title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมการดำเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (24 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และนายมนูญ ทนะวัง ผู้ประกอบการร้าน Cocoa Valley Café เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรม นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยนายมนูญ ทนะวัง เจ้าของ Cocoa Valley อําเภอปัว จังหวัดน่าน ผู้ชนะเลิศการประกวด โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด และได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปี 2563 จัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเกษตรกรผู้ทําสวนโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ เพื่อให้เป็นช็อคโกแลตแท้ฝีมือคนไทย และยังพัฒนาเป็นขนมและเครื่องดื่ม เช่น ช็อคโกแลต โกโก้แบบผงชงดื่ม ขนม น้ําโกโก้สด รวมถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสําอางจากไขมันโกโก้ เช่น ครีมบํารุงผิว สครับผิวจากโกโก้ รวมไปถึงการนําเปลือกโกโก้ไปทําสีย้อมผ้า นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่การท่องเที่ยว โดยการเปิดคาเฟ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชิมผลผลิตจากสวน ทํารีสอร์ตเพื่อเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังเชิญชวนผู้สูงอายุมาร่วมกันทํางาน เพื่อให้ผู้สูงอายุในชุมชนมีกิจกรรมและมีรายได้เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมการดําเนินงานของ โกโก้ วัลเล่ย์ ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดธุรกิจภายในชุมชน เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางและนโยบายที่รัฐบาลได้ให้ไว้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าดูแล ให้การสนับสนุน เพื่อให้เป็นต้นแบบแก่เกษตรกรอื่น ๆ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมการดำเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน นายกฯ ชื่นชมการดําเนินงาน โกโก้ วัลเล่ย์ จ.น่าน ช่วยยกระดับชีวิตเกษตรกร สร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล สั่งการกระทรวงมหาดไทย-กระทรวงเกษตรฯ เข้าสนับสนุน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (24 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และนายมนูญ ทนะวัง ผู้ประกอบการร้าน Cocoa Valley Café เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรม นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ” โดยนายมนูญ ทนะวัง เจ้าของ Cocoa Valley อําเภอปัว จังหวัดน่าน ผู้ชนะเลิศการประกวด โครงการ New Gen Hug บ้านเกิด และได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปี 2563 จัดโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเกษตรกรผู้ทําสวนโกโก้ที่ปลูกแบบอินทรีย์ เพื่อให้เป็นช็อคโกแลตแท้ฝีมือคนไทย และยังพัฒนาเป็นขนมและเครื่องดื่ม เช่น ช็อคโกแลต โกโก้แบบผงชงดื่ม ขนม น้ําโกโก้สด รวมถึงต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสําอางจากไขมันโกโก้ เช่น ครีมบํารุงผิว สครับผิวจากโกโก้ รวมไปถึงการนําเปลือกโกโก้ไปทําสีย้อมผ้า นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงธุรกิจไปสู่การท่องเที่ยว โดยการเปิดคาเฟ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชิมผลผลิตจากสวน ทํารีสอร์ตเพื่อเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งยังเชิญชวนผู้สูงอายุมาร่วมกันทํางาน เพื่อให้ผู้สูงอายุในชุมชนมีกิจกรรมและมีรายได้เลี้ยงชีพโดยไม่ต้องพึ่งลูกหลาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความชื่นชมการดําเนินงานของ โกโก้ วัลเล่ย์ ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เกิดธุรกิจภายในชุมชน เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สู่ชุมชน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางและนโยบายที่รัฐบาลได้ให้ไว้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าดูแล ให้การสนับสนุน เพื่อให้เป็นต้นแบบแก่เกษตรกรอื่น ๆ ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54923
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสำรองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เหน็บมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดช่วยประชาชนที่กําลังลําบาก ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคําสั่งให้กองทัพเตรียมใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น จะยิ่งทําให้ประชาชนเดือดร้อนเข้าไปอีกว่า อยากเรียนชี้แจงกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า การใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น เป็นแผนสํารองในกรณีที่มีความจําเป็นจริงๆ เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น อยากให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อ่านข่าวให้จบทุกบรรทัดก่อนแล้วค่อยออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็รีบออกมาพูดผ่านสื่อ เพราะรังแต่จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ระบุว่า ทหารไม่มีงานทําหรือ ถึงมีเวลาว่างพอที่จะเอารถที่ใช้ในราชการทหารออกมาช่วยขนส่งให้กับประชาชนนั้น งานของทหารคือ การดูแลช่วยเหลือประชาชน และรถที่ใช้ในราชการทหารก็มาจากภาษีของประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเอารถทหารไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ําท่วม ก็ยังมีการนํารถทหารเพื่อช่วยขนย้ายประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาแล้วทุกรัฐบาล คงมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดจะช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหานั้น คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ํามัน โดยให้กองทุนน้ํามันตรึงราคากลุ่มราคาน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แม้ราคาพลังงานตลาดโลกจะมีแนวโน้มขาขึ้นและล่าสุด ครม. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบการขออนุมัติกู้ยืมเงินของสํานักงานกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง (สกนช.) เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีพของประชาชน โดยให้ สกนช. ดําเนินการกู้เฉพาะวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามกรอบของกฎหมายกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ และจะดําเนินการกู้เงินเพิ่มเติมวงเงิน 10,000 ล้านบาท ได้ต่อเมื่อ ร่าง พ.ร.ฎ. เปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศฯ มีผลบังคับใช้แล้ว ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ นายกแก้ปัญหาโดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก .......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสำรองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก โฆษกรัฐบาลแจง "เสรีพิศุทธ์" ใช้รถทหารช่วยภาคขนส่งแค่แผนสํารองกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เหน็บมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดช่วยประชาชนที่กําลังลําบาก ยัน "นายกฯ" เร่งแก้ปัญหาทั้งระบบยึดประชาชนเป็นหลัก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคําสั่งให้กองทัพเตรียมใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น จะยิ่งทําให้ประชาชนเดือดร้อนเข้าไปอีกว่า อยากเรียนชี้แจงกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า การใช้รถทหารช่วยขนส่งแทนรถบรรทุกหากมีการประท้วงหยุดงานนั้น เป็นแผนสํารองในกรณีที่มีความจําเป็นจริงๆ เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น อยากให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์อ่านข่าวให้จบทุกบรรทัดก่อนแล้วค่อยออกมาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่อ่านแค่พาดหัวข่าวแล้วก็รีบออกมาพูดผ่านสื่อ เพราะรังแต่จะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน นายธนกร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ระบุว่า ทหารไม่มีงานทําหรือ ถึงมีเวลาว่างพอที่จะเอารถที่ใช้ในราชการทหารออกมาช่วยขนส่งให้กับประชาชนนั้น งานของทหารคือ การดูแลช่วยเหลือประชาชน และรถที่ใช้ในราชการทหารก็มาจากภาษีของประชาชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเอารถทหารไปใช้เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ําท่วม ก็ยังมีการนํารถทหารเพื่อช่วยขนย้ายประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาแล้วทุกรัฐบาล คงมีแต่คนใจแคบเท่านั้น ที่ไม่คิดจะช่วยเหลือประชาชนที่กําลังลําบาก ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ปัญหานั้น คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2564 มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ํามัน โดยให้กองทุนน้ํามันตรึงราคากลุ่มราคาน้ํามันดีเซลหมุนเร็ว ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร แม้ราคาพลังงานตลาดโลกจะมีแนวโน้มขาขึ้นและล่าสุด ครม. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบการขออนุมัติกู้ยืมเงินของสํานักงานกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง (สกนช.) เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง รักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีพของประชาชน โดยให้ สกนช. ดําเนินการกู้เฉพาะวงเงิน 20,000 ล้านบาท ตามกรอบของกฎหมายกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงที่มีอยู่ และจะดําเนินการกู้เงินเพิ่มเติมวงเงิน 10,000 ล้านบาท ได้ต่อเมื่อ ร่าง พ.ร.ฎ. เปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศฯ มีผลบังคับใช้แล้ว ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ นายกแก้ปัญหาโดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก .......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48418
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ค้ำให้! บสย. เปิดรับค้ำประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ค้ําให้! บสย. เปิดรับค้ําประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 ..... บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดรับคําขอโครงการค้ําประกันสินเชื่อระยะพิเศษ Soft Loan Extra แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดย ยกเว้นค่าดําเนินการค้ําประกัน ค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก เพียง 1% ต่อปี จากปกติ 1.75% เนื่องจากรัฐบาลออกให้ 0.75% ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 8 ปี ขอได้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 . คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้ได้รับสินเชื่อต่อเนื่องไม่ต่ํากว่า 67,400 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 84,000 ล้านบาท ลดความกังวลของธนาคารเรื่องการผิดนัดชําระหนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ ขอคําปรึกษาได้ที่ บสย. โทร 02-890-9999 . อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52985 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ค้ำให้! บสย. เปิดรับค้ำประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ค้ําให้! บสย. เปิดรับค้ําประกัน Soft Loan ระยะพิเศษ ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ สมัครได้ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 ..... บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดรับคําขอโครงการค้ําประกันสินเชื่อระยะพิเศษ Soft Loan Extra แก่ผู้ประกอบการ SMEs โดย ยกเว้นค่าดําเนินการค้ําประกัน ค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก เพียง 1% ต่อปี จากปกติ 1.75% เนื่องจากรัฐบาลออกให้ 0.75% ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 8 ปี ขอได้ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 – 31 ธ.ค. 66 . คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้ได้รับสินเชื่อต่อเนื่องไม่ต่ํากว่า 67,400 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นไม่ต่ํากว่า 84,000 ล้านบาท ลดความกังวลของธนาคารเรื่องการผิดนัดชําระหนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ ขอคําปรึกษาได้ที่ บสย. โทร 02-890-9999 . อ่านเพิ่มเติม คลิก >>https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52985 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53017
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ
วันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว ย้ําทุกโรงพยาบาลเข้มงวดมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ วันนี้ (7 กันยายน 2564) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงข่าวกรณีการแฮกข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานว่า รพ.เพชรบูรณ์ ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแฮกข้อมูลผู้ป่วยไปโพสต์ขายบนเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 จึงร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความเสียหายทันที พบว่าไม่ได้เป็นการแฮกฐานข้อมูลหลักที่ใช้ในการให้บริการและมีประวัติการรักษาผู้ป่วย แต่เป็นฐานข้อมูลที่โรงพยาบาลเขียนขึ้นบนโปรแกรมที่เปิดให้ใช้ฟรี (Open source) สําหรับใช้ในการทํางานของเจ้าหน้าที่ เช่น การสรุปข้อมูลผู้ป่วย การนัดหมายผู้ป่วย ตารางเวรแพทย์ และการคํานวณรายจ่ายในการผ่าตัดของกลุ่มศัลยกรรมกระดูกและข้อ เป็นต้น “ข้อมูลที่ถูกแฮกส่วนใหญ่เป็นบางไฟล์ที่มีชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ สิทธิการรักษา แต่ไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจรักษา โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ยังสามารถให้การดูแลคนไข้ได้ปกติ โดยข้อมูลที่ถูกแฮกมีประมาณ 18,000 กว่าราย ไม่ใช่ 16 ล้านราย เนื่องจากเพชรบูรณ์มีประชากรไม่ถึงล้านคน ซึ่งกรณีนี้ต่างจาก รพ.สระบุรี ที่ถูกแฮกระบบฐานข้อมูลหลักจนทําให้จุดบริการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การกระทําดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 มีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ กฏหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง” นายแพทย์ธงชัยกล่าว นายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งความแล้ว และกระทรวงดิจิทัลฯ กําลังติดตามตรวจสอบหาแฮกเกอร์ ซึ่งไม่ได้เจาะจงข้อมูลสุขภาพเป็นพิเศษ แต่จะตระเวนหาระบบที่มีจุดอ่อนเพื่อโจรกรรมข้อมูล จึงต้องกําชับบุคลากรให้เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น เปลี่ยนยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดเป็นประจํา ทั้งนี้ จะจัดตั้งหน่วยงานเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้านสุขภาพและหน่วยตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน ประสานการทํางานกับสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ด้านนายแพทย์อนันต์กล่าวว่า เซิร์ฟเวอร์ที่โรงพยาบาลเขียนโปรแกรมสําหรับการทํางานภายใน จําเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อาจถูกผู้ไม่ประสงค์ดีบุกรุกได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบการข้ามไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่น และรพ.เพชรบูรณ์ได้ตัดการเชื่อมต่อจากภายนอกทั้งหมดเพื่อป้องกันการบุกรุก ส่วนการป้องกันในอนาคต โรงพยาบาลต่างๆ ต้องทบทวนมาตรการ ความเสี่ยง และประเมินเรื่องสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อจัดการให้ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น เข้มงวดผู้ที่ใช้งานระบบให้ทําตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ ******************************* 7 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ วันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 สธ.แจง รพ.เพชรบูรณ์ถูกแฮก ไม่ใช่ฐานข้อมูลหลักของผู้ป่วย ไม่กระทบบริการ กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว กระทรวงสาธารณสุข แจงกรณีมีผู้แฮกข้อมูลผู้ป่วยรพ.เพชรบูรณ์ไปขายบนเว็บไซต์ ตรวจสอบแล้วเป็นฐานข้อมูลย่อยที่โรงพยาบาลจัดทําเพื่ออํานวยความสะดวกการทํางานในโรงพยาบาล ไม่ใช่ระบบฐานข้อมูลหลักที่มีประวัติการรักษาผู้ป่วย ไม่กระทบการบริการ เบื้องต้นแจ้งความแล้ว ย้ําทุกโรงพยาบาลเข้มงวดมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ วันนี้ (7 กันยายน 2564) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แถลงข่าวกรณีการแฮกข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานว่า รพ.เพชรบูรณ์ ถูกผู้ไม่ประสงค์ดีแฮกข้อมูลผู้ป่วยไปโพสต์ขายบนเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2564 จึงร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความเสียหายทันที พบว่าไม่ได้เป็นการแฮกฐานข้อมูลหลักที่ใช้ในการให้บริการและมีประวัติการรักษาผู้ป่วย แต่เป็นฐานข้อมูลที่โรงพยาบาลเขียนขึ้นบนโปรแกรมที่เปิดให้ใช้ฟรี (Open source) สําหรับใช้ในการทํางานของเจ้าหน้าที่ เช่น การสรุปข้อมูลผู้ป่วย การนัดหมายผู้ป่วย ตารางเวรแพทย์ และการคํานวณรายจ่ายในการผ่าตัดของกลุ่มศัลยกรรมกระดูกและข้อ เป็นต้น “ข้อมูลที่ถูกแฮกส่วนใหญ่เป็นบางไฟล์ที่มีชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ สิทธิการรักษา แต่ไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลการตรวจรักษา โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ยังสามารถให้การดูแลคนไข้ได้ปกติ โดยข้อมูลที่ถูกแฮกมีประมาณ 18,000 กว่าราย ไม่ใช่ 16 ล้านราย เนื่องจากเพชรบูรณ์มีประชากรไม่ถึงล้านคน ซึ่งกรณีนี้ต่างจาก รพ.สระบุรี ที่ถูกแฮกระบบฐานข้อมูลหลักจนทําให้จุดบริการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การกระทําดังกล่าวมีความผิดตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 มีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และ กฏหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง” นายแพทย์ธงชัยกล่าว นายแพทย์ธงชัยกล่าวว่า ขณะนี้ได้แจ้งความแล้ว และกระทรวงดิจิทัลฯ กําลังติดตามตรวจสอบหาแฮกเกอร์ ซึ่งไม่ได้เจาะจงข้อมูลสุขภาพเป็นพิเศษ แต่จะตระเวนหาระบบที่มีจุดอ่อนเพื่อโจรกรรมข้อมูล จึงต้องกําชับบุคลากรให้เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น เปลี่ยนยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดเป็นประจํา ทั้งนี้ จะจัดตั้งหน่วยงานเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ด้านสุขภาพและหน่วยตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน ประสานการทํางานกับสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ด้านนายแพทย์อนันต์กล่าวว่า เซิร์ฟเวอร์ที่โรงพยาบาลเขียนโปรแกรมสําหรับการทํางานภายใน จําเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อาจถูกผู้ไม่ประสงค์ดีบุกรุกได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบการข้ามไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่น และรพ.เพชรบูรณ์ได้ตัดการเชื่อมต่อจากภายนอกทั้งหมดเพื่อป้องกันการบุกรุก ส่วนการป้องกันในอนาคต โรงพยาบาลต่างๆ ต้องทบทวนมาตรการ ความเสี่ยง และประเมินเรื่องสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อจัดการให้ระบบมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น เข้มงวดผู้ที่ใช้งานระบบให้ทําตามมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ ******************************* 7 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45608
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า สร้างความเชื่อการชําระเงินผ่านเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิด (EDC) และ QR Code เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565 นี้ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่าปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคและร้านค้าออนไลน์ จํานวนมาก มีการชําระค่าสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และการให้บริการชําระผ่านQR Codeซึ่งอาจเปิดโอกาสให้มีใช้การชําระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางทุจริตฟอกเงินหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่อาจส่งผลเสียหายต่อลูกค้าได้ซึ่งล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศ จึงได้ประกาศแนวนโยบายการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าสําหรับการชําระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (Know Your Merchant : KYM) เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจชําระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ําในการรู้จักและบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า โดยจะเริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565 ทั้งนี้ ธปท. ได้กําหนดแนวนโยบาย KYM เพี่อให้ผู้ประกอบธุรกิจชําระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ําในการกําหนดกระบวนการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าได้แก่ 1. จัดให้มีการประเมินและจัดระดับความเสี่ยงร้านค้าตามรูปแบบลักษณะและประเภทธุรกิจโดยคํานึงถึงปัจจัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการฟอกเงินเป็นขั้นต่ําและ 2. กําหนดนโยบายการรู้จักร้านค้าการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในการติดตามตรวจสอบและทบทวนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของร้านค้าโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทและจัดให้มีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายมาตรการการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในและติดตามตรวจสอบความเสี่ยงและปฏิบัติตามแนวทางที่กําหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ปัจจุบัน ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม มีร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) ทั้งหมด 9 แสนเครื่อง และร้านค้าที่รับชําระ ผ่าน QR Code จํานวน 7.2 ล้านราย รวมร้านค้าทั้งหมดราว 8.1 ล้านราย ที่จะอยู่ในกระบวนการที่จะถูกตรวจสอบข้อมูลและประเมินความเสี่ยง ซึ่ง ธปท. จะมีการแบ่งประเภทความเสี่ยงของร้านค้า อาทิ ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูง ร้านค้าที่เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เป็นต้น ซึ่งจะมีการ ติดตามข้อมูลและขึ้น บัญชีร้านค้า Watch list อีกด้วย "ปัจจุบัน รูปแบบการใช้จ่ายเงินของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นปัจจัยสนับสนุนรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ คนไทยหันมาใช้ e-Payments ในการชําระเงินมากขึ้น เช่น การทําธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบ Mobile Banking / Internet Banking / QR code การใช้บัตรเครดิต การใช้บริการระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay) เป็นต้น ดังนั้น ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ความสําคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด(Cashless Society) และการใช้เงินดิจิทัล สร้างประสบการณ์การเงินดิจิทัล ผ่านมาตรการรัฐ อาทิ คนละครึ่ง เราชนะ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสําคัญในการดูแลระบบการเงินไทยมีความมั่นคงและปลอดภัย ซึงเป็นไปตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ในการนําเทคโนโลยีมาพัฒนาภาคการเงิน ชึ่งนอกจากจะมีความปลอดภัยแล้ว ยังกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเสริมสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วย" นางสาวรัชดา กล่าว --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท. ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า สร้างความเชื่อการชําระเงินผ่านเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิด (EDC) และ QR Code เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565 นี้ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่าปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคและร้านค้าออนไลน์ จํานวนมาก มีการชําระค่าสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และการให้บริการชําระผ่านQR Codeซึ่งอาจเปิดโอกาสให้มีใช้การชําระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางทุจริตฟอกเงินหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่อาจส่งผลเสียหายต่อลูกค้าได้ซึ่งล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศ จึงได้ประกาศแนวนโยบายการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าสําหรับการชําระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (Know Your Merchant : KYM) เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจชําระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ําในการรู้จักและบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า โดยจะเริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565 ทั้งนี้ ธปท. ได้กําหนดแนวนโยบาย KYM เพี่อให้ผู้ประกอบธุรกิจชําระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ําในการกําหนดกระบวนการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าได้แก่ 1. จัดให้มีการประเมินและจัดระดับความเสี่ยงร้านค้าตามรูปแบบลักษณะและประเภทธุรกิจโดยคํานึงถึงปัจจัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการฟอกเงินเป็นขั้นต่ําและ 2. กําหนดนโยบายการรู้จักร้านค้าการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในการติดตามตรวจสอบและทบทวนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของร้านค้าโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทและจัดให้มีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายมาตรการการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในและติดตามตรวจสอบความเสี่ยงและปฏิบัติตามแนวทางที่กําหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ปัจจุบัน ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม มีร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) ทั้งหมด 9 แสนเครื่อง และร้านค้าที่รับชําระ ผ่าน QR Code จํานวน 7.2 ล้านราย รวมร้านค้าทั้งหมดราว 8.1 ล้านราย ที่จะอยู่ในกระบวนการที่จะถูกตรวจสอบข้อมูลและประเมินความเสี่ยง ซึ่ง ธปท. จะมีการแบ่งประเภทความเสี่ยงของร้านค้า อาทิ ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูง ร้านค้าที่เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เป็นต้น ซึ่งจะมีการ ติดตามข้อมูลและขึ้น บัญชีร้านค้า Watch list อีกด้วย "ปัจจุบัน รูปแบบการใช้จ่ายเงินของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นปัจจัยสนับสนุนรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ คนไทยหันมาใช้ e-Payments ในการชําระเงินมากขึ้น เช่น การทําธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบ Mobile Banking / Internet Banking / QR code การใช้บัตรเครดิต การใช้บริการระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay) เป็นต้น ดังนั้น ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ความสําคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด(Cashless Society) และการใช้เงินดิจิทัล สร้างประสบการณ์การเงินดิจิทัล ผ่านมาตรการรัฐ อาทิ คนละครึ่ง เราชนะ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสําคัญในการดูแลระบบการเงินไทยมีความมั่นคงและปลอดภัย ซึงเป็นไปตามนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ในการนําเทคโนโลยีมาพัฒนาภาคการเงิน ชึ่งนอกจากจะมีความปลอดภัยแล้ว ยังกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเสริมสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วย" นางสาวรัชดา กล่าว --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47896
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 “ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ “ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ “ชัยวุฒิ”เผยศูนย์ดิจิทัลชุมชนฯเกิดแล้ว500แห่งเตรียมผลักดันให้ครบ2,000ศูนย์ฯในสิ้นปี65มั่นใจชุมชนเรียนรู้และนําเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมูลค่าของดีในชุมชนนในอนาคตได้ เมื่อวันที่19กุมภาพันธุ์2565นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคมพร้อมคณะลงพื้นที่เปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่อําเภอแก่งคอยจังหวัดสระบุรีโดยนางอังคณาชิตะติตติรองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีให้การต้อนรับ นายชัยวุฒิกล่าวว่าการลงพื้นที่วันนี้เป็นไปตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาที่อยากสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารการทําธุรกิจต่างๆในชุมชนซึ่งที่แก่งคอยก็เป็นหนึ่งที่ตั้งเป้าไว้มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งการเรียนรู้เรื่องต่างๆผ่านระบบอินเตอร์เน็ตให้พี่น้องทําธุรกิจออนไลน์ต่างๆ “ขณะนี้เปิดไปแล้ว500ศูนย์ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอยากให้กระจายการใช้อินเตอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ในการทําธุรกิจต่างๆให้ไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเราทําได้500ศูนย์แล้วของกระทรวงดิจิทัลพร้อมกันนี้ยังมีของกสทชที่ร่วมทําด้วยอีกส่วนหนึ่งภายในปีนี้ตั้งใจส่งเสริมให้ครบ2,000ศูนย์ทั่วประเทศ”รัฐมนตรีดีอีเอสกล่าว ************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 “ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ “ชัยวุฒิ” ลงพื้นที่ จ.สระบุรี เร่งผลักดันศูนย์ดิจิทัลชุมชนครบ 2,000 ศูนย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ “ชัยวุฒิ”เผยศูนย์ดิจิทัลชุมชนฯเกิดแล้ว500แห่งเตรียมผลักดันให้ครบ2,000ศูนย์ฯในสิ้นปี65มั่นใจชุมชนเรียนรู้และนําเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มมูลค่าของดีในชุมชนนในอนาคตได้ เมื่อวันที่19กุมภาพันธุ์2565นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคมพร้อมคณะลงพื้นที่เปิดศูนย์ดิจิทัลชุมชนที่อําเภอแก่งคอยจังหวัดสระบุรีโดยนางอังคณาชิตะติตติรองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีให้การต้อนรับ นายชัยวุฒิกล่าวว่าการลงพื้นที่วันนี้เป็นไปตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาที่อยากสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารการทําธุรกิจต่างๆในชุมชนซึ่งที่แก่งคอยก็เป็นหนึ่งที่ตั้งเป้าไว้มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งการเรียนรู้เรื่องต่างๆผ่านระบบอินเตอร์เน็ตให้พี่น้องทําธุรกิจออนไลน์ต่างๆ “ขณะนี้เปิดไปแล้ว500ศูนย์ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอยากให้กระจายการใช้อินเตอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ในการทําธุรกิจต่างๆให้ไปครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเราทําได้500ศูนย์แล้วของกระทรวงดิจิทัลพร้อมกันนี้ยังมีของกสทชที่ร่วมทําด้วยอีกส่วนหนึ่งภายในปีนี้ตั้งใจส่งเสริมให้ครบ2,000ศูนย์ทั่วประเทศ”รัฐมนตรีดีอีเอสกล่าว ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกำลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ วันที่ 14 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งวางโรดแมปเพื่อสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน และด้านแรงงาน ซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยได้พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคีเพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้ขยายความร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ โดยด้านการค้าการลงทุน จะเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้าและธุรกิจของไทย ซึ่งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังซาอุดีอาระเบียในปี 2565 จะมีการขยายตัวกว่า 6.2% สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ถึงร้อยละ 15 และจะมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการส่งออกสินค้าไปยังซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน การทําธุรกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อต่อยอดไปยังสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักและทําการตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของซาอุดีอาระเบียได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียนโดยมีสินค้าเป้าหมาย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล เช่น ข้าว อาหารทะเลแปรรูป ไก่สด ผลไม้ กาแฟ ขนมจากน้ําตาล เครื่องปรุงรส อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช 2. สินค้าอุตสาหกรรม ประเภทยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า 3. ภาคบริการ ผ่านโรงพยาบาลและบริการทางการแพทย์ ตลอดจนโรงแรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งไทยล้วนมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออก รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้านความคืบหน้าแรงงานไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยเข้าทํางานในซาอุดีอาระเบีย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานกับสํานักงานแรงงานของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการหารายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่งงาน ประเภทงาน ระดับทักษะฝีมือ และคุณสมบัติเบื้องต้นของแรงงานที่นายจ้างซาอุดีอาระเบียมีความต้องการ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพและปรับเพิ่มทักษะฝีมือแก่แรงงานไทย (upskill & reskill) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการแรงงานของซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับลงทะเบียนแรงงานไทยที่สนใจเข้าทํางานผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (Overseas Employment E-Service) และเว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th/prd ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปจะมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 “นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงการวางโรดแมปความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อต่อยอดความร่วมมือจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องหารืออย่างครอบคลุม และรอบคอบด้วยการประสานงานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งกําชับให้ติดตามความคืบหน้าและต้องมีการรายงานผลที่เป็นรูปธรรมภายใน 2 เดือนนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการดําเนินการของรัฐบาลไทยจะขยายต่อความร่วมมือไปยังด้านอื่นๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพได้อีกมาก ต่อเนื่องสร้างพลวัตด้านความสัมพันธ์ไปยังอนาคต” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกำลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สั่งการเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกําลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ วันที่ 14 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งวางโรดแมปเพื่อสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน และด้านแรงงาน ซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยได้พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคีเพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้ขยายความร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ โดยด้านการค้าการลงทุน จะเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้าและธุรกิจของไทย ซึ่งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังซาอุดีอาระเบียในปี 2565 จะมีการขยายตัวกว่า 6.2% สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ถึงร้อยละ 15 และจะมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการส่งออกสินค้าไปยังซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน การทําธุรกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อต่อยอดไปยังสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักและทําการตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของซาอุดีอาระเบียได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียนโดยมีสินค้าเป้าหมาย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล เช่น ข้าว อาหารทะเลแปรรูป ไก่สด ผลไม้ กาแฟ ขนมจากน้ําตาล เครื่องปรุงรส อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช 2. สินค้าอุตสาหกรรม ประเภทยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า 3. ภาคบริการ ผ่านโรงพยาบาลและบริการทางการแพทย์ ตลอดจนโรงแรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งไทยล้วนมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออก รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้านความคืบหน้าแรงงานไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยเข้าทํางานในซาอุดีอาระเบีย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานกับสํานักงานแรงงานของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการหารายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่งงาน ประเภทงาน ระดับทักษะฝีมือ และคุณสมบัติเบื้องต้นของแรงงานที่นายจ้างซาอุดีอาระเบียมีความต้องการ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพและปรับเพิ่มทักษะฝีมือแก่แรงงานไทย (upskill & reskill) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการแรงงานของซาอุดีอาระเบีย พร้อมทั้งเปิดช่องทางรับลงทะเบียนแรงงานไทยที่สนใจเข้าทํางานผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th ซึ่งเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ (Overseas Employment E-Service) และเว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th/prd ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปจะมีการลงนามระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 “นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงการวางโรดแมปความร่วมมือด้านต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อต่อยอดความร่วมมือจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องหารืออย่างครอบคลุม และรอบคอบด้วยการประสานงานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งกําชับให้ติดตามความคืบหน้าและต้องมีการรายงานผลที่เป็นรูปธรรมภายใน 2 เดือนนี้ ซึ่งเชื่อมั่นว่าการดําเนินการของรัฐบาลไทยจะขยายต่อความร่วมมือไปยังด้านอื่นๆ ที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพได้อีกมาก ต่อเนื่องสร้างพลวัตด้านความสัมพันธ์ไปยังอนาคต” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC เผยผลตอบรับดีเพราะผู้หญิงได้รับความปลอดภัยจากคดีสะเทือนขวัญมากขึ้น น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดคดีอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.... ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมร่างเสร็จเรียบร้อย โดยได้ส่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ซึ่งหัวใจสําคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ร่างกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับของสหประชาชาติ โดยผ่านการกําหนดให้มีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางการปฏิบัติในการป้องกันไม่ให้ผู้ที่กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์กลับไปทําความผิดซ้ํารวมถึงก่อคดีสะเทือนขวัญอีก ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องการให้มีการขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงร่างกฎหมายฉบับนี้ และต้องการให้ผู้หญิงทุกคนในสังคมรับรู้และตื่นตัว ดังนั้นตนได้จัดตั้งคณะทํางานขึ้นพร้อมเชิญผู้บริหารระดับสูงจากหลายกรมในกระทรวง และบุคคลภายนอกที่ชํานาญเกี่ยวกับเรื่องเด็ก เยาวชน และสตรี ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย รวมถึงสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าร่วมประชุมและหารือด้วย ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เพราะกฎหมายนี้จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้หญิงได้มากยิ่งขึ้น น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ เปิดเผยอีกว่า หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทําให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีกลไกและเครื่องมือในการบริหารจัดการผู้กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ครอบคลุมทุกปัจจัยเสี่ยง อีกทั้งร่างกฎหมายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มบทบาทอํานาจหน้าที่ให้กับศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (Justice Safety Observation Ad Hoc Center JSOC) ในการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมของผู้ทําผิดภายหลังได้รับการปล่อยตัวซึ่งจะทําให้สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม ดึง รัฐสภาสตรีไทย-สภาสตรีไทยร่วมผลักดัน กฎหมาย JSOC เผยผลตอบรับดีเพราะผู้หญิงได้รับความปลอดภัยจากคดีสะเทือนขวัญมากขึ้น น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําความผิดคดีอุกฉกรรจ์ที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ.... ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมร่างเสร็จเรียบร้อย โดยได้ส่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ซึ่งหัวใจสําคัญของกฎหมายฉบับนี้คือ ร่างกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับของสหประชาชาติ โดยผ่านการกําหนดให้มีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางการปฏิบัติในการป้องกันไม่ให้ผู้ที่กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์กลับไปทําความผิดซ้ํารวมถึงก่อคดีสะเทือนขวัญอีก ซึ่งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องการให้มีการขับเคลื่อนงานด้านประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงร่างกฎหมายฉบับนี้ และต้องการให้ผู้หญิงทุกคนในสังคมรับรู้และตื่นตัว ดังนั้นตนได้จัดตั้งคณะทํางานขึ้นพร้อมเชิญผู้บริหารระดับสูงจากหลายกรมในกระทรวง และบุคคลภายนอกที่ชํานาญเกี่ยวกับเรื่องเด็ก เยาวชน และสตรี ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย รวมถึงสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เข้าร่วมประชุมและหารือด้วย ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เพราะกฎหมายนี้จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้หญิงได้มากยิ่งขึ้น น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ เปิดเผยอีกว่า หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทําให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีกลไกและเครื่องมือในการบริหารจัดการผู้กระทําผิดในคดีอุกฉกรรจ์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ครอบคลุมทุกปัจจัยเสี่ยง อีกทั้งร่างกฎหมายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มบทบาทอํานาจหน้าที่ให้กับศูนย์เฉพาะกิจเฝ้าระวังความปลอดภัยของประชาชน (Justice Safety Observation Ad Hoc Center JSOC) ในการเฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมของผู้ทําผิดภายหลังได้รับการปล่อยตัวซึ่งจะทําให้สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด อำพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ำตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ำตาลทราย
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 รองปลัด อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย รองปลัด อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 65 นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ วงษาเทียม ผู้อํานวยการกองอุตสาหกรรมอ้อย น้ําตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นายสมนึก มั่นในบุญธรรม ผู้อํานวยการสํานักบริหารอ้อยและน้ําตาลทราย คณะกรรมการน้ําตาลทราย เจ้าหน้าที่ของ สอน. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย ณ คลังสินค้าบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยการติดตามสถานการณ์ในครั้งนี้ ได้รับฟังการบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด ขั้นตอนในการบริหารจัดการการขนย้ายน้ําตาลทราย การบริหารจัดการ การขนย้ายน้ําตาลทรายด้วยการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการขนย้าย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานคนและลดระยะเวลาในการขนย้ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และลงพื้นที่ดูสถานที่การขนย้ายน้ําตาลทรายและเทคโนโลยีในการขนย้ายจากแนวคิดและการออกแบบของบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด จากนั้นคณะกรรมการน้ําตาลทรายได้เดินทางไปศึกษาดูงานการใช้น้ําตาลทรายเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ณ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จํากัด (เขตลาดกระบัง) กรุงเทพ ฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด อำพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ำตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ำตาลทราย วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 รองปลัด อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย รองปลัด อําพันธุ์ ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 65 นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายประสิทธิ์ วงษาเทียม ผู้อํานวยการกองอุตสาหกรรมอ้อย น้ําตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง นายสมนึก มั่นในบุญธรรม ผู้อํานวยการสํานักบริหารอ้อยและน้ําตาลทราย คณะกรรมการน้ําตาลทราย เจ้าหน้าที่ของ สอน. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ําตาลทราย อุตสาหกรรมต่อเนื่อง และการส่งออกน้ําตาลทราย ณ คลังสินค้าบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยการติดตามสถานการณ์ในครั้งนี้ ได้รับฟังการบรรยายถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด ขั้นตอนในการบริหารจัดการการขนย้ายน้ําตาลทราย การบริหารจัดการ การขนย้ายน้ําตาลทรายด้วยการใช้เทคโนโลยีในกระบวนการขนย้าย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานคนและลดระยะเวลาในการขนย้ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และลงพื้นที่ดูสถานที่การขนย้ายน้ําตาลทรายและเทคโนโลยีในการขนย้ายจากแนวคิดและการออกแบบของบริษัท เคอรี่ สยามซีพอร์ต จํากัด จากนั้นคณะกรรมการน้ําตาลทรายได้เดินทางไปศึกษาดูงานการใช้น้ําตาลทรายเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก ณ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จํากัด (เขตลาดกระบัง) กรุงเทพ ฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอำนาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อำนาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอํานาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อํานาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอํานาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อํานาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี วันที่ 20 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ภาพรวมการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 คําชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรีแต่ละท่าน ตอบไม่ตรงคําถาม ถามวัวตอบควาย บางคําถามก็ไม่มีคําตอบว่า ถ้าหากฝ่ายค้านเปิดใจกว้างก็จะพบกับความจริงว่า ท่านนายกฯ ตอบคําถามได้ครอบคลุมชัดเจนในทุกประเด็น ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับที่ฝ่ายค้านหวังเอาไว้ว่า รัฐบาลอาจจะตอบได้ไม่ชัดเจน ฝ่ายค้านเองจึงออกอาการเป๋ ทําตัวไม่ถูก เปลี่ยนจากอภิปรายแบบ ส.ส.อภิปรายในสภาฯ กลายเป็นนักเลงอันธพาล เน้นยั่วยุ เสียดสี สาดโคลนชนิดที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น หากบอกว่าบางคําถามไม่มีคําตอบนั้น เชื่อว่าฝ่ายค้านเองก็คงไม่ได้หวังจะได้คําตอบ หรือพูดชัด ๆ ก็คือ หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบเลย แต่หวังเอามัน ขอให้ได้ดิสเครดิตรัฐบาลก็พอ “การอ้างว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญประชาชนเรียกร้องให้ตัดอํานาจ ส.ว.ไม่ให้เลือกนายกฯ นั้น ไม่แน่ใจว่าประชาชนหรือฝ่ายค้านกันแน่ที่เรียกร้อง ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายค้านเองทราบดีอยู่เต็มอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่อํานาจของท่านนายกฯ แต่เป็นเรื่องที่ ส.ส.ต้องไปพิจารณากันเองในสภาฯ ส่วนที่บอกว่า ท่านนายกฯ ลุกขึ้นตอบโต้ด้วยอารมณ์ แต่ไม่มีเนื้อหาชี้แจงประเด็นข้อซักถามนั้น ฝ่ายค้านควรหันกลับไปมองตัวเองก่อนจะดีกว่าว่า จริง ๆ แล้วฝ่ายค้านถามด้วยเนื้อหาหรือว่าถามแบบอารมณ์อันธพาล และเนื้อหาที่ว่าเป็นข้อซักถามนั้นเป็นการซักถามจริงหรือไม่ หรือแค่หวังก่อกวนไปวัน ๆ เท่านั้น อยากให้เลิกนิสัยว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเสียที เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร ทุกวันนี้จะมีหรือไม่มีฝ่ายค้านก็แทบจะไม่ต่างกันอยู่แล้ว เพราฝ่ายค้านไม่เคยทําหน้าที่ของตัวเอง” นายธนกร กล่าว ---------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอำนาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อำนาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอํานาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อํานาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี โฆษกรัฐบาลโต้ฝ่ายค้าน หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบจากรัฐบาล หวังแค่เอามัน-ดิสเครดิตรัฐบาล จวกแก้ รธน.ตัดอํานาจ ส.ว.เป็นหน้าที่ ส.ส.ว่ากันเอง ไม่ใช่อํานาจนายกฯ อย่าโบ้ยทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี วันที่ 20 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ภาพรวมการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 คําชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรีแต่ละท่าน ตอบไม่ตรงคําถาม ถามวัวตอบควาย บางคําถามก็ไม่มีคําตอบว่า ถ้าหากฝ่ายค้านเปิดใจกว้างก็จะพบกับความจริงว่า ท่านนายกฯ ตอบคําถามได้ครอบคลุมชัดเจนในทุกประเด็น ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับที่ฝ่ายค้านหวังเอาไว้ว่า รัฐบาลอาจจะตอบได้ไม่ชัดเจน ฝ่ายค้านเองจึงออกอาการเป๋ ทําตัวไม่ถูก เปลี่ยนจากอภิปรายแบบ ส.ส.อภิปรายในสภาฯ กลายเป็นนักเลงอันธพาล เน้นยั่วยุ เสียดสี สาดโคลนชนิดที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น หากบอกว่าบางคําถามไม่มีคําตอบนั้น เชื่อว่าฝ่ายค้านเองก็คงไม่ได้หวังจะได้คําตอบ หรือพูดชัด ๆ ก็คือ หูไม่ได้สนใจจะฟังคําตอบเลย แต่หวังเอามัน ขอให้ได้ดิสเครดิตรัฐบาลก็พอ “การอ้างว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญประชาชนเรียกร้องให้ตัดอํานาจ ส.ว.ไม่ให้เลือกนายกฯ นั้น ไม่แน่ใจว่าประชาชนหรือฝ่ายค้านกันแน่ที่เรียกร้อง ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายค้านเองทราบดีอยู่เต็มอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่อํานาจของท่านนายกฯ แต่เป็นเรื่องที่ ส.ส.ต้องไปพิจารณากันเองในสภาฯ ส่วนที่บอกว่า ท่านนายกฯ ลุกขึ้นตอบโต้ด้วยอารมณ์ แต่ไม่มีเนื้อหาชี้แจงประเด็นข้อซักถามนั้น ฝ่ายค้านควรหันกลับไปมองตัวเองก่อนจะดีกว่าว่า จริง ๆ แล้วฝ่ายค้านถามด้วยเนื้อหาหรือว่าถามแบบอารมณ์อันธพาล และเนื้อหาที่ว่าเป็นข้อซักถามนั้นเป็นการซักถามจริงหรือไม่ หรือแค่หวังก่อกวนไปวัน ๆ เท่านั้น อยากให้เลิกนิสัยว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองเสียที เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร ทุกวันนี้จะมีหรือไม่มีฝ่ายค้านก็แทบจะไม่ต่างกันอยู่แล้ว เพราฝ่ายค้านไม่เคยทําหน้าที่ของตัวเอง” นายธนกร กล่าว ---------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบูรไนดาลุสซาลามเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค.2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เรารุ่งเรือง” We care, We prepare, We prosper ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียนทั้งหมดจํานวน 14 การประชุม ครอบคลุมถึงความร่วมมือทุกด้าน เพื่อต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การรับมือภัยพิบัติ และสถานการณ์ในภูมิภาคทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบูรไนดาลุสซาลามเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลระหว่างวันที่ 26-28 ต.ค.2564 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “เราห่วงใย เราเตรียมพร้อม เรารุ่งเรือง” We care, We prepare, We prosper ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียนทั้งหมดจํานวน 14 การประชุม ครอบคลุมถึงความร่วมมือทุกด้าน เพื่อต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การรับมือภัยพิบัติ และสถานการณ์ในภูมิภาคทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47386
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม
วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม .... ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ยังคงพบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและสีเหลือง . รัฐบาลจึงเร่งขยายเตียงใน รพ.บุษราคัมเพิ่มอีก 1,500 เตียง ภาพรวมขณะนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยได้กว่า 3,700 เตียง และสามารถเพิ่มได้ถึง 4,000 เตียงในอนาคต . โดยผลการดําเนินงาน รพ.บุษราคัม ทั้ง 2 ระยะตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. – 3 ก.ค. 64 มีดังนี้ - ผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 100 ราย - ผู้ป่วยสะสม 5,064 ราย - รักษาหายกลับบ้าน 3,055 ราย - ส่งรักษาต่อ 167 ราย - อยู่ระหว่างการรักษา 1,842 ราย - เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการสีเหลืองอ่อน 1,410 ราย กลุ่มสีเหลือง 432 ราย #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 ขยายเตียงเพิ่ม 1,500 เตียง ที่ รพ.บุษราคัม .... ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ยังคงพบจํานวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวและสีเหลือง . รัฐบาลจึงเร่งขยายเตียงใน รพ.บุษราคัมเพิ่มอีก 1,500 เตียง ภาพรวมขณะนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยได้กว่า 3,700 เตียง และสามารถเพิ่มได้ถึง 4,000 เตียงในอนาคต . โดยผลการดําเนินงาน รพ.บุษราคัม ทั้ง 2 ระยะตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. – 3 ก.ค. 64 มีดังนี้ - ผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 100 ราย - ผู้ป่วยสะสม 5,064 ราย - รักษาหายกลับบ้าน 3,055 ราย - ส่งรักษาต่อ 167 ราย - อยู่ระหว่างการรักษา 1,842 ราย - เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการสีเหลืองอ่อน 1,410 ราย กลุ่มสีเหลือง 432 ราย #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด
วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด ​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด ย้ํานักเรียนต้องไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้หรีอเสียโอกาสด้านการศึกษา วันนี้ (2 มี.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ เตรียมความพร้อมมาตรการรองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นดูแลความปลอดภัยและให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุดเพื่อให้นักเรียนไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้และเสียโอกาสด้านการศึกษา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังรับทราบความกังวลกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 อาจหมดสิทธิสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT และการสอบวิชาสามัญ เพื่อนําคะแนนไปใช้ในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2565 นั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกําหนดแนวทางในการอํานวยความสะดวกให้นักเรียนที่ติดโควิด มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ และอยู่ระหว่างการรักษา รวมถึงกลุ่มเสี่ยงสูงให้ได้เข้าสอบ ตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กําหนด เพื่อให้นักเรียนได้เข้าสอบ ไม่เสียสิทธิ โดยกรณีที่สามารถมาสอบได้และได้รับการยินยอมจากแพทย์มีมาตรการดูแลความปลอดภัยพร้อมให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน ถูกต้อง ยกระดับมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุดเพื่อลดการติดเชื้อ จัดให้มีพื้นที่แยกสําหรับจัดการสอบเป็นสัดส่วน แยกกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กลุ่มผู้ติดเชื้อ เน้นการระบายอากาศที่ดี จัดที่นั่งสอบห่างกันไม่น้อยกว่า 2 เมตร รวมทั้งกําหนดให้ผู้เข้าสอบต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่เข้าสอบและลดการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น " นายกรัฐมนตรี ยังขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีแผนเผชิญเหตุรองรับ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อให้นักเรียนได้ใช้สิทธิ์ในการสอบเพื่อการศึกษาต่ออย่างไม่มีอุปสรรค โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนเป็นสําคัญ" นายธนกร กล่าว -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด ​โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ รองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นความปลอดภัยตามคําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุด ย้ํานักเรียนต้องไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้หรีอเสียโอกาสด้านการศึกษา วันนี้ (2 มี.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทํางานร่วมกันทุกมิติ เตรียมความพร้อมมาตรการรองรับการสอบ GAT/PAT และการสอบวิชาสามัญด้วยระบบทีแคส เน้นดูแลความปลอดภัยและให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขขั้นสูงสุดเพื่อให้นักเรียนไม่ขาดกระบวนการเรียนรู้และเสียโอกาสด้านการศึกษา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังรับทราบความกังวลกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 อาจหมดสิทธิสอบความถนัดทั่วไป หรือ GAT และความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT และการสอบวิชาสามัญ เพื่อนําคะแนนไปใช้ในการเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2565 นั้น ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกําหนดแนวทางในการอํานวยความสะดวกให้นักเรียนที่ติดโควิด มีอาการเล็กน้อย หรือไม่มีอาการ และอยู่ระหว่างการรักษา รวมถึงกลุ่มเสี่ยงสูงให้ได้เข้าสอบ ตามมาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กําหนด เพื่อให้นักเรียนได้เข้าสอบ ไม่เสียสิทธิ โดยกรณีที่สามารถมาสอบได้และได้รับการยินยอมจากแพทย์มีมาตรการดูแลความปลอดภัยพร้อมให้คําแนะนําด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน ถูกต้อง ยกระดับมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุดเพื่อลดการติดเชื้อ จัดให้มีพื้นที่แยกสําหรับจัดการสอบเป็นสัดส่วน แยกกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กลุ่มผู้ติดเชื้อ เน้นการระบายอากาศที่ดี จัดที่นั่งสอบห่างกันไม่น้อยกว่า 2 เมตร รวมทั้งกําหนดให้ผู้เข้าสอบต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาที่เข้าสอบและลดการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น " นายกรัฐมนตรี ยังขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีแผนเผชิญเหตุรองรับ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นไปเพื่อให้นักเรียนได้ใช้สิทธิ์ในการสอบเพื่อการศึกษาต่ออย่างไม่มีอุปสรรค โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนเป็นสําคัญ" นายธนกร กล่าว -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52095
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน วันนี้ (6 ม.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่คณะทํางานสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุกและผู้ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบรรจบ จันทรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ร้อยตํารวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้แทนกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่ได้ให้ความสําคัญและมีความตั้งใจในการที่จะช่วย Change for Good สร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน สังคมไทย และกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสื่อสาร" ที่ถือเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งในขณะนี้ เราอยู่ท่ามกลางสังคมโลกที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างอิสระ เสรีเป็นอย่างมาก อันอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนับถือ ต่อองค์กรกระทรวงมหาดไทย หากไม่ให้ความสําคัญหรือทําความเข้าใจให้ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “ภัยคุกคามในโลกยุคปัจจุบัน” ซึ่งภัยคุกคามจากการสื่อสารจะหมดไปได้ถ้าเรามีเป้าหมายไปในทิศทาง (Direction) เดียวกัน คือ 1) ต้องสื่อสารภารกิจในงานขององค์กรเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น และให้ความสําคัญกับสังคมภายนอก 2) ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์ความรู้ บทบาทภารกิจขององค์กร และทัศนคติที่ดีของบุคลากรภายในหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นสารตั้งต้นก่อนจะสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชน และต้องพึงระลึกเสมอว่า พี่น้องประชาชนคือ บุคคลที่สําคัญ ที่เราต้องช่วยกันให้บริการที่ดี เพื่อสนองตอบวิสัยทัศน์ของกระทรวงมหาดไทย และปณิธาน "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารสังคม และช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด "สิ่งสําคัญ คือ คนมหาดไทยต้องรู้ เข้าใจ และเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการสื่อสารสังคม ทั้งการสื่อสารภายในและภายนอก ต้องมีความรัก และพร้อมในการทําหน้าที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับสิ่งที่ดี รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รุ่นพี่ต้องเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสื่อสารการทํางานให้แก่รุ่นน้องได้ เพื่อให้เรามีบุคลากรที่ดีที่รักองค์กร รักเกียรติยศ รักชื่อเสียง และสํานึกตลอดเวลาว่าเราคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อยากจะทํางานเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า ทั้ง 7 กรม 6 รัฐวิสาหกิจ รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เราต้องหลอมรวมแขนงไม้ไผ่ ทั้ง 13 แขนงเป็นทีมเดียวกัน เหมือนคติเรื่องเล่าในอดีต ซึ่งการสร้างความแข็งแกร่งของแขนงลําไม้ไผ่ย่อยๆได้นั้น ต้องเกิดจากการนํามามัดรวมกัน ซึ่งทุกส่วนราชการและการสื่อสารองค์กรต้องรวมเป็นหนึ่ง มีทิศทางเดียวกันให้ได้ คือ "ทีมมหาดไทย" เพื่อรับมือกับภัยคุกคามและโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยทีมมหาดไทยทั้ง 13 หน่วยงาน ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องขับเคลื่อนสื่อสารสังคมเป็นไปใน Theme หรือ Core Bussiness เดียวกัน นั่นคือ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" "ต้องให้คนมหาดไทยเข้าใจตรงกันและทุ่มเททํางานในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบที่ดีอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้าพวกเราทําอย่างเข้มแข็ง ก็จะเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการคนรุ่นใหม่เป็นคนดี มีอุดมการณ์ ทําเพื่อประชาชน มีความรู้รักสามัคคี และเมื่อ 13 หน่วยงานประสานหลอมรวมกัน ผนวกกับการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อสารมวลชน ที่มาร่วมมือช่วยงานกัน ก็ย่อมเป็นการเสริมพลังให้งานประสบความสําเร็จได้ดียิ่งขึ้น รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น และต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ รัฐวิสาหกิจหรือกรมต่าง ๆ ต้องปรับตัวในการทํางานเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ปรับตัวให้ทันต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ฝากถึงผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ ทั้ง 13 หน่วยงาน ให้ช่วยกันตั้งใจทําวันนี้ให้มีคุณค่า เพื่อใช้เวลาในวันข้างหน้าให้เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในการที่จะเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงกับพี่น้องประชาชน ทําหน้าที่ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชน และในวาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย พวกเราต้องช่วยกันทําองค์กรให้เข้มแข็ง ให้เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเราต้องร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูล ทุ่มเทอุทิศกําลังกาย กําลังใจ ร่วมกับภาคีเครือข่ายให้เต็มกําลังความสามารถ และไม่ว่าจะกี่ร้อยปีข้างหน้า การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพ ทั้งในองค์กร และต่อการดํารงชีวิตของประชาชน ก็จะเป็นอมตะอยู่เสมอ และจะเป็นหลักชัยในการค้ําจุนประเทศชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน จากนั้น ที่ประชุมได้มีการชี้แจงการขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมและประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการสื่อสารสังคม โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึง การประยุกต์ใช้กลไก 3 5 7 ในการทํางานสื่อสารสังคม พร้อมทั้งการขับเคลื่อนการทํางานของคณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ และคณะทํางานขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ด้าน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของคณะทํางานกลไกสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุก และการจัดทําแผนแม่บทสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ในระยะ 5 ปี ที่ใช้เป็นเสมือน Road Map ในการมีเป้าหมายร่วมกันในการสื่อสารองค์กร นอกเหนือจาก สิ่งที่ได้ดําเนินการมาตามปกติ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและมองเห็นภาพการทํางานที่หนุนเสริมกันได้ นายไพศาล งามจิตอนันต์ ผู้อํานวยการกลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการกองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวชี้แจง รายละเอียดการสัมมนาวิชาการเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและการสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 28 – 29 ม.ค. 2565 และในช่วงท้ายของการประชุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่จะเกิดสิ่งที่ดีสําหรับกระทรวงมหาดไทย ทุกคนเป็นผู้ที่เสียสละ จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นว่า เราจะเป็นผู้นําและจะไปถ่ายทอดขยายผลสื่อสารต่อไป นอกจากนี้ การที่เราจะสร้างอนาคตได้ต้องเกิดจากความสามัคคี ดังเช่นแขนงไม้ไผ่ ถ้ามีอันเดียวสามารถหักได้ง่าย แต่ถ้ามัดรวมหลาย ๆ แขนง เป็นสิบ ๆ แขนง ก็จะไม่สามารถหักได้ นั่นคือ ความสามัคคีของกรม/รัฐวิสาหกิจทั้ง 13 หน่วยงาน และ 7 ภาคีเครือข่าย อันจะนํามาซึ่งความเข้มแข็ง รวมทั้ง ทุกคนต้องมีทัศนคติที่ดี โลกต้องการคนดีเพื่อไม่ได้มารับรางวัล แต่ต้องการคนดีเพื่อทําชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น คนดีอย่างแท้จริงเสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะทําให้คนอื่นรู้ว่าตนได้กระทําความดี หรือปิดทองหลังพระ ซึ่งทัศนคติที่ดีจะทําให้พวกเราได้มุ่งไปสู่ Core Business นั่นคือ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทําให้สําเร็จด้วยความศรัทธา มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทํา สร้างอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี สร้างตําแหน่งให้เป็นตํานาน ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ต้องรู้จักปรับตัวต่อภัยคุกคาม ทําให้องค์กรตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ นําไปสู่ การ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่อสามารถสื่อสารเชิงรุกให้สังคมได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนการทํางานของกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน ปลัดมหาดไทย ขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมเชิงรุก บูรณาการ 13 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่าย Change for Good ให้เกิดสิ่งที่ดีงามเพื่อประชาชน วันนี้ (6 ม.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่คณะทํางานสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุกและผู้ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบรรจบ จันทรัตน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ร้อยตํารวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้แทนกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อันประกอบด้วย กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การตลาด และองค์การจัดการน้ําเสีย รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่ได้ให้ความสําคัญและมีความตั้งใจในการที่จะช่วย Change for Good สร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน สังคมไทย และกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การสื่อสาร" ที่ถือเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งในขณะนี้ เราอยู่ท่ามกลางสังคมโลกที่มีความเป็นโลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารอย่างอิสระ เสรีเป็นอย่างมาก อันอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนับถือ ต่อองค์กรกระทรวงมหาดไทย หากไม่ให้ความสําคัญหรือทําความเข้าใจให้ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “ภัยคุกคามในโลกยุคปัจจุบัน” ซึ่งภัยคุกคามจากการสื่อสารจะหมดไปได้ถ้าเรามีเป้าหมายไปในทิศทาง (Direction) เดียวกัน คือ 1) ต้องสื่อสารภารกิจในงานขององค์กรเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น และให้ความสําคัญกับสังคมภายนอก 2) ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์ความรู้ บทบาทภารกิจขององค์กร และทัศนคติที่ดีของบุคลากรภายในหน่วยงาน ซึ่งถือเป็นสารตั้งต้นก่อนจะสื่อสารไปยังพี่น้องประชาชน และต้องพึงระลึกเสมอว่า พี่น้องประชาชนคือ บุคคลที่สําคัญ ที่เราต้องช่วยกันให้บริการที่ดี เพื่อสนองตอบวิสัยทัศน์ของกระทรวงมหาดไทย และปณิธาน "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารสังคม และช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด "สิ่งสําคัญ คือ คนมหาดไทยต้องรู้ เข้าใจ และเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการสื่อสารสังคม ทั้งการสื่อสารภายในและภายนอก ต้องมีความรัก และพร้อมในการทําหน้าที่เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับสิ่งที่ดี รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รุ่นพี่ต้องเป็นแบบอย่างและถ่ายทอดสื่อสารการทํางานให้แก่รุ่นน้องได้ เพื่อให้เรามีบุคลากรที่ดีที่รักองค์กร รักเกียรติยศ รักชื่อเสียง และสํานึกตลอดเวลาว่าเราคือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อยากจะทํางานเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยังได้กล่าวอีกว่า ทั้ง 7 กรม 6 รัฐวิสาหกิจ รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เราต้องหลอมรวมแขนงไม้ไผ่ ทั้ง 13 แขนงเป็นทีมเดียวกัน เหมือนคติเรื่องเล่าในอดีต ซึ่งการสร้างความแข็งแกร่งของแขนงลําไม้ไผ่ย่อยๆได้นั้น ต้องเกิดจากการนํามามัดรวมกัน ซึ่งทุกส่วนราชการและการสื่อสารองค์กรต้องรวมเป็นหนึ่ง มีทิศทางเดียวกันให้ได้ คือ "ทีมมหาดไทย" เพื่อรับมือกับภัยคุกคามและโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยทีมมหาดไทยทั้ง 13 หน่วยงาน ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องขับเคลื่อนสื่อสารสังคมเป็นไปใน Theme หรือ Core Bussiness เดียวกัน นั่นคือ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" "ต้องให้คนมหาดไทยเข้าใจตรงกันและทุ่มเททํางานในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดผลกระทบที่ดีอย่างกว้างขวาง ซึ่งถ้าพวกเราทําอย่างเข้มแข็ง ก็จะเป็นแรงจูงใจให้ข้าราชการคนรุ่นใหม่เป็นคนดี มีอุดมการณ์ ทําเพื่อประชาชน มีความรู้รักสามัคคี และเมื่อ 13 หน่วยงานประสานหลอมรวมกัน ผนวกกับการสนับสนุนของภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อสารมวลชน ที่มาร่วมมือช่วยงานกัน ก็ย่อมเป็นการเสริมพลังให้งานประสบความสําเร็จได้ดียิ่งขึ้น รวดเร็วทันการณ์มากขึ้น และต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ รัฐวิสาหกิจหรือกรมต่าง ๆ ต้องปรับตัวในการทํางานเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ปรับตัวให้ทันต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร สุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ฝากถึงผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ ทั้ง 13 หน่วยงาน ให้ช่วยกันตั้งใจทําวันนี้ให้มีคุณค่า เพื่อใช้เวลาในวันข้างหน้าให้เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกระทรวงมหาดไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ในการที่จะเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงกับพี่น้องประชาชน ทําหน้าที่ บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชน และในวาระ 130 ปีกระทรวงมหาดไทย พวกเราต้องช่วยกันทําองค์กรให้เข้มแข็ง ให้เป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเราต้องร่วมไม้ร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูล ทุ่มเทอุทิศกําลังกาย กําลังใจ ร่วมกับภาคีเครือข่ายให้เต็มกําลังความสามารถ และไม่ว่าจะกี่ร้อยปีข้างหน้า การน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพ ทั้งในองค์กร และต่อการดํารงชีวิตของประชาชน ก็จะเป็นอมตะอยู่เสมอ และจะเป็นหลักชัยในการค้ําจุนประเทศชาติและประชาชนให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน จากนั้น ที่ประชุมได้มีการชี้แจงการขับเคลื่อนงานสื่อสารสังคมและประชาสัมพันธ์ของกระทรวงมหาดไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมการด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านการสื่อสารสังคม โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึง การประยุกต์ใช้กลไก 3 5 7 ในการทํางานสื่อสารสังคม พร้อมทั้งการขับเคลื่อนการทํางานของคณะกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ และคณะทํางานขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ด้าน รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวถึงองค์ประกอบ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของคณะทํางานกลไกสื่อสารสร้างความเข้าใจสังคมเชิงรุก และการจัดทําแผนแม่บทสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ในระยะ 5 ปี ที่ใช้เป็นเสมือน Road Map ในการมีเป้าหมายร่วมกันในการสื่อสารองค์กร นอกเหนือจาก สิ่งที่ได้ดําเนินการมาตามปกติ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและมองเห็นภาพการทํางานที่หนุนเสริมกันได้ นายไพศาล งามจิตอนันต์ ผู้อํานวยการกลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนผู้อํานวยการกองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวชี้แจง รายละเอียดการสัมมนาวิชาการเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์เชิงรุกและการสื่อสารสังคมของกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 28 – 29 ม.ค. 2565 และในช่วงท้ายของการประชุม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกันเพื่อร่วมสร้างอนาคตที่จะเกิดสิ่งที่ดีสําหรับกระทรวงมหาดไทย ทุกคนเป็นผู้ที่เสียสละ จึงขอให้ทุกคนยึดมั่นว่า เราจะเป็นผู้นําและจะไปถ่ายทอดขยายผลสื่อสารต่อไป นอกจากนี้ การที่เราจะสร้างอนาคตได้ต้องเกิดจากความสามัคคี ดังเช่นแขนงไม้ไผ่ ถ้ามีอันเดียวสามารถหักได้ง่าย แต่ถ้ามัดรวมหลาย ๆ แขนง เป็นสิบ ๆ แขนง ก็จะไม่สามารถหักได้ นั่นคือ ความสามัคคีของกรม/รัฐวิสาหกิจทั้ง 13 หน่วยงาน และ 7 ภาคีเครือข่าย อันจะนํามาซึ่งความเข้มแข็ง รวมทั้ง ทุกคนต้องมีทัศนคติที่ดี โลกต้องการคนดีเพื่อไม่ได้มารับรางวัล แต่ต้องการคนดีเพื่อทําชีวิตและสังคมให้ดีขึ้น คนดีอย่างแท้จริงเสียสละได้แม้กระทั่งการที่จะทําให้คนอื่นรู้ว่าตนได้กระทําความดี หรือปิดทองหลังพระ ซึ่งทัศนคติที่ดีจะทําให้พวกเราได้มุ่งไปสู่ Core Business นั่นคือ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” จึงขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทําให้สําเร็จด้วยความศรัทธา มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทํา สร้างอนาคตให้เปลี่ยนแปลงไปในสิ่งที่ดี สร้างตําแหน่งให้เป็นตํานาน ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ต้องรู้จักปรับตัวต่อภัยคุกคาม ทําให้องค์กรตอบสนองในสิ่งต่าง ๆ นําไปสู่ การ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก เพื่อสามารถสื่อสารเชิงรุกให้สังคมได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนการทํางานของกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50287
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจำหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกำลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทำให้สูญเสียเงินจำนวนมาก
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจําหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกําลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทําให้สูญเสียเงินจํานวนมาก โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจําหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกําลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทําให้สูญเสียเงินจํานวนมาก วันนี้ (4 มิถุนายน 2565)นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามโครงการสลากดิจิทัล รู้สึกพอใจต่อการดําเนินโครง ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาการขายสลากเกิน ราคา 80 บาท ได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความพึงพอใจต่อผู้ซื้อสลาก อีกทั้ง ยังมีความน่าเชื่อถือได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อ โดยยอดจําหน่ายสลากฯ ผ่านแอป "เป๋าตัง" ข้อมูล ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2565 เวลา 17.00 น. สามารถจําหน่ายได้ จํานวน 3,416,064 ใบ จํานวนผู้ซื้อสลาก 830,673 คน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังมอบหมายคณะทํางาน ให้ติดตามและคอยประเมินผลการดําเนินโครงการจําหน่ายสลากออนไลน์ เพื่อปรับปรุงระบบให้มีความพร้อมรองรับการใช้งานทุกฟังก์ชัน พัฒนาให้ง่ายขึ้นต่อการใช้งาน ขณะเดียวกันฝากย้ําเตือนประชาชนอย่าซื้อจนเกินกําลัง สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและครอบครัว และขอให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก เพราะจะทําให้สูญเสียเงิน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําไม่มีหวยล็อคอย่างแน่นอน ......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจำหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกำลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทำให้สูญเสียเงินจำนวนมาก วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจําหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกําลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทําให้สูญเสียเงินจํานวนมาก โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" พอใจการตอบรับสลากดิจิทัล 80 ผ่านไป 2 วัน ยอดจําหน่ายกว่า 3.4 ล้านใบ พร้อมเตือนประชาชนอย่าซื้อเกินกําลัง และขอให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก หวั่นทําให้สูญเสียเงินจํานวนมาก วันนี้ (4 มิถุนายน 2565)นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ติดตามโครงการสลากดิจิทัล รู้สึกพอใจต่อการดําเนินโครง ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาการขายสลากเกิน ราคา 80 บาท ได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างความพึงพอใจต่อผู้ซื้อสลาก อีกทั้ง ยังมีความน่าเชื่อถือได้รับการยอมรับจากผู้ซื้อ โดยยอดจําหน่ายสลากฯ ผ่านแอป "เป๋าตัง" ข้อมูล ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2565 เวลา 17.00 น. สามารถจําหน่ายได้ จํานวน 3,416,064 ใบ จํานวนผู้ซื้อสลาก 830,673 คน โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังมอบหมายคณะทํางาน ให้ติดตามและคอยประเมินผลการดําเนินโครงการจําหน่ายสลากออนไลน์ เพื่อปรับปรุงระบบให้มีความพร้อมรองรับการใช้งานทุกฟังก์ชัน พัฒนาให้ง่ายขึ้นต่อการใช้งาน ขณะเดียวกันฝากย้ําเตือนประชาชนอย่าซื้อจนเกินกําลัง สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองและครอบครัว และขอให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ลงทุนหรือหลอกขายสลาก เพราะจะทําให้สูญเสียเงิน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําไม่มีหวยล็อคอย่างแน่นอน ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564 ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 ตามที่เคยมีมติไปแล้วเมื่อ 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งในครั้งนั้น รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้มีวันหยุดยาว 5 วันติดต่อกัน จะได้มีการเดินทางและท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สําหรับช่วงวันหยุดดังกล่าวประกอบด้วยวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นวันอาสาฬบูชา วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเข้าพรรษา วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564 เป็นวันหยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันนี้ เป็นที่น่ากังวลในหลายพื้นที่ มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือจากประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ครม.จึงเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ ครม. ยังได้กําชับให้หน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้อํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในเรื่องของการยกเลิก การเปลี่ยนตั๋วเดินทาง และการจองที่พัก แก่ประชาชนที่วางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้าแล้ว ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564 ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ครม.ยกเลิกวันหยุดพิเศษ 27 ก.ค.64 หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 ว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 ตามที่เคยมีมติไปแล้วเมื่อ 29 ธันวาคม 2563 ซึ่งในครั้งนั้น รัฐบาลต้องการให้ประชาชนได้มีวันหยุดยาว 5 วันติดต่อกัน จะได้มีการเดินทางและท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ สําหรับช่วงวันหยุดดังกล่าวประกอบด้วยวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นวันอาสาฬบูชา วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเข้าพรรษา วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564 เป็นวันหยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันนี้ เป็นที่น่ากังวลในหลายพื้นที่ มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และขอความร่วมมือจากประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ครม.จึงเห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ ครม. ยังได้กําชับให้หน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้องให้อํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในเรื่องของการยกเลิก การเปลี่ยนตั๋วเดินทาง และการจองที่พัก แก่ประชาชนที่วางแผนการเดินทางไว้ล่วงหน้าแล้ว ---------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก
วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงของการระบาดของโควิดที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข หรือมีการจัดอันดับหลายแห่งที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อาทิ ในช่วงต้นของการแพร่ระบาด มหาวิทยาลัย John Hopkins และองค์กร Nuclear Threat Initiative รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพ เมื่อปี 2019 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดมากที่สุด ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นิตยสาร CEOWorld Magazine นิตยสารสําหรับแวดวงธุรกิจได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับดัชนีระบบบริการสุขภาพ ประจําปี 2021 (Health Care Index) โดยไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 13 จาก 89 ประเทศทั่วโลก หรือเป็นอันดับที่ 4 ของทวีปเอเชีย (รองจาก เกาหลีใต้ ไต้หวันและญี่ปุ่น ตามลําดับ) และเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน ด้วยคะแนน 59.52 ทั้งนี้ ไทยมีความโดดเด่นที่สุดในเรื่อง ความพร้อมของยาที่จะให้บริการ และโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบบริการสุขภาพ นายธนกร กล่าวว่า ดัชนีระบบบริการสุขภาพ มีปัจจัยที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์หลักๆ 5 ปัจจัย โดยไทยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ดังต่อไปนี้ ได้แก่ 1)โครงสร้างพื้นฐานของระบบบริการสุขภาพ (Infrastructure) ได้รับ 98.7 คะแนน 2) บุคลากรทางการแพทย์ (แพทย์, พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข หรือ Professionals) ได้รับ 29.05 คะแนน 3) ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปี (Cost) ได้รับ 94.99 คะแนน 4) ความพร้อมของยาที่ให้บริการ (Medicine Availability) ได้รับ 98.74 คะแนน และ 5)ความพร้อมของรัฐบาล (Government Readiness) ได้รับ 96.1 คะแนน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่นํามาใช้ประกอบการวิเคราะห์ร่วมกันอีก ได้แก่ สภาพแวดล้อม, การเข้าถึงน้ําสะอาด, สุขอนามัย, การเตรียมความพร้อมของรัฐบาลเกี่ยวกับการกําหนดบทลงโทษจากความเสี่ยง อาทิ การใช้ยาสูบ และโรคอ้วน ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและชื่นชมบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ได้ทํางานอย่างเต็มที่ เอาใจใส่ มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานและประโยชน์สุขของประชาชน ส่งผลให้มีเสียงสะท้อนที่ดีจากพัฒนาการ และความพร้อมของระบบบริการสุขภาพของไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางนโยบายด้านสุขภาพ และเตรียมความพร้อมเพื่อสุขภาพอนามัยในการดํารงชีวิตที่ดีของประชาชนไทย โฆษกประจําสํานักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีได้กําหนดนโยบายสาธารณสุข ที่มุ่งพัฒนา “ระบบบริการสุขภาพ” อาทิ ยกระดับระบบบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิและ อสม. ให้คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน พัฒนาระบบบริการสุขภาพขั้นทุติยภูมิ ให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพในกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ และประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่จําเป็นได้อย่างทั่วถึง พร้อมเชื่อมั่นว่า ผลจากการจัดอันดับ ดัชนีระบบบริการสุขภาพ ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)” ภายในปี 2569 เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพในเชิงการท่องเที่ยว ต่อยอดสู่การสร้างอาชีพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้ม หลายดัชนียืนยันประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดในโลก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงของการระบาดของโควิดที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข หรือมีการจัดอันดับหลายแห่งที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อาทิ ในช่วงต้นของการแพร่ระบาด มหาวิทยาลัย John Hopkins และองค์กร Nuclear Threat Initiative รายงานดัชนีความมั่นคงทางด้านสุขภาพ เมื่อปี 2019 พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 13 ประเทศที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดมากที่สุด ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นิตยสาร CEOWorld Magazine นิตยสารสําหรับแวดวงธุรกิจได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับดัชนีระบบบริการสุขภาพ ประจําปี 2021 (Health Care Index) โดยไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 13 จาก 89 ประเทศทั่วโลก หรือเป็นอันดับที่ 4 ของทวีปเอเชีย (รองจาก เกาหลีใต้ ไต้หวันและญี่ปุ่น ตามลําดับ) และเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน ด้วยคะแนน 59.52 ทั้งนี้ ไทยมีความโดดเด่นที่สุดในเรื่อง ความพร้อมของยาที่จะให้บริการ และโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบบริการสุขภาพ นายธนกร กล่าวว่า ดัชนีระบบบริการสุขภาพ มีปัจจัยที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์หลักๆ 5 ปัจจัย โดยไทยได้รับคะแนนในแต่ละด้าน ดังต่อไปนี้ ได้แก่ 1)โครงสร้างพื้นฐานของระบบบริการสุขภาพ (Infrastructure) ได้รับ 98.7 คะแนน 2) บุคลากรทางการแพทย์ (แพทย์, พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข หรือ Professionals) ได้รับ 29.05 คะแนน 3) ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปี (Cost) ได้รับ 94.99 คะแนน 4) ความพร้อมของยาที่ให้บริการ (Medicine Availability) ได้รับ 98.74 คะแนน และ 5)ความพร้อมของรัฐบาล (Government Readiness) ได้รับ 96.1 คะแนน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่นํามาใช้ประกอบการวิเคราะห์ร่วมกันอีก ได้แก่ สภาพแวดล้อม, การเข้าถึงน้ําสะอาด, สุขอนามัย, การเตรียมความพร้อมของรัฐบาลเกี่ยวกับการกําหนดบทลงโทษจากความเสี่ยง อาทิ การใช้ยาสูบ และโรคอ้วน ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและชื่นชมบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ที่ได้ทํางานอย่างเต็มที่ เอาใจใส่ มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานและประโยชน์สุขของประชาชน ส่งผลให้มีเสียงสะท้อนที่ดีจากพัฒนาการ และความพร้อมของระบบบริการสุขภาพของไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางนโยบายด้านสุขภาพ และเตรียมความพร้อมเพื่อสุขภาพอนามัยในการดํารงชีวิตที่ดีของประชาชนไทย โฆษกประจําสํานักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีได้กําหนดนโยบายสาธารณสุข ที่มุ่งพัฒนา “ระบบบริการสุขภาพ” อาทิ ยกระดับระบบบริการสุขภาพขั้นปฐมภูมิและ อสม. ให้คนไทยทุกครอบครัวมีหมอประจําตัว 3 คน พัฒนาระบบบริการสุขภาพขั้นทุติยภูมิ ให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพในกลุ่มเด็กปฐมวัยและผู้สูงอายุ และประชาชนสามารถเข้าถึงยาที่จําเป็นได้อย่างทั่วถึง พร้อมเชื่อมั่นว่า ผลจากการจัดอันดับ ดัชนีระบบบริการสุขภาพ ดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีของการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)” ภายในปี 2569 เพื่อยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพในเชิงการท่องเที่ยว ต่อยอดสู่การสร้างอาชีพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46925
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นี้ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ว่า รฟม. กําหนดจะจัดการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ในวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมภูเก็ต แกรนด์ บอลรูม 1-2 ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อําเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการฯ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนภาคเอกชนในจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานโครงการฯ มีความครบถ้วนตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ซึ่งได้มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหาข้อสรุปแนวทางการดําเนินงานที่เหมาะสมของโครงการ รวมทั้งเป็นไปตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการการดําเนินงานและแผนงานโครงการด้านคมนาคมในจังหวัดภูเก็ตร่วมกัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการจราจรที่อาจส่งผลต่อวิถีการดํารงชีวิตของประชาชนและนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในระหว่างการก่อสร้างโครงการ โดยการดําเนินงานที่ผ่านมา รฟม. ได้จัดประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1ฯ ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นฯ ดังกล่าวพบว่า ประชาชนจังหวัดภูเก็ตโดยส่วนมากเห็นว่าโครงการมีความเหมาะสมและสมควรให้เร่งรัดดําเนินโครงการ สําหรับ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง มีระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร มีจํานวนสถานีทั้งหมด21 สถานี แบ่งเป็นสถานีระดับพื้นดิน 19 สถานี สถานียกระดับ 1 สถานี และสถานีใต้ดิน 1 สถานี และระยะที่ 2ช่วงท่านุ่น – เมืองใหม่ มีระยะทางประมาณ 16.5 กิโลเมตร ซึ่ง รฟม. จะเริ่มดําเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 เป็นลําดับแรก ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน พร้อมรองรับการเดินทางและการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตในอนาคต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวสาร รฟม. ได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 รฟม. เตรียมลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 นี้ เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2564) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ว่า รฟม. กําหนดจะจัดการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น (เพิ่มเติม) โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต – ห้าแยกฉลอง ในวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมภูเก็ต แกรนด์ บอลรูม 1-2 ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ อําเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการฯ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนภาคเอกชนในจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานโครงการฯ มีความครบถ้วนตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ซึ่งได้มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหาข้อสรุปแนวทางการดําเนินงานที่เหมาะสมของโครงการ รวมทั้งเป็นไปตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มอบหมายให้ รฟม. และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมบูรณาการการดําเนินงานและแผนงานโครงการด้านคมนาคมในจังหวัดภูเก็ตร่วมกัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการจราจรที่อาจส่งผลต่อวิถีการดํารงชีวิตของประชาชนและนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตในระหว่างการก่อสร้างโครงการ โดยการดําเนินงานที่ผ่านมา รฟม. ได้จัดประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็น โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1ฯ ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นฯ ดังกล่าวพบว่า ประชาชนจังหวัดภูเก็ตโดยส่วนมากเห็นว่าโครงการมีความเหมาะสมและสมควรให้เร่งรัดดําเนินโครงการ สําหรับ โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1ช่วงท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต - ห้าแยกฉลอง มีระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร มีจํานวนสถานีทั้งหมด21 สถานี แบ่งเป็นสถานีระดับพื้นดิน 19 สถานี สถานียกระดับ 1 สถานี และสถานีใต้ดิน 1 สถานี และระยะที่ 2ช่วงท่านุ่น – เมืองใหม่ มีระยะทางประมาณ 16.5 กิโลเมตร ซึ่ง รฟม. จะเริ่มดําเนินการโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 เป็นลําดับแรก ทั้งนี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน พร้อมรองรับการเดินทางและการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตในอนาคต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวสาร รฟม. ได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) เฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564 PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people June 16, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the contribution of the Thai insurance business sector in curbing COVID-19 disease and alleviating the impact against the nation and its people through implementation of a number of insurance-related measures. Measures implemented by 56 members of the Thai General Insurance Association (TGIA) include: 1. TGIA and 12 member companies offered insurance policies to 274,000 medical staffs and related personnel. The policy provides coverage in the event of death from COVID-19. The coverage period is 6 months, and the sum insured is 1,000,000 baht per person, with the total sum insured of 274,000 million baht. 2. TGIA and 20 member companies handed over 50 sets of ventilators, worth 10,500,000 Baht, to Muangthong Thani Busarakam Covid-19 field hospital. 3. TGIA and 10 member companies launched a “Vaccination for Nation, Mor Prom is Ready to Vaccinate, Insurance Companies are Ready to Care” program to hand over 13 million insurance policies to cover side effects and anaphylaxis as a result of vaccination. The policy provides coverage in the event of death from side effects and anaphylaxis as a result of vaccination with the minimum sum insured of 100,000 Baht. This is in order to boost people’s confidence in vaccination. The Prime Minister thanked all concerned units under the Thai insurance sector for their cooperation and support, and would like to offer moral support to all the parties in performing their duties to the best ability to achieve their goals, and to lead the country out of this crisis.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564 PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people PM thanks 56 Thai insurance companies for taking part in alleviating COVID-19 impact against nation and people June 16, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the contribution of the Thai insurance business sector in curbing COVID-19 disease and alleviating the impact against the nation and its people through implementation of a number of insurance-related measures. Measures implemented by 56 members of the Thai General Insurance Association (TGIA) include: 1. TGIA and 12 member companies offered insurance policies to 274,000 medical staffs and related personnel. The policy provides coverage in the event of death from COVID-19. The coverage period is 6 months, and the sum insured is 1,000,000 baht per person, with the total sum insured of 274,000 million baht. 2. TGIA and 20 member companies handed over 50 sets of ventilators, worth 10,500,000 Baht, to Muangthong Thani Busarakam Covid-19 field hospital. 3. TGIA and 10 member companies launched a “Vaccination for Nation, Mor Prom is Ready to Vaccinate, Insurance Companies are Ready to Care” program to hand over 13 million insurance policies to cover side effects and anaphylaxis as a result of vaccination. The policy provides coverage in the event of death from side effects and anaphylaxis as a result of vaccination with the minimum sum insured of 100,000 Baht. This is in order to boost people’s confidence in vaccination. The Prime Minister thanked all concerned units under the Thai insurance sector for their cooperation and support, and would like to offer moral support to all the parties in performing their duties to the best ability to achieve their goals, and to lead the country out of this crisis.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42806
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ กระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ ลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งเป้าส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายยูริ ยาร์วียาโฮ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ โดยรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า การจัดทําบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเมื่อเดือนกันยายน 2562 รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ร่วมหารือกับรัฐบาลไทยเรื่องแนวปฏิบัติสําหรับความร่วมมือเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งไทยและฟินแลนด์ต่างเล็งเห็นความสําคัญของการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเป็นกลไกสําคัญสําหรับแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน และจัดทําบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ นโยบาย และกลยุทธ์ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาที่สําคัญ เช่น อุตสาหกรรม เคมี พลาสติกและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และการจัดการกิจการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน “ปัจจุบันไทยได้นําโมเดล BCG (BCG Model) ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวมาประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในส่วนฟินแลนด์นั้นเป็นหนึ่งในประเทศผู้บุกเบิกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของโลก ความสําเร็จในการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เพียงแต่กระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและฟินแลนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสําคัญในการสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิต การขับเคลื่อนโมเดลประเทศไทย 4.0 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย และเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้ไทยและฟินแลนด์ ประสบความสําเร็จในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ”นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี กล่าว ด้านนางสาวพะเยาว์ คํามุข รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธีลงนามแล้ว วันที่ 30 กันยายน 2564 จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อเศรษฐกิจหมุนเวียน : การตรวจสอบการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม (Circular Economy Webinar EP.1: Industrial Emission Monitoring)โดยวิทยากรที่มีคุณวุฒิมาให้ความรู้ทั้งจากฝ่ายไทยและฟินแลนด์ โดยฝ่ายไทย ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) และฝ่ายฟินแลนด์ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ด้านการตรวจสอบมลพิษ ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมแรกและก้าวแรกของการดําเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างสองประเทศในการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ทั้งไทยและฟินแลนด์จะร่วมหารือถึงแนวทางและวิธีการรับมือกับความท้าทายในอนาคต เพื่อเร่งให้เกิดการดําเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดำเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ไทย-ฟินแลนด์ ลงนาม MOU การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ กระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงานแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ ลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งเป้าส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผลักดันการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายยูริ ยาร์วียาโฮ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Memorandum of Understanding on Cooperation in Circular Economy) ผ่านระบบออนไลน์ โดยรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า การจัดทําบันทึกความเข้าใจการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนครั้งนี้ เกิดขึ้นจากเมื่อเดือนกันยายน 2562 รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์ ได้ร่วมหารือกับรัฐบาลไทยเรื่องแนวปฏิบัติสําหรับความร่วมมือเกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งไทยและฟินแลนด์ต่างเล็งเห็นความสําคัญของการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเป็นกลไกสําคัญสําหรับแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน และจัดทําบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในระดับทวิภาคีด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การแลกเปลี่ยนความรู้ นโยบาย และกลยุทธ์ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน การดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในสาขาที่สําคัญ เช่น อุตสาหกรรม เคมี พลาสติกและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และการจัดการกิจการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน “ปัจจุบันไทยได้นําโมเดล BCG (BCG Model) ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวมาประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในส่วนฟินแลนด์นั้นเป็นหนึ่งในประเทศผู้บุกเบิกด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของโลก ความสําเร็จในการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เพียงแต่กระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและฟินแลนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสําคัญในการสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการผลิต การขับเคลื่อนโมเดลประเทศไทย 4.0 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย และเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้ไทยและฟินแลนด์ ประสบความสําเร็จในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ”นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี กล่าว ด้านนางสาวพะเยาว์ คํามุข รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธีลงนามแล้ว วันที่ 30 กันยายน 2564 จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อเศรษฐกิจหมุนเวียน : การตรวจสอบการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม (Circular Economy Webinar EP.1: Industrial Emission Monitoring)โดยวิทยากรที่มีคุณวุฒิมาให้ความรู้ทั้งจากฝ่ายไทยและฟินแลนด์ โดยฝ่ายไทย ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) และฝ่ายฟินแลนด์ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ด้านการตรวจสอบมลพิษ ซึ่งการสัมมนาดังกล่าวถือเป็นกิจกรรมแรกและก้าวแรกของการดําเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างสองประเทศในการดําเนินการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ ทั้งไทยและฟินแลนด์จะร่วมหารือถึงแนวทางและวิธีการรับมือกับความท้าทายในอนาคต เพื่อเร่งให้เกิดการดําเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46437
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังย่านบางเขน ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคต พร้อมเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) เวลาประมาณ 12.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังในพื้นที่เขตบางเขน ณ บริเวณอนุเสาวรีย์หลักสี่ (วงเวียนบางเขน) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมี นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําตรวจเยี่ยมพร้อมรายงานสถานการณ์การระบายน้ําและพื้นที่น้ําท่วมขังในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 - 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยขณะนี้สถานการณ์ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว 9 จุด และอยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่ 6 จุด ทั้งนี้ จากการติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพิ่มเติมและเร่งระบายน้ําลงคลองไผ่เขียว และคลองรางแก้ว-รางอ้อ คาดว่าภายในวันนี้น้ําท่วมขังจะแห้งเป็นปกติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงใย และกล่าวว่าได้มีการติดตามสถานการณ์โดยตลอด และกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาการระบายน้ํา โดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างบูรณาการ เน้นการเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ําและแก้ปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ในทันที โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบและประสานงานร่วมกับสํานักการระบายน้ํากรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเน้นย้ําให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการระบายน้ําให้ทันกับสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ต้องเตรียมแผนรองรับปริมาณน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่กําลังจะมาถึงโดยขอให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อม ทั้งแผนหลัก แผนสํารอง เพื่อรองรับและแก้ปัญหาในอนาคตด้วย เช่น การพร่องน้ําในคูคลอง โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ําให้สมบูรณ์และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าการบูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งจําเป็นและมีความสําคัญในการช่วยเหลือประชาชน โดยต้องเร่งสํารวจดูแลความเดือดร้อน เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งเร่งระบายน้ําให้เร็วขึ้น เพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และมีระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ทุกคนเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครต้องการให้เกิด โดยยืนยันรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการแก้ปัญหาเพื่อลดความเสียหายและลดความเดือดร้อนให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดพร้อมเป็นกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังย่านบางเขน ย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับ นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังย่านบางเขน ย้ําทุกหน่วยงานบูรณาการเร่งแก้ปัญหาวางแผนการระบายน้ําให้มีประสิทธิภาพ ลดความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้โดยเร็ว สั่งการเตรียมแผนรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาในอนาคต พร้อมเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) เวลาประมาณ 12.45 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังในพื้นที่เขตบางเขน ณ บริเวณอนุเสาวรีย์หลักสี่ (วงเวียนบางเขน) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยมี นายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําตรวจเยี่ยมพร้อมรายงานสถานการณ์การระบายน้ําและพื้นที่น้ําท่วมขังในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 18 - 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยขณะนี้สถานการณ์ได้กลับมาเป็นปกติแล้ว 9 จุด และอยู่ระหว่างการเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่ 6 จุด ทั้งนี้ จากการติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพิ่มเติมและเร่งระบายน้ําลงคลองไผ่เขียว และคลองรางแก้ว-รางอ้อ คาดว่าภายในวันนี้น้ําท่วมขังจะแห้งเป็นปกติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีห่วงใย และกล่าวว่าได้มีการติดตามสถานการณ์โดยตลอด และกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาการระบายน้ํา โดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างบูรณาการ เน้นการเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ําและแก้ปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ในทันที โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลรับผิดชอบและประสานงานร่วมกับสํานักการระบายน้ํากรุงเทพมหานคร และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเน้นย้ําให้เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการระบายน้ําให้ทันกับสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ต้องเตรียมแผนรองรับปริมาณน้ําฝนในช่วงฤดูฝนที่กําลังจะมาถึงโดยขอให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อม ทั้งแผนหลัก แผนสํารอง เพื่อรองรับและแก้ปัญหาในอนาคตด้วย เช่น การพร่องน้ําในคูคลอง โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาการระบายน้ําให้สมบูรณ์และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําว่าการบูรณาการการทํางานของทุกภาคส่วนเป็นสิ่งจําเป็นและมีความสําคัญในการช่วยเหลือประชาชน โดยต้องเร่งสํารวจดูแลความเดือดร้อน เพื่อลดและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งเร่งระบายน้ําให้เร็วขึ้น เพื่อลดความเสียหายให้กับประชาชน และมีระบบการแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ขอความร่วมมือให้ทุกคนเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครต้องการให้เกิด โดยยืนยันรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการแก้ปัญหาเพื่อลดความเสียหายและลดความเดือดร้อนให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดพร้อมเป็นกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54752
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 ​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism ​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism June 22, 2022, at 11.30 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Agis Loizou, Ambassador of the Republic of Cyprus to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister welcomed the Cyprus Ambassador who has traveled to Thailand from India to attend the Asia-Europe Foundation Board of Governors, which will be hosted by Thailand at the end of this week. The Asia-Europe Foundation Board of Governors is currently chaired by the Thai representative, and the meeting will also celebrate the 25th anniversary of Asia-Europe Foundation. The Prime Minister marveled Cyprus Ambassador’s well-rounded experiences in the international relations. He has also played an important role in realizing Cyprus’ membership in the Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB), of which Thailand is a founding member. With cordial relations between the two countries that have spanned over 4 decades, Thailand stands ready to strengthen Thailand- Cyprus cooperation in all areas, especially in trade and investment, for mutual interests. The Cyprus Ambassador was pleased and honored to be here in Thailand, and affirmed Cyprus’ commitment to advance relations and cooperation with the country, especially people to people relations which is the key foundation to the comprehensive cooperation and international relations in other dimensions. He also commended Thailand’s effective management of the COVID-19 situation which has been executed in parallel with successful economic recovery. Cypress would be pleased to support Thailand at the international stage through various cooperation frameworks, and promote future cooperation. Both parties also discussed other issues of mutual interest: On trade and investment, Thailand and Cyprus agreed to cooperate and promote post COVID-19 economic recovery in potential fields. The Prime Minister mentioned Thailand’s BCG economic model and the development of the Eastern Economic Corridor (EEC), as well as the Government’s policy to promote investment in energy, circular economy, green economy, and digital economy, on which Cyprus may leverage to expand its investment in other countries in the region. In addition, an increasing number of Thai investors have expressed interest in outward foreign investment, especially in the fields of tourism, hotels, Thai restaurants, spa, and Thai massage. The Cyprus Ambassador expressed readiness to promote trade and investment with the Thai counterparts, and exchange knowledge and experiences in the field of renewable energy which Cyprus has potential. He also proposed for the two countries to organize an investment summit with the private sector to support both domestic and regional investors. With regard to tourism cooperation, Thailand has now eased its entry measures, and looked forward to welcoming more tourists from EU and Cyprus. The Ambassador of Cyprus was pleased to promote tourism between the two countries and to cooperate with Thailand in developing tourism industry. On bilateral and multilateral cooperation, the Prime Minister proposed more exchange of visits between the two countries to further advance relations and cooperation. Both parties also congratulated negotiation finalization of the Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement (PCA). The Prime Minister was of the view that related internal process should consequently be undertaken, and called for EU’s consideration on additional channels and opportunities for the implementation and expansion of cooperation at the regional level for mutual interests. He also endorsed elevation of ASEAN-EU to strategic partnership to promote constructive cooperation between the two regions.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 ​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism ​Thailand and Cyprus to strengthen relations and cooperation in trade, investment and tourism June 22, 2022, at 11.30 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Agis Loizou, Ambassador of the Republic of Cyprus to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows: The Prime Minister welcomed the Cyprus Ambassador who has traveled to Thailand from India to attend the Asia-Europe Foundation Board of Governors, which will be hosted by Thailand at the end of this week. The Asia-Europe Foundation Board of Governors is currently chaired by the Thai representative, and the meeting will also celebrate the 25th anniversary of Asia-Europe Foundation. The Prime Minister marveled Cyprus Ambassador’s well-rounded experiences in the international relations. He has also played an important role in realizing Cyprus’ membership in the Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB), of which Thailand is a founding member. With cordial relations between the two countries that have spanned over 4 decades, Thailand stands ready to strengthen Thailand- Cyprus cooperation in all areas, especially in trade and investment, for mutual interests. The Cyprus Ambassador was pleased and honored to be here in Thailand, and affirmed Cyprus’ commitment to advance relations and cooperation with the country, especially people to people relations which is the key foundation to the comprehensive cooperation and international relations in other dimensions. He also commended Thailand’s effective management of the COVID-19 situation which has been executed in parallel with successful economic recovery. Cypress would be pleased to support Thailand at the international stage through various cooperation frameworks, and promote future cooperation. Both parties also discussed other issues of mutual interest: On trade and investment, Thailand and Cyprus agreed to cooperate and promote post COVID-19 economic recovery in potential fields. The Prime Minister mentioned Thailand’s BCG economic model and the development of the Eastern Economic Corridor (EEC), as well as the Government’s policy to promote investment in energy, circular economy, green economy, and digital economy, on which Cyprus may leverage to expand its investment in other countries in the region. In addition, an increasing number of Thai investors have expressed interest in outward foreign investment, especially in the fields of tourism, hotels, Thai restaurants, spa, and Thai massage. The Cyprus Ambassador expressed readiness to promote trade and investment with the Thai counterparts, and exchange knowledge and experiences in the field of renewable energy which Cyprus has potential. He also proposed for the two countries to organize an investment summit with the private sector to support both domestic and regional investors. With regard to tourism cooperation, Thailand has now eased its entry measures, and looked forward to welcoming more tourists from EU and Cyprus. The Ambassador of Cyprus was pleased to promote tourism between the two countries and to cooperate with Thailand in developing tourism industry. On bilateral and multilateral cooperation, the Prime Minister proposed more exchange of visits between the two countries to further advance relations and cooperation. Both parties also congratulated negotiation finalization of the Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement (PCA). The Prime Minister was of the view that related internal process should consequently be undertaken, and called for EU’s consideration on additional channels and opportunities for the implementation and expansion of cooperation at the regional level for mutual interests. He also endorsed elevation of ASEAN-EU to strategic partnership to promote constructive cooperation between the two regions.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ
วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 7 ก.ย. 64ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยถึงกรณีที่มีสื่อต่างๆ นําเสนอข่าวว่าพบหญิงเร่ร่อนอาศัยอยู่ในบ้านร้างแห่งหนึ่งในพื้นที่ อําเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ขณะที่พลเมืองดีโพสต์ไลฟ์สดช่วยเหลือหมูป่าผ่านเพจ Kingdom Of Tigers : ทูนหัวของบ่าว ว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการได้รับเข้าไว้ในการคุ้มครองเรียบร้อยแล้ว โดยหญิงดังกล่าว อายุ 40 ปี ไม่มีข้อมูลทางทะเบียนราษฎร์ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าไม่เคยทําบัตรประจําตัวประชาชน ประกอบอาชีพเก็บของเก่า ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามที่สาธารณะ และได้ออกมาจากบ้านแล้วมาอาศัยอยู่ในบ้านร้างดังกล่าว เป็นเวลาประมาณ 1 ปี โดยในเบื้องต้น ได้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุด ATK แล้ว ผลปรากฏว่า ไม่พบเชื้อ นางสาวแรมรุ้งกล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้พาหญิงดังกล่าวไปตรวจ 5 โรค และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามหาญาติแล้ว แต่ไม่มีคนรู้จัก ทั้งนี้ จะดําเนินการติดตามหาญาติต่อไป และเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้นําไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา (โรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวช) เพื่อตรวจประเมินสุขภาพทางจิตตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ซึ่งทางแพทย์ประเมินว่ามีอาการทางจิตเวช จึงได้รับเข้าการรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ทางศูนย์คุ้มครองฯ จะติดตามการรักษาของหญิงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมดําเนินการประสานติดตามหาญาติ และหลังจากสิ้นสุดการรักษา ศูนย์คุ้มครองฯ จะรับตัวเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ และวางแผนให้การช่วยเหลือตามกระบวนการสังคมสงเคราะห์ที่เหมาะสมต่อไป นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2564 ทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรปราการ ได้เข้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 จํานวนทั้งสิ้น 70 คน แบ่งเป็น เด็ก 5 คน สตรี 2 คน ผู้สูงอายุ 29 คน คนพิการ 12 คน และ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วไป 22 คน โดยได้ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจกระทรวง พม.ดังนี้ มอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น มอบเงินสงเคราะห์ต่างๆ ให้คําแนะนําด้านเงินกู้เพื่อประกอบอาชีพ ที่อยู่อาศัย และกฎหมาย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ติดตามและให้ความช่วยเหลือเป็นระยะ ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1)ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่รับสายและประสานความช่วยเหลือในทุกจังหวัดและ 2) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และ อพม. ทั่วประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ พม. ติดตามช่วยเหลือหญิงเร่ร่อน พบขณะพลเมืองดีไลฟ์สดช่วยหมูป่าในบ้านร้างที่จังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 7 ก.ย. 64ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กทม.นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยถึงกรณีที่มีสื่อต่างๆ นําเสนอข่าวว่าพบหญิงเร่ร่อนอาศัยอยู่ในบ้านร้างแห่งหนึ่งในพื้นที่ อําเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ขณะที่พลเมืองดีโพสต์ไลฟ์สดช่วยเหลือหมูป่าผ่านเพจ Kingdom Of Tigers : ทูนหัวของบ่าว ว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรปราการได้รับเข้าไว้ในการคุ้มครองเรียบร้อยแล้ว โดยหญิงดังกล่าว อายุ 40 ปี ไม่มีข้อมูลทางทะเบียนราษฎร์ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าไม่เคยทําบัตรประจําตัวประชาชน ประกอบอาชีพเก็บของเก่า ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามที่สาธารณะ และได้ออกมาจากบ้านแล้วมาอาศัยอยู่ในบ้านร้างดังกล่าว เป็นเวลาประมาณ 1 ปี โดยในเบื้องต้น ได้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุด ATK แล้ว ผลปรากฏว่า ไม่พบเชื้อ นางสาวแรมรุ้งกล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้พาหญิงดังกล่าวไปตรวจ 5 โรค และตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ และได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามหาญาติแล้ว แต่ไม่มีคนรู้จัก ทั้งนี้ จะดําเนินการติดตามหาญาติต่อไป และเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 64 ศูนย์คุ้มครองฯ ได้นําไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา (โรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวช) เพื่อตรวจประเมินสุขภาพทางจิตตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ซึ่งทางแพทย์ประเมินว่ามีอาการทางจิตเวช จึงได้รับเข้าการรักษาตัวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ทางศูนย์คุ้มครองฯ จะติดตามการรักษาของหญิงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมดําเนินการประสานติดตามหาญาติ และหลังจากสิ้นสุดการรักษา ศูนย์คุ้มครองฯ จะรับตัวเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ และวางแผนให้การช่วยเหลือตามกระบวนการสังคมสงเคราะห์ที่เหมาะสมต่อไป นางสาวแรมรุ้งกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2564 ทีม One Home พม. จังหวัดสมุทรปราการ ได้เข้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 จํานวนทั้งสิ้น 70 คน แบ่งเป็น เด็ก 5 คน สตรี 2 คน ผู้สูงอายุ 29 คน คนพิการ 12 คน และ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมทั่วไป 22 คน โดยได้ให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจกระทรวง พม.ดังนี้ มอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น มอบเงินสงเคราะห์ต่างๆ ให้คําแนะนําด้านเงินกู้เพื่อประกอบอาชีพ ที่อยู่อาศัย และกฎหมาย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ติดตามและให้ความช่วยเหลือเป็นระยะ ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด -19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1)ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง โดยมีเจ้าหน้าที่รับสายและประสานความช่วยเหลือในทุกจังหวัดและ 2) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และ อพม. ทั่วประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔
วันอังคารที่ 15 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันจันทร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจําสีขาวไม่พบการแพร่ระบาดคงที่ จํานวน ๑๒๙ แห่ง และพบการแพร่ระบาด ๑๒ แห่งคงเดิม โดยมีจํานวน ๒ แห่งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน คือเรือนจําจังหวัดนนทบุรี และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง แต่ยังต้องรอประเมินสถานการณ์จนครบ ๒๘ วันที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ก่อน จึงจะปรับเป็นเรือนจําปกติได้ ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ นี้ รวมถึงเรือนจํากลางเชียงใหม่ และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง ที่มีการคัดแยกพื้นที่สีขาวและพื้นที่แพร่ระบาดออกจากกันชัดเจน รวมถึงเรือนจําพิเศษกรุงเทพหานคร และเรือนจําพิเศษธนบุรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดสถานะได้ในระยะต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์การต่างๆ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากจํานวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายรายวัน ที่มีมากกว่าจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์มีจํานวนลดลง และต่ํากว่า ๘,๐๐๐ รายต่อเนื่องเป็นวันที่ ๓ โดยวันนี้ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔) มีจํานวนผู้หายป่วยสะสมอยู่ที่ ๒๔,๕๒๕ ราย หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๕ ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด และคาดว่าจะมีอัตราผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้นอีกจํานวนมาก จากจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ที่มีมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาทั้งหมด รวมถึงแนวโน้มของจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีแดงและสีเหลืองที่ลดลง ภายใต้การรักษาของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลเรือนจํากลางบางขวาง ซึ่งมีความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการรักษา และระบบการส่งต่อการรักษาที่เป็นระบบ ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากการป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของผู้ต้องขังมีเพียงร้อยละ ๐.๐๙ ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทุกฝ่ายจะพยายามรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังเกิดความสูญเสียขึ้น ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ขอแสดงความเสียใจต่อทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น มา ณ โอกาสนี้ แม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่เป็นปกติ และยังมีเรือนจําที่พบการแพร่ระบาดอยู่บ้าง แต่นับได้ว่ามีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทําให้การบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มเป็นระบบและเพียงพอต่อความต้องการ ทั้งจากการเบิกจ่ายตามงบประมาณ และการบริจาคของหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกๆ ความช่วยเหลือ โดยสิ่งของที่กรมราชทัณฑ์ได้รับ ได้ดําเนินการจัดสรรไปยังเรือนจํา/ทัณฑสถานต่างๆ ไปแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งานมากที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดำเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔ วันอังคารที่ 15 มิถุนายน 2564 กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔ กระทรวงยุติธรรม ติดตามการดําเนินงานตามแผนงานป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในวันจันทร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ กรมราชทัณฑ์ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม ๕ แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ ๒๗/๒๕๖๔โดยมีนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พบว่า มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจําสีขาวไม่พบการแพร่ระบาดคงที่ จํานวน ๑๒๙ แห่ง และพบการแพร่ระบาด ๑๒ แห่งคงเดิม โดยมีจํานวน ๒ แห่งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาว เนื่องจากไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเรือนจํา/ทัณฑสถาน คือเรือนจําจังหวัดนนทบุรี และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง แต่ยังต้องรอประเมินสถานการณ์จนครบ ๒๘ วันที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ก่อน จึงจะปรับเป็นเรือนจําปกติได้ ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ นี้ รวมถึงเรือนจํากลางเชียงใหม่ และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง ที่มีการคัดแยกพื้นที่สีขาวและพื้นที่แพร่ระบาดออกจากกันชัดเจน รวมถึงเรือนจําพิเศษกรุงเทพหานคร และเรือนจําพิเศษธนบุรี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับลดสถานะได้ในระยะต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์การต่างๆ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น จากจํานวนผู้ติดเชื้อที่รักษาหายรายวัน ที่มีมากกว่าจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์มีจํานวนลดลง และต่ํากว่า ๘,๐๐๐ รายต่อเนื่องเป็นวันที่ ๓ โดยวันนี้ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๔) มีจํานวนผู้หายป่วยสะสมอยู่ที่ ๒๔,๕๒๕ ราย หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๕ ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด และคาดว่าจะมีอัตราผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้นอีกจํานวนมาก จากจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ที่มีมากกว่าร้อยละ ๙๐ ของผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาทั้งหมด รวมถึงแนวโน้มของจํานวนผู้ป่วยกลุ่มสีแดงและสีเหลืองที่ลดลง ภายใต้การรักษาของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลเรือนจํากลางบางขวาง ซึ่งมีความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการรักษา และระบบการส่งต่อการรักษาที่เป็นระบบ ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากการป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของผู้ต้องขังมีเพียงร้อยละ ๐.๐๙ ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทุกฝ่ายจะพยายามรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังเกิดความสูญเสียขึ้น ซึ่งกรมราชทัณฑ์ ขอแสดงความเสียใจต่อทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้น มา ณ โอกาสนี้ แม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่เป็นปกติ และยังมีเรือนจําที่พบการแพร่ระบาดอยู่บ้าง แต่นับได้ว่ามีแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดีขึ้น ทําให้การบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ เริ่มเป็นระบบและเพียงพอต่อความต้องการ ทั้งจากการเบิกจ่ายตามงบประมาณ และการบริจาคของหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งต้องขอขอบคุณทุกๆ ความช่วยเหลือ โดยสิ่งของที่กรมราชทัณฑ์ได้รับ ได้ดําเนินการจัดสรรไปยังเรือนจํา/ทัณฑสถานต่างๆ ไปแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการใช้งานมากที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 สะสม 2 วัน (29 - 30 ธ.ค. 64) รวม 1,378,120 คน โดยวันที่ 30 ธ.ค. 64 มีผู้ใช้บริการระบบรางรวม 670,106 คน นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมา2 วันคือ วันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2564 มีประชาชนใช้บริการระบบราง 1,378,120 คน ประกอบด้วย รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 93,790 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 38,065 คน และผู้โดยสารเชิงสังคม 55,725 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 52,848 คน และขาเข้า 40,942 คน ซึ่งพบว่า สายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 26,460 คน (ขาออก 16,122 คน และขาเข้า 10,338 คน) รองลงมาคือสายใต้ 26,852 คน (ขาออก14,329 คน และขาเข้า 12,523 คน) สายเหนือ 23,402 คน (ขาออก 13,637 คน ขาเข้า 9,765คน) สายตะวันออก 11,010 คน (ขาออก 5,770 คน ขาเข้า 5,240 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 6,066 คน (ขาออก 2,990 คน ขาเข้า3,076 คน) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สะสม 2วัน มีผู้ใช้บริการ 1,284,330 คน ประกอบด้วย Airport Rail Link 57,446 คน สายสีแดง 15,590 คน สายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 50,721 คน สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) 355,242 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 805,331 คน ทั้งนี้ พบว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ 2565 มีประชาชนมาใช้บริการ รวมจํานวน 670,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธันวาคม 2564 จํานวน 37,908 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จํานวน 50,000 คน และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 620,106 คน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. รถไฟของ รฟท. จํานวน 50,000 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 6,210 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 21,004 คนและเชิงสังคม 28,996 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกจํานวน 28,414 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 3,980 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.28) และผู้โดยสารขาเข้า 21,586 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค.64 จํานวน 2,230 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52) โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 14,916คน (ผู้โดยสารขาออก 7,920 คน ผู้โดยสารขาเข้า 6,996 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 13,790 คน (ผู้โดยสารขาออก 8,406 คน ผู้โดยสารขาเข้า 5,384 คน) สายเหนือ 12,315 คน (ผู้โดยสารขาออก 7,336 คน ผู้โดยสารขาเข้า 4,979 คน) สายตะวันออก 5,835 คน (ผู้โดยสารขาออก 3,187 คน ผู้โดยสารขาเข้า 2,648 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 3,144 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,565 คน ผู้โดยสารขาเข้า 1,579 คน) ทั้งนี้ รฟท. ได้เพิ่มตู้โดยสารไปกับรถไฟทางไกล และเพิ่มขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร จํานวน 2 ขบวน มีผู้ใช้บริการรวม 966 คน ได้แก่ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 5 กรุงเทพ - เชียงใหม่ พ่วงรถนอนปรับอากาศชั้นสอง จํานวน 9 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 279 คน และขบวนรถเร็วที่ 977 กรุงเทพ - อุบลราชธานี พ่วงรถนั่งพัดลมชั้นสาม จํานวน 15 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 687 คน โดยพบว่า ไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่สถานีกรุงเทพและชุมทางบางซื่อ 2. ระบบรถไฟฟ้า จํานวน 620,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 44,118 คน หรือลดลงร้อยละ 6.64) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link จํานวน 27,933 คน รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 7,481 คน รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) จํานวน 23,952 คน รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) จํานวน 168,470 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) จํานวน 392,270 คน โดยในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็นได้เพิ่มรถเสริม รวม 18 เที่ยว ได้แก่ Airport Rail Link เพิ่มรถเสริมจํานวน 1 เที่ยว BTS สายสุขุมวิท เพิ่มรถเสริมจํานวน 8 เที่ยว และสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) เพิ่มรถเสริมจํานวน 9 เที่ยว โดยไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง สําหรับด้านความปลอดภัยประจําวันที่ 30 ธันวาคม 2564 พบว่าหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางดําเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง และมีอุบัติเหตุรถไฟของ รฟท. จํานวน 1 ครั้ง เมื่อเวลา10.55 น. ขบวนรถด่วนที่ 72 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะที่ฝ่าเครื่องกั้นอัตโนมัติที่ลงกั้นเรียบร้อยแล้ว บริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับที่เสาโทรเลขที่ 259/12-13 ระหว่างสถานีนครราชสีมา-สถานีภูเขาลาด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย จํานวน 2 ราย (ชาย 1 คนและหญิง 1 คน เป็นคนอําเภอเมือง จังหวัดยโสธร) ถูกนําส่ง รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา ในการนี้ กรมการขนส่งทางราง ได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การขับขี่ปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับ "ชีวิตของท่านมีค่า อย่าคิดฝ่าไม้กั้นรถไฟ"รวมทั้งประสานขอความร่วมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดอาสาสมัคร มาช่วยอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในบริเวณจุดตัดที่ไม่มีเครื่องกั้นและทางลักผ่านในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง เทศกาลปีใหม่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 กรมการขนส่งทางราง เผยปริมาณประชาชนเดินทางด้วยระบบรางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 สะสม 2 วัน (29 - 30 ธ.ค. 64) รวม 1,378,120 คน โดยวันที่ 30 ธ.ค. 64 มีผู้ใช้บริการระบบรางรวม 670,106 คน นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 ที่ผ่านมา2 วันคือ วันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2564 มีประชาชนใช้บริการระบบราง 1,378,120 คน ประกอบด้วย รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 93,790 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 38,065 คน และผู้โดยสารเชิงสังคม 55,725 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 52,848 คน และขาเข้า 40,942 คน ซึ่งพบว่า สายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 26,460 คน (ขาออก 16,122 คน และขาเข้า 10,338 คน) รองลงมาคือสายใต้ 26,852 คน (ขาออก14,329 คน และขาเข้า 12,523 คน) สายเหนือ 23,402 คน (ขาออก 13,637 คน ขาเข้า 9,765คน) สายตะวันออก 11,010 คน (ขาออก 5,770 คน ขาเข้า 5,240 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 6,066 คน (ขาออก 2,990 คน ขาเข้า3,076 คน) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) สะสม 2วัน มีผู้ใช้บริการ 1,284,330 คน ประกอบด้วย Airport Rail Link 57,446 คน สายสีแดง 15,590 คน สายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 50,721 คน สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) 355,242 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 805,331 คน ทั้งนี้ พบว่า ในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ 2565 มีประชาชนมาใช้บริการ รวมจํานวน 670,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธันวาคม 2564 จํานวน 37,908 คน) แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จํานวน 50,000 คน และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 620,106 คน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. รถไฟของ รฟท. จํานวน 50,000 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 6,210 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.18) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 21,004 คนและเชิงสังคม 28,996 คน โดยมีผู้โดยสารขาออกจํานวน 28,414 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 3,980 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.28) และผู้โดยสารขาเข้า 21,586 คน (เพิ่มขึ้นจากวันที่ 29 ธ.ค.64 จํานวน 2,230 คน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.52) โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 14,916คน (ผู้โดยสารขาออก 7,920 คน ผู้โดยสารขาเข้า 6,996 คน) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 13,790 คน (ผู้โดยสารขาออก 8,406 คน ผู้โดยสารขาเข้า 5,384 คน) สายเหนือ 12,315 คน (ผู้โดยสารขาออก 7,336 คน ผู้โดยสารขาเข้า 4,979 คน) สายตะวันออก 5,835 คน (ผู้โดยสารขาออก 3,187 คน ผู้โดยสารขาเข้า 2,648 คน) และสายมหาชัย/แม่กลอง 3,144 คน (ผู้โดยสารขาออก 1,565 คน ผู้โดยสารขาเข้า 1,579 คน) ทั้งนี้ รฟท. ได้เพิ่มตู้โดยสารไปกับรถไฟทางไกล และเพิ่มขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร จํานวน 2 ขบวน มีผู้ใช้บริการรวม 966 คน ได้แก่ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 5 กรุงเทพ - เชียงใหม่ พ่วงรถนอนปรับอากาศชั้นสอง จํานวน 9 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 279 คน และขบวนรถเร็วที่ 977 กรุงเทพ - อุบลราชธานี พ่วงรถนั่งพัดลมชั้นสาม จํานวน 15 ตู้ มีผู้ใช้บริการ 687 คน โดยพบว่า ไม่มีผู้โดยสารตกค้างที่สถานีกรุงเทพและชุมทางบางซื่อ 2. ระบบรถไฟฟ้า จํานวน 620,106 คน (ลดลงจากวันที่ 29 ธ.ค. 64 จํานวน 44,118 คน หรือลดลงร้อยละ 6.64) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link จํานวน 27,933 คน รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) จํานวน 7,481 คน รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) จํานวน 23,952 คน รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) จํานวน 168,470 คน และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) จํานวน 392,270 คน โดยในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็นได้เพิ่มรถเสริม รวม 18 เที่ยว ได้แก่ Airport Rail Link เพิ่มรถเสริมจํานวน 1 เที่ยว BTS สายสุขุมวิท เพิ่มรถเสริมจํานวน 8 เที่ยว และสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ําเงิน) เพิ่มรถเสริมจํานวน 9 เที่ยว โดยไม่มีเหตุรถไฟฟ้าขัดข้อง สําหรับด้านความปลอดภัยประจําวันที่ 30 ธันวาคม 2564 พบว่าหน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางดําเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) อย่างต่อเนื่อง และมีอุบัติเหตุรถไฟของ รฟท. จํานวน 1 ครั้ง เมื่อเวลา10.55 น. ขบวนรถด่วนที่ 72 (อุบลราชธานี-กรุงเทพ) เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะที่ฝ่าเครื่องกั้นอัตโนมัติที่ลงกั้นเรียบร้อยแล้ว บริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับที่เสาโทรเลขที่ 259/12-13 ระหว่างสถานีนครราชสีมา-สถานีภูเขาลาด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย จํานวน 2 ราย (ชาย 1 คนและหญิง 1 คน เป็นคนอําเภอเมือง จังหวัดยโสธร) ถูกนําส่ง รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา ในการนี้ กรมการขนส่งทางราง ได้มีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์การขับขี่ปลอดภัยบริเวณจุดตัดทางรถไฟเสมอระดับ "ชีวิตของท่านมีค่า อย่าคิดฝ่าไม้กั้นรถไฟ"รวมทั้งประสานขอความร่วมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดอาสาสมัคร มาช่วยอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในบริเวณจุดตัดที่ไม่มีเครื่องกั้นและทางลักผ่านในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 เพื่อลดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางถนนและทางรถไฟ กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง เทศกาลปีใหม่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกำลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกําลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน ..... ที่ประชุม ครม. (5 ก.ค. 65) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างไทย – กัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam เพื่อกําหนดกรอบความร่วมมือและใช้มาตรการทีสอดคล้องกับกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ ปราบปรามผู้กระทําผิด ซึ่งรัฐบาลถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วน เนื่องจากมีคนไทยได้รับผลกระทบและเสียหายจากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจํานวนมาก . สาระสําคัญของความตกลงฯ มีกิจกรรมที่ผ่านการตัดสินใจร่วมกัน ดังนี้ • แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค ในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ภายใต้ระบบและกรอบการทํางานร่วมกัน เช่น สนับสนุนส่งเสริมส่งผ่านข้อมูลข้ามพรมแดน • แต่งตั้งผู้ประสานงานสืบหาหลักฐานในไทย และกัมพูชา เพื่อขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทําความผิด เช่น ที่อยู่ ข้อมูลผู้ใช้บริการ VOIP ฝั่งกัมพูชา, IP Address และข้อมูลโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ในการกระทําความผิด • ประสานงานและอํานวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้รายข้ามแดน • ตั้งคณะทํางานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน . ซึ่งการลงนามจะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. 65 ที่ประเทศกัมพูชา ในโอกาสที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา เพื่อติดตามประเด็นการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam และจะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม และอาจขยายเวลาบังคับได้อีก 3 ปี ด้วยการจัดทําความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกำลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2565 ครม. ไฟเขียว ร่าง MOU ไทย – กัมพูชา ผนึกกําลังปราบแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ข้ามแดน ..... ที่ประชุม ครม. (5 ก.ค. 65) เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ระหว่างไทย – กัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam เพื่อกําหนดกรอบความร่วมมือและใช้มาตรการทีสอดคล้องกับกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ ปราบปรามผู้กระทําผิด ซึ่งรัฐบาลถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นเร่งด่วน เนื่องจากมีคนไทยได้รับผลกระทบและเสียหายจากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจํานวนมาก . สาระสําคัญของความตกลงฯ มีกิจกรรมที่ผ่านการตัดสินใจร่วมกัน ดังนี้ • แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค ในการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam ภายใต้ระบบและกรอบการทํางานร่วมกัน เช่น สนับสนุนส่งเสริมส่งผ่านข้อมูลข้ามพรมแดน • แต่งตั้งผู้ประสานงานสืบหาหลักฐานในไทย และกัมพูชา เพื่อขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทําความผิด เช่น ที่อยู่ ข้อมูลผู้ใช้บริการ VOIP ฝั่งกัมพูชา, IP Address และข้อมูลโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ในการกระทําความผิด • ประสานงานและอํานวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาระหว่างไทยและกัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้รายข้ามแดน • ตั้งคณะทํางานร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน . ซึ่งการลงนามจะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ค. 65 ที่ประเทศกัมพูชา ในโอกาสที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเดินทางไปเยือนกัมพูชา เพื่อติดตามประเด็นการปราบปรามแก๊ง Call Center และ Hybrid Scam และจะมีผลบังคับเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันลงนาม และอาจขยายเวลาบังคับได้อีก 3 ปี ด้วยการจัดทําความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 13 ราย
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 13 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 13 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 520 เพศชาย อายุ 43 ปี 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 520 เพศหญิง อายุ 30 ปี 3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 เพศชาย อายุ 56 ปี 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 62 เพศหญิง อายุ 50 ปี 5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 48 ปี 6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 26 ปี 7) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 56 ปี 8) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 46 ปี 9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 165 เพศหญิง อายุ 55 ปี 10) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 91 เพศชาย อายุ 56 ปี 11) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 80 เพศหญิง อายุ 44 ปี 12) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 141 เพศชาย อายุ 30 ปี 13) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 12 เพศหญิง อายุ 59 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน​ 13 ราย วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 13 ราย ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 13 กันยายน 2564​ พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน​ 13 ราย 1) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 520 เพศชาย อายุ 43 ปี 2) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 520 เพศหญิง อายุ 30 ปี 3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 เพศชาย อายุ 56 ปี 4) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 62 เพศหญิง อายุ 50 ปี 5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 48 ปี 6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 26 ปี 7) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 56 ปี 8) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่บรมราชชนนี เพศชาย อายุ 46 ปี 9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 165 เพศหญิง อายุ 55 ปี 10) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 91 เพศชาย อายุ 56 ปี 11) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 80 เพศหญิง อายุ 44 ปี 12) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 141 เพศชาย อายุ 30 ปี 13) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 12 เพศหญิง อายุ 59 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดำเนินการตามมาตรการ COVID-19
วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดําเนินการตามมาตรการ COVID-19 เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขร. ลงพื้นที่ตรวจเตรียมความพร้อมการให้บริการประชาชนระบบในระบบขนส่งทางราง โดยเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ เพื่อตรวจความพร้อมการให้บริการประชาชน ของรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ตามแผนการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศากาลปีใหม่ 2565 ซึ่งมีนายสุเทพ พันธ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง เพื่อไปดูการจุดเชื่อมต่อรถไฟทางไกล ณ สถานีรถไฟฟ้ารังสิต จากนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามการให้บริการรถไฟทางไกล สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลําโพง) เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565 และการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขผู้ใช้บริการรถไฟทางไกลในช่วงเดินทางกลับ (วันที่ 2 - 3 ม.ค. 65) อยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นคน ซึ่งการให้บริการต่างๆ เป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุข โดย ขร. ได้เน้นย้ําเรื่องการเข้มงวดการตรวจคัดกรองผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการทําความสะอาดขบวนรถ จุดสัมผัสต่างๆ ให้เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาด และการอํานวยความสะดวกต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยต่อไป กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดำเนินการตามมาตรการ COVID-19 วันอังคารที่ 4 มกราคม 2565 กรมการขนส่งทางราง ลงพื้นที่ตรวจติดตามการให้บริการ ในระบบขนส่งทางราง และการดําเนินการตามมาตรการ COVID-19 เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565 นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ขร. ลงพื้นที่ตรวจเตรียมความพร้อมการให้บริการประชาชนระบบในระบบขนส่งทางราง โดยเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ เพื่อตรวจความพร้อมการให้บริการประชาชน ของรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ตามแผนการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศากาลปีใหม่ 2565 ซึ่งมีนายสุเทพ พันธ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และได้นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง เพื่อไปดูการจุดเชื่อมต่อรถไฟทางไกล ณ สถานีรถไฟฟ้ารังสิต จากนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามการให้บริการรถไฟทางไกล สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลําโพง) เพื่อตรวจการให้บริการต้อนรับการเดินทางกลับจากภูมิลําเนาของประชาชน หลังช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ปี 2565 และการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขผู้ใช้บริการรถไฟทางไกลในช่วงเดินทางกลับ (วันที่ 2 - 3 ม.ค. 65) อยู่ที่ประมาณ 8.8 หมื่นคน ซึ่งการให้บริการต่างๆ เป็นไปตามมาตรการของสาธารณสุข โดย ขร. ได้เน้นย้ําเรื่องการเข้มงวดการตรวจคัดกรองผู้ใช้บริการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการทําความสะอาดขบวนรถ จุดสัมผัสต่างๆ ให้เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาด และการอํานวยความสะดวกต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยต่อไป กรมการขนส่งทางราง ห่วงใยผู้ใช้บริการระบบราง ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50198
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่ สถานประกอบการ SMEs เฮทั่วหน้า รับเงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs วันที่ 30 ธ.ค. 64 เป็นของขวัญรับปีใหม่จากรัฐบาล วันที่ 30 ธันวาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยนายจ้าง สถานประกอบการขนาดเล็ก - กลางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในช่วงที่ผ่านมา จึงสั่งการกระทรวงแรงงาน เร่งดําเนินการจ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs งวดเดือนธันวาคม 2564 ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 64 เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปเสริมสภาพคล่อง เป็นทุนหมุนเวียนในการขับเคลื่อนกิจการรับปีใหม่ 2565 ที่กําลังจะมาถึง “ในรอบอุดหนุนงวดแรกเดือนพฤศจิกายน 2564 เรามีการแบ่งจ่ายเงินอุดหนุน จํานวน 2 รอบ หากเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทยนายจ้างจะได้รับเงินวันที่ 30 ของเดือน แต่หากเป็นบัญชีธนาคารอื่นๆจะได้รับเงินวันที่ 2 ของเดือนถัดไป ซึ่งหลังจากท่านนายกมีข้อสั่งการ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็เร่งเตรียมการทันที ถือเป็นของขวัญปีใหม่เล็กๆน้อยๆเพื่อกลุ่มธุรกิจ SMEs อีกชิ้นตามดําริท่าน ในวันนี้ (30 ธ.ค. 64) เราจะจ่ายเงินอุดหนุนแก่นายจ้าง สถานประกอบการ จํานวน 182,312 ราย ที่มีลูกจ้างสัญชาติไทย จํานวน 2,739,797 คน เป็นยอดเงินอุดหนุนทั้งสิ้น 8,219,391,000 บาท (แปดพันสองร้อยสิบเก้าล้านสามแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันบาท) โดยนายจ้างสถานประกอบกลุ่มนี้ยังเหลือการรับเงินอุดหนุนในเดือนสุดท้าย งวดเดือนมกราคม 2565 อีก 1 งวด นอกจากนี้หากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากยอดการจ้างงาน ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับเงินส่งเสริมการจ้างงานใหม่ จํานวน 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คนต่อเดือน ตามจํานวนการจ้างงานจริง โดยให้สิทธิ์ 1 ลูกจ้าง ต่อ 1 นายจ้าง จนครบตามจํานวนลูกจ้างสัญชาติไทยทั้งหมดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ เดือนละไม่เกิน 201,647 ราย ซึ่งจากวันที่ 16 ต.ค. – 30 ธ.ค. 64 มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 61,571 คน แบ่งเป็นกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 - 50 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 42,770 คน กิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 51 - 200 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 18,764 คน และกิจการที่เดิมจ้างเฉพาะแรงงานข้ามชาติ มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 37 คน โดยประเภทกิจการที่มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 5 อันดับแรก ได้แก่ ประเภทกิจการโรงแรม รีสอร์ท ประเภทกิจการรักษาความปลอดภัย ประเภทกิจการบริการทําความสะอาดทั่วไปของตัวอาคาร ประเภทกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารร้านอาหาร และประเภทกิจการร้านสะดวกซื้อมินิมาร์ท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับสถานประกอบการที่ยังไม่ได้รับเงิน โดยมีสาเหตุจาการโอนเงินไม่สําเร็จ ด้วยปัญหาบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวเกิน 6 เดือน บัญชีปิดแล้ว บัญชีติดเงื่อนไขในการโอนเงินเข้า บัญชีเงินฝากแบบพิเศษไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีเงินฝากแบบประจําไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีตั้งเงื่อนไขจํานวนเงินในบัญชีต้องไม่เกิน 1,000 บาท และหมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง นายจ้าง สถานประกอบการต้องติดต่อธนาคารสาขาที่เปิดบัญชีเพื่อตรวจสอบ แก้ไข หรือติดต่อสอบถาม ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ทํางานเพื่อปรับปรุงข้อมูล หรือแนบรายละเอียดเพิ่มเติม อีกครั้งในวันเปิดทําการ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม 2564 นายกสั่งจ่าย 8.2 พันล้าน เงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs เป็นของขวัญผู้ประกอบการก่อนปีใหม่ สถานประกอบการ SMEs เฮทั่วหน้า รับเงินอุดหนุนโครงการช่วย SMEs วันที่ 30 ธ.ค. 64 เป็นของขวัญรับปีใหม่จากรัฐบาล วันที่ 30 ธันวาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยนายจ้าง สถานประกอบการขนาดเล็ก - กลางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในช่วงที่ผ่านมา จึงสั่งการกระทรวงแรงงาน เร่งดําเนินการจ่ายเงินอุดหนุนตามโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs งวดเดือนธันวาคม 2564 ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 64 เพื่อให้นายจ้าง สถานประกอบการ มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐไปเสริมสภาพคล่อง เป็นทุนหมุนเวียนในการขับเคลื่อนกิจการรับปีใหม่ 2565 ที่กําลังจะมาถึง “ในรอบอุดหนุนงวดแรกเดือนพฤศจิกายน 2564 เรามีการแบ่งจ่ายเงินอุดหนุน จํานวน 2 รอบ หากเป็นบัญชีธนาคารกรุงไทยนายจ้างจะได้รับเงินวันที่ 30 ของเดือน แต่หากเป็นบัญชีธนาคารอื่นๆจะได้รับเงินวันที่ 2 ของเดือนถัดไป ซึ่งหลังจากท่านนายกมีข้อสั่งการ ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็เร่งเตรียมการทันที ถือเป็นของขวัญปีใหม่เล็กๆน้อยๆเพื่อกลุ่มธุรกิจ SMEs อีกชิ้นตามดําริท่าน ในวันนี้ (30 ธ.ค. 64) เราจะจ่ายเงินอุดหนุนแก่นายจ้าง สถานประกอบการ จํานวน 182,312 ราย ที่มีลูกจ้างสัญชาติไทย จํานวน 2,739,797 คน เป็นยอดเงินอุดหนุนทั้งสิ้น 8,219,391,000 บาท (แปดพันสองร้อยสิบเก้าล้านสามแสนเก้าหมื่นหนึ่งพันบาท) โดยนายจ้างสถานประกอบกลุ่มนี้ยังเหลือการรับเงินอุดหนุนในเดือนสุดท้าย งวดเดือนมกราคม 2565 อีก 1 งวด นอกจากนี้หากมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากยอดการจ้างงาน ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 จะได้รับเงินส่งเสริมการจ้างงานใหม่ จํานวน 3,000 บาทต่อลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คนต่อเดือน ตามจํานวนการจ้างงานจริง โดยให้สิทธิ์ 1 ลูกจ้าง ต่อ 1 นายจ้าง จนครบตามจํานวนลูกจ้างสัญชาติไทยทั้งหมดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ เดือนละไม่เกิน 201,647 ราย ซึ่งจากวันที่ 16 ต.ค. – 30 ธ.ค. 64 มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้น 61,571 คน แบ่งเป็นกิจการขนาดเล็ก (ลูกจ้าง 1 - 50 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 42,770 คน กิจการขนาดกลาง (ลูกจ้าง 51 - 200 คน) จ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น 18,764 คน และกิจการที่เดิมจ้างเฉพาะแรงงานข้ามชาติ มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 37 คน โดยประเภทกิจการที่มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยเพิ่ม 5 อันดับแรก ได้แก่ ประเภทกิจการโรงแรม รีสอร์ท ประเภทกิจการรักษาความปลอดภัย ประเภทกิจการบริการทําความสะอาดทั่วไปของตัวอาคาร ประเภทกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารร้านอาหาร และประเภทกิจการร้านสะดวกซื้อมินิมาร์ท” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สําหรับสถานประกอบการที่ยังไม่ได้รับเงิน โดยมีสาเหตุจาการโอนเงินไม่สําเร็จ ด้วยปัญหาบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวเกิน 6 เดือน บัญชีปิดแล้ว บัญชีติดเงื่อนไขในการโอนเงินเข้า บัญชีเงินฝากแบบพิเศษไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีเงินฝากแบบประจําไม่สามารถรับเงินจากการโอนได้ บัญชีตั้งเงื่อนไขจํานวนเงินในบัญชีต้องไม่เกิน 1,000 บาท และหมายเลขบัญชีไม่ถูกต้อง นายจ้าง สถานประกอบการต้องติดต่อธนาคารสาขาที่เปิดบัญชีเพื่อตรวจสอบ แก้ไข หรือติดต่อสอบถาม ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่ทํางานเพื่อปรับปรุงข้อมูล หรือแนบรายละเอียดเพิ่มเติม อีกครั้งในวันเปิดทําการ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50077
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา
วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะ นํา น.ส.ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย (น้องมิงค์) แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง 2022 คนที่ 13 และถือเป็นชาวไทยคนแรกที่คว้าแชมป์สนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของ น.ส.ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย (น้องมิ้งค์) และสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับกีฬาทุกด้าน เพราะกีฬาทําให้เกิดการมีน้ําใจนักกีฬา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยสนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬาเพราะส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการมีสุขภาพดี ความสําเร็จของน้องมิงค์ในวันนี้เกิดจากการได้รับการปลูกฝังที่ดีจากครอบครัว รวมทั้งสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทยที่เปิดโอกาส พร้อมสนับสนุนให้เข้าร่วมการแข่งขัน สามารถสร้างชื่อเสียงได้อย่างมากมาย สิ่งสําคัญคือการได้เป็นเรื่องราวที่ดีให้กับคนไทยในยามที่เผชิญกับภาวะวิกฤต นายกรัฐมนตรียังให้กําลังใจแก่ น.ส.ณัชชารัตน์ ขอให้มีสมาธิในการฝึกซ้อมควบคู่ไปกับการเรียน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอบคุณการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ได้สร้างความสุขให้แก่คนไทย พร้อมทั้งให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาบิลเลียดฯ ในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะนักกีฬาให้มีความต่อเนื่อง เพื่อพัฒนากีฬาสนุกเกอร์รวมถึงสร้างนักสนุกเกอร์คุณภาพของไทยต่อไปในอนาคต ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา นายกฯ ชื่นชม “น้องมิงค์” นักสนุกเกอร์ไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์สนุกเกอร์อาชีพหญิงชิงแชมป์โลก 2022 เป็นคนแรกของประเทศไทย ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญ สนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬา วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2565) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะ นํา น.ส.ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย (น้องมิงค์) แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง 2022 คนที่ 13 และถือเป็นชาวไทยคนแรกที่คว้าแชมป์สนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของ น.ส.ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย (น้องมิ้งค์) และสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับกีฬาทุกด้าน เพราะกีฬาทําให้เกิดการมีน้ําใจนักกีฬา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โดยสนับสนุนให้คนไทยเล่นกีฬาเพราะส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการมีสุขภาพดี ความสําเร็จของน้องมิงค์ในวันนี้เกิดจากการได้รับการปลูกฝังที่ดีจากครอบครัว รวมทั้งสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทยที่เปิดโอกาส พร้อมสนับสนุนให้เข้าร่วมการแข่งขัน สามารถสร้างชื่อเสียงได้อย่างมากมาย สิ่งสําคัญคือการได้เป็นเรื่องราวที่ดีให้กับคนไทยในยามที่เผชิญกับภาวะวิกฤต นายกรัฐมนตรียังให้กําลังใจแก่ น.ส.ณัชชารัตน์ ขอให้มีสมาธิในการฝึกซ้อมควบคู่ไปกับการเรียน ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และขอบคุณการกีฬาแห่งประเทศไทย ที่ได้สร้างความสุขให้แก่คนไทย พร้อมทั้งให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาบิลเลียดฯ ในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะนักกีฬาให้มีความต่อเนื่อง เพื่อพัฒนากีฬาสนุกเกอร์รวมถึงสร้างนักสนุกเกอร์คุณภาพของไทยต่อไปในอนาคต ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 “ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้ “ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้ วันที่ 17 มิถุนายน 2565 ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ได้รับเกียรติกล่าวบรรยายพิเศษ “นโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย” ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาผู้บริหารสถาบันผลิตแพทย์แห่งประเทศไทย” รุ่นที่ 21 จัดโดย กลุ่มสถาบันการแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ณ ห้องประชุมยาใจ ณ สงขลา ชั้น 25 อาคารหอพักและพัฒนาคณาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ประการแรกก็คือ กระทรวง อว. เรามีเป้าหมาย มีทิศทางที่ชัดเจน เรื่องที่สําคัญ เรื่องแรกก็คือปี 2580 เราต้องทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราประกาศและเป็นแผนยุทธศาสตร์ของชาติ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษาต้องรับทราบทุกคน คือต้องไม่ใช่เป็นการทํางานไปเรื่อยๆ แต่เพื่อความพรั่งพร้อม ความสมบูรณ์ จึงจําเป็นต้องมีเป้าหมาย เราทําอะไรต้องคิดถึงเรื่องโอกาส ปัญหาเป็นสําคัญด้วย ในปี 2570 อว. จะต้องเป็น อว. ในแบบที่เป็น ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นกัน ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องสําคัญมาก ถ้าเราไม่มียุทธศาสตร์ เราทํางานไปเรื่อยๆ เตรียมความพร้อม สร้างความพร้อมไปเรื่อยๆ อาจจะไปไม่ถึงไหนหรืออาจจะไปถึงช้ามาก เราควรจะคิดว่าทุกอย่างไม่ได้อยู่แค่ที่ความพร้อม เราไม่พร้อมเราก็ชนะได้ สําเร็จได้ ไปได้เร็วได้ ดังนั้นยุทธศาสตร์ของเราไม่เพียงต้องสะสมความพร้อม ความก้าวหน้าเท่านั้น เราต้องหาจุดเด่นที่จะทําให้เราชนะ และเราต้องมีทางเลี่ยง ทางเบี่ยง ทางลัด เพื่อจะแข่งกับคนในประเทศที่เหนือกว่า นอกเหนือจากนั้นเราจะต้องก้าวใหญ่ๆ ก้าวยาวๆ เพราะประเทศอื่นเดินไปไกลกว่าเรา ถ้าจะตามให้ทันจะต้องก้าวให้ยาว ต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย สิ่งสําคัญของผู้บริหาร คือ เรื่องของ mine set ซึ่งบางทีอาจจะสําคัญกว่าเทคนิคหรือความรู้ ยุทธศาสตร์อีกประการหนึ่งก็คือ ต้องพยายามใช้ภาคเอกชน ภาคสังคม อย่าอาศัยแต่ภาครัฐ เพราะฉะนั้นภาคอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม ต้องคิดว่าทําอย่างไรจึงจะเชิญชวนให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับเรา แต่เราจะต้องรู้ว่าเรามีดีอะไรให้เขามาลงทุน และเขาต้องการอะไรเพื่อที่จะลงทุน และเราจึงปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเขา นอกจากนั้นเราต้องไม่ทําอะไรที่ซ้ําซาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้ วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 “ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้ “ดร.เอนก” เผยนโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย ต้องมีเป้าหมาย และแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน จึงจะชนะผู้ที่เหนือกว่าได้ วันที่ 17 มิถุนายน 2565 ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ได้รับเกียรติกล่าวบรรยายพิเศษ “นโยบายการพัฒนาอุดมศึกษาไทย” ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “การพัฒนาผู้บริหารสถาบันผลิตแพทย์แห่งประเทศไทย” รุ่นที่ 21 จัดโดย กลุ่มสถาบันการแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ณ ห้องประชุมยาใจ ณ สงขลา ชั้น 25 อาคารหอพักและพัฒนาคณาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ประการแรกก็คือ กระทรวง อว. เรามีเป้าหมาย มีทิศทางที่ชัดเจน เรื่องที่สําคัญ เรื่องแรกก็คือปี 2580 เราต้องทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เราประกาศและเป็นแผนยุทธศาสตร์ของชาติ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้บริหารกระทรวงการอุดมศึกษาต้องรับทราบทุกคน คือต้องไม่ใช่เป็นการทํางานไปเรื่อยๆ แต่เพื่อความพรั่งพร้อม ความสมบูรณ์ จึงจําเป็นต้องมีเป้าหมาย เราทําอะไรต้องคิดถึงเรื่องโอกาส ปัญหาเป็นสําคัญด้วย ในปี 2570 อว. จะต้องเป็น อว. ในแบบที่เป็น ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่นกัน ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องสําคัญมาก ถ้าเราไม่มียุทธศาสตร์ เราทํางานไปเรื่อยๆ เตรียมความพร้อม สร้างความพร้อมไปเรื่อยๆ อาจจะไปไม่ถึงไหนหรืออาจจะไปถึงช้ามาก เราควรจะคิดว่าทุกอย่างไม่ได้อยู่แค่ที่ความพร้อม เราไม่พร้อมเราก็ชนะได้ สําเร็จได้ ไปได้เร็วได้ ดังนั้นยุทธศาสตร์ของเราไม่เพียงต้องสะสมความพร้อม ความก้าวหน้าเท่านั้น เราต้องหาจุดเด่นที่จะทําให้เราชนะ และเราต้องมีทางเลี่ยง ทางเบี่ยง ทางลัด เพื่อจะแข่งกับคนในประเทศที่เหนือกว่า นอกเหนือจากนั้นเราจะต้องก้าวใหญ่ๆ ก้าวยาวๆ เพราะประเทศอื่นเดินไปไกลกว่าเรา ถ้าจะตามให้ทันจะต้องก้าวให้ยาว ต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย สิ่งสําคัญของผู้บริหาร คือ เรื่องของ mine set ซึ่งบางทีอาจจะสําคัญกว่าเทคนิคหรือความรู้ ยุทธศาสตร์อีกประการหนึ่งก็คือ ต้องพยายามใช้ภาคเอกชน ภาคสังคม อย่าอาศัยแต่ภาครัฐ เพราะฉะนั้นภาคอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม ต้องคิดว่าทําอย่างไรจึงจะเชิญชวนให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับเรา แต่เราจะต้องรู้ว่าเรามีดีอะไรให้เขามาลงทุน และเขาต้องการอะไรเพื่อที่จะลงทุน และเราจึงปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเขา นอกจากนั้นเราต้องไม่ทําอะไรที่ซ้ําซาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง วันที่ 27 ต.ค. 64 นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมเปิดงานสมัชชาสวนยางยั่งยืนครั้งที่ 3 ในโครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 ต.ค. 2564 โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ผ่านระบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) จากห้องประชุมสถลสถานทิพักษ์ 2 การยางแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ความคืบหน้านโยบายสวนยางยั่งยืนและก้าวต่อไปในปีหน้าและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13” เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางในรูปแบบเครือข่ายในการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง รองปลัด กษ. ร่วมประชุมและอภิปราย โครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางโดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง วันที่ 27 ต.ค. 64 นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมเปิดงานสมัชชาสวนยางยั่งยืนครั้งที่ 3 ในโครงการสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 ต.ค. 2564 โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ผ่านระบบระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) จากห้องประชุมสถลสถานทิพักษ์ 2 การยางแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ความคืบหน้านโยบายสวนยางยั่งยืนและก้าวต่อไปในปีหน้าและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13” เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน และสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางในรูปแบบเครือข่ายในการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดีเดย์ 24 ก.ย. นี้ เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนกระตุ้น สำหรับผู้ที่ได้รับซิโนแวค ครบ 2 เข็มแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564 สธ. ดีเดย์ 24 ก.ย. นี้ เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนกระตุ้น สําหรับผู้ที่ได้รับซิโนแวค ครบ 2 เข็มแล้ว ..... กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า ผู้ที่รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ระหว่างเดือน มี.ค. - พ.ค. 64 ราว 5.5 แสนคน จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน . ประชาชนกลุ่มดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ทั้งหน่วยบริการเดิมที่รับวัคซีน/หน่วยบริการอื่นในจังหวัดเดิม หากจําเป็นต้องฉีดกระตุ้นในจังหวัดอื่นนั้น . กรณีพื้นที่ กทม. ให้ติดต่อ "ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ" ส่วนต่างจังหวัดให้ศึกษาระบบการลงทะเบียนและระบบนัดหมายของจังหวัดนั้น ๆ . ทั้งนี้ เป็นการลงทะเบียนตามความสมัครใจ โดยใช้เอกสารรับรองการรับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มได้ทั้งแบบกระดาษ หรือดิจิทัล คาดว่าจะเริ่มให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 64 เป็นต้นไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ดีเดย์ 24 ก.ย. นี้ เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนกระตุ้น สำหรับผู้ที่ได้รับซิโนแวค ครบ 2 เข็มแล้ว วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564 สธ. ดีเดย์ 24 ก.ย. นี้ เปิดลงทะเบียนฉีดวัคซีนกระตุ้น สําหรับผู้ที่ได้รับซิโนแวค ครบ 2 เข็มแล้ว ..... กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เผยว่า ผู้ที่รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ระหว่างเดือน มี.ค. - พ.ค. 64 ราว 5.5 แสนคน จะได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน . ประชาชนกลุ่มดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ทั้งหน่วยบริการเดิมที่รับวัคซีน/หน่วยบริการอื่นในจังหวัดเดิม หากจําเป็นต้องฉีดกระตุ้นในจังหวัดอื่นนั้น . กรณีพื้นที่ กทม. ให้ติดต่อ "ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ" ส่วนต่างจังหวัดให้ศึกษาระบบการลงทะเบียนและระบบนัดหมายของจังหวัดนั้น ๆ . ทั้งนี้ เป็นการลงทะเบียนตามความสมัครใจ โดยใช้เอกสารรับรองการรับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มได้ทั้งแบบกระดาษ หรือดิจิทัล คาดว่าจะเริ่มให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 64 เป็นต้นไป #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46112
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน ขณะที่ รมว.คมนาคม ยืนยัน ภายในปีนี้ คาดจะมีรถเมล์ไฟฟ้าให้บริการประชาชนประมาณ 1,000 คัน วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะในการให้บริการประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (18 ก.ค.65) นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าภายในปีนี้ คาดหมายให้มีรถเมล์ไฟฟ้าออกมาให้บริการประชาชน ประมาณ 1,000 คัน ล่าสุดกระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการตามนโยบายสนับสนุนให้เกิดกระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้อนุมัติให้ ขสมก. ดําเนินโครงการจ้างเหมาบริการรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้พลังงานสะอาด (รถไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเดินรถและลดมลภาวะเป็นพิษในเขตเมือง จํานวน 224 คัน เพื่อให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการจัดหาจ้างเหมาบริการรถเมล์ไฟฟ้าเร่งด่วน มารองรับกรณีที่รถเมล์ ขสมก. ไม่เพียงพอต่อการบริการประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงรถที่นํามาใช้เพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียน หรือ เอเปค ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งปัจจุบันรถเมล์ ขสมก. มีวิ่งให้บริการอยู่ 2,885 คัน ใน 107 เส้นทาง วิ่งให้บริการอยู่ 17,000 เที่ยวต่อวัน และได้มีการปรับประสิทธิภาพให้วิ่งเพิ่มได้ถึง 19,000 เที่ยวต่อวันโดยการเพิ่มรอบความถี่ ขณะที่ในช่วงขณะนี้ราคาน้ํามันแพง ประชาชนหันมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. มากขึ้น จากเดิมผู้ใช้บริการ 600,000 คนต่อวัน ปัจจุบันสูงถึง 707,000 คนต่อวัน ส่วนรถไฟฟ้าจากเดิมมีผู้ใช้บริการไม่ถึง 1 ล้านคน ขณะนี้ขยับไปถึง 1.2 ล้านคน ดังนั้น จากปัจจัยความต้องการต่าง ๆ ขสมก. จึงได้เตรียมดําเนินการโครงการจ้างเหมาบริการรถไฟฟ้าจํานวน 224 คัน มาเสริมการบริการ โดยเป็นการดําเนินการระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี ในช่วงทดแทนที่แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ยังไม่สามารถดําเนินการได้ ทั้งนี้ จะสามารถรับมอบรถเข้ามาวิ่งให้บริการในลอตแรกเดือน พ.ย. จํานวน 90 คัน นอกจากนี้ ตามแผนจะมีรถเมล์ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกอีกใน 77 เส้นทางใหม่ ลอตแรกจะออกมาวิ่งให้บริการจํานวน 175 คัน ในเดือน ส.ค. 65 และจะออกมาวิ่งในระบบอีกในเดือน ต.ค. 65 รวมเป็น 750 คัน ซึ่งจะทําให้รถเมล์บริการทั้งระบบรวมรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการรวมไม่น้อยกว่า 25,000 เที่ยวต่อวัน จากปัจจุบันวิ่งให้บริการประชาชนที่ 17,000-19,000 เที่ยวต่อวัน ทําให้รองรับผู้โดยสารได้ถึง 1 ล้านคนต่อวัน “นายกรัฐมนตรียังมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อยากเห็นการปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทย โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างอย่างจริงจัง ทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการลดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง ลดภาระของประชาชนในการพึ่งพิงน้ํามัน และยังถือเป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ําที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในไทยได้ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV - หนุนปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทยโดยรัฐบาลยินดีให้การสนับสนุน ขณะที่ รมว.คมนาคม ยืนยัน ภายในปีนี้ คาดจะมีรถเมล์ไฟฟ้าให้บริการประชาชนประมาณ 1,000 คัน วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะในการให้บริการประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ (18 ก.ค.65) นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าภายในปีนี้ คาดหมายให้มีรถเมล์ไฟฟ้าออกมาให้บริการประชาชน ประมาณ 1,000 คัน ล่าสุดกระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการตามนโยบายสนับสนุนให้เกิดกระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้อนุมัติให้ ขสมก. ดําเนินโครงการจ้างเหมาบริการรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้พลังงานสะอาด (รถไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเดินรถและลดมลภาวะเป็นพิษในเขตเมือง จํานวน 224 คัน เพื่อให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการจัดหาจ้างเหมาบริการรถเมล์ไฟฟ้าเร่งด่วน มารองรับกรณีที่รถเมล์ ขสมก. ไม่เพียงพอต่อการบริการประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงรถที่นํามาใช้เพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นําอาเซียน หรือ เอเปค ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งปัจจุบันรถเมล์ ขสมก. มีวิ่งให้บริการอยู่ 2,885 คัน ใน 107 เส้นทาง วิ่งให้บริการอยู่ 17,000 เที่ยวต่อวัน และได้มีการปรับประสิทธิภาพให้วิ่งเพิ่มได้ถึง 19,000 เที่ยวต่อวันโดยการเพิ่มรอบความถี่ ขณะที่ในช่วงขณะนี้ราคาน้ํามันแพง ประชาชนหันมาใช้บริการรถเมล์ ขสมก. มากขึ้น จากเดิมผู้ใช้บริการ 600,000 คนต่อวัน ปัจจุบันสูงถึง 707,000 คนต่อวัน ส่วนรถไฟฟ้าจากเดิมมีผู้ใช้บริการไม่ถึง 1 ล้านคน ขณะนี้ขยับไปถึง 1.2 ล้านคน ดังนั้น จากปัจจัยความต้องการต่าง ๆ ขสมก. จึงได้เตรียมดําเนินการโครงการจ้างเหมาบริการรถไฟฟ้าจํานวน 224 คัน มาเสริมการบริการ โดยเป็นการดําเนินการระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี ในช่วงทดแทนที่แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ยังไม่สามารถดําเนินการได้ ทั้งนี้ จะสามารถรับมอบรถเข้ามาวิ่งให้บริการในลอตแรกเดือน พ.ย. จํานวน 90 คัน นอกจากนี้ ตามแผนจะมีรถเมล์ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกอีกใน 77 เส้นทางใหม่ ลอตแรกจะออกมาวิ่งให้บริการจํานวน 175 คัน ในเดือน ส.ค. 65 และจะออกมาวิ่งในระบบอีกในเดือน ต.ค. 65 รวมเป็น 750 คัน ซึ่งจะทําให้รถเมล์บริการทั้งระบบรวมรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการรวมไม่น้อยกว่า 25,000 เที่ยวต่อวัน จากปัจจุบันวิ่งให้บริการประชาชนที่ 17,000-19,000 เที่ยวต่อวัน ทําให้รองรับผู้โดยสารได้ถึง 1 ล้านคนต่อวัน “นายกรัฐมนตรียังมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า อยากเห็นการปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทย โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างอย่างจริงจัง ทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการลดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิง ลดภาระของประชาชนในการพึ่งพิงน้ํามัน และยังถือเป็นการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ําที่หวังว่าจะเกิดขึ้นในไทยได้ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57022
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพิ่มความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 กรมทางหลวงชนบท เสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพิ่มความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน ส่งเสริมการคมนาคมขนส่งของกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2565 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการงานเสริมผิวลาดยางโพลิเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลท์ติกคอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการคมนาคมขนส่งทางตอนใต้ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรมที่มีความยาวรอบวง 25 กิโลเมตร เป็นสะพานขึงแฝดที่ทอดข้ามแม่น้ําสายเดียวกันสองช่วงต่อเนื่อง มีจุดขึ้นลง จํานวน 3 แห่ง ประกอบด้วยบริเวณถนนพระราม 3กรุงเทพมหานคร ถนนสุขสวัสดิ์ และถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ โดยก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนได้ใช้งานตั้งแต่ปี 2549 ทั้งนี้ สะพานดังกล่าวมีอายุการใช้งานกว่า 16 ปี มีปริมาณการจราจรมากกว่า 108,800 คันต่อวัน เนื่องจากเป็นเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงการขนส่งอุตสาหกรรมทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการงานเสริมผิวลาดยางโพลิเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลท์ติกคอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อเป็นการซ่อมบํารุงผิวจราจรบนสะพานให้กลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนสะพาน ให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้มีผลการดําเนินงานคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 95 เร็วกว่าแผนที่วางไว้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตีเส้นจราจรและติดตั้งเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2565 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงดําเนินงานเสริมผิวลาดยางไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น จะต้องใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในการดําเนินงาน ทช. จึงมีความจําเป็นต้องปิดการจราจร (บางช่องทาง) บนสะพาน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางระหว่างดําเนินงาน จึงขอประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางในวันและเวลาดังกล่าวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพิ่มความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 กรมทางหลวงชนบท เสริมผิวลาดยางบนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพิ่มความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน ส่งเสริมการคมนาคมขนส่งของกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คาดแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2565 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการงานเสริมผิวลาดยางโพลิเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลท์ติกคอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการคมนาคมขนส่งทางตอนใต้ของกรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการ ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรมที่มีความยาวรอบวง 25 กิโลเมตร เป็นสะพานขึงแฝดที่ทอดข้ามแม่น้ําสายเดียวกันสองช่วงต่อเนื่อง มีจุดขึ้นลง จํานวน 3 แห่ง ประกอบด้วยบริเวณถนนพระราม 3กรุงเทพมหานคร ถนนสุขสวัสดิ์ และถนนปู่เจ้าสมิงพราย จังหวัดสมุทรปราการ โดยก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้ประชาชนได้ใช้งานตั้งแต่ปี 2549 ทั้งนี้ สะพานดังกล่าวมีอายุการใช้งานกว่า 16 ปี มีปริมาณการจราจรมากกว่า 108,800 คันต่อวัน เนื่องจากเป็นเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงการขนส่งอุตสาหกรรมทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ ทช. จึงได้ดําเนินโครงการงานเสริมผิวลาดยางโพลิเมอร์โมดิฟายด์แอสฟัลท์ติกคอนกรีต (PMA) บนสะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เพื่อเป็นการซ่อมบํารุงผิวจราจรบนสะพานให้กลับมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบนสะพาน ให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้มีผลการดําเนินงานคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 95 เร็วกว่าแผนที่วางไว้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตีเส้นจราจรและติดตั้งเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2565 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงดําเนินงานเสริมผิวลาดยางไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565ตั้งแต่เวลา 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น จะต้องใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ในการดําเนินงาน ทช. จึงมีความจําเป็นต้องปิดการจราจร (บางช่องทาง) บนสะพาน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางระหว่างดําเนินงาน จึงขอประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางในวันและเวลาดังกล่าวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53046
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568 ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568 พร้อมเร่งเจรจาให้เวียดนามยกเลิกการระงับนําเข้าเงาะ มะม่วง จากไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายฟาน จี๊ ทัญ (H.E. Mr. Phan Chi Thanh) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสังคมนิยมเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าพบและหารือความสัมพันธ์ด้านการเกษตรระหว่างไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมหารือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับเวียดนาม ว่า ในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งในปี 2565 นี้ ไทยและเวียดนามจะฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 46 ปี โดยตลอดระยะเวลาอันยาวนานไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์ในหลายมิติ ทั้งด้านการเกษตร การค้า และการเมือง โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม เมื่อปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศคู่ค้าและประเทศลงทุนหลักของเวียดนามโดย ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อเป็นครัวของโลก” รมว. เฉลิมชัยกล่าว สาระสําคัญที่หารือร่วมกันในวันนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายเวียดนามให้ความร่วมมือ ได้แก่ 1) สนับสนุนการจัดตั้งสภายางอาเซียน (ASEAN Rubber Council: ARCo) 2) ขอให้ทางเวียดนามยกเลิกการระงับการนําเข้าสินค้าผลไม้จากไทย ได้แก่ เงาะ และมะม่วง 3) ขอให้เวียดนามแจ้งรายชื่อผู้ประสานงานหลัก (Contact point) ภายใต้กรอบความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนามภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ผ่านกลไกการประชุมคณะทํางานความร่วมมือด้านการเกษตร (Joint Working Group on Agricultural Cooperation - JWG) ไทย-เวียดนาม และ 4) ไทยเสนอให้เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary: SPS) ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้มาตรการ SPS และขอให้ฝ่ายเวียดนามแจ้งชื่อและอีเมลของผู้ประสานงานหลัก (Contact Point) ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการทบทวน MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรทั้งสองฝ่ายลงนามไปแล้ว เมื่อปี 2546 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และโครงสร้างการทํางานในปัจจุบัน พร้อมทั้งขอเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญ เดินทางมาเยือนเวียดนาม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในระดับสูง รวมทั้งหารือแลกเปลี่ยนนโยบาย ความรู้ และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ โอกาสที่เหมาะสมต่อไป และฝ่ายเวียดนามมีความยินดีที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยด้วยเช่นกัน รวมทั้งเห็นควรที่ทั้งสองประเทศจะขยายมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกันต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568 วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568 ไทยสานสัมพันธ์เวียดนาม ครบรอบ 46 ปี ตั้งเป้าเป็นครัวของโลกร่วมกัน เล็งขยับมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น 25,000 ล้านเหรียญฯ ในปี 2568 พร้อมเร่งเจรจาให้เวียดนามยกเลิกการระงับนําเข้าเงาะ มะม่วง จากไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังอนุญาตให้นายฟาน จี๊ ทัญ (H.E. Mr. Phan Chi Thanh) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสังคมนิยมเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าพบและหารือความสัมพันธ์ด้านการเกษตรระหว่างไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมหารือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับเวียดนาม ว่า ในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งในปี 2565 นี้ ไทยและเวียดนามจะฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 46 ปี โดยตลอดระยะเวลาอันยาวนานไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์ในหลายมิติ ทั้งด้านการเกษตร การค้า และการเมือง โดยมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม เมื่อปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศคู่ค้าและประเทศลงทุนหลักของเวียดนามโดย ทั้งสองประเทศสามารถร่วมมือกันผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อเป็นครัวของโลก” รมว. เฉลิมชัยกล่าว สาระสําคัญที่หารือร่วมกันในวันนี้ฝ่ายไทยได้ขอให้ฝ่ายเวียดนามให้ความร่วมมือ ได้แก่ 1) สนับสนุนการจัดตั้งสภายางอาเซียน (ASEAN Rubber Council: ARCo) 2) ขอให้ทางเวียดนามยกเลิกการระงับการนําเข้าสินค้าผลไม้จากไทย ได้แก่ เงาะ และมะม่วง 3) ขอให้เวียดนามแจ้งรายชื่อผู้ประสานงานหลัก (Contact point) ภายใต้กรอบความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทเวียดนามภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ผ่านกลไกการประชุมคณะทํางานความร่วมมือด้านการเกษตร (Joint Working Group on Agricultural Cooperation - JWG) ไทย-เวียดนาม และ 4) ไทยเสนอให้เวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary: SPS) ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้มาตรการ SPS และขอให้ฝ่ายเวียดนามแจ้งชื่อและอีเมลของผู้ประสานงานหลัก (Contact Point) ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเวียดนามเสนอให้มีการทบทวน MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรทั้งสองฝ่ายลงนามไปแล้ว เมื่อปี 2546 เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และโครงสร้างการทํางานในปัจจุบัน พร้อมทั้งขอเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญ เดินทางมาเยือนเวียดนาม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในระดับสูง รวมทั้งหารือแลกเปลี่ยนนโยบาย ความรู้ และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ โอกาสที่เหมาะสมต่อไป และฝ่ายเวียดนามมีความยินดีที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยด้วยเช่นกัน รวมทั้งเห็นควรที่ทั้งสองประเทศจะขยายมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ำมันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565 เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ํามันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ํามันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง วันที่ 8 พ.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้เห็นชอบ 13 มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกขยับตัวสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่เริ่มใช้สิทธิวันนี้คือ “โครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ํามันกลุ่มเบนซิน สําหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ” เป็นการให้ส่วนลดราคาน้ํามันแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะจากกรมการขนส่งทางบก จํานวน 106,655 ราย โดยได้รับสิทธิช่วยเหลือค่าน้ํามัน ไม่เกิน 50 บาท/คน/วัน และไม่เกิน 250 บาท/คน/เดือน รวม 3 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค. – ก.ค. 2565 เพื่อจะได้ไม่ปรับขึ้นค่าโดยสารกระทบประชาชน นางสาวรัชดา กล่าวต่อถึงวิธีการรับสิทธิว่า ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เข้าเกณฑ์ สามารถกดยืนยันสิทธิที่แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แบนเนอร์ “สิทธิวินเซฟ” และสถานีบริการน้ํามันที่เข้าร่วมโครงการสามารถกดยืนยันสิทธิ ที่แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และเริ่มใช้สิทธิ ได้ตั้งแต่วันนี้ (8 พ.ค.) ณ สถานีบริการน้ํามันที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนการใช้งานจะมีความคล้ายกับโครงการคนละครึ่งที่จะต้องเติมเงินเข้าไปในบัญชีก่อน ถึงจะสามารถใช้งานได้ โดยขณะนี้มีสถานีบริการน้ํามันสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 แห่ง และสถานีบริการสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง โดยกรอกแบบแจ้งความประสงค์ เข้าร่วมโครงการ (สําหรับสถานีบริการ) ได้ที่ www.doeb.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center โครงการฯ โทร 0 2794 4308 – 9 (ในวันและเวลาราชการ) “ขอเชิญชวนกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์สาธารณะทั่วประเทศที่เข้าเกณฑ์รับสิทธิเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ํามัน รวมทั้งขอความร่วมมือไม่ขึ้นค่าโดยสารเพื่อลดภาระพี่น้องประชาชนที่ใช้บริการ” นางสาวรัชดา กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ำมันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565 เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ํามันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง เริ่มวันนี้! มาตรการรัฐ “ช่วยค่าน้ํามันวินมอเตอร์ไซค์ 250/ด” ใช้ผ่านแอปเป๋าตังค์ มีปั๊มร่วมแล้วกว่าพันแห่ง วันที่ 8 พ.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้เห็นชอบ 13 มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนในช่วงที่สถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกขยับตัวสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่เริ่มใช้สิทธิวันนี้คือ “โครงการบรรเทาผลกระทบราคาน้ํามันกลุ่มเบนซิน สําหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ” เป็นการให้ส่วนลดราคาน้ํามันแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะจากกรมการขนส่งทางบก จํานวน 106,655 ราย โดยได้รับสิทธิช่วยเหลือค่าน้ํามัน ไม่เกิน 50 บาท/คน/วัน และไม่เกิน 250 บาท/คน/เดือน รวม 3 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค. – ก.ค. 2565 เพื่อจะได้ไม่ปรับขึ้นค่าโดยสารกระทบประชาชน นางสาวรัชดา กล่าวต่อถึงวิธีการรับสิทธิว่า ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เข้าเกณฑ์ สามารถกดยืนยันสิทธิที่แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” แบนเนอร์ “สิทธิวินเซฟ” และสถานีบริการน้ํามันที่เข้าร่วมโครงการสามารถกดยืนยันสิทธิ ที่แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และเริ่มใช้สิทธิ ได้ตั้งแต่วันนี้ (8 พ.ค.) ณ สถานีบริการน้ํามันที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนการใช้งานจะมีความคล้ายกับโครงการคนละครึ่งที่จะต้องเติมเงินเข้าไปในบัญชีก่อน ถึงจะสามารถใช้งานได้ โดยขณะนี้มีสถานีบริการน้ํามันสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 แห่ง และสถานีบริการสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้อย่างต่อเนื่อง โดยกรอกแบบแจ้งความประสงค์ เข้าร่วมโครงการ (สําหรับสถานีบริการ) ได้ที่ www.doeb.go.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center โครงการฯ โทร 0 2794 4308 – 9 (ในวันและเวลาราชการ) “ขอเชิญชวนกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์สาธารณะทั่วประเทศที่เข้าเกณฑ์รับสิทธิเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ํามัน รวมทั้งขอความร่วมมือไม่ขึ้นค่าโดยสารเพื่อลดภาระพี่น้องประชาชนที่ใช้บริการ” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54330
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร-หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร-หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ชม-ชิมการสาธิตด้านอาชีพและอาหาร นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบปีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 โดยการจัดงานนี้ขึ้นก็เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงทํานุบํารุงบ้านเมืองให้มีความผาสุกและความเจริญในทุกๆด้าน สืบมาจนถึงปัจจุบันครบรอบ 240 ปีแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนสินค้าของชุมชนต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปีนี้งาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ ทั้งหมด 9 พื้นที่หลักและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม 20 แห่ง ซึ่งกิจกรรมส่วนหนึ่งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชุมชนในไทยและชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งในกรุงเทพฯและภูมิภาคต่างๆ นับตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์โดยเมื่อปีพ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี มีชาวต่างชาติทั้งที่อพยพย้ายถิ่นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและอพยพมาใหม่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงใช้ทศพิธราชธรรมในการปกครองไม่เพียงเฉพาะกับพสกนิกรชาวไทย หากแต่ยังทรงแผ่พระบารมีไปยังชาวต่างชาติโดยพระราชทานสิทธิเสรีภาพในการดําเนินชีวิต การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี การนับถือศาสนา อีกทั้งพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยแยกตามเชื้อชาติและศาสนาและพระราชทานเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มกันทั้งที่เป็นชุมชนและย่านตามรูปแบบทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต เชื้อชาติและศาสนาที่คล้ายคลึงกัน ต่อมาเกิดการหลอมรวมและผสมผสานความต่างทางสังคมและวัฒนธรรม จนเป็นประชากรส่วนหนึ่งของประเทศไทย นับเป็นบุญของพสกนิกรชาวไทยที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีและชุมชนต่างชาติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารที่ล้วนอยู่อย่างผาสุกร่มเย็น นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.จึงจัดนิทรรศการเกี่ยวกับชุมชนในไทยและชุมชนต่างชาติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดนิทรรศการ“ชุมชนใต้ร่มพระบารมี” ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาและอัตลักษณ์ชุมชน เช่น สถาปัตยกรรม งานหัตถกรรมและช่างฝีมือ อาหาร การแต่งกายของชุมชนในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก และ2) ศูนย์อาเซียน ชั้น 3 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน จัดนิทรรศการ “ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” วันที่ 20 - 24 เมษายน 2565 เวลา 10.00-19.00 น. เผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนอาเซียนดั้งเดิมในกรุงเทพฯ 6 กลุ่ม ได้แก่ เขมร ญวน พม่า มอญ ลาว และมุสลิม พร้อมนําเสนออัตลักษณ์ ขนบประเพณีของชุมชนอาเซียนดังกล่าวที่อยู่อาศัยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอย่างร่มเย็นเป็นสุขตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน และวันที่ 23-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมบรรยายและเสวนาเรื่อง “ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” รวมทั้งการสาธิตทางวัฒนธรรมด้านอาชีพและอาหารโดยผู้แทนชุมชนอาเซียน ได้แก่ ย่านเขมร ชุมชนบ้านบาตรสาธิตการทําบาตร ย่านพม่า ชุมชนตลาดพระโขนงออกร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภค ย่านมอญ จัดแสดงข้าวแช่จากบางลําพู ย่านลาว ชุมชนบางไส้ไก่สาธิตการทําขลุ่ย และย่านมุสลิม จัดแสดงแกงมัสมั่นจากชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวชมงานวันที่ 20-24 เมษายน 2565 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565 ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร-หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ชุมชนในไทย-ชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์อยู่อย่างผาสุกร่มเย็นใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์ วธ.เชิญชมนิทรรศการในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่ 20-24 เม.ย.นี้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร-หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ชม-ชิมการสาธิตด้านอาชีพและอาหาร นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบปีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 โดยการจัดงานนี้ขึ้นก็เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงทํานุบํารุงบ้านเมืองให้มีความผาสุกและความเจริญในทุกๆด้าน สืบมาจนถึงปัจจุบันครบรอบ 240 ปีแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี และความภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน รวมทั้งยังช่วยสนับสนุนสินค้าของชุมชนต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ปีนี้งาน“ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” จัดขึ้นวันที่ 20-24 เมษายน 2565 ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ และบริเวณพื้นที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ ทั้งหมด 9 พื้นที่หลักและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม 20 แห่ง ซึ่งกิจกรรมส่วนหนึ่งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชุมชนในไทยและชุมชนต่างชาติในกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งในกรุงเทพฯและภูมิภาคต่างๆ นับตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์โดยเมื่อปีพ.ศ.2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี มีชาวต่างชาติทั้งที่อพยพย้ายถิ่นมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและอพยพมาใหม่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงใช้ทศพิธราชธรรมในการปกครองไม่เพียงเฉพาะกับพสกนิกรชาวไทย หากแต่ยังทรงแผ่พระบารมีไปยังชาวต่างชาติโดยพระราชทานสิทธิเสรีภาพในการดําเนินชีวิต การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี การนับถือศาสนา อีกทั้งพระราชทานที่ดินให้อยู่อาศัยแยกตามเชื้อชาติและศาสนาและพระราชทานเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มกันทั้งที่เป็นชุมชนและย่านตามรูปแบบทางวัฒนธรรม วิถีชีวิต เชื้อชาติและศาสนาที่คล้ายคลึงกัน ต่อมาเกิดการหลอมรวมและผสมผสานความต่างทางสังคมและวัฒนธรรม จนเป็นประชากรส่วนหนึ่งของประเทศไทย นับเป็นบุญของพสกนิกรชาวไทยที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบารมีและชุมชนต่างชาติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารที่ล้วนอยู่อย่างผาสุกร่มเย็น นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า วธ.จึงจัดนิทรรศการเกี่ยวกับชุมชนในไทยและชุมชนต่างชาติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารใน 2 พื้นที่ ได้แก่ 1) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จัดนิทรรศการ“ชุมชนใต้ร่มพระบารมี” ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาและอัตลักษณ์ชุมชน เช่น สถาปัตยกรรม งานหัตถกรรมและช่างฝีมือ อาหาร การแต่งกายของชุมชนในกรุงเทพฯ ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก และ2) ศูนย์อาเซียน ชั้น 3 หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน จัดนิทรรศการ “ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” วันที่ 20 - 24 เมษายน 2565 เวลา 10.00-19.00 น. เผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนอาเซียนดั้งเดิมในกรุงเทพฯ 6 กลุ่ม ได้แก่ เขมร ญวน พม่า มอญ ลาว และมุสลิม พร้อมนําเสนออัตลักษณ์ ขนบประเพณีของชุมชนอาเซียนดังกล่าวที่อยู่อาศัยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอย่างร่มเย็นเป็นสุขตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน และวันที่ 23-24 เมษายน 2565 มีกิจกรรมบรรยายและเสวนาเรื่อง “ชุมชนอาเซียนใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” รวมทั้งการสาธิตทางวัฒนธรรมด้านอาชีพและอาหารโดยผู้แทนชุมชนอาเซียน ได้แก่ ย่านเขมร ชุมชนบ้านบาตรสาธิตการทําบาตร ย่านพม่า ชุมชนตลาดพระโขนงออกร้านขายเครื่องอุปโภคบริโภค ย่านมอญ จัดแสดงข้าวแช่จากบางลําพู ย่านลาว ชุมชนบางไส้ไก่สาธิตการทําขลุ่ย และย่านมุสลิม จัดแสดงแกงมัสมั่นจากชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเที่ยวชมงานวันที่ 20-24 เมษายน 2565 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" ตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์คดียาเสพติด ดึงสื่อหลายสำนักร่วมงาน หวังช่วยสร้างการรับรู้ของสังคม พร้อมช่วยถ่วงดุล-ตรวจสอบคดีไม่ให้เกิดข้อครหา ขอประชาชนมั่นใจ
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 "สมศักดิ์" ตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์คดียาเสพติด ดึงสื่อหลายสํานักร่วมงาน หวังช่วยสร้างการรับรู้ของสังคม พร้อมช่วยถ่วงดุล-ตรวจสอบคดีไม่ให้เกิดข้อครหา ขอประชาชนมั่นใจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่สาธารณะฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่สาธารณะ และกํากับติดตามการดําเนินการทางคดีแบบมีส่วนร่วม โดยมี ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ อัยการอาวุโส สํานักงานคดีปกครอง สํานักงานอัยการสูงสุด เป็นประธานอนุกรรมการ ส่วนคณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ หรือรองอธิบดีที่ได้รับมอบหมาย เลขาธิการ ป.ป.ส.หรือ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่ได้รับมอบหมาย นายสมศักดิ์ อัจจิกุล นายทะเบียนและกรรมการประชาสัมพันธ์สภาทนายความ นายวัสยศ งามขํา ผู้แทนสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายระวี ตะวันธรงค์ ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นายสุชาติ ศรีสุวรรณ บก.อาวุโส หนังสือพิมพ์มติชน นายนพรัตน์ พรวนสุข บก.การเมืองและยุติธรรม สํานักข่าวผู้จัดการ นายจิรโรจน์ จิตราพัฒนานันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายข่าว บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จํากัด นายมนตรี อุดมพงษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และนายอลงกฎ จิตต์ชื่นโชติ บก.หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นต้น โดยมีอํานาจหน้าที่ คือ อํานวยการให้มีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์การทํางานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการกระทําผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประมวลรัษฎากร ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้ในการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตรวจสอบ ดูแล ให้คําปรึกษา แนะนํา การดําเนินการทางคดีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีที่สังคมอาจตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดียาเสพติดที่มีมูลค่าการยึดอายัดในปริมาณสูงหรือเป็นที่สนใจของประชาชน แต่งตั้งคณะทํางาน รวมทั้งมอบหมายบุคคลหรือหน่วยงานให้เป็นผู้รับผิดชอบเพื่อดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะอนุกรรมการเห็นสมควร และรายงานความคืบหน้าให้ประธานอนุกรรมการอํานวยการศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด และ ผอ.ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติทราบเป็นระยะ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่สละเวลาส่วนตัวเข้ามาช่วยรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่องนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น การทํางานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เพราะที่ผ่านมามีข้อครหามากมาย ที่มีผู้ค้ายาบางคดีหลุดออกไป จนทําให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่าเกิดขึ้นได้อย่าง ในครั้งนี้จะมีคนกลางที่ไม่ใช่ราชการมาช่วยดูการทํางาน ข้อสงสัยต่างๆ ก็จะไม่เกิดข้อครหา การปล่อยผู้ต้องหาหลุดไปเกิดผลเสียและความไม่เชื่อมั่นของประชาชน ตนขอยืนยันว่าในการทํางาน การตั้งบุคคลต่างๆ เข้ามา จะช่วยให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเดินหน้า มุ่งมั่นในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อช่วยลูกหลานของเรา และทําให้ปัญหาสังคมในเรื่องนี้ลดน้อยลง ซึ่งในวันที่ 9 ธ.ค.2564 ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ จะมีรูปแบบที่น่าสนใจ ทั้งการตรวจสอบทั้งถ่วงดุลในการทํางานของเรากันเอง ตนเชื่อว่าการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะดีขึ้นเป็นลําดับ รวมทั้งการสกัดการขนส่งออกนอกประเทศด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สมศักดิ์" ตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์คดียาเสพติด ดึงสื่อหลายสำนักร่วมงาน หวังช่วยสร้างการรับรู้ของสังคม พร้อมช่วยถ่วงดุล-ตรวจสอบคดีไม่ให้เกิดข้อครหา ขอประชาชนมั่นใจ วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564 "สมศักดิ์" ตั้งอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์คดียาเสพติด ดึงสื่อหลายสํานักร่วมงาน หวังช่วยสร้างการรับรู้ของสังคม พร้อมช่วยถ่วงดุล-ตรวจสอบคดีไม่ให้เกิดข้อครหา ขอประชาชนมั่นใจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่สาธารณะฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการ และผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้ลงนามประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้แก่สาธารณะ และกํากับติดตามการดําเนินการทางคดีแบบมีส่วนร่วม โดยมี ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ อัยการอาวุโส สํานักงานคดีปกครอง สํานักงานอัยการสูงสุด เป็นประธานอนุกรรมการ ส่วนคณะอนุกรรมการ ประกอบด้วย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ หรือรองอธิบดีที่ได้รับมอบหมาย เลขาธิการ ป.ป.ส.หรือ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่ได้รับมอบหมาย นายสมศักดิ์ อัจจิกุล นายทะเบียนและกรรมการประชาสัมพันธ์สภาทนายความ นายวัสยศ งามขํา ผู้แทนสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายระวี ตะวันธรงค์ ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ นายสุชาติ ศรีสุวรรณ บก.อาวุโส หนังสือพิมพ์มติชน นายนพรัตน์ พรวนสุข บก.การเมืองและยุติธรรม สํานักข่าวผู้จัดการ นายจิรโรจน์ จิตราพัฒนานันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายข่าว บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จํากัด นายมนตรี อุดมพงษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และนายอลงกฎ จิตต์ชื่นโชติ บก.หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เป็นต้น โดยมีอํานาจหน้าที่ คือ อํานวยการให้มีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์การทํางานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการกระทําผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประมวลรัษฎากร ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้ในการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตรวจสอบ ดูแล ให้คําปรึกษา แนะนํา การดําเนินการทางคดีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรณีที่สังคมอาจตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดียาเสพติดที่มีมูลค่าการยึดอายัดในปริมาณสูงหรือเป็นที่สนใจของประชาชน แต่งตั้งคณะทํางาน รวมทั้งมอบหมายบุคคลหรือหน่วยงานให้เป็นผู้รับผิดชอบเพื่อดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะอนุกรรมการเห็นสมควร และรายงานความคืบหน้าให้ประธานอนุกรรมการอํานวยการศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด และ ผอ.ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติทราบเป็นระยะ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่สละเวลาส่วนตัวเข้ามาช่วยรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่องนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้น การทํางานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เพราะที่ผ่านมามีข้อครหามากมาย ที่มีผู้ค้ายาบางคดีหลุดออกไป จนทําให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงว่าเกิดขึ้นได้อย่าง ในครั้งนี้จะมีคนกลางที่ไม่ใช่ราชการมาช่วยดูการทํางาน ข้อสงสัยต่างๆ ก็จะไม่เกิดข้อครหา การปล่อยผู้ต้องหาหลุดไปเกิดผลเสียและความไม่เชื่อมั่นของประชาชน ตนขอยืนยันว่าในการทํางาน การตั้งบุคคลต่างๆ เข้ามา จะช่วยให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลเดินหน้า มุ่งมั่นในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อช่วยลูกหลานของเรา และทําให้ปัญหาสังคมในเรื่องนี้ลดน้อยลง ซึ่งในวันที่ 9 ธ.ค.2564 ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ จะมีรูปแบบที่น่าสนใจ ทั้งการตรวจสอบทั้งถ่วงดุลในการทํางานของเรากันเอง ตนเชื่อว่าการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะดีขึ้นเป็นลําดับ รวมทั้งการสกัดการขนส่งออกนอกประเทศด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์และรับทราบถึงข้อกังวลของประชาชนถึงความเพียงพอของการผลิตก๊าซออกซิเจนทางการแพทย์ จึงได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและประเมินภาพรวมความต้องการ (Demand) และกําลังการผลิต (Supply) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมให้เชิญผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศหารือด้านกําลังการผลิต เมื่อวันที่ 19 ก.ค. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้จัดประชุมประเมินความต้องการตั้งแต่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ผลิตก๊าซออกซิเจนเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ยืนยันว่าศักยภาพการผลิตของโรงงาน ยังสามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังรายงานภาพรวมกําลังการผลิตทั้งประเทศอยู่ที่ 1,860 ตันต่อวัน จาก 15 โรงงานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ชลบุรี ระยอง สงขลา ลําพูน และเชียงใหม่ และปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดระยอง โดยจะมีกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตันต่อวัน หากกรณีฉุกเฉินยังสามารถเพิ่มกําลังการผลิตออกซิเจนได้ถึง 2,200 ตันต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้ก๊าซออกซิเจนทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,260 ตันต่อวัน แบ่งเป็นปริมาณความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ ประมาณ 400-600 ตัน/วัน และความต้องการก๊าซออกซิเจนในภาคอุตสาหกรรม ประมาณ 660 ตัน/วัน โฆษกรัฐบาลยังได้กล่าวด้วยความห่วงใยถึงกรณีประชาชนบางส่วนที่จัดหาและเก็บท่อก๊าซออกซิเจนไว้ใช้ที่บ้านว่า ขอให้จัดเก็บอย่างระมัดระวัง เนื่องจากท่อก๊าซออกซิเจนเป็นท่อที่มีความดันสูง หากจัดเก็บหรือใช้งานอย่างผิดวิธีอาจทําให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังให้คําแนะนําไว้ อาทิ ขณะเคลื่อนย้ายท่อก๊าซออกซิเจนต้องทําด้วยความระมัดระวัง คือไม่ให้กระเทือน กระแทก หรือโยนท่อ ห้ามใช้สารหล่อลื่น น้ํามันหรือสารติดไฟกับอุปกรณ์ที่ใช้งานกับออกซิเจนเป็นอันขาด การติดตั้งชุดอุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับท่อบรรจุก๊าซออกซิเจน ต้องขันยึดให้แน่น และสถานที่จัดเก็บต้องเป็นที่แห้ง มีการถ่ายเทของอากาศได้ดีและมีอุณหภูมิสูงสุดไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส และห้ามเก็บท่อบรรจุก๊าซออกซิเจนไว้รวมกับวัสดุ หรือก๊าซอื่นๆ ที่ติดไฟได้ง่าย เป็นต้น ....................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน นายกฯ รับทราบรายงานจากกระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันก๊าซและถังออกซิเจนมีเพียงพอ ทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรม แนะประชาชนระมัดระวังการใช้ที่บ้าน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์และรับทราบถึงข้อกังวลของประชาชนถึงความเพียงพอของการผลิตก๊าซออกซิเจนทางการแพทย์ จึงได้สั่งการให้มีการตรวจสอบและประเมินภาพรวมความต้องการ (Demand) และกําลังการผลิต (Supply) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมให้เชิญผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศหารือด้านกําลังการผลิต เมื่อวันที่ 19 ก.ค. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้จัดประชุมประเมินความต้องการตั้งแต่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยกลุ่มผู้ผลิตก๊าซออกซิเจนเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ยืนยันว่าศักยภาพการผลิตของโรงงาน ยังสามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังรายงานภาพรวมกําลังการผลิตทั้งประเทศอยู่ที่ 1,860 ตันต่อวัน จาก 15 โรงงานในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ชลบุรี ระยอง สงขลา ลําพูน และเชียงใหม่ และปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดระยอง โดยจะมีกําลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตันต่อวัน หากกรณีฉุกเฉินยังสามารถเพิ่มกําลังการผลิตออกซิเจนได้ถึง 2,200 ตันต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้ก๊าซออกซิเจนทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1,260 ตันต่อวัน แบ่งเป็นปริมาณความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ ประมาณ 400-600 ตัน/วัน และความต้องการก๊าซออกซิเจนในภาคอุตสาหกรรม ประมาณ 660 ตัน/วัน โฆษกรัฐบาลยังได้กล่าวด้วยความห่วงใยถึงกรณีประชาชนบางส่วนที่จัดหาและเก็บท่อก๊าซออกซิเจนไว้ใช้ที่บ้านว่า ขอให้จัดเก็บอย่างระมัดระวัง เนื่องจากท่อก๊าซออกซิเจนเป็นท่อที่มีความดันสูง หากจัดเก็บหรือใช้งานอย่างผิดวิธีอาจทําให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังให้คําแนะนําไว้ อาทิ ขณะเคลื่อนย้ายท่อก๊าซออกซิเจนต้องทําด้วยความระมัดระวัง คือไม่ให้กระเทือน กระแทก หรือโยนท่อ ห้ามใช้สารหล่อลื่น น้ํามันหรือสารติดไฟกับอุปกรณ์ที่ใช้งานกับออกซิเจนเป็นอันขาด การติดตั้งชุดอุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับท่อบรรจุก๊าซออกซิเจน ต้องขันยึดให้แน่น และสถานที่จัดเก็บต้องเป็นที่แห้ง มีการถ่ายเทของอากาศได้ดีและมีอุณหภูมิสูงสุดไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส และห้ามเก็บท่อบรรจุก๊าซออกซิเจนไว้รวมกับวัสดุ หรือก๊าซอื่นๆ ที่ติดไฟได้ง่าย เป็นต้น ....................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว เพิ่มราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบ เป็น 20.50 บาท/กก. ช่วยเกษตรกรโคนมที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2565 ครม. ไฟเขียว เพิ่มราคากลางรับซื้อน้ํานมดิบ เป็น 20.50 บาท/กก. ช่วยเกษตรกรโคนมที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น .... ที่ประชุม ครม. (23 ส.ค. 65) เห็นชอบปรับเพิ่มราคากลางรับซื้อน้ํานมดิบ หน้าโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม กิโลกรัมละ 1.50 บาท จากเดิม 19 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.50 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนมที่ได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ อาหารสัตว์ และค่าขนส่งน้ํานมดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง . โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาต ให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจําหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดได้ และให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นมให้เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ประกอบการ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว เพิ่มราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบ เป็น 20.50 บาท/กก. ช่วยเกษตรกรโคนมที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2565 ครม. ไฟเขียว เพิ่มราคากลางรับซื้อน้ํานมดิบ เป็น 20.50 บาท/กก. ช่วยเกษตรกรโคนมที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น .... ที่ประชุม ครม. (23 ส.ค. 65) เห็นชอบปรับเพิ่มราคากลางรับซื้อน้ํานมดิบ หน้าโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นม กิโลกรัมละ 1.50 บาท จากเดิม 19 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 20.50 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนมที่ได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ อาหารสัตว์ และค่าขนส่งน้ํานมดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง . โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาต ให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจําหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดได้ และให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นมให้เหมาะสมสอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ประกอบการ #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งคุมเข้มท่าเรือเกาะสมุย
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งคุมเข้มท่าเรือเกาะสมุย กําชับมาตรการความปลอดภัยและการป้องกัน COVID-19 สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายศักดาพร รัตนสุภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอําเภอเกาะสมุย พ.ต.อ.กิตติพงศ์ ทองทิพย์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ ในการตรวจติดตามความพร้อมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และความพร้อมของท่าเรือเพื่อดูแลนักท่องเที่ยว ดังนี้ ​ • รับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุย ในการดูแลนักท่องเที่ยว และมาตรการป้องกัน COVID-19 ณ สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะสมุย ​ • จากนั้นเดินทางไปยังท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่และท่าเรือราชาเฟอร์รี่ อ.ดอนสัก ซึ่งเป็นท่าเรือให้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปยังเกาะสมุยและเกาะพะงัน เพื่อตรวจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยและระบบคัดกรองควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ สามารถบรรทุกรถยนต์ได้สูงสุด 90 คัน และจุผู้โดยสารได้ 600 คนต่อเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 1,500 คน/วัน ส่วนท่าเรือราชาเฟอร์รี่บรรทุกได้สูงสุด 80 คัน จุผู้โดยสารได้ 400 คนต่อเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 1,000 คน/วัน ​ จากการตรวจติดตามพบว่าทั้ง 2 ท่าเรือมีมาตรการด้านความปลอดภัยและระบบการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งกําชับให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคฯ ตรวจสอบความปลอดภัยของเรือ ท่าเทียบเรืออย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจําท่าเรือตลอดเวลา รวมทั้งให้เข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งคุมเข้มท่าเรือเกาะสมุย วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งคุมเข้มท่าเรือเกาะสมุย กําชับมาตรการความปลอดภัยและการป้องกัน COVID-19 สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายศักดาพร รัตนสุภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอําเภอเกาะสมุย พ.ต.อ.กิตติพงศ์ ทองทิพย์ รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ ในการตรวจติดตามความพร้อมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และความพร้อมของท่าเรือเพื่อดูแลนักท่องเที่ยว ดังนี้ ​ • รับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสมุย ในการดูแลนักท่องเที่ยว และมาตรการป้องกัน COVID-19 ณ สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะสมุย ​ • จากนั้นเดินทางไปยังท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่และท่าเรือราชาเฟอร์รี่ อ.ดอนสัก ซึ่งเป็นท่าเรือให้บริการเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปยังเกาะสมุยและเกาะพะงัน เพื่อตรวจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยและระบบคัดกรองควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ สามารถบรรทุกรถยนต์ได้สูงสุด 90 คัน และจุผู้โดยสารได้ 600 คนต่อเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 1,500 คน/วัน ส่วนท่าเรือราชาเฟอร์รี่บรรทุกได้สูงสุด 80 คัน จุผู้โดยสารได้ 400 คนต่อเที่ยว มีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 1,000 คน/วัน ​ จากการตรวจติดตามพบว่าทั้ง 2 ท่าเรือมีมาตรการด้านความปลอดภัยและระบบการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งกําชับให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคฯ ตรวจสอบความปลอดภัยของเรือ ท่าเทียบเรืออย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจําท่าเรือตลอดเวลา รวมทั้งให้เข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทำการ
วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทําการ ... กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทําการ เริ่มวันที่ 11 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 และเตรียมเปิดให้บริการนอกเวลาทุกวันเสาร์ ตลอดเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 ณ สํานักงานขนส่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว เริ่มเปิดให้จองคิวเพื่อต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา (COVID-19) กรมการขนส่งทางบกมีความจําเป็นต้องจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการในแต่ละช่วงเวลาตามมาตรการ Social Distancing โดยใช้ระบบจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ทําให้สามารถรองรับจํานวนผู้ใช้บริการได้เพียงกึ่งหนึ่งของขีดความสามารถในการให้บริการของสํานักงานขนส่ง ทําให้ปัจจุบันมีการจองคิวล่วงหน้าเป็นจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้อํานาจตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เริ่มเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 รวมถึงประกาศให้โควิด-19 รองรับเป็นโรคประจําถิ่น และผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข กรมการขนส่งทางบก จึงปรับการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถของสํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 และสํานักงานขนส่งจังหวัดและสาขา ในจังหวัดปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น โดยขยายระยะเวลาการให้บริการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ในวันธรรมดา (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) นอกเวลาราชการ ซึ่งจะให้บริการตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 - 30 กันยายน 2565 นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเปิดให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถในวันเสาร์ ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. ตลอดเดือนสิงหาคม 2565 - กันยายน 2565 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้ การเปิดให้บริการต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ เพื่อเร่งให้บริการแก่ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องต่ออายุใบอนุญาต และเป็นการอํานวยความสะดวกให้ประชาชนชนสามารถเข้ามาดําเนินการต่อใบขับรถอนุญาตได้รวดเร็วขึ้น โดยจะดําเนินการเฉพาะสํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 จํานวน 5 แห่ง และสํานักงานขนส่งจังหวัดและสาขา ในจังหวัดปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว จํานวนรวม 108 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา ลพบุรี สระบุรี ภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ภาคเหนือ นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ เชียงราย กําแพงเพชร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุดรธานี มหาสารคาม ชัยภูมิ ภาคใต้ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี โดยสามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ผู้ที่จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชันไว้แล้ว หากต้องการเปลี่ยนวันและเวลาให้การดําเนินการให้เร็วขึ้น สามารถดําเนินการจองคิวใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.30 น. โดยคิวที่จองไว้เดิมจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยจองคิวมาก่อนแต่ต้องการดําเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ สามารถจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เลือกนอกเวลาทําการ ได้เช่นเดียวกัน อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการให้บริการที่สํานักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกยังคงดําเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่การคัดกรองก่อนเข้าอาคาร เว้นระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing โดยให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกทุกคนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาให้บริการ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนที่ติดต่อราชการ สวมหน้ากากอนามัยในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทำการ วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2565 กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทําการ ... กรมการขนส่งทางบก ขานรับมาตรการเปิดประเทศของรัฐบาล ให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ถึงเวลา 18.00 น. ทุกวันทําการ เริ่มวันที่ 11 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 และเตรียมเปิดให้บริการนอกเวลาทุกวันเสาร์ ตลอดเดือนสิงหาคม-กันยายน 2565 ณ สํานักงานขนส่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว เริ่มเปิดให้จองคิวเพื่อต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โคโรนา (COVID-19) กรมการขนส่งทางบกมีความจําเป็นต้องจํากัดจํานวนผู้ใช้บริการในแต่ละช่วงเวลาตามมาตรการ Social Distancing โดยใช้ระบบจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ทําให้สามารถรองรับจํานวนผู้ใช้บริการได้เพียงกึ่งหนึ่งของขีดความสามารถในการให้บริการของสํานักงานขนส่ง ทําให้ปัจจุบันมีการจองคิวล่วงหน้าเป็นจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีการผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้อํานาจตาม พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เริ่มเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 รวมถึงประกาศให้โควิด-19 รองรับเป็นโรคประจําถิ่น และผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข กรมการขนส่งทางบก จึงปรับการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถของสํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 และสํานักงานขนส่งจังหวัดและสาขา ในจังหวัดปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น โดยขยายระยะเวลาการให้บริการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ ในวันธรรมดา (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) นอกเวลาราชการ ซึ่งจะให้บริการตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 - 30 กันยายน 2565 นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเปิดให้บริการต่อใบอนุญาตขับรถในวันเสาร์ ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น. ตลอดเดือนสิงหาคม 2565 - กันยายน 2565 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้ การเปิดให้บริการต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ เพื่อเร่งให้บริการแก่ประชาชนที่มีความจําเป็นต้องต่ออายุใบอนุญาต และเป็นการอํานวยความสะดวกให้ประชาชนชนสามารถเข้ามาดําเนินการต่อใบขับรถอนุญาตได้รวดเร็วขึ้น โดยจะดําเนินการเฉพาะสํานักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 จํานวน 5 แห่ง และสํานักงานขนส่งจังหวัดและสาขา ในจังหวัดปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว จํานวนรวม 108 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา ลพบุรี สระบุรี ภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี ภาคเหนือ นครสวรรค์ พิษณุโลก เชียงใหม่ เชียงราย กําแพงเพชร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุดรธานี มหาสารคาม ชัยภูมิ ภาคใต้ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช ภาคตะวันตก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี โดยสามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ผู้ที่จองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชันไว้แล้ว หากต้องการเปลี่ยนวันและเวลาให้การดําเนินการให้เร็วขึ้น สามารถดําเนินการจองคิวใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.30 น. โดยคิวที่จองไว้เดิมจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยจองคิวมาก่อนแต่ต้องการดําเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถนอกเวลาราชการ สามารถจองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue เลือกนอกเวลาทําการ ได้เช่นเดียวกัน อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการให้บริการที่สํานักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกยังคงดําเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่การคัดกรองก่อนเข้าอาคาร เว้นระยะห่างตามมาตรการ Social Distancing โดยให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกทุกคนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาให้บริการ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนที่ติดต่อราชการ สวมหน้ากากอนามัยในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อแพร่กระจายของโรค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56727
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปรับเวลาปิดให้บริการรถไฟฟ้า เป็น 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปรับเวลาปิดให้บริการรถไฟฟ้า เป็น 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ให้สอดคล้องกับมติคลายล็อกดาวน์ นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) ครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ที่ผ่านมามีมติคลายล็อกดาวน์ ซึ่งกําหนดห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืนจากเดิมกําหนดไว้ 21.00 - 04.00 น. ปรับไปเป็น เวลา 22.00 - 04.00 น. ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นั้น ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับมติข้างต้น บริษัทจึงเปลี่ยนแปลงเวลาให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เป็นเวลา 05.30 - 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยรถไฟขบวนสุดท้ายจะออกจากสถานีต้นทางคือ สถานีพญาไท และสถานีสุวรรณภูมิ เวลา 21.30 น. และจะถึงสถานีปลายทางเวลา 22.00 น. ทั้งนี้ตามที่บริษัท ครอบครัวขนส่ง (2002) จํากัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารในคลองแสนแสบได้ออกประกาศหยุดให้บริการในวันที่ 29 กันยายน 2564 เนื่องจากนําพนักงานทั้งหมดเข้ารับวัคซีน เข็มที่ 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ และจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 30 กันยายน 2564 นั้น บริษัทฯขอแจ้งประชาสัมพันธ์สําหรับผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ที่ใช้บริการเชื่อมต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบโปรดวางแผนการเดินทางของท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกในช่วงดังกล่าว ส่วนงานบริการลูกค้าสัมพันธ์ Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปรับเวลาปิดให้บริการรถไฟฟ้า เป็น 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปรับเวลาปิดให้บริการรถไฟฟ้า เป็น 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ให้สอดคล้องกับมติคลายล็อกดาวน์ นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าตามมติที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) ครั้งที่ 15/2564 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ที่ผ่านมามีมติคลายล็อกดาวน์ ซึ่งกําหนดห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืนจากเดิมกําหนดไว้ 21.00 - 04.00 น. ปรับไปเป็น เวลา 22.00 - 04.00 น. ตามมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นั้น ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับมติข้างต้น บริษัทจึงเปลี่ยนแปลงเวลาให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เป็นเวลา 05.30 - 22.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยรถไฟขบวนสุดท้ายจะออกจากสถานีต้นทางคือ สถานีพญาไท และสถานีสุวรรณภูมิ เวลา 21.30 น. และจะถึงสถานีปลายทางเวลา 22.00 น. ทั้งนี้ตามที่บริษัท ครอบครัวขนส่ง (2002) จํากัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารในคลองแสนแสบได้ออกประกาศหยุดให้บริการในวันที่ 29 กันยายน 2564 เนื่องจากนําพนักงานทั้งหมดเข้ารับวัคซีน เข็มที่ 3 ที่สถานีกลางบางซื่อ และจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 30 กันยายน 2564 นั้น บริษัทฯขอแจ้งประชาสัมพันธ์สําหรับผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ที่ใช้บริการเชื่อมต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบโปรดวางแผนการเดินทางของท่านเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกในช่วงดังกล่าว ส่วนงานบริการลูกค้าสัมพันธ์ Call Center 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา เริ่ม 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป วันนี้ (11 ตุลาคม 2564) เวลา 20.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบ ที่สร้างความหนักใจที่สุด 2 ทางเลือก คือ การตัดสินใจเลือกระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทํามาหากิน เมื่อเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน ทําให้พบกับความลําบากในการทํามาหาเลี้ยงชีวิต หากเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของประชาชน ต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม ที่มีอยู่มากมาย ลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่าง ๆ ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม วันนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยก็กําลังค่อย ๆ ลดลง แต่ยังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เตรียมพร้อมยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับโรคภัยอื่น ๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น นายกรัฐมนตรียังเผยว่า ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสําคัญของประเทศไทย ต่างค่อย ๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเขาเดินทางได้ โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ดึงนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหากินของประชาชนนับล้าน ๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กําหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ํา เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้ ทั้งนี้ ได้เริ่มต้นกําหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ํา ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้น อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มาจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ํา เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกําหนด ภายในวันที่ 1 ธันวาคม จะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า เมื่อเริ่มต้นการผ่อนคลายต่าง ๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร โดยต้องไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ใน 2-3 เดือน หรือ 4 เดือนข้างหน้า อาจมีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมาก ๆ เกิดขึ้นอีก จึงต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี คุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ชื่นชมความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สําหรับความร่วมมือที่ตอบสนองต่อคําร้องขอเมื่อเดือนมิถุนายน • หลังจากที่ตั้งเป้า 120 วัน ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น การรับส่งมอบวัคซีนของไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าทันทีจากที่เดือนพฤษภาคม ได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ ได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทย ถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจํานวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก • เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุข เร่งการฉีดวัคซีน ประชาชนก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันเฉลี่ยฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และบางวันเกินกว่า 1 ล้านโดส ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก เช่นเดียวกับในประเทศไทย หลายคนคงทําใจว่า ไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้ ขณะที่หลาย ๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่เรากําลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทํางานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา นายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางทางอากาศจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ํา เริ่ม 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป วันนี้ (11 ตุลาคม 2564) เวลา 20.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ยืนยัน “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว” สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบ ที่สร้างความหนักใจที่สุด 2 ทางเลือก คือ การตัดสินใจเลือกระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทํามาหากิน เมื่อเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน ทําให้พบกับความลําบากในการทํามาหาเลี้ยงชีวิต หากเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของประชาชน ต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม ที่มีอยู่มากมาย ลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่าง ๆ ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม วันนี้ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยก็กําลังค่อย ๆ ลดลง แต่ยังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เตรียมพร้อมยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนกับโรคภัยอื่น ๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น นายกรัฐมนตรียังเผยว่า ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสําคัญของประเทศไทย ต่างค่อย ๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเขาเดินทางได้ โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมาย อย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ดึงนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหากินของประชาชนนับล้าน ๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กําหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ํา เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้ ทั้งนี้ ได้เริ่มต้นกําหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ํา ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้น อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มาจากประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ํา เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกําหนด ภายในวันที่ 1 ธันวาคม จะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่กําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า เมื่อเริ่มต้นการผ่อนคลายต่าง ๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร โดยต้องไม่ปล่อยให้เสียโอกาส ในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ใน 2-3 เดือน หรือ 4 เดือนข้างหน้า อาจมีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมาก ๆ เกิดขึ้นอีก จึงต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี คุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ชื่นชมความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่น ๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สําหรับความร่วมมือที่ตอบสนองต่อคําร้องขอเมื่อเดือนมิถุนายน • หลังจากที่ตั้งเป้า 120 วัน ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น การรับส่งมอบวัคซีนของไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าทันทีจากที่เดือนพฤษภาคม ได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือนกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ ได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทย ถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจํานวนมากกว่า 170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก • เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุข เร่งการฉีดวัคซีน ประชาชนก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก ปัจจุบันเฉลี่ยฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และบางวันเกินกว่า 1 ล้านโดส ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ทั้งโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก เช่นเดียวกับในประเทศไทย หลายคนคงทําใจว่า ไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศโดยไม่ต้องกักตัวได้ภายในปีนี้ ขณะที่หลาย ๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่เรากําลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทํางานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก เผยช่วงปิดสมัยประชุมสภาเตรียมลงพื้นที่ทั่วไทย ช่วยเยียว-ไกล่เกลี่ยคนเดือดร้อน แนะตั้งรองอธิบดีดีเอสคนใหม่ต้องดูจากผลงาน-ความสามารถด้านยาเสพติด ใครมีดีก็เร่งโชว์ให้เห็น เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม มีการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรมอธิบดีกรมต่างๆและผู้บริหารกระทรวงร่วมการประชุม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้รัฐบาลเหลือวาระอีกประมาณ 1 ปีเศษ จากนี้ในช่วงเวลาที่เหลือเราจะต้องเร่งทํางานอย่างเต็มที่ เอาความยุติธรรมใส่ถึงมือประชาชน ตนเป็นนักการเมืองต้องอยู่ข้างประชาชน และพวกเราทุกคนเป็นข้าราชการ ต้องทํางานโดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จากนี้เราจะเร่งสปีดดูแลประชาชน โดยตนจะลงพื้นที่ต่างๆให้มากและหนักขึ้น เพื่อช่วยเหลือเรื่องการเยียวยาผู้เดือดร้อน การไกล่เกลี่ยหนี้สิน รวมทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตนจะพยายามลงไปด้วยตัวเองให้เกือบครบทุกพื้นที่ให้ได้ เพราะในช่วงวันที่ 1 มี.ค. ถึง วันที่ 22 พ.ค. จะเป็นช่วงการปิดสมัยประชุมสภา นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการพิจารณาตําแหน่งต่างๆ ตนอยากให้เราดูที่ผลงานเป็นหลัก ขณะนี้ตําแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ที่ว่างลง 1 ตําแหน่ง ตรงนี้ตนอยากให้พิจารณาผู้ที่เหมาะสมเข้ารับตําแหน่ง โดยดูในเรื่องของการทํางานและผลงานเป็นหลัก เช่น การทํางานเชิงรุก การยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด วันนี้เรามีงานที่ต้องช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆให้ประเทศ หากเราได้คนดีมีฝีมือก็จะทําให้ประเทศสดใส ดังนั้นเราต้องตั้งตามผลงานและความสามารถ จะไปตั้งตามใจใครไม่ได้ ตนอยากให้เป็นแบบนั้น และหากใครคิดว่ามีดีก็ต้องแสดงผลงานให้เต็มที่เพื่อให้ได้รับการพิจารณา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอข้าราชการเร่งสปีดงาน ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก เผยช่วงปิดสมัยประชุมสภาเตรียมลงพื้นที่ทั่วไทย ช่วยเยียว-ไกล่เกลี่ยคนเดือดร้อน แนะตั้งรองอธิบดีดีเอสคนใหม่ต้องดูจากผลงาน-ความสามารถด้านยาเสพติด ใครมีดีก็เร่งโชว์ให้เห็น เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม มีการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรมอธิบดีกรมต่างๆและผู้บริหารกระทรวงร่วมการประชุม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้รัฐบาลเหลือวาระอีกประมาณ 1 ปีเศษ จากนี้ในช่วงเวลาที่เหลือเราจะต้องเร่งทํางานอย่างเต็มที่ เอาความยุติธรรมใส่ถึงมือประชาชน ตนเป็นนักการเมืองต้องอยู่ข้างประชาชน และพวกเราทุกคนเป็นข้าราชการ ต้องทํางานโดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง จากนี้เราจะเร่งสปีดดูแลประชาชน โดยตนจะลงพื้นที่ต่างๆให้มากและหนักขึ้น เพื่อช่วยเหลือเรื่องการเยียวยาผู้เดือดร้อน การไกล่เกลี่ยหนี้สิน รวมทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตนจะพยายามลงไปด้วยตัวเองให้เกือบครบทุกพื้นที่ให้ได้ เพราะในช่วงวันที่ 1 มี.ค. ถึง วันที่ 22 พ.ค. จะเป็นช่วงการปิดสมัยประชุมสภา นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการพิจารณาตําแหน่งต่างๆ ตนอยากให้เราดูที่ผลงานเป็นหลัก ขณะนี้ตําแหน่งรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ที่ว่างลง 1 ตําแหน่ง ตรงนี้ตนอยากให้พิจารณาผู้ที่เหมาะสมเข้ารับตําแหน่ง โดยดูในเรื่องของการทํางานและผลงานเป็นหลัก เช่น การทํางานเชิงรุก การยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด วันนี้เรามีงานที่ต้องช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆให้ประเทศ หากเราได้คนดีมีฝีมือก็จะทําให้ประเทศสดใส ดังนั้นเราต้องตั้งตามผลงานและความสามารถ จะไปตั้งตามใจใครไม่ได้ ตนอยากให้เป็นแบบนั้น และหากใครคิดว่ามีดีก็ต้องแสดงผลงานให้เต็มที่เพื่อให้ได้รับการพิจารณา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-**ข่าวจริง** กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ตุลาคม 2564
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 **ข่าวจริง** กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ตุลาคม 2564 ตามที่มีการนําเสนอข่าวสารประเด็นเรื่อง กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ต.ค. 64 เป็นข้อมูลจริง ตามที่มีการนําเสนอข่าวสารประเด็นเรื่อง กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ต.ค. 64 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ (CAAT) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศแนวปฏิบัติสําหรับสายการบินและสนามบินภายในประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ให้สายการบินขนส่งผู้โดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน แต่ยังงดทําการบินในระหว่างช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่กําหนดไว้ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 35) เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 35) ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ที่กําหนดห้ามบุคคลใดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น และการขนส่งสาธารณะสามารถรับขนได้เต็มความจุของยานพาหนะ CAAT จึงออกประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับผู้ดําเนินการสนามบินและผู้ดําเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) (ฉบับที่ 7) กําหนดแนวปฏิบัติที่สําคัญดังนี้ 1. ให้สายการบินจํากัดการปฏิบัติการบินในระหว่างช่วงเวลา ที่กําหนดไว้ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับล่าสุด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างสนามบินและที่พัก และสอดคล้องกับการบริการขนส่งสาธารณะประเภทอื่นที่ดําเนินตามข้อกําหนดและข้อปฏิบัติเดียวกัน 2. ให้สามารถมีจํานวนผู้โดยสารได้ตามความจุของอากาศยานที่ใช้ในการทําการบินเที่ยวบินนั้น ๆ และให้สายการบินพิจารณาการจัดที่นั่งในห้องโดยสารอย่างเหมาะสม และเป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เพื่อการป้องกันและควบคุมโรค โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใดเพิ่มเติม ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.caat.or.th/th หรือโทร. 02-568-8800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-**ข่าวจริง** กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ตุลาคม 2564 วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 **ข่าวจริง** กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ตุลาคม 2564 ตามที่มีการนําเสนอข่าวสารประเด็นเรื่อง กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ต.ค. 64 เป็นข้อมูลจริง ตามที่มีการนําเสนอข่าวสารประเด็นเรื่อง กพท. ปลดล็อกให้ขายตั๋วโดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน มีผล 16 ต.ค. 64 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ (CAAT) กระทรวงคมนาคม ออกประกาศแนวปฏิบัติสําหรับสายการบินและสนามบินภายในประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป ให้สายการบินขนส่งผู้โดยสารได้ตามความจุของเครื่องบิน แต่ยังงดทําการบินในระหว่างช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่กําหนดไว้ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 35) เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 35) ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ที่กําหนดห้ามบุคคลใดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น และการขนส่งสาธารณะสามารถรับขนได้เต็มความจุของยานพาหนะ CAAT จึงออกประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสําหรับผู้ดําเนินการสนามบินและผู้ดําเนินการเดินอากาศในเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) (ฉบับที่ 7) กําหนดแนวปฏิบัติที่สําคัญดังนี้ 1. ให้สายการบินจํากัดการปฏิบัติการบินในระหว่างช่วงเวลา ที่กําหนดไว้ตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับล่าสุด เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้โดยสารในการเดินทางระหว่างสนามบินและที่พัก และสอดคล้องกับการบริการขนส่งสาธารณะประเภทอื่นที่ดําเนินตามข้อกําหนดและข้อปฏิบัติเดียวกัน 2. ให้สามารถมีจํานวนผู้โดยสารได้ตามความจุของอากาศยานที่ใช้ในการทําการบินเที่ยวบินนั้น ๆ และให้สายการบินพิจารณาการจัดที่นั่งในห้องโดยสารอย่างเหมาะสม และเป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด เพื่อการป้องกันและควบคุมโรค โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสิ้นสุดไป หรือมีประกาศอื่นใดเพิ่มเติม ประกาศ ณ วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564 และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.caat.or.th/th หรือโทร. 02-568-8800 หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47128
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน
วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน "เปิดประตูอาเซียน-แคนาดา โอกาสการค้าการลงทุนและความร่วมมือ” เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรในการสัมมนา Webinar Series เรื่อง "เปิดประตูอาเซียน-แคนาดา โอกาสการค้าการลงทุนและความร่วมมือ” ครั้งที่ 2 ผ่านระบบ Video Conference โดยได้ร่วมเสวนา หัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองในการส่งเสริมความร่วมมือและการแสวงหาโอกาสด้านการค้าดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างอาเซียนและแคนาดา การเตรียมความพร้อมภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - ๑๙ และการวางบทบาทและทิศทางของอาเซียนและไทย ซึ่งผลการสัมมนาดังกล่าว จะนําไปใช้ประโยชน์สําหรับการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรียุคใหม่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายต่อไป โอกาสนี้ นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ได้นําเสนอนโยบายด้านดิจิทัลและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผลกระทบต่อรูปแบบการค้าโลกจากวิกฤติโควิด – ๑๙ และประเด็นท้าทายสําคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาด รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มและหัวข้อกรอบ การเจรจาการค้าดิจิทัลที่โลกให้ความสนใจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - ๑๙ ตลอดจนความพร้อมของไทยในการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรีด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน ดีอีเอส ร่วมเสวนาหัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ในงาน "เปิดประตูอาเซียน-แคนาดา โอกาสการค้าการลงทุนและความร่วมมือ” เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564 นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นวิทยากรในการสัมมนา Webinar Series เรื่อง "เปิดประตูอาเซียน-แคนาดา โอกาสการค้าการลงทุนและความร่วมมือ” ครั้งที่ 2 ผ่านระบบ Video Conference โดยได้ร่วมเสวนา หัวข้อ “รู้เท่าทันระเบียบการค้าโลกหลังโควิด – 19” ร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองในการส่งเสริมความร่วมมือและการแสวงหาโอกาสด้านการค้าดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างอาเซียนและแคนาดา การเตรียมความพร้อมภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - ๑๙ และการวางบทบาทและทิศทางของอาเซียนและไทย ซึ่งผลการสัมมนาดังกล่าว จะนําไปใช้ประโยชน์สําหรับการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรียุคใหม่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายต่อไป โอกาสนี้ นางปิยนุช วุฒิสอน ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ได้นําเสนอนโยบายด้านดิจิทัลและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผลกระทบต่อรูปแบบการค้าโลกจากวิกฤติโควิด – ๑๙ และประเด็นท้าทายสําคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาด รวมถึงแลกเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มและหัวข้อกรอบ การเจรจาการค้าดิจิทัลที่โลกให้ความสนใจภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด - ๑๙ ตลอดจนความพร้อมของไทยในการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรีด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43258
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด"
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด" การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด" 8 ตุลาคม 2564 :ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่า ธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง และคณะผู้บริหาร อว. เข้าชมการบันทึกเสียงและภาพการแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด"โดยวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า (Thai Symphony Orchestra) ภายใต้โครงการขยายผลต่อยอดนวัตกรรมเพลงพื้นบ้านเพื่อเผยแพร่เป็นมรดกของชาติ โดยได้รับเกียรติจาก อ.สุกรี เจริญสุขอดีตคณบดีและผู้ก่อตั้งวิทยาลัยดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้การต้อนรับ งานดังกล่าวจัดขึ้นที่ สตูดิโอ 28 กรุงเทพกรีฑา กรุงเทพมหานครฯ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวในตอนหนึ่งว่า"ศาสตร์ในแขนงต่างๆ มีการเชื่อมโยงกันอยู่ เห็นชัดว่าในแต่ละศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะมีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ คนไทยเองควรหันมาสนใจและสืบสานศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ของเราให้มากขึ้น และนํานวัตกรรมเข้ามาต่อยอดพัฒนาให้เทียบเท่าหรือดีกว่าชาวต่างชาติ จะก่อให้เกิดผลงานและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้จะเกิดความเชี่ยวชาญจะตกผลึก และมองเป้าหมาย มุ่งพัฒนาจากพื้นฐานที่มีต่อยอดด้วยนวัตกรรม อีกทั้งศิลปะการดนตรีในปัจจุบัน ควรค่าแก่การรักษา สืบสานและเรียนรู้ต่อไป เพราะคือมรดกของชาวไทย รวมถึงต้องเรียนรู้เพื่อนบ้านควบคู่กันไป นํามาปรับใช้และพัฒนาให้คงอยู่สืบไป" อ.สุกรี เจริญสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า"การนําเพลงพื้นบ้านซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยมาเรียบเรียงและถ่ายทอดออกมาใหม่ คือการพัฒนาและนําเสนอสิ่งใหม่ให้เป็นพื้นฐานสังคม แล้วนําไปแสดงกับวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า เป็นการสร้างมาตรฐานโดยการนําเพลงเก่ามาเสนอสู่สังคมใหม่ การเชิญศิลปินพื้นบ้านมาบันทึกเสียง รวมถึงผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านกับเสียงของวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า เพื่อยกระดับเพลงพื้นบ้านของไทย เราควรส่งต่อศิลปะที่เรามี ณ ตอนนี้ สู่เพื่อนบ้านของไทย เพื่อช่วยศึกษา ค้นคว้า ปกป้อง รวมถึงช่วยกันดูแลรักษา จะเกิดการซึบซับและปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของดนตรี นี่คือทางรอดของดนตรีและศิลปวัฒนธรรมไทยในยุคนี้"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด" วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด" การแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด" 8 ตุลาคม 2564 :ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่า ธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง และคณะผู้บริหาร อว. เข้าชมการบันทึกเสียงและภาพการแสดง "บันทึกเพลงสยาม ต่อยอดยืดลมหายใจและทางรอด"โดยวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า (Thai Symphony Orchestra) ภายใต้โครงการขยายผลต่อยอดนวัตกรรมเพลงพื้นบ้านเพื่อเผยแพร่เป็นมรดกของชาติ โดยได้รับเกียรติจาก อ.สุกรี เจริญสุขอดีตคณบดีและผู้ก่อตั้งวิทยาลัยดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้การต้อนรับ งานดังกล่าวจัดขึ้นที่ สตูดิโอ 28 กรุงเทพกรีฑา กรุงเทพมหานครฯ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวในตอนหนึ่งว่า"ศาสตร์ในแขนงต่างๆ มีการเชื่อมโยงกันอยู่ เห็นชัดว่าในแต่ละศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้จะมีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ คนไทยเองควรหันมาสนใจและสืบสานศิลปะวัฒนธรรมเก่าแก่ของเราให้มากขึ้น และนํานวัตกรรมเข้ามาต่อยอดพัฒนาให้เทียบเท่าหรือดีกว่าชาวต่างชาติ จะก่อให้เกิดผลงานและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้จะเกิดความเชี่ยวชาญจะตกผลึก และมองเป้าหมาย มุ่งพัฒนาจากพื้นฐานที่มีต่อยอดด้วยนวัตกรรม อีกทั้งศิลปะการดนตรีในปัจจุบัน ควรค่าแก่การรักษา สืบสานและเรียนรู้ต่อไป เพราะคือมรดกของชาวไทย รวมถึงต้องเรียนรู้เพื่อนบ้านควบคู่กันไป นํามาปรับใช้และพัฒนาให้คงอยู่สืบไป" อ.สุกรี เจริญสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า"การนําเพลงพื้นบ้านซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยมาเรียบเรียงและถ่ายทอดออกมาใหม่ คือการพัฒนาและนําเสนอสิ่งใหม่ให้เป็นพื้นฐานสังคม แล้วนําไปแสดงกับวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า เป็นการสร้างมาตรฐานโดยการนําเพลงเก่ามาเสนอสู่สังคมใหม่ การเชิญศิลปินพื้นบ้านมาบันทึกเสียง รวมถึงผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านกับเสียงของวงไทยซิมโฟนีออเคสตร้า เพื่อยกระดับเพลงพื้นบ้านของไทย เราควรส่งต่อศิลปะที่เรามี ณ ตอนนี้ สู่เพื่อนบ้านของไทย เพื่อช่วยศึกษา ค้นคว้า ปกป้อง รวมถึงช่วยกันดูแลรักษา จะเกิดการซึบซับและปลูกฝังให้เห็นคุณค่าของดนตรี นี่คือทางรอดของดนตรีและศิลปวัฒนธรรมไทยในยุคนี้"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง
วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องโทรผ่านไลน์ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าปกติทําให้เกิดเนื้องอกในสมองทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ กรณีการแชร์ข้อความว่าอันตรายจากการโทรผ่านทางไลน์มาจากเวลาWiFiและDataทํางานรับส่งข้อมูลค่าRFจะขึ้นไปสูงมากจะได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าโทรศัพท์ปกติถึง9เท่าจากปกติคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะถูกส่งออกมา10,000ไมโครวัตต์แต่ถ้าโทรผ่านไลน์คลื่นจะถูกส่งออกมาสูงถึง90,000ไมโครวัตต์ทําให้เกิดเนื้องอกในสมองได้ทางสถาบันประสาทวิทยาได้ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงเนื่องจากคลื่นโทรศัพท์มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมของโลกทุกที่อยู่แล้วแม้ในบริเวณใกล้เสารับส่งสัญญาณก็ไม่แตกต่างจากบริเวณที่อยู่ห่างออกไปหรือแม้แต่ผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่พกติดตัวไปในทุกที่ทุกเวลาซึ่งยังไม่มีการศึกษายืนยันถึงผลของสัญญาณดังกล่าวว่าทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง โดยการใช้โทรศัพท์ให้เหมาะสมไม่มากหรือนานจนเกินไปก็จะช่วยลดอาการร้อนจากการสัมผัสโดยตรงได้หรืออาจจะเลือกใช้small talkหรือหูฟังก็สามารถช่วยได้หรือบางท่านที่ถือโทรศัพท์ในท่าเดิมนานๆก็สามารถทําให้เกิดอาการชาเนื่องจากการขยับส่วนของร่างกายลดลงหรือจากท่าทางในการถือโทรศัพท์ที่อยู่ในท่าเดิมนานจนเกินไปได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์www.pni.go.thหรือโทร. 02 3069899 นอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง **********
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง โฆษกดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมโทรผ่านไลน์ ทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อต่างๆเกี่ยวกับประเด็นเรื่องโทรผ่านไลน์ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าปกติทําให้เกิดเนื้องอกในสมองทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ กรณีการแชร์ข้อความว่าอันตรายจากการโทรผ่านทางไลน์มาจากเวลาWiFiและDataทํางานรับส่งข้อมูลค่าRFจะขึ้นไปสูงมากจะได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าโทรศัพท์ปกติถึง9เท่าจากปกติคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะถูกส่งออกมา10,000ไมโครวัตต์แต่ถ้าโทรผ่านไลน์คลื่นจะถูกส่งออกมาสูงถึง90,000ไมโครวัตต์ทําให้เกิดเนื้องอกในสมองได้ทางสถาบันประสาทวิทยาได้ชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงเนื่องจากคลื่นโทรศัพท์มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมของโลกทุกที่อยู่แล้วแม้ในบริเวณใกล้เสารับส่งสัญญาณก็ไม่แตกต่างจากบริเวณที่อยู่ห่างออกไปหรือแม้แต่ผู้ที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่พกติดตัวไปในทุกที่ทุกเวลาซึ่งยังไม่มีการศึกษายืนยันถึงผลของสัญญาณดังกล่าวว่าทําให้เกิดเนื้องอกในสมอง โดยการใช้โทรศัพท์ให้เหมาะสมไม่มากหรือนานจนเกินไปก็จะช่วยลดอาการร้อนจากการสัมผัสโดยตรงได้หรืออาจจะเลือกใช้small talkหรือหูฟังก็สามารถช่วยได้หรือบางท่านที่ถือโทรศัพท์ในท่าเดิมนานๆก็สามารถทําให้เกิดอาการชาเนื่องจากการขยับส่วนของร่างกายลดลงหรือจากท่าทางในการถือโทรศัพท์ที่อยู่ในท่าเดิมนานจนเกินไปได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันประสาทวิทยากรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์www.pni.go.thหรือโทร. 02 3069899 นอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง **********
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45650
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาฯ เดินหน้าแก้ไขสัญญาตัวแทนจำหน่าย เพิ่มโทษทางแพ่งและอาญา พร้อมยืนยัน ปัญหาสลากเกินราคาลดความรุนแรงใน 2 เดือน
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาฯ เดินหน้าแก้ไขสัญญาตัวแทนจําหน่าย เพิ่มโทษทางแพ่งและอาญา พร้อมยืนยัน ปัญหาสลากเกินราคาลดความรุนแรงใน 2 เดือน จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยปัญหาดังกล่าว และกําชับให้คณะทํางานเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน วันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ห้องประชุม สํานักงาน ก.พ.(เดิม) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กําหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยปัญหาดังกล่าว และกําชับให้คณะทํางานเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และในวันนี้ คณะทํางานได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรปรับปรุงแก้ไขสัญญาการรับสลากไปจําหน่ายของตัวแทนจําหน่ายทุกประเภท ให้มีสภาพบังคับทางแพ่งด้วยการกําหนดเบี้ยปรับสําหรับตัวแทนที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา และวางแนวทางในการพิจารณาโทษทางอาญารวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่ม ในกรณีผู้กระทําผิดซ้ําหรือกรณีนําสลากไปรวมชุด หรือพฤติกรรมนายทุนกว้านซื้อสลากแล้วจําหน่ายในราคาสูง นายเสกสกลฯ กล่าวต่อไปอีกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งสลากเป็นสินค้าที่เปลี่ยนมือได้ ใครต้องการขายสลาก ก็สามารถไปซื้อมาขายต่อได้ ทําให้มีผู้ขายสลากหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากมาตรการและแนวทางต่างๆ ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่เร่งดําเนินการทั้งในระยะสั้น ได้แก่ โครงการสลาก 80 โครงการลงทะเบียนผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ตลอดจนโครงการจําหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสํานักงานสลากฯ และแผนในระยะยาว คือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว คณะอนุกรรมการ เห็นว่า การออกใบอนุญาตให้กับผู้จําหน่ายสลาก และมีการตรวจสอบอย่างสม่ําเสมอ น่าจะเป็นอีกแนวทางที่นํามาประกอบการแก้ปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางต่างๆ เหล่านี้ ยังต้องนําเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นประธาน ซึ่งมีกําหนดการประชุมในปลายเดือนนี้ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สําหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ทําการไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยชุดเฉพาะกิจ นําโดย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร หัวหน้าชุดนั้น เบื้องต้น ยังไม่พบการกระทําที่ผิดปกติ แต่ยังคงมีเรื่องของการมอบอํานาจ ซึ่งตนเห็นว่าควรเป็นเรื่องปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สํานักงานสลากฯ จะมีหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ขอให้กําชับการปฏิบัติหน้าที่ในการเบิกจ่ายสลากฯ ของที่ทําการไปรษณีย์ทุกแห่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ในส่วนของการลงพื้นที่ตรวจสอบแผงจําหน่ายสลากทั่วประเทศ ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับทราบข้อมูลการจําหน่ายสลากของผู้ขายเพื่อจะนํามาประกอบการดําเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ตนยังคงยืนยันจะสามารถสรุปสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงของราคาสลากให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในเดือน พฤษภาคม 2565 ตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดไว้ 2 เดือน ที่ระบุไว้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาฯ เดินหน้าแก้ไขสัญญาตัวแทนจำหน่าย เพิ่มโทษทางแพ่งและอาญา พร้อมยืนยัน ปัญหาสลากเกินราคาลดความรุนแรงใน 2 เดือน วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาฯ เดินหน้าแก้ไขสัญญาตัวแทนจําหน่าย เพิ่มโทษทางแพ่งและอาญา พร้อมยืนยัน ปัญหาสลากเกินราคาลดความรุนแรงใน 2 เดือน จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยปัญหาดังกล่าว และกําชับให้คณะทํางานเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน วันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ห้องประชุม สํานักงาน ก.พ.(เดิม) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กําหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า จากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยปัญหาดังกล่าว และกําชับให้คณะทํางานเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และในวันนี้ คณะทํางานได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรปรับปรุงแก้ไขสัญญาการรับสลากไปจําหน่ายของตัวแทนจําหน่ายทุกประเภท ให้มีสภาพบังคับทางแพ่งด้วยการกําหนดเบี้ยปรับสําหรับตัวแทนที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา และวางแนวทางในการพิจารณาโทษทางอาญารวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่ม ในกรณีผู้กระทําผิดซ้ําหรือกรณีนําสลากไปรวมชุด หรือพฤติกรรมนายทุนกว้านซื้อสลากแล้วจําหน่ายในราคาสูง นายเสกสกลฯ กล่าวต่อไปอีกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งสลากเป็นสินค้าที่เปลี่ยนมือได้ ใครต้องการขายสลาก ก็สามารถไปซื้อมาขายต่อได้ ทําให้มีผู้ขายสลากหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น นอกจากมาตรการและแนวทางต่างๆ ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่เร่งดําเนินการทั้งในระยะสั้น ได้แก่ โครงการสลาก 80 โครงการลงทะเบียนผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ ตลอดจนโครงการจําหน่ายสลากผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสํานักงานสลากฯ และแผนในระยะยาว คือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว คณะอนุกรรมการ เห็นว่า การออกใบอนุญาตให้กับผู้จําหน่ายสลาก และมีการตรวจสอบอย่างสม่ําเสมอ น่าจะเป็นอีกแนวทางที่นํามาประกอบการแก้ปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม แนวทางต่างๆ เหล่านี้ ยังต้องนําเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เป็นประธาน ซึ่งมีกําหนดการประชุมในปลายเดือนนี้ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง สําหรับการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ทําการไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยชุดเฉพาะกิจ นําโดย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร หัวหน้าชุดนั้น เบื้องต้น ยังไม่พบการกระทําที่ผิดปกติ แต่ยังคงมีเรื่องของการมอบอํานาจ ซึ่งตนเห็นว่าควรเป็นเรื่องปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สํานักงานสลากฯ จะมีหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด ขอให้กําชับการปฏิบัติหน้าที่ในการเบิกจ่ายสลากฯ ของที่ทําการไปรษณีย์ทุกแห่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ในส่วนของการลงพื้นที่ตรวจสอบแผงจําหน่ายสลากทั่วประเทศ ในช่วงที่ผ่านมา ก็ได้รับทราบข้อมูลการจําหน่ายสลากของผู้ขายเพื่อจะนํามาประกอบการดําเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม ตนยังคงยืนยันจะสามารถสรุปสาเหตุ และแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงของราคาสลากให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ภายในเดือน พฤษภาคม 2565 ตามกรอบระยะเวลาที่กําหนดไว้ 2 เดือน ที่ระบุไว้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตำรวจเตรียมมอบของขวัญปีใหม่! สำหรับแก๊งค์ รถตุ๊กตุ๊ก ขโมยเหล็กรางรถไฟ
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564 ตํารวจเตรียมมอบของขวัญปีใหม่! สําหรับแก๊งค์ รถตุ๊กตุ๊ก ขโมยเหล็กรางรถไฟ ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจไว้แล้วเพื่อเตรียมรวบตัวและดําเนินคดีกับแก๊งค์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ขโมยเหล็กรางรถไฟ กล้องวงจรปิดและคลิปวิดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์คนร้ายขโมยเหล็กรางรถไฟ บริเวณข้างวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ขึ้นรถตุ๊ก ตุ๊ก เมื่อวันที่ 23 - 24 ธันวาคม 2564 ที่วัดมีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รถไฟก็คอยเฝ้าระวังอยู่แล้ว 24 ชั่วโมง (ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน) ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจไว้แล้วเพื่อเตรียมรวบตัวและดําเนินคดีกับแก๊งค์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ขโมยเหล็กรางรถไฟ เป็นของขวัญในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ป.ล. ขอเตือน คนที่กําลังคิดที่จะขโมย ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิ้ล ของโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงหรือเหล็กรางรถไฟก็ดี รฟท. มีกล้องวงจรปิดและพนักงานเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เชื่อลองดู!!! Youtube การรถไฟแห่งประเทศไทย OFFICIAL (red arrow right)https://youtu.be/s-qaTSttxEw Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย (red arrow right) https://fb.watch/a5quq7iha3/ INSTAGRAM SRT OFFICIAL (red arrow right) https://www.instagram.com/tv/CX3TKP4BaB6/?utm_medium=copy_link Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT (red arrow right) https://twitter.com/pr_srt/status/1474340108471918594?s=21
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตำรวจเตรียมมอบของขวัญปีใหม่! สำหรับแก๊งค์ รถตุ๊กตุ๊ก ขโมยเหล็กรางรถไฟ วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2564 ตํารวจเตรียมมอบของขวัญปีใหม่! สําหรับแก๊งค์ รถตุ๊กตุ๊ก ขโมยเหล็กรางรถไฟ ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจไว้แล้วเพื่อเตรียมรวบตัวและดําเนินคดีกับแก๊งค์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ขโมยเหล็กรางรถไฟ กล้องวงจรปิดและคลิปวิดีโอบันทึกภาพเหตุการณ์คนร้ายขโมยเหล็กรางรถไฟ บริเวณข้างวัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ขึ้นรถตุ๊ก ตุ๊ก เมื่อวันที่ 23 - 24 ธันวาคม 2564 ที่วัดมีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รถไฟก็คอยเฝ้าระวังอยู่แล้ว 24 ชั่วโมง (ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน) ขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจไว้แล้วเพื่อเตรียมรวบตัวและดําเนินคดีกับแก๊งค์รถตุ๊กตุ๊ก ที่ขโมยเหล็กรางรถไฟ เป็นของขวัญในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ป.ล. ขอเตือน คนที่กําลังคิดที่จะขโมย ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิ้ล ของโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงหรือเหล็กรางรถไฟก็ดี รฟท. มีกล้องวงจรปิดและพนักงานเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เชื่อลองดู!!! Youtube การรถไฟแห่งประเทศไทย OFFICIAL (red arrow right)https://youtu.be/s-qaTSttxEw Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย (red arrow right) https://fb.watch/a5quq7iha3/ INSTAGRAM SRT OFFICIAL (red arrow right) https://www.instagram.com/tv/CX3TKP4BaB6/?utm_medium=copy_link Twitter SRT OFFICIAL @PR_SRT (red arrow right) https://twitter.com/pr_srt/status/1474340108471918594?s=21
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ปลุกลงทุน EEC ลุยค้ำ SMEs ฟื้นเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 บสย. ปลุกลงทุน EEC ลุยค้ํา SMEs ฟื้นเศรษฐกิจ บสย. เดินหน้าโครงการส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงิน ปลุกลงทุนพื้นที่ EEC ฟื้นเศรษฐกิจ ลุยค้ําประกันสินเชื่อ ธุรกิจเพื่อสังคม กลุ่ม SMEs รายย่อย กลุ่มนําเข้า-ส่งออก และ กลุ่ม S-curve นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. พร้อมเดินหน้าโครงการส่งเสริมการลงทุนและบริการธุรกรรมทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC หลังจากได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดย บสย.จะเข้าไปช่วยค้ําประกันสินเชื่อ ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่างๆ กลุ่มนําเข้า ส่งออก และผู้ประกอบการรายย่อย ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อร่วมกับสินเชื่อของธนาคารพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการให้บริการธุรกรรมทางการเงินปลุกการลงทุนในพื้นที่ EEC ให้คึกคักมากขึ้น ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ดีแน่นอน วงเงินค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 ปีแรก 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs นําเข้า-ส่งออก วงเงินค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี 3.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Micro วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ ตั้งแต่ 10,000 - 500,000 บาทต่อราย ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 ปีแรก ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ บสย. มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่างๆ ผ่านเครื่องมือค้ําประกันสินเชื่อ เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง เดินหน้าธุรกิจอย่างคล่องตัว ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการที่ดําเนินธุรกิจเพื่อสังคม ( Social Enterprise) นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจผลิตบริการ การพาณิชย์ ที่ขอสินเชื่อ GSB Smooth Biz for EEC จากธนาคารออมสิน 2.ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น กลุ่มค้าขาย บริการ ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อจําหน่าย ที่ขอสินเชื่อจากธนาคารออมสิน ในโครงการสินเชื่อประชาสุขใจ สําหรับพื้นที่ EEC 3.ผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อ EXIM EEC Plus จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ก่อสร้างอาคารโรงงาน หรือมีการลงทุนใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพ และอุตสาหกรรม เป้าหมายใหม่ หรือ S -Curve ทั้งนี้ บสย. มีบริการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Center เพื่อให้คําปรึกษาฟรีแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC ได้เสริมสร้างความรู้ทางการเงิน เตรียมพร้อมเพื่อการกู้เงิน และการบริหารธุรกิจ สร้างความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายขอรับคําปรึกษาฟรีจาก บสย. F.A. Center ที่ บสย.Call Center 02-890-9999 ในวันและเวลาทําการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ชนิญญา สันสมภาค 092-693-5494 ศรัญยู ตันติเสรี 087-598-5025
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ปลุกลงทุน EEC ลุยค้ำ SMEs ฟื้นเศรษฐกิจ วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 บสย. ปลุกลงทุน EEC ลุยค้ํา SMEs ฟื้นเศรษฐกิจ บสย. เดินหน้าโครงการส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงิน ปลุกลงทุนพื้นที่ EEC ฟื้นเศรษฐกิจ ลุยค้ําประกันสินเชื่อ ธุรกิจเพื่อสังคม กลุ่ม SMEs รายย่อย กลุ่มนําเข้า-ส่งออก และ กลุ่ม S-curve นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. พร้อมเดินหน้าโครงการส่งเสริมการลงทุนและบริการธุรกรรมทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC หลังจากได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการเงินเพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ร่วมกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ธนาคารออมสิน และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดย บสย.จะเข้าไปช่วยค้ําประกันสินเชื่อ ให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่างๆ กลุ่มนําเข้า ส่งออก และผู้ประกอบการรายย่อย ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC ผ่านโครงการค้ําประกันสินเชื่อร่วมกับสินเชื่อของธนาคารพันธมิตร เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการให้บริการธุรกรรมทางการเงินปลุกการลงทุนในพื้นที่ EEC ให้คึกคักมากขึ้น ได้แก่ 1.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ดีแน่นอน วงเงินค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 ปีแรก 2.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs นําเข้า-ส่งออก วงเงินค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 3 ปีแรก ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี 3.โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Micro วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ ตั้งแต่ 10,000 - 500,000 บาทต่อราย ยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 ปีแรก ระยะเวลาค้ําประกันสูงสุด 10 ปี ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ บสย. มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่างๆ ผ่านเครื่องมือค้ําประกันสินเชื่อ เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง เดินหน้าธุรกิจอย่างคล่องตัว ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการที่ดําเนินธุรกิจเพื่อสังคม ( Social Enterprise) นิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจผลิตบริการ การพาณิชย์ ที่ขอสินเชื่อ GSB Smooth Biz for EEC จากธนาคารออมสิน 2.ผู้ประกอบการรายย่อย เช่น กลุ่มค้าขาย บริการ ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อจําหน่าย ที่ขอสินเชื่อจากธนาคารออมสิน ในโครงการสินเชื่อประชาสุขใจ สําหรับพื้นที่ EEC 3.ผู้ประกอบการที่ขอสินเชื่อ EXIM EEC Plus จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน ปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ก่อสร้างอาคารโรงงาน หรือมีการลงทุนใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพ และอุตสาหกรรม เป้าหมายใหม่ หรือ S -Curve ทั้งนี้ บสย. มีบริการศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A. Center เพื่อให้คําปรึกษาฟรีแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่ EEC ได้เสริมสร้างความรู้ทางการเงิน เตรียมพร้อมเพื่อการกู้เงิน และการบริหารธุรกิจ สร้างความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายขอรับคําปรึกษาฟรีจาก บสย. F.A. Center ที่ บสย.Call Center 02-890-9999 ในวันและเวลาทําการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. ฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ชนิญญา สันสมภาค 092-693-5494 ศรัญยู ตันติเสรี 087-598-5025
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47537
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ"
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ" ภายใต้โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก วันนี้ (8 ธ.ค.64) ณ บริเวณเกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ" ภายใต้โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 โดยมี นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างกรมการขนส่งทางบก เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ" วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ" ภายใต้โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก วันนี้ (8 ธ.ค.64) ณ บริเวณเกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสา "รู้รักสามัคคี รักษ์สิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพ" ภายใต้โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์เกาะกลางถนน กรมการขนส่งทางบก เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 โดยมี นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างกรมการขนส่งทางบก เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาค
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาค กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้ (24 มิ.ย. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม​ 1 ปภ.​ อาคาร​ 3​ ชั้น​ 5​ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.)​ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว​ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบการประชุมด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับห้องประชุม​ ณ​ สถานที่ตั้งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ โดยมีวาระที่สําคัญเพื่อพิจารณานโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570 พร้อมทั้งปรับปรุงโครงสร้างคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ​ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เป็นแนวทางหลักในการจัดการสาธารณภัยของประเทศต่อไป . พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นว่า​หลายพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง วาตภัย ไฟป่า และหมอกควัน ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 กําหนดให้จัดทํา ปรับปรุง หรือทบทวนแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทําร่างนโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570 เพื่อเสนอคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ (กปภ.ช.)​ พิจารณาเห็นชอบ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เป็นแนวทางหลักของการจัดการสาธารณภัยของประเทศต่อไป​ . ด้าน​ พลเอก​ อนุ​พงษ์​ เผ่าจินดา​ กล่าวว่า​ ร่างนโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564–2570 ที่นําเสนอในที่ประชุมวันนี้​ ถือได้ว่าครอบคลุมประเด็นด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในมิติต่าง ๆ​ อย่างไรก็ตาม​ ในส่วนของรายละเอียดและข้อสังเกตบางประการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิ​ได้มีการเสนอแนะมานั้น​ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย​ (ปภ.)​ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ (กปภ.ช.)​ จะนําประเด็นดังกล่าวไปใช้ประกอบการปรับเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์และกระชับมากยิ่งขึ้น​ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในลําดับถัดไป​ . นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในคณะต่าง ๆ ทั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.​ 2564–2570 คณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย และคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง รวมถึงรับทราบมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จํานวน 5 ท่าน ได้แก่ 1) รองศาสตราจารย์ เสรี ศุภราทิตย์ 2) นายสมเกียรติ ประจําวงษ์ 3)​ ร้อยโท วโรดม สุจริตกุล 4) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทวิดา กมลเวชช และ 5) ศาสตราจารย์ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ .
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาค วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน 2564 กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาค กปภ.ช. ประชุมพิจารณาร่างนโยบาย-แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ พ.ศ.​ 2564–2570 มุ่งขับเคลื่อนยกระดับการจัดการด้านสาธารณภัย​ของไทย รับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต วันนี้ (24 มิ.ย. 64) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม​ 1 ปภ.​ อาคาร​ 3​ ชั้น​ 5​ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.)​ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว​ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบการประชุมด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับห้องประชุม​ ณ​ สถานที่ตั้งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง​ โดยมีวาระที่สําคัญเพื่อพิจารณานโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570 พร้อมทั้งปรับปรุงโครงสร้างคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ​ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เป็นแนวทางหลักในการจัดการสาธารณภัยของประเทศต่อไป . พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมานั้น สะท้อนให้เห็นว่า​หลายพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง วาตภัย ไฟป่า และหมอกควัน ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประกอบกับพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 กําหนดให้จัดทํา ปรับปรุง หรือทบทวนแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทําร่างนโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564–2570 เพื่อเสนอคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ (กปภ.ช.)​ พิจารณาเห็นชอบ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เป็นแนวทางหลักของการจัดการสาธารณภัยของประเทศต่อไป​ . ด้าน​ พลเอก​ อนุ​พงษ์​ เผ่าจินดา​ กล่าวว่า​ ร่างนโยบายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564–2570 ที่นําเสนอในที่ประชุมวันนี้​ ถือได้ว่าครอบคลุมประเด็นด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในมิติต่าง ๆ​ อย่างไรก็ตาม​ ในส่วนของรายละเอียดและข้อสังเกตบางประการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิ​ได้มีการเสนอแนะมานั้น​ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย​ (ปภ.)​ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ​ (กปภ.ช.)​ จะนําประเด็นดังกล่าวไปใช้ประกอบการปรับเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์และกระชับมากยิ่งขึ้น​ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในลําดับถัดไป​ . นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในคณะต่าง ๆ ทั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.​ 2564–2570 คณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอัคคีภัย และคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง รวมถึงรับทราบมติคณะรัฐมนตรี เรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จํานวน 5 ท่าน ได้แก่ 1) รองศาสตราจารย์ เสรี ศุภราทิตย์ 2) นายสมเกียรติ ประจําวงษ์ 3)​ ร้อยโท วโรดม สุจริตกุล 4) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทวิดา กมลเวชช และ 5) ศาสตราจารย์ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ .
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สรุปมาตรการแก้หมูแพง ห้ามส่งออกสามเดือน จัดมาตรการดูแลทั้งระบบ ลดต้นทุน-ส่งเสริมเลี้ยงหมูไม่ให้ขาดตลาด ทำฟาร์มมีระบบป้องกันโรค
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 ​สรุปมาตรการแก้หมูแพง ห้ามส่งออกสามเดือน จัดมาตรการดูแลทั้งระบบ ลดต้นทุน-ส่งเสริมเลี้ยงหมูไม่ให้ขาดตลาด ทําฟาร์มมีระบบป้องกันโรค รัฐบาลกําหนดมาตรการแก้เนื้อหมูแพง เหตุหมูไม่พอบริโภคบวกต้นทุนเพิ่ม สั่งห้ามส่งออกชั่วคราว ช่วยลดต้นทุน เร่งกระจายพันธ์ุ หาแหล่งเงินทุนทําฟาร์มที่เหมาะสมลดเสี่ยงโรคระบาด วันที่ 6 มกราคม 2565นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาเนื้อหมูราคาแพง สืบเนื่องจากปริมาณสุกรที่ลดลง ต้นทุนการเลี้ยงสุกรปรับสูงขึ้น ส่งผลให้เนื้อหมูปัจจุบันมีราคาสูงมาก ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้หารือร่วมกัน และได้ข้อสรุปดังนี้ 1) มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ -การห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 65 ถึง วันที่ 5 เม.ย. 65 เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาตามสถานการณ์ว่าควรให้มีการต่ออายุหรือไม่ โดยจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตัวเลขเบื้องต้นในปี 2564 มีการเลี้ยงหมูป้อนเข้าสู่ตลาด ประมาณ 19 ล้านตัว บริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 1 ล้านตัว -การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่อโรคระบาดต่ํา การตรึงราคาจําหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น -การเร่งสํารวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกําลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทําพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่ กําหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค 2. มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การขยายกําลังผลิตแม่สุกร สนับสนุนศูนย์วิจัยและบํารุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน เร่งเดินหน้าการศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด 3. มาตรการระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ จะผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) มีค่าใช้จ่ายต่ํากว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทั้งยังจะมีการสนับสนุนการเลี้ยงโดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้กู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ เร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยเพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งการรวมกลุ่ม สนับสนุน และหาตลาดในราคาที่เกษตรกรอยู่ได้อย่างดี นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ราคาเนื้อหมูภายในประเทศ และได้ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ต้องทําให้ครบตั้งแต่ต้นน้ําจนปลายน้ํา ซึ่งมาตรการทั้งสามระยะที่ได้ข้อสรุปมานี้ เชื่อมั่นว่าจะทําให้ราคาเนื้อหมูกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างแน่นอน ทั้งเพื่อการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทุกขนาด ให้กลับมาประกอบอาชีพ สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ในครัวเรือน และสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศ ................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สรุปมาตรการแก้หมูแพง ห้ามส่งออกสามเดือน จัดมาตรการดูแลทั้งระบบ ลดต้นทุน-ส่งเสริมเลี้ยงหมูไม่ให้ขาดตลาด ทำฟาร์มมีระบบป้องกันโรค วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 ​สรุปมาตรการแก้หมูแพง ห้ามส่งออกสามเดือน จัดมาตรการดูแลทั้งระบบ ลดต้นทุน-ส่งเสริมเลี้ยงหมูไม่ให้ขาดตลาด ทําฟาร์มมีระบบป้องกันโรค รัฐบาลกําหนดมาตรการแก้เนื้อหมูแพง เหตุหมูไม่พอบริโภคบวกต้นทุนเพิ่ม สั่งห้ามส่งออกชั่วคราว ช่วยลดต้นทุน เร่งกระจายพันธ์ุ หาแหล่งเงินทุนทําฟาร์มที่เหมาะสมลดเสี่ยงโรคระบาด วันที่ 6 มกราคม 2565นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาเนื้อหมูราคาแพง สืบเนื่องจากปริมาณสุกรที่ลดลง ต้นทุนการเลี้ยงสุกรปรับสูงขึ้น ส่งผลให้เนื้อหมูปัจจุบันมีราคาสูงมาก ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้หารือร่วมกัน และได้ข้อสรุปดังนี้ 1) มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ -การห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 65 ถึง วันที่ 5 เม.ย. 65 เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ และกระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาตามสถานการณ์ว่าควรให้มีการต่ออายุหรือไม่ โดยจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตัวเลขเบื้องต้นในปี 2564 มีการเลี้ยงหมูป้อนเข้าสู่ตลาด ประมาณ 19 ล้านตัว บริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 1 ล้านตัว -การช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่อโรคระบาดต่ํา การตรึงราคาจําหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น -การเร่งสํารวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกําหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกําลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทําพันธุ์ชั่วคราว เร่งรัดเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่ กําหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค 2. มาตรการระยะสั้น ได้แก่ การส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนําเข้าจากต่างประเทศ การขยายกําลังผลิตแม่สุกร สนับสนุนศูนย์วิจัยและบํารุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน เร่งเดินหน้าการศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด 3. มาตรการระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ จะผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) มีค่าใช้จ่ายต่ํากว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่และเพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ทั้งยังจะมีการสนับสนุนการเลี้ยงโดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้กู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ เร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยเพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งการรวมกลุ่ม สนับสนุน และหาตลาดในราคาที่เกษตรกรอยู่ได้อย่างดี นางสาวรัชดา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ราคาเนื้อหมูภายในประเทศ และได้ติดตามการแก้ไขปัญหาที่ต้องทําให้ครบตั้งแต่ต้นน้ําจนปลายน้ํา ซึ่งมาตรการทั้งสามระยะที่ได้ข้อสรุปมานี้ เชื่อมั่นว่าจะทําให้ราคาเนื้อหมูกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างแน่นอน ทั้งเพื่อการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทุกขนาด ให้กลับมาประกอบอาชีพ สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ในครัวเรือน และสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศ ................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้ นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 กรกฎาคม 2565) เวลา 18.44 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณข้อห่วงใยของสมาชิกฯ เกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด พร้อมยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีการดําเนินการในทุกขั้นตอน ทั้งป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับเข้าสู่สังคมได้ ส่วนยาเสพติดที่มีการลักลอบเข้ามาในช่วงนี้เพิ่มขึ้น แต่ก็สามารถจับกุมได้มากขึ้น สิ่งที่สําคัญที่สุดขณะนี้คือเทคโนโลยีเร็วขึ้น รวมทั้งต้นทุนการผลิตต่ําดังนั้นอยู่ที่จะช่วยกันดูแลอย่างไร ไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งการดําเนินการทางมาตรการทางสังคม โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกันของเจ้าหน้าที่รัฐ ภาคประชาสังคมและประชาชน ทั้งนี้ หากใครรู้เห็นการค้ายาเสพติดก็สามารถแจ้งเข้ามายังหน่วยงานรัฐได้ เพื่อที่จะทําการตรวจสอบต่อไป โดยมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ ยืนยันทั้งหมดรัฐบาลพยายามทําอย่างเต็มที่ รวมไปถึงการดูแลในบริเวณชายแดน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทุกภาคส่วนดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องการลักลอบข้ามแดนและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ โดยขอให้นึกถึงประโยชน์ของพวกเขาเหล่านั้นด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวจะทําลายนั่งร้านรัฐบาล ไม่ใช่คําพูดที่สมควรพูดในสภาฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้ วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้ นายกฯ ชี้แจงอภิปรายฯ ย้ํารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ทั้งการฟื้นฟู บําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับสู่สังคมได้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (20 กรกฎาคม 2565) เวลา 18.44 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณข้อห่วงใยของสมาชิกฯ เกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด พร้อมยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีการดําเนินการในทุกขั้นตอน ทั้งป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดเพื่อให้กลับเข้าสู่สังคมได้ ส่วนยาเสพติดที่มีการลักลอบเข้ามาในช่วงนี้เพิ่มขึ้น แต่ก็สามารถจับกุมได้มากขึ้น สิ่งที่สําคัญที่สุดขณะนี้คือเทคโนโลยีเร็วขึ้น รวมทั้งต้นทุนการผลิตต่ําดังนั้นอยู่ที่จะช่วยกันดูแลอย่างไร ไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งการดําเนินการทางมาตรการทางสังคม โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกันของเจ้าหน้าที่รัฐ ภาคประชาสังคมและประชาชน ทั้งนี้ หากใครรู้เห็นการค้ายาเสพติดก็สามารถแจ้งเข้ามายังหน่วยงานรัฐได้ เพื่อที่จะทําการตรวจสอบต่อไป โดยมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ ยืนยันทั้งหมดรัฐบาลพยายามทําอย่างเต็มที่ รวมไปถึงการดูแลในบริเวณชายแดน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทุกภาคส่วนดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องการลักลอบข้ามแดนและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ โดยขอให้นึกถึงประโยชน์ของพวกเขาเหล่านั้นด้วย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวจะทําลายนั่งร้านรัฐบาล ไม่ใช่คําพูดที่สมควรพูดในสภาฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทำงานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2564) เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารในสังกัดของกระทรวง ณ ห้องประชุมชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมประชุมผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งมีวาระพิจารณาที่สําคัญหลายเรื่อง ได้แก่ ร่างแผนแม่บท 20 ปี ของกระทรวงทรัพยากรฯ ความก้าวหน้าในการดําเนินโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ และโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงการเตรียมการระบบติดตามและประเมินผลโครงการ ปีงบประมาณ 2564 นายวราวุธ ได้มอบเป็นนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ในการเร่งปรับปรุงแผนการดําเนินงาน โดยให้คํานึงถึงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 เข้าไปด้วย เพื่อให้การดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น สามารถดําเนินต่อไปได้ ไม่หยุดชะงัก และเต็มศักยภาพ อีกทั้ง ยังได้เน้นย้ําให้ปรับแผนการดําเนินงาน ให้การดําเนินชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนให้ได้ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างถาวร ในการนี้ ได้มี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมและให้ข้อคิดเห็น ณ ห้องประชุมชั้น 17 ครั้งนี้ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทำงานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 รมว.วราวุธ ประชุมผู้บริหาร ปรับยุทธศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรฯ ให้ทํางานภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 วันนี้ (2 กรกฎาคม 2564) เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารในสังกัดของกระทรวง ณ ห้องประชุมชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้บริหารทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมประชุมผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งมีวาระพิจารณาที่สําคัญหลายเรื่อง ได้แก่ ร่างแผนแม่บท 20 ปี ของกระทรวงทรัพยากรฯ ความก้าวหน้าในการดําเนินโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ และโครงการพัฒนาชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติ จังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงการเตรียมการระบบติดตามและประเมินผลโครงการ ปีงบประมาณ 2564 นายวราวุธ ได้มอบเป็นนโยบายให้ทุกหน่วยงาน ในการเร่งปรับปรุงแผนการดําเนินงาน โดยให้คํานึงถึงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 เข้าไปด้วย เพื่อให้การดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น สามารถดําเนินต่อไปได้ ไม่หยุดชะงัก และเต็มศักยภาพ อีกทั้ง ยังได้เน้นย้ําให้ปรับแผนการดําเนินงาน ให้การดําเนินชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนให้ได้ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างถาวร ในการนี้ ได้มี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมและให้ข้อคิดเห็น ณ ห้องประชุมชั้น 17 ครั้งนี้ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43405
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน ชิงกล่องสุ่มพิเศษ 50 รางวัล วันที่ 27 ธันวาคมนี้ ห้ามพลาดทางไลฟ์สดเฟซบุ๊กแฟนเพจเท่านั้น พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนอยากเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม “ส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมาย กลับบ้านในเทศกาลปีใหม่ 2565” ที่สํานักงานกิจการยุติธรรมเตรียมจัดขึ้นเพื่อส่งความสุขต้อนรับปีใหม่ โดยจะมีการถ่ายทอดสดในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 เวลา 19.00 น. ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ และยังมีแจกรางวัลพิเศษ คือ กล่องสุ่มสื่อความรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จํานวน 50 กล่อง พร้อมส่งตรงถึงบ้าน โดยภายในกล่องสุ่มจะประกอบด้วยสื่อความรู้ต่าง ๆ อาทิ สมุดภาพอินโฟกราฟิกกฎหมาย หนังสือกฎหมายประจําบ้าน DVD การ์ตูนแอนนิเมชั่น เกมจับคนผิด สื่อเสียงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสําคัญและมีนโยบายในการส่งเสริมการรับรู้และเข้าถึงช่องทางการให้บริการของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งสํานักกิจการยุติธรรมได้ดําเนินโครงการและกิจกรรมส่งเสริมและสร้างการรับรู้กฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อความรู้ความเข้าใจในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน ให้มีเกราะป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากการไม่รู้กฎหมาย และในโอกาสเทศกาลปีใหม่ สํานักงานกิจการยุติธรรมจึงได้กิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบความสุขและความรู้กฎหมายแก่ประชาชน เป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 นี้ด้วย” พันตํารวจโท พงษ์ธร ระบุ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน กระทรวงยุติธรรม โดยสํานักกิจการยุติธรรม ส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2565 เชิญชวนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมายกลับบ้าน ชิงกล่องสุ่มพิเศษ 50 รางวัล วันที่ 27 ธันวาคมนี้ ห้ามพลาดทางไลฟ์สดเฟซบุ๊กแฟนเพจเท่านั้น พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนอยากเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม “ส่งความสุข ส่งความรู้กฎหมาย กลับบ้านในเทศกาลปีใหม่ 2565” ที่สํานักงานกิจการยุติธรรมเตรียมจัดขึ้นเพื่อส่งความสุขต้อนรับปีใหม่ โดยจะมีการถ่ายทอดสดในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 เวลา 19.00 น. ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ และยังมีแจกรางวัลพิเศษ คือ กล่องสุ่มสื่อความรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จํานวน 50 กล่อง พร้อมส่งตรงถึงบ้าน โดยภายในกล่องสุ่มจะประกอบด้วยสื่อความรู้ต่าง ๆ อาทิ สมุดภาพอินโฟกราฟิกกฎหมาย หนังสือกฎหมายประจําบ้าน DVD การ์ตูนแอนนิเมชั่น เกมจับคนผิด สื่อเสียงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสําคัญและมีนโยบายในการส่งเสริมการรับรู้และเข้าถึงช่องทางการให้บริการของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งสํานักกิจการยุติธรรมได้ดําเนินโครงการและกิจกรรมส่งเสริมและสร้างการรับรู้กฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งต่อความรู้ความเข้าใจในกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน ให้มีเกราะป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากการไม่รู้กฎหมาย และในโอกาสเทศกาลปีใหม่ สํานักงานกิจการยุติธรรมจึงได้กิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบความสุขและความรู้กฎหมายแก่ประชาชน เป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 นี้ด้วย” พันตํารวจโท พงษ์ธร ระบุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ำ ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ำจำนวน 18 เครื่อง 14 จุดสำคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ำ บรรเทาสถานการณ์
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ํา ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ําจํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์ โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ํา ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ําจํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์น้ําท่วมขังแล้ว วันที่ 9 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ช่วงระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2565 ทําให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยได้รับผลกระทบ เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสนับสนุนเครื่องสูบน้ําขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งบนเทรลเลอร์ลากจูงพร้อมอุปกรณ์ ขนาดท่อส่ง 14 นิ้ว อัตราสูบ 28,000 ลิตร/นาที ให้สํานักการระบายน้ํา กรุงเทพมหานคร ติดตั้งตามเขตต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญที่มีความเสี่ยงน้ําท่วมขัง เพื่อเร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์น้ําท่วมขังแล้ว โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนติดตามการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ขอให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะส่วนท้องถิ่นให้ทํางานเชิงรุก เตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อะไรที่ช่วยได้อยู่ในอํานาจของท้องถิ่นให้รีบดําเนินการ ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดขอให้สนับสนุนการทํางานของท้องถิ่นอย่างบูรณาการ สําหรับกองทัพ ขอให้เตรียมกําลังพล พร้อมยุทโธปกรณ์ ออกให้ความช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ตามคําร้องขอ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการเป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส ควบคู่กับการทําความดีเพื่อสังคม “รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมยืนยันจะให้ความช่วยเหลือทุกปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะปัญหาน้ําท่วมซึ่งเป็นปัญหาประจําทุกปี ในส่วนของการฟื้นฟูเยียวยาได้สั่งการให้เร่งดําเนินการ เพื่อให้การช่วยเหลือ ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด” นายธนกรฯ ย้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ำ ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ำจำนวน 18 เครื่อง 14 จุดสำคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ำ บรรเทาสถานการณ์ วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ํา ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ําจํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์ โฆษกรัฐบาล เผย “มท.1” เด้งรับลูกข้อสั่งการ “นายกฯ” เดินหน้ารับมือสถานการณ์น้ํา ปภ.-กทม. ร่วมติดตั้งเครื่องสูบน้ําจํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญในกรุงเทพฯ เร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์น้ําท่วมขังแล้ว วันที่ 9 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ช่วงระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2565 ทําให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยได้รับผลกระทบ เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสนับสนุนเครื่องสูบน้ําขับด้วยเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งบนเทรลเลอร์ลากจูงพร้อมอุปกรณ์ ขนาดท่อส่ง 14 นิ้ว อัตราสูบ 28,000 ลิตร/นาที ให้สํานักการระบายน้ํา กรุงเทพมหานคร ติดตั้งตามเขตต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จํานวน 18 เครื่อง 14 จุดสําคัญที่มีความเสี่ยงน้ําท่วมขัง เพื่อเร่งระบายน้ํา บรรเทาสถานการณ์น้ําท่วมขังแล้ว โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนติดตามการแจ้งเตือนจากส่วนราชการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ขอให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกําชับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะส่วนท้องถิ่นให้ทํางานเชิงรุก เตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อะไรที่ช่วยได้อยู่ในอํานาจของท้องถิ่นให้รีบดําเนินการ ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดขอให้สนับสนุนการทํางานของท้องถิ่นอย่างบูรณาการ สําหรับกองทัพ ขอให้เตรียมกําลังพล พร้อมยุทโธปกรณ์ ออกให้ความช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ตามคําร้องขอ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ในการเป็นที่พึ่งของประชาชนทุกโอกาส ควบคู่กับการทําความดีเพื่อสังคม “รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมยืนยันจะให้ความช่วยเหลือทุกปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะปัญหาน้ําท่วมซึ่งเป็นปัญหาประจําทุกปี ในส่วนของการฟื้นฟูเยียวยาได้สั่งการให้เร่งดําเนินการ เพื่อให้การช่วยเหลือ ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด” นายธนกรฯ ย้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57792
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ หลังปีที่ผ่านมาช่วยเหลือสําเร็จไปแล้ว 15,040 เรื่อง มูลค่า 9,348 ล้านบาท นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธณรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการไกล่เกลี่ยในชั้นบังคับคดี กรณีกองทุนกู้ยืนเงินเพื่อการศึกษา(กยศ.) ของกรมบังคับคดีว่า ผลการดําเนินงานปี 2564 มีเรื่องเข้าสู่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีทั่วประเทศ 16,275 เรื่อง ไกล่เกลี่ยสําเร็จ 15,040 เรื่อง คิดเป็น 92.41% ทุนทรัพย์ 9,348 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการไกล่เกลี่ย กยศ. 1,027 เรื่อง ทุนทรัพย์ 132 ล้านบาท โดยแผนดําเนินการปี 2565 จะมีการจัดโครงการ 2 รูปแบบคือ 1.โครงการเอื้ออาทรไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. หลังศาลมีคําพิพากษา ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 สถานที่ดําเนินการ 116 แห่งทั่วประเทศ 2.โครงการมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 จํานวน 7 แห่ง ในพื้นที่ กทม. เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในปีที่ผ่านมา สามารถลดปริมาณคดีขึ้นสู่ชั้นศาลได้ 791 คดี ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ 82,457,700 บาท ลดต้นทุนภาครัฐ 1,250,894 บาท ซึ่งขณะนี้มีหน่วยไกล่เกลี่ย 570 แห่ง โดยแบ่งเป็น 1.ภาครัฐ 82 แห่งทั่วประเทศ 2. ศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน(ศกช.) 488 แห่ง โดยมีที่กทม. 121 แห่งและต่างจังหวัด 367 มีผู้ไกล่เกลี่ยที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ 1,677 คน ศกช. 1,806 คน "เรายินดีและพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาทั้งเรื่องของหนี้ กยศ. และหนี้จากวิกฤตโควิด-19 ทําให้หลายคนที่กําลังเดือดร้อนไม่ต้องประสบปัญหาหนี้สินอีกต่อไป จึงอยากเชิญชวนลูกหนี้ กยศ.และผู้ที่เดือดร้อน สามารถแจ้งเรื่องเพื่อไกล่เกลี่ยได้ที่ กรมบังคับคดี www.led.go.th หรือผ่านแอปพลิเคชัน Session call สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี โทร 02-881-4840 , 02-887-5072 หรือ สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ หรือติดต่อเข้ามาที่กระทรวงยุติธรรม เราพร้อมให้ความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกท่าน" นายสมศักดิ์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผย กรมบังคับคดีเตรียมจัดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. 116 แห่งทั่วประเทศ พร้อมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ หลังปีที่ผ่านมาช่วยเหลือสําเร็จไปแล้ว 15,040 เรื่อง มูลค่า 9,348 ล้านบาท นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธณรรม กล่าวถึงความคืบหน้าการไกล่เกลี่ยในชั้นบังคับคดี กรณีกองทุนกู้ยืนเงินเพื่อการศึกษา(กยศ.) ของกรมบังคับคดีว่า ผลการดําเนินงานปี 2564 มีเรื่องเข้าสู่การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดีทั่วประเทศ 16,275 เรื่อง ไกล่เกลี่ยสําเร็จ 15,040 เรื่อง คิดเป็น 92.41% ทุนทรัพย์ 9,348 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการไกล่เกลี่ย กยศ. 1,027 เรื่อง ทุนทรัพย์ 132 ล้านบาท โดยแผนดําเนินการปี 2565 จะมีการจัดโครงการ 2 รูปแบบคือ 1.โครงการเอื้ออาทรไกล่เกลี่ยหนี้ กยศ. หลังศาลมีคําพิพากษา ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 สถานที่ดําเนินการ 116 แห่งทั่วประเทศ 2.โครงการมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ 4 ภาค ระยะแรกช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2564 จํานวน 7 แห่ง ในพื้นที่ กทม. เชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในปีที่ผ่านมา สามารถลดปริมาณคดีขึ้นสู่ชั้นศาลได้ 791 คดี ลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ 82,457,700 บาท ลดต้นทุนภาครัฐ 1,250,894 บาท ซึ่งขณะนี้มีหน่วยไกล่เกลี่ย 570 แห่ง โดยแบ่งเป็น 1.ภาครัฐ 82 แห่งทั่วประเทศ 2. ศูนย์ไกล่เกลี่ยภาคประชาชน(ศกช.) 488 แห่ง โดยมีที่กทม. 121 แห่งและต่างจังหวัด 367 มีผู้ไกล่เกลี่ยที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ 1,677 คน ศกช. 1,806 คน "เรายินดีและพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาทั้งเรื่องของหนี้ กยศ. และหนี้จากวิกฤตโควิด-19 ทําให้หลายคนที่กําลังเดือดร้อนไม่ต้องประสบปัญหาหนี้สินอีกต่อไป จึงอยากเชิญชวนลูกหนี้ กยศ.และผู้ที่เดือดร้อน สามารถแจ้งเรื่องเพื่อไกล่เกลี่ยได้ที่ กรมบังคับคดี www.led.go.th หรือผ่านแอปพลิเคชัน Session call สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี โทร 02-881-4840 , 02-887-5072 หรือ สายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ หรือติดต่อเข้ามาที่กระทรวงยุติธรรม เราพร้อมให้ความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกท่าน" นายสมศักดิ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46797
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยประจำวันที่19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. สามารถสัญจรได้ 28 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 26 สายทาง
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยประจําวันที่19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. สามารถสัญจรได้ 28 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 26 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 19 จังหวัด รวม 54 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 26 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 19 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา นครนายก สระแก้ว สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม 54 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 26 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 17 สายทาง (17 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 6 สายทาง (6 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) ไหล่ทาง คันทางพังทลาย ดินไหล่เขาสไลด์ 2 สายทาง (2 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 43 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100) 2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800) 3. สายทาง ชย.4030 แยก ทล.2037 - แยก ทล.2055 อําเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 90 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 10+050 - 10+400) 4. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 5. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800) 6. สายทาง สร.022 อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+600 - 4+200) 7. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 90 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 1+700) 8. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 1+900 - 2+100) 9. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลําน้ําชี อําเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400) 10. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 12+800 - 13+000) 11. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 12. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 13. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+130 - 3+220) 14. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ําน้อย อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050) 15. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075) 16. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300) 17. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 - บ้านเขาราบ อําเภอยางราก จังหวัดลพบุรี น้ํากัดเซาะคอสะพาน (ช่วง กม. ที่ 1+130 - 1+135) 18. สายทาง สห.5042 แยกทางหลวงชนบท สห.3008 - แยกทางหลวงชนบท สห.5043 อําเภอค่ายบางระจัน และท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+700 - 5+150) 19. สายทาง สก.5053 แยกทางหลวงชนบท สก.4033 - บ้านทับใหม่ อําเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 17+600 - 18+000) 20. สายทาง นฐ.005 สะพานบางหลวงข้ามแม่น้ําท่าจีน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร 21. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําทางจีน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 22. สายทาง กจ.4022 แยก ทล.3443 - บ้านหนองไก่เหลือง อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 4+885 - 4+915) 23. สายทาง กจ.4035 แยก ทล.3443 - บ้านหนองแสลบ อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ไหล่ทางทรุดตัว (ช่วง กม.ที่ 1+680 - 1+720) 24. สายทาง กจ.4041 แยก ทล.3199 - บ้านท่าลําใย อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ดินไหล่เขาสไลด์ (ช่วง กม. ที่ 22+000 - 25+000) 25. สายทาง กจ.4051 แยก ทล.3086 - บ้านสลอบ อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+200 - 2+300) 26. สายทาง กจ.4062 แยก ทล.3086 - บ้านหนองกร่าง อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+500) ทั้งนี้ ทช. ได้ติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยบนสายทางที่ประสบอุทกภัย พร้อมเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่ออํานวยความสะดวกและปลอดภัย บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทช. ขอประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว และโปรดสังเกตป้ายเตือน ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยประจำวันที่19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. สามารถสัญจรได้ 28 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 26 สายทาง วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยประจําวันที่19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. สามารถสัญจรได้ 28 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 26 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 19 จังหวัด รวม 54 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 26 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 08.30 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 19 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครสวรรค์ ฉะเชิงเทรา นครนายก สระแก้ว สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม 54 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 28 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 26 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 17 สายทาง (17 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 6 สายทาง (6 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) ไหล่ทาง คันทางพังทลาย ดินไหล่เขาสไลด์ 2 สายทาง (2 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 43 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100) 2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800) 3. สายทาง ชย.4030 แยก ทล.2037 - แยก ทล.2055 อําเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 90 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 10+050 - 10+400) 4. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 5. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800) 6. สายทาง สร.022 อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+600 - 4+200) 7. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 90 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 1+700) 8. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 1+900 - 2+100) 9. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลําน้ําชี อําเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400) 10. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 12+800 - 13+000) 11. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 12. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 13. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+130 - 3+220) 14. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ําน้อย อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050) 15. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075) 16. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300) 17. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 - บ้านเขาราบ อําเภอยางราก จังหวัดลพบุรี น้ํากัดเซาะคอสะพาน (ช่วง กม. ที่ 1+130 - 1+135) 18. สายทาง สห.5042 แยกทางหลวงชนบท สห.3008 - แยกทางหลวงชนบท สห.5043 อําเภอค่ายบางระจัน และท่าช้าง จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+700 - 5+150) 19. สายทาง สก.5053 แยกทางหลวงชนบท สก.4033 - บ้านทับใหม่ อําเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 17+600 - 18+000) 20. สายทาง นฐ.005 สะพานบางหลวงข้ามแม่น้ําท่าจีน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร 21. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําทางจีน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 22. สายทาง กจ.4022 แยก ทล.3443 - บ้านหนองไก่เหลือง อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 4+885 - 4+915) 23. สายทาง กจ.4035 แยก ทล.3443 - บ้านหนองแสลบ อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ไหล่ทางทรุดตัว (ช่วง กม.ที่ 1+680 - 1+720) 24. สายทาง กจ.4041 แยก ทล.3199 - บ้านท่าลําใย อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ดินไหล่เขาสไลด์ (ช่วง กม. ที่ 22+000 - 25+000) 25. สายทาง กจ.4051 แยก ทล.3086 - บ้านสลอบ อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+200 - 2+300) 26. สายทาง กจ.4062 แยก ทล.3086 - บ้านหนองกร่าง อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+500) ทั้งนี้ ทช. ได้ติดตั้งป้ายเตือนและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยบนสายทางที่ประสบอุทกภัย พร้อมเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่ออํานวยความสะดวกและปลอดภัย บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทช. ขอประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว และโปรดสังเกตป้ายเตือน ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง โดย ทช. จะติดตามสถานการณ์ อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่ ย้อนยุคศตวรรษ 100 กว่าปีของความเป็นมา ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี และตรงกับวันข้าราชการพลเรือนด้วย โดยภายในงานจะมีการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง ได้แก่ ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลท้าวเวสสุวรรณ ศาลตา-ยาย องค์พระพิรุณทรงนาค (หน้าอาคาร) และองค์พระพิรุณทรงนาค (ห้องพิพิธภัณฑ์) และเข้าสู่ช่วงพิธีสงฆ์ นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในพิธีมอบเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน รวมถึงการแสดงผลงานสําคัญ 130 ปี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในพิธี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ การมอบเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้มีจิตอาสา ประกอบคุณงามความดีที่มีความประพฤติเหมาะสม ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือมีผลการปฏิบัติงานด้านการเกษตรและสหกรณ์ดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณสมบัติบุคคลตามข้อ 4 (9) และ (10) ของระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. 2564 คือ 1) เป็นผู้มีความประพฤติดี ปฏิบัติงานในหน้าที่และนอกเหนือหน้าที่สม่ําเสมอ เต็มใจมีจิตมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานที่รับผิดชอบ จนมีผลงานด้านการสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืนปรากฏที่เป็นประโยชน์ต่อราชการ ประชาชน มากกว่าผู้อื่นอย่างเด่นชัด และ 2) เป็นผู้มีผลงานเชิงประจักษ์ดีเด่นด้านการสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นที่ยอมรับ สมควรได้รับการยกย่อง โดยคํานึงถึงผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เป็นอันดับแรก ผลงานจากการอุทิศ ทุ่มเท เสียสละ เกิดประโยชน์ยิ่งกับส่วนราชการ หรือสาธารณชน ทั้งนี้ อาจปรากฎเป็นผลงานด้านเอกสารที่สืบค้นได้อย่างเป็นรูปธรรม สําหรับกิจกรรม “เหลียวหลัง แลหน้า 130 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเล่าเรื่องบอกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของกระทรวงเกษตรฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2435 – 2565 เหตุการณ์และนโยบาย ที่สําคัญ และการขับเคลื่อนภาคเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการวางรากฐานการทํางานของกระทรวงรองรับความปกติใหม่ (New Normal) ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่ วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่ กระทรวงเกษตรฯ เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 อย่างยิ่งใหญ่ ย้อนยุคศตวรรษ 100 กว่าปีของความเป็นมา ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมความพร้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครบรอบปีที่ 130 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี และตรงกับวันข้าราชการพลเรือนด้วย โดยภายในงานจะมีการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวง ได้แก่ ศาลพระภูมิเจ้าที่ ศาลท้าวเวสสุวรรณ ศาลตา-ยาย องค์พระพิรุณทรงนาค (หน้าอาคาร) และองค์พระพิรุณทรงนาค (ห้องพิพิธภัณฑ์) และเข้าสู่ช่วงพิธีสงฆ์ นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในพิธีมอบเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน รวมถึงการแสดงผลงานสําคัญ 130 ปี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานในพิธี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ การมอบเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้มีจิตอาสา ประกอบคุณงามความดีที่มีความประพฤติเหมาะสม ผู้ที่ทําคุณประโยชน์ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือมีผลการปฏิบัติงานด้านการเกษตรและสหกรณ์ดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณสมบัติบุคคลตามข้อ 4 (9) และ (10) ของระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยเกียรติบัตรและเครื่องหมายเชิดชูเกียรติสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. 2564 คือ 1) เป็นผู้มีความประพฤติดี ปฏิบัติงานในหน้าที่และนอกเหนือหน้าที่สม่ําเสมอ เต็มใจมีจิตมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานที่รับผิดชอบ จนมีผลงานด้านการสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืนปรากฏที่เป็นประโยชน์ต่อราชการ ประชาชน มากกว่าผู้อื่นอย่างเด่นชัด และ 2) เป็นผู้มีผลงานเชิงประจักษ์ดีเด่นด้านการสืบสานเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นที่ยอมรับ สมควรได้รับการยกย่อง โดยคํานึงถึงผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เป็นอันดับแรก ผลงานจากการอุทิศ ทุ่มเท เสียสละ เกิดประโยชน์ยิ่งกับส่วนราชการ หรือสาธารณชน ทั้งนี้ อาจปรากฎเป็นผลงานด้านเอกสารที่สืบค้นได้อย่างเป็นรูปธรรม สําหรับกิจกรรม “เหลียวหลัง แลหน้า 130 ปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะเล่าเรื่องบอกกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของกระทรวงเกษตรฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2435 – 2565 เหตุการณ์และนโยบาย ที่สําคัญ และการขับเคลื่อนภาคเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการวางรากฐานการทํางานของกระทรวงรองรับความปกติใหม่ (New Normal) ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคา พืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 วงเงินรวม 2.7 หมื่นล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดูแลเกษตรกรครอบคลุมกว่า 5.66 ล้านครัวเรือน สําหรับการประกันรายได้เกษตรกรทั้ง 3 โครงการ ใช้งบประมาณรวม 2.2 หมื่นล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้ 1.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 วงเงิน 13,604 ล้านบาท ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวครอบคลุมกว่า 4.68 ล้านคน โดยประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2564/65 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 ตุลาคม 2564 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2564 - 28 กุมภาพันธ์ 2565 สําหรับการชดเชยส่วนต่างนั้น หลักเกณฑ์เหมือนกับปี 2563/64 โดยชดเชยเป็นจํานวนตันใน 5 ชนิดข้าว ณ ราคาความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 ไม่เกินครัวเรือนละ 40 ไร่ (ข้าวเจ้า ครัวเรือนละ 50 ไร่) แปลงละ 1 ครั้ง ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคา 15,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคา 14,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ราคา 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคา 11,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ข้าวเปลือกเหนียว ราคา 12,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ส่วนมาตรการคู่ขนานประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 วงเงินรวม 26,255 ล้านบาท (สินเชื่อ 20,401 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 5,853 ล้านบาท) 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65 วงเงินรวม 15,562 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 562 ล้านบาท) 3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 วงเงินจ่ายขาด 540 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ตามมติ นบข. เมื่อ 23สิงหาคม 2564 ด้วย 2.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564/65 วงเงิน 1,863 ล้านบาท ดูแลเกษตรกรได้ครอบคลุมกว่า 4.52 แสนราย โดยประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด ณ ความชื้นร้อยละ 14.5 ในราคา 8.5 บาทต่อกิโลกรัม ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ และไม่ซ้ําแปลง ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร ที่แจ้งเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2564 - 31 พฤษภาคม 2565 (ยกเว้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่แจ้งขึ้นทะเบียนเพาะปลูกเพื่อผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้) โดยใช้เงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 30 เมษายน 2566 สําหรับมาตรการคู่ขนาน 2 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2564/65 วงเงินรวม 1,030 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 30 ล้านบาท) 2.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อก ปี 2564/65 วงเงินรวม 1,515 ล้านาท (วงสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 15 ล้านบาท) 3.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ปี2564/65 วงเงิน 6,811 ล้านบาท ดูแลเกษตรได้ครอบคลุมกว่า 5.3 แสนครัวเรือน โดยประกันราคาหัวมันสําปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% ราคากิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน และไม่ซ้ําแปลง ซึ่งต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนปลูกมันสําปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2565 ใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 พฤษภาคม 2566 สําหรับผลการดําเนินโครงการในปี 2563/64 ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างทั้งสิ้น 9 งวด โอนเงินชดเชยให้เกษตรกรแล้ว 436,817 ครัวเรือน รวม 3,057 ล้านบาท สิ้นสุดการจ่ายเงินงวดสุดท้ายพฤศิจกายนนี้ มากไปกว่านั้น ครม.ได้เห็นชอบให้สิทธิเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ฯ ปี 2562/63 คือ กลุ่มที่แจ้งปลูกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 31 มีนาคม 2563 จํานวน 8.41 หมื่นครัวเรือน ให้ได้สิทธิเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ฯ ปี 2563/64 เนื่องจากการปลูกมันสําปะหลังจะต้องใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน ทําให้เกษตรกรบางส่วนที่เริ่มปลูกช้าและใช้เวลาปลูกนาน ไม่สามารถรับสิทธิโครงการได้ทัน โดยค่าใช้จ่ายในการชดเชยส่วนต่างกลุ่มดังกล่าวนี้ ยังคงภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม ตามมติ ครม. (18 ส.ค.2563) สําหรับมาตรการคู่ขนาน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสําปะหลัง ปี 2564/65 วงเงินสินเชื่อ 690 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาดชดเชยดอกเบี้ย 41.40 ล้านบาท 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสําปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2564/65 วงเงิน 500 ล้านบาท 3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสําปะหลัง ปี 2564/65 วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาดชดเชยดอกเบี้ย 225 ล้านบาท 4.โครงการเพิ่มศักยภาพการแปรรูปมันสาปะหลัง ปี 2564/65 วงเงิน 10 ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน ครม.เคาะ 2.7 หมื่นล้าน โครงการประกันรายได้และมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคาพืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดูแลเกษตรกร 5.66 ล้านครัวเรือน นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการคู่ขนานรักษาเสถียรภาพราคา พืช 3 ชนิด ข้าว มันสําปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2564/65 วงเงินรวม 2.7 หมื่นล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดูแลเกษตรกรครอบคลุมกว่า 5.66 ล้านครัวเรือน สําหรับการประกันรายได้เกษตรกรทั้ง 3 โครงการ ใช้งบประมาณรวม 2.2 หมื่นล้านบาท มีรายละเอียดดังนี้ 1.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 รอบที่ 1 วงเงิน 13,604 ล้านบาท ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกข้าวครอบคลุมกว่า 4.68 ล้านคน โดยประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2564/65 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 ตุลาคม 2564 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2564 - 28 กุมภาพันธ์ 2565 สําหรับการชดเชยส่วนต่างนั้น หลักเกณฑ์เหมือนกับปี 2563/64 โดยชดเชยเป็นจํานวนตันใน 5 ชนิดข้าว ณ ราคาความชื้นไม่เกินร้อยละ 15 ไม่เกินครัวเรือนละ 40 ไร่ (ข้าวเจ้า ครัวเรือนละ 50 ไร่) แปลงละ 1 ครั้ง ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคา 15,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคา 14,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16ตัน ข้าวเปลือกเจ้า ราคา 10,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคา 11,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน ข้าวเปลือกเหนียว ราคา 12,000 บาท/ตัน ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน ส่วนมาตรการคู่ขนานประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2564/65 วงเงินรวม 26,255 ล้านบาท (สินเชื่อ 20,401 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 5,853 ล้านบาท) 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2564/65 วงเงินรวม 15,562 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 562 ล้านบาท) 3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2564/65 วงเงินจ่ายขาด 540 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ตามมติ นบข. เมื่อ 23สิงหาคม 2564 ด้วย 2.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2564/65 วงเงิน 1,863 ล้านบาท ดูแลเกษตรกรได้ครอบคลุมกว่า 4.52 แสนราย โดยประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด ณ ความชื้นร้อยละ 14.5 ในราคา 8.5 บาทต่อกิโลกรัม ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ และไม่ซ้ําแปลง ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร ที่แจ้งเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2564 - 31 พฤษภาคม 2565 (ยกเว้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่แจ้งขึ้นทะเบียนเพาะปลูกเพื่อผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้) โดยใช้เงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 - 30 เมษายน 2566 สําหรับมาตรการคู่ขนาน 2 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2564/65 วงเงินรวม 1,030 ล้านบาท (วงเงินสินเชื่อ 1,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 30 ล้านบาท) 2.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อก ปี 2564/65 วงเงินรวม 1,515 ล้านาท (วงสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาด 15 ล้านบาท) 3.โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ปี2564/65 วงเงิน 6,811 ล้านบาท ดูแลเกษตรได้ครอบคลุมกว่า 5.3 แสนครัวเรือน โดยประกันราคาหัวมันสําปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% ราคากิโลกรัมละ 2.50 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100 ตัน และไม่ซ้ําแปลง ซึ่งต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนปลูกมันสําปะหลังกับกรมส่งเสริมการเกษตร ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2565 ใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. และรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการให้กับ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 – 31 พฤษภาคม 2566 สําหรับผลการดําเนินโครงการในปี 2563/64 ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างทั้งสิ้น 9 งวด โอนเงินชดเชยให้เกษตรกรแล้ว 436,817 ครัวเรือน รวม 3,057 ล้านบาท สิ้นสุดการจ่ายเงินงวดสุดท้ายพฤศิจกายนนี้ มากไปกว่านั้น ครม.ได้เห็นชอบให้สิทธิเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ฯ ปี 2562/63 คือ กลุ่มที่แจ้งปลูกตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 31 มีนาคม 2563 จํานวน 8.41 หมื่นครัวเรือน ให้ได้สิทธิเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ฯ ปี 2563/64 เนื่องจากการปลูกมันสําปะหลังจะต้องใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือน ทําให้เกษตรกรบางส่วนที่เริ่มปลูกช้าและใช้เวลาปลูกนาน ไม่สามารถรับสิทธิโครงการได้ทัน โดยค่าใช้จ่ายในการชดเชยส่วนต่างกลุ่มดังกล่าวนี้ ยังคงภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิม ตามมติ ครม. (18 ส.ค.2563) สําหรับมาตรการคู่ขนาน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสําปะหลัง ปี 2564/65 วงเงินสินเชื่อ 690 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาดชดเชยดอกเบี้ย 41.40 ล้านบาท 2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสําปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2564/65 วงเงิน 500 ล้านบาท 3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสําปะหลัง ปี 2564/65 วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท วงเงินจ่ายขาดชดเชยดอกเบี้ย 225 ล้านบาท 4.โครงการเพิ่มศักยภาพการแปรรูปมันสาปะหลัง ปี 2564/65 วงเงิน 10 ล้านบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47358
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ำต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนำมาทำอาหาร-น้ำสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ําต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนํามาทําอาหาร-น้ําสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ําต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนํามาทําอาหาร-น้ําสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย สาธารณสุขกําลังเร่งปรับแก้ให้สอดคล้อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐสภาได้เห็นชอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ซึ่งเป็นการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไปแล้วนั้น แต่ยังมีหลายคนสงสัย เกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมว่าสามารถทําในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นตนจึงขอชี้แจงว่า ในส่วนของการเคี้ยวใบ การปลูก การครอบครองและการขายใบสดที่ไม่ได้ปรุงหรือทําเป็นอาหารทําได้อย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย แต่ส่วนการนําไปทําผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ต้องไปขออนุญาตตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ควบคุมอยู่ นอกจากนี้การนําไปทําเป็นอาหารหรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อขายนั้น พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อคให้สามารถนําพืชกระท่อมไปทําอาหารหรือผสมในอาหารเพื่อจําหน่ายได้ โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424 ) พ.ศ. 2564 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง กําหนดอาหารที่ห้ามผลิต นําเข้า หรือจําหน่าย ซึ่งกําหนดให้อาหารที่ปรุงจากพืชกระท่อมเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นําเข้าหรือจําหน่าย หรือแม้กระทั่งน้ําต้มกระท่อมที่ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลยก็เป็นสิ่งที่ห้ามผลิตเพื่อจําหน่ายตามประกาศฉบับนี้ การฝ่าฝืน ผลิต และขาย อาหาร ที่ พ.ร.บ. อาหาร ห้าม มีโทษตามมาตรา 50 จําคุก 6 เดือน - 2 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีข้อจํากัดในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสําอาง ทําให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมได้อย่างเต็มที่ กระทรวงสาธารณสุขจึงสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสําอางได้เรื่องนี้เป็นอุปสรรคในการค้าขายแบบชาวบ้าน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งตนเป็น ประธานฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดําเนินการต่อไปแล้ว แต่สําหรับในช่วงนี้ที่ประกาศยังไม่ถูกแก้ไข หากผู้ประกอบการที่อยากจะพัฒนาต่อยอดเพื่อสกัดหรือแปรรูปพืชกระท่อมโดยใช้ประโยชน์จากสารสําคัญในใบกระท่อมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ที่มีสรรพคุณในการบําบัดหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ นั้น สามารถขอคําแนะนําหรือติดต่อได้ที่ กองควบคุมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ำต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนำมาทำอาหาร-น้ำสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ําต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนํามาทําอาหาร-น้ําสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แจงพืชกระท่อมปลูก ใช้ ครอบครอง ขายใบสดได้เสรี น้ําต้มกินเอง-แจกจ่ายได้ แต่หากจะนํามาทําอาหาร-น้ําสมุนไพรขายยังผิดกฎหมาย สาธารณสุขกําลังเร่งปรับแก้ให้สอดคล้อง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ภายหลังจากที่รัฐสภาได้เห็นชอบ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ซึ่งเป็นการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไปแล้วนั้น แต่ยังมีหลายคนสงสัย เกี่ยวกับการใช้พืชกระท่อมว่าสามารถทําในส่วนใดได้บ้าง ดังนั้นตนจึงขอชี้แจงว่า ในส่วนของการเคี้ยวใบ การปลูก การครอบครองและการขายใบสดที่ไม่ได้ปรุงหรือทําเป็นอาหารทําได้อย่างเสรีไม่ผิดกฎหมาย แต่ส่วนการนําไปทําผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่แจ้งว่ามีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ต้องไปขออนุญาตตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข เพราะมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ควบคุมอยู่ นอกจากนี้การนําไปทําเป็นอาหารหรือเป็นส่วนผสมในอาหารเพื่อขายนั้น พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ยังไม่ปลดล็อคให้สามารถนําพืชกระท่อมไปทําอาหารหรือผสมในอาหารเพื่อจําหน่ายได้ โดยประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 424 ) พ.ศ. 2564 ออกตามความใน พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เรื่อง กําหนดอาหารที่ห้ามผลิต นําเข้า หรือจําหน่าย ซึ่งกําหนดให้อาหารที่ปรุงจากพืชกระท่อมเป็นอาหารที่ห้ามผลิต นําเข้าหรือจําหน่าย หรือแม้กระทั่งน้ําต้มกระท่อมที่ไม่ได้ผสมกับสิ่งใดเลยก็เป็นสิ่งที่ห้ามผลิตเพื่อจําหน่ายตามประกาศฉบับนี้ การฝ่าฝืน ผลิต และขาย อาหาร ที่ พ.ร.บ. อาหาร ห้าม มีโทษตามมาตรา 50 จําคุก 6 เดือน - 2 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีข้อจํากัดในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสําอาง ทําให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมได้อย่างเต็มที่ กระทรวงสาธารณสุขจึงสมควรที่จะแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ จากพืชกระท่อมเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยา อาหาร และเครื่องสําอางได้เรื่องนี้เป็นอุปสรรคในการค้าขายแบบชาวบ้าน ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. .... คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งตนเป็น ประธานฯ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปพิจารณาดําเนินการต่อไปแล้ว แต่สําหรับในช่วงนี้ที่ประกาศยังไม่ถูกแก้ไข หากผู้ประกอบการที่อยากจะพัฒนาต่อยอดเพื่อสกัดหรือแปรรูปพืชกระท่อมโดยใช้ประโยชน์จากสารสําคัญในใบกระท่อมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือยาแผนโบราณ ที่มีสรรพคุณในการบําบัดหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ นั้น สามารถขอคําแนะนําหรือติดต่อได้ที่ กองควบคุมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45660
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ เยี่ยมชมกิจการ “โรงงานแบตเตอรี่ทหาร”
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 รองปลัดฯ เยี่ยมชมกิจการ “โรงงานแบตเตอรี่ทหาร” รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ เข้าเยี่ยมชมกิจการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร กรมอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร วันที่ 1 กันยายน 2564 นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เข้าเยี่ยมชมกิจการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร กรมอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร โดยมี พลโทเอกชัย หาญพูนวิทยา เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ให้การต้อนรับ และพันเอกพิพัฒน นิลแก้ว ผู้อํานวยการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร แนะนําประวัติความเป็นมา และภารกิจของโรงงานฯ ซึ่งมีความน่าสนใจและมีบทบาทต่อการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศ ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึงโอกาสความร่วมมือระหว่างโรงงานแบตเตอรี่ทหาร และ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ NEDO (New Energy and Industrial Technology Development) ในการสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมพลังงานร่วมกัน โดยมี คุณยูรูงิ โยชิโกะ หัวหน้าตัวแทนประจําภูมิภาคเอเชีย NEDO สํานักงานกรุงเทพฯ เข้าร่วมหารือด้วย หลังจากนั้นคณะศึกษาดูงานได้เข้าชมกรรมวิธีการผลิตแบตเตอรี่ในโรงงาน ซึ่งโรงงานแบตเตอรี่ทหารแห่งนี้เป็นโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2483 สังกัดกระทรวงกลาโหม ตั้งอยู่ที่ บางนา กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันโรงงานยังคงดําเนินการผลิตแบตเตอรี่ใช้ในราชการทหาร และการรถไฟแห่งประเทศไทย มากกว่า 80 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ เยี่ยมชมกิจการ “โรงงานแบตเตอรี่ทหาร” วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564 รองปลัดฯ เยี่ยมชมกิจการ “โรงงานแบตเตอรี่ทหาร” รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ เข้าเยี่ยมชมกิจการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร กรมอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร วันที่ 1 กันยายน 2564 นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เข้าเยี่ยมชมกิจการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร กรมอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร โดยมี พลโทเอกชัย หาญพูนวิทยา เจ้ากรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ให้การต้อนรับ และพันเอกพิพัฒน นิลแก้ว ผู้อํานวยการโรงงานแบตเตอรี่ทหาร แนะนําประวัติความเป็นมา และภารกิจของโรงงานฯ ซึ่งมีความน่าสนใจและมีบทบาทต่อการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศ ทั้งนี้ ได้มีการหารือถึงโอกาสความร่วมมือระหว่างโรงงานแบตเตอรี่ทหาร และ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ NEDO (New Energy and Industrial Technology Development) ในการสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมพลังงานร่วมกัน โดยมี คุณยูรูงิ โยชิโกะ หัวหน้าตัวแทนประจําภูมิภาคเอเชีย NEDO สํานักงานกรุงเทพฯ เข้าร่วมหารือด้วย หลังจากนั้นคณะศึกษาดูงานได้เข้าชมกรรมวิธีการผลิตแบตเตอรี่ในโรงงาน ซึ่งโรงงานแบตเตอรี่ทหารแห่งนี้เป็นโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2483 สังกัดกระทรวงกลาโหม ตั้งอยู่ที่ บางนา กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันโรงงานยังคงดําเนินการผลิตแบตเตอรี่ใช้ในราชการทหาร และการรถไฟแห่งประเทศไทย มากกว่า 80 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 ช่วงจังหวัดยโสธร - บ้านน้ำปลีก จังหวัดอำนาจเจริญ
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 กรมทางหลวงเร่งดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 ช่วงจังหวัดยโสธร - บ้านน้ําปลีก จังหวัดอํานาจเจริญ ระดับถนนปลอดภัย กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เชื่อมเส้นทางกลุ่มจังหวัดอีสานสู่ประตูการค้าอินโดจีน คืบหน้า 95% คาดแล้วเสร็จเดือนเมษายน 2565 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) ขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมและเสริมศักยภาพกระจายความเจริญด้านเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเร่งให้ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายยโสธร - อํานาจเจริญ ตอนยโสธร - บ้านน้ําปลีก จังหวัดอํานาจเจริญ ระยะทาง 32.79 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จในปี 2565 รองรับการเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” ตามแนวคิดการเป็นฐานการผลิตของประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นประตูเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ทล. โดยสํานักก่อสร้างทางที่ 2 จึงเร่งดําเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวระหว่าง กม. ที่ 267+630 - 300+423 ระยะทางรวม 32.78 กิโลเมตร โดยจุดเริ่มต้นโครงการอยู่ในพื้นที่ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร สิ้นสุดที่บ้านน้ําปลีก ตําบลน้ําปลีก อําเภอเมือง จังหวัดอํานาจเจริญ แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 ระหว่าง กม. ที่ 267+630 - 283+980 ระยะทาง 16.35 กิโลเมตร และตอนที่ 2 ระหว่าง กม. ที่ 283+980 - 300+423 ระยะทางรวม 16.43 กิโลเมตร โดยขยายจาก 2 ช่องจราจรเป็นมาตรฐานทาง ชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไปกลับข้างละ 2 ช่องจราจร) คันทางเดิม 10 เมตร ขยายเป็น 24.10 เมตร ผิวทางเป็นแอสฟัลท์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 2.50 เมตร มีเกาะกลางแบบเป็นราวหรือกําแพงกั้น (Barrier Median) รวมงานก่อสร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลองอีก 9 แห่ง และก่อสร้างศาลาทางหลวงในบริเวณสองข้างทางเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน จํานวน 45 แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบประมาณรวม 1,271 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณ 95% คาดว่าจะก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2565 โดย ทล. เปิดให้บริการบางส่วน เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนไปแล้ว ระยะทาง 16.35 กิโลเมตร ทั้งนี้ ทางหลวงหมายเลข 202 สายชัยภูมิ - เขมราฐ เป็นทางหลวงแผ่นดินแนวตะวันตก - ตะวันออก มีระยะทางตลอดทั้งสาย 392.32 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสายสําคัญผ่านจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี มีพื้นที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศกัมพูชา มีจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนรวม 9 แห่ง ส่งผลให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคอินโดจีน หากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง แก้ไขปัญหาการจราจร เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สนับสนุนการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ช่วยกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 ช่วงจังหวัดยโสธร - บ้านน้ำปลีก จังหวัดอำนาจเจริญ วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 กรมทางหลวงเร่งดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 ช่วงจังหวัดยโสธร - บ้านน้ําปลีก จังหวัดอํานาจเจริญ ระดับถนนปลอดภัย กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เชื่อมเส้นทางกลุ่มจังหวัดอีสานสู่ประตูการค้าอินโดจีน คืบหน้า 95% คาดแล้วเสร็จเดือนเมษายน 2565 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบให้กรมทางหลวง (ทล.) ขับเคลื่อนพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมและเสริมศักยภาพกระจายความเจริญด้านเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเร่งให้ดําเนินโครงการก่อสร้างขยายทางหลวงหมายเลข 202 สายยโสธร - อํานาจเจริญ ตอนยโสธร - บ้านน้ําปลีก จังหวัดอํานาจเจริญ ระยะทาง 32.79 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จในปี 2565 รองรับการเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง” ตามแนวคิดการเป็นฐานการผลิตของประเทศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นประตูเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ทล. โดยสํานักก่อสร้างทางที่ 2 จึงเร่งดําเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวระหว่าง กม. ที่ 267+630 - 300+423 ระยะทางรวม 32.78 กิโลเมตร โดยจุดเริ่มต้นโครงการอยู่ในพื้นที่ตําบลตาดทอง อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร สิ้นสุดที่บ้านน้ําปลีก ตําบลน้ําปลีก อําเภอเมือง จังหวัดอํานาจเจริญ แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 ระหว่าง กม. ที่ 267+630 - 283+980 ระยะทาง 16.35 กิโลเมตร และตอนที่ 2 ระหว่าง กม. ที่ 283+980 - 300+423 ระยะทางรวม 16.43 กิโลเมตร โดยขยายจาก 2 ช่องจราจรเป็นมาตรฐานทาง ชั้นพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร (ไปกลับข้างละ 2 ช่องจราจร) คันทางเดิม 10 เมตร ขยายเป็น 24.10 เมตร ผิวทางเป็นแอสฟัลท์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านนอกกว้าง 2.50 เมตร ไหล่ทางด้านในกว้าง 2.50 เมตร มีเกาะกลางแบบเป็นราวหรือกําแพงกั้น (Barrier Median) รวมงานก่อสร้างสะพานคอนกรีตข้ามคลองอีก 9 แห่ง และก่อสร้างศาลาทางหลวงในบริเวณสองข้างทางเพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชน จํานวน 45 แห่ง พร้อมติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดเส้นทาง งบประมาณรวม 1,271 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณ 95% คาดว่าจะก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน 2565 โดย ทล. เปิดให้บริการบางส่วน เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนไปแล้ว ระยะทาง 16.35 กิโลเมตร ทั้งนี้ ทางหลวงหมายเลข 202 สายชัยภูมิ - เขมราฐ เป็นทางหลวงแผ่นดินแนวตะวันตก - ตะวันออก มีระยะทางตลอดทั้งสาย 392.32 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสายสําคัญผ่านจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี มีพื้นที่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและประเทศกัมพูชา มีจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนรวม 9 แห่ง ส่งผลให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงสู่ภูมิภาคอินโดจีน หากโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง แก้ไขปัญหาการจราจร เติมเต็มโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สนับสนุนการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน ช่วยกระจายความเจริญทางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคตามแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51931
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สัญจรผ่านไม่ได้ 13 สายทาง พร้อมช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน
วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สัญจรผ่านไม่ได้ 13 สายทาง พร้อมช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด รวม 28 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 13 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม นครสวรรค์ สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทรา รวม 28 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 13 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 7 สายทาง (7 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 5 สายทาง (5 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว/กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 45 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100) 2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800) 3. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 4. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800) 5. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 1+700) 6. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 2+200) 7. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลําน้ําชี อําเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400) 8. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 12+800 - 13+000) 9. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 10. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 11. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075) 12. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300) 13. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 – บ้านเขาราบ อําเภอยางราก จังหวัดลพบุรี น้ํากัดเซาะคอสะพาน (ช่วง กม. ที่ 1+130 - 1+135) ทั้งนี้ ทช. ได้ติดตั้งป้ายเตือนบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เร่งเข้าดําเนินการซ่อมแซมปรับปรุงในสายทางที่ได้รับความเสียหายหลังจากระดับน้ําลดลง และตรวจสอบผลกระทบในบริเวณสายทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เส้นทางได้อย่างสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนโปรดระมัดระวังในการใช้เส้นทาง และสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบทโทร. 1146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สัญจรผ่านไม่ได้ 13 สายทาง พร้อมช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สัญจรผ่านไม่ได้ 13 สายทาง พร้อมช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด รวม 28 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 13 สายทาง กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 16 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม นครสวรรค์ สุพรรณบุรี และฉะเชิงเทรา รวม 28 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 15 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 13 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 7 สายทาง (7 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 5 สายทาง (5 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว/กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้ 1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 45 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100) 2. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800) 3. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600) 4. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800) 5. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 1+700) 6. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 2+200) 7. สายทาง ขก.020 สะพานข้ามลําน้ําชี อําเภอโคกโพธิ์ไชย และแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 5+400) 8. สายทาง ขก.1039 แยก ทล.2 - บ้านหนองไห อําเภอบ้านแฮด และมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 12+800 - 13+000) 9. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 10. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร 11. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075) 12. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+500 - 7+300) 13. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 – บ้านเขาราบ อําเภอยางราก จังหวัดลพบุรี น้ํากัดเซาะคอสะพาน (ช่วง กม. ที่ 1+130 - 1+135) ทั้งนี้ ทช. ได้ติดตั้งป้ายเตือนบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เร่งเข้าดําเนินการซ่อมแซมปรับปรุงในสายทางที่ได้รับความเสียหายหลังจากระดับน้ําลดลง และตรวจสอบผลกระทบในบริเวณสายทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เส้นทางได้อย่างสะดวกปลอดภัยในการเดินทาง ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ประชาชนโปรดระมัดระวังในการใช้เส้นทาง และสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบทโทร. 1146
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงข้อเรียกร้องผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำคิงส์เกต
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงข้อเรียกร้องผู้ได้รับผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคําคิงส์เกต กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ยืนยันการต่ออายุประทานบัตรเหมืองทองอัคราอยู่ในพื้นที่เดิม และทําตามกฏหมายทุกขั้นตอน วันที่ 13 มีนาคม 2565 นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจง ดังนี้ 1. ขอให้เพิกถอนการต่ออนุญาตประทานบัตรและใบประกอบโลหกรรมในพื้นที่สัมปทานแปลงใหม่เอาไว้ก่อน จนกว่าจะทําประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EHIA) อย่างครบถ้วน ข้อชี้แจง: การต่ออายุประทานบัตรจํานวน 4 แปลง และใบประกอบโลหกรรม ของบริษัท อัคราฯ เป็นกระบวนการพิจารณาอนุญาตตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยการอนุญาตต่ออายุในครั้งนี้เป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่เดิม ไม่ได้มีการเพิ่มหรือขยายพื้นที่ใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ ในคราวขอขยายกําลังการผลิตโรงประกอบโลหกรรมปี พ.ศ. 2555 บริษัท อัคราฯ ได้จัดทํารายงาน EHIA ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว 2. ขอให้ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่โดยรอบ จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับพื้นที่ทําเหมืองในรัศมีไม่ต่ํากว่า 5 กิโลเมตร ข้อชี้แจง: บริษัท อัคราฯ ได้ดําเนินการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่โดยรอบอย่างครบถ้วนแล้ว โดยก่อนการพิจารณาอนุญาตต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตประกอบโลหกรรม ได้มีการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน (Baseline data) ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานเรื่องดิน ตะกอนดิน น้ําผิวดิน น้ําใต้ดิน คุณภาพอากาศ เสียง และข้อมูลพื้นฐานด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนสําหรับการทําเหมืองและการประกอบโลหกรรม นอกจากนี้ ได้รวบรวมและศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร โดยมีการตรวจสุขภาพทั่วไป การเก็บข้อมูลตัวอย่างด้านชีวภาพ (Biomarkers) รวมทั้งการถ่ายภาพรังสีปอด เพื่อเป็นฐานข้อมูลสําหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพของประชาชนจากการทําเหมือง ซึ่งวิธีการเก็บตัวอย่างและการวิเคราะห์ตัวอย่างด้านชีวภาพได้ดําเนินการตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดแล้ว ในเรื่องพื้นที่กันชน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งการต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตประกอบโลหกรรมของบริษัท อัคราฯ ได้มีการกําหนดแนวพื้นที่กันชนที่มีระยะห่างจากชุมชนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดโดยครบถ้วนแล้ว 3. ขอให้สอบสวนกรณีการอนุญาตให้เปิดเหมืองใหม่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อชี้แจง: การต่ออายุประทานบัตรเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการแร่ตามขั้นตอนปกติที่กฎหมายกําหนดไว้ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โดยการกลับมาประกอบกิจการเหมืองแร่ของบริษัท อัคราฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ ทั้ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 และกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ซึ่งมีมาตรการที่เหมาะสม รัดกุม และสามารถปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน จากผลกระทบที่อาจเกิดจากการทําเหมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในการอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตรของบริษัท อัคราฯ คณะกรรมการแร่ยังได้กําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ กพร. แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกําหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผู้แทนผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตรวจสอบการประกอบกิจการ พร้อมนี้ กพร. ได้มอบนโยบายและกําชับให้บริษัทฯ ส่งเสริม ช่วยเหลือ และพัฒนาชุมชน เพื่อให้การประกอบกิจการได้รับการยอมรับ มีความสัมพันธ์ที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงข้อเรียกร้องผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำคิงส์เกต วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงข้อเรียกร้องผู้ได้รับผลกระทบจากการทําเหมืองแร่ทองคําคิงส์เกต กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ยืนยันการต่ออายุประทานบัตรเหมืองทองอัคราอยู่ในพื้นที่เดิม และทําตามกฏหมายทุกขั้นตอน วันที่ 13 มีนาคม 2565 นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจง ดังนี้ 1. ขอให้เพิกถอนการต่ออนุญาตประทานบัตรและใบประกอบโลหกรรมในพื้นที่สัมปทานแปลงใหม่เอาไว้ก่อน จนกว่าจะทําประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EHIA) อย่างครบถ้วน ข้อชี้แจง: การต่ออายุประทานบัตรจํานวน 4 แปลง และใบประกอบโลหกรรม ของบริษัท อัคราฯ เป็นกระบวนการพิจารณาอนุญาตตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยการอนุญาตต่ออายุในครั้งนี้เป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่เดิม ไม่ได้มีการเพิ่มหรือขยายพื้นที่ใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ ในคราวขอขยายกําลังการผลิตโรงประกอบโลหกรรมปี พ.ศ. 2555 บริษัท อัคราฯ ได้จัดทํารายงาน EHIA ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว 2. ขอให้ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่โดยรอบ จัดให้มีพื้นที่ปลอดภัยเป็นแนวกันชนระหว่างชุมชนกับพื้นที่ทําเหมืองในรัศมีไม่ต่ํากว่า 5 กิโลเมตร ข้อชี้แจง: บริษัท อัคราฯ ได้ดําเนินการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่โดยรอบอย่างครบถ้วนแล้ว โดยก่อนการพิจารณาอนุญาตต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตประกอบโลหกรรม ได้มีการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน (Baseline data) ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานเรื่องดิน ตะกอนดิน น้ําผิวดิน น้ําใต้ดิน คุณภาพอากาศ เสียง และข้อมูลพื้นฐานด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนสําหรับการทําเหมืองและการประกอบโลหกรรม นอกจากนี้ ได้รวบรวมและศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่รัศมี 5 กิโลเมตร โดยมีการตรวจสุขภาพทั่วไป การเก็บข้อมูลตัวอย่างด้านชีวภาพ (Biomarkers) รวมทั้งการถ่ายภาพรังสีปอด เพื่อเป็นฐานข้อมูลสําหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพของประชาชนจากการทําเหมือง ซึ่งวิธีการเก็บตัวอย่างและการวิเคราะห์ตัวอย่างด้านชีวภาพได้ดําเนินการตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดแล้ว ในเรื่องพื้นที่กันชน กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งการต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตประกอบโลหกรรมของบริษัท อัคราฯ ได้มีการกําหนดแนวพื้นที่กันชนที่มีระยะห่างจากชุมชนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดโดยครบถ้วนแล้ว 3. ขอให้สอบสวนกรณีการอนุญาตให้เปิดเหมืองใหม่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อชี้แจง: การต่ออายุประทานบัตรเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการแร่ตามขั้นตอนปกติที่กฎหมายกําหนดไว้ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว โดยการกลับมาประกอบกิจการเหมืองแร่ของบริษัท อัคราฯ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ ทั้ง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 และกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ซึ่งมีมาตรการที่เหมาะสม รัดกุม และสามารถปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน จากผลกระทบที่อาจเกิดจากการทําเหมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในการอนุญาตให้ต่ออายุประทานบัตรของบริษัท อัคราฯ คณะกรรมการแร่ยังได้กําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ กพร. แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมเฝ้าระวังผลกระทบจากการทําเหมืองตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกําหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยผู้แทนผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการตรวจสอบการประกอบกิจการ พร้อมนี้ กพร. ได้มอบนโยบายและกําชับให้บริษัทฯ ส่งเสริม ช่วยเหลือ และพัฒนาชุมชน เพื่อให้การประกอบกิจการได้รับการยอมรับ มีความสัมพันธ์ที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52528
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก เช่น MV ลิซ่า นํางานหัตถศิลป์ไทยโชว์ทั่วโลก วันนี้ (13 ก.ย.2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความชื่นชมและภูมิใจนักออกแบบไทยสามารถนําวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่ ตรงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งคือการผลักดัน "Soft Power" ไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รัฐบาลเร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขา คือ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม 12) แฟชั่น 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) 4.มวยไทย (Fighting) และ 5.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) เชื่อว่ายังจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมส่งออกสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังยุคโควิด -19 ที่สําคัญของไทยด้วย นายธนกรฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กําหนดโมเดล BCG ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย "ปัญญา” "สร้างสรรค์" มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยจะประสบความสําเร็จ เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สะสมอยู่เป็นจํานวนมาก ทั้งศิลปหัตถกรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนที่มี "อัตลักษณ์" ของตนเอง นํามาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของคนไทย ก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ล่าสุด จากกระแสความชื่นชม MV ของศิลปินลิซ่า ที่มีการสอดแทรกงานหัตถศิลป์ และสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญของไทย มียอดผู้ชมกว่า 100 ล้านวิวแล้ว เชี่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงและออกแบบแฟชั่นไทย ในการนําทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด เป็นสินค้า/บริการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ไทยมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาครองรับอยู่แล้ว "ท่านนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสําเร็จของศิลปินไทย ทุกสาขาศิลปะ ดนตรี ภาพยนต์ ออกแบบดีไซน์ รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนประสบความสําเร็จ เชื่อว่าจะช่วยจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ในการนําศิลปวัฒนธรรมไทยมาสร้างสรรค์เป็น soft power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในระดับโลก" นายธนกรฯ กล่าว ---------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก วันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2564 นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก เช่น MV ลิซ่า นํางานหัตถศิลป์ไทยโชว์ทั่วโลก วันนี้ (13 ก.ย.2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความชื่นชมและภูมิใจนักออกแบบไทยสามารถนําวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่ ตรงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งคือการผลักดัน "Soft Power" ไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รัฐบาลเร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขา คือ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม 12) แฟชั่น 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) 4.มวยไทย (Fighting) และ 5.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) เชื่อว่ายังจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมส่งออกสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังยุคโควิด -19 ที่สําคัญของไทยด้วย นายธนกรฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กําหนดโมเดล BCG ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย "ปัญญา” "สร้างสรรค์" มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยจะประสบความสําเร็จ เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สะสมอยู่เป็นจํานวนมาก ทั้งศิลปหัตถกรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนที่มี "อัตลักษณ์" ของตนเอง นํามาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของคนไทย ก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ล่าสุด จากกระแสความชื่นชม MV ของศิลปินลิซ่า ที่มีการสอดแทรกงานหัตถศิลป์ และสถานที่ท่องเที่ยวสําคัญของไทย มียอดผู้ชมกว่า 100 ล้านวิวแล้ว เชี่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงและออกแบบแฟชั่นไทย ในการนําทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด เป็นสินค้า/บริการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ไทยมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาครองรับอยู่แล้ว "ท่านนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสําเร็จของศิลปินไทย ทุกสาขาศิลปะ ดนตรี ภาพยนต์ ออกแบบดีไซน์ รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนประสบความสําเร็จ เชื่อว่าจะช่วยจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ในการนําศิลปวัฒนธรรมไทยมาสร้างสรรค์เป็น soft power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในระดับโลก" นายธนกรฯ กล่าว ---------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33 รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33 เมื่อวันที่9กันยายน2564เวลา10.00น.นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันท์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบใบประกาศขอบคุณภาคเอกชนที่ร่วมให้การสนับสนุนสถานที่และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมที่สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงานและสถานประกอบการและเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ผู้ประกันตนบุคลากรทางการแพทย์ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครปฐมณอาคารปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ84พรรษามหาราชาวัดไร่ขิงตําบลไร่ขิงอําเภอสามพรานโดยมีนายอภินันท์เผือกผ่องรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมพร้อมด้วยทีม5เสือแรงงานจังหวัดนครปฐมผู้อํานวยการโรงพยาบาลสามพรานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้การต้อนรับในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง จังหวัดนครปฐมมีผู้ประกันตนม.33จํานวน242,726คนที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรวัคซีนจํานวน15,000คนโดยเริ่มฉีดมาตั้งแต่วันที่22กรกฎาคม2564ในการนี้ได้เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33 (เข็มที่2)ใน2จุดบริการได้แก่จุดบริการแรกณโรงพยาบาลสามพรานกําหนดฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตนม.33ณอาคารปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ84พรรษามหาราชาวัดไร่ขิงจํานวน7,500คนจุดบริการที่สองณโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์จํานวน7,500คนโดยกําหนดฉีดจุดละ750คน/วันทั้งนี้จังหวัดนครปฐมได้ดําเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนแล้วจํานวน13,163คนแยกเป็นคนไทยจํานวน6,891คนและคนต่างด้าวจํานวน6,272คนและจะสามารถฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้วเสร็จตามแผนในวันที่10กันยายน2564นี้ จากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดครั้งที่56/2564เมื่อวันจันทร์6กันยายน2564ที่ผ่านมาได้มีมติให้สํานักงานประกันสังคมทําหนังสือขอความอนุเคราะห์จากกรมควบคุมโรคติดต่อโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสํานักงานประกันสังคมให้เร่งรัดการจัดสรรวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนม.33จังหวัดนครปฐมเพื่อลดการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Covid -19)และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรวดเร็วทั่วถึงและทันเหตุการณ์ ส่วนการกําหนดแผนและการบริหารจัดการวัคซีนนั้นได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครปฐมในการเลือกกลุ่มเป้าหมายจากฐานข้อมูลการลงทะเบียนแสดงความประสงค์ฉีดวัคซีนของสถานประกอบการเพื่อผู้ประกันตนม.33จังหวัดนครปฐมจากสํานักงานประกันสังคมแล้วมอบหมายให้สํานักงานประกันสังคมโทรแจ้งการนัดหมายซึ่งกระจายจุดฉีดวัคซีนไปในพื้นที่เป้าหมายในจังหวัดตามสภาพความเสี่ยงของโรคให้มีความสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลในที่สุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 9กันยายน2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33 วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน 2564 รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33 รมว.แรงงาน มอบที่ปรึกษา ลงพื้นที่จังหวัดนครปฐมเพื่อตรวจเยี่ยมศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33 เมื่อวันที่9กันยายน2564เวลา10.00น.นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันท์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบใบประกาศขอบคุณภาคเอกชนที่ร่วมให้การสนับสนุนสถานที่และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคมที่สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงานและสถานประกอบการและเพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ผู้ประกันตนบุคลากรทางการแพทย์ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครปฐมณอาคารปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ84พรรษามหาราชาวัดไร่ขิงตําบลไร่ขิงอําเภอสามพรานโดยมีนายอภินันท์เผือกผ่องรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมพร้อมด้วยทีม5เสือแรงงานจังหวัดนครปฐมผู้อํานวยการโรงพยาบาลสามพรานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้การต้อนรับในครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียง จังหวัดนครปฐมมีผู้ประกันตนม.33จํานวน242,726คนที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรวัคซีนจํานวน15,000คนโดยเริ่มฉีดมาตั้งแต่วันที่22กรกฎาคม2564ในการนี้ได้เปิดจุดบริการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนมาตรา33 (เข็มที่2)ใน2จุดบริการได้แก่จุดบริการแรกณโรงพยาบาลสามพรานกําหนดฉีดวัคซีนแก่ผู้ประกันตนม.33ณอาคารปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ84พรรษามหาราชาวัดไร่ขิงจํานวน7,500คนจุดบริการที่สองณโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์จํานวน7,500คนโดยกําหนดฉีดจุดละ750คน/วันทั้งนี้จังหวัดนครปฐมได้ดําเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนแล้วจํานวน13,163คนแยกเป็นคนไทยจํานวน6,891คนและคนต่างด้าวจํานวน6,272คนและจะสามารถฉีดวัคซีนเข็มที่สองแล้วเสร็จตามแผนในวันที่10กันยายน2564นี้ จากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดครั้งที่56/2564เมื่อวันจันทร์6กันยายน2564ที่ผ่านมาได้มีมติให้สํานักงานประกันสังคมทําหนังสือขอความอนุเคราะห์จากกรมควบคุมโรคติดต่อโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสํานักงานประกันสังคมให้เร่งรัดการจัดสรรวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนม.33จังหวัดนครปฐมเพื่อลดการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา2019 (Covid -19)และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรวดเร็วทั่วถึงและทันเหตุการณ์ ส่วนการกําหนดแผนและการบริหารจัดการวัคซีนนั้นได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครปฐมในการเลือกกลุ่มเป้าหมายจากฐานข้อมูลการลงทะเบียนแสดงความประสงค์ฉีดวัคซีนของสถานประกอบการเพื่อผู้ประกันตนม.33จังหวัดนครปฐมจากสํานักงานประกันสังคมแล้วมอบหมายให้สํานักงานประกันสังคมโทรแจ้งการนัดหมายซึ่งกระจายจุดฉีดวัคซีนไปในพื้นที่เป้าหมายในจังหวัดตามสภาพความเสี่ยงของโรคให้มีความสอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลในที่สุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 9กันยายน2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ช่วยลูกค้า-ลูกหนี้ พักชำระหนี้ สูงสุด 6 เดือน ขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนจ่าย 20%
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 บสย. ช่วยลูกค้า-ลูกหนี้ พักชําระหนี้ สูงสุด 6 เดือน ขยายเวลาชําระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนจ่าย 20% บสย. ออกมาตรการต่อลมหายใจ ผ่อนปรนและบรรเทาให้ผู้ประกอบธุรกิจ ขยายเวลาชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 เดือน พักชําระหนี้สูงสุด 6 เดือน ผ่อนจ่ายเบา 20% ขั้นต่ํา 500 บาท นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. ได้ออกมาตรการต่อลมหายใจธุรกิจ ผ่อนปรนและบรรเทา ความเดือดร้อนผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้บริการ “ค้ําประกันสินเชื่อ” กับ บสย. สอดคล้องตามนโยบายและมาตรการของรัฐ เร่งลดผลกระทบของผู้ประกอบธุรกิจให้มากที่สุด ได้แก่ 1. มาตรการพักชําระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนปรนขยายระยะเวลาการชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสําหรับลูกค้าปัจจุบัน บสย. ทุกประเภทโครงการค้ําประกัน ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั่วประเทศ ที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียมการค้ําประกันสินเชื่อในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2564 - 30 กันยายน 2564 2. มาตรการลดค่างวด สําหรับลูกหนี้ประนอมหนี้กับ บสย. ลดค่างวดผ่อนชําระเหลือ 20% หรือชําระขั้นต่ํา 500 บาท/เดือน สูงสุด 6 เดือน แต่ไม่เกินงวดเดือนธันวาคม 2564 ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 3. มาตรการพักชําระหนี้ สูงสุด 6 เดือน สําหรับลูกหนี้ที่ประนอมหนี้กับ บสย. ในกลุ่มที่เป็นลูกหนี้ประเภทธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจภาคท่องเที่ยว และโรงแรม และกลุ่มธุรกิจที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการภาครัฐ ระยะเวลาการพักชําระไม่เกินค่างวดเดือนธันวาคม 2564 ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 ภายใต้ มาตรการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบธุรกิจได้มากกว่า 10,000 ราย วงเงินค้ําประกันรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บสย. ยังได้เร่งศึกษาผลกระทบและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจมีความต่อเนื่อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center 02-890-9999
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. ช่วยลูกค้า-ลูกหนี้ พักชำระหนี้ สูงสุด 6 เดือน ขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนจ่าย 20% วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 บสย. ช่วยลูกค้า-ลูกหนี้ พักชําระหนี้ สูงสุด 6 เดือน ขยายเวลาชําระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนจ่าย 20% บสย. ออกมาตรการต่อลมหายใจ ผ่อนปรนและบรรเทาให้ผู้ประกอบธุรกิจ ขยายเวลาชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2 เดือน พักชําระหนี้สูงสุด 6 เดือน ผ่อนจ่ายเบา 20% ขั้นต่ํา 500 บาท นางวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. ได้ออกมาตรการต่อลมหายใจธุรกิจ ผ่อนปรนและบรรเทา ความเดือดร้อนผู้ประกอบธุรกิจที่ใช้บริการ “ค้ําประกันสินเชื่อ” กับ บสย. สอดคล้องตามนโยบายและมาตรการของรัฐ เร่งลดผลกระทบของผู้ประกอบธุรกิจให้มากที่สุด ได้แก่ 1. มาตรการพักชําระค่าธรรมเนียม 2 เดือน ผ่อนปรนขยายระยะเวลาการชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสําหรับลูกค้าปัจจุบัน บสย. ทุกประเภทโครงการค้ําประกัน ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั่วประเทศ ที่ครบกําหนดชําระค่าธรรมเนียมการค้ําประกันสินเชื่อในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2564 - 30 กันยายน 2564 2. มาตรการลดค่างวด สําหรับลูกหนี้ประนอมหนี้กับ บสย. ลดค่างวดผ่อนชําระเหลือ 20% หรือชําระขั้นต่ํา 500 บาท/เดือน สูงสุด 6 เดือน แต่ไม่เกินงวดเดือนธันวาคม 2564 ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 3. มาตรการพักชําระหนี้ สูงสุด 6 เดือน สําหรับลูกหนี้ที่ประนอมหนี้กับ บสย. ในกลุ่มที่เป็นลูกหนี้ประเภทธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจภาคท่องเที่ยว และโรงแรม และกลุ่มธุรกิจที่ต้องปิดกิจการตามมาตรการภาครัฐ ระยะเวลาการพักชําระไม่เกินค่างวดเดือนธันวาคม 2564 ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 ภายใต้ มาตรการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยผู้ประกอบธุรกิจได้มากกว่า 10,000 ราย วงเงินค้ําประกันรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บสย. ยังได้เร่งศึกษาผลกระทบและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดําเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจมีความต่อเนื่อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center 02-890-9999
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44017
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 กรกฎาคม 2565
วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 กรกฎาคม 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (12 กรกฎาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนมะเขือแจ้ จังหวัดลําพูน พ.ศ. .... 5. เรื่อง หลักการในการปรับปรุงพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณา อนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 6. เรื่อง การจัดทําเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระ 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 8. เรื่อง ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสําหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2565 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 9. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อเป็นค่าปรับปรุงซ่อมแซม อาคารเรียน อาคารประกอบและสิ่งก่อสร้างอื่นให้กับโรงเรียนที่ประสบภัยธรรมชาติในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 10. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรกรณีโค - กระบือป่วยด้วยโรคลัมปี สกิน 11. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2565 และครั้งที่ 18/2565 12. เรื่อง การขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) [ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สําหรับกรณีการโอน และการจํานองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด] 13. เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง 14. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการ เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร และโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า 15. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการ เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ต่างประเทศ 16. เรื่อง ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจําปี ค.ศ. 2022 17. เรื่อง ผลการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum ครั้งที่ 27 18. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ (AEMs’ Special Meeting) ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย แต่งตั้ง 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (สํานักนายกรัฐมนตรี) 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข) 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) 23. เรื่อง การต่อเวลาการดํารงตําแหน่งของอธิบดีกรมปศุสัตว์ (ครั้งที่ 1) (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 เพื่อกําหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาและสีประจําสาขาวิชาของสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาวิชาเทคโนโลยี ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 2. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ มท. เสนอว่า 1. ในปัจจุบันการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยของชาวต่างชาตินับได้ว่ามีความสําคัญต่อสังคมไทย โดยมีเหตุผลที่ต้องการเข้ามามีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศไทยหลายประการ เช่น เข้ามาเพื่อทํางาน เพื่อการลงทุน เพื่ออยู่กับครอบครัว คู่สมรส หรือบุตรที่อยู่ในประเทศไทย การสนับสนุนชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาดําเนินธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทย เป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ประการหนึ่ง ทําให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องการการลงทุนจากต่างประเทศ 2. โดยที่มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอํานาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดจํานวนคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี แต่มิให้เกินประเทศละ 100 คนต่อปี และสําหรับคนต่างด้าวไร้สัญชาติมิให้เกิน 50 คนต่อปี และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติให้คนต่างด้าวจะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง และด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกอบกับมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตํารวจ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว 3. ดังนั้น เพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุน อีกทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ครอบครัวมีความมั่นคงและอบอุ่น การให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรแก่คนต่างด้าวจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย มท. จึงเห็นควรประกาศกําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. 2565 4. สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ยกร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... ขึ้น และในคราวประชุมคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว และให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สาระสําคัญของร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย กําหนดให้คนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรประจําปี พ.ศ. 2564 มีจํานวนประเทศละไม่เกิน 100 คน และคนต่างด้าวไร้สัญชาติมีจํานวนไม่เกิน 50 คน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดวิชาชีพและจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย และเห็นชอบให้ส่งร่างกฎกระทรวงกําหนดชนิดและจํานวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จําเป็นประจําสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว แล้วดําเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย 3. ให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงกําหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่น และสิทธิของผู้ป่วย(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว เพื่อรัฐมนตรีสาธารณสุขพิจารณาลงนาม ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปพร้อมกับร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ตามข้อ 1 เมื่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอ (ร่างเดิม) ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. แก้ไข ตามคําสั่ง รอง นรม. (นายอนุทินฯ) หมายเหตุ 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ข้อ 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 12/2 และข้อ 12/3 แห่งกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. 2558 “ข้อ 12/2 โรงพยาบาลผู้สูงอายุต้องประกอบด้วยหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการ ดังต่อไปนี้” (1) แผนกเวชระเบียน ฯลฯ (5) แผนกเภสัชกรรม (6) แผนกกายภาพบําบัด (7) แผนกรังสีวิทยา (8) แผนกเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ โรงพยาบาลผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (5) (7) และ (8) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็น 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม (14) การบริการทันตกรรม โรงพยาบาลผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (7) และ (8) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็น - เพิ่มขึ้นใหม่ - ตัด (5) ออก ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอ ตามมติ ครม. (2 มิ.ย. 63) ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. แก้ไข ตามคําสั่ง รอง นรม. (นายอนุทินฯ) หมายเหตุ “ข้อ 12/3 โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุต้องประกอบด้วยหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการ ดังต่อไปนี้ ” ฯลฯ (4) แผนกเภสัชกรรม ฯลฯ (6) แผนกกิจกรรมบําบัด (7) แผนกรังสีวิทยา (8) แผนกเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ (9) ระบบดูแลและส่งต่อผู้ป่วย ฯลฯ (14) หน่วยบริการหรือระบบสนับสนุนการให้บริการอื่นตามที่แจ้งไว้ในการขออนุญาต โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (4) และ (6) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็นได้ คงเดิม คงเดิม คงเดิม (7) แผนกโภชนาการ คงเดิม คงเดิม (10) การบริการทันตกรรม คงเดิม คงเดิม โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (6) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็นได้ - เพิ่มขึ้นใหม่ - เพิ่มขึ้นใหม่ - ตัด (4) ออก 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิชาชีพและจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการปรับแก้ไข ดังนี้ ตารางท้ายร่างกฎกระทรวง ร่างเดิม ร่างใหม่ 1. ตารางที่ 5/2 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ (ให้บริการช่วงเวลา 08.00 – 20.00 น.) กําหนดให้มีจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ดังนี้ 1.1 โรงพยาบาลขนาดเล็ก - จํานวนเตียง ไม่เกิน 10 เตียง - จํานวนเตียง 11 ถึง 30 เตียง 1.2 โรงพยาบาลขนาดกลาง - จํานวนเตียง 31 ถึง 60 เตียง - จํานวนเตียง 61 ถึง 90 เตียง 1.3 โรงพยาบาลขนาดใหญ่ - จํานวนเตียง 91 ถึง 120 เตียง กําหนดให้สัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต่อจํานวนเตียงที่เพิ่มขึ้น ดังนี้ 2. ตารางที่ 12 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ (ให้บริการช่วงเวลา 20.00 – 08.00 น.) กําหนดให้มีจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ดังนี้ 1.1 โรงพยาบาลขนาดเล็ก - จํานวนเตียง ไม่เกิน 10 เตียง - จํานวนเตียง 11 ถึง 30 เตียง 1.2 โรงพยาบาลขนาดกลาง - จํานวนเตียง 31 ถึง 60 เตียง - จํานวนเตียง 61 ถึง 90 เตียง 1.3 โรงพยาบาลขนาดใหญ่ - จํานวนเตียง 91 ถึง 120 เตียง กําหนดให้สัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต่อจํานวนเตียงที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 กรกฎาคม 2565 วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 12 กรกฎาคม 2565 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (12 กรกฎาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ 4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนมะเขือแจ้ จังหวัดลําพูน พ.ศ. .... 5. เรื่อง หลักการในการปรับปรุงพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณา อนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 6. เรื่อง การจัดทําเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระ 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 8. เรื่อง ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสําหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวใหม่ ปี 2565 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 9. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อเป็นค่าปรับปรุงซ่อมแซม อาคารเรียน อาคารประกอบและสิ่งก่อสร้างอื่นให้กับโรงเรียนที่ประสบภัยธรรมชาติในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 10. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรกรณีโค - กระบือป่วยด้วยโรคลัมปี สกิน 11. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 12/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 17/2565 และครั้งที่ 18/2565 12. เรื่อง การขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) [ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สําหรับกรณีการโอน และการจํานองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกําหนด] 13. เรื่อง มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง 14. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการ เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร และโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า 15. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการ เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ต่างประเทศ 16. เรื่อง ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจําปี ค.ศ. 2022 17. เรื่อง ผลการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีในโอกาสเข้าร่วมการประชุม Nikkei Forum ครั้งที่ 27 18. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ (AEMs’ Special Meeting) ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย แต่งตั้ง 19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (สํานักนายกรัฐมนตรี) 20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข) 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) 23. เรื่อง การต่อเวลาการดํารงตําแหน่งของอธิบดีกรมปศุสัตว์ (ครั้งที่ 1) (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2564 เพื่อกําหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาและสีประจําสาขาวิชาของสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิชารัฐศาสตร์ และสาขาวิชาเทคโนโลยี ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว 2. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ มท. เสนอว่า 1. ในปัจจุบันการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยของชาวต่างชาตินับได้ว่ามีความสําคัญต่อสังคมไทย โดยมีเหตุผลที่ต้องการเข้ามามีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศไทยหลายประการ เช่น เข้ามาเพื่อทํางาน เพื่อการลงทุน เพื่ออยู่กับครอบครัว คู่สมรส หรือบุตรที่อยู่ในประเทศไทย การสนับสนุนชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาดําเนินธุรกิจหรือลงทุนในประเทศไทย เป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ประการหนึ่ง ทําให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังต้องการการลงทุนจากต่างประเทศ 2. โดยที่มาตรา 40 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอํานาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดจํานวนคนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรเป็นรายปี แต่มิให้เกินประเทศละ 100 คนต่อปี และสําหรับคนต่างด้าวไร้สัญชาติมิให้เกิน 50 คนต่อปี และมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่บัญญัติให้คนต่างด้าวจะเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง และด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกอบกับมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 87/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอํานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตํารวจ ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว 3. ดังนั้น เพื่อเป็นการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุน อีกทั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ครอบครัวมีความมั่นคงและอบอุ่น การให้ถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรแก่คนต่างด้าวจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย มท. จึงเห็นควรประกาศกําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. 2565 4. สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ยกร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดจํานวนคนต่างด้าวซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ประจําปี พ.ศ. .... ขึ้น และในคราวประชุมคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว และให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป สาระสําคัญของร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย กําหนดให้คนต่างด้าวที่มีสัญชาติของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรประจําปี พ.ศ. 2564 มีจํานวนประเทศละไม่เกิน 100 คน และคนต่างด้าวไร้สัญชาติมีจํานวนไม่เกิน 50 คน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกําหนดวิชาชีพและจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย และเห็นชอบให้ส่งร่างกฎกระทรวงกําหนดชนิดและจํานวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จําเป็นประจําสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้สอดคล้องกับร่างกฎกระทรวงทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว แล้วดําเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย 3. ให้สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงกําหนดชื่อสถานพยาบาล และการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล อัตราค่ารักษาพยาบาล ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการอื่น และสิทธิของผู้ป่วย(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว เพื่อรัฐมนตรีสาธารณสุขพิจารณาลงนาม ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปพร้อมกับร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ตามข้อ 1 เมื่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้ ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอ (ร่างเดิม) ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. แก้ไข ตามคําสั่ง รอง นรม. (นายอนุทินฯ) หมายเหตุ 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ข้อ 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 12/2 และข้อ 12/3 แห่งกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล พ.ศ. 2558 “ข้อ 12/2 โรงพยาบาลผู้สูงอายุต้องประกอบด้วยหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการ ดังต่อไปนี้” (1) แผนกเวชระเบียน ฯลฯ (5) แผนกเภสัชกรรม (6) แผนกกายภาพบําบัด (7) แผนกรังสีวิทยา (8) แผนกเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ โรงพยาบาลผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (5) (7) และ (8) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็น 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม (14) การบริการทันตกรรม โรงพยาบาลผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (7) และ (8) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็น - เพิ่มขึ้นใหม่ - ตัด (5) ออก ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. เสนอ ตามมติ ครม. (2 มิ.ย. 63) ร่างกฎกระทรวงที่ สธ. แก้ไข ตามคําสั่ง รอง นรม. (นายอนุทินฯ) หมายเหตุ “ข้อ 12/3 โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุต้องประกอบด้วยหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการ ดังต่อไปนี้ ” ฯลฯ (4) แผนกเภสัชกรรม ฯลฯ (6) แผนกกิจกรรมบําบัด (7) แผนกรังสีวิทยา (8) แผนกเทคนิคการแพทย์ ฯลฯ (9) ระบบดูแลและส่งต่อผู้ป่วย ฯลฯ (14) หน่วยบริการหรือระบบสนับสนุนการให้บริการอื่นตามที่แจ้งไว้ในการขออนุญาต โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (4) และ (6) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็นได้ คงเดิม คงเดิม คงเดิม (7) แผนกโภชนาการ คงเดิม คงเดิม (10) การบริการทันตกรรม คงเดิม คงเดิม โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุขนาดเล็กอาจไม่มีหน่วยบริการตาม (6) แต่จะต้องจัดให้มีบริการดังกล่าวเท่าที่จําเป็นได้ - เพิ่มขึ้นใหม่ - เพิ่มขึ้นใหม่ - ตัด (4) ออก 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิชาชีพและจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการปรับแก้ไข ดังนี้ ตารางท้ายร่างกฎกระทรวง ร่างเดิม ร่างใหม่ 1. ตารางที่ 5/2 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ (ให้บริการช่วงเวลา 08.00 – 20.00 น.) กําหนดให้มีจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ดังนี้ 1.1 โรงพยาบาลขนาดเล็ก - จํานวนเตียง ไม่เกิน 10 เตียง - จํานวนเตียง 11 ถึง 30 เตียง 1.2 โรงพยาบาลขนาดกลาง - จํานวนเตียง 31 ถึง 60 เตียง - จํานวนเตียง 61 ถึง 90 เตียง 1.3 โรงพยาบาลขนาดใหญ่ - จํานวนเตียง 91 ถึง 120 เตียง กําหนดให้สัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต่อจํานวนเตียงที่เพิ่มขึ้น ดังนี้ 2. ตารางที่ 12 โรงพยาบาลผู้สูงอายุ (ให้บริการช่วงเวลา 20.00 – 08.00 น.) กําหนดให้มีจํานวนผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ดังนี้ 1.1 โรงพยาบาลขนาดเล็ก - จํานวนเตียง ไม่เกิน 10 เตียง - จํานวนเตียง 11 ถึง 30 เตียง 1.2 โรงพยาบาลขนาดกลาง - จํานวนเตียง 31 ถึง 60 เตียง - จํานวนเตียง 61 ถึง 90 เตียง 1.3 โรงพยาบาลขนาดใหญ่ - จํานวนเตียง 91 ถึง 120 เตียง กําหนดให้สัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต่อจํานวนเตียงที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาได้เดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อระหว่างวันที่25-26มกราคมที่ผ่านมาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่างๆระหว่างสองประเทศรวมทั้งให้ผลักดันความร่วมมือด้านแรงงานเพื่อให้สามารถจัดส่งแรงงานไปทํางานในซาอุดีอาระเบียโดยเร็วที่สุดผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขานรับนโยบายดังกล่าวและเร่งรัดการดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายหลังการเดินทางไปเยือนซาอุตลอดระยะเวลาร่วม46วันที่ผ่านมากระทรวงแรงงานมุ่งมั่นเพื่อให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนวันนี้ข้อตกลงด้านแรงงานได้ข้อยุติแล้วซึ่งในวันที่15มีนาคมที่ผ่านมาผมได้มอบหมายให้นายสุรชัยชัยตระกูลทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานให้การต้อนรับดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีม(Dr. ADNAN ABDULLAH M. ALNUIM) Deputy of minister for International affairกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบียและคณะในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานณโรงแรมอมารีวอเตอร์เกตกรุงเทพฯโดยมีนายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานพล.ต.ต.นันทชาติศุภมงคลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานนางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)นายไพโรจน์โชติกเสถียรอธิบดีกรมการจัดหางานนายประทีปทรงลํายองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนายสมาสภ์ปัทมะสุคนธ์ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงานเข้าร่วมด้วย นายสุรชัยกล่าวว่าท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ที่ท่านดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีมและคณะได้มาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบียจะได้กระชับความสัมพันธ์ด้านแรงงานให้แน่นเฟ้นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะความร่วมมือด้านแรงงานซึ่งการประชุมวิชาการในครั้งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่นและมีความคืบหน้าไปมากเชื่อว่าการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในซาอุดีอาระเบียจะสําเร็จและเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในเร็วๆนี้โดยเฉพาะข่าวดีข้อตกลงด้านแรงงานได้ข้อยุติและแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงขั้นตอนการลงนามเพียงอย่างเดียวซึ่งท่านสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานจะเร่งรัดให้มีการลงนามโดยเร็วที่สุดเพื่อให้สามารถจัดส่งแรงงานได้ นายสุรชัยกล่าวต่อว่าขณะนี้มีคนหางานแจ้งความประสงค์ไปทํางานประเทศซาอุดีอาระเบียที่ลงทะเบียนผ่านระบบE–serviceเว็บไซต์https://toea.doe.go.thแล้วกว่า1,000คนอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติการทดสอบฝีมือแรงงานและการตรวจสอบตําแหน่งที่สมัครว่าตรงตามที่ทางซาอุดีต้องการหรือไม่ส่วนการเดินทางไปลงนามข้อตกลงในวันที่28มีนาคมนี้ตามที่ฝ่ายซาอุเห็นด้วยนั้นกระทรวงแรงงานจะได้หารือในการกําหนดรายละเอียดของการเดินทางในครั้งนี้นอกจากจะลงนามข้อตกลงแล้วจะได้ไปเยี่ยมชมโรงงานดูสภาพการจ้างเพื่อเป็นข้อมูลในการนํามาเผยแพร่ให้คนไทยได้เห็นสภาพการทํางานของซาอุดีอาระเบียอีกด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียนั้นแรงงานถือเป็นกลุ่มแรกที่เป็นเป้าหมายซึ่งทางการไทยต้องขอความร่วมมือทางการซาอุในประเด็นต่างๆเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องการส่งออกสินค้าของไทยอาหารสัตว์สินค้าทางทะเลรวมทั้งการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สําคัญด้านการท่องเที่ยวที่ต้องการให้คนซาอุมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยให้มากขึ้น “กระทรวงแรงงานขอขอบคุณและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้จะกระชับความสัมพันธไมตรีกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมเพื่อร่วมกันผลักดันโอกาสของแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียรวมถึงให้การคุ้มครองแก่แรงงานอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศ”นายสุรชัยกล่าวในท้ายสุด ด้านดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีมรัฐมนตรีช่วยด้านต่างประเทศกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าขอบคุณผู้บริหารกระทรวงแรงงานของไทยที่ให้ความสําคัญทําให้เราได้มีการประชุมร่วมกันทั้ง2วันนี้ถือว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างยิ่งได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ทําให้ความร่วมมือของทั้งสองประเทศเป็นไปด้วยดีและยินดีอย่างยิ่งที่จะต้อนรับท่านสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานในโอกาสการเดินทางไปลงนามข้อตกลงด้านแรงงานในวันที่28มีนาคมที่จะถึงนี้ทางฝ่ายซาอุเองจะได้จัดเตรียมโปรแกรมต่างๆเอาไว้รวมถึงให้มีการประชุมเตรียมการในการเดินทางครั้งนี้จัดทํากําหนดการต่างๆเพื่อให้แรงงานไทยที่ต้องการมาทํางานได้เห็นสภาพการทํางานรวมทั้งการเยี่ยมชมสถานประกอบการต่างๆในซาอุดีอาระเบียด้วยจากความร่วมมือในครั้งนี้จะทําให้คนซาอุดีจะเดินทางมาประเทศไทยโดยเฉพาะการเดินทางมาท่องเที่ยวส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 16มีนาคม2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก ยุติแล้ว!! 28 มี.ค.นี้ ลงนามข้อตกลงแรงงานไทย - ซาอุฯ ตามข้อสั่งการนายก นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาได้เดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียเมื่อระหว่างวันที่25-26มกราคมที่ผ่านมาเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และขับเคลื่อนความร่วมมือด้านต่างๆระหว่างสองประเทศรวมทั้งให้ผลักดันความร่วมมือด้านแรงงานเพื่อให้สามารถจัดส่งแรงงานไปทํางานในซาอุดีอาระเบียโดยเร็วที่สุดผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ขานรับนโยบายดังกล่าวและเร่งรัดการดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องภายหลังการเดินทางไปเยือนซาอุตลอดระยะเวลาร่วม46วันที่ผ่านมากระทรวงแรงงานมุ่งมั่นเพื่อให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนวันนี้ข้อตกลงด้านแรงงานได้ข้อยุติแล้วซึ่งในวันที่15มีนาคมที่ผ่านมาผมได้มอบหมายให้นายสุรชัยชัยตระกูลทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานให้การต้อนรับดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีม(Dr. ADNAN ABDULLAH M. ALNUIM) Deputy of minister for International affairกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบียและคณะในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานณโรงแรมอมารีวอเตอร์เกตกรุงเทพฯโดยมีนายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานพล.ต.ต.นันทชาติศุภมงคลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานนางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)นายไพโรจน์โชติกเสถียรอธิบดีกรมการจัดหางานนายประทีปทรงลํายองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนายสมาสภ์ปัทมะสุคนธ์ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงานเข้าร่วมด้วย นายสุรชัยกล่าวว่าท่านสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ที่ท่านดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีมและคณะได้มาเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบียจะได้กระชับความสัมพันธ์ด้านแรงงานให้แน่นเฟ้นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะความร่วมมือด้านแรงงานซึ่งการประชุมวิชาการในครั้งนี้เป็นไปด้วยความราบรื่นและมีความคืบหน้าไปมากเชื่อว่าการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในซาอุดีอาระเบียจะสําเร็จและเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในเร็วๆนี้โดยเฉพาะข่าวดีข้อตกลงด้านแรงงานได้ข้อยุติและแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงขั้นตอนการลงนามเพียงอย่างเดียวซึ่งท่านสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานจะเร่งรัดให้มีการลงนามโดยเร็วที่สุดเพื่อให้สามารถจัดส่งแรงงานได้ นายสุรชัยกล่าวต่อว่าขณะนี้มีคนหางานแจ้งความประสงค์ไปทํางานประเทศซาอุดีอาระเบียที่ลงทะเบียนผ่านระบบE–serviceเว็บไซต์https://toea.doe.go.thแล้วกว่า1,000คนอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติการทดสอบฝีมือแรงงานและการตรวจสอบตําแหน่งที่สมัครว่าตรงตามที่ทางซาอุดีต้องการหรือไม่ส่วนการเดินทางไปลงนามข้อตกลงในวันที่28มีนาคมนี้ตามที่ฝ่ายซาอุเห็นด้วยนั้นกระทรวงแรงงานจะได้หารือในการกําหนดรายละเอียดของการเดินทางในครั้งนี้นอกจากจะลงนามข้อตกลงแล้วจะได้ไปเยี่ยมชมโรงงานดูสภาพการจ้างเพื่อเป็นข้อมูลในการนํามาเผยแพร่ให้คนไทยได้เห็นสภาพการทํางานของซาอุดีอาระเบียอีกด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากที่ท่านนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียนั้นแรงงานถือเป็นกลุ่มแรกที่เป็นเป้าหมายซึ่งทางการไทยต้องขอความร่วมมือทางการซาอุในประเด็นต่างๆเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งในเรื่องการส่งออกสินค้าของไทยอาหารสัตว์สินค้าทางทะเลรวมทั้งการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สําคัญด้านการท่องเที่ยวที่ต้องการให้คนซาอุมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยให้มากขึ้น “กระทรวงแรงงานขอขอบคุณและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้จะกระชับความสัมพันธไมตรีกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมเพื่อร่วมกันผลักดันโอกาสของแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียรวมถึงให้การคุ้มครองแก่แรงงานอย่างเหมาะสมตามมาตรฐานสากลและพันธกรณีระหว่างประเทศ”นายสุรชัยกล่าวในท้ายสุด ด้านดร.อัฎนันอับดุลลาห์อัล-นาอีมรัฐมนตรีช่วยด้านต่างประเทศกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าขอบคุณผู้บริหารกระทรวงแรงงานของไทยที่ให้ความสําคัญทําให้เราได้มีการประชุมร่วมกันทั้ง2วันนี้ถือว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างยิ่งได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ทําให้ความร่วมมือของทั้งสองประเทศเป็นไปด้วยดีและยินดีอย่างยิ่งที่จะต้อนรับท่านสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานในโอกาสการเดินทางไปลงนามข้อตกลงด้านแรงงานในวันที่28มีนาคมที่จะถึงนี้ทางฝ่ายซาอุเองจะได้จัดเตรียมโปรแกรมต่างๆเอาไว้รวมถึงให้มีการประชุมเตรียมการในการเดินทางครั้งนี้จัดทํากําหนดการต่างๆเพื่อให้แรงงานไทยที่ต้องการมาทํางานได้เห็นสภาพการทํางานรวมทั้งการเยี่ยมชมสถานประกอบการต่างๆในซาอุดีอาระเบียด้วยจากความร่วมมือในครั้งนี้จะทําให้คนซาอุดีจะเดินทางมาประเทศไทยโดยเฉพาะการเดินทางมาท่องเที่ยวส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 16มีนาคม2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ย้ำมาตรการห้ามนำเข้า/ขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องชีวิตคนไทย
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 คกก.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ย้ํามาตรการห้ามนําเข้า/ขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องชีวิตคนไทย คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ มีมติเห็นชอบจุดยืนมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบในประเทศไทย หลังข้อมูลชี้ชัดทําให้เสพติดบุหรี่มากขึ้น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ มีมติเห็นชอบจุดยืนมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบในประเทศไทย หลังข้อมูลชี้ชัดทําให้เสพติดบุหรี่มากขึ้น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อป้องกันเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ ประชาชนทุกคน ไม่ให้ได้รับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ภายใต้นโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด” วันนี้ (28 มีนาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) ครั้งที่ 1/2565โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สปสช. สสส. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นต้น เข้าร่วมประชุม นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) ครั้งที่ 1/2565 มีมติเห็นชอบให้คงมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตามจุดยืนของประเทศไทยในฐานะประเทศรัฐภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เพื่อป้องกันเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงประชาชนทุกคน ไม่ให้ได้รับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ภายใต้แนวนโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด” เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทางของการสูบบุหรี่ธรรมดาในเด็กและเยาวชน นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าทําให้เกิดการเสพติดที่สําคัญ นอกจากนั้น บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงแล้วยังส่งผลเสียต่อสังคม ทําให้ประเทศไทยถอยหลังในการควบคุมการบริโภคยาสูบ ฉะนั้น การห้ามจําหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นมาตรการสําคัญในการปกป้องเด็กจากการตกเป็นเหยื่อ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเตรียมพิจารณาหากเข้าเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะนําเสนอเข้า ครม.เพื่อให้ทราบมติจากที่ประชุมต่อไป ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คผยช. กล่าวว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยมีมาตรการทางกฎหมายในการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังพบมีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ไฟฟ้า จากผลสํารวจการบริโภคยาสูบของสํานักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบว่า มีคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 78,742 คน ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นเพศชาย 71,486 คน เพศหญิง 7,256 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และภาคกลางโดยในจํานวนนี้ เป็นเด็กเยาวชนและวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี 24,050 คน ********************************************** 28 มีนาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ย้ำมาตรการห้ามนำเข้า/ขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องชีวิตคนไทย วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 คกก.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ย้ํามาตรการห้ามนําเข้า/ขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องชีวิตคนไทย คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ มีมติเห็นชอบจุดยืนมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบในประเทศไทย หลังข้อมูลชี้ชัดทําให้เสพติดบุหรี่มากขึ้น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ มีมติเห็นชอบจุดยืนมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าทุกรูปแบบในประเทศไทย หลังข้อมูลชี้ชัดทําให้เสพติดบุหรี่มากขึ้น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อป้องกันเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ ประชาชนทุกคน ไม่ให้ได้รับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ภายใต้นโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด” วันนี้ (28 มีนาคม 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) ครั้งที่ 1/2565โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สปสช. สสส. และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นต้น เข้าร่วมประชุม นายแพทย์เกียรติภูมิ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) ครั้งที่ 1/2565 มีมติเห็นชอบให้คงมาตรการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ตามจุดยืนของประเทศไทยในฐานะประเทศรัฐภาคีภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เพื่อป้องกันเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงประชาชนทุกคน ไม่ให้ได้รับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท ภายใต้แนวนโยบาย “ปลอดภัยไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด” เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นต้นทางของการสูบบุหรี่ธรรมดาในเด็กและเยาวชน นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าทําให้เกิดการเสพติดที่สําคัญ นอกจากนั้น บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้จริงแล้วยังส่งผลเสียต่อสังคม ทําให้ประเทศไทยถอยหลังในการควบคุมการบริโภคยาสูบ ฉะนั้น การห้ามจําหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นมาตรการสําคัญในการปกป้องเด็กจากการตกเป็นเหยื่อ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเตรียมพิจารณาหากเข้าเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะนําเสนอเข้า ครม.เพื่อให้ทราบมติจากที่ประชุมต่อไป ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คผยช. กล่าวว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยมีมาตรการทางกฎหมายในการห้ามนําเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังพบมีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ไฟฟ้า จากผลสํารวจการบริโภคยาสูบของสํานักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบว่า มีคนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 78,742 คน ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป เป็นเพศชาย 71,486 คน เพศหญิง 7,256 คน ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และภาคกลางโดยในจํานวนนี้ เป็นเด็กเยาวชนและวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-24 ปี 24,050 คน ********************************************** 28 มีนาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อวิจารณ์การดำเนินคดีนายตำรวจที่ซ้อมผู้ต้องหาจนเสียชีวิต
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อวิจารณ์การดําเนินคดีนายตํารวจที่ซ้อมผู้ต้องหาจนเสียชีวิต โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ระบุ ตร.พิจารณาใช้เครื่องพันธนาการผู้ต้องหาตามหลัก “ความจําเป็นและสมควรแก่เหตุ” และดําเนินการทางกฎหมายอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด วันที่ 29 สิงหาคม 2564 พลตํารวจตรี ยิ่งยศ เทพจํานงค์ รองผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 2 โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจง ดังนี้ 1.การใช้เครื่องพันธนาการผู้ต้องหานั้น เจ้าหน้าที่ตํารวจพิจารณาใช้ตามหลัก “ความจําเป็นและสมควรแก่เหตุ” กรณีผู้กํากับโจ้เข้ามอบตัวและปรากฎภาพในสื่อต่าง ๆ ช่วงระหว่างนั่งอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจอยู่ในบริเวณดังกล่าวจํานวนมาก มีการรักษาความปลอดภัยและป้องกันมิให้ผู้กระทําผิดหลบหนี ซึ่งในส่วนของ “สายเคเบิล” ที่นํามาใช้พันข้อมือ (Cable tie) ผู้กํากับโจ้นั้น มีคุณสมบัติที่ทนทานสามารถใช้เป็นเครื่องพันธนาการได้ และสายเคเบิลดังกล่าวก็ยัง “ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจในนานาอารยประเทศ” เช่นกัน “การแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหา” นั้น เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ใน “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ตํารวจแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหา ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว ในส่วนของผู้ต้องหา “มีสิทธิที่จะให้การ หรือ ไม่ให้การก็ได้” โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้สืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสํานวนคดีส่งไปยังพนักงานอัยการและนําคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป 2. คลิปภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นพยานหลักฐานสําคัญที่อาจใช้ลงโทษผู้กระทําผิดกฎหมายได้ ซึ่ง “หากมีการร้องขอจากผู้ที่ถูกข่มขู่ คุกคาม” จากผู้กระทําผิด เจ้าหน้าที่ตํารวจก็พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ดูแล รักษาความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่ ซึ่งในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถติดตาม “จับกุม” นําตัว “7 ผู้ต้องหา” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ทั้งหมดทุกคนที่ถูกออกหมายจับแล้ว จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นและติดตามความคืบหน้าต่อไป 3.ตามคดีที่เกิดขึ้น ผู้กระทําผิดมีการใช้กําลังทําร้ายร่างกายผู้เสียหาย จนนําไปสู่ความสูญเสีย ซึ่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อปรากฏพยานหลักฐานการกระทําผิดอย่างชัดเจน ได้มีการดําเนินการทางวินัยและทางอาญา ตามกฎหมายอย่าง “เด็ดขาดและรวดเร็ว” โดยมีการออกหมายจับเจ้าหน้าที่ตํารวจที่กระทําความผิด และสามารถติดตาม “จับกุมเจ้าหน้าที่ตํารวจทุกคนที่ถูกออกหมายจับมาได้อย่างครบถ้วนแล้ว” กรณีดังกล่าวจะเป็นตัวอย่าง “เตือนใจ” แก่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อวิจารณ์การดำเนินคดีนายตำรวจที่ซ้อมผู้ต้องหาจนเสียชีวิต วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงข้อวิจารณ์การดําเนินคดีนายตํารวจที่ซ้อมผู้ต้องหาจนเสียชีวิต โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ระบุ ตร.พิจารณาใช้เครื่องพันธนาการผู้ต้องหาตามหลัก “ความจําเป็นและสมควรแก่เหตุ” และดําเนินการทางกฎหมายอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด วันที่ 29 สิงหาคม 2564 พลตํารวจตรี ยิ่งยศ เทพจํานงค์ รองผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค 2 โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจง ดังนี้ 1.การใช้เครื่องพันธนาการผู้ต้องหานั้น เจ้าหน้าที่ตํารวจพิจารณาใช้ตามหลัก “ความจําเป็นและสมควรแก่เหตุ” กรณีผู้กํากับโจ้เข้ามอบตัวและปรากฎภาพในสื่อต่าง ๆ ช่วงระหว่างนั่งอยู่ โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจอยู่ในบริเวณดังกล่าวจํานวนมาก มีการรักษาความปลอดภัยและป้องกันมิให้ผู้กระทําผิดหลบหนี ซึ่งในส่วนของ “สายเคเบิล” ที่นํามาใช้พันข้อมือ (Cable tie) ผู้กํากับโจ้นั้น มีคุณสมบัติที่ทนทานสามารถใช้เป็นเครื่องพันธนาการได้ และสายเคเบิลดังกล่าวก็ยัง “ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจในนานาอารยประเทศ” เช่นกัน “การแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหา” นั้น เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ใน “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ตํารวจแจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องหา ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว ในส่วนของผู้ต้องหา “มีสิทธิที่จะให้การ หรือ ไม่ให้การก็ได้” โดยเจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้สืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน สรุปสํานวนคดีส่งไปยังพนักงานอัยการและนําคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อพิจารณาตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป 2. คลิปภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นพยานหลักฐานสําคัญที่อาจใช้ลงโทษผู้กระทําผิดกฎหมายได้ ซึ่ง “หากมีการร้องขอจากผู้ที่ถูกข่มขู่ คุกคาม” จากผู้กระทําผิด เจ้าหน้าที่ตํารวจก็พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ดูแล รักษาความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่ ซึ่งในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจสามารถติดตาม “จับกุม” นําตัว “7 ผู้ต้องหา” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ทั้งหมดทุกคนที่ถูกออกหมายจับแล้ว จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นและติดตามความคืบหน้าต่อไป 3.ตามคดีที่เกิดขึ้น ผู้กระทําผิดมีการใช้กําลังทําร้ายร่างกายผู้เสียหาย จนนําไปสู่ความสูญเสีย ซึ่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อปรากฏพยานหลักฐานการกระทําผิดอย่างชัดเจน ได้มีการดําเนินการทางวินัยและทางอาญา ตามกฎหมายอย่าง “เด็ดขาดและรวดเร็ว” โดยมีการออกหมายจับเจ้าหน้าที่ตํารวจที่กระทําความผิด และสามารถติดตาม “จับกุมเจ้าหน้าที่ตํารวจทุกคนที่ถูกออกหมายจับมาได้อย่างครบถ้วนแล้ว” กรณีดังกล่าวจะเป็นตัวอย่าง “เตือนใจ” แก่เจ้าหน้าที่ตํารวจ ให้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 รมว.พม. ย้ําไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก รมว.พม. ย้ําไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65 เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ องค์การบริหารส่วนตําบลหนองพระ อําเภอวังทอง เพื่อเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลหนองพระ เป็นศูนย์กลางการให้บริการสวัสดิการสังคม ด้วยบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ( One Stop Service) สําหรับการช่วยเหลือประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ พร้อมทั้ง มอบถุงยังชีพแก่ครัวเรือนเปราะบาง มอบประกาศนียบัตรแก่ อพม. เข้มแข็ง และมอบงบประมาณโครงการบ้านพอเพียง ประจําปี 2565 จากนั้น เข้าร่วมประชุมกับประธานศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลในพื้นที่อําเภอวังทอง และอําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อรับฟังสถานการณ์ปัญหา ติดตามการขับเคลื่อนงาน และเสนอแนะแนวทางการพัฒนางานของศูนย์ฯ ณ บ้านสวนดินทอง อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ตนและคณะผู้บริหารกระทรวง พม. มาลงพื้นที่เพื่อติดตามโครงการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่ารัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมาติดตามเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า การลงทะเบียนครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง และการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ อีกทั้งมาเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลหนองพระ เพิ่มอีก 1 แห่ง ในอําเภอวังทอง สําหรับการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะทําให้ทางจังหวัดและอําเภอทํางานได้สะดวกง่ายยิ่งขึ้น โดยประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐจะอํานวยความสะดวกให้ นับเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่างกระทรวงต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานราชการ ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบล จะทําให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 รมว.พม. ย้ําไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก รมว.พม. ย้ําไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลเพิ่ม ที่ จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65 เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ณ องค์การบริหารส่วนตําบลหนองพระ อําเภอวังทอง เพื่อเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลหนองพระ เป็นศูนย์กลางการให้บริการสวัสดิการสังคม ด้วยบริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ ( One Stop Service) สําหรับการช่วยเหลือประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ พร้อมทั้ง มอบถุงยังชีพแก่ครัวเรือนเปราะบาง มอบประกาศนียบัตรแก่ อพม. เข้มแข็ง และมอบงบประมาณโครงการบ้านพอเพียง ประจําปี 2565 จากนั้น เข้าร่วมประชุมกับประธานศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลในพื้นที่อําเภอวังทอง และอําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อรับฟังสถานการณ์ปัญหา ติดตามการขับเคลื่อนงาน และเสนอแนะแนวทางการพัฒนางานของศูนย์ฯ ณ บ้านสวนดินทอง อําเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ กล่าวว่า วันนี้ ตนและคณะผู้บริหารกระทรวง พม. มาลงพื้นที่เพื่อติดตามโครงการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ําว่ารัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมาติดตามเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า การลงทะเบียนครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง และการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ อีกทั้งมาเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลหนองพระ เพิ่มอีก 1 แห่ง ในอําเภอวังทอง สําหรับการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะทําให้ทางจังหวัดและอําเภอทํางานได้สะดวกง่ายยิ่งขึ้น โดยประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐจะอํานวยความสะดวกให้ นับเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่างกระทรวงต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานราชการ ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบล จะทําให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58230
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจำคุก เพื่อหาประโยชน์
วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2565 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจําคุก เพื่อหาประโยชน์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจําคุก เพื่อหาประโยชน์ นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะโฆษกกระทรวงกล่าวว่ากรณีมีผู้เผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562ว่า “คนอื่นโพสต์รูปภาพ–ข้อความในfacebookของเขาแล้วผมหมั่นไส้เลยเข้าไปคอมเม้นท์แล้วทําให้เขาเสียหายถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง ผิดกฎหมายจําคุกไม่เกิน6เดือนหรือปรับไม่เกิน5แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ”ผมขอให้ข้อมูลว่ากรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญาแต่ไม่เข้าข่ายผิดPDPAโดยเฉพาะเรื่องโทษจําคุก6เดือนตามมาตรา79ของPDPA ทั้งนี้PDPAมีบทลงโทษอาญาเพื่อปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพหรือผู้ประสงค์ร้ายกรณีมีการนําข้อมูลอ่อนไหวดังนี้”เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ความคิดเห็นทางการเมืองความเชื่อในลัทธิศาสนาหรือปรัชญาพฤติกรรมทางเพศประวัติอาชญากรรมข้อมูลสุขภาพความพิการข้อมูลสหภาพแรงงานข้อมูลพันธุกรรมข้อมูลชีวภาพ”ของประชาชนไปใช้ทําให้เกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือหาผลประโยชน์แบบผิดกฎหมาย กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวทําให้เกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังโทษสูงสุดจําคุก6เดือนหรือปรับไม่เกิน500,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวหาผลประโยชน์แบบผิดกฎหมายโทษสูงสุดจําคุก1ปีหรือปรับไม่เกิน1,000,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ การลงโทษอาญาต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและองค์ประกอบอาทิเจตนาของการกระทําและการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปเช่นชื่อเบอร์โทรที่อยู่อาศัยหมายเลขประจําตัวไม่เข้าองค์ประกอบโทษอาญาตามมาตรา79 ข้อมูลส่วนบุคคลสามารถถูกนําไปใช้หรือเปิดเผยได้หากได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือเป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้ (1)เป็นข้อมูลที่จําเป็นต้องใช้การทําตามสัญญาให้บริการ (2)เป็นการใช้ข้อมูลที่มีกฎหมายอื่นให้อํานาจไว้ (3)เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือร่างกายของบุคคล (4)เป็นการใช้เพื่อการศึกษาวิจัยหรือสถิติ (5)เป็นการใช้ตามหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ (6)เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทั้งนี้การกําหนดบทลงโทษข้างต้นต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆไป PDPA =พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา79ผู้ควบคุมข้อมูส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา27วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา28อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา26โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังหรือได้รับความอับอายต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหน้าแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา27วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติดตามมาตรา28อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคลคลตามมาตรา26เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฏหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่นต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ติดต่อสอบถามPDPAได้ที่1111หรือ fb : PDPC Thailand ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจำคุก เพื่อหาประโยชน์ วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน 2565 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจําคุก เพื่อหาประโยชน์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ วอน อย่าใช้ PDPA บิดเบือน หรือ สร้างความกลัวโทษจําคุก เพื่อหาประโยชน์ นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในฐานะโฆษกกระทรวงกล่าวว่ากรณีมีผู้เผยแพร่และส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562ว่า “คนอื่นโพสต์รูปภาพ–ข้อความในfacebookของเขาแล้วผมหมั่นไส้เลยเข้าไปคอมเม้นท์แล้วทําให้เขาเสียหายถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง ผิดกฎหมายจําคุกไม่เกิน6เดือนหรือปรับไม่เกิน5แสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ”ผมขอให้ข้อมูลว่ากรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญาแต่ไม่เข้าข่ายผิดPDPAโดยเฉพาะเรื่องโทษจําคุก6เดือนตามมาตรา79ของPDPA ทั้งนี้PDPAมีบทลงโทษอาญาเพื่อปกป้องประชาชนจากมิจฉาชีพหรือผู้ประสงค์ร้ายกรณีมีการนําข้อมูลอ่อนไหวดังนี้”เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ความคิดเห็นทางการเมืองความเชื่อในลัทธิศาสนาหรือปรัชญาพฤติกรรมทางเพศประวัติอาชญากรรมข้อมูลสุขภาพความพิการข้อมูลสหภาพแรงงานข้อมูลพันธุกรรมข้อมูลชีวภาพ”ของประชาชนไปใช้ทําให้เกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือหาผลประโยชน์แบบผิดกฎหมาย กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวทําให้เกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังโทษสูงสุดจําคุก6เดือนหรือปรับไม่เกิน500,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ กรณีใช้ข้อมูลอ่อนไหวดังกล่าวหาผลประโยชน์แบบผิดกฎหมายโทษสูงสุดจําคุก1ปีหรือปรับไม่เกิน1,000,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ การลงโทษอาญาต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและองค์ประกอบอาทิเจตนาของการกระทําและการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปเช่นชื่อเบอร์โทรที่อยู่อาศัยหมายเลขประจําตัวไม่เข้าองค์ประกอบโทษอาญาตามมาตรา79 ข้อมูลส่วนบุคคลสามารถถูกนําไปใช้หรือเปิดเผยได้หากได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือเป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้ (1)เป็นข้อมูลที่จําเป็นต้องใช้การทําตามสัญญาให้บริการ (2)เป็นการใช้ข้อมูลที่มีกฎหมายอื่นให้อํานาจไว้ (3)เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือร่างกายของบุคคล (4)เป็นการใช้เพื่อการศึกษาวิจัยหรือสถิติ (5)เป็นการใช้ตามหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ (6)เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ทั้งนี้การกําหนดบทลงโทษข้างต้นต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆไป PDPA =พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา79ผู้ควบคุมข้อมูส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา27วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา28อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรา26โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชังหรือได้รับความอับอายต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหน้าแสนบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา27วรรคหนึ่งหรือวรรคสองหรือไม่ปฏิบัติดตามมาตรา28อันเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคลคลตามมาตรา26เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฏหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่นต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ติดต่อสอบถามPDPAได้ที่1111หรือ fb : PDPC Thailand ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ ..... กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ทั่วโลกขณะนี้ พบผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 900 คน ใน 43 ประเทศ โดยในประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วย หลังจัดระบบเฝ้าระวัง - คัดกรองคนเดินทางจากต่างประเทศอย่างเข้มงวด พร้อมเตรียมจัดหาวัคซีนหากจําเป็นต้องใช้ ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้โรคดังกล่าวมีความเสี่ยงปานกลาง ยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินและโรคติดต่ออันตราย . ข้อมูลทางคลินิกของโรคฝีดาษวานร : - ระยะฟักตัวยาว 5 - 21 วัน (ต่างจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระยะเวลาเพียง 2 - 7 วัน) - มีไข้ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีน้ํามูก - หลังเป็นไข้ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้น กระจายที่แขนขา ลําตัว และใบหน้า - ลักษณะตุ่มมีหลายแบบตามระยะ ตั้งแต่ตุ่มแดง ตุ่มใส ตุ่มหนอง เป็นรอยบุ๋ม แห้งเป็นสะเก็ดและหลุดออก ส่วนใหญ่หายเองได้ . และขอย้ําว่า การดูตุ่มอย่างเดียวบอกไม่ได้ว่าเป็นฝีดาษวานร เพราะคล้ายกับหลายโรค จะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย RT-PCR หากประชาชนมีตุ่มขึ้นขอให้รีบเข้ารับการรักษาเพื่อวินิจฉัยโรค เข้าระบบแยกกักผู้ป่วย สอบสวนโรคต่อไป เพื่อให้ตรวจจับได้เร็ว และไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด . อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55436 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 ไทยคุมเข้มเฝ้าระวัง “ฝีดาษวานร” ต่อเนื่อง แม้ยังไม่พบในประเทศ ..... กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคฝีดาษวานร (Monkeypox) ทั่วโลกขณะนี้ พบผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 900 คน ใน 43 ประเทศ โดยในประเทศไทยยังไม่มีรายงานผู้ป่วย หลังจัดระบบเฝ้าระวัง - คัดกรองคนเดินทางจากต่างประเทศอย่างเข้มงวด พร้อมเตรียมจัดหาวัคซีนหากจําเป็นต้องใช้ ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้โรคดังกล่าวมีความเสี่ยงปานกลาง ยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินและโรคติดต่ออันตราย . ข้อมูลทางคลินิกของโรคฝีดาษวานร : - ระยะฟักตัวยาว 5 - 21 วัน (ต่างจากโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระยะเวลาเพียง 2 - 7 วัน) - มีไข้ ปวดหัว ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่ไม่ค่อยมีน้ํามูก - หลังเป็นไข้ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้น กระจายที่แขนขา ลําตัว และใบหน้า - ลักษณะตุ่มมีหลายแบบตามระยะ ตั้งแต่ตุ่มแดง ตุ่มใส ตุ่มหนอง เป็นรอยบุ๋ม แห้งเป็นสะเก็ดและหลุดออก ส่วนใหญ่หายเองได้ . และขอย้ําว่า การดูตุ่มอย่างเดียวบอกไม่ได้ว่าเป็นฝีดาษวานร เพราะคล้ายกับหลายโรค จะต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วย RT-PCR หากประชาชนมีตุ่มขึ้นขอให้รีบเข้ารับการรักษาเพื่อวินิจฉัยโรค เข้าระบบแยกกักผู้ป่วย สอบสวนโรคต่อไป เพื่อให้ตรวจจับได้เร็ว และไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด . อ่านเพิ่มเติม คลิก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55436 #ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล
วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล วันที่ 11 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กําชับกับหน่วยงานต่างๆ ให้ดูแลกลุ่มเปราะบางของสังคมอย่างทั่วถึงทั้ง เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กนั้นพบว่าได้รับผลกระทบจํานวนมาก ทั้งจากกรณีการเป็นผู้ป่วยเองและได้รับผลกระทบจากกรณีพ่อแม่ผู้ปกครอง ป่วยแล้วไม่มีผู้ดูแลเด็ก เด็กขาดแคลนอาหารและยา รวมถึงต้องหลุดออกจากวงจรการศึกษา การเล็งเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสล.) สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ และยูนิเซฟ ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ขึ้นเพื่อบูรณาการข้อมูลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งประเทศ โดยได้รวมพลังของเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครชุมชน อาสาสมัครครูทั้งในและนอกระบบ อาสาสมัครสภาเด็กและเยาวชน เข้ามาร่วมดูแลเด็กเพื่อช่วยเหลือเด็กได้ทันสถานการณ์ไม่ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว โดยจะมีกลไกการรับเด็กที่ได้รับผลกระทบผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะการรับแจ้งข้อมูล จากประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศร่วมกันแจ้งข้อมูลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามามยังศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ทั้งการแจ้งผ่านไลน์ @savekidscovid19 หรือช่องทางอื่นๆ เช่น แอปพลิเคชั่น “คุ้มครองเด็ก” สายด่วน “ศูนย์ช่วยเหลือสังคม” โทร. 1300 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งได้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ “ปัจจุบันมีเพียงข้อมูลจาก ศบค. เกี่ยวกับจํานวนเด็กที่ติดเชื้อโควิด ที่ตั้งแต่ 1 ม.ค.– 10 ส.ค.2564 มีจํานวน 79,989 คน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 18,260 คน ส่วนภูมิภาค 61,729 คน แต่จะยังมีเด็กจํานวนมากที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ผู้ปกครอง ป่วย หรือเสียชีวิตแล้วขาดคนดูแล ซึ่งส่วนนี้ประชาชนที่พบเห็นสามารถแจ้งให้ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เพื่อเข้าช่วยเหลือได้ ทั้งผ่านไลน์ แอปพลิเคชั่น สายด่วน 1300 หรือบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัด เพื่อช่วยกันดูแลให้เด็กได้รับความช่วยเหลือเร็วที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมแจ้งข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านไลน์ @savekidscovid19 สายด่วน 1300 ทั้งกรณีเป็นผู้ป่วย หรือพ่อแม่ป่วย เสียชีวิต ไม่มีผู้ดูแล วันที่ 11 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้กําชับกับหน่วยงานต่างๆ ให้ดูแลกลุ่มเปราะบางของสังคมอย่างทั่วถึงทั้ง เด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกรณีของเด็กนั้นพบว่าได้รับผลกระทบจํานวนมาก ทั้งจากกรณีการเป็นผู้ป่วยเองและได้รับผลกระทบจากกรณีพ่อแม่ผู้ปกครอง ป่วยแล้วไม่มีผู้ดูแลเด็ก เด็กขาดแคลนอาหารและยา รวมถึงต้องหลุดออกจากวงจรการศึกษา การเล็งเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสล.) สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ และยูนิเซฟ ได้ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ขึ้นเพื่อบูรณาการข้อมูลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งประเทศ โดยได้รวมพลังของเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครชุมชน อาสาสมัครครูทั้งในและนอกระบบ อาสาสมัครสภาเด็กและเยาวชน เข้ามาร่วมดูแลเด็กเพื่อช่วยเหลือเด็กได้ทันสถานการณ์ไม่ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว โดยจะมีกลไกการรับเด็กที่ได้รับผลกระทบผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะการรับแจ้งข้อมูล จากประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศร่วมกันแจ้งข้อมูลเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามามยังศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ทั้งการแจ้งผ่านไลน์ @savekidscovid19 หรือช่องทางอื่นๆ เช่น แอปพลิเคชั่น “คุ้มครองเด็ก” สายด่วน “ศูนย์ช่วยเหลือสังคม” โทร. 1300 ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งได้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ “ปัจจุบันมีเพียงข้อมูลจาก ศบค. เกี่ยวกับจํานวนเด็กที่ติดเชื้อโควิด ที่ตั้งแต่ 1 ม.ค.– 10 ส.ค.2564 มีจํานวน 79,989 คน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 18,260 คน ส่วนภูมิภาค 61,729 คน แต่จะยังมีเด็กจํานวนมากที่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ผู้ปกครอง ป่วย หรือเสียชีวิตแล้วขาดคนดูแล ซึ่งส่วนนี้ประชาชนที่พบเห็นสามารถแจ้งให้ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เพื่อเข้าช่วยเหลือได้ ทั้งผ่านไลน์ แอปพลิเคชั่น สายด่วน 1300 หรือบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 จังหวัด เพื่อช่วยกันดูแลให้เด็กได้รับความช่วยเหลือเร็วที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44646
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดสเปค “อุลตร้าแมน” หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าน้องใหม่ของไทย ที่มาพร้อมความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางและการขนส่ง
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดสเปค “อุลตร้าแมน” หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าน้องใหม่ของไทย ที่มาพร้อมความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางและการขนส่ง หลังเผยโฉม “หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” รุ่นล่าสุด (CDA5B1) หรือที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “อุลตร้าแมน” ด้วยลักษณะหัวรถจักรที่มีสีแดง-เทา คล้ายกับชุดของอุลต้ราแมน หัวรถจักรรุ่นนี้ผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ประเทศจีน หลังเผยโฉม “หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” รุ่นล่าสุด (CDA5B1) หรือที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “อุลตร้าแมน” ด้วยลักษณะหัวรถจักรที่มีสีแดง-เทา คล้ายกับชุดของอุลต้ราแมน หัวรถจักรรุ่นนี้ผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ประเทศจีน โดยหัวรถจักรที่การรถไฟฯ ตั้งเป้าจะนํามาเป็นกําลังสําคัญเพื่อเสริมทัพศักยภาพรถไฟไทย ให้แข็งแกร่งทั้งในด้านการขนส่งและสนับสนุนการท่องเที่ยวทางรางให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ซึ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไว้จํานวน 50 คัน มูลค่า 6,525 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้เซ็นสัญญาสั่งซื้อ ไปเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 กับ กิจการร่วมค้าเอสเอฟอาร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูล และทําการจัดส่ง“ หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” ล็อตแรก เมื่อช่วงปลายเดือน มกราคม 2565 ที่ผ่านมาแล้วจํานวน 20 คัน ส่วนในล็อตที่ 2 อีก 30 คัน คาดว่าน่าจะถึงประเทศไทยประมาณเดือน ก.พ. 2566 หรือช่วงต้นปีหน้า ทําไมต้องซื้อหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า? ปัจจุบันหัวรถจักรของ รฟท. มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน วิ่งให้บริการทุกวัน ทําให้หัวรถจักรบางคันเริ่มเสื่อมสภาพและชํารุด จนทําให้ต้องหยุดให้บริการไปบ้างในบางส่วน ส่งผลให้ขบวนรถที่นําไปให้บริการประชาชนมีไม่เพียงพอ การสั่งซื้อหัวรถจักรใหม่นี้จะมีส่วนสําคัญยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน โดยจะทดแทนคันที่ต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ทั้งยังเป็นการสนับสนุนศักยภาพการเพิ่มรายได้ของ รฟท. อีกทางด้วย สเปคแน่น สมรรถนะดีกว่าเดิม !! แน่นอนว่าหัวรถจักรใหม่นี้มีสมรรถนะการใช้งานดีกว่าเดิมมาก โดยคุณสมบัติหลัก ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของรถไฟ คือมีกําลังของเครื่องยนต์สูงสุดที่ 3,263 แรงม้า (2,400 kW) ทําให้สามารถลากจูงขบวนรถโดยสารน้ําหนัก 550 ตัน ได้ความเร็วสูงสุดที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหากต้องลากจูงขบวนรถโดยสารน้ําหนัก 1,000 ตัน สามารถทําความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากมีการบรรทุกสินค้าที่น้ําหนักถึง 2,100 ตัน จะทําความเร็วสูงสุดได้ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีระบบห้ามล้อ ผลิตจากประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แบบ Electronic air brake system จากเดิมรถจักรในปัจจุบันใช้แบบ Pneumatic air brake system ซึ่งทําให้การซ่อมบํารุงรักษาที่ง่ายขึ้นกว่ารถจักรแบบเก่า ทั้งนี้ถึงหัวรถจักรจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแต่มีค่ามาตรฐานการปล่อยควันไอเสียต่ํา ตามมาตรฐาน UIC IIIA / EU Stage IIIA และสามารถรองรับการใช้เชื้อเพลิงน้ํามันไบโอดีเซล จนถึง B20ได้ เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ อีกทั้งรูปแบบแคร่รถจักร Co-Co (เป็นรูปแบบ 6 เพลา ชุดละ 3 เพลา ) ทําให้สามารถวิ่งบนเส้นทางมาตรฐานของการรถไฟฯได้อย่างแน่นอน สําหรับตําแหน่งพนักงานขับรถ (พขร.) อยู่ทางด้านขวาของตัวรถ รวมทั้งติดตั้งระบบกล้อง CCTV เพื่อบันทึกเหตุการณ์ด้านหน้ารถจักรและเครื่องพ่วง หัวรถใหม่ล็อตแรกจะนําไปวิ่งเส้นทางไหนก่อน? ในประเด็นนี้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจรับ เช็คสภาพและความสมบูรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อะไหล่ ทั้ง 20 คันแล้ว จะมีกระบวนการให้พนักงานขับรถ ทดสอบขับ โดยคาดว่าจะนําไปวิ่งให้บริการในเส้นทางรถไฟทางไกล เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเสริมศักยภาพในการหารายได้ของการรถไฟฯ ตลอดจนสเปคหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าดังกล่าวยังรองรับการขยายโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางรางอื่น ๆ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ที่จะทยอยเปิดให้บริการประชาชนในอนาคต อย่างไรก็ตามหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าในล็อตที่ 2 หรือ อีกจํานวน 30 คันที่เหลือ ทางบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) จะเริ่มทําการผลิต (Manufacturing) ในช่วงเดือนมีนาคม 2565 หลังจากนั้นจะจัดส่งให้กับการรถไฟภายใน 915 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาฯ หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และการรถไฟฯยังมีแผนที่จะจัดซื้อตู้โดยสารใหม่ เพื่อนํามาจัดสรรให้สอดคล้องกับความต้องการ และทดแทนตู้โดยสารเก่าที่เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน “โครงการจัดหาหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของ รฟท. โดยเป้าหมายสําคัญนอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน ให้ได้รับความปลอดภัย และสะดวกสบายในการใช้ระบบขนส่งทางรางแล้ว ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการท่องเที่ยว และการเดินทางด้วยระบบรางให้คึกคัก จนนําไปสู่การสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย https://www.facebook.com/100064440019733/posts/309764701181528/?d=n
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดสเปค “อุลตร้าแมน” หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าน้องใหม่ของไทย ที่มาพร้อมความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางและการขนส่ง วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดสเปค “อุลตร้าแมน” หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าน้องใหม่ของไทย ที่มาพร้อมความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เพิ่มศักยภาพด้านการเดินทางและการขนส่ง หลังเผยโฉม “หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” รุ่นล่าสุด (CDA5B1) หรือที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “อุลตร้าแมน” ด้วยลักษณะหัวรถจักรที่มีสีแดง-เทา คล้ายกับชุดของอุลต้ราแมน หัวรถจักรรุ่นนี้ผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ประเทศจีน หลังเผยโฉม “หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” รุ่นล่าสุด (CDA5B1) หรือที่ใคร ๆ ต่างพากันเรียกว่า “อุลตร้าแมน” ด้วยลักษณะหัวรถจักรที่มีสีแดง-เทา คล้ายกับชุดของอุลต้ราแมน หัวรถจักรรุ่นนี้ผลิตโดย บริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) ประเทศจีน โดยหัวรถจักรที่การรถไฟฯ ตั้งเป้าจะนํามาเป็นกําลังสําคัญเพื่อเสริมทัพศักยภาพรถไฟไทย ให้แข็งแกร่งทั้งในด้านการขนส่งและสนับสนุนการท่องเที่ยวทางรางให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ซึ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไว้จํานวน 50 คัน มูลค่า 6,525 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม ได้เซ็นสัญญาสั่งซื้อ ไปเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 กับ กิจการร่วมค้าเอสเอฟอาร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูล และทําการจัดส่ง“ หัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า” ล็อตแรก เมื่อช่วงปลายเดือน มกราคม 2565 ที่ผ่านมาแล้วจํานวน 20 คัน ส่วนในล็อตที่ 2 อีก 30 คัน คาดว่าน่าจะถึงประเทศไทยประมาณเดือน ก.พ. 2566 หรือช่วงต้นปีหน้า ทําไมต้องซื้อหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้า? ปัจจุบันหัวรถจักรของ รฟท. มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนาน วิ่งให้บริการทุกวัน ทําให้หัวรถจักรบางคันเริ่มเสื่อมสภาพและชํารุด จนทําให้ต้องหยุดให้บริการไปบ้างในบางส่วน ส่งผลให้ขบวนรถที่นําไปให้บริการประชาชนมีไม่เพียงพอ การสั่งซื้อหัวรถจักรใหม่นี้จะมีส่วนสําคัญยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน โดยจะทดแทนคันที่ต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ทั้งยังเป็นการสนับสนุนศักยภาพการเพิ่มรายได้ของ รฟท. อีกทางด้วย สเปคแน่น สมรรถนะดีกว่าเดิม !! แน่นอนว่าหัวรถจักรใหม่นี้มีสมรรถนะการใช้งานดีกว่าเดิมมาก โดยคุณสมบัติหลัก ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของรถไฟ คือมีกําลังของเครื่องยนต์สูงสุดที่ 3,263 แรงม้า (2,400 kW) ทําให้สามารถลากจูงขบวนรถโดยสารน้ําหนัก 550 ตัน ได้ความเร็วสูงสุดที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และหากต้องลากจูงขบวนรถโดยสารน้ําหนัก 1,000 ตัน สามารถทําความเร็วสูงสุดได้ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หากมีการบรรทุกสินค้าที่น้ําหนักถึง 2,100 ตัน จะทําความเร็วสูงสุดได้ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ยังมีระบบห้ามล้อ ผลิตจากประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แบบ Electronic air brake system จากเดิมรถจักรในปัจจุบันใช้แบบ Pneumatic air brake system ซึ่งทําให้การซ่อมบํารุงรักษาที่ง่ายขึ้นกว่ารถจักรแบบเก่า ทั้งนี้ถึงหัวรถจักรจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแต่มีค่ามาตรฐานการปล่อยควันไอเสียต่ํา ตามมาตรฐาน UIC IIIA / EU Stage IIIA และสามารถรองรับการใช้เชื้อเพลิงน้ํามันไบโอดีเซล จนถึง B20ได้ เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ตามนโยบายของภาครัฐ อีกทั้งรูปแบบแคร่รถจักร Co-Co (เป็นรูปแบบ 6 เพลา ชุดละ 3 เพลา ) ทําให้สามารถวิ่งบนเส้นทางมาตรฐานของการรถไฟฯได้อย่างแน่นอน สําหรับตําแหน่งพนักงานขับรถ (พขร.) อยู่ทางด้านขวาของตัวรถ รวมทั้งติดตั้งระบบกล้อง CCTV เพื่อบันทึกเหตุการณ์ด้านหน้ารถจักรและเครื่องพ่วง หัวรถใหม่ล็อตแรกจะนําไปวิ่งเส้นทางไหนก่อน? ในประเด็นนี้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจรับ เช็คสภาพและความสมบูรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อะไหล่ ทั้ง 20 คันแล้ว จะมีกระบวนการให้พนักงานขับรถ ทดสอบขับ โดยคาดว่าจะนําไปวิ่งให้บริการในเส้นทางรถไฟทางไกล เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทั่วประเทศ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเสริมศักยภาพในการหารายได้ของการรถไฟฯ ตลอดจนสเปคหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าดังกล่าวยังรองรับการขยายโครงข่ายคมนาคมขนส่งทางรางอื่น ๆ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ที่จะทยอยเปิดให้บริการประชาชนในอนาคต อย่างไรก็ตามหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าในล็อตที่ 2 หรือ อีกจํานวน 30 คันที่เหลือ ทางบริษัท ซีอาร์อาร์ซี ซิชูเยียน (CRRC Qishuyan) จะเริ่มทําการผลิต (Manufacturing) ในช่วงเดือนมีนาคม 2565 หลังจากนั้นจะจัดส่งให้กับการรถไฟภายใน 915 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาฯ หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และการรถไฟฯยังมีแผนที่จะจัดซื้อตู้โดยสารใหม่ เพื่อนํามาจัดสรรให้สอดคล้องกับความต้องการ และทดแทนตู้โดยสารเก่าที่เริ่มเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน “โครงการจัดหาหัวรถจักรดีเซลไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของ รฟท. โดยเป้าหมายสําคัญนอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชน ให้ได้รับความปลอดภัย และสะดวกสบายในการใช้ระบบขนส่งทางรางแล้ว ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนผลักดันเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการท่องเที่ยว และการเดินทางด้วยระบบรางให้คึกคัก จนนําไปสู่การสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป” Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย https://www.facebook.com/100064440019733/posts/309764701181528/?d=n
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met via a video conference on June 15, 2021
วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 The cabinet met via a video conference on June 15, 2021 The cabinet met via a video conference on June 15, 2021 The cabinet metvia a video conferenceonJune 15, 2021. Some of the resolutions are as follows: Title:Exemption of customsand excisedutiesforTHEOS-2 satelliteprogram (2 draftFinance Ministerial Announcements) The cabinet approved the followingproposalsof Ministry of Finance: 1.Approved in principle the draftFinance Ministerial Announcementon exemption of customs duties for THEOS-2 satellite program 2.Approved in principle the draftFinance Ministerial Announcementon exemption ofexciseduties for THEOS-2 satellite program Gist ThedraftFinance Ministerial Announcementson exemption of customsand exciseduties for THEOS-2 satellite programprescribes exemption of customsand exciseduties for devices and equipment imported for use in the projects under THEOS-2. The twoMinisterial Announcementsshall take effect from the day after thetwoMinisterial Announcementsare announced in the Royal Gazette until December 31, 2022. The approval was made with an aim to promote the country’s space economy andspatial management, as well as technology transfer. Title: DraftEarly Childhood Development Plan(2020-2027) The cabinet approved the following proposals made by Ministry of Education: 1.Approved the (draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027) 2.Assigned concerned ministries and local administrations to perform duties and missions, and develop action plans within the framework of the(draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027) 3.Office of the Education Councilisto act as a liaison office for the budget planning and the development ofintegrative annual action plan,to be in line with the Early Childhood Development Plan (2020-2027) Gist The(draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027)has been developed in line with the 20-Year National Strategy, Master Plan under the20-Year National Strategy, and the National Education Plan (2017-2036). The key policies under theEarly Childhood Development Plan (2020-2027)are:1)All early childhood childrenshall becomprehensively and continuouslydevelopedaccording to their potentials andages; 2)Child development under Policy 1 must bewellorganized andintercorrelatedat bothnational, central, provincial,and local levels; and 3)Public andallothersectors must jointly mobilize resources forchild development under Policy 1. Title:Outcome of the 24thASEAN+3 Finance Ministers' and Central Bank Governors' Meeting(AFMGM+3) The cabinet acknowledgedthe outcome ofthe 24th ASEAN+3 Finance Ministers' and Central Bank Governors' Meeting (AFMGM+3), co-chaired by the Republic of Korea, and Brunei Darussalamand held via teleconference on May 3, 2021. Minister of Finance was head of the Thai delegation to attend the meeting. Gist of the Outcome: 1.Recent Economic and Financial Developments in the Region:Economicreboundis expectedin 2021 as the recovery gathers momentum and vaccine rollouts allow a gradual opening up oftheeconomies. As for Thailand, Thai economy is expected to grow by 2.3% in 2021, and 4.8% in 2022. Nevertheless, the meeting agreed toremain vigilant to the downside risksand will use all available policy tools to ensure an inclusive and sustainable recovery and maintainfinancial stability. 2.Strengthening Regional Financial Cooperation:The meeting congratulated andreaffirmedcommitment to further strengthenChiang Mai InitiativeMultilateralisation(CMIM), and acknowledged the implementation progress ofAsian Bond Markets Initiative (ABMI). 3.Others:The Thai Minister of Finance reiterated the importance of inclusive and sustainable economic development, and endorsedpromotion ofASEAN+3Multi-currency Bond Issuance Framework (AMBIF) bonds. Title:Ministerial Statement of the Third Structural Reform Ministerial Meeting The cabinet approved the draftMinisterial Statement of the Third Structural Reform Ministerial Meeting. Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Office of NationalEocnomicand Social Development Councilmay proceedand reported to the cabinet later.Deputy Prime MinisterSupattanapongPunmeechaowor a representative is assigned as head of the Thai delegation to attend theThird Structural Reform Ministerial Meetingvia a teleconference on June 16, 2021, and to adopt theMinisterial Statementwithout signing. This is as proposed byOffice of NationalEocnomicand Social Development Council. Gist Agendas to be discussed at theThird Structural Reform Ministerial Meetinginclude: 1)Third Structural Reform Ministerial Meeting; 2)Relationship between macroeconomic and microeconomic policieswhichpromotes effective recovery from severe economic impact situations; and 3)Endorsement of: (1)theEnhanced APEC Agenda for Structural Reform(EAASR)2021-2025, and (2)The Third Ease of Doing Business Action Plan. ​​ Title:Request for approval on Joint Statement of theSpecial AMEM-METI Consultations Meeting​ The cabinet approved the following proposals made by Ministry of Energy: 1.Approved the draftJoint Statement of the Special ASEAN Ministers on Energyand JapanMinister of Economy, Trade and Industry(AMEM-METI)Consultations Meeting 2.Approved for Minister of Energy (or a representative) to adopt the joint statement. 3.Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Minister of Energy and the Thai delegation may proceed without having to resubmit to the cabinet. Gist TheSpecial ASEAN Ministers on Energyand JapanMinister of Economy, Trade and Industry(AMEM-METI)Consultations Meetingwill be held via a teleconference on June 21, 2021.ASIA Energy Transition Initiative(AETI) will be endorsed at theMeeting.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-The cabinet met via a video conference on June 15, 2021 วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน 2564 The cabinet met via a video conference on June 15, 2021 The cabinet met via a video conference on June 15, 2021 The cabinet metvia a video conferenceonJune 15, 2021. Some of the resolutions are as follows: Title:Exemption of customsand excisedutiesforTHEOS-2 satelliteprogram (2 draftFinance Ministerial Announcements) The cabinet approved the followingproposalsof Ministry of Finance: 1.Approved in principle the draftFinance Ministerial Announcementon exemption of customs duties for THEOS-2 satellite program 2.Approved in principle the draftFinance Ministerial Announcementon exemption ofexciseduties for THEOS-2 satellite program Gist ThedraftFinance Ministerial Announcementson exemption of customsand exciseduties for THEOS-2 satellite programprescribes exemption of customsand exciseduties for devices and equipment imported for use in the projects under THEOS-2. The twoMinisterial Announcementsshall take effect from the day after thetwoMinisterial Announcementsare announced in the Royal Gazette until December 31, 2022. The approval was made with an aim to promote the country’s space economy andspatial management, as well as technology transfer. Title: DraftEarly Childhood Development Plan(2020-2027) The cabinet approved the following proposals made by Ministry of Education: 1.Approved the (draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027) 2.Assigned concerned ministries and local administrations to perform duties and missions, and develop action plans within the framework of the(draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027) 3.Office of the Education Councilisto act as a liaison office for the budget planning and the development ofintegrative annual action plan,to be in line with the Early Childhood Development Plan (2020-2027) Gist The(draft)Early Childhood Development Plan (2020-2027)has been developed in line with the 20-Year National Strategy, Master Plan under the20-Year National Strategy, and the National Education Plan (2017-2036). The key policies under theEarly Childhood Development Plan (2020-2027)are:1)All early childhood childrenshall becomprehensively and continuouslydevelopedaccording to their potentials andages; 2)Child development under Policy 1 must bewellorganized andintercorrelatedat bothnational, central, provincial,and local levels; and 3)Public andallothersectors must jointly mobilize resources forchild development under Policy 1. Title:Outcome of the 24thASEAN+3 Finance Ministers' and Central Bank Governors' Meeting(AFMGM+3) The cabinet acknowledgedthe outcome ofthe 24th ASEAN+3 Finance Ministers' and Central Bank Governors' Meeting (AFMGM+3), co-chaired by the Republic of Korea, and Brunei Darussalamand held via teleconference on May 3, 2021. Minister of Finance was head of the Thai delegation to attend the meeting. Gist of the Outcome: 1.Recent Economic and Financial Developments in the Region:Economicreboundis expectedin 2021 as the recovery gathers momentum and vaccine rollouts allow a gradual opening up oftheeconomies. As for Thailand, Thai economy is expected to grow by 2.3% in 2021, and 4.8% in 2022. Nevertheless, the meeting agreed toremain vigilant to the downside risksand will use all available policy tools to ensure an inclusive and sustainable recovery and maintainfinancial stability. 2.Strengthening Regional Financial Cooperation:The meeting congratulated andreaffirmedcommitment to further strengthenChiang Mai InitiativeMultilateralisation(CMIM), and acknowledged the implementation progress ofAsian Bond Markets Initiative (ABMI). 3.Others:The Thai Minister of Finance reiterated the importance of inclusive and sustainable economic development, and endorsedpromotion ofASEAN+3Multi-currency Bond Issuance Framework (AMBIF) bonds. Title:Ministerial Statement of the Third Structural Reform Ministerial Meeting The cabinet approved the draftMinisterial Statement of the Third Structural Reform Ministerial Meeting. Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Office of NationalEocnomicand Social Development Councilmay proceedand reported to the cabinet later.Deputy Prime MinisterSupattanapongPunmeechaowor a representative is assigned as head of the Thai delegation to attend theThird Structural Reform Ministerial Meetingvia a teleconference on June 16, 2021, and to adopt theMinisterial Statementwithout signing. This is as proposed byOffice of NationalEocnomicand Social Development Council. Gist Agendas to be discussed at theThird Structural Reform Ministerial Meetinginclude: 1)Third Structural Reform Ministerial Meeting; 2)Relationship between macroeconomic and microeconomic policieswhichpromotes effective recovery from severe economic impact situations; and 3)Endorsement of: (1)theEnhanced APEC Agenda for Structural Reform(EAASR)2021-2025, and (2)The Third Ease of Doing Business Action Plan. ​​ Title:Request for approval on Joint Statement of theSpecial AMEM-METI Consultations Meeting​ The cabinet approved the following proposals made by Ministry of Energy: 1.Approved the draftJoint Statement of the Special ASEAN Ministers on Energyand JapanMinister of Economy, Trade and Industry(AMEM-METI)Consultations Meeting 2.Approved for Minister of Energy (or a representative) to adopt the joint statement. 3.Should there be an amendment in parts that are not gist nor against national interest, Minister of Energy and the Thai delegation may proceed without having to resubmit to the cabinet. Gist TheSpecial ASEAN Ministers on Energyand JapanMinister of Economy, Trade and Industry(AMEM-METI)Consultations Meetingwill be held via a teleconference on June 21, 2021.ASIA Energy Transition Initiative(AETI) will be endorsed at theMeeting.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ตลาดที่อยู่อาศัยหลังปลดล็อคมาตรการ LTV" หน่วยเหลือขายลดลง โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวปี 2565
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 “ตลาดที่อยู่อาศัยหลังปลดล็อคมาตรการ LTV" หน่วยเหลือขายลดลง โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวปี 2565 ไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นไตรมาสต่ําสุดในทุกเครื่องชี้ หลังจากศูนย์ข้อมูลฯปรับสมมติฐานล่าสุดภายหลังปลดล็อค LTV คาดว่าในไตรมาส 4 มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น และภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าการคาดการณ์เดิม แต่ยังคงมีการขยายตัวติดลบ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานว่า ไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นไตรมาสต่ําสุดในทุกเครื่องชี้ หลังจากศูนย์ข้อมูลฯปรับสมมติฐานล่าสุดภายหลังปลดล็อค LTV คาดว่าในไตรมาส 4 มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น และภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าการคาดการณ์เดิม แต่ยังคงมีการขยายตัวติดลบ สําหรับอุปทานหน่วยเหลือขายจะปรับลดลงมาอยู่ที่จํานวน 278,236 หน่วย และจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 264,412 หน่วย ณ สิ้นปี 2565 ด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้นสะท้อนผ่านประมาณการหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2564 จะมีจํานวน 281,026 หน่วย จากเดิมคาดการณ์ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 270,151 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน อย่างต่อเนื่อง โดยพบความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาดใหม่ที่ลดลงอย่างมากในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่มีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยมากทั้งประเทศ โดยพบว่า เครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่สําคัญมีการลดลงต่ํามาก ประกอบด้วย จํานวนหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ และจํานวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีเพียง 16,804 และ 14,601 หน่วย หรือลดลง ร้อยละ -28.2 และ -55.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลําดับ และสําหรับภาวการณ์เปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จํานวน 4,288 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,976 หน่วย และอาคารชุด 2,312 หน่วย ซึ่งจํานวนรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -80.5 และเป็นการลดลงอย่างมากทั้งในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรและโครงการอาคารชุด หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว สําหรับสัญญาเงินกู้ที่ทําสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาถึงเกือบ 2 ปีแล้วนั้น ส่งผลให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อยอดการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการเปิดประเทศโดยคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯได้ปรับสมมติฐานในคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 2564 และ ปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4 เครื่องชี้ด้านจํานวนหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ และจํานวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,039 และ 35,231 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และ 53.4 ตามลําดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ภาพรวมทั้งปี 2564 ของเครื่องชี้ฯข้างต้นจะยังคงติดลบถึงร้อยละ -22.1 และ -12.7 ตามลําดับ นอกจากนี้การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในไตรมาส 4 ประมาณ 20,050 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าภาพรวมปี 2564 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จํานวนทั้งสิ้น 43,051 หน่วย แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 25,783 หน่วย และอาคารชุด 17,268 หน่วย ซึ่งลดลงร้อยละ -35.0 เมื่อเทียบกับปี 2563 และในปี 2565 จํานวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 85,912 หน่วย แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 47,291 หน่วย และโครงการอาคารชุด 38,621 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มจากฐานที่ต่ํามากในปี 2564 การปรับตัวลดลงของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่เช่นนี้ได้ส่งผลต่อภาพรวมของอุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่เหลือขายในตลาดพื้นที่ 27 จังหวัดหลัก โดยคาดการณ์ว่า ปี 2564 จะมีจํานวนที่อยู่อาศัยที่เหลือขายทั้งสิ้นประมาณ 278,236 หน่วย เป็นมูลค่าประมาณ 1,196,563 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้จะมีการเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้นแต่ด้วยกลยุทธ์การกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้ประกอบการผนวกกับการผ่อนคลายมาตรการ LTV และการปรับตัวลดลงของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ดังกล่าวมาข้างต้นได้ส่งผลต่อภาพรวมหน่วยเหลือขายใน 27 จังหวัดลดลงตามไปด้วย จากเดิมซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่าปี 2564 จะมีหน่วยเหลือขายจํานวน 292,800 หน่วย มูลค่ารวม 1,259,540 ล้านบาท จะปรับลดลงมาอยู่ที่จํานวน 278,236 หน่วย มูลค่ารวม 1,196,536 ล้านบาท และจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 264,412 หน่วย มูลค่ารวม 1,113,948 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ด้านอุปสงค์ ศูนย์ข้อมูลฯคาดการณ์ว่าจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และมาตรการต่างๆที่นํามากระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามแผนงานที่กําหนดไว้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ในระดับหนึ่ง และกระตุ้นอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยให้เพิ่มขึ้นได้ สะท้อนจากหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์รวมที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 3 มีจํานวน 60,174 หน่วยมูลค่ารวม 185,756 ล้านบาท แต่เมื่อมีมาตรการผ่อนคลาย LTV คาดว่าในไตรมาส4 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 95,221 หน่วย มูลค่า 262,931 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และ 5.1 ตามลําดับ โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมในปี 2564 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้น 281,026 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -21.7คิดเป็นมูลค่า 835,559 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -10.0 จากเดิมคาดการณ์ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 270,151 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -24.6 มูลค่า 804,241 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -13.4 จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV รวมถึงการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลได้กําหนดไว้ รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และมาตรการต่างๆที่นํามากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กําลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟื้นตัว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ในระดับหนึ่ง และคาดว่าจะทําให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในครั้งก่อนหน้า โดยศูนย์ข้อมูลฯ มองว่าเครื่องชี้ทั้งด้านอุปสงค์ และอุปทานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเป็นปกติภายในปลายปี 2566 โดยจะกลับมาดีเท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากเดิมที่เคยดาดการณ์ไว้ภายในปี 2568-2570
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ตลาดที่อยู่อาศัยหลังปลดล็อคมาตรการ LTV" หน่วยเหลือขายลดลง โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวปี 2565 วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 “ตลาดที่อยู่อาศัยหลังปลดล็อคมาตรการ LTV" หน่วยเหลือขายลดลง โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวปี 2565 ไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นไตรมาสต่ําสุดในทุกเครื่องชี้ หลังจากศูนย์ข้อมูลฯปรับสมมติฐานล่าสุดภายหลังปลดล็อค LTV คาดว่าในไตรมาส 4 มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น และภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าการคาดการณ์เดิม แต่ยังคงมีการขยายตัวติดลบ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานว่า ไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นไตรมาสต่ําสุดในทุกเครื่องชี้ หลังจากศูนย์ข้อมูลฯปรับสมมติฐานล่าสุดภายหลังปลดล็อค LTV คาดว่าในไตรมาส 4 มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้น และภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2564 มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าการคาดการณ์เดิม แต่ยังคงมีการขยายตัวติดลบ สําหรับอุปทานหน่วยเหลือขายจะปรับลดลงมาอยู่ที่จํานวน 278,236 หน่วย และจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 264,412 หน่วย ณ สิ้นปี 2565 ด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้นสะท้อนผ่านประมาณการหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ปี 2564 จะมีจํานวน 281,026 หน่วย จากเดิมคาดการณ์ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 270,151 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน อย่างต่อเนื่อง โดยพบความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาดใหม่ที่ลดลงอย่างมากในช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่มีส่วนแบ่งในตลาดที่อยู่อาศัยมากทั้งประเทศ โดยพบว่า เครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่สําคัญมีการลดลงต่ํามาก ประกอบด้วย จํานวนหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ และจํานวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีเพียง 16,804 และ 14,601 หน่วย หรือลดลง ร้อยละ -28.2 และ -55.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ตามลําดับ และสําหรับภาวการณ์เปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จํานวน 4,288 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,976 หน่วย และอาคารชุด 2,312 หน่วย ซึ่งจํานวนรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ร้อยละ -80.5 และเป็นการลดลงอย่างมากทั้งในส่วนของโครงการบ้านจัดสรรและโครงการอาคารชุด หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว สําหรับสัญญาเงินกู้ที่ทําสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาถึงเกือบ 2 ปีแล้วนั้น ส่งผลให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อยอดการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการเปิดประเทศโดยคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯได้ปรับสมมติฐานในคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปี 2564 และ ปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่า ไตรมาส 4 เครื่องชี้ด้านจํานวนหน่วยที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ และจํานวนหน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,039 และ 35,231 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 และ 53.4 ตามลําดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ภาพรวมทั้งปี 2564 ของเครื่องชี้ฯข้างต้นจะยังคงติดลบถึงร้อยละ -22.1 และ -12.7 ตามลําดับ นอกจากนี้การเปิดตัวโครงการใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวที่อยู่อาศัยใหม่ในไตรมาส 4 ประมาณ 20,050 หน่วย หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าภาพรวมปี 2564 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จํานวนทั้งสิ้น 43,051 หน่วย แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 25,783 หน่วย และอาคารชุด 17,268 หน่วย ซึ่งลดลงร้อยละ -35.0 เมื่อเทียบกับปี 2563 และในปี 2565 จํานวนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 85,912 หน่วย แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 47,291 หน่วย และโครงการอาคารชุด 38,621 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 99.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มจากฐานที่ต่ํามากในปี 2564 การปรับตัวลดลงของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่เช่นนี้ได้ส่งผลต่อภาพรวมของอุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่เหลือขายในตลาดพื้นที่ 27 จังหวัดหลัก โดยคาดการณ์ว่า ปี 2564 จะมีจํานวนที่อยู่อาศัยที่เหลือขายทั้งสิ้นประมาณ 278,236 หน่วย เป็นมูลค่าประมาณ 1,196,563 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้จะมีการเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มมากขึ้นแต่ด้วยกลยุทธ์การกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้ประกอบการผนวกกับการผ่อนคลายมาตรการ LTV และการปรับตัวลดลงของอุปทานที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ดังกล่าวมาข้างต้นได้ส่งผลต่อภาพรวมหน่วยเหลือขายใน 27 จังหวัดลดลงตามไปด้วย จากเดิมซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่าปี 2564 จะมีหน่วยเหลือขายจํานวน 292,800 หน่วย มูลค่ารวม 1,259,540 ล้านบาท จะปรับลดลงมาอยู่ที่จํานวน 278,236 หน่วย มูลค่ารวม 1,196,536 ล้านบาท และจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 264,412 หน่วย มูลค่ารวม 1,113,948 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ด้านอุปสงค์ ศูนย์ข้อมูลฯคาดการณ์ว่าจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และมาตรการต่างๆที่นํามากระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นไปตามแผนงานที่กําหนดไว้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ในระดับหนึ่ง และกระตุ้นอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยให้เพิ่มขึ้นได้ สะท้อนจากหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์รวมที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 3 มีจํานวน 60,174 หน่วยมูลค่ารวม 185,756 ล้านบาท แต่เมื่อมีมาตรการผ่อนคลาย LTV คาดว่าในไตรมาส4 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 95,221 หน่วย มูลค่า 262,931 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 และ 5.1 ตามลําดับ โดยคาดการณ์ว่าภาพรวมในปี 2564 จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้น 281,026 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -21.7คิดเป็นมูลค่า 835,559 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -10.0 จากเดิมคาดการณ์ว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ 270,151 หน่วย ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -24.6 มูลค่า 804,241 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ร้อยละ -13.4 จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV รวมถึงการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นไปตามแผนงานที่รัฐบาลได้กําหนดไว้ รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และมาตรการต่างๆที่นํามากระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้กําลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟื้นตัว คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ในระดับหนึ่ง และคาดว่าจะทําให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ในครั้งก่อนหน้า โดยศูนย์ข้อมูลฯ มองว่าเครื่องชี้ทั้งด้านอุปสงค์ และอุปทานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเป็นปกติภายในปลายปี 2566 โดยจะกลับมาดีเท่ากับค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากเดิมที่เคยดาดการณ์ไว้ภายในปี 2568-2570
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48361
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ยืนยัน ไทยยังไม่ได้รับเอกสารแจ้งบริจาคไฟเซอร์เพิ่มจากสหรัฐฯ
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564 รมว.สธ. ยืนยัน ไทยยังไม่ได้รับเอกสารแจ้งบริจาคไฟเซอร์เพิ่มจากสหรัฐฯ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้ข่าวไทยไม่เซ็นรับวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯจะบริจาค ไม่เป็นความจริง ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศไทยยังไม่ได้รับการประสานทางการทูตจากสหรัฐฯเรื่องการบริจาควัคซีนเพิ่มเติม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ไทยอีก 1 ล้านโดส แต่ไทยยังไม่ลงนามรับวัคซีน ว่า การดําเนินการในเรื่องต่างๆ ระหว่างประเทศ จะมีขั้นตอนพิธีการที่เป็นสากล ผ่านกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักซึ่งการสนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสให้กับไทย เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯ ได้มีเอกสารทางการทูต ถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นการล่วงหน้า เพื่อแสดงความประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะมอบวัคซีนมาช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย และรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จัดทําแผนการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้กระจายวัคซีนไปทุกจังหวัดให้ดําเนินการฉีดตามแผนเรียบร้อยแล้ว สําหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่มีข่าวจะบริจาคเพิ่มอีก 1 ล้านโดสนั้น จากการประสานข้อมูลกับกระทรวงการต่างประเทศ ทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารทางการทูตจากรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งเรื่องการสนับสนุนวัคซีนให้กับไทยเพิ่มเติม ดังนั้นข่าวดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง **************************************** 23 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ. ยืนยัน ไทยยังไม่ได้รับเอกสารแจ้งบริจาคไฟเซอร์เพิ่มจากสหรัฐฯ วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564 รมว.สธ. ยืนยัน ไทยยังไม่ได้รับเอกสารแจ้งบริจาคไฟเซอร์เพิ่มจากสหรัฐฯ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้ข่าวไทยไม่เซ็นรับวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯจะบริจาค ไม่เป็นความจริง ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศไทยยังไม่ได้รับการประสานทางการทูตจากสหรัฐฯเรื่องการบริจาควัคซีนเพิ่มเติม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าสหรัฐฯ จะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ให้ไทยอีก 1 ล้านโดส แต่ไทยยังไม่ลงนามรับวัคซีน ว่า การดําเนินการในเรื่องต่างๆ ระหว่างประเทศ จะมีขั้นตอนพิธีการที่เป็นสากล ผ่านกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักซึ่งการสนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดสให้กับไทย เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา สถานทูตสหรัฐฯ ได้มีเอกสารทางการทูต ถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทยเป็นการล่วงหน้า เพื่อแสดงความประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะมอบวัคซีนมาช่วยเหลือการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย และรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จัดทําแผนการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งได้กระจายวัคซีนไปทุกจังหวัดให้ดําเนินการฉีดตามแผนเรียบร้อยแล้ว สําหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่มีข่าวจะบริจาคเพิ่มอีก 1 ล้านโดสนั้น จากการประสานข้อมูลกับกระทรวงการต่างประเทศ ทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารทางการทูตจากรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งเรื่องการสนับสนุนวัคซีนให้กับไทยเพิ่มเติม ดังนั้นข่าวดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง **************************************** 23 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46122
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. - WHO เปิด 5 ปัจจัยความสำเร็จ ไทยรับมือวิกฤต “โควิด”
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565 สธ. - WHO เปิด 5 ปัจจัยความสําเร็จ ไทยรับมือวิกฤต “โควิด” ..... กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจําประเทศไทย สรุปผลการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health and Preparedness Review: UHPR) และถอดบทเรียนความสําเร็จการรับมือวิกฤต "โควิด" ของไทย ซึ่งพบว่ามี 5 ปัจจัยสําคัญ ดังนี้ . 1.มีการสนับสนุนโดยผู้บริหารระดับสูงที่กําหนดนโยบายประเทศ 2.ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 3.มีความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (รัฐ เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ) 4.มีกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนและชุมชน 5.มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการวิจัย เพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล . และไทยยังได้รับคําชมถึงนโยบายและมาตรการดูแลประชาชน ทั้งการรักษาพยาบาล การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่ง WHO ยินดีสนับสนุนและร่วมทํางานกับประเทศไทย โดยให้ไทยเตรียมแถลงประสบการณ์ UHPR ในที่ประชุม World Health Assembly (WHA) ปลายเดือน พ.ค. 65 นี้ ร่วมกับอีก 3 ประเทศนําร่อง ก่อนนําไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54230 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. - WHO เปิด 5 ปัจจัยความสำเร็จ ไทยรับมือวิกฤต “โควิด” วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565 สธ. - WHO เปิด 5 ปัจจัยความสําเร็จ ไทยรับมือวิกฤต “โควิด” ..... กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจําประเทศไทย สรุปผลการทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health and Preparedness Review: UHPR) และถอดบทเรียนความสําเร็จการรับมือวิกฤต "โควิด" ของไทย ซึ่งพบว่ามี 5 ปัจจัยสําคัญ ดังนี้ . 1.มีการสนับสนุนโดยผู้บริหารระดับสูงที่กําหนดนโยบายประเทศ 2.ระบบสาธารณสุขไทยมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 3.มีความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (รัฐ เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ) 4.มีกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนและชุมชน 5.มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการวิจัย เพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล . และไทยยังได้รับคําชมถึงนโยบายและมาตรการดูแลประชาชน ทั้งการรักษาพยาบาล การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่ง WHO ยินดีสนับสนุนและร่วมทํางานกับประเทศไทย โดยให้ไทยเตรียมแถลงประสบการณ์ UHPR ในที่ประชุม World Health Assembly (WHA) ปลายเดือน พ.ค. 65 นี้ ร่วมกับอีก 3 ประเทศนําร่อง ก่อนนําไปใช้ในประเทศอื่น ๆ ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54230 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54343
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันที่ 7 ก.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทุกส่วนราชการได้เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ระเบิด ตามบัญชาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้สั่งการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ไม่ให้เกิดซ้ํา พร้อมยืนยันจะให้การดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและความเสียหายตามสิทธิ รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ได้เกิดเหตุขึ้นอีกในอนาคต รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือจากส่วนราชการ อาทิ กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคมจะได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 38 มาตรา 39 และมาตรา 40 ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิอื่น ๆ ที่พึงได้ โดยแยกเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทํางาน ซึ่งมีสิทธิได้รับสิทธิความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็น และค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัว ร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีลูกจ้างสูญเสียสมรรถภาพในการทํางานของร่างกาย จะจ่ายร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือนตามระยะเวลาที่กําหนดแต่ไม่เกิน 10 ปี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ให้เงินช่วยเหลือสําหรับการย้ายบ้านชั่วคราว จากไม่สามารถอยู่อาศัยในที่พักเดิมได้ ครอบครัวละ 18,000 บาท การเคหะแห่งชาติ จัดหาโรงแรม/ห้องพักราคาถูก สําหรับผู้ต้องการที่อยู่อาศัยเร่งด่วน หากไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่าย การเคหะแห่งชาติจะจัดสรรห้องพักเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยติดต่อที่สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง สําหรับกระทรวงศึกษาธิการจัดหาที่พักให้ครู บุคลากร และครอบครัว ของโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ คณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย บูรณาการร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันภัย ตรวจสอบข้อมูลการทําประกันภัยของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยอย่างเร่งด่วน เพื่อบูรณาการการจ่ายสินไหมทดแทนให้กับประชาชนผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สําหรับรายที่ไม่ได้ทําประกันภัยครอบคลุมความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ จะได้รับการชดใช้จากการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งโรงงานได้ทําประกันภัยดังกล่าวรองรับไว้ด้วยวงเงินเอาประกันภัย 20 ล้านบาท “หน่วยงานยังมีการเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อไม่เกิดเหตุซ้ํารวมทั้งหาทางกําจัดสารเคมีที่เหลืออยู่ และหลังจากนี้ จังหวัดสมุทรปราการจะร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสํารวจความเสียหายและผลกระทบกับประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย เพื่อให้การเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินต่อไป” นางสาวรัชดา ฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ส่วนราชการเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันที่ 7 ก.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทุกส่วนราชการได้เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุโรงงานหมิงตี้ เคมิคอล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ระเบิด ตามบัญชาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้สั่งการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกระยะหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ไม่ให้เกิดซ้ํา พร้อมยืนยันจะให้การดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและความเสียหายตามสิทธิ รวมทั้งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาสาเหตุ เพื่อป้องกันไม่ได้เกิดเหตุขึ้นอีกในอนาคต รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือจากส่วนราชการ อาทิ กระทรวงแรงงาน สํานักงานประกันสังคมจะได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บทั้งผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 38 มาตรา 39 และมาตรา 40 ให้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิอื่น ๆ ที่พึงได้ โดยแยกเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทํางาน ซึ่งมีสิทธิได้รับสิทธิความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 เป็นค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจําเป็น และค่าทดแทนกรณีหยุดพักรักษาตัว ร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือน กรณีลูกจ้างสูญเสียสมรรถภาพในการทํางานของร่างกาย จะจ่ายร้อยละ70 ของค่าจ้างรายเดือนตามระยะเวลาที่กําหนดแต่ไม่เกิน 10 ปี กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ให้เงินช่วยเหลือสําหรับการย้ายบ้านชั่วคราว จากไม่สามารถอยู่อาศัยในที่พักเดิมได้ ครอบครัวละ 18,000 บาท การเคหะแห่งชาติ จัดหาโรงแรม/ห้องพักราคาถูก สําหรับผู้ต้องการที่อยู่อาศัยเร่งด่วน หากไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่าย การเคหะแห่งชาติจะจัดสรรห้องพักเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป โดยติดต่อที่สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง สําหรับกระทรวงศึกษาธิการจัดหาที่พักให้ครู บุคลากร และครอบครัว ของโรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ คณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย บูรณาการร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และบริษัทประกันภัย ตรวจสอบข้อมูลการทําประกันภัยของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านประกันภัยอย่างเร่งด่วน เพื่อบูรณาการการจ่ายสินไหมทดแทนให้กับประชาชนผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สําหรับรายที่ไม่ได้ทําประกันภัยครอบคลุมความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ จะได้รับการชดใช้จากการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งโรงงานได้ทําประกันภัยดังกล่าวรองรับไว้ด้วยวงเงินเอาประกันภัย 20 ล้านบาท “หน่วยงานยังมีการเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อไม่เกิดเหตุซ้ํารวมทั้งหาทางกําจัดสารเคมีที่เหลืออยู่ และหลังจากนี้ จังหวัดสมุทรปราการจะร่วมกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อสํารวจความเสียหายและผลกระทบกับประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ บ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหาย เพื่อให้การเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินต่อไป” นางสาวรัชดา ฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43534
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City”
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City” เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ผศ.ศุภวัชร์ มาลานนท์ ที่ปรึกษา สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บรรยายพิเศษ " PDPA และ Smart City" เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสําคัญของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ (PDPA) รวมทั้งแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในกฎหมาย มีเนื้อหา ประกอบด้วย หลักการของ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลฯ ขอบเขตการบังคับใช้ ผลกระทบ ตลอดจน แนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมายและกรณีศึกษา นอกจากนี้ได้มีการ แลกเปลี่ยนความเห็นและตอบคําถามที่เกี่ยวข้อง ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City” วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “PDPA และ Smart City” เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ผศ.ศุภวัชร์ มาลานนท์ ที่ปรึกษา สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บรรยายพิเศษ " PDPA และ Smart City" เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสําคัญของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ (PDPA) รวมทั้งแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดในกฎหมาย มีเนื้อหา ประกอบด้วย หลักการของ พ.ร.บ.ข้อมูลส่วนบุคคลฯ ขอบเขตการบังคับใช้ ผลกระทบ ตลอดจน แนวทางการดําเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมายและกรณีศึกษา นอกจากนี้ได้มีการ แลกเปลี่ยนความเห็นและตอบคําถามที่เกี่ยวข้อง ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57300
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ได้รับผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ITA ระดับ AA
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 ไอแบงก์ได้รับผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ITA ระดับ AA ไอแบงก์คว้าคะแนน 98.23 (ระดับ AA) จากการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity &Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 โดยสํานักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) คว้าคะแนน 98.23 (ระดับ AA) จากการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity &Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 โดยสํานักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในคุณธรรมและหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไอแบงก์มีผลประเมินได้รางวัล ITA Awards 2021 อยู่ที่ 98.23 คะแนน ระดับยอดเยี่ยม ระดับ AA เป็นลําดับที่ 4 จาก 29 หน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง และลําดับที่ 7 จาก 51 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สามารถรักษามาตรฐานคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับ AA (มากกว่า 95 คะแนน) โดยในปีนี้ มีผลการประเมินเพิ่มขึ้น จากการประเมินปีงบประมาณ 2563 อย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากปีที่ผ่านมาไอแบงก์ได้รับคะแนนประเมินที่ 93 คะแนน หรือระดับ A เท่านั้น สําหรับหลักเกณฑ์การประเมินพิจารณาตามตัวชี้วัด 10 ดัชนี คือ การปฏิบัติหน้าที่ การใช้งบประมาณ การใช้อํานาจ การใช้ทรัพย์สินของราชการ การแก้ไขปัญหาการทุจริต คุณภาพการดําเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงระบบการทํางาน การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต โดยใช้เครื่องมือ การประเมิน 3 เครื่องมือ คือ 1.การสํารวจความคิดเห็นผู้บริหารและพนักงาน (IIT) ได้ 97.84 คะแนน 2.สํารวจความคิดเห็น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) ได้ 96.27 คะแนน และการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT ) ได้ 100 คะแนน สร้างรอยยิ้มและความภาคภูมิใจให้ชาวไอแบงก์ได้ไม่น้อยในการยืนหยัดขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตในองค์กรควบคู่ไปกันการสร้างคุณธรรมและธรรมาภิบาลในการทํางานให้ดียิ่งขึ้น นายวุฒิชัย กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ได้รับผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ITA ระดับ AA วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 ไอแบงก์ได้รับผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ITA ระดับ AA ไอแบงก์คว้าคะแนน 98.23 (ระดับ AA) จากการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity &Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 โดยสํานักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) คว้าคะแนน 98.23 (ระดับ AA) จากการประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity &Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 โดยสํานักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในคุณธรรมและหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศผลคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ไอแบงก์มีผลประเมินได้รางวัล ITA Awards 2021 อยู่ที่ 98.23 คะแนน ระดับยอดเยี่ยม ระดับ AA เป็นลําดับที่ 4 จาก 29 หน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง และลําดับที่ 7 จาก 51 ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สามารถรักษามาตรฐานคุณธรรมและความโปร่งใสในระดับ AA (มากกว่า 95 คะแนน) โดยในปีนี้ มีผลการประเมินเพิ่มขึ้น จากการประเมินปีงบประมาณ 2563 อย่างมีนัยสําคัญ เนื่องจากปีที่ผ่านมาไอแบงก์ได้รับคะแนนประเมินที่ 93 คะแนน หรือระดับ A เท่านั้น สําหรับหลักเกณฑ์การประเมินพิจารณาตามตัวชี้วัด 10 ดัชนี คือ การปฏิบัติหน้าที่ การใช้งบประมาณ การใช้อํานาจ การใช้ทรัพย์สินของราชการ การแก้ไขปัญหาการทุจริต คุณภาพการดําเนินงาน ประสิทธิภาพการสื่อสาร การปรับปรุงระบบการทํางาน การเปิดเผยข้อมูล และการป้องกันการทุจริต โดยใช้เครื่องมือ การประเมิน 3 เครื่องมือ คือ 1.การสํารวจความคิดเห็นผู้บริหารและพนักงาน (IIT) ได้ 97.84 คะแนน 2.สํารวจความคิดเห็น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (EIT) ได้ 96.27 คะแนน และการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (OIT ) ได้ 100 คะแนน สร้างรอยยิ้มและความภาคภูมิใจให้ชาวไอแบงก์ได้ไม่น้อยในการยืนหยัดขับเคลื่อนการป้องกันการทุจริตในองค์กรควบคู่ไปกันการสร้างคุณธรรมและธรรมาภิบาลในการทํางานให้ดียิ่งขึ้น นายวุฒิชัย กล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM receives Pfizer vaccines donated by France
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 PM receives Pfizer vaccines donated by France PM receives Pfizer vaccines donated by France April 4, 2022, at 11.00 hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, together with Deputy Prime Minister and Minister of Public Health Anutin Charnvirakul, received COVID-19 vaccines (Pfizer) from the Republic of France, which was presented by H.E. Mr. Thierry Mathou, Ambassador of the Republic of France to Thailand, as the representative of the French Government. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist as follows: The Prime Minister thanked the French Government for the donation of 3,268,620 doses of Pfizer vaccines, and the French Ambassador who has played a crucial role in promoting close relations and cooperation between Thailand and France. He also expressed pleasure to continue to strengthen cooperation with the French Government in all dimensions, including public health, in a bid to overcome the COVID-19 situation together, and affirmed Thailand’s commitment to equitably distribute the donated vaccines to the people. It is also the country’s intent to donate AstraZeneca vaccines to other countries, i.e., Thailand’s neighbors, and the countries in South Asia and Africa, to ensure fair access of vaccines to all. The French Ambassador expressed pleasure and honor to present the donated vaccines to the Prime Minister. This gesture reflects long-standing friendship, and the two countries could further exchange experience and knowledge on COVID-19 situation administration and other public health issues. He would be pleased to continue to forge bilateral relations between the two countries, especially an exchange of visits and the elevation to strategic partnership, as well as multilateral cooperation under the ASEAN-France framework, as the latter is one of ASEAN’s development partners. The two parties also discussed other issues of mutual interest: On bilateral cooperation, both the Prime Minister and the French Ambassador were pleased with the Roadmap for Thai-French Relations (2022-2025), signed in Paris during the Ministerial Forum for Cooperation in the Indo-Pacific. The Prime Minister expressed confidence that endeavors under the Roadmap will soon be tangibly executed on the basis of mutual interest for post-COVID-19 socio-economic rehabilitation. The French Ambassador also agreed to upgrade mutual relations to strategic partnership through the signing of Partnership and Cooperation Agreement (PCA). On multilateral cooperation, the French Ambassador mentioned the success of 2022’s first meeting of the European Council under France’s presidency. The country has placed importance on the Indo-Pacific region, and stands ready to increase cooperation with ASEAN. The Prime Minister was confident that EU’s potentiality would be enhanced under France’s presidency. Thailand commits to expand comprehensive cooperation with EU, especially in sustainable post-COVID-19 socio-economic recovery. The two parties also exchanged views and constructively discussed Russia-Ukraine situation. According to the Government Spokesperson, there are two types of vaccines donated by France: 1) 400,140 doses of Pfizer vaccines and vaccination equipment, and 2) 2,868,480 doses of ready to Use (RTU) type of Pfizer vaccines.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM receives Pfizer vaccines donated by France วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 PM receives Pfizer vaccines donated by France PM receives Pfizer vaccines donated by France April 4, 2022, at 11.00 hrs, at the Purple Room, Thai Khu Fah Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha, together with Deputy Prime Minister and Minister of Public Health Anutin Charnvirakul, received COVID-19 vaccines (Pfizer) from the Republic of France, which was presented by H.E. Mr. Thierry Mathou, Ambassador of the Republic of France to Thailand, as the representative of the French Government. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist as follows: The Prime Minister thanked the French Government for the donation of 3,268,620 doses of Pfizer vaccines, and the French Ambassador who has played a crucial role in promoting close relations and cooperation between Thailand and France. He also expressed pleasure to continue to strengthen cooperation with the French Government in all dimensions, including public health, in a bid to overcome the COVID-19 situation together, and affirmed Thailand’s commitment to equitably distribute the donated vaccines to the people. It is also the country’s intent to donate AstraZeneca vaccines to other countries, i.e., Thailand’s neighbors, and the countries in South Asia and Africa, to ensure fair access of vaccines to all. The French Ambassador expressed pleasure and honor to present the donated vaccines to the Prime Minister. This gesture reflects long-standing friendship, and the two countries could further exchange experience and knowledge on COVID-19 situation administration and other public health issues. He would be pleased to continue to forge bilateral relations between the two countries, especially an exchange of visits and the elevation to strategic partnership, as well as multilateral cooperation under the ASEAN-France framework, as the latter is one of ASEAN’s development partners. The two parties also discussed other issues of mutual interest: On bilateral cooperation, both the Prime Minister and the French Ambassador were pleased with the Roadmap for Thai-French Relations (2022-2025), signed in Paris during the Ministerial Forum for Cooperation in the Indo-Pacific. The Prime Minister expressed confidence that endeavors under the Roadmap will soon be tangibly executed on the basis of mutual interest for post-COVID-19 socio-economic rehabilitation. The French Ambassador also agreed to upgrade mutual relations to strategic partnership through the signing of Partnership and Cooperation Agreement (PCA). On multilateral cooperation, the French Ambassador mentioned the success of 2022’s first meeting of the European Council under France’s presidency. The country has placed importance on the Indo-Pacific region, and stands ready to increase cooperation with ASEAN. The Prime Minister was confident that EU’s potentiality would be enhanced under France’s presidency. Thailand commits to expand comprehensive cooperation with EU, especially in sustainable post-COVID-19 socio-economic recovery. The two parties also exchanged views and constructively discussed Russia-Ukraine situation. According to the Government Spokesperson, there are two types of vaccines donated by France: 1) 400,140 doses of Pfizer vaccines and vaccination equipment, and 2) 2,868,480 doses of ready to Use (RTU) type of Pfizer vaccines.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า
วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 “เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า “เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า มอบ “อลงกรณ์” ลุยเหนือติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดพร้อมตรวจด่านเชียงแสน-เชียงของเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน เผยไทยได้เปรียบดุลการค้าผักผลไม้จีนกว่า 3 เท่าตัว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดโดยเฉพาะด่านนําเข้าจีน และส่งผลต่อการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรผลไม้ของไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการและบริหารการจัดการผลไม้ (Fruit Board) มีความเป็นห่วงสถานการณ์และได้เร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรและภาคการเกษตรของไทย จึงได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทํางานจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ ลงพื้นที่ภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลําพูน และเชียงราย ระหว่างวันที่ 11-15 ม.ค. 65 โดยจะติดตามความคืบหน้าในหลายด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการผลไม้ของภาคเหนือ ฤดูการผลิตปี 2565 (ลําไย) ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) ภาคเหนือ การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center :AIC) จังหวัดเชียงใหม่ ลําพูน และเชียงราย พร้อมตรวจเยี่ยมด่านเชียงของและด่านเชียงแสนในการส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตรทางบกและทางเรือลําน้ําโขง โดยเฉพาะมาตรการ SPS และโควิดฟรี (Covid Free) และแนวทางแก้ไขปัญหาการขนส่งผ่านด่านบ่อเตนและด่านโมฮ่าน ตลอดจนการประชุมหารือกับวิสาหกิจชุมชนเพื่อพัฒนากาแฟอาราบิก้า (Arabica) ตลอดห่วงโซอุปทาน การบริหารจัดการน้ําของโครงการชลประทานภาคเหนือตอนบนและการขับเคลื่อนโครงการโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนภาคเหนือเพื่อพัฒนาการเกษตรในเมืองและส่งเสริมเพิ่มพื่นที่สีเขียวเพื่อแก้ปัญหา pm.2.5 และลดก๊าซเรือนกระจกตอบโจทย์ Climate Change ตามแนวทาง COP26. สําหรับข้อมูลการส่งออกนําเข้าผักผลไม้โดยรวมระหว่างไทยกับจีน ปรากฎว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าจีนกว่า 3 เท่าตัว โดยในปี 2563 ไทยส่งออกผลไม้ไปจีน 1.02 แสนล้านบาท ไทยนําเข้าผลไม้จากจีน 30,735 ล้านบาท ไทยได้เปรียบจีน 7.2 หมื่นล้าน ครองตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนตลาด (Market Share) เป็นอันดับ 1 สูงถึง 45% ขณะที่เพียง 10 เดือนของปี 2564 (เดือน ม.ค-ต.ค2564) ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนกว่า 2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.48 แสนล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนําเข้าส่งออกผักในปี 2563 จีนส่งออกออกผักมาไทย 8 พันล้าน ไทยส่งออกผักสดผักแข็งผักแห้งและมัน หัวมัน 30,000 ล้าน (รหัส07) แต่ถ้าแยกผักออกมาไทยส่งออกผักไปจีน 1 พันล้านบาท เสียดุลการค้าจีนด้านผัก 7 พันล้าน ในขณะที่ไทยได้เปรียบการส่งออกผลไม้ไปจีนกว่า 7 หมื่นล้าน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 “เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า “เฉลิมชัย” เร่งรับมือผลไม้ฤดูการผลิตปี 2565 ล่วงหน้า มอบ “อลงกรณ์” ลุยเหนือติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดพร้อมตรวจด่านเชียงแสน-เชียงของเพิ่มโอกาสส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน เผยไทยได้เปรียบดุลการค้าผักผลไม้จีนกว่า 3 เท่าตัว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดมาตรการที่เข้มงวดโดยเฉพาะด่านนําเข้าจีน และส่งผลต่อการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรผลไม้ของไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการและบริหารการจัดการผลไม้ (Fruit Board) มีความเป็นห่วงสถานการณ์และได้เร่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรและภาคการเกษตรของไทย จึงได้มอบหมายให้ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทํางานจัดทําแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ ลงพื้นที่ภาคเหนือ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ลําพูน และเชียงราย ระหว่างวันที่ 11-15 ม.ค. 65 โดยจะติดตามความคืบหน้าในหลายด้าน ได้แก่ การบริหารจัดการผลไม้ของภาคเหนือ ฤดูการผลิตปี 2565 (ลําไย) ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) ภาคเหนือ การขับเคลื่อนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center :AIC) จังหวัดเชียงใหม่ ลําพูน และเชียงราย พร้อมตรวจเยี่ยมด่านเชียงของและด่านเชียงแสนในการส่งออกผลไม้และสินค้าเกษตรทางบกและทางเรือลําน้ําโขง โดยเฉพาะมาตรการ SPS และโควิดฟรี (Covid Free) และแนวทางแก้ไขปัญหาการขนส่งผ่านด่านบ่อเตนและด่านโมฮ่าน ตลอดจนการประชุมหารือกับวิสาหกิจชุมชนเพื่อพัฒนากาแฟอาราบิก้า (Arabica) ตลอดห่วงโซอุปทาน การบริหารจัดการน้ําของโครงการชลประทานภาคเหนือตอนบนและการขับเคลื่อนโครงการโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนภาคเหนือเพื่อพัฒนาการเกษตรในเมืองและส่งเสริมเพิ่มพื่นที่สีเขียวเพื่อแก้ปัญหา pm.2.5 และลดก๊าซเรือนกระจกตอบโจทย์ Climate Change ตามแนวทาง COP26. สําหรับข้อมูลการส่งออกนําเข้าผักผลไม้โดยรวมระหว่างไทยกับจีน ปรากฎว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าจีนกว่า 3 เท่าตัว โดยในปี 2563 ไทยส่งออกผลไม้ไปจีน 1.02 แสนล้านบาท ไทยนําเข้าผลไม้จากจีน 30,735 ล้านบาท ไทยได้เปรียบจีน 7.2 หมื่นล้าน ครองตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนตลาด (Market Share) เป็นอันดับ 1 สูงถึง 45% ขณะที่เพียง 10 เดือนของปี 2564 (เดือน ม.ค-ต.ค2564) ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนกว่า 2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.48 แสนล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนการนําเข้าส่งออกผักในปี 2563 จีนส่งออกออกผักมาไทย 8 พันล้าน ไทยส่งออกผักสดผักแข็งผักแห้งและมัน หัวมัน 30,000 ล้าน (รหัส07) แต่ถ้าแยกผักออกมาไทยส่งออกผักไปจีน 1 พันล้านบาท เสียดุลการค้าจีนด้านผัก 7 พันล้าน ในขณะที่ไทยได้เปรียบการส่งออกผลไม้ไปจีนกว่า 7 หมื่นล้าน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ำ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 นายกรัฐมนตรีกล่าวคําปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจําปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ํา “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกรัฐมนตรีกล่าวคําปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจําปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ํา “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” วันนี้ (3 ธันวาคม 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวคําปราศรัย เนื่องใน “วันคนพิการสากล ประจําปี 2564” เพื่อส่งความระลึกและความปรารถนาดีถึงคนพิการทุกท่าน โดยองค์การสหประชาชาติ กําหนดประเด็นหลัก ในปี 2564 ว่า “คนพิการร่วมนําการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า สู่โลกใหม่หลังโควิด - 19 อย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นและให้ความสําคัญต่อการมีส่วนร่วมของคนพิการในการป้องกัน พัฒนา และฟื้นฟูสังคมให้กลับคืนสู่สภาวะปกติภายหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศทุกคน และมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็น “สังคมแห่งโอกาส” มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมคุณภาพ โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะการดูแลคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และการได้รับการพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้านไปพร้อมกัน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาคนพิการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เช่น การพักชําระหนี้เงินกู้ยืมจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ระยะเวลา 2 ปี การกูยืมเงินกองทุนฯ คนพิการ (ฉุกเฉิน) คนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องมีผู้ค้ําประกัน และไม่มีดอกเบี้ย การขยายอายุบัตรประจําตัวคนพิการกรณีหมดอายุ ออกไปอีก 6 เดือน นับตั้งแต่บัตรประจําตัวคนพิการหมดอายุ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับคนพิการ การช่วยเหลือคนพิการที่ติดเชื้อ และมีความเสี่ยงสูง ผ่านโครงการ “เรามีเรา” การช่วยเหลือเยียวยาคนพิการที่ติดเชื้อ คนละ 3,000 บาท และส่งเสริมให้คนพิการได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด – 19 นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในปี 2565 รัฐบาลมีแผนที่จะขับเคลื่อนงานด้านคนพิการใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1. การให้ความช่วยเหลือคนพิการกลุ่มเปราะบาง โดยการพัฒนาระบบการสํารวจความเป็นอยู่ของคนพิการและครอบครัว ผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายอาสาสมัครทั่วประเทศ เพื่อให้คนพิการเข้าถึงระบบสวัสดิการที่พึงได้รับ พร้อมทั้งสนับสนุนกลไกครอบครัวอุปการะให้แก่คนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล 2. การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการ เพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุม ทั่วถึง โดยการพัฒนาแอปพลิเคชันแสดงตัวตนของคนพิการ หรือ “บัตรประจําตัวคนพิการดิจิทัล” ประเทศไทยถือเป็นประเทศในลําดับต้น ๆ ที่มีการใช้บัตรประจําตัวคนพิการดิจิทัล ซึ่งจะมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันคนพิการสากลปีนี้ 3. การพัฒนาระบบและศักยภาพคนพิการ เพื่อให้คนพิการมีงานทํา สามารถรองรับอาชีพในยุคดิจิทัล และการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ โดยร่วมกับ Depa อบรมหลักสูตรออนไลน์การเป็น Youtuber หลักสูตรออนไลน์อื่น ๆ และหลักสูตรการขายบน platform ร่วมกับ LAZADA เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้คนพิการมีโอกาสทํางานยุคใหม่ในด้านปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งให้ความสําคัญเรื่องโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะมีการพัฒนาศูนย์พัฒนาศักยภาพคนพิการให้เป็นศูนย์นําร่องเรื่องการเกษตร เพื่อเป็นการฝึกอาชีพให้กับคนพิการ ทั้งนี้ เพราะทุกคนถือเป็นพลังสําคัญที่สามารถพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน ......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกล่าวคำปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจำปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ำ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 นายกรัฐมนตรีกล่าวคําปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจําปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ํา “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกรัฐมนตรีกล่าวคําปราศรัยเนื่องในวันคนพิการสากล ประจําปี 2564 มุ่งมั่นพัฒนาสร้างให้ประเทศไทยเป็น “สังคมแห่งโอกาส” เยียวยาดูแลคนกลุ่มเปราะบาง ย้ํา “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” วันนี้ (3 ธันวาคม 2564) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวคําปราศรัย เนื่องใน “วันคนพิการสากล ประจําปี 2564” เพื่อส่งความระลึกและความปรารถนาดีถึงคนพิการทุกท่าน โดยองค์การสหประชาชาติ กําหนดประเด็นหลัก ในปี 2564 ว่า “คนพิการร่วมนําการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า สู่โลกใหม่หลังโควิด - 19 อย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นและให้ความสําคัญต่อการมีส่วนร่วมของคนพิการในการป้องกัน พัฒนา และฟื้นฟูสังคมให้กลับคืนสู่สภาวะปกติภายหลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศทุกคน และมีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็น “สังคมแห่งโอกาส” มีความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมคุณภาพ โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะการดูแลคนพิการให้เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และการได้รับการพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้านไปพร้อมกัน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาคนพิการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เช่น การพักชําระหนี้เงินกู้ยืมจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ระยะเวลา 2 ปี การกูยืมเงินกองทุนฯ คนพิการ (ฉุกเฉิน) คนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องมีผู้ค้ําประกัน และไม่มีดอกเบี้ย การขยายอายุบัตรประจําตัวคนพิการกรณีหมดอายุ ออกไปอีก 6 เดือน นับตั้งแต่บัตรประจําตัวคนพิการหมดอายุ การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับคนพิการ การช่วยเหลือคนพิการที่ติดเชื้อ และมีความเสี่ยงสูง ผ่านโครงการ “เรามีเรา” การช่วยเหลือเยียวยาคนพิการที่ติดเชื้อ คนละ 3,000 บาท และส่งเสริมให้คนพิการได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด – 19 นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในปี 2565 รัฐบาลมีแผนที่จะขับเคลื่อนงานด้านคนพิการใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1. การให้ความช่วยเหลือคนพิการกลุ่มเปราะบาง โดยการพัฒนาระบบการสํารวจความเป็นอยู่ของคนพิการและครอบครัว ผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายอาสาสมัครทั่วประเทศ เพื่อให้คนพิการเข้าถึงระบบสวัสดิการที่พึงได้รับ พร้อมทั้งสนับสนุนกลไกครอบครัวอุปการะให้แก่คนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล 2. การปฏิรูปการขึ้นทะเบียนคนพิการ เพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิ สวัสดิการ และความช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุม ทั่วถึง โดยการพัฒนาแอปพลิเคชันแสดงตัวตนของคนพิการ หรือ “บัตรประจําตัวคนพิการดิจิทัล” ประเทศไทยถือเป็นประเทศในลําดับต้น ๆ ที่มีการใช้บัตรประจําตัวคนพิการดิจิทัล ซึ่งจะมีการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันคนพิการสากลปีนี้ 3. การพัฒนาระบบและศักยภาพคนพิการ เพื่อให้คนพิการมีงานทํา สามารถรองรับอาชีพในยุคดิจิทัล และการดําเนินชีวิตวิถีใหม่ โดยร่วมกับ Depa อบรมหลักสูตรออนไลน์การเป็น Youtuber หลักสูตรออนไลน์อื่น ๆ และหลักสูตรการขายบน platform ร่วมกับ LAZADA เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้คนพิการมีโอกาสทํางานยุคใหม่ในด้านปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งให้ความสําคัญเรื่องโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะมีการพัฒนาศูนย์พัฒนาศักยภาพคนพิการให้เป็นศูนย์นําร่องเรื่องการเกษตร เพื่อเป็นการฝึกอาชีพให้กับคนพิการ ทั้งนี้ เพราะทุกคนถือเป็นพลังสําคัญที่สามารถพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตร ผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hubในภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมศูนย์การค้าผลผลิตทางการเกษตรระบบดิจิทัล ตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ทบทวนการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตร และเปิดประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการศูนย์การค้าผลิตผลทางการเกษตรระบบดิจิทัล และกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และทบทวนสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขสําหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู Bio Hub ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รองรับการขยายตัวในอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการแข่งขันสูงมากในตลาดโลก เปิด 2 ประเภทกิจการใหม่ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการศูนย์การค้าผลิตผลทางการเกษตรระบบดิจิทัล เพื่อเป็นการยกระดับภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ต้องมีแพลตฟอร์มสําหรับให้บริการเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสนับสนุนให้เกิดระบบการติดตามและปรับปรุงควบคุมคุณภาพผลผลิต โดยจะต้องจําหน่ายผลิตผลทางการเกษตรในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) เท่านั้น รวมทั้งได้เปิดประเภทกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร รองรับสถานประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตร เกษตรแปรรูป อาหาร รวมทั้งบริการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากร โดยจะต้องมีสิ่งอํานวยความสะดวกภายในโครงการ ได้แก่ ห้องปฎิบัติการ/ทดสอบ สถาบันฝึกอบรมหรือพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเกษตรหรืออาหาร ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน เพื่อเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ และสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเกษตรในพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขพื้นที่นิคมหรือเขตไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และห้ามตั้งในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ทั้งนี้ ทั้งสองประเภทกิจการใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ทบทวนมาตรการเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ทั้งนี้ บีโอไอได้ปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร ครอบคลุมถึงยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เวชสําอาง หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้สมุนไพรเป็นวัตถุดิบ เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน และเครื่องสําอาง เป็นต้น โดยหากเป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี “ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมากในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ปัจจุบันไทยนําสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพียง 1,800 ชนิด จากที่มีอยู่กว่า 1 หมื่นชนิด จึงหวังว่าการปรับปรุงประเภทกิจการครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จากการพัฒนาองค์ความรู้ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยกระดับสมุนไพรไทยเพื่อต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยมีความปลอดภัย มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” นางสาวดวงใจกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บีโอไอปรับมาตรการส่งเสริมลงทุนภาคเกษตรผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hub ในภูมิภาค บอร์ดบีโอไอไฟเขียวมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตร ผลักดันไทยก้าวสู่ Bio Hubในภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมศูนย์การค้าผลผลิตทางการเกษตรระบบดิจิทัล ตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ทบทวนการส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บอร์ดบีโอไอ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตร และเปิดประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการศูนย์การค้าผลิตผลทางการเกษตรระบบดิจิทัล และกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และทบทวนสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขสําหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู Bio Hub ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน รองรับการขยายตัวในอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการแข่งขันสูงมากในตลาดโลก เปิด 2 ประเภทกิจการใหม่ บอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบให้เปิดประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการศูนย์การค้าผลิตผลทางการเกษตรระบบดิจิทัล เพื่อเป็นการยกระดับภาคเกษตรให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ต้องมีแพลตฟอร์มสําหรับให้บริการเกษตรกรและผู้ประกอบการ และสนับสนุนให้เกิดระบบการติดตามและปรับปรุงควบคุมคุณภาพผลผลิต โดยจะต้องจําหน่ายผลิตผลทางการเกษตรในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) เท่านั้น รวมทั้งได้เปิดประเภทกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร รองรับสถานประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตร เกษตรแปรรูป อาหาร รวมทั้งบริการสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการพัฒนาบุคลากร โดยจะต้องมีสิ่งอํานวยความสะดวกภายในโครงการ ได้แก่ ห้องปฎิบัติการ/ทดสอบ สถาบันฝึกอบรมหรือพัฒนาองค์ความรู้ด้านการเกษตรหรืออาหาร ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน เพื่อเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ และสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเกษตรในพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขพื้นที่นิคมหรือเขตไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และห้ามตั้งในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ทั้งนี้ ทั้งสองประเภทกิจการใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ทบทวนมาตรการเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ทั้งนี้ บีโอไอได้ปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมกิจการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร ครอบคลุมถึงยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เวชสําอาง หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้สมุนไพรเป็นวัตถุดิบ เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน และเครื่องสําอาง เป็นต้น โดยหากเป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีการสกัดขั้นสูง จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี “ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมากในอีก 10 ปีข้างหน้า แต่ปัจจุบันไทยนําสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพียง 1,800 ชนิด จากที่มีอยู่กว่า 1 หมื่นชนิด จึงหวังว่าการปรับปรุงประเภทกิจการครั้งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จากการพัฒนาองค์ความรู้ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ยกระดับสมุนไพรไทยเพื่อต่อยอดไปสู่เชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยมีความปลอดภัย มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” นางสาวดวงใจกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสำเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้ โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ในโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ เป็นที่น่าพอใจ โดยในช่วงเดือน พ.ย.2564 จากผลสํารวจพบว่า มีเด็กไทยตกหล่นที่หลุดออกจากระบบการศึกษา มากถึง 238,707 คน กระทรวงศึกษาธิการ จึงร่วมกับร่วมงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินโครงการฯ เพื่อนําเด็กที่ตกหล่นหลุดจากระบบการศึกษา ให้ได้มีโอกาสกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง โดยข้อมูลล่าสุด ผลการดําเนินงานเดือน ส.ค.2565 พากลับมาเรียนแล้ว 220,754 คน เหลือที่ตกหล่น 17,953 คน โดยเป็นกลุ่มคนปกติ 8,741 คน ผู้พิการในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 886 คน ผู้พิการในสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) 8,326 คน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งเป้าค้นหาเด็กที่หลุดจากระบบ กลับมาให้ได้ครบ 100% ในปี 2565 นี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมโอกาสความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุกเด็กหลุดออกจากระบบ โดยเป็นการคืนโอกาส สร้างอนาคตให้เด็ก เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตั้งเป้าตัวเลขเด็กหลุดจากระบบต้องเป็นศูนย์ โดยการดําเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก 7 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับสาเหตุสําคัญที่ทําให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา เช่น ปัญหาด้านครอบครัว ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ครอบครัวหย่าร้าง นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 พบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ทําให้เรียนไม่ทัน จึงหยุดเรียน ประกอบกับผู้ปกครองพาเด็กไปทํางานรับจ้าง ส่งผลกระทบต่อการติดตามตัวเด็ก โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีหลายมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วย ......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสำเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้ วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้ โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ พาเด็กกลับมาเรียนแล้วกว่า 2 แสนคน ตั้งเป้าพากลับครบ 100% ภายในปีนี้ เมื่อวันที่ 29 ส.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ในโครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” ประสบความสําเร็จ เป็นที่น่าพอใจ โดยในช่วงเดือน พ.ย.2564 จากผลสํารวจพบว่า มีเด็กไทยตกหล่นที่หลุดออกจากระบบการศึกษา มากถึง 238,707 คน กระทรวงศึกษาธิการ จึงร่วมกับร่วมงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินโครงการฯ เพื่อนําเด็กที่ตกหล่นหลุดจากระบบการศึกษา ให้ได้มีโอกาสกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง โดยข้อมูลล่าสุด ผลการดําเนินงานเดือน ส.ค.2565 พากลับมาเรียนแล้ว 220,754 คน เหลือที่ตกหล่น 17,953 คน โดยเป็นกลุ่มคนปกติ 8,741 คน ผู้พิการในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 886 คน ผู้พิการในสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) 8,326 คน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งเป้าค้นหาเด็กที่หลุดจากระบบ กลับมาให้ได้ครบ 100% ในปี 2565 นี้ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการ “พาน้องกลับมาเรียน” เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมโอกาสความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุกเด็กหลุดออกจากระบบ โดยเป็นการคืนโอกาส สร้างอนาคตให้เด็ก เพื่อแก้ปัญหาระยะยาวของประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตั้งเป้าตัวเลขเด็กหลุดจากระบบต้องเป็นศูนย์ โดยการดําเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก 7 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับสาเหตุสําคัญที่ทําให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา เช่น ปัญหาด้านครอบครัว ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย ครอบครัวหย่าร้าง นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 พบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน ทําให้เรียนไม่ทัน จึงหยุดเรียน ประกอบกับผู้ปกครองพาเด็กไปทํางานรับจ้าง ส่งผลกระทบต่อการติดตามตัวเด็ก โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีหลายมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วย ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คึกคัก!! ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 2/2565 รวมยอดขายทั่วประเทศ จำนวน 307 รายการ 358 ล้านบาท
วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2565 คึกคัก!! ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 รวมยอดขายทั่วประเทศ จํานวน 307 รายการ 358 ล้านบาท ธอส.รายงานผลการจัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA สามารถจําหน่ายบ้านมือสอง ธอส. ทั่วประเทศได้ 307 รายการ คิดเป็นจํานวนเงินรวม 358 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานผลการจัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ที่จัดขึ้นวานนี้ (15 กรกฎาคม 2565) ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. สามารถจําหน่ายบ้านมือสอง ธอส. ทั่วประเทศได้ 307 รายการ คิดเป็นจํานวนเงินรวม 358 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 89 รายการ จํานวนเงิน 106 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 218 รายการ จํานวนเงิน 252 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาต่ําที่สุด คือ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ขนาดเนื้อที่ 23.63 ตารางเมตร ในโครงการคูณเจริญคอนโดทาวน์ 2 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ปิดประมูลในราคาเพียง 90,000 บาท เท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ขนาดเนื้อที่ 60.02 ตารางเมตร ในโครงการไบรท์ตั้นเพลส เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ปิดประมูลได้ในราคา 5,100,000 บาท เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่ทําเลดี เดินทางได้ในหลายเส้นทางคมนาคม และใกล้แหล่งอํานวยความสะดวกมากมาย พิเศษ!! ผู้ชนะประมูลได้สิทธิ์ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน และสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในระหว่างผ่อนดาวน์เพียงชําระเงินประกันการเข้าอยู่อาศัยไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลได้ สําหรับผู้ที่พลาดการประมูลบ้านมือสอง ธอส. ของธนาคารในครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมประมูลทรัพย์มือสองออนไลน์ ธอส. ได้อีกครั้ง ในงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 8.8 The Infinity Maximum SALE ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 โดยจะมีทรัพย์เด่นทําเลดีมาเปิดประมูลจํานวนมาก ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GHBank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : G H Bank Smart NPA และ Line Official Account : @ghbnpa
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คึกคัก!! ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 2/2565 รวมยอดขายทั่วประเทศ จำนวน 307 รายการ 358 ล้านบาท วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2565 คึกคัก!! ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 รวมยอดขายทั่วประเทศ จํานวน 307 รายการ 358 ล้านบาท ธอส.รายงานผลการจัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA สามารถจําหน่ายบ้านมือสอง ธอส. ทั่วประเทศได้ 307 รายการ คิดเป็นจํานวนเงินรวม 358 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานผลการจัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. ประจําปี ครั้งที่ 2/2565 ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA ที่จัดขึ้นวานนี้ (15 กรกฎาคม 2565) ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. สามารถจําหน่ายบ้านมือสอง ธอส. ทั่วประเทศได้ 307 รายการ คิดเป็นจํานวนเงินรวม 358 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 89 รายการ จํานวนเงิน 106 ล้านบาท และทรัพย์ในส่วนภูมิภาค 218 รายการ จํานวนเงิน 252 ล้านบาท โดยทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาต่ําที่สุด คือ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ขนาดเนื้อที่ 23.63 ตารางเมตร ในโครงการคูณเจริญคอนโดทาวน์ 2 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ปิดประมูลในราคาเพียง 90,000 บาท เท่านั้น ส่วนทรัพย์ที่ประมูลขายได้ในราคาสูงสุด คือ ทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ขนาดเนื้อที่ 60.02 ตารางเมตร ในโครงการไบรท์ตั้นเพลส เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ปิดประมูลได้ในราคา 5,100,000 บาท เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่ทําเลดี เดินทางได้ในหลายเส้นทางคมนาคม และใกล้แหล่งอํานวยความสะดวกมากมาย พิเศษ!! ผู้ชนะประมูลได้สิทธิ์ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 24 เดือน และสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในระหว่างผ่อนดาวน์เพียงชําระเงินประกันการเข้าอยู่อาศัยไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลได้ สําหรับผู้ที่พลาดการประมูลบ้านมือสอง ธอส. ของธนาคารในครั้งนี้ สามารถเข้าร่วมประมูลทรัพย์มือสองออนไลน์ ธอส. ได้อีกครั้ง ในงานประมูลบ้านมือสองออนไลน์ 8.8 The Infinity Maximum SALE ในวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 โดยจะมีทรัพย์เด่นทําเลดีมาเปิดประมูลจํานวนมาก ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA และลงทะเบียนเพื่อรอเข้าร่วมประมูลออนไลน์กับ ธอส. ในครั้งต่อไปได้ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GHBank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com, Mobile Application : G H Bank Smart NPA และ Line Official Account : @ghbnpa
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ย้ำแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ย้ําแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์ ​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ย้ําแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์ เตรียมหารือเพิ่มเติมในที่ประชุม ศบค. 13 ธันวาคม นี้ วันนี้ 8 ธันวาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ไทย ปรับตัวดีขึ้นติดต่อกันต่อเนื่อง วันนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ 3,618 ราย ต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ในขณะ 5 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จํานวน 37,939,641 ราย อินเดีย จํานวน 32,474,773 ราย บราซิล จํานวน 20,583,994 ราย ฝรั่งเศส จํานวน 6,708,163 ราย และรัสเซีย จํานวน 6,672,373 ราย สําหรับภาพรวมยอดฉีดวัคซีน ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2564 ยอดฉีดทั่วประเทศ สะสม 95,381,559 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จํานวน 49,201,590 ราย สัดส่วนต่อประชากรร้อยละ 74.33 เข็มที่ 2 จํานวน42,434,607 ราย และ เข็มที่ 3 จํานวน 3,723,724 ราย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนสมาชิกในครอบครัวช่วยกันสร้างแรงจูงใจเชิญชวนสมาชิกที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัค รีบเข้ารับการฉีดวัคซีน ทุกภาคส่วน ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบกิจการ ประชาชน ร่วมปฏิบัติมาตรการ VUCA ได้แก่ V - Vaccine (ฉีดวัคซีนให้ครบ) U - Universal Prevention (ป้องกันตัวเองตลอดเวลา) C - COVID Free Setting (ผู้ให้บริการพร้อมตรวจ ATK ทุกสัปดาห์) A - ATK (Antigen Test Kit) (พร้อมตรวจเสมอ เมื่อใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ) โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีฝากสื่อสารถึงพี่น้องประชาชนว่า อยากเห็นคนไทยมีความสุขในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และไม่ต้องการกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งกระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนอีก อย่างไรก็ตามคนไทยเคยผ่านวิกฤตโควิดจากสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่น่ากลัวมาแล้ว ขอเพียงทุกคนยึดมั่นการป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 แบบครอบจักรวาล ยึดหลักอนามัยส่วนบุคคล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เพราะการดูแลป้องกันตนเองปลอดภัยเป็นสิ่งสําคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ถึงแม้จะมีพบโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในไทยแล้ว ระบบสาธารณสุขของไทยมีความพร้อมและเตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว ซึ่งจะมีการหารือเพิ่มเติม ในที่ประชุม ศบค. วันที่ 13 ธ.ค. นี้ ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ย้ำแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์ วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ย้ําแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์ ​โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ย้ําแม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอน ไม่มีนโยบายปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ มั่นใจไทยรับมือได้ทุกสายพันธุ์ เตรียมหารือเพิ่มเติมในที่ประชุม ศบค. 13 ธันวาคม นี้ วันนี้ 8 ธันวาคม 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ไทย ปรับตัวดีขึ้นติดต่อกันต่อเนื่อง วันนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ 3,618 ราย ต่ําสุดในรอบ 3 เดือน ในขณะ 5 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จํานวน 37,939,641 ราย อินเดีย จํานวน 32,474,773 ราย บราซิล จํานวน 20,583,994 ราย ฝรั่งเศส จํานวน 6,708,163 ราย และรัสเซีย จํานวน 6,672,373 ราย สําหรับภาพรวมยอดฉีดวัคซีน ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2564 ยอดฉีดทั่วประเทศ สะสม 95,381,559 โดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จํานวน 49,201,590 ราย สัดส่วนต่อประชากรร้อยละ 74.33 เข็มที่ 2 จํานวน42,434,607 ราย และ เข็มที่ 3 จํานวน 3,723,724 ราย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเชิญชวนสมาชิกในครอบครัวช่วยกันสร้างแรงจูงใจเชิญชวนสมาชิกที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัค รีบเข้ารับการฉีดวัคซีน ทุกภาคส่วน ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบกิจการ ประชาชน ร่วมปฏิบัติมาตรการ VUCA ได้แก่ V - Vaccine (ฉีดวัคซีนให้ครบ) U - Universal Prevention (ป้องกันตัวเองตลอดเวลา) C - COVID Free Setting (ผู้ให้บริการพร้อมตรวจ ATK ทุกสัปดาห์) A - ATK (Antigen Test Kit) (พร้อมตรวจเสมอ เมื่อใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ) โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีฝากสื่อสารถึงพี่น้องประชาชนว่า อยากเห็นคนไทยมีความสุขในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และไม่ต้องการกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งกระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนอีก อย่างไรก็ตามคนไทยเคยผ่านวิกฤตโควิดจากสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่น่ากลัวมาแล้ว ขอเพียงทุกคนยึดมั่นการป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 แบบครอบจักรวาล ยึดหลักอนามัยส่วนบุคคล สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง เพราะการดูแลป้องกันตนเองปลอดภัยเป็นสิ่งสําคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ถึงแม้จะมีพบโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในไทยแล้ว ระบบสาธารณสุขของไทยมีความพร้อมและเตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว ซึ่งจะมีการหารือเพิ่มเติม ในที่ประชุม ศบค. วันที่ 13 ธ.ค. นี้ ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้ (วันที่ 6 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยต่อกรณีที่มีการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลแก่พี่น้องประชาชนว่าจะเกิดสินามิในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรองรับหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมสร้างความตื่นตกใจ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงว่า กรณีการเกิดภาวะน้ําทะเลหนุนบริเวณฝั่งอันดามัน และการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน ซึ่งนํามาสู่ความกังวลว่าจะเกิดสินามิในประเทศไทย โดยกรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า ในช่วงวันที่ 4 – 6 กรกฎาคม 2565 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณหมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย ศูนย์กลางห่างจาก จ.พังงา ประมาณ 500 กิโลเมตร มีขนาด 4.0-4.9 รวมทั้งหมด 32 ครั้ง ซึ่งเป็นการเกิดแผ่นดินไหวที่ไม่รุนแรง เป็นเพียงการสั่นระดับปานกลาง ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทย และไม่ทําให้เกิดสึนามิ อย่างไรก็ดี อาจทําให้ประชาชนรู้สึกกังวล เนื่องจากบริเวณ จ. ภูเก็ต พังงา กระบี่ มีภาวะน้ําทะเลหนุนสูง ซึ่งชี้แจงได้ว่า ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหว แต่เป็นเพราะ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้บริเวณฝั่งอันดามันมีกําลังแรง ทําให้เกิดคลื่นสูง 2 - 3 เมตร และภาวะน้ําทะเลหนุนสูงในจังหวัดฝั่งอันดามัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ คาดว่ามีโอกาสเกิดสึนามิค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการเลื่อนตัวในแนวดิ่ง และมีขนาดไม่ใหญ่ จึงขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด จากช่องทางของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยทางกรมอุตุนิยมมีการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว 24 ชั่วโมง เบื้องต้นหากมีแผ่นดินเกิดขึ้น ทางกรมอุตุนิยมจะมีการแจ้งข้อมูลมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบต่อไป ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งแนวทางการทํางานว่าหากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับแจ้งยืนยันว่าเกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 7.8 ขึ้นไป ทางกรมฯ จะมีการแจ้งเตือนไปยังหอเตือนภัยในทะเลอันดามันซึ่งมีทั้งหมด 130 หอ เพื่อแจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อสึนามิ 6 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และภูเก็ต ใน 27 อําเภอ 102 ตําบล 509 หมู่บ้านและชุมชน ทั้งนี้ ทางกรมฯ มีเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวและแนวโน้มการเกิดสึนามิตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทุ่นสึนามิ ซึ่งหากมีการเกิดคลื่นสึนามิในทะเล ทุ่นจะส่งสัญญาณเตือนมาที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และส่งไปยังหน่วยงานระหว่างประเทศ NOOA ของสหรัฐอเมริกา และแจ้งเตือนไปยังพื้นที่เสี่ยงต่อไป ทั้งนี้ หากทุ่นไม่สามารถทํางานได้ ก็ยังมีทุ่นสึนามิของประเทศต่าง ๆ ที่จะส่งสัญญาณไปยัง NOOA เพื่อประมวลผลได้เช่นกัน และขณะนี้หากกรณีทุ่นของประเทศต่าง ๆ ไม่ส่งสัญญาณ การแจ้งเตือนจะเริ่มจากการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวก่อน หากขนาดตั้งแต่ 7.8 ขึ้นไป ทาง NOOA จะส่งข้อมูลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเกิดสึนามิ ดังนั้น ยืนยันว่าประเทศไทยยังได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนการเกิดแผ่นดินไหวและการเกิดสึนามิอย่างต่อเนื่องแน่นอน นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ยกระดับความพร้อมในการทดสอบระบบการแจ้งเตือนภัยไปยังหอเตือนภัยประเภทสึนามิที่ฝั่งอันดามัน โดยจะมีการทดสอบระบบทุกวัน และมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจของพี่น้องประชาชนถึงระบบการแจ้งเตือนภัยและสึนามิของประเทศไทยว่ายังสามารถทํางานได้ตามปกติ และให้ข้อมูลหลักการปฏิบัติกรณีเกิดภัย การเตรียมความพร้อมในเรื่องสถานที่ ศูนย์พักพิง ศูนย์อพยพชั่วคราว ที่แต่ละพื้นที่มีการเตรียมพร้อมไว้ตามแผนปฏิบัติการของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรและอุปกรณ์ในการรับมือกับภัยทุกประเภท โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด ในพื้นที่เสี่ยง 6 จังหวัด และมีการกําหนดฝึกซ้อมรับมือกับสึนามิในระดับจังหวัด อําเภอ ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจได้ว่า มีการเตรียมพร้อมต่อการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง “นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติการ เฝ้าระวัง เตรียมความพร้อม อย่างเต็มกําลัง และให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางาน เตรียมการพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการทํางานร่วมกัน เพื่อให้มีแผนเผชิญเหตุที่ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และรัดกุมต่อการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยในช่วงเวลานี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ ประชาสัมพันธ์แนวทางการทํางานเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ คลายกังวล และรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานหลัก” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2565 โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงใยประชาชนกรณีแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวัง เตรียมแผนเผชิญเหตุฉุกเฉิน พร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง วันนี้ (วันที่ 6 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยต่อกรณีที่มีการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลแก่พี่น้องประชาชนว่าจะเกิดสินามิในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรองรับหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมสร้างความตื่นตกใจ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงว่า กรณีการเกิดภาวะน้ําทะเลหนุนบริเวณฝั่งอันดามัน และการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลอันดามัน ซึ่งนํามาสู่ความกังวลว่าจะเกิดสินามิในประเทศไทย โดยกรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า ในช่วงวันที่ 4 – 6 กรกฎาคม 2565 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณหมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย ศูนย์กลางห่างจาก จ.พังงา ประมาณ 500 กิโลเมตร มีขนาด 4.0-4.9 รวมทั้งหมด 32 ครั้ง ซึ่งเป็นการเกิดแผ่นดินไหวที่ไม่รุนแรง เป็นเพียงการสั่นระดับปานกลาง ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทย และไม่ทําให้เกิดสึนามิ อย่างไรก็ดี อาจทําให้ประชาชนรู้สึกกังวล เนื่องจากบริเวณ จ. ภูเก็ต พังงา กระบี่ มีภาวะน้ําทะเลหนุนสูง ซึ่งชี้แจงได้ว่า ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหว แต่เป็นเพราะ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้บริเวณฝั่งอันดามันมีกําลังแรง ทําให้เกิดคลื่นสูง 2 - 3 เมตร และภาวะน้ําทะเลหนุนสูงในจังหวัดฝั่งอันดามัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ คาดว่ามีโอกาสเกิดสึนามิค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการเลื่อนตัวในแนวดิ่ง และมีขนาดไม่ใหญ่ จึงขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด จากช่องทางของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยทางกรมอุตุนิยมมีการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว 24 ชั่วโมง เบื้องต้นหากมีแผ่นดินเกิดขึ้น ทางกรมอุตุนิยมจะมีการแจ้งข้อมูลมายังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบต่อไป ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งแนวทางการทํางานว่าหากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับแจ้งยืนยันว่าเกิดแผ่นดินไหวในทะเล ขนาด 7.8 ขึ้นไป ทางกรมฯ จะมีการแจ้งเตือนไปยังหอเตือนภัยในทะเลอันดามันซึ่งมีทั้งหมด 130 หอ เพื่อแจ้งให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อสึนามิ 6 จังหวัด ได้แก่ ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง สตูล และภูเก็ต ใน 27 อําเภอ 102 ตําบล 509 หมู่บ้านและชุมชน ทั้งนี้ ทางกรมฯ มีเจ้าหน้าที่ติดตามข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวและแนวโน้มการเกิดสึนามิตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทุ่นสึนามิ ซึ่งหากมีการเกิดคลื่นสึนามิในทะเล ทุ่นจะส่งสัญญาณเตือนมาที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และส่งไปยังหน่วยงานระหว่างประเทศ NOOA ของสหรัฐอเมริกา และแจ้งเตือนไปยังพื้นที่เสี่ยงต่อไป ทั้งนี้ หากทุ่นไม่สามารถทํางานได้ ก็ยังมีทุ่นสึนามิของประเทศต่าง ๆ ที่จะส่งสัญญาณไปยัง NOOA เพื่อประมวลผลได้เช่นกัน และขณะนี้หากกรณีทุ่นของประเทศต่าง ๆ ไม่ส่งสัญญาณ การแจ้งเตือนจะเริ่มจากการแจ้งเตือนแผ่นดินไหวก่อน หากขนาดตั้งแต่ 7.8 ขึ้นไป ทาง NOOA จะส่งข้อมูลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเกิดสึนามิ ดังนั้น ยืนยันว่าประเทศไทยยังได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนการเกิดแผ่นดินไหวและการเกิดสึนามิอย่างต่อเนื่องแน่นอน นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ยกระดับความพร้อมในการทดสอบระบบการแจ้งเตือนภัยไปยังหอเตือนภัยประเภทสึนามิที่ฝั่งอันดามัน โดยจะมีการทดสอบระบบทุกวัน และมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจของพี่น้องประชาชนถึงระบบการแจ้งเตือนภัยและสึนามิของประเทศไทยว่ายังสามารถทํางานได้ตามปกติ และให้ข้อมูลหลักการปฏิบัติกรณีเกิดภัย การเตรียมความพร้อมในเรื่องสถานที่ ศูนย์พักพิง ศูนย์อพยพชั่วคราว ที่แต่ละพื้นที่มีการเตรียมพร้อมไว้ตามแผนปฏิบัติการของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรและอุปกรณ์ในการรับมือกับภัยทุกประเภท โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด ในพื้นที่เสี่ยง 6 จังหวัด และมีการกําหนดฝึกซ้อมรับมือกับสึนามิในระดับจังหวัด อําเภอ ซึ่งเริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจได้ว่า มีการเตรียมพร้อมต่อการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง “นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน โดยได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติการ เฝ้าระวัง เตรียมความพร้อม อย่างเต็มกําลัง และให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทํางาน เตรียมการพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการทํางานร่วมกัน เพื่อให้มีแผนเผชิญเหตุที่ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และรัดกุมต่อการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาผลกระทบต่อประชาชน โดยในช่วงเวลานี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ ประชาสัมพันธ์แนวทางการทํางานเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ คลายกังวล และรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานหลัก” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค.
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2564 ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค. ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค. นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลด้านสภาพอากาศเกี่ยวกับประเด็นเรื่องประเทศไทยเตรียมรับอากาศร้อนช่วงวันที่9-18ธ.ค.ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าสภาวะอากาศในระยะนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว(ซีกโลกเหนือยังหันขั้วออกจากดวงอาทิตย์)ซึ่งสภาพภูมิกาศโดยปกติของประเทศไทยโดยเฉพาะทางตอนบน(ภาคเหนือภาคอีสาน)ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าได้ต่อเนื่องไปถึงมกราคมและอาจจะมีบางช่วงเช่นวันที่13-15, 21-24ธ.ค. 64และช่วงต้นเดือนมกราคมทางตอนบนยังมีอากาศเย็นถึงหนาวได้เนื่องจากยังมีมวลอากาศเย็นหรือบริเวณความกดอากาศสูงแผ่เสริมลงมาปกคลุมเป็นระลอกๆมีบางช่วงเท่านั้นที่อากาศอุ่นขึ้นเนื่องจากมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาปกคลุมมีกําลังอ่อนลงแต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าสําหรับกทม.ยังมีอากาศเย็นตอนเช้าต่อเนื่อง โดยพยากรณ์อากาศ7วันข้างหน้าระหว่างวันที่9-15ธันวาคม2564พบว่าบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกําลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยทําให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น1-3องศาเซลเซียสแต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้าหลังจากนั้นในช่วงวันที่14-15ธ.ค. 64บริเวณความกดอากาศสูงกําลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่อีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนทําให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรงโดยอุณหภูมิจะลดลง2-4องศาเซลเซียสในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรงอุณหภูมิจะลดลง1-3องศาเซลเซียส ทั้งนี้ในช่วงวันที่13-15ธ.ค. 64หย่อมความกดอากาศต่ํากําลังแรงที่ปกคลุมบริเวณเกาะบอร์เนียวจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศมาเลเซียประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยภาคใต้และทะเลอันดามันมีกําลังปานกลางตลอดช่วงทําให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์http://www.tmd.go.th, Facebook:กรมอุตุนิยมวิทยา, Application: Thai weatherหรือติดต่อสายด่วน1182 (ตลอด24ชั่วโมง) นอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค. วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2564 ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค. ดีอีเอส เตือนข่าวปลอมประเทศไทย เตรียมรับอากาศร้อน ช่วงวันที่ 9-18 ธ.ค. นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมืองกล่าวว่าตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลด้านสภาพอากาศเกี่ยวกับประเด็นเรื่องประเทศไทยเตรียมรับอากาศร้อนช่วงวันที่9-18ธ.ค.ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมอุตุนิยมวิทยากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพบว่าประเด็นดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ ทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้ตรวจสอบและชี้แจงว่าสภาวะอากาศในระยะนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว(ซีกโลกเหนือยังหันขั้วออกจากดวงอาทิตย์)ซึ่งสภาพภูมิกาศโดยปกติของประเทศไทยโดยเฉพาะทางตอนบน(ภาคเหนือภาคอีสาน)ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าได้ต่อเนื่องไปถึงมกราคมและอาจจะมีบางช่วงเช่นวันที่13-15, 21-24ธ.ค. 64และช่วงต้นเดือนมกราคมทางตอนบนยังมีอากาศเย็นถึงหนาวได้เนื่องจากยังมีมวลอากาศเย็นหรือบริเวณความกดอากาศสูงแผ่เสริมลงมาปกคลุมเป็นระลอกๆมีบางช่วงเท่านั้นที่อากาศอุ่นขึ้นเนื่องจากมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาปกคลุมมีกําลังอ่อนลงแต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้าสําหรับกทม.ยังมีอากาศเย็นตอนเช้าต่อเนื่อง โดยพยากรณ์อากาศ7วันข้างหน้าระหว่างวันที่9-15ธันวาคม2564พบว่าบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกําลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยทําให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น1-3องศาเซลเซียสแต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้าหลังจากนั้นในช่วงวันที่14-15ธ.ค. 64บริเวณความกดอากาศสูงกําลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่อีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนทําให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรงโดยอุณหภูมิจะลดลง2-4องศาเซลเซียสในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้ากับมีลมแรงอุณหภูมิจะลดลง1-3องศาเซลเซียส ทั้งนี้ในช่วงวันที่13-15ธ.ค. 64หย่อมความกดอากาศต่ํากําลังแรงที่ปกคลุมบริเวณเกาะบอร์เนียวจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศมาเลเซียประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยภาคใต้และทะเลอันดามันมีกําลังปานกลางตลอดช่วงทําให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆและเพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์http://www.tmd.go.th, Facebook:กรมอุตุนิยมวิทยา, Application: Thai weatherหรือติดต่อสายด่วน1182 (ตลอด24ชั่วโมง) นอกจากนี้ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง “ปฏิบัติการปราบสลากกินแบ่งรัฐบาลผีออนไลน์ สแกนแล้วนำมาขายซ้ำ”
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง “ปฏิบัติการปราบสลากกินแบ่งรัฐบาลผีออนไลน์ สแกนแล้วนํามาขายซ้ํา” สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บูรณาการร่วมกับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ทําการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบบออนไลน์แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายใต้การอํานวยการของ นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, ผศ.ดร.ธนวรรธน์ ผลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้บูรณาการร่วมกับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ภายใต้การอํานวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. สั่งการให้ พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคบ ทําการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบบออนไลน์แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง ดังนี้ รายที่ 1 นายพลพล คงธันร์อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/110 หมู่ที่ 7 ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1584/2564 ลงวันที่ 28กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 94/18 หมู่ที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 12.10 น. รายที่ 2 นายโป้ง สุขจิตร อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51/40 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1583/2564 ลงวันที่ 28 กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 25/48 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 06.00 น. รายที่ 3นายสุรศักดิ์ หนูศรีใส อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/2 หมู่ที่ 5 ตําบลบางขนุน อําเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1582/2564 ลงวันที่ 28กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านของพักของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 12.00 น. ซี่งทั้งหมดต้องหาว่ากระทําผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนอันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา,ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือพนันในการเล่นพนันสลากกินแบ่ง ตามบัญชี ข.(หมายเลข16) โดยมิได้รับอนุญาต” พฤติการณ์กล่าวคือ บก.ปคบ.ร่วมกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกันสืบสวนกรณี แพลตฟอร์มชื่อ “ผีน้อย ลอตเตอรี่ ออนไลน์” ได้เสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ยังไม่ได้ออกรางวัลผ่านเพจออนไลน์ชื่อ ผีน้อย ลอตเตอรี่ออนไลน์ ทางเว็ปไซต์https://lottery168.com/homeหรือhttps://pheenoilottery.com/homeซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับบุคคลทั่วไป โดยนําภาพสลากฯ หมายเลขต่างๆ ที่มีการสแกนบันทึกเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ มาเสนอขายผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยใช้ตัวแทนนายหน้า หรือบุคคลต่าง ๆ เป็นผู้โฆษณาหาลูกค้ามาซื้อสลากฯ เมื่อลูกค้าเลือกซื้อสลากฯ แล้ว แพลตฟอร์มผีน้อยฯ มิได้ส่งมอบ สลากฯ ฉบับจริงให้ลูกค้า เพื่อทําการตรวจสอบ และเก็บรักษา แต่อย่างใด โดยแพลตฟอร์มฯ จะเก็บรักษาสลากฯ ฉบับจริงไว้ให้ลูกค้าเอง ซึ่งจาการสืบสวนในคดีนี้พบว่า หลังจากที่กลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวได้สแกนบันทึกสลาก ฯ และจําหน่ายทางเพจออนไลน์แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้แอบนําสลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับจริงทุกฉบับนําออกมาจําหน่ายซ้ําให้กับลูกค้ารายอื่นอีกจากพยานหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นเชื่อว่า นายพลพลฯและพวก มีการแบ่งหน้าที่กันในการกระทําความผิด โดยนายพลพลฯ ทําหน้าที่เป็นตัวแทนหรือผู้ดูแลแพลตฟอร์มฯ โฆษณาโพสต์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาซื้อสลากฯ ส่วนนายโป้งฯ และนายสุรศักดิ์ฯ ทําหน้าที่เปิดบัญชีเงินฝากเพื่อรับโอนเงินจากลูกค้าที่หลงเชื่อมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับจริงให้กับลูกค้าที่ซื้อ และจากการสืบสวนยังพบอีกว่ากลุ่มผู้ต้องหายังได้มีการนําบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วมาทําธุรกรรมรับฝากโอนเงิน เพื่อกิจการขายสลากของแพลตฟอร์มผีน้อย ลอตเตอรี่ ออนไลน์ ถือว่าผิดวิสัย โดยปกติทั่วไปบัญชีเงินฝากเป็นข้อมูลบัญชีเฉพาะบุคคลจะให้บุคคลอื่นไปใช้ดําเนินการแทนไม่ได้ซึ่งหากมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากเจ้าหน้าที่นายพลพลฯกับพวกก็ไม่ต้องรับผิดและจากการตรวจสอบเส้นทางการทําธุรกรรมการเงินในบัญชีเงินฝากของกลุ่มผู้ต้องหาตั้งแต่เปิดบัญชีจนถึงปัจจุบัน มีเงินหมุนเวียนกว่า 15 ล้านบาท พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และได้ยื่นคําร้องขอหมายจับบุคคลดังกล่าวต่อศาลอาญา กระทั่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้ง 3รายดังกล่าว จากการตรวจค้นบริเวณบ้านเลขที่ 94/18 หมู่ที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของแพลตฟอร์มผีน้อยฯ ตามหมายค้นของศาลอาญาธนบุรีที่ 427/2564 ลงวันที่ 28 กันยายน 2564 ปรากฎว่าไม่พบมีสลากฯเก็บไว้ให้ลูกค้าที่ซื้อแต่อย่างใดพบแต่สิ่งของที่ใช้ในการกระทําความผิด จึงได้ทําการตรวจยึดเป็นของกลางในคดี ดังนี้ 1.เครื่องสแกนสลากฯยี่ห้อ Brotherพร้อมชุดเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมจํานวน 10 เครื่อง 2.สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นพร้อมบัตรเอทีเอ็ม กว่า 20 บัญชี (เชื่อว่าเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นที่กลุ่มผู้ต้องหาไปหาซื้อมาเพื่อทําธุรกรรมรับโอนเงิน) 3.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ ที่ใช้สําหรับทําธุรกรรมโอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารต่างๆ กว่า 10 เครื่อง 4.สมุดบันทึกและอื่นๆ เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้ทําการยึดไว้ตรวจสอบต่อไปและจะได้ขยายผลผู้ร่วมกระทําความผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาต่อไป และจากการสอบสวนนายพลพลฯ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่า แพลตฟอร์มผีน้อยลอตเตอรี่ ออนไลน์ ได้เปิดบริการให้ประชาชนมาซื้อสลากฯจากเพจดังกล่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านแล้วโดยสลากฯที่สแกนแล้วจะนําไปขายต่อให้ยี่ปั๊วแถวสนามบินน้ํา จังหวัดนนทบุรี ข่าวสารเพิ่มเติมสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนในการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น จึงขอประชาสัมพันธ์ ให้ซื้อกับตัวแทนที่มีการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีฉบับจริงมีสถานที่ตั้งจําหน่าย หรือตัวแทนจําหน่ายสามารถตรวจสอบได้ และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือมีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา สามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1135, ศูนย์รับเรื่องรวมร้องทุกข์ บก.ปคบ.,เพจเฟซบุ๊ก“กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค” และ เว็บไซต์ www.cppd.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง “ปฏิบัติการปราบสลากกินแบ่งรัฐบาลผีออนไลน์ สแกนแล้วนำมาขายซ้ำ” วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง “ปฏิบัติการปราบสลากกินแบ่งรัฐบาลผีออนไลน์ สแกนแล้วนํามาขายซ้ํา” สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล บูรณาการร่วมกับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ทําการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบบออนไลน์แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายใต้การอํานวยการของ นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, ผศ.ดร.ธนวรรธน์ ผลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล, พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้บูรณาการร่วมกับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง ภายใต้การอํานวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. สั่งการให้ พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปคบ ทําการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ซึ่งได้ร่วมกันโฆษณาหลอกขายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบบออนไลน์แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้ซื้อจริง ดังนี้ รายที่ 1 นายพลพล คงธันร์อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/110 หมู่ที่ 7 ตําบลหันตรา อําเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1584/2564 ลงวันที่ 28กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 94/18 หมู่ที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 12.10 น. รายที่ 2 นายโป้ง สุขจิตร อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 51/40 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1583/2564 ลงวันที่ 28 กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 25/48 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 06.00 น. รายที่ 3นายสุรศักดิ์ หนูศรีใส อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/2 หมู่ที่ 5 ตําบลบางขนุน อําเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1582/2564 ลงวันที่ 28กันยายน 2564 โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านของพักของผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 29กันยายน 2564 เวลา 12.00 น. ซี่งทั้งหมดต้องหาว่ากระทําผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนอันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา,ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทําอุบายล่อ ประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือพนันในการเล่นพนันสลากกินแบ่ง ตามบัญชี ข.(หมายเลข16) โดยมิได้รับอนุญาต” พฤติการณ์กล่าวคือ บก.ปคบ.ร่วมกับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ร่วมกันสืบสวนกรณี แพลตฟอร์มชื่อ “ผีน้อย ลอตเตอรี่ ออนไลน์” ได้เสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ยังไม่ได้ออกรางวัลผ่านเพจออนไลน์ชื่อ ผีน้อย ลอตเตอรี่ออนไลน์ ทางเว็ปไซต์https://lottery168.com/homeหรือhttps://pheenoilottery.com/homeซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกลวงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับบุคคลทั่วไป โดยนําภาพสลากฯ หมายเลขต่างๆ ที่มีการสแกนบันทึกเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ มาเสนอขายผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าว โดยใช้ตัวแทนนายหน้า หรือบุคคลต่าง ๆ เป็นผู้โฆษณาหาลูกค้ามาซื้อสลากฯ เมื่อลูกค้าเลือกซื้อสลากฯ แล้ว แพลตฟอร์มผีน้อยฯ มิได้ส่งมอบ สลากฯ ฉบับจริงให้ลูกค้า เพื่อทําการตรวจสอบ และเก็บรักษา แต่อย่างใด โดยแพลตฟอร์มฯ จะเก็บรักษาสลากฯ ฉบับจริงไว้ให้ลูกค้าเอง ซึ่งจาการสืบสวนในคดีนี้พบว่า หลังจากที่กลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวได้สแกนบันทึกสลาก ฯ และจําหน่ายทางเพจออนไลน์แล้ว กลุ่มผู้ต้องหาได้แอบนําสลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับจริงทุกฉบับนําออกมาจําหน่ายซ้ําให้กับลูกค้ารายอื่นอีกจากพยานหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นเชื่อว่า นายพลพลฯและพวก มีการแบ่งหน้าที่กันในการกระทําความผิด โดยนายพลพลฯ ทําหน้าที่เป็นตัวแทนหรือผู้ดูแลแพลตฟอร์มฯ โฆษณาโพสต์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาซื้อสลากฯ ส่วนนายโป้งฯ และนายสุรศักดิ์ฯ ทําหน้าที่เปิดบัญชีเงินฝากเพื่อรับโอนเงินจากลูกค้าที่หลงเชื่อมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่มีสลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับจริงให้กับลูกค้าที่ซื้อ และจากการสืบสวนยังพบอีกว่ากลุ่มผู้ต้องหายังได้มีการนําบัญชีเงินฝากของบุคคลอื่นที่เสียชีวิตแล้วมาทําธุรกรรมรับฝากโอนเงิน เพื่อกิจการขายสลากของแพลตฟอร์มผีน้อย ลอตเตอรี่ ออนไลน์ ถือว่าผิดวิสัย โดยปกติทั่วไปบัญชีเงินฝากเป็นข้อมูลบัญชีเฉพาะบุคคลจะให้บุคคลอื่นไปใช้ดําเนินการแทนไม่ได้ซึ่งหากมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากเจ้าหน้าที่นายพลพลฯกับพวกก็ไม่ต้องรับผิดและจากการตรวจสอบเส้นทางการทําธุรกรรมการเงินในบัญชีเงินฝากของกลุ่มผู้ต้องหาตั้งแต่เปิดบัญชีจนถึงปัจจุบัน มีเงินหมุนเวียนกว่า 15 ล้านบาท พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และได้ยื่นคําร้องขอหมายจับบุคคลดังกล่าวต่อศาลอาญา กระทั่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลทั้ง 3รายดังกล่าว จากการตรวจค้นบริเวณบ้านเลขที่ 94/18 หมู่ที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29กันยายน 2564ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของแพลตฟอร์มผีน้อยฯ ตามหมายค้นของศาลอาญาธนบุรีที่ 427/2564 ลงวันที่ 28 กันยายน 2564 ปรากฎว่าไม่พบมีสลากฯเก็บไว้ให้ลูกค้าที่ซื้อแต่อย่างใดพบแต่สิ่งของที่ใช้ในการกระทําความผิด จึงได้ทําการตรวจยึดเป็นของกลางในคดี ดังนี้ 1.เครื่องสแกนสลากฯยี่ห้อ Brotherพร้อมชุดเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมจํานวน 10 เครื่อง 2.สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นพร้อมบัตรเอทีเอ็ม กว่า 20 บัญชี (เชื่อว่าเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นที่กลุ่มผู้ต้องหาไปหาซื้อมาเพื่อทําธุรกรรมรับโอนเงิน) 3.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ ที่ใช้สําหรับทําธุรกรรมโอนเงินผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารต่างๆ กว่า 10 เครื่อง 4.สมุดบันทึกและอื่นๆ เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้ทําการยึดไว้ตรวจสอบต่อไปและจะได้ขยายผลผู้ร่วมกระทําความผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาต่อไป และจากการสอบสวนนายพลพลฯ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่า แพลตฟอร์มผีน้อยลอตเตอรี่ ออนไลน์ ได้เปิดบริการให้ประชาชนมาซื้อสลากฯจากเพจดังกล่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านแล้วโดยสลากฯที่สแกนแล้วจะนําไปขายต่อให้ยี่ปั๊วแถวสนามบินน้ํา จังหวัดนนทบุรี ข่าวสารเพิ่มเติมสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลและสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนในการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น จึงขอประชาสัมพันธ์ ให้ซื้อกับตัวแทนที่มีการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีฉบับจริงมีสถานที่ตั้งจําหน่าย หรือตัวแทนจําหน่ายสามารถตรวจสอบได้ และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือมีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา สามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1135, ศูนย์รับเรื่องรวมร้องทุกข์ บก.ปคบ.,เพจเฟซบุ๊ก“กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค” และ เว็บไซต์ www.cppd.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46899
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลัง ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบการ
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ก.แรงงาน ผนึกกําลัง ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานตามหลักสากล ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคของการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน และมีการนํามาตรฐานแรงงานมาเชื่อมโยงกับการค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในการทํางานให้ดีขึ้นสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กําหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถ ในการแข่งขันที่สูงขึ้น รองรับการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างทั้งสองหน่วยงานโดยเฉพาะเครือเจริญโภคภัณฑ์ฯ ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจกุ้งแบบครบวงจรในประเทศไทย เป็นการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาสถานประกอบกิจการ และห่วงโซ่อุปทานตลอดสายการผลิต เพื่อให้การดําเนินธุรกิจมีความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน โดยปฏิบัติสอดคล้องกับข้อกําหนดมาตรฐานแรงงานไทย ส่งผลให้มีกลุ่มธุรกิจเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน สินค้าบริการได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่าผลิตสินค้าได้อย่างมีจริยธรรมและปราศจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ สาระสําคัญของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ก็เพื่อที่จะให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจกุ้งครบวงจร เขตประเทศไทย และสถานประกอบกิจการในห่วงโช่อุปทาน ได้ประสานความร่วมมือรณรงค์ส่งเสริม ตระหนักและเห็นความสําคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน และนํามาตรฐานแรงงานไทยมาปฏิบัติ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนความร่วมมือในการพัฒนาระบบมาตรฐานแรงงานไทยและนํามาใช้บริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบทางสังคม และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ เข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย นอกจากนี้ ในแต่ละฝ่ายยังสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาระบบมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบกิจการให้ประสบผลสําเร็จ จนกระทั่งสามารถขอรับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทยหรือประกาศแสดงตนเองและสามารถธํารงรักษาระบบมาตรฐานแรงงานไทยไว้อย่างยั่งยืน รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับทราบถึงการให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบทางสังคม สนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ด้านมาตรฐานแรงงานไทยร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานด้วยระบบมาตรฐานแรงงานไทยอีกด้วย "ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองแรงงานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้สถานประกอบการดําเนินการด้านมาตรฐานแรงงานไทย การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานในวันนี้ จึงถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบกิจการและในห่วงโซ่อุปทานตลอดสายการผลิต เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานของธุรกิจ ลดปัญหาทางการค้า ทําให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สถานประกอบการอื่น ๆ ต่อไป" นายสุเทพ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลัง ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบการ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ก.แรงงาน ผนึกกําลัง ซีพีเอฟ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบการ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานตามหลักสากล ซึ่งปัจจุบันเป็นยุคของการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน และมีการนํามาตรฐานแรงงานมาเชื่อมโยงกับการค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในการทํางานให้ดีขึ้นสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่กําหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถ ในการแข่งขันที่สูงขึ้น รองรับการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วัตถุประสงค์การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างทั้งสองหน่วยงานโดยเฉพาะเครือเจริญโภคภัณฑ์ฯ ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจกุ้งแบบครบวงจรในประเทศไทย เป็นการส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาสถานประกอบกิจการ และห่วงโซ่อุปทานตลอดสายการผลิต เพื่อให้การดําเนินธุรกิจมีความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน โดยปฏิบัติสอดคล้องกับข้อกําหนดมาตรฐานแรงงานไทย ส่งผลให้มีกลุ่มธุรกิจเข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น นําไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน สินค้าบริการได้รับการยอมรับจากลูกค้าว่าผลิตสินค้าได้อย่างมีจริยธรรมและปราศจากการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ สาระสําคัญของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ก็เพื่อที่จะให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจกุ้งครบวงจร เขตประเทศไทย และสถานประกอบกิจการในห่วงโช่อุปทาน ได้ประสานความร่วมมือรณรงค์ส่งเสริม ตระหนักและเห็นความสําคัญของความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงาน และนํามาตรฐานแรงงานไทยมาปฏิบัติ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนความร่วมมือในการพัฒนาระบบมาตรฐานแรงงานไทยและนํามาใช้บริหารจัดการแรงงานในสถานประกอบกิจการอย่างมีความรับผิดชอบทางสังคม และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทฯ เข้าสู่ระบบมาตรฐานแรงงานไทย นอกจากนี้ ในแต่ละฝ่ายยังสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาระบบมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบกิจการให้ประสบผลสําเร็จ จนกระทั่งสามารถขอรับการรับรองมาตรฐานแรงงานไทยหรือประกาศแสดงตนเองและสามารถธํารงรักษาระบบมาตรฐานแรงงานไทยไว้อย่างยั่งยืน รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนได้รับทราบถึงการให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบทางสังคม สนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ด้านมาตรฐานแรงงานไทยร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานด้วยระบบมาตรฐานแรงงานไทยอีกด้วย "ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองแรงงานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้สถานประกอบการดําเนินการด้านมาตรฐานแรงงานไทย การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานในวันนี้ จึงถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทยในสถานประกอบกิจการและในห่วงโซ่อุปทานตลอดสายการผลิต เพื่อแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้านแรงงานของธุรกิจ ลดปัญหาทางการค้า ทําให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สถานประกอบการอื่น ๆ ต่อไป" นายสุเทพ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศ
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศ นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศต้อนรับการค้า การลงทุน ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (2 สิงหาคม 2565) เวลา 08.45 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมกิจกรรมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Ministerial Meeting) ครั้งที่ 28 การประชุมคณะทํางานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Working Group Meeting) ครั้งที่ 54 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กันยายน 2565 ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้หัวข้อหลักในการประชุมคือ “Inclusive Recovery of APEC MSMEs through BCG & High Impact Ecosystem” และหัวข้อย่อย 4 หัวข้อ ได้ แก่ 1) Accelerating BCG Adoption 2) Inclusive Digital Transformation 3) The Next Normal MSME Financing and Debt Restructuring และ 4) Coping with evolving market landscape: high impact policy ทั้งนี้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดประเทศต้อนรับการค้า การลงทุนและในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่สําคัญของประเทศ โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีรับทราบความคืบหน้าการเตรียมการ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Ministerial Meeting) ครั้งที่ 28 การประชุมคณะทํางานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Working Group Meeting) ครั้งที่ 54 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมที่นํามาจัดแสดงเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดการประชุมดังกล่าวด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์รีไซเคิลต่าง ๆ ทั้งกระเป๋า และเสื้อผ้า ซึ่งมีการออกแบบที่สวยงามน่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยการประชุมและการจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG รวมถึงมาตรการสําคัญในการฟื้นฟู SME หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศ วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศ นายกฯ ร่วมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพ APEC SME Ministerial Meeting ครั้งที่ 28 และ APEC SME Working Group Meeting 5 -10 ก.ย.นี้ แสดงศักยภาพ ความพร้อมของไทยในการเปิดประเทศต้อนรับการค้า การลงทุน ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (2 สิงหาคม 2565) เวลา 08.45 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมกิจกรรมประชาสัมพันธ์การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Ministerial Meeting) ครั้งที่ 28 การประชุมคณะทํางานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Working Group Meeting) ครั้งที่ 54 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-10 กันยายน 2565 ณ จังหวัดภูเก็ต ภายใต้หัวข้อหลักในการประชุมคือ “Inclusive Recovery of APEC MSMEs through BCG & High Impact Ecosystem” และหัวข้อย่อย 4 หัวข้อ ได้ แก่ 1) Accelerating BCG Adoption 2) Inclusive Digital Transformation 3) The Next Normal MSME Financing and Debt Restructuring และ 4) Coping with evolving market landscape: high impact policy ทั้งนี้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดประเทศต้อนรับการค้า การลงทุนและในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมถึงศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ไทยที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่สําคัญของประเทศ โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีรับทราบความคืบหน้าการเตรียมการ การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Ministerial Meeting) ครั้งที่ 28 การประชุมคณะทํางานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเอเปค (APEC SME Working Group Meeting) ครั้งที่ 54 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมที่นํามาจัดแสดงเพื่อประชาสัมพันธ์การจัดการประชุมดังกล่าวด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์รีไซเคิลต่าง ๆ ทั้งกระเป๋า และเสื้อผ้า ซึ่งมีการออกแบบที่สวยงามน่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค โดยการประชุมและการจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในการมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG รวมถึงมาตรการสําคัญในการฟื้นฟู SME หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57521