ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
3 values
Instruction
stringlengths
11
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
45
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Finance_4153
Finance
อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐ ยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอะไร
ยูโอบีเผยกลยุทธ์การลงทุน ช่วยลูกค้ารับมือกับความผันผวนของตลาดในปี 2566 ​ ยูโอบี ประเทศไทย จัดงานสัมมนาการลงทุนประจำปีเพื่อเผยกลยุทธ์และข้อมูลด้านการลงทุน เชิงลึกประจำปี 2566 ให้แก่ลูกค้า ซึ่งกลยุทธ์ที่ทางธนาคารแนะนำ ได้แก่ การลงทุนในธุรกิจการเงินของสหรัฐฯ แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของ ชนชั้นกลางในเอเชียส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลก และโครงสร้างของ Global Healthcare เช่น เทคโนโลยีด้านสุขภาพในระยะยาว งานสัมมนายังกล่าวถึงการที่เศรษฐกินในภูมิภาคเอเชียเริ่มที่จะไม่ต้องพึ่งพาประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการลงทุน ยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ Head of Personal Financial Services ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า "ในปี 2565 เราประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั่วโลก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตลาดจะต้องปรับฐาน และในปี 2566 นี้ เราคาดว่าความผันผวนจะยังคงดำเนินต่อไป ธนาคารยูโอบี มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกค้าของเราให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ ด้วยการให้ข้อมูลและกลยุทธ์การลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจในอนาคตทางการเงินอย่างชาญฉลาด" อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐยังคงเป็นทางเลือกในการลงทุนที่แข็งแกร่งแม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายระยะสั้น อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กลุ่มธนาคารได้เปรียบในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิและรายได้โดยรวมของธนาคาร แม้ว่าจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แต่ธนาคารยังคงเป็นธุรกิจหลักที่มีความท้าทาย เนื่องจากธนาคารดิจิทัลค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในการแข่งขันกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม สำหรับความท้าทายในระยะสั้น ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายกองทุนที่ลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ การตั้งสำรองหนี้สูญก็จะถูกลดลงเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารในปี 2566 เศรษฐกิจอาเซียนยังคงเติบโตและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ดี แม้จะเห็นสัญญาณชะลอตัวจากประเทศที่พัฒนาแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจในอาเซียน อาจได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่เศรษฐกิจในอาเชียนมีโอกาสเติบโตจากการขยายตัวของชนชั้นกลางในเอเชีย ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการใช้จ่ายของผู้บริโภคทั่วโลก ทำให้อาเซียนมีการพึ่งพาประเทศในตลาดพัฒนาแล้วน้อยลง ระดับมูลค่าหุ้นในอาเซียนมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้การเปิดเศรษฐกิจสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วยังคงสร้างความท้าทายให้กับบริษัทที่ต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออก อุตสาหกรรมด้านสุขภาพทั่วโลกยังคงเป็นโอกาสแก่นักลงทุน ขณะที่เราเข้าสู่ปีที่สี่ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ภาคส่วนการดูแลสุขภาพทั่วโลกยังคงสร้างโอกาสสำหรับนักลงทุน อุตสาหกรรมด้านสุขภาพยังคงส่งผลดีต่อวงจรเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกมองว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่งมากที่สุด นอกจากนี้ ปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่ช่วยให้คำปรึกษาทางการแพทย์ทางไกลด้วยต้นทุนที่ลดลง เป็นสิ่งที่หนุนการเติบโตในอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว ยุทธชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “นักลงทุนต้องตระหนักถึงความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และกระจายพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของธนาคารยูโอบี สามารถให้คำแนะนำด้วยความใส่ใจในทุกเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุน ก่อนการตัดสินใจลงทุนใดๆ นักลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าพวกเขามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนและได้พิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว”
อุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐ ยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่แข็งแกร่ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กลุ่มธนาคารได้เปรียบในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิและรายได้โดยรวมของธนาคาร แม้ว่าจะมีโอกาสเติบโตในระยะยาว แต่ธนาคารยังคงเป็นธุรกิจหลักที่มีความท้าทาย เนื่องจากธนาคารดิจิทัลค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในการแข่งขันกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม สำหรับความท้าทายในระยะสั้น ได้แก่ การตั้งสำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายกองทุนที่ลดลงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ หากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ การตั้งสำรองหนี้สูญก็จะถูกลดลงเช่นกัน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารในปี 2566
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5462
Legal
ถนนในหมู่บ้านจัดสรรต้องกว้างแค่ไหน?
การออกแบบโครงการหมู่บ้านจัดสรร นอกจากตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลางแล้ว ถนนที่ใช้สัญจรภายในหมู่บ้านก็เป็นสิ่งสำคัญ และมีกฎหมายถนนในหมู่บ้านรองรับและกำหนดว่าควรมีขนาดเท่าไหร่ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย กฎหมายถนนในหมู่บ้าน มีอะไรบ้าง กฎหมายถนนในหมู่บ้านแต่ละโครงการจะมีขนาดไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ขนาดโครงการว่ามีจำนวนบ้านกี่หลัง เป็นโครงการเล็กที่ผู้อาศัยไม่หนาแน่น กับโครงการขนาดใหญ่ ก็จะมีขนาดถนนในหมู่บ้านต่างกันดังต่อไปนี้ กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 9 เมตร ซึ่งต้องมีความกว้างของผิวจราจร หรือบริเวณถนนที่รถยนต์วิ่งได้จริง ๆ อย่างน้อย 6 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 12 เมตร มีความกว้างของผิวจราจรขั้นต่ำ 8 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 16 เมตร และผิวจราจรต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 12 เมตร กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าต้องมีขนาดถนนไม่ต่ำกว่า 18 เมตร โดยต้องมีผิวจราจรให้รถวิ่งกว้างอย่างน้อย 13 เมตร มีเกาะกลางถนนคั่นซึ่งต้องกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร และทางเท้า 2 ข้างทาง กว้างข้างละ 2 เมตร ซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการดีไหม ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ ซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการดีไหม ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ ลองมาดู 5 ข้อต้องคิดก่อนซื้อบ้านจัดสรรติดรั้วโครงการ ได้ที่นี่ กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าถนนแต่ละสายต้องมีความยาวจากทางแยกหนึ่งถึงอีกทางแยกหนึ่งไม่เกิน 300 เมตร และไม่ควรให้เป็นแนวตรงยาวเกินกว่า 600 เมตร ถนนที่เป็นถนนปลายตัน ต้องจัดให้มีที่กลับรถทุกระยะ 100 เมตร และที่ปลายตันที่กลับรถต้องมีมาตรฐานแบบใดแบบหนึ่ง กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าถนนสายหลักของหมู่บ้านที่ต้องรับปริมาณการจราจรมาก ต้องมีความลาดชัน และทางเลี้ยวของผิวการจราจรที่สะดวกต่อการขับขี่ยวดยานอย่างปลอดภัย โดยความลาดชันของผิวจราจรทุกจุดต้องไม่เกิน 7 ส่วนต่อทางราบ 100 ส่วน โดยมีทางเลี้ยวหรือทางบรรจบต้องไม่เป็นมุมแหลมเล็กกว่า 60 องศา และในกรณีทางเลี้ยวที่ห่างกันน้อยกว่า 37 เมตร ต้องเป็นมุมป้านไม่ต่ำกว่า 120 องศา กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าจะต้องปาดมุมถนนให้กว้างขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าด้านละ 1 เมตร ถ้าปากทางถนนดังกล่าวเป็นมุมเล็กกว่า 90 องศา จะต้องปาดมุมให้กว้างขึ้นอีกตามความเหมาะสม กฎหมายถนนในหมู่บ้านระบุว่าจะต้องทำเป็นสะพาน ถ้าลำรางสาธารณะ ประโยชน์กว้างต่ำกว่า 3 เมตร จะจัดทำเป็นสะพานหรือสะพานท่อ หรือใช้ท่อลอดโดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 100 เซนติเมตร และหลังท่อลึ
กฎหมายกำหนดขนาดถนนในหมู่บ้านจัดสรรไว้ดังนี้: จำนวนบ้านน้อยกว่า 100 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 9 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 6 เมตร จำนวนบ้าน 100-299 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 12 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 8 เมตร จำนวนบ้าน 300-499 หลัง: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 16 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 12 เมตร จำนวนบ้าน 500 หลังขึ้นไป: ถนนต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 18 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 13 เมตร มีเกาะกลางถนน 1 เมตร และทางเท้าข้างละ 2 เมตร กฎหมายยังกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้ - ถนนแต่ละสายต้องยาวไม่เกิน 300 เมตร และไม่เป็นแนวตรงยาวเกิน 600 เมตร - ถนนปลายตันต้องมีที่กลับรถทุก 100 เมตร - ถนนสายหลักต้องมีความลาดชันและทางเลี้ยวที่ปลอดภัย - ความลาดชันต้องไม่เกิน 7% - มุมเลี้ยวต้องไม่น้อยกว่า 60 องศา - กรณีทางเลี้ยวห่างกันน้อยกว่า 37 เมตร มุมเลี้ยวต้องไม่น้อยกว่า 120 องศา - ปากทางถนนที่มุมแหลม (น้อยกว่า 90 องศา) ต้องปาดมุมกว้างขึ้นด้านละ 1 เมตร - ลำรางสาธารณะที่กว้างไม่เกิน 3 เมตร - ต้องทำเป็นสะพาน สะพานท่อ หรือท่อลอด - ท่อลอดต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 100 ซม. - ท่อลึกลงจากผิวจราจรไม่ต่ำกว่า 80 ซม. - ที่กลับรถต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตัวอย่าง: หมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งมีบ้าน 250 หลัง ถนนในหมู่บ้านต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 16 เมตร ผิวจราจรกว้างอย่างน้อย 12 เมตร เหตุผลที่กฎหมายกำหนดขนาดถนน: เพื่อความปลอดภัยในการจราจร: ถนนที่กว้างพอจะรองรับจำนวนรถที่วิ่งสัญจรได้อย่างปลอดภัย เพื่อความสะดวกในการสัญจร: ถนนที่กว้างพอจะช่วยให้รถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก เพื่อสิ่งแวดล้อม: ถนนที่กว้างพอจะมีพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้ เพื่อความสวยงาม: ถนนที่กว้างพอจะช่วยให้หมู่บ้านดูสวยงาม สรุป: กฎหมายกำหนดขนาดถนนในหมู่บ้านจัดสรรเพื่อความปลอดภัย สะดวก สิ่งแวดล้อม และความสวยงาม ผู้ซื้อบ้านจัดสรรควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับขนาดถนนในหมู่บ้านก่อนตัดสินใจซื้อ
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร อาคารชุด-จัดสรรที่ดินและถมดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43642
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ดีของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายนี้ช่วยให้ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ร้านค้ามีลูกค้ามากขึ้น เศรษฐกิจในชุมชนคึกคัก
null
10,000 บาท: เงินดิจิทัล เปลี่ยนชะตาเศรษฐกิจไทย? ตัวละคร: นลิน: พนักงานออฟฟิศวัย 28 ปี เงินเดือน 20,000 บาท อาศัยอยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ ลุงชัย: พ่อค้าขายของชำวัย 55 ปี อาศัยอยู่ในชุมชน ป้าแก้ว: แม่ค้าขายส้มตำวัย 40 ปี อาศัยอยู่ในชุมชน เนื้อเรื่อง: นลิน สาวออฟฟิศเงินเดือน 20,000 บาท กำลังตื่นเต้นกับนโยบายใหม่ของรัฐบาล "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" เธอหวังว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น ซื้อของใช้ที่จำเป็น และเก็บออมได้มากขึ้น นลินรีบไปเปิดบัญชีกระเป๋าเงินดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารกรุงไทย เมื่อลงทะเบียนเสร็จ เงิน 10,000 บาทก็โอนเข้าบัญชีทันที เธอรีบวางแผนว่าจะใช้เงินนี้ยังไง "เอาเงิน 5,000 บาท ไปซื้อมือถือใหม่ เครื่องเก่าเริ่มช้าแล้ว อีก 3,000 บาท เก็บไว้เผื่อฉุกเฉิน ที่เหลือเอาไปซื้อของใช้จำเป็นในบ้าน" นลินคิด เช้าวันต่อมา: นลินรีบไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อมือถือใหม่ พนักงานขายแนะนำรุ่นใหม่ล่าสุด ราคา 12,000 บาท นลินรู้สึกลังเล เงิน 10,000 บาทของเธอคงไม่พอซื้อ "ลองดูรุ่นอื่นก่อนไหมครับ มีรุ่นที่ราคาถูกกว่า" พนักงานขายแนะนำ นลินตัดสินใจซื้อรุ่นที่ราคา 8,000 บาท เงินที่เหลือเธอเอาไปซื้อของใช้จำเป็นในซุปเปอร์มาร์เก็ต ในชุมชน: ลุงชัย พ่อค้าขายของชำ รู้สึกดีใจกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เขาคิดว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เขาซื้อสินค้ามาขายได้มากขึ้น "เอาเงินไปซื้อของมาสต็อกร้านให้เต็ม เผื่อลูกค้ามาซื้อเยอะๆ" ลุงชัยคิด ลุงชัยไปที่ตลาดสดเพื่อซื้อของมาขาย เขาซื้อผักผลไม้ เนื้อสัตว์ ข้าวสาร ของใช้จำเป็นต่างๆ "เงินดิจิทัลดีจริงนะ ซื้อของสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ" ลุงชัยพูดคุยกับป้าแก้ว แม่ค้าขายส้มตำ ป้าแก้วก็รู้สึกดีใจกับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เธอคิดว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น "เอาเงินไปซื้อวัตถุดิบมาทำส้มตำให้เยอะๆ เผื่อลูกค้ามาทานเยอะๆ" ป้าแก้วคิด ป้าแก้วไปที่ตลาดสดเพื่อซื้อมะละกอ มะเขือเทศ มะนาว น้ำปลา ของใช้จำเป็นต่างๆ ผลลัพธ์: นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ผู้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ร้านค้ามีลูกค้ามากขึ้น เศรษฐกิจในชุมชนคึกคัก
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_44243
Finance
กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมกับ JD.com และ JD Finance ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่ากี่ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค
กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับ JD.com (NASDAQ:JD) บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจาก JD.com และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของ JD.com ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ในการเปิดตัวธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทคในครั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลจะนำความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจค้าปลีก ที่มีเครือข่ายร้านค้า (physical stores network) ที่สมบูรณ์ที่สุด พร้อมรองรับการให้บริการแบบออมนิแชแนล (Omnichannel) และการชำระเงินที่สะดวกขึ้นด้วยทางเลือกที่หลากหลาย รวมถึงใช้แบรนด์และความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า และความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวงการค้าปลีกจากฐานลูกค้า The 1 card มาพลิกโฉมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า รวมไปถึงพัฒนาการเติบโตของกลุ่มเซ็นทรัลในด้านออมนิแชแนลผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่นี้ ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย ด้าน JD.com จะนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และด้านโลจิสติกส์ มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซในครั้งนี้ ส่วนความร่วมมือด้านบริการฟินเทคนั้นจะต่อยอดจากความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีทางการเงินของ JD Finance รวมไปถึงประสบการณ์การพัฒนาบริการฟินเทคที่ง่ายต่อการใช้งานในตลาดใหม่ (Developing Markets), การใช้ AI (Artificial Intelligence), เทคโนโลยีคลาวด์ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ทันสมัย
กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ร่วมกับบริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และ JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคของประเทศจีน ได้ประกาศความร่วมมือด้านการลงทุนมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเปิดตัว 2 ธุรกิจร่วมในประเทศไทยในด้านอีคอมเมิร์ซ และฟินเทค ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ เงินทุนครึ่งหนึ่งจะมาจากกลุ่มเซ็นทรัล และส่วนที่เหลือจะมาจากเจดีดอทคอม และ JD Finance รวมถึง Provident Capital (โพรวิเดนท์ แคปปิตอล) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านกลยุทธ์ของเจดีดอทคอมในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13507
Medical
"กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่" อะไรเป็นสาเหตุหลักของกลุ่มอาการนี้
(a) สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป (b) เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง (c) ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต (d) ทั้งหมดข้างต้น
ข้อที่ถูกต้องคือ (d) ทั้งหมดข้างต้น เพราะว่า เหตุผล: กลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่ เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก: สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป สมองยังจดจำข้อมูลเกี่ยวกับอวัยวะที่สูญเสียไป ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าอวัยวะนั้นยังคงอยู่ เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง กระแสไฟฟ้าจากเส้นประสาทส่วนปลายที่เหลืออยู่ ส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้สมองเข้าใจว่าอวัยวะนั้นยังคงอยู่ ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต ปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเครียด ภาวะซึมเศร้า worsen อาการของกลุ่มอาการนี้ การละเลยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ignoring any one factor อาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หากละเลยสมอง ignoring the brain แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางกายภาพของอาการ หากละเลยเส้นประสาท ignoring the nerves แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางระบบประสาท หากละเลยปัจจัยทางจิตวิทยา ignoring psychological factors แพทย์อาจมองข้ามสาเหตุทางจิตใจ สรุป: การวินิจฉัยกลุ่มอาการความรู้สึกหลอนว่าแขนขายังคงอยู่ requires a comprehensive assessment of all three factors * **สมองส่วนซีรีบรัม** * **เส้นประสาทส่วนปลาย** * **ปัจจัยทางจิตวิทยา** ตัวเลือกอื่น ๆ: (a) สมองส่วนซีรีบรัมมีการจดจำรูปลักษณ์ของแขนขาที่สูญเสียไป แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ (b) เส้นประสาทส่วนปลายของอวัยวะที่สูญเสียไปส่งกระแสไฟฟ้าไปยังสมอง แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ (c) ผู้ป่วยมีความเครียดและมีปัญหาทางสุขภาพจิต แม้จะสำคัญ แต่ปัจจัยนี้เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_3461
Finance
BTSGIF คืออะไร
null
BTSGIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ก่อตั้งโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ภายใต้การสนับสนุนจาก บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จากัด (มหาชน) (ชื่อย่อ คือ BTS ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาก่อนหน้าแล้ว) กองทุนจำาเงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกไปลงทุนใน “รายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานรถไฟฟ้าหลัก 2 สาย (หมอชิต – อ่อนนุช และ สะพานตากสิน – สนามกีฬาแห่งชาติ) มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 23.5 กม.” ซึ่งดำเนินงานภายใต้สัญญาสัมปทานจาก กทม. โดยบริษัทขนส่งมวลชนกรุงเทพ จากัด (มหาชน) (“BTSC”) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ BTS และมีอายุสัมปทานเหลืออีกประมาณ 17 ปี (ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2572) รายได้ค่าโดยสารสุทธิ คือ เงินรายได้ค่าโดยสาร หักด้วย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และรายจ่ายฝ่ายทุน (Capital Expenditure) ซึ่งการเพิ่ม หรือลดลงของรายได้ค่าโดยสารสุทธิในอนาคตอันนี้ จะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในกองทุนกองนี้ BTSGIF เกี่ยวข้องอย่างไรกับ BTS BTSGIF จะซื้อรายได้ค่าโดยสารสุทธิจาก BTSC (บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ) BTS ถือหุ้นใน BTSC อยู่ 97.5% จะเป็นถือหน่วยลงทุนใน BTSGIF ต่อไปอีกจานวน 1/3 ของหน่วยลงทุนทั้งหมด ตามที่กฎหมายหลักทรัพย์อนุญาต โดย BTSC (หรือบริษัทอื่นในเครือ BTS) ยังจะลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนใหม่ๆ และเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง และเป็นผู้ถือสัญญาสัมปทานต่อไป นอกจากนี้ BTS ยังมีธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโฆษณา (VGI) ธุรกิจโรงแรมและบริการ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งมวลชนของส่วนต่อขยาย (และสัญญาเดินรถและซ่อมบำรุง 30 ปี) ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะไม่รวมอยู่ในทรัพย์สินที่กองทุนจะเข้าลงทุนของ BTSGIF
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11557
Medical
ในบางกรณี แพทย์อาจประยุกต์ใช้ยากาบาเพนตินอยด์ (Gabapentinoid) มารักษาอาการโรคต่อไปนี้คือ
ก. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. โรคธาลัสซีเมีย 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ข. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. อาการคลุ้มคลั่ง 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ค. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. โรคไข้หวัดใหญ่ 6. โรคอารมณ์สองขั้ว 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง ง. 1. โรคนอนไม่หลับ 2. โรคไมเกรน 3. อาการหวาดกลัวทางสังคม 4. โรคตื่นตระหนก 5. อาการคลุ้มคลั่ง 6. โรคไต 7. โรคพิษสุราเรื้อรัง
ข้อที่ถูกต้องคือ ข. เนื่องจาก ยากาบาเพนตินอยด์(Gabapentinoid) เป็นกลุ่มยาที่มีโครงสร้างคล้ายกับสารสื่อประสาทของมนุษย์ที่มีชื่อเรียกว่า “กรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริก (Gamma-aminobutyric acid ย่อว่า GABA)” กรดชนิดนี้จะทำหน้าที่ปิดคำสั่งกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง การมีปริมาณกรดแกมมา-อะมิโนบิวทีริกในสมองต่ำเกินไป จะทำให้การปิดกั้นกระแสประสาททำได้ไม่ดีจนเกิดความสัมพันธ์ต่อสภาพอารมณ์และจิตใจจนกระทั่งเป็นเหตุให้มี อาการวิตกกังวล รู้สึกกลัว นอนไม่หลับ เกิดอาการชัก หรือมีอาการปวดอย่างเรื้อรัง การแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวแพทย์ จะสั่งจ่ายยาในกลุ่ม กาบาเพนตินอยด์ ให้กับผู้ป่วยเพื่อช่วยบรรเทาอาการให้กลับมาเป็นปกติ กลุ่มยากาบาเพนตินอยด์มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ทางคลินิกดังนี้ เช่น - รักษาโรคลมชัก - บำบัดภาวะปวดเรื้อรังที่รอยโรคเมื่ออาการโรคหายไปเช่นในโรค งูสวัด - รักษาอาการปวด กล้ามเนื้อ เอ็น และเนื้อเยื่ออ่อน - รักษาอาการวิตกกังวล - รักษากลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข อนึ่ง ในบางกรณี แพทย์อาจประยุกต์ใช้ยากาบาเพนตินอยด์ มารักษาอาการโรคต่อไปนี้คือ - โรคนอนไม่หลับ - โรคไมเกรน - อาการหวาดกลัวทางสังคม - โรคตื่นตระหนก - อาการคลุ้มคลั่ง - โรคอารมณ์สองขั้ว และ - โรคพิษสุราเรื้อรัง
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_42577
Finance
หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยี แบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้อย่างไรบ้าง
หลายท่านอาจสงสัยว่า นี่จะวิกฤตหรือยัง และกำลัง งงงวย กับข่าวต่างๆ ที่ออกมาว่า ตลาดหุ้นตก เพราะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลขึ้นไปสูงไวเกินที่ตลาดคาด และตลาดหุ้นเทคฯ “แพง” และ Trump tweet อะไรบ้าๆ ออกมา จึงเข้า Risk off Mode … ข่าวหรือความเห็นเหล่านั้น มันไม่ผิด แต่มันเป็น “ไก่กับไข่” เพราะแบบนั้นจึงแบบนี้ ไม่ได้บอกเราถึงสาเหตุที่แท้จริง สิ่งที่เป็นสัญญาณ เตือนเรามาตลอดในรอบนี้ มันไม่ใช่ yield curve .. อันนั้นตลาดรู้กันอยู่แล้ว และหุ้นไม่ได้ตกเพียงเพราะมันจะ inverted (เรื่องนี้หลายท่านยังเข้าใจไม่ถูก) และไม่ใช่ yield ขึ้นเร็วกว่าที่คาด เพราะที่วิ่งแรงๆ ปีนี้ มาจากความเชื่อว่าน้ำมันจะกลับมาแพง ส่งผลต่อ yield ค่อนข้างชัด …. สิ่งที่เป็นสัญญาณ ที่ดีมากคือ “ราคาสินทรัพย์” ของ Supply chain กลุ่มเทคโนโลยี ที่ระส่ำมาสักระยะแล้ว จนวันนี้ระเบิดออกมา เกิดอะไรขึ้นกับ Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยี? หุ้น Supply chain ของกลุ่มเทคโนโลยีตั้งแต่กลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำบางตัวได้ปรับตัวลงสวนทางกับดัชนีตั้งแต่ต้นปี จนมาวันนี้เทกระจาดพร้อมกันทั้งโลกไปเลย กลุ่มต้นน้ำหรือกลุ่มวัตถุดิบ เช่น แร่ลิเธียมและโคบอลต์ ทองแดง ได้ปรับตัวลงในไปแล้ว 20-40% หุ้นกลุ่มกลางน้ำในยุคนี้ แกนหลักของมันก็คือกลุ่ม Semiconductors นั่นเองครับ เพราะถูกใช้ในทุกอย่าง หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีแบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้ดังนี้ Fluid management (กลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิพ): Ichor Holdings Equipment (กลุ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิพ): Applied Materials Integrated device manufacturer (กลุ่มผู้ออกแบบ, ผลิต และขายผลิตภัณฑ์): Intel Corporation และ Western Digital Fabless (กลุ่มผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ผลิตเอง): Apple, AMD และ NVIDIA Foundry (กลุ่มรับผลิตอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบ): TSMC และ SMIC Testing and assembly (กลุ่มตรวจสอบและประกอบผลิตภัณฑ์): Amkor Technology และ Teradyne ตามภาพประกอบที่ 1 จะสังเกตได้ว่า 1) หุ้นกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับตัวลงเรื่อยๆ หลังทำระดับสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคมทั้ง Ichor, Applied Materials, Amkor และ Western Digital ในขณะที่ Nasdaq ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ 2) กลุ่มผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าในช่วงปลายน้ำด้วย เช่น Intel ก็อ่อนตัวลงมาแม้ Nasdaq จะยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ 3) ขณะที่กลุ่มปลายน้ำ เช่น กลุ่ม FAANG (ภาพประกอบที่ 2) ก็ยังเหลือเพียง Apple เท่านั้นที่ยังแกว่งอยู่ในช่วงระดับราคาสูงสุดในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มปรับลงมาบ้างแล้ว ถ้าเรามองธุรกิจเทคโนโลยีทั้งกลุ่มเป็นก้อนเดียวกัน หากกลุ่มต้นน้ำ, กลางน้ำ และปลายน้ำ (บางตัว) ได้ออกอาการอ่อนแรง (มาก) ไปบางส่วนแล้ว จะเป็นการแสดงถึงอุปสงค์ (Demand) ของตลาดที่โตไม่ทันราคาของหุ้นหรือไม่ ซึ่ง Demand ที่มีปัญหาในตอนนี้หลักๆ จะเป็น Smartphone และเทคโนโลยีที่เก่าลง โดยเฉพาะในกลุ่ม storage เนื่องจากฝั่ง supply ปรับตัวตามไม่ทัน (โดยเฉพาะบ้านเรา) เท่านี้น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่นักลงทุนอย่างเราจะต้องเฝ้าระวังการปรับตัวของกลุ่มหุ้นที่ร้อนแรงแห่งปีนี้อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ คือหากความต้องการจากผู้บริโภคของเทคปลายน้ำอย่างเช่น Tesla, Apple, Facebook, ยังมีการเติบโตอยู่ ก็ไม่ควรที่ supply chain จะมีอาการราวกับว่ายอดขายจะหายแบบโหดร้ายเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทั้งฝั่งอเมริกาและจีน เรียกว่าตึงตัวสุดๆ ที่จะมีสมาชิกเพิ่ม ลองนึกดูว่า Facebook และ Tencent จะมีสมาชิกเพิ่ม จะต้องทำอย่างไร นอกจากเปิดตลาดจีนและตลาดโลก แลกหมัดกัน พูดถึงเรื่องนี้ก็จะมาถึงอนาคตที่มืดบอดลงของเทคอเมริกา เป็น Tech War กับ EU ซึ่งแน่นอนว่าเป็นข่าวร้ายกับทางอเมริกา ไว้มาเล่าต่อนะครับ ที่มาบทความ:
หุ้นกลุ่มกลางน้ำของกลุ่มเทคโนโลยี แบ่งคร่าวๆ ตามลักษณะธุรกิจได้ดังนี้ - Fluid management (กลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตชิพ): Ichor Holdings - Equipment (กลุ่มอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิพ): Applied Materials - Integrated device manufacturer (กลุ่มผู้ออกแบบ, ผลิต และขายผลิตภัณฑ์): Intel Corporation และ Western Digital - Fabless (กลุ่มผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ผลิตเอง): Apple, AMD และ NVIDIA - Foundry (กลุ่มรับผลิตอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบ): TSMC และ SMIC - Testing and assembly (กลุ่มตรวจสอบและประกอบผลิตภัณฑ์): Amkor Technology และ Teradyne
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_24347
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งปอด?
null
1. ระยะของโรค: ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือระยะของโรคเมื่อได้รับการวินิจฉัย ระยะเริ่มต้น: มะเร็งยังอยู่ในปอด ไม่ได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 50-60% ระยะกลาง: มะเร็งลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง โอกาสรอดชีวิต 5 ปี อยู่ที่ 30-40% ระยะลุกลาม: มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น โอกาสรอดชีวิต 5 ปี น้อยกว่า 10% 2. ชนิดของมะเร็งปอด: มะเร็งปอดมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความไวต่อการรักษาแตกต่างกัน มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก: มักโตเร็ว ตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้ดี แต่มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่สูง มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก: โตช้า ตอบสนองต่อเคมีบำบัดได้น้อยกว่า แต่มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ต่ำ 3. สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง มีโอกาสรอดชีวิตหลังการรักษามากกว่าผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 4. การรักษา: การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของมะเร็งปอด และสุขภาพของผู้ป่วย การผ่าตัด: เป็นวิธีรักษาหลักสำหรับมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น เคมีบำบัด: ใช้ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดทุกระยะ รังสีรักษา: ใช้รังสีฆ่าเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น หรือมะเร็งปอดที่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง การรักษาแบบมุ่งเป้า: ใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับมะเร็งปอดที่มีการกลายพันธุ์ของยีน 5. ผลข้างเคียงจากการรักษา: ผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย 6. การติดตามผล: การติดตามผลหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อตรวจหาสัญญาanการกลับมาเป็นใหม่ของมะเร็ง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27132
Medical
อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มีสาเหตุมาจากอะไร?
ปวดคอ อาการปวดคอเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน เนื่องจากกิจกรรมของคนเราต้องทำในท่านั่ง ทำให้คอต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักจากศีรษะตลอดทั้งวัน รวมทั้งคอยังเป็นอวัยวะที่สามารถเคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง ทั้งก้ม เงย เอียง และหมุน ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้พบปัญหาปวดคอได้ 50% สาเหตุ ลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้อง นั่งทำงานด้วยโต๊ะและเก้าอี้ที่ไม่ได้รัดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย เอียงคอคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำงาน / เล่นคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอนคว่ำหน้าเป็นประจำ หรือเงยคอทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น ภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ อาการข้อเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อจะมีหินปูนมากพอหรือมีโรคข้อบางชนิด เช่น รูมาตอยด์ ก็อาจทำให้ปวดคอได้เช่นกัน ภาวะเครียดทางจิตใจ อาจมีสาเหตุจากหน้าที่การงาน ปัญหาเศรษฐกิจ ครอบครัว การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็งนานผิดปกติ มีอาการปวดคอและศีรษะแถวท้ายทอยได้ อุบัติเหตุบริเวณคอ ภาวะดังกล่าวทำให้คอต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ็นหรือกล้ามเนื้อต้องถูกยืดอย่างมากจนเกิดอาการฉีกขาด เกิดอาการปวดและกล้ามเนื้อหดเกร็งจนเคลื่อนไหวไม่ถนัด หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุรุนแรงอาจมีกระดูกคอหักหรือเคลื่อนที่ได้ สาเหตุอื่นๆ เช่น มีกระดูกคอผิดปกติแต่กำเนิด สายตาผิดปกติ เป็นต้น อาการ ปวดตึงหรือตื้อบริเวณคอ อาจร้าวมาที่บ่า สะบักหรือแขน ในบางรายอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมกับอาการชา เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง การรักษา เมื่อมีอาการปวดคอควรหยุดพัก ประคบคอด้วยความร้อนหรือความเย็นประมาณ 10-20 นาที หรือใช้เครื่องพยุงคอหรือผ้าขนหนูม้วนที่หนาและยาวพอที่จะรับน้ำหนัก พันรอบคอไว้เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวและลดแรงกดจากน้ำหนักของศีรษะ อาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอลหรือแอสไพริน เป็นต้น ถ้าหากว่ารับประทานยา 5-7 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ การป้องกันการปวดคอ จัดท่าในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เช่น ไม่นอนคว่ำเป็นประจำ ระวังและหลีกเลี่ยงอิริยาบถและท่าทางที่ต้องการก้มและเงยคอบ่อย ท่านอน ไม่ควรหนุนหมอนที่แข็งหรือนุ่มเกินไป ควรใช้หมอนหรองที่ใต้ต้นคอให้ใบหน้าขนานกับเตียงพอดี ท่าทางการทำงาน จัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ให้ได้ระดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย โดยให้หลังพิงพนักเก้าอี้ กรณีใช้คอมพิวเตอร์ให้ปรับจอภาพให้อยู่ในระดับสายตา แขนแนบลำตัวและควรวางบนที่วางแขน และระดับเข่าต่ำกว่าระดับสะโพกเล็กน้อย และควรปรับเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ เน้นให้แนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวตรงตลอด การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น อาจทำภายหลังจากประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยให้เนื้อเยื่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้นและบรรเทาอาการปวดด้วย
อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ดังนี้: 1. การเสื่อมสภาพของกระดูกและข้อต่อ: เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อในร่างกายจะมีการสึกหรอตามกาลเวลา โดยเฉพาะบริเวณคอที่มีการใช้งานหนัก กระดูกอ่อนที่หุ้มปลายกระดูก (กระดูกอ่อน) จะสึกหรอบางลง ทำให้กระดูกเสียดสีกัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและปวด 2. โรคข้ออักเสบ: โรคข้ออักเสบหลายชนิดสามารถส่งผลต่อข้อต่อบริเวณคอ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน โรคเก๊าท์ โรคเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุข้อต่อ ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และการเคลื่อนไหวข้อจำกัด 3. พันธุกรรม: บุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคข้อเสื่อมหรือโรคข้ออักเสบ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้มากขึ้น 4. การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่คอ เช่น อุบัติเหตุ แรงกระแทก หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดท่าทาง อาจทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อและเอ็นรอบๆ คอ ส่งผลให้เกิดอาการปวด 5. อาชีพ: อาชีพที่ต้องก้ม เงย เอียง หรือหมุนคอซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น ช่างตัดผม ช่างทำผม พนักงานออฟฟิศ นักกีฬา มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการปวดคอจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบมากกว่าบุคคลทั่วไป อาการ อาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มักมีลักษณะดังนี้: ปวดตื้อหรือปวดเสียดบริเวณคอ อาจร้าวไปที่บ่า สะบัก หรือแขน อาการปวดมักจะ worse ในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน รู้สึกตึงหรือฝืดขณะเคลื่อนไหวคอ มีเสียงดังกร๊อกกรากในข้อต่อคอ กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง อาการปวดอาจรุนแรงจนนอนไม่หลับ การรักษา การรักษาอาการปวดคอที่เกิดจากภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ มุ่งเน้นไปที่การลดอาการปวดและการอักเสบ ดังนี้: ยาแก้ปวด: ยาแก้ปวดที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน อาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ยาต้านการอักเสบ: ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือเนโปรเฟน อาจช่วยลดอาการอักเสบและปวดได้ การประคบร้อนหรือเย็น: การประคบร้อนช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึง และการประคบเย็นช่วยลดอาการอักเสบ การกายภาพบำบัด: การกายภาพบำบัดช่วยยืดกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ การฉีดยาสเตียรอยด์: ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบ การผ่าตัด: การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_15190
Medical
อะไรคือปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักทางอากาศไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม
null
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหนักทางอากาศไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม เป็นการตัดสินใจที่สำคัญและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1. สภาพของผู้ป่วย: ความรุนแรงของโรค: ผู้ป่วยที่มีอาการป่วยหนัก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจล้มเหลว มีความเสี่ยงสูงต่ออันตรายจากแรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง และการสั่นสะเทือนระหว่างการบิน ความมั่นคงของสัญญาณชีพ: ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และต้องมั่นใจว่าเครื่องมือเหล่านี้จะทำงานได้อย่างถูกต้อง ตลอดระยะเวลาการบิน ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ: ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือมีแผลติดเชื้อ มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเพิ่มเติม จากสภาพแวดล้อมในเครื่องบิน ความสามารถในการเคลื่อนที่: ผู้ป่วยที่ไม่สามารถนั่งหรือเคลื่อนที่ได้ จำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ และต้องมั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายจากการเคลื่อนย้าย 2. สภาพอากาศ: สภาพอากาศที่ปลอดภัย: การบินควรดำเนินการในสภาพอากาศที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงสภาพอากาศเลวร้าย เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง หรือความแปรปรวนของแรงกดอากาศ ระยะทางการบิน: ระยะทางการบินที่ยาวนาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการป่วยหนัก สนามบินปลายทาง: สนามบินปลายทางควรมีความพร้อมรองรับ และมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรอรับผู้ป่วย 3. ทีมแพทย์และอุปกรณ์: ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: จำเป็นต้องมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่ผ่านการฝึกอบรมการดูแลผู้ป่วยหนักทางอากาศ และสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการบิน อุปกรณ์ทางการแพทย์: จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ครบครัน และพร้อมใช้งานสำหรับกรณีฉุกเฉิน ระบบสื่อสาร: จำเป็นต้องมีระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อติดต่อกับทีมแพทย์บนพื้นดิน และรายงานสภาพของผู้ป่วย 4. อนุญาตจากแพทย์: แพทย์ผู้รับผิดชอบผู้ป่วย เป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยเหมาะสมที่จะเคลื่อนย้ายทางอากาศหรือไม่ แพทย์ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของผู้ป่วย ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และแผนการดูแลผู้ป่วยแก่ทีมแพทย์ผู้ดูแลบนเครื่องบิน 5. การประสานงาน: จำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด ระหว่างทีมแพทย์บนพื้นดิน ทีมแพทย์บนเครื่องบิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นไปอย่างราบรื่น และปลอดภัย 6. กฎหมายและข้อบังคับ: จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency)
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27596
Medical
จงสรุปเรื่อง ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ให้ทีค่ะ
ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุ คือ บุคคลอันเป็นที่รักของทุกครอบครัว ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ผู้สูงอายุของแต่ละบ้านก็ยังคงเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ โดยเฉพาะผู้ใกล้ชิด หรือบุตรหลานซึ่งเป็นด่านแรกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้สูงอายุ ในสังคมไทยผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว ️ ดังนั้นเมื่อต้องกลายมาเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver) ควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม และฝึกการคลายเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นอาจเกิดภาวะหมดไฟได้ ผู้ดูแล (Caregiver) มีประเภทใดบ้าง Caregiver หรือ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ Caregiver ที่ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ Caregiver ที่ไม่ได้ผ่านการอบรม อาจจะเป็นญาติ หรือคนใกล้ชิดที่อาสาเข้ามาดูแลผู้สูงอายุ หรืออาจจะเป็น Caregiver ที่ทางญาติจ้างมา แต่ว่าอาจจะยังไม่ได้ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ ปัญหาต่างๆ ของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ปัญหาด้านสุขภาพกาย เช่น ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมาก แต่ผู้ดูแลมีน้ำหนักตัวน้อย หากต้องมีการยก การเคลื่อนย้ายตลอดเวลา Caregiver ก็จะมีปัญหา เช่น ปวดหลัง และอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ ปัญหาด้านสุขภาพใจ เช่น การทำงานที่เครียด ต้องอยู่กับคนไข้ตลอด 24 ชั่วโมง เวลาเห็นผู้สูงอายุเจ็บป่วยแล้วก็จะส่งผลต่อความเครียด และอาจจะมีปัญหาด้านสุขภาวะในการนอนด้วย เพราะต้องลุกตื่นขึ้นมาดูคนไข้ไม่เป็นเวลา ที่นอนอาจจะไม่ได้สุขสบายเหมือนนอนที่บ้าน ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อความเครียด มีปัญหาการนอนไม่หลับ ถ้าผู้ดูแลสุขภาพไม่ดี ทั้งสุขภาพกายและใจก็จะทำให้สุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุแย่ลงไปด้วย ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ปัญหาด้านอารมณ์ของผู้ดูแล หรือเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า "ภาวะหมดไฟ" เนื่องจากว่าภาวะนี้เกิดจากความเครียดสะสม ลองจินตนาการว่าเราดูแลผู้สูงอายุคนหนึ่งที่มีโรคประจำตัวและต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน หากผู้สูงอายุมีอาการแย่ลงทั้งๆ ที่เราทำเต็มที่แล้ว บางครั้งก็จะส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ขอผู้ดูแลพอสมควร ทำให้คนเหล่านี้เกิดภาวะหมดไฟ คือจะมีอาการเหมือนซึมเศร้า รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ และจะส่งผลเสียทางตรงกับคนไข้ด้วย วิธีการสังเกตภาวะหมดไฟ อันดับแรก คือต้องรู้ตัวก่อนว่าเราอยู่ในภาวะนั้นหรือยัง ลองสังเกตดูว่า สิ่งที่ทำอยู่หรือที่เคยอยากทำ กลับเป็นไม่ชอบเลยรู้สึกหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย สมาธิเริ่มไม่ดี นี่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มมีภาวะหมดไฟแล้ว หรือการเริ่มมีปัญหาเรื่องการกิน การนอน บางคนกินได้น้อยลงหรือบางคนกินมากขึ้นผิดปกติ บางคนก็นอนได้น้อยลงหรือนอนมากขึ้นผิดปกติ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าเริ่มมีภาวะหมดไฟแล้ว หากรู้สึกหมดไฟให้รีบปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ดูแล ถ้าเริ่มสังเกตว่าตัวเองมีปัญหา ไม่ว่าปัญหาสุขภาพกายหรือสุขภาพใจก็ตาม สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลนครธน ซึ่งนอกจากการดูแลผู้ป่วยสูงอายุแล้ว ในบางกรณีผู้ดูแลก็ต้องมาเข้าร่วมการรักษาด้วย เนื่องจากมีภาวะการเจ็บป่วยทางกายและทางใจซ่อนอยู่ ซึ่งการรักษาพร้อมกันทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแล อาจจะส่งผลดีต่อการรักษา ส่งกำลังใจให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุทุกคน ขอให้กำลังใจคนที่ทำหน้าที่ผู้ดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะหลายคนที่เป็นญาติใกล้ชิดของผู้สูงอายุ ท่านเป็นกำลังสำคัญในการดูแลคนไข้ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คนไข้ดีขึ้น ถ้าร่างกายเราฟ้องตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว ทั้งทางกายหรือจิตใจ ขอให้ผู้ดูแลบอกต่อญาติคนอื่น เพื่อหยุดพัก การหยุดพักไม่ใช่ว่าจะไม่ทำตามหน้าที่หรือบกพร่องต่อหน้าที่แต่อย่างใด แต่เป็นการซ่อมจิตใจตัวเองเพื่อให้เราเตรียมพร้อม จะได้กลับมาดูแลคนไข้ใหม่ให้เต็มที่ การที่เรามีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีและแข็งแรงก็จะส่งผลทางตรงต่อผู้ป่วย ถ้าเรามีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีเมื่อไหร่ สุขภาพของคนไข้ก็จะดีตามอย่างแน่นอน
ผู้สูงอายุคือบุคคลอันเป็นที่รักของทุกครอบครัว ในสังคมไทยผู้ดูแลผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว เป็นผู้ใกล้ชิดหรือบุตรหลานและจะเป็นด่านแรกในการรับมือในการดูแลผู้สูงอายุ เราควรต้องเตรียมตัวให้พร้อม และฝึกการคลายเครียด เพื่อที่จะไม่เจอภาวะการหมดไฟได้ 1.ผู้ดูแล -แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ผู้ที่ผ่านการอบรมอย่างเป็นทางการ และ ผู้ที่ไม่ได้ผ่านการอบรม ซึ่งเป็นญาติ ลูกหลาน 2.ปัญหาของการดูแลผู้สูงอายุ -ปัญหาด้านสุขภาพกาย เช่น ผู้สูงอายุมีน้ำหนักตัวมาก มีปัญหาในการเคลื่อนย้าย ปัญหาด้านสุขภาพใจ เช่นการที่ต้องอยู่ด้วยตลอด 24 ชม. อาจจะมีปัญหาด้านสุขภาวะในการนอนด้วย เพราะต้องลุกตื่นขึ้นมาดูคนไข้ไม่เป็นเวลา 3.ภาวะหมดไฟของผู้ดูแลผู้สูงอายุ -เกิดจากความเครียดสะสม หากผู้สูงอายุมีอาการแย่ลงทั้งๆ ที่เราทำเต็มที่แล้ว บางครั้งก็จะส่งผลกระทบทางด้านอารมณ์ขอผู้ดูแลพอสมควร ทำให้คนเหล่านี้เกิดภาวะหมดไฟ คือจะมีอาการเหมือนซึมเศร้า รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ 4.วิธีสังเกตุภาวะหมดไฟ -ลองสังเกตดูว่า สิ่งที่ทำอยู่หรือที่เคยอยากทำ กลับเป็นไม่ชอบเลยรู้สึกหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย สมาธิเริ่มไม่ดี นี่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มมีภาวะหมดไฟ เริ่มมีปัญหาเรื่องการกิน การนอน 5.หากรู้สึกหมดไฟให้รีบปรึกษาแพทย์ -ในบางกรณีผู้ดูแลก็ต้องมาเข้าร่วมการรักษาด้วย เนื่องจากมีภาวะการเจ็บป่วยทางกายและทางใจซ่อนอยู่ ซึ่งการรักษาพร้อมกันทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแล อาจจะส่งผลดีต่อการรักษา การหยุดพักไม่ใช่ว่าจะไม่ทำตามหน้าที่หรือบกพร่องต่อหน้าที่แต่อย่างใด แต่เป็นการซ่อมจิตใจตัวเองเพื่อให้เราเตรียมพร้อม จะได้กลับมาดูแลคนไข้ใหม่ให้เต็มที่ การที่เรามีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีและแข็งแรงก็จะส่งผลทางตรงต่อผู้ป่วย เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_5501
Legal
จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละเท่าไร เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทยังไม่เหมาะสม
โพลล์ชี้นักเศรษฐศาสตร์เห็นด้วยกับการเก็บภาษีที่ดิน ​ โพลล์เผยนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวคิดจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยสนอให้เริ่มจัดเก็บจากบ้านที่มีราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป แต่ยังไม่เชื่อว่าภาษีดังกล่าวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้จริง จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา พบว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.5 เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดเก็บภาษีฯ ดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้บ้าง ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกร้อยละ 20.0 ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยมองว่าควรเน้นเก็บภาษีเฉพาะกับผู้มีที่ดินจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมไปถึงผู้มีบ้านราคาแพงๆ สำหรับการยกเว้นภาษีนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 55.4 เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้นยังไม่เหมาะสม ควรยกเว้นในระดับที่สูงกว่านี้ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 33.8 ที่เห็นว่าการยกเว้นดังกล่าวเหมาะสมแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีที่อยู่อาศัยที่จัดเก็บ นักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยละ 55 เห็นว่าการจัดเก็บในอัตรา 0.1% ของราคาประเมินนั้นเหมาะสมแล้ว แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 17 ที่เห็นว่าควรใช้อัตราการจัดเก็บแบบก้าวหน้า สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตรา 0.05% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป เพราะเกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอนและได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ลดลง ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีจะเป็นการสร้างต้นทุนและภาระให้กับเกษตรกร แต่ควรมีมาตรการกับนายทุนหรือผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.9 มองว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ได้ช่วยลดการซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไร, ร้อยละ 50.8 เห็นว่าภาษีดังกล่าวไม่ช่วยสร้างความเป็นธรรมหรือลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ และร้อยละ 32.3 เห็นว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่คนในท้องถิ่นจ่ายเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นไม่มีส่วนทำให้การเมืองท้องถิ่นมีการพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิม คำนวณสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ทั้งวงเงินกู้ การผ่อนชำระรายเดือนและสินเชื่อรีไฟแนนซ์ได้ที่นี่ อ่านบทความอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เทคนิคเลือกดอกเบี้ยบ้านให้ดีต่อใจ เรื่องข้างต้นนี้เขียนโดย กาญจนา พาหา บรรณาธิการ DDproperty.com หากมีคำถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ araya@ddproperty.com “หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการซื้อบ้าน คู่มือซื้อขาย สามารถเป็นตัวช่วยตอบได้ทุกคำถาม พร้อมบอกรายละเอียดการคำนวณสินเชื่อบ้านให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น”
จากการสำรวจความคิดเห็นโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จากกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง จำนวน 65 คน ในหัวข้อ “ความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ต่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ช่วงระหว่างวันที่ 13-20 มีนาคม 2558 พบว่านักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.5 เห็นด้วยกับแนวคิดการจัดเก็บภาษีฯ ดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้บ้าง ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกร้อยละ 20.0 ไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยมองว่าควรเน้นเก็บภาษีเฉพาะกับผู้มีที่ดินจำนวนมากและไม่ได้ใช้ประโยชน์ รวมไปถึงผู้มีบ้านราคาแพงๆ สำหรับการยกเว้นภาษีนั้น นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 55.4 เห็นว่าการยกเว้นภาษีสำหรับที่มีที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทนั้นยังไม่เหมาะสม ควรยกเว้นในระดับที่สูงกว่านี้ เช่น ไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ถึงร้อยละ 33.8 ที่เห็นว่าการยกเว้นดังกล่าวเหมาะสมแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีที่อยู่อาศัยที่จัดเก็บ นักเศรษฐศาสตร์กว่าร้อยละ 55 เห็นว่าการจัดเก็บในอัตรา 0.1% ของราคาประเมินนั้นเหมาะสมแล้ว แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 17 ที่เห็นว่าควรใช้อัตราการจัดเก็บแบบก้าวหน้า สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินเกษตรกรรมในอัตรา 0.05% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 41.5 ไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นอัตราที่สูงเกินไป เพราะเกษตรกรมีรายได้ไม่แน่นอนและได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ลดลง ดังนั้น การเรียกเก็บภาษีจะเป็นการสร้างต้นทุนและภาระให้กับเกษตรกร แต่ควรมีมาตรการกับนายทุนหรือผู้ที่ไม่ใช่เกษตรกรตัวจริง
ความรู้พื้นฐานกฏหมาย,ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายภาษี,ข่าวสารทั่วไป สถิติต่างๆ
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_22902
Medical
ข้อใดถือเป็นการเล่นที่เด็กตกอยู่ในภาวะผู้รับ (passive) แต่ฝ่ายเดียว
a. การที่เด็กนั่งดูทีวี เล่นวิดิโอเกมส์ หรือเล่นเกมส์จากมือถือ b. การออกไปวิ่งไล่จับผีเสื้อ หรือ แมลงปอ c. การออกไปช่วยพ่อแม่ปลูกต้นไม้ d. การสร้างหรือประดิษฐ์เครื่องบินจำลองด้วยตัวเอง
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. เนื่องจาก สมองของเด็กนั้น จะได้รับการฝึกจากการเล่นที่ถูกต้อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการเล่นจะช่วยสร้างจุดประสานประสาท (synapse) ซึ่งเชื่อมเซลล์สมอง ทำให้สับสวิตซ์ได้เร็วและสื่อดี ของเล่นของเด็กสมัยนี้คือ โทรทัศน์และวิดีโอเกม เด็กจ้องแต่จอสี่เหลี่ยม ไม่ค่อยออกไปเล่นนอกบ้าน แม้ในยามที่อากาศสดชื่น ของเล่นของเด็กสมัยนี้เป็นการเล่นข้างเดียว จนไม่น่าเรียกว่า การเล่น เด็กตกอยู่ในภาวะผู้รับ (passive) แต่ฝ่ายเดียว จึงไม่เกิดจินตนาการสร้างสรรค์หรือความคิดใหม่ ๆ แล้วสมองจะพัฒนาได้อย่างไรกัน เด็กที่โตขึ้นมากับการเล่นในลักษณะ “ถูกกระทำ” (passive) เช่นนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเขาเข้าโรงเรียนย่อมมีการสอบ หากข้อสอบที่ออกมาสามารถตอบได้ด้วยคำตอบสำเร็จรูปจากการท่องจำ เขาก็ทำได้แต่เมื่อใดที่ข้อสอบมีการพลิกแพลงเพียงเล็กน้อย เขาก็จนปัญญา เพราะไม่รู้จักวิธีการคิดด้วยตนเองเลย คนประเภทนี้เมื่อเติบโตขึ้นและออกมาสู่สังคมของผู้ใหญ่ ย่อมคิดทำอะไรด้วยตนเองไม่ได้เช่นกัน
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_144
Finance
จงแต่งเรื่องสั้น "ESG กองทุนรักษ์โลก"
null
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณมาลี เจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้เป็นคนที่ชอบลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เธอรู้สึกเบื่อจึงได้เข้าไปถามคุณมารตีซึ่งเป็นผู้ลงทุนในกองทุนรักษ์โลก มาลี : มารตี ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาหนะ มารตี : ได้สิ มีอะไรเหรอ มาลี : ฉันเริ่มเบื่อกับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แล้ว เธอมีกองทุนอะไรใหม่ๆ อยากนำเสนอให้ฉันไหม มารตี : เธอลงมาลงทุนกับกองทุนรักษ์โลกดูสิ มาลี : แล้วมันดีกว่ากองทุนอื่นๆ ยังไงเหรอ มารตี : กองทุนรักษ์โลกให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนอื่นๆ ถ้าให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน คือ ภาครัฐ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี ผู้บริโภค และนักลงทุนไงล่ะ มาลี : โห มันดีขนาดนี้เลยเหรอ งั้นฉันขอให้เธอช่วยอีกแรงในการลงทุนในกองทุนนี้ด้วยนะ ฉันเริ่มสนใจแล้วแหละ มารตี : ยินดีไม่มีปัญหาจ้า กองทุนรักษ์โลก ESG: Environmental Social and Governance มี Theme ลงทุน 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. Solution Provider เป็นผู้ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 2. Transition Candidate หรือกลุ่มผู้บริโภคที่ช่วยส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่งเสริมการประหยัดพลังงาน คนกลุ่มนี้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปใช้พลังงานทดแทน หรือใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากทุกภาคส่วนร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ผลตอบแทนที่แตกต่างกันระหว่างบริษัทที่ใส่ใจกับไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นั้น จะชัดเจนเมื่อมีการให้คุณประโยชน์กับบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และให้(บทลง)โทษกับบริษัทที่ยังไม่ใส่ใจ จะทำให้เห็นความแตกต่างกันมากขึ้น และมากจากกำลังขับเคลื่อน 4 ด้าน นั่นคือ 1) ภาครัฐ (Government) จะออกนโยบายส่งเสริมให้บริษัทใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผ่านการยกเว้นภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า ซึ่งจากการประชุม COP26 ที่มีประเทศร่วมพันธสัญญากว่า 200 ประเทศ รวมถึงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีน ตกลงร่วมกันเรื่องการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยและเพิ่มการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เรียกกันว่า Net Zero 2) การพัฒนาด้านเทคโนโลยี (Technology) จะทำให้เกิดการประหยัดพลังงาน หรือการใช้อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนถูกลงได้ 3) ผู้บริโภค (Consumer) หากใส่ใจ Theme รักษ์โลก และเน้นบริโภคสินค้าและบริการจากบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะเป็นแรงผลักดันที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 4) นักลงทุน (Investor) ที่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเลือกที่จะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่มี หรือมีความใส่ใจแต่ไม่มากพอ ทำให้ราคาหุ้นหรือผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งการประสานกันของ 4 กำลังขับเคลื่อนจะเป็นตัวทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง บริษัทที่ทำ กับ ไม่ทำ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_6156
Legal
ช่วยสรุปให้หน่อยว่า "สามีภริยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกฝ่ายที่เสียชีวิตหรือไม่"
สามีหรือภริยาที่อยู่กินด้วยกันไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามกฎหมายถือว่าเป็นเจ้าของรวมของสามีภริยานั้น สามีหรือภริยานั้นจึงถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์ดังกล่าว หากฝ่ายใดเสียชีวิตลงอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกของอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าระหว่างอยู่กินกัน ไม่มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน ก็ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2545 ผู้ร้องมิใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย แต่ผู้ตายได้ที่ดินมาหลังจากอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับผู้ร้องและไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการให้โดยเสน่หา ที่ดินจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายและผู้ร้องเป็นเจ้าของร่วมกัน ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2534 การที่ผู้คัดค้านอ้างว่าผู้คัดค้านเป็นภริยาของเจ้ามรดกโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แต่อยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สินร่วมด้วยบางรายการ ถือว่าผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะยื่นคำคัดค้านการที่ผู้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ หากพินัยกรรมทำขึ้นขณะผู้ตายล้มป่วยหนักสติสัมปชัญญะไม่สมประกอบ ดังคำคัดค้านผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมได้ จึงจำต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรม เมื่อพินัยกรรมสมบูรณ์ตามกฎหมาย การที่ผู้คัดค้านไม่ได้รับมรดกตามพินัยกรรมเลย และตามพินัยกรรมเจ้ามรดกมีเจตนาที่จะตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือเสมือนไร้ความสามารถและไม่เป็นบุคคลล้มละลาย จึงสมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย. (วรรคแรกและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12734/2558 แม้ที่ดินและหุ้นจะได้มาในระหว่างโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย แต่เมื่อโจทก์กับผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส อันจะถือเป็นสินสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474 (1) แม้ศาลจะมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ฟังข้อเท็จจริงเพียงว่า เมื่อโจทก์เป็นภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์อาจมีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะขอตั้งผู้จัดการมรดกได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องการมีส่วนได้เสียเพียงเพื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น แต่ไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมทำมาหาได้กับผู้ตายหรือไม่ คำพิพากษาคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันคู่ความให้ต้องรับฟังว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ทำมาหาได้ร่วมกับผู้ตายและโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่ง แต่หากไม่มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเลยก็ไม่มีสิทธิ์ร้องจีดการมรดก เพราะไม่ถือว่ามีส่วนได้เสีย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2537 ผู้ร้องทั้งสองเป็นบิดามารดาของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านที่ 1เป็นบุตรของผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้ตายกับผู้คัดค้านที่ 2อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร้างกันในเวลาต่อมาโดยตาย กับผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีทรัพย์สินร่วมกันจากนั้นผู้ตายถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับเงินรางวัลและผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง, ส.,ล., จ. และตั้งให้ผู้ร้องทั้งสองหรือคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ดังนี้ ผู้คัดค้านที่ 2 จึงไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินร่วมกันกับผู้ตาย ไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย จึงไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้
สามีภริยาที่อยู่กินด้วยกันไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามกฎหมายถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2510/2545 ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5603/2534 ในกรณีที่ฝ่ายใดเสียชีวิต ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ หากอยู่กินด้วยกันและมีทรัพย์สินร่วมด้วยบางรายการ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย สามารถมีสิทธิ์จะยื่นคำคัดค้านการที่มีผู้ร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้ แต่ในกรณีที่ดินและหุ้นได้มาในระหว่างโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยากับผู้ตาย แต่เมื่อโจทก์กับผู้ตายไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12734/2558 เป็นการรับฟังข้อเท็จจริง เพื่อวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยว่าที่ดินและหุ้นที่โจทก์ฟ้องเป็นสินทรัพย์ที่ทำร่วมกันมาหรือไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3707/2537 อยู่กินกันมา ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และได้หย่าร้างกันในเวลาต่อมา ไม่มีทรัพย์สินร่วมกัน จากนั้นผู้ตายมีทรัพย์สินเพิ่ม ถ้าไม่ได้ระบุในพินัยกรรม อีกฝ่ายจะมีสิทธิร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,กฎหมายมรดก,คำพิพากษาศาลฎีกา
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43941
Finance
บริษัทบ้านปู เพาเวอร์ มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบสนองต่อเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม ข้อใดคือเหตุผลทางการเงินที่สนับสนุนการลงทุนดังกล่าวมากที่สุด?
1. โอกาสในการเติบโตของตลาด: ตลาดพลังงานหมุนเวียนมีอัตราการเติบโตสูง คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต การลงทุนในธุรกิจนี้จึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง 2. ภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร: การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักลงทุนและลูกค้า 3. ความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง: พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน ไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีราคาผันผวน การลงทุนในธุรกิจนี้จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ 4. นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: หลายประเทศมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การรับซื้อไฟฟ้าในราคาสูง การลงทุนในธุรกิจนี้จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนพิเศษจากภาครัฐ
คำตอบได้แก่ 1. เนื่องจาก ย้ำถึงเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคและองค์กรหันมาใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น บ้านปู เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน แสดงถึงความมั่นใจในศักยภาพของตลาด ตัวเลือกอื่นๆ แม้จะเป็นเหตุผลสนับสนุนการลงทุน แต่ไม่ได้รับการเน้นย้ำในบทความเท่ากับโอกาสในการเติบโตของตลาด ตัวเลือกอื่นๆ: ความเสี่ยงทางการเงินที่ลดลง: แม้ว่าพลังงานหมุนเวียนจะช่วยลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ แต่บทความไม่ได้เน้นย้ำถึงประเด็นนี้มากนัก ภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร: การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่บทความไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากเท่าโอกาสทางการเงิน นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่บทความไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายเหล่านี้มากนัก สรุป: การลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของบ้านปู เพาเวอร์ มีแรงจูงใจหลักมาจากโอกาสในการเติบโตของตลาดพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูง การลงทุนนี้ช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า เพิ่มรายได้ และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_40269
Finance
ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนแบบนี้ กลยุทธ์การลงทุนแบบ Core&Satellite เหมาะสมกับนักลงทุนทุกรูปแบบหรือไม่? อธิบาย reasoning เบื้องหลัง พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ
null
กลยุทธ์การลงทุนแบบ Core&Satellite นั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง เติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงโดยรวม โดยกลยุทธ์นี้แบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 2 ส่วนหลัก: 1. Core: เป็นส่วนหลักของพอร์ต เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ เหมาะกับการลงทุนระยะยาว มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ตัวอย่างสินทรัพย์ในส่วน Core ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้ ทองคำ 2. Satellite: เป็นส่วนเสริมของพอร์ต เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เหมาะกับการลงทุนระยะสั้น มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด ตัวอย่างสินทรัพย์ในส่วน Satellite ได้แก่ หุ้น กองทุนรวมหุ้น Cryptocurrency ข้อดีของกลยุทธ์ Core&Satellite: กระจายความเสี่ยง: ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต เพราะมีการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ: ส่วน Core ช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ช่วยให้พอร์ตมีเสถียรภาพ โอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง: ส่วน Satellite ช่วยสร้างโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาด อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ Core&Satellite อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกรูปแบบ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้: เป้าหมายการลงทุน: นักลงทุนควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ระยะเวลาในการลงทุน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ความรู้และประสบการณ์: กลยุทธ์ Core&Satellite จำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน เวลา: กลยุทธ์นี้ต้องการเวลาในการติดตามผล ปรับสัดส่วนการลงทุน และ rebalance พอร์ต ตัวอย่าง: นักลงทุนที่มีอายุ 30 ปี ต้องการลงทุนเพื่อเกษียณอายุ มีระยะเวลาลงทุน 30 ปี รับความเสี่ยงได้ปานกลาง สามารถเลือกใช้กลยุทธ์ Core&Satellite โดยจัดสัดส่วนการลงทุนดังนี้: Core: 70% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารหนี้ Satellite: 30% ลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น นักลงทุนควรติดตามผลการลงทุน ปรับสัดส่วนการลงทุน และ rebalance พอร์ตเป็นประจำ เช่น ทุกปีหรือทุกไตรมาส สรุป: กลยุทธ์ Core&Satellite เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง เติบโตอย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงโดยรวม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก่อนตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์นี้
ความรู้ทางการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_40443
Finance
การรวมหนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกค้าเสมอหรือไม่?
null
ไม่เสมอไป เหตุผล อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่: แม้ว่าการรวมหนี้จะช่วยให้ลูกค้ามีหนี้เพียงแหล่งเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่จะต่ำกว่าสินเชื่อเดิมเสมอไป ลูกค้าควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินต่างๆ ก่อนตัดสินใจ หากอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อใหม่สูงกว่าสินเชื่อเดิม การรวมหนี้จะทำให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น ค่าธรรมเนียม: การรวมหนี้มักมีค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัคร ค่าธรรมเนียมการประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า ลูกค้าควรคำนวณค่าธรรมเนียมทั้งหมดให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อดูว่าการรวมหนี้คุ้มค่าหรือไม่ ระยะเวลาการผ่อนชำระ: การรวมหนี้มักทำให้ระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนานขึ้น แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายดอกเบี้ยต่องวดน้อยลง แต่ลูกค้าจะจ่ายดอกเบี้ยรวมทั้งหมดมากกว่าสินเชื่อเดิม ลูกค้าควรพิจารณาว่าสามารถผ่อนชำระหนี้ระยะยาวได้หรือไม่ ตัวอย่าง นาย A มีหนี้บัตรเครดิต 2 ใบ มียอดคงเหลือรวมกัน 100,000 บาท นาย A จ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิตเฉลี่ย 18% ต่อปี นาย A ต้องการรวมหนี้กับธนาคาร ธนาคารเสนอสินเชื่อรวมหนี้ให้กับนาย A วงเงิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี คำนวณดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่าย: - สินเชื่อเดิม: ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายต่อปี = (100,000 บาท x 18%) = 18,000 บาท ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายรวม 5 ปี = (18,000 บาท/ปี x 5 ปี) = 90,000 บาท - สินเชื่อใหม่: ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายต่อปี = (100,000 บาท x 15%) = 15,000 บาท ดอกเบี้ยที่นาย A ต้องจ่ายรวม 5 ปี = (15,000 บาท/ปี x 5 ปี) = 75,000 บาท สรุป: นาย A ประหยัดดอกเบี้ย 15,000 บาท (90,000 - 75,000) การรวมหนี้ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับนาย A อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละประเภท ลูกค้าควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบเงื่อนไขต่างๆ ก่อนตัดสินใจ ข้อควรระวัง การรวมหนี้ไม่ใช่ทางออกสำหรับทุกคน ลูกค้าควรพิจารณาสถานะทางการเงินของตัวเองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ ลูกค้าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจัดการหนี้ที่ดีที่สุด
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_5522
Legal
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 มีส่วนใดบ้างที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ กับ 17 สิ่งที่ผู้เช่าควรรู้ ​ สัญญาเช่าบ้าน หรือสัญญาเช่า เป็นกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กฏหมายฉบับนี้จะมีผลอย่างไรต่อผู้เช่าบ้าง มาไล่เรียงกันดูไปพร้อม ๆ กันครับ รวมกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ซื้อ-ขาย-เช่า ที่คุณควรรู้ ย้อนอดีตกฎหมายเช่า เอื้อผู้ให้เช่ามากเกินไป ผมขอย้อนอดีตกันสักนิดนะครับ แต่เดิมการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่ารายย่อย หรือรายใหญ่ชนิดที่เป็นการประกอบธุรกิจ เช่น อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 4 มาตรา 537 ถึงมาตรา 571 โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจที่ว่า “คู่สัญญาต่างมีอิสระ และมีฐานะเท่าเทียมกันในการเข้าทำสัญญา” แต่เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้มานานแล้ว ไม่ทันต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีความได้เปรียบผู้บริโภคหรือผู้เช่าในหลายด้าน บรรดาผู้มีอำนาจออกกฎหมายจึงเห็นว่าธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์พิเศษเข้าควบคุม เพื่อลดความได้เปรียบของผู้ประกอบธุรกิจ และสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคมากขึ้น จึงได้ออก “ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561” หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่เราจะมาทำความเข้าใจกันครับ รวมประกาศบ้านเช่า บ้านให้เช่า ในกรุงเทพ หลักใหญ่ใจความของสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ประกาศฉบับนี้คือ สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค โดยจะใช้บังคับกับเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งหมายความถึงผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย โดยมีสถานที่ที่จัดแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไป รวมถึงห้องพัก บ้าน อาคารชุด อพาร์ทเม้นท์ ไม่ว่าจะอยู่ในอาคารเดียวกันหรือหลายอาคารรวมกัน แต่ไม่รวมถึงหอพักและโรงแรม สรุปประเด็นที่ผู้เช่าควรรู้ กันถูกเอาเปรียบ สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับใหม่นี้มีหลายส่วนที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น ผมขอสรุปเนื้อหาให้ดังนี้ รวมประกาศให้เช่า บ้านเดี่ยว คอนโด อพาร์ทเมนท์ ตึกแถว-อาคารพาณิชย์ มีปัญหาแจ้ง สคบ. ผู้ให้เช่าเตรียมรับโทษจำ-ปรับ หน่วยงานที่มีหน้าที่สอดส่องดูแลการปฏิบัติตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ก็คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สคบ. ซึ่งผู้เช่าที่ได้รับความเดือดร้อนจากผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ ฉบับนี้สามารถร้องเรียนผ่านหมายเลข 1166 ได้ หรือร้องทุกข์ออนไลน์ โดย สคบ. จะตรวจสอบข้อร้องเรียน หากเป็นจริงก็จะดำเนินการเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบธุรกิจ และยังสามารถดำเนินการฟ้องคดีแพ่งแทนผู้บริโภคได้ด้วย หรือผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือบังคับให้เป็นไปตามสัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ต่อศาลโดยตรงอีกช่องทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ทางอาญา หากผู้ให้เช่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศฉบับนี้ อาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ฉบับนี้ หากพิจารณาเผิน ๆ แล้วก็จะพบว่าคุ้มครองสิทธิของผู้เช่า และน่าจะทำให้ผู้เช่าได้รับประโยชน์อย่างมาก แต่ด้วยกลไกเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในประเทศไทยเช่นทุกวันนี้ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าสุดท้ายผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับภาระเพิ่มขึ้นจากการปฎิบัติตามประกาศก็จะต้องผลักภาระดังกล่าวมาให้ผู้บริโภครับไว้ในรูปแบบของการขึ้นค่าเช่า ซึ่งทำให้ผลสุดท้ายผู้บริโภคยังคงไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นอยู่ดี หนังสือสัญญาเช่าบ้าน-คอนโด ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องข้างต้นเขียนโดย ปกรณ์ อุ่นหิรัญสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอว์ แอนด์ เอควิตี้ จำกัด หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ pakorn@lawandequity.co สนใจรับบทความดีดี อัปเดต ข่าวอสังหาริมทรัพย์ และ อ่านคู่มือซื้อขาย พร้อม รีวิวโครงการคอนโดฯ ใหม่ บ้านใหม่ หลากหลายทำเลและราคา รวมถึง ทำความรู้จักกับทำเลฮอตทั่วกรุง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการซื้อ-ขาย-เช่า
สัญญาเช่าบ้าน กฎหมายใหม่ที่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 มีหลายส่วนที่เอื้อต่อประโยชน์ของผู้เช่ามากขึ้น ดังนี้ 1. สัญญาเช่าต้องใช้ภาษาไทยไม่เล็กกว่า 2 มิลลิเมตร ตัวอักษรไม่เกิน 11 ตัวอักษรใน 1 นิ้ว 2. ต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ของผู้ให้เช่า ค่าเช่า ที่ตั้งและรายละเอียดของทรัพย์ที่ให้เช่า ค่าเช่า เงินประกัน ค่าสาธารณูปโภค โดยให้แสดงวิธีและระยะเวลาชำระด้วย 3. ผู้ให้เช่าต้องส่งใบแจ้งหนี้ล่วงหน้าให้แก่ผู้เช่าไม่น้อยกว่า 7 วัน 4. ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันทันทีเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด 5. ผู้เช่าสามารถเลิกสัญญาโดยทำเป็นหนังสือล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่ต้องไม่ค้างค่าเช่า และมีเหตุจำเป็น 6. เหตุผิดสัญญาที่ทำให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้จะต้องระบุด้วยตัวอักษรที่เด่นชัดกว่าข้อความอื่น และก่อนเลิกสัญญา ผู้ให้เช่าต้องแจ้งผู้เช่าเป็นหนังสือให้ปฏิบัติตามสัญญาล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน 7. ผู้ให้เช่าต้องมอบสัญญาให้ผู้เช่าเก็บไว้ 1 ฉบับ 8. ห้ามยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ให้เช่าไว้ในสัญญาเช่า 9. ห้ามเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าเกิน 1 เดือน 10. ห้ามเรียกเก็บเงินประกันเกิน 1 เดือน 11. ห้ามกำหนดให้ผู้ให้เช่ามีสิทธิเปลี่ยนแปลงค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ ก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุด 12. ห้ามให้สิทธิผู้ให้เช่าเข้าตรวจสอบทรัพย์ที่เช่าโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า 13. ห้ามผู้ให้เช่าเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภคเกินกว่าอัตราที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บ 14. ห้ามผู้ให้เช่าปิดกั้นไม่ให้ผู้เช่าเข้าใช้ประโยชน์ในทรัพย์หรือเข้าไปในสถานที่เช่าเพื่อยึดหรือขนย้ายทรัพย์สินของผู้เช่า 15. ห้ามกำหนดให้สิทธิผู้ให้เช่าเรียกค่าต่อสัญญาเช่าจากผู้เช่ารายเดิม 16. ห้ามกำหนดให้สิทธิผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าไม่ได้ผิดสัญญาหรือเงื่อนไขสำคัญ 17. ห้ามกำหนดให้ผู้เช่ารับผิดในความเสียหายในทรัพย์จากการใช้งานตามปกติหรือจากเหตุสุดวิสัย
กฎหมายเช่าทรัพย์
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11314
Medical
แบ่งภาวะแทรกซ้อนจากเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบมี 2 ระยะ หรือ 3 ระยะ
null
แบ่งภาวะแทรกซ้อน ผลข้างเคียง จากเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบได้เป็น 2 ระยะได้แก่ ก. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะสั้น คือ ภาวะแทรกซ้อนที่พบเกิดต่อเนื่องกับอาการต่างๆ เช่น 1. มีการลุกลามกระจายของเชื้อโรคเข้าไปในท่อนำไข่และในท้องน้อยอุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการอักเสบของท่อนำไข่และภายในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน 2. ทำให้เกิดก้อนฝีหนองที่รังไข่และที่ท่อนำไข่ Tubo-ovarian abscess 3. หากอาการรุนแรงมากขึ้นอีกสามารถทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 4. เกิดภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้ ข. ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะยาว คือภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในระยะยาวหลังการรักษาผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งอาจพบมีอาการเป็นๆหายๆได้ตลอดไป 1. ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก ทำให้เลือดประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา 2. ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากเนื่องจากเกิดมีพังผืดไปยึดหรือไปปิดกั้นท่อนำไข่ 3. ทำให้เกิดพังผืดในบริเวณอุ้งเชิงกราน 4. ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง 5. มีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกท้องนอกมดลูก เนื่องจากการมีพังผืดในบริเวณอุ้งเชิงกรานและบริเวณท่อนำไข่ ทำให้กระบวนการจับไข่เข้าท่อนำไข่และการเคลื่อนไหวของท่อนำไข่ไม่ดี 6. เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง การพยากรณ์โรคของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบขึ้นกับหลายปัจจัยเช่น ความรุนแรงของอาการ ชนิดของเชื้อโรค สาเหตุปัจจัยเสี่ยง การพบแพทย์มาโรงพยาบาลได้เร็วหรือช้า สุขภาพเดิมของตัวผู้ป่วยเอง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปถ้ามาพบแพทย์มาโรงพยาบาลได้เร็ว ก่อนมีอาการรุนแรง โรคมักรักษาได้หาย โดยอาการจะเริ่มดีขึ้นหลังการรักษาประมาณ 3 - 4 วัน แต่ถ้าพบแพทย์มาโรงพยาบาลล่าช้าหรือเมื่อมีอาการรุนแรงแล้ว การรักษามักยุ่งยากซับซ้อน และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ภาวะแทรกซ้อน ซึ่งทำให้มีโอกาส ตายได้
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_13876
Medical
มะเร็งระยะศูนย์คืออะไร
1. เป็นระยะของโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อบุผิว ซึ่งเป็นมะเร็งในกลุ่มคาร์ซิโนมา 2. ก้อนเนื้อ/ แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม 3. ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/ อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/ อวัยวะที่เป็นมะเร็ง 4. ก้อน/ แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/ อวัยวะ
ข้อที่ถูกต้องคือ 1. เพราะว่า : มะเร็งระยะศูนย์ เป็นระยะของโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อบุผิว ซึ่งเป็นมะเร็งในกลุ่มคาร์ซิโนมา Carcinoma ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งของมะเร็งคาร์ซิโนมา โรคมะเร็งจะเริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่มีการอักเสบเรื้อรังจากการติดเชื้อต่างๆ เช่น การติดเชื้อไว รัส เป็นต้น ไปเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเป็นเซลล์มะเร็ง เช่น มีการแบ่งตัวผิดปกติ แต่ยังไม่มีการรุกราน Invasive ออกนอกเนื้อเยื่อบุผิว ดังนั้นจึงยังไม่ใช่โรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะโรคมะ เร็งที่แท้จริง จะต้องมีการรุกรานเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง เข้าต่อมน้ำเหลือง และหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้ ซึ่งแพทย์เรียก เนื้อเยื่อที่เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกรานไม่ใช่มะเร็งที่แท้จริงนี้ว่า โรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง Pre invasive carcinoma หรือ Carcinoma in situ ย่อว่า ซีไอเอสCIS ดังนั้น ในการจัดระยะโรคมะเร็ง จึงจัดเนื้อเยื่อก่อนการเป็นมะเร็งนี้เป็น โรคระยะศูนย์ Stage 0 โรคระยะ 0 พบได้ในมะเร็งคาร์ซิโนมาของทุกอวัยวะทั่วร่างกาย โอกาสเกิดเท่ากันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย มักเป็นโรคมะเร็งของผู้ใหญ่ หรือในผู้สูงอายุ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_14067
Medical
เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ จำเป็นต้องหยุดเล่นกีฬาทุกประเภทหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: โรคลมชักชนิดเหม่อ มีอาการเป็นการเหม่อลอยชั่วขณะ โดยปกติแล้ว อาการจะไม่รุนแรงและไม่ส่งผลต่อการทรงตัว เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ยังสามารถเล่นกีฬาได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เช่น กีฬาผาดโผน เช่น มอเตอร์ครอส บันจี้จัมพ์ กีฬาที่เล่นบนพื้นผิวที่ลื่น เช่น สเก็ตน้ำแข็ง กีฬาที่ใช้ความเร็วสูง เช่น แข่งรถจักรยาน กีฬาที่มีอุปกรณ์อันตราย เช่น ฟันดาบ มวย เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ ควรแจ้งให้โค้ชหรือครูฝึกสอนทราบเกี่ยวกับอาการของโรค เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างทันท่วงที กรณีเด็กมีอาการชักระหว่างเล่นกีฬา ควรหยุดเล่นกีฬาทันที พาเด็กไปพักในที่ปลอดภัย สังเกตอาการ และแจ้งให้ผู้ปกครองหรือแพทย์ทราบ ข้อควรระวัง: เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ไม่ควรเล่นกีฬาคนเดียว ควรมีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่เสมอ เด็กควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวกกันน็อค สนับเข่า สนับข้อศอก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ สรุป: เด็กที่เป็นโรคลมชักชนิดเหม่อ ยังสามารถเล่นกีฬาได้ แต่ควรเลือกเล่นกีฬาที่เหมาะสม และมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่ำ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ และแจ้งให้โค้ชหรือครูฝึกสอนทราบเกี่ยวกับอาการของโรค เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างทันท่วงที
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_20461
Medical
ผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมหรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะขาดวิตามินบี 12 มากกว่าวัยอื่น สาเหตุหลักมาจากการดูดซึมวิตามินบี 12 ที่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กระเพาะอาหารของผู้สูงอายุผลิตกรดในกระเพาะอาหารน้อยลง ซึ่งกรดนี้จำเป็นสำหรับการดูดซึมวิตามินบี 12 ผู้สูงอายุบางรายอาจทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินบี 12 ผู้สูงอายุบางรายทานเนื้อสัตว์น้อยลง ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินบี 12 วิตามินบี 12 มีความสำคัญต่อสุขภาพ - ช่วยให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ - ช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง - ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง - ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์ - ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ การได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมสามารถช่วยทำให้ดีขึ้นสุขภาพของผู้สูงอายุ - ช่วยให้รู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง - ช่วยให้มีพลังงานมากขึ้น - ช่วยให้ความจำดีขึ้น - ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น - ช่วยลดความเสี่ยงของการหกล้ม หลักฐาน: งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับ งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีโอกาสน้อยลงที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจ งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งพบว่าผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมมีโอกาสน้อยลงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ข้อควรระวัง: ผู้สูงอายุควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวิตามินบี 12 เพิ่มเติม แพทย์จะตรวจสอบว่าผู้สูงอายุมีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมหรือไม่ แพทย์จะแนะนำปริมาณวิตามินบี 12 ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ สรุป: ผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินบี 12 เพิ่มเติมเพื่อช่วยให้มีสุขภาพที่ดี
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0