text
stringlengths
1
1.21M
meta
dict
มีใครที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไหมครับ chatchai: สวัสดีครับ ตอนนี้ผมยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ลงทุนหุ้นมาหลายปีแล้ว แต่ศึกษาหาข้อมูลอยู่คนเดียวเพราะไม่มีคนรอบตัวที่สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน เลยอยากถามคนในนี้เผื่อมึใครที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วอยากหาเพื่อนนักลงทุนเหมือนกัน จะได้มีเพื่อนพูดคุยเรื่องที่สนใจ ครับ ปล ตอนนี้กำลังพยายามศึกษาพวกเทคจีนเมกาอยู่ครับ เมื่อ: 2022-02-09T15:14:22+00:00 Benchamin: ผมครับ กำลังจะจบ ม.6 (แต่ยังลงทุนได้ไม่นานครับ) ลงทุนมา1ปีกว่าๆครับ เมื่อ: 2022-02-15T07:46:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ในการเรียนรู้สิ่งนั้นบ่อยๆจะช่วยให้เราเกิดความชำนาญกับเรื่องนั้นได้มากขึ้น penpha: ชาลี มังเกอร์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า เค้าเชื่อว่าการเรียนรู้จะทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องต่างๆและทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดได้น้อยลงของนักลงทุน มังเกอร์มีความเชื่อว่าไม่ว่าเราจะพยายามเรียนรู้มากเท่าใด ก็เป็นไปไม่ได้ว่าเราจะกำจัดข้อผิดพลาดต่างๆให้มันหมดไปได้เลย แต่มันจะช่วยลดความถี่ ลดความรุนแรงของความผิดพลาดนั้นให้น้อยลงได้ สมองของมนุษย์ไม่ได้สมบูรณ์แบบและมีความจุที่จำกัดอีกด้วย สมองจะไม่เอาสิ่งที่จำไม่ได้หรือสิ่งที่ถูกปิดกั้นด้วยสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างสูงโดยปัจจัยทางจิตวิทยาไปใช้ได้เลย แต่โครงสร้างสมองของมนุษย์กำหนดไว้ว่า หากจะใช้สมองอย่างเต็มขีดความสามารถนั้น จำเป็นที่เราจะต้องเรียนรู้สิ่งนั้นๆจนคล่องไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบมันก็ตาม เมื่อ: 2020-09-25T07:17:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
IVL13CC Jeng: .34 เหลือ .01 นี่มันคืออะไรครับ สมัยก่อนผมเล่นหุ้น ไม่มีแบบนี้ เมื่อ: 2011-09-13T17:06:04+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: มันคือ dw ชื่อเล่นว่าเครื่องมือทำลายล้างโลกครับพี่เจ๋ง และมันยังมีพี่ๆน้องๆอีกมากมาย เมื่อ: 2011-09-13T17:16:17+00:00 Mp808: The exercise price is 40 so it's out of the money. It's also about to expire and it doesn't look like IVL will go up above 40 anytime soon. So I actually think it makes sense. เมื่อ: 2011-09-13T17:16:48+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: Mp808 เขียน:The exercise price is 40 so it's out of the money. It's also about to expire and it doesn't look like IVL will go up above 40 anytime soon. So I actually think it makes sense. the d-day is 21/09, roughly 4 trading days left. We could be in for a little surprise IVL got like 9 dw's 6 calls and 3 puts เมื่อ: 2011-09-13T17:22:30+00:00 Jeng: อืม พอจะสรุปสั้นได้หรือเปล่าครับ ว่า มันคืออะไร IVL13CC เมื่อ: 2011-09-13T17:29:31+00:00 Mp808: วรันศ์ บัฟเฟต เขียน:Mp808 เขียน:The exercise price is 40 so it's out of the money. It's also about to expire and it doesn't look like IVL will go up above 40 anytime soon. So I actually think it makes sense. the d-day is 21/09, roughly 4 trading days left. We could be in for a little surprise IVL got like 9 dw's 6 calls and 3 puts Actually I think the last trading day is this Friday 16th. 21st is the exercise date. เมื่อ: 2011-09-13T17:57:00+00:00 Mp808: Jeng เขียน:อืม พอจะสรุปสั้นได้หรือเปล่าครับ ว่า มันคืออะไร IVL13CC To sum it up, it's not like ordinary shares. It goes up and down with IVL but a lot more volatile. And it's worth zero now. I don't think DWs are evil. Some are overpriced and some are underpriced. I think that's all there is to it. เมื่อ: 2011-09-13T18:00:41+00:00 Mp808: I mean, aren't regular stocks just a derivative of the underlying business? เมื่อ: 2011-09-13T18:03:22+00:00 ^^: รู้จัก Derivative Warrants ปัจจุบันธุรกิจการเงินทั่วโลกมีสินค้าทางการเงินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อนุพันธ์ ใบสำคัญแสดงสิทธิ ฯลฯ ที่มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นทางเลือกต่างๆ สำหรับการทำกำไรและบริหารความเสี่ยงของผู้ลงทุน หนึ่งในสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนั้นก็คือ Derivative Warrants (DW) หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ เนื่องจากคุณสมบัติของ DW นั้น สามารถทำกำไร หรือใช้สำหรับบริหารความเสี่ยงก็ได้ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังจะเปิดให้มีการซื้อขาย DW ที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงเป็นครั้งแรก Derivative Warrants คือสิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นอ้างอิง ในราคา จำนวน และเวลาที่ผู้ออกกำหนด โดยในระยะเริ่มแรก DW ที่กำลังจะออกซื้อขายนั้น เป็นประเภท Call Warrant เป็นสิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิงที่สามารถนำมาซื้อขายในตลาดรองได้ ดังนั้น DW ในประเภทนี้จะมีลักษณะคล้ายกับ Warrant แต่สิ่งที่มีความแตกต่างคือ ผู้ออก DW คือบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นอ้างอิงและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหุ้นอ้างอิงที่ผู้ออก DW จะสามารถออกได้จะจำกัดอยู่ในกลุ่มดัชนี SET 50 เท่านั้น อายุการใช้สิทธิของ DW กำหนดให้มีอายุตั้งแต่ 2 เดือน ถึง 2 ปี ซึ่งการใช้สิทธิจะสามารถใช้สิทธิได้ครั้งเดียว ณ วันที่ครบกำหนดการใช้สิทธิ์ เมื่อถึงวันที่ครบกำหนดการใช้สิทธิ หาก DW อยู่ในสถานนะ In the Money หรือมีกำไรจากเงินสดส่วนต่างที่ราคาตลาดของหุ้นอ้างอิงสูงกว่าราคาใช้สิทธิ ผู้ถือ DW จะได้รับการชำระราคาหรือส่งมอบเป็นเงินสดจากผู้ออก DW ซึ่งจะไม่มีการส่งมอบหุ้นอ้างอิงแต่อย่างใด หรือเรียกได้อีกอย่างว่าใช้วิธี Cash Settlement ณ ที่นี้ผู้เขียนจะขออนุญาตยกตัวอย่างประกอบดังนี้ สมมติว่านายสดใส ซื้อ DW ที่มีหุ้นอ้างอิงคือหุ้นปูแดง จากบริษัทหลักทรัพย์ ABC จำนวน 1,000 หน่วย มูลค่า 1,000 บาท โดยราคาใช้สิทธิเท่ากับ 100 บาท ผู้ออก DW กำหนดให้มีอายุ 6 เดือน เมื่อถึงกำหนดเวลาใช้สิทธิปรากฏว่านายสดใสอยู่ในสถานะ In The Money โดยที่ราคาตลาดของหุ้นปูแดงราคา 120 บาท แต่นายสดใสถือ DW ที่เป็นสิทธิในการซื้อหุ้นปูแดงในราคาเพียง 100 บาท นายสดใสจะได้รับการใช้สิทธิอัตโนมัติ ซึ่งจะได้กำไรจากการใช้สิทธิจากบริษัทหลักทรัพย์ ABC ที่เป็นผู้ออก DW เท่ากับ 2 หมื่นบาท [ (120-100) * 1,000 หน่วย ] ทั้งนี้นายสดใสจะได้รับมอบเป็นเงินสด แทนการส่งมอบหุ้นจริง สิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะทราบก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่ดูแลในเรื่องการใช้สิทธิหรือการผิดชำระเงินสดของผู้ออก DW รวมทั้งการประกันว่าผู้ออกจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ DW หรือไม่ ดังนั้นผู้ลงทุนใน DW จะต้องศึกษาเลือกลงทุนกับ DW ที่ผู้ออกมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับที่สูง เมื่อ: 2011-09-13T18:53:39+00:00 ^^: อืม สำหรับผม มันคือราคาใช้สิทธิซื้อขายอ้างอิงหุ้นนั้นๆในอนาคนที่มีPremiumมาก เสมือน Warrantราคาใช้สิทธิที่สูงกว่าตัวแม่ เมื่อหุ้นอ้างอิงขึ้น มันก็จะพยายามขยับไปในทิศทางเดียวกันโดยมีความผันผวนสูงกว่า และถือระยะยาวไม่ได้เพราะมีอายุการถือ ใช้สิทธิซื้อตัวแม่ไม่ได้ ได้แต่Net settlement เมื่อวันหมดอายุ ราคาเหลือเท่าไหร่ คุณก็เหลือเงินเท่านั้น เป็นการผสมผสานระหว่าง Derivative ที่ใช้การNet settlementและมีความผันผวนสูงและหมดอายุ Warrant อ้างอิงราคาหุ้นแม่ มีPremiumเหมือนราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นที่สูง IVL คืออ้างอิงกับ หุ้นIVL 13 ตัวเลขสมาชิกโบรคเกอร์ที่ออกตราสารนี้ C ตัวแรกคือ Callเสมือน Call option หุ้นขึ้น เกินSpot ก็ได้กำไรไป ถ้าPก็Put ต้องให้หุ้นลง) Cตัวสุดท้ายคือ Series รุ่นที่ออก ------------------------------------------------------------------------- KKBB19CA KKBB หมายถึง ชื่อหุ้นอ้างอิง - กรณีที่หุ้นอ้างอิงมีชื่อสั้นกว่า 4 ตัวอักษร ใช้ชื่อนั้นได้เลย เช่น PTT - กรณีที่หุ้นอ้างอิงมีชื่อยาวกว่า 4 ตัวอักษร ให้คงไว้เฉพาะอักษร 4 ตัวแรก เช่น หุ้น BANPU จะใช้เพียง BANP 19 หมายถึงผู้ออก DW โดยใช้เลขรหัสสมาชิกของโบรกเกอร์ เช่น บล.เกียรตินาคิน= 19 C หมายถึงประเภทของ DW โดย C หมายถึง Call DW สิทธิในการซื้อหุ้นอ้างอิง P หมายถึง Put DW สิทธในการขายหุ้นอ้างอิง A หมายถึงรุ่นที่ออก (Series) โดยใช้สัญลักษณ์ A-Z สุดท้ายตลาดนี้มีMarket maker+ราคาที่ตั้งมานั้น มีPremiumที่สูง ไม่เช่นนั้นคนออกDWจะรับการขาดทุน โดยสรุปคือ ใครเข้าไปเล่นก็เสร็จโจร ไม่มีมูลค่าใดๆ เพราะไม่มีการส่งมอบ เสมือนซื้อเก็งกำไรในหุ้นPEหุ้นเน่าๆทั้งตลาดรวมกันหรือประเมินค่าไม่ได้ ที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ราคาจะลงแรง และเราถือครองไม่ได้เพราะไม่งั้นคือ 0 เมื่อ: 2011-09-13T19:09:27+00:00 tharm: Jeng เขียน:อืม พอจะสรุปสั้นได้หรือเปล่าครับ ว่า มันคืออะไร IVL13CC สรุปสั้นๆว่า มันคือ call optionซึ่งควรจะเทรดในตลาดtfex แต่จับมาเปลี่ยนชื่อ เพื่อให้มาเทรดในกระดานหุ้นเอาไว้หลอกกินตังเม่าได้ครับ เมื่อ: 2011-09-14T02:29:27+00:00 Jeng: ขอบคุณมากครับ แล้วโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เปิดซื้อขายพวก DW มีโอกาสเจ๊งเหมือน cds หรือไม่ครับ เพราะหาก โบรกเกอร์รับไว้เอง พวกเรานักลงทุนก็มีความเสี่ยง เพราะซื้อขายหุ้น กับโบรกเกอร์นะครับ โค้ด: เลือกทั้งหมดสิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะทราบก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่ดูแลในเรื่องการใช้สิทธิหรือการผิดชำระเงินสดของผู้ออก DW รวมทั้งการประกันว่าผู้ออกจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ DW หรือไม่ ดังนั้นผู้ลงทุนใน DW จะต้องศึกษาเลือกลงทุนกับ DW ที่ผู้ออกมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับที่สูง เมื่อ: 2011-09-14T02:32:08+00:00 ปรัชญา: Jeng เขียน:.34 เหลือ .01 นี่มันคืออะไรครับ สมัยก่อนผมเล่นหุ้น ไม่มีแบบนี้ พี่ครรชิต เคยบอกไว้ว่า............................. การพนันชัดชัด เมื่อ: 2011-09-14T02:34:20+00:00 tharm: Jeng เขียน:ขอบคุณมากครับ แล้วโบรกเกอร์ต่างๆ ที่เปิดซื้อขายพวก DW มีโอกาสเจ๊งเหมือน cds หรือไม่ครับ เพราะหาก โบรกเกอร์รับไว้เอง พวกเรานักลงทุนก็มีความเสี่ยง เพราะซื้อขายหุ้น กับโบรกเกอร์นะครับ โค้ด: เลือกทั้งหมดสิ่งที่ผู้ลงทุนควรจะทราบก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่ดูแลในเรื่องการใช้สิทธิหรือการผิดชำระเงินสดของผู้ออก DW รวมทั้งการประกันว่าผู้ออกจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของ DW หรือไม่ ดังนั้นผู้ลงทุนใน DW จะต้องศึกษาเลือกลงทุนกับ DW ที่ผู้ออกมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี และมีความน่าเชื่อถือทางการเงินในระดับที่สูง มีโอกาสครับ ผมขอ quote จากที่พี่ reiter มาแชร์ไว้ในห้อง kgi มาให้อ่านนะครับ reiter เขียน: ขออนุญาติแปลภาษานักการเงินของพี่ picatos มาเป็นภาษาชาวบ้านร้านตลาดนะครับ ปกติการออก DW ตัวบล. ต้องมีการซื้อหุ้นแม่เพื่อ hedge ไว้ด้วย ยิ่งหุ้นแม่วิ่งเข้าใกล้ราคาราคาเดิมพันเท่าไร บล.ก็ยิ่งต้องซื้อหุ้นแม่ใน % ที่มากขึ้น ผมสมมติว่า KGI ออก dw ของ PS มา และตั้งราคาเดิมพันไว้ที่ 25 บาท ( dw ชุดแรก บล.สามารถออก ราคาเดิมพันได้แพงๆ กินพรีเมียมได้เยอะๆ เพราะรายย่อยยังรู้ไม่ค่อยทัน ) สมมติต่อว่าวันแรกราคาในกระดานของ PS อยู่ที่ 20 บาท ณ ราคานี้บล. อาจจะต้องซื้อหุ้นแม่ในสัดส่วนสัก 20% ของจำนวน dw ทั้งหมด เพื่อ hedge ความเสี่ยง ต่อมาสมมติืว่า PS วิ่งไป 22, 23, 24 บาท บล.ก็อาจต้องซื้อแม่เพิ่มขึ้นเป็น 30%, 50%, 80% จนถึง 100% เมื่อหุ้นแม่วิ่งถึงราคาเดิมพัน ( อันที่จริงราคาไปเท่าไร เค้าจะถือกี่ % มันมีสูตรคำนวณนะครับ อยากทราบรายละเอียดวิธีคำนวณ ต้องถามนักการเงินอย่างพี่ picatos เอาแล้วล่ะครับ อันนี้เกินความรู้ความสามารถของผมแล้ว ) ในทำนองตรงข้าม ถ้าหุ้นแม่วิ่งลงไป 19, 18, 17 บล. ก็จะอาจลดสัดส่วนของการถือหุ้นแม่ลงเป็น 15%, 10% ลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆนึง ที่บล.จะไม่ถือหุ้นแม่อีกเลย เพราะถือว่าราคาในกระดานต่ำมากจนไม่ต้องกลัวว่าใครจะเอา dw มาแปลงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้อง Hedge อีก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าหุ้นแม่จะวิ่งขึ้นหรือวิ่งลง โอกาสที่บล.จะขาดทุนก็จะน้อย เพราะถ้าหุ้นแม่วิ่งเกินราคาเดิมพัน บล.ก็จะ hedge หุ้นแม่ เต็ม 100% อยู่แล้ว ( บล.จะกำไรหุ้นแม่แทน เพราะซื้อถัวมาตั้งแต่ต้นทุน 20 บาท แต่ไปจ่ายให้รายย่อยในส่วนต่างตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป ) ส่วนในกรณีที่หุ้นลง บล.จะขาดทุนเล็กน้อยจากหุ้นแม่ ( ที่ซื้อมา hedge ในสัดส่วนน้อยๆ แต่แรก ) แต่จะกำไรเต็มๆจาก dw ที่กลายเป็นกระดาษเปล่า แต่อย่างไรก้ตามคงพูดไม่ได้เต็มปากว่าโอกาสขาดทุนของบล.เป็น 0 เนื่องจากกรณีที่หุ้นแม่แกว่งมากๆๆๆ บล.ก็อาจจะขาดทุนได้เช่นกัน ผมขอยกตัวอย่าง PS เช่นเดิม สมมติว่า KGI ตั้งราคาเดิมพันไว้ที่ 25 และราคาในกระดานของ PS อยู่ที่ 20 บาท ณ ราคานี้บล. อาจจะต้องซื้อหุ้นแม่ในสัดส่วนสัก 20% ของจำนวน dw ทั้งหมด ต่อมาสมมติืว่า PS วิ่งไป 24 บาท บล.ก็อาจต้องซื้อแม่เพิ่มขึ้นเป็น 80% แต่หลังจากนั้น PS วิ่งลงมา 20 บาทใหม่ ทำให้บล. ต้องคัตลอสหุ้นแม่ เพื่อลดสัดส่วนการถือครองลงเหลือ 20% เหมือนเดิม สมมติอีกว่าตลาดผันผวนมาก หลังจากลงมา 20 หุ้นแม่วิ่งกลับไป 24 บาทใหม่ ทางบล.ก็จำเป็นต้องมาซื้อหุ้นแม่คืน เพื่อเพิ่มอัตราส่วนการถือครองเป็น 80% ใหม่ ถ้าตลาดผันผวนอีก หุ้นแม่ลงมา 20 เป็นรอบที่สาม บล.ก็ต้องคัตลอสเป็นรอบที่สอง จะเห็นได้กว่ากรณีที่ตลาดผันผวนมากๆ เช่นนี้ บล.จะซื้อแพง ขายถูกตลอด เมื่อรวมรายได้จากการขาย dw แล้ว ก็อาจจะยังขาดทุนก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี pattern การขึ้นลงของราคาของหุ้นแม่ที่ kgi ออกมา 7 ตัวแรกนั้น ราคาค่อนข้างมี"เทรนด์" พอสมควร ผมคิดว่าไม่ได้ผันผวนขึ้นๆลงๆหนักๆ จนทำให้บล.ขาดทุนครับ เมื่อ: 2011-09-14T02:40:59+00:00 Jeng: แล้ว .34 ไป .01 นี่ ขาดทุนกี่บาทครับ เมื่อ: 2011-09-14T02:52:33+00:00 Jeng: จะเห็นได้กว่ากรณีที่ตลาดผันผวนมากๆ เช่นนี้ บล.จะซื้อแพง ขายถูกตลอด เมื่อรวมรายได้จากการขาย dw แล้ว ก็อาจจะยังขาดทุนก็ได้ ตกลงโบรกเกอร์เป็นเจ้าของบ่อน มีหน้าที่กินเงิน ลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่หรือ conflict of interest ชัดๆ แล้วอย่างนี้ research ต่างๆจะไปเชื่อถือได้อย่างไร เมื่อ: 2011-09-14T02:55:25+00:00 ปรัชญา: ผมคิดเอาเองว่า บล.เอาความโลภมาควักเงินจากกระเป๋านักลงทุนไปซื้อหุ้นในกระดานเข้าพอท์ต บล. แล้วไปยื่นขอออก ตราสารออกมาขายในกระดาน(พูดแต่ด้านดีด้านเดียว) ส่งเสริมช่องทางคนมีความโลภ ทำให้คนมีเงินน้อยได้เล่นแทงขึ้น ทำให้มันซับซ้อนหลอกมือใหม่ กับคนที่คิดไม่ทัน ก็อยากลงทุนแล้ว ปากก็บอกการลงทุน แต่นี่ส่งเสริมไปเก็งกันซะขนาดเต็มไปหมด เงินปันผลก็ไม่มี อายุก็สั้น จองเตาเผาอย่างเดียว เมื่อ: 2011-09-14T03:03:31+00:00 pakhakorn: ผมก็อดสงสัยแบบพี่Jengไม่ได้ เลยไม่กล้าเข้ายุ่งด้วย(เพราะไม่ค่อยเข้าใจกลไกและไม่ค่อยเชื่อใจ กรณี DW) แล้วกรณี DW ของ IVL ผมเคยดูเห็นออกมากันไม่รู้ตั้งกี่โบรก เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า...จะเป็นการส่งเสริมราคาหุ้นแม่? หรือเพื่อควบคุมราคาหุ้นแม่กันแน่? เพราะหลายๆโบรกเข้ามาร่วมในการออกDW ยังไม่รวมกลุ่มขาอื่นๆที่มาทำกำไรกับราคาอีก แล้วถ้าควบคุมราคาไม่ได้ก็อาจทำให้ตัวเองขาดทุนได้ จึงอาจจะเป็นการส่งเสริมให้บรรดากลุ่มต่างๆจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างก็ได้ (ซึ่งอาจจะไม่มีผลดีเท่าไรนัก..ต่อนักลงทุนรายย่อย) เมื่อ: 2011-09-14T03:30:18+00:00 supersmile: ใครจะไปเชื่อว่า IVL จะลงมาได้ขนาดนี้ ลงมาต่ำกว่าราคาเพิ่มทุน IVL-T1 ที่ 36 บาท ผมว่า เงินที่เสียให้ IVL13CC น้อยกว่า IVL มากๆ เมื่อ: 2011-09-14T06:06:03+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
sector ที่อาจได้รับผลลบจากไชน่าซิตี้คอมเพล็กซ์ LA-Z-BOY: เอกชนหวั่นไชน่าซิตี้คอมเพล็กซ์ทุบตลาดไทย นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการ สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์สินค้าไลฟ์สไตล์ไทย ชี้ไชน่าซิตี้คอมเพล็กซ์กระทบธุรกิจสินค้าไทย 7-8 sector ได้แก่ jewelry ชิ้นส่วนยานยนต์ แฟชั่น เครื่องนุ่งห่ม ไลฟ์สไตล์ เฟอร์นิเจอร์ houseware ของชำร่วย อาหาร เพราะเคยมีกรณีเช่นนี้ที่ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆเสียเปรียบผู้ประกอบการที่มาจากประเทศจีนเกิดขึ้นแล้ว เช่น ดูไบ สเปน แต่ทั้งนี้ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนศึกษาผลกระทบที่ชัดเจนก่อนสนับสนุนโครงการดังกล่าว http://www.bangkokbiznews.com/home/vide ... &section=2 เมื่อ: 2011-01-20T05:54:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผลประกอบการ CENTEL ครับ คนขายของ: CENTEL สรุปผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา ตรวจสอบ สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม (หน่วย : พันบาท) งวด 1 ปี ปี 2546 2545 กำไร(ขาดทุน)สุทธิ 279,236 223,872 กำไร(ขาดทุน)สุทธิต่อหุ้น(บาท) 3.10 2.49 ประเภทของความเห็นผู้สอบบัญชีในงบการเงิน : ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุประกอบงบการเงิน จากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบการเงินฉบับเต็ม ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว" เมื่อ: 2004-02-26T08:29:11+00:00 คนขายของ: เหตุผลการเปลี่ยนแปลง บริษัทขอเรียนว่า การที่บริษัทมีผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุน และบริษัทและบริษัทย่อยมีผลการ ดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนรวม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546 เพิ่มขึ้น 24.7% ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลัก ดังนี้ - ในปี 2545 บริษัทมีขาดทุนจากการไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดจำนวน 22.4 ล้านบาท (สุทธิจากภาษี) - ในปี 2546 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งมีกำไรจากการที่ผู้ถือหุ้นยกหนี้ให้จำนวน 17.9 ล้านบาท จึงเรียนมาเพื่อทราบ (ที่มา set.or.th) เมื่อ: 2004-02-26T08:33:02+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมเมืองไทย ไม่มีบริษัทแบบเบิร์กไชร์มั่งล่ะครับ Iceberg_s: ไม่มีพี่ๆใน thaivi สนใจจะตั้งมั่งเหรอครับ ผมจะได้รอจองหุ้น ipo เพราะผมไม่คิดว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ต่อให้มาแนวทาง vi นี้ ผมเคยอ่านเจอจากไหนซักที่ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน ก็น่าจะมีไม่ถึง 10% แล้วอีก 90% จะไปอยู่ไหนดีครับ กองทุนรวมรึเปล่า ปัญหาคือ ไม่เห็นมีผู้จัดการกองทุนไหนในไทย ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ (หรือผมไม่ได้ตาม) แน่นอนผมก็เป็นคนนึงที่อยากจะอยู่ใน 10% แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้มีความสามารถใกล้เคียงเลยก็ตาม แต่วันไหนที่ยอมแพ้ จะได้ไปถือหุ้น แล้วถือไว้เป็นมรดกให้ลูกมั่ง เมื่อ: 2011-03-06T13:09:30+00:00 densin: ลองศึกษากองทุน AYF กับ อเบอร์ดีนดูย้อนหลังปีละ 40%กว่าๆ ใครได้ต่ำกว่านั้น หรือไม่มีเวลา ก็ลองพิจารณาเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เมื่อ: 2011-03-06T13:15:27+00:00 ผมจบ ป.4: ตลาดหุ้นไทยเล็ก และถูกปั่นด้วยกลุ่มคนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น market cap ใหญ่หรือเล็ก แนะนำให้ซื้อหุ้นเบิร์กไชร์ไปเลยดีกว่า ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร หุ้นเดียวก็เพียงพอ ... เมื่อ: 2011-03-06T13:18:27+00:00 dollarcostaverage: ขอถามคำถามโง่ๆคำถามนึงนะครับ " 40% นี่คือปีละ 40%ทบต้นทบดอกหรอว่า รวม สามปี 40% อะครับผมไม่แน่ใจอะครับ รบกวนพี่ๆบอกทีนะครับ" เมื่อ: 2011-03-06T15:10:17+00:00 jiji: เขาจัดอันดับผลตอบแทนของกองทุน.... อาจจะช่วยได้ http://www.morningstarthailand.com/th/ เมื่อ: 2011-03-07T09:24:28+00:00 porzilla: ซื้อกองทุน ผมว่าลงทุนเองดีกว่าไหม เพราเราตัดสินใจเอง ไม่ใช่ให้ใครก็ไม่รู้มาบริหารเงินเรา แถมต้องเสียค่าจ้าง ค่าบริหาร อีกเยอะแยะ ปล. ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เมื่อ: 2011-03-07T10:45:38+00:00 Munger: การตั้งบริษัทแบบ berkshire ในไทยนั้นมีข้อเสียเปรียบอย่างมากครับ เพราะ บริษัทจะเสียภาษีกำไรถึง 30% ขณะที่รายย่อยได้กำไรหุ้นไม่เสียภาษีครับ และถึงแม้จะตั้งแบบกองทุนรวมก็จะมีกฎระเบียบต่างๆมากมายทำให้ยุ่งยาก ที่พอจะทำได้ก็ต้องเป็นกองทุนส่วนบุคคลครับ แต่ก็จะรับบริหารให้กับ นักลงทุนรายใหญ่ๆไม่กี่รายเท่านั้นครับ ไม่ใช่แหล่งที่รายย่อยจำนวนมากๆ จะลงทุนได้เหมือน berkshire ครับ ที่อเมริกาทำได้เพราะทั้งบริษัทและรายย่อยต่างก็เสียภาษีกันทั้งคู่ครับ เมื่อ: 2011-03-09T06:59:19+00:00 sukit2020: ลองดูของหลักทรัพย์ฟิลิปส์ กองทุนส่วนบุคคล ลงทุนแนว VI เงินทุนเริ่มต้น 1 ล้านบาท ( ช่วงนี้มีจัดอบรม แนะนำการลงทุนอยู่ครับ ) กองทุนส่วนบุคคล “ช่องทางการลงทุนส่วนตัวที่ไม่ต้องใช้เงินมากอย่างที่คิด” 26 มีนาคม 2554 เวลา 13.30-15.30น. วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล ก่อนการตัดสินใจลงทุน รวมทั้งให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้เหมาะสมกับผลตอบแทนที่คาดหวัง และสามารถใช้กองทุนส่วนบุคคล ในการบริหารพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใครควรเข้ารับการอบรม ผู้เริ่มลงทุนและนักลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล เนื้อหาของหลักสูตร · กองทุนส่วนบุคคล คือ อะไร ข้อแตกต่างระหว่างกองทุนส่วนบุคคล และกองทุนรวม · ข้อดีของการลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล · ความเสี่ยงของการลงทุนส่วนบุคคล · กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล ของ บล.ฟิลลิป ผู้บรรยาย คุณพิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล ติดต่อ : 02 635 1700 ต่อ 776 (คุณปราคาร) หรือ http://www.poems.in.th สถานที่อบรม : บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป(ประเทศไทย) 849 อาคารวรวัฒน์ ชั้น11 ถนนสีลม, สีลม กรุงเทพฯ 10500 เมื่อ: 2011-03-09T08:59:17+00:00 multipleceilings: Munger เขียน:การตั้งบริษัทแบบ berkshire ในไทยนั้นมีข้อเสียเปรียบอย่างมากครับ เพราะ บริษัทจะเสียภาษีกำไรถึง 30% ขณะที่รายย่อยได้กำไรหุ้นไม่เสียภาษีครับ และถึงแม้จะตั้งแบบกองทุนรวมก็จะมีกฎระเบียบต่างๆมากมายทำให้ยุ่งยาก ที่พอจะทำได้ก็ต้องเป็นกองทุนส่วนบุคคลครับ แต่ก็จะรับบริหารให้กับ นักลงทุนรายใหญ่ๆไม่กี่รายเท่านั้นครับ ไม่ใช่แหล่งที่รายย่อยจำนวนมากๆ จะลงทุนได้เหมือน berkshire ครับ ที่อเมริกาทำได้เพราะทั้งบริษัทและรายย่อยต่างก็เสียภาษีกันทั้งคู่ครับ DAMNNN.... munger มาเอง !!!!!!!!!! สวัสดีครับ ไม่รู้ว่าพูดไทยได้ด้วย คิดดูถ้ามีบริษัทหุ้นละล้านบาท ! เมื่อ: 2011-03-09T10:00:10+00:00 thalucoz: multipleceilings เขียน:Munger เขียน:การตั้งบริษัทแบบ berkshire ในไทยนั้นมีข้อเสียเปรียบอย่างมากครับ เพราะ บริษัทจะเสียภาษีกำไรถึง 30% ขณะที่รายย่อยได้กำไรหุ้นไม่เสียภาษีครับ และถึงแม้จะตั้งแบบกองทุนรวมก็จะมีกฎระเบียบต่างๆมากมายทำให้ยุ่งยาก ที่พอจะทำได้ก็ต้องเป็นกองทุนส่วนบุคคลครับ แต่ก็จะรับบริหารให้กับ นักลงทุนรายใหญ่ๆไม่กี่รายเท่านั้นครับ ไม่ใช่แหล่งที่รายย่อยจำนวนมากๆ จะลงทุนได้เหมือน berkshire ครับ ที่อเมริกาทำได้เพราะทั้งบริษัทและรายย่อยต่างก็เสียภาษีกันทั้งคู่ครับ DAMNNN.... munger มาเอง !!!!!!!!!! สวัสดีครับ ไม่รู้ว่าพูดไทยได้ด้วย คิดดูถ้ามีบริษัทหุ้นละล้านบาท ! ถ้า ดร.นิเวศน์ มานั่งบริหาร ผมจะกู้เงินมาซื้อสัก 1 หุ้นแน่นอนครับแฮะ ๆๆ เมื่อ: 2011-03-09T15:21:47+00:00 yoko: ถ้ามีจริง ผมคงไม่ซื้อ เพราะไม่มีปันผล เมื่อ: 2011-03-12T15:01:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ในวิกฤตมีโอกาส แต่ตัดสินใจลำบากจัง sylph: หุ้นพวกปันผลเยอะๆ ช่วงนี้ก้อเริ่มไปถึง 9-10% กันแล้ว แต่ถ้าตลาดกลับมาดีอีกครั้ง หุ้นพวกนี้คงวิ่งไปได้แค่ 30-40 % ลำบากใจจริงๆ หุ้น big cap หลายตัวปันผลน้อยกว่าเยอะ แต่ถ้าวิ่ง วิ่งหน้าตั้ง 50% อัพ ไม่รุ้จะเลือกยังไงดี เพราะงบมีน้อย เมื่อ: 2011-10-01T15:41:38+00:00 thipong: เหมือนกันเลยครับ เหอๆ เมื่อ: 2011-10-01T20:38:21+00:00 lipton: หุ้นพวกปันผลเยอะๆ ช่วงนี้ก้อเริ่มไปถึง 9-10% กันแล้ว แต่ถ้าตลาดกลับมาดีอีกครั้ง หุ้นพวกนี้คงวิ่งไปได้แค่ 30-40 % ตัวไหน บ้างคับ ลำบากใจจริงๆ หุ้น big cap หลายตัวปันผลน้อยกว่าเยอะ แต่ถ้าวิ่ง วิ่งหน้าตั้ง 50% อัพ ตัวไหน บ้างคับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-10-02T00:26:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
บริษัทค้าปลีกกับนอมินี chatchai: บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ในไทยทั้งที่อยู่ในตลาดและไม่อยู่ในตลาด  ปัจจุบันแทบทุกบริษัทก็ตกเป็นของต่างชาติทั้งนั้น  แต่มีการตั้งนอมินีขึ้นถือหุ้นแทน  เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมาย จากกรณี SHIN ที่รอการตัดสิน  รวมถึงการต่อต้านจากกลุ่มผู้ค้าปลีกรายย่อย  จะทำให้มีการฟ้องร้องเรื่องนอมินีของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่เหล่านั้นหรือไม่ ผู้ร่วมทุนรายใหญ่ฝ่ายไทยก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ๋ทั้งสิ้น  ทั้งกลุ่มซีพี  กลุ่มเซ็นทรัล  เป็นการหลบเลี่ยงกฎหมายอย่างชัดเจน แต่เมื่อคิดดูให้ดี  ทั้ง BIGC LOTUS ผู้ถือหุ้นเดิมก็คือกลุ่มคนไทยถือ 100%  แต่ที่ต้องขายให้แก่ผู้ถือหุ้นต่างชาติ  ก็เนื่องมาจากวิกฤตปี 40  ทำให้บริษัททั้งสองขาดทุนค่าเงินบาทจำนวนมาก  และผู้ถือหุ้นก็ไม่มีเงินที่จะขยายกิจการต่อได้  จึงจำเป็นต้องขายหุ้นให้ต่างชาติ แล้วเพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรในกรณีนี้  จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตของบริษัทหรือไม่ เมื่อ: 2006-08-19T00:57:47+00:00 คัดท้าย: พี่ chaichai เป็นแฟน กรุงเทพธุรกิจรายสัปดาห์ หรือครับเนี่ย  :D เมื่อ: 2006-08-19T03:44:06+00:00 qingwen: ถ้าผิดก็ผิดที่นอมินีครับ ส่วนบริษัทใหญ่ไม่รับรู้ แก้ไขผู้ถือหุ้นให้ถูกต้องก็จบ ผู้ถือหุ้นกุหลาบแก้วก็จะเดือดร้อน นามสกุลใหญ่ๆทั้งนั้น ส่วนบิ๊กซี กับโลตัส ไม่รู้ว่าบริษัทอะไรเป็นนอมินี แต่ไม่ใช่เซ็นทรัลกับซีพีแน่นอน เพราะเขาถือหุ้นในส่วนของตัวเอง เผลอๆจะได้ประโยชน์ ฝรั่งทิ้งหุ้นให้ราคาถูกๆ เมื่อ: 2006-08-19T04:05:57+00:00 keng56: เรื่องนอมินีถ้าจะรื้อกันจริงๆ..โอ้โฮ..กระเทือนทุกวงการครับ เมื่อ: 2006-08-19T06:58:14+00:00 Boring Stock Lover: NVDR ถือเป็นนอมินีด้วยหรือเปล่า เมื่อ: 2006-08-19T12:28:19+00:00 สุมาอี้: ที่ผ่านมากฏหมายทำอะไรไม่ได้เพราะ การจะพิสูจน์ว่านาย ก เป็นนอมินีของนาย ข หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากนะครับ  :roll: เมื่อ: 2006-08-19T12:34:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
*** เอามาให้ดูเคสง่ายๆ ความผิดปกติ ที่ กลต. จะเห็นไหม ??? syj: ดูจากรูปนะครับ ... ไม่ต้องอธิบายมาก ... เมื่อ: 2013-07-05T06:41:41+00:00 syj: ^ หนังสือแจ้งตลาดฯ 13.04.13น วันที่ 5/7/2556 ... เมื่อ: 2013-07-05T06:42:59+00:00 ลูกอิสาน: trc อีกตัว ราคาขึ้นผิดปกติ ก่อนประกาศข่าวได้งาน เมื่อ: 2013-07-05T07:46:09+00:00 ลูกหิน: กลต.ก็คงจะเป็นเหมือนข้าราชการทั่วไปนะครับ จะไปคาดหวังอะไรไม่ได้มาก เห็นส่วนใหญ่ก็สังสรรค์เฮฮารับเงินเดือนไปเรื่อยๆนะครับ งานได้เงินกับได้หน้าไวครับ ส่วนงานอื่นๆ... เมื่อ: 2013-07-05T08:28:24+00:00 nACrophiles_117: เป็นแบบนี้ทั้งนั้นหละครับ ตลาดหุ้นไทย ลองดูสิครับ ตัวไหนจะมีข่าว หรือตัวไหนงบดี/ไม่ดี มันก็จะมีคนทำราคาก่อนแล้ว ราคามันก็ไปรอเรียบร้อยแล้ว บางตัวจะชัดมากๆยิ่งวันก่อนงบออก ต้องยอมรับนะครับว่า มี insider อยู่ในตลาดทั้งนั้น เกือบทุกตัวครับ ถึงอย่างไรหากคิดว่าเราไม่สามารถเข้าถึงข่าวสาร insider แบบนั้นได้แบบคนอื่นๆหรือขาใหญ่ในตลาดหุ้น แต่เรายังสามารถเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่คิดว่ากิจการดีได้ไม่ใช่หรือครับ เมื่อ: 2013-07-06T03:13:02+00:00 romee: เคสนี้มันเกินไป ลิ่ง2วันติดเลย น่าเกลียดมาก ส่วนหุ้นขึ้นก่อนงบออก เท่าที่เห็น มันไม่พรวดๆแบบนี้อ่ะครับ แล้วส่วนใหญ่พองบออกเสร็จ Sell On Fact ซะงั้น เมื่อ: 2013-07-06T04:46:43+00:00 sgholding: ผมเห็นว่า ถ้าเราต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม สมาคม tvi ต้องยื่นหนังสือร้องเรียนต่อตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต. ให้ตรวจสอบกรณีนี้ และกรณีอื่นที่เห็นว่าน่าจะเข้าข่ายครับ ถ้าต้องการการเปลี่ยนแปลงต้องลงมือทํา ทําเลยครับ เมื่อ: 2013-07-06T06:30:47+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ฟังค์ชั่นสำหรับใช้งานเว็บบอร์ด Thai VI Thai VI Officer: เรียน ท่านสมาชิก สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ได้ดำเนินการพัฒนาเว็บบอร์ด Thaivi ใหม่!! มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ง่ายและสะดวกในการใช้งานมากกว่าเดิม คลิกที่วีดีโอด้านล่างเพื่อรับชม https://www.facebook.com/watch/?v=439518266659946 *****ฟังค์ชั่นระบบ Webboard ใหม่ทำอะไรได้บ้าง??****** 1. ระบบ Notifications (Subscribe+Bookmark) : สมาชิกสามารถกดติดตามหุ้น(Subscribe) หรือบันทึกกระทู้ที่เราชอบเก็บไว้อ่านทีหลัง(Bookmark)ได้โดยเลือกจากปุ่มรูป ประแจ ข้างๆปุ่มตอบกลับ(Post Reply) ในแต่ละกระทู้ และเมื่อมีโพสต์ใหม่ในกระทู้ดังกล่าว ระบบจะแจ้งเตือนเราผ่าน”การแจ้งเตือน” (Notifications) มุมบนขวาของหน้าจอ 2. Anonymous : กรณีสมาชิกไม่อยากเปิดเผยชื่อในการโพสต์ข้อความ สมาชิกสามารถเลือกที่จะโพสต์โดยใช้ระบบไม่เปิดเผยชื่อได้ โดยติ๊กเครื่องหมายถูกในกล่อง Post as Anonymousก่อนทำการโพสต์ 3. ระบบค้นหาโพสต์ของสมาชิกท่านอื่น : สมาชิกสามารถค้นหาประวัติการโพสต์ของสมาชิกท่านอื่นได้ โดยสามารถหาทั้งจากกระทู้ที่เคยตั้ง และกระทู้ที่เคยตอบ (ค้นหาสมาชิกที่ปุ่ม Members ด้านล่างขวาของหน้าจอ) 4. ระบบ Share โพสต์ : สมาชิกสามารถแชร์โพสต์ที่ชอบไปที่เฟสบุ๊คได้เพียงกดปุ่ม Share คนที่เห็นการแชร์ทาง Facebook ของท่านจะสามารถอ่านข้อความได้(หากข้อความยาวจะอ่านได้บางส่วน) รวมถึงสามารถกดลิ้งค์เพื่ออ่านโพสต์ฉบับเต็มได้ 5. ปรับ Eng/Thai + ขนาดอักษร : สมาชิกสามารถเลือกฟังก์ชั่นการทำงานเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ รวมถึงเลือกขนาดอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ได้ (ปุ่มมุมล่างขวาของหน้าจอ) 6. ระบบโพสต์ภาพและวิดีโอ : สมาชิกสามารถแทรกรูป วิดีโอ ในโพสต์ได้สะดวกกว่าเดิมโดยกดแนบรูปภาพจากปุ่มสัญลักษณ์รูปภาพ หรือกดแนบวิดีโอจากสัญลักษณ์ฟิล์ม 7. Mobile Friendly : หน้าจอปรับขนาดของรูปและข้อความให้พอดีกับหน้าจอมือถือ ท่านใดต้องการถามคำถาม แจ้งปัญหา สามารถตั้งกระทู้ถามเจ้าหน้าที่ในห้อง Asking Staff ตามลิ้งค์นี้ https://board.thaivi.org/viewforum.php?f=2 หรือ ท่านใดต้องการแสดงข้อคิดเห็น ติชม หรือคำแนะนำสิ่งใด ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเว็บบอร์ด สามารถโพสต์ลงที่กระทู้นี้ https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=62641 ทางทีมงานพร้อมตอบคำถามและ ขอน้อมรับทุกความคิดเห็นจากท่านสมาชิกค่ะ ขอบคุณค่ะ (THAI VI WEBBOARD) เมื่อ: 2019-08-30T09:06:04+00:00 Thai VI Officer: สำหรับสมาชิกที่ login หลุดแม้ว่าจะกด remember me แล้วก็ตาม รบกวนกดที่ปุ่ม Delete cookies ด้านล่างขวาของหน้าจอ หรือ กดที่ link นี้ครับ สามารถปรับระบบเป็นภาษาอังกฤษหรือไทย หรือ ขนาดตัวอักษรตั้งแต่เล็ก กลาง ใหญ่ ได้ที่ปุ่มด้านล่างขวาของหน้าจอ ในกรณีที่ปรับแล้ว ตัวหนังสือยังมีขนาดไม่เหมาะสมกับหน้าจอ สามารถปรับขนาดของหน้าจอได้ดังนี้ Browser ใน PC - ได้ด้วยการกดปุ่ม Ctrl + เพื่อเพิ่มขนาด หรือ Ctrl - เพื่อลดขนาด Browser ในมือถือ - เนื่องจากมี applicaton หลากหลายมาก แต่โดยทั่วไปจะอยู่ในหัวข้อ Settings->Accessibility->Font size หรือ Display size ความหมายของ Icon และ action เวลา click ตามลำดับบนลงล่าง Topic ที่อ่านโพสหมดแล้วและเราเคยโพสใน topic นี้ <- Click ที่ Icon ไม่เกิดอะไรขึ้น Topic ที่มีโพสที่ยังไม่ได้อ่าน <- Click ที่ Icon จะเปิดโพสแรกที่ยังไม่ได้อ่าน Topic ที่อ่านโพสหมดแล้ว <- Click ที่ Icon ไม่เกิดอะไรขึ้น ปล. ทางสมาคมจะรีบดำเนินการแก้ไข ให้สามารถกดที่ชื่อ Topic แล้วเปิดโพสแรกที่ยังไม่ได้อ่านได้เหมือนแต่ก่อน ขออภัยในความไม่สะดวก สามารถกดติดตามกระทู้ได้ที่ปุ่มประแจด้านบนซ้ายของกระทู้และกด Subscribe topic ตามรูป สามารถดู Your posts (กระทู้ที่มีโพสเรา), New posts (กระทู้ที่มีโพสใหม่), Unread posts (กระทู้ที่ยังไม่ได้อ่าน), Unanswered topics (กระทู้ที่ยังไม่มีคนตอบ), Active topics (ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้งาน), Search (ค้นหาโพส), Members (รายชื่อผู้ใช้งาน) ได้ที่ปุ่ม Quick links ด้านซ้ายบนของหน้าจอ สามารถลบรูปได้ที่ tab Attachments ด้านล่าง และกดปุ่ม Delete file รูปที่ต้องการจะลบ เมื่อ: 2019-08-30T09:17:47+00:00 Thai VI Officer: Update 15 สิงหาคม 2563 1. ปรับขนาดอักษรให้ใหญ่ขึ้น (ปรับเฉพาะขนาดอักษรกลางและใหญ่) 2. ลบปุ่มเลือกหน้าของแต่ละกระทู้ การกดเข้ากระทู้ เว็บจะวิ่งไปโพสต์ที่ท่านยังไม่อ่าน หรือ โพสต์สุดท้ายของกระทู้นั้นๆ 3. ปรับหน้าเว็บให้แสดงผลเต็มจอ (ซ้าย-ขวา) 4. ปรับรูปแบบไฟล์แนบให้ไม่มีชื่อไฟล์กำกับใต้ภาพ 5. แก้ Bug เมื่อ: 2020-08-15T04:08:24+00:00 Thai VI Officer: 20/11/2020 - เพิ่มระบบสมัครสมาชิกใหม่ผ่านช่องทาง Online ผู้สมัครสามารถใช้งานได้ฟรี 30 วัน สนใจกดสมัครได้ที่นี่ https://board.thaivi.org/ - เพิ่มระบบต่ออายุและชำระเงินผ่านระบบ Online โดยสมาชิกจะได้รับอีเมลและ PM แจ้งเตือนให้ต่ออายุก่อนล่วงหน้า (สมาชิกทดลองใช้ฟรี แจ้งเตือนก่อน 7 วัน และสมาชิกแบบ 1,3,5 ปีแจ้งเตือนก่อน 30 วัน) เมื่อ: 2020-11-29T09:30:37+00:00 Thai VI Officer: สมาชิกสามารถต่ออายุและชำระเงินเองได้โดยกดที่ปุ่มนี้ครับ เมื่อ: 2020-12-05T05:09:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
พรุ่งนี้ยุบไม่ยุบพรรคพลังประชาชน มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างไรครับ Jeng: ไม่เอาประเด็นการเมืองนะครับ เพราะเว็บห้ามไว้ ใครโพสประเด็นการเมือง โดนใบเหลือง ใบแดง ห้ามโพส ห้ามอ่าน ห้ามเข้านะครับ คือผมอยากรู้ว่า พวกเราคิดอย่างไร หากมีการ ยุบพรรคพลังประชาชน แล้วมีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดย นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายก ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรครับ ขึ้น หรือ ลง หากกระทู้นี้ดูแล้วไม่เหมาะสม ก็ลบได้เลยครับ ท่าน mod อยากรู้ว่าเพื่อนๆ น้องๆ พี่ๆ คิดอย่างไร เมื่อ: 2008-01-17T11:02:47+00:00 Pn3um0n1a: แหม่... พี่เจ๋งจะมาสอน แต่ตั้งเป็นคำถาม สอนแบบ work shop อีกแล้ว  อิอิ ผมขอลองตอบนะ แบ่งเป็นหุ้น สักสามกลุ่มใหญ่ๆ 1. หุ้นที่พื้นฐานได้รับผลกระทบ เช่น บริษัทที่รับงานภาครัฐ นโยบายแต่ละพรรคที่ต่างกัน พื้นฐานก็เปลี่ยนได้ (มองได้ทั้งแง่ดี ไม่ดี นะครับ เพราะ พรรค ป อาจมีนโยบาย xxx มากกว่าพรรค พ เป็นต้น... 2. หุ้นที่พื้นฐาน ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ ราคาเปลี่ยน อาจเนื่องจาก มีกลุ่มที่ให้ความไว้วางใจต่อ รัฐบาล พรรค xxx มากกว่าหรือน้อยกว่า  เช่น กลุ่มที่มี ต่างชาติ หรือ กองทุน ถืออยู่ด้วย 3. หุ้นที่พื้นฐาน ไม่ได้รับผลกระทบ ราคา เปลี่ยนไม่มาก หรือไม่เปลี่ยน ก็คงเป็นจำพวก หุ้น VI ราคา เปลี่ยน ก็อาจไม่มาก (ทั้งทางขึ้น ทางลง) ประมาณนี้มั้งครับ จารย์ อิอิ เมื่อ: 2008-01-17T11:30:19+00:00 Pn3um0n1a: อ่อ ยังตอบไม่จบ ถามกว้างๆ ว่า ตลาด ขึ้นหรือลง คงหมายถึง set โดยรวม ซึ่งผมมองว่า ตัวที่มีผลกะ set มากๆ ส่วนใหญ่ตกอยู่ในข้อ 2 ด้านบน ดังนั้น ขึ้นหรือลง อยู่ที่ว่า คนส่วนมากที่ถือ คิดว่าคนส่วนมาก ให้ความไว้วางใจ กับรัฐบาลนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามากกว่า พรรคเดิม ก็ขึ้น ถ้าน้อยกว่าพรรคเดิม ก็คงลง แล้วแต่ อารมณ์ของ ตลาด เมื่อ: 2008-01-17T11:32:45+00:00 artvr4: ผมว่า ไม่ว่า ยุบไม่ยุบ หรือ หุ้น ขึ้น ไม่ขึ้น นักวิเคราะห์ก็จะเอามาอ้างเป็นข้ออ้างได้เสมอ    เช่น  หากว่า ไม่ยุบ   หุ้นขึ้น    จะบอกว่าอะไรดี           หากว่า ยุบ  หุ้นขึ้น     ก็จะบอกว่า  อะไรดี        หากว่า ไม่ยุบ   หุ้นลง    จะบอกว่าอะไรดี         หากว่า  ยุบ   หุ้นลง   จะบอกว่าอะไรดี  ช่วยเติมให้ผมด้วยสิครับ เมื่อ: 2008-01-17T12:19:53+00:00 Noonino: ลงแล้วก็ขึ้นครับ เพราะหุ้นมันมีขึ้นมีลง พิมพ์เองงงเองแฮะ เมื่อ: 2008-01-17T12:25:16+00:00 akkhapon: Noonino เขียน:ลงแล้วก็ขึ้นครับ เพราะหุ้นมันมีขึ้นมีลง พิมพ์เองงงเองแฮะ เข้ามาดูและฮา ครับ  :D เมื่อ: 2008-01-17T12:36:43+00:00 sawarut: ผมงงกับหุ้นไทยมานานแล้วคับบบ   ต่างชาติลง ไทยขึ้น ต่างชาติขึ้น ไทยลง อย่างไงก็ตามพรุ่งนี้ศาลตัดสิน 16.00 น  ดีไม่ดีกว่าจะประกาศตลาดอาจปิดก่อน ยังไงพรรคไหนมาเป็นก็คงเหนื่อยคับ เศรษฐกิจยังไม่ค่อยดี แถมพี่อเมริกาก็มีแวว ถดถอยยย พี่ไทยกลุ่มส่งออกก็เตรียม ค่าเงินแข็งตามระเบียบ ผมคิดมานานยังไง ยังไงก็คิดไม่ออกคับ พี่ jeng ว่าถ้าเกิด ยุบพรรค หุ้นอาจขึ้นก็ได้หรืออาจจะลงก็ได้ เพราะนี้คือตลาดหุ้นไทย  :?  :? เมื่อ: 2008-01-17T14:15:05+00:00 mprandy: ถ้ายุบ -> ตก เพราะผิดคาด ทำให้เกิดความไม่แน่นอน คนมองไม่ออกว่าจะมีความยุ่งยากต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่ยุบ -> neutral ไม่มีผลอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่คาดการณ์ผลไว้อย่างนั้นแล้ว เมื่อ: 2008-01-17T14:18:18+00:00 moonkiss: เน่าแน่นอนครับ ความไม่แน่นอนและไม่โปร่งใสของประเทศ ประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่การเลือกตั้งเป็นแค่ของเล่น เล่นแพ้ก็ควำกระดานทิ้ง จะหาความแน่นอนมั่นคงในนโยบายใดๆได้ครับ เมื่อ: 2008-01-17T14:48:40+00:00 ปุย: mprandy เขียน:ถ้ายุบ -> ตก เพราะผิดคาด ทำให้เกิดความไม่แน่นอน คนมองไม่ออกว่าจะมีความยุ่งยากต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่ยุบ -> neutral ไม่มีผลอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่คาดการณ์ผลไว้อย่างนั้นแล้ว คงจะแนวนี้อ่ะครับ ถ้ายุบ ก็เตรียมขายกันได้เลย แล้วก็รอ เข้าไปรับเมื่อไร ต้องดูอีกที ถ้าไม่ยุบ น่าจะมีเด้งนะ เพราะชัดเจนขึ้นมาระดับนึงว่า ยอมๆกันแล้ว เมื่อ: 2008-01-17T17:30:19+00:00 เทียน: ถ้ายุบ  ตลาดน่าจะตกพักใหญ่ครับ จนกว่าการเมือง จะเริ่มลงตัว แต่ในใจผมคิดว่าไม่น่าจะยุบ เพราะเรื่องใหญ่ระดับ ใช้เวลาในการไตร่สรวง แค่ไม่กี่ชั่วโมง เหมือนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว เมื่อ: 2008-01-17T19:34:39+00:00 path2544: ผมว่าถ้าผิดกฎหมายจริง ก็ต้อง ยุบ แต่ คงไม่มีผลอะไร เพราะ รัฐธรรมนูน ให้ย้ายพรรคได้ และเค้าก็คงตรียมไว้แล้ว สำหรับหุ้น คงตกบ้าง  :lol:  :lol: เมื่อ: 2008-01-18T01:31:55+00:00 century78: กฏหมายคือ ข้อตกลงของมหาชน ผ่านทางรัฐสภา แต่ถ้า  เกิดการยุบพรรคขึ้นมา  ถามว่า ศาล จะตอบคำถาม คนเลือก พรรคพลังแม้ว ได้อย่างไร เหมือนกับ สั่งปิดอาบอบนวด เพราะกฎหมายห้ามค้าประเวณี ล่ะครับ   ถ้าทำจริง การท่องเที่ยวเม็ดเงินจะหายไปเยอะ และ เหล่านักลงทุน และชายไทย คงเครียดหาที่ระบายไม่ออก อีก เยอะเลย ( ฮา ) ส่วนผลกระทบจากการลงุทน มองว่า ในระยะยาว น่าจะขึ้นเพราะ ตลาดไม่กลัวข่าวร้าย   แต่กลัวข่าวลือ และข่าวไม่แน่นอน ... เมื่อ: 2008-01-18T05:46:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"เก็บหุ้นครบ" koolton: ขอโทษครับ...รบกวนถามคำถามพื้นๆนี้หน่อยครับ... คือเห็นพี่ๆในนี้...เวลาเก็บหุ้นแต่ละคนบอกว่า  เก็บหุ้นครบแล้ว ไอ้คำว่าเก็บหุ้นครบของแต่ละคนนี่ เอาอะไรกำหนดครับ ตัวอย่างเช่น เก็บ 100 หุ้น รึ 1000 หุ้น หรือว่า เก็บครบโดยเอาเงินปันผลที่จะได้เป็นหลัก  ... ส่วนผมซื้อโดยจนกลัวเงินไม่พอ รึไม่ก็ เอา ซัก 1000 หุ้นเป็นต้น  รบกวนพี่ๆแนะนำผมหน่อยนะครับ เมื่อ: 2010-03-22T14:33:51+00:00 Anti-Aircraft: ก็แค่ครบตามความต้องการน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก คิดมากไปแล้วล่ะ ส่วนจะต้องการเท่าไรขึ้นอยู่กับว่าเรามีเงินเท่าไร แล้วเรามีความรู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นมากน้อยแค่ไหน ถ้าเงินน้อยซื้อจนตังหมดก็คือครบแล้ว ถ้าเราวิเคราะห์จนแน่ใจแล้วว่าผลตอบแทนสูง และความแน่นอนสูงเราก็อาจซื้อ 100% ของเงินที่มี ถ้าเราไม่แน่นใจมากขนาดนั้น เราก็ซื้อน้อยหน่อย แค่น้านแหละ เมื่อ: 2010-03-22T15:24:32+00:00 neo_potato_Th: ขึ้นกับสัดส่วน:Dแล้วแต่ความมั่นใจและสบายใจ :lol: เมื่อ: 2010-03-22T15:31:12+00:00 superboy: ส่วนผมไม่เคยพอที่จะหยุดซื้อหุ้น ง่ะ เงื่อนไข ราคาต้องดี  เงินยังเหลือ อิอิอิอิ สุดท้าย หมดตูดประจำ  ร้องไห้แง่ๆๆ ฟ้องแม่ทุกที ปล. ล้อเล่นนะ เมื่อ: 2010-03-23T04:35:33+00:00 DevilCupid: ของผมตามสัดส่วนที่ประมาณไว้ในพอร์ตครับ เมื่อ: 2010-03-23T06:55:54+00:00 koolton: ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่ไขข้อสงสัยครับ เมื่อ: 2010-03-23T14:13:24+00:00 leonleon: ของผมเงินก้อนเล็กๆครับ ก็เลยนิยมแบบ ยิงหมดแม็ก แฮ่ๆ ซื้อจนเงินหมดกระเป๋านั่นแหละครับ ( ในราคาที่เราถูกใจนะครับ  ถ้าแพงไปก็เลิกซื้อ ) เมื่อ: 2010-03-23T14:37:14+00:00 moonchild: หุ้นตัวไหนมั่นใจมาก ก็ถือเปอร์เซ็นมากหน่อย ตัวไหนมีความเสี่ยงบางอย่างที่เราคาดการณ์ไม่ได้ ก็อาจจะถือน้อยกว่าครับ เมื่อ: 2010-03-25T12:05:38+00:00 nun08: แล้วแต่เงินในกระเป๋าและโอกาส  :D เมื่อ: 2010-03-26T13:38:33+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
" กลยุทธยามหุ้นผันผวน " pakhakorn: " กลยุทธลงทุนยามหุ้นผันผวน " Money Talk@SET 10 พฤษภาคม 2556 คลังมัลติมีเดีย ของ เว็บThaivi http://www.thaivi.org/category/%E0%B8%A ... lk/page/3/ ย้อนดูเทปรายการเมื่อประมาณ 4 เดือนที่แล้ว [youtube]jvTIXgwa6z0[/youtube] [youtube]uVT1RXokmdQ[/youtube] เมื่อ: 2013-09-01T11:10:58+00:00 theenuch: ขอบคุณค่ะ เมื่อ: 2013-09-01T11:54:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จิบเบียร์แกล้มงบการเงิน สามัญชน: งบใกล้ออกแล้วนะครับ เมื่อ: 2007-07-18T05:10:35+00:00 por_jai: 8) ผมลุยก่อนเลย เด๋วมีคนมาแย่งตอบ อดกินฟรีเลย     snc ครับ Q2/2007: eps ทายว่า33สตางค์เท่าQ1/2007ครับ     ท้าทายดีไหมครับ     ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า Q2 ไม่เคยมียอดขายแซง Q1 ได้ซักที     ท่านที่มาตอบทีหลัง โอกาสที่จะชนะจิบเบียร์ฟรี     ขอบอกว่าเหลือแค่4ที่เท่านั้นแล้วนะครับ     ถอดใจก็บายได้ครับ     ไม่ได้โม้.... เมื่อ: 2007-07-18T05:22:06+00:00 nearly_vi: ทายด้วย snc 0.32 บาท/หุ้น อิอิ ถือว่าลอกการบ้าน โจ่งแจ้งไปมั้ยครับ  8) เมื่อ: 2007-07-18T05:25:42+00:00 ปรัชญา: อินไซร้หรือหมอดูครับพี่ ผมหมอเดา  สิงโต  0.29   ครับ อยากกินเบียร์ฟรี เมื่อ: 2007-07-18T05:29:50+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: ทายด้วย se-ed eps 0.17 เมื่อ: 2007-07-18T05:39:37+00:00 ปรัชญา: สามัญชน เขียน:งบใกล้ออกแล้วนะครับ  เรานัดถกกันวันเสารที่ 18 สค.นี้  สถานที่ยังไม่กำหนดชัดเจน  รอน้องบอลอยู่ครับ ค่าสมัคร 1,000 บาทเหมือนเดิมและจ่ายได้ที่หน้างานครับ โดยปกติงานนี้จะทำกำไรให้เว็บพอสมควร  เว็บจึงอยากจะคืนกำไรให้สมาชิกบ้าง  โดยสมาชิกร่วมเกมส์ง่ายๆ  ใครทายได้ใกล้เคียงที่สุด  จะได้รางวัลท่านละ 1,000 บาท  เท่ากับมาจิบเบียร์ฟรีครับ  มีรางวัล 5 รางวัลสำหรับผู้ชนะนะครับ กติกา คือ ให้สมาชิกเดาผลประกอบการบริษัท  บริษัทไหนก็ได้ครับ  แต่ต้องตอบก่อนงบออก  และตอบได้คนละบริษัทเท่านั้น   :lol: สมาชิกสามารถร่วมตอบคำถามได้ แม้จะไม่สมัคร  แต่ไม่สามารถโอนสิทธิในการจิบเบียร์ฟรีได้ครับ  ต้องมาจิบเองเท่านั้น  :lol: เริ่มลงชื่อสมัครและส่งคำตอบได้เลยครับ ลืมถาม   เฉพาะไตรมาส2   หรือ รวม2ไตรมาส เมื่อ: 2007-07-18T05:43:44+00:00 Luty97: เอามัง snc ครับ Q2 EPS = 0.31 อารมณ์ว่าได้เท่านี้ก็เวอร์แล้ว  :lol: เมื่อ: 2007-07-18T05:45:03+00:00 por_jai: [quote="nearly_vi"]ทายด้วย snc 0.32 บาท/หุ้น อิอิ ถือว่าลอกการบ้าน โจ่งแจ้งไปมั้ยครับ เมื่อ: 2007-07-18T05:52:54+00:00 alexx: ผมขอทาย  snc  eps  q 2   = 0.30  ครับ    แฮะ แฮะ อยากจิบเบียรฟรีเหมือนกัน :lol: เมื่อ: 2007-07-18T05:55:23+00:00 por_jai: [quote="Luty97"]เอามั่ง snc ครับ Q2 EPS = 0.31 อารมณ์ว่าได้เท่านี้ก็เวอร์แล้ว เมื่อ: 2007-07-18T05:55:29+00:00 por_jai: [quote="ปรัชญา"] ลืมถาม เมื่อ: 2007-07-18T05:56:51+00:00 por_jai: [quote="alexx"]ผมขอทาย เมื่อ: 2007-07-18T05:58:16+00:00 oatty: ผมเดามั่ง  UEC Q2=0.56 ไม่อยากไปแย่งเดากับพี่ป้อม กลัวมหากำไร เมื่อ: 2007-07-18T06:00:31+00:00 por_jai: [quote="oatty"]ผมเดามั่ง เมื่อ: 2007-07-18T06:02:22+00:00 por_jai: กุหลาบงามหลังฝน เขียน:ทายด้วย se-ed eps 0.17 8) ทายถูกจะคุ้มค่าเดินทางหรือครับ พี่กุหลาบ.. เมื่อ: 2007-07-18T06:03:32+00:00 ดาวหางสีแดง: เอาแค่ EPS ใช่มั้ยครับ งั้นเอา EPCO EPS(Q2) = 0.025 เมื่อ: 2007-07-18T06:04:49+00:00 nanchan: ไตรมาส2 ดูเหมือนจะทายไม่ยากเท่าไหร่ เดี่ยวผมจองATC กะ TTA ไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ขอไปทำการบ้านเพิ่มอีกหน่อย เมื่อ: 2007-07-18T06:09:54+00:00 Newbee: เอา RATCH EPS Q2=1.42 บาท (เดาล้วนๆ...) อยากดื่มเบียร์ ฟรี... เมื่อ: 2007-07-18T06:13:07+00:00 kok2029: sppt EPS Q2=0.14 ครับผม เมื่อ: 2007-07-18T06:13:47+00:00 Luty97: [quote="por_jai"][quote="Luty97"]เอามั่ง snc ครับ Q2 EPS = 0.31 อารมณ์ว่าได้เท่านี้ก็เวอร์แล้ว เมื่อ: 2007-07-18T06:24:52+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: por_jai เขียน:กุหลาบงามหลังฝน wrote: ทายด้วย se-ed eps 0.17 ทายถูกจะคุ้มค่าเดินทางหรือครับ พี่กุหลาบ.. ทายถูกต้องขอให้พี่พอใจออกค่าเดินทางให้แย้วกัน อิอิ เมื่อ: 2007-07-18T06:29:25+00:00 naris: [quote="por_jai"]8) ผมลุยก่อนเลย เด๋วมีคนมาแย่งตอบ อดกินฟรีเลย เมื่อ: 2007-07-18T06:44:53+00:00 por_jai: 8) โดนข่มเสียหมอง ไม่น่าเลยตรู...ฮ่า..แต่ยังยิ้มได้ครับ..     สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร.... เมื่อ: 2007-07-18T06:57:00+00:00 por_jai: กุหลาบงามหลังฝน เขียน: ทายถูกต้องขอให้พี่พอใจออกค่าเดินทางให้แย้วกัน อิอิ  8) ผมว่าเบิกกับหมอศรรามดีกว่า      เพราะเป็นคนตั้งกระทู้นี่นา      เห็นเงียบๆไม่ค่อยโพสช่วงนี้      ได้ข่าวว่าไม่สบายเป็นโรค"พอร์ตบวม" เมื่อ: 2007-07-18T07:02:10+00:00 Basketman: [quote="naris"][quote="por_jai"]8) ผมลุยก่อนเลย เด๋วมีคนมาแย่งตอบ อดกินฟรีเลย เมื่อ: 2007-07-18T07:03:47+00:00 b37skp: ทายด้วยครับ SAT EPS Q2 ได้ 0.45 ดีกว่า Q1 นิดนึง  :D  :D  :D  :D เมื่อ: 2007-07-18T07:09:35+00:00 Frankie: เข้ามาเดาด้วยคนครับ BH อีพีเอส ซัก 0.37 ละกัน เมื่อ: 2007-07-18T07:20:45+00:00 ksnk: งั้นผมทาย snc Q2/2007: eps 34 สตางค์  ท้าทายก่าครับ :lol: ผมหมอเดา  สิงโต  0.29   ครับ ที่พี่ปรัชญาเดานี่ q2 only รึเปล่าครับ 0.14 + 0.29 = 0.43  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-07-18T07:24:04+00:00 odacroniandevil: UEC Q2 0.58 ครับ มาแย่งกับคุณ Oat คับ เมื่อ: 2007-07-18T07:25:08+00:00 Blueblood: อ้าว มาช้า ตัวเดียวในพอร์ตโดนแย่งไปแล้ว แล้วจะได้มั๊ยเนี่ยรางวัล เดี๋ยวขอไปคิดแบบโคตรละเอียดก่อนจะมาทายแบบทศนิยม 3 ตำแหน่ง เมื่อ: 2007-07-18T07:26:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ราคากับความมั่นใจ Jeng: ผมสังเกตว่า นักลงทุนจะมั่นใจในหุ้นตัวนั้นๆเมื่อราคามันขึ้น และกลับกัน คือหมดศรัทธา ขาดความมั่นใจเมื่อราคามันลง หุ้น xx เมื่อนักลงทุน ศึกษา แล้วคิดว่า อืม ตัวนี้แหละใช่เลย มั่นใจ แต่ยังไม่ได้ซื้อ ( ยังไม่ได้มั่นใจมากขนาดต้องรีบซื้อ ) พอราคามันขึ้น ก็มาดูอีกที อืม ใช่จริงๆด้วย เห็นมั๊ย มันขึ้นแล้ว ( ยังไม่ได้ซื้อ ) กลับไปอ่านต่อ คิดต่อ ( คิดในขณะที่ราคาขึ้นมาแล้ว ) แล้วก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น หลายคน ณ เวลานี้เริ่มซื้อไปบ้าง มีส่วนน้อยมากซื้อหมดพอร์ทตัวเดียว แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อ ต่อมาราคาขึ้นอีก คนพูดถึงกันเยอะมากขึ้น เกียวกับหุ้นตัวนี้ แต่ราคาก็ปรับขึ้นมา 20%-30 % แล้ว หากยังไม่ได้ซื้อก็เริ่มเสียดาย และกลับไปอ่านอีก แล้วก็คิดอย่างหนักว่าเอาไงดี ตอนนี้ชักกลัว กลัวไปหมด กลัวมันขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ซื้อ แต่ถ้าซื้อก็กลัวมันลง ก็เคยเห็นราคาต่ำๆก่อนหน้านี้ ไม่น่าเลยเรา น่าจะซื้อ ตั้งแต่ตอนนั้น คนเริ่มเข้าซื้อมากขึ้น ต่อมาราคาวิ่งปรู๊ด เห็นแล้วทำใจ ไม่เอาแล้ว แพงไปแล้ว ไม่กล้ายุ่งแล้ว แต่คนส่วนใหญ่กลับเข้าซื้อโดยเฉพาะนักเก็งกำไรทีเล่น ไม่กี่วัน ต่อมาราคาปรับลดลง เยอะ พอควร แต่เมื่อเทียบกับตอนแรกที่ศึกษาหุ้นตัวนี้ใหม่ๆ ก็ต้องถือว่าขึ้นมาเยอะ นักลงทุนส่วนใหญ่คงไม่ได้มองที่ตอนเริ่มแรก แต่ไปมองตรงดอยที่มันลงมา เหมือนๆกับว่า ซื้อราคานี้ ไม่โง่ ซื้อราคานี้ มีส่วนลดเยอะ คนอื่นเขาติดดอยกันที่ราคาเท่าไร เราซื้อราคานี้ สบายมาก ถ้าจะลง ก็ลงไม่มาก ก็เลยเข้าซื้อกันอีก ในราคาที่ลดลงมาแล้ว ปรากฎว่าราคาลงต่อ อืม เอาไงดี มันจะลงต่อหรือไม่นี่ หรือว่าจะเด้ง จะขายหรือจะซื้อเพิ่มดี เขียนแบบนี้ไม่ได้เกียวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนะครับ เดี่ยวโดนโยงไปหาหุ้นบางตัวอีก เรื่องที่ผมอยากจะบอกคือ ราคากับความมั่นใจ เวลาดูหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ทุกมุมว่าดี รวมทั้งราคาก็น่าลงทุน จัดว่าราคาถูก ใน ขณะที่กำลังจะตัดสินใจลงทุน ปรากฎว่า ราคาหุ้นลดลงอีก เราก็ ซื้อไปเลย อย่าให้ราคาที่ลดลง ทำให้เราขาดความมั่นใจ ในหุ้นตัวนั้นๆ เมื่อ: 2007-09-19T10:39:55+00:00 takechi: ตรงประเด็น ครับพี่เจ๋ง.. เมื่อ: 2007-09-19T11:07:44+00:00 cryptonian_man: 555 อ่านดูแล้วมันเข้าตัวดีจริงๆเลยครับ เป็นหลายทีมากที่เวลาดูหุ้นตัวนั้นไว้ ตอนแรกก้อว่าแพงไปนิด พอมันวิ่งปั๊บก้อมาคิดว่า โห เราก้อดูไม่ผิด ตัวนี้มันดีจริง ไม่งั้นไม่วิ่ง แต่พอซื้อบางตัวไว้ ราคามันลงปุ๊บ บางทีก้อรู้สึกว่าตัวเองดูหุ้นผิดไปได้ไงเนี่บ เฮ้อ ช่วงนี้เลยคิดมากก่อนซื้อ แต่ขนาดคิดมากยังมีเผลอเก็บ snc เข้ามาเฉย ว่าจะดูให้ดีๆก่อน เมื่อ: 2007-09-19T11:54:09+00:00 juntuma: เป็นคำถามที่โดนมากเรยย์ ตอนแรกก้อว่าศึกษามาดี  แบบมั่นใจ  พอเห็นราคาลง  ใจกล้าขาสั่น  ไม่กล้าซื้อสวน ราคาทำให้ทุกคนหวั่นไหวอยู่แร้ว  เพียงแต่ใครใจแข็ง  มีข้อมูลแน่นกว่ากัน ถ้าบอกว่าศึกษามาดี  ราคาทำให้เกิดความไม่แน่ใจ  เอ๊ะ  มันมีอะไรที่เราไม่รู้หรือป่าว  นี่แหละครับปัญหา ถ้าหุ้นดีจริงทำไม  ราคามันไหลลง ๆ   คุณวิกรม  เขียนไว้ในหนังสือนักลงทุนผ้ชาญฉลาดว่า  มรรควิธีที่จะเอาชนะตลาดหุ้นมีอยู่สามวิธี  คือ 1.  มีข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นหรือตลาด  แตกต่างจากที่ทุกคนมี 2.  มีข่าวสารข้อมูลเช่นเดียวกับที่คนอื่นมี  แต่ตีความหมายแตกต่างจากคนอื่น 3.  มีข่าวสารเช่นเดียวกัน  ตีความเช่นเดียวกัน  แต่กล้าลงมือทำแตกต่างจากคนอื่น :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol: เมื่อ: 2007-09-19T14:30:33+00:00 poppo: พอได้อ่านบทความพี่เจ๋ง รู้สึกเหมือนโดนเคาะกระโหลกอย่างแรง เพราะพฤติกรรมแบบ ลืมราคาทุนตัวเองไม่ได้ ทำให้ผมพลาดการซื้อเพิ่มในหุ้นที่ดี เช่น uec ผมมัวติดใจอยู่ที่ราคาทุน ต่ำสิบ เลยซื้อเพิ่มน้อยมาก อดรวยเลย ผมว่าต่อไปนี้ผมจะพยายามลืมราคาทุน และซื้อหุ้นตาม pe ที่คาดไว้ growth ทีคาดไว้ ตราบใดที่ยังถูกและมี MOS ที่เพียงพอ และจะไม่ไปยุ่งกับหุ้น pe สูงเมื่อเทียบกับ growth ที่เราคิดว่าแน่นอนที่จะเกิดขึ้นอีก แหกกฎทีไรเจ็บตัวทุกที เมื่อ: 2007-09-19T15:24:05+00:00 ตาหมูอ้วน.: เยี่ยมเลยครับ บทความนี้ เมื่อ: 2007-09-19T16:35:15+00:00 boy2t: ถ้าราคาที่ซื้อไว้ มันลงมากกว่า 5% เราจะ cutloss ดีไหม หรือ ว่าให้มันใจในการวิเคราะห์ แล้วรอ เมื่อ: 2007-09-20T00:55:36+00:00 atsu: boy2t เขียน:ถ้าราคาที่ซื้อไว้ มันลงมากกว่า 5% เราจะ cutloss ดีไหม หรือ ว่าให้มันใจในการวิเคราะห์ แล้วรอ ประเด็นสำคัญคือเรามั่นใจในการวิเคราะห์ของเราจริงรึเปล่า หรือกำลังหลอกตัวเองว่าเรามั่นใจ(แต่ขาสั่นพับๆๆ) เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีที่สุดก่อนครับว่าเรารู้จริงแค่ไหน แล้วเราจะใช้สติตัดสินใจได้ว่าควรทำอะไร เมื่อ: 2007-09-20T02:13:44+00:00 sunrise: ถามนิดครับ ถ้ามั่นใจเกือบทุกอย่างแต่ว่ากลัวว่ามันอาจมีความไม่แน่ใจเรื่องเพิ่มทุน ปล. เอาจริงนะครับ เราควรทำตัวอย่างไรครับ  :?: เมื่อ: 2007-09-20T02:29:01+00:00 atsu: [quote="sunrise"]ถามนิดครับ ถ้ามั่นใจเกือบทุกอย่างแต่ว่ากลัวว่ามันอาจมีความไม่แน่ใจเรื่องเพิ่มทุน ปล. เอาจริงนะครับ เราควรทำตัวอย่างไรครับ เมื่อ: 2007-09-20T02:36:28+00:00 sunrise: [quote="atsu"][quote="sunrise"]ถามนิดครับ ถ้ามั่นใจเกือบทุกอย่างแต่ว่ากลัวว่ามันอาจมีความไม่แน่ใจเรื่องเพิ่มทุน ปล. เอาจริงนะครับ เราควรทำตัวอย่างไรครับ เมื่อ: 2007-09-20T02:43:00+00:00 jung_oh: ขอบคุณครับ ได้แง่คิด + โดนเหมือนกันคับ เมื่อ: 2007-09-20T03:11:15+00:00 กุหลาบงามหลังฝน: ขอให้ความมั่นจัยนั้นเกิดจากข้อมูล ไม่ใช่การยึดติดกับภาพในอดีต เมื่อ: 2007-09-20T05:49:21+00:00 tanapol: วันก่อนไปเรียนบัญชีอ.มน และได้รับสอนจากพี่นริศ ทำให้ดูงบกระแสเงินสดเก่งขึ้น ถ้าสอบถามข้อมูลบริษัทดีๆ ถามเป้าหมายการเติบโตปีหน้า และมาคำนวณกับเงินทุนหมุนเวียน+งบลงทุนปีหน้า  ก็น่าจะรู้คร่าวๆ ว่าต้องเพิ่มทุนหรือเปล่าคับ เมื่อ: 2007-09-20T07:06:22+00:00 moo: ขอบพระคุณพี่เจ๋งมากครับ มีไอเดียดีๆ   มีกระทู้ดีๆ    มาสั่งสอน แนะนำเสมอ ต้องกลับไปอ่านหนังสือ จิตวิทยาการลงทุน ที่คุณ WEB กรุณาแปล อ่านอีกหลายๆรอบเลยทีเดียว เมื่อ: 2007-09-20T07:22:02+00:00 vivitawin: ขอบคุณครับพี่ เมื่อ: 2007-09-20T23:17:25+00:00 Yaileela: โดนใจจริงๆครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-09-21T00:56:16+00:00 cwiboon: โดนมากครับ เมื่อ: 2007-09-21T02:04:45+00:00 i'm yo: ขอบคุณครับสำหรับแง่คิดดีๆ เมื่อ: 2007-09-21T05:33:44+00:00 kugsanova: สะท้อนภาพ vi มือใหม่ได้ดีมากเลยครับ เมื่อ: 2007-09-21T07:29:41+00:00 MindTrick: Jeng เขียน:ผมสังเกตว่า นักลงทุนจะมั่นใจในหุ้นตัวนั้นๆเมื่อราคามันขึ้น และกลับกัน คือหมดศรัทธา ขาดความมั่นใจเมื่อราคามันลง หุ้น xx เมื่อนักลงทุน ศึกษา แล้วคิดว่า อืม ตัวนี้แหละใช่เลย มั่นใจ แต่ยังไม่ได้ซื้อ ( ยังไม่ได้มั่นใจมากขนาดต้องรีบซื้อ ) พอราคามันขึ้น ก็มาดูอีกที อืม ใช่จริงๆด้วย เห็นมั๊ย มันขึ้นแล้ว ( ยังไม่ได้ซื้อ ) กลับไปอ่านต่อ คิดต่อ ( คิดในขณะที่ราคาขึ้นมาแล้ว ) แล้วก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น หลายคน ณ เวลานี้เริ่มซื้อไปบ้าง มีส่วนน้อยมากซื้อหมดพอร์ทตัวเดียว แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อ ต่อมาราคาขึ้นอีก คนพูดถึงกันเยอะมากขึ้น เกียวกับหุ้นตัวนี้ แต่ราคาก็ปรับขึ้นมา 20%-30 % แล้ว หากยังไม่ได้ซื้อก็เริ่มเสียดาย และกลับไปอ่านอีก แล้วก็คิดอย่างหนักว่าเอาไงดี ตอนนี้ชักกลัว กลัวไปหมด กลัวมันขึ้นไปอีก ถ้าไม่ได้ซื้อ แต่ถ้าซื้อก็กลัวมันลง ก็เคยเห็นราคาต่ำๆก่อนหน้านี้ ไม่น่าเลยเรา น่าจะซื้อ ตั้งแต่ตอนนั้น คนเริ่มเข้าซื้อมากขึ้น ต่อมาราคาวิ่งปรู๊ด เห็นแล้วทำใจ ไม่เอาแล้ว แพงไปแล้ว ไม่กล้ายุ่งแล้ว แต่คนส่วนใหญ่กลับเข้าซื้อโดยเฉพาะนักเก็งกำไรทีเล่น ไม่กี่วัน ต่อมาราคาปรับลดลง เยอะ พอควร แต่เมื่อเทียบกับตอนแรกที่ศึกษาหุ้นตัวนี้ใหม่ๆ ก็ต้องถือว่าขึ้นมาเยอะ นักลงทุนส่วนใหญ่คงไม่ได้มองที่ตอนเริ่มแรก แต่ไปมองตรงดอยที่มันลงมา เหมือนๆกับว่า ซื้อราคานี้ ไม่โง่ ซื้อราคานี้ มีส่วนลดเยอะ คนอื่นเขาติดดอยกันที่ราคาเท่าไร เราซื้อราคานี้ สบายมาก ถ้าจะลง ก็ลงไม่มาก ก็เลยเข้าซื้อกันอีก ในราคาที่ลดลงมาแล้ว ปรากฎว่าราคาลงต่อ อืม เอาไงดี มันจะลงต่อหรือไม่นี่ หรือว่าจะเด้ง จะขายหรือจะซื้อเพิ่มดี เขียนแบบนี้ไม่ได้เกียวกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งนะครับ เดี่ยวโดนโยงไปหาหุ้นบางตัวอีก เรื่องที่ผมอยากจะบอกคือ ราคากับความมั่นใจ เวลาดูหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ทุกมุมว่าดี รวมทั้งราคาก็น่าลงทุน จัดว่าราคาถูก ใน ขณะที่กำลังจะตัดสินใจลงทุน ปรากฎว่า ราคาหุ้นลดลงอีก เราก็ ซื้อไปเลย อย่าให้ราคาที่ลดลง ทำให้เราขาดความมั่นใจ ในหุ้นตัวนั้นๆ ผมคิดถึง MASS PSYCHOLOGY ครับ แล้วจะได้วางกลยุทธ์ตัวเองอีกที เมื่อ: 2007-09-21T18:00:44+00:00 Paul VI: ใช่เลย เพราะเกิดกับตัวเอง ล่าสุดไม่กี่วันนี้เอง ตั้งใจศึกษาอย่างดีมั่นใจพอควรแต่เห็นราคายังไม่ขยับขึ้น แล้วลงอีกนิดหน่อย ก็ไม่กล้าแหย่ แต่พอจะแหย่ ก็ไม่กล้าเคาะขวา มัวแต่เสียดายเล็กน้อยถึงราคาที่เคยเห็น พอมีคนมาไล่ราคาขึ้นไปก็ไม่เอาแล้ว กะให้ลงคราวนี้ไม่มาแล้ว ก็แกล้งองุ่นเปรี้ยว ว่าไม่เอา แพงไป...เฮ้อ เรือ่งของใจล้วนๆ เมื่อ: 2007-09-22T05:25:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับ THIP ไหมครับ LEQ: พอดีมี headhunter โทรมานัดสัมภาษณ์กับ HR ของ THIP นะครับ ไม่รู้ว่ามีเพื่อนๆ คนไหนทำงานด้าน plastic หรือเปล่า และ THIP เป็นอย่างไรบ้าง เท่าที่ดูผ่านๆ ก็ผลิตและจำหน่ายสินค้า plastic อย่างหลอดและถุง plastic ใสๆ ใส่ผลไม้ บริษัทที่ลูกๆ เยอะ (บริษัทในเครือนะครับ) ก็เลยทำงานแบบครบวงจรเลย ข้อมูลอย่างอื่น ยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดครับ แต่ขอถามเป็นความคิดเห็นละกัน เมื่อ: 2007-05-24T07:50:27+00:00 nowkung: ธุรกิจมันออกงั้นๆน่ะครับ -ไม่ได้ครองตลาด -กำไรผันผวน -แต่ไม่เจ๊งหรอกครับเพราะ หนี้/ทุน ต่ำมาก เมื่อ: 2007-05-25T04:05:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนก็ไม่น่าลงทุน INDEPENDENT82: วันที่ 6 มิถุนายน 2555 01:00 หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหนก็ไม่น่าลงทุน โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ปมการเมืองที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ กลายเป็นประเด็นหลัก ที่จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น จากก่อนหน้านี้ บรรดาแวดวงตลาดทุน ทั้งโบรกเกอร์ และนักลงทุน ทุ่มน้ำหนักให้กับวิกฤติหนี้ในยูโรโซน เป็นหลัก ซึ่งนักลงทุนในประเทศต่างก็ทำใจรับสภาพกับปัจจัยภายนอกที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยูโรโซน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เพราะถือเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม หรือแม้กระทั่งผู้ประกอบในอุตสาหกรรม ต่างก็ปรับกลยุทธ์เพื่อบริหารความเสี่ยง ขณะที่ประเด็นการเมืองภายใน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้มากกว่าตัวแปรนอกประเทศ กลับกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศการลงทุน ซ้ำเติมผลกระทบจากวิกฤติหนี้ยุโรป บรรดาโบรกเกอร์เริ่มทยอยปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลดลง แนะให้นักลงทุนหันไปถือครองเงินสดแทน เพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าความวุ่นวายทางการเมือง จะย้อนรอยเหมือนกับปี 2551 ที่เกิดความแตกแยกรุนแรงจนเกิดเหตุการณ์เผากลางกรุงหรือไม่ ความเสี่ยงทางการเมือง เป็นสิ่งที่นักลงทุนหรือกระทั่งผู้ประกอบการ บริหารความเสี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศักยภาพของการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น หากมีความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่มีได้ ไม่มีเสมอตัว มีแต่เสียอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่แค่ความสูญเสียทางด้านการลงทุนเท่านั้น แต่จะรวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ความคลุมเครือของการเมืองในประเทศ เป็นสิ่งที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกังวล โดยเฉพาะต่างชาติแล้วมองว่าความไม่ชัดเจน คือ ความเสี่ยงสูงสุด และยิ่งสถานการณ์ในปัจจุบันไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าการเมืองจะมีจุดจบอย่างไร เพียงแต่ภาวนาไม่ให้ความขัดแย้งการเมือง มีการพัฒนาไปสู่ความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเสี่ยงก็ย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาว ที่ไม่หวั่นไหวกับกระแสระยะสั้น และที่สำคัญ มีความเข้าใจกับการเมืองของบ้านเรา เพราะหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทย ก็ถือว่ามีความแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มีอัตราการจ่ายปันผลที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร บริษัทจดทะเบียนมีอัตราการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นก็อาจจะเป็นโอกาสการลงทุน ตัวแปรที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด นอกเหนือจากพัฒนาการความรุนแรงทางด้านการเมืองแล้ว คงต้องดูแรงขายของต่างชาติ ที่เก็บสะสมมาตั้งแต่ต้นปีเฉียด 7 หมื่นล้านบาทนั้น จะมีการโยกเงินออกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ซึ่งหากซ้ำเติมเข้ามาอีกในช่วงนี้ ต่อให้หุ้นดี และถูกแค่ไหน นักลงทุนก็คงขยาดไม่กล้าที่จะลงทุนในช่วงนี้ สอดคล้องกับมุมมองของไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ที่เพิ่งจะเดินสายโรดโชว์ที่ประเทศอังกฤษหมาดๆ บอกว่า ถ้าถามภาพรวมการลงทุนหุ้นช่วงนี้ใครบอกว่าดีก็แปลกแล้ว เพราะข่าวร้ายที่โถมเข้ามาทั้งในและต่างประเทศ ยกเว้นนักลงทุนระยะยาว จะมองเห็นโอกาสภายใต้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเสมอ ยิ่งหุ้นตกแรง ก็ยิ่งเป็นโอกาสการลงทุน ส่วนนักลงทุนระยะสั้น ที่ต้องการทำกำไรในตลาดหุ้นระยะสั้น พับแผนการลงทุนได้เลย ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%99.html เมื่อ: 2012-06-05T21:34:20+00:00 humdrum: ขอบคุณสำหรัยข่าวครับ Thanks for the news krab. I have the strategy during the time until Mr.Market show signs of hysteria. One of the best rule I learn from value investing is to do nothing, abosolutely nothing unless there is sonething to do. Most speculators tend to do the opposite of what is required of value investing success. They cut their profits short and let their losses run. เมื่อ: 2012-06-06T00:17:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สอบถามวิธี Download Opp Day ด้วยครับ cntclub: เรียนท่านผู้รู้ช่วยบอกวิธี Download Opp Day ไว้ดูในรถหรือที่บ้านด้วยครับ เพราะใช้ Program เดิมไม่ได้ครับ Net Transport&GetFLV จึงรบกวนท่านผู้รู้บอกด้วยครับ เมื่อ: 2016-05-16T07:39:50+00:00 ปลาตัวเล็ก: เพราะว่า oppday มันพังรึเปล่าครับ ตอนนี้ผมเปิดดูธรรมดาก็ไม่ได้ครับ เมื่อ: 2016-05-16T12:25:21+00:00 naphas12: ดาวน์โหลดจาก Youtube ของคุณ CatJ ดีกว่าครับ ง่ายกว่าเยอะ เมื่อ: 2016-05-17T02:22:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Buffettology กะ cryptonian_man: ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่อยากรู้ว่าสองเล่มนี้มันต่างกันมากไหมนะครับ คือผมเพิ่งซื้อ New Buffettology เลยอยากรู้ว่ามันดีหรือแตกต่างกะเล่มเก่าอย่างไรบ้างนะครับ เผื่อว่าจะได้ไปหาซื้อมาไว้คู่กัน เด็กมาใหม่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ เมื่อ: 2007-04-17T13:11:57+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามพี่ ครรชิต cryptonian_man: Stock stat ใน special down load ที่พี่ลงไว้ไม่ทราบว่าได้มาจาก web ไหนหรือครับหรือว่าสรุปเอง แล้วมี file ีupdate ล่าสุดไหมครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2003-11-16T07:43:25+00:00 ครรชิต ไพศาล: คัดลอกมาจาก http://www.set.or.th/set/en/company/company_u4.jsp ผมเก็บข้อมูล highlights ของแต่ละบริษัทมารวมไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน แล้ว เก็บข้อมูลราตาปิดรายวันจาก http://www.set.or.th/static/market/market_u10.html มา แล้วให้โปรแกรมคำนวณ ค่า P/E,P/B และ อื่นๆ UPDATE ให้ ครับ ถ้าอยากได้เอาไปศึกษา ก็ไป ลงทะเบียนสมาชิก TVI แล้วไปแจ้งความต้องการ ไว้ในกระทู้ " ข้อมูลเรียง P/E " แล้วผมจะส่งให้ครับ เมื่อ: 2003-11-16T08:41:58+00:00 ครรชิต ไพศาล: เข้าไปแล้วครับแต่มัันเป็น Company high light ไม่เจอ !! เมื่อ: 2003-11-16T10:45:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ว่าด้วยการประชุมแจ็คสันโฮล ปี 2017 /ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ always24: ว่าด้วยการประชุมแจ็คสันโฮล ปี 2017 ณ. งานสัมมนาธนาคารกลางสหรัฐ ณ เมืองแจ็คสันโฮล ปี 2017 นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบี กลับมาเป็นไฮไลต์ของงานร่วมกับนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดอีกครั้ง บทความนี้ ขอประเมินนัยยะจากการประชุม ดังนี้ ผมมองว่า นายดรากิ พูดมีนัยยะที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ผมคิดว่านายดรากิน่าจะมองว่านโยบายการเงินสำหรับยุโรปถือว่ามาสู่จุดที่พ้นโหมดผ่อนคลายได้ในไม่ช้า จึงมุ่งเน้นในส่วนของเสถียรภาพของสถาบันการเงินในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ โดยมองว่าในช่วงนโยบายการเงินแบบอัตราดอกเบี้ยต่ำ การยกการ์ดสูงของนโยบายสถาบันการเงินเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจเติบโตตามนโยบายการเงินที่เอื้อให้เกิดฟองสบู่ได้แบบไม่เสี่ยง 2.หากสังเกตดีๆ นายดรากิพูดเพื่อโน้มน้าวให้กระแสที่มาแรงมากในช่วง1-2ปีนี้ คือ ‘protectionism’ ลดระดับความน่าเชื่อถือลง โดยเขาตั้งคำถามว่าภายใต้สภาวะแวดล้อมที่โลกตะวันตกเข้าสู่สังคมมผู้สูงอายุ จะมีตัวช่วยใดที่สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้เร็วพอที่จะช่วยเลี้ยงดูผู้สูงอายุในอีก10-20ปีต่อจากนี้ คำตอบคือการเปิดให้มีการค้าขายกันอย่างเสรี เนื่องจากสิ่งนี้ จะไปเพิ่มระดับผลิตภาพหรือ ประสิทธิภาพในการผลิต ให้ทันกับแรงงานที่ลดลง หากคิดเหมือนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ที่คิดจะเอาแต่ตัวเองรอดโดยไปกีดกันการค้ากับประเทศอื่นๆ ท้ายสุด สหรัฐเองจะไม่รอดเองในระยะยาว ทั้งนี้ประโยคสุดท้ายนั้น นายดรากิมิได้พูดตรงๆ แต่คงจะตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ 3.นายดรากิได้ยกตัวอย่าง ‘ประชานิยม’ที่ว่ากันว่าจะเป็นตัวขจัดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน โดยแท้จริงแล้ว สหภาพยุโรปได้ ทำให้ ‘การเปิดกว้างทางการค้าและแรงงาน’ มีความเท่าเทียมและปลอดภัยได้โดยที่สหภาพยุโรปได้ทำให้เห็นผ่านการออกกฎหมาย Single European Act ในปี 1986 โดยรวมแล้ว เนื้อความที่นายดรากิกล่าวนั้น ถือว่าเป็นสุนทรพจน์ที่มีนัยยะทางการเมืองอยู่ไม่น้อย มาถึงคิวของเจ้าภาพของงานนี้กันบ้าง ผมประเมินสุนทรพจน์ของนางเยลเลน พร้อมๆกับการอ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายแสตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานเฟด แล้วรู้สึกได้เลยว่าทีมเฟดรู้สึกอึดอัดกับการแก้กฎหมายทางการเงินสหรัฐหรือ Dodd frank bill ของรัฐบาลสหรัฐที่เวอร์ชั่นเดิมปรับให้เข้มต่อแบงก์มากขึ้นให้กลับไปให้อ่อนลง ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของธนาคารพาณิชย์โดยตรง หากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปนับคำที่นางเยลเลนใช้บ่อยที่สุดในสุนทรพจน์ของงานสัมมนาแจ็คสันโฮล ปี 2017 คำที่เธอใช้บ่อยที่สุดคือ ‘regulation’ มีการพูดซ้ำคำๆนี้ถึง 20 ครั้ง ในการกล่าวสุนทรพจน์เป็นเวลา 18 นาที คงไม่ต้องพูดถึงความอึดอัดใจกับการแก้กฎหมาย Dodd frank bill ของนางเยลเลน ในสุนทรพจน์นี้ นางเยลเลนตอบคำถามของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ว่ากฎหมายการเงินที่เข้มจะไปกดให้การเติบโตเศรษฐกิจลดลงว่าแม้งานวิจัยต่างๆ จะไม่ฟันธงว่าการที่ดำรงอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงขึ้น จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจดีขึ้นจริงๆหรือไม่ ทว่านางเยลเลนได้กล่าวว่าช่วงปี 2009 ที่แบงก์สหรัฐได้เข้าโปรแกรมที่บังคับให้ดำรงอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้สูงขึ้นนั้น ได้ส่งผลให้แบงก์สหรัฐมีการปล่อยกู้และผลกำไรดีกว่าแบงก์ต่างๆทั่วโลก แม้ผู้ที่มีคะแนนเครดิตแย่ จะไม่ได้รับการปล่อยสินเชื่อก็ตาม นอกจากนี้ นางเยลเลนยังได้กล่าวว่าภายใต้บรรยากาศที่ตลาดหุ้นได้ถูกกองทุนที่ใช้ algorithm หรือการตั้งสูตรทางคณิตศาสตร์โดยใช้ AI ในการเทรดนั้น กฎ Volcker Rule ที่แยกบัญชีของแบงก์ที่มาจากเงินฝากและสินเชื่อออกจากบัญชีของแบงก์ที่ใช้เทรดหุ้น จะสามารถป้องกันไม่ให้แบงก์ต้องเสี่ยงกับความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ค้านกับนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ทั้งหมด มาถึงคำถามที่หลายคนอยากทราบคือ แล้วมีสัญญาณอะไรที่นางเยลเลนส่งถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปไหม ก่อนไปถึงตรงนั้น สำหรับงานสัมมนาแจ็คสันโฮว์เที่ยวนี้ จะเห็นว่าสุนทรพจน์ของเยลเลนมีเนื้อหาค้านกับสิ่งที่นายทรัมป์ทำอยู่อย่างชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเธอในตำแหน่งประธานเฟดกับงานประชุมนี้ ในมุมของนโยบายการเงินนั้น ถ้าท่านยังจำได้ การลงจากตำแหน่งของนายเบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟด ฝากชาวโลกไว้ด้วยการลดขนาด QE ในการประชุมเฟดแบบเป็นทางการครั้งสุดท้ายของนางเยลเลน ผมยังคิดว่าการลงจากตำแหน่งประธานเฟดของนางเยลเลน ก็จะฝากชาวโลกไว้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของเฟด รวมถึงการลดขนาดงบดุลมีโอกาสสูงขึ้นมากกว่าเดิมที่น่าจะเกิดขึ้นหลังเดือนกันยายนนี้ อาจกล่าวได้ว่า หลังการประชุม ค่อนข้างชัดว่าเฟดน่าจะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยและลดขนาดงบดุลออกไป 1-2 เดือนจากตารางเวลาที่ตลาดเคยคาดไว้ก่อนการประชุม ในขณะที่อีซีบีกลับส่งสัญญาณแบบลางๆเหมือนจะย้ำว่า หากนายดรากิจะลดขนาด QE ก็ไม่น่าจะแปลกใจ เพราะนายดรากิไม่พูดถึงความกังวลเรื่องค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นเลยในการประชุมครั้งนี้ https://www.trinitythaiacademy.com/2017 ... %E0%B8%B1/ เมื่อ: 2017-08-28T09:05:02+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามสองข้อครับ เกี่ยวกับ Tender offer และ การฝากหุ้นShort Belffet: 1. การทำ tender offer เพื่อเอาหุ้นออกจากตลาด ส่วนใหญ่แล้ว จะ tender ที่ราคาสูงหรือต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาตลาดในขณะนั้นครับ??? 2. การฝากหุ้นให้คนอื่น Short (SBL) ทำได้ที่ Broker ไหนบ้างครับ ผมหาที่ Broker Seamico ไม่มีน่ะครับ แสดงว่าไม่ใช่ทุก Broker ที่จะให้บริการนี้ใช่ไหมครับ (คำถามนี้เคยถามแล้ว รบกวนถามอีกครั้งนะครับ) ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ เมื่อ: 2006-10-26T01:27:55+00:00 VI Jr.: 1. การทำ tender offer เพื่อเอาหุ้นออกจากตลาด ส่วนใหญ่แล้ว จะ tender ที่ราคาสูงหรือต่ำกว่าหรือเท่ากับราคาตลาดในขณะนั้นครับ??? มักจะสูงกว่านะครับ ไม่งั้นคงไม่มีคนมาขายให้ 2. การฝากหุ้นให้คนอื่น Short (SBL) ทำได้ที่ Broker ไหนบ้างครับ ผมหาที่ Broker Seamico ไม่มีน่ะครับ แสดงว่าไม่ใช่ทุก Broker ที่จะให้บริการนี้ใช่ไหมครับ (คำถามนี้เคยถามแล้ว รบกวนถามอีกครั้งนะครับ) ที่ CNS มี SBL ครับ เมื่อ: 2006-10-30T12:53:14+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"จัดพอร์ตลงทุนส่งท้ายปีหนู... ต้อนรับปีวัว(กระทิง)" por_jai: พี่ขวดของพวกเราฝากประชาสัมพันธ์งาน เมื่อ: 2008-11-23T08:38:45+00:00 ลุงขวด: ขอบคุณครับ  คุณพอใจ.....วันนั้น  ถ้าใครไปก็คงได้เจอกัน ......ผมคงไปได้ประมาณ 10.30 น  ติดงานช่วงเช้านิดหน่อย......ใครว่าง หรือ สนใจ ก็ไปลงทะเบียน หรือ โทรศัพท์จองไปนะครับ .... เมื่อวานผมไป set in the city เห็น ดร.สุวรรณ พูด ไม่ใช่พูดแต่เรื่องให้ซื้อทองซื้อเพชร นะครับ ... ท่านพูดถึงตลาดโลก วิกฤตช่วงนี้เป็นอย่างไร เงินต่างชาติจะไปไหนในเอเซีย  ผมต้องยืนฟัง เพราะผู้ฟังเต็มไปหมดล้น hall 2 ที่จัด ในหัวข้อ "ทำอย่างไรให้รวย 10 ล้านใน 10 ปี" .....ดร.สุวรรณ ฉีกแนวการพูดไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ ใครอยากแนวคิดใหม่ก็ตามไปฟังฟรีในสัมมนา ดังกล่าว  :D  :D เมื่อ: 2008-11-23T08:55:59+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ประสบการณ์กับหุ้นตัวแรกในพอร์ตของท่าน นกขนโดก: ทั้งผู้มาใหม่และผู้มาเก่าไม่ทราบว่าท่านลืมหรือยังว่าหุ้นตัวไหนที่ท่านเก็บเข้าพอร์ตตัวแรก สำหรับหุ้นตัวแรกคือตัวแรกของกระดานหลัก ASIAN: ราคาประมาณ 43 บาทต่อหุ้น ซื้อได้หกเดือนเจอดีเลยเครื่องบินชน world trade ผลขาดทุน เมื่อ: 2010-08-14T09:30:42+00:00 ซุนเซ็ก: TOP : ถัวตั้งแต่ 57 จนถึง 39 เจอวิกฤตซับไพรม์และน้ำมันร่วงพอดี TOP รูดลงไปเหลือ 19 บาท ผล : ถือข้ามปีแล้วขายออกไปที่ 34 บาท, ขาดทุน 35% เมื่อ: 2010-08-14T09:45:15+00:00 yy: SAUCE ครับ ซื้อตอนก่อน XD ที่ 134 บาท พอปลายปีเกิดสรรพพราหมณ์ ราคาร่วงไปเหลือราวๆ 115 บาท ทนถือมาจนได้ปันผลรอบที่ 2 รวมปันผล 2 ครั้ง ได้มาราวๆ 16 บาท พอราคากลับมาถึงต้นทุนก็เลยขายไปที่ 135 บาท หลังจากนั้นอีกไม่นาน ราคาพุ่งขึ้นไปเป็น 200 กว่าๆ และเดี๋ยวนี้ก็ค้างอยู่ที่ราวๆ 180 บาท (ยังแอบติดตามดูราคาอยู่ ในฐานะรักครั้งแรก  :lol:  :lol: ) เมื่อ: 2010-08-14T12:57:45+00:00 conseto: Jasmine: ซื้อ 27.25 ขาย 28.75 ตอน ธ.ค.1999  ขายตอนหลัง Y2K ถือไม่กี่วัน ตอนนั้นบ้านเราก็ฮิตกระแสดอทคอมเหมือนกัน เมื่อ: 2010-08-14T13:04:28+00:00 TBJTBT: ซื้อตัวแรก SAMCO ครับ เพื่อความเป็นศิริมงคลกับ port เมื่อ: 2010-08-14T15:58:57+00:00 yodfah: ตัวแรก BBL จำได้ว่าขาดทุนนะ เยอะเลย แห่ะๆๆ เมื่อ: 2010-08-14T17:03:09+00:00 babypex: kbank พนักงานน่ารัก เหตุผลมีแค่นั้นจริงๆ  :D เมื่อ: 2010-08-14T17:27:43+00:00 murder_doll: CPF ซื้อที่ 9.10 เมื่อ: 2010-08-15T02:50:35+00:00 j21: DTAC ครับ ซื้อ 27  ขาย 26 ตอนนั้นมือใหม่มาก ๆ ลงนิดหน่อย ขายเลยครับ แหะ ๆ  :oops: เมื่อ: 2010-08-15T07:12:58+00:00 Warantact: ซื้อลากูน่า LRH 40 ยังไม่ยอมขาย เมื่อ: 2010-08-15T09:49:18+00:00 aviruth: Hana ครับ ซื้อขาย หลายรอบ ไม่เคยขาดทุน แต่เคยถือนานสุดสองปี เพราะหุ้นตกและ ไม่ขาย และถัวเพิ่มตลอด ไม่กลัวเพราะ บริษัทเงินสดเยอะมาก มาได้กำไรปีที่แล้วเยอะหน่อย เมื่อ: 2010-08-16T09:01:02+00:00 wansomwang: AIT รักแรกครับ เก็บมาตั้งแต่ 18 บาท อยู่นานเพราะปันผลโดนใจครับ เมื่อ: 2010-08-18T08:44:44+00:00 plug_vi: CPF 19 บาทกว่าๆ เพิ่งเริ่มครับ เมื่อ: 2010-08-18T09:58:58+00:00 mulcomp: SPALI  7.4  ครับ เมื่อ: 2010-08-18T10:00:03+00:00 K o S o L: หุ้นชื่อไรจำไม่ได้แล้ว คุ้นๆ ว่า D_ จำได้ว่าที่เลือกเพราะเห็น ticker มันวิ่งกระจาย แถมยังบวกเยอะอีกต่างหาก สุดท้าย ก็ขายหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง และขาดทุนตามระเบียบ  :lol:  :lol: เมื่อ: 2010-08-18T10:10:30+00:00 Kobe: ซื้อตัวแรก CK ครับ แต่จำไม่ได้เหมือนกันว่าราคาเท่าไหร่ขายไปได้กำไรนิดหน่อย เมื่อ: 2010-08-19T07:02:30+00:00 kawee019: AMATA ซื้อครั้งแรก 6/52 เมื่อ: 2010-08-19T10:44:25+00:00 neangs: TK 4 บาท ยังไม่ได้ขายค่ะ เมื่อ: 2010-08-19T14:24:46+00:00 picklife: AOTครับซื้อ17ขาย44 เพราะตอนนั้นศกตกมากๆๆๆ เข้ามาก็กะเล่นPTTเพราะรูสึกว่ากระทรวงการคลังถือนยังไงก็ปลอดภัยและมันลงมาเยอะก็ต้องกลับขึ้นไปเยอะ แต่พอดูไปดูมามาเจอAOT ลงมาเยอะกว่าPTTมากๆๆ จึงคิดว่าน่าจะลงเพราะศก+ปิดสนามบิน ดังนั้นก็ควรจะกลับไปมากๆเช่นกัน ก็เลยเล่นกับPBVครับดูย้อนหลังประมาณ1.18ตลอดหลายๆปี มาปีล่าสุด0.34เอง ดังนั้นคิดว่าถือซัก1-2ปีพอศก.กลับมา ต้องได้กำไร247% แต่ที่ขายก่อนเพราะเจอตัวที่ดีกว่า..... สุดท้ายวิธีพาพอร์ทเน่า เพราะเจอTRUE CCET PLE 3เทพที่อดีตPBVสูงๆทั้งนั้น มองแต่อดีตไม่ดูอนาคตก็เลย.... เมื่อ: 2010-08-19T14:45:20+00:00 Quartz: IHL ครับซื้อ 7.00 เอาปันผล 0.7 เมื่อเดือนเมษา 53 ยังถือจนปัจจุบัน เมื่อ: 2010-08-20T06:25:03+00:00 นพพร: PTT เท่าไหร่ไม่รู้จำไม่ได้ประมาณสองร้อยนิดๆ เมื่อ: 2010-08-20T07:31:34+00:00 banana999: KTC ซื้อมา 9.85 ราวๆเดือน พค53 นี้เอง ขายไป 11 กว่าๆ เมื่อ: 2010-08-22T05:31:15+00:00 begin again: ยังไม่มีเลยค่ะ หนูกำลังหาอยู่อีกอย่างอายุไม่ถึงด้วยค่ะถ้ายังไงถ้าอายุแล้วเดี๋ยวมาบอกนะคะ  :D เมื่อ: 2010-08-22T06:33:58+00:00 verapongzz: ป้าศุ 6บาทกว่า ถือได้2เดือน บวกนิดหน่อย ตกใจขายทิ้งเลย เมื่อ: 2010-08-22T06:42:29+00:00 Croyoty: [quote="atomic14"]ยังไม่มีเลยค่ะ หนูกำลังหาอยู่อีกอย่างอายุไม่ถึงด้วยค่ะถ้ายังไงถ้าอายุแล้วเดี๋ยวมาบอกนะคะ เมื่อ: 2010-08-22T07:08:09+00:00 นกขนโดก: [quote="croyoty"][quote="atomic14"]ยังไม่มีเลยค่ะ หนูกำลังหาอยู่อีกอย่างอายุไม่ถึงด้วยค่ะถ้ายังไงถ้าอายุแล้วเดี๋ยวมาบอกนะคะ เมื่อ: 2010-08-22T08:08:33+00:00 cherokee: psl = 19.8 ครับซื้อเพิ่มเรื่อยๆเหลือทุน 18.6 ขายขาดทุนค่า คอม และได้ปันผลสองรอบครับ เมื่อ: 2010-08-22T10:54:07+00:00 begin again: [quote="นกขนโดก"][quote="croyoty"][quote="atomic14"]ยังไม่มีเลยค่ะ หนูกำลังหาอยู่อีกอย่างอายุไม่ถึงด้วยค่ะถ้ายังไงถ้าอายุแล้วเดี๋ยวมาบอกนะคะ เมื่อ: 2010-08-22T12:14:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มี Gmail กันหรือยังครับ ปุย: G-mail บริการ webmail จาก google ให้เนื้อที่เก็บ 1000 MB พร้อมระบบ search อันโด่งดัง ส่ง attached file ได้ 6-10 MB วิธีสมัคร สมัครโดยตรงไม่ได้ ต้องให้คนที่มี account ส่ง mail invite ไป คล้ายๆ ระบบบอกต่อเพื่อน ผมมีอยู่ 4 invitations หลังจากสมัครแล้ว คุณก็จะสามารถ invite เพื่อนได้อีก 4 คน ผมลองใช้แล้ว ชอบใจมาก ทั้ง หน้าตา และ ความเร็ว ผมว่า ในปีหน้า ต้องแซง hotmail และ yahoo ขึ้นแท่นอันดับ 1 แน่ ใครอยากลองใช้ดู ผมจะส่ง invitation ไปให้ครับ เมื่อ: 2004-12-28T13:58:08+00:00 ปุย: คุณ ba_2l บอก e-mail ที่จะให้ invite ไปด้วยครับ เมื่อ: 2004-12-28T14:03:29+00:00 CK: ผมว่า ในปีหน้า ต้องแซง hotmail และ yahoo ขึ้นแท่นอันดับ 1 แน่ เห็นด้วยครับว่า เร็ว ใช้ง่าย และหน้าตาน่ารัก แต่ไม่เห็นด้วยครับ ว่าจะแซง hotmail หรือ yahoo ได้ พฤติกรรมคนใช้ เปลี่ยนยากครับ ชื่อ email ที่ใช้ประจำ เปลี่ยนยากกว่า Gmail ยังมี bug อยู่บ้าง ถ้าใช้งานมากๆ และการส่งภาษาไทยกับ hotmail และตัวอื่นๆ บางทีก็ยังมีปัญหาครับ แต่ผมก็ใช้มากกว่า yahoo แล้วนะครับ ตอนนี้รอ JavaScript version ของ Yahoo ซึงไป take over OddPost มาครับ เห็นคนเคยใช้บอกว่าดีกว่า ของ Gmail อีก (ออกมาก่อนด้วย) เมื่อ: 2004-12-28T14:18:48+00:00 ปุย: invite แล้วครับ เหลือ 3 เมื่อ: 2004-12-28T14:19:25+00:00 Dr.T: [email protected] ครับ เมื่อ: 2004-12-28T14:23:43+00:00 ปุย: ผมชอบ feature อันที่ grouping ข้อความที่โต้ตอบกัน มาอยู่กลุ่มเดียวกันอะครับ คล้ายๆกับกระทู้ เหมาะสำหรับ เวลาคุย topic ในกลุ่มเพื่อน แล้วแต่ละคน reply กลับมา มันก็จับมาเป็นแถวเดียว ทำให้ mail ไม่รกตาดีครับ อีกอย่าง ไม่มีปุ่ม delete mail โดยตรง มีแต่ปุ่ม Archiving (ถ้าจะลบ ต้องใช้ move to trash) >> Invite Dr.T แล้วนะครับ เมื่อ: 2004-12-28T14:29:20+00:00 Stock Broker: ขอลองบ้างสิครับ [email protected] เมื่อ: 2004-12-28T14:40:38+00:00 ปุย: ได้เลยครับ เหลือ invite สุดท้าย เมื่อ: 2004-12-28T14:42:39+00:00 nuayza: งั้นที่เหลืออันสุดท้ายของผมแล้วกัน [email protected] ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-12-28T14:54:56+00:00 CK: ผมชอบ feature อันที่ grouping ข้อความที่โต้ตอบกัน มาอยู่กลุ่มเดียวกันอะครับ conversation ครับ แจ๋วมาก feature นี้ ถ้าใครต้องการอีก แค่มาลงชื่อก็พอครับ เดี๋ยวผมจะส่งไปที่ email ที่ลงทะเบียนไว้ ผมมีบัตรเชิญอีก 6 เมื่อ: 2004-12-28T15:06:59+00:00 ปุย: คุณ nuayza เดี๋ยว invite ให้ครับ ตอนนี้แปลกแฮะ เข้า web gmail ไม่ได้ เมื่อ: 2004-12-28T15:11:17+00:00 CK: ผมใช้ได้ปกตินี่ครับ เมื่อ: 2004-12-28T15:18:18+00:00 nuayza: เมื่อ: 2004-12-28T15:33:27+00:00 Dr.T: create account แล้วครับ ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2004-12-28T16:01:34+00:00 Stock Broker: Bangkok เขียน:ได้เลยครับ เหลือ invite สุดท้าย ขอบคุณมากครับ เมื่อ: 2004-12-28T16:14:09+00:00 enokwan: เย้..มาลงชื่อกับพี่ซีเคด้วยคนค่ะ 8) [email protected] ฟังดูดีอยากลองใช้ดูมั่งอ่ะค่ะ ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ มันคือที่ๆเราจะสามารถเก็บเมลล์ได้เยอะกว่าปกติ ( ตั้ง 1000 MB แน่ะ! ) ใช่มั้ยคะพี่? เมื่อ: 2004-12-28T16:16:00+00:00 Stock Broker: ผมลองใช้แล้ว ภาษาไทยยังมีปัญหาอยู่บ้างครับ ไม่ทราบมีวิธี setting มั้ยครับ อยากให้เนียนแบบ yahoo, hotmail เมื่อ: 2004-12-28T16:21:38+00:00 nuayza: สงสัยฉันมันคงไม่มีสิทธิ์ ร้องเพลงปนร้องไห้ เพราะอยากรู้ว่าเป็นงัยบ้าง แล้วอย่าลืมผมล่ะ เมื่อ: 2004-12-28T16:23:07+00:00 ปุย: ขอโทษคุณ nuayza จริงๆ ครับ ไม่รู้คอมผมเป็นอะไร แปลกมาก เข้า gmail ไม่ได้อยู่เวปเดียว ทั้ง 3 Browser (IE, Avant, Firefox) ไม่รู้โดนไวรัสเล่นงานหรือเปล่า พอผม restart เครื่อง เปิด norton ก็ไม่ได้ ขอเวลาแก้ปัญหาคืนนี้ อย่างช้า พรุ่งนี้เช้าครับจะไป invite ที่ทำงาน เมื่อ: 2004-12-28T17:24:22+00:00 champ: ยังทันเปล่าครับ พี่ CK [email protected] เมื่อ: 2004-12-28T23:17:58+00:00 ครรชิต ไพศาล: ผมลองบ้าง สิ ใครก็ได้ช่วยส่งเทียบเชิญ ให้ผมด้วย :lol: [email protected] เมื่อ: 2004-12-28T23:58:52+00:00 Muffin: คุณครรชิต ผมส่งให้แล้วนะครับ ยังพอมีเหลือใครยังไม่ได้ ก็ทิ้ง e-mail ไว้แล้วกันนะครับ เมื่อ: 2004-12-29T00:35:34+00:00 Muffin: invite คุณ champ กับคุณ enokwan แล้วเช่นกันครับ เมื่อ: 2004-12-29T00:40:46+00:00 NanBKK: ใครที่ยังมีเหลือ รบกวนขอ invitation ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ [email protected] เมื่อ: 2004-12-29T00:59:48+00:00 stockms: โหลูกค้าคนไทยเพียบเลย ยังกะเมล์ลูกโซ่แน๊ะ เมื่อ: 2004-12-29T01:15:20+00:00 champ: [quote="Muffin"]invite คุณ champ กับคุณ enokwan แล้วเช่นกันครับ[/quote] ขอบคุณมากครับ ได้รับแล้วครับ เดี๋ยวจะเข้าไปรีจิสครับ เมื่อ: 2004-12-29T01:18:35+00:00 CK: อ้าว เพิ่งเห็นคุณ Muffin post ครับ เลยส่งซ้ำให้คุณ enokwan พี่ครรชิต กับคุณ champ และส่งให้คุณ NanBKK ด้วยแล้วนะครับ เมื่อ: 2004-12-29T01:35:36+00:00 โป้ง: ท่านผู้มีจิตเมตตา ขอ invite ให้ผมด้วยครับ [email protected] เมื่อ: 2004-12-29T01:38:24+00:00 CK: ส่งให้คุณ nuayza อีกอันแล้วนะครับ สำหรับคนที่ได้ซ้ำ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้สอง account ก็ cancel ไปนะครับ เผื่อมีคนอื่นอยากได้อีก ใครมี invitation เหลือก็มาโพสต์บอกก็ได้นะครับ เมื่อ: 2004-12-29T01:46:56+00:00 champ: [quote="CK"]ส่งให้คุณ nuayza อีกอันแล้วนะครับ สำหรับคนที่ได้ซ้ำ ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้สอง account ก็ cancel ไปนะครับ เผื่อมีคนอื่นอยากได้อีก ใครมี invitation เหลือก็มาโพสต์บอกก็ได้นะครับ :)[/quote] ผมสมัครเสร็จแล้วครับ พี่ CK แล้วต้องทำยังไงครับถึงจะเอาแจกคนอื่นได้บ้างครับ เมื่อ: 2004-12-29T02:09:56+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สุข แบบ VI สบาย แบบ 3 แวลูอินเวสเตอร์ << New >>: เปิดใจ 3 แวลูอินเวสเตอร์เล่นหุ้นอย่างไรให้ 'สุข+รวย' ยึดหลักการ 'ง่ายๆ-พอเพียง-มีเหตุผล' รับทั้งกำไรได้ทั้งความสุขแบบทูอินวัน เป็นนักลงทุนมายาวนานและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Thaivi.com แต่ด้วยหน้าที่การงาน ทำให้ ธันวา เลาหศิริวงศ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย  เพิ่งมีโอกาสบอกเล่าประสบการณ์ลงทุนเป็นครั้งแรก เจ้าตัวเน้นย้ำก่อนว่าเป็นการลงทุนส่วนตัวเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำที่ทำอยู่ จุดเริ่มต้นในกระดานหุ้น ธันวาเล่าว่าหลังเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและมีเงินเก็บพอสมควร จึงเริ่มลงทุนหุ้นตามคำชักชวนของคนรู้จัก สมัยนั้นยังใช้ระบบ เคาะกระดาน ผ่านบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เกียรตินาคิน อยู่ตึกอมรินทร์ทาวเวอร์ ผมลงทุนตามอารมณ์สิบกว่าปีกำไรได้นิดเดียว แต่ขาดทุนเยอะล้างพอร์ตแล้วสองสามครั้ง ผ่านวิกฤติตั้งแต่อิรักบุกคูเวต จนถึงลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 เจ็บตัวมาตลอดทาง จุดเปลี่ยนในชีวิตนักลงทุนของธันวา เกิดขึ้นเมื่อต้องเดินทางไปประเทศสิงคโปร์มีโอกาสอ่านหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ และ ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ถึงเริ่มเดินเข้าสู่วิถีนักลงทุนหุ้นคุณค่า ช่วงแรกๆ ผมเลือกลงทุนหุ้นปันผลเป็นหลัก ต่อมาก็พัฒนาเริ่มดูภาพเศรษฐกิจใหญ่ประกอบเน้นธุรกิจที่จับต้องได้และสามารถประเมินผลประกอบการข้างหน้าได้ พอร์ตลงทุนในปัจจุบัน มีหุ้นอยู่ 5 ตัว เป็นกลุ่มโมเดิร์นเทรด 2 ตัว โรงพยาบาล และอาหาร ส่วนตัวจะเลือกหุ้นที่อิงกับ "ปัจจัยสี่" แต่ให้น้ำหนักกับหุ้นที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าและที่อยู่อาศัยน้อยกว่าอาหารและยา ที่สำคัญต้องเป็นผู้นำในธุรกิจและมีธรรมาภิบาลระดับสูงด้วย ธันวา อธิบายว่าข้อดีของหุ้นโรงพยาบาล คือ ลูกค้าแทบจะไม่มีอำนาจต่อรองราคาได้เลย ผลประกอบการก็ดีปันผลสูง แต่บางตัวก็ติดกับดักสภาพคล่อง โอกาสขายออกมีน้อย โครงสร้างผู้ถือหุ้นก็สำคัญ ธันวาเลือกที่จะลงทุนบริษัทที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นผู้บริหารด้วย เพราะจากประสบการณ์ผู้บริหารที่ไม่มีหุ้นจะให้ความสำคัญกับกิจการน้อยกว่าคนที่มีหุ้นในมือ ด้วยภารกิจในงานประจำที่เร่งรัด จึงต้องลงทุนหุ้นไม่กี่ตัว ปกติจะถืออยู่ที่ 5 ตัว แต่ก็ติดตามผลการดำเนินงานต่อเนื่องถ้ามีเวลาก็จะไป Company Visit ทุกไตรมาส นอกจากนี้ผมยังลงกองทุนหุ้นไว้ 3 กองเพราะผมคิดว่าผลตอบแทนยังไงก็ดีกว่าไปลงทุนแบบอื่นแน่นอน ธันวา เล่าให้ฟังอีกว่า ทุกวันนี้พอใจกับชีวิตการเป็นแวลูอินเวสเตอร์ มีกลุ่มนักลงทุนที่มีแนวคิดเหมือนกับเป็นเพื่อนพูดคุย เมื่อมีการจัดกิจกรรมของชมรมก็จะมาแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่ทุกครั้ง ส่วนการลงทุนครั้งใหญ่ของชีวิต เร็วๆ นี้ กำลังเตรียมสร้างบ้าน "หลังที่สอง" รวมถึงวางแผนการศึกษาให้บุตรสาว "สองคน" สร้างสมดุลระหว่าง "สุขใจ" และ "สบายกระเป๋า" ได้อย่างลงตัว ด้าน พรชัย รัตนนนทชัยสุข คนไทยเพียงคนเดียวที่คลั่งไคล้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงขนาดดั้นด้นไปซื้อหุ้น  "เบิร์คไชร์ ฮาธะเวย์" (Berkshire Hathaway) เพื่อหวังไปพบตัวจริงเสียงจริงของ "บัฟเฟตต์" ในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีถึงเมืองโอมาฮา สหรัฐอเมริกา พรชัย เป็นผู้แปลและเรียบเรียงหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์, เบนจามิน เกรแฮม, ปีเตอร์ ลินช์ รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหลายเล่ม เขาจบปริญญาตรีด้านเภสัชกรเมื่อปี 2537 เริ่มทำงานครั้งแรกในบริษัทยาแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ (MBA) และได้เข้าทำงานที่ธนาคารซิตี้แบงก์ ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต พรชัย เริ่มต้นชีวิตนักลงทุนเมื่อประมาณปี 2535-2537 ซึ่งตลาดหุ้นบูมมาก แต่ก็เล่นแบบเก็งกำไรและไม่ประสบความสำเร็จ "แรกๆ ผมเลือกหุ้นโดยกางบทวิเคราะห์โบรกเกอร์ว่าเขาเชียร์หุ้นตัวไหนบ้าง  แต่แล้วก็ขาดทุน  เพราะเราไม่ได้ดูเลยว่า ราคาหุ้น ค่าพี/อี ค่าพี/บี ผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร พอซื้อเข้าไปจึงขาดทุน ช่วงที่เข้าไปดัชนี 1,000 จุดต้นๆ หลังจากนั้นมันตกลงมาต่ำสุด 207 จุด ผมรู้สึกเลยว่าการเชื่อผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่วิธีที่ทำกำไรได้" จากประสบการณ์ครั้งนั้นเขาจำได้ว่า ซื้อหุ้นไว้ที่ดัชนี 1,300 จุด ตกลงมาเหลือ 200 จุด แต่หุ้น SE-ED ราคากลับขึ้นจาก 28 บาท ไป 36 บาท เริ่มเห็นว่ามันมีหุ้นบางตัวที่เอาชนะตลาดได้ จากนั้นมาก็เป็นแวลูอินเวสเตอร์เต็มตัว โดยวิธีการลงทุนจะค้นหาหุ้นที่ราคาตลาดถูกกว่ามูลค่ากิจการที่คำนวณได้ และต้องเป็นธุรกิจที่คาดการณ์รายได้ในอนาคตได้ ไม่ผันผวน มีจุดแข็งในธุรกิจ และมองเห็นคู่แข่งว่าเป็นใคร "หุ้นพวกอิเล็กทรอนิกส์  ปิโตรเคมี งานประมูล พวกนี้ไม่แน่นอนคาดเดาไม่ได้เลย หุ้นพวกนี้ต้องหลีกเลี่ยง" พอร์ตส่วนตัวตอนนี้พรชัยเปิดเผยว่า มีหุ้นไทยแค่ 2 ตัวเท่านั้น ตอนนี้เน้นถือเงินสดเพราะมองว่าราคาหุ้นขึ้นมาเยอะมากแล้ว แต่เริ่มนำเงินไปลงทุนที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นการลงทุนตรง ปัจจุบันมีอยู่ 8 ตัว โดยให้เหตุผลว่าต้องมีเยอะกระจายความเสี่ยงเพราะข้อมูลน้อยกว่าเมืองไทย "ผมแบ่งสัดส่วนพอร์ตถือเงินสด 20% หุ้นที่สหรัฐฯ 10% ที่เหลือเป็นหุ้นไทยสองตัว 60-70% ถ้าผมลงทุนหุ้นกระจุกเพียงไม่กี่ตัว แปลว่า ผมมั่นใจในตลาดหุ้นมากๆ แต่ถ้าซื้อหลายตัว แปลว่า ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง" ช่วงเวลาที่ขายหุ้น ปกติจะถือหุ้นไว้จนกว่าราคาจะขึ้นมาใกล้เคียงกับมูลค่าที่คำนวณไว้ หรือไปเจอหุ้นตัวอื่นที่มีมูลค่าถูกกว่าก็จะสลับตัวเล่น แต่บางครั้งถ้ารู้ว่าเลือกผิดตัวก็จะตัดใจขายไปเลย สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นลงมาแรงๆ อย่างช่วงปลายปี 2551 พรชัยบอกว่า หุ้นในพอร์ตไม่ได้ตกลงไปมาก แต่ถือโอกาสขายตัวที่แพงออกไปแล้วไปซื้อตัวอื่นที่ถูกกว่า เพื่อให้หุ้นในพอร์ต Under Value ตลอดเวลา แนวทางของผมก็คือ เราซื้อหุ้นในตลาดไม่ใช่ซื้อตลาดหุ้น ส่วนใหญ่ผมไม่ได้จำต้นทุนหรอก กำไรก็ไม่ได้จำ ถือว่าการลงทุน คือ ความสุขของชีวิต ทุกวันนี้การลงทุนหลักๆ ยังคงเป็นการลงทุนในหุ้น แต่ก็มีแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุนหุ้นเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยัง "ลงทุนความรู้"  โดยบินไปอบรมด้านการลงทุนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและโคลัมเบีย รวมถึงให้ความสำคัญกับครอบครัวด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นการลงทุนเหมือนกันก็คือ การบินไปประชุมผู้ถือหุ้น เบิร์คไชร์ ฮาธะเวย์ ที่เมืองโอมาฮา สหรัฐอเมริกา พยายามทำให้ได้ทุกปี เจ้าตัวเผยว่าเป็น "ความสุข" ที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เพราะได้กระทบไหล่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตัวเป็นๆ ทางด้านแวลูอินเวสเตอร์หมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ยอมรับในสังขารตอนนี้ แก่ลง คำนวณอะไรเยอะๆ ไม่ไหว วิธีเลือกหุ้นที่จะลงทุนจะดูบริษัทที่ทำงานเหมือน พนักงานเก็บเงิน มีความแน่นอนสูงและมีแนวโน้มที่จะเก็บเงินได้ต่อเนื่องในอนาคต บริษัทต้องไม่ลงทุนมาก แต่รับเงินเรื่อยๆ เราแค่มองดูว่า อนาคตผู้คนยังเลือกที่จะเดินทางไปให้เก็บเงินอีกหรือไม่ แต่ไม่ใช่หุ้นทางด่วนนะบอกก่อน เจ้าตัวว่า ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์นิเวศน์ หมายถึงหุ้น CPALL ที่มีติดพอร์ต 22.50 ล้านหุ้น มูลค่าเกือบ 480 ล้านบาท อาจารย์นิเวศน์ บอกว่า ตอนนี้มีหุ้นในพอร์ต "สิบตัว" (อาทิ CPALL, IT, HMPRO, IRC, APRINT) ลงทุนหนักๆ อยู่ 6-7 ตัว ส่วนใหญ่ซื้อแล้วไม่คิดจะขาย ถือยาวตั้งแต่ห้าปีเป็นต้นไป บางตัวสิบกว่าปีแล้วก็ไม่ขาย ถ้าจะขายก็คือไปเจอหุ้นตัวอื่นที่มูลค่าลดลงมาแล้ว เปลี่ยนตัวเล่น เท่านั้นเอง ส่วนการลงทุนอื่นๆ ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาของลูกสาวที่เตรียมบินไปเรียนต่อต่างประเทศเร็วๆ นี้ สุขใจ-สบายกระเป๋า หลักการของสามแวลูอินเวสเตอร์ "ง่ายๆ-พอเพียง-มีเหตุผล" รับทั้งกำไรได้ทั้งความสุขแบบทูอินวัน http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... เตอร์.html เมื่อ: 2009-12-14T13:34:16+00:00 PaZZaHut: ผมว่าการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด  ก็คือการศึกษาอ่ะครับ กำไรเห็นๆๆ อิอิ    :D  :D ปล. ขอบคุณสำหรับบทความครับ เมื่อ: 2009-12-14T22:25:13+00:00 naris: ขอคารวะอาจารย์ทั้งสามของผมครับ เมื่อ: 2009-12-15T02:35:38+00:00 Linzhi: naris เขียน:ขอคารวะอาจารย์ทั้งสามของผมครับ ทั้งสามท่านมีคุณูปการกับการลงทุนแบบ VI ในประเทศไทยมากครับ คารวะด้วยคนครับ   เมื่อ: 2009-12-15T02:55:11+00:00 benjamin: ขอชื่นชมและขอบคุณทั้งสามท่านด้วยใจจริงครับ เมื่อ: 2009-12-16T08:31:48+00:00 เด็กใหม่ไฟแรง: ดูเนื้อหาเต็ม วันเสาร์-อาทิตย์นี้และเสาร์อาทิตย์หน้าครับ ใน "วิถีชีวิตวิธีลงทุนแบบวีไอ"  2 ตอน วันเสาร์        Nation Channel 16 น.                   TrueVisions8     22 น  และวันพุธ 20 น. วันอาทิตย์    Money Channel 22 น. เมื่อ: 2009-12-16T08:35:59+00:00 Jazzman: นับถือคร้าบอาจารย์ อ่านตีแตก มาหลายรอบและ ทุกครั้ง ที่พบความผิดพลาด จะเก็บไปทบทวน แล้ว เอา ตีแตกมาอ่านใหม่... มันก็ทำให้เราคิดว่า เออ ทำไม ตอนอ่านรอบที่แล้วมอง ไม่เห็น เนี่ย.. จริงๆๆ อยาก ฉีกออกม่าแล้วผสมน้ำดื่มลง ท้อง เลยคับ เผื่อ จะเข้าใจได้ทุกตัวอักษร  จริงๆ :lol: เมื่อ: 2009-12-16T10:42:17+00:00 dome@perth: เข้ามา ทำความเคารพครับ อาจารย์ เมื่อ: 2009-12-16T10:55:37+00:00 ArtTheOracle: ขอบคุณสำหรับบทความครับ เมื่อ: 2009-12-19T14:04:34+00:00 winzer: ขอคารวะ ท่านทั้ง 3 ครับ  :D  :D เมื่อ: 2009-12-20T08:08:08+00:00 tearborkea: จะนำแนวคิดของท่าน ๆ ไปปรับใช้กับตัวเองครับผม ^^" มีประโยชน์มากเลยครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-03-14T04:41:01+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ราคาแถว45$ ยังมีใครได้ประโยชน์ hot: CLU04 [30] Light Crude Oil Sep '04 07:24:02 45.01 0.21 44.77 45.03 44.55 เมื่อ: 2004-08-12T11:55:09+00:00 hot: มาม่า โรงพยาบาล ยา ตะกั่ว เชือก โลงศพ เมื่อ: 2004-08-12T13:14:16+00:00 อ-ริน: Light Crude (NYM) September 04 ($US per bbl.) 8/12 10:23 45.10 45.35/45.00 45.30 ... 0.50 164,434 มันมาแล้ว ทะลุ45จิงๆ เมื่อ: 2004-08-12T15:08:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"เส้นทางสีขาว" ของบัฟเฟตต์ จาก "นักลงทุน" สู่ "นักบุญของโลก" artvirus: เรื่องราวชีวิตของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พวกเราชาว VI คงรู้กันดีอยู่แล้วนะครับ ผมเองก็ได้แปลหนังสือเกี่ยวกับบัฟเฟตต์มาแล้วหลายเล่ม ในที่นี้จึงขอเอาบทคัดย่อประวัติชีวิตของปู่บัฟฟ์ที่ตัวเองเขียนไว้มาให้ได้อ่านกัน เอาแบบกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ อ่านง่ายๆ จะได้เข้าใจว่า กว่า "สุดยอดนักลงทุน" จะมาเป็น "นักบุญของโลก" ได้ เขาต้องสร้างตัวเองขึ้นมาจาก "เส้นทางสีขาว" เท่านั้น ... ครับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (1951-ปัจจุบัน) “เทพเจ้าแห่งโอมาฮา” เขียนโดย ชัชวนันท์ สันธิเดช วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา เขาได้รับการจัดอันดับเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลกโดยนิตยสารฟอร์บส์เมื่อปี 2008 และเป็นอันดับที่ 3 ในปี 2010 ในบรรดามหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก บัฟเฟตต์เป็นคนเดียวที่เป็น “นักลงทุนมืออาชีพ” คือลงทุนอย่างเดียว ไม่ได้ทำธุรกิจอื่นใด ความสำเร็จของบัฟเฟตต์ ทำให้โลกได้รู้จักกับแนวทาง “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” และทำให้ตัวเขากลายเป็นไอดอลของนักลงทุนแบบเน้นปัจจัยพื้นฐานทั่วโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา เป็นลูกชายของโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ นักธุรกิจและ ส.ส.พรรครีพับลิกันหลายสมัย เขามีสายเลือดของผู้ประกอบการและความเป็นนักลงทุนมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย สมัยเด็ก บัฟเฟตต์รู้จักหาเงินด้วยสมองอันปราดเปรื่อง เขาซื้อโค้กมาหนึ่งแพ็ค 6 ขวด ราคา 25 เซนต์ แล้วเอาไปเร่ขายปลีกในราคาขวดละ 5 เซนต์ ได้กำไรแพ็คละ 5 เซนต์ และเคยเก็บลูกกอล์ฟที่หลงอยู่ในสนามไดรฟ์เอาไปขาย หาค่าขนมได้เป็นกอบเป็นกำ พอเข้าสู่วัยรุ่น พ่อของเขาได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. วอร์เรนจึงย้ายตามพ่อไปอยู่ที่วอชิงตัน แต่ก็ยังมุ่งมั่นหาเงินต่อไป เขาหาลำไพ่ด้วยการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ โดยบุกเบิกเส้นทางส่งหนังสือพิมพ์ใหม่ๆ หลายสาย และเริ่มสร้างสัมพันธ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ตั้งแต่ตอนนั้น เขาเคยซื้อเครื่องพินบอลมือสองราคา 25 เหรียญไปตั้งในร้านตัดผม และทำเงินได้ถึง 50 เหรียญต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้ผู้เป็นบิดาทึ่งในพรสวรรค์ในการหาเงินของลูกชาย พอจบมัธยมฯ บัฟเฟตต์ได้สมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาเวิร์ดแต่ไม่ผ่านการสัมภาษณ์ ทว่านั่นกลับเป็นโชคดี เพราะทำให้เขาตัดสินใจไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เพื่อที่จะได้เรียนกับ เบนจามิน เกรแฮม ปรมาจารย์การลงทุน ผู้เขียนหนังสือ The Intelligent Investor ซึ่งเขาเคยอ่านและประทับใจมาก พอเรียนจบ บัฟเฟตต์ถึงกับเสนอตัวที่จะทำงานให้กับเกรแฮมฟรีๆ โดยไม่รับเงินเดือน แต่เกรแฮมปฏิเสธข้อเสนอนี้ บัฟเฟตต์จึงไปทำงานกับบริษัทของพ่อของเขา แต่แล้ว อีกสามปีต่อมา เกรแฮมก็ชวนเขาไปทำงานในตำแหน่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บัฟเฟตต์จึงได้ทำงานกับอาจารย์ผู้เป็นที่เคารพรักสมใจ เขาร่วมงานกับเจ้าของฉายา “คณบดีแห่งวอลล์สตรีท” อยู่สองปีเต็ม โดยเรียนรู้แนวทางของเกรแฮมจนหมดไส้หมดพุง ครั้นเกรแฮมเกษียณตัวเอง บัฟเฟตต์จึงกลับไปที่โอมาฮา และเริ่มต้นธุรกิจการลงทุนของเขา ด้วยความรู้ที่ได้ซึมซับจากอาจารย์มาอย่างเต็มเปี่ยม บัฟเฟตต์รวบรวมเงินทุนจากญาติๆ ได้ 1 ล้านดอลล่าร์ แล้วก่อตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน “บัฟเฟตต์ แอสโซซิเอทส์” (Buffett Associates Ltd.,) ซึ่งต่อมากลายเป็น “บัฟเฟตต์ พาร์ทเนอร์ชิพ” (Buffett Partnership Ltd.,) โดยทำผลตอบแทนได้อย่างน่าอัศจรรย์ และทวีมูลค่าสินทรัพย์จนมีค่ามากกว่า 100 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ตัวบัฟเฟตต์เองก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐี ความสำเร็จของบัฟเฟตต์ เกิดจากการลงทุนในสุดยอดบริษัทอย่าง เกโค, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส วอชิงตัน โพสต์ ฯลฯ ในเวลาที่ใครๆ พากันมองข้าม รวมทั้งบริษัทนอกตลาดอย่าง ซีส์ แคนดี้, บัฟฟาโล่ นิวส์ ฯลฯ แต่แล้วในปี 1969 เขาตัดสินใจที่จะยุบเลิกห้างหุ้นส่วน เพราะภาวะตลาดกระทิงในขณะนั้นทำให้ไม่สามารถหาหุ้นที่น่าลงทุนได้อีกแล้ว ครั้นถึงปี 1973 ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง หรือ “The Great Depression” บัฟเฟตต์ซึ่งคอยอยู่นานได้เข้าไปเก็บหุ้นของหลายบริษัท รวมทั้งบริษัทสิ่งทอ เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ซื้อหุ้นไว้พอสมควร แต่แล้วกลับพบว่าเบิร์คไชร์ประสบปัญหาในการแข่งขัน เนื่องจากอุตสาหกรรมสิ่งทอในอเมริกาอยู่ในภาวะขาลง ไม่สามารถต่อกรกับคู่แข่งต่างชาติซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าได้ ปัญหาจากกรณีเบิร์คไชร์ ทำให้บัฟเฟตต์เริ่มคิดใหม่ทำใหม่ จากเดิมที่เคยยึดมั่นลงทุนด้วยหลักของเบนจามิน เกรแฮม อย่างเคร่งครัด เขาเริ่มรู้สึกว่านั่นอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสียแล้ว !! พอถึงปี 1978 บัฟเฟตต์ได้ชักชวน “ชาร์ลี มังเจอร์” นักกฎหมายและนักลงทุนสมองเพชรซึ่งสนิทสนมกันมารับตำแหน่งรองประธานฯ ของเบิร์คไชร์ ซึ่งในเวลานั้นได้ถูกบัฟเฟตต์ทำให้กลายเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ เป็นกลไกในการเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ ชาร์ลี มังเจอร์ ได้ทำให้บัฟเฟตต์ก้าวออกจากเงาของเกรแฮมได้อย่างสมบูรณ์ และกล้าที่จะลงทุนโดยเน้นที่ “คุณภาพของกิจการ” มากขึ้น แทนที่จะมุ่งแต่ “ตัวเลขเชิงปริมาณ” อย่างเดียว เบิร์คไชร์ภายใต้การกุมบังเหียนของบัฟเฟตต์และมังเจอร์ได้เข้าลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยมมากมาย อาทิ โคคาโคล่า, ดิสนีย์, ยิลเล็ตต์, วอลล์มาร์ท, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ฯลฯ และทำให้ชื่อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้รับการยอมรับในฐานะนักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ หลักในการลงทุนของบัฟเฟตต์ เป็นการผสมผสานหลักของ เบนจามิน เกรแฮม เข้ากับหลักของ ฟิลิป ฟิชเชอร์ โดยเน้นว่า “ต้องวิเคราะห์ธุรกิจ อย่าวิเคราะห์ตัวหุ้น” อย่าทำตามฝูงชน จงคิดอย่างเป็นตัวเอง ต้องเน้นบริษัทที่มีอนาคตดีเยี่ยม มี “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” มี “เฟรนไชส์” มีแบรนด์อันทรงพลัง มี “คูเมือง” หรืออุปสรรคสำหรับคู่แข่งหน้าใหม่ที่จะก้าวเข้ามาทำธุรกิจ มีผู้บริหารที่มีความสามารถและซื่อสัตย์ ที่สำคัญคือ คุณต้องเข้าใจในธุรกิจนั้นๆ อย่างถ่องแท้ โดยต้องเป็นธุรกิจที่อยู่ใน “ขอบข่ายแห่งความชำนาญ” (Circle of Competence) ของคุณ ธุรกิจใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะดีขนาดไหน ไม่ว่าใครจะสรรเสริญอย่างไร หากบัฟเฟตต์ไม่รู้กระจ่างอย่างแจ่มแจ้ง เขาจะไม่ยอมซื้อหุ้นของมันเป็นอันขาด หลักข้อนี้ทำให้เขาเอาชนะวิกฤตได้ทุกครั้ง อาทิ เมื่อครั้งฟองสบู่ด็อตคอมแตกออกในปี 1999 นอกจากนี้ ราคาหุ้นต้องเป็น “ราคายุติธรรม” (Fair Price) คือต้องถูกหรือไม่แพงเกินไป โดยต้องมี “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” (Margin of Safety) อยู่ในระดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับ “มูลค่าโดยเนื้อแท้” (Intrinsic Value) ของกิจการ และอย่าลืมเอากระแสเงินสดในอนาคตมา “คิดลด” (Discounted Cash Flow) ด้วย เชื่อไหมว่า หากใครลงทุนกับบัฟเฟตต์ ด้วยเงิน 1,000 ดอลล่าร์ ตั้งแต่แรกเริ่มในปี 1956 จนถึงวันนี้ เงินจำนวนนั้นจะทวีมูลค่ากลายเป็นมากกว่า 25 ล้านดอลล่าร์ จนบัฟเฟตต์ได้รับฉายา “เทพเจ้าแห่งโอมาฮา” ในการโดยการประชุมประจำปีของเบิร์คไชร์ แฮธาเวย์ ที่จัดขึ้น ณ เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสก้า ได้กลายเป็นเทศกาลที่มีนักลงทุนหลายหมื่นคนทั่วโลกหลั่งไหลไปร่วมงาน เพื่อหวังจะได้พบปะพูดคุย และฟังถ้อยคำคมๆ จากตัวเขาและชาร์ลี มังเจอร์ ปัจจุบัน ในวัย 80 ปี บัฟเฟตต์ได้บริจาคเงินให้กับการกุศลเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้กับ มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ เขาให้คำมั่นสัญญาว่า จนถึงวันที่ตัวเขาตาย ทรัพย์สิน 99 เปอร์เซ็นต์ จะถูกผ่องถ่ายให้กับการกุศล หรือที่เขาเรียกว่า ”My Philanthropic Pledge” นอกจากนี้ ตัวเขาและบิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ ยังออกเดินสายเพื่อร่วมรณรงค์ให้มหาเศรษฐีทั่วโลก สัญญาว่าจะบริจาคทรัพย์สินของตัวเองอย่างน้อยครึ่งหนึ่งให้กับการกุศล รวมทั้งออกมากระตุ้นให้คองเกรสเก็บภาษีคนรวยในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก ความเสียสละอันยิ่งใหญ่และจิตอันเป็นกุศลของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คงไม่เกินเลยไปหากจะบอกว่า เขาได้ยกระดับตัวเอง จากมหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ กลายเป็น “ตำนาน” บทหนึ่งของโลกใบนี้ไปแล้ว เมื่อ: 2011-11-29T08:31:59+00:00 บูรพาไม่แพ้: หากเราไม่ได้เห็นไม่ได้ยินหรือได้อ่านแนวทางที่คุณปู่ได้เดินผ่านมาแล้ว พวกเราหลายๆคนก็อาจจะเดินทางแบบลองผิดลองถูกไม่มีทิศทางที่แน่นอน (แบบท้องทะเลกว้างใหญ่เลยครับ)ผมว่าคุณปู่ได้สร้างกุศลให้คนมากต่อมากนะครับ อย่างงนะครับผมเข้าใจประมาณนี้จริงๆ เมื่อ: 2011-11-29T16:14:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กรุงเทพอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว humdrum: นั่งนึก ปี 2574 กรุงเทพจะอยู่ตรงไหนนี่ ย้ายไปสี่คิ้วหมดแล้วหรือปล่าว อ้อ..ฝันของผมยังมีอคติปนอยู่เลย ด้วยผมมีที่อยู่สี่คิ้วเหมือนกันนี่ ฝันไปเรื่อย ระหว่างความฝันนั้น สี่คิ้วเป้นภูมิประเทศริมทะเลไปแล้ว ผมนึกถึงหลังน้ำท่วมกรุงเทพคราวนี้ ราคาแถบอีสาน ที่ไหนยิ่งแห้งแล้ง ที่นั่นราคาขยับกันกันหลายสิบเท่าทีเดียว ต้องนี้กำลังดูครับว่า หลังน้ำท่วม ตลาดอสังหาจะกระทบแค่ไหน ตลาดจะกลายเป้นของผู้ซื้อกันหมด ถ้าคนซื้อเอาข่าวเรื่องกรุงเทพหายไปเลยมาเล่นละก็ครับ ต้องดูละครับว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดจะเป้นอย่างไร ไม่ว่าเป้นอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ จะทำให้หลายจังหวัดทำเขื่อนกั้นน้ำเข้าจังหวัดของเขา และผลที่ตามมา กรุงเทพจะท่วมขึ้นทุกปี จนกลายเป้นทะเลทราบในที่สุด นั่นคือสิ่งที่ควรเป้นมานานแล้ว บรรพบุรุษของเรา มาตั้งรับที่นี่ เพราะอยากให้ "น้ำท่วม" ป้องกันพม่ารุกราน ไม่ใช่เป้นจุดที่ ไม่อยากให้ท่วม กรุงเทพจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่ดินจะตกลงเรื่อยๆ จะไม่มีแพงกว่านี้แล้ว สวนกับอัตราเร่งของคามผันผวนจากธรรมชาติที่มากขึ้น กรุงเทพจะเริ่มย้ายเมืองหลวง ต้องบอกว่า กรุงเทพไม่เคยย้ายไปไหน มันอยู๋ของมันดีๆ คนย้ายมาหามันเอง คนจะย้ายออกไปครับ ในห้าปีข้างนี้นี้ บริษัทอสังหาต่างๆ จะออกแบบให้สร้างบ้านบนน้ำมากขึ้น ผมยังเชื่อว่า ไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้ แต่เขาทำอนาคตให้กลายเป้นจริงได้ด้วยความเชื่อของเขา สิ่งที่ความเชื่อทำ คือ เปลี่ยนแปลงข้อเท็จริง แต่ "ความกลัวตาย" ของคนคาดเดากันได้ Market จะบอกเองครับ ความเสี่ยงในการเขียน: ข้อผิดพลาดผมคือเรื่องการเมื่องนั้น sensitive มาก ห้ามพูดถึง สอง ห้ามเน้นให้ตัวหนังสือมันใหญ่ มันมีผลทางบวกก็จริง แต่มันมีผลทางลบมากกว่า สาม ผมเขียนเรื่องนี้หลังจากไปดูที่คลิบใน Youtube อาจารย์อาจองบอกว่า น่าซ่าเขาว่าอีกสามสิบปีพื้นที่ภาคกลางกลายเป้นทะเลหมดเลย ความคิดผมจึงมีอคติเจือปนไปทางลบอยู่มาก โปรดอ่านด้วยความระมัดระวังครับ เมื่อ: 2011-10-24T03:53:40+00:00 humdrum: ผมโทรคุยกับคนที่ดูแลที่ที่สี่คิ้ว จำนวนรถถือว่าปกติครับ ผิดจากที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ที่คาดไม่ถึงคือ มีไส้เดือนออกมาอยู๋บนดินมากกว่าปกติในช่วงเช้าๆ สำหรับท่านที่ไม่ทราบวาไส้เดือนทำไมถึงขึ้นมาบนดิน ดินมันแห้งครับ ที่สี่คิ้วฝนแล้งมานานกว่าสองเดือนแล้ว คนสวนบอกผมว่า ดอกหญ้าออกดอกเมื่อใด หน้าหนาวก็มา เป้นอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณแล้ว ธรรมชาติเตือนเราได้ดีทีเดียวครับ "ต้นไผ่มันทิ้งใบกันหมดแล้ว" ที่สี่คิ้วกำลังเจอภัยแล้ง แต่ที่กรุงเทพ กิ้งกือปีนเข้าบ้านหลายตัวทีเดียว มีข้อมูลทางวิชาการเรื่องไส้เดือนกับภัยธรรมชาติเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรครับ 'ไส้เดือน'เตือนภัยก่อนแล้งฉับพลัน! ให้สังเกตไส้เดือนเตือนภัยแล้ง http://region2.prd.go.th/ewt_news.php?n ... name=intro เมื่อ: 2011-10-24T04:40:12+00:00 humdrum: Netherlands อาจเป้นประเทศที่เตรียมพร้อมได้ดีที่สุดกับระดับที่เพิ่มขึ้นของน้ำทะเลครับ Floating Houses With the sea level rising as a result of global warming, the low-lying Netherlands is fighting back for more space by building communities on water. http://www.ecoboot.nl/artikelen/floating_houses.php เมื่อ: 2011-10-24T05:29:48+00:00 arica: ขอบคุณครับ อาจารย์สำหรับบทความ ใส้เดือนมักจะคลานขึ้นมาตายบนพื้นดินหรือพื้นคอนกรีต ในช่วงเข้าฤดูหนาว ครับ เจออยู่เป็นปกติ เมื่อ: 2011-10-24T14:02:08+00:00 kmig: ตราบใดกรุงเทพมีปัญหาแค่เรื่องน้ำ ไม่แผ่นดินไหว ผมว่าcostสำหรับการจัดการน้ำ ไม่มากกว่าการย้ายเมือง สุดท้ายก็จะมีการป้องกันและจัดการที่่เป็นระบบครับ มองในแง่ดีมันมาเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้มีเวลาคิด หลังจากนี้น่าจะมีจัดการอย่างเป็นระบบ ดีกว่าปัญหามาทีแล้วทำลายไปหมด ไม่มีโอกาศแก้ตัว เมื่อ: 2011-10-24T14:49:50+00:00 beaeaebe: ผมว่า เดี๋ยวก็เหมือนเดิม คนไทยลืมง่าย ไม่งั้นมันแก้กันไปตั้งกะหลังปี 38 ละ หลังเผาเมือง 53 เค้าก็บอกกันว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม ตอนนี้ก็เหมือนเดิม ปลุกระดม เตรียมประท้วง เตรียมเปิดช่องปฏิวัติกันให้ฮึ่ม เริ่มจากเรื่องน้ำท่วมเป็นสาเหตุ เมื่อ: 2011-10-24T15:46:48+00:00 harikung: ผมไม่เชื่อว่าต้องขนาดย้ายเวืองหรอกครับ แค่ไปคิดและทำระบบการจัดการน้ำใหม่ เครื่องมือพยากรณ์อากาศอะไรที่ล้าสมัยก้อลงทุนเปลี่ยนซะ ลงทุนครั้ฝเดียวมากหน่อยแต่ปัญหาหมดหรือรุนแรงน้อยลงก้อคุ้มแล้ว นี่ล่อกวาดนิมคมอุตสาหกรรมไปไม่รู้กี่ที่ เสียหายไม่รู้เท่า ถ้าผมเปนนักลงทุนคงต้องกลับไปคิดหนักล่ะครับ จุดเด่นอย่างหนึ่งของประเทศเราที่นักลงทุนสนใจคือบ้านเราแทบจะไม่มีภัยธตมชาติเลย แต่จากนี้ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการจัดการป้องกันปัญหานี้ ผมเปนนักลงทุนก้อคงคิดหนักครับ เมื่อ: 2011-10-24T16:20:10+00:00 sandymini: เดี๋ยวมันก็ผ่านไปครับ ตอนต้นปีผมก็ว่าก็มีคนคิดมากเรื่องแผ่นดินไหวไปทีนึง มาตอนนี้เหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น น้ำท่วมครั้งนี้หนักหนาอยู่ก็จริงแต่ที่อื่นก็ท่วมนิครับ ไม่ว่าเป็นพม่า กำพูชา เวียดนาม เลยคิดว่าคนอาจจะpanic มากเกินไป เพราะบางอุสาหกรรมไม่ได้ผลกระทบแบบมีนัยสำคัญแต่ราคาก็ร่วงมามาเหมือนกัน ผมอาจจะมองโลกในแง่ดีไปนิสนึง เมื่อ: 2011-10-24T21:56:22+00:00 NAI-A SIKHIU: ปีนี้ที่สีคิ้วถือว่าไม่แล้งนะครับ ผมว่าฝนกลับสม่ำเสมอดีด้วยซ้ำ ถ้าเป็นปีก่อนๆถือว่าแล้งทีเดียว ปีนี้ผลผลิตการเกษตรในสีคิ้วถือว่าได้ผลผลิตดีมากทีเดียว เมื่อ: 2011-10-25T01:01:11+00:00 shinobux1: ช่วงนี้ อาจารย์ ฮัมดรัม ขอเรียกว่า อาจารย์แล้วกันนะครับ >__< มีบทความออกมาเยอะมากๆ ผมเป็นหนึ่งคนที่ชอบแนวคิดของอาจารย์มากๆเลยครับ ขอเป็นลูกศิษย์ที่จะติดตามอาจารย์ตลอดไปแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอนับถือจากใจจริงครับ เมื่อ: 2011-10-25T07:13:11+00:00 humdrum: สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด มองเห็นตัวเองอย่างที่ท่านเป็น ไม่ใช่เป้นแบบคนอื่น ท่านต้องทำตัวให้ว่างเปล่าจากตัวตนอย่างถึงที่สุด ยิ่งตะหนักรู้ในตัวเขาเองมากเท่าใด ท่านก็จะดำรงอยู่น้อยเท่านั้นครับ ผมชอบอ่านประวัติของคนอย่าง อาดอฟ ฮิตเลอร์ ,โจเสฟ สตาลิน, เหมาเซตุง จะมีเหตุการณ์คนเชื่อตามคนพวกนั้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเราเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเมื่องไทยตอนเสื้อเหลื่อง/แดง มาแล้ว เหตุการณ์อย่างนั้นจะเกิดอีก ถ้าหากคนยังไม่ทิ้งความคิดเรื่องอุดมคติครับ คนที่ใฝ่หาใครสักคนที่เป็นแบบอย่างในอุดมคติที่เขาต้องการจะเหนื่อยหน่อยครับ เขาจะมีชีวิตอยู่กับการวิ่งตาม เพราะไม่อาจตัดสินใจได้ว่าตัวเขาเองนั้น แท้จริงเป็นใคร เป็นคนในอุดมคติหรือเป็นตัวตนที่แท้จริง เขาไม่อาจไว้ใจตัวเองได้ สูญเสียความเชื่อมั่น เมื่อใครบางคนเสียตรงนั้นไป เขาก็พร้อมเป็นทาสของใครก็ได้ พระรูปไหนก้ได้ นักการเมืองคนไหนก้ได้ พวกเขาไม่อาจยืนด้วยตัวเองได้อีก ต้องการพึ่งพิงใครบางคน บางที ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ ต้องการให้ใครบางคนก็ได้มาบอกว่าพวกเขาเป็นสิ่งนี้สิ่งนั้น พวกเขาต้องการให้ใครมอบ "อัตลักษณ์" ให้ตัวเอง โดยลืมธรรมชาติและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไป ทราบไหมครับ อาดอฟ ฮิตเลอร์เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างไรบ้าง ในแง่มุมเรื่องจิตวิทยาฝูงชนครับ ฮิตเลอร์ชอบอ่านหนังสือชื่อ The Crowd ของ Le bon นักสังคมวิทยาการเมืองชาวฝรั่งเศสมากครับ มีนักลงทุนเฮจฟันหลายท่านที่กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะ Ed Seyketa เซียนจิตวิทยาการลงทุนครับ ลองไปหาอ่านดูก่อนนะครับ เมื่อ: 2011-10-25T08:22:46+00:00 jverakul: ขอถามพี่ humdrum หน่อยครับ อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง เ่ท่าที่ตามอ่านบทความของพี่เกี่ยวกับน้ำท่วมในช่วงนี้ พี่เคยบอกว่าพี่จะไม่ทำำกำแพงกั้นน้ำ จะอยู่กับน้ำ อยากถามพี่ว่าแล้วพวกปัจจัยสี่นั้น พี่ได้เตรียมอะไรบ้าง (อาทิ เช่น อาหารแห้ง บะหมี่ ปลากระป๋อง) ถ้าเตรียม แล้วเตรียมสำหรับอยู่กับสภาพน้ำท่วมกี่วัน กี่เดือน ครับ แล้วมีอะไรอย่างอื่นๆ ที่เตรียมไว้บ้าง อีกอย่่างพี่เคยบอกไว้ว่าจะไม่หนีอีกแล้ว ถ้าสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นใหนถึงจะย้ายไปอยู่ที่พักพิงครับ ที่ถามเพราะว่าเผื่อเป็นแนวทางสำหรับการเตรียมตัวครับ ผมเตรียมพวกอาหารแห้งไว้พอประมาณ แต่เตรียมน้ำและธัญพืชไว้ค่อนข้างเยอะ กะว่าถ้าท่วมภายใน 7 วันแล้วน้ำยังไม่ลดค่อยหาที่พักพิงใหม่ เมื่อ: 2011-10-26T11:21:52+00:00 humdrum: ด้วยความเคารพครับ เตรียมอีกสองคำครับ อดทน ครับ ความอยากลำบากดีอย่าง มันฝึกให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น โดยปกติเราต้องนั่งสมาธิต้องเดินจงกลมเป้นชัวโมงกว่าเราจะรู็สึกว่ามันทนไม่ไหว มันเจ็บตรงนั้นบ้าง ปวดคอบ้าง สำหรับคนฝึกกรรมฐาน นี่คือโอกาสทองสำหรับการเข้าใจตัวเองให้มากขึ้นครับ ตอนฝึกกับหลวงพ่อนั้น ฝึกกันหลายท่านครับ ฝึกอย่างไรก็ไม่พัฒนาสักที ผมต้องแยกไปฝึกในป่าคนเดียวครับ ถึงหา อคติ ตัวเองอีกตัวหนี่งเจอ ผมไปค้นพบ "ความกลัวตาย" ของตัวเองในป่า กลัวผีมาหักคอครับ คืนนั้นผ่านมาได้เพราะคิดอย่างเดียวว่า ตายก็ตาย ถ้ามีกรรมต่อกันผมก็พร้อมชดใช้แล้ว ถ้าไม่มีกรรม ก็ให้ผมได้ฝึกกรรมฐานแล้วผมจะแผ่เมตตาให้ เดี๋ยวนี้ผมไม่กลัวแล้ว ผมวิ่งเข้าหาพวกเขา ไม่ใช่แต่คนอย่างเดียว ผีก็มีอคติเหมือนกันครับ แต่คุยยากกว่า เพราะเขาจะไม่พูดครับ อย่างในบ้านผม มีเจ้าที่มาให้เห็นสองครั้งแล้ว มายืนมองเฉยๆ แผ่เมตตาให้แล้วก็หายไปครับ ผมคุยกับเขา เขาก็ไม่ยอมคุยด้วยครับ ร่างกายแต่ละท่านไม่เหมือนกัน ผมไม่ทราบว่าท่านอดข้าว อดน้ำได้ดีขนาดไหน ต้องค่อยๆ ทำดูนะครับให้ร่างกายเขาปรับสมดุลว่าตอนนี้สถานการณ์ต่างๆ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ของผมมันปรับมานานแล้ว หลังเที่ยงก็ไม่ทานอยู่แล้ว อย่างช่วงนี้ ทานกาแฟเช้าสิบโมงกับซาละเปานึ่ง (ซื้อมาแช่แข็งไว้ครับ ) ผมก็อยู่ได้ทั้งวันแล้วครับ น้ำหนักผมลดจากวันที่ 14 ตค ประมาณ 2 กิโลแล้วครับ วันไหนไม่ไหว ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าครับ ท่านเป้นกำลังให้ผมเสมอ ผมคุยกับท่านตลอดละครับ การทำอย่างนั้นทำให้ผมอยู๋รอดได้ไม่วาสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน คนเราเกิดมาก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย กางเกงในตัวเองก็กำไรชีวิตแล้ว ถ้าท่านละความกลัวตายได้ เรื่องเตรียมของต่างๆ ในช่วงความยากลำบากนี้ คงไม่ยากอย่างที่ท่านคิด ถามคนอื่นดีกว่าครับ ถามผม ไม่ได้เรื่องหรอกครับ อยู่ไทรน้อยใช่ไหมครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ ขาดอะไรก็โพสมาในกระทู้นี้ ผมไปได้จะไปช่วยครับ เครียดเรื่องไหน ก็มาโพสในนี้ ยังดีนะครับ ที่ไฟยังใช้ได้ ทางโลกท่านก็เตรียมตัวดีมากแล้วครับ ทางธรรม อย่าลืมเตรียมละครับ สู้โว้ย เมื่อ: 2011-10-27T02:42:19+00:00 humdrum: ท่านทำให้ผมคิดถึงพ่อครับ พ่อผมเลี้ยงแบบทหาร ระเบียบ วินัย อดทน กล้าหาญ พี่น้องห้าคน ผู้ชายหมด เรียนก็เรียนโรงเรียนผู้ชาย ไม่มีใครกล้าเถียงพ่อหรอกครับ พ่อดุมาก ตอน 26 ปี หลังจากผมกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ผมได้เห้นลูกน้องคนขับรถพ่อเถียงพ่อ คนนี้อายุเท่าผม อยู่กับพ่อตั้งแต่พ่อไปขอมาจากหลวงพ่อที่วัด ลูกน้องพ่อส่วนใหญ่เป็นเด็กวัดที่พ่อแม่เอามาฝากไว้ นั่นเป้นครั้งแรกที่ผมเห้นใครกล้าเถียงพ่อครับ เรื่องมีอยู๋ว่า คนขับจะไปทางซ้าย แต่พ่อบอกว่า ไปทางขวาดีกว่า ปกติ พ่อจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ พ่อจะ invert ความคิดของพวกเราทุกอยางเลย จนผมไม่ชอบที่จะอยู๋ใกล้พ่อ ผมไม่รู็มาก่อนว่า นั่นเป้นวิธีที่ลับสมองทีดีที่สุดแบบหนึ่ง คือ การจับผิดตัวเองเหมือนที่โซรอสสอนเอาไว้ พ่อเป็นละอาร์ทตัวพ่อของการ invert เลยครับ ลูกน้องตอบว่าอย่างไรรู็ไหมครับ "ท่านครับ ท่านเชื่อผมน่า ผมพาท่านไปถูกก็แล้วกันครับ" พูดจบคนขับรถก็หัวเราะ พ่อผมก็ยิ้มครับ นั่นเป้นประสบการณ์ที่พลิกกลับมุมมองของผมทั้งหมดเลย ผมเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ๆ ทุกคนตกใจกันหมดเลย แล้วทุกคนก็ค่อยๆ เปลี่ยนตั้งแต่วันนั้น เปลี่ยนไปทางไหนครับ ผมยกตัวอย่าง หลายปีก่อน ไปกวางโจวกับพ่อ ขึ้นเครื่องตอนห้าทุ่ม ผมก็เปลี่ยนชุดนอนเดินเข้าไปในสนามบิน กางเกงแพรนี่ละครับ ใครเห็นเขาก็มอง ไอ้บ้าแน่ๆ พ่อเห้นก็ตกใจเลย เพราะทุกคนแต่งเต็มยสเลย เสื้อหนาว หมวก ผ้าพันคอ ผมก็บอกพ่อไปว่า พ่อมันเวลานอนแล้ว แล้วผมก็ยิ้ม พ่อก็หัวเราะครับ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะมีความทุกข์ยากแค่ไหน ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราทำ พ่อก็ปล่อยแล้ว สุดท้าย พ่อเห้นเรามีความสุข พ่อก็มีความสุขไปด้วย ตอนนี้ มีคนมาถามว่าผมจะย้ายออกไหม ผมก็มีความสุขมาก ใส่กางเกงว่ายน้ำ ใส่ห่วงยาง ใส่ตีนกบ ใครมาเห้นเขาก็หัวเราะ แล้วเขาก็ปล่อยผมไป แต่ถ้าท่านมีความสุขเมื่อเจอความทุกข์ ใครๆ เขาก็มีความสุขกับท่านไปด้วย แต่ถ้าท่านมีความทุกข์เมื่อเจอกับความทุกข์ จะมีคนมาจัดการกับชีวิตท่าน แล้ว ท่านจะพบว่า ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น กำลังจะมาเยื่อนท่านอย่างแท้จริง นั่นคือ การขาดอิสรภาพ นั่นเองครับ เมื่อ: 2011-10-27T04:07:03+00:00 jverakul: ขอบคุณครับพี่ humdrum คำแนะนำของพี่ช่วยผมกระตุ้นจิตใจผมได้เยอะเลยครับ ไม่ให้วิตกจริตหรือกลัวไปล่วงหน้า ตอนนี้แถวที่ผมอยู่ ยังไม่ท่วมครับ แต่น้ำล้อมรอบด้านแล้ว โรงงานยังเดินเครื่องตลอด จะหยุดก็ต่อเมื่อน้ำมานั้นแหละครับ ขอบคุณนะครับสำหรับความช่วยเหลือที่จะมีมา แต่ผมจะพยายามพึ่งตนเองให้มากที่สุดครับ จะไม่ยอมเป็นผู้ประสบภัยครับ ถ้าสู้ไม่ได้ค่อยหนีไปตั้งหลักที่บ้านเกิดแล้วกันครับ ขอบคุณพี่ humdrum อีกครั้งสำหรับบทความดี สำหรับพยุงจิตใจให้ Invert เมื่อ: 2011-10-27T12:02:47+00:00 humdrum: ขอบคุณที่ถามเช่นเดียวกันครับ สิ่งประดิษฐ์ทั้งสองอย่างมันคืออะไรครับ ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติคงไม่เห้นนะครับ มันใช้ได้จริงไหมครับ เมื่อ: 2011-10-27T12:06:11+00:00 jverakul: ผมเอามาจาก forward mail คิดว่าน่าจะใช้ได้ครับ รวมทั้งให้ไอเดียเราในการหาวิธีอยู่กับน้ำครับ เมื่อ: 2011-10-28T09:19:44+00:00 Financeseed: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-10-28T09:34:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ได้ลงทุนในกองทุน LTF กันมั้ยครับ DevilCupid: สอบถามพี่ๆที่มีพอร์ตเป็นของตัวเองครับ ว่าได้ลงทุนใน LTF กันรึเปล่า ตอนนี้วางแผนจะซื้อ LTF วัตถุประสงค์คือใช้ลดหย่อนภาษีครับ เนื่องจากมาคำนวณดูแล้ว ถ้าซื้อ LTF ไปจะสามารถลดหย่อนภาษีลงได้ประมาณ 30% ของเงินที่นำไปลงทุน ซึ่งคิดว่าก็น่าจะคุ้มค่า แต่ปัญหาคือมีกองทุน LTF มากมาย เลือกไม่ถูกครับ ไม่ทราบว่าพี่ๆเลือกกองทุนที่ถูกใจยังไงครับ เมื่อ: 2009-08-30T15:30:56+00:00 SunShine@Night: ผมซื้อ Index Fund ครับ ค่าใช้จ่ายน้อย ทยอยโตไปกับ SET เมื่อ: 2009-08-30T16:03:05+00:00 KriangL: ผมก็มีครับ ถ้าคุ้นเคยกับหุ้นดู ลองไปดูรายงานของกองทุนครับว่าเขาถือหุ้นอะไรบ้างสัดส่วนเท่าไหร่ แล้วมาเปรียบเทียบดูครับ ถ้าชอบแบบยืดหยุ่น LTF ของ SCB มีให้เลือกหลายตัว สลับไปมาได้ระหว่างที่ถือเผื่อเปลี่ยนใจ (ส่วนตัวซื้อกับ BBL เพราะใช้บริการกองทุนของเขาบ่อยกว่า) เมื่อ: 2009-08-31T04:13:14+00:00 romee: ลองเข้าไปดู ผลประกอบการ เก่าๆ ในเวบฟินันซ่า ก็ได้ครับ เขาจะเปรียบเทียบไว้ให้ดู ว่าพอร์ตแต่ละตัว ผลประกอบการย้อนหลัง performance เป็นอย่างไรบ้าง แนะนำว่า พอร์ตที่เงินเยอะมากกกกก มักจะอุ้ยอ้ายนะ....เอากลางๆดีกว่าครับ ลงทุนใน LTF ที่ลงตราสารทุน หรือในหุ้นก็ดีครับ เพราะปกติ เราต้องลงทุนอย่างน้อย ห้าปีปฎิทินอยู่แล้ว....แล้วเวลาซื้อก็ซื้อทยอยทุกเดือนไปเรื่อยๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงในระดับนึงละครับ (DCA technic)  :idea: เมื่อ: 2009-09-03T05:19:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
570 Jeng: เป็นไปได้แค่ไหน เห็นผลประกอบการออกมาน่ารักมาก ผมจะได้ไปนอนริมทะเล รอก่อน เมื่อ: 2005-05-17T03:36:06+00:00 mey: คลื่นลูกหย่ายของบักสีดามาแรงเจงเจง.....น่ากัวจัง!!!! เมื่อ: 2005-05-17T03:42:03+00:00 วัวแดง: 620 คือตำตอบสุดท้าย ของผม........ เมื่อ: 2005-05-17T04:05:51+00:00 lekapuk: คิดว่าน่าจะ 655 นะค่ะ เมื่อ: 2005-05-17T04:09:27+00:00 CK: คิดว่าบอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม จะยอมให้ SET1000 ที่อุตส่าห์คิดขึ้นมา หลุด 1000 ง่ายๆ เหรอครับ ผมว่าต้องมีการยื้อสักหน่อยนา ยังไม่ทันใช้ครบเดือนเลย จะหลุด 1000 ซะแล้ว เมื่อ: 2005-05-17T04:59:47+00:00 soytee: ม่ายเป็นราย เดี๋ยวหาตังค์ก่อน หล่นเข้าไป ทำพี่เจ็บช้ำเดี๋ยวเอาคืน เดี๋ยวเทหมดหน้าตักเลย โรคจิตมาแย้ว ให้มันรู้กันไปข้างนึงสิ เมื่อ: 2005-05-17T05:03:28+00:00 โป้ง: ลงเท่าไหร่ก็ลงเถอะ ไม่กลัวครับ :lol: เมื่อ: 2005-05-17T05:23:11+00:00 CK: ลงเท่าไหร่ก็ลงเถอะ ไม่กลัวครับ เพราพี่โป้งมี dsm อยู่ เมื่อ: 2005-05-17T06:22:53+00:00 คัดท้าย: เบาะสีม่วงนี่คือ 570 หรือเปล่าพี่เจ๋ง โหดไปหน่อยมั้ยครับ :lovl: เมื่อ: 2005-05-17T06:32:10+00:00 คัดท้าย: ว่าแล้ว ก็ ............ โดด !!!!!! ปล. เหมือนจะเด้งเลยนะครับ แต่หวังว่าหน้าจะไม่ทิ่มเบาะนะครับ 555 เมื่อ: 2005-05-17T06:37:13+00:00 ปรัชญา: เวปนี้มีแต่รูปวิชาการ สู้เวปพันทิป ม่ายร่ายเลย เขามีแต่รู้วาบหวิว วาบหวิว http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 80726.html เอาตัวอย่างซักหน่อยเน๊อะ หุ้นตกไม่เท่าหร่าย ทำตาตาละห้อย เลยอ่ะ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 726-46.jpg เมื่อ: 2005-05-17T06:40:40+00:00 คัดท้าย: ฮ่าๆๆๆ ไม่ได้ครับ เดี๋ยวป๋ามน ดุเอาครับ .... เมื่อ: 2005-05-17T07:20:50+00:00 กล้วยทอด: ระหว่างโดด แข้งขาอาจเป็นแผล แต่เดี๋ยวก็หายค่ะ เมื่อ: 2005-05-17T08:28:32+00:00 ปรัชญา: กล้วยทอด เขียน:ระหว่างโดด แข้งขาอาจเป็นแผล แต่เดี๋ยวก็หายค่ะ เป็นแผล ก็ใช้ยาฆ่าเชื้อของฟาร์มาแคร์ ผ้าพันแผล ถึง เซ็นโทพลาส ท่านคัดท้ายเกรงใจคุณมน แฮ่ๆ แล้วผมทำไปแล้วคุณใหญ่อย่าดุนา เมื่อ: 2005-05-17T11:43:07+00:00 soytee: ชอบความคิดเห็นที่ ยี่สิบห้าจังเลย เมื่อ: 2005-05-17T13:22:06+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
จะเป็นไปได้ไหม ถ้ารวมผู้ถือหุ้นจากTVI Voteให้คนในTVIเป็น กก. leksmile: อย่างวันนี้รวมคนที่ถือหุ้น SNC ใน TVI คงหลายล้านหุ้นน่าจะพอเสนอชื่อไปนั่งเป็นกรรมการ รวมถึงตัวอื่นๆอีกมากมาย เมื่อ: 2007-04-05T15:35:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ROA กับ ROC แตกต่างกันหรือคืออันเดียวกันครับ NinjaTurtle: ROA = return on Asset เอากำไร หารด้วย สินทรัพย์ แล้ว ROC = Return on Capital ที่ผมอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับ Warren Buffet มันคือ คนละตัวกันใช่ไหมครับ หรือตัวเลขเดียวกัน ถ้าคนละอันกัน แล้วในตลาดหุ้นบ้านเราจะไปหาตัวเลขนี้ได้ที่ไหนครับ เมื่อ: 2006-03-09T07:04:09+00:00 MarginofSafety: คนละตัวกันครับ http://www.riskglossary.com/link/economic_capital.htm http://invest-faq.com/articles/analy-roe-vs-roc.html เมื่อ: 2006-03-09T07:32:10+00:00 NinjaTurtle: ขอบคุณครับคุณ HVI แล้วทีนี้ถ้าผมจะหาตัวเลข ROC หรือ ROTC สำเร็จรูป จาก ที่ไหนได้ละครับสำหรับหุ้นในเมืองไทย หรือต้องแกะเอาเองจากงบการเงิน เมื่อ: 2006-03-09T09:25:42+00:00 Belffet: ROC บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด บริษัทในธุรกิจปิโตรเคมี ของปูนซิเมนต์ไทยครับ :lol:  (มาแซวเล่นๆ อย่าโกรธกันนะคร้าบบ) เมื่อ: 2006-03-10T00:51:07+00:00 Rocker: ROC & ROTC ตัวเดียวกันใหมครับ ผมไม่ทราบ roc คือะไรแล้วทําอะไรครับ วัดไรได้บ้าง แต่พอทีทราบ คร่าวๆว่า rotc= net profit / equity+debt ผิดถูกช่วยชี้แนะด้วยครับ เมื่อ: 2006-03-11T03:23:06+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ข้อมูลผู้ถือ Warrant Rakkiat: เช่นข้อมูลผู้ถือหุ้นสามารถหาจาก set หรือ settrade แต่ข้อมูลผู้ถือ Warrant เราสามารถหาได้จากไหนครับ เมื่อ: 2013-02-07T07:18:34+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มีท่านใดสนใจ...แชงการีล่า ไหมครับ ลูกอิสาน: กำไรไตรมาสล่าสุดกลับมาดี เหมือนปกติแล้วครับ พีอีค่อนข้างต่ำ มีเงินสดประมาณ 7-8 ร้อยล้านทีเดียว กระแสเงินสดแข็งแกร่งมากๆ หากเจ้าของไม่นำเงินไปลงทุนทิ้งๆ ขว้าง น่าจะมีเงินสดมากกว่านี้มาก ดูตัวเลขคร่าวๆ แล้วน่าสนใจนะครับ... เมื่อ: 2004-11-08T15:22:12+00:00 CK: ติด cm อยู่ครับ ซื้อขายยาก จำได้ว่าน้อง harry หรือไงนี่แหละครับ ถืออยู่บ้าง ราคาตอนนี้ยังต่ำกว่าราคาจองเลยครับ จะบอกให้ เมื่อ: 2004-11-08T17:05:52+00:00 ch_army: ผมดูจากเวปของ Philip ครับที่ผมใช้บริการอยู่ อิงกับกำไรณ เดือน มิถุนา บอกว่า PE 11.2 PB 0.82 DE 0.14 DY 3.57 ส่วนดูอีกทีจาก กิมเอง ก็เหมือนกัน เอ PE เท่านี้มันถูกหรือครับ หรือว่ามองการเติบโตด้วย เมื่อ: 2004-11-08T17:27:42+00:00 โป้ง: กำไรทำได้ดีครับ น่าสนใจ เมื่อ: 2004-11-09T00:56:22+00:00 ต.หยวนเปียว: ผมมีอยู่แค่ 900หุ้น หนี้สินหมุนเวียนก็ลดลง แต่เงินลงทุนกับเงินให้กู้ยืมบริษัทลูกไม่รู้ว่าจะสูญ รึเปล่า ส่วนกำไรไตรมาส4ปีก่อนทำไว้เยอะ ปีนี้จะได้มากกว่าไหมเอ๋ย กำไรแค่ไหนก็เห็นปันผล 1บาท กำลังขยายการลงทุนสร้างโรงแรมที่เชียงใหม่ หรือเชียงรายจำไม่ได้ เมื่อ: 2004-11-09T02:27:09+00:00 ต.หยวนเปียว: ตัวนี้สมัยก่อนเคยปันผลมาก ๆ มาที่นึง จำไม่ได้ว่า 3 บาท หรือ 5 บาท พักหลังบาทเดียวตลอด ทั้ง ๆ ที่เงินก็มีเยอะ ส่วนตัวผมชอบ DTC มากกว่า แต่ว่าไม่มีทั้งคู่ เมื่อ: 2004-11-09T02:45:51+00:00 harry: ผมนี่แหละครับ เซ็งหน่อยๆเหมือนกัน เพราะขายเท่าทุนออกไปก่อนแล้ว เอาไปซื้อตัวอื่นแทน ตัวนี้ผมว่าดีนะ รู้สึกเค้าก็ขยายกิจการเหมือนกัน แต่เป็นต่างประเทศ ไม่ใช่เมืองไทย และรายได้หลักรู้สึกจะยังเป็นโรงแรมที่ตรงบางรักนะครับ หรือป่าว ผมยังไม่ได้ดูงบเลย แต่ผมว่าต่ำกว่า BV เข้าได้แน่นอนครับ เมื่อ: 2004-11-09T02:49:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ก.คลังเตรียมปรับรายได้ขรก.-ลูกจ้างป.ตรีเป็น 15,000 บ. บูรพาไม่แพ้: ก.คลังเตรียมปรับรายได้ขรก.-ลูกจ้างป.ตรีเป็น 15,000 บ.เริ่ม 1 ม.ค.55ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2554 10:53:01 น. นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ กรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า จากนโยบายรัฐบาลในการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรภาครัฐ โดยเฉพาะผู้ที่จบปริญญาตรีเมื่อเข้าทำงานในระบบราชการควรมีรายได้ขั้นต่ำอย่างน้อย 15,000 บาท/เดือน ซึ่งได้นำเสนอร่างระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำไปแล้ว และล่าสุดได้มีการยืนยันร่างระเบียบดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.54 ซึ่งคาดว่ากระทรวงการคลังจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ตามที่รัฐบาลได้มอบนโยบายไว้อย่างแน่นอน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ซึ่งถือเป็นการให้ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล สำหรับบุคลากรภาครัฐที่จะได้รับการปรับเพิ่มรายได้ครั้งนี้ ครอบคลุม 5 กลุ่ม จำนวนกว่า 649,323 คน คือ 1.ข้าราชการ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ข้าราชการรัฐสภาสามัญ 2.ลูกจ้างประจำ 3.ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณ 4.ทหารกองประจำการ และ 5.พนักงานราชการ เงินที่จ่ายจะเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว(พชค.) กำหนดเงื่อนไขไว้ 2 ลักษณะ คือ กลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่กำหนดคุณสมบัติเฉพาะว่าต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้รับเงิน พชค. เพิ่มจนถึง 15,000 บาท และกลุ่มที่บรรจุในตำแหน่งที่ใช้วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ถ้าได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ 12,285 บาท ให้รับเงิน พชค.เดือนละ 1,500 บาท แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 12,285 บาท หรือถ้ารวมกันแล้วไม่เกิน 9,000 บาท ก็ให้อีกจนถึง 9,000 บาท ส่วนทหารกองประจำการที่รับเงินเดือน ระดับ พ.1 ถ้ารับเงินเดือนรวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมแล้วไม่ถึงเดือนละ 9,000 บาท ให้ได้รับเงิน พชค.เพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงกลาโหมจะกำหนดต่อไป แต่รวมแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 9,000 บาท ปัจจุบันมีข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวและพนักงานราชการที่บรรจุในวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป จำนวน 346,365 คน งบประมาณที่ใช้ 1,589 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนที่ต่ำกว่าปริญญาตรี จำนวน 164,943 คน ทหารกองประจำการ จำนวน 138,015 คน ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้จะใช้เงินงบประมาณ จำนวน 455 ล้านบาทต่อเดือน รวมใช้งบประมาณ 2,044 ล้านบาทต่อเดือน โดยในปีงบประมาณ 2555 ระยะเวลา 9 เดือน(ม.ค.-ก.ย.55) จะใช้เงินจำนวน 18,396 ล้านบาท อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวด้วยว่า ด้านระบบเงินเดือนนั้น ทางกรมฯ ได้เตรียมการรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อกฎหมายประกาศ ก็สามารถจ่ายเงินได้ตามเวลาที่กำหนดทันที สำหรับการเยียวยาข้าราชการที่ทำงานมานานแล้ว และได้รับผลกระทบการปรับค่าครองชีพในครั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.กำลังดำเนินการ และคาดว่าจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.55 เช่นกัน --อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]-- เมื่อ: 2011-12-29T04:41:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันลอยกระทง >>> Thanwa Jeng: วันนี้จะไปลอยที่สวนสยามครับ ธันวาไปลอยที่ไหนครับ และเพื่อนๆท่านอื่นลอยกันที่ไหนครับ และน้องโยโย ทีอยู่ต่างประเทศได้ลอยกระทงให้เพื่อนชาวต่างประเทศดูหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2003-11-08T10:34:09+00:00 thanwa: ยังไม่แน่ใจเลยครับ สงสัยสวนสยามคนเยอะแน่เลยครับ อย่าลืมอธิฐานเรื่องรอให้รวยร้อยล้าน พันล้าน เผื่อชาว TVI ด้วยนะครับ เมื่อ: 2003-11-08T10:53:26+00:00 ปรัชญา1: ถ้าผมอยู่ กทม. ที่แรกที่ผมคิดจะไปลอยกระทง นี่เลย ไปลอยในอ่าง ของเสี่ยชูวิทย์ มีใครเห็นก้วย ขอมือขวาหน่อย เมื่อ: 2003-11-08T13:37:41+00:00 Jeng: สมัยก่อนลอยบ่อย เดี๋ยวนี้แก่แล้ว เมื่อ: 2003-11-08T13:39:44+00:00 Stock Broker: สนใจไปลอยเป็นเพื่อนพี่ปรัชญา แต่กลัวเจอโปลิศไปล่อซื้อพอดี ยังไม่อยากออกทีวีครับ เมื่อ: 2003-11-08T13:46:34+00:00 ปรัชญา1: Financial Engineer เขียน:สนใจไปลอยเป็นเพื่อนพี่ปรัชญา แต่กลัวเจอโปลิศไปล่อซื้อพอดี ยังไม่อยากออกทีวีครับ คุยเล่นกัน ระวัง ผบ.ทบ.(ผู้บังคับการที่บ้านมาแอบอ่านต้องใครตัวมันนะครับอิอิ) ไปยืนดักรอตอนกลับได้นอนตบยุงกันบ้าง เมื่อ: 2003-11-08T14:02:39+00:00 Jeng: อิอิ จริงด้วย แต่วันนี้ขอปล่อยแก่หน่อย ด้วย Remy ใครชอบบ้างยกมือขึ้น เมื่อ: 2003-11-08T14:05:07+00:00 Stock Broker: ปรัชญา เขียน: คุยเล่นกัน ระวัง ผบ.ทบ.(ผู้บังคับการที่บ้านมาแอบอ่านต้องใครตัวมันนะครับอิอิ) ไปยืนดักรอตอนกลับได้นอนตบยุงกันบ้าง สงสัยผมคงไม่ต้องระวังแบบพี่หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมยังเป็น ผบ.สส. อยู่ ยังไม่อยากโดนควบคุมน่ะครับ เมื่อ: 2003-11-08T14:05:27+00:00 Jeng: ดีดี อายุ 50 แล้วค่อย แต่งนะ FE ใช้ชีวิตให้คุ้มกับ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อิอิ เมื่อ: 2003-11-08T14:08:18+00:00 ปรัชญา1: คุยเล่นกัน ระวัง ผบ.ทบ.(ผู้บังคับการที่บ้านมาแอบอ่านต้องใครตัวมันนะครับอิอิ) ไปยืนดักรอตอนกลับได้นอนตบยุงกันบ้าง[/quote] สงสัยผมคงไม่ต้องระวังแบบพี่หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมยังเป็น ผบ.สส. อยู่ ยังไม่อยากโดนควบคุมน่ะครับ[/quote] อย่างนี้ ท่านFEปลอดภัย หาใครไปลอยเป็นเพื่อนได้หรือยัง เหลือแต่ผม ต้องระวังภัย อิอิ เมื่อ: 2003-11-08T14:08:33+00:00 yoyo: ตลกดีครับงานลอยกระทงที่นี่จัดหลังเมืองไทย 1 สัปดาห์ ก็คือจะมีงานกันวันศุกร์ที่จะถึงนี้ครับ จัดโดยนักเรียน MIT party นี้จัดทั้งไทยทั้งฝรั่งครับ แค่คิดก็มันแล้วครับ อยู่ที่นี่ party ตลอดครับ เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่นครับผม ตอนนี้คนที่โน้นยิ้มแย้มกันทุกคน หุ้นขึ้นกันถ้วนหน้า ปิดงบ Q นี้ขอให้กำไรลอยเหมือน ลอยกระทงกันทุกคนเลยนะครับ เมื่อ: 2003-11-09T05:08:11+00:00 ปรัชญา1: yoyo เขียน:ตลกดีครับงานลอยกระทงที่นี่จัดหลังเมืองไทย 1 สัปดาห์ ก็คือจะมีงานกันวันศุกร์ที่จะถึงนี้ครับ จัดโดยนักเรียน MIT party นี้จัดทั้งไทยทั้งฝรั่งครับ แค่คิดก็มันแล้วครับ อยู่ที่นี่ party ตลอดครับ เรียนเป็นเรียน เล่นเป็นเล่นครับผม ตอนนี้คนที่โน้นยิ้มแย้มกันทุกคน หุ้นขึ้นกันถ้วนหน้า ปิดงบ Q นี้ขอให้กำไรลอยเหมือน ลอยกระทงกันทุกคนเลยนะครับ เหงาๆ อยู่ไกล ว่างๆเข้ามาโพท์สบ้าง เรียบจบแล้วทำงานที่ต่างประเทศหรือจะกลับมาเมืองไทย เมื่อ: 2003-11-10T00:01:04+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
งบ SPORT ทั้งปีน้อยกว่า 3 Q อีกครับ arica: เมื่อ: 2007-02-28T04:48:43+00:00 Dech: ผิดหวังมากๆกับตัวนี้ครับ ลงไว้เต็มๆ เซ็งๆครับ ขาดทุนได้ยังไงก็ไม่รู้ ต้องเอางบมาดูหน่อยครับ ขายขาดทุนไปหลายครับ ล้างพอร์ตไปเลยครับ เหลือไว้ 1000 หุ้น ไว้ไปเฉ่งในที่ประชุม หวังว่าปีนี้จะได้ไปนะครับ ปีที่แล้วก็ไปเฉ่งมาแล้ว เซ็งๆๆ เมื่อ: 2007-02-28T13:42:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สำรวจความนิยมตัวช่วยประหยัดภาษีสาวกวีไอ naijan: สำรวจความนิยมของตัวช่วยประหยัดภาษีของชาววีไอกันหน่อยครับ 1.ประกันชีวิต ผลตอบแทนน้อย แต่มั่นคงของคนอยู่ข้างหลัง 2.ltf ลดภาษีได้ ให้แต้มต่อ 3.rmf ระยะยาวหน่อย เอาไว้ใช้ยามชรา 4.บริจาค ได้บุญแถมลดภาษีได้ 5.อื่น+หลายตัวช่วยผสมกันไป 6.ไม่หาตัวช่วย ทุกบาทลงในหุ้น ได้ผลตอบแทนเยอะกว่า เมื่อ: 2011-03-17T03:37:48+00:00 leaderinshadow: ใช้ LTF ครับ แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด คิดว่าซื้อ กองทุนอิงดัชนี ตอน 800-900 จุด คิดว่าได้ของถูกแล้ว แต่... Return + ผลตอบแทนภาษี แพ้ผลตอบแทนจากพอร์ตหลุดลุ่ยเลย เมื่อ: 2011-03-17T09:48:46+00:00 reiter: เครดิตภาษีครับ โดยเฉพาะจากหุ้นปันผล เมื่อ: 2011-03-17T10:34:26+00:00 KGYF: reiter เขียน:เครดิตภาษีครับ โดยเฉพาะจากหุ้นปันผล +1 เมื่อ: 2011-03-17T13:59:41+00:00 miracle: ประกันชีวิต บริจาค หุ้นปันผล เมื่อ: 2011-03-17T15:55:52+00:00 pornchal: leaderinshadow เขียน:ใช้ LTF ครับ แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด คิดว่าซื้อ กองทุนอิงดัชนี ตอน 800-900 จุด คิดว่าได้ของถูกแล้ว แต่... Return + ผลตอบแทนภาษี แพ้ผลตอบแทนจากพอร์ตหลุดลุ่ยเลย เก่งมากนะครับ ผมยังเล่นแพ้ กองทุนเลย ขนาด กอง70:30 ด้วยนะ 55 เมื่อ: 2011-03-22T13:08:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กองทุนต่างชาติ 43 แห่งพร้อมลุยหุ้นไทย vichit: ตลาดหุ้น กองทุนต่างชาติ 43 แห่งพร้อมลุยหุ้นไทย หลังเจพี มอร์แกน ให้น้ำหนักลงทุนในไทยมั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น และปีนี้บจ. แววดีกำไรโต 14% รับอานิสงส์รัฐบาลใหม่เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เผยเริ่มเข้าซื้อช่วงวันที่ 2 พ.ค.นี้ โยนเงินเข้าไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท เน้นกลุ่มเมกะโปรเจกต์ แถมคลังเดินสายโรดโชว์นอก กล่อมต่างชาติเข้าลงทุนมากขึ้น ชี้หลังสงกรานต์เริ่มมีทุนนอกไหลเข้าตลาดหุ้น (ข่าว หุ้น/ทันหุ้น) 􀀮 29  เมษายน 2008   เจพีมอร์แกนเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย บริโภค-ลงทุนฟื้นจีดีพีQ1โต6% --------------------------------------------------------------------------------   ทันหุ้น-กลุ่มเจพี มอร์แกนให้น้ำหนักลงทุนในไทย   มั่นใจเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น  และปีนี้บจ.แววดี กำไรโต 14%  รับอานิสงส์รัฐบาลใหม่เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ   แถมคลังเดินสายโรดโชว์นอก กล่อมต่างชาติ เข้าลงทุนมากขึ้น  ชี้หลังสงกรานต์เริ่มทุนนอกไหลเข้าตลาดหุ้น   ด้านคลังเผยเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ยังเติบ โต 6%เพราะบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวชัดเจน   นายวรภัค  ธันยาวงษ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคารเจพี มอร์แกน เชส และบริษัทหลัก ทรัพย์เจพี มอร์แกน(ประเทศไทย) กล่าวบรรยายข้อมูลเกี่ยวกับตลาดทุนไทยว่า กลุ่มเจพี มอร์แกนยังให้ น้ำหนักลงทุนoverweightในประเทศไทยเนื่องจากมองว่าอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ปีนี้จะสูงถึง 14% และเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น  หลังจากที่มีการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง  ซึ่งจะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายแพทย์สุรพงษ์  สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โรดโชว์ใน ต่างประเทศ และตอบข้อซักถามจากนักลงทุนต่างชาติแล้ว เชื่อว่าจะทำให้ต่างชาติเกิดความเข้าใจมากขึ้น   แต่ยังคาดการได้ยากว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามามากน้อยอย่างไร   ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา  นักลงทุนต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ซึ่งส่วน ใหญ่มองว่าไทยยังเป็นประเทศที่ดีต่อการลงทุน  โดยในส่วนของนักลงทุนระยะยาวที่มีเงินทุนจากเบี้ยประกัน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพยังสามารถเข้าลงทุนได้อยู่ สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร ,อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่กลุ่ม พลังงานแนะนำให้เข้าซื้อ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) PTTEP และบริษัท บ้านปู จำกัด(มหาชน)BANPU  ส่วนบล.เจพี มอร์แกนคาดว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 3-4% ใกล้เคียงกับปีก่อน   โดยบริษัทยังมีอัตราการเติบโตหลักๆจากธุรกิจตราสารหนี้ ด้านนางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)กล่าวว่า  อัตราการ เจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส1/2551(ม.ค.-มี.ค.51) จะขยายตัวได้ถึง 6% เนื่องจากมีสัญญาณที่ดี จากการบริโภคในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวชัดเจน           ขณะที่เงินเฟ้อเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ 5.3% และมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่วนในไตรมาส 1/2551 มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5% แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเพราะมีอัตราต่ำกว่าประเทศอื่นๆ และทั้งปีคาดว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.5% โดยมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง           "เศรษฐกิจไตรมาส 1 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตัวเลขดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวปรับตัวดีขึ้น"นางพร รณี กล่าว     ส่วนการบริโภคเดือนมีนาคม โดยวัดจากอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขยายตัว 10.2% ส่วนไตรมาส 1/2551 ขยาย ตัว 11.5% ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 18.3% โดยวัดจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุน ส่วนไตรมาส 1/2551 ขยายตัว 31.3% ส่วนมูลค่าการส่งออกเดือนมีนาคมขยายตัวเพิ่ม 14.8% ไตรมาส 1/2551 คิดเป็น 20.8% แต่ปริมาณส่งออกมีแนวโน้มลดลงในเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าในตลาดโลก เริ่มชะลอลง แต่การส่งออกสินค้าเกษตรมีอัตราเร่งขึ้น           ทั้งนี้ สศค.คาดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประมาณ การไว้ที่ 5.6% ส่วนกรณีที่มีข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนข้าราชการนั้นจะช่วยให้ประชาชนมีราย ได้มากขึ้นเพื่อชดเชยกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว  http://www.thunhoon.com/home/ -------------------------------------------------------------------------------- เมื่อ: 2008-04-29T02:11:03+00:00 vichit: จับตากองทุนต่างชาติลุยหุ้นเมกะโปรเจกต์ กองทุนต่างชาติ  43  แห่งพร้อมลุยหุ้นไทย หลังเจพี มอร์แกน ให้ข้อมูลลูกค้า เผยเริ่มเขาซื้อช่วงวันที่  2  พ.ค.นี้  โยนเงินเข้าไม่ต่ำกว่า  2 พันล้านบาท เน้นกลุ่มเมกะโปรเจกต์ด้าน  Credit Suisse ให้น้ำหนัก Outperform หุ้น STEC เป้าหมาย 7.70 บาท ส่วน ITD อยู่ที่ 9.40 บาท "เลี้ยบ" ย้ำนักลงทุนสหรัฐพร้อมเพิ่มลงทุนหุ้นไทย นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธนาคารเจพี มอร์แกน เชส และบล.เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากที่กองทุนต่างชาติที่มาจาก สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ทั้งหมด 43 กองทุน ที่เป็นลูกค้าของบริษัทเข้ารับฟังข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 30 แห่ง ในวันที่ 28-29 เมษายน 2551 ที่บริษัทจัดขึ้นนั้น ก็เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม 2551 "การเปิดเวทีให้กับกองทุนที่เป็นลูกค้าของบริษัทให้รับฟังข้อมูลความเคลื่อนไหวของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจอยากที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าออร์เดอร์ของนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาหลังจากที่ได้รับข้อมูลไปเรียบร้อยแล้ว" เม็ดเงินต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะมีเม็ดเงินจำนวนเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเทียบน้ำหนักการลงทุนของ MSCI ที่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 2% ก็ทำให้เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินต่างชาติเฉพาะกลุ่มที่เป็นลูกค้าของบริษัทจะให้น้ำหนักมากกว่า 2% ของเม็ดเงินกองทุนรวมทั้งหมดที่มีอยู่หลักแสนล้านบาท "จากการประเมินเบื้องต้นคาดว่าลูกค้าจะให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยรอบนี้ ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท โดยจะทยอยเข้ามา ซึ่งลักษณะของกองทุนเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนระยะสั้น ที่มีระยะเวลาการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 1 ปี"นายวรภัค กล่าว สาเหตุที่ลักษณะกองทุนที่จะเข้ามาเป็นกองทุนระยะสั้น เนื่องจากที่ผ่านมากองทุนระยะยาวได้เข้ามาซื้อหุ้นไทยไปบ้างแล้ว แต่กลุ่มที่ยังไม่เข้ามาคือ กองทุนที่ลงทุนสั้น ซึ่งถ้าหากกองทุนเหล่านี้เข้ามาจะสร้างสีสันให้กับตลาดหุ้นไทยได้เป็นอย่างดี นายวรภัค กล่าวว่า หุ้นที่ต่างชาติเหล่านี้สนใจ คือ กลุ่ม ก่อสร้าง เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ ซักถาม รมว.คลัง ในประเด็นระยะเวลาการเริ่มต้นของโครงการเมกะโปรเจกต์ งบลงทุนเท่าไหร่  รวมถึงเม็ดเงินในการดำเนินการจะมาจากแหล่งใด และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ "ความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้  คงจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเมกะโปรเจ๊กต์ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ถามกันมากกว่าเรื่องการเมือง" บทวิเคราะห์ลงทุน Credit Suisse วันที่ 28 เม.ย.51 ให้น้ำหนักการลงทุนดีกว่าอุตสาหกรรม(Outperform)  โดยเฉพาะหุ้นบ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือSTEC ให้ราคาเป้าหมาย 7.70 บาท และ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน) ITD ให้ราคาเป้าหมาย 9.40 บาท โดย ทาง Credit Suisse ระบุว่า ผู้ประกอบการรับเหมารายใหญ่มีแนวโน้มได้รับประโยชน์อย่างสูงในช่วงที่ผู้ประกอบการรับเหมารายเล็กทยอยปิดตัวลง เนื่องจากการแข่งขันรุนแรงขึ้น      ขณะเดียวกันยังขาดความสามารถในการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพเท่ากับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน ปัจจัยที่ทำให้ Credit Suisse คงคำแนะนำดังกล่าวให้กับ STEC และ ITD มาจาก 1.มียอดรับรู้รายได้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง      2.กำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการทำสัญญาก่อสร้างใหม่ 3.ราคาหุ้นที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นสูง น.พ.สุรพงษ์   สืบวงศ์ลี  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังจากที่นาย Christopher A. Padilla ปลัดกระทรวงการค้าระหว่างประเทศ สหรัฐอเมริกา และนักลงทุนชาวสหรัฐ เดินทางเข้าพบวานนี้ ว่านักลงทุนสหรัฐมีความพอใจในทิศทางของประเทศไทยในอนาคต ภายหลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลจากรัฐบาลไทย หลังเดินทางไปโรด์โชว์เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา การพบกับนักธุรกิจสหรัฐทั้ง 30 กองทุน ก็เพื่อชี้แจงให้เกิดความมั่นใจในเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยที่ยังมีความแข็งแกร่ง ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ "นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีความกังวลปัญหาการเมืองภายในประเทศไทย แต่สนใจปัญหาด้านเศรษฐกิจและโครงการการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐในหลายเรื่อง อาทิ โครงการรถไฟฟ้า โดยเฉพาะการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการมากกว่าเรื่องของการเมือง" วันที่ 29 เม.ย. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1ช.ม. 57นาที   STEC Price %Change High Low P/E BV 4.98 2.05 % 5.05 4.96 267.12 1.53 ITD Price %Change High Low P/E BV 8.45 -0.59 % 8.55 8.35 35.27 2.26 http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=14983 เมื่อ: 2008-04-29T04:32:09+00:00 anakinnet: ออกข่าวแบบนี้เพื่ออะไร? ทำไมต้องบอกว่าจะมาซื้ออะไร เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ทำไมไม่มาซื้อเลย? เมื่อ: 2008-04-29T11:58:25+00:00 ply33: Re: กองทุนต่างชาติ 43 แห่งพร้อมลุยหุ้นไทย = THAI ??? เข้ามาป่วน เหอๆ เมื่อ: 2008-04-29T12:06:34+00:00 MindTrick: แปลมาจาก ไอ ติดหุ้นกว่า 43กอง ที่หนักๆ คือ PTTEP กับ STEC ไอก็ คิดว่ามันดีเหตุผลสารพัดโถมใส่ คิดนานกว่าจะซื้อก็ตอนที่ราคามันทำนิวไฮ พวก ยู ช่วยมารับๆไปหน่อย นะ นะ i want to survive ... เมื่อ: 2008-04-29T12:14:46+00:00 pongo: MindTrick เขียน:แปลมาจาก ไอ ติดหุ้นกว่า 43กอง ที่หนักๆ คือ PTTEP กับ STEC ไอก็ คิดว่ามันดีเหตุผลสารพัดโถมใส่ คิดนานกว่าจะซื้อก็ตอนที่ราคามันทำนิวไฮ พวก ยู ช่วยมารับๆไปหน่อย นะ นะ i want to survive ... :lol:  :lol:  :lol: ปกติคนจะเก็บหุ้น เขาประกาศกันโครมๆ แบบนี้หรือครับ อยากซื้อแพงรึถูกเนี่ย เมื่อ: 2008-04-30T02:58:03+00:00 SEHJU: pongo เขียน: :lol: เมื่อ: 2008-04-30T03:20:26+00:00 ...: กองทุยต่างชาติ 43 แห่งพร้อมลุย(ขาย)หุ้นไทย เมื่อ: 2008-04-30T03:47:47+00:00 เด็กตัวเล็กๆ: ถ้าเขาออกข่าวว่าดีจะซื้อ ก็แปลว่าเขาแอบซื้อไปแล้ว จะมีใครที่ใจดีบอกว่าตัวนั้นตัวนี้ดีซื้อกันเถอะแล้วตัวเองยังไม่ซื้อ นั้นคงหายากในโลกนะครับ :lol: เรียกกันไปทุบเปล่าหว่า.. เมื่อ: 2008-05-04T15:12:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนสมาชิกหน่อยครับ สามัญชน: งานสัมนา 1พค. นี้ เราได้ขอการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนจากกิมเอ็ง กิมเอ็งก็ยินดีโดยไม่ได้เรียกร้องใดๆ แต่เราก็อยากตอบแทนเขาคืนบ้าง โดยอยากให้สมาชิกที่ยังไม่เคยเปิดพอร์ทกับกิมอ็ง ได้ช่วยเตรียมเอกสาร 3 อย่างเพื่อเปิดพอร์ทกับกิมเอ็ง 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาสมุดเงินฝาก ธนาคารใดก็ได้ โดยจะมีพนักงานน่ารักๆของกิมเอ็งมาคอยอำนวยความสะดวกทุกขั้นตอนการเปิดบัญชี ท่านสมาชิกที่ประสงค์จะช่วย เมื่อ: 2010-04-24T09:33:20+00:00 picklife: มีแล้วนะครับขอโทษครับพี่ เมื่อ: 2010-04-24T09:58:55+00:00 sutthichai: เปิดแล้วครับ kimeng แหละครับ เมื่อ: 2010-04-24T10:53:06+00:00 crazyrisk: [quote="สามัญชน"] โดยจะมีพนักงานน่ารักๆของกิมเอ็งมาคอยอำนวยความสะดวกทุกขั้นตอนการเปิดบัญชี ท่านสมาชิกที่ประสงค์จะช่วย เมื่อ: 2010-04-24T10:54:50+00:00 เก็ตถวา: ไม่ได้ไปสัมนา แต่มีความประสงค์จะเปิด port ด้วยได้มั้ยคะ และต้องทำอย่างไร  :roll: เมื่อ: 2010-04-24T13:13:09+00:00 leonleon: ช่วย 1 ID ครับ ว่าแต่ว่าน่ารักจริงนะครับพี่ ? เมื่อ: 2010-04-24T13:31:20+00:00 RONNAPUM: สนใจครับพี่หมอ แต่ผมไม่ทราบว่า 1. ไม่รู้ว่าของกิมเอ็ง มีขั้นต่ำเท่าไหร่ พอดีอยากเปิด เพื่อขอเปิดมาร์จิ้นพอดีครับ 2. แล้วถ้าไม่เงินในบัญชีเลยแต่มีแต่หุ้นจะได้ไหม   ปล.. แต่ยังไงผมจะเตรียมเอกสารไปครับ  :D เมื่อ: 2010-04-24T15:18:25+00:00 AuI_a VI: [quote="RONNAPUM"]สนใจครับพี่หมอ แต่ผมไม่ทราบว่า 1. ไม่รู้ว่าของกิมเอ็ง มีขั้นต่ำเท่าไหร่ พอดีอยากเปิด เพื่อขอเปิดมาร์จิ้นพอดีครับ 2. แล้วถ้าไม่เงินในบัญชีเลยแต่มีแต่หุ้นจะได้ไหม เมื่อ: 2010-04-24T16:27:53+00:00 Hughes: ขั้นต่ำ 50 บาทครับ ทุกบัญชีแล้วรวมทั้งบัญชีเงินสดด้วย ถ้าจะเปิด margin ด้วยนี่เสียค่าธรรมเนียม 500 บาทสำหรับวงเงินมาร์จิ้นทุก 1 ล้านบาท ถ้าอยากเปิดพอร์ทมาร์จิ้นผมว่าเปิดโบร๊กอื่นก็ดีนะครับเพราะหุ้นแรงๆนี่กิมเอ็งมักจะไม่ให้เล่น margin เพราะพวกไวๆเขาจะเล่นกันจนเต็มวงเงินกันหมดแล้ว เช่น KCE, SIS, SSI อีกอย่างถ้าเราใช้บัญชี margin ถึงแม้จะมีเงินสดเหลือในบัญชีก็ซื้อหุ้นตามใจชอบไม่ได้ครับต้องซื้อหุ้นตามที่เขาอนุญาติเท่านั้น ผมเจอปัญหานี้เลยต้องแยกพอร์ทเป็นสองพอร์ท พอร์ทธรรมดาเล่นพวกหุ้นที่เขาไม่ให้เล่น ส่วนพอร์ทจิ้นนี่ซื้อแต่ตัวที่เขาอนุญาติให้ซื้อ [quote="RONNAPUM"]สนใจครับพี่หมอ แต่ผมไม่ทราบว่า 1. ไม่รู้ว่าของกิมเอ็ง มีขั้นต่ำเท่าไหร่ พอดีอยากเปิด เพื่อขอเปิดมาร์จิ้นพอดีครับ 2. แล้วถ้าไม่เงินในบัญชีเลยแต่มีแต่หุ้นจะได้ไหม เมื่อ: 2010-04-24T18:43:28+00:00 cookgirl: [quote="Hughes"]ขั้นต่ำ 50 บาทครับ ทุกบัญชีแล้วรวมทั้งบัญชีเงินสดด้วย ถ้าจะเปิด margin ด้วยนี่เสียค่าธรรมเนียม 500 บาทสำหรับวงเงินมาร์จิ้นทุก 1 ล้านบาท ถ้าอยากเปิดพอร์ทมาร์จิ้นผมว่าเปิดโบร๊กอื่นก็ดีนะครับเพราะหุ้นแรงๆนี่กิมเอ็งมักจะไม่ให้เล่น margin เพราะพวกไวๆเขาจะเล่นกันจนเต็มวงเงินกันหมดแล้ว เช่น KCE, SIS, SSI อีกอย่างถ้าเราใช้บัญชี margin ถึงแม้จะมีเงินสดเหลือในบัญชีก็ซื้อหุ้นตามใจชอบไม่ได้ครับต้องซื้อหุ้นตามที่เขาอนุญาติเท่านั้น ผมเจอปัญหานี้เลยต้องแยกพอร์ทเป็นสองพอร์ท พอร์ทธรรมดาเล่นพวกหุ้นที่เขาไม่ให้เล่น ส่วนพอร์ทจิ้นนี่ซื้อแต่ตัวที่เขาอนุญาติให้ซื้อ [quote="RONNAPUM"]สนใจครับพี่หมอ แต่ผมไม่ทราบว่า 1. ไม่รู้ว่าของกิมเอ็ง มีขั้นต่ำเท่าไหร่ พอดีอยากเปิด เพื่อขอเปิดมาร์จิ้นพอดีครับ 2. แล้วถ้าไม่เงินในบัญชีเลยแต่มีแต่หุ้นจะได้ไหม เมื่อ: 2010-04-26T09:49:33+00:00 green-orange: [quote="สามัญชน"]งานสัมนา 1พค. นี้ เราได้ขอการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนจากกิมเอ็ง กิมเอ็งก็ยินดีโดยไม่ได้เรียกร้องใดๆ แต่เราก็อยากตอบแทนเขาคืนบ้าง โดยอยากให้สมาชิกที่ยังไม่เคยเปิดพอร์ทกับกิมอ็ง ได้ช่วยเตรียมเอกสาร 3 อย่างเพื่อเปิดพอร์ทกับกิมเอ็ง 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สำเนาทะเบียนบ้าน 3. สำเนาสมุดเงินฝาก ธนาคารใดก็ได้ โดยจะมีพนักงานน่ารักๆของกิมเอ็งมาคอยอำนวยความสะดวกทุกขั้นตอนการเปิดบัญชี ท่านสมาชิกที่ประสงค์จะช่วย เมื่อ: 2010-04-26T09:57:52+00:00 Zumo: ผมว่าถ้าจะเล่น margin นี่น่าเปิดของ kimeng น่ะครับ เพราะข้อที่ดีที่สุดก้อคือดอกเบี้ยน่าจะถูกที่สุด 4.75% เอง  แต่ด้วยความที่มันดอกเบี้ยต่ำบางทีทางโบรกก็อาจจะต้องพิจารณาหุ้นที่จะปล่อยมากเป็นพิเศษครับ  บางทีหุ้นดีๆแต่สภาพคล่องน้อยเค้าอาจจะไม่ปล่อยซึ่งก้ออาจจะเป็นผลดีกับเราน่ะครับ เพราะสภาพคล่องหุ้นน้อยๆ หากเกิดไรฉุกเฉินขึ้นทีนึง ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะไม่กระทบกับหุ้นของเรา แต่หุ้นเบาๆโดนขายหน่อยก้อเละแล้ว เหมือนช่วงปลายปี 51 หุ้นผมก้อลงเละเทะเลย ทั้งๆที่ไม่ได้กระทบอะไรกับกิจการเลย โชคดีที่ตอนนั้นหุ้นที่ผมเล่น เค้าไม่ยอมปล่อย margin ไม่งั้นหล่ะก้อเละแน่ๆ โดน force มันส์แน่เลย ปล. พนักงานน่ารักจริงครับ งานนี้เปิดบัญชีแถมเบอร์โทรจะเอา เบอร์office หรือ เบอร์มือถือก้อเจรจากันเองครับ  555 :lol: เมื่อ: 2010-04-27T04:00:41+00:00 RONNAPUM: ขอบคุณครับ ทุกท่าน แต่ จากสาวๆน่ารัก( ตอนนี้มีน่ารักพอแล้วครับ  :D  ) ขอเปลี่ยนเป็นให้มาร์จินหุ้นไหนก็ได้ที่ผมต้องการได้ไหม  :D เมื่อ: 2010-04-27T04:34:02+00:00 Zumo: [quote="RONNAPUM"]ขอบคุณครับ ทุกท่าน แต่ จากสาวๆน่ารัก( ตอนนี้มีน่ารักพอแล้วครับ เมื่อ: 2010-04-27T04:51:36+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
UAPC pakapong_u: *UAC เตรียมขาย IPO "ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์" 174 ล้านหุ้น เข้าเทรด mai Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th) Monday, March 26, 2018 09:11 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มี.ค. 61)--บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 23 มี.ค. อนุมัติแผนการนำบริษัท ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (UAPC) ผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทอิมัลชั่นโพลิเมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 174 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น และหุ้นที่บริษัทถืออยู่ใน UAPC จำนวน 54 ล้านหุ้น โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 61 UAPC จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 180 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขาย IPO รวม 120 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท (หลังจากแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด UAPC จะเปลี่ยนแปลงพาร์จากหุ้นละ 100 บาท เป็นหุ้นละ 0.50 บาท) ทั้งนี้ จำนวนหุ้นของ UAPC ที่จะเสนอขายต่อ IPO จะมีสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 36.25 ของทุนชำระแล้วของ UAPC ภายหลังการเพิ่มทุน และบริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมใน UAPC ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 63.75 ของทุนชำระแล้วของ UAPC ภายหลังการเพิ่มทุน โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UAPC แล้วเสร็จ จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้น UAPC ของบริษัท ลดลงจากร้อยละ 100 เหลือร้อยละ 75 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลดลงของสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน UAPC อาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นของบริษัท คณะกรรมการบริษัทจึงได้พิจารณาชดเชยผลกระทบดังกล่าว โดยได้มีมติอนุมัติการเสนอขายและการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UAPC ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท (Pre-emptive Right) จำนวนไม่เกิน 87 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขาย IPO รวม 174 ล้านหุ้น การนำ UAPC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สอดคล้องกับแผนงานของบริษัทในการให้ UAPC เติบโต สร้างศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถระดมทุนและเข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่ง UAPC ยังมีความความต้องการใช้เงินลงทุนเพื่อขยายงานในอนาคต ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทให้นำเรื่องแผนการเข้าจดทะเบียนดังกล่าวนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อรับทราบในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 เม.ย.61 --อินโฟเควสท์ โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]-- เมื่อ: 2018-03-26T06:34:55+00:00 pakapong_u: UAC คาด"ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์"ยื่นไฟลิ่ง-ขายหุ้น IPO พร้อมเข้าตลาด mai ได้ภายในปีนี้ Source - IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (Th) Thursday, April 05, 2018 11:17 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 เม.ย. 61)--นายชัชพล ประสพโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) เปิดเผยว่า บริษัท ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (UAPC) ผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทลาเท็กซ์อีมัลชั่นและโพลิเมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยได้มีการแต่งตั้งให้บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งภายในปี 61 UAPC มีแผนจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 174 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของ UAC จำนวน 54 ล้านหุ้น โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 180 ล้านบาท เป็น 240 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน 120 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท หรือ มีสัดส่วนไม่เกิน 36.25% ของทุนชำระแล้วของ UAPC ภายหลังการเพิ่มทุน และบริษัทยังคงเป็นผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 63.75% ของทุนชำระแล้วของ UAPC ภายหลังการเพิ่มทุน ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติให้ทำการเสนอขายและการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UAPC ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญของ UAC ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท (Pre-emptive Right) จำนวนไม่เกิน 87 ล้านหุ้น คิดเป็น 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขาย IPO นายชัชพล กล่าวเพิ่มเติมว่า UAC ในฐานะบริษัทแม่มองว่า การนำ UAPC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการส่งผลดีต่อบริษัทโดยตรง เนื่องจาก UAPC สามารถระดมทุนผ่านช่องทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยตัวบริษัทเอง ซึ่งในอนาคตก็ยังสามารถใช้แหล่งเงินทุนผ่านการระดมทุนในรูปแบบต่างๆเพื่อต่อยอดและขยายงานในอนาคตได้เพิ่มขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับแผนของ UAC ในฐานะบริษัทแม่ ที่ต้องการให้ UAPC มีความแข็งแกร่งทั้งศักยภาพการดำเนินธุรกิจและฐานะทางการเงินที่เติบโตแบบยั่งยืนในอนาคต ปัจจุบัน UAPC มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เพราะกลุ่มประเทศดังกล่าวมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านเคมีภัณฑ์อยู่ในระดับสูง เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง --อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์/วิลาวัลย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]-- เมื่อ: 2018-04-05T05:36:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอชื่นชมพี่หมอสามัญชน(ศรราม) leksmile: คือผมก็เพิ่งเล่นเว็บนี้มายังไม่ครบปีดี แต่เอาที่ผมเข้ามาเล่นที่นี่ จนตั้งแต่พี่หมอมารับตำแหน่งดูแล thaivi ผมรู้สึกเว็บนี้มีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลย มีกิจกรรมโน่นนี่ ได้รู้จักเพื่อนเล่นหุ้นใหม่ๆขึ้นอีกหลายคน แบ่งปันมุมมองและให้ความรู้กัน รวมถึงโครงการ visit company นี่ขอชื่นชมเหมือนกัน ขอให้จัดให้ได้หลายๆบริษัทเลยนะครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2007-07-01T09:28:18+00:00 misterjai:     เมื่อ: 2007-07-02T03:05:47+00:00 007-s: เมื่อ: 2007-07-02T03:09:17+00:00 chartchai madman: เห็นด้วยครับ ขอชื่นชมและคาราวะพี่หมอสามัญชนและทีมงานครับ กิจกรรมปีนี้คึกคักและมีประโยชน์ยิ่งสำหรับชาววีไอ ผมแม้จะยังไม่ได้เข้าร่วมกิจจกรรมใดๆในอดีต แต่วันข้างหน้าต้องเข้าไปร่วมงานต่างๆแน่นอนครับ ที่สำคัญคือเข้าไปคาราวะบรรดาอาจารย์ทั้งหลายที่เขียนตำราให้อ่าน ขอบคุณพี่ครรชิต อจ.มน,แม่ทัพสุมาอี้ด้วยครับ แล้วเสนอแนะแม่ทัพสุมาอี้ด้วยครับ หากจะจัดหลักสูตรประเมินมูลค่าหุ้นสำหรับสมาชิกวีไอเรา ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้เยอะสำหรับผู้ที่ยังประเมินมูลค่าหุ้นไม่ชำนาญ(รวมทั้งผมด้วย) จะได้ไม่มีใครต้องตกรถอีกเวลาหุ้นขึ้น และไม่มีใครต้องแหยงไม่กล้าซื้อตอนหุ้นลง                                                       ขอแสดงความนับถือทีมงานครับ                                                                  chartchai madman เมื่อ: 2007-07-02T04:28:01+00:00 tummeng:   เมื่อ: 2007-07-02T04:31:25+00:00 por_jai: 8) หมอมีลักษณะผู้นำที่ดีครับ     สุขุม ใจเย็น กล้าทำ กล้าคิด     แต่ที่เด่นที่สุด ปากหวาน ชมคนเก่งครับ     โดนแกวานให้ช่วยงาน     ได้แต่งกๆเงิ่นๆทำไป     ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว     ไม่รู้แกจบบอร์ดที่แคเมอรูนหรือเปล่า.... เมื่อ: 2007-07-02T04:40:43+00:00 tae_2323: ผมมาให้กำลังใจหมอครับ เมื่อ: 2007-07-02T05:12:17+00:00 สามัญชน: ขอบคุณครับ       เมื่อ: 2007-07-02T05:17:19+00:00 oatty: [quote="por_jai"]8) หมอมีลักษณะผู้นำที่ดีครับ เมื่อ: 2007-07-02T05:28:01+00:00 โอ@: มาให้กำลังใจพี่หมอด้วยครับ ทีมงานเก่าก็เป็นผู้ช่วยเหลือปลุกปั้นเว็ปให้มีชื่อเสียง พี่หมอพร้อมทีมงานใหม่ก็มาช่วยให้ยืนยงเจริญต่อไป  :cheers: เมื่อ: 2007-07-02T05:31:27+00:00 surat2536: มาให้กำลังใจครับ และขอขอบคุณในความเสียสละ       เมื่อ: 2007-07-02T06:49:12+00:00 Qคุง: เห็นด้วยครับเพราะส่วนใหญ่เป็นงานการกุศล เลยต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ยอมสละเวลาทำกัน เพื่อให้สมาคมชาว VI มีความมั่นคง ยั่งยืน และมีสมาชิกเพิ่มขึ้มมากๆ เมื่อ: 2007-07-02T06:58:32+00:00 yainaja: เพิ่งสมัครเข้ามาวันแรก  ขอคารวะด้วยคน  หลังจากแอบดูมานานด้วยความช่วยเหลือจากลูกสาว เมื่อ: 2007-07-02T07:21:18+00:00 Saran: มาให้กำลังใจด้วยคนครับ ต้องขอบคุณพี่หมอสามัญชนกับทีมงานทั้งเก่าและใหม่ทุกๆคนครับ ที่ได้มาช่วยกันสร้างสรรเวปดีๆ แห่งนี้ให้มีชื่อเสียงยั่งยืนต่อไป เมื่อ: 2007-07-02T07:23:43+00:00 sunrise: มาให้กำลังใจอีกคนครับ เมื่อ: 2007-07-02T08:01:09+00:00 alexx: มาให้กำลังใจ พี่ หมอด้วยคนครับ  :cheers:   เมื่อ: 2007-07-02T08:31:35+00:00 ...: เมื่อ: 2007-07-02T08:59:39+00:00 ก้อนหิน:     เมื่อ: 2007-07-02T09:02:04+00:00 dino:     เมื่อ: 2007-07-02T09:11:35+00:00 ...: นอกจากพี่หมอสามัญชน(ศรราม)แล้ว ขอชื่นชมทีมงานทุกๆท่านด้วยครับ เมื่อ: 2007-07-02T09:18:20+00:00 nearly_vi: ชื่นชม และเป็นกำลังใจให้ทุกๆ ท่านครับ  :D เมื่อ: 2007-07-02T09:43:56+00:00 beammy: พี่หมอศรราม เยี่ยมอยู่แล้วครับ  8)  ... เมื่อ: 2007-07-02T10:04:29+00:00 Artsuro: ชื่นชมในบทความและการใช้สำนวนในการให้ความรู้ของพี่หมอมากครับ        ขอบพระคุณครับ       เมื่อ: 2007-07-02T10:09:34+00:00 Accidental Hero: ยกให้ 3 นิ้วเลยครับ นิ้วที่ 1 ความเสียสละ นิ้วที่ 2 ความสามารถ นิ้วที่ 3 ความเป็นผู้นำ เมื่อ: 2007-07-02T10:29:01+00:00 Raphin Phraiwal:       ขอกราบขอบคุณทั้งทีมงานเก่าและทีมงานใหม่ทุกท่านที่เสียสละครับ เมื่อ: 2007-07-02T11:14:47+00:00 Basketman: มาให้กำลังใจและชื่นชม พี่หมอและทีมงานทุกท่านครับ ...       วันที่ 4 นี้แต่งตัวหล่อๆนะครับพี่หมอ ผมเตรียมอัดวีดีโอไว้แล้ว 8) เมื่อ: 2007-07-02T11:17:09+00:00 sattaya: ถึงแม้ผมจะเป็นสมาชิก thaivi ได้ไม่นานแต่ก็เห็นผลงานของคุณหมอและทีมงานทุกท่าน ขอคารวะและเป็นกำลังใจให้ครับ เมื่อ: 2007-07-02T12:26:38+00:00 noooon010: ขอบคุณนะครับที่มี web ดีๆแบบนี้ เมื่อ: 2007-07-02T12:30:28+00:00 touchup: ขอบคุณทีมงานด้วยคน รวมถึงทุกท่านที่เข้ามาโพสอะไรดีๆ ทั้งหมด และที่ขาดไม่ได้อีกคนคือพี่ครรชิตครับ เมื่อ: 2007-07-02T12:33:29+00:00 Rocker: พี่หมอแกเก่งมากๆๆเก่งจริงครับ โทษนะพี่ แม้ตัวจริงท่าทางอาจดู ไม่เก่งไม่บอกไม่รู้ว่าเป็นหมอ แต่ขอบอกเก่งโคตรๆๆ เก่ง หุ้นนะครับ  :D ด้วยความเคารพ เมื่อ: 2007-07-02T12:46:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
short sell+หวัดนก+ตลาดปรับฐาน+โอกาส+ซื้อ+ หุ้นพื้นฐานดี Jeng: เชื่อผมเถอะ มองหุ้นพื้นฐานดี ดูแบบเจ้าของกิจการ ดูอะไร ดูยอดขาย ดูรายได้ ดูกำไรย้อนหลัง ดูหนี้สิน ดูแนวโน้มในอนาคต เมื่อราคามันลงมาที่ PE 4 - PE 6 ก็ซื้ออย่างบ้าคลั่ง ผ่านไป 6 เดือน PE ตลาดไป ที่ 12 เราก็ได้กำไร 100 % ซื้อแล้วราคาลง อย่ากลัว ถือไว้ อย่าไปดูดัชนี เพราะมันหลอกเรา อ่าน 56-1 แหวะชมสินค้า หรือบริการ ในบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ TVI จะจัด ไป vitsit company มีโอกาส ก็ต้องรีบไป ขอให้โชคดี การ ยืมหุ้น มาขายก่อน เป็นสัญญานที่ดีมากๆ ดีกว่า เขาเอาหุ้นของเขาออกมาขาย เพราะอย่างไรก็ตาม เขาต้องกลับมาซื้อคืน ขอให้มีเหตุมีผล และหนักแน่น ขอให้โชคดี ปี ทอง แห่งตลาดหุ้นไทย พบกันที่ดัชนี 1000 ปลายปี 47 เมื่อ: 2004-01-31T08:40:51+00:00 Mon money: เป็นโอกาสที่สำคัญของVIแล้วครับ เริ่มทำงานกันได้แล้ว หลักการอย่างที่พี่เจ๋งให้ไว้นั่นแหละถูกต้องที่สุด เมื่อมีการShort sellนั่นคือพวกเขาคิดว่าหุ้นมันจะลงจึงยืมและขายออก และเข้าซื้อคืนในราคาที่ถูกเพื่อคืนหุ้นที่ยืมมา ยิ่งขายออกมามากยิ่งต้องคืนมาก และถ้าเป็นหุ้นดีๆจะมีคนแย่งซื้อและราคาจะวิ่งขึ้นเอง เน้นที่หุ้นพื้นฐานดีที่ทะลึ่งลงมามากๆเอาไว้ ผมเก็บไว้ตลอดครับ ยิ่งลงยิ่งเก็บ และไม่รู้เป็นยังไงยิ่งแดงยิ่งชอบ เมื่อ: 2004-01-31T12:54:47+00:00 BEN: ถูกต้องนะคร๊าบบบบ อย่าพูดเหมือนหุ้นกำลังจะขึ้นสิครับ ขอเก็บอีกหน่อยนะครับ เมื่อ: 2004-02-01T15:48:06+00:00 tvi4ever: Jeng เขียน:เชื่อผมเถอะ มองหุ้นพื้นฐานดี ดูแบบเจ้าของกิจการ ดูอะไร ดูยอดขาย ดูรายได้ ดูกำไรย้อนหลัง ดูหนี้สิน ดูแนวโน้มในอนาคต เมื่อราคามันลงมาที่ PE 4 - PE 6 ก็ซื้ออย่างบ้าคลั่ง ผ่านไป 6 เดือน PE ตลาดไป ที่ 12 เราก็ได้กำไร 100 % ซื้อแล้วราคาลง อย่ากลัว ถือไว้ อย่าไปดูดัชนี เพราะมันหลอกเรา อ่าน 56-1 แหวะชมสินค้า หรือบริการ ในบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ TVI จะจัด ไป vitsit company มีโอกาส ก็ต้องรีบไป ขอให้โชคดี การ ยืมหุ้น มาขายก่อน เป็นสัญญานที่ดีมากๆ ดีกว่า เขาเอาหุ้นของเขาออกมาขาย เพราะอย่างไรก็ตาม เขาต้องกลับมาซื้อคืน ขอให้มีเหตุมีผล และหนักแน่น ขอให้โชคดี ปี ทอง แห่งตลาดหุ้นไทย พบกันที่ดัชนี 1000 ปลายปี 47 พี่เจ๋งครับ ผมมองแนวทางการลงทุนพี่น่าเป็นแบบอย่างครับ พี่ช่วยตอบกระทู้ในร้อยคนร้อยหุ้นที่ผมฝากถามพี่ที่ TPC หน่อยครับ เมื่อ: 2004-02-02T04:18:51+00:00 tvi4ever: วันนี้ผมรับมาแล้วครับ หุ้นพลังงานราคาถูก มีปันผล ผูกขาด อนาคตไกล กำไรโตต่อเนื่อง ซื้อด้าน offer ไปเลย ตอนดัชนีวิ่งลงมา 32 จุด ตอนใกล้ปิดราคาวิ่งขึ้นลงอีกนิดหน่อย แล้วมันก็ปิดด้วยราคานั้น ที่ด้าน bid พร้อมจะซื้อเพิ่ม เมื่อมันถูกกว่านี้อีก 20% ครับ จากนั้นผมจะนอนรอปันผล กินไปเรื่อยๆ รอขายเมื่อได้ส่วนต่างจนพอใจ ยามตลาดกระทิงมาเยือนครับ เมื่อ: 2004-02-02T14:46:49+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ลงทุนในหุ้นตลาดต่างประเทศดีมั๊ยครับ fountain: อยากทราบว่าการลงทุนในตลาดเมืองนอกจะให้ผลตอบแทนดีกว่าในไทยมั๊ยถ้าลงทุนแบบ VI และพี่ๆนิยมลงทุนในตลาดต่างประเทศกันมั๊ยคับ เมื่อ: 2007-02-09T18:34:27+00:00 นายสต็อก: มุมมองแบบแมงเม่า VI นะครับ... ลองศึกษากองทุนที่ลงทุนหุ้นในต่างประเทศดูบ้างก็ได้ครับ ผมยกตัวอย่างให้ กองทุนนึงของ ธนาคารใบโพธิ์ ชื่อว่า Global Fund เค้าลงทุนในตลาดต่างประเทศ เช่น อเมริกา หรือ ยุโรป ดูผลการดำเนินงานจาก กราฟผลตอบแทนการลงทุนของเค้า ได้ครับ (ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อนะครับ เดี๋ยวเข้าใจผิด) http://www.scbam.com คลิ๊ก Link ดูที่ กองทุนชื่อ แพลทตินัม โกลบอลด์ ฟันด์ (SCBPGF) เค้ามีกราฟแสดงให้ดู...ลองไปทำการบ้านดูเองครับ!!! 8) เมื่อ: 2007-02-12T13:34:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันนี้ใครไปประชุมผู้ถือหุ้น Ticon มาบ้างครับ oo: อยากทราบว่าเป็นอย่างไรบ้างเรื่องการเพิ่มทุน รบกวนด้วยครับ เมื่อ: 2006-09-13T15:01:08+00:00 por_jai: 8) ก็เพิ่มแน่107ล้านหุ้น ขายแบบเฉพาะ     ราคาก็บวกลบ10%จากราคาตลาดตอนที่ขาย     ไทมิ่งยังไม่ระบุคาดว่าปลายๆปี      แล้วก็อี2ล้านหุ้นเพื่อไปคอฟเวอร์วอแรนท์ที่จะถึงเวลา      รวมแล้วได้เงินอีก2000กว่าล้านซึ่งจะทำให้กู้ได้อีก5000กว่าล้าน(ดี/อีที่2.5)รวมมีเงินอีก7000ล้านมาหมุนไปหมุนมา      สรุปของสรุปคือฟูลลี่(fooly)ไดลูทไปทั้งหมด16%(เอง)      คุณวีรพันธ์ทำเป็นคำนวณไม่ถูกตะหาก      ไม่รู้แกล้งโง่หรือเปล่า...      อยากรู้อะไรเพิ่มถามได้ครับ      กาแฟอร่อยดี      เค็กหมดครับไปสายไปหน่อย      ท่านประธานคุณชาลี โสภณภณิชพูดไทยชัดกว่าชาติสิริครับ      จบรายงานข่าวแบบขำๆ      แต่รับรองว่าเนื้อหาครบถ้วนครับ... เมื่อ: 2006-09-13T17:06:23+00:00 bigshow: แล้วปลายปีจะมีการขาย รง. เข้า tfund อีกหรือเปล่าครับ TICON ลั่นทั้งปีโตเพิ่ม 20%แน่ Q4 เดินหน้าเพิ่มขนาด TFUND โดย กระแสหุ้น "ไทคอนฯ" เดินหน้าขยายกองทุนอสังหาฯเป็น 5,000 ล้านบาท คาดได้ข้อสรุปไตรมาส4 ผู้บริหารมั่นใจทั้งปีรายได้เติบโตตามเป้า 15-20% พร้อมวางแผนเปิดโรงงานใหม่เพิ่ม โบรกฯเชื่อมั่นในศักยภาพ แนะนำเข้าลงทุน นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน)(TICON) กล่าวว่า บริษัทฯยังคงมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยมาจากการขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์TFUND ประมาณ 2,000 ล้านบาท และจากค่าเช่าพื้นที่ประมาณ 650 ล้านบาท และอีก 200 ล้านบาทจะมาจากการขายโรงงาน ทั้งนี้ บริษัทฯยังวางเป้าหมายเปิดโรงงานใหม่จำนวน 70 โรง โดยในช่วงครึ่งปีแรกได้ทำการเปิดไปแล้วจำนวน 30 โรง และเชื่อว่าโรงที่เหลือจะยังมีความต้องการอย่างแน่นอน เพราะในขณะนี้ได้มีการเซ็นสัญญาเช่าล่วงหน้าแล้วกว่า 20 ราย ขณะเดียวกัน บริษัทฯมีแผนที่จะขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์TFUND โดยจะเพิ่มขนาดกองทุนขึ้นเป็นประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3,800 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการเตรียมยื่น ก.ล.ต.เพื่อขออนุมัติขยายกองทุนในช่วง Q4/2549 โดยพันธมิตรที่ต้องการให้เข้ามาร่วมลงทุนนั้น คงจะเป็นนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ "ในช่วงที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง รวมถึงความไม่ชัดเจนทางการเมือง แต่กลับเป็นผลดีต่อธุรกิจของ TICON เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่มีความมั่นใจที่จะลงทุนก่อสร้างเอง จึงหันมาใช้การเช่าโรงงานแทน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทฯได้มีการประกาศเพิ่มทุนไปแล้วนั้น คงทำให้บริษัทฯไม่มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล แต่ทั้งนี้ อาจมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลงวดสั้นปี 2549 โดยบริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลประมาณ 40% ของกำไรสุทธิ ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทฯอยู่ที่ประมาณ 2 เท่า ซึ่งจะพยายามรักษา D/E ในปีนี้ให้อยู่ในระดับดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ด้านนายชัย จิรเสวีณุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) หรือ CNS กล่าวให้ความเห็นว่า สำหรับหุ้น TICON ทางบริษัทให้คำแนะนำ 'ซื้อ' แม้ว่าขณะนี้หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้างจะไม่มีการซื้อขายเท่าที่ควร "โดยพื้นฐานของบริษัทถือเป็นหุ้นดี แต่นักลงทุนน่าจะเข้าซื้อเมื่ออ่อนตัวลงมามากกว่า เนื่องจากระยะนี้หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมค่อนข้างเงียบเหงา โดยถ้าราคาสามารถขึ้นไปได้น่าจะมีแรงขายออกมาตามแนวต้านที่ 18.10-18.30 บาท ขณะที่เมื่ออ่อนตัวลงมาน่าจะไม่มากนัก ซึ่งจะเป็นลักษณะแบบขั้นบันไดที่แนวรับ 17 บาท" ด้านนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ไซรัส แนะนำว่า นักลงทุนสามารถลุ้นเทรดดิ้งได้ โดยมีแนวต้านที่ 18.00-18.50 บาท แต่ถ้าราคาต่ำกว่าแนวรับที่ 17 บาท ให้ Stop Loss เมื่อ: 2006-09-14T17:51:13+00:00 por_jai: bigshow เขียน:แล้วปลายปีจะมีการขาย รง. เข้า tfund อีกหรือเปล่าครับ 8) เรื่องที่พี่ bigshow ถามเนี่ยไม่มีในวาระการประชุมครับ     ผมก็ได้อ่านในนสพ.พร้อมๆกับพี่แหละครับ     เอ่อ..พี่ bigshow ครับช่วยเปลี่ยนท่าไม้ตายจาก shokeslam     ไปเป็นท่าอื่นบ้างได้ไหมครับ เบื่อท่านี้แล้วครับ.... เมื่อ: 2006-09-15T01:01:46+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
.. LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:34:03+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:35:55+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:38:25+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:40:54+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:43:17+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T12:45:43+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T13:04:10+00:00 ch_army: ไปๆมาๆ ก็กลายเป็น มาเชียร์หรือนี่ ผมงงจังเลยครับพี่ โลโซ แต่การเชียร์นี่มีเหุตผลทีเดียว อย่างน้อยหากคิดที่ราคาเท่ากับ NAV ใหม่ของ บริษัท ก็น่าสนใจทีเดียว เมื่อ: 2005-01-23T13:05:43+00:00 yoyosun: ตอนแรกผมยังนึกว่าพี่จะทุบ กลายเป็นเชียร์มิน่าละ อ่านกระทู้ก่อนแล้วแปลกๆ เมื่อ: 2005-01-23T13:54:10+00:00 Viewtiful Investor: แล้วมันถูกหลักธรรมภิบาลเหรอครับ สร้างโรงงานเสร็จก็ขายให้กองทุนที่ตัวเองเอาเงินชาวบ้านมาบริหารแล้วบันทึกเป็นกำไร ถึงจะถืออยู่ 20% มันก็ยังเป็น เงินยายซื้อขนมยาย ในสายตาของผมนะ แล้วใครมันจะกล้ามาซื้อกองทุนละ รู้ได้ไงว่าราคาขายที่กองทุนจ่ายให้ ticon ไม่แพงเกินไป เมื่อ: 2005-01-23T14:54:28+00:00 bangkokwu: ผมว่าอาจไม่ถึงกับหลักธรรมาภิบาลนะครับ แต่ที่ผมก็สงสัยด้วยก็คือว่า ในเมื่อโดย Nature ของ Property Fund Type I นี้เป็น Equity คือ Ticon สามารถโอนถ่ายความเสี่ยงไปยังผู้ถือหุ้นในกองทุน Property Fund นี้ได้แล้ว (หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ถือหุ้นกองทุนดังกล่าวจะไม่ได้รับประกันรายได้แน่นอน) ทำไมนักลงทุนถึงเลือกที่จะลงทุนใน Property Fund แทนที่จะลงทุนในบริษัทเองโดยตรงล่ะครับ ใครพอช่วยตอบที ในมุมของผู้ถือหุ้น Ticon ผมว่าการออก Property Fund นี้ดีมากๆ แต่ในทางกลับกันพยายามนึกว่าทำไมคนถึงจะลงทุนใน Property Fund แต่ก็ยังให้คำตอบตัวเองยังไม่ได้เหมือนกัน เมื่อ: 2005-01-23T15:09:00+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T15:27:48+00:00 Mon money: เอาข้อมูลพื้นฐานมาคุยกันดีแล้วครับ ดังนั้นกระทู้ก่อนหน้านี้ของคุณLOSOผมขอลบนะครับ เมื่อ: 2005-01-23T15:29:15+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T15:34:07+00:00 LOSO: ดูจะเป็นผลดีกับ TICON เต็มๆนะครับ ที่ว่าใครจะมาซื้อหน่วยลงทุน ...ผมเองกำลังศึกษาอยากเริ่มลงทุนเองกับอสังหาฯ หากจะเปลี่ยนมาลงทุนกับ property fund ผมคาดหวังให้ได้ทั้งค่าเช่าและกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เงินกู้ได้ด้วย ทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น ผลตอบแทนต่ำสุด 6% เฉียดๆ MLR น่าจะแปลว่าทดแทนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ครับ ตอนนี้เห็นอสังหาเริ่มมีลดราคา แต่ค่าเช่าไม่ลด บางการลงทุนได้ ROA ในระดับ 10-12% แล้วนะครับ อีกอย่างหากในแผนการลงทุนไม่มี exit strategy คือขายอสังหาริมทรัพย์ออกไป แต่ให้ซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหุ้น ผมบอกตรงๆว่าไม่อยากลงทุนครับ เห็นราคาหน่วยไม่ดีเลย ดูสองกองทุนในตลาดหุ้นได้ สรุปก็คือกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่นักลงทุนอสังหา และนักลงทุนหุ้นแน่นอน ลูกค้าจริงๆ อาจจะเป็นพวกสถาบันครับ ... อย่างประกันภัยรถยนต์มีต้นทุนเงินลงทุนในรูปของเงินสินไหมประมาณ 2% พวกนี้ลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ตรงๆไม่ได้ นอกจากจะทำอาคารสำนักงาน แต่ซื้อหน่วยลงทุนได้...หากส่วนต่าง 4-6% นับว่าใช้ได้สำหรับเงินได้เปล่า เมื่อ: 2005-01-23T15:36:14+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T15:41:28+00:00 jame: ผมว่ารายย่อยคงได้อานืสงฆ์จากการวิเคราะห้นตัวนี้ของคุณ ih ไปมากๆ ขอคาราวะจากใจกับคนเก่ง และใจกว้างมากๆ เมื่อ: 2005-01-23T15:54:10+00:00 Jeng: งานนี้ยอมรับว่า ท่าน ih ไม่ธรรมดาจริงๆ นับถือ นับถือ เมื่อ: 2005-01-23T15:55:08+00:00 Jeng: ticon อะไรนี่ ไม่ได้ซื้อเลย ทั้งๆที่ใครๆก็บอกว่าดี เฮ้อ เมื่อ: 2005-01-23T16:39:08+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T16:49:39+00:00 Jeng: อ๋อ ไม่มีอะไร พอดีได้ยิน จากคุณ ih ก่อน ก็เลยจำได้ แต่ตัวนี้ ท่าน LOSO ก็ตามอยู่นิ ตั้งแต่สมัยตลาดสดดอทคอม แล้ว อืม เสียดายนะ ที่สองผู้ยิ่งใหญ่วิเคราะห์ตรงกัน แต่เราไม่มีเวลาสนใจ เมื่อ: 2005-01-23T16:54:31+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-23T17:14:46+00:00 HIM: การก่อตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูง บมจ. ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) ได้ประกาศการก่อตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ประเภท 1 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในไตรมาส 1/47 ซึ่งขนาดของกองทุนนั้นจะอยู่ประมาณ 1.7-1.8 พันล้านบาท จากการลงทุนในโรงงานของ TICON ถึง 40 โรงงาน ทางผู้บริหารคาดว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์จะช่วยเพิ่มการเติบโตให้แก่บริษัทและสามารถเพิ่มเงินลงทุนในอนาคตได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน กองทุนนี้จะมีขนาดผู้ถือหน่วยไม่ต่ำกว่า 250 คน ณ ที่ IPO และ 10 หน่วย/คน หลังจากเข้าซื้อขายในตลาด จากการที่กองทุนจะมีการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 90% และมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 6-8% ต่อปี ให้แก่ผู้ถือหน่วย ซึ่งรวมถึง TICON ด้วย เราเชื่อว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์นี้จะดึงดูดนักลงทุนต่าง ๆ ซึ่ง TICON จะได้รับผลประโยชน์จากทั้งกำไรและเงินปันผล โดยที่ภาษีเงินได้ทั้งหมดจะถูกยกเว้น เรายังคงการคาดการณ์กำไรในปี 2547 โดยคาดว่า TICON จะมีรายได้รวมที่ 936 ล้านบาทและ 342 ล้านบาท ในกำไรสุทธิหรือกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.74 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามเราได้ปรับการคาดการณ์รายได้ในปี 2548 ขึ้น 152% ที่ 2,717 ล้านบาท เพื่อสะท้อนกับผลประโยชน์จากกองทุนรวมนี้ กำไรสุทธิจึงคาดไว้ที่ 737 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 1.59 บาท/หุ้น ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดและอัตราคิดลดที่ 12% เราได้ทำการปรับราคาเป้าหมายจาก 9.10 บาท/หุ้น เป็น 10.50 บาท/หุ้น และยังคงคำแนะนำเดิมที่ "ซื้อ" ที่ราคาปัจจุบันที่ 9 บาท/หุ้น ยังคงมีส่วนต่างจากราคาเป้าหมายอยู่ประมาณ 17% และซื้อขายโดยมี PER ของปี 2548 อยู่แค่เพียง 5.7 เท่า EV-EBITDA ที 2.9 เท่า P/BV ที 2.0 เท่า และอัตราปันผลตอบแทนที่ 8.4% เมื่อ: 2005-01-24T06:38:31+00:00 HIM: จำนวนโรงงานปล่อยเช่า คาดว่าจะถึงที่คาดการณ์ไว้ เราคาดว่าจำนวนโรงงานปล่อยเช่าในปี 2547 จะถึงที่เราคาดไว้ที่ 140 โรงงานหรือมีอัตราการเติบโต 37% ต่อปี เมื่อรวมกับโรงงานที่เซ็นสัญญาให้เช่า และโรงงานที่ว่างอยู่ รวมถึงโรงงานที่กำลังก่อสร้าง เราคาดว่ายอดรวมจะมีถึง 232 โรงงาน ทาง TICON ไม่ได้ทำการปรับค่าเช่าในปีที่ผ่านมา โดยค่าเช่านั้นจะตกเฉลี่ยอยู่ที่ 173 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเช่าในตลาดทั่วไปอยู่ประมาณ 20% เราจึงคาดว่ารายได้รวมในปี 2547 จะอยู่ประมาณ 936 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 342 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.74 บาท/หุ้น) จากการ ที่ทาง TICON ได้เริ่มก่อตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เราได้มีการคาดการณ์รายได้ของบริษัทสำหรับปี 2548 เราคาดว่า TICON จะมีรายได้จากการขายโรงงานให้แก่กองทุนในปีนี้กว่า 40 โรงงาน โดยคิดเป็นยอดขายโรงงานถึง 1,800 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะคงอยู่ประมาณ 50% หรือ 900 ล้านบาท เมื่อรวมรายได้จำนวน 67% เข้าไปบันทึกใน TICON เราคาดว่าทางบริษัทจะได้รับเงินจำนวนประมาณ 603 ล้านบาท แต่เนื่องจากเป็นรายการระหว่างกัน TICON จึงสามารถรวมรายได้เพียง 67% เพื่อทดแทนในส่วนที่ TICON ไม่ได้ถือในกองทุน ดังนั้นเราจึงปรับรายได้ของ TICON ในปี 2548 ขึ้น 152% หรือที่ 2,717 ล้านบาท และปรับกำไรสุทธิขึ้น 96% ที่ 726 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 1.57 บาท/หุ้น) ภายใต้การสมมติฐานนี้ เราไม่ได้ทำการคาดการณ์ส่วนของกำไรและเงินปันผลจากกองทุนนี้ที่ TICON มีการถือสัดส่วนอยู่ประมาณ 33% เมื่อ: 2005-01-24T06:40:37+00:00 HIM: เพื่อรักษาการเติบโต TICON คาดว่าจะมีการสร้างโรงงานเพิ่มประมาณ 70-80 โรงงาน/ปี โดยจะมีงบการลงทุนในปี 2548 ถึง 2 พันล้านบาท เราเชื่อว่ากองทุนรวมนี้จะสามารถช่วย TICON สร้างโรงงานได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เงินหรือเพิ่มทุนอีกในอนาคต กระแสเงินสดยังคงคาดว่าจะแข็งแกร่งอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท หรือ 3.4 บาท/หุ้น หนี้สินต่อทุนคาดว่าจะลดลงเหลือเพียง 0.6 เท่าในปีนี้จาก 1.1 เท่า ในปี 2547 ซึ่งจะมาจากผลพลอยได้ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เมื่อ: 2005-01-24T07:13:53+00:00 CK: เชียร์กันเยอะจัง ตัวนี้ แม้แต่คุณ Paul Renaulds ยังขายหุ้นทุกตัวทิ้งหมด ถือ TICON ตัวเดียว ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ตอนนั้น TICON ราคาแค่ 6 บาทเอง เมื่อ: 2005-01-24T08:00:11+00:00 Minesweeper: การที่ TICON ขายกองทุนอสังหาได้กำไรมากๆ ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่า ราคาที่กองทุนซื้อไปแพงเกินไปก็ได้นะครับ ผมเพิ่งได้ดูข้อมูลของ TICON พบว่ามี gross margin สูงมากทีเดียว (กว่า 60%) เป็นไปได้ว่า บริษัทอาจมีความสามารถอะไรบางอย่างที่สามารถทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดีก็ได้ ดังนั้นการที่ราคาขายโรงงานของ TICON จะแพงกว่าราคาต้นทุนเท่าตัว จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ผมทึ่งจริงๆ กับการวิเคราะห์ตรงๆ ของคุณ IH ว่า โรงงาน 40 โรงมีราคา 1650 ล้าน ดังนั้น 165 โรงจึงเป็น 7 พันกว่าล้าน ง่ายๆ แต่ก็สมเหตุสมผล เมื่อ: 2005-01-24T13:54:18+00:00 LOSO: .. เมื่อ: 2005-01-24T14:55:20+00:00 คนขายของ: ผมว่า....เขาคิดว่าการออก property fund เป็นแค่ extraordinary earning ครับ เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวและคงไม่เกิดขึ้นอีก ผมก็ชอบครับวิเคราะห์อย่างนี้ แสดงว่าคงยังมีคนเก็บของไม่ครบ เลยกลัวว่าจะวิ่งเกินไปเก็บไม่ทัน เมื่อ: 2005-01-24T15:42:13+00:00 zoro: ขอแจมด้วยคนครับ สำหรับสมาชิกใหม่ ที่เพิ่มเข้ามาแจมเพราะเงินที่มีทั้งหมดอยู่ใน TICON ตัวนี้เดียวเท่านั้น คราวนี้ถ้าไม่หมดตัว ก็ ได้ทุนคืน แน่ๆ ฮิ ฮิ (เล่นมาตั้งแต่ปี 40 ยังขาดทุนสะสมอยู่เลย) ใครๆก็บอกว่าซื้อหุ้นตัวเดียว เสี่ยงเกินไป แต่ผมเป็นคนดื้อ ก็เลยไม่ฟังใคร (จริงๆก็คือยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าการถือ TICON ตัวเดียว ความเสี่ยงมันอยู่ตรงไหน ถ้าใครรู้ช่วยบอกที เผื่อผมจะมองไม่เห็น) แต่ในระยะสั้นนี้ผมน่าจะปลอดภัยแล้วเพราะต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.05 เอง ส่วนระยะยาวก็อีก 1 ปีรู้กัน ฮ่าๆๆๆๆๆ เมื่อ: 2005-01-24T16:02:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถ้าพวกพลังงานราคาลง แล้วตลาดจะบวกแน่หรือเปล่าครับ แต่ถ้า... sheepy: เพราะผมคิดว่าพวกพลังงานอย่างน้ำมัน ก็เป็นต้นทุนสำคัญตัวหนึ่งของหลายๆบริษัทเลย ถ้าเกิดราคาต้นทุนลง กำไรก็ควรจะดีขึ้น โดยรวมตลาดก็น่าจะดีขึ้น แต่ว่าหุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานเช่น PTT PTTEP ก็มีสัดส่วน market cap ในตลาดเยอะเหมือนกัน ถ้าเกิดหุ้นพวกนี้ลง เพราะราคาพลังงานก็ทำให้ ตลาดลงได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ  ถ้าเกิดผมเข้าใจอะไรผิด ก็ฝากพี่ๆรบกวนแก้ไขด้วยครับผม เมื่อ: 2008-08-14T18:21:24+00:00 Stock Broker: ไม่ทราบว่าจะเล่น TFEX รึเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจตลาดรวมครับ เน้นดูแนวโน้มหุ้นรายตัวที่สนใจจะดีกว่าครับ ซึ่งแน่นอนว่าหุ้นส่วนใหญ่จะได้ผลดีหากต้นทุนน้ำมันลดลง เมื่อ: 2008-08-15T05:55:03+00:00 sheepy: ก็สนใจเล่นอยู่เหมือนกันครับ เลยอยากทราบๆไว้เผื่อด้วย แหะๆ แต่จริงๆก็อยากได้ไว้เป็นแนวคิดติดตัวด้วยอะครับ เมื่อ: 2008-08-15T14:39:27+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
NVDR คืออะไรครับ sheepy: ผมเพิ่งเริ่มลองเข้าซื้อขายหุ้นผ่านเน็ทครับ มีเรื่องรบกวนพี่ ๆ เรื่อง NVDR ครับ 1.NVDR คืออะไรครับ? 2.เมื่อเราเปิดหน้า Real time quotes จะมีช่องให้เราใส่ sell หรือ bay ต่อมา เป็นช่อง stock symbol แล้วก็เป็นช่อง nvdr ช่องนี้แหละครับเราต้องติกถูกด้วย หรือไม่เพราะอะไร ขอบคุณอย่างสูงครับ เมื่อ: 2003-06-10T08:02:07+00:00 CK: คร่าวๆ นะครับ NVDR เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้คนต่างชาติสามารถซื้อหลักทรัพย์ไทยได้เกินเพดานที่กำหนด โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าใครก็ตามที่ซื้อหุ้นผ่าน NVDR จะไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้น (NVDR ออกเสียงให้แทนมั้ง) แต่มีสิทธิ์รับเงินปันผลและสิทธิ์อื่นๆเช่นวอแรนต์เหมือนผู้ถือหุ้นปกติทุกประการ คนไทยก็ซื้อได้ครับ แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงเหมือนกัน หารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.set.or.th/nvdr ครับ เมื่อ: 2003-06-10T09:32:43+00:00 yoyo: ทางที่ดีก็ไม่ต้องไป ติ๊กหรอกครับ ปล่อยว่างไว้อย่างนั้นแหละครับ มันของต่างชาติเค้า เมื่อ: 2003-06-10T12:00:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทราบว่าอาการนำของวิกฤตเป็นอย่างไรครับ sky012: ผมอยากทราบจากรุ่นพี่ที่ลงทุนในหุ้น ว่ามีอาการนำของวิกฤตเป็นอย่างไรครับ มีอะไรนำมาให้เห็นว่าวิกฤตกำลังมา หุ้นกำลังจะดิ่ง ขอจากประสบการณ์ครับ รุ่นพี่ท่านใดเจอมาหลายรอบ รบกวนอธิบายเป็นรอบๆ ช่วงปีไหนด้วยครับ คือผมอยากรู้ว่าเราจะมีหนทางถอนตัวทั้นมั้ย ถ้าเรามองว่าบริษัทที่เราถืออยู่ ยัง OK แต่ถ้าเจอวิกฤตหนักๆ ยังไงมันก็ต้องเซตาม เราจะถอนตัวออกมาพักได้อย่างไรครับ ในความจริงคงทำยาก แต่อยากทราบอาการของมัน ขอบคุณครับ เมื่อ: 2010-12-02T17:23:26+00:00 j2methai: ส่วนใหญ่จะเริ่มจาก pe โตเวอร์ อะไรก็ดูไปหมด แล้วพอระยะหนึ่งคนคาดหวังเกินที่บล.จะทำได้ คนจะแห่กันขาย ขายกันเกินจริง ราคาตกเวอร์เหมือนกัน ความจริงถ้าพื้นฐานไม่เปลื่ยนก็ไม่ต้องขายก็ได้ ราคาถูกใจก็ซื้อเพิ่มด้วย แบบ ดร.ก็เล่นมาร์จิ้น รวยเลย เพราะเราไม่รู้ว่าจะตกเมื่อไร เข้าตอนไหนดี ออกเมื่อไร ถ้าตกรถไฟ หรือขายตอนเหวก็ไม่คุ้มน่ะ เดี๋ยวซักพักราคามันจะสะท้อนความจริงเอง แต่ถ้าแบบวิกฤติ 40 หนี้โตเป็น 2 เท่า เจ้าหนี้คอยมาบีบคอเอาเงินคืนทำให้สภาพคล่องบล.ไม่ดี อันนี้น่าคิดน่ะ ถ้าผู้บริหารไม่เก่งเจ๊งได้เหมือนกัน ซึ่งก็เจ๊งกันเยอะมาก โดยรวมแล้วดูพี้นฐานเป็นหลัก อย่าเดาอารมณ์นายตลาด ไม่มีใครทายถูกทุกครั้งหรอก นอกจากจะเป็นเจ้าคุมตลาด เมื่อ: 2010-12-02T18:57:53+00:00 murder_doll: ความรุ่งเรืองครับ เมื่อ: 2010-12-03T04:33:47+00:00 aviruth: มีธนาคารใหญ่ๆล้มครับ ตอนปี 40 เราปิดไปหลายธนาคาร ตอน ปี 51 ก็มีธนาคารของอเมริกาล้ม ครั้งหน้าถ้ามีธนาคารของจีนล้มเตรียมตัวขาย เมื่อ: 2010-12-03T04:57:05+00:00 Nevercry.boy: ดอกเบี้ย นิวไฮ และ เงินเฟ้อ 2 หลัก เมื่อ: 2010-12-04T09:14:31+00:00 Fon^^: ทุกคนมองว่าเศรษฐกิจดี, หุ้นดี, ตลาดดี, ทองดี, commodities ดี เมื่อไม่มีใครคิดถึง วิกฤติ นั่นล่ะ วิกฤติกำลังจะมา ^^ ตอนนี้ฝนก็กลัววิกฤติ กลัวหุ้นตก กลัวตลาดพัง อ่านข่าว และ บอร์ดยังพูดถึงวิกฤติ ถ้าคนกังวลแบบนี้เดาว่าคงยังไม่มีอะไร สรุปว่าไม่ได้ช่วยเจ้าของกระทู้เลย เมื่อ: 2010-12-04T14:16:21+00:00 dome@perth: หุ้นห่วยๆ เทรดกัน พีอี 40-50 เท่า เมื่อ: 2010-12-04T16:43:12+00:00 sky012: ขอบคุณครับ เริ่มพอจะเห็นภาพแล้วครับ แล้วอย่างตอนนี้เริ่มมีวี่แววแล้วยังครับ เมื่อ: 2010-12-07T05:56:17+00:00 กล้วยทอด: อาการนำของวิกฤตที่เป็นคือ ก็จะเริ่มเซ็งๆ และอยากไปโน่นไปนี่ ที่ไม่ค่อยได้เคยไปค่ะ งดอยู่หน้า internet ชั่วคราว เพราะจะโพสต์อะไรไม่ได้เรื่องออกมาค่ะ อ้าว...ไม่ใช่วิกฤติตัวเองหรือคะ เมื่อ: 2010-12-07T07:06:02+00:00 peacedev: เห็นด้วยกับหมอฝนครับ วิกฤตมันชอบมาตอนนี้ไม่ค่อยมีใครคิดว่าจะมีวิกฤต เมื่อ: 2010-12-08T06:00:00+00:00 sathaporne: peacedev เขียน:เห็นด้วยกับหมอฝนครับ วิกฤตมันชอบมาตอนนี้ไม่ค่อยมีใครคิดว่าจะมีวิกฤต แต่ถ้าคิดอีกตลบนึง มันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ คือตอนนี้หลายคนต่างก็ทราบทฤษฎีข้างต้นแล้ว เพราะเห็นมีการพูดกันบ่อยในทีวีว่า ถ้าทุกคนยังคงกลัวกันอยู่แสดงว่าวิกฤติยังไม่เกิด นั่นหมายความว่าทุกคน ปากก็บอกว่ากลัว แต่ในใจลึกๆก็อาจจะเชื่อทฤษฎีนี้อยู่ก็ได้ ซึ่งก็แปลว่าที่จริงแล้วหลายคนอาจจะเริ่มไม่กลัวกันแล้วก็ได้ และนั่นก็แปลว่า วิกฤติอาจจะกำลังมาแล้วก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับว่า หลายคนที่ว่าน่ะ มันมากขนาดไหน เมื่อ: 2010-12-08T06:55:59+00:00 peacedev: ถ้าจะขยายความข้างต้นให้ชัดขึ้นอีกหน่อยก็คือ เวลาที่คนส่วนใหญ่กลัวว่าจะมีวิกฤตกัน ก็จะพากันระแวดระวัง หาทางป้องกันสารพัด ปัญหามันก็ทุกเลาได้ไม่ถึงขั้นวิกฤต ทีนี้ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าจะมีวิกฤต นั่นแหละครับ มันหมายถึงความประมาท มั่นใจกันจนเกินตัว ที่มาของวิกฤติล่ะ เมื่อ: 2010-12-08T07:17:51+00:00 zesar: อาการนำของวิกฤตคือ ไม่มีใครคิดแล้วว่าจะเกิดวิกฤตครับ เมื่อ: 2010-12-08T16:27:58+00:00 pol256: ส่วนตัวผมมองเป็นเชิงจิตวิทยาตลาด เมื่อเกินจุดที่สมเหตุผลเกินกว่าพื้นฐานจะรองรับราคาหุ้นนั้นๆในอนาคตได้แล้วก็ต้องลดความเสี่ยง เช่น P/E 30-40 กับการเติบโตที่มี ราคา ณ จุดนั้นๆไม่มีทางที่บริษัทจะเติบโตจนสร้าง EPS มาถึงจุดนี้ได้อีกแล้ว และด้วยที่ทุกคนอ่านทฤษฎีอยู่ไม่กี่แบบทำให้เราอยู่กรอบ Technical ก็จะเป็นจริง History repeat itself ต่อไป แต่ทุกคนก็คิดจะ "คิดก่อนทำก่อน" จะเกิดเหตุ ก็จะส่งผลให้รอบของ crisis สั้นลง swingแรงขึ้นเสมอ เมื่อ: 2010-12-08T16:49:19+00:00 กล้วยไม้ขาว: ก่อนวิกฤติมีอะไรไม่รู้ครับ รู้แต่หลังวิกฤติมีโอกาส ถ้าหมายถึงวิกฤติเศรษฐกิจ สัญญาณก็คือ จะมีคนออกมาเตือนสู่สาธารณะ และก็จะมีผู้เชี่ยวชาญมาปฏิเสธว่าไม่มีทางเป็นไปได้ (ด้วยเหตุผลที่แหม่งๆ) เมื่อ: 2010-12-09T06:11:36+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: เมื่อตลาดเปิดมาร่วงกระจายและลงจนติด circuit breaker ..... ที่สำคัญที่สุด port คุณอาบเลือดและคุณขายอะไรไม่ทันครับ อาการนำนี้ชัดเจนมาก เมื่อ: 2010-12-09T08:11:27+00:00 J.Livermore: ไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนหรอกครับ วิกฤตบางครั้งรู้ว่าต้องเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เช่นวิกฤติ ต้มยำกุ้ง และ วิกฤติSubprime คนที่เริ่มเห็นสัญญาณของวิกฤติ เห็นมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติจะมาเยือน 2-3 ปีแล้วครับ อย่างตัวผมเอง ก็มองว่า วิกฤติในอเมริกาเกิดแน่ และลดพอร์ทตั้งแต่ปี 2006 แต่ในความเป็นจริงปี 2006-2008 เป็นปีทองของการเล่นหุ้นของหลายๆคน พอวิกฤติมาจริงปลายปี 2008 แทนที่จะเป็นขาลง 3-4 ปี ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นว่าตลาดหุ้นเด้งขึ้นในเวลาครึ่งปี และไม่มีการลงหนักๆเกินกว่า 10% เป็นเวลาสองปีมาแล้ว จนกระทั่งทำนิวไฮ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา ผมอยากบอกว่า ตลาดหุ้นมีแต่ความไม่แน่นอนครับ ในบางครั้งคุณอาจคาดการณ์วิกฤติหรือภาวะกระทิงที่กำลังจะมาเยือนได้อย่างถูกต้อง แต่จังหวะเวลาไม่ถูก คุณก็จะไม่ได้อะไรเลย ขณะที่นักลงทุนคนอื่น ไม่เคยระเคะระคายกับภาวะ Boom & Bust ในตลาดหุ้นเลย อาจประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นดังที่ เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวไว้อย่างเฉียบแหลมครับ นักลงไม่สามารถคาดการณ์ความไม่แน่นอนของราคาหุ้นจากภาวะ Boom& Bust ได้ ดังนั้นจึงต้องเน้นไปที่มูลค่าของกิจการ ขอย้ำว่ามูลค่าของกิจการนะครับ ไม่ใช่เก็งกำไรผลประกอบการ เสียดายที่กว่าผมจะเข้าใจประโยคของเกรแฮม ผมก็เสียเวลาและโอกาสในการลงทุนไปมากทีเดียว เมื่อ: 2010-12-09T10:01:36+00:00 วรันศ์ บัฟเฟต: J.Livermore เขียน:ไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนหรอกครับ วิกฤตบางครั้งรู้ว่าต้องเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เช่นวิกฤติ ต้มยำกุ้ง และ วิกฤติSubprime คนที่เริ่มเห็นสัญญาณของวิกฤติ เห็นมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติจะมาเยือน 2-3 ปีแล้วครับ อย่างตัวผมเอง ก็มองว่า วิกฤติในอเมริกาเกิดแน่ และลดพอร์ทตั้งแต่ปี 2006 แต่ในความเป็นจริงปี 2006-2008 เป็นปีทองของการเล่นหุ้นของหลายๆคน พอวิกฤติมาจริงปลายปี 2008 แทนที่จะเป็นขาลง 3-4 ปี ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นว่าตลาดหุ้นเด้งขึ้นในเวลาครึ่งปี และไม่มีการลงหนักๆเกินกว่า 10% เป็นเวลาสองปีมาแล้ว จนกระทั่งทำนิวไฮ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา ผมอยากบอกว่า ตลาดหุ้นมีแต่ความไม่แน่นอนครับ ในบางครั้งคุณอาจคาดการณ์วิกฤติหรือภาวะกระทิงที่กำลังจะมาเยือนได้อย่างถูกต้อง แต่จังหวะเวลาไม่ถูก คุณก็จะไม่ได้อะไรเลย ขณะที่นักลงทุนคนอื่น ไม่เคยระเคะระคายกับภาวะ Boom & Bust ในตลาดหุ้นเลย อาจประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นดังที่ เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวไว้อย่างเฉียบแหลมครับ นักลงไม่สามารถคาดการณ์ความไม่แน่นอนของราคาหุ้นจากภาวะ Boom& Bust ได้ ดังนั้นจึงต้องเน้นไปที่มูลค่าของกิจการ ขอย้ำว่ามูลค่าของกิจการนะครับ ไม่ใช่เก็งกำไรผลประกอบการ เสียดายที่กว่าผมจะเข้าใจประโยคของเกรแฮม ผมก็เสียเวลาและโอกาสในการลงทุนไปมากทีเดียว คุณ livermore มาเองเลย ไม่รู้ว่าพูดไทยได้ด้วย +1 ตลาดไม่แน่นอน เห็นด้วยมากๆครับ แต่อยากจะบอกว่า ฝีมือ ของเรานั้น แน่นอน ครับ เมื่อ: 2010-12-09T10:17:14+00:00 picatos: +1 ให้คุณ J.Livermore ด้วยครับ คล้ายๆ กับ คนเรา ก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว ว่าสักวันนึงก็จะถึงวันตาย ยังไงก็ต้องตาย หลีกหนียังไงก็ไม่พ้น แต่จะเป็นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้... จะกลัวจนเกินไปก็เปล่าประโยชน์... จะเมินเฉยก็ไม่สมควร... บางทีเราป่วยหนัก แต่ก็อาจจะไม่ตาย... บางทีเราเกิดอุบัติเหตุ เราก็อาจจะรอด... บางทีสิ่งร้ายๆ อาจจะกลายเป็นดี... ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างไม่แน่นอนเสียเหลือเกิน ดังนั้นเราจึงควรที่จะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด... ยึดหลักการลงทุนของเราให้มั่น... และที่สำคัญ คือ เตรียมใจให้พร้อมกับวิกฤตที่อาจจะมาถึงได้ทุกเมื่อ... เมื่อ: 2010-12-09T19:00:44+00:00 leaderinshadow: มักมีสัญญาณเตือนครับ แต่พอเตือนแล้ว ก็ไม่เกิดซักที จนกระทั่งใครๆ ก็คิดว่ามันคงไม่เกิด แล้วมันก็จะมา :lol: ส่วนตลาดหุ้นจะไปก่อนวิกฤติครับ แต่ก็จะฟื้นตัวก่อนจะเห็นแสงสว่าง เมื่อ: 2010-12-09T19:04:12+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คืนนี้ ราคาน้ำมันดิบ ร่วงเยอะเหมือนกันแฮะ chatchai: ราคา Nynex เหลือประมาณ 94-95 เหรียญแล้วครับ  ลดลง 6 เหรียญ ราคาน้ำมันดิบลงรอบนี้  ปตท.อาศัยข่าวการเมืองโกยกำไรชดเชยเพลินเลยนะครับ   ผมจำไม่ได้แล้วว่า  ราคาน้ำมันเบนซิน  ลดราคาครั้งสุดท้ายเมื่อไร  ที่ราคาน้ำมันดิบเท่าไร เมื่อ: 2008-09-15T12:32:27+00:00 Sumotin: คุณ chatchai ครับ ปตทเค้าขาดทุนน้ำมันมาตั้งนานให้กำไรหน่อยไม่ได้หรอครับ ปั้มอื่นๆ เค้าก็ขาดทุนจนต้องปิดปั้มไปแล้วก็ตั้งหลายปั้มเพราะรัฐให้ตรึงราคาช่วยประชาชนนะครับ อีกอย่างนะครับ ประเทศเราน้ำมันนี่ ถูกระดับต้นๆของโลกแล้วครับ เพราะ ไปอุดหนุนราคาน้ำมัน ทำให้คนเคยตัวกันมากไปแล้ว สบายมากๆคนเราก็ไม่เห็นค่าของน้ำมัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว ยังใช้น้ำมันแพงกว่าเราเลย - -'' ถ้าพวกที่ถูกกว่าก็มีแต่พวกนั้นเค้าก็ อุดหนุนราคาน้ำมันกัน เช่น มาเลย์ อินโด แล้วก็จีน   ส่วนที่ทำให้น้ำมันในเมืองไทยถูกหลักๆ ก็คือ ค่า marketing margin บ้านเรานั้นน้อยแทบจะที่สุดในโลก จะได้ได้ว่า พวก shell เอสโซ่ จะออกมาบ่นประจำ อีกอย่างของเราที่ถูกก็คือ Tax ของน้ำมันสำเร็จรูปครับ หลายๆตัวไม่ถึง 10% ของราคาขายเลยตอนนี้ เทียบกับประเทศอื่นๆ อย่างอังกฤษ เกาหลี หรืออื่นๆ Tax เค้า 70% ของราคาหน้าปั้มนะครับ อย่าบอกว่า ประเทศเค้าเจริญกว่านะครับ เพราะ นี่มัน commodity product ราคาเท่ากันทั่วโลก ครับ ปล. คนไทยถูกตามใจมากเกินไปอะครับ ทั้งราคา น้ำมัน ทั้งราคา LPG ตลาดโลกเค้าขายกันราคาสูงกว่านี้ทั้งนั้น เศร้าใจครับ แทนที่จะได้เก็บภาษีพวกนี้มาใช้พัฒนาประเทศในด้านอื่นๆ รวมทั้ง logistic  ให้ดีขึ้น จะได้ลด cost ไปในตัว อีกอย่างนะครับ ตัวเลขการใช้น้ำมันเดือนล่าสุดของไทยเพิ่มขึ้นนะครับ ทั้งๆที่ทั้งโลกเค้าลดลงเพราะน้ำมันแพง เมื่อ: 2008-09-15T12:52:44+00:00 Sumotin: ถ้าอยากรู้ข้อมูล ด้าน petroleum มากกว่านี้ ลองไปลง เรียน http://www.ptit.org/ ของ สถาบันปิโตเลียมดูครับ course นึงหลายตังอยู่ คนสอนคือ คุณหญิงทองทิพย์  ท่านมีความรู้มากและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติครับ ลองดู เมื่อ: 2008-09-15T12:57:57+00:00 pp9009: ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวลงไม่เท่าต่างประเทศ ค่าเงินบาทอ่อน ปรับเพิ่มเงินเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ช่วงน้ำมันขาขึ้นค่าการตลาดติดลบ  พอน้ำมันขาลง จึงปรับราคาลงน้อยกว่าเพื่อให้ค่าการตลาดกลับมาเป็นบวก ราคาน้ำมันในประเทศเทียบกับราคาน้ำมันดิบจึงปรับตัวลงไม่เท่ากัน ส่วนจะค้ากำไรเกินควรหรือไม่    ผมไม่ทราบครับ :lol: เมื่อ: 2008-09-15T13:16:53+00:00 chatchai: ผมก็แค่บ่นหน่อยเดียวเอง  จะถึงขนาดให้ผมไปลงเรียนเลยหรือครับ   :lol:   ผมหวังว่าคงไม่ใช่  นำกำไรไปอุดหนุนขาดทุน LPG นะครับ เมื่อ: 2008-09-15T13:18:34+00:00 naris: ผมว่าเขาคงจะเอากำไรไปชดเชยขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันมั๊งพี่ เพราะรูดมหาราชอย่างนี้ไตรมาส3พี่ปอจะขาดทุนไหมเนี่ย :lol: ปล.ไม่มีพี่ปอ เลยไม่เคยคำนวนว่าเงินจะหายจากส่วนต่างน้ำมันเท่าไหร่ในไตรมาส3 รู้แต่ เมื่อ: 2008-09-15T13:26:12+00:00 pp9009: กระแสสงสัยสังคมเริ่มพุ่ง หลังค่ายน้ำมัน ไม่ยอมปรับลดราคาขายปลีกเบนซิน+ดีเซลลง สวนตลาดโลก Posted on Monday, September 15, 2008 หลังจากราคาน้ำมันในตลาดดลกปรับลดอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าสถานีบริการในประเทศ กลับปรับลดเพียงแค่น้ำมันดีเซล 2 ครั้ง ๆ ละ 60 สตางค์ ในวันที่ 4 และ 12 กันยายนที่ผ่านมา แต่ไม่มีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลงมาแต่อย่างใด ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ ยังเป็นดังนี้ น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อยู่ที่ ลิตรละ 37.69 บาท น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่ ลิตรละ 36.29 บาท แก๊สโซฮอลล์ 95 อยู่ที่ ลิตรละ 28.79 บาท แก๊สโซฮอลล์ 91 อยู่ที่ ลิตรละ 27.99 บาท น้ำมันดีเซล (B2) อยู่ที่ ลิตรละ 31.84 บาท น้ำมันไบโอดีเซล (B5) อยู่ที่ ลิตรละ 31.14 บาท แถมล่าสุด นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งเป็นจ้าวตลาด ได้ออกมาตอบข้อสงสัย โดยบอกว่า บริษัทขอติดตามความเคลื่อนไหวของระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกคืนนี้ก่อน เพื่อนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจร่วมกับปัจจัยอื่น เช่น ค่าเงินบาท ค่าการตลาด จะได้นำมาตัดสินใจว่า ควรปรับลดราคาน้ำมันอย่างไร และในสินค้าประเภทไหนบ้าง อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลก เริ่มปรับตัวทิศทางขาลง และมีโอกาสที่จะปรับลดลงอีก หลังจากราคาอ้างอิงในตลาดนิวยอร์ค ทะยานทำจุดสูงสุด เหนือ บาร์เรลละ 147.27 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 11 กรกฏาคมปีนี้ และทรุดตัวแล้วกว่า 33 % มาซื้อขายในขณะนี้ บริเวณบาร์เรลละ 97.21 ดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติต่ำสุดใหม่ นับจากแตะบาร์เรลละ 98.46 ดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายเป็นกรณีพิเศษ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่เมื่อตรวจสอบความเห็นของประชาชนทั่วไป ผ่านเว๊บไซต์ต่าง ๆ ทั้งจากเว๊บไซต์ยอดนิยม และเว๊บไซต์ข่าว กลับมีการลงกระทู้ และเสนอความเห็นในทำนองคล้าย ๆ กันว่า มีการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยชี้เหตุผลตรงกันว่า หากย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่ายน้ำมันทยอยประกาศปรับขึ้นราคาอย่างรวดเร็ว และบ่อยครั้ง แต่หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลงมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา กลับแทบไม่ปรับลดราคาขายเลย มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์ อีเมล - [email protected] เมื่อ: 2008-09-15T13:31:12+00:00 Sumotin: ที่ให้ไปลงเรียนหนะครับ คืออยากให้รู้อะไรแล้วรู้จริง หนะครับ อีกอย่างที่จะบอกคือ ปตท market share ไม่เยอะหรอกครับ ถึงจะเยอะที่สุดก็ตามแต่พวกที่เปิดปั้มเอง อะครับเจ็บตัวกันเยอะแล้ว ปั้มที่ยังอยู่ได้เพราะขายของเสริม นะครับ ถ้าเค้าปิดปั้มได้ผมว่าเค้าคงปิดไปนานแล้วครับสำหรับปตท. แต่ที่เปิดนี่ก็เอาไว้ถ่วงดุล ฝรั่งอะครับ เหมือนเป็นเครื่องมือของรัฐอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าให้ฝรั่งตั้งกันเอง ตอนนี้คงไม่ต่ำกว่า 40 บาทหรอกครับ เมื่อ: 2008-09-15T13:32:17+00:00 GeneraX: Sumotin เขียน:ที่ให้ไปลงเรียนหนะครับ คืออยากให้รู้อะไรแล้วรู้จริง หนะครับ อีกอย่างที่จะบอกคือ ปตท market share ไม่เยอะหรอกครับ ถึงจะเยอะที่สุดก็ตามแต่พวกที่เปิดปั้มเอง อะครับเจ็บตัวกันเยอะแล้ว ปั้มที่ยังอยู่ได้เพราะขายของเสริม นะครับ ถ้าเค้าปิดปั้มได้ผมว่าเค้าคงปิดไปนานแล้วครับสำหรับปตท. แต่ที่เปิดนี่ก็เอาไว้ถ่วงดุล ฝรั่งอะครับ เหมือนเป็นเครื่องมือของรัฐอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าให้ฝรั่งตั้งกันเอง ตอนนี้คงไม่ต่ำกว่า 40 บาทหรอกครับ ในฐานะที่ทำอยู่บ.น้ำมันฝรั่งนะครับ ยืนยันว่าเรื่องการถ่วงดุลราคาขายปลีกของบ.น้ำมันฝรั่งนี่เรื่องจริงครับ เมื่อ: 2008-09-15T13:39:49+00:00 GeneraX: GeneraX เขียน: ในฐานะที่ทำอยู่บ.น้ำมันฝรั่งนะครับ ยืนยันว่าเรื่องการถ่วงดุลราคาขายปลีกของบ.น้ำมันฝรั่งนี่เรื่องจริงครับ ลืมบอกต่อีกนิดว่า ถ้านอกจากเรื่องถ่วงดุลนี่ผมไม่รู้แล้วนะครับ :lol: เมื่อ: 2008-09-15T13:42:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขนาดพอร์ทชาวTVIขนาดแค่ไหนบ้าง มาร่วมโหวดกันครับ^^(แก้ไข) picklife: ปล.กระทู้ก่อนขอโทษนะครับ Pollเวอร์ชั่นใหม่งงมาก 555+ สืบเนื่องมาจากกระทู้ของพี่ Peyton พอรต์ของท่านมูลค่าเท่าไหร่แล้วครับ เห็นหลายคนบอกว่าทำPollเหมาะสมกว่า ผมก็เลยทำPollมาให้ละกันนะครับ ส่วนที่ถามว่ารู้แล้วได้อะไร....อื้มมม ผมว่ารู้ก็ดีกว่าไม่รู้นะครับ ความรู็ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี หากเรารู้จักนำมากรอง(ซึ่งผมก็เชื่อกว่าชาวTVIส่วนใหญ่ภูมิต้านทานพอใช้ได้นะ) เราก็สามารถใช้ประโยนช์จากมันได้ครับ^^ เช่าถ้าถามผมผมคิดแบบไวๆนะ ก็น่าจะได้2เรื่อง 1.พอร์ทชาวVIกระจุกตัวอยู่โซนไหน 2.ขนาดเงินลงทุนชาวVIเยอะขนาดไหนเมื่อเทียบกับ%ทั้งตลาด เมื่อ: 2010-12-24T04:13:24+00:00 picklife: ตั้งPollแบบใหม่เป็นแว๊ววว อิอิ ปล.ส่วนใครจะเล่าว่าเริ่มจากเท่าไหร่ มาเป็นเท่าไหร่ หรือไม่เล่าอะไรเลยโหวตอย่างเดียว หรือไม่โหวดเลย หรือเห็นว่าไม่เหมาะสมลบกระทู้ออก ก็สุดแล้วแต่ท่านๆเลยครับ^^ เมื่อ: 2010-12-24T04:15:49+00:00 picklife: ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมโหวตครับ ตอนนี้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มเงินลงทุนเยอะ แต่เชื่อว่าน่าจะมีพนักงานประจำในTVIเยอะพอสมควรดังนั้น ถ้าจะเอาผมโหวตมาวิเคราะห์กันน่าจะหลังเสา-อาทิตย์ ก่อนค่อยมาสรุป ^^ เมื่อ: 2010-12-24T05:03:55+00:00 NoiSNC: เริ่มจากสามพันบาทครับ (เริ่มเดือนเมษายน ๒๕๕๓) :) ฝากเงินเข้าบัญชีหุ้นครั้งละหนึ่งหมื่นบาท แต่ซื้อทีละสามพันแบบ dollar cost average (พูดคำนี้บ่อย ๆ เคยเจอเพื่อนเคืองด้วยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) ตอนนี้พอร์ตไม่เกินหนึ่งแสนบาทครับ (หวังว่าจะไม่กลายเป็นแสนสาหัสไปซะก่อน) :D เมื่อ: 2010-12-24T05:32:56+00:00 simpleBE: คุณปิ๊กขยันจริงๆ เมื่อ: 2010-12-24T05:45:34+00:00 picklife: NoiSNC เขียน:เริ่มจากสามพันบาทครับ (เริ่มเดือนเมษายน ๒๕๕๓) ฝากเงินเข้าบัญชีหุ้นครั้งละหนึ่งหมื่นบาท แต่ซื้อทีละสามพันแบบ dollar cost average (พูดคำนี้บ่อย ๆ เคยเจอเพื่อนเคืองด้วยอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) ตอนนี้พอร์ตไม่เกินหนึ่งแสนบาทครับ (หวังว่าจะไม่กลายเป็นแสนสาหัสไปซะก่อน) เงินเข้าเดือนละหมื่น ซื้อทีละ3พัน ......ถ้า3พันต่อเดือนเงินสดก็ทะลัก เดาว่าเป็น3พันต่อ1ชมปะครับ 3ชม หมด 555+ มันก็คือdollar cost averageเหมือนกันนะ แต่เลือกใช้ที่Scale1ชม 555+ เมื่อ: 2010-12-24T06:14:30+00:00 ซุนเซ็ก: ทำโพลแบบนี้ ค่อยกล้ากดเลือกพอร์ตน้อยนิดมหาศาลของผมหน่อย เมื่อ: 2010-12-24T06:27:55+00:00 picklife: ซุนเซ็ก เขียน:ทำโพลแบบนี้ ค่อยกล้ากดเลือกพอร์ตน้อยนิดมหาศาลของผมหน่อย น้องกิ๊กกดผิดปะครับ พี่ยังเห็น0อยู่เลย :lol: เมื่อ: 2010-12-24T06:40:30+00:00 picklife: จากคนโหวต50คน พอร์ทเฉลียTVIอยู่ที่ 25ล้าน สงสัยจะErrorรอพนงเงินเดือนเลิกงานมาช่วยลดค่าเฉลียดีกว่า อิอิ ปล.ถ้าAvr.25ล้านจริง แสดงว่าพอร์ทผมเทียบกับviนี่เล็กยิ่งกว่า ลูกมดแคระตากแห้งอีก เมื่อ: 2010-12-24T06:50:24+00:00 ส.สลึง: โหวตให้แล้วครับ ค่าเฉลี่ยจะได้ลดลง เมื่อ: 2010-12-24T06:54:17+00:00 picklife: ส.สลึง เขียน:โหวตให้แล้วครับ ค่าเฉลี่ยจะได้ลดลง ช่องที่โหวต2คนนี่ พี่สอกับน้องกิ๊กนั่นเอง 555+ล้อเล่นนะครับ ^^ เมื่อ: 2010-12-24T06:58:14+00:00 picklife: พูดถึงขนาดพอร์ทหุ้น จากการจัดอันอับเศรษฐีหุ้น เราจะเห็นได้ว่า10อันดับต้นๆ นั้นพอร์ทโตขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าอัตราเงินเฟ้อพอสมควร ผมสงสัยว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนที่รวยที่สุด เช่นที่เมืองไทยอีก20-30ปีจะได้เห็นพอร์ท]ล้านล้านไหม? เพื่อนๆคิดว่าไงบ้างครับ^^ เมื่อ: 2010-12-24T07:00:42+00:00 << New >>: มาช่วยโหวตละครับ เมื่อ: 2010-12-24T07:01:12+00:00 picklife: ใครโหวตพันล้านหว่า ค่าเฉลียกระโดดไป80ล้านเลย ถ้ามีจริงสุดยอดดดคร๊าบบบบให้เกียติกับกระทู็มากๆๆๆครับ ถ้าเกรี๋ยนมาขอให้หุ้นร่วงนะ อิอิ เมื่อ: 2010-12-24T09:41:14+00:00 chootana: ท่าน ดร. แอบมาเล่นด้วยหรือเปล่าครับ เมื่อ: 2010-12-24T10:49:33+00:00 sangjun: มาโหวตให้อีกคน ค่าเฉลี่ยคงลดฮวบ ..แน่เลยอ่ะ เมื่อ: 2010-12-24T12:21:47+00:00 เด็กเลี้ยงไม้: จิ้มจึ๊กๆไปหละ เราจะโต เราจะโต เมื่อ: 2010-12-24T12:28:37+00:00 vittawas: โหวตไปละลดลงมาอีกหน่อย :lol: เมื่อ: 2010-12-24T12:54:01+00:00 mulcomp: chootana เขียน:ท่าน ดร. แอบมาเล่นด้วยหรือเปล่าครับ หรือใครกดผิด? :lol: ว่าแต่ อึ้งจัง เกิน 10 ล้านเยอะเกินไปแล้วนะนั่น..... เมื่อ: 2010-12-24T13:32:27+00:00 kabu: Vote แล้วครับ ช่วยดึงค่าเฉลี่ยลง :lol: เมื่อ: 2010-12-24T14:44:19+00:00 NoiSNC: ผมไม่ได้ฝากเงินเดือนละหมื่นนะครับ หลาย ๆ เดือนจึงจะฝากหนึ่งหมื่นบาท :P เพราะสามารถซื้อหุ้นได้ไม่เกินเดือนละสามพันบาทเท่านั้น (แต่ที่ผ่านมาก็ดันไม่มีวินัย ซื้อจนหมดเงินหน้าตักไปแล้ว) :P ตอนนี้ยังไม่มีเงินมาลงทุนมากครับ ต้องค่อย ๆ ขยับขยาย ให้กระแสเงินสดมันเดินคล่อง ๆ ด้วยครับ :) เมื่อ: 2010-12-24T14:47:31+00:00 moojung: พอร์ตพันล้านน่าจะเป็นพี่เคนมั๊งครับ เมื่อ: 2010-12-24T15:07:25+00:00 yy: โหวตเรียบร้อยแล้ว พบว่า ผม เป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่ของเว็บครับ เมื่อ: 2010-12-24T16:26:35+00:00 เกล้า: โหวดให้แล้วเหมือนกันครับ เมื่อ: 2010-12-24T16:41:16+00:00 Teathink: โหวตแล้วครับ แต่ไม่บอกว่า อันไหน หวังว่าอีก 2 ปี จะไม่ได้โหวตช่องเดิมนะ (ขอช่องที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่เล็กลง) เมื่อ: 2010-12-24T16:45:52+00:00 picklife: ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ร่วมโหวตนะครับ จากผู้ร่วมโหวต219คน Avr.Port TVI=29ล้าน พอร์ทหนูเล็กกว่า10กว่าเท่า ก้าวต่อไป อยากรู้ว่าถ้าโหวตแบบนี้ทุกปี เราจะเห็นAvr.PortTVIเป็นอย่างไรบ้างนะ 29 37 49 64 ไปเรื่อยๆหรือปล่าวนะ ผมว่าน่าติดตามมากครับ แต่น่าจะเกิดปัจจัยลบสองด้านคือ 1.พอร์ทคนที่ใหญ่ๆมากๆแล้วอาจจะไปจากTVIหรือไม่ได้มาโหวต 2.คนเล่นหุ้นเพิ่มมากเป็นทวีกำลัง(ไม่ใช่กราฟเส้นตรงเป็นพาราโบล่า)ดังนั้นพอร์ทจะเล็กๆจะเพิ่มขึ้นมากเป็นทวีกำลังเช่นเดียวกัน ดังนั้นสรุปแล้ว ปัจจัยลบ vs ผลตอบแทนTVI อะไรจะมากกว่ากัน!!! น่าติดตามครับ เมื่อ: 2010-12-25T06:14:15+00:00 icloudyz: โหวตไปแล้วครับ ลดค่าเฉลี่ยไปอย่างทะลักทะลาย อยากมีวันที่พอร์ตตัวเองถึงระดับร้อยล้านจังครับ เมื่อ: 2010-12-25T06:43:30+00:00 tansit: น่าสนใจดีครับ ลองมาตรวจสอบปีหน้าอีกทีเปรียบเทียบดูครับว่ามีความก้าวหน้า-ก้าวลงกันแค่ ไหน แต่ของข้าน้อยน่าจะช่องเดิมละเน้อ ข้าน้อยเพิ่มเริ่มลงทุนตอน พค.53 ทุกวันนี้พยายามเก็บซื้อเพิ่มได้เืดือนละหมื่น สักวันพอร์ตจะโต เมื่อ: 2010-12-25T08:49:27+00:00 Likhit: บอกไม่ได้ครับเดี๋ยวพวกยื้มตังค์ เมื่อ: 2010-12-25T11:04:09+00:00 Nuthor: อืมมมมม เอาหน่ะ ยังดีที่ไม่ตก mean เมื่อ: 2010-12-25T11:48:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามประสบการณ์ข้อมูลที่ IRให้เชื่อถือได้มากแค่ไหนครับ Pongchai397: หลักการ VI นอกจากการดูธรรมาภิบาลของผู้บริหารแล้ว ผมสงสัยเรื่องข้อมูลที่ IRให้เรามาเชื่อถือได้มากแค่ไหนครับ เพราะ 1. ส่วนใหญ่เราเข้าไม่ถึงผู้บริหาร ข้อมูลที่ได้จาก Oppday 2. IR ก็คือลูกจ้างของบริษัท 3. IR คือคนที่สามารถชี้นำภาพลักษณ์ทั้งดีและไม่ดีของบริษัทให้กับนักลงทุน เพื่อนๆTVIมาช่วยแชร์ประสบการณ์กันหน่อยครับ เมื่อ: 2013-10-30T11:39:35+00:00 ACME49: โดยประสบการณ์ผมไม่เคยคุยกับIRเลย แต่ขอแจมหน่อยครับ โดยส่วนตัวผมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ที่ได้มาไม่ว่าจากที่ไหน(ผู้บริหาร หนังสือพิมพ์ บทวิเคราะห์ เพื่อนหรือ อื่นๆ)ผมว่าขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราจะนำมาใช้ประโยชน์มีอะไรสนับสนุนมันหรือเปล่า และสามารถนำมาเป็นประโยชน์กับการลงทุนของเราได้หรือเปล่า? สิ่งที่จะบ่งบอกเราว่าข้อมูลที่ได้มานั้นเชื่อถือได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือเปล่า บางครั้งไม่รู้เลยก็ไม่สามารถตัดสินได้ในความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ แต่ถ้าเราชำนาญหรือเรามีความรู้ในเรื่องนั้นๆ เราจะฟันธงได้ทันทีว่าเชื่อได้หรือไม่ ซึ่งถ้าหมายถึงตัวหุ้นก็หมายถึงว่าเราลึกแค่ไหนในตัวหุ้น ยิ่งรู้ลึกยิ่งมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะชนะในเกมนะ ยังมีปัจจัยอีกมากที่จะทำให้การตัดสินใจของเราเกิดข้อผิดพลาดได้ ประสบการณ์จากลงทุนและสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดมาในการลงทุนเท่านั้นจะช่วยเราให้อยู่รอดจนสามารถเป็นอิสระทางการเงินสำเร็จตามตั้งใจ เมื่อ: 2013-10-30T12:34:13+00:00 IR_GLOW: IRมีหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนแต่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นทุกคนอย่างเท่าเทียมกันครับ และเราไม่มีสิทธิที่จะแนะนำหรือชี้นำนักลงทุนในการตัดสินใจที่จะซื้อหรือขายหุ้นครับ เมื่อ: 2013-10-30T15:26:18+00:00 nu: ต้องแยกให้ได้ว่าอันไหนเป็น Fact อันไหนเป็น opinion ครับ เมื่อ: 2013-10-31T06:07:29+00:00 leky: Pongchai397 เขียน:หลักการ VI นอกจากการดูธรรมาภิบาลของผู้บริหารแล้ว ผมสงสัยเรื่องข้อมูลที่ IRให้เรามาเชื่อถือได้มากแค่ไหนครับ เพราะ 1. ส่วนใหญ่เราเข้าไม่ถึงผู้บริหาร ข้อมูลที่ได้จาก Oppday 2. IR ก็คือลูกจ้างของบริษัท 3. IR คือคนที่สามารถชี้นำภาพลักษณ์ทั้งดีและไม่ดีของบริษัทให้กับนักลงทุน เพื่อนๆTVIมาช่วยแชร์ประสบการณ์กันหน่อยครับ จากประสบการณ์ส่วนตัว เคยคุยกับ IR มาแล้วหลายบ. ผมคิดว่าการที่เราจะเชื่อถือ IR มากน้อยแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่าเราเตรียมตัวทำการบ้านก่อนไปถาม IR มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ทำการบ้านศึกษาคำถามที่เราจะถามไปเลย เราก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าคำตอบที่ได้รับจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นมารยาทในการถามผมคิดว่าก็สำคัญ คำถามประเภทงบที่กำลังจะออกจะเป็นอย่างไร แบบนี้ก็ไม่ควรถาม เพราะมันจะทำให้คนตอบอึดอัด และอาจจะทำให้ไม่อยากตอบคำถามอื่น ๆ ไปด้วย ในความเห็นผม แผนก IR ถือเป็นแผนกที่เป็นหน้าเป็นตาของบ. เป็นแผนกที่สามารถทำให้นลท.หรือผถห.รู้สึกได้ว่าบ.หรือผบห.กำลังเอาเปรียบนลท.หรือผถห.อยู่หรือไม่ เท่าที่เคยเจอ ขอแบ่งเป็น 3 แบบ 1) แบบดี เป็น IR ที่ให้ข้อมูลตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องดีและไม่ดี รู้ข้อมูลทุกอย่างในบ. ให้ข้อมูลรวดเร็ว ถ้าเมลไปก็ตอบกลับโดยใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ในระดับสูงด้วย ทำให้รู้ข้อมูลในบ.เป็นอย่างดี และกล้าตัดสินใจที่จะให้ข้อมูลได้ ถ้าเจอ IR แบบนี้เรามักจะถือหุ้นของบ.เค้าได้นานขึ้น เพราะมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ 2) แบบกลาง ๆ ส่วนหนึ่งมักจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในระดับสูง อาจจะพอรู้เรื่องของบ.บ้างแต่ไม่ลึก ทำให้เมื่อเจอคำถามเชิงลึก หรือเรื่องเกี่ยวกับทางบัญชี ทำให้มักจะตอบไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็จะรับคำถามไปถามทางผู้มีอำนาจตัดสินใจในการตอบคำถามอีกทีหนึ่ง ทำให้การได้รับข้อมูลล่าช้า และถ้ามีคำถามอยากถามต่อเนื่องก็อาจจะติดขัด 3) แบบห่วย อันนี้ไม่ต้องพูด เพราะโดยประสบการณ์ส่วนตัว หลังจากเจอ IR แบบนี้ ผมก็มักจะขายหุ้นทิ้งหลังจากนั้นได้ไม่นาน ที่เรียกว่าไม่ดีนั้นเจอลักษณะหลาย ๆ แบบ เช่น เป็น IR ที่แทบจะตอบอะไรไม่ได้เลย เหมือนบ.ตั้งขึ้นมาเพื่อรับหน้ายังไงยังงั้น เพราะแค่ถามคำถามแรกไปก็ตอบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คำถามเชิงลึกอะไร ต้องเบรกวางสายไปถามคนอื่นก่อนจะมาตอบ จนเราประเมินแล้วว่าถามต่อคงไม่ได้อะไรเลยต้องหยุดถาม แบบที่สองที่เคยเจอมาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง แต่ถามอะไรไป คำตอบที่ได้รับเป็นลักษณะของการแทงกั๊ก ไม่ชัดเจน แทบจะทุกคำถาม บางคำถามก็ไม่ตอบอ้างว่าตอบไม่ได้ประมาณว่าข้อมูลเปิดเผยไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผบห.ระดับที่สูงกว่ากลับออกมาให้ข่าวผ่านสื่อมากกว่าที่เราถามไป (ตกลงมันเปิดเผยไม่ได้????) แต่แบบที่สามที่เคยเจอนี่เลวร้ายสุด โทรไปเจ้าหน้าที่ระดับเล็กรับสาย บอกว่าเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ เจอคำถามแรกเป็นเรื่องยอดขาย โยนให้ CFO ช่วยตอบ แต่ CFO ติดประชุม แล้วนัดผมให้โทรมาใหม่หลังวันหยุดยาว พอโทรไป CFO บอกว่าไม่มีหน้าที่ตอบ จะให้เค้ามาตอบคำถามผมซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่โทรเข้ามาที่บ.ได้ยังไง ผมว่าพูดแบบนี้มันก็เกินไปหน่อยครับ แล้วที่ CFO รับเงินเดือนอยู่ทุกวันนี้บ.นี้ส่วนหนึ่งผมก็เป็นเจ้าของอยู่ด้วยนะครับ สุดท้าย CFO โยนให้ไปถามกรรมการผู้จัดการเลย โดยบอกว่าให้เมลเข้าไป ผมถามไปว่ากรรมการผู้จัดการเค้าจะตอบเหรอ เค้าบอกว่าเดี๋ยวเลขาฯได้รับเรื่องจะส่งเรื่องไปเอง ผมเองคิดอยู่ในใจว่างานนี้คงเงียบ สุดท้ายผมคิดไม่ผิด และพอไปเปิดในรายงานประจำปีของบ.กลับมีการเขียนถึงผู้รับผิดชอบที่จะต้องให้ข้อมูลกับนลท.เป็นผบห.ระดับสูงอีกคน ผมก็ไม่เข้าใจว่าถ้าเขียนไปแล้วไม่ทำแล้วจะเขียนไปทำไม พอไปรื้อรายงานการประชุมของเก่าก็พบว่าเคยมีการพูดถึงประเด็นนี้มาแล้วเรื่องไม่มีฝ่าย IR ที่ชัดเจน แล้วก็มอบหมายให้ผู้บริหารท่านนี้รับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่บ.มีปัญหาผลประกอบการขาดทุน และมีปัญหาในงบการเงินอีกหลายอย่าง แบบนี้ผมถือว่าผบห.กำลังเอาเปรียบนลท.หรือผถห. เพราะคุณรู้ที่มาที่ไปของปัญหาแต่คุณพยายามจะไม่ให้คนอื่นที่มีส่วนได้ส่วนเสียรับรู้ เดี๋ยวนี้ถ้าผมอยากจะซื้อหุ้นตัวไหนที่เป็นบ.ไม่ใหญ่แล้วหาข้อมูลยาก ผมจะพยายามหาเวลาโทรเข้าไปสอบถามข้อมูลของบ.ก่อนเสมอ บางครั้งคำตอบจาก IR มันก็พอทำให้เราทราบวิสัยทัศน์และทิศทางของบ.ได้ครับ เมื่อ: 2013-10-31T06:18:44+00:00 Pongchai397: IR_GLOW เขียน:IRมีหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนแต่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นทุกคนอย่างเท่าเทียมกันครับ และเราไม่มีสิทธิที่จะแนะนำหรือชี้นำนักลงทุนในการตัดสินใจที่จะซื้อหรือขายหุ้นครับ ขอบคุณครับ คุณIR_GLOW ที่เข้ามาชี้แจง เมื่อ: 2013-10-31T10:30:14+00:00 Pongchai397: leky เขียน:Pongchai397 เขียน:หลักการ VI นอกจากการดูธรรมาภิบาลของผู้บริหารแล้ว ผมสงสัยเรื่องข้อมูลที่ IRให้เรามาเชื่อถือได้มากแค่ไหนครับ เพราะ 1. ส่วนใหญ่เราเข้าไม่ถึงผู้บริหาร ข้อมูลที่ได้จาก Oppday 2. IR ก็คือลูกจ้างของบริษัท 3. IR คือคนที่สามารถชี้นำภาพลักษณ์ทั้งดีและไม่ดีของบริษัทให้กับนักลงทุน เพื่อนๆTVIมาช่วยแชร์ประสบการณ์กันหน่อยครับ จากประสบการณ์ส่วนตัว เคยคุยกับ IR มาแล้วหลายบ. ผมคิดว่าการที่เราจะเชื่อถือ IR มากน้อยแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับว่าเราเตรียมตัวทำการบ้านก่อนไปถาม IR มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ทำการบ้านศึกษาคำถามที่เราจะถามไปเลย เราก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าคำตอบที่ได้รับจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนั้นมารยาทในการถามผมคิดว่าก็สำคัญ คำถามประเภทงบที่กำลังจะออกจะเป็นอย่างไร แบบนี้ก็ไม่ควรถาม เพราะมันจะทำให้คนตอบอึดอัด และอาจจะทำให้ไม่อยากตอบคำถามอื่น ๆ ไปด้วย ในความเห็นผม แผนก IR ถือเป็นแผนกที่เป็นหน้าเป็นตาของบ. เป็นแผนกที่สามารถทำให้นลท.หรือผถห.รู้สึกได้ว่าบ.หรือผบห.กำลังเอาเปรียบนลท.หรือผถห.อยู่หรือไม่ เท่าที่เคยเจอ ขอแบ่งเป็น 3 แบบ 1) แบบดี เป็น IR ที่ให้ข้อมูลตรงไปตรงมา ทั้งเรื่องดีและไม่ดี รู้ข้อมูลทุกอย่างในบ. ให้ข้อมูลรวดเร็ว ถ้าเมลไปก็ตอบกลับโดยใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ในระดับสูงด้วย ทำให้รู้ข้อมูลในบ.เป็นอย่างดี และกล้าตัดสินใจที่จะให้ข้อมูลได้ ถ้าเจอ IR แบบนี้เรามักจะถือหุ้นของบ.เค้าได้นานขึ้น เพราะมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ 2) แบบกลาง ๆ ส่วนหนึ่งมักจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในระดับสูง อาจจะพอรู้เรื่องของบ.บ้างแต่ไม่ลึก ทำให้เมื่อเจอคำถามเชิงลึก หรือเรื่องเกี่ยวกับทางบัญชี ทำให้มักจะตอบไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็จะรับคำถามไปถามทางผู้มีอำนาจตัดสินใจในการตอบคำถามอีกทีหนึ่ง ทำให้การได้รับข้อมูลล่าช้า และถ้ามีคำถามอยากถามต่อเนื่องก็อาจจะติดขัด 3) แบบห่วย อันนี้ไม่ต้องพูด เพราะโดยประสบการณ์ส่วนตัว หลังจากเจอ IR แบบนี้ ผมก็มักจะขายหุ้นทิ้งหลังจากนั้นได้ไม่นาน ที่เรียกว่าไม่ดีนั้นเจอลักษณะหลาย ๆ แบบ เช่น เป็น IR ที่แทบจะตอบอะไรไม่ได้เลย เหมือนบ.ตั้งขึ้นมาเพื่อรับหน้ายังไงยังงั้น เพราะแค่ถามคำถามแรกไปก็ตอบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คำถามเชิงลึกอะไร ต้องเบรกวางสายไปถามคนอื่นก่อนจะมาตอบ จนเราประเมินแล้วว่าถามต่อคงไม่ได้อะไรเลยต้องหยุดถาม แบบที่สองที่เคยเจอมาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง แต่ถามอะไรไป คำตอบที่ได้รับเป็นลักษณะของการแทงกั๊ก ไม่ชัดเจน แทบจะทุกคำถาม บางคำถามก็ไม่ตอบอ้างว่าตอบไม่ได้ประมาณว่าข้อมูลเปิดเผยไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ผบห.ระดับที่สูงกว่ากลับออกมาให้ข่าวผ่านสื่อมากกว่าที่เราถามไป (ตกลงมันเปิดเผยไม่ได้????) แต่แบบที่สามที่เคยเจอนี่เลวร้ายสุด โทรไปเจ้าหน้าที่ระดับเล็กรับสาย บอกว่าเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ เจอคำถามแรกเป็นเรื่องยอดขาย โยนให้ CFO ช่วยตอบ แต่ CFO ติดประชุม แล้วนัดผมให้โทรมาใหม่หลังวันหยุดยาว พอโทรไป CFO บอกว่าไม่มีหน้าที่ตอบ จะให้เค้ามาตอบคำถามผมซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ที่โทรเข้ามาที่บ.ได้ยังไง ผมว่าพูดแบบนี้มันก็เกินไปหน่อยครับ แล้วที่ CFO รับเงินเดือนอยู่ทุกวันนี้บ.นี้ส่วนหนึ่งผมก็เป็นเจ้าของอยู่ด้วยนะครับ สุดท้าย CFO โยนให้ไปถามกรรมการผู้จัดการเลย โดยบอกว่าให้เมลเข้าไป ผมถามไปว่ากรรมการผู้จัดการเค้าจะตอบเหรอ เค้าบอกว่าเดี๋ยวเลขาฯได้รับเรื่องจะส่งเรื่องไปเอง ผมเองคิดอยู่ในใจว่างานนี้คงเงียบ สุดท้ายผมคิดไม่ผิด และพอไปเปิดในรายงานประจำปีของบ.กลับมีการเขียนถึงผู้รับผิดชอบที่จะต้องให้ข้อมูลกับนลท.เป็นผบห.ระดับสูงอีกคน ผมก็ไม่เข้าใจว่าถ้าเขียนไปแล้วไม่ทำแล้วจะเขียนไปทำไม พอไปรื้อรายงานการประชุมของเก่าก็พบว่าเคยมีการพูดถึงประเด็นนี้มาแล้วเรื่องไม่มีฝ่าย IR ที่ชัดเจน แล้วก็มอบหมายให้ผู้บริหารท่านนี้รับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่บ.มีปัญหาผลประกอบการขาดทุน และมีปัญหาในงบการเงินอีกหลายอย่าง แบบนี้ผมถือว่าผบห.กำลังเอาเปรียบนลท.หรือผถห. เพราะคุณรู้ที่มาที่ไปของปัญหาแต่คุณพยายามจะไม่ให้คนอื่นที่มีส่วนได้ส่วนเสียรับรู้ เดี๋ยวนี้ถ้าผมอยากจะซื้อหุ้นตัวไหนที่เป็นบ.ไม่ใหญ่แล้วหาข้อมูลยาก ผมจะพยายามหาเวลาโทรเข้าไปสอบถามข้อมูลของบ.ก่อนเสมอ บางครั้งคำตอบจาก IR มันก็พอทำให้เราทราบวิสัยทัศน์และทิศทางของบ.ได้ครับ ขอบคุณความเห็นของคุณ leky ครับ แสดงว่าดูที่IR ก็ได้ว่าบริษัทให้ความสำคัญกับนักลงทุนแค่ไหนนะครับ เมื่อ: 2013-10-31T10:40:11+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ฟิทช์ เรทติ้งส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ของอิตาลีและสเปน kloysri: http://www.thanonline.com/index.php?opt ... Itemid=525 Home Breaking News ข่าวต่างประเทศ ฟิทช์ เรทติ้งส์ลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ของรัฐบาลอิตาลีและสเปน วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2011 เวลา 05:32 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดัง ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ของรัฐบาลอิตาลีและสเปน โดยอิตาลีถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 1 ขั้นจาก AA- เป็น A+ เนื่องจากมีความเสี่ยงการชำระหนี้ระยะยาวและเศรษฐกิจเติบโตอย่างเชื่องช้า ขณะที่สเปนถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง 2 ขั้น จาก AA+ เป็น AA- จากเหตุผลความเสี่ยงในกลุ่มยูโรโซนและเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มูดี้ส์ และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ก็ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีไปแล้ว ขณะเดียวกันมูดีส์เตือนเมื่อวานนี้ว่าอาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของเบลเยียมลงจากระดับปัจจุบัน Aa 1 ในขณะที่ประเทศหาทางให้ความช่วยเหลือธนาคารเด็กเซียที่กำลังประสบปัญหา. เมื่อ: 2011-10-09T23:04:04+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
cc hot: สงสัย เมื่อ: 2004-04-01T14:07:34+00:00 ayethebing: ไม่ค่อยสนว่าพรุ่งนี้จะเป็นไงแต่สนว่าปลายปีจะเป็นไงมากกว่าครับ คุณ hot คือในใจนะหวังลุ้นที่ 300 บาทอยู่อะ (ผมเดาว่า กำไร 21 บาท P/E = 15 ครับ) อันนี้ยอมรับว่าไม่ค่อยมีหลักการ อย่าเชื่อมากละ เมื่อ: 2004-04-01T16:54:44+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
TR เขื่อนแตก??? ayethebing: เกิดไรขึ้นเนี่ยะ มาดูอีกที 52.5 แล้ว (ผมรู้แค่ผลประกอบการดีมาาาาาก ในไตรมาสล่าสุดแค่นั้น) ยินดีกับท่านลูกอีสาน พี่ครรชิต และอีกหลายๆ ท่านที่ถือด้วยครับ แต่ยังไงเขื่อนคงไม่แตกเป็นปันผลหรอกเนาะ  :twisted: เมื่อ: 2007-07-09T15:24:48+00:00 yoyo: ขาดไป 2.50 ... 55 แล้วพี่บิง  :lol: เมื่อ: 2007-07-09T16:53:33+00:00 ครรชิต ไพศาล: เมื่อเช้า มีคนให้ราคา ถึง 57 ตอนนี้ มาอยู่ 56 ไม่รู้ไตรมาสนี้ EPS จะออกมาเท่าไร ไม่รู้ 2 กว่าๆ อีกไตรมาสหรือเปล่า เมื่อ: 2007-07-10T05:06:13+00:00 Jeng: ยินดีด้วยครับ พี่ครรชิต vi ตัวจริง ของเว็บ ถือนานจริงๆ มั่นคงจริงๆ เมื่อ: 2007-07-10T05:11:41+00:00 Mr. Big: ตกลงตัวนี้มันเป็นอะไรครับ หรือว่า มาเพราะ undervalue กับ งบดีอย่างเดียว ? เมื่อ: 2007-07-10T06:23:40+00:00 ลูกอิสาน: [quote="ayethebing"]เกิดไรขึ้นเนี่ยะ มาดูอีกที 52.5 แล้ว (ผมรู้แค่ผลประกอบการดีมาาาาาก ในไตรมาสล่าสุดแค่นั้น) ยินดีกับท่านลูกอีสาน พี่ครรชิต และอีกหลายๆ ท่านที่ถือด้วยครับ แต่ยังไงเขื่อนคงไม่แตกเป็นปันผลหรอกเนาะ เมื่อ: 2007-07-10T06:28:59+00:00 Mr. Big: ดูราคาปิด TCB TR สิครับ ใครช่างกล้า เมื่อ: 2007-07-10T09:41:44+00:00 yoyo: Mr. Big เขียน:ตกลงตัวนี้มันเป็นอะไรครับ หรือว่า มาเพราะ undervalue กับ งบดีอย่างเดียว ? น่าจะเป็นอย่างนั้นมั๊งครับ .. เพราะผมก็เป็นหนึ่งในนั้น .. มายกมือสารภาพ  :oops: เมื่อ: 2007-07-10T16:47:03+00:00 Mr. Big: อ้อ คุณ yoyo ซื้อแถว 4 กว่า หรือ 5 กว่าครับ หุหุ เมื่อ: 2007-07-11T02:07:17+00:00 yoyo: Mr. Big เขียน:อ้อ คุณ yoyo ซื้อแถว 4 กว่า หรือ 5 กว่าครับ หุหุ 4 กลางถึงปลายครับ  :D เมื่อ: 2007-07-11T15:47:38+00:00 Mr. Big: นี่คุณ yoyo กะถือกลางๆสัก 3-6 เดือนเหรอครับสำหรับ  TR เมื่อ: 2007-07-12T02:16:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ค่ากับข้าว... นายสต็อก: ช่วงนี้... ผมนั่งเปิดเว็บโน้นเว็บนี้ ดูประกาศปันผลระหว่างกาลจากบริษัท ชั้นนำ ดูไปก็ลุ้นเจ้าหุ้นในพอร์ตจุ๋มจิ๋มของเราไป โชคดีพอมีหุ้น ได้ปันผลกับเค้าบ้างเหมือนกัน มานั่งดีดลูกคิดไปมาได้เงินค่ากับข้าว เพียงแค่ ๘,๗๗๕ บาท นี่ยังไม่หักค่าภาษีอีก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหักไปแล้วก็เหลือ เงินซื้อของกินของใช้แค่ ๗,๘๙๗.๕๐ บาท ยังไงขอแวะไปนั่งทานอาหารรสแซ่บๆที่ร้านอาหารบรรยากาศ ดีๆสักมื้อ กับคนรู้ใจ ที่เหลือก็คงซื้ออาหารแห้งมาเป็นเสบียง ยามหิวที่บ้านตามประสานักชิม!!!... ทำยังไงได้ก็หุ้นตัวอื่นเค้าไม่ยอมให้ปันผล เราก็ต้องเป็น นายข้าวเกรียบกุ้งต่อไป (สาธุ!...สาธุ!... ) เมื่อ: 2004-08-31T15:30:26+00:00 Chachacha: ผมได้แค่ 2,700 ก็คงแค่ค่าน้ำชาล่ะสิ เมื่อ: 2004-08-31T23:29:21+00:00 Chachacha: ผม 1000000000 บาทไม่ได้โม้ เมื่อ: 2004-09-01T00:30:32+00:00 anti-red: ผมได้ประมาณ 2 พัน เทียบกับเจ้าของกระทู้ สงสัยได้ข้าวเปล่า :lol: เมื่อ: 2004-09-01T12:30:01+00:00 นายสต็อก: จริงๆแล้ว...เงินปันผลพวกนี้... กว่าจะรวบรวมเป็นก้อนได้ก็เกือบสิ้นเดือนกันยายนแล้วหล่ะครับ ในเมื่อกองทัพเดินด้วยท้อง เราก็ต้องดิ้นกระดุบๆ กันต่อไป ใครที่บอกได้ปันผลน้อยๆ...สงสัยจะมี Margin of Safety สูงงงง!!! (ฮะ!...ฮะ!...ฮะ!...) เมื่อ: 2004-09-01T17:21:08+00:00 champ: ของผมยังไม่ออกเลยครับ เมื่อ: 2004-09-02T00:56:56+00:00 TOMOKI: วันนี้ได้มาปันผลมาตังนึงครับ แต่จะดีใจดีไหม เพราะราคาวันนี้ ลงเกินปันผลที่ได้อีกนะครับ เมื่อ: 2004-09-02T09:59:51+00:00 TOMOKI: อย่าเอามาจ่ายค่ากับข้าวเลยครับ ...เก็บไว้ซื้อหุ้นตัวเดิมดีกว่าครับ ลดต้นทุนนะ เมื่อ: 2004-09-03T04:57:22+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อารมณ์ของคนเล่นสั้น เด็กใหม่หัดขวิด: เอามาจากกระทิงเขียว ขออนุญาต เจ้าของด้วย อ่านแล้วจี้ดีเลยเอามา post ให้อ่านกัน สักวาหุ้นตกอกแทบแตก เหมือนหญ้าแพรกโดนช้างเหยียบเรียบกันพื้น ฝรั่งมันเทเลหลังล้มทั้งยืน ตุรกีขื่นไทยม้วยซวยบรม เทคโนแครตร่วมถล่ม นอลอทอ กอลอตอ ซ้ำแบ็งชาติสาดข่าวลม หลุดหกร้อยคราวนี้ได้นอนซม ดมยาดมลมจะจับดับแน่กู...เห้อ สักวา หุ้นแดงเดือด ดังเลือดสาด รายย่อยกวาด รายใหญ่ เทเฮละวา หุ้นแดงแดง เลือดแมงเม่า เคล้าน้ำตา นี่ละหนา แมงเม่า เข้าเล่นไฟ พอกูขาย แม่งรี กูละบื้อ พอกูซื้อ แม่งก็ร่วง ซวยบรรลัย มัวขายหมู ซื้อหมา อยู่ได้ไง ช้ำหัวใจ ขาดทุนหมด อดได้เงิน ...เห้อ สักวาหุ้นตกอกแม่เอ๋ย ไม่นึกเลยว่าจะเห็น เป็นเช่นนี้ ถืออยู่แปด เผลอแผ่บเดียวเหมือนโดนตี เปิดอีกทีเลขห้าจะบ้าตาย ทำไงดีน้องพี่ช่วยกันหน่อย หากเราปล่อยให้มันทุบ จะบุบเสีย รวมพลังช่วยกันดัน ช่วยกันเชียร์ พร้อมปลดเกียร์ วิ่งสู้ฟัด กัดให้ตาย เมื่อ: 2003-11-21T10:15:45+00:00 แม่นยำ: คำเตือน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ajf ajf ajf แฮะๆ :lol: เมื่อ: 2003-11-21T10:22:32+00:00 jokie: 8) ขอแจมบ้าง ......คำเตือน..... เล่นหุ้น อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โปรดศึกษาให้ดีก่อนเล่น ไม่ควรเล่นเกินวันละสองรอบ เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรเล่น โปรดอ่านฉลากจากบอร์ดVIก่อนเล่นทุกครั้ง แฮ่ม... เมื่อ: 2003-11-21T14:33:45+00:00 genie: เอามั่ง คำเตือน การเข้ามาในตลาดหุ้นมีความเสี่ยง(โดนเผา) ถ้าไม่ได้ศึกษาก่อนการลงทุน 8) เมื่อ: 2003-11-22T17:50:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครตามดมก้นฝรั่ง ยกมือขึ้น !!! LOSO: อยากรู้น่่ะครับ    ไม่มีไร ................. เห็นตลาดแบบนี้ ............... เมื่อ: 2007-10-29T14:36:53+00:00 kyoza: ผมอยากตามนะครับ แต่ไม่กล้าอะ ป๊อด :lol: เมื่อ: 2007-10-29T16:56:34+00:00 ปุย: ฝรั่งเดินไปทางไหนหรือครับ ผมยังไม่รู้เลย แล้วจะตามก้น มันได้ยังไง  :?: เมื่อ: 2007-10-29T18:51:31+00:00 mprandy: ตามแบบอ้อม ๆ ด้วย LTF กับ RMF ครับ เพราะต้องซื้ออยู่แล้ว ทั้งสองตัวกำไรอู้ฟู่ แต่พอร์ตจริงไม่กระดิก... เมื่อ: 2007-10-29T23:45:09+00:00 sunrise: ตามนิดหน่อยครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นพอร์ตตัวเอง หุ้นเลือกเองครับ เมื่อ: 2007-10-30T02:07:29+00:00 dino: 8) แหะ แหะ ถ้าฝาหรั่งสาวๆสวยๆก็น่าตามเนอะ เมื่อ: 2007-10-30T02:55:20+00:00 path2544: ฝรั่งหัวดำ หรือ ฝรั่งหัวแดงอ่ะครับ มาเป็นตัวป่วนอีกล่ะ  :D  :D เมื่อ: 2007-10-30T03:00:15+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สำรวจ เพศ นักลงทุนในเว็บบอร์ดแห่งนี้ครับ thaloengsak: เพื่อนๆ เพศอะไรครับ ? What 's your gender? เมื่อ: 2013-07-28T16:18:00+00:00 thaloengsak: อ่านบทความนี้ของดร. จะได้อรรถรสด้วยครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56150 เมื่อ: 2013-07-28T16:40:00+00:00 Guiman: เพศ ญ เยอะกว่าที่คิด Dr.alexander elder บอกว่า การลงทุน การเทรด เป็นเกมอันตรายครับ คล้ายๆปีนหน้าผา เล่นสเกตบอร์ดไรพวกนั้น ผู้ชายจะชอบมากกว่า ผู้หญิง ปล แต่ ญ เยอะจริงๆ เมื่อ: 2013-07-29T14:55:31+00:00 David TON: เพศอื่นๆ เมื่อ: 2013-07-31T04:35:37+00:00 st.martin: เพศอื่น ๆ 1. ชาย 75% ญ 25% 2. ช 25% ญ 75% เมื่อ: 2013-07-31T04:39:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ผมเห็นหลายคนอ่านร้อยคนร้อยหุ้นแล้วชอบฝากถาม โอ@: ผมเสนอเป็นแนวทางดูนะครับ อย่างกรณีกำลังจะมี Opp day หรือว่าประชุมผู้ถือหุ้น แต่ว่าท่านเหล่านั้นไปไม่ได้ก็ว่าไปอย่างครับ การฝากถามก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่ว่า ถ้าช่วงกรณีนั้น ไม่มีการประชุมใดๆ ผมอยากสนับสนุนให้คนที่ฝากถาม ลองโทรศัพท์ไปที่บริษัทถามด้วยตัวเองเลยครับ แล้วได้คำตอบมาอย่างไรก็นำมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ ถ้าลองได้ติดต่อบ่อยๆ จะกล้าขึ้นครับ แล้วผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนแน่ๆครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจนะครับ เมื่อ: 2007-03-18T12:10:02+00:00 ตาหมูอ้วน.: อ่านแล้วเขินเลยครับ เพิ่งฝากพี่ Kao ไปถามในวันประชุมผู้ถือหุ้นของ APRINT เอง เมื่อ: 2007-03-18T12:36:06+00:00 miracle: ที่ฝากเนื่องจากไปไม่ได้ บ้างครั้งบ้างคำถามโทรศัพท์ไปถาม ไม่สามารถตอบได้เพราะเป็นทางเทคนิคในการตอบ และถ้าหากถามในที่สาธารณะอาจจะมีคนคิดแบบเดียวกับเรา ใจตรงกัน คำถามหนึ่งคำถามอาจจะดีกว่าคำตอบเป็นร้อยๆคำตอบ อันนี้เป็นหลักฝรั่งเศทครับ ปล เอ๋เริ่มสังเกตสิ่งเปลี่ยนแปลงว่า หลังๆเริ่มมีการฝากคำถามมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งดีน่าครับ เพราะว่า สังเกตเห็นแล้วเปรียบเทียบก็คือสมองเริ่มคิดว่ามีอะไรผิดปกติครับ เมื่อ: 2007-03-18T13:18:25+00:00 MarginofSafety: ถ้าไม่สะดวกรับฝากหรือไม่เต็มใจ ก็ไม่เห็นต้องรับนี่ครับ เราเองก็ยังต้องพึ่งพาข้อมูลจากผู้อื่นเหมือนกัน ... ฝากถาม ก็เหมือนเพื่อนฝากซื้อก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ บางครั้งเราก็ฝากเพื่อนซื้อก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน เทียน มีคนมาขอจุดต่อ ความสว่างมันก็ไม่ได้หายไปไหน เช่นเดียวกับความรู้ มันก็ยังติดตัวเราไปตลอด ยิ่งให้ยิ่งได้ จะซีเรียสไปใย ... เมื่อ: 2007-03-18T14:04:32+00:00 โอ@: โอ@ เขียน:ผมเสนอเป็นแนวทางดูนะครับ อย่างกรณีกำลังจะมี Opp day หรือว่าประชุมผู้ถือหุ้น แต่ว่าท่านเหล่านั้นไปไม่ได้ก็ว่าไปอย่างครับ การฝากถามก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่ว่า ถ้าช่วงกรณีนั้น ไม่มีการประชุมใดๆ ผมอยากสนับสนุนให้คนที่ฝากถาม ลองโทรศัพท์ไปที่บริษัทถามด้วยตัวเองเลยครับ แล้วได้คำตอบมาอย่างไรก็นำมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ ถ้าลองได้ติดต่อบ่อยๆ จะกล้าขึ้นครับ แล้วผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนแน่ๆครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าหลายๆท่านเข้าใจตรงกับที่เขียนหรือเปล่านะครับ เมื่อ: 2007-03-18T14:29:31+00:00 MarginofSafety: โอ@ เขียน: ผมไม่แน่ใจว่าหลายๆท่านเข้าใจตรงกับที่เขียนหรือเปล่านะครับ เข้าใจตรงแล้วครับ แต่มองต่างกันได้ ไม่เป็นไรครับ เมื่อ: 2007-03-18T14:43:54+00:00 tae_2323: ผมเคยโทรไปถามไอทีวีมันก็โยนกันไปมาไม่ยอมตอบ เมื่อ: 2007-03-18T14:45:45+00:00 โอ@: ผมมองว่าการโทรไปถามบริษัทด้วยตัวเอง ได้อะไรมากกว่าที่คิดครับ ใครที่เคยไม่กล้า ลองดูครับ ผมว่ามันได้อะไรจริงๆ ฮ่าๆๆๆ สรุปก็บอกว่า ได้อะไรจริงๆ แต่็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันได้อะไร เอาเป็นว่าครั้งแรกที่ผมโทรไปถาม เหมือนข้ามกำแพงอะไรบางอย่างไป หลังจากนั้นมาก็กล้าโทรไปถามอะไรที่ไม่สงสัยตลอดครับ เมื่อ: 2007-03-18T15:30:45+00:00 ตาหมูอ้วน.: ขอบคุณครับ แล้วผมจะลองดู เมื่อ: 2007-03-18T17:03:53+00:00 chatchai: ผมสนับสนุนให้โทรศัพท์ไปถามที่บริษัทเองครับ เพราะคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก  เพียงแต่ใช้ความกล้าหาญหน่อยในครั้งแรกๆ เมื่อ: 2007-03-19T02:29:41+00:00 สุมาอี้: ดีครับ มีคนโทรไปถามบ่อยๆ เขาจะได้รู้ว่ามีรายย่อยคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา เวลาบริษัทคิดจะมั่วนิ่มอะไรเขาจะได้ไม่กล้า เหมือนกองทุนวายุภักดิ์ที่จ่ายปันผลสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพราะผลการดำเนินงานดี แต่เพราะมีข้าราชการเกษียณจำนวนมากที่ซื้อกองทุนนี้ไว้และพวกเขาคอยจ้องอยู่ตลอดเวลาว่ากองทุนจะจ่ายปันผลเท่าไร เมื่อ: 2007-03-19T02:36:58+00:00 javidol: โอ@ เขียน: หลังจากนั้นมาก็กล้าโทรไปถามอะไรที่ไม่สงสัยตลอดครับ ไม่สงสัยแล้วโทรไปถามทำไมอ่ะคับ  :roll: มาป่วนเฉยๆ ไปแระ อิอิ เมื่อ: 2007-03-19T02:45:16+00:00 terati20: กระผมอยากให้มีคนฝากถาม กลับไม่มีคนฝาก  :( http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... :  :wink: เมื่อ: 2007-03-19T02:45:29+00:00 atsu: อ่านแล้วรู้สึกว่าหลายๆท่านยังอ่านที่คุณโอ@เขียนไม่ละเอียดก็รีบแย้งแล้ว ลองอ่านอีกทีนะครับว่าเจตนาผู้ post ว่ายังไง เมื่อ: 2007-03-19T02:48:57+00:00 conseto: ถ้ายังไม่กล้าลองส่งเป็น e-mail ไปก่อนก็ได้ครับ ล่าสุดผมส่ง e-mail ไปให้คุณไทยลักษณ์ ของ uec ก็ตอบกลับมาไว เค้ายังขอบคุณเราด้วยซ้ำที่ให้ความสนใจและคอยสนับสนุนในฐานะผู้ถือหุ้น เมื่อ: 2007-03-19T13:27:09+00:00 diminishing returns: คงต้องแยกออกเป็นสองประเด็นครับ ถ้าเอามาเขียนรวมๆกันอาจทำให้เข้าใจผิดได้ ผมเห็นด้วยทั้งการฝากถาม และการโทรไปถามครับ แต่ละอย่างมีข้อดีและประโยชน์ในแบบของมันเอง ตามลักษณะช่องทางการถามและรูปแบบของคำถาม คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นครับ เมื่อ: 2007-03-19T16:28:33+00:00 Linzhi: ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ ผมเคยคิดว่าจริงๆ 100 คน น่าจะมีเบอร์โทรของ IR ข้างๆชื่อหุ้นเลยด้วยซ้ำ จะได้ยกระดับ IR บางบริษัท อย่างน้อยเราก็ก้าวข้ามอะไรไปอีกขั้นนึง เข้าใจอารมณ์เหมือนคุณโอเลย  :oops: เมื่อ: 2007-03-20T03:09:39+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทราบข้อมูล oppatunity day ครับ thana1823: oppatunity day ไตรมาสนี้ทำไมไม่มี update ใน set.or.th เลยครับ  หรือมีแล้วผมหาไม่เจอ    ไม่ทราบจะหาข้อมูลได้จากไหนครับ เมื่อ: 2006-08-08T15:25:21+00:00 nano: http://www.setfinmart.com/seminar.do?ccID=5&pn=1 เมื่อ: 2006-08-08T17:19:08+00:00 por_jai: http://www.set.or.th/th/about/activitie ... es_p1.html 8) ลิ๊งข้างบนก็ได้ครับ     เป็นกิจกรรมเพื่อผู้ลงทุนทั้งหมดที่ตลาดจัดให้ครับ... เมื่อ: 2006-08-09T01:12:29+00:00 thana1823: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2006-08-09T04:45:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
"บินก่อนผ่อนทีหลัง" บทความของดร.นิเวศน์ครับ Cavallo: บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากมีกำไรหรือผลการดำเนินงานดีขึ้น อย่างน่าประทับใจ บางบริษัทมีการคาดการณ์กันว่ากำไรกำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมาก และดูเหมือนว่าจะวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไม่อาจจะหยุดได้ วิเคราะห์ดูแล้วค่า PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับผลกำไรก็ดูยังต่ำอยู่ แม้ว่าค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีจะสูงลิ่ว ถามว่าหุ้นแบบนี้น่าเข้าไปลงทุนไหม ? คำตอบของผมก็คือ เราต้องดูว่ากำไรที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้นนั้นเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติหรือไม่ถ้าเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากรายการพิเศษเช่นเป็นรายได้ที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ ค่า PE ที่ดูว่าจะต่ำนั้นไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ เพราะรายได้เหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ในอนาคตรายได้เหล่านี้จะหายไป กำไรจะลดลงมาก ค่า PE ก็จะกระโดดสูงขึ้น จากหุ้นราคาถูกก็จะกลายเป็นหุ้นราคาแพงในชั่วข้ามคืน ถ้ากำไรที่เกิดขึ้นเป็นกำไรที่เกิดจากการดำเนินงานปกติสิ่งที่จะต้องวิเคราะห์ต่อไปก็คือ กำไรนั้นจะยังสามารถยืนอยู่ได้ในปีต่อ ๆ ไป และตลอดไปได้หรือไม่ถ้าคำตอบก็คือใช่ นั่นหมายความว่าเราได้พบกับหุ้นโตเร็วหรือหุ้น Growth Stock ซึ่งเป็นหุ้นที่น่าสนใจและน่าพิจารณาลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นที่กำลังคึกคักอย่างในปัจจุบัน แต่หุ้นจำนวนมากที่เราเห็นนั้นกำไรที่พุ่งขึ้นอาจจะไม่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนเนื่องจากธุรกิจที่บริษัททำอยู่นั้นมีลักษณะเป็นสินค้าหรือบริการที่เป็นโภคภัณฑ์ ซึ่งราคาขึ้น ๆ ลง ๆ ผันผวนมากทำให้บางช่วงบริษัทมีกำไรมากในขณะที่บางช่วงกลับขาดทุนและแน่นอน ช่วงที่ราคาสินค้าหรือบริการขึ้นสูง บริษัทก็จะมีกำไรมาก ค่า PE ก็จะดูต่ำลง การเจริญเติบโตดูเผิน ๆ เหมือนจะสูงลิ่ว หุ้นก็วิ่งเหมือนติดจรวด ทุกอย่างดูดีไปหมดและคำยืนยันคำสุดท้ายก็มาถึง นั่นก็คือโบรกเกอร์ต่างก็แนะนำให้ซื้อหุ้นตัวนั้น การซื้อหุ้นในลักษณะดังกล่าวนั้นผมคงไม่ต้องบอกว่ามีความเสี่ยงแค่ไหนเพราะกำไรที่เติบโตขึ้นมากนั้นเกิดจากราคาสินค้าหรือบริการที่สูงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนในตลาดซึ่งมักจะเกิดขึ้นชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็ว ผู้ผลิตหรือให้บริการทั้งที่มีอยู่เดิมและรายใหม่ก็จะทุ่มผลิตสินค้าเข้ามาขายในตลาดซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าลดลงอย่างรวดเร็ว และกำไรที่เคยสูงลิ่วก็จะลดต่ำลงสู่ระดับปกติ หรือในกรณีที่เลวร้ายก็ถึงกับขาดทุนและนั่นก็คือจุดจบของหุ้นซึ่งวิ่งสูงเกินไปในวันที่ทุกอย่างกำลังดูสดใส พฤติกรรมของกิจการและราคาหุ้นที่มีกำไรดีหรือนักลงทุนมีความสุขจากราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปในช่วงแรก แต่แล้วต้องมารับภาระกำไรตก ราคาหุ้นดิ่งและเป็นทุกข์ในตอนหลังนี้ ดูไปก็คล้าย ๆ กับการซื้อสินค้าเงินผ่อนที่ผู้ซื้อมีความสุขจากการได้ใช้สินค้าก่อน จนลืมไปว่าภาระการผ่อนในอนาคตนั้น อาจจะสร้างความสุขให้มากกว่า ถ้าจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือนี่คือพฤติกรรม บินก่อนผ่อนทีหลัง หุ้นที่เข้าข่ายบินก่อนผ่อนทีหลังมีหลากหลายสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้อย่างน้อย 3 4 กลุ่มดังต่อไปนี้ กลุ่มแรก็คือกลุ่มผู้ผลิตสินค้าการเกษตร เช่น กุ้ง ไก่ ปลา ยาง ฯลฯ ซึ่งราคามักจะขึ้น ๆ ลง ๆ ค่อนข้างเร็วและคาดการณ์ค่อนข้างยาก เพราะสินค้าเกษตรมีองค์ประกอบที่มากระทบมากมาย ทั้งที่เป็นเรื่องของลมฟ้าอากาศและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เรื่องของสารเคมี หรือยาป้องกันโรคสัตว์ ข้อจำกัดด้านการค้า เป็นต้น ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มเกษตรหรืออาหารที่เป็นประเภทบินก่อนผ่อนที่หลังจึงจำเป็นที่ต้องติดตามข่าวสารที่ฉับไวมากและอาจเป็นความสามารถเฉพาะตัว กลุ่มที่สองคือสินค้าหรือบริการที่เป็นอุตสาหกรรมประเภทโภคภัณฑ์ เช่นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับปิโตเคมี หรือบริการ เช่นการขนส่งทางทะเลซึ่งกลุ่มนี้จะแตกต่างจากสินค้าเกษตรในแง่ที่ว่าองค์ประกอบที่เข้ามากระทบส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรื่องของกำลังการผลิตที่ขาดแคลนและทำให้สินค้าหรือบริการไม่เพียงพอ ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การที่ผู้ผลิตเดิมหรือรายใหม่จะเข้ามาขายในตลาดก็มักจะทำไม่ได้ทันทีเนื่องจากต้องใช้เวลาขยายหรือสร้างโรงงานใหม่หรือต้องใช้เวลาต่อเรือนานนับปี ดังนั้นราคาสินค้าหรือบริการมักจะคงระดับสูงอยู่เป็นช่วง และเมื่อกำลังการผลิตใหม่ออกมา ราคาสินค้าก็จะลดลง ซึ่งบางทีก็มากจนทำให้ผู้ผลิตขาดทุนกันอย่างหนักนานนับปีเช่นเดียวกันกลายเป็นวัฏจักรที่หลีกเลี่ยงได้ยาก กลุ่มสุดท้ายที่จะพูดถึงนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นกลุ่มบินก่อนผ่อนทีหลังจริง ๆ แต่เป็นกลุ่มผู้ให้บริการแทนที่จะเป็นผู้รับบริการนั่นก็คือ ผู้ที่ให้ซื้อสินค้าเงินผ่อนซึ่งรวมไปถึงบริษัทเช่าซื้อ ลิสซิ่ง และสถาบันการเงินที่ปล่อยเงินกู้ทั้งหลาย การที่ผมรวมเอากลุ่มสุดท้ายเข้ามานั้น เนื่องจากธุรกิจการปล่อยเงินกู้นั้นเป็นธุรกิจที่คนปล่อยสามารถทำกำไรในวันแรกแน่นอน แต่อนาคตอาจจะขาดทุนได้ ถ้าปล่อยเงินกู้มิได้ทำอย่างระมัดระวังพอ และเกิดหนี้เสียมากกว่าที่คิดไว้ดังนั้นการวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มนี้จึงต้องดูว่าบริษัทกำลังเล่น บินก่อนผ่อนทีหลัง หรือเปล่า นักลงทุนหลายคนบอกว่า ตราบใดที่ราคาสินค้าหรือบริการยังสูงอยู่หรือกำไรยังเติบโตขึ้น การลงทุนในหุ้น บินก่อนผ่อนทีหลัง ก็น่าจะปลอดภัยเขามองว่าวัฎจักรยังเป็น ขาขึ้น อย่างน้อย อีก 2 3 ปี กว่าที่จะเป็น ขาลง วิธีการแบบนี้ผมเองยอมรับว่า ไม่มีความสามารถที่จะคาดการณ์สำหรับผมแล้ว ถ้าซื้อหุ้นไม่กล้าถือห้าปี ห้านาทีก็ไม่กล้าถือ เมื่อ: 2003-10-21T08:06:29+00:00 ลูกอิสาน: ขอบคุณครับ คุณ Cavallo.... สงสัยว่า ดร.เข้าไปที่ตลาดหุ้นดอทคอมแหงๆ.... :lol: เดาล้วนๆ ไม่รู้เมื่อไหร่ ดร.จะเข้ามาทักทายที่นี่บ้าง งานนี้อาจต้องรบกวนพี่ครรชิตแล้วครับ.. :lol: เมื่อ: 2003-10-21T09:37:56+00:00 Cavallo: เคยได้ข่าวว่า ดร. ก็มีเข้ามาดูบ่อย ๆ นะครับ ทั้งที่ TVI และ Taladhoon.com แต่ก็ไม่ได้ Post ข้อความอะไรพวกเราถึงไม่ทราบ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าเหมือนกันนะครับ เมื่อ: 2003-10-21T11:20:34+00:00 sirivajj: ดร.นิเวศน์กล่าวว่า "ถ้าซื้อหุ้นไม่กล้าถือห้าปี ห้านาทีก็ไม่กล้าถือ" ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก ประเด็นของผมอาจเป็นเพราะตัวเองไม่เคยมองไปยาวไกลล่วงหน้าขนาด 5 ปี เอาแค่ 6 - 8 เดือนก็เต็มที่แล้ว ซึ่งในระหว่างเวลาดังกล่าว หากมีข้อมูลหรือปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป ก็จะปรับการลงทุนไปให้เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานครับ เพื่อนๆ คิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ เมื่อ: 2003-10-21T13:46:23+00:00 sirivajj: ผมสงสัยว่า หุ้นกลุ่มนี้ หลายสำนักบอกว่าให้ซื้อคาดว่าจะได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ซึ่งมากขึ้นเป็นสองเท่า รวมทั้งหุ้นนิคมอุตสาหกรรมด้วยที่ขายได้ดีมาก แต่ปีต่อๆไป จะขายดีเท่านี้หรือไม่ ว่าเราจะตีราคาอย่างไร brokerที่ให้คำนวณตามP/E หรือ ปันผล น่าจะต้องใช้วิธีอื่นด้วย ถามความเห็นเพื่อนๆ ดังหัวข้อครับ และถ้าซื้อตามแรงเชียร์ แล้วบอกว่าคอยดูตลาด อีก 6เดือนรีบขายออกก่อน จะดีหรือไม่ ถ้าไม่อย่างนั้นก็แปลว่า VI ไม่ควรซื้อหุ้นกลุ่มนี้ เมื่อ: 2003-10-21T14:14:05+00:00 sirivajj: ผมเคยฟังอจ.นิเวศน์พูดในรายการmoney talk ว่าก่อนจะซื้อหุ้น จะต้องผ่าน2ข้อนี้ได้ก่อนจึงจะลงทุน 1.ถ้าซื้อแล้วกล้าถือ5ปีโดยไม่ขายหรือไม่ 2.ถ้าซื้อแล้วหุ้นตกลง25-50%กล้าซื้อเพิ่มหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านแสดงว่ายังมีจุดอ่อนที่ทำให้ไม่ใช่หุ้นvi ที่แท้จริง อาจจะลงทุนแบบvs ได้ แต่กำไรถึงจุดนึงก็ต้องออกตัวครับ บทความนี้ชี้ให้เห็นว่ากำไรต้องดูให้ดีคือ 1.เป็นกำไรจากการดำเนินงานหรือไม่ หรือจากรายการพิเศษเช่น ขายทรัพย์สินซึ่งเกิดแค่ครั้งเดียว 2.กำไรแบบนี้จะจีรังยั่งยืนหรือไม่ หรือเกิดแค่เป็นcycle เช่นพวกโภคภัณฑ์ที่ขึ้นเป็นรอบ ต้องปรับปรุงตัวเลขที่ได้มาก่อนจะเอามาแปลว่าพื้นฐานเปลี่ยนแปลงดีขึ้นมาก ผมยังติดใจประโยคเด็ดของอจ. "ถ้าซื้อหุ้นแล้วไม่กล้าถือ5ปี 5นาทีก็ไม่กล้าถือ" คมจริงๆครับ ด้วยความนับถือ เมื่อ: 2003-10-21T14:55:12+00:00 chatchai: การมองอนาคตล่วงหน้า 5 ปี จะมีความแม่นยำเพียงใด จะมีนักลงทุนรายย่อยซักกี่คนที่สามารถวิเคราะห์ได้ไกลขนาดนั้น อนาคตเปลี่ยนแปลงด้วยความรวดเร็วมากกว่าในอดีตมากมาย เมื่อ: 2003-10-22T01:59:10+00:00 tk: ผมชอบที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยออกมาแสดงความคิดเห็นนะ แสดงว่าเรามีความคิดของตัวเอง บางครั้งที่อ.นิเวศน์ที่พวกเรานับถือเป็นอาจารย์อาจมีความเห็นบางอย่างซึ่งไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป พวกเราก็ออกมาคุยกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน เกาะกลุ่มกันไปอย่างนี้ สงสัยพวกเราคงเข้าชมรมคน1000ล้านกันได้ทุกคนนะครับ เมื่อ: 2003-10-22T03:24:48+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดสงสัยพวกเราคงเข้าชมรมคน1000ล้านกันได้ทุกคนนะครับ สมัครด้วยคนครับ ชมรมคน 1000 ล้าน เมื่อ: 2003-10-22T04:17:25+00:00 chatchai: ผมเห็นด้วยกับคุณ tk ครับ การลงทุนอาจจะไม่ต้องเหมือนกับ Buffett หรือ ดร.นิเวศน์ ก็ประสบความสำเร็จได้พอสมควรครับ ข้อเพียงแต่ว่าการลงทุนนั้น ซื้อตามปัจจัยพื้นฐาน ในอดีตก่อนผมจะซื้อ MANRIN ผมเคยสอบถามความเห็นจาก ดร.นิเวศน์ว่ามีความเห็นอย่างไรครับ แน่นอนครับว่า ดร.นิเวศน์ ย่อมไม่ลงทุน แต่ผมก็ซื้อครับ จำนวนมากด้วยที่ราคาประมาณ 6 บาท หลังจากนั้นบริษัทก็ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละประมาณ 4 บาท ราคาหุ้นขึ้นไปถึง 13 บาท ผมขายได้หมดเกลี้ยง กำไรกว่า 100% เมื่อ: 2003-10-22T04:27:25+00:00 Jeng: ในตลาดหุ้นมีโอกาสมากมาย สำหรับทุกๆคน ผมว่าเหมือนการออกทะเล ต่างคนต่างได้ปลา มากบ้างน้อยบ้างก็เป็นประสบการณ์ เพียงแต่ตอนเจอพายุ เพื่อนๆบางคนอาจจะจมน้ำตายไป ดร.ก็เป็นนักตกปลาที่น่าชื่นชม ไม่แพ้คุณฉัตรชัยครับ เมื่อ: 2003-10-22T04:31:33+00:00 MO101: ขยายความชมรมคน 1000 ล้านครับ มันเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 15% เป็นระยะเวลา 50 ปี โดยผู้ร่วมลงทุนเป็นคนที่อายุน้อยๆ ประมาณ 30 ปี (ถ้าอายุมาก กว่าจะได้ 1000 ล้านคนอื่นเอาไปใช้หมด) ทุนเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านบาท ---------------------------------- ผมไม่รับรองผล หากมีข้อผิดพลาดจากการพิม หรือสินค้าหมด จำกัดครอบครัวละไม่เกิน 2 ขวด ฃฃ เมื่อ: 2003-10-22T06:08:02+00:00 Jeng: พี่อยู่ได้ถึง 90 นะครับ อิอิ เมื่อ: 2003-10-22T06:36:54+00:00 genie: จริงๆนั่นแหละรับถ้าไม่กล้าถือยาวพอถือสั้นแล้วรู้สึกเลยครับว่าอึดอัดใจจริงๆ มันไม่ค่อยมีความสุขเลยพอราคามันไหลลง ในที่สุดตัดใจยอด cut loss จนได้ :lol: และบังเอิญเจอตัวที่มั่นใจกว่าซะด้วยเลยโชคดีไป เมื่อ: 2003-10-22T08:12:00+00:00 chatchai: ผมขอแค่หลัก 100-200 ล้านก็พอครับ ไม่รู้จะมีเงินพันล้านไปทำไม เมื่อ: 2003-10-22T12:24:56+00:00 ปรัชญา1: genie เขียน:จริงๆนั่นแหละรับถ้าไม่กล้าถือยาวพอถือสั้นแล้วรู้สึกเลยครับว่าอึดอัดใจจริงๆ มันไม่ค่อยมีความสุขเลยพอราคามันไหลลง ในที่สุดตัดใจยอด cut loss จนได้ :lol: และบังเอิญเจอตัวที่มั่นใจกว่าซะด้วยเลยโชคดีไป ฺฺฺ ฺBT _ใช่ไหมครับ BT ที่ซื้อเอาไว้ เมื่อ: 2003-10-22T13:19:58+00:00 ปรัชญา1: chatchai เขียน:ผมขอแค่หลัก 100-200 ล้านก็พอครับ ไม่รู้จะมีเงินพันล้านไปทำไม ผมขอแค่ 50 ไม่รู้จะได้เห็นเมื่อไหร่ครับคุณฉัตรชัย นี่ก็อายุ44ปีแล้ว จะตายก่อนกรือเปล่าหนอ แต่วันนี้ตรวจสภาพพอท์ต ก็คงต้องภาวนา ให้ดัชนีขึ้นไป1,700จุดนั่นล่ะถึงจะใกล้เคียง50ครับ50อิอิ เมื่อ: 2003-10-22T13:23:46+00:00 stockms: พี่ปรัชญาคงได้เห็นมูลค่าหุ้นของพี่เกิน 50 ล้าน ก่อนอายุ 60 แน่ครับ แต่ไม่รู้จะได้เห็นเงินสดที่เกิน 50 ล้าน รึเปล่าก็พี่เล่นซื้อแล้วเก็บยาวนี่ครับ เมื่อ: 2003-10-22T13:44:56+00:00 ครรชิต ไพศาล: น้องปรัชญา เดียวรอให้ราคา FE ขึ้นไปเป็น 200 บาท ตัวเลขของน้องปรัชญา คิดเฉพาะ FE ก็เป็น 50 ล้านแน่ๆ จะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปีหรอกครับน้องปรัชญา เมื่อ: 2003-10-22T13:49:02+00:00 ปรัชญา1: ครรชิต ไพศาล เขียน:น้องปรัชญา เดียวรอให้ราคา FE ขึ้นไปเป็น 200 บาท ตัวเลขของน้องปรัชญา คิดเฉพาะ FE ก็เป็น 50 ล้านแน่ๆ จะใช้เวลาไม่เกิน 5 ปีหรอกครับน้องปรัชญา คงต้องรอแตกพาร์ล่ะพี่ครรชิต แล้วต้อง20บาทกว่าจะได้200บาทต่อหุ้น แต่ทุนผมสูงกว่าพี่ครรชิตนะครับ พี่ครรชิต คงถึง50ล้านก่อนผม ก็ CEI จ่ายอีกแล้วครับ คุณstcokms ผมขายอยู่ครับหุ้นน่ะ แต่ส่วนมากจะขายเป็นการโอนกันระหว่าง เครือญาติ ใครอยากได้อะไร ก็มาว่ากันที่ราคาตลาด ผมก็เซ็นต์โอน ค่าเบิกโอนครั้งละ300บาทต่อ1รายการ ของเคเค ซึ่งแพงกว่าฟิลลิปๆแค่100บาทต่อรายการครับ เมื่อ: 2003-10-22T14:02:10+00:00 noknoi: ผมกำลังจะอ่าน " เก่ง หรือ ว่า โชค " ถ้าอ่านจบแล้ว จะมาคุย ด้วยนะครับ..ไม่รู้เมื่อไร เมื่อ: 2003-10-27T13:20:09+00:00 noknoi: โอ๊ย เห็นพี่พี่คุยกันถึง 50-100 ล้าน ปวดหัวครับ ผมยังมีไม่ถึง1ล้านเลย มีแต่หนี้ อิจฉาครับ เมื่อ: 2003-10-27T14:52:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
น้ำยางพารา สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์จะไง tanate: เห็นราคายางพารา ขึ้นไปเรื่อย จึงสงสัยว่าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ยางพารา จะหาไม้จากไหนมาผลิต เพราะต้นทุนไม้สูงขึ้น อีกทั้งจะสู่กับสินค้าประเทศจีนไหวหรือเปล่า หรือว่าเป็นตลาดคนละระดับกับประเทศไทย ประเทศไทยผลิตขายตลาดระดับกลาง - บน สินค้าจีนขายตลาดระดับไหนครับ :lol:  :lol:  :roll: แล้วประเทศเราควรผลิตอะไรดี เมื่อ: 2006-08-01T16:11:32+00:00 MO101: วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือห้ามนำไม้ยางพาราออกนอกประเทศ ต้องแปรรูปเป็นเฟอร์ก่อน หรือไม่ก็เก็บภาษีแพงๆ ผล โรงงานเฟอร์ จะย้ายมาที่ไทย ไทยจะเป็นผู้ผลิตเฟอร์ของโลกแบบไม่ต้องลงทุนสักบาท แล้วจีนก็แข่งกะไทยไม่ได้เพราะไม่มีวัตถุดิบ ข้อเสีย ชาวสวนยางประท้วงแน่ เมื่อไหรน้าคนไทยจะรู้จักใช้ทรัพยากรที่ตัวเองมี ไปต่อกรกะชาวโลกบ้าง เมื่อ: 2006-09-01T09:45:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Zombie Economy "เศรษฐกิจแบบผีดิบ" ของญี่ป่น... 2 ตอนจบ doctorwe: Zombie Economy "เศรษฐกิจแบบผีดิบ" ของญี่ป่น... ตอนที่ 1 ญี่ปุ่นได้สร้างอภินิหารให้คนอเมริกันทั้งประเทศอกสั่นขวัญแขวน นับตั้งแต่ที่บริษัทโซนี่ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอิเลคทรอนิกส์ใช้เงิน 4,200 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อโรงถ่ายภาพยนตร์โคลัมเบียพิคเจอร์สในปี 2532 ในปีเดียวกัน บริษัทมัสซูชิตะ เจ้าของแบรนด์เนชั่นแนลและพานาโซนิค ก็ทุ่มเงิน 6,100 ล้านดอลลาร์เข้าซื้อบริษัทเอ็มซีเอ (MCA) ผู้เป็นเจ้าของโรงถ่ายยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ และสิ่งที่ทำให้คนอเมริกัน...ตกตะลึงกันทั้งประเทศก็คือ บริษัทมิตซูบิชิเข้าซื้ออาคารรอคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Building) ใจกลางมหานครนิวยอร์ค หนึ่งในอาคารที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกา อ่านเพิ่มเติมตอนที่ 1 ได้ที่นี่... http://www.doctorwe.com/posttoday/20160524/6371 Zombie Economy "เศรษฐกิจแบบผีดิบ" ของญี่ป่น... ตอนจบ ดังนั้น เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจึงได้ฉายาว่า “Zombie Economy” เพราะทั้งผู้คนและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังฟองสบู่แตก ก็มีสภาพไม่ต่างไปจาก “ผีดิบ” ที่มีชีวิตอยูไปวันๆ โดยรู้แก่ใจดีว่า ชาตินี้...เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะกลับมาดีเหมือนเดิมนั้น...ไม่มีทาง !!! อ่านเพิ่มเติมตอนจบ ได้ที่นี่... http://www.doctorwe.com/posttoday/20160525/6378 เมื่อ: 2016-05-25T01:42:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สารสนเทศการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท โอเชียนกลาส จำกัด CK: สารสนเทศการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ด้วยปัจจุบัน บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ได้ถือหุ้นในบริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด จำนวน 32,499,993 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 92.86 ของทุนเรียกชำระแล้วของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด และบริษัท โตโย ซาซากิ กลาส จำกัด ผู้ร่วมทุนใน บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด อีกฝ่ายหนึ่งถือหุ้นอยู่จำนวน 2,500,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 7.14 ของ ทุนเรียกชำระแล้วของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 13/2546 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้บริษัทซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด จาก บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด จำนวน 2,500,000 หุ้น ซึ่งหลังจากการเข้าทำรายการดังกล่าว บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) จะถือหุ้นเป็นร้อยละ 100 ของทุนเรียกชำระแล้วของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด รายการดังกล่าวมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. วัน เดือน ปี ที่เกิดรายการ ภายหลังจากการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2547 ณ วันที่ 15 มกราคม 2547 แล้วเสร็จ 2.คู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง ผู้ซื้อ :บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ผู้ขาย :บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด โดยที่คู่สัญญาเป็นบริษัทร่วมทุนในบริษัท โอเชียน ซาซากิกลาส จำกัด โดย บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 7.14 และบริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 92.86 ของทุนชำระของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด อย่างไรก็ตามบริษัท และ บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างต้น 3.ลักษณะโดยทั่วไปของรายการ บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด จาก บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด จำนวน 2,500,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.14 ของทุนชำระของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด ในราคาหุ้นละ 22.82 บาท เป็นเงินประมาณ 57.05 ล้านบาท ซึ่งรายการดังกล่าวไม่เข้าข่ายที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเมื่อคำนวณตาม เกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนที่ชำระให้เปรียบเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อยรวมกัน มีค่าเท่ากับ ร้อยละ 4.46 4.รายละเอียดของหลักทรัพย์ที่ได้มา ชื่อบริษัท โอเชียน ซาซากิกลาส จำกัด ประเภทของหลักทรัพย์หุ้นสามัญ ลักษณะการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย ภาชนะเครื่องแก้ว ทุนจดทะเบียน350,000,000 บาท ทุนชำระแล้ว350,000,000 บาท คณะกรรมการ 1.นาย ธัญญะโภศินทร์วงศ์ 2. นายกีรติอัสสกุล 3. นายประจักษ์ทิพยุทธ์ 4. นางสุภาวัลย์กันยาประสิทธิ์ 5. นายสถาพรจิระศรีรังสรรค์ 6.นายสุพจน์ศรีอุดมพร 7. นายซูโชโมริตะ 8. นายนภัสถ์อัสสกุล ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ชื่อจำนวนหุ้นที่ถือสัดส่วน 1.บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน)32,499,99392.86 2.บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด2,500,0007.14 3. ผู้ถือหุ้นอื่น ๆ 7 คน 7 0.00 รวม 35,000,000 100.00 จำนวนหุ้นที่ได้มา 2,500,000 หุ้น สัดส่วนที่ บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ถือก่อนการได้มา92.86 % สัดส่วนที่ บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) ถือภายหลังการได้มา 100.00 % 5.มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) จะชำระค่าหุ้นสามัญดังกล่าวจำนวนประมาณ 57.05 ล้านบาท แก่ บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด ภายหลังจากการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ 6.มูลค่าของสินทรัพย์ที่ได้มา ประมาณ 57.05 ล้านบาท 7.เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้มา เป็นราคาที่ตกลงกันระหว่าง บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด ซึ่งมิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันและเป็นราคาที่คำนวณโดยวิธีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยมีผู้ประเมินราคาอิสระซึ่งได้รับความเห็นชอบ จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นผู้ประเมินราคาทรัพย์สินที่สำคัญให้เป็นราคายุติธรรม 8.กำไรสุทธิหลังภาษีและหลังรายการพิเศษที่เป็นส่วนของสินทรัพย์ที่ได้มาสำหรับ 2 ปี การเงินก่อนเกิดรายการ 1 ม.ค. 25441 ม.ค. 25451 ม.ค. 2546 ถึง ถึง ถึง 31 ธ.ค. 254431 ธ.ค. 254530 ก.ย. 2546 กำไรสุทธิ ของ บริษัท โอเชียน ซาซากิ กลาส จำกัด (พันบาท) 15,5316,7663,063 (เฉพาะส่วนร้อยละ 7.14) 9. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดกับบริษัท - ทำให้บริษัทสามารถถือหุ้นเกือบ 100% ในบริษัทย่อย ทำให้เกิดความสะดวกในการโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทย่อยมายังบริษัท รวมทั้งสามารถ เลิกกิจการบริษัทย่อย - เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจากรายการที่เกิดซ้ำซ้อนกันอยู่ 10.แหล่งเงินทุน บริษัทจะขอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2547 ในวันที่ 15 มกราคม 2547 ในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่บุคคล ในวงจำกัด จำนวนไม่เกิน 694,445 หุ้น ให้แก่ บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัดในราคาหุ้นละ 82.152 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของราคาตลาด เพื่อนำเงินที่ได้ดังกล่าวมาชำระค่าหุ้น ทั้งนี้ราคาตลาดคำนวณจากราคาถัวเฉลี่ยของราคาปิดหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 10 วันทำการก่อนวันที่มีมติคณะกรรมการ ซึ่งเท่ากับ 91.80 บาทต่อหุ้น 11. รายละเอียดของรายการที่เกี่ยวข้องกัน รายการนี้ไม่เข้าข่ายรายการที่เกี่ยวโยงกัน 12. ประกาศฉบับนี้ทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงสารสนเทศเท่านั้น ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นการเชิญชวนหรือเป็นคำเสนอเพื่อให้ได้มาหรือ จองซื้อหลักทรัพย์ 13. บริษัทจะยื่นขอให้รับหลักทรัพย์ที่บริษัทออกและเสนอขายให้แก่บริษัท โตโย ซาซากิกลาส จำกัด ซึ่งใช้เป็นแหล่งเงินทุนในการเข้าซื้อ หลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเพิ่มเติม สุภาวัลย์ กันยาประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ เมื่อ: 2003-12-17T02:44:48+00:00 CK: ผมว่าเป็นข่าวดีในระยะยาวครับ แต่เป็นข่าวร้าย (หรือดีก็ไม่รู้) ในระยะสั้น เพราะราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลงเล็กน้อย เหมาะกับการเข้าซื้อเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ได้ศึกษาละเอียดว่าเป็นไง แต่โดยปกติ merger & acquisition ใน ลักษณะนี้จะสร้างมูลค่าให้กับทั้งสองบริษัทมากกว่าในระยะยาว เมื่อ: 2003-12-17T02:52:19+00:00 CK: ทำไมถึงเป็นข่าวร้ายในระยะสั้นละครับ จำนวนหุ้นที่ขายก็ราคาต่ำกว่าตลาดไม่มากและการขายก็เป็นลักษณะพันธมิตร คือผู้ซื้อได้หุ้นไปก็มิได้มีเป้าหมายจะขายทำกำไร แต่ผ้ซื้อมุ่งหวังที่จะเป็นพันธมิตระยะยาวมากกว่า เมื่อ: 2003-12-17T02:59:36+00:00 CK: เพราะ dilution effect ครับ สัดส่วนของหุ้นเพิ่มทุนที่กันไว้จัดสรร ให้ผู้ถือหุ้นเดิมจะลดลงไป 6 แสนกว่าหุ้นครับ แต่เป็นไปชั่วคราว เท่านั้นเอง เมื่อ: 2003-12-17T03:17:04+00:00 chatchai: สวัสดีครับคณ CK ผมว่ากรณีของ OGC เพิ่มทนครั้งนี้คงจะไม่มี dilution effect ครับ ทำไมผมถึงบอกอย่างนั้น เนื่องจากปัจจบัน OGC ลงทนในบริษัทลก คือ บจก. โอเชี่ยนซาซากิ กับ บริษัทซาซากิ นี้ละครับ ดังนั้นผลการดำเนินงานของบริษัทโอเชี่ยนซาซากิ ก็จะรวมเข้ามากับ OGC ไม่เต็ม 100% แต่เมื่อรวมกันเป็นบริษัทเดียวกันแล้ว ผลการดำเนินงานของโอเชี่ยนซาซากิก็จะรวมเข้ามาที่ OGC 100% ซึ่งน่าจะชดเชยผลการเพิ่มทนเพื่อให้ บริษัทซาซากิได้นะครับ เมื่อ: 2003-12-17T12:25:09+00:00 CK: ขอบคุณครับ คุณ chatchai ช่วยขจัดความเขลาของผมอีกแล้ว อืม ก็จริงครับ แต่ผมเห็น OGC ถือหุ้น ซาซากิกลาสอยู่ถึง 92% กว่า ซึ่งก็บุ๊คกำไรเข้ามาได้เกือบหมดอยู่แล้วนะครับ แต่คิดว่าในภาคปฏิบัติ คงจะไม่มีผลกระทบอย่างคุณ chatchai ว่าจริงๆครับ แถมปีนี้ ผู้ถือหุ้น ซาซากิกลาส ที่ได้หุ้นเพิ่มทุนไปยังไม่มีสิทธิ์ได้รับ เงินปันผล นี่ก็ยิ่งดีใหญ่เลยครับ สมกับเป็นหุ้นที่เลือกให้ลูกชายจริงๆ อิอิ เมื่อ: 2003-12-17T16:54:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ทำไมธุระกิจขายตรงถึงถูกมองว่า เป็นธุระกิจไม่จริง hot: เลื่อนลอยคับ  ทั้งที่คนที่ประสบความสำเร็จ ในการขายตรง ก็คือ   ยอดนักขาย ต่างกันอย่างไง กับบริษัทที่ผลิตของเพื่อขายทั่วไป เมื่อ: 2006-05-07T13:54:39+00:00 Jeng: ทุกคนมีมุมมองที่แตกต่าง และทุกอย่างอธิบายได้ การที่คนไม่ยอมรับ ธุรกิจ มีเหตุผล การทีธุรกิจบางบริษัทยังไปได้ ก็มีเหตุผล เห็นบอกว่า บ้านจัดสรร เป็นธุรกิจ หิวเงิน cash hunger machine ประกัน เป็น no business หุ้น เป็น no one superman in this line และ ขายตรง (ส่วนใหญ่หมายถึง MLM ขายตรงธรรมดา ไม่ค่อยโดนว่านะ) เป็น most difficult to understand เมื่อ: 2006-05-07T14:08:56+00:00 phobenius: APCO รู้สึกจะเป็นหุ้นใหม่ipo ทำธุรกิจขายตรงเข้าในตลาดmai ได้ไปฟังมาวันเสาร์ แต่ฟังแล้วเหมือน เจ้าของอธิบายไม่ชัดเจน ว่ามากระจายหุ้นทำไม โดยอ้างว่าเพื่อให้ คนทำงานเนี่ยมีการถือหุ้นในบริษัทบ้าง เลยงงๆว่า คนลงทุนจะได้ไหร่หว่า เมื่อ: 2006-05-07T14:15:15+00:00 J o r n: เป็นธุรกิจจริงหรือหลอก...ดูที่สินค้าครับ ...ไม่สำคัญว่าจะผลิตเองหรือไม่ก็ตาม บริษัทเก่าผม ขายวัสดุก่อสร้างคุณภาพปานกลาง ผมเคยเป็นเซลล์ วันๆ ต้องเปิดทำเนียบสถาปนิก แล้วโทรนัด ไปพบลูกค้าเพื่อสาธิตสินค้า เอาแฟ้มไปให้ แล้วติดตามจนขายได้...อันนี้คือไดเร็กเซลล์ของแท้เลยครับ จริงอยู่ ตัวบริษัท มันคือธุรกิจ Trading ครับ ซื้อมาขายไป ไม่ได้ลงทุนผลิตสินค้าเอง ไม่มีโรงงานของตัวเอง ขนาดออฟฟิส บริษัทยังเช่าตึกเขาเลยครับ ...เป็นเซลล์ ภาพลักษณ์ไม่ดี หากสินค้าไม่ดีจริง ก็อาจต้องโม้บ้าง...แต่ก็ถือว่าเป็นอาชีพสุจริตครับ เมื่อ: 2006-05-07T18:27:42+00:00 JCHAI: พอดีอ่านเจอกระทู้น่าสนใจเกี่ยวกับขายตรง ลองอ่านดูนะครับ ข้อมูลในกระทู้ค่อนข้างใหม่ ตรงกับที่ผมเจอกับตัว http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/ ... 43557.html เมื่อ: 2006-05-08T12:01:34+00:00 นายสต็อก: ความเห็นส่วนตัว... การขายสินค้า และ บริการ เป็นหัวใจของกิจการทั้งหลาย เพราะ เป็นการอัด ฉีดรายรับให้กับกิจการ เช่น การขายสินค้าแบบ PASSIVE SALE เช่น การเอาสินค้า มาวางไว้ แล้วรอคนมาซื้อ บางครั้งมันก็ไม่ง่ายนัก ยิ่งเป็นสินค้าที่ คนไม่สนใจ เป็นพิเศษ หรือ มีความจำเป็นต่อชีวิตของคนเรา สินค้าเหล่านั้นยิ่งไม่สามารถ จะเพิ่มยอดขายได้ง่ายๆ ถ้าสินค้าเหล่านั้นมี ค่าเสื่อม, วันหมดอายุ, หรือ ล้าสมัย ได้ยิ่งนักเลย กลายเป็น ต้นทุนทางธุรกิจระยะยาวได้ง่ายๆ!!! ขณะเดียวกัน... เจ้าของกิจการบางคน อาจต้องการเพิ่มยอดขายโดย การทำการผลักดันยอด ขาย แบบ ACTIVE SALE ด้วยการทำ Direct Sale กล่าวคือ หาทางเพิ่มยอด ขายโดยการ จ้างนักขายมาหาลูกค้า แล้ว ทำการสาธิต หรือ บรรยายให้ ลูกค้าฟัง ทำนองว่า... "คุณจะทำยังไงก็ได้ ขอให้ปิดยอดขายให้ได้ก็แล้วกัน!!!" บ่อยครั้งที่ คนซื้อมุ่งหวังเหล่านั้น เค้าก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็ทนฟังเรื่องราวที่ เป็นจิตวิทยาการขาย ของบรรดานักขายตรงเหล่านั้นไม่ไหว อีกนัยนึง ก็คือ ถูกยัดเยียดสินค้าให้ซื้อ ราวกับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น หรือ วิเศษซะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า คุณต้องพิจารณากันเองว่า ในชีวิตคุณมีสินค้าอะไร บ้างที่เคยซื้อมาด้วยวิธีการแบบนนี้? แน่นอน...กลยุทธในการทำธุรกิจของแต่ละกิจการอาจแตกต่างกันไป แต่ เป้าหมายนั้นคงไม่ต่างกัน คือ หารายได้ให้กับกิจการเติบโตต่อไปนั่นเอง!! เมื่อ: 2006-05-08T18:52:32+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คุณว่า ผู้ว่า ธปท ควรแสดงความรับผิดชอบไหม june1500: ถึงการออกนโยบายทางการเงินที่ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน สร้างความเสียหายต่อตลาดหุ้น อย่างไม่รอบคอบ สมกับตำแหน่ง ที่รับผิดชอบ ถึงไม่ยอมลาออก ก็ควรจะแสดงความขอโทษ การพูดว่า คาดไม่ถึงว่าผลกระทบจะรุนแรง เกินความคาดหมาย แสดงถึงความอ่อนหัด ของผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว ลาออกได้ยิ่งดี เมื่อ: 2006-12-20T01:26:18+00:00 Jeng: เป็นเรื่องของกรรม เมื่อ: 2006-12-20T01:30:04+00:00 GreedyVI: ก็ท่านรับผิดชอบด้วยการกลืนน้ำลายตัวเองไปครึ่งคำแล้วงัย จะเอาอะไรกันนักกันหนา จะให้ถึงลาออกเหรอครับ ไม่มีคำนี้ในหัวนักการเมืองหรือข้าราชการไทยหรอกครับ เมื่อ: 2006-12-20T01:32:22+00:00 JL: อะไร ก็เกิดขึ้นได้ ในตลาดหุ้น  คุณจะไล่คนออกเพราะหุ้นตก ไม่ได้หรอก ไปดูที่มาตรการที่ออกมาดีกว่า ว่ามีเหตุผลที่ดีหรือไม่ รอบคอบหรือไม่ ดีที่สุดแล้วหรือไม่ เมื่อ: 2006-12-20T01:40:15+00:00 june1500: ถ้าจำไม่ผิด ตอนช่วงเช้า ซึ่งตอนนั้นลงไปเป็น 100 จุด เขายังออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า นโยบายดีแล้ว ดีมาก ขนาดว่า ตลาดหุ้นกำลังจะพัง ยังบอกว่า ดีแล้ว ความเห็นส่วนตัว ควรจะเปลี่ยนตัว ผู้ว่า ธปท เพื่อเรียกความมั่นใจ ของนักลงทุนกลับมา เพราะท่านแสดงความอ่อนหัดออกมา ให้โลกเห็นแล้ว เมื่อ: 2006-12-20T01:41:35+00:00 june1500: ผู้ว่าคนไหนครับ สงสัย http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=21723 เมื่อ: 2006-12-20T01:43:34+00:00 june1500: หม่อมอุ๋ย เป็นคนออกมาให้สัมภาษณ์ แสดงว่า เห็นชอบมาตั้งแต่ต้น ควรจะหาคนรับผิดชอบ จากการไม่รอบคอบ ของการออกนโยบายที่สำคัญขนาดนี้ ต้องขอโทษที่รีบโพส โดยยังคิดว่า หม่อมอุ๋ยยังเป็น ผู้ว่า ธปท เมื่อ: 2006-12-20T01:51:53+00:00 v_sukit: ควรลาออกทั้งชุด ที่ตัดสินใจผิดพลาด ล้างภาพนโยบายที่ผิดพลาด เเละสร้างความเชื่อมั่นขึ้นใหม่ ผู้ที่ควรลาออก : - ผู้ว่า - รองผู้ว่า สายเสถียรภาพ - รมว. คลัง และ รองนายก รมต. เมื่อ: 2006-12-20T01:53:56+00:00 june1500: ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการจะไถ่บาป ที่ทำความเสียหายให้กับตลาดหุ้น ยังไม่ควรจะลาออกวันนี้ ควรให้หุ้นรีบาวด์สักระยะก่อน อีกสักวันสองควรจะประกาศ ลาออกทั้งแก็ง จะเป็นข่าวดี ระลอก2 ต่อตลาดหุ้นที่จะทำ ให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก เห็นด้วยไหม คือ ไงๆก็ต้องรับผิดชอบ หนีไม่พ้น เมื่อ: 2006-12-20T02:25:51+00:00 pairojtw: ปรกติ ธปท กับ กระทรวงการคลัง  ต้องทำงานแบบคานอำนาจกัน  แต่งวดนี้สามัคคีกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย  คงเพราะ ธปท เกรงใจคลัง เนื่องจากเป็นนายเก่า      มาตรการที่ออกมาก็ไม่เคยใช้มาก่อน เลียนแบบต่างประเทศในอดีตเมื่อ 15 ปีก่อนซึ่งเคยได้ผล  คงคาดผิดว่าจะเกิดผลกระทบไม่มาก  แต่เมื่อผิดพลาดไปแล้วรีบออกมาแก้ไขก็ยังดี ไม่ดันทุรังทำต่อไป   น่าอภัยให้ไหม......... ความเสียหายที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินกว่าที่จะไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบเลยหรือ      เจ้าตัวควรแสดงสปิริตทั้งคู่ เมื่อ: 2006-12-20T02:45:31+00:00 Onokung: ควรครับ นโยบาย เหมือนเป็นตัวตลก ในสายตาคนอื่นยังไงไม่รุครับ กว่าเค้าจะกลับมาเชื่อมั่น กว่าจะดีขึ้น ยิ่งอ่านของพี่เมทริก แล้ว สมควรอย่างมาก   http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=21738 เหมือนดับเบิ้ล สแตนดาร์ด ครับ โรงเรียนโดนเผาบอกว่าจะเอาผิดผู้ว่า  นโยบายไม่รอบคอบ น่าเอาผิดครับ ท่านควรลาออก แต่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นหรอกครับ[/url] เมื่อ: 2006-12-20T04:50:22+00:00 Onokung: ยังไม่รวมข้อสงสัย ที่ใช้ข้อมูล อินไซด์ รึป่าว ทั้งหุ้นทั้งตลาดล่วงหน้า  ทั้งก่อนประกาศใช้และก่อนประกาศยกเลิก   ถ้าใช้รวยถ้วนหน้าครับ(อ่านมาจากบอร์ดอื่นๆเอาน่ะครับ เค้าสงสัย ซึ่งมันก็น่าสงสัยอยู่ครับ)  8) เมื่อ: 2006-12-20T04:54:31+00:00 marble: หวังว่าถูกลอตเตอรี รางวัลที่ 1 ง่ายกว่า จะให้ใครต่อใครลาออก โดยเฉพาะกรณีนี้ :lol: เมื่อ: 2006-12-20T04:56:16+00:00 krittapon_r: ควรลาออก...เพราะขาดความรอบคอบ การออกมาประกาศกลับลำเป็นหลักฐานความผิดชั้นดี แต่ผมว่าเอาเข้าจริง...แม้แต่คำ"ขอโทษ"ก็คงไม่ได้ยิน เมื่อ: 2006-12-20T05:02:47+00:00 lekmak333: นายก สุรยุทธ ก็ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย เมื่อ: 2006-12-20T05:31:06+00:00 Frodo: krittapon_r เขียน:ควรลาออก...เพราะขาดความรอบคอบ การออกมาประกาศกลับลำเป็นหลักฐานความผิดชั้นดี แต่ผมว่าเอาเข้าจริง...แม้แต่คำ"ขอโทษ"ก็คงไม่ได้ยิน ความรับผิดชอบหรือครับ ? เคยมีในพจนานุกรมของผู้บริหารประเทศไทยบ้างไหม เขาถึงอยากทำอะไรก็ทำ  ไม่เคยคิดให้รอบคอบ ถ้าคิดถึงความรับผิดชอบ คงไม่ออกมาตรการสิ้นคิดแบบนี้หรอกครับ คำว่า "ลาออก" หรือ "ขอโทษ" คงไม่มีทางได้ยินหรอกครับ เพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่า "ต้องรับผิดชอบ" อะไรอยู่แล้ว เมื่อ: 2006-12-20T05:34:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วิธีดูหุ้น telecom sector โดย hongvalue hongvalue: พอดีมีพี่คนนึง บ้านอยู่แถวๆ ศาลาแดงหนึ่ง สอนผมมา อย่างละเอียดยิบๆๆ รู้สึกพี่เขาจะไปเรียนมาจากโครงการอะไรซักอย่างเนี้ยแหละ ผมเลยขออนุญาติคนพี่ท่านนั้นนำมาเล่าต่อ แบบง่ายๆ ในแบบฉบับของผมเอง เชิญชมตอนแรกกันได้เลยครับ จริงๆกลุ่มนี้แบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อย คือ network service = advanc, dtac, true, tt&t, thcom ,csl, inet system integrations = ait, forth ,jts ,mfec ,samtel distribution =bliss, iec ,mlink, sim, svoa, synex, tks, twz hoding =jas, samart ,shin ขอพูดถึง network service ก่อน พูดถึงหุ้นกลุ่มนี้ก็ต้องพูดถึงสัมปทานก่อน สัมปทานจะแบ่งเป็นโทรศัพท์ fix line กับ mobile fix line คนที่ได้สัมปทานจาก องค์กรโทรศัพท์คือ true ,tt&t mobile คนได้จาก องค์กรคือ ais คนได้จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยคือ dtac true ประเด็นก็คือเมื่อก่อน dtac กับ true จ่ายค่าสัมปทานให้ การสื่อสาร แต่ว่าสัญญาณไม่พอ(ประมาณนี้)เลยไปแชร์กับ องค์กรโทรศัพท์ด้วย ทำให้ dtac true เสียค่าสัมปทานสองต่อก็คือ ทั้งองค์กรณ์และการสื่อสาร แต่ advanc เสียสัปทานต่อเดียว เรียกระบบนี้ว่า access charge ต่อมา ntc หรือ กทช ได้กำหนดให้มีค่า ic คือ interconnection charge ทำให้ dtac true ไม่จ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารอีกต่อไป แต่การสื่อสารไม่ยอมจึงฟ้องร้อง ผม copy รายงานผู้สอบบัญชีมาให้อ่าน ใครขี้เกียจอ่านให้ดูที่ผมทำสีแดงนะ ตามที่กล่าวในหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลข้อ 24 เกี่ยวกับคดีฟ้องร้องระหว่างบริษัทฯกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (ทีโอที) โดยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 บริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งให้ทีโอทีและบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท.) ทราบว่าบริษัทฯจะเปลี่ยนแปลงอัตราการคำนวณค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access Charge) ตามข้อตกลงเดิมที่ทำกับทีโอที และ     จะชำระค่าตอบแทนการเชื่อมโยงโครงข่ายให้แก่ทีโอทีในอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge) ที่สอดคล้องกับกฎหมายหรือในอัตราค่าตอบแทนชั่วคราวที่คณะกรรมการ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ประกาศในระหว่างที่การเจรจากับทีโอทียังไม่แล้วเสร็จ โดยบริษัทฯได้บันทึกค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access Charge) ในอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge) ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 ไว้แล้วในงบการเงินจำนวน 1,973 ล้านบาท แต่ทีโอทีได้แจ้งปฏิเสธที่จะรับเงินค่าตอบแทนการเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge) ดังกล่าว โดยทีโอทีได้แจ้งว่าบริษัทฯไม่มีสิทธิเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมกับทีโอทีเนื่องจากบริษัทฯมิได้เป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากกทช.และมิได้มีโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นของตนเองและข้อตกลงเดิมก็มิได้ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 บริษัทฯจึงได้ส่งจดหมายไปยังทีโอทีเพื่อแจ้งยกเลิกข้อเสนอของบริษัทฯในเรื่องที่บริษัทฯได้แสดงความประสงค์ที่จะชำระค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge) และได้แจ้งยกเลิกข้อตกลงการเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคมเดิมทั้งสองฉบับ (Access Charge) บริษัทฯจึงมิได้บันทึกค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access Charge) ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2551 ในงบการเงิน เพราะเห็นว่าภาระที่จะต้องชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access charge) ตามสัญญาเดิมได้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ทีโอทีได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เรียกร้องให้บริษัทฯและกสท.ร่วมกันชำระ      ค่าเชื่อมโยงโครงข่ายโทรคมนาคม (Access Charge) ช่วงระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่         31 ตุลาคม 2550 พร้อมดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมจำนวน 11,705 ล้านบาท และขอให้ชำระ            ค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge) นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไปต่อจนกว่าข้อตกลงระหว่าง ทีโอที กสท.และบริษัทฯจะสิ้นสุดลง  และให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือนนับแต่วันผิดนัดชำระของแต่ละงวดจนกว่าจะชำระให้แก่ทีโอทีครบถ้วน จากความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯ ผู้บริหารของบริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าบริษัทฯไม่มีภาระที่จะต้องชำระค่าเชื่อมโยงโครงข่าย (Access Charge) ตามข้อตกลงในจำนวนที่ทีโอทีฟ้องร้อง เนื่องจากข้อตกลงเดิมดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักกฎหมายในปัจจุบัน (ประกาศของกทช.) และบริษัทฯได้มีหนังสือบอกเลิกข้อตกลงเดิมแล้ว ผู้บริหารของบริษัทฯเชื่อว่าคำตัดสินของศาลไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ภายใต้กระบวนการพิจารณาของศาล ผลของคดีดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้และขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมในอนาคต สรุปว่า dtac ถูกฟ้อง และเชื่อว่าจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร ดังนั้นคนที่เล่น ais จะ save กว่าในกรณีที่ไม่โดนฟ้องแบบนี้ บางท่านบอกว่าราคาหุ้น dtac อยู่บนสมมุติฐานไม่ต้องเสียค่าปรับกรณี access charge แต่ถ้าเสียก็ (ผู้ถือหุ้น dtac ผมไม่ได้ว่าว่าอะไรหุ้นนะ แค่พูดรวมๆ) จบตอนแรกก่อนนะ คงน่าเบื่อนะ เรื่องสัมปทาน เดี่ยวจะมาเล่าต่อ เรื่อง interconnection charge มันทำให้รายได้ของ network service เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากน้อยแค่ไหน และนักลงทุนจะคาดการณ์รายได้จากส่วนนี้ยังไง ขอไปนอนก่อนล่ะ เมื่อ: 2009-01-11T16:13:08+00:00 hongvalue: ใครอ่านแล้วเข้าใจยากก็ดูรูปนี้ ทำจาก pwp แล้วมาแปะใส่ paint ดูเละๆ มีศิลปะดี เมื่อ: 2009-01-11T16:25:58+00:00 pongo:     รอฟังๆ งงกะกลุ่มนี้มานานแระ กำลังเริ่มศึกษาพอดีเลย เมื่อ: 2009-01-11T16:30:51+00:00 miracle: ผิดครับ TAC หรือ DTAC เป็นเจ้าของคลื่นย่าน 1800 มีจำนวน 75 Mhz ส่วน AIS ได้ความถี่ในช่วง 900 ได้มา 12.5 Mhz ต่อมา TAC ก็จับแยกออกมาเป็น 3 ช่วงความถี่ คนที่ได้ไปมี TAC สามารถ (จับไม่ได้ซื้อต่อมาแล้วขายให้ AISไป) อีกตัวจำไม่ได้ว่าของใคร TRUE ซื้อไปเป็น น้องส้ม แล้วก็เป็น TURE ในปัจจุบัน เรื่องมันมีอยู่ว่า ของ AIS ขอตรงจาก TOT ในสมัยนั้นเป็นองค์การโทรศัพท์ส่วนอีกคน ไปขอที่ กสท (การสื่อสารแห่งประเทศไทย ชื่อเดิม) มีปัญหาตามมาคือของ กสท โทรไปหา TOT ไม่ได้แต่ TOT สามารถโทรเข้า กสทได้ เนื่องจาก โทรศัพท์ในสมัยนั้น TOT เป็นเจ้าของสัมปทาน เลยต้องมีการจ่ายสัมปทาน ในอัตรา 200 บาทต่อเบอร์ให้แก่ TOT นี้คือจุดผิดจุดแรกน่าครับ ต้องเล่าประวัติกันเลยล่ะ จุดที่สองระหว่าง TT&T กับ น้อง TRUE อันนี้ต้องย้อนไปในสมัยนายกอนันต์ ตอนนั้นมีการประมูลเรื่องการวางโทรศัพท์ สัญญามีปัญหา เพราะสัญญามีทั้งในและต่างจังหวัด เลยต้องแยกเป็นในกรุงเทพ TRUE ทำส่วนในต่างจังหวัดให้ประมูลใหม่ และ TT&T ได้ไป แต่จ่ายค่าตอบแทนกันหลังหักเลยล่ะ (อันนี้การเมืองมีเอี่ยวเหมือน CASE บน) อันนี้ประวัติศาสตร์มันยาวนานมาก ผมไปอ่านเจอตอนสมัย 2544 ไปเจอในศูนย์หนังสือจุฬา จำชื่อหนังสือไม่ได้ บอกไว้ละเอียดยิบว่า ช่วงที่เริ่มมีเป็นอย่างไงบ้างครับ เรื่องที่สาม ปัญหาเรื่อง access charge อันนี้เกิดในสมัยนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพตท ทักษิณ (ที่มีปัญหาเรื่องที่ดินรัชดา) อันนี้ยังเป็นข้อพิพากษาทางด้านกฏหมายอยู่ เพราะทำให้ชาติเสียหาย จึงไม่ขอกล่าวไว้ กลุ่มนี้ต้องดูกันดีๆๆครับ เหนื่อยครับ เพราะมีสงครามเรื่องราคาด้วย สงครามในเรื่องขั้วการเมืองด้วย กฏเกณฑ์ของผู้คุ้มกฏด้วย และยังมีข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ดูแล้วปวดหัวมาก ถ้าใครต้องการถือกลุ่มนี้ ผมบอกไว้ว่า เล่นกับเทคโนโลยี่ที่นับวันก็เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ตามกฏของมัวร์น่าครับ เมื่อ: 2009-01-11T16:50:20+00:00 miracle: AIS มีคลื่นความถี่ในมือ ณ ตอนนี้ 900 1800 สามารถใช้ 1900 อันนี้ทำโรมมิ่งกับ  TOT ไว้ ใช้งาน ส่วน DTAC TRUE มีแค่ 1800 ใช้งาน ไม่กล่าวถึง 800MHz  และช่วง 470 MHz น่าครับ (อันนี้รุ่นกระติกน้ำ) ใครดูกลุ่มมือถือ กรุณาไปดูว่าสัมปทานเหลือคนล่ะกี่ปีด้วยน่าครับ และค่าตอบแทนให้แก่รัฐ ในตัวสัมปทานด้วยน่าครับ ส่วน FIX LINE อันนี้เทคโนโลยี่ ที่ตีมันตายคือ VoIP (Voice Over Internet Protocol) ใครที่ต้องการรู้ไป search เอาได้น่าครับ เพราะหน่วยงานใหญ่ตอนนี้ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์กันแล้ว ภายในหน่วยงานก็วางระบบ Network ของคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์เลย เมื่อ: 2009-01-11T16:58:55+00:00 miracle: ลืมบอกไปน่าครับ สถานีฐานของโทรศัพท์มือถือ ดูตัวสัญญาดีๆๆน่าครับ เมื่อครบสัญญาแล้ว สถานีดังกล่าว อุปกรณ์ ใครเป็นเจ้าของ แล้วที่ดินใครเป็นเจ้าของ เมื่อ: 2009-01-11T17:02:22+00:00 miracle: ส่งท้าย แนะนำไปหา CASE study ของ BRANDAGE มาอ่านน่าครับ มีทุกเล่มที่อ้างอิงเกี่ยวกับสงครามทางด้านการตลาดของค่ายมือถือ ไม่หาอ่านเอากันเองว่าเล่นแรงกันขนาดไหน สุดท้ายประโยชน์อยู่ที่ผู้ใช้งานจริงหรือเปล่า เมื่อ: 2009-01-11T17:05:39+00:00 kin: ขอเสริมเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับระบบเซลลูลาร์ครับ เนื่องจากเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้าสื่อสาร ระบบ 900 ที่ AIS ใช้งานอยู่มีความได้เปรียบระบบ 1800 อย่างมาก ในเรื่องของจำนวนสถานีฐาน (สถานีกระจายสัญญาณ) คลื่นความถี่ 900 ส่งได้ระยะทางไกลกว่า 1800 นะครับ ถ้าจะได้ "พื้นที่ครอบคลุม" เท่ากัน ผู้ให้บริการความถี่ 1800 ต้องมีจำนวนเสาสัญญาณมากกว่าถึง 3 เท่า จึงไม่แปลกที่ AIS จะมีสัญญาณ "โดยรวม" ที่ดีกว่าผู้ให้บริการอีกสองราย เมื่อ: 2009-01-11T17:27:46+00:00 wr: คุณ miracle said "สถานีฐานของโทรศัพท์มือถือ ดูตัวสัญญาดีๆๆน่าครับ เมื่อครบสัญญาแล้ว สถานีดังกล่าว อุปกรณ์ ใครเป็นเจ้าของ แล้วที่ดินใครเป็นเจ้าของ" อันนี้เหล่าผู้ประกอบการนกรู้ได้ตั้งบ.ย่อยมาลงทุนใหม่เลี่ยงบาลีรอกฎระเบียบใหม่ไปแล้วครับ ส่วนระบบอุปกรณ์เดิมยังไงก็คงอวสานไปด้วยความล้าสมัย เพราะธุรกิจนี้ต้องลงทุนกับระบบใหม่อยู่ตลอดเพื่อแข่งขัน ระบบเดิมที่มีอยู่ ต่างประเทศก็แทบไม่มีใครใช้กันแล้วครับ เมื่อ: 2009-01-11T18:16:32+00:00 terati20: มีอีกประเด็น คือเรื่อง อายุสัมปทาน ทั้ง  AIS  DTAC  เหลืออยู่ไม่ถึง 10 ปีเเล้วมั้งครับ   เเละสัญญา เป็นเเบบ สร้างเเละโอน  สงสัยมานานเเล้วนักวิเคราะห์ ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้เลย เมื่อ: 2009-01-12T00:23:01+00:00 miracle: kin เขียน:ขอเสริมเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับระบบเซลลูลาร์ครับ เนื่องจากเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้าสื่อสาร ระบบ 900 ที่ AIS ใช้งานอยู่มีความได้เปรียบระบบ 1800 อย่างมาก ในเรื่องของจำนวนสถานีฐาน (สถานีกระจายสัญญาณ) คลื่นความถี่ 900 ส่งได้ระยะทางไกลกว่า 1800 นะครับ ถ้าจะได้ "พื้นที่ครอบคลุม" เท่ากัน ผู้ให้บริการความถี่ 1800 ต้องมีจำนวนเสาสัญญาณมากกว่าถึง 3 เท่า จึงไม่แปลกที่ AIS จะมีสัญญาณ "โดยรวม" ที่ดีกว่าผู้ให้บริการอีกสองราย อันนี้ไม่เถียงครับ มีสองยุคครับที่เล่นกันเรื่องการตลาดในจุดนี้ ยุคแรกเป็น AIS กับ DTAC ในการครอบคลุมสัญญาณทั่วประเทศ ยุคที่สองตอนที่ น้องส้มมาใหม่ๆ กับ HUTCH มาใหม่ๆๆ เมื่อ: 2009-01-12T05:18:27+00:00 V_accy: เอามาปาด... ขอบคุณพี่ๆที่ให้ความรู้ครับ เมื่อ: 2009-01-12T05:30:50+00:00 จอม: ขอบคุณครับ เมื่อ: 2009-01-12T05:39:15+00:00 newbie_12: น่าจะเรียกว่ากลุ่ม IT มากกว่านะ เมื่อ: 2009-01-12T07:31:38+00:00 Eragon: มีหลายเรื่องที่คุณ hongvalue หรือคนที่เล่าให้คุณ hongvalue ฟังน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง พอดีผมทำงานเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือมาแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มี AIS ไม่มี TAC เริ่มต้นน่ะเป็น TOT กับ CAT อย่างเรื่องเสียค่าสัมปทาน 2 แห่งน่ะ ไม่จริงครับ AIS เป็นสัมปทานของ TOT ส่วน DTAC เป็นสัมปทานของ CAT  แต่สัมปทานของ CAT ต้องเสียค่า Access Charge ให้ TOT เป็นค่าผ่านระบบ  เบอร์ละ 200 บาท ต่อเดือน ไว้ง่างๆผมจะเล่าให้ฟัง...ตอนนี้ต้องทำไปงานก่อน เมื่อ: 2009-01-12T08:21:22+00:00 hongvalue: ขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่มาช่วยแก้ส่วนที่ผมเข้าใจผิดนะครับ แหม เผลอปล่อยไก่ไป เมื่อ: 2009-01-12T09:54:00+00:00 Boring Stock Lover: [quote="Eragon"]มีหลายเรื่องที่คุณ hongvalue หรือคนที่เล่าให้คุณ hongvalue ฟังน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง พอดีผมทำงานเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือมาแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มี AIS ไม่มี TAC เริ่มต้นน่ะเป็น TOT กับ CAT อย่างเรื่องเสียค่าสัมปทาน 2 แห่งน่ะ ไม่จริงครับ AIS เป็นสัมปทานของ TOT ส่วน DTAC เป็นสัมปทานของ CAT เมื่อ: 2009-01-12T09:54:55+00:00 naris: [quote="Eragon"]มีหลายเรื่องที่คุณ hongvalue หรือคนที่เล่าให้คุณ hongvalue ฟังน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง พอดีผมทำงานเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือมาแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มี AIS ไม่มี TAC เริ่มต้นน่ะเป็น TOT กับ CAT อย่างเรื่องเสียค่าสัมปทาน 2 แห่งน่ะ ไม่จริงครับ AIS เป็นสัมปทานของ TOT ส่วน DTAC เป็นสัมปทานของ CAT เมื่อ: 2009-01-12T09:58:32+00:00 Eragon: [quote="naris"][quote="Eragon"]มีหลายเรื่องที่คุณ hongvalue หรือคนที่เล่าให้คุณ hongvalue ฟังน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง พอดีผมทำงานเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือมาแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มี AIS ไม่มี TAC เริ่มต้นน่ะเป็น TOT กับ CAT อย่างเรื่องเสียค่าสัมปทาน 2 แห่งน่ะ ไม่จริงครับ AIS เป็นสัมปทานของ TOT ส่วน DTAC เป็นสัมปทานของ CAT เมื่อ: 2009-01-12T14:11:57+00:00 Eragon: [quote="Boring Stock Lover"][quote="Eragon"]มีหลายเรื่องที่คุณ hongvalue หรือคนที่เล่าให้คุณ hongvalue ฟังน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง พอดีผมทำงานเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือมาแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มี AIS ไม่มี TAC เริ่มต้นน่ะเป็น TOT กับ CAT อย่างเรื่องเสียค่าสัมปทาน 2 แห่งน่ะ ไม่จริงครับ AIS เป็นสัมปทานของ TOT ส่วน DTAC เป็นสัมปทานของ CAT เมื่อ: 2009-01-12T14:16:43+00:00 naris: ไม่เป็นไรครับพี่ พรุ่งนี้ว่างๆค่อยมาให้ข้อมูลก็ได้ครับ เพราะผมไม่รีบร้อนอะไร เอาสะดวกอาจารย์ที่จะให้ความรู้ดีกว่า เมื่อ: 2009-01-12T14:45:33+00:00 miracle: ถูกของพี่ Eragon แต่ตอนนี้สถานะการณ์เบอร์ขาดแคลนนั้น มีประเด็นที่น่าสงสัยว่า ใช้เบอร์ผิดวัถตุประสงค์หรือไม่ เช่นเอาไปทำ GPS ติดตามรถยนต์ เอาเป็น internet sim แบบนี้ ขายแต่ non-voice แต่สูญเสีย ทรัพยากรเรื่องเบอร์ที่ประเทศให้ไปใช้งานแบบนี้ เหมาะสมหรือไม่ อันนี้ไม่มีใครบอกประเด็นนี้ ต้องแยกให้ออกระหว่าง sim ที่ใช้งาน VOICE และ NON-VOICE ออกจากใช้งาน NON-VOICE อย่างเดียว ที่บอกว่าเบอร์ไม่เพียงพอเพราะแบบนี้หรือไม่ เมื่อ: 2009-01-12T14:59:48+00:00 miracle: ประเด็นของอดีต เมื่อก่อนนี้ เมื่อประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว ที่ TOT เกิดใหม่ๆ การขอเบอร์โทรศัพท์นั้นยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าบ้านไหนมีโทรศัพท์บอกฐานะได้เลย แถมต้องมีค่าประกันเบอร์วางไว้แก่หน่วยงานด้วย (แต่เมื่อปี 2540 หรือหลังจากนั้น ก็มีการคืนค่าประกันเลขหมายดังกล่าวแก่เจ้าของเลขหมาย แต่ไม่คืนให้ในรูปแบบเงินสด คืนด้วยการเป็นส่วนลด เป็นค่าเครื่องมือถือ หรือหุ้นของ TOT ) สมัยเรียกไว้ว่า ขาดแคลนกันสุดๆๆ และหน่วยงานเดียวที่มีเบอร์ในการใช้งานคือ TOT อันนี้คือเล่าเกริ่นให้พี่ Eragon มาเล่าต่อล่ะกัน เมื่อ: 2009-01-12T15:04:58+00:00 Eragon: naris เขียน:ไม่เป็นไรครับพี่ พรุ่งนี้ว่างๆค่อยมาให้ข้อมูลก็ได้ครับ เพราะผมไม่รีบร้อนอะไร เอาสะดวกอาจารย์ที่จะให้ความรู้ดีกว่า เพื่อไม่ให้กระทู้เดิมของท่าน hongvalue ผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เดิม ขออนุญาตไปเปิดกระทู้ใหม่...ว่ากันเฉพาะสัมปทานมือถือก่อน  ที่นี่ครับ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=36702 เมื่อ: 2009-01-12T17:09:10+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กำลังชนที่แท้จริงระหว่างสองยักษ์ CK: พบข้อเขียนที่โดนใจมากเลยครับจากจ่าเคลี่แห่งสินธร เลยถือวิสาสะก๊อปมาให้อ่านกัน endophine เขียน:ผมมีความเห็นว่า ผลประกอบการของหุ้นใน set 50 index จะสำคัญมาก แม้ว่าปัจจัยชี้ขาดจะอยู่ที่ เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงของต่างชาติ แต่ถ้าปริมาณเงินที่จะเข้ามาอัดเพื่อเอาหุ้นขึ้น เกิดไม่เพียงพอ เพราะต้องแบ่งๆไปล่าส่วนเกินทุนในหลายๆประเทศ ผมคิดว่า คงไม่มีเฮดจ์ฟันด์ที่ไหนจะยอมเพิ่มปริมาณเงินไม่สิ้นสุด โดยละเลยพื้นฐานของประเทศนั้นๆ ตอนนี้เงินก้อนมหึมาของต่างชาติ ได้เปลี่ยนไปถือครอง หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง เป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นรายย่อยอย่างเราๆ ถ้ามีหุ้นเต็มพอร์ต "ควรถือรอดูกำลังชนที่แท้จริงระหว่างสองยักษ์" ส่วนใครจะซื้อกลับในราคาที่สูงกว่าเดิม ก็เท่ากับเป็นคนใส่ปริมาณเงินเพิ่มเข้าไปเล่นเกมล่าส่วนเกินทุน ผมมีความเห็นว่า อำนาจซื้อของเงินในปริมาณเท่าเดิม จะลดลง เมื่อราคาหุ้นขึ้น และ อำนาจขายของหุ้นในปริมาณเท่าเดิม จะเพิ่มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเช่นกัน คำคมประจำวันนี้ ผมมีความเห็นว่า อำนาจซื้อของเงินในปริมาณเท่าเดิม จะลดลง เมื่อราคาหุ้นขึ้น และ อำนาจขายของหุ้นในปริมาณเท่าเดิม จะเพิ่มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเช่นกัน เมื่อ: 2005-01-13T05:24:41+00:00 CK: endophine เขียน:กองทุนขายตลอด ในที่สุด ก็ไม่มีหุ้นจะเอามาขาย ส่วนต่างชาติ ถ้าชื้อตลอด ในที่สุด ก็ไม่มีเงินจะซื้อหุ้นเช่นกัน แต่อำนาจขายของหุ้น ถึงยังไงก็จะแพ้อำนาจซื้อของเงิน ถ้า "มีเงินในปริมาณไม่จำกัด" เพราะอำนาจขายของหุ้นมีจำกัดแค่ ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว + วอร์แรนท์ ใครที่เล่นหุ้นใน set 50 index แล้วทายได้ถูกต้องว่า ต่างชาติยังมีก็อกสองก็อกสามอยู่อีกเท่าไร คนนั้นจะเป็นผู้ชนะเกมล่าส่วนเกินทนรอบนี้อย่างแน่นอน เมื่อ: 2005-01-13T05:25:49+00:00 โป้ง: คำพูดที่ดีมากครับ "อำนาจขายของหุ้น ถึงยังไงก็จะแพ้อำนาจซื้อของเงิน " ผมมีความเห็นว่า อำนาจซื้อของเงินในปริมาณเท่าเดิม จะลดลง เมื่อราคาหุ้นขึ้น และ อำนาจขายของหุ้นในปริมาณเท่าเดิม จะเพิ่มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเช่นกัน เกมล่าส่วนเกิน เป็นคำพูดคุ้นๆแฮะ เมื่อ: 2005-01-13T05:35:31+00:00 CK: อำนาจขายของหุ้น ถึงยังไงก็จะแพ้อำนาจซื้อของเงิน แล้วตอน 1700 เหลือ 200 ล่ะครับ เมื่อ: 2005-01-13T05:37:18+00:00 โป้ง: อันนี้ ต้องดูว่า เมื่อก่อน ส่วนเกิน มันมีเยอะ เรื่อง ระบบทุนนิยม เราต้องเข้าใจ เรื่อง เครดิตความเชื่อมั่น มันมีแรงขับดันมาก และที่สำคัญ ช่วงลงมาจาก 1700 ลงมา 200 จุด ไม่มีอำนาจเงินเข้ามางัดกับอำนาจการขาย ต่างกันกับช่วงนี้ความเชื่อมั่นมีสูงกว่า มีอำนาจเงินเข้ามาสู้ เมื่อ: 2005-01-13T05:40:16+00:00 คัดท้าย: แฮะๆ เดี๋ยวนี้นิยมเปลี่ยนชื่อกันจังวุ๊ยย อิอิอิ อ่านดูก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ท่านผู้อวุโสนั่นเอง เมื่อ: 2005-01-13T05:44:02+00:00 CK: เทรนด์มาจากคุณอาริบาเปลี่ยนชื่อมังครับ ตอนนี้เลยเปลี่ยนกันใหญ่ ที่สินธรเขาบ่นคิดถึงคุณอาริบากันตรึมเลย เมื่อ: 2005-01-13T06:01:55+00:00 wpong: ถ้ากองทุนไม่สามารถกลับไปซื้อ Big Cap ได้ .... และเก็บเงินสดไว้มากไม่ได้ .... อะไรจะเกิดขึ้นครับ เมื่อ: 2005-01-13T06:03:18+00:00 chatchai: คิดมากปวดหัวครับ ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว หวังดอกผลที่แท้จริงที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทสบายใจกว่าครับ เราไม่ต้องตามไปเล่นเกมส์ทุกเกมส์ในตลาด เราสามารถเลือกเล่นแต่เกมส์ที่เราชำนาญและได้เปรียบเท่านั้นก็พอ เมื่อ: 2005-01-13T06:11:11+00:00 chatchai: ผมไม่ได้มองว่าฝรั่งต่างจากกองทุนอย่างไร ทั้งสองฝ่ายก็เป็นกองทุนเหมือนกัน ..กล่าวคือ ไม่ได้เล่นหุ้นด้วยเงินตัวเองครับ หากอำนาจซื้อขายนำ เริ่มติดหุ้น อาจจะโยนหุ้นกลับไปกลับมา เพื่อสร้างโวลุ่ม ทำราคา ประกอบกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ออกบทวิเคราะห์ว่าพื้นฐานเปลี่ยนไปแล้ว หุ้นดีต้องให้ P/E สูงๆ ให้สมศักดิ์ศรีซัก 14-20 เท่ากำไร สร้างกำลังใจรายย่อยให้กระโดดเข้ามาร่วมวง แล้วทั้งสองก็ ทยอยขาย...สุดท้ายรายย่อยติดหุ้นที่ยอดดอย แต่หากหลอกรายย่อยไม่สำเร็จ หรือโดนหลอกเข้าเอง..ตัวใครตัวมันครับ เมื่อ: 2005-01-13T06:25:01+00:00 ต.หยวนเปียว: chatchai เขียน:คิดมากปวดหัวครับ ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว หวังดอกผลที่แท้จริงที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทสบายใจกว่าครับ เราไม่ต้องตามไปเล่นเกมส์ทุกเกมส์ในตลาด เราสามารถเลือกเล่นแต่เกมส์ที่เราชำนาญและได้เปรียบเท่านั้นก็พอ เห็นด้วยครับ เฮียเอ็นดี (ชื่อย่อของ เฮียเอนโดฟิน) ก็เลือกลงทุนที่ผลประกอบการเป็นหลัก การรู้เขารู้เราก็ควรศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อ: 2005-01-13T07:12:40+00:00 สามัญชน: :lol: :lol: :lol: :lol: น้อง wpong เขียน ถ้ากองทุนไม่สามารถกลับไปซื้อ Big Cap ได้ .... และเก็บเงินสดไว้มากไม่ได้ .... อะไรจะเกิดขึ้นครับ อืมมมมม....น่าสนใจครับ :lol: :lol: :lol: :lol: เมื่อ: 2005-01-13T07:19:21+00:00 คลายเครียด: ไม่ได้เปลี่ยนชื่อเพื่ออินเทรนด์หรอกคุณอาริบา นึกสนุกขึ้นมาก็เลยตั้งมันอีกชื่อ ให้มันตรงข้ามกับสารแห่งความเครียด (อาดรีนาลีน) ที่สำคัญคือ ไว้หลบหลีกระบบเซ็นเซอร์โดยไม่ได้ร้องขอ ฮาๆๆๆ วันนี้เห็นคุณปรัชญาแวบๆ คงไม่หายไปอีกนะ แฟนานุแฟนเขาถามหากันตรึม ตอนพันเจ็ดเหลือสองร้อย ตอบง่ายมาก เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง ถูกดูดออกไปจากประเทศไทยจนเกลี้ยง ผ่านตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริงของกองทุน และหุ้นที่มีอำนาจขายนำเทียมของรายย่อย ก็เลยพากันเทกระจาดหนีการล้มละลาย ใครที่มีเงินสดในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงหรือไม่ ตอนนี้กลายเป็นหุ้นที่มีอำนาจขายนำ อภิมหาจริงเลยครับ เมื่อ: 2005-01-13T07:53:00+00:00 โป้ง: วันนี้ 13/01/2548 เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก มองโดยรวมยังมีเงินไหลเข้ามา เมื่อ: 2005-01-13T08:49:24+00:00 CEO: คิดมากปวดหัวครับ ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว หวังดอกผลที่แท้จริงที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทสบายใจกว่าครับ เราไม่ต้องตามไปเล่นเกมส์ทุกเกมส์ในตลาด เราสามารถเลือกเล่นแต่เกมส์ที่เราชำนาญและได้เปรียบเท่านั้นก็พอ ผมคิดแบบคุณ chatchai ครับ รายย่อยไม่ว่าใครครับ ไปเล่นตามเกมส์ที่เขากำหนดมาให้ มันก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้วครับ เมื่อ: 2005-01-13T13:11:51+00:00 โป้ง: บางทีเราถูกจำกัดด้วย ระยะเวลาและเงินในการลงทุน สำหรับผมแล้ว การลงทุนระยะยาวน่าจะเหมาะ สำหรับ คนมีเงินลงทุนมาก ไม่เป็นไรครับ เราต่างความเห็นกันได้ มาคุยกันสนุกๆครับ :lol: เมื่อ: 2005-01-13T13:39:10+00:00 มือเก่าหัดขับ: ผมคิดแบบคุณ chatchai ครับ รายย่อยไม่ว่าใครครับ ไปเล่นตามเกมส์ที่เขากำหนดมาให้ มันก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้วครับ 1. ถ้าจะเล่นตามเกมส์ ต้องทันเกมส์ แล้วเล่น นำ เกมส์ครับ ถึง มีโอกาสชนะ 2. ให้สบายใจ ก็เล่นเกมส์ของเรา (เลือกหุ้นของเรา) ไม่ใช่ให้เขาเลือกให้ (ตามหุ้นวิ่ง) เมื่อ: 2005-01-13T13:58:13+00:00 ปรัชญา: คลายเครียด เขียน:ไม่ได้เปลี่ยนชื่อเพื่ออินเทรนด์หรอกคุณอาริบา นึกสนุกขึ้นมาก็เลยตั้งมันอีกชื่อ ให้มันตรงข้ามกับสารแห่งความเครียด (อาดรีนาลีน) ที่สำคัญคือ ไว้หลบหลีกระบบเซ็นเซอร์โดยไม่ได้ร้องขอ ฮาๆๆๆ วันนี้เห็นคุณปรัชญาแวบๆ คงไม่หายไปอีกนะ แฟนานุแฟนเขาถามหากันตรึม ตอนพันเจ็ดเหลือสองร้อย ตอบง่ายมาก เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง ถูกดูดออกไปจากประเทศไทยจนเกลี้ยง ผ่านตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด หุ้นที่มีอำนาจขายนำจริงของกองทุน และหุ้นที่มีอำนาจขายนำเทียมของรายย่อย ก็เลยพากันเทกระจาดหนีการล้มละลาย ใครที่มีเงินสดในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงหรือไม่ ตอนนี้กลายเป็นหุ้นที่มีอำนาจขายนำ อภิมหาจริงเลยครับ ตามมาอ่านครับ ช่วงสิ้นปีถึงต้นเดือนหยุดไปเกือบ10วันไม่ได้เข้าเวป บริการภรรยาและบุตร เริ่มจะเรียบร้อย กำลังจับตาดูแรงเก็งผลประกอบการที่จะประกาศ เดือนมีนา-เมษาว่าจะดีกว่าที่คิดหรือเปล่า และดูการจะเฝ้าดูการประกาศจ่ายเงินปันผลอีก2เดือนข้างหน้าครับ เทศกาล แจกผู้ถือหุ้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เคยเห็นคุณหมออยู่นครปฐมว่า... ให้เฮียระวังปังตอ สับมือจับเม้าส์ อิอิ เมื่อ: 2005-01-13T16:49:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
คุณมนครับ .. Britannica: จะทําอะไร ก็รีบรีบทํานะครับ เวลาบีบเข้ามาแล้ว จะย้าย Host จะหาคนมาช่วยลบ ก็รีบทําเถอะครับ ด้วยความเป็นห่วง อ้อ คนที่จะมาช่วยลบน่าจะมีเวลา ออนไลน์ตลอดหรือเกือบตลอด เพื่อปิดช่องโหว่เรื่อง 1 ชม.นั่น ถ้าคิดว่าไม่มีเวลา ไมค่อยได้เฝ้าจอ ไม่ค่อยได้ออนไลน์หรือออนไลน์น้อย เดี๋ยวไปรับลูก ส่งลูก ออกไปเที่ยว ออกไปห้าง ธุระเยอะ ผมว่าไม่ค่อยเหมาะครับ เมื่อ: 2005-01-30T15:35:22+00:00 Britannica: ปิดไปแล้ว 1 ออร์เด้อคงไหลมาโบรก TVI เยอะขึ้นเยอะนะครับ ดูแลดีดีนะครับ เมื่อ: 2005-01-30T15:55:00+00:00 Britannica: แล้วที่กลต.ให้ต้องติดตั้งระบบ scan คำพูดไม่เหมาะสม เช่น เจ้ามือ วงใน ลาก ทุบ และอื่นๆแล้วจัดการส่งกระทู้ที่มีคำเหล่านั้นไปให้ท่าน พิจารณา ไม่ทราบระบบพร้อมหรือยังครับ .. เมื่อ: 2005-01-30T16:03:43+00:00 Mon money: พรุ่งนี้ผมจะคุยกับwebอื่นๆ เรื่องนี้ เพราะเราเองไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง และเรื่องนี้อาจถึงศาลปกครองก็ได้ หากจะต้องปิดชั่วคราวก็คงต้องขออภัยสมาชิกไว้ล่วงหน้า หากวันที่หนึ่งเปิดมาไม่เจอแล้ว ก็ขอให้ติดตามใน Value Way ผมจะคอยupdate ที่นั่น เมื่อ: 2005-01-30T16:35:36+00:00 monn: value way เป็นเวปบอร์ดหรืออะไรคะ ช่วยทำ link ให้หน่อยได้ไหมคะ จะได้ save ไว้ เมื่อ: 2005-01-31T01:48:52+00:00 ForrestGump: value way เป็นคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ bizweek ซึ่งออกทุกวันศุกร์ ลองหาตามแผงหนังสือได้นะครับ เมื่อ: 2005-01-31T01:52:29+00:00 monn: ขอบคุณมากค่ะ เมื่อ: 2005-01-31T02:50:32+00:00 คลายเครียด: เอาใจช่วยครับ ถ้าถึงขั้นต้องสู้กันด้วยกฏหมาย ผมขอลงขันช่วย หนึ่งพันบาทครับ ลงขันได้ซักร้อยคน จ้างทนายสู้กับมัน เอ๊ยท่านให้รู้แล้วรู้รอดไป ดีแต่ทำกร่างกับพวกที่ไม่มีนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลหนุนหลัง เมื่อ: 2005-01-31T03:22:54+00:00 วัวแดง: เป็นกำลังใจให้นะครับ ยังไงถ้าเราไม่ผิด เราก้ต้องถูกครับ เห็นด้วยกับคุณคลายเครียด ตั้งกองทุนสู้กับการเอาเปรียบซะเลย ผมช่วยได้พันนึงครับ ขาดอีกแค่ 98 คนครับ เมื่อ: 2005-01-31T03:51:50+00:00 Jeng: อืมได้แล้ว 2 พัน ขอบคุณครับ เมื่อ: 2005-01-31T04:20:06+00:00 คัดท้าย: ผมด้วย 1,000 ครับ เมื่อ: 2005-01-31T04:27:56+00:00 มือเก่าหัดขับ: อ้าว! คนละพันเหรอ? ผมใส่ไว้ที่อีกกระทู้ว่าห้าร้อย เดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนไม่ Consistent กลับคำไปมา ฮ่าๆๆ อ่ะ ห้าร้อยก่อนแล้วกัน ถ้าไม่พอ เดี๋ยวเพิ่มทุนให้ (เอ๊ะ! คำว่าเพิ่มทุนนี่คงไม่ผิดกฏบ้าๆ บอๆ นั่นนะ ) เมื่อ: 2005-01-31T04:30:43+00:00 Jeng: เอ ROE มันขึ้นเร็วจัง 3 พันแล้ว เมื่อ: 2005-01-31T04:30:47+00:00 ForrestGump: ผม อีก พันนึง ช่วยภัย Tsunami ถล่มเวปของพวกเรา เมื่อ: 2005-01-31T05:38:26+00:00 Jeng: อืม บริษัทนี้น่าลงทุนจัง เพิ่มเป็น 4 พัน แล้วครับ เมื่อ: 2005-01-31T05:49:13+00:00 Blueblood: ตกลงว่าถ้าจะต่อสู้ต้องใช้เงินสักเท่าไหร่แน่ครับ มีใครพอทราบตัวเลขคร่าวๆมั๊ยครับ ถ้าเงินสามารถแก้ปัญหาได้จริงและลงคนละพันผมยินดีช่วยด้วยอีกคนนึงครับ เมื่อ: 2005-01-31T05:58:35+00:00 jame: ผมขอร่วมด้วย 1,000 บาทครับ และขอเป็นกำลังใจให้คุณมน คุณเจ๋ง คุณคลายเครียด และทีมงานทุกคนครับ เมื่อ: 2005-01-31T05:58:57+00:00 Jeng: อิอิ ขอบคุณ ตอนนี้ก็ 6 พันแล้ว กำลังนั่งนับเงินอยู่ ยังไม่มีเวลาตอบเรื่องอื่นครับ อิอิ เมื่อ: 2005-01-31T06:00:35+00:00 มือเก่าหัดขับ: ไม่ใช่สิ ต้องมีเศษห้าร้อยของผมด้วย พอใครเห็นเศษห้าร้อย จะได้นึกถึงผม (ฮ่าๆๆ) แล้วค่อยไปเติมให้ครบพันทีหลัง.... เมื่อ: 2005-01-31T07:06:27+00:00 Jeng: 6500 555 อิอิ เมื่อ: 2005-01-31T07:08:01+00:00 iscssn: ขอร่วมด้วยช่วยกัน 1000 ครับ เมื่อ: 2005-01-31T08:14:45+00:00 pa_chit: ถ้า TVI โดนจริงๆ ล่ะก็ เห็นทีจะแย่ เพราะถ้าเข้ามาอ่านจริงๆ แล้ว เป็นการแสดงความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยเหตุผล ไม่ใช่มาบอกโพยหุ้นซี้ซั้วซะหน่อยนะ เหมือนเป็นการปิดกั้นนักลงทุนรายย่อย อย่างพวกเราในการเข้าถึงข้อมูลดีๆ อย่างการวิเคราะห์ที่มีเหตุมีผลแบบที่พี่ๆ ทำกันมา ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบระหว่างนักวิเคราะห์หน้าทีวี กับพี่ๆ ในนี้แล้วผมยังเลือกที่จะเชื่อ พี่ๆ ในนี้มากกว่า ผมไม่เคยเห็นใครให้ราคาเป้าหมายมั่วๆ เลย แต่ดูในทีวีสิ วันนี้หุ้นนี้ดี พรุ่งนี้มีมาอีกตัวแล้ว ครบ 1 ปี พอดีได้หุ้นครบทั้งตลาด แถมบอกราคาเป้าหมาย เสร็จสรรพ แต่ไม่เคยบอกเลยว่าคิดมาได้ยังไง 1234 ว่ากันมา ไม่เคยเห็น ยุให้ซื้ออีกตะหาก เชียร์แล้วราคาขึ้นก็ทวงความดี บอกเห็นมั๊ย เป็นไง เวลาราคาลงทำเป็นลืมเหมือนไม่เคยพูดถึง แต่ที่นี่ไม่เคยเชียร์ซื้อเลย (มีแต่เชียร์ขาย อิอิ) ว่ากันแต่ข้อมูล เหตุผลทั้งนั้น ถ้าต้องมีกองทุน ผมขอร่วมลงทุนอีก 1,000 ครับ เมื่อ: 2005-01-31T09:39:15+00:00 Jeng: อ้าวเผลอแผลบเดียว 8500 แล้ว อิอิ นับเงิน นับเงิน ขอบคุณครับ แต่อาจจะไม่ต้องถึงขนาดระดมทุนก็ได้นะ เพราะกำลังรอ รอ ประกาศจากกลต.อย่างเป็นทางการอีกที ที่ผ่านมา เขาเตือน และกำลังจะร่างอะไรบางอย่าง คงให้เป็นไปได้ในภาคปฏิบัติ หวังว่างั้น เมื่อ: 2005-01-31T09:44:31+00:00 Koon: ขอร่วมปราบมารด้วย 1000 เห็นด้วยกับคุณมน ที่ให้ฟ้องศาลปกครอง มันเป็นโรคอะอะไรของมันใครรู้ช่วยบอกที ไอ้คำว่า เจ้ามือ ทุบ ลาก มันเสียหายตรงไหน มันเป็นภาษาไทยนะครับ เวป เป็นช่องทางเดียวที่รายย่อยอย่างเราจะสื่อสาร และให้ความรู้กัน ผมว่าพวก..ว่างงานจริง ๆ เขียนแบบนี้จะโดนมั้ยนี่ เมื่อ: 2005-01-31T10:25:40+00:00 harry: ผมว่าตอนนี้พวกเรา panic sell กันหรือเปล่าครับ ทำไมไม่วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานให้ดีก่อนครับ น่าจะมีทางออกที่ดีหน่า ว่าจะขายหุ้น หรือถือไว้ก่อน เมื่อ: 2005-01-31T10:36:10+00:00 ปรัชญา: ถ้าใช้เงินเดือน พค.เงินปันผลออกผมช่วยหนึ่งหมื่นครับ ถ้าเป็นเดือนนี้หรือปกติช่วยได้สองพันครับ แต่ที่จริง ทำแบบพันทิบก็ดีมีตัวตนชัดเจน คือเอาเลขที่บัตรประชาชน ชื่อจริงนามสกุลจริง เวลาใครเป็นเจ้ามือทางการก็จับได้ง่าย และคนโพท์สก็จะต้องรับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวกับทางเวป ทั้งหมด เพราะถ้า กลต.ตรวจสอบก็ได้ทั้งตัวหุ้นและชื่อ บ/ช มันเกี่ยวโยงกันมากน้อยแค่ไหน เราบริสุทธิ์ใจก็สามารถรับผิดชอบได้ กฏหมายต้องดูที่เจตนา แบบนิติศาสตร์ แต่ถ้าเราใช้การรวมพลัง ต้องดูที่รัฐศาสตร์ ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ไม่ต้องรีบ หรอกครับ ดันกันให้มันสุดๆไปก่อน แล้วค่อยหาทาง เมื่อ: 2005-01-31T13:29:54+00:00 house: อืม เอาเป็นว่าถ้าสู้ทางกฏหมายจริงๆ ผมช่วยด้วยพันนึงครับ พี่แฮรี่ ผมวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้วคิดว่าถือต่อได้ครับ สถานการณ์ยังต้องรอความชัดเจนอีกซักระยะ แต่เนื่องจากกิจการมีผู้บริหารที่มีความสามารถ และโครงสร้างธุรกิจของบริษัท น่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายน้อยที่สุดในกลุ่มธุรกิจประเภทเดียวกัน โดยกิจการมีระดับความลึกในการบริหารต่ำ ผนวกกับผู้บริหารและพนักงานยังมีใจสู้ที่จะให้กิจการอยู่รอด โอกาสที่จะ เทิร์นอราวด์ ค่อนข้างสูง แนะนำผู้มีแล้วให้ถือต่อไป ผู้ยังไม่มีทยอยซื้อลงทุนครับ แต่สัญญาณ ทางเทคนิคหลายๆตัวสั่งขายแล้วนะครับ ฮั้วหยวนเจี่ย thaihoon ประกาศปรับปรุงเว็บไซต์ และ taladhoon สั่งปิดเว็บบอร์ด เกิดเป็น dead cross ลงมาแล้ว สัญญาณระยะสั้นอันตรายมาก ไม่แนะนำให้เล่นสั้น และนักเก็งกำไร ควรพิจารณาออกจากตลาดซักระยะ เมื่อ: 2005-01-31T13:50:47+00:00 Jeng: โค้ด: เลือกทั้งหมดแต่สัญญาณ ทางเทคนิคหลายๆตัวสั่งขายแล้วนะครับ ฮั้วหยวนเจี่ย thaihoon ประกาศปรับปรุงเว็บไซต์ และ taladhoon สั่งปิดเว็บบอร์ด เกิดเป็น dead cross ลงมาแล้ว สัญญาณระยะสั้นอันตรายมาก ไม่แนะนำให้เล่นสั้น และนักเก็งกำไร ควรพิจารณาออกจากตลาดซักระยะ อ่านเพลินดี อิอิ เอ้านับเงินต่อ 12500 แล้ว อิอิ เมื่อ: 2005-01-31T13:55:35+00:00 ปรัชญา: ที่เวป ตลาดหุ้นเขาปิดเวปบอร์ดเพราะเขาไม่เคยเน้นเวปบอร์ด เขาเน้นเรื่องขายเทคนิค ถ้าเวปถูกปิดเขาก็คงลำบาก เขาไว้ให้นักลงทุนจ่ายค่าธรรมเนียมดู ส่วนไทยหุ้น ค่อนข้างโฉงฉ่าง ล่อแหลมพอสมควร หยุดปรับปรุงถูกต้องแล้ว และค้นหาตัวเอง เพื่อเป็นการสร้างรูปแบบใหม่ ทีวีไอ เป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นกลาง พูดถึงห้องร้อยหุ้นร้อยคน ทุกคนทำกันแบบบอกถึงสิ่งดีและไม่ดี อ่านแล้วต้องนำไปวิเคราะห์ว่าเข้ากับผู้ซึ่งต้องการลงทุนหรือเปล่า จึงไม่ได้ชักชวน ยั่วยุ ปลุกปั่น เป็นเพียงการเสนอแนะจึงไม่จำเป็นต้องซื้อตาม หรือว่าผมเคยเขียนผิดกับคำว่า ทีไอซี เป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่อง ผมโกหกหรือที่ผมยังถือและไม่ขาย หรือว่าผมเขียนผิดหรือเรื่องบีเคไอ ที่ว่าวายุพักซื้อจากคลังแล้วได้ส่วนลด20% หุ้นที่ถืออยู่กำไรกี่%ก็ต้องบวกเข้าไป ถึงเวลาจ่ายปันผลเขาก็ต้องขาย แล้วผมคิดได้อย่างนั้น ผมก็ขายตั้งแต่วายุพักเข้าตลาด ผมผิดหรือที่เคยเขียนให้คนซื้อดับบลิวจีผมก็ซื้อ เพราะเห็นเงินสดต่อหุ้นค่อนข้างมาก จนได้จ่ายเงินและญาติไม่โอนหุ้นให้แต่คืนเช็คมา เพราะญาติๆก็เข้ามาอ่านพอรู้ว่าดี การไม่ขายหุ้นแบบ เสี่ยสองซื้อแล้วไม่ขายผิดหรือครับ ผิดหรือที่ผมเคยสงสัยหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ ซ่อนงบ แล้วมันก็ต้องคลายงบ ออกมาเรื่อยๆ โกหกใครก็โกหกได้ แต่เชื่อเถอะทั้งผมและ กอลอตอ โกหกตัวเองไม่ได้หรอก รู้อยู่แก่ใจ ตลาดหลักทรัพย์ตั้งกฏเกณฑ์ออกมากมาย และยกเลิกก็มากมายเช่นกัน ทุกอย่างถึงเวลาก็ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง ถึงวันหนึ่ง กฏที่คิดว่าถูกต้องในวันนี้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามการเวลา เอ้าคุณเจ๋งนับเงินต่อ ได้แร้วๆๆๆๆๆๆๆ เมื่อ: 2005-01-31T14:22:48+00:00 Jeng: เอ้างั้นเหรอเฮีย เอ้า นับก็นับ เฮียสั่งมา 20500 แล้วครับผม เมื่อ: 2005-01-31T14:29:09+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
Backlog คืออะไรครับ aonzzung: ตามที่ google มา เข้าใจว่าเป็นงานที่ลูกค้าสั่งทำ + เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงบริษัทผลิตให้เสร็จแล้วส่งมอบเท่านั้นใช่มั้ยครับ แล้ว backlog ต้องลงในงบกำไรขาดทุนหรือเปล่า หรือจะเป็นกำไรขาดทุนก็ต่อเมื่อส่งมอบแล้วเท่านั้น เมื่อ: 2009-10-08T11:00:56+00:00 densin: แล้วแต่นโยบายบัญชีที่บริษัทเลือกใช้ครับ โดยทั่วไปก็รับรู้รายได้ตามเปอร์เซนต์งานที่เสร็จ และความน่าจะเป็นที่จะงานจะจบและได้ตังค์ เมื่อ: 2009-10-08T14:49:18+00:00 ส.สลึง: เพิ่มเติมให้ครับ คือเขาจะมีชี้แจงนโยบายบัญชี เช่น การรับรู้รายได้ ฯลฯ ที่หมายเหตุในงบการเงินครับ ซึ่งที่ผ่านมา ผมจำได้เลาๆ ว่า เคยมีบาง บมจ. ทำบัญชีรับรู้รายได้ตั้งแต่ทำสัญญาเลยก็มีครับ ไงก็ดูดีๆ ละกันนะครับ เมื่อ: 2009-10-08T15:41:26+00:00 aonzzung: ออเป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบคุณพี่ทั้ง 2 คนมากครับ เมื่อ: 2009-10-09T02:01:59+00:00 กาละมัง: backlog เป็น term ที่ใช้ในการบอกจำนวนงานที่มีอยู่ในมือที่จะรับรู้เป็นรายได้ในอนาคต  มักใช้กับงานที่ต้องการเวลานานในการผลิตนานเพื่อส่งมอบสินค้า ยกตัวอย่างเช่น  ใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  รับเหมาต่าง ๆ  ไม่มีข้อบังคับว่าบริษัทต่อแจ้งประกาศให้นักลงทุนทราบ backlog ไม่ถือเป็นรายได้  จะรับรู้เมื่อมีการลงนามสัญญาจ้างหรือซื้อ-ขาย ส่วนการรับรู้รายได้ก็ยึดตามหลักการบัญชี  คือ เมื่อมีการส่งมอบสินค้าและบริการ ซึ่งอาจรับรู้เป็นงวดที่ส่งมอบและเรียกเก็บตามสัญญา หรือ รับรู้เมื่อส่งมอบครั้งสุดท้ายทีเดียวก็ได้  แต่รับรู้ทันทีที่ลงนามสํญญาเท่าที่ทราบไม่มีปรากฎ เมื่อ: 2009-10-17T09:56:01+00:00 ส.สลึง: ความหมายจริงๆ ของ Backlog คืออะไร ผมไม่ทราบหรอกครับ ผมแค่เคยได้ยินกิจการพวกธุรกิจรับเหมาพูดถึงคำนี้บ่อยๆ ... เพียงแต่ผมเคยอ่านหนังสือจำได้เลาๆ ครับ ว่า... เคยมี บมจ. นึง ทำงบรับรู้รายได้ล่วงหน้าตั้งแต่ในขั้นตอนที่มีการทำสัญญาจองของลูกค้า... ทั้งนี้ก็เพื่อให้งบปีนั้นดูดีขึ้นมา EPS สูงขึ้นแค่นั้นเอง แต่เข้าใจว่า กลต. คงดูแลไม่ให้เกิดกรณีคล้ายๆ แบบนี้อีก และมาตรฐานบัญชีก็น่าจะกำหนดอะไรไว้ชัดเจนกว่าแต่ก่อน ซึ่งถ้าผมเข้าใจอะไรผิดก็ขออภัยด้วยครับ เมื่อ: 2009-10-17T16:50:39+00:00 miracle: backlog คือ งานที่ยังไม่ส่งมอบให้แก่ลูกค้า ว่ามีมูลค่าเท่าไร ผมขออธิบายเพิ่มเติม ในการเซ็นสัญญา (สมมุติว่าเป็นการส่งมอบสะพานข้ามสี่แยกแห่งหนึ่ง) ในสัญญาดังกล่าว ระบุไว้ว่า การส่งมอบงานนั้น ช่วงแรกส่งมอบงานภายในเดือนไหน และผู้ว่าจ้างจ่ายเงินเท่าไร หลังจากงานช่วงแรกเสร็จ ผมยกตัวอย่างเช่น วันทำสัญญาจ่ายให้ 10% ของเงินทั้งหมด  ช่วงแรกเสร็จจ่ายให้ 30% ของเงินทั้งหมด  ช่วงที่สองจ่ายให้ 30% ของทั้งหมด ช่วงที่สามจ่ายให้ 20% ของเงินทั้งหมด หลังจากรับประกันความเสียหาย 1 ปี จ่ายให้ 10% ของทั้งหมด ทั้งหมดภายใน 1 ปี Backlog หลังจากจบงานช่วงหนึ่งเป็น 60% ของเงินทั้งหมดในโครงการนี้ คงพอเห็นภาพล่ะ ผมชี้ให้เห็นของกลุ่มประกันภัยต่อล่ะกัน Backlog มันก็มีน่ากลุ่มประกันภัย มันคืออะไรหรือ รายได้ ที่ยังไม่ถือเป็น... อะไรเนี่ยล่ะ เป็นการที่ลูกค้าทำกรมธรรม์นานกว่า 1 ปี แต่ กฏหมายและกฏทางบัญชีให้ลงได้ภายในหนึ่งปีเท่านั้น นั้นคือ บริษัทประกันภัย รับเงินลูกค้ามาก่อนแล้ว เนี่ยคือ Backlog อีกเหมือนกัน เมื่อ: 2009-10-23T16:26:52+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
PICNI หุ้น Value ตัวจริง ทุ่งทานพระจันทร์: และแล้ว มันก็วิ่งกลับมาสู่ราคาพื้นฐาน(ของใครหว่า) สงสารรายย่อย ที่ติดดอยจังเลย เมื่อ: 2006-12-21T10:08:16+00:00 น้ำครึ่งแก้ว: ตกลง นี่ ยังมีการฟ้องร้องกันต่อในศาลสูงขึ้นไปอีกหรือเปล่าครับ ? เมื่อ: 2006-12-21T10:39:06+00:00 jiras: หึ หึ วันนี้แมงเม่าปีกไหม้ไปไม่น้อยละ ลากไปที่ 0.58 ปิดยุบ 3 ช่อง ที่ 0.46 การยกฟ้องอดีตผู้บริหารมีผลแค่ทางจิตวิทยา แต่ตัวบริษัทเองเน่าสุดๆ ทั้งหนี้เสีย ผิดนัดชำระหนี้ รอวัน SP เมื่อ: 2006-12-21T15:08:37+00:00 Rocker: เมื่อเช้าซื้อขําๆตอนข่าวออกเห็นสัญญาณเคาะขวากันเลยเข้าบ้าง บ่ายขายได้กําไรมา 2พันบาท มีเงินไป picnic เลย แถมดู เอรากอน 1 เรื่อง เมื่อ: 2006-12-21T15:36:16+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ประเมินสถานะการณ์ครับจะกลับไปลงลึกแบบเลห์แมนบราเทอร์รึไม่ [v]: ประเมินสถานะการณ์ครับจะกลับไปลงลึกแบบเลห์แมนบราเทอร์รึไม่ ล่าสุด ธนาคารกลางของสเปนไปอุ้มแบงค์ในประเทศแล้วครับ ดูข่าวช่องสามตอนเย็น จะได้จัดสรรพอร์ต ครับ เมื่อ: 2010-05-25T12:01:54+00:00 pornchai_w: คิดว่าจะขายเพื่อลดความเสี่ยงบ้าง แต่พอดูปัจจัยต่างๆ เช่น 1. ธุรกิจของบริษัทที่ถือ ไม่ได้ถูกกระทบจากสถานการณ์โดยตรง 2. PEของหุ้นที่ถืออยู่ที่ 4-11 เท่า 3. งบรายไตรมาสดีกว่าปีที่แล้ว 4. หุ้นที่ถือเกือบทุกตัว ต่างชาติไม่น่าจะถือ (ไม่มีโบรกเกอร์ไหน วิเคราะห์บริษัทเลย) มีเพียงราคาหุ้นเท่านั้นที่ลง ก็เลยไม่รู้ว่าจะขายไปทำไม แล้วจะขายที่ราคาเท่าไร เพราะราคานี้ก็เป็นราคาที่ตั้งใจจะซื้อมากกว่า หากหุ้นยังปันผลได้เท่ากับที่ได้รับปีนี้ จะได้ปันผล 7-12% เมื่อ: 2010-05-25T13:05:53+00:00 prichar s.: ผมไม่ใช่นักวิเคราะห์และไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ ขอมองแบบบ้าน ๆ ดังนี้ 1 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เพิ่งเกิดได้ราว 2 ปีกว่า ผมไม่คิดว่าจะมีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้ 2 วิกฤติเศรษฐกิจมักเกิดในเวลาที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ประเภทฟองสบู่แตก ผมว่าคงไม่ใช่ในเวลานี้ 3 วิกฤติเศรษฐกิจมักเกิดในเวลาที่ใคร ๆ ก็ไม่คาดคิด (ประเภทว่าใครตักเตือนอาจมีเจ็บตัว) แต่เวลานี้ทุกสายตาจากทุกมุมโลกจับจ้องยุโรป และถึงวิกฤติจะเกิดขึ้นจริง ผมว่าเอเซียน่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาว ผมเชื่อว่าใน 5-10 ปีต่อจากนี้เป็นยุคทองขอเอเซีย ถนนทุกสายมุ่งสู่เอเซีย เศรษฐกิจประเทศไทยไม่อยากโตก็ต้องถูกบังคับให้โต แม้ว่าไทยจะมีปัญหาการเมืองที่คาดว่าจะอยู่กับเราไปอีกนานก็ตาม .............................................................................. ผมพอร์ตเล็กครับ วิธีที่จะให้ได้รับตอบแทนสูงสุดคืออยู่กับหุ้นตลอดเวลา เมื่อ: 2010-05-25T13:37:08+00:00 [v]: วันนั้นดูรายการ ทางเนชัน มีการทำกราฟหนี้สินต่อ GDP ในประเทศที่มีปัญหาในยูโร เมื่อเทียบกับระดับที่ยอมรับได้ จำได้ว่าหลุดไปเยอะ ประมาณสองสามประเทศ จำชื่อประเทศไม่ได้ ขอไม่ระบุดีกว่า  นอกนั้นก็แย่ๆแบบเกาะกลุ่ม ที่ต้องถามตอนนี้เพราะจะได้จัดสรรพอร์ตได้ทันการณ์ ส่วนตอน แฮมเบอร์เกอร์ เวลามันตกก็ตกทั้งกระดาน ส่วนตัว ผมไม่เห็นหุ้นตัวไหนมันทนได้เลย ไปรอสอยตอนต่ำๆ ทั้งนั้น แล้วปันผลประมาณ 10-20% ขึ้น โผล่รึ่ม เลย มีแต่สองอย่างลงต่อจัดพอร์ตทันรวย กับไม่ลงลึกจัดพอร์ตไม่ทันแห้ว !! เมื่อ: 2010-05-25T13:47:48+00:00 kabu: ประเทศที่ห่วยมากๆก็มี กรีซ อิตาลี สเปน ปอตุเกสครับ ล่าสุดรัฐบาลสเปนเข้าไปอุ้มธนาคารออมทรัพย์ของตนเองเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ เนื่องจากพลาดจากการควบรวม ซึ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศในยุโรปลดลงอีก และเงินสกุลยูโรกลับมาอ่อนอีกครั้งหลังจากดีดกลับในวันศุกร์ที่ผ่านมาครับ สถานการณ์ไม่ค่อยดี ผมมองว่าคงไม่เท่ากับตอนเลห์แมน แต่อาจจะลงต่อเนื่องไปซักระยะ ส่วนตัวยังอยู่กับหุ้นเป็นหลักแต่มีเงินสดประมาณ 35% ครับ ยังรอดูอยู่ห่างๆ (แบบห่วงๆ  :roll: ) มีหุ้นในใจอยู่เหมือนกันรอให้ลงมาที่เป้าหมายอยู่ครับ เมื่อ: 2010-05-25T13:58:53+00:00 [v]: เห็นว่า กรีซได้รับเงินไปอุดแล้ว ถ้าเอากรณีดูไบมาเทียบ จำได้ว่าตอนนั้นมีรัฐแม่ มาอุ้มไปพร้อมเคลียร์รอบหนี้ให้ แล้วสุดท้ายเงียบ ของกรีซเถียงกันไปมา สุดท้ายก็ได้เงิน แต่สเปนกับที่เหลือเหมือน น้ำลดตอเริ่มผุด ยังไงชอบกล แล้วใครจะช่วย ? เงินระดับ ล้านล้าน เหรียญดอลลาร์ ออกข่าวยังกับซื้อขนมเลยครับ. แค่จีนลดมาตรการความร้อนแรงก็ ยวบไปทีนึงตอนต้นปี ส่วนตัวก็มีหุ้นเล็งๆไว้ แต่ก็ดูๆอยู่ห่างๆ ผมจะไม่ใช่คนแรกที่ซื้อหุ้นอยู่แล้ว  :lol: เมื่อ: 2010-05-25T14:04:34+00:00 nun08: :lol:  :lol:    มาครบยัง วิกฤตเอย  การเมืองเอย ภัยธรรมชาติเอย แถมเกาหลีก็ ฮึมๆๆๆกัน หุหุๆๆๆ เมื่อ: 2010-05-25T16:07:56+00:00 miracle: รอบต้มยำกุ้ง เกิดจากที่อินโดนีเซีย -> ไทย->มาเลเซีย->เกาหลีใต->รัสเซีย -> ฟองสบู่อินเตอร์เน็ตแตก ใช่เวลากี่ปี 1997-2000 โดยประมาณ ในวิกฤติก็สามารถเกิดวิกฤติได้อีก หลายประเทศไม่แข็งแกร่งจริงๆ เมื่อ: 2010-05-25T16:13:10+00:00 super2007: สเปน น่าจะรอด / เศรษฐกิจสเปนขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมรถยนต์ ผมเชื่อว่าธุรกิจยานยนต์ตอนนี้เริ่มฟื้นแล้ว และแน่นอนสเปนน่าจะรอดครับ รอดูไม่เกิน 6 เดือนเหตุการณ์ในยุโรปจะดีขึ้น ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน เมื่อ: 2010-05-26T07:25:45+00:00 green-orange: ผมว่านะ ตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้ดี ทุกอย่างเกิดขี้นได้เสมอ ฉนั้นต้องเล็งๆไว้ก่อน เหมือนกับเวลาข้าศึกจะโจมเรา แต่ถ้าเราไม่เตรียมตัวตั้งรับ พอข้าศึกมาแล้วเราจะสู้ไหวเหรอครับ เมื่อ: 2010-05-26T07:38:46+00:00 merman: ผมว่าที่น่ากลัวอีก ประเทศก็คืน จีน ในระยะอีกไม่กี่ปีที่จะถึงเนี้ยหล่ะครับ ถ้ารัฐไม่ควบคุม ฟองสบู่ให้ดีๆ เมื่อ: 2010-05-26T07:40:56+00:00 jorb believe: เค้าว่ากันว่า...กลุ่มที่เกิดวิกฤตครั้งนี้ก็คือกลุ่มPIIGS ซึ่งก็คือ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน โดยกลุ่มประเทศPIIGSนี้ มีการกู้ประเทศอื่นๆอีกด้วย ได้แก่ เยอรมัน(ประเทศแรกๆที่เต็มใจช่วยกรีซเต็มที่) อังกฤษและฝรั่งเศส ถ้ากรีซล้ม ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ ประเทศอื่นๆก็........................... เมื่อ: 2010-05-26T08:18:15+00:00 1000: ขนาดเศรษฐกิจของสเปนและประเทศอื่น ๆ น่าจะใหญ่กว่ากรีซ แต่ไม่รู้ว่าระดับความรุนแรงของปัญหาจะเท่าที่กรีซเจอไหม ได้ยินว่าตอนนี้สเปนมีอัตราการว่างงานเกือบ ๆ 20% ทีเดียวครับ เมื่อ: 2010-05-26T10:58:10+00:00 Green_tree: เคยอ่านเจอแว้บๆว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤติหุ้นจะตกแบบไม่ตั้งตัว แล้วซักพักจะค่อยๆฟื้นขึ้นพร้อมกับการ correction เป็นระยะๆ เนื่องจากความกลัว แต่ในที่สุดแล้วจะค่อยๆขึ้นไปท่ามกลางข่าวร้ายค่ะ ไม่รู้จริงรึเปล่าเพราะไม่เคยมีประสบการณ์จริงค่ะ  :lol: เมื่อ: 2010-05-26T14:35:58+00:00 Phoenix25: http://portal.settrade.com/blog/kobsak/2010/05/25/859 Tuesday, 25 May 2010 บทเรียนจาก GREECE &laquo; แผนการแก้วิกฤตของ GREECE | Main บทเรียนจาก GREECE ในช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา สถานการณ์เศรษฐกิจของกรีซ ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลุกลามจนกลายเป็นวิกฤต หลายคนสนใจว่า บทเรียนจากกรีซคืออะไร วันนี้อยากมาเล่าให้ฟังถึงที่มาของปัญหา และสาเหตุที่ทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นถึงขนาดนี้ ปัญหาเกิดจากอะไร  ถ้าตอบสั้นๆ ก็ต้องบอกว่า มาจาก การใช้จ่ายเกินตัว ใช้ชีวิตสุขสบายเกินไป เกินกำลัง เกินอัตภาพ คนที่ใช้จ่ายเกินตัวในกรณีนี้ ก็คือ ภาครัฐ ที่แต่ละปีจ่ายออกไปมากกว่าภาษีที่ได้มา ลงไปในโครงการประชานิยม รวมถึงให้สวัสดิการต่างๆ เอาใจประชาชน เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนขาดดุลการคลังต่อเนื่องกันหลายต่อหลายปี ถ้าจะว่าไป รัฐบาลกรีซไม่น่าสามารถจะกู้เงินมาใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุหร่ายได้มากขนาดนี้ ปัญหาไม่ควรมาไกลถึงเพียงนี้ เมื่อหนี้ภาครัฐกรีซเริ่มเพิ่มขึ้น สูงแซงประเทศอื่นๆ  นักลงทุนก็น่าจะเริ่มกังวลใจได้แล้ว และเฉลียวใจว่าถ้ากรีซยังกู้ยืมแบบนี้ ท่าทางจะไปไม่รอด ซึ่งนำไปสู่คิดดอกเบี้ยให้แพงขึ้นเรื่อยๆ หรือลดการให้กู้ยืมแต่เนิ่นๆ ท้ายสุดกรีซก็จะกู้ยืมได้ไม่มากนัก ต้องลดการใช้จ่ายลง หนี้ภาครัฐก็คงจะไม่สามารถสูงไปถึง 115% ของรายได้ประเทศ เช่นที่เกิดขึ้น แต่กลไกดังกล่าวกลับไม่ทำงาน ส่วนหนึ่งมาจาก  1) การที่กรีซเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโร อาศัยเครดิตของเยอรมันมาทำให้กรีซดูดีมากในสายตาของนักลงทุน และในสายตาของสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก ซึ่งเป็นสิ่งมาบังตาของทุกคน ยอมปล่อยเงินให้กรีซยืมต่อไปด้วยดอกเบี้ยที่ไม่แพงนัก ไม่น่าแปลกใจว่ากรีซจึงสามารถใช้เงินแบบสนุกมือ ยิ่งไปกว่านั้น  2) รัฐบาลกรีซเอง ยังมีการตกแต่งตัวเลขการใช้จ่าย โดยไปซุกซ่อนทำธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนกับบริษัท Goldman Sachs ตั้งแต่ปี 2001 เพื่อลดตัวเลขการขาดดุลการคลัง และหนี้ภาครัฐลง ผลักภาระออกในอนาคต ทั้งหมดนี้ทำให้ฐานะการคลังของกรีซเปราะบางมาก เป็นประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูงสุดในกลุ่มยูโร ครั้นเกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กรีซต้องใช้จ่ายเงินอีกเป็นจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ด้านการคลังก็ทรุดลง ครั้นเมื่อความเป็นจริงเรื่องตัวเลขการขาดดุลการคลัง ที่ซุกซ่อนเอาไว้เปิดเผยออกมาซ้ำเติม ทั้งหมดจึงกลายเป็นชนวนนำมาซึ่งวิกฤตความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลกรีซ และปัญหาในปัจจุบัน ที่น่าสนใจก็คือ ช่วงแรกที่กรีซเริ่มแสดงอาการของปัญหา กรีซยังพอมีเวลาที่จะปรับปรุงตนเอง โดยลดการใช้จ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อลดการขาดดุลที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลง แสดงถึงวินัยการคลังของตนเอง ซึ่งจะให้เจ้าหนี้และนักลงทุนเชื่อใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ อีกทั้งกรีซก็มีตัวช่วย คือ ประเทศในกลุ่มยูโรที่จะยืนมือเข้ามาหากปัญหาลุกลาม แต่สิ่งที่น่าเสียใจก็คือ กรีซเลือกที่จะไม่ยอมรับว่าตนเองมีปัญหา ไม่ยอมแก้ไขแต่เนิ่นๆ มีปัญหาประท้วงอย่างรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องในประเทศ โดยสหภาพแรงงานกรีซไม่ยอมที่จะให้รัฐบาลลดการใช้จ่ายลง อีกทั้งประเทศในกลุ่มยูโรก็มีปัญหาทางการเมืองภายใน เตะถ่วงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือกรีซให้รวดเร็วและเพียงพอแต่เนิ่นๆ ตรงนี้ จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้วิกฤตความเชื่อมั่นลุกลาม และทำให้กรีซกลายเป็นเหยื่อของนักเก็งกำไร โดยเฉพาะการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตรและตลาด CDS ของกรีซ และเมื่อสถาบันจัดอันดับเครดิต S&P ออกมาประกาศซ้ำเติม โดยลดอันดับของกรีซลง 3 ขั้นในครั้งเดียว พันธบัตรกรีซกลายเป็น Junk Bond ไม่เหมาะต่อการลงทุน สถานการณ์ก็ทรุดตัวลง พอลองกลับมานั่งคิดดู เราเรียนรู้อะไรจากกรีซ 1) ต้องกันไว้ก่อน อย่าทำตัวเปราะบาง รักษาวินัยตลอดเวลา เพราะถ้าเรามีวินัย ฐานะเราไม่เปราะบาง เราก็จะไม่เป็นเหยื่อได้ง่าย  2) ทำอะไรตรงไปตรงมา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่สร้างมาได้ยาก และตอนที่หายไป หายไปง่าย และ  3) เมื่อเกิดปัญหา ก็ให้แก้แต่เนิ่นๆ อย่ารอช้า เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยมามาก การจะแก้ก็ทำได้ยาก เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ก็เป็นเหยื่อของนักเก็งกำไรไปแล้ว อยู่ใต้กงเล็บของเขาแล้ว การจะออกหลุดออกจากตรงนั้น เป็นไปได้ยาก ก็หวังว่าไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะใช้กรีซเป็นอุทาหรณ์และเร่งที่จะสร้างวินัยทางเศรษฐกิจของตนให้เกิดขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ขอเอาใจช่วยครับ เมื่อ: 2010-05-26T15:39:05+00:00 miracle: สัญญาณที่เห็นสำหรับสเปนคืออัตราการว่างงาน แบบรถยนต์ที่ใส่เครื่องยนต์จรวดเจ็ตล่ะ เมื่อ: 2010-05-26T16:09:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถึงคุณครรชิต pawich: ผมขอด้วยคนครับ [email protected] รู้สึกว่าจะ Update ได้เพิ่มขึ้นอีกมากโข เลยน่ะครับ 8 ปีแล้ว อีกไม่นานคงได้ถึง 10 ปี ผมขอเอาใจช่วยครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2004-03-20T05:09:07+00:00 ครรชิต ไพศาล: ส่งให้แล้วครับ คราวหลัง เขียนแจ้งความต้องการไว้ใน กระทู้ หุ้นเรียง P/E นะครับ ผมเข้าไปดูและ ส่งให้เพื่อนๆ ทุกวัน ครับ เมื่อ: 2004-03-20T05:26:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investment)ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ naris: VIทุกท่านมีความเห็นอย่างไรครับ Global Money: กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investment) ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ Subprime Date: เมื่อ: 2008-09-04T06:59:09+00:00 Stock Broker: จากบทความข้างต้น ผมว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับคำถามว่าหลักการแบบ VI ใช้ได้หรือไม่ได้เลยนะ แค่มองแนวโน้มธุรกิจผิดพลาด กำไรกิจการไม่ตามเป้า แล้วหุ้นก็ตก ก็ถูกต้องสมควรแก่เหตุผลอยู่แล้วนี่ครับ เมื่อ: 2008-09-04T07:21:37+00:00 naris: Financial Engineer เขียน:จากบทความข้างต้น ผมว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับคำถามว่าหลักการแบบ VI ใช้ได้หรือไม่ได้เลยนะ แค่มองแนวโน้มธุรกิจผิดพลาด กำไรกิจการไม่ตามเป้า แล้วหุ้นก็ตก ก็ถูกต้องสมควรแก่เหตุผลอยู่แล้วนี่ครับ ผมก็คิดเหมือนพี่FEว่าเขาประเมินธุรกิจพลาด ไม่น่าจะเกี่ยวกับหลักการการลงทุนแนวVI แต่เขาพาดหัวข้อ: กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investment) ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ Subprime หลักการการคัดสรรหุ้นแนวVI ผมก็เลยเอามาให้ดูเพราะ 1.ผมคิดว่าคนยังไม่รู้จักหลักการการคัดสรรหุ้นแนวนี้อีกพอสมควร :lol: 2.ผมอยากให้เห็นจุดอ่อนของการประเมินมูลค่าธุรกิจว่า เราต้องมองทั้งปัจจัยภายนอก(ภาพใหญ่และเทรนของธุรกิจ)และปัจจัยภายใน(โมเดล นโยบาย และการบริหารธุรกิจ)ว่าเรามองขาดหรือเปล่าครับ ถ้าเราพลาดไม่ใช่หมายความว่ารูปแบบการคัดสรรหุ้นแนวVIผิดพลาดไปด้วย เมื่อ: 2008-09-04T07:34:29+00:00 Linzhi: naris เขียน:VIทุกท่านมีความเห็นอย่างไรครับ เบื้องหลังการตัดสินใจลงทุนของ Value Investors นั้นมักจะมาจากตัวผู้จัดการกองทุนเอง ที่จะเลือกหุ้นราคาต่ำ ในระดับที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม และดูแค่พื้นฐานของหุ้นอย่างเดียว โดยไม่ได้นำปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือภาพรวมเศรษฐกิจใด ๆ มาช่วยวิเคราะห์ ประโยคนี้ พี่ ๆ เห็นว่าไงครับ เมื่อ: 2008-09-04T07:35:14+00:00 i_sarut: ตัวอย่างในกรณีของ Ariel Investment บริษัทมุ่งมั่นกับการเข้าไปลงทุนในซิตี้คอร์ป เมื่อเดือนธันวาคม 2550 ผมว่าเค้าลงทุนมายังไม่ถึง 1 ปีเลยนะครับนั่น เบื้องหลังการตัดสินใจลงทุนของ Value Investors นั้นมักจะมาจากตัวผู้จัดการกองทุนเอง ที่จะเลือกหุ้นราคาต่ำ ในระดับที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม และดูแค่พื้นฐานของหุ้นอย่างเดียว VI ไม่ได้มองแค่พื้นฐานนี่ครับ  :roll:   อยากให้ท่าน ดร.นิเวศน์ / ท่านอื่นๆ ช่วยวิเคราะห์ วิจารณ์ บทความนี้จัง  :lol: เมื่อ: 2008-09-04T08:02:49+00:00 investment biker: มีความเห็นว่า 1 Value Investment Style บางช่วง บางเวลา อาจจะสู้ style อื่น ไม่ได้ เช่น ตอนปี 1999 ช่วงที่ Nasdaq กำลัง peak มีนิตยสารการเงินบางเล่มพาดหัวข่าวว่า " Warren Buffer just doesn't get it"  ประมาณว่า Warren ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับ Internet และ Technology แต่ในระยะยาววิธีนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นวิธีที่ให้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ 2 คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่า Value Investment แท้จริงคืออะไร ช่วงก่อนวิกฤติ subprime fund manager stly VI บางท่านบอกว่าหุ้น Citi เป็นหุ้น Franchise ที่ดีขายที่ PE ไม่ถึง 10 เท่า แต่แท้จริงแล้ว เขาไม่เข้าใจ Citi ว่า Assets ต่าง ๆ ใน Balance Sheet ของ Citi มีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร หุ้นการเงินวิเคราะห์ยากครับ ถ้าไม่รู้จริงอย่ายุ่งดีกว่า เมื่อ: 2008-09-04T08:05:48+00:00 Eyore: naris เขียน:ยกตัวอย่างเช่น ผู้จัดการกองทุนจาก Leg Mason หรือ Ariel Investment และ Oakmark ก็ออกมายอมรับกันแล้วว่า วิกฤติสินเชื่อ Subprime ในสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาตาสว่าง และรับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ตนเองถือมาตั้งนาน เป็นเพราะวิเคราะห์ผิดไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่ว่ากลยุทธ์ผิดซักหน่อย เมื่อ: 2008-09-04T08:38:15+00:00 tech: ไม่ว่าจะวิธี VI หรือวิธีอื่น สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืม คือ กฎ 80 : 20 80 คนที่ขาดทุน อีก 20 คน ไม่กำไรก็เท่าทุน เมื่อ: 2008-09-04T08:47:35+00:00 ...: tech เขียน:ไม่ว่าจะวิธี VI หรือวิธีอื่น สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืม คือ กฎ 80 : 20 80 คนที่ขาดทุน อีก 20 คน ไม่กำไรก็เท่าทุน ถูกครับ เมื่อ: 2008-09-04T12:19:53+00:00 ก้อนหิน: ก็แค่ไม่เข้าใจบริษัทนั้นดีพอมากกว่ามั้งครับ อะไรที่ไม่รู้ มันก็เสี่ยงทั้งนั้นแหละครับ ต้องเอาคำเฮีย คลายเครียดไปใช้แล้วนะเนี่ย ต้องทำให้ ความโลภ ให้ สมดุลย์ กับความรู้ เมื่อ: 2008-09-04T12:20:59+00:00 KB: บทความนี้ข้อมูลไม่รอบด้าน แล้วก็มาสรุปเอามั่วๆ คนออกบทความไม่มีความรับผิดชอบต่อผู้อ่านเลย ชุ้ยมาก เมื่อ: 2008-09-04T12:44:32+00:00 GeneraX: ช่วง Internet Bubble ก็มีบทความเยอะเย้ย VI รวมถึงปรมาจาร์ยอย่าง Warren Buffett ออกมามากมายยิ่งกว่านี้อีกครับ สุดท้ายเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ คราวนี้ก็อีกหนึ่งตัวอย่าง ปล่อยให้เวลาเป็นตัวคอยตกกะโหลกแนวคิดที่ผิดพลาดจะดีกว่าครับ เมื่อ: 2008-09-04T14:17:05+00:00 mustang: ผมว่าไม่ค่อยเกียวกันนะ แต่ผมว่า VI บ้านเรา เริ่มแพ้การเมืองนะ ขำ ๆ นะคับ อย่าเครียด เมื่อ: 2008-09-04T15:26:12+00:00 anakinnet: เค้าแบบนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจเฉยๆแหละครับ ถ้าเขียนธรรมดา.. "วิกฤต sub prime ทำให้กองทุนหลายกองประสบภาวะขาดทุน" ผมว่า ข่าวนี้คงไม่มาถึงเราอ่ะ เมื่อ: 2008-09-04T15:53:01+00:00 Amadeus: naris เขียน: นอกจากนั้น หุ้นที่มีสินทรัพย์ผูกติดอยู่นั้น ก็มีความซับซ้อนยุ่งยากพอสมควร และการที่ไม่มีตลาดรองรับหลักทรัพย์ประเภทนี้ ยังทำให้การประเมินความแข็งแกร่งของบริษัทนั้น ๆ เป็นเรื่องยากเกินกว่าที่หลายคนจะคาดถึงด้วย ...แล้วเราจะประเมินสินทรัพย์ยังไงดีหล่ะครับ หรือให้มองแค่เงินสด อย่างเดียวดี เมื่อ: 2008-09-05T11:16:00+00:00 naris: Amadeus เขียน: ...แล้วเราจะประเมินสินทรัพย์ยังไงดีหล่ะครับ หรือให้มองแค่เงินสด อย่างเดียวดี VIบางคนที่ชอบประเมินงบเป็นหลัก จึงกลัวกลุ่มแบงค์และไฟแนนซ์ไงครับ อย่างผมความสามารถไม่ถึง ผมก็เลยไม่ยุ่งในกลุ่มนี้ครับ ภาษาลาวเขาเรียกว่า หย้าน.ครับ :lol: เมื่อ: 2008-09-05T12:26:56+00:00 ศิษย์เซียน007: ผมไม่เคยคิดว่าหุ้นธนาคารเป็นการลงทุนแนวV.Iเลยครับน่าจะเป็นหุ้นวัฏจักรมากกว่าครับเพราะดูแล้วไม่น่าเป็นหุ้นที่ไม่สามารถทำหนังสือนิทานขายได้เพราะผูกโยงกับวัฏจักรศก.มากเหมือนเป็นฝาแฝด เมื่อ: 2008-09-05T13:59:18+00:00 Stock Broker: เมื่อสักครู่ เห็นในช่องมันนี่ฯ เอาข่าวนี้มาออกอากาศพอดี ผมคิดว่า ที่กองทุนเหล่านั้นใช้มันเป็นกลยุทธ์ ก้นบุหรี่ นะ เพียงแต่ เค้าสูบผิดด้านเอง  :( เมื่อ: 2008-09-05T15:56:23+00:00 Stock Broker: ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด กองทุนเหล่านี้เลือกหุ้นกิจการที่ "เคย" ดีในอดีต และราคาหุ้นตกต่ำลงจากช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมา แล้วก็เข้าซื้อโดยเชื่อว่าซักวันราคาหุ้นมันจะกลับขึ้นไปใหม่ได้ ผมว่า หลายคนก็ใช้วิธีนี้อย่างผิดๆ และคิดว่าเป็นแนวทาง VI นะ (แม้แต่เพื่อนๆ ในเว็บนี้ก็ตาม) หุ้นที่คุ้มค่าที่จะลงทุน ต้องมองอนาคตกิจการให้ออก นะครับ ไม่ใช่มองแค่อดีตอันหอมหวาน เพราะไม่แน่เหมือนกันว่าความหอมหวานที่เคยเล่าลือกันนั้น ถูกดูดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว (จากคนที่มาเล่าลือให้ฟังนั่นแหละ) เมื่อ: 2008-09-05T16:01:32+00:00 thawattt: Financial Engineer ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด กองทุนเหล่านี้เลือกหุ้นกิจการที่ "เคย" ดีในอดีต และราคาหุ้นตกต่ำลงจากช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมา แล้วก็เข้าซื้อโดยเชื่อว่าซักวันราคาหุ้นมันจะกลับขึ้นไปใหม่ได้ ผมว่า หลายคนก็ใช้วิธีนี้อย่างผิดๆ และคิดว่าเป็นแนวทาง VI นะ เห็นด้วยกับคูณ Financial Engineer และขอเติมความเห็นเพิ่มครับ ภาวะวิกฤต หรือภาวะปกติก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนแบบการลงทุนแนว VI จะต้องยึดหลักพื้นฐานที่ว่า จะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้น ต่ำกว่า มูลคาที่แท้จริง และต่ำกว่ามาก ๆ คือ มี ส่วนต่างความปลอดภัย ที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนในระยะยาว และจะขายเมื่อราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ๆ  จนไม่เหลือส่วนต่างความปลอดภัยเลย ดังนั้น หุ้นที่เคยดีในอดีต อาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีในอนาคตก็ได้ เพราะพื้นฐานเปลี่ยนไป เราก็ต้องประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงใหม่ทุกครั้ง จะไปเอาพื้นฐานในอดีตมาวิเคราะห์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่กระทบพื้นฐานหุ้นโดยเฉพาะหากเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบกับพื้นฐานหุ้นในระยะยาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปัจจัยพื้นฐานในอนาคตเปลี่ยน มูลค่าที่แท้จริงก็เปลี่ยนด้วย จึงต้องมองที่มูลค่าหุ้นที่แท้จริง จะเป็นหุ้นก้นบุหรี จะเป็นหุ้นพลิกฟื้น จะเป็นหุ้นเติบโต จะเป็นหุ้นวัฏจักร จะเป็นหุ้นมั่นคงที่จ่ายปันผลต่อเนื่อง เป็นต้น ก็ต้องประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงทุกครั้ง เพราะซื้อด้วยเหตุผลอะไร เราก็ต้องขายไปเมื่อเหตุผลนั้นเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม หุ้นที่เคยดีในอดีตและกลับมาไม่ดีในปัจจุบันนั้น มีข้อสังเกตก็คือ สามารถ ประยุกต์ได้ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรเป็นอย่างดี เพียงแต่หุ้นวัฏจักรในช่วงตกต่ำ บริษัทนั้นจะประคองให้ฐานะการเงิน และประคองผลการดำเนินงานให้นานเพียงพอที่จะรับกับวัฏจักรขาขึ้นในรอบต่อไปได้หรือไม่ นั้นคือความเสี่ยงที่สำคัญ แต่หากนำแนวคิดหุ้นเคยดีในอดีต และคาดว่าจะดีในอนาคต มาปรับใช้กับหุ้นทั่ว ๆ ไป อาจเป็นวิกฤตตามบทความได้ เพราะไม่เข้าใจมูลค่าหุ้นที่จะต้องสะท้อนตามผลประกอบการในอนาคตครับ เมื่อ: 2008-09-06T04:02:28+00:00 Rocker: เรามองFutureออกแล้ว คนส่วนมากในตลาดต้องมองแบบเราด้วยถูกใหมครับ  ราคาหุ้นจึงจะปรับตัวขึ้น  หากมองเราธุรกิจโตและพอประกาศงบออกมาข้อมูลsupportความคิดเรา ๆถูก แต่หากตลาดไม่คิดเช่นนั้นเพราะ ความไม่มั่นใจใน การเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งความเสี่ยงแบบนี้เป็น undiversify risk  ราคาก็ไม่ไปใหน  แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเมื่อใหร่หุ้นจะขึ้นไปหามูลค่ามัน เมื่อ: 2008-09-06T06:04:56+00:00 naris: [quote="Rocker"]เรามองFutureออกแล้ว คนส่วนมากในตลาดต้องมองแบบเราด้วยถูกใหมครับ เมื่อ: 2008-09-06T08:11:10+00:00 thawattt: Rocker เรามองFutureออกแล้ว คนส่วนมากในตลาดต้องมองแบบเราด้วยถูกใหมครับ  ราคาหุ้นจึงจะปรับตัวขึ้น  หากมองเราธุรกิจโตและพอประกาศงบออกมาข้อมูลsupportความคิดเรา ๆถูก แต่หากตลาดไม่คิดเช่นนั้นเพราะ ความไม่มั่นใจใน การเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งความเสี่ยงแบบนี้เป็น undiversify risk  ราคาก็ไม่ไปใหน  แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเมื่อใหร่หุ้นจะขึ้นไปหามูลค่ามัน เป็นประเด็นที่ดีครับ อเสริมกับคุณนริศหน่อยนะครับ ผมคิดว่าไม่มีใครรู้หรอกครับว่า หุ้นจะขึ้นไปหามูลค่ามันเมื่อใด เพราะหากเรารู้แน่ชัด หรือมีเครื่องมือที่สามารถบอกเราได้แน่ชัด ถูกต้อง ร้อยเปอร์เซ้นต์ หรือหากมีสูตรหรือเครื่องมือดังกล่าว คงรวยกันทุก ๆ คนไปแล้วครับ แต่เนื่องจากเราซื้อหุ้นนั้น เพราะราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริงมาก มีส่วนต่างความปลอดภัยที่สูงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาซื้อหรือมาซื้อไล่ราคาหุ้นนั้นก็ได้ เราก็ถือหุ้นตัวนั้นไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มูลค่าที่แท้จริงยังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าราคาตลาด และหากหุ้นนั้นมีความปลอดภัยหรือมีภูมิคุ้มกันเพิ่มกล่าวคือสามารถจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องด้วย ปันผลในอนาคตดังกล่าวก็จะมีโอกาสค่อย ๆ เพิ่มขึ้นให้กับผู้ลงทุนไปเรื่อย ๆ และสร้างผลแทนในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้น และหากหุ้นดังกล่าวยังสร้างการเจริญเติบโตจากการดำเนินงานในระยะยาว ก็ยิ่งทำให้มูลค่าหุ้นที่แท้จริงขยับตัวเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นไปอีก แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลใจว่านายตลาดจะตีราคาหุ้นของเรา หรือวิ่งไปหามูลค่าหุ้นเมื่อใดก็ได้ครับ เพราะทุก ๆ ปี เราก็ยังได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่ากับการถือครองหุ้นดังกล่าว เหมือนกับเราได้ลงทุนในธุรกิจแบบหุ้นส่วน ซึ่งเราก็คงไม่หวังที่จะถอนทุนคืนในระยะสั้น แต่ต้องการให้ธุรกิจของเราได้เติบโตออกดอกออกผลสักระยะหนึ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุนของเราครับ :lol: เมื่อ: 2008-09-06T08:32:44+00:00 thawattt: คุณนริศ ลองดูWG เป็นตัวอย่างสิครับ ขอยกตัวอย่างตามที่คุณนริศพูดถึงครับ เตัวอย่างกำไรต่อหุ้นของWG งบปี 47  กำไรต่อหุ้น 3.89   งบปี 48  กำไรต่อหุ้น  4.90 งบปี 49   กำไรต่อหุ้น 5.64 งบปี 50  กำไรต่อหุ้น 7.35 ไตรมาส2/51 กำไรต่อหุ้น 4.42 สมมุติว่าเราซื้อหุ้นมาปี 47 ในราคา 30 บาท จะพบว่า พีอีของหุ้นที่เราถือจากปี 47 ถึง 50 จะเป็นดังนี้ 7.71 6.12 5.31 4.08 เท่า จากเดิม 7.71 เท่า เหลือเพียง 4.08 เท่า หรือมุมกลับกันก็คือ จากผลตอบแทนตอปีอยู่ที่ร้อยละ  12.96 เพิ่มเป็นร้อยละ 24.5 และสมมุติว่า ราคาหุ้นในตลาดยังอยู่ที่ 30 บาทเท่าเดิม แต่ผู้ลงทุนเริ่มแรกตั้งปี 47 จนถึงปัจจุบันจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้นดังนี้ 2 2.25 2.5 และ 3.65 บาท ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่ากับร้อยละ 6.66 7.5 8.33 12.16 จะเห็นได้ว่ายิ่งถือนาน ก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเริ่มแรกคือ ร้อยละ 6.6 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.16 โดยไม่ต้องทำการซื้อมาขายไป แต่หากนายตลาดมีการขยับราคาเพิ่ม ก็ถือเป็นส่วนต่างของแถม คือ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 50 บาท ก็จะได้กำไรเท่ากับ 50 - 30 บาทหรือเท่ากับ 20 บาทเป็นส่วนต่างกำไร ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามเป็นต้น หรืออาจไม่เกิดขึ้น ก็ไม่เดือดร้อนครับ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภูมิคุ้มกันความเสี่ยงของหุ้นที่เราถือไปเรื่อย ๆ สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาด ยิ่งถือนานขึ้นแม้ว่านายตลาดจะไม่ยอมตีราคาเพิ่มก็ตาม ผู้ถือหุ้นระยะยาวในหุ้นดังกล่าวไปเรื่อย ๆ ก็จะยังได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สะท้อนจากผลการดำเนินงานของบริษัท จากร้อยละ 12.96 ขึ้นไปเป็น 24.5 และยังได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่เติบโตสูงขึ้น จาก ร้อยละ 6.66 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.16 ทำให้ไม่เดือดร้อนว่านายตลาดจะตีราคาให้เท่ากับมูลค่าที่แท้จริงเมื่อใดก็ตาม นอกจากนี้สมมุติฐานนี้ ยังไม่รวมที่เรานำปันผลมาซื้อหุ้นในราคาตลาดถ้าไม่ขยับเลยคือ 30 บาทต่อหุ้น เราก็จะยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนที่นำปันผลมาลงทุนในบริษัทเดิมได้อีกไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เราได้รับปันผลเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคตอีกด้วยครับ เมื่อ: 2008-09-06T09:11:20+00:00 เทียน: VI ต้องอ่านให้ขาด (อันนี้ระดับเทพก็มีพลาด แต่ขอให้ถูกมากกว่าผิด) และต้องอดทนรอ ๆ ๆ ๆ เมื่อ: 2008-09-06T09:13:42+00:00 TheHee: naris เขียน: ยกตัวอย่างเช่น ผู้จัดการกองทุนจาก Leg Mason หรือ Ariel Investment และ Oakmark ก็ออกมายอมรับกันแล้วว่า วิกฤติสินเชื่อ Subprime ในสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาตาสว่าง และรับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ตนเองถือมาตั้งนาน เพราะตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา มูลค่าของกองทุนที่เป็น Value Investors และสนใจในหุ้นตัวใหญ่ตกลงมาเกือบ 12% ซึ่งเป็นอัตราที่แย่กว่าตลาดหุ้นอเมริกาเสียอีก ตัวอย่างในกรณีของ Ariel Investment บริษัทมุ่งมั่นกับการเข้าไปลงทุนในซิตี้คอร์ป เมื่อเดือนธันวาคม 2550 แถมยังบอกด้วยว่า พวกนักวิเคราะห์นั้นมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่เมื่อไม่นานมานี้ Ariel Investment ตัดสินใจทิ้งหุ้นซิตี้คอร์ปไป โดยอ้างว่ารู้สึกไม่สบายใจกับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการลงทุนนี้ หลังจากที่มูลค่าหุ้นของบริษัทตกไปถึง 42% ตลอดช่วง 3 ปีที่ถือซิตี้คอร์ปไว้ จากนั้น บริษัทก็ขายหุ้นของมูดี้ส (Moody?s Corp) ออกไปอีก พร้อมกับอ้างไว้เริ่มไม่มั่นใจกับบริษัทเรทติ้งชั้นนำแห่งนี้แล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่าคำว่า Value Investor น่าจะอยู่กับวิจารณญาณของบุคคลมากกว่า ขนาดเรากินข้าวจานเดียวกัน เรียนกับครูคนเดียวกัน เรายังตอบสนองไม่เหมือนกันเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมว่าเราควรยอมรับและเรียนรู้จากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น(ทั้งกับตัวเองและคนอื่น) จะดีที่สุดครับ ซึ่งในกรณีข้างต้นของ Ariel Investment นี้ ผมขอยกคำพูดของ Peter Lynch ที่กล่าวว่า "อย่าเอามือไปรับมีดที่ยังไม่ปักพื้น" เมื่อ: 2008-09-06T10:57:32+00:00 thawattt: เรื่องการลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่านั้น มีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับแนวคิดมาก ผมไปเจอบทความของ อาจารย์ดร.นิเวศน์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนแบบเน้นคุณค่า อาจารย์ได้หยิบยกคำถามที่มีผู้สนใจสอบถามกันมากว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นอย่างไร และความเข้าใจเรื่องคุณค่านั้นมีความเข้าใจที่แตกต่างกันในลักษณะอย่างไร ซึ่งวิธีการพิจารณาหุ้นคุณค่า บางครั้งก็มีแนวคิดแตกต่างกัน แต่ทุกวิธีก็มุ่งไปที่การดูพื้นฐานของหู้นเทียบกับราคาหุ้นครับ ลองอ่านบทความนี้ดูอีกครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์นะครับ http://api.settrade.com/blog/nivate/2007/09/05/148 Wednesday, 5 September 2007 หลายคำถามกับหุ้นคุณค่า เมื่อ เร็ว ๆ นี้  ผมได้รับเชิญให้ไปออกรายการทีวีทาง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าและเป็นการโปรโมต หนังสือเล่มล่าสุดของผมชื่อ “รวยหุ้นอย่างพอเพียง” ผมเห็นว่าคำถามที่พิธีกรตั้งให้นั้น เป็นคำถามที่คนมักจะสงสัยหรือถามผมอยู่เนือง ๆ   บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับหุ้นคุณค่า   ดังนั้นผมจึงคิดว่าคงจะมีประโยชน์ที่จะนำมาเขียนไว้ในที่นี้                คำถาม:  หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นแบบไหน มีหลักเกณฑ์ตายตัวไหมว่าหุ้นแบบไหนถึงเรียกว่าหุ้นคุณค่า                คำตอบ:  หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการ  ซึ่งมูลค่าพื้นฐานนี้จะต้องมีการคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ  นักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ Value Investor ที่เชี่ยวชาญจะต้องคิดและคำนวณหามูลค่าพื้นฐานเป็น  โดยทางทฤษฎี  มูลค่าพื้นฐานของกิจการนั้นจะคิดมาจากกระแสเงินสดรับที่เราจะได้รับจาก กิจการในอนาคต   แต่โดยทั่วไป  เวลาพูดถึงหุ้นคุณค่า  เรามักจะพิจารณาว่าหุ้นที่มีราคาถูกเป็นหุ้นคุณค่าโดยไม่ค่อยคำนึงถึงปัจจัย พื้นฐาน   เช่น  ถ้าบริษัทมีกำไร  ก็ดูว่าหุ้นต้องมีค่า PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก  ยิ่งต่ำมากก็ยิ่งดีเรียกว่าเป็นหุ้น Value มาก   นอกจากค่า PE  บางคนก็ดูค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีด้วยโดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทขาดทุน   นั่นก็คือ  ยิ่งค่า PB ต่ำเทียบกับหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยก็ยิ่งถือว่าเป็นหุ้น Value มาก  สรุปง่าย ๆ  หุ้นที่มีค่า PE  และ/หรือ PB ต่ำมักจะถือว่าเป็นหุ้นคุณค่า                คำถาม:  นักลงทุนในหุ้นคุณค่ามีลักษณะแบบไหน แตกต่างกับนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลหรือไม่                คำตอบ:  นักลงทุนหุ้นคุณค่ามักจะเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูกเช่นซื้อหุ้นที่มีค่า PE  และ/หรือ PB ต่ำถึงต่ำมาก  ส่วนนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลก็จะเน้นซื้อหุ้นที่ให้ปันผลสูงเมื่อเทียบกับ ราคาหุ้นหรือที่เรียกว่า Dividend Yield สูง   ในความเป็นจริง  หุ้นที่มีค่า PE ต่ำจำนวนมากมักจะมี Dividend Yield สูงด้วย  และนักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ชอบหุ้นที่ให้ปันผลตอบแทนสูงเหมือนกัน   ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่านักลงทุนหุ้นปันผลก็เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของนัก ลงทุนเน้นคุณค่า   แต่นักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ไม่ได้เน้นหุ้นที่ให้ปันผลสูง                คำถาม:  ทำไม ดร. ถึงเลือกที่จะใช้วิธีลงทุนแบบ Value Investment ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นคุณค่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร                คำตอบ:  วิธีนี้เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมา 10 ปี สูงถึงประมาณ 38% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น   แต่นั่นเป็นเพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่โอกาสการลงทุนสำหรับหุ้นคุณค่ามีมหาศาลและพอร์ต การลงทุนของผมยังเล็ก   อนาคตต่อจากนี้ผมคิดว่าผมตั้งเป้าหมายผลตอบแทนได้อย่างมากก็ 15% ต่อปี                คำถาม:  การลงทุนในหุ้นคุณค่าต้องเป็นการลงทุนระยะยาวเท่านั้นใช่หรือไม่ ซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ ได้หรือไม่               คำตอบ:  ส่วนใหญ่คงต้องเป็นระยะยาว เพราะว่าราคาหุ้นมักจะต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวให้เข้าหามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งมักจะมาจากผลประกอบการที่จะประกาศมาทุก ๆ ไตรมาศ   ดังนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับหลักการของ Value Investment น่าจะเป็นเรื่องของการเก็งกำไรมากกว่า                คำถาม:  กฎของการจะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่ามีอะไรบ้าง                คำตอบ:  เยอะมาก แต่หัวใจสำคัญก็คือ เราจะต้องวิเคราะห์การลงทุนทุกครั้งเป็นอย่างดีโดยดูที่ปัจจัยพื้นฐานทาง ธุรกิจและการเงินของบริษัท ไม่ใช่ดูจากการวิ่งขึ้นหรือลงของราคาหุ้น                คำถาม:  ที่ผ่านมา ดร. นิเวศน์ เคยลงทุนแบบอื่นหรือไม่                คำตอบ:  ก่อนลงทุนแบบ Value Investment ผมซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร จะเรียกว่าเป็นการลงทุนคงไม่ได้เพราะไม่เคยคิดที่จะถือยาว   และใช้เงิน “เสี่ยงโชค” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คำว่า “การลงทุน” ควรมีความหมายและจริงจังมากกว่านั้น                คำถาม:  “รวยหุ้นอย่างพอเพียง” คืออะไร ใช่การลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่                คำตอบ:  หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 ห่วง คือ ความมีเหตุผล  ความพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน และมี 2 เงื่อนไขคือ  ต้องมีความรู้และคุณธรรม ทั้ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไขนั้นตรงกับเรื่องของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า  Value Investor  ที่ดีนั้นจะต้องมีความรู้และยึดหลักธรรมมาภิบาลในการลงทุน  เขาจะต้องใช้เหตุผลในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน    มีความคาดหวังและใช้เงินลงทุนอย่างพอประมาณไม่โลภและไม่รับความเสี่ยงมาก เกินไป เช่น ไม่ใช้เงินกู้ในการซื้อหุ้น   และสุดท้ายก็คือ  ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือเรียกว่าต้องมี  Margin Of Safety  เวลาตัดสินใจลงทุน                คำถาม:  ลงทุนแบบเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้รวยได้หรือ                คำตอบ:  คนจะรวยหรือไม่นั้น  มีองค์ประกอบใหญ่ ๆ 4 เรื่อง  หนึ่ง  นิยามของความรวยของแต่ละคน  สอง  เงินเริ่มต้นและ/หรือเงินลงทุนที่ใส่เพิ่มลงไป   สาม  ระยะเวลาในการลงทุน  และ สี่   ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ทำได้   ผมคิดว่าถ้าคุณเป็น  Value Investor พันธุ์แท้ที่จริงจัง  คุณ  “รวย” ได้อย่างแน่นอน  เหตุผลก็เพราะว่า  คุณจะมีเงินเริ่มต้นและเพิ่มเติมมากกว่าเพราะคุณจะออมมากกว่า  คุณจะลงทุนยาวนานกว่าและไม่ถอนการลงทุนในยามที่ตลาดกำลังตกต่ำ   ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยของคุณจะสูงกว่า   และสุดท้ายก็คือ  คุณจะรู้สึกว่าจำนวนเงินที่เรียกว่า “รวย” ของคุณนั้นมันจะต่ำกว่าคนอื่น  ดังนั้น  โอกาสที่คุณจะรวยได้นั้นสูงมาก   แต่ถ้าคุณไม่รวย  คุณก็จะไม่จนหรอก เมื่อ: 2008-09-06T11:07:47+00:00 Rocker: คุณ thawatt ใช่ login ใหม่ของ พี่thanwa เปล่าครับ อีกเรื่องที่ผมเพิ่งคิดได้   มีเพื่อนฝรั่งในclassของผมเป็น equity/ risk reseacher เชื่อใน Efficient MarketมากๆเพราะมันProveได้ทางtheory   โดยเฉพาะกับอีกความเชื่อคือrandom walk ของตลาด ที่ตลาดจะะเดินแบบมั่วๆๆไม่มีทิศทาง มันจึงแย้งว่าvalue ใช่ไม่ได้  เพราะตลาดมีประสิทธิภาพสูงมาก หุ้น undervalueจึงไม่มี ถึงมีราคามักจะใกล้เคียงประสิทธิภาพ แต่ผมแย้งบอกมันว่าแล้ว ตลาดหมีหละที่ทําให้ราคาตํากว่ามูลค่าหละเมื่อ dcf ออกมาราคาก็ตํากว่าเยอะมีหลายบริษัท เพราะตลาดหุ้นนอกเหนือtheoryตรงที่ มีความโลภ กลัว คนกลัวก็เทขายจนราคาตําเกว่าvalue แล้วหากเราซื้อตอนที่หุ้นundervalueอยู่ และธุรกิจ พื้นฐานดี ทําไมเราจะไม่กําไร ในเมื่อเราซื้อแล้ว และepsโต ปันผลมากขึ้นเดี๋ยวคนก็มาแย่งซื้อเองแหละ อาจจะ1ปี  2 ปี 3ปี... เพราะปันผลสูงกว่า ดอกเบี้ย และต้นทุนค่าเสียโอกาศ มันก็แย้งอีกว่า เพราะราคาundervalue นั้นรวมriskของตลาดและexpectationเข้าไปแล้ว ตลาดจึงลดราคาให้= ต้นทุนค่าเสียโอกาศและความเสี่ยง พวกที่เรียนFinanceร้อยละ70%มีความคิดว่าไม่สามาถชนะตลาดได้ ถ้าจะชนะก็ต้องจัดportตาม หลัก Portfolio theory ซึ่งหาbetaบ้าบอ คํานวณเชิงปริมาณล้วนๆๆ เมื่อ: 2008-09-06T16:41:29+00:00 chatchai: ผมเรียนวิชาการลงทุน  มีแต่พูดเรื่อง   ราคาหุ้น  แล้วก็  ราคาหุ้น แต่การลงทุนแนว VI  ราคาหุ้นเกี่ยวข้องน้อยมาก เมื่อ: 2008-09-06T16:54:31+00:00 สวนหย่อม: ผมคิดว่า สมมติฐาน ตลาดประสิทธิภาำพ น่าจะ assume ว่านักลงทุนทุกคนมีข้อมูลทุกชนิดครบถ้วน และใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น แต่ในความเป็นจริงอาจไ่ม่ได้เป็นเช่นนั้น เลยอาจทำให้สมมติฐานนี้ไม่จริง พี่ rocker เห็นว่าไงครับ? เมื่อ: 2008-09-06T16:56:50+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ท่านคิดว่า.... crazyrisk: 1.  V  reversal pattern อีกเดี๋ยวก็คงกลับตัวแล้ว..  ข่าวร้ายก็อย่างเงี้ย แหละ  ก็ใครๆก็บอกว่าให้ซื้อตอนข่าวร้ายไม่ใช่เรอะ... panic ก็งั้นๆ   เรามันพวก contrarian อยู่แว้วว ( contrarian แปลว่า เดนตายหรือเปล่าล่ะเนี่ย)  (หุ้นถูกเต็มตลาดนี่นะ) 2.  W  Double bottom  ถึงแม้นมันจะกลับตัวมาได้  แต่เดี๋ยวไม่เอาน่า  มันก็คงลงไปใหม่  เดี๋ยวค่อยรอ อีกที ก็ได้   (เรามันพวก contrarian พัฒนาแล้ว) 3.  L  เชอะ  ใครว่า  อดีต จะซ้ำรอยเดิม อันนี่มัน 7 แสนล้านนะวะเฮ้ย...   real sector ก็ยังไม่โดนกัน...    ใครรีบเข้าก็บ้าแล้ว 4.  \   เหวยๆ  ไอ้แบบนี้  มันคืออะไรล่ะเนี่ย  ไปเข้าเวปลุงโฉลก บอกว่า  หลุด แนวรับ fibonachi ที่ 161.8 ก็  จะลงไป 261.8 ก็ประมาณ 100 ก่าๆ เลยนะคับพี่น้อง....  ไอ้แบบนี้ มันจะติดลบไหมล่ะเนี่ย เอาแค่ 4 choice พอแล้วครับ  ไม่แน่ใจว่า ผิดวัตถุประสงค์ของกระทู้ value investing หรือไม่  (แต่คิดว่าโพสต์ตอนนี้ ก็คงไม่น่าจะมีอะไรหลุด ไปมากกว่านี้แล้วล่ะมั๊งคับ ) เอาเป็นว่า ขอเป็นโพลที่มองออกมาในรูปของ  แนวความคิดของคนส่วนใหญ่ ว่าคิดเห็นเช่นไรดีกว่าครับ ช่วยกันโหวตหน่อยนะครับ.... เพราะว่า ตลาดมักจะเคลื่อนโดย mass แต่กิน โดย small group เมื่อ: 2008-10-28T12:56:59+00:00 crazyrisk: ขอแก้โจทย์เป็นในอีก 1-3 เดือนละกัน เดี๋ยวจะดูสั้นไป เมื่อ: 2008-10-28T12:58:28+00:00 songwit: โหวตอย่างไรครับ ผมให้  W เมื่อ: 2008-10-28T13:44:50+00:00 Juninho: ลุงโฉลก เอาอีกแล้วหรือ แม่นมาตลอดทางเลย หากหลุด 380 แล้วไป 100 กว่า ๆ จริง ๆ  ใครซื้อตอนนี้ขาดทุน 60-70 เปอร์เซ็นต์  :shock: แล้วใครมีหุ้นตั้งแต่ตอน 800 กว่า จะเรียกว่า อะไรเนี่ย เมื่อ: 2008-10-28T14:11:18+00:00 sorawut: W ครับ ทุกคนเตรียมออกตัวล้อฟรีกันทุกวัน แล้วก็จะมีข่าวร้ายมาตบหัว  :roll: เมื่อ: 2008-10-28T14:57:44+00:00 beammy: ผมให้ backslash ครับ  :oops: flow เป็นแบบนี้ ไม่เห็นทางที่มันจะเป็น W หรือ V หรือ L เลยแม้แต่นิดเดียว ความเห็นส่วนตัวครับ อย่าถือเป็นสาระในการตัดสินใจลงทุนของเพื่อนๆ ครับ ใครจะรอกับผมมานั่งด้วยกันเลยครับ  :8)  ... เมื่อ: 2008-10-29T01:30:47+00:00 crazyrisk: [quote="beammy"]ผมให้ backslash ครับ เมื่อ: 2008-10-29T01:41:38+00:00 beammy: ใช่แล้วครับ ตัวนั้นล่ะ  :8)   ... เมื่อ: 2008-10-29T01:43:48+00:00 crazyrisk: ตอนนี้คนเลือก backlash  41 % ซึ่งถือว่าเป็น mass แล้วนะครับ ถ้าอย่างงี้   mass อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายแล้วหรือเปล่า แต่ ท่านสุมาอี้ เคยบอกว่า   น้ำเชี่ยว  คนที่ไปยืนกลางน้ำ แ้ล้วเดินฝ่าลำน้ำไป ไม่ยักกะมีคนรอดสักคน สงสัยต้องรอให้น้ำไหลเอื่อยๆก่อน แต่ก็อย่างว่า  พี่ฉัตรแกมาตั้งคำถามว่า ทำไม รอบนี้ น้ำไม่ยักกะเฉื่อยเลยล่ะเนี่ย เฮ้อ  แล้วจะเอาไงดีหว่า.... แต่แปลกดีนะ ครับ รอบนี้ ไม่ยักกะมี phenomenon crisis ที่บ่งบอกถึง เศรษฐกิจ ไปไม่ไหวแล้ว... เช่น  ข่าว ปล้นแท็กซี่   ข่าว  คนเอาขี้ ไปเท ต่อหน้า ธนาคาร ข่าว คนยิงตัวตาย...  ฆ่าตัวตายเพราะหุ้น (ได้ข้อมูลจากพี่ปรัชญา) ข่าว เผาเอาประกัน... ไม่ยักกะมีข่าวอย่างนั้นเลยครับ.... มีแต่ข่าว พันธประชาชน เอ หรือว่า มีข่าว แต่เจอ ข่าวใหญ่กว่าคอยกลบล่ะเนี่ย.... แล้วตกลง  มีข่าวที่แสดงว่า real infrastructure ของเรา พังหรือยังคับ เมื่อ: 2008-10-29T01:50:42+00:00 phobenius: เช้าวันอังคาร ไปแบ็งค์ เจอคนข้างๆ บอกพนักงานแบงค์ว่า โอยเมืองไทยเจอสามเด้ง แต่จำไม่ได้ว่าเด้งอะไรบ้าง แต่คงมีเด้งการเมือง แฮมเบอร์เกอร์ อีกเด้งไม่รู้อะไร .......ซื้อหุ้นตอนนี้หรอ มีแต่ตาย ถูกก็จริง แต่อย่าเข้าไปซื้อเชียวนะ แกก็บ่นๆ พนักงานแบงค์ก็อืมๆๆ ค่ะๆๆๆ ผมก็ผ่านไปแล้วก็แวะไปร้านก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวคุยกับคนยกน้ำแข็งที่มาส่ง ถามแกเมื่อวานหุ้นลงเยอะนิ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่อง สรุปแล้วตอนนี้น่าซื้อไหม ซื้ออะไรดี คนขายน้ำแข็งก็บอกโอยตอนนี้หรอ อืม เห็นคนเจ๊งกันเยอะ ไอ้รวยๆๆ เนี่ย หนี้เป็นหางว่าวเพียบ หุ้นหรอ ก็........  มีเงินซื้อไว้ก็ได้ แต่ตัวไหนเนี่ยไม่รู้เหมือนกัน เห็นมันลงทุกตัว.......... เอาเป็นว่าช่วงนี้ เริ่มเห็นหลายๆคนที่ไม่รู้จักตลาดพยายามจะทำความรู้จักตลาดมากขึ้น แต่ไปถามคนที่เจ็บตัวก็พยายามตอบแบบหลีกเลี่ยง ให้คำตอบแบบขอไปที จริงๆช่วงนี้น่าจะเป็นการขยายฐานให้แก่คนที่ยังไม่มีความรู้ด้านการลงทุนได้เยอะขึ้นเพราะความเสี่ยงก็ลดลงมาระดับหนึ่งแล้ว ประเทศเราได้ไม่ต้องไปพึ่งนักลงทุนต่างชาติเยอะ ไทยช่วยไทย เอาฮุยเลฮุย เมื่อ: 2008-10-29T04:16:20+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอถามเรื่อง current ratio ครับ chut: current ratio = สินทรัพย์หมุนเวียน/หนี้สินหมุนเวียน ตำรามักบอกว่าควรจะ > 1 จึงจะแปลว่าสภาพคล่องดี สงสัยครับ ว่าบริษัทค้าปลีก ที่ขายของเป็นเงินสด จะมียอดลูกหนี้การค้าน้อย ขณะที่สินค้าที่เอามาขาย เป็นเงินเชื่อจากผู้ผลิตสินค้า ทำให้ยอดเจ้าหนี้การค้าจะสูง พอหารกันออกมา ไม่เห็นมีบริษัทไหนถึง 1 กันเลย แต่บริษัทก็ไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่อง(และไม่น่าจะมีเพราะได้เงินสดจากการขายมาก่อนที่จะจ่ายค่าสินค้า) อย่างนี้เราควรวัดสภาพคล่องของธุรกิจค้าปลีก ด้วยวิธีใดถึงจะดีครับ เมื่อ: 2007-03-25T08:06:45+00:00 โอ@: การใช้อัตราส่วนต่างๆก็ต้อง แยกไปตามแต่ธรรมชาติของธุรกิจแต่ละประเภทครับ ในส่วนของค้าปลีก ผมว่าลองเอา Cashflow ที่เข้ามาในอดีตเป็นตัวคำนวนดูน่าจะได้นะครับ เมื่อ: 2007-03-25T12:08:30+00:00 Viewtiful Investor: อย่างนี้เราควรวัดสภาพคล่องของธุรกิจค้าปลีก ด้วยวิธีใดถึงจะดีครับ วัดด้วย Cash Cycle Period ครับ ใช้สูตร (365/Inventory Turnover rate) + (365/Account Receivable Turnover rate) - (365/Account Payable Turnover rate) เคยได้ยินว่าจะติดลบ เพราะ รายรับเป็นเงินสด รายจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินผ่อน แต่ไม่เคยคำนวณเองครับ ดูใน F56-1 น่าจะคำนวณให้แล้วครับ เมื่อ: 2007-03-25T12:20:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ใครรู้จักบริษัทยูโรเปี้ยนฟุ้ดจำกัด(มหาชน)บ้าง todsapon: ไม่เห็นมีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เลยครับ คือที่บ้านขายของชำอยู่ เห็นบริษัทนี้แลเข้าท่าดี ขายขนมอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ปีโป้ คัสตาร์ดเค้ก วัน ๆ กำไรเท่าไร แลไม่มีคู่แข่งด้วย เมื่อ: 2011-03-12T07:22:33+00:00 Mactavish: ผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่า EURO หายไปไหนจากตลาดหุ้น เมื่อ: 2011-03-12T09:11:13+00:00 ซุนเซ็ก: ยูโร่ไม่เคยทราบว่ามีหุ้นในตลาดนะครับ มีแต่บริษัทคู่แข่งอย่าง UNI ยูไนเต็ดฟู๊ด (ขนมเซียงไฮ้, เยลลี่โยโย่) ออกจากตลาดไปเมื่อปี 45 เมื่อ: 2011-03-12T10:42:21+00:00 Ani: บริษัท (มหาชน) หลายๆบริษัท ก็ไม่ได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นะครับ เมื่อ: 2011-03-12T12:12:52+00:00 ilikevi: Ani เขียน:บริษัท (มหาชน) หลายๆบริษัท ก็ไม่ได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นะครับ ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-03-12T12:53:35+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
RS งบ Q2 Turn around แล้ว รอดูครับ petercorp: RS งบ Q2 Turn around แล้ว รอดูครับ เมื่อ: 2007-08-03T00:55:18+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
กฎของการลงทุน : ValueWay วิบูลย์ พึงประเสริฐ PERFECT LUCKY: Value Way ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2552 โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ กฏของการลงทุน ตลาดหุ้นในรอบปีที่ผ่านมา จากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนตุลาคมเมื่อปีที่แล้วจนถึงจุดสูงสุด 726 จุดในเวลานี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสนว่าตลาดหุ้นจะไปทิศทางไหนต่อไป บ้างคิดว่าตลาดหุ้นจะตก จึงขายหุ้นออกไปก่อนแต่ปรากฏว่าดัชนีกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาของความผันผวนเช่นนี้ บทความของบล.อเบอร์ดีนได้กล่าวถึงกฏของการลงทุนไว้หลายข้อที่น่าสนใจดังนี้ มองการณ์ไกล ราคาหุ้นมีส่วนประกอบสองส่วนคือความผันผวนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และผลลัพธ์จากผลประกอบการของบริษัท ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆตามความผันผวนของตลาด แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นมักเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท นักลงทุนควรมีระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ถ้าคิดว่าโรงงานของบริษัทสามารถทำผลตอบแทนได้ภายในสิบปี การลงทุนในหุ้นควรจะใช้ระยะเวลาเท่าๆกัน   แยกให้ออกระหว่างการพนันและการลงทุน บางครั้งเราอยากจะสนุกสนานบ้างเป็นครั้งคราว การเล่นพนันอาจเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับวันหยุด แต่ถ้าคุณเล่นหุ้นแบบการพนัน คุณอาจจะประสบปัญหาได้ การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดและบางครั้งอาจจะดูน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำไป การลงทุนต้องอาศัยทั้งวินัยและการศึกษาหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่าการลุ้นโชคจากการพนัน แต่สำหรับการลงทุนแล้ว จำไว้ว่าเจ้าของคาสิโนมักทำกำไรได้มากกว่าคนเล่นเสมอ ต้องกล้าสวนกระแส คนเรามักชอบคิดและทำสิ่งที่เหมือนกับคนอื่นๆ มันทำให้เรารู้สึกดีและไม่แตกต่าง แต่บางครั้งพฤติกรรมเช่นนี้อาจทำให้เราตกอยู่ในอันตรายได้ เช่นการวิ่งหนีออกทางประตูฉุกเฉินพร้อมๆกับฝูงชนอาจทำให้คุณถูกเหยียบตายได้ ในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน การซื้อหรือขายหุ้นทีหลังคนอื่นๆเป็นสิ่งที่สร้างผลตอบแทนได้แย่มาก วอร์เรน บัฟเฟตถึงบอกว่าให้กลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และให้โลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เข้าใจ โลกสมัยใหม่เต็มไปด้วยความซับซ้อน บางครั้งเราอาจสับสนในเทคโนโลยี่หรือไม่ก็พบกับอะไรที่ยุ่งยากเกินความเข้าใจ ในการลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่คุณซื้อ อย่างน้อยสิ่งนั้นควรทำให้คุณนอนหลับสนิท ให้คิดว่าหุ้นก็เหมือนกับหนังสือที่คุณอ่าน ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนั้นไม่เข้าใจก็วางมันลงซะ  ปีเตอร์ ลินซ์บอกว่าถ้าคุณลงทุนในบริษัทใดแต่คุณไม่สามารถอธิบายบริษัทนั้นได้ด้วยประโยคสองสามประโยค แสดงว่าคุณไม่เข้าใจมันดีพอ รู้ความแตกต่างระหว่างราคาและมูลค่า ในโลกรอบตัวเรา ความแตกต่างระหว่างราคาและมูลค่าอาจสังเกตเห็นได้ง่าย เช่น รถยนต์ราคาคันละหนึ่งล้านบาทเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าชุดละหนึ่งล้านบาท ในกรณีนี้รถยนต์มีมูลค่ามากกว่าแน่ๆ แต่ในโลกของการลงทุน ความแตกต่างของราคาและมูลค่าไม่ได้ชัดเจนเช่นนี้ การวัดมูลค่าทางเศรษฐศาตร์หรือมูลค่าของกิจการบริษัทบางครั้งอาจต้องประเมินทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนที่ขึ้นกับผู้ประเมินแต่ละคนว่าจะมีความคิดเห็นเช่นไร ฟิลิป ฟิชเชอร์นักลงทุนระดับตำนานเท่านหนึ่งกล่าวว่าในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยผู้คนที่รู้จักราคาของทุกสิ่ง แต่กลับไม่รู้มูลค่าของสิ่งไหนเลย ยอมรับเถอะว่าตลาดหุ้นฉลาดกว่าเรา ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจเป็นผลเสียในการลงทุน คุณอาจคิดว่าคุณมีความสามารถในการทำนายทิศทางของตลาดหรือราคาหุ้นใดหุ้นหนึ่งได้ แต่อย่าลืมว่ามีคนอีกเป็นแสนเป็นล้านที่ทำแบบเดียวกันอยู่ ให้ถามตัวเองว่าเราฉลาดกว่าคนเหล่านั้นจริงๆหรือ จอห์น เมย์นาด เคนส์ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ยังบอกว่าการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการทำนายความคาดหวังของผู้อื่น จะเห็นว่ากฏต่างๆเหล่านี้ยังใช้ได้ดีกับทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นไปในทิศทางใดก็ตาม เมื่อ: 2009-10-01T17:17:41+00:00 ball048:      :cheers:     เมื่อ: 2009-10-02T17:47:28+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ROA,ROE สูง แต่ Net profit margin ต่ำ หมายความว่ายังไงครับ Marshall: ขอถามพี่ๆ ผู้รู้ หน่อยครับ ดูงบการการเงินแล้วงบมีลักษณะ ROA,ROE สูง แต่ Net profit margin ต่ำ กิจการมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ สงสัยว่ากู้เงินมาเยอะหรือเปล่า วิเคราะห์ได้ว่าอย่างไร เมื่อ: 2011-03-04T11:59:14+00:00 Marshall: Learning by doing นี่ครับ งบที่สงสัย ขอบคุณคับ เมื่อ: 2011-03-04T12:08:06+00:00 densin: ขายของกำไรน้อยๆ แต่ขายได้เยอะๆ เน้นปริมาณ turnover สูงๆ เมื่อ: 2011-03-04T12:15:19+00:00 Marshall: -ถ้า roa roe สูง แล้ว npm สูงตาม ok ครับว่ากำไรสุทธิสูงตาม สอดคล้องไปทางเดียวกัน, ชัดเจน เป็นเหตุเป็นผลกัน -แต่กรณีนี้ roa สูง roe สูง แต่ อัตรากำไรสุทธิ npm ต่ำนี้ทำไมมันขัดแย้งกัน roa roe ที่สูง ไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือครับ งบการเงินนี้จะอธิบายสถานะการณ์บริษัทได้ว่าอย่างไรครับ. เมื่อ: 2011-03-04T12:54:20+00:00 navapon: คุณ densin ตอบแล้วครับ คิดจากความสัมพันธ์ตามสูตรวิเคราะห์ ROE ของ DuPont ครับ ROE = Net Profit Margin x Asset Turnover x Equity Multiplier เมื่อ: 2011-03-04T14:50:02+00:00 navapon: NPMนั้นจะสูงเท่าไหร่ก็ขึ้นกับประเภทธุรกิจด้วยครับ ตัวอย่างเช่นถ้าเป็นค้าปลีกเช่น makro, big c, cpall ค่า NPM แค่~3-4%เองครับ ถ้าเป็นค้าปลีก NPM ระดับนี้ไม่น้อยแล้วนะครับตั้ง 8% เมื่อ: 2011-03-04T14:56:19+00:00 harikung: Net marginขนาดนี้ไม่ถือว่าขี้เหร่นะครับ ลองเทียบกับบริษัทอื่นๆในกลุ่มเดียวกันที่ทำธุรกิจคล้ายกันเป็นbenchmarkดูก้อได้ครับ เมื่อ: 2011-03-04T17:47:46+00:00 imerlot: ลองเทียบกับบริษัทอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน สมมติว่า เป็นค้า ปลีก ต.ย เมื่อ: 2011-03-05T00:48:56+00:00 imerlot: Marshall บริษัท ต.ย. ของคุณ Marshall ถือว่า Excellent ถ้าเป็นค้าปลีก แต่มี ข้อ เสีย อย่างเดียว ครับ ลอง ดูที่ PE เทียบกับ Walmart ถ้าสมมติ Walmart สามารถ ซื้อขายได้ใน Streaming Settrade http://www.moneyandbanking.co.th/hotcol ... =&yearMag= แล้วเสียภาษี Cap. Gain แบบไทย.. PE Walmart ตอนนี้ ดูน่าสนใจกว่า...ว่ามั้ยครับ เมื่อ: 2011-03-05T00:58:52+00:00 Pattanasakd: ขอตรวจความเข้าใจของตัวเองนะครับ บริษัทมีทรัพย์สิน (Asset, Equity) ไม่มากพอเอาไปหารด้วย Return (R/A, R/E) เลยได้ตัวเลขค่อนข้างสูง ส่วน Net Profit มันเป็น (รายได้ - ต้นทุนสินค้า - ค่าบริหารจัดการ - ดอกเบี้ย - ภาษี)/รายได้ คือเป็นสัดส่วนระหว่างรายได้หักค่าใช้จ่ายหารรายได้ ไม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ครับ อาจจะขายของกำไรต่อชิ้นน้อยๆ แต่ขายจำนวนมากๆ จนรายได้ต่อทรัพย์สินมันโต ดังนั้น RoA RoE มากๆ ไม่จำเป็นต้องมี NP มากครับ ผิดถูกโปรดพิจารณา เมื่อ: 2011-03-05T02:05:46+00:00 thaloengsak: imerlot เขียน:Marshall บริษัท ต.ย. ของคุณ Marshall ถือว่า Excellent ถ้าเป็นค้าปลีก แต่มี ข้อ เสีย อย่างเดียว ครับ ลอง ดูที่ PE เทียบกับ Walmart ถ้าสมมติ Walmart สามารถ ซื้อขายได้ใน Streaming Settrade http://www.moneyandbanking.co.th/hotcol ... =&yearMag= แล้วเสียภาษี Cap. Gain แบบไทย..PE Walmart ตอนนี้ ดูน่าสนใจกว่า...ว่ามั้ยครับ งงครับ? เมื่อ: 2011-03-05T03:09:54+00:00 Marshall: ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบและให้ความรู้ครับ งบที่ผมกำลังวิเคราะห์อยู่คือ AIT : Advance Information Technology ครับ เรื่องของเรื่องคือ ผมอ่านหนังสือของ Peter Lynch แล้วมีการพูดถึงหุ้น Automatic Data Processing บ่อยๆ ชื่อ AIT ก็เลยแว๊ปขึ้นมาครับ ปล. ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมหรือเปล่าว่าได้ศึกษาแล้วเจอหุ้นที่ประกอบกิจการที่ดี น่าสนใจ อยู่บ้าง แต่ราคายังมันสูง จนสุดท้ายต้องเก็บเงินไว้เฉยๆ ก่อน ทั้งๆ ที่ใจมันอยากจะซื้อติดไม้ติดมือไว้ซะบ้าง ประมาณว่าคันไม้คันมือแต่เกาไม่ได้ เมื่อ: 2011-03-05T04:28:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ขอความเห็นหน่อยครับ กับแนวคิดของวอเรน บัฟเฟต์ Image&Word: ผมอ่านหนังสือของ วอเรน บัฟเฟต์ หลายเล่ม มีขั้นตอนการลงทุนที่ถูกต้อง คือ 1. การค้นหาหุ้นที่ดี เป็นหุ้นที่สามารถแข่งขันในตลาดได้และแข่งขันแบบยั่งยืน การเพิ่มกำลังการผลิตต้องลงทุนไม่มาก จึงมีศักยภาพในการเพิ่มกำลังการผลิต 2. อดทน รอคอยให้ราคาหุ้นอยู่ในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม ทั้ง 2 ขั้นตอนเป็นวิธีการคิดที่ดูง่ายดาย แต่แท้ที่จริงไม่ง่ายดายเท่าไรนัก โดยเฉพาะในเมืองไทย ทุกคนคิดอย่างไรครับ  :oops: คำถามต่อมา คือ ในไทยของเราน่ะ มีธุรกิจไหนหรือ บ. อาไรที่เข้าข่ายข้อหนึ่งหรือเปล่า เท่าที่ผมเห็น ก้อมีแต่ บะหมี่ และ น้ำมัน ขอความเห็นหน่อยครับ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้และก้อไม่มีอะไรแน่นอน 8) เมื่อ: 2006-07-10T00:56:15+00:00 yoyo: ข้อ 1 ผมว่าก็มีให้เลือกเยอะเหมือนกันนะครับ อาจจะไม่ได้ perfect มากเหมือนกันหุ้นของลุง Buffett แต่คุณภาพหุ้นในไทยก็ใช้ได้หลายตัว ข้อ 2 สิ ผมว่าหายากกว่า มีหลายคนชอบพูดนะครับ ว่าการลงทุนแบบ Buffett เอามาใช้ในเมืองไทยไม่ได้ ... ผมว่าถ้าใช้ไม่ได้จริงๆ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในเวปนี้คงไม่ได้มั่งคั่งกันขนาดนนี้แน่ครับ เมื่อ: 2006-07-10T03:27:24+00:00 สามัญชน: yoyo wrote มีหลายคนชอบพูดนะครับ ว่าการลงทุนแบบ Buffett เอามาใช้ในเมืองไทยไม่ได้ ... ผมว่าถ้าใช้ไม่ได้จริงๆ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในเวปนี้คงไม่ได้มั่งคั่งกันขนาดนนี้แน่ครับ อาจจะไม่ถึงขั้นได้กำไรสูงๆเท่าเขา เพราะหุ้นเติบโตบ้านเราไม่สามารถเติบโตได้ทั้งโลกเหมือนบริษัทในอเมริกา แตโดยหลักการแล้วสามารถนำมาใช้ในเมืองไทยได้ดีเช่นเดียวกัน  และก็สามารถนำไปใช้กับตลาดหุ้นได้ทุกประเทศในโลกนี้เหมือนกัน เมื่อ: 2006-07-10T05:43:07+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ข้อมูลโรงกลั่น Hughes: ไม่ทราบมีใครมีแหล่งข้อมูลโรงกลั่นบ้างครับ? หาข้อมูลได้ที่ไหนครับนอกจากบทวิเคราะห์บ้านเรา? ผมเข้าไปดู bloomberg เจอแต่ CRK321M1:IND ไม่รู้ดูถูกตัวป่าว ถ้ามีที่ดู aromatic spread ด้วยจะดีมากเลย ตอนนี้ก็ดูได้อยู่แต่มันช้าไม่ทันใจ เมื่อ: 2011-01-06T21:27:43+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วีไอท่านใดไปงาน money expo สิ่งแรกสุดที่ควรทำคือ... คลายเครียด: ตรงไปที่บริเวณจัดงานของตลาดหลักทรัพย์ ตรงบริเวณหน้า ๆ จะมีรายงานประจำปีของบริษัทต่างๆ ทั้งที่เป็นแบบซีดี และหนังสือ วางไว้ให้หยิบตามใจชอบ น่าจะมีถึง ร้อยบริษัทได้ เห็นคนหยิบซีดีกันเป็นว่าเล่น น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็น cd-rw ไม่งั้นผมจะเหมาหมดทุกบริษัท ที่เป็นแผ่นซีดี ฮาๆๆๆ เมื่อ: 2005-05-20T03:56:03+00:00 mustang: เฮียครับ งานจัดที่ไหนนะครับแล้วมีถึงวันไหนนะครับ เมื่อ: 2005-05-20T04:02:25+00:00 คลายเครียด: ศูนย์สิริกิตครับ น่าจะมีถึงวันอาทิตย์ ถ้าจะไป แนะนำให้ไปแต่เช้าก่อน 10.00 น. จะได้ไม่ต้องแย่งกันหยิบ แย่งกันกินครับ ขนาดเมื่อวานนี้ เป็นวันธรรมดา ตอนเที่ยง black canyon ยังต้องยืนรอเป็นเก้าอี้ดนตรี ผมสั่งราดหน้าซีฟู๊ด รออยู่ครึ่งชั่วโมง ไม่เห็นเอามาซักที พอถามพนักงานบริการ เขาอ้อมแอ้มบอกว่า ตอนนี้ไม่มีของครับ ขอโทษด้วยที่ลืมบอก เอาแบบแด็กส์ด่วนไหมครับ ก็เลยต้องกินข้าวผัดอเมริกันแทน ฮาไม่ออก กับบริการของ black canyon เมื่อ: 2005-05-20T04:35:13+00:00 woody: ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ครับ วันที่ 19-22 จะมีการบรรยายและสัมมนาต่างๆ ตอนนี้ที่ผมพอมีข้อมูลคือ วันที่ 20 กสท และ ทศท ณ Ballroom เวลา 18.00-20.00 วันที่ 21 จับตาธุรกิจยานยนต์...หมุนล้อเศรษฐกิจไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก ณ ห้อง Meeting room 3-4 เวลา 12.30-14.00 วันที่ 22 ADDA ณ ห้อง Meeting room 3-4 เวลา 12.30-14.00 นอกจากนี้ก็ยังจะมีการสัมมนาที่มีประโยชน์อื่นๆ สำหรับการลงทุนอีกมากมายนะครับ แล้วคงได้เจอกันบ้าง เมื่อ: 2005-05-20T04:36:39+00:00 mustang: โหงี้เสาร์ทิดนี้ต้องเข้ากรุงเตพซะแล้ว ขอบคุณเฮียคลายเครียด กับพี่ woody มากครับ เมื่อ: 2005-05-20T04:41:25+00:00 harry: ปีที่แล้วก็มีให้นี่ครับ งาน set in the city ด้วย ดีครับ ผมจะได้ไปเลือกอีก กลัวแต่จะมีแค่บริษัทดังๆ ที่เราอยากได้จะไม่มีอ่ะสิครับ ว่าแต่คนคึกคักมากมั้ยครับ เมื่อ: 2005-05-20T05:19:16+00:00 woody: วันนี้ติดเรื่องฝนนิดหน่อยครับ คาดว่าตอนบ่ายๆ และเย็นๆ คนคงจะมากขึ้นเนื่องจากออกจากงานแล้ว ส่วน Annual Report ไม่ทราบว่าพี่ Harry อยากได้ของบริษัทไหนหรือครับ เมื่อ: 2005-05-20T06:23:49+00:00 Heroine: พอดีเลย อาทิตย์นี้จะเข้าเมืองบางกอกค่ะ อยากได้ annual report ที่เป็นหนังสือค่ะ จะเลือกเฉพาะบริษัทที่ยังไม่ได้ซื้อและกำลังสนใจเท่านั้น เผื่อคนหลัง ๆ ที่อยากได้ข้อมูลจะได้มีไว้ดูเช่นกันค่ะ เมื่อ: 2005-05-20T06:34:24+00:00 CK: ขอแย้งเฮียคลายเครียดครับ อิอิ (ไม่เคยแย้งได้เลย เพิ่งได้เป็นครั้งแรก) ควรทำเป็นสิ่งสุดท้ายครับ ไม่ใช่สิ่งแรกสุด เพราะแบกหนังสือกับซีดีเยอะๆ ไปเดินในงาน มันจะเมื่อย (หมายเหตุ: แต่ถ้ากลัวหมด หรือมีถ้าหาหนุ่มๆ มาช่วยหิ้วให้ได้ ควรทำเป็นสิ่งแรก) เมื่อ: 2005-05-20T06:58:27+00:00 คลายเครียด: ฮาๆๆๆๆ จริงด้วยแฮะ ความจริงผมก็ไปมุงหยิบเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนขึ้นรถไฟใต้ดิน กลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ที่หัวลำโพง แนะนำอีกครั้ง เสาร์อาทิตย์ถ้าไปเลยสิบโมง อย่าขับรถไปครับ เมื่อวานนี้เพื่อนผมวนหาที่จอดอยู่ครึ่งชั่วโมง ในขณะที่ผมเดินเล่นให้งานสบายใจเฉิบ และอย่าคิดฝากท้องไว้กับร้านอาหารในศูนย์ ยิ่งกว่าเก้าอี้ดนตรีอีก ผู้พันซิกกี้ รู้แล้วเหยียบไว้นะ สิ่งแรกที่ผมทำจริงๆคือ ไปดูพริตตี้เกิร์ลตามบู๊ทต่างๆ คร๊าบ เมื่อ: 2005-05-20T07:07:17+00:00 ก้อนหิน: จริงแล้วเดินไปด้านหลังแถวโรงงานยาสูบ มันมีร้านอาหารก็หลายร้านอยู่นะครับ เผื่อคนที่ไม่อยากรอนานแล้วก็ไม่อยากจ่ายแพงครับ เมื่อ: 2005-05-20T07:23:23+00:00 CK: ไปดูพริตตี้เกิร์ลตามบู๊ทต่างๆ คร๊าบ อ๊ะ มีพริตตี้ด้วย ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะ สงสัยต้องแอบไปซะแล้ว เอากล้องตัวโปรดไปด้วย ( ช่วยกันเหยียบไว้ด้วยนะครับ :lol: ) เมื่อ: 2005-05-20T07:30:43+00:00 CK: ในกรณีนี อุตส่าห์เตรียมตัวยิ้มไว้ให้ ไม่ค่อยใช้กันเล้ยยยยยยยย..... >>>> เมื่อ: 2005-05-20T07:44:25+00:00 คลายเครียด: คุณนักดูดาว ผมตาฝาดไปหรือเปล่า นั่นมันหัวงูนี่หว่า เมื่อ: 2005-05-20T08:22:09+00:00 Viewtiful Investor: วันสุดท้ายตอน 4 โมงเย็น เจ้าของ ILINK จะมาบรรยายด้วย ใครสนตัวนี้อย่าลืมไปนะครับ เมื่อ: 2005-05-20T08:51:50+00:00 Knott: ไปมา 2 วันซ้อนตอนเย็นๆ วันแรกได้รายงานประจำปีมาเยอะมาก แต่บางบริษัทก็หมดแล้วตั้งแต่ก่อนไปถึง ซีดียังมีพอควร วันนี้ไปวันที่สองเหลือแต่ซีดีบริษัท SIS และรายงานประจำปีอยู่ประมาณ 20 กว่าบริษัท ใครไปเสาร์-อาทิตย์ก็เผื่อใจไว้หน่อยนะครับว่าอาจไม่ได้รายงานเลย ไม่รู้เขาจะเอามาเพิ่มใหม่หรือเปล่า แต่หากเทียบกับเมื่อวานก็หมดแล้วหมดเลย วันอาทิตย์เย็น ห้อง Meeting Room 3 รู้สึกดร.นิเวศน์จะพูดเรื่องการลงทุนโดยอาศัยปัจจัยพื้นฐาน ตรงกับ ILINK กับ UMS ที่ห้อง Ballroom พอดี เสียดายไม่ได้ไปเพราะทำงานครับ เมื่อ: 2005-05-20T14:53:54+00:00 Stock Broker: ไว้เจอกันตอน ดร.นิเวศน์ ครับ เมื่อ: 2005-05-20T15:33:10+00:00 Knott: สำหรับมือใหม่ พรุ่งนี้ (วันเสาร์) เวลาประมาณ 17-18:30 ดร.นิเวศน์จะพูดที่ Meeting Room 2 จำหัวข้อไม่ได้ แต่เป็นเรื่องของการเริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์น่ะครับ เผื่อใครสนใจ แต่ลองเช็คข้อมูลเรื่องห้องและเวลาอีกทีที่งานนะครับ เมื่อ: 2005-05-20T15:36:52+00:00 mey: อย่างแรกที่ได้หยิบรายงานประจำปีแล้วรู้สึกว่ามันเยอะ (สงสัยชอบหลายบริษัท) ตรงไปที่ห้อง Plenary Hall เดินเข้าไปตรงบูท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กรอกแบบสอบถาม แล้วจะได้ของขวัญเป็นกระเป๋า 1 ใบ ใหญ่พอเหมาะพอดี ใส่ได้สารพัดค่ะ... เมื่อ: 2005-05-21T14:24:16+00:00 ตาหมูอ้วน.: วันนี้ผมไปสอยรายงานประจำปีมาหลายเล่มครับ แต่เสียดายมากๆที่ไม่ได้เก็บเอาตั้งแต่ตอนไปถึงเลย เพราะเห็นว่ามันยังมีอยู่หลายเล่ม เดินเล่นดูงานซักพักใหญ่ๆ กลับมาหมดไปหลายบริษัทแล้ว เสียดายจัง เมื่อ: 2005-05-21T18:16:43+00:00 Kopite: ไปมาวันเสาร์ครับ เหลือแค่ไม่กี่บริษัทเอง ประมาณ 15 บริษัทได้ เมื่อ: 2005-05-22T04:02:08+00:00 lekapuk: ไปวันเสาร์มาค่ะ เหลือไม่กี่บริษัทเอง เลยหยิบมาแค่ 2 บริษัทเอง เออ!!!!สมัคร MMAward แล้วด้วยค่ะ เมื่อ: 2005-05-24T03:13:24+00:00 yoyo: lekapuk เขียน:ไปวันเสาร์มาค่ะ เหลือไม่กี่บริษัทเอง เลยหยิบมาแค่ 2 บริษัทเอง เออ!!!!สมัคร MMAward แล้วด้วยค่ะ งั้นเดี๋ยวเจอกันครับ เมื่อ: 2005-05-24T04:26:40+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
สรุป AKARA NORMALMAN: http://jo7393invest.blogspot.com/2014/06/akara.html เมื่อ: 2014-06-14T05:09:49+00:00 จอหงวน: หุ้นมีปัญหากับสิ่งแวดล้อม กับมวลชน เล่นยาก บริษัททุ่งคำของทุ่งคาฮาเบอร์มีปัญหากับมวลชนตลอด เหมืองโปแตชของอิตาเลียนไทยที่อุดรธานีตั้งกี่ปีแล้วยังขอประทานบัตรไม่ได่ เพราะต้องขุดไปใต้ตัวจังหวัดอุดรพอดี ต่อไปเหมืองทองแดงของบริษัทผาแดงที่อำเภอลี้ ลำพูนก็ต้องโดนมวลชนประท้วงอีก จะสำรวจก๊าซหรือน้ำมันที่ไหน มวลชนก็ไม่ค่อยจะยอม ทั้งที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการทำเหมืองก้าวหน้าไปมากแล้ว ประเทศไทยยังมีศักยภาพทางสินแร่อีกมาก แต่เจอปัญหามวลชนและสิ่งแวดล้อมก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น อัคราเหมืองเก่ายังทำได้ แต่ถูกร้องเรียนเรื่องสิ่งแวดล้อมอยู่เรื่อยๆ เช่น สารไซยาไนต์ที่ใช้สกัดทองคำ ปนเปื้อนแหล่งน้ำ ฝุ่นจากการระเบิด เป็นต้น ผมว่าบริษัทพวกนี้ดูยาก ผมไม่ข้องเกี่ยวด้วย ใครอยากรวยก็เชิญ เมื่อ: 2014-06-14T07:11:21+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SNC ครับ ลุงขวด คุณYOYO MR.BIG ท่านอื่นด้วยครับ SAFARI: ผมมีข้อสงสัยบางประการเกี่ยวกับราคาทองแดงที่ลุงขวดให้มา ประมาณ 3200-3400 บาท/ตัน ในช่วงปีนี้น่ะครับ แล้วไม่ทราบว่าราคาวัตถุดิบทองแดงในไตรมาสแรกที่ผลประกอบการออกมาดีเกินคาด เป็นราคาในrangeนี้ ด้วยหรือเปล่าครับ หรือว่าต่ำกว่าเพราะเห็นมีการทำสัญญาซื้อล่วงหน้า ขอบคุณล่วงหน้าครับ หากท่านอื่นมีข้อมูลมา share ก็เชิญได้นะครับ ร่วมด้วยช่วยกัน เมื่อ: 2005-05-11T06:02:54+00:00 rpc_lover: 2800 เหรียญ/ตันครับ แต่ราคาทองแดงไม่น่ามีปัญหาขึ้นราคาขายได้ ตอนนี้ก็ดูๆอยู่เหมือนกันครับ เมื่อ: 2005-05-11T06:13:07+00:00 SAFARI: ถ้าคิดว่าราคาทองแดงหลังหมดสัญญาเป็น 3400 บาท/ตัน ราคาจะขึ้นประมาณ 20% ผมไม่แน่ใจว่า ทางบริษัทสามารถ pass on ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ เพราะในระยะยาวแล้ว Economy of scale คงไม่ยั่งยืนเท่าการปรับราคาผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อ: 2005-05-11T08:16:10+00:00 ลุงขวด: ราคาเฉลี่ย Q1 ของทองแดงอยู่ที่ $3250 ต่อ ตัน ครับ.... Q2 น่าจะสูงกว่าหน่อย ส่วน Q3 และ Q4 ก็คงอยู่ในระดับที่มาคิดเอาไว้ และ บอกไว้ในกระทู้อื่นแล้ว เมื่อ: 2005-05-11T12:58:08+00:00 yoyo: เรื่องต้นทุนทองแดงตอบตรงนี้ก่อนเลยว่าไม่น่าเป็นห่วงครับ บริษัท pass ไปให้ลูกค้าได้เกือบ 100% รายละเอียดเดี๋ยวติดตามอ่านใน 100คน100หุ้นครับ จะเขียนข้อมูลเพิ่มให้เท่าที่รู้ รอซักพักครับ เมื่อ: 2005-05-11T17:35:16+00:00 ปรัชญา: ลุงขวด เขียน:ราคาเฉลี่ย Q1 ของทองแดงอยู่ที่ $3250 ต่อ ตัน ครับ.... Q2 น่าจะสูงกว่าหน่อย ส่วน Q3 และ Q4 ก็คงอยู่ในระดับที่มาคิดเอาไว้ และ บอกไว้ในกระทู้อื่นแล้ว ผมเชื่อลุงขวดครับ ลุงขวดถือหุ้นทองแดงFMT แถมเป็นคนเปิดบริษัทขายท่อทองแดงอีก ขอบอก เมื่อ: 2005-05-11T17:38:02+00:00 yoyo: หุ้นตัวนี้ถ้าลุงขวดไม่กำไรนี่แย่เลยนะครับ เรียกว่าน่าจะเข้าใจให้ตัวธุรกิจและผู้บริหารเป็นอย่างดีกว่าใครเลย .... ขอให้ลุงขวดกำไรหลายๆท่วมจากหุ้นตัวนี้ครับ (ผมจะได้หลายท่วมกะเค้าด้วย) เมื่อ: 2005-05-11T17:50:40+00:00 ลุงขวด: อยู่ ๆ ก็ มี PR (Public Relation) ให้ถึง 2 ท่านเลยครับ........หุ้น ทองแดง FMT เหลือเพียง 700 หุ้นที่ราคา 9 บาท นอกนั้นขายหมูไปนานแล้ว ... เคยมีหลายแสนตอนวิกฤต........ตอนนี้อยากได้อีก แต่ราคาไม่ลงสักที และ แถมไม่มีสภาพคล่องด้วย เลยได้แต่มอง.........หุ้นดี ๆ มัก มีน้อย แต่หุ้นไม่ค่อยดี ซิ มันมีมาก มันเป็นวัฎจักรเหมือนกัน .... มีน้อย ของดี มีมาก ของเลว (เพราะติดไม่ยอม ขายขาดทุน)........หุ้นของคุณปรัชญา FE ผมก็มี แต่ แค่ 300 หุ้นเอง เขาแจกหุ้นเพิ่มทุนมาฟรี 2-3 ปีก่อน ยังถืออยู่ ส่วนตัวแม่ นั้น ขายหมูไปเหมือนกัน แนวคิดของ ประธาน SNC นี่แสดงถึงความเข้าใจในตลาดได้ดีเยี่ยม อดีตวงการ แอร์ เป็นของ ญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลัง เป็นของ เกาหลี ซึ่งมาแรงมาก.........อนาคตอีก 3-5 ปี จะเป็นของจีน ซึ่งพัฒนามาเรื่อย ๆ........โลกาภิวัฒน์ โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว เหลือเกิน ถ้าใครอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ คงอยู่ได้อีกนาน เพราะ ช่วยให้คนมีความสุข ความสบายขึ้น จริง ๆ แล้ว เครื่องปรับอากาศ ก็บอกอยู่แล้ว มีการปรับอากาศจากร้อนให้เป็นหนาว.......แถมบางรุ่น ปรับอากาศ หนาวในห้อง ให้กลายเป็นอากาศร้อนได้อีก (มี heater ในตัว). เมื่อ: 2005-05-12T00:29:06+00:00 lekapuk: ขอให้ลุงขวดได้กำไรจากตัวนี้มากๆนะค่ะ ดีมากเลยที่ลุงขวดเจ้าใจในตัวธุรกิจและผู้บริหาร ไอ้เรามันไม่รู้อะไรซักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก..................อย่าง เมื่อ: 2005-05-12T03:17:15+00:00 SAFARI: ไม่ทราบว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส2 ยังสามารถทำได้ดีเหมือนไตรมาส1หรือเปล่าครับ seasonal มีผลกับธุรกิจนี้มากน้อยอย่างไรครับ รบกวนด้วยครับ เมื่อ: 2005-05-12T03:19:17+00:00 ลุงขวด: จริง ๆ แล้ว ธุรกิจ ด้านเครื่องปรับอากาศจะขายดีช่วงฤดูร้อน มีนา เมษา และ พฤษภา......ของ SNC ลูกค้าส่วนใหญ่จะส่งออกไปต่างประเทศอีกทีหนึ่ง จึงคิดว่า ไม่น่าจะเป็น ฤดูกาล..... เนื่องจาก ใน Q1 เขากำไรจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ใน Q2 คงไม่ได้ส่วนต่างเท่าไหร่ ...... คงอาจกำไรน้อยกว่า Q1 เล็กน้อย ..... แต่ใน Q3 และ Q4 น่าจะดีขึ้น เห็นว่า โรงงานที่จะซื้อปลายเดือนนี้ (ร่วมทุนกับเกาหลี) จะรับรู้รายได้ในไตรมาส Q3 และ Q4 ซึ่งคาดว่า จะเพิ่ม ยอดขายได้อีก 100 ล้านบาท.....ก็คงจะช่วยให้มีการเติบโตกันบ้าง คุณ lekapuk... คนเราไม่มีใครรู้ทุกอย่างหรอกครับ บังเอิญ ผมคลุกคลีกับธุรกิจด้านนี้เลยพอ มีความรู้บ้าง.........ส่วนด้าน อื่น ๆ ก็ เหมือน กัน ครับ ไม่รู้ จั กกกกกกกกกก ไม่เข้า ใ จ จจจจจจจจจจจจจจ เหมือนกัน..........ที่บอกว่า ให้ผมกำไร มาก ๆ ในหุ้น ตัวนี้ ขอเปลี่ยนเป็น ให้ กิจการของเขากำไร มาก ๆ และ ปันผล มาก ๆ ดีกว่า ผมชอบถือหุ้นยาวววววววววววว เก็บไว้ รับ ปันผล มากกกกกกก กว่า เมื่อ: 2005-05-12T11:47:35+00:00 stockms: FMT ของลุงขวดก็กำไรดีขึ้นด้วยนะครับ เมื่อ: 2005-05-12T12:00:07+00:00 Mr. Big: yoyo เขียน:หุ้นตัวนี้ถ้าลุงขวดไม่กำไรนี่แย่เลยนะครับ เรียกว่าน่าจะเข้าใจให้ตัวธุรกิจและผู้บริหารเป็นอย่างดีกว่าใครเลย .... ขอให้ลุงขวดกำไรหลายๆท่วมจากหุ้นตัวนี้ครับ (ผมจะได้หลายท่วมกะเค้าด้วย) เดี๋ยวลุงขวดจะไปเยี่ยมโรงงานอีกต่างหาก ครบเครื่องจริงๆ ครับ เมื่อ: 2005-05-18T05:29:54+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
มือใหม่สงสัยเรื่องรายใหญ่viซื้อหุ้นครับ farmerboy: ผมเห็นพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ จากกระทู้นี้ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=40297 ยกตัวอย่างอย่างเช่น aprint แกซื้อไว้ สองล้านหุ้น อยากรู้จริงๆว่า แกซื้อได้ยังไง เพราะในกระดาน โวลุ่มในแต่ละวันมันน้อยมาก หรือว่าแกไล่เก็บในกระดานไปเรื่อยๆ จนครบสองล้านครับ? เมื่อ: 2009-12-27T02:18:51+00:00 maiaowna: ส่วนมากเห็นค่อยๆเก็บครับ ที่เก็บกันทีเดียวนั้นเดี๋ยวไก่ตื่นหมด เมื่อ: 2009-12-27T05:22:06+00:00 ส.สลึง: เข้าใจว่าช่วงนั้นมีรายใหญ่ของที่นี่ขายออกไปครับ :lol: ปล. หุ้นบางตัว Volume ไม่ค่อยมี ก็ต้องอาศัยการทยอยเก็บครับ แต่ถ้าเป็น VI พันธุ์แท้ สังเกตให้ดีครับว่าช่วงที่มีข่าวเชียร์หุ้น ตอนนั้น Volume จะมีมากกว่าปกติ ก็สามารถซื้อเป็นกอบเป็นกำได้ครับ (ในขณะเดียวกันก็ทิ้งกระจายได้พอๆ กัน ) เพราะฉะนั้น เรื่องความคุ้มค่า และ Margin of Safety ต้องประเมินกันเองนะครับ เมื่อ: 2009-12-27T14:58:11+00:00 @nakin: aprint  นี่รู้สึกว่า อาจารย์มน เป็นคนโยนให้ส่วนนึงครับ ( จารย์เค้าบอกมา ) เมื่อ: 2009-12-29T08:42:58+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
SSC ดูจากตรงนี้น่าจะตีแตกได้มั้ยครับ ?? metro: รบกวนถามพี่ๆทุกท่านเลยนะครับ ถ้าเอาข้อมูลย้อนหลังโดยอิงกับเว็บของ SET: http://www.set.or.th/set/companyinfo.do ถ้าสมมติเราเอาข้อมูลของ SSC ปีนี้เอาไปคูณสองเพื่อหา Revenue และ Profit ของทั้งปี 2549 เราจะได้ Revenue: 19,117 ล้าน และ Profit: 649 ล้าน ซึ่งดีกว่าทุกๆปีในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และถ้าอ้างข้อมูลจากที่พี่ Invisible Hand แนะนำไว้ใน Greenbull http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic รายรับจากการปรับราคาขายเพิ่ม 1-2 บาทต่อขวด จะเริ่มเห็นผลใน Q3 เป็น ควอเตอร์แรก ดังนั้น Revenue และ Profit น่าจะมากกว่าที่เราเอาครึ่งปีไปคูณสอง ถ้าทุกๆปัจจัยเป็นไปตามที่คาดการณ์ หุ้น SSC น่าจะเป็นหุ้นที่น่าสนใจตัวหนึ่ง หรือเปล่าครับ ??? ขอบคุณครับ  :D เมื่อ: 2006-10-30T04:35:16+00:00 Monet: ยอดขายและกำไรอิงฤดูกาลมาก พิจารณาแค่ครึ่งปี แล้วคูณสองไม่ได้ครับ กำไรครึ่งปี48 ได้409ล้านบาท ทั้งปี48 ได้511ล้านบาท กำไรครึ่งปี49 ได้324ล้านบาท ทั้งปี49 ได้??? ถึงแม้ไตรมาส3และ4 จะมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการปรับราคาขาย แต่กำไรทั้งปีจะมากกว่าปี48 หรือเปล่า? เมื่อ: 2006-10-30T05:22:08+00:00 น้ำครึ่งแก้ว: หน้าหนาว คนไม่ค่อยกินน้ำอัดลม อะเป่าครับ ส่วนใหญ่ยอดพุ่งช่วงหน้าร้อน เป็นเรื่องปกติครับ เมื่อ: 2006-10-30T05:45:47+00:00 teetotal: น้ำอัดลม ขายดีในหน้าร้อน หน้าหนาวขายไม่ดี .... ทางที่ดี ssc ควรเพิ่มสินค้าให้ สอดคล้องกับ กระแสรณรงค์รักสุขภาพให้มากขึ้น เช่น น้ำส้มแบบกล่อง แข่งกับ tipco เสียเลย เป็นไง หรือ ส่งเสริม unif green tea ให้มีคนสนใจมากขึ้น นมถั่วเหลืองโย หายไปไหนแล้ว ขุดขึ้นมาทำขายใหม่ เพื่อ กระแสสุขภาพ ผมคิดว่า ด้วยเครือข่ายขนส่งที่แข่งแกร่งของ ssc ทั้ง รถ เรือ ศูนย์กระจายสินค้า น่าจะเป็นจุดได้เปรียบในการเข้าถึง ผู้บริโภค แต่ ถ้ายังรักจะทำน้ำอัดลม ต่อไป ช่วงนี้ มีการรณรงค์ให้เยาวชนไม่ดื่มสุรา เยาวชนอาจหันเข้าหา น้ำอัดลมอีกครั้ง น้ำอัดลมต้องอาศัย จังหวะทองนี้ ช่วงชิง ลูกค้ากลับมา ก่อนที่เยาวชน จะหันไป ดื่มนม น้ำผลไม้กันเสียหมด เมื่อ: 2006-10-30T06:04:05+00:00 naris: ผมว่างบq3ออก น่าจะมองเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้นมากเลยครับ แล้วค่อยตัดสินใจอีกที เมื่อ: 2006-10-30T06:14:21+00:00 por_jai: teetotal เขียน:ทางที่ดี ssc ควรเพิ่มสินค้าให้ สอดคล้องกับ กระแสรณรงค์รักสุขภาพให้มากขึ้น เช่น น้ำส้มแบบกล่อง แข่งกับ tipco เสียเลย เป็นไง 8) เวลาใครนึกจะทำน้ำอะไรไม่ออก     เพราะโปรดักส์หลักเริ่มนิ่งหรือมีปัญหา     ผมอ่านข่าวเฉพาะสัปดาห์ที่แล้ว     มีคุณตันกับทางเบียร์สิงห์แผนกnon-alcohol     ผมว่าเฉพาะ 2เจ้านี่ก็เหยียบกันตายแล้วละครับ     น้องsplash นี่เนื้อหอมจัง ใครๆก็มารุมทึ้ง     การตลาดสมัยใหม่นี้เซ็กเม้นท์มันทับซ้อนกันมาก     ใครข้อมูลหลวมๆละก็ลงทุนไปแล้วกลับตัวยากเลยนะครับ     ใครที่มีฐานข้อมูลอัพเดตดีๆ ได้เปรียบในเรื่องความเสี่ยงเยอะเลย ตัดสินใจทีนึงโป๊ะ..กลางหัวเหน่งเลย     เมื่อก่อนเคยทำกระเบื้องเซรามิคยุคแรกๆ     ตอนนั้นคัมพานาเป็นเจ้าตลาด90%ได้มั๊งครับ     แชร์ของตลาดกระเบื้องปูพื้น     แฮะ...ตารางเมตรละ6-700บาทได้ครับ     ทุนเท่าที่ผมดู แวเรียลเบิ้ลคอส ไม่น่าเกิน40-50บาทมั๊งครับ(2524)     ดูแล้วกำไรอื้อซ่า ฮ่าๆๆ ต้องเข้ามาแย่งซะหน่อย     แต่นายผมนี่ยอดมนุษย์ครับ     ไปเช็คดู วัสดุปูพื้นอย่างอื่น ปาร์เก้ ประมาณ3-500บาท     หินขัดก็ประมาณกัน     แผ่นแรกที่ออกมาวางราคาขายส่งไว้ที่ตรม.ละ200ครับ     เอ้าที่นี้ก็กินวัสดุปูพื้นทุกอย่างเลยสิครับ     ยกเว้นพื้นซิเมนต์ขัดมัน     ฮ่า..ทำไม่ทันขายครับ ขยายโรงงานมันทุกปี     แฮ่..ตอนได้ดี นายได้คนเดียวครับ พวกผมไม่เกี่ยว     โฮ..คนเล่าเรื่องตายตอนจบครับ เรื่องนี้ เมื่อ: 2006-10-30T06:24:24+00:00 por_jai: น้ำขวด PET ทุกขนาด แถวบ้านผมยังยืนราคาเท่า Q2 ครับ แถม Tropicana ก็ขายไม่ค่อยดี คนบอกไม่อร่อยสู้ splash ไม่ได้ เลยตัดสินใจขายไปลงทุนตัวอื่นดีกว่า เมื่อ: 2006-10-30T08:15:26+00:00 metro: พี่ Monet พูดแล้วก็เห้นภาพเลยครับ .. ยอดขายและกำไรอิงฤดูกาลมาก พิจารณาแค่ครึ่งปี แล้วคูณสองไม่ได้ครับ กำไรครึ่งปี48 ได้409ล้านบาท ทั้งปี48 ได้511ล้านบาท กำไรครึ่งปี49 ได้324ล้านบาท ทั้งปี49 ได้??? ถึงแม้ไตรมาส3และ4 จะมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากการปรับราคาขาย แต่กำไรทั้งปีจะมากกว่าปี48 หรือเปล่า? ยังไงผมว่าเราลองมาดู Q3 กันดีกว่าว่าจะเป็นยังไงครับ ถ้าออกมาโดดเด่น แล้วค่อยมาเล่าสู่กันฟังดีกว่าครับ ขอบคุณพี่ๆทุกๆท่านครับ  :D เมื่อ: 2006-10-30T08:22:32+00:00 metro: พี Monet และพี่ทุกๆท่านครับ ถ้าอย่างนั้นเราเอา Q3 ที่กำลังจะประกาศออกมาเทียบกับ Q3 ของ 4 ปีที่ผ่านมา จับมาเทียบกันแล้วหาความโดดเด่นที่จะออกมาดีมั้ยครับ ถ้าออกมาในระดับที่โดดเด่นก็น่าสนใจใช่มั้ยครับ แต่ว่า .. ผมจะหา Q3 ย้อนหลังได้ยังไงเหรอครับ ใครรู้วานบอกด้วยครับ ขอบคุณครับ  :D เมื่อ: 2006-10-30T08:44:53+00:00 HI.ผมเอง: Q3มีอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ Q4 ใช่มั๊ยที่ต้องเอาเต็มปีลบงวด9เดือน เมื่อ: 2006-10-30T09:53:04+00:00 khun_parinya: เคยได้ปันผลจาก SSC ครับ เป็นปันผลที่คลาสสิคมาก ให้ผลตอบแทนที่ 4% จากเงินลงทุน เมื่อ: 2006-10-31T05:36:27+00:00 pegaxus: ค่าแรงขั้นตำ่ที่จะขึ้นตั้งแต่ มค. 50 อีก 3-8 บาท ละครับ จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกแน่ๆ  เห็นว่าพวกอุตสาหกรรมน้ำตาลอยากจะขอให้ลอยตัวราคาน้ำตาลอีกด้วย ถ้าลอยตัวขึ้นมาจริงๆ ละก็น่าจะกดดันต้นทุนมากเลยนะครับ ส่วนการปรับราคาครัง้ก่อนก็ปี 2540 ครับ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้กำไรกระโดดเท่าไหร่เลย ผมว่ายังไงคงต้องรอดูงบQ3 ว่าการปรับราคารอบนี้จะส่งผลดีแค่ไหน เมื่อ: 2006-11-01T22:56:09+00:00 nott: ผมว่าอนาคตน่าจะดีขึ้น ตลาดน้ำอัดลมจะเกี่ยวกับตลาดชาเขียว ถ้าคิดว่าอนาคตตลาดชาเขียวจะซบเซาและผมว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ แล้วตลาดน้ำอัดลมก็จะกลับมา สำหรับผมสังเกตุโดยเอาตัวเองเป็นตัวอย่าง คือ เมื่อก่อนจะชอบกินน้ำอัดลม แล้วพอมาช่วงชาเขียวฮิตผมก็ไม่ค่อยได้กินน้ำอัดลมแล้ว แต่พอตอนนี้กระแสชาเขียวเริ่มซา เวลาผมสั่งน้ำขวดผมจะกลับมาสั่งเป็บซี่เหมือนเมื่อก่อน  :D เมื่อ: 2006-11-10T14:15:56+00:00 2 dogs: คงไม่มีโอกาสได้รวยกับน้ำอัดลม เพราะไม่ชอบดื่มเลยไม่รู้ว่า มันจะขายได้ยังไง  tropicana ใช่ยี่ห้อเดียวกับที่ขายใน US ไหมครับ แล้วรสชาติเหมือนกันไหม เมื่อ: 2006-11-10T14:27:34+00:00 nott: เพิ่มเติมอีกนิดครับ ปีนี้อาจจะไม่ดีเพราะปัญหาน้ำถ่วมก็ได้ทำให้ยอดขายลดและยอดขายลดลงซึ่งยังขึ้นกับพื้นที่ที่น้ำถ่วมว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นตลาดมากไหม แต่คิดว่ากระทบประมาณอย่างมากก็ 3 เดือนและพื้นที่ที่กระทบคงไม่มากเท่าไหร่ อีกอย่างหน้าหนาวเมืองไทย ผมว่าคงจะไม่ค่อยหนาวแล้ว มีแต่ร้อนขึ้นๆ เมื่อ: 2006-11-10T14:44:19+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนพี่ครรชิตช่วยส่งให้ด้วยครับ man_ie01: รบกวนพี่ครรชิตช่วยส่งให้ด้วยครับ [email protected] (manแล้วขีดล่างie ศูนย์หนึ่ง นะครับพี่) หรือที่ [email protected] ขอบพระคุณครับ เมื่อ: 2005-10-05T17:05:29+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
เวลาหุ้นตกแบบนี้ทำอย่างไรดี???? ลูกเต่า: คัดลอกมาจาก facebook 10000 Li of Life ครับ หวังว่าคงมีประโยชน์บ้างครับ ตลาดหุ้นแบบนี้ไม่เจอกันซะนานเลย ขอแนะนำเพื่อนนักลงทุนแบบนี้ครับ 1. เงินสด ยามนี้เป็นของดี เก็บไว้ใช้อย่างช้า ๆ นะครับ อย่ารีบ 2. หุ้นเน่า ถ้ายังขาดทุนไม่มาก ก็ขายทิ้งก่อนครับ อย่าเสียดายขาดทุน รักษาบาดแผลไว้ก่อน เพื่อรักษาชีวิต หุ้นที่สภาพคล่องน้อย พื้นฐานไม่ดี ตอนตลาดดี มันจะทำกำไรให้คุณมหาศาล แต่เมื่อยามใด ตลาดซบเซา ความจริงก็จะปรากฏ 3. หุ้นดี ให้ดู valuation ถ้าราคาอยู่ในช่วงถือ ก็ให้ถือ อย่าขายเพราะตลาดหุ้นมากดดันเรา ถ้าอยู่ในช่วงซื้อ ก็ให้ค่อย ๆ ซื้อ ซื้อแล้วก็อย่ากลัวว่ามันจะหล่นอีก เพราะกำไรในอนาคตอยู่ที่ valuation ทีเราซื้อในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ราคาตลาดในวันนี้ครับ 4. สติ อันนี้สำคัญกว่าสตางค์เสียอีก ขอให้รักษามันไว้ให้ดีที่สุดครับ คำถามคือ อะไรคือหุ้นเน่า อะไรคือหุ้นดี หุ้นเน่าคือหุ้นที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว ซื้อด้วยความโลภ หุ้นดี คือหุ้นที่เราเข้าใจมันอย่างทะลุปรุโปร่งครับ ตั้งใจทำงาน เอาเงินมาค่อย ๆ ออมในหุ้นคุณภาพดีราคาเหมาะสมครับ ที่แล้วไปแล้วก็ปล่อยมันไปครับ ^^ เมื่อ: 2013-06-13T05:34:56+00:00 patongpa: เป้นความคิดที่ดี เมื่อ: 2013-06-13T11:47:35+00:00 lb: ซื้อ และก็ซื้อ ใน หุ้นที่เราศึกษา และมั่นใจกับหุ้นตัวนั้นครับ แต่ทยอยซื้อ ไม่ใช่ซื้อครั้งเดียวเพราะ ถูกแล้วอาจจะมีถูกกว่าอีก (แบ่งซื้อให้ได้สัก 5 วัน ในราคาที่ไต่ระดับลง ไม่ใช่ซื้อราคาเดียวกัน ) เมื่อถึงจุดที่หุ้นนิ่ง หมดแรงขาย และในวันทำการถัดไป หากหุ้นไม่มีท่าทีจะลง ให้เคาะซื้อไม้สุดท้ายหนัก ๆ ได้แล้วครับ แล้ว ก็หยุดนั่งดูผลประกอบการบริษัทต่อไปครับ ไม่ต้องสนใจราคาหุ้นอีก หากหุ้นขึ้นในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องสนใจ รอขายในราคาที่เราคิดว่าแพง และไม่ได้ซื้อ นั่นคือราคาขายครับ ( ปกติประมาณ + มากกว่า 30 % จึงทยอยขายออก ) ทั้งนี้ท่านต้องศึกษาหุ้นตัวนั้นแล้วว่า ไม่ว่าราคาหุ้นจะลงไปอย่างไร ตัวกิจการก็ยังต้องสามารถโตและปันผลได้ต่อเนื่อง หรือมีโอกาสกลับมาโตได้แน่ ข้อคิดเห็น ข้างต้นเป็นสิ่งที่ทำมาตลอดครับ แต่ก็ไม่ได้ทำกำไรให้มากมาย เพราะบางครั้งหุ้นตัวนั้นเราซื้อได้น้อย ราคาหุ้นก็เด้งกลับไปแล้ว แม้หุ้นจะถูกเราก็ไม่ได้ซื้อครั้งละมาก ๆ เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นมันตกจะตกกี่วัน (จึงแบ่งซื้อ) จึงซื้อหุ้นได้น้อยในแต่ละวัน เพื่อหวังจะมีเงินซื้อในราคาที่ถูกลงไปอีก และก็ไม่ได้ซื้อตัวเดียว มีตั้ง6 - 7 หุ้นที่เราศึกษาแล้วว่าน่าสนใจ / 555 ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ซ์ื้อ ใหม่ 2 ตัว ของเก่าซื้อเพิ่มอีก 4 ตัว ซื้อวันแรก 11/06 ซื้อได้ สี่หมื่นเศษ 12/06 ซื้อได้แปดหมื่นเศษ 13/06 ซื้อได้แสนเศษ 14/06 น่าจะได้แค่สองหมื่นเศษ ออร์เดอร์ที่เหลือคงไม่ได้แน่แล้ว ตัวอย่าง ตัวหนึ่ง " สิ่งที่ ศึกษา และตามดูมานานพอสมควร คือ ธุรกิจเดินเรือ ดัชนีค่าระวางเรือ ได้ปรับขึ้นมาหลายวันติดต่อกัน แล้วนะครับ และก็มีหุ้นตัวหนึ่งที่ราคาหุ้นถูกอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน หากเศรษฐกิจสหรัฐ และยุโรป ดีขึ้น ธุรกิจเดินเรือ จะกลับมาโตได้อีกครั้งแน่นอน เลยเริ่มตั้งซื้อ แต่ซื้อได้น้อยมาก เพราะเพิ่งซื้อเมื่อ 13/06 หุ้นก็กลับแล้ว คงต้องรอโอกาศต่อไป ในราคาที่ทยอยตั้งซื้อ " ขอให้โชคดี ศึกษาถูกตัว มีกำไร ทุกท่านครับ เมื่อ: 2013-06-14T06:18:43+00:00 dome@perth: ตั้งซื้อหุ้นบริษัทที่อยากได้ ในราคาต่ำกว่าเราประเมินได้มากๆเว่อๆๆๆเข้าไว้ ....แล้วก็ ไปขับรถเที่ยว หาอาหารอร่อยๆทานครับ ตลาดปิดแล้วค่อยมาดึงเบ็ดที่วางไว้ ได้ปลาตัวนั้นไหม เมื่อ: 2013-06-14T08:24:01+00:00 ส.สลึง: ปรับพอร์ตไปก่อนหุ้นจะลงหลายวัน เสียดาย เพราะถ้าผมไม่มือบอน คือเลือกอยู่เฉยๆ ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ พอร์ตของผมจะ new high ทันทีเลย แต่คิดว่าเป็นแค่ชั่วคราวนะครับ ดูไว้ลุ้นสนุกๆ รอดูงบ q2-q3 ดีกว่า ทีนี้ ของจริงแล้วครับ เมื่อ: 2013-06-15T00:30:57+00:00 putai: ขายหมดก่อนตลาดตกแล้ว. ตั้งใจไว้ว่าให้ตกไปประมาณ 1เดือนค่อนพิจารณาเข้าซื้อ แต่ก็มือซนเข้าก่อนจนได้ ไม่รู้จะแก้อย่างไร เมื่อ: 2013-06-15T02:24:07+00:00 OutOfMyMind: สำหรับผมนะ สิ่งที่ควรทำควรเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งยามหุ้นขึ้นและยามหุ้นตกครับ เมื่อ: 2013-06-15T14:57:43+00:00 CARPENTER: ดูหนังสิ โดยเฉพาะคนที่ไม่ดูหนังมานานๆ มีหนังเยอะเลยที่ยังไม่ได้ดู ผมก็เลยเช่ามาดูเกือบทุกวัน ส่วนมากดูไม่จบเรื่อง ไม่สนุกนะ life of pi อยากดูมาก ดูแล้วไม่สนุก ไม่ประทับใจ แม้ ภาพจะสวยและตื่นตามาก ส่วนมากพยายามดูแล้วก็ยังดูไม่จบเรื่อง Les Miserables 2012 เป็นหนังเยี่ยมยอดจริงๆ มีพลังมาก เพลงสุดยอด ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้ เดิมไม่คิดจะดูเพราะรู้เนื้อเรื่องมาแล้ว ใครไม่เคยดู ก็ดูซะเหอะ นางเอกสวยมาก anne hathaway อีกเรื่อง ก็ Django Unchained ดีเกือบเท่า pulp fiction เลย สนุกมาก เมื่อ: 2013-06-16T18:39:55+00:00 PLUSLOVE: dome@perth เขียน:ตั้งซื้อหุ้นบริษัทที่อยากได้ ในราคาต่ำกว่าเราประเมินได้มากๆเว่อๆๆๆเข้าไว้ ....แล้วก็ ไปขับรถเที่ยว หาอาหารอร่อยๆทานครับ ตลาดปิดแล้วค่อยมาดึงเบ็ดที่วางไว้ ได้ปลาตัวนั้นไหม +1เยี่ยมครับ คุณโดม แบบนี้เรียกว่า ต่อราคากันแบบ ฝุดๆ ใช่ไหมครับ ในยามนี้ คนมีเงินสดได้เปรียบคนมีหุ้นจริงๆ คนมีเงินไม่ซื้อแพงกว่ามูลค่ายุติธรรม ไม่เคาะขวา ไม่เฝ้าจอ บางท่านดูหนังฟังเพลง บางท่านออกไปเที่ยว บางท่านดื่มวีต้า แล้วก้เข้านอน บางท่านก้ไปเข้าวัด บางท่านนั่งเล่นDOTA บางท่านไปลงอ่าง รอคนมีหุ้น เททิ้งอย่างเดียว แล้วลงไปเก็บ เป็นยุคที่ยากลำบากสำหรับพ่อค้าขิมจีน เพราะทุกคนต่อราคาชนิดเข้าเนื้อต้นทุนยังไม่ได้ แต่ถ้าพ่อค้าขิมจีนร้อนเงิน หรือ ขี้ตกใจ ยังไงได้ขายขาดทุนแน่ครับ เมื่อ: 2013-06-17T00:55:25+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
วันจันทร์จะมีใครไปประชุมผู้ถือหุ้น CMO ไหมครับ duang: ที่ไฮแอท เอราวัณ ไม่รู้ในนี้มีใครถือหุ้นบ้างไหมครับ เมื่อ: 2006-03-30T01:46:55+00:00 ลุงขวด: ไม่มีคนตอบเรื่องนี้ เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ไป  ผมก็ไม่ได้ไปเหมือนกัน แต่ เจาะทางสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย หรือ TIA มีรายงานดังนี้- บริษัท : CM ORGANIZER PUBLIC COMPANY LIMITED   ผู้ประเมิน :   ประเมินวันที่ : 3 เมษายน 2549 เอกสารวาระการประชุม :   ประชุมวันที่ 3 เมษายน 2549 เวลา 10.00 น.   สถานที่ : โรงแรม แกรน ไฮแอท เอราวัณ เริ่มประชุมเวลา 10.00 น.  1.) ผู้เข้าร่วมประชุม 64 ราย  จำนวนหุ้น : 101,535,110 หุ้น  คิดเป็นร้อยละ : 67.69 ของทุนจดทะเบียน  โดยมี : (ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม)  2.) มติที่ประชุมในวาระต่าง ๆ  วาระที่ 1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญประจำปี 2548 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2548  ประเด็นที่มีการหารือ  -  กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  ไม่มีผู้คัดค้าน ถือว่ารับรอง วาระที่ 2  พิจารณารับรองรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปีที่ผ่านมา  ประเด็นที่มีการหารือ  -    กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  ชี้แจงผลกำไรที่ลดลง 48% จาก เหตุการณ์สึนามิ จึงเพิ่มจำนวนผลผลิต ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 28% และชี้แจงถึงโครงการในปี 2549   วาระที่ 3  พิจารณาและอนุมัติบัญชีงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของบริษัทที่ผู้สอบบัญชีได้ตรวจสอบแล้ว  ประเด็นที่มีการหารือ  -    กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์      ความเห็นเพิ่มเติม  เนื่องจากไตรมาสที่ 1 ขาดทุน 9 ล้านบาทและต้นทุนเพิ่มขึ้น ไตรมาสที่ 1 ปี 2549 แนวโน้มยอดขายจะสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นต่างเสนอถามอนุมัติก่อน   วาระที่ 4  พิจารณาและอนุมัติเรื่องจ่ายเงินปันผล  ประเด็นที่มีการหารือ  -  กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  79% อัตราการจ่ายปันผล นโยบาย 40% ลดลงจากปีที่แล้วเนื่องจากกำไรลดลง วาระที่ 5  พิจารณาและแต่งตั้งกรรมการใหม่ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนกรรมการเดิม  ประเด็นที่มีการหารือ  -  กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  รับรอง วาระที่ 6  พิจารณาและอนุมัติค่าตอบแทนกรรมการบริษัท  ประเด็นที่มีการหารือ  -  กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  ผู้ถือหุ้นถามว่าค่าตอบแทนกรรมการในปีที่แล้ว (2548) ใช้ไป 2.2 ล้าน วาระที่ 7  พิจารณาและแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของบริษัทและกำหนดค่าตอบแทนของผู้สอบบัญชี  ประเด็นที่มีการหารือ  -  กรณีที่มีการออกเสียง  เห็นด้วย 100  เสียง/เปอร์เซ็นต์    ไม่เห็นด้วย -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  งดออกเสียง -  เสียง/เปอร์เซ็นต์  ความเห็นเพิ่มเติม  อนุมัติ วาระที่ 8  เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)  ประเด็นที่มีการหารือ  มีผู้ถือหุ้นเสนอช่องทางการตลาดให้บริษัทนำไปพิจารณา เสนอให้ลงรายละเอียดที่สำคัญในหนังสือเชิญประชุม และลงคำถามที่ผู้ถือหุ้นถามในรายงานการประชุมด้วย ส่งหนังสือเชิญผู้ถือหุ้นไปในงาน event ต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้น  กรณีที่มีการออกเสียง 3.) ความเห็นเพิ่มเติมของผู้เข้าร่วมประชุม  มีการแจกใบลงคะแนนในการออกเสียง เมื่อเวลาลงคะแนนตามวาระใช้การสอบถามในที่ประชุมว่า อนุมัติหรือไม่ แทนการลงคะแนนเสียงในใบ ซึ่งในแต่ละวาระไม่มีผู้ถือหุ้นคัดค้าน ............................ ผมมีรายงานของอีกโบรคที่เจาะได้ลึก ดังต่อไปนี้ งานในมือของปี 2549 ช่วง กิจกรรมการตลาด คาดการณ์รายได้(ล้านบาท) 1Q06Hilux Vigo Road Show           10 DHL Asia Facific Conference          15 ตรุษจีนนครสวรรค์                            9 SCG - Power of Innovation            5  Tourist Spot Phase                     4 Michelin Dealer Party                    3 Hua Hin Market Village (Home Pro) 8 Home Pro Expo                         13  Marie France New Presenter         2 2Q06  นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ครองราชย์ 60 ปี     100 Land Rover G4 Challenge                                   10 Hua Hin Jazz festival 2006                                  10 3Q06 ICT Expo 2006                                     50-60 Thai Bank Museum                                            18 4Q06 งานมหกรรมพืชสวนโลก เฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 2549      40-50  จังซีลอน                                                                           32 Home Pro Expo                                                                 10 ลองตามติดกันดู ว่า เป็นอย่างไรตามคาดหรือเปล่า  :lol: เมื่อ: 2006-06-05T00:09:53+00:00 Oatarm: ผมไปชมงานเฉลิมพระเกียรติที่ อิมแพค  ได้คุยกับน้อง ห้องแสดง 6 ซึ่งเป็นฝีมือของ CMO ได้ข้อมูลดิบว่า CMO เป็น Sub Contract รับมาประมาณ 1ใน 3   เช่นเดียวกับ PICO ซึ่งมีผลงานเด่นๆ  ก็คือ น้ำตกที่แสดงภาพได้นะครับ  ใครมีข้อมูล แชร์ หน่อยครับ เมื่อ: 2006-06-05T03:51:42+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
TPIPL + 4 เป็น 34.75 ยินดีกับผู้ถือหุ้นด้วยครับ Jeng: เคยจำได้มีคนวิเคราะห์ว่าน่าซื้อ เมื่อ: 2004-04-01T06:40:33+00:00 Jeng: โห จองตั้ง 37 นะพี่ อย่าเพิ่งแสดงความยินดี ดูมันไปก่อนซักพัก เมื่อ: 2004-04-01T12:15:31+00:00 Jeng: wasnt that you, khun jeng ? congratulations, by the way. TPI is to sell its TPIPL shares to creditors or investors to repay $250M debt. it could mean that there will be no trading between TPIPL's EVA/LDPE unit and TPI's TPIPL shares. I reckon this is very good news for TPIPL. Plus, TPIPL is Prachai's last stronghold. he will be fighting his life away. เมื่อ: 2004-04-01T12:17:19+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
นักลงทุนหันเรดาร์สู่ตลาดชายแดน vichit: รายงาน นักลงทุนหันเรดาร์สู่ตลาดชายแดน ในขณะที่มีความรู้สึกอยากเสี่ยงเกิดขึ้นทั่วโลก   นักลงทุนกำลังเคลื่อนย้ายเงินไปยังตลาดที่เล็กที่สุดและผันผวนที่สุด นอกเหนือจากตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ประเทศเล็กๆตั้งแต่โครเอเชีย ไนจีเรีย จนถึงศรีลังกา กลับมาอยู่บนจอเรด้าร์ของนักลงทุนอีกครั้งหลังจากที่หุ้นของประเทศเหล่านี้พุ่งแรงเมื่อปลายปีที่แล้วและจนถึงขณะนี้ ตลาดชายแดนเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วไม่มีสถานะที่จะเป็นตลาดเกิดใหม่ได้เพราะมีสภาพคล่องหรือมีขนาดเล็กเกินไป  และมีลักษณะเฉพาะมาก ทำให้การแกว่งตัวของราคามีความเสี่ยงและน่าตกใจมากกว่า แต่เนื่องจากตลาดเหล่านี้ดีดตัวทีหลัง   แม้แต่การลงทุนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็มีคนเข้าไปเสี่ยง การดีดตัวของโภคภัณฑ์ก็ทำให้นักลงทุนสนใจในประเทศเล็กๆที่มีโภคภันฑ์นั้นๆ คอนราร์ด ซาลดานา ผู้บริหารบริษัท นิวเบอร์เกอร์ เบอร์แมน อีเมิร์จจิ้ง มาร์เก็ต อีควิตี้ สเตรเตอจี กล่าวว่า เมื่อหนึ่งปีก่อน ตลาดชายแดนถูกตีค่าสูงเกินไป "ในช่วงสูงสุดของวงจร นักลงทุนเข้าไปถือสินทรัพย์ที่เสี่ยงที่สุด แต่ในขณะนี้นักลงทุนจำนวนหนึ่งกำลังมองหาสินทรัพย์ราคาถูก" ตลาดชายแดนมีชื่อเสียงมากในปี  2550จนถึงปี 2551 เมื่อได้ดีดตัวขึ้นในระลอกสุดท้ายของการดีดตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก และเนื่องจากมันพุ่งขึ้นด้วยเปอร์เซนต์สองหลัก หรือแม้กระทั่งสามหลัก ในปี 2550 จึงมีการออกกองทุนผละผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดเหล่านี้มาก และมีการทำตลาดผลิตภัณฑ์และกองทุนประเภทนี้อย่างหนักในฐานะที่มันไม่เกี่ยวข้องกับตลาดอื่นๆ  ซึ่งหมายถึงว่ามันไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดอื่นๆ ทำให้มันเป็นหนทางที่ดีที่จะกระจายพอร์ต แต่เมื่อวิกฤติการเงินในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาบดขยี้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดชายแดนเหล่านี้ มีการเปิดตัวกองทุนใหม่ๆบางตัวทันเวลาที่เกิดระเบิดพอดี อาโย ซาลามี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนในแอฟริกาของบริษัท ดูเอต กรุ๊ป ในลอนดอน กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ มีความเชื่อกันว่า ตลาดชายแดนจะไม่เชื่อมโยงกับตลาดที่พัฒนาแล้วอีกครั้ง และในขณะนี้เขากำลังซื้อหุ้นบริษัทอุปโภคบริโภคในไนจีเรีย เคนยา ไอวอรีโคสต์ และบอตสวานา "เศรษฐกิจจะขับเคลื่อนตลาดในทิศทางที่แตกต่าง นักลงทุนกำลังเริ่มตื่นตัวต่อเรื่องนี้" ซาลามี กล่าว ดัชนีตลาดชายแดนของเอ็มเอสซีไอ ซึ่งประกอบด้วยหุ้น จาก 25 ประเทศ พุ่งสูงสุดในเดือนมกราคม 2551 จากนั้นตกอย่างรุนแรง 69% ภายในต้นเดือนมีนาคม 2552 นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีพุ่งขึ้น 51% ในขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 พุ่งสูงสุดจนถึงดิ่งลงต่ำสุดน้อยกว่า โดยดิ่งลง 57% จาก ช่วงที่พุ่งสูงสุดในเดือนตุลาคม 2550 และพุ่งสูงสุดจากระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคม 39% บริษัทฟรอนทัวรา แคปิตอล ซึ่งบริหารกองทุนตลาดชายแดน ประเมินว่า กองทุนตลาดชายแดนกำลังพุ่งขึ้น 26% สำหรับปีนี้ ทำให้มันกลับมาสู่ระดับของต้นเดือนตุลาคม 2551 ซาลดานากล่าวว่า  เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน  ธนาคารไนจีเรียซื้อขายที่ประมาณ  8 เท่าของมูลค่าตามบัญชีแต่ในขณะนี้มีการซื้อขายในราคาตามบัญชี ในขณะนี้พอร์ตลงทุนของเขามีการลงทุนในตลาดชายแดนประมาณ 2.5% เพิ่มจาก ศูนย์เปอร์เซนต์เมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน  โดยการลงทุนส่วนหนึ่งผ่านหลักทรัพย์ที่มีการจดทะเบียน เช่น หุ้นเอดีอาร์ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่เป็นตัวแทนหุ้นบริษัทต่างชาติแต่เทรดในตลาดอเมริกา  และหุ้นจีดีอาร์  ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ของบริษัทต่างชาติที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ ลอเรนซ์   สปีเดลล์  ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าฝ่ายการลงทุนของฟรอนเทียร์  มาร์เก็ตส์ แอสเซ็ต    แมเนจเมนต์   มองเห็นการลงทุนที่ดีในระเทศอย่างไอวอรี่โคสต์   แซมเบีย และสโลเวเนีย โดยกล่าวว่า แซมเบียมีทองแดงมาก และราคาทองแดงที่กำลังเพิ่มขึ้นอาจช่วยกระตุ้นให้หุ้นแซมเบียพุ่งขึ้นได้         นอกจากนี้หุ้นแซมเบียยังมีการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนกับหุ้นในประเทศผู้ผลิตทองแดงรายอื่นๆ ในขณะที่โภคภัณฑ์เป็นแรงขับเคลื่อนในตลาดชายแดนหลายๆแห่ง แนวโน้มการเติบโตภายในประเทศในระยะยาวก็เป็นตัวหนุนเช่นกัน สปีเดลล์ กล่าวว่า "ในระยะยาวจะมีการบรรจบเข้าหากันของรายได้ เทคโนโลยี มาตรฐานความเป็นอยู่ และต้นทุนแรงงาน" (เรียบเรียงจากวอลล์สตรีท เจอร์นัล) ----------------------- http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/sea ... ?cid=27815 วันที่ 10 มิ.ย. 2552 แสดงข่าวมาแล้ว -1วัน 12ช.ม. 42นาที เมื่อ: 2009-06-10T01:44:24+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
รบกวนถามเรื่อง ROIC กับ ROA ครับ tidy: เราสามารถอนุมาน ROIC จาก ROA ได้หรือไม่ครับ ถ้าไม่ได้ควรดูอัตราส่วนใดประกอบกับ ROA เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น หรือต้องคำนวณตามสูตรอย่างเดียว (= NOPAT/invested capital) ขอบคุณครับ เมื่อ: 2011-09-21T09:57:49+00:00 navapon: ผมว่า roic ใกล้เคยงกับ roe มากกว่านะ ปกติผมไม่ได้ใช้ค่านี้ เพราะดูภาพรวมมากกว่า แค่ roa กับ roe ก็พอแล้ว แต่ถ้าจะดูลึกๆขึ้นใช้ roic ก็ดีครับ เมื่อ: 2011-09-22T06:31:45+00:00 send: ผมคิดว่าการใช้แทนกันอาจไม่เหมาะเท่าไหร่ครับ เพราะบางธุรกิจอาจมี เจ้าหนี้การค้าสูงครับ ซึ่งจะทำให้ ROIC มากกว่า ROA อย่างมาก ลองดูอย่าง CPALL ก็ได้ครับ เมื่อ: 2011-09-24T04:45:41+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ถามเกี่ยวกับค่า BDI boom: เข้าไปดูใน Invesmenttool.com  ค่า BDI หลายค่า ตามรายการสินค้า แล้วค่า ที่ใช้เป็นค่ากลางมีหรือไม่ สามารถดูรายวันได้ที่ใด เมื่อ: 2006-01-26T15:26:55+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
อยากทราบผลกระทบของ Trading sign กับหุ้น ISUZU: H NP SP CM XR XM ฯลฯ ว่ามีทั้งหมดกี่ตัว แต่ละตัวใช้ตอนไหน และจะส่งผลกระทบ กับหุ้นในแง่บวกหรือลบ... เมื่อ: 2007-01-23T04:59:15+00:00 woody: http://www.set.or.th/th/education/inves ... ry_pa.html FYI kub เมื่อ: 2007-01-23T06:22:57+00:00 ISUZU: ขอบคุณมากครับพี่ Woody จะหาเวลานั่งอ่านครับ... เมื่อ: 2007-01-23T11:07:30+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
cp7-11 kriser: ผมอ่าน เกี่ยวกับนโยบายปันผลของ Cp7-11 แล้วงง อะครับ เกี่ยวกับนโยบายหุ้นปันผลอะครับ สรุปแล้วมันยังไงกันแน่อะครับ เมื่อ: 2005-03-03T02:40:51+00:00 นอกกรอบ: สรุปว่า หุ้นเพิ่ม 10 เท่า แล้ว ราคาก็น่าจะลดลง 10เท่า น่ะครับ เมื่อ: 2005-03-03T02:49:40+00:00 ต.หยวนเปียว: บริษัทต้องการเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น เพื่อให้มีคุณสมบัติเข้าไปอยู่ในSET50 อ่านจากโพสต์ทูเดย์เมื่อเช้า เมื่อ: 2005-03-03T02:52:44+00:00 harry: เพิ่มหุ้นเป็นสองเท่า แล้วแตกพาร์จาก 5 เป็น 1 ครับ เมื่อ: 2005-03-03T03:16:46+00:00 thaweesak: แล้วน่าลงทุนไหมครับ เมื่อ: 2005-03-03T04:22:09+00:00 Willpower: ผมว่ามันทำตัวแปลก แต่ตอนไปฟังงาน เซ็ทอินเดอะ ซิตี้ อาจารย์นิเวศ ใบ้ไว้ เลยซื้อไว้ แต่นิดเดียวตอนนั้นไม่มีเงิน แต่ก็กำไร อาจารย์บอกว่ามันมีอำนาจต่อรองสูงหนะ เจ๊งยากมาก แต่ผมว่ามันไม่ค่อย efficient หวะ เมื่อ: 2005-03-03T06:14:11+00:00 Willpower: อืม น่าจะไดลูทเยอะหนะแต่เซียน ๆ ชอบ พุ่งดี ตัวเล็ก ๆ แต่ผมชอบจ่ายเงินสดมากกว่าหนะ หรือไม่ต้องจ่ายก็ได้ เอาไปบริหารให้เจ๋ง ๆ หนะ เมื่อ: 2005-03-03T06:15:53+00:00 Patt: นักวิเคราะห์ เขาว่าไม่ dilute นะคะ (ทีแรกก็คิดงั้นเหมือนกัน) เพราะเค้าไม่ได้เพิ่มทุน และหุ้นที่แจกเพิ่ม ก็ให้ผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมด ผู้ถือหุ้นก็จะได้ผลประโยชน์เท่าเดิม แต่มีจำนวนหุ้นมากขึ้น บริษัทฯ แค่ต้องการให้มีปริมาณหุ้นในตลาดจำนวนมากขึ้น จะได้มีสภาพคล่องสูงขึ้น อย่างคุณ ต.หยวนเปียวว่าน่ะค่ะ เมื่อ: 2005-03-03T08:19:17+00:00 ch_army: เอมันไม่เท่ากับแตกพาร์หรือครับ ไอ้ปันผลเดป็นหุ้นเนี่ยมันน่าคือกันะครับแตกว่า ไม่ได้เครดิตภาษีหรือเปล่า เมื่อ: 2005-03-03T12:31:00+00:00 zolomon: คงทำเพื่อเพิ่มความมันส์ในการเทรดมั๊ง และจะได้เข้าใน set 50 ได้ เพราะที่ผ่านมาถ้าใครลองดูการ bid จะเห็นว่าค่อนข้างฝีด ๆ เทรดกันวันละไม่เท่าไหร่ ตอนนี้จำนวนหุ้นก็น่าจะเพิ่มเป็นสิบเท่าพอดี เมื่อ: 2005-03-03T14:11:03+00:00 Kao: ch_army เขียน:เอมันไม่เท่ากับแตกพาร์หรือครับ ไอ้ปันผลเดป็นหุ้นเนี่ยมันน่าคือกันะครับแตกว่า ไม่ได้เครดิตภาษีหรือเปล่า การแตกพาร์ไม่ได้ทำให้ส่วนทุนเปลี่ยนแปลง เพียงแต่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ราคาต่อหุ้นลดลง ทำให้นักลงทุนรายย่อยซื้อได้ง่ายขึ้น ปันผลเป็นหุ้นทำให้ส่วนทุนเพิ่มขึ้น ROEจะลดลง ขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่าจะสามารถนำเงินไปลงทุนให้ได้กำไรมากน้อยแค่ไหน และจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและได้รับเครดิตภาษีเหมือนกับการปันผลเป็นเงินสด ถ้าบริษัทนำกำไรที่เสียภาษีมาจ่ายปันผลเป็นหุ้น เมื่อ: 2005-03-04T04:46:45+00:00 Dexter: ปันผลเป็นหุ้นอย่างนี้หมายความว่า ถ้าเดิมผมมีอยู่ 20000 หุ้น แล้วขายไปทั้งหมดในวัน XD ผมจะมีหุ้นเท่าเดิม 20000 หุ้นหรือป่าวคับ เพราะเราได้ปันผลเป็นหุ้นมาในอัตรา 1 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ งง กลัวโดนหลอกคับ ผมคิดไม่เป็นน่ะคับ แล้วราคาจะ dilute หรือไม่ เราต้องเสียตังค์ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีกหรือป่าวคับ ขอบคุณคับ เมื่อ: 2005-03-06T14:37:49+00:00 JoJotaro: ปันผลเป็นหุ้น ถ้าขายในวัน XD แล้วอีกสักระยะจะมีหุ้นอีก 20000 หุ้นโอนเข้ามาใน port ส่วน dilute นั้นไม่ dilute ครับ ส่วนราคาตามทฤษฎี ต้อง หาร 2 เมื่อ: 2005-03-07T10:35:31+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ราคาหุ้น RAM วันนี้ บ่งบอกอะไรบ้างหรือเปล่าครับ JoJotaro: ท่านอื่นๆ เห็นราคาปิดวันนี้ไหมครับ คนซื้อไม้ใหญ่ๆ กล้าจัง หรือจะเป็นคนที่จะเข้ามาถือใหม่ ปล. สวัสดีครับ คุณ hot คุณ hot ว่าไงบ้างครับ เมื่อ: 2004-09-01T13:01:03+00:00 สามัญชน: เป็นไปได้ครับ หรืออาจจะมี inside อะไรที่รายย่อยไม่รู้ก็ได้ครับ เมื่อ: 2004-09-01T13:26:29+00:00 ktp: "หรือจะเป็นคนที่จะเข้ามาถือใหม่ " ผมสนใจตรงนี้นะครับคุณ Big ว่าอาจจะเป็นไปได้ เมื่อ: 2004-09-02T00:30:00+00:00 TOMOKI: เจอเพื่อนเก่าหลายคนเลย นึกว่าหายไปไหนกัน เมื่อ: 2004-09-02T00:44:47+00:00 ktp: ถ้าย้อนไปดูเมื่อปีที่แล้ว RAM ประกาศปันผลระหว่างกาลงวด 6 เดืิอน ในเดือนกันยายนนะึครับ เมื่อ: 2004-09-02T01:29:21+00:00 ktp: ข่าวลือ ไม่มีกรองครับ กรุณาใช้สติในการรับชมไม่งั้นจะเสียสตังค์ได้ ประมาณว่ามีคนมาขอเทคโอเวอร์น่ะครับ แว่วๆ ว่าสิงคโปร์หรือเปล่าไม่ทราบ ก็...รู้สึกพี่สิงค์แกซื้อแบงค์กะโรงบาลไปตุนไว้หลายแห่งแล้วไม่รู้จะมาเหล่อันนี้ด้วยป่าว เช็คข่าวกันต่อ รอฟังอยู่เหมือนกันครับ เมื่อ: 2004-09-02T16:19:05+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }
ประกาศสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม Company Visit ปี 65 Thai VI ComVisit: เนื่องด้วยทางสมาคมฯ มีนโยบายที่จะมอบสิทธิ์ประโยชน์เพิ่มเติม ให้กับสมาชิกที่สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนของเว็บบอร์ด ทางทีม Company Visit จึงนำนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้ โดยให้สิทธิ์ CV กับสมาชิกที่มียอด posts และ upvotes ในปี 2564 ดังนี้ 1. สมาชิกที่มียอด posts และ upvotes ***มากที่สุด 60 อันดับแรก จะได้รับสิทธิ์จอง CV 9 สิทธิ์ 2. สมาชิกทั่วไป จะได้รับสิทธิ์จอง CV 6 สิทธิ์ โดยการคำนวณยอด post และ like คำนวณดังนี้ 1. คำนวณจากการโพสที่เกิดขึ้นตลอดปี 2564 2. ให้น้ำหนักจำนวน upvotes มากกว่าจำนวน posts และไม่นำ downvotes มาคำนวณ 3. ตัดรายชื่อสมาชิกที่ไม่ต่ออายุสมาชิกออก (สมาชิกสามารถตรวจสอบ รายชื่อของสมาชิก 60 อันดับแรก ได้ตามตารางด้านล่างนี้) จึงเรียนมาเพื่อทราบ ทีมงาน Company Visit เมื่อ: 2022-01-21T05:30:27+00:00 Thai VI ComVisit: รายละเอียดเพิ่มเติม 1. สมาชิกสามารถ cancel การ CV ได้โดยการ PM มาที่ Thai VI ComVisit เท่านั้น 2. กรณีที่สมาชิก cancel การไป CV หลังกำหนด สมาชิกจะเสียสิทธิ์การ CV 1 ครั้ง (ใช้สิทธิ์ 1 ครั้งเหมือนกับคนไป CV ตามปกติ) 3. กรณีที่สมาชิก no show โดยไม่มีการแจ้ง cancel สมาชิกจะเสียสิทธิ์การ CV 2 ครั้ง 4. กรณีที่เดินทางไปกับรถตู้ของสมาคม และ cancel หลังกำหนด สมาชิกจะเสียสิทธิ์การ CV 3 ครั้ง 5. กรณีที่เดินทางไปกับรถตู้ของสมาคม และ no show สมาชิกจะเสียสิทธิ์การ CV ตลอดอายุสมาชิกที่เหลือ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ทีมงาน Company Visit เมื่อ: 2022-01-21T05:32:25+00:00
{ "license": "CC BY 4.0 License", "src": "airesearch/CMDF_VISTEC", "subset": "dataset.kaohoon" }