสื่อสารให้ความรู้ประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก เนื่องจากการปิดพื้นที่อาจทําให้ประชาชนกังวลและเดินทางออกจากพื้นที่ ขอให้มีการซักซ้อมความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ รวมถึงขอให้สถานประกอบการที่มีแรงงานเมียนมาจํานวนมาก ดําเนินการตรวจด้วย Rapid Test นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มี 7 ข้อสั่งการจากกรณีพื้นที่จ.สมุทรสาคร ดังนี้ 1.สื่อสารประชาสัมพันธ์ไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเรื่องของข่าวปลอมต่าง ๆ 2.เน้นย้ําให้ประชาชนสวมหน้ากากตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน สังเกตอาการตนเอง โดยให้โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ต้นแบบสวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ 3.เน้นย้ําและตรวจสอบมาตรการป้องกันควบคุมโรค ทั้งส่วนบุคคลและสถานที่ ดําเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ DMHT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก จัดที่ล้างมือหรือเจลแอลกอฮอล์ หากสงสัยให้เข้ารับการตรวจ เข้มการสแกนไทยชนะ และทําความสะอาดพื้นผิว 4.ลดกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันจํานวนมาก กรณีจําเป็นให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด 5.สุ่มตรวจกลุ่มแรงงานต่างด้าวตามแนวทางที่กรมควบคุมโรคกําหนด 6.ให้ทุกจังหวัดเตรียมเรื่องเตียงและโรงพยาบาลสนาม และ7.ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ดูแลเรื่องการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้เพียงพอและรวดเร็ว ******************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม กระทรวงอุตสาหกรรมเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กําหนดจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เนื่องด้วย ปัจจุบันมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง และมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก ตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้ว ประกอบกับ กรุงเทพมหานครได้ขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรม ที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก คณะกรรมการจัดงานฯ และผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับมาตรการป้องกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปและจะกําหนดวันจัดงานอีกครั้งเมื่อสถานการณ์จะมีความเหมาะสมแล้ว -----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 ก.อุตฯ เลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม กระทรวงอุตสาหกรรมเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน 22 - 25 ธ.ค.63 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะมีความเหมาะสม ตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กําหนดจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม นั้น เนื่องด้วย ปัจจุบันมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง และมีแนวโน้มที่จะแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก ตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้ว ประกอบกับ กรุงเทพมหานครได้ขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรม ที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก คณะกรรมการจัดงานฯ และผู้บริหารของกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับมาตรการป้องกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเลื่อนการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม ออกไปและจะกําหนดวันจัดงานอีกครั้งเมื่อสถานการณ์จะมีความเหมาะสมแล้ว -----------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37793
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะทํางานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนกรมต่างๆ เข้าร่วมว่า ที่ประชุมได้หารือมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หลังจากคณะกรรมการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก เช่น งานเทศกาลปีใหม่ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และงานรื่นเริงต่าง ๆ แต่หากจะจัดงานต้องเสนอแผนควบคุมโรคเพื่อขออนุญาตกับสํานักอนามัย กทม.เพื่อพิจารณาก่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะทํางานฯ ได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัดวธ. ที่มีการเตรียมการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก ได้แก่ กรมการศาสนา เตรียมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ.2564 วันที่ 31 ธ.ค.2563 - 1 ม.ค.2564 ณ ท้องสนามหลวง และกิจกรรมมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เช่น กิจกรรมไหว้พระ10วัด เสริมสิริมงคลรับปีใหม่ในกรุงเทพฯ วันที่1 - 2ม.ค.2564ซึ่งจะต้องรอผลการพิจารณาของที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้รายงานถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.2563 - ม.ค.2564 ภายในหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และพื้นที่ของสวธ. ซึ่งมีทั้งกิจกรรมคอนเสิร์ตและกิจกรรมอื่นๆ ที่กําลังจะจัดขึ้น และกิจกรรมที่ขอเลื่อนออกไปก่อน โดยสวธ.ได้กําชับผู้จัดกิจกรรมให้จัดที่นั่งเว้นระยะห่างและคัดกรองตรวจวัดไข้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันกรมศิลปากรแจ้งมาตรการดูแลผู้เข้าชมแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ มีการวัดไข้ก่อนเข้าชม/ใช้บริการ จํากัดจํานวนผู้เข้าชม/ผู้ใช้บริการ งดให้เข้าชมเป็นหมู่คณะโดยจะดําเนินการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ทุกหน่วยงานของวธ. ดูแลข้าราชการที่มีภูมิลําเนาหรือประวัติความเสี่ยงในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการทํางานที่บ้าน (work from home)รวมทั้งให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วธ.รอศบค.ชุดใหญ่ พิจารณากิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี”-“ของขวัญปีใหม่” พร้อมให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม-กรมศิลปากร ดูแลผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้านวัฒนธรรม-ผู้เข้าชม ผู้ใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวภายหลังประชุมคณะทํางานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนกรมต่างๆ เข้าร่วมว่า ที่ประชุมได้หารือมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) หลังจากคณะกรรมการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกาศมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการขอความร่วมมือภาครัฐและเอกชน งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก เช่น งานเทศกาลปีใหม่ กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี และงานรื่นเริงต่าง ๆ แต่หากจะจัดงานต้องเสนอแผนควบคุมโรคเพื่อขออนุญาตกับสํานักอนามัย กทม.เพื่อพิจารณาก่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมคณะทํางานฯ ได้รับรายงานจากหน่วยงานในสังกัดวธ. ที่มีการเตรียมการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจํานวนมาก ได้แก่ กรมการศาสนา เตรียมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไทย พ.ศ.2564 วันที่ 31 ธ.ค.2563 - 1 ม.ค.2564 ณ ท้องสนามหลวง และกิจกรรมมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน เช่น กิจกรรมไหว้พระ10วัด เสริมสิริมงคลรับปีใหม่ในกรุงเทพฯ วันที่1 - 2ม.ค.2564ซึ่งจะต้องรอผลการพิจารณาของที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้รายงานถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนธ.ค.2563 - ม.ค.2564 ภายในหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และพื้นที่ของสวธ. ซึ่งมีทั้งกิจกรรมคอนเสิร์ตและกิจกรรมอื่นๆ ที่กําลังจะจัดขึ้น และกิจกรรมที่ขอเลื่อนออกไปก่อน โดยสวธ.ได้กําชับผู้จัดกิจกรรมให้จัดที่นั่งเว้นระยะห่างและคัดกรองตรวจวัดไข้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกันกรมศิลปากรแจ้งมาตรการดูแลผู้เข้าชมแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติ อุทยานประวัติศาสตร์ มีการวัดไข้ก่อนเข้าชม/ใช้บริการ จํากัดจํานวนผู้เข้าชม/ผู้ใช้บริการ งดให้เข้าชมเป็นหมู่คณะโดยจะดําเนินการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ทุกหน่วยงานของวธ. ดูแลข้าราชการที่มีภูมิลําเนาหรือประวัติความเสี่ยงในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการทํางานที่บ้าน (work from home)รวมทั้งให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจัดทําสื่อประชาสัมพันธ์รณรงค์ป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37783
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นำร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นําร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กําหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นําร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยท กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กําหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นําร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากร เดินหน้าลงนามขยายความร่วมมือครอบคลุมระดับเขตและประเทศ รวมถึงรถกู้ชีพมูลนิธิและ อปท. วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ห้องประชุมธนกร ศูนย์ประชุมมลฑาทิพย์ อ.เมือง จ.อุดรธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการลงนามความร่วมมือโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จํากัด นายอนุทินกล่าวว่า ข้อมูลในปี 2559-2563 เกิดอุบัติเหตุกับรถฉุกเฉินรวม 156 ครั้ง บุคลากรทางการแพทย์ได้รับบาดเจ็บ 139 ราย เสียชีวิต 4 ราย อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างส่งต่อผู้ป่วยร้อยละ 80 จากการสอบสวนอุบัติเหตุพบว่า ปัจจัยหลักเกิดจากพฤติกรรมพนักงานขับรถร้อยละ 67 คือ หลับใน ขับรถเร็วเกินกําหนด และฝ่าไฟแดงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31 ได้แก่ ฝนตก ถนนลื่น แสงสว่างไม่เพียงพอ และถูกคู่กรณีชนและปัจจัยเรื่องรถพยาบาลร้อยละ 2 คือ ยางระเบิด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยและความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ จึงกําหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลและความคุ้มครองอุบัติเหตุทางถนน เช่น การติดตั้ง GPS ที่ได้มาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก เพื่อกํากับติดตามการใช้รถพยาบาลและพฤติกรรมของพนักงานขับรถ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ หากพบความเสี่ยงจะมีระบบแจ้งเตือนเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ สําหรับโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ได้นําร่องในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี โดยนําระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จํากัด มาใช้ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบครบวงจร ดําเนินการครอบคลุมรถพยาบาลของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน จํานวน 99 คัน พร้อมตรวจสุขภาพและพัฒนาสมรรถนะการให้บริการของพนักงานขับรถ และจัดทําแนวปฏิบัติเพื่อการขับขี่รถพยาบาลปลอดภัย ได้แก่ กําหนดความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปฏิบัติตามกฎจราจร หากขับรถต่อเนื่องควรหยุดพักทุก 2 ชั่วโมง ระยะเวลาทํางานไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน กรณีนําส่งผู้ป่วยระยะทางไปกลับเกิน 400 กิโลเมตร ควรมีพนักงานขับรถ 2 คน เกิน 800 กิโลเมตร ต้องมีการพักค้างคืนระหว่างการเดินทาง ทําให้สามารถติดตาม กํากับการบริการตลอดเส้นทางการเดินทาง ทั้งระยะทาง ความเร็วรถ พฤติกรรมพนักงานขับรถ ได้แบบ Real Time และมีระบบแจ้งเตือนกรณีเกิดความเสี่ยง เชื่อมโยงไปถึงระหว่างโรงพยาบาลรับ-ส่งผู้ป่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมการให้บริการได้รวดเร็วจากการประเมินผลการดําเนินการพบว่า อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง จึงได้ลงนามเพื่อขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานีมีสถิติรถพยาบาลเกิดอุบัติเหตุระหว่างปี 2559-2562 จํานวน 9 ครั้ง แต่ภายหลังดําเนินการดังกล่าวในปีงบประมาณ 2563 ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จากนี้มีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมถึงรถรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน (กู้ชีพ) ของมูลนิธิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีจะเป็นต้นแบบให้หน่วยบริการได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อขยายการทํางานในระดับเขตและประเทศต่อไป ***************************** 21 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นำร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สธ.ใช้ GPS ติดตามรถพยาบาล Real Time ห้ามขับเกิน 90 กม./ชม. นําร่องอุดรธานีช่วยลดอุบัติเหตุ กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กําหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นําร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยท กระทรวงสาธารณสุขร่วมเอสซีจี โลจิสติกส์ ใช้ระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบ Real Time กําหนดขับไม่เกิน 90 กม./ชม. ไปกลับเกิน 400 กม.ต้องมีคนขับ 2 คน หากพบความเสี่ยงจะแจ้งเตือนทันที นําร่องพื้นที่ จ.อุดรธานี พบช่วยลดอุบัติเหตุ ปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากร เดินหน้าลงนามขยายความร่วมมือครอบคลุมระดับเขตและประเทศ รวมถึงรถกู้ชีพมูลนิธิและ อปท. วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ที่ห้องประชุมธนกร ศูนย์ประชุมมลฑาทิพย์ อ.เมือง จ.อุดรธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการลงนามความร่วมมือโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และบริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จํากัด นายอนุทินกล่าวว่า ข้อมูลในปี 2559-2563 เกิดอุบัติเหตุกับรถฉุกเฉินรวม 156 ครั้ง บุคลากรทางการแพทย์ได้รับบาดเจ็บ 139 ราย เสียชีวิต 4 ราย อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างส่งต่อผู้ป่วยร้อยละ 80 จากการสอบสวนอุบัติเหตุพบว่า ปัจจัยหลักเกิดจากพฤติกรรมพนักงานขับรถร้อยละ 67 คือ หลับใน ขับรถเร็วเกินกําหนด และฝ่าไฟแดงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31 ได้แก่ ฝนตก ถนนลื่น แสงสว่างไม่เพียงพอ และถูกคู่กรณีชนและปัจจัยเรื่องรถพยาบาลร้อยละ 2 คือ ยางระเบิด ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยและความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ จึงกําหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุรถพยาบาลและความคุ้มครองอุบัติเหตุทางถนน เช่น การติดตั้ง GPS ที่ได้มาตรฐานของกรมการขนส่งทางบก เพื่อกํากับติดตามการใช้รถพยาบาลและพฤติกรรมของพนักงานขับรถ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ หากพบความเสี่ยงจะมีระบบแจ้งเตือนเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ สําหรับโครงการพัฒนาความปลอดภัยของรถพยาบาล (Ambulance Safety Solution) ได้นําร่องในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี โดยนําระบบ GPS ปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จํากัด มาใช้ติดตามรถพยาบาลฉุกเฉินแบบครบวงจร ดําเนินการครอบคลุมรถพยาบาลของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม และโรงพยาบาลเอกชน จํานวน 99 คัน พร้อมตรวจสุขภาพและพัฒนาสมรรถนะการให้บริการของพนักงานขับรถ และจัดทําแนวปฏิบัติเพื่อการขับขี่รถพยาบาลปลอดภัย ได้แก่ กําหนดความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปฏิบัติตามกฎจราจร หากขับรถต่อเนื่องควรหยุดพักทุก 2 ชั่วโมง ระยะเวลาทํางานไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน กรณีนําส่งผู้ป่วยระยะทางไปกลับเกิน 400 กิโลเมตร ควรมีพนักงานขับรถ 2 คน เกิน 800 กิโลเมตร ต้องมีการพักค้างคืนระหว่างการเดินทาง ทําให้สามารถติดตาม กํากับการบริการตลอดเส้นทางการเดินทาง ทั้งระยะทาง ความเร็วรถ พฤติกรรมพนักงานขับรถ ได้แบบ Real Time และมีระบบแจ้งเตือนกรณีเกิดความเสี่ยง เชื่อมโยงไปถึงระหว่างโรงพยาบาลรับ-ส่งผู้ป่วยให้สามารถเตรียมความพร้อมการให้บริการได้รวดเร็วจากการประเมินผลการดําเนินการพบว่า อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลง จึงได้ลงนามเพื่อขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานีมีสถิติรถพยาบาลเกิดอุบัติเหตุระหว่างปี 2559-2562 จํานวน 9 ครั้ง แต่ภายหลังดําเนินการดังกล่าวในปีงบประมาณ 2563 ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จากนี้มีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมถึงรถรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน (กู้ชีพ) ของมูลนิธิ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีจะเป็นต้นแบบให้หน่วยบริการได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อขยายการทํางานในระดับเขตและประเทศต่อไป ***************************** 21 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37777
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020”
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้ประกอบการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๒ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้นําผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Culture Product of Thailand : CPOT) ไปจัดแสดงและจําหน่ายภายในงาน OTOP City 2020 ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๑ - ๓ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ำค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน OTOP City 2020 ภายใต้แนวคิด “ของขวัญปีใหม่ ล้ําค่าถูกใจ รวมไว้ใน OTOP City 2020” ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้ประกอบการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าฯ รับเสด็จ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๒ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้นําผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Culture Product of Thailand : CPOT) ไปจัดแสดงและจําหน่ายภายในงาน OTOP City 2020 ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ อาคารชาเลนเจอร์ ๑ - ๓ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยภายหลังการเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการไปแล้ว โดยการตรวจหาผู้ติดเชื้อในตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครซึ่งเป็นที่พํานักอาศัยของแรงงานต่างด้าวจํานวนมากซึ่งขณะนี้พบว่ามีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 42 ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและอยู่ระหว่างการกักตัวภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตามจะมีการรายงานสถานการณ์ประจําวันอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่ใช่การระบาดในวงกว้าง เพราะสามารถสอบสวนโรคหาที่มาของแหล่งการแพร่ระบาดได้ จึงไม่จําเป็นต้องล็อคดาวน์ทุกจังหวัด ทั้งนี้ กระทรวงสาธาณสุขเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร เพื่อให้การรักษาผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น จํานวน 100 เตียง แต่หากผู้ใดมีอาการรุนแรงก็จะทําการนําส่งโรงพยาบาลตามหลักความปลอดภัย พร้อมย้ําให้ทุกพื้นที่มีการตรวจคัดกรองเบื้องต้น โดยมีการวัดไข้ สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือ และฝากถึงผู้ประกอบการ อาทิ ไซต์งานก่อสร้างให้ช่วยกันดูแลลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวด้วย ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่พี่น้องประชาชน จัดหาเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ ทําการตรวจคัดกรองโรคให้ได้มากที่สุด และปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดรับกับสถานการณ์ ขณะนี้ได้มีการตรวจคัดกรองในพื้นที่ชุมชนที่มีการระบาดมาก และจะทําการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมในชุมชนใกล้เคียงกับจังหวัดสมุทรสาคร โดยส่วนใหญ่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 บริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร จึงจําเป็นต้องป้องกันการเดินทางเข้า-ออกจังหวัดของแรงงานต่างด้าว ตามหลักการควบคุมโรค ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สามารถออกมาตรการเพื่อกํากับดูแลในพื้นที่ได้ทันทีไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้จะมีการหารือถึง พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อฉบับแก้ไข ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้สามารถใช้ พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นแทน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง รองนายกรัฐมนตรีตอบคําถามสื่อมวลชนถึงการจัดงานเทศกาลปีใหม่ว่าต้องประเมินสถานการณ์ประจําวัน ในส่วนของงานแต่งงาน งานบวช หากไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการสั่งห้ามก็สามารถจัดได้ แต่ต้องยกระดับมาตรการป้องกัน พร้อมกล้าวว่า ไม่ได้ห้ามการเดินทางของประชาชน แต่ขอความร่วมมือให้สวมใส่หน้ากากอนามัยเสมอ เว้นระยะห่าง ระมัดระวังในการสัมผัส และหากพบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้รีบเข้ารับการตรวจก่อนเดินทาง ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีวอนประชาชนทุกคนให้กําลังใจ สนับสนุน การทํางานของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยรองนายกรัฐมนตรีเผยว่าตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมเวชภัณฑ์อย่างเพียงพอ อาทิ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ โดยยืนยันว่าไม่ขาดแคลน และยังไม่มีการขอรับบริจาคอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยองค์การเภสัชกรรมได้จัดเตรียมหน้ากากอนามัยไว้ 50 ล้านแผ่นให้แก่ประชาชนด้วย ........................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทินฯ เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เผยเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร พร้อมยืนยันกระทรวงสาธารณสุขมีเวชภัณฑ์เพียงพอในการดูแลรักษาผู้ป่วยและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยภายหลังการเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินการไปแล้ว โดยการตรวจหาผู้ติดเชื้อในตลาดกลางกุ้งสมุทรสาครซึ่งเป็นที่พํานักอาศัยของแรงงานต่างด้าวจํานวนมากซึ่งขณะนี้พบว่ามีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 42 ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการและอยู่ระหว่างการกักตัวภายใต้การดูแลของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตามจะมีการรายงานสถานการณ์ประจําวันอย่างต่อเนื่อง พร้อมชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่ใช่การระบาดในวงกว้าง เพราะสามารถสอบสวนโรคหาที่มาของแหล่งการแพร่ระบาดได้ จึงไม่จําเป็นต้องล็อคดาวน์ทุกจังหวัด ทั้งนี้ กระทรวงสาธาณสุขเตรียมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร เพื่อให้การรักษาผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น จํานวน 100 เตียง แต่หากผู้ใดมีอาการรุนแรงก็จะทําการนําส่งโรงพยาบาลตามหลักความปลอดภัย พร้อมย้ําให้ทุกพื้นที่มีการตรวจคัดกรองเบื้องต้น โดยมีการวัดไข้ สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือ และฝากถึงผู้ประกอบการ อาทิ ไซต์งานก่อสร้างให้ช่วยกันดูแลลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวด้วย ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่พี่น้องประชาชน จัดหาเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ ทําการตรวจคัดกรองโรคให้ได้มากที่สุด และปรับเปลี่ยนมาตรการให้สอดรับกับสถานการณ์ ขณะนี้ได้มีการตรวจคัดกรองในพื้นที่ชุมชนที่มีการระบาดมาก และจะทําการตรวจคัดกรองเพิ่มเติมในชุมชนใกล้เคียงกับจังหวัดสมุทรสาคร โดยส่วนใหญ่พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 บริเวณตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร จึงจําเป็นต้องป้องกันการเดินทางเข้า-ออกจังหวัดของแรงงานต่างด้าว ตามหลักการควบคุมโรค ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อประจําจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สามารถออกมาตรการเพื่อกํากับดูแลในพื้นที่ได้ทันทีไม่จําเป็นต้องมีกฎหมายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้จะมีการหารือถึง พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อฉบับแก้ไข ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้สามารถใช้ พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อที่มีความเข้มข้นมากขึ้นแทน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง รองนายกรัฐมนตรีตอบคําถามสื่อมวลชนถึงการจัดงานเทศกาลปีใหม่ว่าต้องประเมินสถานการณ์ประจําวัน ในส่วนของงานแต่งงาน งานบวช หากไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการสั่งห้ามก็สามารถจัดได้ แต่ต้องยกระดับมาตรการป้องกัน พร้อมกล้าวว่า ไม่ได้ห้ามการเดินทางของประชาชน แต่ขอความร่วมมือให้สวมใส่หน้ากากอนามัยเสมอ เว้นระยะห่าง ระมัดระวังในการสัมผัส และหากพบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้รีบเข้ารับการตรวจก่อนเดินทาง ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีวอนประชาชนทุกคนให้กําลังใจ สนับสนุน การทํางานของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยรองนายกรัฐมนตรีเผยว่าตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมเวชภัณฑ์อย่างเพียงพอ อาทิ หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ โดยยืนยันว่าไม่ขาดแคลน และยังไม่มีการขอรับบริจาคอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข โดยองค์การเภสัชกรรมได้จัดเตรียมหน้ากากอนามัยไว้ 50 ล้านแผ่นให้แก่ประชาชนด้วย ........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37767
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทํากิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทํากิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงกรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์ข้อความที่ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านอุดมสุขให้นักเรียนยืนเข้าแถวกลางสนามเพื่อทํากิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า ในสภาวะที่อากาศมีมลพิษ PM 2.5 ในปริมาณสูง และครูยังใช้คําพูดหยาบคายกับนักเรียน ว่า ได้สั่งการให้ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.) ลงไปติดตามสถานการณ์ดังกล่าว โดยประสานไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 (สพม.2) ติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นหน้าเสาธงขณะเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ส่วนพฤติกรรมของครูเป็นไปตามคลิป แต่เป็นเพียงการพูดจากับนักเรียนชั้น ม.6 โดยเป็นครูคณิตศาสตร์ และเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียน ซึ่งสพม.2 ได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักเรียนและครู ซึ่งต้องมีการประชุมหารือถึงมาตรการหาทางออก และสร้างความเข้าใจในวิธีการเรียนการสอน และมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ทั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 โดยสํานักอํานวยการ และศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.สพฐ.) เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และจัดทํารายงานข้อมูลเสนอผู้บริหารระดับสูง โดยมีการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 พร้อมองค์ความรู้วิธีป้องกันตัวเองจากฝุ่นละออง PM 2.5 ไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อแจ้งสถานศึกษาในสังกัดให้วางแผนรับมือ รวมถึงสร้างองค์ความรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้แก่นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา และประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองได้รับทราบ พร้อมกันนั้นให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานต่อ สพฐ. หากพบนักเรียนที่เจ็บป่วยจากสถานการณ์ PM 2.5 นอกจากนี้สพฐ. ได้แจ้งไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้สถานศึกษาสามารถพิจารณาดําเนินการสั่งปิดสถานศึกษาเป็นกรณีพิเศษได้ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ประกาศ ณ วันที่ 3 กันยายน 2558 และให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานจํานวนสถานศึกษาที่สั่งปิดจากกรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มายัง ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เพื่อรวบรวมข้อมูลส่งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ก่อนเวลา 12.00 น. ของทุกวัน เพื่อรวบรวมข้อมูลรายงานผู้บริหาร สพฐ. และ รมว.ศธ. โดยศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 จะดําเนินการติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง คุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ ผ่านเว็บไชต์ AIR4THAI แล้วรวบรวมข้อมูลรายงานสถานการณ์รายวันผ่านแอปพลิเคชั่น LINE เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูลให้กับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน ใช้ประกอบในการพิจารณาสั่งปิดสถานศึกษา ....................................................................................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทำกิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทํากิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ชี้แจงการให้นักเรียนยืนเข้าแถวทํากิจกรรมหน้าเสาธง ขณะที่มี PM 2.5 วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงกรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์ข้อความที่ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านอุดมสุขให้นักเรียนยืนเข้าแถวกลางสนามเพื่อทํากิจกรรมหน้าเสาธงในตอนเช้า ในสภาวะที่อากาศมีมลพิษ PM 2.5 ในปริมาณสูง และครูยังใช้คําพูดหยาบคายกับนักเรียน ว่า ได้สั่งการให้ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.) ลงไปติดตามสถานการณ์ดังกล่าว โดยประสานไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 (สพม.2) ติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นหน้าเสาธงขณะเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ส่วนพฤติกรรมของครูเป็นไปตามคลิป แต่เป็นเพียงการพูดจากับนักเรียนชั้น ม.6 โดยเป็นครูคณิตศาสตร์ และเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียน ซึ่งสพม.2 ได้ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักเรียนและครู ซึ่งต้องมีการประชุมหารือถึงมาตรการหาทางออก และสร้างความเข้าใจในวิธีการเรียนการสอน และมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ทั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 โดยสํานักอํานวยการ และศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.สพฐ.) เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และจัดทํารายงานข้อมูลเสนอผู้บริหารระดับสูง โดยมีการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 พร้อมองค์ความรู้วิธีป้องกันตัวเองจากฝุ่นละออง PM 2.5 ไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อแจ้งสถานศึกษาในสังกัดให้วางแผนรับมือ รวมถึงสร้างองค์ความรู้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ให้แก่นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา และประชาสัมพันธ์ผู้ปกครองได้รับทราบ พร้อมกันนั้นให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานต่อ สพฐ. หากพบนักเรียนที่เจ็บป่วยจากสถานการณ์ PM 2.5 นอกจากนี้สพฐ. ได้แจ้งไปยังสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้สถานศึกษาสามารถพิจารณาดําเนินการสั่งปิดสถานศึกษาเป็นกรณีพิเศษได้ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 ประกาศ ณ วันที่ 3 กันยายน 2558 และให้สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานจํานวนสถานศึกษาที่สั่งปิดจากกรณีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มายัง ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เพื่อรวบรวมข้อมูลส่งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ก่อนเวลา 12.00 น. ของทุกวัน เพื่อรวบรวมข้อมูลรายงานผู้บริหาร สพฐ. และ รมว.ศธ. โดยศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 จะดําเนินการติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง คุณภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ ผ่านเว็บไชต์ AIR4THAI แล้วรวบรวมข้อมูลรายงานสถานการณ์รายวันผ่านแอปพลิเคชั่น LINE เพื่อเป็นการสนับสนุนด้านข้อมูลให้กับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน ใช้ประกอบในการพิจารณาสั่งปิดสถานศึกษา ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งว่า จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลจึงมีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นและรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ เพื่อรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 14 ล้านคน เพื่อช่วยเหลือเยียวยา เพิ่มกําลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว เพิ่มเติมเดือนละ 500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน จากเดิมที่ภาครัฐได้ช่วยเหลืออยู่แล้วประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เช่น วงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า 200/300 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถ บขส. 500 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถไฟ 500 บาท/คน/เดือน เป็นต้น (2) โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 15 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย มีรายได้จากการขายสินค้า โดยขณะนี้ มีผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านร้านค้า โดยมีระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564 (3) มาตรการช้อปดีมีคืน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี โดยผู้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้มีประมาณ 3.7 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลมีความต้องการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านมาตรการและสวัสดิการอื่น ๆ ของรัฐ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการดําเนินมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล มาจากแหล่งรายได้ของรัฐ รวมทั้งเงินกู้ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามปกติ ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนนั้น เนื่องจากเป็นการร่วมจ่าย กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นผู้ที่พอจะมีรายได้เพื่อมาร่วมจ่ายกับรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย รวมไปถึงผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยรักษารักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โครงการคนละครึ่งมีองค์ประกอบที่สําคัญของโครงการ คือ ระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ต้องมีการลงทะเบียนและใช้ OTP รวมทั้งยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์จริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าสิทธิจะไปถึงตัวของท่านจริง ไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทําให้การดําเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขอยืนยันว่า ระบบการลงทะเบียนและการยืนยันตัวตนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งรวมถึงระบบการส่ง OTP เป็นระบบที่เป็นมาตรฐานสากล โปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง กระทรวงการคลังชี้แจงโครงการคนละครึ่ง วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นข้อวิจารณ์โครงการคนละครึ่งว่า จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลจึงมีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นและรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ เพื่อรักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวน 14 ล้านคน เพื่อช่วยเหลือเยียวยา เพิ่มกําลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว เพิ่มเติมเดือนละ 500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน จากเดิมที่ภาครัฐได้ช่วยเหลืออยู่แล้วประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เช่น วงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า 200/300 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถ บขส. 500 บาท/คน/เดือน วงเงินค่ารถไฟ 500 บาท/คน/เดือน เป็นต้น (2) โครงการคนละครึ่ง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 15 ล้านคน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย มีรายได้จากการขายสินค้า โดยขณะนี้ มีผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการประมาณ 1 ล้านร้านค้า โดยมีระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 - มีนาคม 2564 (3) มาตรการช้อปดีมีคืน เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี โดยผู้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้มีประมาณ 3.7 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลมีความต้องการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านมาตรการและสวัสดิการอื่น ๆ ของรัฐ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการดําเนินมาตรการหรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล มาจากแหล่งรายได้ของรัฐ รวมทั้งเงินกู้ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามปกติ ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนนั้น เนื่องจากเป็นการร่วมจ่าย กลุ่มเป้าหมายจึงเป็นผู้ที่พอจะมีรายได้เพื่อมาร่วมจ่ายกับรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะหาบเร่ แผงลอย รวมไปถึงผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยรักษารักษาระดับและทิศทางของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง โครงการคนละครึ่งมีองค์ประกอบที่สําคัญของโครงการ คือ ระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่ต้องมีการลงทะเบียนและใช้ OTP รวมทั้งยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของโทรศัพท์จริง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าสิทธิจะไปถึงตัวของท่านจริง ไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อม ๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทําให้การดําเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยขอยืนยันว่า ระบบการลงทะเบียนและการยืนยันตัวตนของโครงการคนละครึ่ง ซึ่งรวมถึงระบบการส่ง OTP เป็นระบบที่เป็นมาตรฐานสากล โปร่งใส และตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37771
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ําสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ําสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่าตนไม่เคยหยุดติดตามสถานการณ์ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อยืนยันว่ายังมีการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างครบถ้วน เนื่องจากมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการของสาธารณะสุข รวมทั้งการรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเกิดรูรั่ว ดังนั้น สังคมจึงต้องช่วยกัน โดยเฉพาะภาคเอกชน เจ้าของกิจการ จะต้องมีวิธีการติดตามแรงงาน และหากพบผู้ติดเชื้อจะต้องทําการปิดโรงงานทันที ยืนยันว่า สถานการณ์ขณะนี้ยัง สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลสนาม รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ สิ่งสําคัญ คือ ให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบให้ได้เป็นลําดับแรก เพื่อตัวเองจะได้ปลอดภัย และไม่เป็นพาหะนําโรคให้ผู้อื่น ตอนนี้ได้มีการล็อกดาวน์พื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดแล้ว และได้มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการ swab โดยรถตรวจพระราชทาน หวังว่า 7 วันหลังจากนี้ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี อย่าตื่นตระหนกขอให้มั่นใจในระบบสาธารณสุข พร้อมย้ําให้ประชาชนกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก และใช้แอพไทยชนะ ในการนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนายกอบจ. โดยเน้นว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นตัวอย่างในการใช้อํานาจตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ต้องเตรียมการพัฒนาบริหารท้องถิ่นให้ดี ทั้งวิธีการ การบริหาร การใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการจัดทําแผนการทํางาน ให้สอดคล้องกับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนการเลือกตั้งในระดับอื่นๆ ได้เตรียมความพร้อมตามลําดับต่อไป -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ําสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ําสถานการณ์โควิด-19 สมุทรสาคร ควบคุมได้ ขอประชาชนมั่นใจและปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข วันนี้ (21 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 กรณีการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครว่าตนไม่เคยหยุดติดตามสถานการณ์ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงพื้นที่ พร้อมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อยืนยันว่ายังมีการปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างครบถ้วน เนื่องจากมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการของสาธารณะสุข รวมทั้งการรับแรงงานต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเกิดรูรั่ว ดังนั้น สังคมจึงต้องช่วยกัน โดยเฉพาะภาคเอกชน เจ้าของกิจการ จะต้องมีวิธีการติดตามแรงงาน และหากพบผู้ติดเชื้อจะต้องทําการปิดโรงงานทันที ยืนยันว่า สถานการณ์ขณะนี้ยัง สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลสนาม รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ สิ่งสําคัญ คือ ให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบให้ได้เป็นลําดับแรก เพื่อตัวเองจะได้ปลอดภัย และไม่เป็นพาหะนําโรคให้ผู้อื่น ตอนนี้ได้มีการล็อกดาวน์พื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดแล้ว และได้มีการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีการ swab โดยรถตรวจพระราชทาน หวังว่า 7 วันหลังจากนี้ทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี อย่าตื่นตระหนกขอให้มั่นใจในระบบสาธารณสุข พร้อมย้ําให้ประชาชนกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก และใช้แอพไทยชนะ ในการนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนายกอบจ. โดยเน้นว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นตัวอย่างในการใช้อํานาจตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ต้องเตรียมการพัฒนาบริหารท้องถิ่นให้ดี ทั้งวิธีการ การบริหาร การใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการจัดทําแผนการทํางาน ให้สอดคล้องกับส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ส่วนการเลือกตั้งในระดับอื่นๆ ได้เตรียมความพร้อมตามลําดับต่อไป -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา และเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (SmartPier) ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท เพื่อการยกระดับการขนส่งสาธารณะของประเทศ และตรวจสอบความพร้อม ของการนําเรือโดยสารไฟฟ้ามาเริ่มให้บริการระบบการขนส่งโดยสารทางน้ําในแม่น้าเจ้าพระยา โดย นายกฯ จะนั่งเรือไฟฟ้า E-Smart Ferry จากท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ ไปยังท่าเรือสะพานพุทธ เพื่อทดสอบระบบหลังจากนั้นจะเปิดท่าเทียบเรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า และเยี่ยมชมโครงการนําร่องในการพัฒนา ท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ที่จะมีสิ่งอํานวยความสะดวก อาทิ เครื่องจําหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ ป้ายอัจฉริยะแจ้งเวลาเรือเข้าเทียบท่า ระบบโซล่าเซลล์ไฟส่องสว่างภายนอกอาคาร ฯลฯ ทั้งนี้ การพัฒนาเรือไฟฟ้าฯ และท่าเรืออัจฉริยะฯ ดังกล่าว นับเป็นความสําเร็จในความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยกรมเจ้าท่า และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) ที่ได้นํายานยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ.2563 มาเริ่มให้บริการในระบบการขนส่งผู้โดยสารทางน้ํา พร้อมพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ํา ให้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs ) อันเป็นการยกระดับเรือโดยสารและท่าเรือให้ทันสมัย สะดวกปลอดภัย ไร้มลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม .....................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนำร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ นายกรัฐมนตรีเตรียมทดลองนั่งเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา พร้อมเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ในวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยา และเปิดโครงการนําร่องท่าเรืออัจฉริยะ (SmartPier) ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 ธันวาคม 2563 นี้ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท เพื่อการยกระดับการขนส่งสาธารณะของประเทศ และตรวจสอบความพร้อม ของการนําเรือโดยสารไฟฟ้ามาเริ่มให้บริการระบบการขนส่งโดยสารทางน้ําในแม่น้าเจ้าพระยา โดย นายกฯ จะนั่งเรือไฟฟ้า E-Smart Ferry จากท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ ไปยังท่าเรือสะพานพุทธ เพื่อทดสอบระบบหลังจากนั้นจะเปิดท่าเทียบเรือสะพานพระพุทธยอดฟ้า และเยี่ยมชมโครงการนําร่องในการพัฒนา ท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ที่จะมีสิ่งอํานวยความสะดวก อาทิ เครื่องจําหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ ป้ายอัจฉริยะแจ้งเวลาเรือเข้าเทียบท่า ระบบโซล่าเซลล์ไฟส่องสว่างภายนอกอาคาร ฯลฯ ทั้งนี้ การพัฒนาเรือไฟฟ้าฯ และท่าเรืออัจฉริยะฯ ดังกล่าว นับเป็นความสําเร็จในความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยกรมเจ้าท่า และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) ที่ได้นํายานยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้รับรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ.2563 มาเริ่มให้บริการในระบบการขนส่งผู้โดยสารทางน้ํา พร้อมพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางน้ํา ให้เป็นไปตามเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs ) อันเป็นการยกระดับเรือโดยสารและท่าเรือให้ทันสมัย สะดวกปลอดภัย ไร้มลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37768
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง สุราษฎร์ธานี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง สุราษฎร์ธานี กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง สุราษฎร์ธานี วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีสื่อนําเสนอข่าวกรณีเครือข่ายคนรักพุมดวง จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งข้อสังเกตการก่อสร้างโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง ที่ใช้งบประมาณการก่อสร้างเกือบ 500 ล้านบาท นั้นว่า เนื่องจากคลองพุมดวงไม่ได้เป็นแม่น้ําสายหลักจึงไม่เข้าข่ายตามประเภทโครงการที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่กรมชลประทานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญถึงวิถีชีวิตของประชาชนที่ใช้ทรัพยากรสองฝั่งคลองในการประกอบอาชีพ จึงได้ดําเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษาความเหมาะสม หากผ่านขั้นตอนการศึกษาแล้ว จะดําเนินการด้านการสํารวจและออกแบบรายละเอียดโครงการฯ และจะลงพื้นที่เพื่อทําประชาพิจารณ์ร่วมกับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ต่อไป โดยอาคารทดน้ําแบบฝายพับได้ ได้มีการคํานวณสมดุลน้ําอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ด้านท้ายน้ําไว้ ซึ่งไม่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาสมดุลน้ํา ได้ปล่อยน้ําให้ล้นผ่านสันฝายสู่ด้านท้ายน้ํา เพื่อรักษาระบบนิเวศด้านท้ายน้ํา เช่น การป้องกันการรุกล้ําน้ําเค็ม การประปาภูมิภาค การประปาของท้องถิ่น รวมทั้งความต้องการน้ําเพื่อรักษาคุณภาพน้ําของการประมงด้วย โดยจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศในลําน้ําอย่างแน่นอน กรมชลประทาน ในฐานะของหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนาแหล่งน้ํา และเพิ่มพื้นที่ชลประทานตามศักยภาพลักษณะลุ่มน้ํา เสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งน้ํา และการบริหารจัดการน้ํา ขอยืนยันว่าการดําเนินงานพัฒนาแหล่งน้ําทุกโครงการ จะยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก เพื่อพัฒนาแหล่งน้ําและสร้างความมั่นคงด้านน้ําอย่างยั่งยืน -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ำพุมดวง สุราษฎร์ธานี วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง สุราษฎร์ธานี กรมชลประทานชี้แจงการคัดค้านโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง สุราษฎร์ธานี วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรณีสื่อนําเสนอข่าวกรณีเครือข่ายคนรักพุมดวง จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งข้อสังเกตการก่อสร้างโครงการเขื่อนกั้นแม่น้ําพุมดวง ที่ใช้งบประมาณการก่อสร้างเกือบ 500 ล้านบาท นั้นว่า เนื่องจากคลองพุมดวงไม่ได้เป็นแม่น้ําสายหลักจึงไม่เข้าข่ายตามประเภทโครงการที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่กรมชลประทานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญถึงวิถีชีวิตของประชาชนที่ใช้ทรัพยากรสองฝั่งคลองในการประกอบอาชีพ จึงได้ดําเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษาความเหมาะสม หากผ่านขั้นตอนการศึกษาแล้ว จะดําเนินการด้านการสํารวจและออกแบบรายละเอียดโครงการฯ และจะลงพื้นที่เพื่อทําประชาพิจารณ์ร่วมกับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ต่อไป โดยอาคารทดน้ําแบบฝายพับได้ ได้มีการคํานวณสมดุลน้ําอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ด้านท้ายน้ําไว้ ซึ่งไม่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การศึกษาสมดุลน้ํา ได้ปล่อยน้ําให้ล้นผ่านสันฝายสู่ด้านท้ายน้ํา เพื่อรักษาระบบนิเวศด้านท้ายน้ํา เช่น การป้องกันการรุกล้ําน้ําเค็ม การประปาภูมิภาค การประปาของท้องถิ่น รวมทั้งความต้องการน้ําเพื่อรักษาคุณภาพน้ําของการประมงด้วย โดยจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศในลําน้ําอย่างแน่นอน กรมชลประทาน ในฐานะของหน่วยงานที่มีภารกิจในการพัฒนาแหล่งน้ํา และเพิ่มพื้นที่ชลประทานตามศักยภาพลักษณะลุ่มน้ํา เสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาแหล่งน้ํา และการบริหารจัดการน้ํา ขอยืนยันว่าการดําเนินงานพัฒนาแหล่งน้ําทุกโครงการ จะยึดประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลัก เพื่อพัฒนาแหล่งน้ําและสร้างความมั่นคงด้านน้ําอย่างยั่งยืน -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ดําเนินการทดสอบโดยสถาบันทดสอบ ทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจสอบความรู้ และความคิดรวบยอดของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น ซึ่งได้แก่ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ที่สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนในภาพรวมของประเทศ ซึ่งผู้เรียนที่เป็น กลุ่มเป้าหมายในการทดสอบคือ ผู้เรียนที่มาจากสถานศึกษาในสังกัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ประกอบด้วย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สังกัดสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักการศึกษากรุงเทพมหานคร สํานักการศึกษาเมืองพัทยา และ การจัดการศึกษาโดยครอบครัว (Homeschool) ต่อมา เพื่อให้บุคลากรในทุกระดับของหน่วยงานเห็นความสําคัญของการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รวมทั้งส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ นําผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กําหนดให้ใช้ผลการทดสอบ O-NET เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 โดยกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทําประกาศกระทรวง จํานวน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2555 กําหนดให้ใช้ผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐานในสัดส่วน 80 : 20 ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2559 กําหนดให้ใช้สัดส่วนผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน 70 : 30 ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม 2559 ทั้งนี้ เพื่อ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา และ สพฐ. วิเคราะห์ผลการทดสอบ O-NET ในปีการศึกษาที่ผ่านมา เพื่อวางแผนงานโครงการยกระดับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติที่สอดคล้อง กับสภาพปัญหาและสภาพบริบทของหน่วยงาน -----------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานชี้แจงการยกเลิกสอบโอเน็ต ชั้น ป.6 และ ม.3 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ดําเนินการทดสอบโดยสถาบันทดสอบ ทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจสอบความรู้ และความคิดรวบยอดของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น ซึ่งได้แก่ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ที่สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนในภาพรวมของประเทศ ซึ่งผู้เรียนที่เป็น กลุ่มเป้าหมายในการทดสอบคือ ผู้เรียนที่มาจากสถานศึกษาในสังกัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ประกอบด้วย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สังกัดสํานักงานตํารวจ แห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักการศึกษากรุงเทพมหานคร สํานักการศึกษาเมืองพัทยา และ การจัดการศึกษาโดยครอบครัว (Homeschool) ต่อมา เพื่อให้บุคลากรในทุกระดับของหน่วยงานเห็นความสําคัญของการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) รวมทั้งส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ นําผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ขั้นพื้นฐาน (O-NET) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กําหนดให้ใช้ผลการทดสอบ O-NET เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียน ที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 โดยกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทําประกาศกระทรวง จํานวน 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2555 กําหนดให้ใช้ผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐานในสัดส่วน 80 : 20 ประกาศ ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2559 กําหนดให้ใช้สัดส่วนผลการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน 70 : 30 ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม 2559 ทั้งนี้ เพื่อ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษา และ สพฐ. วิเคราะห์ผลการทดสอบ O-NET ในปีการศึกษาที่ผ่านมา เพื่อวางแผนงานโครงการยกระดับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติที่สอดคล้อง กับสภาพปัญหาและสภาพบริบทของหน่วยงาน -----------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงความเป็นมาการดําเนินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จังหวัดปทุมธานี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกรมโยธาธิการและผังเมืองในการดําเนินการโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคําสั่งที่ 9/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องการดําเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อแก้ปัญหาการบุกรุกลําน้ําสาธารณะ โดยให้พัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ด้านการระบายน้ําป้องกันปัญหาอุทกภัยและแก้ไขปัญหาน้ําเสีย ทั้งนี้ โครงการบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จํากัด” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลอง และการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชาชากร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 โดยมีกรอบการดําเนินงาน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนด้านการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ด้านกฎหมายและการขับเคลื่อน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการก่อสร้างเขื่อนไม่ได้กีดขวางการระบายน้ํา และเป็นสาเหตุทําให้เกิดน้ําท่วมในพื้นที่คลองรังสิตแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นแนวก่อสร้างที่คณะอนุกรรมการจัดทําแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เป็นผู้กําหนด ซึ่งมีการพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี กรมโยธาธิการและผังเมือง ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต ปทุมธานี วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงความเป็นมาการดําเนินโครงการบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จังหวัดปทุมธานี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกรมโยธาธิการและผังเมืองในการดําเนินการโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดดังนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคําสั่งที่ 9/2560 ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องการดําเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากร เพื่อแก้ปัญหาการบุกรุกลําน้ําสาธารณะ โดยให้พัฒนาที่อยู่อาศัยริมคลองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อประโยชน์ด้านการระบายน้ําป้องกันปัญหาอุทกภัยและแก้ไขปัญหาน้ําเสีย ทั้งนี้ โครงการบ้านมั่นคง “สหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคงชุมชนวัดรังสิต จํากัด” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลอง และการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชาชากร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 โดยมีกรอบการดําเนินงาน 4 ด้าน ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนด้านการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ด้านกฎหมายและการขับเคลื่อน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการก่อสร้างเขื่อนไม่ได้กีดขวางการระบายน้ํา และเป็นสาเหตุทําให้เกิดน้ําท่วมในพื้นที่คลองรังสิตแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นแนวก่อสร้างที่คณะอนุกรรมการจัดทําแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เป็นผู้กําหนด ซึ่งมีการพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ กําชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 นายกฯ กําชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งทหาร ตํารวจ และกองกําลังต่าง ๆ ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มมาตรการป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติ เช่น เพิ่มจุดเฝ้าระวังในพื้นที่ที่เป็นช่องทางธรรมชาติที่สามารถเดินข้ามได้สะดวก ด้วยการวางเครื่องกีดขวางต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มกําลังลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมงทั้งในส่วนของการเดินเท้า การใช้รถจักรยานยนต์ การใช้รถยนต์ เรือ การใช้โดรนบินลาดตระเวน พร้อมตรวจจุดพักพิงตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับให้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องมีการสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการตรวจสกัดการลักลอบที่จะเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันเฝ้าสังเกตคนที่เข้ามาในหมู่บ้าน หรือชุมนุม ที่ซึ่งแม้จะเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชน แต่อาจมีการลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย หากประชาชนพบสิ่งผิดปกติ ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ การลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ถือเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเข้มงวด และหากมีขบวนการช่วยเหลือและลักลอบให้ต่างด้าวหรือคนไทยเข้าประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของ ศบค. ในปัจจุบัน ทางรัฐบาลจะดําเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อทําลายขบวนการดังกล่าวให้หมดไป นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กองทัพได้รายงานการเพิ่มน้ําหนักงานข่าว และเฝ้าระวังชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น โดยเสริมกําลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ํา รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นและเฝ้าตรวจตามช่องทางต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีช่องทางธรรมชาติเป็นแนวยาว ด้วยการขยายผลติดตั้งไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมกว่า 40 ตัว รวมทั้งการวางแนวลวดหนามกว่า 100 ช่องทาง ระยะทางกว่า 6,000 เมตร และได้เพิ่มกําลังชุดปฏิบัติการและเครื่องมือเสริมการลาดตระเวนกลางวันและกลางคืน ทั้งทางบก ทางน้ําและทางอากาศ พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจภายในหมู่บ้าน ร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขประจําพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองต่อเนื่องกันมา และพร้อมกันนี้ กองทัพได้ให้น้ําหนักกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มข้นงานด้านการข่าวเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้ประสานการทํางานร่วมกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีจุดผ่านแดนร่วมกัน เพื่อร่วมเฝ้าตรวจดูแลมาตรการเฝ้าระวังป้องกันร่วมกันมากขึ้นในภาพรวม”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ กําชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 นายกฯ กําชับเข้ม เพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบเข้าประเทศผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่โควิด-19 วันนี้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2563) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในประเทศ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งทหาร ตํารวจ และกองกําลังต่าง ๆ ให้เพิ่มความเข้มงวด และเพิ่มมาตรการป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะที่ลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติ รวมถึงการเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติ เช่น เพิ่มจุดเฝ้าระวังในพื้นที่ที่เป็นช่องทางธรรมชาติที่สามารถเดินข้ามได้สะดวก ด้วยการวางเครื่องกีดขวางต่าง ๆ รวมถึงการเพิ่มกําลังลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมงทั้งในส่วนของการเดินเท้า การใช้รถจักรยานยนต์ การใช้รถยนต์ เรือ การใช้โดรนบินลาดตระเวน พร้อมตรวจจุดพักพิงตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กําชับให้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบพื้นที่อีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องมีการสกัดกั้น ตั้งจุดสกัดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมในการตรวจสกัดการลักลอบที่จะเข้ามาในประเทศอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ ช่วยกันเฝ้าสังเกตคนที่เข้ามาในหมู่บ้าน หรือชุมนุม ที่ซึ่งแม้จะเป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชน แต่อาจมีการลักลอบเข้ามาแบบผิดกฎหมาย หากประชาชนพบสิ่งผิดปกติ ขอให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ การลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ถือเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเข้มงวด และหากมีขบวนการช่วยเหลือและลักลอบให้ต่างด้าวหรือคนไทยเข้าประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบของ ศบค. ในปัจจุบัน ทางรัฐบาลจะดําเนินการอย่างเด็ดขาด เพื่อทําลายขบวนการดังกล่าวให้หมดไป นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า “กองทัพได้รายงานการเพิ่มน้ําหนักงานข่าว และเฝ้าระวังชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น โดยเสริมกําลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ํา รวมทั้งเพิ่มมาตรการสกัดกั้นและเฝ้าตรวจตามช่องทางต่าง ๆ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตกที่มีช่องทางธรรมชาติเป็นแนวยาว ด้วยการขยายผลติดตั้งไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมกว่า 40 ตัว รวมทั้งการวางแนวลวดหนามกว่า 100 ช่องทาง ระยะทางกว่า 6,000 เมตร และได้เพิ่มกําลังชุดปฏิบัติการและเครื่องมือเสริมการลาดตระเวนกลางวันและกลางคืน ทั้งทางบก ทางน้ําและทางอากาศ พร้อมทั้งตั้งจุดตรวจภายในหมู่บ้าน ร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านและอาสาสมัครสาธารณสุขประจําพื้นที่ ร่วมกันตรวจสอบคัดกรองกลุ่มเสี่ยงและบุคคลต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองต่อเนื่องกันมา และพร้อมกันนี้ กองทัพได้ให้น้ําหนักกับมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น โดยเพิ่มความเข้มข้นงานด้านการข่าวเชื่อมโยงเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมทั้งได้ประสานการทํางานร่วมกับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีจุดผ่านแดนร่วมกัน เพื่อร่วมเฝ้าตรวจดูแลมาตรการเฝ้าระวังป้องกันร่วมกันมากขึ้นในภาพรวม”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ ย้ําการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีย้ําการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 วันนี้ (21 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 ย้ําการส่งเสริมการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อ ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังสถานการณ์โควิด-19 ด้วยความระมัดระวังและเน้นปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด มั่นใจสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรีย้ําในที่ประชุม ให้พิจารณาแนวทางที่จะส่งเสริมให้การลงทุนของประเทศในช่วงนี้และอนาคตดีขึ้น ทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ครอบคลุมไปถึงส่งเสริมการลงทุนด้านเกษตรกรรม ท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งออกและนําเข้า เป็นต้น เน้นสนับสนุนการลงทุนในประเทศและส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศขนาดเล็กและประเทศหมู่เกาะที่มีศักยภาพ รวมไปถึงการเร่งลงทุนนําเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ จะช่วยเสริมในการบริหารจัดการค่าเงินบาทได้ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) ในประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นรถยนต์ที่ผลิตและประกอบในประเทศไทย รวมถึงการเตรียมแผนพัฒนาแบตเตอรี่และสถานีชาร์ต ให้รองรับเพียงพอ โดยจะเริ่มนําร่องใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการก่อนในปีหน้า (พ.ศ.2564) ขณะเดียวก็ส่งเสริมให้การใช้บริการระบบขนส่งคมนาคมรถไฟฟ้าให้มากขึ้น เน้นประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่อง Cloud หรือ Data Center ว่ามีความจําเป็นในแง่ของการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคตของภูมิภาค โดยให้ดําเนินการในลักษณะแพ็จเก็จที่จูงใจและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เตรียมพร้อมทรัพยากรบุคคลที่มีขีดความสามารถ นอกจากนี้ พลังงานสะอาดจะเป็นจุดแข็งที่จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศที่ให้ความสําคัญพลังงานสะอาดเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นและสอดคล้องกับการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สําหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กําหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การ ส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทําการแรกของปี 2564 ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2564 รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด (กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย) และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต เป็นต้น ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นายกฯ ย้ําการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรีย้ําการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อไป โดยบอร์ดบีโอไอเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 วันนี้ (21 ธ.ค.63) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2563 ย้ําการส่งเสริมการลงทุนและเศรษฐกิจต้องเดินหน้าต่อ ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังสถานการณ์โควิด-19 ด้วยความระมัดระวังและเน้นปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด มั่นใจสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรีย้ําในที่ประชุม ให้พิจารณาแนวทางที่จะส่งเสริมให้การลงทุนของประเทศในช่วงนี้และอนาคตดีขึ้น ทั้งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ครอบคลุมไปถึงส่งเสริมการลงทุนด้านเกษตรกรรม ท่องเที่ยว ตลอดจนการส่งออกและนําเข้า เป็นต้น เน้นสนับสนุนการลงทุนในประเทศและส่งเสริมนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศขนาดเล็กและประเทศหมู่เกาะที่มีศักยภาพ รวมไปถึงการเร่งลงทุนนําเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ จะช่วยเสริมในการบริหารจัดการค่าเงินบาทได้ นายกรัฐมนตรียังเน้นถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) ในประเทศให้มากขึ้น โดยเน้นรถยนต์ที่ผลิตและประกอบในประเทศไทย รวมถึงการเตรียมแผนพัฒนาแบตเตอรี่และสถานีชาร์ต ให้รองรับเพียงพอ โดยจะเริ่มนําร่องใช้รถยนต์ไฟฟ้าในส่วนราชการก่อนในปีหน้า (พ.ศ.2564) ขณะเดียวก็ส่งเสริมให้การใช้บริการระบบขนส่งคมนาคมรถไฟฟ้าให้มากขึ้น เน้นประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้สามารถเข้าถึงบริการดังกล่าวด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเรื่อง Cloud หรือ Data Center ว่ามีความจําเป็นในแง่ของการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคตของภูมิภาค โดยให้ดําเนินการในลักษณะแพ็จเก็จที่จูงใจและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เตรียมพร้อมทรัพยากรบุคคลที่มีขีดความสามารถ นอกจากนี้ พลังงานสะอาดจะเป็นจุดแข็งที่จะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศที่ให้ความสําคัญพลังงานสะอาดเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นและสอดคล้องกับการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาล ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สําหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กําหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การ ส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทําการแรกของปี 2564 ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2564 รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด (กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย) และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต เป็นต้น ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกลุ่มชาวบ้านบางกลอย อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จํานวน 23 คน ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ผ่านสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่ปรึกษาของคณะกรรมการพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกโลก (UNESCO) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาชุมชน ก่อนเดินหน้ายื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นผืนป่ามรดกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น ได้แก่ ให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทํากินให้กับชาวบ้าน ขอกลับไปทําไร่หมุนเวียน และชาวบ้านบางกลอยบางส่วน ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับ มท. เพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมนั้น ปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินให้กับชาวบ้านบางกลอยเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ดําเนินการสํารวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เสร็จแล้ว โดยได้ส่งมอบแผนที่แสดงการสํารวจการครอบครองที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้ราษฎรบ้านโป่งลึก และบ้านบางกลอย นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อยู่ระหว่างการจัดทําอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อกําหนดระเบียบปฏิบัติในการดําเนินการให้เป็นไปตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยการจัดทําโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้สิทธิในที่ดินนั้น เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ต่อไป กรณีราษฎรจะอาศัยหรือทํากินในอุทยานแห่งชาตินั้น จะต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ดินของตนเองที่ผ่านการสํารวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์และอยู่ในหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่สามารถอนุญาตในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และหากไม่มีการป้องกันและปล่อยให้พื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกทําลาย จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสมบูรณ์ของแหล่งน้ําต้นแม่น้ําเพชรบุรี และแม่น้ําปราณบุรี ตลอดจนทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าต่อไป อนึ่ง สําหรับพื้นที่ที่ราษฎรบ้านบางกลอยอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ได้มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดทําโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ภายใต้การดําเนินงานของคณะทํางานจัดทําแผนปฏิบัติการเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามพระราชดําริบ้านโป่งลึก – บางกลอย ในด้านต่างๆ ได้แก่ การส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา การส่งเสริมการสาธารณสุข การส่งเสริมอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ วิถีชีวิต ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นต้น โอกาสนี้ นางรวีวรรณภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก – บางกลอย ได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน (1,250 ตารางเมตร) จํานวน 57 แปลง รวมทั้งหมด 413.25 ไร่ ต่อมาได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และคําสั่ง คสช.ที่ 66/2557 (ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2541 – วันที่ 17 มิถุนายน 2557) โดยรวมทั้ง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านโป่งลึก – บางกลอย มีผู้ถือครองที่ดิน จํานวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ ในส่วนของราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทํากิน ทส. อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ปัจจุบัน มีราษฎรจากบ้านบางกลอย 30 ราย และบ้านโป่งลึก 37 ราย มาทําการแจ้งการครอบครองที่ดินแล้ว ขณะที่ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย โฆษกกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันไม่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองหรือตั้งที่อยู่อาศัยทําการเกษตรในบริเวณพื้นที่ใจแผ่นดินหรือบางกลอยบน พื้นที่มีสภาพเป็นป่าฟื้นตัว ราษฎรบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยได้รับการสํารวจที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 64 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับการสํารวจแล้ว ให้กรรมการพิจาณาผลการสํารวจการครอบครองที่ดิน สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและแก้ไขปัญหา โดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นประชากรครอบครัวขยาย ไม่สามารถขยายพื้นที่ทํากินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ และควรใช้คณะกรรมการ คทช. เข้ามาดําเนินการจัดหาพื้นที่นอกเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อรองรับต่อไป ทั้งนี้ กรณีชาวบ้านบางกลอยบางส่วนต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมและอ้างว่าเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทย นั้น ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดได้ประสานอําเภอแก่งกระจาน ทราบว่าหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและป่าสงวนแห่งชาติยางน้ํากลัดเหนือ ยางน้ํากลัดใต้ พื้นที่ดังกล่าว จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยได้ ....................................................................................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก รัฐบาลชี้แจงข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาชุมชน ก่อนขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นมรดกโลก วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีกลุ่มชาวบ้านบางกลอย อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี จํานวน 23 คน ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการมรดกโลก ผ่านสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่ปรึกษาของคณะกรรมการพิจารณาการขอขึ้นทะเบียนพื้นที่มรดกโลก (UNESCO) เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาชุมชน ก่อนเดินหน้ายื่นเรื่องขอขึ้นทะเบียนพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเป็นผืนป่ามรดกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ประเด็น ได้แก่ ให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทํากินให้กับชาวบ้าน ขอกลับไปทําไร่หมุนเวียน และชาวบ้านบางกลอยบางส่วน ต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับ มท. เพื่อกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมนั้น ปัจจุบัน การแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินให้กับชาวบ้านบางกลอยเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ดําเนินการสํารวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 เสร็จแล้ว โดยได้ส่งมอบแผนที่แสดงการสํารวจการครอบครองที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้ราษฎรบ้านโป่งลึก และบ้านบางกลอย นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อยู่ระหว่างการจัดทําอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อกําหนดระเบียบปฏิบัติในการดําเนินการให้เป็นไปตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยการจัดทําโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้สิทธิในที่ดินนั้น เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ต่อไป กรณีราษฎรจะอาศัยหรือทํากินในอุทยานแห่งชาตินั้น จะต้องอยู่ภายในขอบเขตที่ดินของตนเองที่ผ่านการสํารวจการถือครองที่ดินในเขตอนุรักษ์และอยู่ในหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ไม่สามารถอนุญาตในกรณีดังกล่าวได้ เนื่องจากขัดต่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และหากไม่มีการป้องกันและปล่อยให้พื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุกทําลาย จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสมบูรณ์ของแหล่งน้ําต้นแม่น้ําเพชรบุรี และแม่น้ําปราณบุรี ตลอดจนทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าต่อไป อนึ่ง สําหรับพื้นที่ที่ราษฎรบ้านบางกลอยอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ได้มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดทําโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ภายใต้การดําเนินงานของคณะทํางานจัดทําแผนปฏิบัติการเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามพระราชดําริบ้านโป่งลึก – บางกลอย ในด้านต่างๆ ได้แก่ การส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา การส่งเสริมการสาธารณสุข การส่งเสริมอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ วิถีชีวิต ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นต้น โอกาสนี้ นางรวีวรรณภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก – บางกลอย ได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน (1,250 ตารางเมตร) จํานวน 57 แปลง รวมทั้งหมด 413.25 ไร่ ต่อมาได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และคําสั่ง คสช.ที่ 66/2557 (ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2541 – วันที่ 17 มิถุนายน 2557) โดยรวมทั้ง 2 หมู่บ้าน คือ บ้านโป่งลึก – บางกลอย มีผู้ถือครองที่ดิน จํานวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ ในส่วนของราษฎรที่ขาดแคลนที่ดินทํากิน ทส. อยู่ระหว่างดําเนินการแก้ปัญหาพื้นที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากิน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ปัจจุบัน มีราษฎรจากบ้านบางกลอย 30 ราย และบ้านโป่งลึก 37 ราย มาทําการแจ้งการครอบครองที่ดินแล้ว ขณะที่ นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย โฆษกกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบันไม่มีการบุกรุกยึดถือครอบครองหรือตั้งที่อยู่อาศัยทําการเกษตรในบริเวณพื้นที่ใจแผ่นดินหรือบางกลอยบน พื้นที่มีสภาพเป็นป่าฟื้นตัว ราษฎรบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยได้รับการสํารวจที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2561 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 64 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับการสํารวจแล้ว ให้กรรมการพิจาณาผลการสํารวจการครอบครองที่ดิน สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 เร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและแก้ไขปัญหา โดยราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นประชากรครอบครัวขยาย ไม่สามารถขยายพื้นที่ทํากินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ และควรใช้คณะกรรมการ คทช. เข้ามาดําเนินการจัดหาพื้นที่นอกเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อรองรับต่อไป ทั้งนี้ กรณีชาวบ้านบางกลอยบางส่วนต้องการกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิมและอ้างว่าเคยเป็นหมู่บ้านที่เคยขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงมหาดไทย นั้น ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดได้ประสานอําเภอแก่งกระจาน ทราบว่าหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและป่าสงวนแห่งชาติยางน้ํากลัดเหนือ ยางน้ํากลัดใต้ พื้นที่ดังกล่าว จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยได้ ....................................................................................................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37772
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ 21 ธันวาคม 2563 “โฆษกกระทรวงพาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ ขอความร่วมมือประชาชนอย่าซื้อกักตุน ให้ซื้อเพียงพอกับที่ต้องใช้ หลังมีการระบาดของโควิด-19 ในบางจังหวัด เผยผู้ผลิตพร้อมป้อนสินค้าเต็มที่ ระบบขนส่งยังเป็นปกติ และมีการส่งทีมตรวจสอบติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนหน้ากากอนามัย ก็มีเพียงพอ ย้ําหากพบการกักตุน ขายแพง แจ้งสายด่วน 1569 จะจัดการตามกฎหมายทันที นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ขอแจ้งข่าวไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกกับข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในบางจังหวัด และบางพื้นที่ แต่ขอให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อย่าเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง และขอชี้แจงว่าสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ หากไม่มีการกักตุนหรือนําออกไปใช้นอกระบบ เพราะผู้ผลิตยังสามารถผลิตได้ ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร และยังมีการเร่งผลิตสินค้าเพื่อป้อนความต้องการอย่างเต็มที่ ขณะที่ภาคการขนส่งก็ไม่มีปัญหา แม้จะมีการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ แต่ก็ยังขนส่งได้เป็นปกติ “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้ามีเพียงพอกับความต้องการ ผู้ผลิตก็มีการผลิตเต็มที่ การขนส่งก็ไม่มีปัญหา จึงไม่ควรซื้อกักตุน เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างความตื่นตระหนก และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสถานการณ์สินค้า และราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หากพบพื้นที่ไหน มีปัญหา ก็จะเร่งประสาน นําสินค้าเข้าพื้นที่ต่อไป” นอกจากนี้ ในส่วนของหน้ากากอนามัย ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตว่าสินค้ามีเพียงพอกับ ความต้องการ เพราะก่อนหน้านี้ มีการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง มีสต็อกคงเหลืออยู่ และยังมีการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนเบาใจได้ แต่หากมีการพบเห็นการขายแพง กักตุน หรือเอารัดเอาเปรียบ ขอให้แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายทันที นายสุพพัตกล่าวว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กําชับพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ ให้ติดตามสถานการณ์ความต้องการสินค้าป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าหน้ากากอนามัยที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น และต้องมีราคาจําหน่ายให้เป็นไปตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้รวมถึงหน้ากากนําเข้า และหน้ากากที่มีคุณภาพสูงด้วย รวมถึงให้ดูแลอย่าให้เกิดการกักตุนสินค้า หรือฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาขายปลีก จนประชาชนเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกรมการค้าภายในได้เชิญผู้ผลิต หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแพลตฟอร์มออนไลน์ มาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตและจําหน่ายหน้ากากอนามัยแล้ว โดยยืนยันว่ากําลังการผลิตมีเพียงพอกับความต้องการ มีโรงงานผลิตรวม 30 โรง ผลิตได้วันละ 5 ล้านชิ้น และได้ยืนยันราคาจําหน่ายสําหรับหน้ากากที่ผลิตในประเทศไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ส่วนหน้ากากนําเข้าให้จําหน่ายได้ตามโครงสร้างราคา ที่กําหนดไว้เดิม และในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ช่วยตรวจสอบและดูแลการจําหน่าย อย่าให้มีการปรับขึ้นราคาเกินไปกว่าที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ หากมีการขายเกินราคาควบคุม มีโทษจําคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และกรณีกักตุน หรือค้ากําไรเกินควร มีโทษจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ “พาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอ ขอความร่วมมืออย่าซื้อกักตุน ซื้อให้พอใช้ 21 ธันวาคม 2563 “โฆษกกระทรวงพาณิชย์” ยันสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ ขอความร่วมมือประชาชนอย่าซื้อกักตุน ให้ซื้อเพียงพอกับที่ต้องใช้ หลังมีการระบาดของโควิด-19 ในบางจังหวัด เผยผู้ผลิตพร้อมป้อนสินค้าเต็มที่ ระบบขนส่งยังเป็นปกติ และมีการส่งทีมตรวจสอบติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนหน้ากากอนามัย ก็มีเพียงพอ ย้ําหากพบการกักตุน ขายแพง แจ้งสายด่วน 1569 จะจัดการตามกฎหมายทันที นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ขอแจ้งข่าวไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกกับข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในบางจังหวัด และบางพื้นที่ แต่ขอให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง อย่าเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง และขอชี้แจงว่าสินค้าอุปโภคบริโภคมีเพียงพอกับความต้องการ หากไม่มีการกักตุนหรือนําออกไปใช้นอกระบบ เพราะผู้ผลิตยังสามารถผลิตได้ ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร และยังมีการเร่งผลิตสินค้าเพื่อป้อนความต้องการอย่างเต็มที่ ขณะที่ภาคการขนส่งก็ไม่มีปัญหา แม้จะมีการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ แต่ก็ยังขนส่งได้เป็นปกติ “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้ามีเพียงพอกับความต้องการ ผู้ผลิตก็มีการผลิตเต็มที่ การขนส่งก็ไม่มีปัญหา จึงไม่ควรซื้อกักตุน เพราะจะยิ่งเป็นการสร้างความตื่นตระหนก และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง มีการจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบสถานการณ์สินค้า และราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หากพบพื้นที่ไหน มีปัญหา ก็จะเร่งประสาน นําสินค้าเข้าพื้นที่ต่อไป” นอกจากนี้ ในส่วนของหน้ากากอนามัย ได้รับการยืนยันจากผู้ผลิตว่าสินค้ามีเพียงพอกับ ความต้องการ เพราะก่อนหน้านี้ มีการผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง มีสต็อกคงเหลืออยู่ และยังมีการผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนเบาใจได้ แต่หากมีการพบเห็นการขายแพง กักตุน หรือเอารัดเอาเปรียบ ขอให้แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายทันที นายสุพพัตกล่าวว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กําชับพาณิชย์จังหวัดและค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ ให้ติดตามสถานการณ์ความต้องการสินค้าป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสินค้าหน้ากากอนามัยที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น และต้องมีราคาจําหน่ายให้เป็นไปตามประกาศของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้รวมถึงหน้ากากนําเข้า และหน้ากากที่มีคุณภาพสูงด้วย รวมถึงให้ดูแลอย่าให้เกิดการกักตุนสินค้า หรือฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาขายปลีก จนประชาชนเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกรมการค้าภายในได้เชิญผู้ผลิต หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแพลตฟอร์มออนไลน์ มาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การผลิตและจําหน่ายหน้ากากอนามัยแล้ว โดยยืนยันว่ากําลังการผลิตมีเพียงพอกับความต้องการ มีโรงงานผลิตรวม 30 โรง ผลิตได้วันละ 5 ล้านชิ้น และได้ยืนยันราคาจําหน่ายสําหรับหน้ากากที่ผลิตในประเทศไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ส่วนหน้ากากนําเข้าให้จําหน่ายได้ตามโครงสร้างราคา ที่กําหนดไว้เดิม และในส่วนของแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ช่วยตรวจสอบและดูแลการจําหน่าย อย่าให้มีการปรับขึ้นราคาเกินไปกว่าที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ หากมีการขายเกินราคาควบคุม มีโทษจําคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และกรณีกักตุน หรือค้ากําไรเกินควร มีโทษจําคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37788
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย พร้อมทดลองขับมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดยมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี สําหรับรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ถูกผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส แหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์พีเอชอีวี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ เอาท์ แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ําสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมิตซูบิชิ และแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการตอบรับต่อนโยบายของรัฐที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมควบคู่ไปกับการลดการสร้างภาระให้แก่สิ่งแวดล้อม เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นในอนาคตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้เน้นย้ําเรื่องโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model อันจะช่วยนําพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกทั้งให้ความสําคัญเรื่องรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco Car) และการปรับเปลี่ยนสู่ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยตั้งเป้าเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึง 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ กระตุ้นความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของตลาดภายในประเทศ และเตรียมพร้อมสําหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2563 พิธีฉลองการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีฉลองผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี คันแรกในประเทศไทย พร้อมทดลองขับมิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โดยมีนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย ณ สนามทดสอบรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จ.ชลบุรี สําหรับรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ถูกผลิตขึ้นที่ศูนย์การผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส แหลมฉบัง ซึ่งถือเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์พีเอชอีวี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ เอาท์ แลนเดอร์ พีเอชอีวี ยังถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ําสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมิตซูบิชิ และแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการตอบรับต่อนโยบายของรัฐที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า สร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมควบคู่ไปกับการลดการสร้างภาระให้แก่สิ่งแวดล้อม เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้นในอนาคตและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้เน้นย้ําเรื่องโมเดลเศรษฐกิจใหม่ หรือ BCG Model อันจะช่วยนําพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกทั้งให้ความสําคัญเรื่องรถยนต์ประหยัดพลังงาน (Eco Car) และการปรับเปลี่ยนสู่ฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยตั้งเป้าเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึง 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศ กระตุ้นความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของตลาดภายในประเทศ และเตรียมพร้อมสําหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว กรมสรรพากรแจ้งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร กรมสรรพากรแจ้งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน)ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพรร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาครในขณะนี้ กรมสรรพากรจึงได้มีคําสั่งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง วันที่ 3 มกราคม 2564 เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือใช้บริการที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 หรือสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ที่สะดวกแทน ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะดําเนินการตามมาตรการป้องกันไวรัส COVID - 19 และแนวทางปฏิบัติของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยจากแพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ผู้เสียภาษีสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรได้ที่ www.rd.go.th” สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 ปิดให้บริการชั่วคราว กรมสรรพากรแจ้งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร กรมสรรพากรแจ้งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน)ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “จากสถานการณ์การแพรร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาครในขณะนี้ กรมสรรพากรจึงได้มีคําสั่งปิดสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 2 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 ถึง วันที่ 3 มกราคม 2564 เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ประกอบการ ผู้เสียภาษี และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีสามารถทําธุรกรรมทางภาษี (TAX from Home) ได้ที่ www.rd.go.th หรือใช้บริการที่สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเมืองสมุทรสาคร 1 หรือสํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ที่สะดวกแทน ทั้งนี้ กรมสรรพากรจะดําเนินการตามมาตรการป้องกันไวรัส COVID - 19 และแนวทางปฏิบัติของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขโดยเคร่งครัด” โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยจากแพร่ระบาดของไวรัส Covid – 19 ผู้เสียภาษีสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรได้ที่ www.rd.go.th” สําหรับผู้ที่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37785
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้อํานวยการหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอให้ดําเนินการตามมาตรการการปฏิบัติงานภายในที่พัก (Work From Home) รวมทั้งให้สํารวจประเมินความเสี่ยงของบุคลากรในสังกัด และขอให้ดําเนินการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุคลากรรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม เตรียมรับมือ เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ในวันจันทร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๖ ชั้น ๙ นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเรื่องมาตรการควบคุม/เฝ้าระวังการควบคุมโควิด-๑๙ ของสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีผู้อํานวยการหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอให้ดําเนินการตามมาตรการการปฏิบัติงานภายในที่พัก (Work From Home) รวมทั้งให้สํารวจประเมินความเสี่ยงของบุคลากรในสังกัด และขอให้ดําเนินการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือบุคลากรรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ รมช. แรงงาน เยือนขอนแก่น ดันอาสาสมัครแรงงานร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ บูรณาการ 7 เสือแรงงาน ขับเคลื่อนด้านแรงงานตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ยกระดับเศรษฐกิจไทย วันที่ 21 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดขอนแก่น พบปะพูดคุยกับอาสาสมัครแรงงาน ที่เข้าร่วมสัมมนาโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด ณ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ โดยศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ตอนหนึ่งว่า “อาสาสมัครแรงงาน เป็นบุคลากรที่มีบทบาทสําคัญ เพราะทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างกระทรวงแรงงานกับประชาชนในพื้นที่ เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งได้รับความไววางใจจากชุมชน ดังนั้น ประชาชนหรือแรงงานจะรับทราบข้อมูลข่าวสาร ภารกิจหรือบริการของรัฐ ต้องอาศัยอาสาสมัครแรงงาน เป็นผู้แจ้งข่าวสารนั้นด้วย นอกจากนี้ ยังต้องทําหน้าที่เป็นผู้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนด้านแรงงานในพื้นที่ แล้วแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับทราบปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงเห็นได้ว่า อสร. ทําหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งฝ่ายภาครัฐและประชาชน ในวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดสัมมนาขึ้น เพื่อให้ อสร. ร่วมเป็นเครือข่ายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในชุมชนและสถานประกอบกิจการ” อีกประเด็นที่ต้องการให้ อสร.ช่วยดําเนินการคือ ประชาสัมพันธ์การพัฒนาทักษะฝีมือ ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตั้งอยู่ทุกจังหวัด สามารถให้บริการและช่วยเหลือแรงงานที่ต้องการมีความรู้ ไปประกอบอาชีพ โดยเฉพาะผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขอให้ อสร.สํารวจและคัดเลือกแรงงานที่ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เพื่อช่วยให้แรงงานเหล่านี้ เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถนําความรู้ไปประกอบอาชีพ มีรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป “ขอขอบคุณ อสร.ทุกคนและเป็นกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด หลังจากนั้นรมช.แรงงานและคณะ เดินทางไปยังศูนย์ฟื้นฟูสรรถภาพคนงานภาค 4 จังหวัดขอนแก่น และรับฟังผลการดําเนินงาน พบว่า เป็นศูนย์ที่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและเครื่องมือในด้านการบําบัดและฟื้นฟูทางการแพทย์ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฟื้นฟูจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง มีการฝึกอาชีพอิสระเพื่อให้สามารถกลับไปทํางานได้ตามปกติหรือประกอบอาชีพอื่นได้ ที่ผ่านมาผู้เข้ารับการฟื้นฟูจะเป็นลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะเนื่องมาจากการทํางาน แต่ในอนาคตจะผลักดันให้กลุ่มผู้พิการที่ไม่ใช่ลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุ มีโอกาสเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์ดังกล่าวด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างทั่วถึงต่อไป และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่ง มีการตรวจคัดกรองลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การลงพื้นที่ในครั้งนี้ รมช.แรงงาน จึงนําทีมงาน ตรวจเยี่ยมการคัดกรอง บริษัท โรงงานทออวนเดชาพานิช จํากัด ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 1,172 คน โดยเน้นย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 6 ขอนแก่น ตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมเตรียมเข้าทํางาน ได้แก่ การประกอบอาหารไทย ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ และช่างซ่อมรถยนต์ ทั้ง 3 หลักสูตรมีระยะเวลาการฝึก 2 เดือน ฝากฝึกในสถานประกอบกิจการอีก 1 เดือน พร้อมรับฟังผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงาน รมช.แรงงานได้เน้นย้ําว่า ให้บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง แต่ละหน่วยมีภารกิจเกี่ยวข้องกัน พัฒนาฝีมือแรงงานแล้วต้องประสานจัดหางานและศูนย์บริหารข้อมูลตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดูตําแหน่งงาน เพื่อหางานให้ผู้การอบรมมีช่องทางในการประกอบอาชีพ ส่วนด้านของประกันสังคม สนง.สวัสดิการและศูนย์ฟื้นฟูก็เช่นกัน ขอให้บริการแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะภาครัฐคือที่พึ่งของประชาชน โดยมีแรงงานจังหวัดเป็นศูนย์กลางและเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้แล้ว ยังต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นและภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทํางานของกระทรวงแรงงานให้มากขึ้นด้วย ทํางานตามแนวนโยบายของรัฐบาลในรูปแบบประชารัฐ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 นฤมล ลุยแดนข้าวเหนียว ดัน อสร. ร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ รมช. แรงงาน เยือนขอนแก่น ดันอาสาสมัครแรงงานร่วมสร้างแรงงานคุณภาพ บูรณาการ 7 เสือแรงงาน ขับเคลื่อนด้านแรงงานตามแนวคิด “สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ” ยกระดับเศรษฐกิจไทย วันที่ 21 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ติดตามผลการขับเคลื่อนด้านแรงงานที่จังหวัดขอนแก่น พบปะพูดคุยกับอาสาสมัครแรงงาน ที่เข้าร่วมสัมมนาโครงการอาสาสมัครแรงงานต้านภัยยาเสพติด ณ โรงแรมเจริญธานีขอนแก่น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ โดยศาสตราจารย์ นฤมลกล่าวกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ตอนหนึ่งว่า “อาสาสมัครแรงงาน เป็นบุคลากรที่มีบทบาทสําคัญ เพราะทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงานระหว่างกระทรวงแรงงานกับประชาชนในพื้นที่ เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนมากกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกทั้งได้รับความไววางใจจากชุมชน ดังนั้น ประชาชนหรือแรงงานจะรับทราบข้อมูลข่าวสาร ภารกิจหรือบริการของรัฐ ต้องอาศัยอาสาสมัครแรงงาน เป็นผู้แจ้งข่าวสารนั้นด้วย นอกจากนี้ ยังต้องทําหน้าที่เป็นผู้รับฟังปัญหาความเดือดร้อนด้านแรงงานในพื้นที่ แล้วแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับทราบปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป จึงเห็นได้ว่า อสร. ทําหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งฝ่ายภาครัฐและประชาชน ในวันนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดสัมมนาขึ้น เพื่อให้ อสร. ร่วมเป็นเครือข่ายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในชุมชนและสถานประกอบกิจการ” อีกประเด็นที่ต้องการให้ อสร.ช่วยดําเนินการคือ ประชาสัมพันธ์การพัฒนาทักษะฝีมือ ซึ่งมีหน่วยงานของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตั้งอยู่ทุกจังหวัด สามารถให้บริการและช่วยเหลือแรงงานที่ต้องการมีความรู้ ไปประกอบอาชีพ โดยเฉพาะผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขอให้ อสร.สํารวจและคัดเลือกแรงงานที่ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง เพื่อช่วยให้แรงงานเหล่านี้ เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ สามารถนําความรู้ไปประกอบอาชีพ มีรายได้ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไป “ขอขอบคุณ อสร.ทุกคนและเป็นกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่”รมช.แรงงานกล่าวในท้ายสุด หลังจากนั้นรมช.แรงงานและคณะ เดินทางไปยังศูนย์ฟื้นฟูสรรถภาพคนงานภาค 4 จังหวัดขอนแก่น และรับฟังผลการดําเนินงาน พบว่า เป็นศูนย์ที่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและเครื่องมือในด้านการบําบัดและฟื้นฟูทางการแพทย์ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฟื้นฟูจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้ง มีการฝึกอาชีพอิสระเพื่อให้สามารถกลับไปทํางานได้ตามปกติหรือประกอบอาชีพอื่นได้ ที่ผ่านมาผู้เข้ารับการฟื้นฟูจะเป็นลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะเนื่องมาจากการทํางาน แต่ในอนาคตจะผลักดันให้กลุ่มผู้พิการที่ไม่ใช่ลูกจ้างที่ประสบอุบัติเหตุ มีโอกาสเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์ดังกล่าวด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างทั่วถึงต่อไป และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่ง มีการตรวจคัดกรองลูกจ้างที่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การลงพื้นที่ในครั้งนี้ รมช.แรงงาน จึงนําทีมงาน ตรวจเยี่ยมการคัดกรอง บริษัท โรงงานทออวนเดชาพานิช จํากัด ซึ่งมีแรงงานต่างด้าวประมาณ 1,172 คน โดยเน้นย้ําให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด เสร็จแล้วเดินทางต่อไปยังสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 6 ขอนแก่น ตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมเตรียมเข้าทํางาน ได้แก่ การประกอบอาหารไทย ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ และช่างซ่อมรถยนต์ ทั้ง 3 หลักสูตรมีระยะเวลาการฝึก 2 เดือน ฝากฝึกในสถานประกอบกิจการอีก 1 เดือน พร้อมรับฟังผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงาน รมช.แรงงานได้เน้นย้ําว่า ให้บูรณาการการทํางานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง แต่ละหน่วยมีภารกิจเกี่ยวข้องกัน พัฒนาฝีมือแรงงานแล้วต้องประสานจัดหางานและศูนย์บริหารข้อมูลตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดูตําแหน่งงาน เพื่อหางานให้ผู้การอบรมมีช่องทางในการประกอบอาชีพ ส่วนด้านของประกันสังคม สนง.สวัสดิการและศูนย์ฟื้นฟูก็เช่นกัน ขอให้บริการแก่ประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะภาครัฐคือที่พึ่งของประชาชน โดยมีแรงงานจังหวัดเป็นศูนย์กลางและเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้แล้ว ยังต้องแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นและภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทํางานของกระทรวงแรงงานให้มากขึ้นด้วย ทํางานตามแนวนโยบายของรัฐบาลในรูปแบบประชารัฐ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการกรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการ กรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ได้แก่ ข้าวสมุนไพรประคบร้อนจากชุมชนบ้านหนองสระ สมุนไพรเพื่อสุขภาพจากชุมชนท่ามะโอ ชุดกาแฟแม่กําปองและกาต้มน้ําร้อนพับได้ และชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม บ้านโคกไคร นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า 1 ใน 5 เสาหลักของการดําเนินธุรกิจ ตามแผนยุทธศาสตร์ ในปี 2564 คือ การปรับรูปแบบการทํางาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่ความยั่งยืน รวมถึงการเข้าไปช่วยเหลือ ดูแลชุมชนต่างๆ ให้เข้มแข็ง ตามแนวคิด “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” นอกจากการนําจุดแข็งของธนาคารเข้าไปช่วยเหลือชุมชนในการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเข้าถึง ระบบการเงินดิจิทัลแล้ว ธนาคารยังสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับการท่องเที่ยวของชุมชน รวมทั้งจัดกิจกรรม ส่งเสริมเพื่อยกระดับสินค้าและบริการต่างๆ โดยคํานึงถึงศักยภาพของชุมชน ทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่นเป็นหลัก สําหรับในเทศกาลปีใหม่ 2564 ธนาคารได้เลือกสรรผลิตภัณฑ์ประจําท้องถิ่นจาก 4 ชุมชนต้นแบบ ในโครงการกรุงไทยรักชุมชน มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ กระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจของชุมชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชนให้เป็นที่รู้จัก “ข้าวสมุนไพรประคบร้อน” ที่ผลิตจากข้าวหอมบุญ สุดยอดพันธุ์ข้าวหอมมะลิแดง จากบ้านหนองสระ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนํามาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรประคบร้อนเพื่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากอาการบาดเจ็บหรือจากความเครียดในการทํางาน เพียงอุ่นในไมโครเวฟ 1 นาที แล้วนํามาประคบที่บริเวณต้นคอ “ชุดสมุนไพรเพื่อสุขภาพ” จากชุมชนท่ามะโอ จังหวัดลําปาง ซึ่งในชุดประกอบด้วย สเปรย์สมุนไพรกระดูกไก่ดํา น้ํามันเหลืองไพลและขมิ้นชัน มีสรรพคุณแก้อาการฟกช้ํา ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ น้ํามันเขียวย่านาง ใช้ถอนพิษร้อน บรรเทาอาการน้ําร้อนลวก แมลงสัตว์กัดต่อย และสเปรย์กันยุงสมุนไพรตะไคร้หอม “ชุดกาแฟแม่กําปอง” ผลิตจากเมล็ดกาแฟ ที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ จากชุมชนแม่กําปอง แหล่งผลิตกาแฟพันธุ์ อาราบิก้าชั้นดี ของจังหวัดเชียงใหม่และมีกาต้มน้ําร้อนพับได้สําหรับคอกาแฟบรรจุอยู่ในชุด “ชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม” ที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น สุดยอดภูมิปัญญาชุมชน ของบ้านโคกไคร จังหวัดพังงา โครงการกรุงไทยรักชุมชน เกิดจากวิสัยทัศน์ของธนาคารกรุงไทย ที่ต้องการมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง โดยยึดหลักการพึ่งพาตนเอง และสามารถเติบโตไปพร้อมกับทุกภาคส่วนของสังคมได้อย่างยั่งยืน ทีม Marketing Strategy โทร 0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กรุงไทยรักชุมชนส่งมอบความสุขปีใหม่ให้ลูกค้า ด้วยชุดของขวัญจากรอยยิ้มของ 4 ชุมชนต้นแบบ ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการกรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ธนาคารกรุงไทยเลือกสรรชุดของขวัญจาก 4 ชุมชนต้นแบบในโครงการ กรุงไทยรักชุมชน เพื่อส่งมอบความสุข ให้กับลูกค้าในเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากชุมชนต้นแบบที่ผลิตโดยฝีมือของชาวบ้านในชุมชน และทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ได้แก่ ข้าวสมุนไพรประคบร้อนจากชุมชนบ้านหนองสระ สมุนไพรเพื่อสุขภาพจากชุมชนท่ามะโอ ชุดกาแฟแม่กําปองและกาต้มน้ําร้อนพับได้ และชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม บ้านโคกไคร นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า 1 ใน 5 เสาหลักของการดําเนินธุรกิจ ตามแผนยุทธศาสตร์ ในปี 2564 คือ การปรับรูปแบบการทํางาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสู่ความยั่งยืน รวมถึงการเข้าไปช่วยเหลือ ดูแลชุมชนต่างๆ ให้เข้มแข็ง ตามแนวคิด “กรุงไทยเคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” นอกจากการนําจุดแข็งของธนาคารเข้าไปช่วยเหลือชุมชนในการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และเข้าถึง ระบบการเงินดิจิทัลแล้ว ธนาคารยังสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับการท่องเที่ยวของชุมชน รวมทั้งจัดกิจกรรม ส่งเสริมเพื่อยกระดับสินค้าและบริการต่างๆ โดยคํานึงถึงศักยภาพของชุมชน ทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่นเป็นหลัก สําหรับในเทศกาลปีใหม่ 2564 ธนาคารได้เลือกสรรผลิตภัณฑ์ประจําท้องถิ่นจาก 4 ชุมชนต้นแบบ ในโครงการกรุงไทยรักชุมชน มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ กระจายรายได้และสนับสนุนเศรษฐกิจของชุมชน รวมถึงประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชนให้เป็นที่รู้จัก “ข้าวสมุนไพรประคบร้อน” ที่ผลิตจากข้าวหอมบุญ สุดยอดพันธุ์ข้าวหอมมะลิแดง จากบ้านหนองสระ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนํามาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรประคบร้อนเพื่อสุขภาพ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากอาการบาดเจ็บหรือจากความเครียดในการทํางาน เพียงอุ่นในไมโครเวฟ 1 นาที แล้วนํามาประคบที่บริเวณต้นคอ “ชุดสมุนไพรเพื่อสุขภาพ” จากชุมชนท่ามะโอ จังหวัดลําปาง ซึ่งในชุดประกอบด้วย สเปรย์สมุนไพรกระดูกไก่ดํา น้ํามันเหลืองไพลและขมิ้นชัน มีสรรพคุณแก้อาการฟกช้ํา ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ น้ํามันเขียวย่านาง ใช้ถอนพิษร้อน บรรเทาอาการน้ําร้อนลวก แมลงสัตว์กัดต่อย และสเปรย์กันยุงสมุนไพรตะไคร้หอม “ชุดกาแฟแม่กําปอง” ผลิตจากเมล็ดกาแฟ ที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ จากชุมชนแม่กําปอง แหล่งผลิตกาแฟพันธุ์ อาราบิก้าชั้นดี ของจังหวัดเชียงใหม่และมีกาต้มน้ําร้อนพับได้สําหรับคอกาแฟบรรจุอยู่ในชุด “ชาชงสมุนไพรใบขลู่พร้อมสบู่และสครับเปลือกหอยนางรม” ที่ผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น สุดยอดภูมิปัญญาชุมชน ของบ้านโคกไคร จังหวัดพังงา โครงการกรุงไทยรักชุมชน เกิดจากวิสัยทัศน์ของธนาคารกรุงไทย ที่ต้องการมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง โดยยึดหลักการพึ่งพาตนเอง และสามารถเติบโตไปพร้อมกับทุกภาคส่วนของสังคมได้อย่างยั่งยืน ทีม Marketing Strategy โทร 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37779
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคม กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคม ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น ๘ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษในกิจกรรม ก้าวสู่ ๑๐ ปี ข้อกําหนดกรุงเทพ : ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือทางสังคม "Towards the 10th Year of the Bangkok Rules : Enhancing the Power of Social Partnership" ภายใต้แนวคิด "ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว" โดยมี นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก สํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและนําเสนอนวัตกรรมทางความคิด พร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคมคือสิ่งสําคัญที่สุด และเปิดมิติใหม่แห่งการฝึกอาชีพให้ผู้ก้าวพลาดปรับตัวสู่โลกดิจิทัล สามารถก้าวทันโลกยุคปัจจุบัน พร้อมประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า วันนี้เราเห็นได้ชัดเจนว่า การรับรองข้อกําหนดกรุงเทพยกระดับความสําคัญเรื่องการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกไปอีกขั้นหนึ่ง สําหรับประเทศไทยนั้น ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา งานราชทัณฑ์ของเราได้คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้ต้องขังหญิงและผู้ต้องขังชายมากยิ่ง ทั้งนี้ ในแง่นโยบายได้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ในปี ๒๕๖๐ ให้ทันสมัยและสอดรับกับความต้องการเฉพาะของผู้ต้องขังหญิงมากขึ้น และได้มีการนําข้อกําหนดกรุงเทพมาปรับใช้เป็นแนวปฏิบัติของราชทัณฑ์ ตลอดจนการกําหนดตัวชี้วัดเรือนจําที่อ้างอิงตามแนวทางของข้อกําหนดกรุงเทพ เพื่อพัฒนาการบริหารเรือนจําและคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ถือเป็นการครบรอบ ๑๐ ปี การรับรองข้อกําหนดกรุงเทพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทําผิดหญิง ให้มีความเหมาะสมด้านเพศสภาพมากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง และของเด็กติดผู้ต้องขัง ซึ่งความสําเร็จที่เกิดขึ้นนี้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) หน่วยงานภายใต้กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ มีส่วนสําคัญในการร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคม วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคม กระทรวงยุติธรรม ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือพร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคม ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น ๘ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษในกิจกรรม ก้าวสู่ ๑๐ ปี ข้อกําหนดกรุงเทพ : ร่วมจุดประกายพลังแห่งความร่วมมือทางสังคม "Towards the 10th Year of the Bangkok Rules : Enhancing the Power of Social Partnership" ภายใต้แนวคิด "ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว" โดยมี นายเจเรมี ดักลาส ผู้แทนประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก สํานักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาคเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนและนําเสนอนวัตกรรมทางความคิด พร้อมสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด เน้นย้ําการให้ "โอกาส" จากสังคมคือสิ่งสําคัญที่สุด และเปิดมิติใหม่แห่งการฝึกอาชีพให้ผู้ก้าวพลาดปรับตัวสู่โลกดิจิทัล สามารถก้าวทันโลกยุคปัจจุบัน พร้อมประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า วันนี้เราเห็นได้ชัดเจนว่า การรับรองข้อกําหนดกรุงเทพยกระดับความสําคัญเรื่องการดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังหญิงทั่วโลกไปอีกขั้นหนึ่ง สําหรับประเทศไทยนั้น ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา งานราชทัณฑ์ของเราได้คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้ต้องขังหญิงและผู้ต้องขังชายมากยิ่ง ทั้งนี้ ในแง่นโยบายได้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ ในปี ๒๕๖๐ ให้ทันสมัยและสอดรับกับความต้องการเฉพาะของผู้ต้องขังหญิงมากขึ้น และได้มีการนําข้อกําหนดกรุงเทพมาปรับใช้เป็นแนวปฏิบัติของราชทัณฑ์ ตลอดจนการกําหนดตัวชี้วัดเรือนจําที่อ้างอิงตามแนวทางของข้อกําหนดกรุงเทพ เพื่อพัฒนาการบริหารเรือนจําและคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ถือเป็นการครบรอบ ๑๐ ปี การรับรองข้อกําหนดกรุงเทพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทําผิดหญิง ให้มีความเหมาะสมด้านเพศสภาพมากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง และของเด็กติดผู้ต้องขัง ซึ่งความสําเร็จที่เกิดขึ้นนี้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) หน่วยงานภายใต้กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ มีส่วนสําคัญในการร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด วันนี้ (21 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน กําหนดมาตรการควบคุมพื้นที่ และกํากับดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์กรณีมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ถือปฏิบัติตามข้อสั่งการและข้อเสนอแนะโดยเคร่งครัด ได้แก่1) จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาคร (สมุทรสงคราม นครปฐม และราชบุรี) และจังหวัดที่มีข้อมูลผู้ติดเชื้อหรือเดินทางเข้ามาในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และสมุทรปราการ ให้ค้นหาบุคคลในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าตลาดสัตว์น้ําในจังหวัดสมุทรสาคร ในกรณีจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ซึ่งใช้แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานในประเทศ ให้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและดําเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยประสานการปฏิบัติกับตํารวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตํารวจนครบาล สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สกัดกั้นการเดินทางเข้า-ออกและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และควบคุมคนไทยที่เดินทางเข้า-ออกจากสมุทรสาครตามความจําเป็น พร้อมทั้งจัดเตรียมสถานที่กักกันตัวและเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ เครื่องมือ และทรัพยากรทางการแพทย์ รองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะเกิดขึ้น 2) จังหวัดพื้นที่ชายแดน แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําแม่น้ําโขง (นรข.) ตํารวจตระเวนชายแดน กองกําลังป้องกันชายแดน เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เฝ้าระวังและป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดําเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น และการปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ประสานการปฏิบัติกับตํารวจภูธรจังหวัด สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค บุคคล และการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมืองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข กําหนดจุดรับ-ส่งสินค้าให้อยู่ในพื้นที่และระยะเวลาที่กําหนด พร้อมกําหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) ประจําช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออก ของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ ที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติงานได้ 24 ชั่วโมง และควบคุมมิให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจนกว่าจะมีคําสั่งผ่อนคลาย นอกจากนี้ ให้พิจารณาถึงความจําเป็นในการควบคุมหรือระงับการเดินรถประจําทางสาธารณะหรือรถไฟ ซึ่งอาจเป็นจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค หากมีการระงับการเดินรถข้ามเขตจังหวัด ให้รายงาน ศบค.มท. เพื่อเสนอ ศบค. พิจารณา ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อวางมาตรการลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน และ 3) ในทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ให้ตรวจสอบบุคคลที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัตว์น้ําในตลาดสัตว์น้ําจังหวัดสมุทรสาคร หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ดําเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข และรายงาน ศบค.มท. ทราบทันที พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงและกังวลว่าตนเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ติดต่อสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที และสําหรับการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นําชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ สํารวจ ตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน และเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากพบ ให้ดําเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข โดยอาจนําเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรค ทั้งนี้ หากพบการละเมิดให้พิจารณาดําเนินการตามกฎหมายทันที รวมถึงให้ชี้แจงทําความเข้าใจกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของ ศบค. หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยหรืออาญาด้วย นอกจากนี้ ให้สร้างการรับรู้ความเข้าใจขอความร่วมมือภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรม ในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด คือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ทําความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย เว้นระยะห่างหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น และใช้แพลตฟอร์มไทยชนะในการเข้าออกสถานที่สาธารณะ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ศบค.มท. สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด บูรณาการทุกภาคส่วนหยุดยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมสร้างการรับรู้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด วันนี้ (21 ธ.ค. 63) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน กําหนดมาตรการควบคุมพื้นที่ และกํากับดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์กรณีมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ถือปฏิบัติตามข้อสั่งการและข้อเสนอแนะโดยเคร่งครัด ได้แก่1) จังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดสมุทรสาคร (สมุทรสงคราม นครปฐม และราชบุรี) และจังหวัดที่มีข้อมูลผู้ติดเชื้อหรือเดินทางเข้ามาในพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดสมุทรสาคร เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และสมุทรปราการ ให้ค้นหาบุคคลในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าตลาดสัตว์น้ําในจังหวัดสมุทรสาคร ในกรณีจังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ ซึ่งใช้แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานในประเทศ ให้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทําแผนความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและดําเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดคัดกรองโรค โดยประสานการปฏิบัติกับตํารวจภูธรจังหวัด กองบัญชาการตํารวจนครบาล สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สกัดกั้นการเดินทางเข้า-ออกและการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และควบคุมคนไทยที่เดินทางเข้า-ออกจากสมุทรสาครตามความจําเป็น พร้อมทั้งจัดเตรียมสถานที่กักกันตัวและเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ เครื่องมือ และทรัพยากรทางการแพทย์ รองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่อาจจะเกิดขึ้น 2) จังหวัดพื้นที่ชายแดน แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ การปฏิบัติในพื้นที่ชายแดน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ผอ.รมน.) ประสานการปฏิบัติ วางมาตรการร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําแม่น้ําโขง (นรข.) ตํารวจตระเวนชายแดน กองกําลังป้องกันชายแดน เข้มงวด ควบคุมการลักลอบเข้าประเทศ และการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว โดยตั้งเครื่องกีดขวาง เพิ่มการลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง เฝ้าระวังและป้องกันมิให้มีการลักลอบเดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณพื้นที่ชายแดน หากพบการลักลอบเข้าประเทศ ให้ดําเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้น และการปฏิบัติในพื้นที่ตอนใน ให้ประสานการปฏิบัติกับตํารวจภูธรจังหวัด สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด และจุดคัดกรองโรค บุคคล และการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้าเมืองตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข กําหนดจุดรับ-ส่งสินค้าให้อยู่ในพื้นที่และระยะเวลาที่กําหนด พร้อมกําหนดให้มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander : IC) ประจําช่องทางผ่านแดนทุกแห่งที่มีการอนุญาตให้ใช้ในการผ่านเข้า-ออก ของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ ที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติงานได้ 24 ชั่วโมง และควบคุมมิให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวจนกว่าจะมีคําสั่งผ่อนคลาย นอกจากนี้ ให้พิจารณาถึงความจําเป็นในการควบคุมหรือระงับการเดินรถประจําทางสาธารณะหรือรถไฟ ซึ่งอาจเป็นจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค หากมีการระงับการเดินรถข้ามเขตจังหวัด ให้รายงาน ศบค.มท. เพื่อเสนอ ศบค. พิจารณา ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อวางมาตรการลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน และ 3) ในทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดสมุทรสาคร) ให้ตรวจสอบบุคคลที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสัตว์น้ําในตลาดสัตว์น้ําจังหวัดสมุทรสาคร หากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ดําเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข และรายงาน ศบค.มท. ทราบทันที พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงและกังวลว่าตนเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ติดต่อสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทันที และสําหรับการปฏิบัติในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน ให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นําชุมชน อาสาสมัครในพื้นที่ รวมทั้งขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ สํารวจ ตรวจสอบบุคคลที่เดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน/ชุมชน และเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากพบ ให้ดําเนินการตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข โดยอาจนําเข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรค ทั้งนี้ หากพบการละเมิดให้พิจารณาดําเนินการตามกฎหมายทันที รวมถึงให้ชี้แจงทําความเข้าใจกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของ ศบค. หากฝ่าฝืนอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัยหรืออาญาด้วย นอกจากนี้ ให้สร้างการรับรู้ความเข้าใจขอความร่วมมือภาคประชาชนและภาคประชาสังคม ทั้งผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรม ในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด คือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ทําความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสบ่อย เว้นระยะห่างหรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบุคคลอื่น และใช้แพลตฟอร์มไทยชนะในการเข้าออกสถานที่สาธารณะ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากำไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากําไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไอแบงก์ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากําไรสําหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากําไรสําหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ไอแบงก์ ออกแคมเปญยั่วใจสําหรับผู้ที่สนใจสมัครสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงปีใหม่ ด้วยการปรับลดอัตรากําไรลงจากอัตรากําไรของแต่ละโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงอีก 0.25% ต่อปี ในปีแรก และในปีต่อไปคิดอัตรากําไรตามโครงการสินเชื่อที่ลูกค้าขอสมัครใช้ โดยโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญมีดังนี้ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญ อัตรากําไรเริ่มต้น ปีแรกปกติ อัตรากําไรเริ่มต้นปีแรก แคมเปญของขวัญปีใหม่ 2564 โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านใหม่ Ibank 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านพรีเมี่ยม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มอาชีพมั่นคง 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มรายได้ยั่งยืน 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้ามุสลิม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อาศัยรีไฟแนนซ์ 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อบ้านมือสอง 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านชายแดนใต้ 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อสวัสดิการสําหรับบุคคลภายนอก (MOU) หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ , บริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Companies) และนิติบุคคลอื่นๆ (เฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย) 2.10% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 1.85% ต่อปี สินเชื่อที่อยู่อาศัยมาตรฐาน 4.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 4.00% ต่อปี • หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด นอกจากนี้ยังฟรีค่าประเมินหลักประกัน (กรณีลูกค้าได้รับการอนุมัติ) พร้อมฟรีค่านิติกรรมสัญญา โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ibank Call center 1302 ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2564 *หมายเหตุ: 1. "อัตรากําไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคําเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทําธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม" 2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คํานวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ํากว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกําหนดการฝาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากำไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ไอแบงก์ยั่วใจออกแคมเปญรับปีใหม่ ลดอัตรากําไรสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ไอแบงก์ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากําไรสําหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกแคมเปญของขวัญปีใหม่ ปี 2564 ลดอัตรากําไรสําหรับผู้ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทุกโครงการลงอีก 0.25% ในปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินราคาและยกเว้นค่านิติกรรมสัญญา ไอแบงก์ ออกแคมเปญยั่วใจสําหรับผู้ที่สนใจสมัครสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงปีใหม่ ด้วยการปรับลดอัตรากําไรลงจากอัตรากําไรของแต่ละโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลงอีก 0.25% ต่อปี ในปีแรก และในปีต่อไปคิดอัตรากําไรตามโครงการสินเชื่อที่ลูกค้าขอสมัครใช้ โดยโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญมีดังนี้ โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ร่วมแคมเปญ อัตรากําไรเริ่มต้น ปีแรกปกติ อัตรากําไรเริ่มต้นปีแรก แคมเปญของขวัญปีใหม่ 2564 โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านใหม่ Ibank 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านพรีเมี่ยม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มอาชีพมั่นคง 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มรายได้ยั่งยืน 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้ามุสลิม 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อาศัยรีไฟแนนซ์ 2.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 2.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อบ้านมือสอง 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยบ้านชายแดนใต้ 3.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 3.00% ต่อปี โครงการสินเชื่อสวัสดิการสําหรับบุคคลภายนอก (MOU) หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ , บริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Companies) และนิติบุคคลอื่นๆ (เฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัย) 2.10% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 1.85% ต่อปี สินเชื่อที่อยู่อาศัยมาตรฐาน 4.25% ต่อปี ลด 0.25% ต่อปี = 4.00% ต่อปี • หมายเหตุ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกําหนด นอกจากนี้ยังฟรีค่าประเมินหลักประกัน (กรณีลูกค้าได้รับการอนุมัติ) พร้อมฟรีค่านิติกรรมสัญญา โดยผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ไอแบงก์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ibank Call center 1302 ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2564 *หมายเหตุ: 1. "อัตรากําไร/ผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ธนาคารมิใช่ดอกเบี้ยหรือเป็นคําเรียกแทนดอกเบี้ย แต่มาจากหลักการที่ใช้ในการทําธุรกรรมที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม" 2. อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ คืออัตราที่คํานวณได้จากประมาณการรายได้ของธนาคารและอัตราสัดส่วนการแบ่งผลตอบแทนเงินฝาก ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับอาจจะต่ํากว่าหรือสูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากที่ธนาคารประกาศเมื่อครบกําหนดการฝาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 ทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชายแดนใต้ ไปอีก 2 ปี หนุนเขตส่งเสริมกิจการพิเศษใหม่ “การแพทย์จีโนมิกส์” มหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สําหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต มาตรการกระตุ้นลงทุนปี 2564 สําหรับมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 บีโอไอต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการนี้กําหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทําการแรกของปี 2564 ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2564 ต่ออายุมาตรการ SEZ – ชายแดนใต้ อีก 2 ปี นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอจึงมีมติขยายเวลารับคําขอส่งเสริมการลงทุนออกไปอีก 2 ปี ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565 สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย โดยมาตรการนี้ ครอบคลุมทุกประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมกว่า 300 กิจการ แต่หากเป็นกิจการที่อยู่ใน 14 กลุ่มกิจการเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องหนัง เครื่องเรือน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ พลาสติก กิจการท่องเที่ยว เป็นต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีและลดหย่อนร้อยละ 50 อีก 5 ปี รวมทั้ง ที่ประชุมยังมีมติให้ขยายเวลารับคําขอสําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี เช่นเดียวกัน โดยมี 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อําเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา และ 2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อําเภอเบตง จังหวัดยะลา อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และอําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กําหนดเงินลงทุนขั้นต่ําเพียง 500,000 บาท และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมร่วมได้ด้วย นอกจากนี้ หากมีโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วเดิม ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิม และโครงการลงทุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมี 5 ประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในเฉพาะพื้นที่ SEZ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ได้แก่ 1) กิจการผลิตวัสดุก่อสร้างและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสําหรับงานสาธารณูปโภค 2) กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสําหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เครื่องสําอาง3) กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสําหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 4) กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ และ 5) กิจการพัฒนาอาคารสําหรับโรงงานอุตสาหกรรมและ/หรือคลังสินค้า โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565 หนุนเขตส่งเสริมพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เขตส่งเสริมการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริม เพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) คือ หากเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 5 – 8 ปีขึ้นไป จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี แต่หากเป็นกิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายและกิจการสนับสนุน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปีอยู่แล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1 ปี ยกระดับกิจการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่กิจการที่ดําเนินการอยู่เดิม ไม่ว่าจะเคยได้รับการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ในประเทศที่จะนําไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สําหรับผู้ประกอบการ SMEs กําหนดวงเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับกระบวนการทํางาน โดยไม่จําเป็นต้องลงทุนด้านเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น การนําซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศอื่นๆ เข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรของกิจการการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning การนํา Big Data มาใช้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การนําซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศมาใช้ในการเข้าสู่ระบบ NationalE–Payment และระบบอื่นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บีโอไอเคาะแพคเกจลงทุนปี 64 กระตุ้นโครงการใหญ่-เล็ก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัว บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหญ่ เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2564 ทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด รวมทั้งจังหวัดชายแดนใต้ ไปอีก 2 ปี หนุนเขตส่งเสริมกิจการพิเศษใหม่ “การแพทย์จีโนมิกส์” มหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนหลายด้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ทั้งมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 สําหรับโครงการที่มีการลงทุนจริง 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงการขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค พร้อมเปิดเขตส่งเสริมกิจการพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) รวมทั้งเห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันอุตสาหกรรมการผลิตและบริการในอนาคต มาตรการกระตุ้นลงทุนปี 2564 สําหรับมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2564 บีโอไอต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมาตรการนี้กําหนดให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ หากมีเงินลงทุนจริงอย่างน้อย 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม และไม่อนุญาตให้ขยายเวลาในขั้นตอนการตอบรับให้การส่งเสริมและการออกบัตรส่งเสริม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมได้ตั้งแต่วันทําการแรกของปี 2564 ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2564 ต่ออายุมาตรการ SEZ – ชายแดนใต้ อีก 2 ปี นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนในภูมิภาค ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอจึงมีมติขยายเวลารับคําขอส่งเสริมการลงทุนออกไปอีก 2 ปี ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565 สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ 10 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เชียงราย ตราด ตาก นครพนม นราธิวาส มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และหนองคาย โดยมาตรการนี้ ครอบคลุมทุกประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมกว่า 300 กิจการ แต่หากเป็นกิจการที่อยู่ใน 14 กลุ่มกิจการเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ประมง สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและเครื่องหนัง เครื่องเรือน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องมือแพทย์ พลาสติก กิจการท่องเที่ยว เป็นต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปีและลดหย่อนร้อยละ 50 อีก 5 ปี รวมทั้ง ที่ประชุมยังมีมติให้ขยายเวลารับคําขอสําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 2 ปี เช่นเดียวกัน โดยมี 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา ได้แก่ อําเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา และ 2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ อําเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี อําเภอเบตง จังหวัดยะลา อําเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และอําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กําหนดเงินลงทุนขั้นต่ําเพียง 500,000 บาท และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่เดิมร่วมได้ด้วย นอกจากนี้ หากมีโครงการที่ลงทุนอยู่แล้วเดิม ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งโครงการเดิม และโครงการลงทุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมี 5 ประเภทกิจการที่เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในเฉพาะพื้นที่ SEZ และ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ได้แก่ 1) กิจการผลิตวัสดุก่อสร้างและกิจการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงสําหรับงานสาธารณูปโภค 2) กิจการผลิตสิ่งปรุงแต่งสําหรับประทินร่างกาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เครื่องสําอาง3) กิจการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกสําหรับสินค้าอุปโภค เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก 4) กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ เช่น กล่องกระดาษ และ 5) กิจการพัฒนาอาคารสําหรับโรงงานอุตสาหกรรมและ/หรือคลังสินค้า โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565 หนุนเขตส่งเสริมพิเศษการแพทย์จีโนมิกส์ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้เขตส่งเสริมการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เป็นพื้นที่เขตส่งเสริม เพื่อกิจการพิเศษ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับโครงการที่ตั้งในเมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) และศูนย์การแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ (พัทยา) (EECmd) คือ หากเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่ 5 – 8 ปีขึ้นไป จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี แต่หากเป็นกิจการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายและกิจการสนับสนุน ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปีอยู่แล้ว จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1 ปี ยกระดับกิจการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแก่กิจการที่ดําเนินการอยู่เดิม ไม่ว่าจะเคยได้รับการส่งเสริมหรือไม่ก็ตาม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการองค์กรและการผลิตหรือการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการใช้ในประเทศที่จะนําไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โครงการที่ขอรับการส่งเสริมตามมาตรการนี้ ต้องมีขนาดการลงทุนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สําหรับผู้ประกอบการ SMEs กําหนดวงเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท โดยต้องเสนอแผนลงทุนการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับกระบวนการทํางาน โดยไม่จําเป็นต้องลงทุนด้านเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ เช่น การนําซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศอื่นๆ เข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรของกิจการการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Machine Learning การนํา Big Data มาใช้ หรือการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การนําซอฟต์แวร์หรือระบบสารสนเทศมาใช้ในการเข้าสู่ระบบ NationalE–Payment และระบบอื่นๆ ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของเงินลงทุน โดยยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงวันทําการสุดท้ายของปี 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37766
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ สํานักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดง กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหารของสํานักงาน ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีอุปการคุณต่อสํานักงาน ป.ป.ส. และผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ หรือ นบส.ปปส. โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธี และนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เป็นผู้กล่าวรายงาน และให้การต้อนรับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ในนามของรัฐบาลต้องขอบคุณที่สํานักงาน ป.ป.ส. ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ และขอบคุณสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มีความร่วมมือช่วยจัดทําเนื้อหาหลักสูตรทางด้านวิชาการ การจัดหลักสูตรทํานองนี้มีประโยชน์หลายสถานด้วยกัน ถ้าหากว่ารักษาดุลยภาพในทุกวัตถุประสงค์แล้ว ก็จะมีแต่ได้ ทั้งนี้ทุกหลักสูตรมักมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน ๓ ข้อ ได้แก่ ๑. Comprehension คือ การสร้างความเข้าใจศาสตร์ใหม่ ๆ ๒. Communication คือ ทําให้เกิดการติดต่อสื่อสารกัน ๓. Connection คือ การติดต่อเชื่อมโยงกันระหว่างผู้อบรม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของหลักสูตรทุกหลักสูตร” “นอกจากนี้ สํานักงาน ป.ป.ส. ในฐานะผู้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรก็ได้ประโยชน์ด้วย คือ ได้ทั้งเครือข่ายภาคีและแนวร่วม เพราะงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนั้น ก็เหมือนกับราชการอีกหลายอย่าง ที่มีศัตรู ถ้ามีคนเข้าใจผิด หรือมีคนไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะไม่มีวันประสบความสําเร็จ แต่ตอนนี้มีพันธมิตร มีเครือข่าย คนเหล่านี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เราต้องการ เรียกว่าได้มิตรที่มีคุณภาพ” นายวิษณุ กล่าวว่า “การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระของโลก ไม่ใช่วาระของชาติ ประเทศเอง รัฐบาลเองทุกยุคทุกสมัยให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ได้ปรับปรุงแก้กฎหมายหลายอย่าง เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านใช้ความรู้ที่ได้รับไปเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านเองและสังคม” สําหรับผู้ที่ได้รับวิทยฐานะนักบริหาร ประจําปี ๒๕๖๓ ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอุปการคุณในการดําเนินงานด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จํานวน ๑๗ คน และผู้สําเร็จผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส) รุ่นที่ ๒ จํานวน ๕๘ คน รวมทั้งสิ้น ๗๕ คน ซึ่งได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๘ ตุลาคม - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยได้รับความร่วมมือจากอาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในการพัฒนาเนื้อหาในหลักสูตร มุ่งเน้นเพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแก่ผู้บริหารระดับสูง เพิ่มพูนวิสัยทัศน์และเสริมทักษะที่จําเป็นในการแก้ไขและรับมือกับปัญหายาเสพติดในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ พิธีมอบเข็มวิทยฐานะนักบริหารสํานักงาน ป.ป.ส. มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความขอบคุณแก่ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ ผู้ที่มีอุปการคุณในการดําเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดรายอื่นๆ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจำปี ๒๕๖๓ วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ รองนายกฯ วิษณุ มอบวุฒิบัตรพร้อมเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหาร ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ สํานักงาน ป.ป.ส. ถนนดินแดง กรุงเทพฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบเข็มเครื่องหมายวิทยฐานะนักบริหารของสํานักงาน ป.ป.ส. ประจําปี ๒๕๖๓ แก่ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีอุปการคุณต่อสํานักงาน ป.ป.ส. และผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ หรือ นบส.ปปส. โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมเป็นเกียรติในพิธี และนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) เป็นผู้กล่าวรายงาน และให้การต้อนรับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ในนามของรัฐบาลต้องขอบคุณที่สํานักงาน ป.ป.ส. ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง รุ่นที่ ๒ และขอบคุณสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่ได้มีความร่วมมือช่วยจัดทําเนื้อหาหลักสูตรทางด้านวิชาการ การจัดหลักสูตรทํานองนี้มีประโยชน์หลายสถานด้วยกัน ถ้าหากว่ารักษาดุลยภาพในทุกวัตถุประสงค์แล้ว ก็จะมีแต่ได้ ทั้งนี้ทุกหลักสูตรมักมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน ๓ ข้อ ได้แก่ ๑. Comprehension คือ การสร้างความเข้าใจศาสตร์ใหม่ ๆ ๒. Communication คือ ทําให้เกิดการติดต่อสื่อสารกัน ๓. Connection คือ การติดต่อเชื่อมโยงกันระหว่างผู้อบรม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของหลักสูตรทุกหลักสูตร” “นอกจากนี้ สํานักงาน ป.ป.ส. ในฐานะผู้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรก็ได้ประโยชน์ด้วย คือ ได้ทั้งเครือข่ายภาคีและแนวร่วม เพราะงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนั้น ก็เหมือนกับราชการอีกหลายอย่าง ที่มีศัตรู ถ้ามีคนเข้าใจผิด หรือมีคนไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะไม่มีวันประสบความสําเร็จ แต่ตอนนี้มีพันธมิตร มีเครือข่าย คนเหล่านี้พร้อมจะให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่เราต้องการ เรียกว่าได้มิตรที่มีคุณภาพ” นายวิษณุ กล่าวว่า “การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระของโลก ไม่ใช่วาระของชาติ ประเทศเอง รัฐบาลเองทุกยุคทุกสมัยให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ได้ปรับปรุงแก้กฎหมายหลายอย่าง เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านใช้ความรู้ที่ได้รับไปเกิดประโยชน์ต่อตัวท่านเองและสังคม” สําหรับผู้ที่ได้รับวิทยฐานะนักบริหาร ประจําปี ๒๕๖๓ ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีอุปการคุณในการดําเนินงานด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จํานวน ๑๗ คน และผู้สําเร็จผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับสูง (นบส.ปปส) รุ่นที่ ๒ จํานวน ๕๘ คน รวมทั้งสิ้น ๗๕ คน ซึ่งได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๘ ตุลาคม - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยได้รับความร่วมมือจากอาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในการพัฒนาเนื้อหาในหลักสูตร มุ่งเน้นเพื่อพัฒนาแนวคิดเชิงบริหารยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแก่ผู้บริหารระดับสูง เพิ่มพูนวิสัยทัศน์และเสริมทักษะที่จําเป็นในการแก้ไขและรับมือกับปัญหายาเสพติดในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ พิธีมอบเข็มวิทยฐานะนักบริหารสํานักงาน ป.ป.ส. มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความขอบคุณแก่ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ ผู้ที่มีอุปการคุณในการดําเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และขอแสดงความยินดีแก่ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร นบส.ปปส. รุ่นที่ ๒ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดรายอื่นๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37760
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19 สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกหน่วยเกี่ยวข้อง ประชุมวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงาน สั่งตั้งชุดเฉพาะกิจปูพรมจัดรถโมบายเข้าตรวจแรงงานในสถานประกอบการ พร้อมหามาตรการช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสุดวิสัย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมประมง กรุงเทพมหานคร ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนทางการเมียนมา เป็นต้น เพื่อวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมสําหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกคนได้มีการสั่งการและดําเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน วันนี้ ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้สํานักงานประกันสังคมร่วมมือกับสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อบูรณาการทํางานเชิงรุกเพื่อจัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เพื่อให้ทราบผลภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด มาตรการดังกล่าวกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ ในบอร์ดประกันสังคม เพื่อดําเนินการตรวจโควิด – 19 ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการในเชิงรุกโดยลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ นายสุชาติ ยังกล่าวถึงมาตรการเยียวยาสําหรับกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคม ได้นําเรื่องการพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ในวันนี้ (21 ธ.ค.63) เพื่อขอความเห็นชอบคณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบ และให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการยกร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... แก้ไขนิยาม “เหตุสุดวิสัย” หมายความรวมถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทํางานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย และรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดเป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทํางานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ50 ของค่าจ้างรายวันโดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทินมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคมจะได้นําเรื่องขอความเห็นชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19 วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 ‘จับกัง1’คลอดมาตรการเชิงรุกเพิ่ม ปูพรมตรวจต่างด้าวในโรงงาน เร่งเยียวยาผู้กระทบโควิด -19 สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกหน่วยเกี่ยวข้อง ประชุมวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงาน สั่งตั้งชุดเฉพาะกิจปูพรมจัดรถโมบายเข้าตรวจแรงงานในสถานประกอบการ พร้อมหามาตรการช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสุดวิสัย เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมประมง กรุงเทพมหานคร ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนทางการเมียนมา เป็นต้น เพื่อวางมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติมสําหรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกคนได้มีการสั่งการและดําเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน วันนี้ ผมได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ตั้งชุดเฉพาะกิจที่จะร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อออกตรวจแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งให้สํานักงานประกันสังคมร่วมมือกับสถานพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อบูรณาการทํางานเชิงรุกเพื่อจัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อได้เข้ารับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด - 19 เพื่อให้ทราบผลภายใน 3-4 ชั่วโมง ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด มาตรการดังกล่าวกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม ได้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการแพทย์ ในบอร์ดประกันสังคม เพื่อดําเนินการตรวจโควิด – 19 ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบการในเชิงรุกโดยลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ นายสุชาติ ยังกล่าวถึงมาตรการเยียวยาสําหรับกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคม ได้นําเรื่องการพิจารณาประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ในวันนี้ (21 ธ.ค.63) เพื่อขอความเห็นชอบคณะกรรมการประกันสังคมมีมติเห็นชอบ และให้สํานักงานประกันสังคมดําเนินการยกร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... แก้ไขนิยาม “เหตุสุดวิสัย” หมายความรวมถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทํางานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย และรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดเป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทํางานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้าง มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ50 ของค่าจ้างรายวันโดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทินมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคมจะได้นําเรื่องขอความเห็นชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี รมว.แรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 พร้อมประสานผู้ว่าฯสั่งการสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ Check List แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ให้สามารถทํางานได้โดยปลอดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกําหนด นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงสังกัดกระทรวงแรงงาน ประชุมเร่งด่วนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยห่วงใยพี่น้องแรงงานต่างด้าว นายจ้าง/สถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว รวมทั้งประชาชนทุกกลุ่มจะได้รับผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ซึ่งถูกตรวจพบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจํานวนมากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้ออกประกาศกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบการทุกแห่งดําเนินการ 2 เรื่อง คือ 1.ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณี ทั้งเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามมาตรา 51 แห่งพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และมาตรา 18 แห่งพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 2.จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค ได้แก่ วัดอุณหภูมิและสังเกตลักษณะอาการบ่งชี้ หากพบอาการผิดปกติต้องหยุดงานและแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อดําเนินการตามาตรการควบคุมโรคทันที จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์เพื่อใช้ในการล้างมือ หรือจัดสถานที่สําหรับล้างมือภายในสถานที่ทํางาน ณ บริเวณทางเข้า - ออก และห้องสุขา ควบคุมให้แรงงานต่างด้าวสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงานรวมทั้งเว้นระยะห่างในการปฏิบัติงาน 1 – 2 เมตร ตลอดจนทําความสะอาดสิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นประจํา และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่แรงงานต่างด้าวให้ทราบวิธีการป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเอง รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 “ในส่วนของสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1- 10 ได้สั่งการให้ดําเนินตามมาตรการ ดังนี้ 1.สํารวจตรวจสอบ (Check List) แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการให้สามารถทํางานได้โดยไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกําหนด 2.ตรวจสอบคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายของประชาชนที่มารับบริการ หากพบมีอุณหภูมิร่างกายผิดปกติหรือพบลักษณะอาการผิดปกติอื่น ๆ ให้ผู้รับบริการนั้น ๆ รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 3.จัดหาแอลกอฮอล์สําหรับล้างมือ หรือจัดสถานที่สําหรับล้างมือภายในสถานที่ทํางาน อาทิ บริเวณประตูเข้า-ออก โต๊ะทํางาน หรือห้องสุขา 4.เพิ่มความตระหนักให้กับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และพนักงานทําความสะอาด โดยให้ความสําคัญกับการป้องกันตนเอง การสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงาน การทําความสะอาดสิ่งของที่ใช้งานบ่อย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทํางาน รวมถึงดูแลให้ผู้ใช้บริการทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ใช้บริการ 5.ประชาสัมพันธ์วิธีป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเองให้ประชาชนตลอดจนแรงงานต่างด้าวได้รับทราบ โดยกรมการจัดหางานได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์แนวทางดังกล่าว เป็น 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาเมียนมา ภาษากัมพูชา 6.หากเจ้าหน้าที่พบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน 7.ติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันที่เว็บไซต์กรมควบคุมโรค “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 จับกัง 1’ ออกประกาศกระทรวงฯ ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงโควิด ในทุกกรณี รมว.แรงงาน ออกประกาศขอความร่วมมือห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 พร้อมประสานผู้ว่าฯสั่งการสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ ลงพื้นที่ Check List แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ให้สามารถทํางานได้โดยปลอดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกําหนด นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงสังกัดกระทรวงแรงงาน ประชุมเร่งด่วนกรณีการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยห่วงใยพี่น้องแรงงานต่างด้าว นายจ้าง/สถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าว รวมทั้งประชาชนทุกกลุ่มจะได้รับผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ซึ่งถูกตรวจพบในกลุ่มแรงงานต่างด้าวพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจํานวนมากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้ออกประกาศกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความร่วมมือนายจ้าง/สถานประกอบการทุกแห่งดําเนินการ 2 เรื่อง คือ 1.ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณี ทั้งเข้าไปหรือออกจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษตามมาตรา 51 แห่งพรบ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 และมาตรา 18 แห่งพรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 2.จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค ได้แก่ วัดอุณหภูมิและสังเกตลักษณะอาการบ่งชี้ หากพบอาการผิดปกติต้องหยุดงานและแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อดําเนินการตามาตรการควบคุมโรคทันที จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์เพื่อใช้ในการล้างมือ หรือจัดสถานที่สําหรับล้างมือภายในสถานที่ทํางาน ณ บริเวณทางเข้า - ออก และห้องสุขา ควบคุมให้แรงงานต่างด้าวสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงานรวมทั้งเว้นระยะห่างในการปฏิบัติงาน 1 – 2 เมตร ตลอดจนทําความสะอาดสิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นประจํา และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่แรงงานต่างด้าวให้ทราบวิธีการป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเอง รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2563 จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 “ในส่วนของสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1- 10 ได้สั่งการให้ดําเนินตามมาตรการ ดังนี้ 1.สํารวจตรวจสอบ (Check List) แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการให้สามารถทํางานได้โดยไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกําหนด 2.ตรวจสอบคัดกรองวัดอุณหภูมิร่างกายของประชาชนที่มารับบริการ หากพบมีอุณหภูมิร่างกายผิดปกติหรือพบลักษณะอาการผิดปกติอื่น ๆ ให้ผู้รับบริการนั้น ๆ รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 3.จัดหาแอลกอฮอล์สําหรับล้างมือ หรือจัดสถานที่สําหรับล้างมือภายในสถานที่ทํางาน อาทิ บริเวณประตูเข้า-ออก โต๊ะทํางาน หรือห้องสุขา 4.เพิ่มความตระหนักให้กับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และพนักงานทําความสะอาด โดยให้ความสําคัญกับการป้องกันตนเอง การสวมหน้ากากอนามัยและถุงมือขณะปฏิบัติงาน การทําความสะอาดสิ่งของที่ใช้งานบ่อย อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทํางาน รวมถึงดูแลให้ผู้ใช้บริการทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ใช้บริการ 5.ประชาสัมพันธ์วิธีป้องกันโรคโควิด-19 เบื้องต้นด้วยตนเองให้ประชาชนตลอดจนแรงงานต่างด้าวได้รับทราบ โดยกรมการจัดหางานได้จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์แนวทางดังกล่าว เป็น 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาเมียนมา ภาษากัมพูชา 6.หากเจ้าหน้าที่พบว่าตนเองมีอาการป่วย ให้หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน 7.ติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันที่เว็บไซต์กรมควบคุมโรค “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจำ พร้อมกำชับเรือนจำเขต ๗ ทำตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจํา พร้อมกําชับเรือนจําเขต ๗ ทําตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจํา พร้อมกําชับเรือนจําเขต ๗ ทําตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม่ พร้อมสร้างความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ด้านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการก ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ เรือนจํากลางนครปฐม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําเขต ๗ นําโดย นายนักรบ นาคพรหม ผู้บัญชาการเรือนจํากลางนครปฐม ประธานเขต ๗ รวมถึงผู้บัญชาการเรือนจํากลางเขาบิน ผู้บัญชาการเรือนจํากลางราชบุรี ผู้บัญชาการเรือนจํากลางสมุทรสงคราม ผู้บัญชาการเรือนจํากลางสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ผู้บัญชาการเรือนจําจังหวัดสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจําอําเภอทองผาภูมิ ผู้อํานวยการสถานกักกันนครปฐม ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษธนบุรี และผู้อํานวยการทัณฑสถานหญิงธนบุรี ถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าวและมีความเป็นห่วง จึงได้กําชับถึงมาตรการป้องกันโรค ตามที่กรมราชทัณฑ์กําหนด โดย นายสมศักดิ์ฯ เห็นควรให้ใช้มาตรการดังกล่าวกับเรือนจําเขต ๗ ทั้งหมด จึงขอให้เรือนจําเขต ๗ ดําเนินการ ตามมาตรการสําคัญ ๆ ดังนี้ ๑. แยกกักกันโรค ผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย กลับจากโรงพยาบาลภายนอก อย่างน้อย ๑๔ วัน และต้องปฏิบัติตามกระบวนการแยกกักกันโรคที่ถูกต้องอย่างเข้มงวด ๒. งดการเยี่ยมญาติช่องทางปกติและให้มีการเยี่ยมญาติทางไลน์ทดแทน ๓. "มาตรการคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า" ด้วยการงดนําผู้ต้องขังออกทํางานภายนอกเรือนจําทุกกรณี และงดการนําบุคคลภายนอกเข้าเรือนจํา ยกเว้นมีความจําเป็น เช่น เจ็บป่วย ๔. สร้างความเข้าใจ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ต้องขังและญาติ ตลอดจนจัดให้มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดในเรือนจําช่วงระหว่างการงดเยี่ยมญาติ ๕. กําชับเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขังและญาติ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา การเว้นระยะห่างทางสังคมสังคม และ ๖. งดการจัดกิจกรรมที่ต้องนําผู้ต้องขังมารวมกันมากๆ และจัดหาหน้ากากอนามัยให้ผู้ต้องขังทุกคนอย่างน้อยคนละ ๒ ชิ้น "ขอให้ผู้บัญชาการทุกท่านรับทราบมาตรการ และจัดการให้ดี พยายามประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ทั่วถึง ทั้งตัวผู้ต้องขังและญาติ และการนําตัวผู้ต้องขังไปยังศาลจะสามารถใช้วิธีวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้หรือไม่ และหากเรือนจําไหนพิจารณาแล้วว่าจะเกิดการลุกลามให้พิจารณาล็อกดาวน์ตัวเอง สิ่งที่เราห่วงคือเรื่องของคนในเรือนจํา โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ พยายามเช็คอย่างละเอียดและไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยง ในเรือนจําต้องไม่มีโควิด" ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าว จากนั้น นายสมศักดิ์ฯ ได้วีดีโอคอนเฟอเรนซ์เข้าสู่ที่ประชุม โดยระบุว่า หากพบเชื้อที่ไหนให้กําหนดจุดบริเวณนั้น และวัดระยะห่างตีกรอบพื้นที่ และให้ทุกคนพิจารณาร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริง หากจุดไหนสุ่มเสี่ยงก็ต้องปิด โดยขณะนี้ได้ตีกรอบงดเยี่ยมญาติแล้วเบื้องต้น ๑๑ เรือนจํา คือ ๑. เรือนจํากลางนครปฐม ๒. เรือนจํากลางเขาบิน ๓. เรือนจํากลางราชบุรี ๔. เรือนจํากลางสมุทรสงคราม ๕. เรือนจํากลางสมุทรสาคร ๖.เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ๗. เรือนจําจังหวัดสมุทรสาคร ๘. เรือนจําอําเภอทองผาภูมิ ๙. สถานกักกันนครปฐม ๑๐. เรือนจําพิเศษธนบุรี และ ๑๑. ทัณฑสถานหญิงธนบุรี "เมื่อปิดการเยี่ยมญาติให้ผู้บัญชาการทุกท่าน ใช้การสื่อสารทางไกล ผ่านแอปพลิเคชันไลน์สื่อสารกันแทนและเพิ่มรอบการเยี่ยม วางแผนให้ดี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอื่นๆ ตามสิทธิที่ผู้ต้องขังทุกคนควรจะได้ เช่น การพบศาลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ การฝากเงินผ่านออนไลน์ และทําความเข้าใจกับผู้ต้องขังทุกคน ไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดว่ากีดกันสิทธิเสรีภาพ จนเกิดความวุ่นวาย และขอให้ผู้บริหารทุกท่านนํามาตรการไปปฏิบัติตามสถานการณ์ หากมีปัญหาติดขัดตรงไหนให้รีบแจ้งมาทันที" นายสมศักดิ์ฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจำ พร้อมกำชับเรือนจำเขต ๗ ทำตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจํา พร้อมกําชับเรือนจําเขต ๗ ทําตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม รมว.ยุติธรรม ห่วงสถานการณ์โควิด สั่งงดเยี่ยมญาติแบบช่องทางปกติใน ๑๑ เรือนจํา พร้อมกําชับเรือนจําเขต ๗ ทําตามมาตรการเข้มข้น คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ใช้เทคโนโลยีทดแทน แยกกักโรคนักโทษใหม่ พร้อมสร้างความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ด้านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการก ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ เรือนจํากลางนครปฐม ว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประชุมร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําเขต ๗ นําโดย นายนักรบ นาคพรหม ผู้บัญชาการเรือนจํากลางนครปฐม ประธานเขต ๗ รวมถึงผู้บัญชาการเรือนจํากลางเขาบิน ผู้บัญชาการเรือนจํากลางราชบุรี ผู้บัญชาการเรือนจํากลางสมุทรสงคราม ผู้บัญชาการเรือนจํากลางสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ผู้บัญชาการเรือนจําจังหวัดสมุทรสาคร ผู้บัญชาการเรือนจําอําเภอทองผาภูมิ ผู้อํานวยการสถานกักกันนครปฐม ผู้บัญชาการเรือนจําพิเศษธนบุรี และผู้อํานวยการทัณฑสถานหญิงธนบุรี ถึงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าวและมีความเป็นห่วง จึงได้กําชับถึงมาตรการป้องกันโรค ตามที่กรมราชทัณฑ์กําหนด โดย นายสมศักดิ์ฯ เห็นควรให้ใช้มาตรการดังกล่าวกับเรือนจําเขต ๗ ทั้งหมด จึงขอให้เรือนจําเขต ๗ ดําเนินการ ตามมาตรการสําคัญ ๆ ดังนี้ ๑. แยกกักกันโรค ผู้ต้องขังรับใหม่ รับย้าย กลับจากโรงพยาบาลภายนอก อย่างน้อย ๑๔ วัน และต้องปฏิบัติตามกระบวนการแยกกักกันโรคที่ถูกต้องอย่างเข้มงวด ๒. งดการเยี่ยมญาติช่องทางปกติและให้มีการเยี่ยมญาติทางไลน์ทดแทน ๓. "มาตรการคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า" ด้วยการงดนําผู้ต้องขังออกทํางานภายนอกเรือนจําทุกกรณี และงดการนําบุคคลภายนอกเข้าเรือนจํา ยกเว้นมีความจําเป็น เช่น เจ็บป่วย ๔. สร้างความเข้าใจ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ต้องขังและญาติ ตลอดจนจัดให้มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดในเรือนจําช่วงระหว่างการงดเยี่ยมญาติ ๕. กําชับเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขังและญาติ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา การเว้นระยะห่างทางสังคมสังคม และ ๖. งดการจัดกิจกรรมที่ต้องนําผู้ต้องขังมารวมกันมากๆ และจัดหาหน้ากากอนามัยให้ผู้ต้องขังทุกคนอย่างน้อยคนละ ๒ ชิ้น "ขอให้ผู้บัญชาการทุกท่านรับทราบมาตรการ และจัดการให้ดี พยายามประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ทั่วถึง ทั้งตัวผู้ต้องขังและญาติ และการนําตัวผู้ต้องขังไปยังศาลจะสามารถใช้วิธีวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้หรือไม่ และหากเรือนจําไหนพิจารณาแล้วว่าจะเกิดการลุกลามให้พิจารณาล็อกดาวน์ตัวเอง สิ่งที่เราห่วงคือเรื่องของคนในเรือนจํา โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ พยายามเช็คอย่างละเอียดและไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยง ในเรือนจําต้องไม่มีโควิด" ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตฯ กล่าว จากนั้น นายสมศักดิ์ฯ ได้วีดีโอคอนเฟอเรนซ์เข้าสู่ที่ประชุม โดยระบุว่า หากพบเชื้อที่ไหนให้กําหนดจุดบริเวณนั้น และวัดระยะห่างตีกรอบพื้นที่ และให้ทุกคนพิจารณาร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริง หากจุดไหนสุ่มเสี่ยงก็ต้องปิด โดยขณะนี้ได้ตีกรอบงดเยี่ยมญาติแล้วเบื้องต้น ๑๑ เรือนจํา คือ ๑. เรือนจํากลางนครปฐม ๒. เรือนจํากลางเขาบิน ๓. เรือนจํากลางราชบุรี ๔. เรือนจํากลางสมุทรสงคราม ๕. เรือนจํากลางสมุทรสาคร ๖.เรือนจําจังหวัดกาญจนบุรี ๗. เรือนจําจังหวัดสมุทรสาคร ๘. เรือนจําอําเภอทองผาภูมิ ๙. สถานกักกันนครปฐม ๑๐. เรือนจําพิเศษธนบุรี และ ๑๑. ทัณฑสถานหญิงธนบุรี "เมื่อปิดการเยี่ยมญาติให้ผู้บัญชาการทุกท่าน ใช้การสื่อสารทางไกล ผ่านแอปพลิเคชันไลน์สื่อสารกันแทนและเพิ่มรอบการเยี่ยม วางแผนให้ดี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอื่นๆ ตามสิทธิที่ผู้ต้องขังทุกคนควรจะได้ เช่น การพบศาลผ่านวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ การฝากเงินผ่านออนไลน์ และทําความเข้าใจกับผู้ต้องขังทุกคน ไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดว่ากีดกันสิทธิเสรีภาพ จนเกิดความวุ่นวาย และขอให้ผู้บริหารทุกท่านนํามาตรการไปปฏิบัติตามสถานการณ์ หากมีปัญหาติดขัดตรงไหนให้รีบแจ้งมาทันที" นายสมศักดิ์ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต”
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. แก่นักเรียน และบุคลากร ในสถานศึกษา ให้มีเงินบํานาญรายเดือนกับ กอช. ครอบคลุมทั่วประเทศ วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ กับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ในกลุ่มนักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ให้มีเงินบํานาญรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี กับ กอช. ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือการบูรณาการการทํางานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่ผู้บริหาร นักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ภายใต้การกํากับดูแลของ สพฐ. ทั่วประเทศ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โดยความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มีความยินดี และจะร่วมส่งเสริมให้สถานศึกษาภายใต้การกํากับดูแล ได้ร่วมกันส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้รู้จักการออมเงินเพื่อวางแผนอนาคตตนเอง เพื่อความมั่นคงทางการเงิน และตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ในเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดํารงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ตระหนักถึงการออมตั้งแต่วัยเรียน เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักจัดการเงิน รู้จักเก็บออม เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย สร้างนิสัยการออมเงินเป็นประจําอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สําคัญของอนาคต สําหรับน้องนักเรียนที่ยังเรียนอยู่ สามารถบริหารแบ่งเงินค่าขนมบางส่วนมาออมไว้ เพียงเริ่มวางแผนออมเงินวันละ 1 บาท พอมีเงินครบ 50 บาท ก็สามารถนํามาออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลจะสมทบเงินเพิ่มให้ 50% ของเงินออม คิดเป็นเงิน 25 บาท สูงสุด 600 บาทต่อปี ความพิเศษของการออมเงินเพื่ออนาคตกับ กอช. ได้ประโยชน์ 4 ต่อ ดังนี้ ต่อที่ 1 รับเงินสมทบจากรัฐบาล 50 - 100% ตามช่วงอายุ ต่อที่ 2 รัฐบาลค้ําประกันผลตอบแทนจากการลงทุน ต่อที่ 3 ออมเงินตามความพร้อมของตนเอง ขั้นต่ํา 50 บาทต่อปี ต่อที่ 4 มีเงินรายเดือนไว้ใช้ในอนาคต ทั้งนี้ กอช. ถือเป็นการตอบโจทย์การออมเงินเพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงในอนาคตอย่างแท้จริง นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการออมให้ครอบคลุม ทั่วถึงประชาชนที่ไม่มีสวัสดิการบําเหน็จ บํานาญ ให้มีความมั่นคงทางการเงิน ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุด 600 บาทต่อปี อายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุด 960 บาทต่อปี อายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุด 1,200 บาทต่อปี ทั้งนี้ กอช. ได้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับสมาชิก เมื่อเทียบจากเงินฝากประจําที่ดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อตั้งกองทุน จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563) มีผลตอบแทนเฉลี่ย 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงได้มีการดําเนินงานร่วมกับสถานศึกษา โดยมีการดําเนินกิจกรรมที่สอดรับกับแผนการสร้างวินัยการออมและการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานให้แก่กลุ่มนักเรียน เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และมีวินัยในการออม รวมถึงกําหนดรูปแบบการสร้างเครือข่ายจากคณะอาจารย์ในแต่ละสถานศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบการออมให้กระจายทวีคูณ โดยมุ่งเน้นให้วางแผนทางการเงิน การออมเงิน อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ สามารถนําความรู้ไปขยายผลเพื่อพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว สังคม ชุมชน ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และส่งเสริมให้เป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีบํานาญใช้ในยามเกษียณต่อไป นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ทาง สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่คณาจารย์ ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ โดยนําร่องโรงเรียน กรุงเทพมหานคร จํานวน 119 โรงเรียน ให้ได้ตระหนักถึงวิธีการวางแผนทางการเงิน การออมเงิน ซึ่งจะขยายผลการอบรมให้ความรู้แก่ นักเรียน ในสถานศึกษา ที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้มีการวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตและสนับสนุนให้แต่ละโรงเรียนส่งเสริมการออมในสถานศึกษา และสมัครเป็นสมาชิก กอช. โดยมอบหมายให้แต่ละสถานศึกษาให้มีตัวแทน กอช. ในสถานศึกษา เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลข่าวสารของ กอช. แก่นักเรียนในสถานศึกษา พร้อมทั้งสนับสนุนให้ กอช. เป็นหนึ่งในวิชาทางเลือกให้กับนักเรียน ในโรงเรียนภายใต้การกํากับดูแลของ สพฐ. และมอบหมายให้สํานักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเป็นผู้ประสานงานกับสถานศึกษาในสังกัดแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา โดย สพฐ. ร่วมกับ กอช. ดําเนินการอบรมให้ความรู้ในเรื่องการวางแผนการเงินกับ กอช. รายละเอียดข้อมูล กอช. วิธีการสมัคร หรือ ส่งเงินออมสะสมกับ กอช. พร้อมมีการอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนการเงินมาให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย เพื่อส่งเสริมการออมให้กับบุคลากรภายใต้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อาทิ บุคลากร ครูลูกจ้าง ลูกจ้างทั่วไป กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้เข้าถึงการออมเงินกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐบาลเป็นเงินบํานาญจากรัฐครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต” วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2563 “ศธ. มอบ สพฐ. ส่งเสริมการออมให้กับนักเรียนทั่วประเทศ มุ่งให้นักเรียนมีเงินออมกับ กอช. เพิ่มความมั่นคงทางการเงินในอนาคต” กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. แก่นักเรียน และบุคลากร ในสถานศึกษา ให้มีเงินบํานาญรายเดือนกับ กอช. ครอบคลุมทั่วประเทศ วันนี้ (21 ธันวาคม 2563) ณ ห้องประชุมราชวัลลภ ชั้น 2 อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ กับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ในกลุ่มนักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ให้มีเงินบํานาญรายเดือนไว้ใช้หลังอายุ 60 ปี กับ กอช. ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ และ นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือการบูรณาการการทํางานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่ผู้บริหาร นักเรียน และบุคลากรในสถานศึกษา ภายใต้การกํากับดูแลของ สพฐ. ทั่วประเทศ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โดยความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มีความยินดี และจะร่วมส่งเสริมให้สถานศึกษาภายใต้การกํากับดูแล ได้ร่วมกันส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้รู้จักการออมเงินเพื่อวางแผนอนาคตตนเอง เพื่อความมั่นคงทางการเงิน และตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ในเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดํารงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้ตระหนักถึงการออมตั้งแต่วัยเรียน เป็นการปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักจัดการเงิน รู้จักเก็บออม เริ่มจากการเก็บเล็กผสมน้อย สร้างนิสัยการออมเงินเป็นประจําอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สําคัญของอนาคต สําหรับน้องนักเรียนที่ยังเรียนอยู่ สามารถบริหารแบ่งเงินค่าขนมบางส่วนมาออมไว้ เพียงเริ่มวางแผนออมเงินวันละ 1 บาท พอมีเงินครบ 50 บาท ก็สามารถนํามาออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รัฐบาลจะสมทบเงินเพิ่มให้ 50% ของเงินออม คิดเป็นเงิน 25 บาท สูงสุด 600 บาทต่อปี ความพิเศษของการออมเงินเพื่ออนาคตกับ กอช. ได้ประโยชน์ 4 ต่อ ดังนี้ ต่อที่ 1 รับเงินสมทบจากรัฐบาล 50 - 100% ตามช่วงอายุ ต่อที่ 2 รัฐบาลค้ําประกันผลตอบแทนจากการลงทุน ต่อที่ 3 ออมเงินตามความพร้อมของตนเอง ขั้นต่ํา 50 บาทต่อปี ต่อที่ 4 มีเงินรายเดือนไว้ใช้ในอนาคต ทั้งนี้ กอช. ถือเป็นการตอบโจทย์การออมเงินเพื่อสร้างรากฐานความมั่นคงในอนาคตอย่างแท้จริง นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่า กอช. เป็นกองทุนการออมเพื่อการเกษียณ ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการออมให้ครอบคลุม ทั่วถึงประชาชนที่ไม่มีสวัสดิการบําเหน็จ บํานาญ ให้มีความมั่นคงทางการเงิน ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุด 600 บาทต่อปี อายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุด 960 บาทต่อปี อายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุด 1,200 บาทต่อปี ทั้งนี้ กอช. ได้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับสมาชิก เมื่อเทียบจากเงินฝากประจําที่ดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อตั้งกองทุน จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563) มีผลตอบแทนเฉลี่ย 2.5% ต่อปี ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จึงได้มีการดําเนินงานร่วมกับสถานศึกษา โดยมีการดําเนินกิจกรรมที่สอดรับกับแผนการสร้างวินัยการออมและการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานให้แก่กลุ่มนักเรียน เพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และมีวินัยในการออม รวมถึงกําหนดรูปแบบการสร้างเครือข่ายจากคณะอาจารย์ในแต่ละสถานศึกษา เพื่อเป็นต้นแบบการออมให้กระจายทวีคูณ โดยมุ่งเน้นให้วางแผนทางการเงิน การออมเงิน อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ สามารถนําความรู้ไปขยายผลเพื่อพัฒนาคุณภาพความเป็นอยู่ของครอบครัว สังคม ชุมชน ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และส่งเสริมให้เป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีบํานาญใช้ในยามเกษียณต่อไป นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ทาง สพฐ. ได้ร่วมกับ กอช. ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันในการอบรมให้ความรู้แก่คณาจารย์ ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ โดยนําร่องโรงเรียน กรุงเทพมหานคร จํานวน 119 โรงเรียน ให้ได้ตระหนักถึงวิธีการวางแผนทางการเงิน การออมเงิน ซึ่งจะขยายผลการอบรมให้ความรู้แก่ นักเรียน ในสถานศึกษา ที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้มีการวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตและสนับสนุนให้แต่ละโรงเรียนส่งเสริมการออมในสถานศึกษา และสมัครเป็นสมาชิก กอช. โดยมอบหมายให้แต่ละสถานศึกษาให้มีตัวแทน กอช. ในสถานศึกษา เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลข่าวสารของ กอช. แก่นักเรียนในสถานศึกษา พร้อมทั้งสนับสนุนให้ กอช. เป็นหนึ่งในวิชาทางเลือกให้กับนักเรียน ในโรงเรียนภายใต้การกํากับดูแลของ สพฐ. และมอบหมายให้สํานักเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเป็นผู้ประสานงานกับสถานศึกษาในสังกัดแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา โดย สพฐ. ร่วมกับ กอช. ดําเนินการอบรมให้ความรู้ในเรื่องการวางแผนการเงินกับ กอช. รายละเอียดข้อมูล กอช. วิธีการสมัคร หรือ ส่งเงินออมสะสมกับ กอช. พร้อมมีการอบรมหลักสูตร “Train the Trainer: Happy Money สุขเงิน สร้างได้” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนการเงินมาให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย เพื่อส่งเสริมการออมให้กับบุคลากรภายใต้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อาทิ บุคลากร ครูลูกจ้าง ลูกจ้างทั่วไป กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีอายุ ๑๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้เข้าถึงการออมเงินกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐบาลเป็นเงินบํานาญจากรัฐครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย มาจากคัดกรองเชิงรุก 1,273 ราย มาตรวจที่โรงพยาบาล 83 ราย วันนี้(24 ธันวาคม 2563) เมื่อเวลา 18.00 น. ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรค จ.สมุทรสาคร ว่า จากการติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร พบว่า การควบคุมโรคยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้คือ ไม่มีการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว และไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนออกไปนอกพื้นที่ ผู้ที่ติดเชื้ออยู่ในสถานที่ปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกกักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง ซึ่งกักกันมาประมาณ 6 วันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยจะได้รับการดูแลรักษาที่หน่วยปฐมพยาบาลที่จัดตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 หากมีอาการมากจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาล “วันนี้ได้ประชุมหารือร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครและทีมในพื้นที่ ออกแบบการบริหารจัดการกลุ่มที่กักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง จะทดสอบตรวจหาภูมิต้านทาน ให้มั่นใจว่าบุคคลกลุ่มนี้มีความปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อแล้ว ถึงหยุดการกักกัน กลับมาดําเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่ยังต้องคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง” สําหรับ จ.สมุทรสาครมีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 96 ราย มาจากการคัดกรองเชิงรุก 89 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาล 7 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 1,356 ราย แบ่งเป็นการคัดกรองเชิงรุกรวม 1,273 ราย (คนไทย 56 ราย ต่างด้าว 1,217 ราย) จากที่คัดกรองแล้ว 12,964 ราย มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว 6,964 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาลรวม 83 ราย ยังคงรักษาอยู่ 73 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ปลัด สธ. เผยโควิด 19 สมุทรสาครเป็นไปตามแผนควบคุมโรค เตรียมตรวจภูมิคุ้มกันหลังครบกักกัน ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยการควบคุมโรคโควิด 19 จ.สมุทรสาครเป็นไปตามแผน เตรียมตรวจหาภูมิคุ้มกันกลุ่มผู้กักกันในหอพักตลาดกลางกุ้ง ให้มั่นใจว่าปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อต่อ สร้างความมั่นใจประชาชนก่อนสิ้นสุดกักกัน ส่วนผู้ป่วยโควิด 19 สมุทรสาคร รวม 1,356 ราย มาจากคัดกรองเชิงรุก 1,273 ราย มาตรวจที่โรงพยาบาล 83 ราย วันนี้(24 ธันวาคม 2563) เมื่อเวลา 18.00 น. ที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรค จ.สมุทรสาคร ว่า จากการติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 จ.สมุทรสาคร พบว่า การควบคุมโรคยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้คือ ไม่มีการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว และไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนออกไปนอกพื้นที่ ผู้ที่ติดเชื้ออยู่ในสถานที่ปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อสู่ภายนอก ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกกักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง ซึ่งกักกันมาประมาณ 6 วันแล้ว เมื่อเจ็บป่วยจะได้รับการดูแลรักษาที่หน่วยปฐมพยาบาลที่จัดตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 หากมีอาการมากจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาล “วันนี้ได้ประชุมหารือร่วมกับอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครและทีมในพื้นที่ ออกแบบการบริหารจัดการกลุ่มที่กักกันในหอพักบริเวณตลาดกลางกุ้ง จะทดสอบตรวจหาภูมิต้านทาน ให้มั่นใจว่าบุคคลกลุ่มนี้มีความปลอดภัย ไม่แพร่เชื้อแล้ว ถึงหยุดการกักกัน กลับมาดําเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่ยังต้องคงมาตรการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง” สําหรับ จ.สมุทรสาครมีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่ 96 ราย มาจากการคัดกรองเชิงรุก 89 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาล 7 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 1,356 ราย แบ่งเป็นการคัดกรองเชิงรุกรวม 1,273 ราย (คนไทย 56 ราย ต่างด้าว 1,217 ราย) จากที่คัดกรองแล้ว 12,964 ราย มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว 6,964 ราย และผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจที่โรงพยาบาลรวม 83 ราย ยังคงรักษาอยู่ 73 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ”
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจําตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” กระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ อสม.หมอประจําตัว หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” ลดความแออัดโรงพยาบาล พร้อมจัดคาราวาน 3 หมอเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนําตัวให้รู้จักชื่อ เบอร์โทร และช่องทางติดต่อเป็นครั้งแรก มีความพร้อมแล้วกว่า 5.3 ล้านครอบครัว วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะผู้บริหาร ร่วมแถลงข่าวส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” พร้อมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “3 หมอ 3 มอบ” สู่ประชาชน โดยการถ่ายทอดสดไปยังทุกจังหวัดและจากพื้นที่มายังบริเวณงานผ่านระบบออนไลน์ นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เข้มแข็งและเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพแบบชีวิตวิถีใหม่ และต่อยอดการดําเนินงานด้วยนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” ประสานการทํางานดูแลประชาชนที่บ้านและชุมชนแบบ “ใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” เพิ่มความครอบคลุมให้ได้รับบริการต่อเนื่อง ลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และส่งต่อรักษาในโรคซับซ้อนยุ่งยาก โดยหมอคนที่ 1 หมอประจําบ้าน คือ อสม.เป็นหมอใกล้ตัว แนะนําดูแลผู้ป่วยถึงบ้านและสุขภาพของคนในชุมชน 1 คนดูแลประชาชน 10-20 หลังคาเรือน หมอคนที่ 2 หมอสาธารณสุข คือ บุคลากรในสถานบริการปฐมภูมิ ให้การรักษาและส่งต่อ รวมถึงดูแลสุขภาพให้คําแนะนําประชาชนในทุกมิติ 1 คนดูแลประชาชน 1,250 – 2,500 คน และหมอคนที่ 3 หมอครอบครัว คือ แพทย์ในโรงพยาบาล รับการส่งต่อ 1 คนดูแลประชาชน 8,000 – 12,000 คน โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนรู้รายชื่อหมอประจําตัว 3 คนของตนเอง นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งมอบของขวัญปีใหม่ "คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน" ให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน 3 หมอ 3 มอบ ได้แก่ 1.มอบบัตรแนะนําตัว 3 หมอ ให้แก่ทุกครัวเรือน โดยในบัตรจะมีชื่อ ชื่อเล่น หมายเลขโทรศัพท์ทั้ง 3 คน ทั้งรูปแบบ E-Card โปสการ์ด โปสเตอร์ หรือชุดบัตรแนะนําตัว 3 หมอ พร้อมความรู้ ตารางนัดหมายและบันทึกสุขภาพ 2. มอบการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียงถึงที่บ้าน พร้อมชุดของขวัญปีใหม่ 2564 และ 3. มอบคําแนะนํา ปรึกษา รักษา ประสานงาน และส่งต่อ ซึ่งจะใช้แอปพลิเคชันในระบบให้คําแนะนํา ปรึกษา คือ แอปพลิเคชัน 3 หมอ รู้จักคุณ และแอปพลิเคชัน คุยกับหมอ รวมทั้งให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ จัดทํา Line official : @Ganja Chatbot กัญชาแชตบอท ใช้ปัญญาประดิษฐ์ตอบคําถามเรื่องกัญชาทางการแพทย์แผนไทยแบบอัตโนมัติกว่า 100 เรื่อง และมีทีม 3 หมอช่วยตอบคําถามที่ไม่มีอยู่ในระบบแชตบอท เพิ่มช่องทางการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์แผนไทยที่เชื่อถือได้จากบุคลากรทางการแพทย์แผนไทย “การมอบของขวัญปีใหม่ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่คนไทยทุกครอบครัว จะได้ทราบชื่อ เบอร์โทร และช่องทางให้คําปรึกษาจากหมอประจําตัว 3 คนของตนเอง ทุกพื้นที่ได้มีระบบการมอบหมายหมอประจําตัว 3 คนของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลระบบ 3 หมอเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 มีครอบครัวที่มีชื่อหมอประจําตัว 3 คนแล้ว 5,309,237 ครอบครัว โดยวันนี้มีการปล่อยคาราวาน 3 หมอไปยังทุกจังหวัด ไปเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนําตัว ทําความรู้จัก และส่งมอบชุดของขวัญปีใหม่แก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง” นายอนุทิน กล่าว ************************************* 24 ธันวาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 สธ.มอบของขวัญปีใหม่ 2564 คนไทยทุกคนมีหมอประจําตัว 3 คน “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” กระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” คือ อสม.หมอประจําตัว หมอสาธารณสุข และหมอครอบครัว “ดูแลใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” ลดความแออัดโรงพยาบาล พร้อมจัดคาราวาน 3 หมอเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนําตัวให้รู้จักชื่อ เบอร์โทร และช่องทางติดต่อเป็นครั้งแรก มีความพร้อมแล้วกว่า 5.3 ล้านครอบครัว วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะผู้บริหาร ร่วมแถลงข่าวส่งความสุขมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “คนไทยทุกครอบครัว มีหมอประจําตัว 3 คน” พร้อมส่งมอบของขวัญปีใหม่ 2564 “3 หมอ 3 มอบ” สู่ประชาชน โดยการถ่ายทอดสดไปยังทุกจังหวัดและจากพื้นที่มายังบริเวณงานผ่านระบบออนไลน์ นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เข้มแข็งและเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โรคโควิด 19 ได้พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพแบบชีวิตวิถีใหม่ และต่อยอดการดําเนินงานด้วยนโยบาย “คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน” ประสานการทํางานดูแลประชาชนที่บ้านและชุมชนแบบ “ใกล้ตัว ใกล้บ้าน ใกล้ใจ” เพิ่มความครอบคลุมให้ได้รับบริการต่อเนื่อง ลดการเดินทาง ลดความแออัดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เน้นการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และส่งต่อรักษาในโรคซับซ้อนยุ่งยาก โดยหมอคนที่ 1 หมอประจําบ้าน คือ อสม.เป็นหมอใกล้ตัว แนะนําดูแลผู้ป่วยถึงบ้านและสุขภาพของคนในชุมชน 1 คนดูแลประชาชน 10-20 หลังคาเรือน หมอคนที่ 2 หมอสาธารณสุข คือ บุคลากรในสถานบริการปฐมภูมิ ให้การรักษาและส่งต่อ รวมถึงดูแลสุขภาพให้คําแนะนําประชาชนในทุกมิติ 1 คนดูแลประชาชน 1,250 – 2,500 คน และหมอคนที่ 3 หมอครอบครัว คือ แพทย์ในโรงพยาบาล รับการส่งต่อ 1 คนดูแลประชาชน 8,000 – 12,000 คน โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนรู้รายชื่อหมอประจําตัว 3 คนของตนเอง นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 นี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งมอบของขวัญปีใหม่ "คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน" ให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ผ่าน 3 หมอ 3 มอบ ได้แก่ 1.มอบบัตรแนะนําตัว 3 หมอ ให้แก่ทุกครัวเรือน โดยในบัตรจะมีชื่อ ชื่อเล่น หมายเลขโทรศัพท์ทั้ง 3 คน ทั้งรูปแบบ E-Card โปสการ์ด โปสเตอร์ หรือชุดบัตรแนะนําตัว 3 หมอ พร้อมความรู้ ตารางนัดหมายและบันทึกสุขภาพ 2. มอบการดูแลผู้สูงอายุติดบ้าน ติดเตียงถึงที่บ้าน พร้อมชุดของขวัญปีใหม่ 2564 และ 3. มอบคําแนะนํา ปรึกษา รักษา ประสานงาน และส่งต่อ ซึ่งจะใช้แอปพลิเคชันในระบบให้คําแนะนํา ปรึกษา คือ แอปพลิเคชัน 3 หมอ รู้จักคุณ และแอปพลิเคชัน คุยกับหมอ รวมทั้งให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ จัดทํา Line official : @Ganja Chatbot กัญชาแชตบอท ใช้ปัญญาประดิษฐ์ตอบคําถามเรื่องกัญชาทางการแพทย์แผนไทยแบบอัตโนมัติกว่า 100 เรื่อง และมีทีม 3 หมอช่วยตอบคําถามที่ไม่มีอยู่ในระบบแชตบอท เพิ่มช่องทางการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์แผนไทยที่เชื่อถือได้จากบุคลากรทางการแพทย์แผนไทย “การมอบของขวัญปีใหม่ปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่คนไทยทุกครอบครัว จะได้ทราบชื่อ เบอร์โทร และช่องทางให้คําปรึกษาจากหมอประจําตัว 3 คนของตนเอง ทุกพื้นที่ได้มีระบบการมอบหมายหมอประจําตัว 3 คนของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลระบบ 3 หมอเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 มีครอบครัวที่มีชื่อหมอประจําตัว 3 คนแล้ว 5,309,237 ครอบครัว โดยวันนี้มีการปล่อยคาราวาน 3 หมอไปยังทุกจังหวัด ไปเคาะประตูบ้าน มอบบัตรแนะนําตัว ทําความรู้จัก และส่งมอบชุดของขวัญปีใหม่แก่ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง” นายอนุทิน กล่าว ************************************* 24 ธันวาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพิจารณาการขอรับการจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และการขอจัดตั้ง Sub Call Center เพื่อให้บริการตอบข้อซักถามและข้อร้องเรียนของประชาชน โดยผ่านบริการโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center: GCC 1111) ครั้งที่ 7/2563 โดยมีเจ้าหน้าที่และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน ดีอีเอส เตรียมจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) พร้อมจัดตั้ง Sub Call Center ให้บริการตอบข้อซักถาม-ข้อร้องเรียนของประชาชน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานพิจารณาการขอรับการจัดสรรหมายเลขโทรคมนาคมพิเศษ (แบบสั้น ๔ หลัก) ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และการขอจัดตั้ง Sub Call Center เพื่อให้บริการตอบข้อซักถามและข้อร้องเรียนของประชาชน โดยผ่านบริการโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center: GCC 1111) ครั้งที่ 7/2563 โดยมีเจ้าหน้าที่และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยกําหนดมาตรการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ตั้งเป้าลดจํานวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุในระดับจังหวัดและอําเภอที่มีความเสี่ยงสูงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ การช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ และด้านการบริหารจัดการให้เป็นตามแผน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเดินทางไป – กลับ ภูมิลําเนาด้วยความปลอดภัยและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ อย่างมีความสุข “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 แผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 โดยกําหนดมาตรการรณรงค์ภายใต้หัวข้อ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” ตั้งเป้าลดจํานวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุในระดับจังหวัดและอําเภอที่มีความเสี่ยงสูงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับสถิติในช่วง 3 ปีย้อนหลัง ผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านคน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ลดปัจจัยเสี่ยงด้านถนนและสภาพแวดล้อม ลดปัจจัยเสี่ยงด้านยานพาหนะ การช่วยเหลือหลังเกิดอุบัติเหตุ และด้านการบริหารจัดการให้เป็นตามแผน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเดินทางไป – กลับ ภูมิลําเนาด้วยความปลอดภัยและเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ อย่างมีความสุข “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สําหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สําหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี จากนางสาวชื่นฤทัย วุฒิภัทรปิยชาติ และนายพิศาล ลิขิตกุลผู้บริหารบริษัท เอสซีเวอร์ค จํากัด และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ บริษัท ทูโก จํากัด เพื่อนําไปช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในความดูแลของกระทรวง พม. นางจตุพร กล่าวว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท เอสซีเวอร์ค จํากัด และบริษัท ทูโก จํากัด ที่เล็งเห็นถึงความสําคัญด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม Electrolyte ภายใต้ชื่อ ลาซารัส สําหรับทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี ให้กับกระทรวง พม. ซึ่งในวันนี้ จะมีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ครั้งที่ 1 จํานวน 154.90 ลิตร และจะส่งมอบครั้งที่ 2 อีกจํานวน 197.60 ลิตร รวมทั้งสิ้น 352 ลิตร ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะส่งต่อผลิตภัณฑ์ไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ภายใต้สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ จํานวน 12 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ภายใต้สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จํานวน 22 แห่งทั่วประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สําหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 พม. รับมอบผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค “ลาซารัส” สําหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในสถานการณ์โรคโควิด-19 วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ นางจตุพร โรจนพานิช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รับมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี จากนางสาวชื่นฤทัย วุฒิภัทรปิยชาติ และนายพิศาล ลิขิตกุลผู้บริหารบริษัท เอสซีเวอร์ค จํากัด และนางสาวปุณยนุช วรนิธิพงศ์ บริษัท ทูโก จํากัด เพื่อนําไปช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ในความดูแลของกระทรวง พม. นางจตุพร กล่าวว่า กระทรวง พม. ขอขอบคุณบริษัท เอสซีเวอร์ค จํากัด และบริษัท ทูโก จํากัด ที่เล็งเห็นถึงความสําคัญด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยได้มอบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม Electrolyte ภายใต้ชื่อ ลาซารัส สําหรับทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ปราศจากแอลกอฮอล์และไร้สารเคมี ให้กับกระทรวง พม. ซึ่งในวันนี้ จะมีการส่งมอบผลิตภัณฑ์ ลาซารัส ครั้งที่ 1 จํานวน 154.90 ลิตร และจะส่งมอบครั้งที่ 2 อีกจํานวน 197.60 ลิตร รวมทั้งสิ้น 352 ลิตร ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะส่งต่อผลิตภัณฑ์ไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ภายใต้สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ จํานวน 12 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการ และสถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการ ภายใต้สังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จํานวน 22 แห่งทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำหนดลักษณะงานที่ห้ามนำกลับไปทำที่บ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 กําหนดลักษณะงานที่ห้ามนํากลับไปทําที่บ้าน วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบกฎหมายกําหนดลักษณะงานที่ห้ามผู้จ้างงาน จ้างผู้รับงานไปทําที่บ้าน เพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทํางาน ประกอบด้วย งานเกี่ยวกับความร้อนจัดอันอาจเป็นอันตราย ซึ่งจะทําให้ระดับความร้อนภายในบ้าน เกิน 34 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นค่าดัชนีวัดสภาพความร้อนในสิ่งแวดล้อมการทํางาน ในเวลาทํางาน 2 ชั่วโมงติดต่อกัน รวมไปถึงงานอื่นที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น งานที่เกี่ยวกับเลื่อยสายพาน ซึ่งมีเสียงดังเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางาน 8 ชั่วโมง เกินกว่า 85 เดซิเบล ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทํางานและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กำหนดลักษณะงานที่ห้ามนำกลับไปทำที่บ้าน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 กําหนดลักษณะงานที่ห้ามนํากลับไปทําที่บ้าน วันพุธที่ 23 ธันวาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบกฎหมายกําหนดลักษณะงานที่ห้ามผู้จ้างงาน จ้างผู้รับงานไปทําที่บ้าน เพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทํางาน ประกอบด้วย งานเกี่ยวกับความร้อนจัดอันอาจเป็นอันตราย ซึ่งจะทําให้ระดับความร้อนภายในบ้าน เกิน 34 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นค่าดัชนีวัดสภาพความร้อนในสิ่งแวดล้อมการทํางาน ในเวลาทํางาน 2 ชั่วโมงติดต่อกัน รวมไปถึงงานอื่นที่อาจกระทบต่อสุขภาพ ความปลอดภัย หรือคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น งานที่เกี่ยวกับเลื่อยสายพาน ซึ่งมีเสียงดังเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางาน 8 ชั่วโมง เกินกว่า 85 เดซิเบล ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการทํางานและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37875
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำ “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 โฆษก ศบค. ย้ํา “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ โฆษก ศบค. ย้ํา “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็กและปีใหม่จัดได้ พิจารณาจากสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 12.15 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยืนยันไม่มีการพิจารณาล็อคดาวน์ในที่ประชุม พร้อมแบ่งพื้นที่ตามสถานการณ์ 4 พื้นที่ 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2) พื้นที่ควบคุม 3) พื้นที่เฝ้าระวัง และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง โฆษก ศบค. กล่าวรายละเอียด 4 พื้นที่ แบ่งเป็น 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อจํานวนมากและมีมากกว่า 1 พื้นที่ (ย่อย) จะต้องเร่งรัดการตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มบุคคลที่เสี่ยง และกิจกรรม/กิจกรรมที่เสี่ยง แยกกักผู้ติดเชื้อด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ตามขีดความสามารถ โดยมอบกระทรวงกลาโหมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข พร้อมพิจารณาเยียวยาและดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ติดเชื้อ ย้ําทุกคนสวมหน้ากากอนามัย 100% เน้นการทําความสะอาดบริเวณจุดสัมผัส หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจํานวนมาก การติดตั้ง Application หมอชนะ เพิ่มเติมจากการใช้ Application ไทยชนะ การเปิด – ปิดสถานประกอบการที่มีความจําเป็น ห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายเข้า – ออกจากพื้นที่เด็ดขาด ควบคุมการเข้า - ออกยานพาหนะและบุคคลคนไทย โดยไม่ให้กระทบต่อการค้าและการอุตสาหกรรมมากเกินความจําเป็น ให้มีการจัดตั้งด่านตรวจคนคัดกรอง จุดสกัด และสายตรวจ เพื่อให้มีการควบคุมและจํากัดการเข้า – ออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มาตรการ Work From Home อย่างเต็มขีดความสามารถ อีกทั้ง สถานศึกษาปรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนจํานวนมาก 2) พื้นที่ควบคุม พื้นที่ที่ติดกับพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 10 ราย และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว งดจัดกิจกรรมสาธารณะ ยกเว้นกิจกรรมที่จํากัดจํานวนคน หรือกิจกรรมสําหรับคนรู้จักคุ้นเคย ไม่ใช่กรณีที่มีคนจํานวนหลายร้อยคน 3) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อไม่เกิน 10 ราย แต่มีแนวโน้มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ และยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีผู้ติดเชื้อ ซึ่งนําไปสู่การแบ่งพื้นที่เพื่อออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งนี้ สถานประกอบการยังเปิดดําเนินการได้ การประมงสามารถดําเนินการได้แต่ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนการออกเรือ ทั้งนี้ ในส่วนของอาหารที่นําขึ้นมาจากทะเลต้องมีการตรวจหาเชื้อ โดยให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขสร้างความมั่นใจตรวจหาเชื้อในสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยมั่นใจบริโภคและการส่งออกของประเทศอีกด้วย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอํานาจใช้ข้อกําหนด ข้อพิจารณาออกมาตรการต่าง ๆ ออกมา นายกรัฐมนตรีได้มอบให้โฆษก ศบค. เป็นผู้แถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์โควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนรับทราบทุกวัน โดยจะเป็นชุดข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือ update แถลงอย่างเป็นทางการให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบต่อไปในเวลา 11.30 น. ทุกวัน จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนติดตามรับฟังข้อมูลจากการแถลงดังกล่าวเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริงไปในทิศทางเดียวกัน ป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน สําหรับการจัดกิจกรรมในช่วงปีใหม่นั้น สามารถจัดกิจกรรมปีใหม่ได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุด งดการจัดกิจรรมฉลองทุกชนิด เว้นแต่การจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ พื้นที่ควบคุม งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะแต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่จํากัดผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือกิจกรรมที่มีเฉพาะผู้ที่รู้จักคุ้นเคยได้ (เช่น เพื่อนคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน จํานวนไม่มาก) หรือพิจารณาจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังนั้น สามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ลดขนาดงานให้เล็กลงมีมาตรการลดความหนาแน่นของผู้ร่วมกิจกรรม และมีมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดความคับคั่ง ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ยืนยันว่าการจัดกิจกรรมวันเด็กและปีใหม่สามารถทําได้โดยพิจารณาตามสถานการณ์และสถานะ ณ วันนั้นของแต่ละพื้นที่ประกอบด้วย สําหรับสถานการณ์โควิด-19 ในไทยวันนี้พบผู้ป่วยใหม่ 67 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 58 ราย โดย 1 ราย เป็นหญิงชาวกัมพูชา เดินทางมาจากกัมพูชาตามเส้นทางธรรมชาติแล้วไม่เข้าสถานที่กักกัน 8 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ส่วนรายที่ 10 – 67 เป็นผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร และเดินทางไปหลายจังหวัด ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงขณะนี้มีจํานวนรวม 1,273 ราย ขณะที่ สถานการณ์โควิด-19 โลก มีผู้ป่วยรวม 79 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 1.7 ล้านคน โดยเมียนมามีผู้ป่วยใหม่ 923 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 143 ศปม. โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รายงานพื้นที่ควบคุมสูงสุดของจังหวัดสมุทรสาคร มี 20 ไร่ มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 4,000 คน เป็นต่างด้าว 3,800 คน คนไทย 200 คน มีการวางลวดหนาม ติดตั้งไฟส่องสว่าง มีรถชุดเคลื่อนที่ตรวจภายใน 6 จุดลาดตระเวนโดยรอบ พร้อมชุดตรวจร่วมเพื่อบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ใน 7 พื้นที่ ตั้งจุดตรวจร่วม 12 จุดเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวออกนอกจังหวัดทั้งทางบกและทางทะเล นอกจากนี้ พื้นที่รอบนอกจังหวัดสมุทรสาคร ตํารวจภูธรภาค 7 ได้ตั้งชุดตรวจร่วม 13 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดโดยรอบเพื่อควบคุมการเดินทางออกจากสมุทรสาคร รวมทั้งมีการยกระดับเพิ่มกําลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจตระเวนชายแดน บริเวณแนวชายแดนตลอด 24 ชม. ที่จังหวัดกาญจนบุรี 3 จุด ตาก 8 จุด เชียงราย 24 จุด ระนอง 15 จุด สงขลา 5 จุด รวม 55 จุด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือชาวต่างประเทศที่อยู่โดยรอบประเทศไทย ขอให้อยู่ในที่ตั้ง ไม่ต้องเดินทางเข้ามาในขณะนี้ โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ตอบคําถามต่อสื่อมวลชนกรณีการจัดงานฉลองวันปีใหม่ พ.ศ. 2564 ว่า ขอความร่วมมือให้งดจัดงานฉลองในพื้นที่ควบคุมสูงสุด สําหรับพื้นที่ควบคุมและพื้นที่อื่น ๆ ให้พิจารณาจัดงานฉลองกันในเครือญาติ หรือในลักษณะพบปะกันภายในครอบครัวในที่อยู่อาศัย และขอความร่วมมือผู้จัดงานฉลองปีใหม่ให้หลีกเลี่ยงการจัดงาน เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าคนที่ร่วมงานเดินทางมาจากไหนบ้าง หรือจะมีผู้เข้าร่วมงานกี่คน สําหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากจังหวัดสมุทรสาคร โดยรัฐบาลให้ความสําคัญในการดูแลประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยผู้ที่จะเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั้นต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามที่สาธารณสุขกําหนด อาทิ สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยง มีอาการเจ็บป่วย เป็นโรคปอดอักเสบ หรือสามารถใช้สิทธิตามสิทธิบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิข้าราชการ หรือ สิทธิประกันสังคม รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในฐานะคนทํางาน หากนายจ้างสามารถยืนยันการสัมผัสกลุ่มเสี่ยง หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงก็สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่าจะดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยืนยัน ขณะนี้ มีจังหวัดสมุทรสาครเพียงจังหวัดเดียวที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประชาชนยังเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือหลังจากนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามการประกาศเพิ่มเติมของแต่ละพื้นที่เป็นระยะ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ําเสมอ และเว้นระยะห่าง ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำ “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 โฆษก ศบค. ย้ํา “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็ก-ปีใหม่จัดได้ พิจารณาสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ โฆษก ศบค. ย้ํา “ไม่มีล็อคดาวน์ประเทศ” แบ่ง 4 พื้นที่ บริหารตามสถานการณ์ ขอให้ติดตามการแถลงข่าวโควิด-19 ทุกวัน กิจกรรมวันเด็กและปีใหม่จัดได้ พิจารณาจากสถานการณ์ของพื้นที่ในแต่ละวันประกอบ วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 12.15 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยืนยันไม่มีการพิจารณาล็อคดาวน์ในที่ประชุม พร้อมแบ่งพื้นที่ตามสถานการณ์ 4 พื้นที่ 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2) พื้นที่ควบคุม 3) พื้นที่เฝ้าระวัง และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง โฆษก ศบค. กล่าวรายละเอียด 4 พื้นที่ แบ่งเป็น 1) พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อจํานวนมากและมีมากกว่า 1 พื้นที่ (ย่อย) จะต้องเร่งรัดการตรวจหาผู้ติดเชื้อในพื้นที่เสี่ยง กลุ่มบุคคลที่เสี่ยง และกิจกรรม/กิจกรรมที่เสี่ยง แยกกักผู้ติดเชื้อด้วยการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ตามขีดความสามารถ โดยมอบกระทรวงกลาโหมสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข พร้อมพิจารณาเยียวยาและดูแลความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ติดเชื้อ ย้ําทุกคนสวมหน้ากากอนามัย 100% เน้นการทําความสะอาดบริเวณจุดสัมผัส หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจํานวนมาก การติดตั้ง Application หมอชนะ เพิ่มเติมจากการใช้ Application ไทยชนะ การเปิด – ปิดสถานประกอบการที่มีความจําเป็น ห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายเข้า – ออกจากพื้นที่เด็ดขาด ควบคุมการเข้า - ออกยานพาหนะและบุคคลคนไทย โดยไม่ให้กระทบต่อการค้าและการอุตสาหกรรมมากเกินความจําเป็น ให้มีการจัดตั้งด่านตรวจคนคัดกรอง จุดสกัด และสายตรวจ เพื่อให้มีการควบคุมและจํากัดการเข้า – ออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้มาตรการ Work From Home อย่างเต็มขีดความสามารถ อีกทั้ง สถานศึกษาปรับรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนจํานวนมาก 2) พื้นที่ควบคุม พื้นที่ที่ติดกับพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 10 ราย และมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว งดจัดกิจกรรมสาธารณะ ยกเว้นกิจกรรมที่จํากัดจํานวนคน หรือกิจกรรมสําหรับคนรู้จักคุ้นเคย ไม่ใช่กรณีที่มีคนจํานวนหลายร้อยคน 3) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อไม่เกิน 10 ราย แต่มีแนวโน้มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และ 4) พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ และยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีผู้ติดเชื้อ ซึ่งนําไปสู่การแบ่งพื้นที่เพื่อออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งนี้ สถานประกอบการยังเปิดดําเนินการได้ การประมงสามารถดําเนินการได้แต่ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนการออกเรือ ทั้งนี้ ในส่วนของอาหารที่นําขึ้นมาจากทะเลต้องมีการตรวจหาเชื้อ โดยให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขสร้างความมั่นใจตรวจหาเชื้อในสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยมั่นใจบริโภคและการส่งออกของประเทศอีกด้วย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีอํานาจใช้ข้อกําหนด ข้อพิจารณาออกมาตรการต่าง ๆ ออกมา นายกรัฐมนตรีได้มอบให้โฆษก ศบค. เป็นผู้แถลงข่าวชี้แจงสถานการณ์โควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนรับทราบทุกวัน โดยจะเป็นชุดข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือ update แถลงอย่างเป็นทางการให้สื่อมวลชนและประชาชนได้รับทราบต่อไปในเวลา 11.30 น. ทุกวัน จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนติดตามรับฟังข้อมูลจากการแถลงดังกล่าวเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริงไปในทิศทางเดียวกัน ป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน สําหรับการจัดกิจกรรมในช่วงปีใหม่นั้น สามารถจัดกิจกรรมปีใหม่ได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุด งดการจัดกิจรรมฉลองทุกชนิด เว้นแต่การจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ พื้นที่ควบคุม งดการจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะแต่ผ่อนผันให้จัดกิจกรรมที่จํากัดผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือกิจกรรมที่มีเฉพาะผู้ที่รู้จักคุ้นเคยได้ (เช่น เพื่อนคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน จํานวนไม่มาก) หรือพิจารณาจัดกิจกรรมแบบออนไลน์ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังนั้น สามารถจัดกิจกรรมได้ แต่ลดขนาดงานให้เล็กลงมีมาตรการลดความหนาแน่นของผู้ร่วมกิจกรรม และมีมาตรการควบคุมไม่ให้เกิดความคับคั่ง ทั้งนี้ โฆษก ศบค. ยืนยันว่าการจัดกิจกรรมวันเด็กและปีใหม่สามารถทําได้โดยพิจารณาตามสถานการณ์และสถานะ ณ วันนั้นของแต่ละพื้นที่ประกอบด้วย สําหรับสถานการณ์โควิด-19 ในไทยวันนี้พบผู้ป่วยใหม่ 67 ราย เป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 58 ราย โดย 1 ราย เป็นหญิงชาวกัมพูชา เดินทางมาจากกัมพูชาตามเส้นทางธรรมชาติแล้วไม่เข้าสถานที่กักกัน 8 ราย เป็นผู้ที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ ส่วนรายที่ 10 – 67 เป็นผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร และเดินทางไปหลายจังหวัด ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวที่ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงขณะนี้มีจํานวนรวม 1,273 ราย ขณะที่ สถานการณ์โควิด-19 โลก มีผู้ป่วยรวม 79 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 1.7 ล้านคน โดยเมียนมามีผู้ป่วยใหม่ 923 คน ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 143 ศปม. โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รายงานพื้นที่ควบคุมสูงสุดของจังหวัดสมุทรสาคร มี 20 ไร่ มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 4,000 คน เป็นต่างด้าว 3,800 คน คนไทย 200 คน มีการวางลวดหนาม ติดตั้งไฟส่องสว่าง มีรถชุดเคลื่อนที่ตรวจภายใน 6 จุดลาดตระเวนโดยรอบ พร้อมชุดตรวจร่วมเพื่อบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ใน 7 พื้นที่ ตั้งจุดตรวจร่วม 12 จุดเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวออกนอกจังหวัดทั้งทางบกและทางทะเล นอกจากนี้ พื้นที่รอบนอกจังหวัดสมุทรสาคร ตํารวจภูธรภาค 7 ได้ตั้งชุดตรวจร่วม 13 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดโดยรอบเพื่อควบคุมการเดินทางออกจากสมุทรสาคร รวมทั้งมีการยกระดับเพิ่มกําลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตํารวจตระเวนชายแดน บริเวณแนวชายแดนตลอด 24 ชม. ที่จังหวัดกาญจนบุรี 3 จุด ตาก 8 จุด เชียงราย 24 จุด ระนอง 15 จุด สงขลา 5 จุด รวม 55 จุด ทั้งนี้ ขอความร่วมมือชาวต่างประเทศที่อยู่โดยรอบประเทศไทย ขอให้อยู่ในที่ตั้ง ไม่ต้องเดินทางเข้ามาในขณะนี้ โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ตอบคําถามต่อสื่อมวลชนกรณีการจัดงานฉลองวันปีใหม่ พ.ศ. 2564 ว่า ขอความร่วมมือให้งดจัดงานฉลองในพื้นที่ควบคุมสูงสุด สําหรับพื้นที่ควบคุมและพื้นที่อื่น ๆ ให้พิจารณาจัดงานฉลองกันในเครือญาติ หรือในลักษณะพบปะกันภายในครอบครัวในที่อยู่อาศัย และขอความร่วมมือผู้จัดงานฉลองปีใหม่ให้หลีกเลี่ยงการจัดงาน เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าคนที่ร่วมงานเดินทางมาจากไหนบ้าง หรือจะมีผู้เข้าร่วมงานกี่คน สําหรับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากจังหวัดสมุทรสาคร โดยรัฐบาลให้ความสําคัญในการดูแลประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยผู้ที่จะเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนั้นต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามที่สาธารณสุขกําหนด อาทิ สัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยง มีอาการเจ็บป่วย เป็นโรคปอดอักเสบ หรือสามารถใช้สิทธิตามสิทธิบัตรประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สิทธิข้าราชการ หรือ สิทธิประกันสังคม รวมไปถึงแรงงานต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในฐานะคนทํางาน หากนายจ้างสามารถยืนยันการสัมผัสกลุ่มเสี่ยง หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงก็สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมยืนยันว่าจะดูแลแรงงานต่างด้าวให้ดีที่สุด ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ยืนยัน ขณะนี้ มีจังหวัดสมุทรสาครเพียงจังหวัดเดียวที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ประชาชนยังเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือหลังจากนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามการประกาศเพิ่มเติมของแต่ละพื้นที่เป็นระยะ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ําเสมอ และเว้นระยะห่าง ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37885
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยกระดับของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้มข้นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีมาตรการยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2. พื้นที่ควบคุม 3. พื้นที่เฝ้าระวังสูง และ 4. พื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะผ่านการพิจารณาจากผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการสถานศึกษา สถานที่ทํางาน โดยเฉพาะมาตรการการจัดกิจกรรมสาธารณะที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลที่ไม่สามารถจํากัดจํานวนได้ อย่างไรก็ตามการดําเนินมาตรการต่าง ๆ ต้องคํานึงถึงความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะเกิดขึ้น ขณะที่กรมควบคุมโรคได้เร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสถานประกอบการค้าสัตว์น้ํา และในบางพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศด้วย ในระยะนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันทําให้บ้านเมืองปลอดภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแรงงานต่างด้าวว่า วันนี้แรงงานต่างด้าวควรอยู่ในพื้นที่เพื่อแยกให้ชัดเจนระหว่างผู้มีความเสี่ยงมากกับผู้ที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะมีการพิจารณามาตรการในการให้แรงงานต่างด้าวทํางานได้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากตอนนี้ผู้ประกอบการยังต้องการแรงงานเป็นจํานวนมาก โดยจะยังไม่มีการลงโทษแรงงานที่ผิดกฎหมายแต่จะต้องตรวจสอบและขึ้นบัญชีให้เรียบร้อย เพื่อให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบตามความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง โดยเน้นผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้มอบอํานาจลงไปแล้วให้เน้นดูแลพื้นที่รวมทั้งปราบปรามการทุจริต นายกรัฐมนตรียืนยันว่าโรคโควิด-19 สามารถรักษาได้ ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมดูแลคนในประเทศทั้ง 70 ล้านคน ทั้งนี้ สาธารณสุขมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ มั่นใจทุกคนให้ความร่วมมือตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ” โดยในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังกล่าวผ่านการแถลงข่าวว่า “คนไทยทั้งประเทศ ลุงตู่ห่วงใย” ด้วย ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน นายกรัฐมนตรีแถลงหลังประชุม ศบค. ชุดใหญ่ เผยไม่ล็อคดาวน์แต่แบ่งโซนนิ่ง บริหารพื้นที่ตามสถานการณ์ ยืนยันดูแลคนในประเทศไทยทั้ง 70 ล้านคน วันนี้ (24 ธ.ค. 63) เวลา 11.50 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยกระดับของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้มข้นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีมาตรการยกระดับความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. พื้นที่ควบคุมสูงสุด 2. พื้นที่ควบคุม 3. พื้นที่เฝ้าระวังสูง และ 4. พื้นที่เฝ้าระวัง ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะผ่านการพิจารณาจากผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมาตรการสถานศึกษา สถานที่ทํางาน โดยเฉพาะมาตรการการจัดกิจกรรมสาธารณะที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลที่ไม่สามารถจํากัดจํานวนได้ อย่างไรก็ตามการดําเนินมาตรการต่าง ๆ ต้องคํานึงถึงความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว รวมทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กําลังจะเกิดขึ้น ขณะที่กรมควบคุมโรคได้เร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสถานประกอบการค้าสัตว์น้ํา และในบางพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศด้วย ในระยะนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันทําให้บ้านเมืองปลอดภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงแรงงานต่างด้าวว่า วันนี้แรงงานต่างด้าวควรอยู่ในพื้นที่เพื่อแยกให้ชัดเจนระหว่างผู้มีความเสี่ยงมากกับผู้ที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะมีการพิจารณามาตรการในการให้แรงงานต่างด้าวทํางานได้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากตอนนี้ผู้ประกอบการยังต้องการแรงงานเป็นจํานวนมาก โดยจะยังไม่มีการลงโทษแรงงานที่ผิดกฎหมายแต่จะต้องตรวจสอบและขึ้นบัญชีให้เรียบร้อย เพื่อให้คนเหล่านี้เข้าสู่ระบบตามความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง โดยเน้นผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้มอบอํานาจลงไปแล้วให้เน้นดูแลพื้นที่รวมทั้งปราบปรามการทุจริต นายกรัฐมนตรียืนยันว่าโรคโควิด-19 สามารถรักษาได้ ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมดูแลคนในประเทศทั้ง 70 ล้านคน ทั้งนี้ สาธารณสุขมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ มั่นใจทุกคนให้ความร่วมมือตามแนวทาง “รวมไทย สร้างชาติ” โดยในตอนท้ายนายกรัฐมนตรียังกล่าวผ่านการแถลงข่าวว่า “คนไทยทั้งประเทศ ลุงตู่ห่วงใย” ด้วย ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37886
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) เวลา 9.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 เพื่อหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดนมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 การประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (24 ธันวาคม 2563) เวลา 9.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4-2/2564 เพื่อหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจราชการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดนมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเข้าร่วมด้วย ณ ห้องประชุมชุณวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37889
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทําที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เผยข่าวดีต้อนรับปีใหม่ 2564 สําหรับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อปี หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 5 ชิ้น ที่กระทรวงแรงงานเตรียมไว้มอบให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมกองทุนฯ ร้อยละ 0 ต่อปี นับเป็นของขวัญ 1 ใน 5 จากกระทรวงแรงงานที่มอบให้กับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้ โดยของขวัญทั้ง 5 ชิ้น ประกอบด้วย ชิ้นที่ 1 ลดเงินสมทบให้นายจ้างและผู้ประกันตน ชิ้นที่ 2 เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ชิ้นที่ 3 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมกองทุนรับงานไปทําที่บ้าน ชิ้นที่ 4 อบรมความปลอดภัยในการทํางานฟรี 10,000 คน และ ชิ้นที่ 5 ฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานออนไลน์ฟรี “นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบเป็นอย่างยิ่งและมีความตั้งใจที่จะมอบของขวัญให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม เพราะแรงงานเป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ท่านได้กําชับให้ดูแลแรงงานนอกระบบให้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริม คุ้มครอง และ พัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ” รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยว่า ในส่วนของของขวัญจากกรมการจัดหางานนั้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการดําเนินการของผู้รับงานไปทําที่บ้าน ประกอบกับมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทําให้ขาดเงินทุนที่จะนําไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิต จึงได้พิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯเป็นของขวัญปีใหม่ โดยให้ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2563 – 31 สิงหาคม 2564 และทําสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาท ผู้กู้รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท “ คุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จํานวน 1,013 ราย/กลุ่ม สมาชิกจํานวน 5,851 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จํานวน 500 ราย/กลุ่ม (29 ราย/471 กลุ่ม) เป็นเงิน 50,566,000 บาท ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางานหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทำที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 จับกัง1 มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ผู้รับงานไปทําที่บ้าน ให้กู้ยืมกองทุนฯ ดอก 0% 12 เดือน นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เผยข่าวดีต้อนรับปีใหม่ 2564 สําหรับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อปี หนึ่งในของขวัญปีใหม่ 5 ชิ้น ที่กระทรวงแรงงานเตรียมไว้มอบให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ภายใต้แนวคิด “รักจากใจแรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมกองทุนฯ ร้อยละ 0 ต่อปี นับเป็นของขวัญ 1 ใน 5 จากกระทรวงแรงงานที่มอบให้กับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้ โดยของขวัญทั้ง 5 ชิ้น ประกอบด้วย ชิ้นที่ 1 ลดเงินสมทบให้นายจ้างและผู้ประกันตน ชิ้นที่ 2 เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร คลอดบุตร ชิ้นที่ 3 ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมกองทุนรับงานไปทําที่บ้าน ชิ้นที่ 4 อบรมความปลอดภัยในการทํางานฟรี 10,000 คน และ ชิ้นที่ 5 ฝึกอบรมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานออนไลน์ฟรี “นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสําคัญกับแรงงานนอกระบบเป็นอย่างยิ่งและมีความตั้งใจที่จะมอบของขวัญให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม เพราะแรงงานเป็นฟันเฟืองสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ท่านได้กําชับให้ดูแลแรงงานนอกระบบให้มีโอกาสเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพ สามารถขึ้นทะเบียน มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กร ได้รับการส่งเสริม คุ้มครอง และ พัฒนาสู่คุณภาพชีวิตที่ดี ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ” รมว.แรงงาน กล่าว ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผยว่า ในส่วนของของขวัญจากกรมการจัดหางานนั้น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการดําเนินการของผู้รับงานไปทําที่บ้าน ประกอบกับมีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นทําให้ขาดเงินทุนที่จะนําไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิต จึงได้พิจารณาการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนฯเป็นของขวัญปีใหม่ โดยให้ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2563 – 31 สิงหาคม 2564 และทําสัญญากู้ยืมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี ในงวดที่ 1-12 โดยไม่ปลอดเงินต้น และในงวดที่ 13 เป็นต้นไปจนสิ้นสุดสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ภายในกรอบวงเงิน 7,000,000 บาท ผู้กู้รายบุคคลกู้ได้ไม่เกิน 50,000 บาท และรายกลุ่มบุคคลไม่เกิน 300,000 บาท “ คุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี โดยตั้งแต่ปี 2548 – ปัจจุบัน มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน จํานวน 1,013 ราย/กลุ่ม สมาชิกจํานวน 5,851 คน และมีผู้กู้เงินจากกองทุนฯแล้ว จํานวน 500 ราย/กลุ่ม (29 ราย/471 กลุ่ม) เป็นเงิน 50,566,000 บาท ” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางานหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ในสุกร
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ในสุกร ผู้เลี้ยงสุกรไทย จัดงานขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมกันผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ในสุกร ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกสุกรไทยแบบก้าวกระโดด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนรัฐบาลกล่าวขอบคุณและเป็นกําลังใจต่อผู้ปฏิบัติงานป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในสุกร ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล ที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจัดขึ้นเพื่อขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด และสามารถสร้างการส่งออกสุกรไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งสุกรขุน สุกรพันธุ์ และสุกรแปรรูป ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเกษตรแขนงหนึ่งที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทย มีความแน่นอนของผลผลิต เกิดการสร้างอุปสงค์ให้กับห่วงโซ่ต่อเนื่องในกลุ่มของผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นพืชอาหารสัตว์ของไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ผลพลอยได้จากข้าว เช่น ปลายข้าว รําข้าว ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเป็นอาหารโปรตีนหลักของคนในชาติ อุตสาหกรรมสุกรยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมแล้วกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ภาคเกษตรปศุสัตว์จึงถือเป็นหนึ่งของภาคเกษตรที่มีรากฐานของประเทศและมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันภาคการเลี้ยงสุกรของไทยมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษามากยิ่งขึ้น สําหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการผลิตและการควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน และตรงตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงมุ่งพัฒนาภาคปศุสัตว์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และเกษตรกร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นให้เกิดการปรับตัว เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรและภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ "รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการทุกกลุ่ม จึงอยากให้มีการพูดคุยและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องมีความเข้มแข็ง เป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปให้ได้ และในวันนี้ทุกภาคส่วนต้องมาทํางานร่วมกัน ทุกฝ่ายต้องลดความเห็นแก่ตัว ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ต้องมีความร่วมมือกัน เพื่อผ่านวิกฤตทั้งโรค ASF และโควิด-19 ไปให้ได้ จึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ทํางานอย่างเข้มแข็ง ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนทําให้สามารถป้องกันการเกิดโรค ASF ในประเทศไทยได้ และที่สําคัญยังเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมดูแลพี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่ม และพร้อมเดินเคียงข้างกับพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร จึงมั่นใจว่าในระยะยาว อนาคตของสุกรไทยจะดําเนินไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน" นายเฉลิมชัย กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผนึกกำลังป้องกันโรค ASF ในสุกร วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ในสุกร ผู้เลี้ยงสุกรไทย จัดงานขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ร่วมกันผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ในสุกร ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกสุกรไทยแบบก้าวกระโดด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวแทนรัฐบาลกล่าวขอบคุณและเป็นกําลังใจต่อผู้ปฏิบัติงานป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในสุกร ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล ที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติจัดขึ้นเพื่อขอบคุณภาครัฐและภาคเอกชน ที่ผนึกกําลังป้องกันโรค ASF ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทําให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาด และสามารถสร้างการส่งออกสุกรไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งสุกรขุน สุกรพันธุ์ และสุกรแปรรูป ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพเกษตรแขนงหนึ่งที่มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรไทย มีความแน่นอนของผลผลิต เกิดการสร้างอุปสงค์ให้กับห่วงโซ่ต่อเนื่องในกลุ่มของผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นพืชอาหารสัตว์ของไทย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ผลพลอยได้จากข้าว เช่น ปลายข้าว รําข้าว ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเป็นอาหารโปรตีนหลักของคนในชาติ อุตสาหกรรมสุกรยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมแล้วกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี ภาคเกษตรปศุสัตว์จึงถือเป็นหนึ่งของภาคเกษตรที่มีรากฐานของประเทศและมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันภาคการเลี้ยงสุกรของไทยมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษามากยิ่งขึ้น สําหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการผลิตและการควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน และตรงตามความต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงมุ่งพัฒนาภาคปศุสัตว์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงต้องอาศัยความร่วมมือและการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และเกษตรกร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นให้เกิดการปรับตัว เสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรและภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ "รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบการทุกกลุ่ม จึงอยากให้มีการพูดคุยและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องมีความเข้มแข็ง เป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปให้ได้ และในวันนี้ทุกภาคส่วนต้องมาทํางานร่วมกัน ทุกฝ่ายต้องลดความเห็นแก่ตัว ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ต้องมีความร่วมมือกัน เพื่อผ่านวิกฤตทั้งโรค ASF และโควิด-19 ไปให้ได้ จึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ทํางานอย่างเข้มแข็ง ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนทําให้สามารถป้องกันการเกิดโรค ASF ในประเทศไทยได้ และที่สําคัญยังเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมดูแลพี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่ม และพร้อมเดินเคียงข้างกับพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร จึงมั่นใจว่าในระยะยาว อนาคตของสุกรไทยจะดําเนินไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน" นายเฉลิมชัย กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ”
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” วันที่ 22 ธันวาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา "จับจังหวะ 4 เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยปี 64 หลังโควิด-19 คลี่คลาย" ประกอบด้วยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง, นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ ห้องบอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นปาฐกถาพิเศษ สําหรับงานดังกล่าวทาง หนังสือพิมพ์แนวหน้า มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี และมีการไลฟ์สดผ่านทาง website : www.naewna.com : Facebook : นสพ.แนวหน้า บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักเหมือนเช่นทุกปี มีนักธุรกิจ และนักลงทุนให้ความสนใจมาร่วมรับฟังทิศทางเศรษฐกิจอย่างคับคั่งเช่นเดิม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา งานดินเนอร์ทอล์ค “แนวหน้า ฟอรั่ม 2020 ก้าวข้ามวิกฤติ COVID-19 กับแม่ทัพใหญ่เศรษฐกิจ” วันที่ 22 ธันวาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขึ้นเวทีเสวนา "จับจังหวะ 4 เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยปี 64 หลังโควิด-19 คลี่คลาย" ประกอบด้วยนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง, นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ ห้องบอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ขึ้นปาฐกถาพิเศษ สําหรับงานดังกล่าวทาง หนังสือพิมพ์แนวหน้า มีการจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี และมีการไลฟ์สดผ่านทาง website : www.naewna.com : Facebook : นสพ.แนวหน้า บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักเหมือนเช่นทุกปี มีนักธุรกิจ และนักลงทุนให้ความสนใจมาร่วมรับฟังทิศทางเศรษฐกิจอย่างคับคั่งเช่นเดิม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทํากิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย ​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทํากิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เป็นประธานเปิดงาน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทํากินตามโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั้งยืน ของสถาบันบหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) และคืนโฉนดให้กับสมาชิกเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ของขวัญปีใหม่จากใจ กฟก. โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งที่ได้รับสิทธิในที่ดินแล้ว และที่อยู่ระหว่างขอความช่วยเหลือประมาณ 1,000 คน โดยโอกาสนี้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานกรรมการ บจธ. นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รวมถึงตัวแทนเกษตรกร และชาวบ้านในพื้นที่ให้การต้อนรับและเป็นสักขีพยานในพิธีมอบสิทธิที่ดินทํากิน ณ วิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชา วัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย ภาพประกอบข่าว : สป.กส.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทำกิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทํากิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย ​“วราวุธ” พร้อมคณะรองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่มอบสิทธิ์ที่ดินทํากิน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” จังหวัดเชียงราย วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เป็นประธานเปิดงาน “ของขวัญปีใหม่จากใจรัฐบาล” พร้อมมอบสิทธิ์ที่ดินทํากินตามโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั้งยืน ของสถาบันบหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) และคืนโฉนดให้กับสมาชิกเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ของขวัญปีใหม่จากใจ กฟก. โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งที่ได้รับสิทธิในที่ดินแล้ว และที่อยู่ระหว่างขอความช่วยเหลือประมาณ 1,000 คน โดยโอกาสนี้นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ประธานกรรมการ บจธ. นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รวมถึงตัวแทนเกษตรกร และชาวบ้านในพื้นที่ให้การต้อนรับและเป็นสักขีพยานในพิธีมอบสิทธิที่ดินทํากิน ณ วิสาหกิจชุมชนศาสตร์พระราชา วัดพุทธอุทยานดอยอินทรีย์ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย ภาพประกอบข่าว : สป.กส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งเน้นยกระดับฝีมือแรงงาน ภายใต้นโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน วันที่ 24 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดพรนครศรีอยุธยา ตรวจเยี่ยมภารกิจของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา (สพร.15 พระนครศรีอยุธยา) มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รวมถึงประชุมติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา โดยศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีความมุ่งมั่นที่จะ “สร้าง” แรงงานให้มีทักษะใหม่อย่างมีคุณภาพ สามารถไปประกอบอาชีพที่หลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมุ่งเน้น “ยก” ระดับมาตรฐานฝีมือให้มีทักษะที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นตามมาตรฐานฝีมือ รวมถึง “ให้” แรงงานทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางได้มีโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ ทั้งนี้ ได้สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกฝ่าย เพื่อให้การดําเนินงานเกิดเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป รมช.แรงงานกล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจของสพร. 15 พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ช่างเทคนิคการติดตั้งและบํารุงรักษาเซลล์แสงอาทิตย์ และการประกอบอาหารไทย การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขา ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 การประเมินความรู้ความสามารถ ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ระดับ 1 นอกจากนี้ยังได้มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ให้แก่ ศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน I CHEF ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบสาขาผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1 มอบหนังสือการรับรองความรู้ความสามารถแก่ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร และมอบหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานของผู้ประกอบอาชีพ ให้แก่ บริษัท มิตซุย ไฮเทค (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งบริษัทได้จัดทํามาตรฐานของตนเอง ในสาขาช่างติดตั้งแม่พิมพ์ปั้มโลหะ ระดับ 1 สําหรับทดสอบความรู้ความสามารถของพนักงานในบริษัท สามารถนําไปใช้ประโยชน์เพื่อพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างหรือเลื่อนตําแหน่ง หรือเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานแต่ละราย รวมถึงใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานใหม่ได้อีกด้วย “ขอขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้ปรับเปลี่ยนจากกระทรวงด้านสังคมไปสู่ด้านเศรษฐกิจ และขอฝากให้ สพร.15 พระนครศรีอยุธยา ได้คัดเลือกและพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามความต้องการของพื้นที่และอุตสาหกรรม ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เพื่อให้เกิดแรงงานที่มีคุณภาพต่อไป”รมช. แรงงานกล่าวในตอนท้ายสุด หลังจากนั้นรมช. แรงงานได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการสัมมนา “เทคนิคการวิเคราะห์อันตรายในงาน (Job Safety Analysis Technique: JSA)” ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ เพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องความปลอดภัยในการทํางาน และวิธีการป้องกันอันตรายจากการทํางานในเชิงป้องกัน ให้สามารถนําองค์ความรู้ที่ได้รับไปขยายผลลงสู่การปฏิบัติได้จริง ผู้เข้าสัมมนาประกอบด้วย สถานประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางานทุกระดับ นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป ศาสตราจารย์ นฤมลได้พบปะ พูดคุยกับผู้เข้าสัมมนาและกล่าวตอนหนึ่งว่า “ ความปลอดภัย เป็นเรื่องสําคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวเราเองและบุคคลอื่น รวมถึงสาธารณะ ทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมในการป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตประจําวันและช่วงเวลาในการทํางาน ต้องมีมาตรการป้องกันหรือกําหนดมาตรฐานในการทํางานอย่างเหมาะสม ที่สําคัญที่สุดคือตัวผู้ปฏิบัติงานต้องมีวินัย ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับอย่างเคร่งคัด และหวังว่าการสัมมนาในวันนี้ จะช่วยให้สามารถค้นหาอันตรายที่แฝงมาจากการทํางาน แล้วนําไปสู่การกําหนดมาตรการต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทําให้การทํางานมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน “Safety Thailand”ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 นฤมล เยือน อยุธยา มุ่ง Upskill แรงงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รมช.แรงงาน ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มุ่งเน้นยกระดับฝีมือแรงงาน ภายใต้นโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน วันที่ 24 ธันวาคม 2563ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่จังหวัดพรนครศรีอยุธยา ตรวจเยี่ยมภารกิจของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา (สพร.15 พระนครศรีอยุธยา) มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รวมถึงประชุมติดตามผลการดําเนินงานการขับเคลื่อนด้านแรงงานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 15 พระนครศรีอยุธยา โดยศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) มีความมุ่งมั่นที่จะ “สร้าง” แรงงานให้มีทักษะใหม่อย่างมีคุณภาพ สามารถไปประกอบอาชีพที่หลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังมุ่งเน้น “ยก” ระดับมาตรฐานฝีมือให้มีทักษะที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นตามมาตรฐานฝีมือ รวมถึง “ให้” แรงงานทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางได้มีโอกาสในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ ทั้งนี้ ได้สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายทุกฝ่าย เพื่อให้การดําเนินงานเกิดเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป รมช.แรงงานกล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจของสพร. 15 พระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจเยี่ยมการฝึกอบรม ช่างเทคนิคการติดตั้งและบํารุงรักษาเซลล์แสงอาทิตย์ และการประกอบอาหารไทย การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขา ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ระดับ 1 การประเมินความรู้ความสามารถ ช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ ระดับ 1 นอกจากนี้ยังได้มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ให้แก่ ศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน I CHEF ซึ่งเป็นศูนย์ทดสอบสาขาผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1 มอบหนังสือการรับรองความรู้ความสามารถแก่ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร และมอบหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานของผู้ประกอบอาชีพ ให้แก่ บริษัท มิตซุย ไฮเทค (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งบริษัทได้จัดทํามาตรฐานของตนเอง ในสาขาช่างติดตั้งแม่พิมพ์ปั้มโลหะ ระดับ 1 สําหรับทดสอบความรู้ความสามารถของพนักงานในบริษัท สามารถนําไปใช้ประโยชน์เพื่อพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างหรือเลื่อนตําแหน่ง หรือเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานแต่ละราย รวมถึงใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานใหม่ได้อีกด้วย “ขอขอบคุณทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบาย สร้าง ยก ให้ รวมไทยสร้างชาติ รวมถึงการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน เพื่อให้ปรับเปลี่ยนจากกระทรวงด้านสังคมไปสู่ด้านเศรษฐกิจ และขอฝากให้ สพร.15 พระนครศรีอยุธยา ได้คัดเลือกและพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสม ตรงตามความต้องการของพื้นที่และอุตสาหกรรม ตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ เพื่อให้เกิดแรงงานที่มีคุณภาพต่อไป”รมช. แรงงานกล่าวในตอนท้ายสุด หลังจากนั้นรมช. แรงงานได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการสัมมนา “เทคนิคการวิเคราะห์อันตรายในงาน (Job Safety Analysis Technique: JSA)” ของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ เพื่อสร้างองค์ความรู้เรื่องความปลอดภัยในการทํางาน และวิธีการป้องกันอันตรายจากการทํางานในเชิงป้องกัน ให้สามารถนําองค์ความรู้ที่ได้รับไปขยายผลลงสู่การปฏิบัติได้จริง ผู้เข้าสัมมนาประกอบด้วย สถานประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางานทุกระดับ นายจ้าง ลูกจ้าง และประชาชนทั่วไป ศาสตราจารย์ นฤมลได้พบปะ พูดคุยกับผู้เข้าสัมมนาและกล่าวตอนหนึ่งว่า “ ความปลอดภัย เป็นเรื่องสําคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวเราเองและบุคคลอื่น รวมถึงสาธารณะ ทุกคนจึงควรมีส่วนร่วมในการป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ชีวิตประจําวันและช่วงเวลาในการทํางาน ต้องมีมาตรการป้องกันหรือกําหนดมาตรฐานในการทํางานอย่างเหมาะสม ที่สําคัญที่สุดคือตัวผู้ปฏิบัติงานต้องมีวินัย ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบและข้อบังคับอย่างเคร่งคัด และหวังว่าการสัมมนาในวันนี้ จะช่วยให้สามารถค้นหาอันตรายที่แฝงมาจากการทํางาน แล้วนําไปสู่การกําหนดมาตรการต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทําให้การทํางานมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน “Safety Thailand”ตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37880
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) เวลา 10.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมกันพิจารณาและสรุปแนวทางการจัดทําคําของบประมาณ ประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ ห้องประชุม อก.1 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 การประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 วันนี้ (23 ธันวาคม 2563) เวลา 10.30 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4/2563 โดยมี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสุระ เพชรพิรุณ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมกันพิจารณาและสรุปแนวทางการจัดทําคําของบประมาณ ประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2565 ณ ห้องประชุม อก.1 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37887
รัฐบาลไทย-“สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง รมว.แรงงาน สั่งลุย ให้ กสร.จัดแคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” ให้นายจ้าง-ลูกจ้างได้อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านความปลอดภัยฯ ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย จํานวน 10,000 ที่นั่ง มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2564 ขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ที่เป็นพลัง และทรัพยากรสําคัญในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจัดเตรียมของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องแรงงาน ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้ากับของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” ไว้ดังนี้ 1) การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ฟรี 2) การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร/คลอดบุตร/ฝากครรภ์ 3) การลดอัตราเงินสมทบเหลือร้อยละ 3 ระยะเวลา 3 เดือน 4) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปีแก่แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน และ 5) ฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานให้ฟรี เพื่อให้พี่น้องแรงงาน ได้รับการคุ้มครอง มีหลักประกันความมั่นคงในการทํางาน เข้าถึงบริการของรัฐ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในชีวิตตลอดไป นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของขวัญจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ขณะนี้ได้ประสานไปยังหน่วยงานฝึกอบรมผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกรม ให้เตรียมการจัดฝึกอบรมในหลักสูตร ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ภายใต้แคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” อาทิ หลักสูตร จป. ในระดับต่างๆ หลักสูตรความปลอดภัยในการทํางานที่อับอากาศ และหลักสูตรฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง ฟรี จํานวน 10,000 ที่นั่ง ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีตอบรับเข้าร่วมแคมเปญแล้ว 190 หน่วยงาน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจขอรับของขวัญปีใหม่ในครั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานทะเบียนความปลอดภัยในการทํางาน กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) โทร. 0 2448 9128-39 เว็บไซต์ http://osh.labour.go.th/
รัฐบาลไทย-“สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 “สุชาติ” สั่งลุย อัดแคมเปญของขวัญปีใหม่ให้นายจ้าง ลูกจ้าง อบรมด้านความปลอดภัยฯ ฟรี 10,000 ที่นั่ง รมว.แรงงาน สั่งลุย ให้ กสร.จัดแคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” ให้นายจ้าง-ลูกจ้างได้อบรมเพิ่มพูนความรู้ด้านความปลอดภัยฯ ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย จํานวน 10,000 ที่นั่ง มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลปีใหม่ 2564 ขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องผู้ใช้แรงงาน นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตน และประชาชนทั่วไป ที่เป็นพลัง และทรัพยากรสําคัญในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจัดเตรียมของขวัญปีใหม่ให้กับพี่น้องแรงงาน ภายใต้แนวคิด สุขใจถ้วนหน้ากับของขวัญปีใหม่ 2564 “รักจากใจ แรงงานไทยสุขใจถ้วนหน้า” ไว้ดังนี้ 1) การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ฟรี 2) การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร/คลอดบุตร/ฝากครรภ์ 3) การลดอัตราเงินสมทบเหลือร้อยละ 3 ระยะเวลา 3 เดือน 4) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ร้อยละ 0 ต่อปีแก่แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน และ 5) ฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานให้ฟรี เพื่อให้พี่น้องแรงงาน ได้รับการคุ้มครอง มีหลักประกันความมั่นคงในการทํางาน เข้าถึงบริการของรัฐ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และนําไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในชีวิตตลอดไป นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของขวัญจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนั้น ขณะนี้ได้ประสานไปยังหน่วยงานฝึกอบรมผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกรม ให้เตรียมการจัดฝึกอบรมในหลักสูตร ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ภายใต้แคมเปญ “ฝึกฟรี มีทักษะ ชนะอุบัติภัย ใส่ใจแรงงาน” อาทิ หลักสูตร จป. ในระดับต่างๆ หลักสูตรความปลอดภัยในการทํางานที่อับอากาศ และหลักสูตรฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง ฟรี จํานวน 10,000 ที่นั่ง ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีตอบรับเข้าร่วมแคมเปญแล้ว 190 หน่วยงาน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการใดสนใจขอรับของขวัญปีใหม่ในครั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานทะเบียนความปลอดภัยในการทํางาน กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (ส่วนแยกตลิ่งชัน) โทร. 0 2448 9128-39 เว็บไซต์ http://osh.labour.go.th/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ธนาคารออมสิน ขอแจ้งว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่เป็นญาติมีอาชีพรับจ้างขับรถส่งกุ้งไปยังตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร โดยญาติรายนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจและได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ธนาคารจึงให้พนักงานเข้ารับการตรวจคัดกรองในวันดังกล่าวทันที โดยในวันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ได้รับการยืนยันจากแพทย์โรงพยาบาลนครนายกว่าไม่ติดเชื้อ COVID-19 แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 ธนาคารได้ปิดให้บริการสาขาองครักษ์ เพื่อทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และอบโอโซน ทั่วทั้งพื้นที่อาคารของสาขาและบริเวณโดยรอบ ด้วยมาตรฐานการทําความสะอาดและการป้องกันโรค ตามประกาศของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พร้อมกําชับให้พนักงานภายในสาขาทุกคนปฏิบัติตามระเบียบการให้บริการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารออมสินสาขาองครักษ์ จะเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ธนาคารออมสิน มีการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในภาวะแพร่กระจายของโรคติดต่ออันตรายนี้ เพื่อร่วมป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด โดยคํานึงถึงสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยของลูกค้า พนักงาน และผู้มาติดต่อธนาคารเป็นสําคัญ. https://www.gsb.or.th/news/gsbpr80/
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 ออมสินแจ้งเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโรค COVID-19 ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ตามที่เกิดกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ระบุว่า พนักงานธนาคารออมสิน สาขาองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นั้น ธนาคารออมสิน ขอแจ้งว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อที่เป็นญาติมีอาชีพรับจ้างขับรถส่งกุ้งไปยังตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร โดยญาติรายนี้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจและได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ธนาคารจึงให้พนักงานเข้ารับการตรวจคัดกรองในวันดังกล่าวทันที โดยในวันนี้ (23 ธันวาคม 2563) ได้รับการยืนยันจากแพทย์โรงพยาบาลนครนายกว่าไม่ติดเชื้อ COVID-19 แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 ธนาคารได้ปิดให้บริการสาขาองครักษ์ เพื่อทําความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และอบโอโซน ทั่วทั้งพื้นที่อาคารของสาขาและบริเวณโดยรอบ ด้วยมาตรฐานการทําความสะอาดและการป้องกันโรค ตามประกาศของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พร้อมกําชับให้พนักงานภายในสาขาทุกคนปฏิบัติตามระเบียบการให้บริการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารออมสินสาขาองครักษ์ จะเปิดให้บริการตามปกติในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ธนาคารออมสิน มีการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในภาวะแพร่กระจายของโรคติดต่ออันตรายนี้ เพื่อร่วมป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด โดยคํานึงถึงสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยของลูกค้า พนักงาน และผู้มาติดต่อธนาคารเป็นสําคัญ. https://www.gsb.or.th/news/gsbpr80/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37872
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสําปะหลังในพื้นที่ 25 จังหวัด จํานวน 2.65 แสนไร่ และความคืบหน้าในการเสนอขออนุมัติงบกลาง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสําปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ จํานวน 1.44 พันล้านบาท รวมถึงร่วมกันพิจารณาการยกร่างคู่มือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสําปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานตามโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างเร่งด่วนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสำปะหลัง วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง กระทรวงเกษตรฯ จัดประชุมเร่งการขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการโรคใบด่างมันสําปะหลัง ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์การระบาดของโรคใบด่างมันสําปะหลังในพื้นที่ 25 จังหวัด จํานวน 2.65 แสนไร่ และความคืบหน้าในการเสนอขออนุมัติงบกลาง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสําปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ จํานวน 1.44 พันล้านบาท รวมถึงร่วมกันพิจารณาการยกร่างคู่มือโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโรคใบด่างมันสําปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดําเนินงานตามโครงการฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรอย่างเร่งด่วนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ํา “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ํา “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแรงงานให้ดีตามหลักมนุษยธรรม” เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 63 เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมข้อราชการสําคัญเกี่ยวกับการบริหารการแพร่ระบาดของโรคระบาดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน นายแพทย์ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด และที่ว่าการอําเภอ ทั่วประเทศ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด นายอําเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ในขณะนี้ได้เกิดการระบาดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่น ๆ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ได้รายงานให้ได้ทราบนั้น เพื่อเป็นการหยุดยั้งการแพร่ระบาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ ลดการเคลื่อนย้ายคน (Mobility) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการทางสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สําคัญที่สุด สําหรับในส่วนของผู้ติดเชื้อ ต้องดําเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน (quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่าง แม้จะมีเชื้อโรคแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทุกคนจะปลอดภัย และเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ให้อํานาจแรงงานจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานในทุกจังหวัดเข้าร่วมสนับสนุนการตรวจสอบและทําความเข้าใจสถานประกอบการและแรงงานตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย รวมทั้งวางระเบียบเกี่ยวกับสถานประกอบการให้ถูกต้อง โดยกระทรวงแรงงานจะทําการสํารวจข้อมูลและจัดระบบแรงงานทุกประเภทให้เรียบร้อย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า เนื่องจากขณะนี้ มีผู้ประกอบการและแรงงานบางส่วนเกิดความวิตก และเคลื่อนย้ายแรงงานออกไป ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการในพื้นที่ไม่ต้องตระหนก และให้แรงงานได้ทํางานอยู่ในพื้นที่ต่อไป และขอให้ดูแลแรงงานกลุ่มนี้ให้ดี เพื่อลดปัญหาด้านต่าง ๆ โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานจะพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้น เป็นการรายงานการดําเนินงานบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี เชียงราย ตาก และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สุดท้าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ําว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ดําเนินการตามมาตรการที่ได้มอบนโยบายไว้ โดยในพื้นที่ชายแดน ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจรับผิดชอบตามแนวชายแดน ต้องดําเนินมาตรการสกัดกั้นตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีบุคคลหลบหนีเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ถัดมาในพื้นที่ชั้นใน ให้ตํารวจภูธรจังหวัดกํากับดูแลและตรวจสอบในพื้นที่ และสําหรับในพื้นที่ชุมชนให้ขอความร่วมมือประชาชนในชุมชนช่วยกันดูแลคนในชุมชน ถ้าทุกส่วนช่วยกันอย่างเคร่งครัดก็จะเป็นการสกัดกั้นการแพร่ระบาด รวมทั้งต้องชี้แจงให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ำ “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ํา “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแร รมว.มท. ประชุมร่วม รมว.แรงงาน หารือการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เน้นย้ํา “รณรงค์ให้ประชาชนเข้มมาตรการสาธารณสุข วอนผู้ประกอบการอย่าตระหนก ไม่เคลื่อนย้ายแรงงาน ดูแลแรงงานให้ดีตามหลักมนุษยธรรม” เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 63 เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมข้อราชการสําคัญเกี่ยวกับการบริหารการแพร่ระบาดของโรคระบาดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน นายแพทย์ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้แทนสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ซึ่งเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด และที่ว่าการอําเภอ ทั่วประเทศ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด นายอําเภอ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ร่วมประชุม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ในขณะนี้ได้เกิดการระบาดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่น ๆ ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ได้รายงานให้ได้ทราบนั้น เพื่อเป็นการหยุดยั้งการแพร่ระบาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ ลดการเคลื่อนย้ายคน (Mobility) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการทางสาธารณสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรณรงค์ให้ประชาชนป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สําคัญที่สุด สําหรับในส่วนของผู้ติดเชื้อ ต้องดําเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน (quarantine) ไม่ให้ออกนอกพื้นที่ และเข้าสู่กระบวนการรักษาตามหลักสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ถ้าประชาชนทุกคนมีสุขอนามัยที่ดี มีการป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดทุกอย่าง แม้จะมีเชื้อโรคแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทุกคนจะปลอดภัย และเราจะผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ในเร็ววัน นายสุชาติ ชมกลิ่น กล่าวว่า ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ให้อํานาจแรงงานจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานในทุกจังหวัดเข้าร่วมสนับสนุนการตรวจสอบและทําความเข้าใจสถานประกอบการและแรงงานตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย รวมทั้งวางระเบียบเกี่ยวกับสถานประกอบการให้ถูกต้อง โดยกระทรวงแรงงานจะทําการสํารวจข้อมูลและจัดระบบแรงงานทุกประเภทให้เรียบร้อย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวต่อว่า เนื่องจากขณะนี้ มีผู้ประกอบการและแรงงานบางส่วนเกิดความวิตก และเคลื่อนย้ายแรงงานออกไป ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสร้างความเข้าใจผู้ประกอบการในพื้นที่ไม่ต้องตระหนก และให้แรงงานได้ทํางานอยู่ในพื้นที่ต่อไป และขอให้ดูแลแรงงานกลุ่มนี้ให้ดี เพื่อลดปัญหาด้านต่าง ๆ โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานจะพิจารณาเพื่อหาแนวทางในการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้น เป็นการรายงานการดําเนินงานบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ปทุมธานี นนทบุรี เชียงราย ตาก และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สุดท้าย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เน้นย้ําว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายและเน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ดําเนินการตามมาตรการที่ได้มอบนโยบายไว้ โดยในพื้นที่ชายแดน ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจรับผิดชอบตามแนวชายแดน ต้องดําเนินมาตรการสกัดกั้นตามแนวชายแดนอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีบุคคลหลบหนีเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ถัดมาในพื้นที่ชั้นใน ให้ตํารวจภูธรจังหวัดกํากับดูแลและตรวจสอบในพื้นที่ และสําหรับในพื้นที่ชุมชนให้ขอความร่วมมือประชาชนในชุมชนช่วยกันดูแลคนในชุมชน ถ้าทุกส่วนช่วยกันอย่างเคร่งครัดก็จะเป็นการสกัดกั้นการแพร่ระบาด รวมทั้งต้องชี้แจงให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทำงานเพิ่ม 264 คน
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทํางานเพิ่ม 264 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน ส่งแรงงานไทย 264 ชีวิต เดินทางทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” ตามที่ทางการอิสราเอลยื่นความต้องการแรงงานไทย 2,000 คน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอย่างยิ่ง และมีความยินดีทุกครั้งที่เห็นแรงงานไทยได้เดินทางไปทํางานต่างประเทศ นํารายได้เข้าสู่ประเทศ ทั้งยังเป็นฟันเฟืองที่ขาดไม่ได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทย พบสถานการณ์ยากลําบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 การได้เห็นแรงงานไทยยังเป็นที่ต้องการจากนานาประเทศ นับเป็นเรื่องที่ดีมาก นายสุชาติฯ กล่าวว่า รัฐบาลอิสราเอลยังต้องการแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร โดยหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ได้แจ้งความต้องการให้จัดส่งแรงงานไปทั้งสิ้น 2,000 คน ซึ่งกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 1,380 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น “โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) สําหรับผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทำงานเพิ่ม 264 คน วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 อิสราเอลยังต้องการแรงงานไทย กรมการจัดหางาน ปิดจ๊อบปี 63 ส่งแรงงานไทยทํางานเพิ่ม 264 คน อธิบดีกรมการจัดหางาน ส่งแรงงานไทย 264 ชีวิต เดินทางทํางานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers:TIC)” ตามที่ทางการอิสราเอลยื่นความต้องการแรงงานไทย 2,000 คน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอย่างยิ่ง และมีความยินดีทุกครั้งที่เห็นแรงงานไทยได้เดินทางไปทํางานต่างประเทศ นํารายได้เข้าสู่ประเทศ ทั้งยังเป็นฟันเฟืองที่ขาดไม่ได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทย พบสถานการณ์ยากลําบากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 การได้เห็นแรงงานไทยยังเป็นที่ต้องการจากนานาประเทศ นับเป็นเรื่องที่ดีมาก นายสุชาติฯ กล่าวว่า รัฐบาลอิสราเอลยังต้องการแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตร โดยหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ได้แจ้งความต้องการให้จัดส่งแรงงานไปทั้งสิ้น 2,000 คน ซึ่งกรมการจัดหางานได้เริ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคเกษตรฯ ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีแรงงานเดินทางไปแล้ว จํานวน 1,380 คน และวันนี้จะมีแรงงานเดินทางไปอีก 264 คน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบินเช่าเหมาลําพิเศษ สายการบิน El Al Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 082 ออกเดินทางจากประเทศไทยเวลา 09.20 น. และมีกําหนดถึงปลายทางกรุงเทลอาวีฟ เวลา 15.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น “โครงการ “ความร่วมมือไทย – อิสราเอลเพื่อการจัดหางาน” (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มีระยะเวลาการจ้างงาน 2 ปีแต่ไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่ออายุใบอนุญาตการจ้างแรงงานต่างชาติของนายจ้างและวีซ่าการทํางาน ตามข้อกําหนดของกฎหมายรัฐอิสราเอล โดยคนหางานจะได้รับเงินเดือนขั้นต่ําก่อนหักภาษีเดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 48,073 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น) สําหรับผู้สนใจเดินทางไปทํางานในรัฐอิสราเอลสามารถติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ www.doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางไปทํางานในต่างประเทศได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด (จังหวัดอุทัยธานี) ณ ห้องประชุมสะแกกรัง ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี พร้อมรับฟังสรุปปัญหาในแต่ละด้านที่สําคัญ โดยจังหวัดอุทัยธานีให้ความสําคัญกับแนวทางการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ให้เป็นวาระและภารกิจสําคัญของจังหวัด เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว ลดปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายแนวทางการดําเนินงาน ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ําให้เกษตรกรสามารถทําการเกษตรได้ และประชาชนมีน้ําอุปโภคบริโภคเพียงพอ พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวจังหวัดอุทัยธานีประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากผ้าไหมจังหวัดอุทัยธานีเป็นที่ต้องการของตลาด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม รมช.มนัญญา กล่าวว่า เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เมื่อปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดําเนินชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ จึงเห็นควรให้มีการดําเนินงานติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือ เยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ด้วยการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่แต่ละจังหวัดอย่างเป็นระบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2563 รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว รมช.มนัญญา ประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดอุทัยธานี เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัด สามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามการดําเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด (จังหวัดอุทัยธานี) ณ ห้องประชุมสะแกกรัง ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี พร้อมรับฟังสรุปปัญหาในแต่ละด้านที่สําคัญ โดยจังหวัดอุทัยธานีให้ความสําคัญกับแนวทางการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ให้เป็นวาระและภารกิจสําคัญของจังหวัด เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาระดับจังหวัดสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว ลดปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายแนวทางการดําเนินงาน ให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการน้ําให้เกษตรกรสามารถทําการเกษตรได้ และประชาชนมีน้ําอุปโภคบริโภคเพียงพอ พร้อมส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวจังหวัดอุทัยธานีประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากผ้าไหมจังหวัดอุทัยธานีเป็นที่ต้องการของตลาด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม รมช.มนัญญา กล่าวว่า เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาประเทศ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เมื่อปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดําเนินชีวิตของประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ จึงเห็นควรให้มีการดําเนินงานติดตาม เร่งรัด ช่วยเหลือ เยียวยา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ด้วยการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่แต่ละจังหวัดอย่างเป็นระบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/37878