ID
stringlengths
9
13
Domain
stringclasses
3 values
Instruction
stringlengths
11
894
Input
stringlengths
19
125k
Output
stringlengths
45
31.6k
Tags
stringlengths
7
676
Task_type
stringclasses
7 values
License
stringclasses
2 values
Medical_25556
Medical
การบริจาคไขกระดูกช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดเลือดได้อย่างไร ?
จิตอาสา พลังสร้างโลก จิตอาสา พลังสร้างโลก ๔ การแพทย์ที่เน้นหัวใจของความเป็นมนุษย์ นักศึกษาแพทย์จะกรีดผ่าศพของเราผิดพลาดสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่เป็นไร เราอนุญาตให้ทำได้เต็มที่แต่เมื่อจบไปเป็นแพทย์แล้ว ห้ามกรีดผ่าตัดใครผิดแม้แต่ครั้งเดียว โรงเรียนสอนแพทย์ให้เป็นมนุษย์ คณะแพทยศาสตร์ก่อตั้งขึ้นตามภารกิจของฉือจี้ที่มุ่งช่วยเหลือผู้คนในทุกๆ ด้าน ด้านการแพทย์ก็เป็นด้านหนึ่งที่ฉือจี้ให้ความสำคัญ เพราะเป็นการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอย่างแท้จริง ซึ่งศาสนาคริสต์ได้จัดกิจกรรมทำนองนี้มานานแล้ว ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนเล็งเห็นว่ามูลนิธิพุทธฉือจี้ก็ควรทำกิจกรรมด้านนี้ด้วย อันเป็นปณิธานของท่านมาตั้งแต่อดีตดังที่เคยเขียนถึงไปแล้ว ดังนั้น นอกจากก่อสร้างโรงพยาบาลเพื่อบริการชาวบ้านแล้ว ก็ถือโอกาสก่อตั้งสถานที่ผลิตแพทย์ที่เน้นปลูกฝังมิติของความเป็นมนุษย์และจิตวิญญาณควบคู่ไปกับองค์ความรู้ทางเทคนิค เพื่อให้ได้แพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ โดยมีเป้าหมายให้ได้แพทย์ที่เก่งรักษาโรค รักษาใจ รักษาชีวิตของผู้คนเสมือนญาติ และทำหน้าที่โอบอุ้มโลกใบนี้ด้วย คณะแพทย์แห่งนี้ ใช้ พรหมวิหาร ๔ อันเป็นแนวทางพระโพธิสัตว์ที่ชาวฉือจี้ยึดถือมาเป็นคำขวัญประจำคณะ คือ ๑ เมตตา ฝึกการมีจิตใจต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข ๒ กรุณา ฝึกลงมือทำเพื่อช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ๓ มุทิตา ฝึกเรียนรู้ เข้าใจ และกตัญญูในสรรพสิ่ง ๔ อุเบกขา ฝึกเข้าใจความเป็นธรรมชาติธรรมดาสามารถลดตัวตนและปล่อยวาง เป็นการตีความพรหมวิหาร ๔ อย่างกว้างและลึก การผลิตแพทย์ของที่นี่ใช้หลักสูตรทำนองเดียวกับสากล คณบดีจบแพทย์จากสหรัฐอเมริกา ทำงานที่นั่นเกือบ ๒๐ ปี ก่อนกลับมาทำงานให้ฉือจี้ที่ไต้หวัน โดยเขาเน้นการฝึกอบรมด้านศิลปวัฒนธรรม มนุษยศาสตร์และการพัฒนาจิตวิญญาณอย่างเข้มข้นและเอาจริงเอาจังควบคู่ไปด้วย เขาไม่ต้องการให้ได้แพทย์ที่เก่งแต่ทางเทคนิคชีวการแพทย์เพียงด้านเดียว นักศึกษาแพทย์ที่นี่มีชั่วโมงเรียนการจัดดอกไม้ การเขียนพู่กันจีน การชงชา การเดินการนั่ง การยกโต๊ะเก้าอี้แบบไม่ให้เกิดเสียง และอื่นๆ อีกหลายอย่างเพื่อฝึกให้เป็นคนประณีตละเอียดอ่อน เข้าถึงสภาวะของจิตไม่หยาบกระด้าง นอกจากนี้ ก็ยังให้นักศึกษาไปทำงานอาสาสมัครต่างๆ เพื่อฝึกการบริการรับใช้ผู้อื่น ฝึกลดตัวตน ฝึกให้รำลึกถึงบุญคุณผู้อื่นจนเข้าไปอยู่ในจิตสำนึก กรณีที่เด่นสำหรับคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ ก็คือ การจัดการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์ ซึ่งนักศึกษาแพทย์ต้องเรียนผ่าศพอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่เป็นคำเรียกผู้อุทิศศพให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนโดยทั่วไปศพอาจารย์ใหญ่ ๑ ท่าน สามารถให้นักศึกษา แพทย์เรียนพร้อมๆ กันได้ ๔ คน ที่นี่สร้างระบบให้นักศึกษาเห็นความสำคัญและรำลึกในพระคุณของอาจารย์ใหญ่อย่างสูงยิ่ง โดยเขาให้นักเรียนแพทย์ที่จะต้องเรียนผ่าศพได้ไปรู้จักกับครอบครัวของอาจารย์ใหญ่เพื่อให้เสมือนว่านักเรียนแพทย์เป็นสมาชิกในครอบครัวนั้นด้วย นักศึกษาแพทย์จะรู้ประวัติเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ใหญ่ตั้งแต่ก่อนเรียนผ่าศพ เพื่อให้รู้ว่าร่างของอาจารย์ใหญ่มิใช่เป็นแค่ศพ แต่เป็นเรือนร่างของเจ้าของชีวิตที่เคยมีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ มีคุณงามความดีและมีชีวิตจิตใจอันดีงาม เป็นการปลูกฝังให้นักศึกษาแพทย์มีจิตใจที่รู้จักเคารพผู้อื่นแม้กระทั่งเขาเหล่านั้นเสียชีวิตเป็นศพไปแล้วก็ตาม เมื่อนักศึกษาแพทย์เรียนผ่าศพ ก็กระทำด้วยความเคารพอย่างสม่ำเสมอเหมือนกระทำกับญาติผู้ใหญ่ มิใช่มองเห็นเป็นเพียงแค่ศพๆ หนึ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจแล้วเท่านั้น นักศึกษาแพทย์จะกรีดผ่าศพของเราผิดพลาดสักกี่ร้อยครั้งก็ไม่เป็นไร เราอนุญาตให้ทำได้เต็มที่ แต่เมื่อจบไปเป็นแพทย์แล้ว ห้ามกรีดผ่าตัดใครผิดแม้แต่ครั้งเดียว อาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่งพูดฝากนักศึกษาแพทย์ไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต ทางอาจารย์ได้บันทึกเป็นวีซีดีไว้ให้นักศึกษาแพทย์ดูก่อนเริ่มเรียนวิชานี้ ท่านคณบดีคณะแพทยศาสตร์แห่งนี้ บอกเราว่า อาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์แต่ละคนจะมี ๒ คนคือ คนหนึ่งเป็นศพคนที่ตายไปแล้ว แต่อีกคนหนึ่งจะอยู่ในหัวใจของนักศึกษาแพทย์ตลอดไป ด้วยระบบการจัดการที่ให้เกียรติแก่อาจารย์ใหญ่อย่างสูงเช่นนี้ มีผลทำให้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ที่นี่เป็นหมื่นราย มีศพอาจารย์ใหญ่มากเกินความต้องการ จนต้องบริจาคต่อไปยังคณะแพทยศาสตร์แห่งอื่นด้วย เมื่อได้ดูวีซีดีได้รู้ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หลายคนในคณะดูงานต้องเสียน้ำตาด้วยความประทับใจ และบางคนบอกว่า เห็นแล้วน่าตาย เพราะตายแล้วถ้าได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ที่นี่ ดูว่าจะได้รับเกียรติและได้รับความเคารพอย่างสูง โรงพยาบาลพระโพธิสัตว์ ช่วงราว ๒๐ ปีที่ผ่านมา ฉือจี้ได้สร้างโรงพยาบาลไว้บริการผู้ป่วยรวม ๕ แห่ง มีทั้งที่อยู่ในต่างจังหวัดและในไทเป เป็นโรงพยาบาลที่สร้างอย่างมั่นคงสวยงาม ป้องกันแผ่นดินไหวไว้พร้อมสรรพ เสาแต่ละต้นโอบคนเดียวไม่รอบคงจะใช้งานได้เป็นร้อยๆ ปี ค่าก่อสร้างทั้งหมดมาจากเงินบริจาคของสมาชิกฉือจี้จำนวนนับล้านคน ในช่วงที่ท่านธรรมาจารย์มีดำริจะสร้างโรงพยาบาลแห่งแรกยังไม่มีเงินเลย ทางการทราบเจตนารมณ์ก็ติงว่า เมื่อไม่มีเงินควรคิดทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ใช้เงินน้อยกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ แต่ท่านธรรมาจารย์มั่นใจว่าจะทำได้ แม้ต้องใช้เงินหลายร้อยล้านเหรียญก็ตาม เมื่อเริ่มโครงการมีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เคยอยู่ที่ไต้หวันมาก่อนแสดงความประสงค์ขอบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้สร้างโรงพยาบาล ท่านธรรมาจารย์ไม่รับเพราะต้องการให้คนไต้หวันส่วนใหญ่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าของโรงพยาบาลด้วยการร่วมบริจาคคนละเล็กคนละน้อยมากกว่า ในที่สุดโรงพยาบาลแห่งแรกก็สำเร็จจนวันนี้เปิดโรงพยาบาลแห่งที่ ๕ แล้ว ขนาดใหญ่เกิน ๑๐๐๐ เตียง ๓ แห่ง ขนาดเล็ก ๒ แห่ง เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ไม่ต้องพูดถึง ทุกแห่งมีพร้อมอยู่ในระดับแนวหน้าของไต้หวัน และเข้ามาตรฐานสากล แต่ที่เด่นมากคือ การจัดระบบให้ความสำคัญกับมิติทางมนุษย์และจิตวิญญาณอย่างสูง โรงพยาบาลของฉือจี้ใช้พรหมวิหาร ๔ เป็นคำขวัญกำหนดทิศทางการทำงานเช่นเดียวกับองค์กรอื่นๆ ของฉือจี้ จึงมุ่งบริหารจัดการให้โรงพยาบาลเป็นทั้งแหล่งรักษาคน รักษาใจ รักษาโรค ไปพร้อมๆ กับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของทุกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน บรรยากาศในโรงพยาบาลจัดได้ดีมาก สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไม่มีกลิ่นเหม็นของยาให้ได้สัมผัส ผู้คนที่ทำงานในโรงพยาบาลมีทั้งแพทย์พยาบาล และบุคลากรวิชาชีพ ทำงานร่วมกับอาสาสมัครฉือจี้เป็นร้อยๆ คน ทุกคนให้บริการแก่ผู้ป่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือ แนะนำและให้บริการตามบทบาทหน้าที่ของตน ทราบว่าอาสาสมัครที่มาทำงานในโรงพยาบาลต้องแจ้งความจำนงเข้าคิวรอเป็นเดือนๆ กว่าจะได้มาทำงานอาสาสมัครในโรงพยาบาลครั้งละหนึ่งวัน ในโรงพยาบาลมีการจัดสถานที่ปฏิบัติธรรมให้กับคนไข้ทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม บรรยากาศสงบเย็นดีมาก โรงพยาบาลของฉือจี้มีการรณรงค์ภายในเพื่อสร้าง จิตวิญญาณการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เรียกว่า The mission to be a human doctor เพื่อส่งเสริมการพัฒนาจิตใจของผู้ให้บริการทุกระดับให้ใส่ใจในคุณค่าศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ให้เกียรติและให้ความเคารพในการให้บริการและระลึกในพระคุณของผู้ป่วยและญาติที่เขามาใช้บริการ เขาบอกว่า แพทย์พยาบาลและทีมงานมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนต้องลดตัวตนให้เล็กที่สุด จึงจะทำภารกิจที่สำคัญนั้นได้ เราจึงเห็นแพทย์ชาวฉือจี้ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้คนไข้และคนอื่นๆ ได้เสมอ นอบน้อมถ่อมตน ตั้งใจให้บริการอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เพราะเขาถือว่าการได้ทำงานช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากคือการทำหน้าที่ พระโพธิสัตว์ สะสมบุญกุศลให้สูงขึ้นเรื่อยไป ธนาคารไขกระดูกอันดับหนึ่งของเอเชีย ธนาคารไขกระดูกของมูลนิธิฉือจี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พศ ๒๕๓๗ ด้วยการเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาและแสดงความจำนงบริจาคไขกระดูก Bone marrow registry เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางบางชนิด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด โรคไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น ไขกระดูกคือเซลล์ที่ผลิตเม็ดเลือดตามปกติ ในกรณีเป็นโรคเลือดบางชนิดดังตัวอย่างข้างต้น จำเป็นต้องให้ยาทำลายไขกระดูกที่มีอยู่เดิม แล้วฉีดเซลล์ไขกระดูก ของผู้บริจาคเข้าไปทางหลอดเลือดให้เข้าไปอยู่ในไขกระดูก เพื่อทำหน้าที่แทนไขกระดูกของผู้ป่วย เป็นเทคนิคที่ทางการแพทย์ทำสำเร็จครั้งแรกเมื่อปี พศ ๒๕๑๑ จากนั้นก็มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ปกติแล้วผู้ป่วยมักจะสามารถรับบริจาคไขกระดูกได้จากญาติพี่น้องร่วมสายเลือด เนื่องจากมีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ ร่างกายผู้ป่วยก็จะไม่ปฏิเสธไขกระดูกที่ฉีดเข้าไป แต่ถ้าเนื้อเยื่อเข้ากันไม่ได้ ร่างกายก็จะปฏิเสธไขกระดูกที่ ฉีดเข้าไป ผู้ป่วยบางคนไม่สามารถรับไขกระดูกจากญาติ พี่น้องก็ต้องรอคอยรับบริจาคไขกระดูกจากผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสเข้ากันได้ประมาณ ๑ ใน ๕ หมื่น ดังนั้นการมีผู้บริจาคไขกระดูกไว้มากเพียงใดก็มีโอกาสทำให้มีเนื้อเยื่อเข้ากับผู้ป่วยได้มากเท่านั้น ไม่ต้องบริจาคไขกระดูกไปเก็บไว้ในธนาคาร แต่เป็นการเจาะเลือดไว้ตลอดด้วยเทคนิคพิเศษเท่านั้น ต่อเมื่อตรวจพบว่าเนื้อเยื่อของเราเข้าได้กับผู้ป่วยพอดี ถึงเข้าสู่กระบวนการเจาะไขกระดูกจากตัวเราไปให้ผู้ป่วย ซึ่งก็มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสบริจาคไขกระดูกให้กับผู้ป่วยจริงๆ ใครที่บริจาคไว้แล้วได้บริจาคจริงก็ถือว่าได้โอกาสทำบุญทำกุศลอันยิ่งใหญ่ ปัจจุบันธนาคารไขกระดูกของฉือจี้มีผู้แสดงความจำนงบริจาคมากถึงเกือบ ๓ แสนคน มีการบริจาคไขกระดูกช่วยเหลือผู้ป่วยจริงๆ ทั้งในไต้หวันและประเทศ อื่นๆ ไปแล้วกว่า ๘๐๐ ราย ใน ๒๐ ประเทศ นับเป็นธนาคารไขกระดูกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย บทเรียนรู้ การดำเนินกิจการทางการแพทย์ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมของมนุษยชาติอันยิ่งใหญ่ เพราะมิใช่เป็นเพียงแค่กิจการสังคมสงเคราะห์ผู้เจ็บป่วย ด้วยบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแบบทั่วๆ ไปเท่านั้น หากแต่เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทั้งฝ่ายผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัคร และฝ่ายผู้รับบริการไม่ว่ายากดีมีจน มีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นการสร้างโอกาสให้ทุกคนได้ปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน ฝ่ายผู้ให้บริการ ยิ่งทำงานก็ยิ่งจะต้องรู้จักลดตัวตนให้เล็กลง รู้จักเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ที่ตนให้บริการและสรรพสิ่งรอบตัว และสร้างบุญกุศลด้วยการทำงานเพื่อผู้อื่นให้มากยิ่งขึ้น ฝ่ายผู้รับบริการก็จะได้รับบริการที่ดี มีทั้งคุณภาพ และมีน้ำจิตน้ำใจสอดแทรกอยู่ในทุกกรณี ส่งผลให้ตนเองต้องพัฒนาจิตใจตนให้เป็นผู้ที่รู้จักคิดถึงคนอื่นและพยายามทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่นในส่วนที่ตนทำได้ ขยายวงออกไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเมื่อผ่านการ ดูแลจากทีมงานของฉือจี้ ในที่สุดก็จะกลับกลายมาเป็นสมาชิกและอาสาสมัครของฉือจี้บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์ สุขของคนอื่นต่อไป เข้าลักษณะของการทำให้คนดีและความดีแพร่ระบาดออกไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ผมและคณะดูงานได้เห็นได้สัมผัสได้เรียนรู้มา มิใช่สิ่งที่เป็นอุดมคติ มิใช่สิ่งเพ้อฝัน แต่เป็นเรื่องที่เกิดจริง มีรูปธรรม พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ เรียนรู้ได้ ขยายผลได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนว่า มนุษย์เราทุกคนสามารถนิพพานได้ในชาตินี้ เวลาใดที่เราลดตัวตนได้ ทำประโยชน์สุขให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่หวังผลตอบแทนอย่าง แท้จริง จิตใจเกิดปีติสุข เวลานั้นเราก็นิพพานแล้ว แม้เพียงห้วงเวลาสั้นนิดเดียวก็ตาม ที่เรียกว่านิพพานชิมลอง ไม่ต้องไปรอนิพพานในชาติไหนๆ ขบวนการพุทธฉือจี้เขาก็ชวนกันปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง
บริจาคไขกระดูก Bone marrow registry เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคโลหิตจางบางชนิด มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด โรคไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น ไขกระดูกคือเซลล์ที่ผลิตเม็ดเลือดตามปกติ ในกรณีเป็นโรคเลือดบางชนิดดังตัวอย่างข้างต้น จำเป็นต้องให้ยาทำลายไขกระดูกที่มีอยู่เดิม แล้วฉีดเซลล์ไขกระดูก ของผู้บริจาคเข้าไปทางหลอดเลือดให้เข้าไปอยู่ในไขกระดูก เพื่อทำหน้าที่แทนไขกระดูกของผู้ป่วย เป็นเทคนิคที่ทางการแพทย์ทำสำเร็จครั้งแรกเมื่อปี พศ ๒๕๑๑ จากนั้นก็มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ปกติแล้วผู้ป่วยมักจะสามารถรับบริจาคไขกระดูกได้จากญาติพี่น้องร่วมสายเลือด เนื่องจากมีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ ร่างกายผู้ป่วยก็จะไม่ปฏิเสธไขกระดูกที่ฉีดเข้าไป แต่ถ้าเนื้อเยื่อเข้ากันไม่ได้ ร่างกายก็จะปฏิเสธไขกระดูกที่ ฉีดเข้าไป ผู้ป่วยบางคนไม่สามารถรับไขกระดูกจากญาติ พี่น้องก็ต้องรอคอยรับบริจาคไขกระดูกจากผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสเข้ากันได้ประมาณ ๑ ใน ๕ หมื่น ดังนั้นการมีผู้บริจาคไขกระดูกไว้มากเพียงใดก็มีโอกาสทำให้มีเนื้อเยื่อเข้ากับผู้ป่วยได้มากเท่านั้น ไม่ต้องบริจาคไขกระดูกไปเก็บไว้ในธนาคาร แต่เป็นการเจาะเลือดไว้ตลอดด้วยเทคนิคพิเศษเท่านั้น ต่อเมื่อตรวจพบว่าเนื้อเยื่อของเราเข้าได้กับผู้ป่วยพอดี ถึงเข้าสู่กระบวนการเจาะไขกระดูกจากตัวเราไปให้ผู้ป่วย ซึ่งก็มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสบริจาคไขกระดูกให้กับผู้ป่วยจริงๆ ใครที่บริจาคไว้แล้วได้บริจาคจริงก็ถือว่าได้โอกาสทำบุญทำกุศลอันยิ่งใหญ่
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11116
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "ประเภทของผัก" ให้หน่อยค่ะ
1. ผักที่แบ่งตามพลังงานที่ได้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.1. ผักที่ให้พลังงานระดับต่ำมากๆ ให้พลังงานบ้างแต่ในปริมาณที่ต่ำมากๆ ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดสลัด ผักบุ้งแดง ผักแว่น ผักกาดเขียว สายบัว ผักปวยเล้ง ยอดฟักทองอ่อน ใบโหรพา กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ คื่นช่าย มะเขือเทศ มะเขือ ขมิ้นขาว แตงร้าน แตงกวา แตงโมอ่อน ฟักเขียว น้ำเต้า แฟง บวบ พริกหนุ่ม พริกหยวก คูณ ตั้งโอ๋ และหยวกกล้วยอ่อน 1.2. ผักที่ให้พลังงานแต่ในระดับต่ำ เป็นผักที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ฟักทอง หอมหัวใหญ่ สะตอ แครอท ใบหรือดอกขี้เหล็ก ผักหวาน ถั่วงอกหัวโต ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ถั่วแขก ถั่วพู หัวผักกาดแดง บีทรูท ต้นกระเทียม ยอดชะอม ยอดแค ยอดมะพร้าวอ่อน ยอดกระถิ่น ยอดสะเดา ดอกขจร ดอกโสน ดอกผักกวางตุ้ง พริกหวาน ผักติ้ว ผักกะเฉด ผักคะน้า ใบทองหลาง ใบยอ รากบัว ข้าวโพดอ่อน ตะเกียงกะหล่ำ บร็อคโคลี่ Broccoli ตำลึง มะเขือเสวย มะเขือกรอบ มะระจีน มะละกอดิบ หน่อไม้ปี๊บหรือไผ่ตง เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดนางรม 2. ผักที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ กระถิน แค ชะอม ลูกเนียง ใบขี้เหล็ก ชะพลู ย่านาง ผักกระเฉด และยอดมะระ 3. ผักที่มีเส้นใยอาหารสูง ได้แก่ แมงลัก ใบย่านาง ฝักอ่อนมะขาม มะเขือพวง พริกไทยอ่อน ยอดชะอม พริกขี้หนูเม็ดเล็ก ผักกุ่มดอง ดอกขี้เหล็ก ใบทองหลาง ใบยอ ใบชะพลู กระถิน และผลมะอึก จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร 4. ผักที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ กระเฉด ผักแว่น มะเขือพวง แมงลัก ยอดกระถิน ยอดมะกอก ดอกโสน ใบขี้เหล็ก และชะพลู 5. ผักที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ ผักแขยง ยอดขี้เหล็ก ดอกขจร ยอดชะอม มะขามเปียก และมะขามพวง 6. ผักที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ ใบย่านาง ยอดมะระ ผักแว่น ใบแมงลัก ยอดชะอม ยอดแพงพวยน้ำ ผักเม็ก ผักปลัง ชะพลู ใบตำลึง ยอดผักหวานบ้าน ยอดและดอกขี้เหล็ก ยอกกระถิน ยอดติ้ว ใบชะมวง ผักกูดเขียว ยอดผักหนาม ยอดสะเดา ผักบุ้ง พริกไทยอ่อน ผักกุ่มดอง 7. ประเภทมีวิตามินบี 1Vitamin B1สูง เช่น ยอดมะขาม ยอดมะระ ยอดมะกอก ผักชีลาว ยอดผักหนาม พริกหนุ่ม ผักกูดเขียว ใบยอ เป็นต้น 8. ประเภทมีวิตามินบี 2Vitamin B2สูง เช่น ยอดผักหวานบ้าน ยอดและดอกขี้เหล็ก ยอดกระโดน ยอดติ้ว ยอดผักเม็ก ดอกโสน ใบย่านาง ใบแมงลัก ผักอ่อนมะขาม ยอดแค ยอดจิก กระชาย เป็นต้น 9. ประเภทผักพื้นบ้านที่มีไนอาซินNiacinVitaminB 3สูง เช่น ชะพลู ยอดชะอม ผลมะแว้ง เครือ ใบยอ ยอดกระถิน ผลมะอึก ใบทองหลลาง ใบตำลึง ยอดผักหวานบ้าน กระชาย สะเดา ผักแว่น ผักบุ้ง เป็นต้น 10. ประเภทมีวิตามินซีVitamin Cสูง ช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือก ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย และป้องกันโรคหวัด เช่น พริกชี้ฟ้าเขียว ยอดสะเดา ผลอ่อนมะระขี้นก พริกหนุ่ม ยอดกระโดน ผักขี้หูด พริกชี้ฟ้าแดง ผลสมอไทย ยอดมะระ
ประเภทของผัก 1. ผักที่แบ่งตามพลังงานที่ได้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.1. ผักที่ให้พลังงานระดับต่ำมากๆ ให้พลังงานบ้างแต่ในปริมาณที่ต่ำมากๆ ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดสลัด ผักบุ้งแดง ผักแว่น ผักกาดเขียว สายบัว ผักปวยเล้ง ยอดฟักทองอ่อน ใบโหรพา กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ คื่นช่าย มะเขือเทศ มะเขือ ขมิ้นขาว แตงร้าน แตงกวา แตงโมอ่อน ฟักเขียว น้ำเต้า แฟง บวบ พริกหนุ่ม พริกหยวก คูณ ตั้งโอ๋ และหยวกกล้วยอ่อน 1.2. ผักที่ให้พลังงานแต่ในระดับต่ำ เป็นผักที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ฟักทอง หอมหัวใหญ่ สะตอ แครอท ใบหรือดอกขี้เหล็ก ผักหวาน ถั่วงอกหัวโต ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ถั่วแขก ถั่วพู หัวผักกาดแดง บีทรูท ต้นกระเทียม ยอดชะอม ยอดแค ยอดมะพร้าวอ่อน ยอดกระถิ่น ยอดสะเดา ดอกขจร ดอกโสน ดอกผักกวางตุ้ง พริกหวาน ผักติ้ว ผักกะเฉด ผักคะน้า ใบทองหลาง ใบยอ รากบัว ข้าวโพดอ่อน ตะเกียงกะหล่ำ บร็อคโคลี่ Broccoli ตำลึง มะเขือเสวย มะเขือกรอบ มะระจีน มะละกอดิบ หน่อไม้ปี๊บหรือไผ่ตง เห็ดเป๋าฮื้อ และเห็ดนางรม 2. ผักที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ กระถิน แค ชะอม ลูกเนียง ใบขี้เหล็ก ชะพลู ย่านาง ผักกระเฉด และยอดมะระ 3. ผักที่มีเส้นใยอาหารสูง ได้แก่ แมงลัก ใบย่านาง ฝักอ่อนมะขาม มะเขือพวง พริกไทยอ่อน ยอดชะอม พริกขี้หนูเม็ดเล็ก ผักกุ่มดอง ดอกขี้เหล็ก ใบทองหลาง ใบยอ ใบชะพลู กระถิน และผลมะอึก จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหาร ช่วยในการขับถ่าย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร 4. ผักที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ กระเฉด ผักแว่น มะเขือพวง แมงลัก ยอดกระถิน ยอดมะกอก ดอกโสน ใบขี้เหล็ก และชะพลู 5. ผักที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ ผักแขยง ยอดขี้เหล็ก ดอกขจร ยอดชะอม มะขามเปียก และมะขามพวง 6. ผักที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ ใบย่านาง ยอดมะระ ผักแว่น ใบแมงลัก ยอดชะอม ยอดแพงพวยน้ำ ผักเม็ก ผักปลัง ชะพลู ใบตำลึง ยอดผักหวานบ้าน ยอดและดอกขี้เหล็ก ยอกกระถิน ยอดติ้ว ใบชะมวง ผักกูดเขียว ยอดผักหนาม ยอดสะเดา ผักบุ้ง พริกไทยอ่อน ผักกุ่มดอง 7. ผักที่มีวิตามินบี 1 สูง ได้แก่ ยอดมะขาม ยอดมะระ ยอดมะกอก ผักชีลาว ยอดผักหนาม พริกหนุ่ม ผักกูดเขียว และใบยอ 8. ผักที่มีวิตามินบี 2 สูง ได้แก่ ยอดผักหวานบ้าน ยอดและดอกขี้เหล็ก ยอดกระโดน ยอดติ้ว ยอดผักเม็ก ดอกโสน ใบย่านาง ใบแมงลัก ผักอ่อนมะขาม ยอดแค ยอดจิก และกระชาย 9. ผักพื้นบ้านที่มีไนอาซินสูง ได้แก่ ชะพลู ยอดชะอม ผลมะแว้ง เครือ ใบยอ ยอดกระถิน ผลมะอึก ใบทองหลลาง ใบตำลึง ยอดผักหวานบ้าน กระชาย สะเดา ผักแว่น และผักบุ้ง 10. ผักที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ พริกชี้ฟ้าเขียว ยอดสะเดา ผลอ่อนมะระขี้นก พริกหนุ่ม ยอดกระโดน ผักขี้หูด พริกชี้ฟ้าแดง ผลสมอไทย และยอดมะระ ช่วยรักษาสุขภาพฟันและเหงือก หลอดเลือดแข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย และป้องกันโรคหวัด
โภชนวิทยา,การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Legal_45718
Legal
จงสรุปเรื่อง "โซเชียลมีเดียใช้ในเวลาทำงานเลิกจ้างได้" ให้หน่อยนะคะ
บทความ “ผ่าประเด็นบริหารคน ชี้ถูกผิดกฎหมายแรงงาน Social Media | Line Facebook ดาบ 2 คม ถ้าใช้ในเวลาทำงานเลิกจ้างได้” โดย กฤษฎ์ อุทัยรัตน์ วารสาร HR Society Magazine ปีที่ 17 ฉบับที่ 198 มิถุนายน 2562 ผ่าประเด็นบริหารคน ชี้ถูกผิดกฎหมายแรงงาน โซเชียลมีเดียดาบ 2 คม ถ้าใช้ในเวลาทำงานเลิกจ้างได้ พบกับตัวอย่างคำพิพากษาเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย ของพนักงานในเวลาทำงาน ศาลมองว่าเป็นธรรมแล้ว เล่นโทรศัพท์ เล่นโซเชียลมีเดียผิดระเบียบแต่ต้องเตือนก่อน ซ้ำคำเตือนไม่ต้องจ่ายอะไรเลยก็ย่อมได้ ขอให้แค่รู้หลักใช้มาตรการทางวินัยที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นธรรม และสุจริต นายจ้างย่อมใช้อำนาจได้เต็มที่ ขอเสนอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 17/2560 ระหว่าง นางสาว A โจทก์ กับ บริษัท B โปรแกรมไลน์ที่มีการจัดตั้งกลุ่มสนทนาขึ้นโดยหัวหน้างานโจทก์ เพื่อประโยชน์ในการสั่งงานและบริหารงานให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้บริหาร จำเลยมีบันทึกประวัติการสนทนาข้อความว่า “เดี๋ยวพอ C ลาออก ลบให้หมดเลยที่เคยทำ” นั้น เมื่อผู้เขียนข้อความดังกล่าวมิใช่ตัวโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (2) ส่วนกรณีที่โจทก์เล่นโทรศัพท์ส่งข้อความผ่านโปรแกรมไลน์ในเวลางาน เมื่อกฎระเบียบพนักงานของจำเลย ห้ามเล่นโทรศัพท์ขณะทำงาน เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก ฯลฯ แม้จะมีการพูดคุยในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวปะปนกันก็ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรมตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) แต่เป็นกรณีไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าได้ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือก่อน จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะเหตุกระทำผิดซ้ำคำเตือน จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ แต่การที่โจทก์ฝ่าฝืนกฎระเบียบพนักงาน ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่ามีระเบียบดังกล่าว ถือเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์และถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ มิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 49 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ อาจารย์ขอวิเคราะห์โดยนำคำพิพากษามาว่ากันเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1.คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และค่าจ้างค้างจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2559 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานภาค 8 (ภูเก็ต) พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 3 มิถุนายน 2559) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คือ นายจ้างแพ้หมดรูปทุกประเด็นพิพาทเลยครับ จำเลย (นายจ้าง) ก็จึงต้องอุทธรณ์ต่อไป 2.ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยแล้ว ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558 ตำแหน่งพนักงานต้อนรับส่วนหน้า อัตราเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ 16,000 บาท กำหนดจ่ายเงินเดือนทุกวันที่ 30 ของทุกเดือน ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยยังไม่ได้จ่ายค่าจ้างของวันที่ 1 พฤษภาคม 2559 ถึงวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า 2.1 โจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรงเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ 2.2 การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ 2.3 การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่ 3.สำหรับกรณีการรับส่งข้อความทางโปรแกรมไลน์ (Line) ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า “โจทก์จะร่วมกับพวกลบข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของจำเลยซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญเมื่อโจทก์ลาออก” นั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ยุติในชั้นพิจารณาของศาลแรงงานภาค 8 โปรแกรมไลน์ดังกล่าวเป็นการจัดตั้งกลุ่มสนทนาขึ้นโดยนางสาว D ซึ่งเป็นหัวหน้างานโจทก์เพื่อประโยชน์แก่จำเลยในการสั่งงานและบริหารงานให้เป็นไปตามคำสั่งของผู้บริหารจำเลย บันทึกประวัติการสนทนาทางโปรแกรมไลน์ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 เวลา 11.01 นาฬิกา ตรงข้อความที่ว่า “เดี๋ยวพอ C ออก ลบให้หมดเลยที่เคยทำ” นั้น ผู้เขียนข้อความคือ “C Reception” ซึ่งหมายถึงนางสาว C มิใช่ตัวโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (2) ตรงนี้น่าสนใจ ถ้าในทางกลับกันตัวโจทก์ที่ฟ้องเป็นคนพิมพ์ข้อความนี้ลงในไลน์ล่ะ? ถือว่า จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย นะครับ ซึ่งสามารถเลิกจ้างได้ (ไล่ออก) ไม่ต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยด้วยซ้ำไปครับ เพราะประเด็นชี้แพ้ชนะอยู่ตรง “จงใจ” หรือไม่ไงล่ะครับ คำว่า “จงใจ” ก. หมายความว่า ตั้งใจ, หมายใจ, เจตนา ครับ 4.ส่วนกรณีที่โจทก์เล่นโทรศัพท์ส่งข้อความผ่านโปรแกรมไลน์ในเวลางานนั้น เห็นว่า ตามกฎระเบียบพนักงานของจำเลย (เรียกชื่อยังไงก็ได้ จะหมายถึง “ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 108,110,111 นั่นเอง) ห้ามเล่นโทรศัพท์ขณะทำงาน เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก ฯลฯ (เหมา ๆ ทุกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเรียกชื่อยังไงก็ตามครับ) เมื่อศาลแรงงานภาค 8 ฟังว่าโจทก์เล่นโทรศัพท์ส่งข้อความผ่านโปรแกรมไลน์ในเวลางาน แม้จะมีการพูดคุยในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวปะปนกันก็ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) แต่เป็นกรณีไม่ร้ายแรง เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปีโดยไม่ปรากฏว่าได้ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือก่อน (ตรงนี้ HR และนายจ้าง พลาดครับ) จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะเหตุกระทำผิดซ้ำคำเตือน จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานภาค 8 พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน เป็นเงิน 16,000 บาท นั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย 5.เอาละครับคดีนี้ค่าชดเชยจบนะ คือต้องจ่ายให้ลูกจ้างไป ด้วยเหตุผลข้างต้น แต่ยังมีเงินอีก 2 ก้อน ได้แก่ [1] สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (จะเรียกว่าค่าบอกกล่าวล่วงหน้าก็ได้) กับ [2] ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม มาว่ากันต่อว่าศาลท่านจะว่ายังไง…ตามนี้ครับ …การที่โจทก์ฝ่าฝืนกฎระเบียบพนักงาน อันเป็นระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ทั้งที่โจทก์ทราบอยู่แล้วว่ามีระเบียบดังกล่าว จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต (เจอ 2 กระทงเลยครับ) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยไม่จำต้องจ่าย (แปลว่าไม่ต้องจ่าย) สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์และถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ มิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมให้แก่โจทก์ การที่ศาลแรงงานภาค 8 กำหนดให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค 8 โซเชียลมีเดียมีทั้งโทษและคุณ เลือกใช้ให้ถูกกาลเทศะและเหมาะสม ต้องดูด้วยว่านโยบายเป็นอย่างไร หากฝ่าฝืนอาจโดนมาตรการทางวินัยลงโทษ จนถึงขั้นเลิกจ้างอย่างคดีนี้ก็อาจเป็นได้ ​
บทความนี้เกี่ยวกับคดีทางแรงงานที่เกิดขึ้นเมื่อนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย และลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายตามกฎหมายแรงงาน โดยพิจารณาจากประเด็นที่โจทก์ใช้โซเชียลมีเดีย (โปรแกรมไลน์) ในการส่งข้อความในเวลาทำงาน. 1. ในกรณีการใช้โซเชียลมีเดียในการสนทนางาน ศาลได้ตัดสินว่าการใช้โปรแกรมไลน์ในการสื่อสารเรื่องงาน ถือว่าเป็นที่ยอมรับและสมควร แต่ต้องมีการเตือนล่วงหน้าก่อนและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย. 2. ในกรณีที่โจทก์มีการส่งข้อความทางโปรแกรมไลน์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้าง ศาลตัดสินว่าต้องพิจารณาจากความจริงที่ว่าโจทก์จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายหรือไม่ ถ้าเป็นกรณีที่จงใจทำให้เกิดความเสียหาย นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย. 3. การใช้โซเชียลมีเดียในเวลาทำงานอาจถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้าง และถ้าเป็นกรณีไม่ร้ายแรง นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ต้องมีการตักเตือนล่วงหน้า. 4. ในกรณีที่โจทก์ใช้โปรแกรมไลน์ในการส่งข้อความที่อาจเป็นอันตรายต่อนายจ้าง ความจริงและวัตถุประสงค์ของโจทก์ต้องถูกพิจารณา เพื่อกำหนดว่าการเลิกจ้างจะเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่. 5. ในทางกลับกัน ถ้าโจทก์ที่ถูกฟ้องใช้โปรแกรมไลน์ เป็นผู้พิมพ์ข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย กฎหมายอาจพิจารณาว่าโจทก์จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย. ในสรุป คดีนี้มีความสำคัญในการพิจารณาว่าการใช้โซเชียลมีเดียในที่ทำงานมีผลต่อความถูกต้องของการเลิกจ้างแรงงานและค่าชดเชยที่นายจ้างต้องจ่าย.
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_45441
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดว่า...อย่าละเลย "ประกันการเดินทาง" เพราะมันอาจช่วยคุณประหยัดเงินก้อนใหญ่ยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
null
บทเรียนราคาแพง: เรื่องราวการเดินทางที่ไม่มีประกัน สายลมหนาวพัดโชยผ่านเส้นผม เสียงคลื่นซัดชายหาดดังก้องกังวาน สองเท้าเปล่าแตะพื้นทรายสีขาว ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้เมฆหมอก บ่งบอกถึงวันหยุดสุดพิเศษที่ "ภูเก็ต" ดินแดนสวรรค์บนผืนแผ่นดินไทย "โอ้โห สวยมากเลย!" ฝน เพื่อนสนิทของฉัน อุทานด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้มาเยือนภูเก็ต ดวงตาของเธอเป็นประกายเปล่งปลั่ง เปี่ยมไปด้วยความสุข เราสองคนวางแผนทริปนี้มาหลายเดือน เก็บเงินอย่างอดออมเพื่อมาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษที่นี่ เราจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก วางแผนการเที่ยวไว้เรียบร้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เราลืมไปอย่างสิ้นเชิงคือ "ประกันการเดินทาง" เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวตุ้บๆ คลื่นไส้ และอาเจียนอย่างรุนแรง ฝนรีบพาฉันไปโรงพยาบาล ทันทีที่แพทย์ตรวจ พบว่าฉันเป็นโรคอาหารเป็นพิษ ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วัน ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงกว่าที่คิดมาก ค่าห้อง ค่ายา ค่าอาหาร รวมไปถึงค่าตรวจต่างๆ mengurasเงินเก็บของเราจนเกือบหมด ฝนต้องโทรหาครอบครัวเพื่อขอเงินช่วยเหลือ "นี่ถ้าเราทำประกันการเดินทางไว้ คงไม่ต้องลำบากแบบนี้เลย" ฉันพูดด้วยความเสียใจ ฝนพยักหน้าเห็นด้วย "ใช่ เราพลาดเองที่ละเลยเรื่องนี้ คิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะไปรู้ล่วงหน้าว่าเราจะป่วย" เหตุการณ์ครั้งนี้สอนบทเรียนสำคัญให้กับเรา ประกันการเดินทางเปรียบเสมือน "ตาข่ายนิรภัย" ที่ช่วยโอนย้ายความเสี่ยงและภาระค่าใช้จ่ายยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หลังจากกลับจากทริปนั้น เราสองคนตัดสินใจซื้อประกันการเดินทางทุกครั้งที่เดินทางไปไหนก็ตาม
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_30804
Medical
ในการหายใจปกติคนเราจะหายใจนำอากาศเข้าปอดในปริมาตรกี่ซีซี
A. 400-500 ซีซี B. 200-300 ซีซี C. 500-600 ซีซี D. 100-200 ซีซี
คำตอบคือ A. เพราะว่า ในการหายใจปกติ คนเราจะหายใจนำอากาศเข้าปอดในปริมาตรเพียง 400-500 ซีซี ทั้งที่ในความจริงแล้วปอดของคนเรามีปริมาตรความจุได้เต็มที่มากกว่า 6 ลิตร แปลว่าเรามีกำลังสำรองที่จะเพิ่มการหายใจได้สูงเป็น 10 เท่า แต่การจะหายใจเข้าให้ได้ปริมาตรความจุเต็มที่ของปอดไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อหายใจให้สามารถหายใจเข้าลึกเต็มที่ การฝึกหายใจเข้าลึกเต็มทึ่ ทำได้โดยฝึกกล้ามเนื้อหายใจส่วนต่างๆ ทุกส่วน ได้แก่ กะบังลมดึงให้ปอดขยายลงด้านล่าง กล้ามเนื้อผนังทรวงอกด้านหน้ายกทรวงอกให้ขยายขึ้นทางด้านหน้า และกล้ามเนื้อผนังทรวงอกด้านข้างทำให้สีข้างขยายออกทั้ง 2 ข้าง วิธีการฝึกมี 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 สอนให้หายใจเข้าโดยใช้กล้ามเนื้อทรวงอกด้านหน้า โดยให้ผู้ป่วยนอนราบ ผู้ฝึกวางมือบนบริเวณกระดูกอกแล้วกดน้ำหนักลง จากนั้นให้ผู้ป่วยหายใจเข้าช้าๆ โดยให้ทรวงอกยกมือที่กดอยู่ขึ้น เมื่อใช้กล้ามเนื้อเต็มที่ทรวงอกจะยกมือขึ้นสูงเต็มที่ เมื่อเต็มที่แล้ว ให้กลั้นไว้ 3 วินาที นับ 1-2-3 แล้วเลิกใช้กล้ามเนื้อหายใจ ปล่อยให้ลมหายใจออกตามปกติ ทรวงอกจะคืนตัวมาอยู่ที่ปริมาตรขณะหายใจออกปกติ ขั้นตอนที่ 2 สอนให้หายใจเข้าโดยใช้กะบังลม
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_22038
Medical
ช่วยสรุปบทความเรื่อง "การรักษาสุขภาพที่ดี: ท่าทางที่ถูกต้องในการนอน นั่ง ยืน และทำงานในชีวิตประจำวัน" ให้หน่อยสิคะ
จะนอน จะนั่ง จะยืน จะทำงานท่าไหนดี จะนอน จะนั่ง จะยืน จะทำงานท่าไหนดี มีอาการเจ็บปวดหรือโรคหลายชนิดที่สามารถป้องกันได้ ถ้าเราสนใจท่าทางต่าง ๆ ของเราเองในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น อาการปวดต้นคอ อาการปวดหลัง การปวดร้าวลงมาที่แขนและขา ข้อไหล่ติดขัด ข้อเท้าแพลง อาการเสื่อมของข้อสะโพกและข้อเข่า การฉีกขาดของเส้นเอ็นตามข้อต่าง ๆ อาการเหล่านี้มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากท่าทางที่ผิดปกติทั้งนั้นซึ่งทำให้ต้องเสียเวลานอนพักหรือไม่สามารถทำงานได้ในระยะเวลาหนึ่ง ทั้งเสียเงินทองที่จะต้องหายามาทา ถู กิน เพื่อลดอาการเจ็บปวด แต่แล้วเนื่องจากไม่ได้แก้ไขที่ต้นตอ อาการต่าง ๆ จึงไม่ได้หายไปและมักจะเป็นมากขึ้นทั้งยังมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นจากการกินยาอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้เป็นโรคกระเพาะหรือเกิดอาการแพ้ยาอื่น ๆ รวมทั้งการทำลายข้อต่อต่าง ๆ จากผลของยาเหล่านี้ ทางที่ดีเราจึงควรรักษาสุขภาพของเราเอง โดยป้องกันอาการที่อาจเกิดจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ฉบับที่แล้วได้กล่าวถึง ท่านอน ไปแล้ว และ ท่ายืน ว่าจะนั่งจะยืนท่าไหนดี ท่านั่งของเรา นอกจากนั่งบนเก้าอี้แล้ว ประเพณีของเรายังนิยมให้นั่งพับเพียบหรือนั่งขัดสมาธิ รูปที่ 1 บนพื้น การนั่งพับเพียบนั้นเป็นท่าที่ไม่เหมาะมาก หลังจะต้องเบี้ยวไปข้างหนึ่งทำให้ต้องใช้มือช่วยพยุงไว้ และคอต้องเบี้ยวมาด้านตรงข้าม เพื่อพยายามให้ศีรษะตั้งตรงอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดอาการปวดหลังและปวดคอได้ง่าย ทั้งยังทำให้ปวดในข้อตะโพกและข้อเข่า ถ้าจำเป็นจะต้องนั่งกับพื้น ควรจะนั่งในท่าขัดสมาธิรูปที่2 ซึ่งหลังจะอยู่ในท่าตรงตลอดเวลา และมีฐานที่มั่นคงมาก ทำให้ใช้กล้ามเนื้อน้อยลงเหมาะสำหรับการนั่งฟังเทศน์ หรือทำงานบนพื้นที่ต้องใช้เวลานานกว่าปกติ อย่างไรก็ดีเราควรจะนั่งบนเก้าอี้โดยให้เท้าทั้งสองวางราบอยู่บนพื้น รูปที่ 3 เก้าอี้ที่สูงเกินไปหรือเตี้ยเกินไปทำให้เกิดอาการปวดหลังและเมื่อยขาได้ ที่นั่งของเก้าอี้ควรจะแข็งหรือแน่นพอสมควร โดยเฉพาะเก้าอี้ที่ใช้ทำงานกับโต๊ะ จำเป็นจะต้องมีที่นั่งที่แข็ง เพื่อให้หลังยืดตรงได้ มีพนักพิงที่เข้ากับบริเวณหลังรูปที่ 4 เก้าอี้ทำงานทั่ว ๆ ไป ถึงแม้จัดความสูงได้ แต่ก็มีที่นั่งที่นิ่มเกินไป ซ้ำพนักพิงยังควบคุมด้วยสปริงที่อ่อนมาก ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานตลอดเวลาเกิดความเมื่อยล้าได้ง่าย ที่บริเวณบั้นเอวควรมีหมอนใบเล็ก ๆ เพื่อรักษาส่วนโค้งของกระดูกสันหลังไว้ ควรให้ระดับโต๊ะอยู่ใต้หรือเหนือข้อศอกเล็กน้อย รูปที่ 5 เพื่อไม่ต้องก้มหรือเงยหน้ามากเกินไป การนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ย่อมทำได้แต่ควรจะให้ขาวางอยู่บนต้นขาอีกข้างหนึ่ง ในลักษณะงอที่ตะโพกและหัวเข่าเป็นมุมเกือบ 90 ดูรูปที่ 6 การนั่งทำงานเป็นเวลานานย่อมทำให้ปวดหลังได้ง่าย ทางที่ดี ทุกครึ่งชั่วโมงต้องแอ่นหลังและยืดตัวไปข้างหลัง หรือลุกขึ้นเดินไปมา เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และให้กล้ามเนื้อมีโอกาสพักผ่อน การนั่งขับรถ ควรจะจัดที่นั่งให้ขาสามารถเหยียบห้ามล้อ คลัชและคันเร่งได้อย่างสบาย มือทั้งสองวางอยู่บนพวงมาลัย ข้อศอกงอเล็กน้อย ควรมีเบาะวางบนที่นั่งและมีหมอนเล็ก ๆ วางอยู่ที่บริเวณบั้นเอวรูปที่ 7 การขับรถทางไกลควรจะมีเข็มขัดนิรภัยรัดลำตัวไว้ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว ยังทำให้หลังแนบกระชับกับพนักเก้าอี้รถ ช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อหลังได้อย่างดี ท่ายืนของเรา ในชีวิตประจำวัน เราจะอยู่ในท่ายืนในขณะที่เรารอรถประจำทางแล้วขึ้นไปยืนโหนอยู่บนรถ ทหารหรือตำรวจต้องยืนอยู่ในแถว ครูและพนักงานขายของหน้าร้าน ช่างเสริมสวย การยืนเป็นเวลานานไม่เพียงแต่ทำให้เมื่อยขาเท่านั้น ยังทำให้เกิดความเจ็บปวดที่หลัง ข้อตะโพก ข้อเข่า และเท้า ท่ายืนที่ถูกต้องควรให้ศีรษะลำตัว และขาอยู่ในแนวเส้นตรงรูปที่ 8 ไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูง ตามปกติส้นรองเท้าสำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 1 นิ้วครึ่งรูปที่ 9 ส้นรองเท้าที่สูงเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อของขาต้องทำงานอย่างหนัก และเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักเพื่อไม่ให้ตัวล้มไปข้างหน้า ฝ่าเท้าของเรานั้นมีลักษณะเป็นรูปโค้งรูปที่ 10 เพื่อให้รับน้ำหนักตัวได้ดี เช่นเดียวกับสะพานที่สร้างเป็นลักษณะโค้ง มีคนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่ส่วนโค้งนี้ได้หายไป เกิดอาการเท้าแบน ซึ่งคนสมัยก่อนเข้าใจว่าเป็นคนมีบุญ แต่ความจริงแล้วผู้มีเท้าแบนจะมีกรรมมากกว่า คือจะปวดเมื่อยเท้าเมื่อยืนเป็นเวลานาน มีรองเท้าบางชนิดทำพื้นในรองเท้าให้นูนขึ้นทางด้านในเล็กน้อย เพื่อช่วยพยุงส่วนโค้งของเท้าไว้ เรียกว่ารองเท้าสุขภาพแต่เนื่องจากมีราคาค่อนข้างแพงจึงไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนัก แต่จำเป็นสำหรับผู้ที่มีการปวดหลังจาการยืน สำหรับผู้ที่ต้องห้อยโหนรถเมล์เป็นประจำ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่มือข้างหนึ่งต้องหิ้วกระเป๋าหนักหลายกิโล ส่วนมืออีกข้างหนึ่งต้องโหนราวรถประจำทางซึ่งสูงเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้การเจริญเติบโตของกระดูกสันหลังจะผิดปกติไปได้ง่าย หลังจะเบี้ยวหรือคด ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก ตามโรงเรียนต่าง ๆ จึงควรมีลิ้นชักหรือตู้สำหรับเก็บหนังสือของนักเรียนแต่ละคน หรือกำหนดหนังสือที่จะเรียนแต่ละวันให้น้อยที่สุด ไม่ควรให้นักเรียนต้องหอบหนังสือมาโรงเรียนวันละมาก ๆ กระเป๋านักเรียนสำหรับเด็ก ควรจะเป็นกระเป๋าที่สามารถสะพายไว้บนหลังเช่นเดียวกับเป้ จะทำให้หลังอยู่ในแนวตรงได้ สำหรับคนทั่วไปที่ต้องยกของหนัก ควรจะพยายามอุ้มของนั้นให้ชิดกับลำตัว หรือวางไว้บนบ่า ถ้าจำเป็นต้องทำงานในท่ายืน เช่นทำครัวหรือล้างชาม ต้องให้โต๊ะทำงานหรืออ่างน้ำอยู่ในระดับต่ำกว่าข้อศอกเล็กน้อยรูปที่ 11 เพื่อจะได้ไม่ต้องก้ม ซึ่งจะทำให้ปวดหลังได้ง่าย อ่านต่อฉบับหน้า
สรุปเนื้อหา ได้ว่า การนอน นั่ง ยืน และทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้องสามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังและโรคต่าง ๆ ได้ การป้องกันอาการเหล่านี้ควรให้ความสำคัญกับท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน 1. การนอน นั่ง ยืน และทำงานต้องใส่ใจท่าทางเพื่อป้องกันอาการปวดหรือโรคต่าง ๆ ที่มักเกิดจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง 2. ท่านอนควรเลือกท่านอนที่ไม่ทำให้ต้องเบี้ยวตัวมาก และควรให้รองหลังเพื่อรักษาโค้งของกระดูกสันหลัง 3. ท่ายืนควรให้รักษาการวางตัวที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง ข้อตะโพก ข้อเข่า และเท้า 4. การนั่งควรเลือกเก้าอี้ที่มีรองเท้าที่นิ่มพอสมควรและไม่ควรให้เก้าอี้ที่สูงเกินไป 5. การทำงานที่ต้องยืนนานควรให้พักผ่อนหรือยืดตัวเป็นระยะ และใช้รองเท้าที่ไม่สูงเกินไป 6. การขับรถควรจัดที่นั่งให้สะดวกสบายและมีเข็มขัดนิรภัย 7. การใช้กระเป๋าสำหรับนักเรียนควรเลือกรุ่นที่สามารถสะพายไว้บนหลังเพื่อรักษาท่าทางที่ถูกต้อง 8. สำหรับคนที่ต้องยกของหนักควรมีการอุ้มของให้ชิดกับลำตัว 9. การทำงานในท่ายืนควรให้โต๊ะหรืออ่างน้ำอยู่ในระดับต่ำกว่าข้อศอกเล็กน้อย ** การรักษาสุขภาพของตัวเองโดยการป้องกันท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดโอกาสเกิดอาการปวดหรือโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ท่าทางที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
ออร์โธปิดิกส์ (ออร์โธปิดิกส์) - Orthopedics
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11866
Medical
โรคไวรัสตับอักเสบเอ มีระยะฟักตัวหลังจากที่ได้รับเชื้อเฉลี่ยประมาณ 28-30 วัน ใช่หรือไม่
null
ใช่ โรคไวรัสตับอักเสบเอ เกิดจากตับ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอHepatits A virus ซึ่งเป็นไวรัสที่อาศัยอยู่ในลำไส้ และถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย การติดต่อจากคนสู่คน จะผ่านทางอาหารและหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ ระยะฟักตัวหลังจากที่ได้รับเชื้อเฉลี่ยประมาณ 28-30 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการแบบเฉียบพลัน โดยเริ่มมีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บใต้ชายโครงขวาตำแหน่งของตับ ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม อุจจาระมีสีซีดลง หลังจากนั้นเป็นสัปดาห์ อาการจะค่อยๆดีขึ้น แต่จะสังเกตพบว่ามีตัวเหลืองตาเหลืองเกิดขึ้น ซึ่งโรคไวรัสตับอักเสบเอนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดต่อเนื่องเป็นตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง ซึ่งโดยปกติแล้วโรคนี้มักหายขาด และเมื่อหายแล้วจะมีภูมิคุ้มกันภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนี้เกิดขึ้น ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้ในระยะยาวตลอดชีวิต ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบเอ ขึ้นอยู่กับ อายุของผู้ติดเชื้อ โรคประจำตัว การตั้งครรภ์ และสถานะของสุขภาพของแต่ละบุคคลก่อนการติดเชื้อนี้ โดยการติดเชื้อในเด็กเล็กส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย แต่การติดเชื้อในเด็กโต หรือในผู้ใหญ่ มักทำให้เกิดอาการตัวเหลืองตาเหลือง และมีอาการรุนแรง และอาจเกิดภาวะตับวาย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับเรื้อรังอยู่เดิม เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จะมีอาการรุนแรงกว่าคนปกติ ความชุกของโรคไวรัสตับอักเสบเอทั่วโลกและเช่นเดียวกับในประเทศไทย มีแนวโน้มลดลงในช่วงเวลา10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก เนื่องจากการปรับปรุงสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น กรณีที่ผู้ป่วยเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมาแล้วในวัยเด็ก จะทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบเอไปได้ตลอดชีวิต และเนื่องจากโอกาสในการติดเชื้อดังกล่าวในช่วงวัยเด็กลดลง จึงมีผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบเอในวัยผู้ใหญ่มีโอกาสสูงขึ้น และอาจเกิดการระบาดของโรคนี้ได้ในผู้ใหญ่ เห็นได้จากการระบาดเป็นครั้งคราวโดยตลอดตามภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน โรคไวรัสตับอักเสบเอ สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคนี้ได้เป็นอย่างดี และวัคซีนนี้เองก็มีความปลอดภัย ซึ่ง วัคซีนที่ว่านี้คือ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ หรือ วัคซีนตับอักเสบเอHepatitis A vaccine สำหรับประเทศไทย การให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอแก่ประชากรทุกคนยังถือว่าไม่คุ้มค่า เนื่องจากอัตราเกิดโรคนี้ในประชากรทั่วไปยังต่ำอยู่ ดังนั้นการให้วัคซีนนี้ จึงมุ่งเน้นไปยังเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ
สาธารณสุข (public health),เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_11736
Medical
ยาไนโตรฟูแรนโทอิน (Nitrofurantoin) สามารถใช้รักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli (E. coli) ได้หรือไม่?
null
Yes เหตุผล: 1. ยาไนโตรฟูแรนโทอินเป็นยาปฏิชีวนะ ที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 2. Escherichia coli (E. coli) เป็นแบคทีเรียแกรมลบ ที่พบได้บ่อยในระบบทางเดินปัสสาวะ และเป็นสาเหตุหลักของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 3. ยาไนโตรฟูแรนโทอินมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อ E. coli 4. จากการศึกษาทางคลินิก พบว่ายาไนโตรฟูแรนโทอินสามารถรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อ E. coli ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราการรักษาสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 70-90% 5. ยาไนโตรฟูแรนโทอินมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย E. coli ที่ดี โดยสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ที่ความเข้มข้นต่ำ 6. ยาไนโตรฟูแรนโทอินมีรูปแบบการจัดจำหน่ายทีหลากหลาย เช่น ยาแคปซูล ยาเม็ด ยาผงละลายน้ำ ช่วยให้สะดวกต่อการรับประทาน ยาไนโตรฟูแรนโทอินมีราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับยาปฏิชีวนะชนิดอื่น ข้อควรระวัง: ยาไนโตรฟูแรนโทอินอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ผื่นคัน - ห้ามใช้ยาไนโตรฟูแรนโทอินในผู้ป่วยที่มีโรคไตวายเรื้อรัง - ห้ามใช้ยาไนโตรฟูแรนโทอินในผู้ป่วยที่มีภาวะขาดเอนไซม์ G6PD - ห้ามใช้ยาไนโตรฟูแรนโทอินในหญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนสุดท้าย สรุป: ยาไนโตรฟูแรนโทอินเป็นยาปฏิชีวนะที่มีประสสทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อ E. coli
เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40226
Finance
REITs จะช่วยสู้เงินเฟ้อได้จริงหรือไม่
null
ได้ โดยทั่วไป กองทุน REITs จะถือเป็นการลงทุนที่ชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้ เนื่องจาก REITs สามารถปรับรายได้จากค่าเช่า รวมถึงรายได้ต่างๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยได้ มาดูสถิติอัตราการเติบโตของเงินปันผลต่อหน่วย เทียบกับดัชนีราคาสินค้าของผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) ของสหรัฐฯ ในช่วง 21 ปีย้อนหลัง* (ค.ศ. 2000-2020) พบว่า มีถึง 20 ปีที่อัตราการเติบโตของเงินปันผลจ่ายต่อหน่วยสูงกว่า ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค นั่นแสดงว่า ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อหน่วยเติบโตเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ ในสหรัฐฯ (ตามภาพ) อีกตัวอย่างเป็นงานวิจัย** ที่ทดสอบว่า ผลตอบแทนของ REITs ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นออสเตรเลีย จะสามารถเลียนแบบอัตราเงินเฟ้อได้ โดยต้องมีสัดส่วน REITs อยู่ที่ 35% และสินทรัพย์โภคภัณฑ์ อยู่ที่ 65% จึงสนับสนุนได้ว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางอ้อมอย่างกองทุน REITs ก็สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้เช่นกัน เรื่องต้องรู้ก่อนลงทุนในกองทุน REITs ก่อนที่จะลงทุนในกองทุน REITs มีอย่างน้อย 3 เรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้ 1.ประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน โดยทั่วไปอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุน REITs ลงทุนในไทย มี 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1.กลุ่ม Industrial หรือ โรงงาน โรงเก็บสินค้า 2.กลุ่ม Office หรือ อาคารสำนักงาน 3.กลุ่ม Retail หรือ ห้างสรรพสินค้า Community Mall และ 4. กลุ่ม Hospitality หรือ โรงแรม รีสอร์ท ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะของธุรกิจและความมั่นคงในการชำระค่าเช่าได้แตกต่างกัน 2. กองทุน REITs เป็นแบบ Freehold หรือ Leasehold เนื่องจาก Freehold หรือ กองทุน REITs เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ดังนั้น เงินปันผลจ่าย จะเป็นผลตอบแทนจากค่าเช่าหรือรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคา NAV มีโอกาสขึ้นหรือลงก็ได้ ในขณะที่ Leasehold หรือ กองทุน REITs มีสิทธิในการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลจ่าย จะมีทั้งผลตอบแทนจากค่าเช่า และเงินต้นคืน โดย ณ วันที่สิ้นสุดสิทธิการเช่า ราคา NAV จะเข้าใกล้ 0 บาท ซึ่งจะทยอยรับผลตอบแทนและเงินต้นคืนระหว่างทางไปแล้ว 3. Dividend Yield ย้อนหลังประกอบ เนื่องจากในปี 2564 กองทุน REITs ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ทำให้รายได้ค่าเช่าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนใหญ่ไม่ได้จ่ายเงินปันผลและราคา NAV ปรับลดต่ำลงเทียบกับราคาช่วงต้นปี 64 สำหรับในปี 2565 ให้ติดตามธีมการเปิดประเทศที่จะทำให้กลุ่มกองทุน REITs ที่มีโอกาสฟื้นตัวจากรายได้ที่มาจากการเปิดประเทศและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การพิจารณา Dividend Yield ย้อนหลัง ดูได้ 2 รูปแบบ คือ 1) ใช้อัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีขึ้นไป หรือ 2) ใช้อัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี มีจำนวนปีที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ มากกว่า 5 ปีขึ้นไป เพื่อดูความสม่ำเสมอและอัตราที่จ่ายในการเลือกลงทุนกองทุน REITs ให้ชนะเงินเฟ้อ คำแนะนำเลือกกองทุน REITs ให้เหมาะกับสถานการณ์ ในสถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้อสูง และธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ควรจะเลือกกองทุน REITs ให้เหมาะกับสถานการณ์ดังนี้ - ดูคุณภาพของรายได้ของกองทุน และความสม่ำเสมอในการได้รับค่าเช่า คุณภาพของรายได้ของกองทุน หมายถึง โอกาสในการเพิ่มค่าเช่าเองซึ่งทำให้เพิ่มโอกาสสู้เงินเฟ้อได้ ส่วนความสม่ำเสมอของค่าเช่า ให้ดูเงื่อนไขการรับรายได้ของกอง REITs นั้น หากเป็น Fixed ควรเลือกเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคง หรือ ควรเลือก Profit Sharing เมื่อภาวะเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว มีโอกาสเพิ่มรายได้ในอนาคต - การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะส่งให้ราคา REITs ปรับลง ในระยะสั้น และจะกระทบกับกองทุน REITs ไทยน้อยกว่า เนื่องจากมีข้อกำหนดให้กองทุนฯ มีอัตรากู้ยืมน้อยกว่า 30% เป็นส่วนใหญ่
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_43406
Finance
สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทองมากมายเหลือกินเหลือใช้ กุญแจสำคัญที่สุดที่จะได้มาซึ่ง “อิสรภาพทางการเงิน” คืออะไร
ตรุษจีนกำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี บทความสั้นวันนี้เขียนเพื่ออยากจะบอกทางเลือกของเงิน “อั่งเปา” ที่คุณเพิ่งได้รับมา หรือจะนำไปใช้สอนลูกหลานที่เราแจกอั่งเปาไปก็เป็นความคิดที่ไม่เลวครับ สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทองมากมายเหลือกินเหลือใช้ กุญแจสำคัญที่สุดที่จะได้มาซึ่ง “อิสรภาพทางการเงิน” คือการเพิ่ม “เงินลงทุน” ให้ได้มากที่สุด และมีระยะเวลาลงทุนที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทองมากมายเหลือกินเหลือใช้ กุญแจสำคัญที่สุดที่จะได้มาซึ่ง “อิสรภาพทางการเงิน” คือการเพิ่ม “เงินลงทุน” ให้ได้มากที่สุด และมีระยะเวลาลงทุนที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ประเพณีการให้ “อั่งเปา” นับเป็นโอกาสที่ดี ที่คนมีเหลือเก็บจะได้แบ่งปันลูกหลานที่อยู่ในวัย “สะสม” ความมั่งคั่ง สำหรับส่วนตัวผม อั่งเปาที่ลูกน้อยสามคนได้รับมา ผมเลือกที่จะนำเงินไปลงทุนในกองทุนหุ้นทั้งหมด โดยเปิดบัญชีเพื่อ แยกให้เป็นคน ๆ ณ วันนี้ลูกผมอายุ 1 , 3 และ 5 ขวบ เงินที่ผมเก็บให้ลูกผมตั้งใจจะให้ลูกเอาไว้ใช้ลงทุนทำธุรกิจ หรือใช้ในยามจำเป็นเมื่ออายุ 30 ปี โดยถึงวันนั้นบางคนคงจะกำลังมีครอบครัว สร้าครอบครัว บางคนอาจจะอยากลงทุนสร้างธุรกิจเหมือนที่ผมกำลังทำอยู่วันนี้ ตลาดหุ้นไทยจากสถิติมีผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 12% ต่อปี ถ้าลงทุนเป็นระยะเวลา 30 ปีเชื่อมั้ยครับว่าเงินคุณจะเติบโตถึงประมาณ 30 เท่า ! (1 + 1.12)^30 = 29.95 เกือบ 30 เท่าจริง ๆ ครับ ถ้าปีนี้เราได้อั่งเปา 35,000 แล้วลงทุนได้ผลตอบแทนเท่าตลาดหุ้น 30 ปี เงิน 35,000 บาทจะมีโอกาสเติบโตเป็น 1,048,600 บาท….กว่าล้านบาทจริง ๆ ครับ หรือถ้าเราคิดยาวกว่านั้นอยากตั้งกองทุนเพื่อการเกษียณให้ลูก ลงทุนยาว 60 ปี เงิน 35,000 บาทจะมีโอกาสเติบโตเป็น 31,415,893 บาท หรือเติบโตขึ้นเกือบ 900 เท่าตัว ! นอกจากนี้วิธีการส่วนตัวที่ผมใช้ คือการ switch เงินลงทุนในแต่ละปี ตามมุมมองตลาด เช่นในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาผมมองตลาดหุ้นไทยไม่ดี ผมก็ย้ายเงินลงทุนของลูกไปเน้นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ มาปีนี้ผมมองตลาดหุ้นไทยดีขึ้นบ้าง ก็ย้ายเงินกลับมาลงทุนหุ้นบ้านเราบ้างบางส่วน แต่หลักการคืออยู่ในหุ้นทั้งหมด เพราะเงินลงทุนมีระยะเวลานาน ซึ่งโอกาสการขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็น้อยลงไปด้วยหากเรามีช่วงระยะเวลาการลงทุนที่ยาว อย่างไรก็ตามนี่เป็นแนวทางการลงทุนที่เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก ต้องไม่หวั่นไหวกับความผันผวนปีต่อปี ท่านที่รับความเสี่่ยงได้ไม่มากควรกระจายการลงทุนมากกว่านี้ และที่สำคัญคือยิ่งใกล้เวลาที่จะใช้เงินเมื่อไหร่ก็ควรลดความเสี่ยงของพอร์ตลงด้วยให้สอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุน ทั้งหมดก็เป็นบทความสั้น เพื่ออยากจะบอกทุกคนสำหรับทางเลือกของเงินอั่งเปาที่เพิ่งจะได้รับกันมาในปีนี้ สำหรับวันนี้ขอลากันไปสั้น ๆ แบบนี้แหละครับ (รูปประกอบสุดท้ายคือน้องเจตต์ ลูกชายคนกลางตัวแสบของผมเองครับ) FundTalk รายงาน
สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินทองมากมายเหลือกินเหลือใช้ กุญแจสำคัญที่สุดที่จะได้มาซึ่ง “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การเพิ่ม “เงินลงทุน” ให้ได้มากที่สุด และมีระยะเวลาลงทุนที่ยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความรู้ทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26382
Medical
เครื่องสำอางของนอกกับของไทย แตกต่างกันอย่างไร
ว่ากันว่าชีวิตคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการโฆษณาอย่างน่าเป็นห่วง ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือแม้แต่จะซื้อข้าวของอะไรสักอย่างมาใช้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งนั้นเป็นผลมาจากการได้ยิน ได้เห็น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคุ้นเคย และเกิดเป็นความเชื่อถือ อย่างเรื่องของเครื่องสำอางก็เช่นกัน ถ้าหยิบนิตยสารขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง เราจะได้เห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์เพิ่มความสวยงามจากต่างประเทศนานายี่ห้อ และแต่ละยี่ห้อก็เขียนข้อความบอกกล่าวถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อย่างน่าชวนเชิญให้รีบควักเงินซื้อ (สำหรับคนกระเป๋าหนัก) เสียอย่างเดียวที่สินค้าเครื่องสำอางเหล่านี้ราคาค่อนข้างแพงจนถึงแพงมาก เพราะฉะนั้นคนที่กระเป๋าเบาหรือเงินน้อยก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้ของราคาแพงจากเมืองนอกตามค่านิยมของสังคม ครั้นมาถึงยุคปลุกกระแสนิยมไทย รวมทั้งการสนับสนุนให้ ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ธรรมชาติ ก็จะเห็นว่ามีสินค้าเครื่องสำอางยี่ห้อไทยๆ วางขายกันดาษดื่นละลานตานับร้อยยี่ห้อ เอาล่ะซิ! คราวนี้จะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี เพราะดูหีบห่อบรรจุภัณฑ์ก็ล้วนสวยเก๋ น่าใช้ไปเสียหมด จนเกิดความรู้สึก " รักพี่เสียดายน้อง" อยู่บ่อยๆ แล้วพอตัดสินใจไม่ได้ ในที่สุดหลายคนมักจะซื้อมา ทดลองใช้ทุกยี่ห้อ จนข้าวของกองเต็มบ้าน และหมดเงินไปกับความไม่รู้ไม่ใช่น้อย ความจริงเครื่องสำอางสมุนไพรไทยใช้ได้ผลดีและราคาไม่แพงมาก ซึ่งหากผู้หญิงเราเลือกเป็นดูเป็น ก็จะประหยัดเงินในเรื่องฟุ่มเฟือยเหล่านี้ได้มากโขทีเดียว เภสัชกรหญิงสุภาภรณ์ ปิติพร แห่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาสมุนไพรและเครื่องสำอางสมุนไพรยี่ห้อ " อภัยภูเบศร" ได้ให้ความรู้เรื่องการผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรกับนิตยสาร " หมอชาวบ้าน" รวมทั้งข้อคิดที่น่าสนใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ด้วย "ของนอก" กับ "ของไทย" ต่างกันตรงไหน อย่างที่เกริ่นมาข้างต้นว่า หน้าโฆษณาขายเครื่องสำอางในนิตยสารต่างๆ อ่านแล้วชวนเคลิบเคลิ้มเหลือเกิน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มักจะบอกว่าสินค้าของตัวเองมีส่วนผสมพิเศษ เป็นสูตรลับเฉพาะ เป็น นวัตกรรมใหม่ หรือผ่านการวิจัยทดสอบกับผู้หญิงชาตินั้นชาตินี้มาแล้วกี่คน (ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นจะอยู่ที่ ๑๐-๑๐๐ คน) และจากผล วิจัยก็จะออกมาในทำนอง "ใช้แล้ว ผิวขาวขึ้น เรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยเหี่ยวย่นค่อยๆ จางหาย เป็นต้น" ผู้เขียนเองขนาดรู้แสนรู้ว่า การโฆษณาเป็นการเลือกพูดแต่สิ่งที่ดีหรือจุดเด่นของสินค้าเพียงด้านเดียว พูดง่ายๆ คือบอกความจริงไม่หมด ถึงกระนั้นอ่านโฆษณาเหล่านี้ทีไรมักจะ "อิน" ไปกับข้อความ ที่ก๊อบปี้ไรเตอร์เขาร้อยเรียงขึ้นทุกครั้ง เรียกว่าอ่านเมื่อไรก็อยากซื้อ อยากใช้ อยากลองกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่เคยต้องเสียเงิน ด้วยเหตุว่าสินค้ายี่ห้อนอกเหล่านี้ แต่ละชิ้นแต่ละชนิดราคาเทียบเท่าราคาทองคำทีเดียว แล้วที่ว่า "ผ่านการวิจัย" นั้น เขาวิจัยกันลึกซึ้งละเอียดลออแค่ไหน ประเด็นนี้คุณสุภาภรณ์คุยให้ฟังว่า " ต้องบอกก่อนว่าโดยทั่วไปเครื่องสำอางทั่วโลกไม่จำเป็นต้องทดลอง เพราะไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เครื่องสำอางยี่ห้อแพงๆ เขาอาจ จะมีห้องทดลองของเขา ส่วนที่บอก สรรพคุณว่าแก้โน่นแก้นี่ได้มากมาย นั้น จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีการทดลองตามที่เขียนไว้ทั้งหมดหรอก หรืออาจจะมี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่ขายฝัน (ขายโฆษณา) เสีย มากกว่า เพราะที่สุดแล้วถ้าเขาผลิตสินค้าที่ไม่ดีออกมา คนก็ไม่ ซื้อมาใช้ ส่วนที่บอก ว่ามีการทดลอง อย่าง น้อยก็สร้างความเชื่อถือ ให้กับตัวสินค้านั้นๆ พูดไปแล้วต้นทุน จริงๆ ของเครื่องสำอาง กระปุกแพงๆ กับสิ่งที่ เราทำอยู่ บางทีก็ไม่แตกต่างกันนัก อย่างเช่น ครีมล้างหน้าแตงกวาขายอยู่ ๑๐๐ กว่า บาท (เรียกว่าเป็นสินค้าที่แพงที่สุด ในบรรดาผลิตภัณฑ์ของอภัยภูเบศร ขณะที่ของนอกราคาต่ำสุดก็ประมาณ ๗๐๐ บาทขึ้นไป) เพราะการทำค่อนข้างยุ่งยากและมีปัญหามาก แตงกวานี่เชื้อโรคชอบมาก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ clean room ในการปั่น กลั่นปุ๊บก็ต้องรีบส่งเข้าโรงงานแล้วไปทำเป็นครีม ใช้เวลาทดลองอยู่ ๒-๓ ปี ก่อนจะออกมาขาย ที่นี่พยาบาลเยอะ...ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ว่าเวลาจะทำอะไรออกมาแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นครีมแตงกวา แชมพูต่างๆ หรือแป้งว่านที่กำลังจะทำออกมา ก็ได้ทำการทดลองกับน้องๆ หลายคน รวมทั้งทดสอบความพึงพอใจอย่าง แชมพูนี่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มาก เพราะคนคนเดียวกันนี่เอง ช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือช่วงที่อดนอน แชมพูตัวเดียวกันก็มีปัญหาได้ เพราะฉะนั้นถามว่าอภัยภูเบศรทำวิจัยไหม ทำ! แต่ ถามว่าจะเป็นการวิจัยที่เป็นทางคลินิกไหม คิดว่าคงไม่ต่างจากของเครื่องสำอางอื่นๆ วันก่อน คุณลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ มาที่นี่บอกว่า "เดี๋ยวนี้ เลิกใช้ครีมราคาเป็นหมื่น เพราะใช้ครีมแตงกวาแล้วก็ไม่แตกต่างจากของแพงเลย คือเครื่องสำอางไม่ว่ายี่ห้อไหน ถ้าดูส่วนประกอบแล้วก็คล้ายๆ กัน อย่างแชมพูกี่ยี่ห้อ ก็เกือบจะคล้ายกันหมด คือส่วนใหญ่ของนอกก็จะเป็นการขายฝัน ขายหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ขายยี่ห้อ ขายความหรูหรา ทำให้ดูแตกต่าง แล้วมีการลงทุนในการโฆษณาอย่างมากมายมหาศาล" เหตุผลเหล่านี้ผู้เขียนคิดว่าบางคนรู้ว่าการที่สินค้ามีราคาแพง ส่วนหนึ่งเพราะผู้ผลิตได้บวกต้นทุน ในการโฆษณาไว้ด้วย แล้วบางครั้งถ้าหากขายถูกก็ทำให้ผู้ซื้อบางคนคิดว่าสินค้านั้นไม่ดี หรือไม่มีคุณภาพ ก็เพราะค่านิยมแบบนี้ นี่เองที่ทำให้บริษัททุนนิยมต่างๆ ร่ำรวยไปตามๆ กัน (ก็คุณเต็มใจให้เขาหลอกเองนี่นา) เพราะฉะนั้นเครื่องสำอางคนไทยที่ชื่อไทย หรือแม้จะตั้งชื่อเป็นฝรั่งที่มีงบการตลาดน้อย ก็เลยเป็น สินค้าที่ดูไม่ไฮโซ ไม่น่าสนใจ ไม่น่า เชื่อถือ ทั้งๆ ที่มีคุณภาพดีและราคาถูก (ที่ผู้ผลิตบางรายไม่อยาก เอาเปรียบคนไทยด้วยกันเองจึงพยายามขายถูก แต่คนไทยใจฝรั่ง มักไม่เชื่อว่าของไทยจะดีสู้ต่างชาติ ได้) อยากบอกว่าเดี๋ยวนี้เครื่องสำอางของคนไทย ส่งออกไปขายต่างประเทศกันมากขึ้นทั้งที่เป็นชื่อไทยพันธุ์แท้อย่างไม่อายใคร หรือชื่อที่เป็นสากล แต่สัญชาติไทยเมดอินไทยแลนด์ ก็ทำให้คนไทยใช้ แต่ไทยกันเองไม่ใช้ อย่ากระนั้นเลยส่งขายต่างชาติดีกว่า แถมได้ราคาดีกว่าด้วย เครื่องสำอางสมุนไพร ยังไงก็ยังมีสารเคมี ผู้หญิงบางคนแพ้สารเคมีในเครื่องสำอาง ก็จะหันมาใช้เครื่องสำอางที่ติดฉลากว่าผสมสมุนไพรนานาชนิดเป็นทางเลือก แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเครื่องสำอาง แล้วก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีสารเคมีเป็นส่วนประกอบไม่มากก็น้อยแทบทั้งสิ้น คุณสุภาภรณ์แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ว่า "สมัยก่อนเราไม่ได้ใช้สารเคมี สาวๆ ที่รักสวยรักงาม ก็จะเสริมแต่งจากของธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว อย่างเช่น ใช้สีผึ้งทาปาก ใช้แป้งว่านทาหน้า หรือแกะเมล็ดบานเย็น มาทาผิว (เมล็ดบานเย็น มีไขมัน) หรือเคี่ยวน้ำมันไว้ใส่ผม ต่อมา ก็มีการพัฒนาเป็นครีมต่างๆ ซึ่งครีมก็เป็นสารเคมี แต่อาจไม่ใช่สารเคมีที่อันตราย เมื่อก่อนเวลาสระผมคนโบราณจะใช้ขี้เถ้า ต่อมาก็มีการเคี่ยวด่างกับไขมัน ทำเป็นพวกสบู่ ซึ่งบางครั้งเคี่ยวไม่หมดก็ละลายน้ำได้น้อย ก็จะมีเหนียวๆ แล้วด้วยกระบวนการ ปิโตเคมีคอลจากการกลั่นน้ำมัน เราก็สามารถสังเคราะห์สารเหล่านี้มาเป็นผงซักฟอก เป็นสบู่ เป็นยาสระผม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของทางตะวันตก ทีนี้การใช้สมุนไพรลงไปก็คือนำส่วนที่เป็นประโยชน์ของสมุนไพร เช่น มีสารต้านอนุมูล อิสระ หรือการลดการอักเสบต่างๆส่ลงไป เพื่อช่วยลดการระคายของ แชมพูที่มีต่อหนังศีรษะ หรืออาจช่วยในการทำให้เส้นผมกระชับขึ้น ที่อภัยภูเบศรเรามีสินค้าที่เป็นสมุนไพรล้วนๆ อยู่หลายตัว อย่างเช่น ครีมมะขาม น้ำมันสมอ และยาสีฟัน ที่ทำน้ำมันสมอขึ้นมา ก็เพราะเดี๋ยวนี้คนจะสระผมกันบ่อยทุกวัน แล้วแชมพูสระผมจะค่อยๆ ทำลายน้ำมันธรรมชาติ เรา ก็เคี่ยวน้ำมันมะขามป้อมกับสมอไทย เป็นน้ำมันหมักผมเพื่อช่วยปรับสภาพเส้นผม หรือยาสีฟันของที่นี่เราจะใส่สมุนไพรลงไปเยอะมาก จนบางครั้งจะมีความคงตัวน้อย ซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบ" เท่าที่ผู้เขียนทราบ เครื่องสำอางสมุนไพรล้วนๆ นั้นแทบจะไม่มี ผู้ผลิตออกมาจำหน่าย เพราะสินค้า ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการจำหน่าย ดังนั้น จึงต้องมีการเติมสารต่างๆ ลงไป อย่างน้อยก็สารกันหืนหรือสารกันบูด เพื่อยืดอายุเครื่องสำอางให้อยู่ได้นานหลายปี และขายได้กว้างขวางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสกัดจาก ธรรมชาติก็ยังดีกว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบเป็นสารเคมีล้วนๆ อยากใช้สินค้าคุณภาพต้องรู้จักเลือก ท่ามกลางความหลากหลายของสินค้าเครื่องสำอางสมุนไพรไทย ที่วางจำหน่าย ซึ่งล้วนน่าซื้อน่าลอง แทบทั้งสิ้น ข้างฝ่ายผู้ซื้อเองก็ค่อน ข้างจะสับสน เพราะสินค้าประเภท เดียวกันบางครั้งมีหลายสิบยี่ห้อ (ทั้งที่ใช้ชื่อไทยและชื่อฝรั่ง) สุดท้าย หลายคนต้องใช้วิธี " ลองของ" ไป เรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าสินค้านั้น เหมาะกับตัวเอง คุณสุภาภรณ์ในฐานะเภสัชกรและในฐานะผู้ผลิต ได้ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องสำอางเหล่านี้ว่า " ความจริงแล้วเครื่องสำอางโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโลชั่น แชมพู ครีมบำรุงผิว แป้ง หรืออื่นๆ จะมีสูตรเฉพาะอยู่แล้ว เพียงแต่เราดัดแปลงมาใส่สมุนไพรหลายชนิด ลงไปให้มีประโยชน์มากขึ้น แล้วใส่กลิ่น ใส่กล่องให้ดูดี น่าซื้อ น่าใช้ แต่โดยส่วนผสมหลักๆ จะเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้ออันดับแรกก็ดูที่คนทำว่าน่าเชื่อถือ หรือผลิตได้มาตรฐานหรือเปล่า (โดยอาจสังเกตจากเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานต่างๆ) แล้วก็ดูว่าเราตอบสนองกับผลิตภัณฑ์นั้นแค่ไหน หมายถึงใช้แล้วไม่มีปัญหาก็ใช้ต่อไปได้ ส่วนเรื่องราคา ก็ไม่จำเป็นต้องแพงมาก ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนยี่ห้อใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองสวยเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะโดนหลอกเสียเงินไป เรื่อยๆ ในเรื่องของส่วนประกอบหรือส่วนผสมต่างๆ ถ้าไม่ใช่เภสัชกร หรือคนที่สนใจจริงๆ ก็อาจจะดูยาก สักหน่อย " ได้ยินคำยืนยันอย่างนี้แล้ว คุณผู้หญิงทั้งหลายคงสบายใจกันมากขึ้นที่ต่อไปนี้ทุกคนสามารถจะดูดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องเสียเงินมากเป็นหมื่นเป็นแสน เพราะจริงๆ แล้วของแพงใช่ว่าจะเป็นของดีเสมอ ไป ทำนองเดียวกันของราคาถูกบาง ครั้งอาจคุณภาพดีกว่าของราคาแพง ด้วยซ้ำ อยู่ที่ว่าเลือกเป็นหรือเปล่า ส่วนของที่ราคาถูกมากๆ ชนิดราคา ๒๐-๓๐ บาท ที่ขายกองๆ อยู่ใน กระบะนั้นก็ให้ระวังกันบ้างนะคะ เพราะอันตรายถึงขั้นเสียโฉมได้ ถ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ สารสกัดธรรมชาติในเครื่องสำอาง ต้องบอกว่าเป็นยุคที่ฮิตจริงๆ กับการเติมสารสกัดจากธรรมชาติชนิดต่างๆ ลงไปในเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา มะเขือเทศ กล้วย ส้ม อ้อย น้ำผึ้ง ไข่แดง บัวบก ไชเท้า แปะก๊วย ว่านหางจระเข้ เป็นต้น ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าระหว่างของสดๆ กับสารสกัดอย่างไหนจะดีกว่ากัน เรื่องนี้คุณสุภาภรณ์บอกว่า " ถ้ามีความรู้แล้วใช้ในปริมาณ ที่เหมาะสม ใช้อย่างถูกวิธี แน่นอน ว่าของสดๆ นี่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น แตงกวา มะเขือเทศ กล้วย แตงโม หรืออื่นๆ ซึ่งจริงๆ คนโบราณเขาก็ใช้กันมาตั้งนานแล้ว อย่างเช่นว่านหางจระเข้ แม้จะมีที่ไม่มากนักถ้าเราปลูกไว้สักกระถาง แล้วค่อยๆ ตัดมาทีละแว่นๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องไปซื้อเครื่องสำอาง เพราะว่านหางจระเข้ใช้กับผมก็ได้ ใช้กับผิวหน้าก็ได้ แล้วการที่นำว่านหาง-จระเข้ไปผ่านกระบวนการกว่าจะเอามาใช้ คุณค่าก็ลดลง สู้ใช้แบบสดๆ จะดีกว่า เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ เราไม่ยอมเสียเวลาให้กับสิ่งเหล่านี้ แต่กลับเอาเวลาไปทำงานหาเงิน แล้วมาซื้อครีมกระปุกละ ๓,๐๐๐ บาท ซึ่งอาจได้ผลรับเช่น เดียวกับการใช้ว่านหางจระเข้ ๑ กระถางสดๆ ที่เราปลูกไว้เอง ก็จะช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศ ได้มาก และจะได้ไม่ถูกเขาหลอก เพราะว่าสมุนไพร (นานาชนิดในเครื่องสำอางทั้งหลาย ที่บอกว่าช่วย รักษาโน่นรักษานี่ได้มากมาย) ไม่ได้มีงานวิจัยอะไรชัดเจน" ผู้หญิงเราถูกหลอกให้ต้อง ซื้อของแพงกันมานานแล้ว โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องสำอาง ถึงเวลาแล้วกระมัง ที่จะต้องหันกลับมาสวยแบบสมเหตุสมผล สวยแบบพึ่งสารเคมีให้น้อยที่สุด สวยแบบประหยัด และสุดท้ายคือสวยแบบกู้ชาติ นั่นคือ อุดหนุน สินค้าของคนไทย เงินทองจะได้ไม่ รั่วไหลออกนอกประเทศ เหมือน ที่ผ่านๆ มา
โดยทั่วไปเครื่องสำอางทั่วโลกไม่จำเป็นต้องทดลอง เพราะไม่ใช่ยารักษาโรค แต่เครื่องสำอางยี่ห้อแพงๆ อาจจะมีห้องทดลอง ส่วนที่บอกสรรพคุณว่าแก้ได้มากมายนั้น จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีการทดลองตามที่เขียนไว้ทั้งหมด หรืออาจจะมี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่ขายโฆษณามากกว่า เพราะที่สุดแล้วถ้าผลิตสินค้าที่ไม่ดีออกมา คนก็ไม่ซื้อมาใช้ ส่วนที่บอกว่ามีการทดลอง อย่างน้อยก็สร้างความเชื่อถือให้กับตัวสินค้านั้นๆ ต้นทุนจริงๆ ของเครื่องสำอางกระปุกแพงๆ กับสิ่งที่ทำอยู่ บางทีก็ไม่แตกต่างกันนัก อย่างเช่น ครีมล้างหน้าแตงกวาขายอยู่ ๑๐๐ กว่าบาท เพราะการทำค่อนข้างยุ่งยากและมีปัญหามาก แตงกวาเชื้อโรคชอบมาก เพราะฉะนั้นต้องใช้ clean room ในการปั่น กลั่นแล้วก็ต้องรีบส่งเข้าโรงงานแล้วไปทำเป็นครีม ใช้เวลาทดลองอยู่ ๒-๓ ปี ก่อนจะออกมาขาย ไม่ว่าจะเป็นครีมแตงกวา แชมพูต่างๆ หรือแป้งว่าน ก็ได้ทำการทดลอง รวมทั้งทดสอบความพึงพอใจ อย่างแชมพูเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมาก ช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือช่วงที่อดนอน แชมพูตัวเดียวกันก็มีปัญหาได้ ถามว่าจะเป็นการวิจัยที่เป็นทางคลินิกไหม คิดว่าคงไม่ต่างจากของเครื่องสำอางอื่นๆ เดี๋ยวนี้ เลิกใช้ครีมราคาเป็นหมื่น เพราะใช้ครีมแตงกวาแล้ว ก็ไม่แตกต่างจากของแพงเลย คือเครื่องสำอางไม่ว่ายี่ห้อไหน ถ้าดูส่วนประกอบแล้วก็คล้ายๆ กัน อย่างแชมพูกี่ยี่ห้อ ก็เกือบจะคล้ายกันหมด คือส่วนใหญ่ของนอกก็จะเป็นการขายฝัน ขายหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ขายยี่ห้อ ขายความหรูหรา ทำให้ดูแตกต่าง แล้วมีการลงทุนในการโฆษณาอย่างมากมายมหาศาล เหตุผลเหล่านี้บางคนรู้ว่าการที่สินค้ามีราคาแพง ส่วนหนึ่งเพราะผู้ผลิตได้บวกต้นทุนในการโฆษณาไว้ด้วย แล้วบางครั้งถ้าหากขายถูกก็ทำให้ผู้ซื้อบางคนคิดว่าสินค้านั้นไม่ดี หรือไม่มีคุณภาพ ก็เพราะค่านิยมแบบนี้นี่เองที่ทำให้บริษัททุนนิยมต่างๆ ร่ำรวยไปตามๆ กัน เพราะฉะนั้นเครื่องสำอางคนไทยที่ชื่อไทย หรือแม้จะตั้งชื่อเป็นฝรั่งที่มีงบการตลาดน้อย ก็เลยเป็นสินค้าที่ดูไม่ไฮโซ ไม่น่าสนใจ ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่มีคุณภาพดีและราคาถูก (ที่ผู้ผลิตบางรายไม่อยาก เอาเปรียบคนไทยด้วยกันเองจึงพยายามขายถูก แต่คนไทยใจฝรั่ง มักไม่เชื่อว่าของไทยจะดีสู้ต่างชาติได้) เครื่องสำอางของคนไทยส่งออกไปขายต่างประเทศกันมากขึ้นทั้งที่เป็นชื่อไทยพันธุ์แท้อย่างไม่อายใคร หรือชื่อที่เป็นสากล แต่สัญชาติไทยเมดอินไทยแลนด์ ก็ทำให้คนไทยใช้ แต่ไทยกันเองไม่ใช้ เลยส่งขายต่างชาติดีกว่า แถมได้ราคาดีกว่าด้วย
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_25265
Medical
วิธีตรวจเต้านมด้วยตนเองควรเริ่มตรวจตั้งแต่ตอนใด
a. เมื่อเริ่มมีประจำเดือน b. เมื่อเริ่มเรียน c. เมื่อเริ่มมีเงิน d. เมื่อเริ่มทำงาน
คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ a. เพราะว่า วิธีตรวจเต้านมด้วยตนเองนั้น ควรเริ่มตรวจตั้งแต่เมื่อเริ่มมีประจำเดือนโดยตรวจเดือนละครั้ง ระยะเวลาที่ดีที่สุด คือ ประมาณวันที่ ๑๐ หลังจากที่เริ่มมีรอบเดือน ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เต้านมมีขนาดเล็กที่สุด ทำให้สามารถที่จะคลำพบสิ่งผิดปกติได้ง่ายที่สุด และวิธีตรวจนี้ต้องประกอบด้วยการดู ก็คือ การยืนอยู่หน้ากระจก ส่องกระจกดูเปรียบเทียบเต้านมทั้ง ๒ ข้างว่า ข้างใดมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ขนาด รูปร่าง เหมือนกันมั้ย ระดับของหัวนมอยู่ระดับเดียวกันหรือเปล่า มีความผิดปกติของหัวนมหรือไม่ เช่น หัวนมบุ๋มดึงรั้งเข้าไป มีผิวหนังของเต้านมผิดปกติ เช่น อาจจะมีรอยบุ๋ม มีบวมแดง หลังจากดูแล้วก็คือ การคลำ ดูตามภาพ วิธีที่สะดวกคือ การคลำในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ เพราะช่วงตอนที่กำลังถูสบู่ผิวหนังจะลื่น ฉะนั้นถ้ามีอะไรผิดปกติ มีก้อน เราจะคลำได้แน่นอนกว่าตอนที่ผิวหนังหนืดๆ สาเหตุของมะเร็งเต้านม สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดมะเร็งเต้านมยังไม่ทราบแน่ชัด ก็คงเหมือนกับสาเหตุของการเกิดมะเร็งโดยทั่วๆ ไป
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_24953
Medical
โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังเกิดจากอะไร?
ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้ถาม ธิติมากรุงเทพฯ ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร และมีวิธีการรักษาให้หายขาดไหม ดิฉันอายุ ๒๖ ปี ทำงานบริษัท ดิฉันมีอาการปวดจมูก และหายใจมีกลิ่นเหม็น จึงไปพบหมอ ทำให้ทราบว่าตนเองเป็นไซนัสอักเสบ ดิฉันอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ให้มากขึ้น จึงขอเรียนถามคุณหมอ ดังนี้ค่ะ ๑ ไซนัสเป็นอย่างไร เกิดจากอะไร ๒ มีโรคแทรกซ้อนอะไรบ้าง ๓ สาเหตุที่ทำให้เป็นไซนัส ๔ การรักษาทำอย่างไร และจะหายขาดไหม ๕ การป้องกันไม่ให้เป็นไซนัส ขอขอบพระคุณหมอมากค่ะ ผู้ตอบ นพสาฑิตย์ ชัยประสิทธิกุล ๑ ไซนัส คือ โพรงอากาศ ข้างๆ รอบๆจมูก ในบริเวณกระดูกของใบหน้า เมื่อจมูกมีการอักเสบติดเชื้อ เป็นภูมิแพ้หรือมีสารระคายเคือง ท่อทางออกของไซนัสก็จะบวมแล้วตีบตันเป็นอุปสรรคต่อการระบายมูกออกมาสู่ภายนอก ทำให้ภายในไซนัสที่เป็นสุญญากาศมีการสะสมของมูกในปริมาณมากขึ้น มูกจะหนืดมากขึ้น และมีสภาพความเป็นกรดที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคชนิดต่างๆ กลายเป็นภาวะอักเสบที่โพรงไซนัสขึ้น เรียกว่า ไซนัสอักเสบ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน อาการทั่วไปจะเหมือน ไข้หวัด เมื่อเชื้อลุกลามเข้าสู่ไซนัสก็จะมีอาการปวดจมูก ปวดกระบอกตาหรือแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง น้ำมูกและเสมหะจะมีสีเหลืองอมเขียวมากขึ้น โอกาสที่การติดเชื้อจะลุกลามมีสูง จึงควรรักษาอย่างจริงจัง เพื่อลดโอกาสที่จะกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ไซนัสอักเสบเรื้อรัง จะมีอาการปวดตื้อๆ มึนงง ร่วมกับคัดจมูกเรื้อรัง มีเสมหะเหนียวในลำคอตลอดวัน ซึ่งก็คือมูกจากไซนัสที่ไหลลงทางจมูกนั่นเอง อาจมีการรับกลิ่นของจมูกลดลง และลมหายใจมีกลิ่นเหม็น สาเหตุที่ไซนัสอักเสบเรื้อรังเป็นผลจากผู้ป่วยได้รับการรักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันในเวลาที่น้อยหรือสั้นเกินไปหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือมีภาวะผิดปกติเป็นปัจจัยร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น ๒ โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ การติดเชื้ออาจลุกลามเข้าไปในกระบอกตาหรือกะโหลกศีรษะได้ ซึ่งเป็นผลทำให้เนื้อเยื่อรอบๆตาอักเสบและเกิดเป็นฝี จนถึงขั้นตาบอดได้ ส่วนที่กะโหลกศีรษะอาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบและเกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้ ๓ นอกจากไข้หวัดแล้ว การมีฟันผุ โดยเฉพาะฟันกรามบนผุถึงโพรงรากฟัน การเป็นโรคหัด และอุบัติเหตุที่บริเวณกระดูกใบหน้า ๔ ไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลัน ให้การรักษาทางยาได้ แต่ต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมและนานเพียงพอจึงสามารถหายขาดได้ ส่วนไซนัสอักเสบเรื้อรัง ใช้การรักษาทางยาอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องได้รับการผ่าตัดร่วมด้วย เช่น การเจาะล้างไซนัส เพื่อเป็นการล้างมูกหนองที่คั่งในไซนัสออกไป การผ่าตัดขยายรูเปิดของไซนัส ซึ่งในปัจจุบันการตรวจรักษาโรคไซนัสอักเสบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังคงรักษาสภาพโครงสร้างหลักที่สำคัญของช่องจมูกไว้ได้ในสภาพปกติดังเดิม ๕ พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัดหรือบริเวณ ที่ฝุ่นควันมากๆ พยายามรักษาสุขภาพของปากและฟันให้ดี ถ้าเป็นหวัดก็รีบรักษาให้หายขาดแต่เนิ่นๆ
โรคไซนัสอักเสบเรื้อรังเกิดจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ การรักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง การรักษาไม่เพียงพอ: หมายถึง การทานยาฆ่าเชื้อไม่ครบตามระยะเวลาที่แพทย์สั่ง หรือการใช้ยาไม่ตรงกับชนิดของเชื้อแบคทีเรียที่ติดเชื้อ การรักษาไม่ถูกต้อง: หมายถึง การใช้ยาที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยแพ้ยา หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวบางชนิด นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดไซนัสอักเสบเรื้อรัง ดังนี้ 1. โรคภูมิแพ้: ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีเยื่อบุโพรงจมูกที่บวมและอักเสบอยู่เสมอ ทำให้ท่อทางออกของไซนัสตีบตันได้ง่าย 2. โครงสร้างผิดปกติ: โครงสร้างผิดปกติในโพรงจมูก เช่น ริดสีดวงจมูก หรือ เอียงของกระดูกกั้นจมูก 3. การติดเชื้อ: การติดเชื้อในช่องปาก เช่น ฟันผุ 4. ปัจจัยอื่นๆ: การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ การว่ายน้ำ การป้องกันโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง - รักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันให้หายขาด - รักษาโรคภูมิแพ้ - หลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ - งดสูบบุหรี่ - รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี - พักผ่อนให้เพียงพอ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ข้อควรระวัง ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถแทนที่การวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ได้ หากมีอาการของโรคไซนัสอักเสบ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
โสต ศอ นาสิกวิทยา (โสต ศอ นาสิกวิทยา) - Otolaryngology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11726
Medical
ยาไกลเบนคลาไมด์ ถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. ใด
A. พ.ศ. 2506 B. พ.ศ. 2509 C. พ.ศ. 2508 D. พ.ศ. 2507
คำตอบได้แก่ B. เพราะว่า ยาไกลเบนคลาไมด์ Glibenclamide ยาไกลเบนคลาไมด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีขนาดรับประทานอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ยาไกลเบนคลาไมด์อย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษายาไกลเบนคลาไมด์อย่างไร ยาไกลเบนคลาไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด เบาหวาน Diabetes mellitus รู้ทันโรคเบาหวาน Diabetes mellitus เบาหวานขึ้นตา เบาหวานกินตา Diabetic retinopathy การดูแลเท้าในโรคเบาหวาน Diabetic foot care เบาหวานกับการตั้งครรภ์ Diabetes mellitus and pregnancy เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น Juvenile diabetes mellitus ยาเบาหวาน หรือ ยารักษาโรคเบาหวาน Antidiabetic agents ยาลดน้ำตาลในเลือด Antihyperglycemic agent ยาไกลเบนคลาไมด์ Glibenclamide เป็นยารักษาโรคเบาหวาน มีสูตรโครงสร้างใกล้ เคียงกับยากลุ่มซัลฟา Sulfa drugs ถูกพัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1966 พ.ศ. 2509
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_43510
Finance
การลงทุนในหุ้น Small Cap มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
หุ้นขนาดเล็ก (Small Cap Stocks) คือหุ้นที่มีขนาดของกิจการยังไม่ใหญ่มาก ซึ่งโดยมากจะหมายถึงหุ้นที่มีมูลค่ากิจการตามราคาตลาดต่ำกว่า 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท) ผู้เขียนมองว่าการลงทุนในหุ้น Small Cap เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุนในระยะยาว จากคุณลักษณะสำคัญหลายประการ ดังนี้ครับ ศักยภาพในการเติบโตที่สูงกว่า ผู้เขียนเชื่อเสมอว่า “ราคาหุ้น ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาวตามกำไร” คือราคาหุ้นในระยะสั้นมักจะผันผวนไปตามกระแสข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัท ขณะที่การเติบโตของราคาหุ้นระยะยาวจะสอดคล้องกับการเติบโตของกำไรของแต่ละบริษัท จากการศึกษาพบว่าการเติบโตของหุ้น Small Cap ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตของกำไรอยู่ประมาณ 14.7% ขณะที่การเติบโตของตลาดหุ้นโลกโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 11.1% ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากหากคิดจากหลักความเป็นจริง บริษัทที่มีขนาดใหญ่ มีฐานกำไรที่ใหญ่มาก ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะมีการเติบโตกำไรสูง ๆ เมื่อเทียบกับบริษัทขนาดเล็กที่กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักรของการเติบโต หากมองกันในระยะยาว ๆ บนสมมติฐานว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเท่ากับอัตราการเติบโตของกำไร การลงทุนในหุ้น Small Cap ทั่วโลกเป็นเวลา 10 ปีจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 394% หรือประมาณ 4 เท่าตัว ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่จะให้ผลตอบแทนประมาณ 286% ในระยะเวลาการลงทุน 10 ปีเท่ากัน เรียกได้ว่าแตกต่างกันกว่าร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ ความสวยงามที่ยังไม่ถูกค้นพบ หุ้นขนาดเล็กจำนวนมากยังคงเป็นบริษัทที่ตลาดยังไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร นักวิเคราะห์ยังไม่ออกบทวิเคราะห์มากนัก หรือบางครั้งอยู่ในช่วงแรกของการ IPO จึงทำให้บ่อยครั้งหุ้นขนาดเล็กมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น ภายหลังจากที่หุ้นขนาดเล็กทำกำไรเติบโตดีซักระยะ นักลงทุนรวมถึงนักวิเคราะห์ก็จะเริ่มตระหนักถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการและเข้าลงทุนในหุ้นทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้มาก นอกจากนี้ในบางกรณีบริษัทขนาดเล็กก็กลายเป็นเป้าหมายในการควบรวมกิจการของบริษัทขนาดใหญ่ (Takeover Target) ได้อีกด้วย Apple Inc. 16 ปีที่แล้วมีบริษัทขนาดเล็กแห่งหนึ่งชื่อ Apple Inc. ซึ่งขณะนั้นมีผลิตภัณฑ์หลักคือเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก โดยในปี ค.ศ. 1998 บริษัท Apple มีมูลค่ากิจการอยู่ที่ประมาณ 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีกำไรในปีนั้นที่ 309 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 16 ปีผ่านไป ณ สิ้นปี ค.ศ. 2013 มูลค่ากิจการของ Apple เพิ่มขึ้นถึง 300 เท่าตัวอยู่ที่ประมาณ 5.05 แสนล้านเหรียญ และมีกำไรเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 120 เท่าตัวอยู่ที่ประมาณ 37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทอย่าง Apple ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของเรื่องราวการเติบโตของหุ้น Small Cap ที่เติบโตเป็นหุ้น Big Cap ขนาดใหญ่ที่สุดของโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผลตอบแทนในอดีตของหุ้นกลุ่ม Small Cap
การลงทุนในหุ้น Small Cap นั้น แม้จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้: 1. ความผันผวนสูง: หุ้น Small Cap มักมีความผันผวนของราคาสูงกว่าหุ้น Large Cap เนื่องจากมีสภาพคล่องต่ำ ประกอบกับนักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักบริษัทมากนัก จึงทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสแกว่งตัวรุนแรง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนได้ง่าย หากไม่เข้าใจกลยุทธ์การลงทุน และไม่สามารถรับมือกับความผันผวนของราคาได้ 2. ข้อมูลจำกัด: บริษัท Small Cap มักมีข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชน้อยกว่าบริษัท Large Cap นักลงทุนอาจเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทได้ยาก ทำให้วิเคราะห์ความเสี่ยงและศักยภาพของบริษัทได้ยากลำบาก เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด 3. สภาพคล่องต่ำ: หุ้น Small Cap มักมีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่าซื้อขายได้ยาก หากต้องการขายหุ้น อาจต้องรอคอยผู้ซื้อเป็นเวลานาน หรืออาจจำเป็นต้องขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด สร้างความเสียหายต่อผลตอบแทนการลงทุน 4. ความเสี่ยงด้านธุรกิจ: บริษัท Small Cap มักเผชิญความเสี่ยงด้านธุรกิจมากกว่าบริษัท Large Cap เนื่องจากมีฐานลูกค้าและฐานทุนที่จำกัด หากบริษัทประสบปัญหาทางธุรกิจ ราคาหุ้นอาจร่วงลงอย่างหนัก นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนทั้งหมด 5. ความเสี่ยงจากการควบรวมกิจการ: บริษัท Small Cap มีโอกาสถูกบริษัท Large Cap เข้าควบรวมกิจการ (Takeover) หากนักลงทุนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในการควบรวมกิจการ อาจสูญเสียโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี หรืออาจถูกบังคับให้ขายหุ้นในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43807
Finance
กลยุทธ์ Purpose Marketing ส่งผลต่อผลการดำเนินงานทางการเงินขององค์กรอย่างไร
(A) เพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน (B) ลดต้นทุนการดำเนินงาน (C) เพิ่มรายได้ (D) ทั้งหมดข้างต้น
ข้อที่ถูกต้องคือ (C) เพิ่มรายได้ เนื่องจาก เหตุผล (A) เพิ่มต้นทุนการดำเนินงาน ไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินงานโดยตรง (B) ลดต้นทุนการดำเนินงาน ไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินงานโดยตรง (C) เพิ่มรายได้ "องค์กรแนวหน้าที่เติบโต 10% ทำเรื่อง Purpose สูงถึง 66% กับธุรกิจของตัวเอง" "Purpose Marketing ยังได้ใจผู้บริโภคมากๆ ถึงขั้นทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่า “แบรนด์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฉัน”" แสดงว่า Purpose Marketing มีโอกาสดึงดูดลูกค้าและเพิ่มรายได้ (D) ทั้งหมดข้างต้น ผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินงาน คำตอบที่ถูกต้อง: (C) เพิ่มรายได้ เหตุผล: "องค์กรแนวหน้าที่เติบโต 10% ทำเรื่อง Purpose สูงถึง 66% กับธุรกิจของตัวเอง" "Purpose Marketing ยังได้ใจผู้บริโภคมากๆ ถึงขั้นทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่า “แบรนด์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฉัน”" แสดงว่า Purpose Marketing มีโอกาสดึงดูดลูกค้าและเพิ่มรายได้ ข้อควรพิจารณา: ผลกระทบของ Purpose Marketing ต่อผลการดำเนินงานทางการเงินอาจแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กร ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และวิธีการนำไปใช้ สรุป: กลยุทธ์ Purpose Marketing มีโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร โดยการดึงดูดลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_328
Finance
หุ้นบริษัทอุตสาหกรรมความงามแห่งญี่ปุ่นหุ้นใด จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นโตเกียวตั้งแต่ปี 1949 และเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี TOPIX ระหว่าง Fujifilm หรือ Rohto Pharmaceutical
null
Fujifilm เพราะหุ้น หุ้น Fujifilm จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นโตเกียวตั้งแต่ปี 1949 และเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี TOPIX ที่เป็นดัชนีลูกของนิเคอิอีกที เชื่อว่าคนทั่วโลกต่างคุ้นเคยกับ Fujifilm ในฐานะผู้นำด้านฟิล์มถ่ายรูป กล้องดิจิทัล กล้องอินสแตนท์ และเลนส์เสริม แต่ที่จริง Fujifilm มีธุรกิจอื่น ๆ ในเครือมากมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์การแพทย์ ฯลฯ ซึ่งรวมถึงสินค้าความงามอย่าง ASTALIFT ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของ Fujifilm ASTALIFT เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ของแบรนด์ เช่น นาโนเทคโนโลยี คอลลาเจน และการเคลือบป้องกัน UV ที่เคยใช้เพื่อรักษาสภาพฟิล์มรูปภาพ โดยนำมาพัฒนาปรับใช้ใช้กับสกินแคร์แทน ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจนมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องสำอาง และอาหารเสริม และได้รับความนิยมขยายไปยังจีน และยุโรป มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.5 ล้านล้านเยน ส่วนหุ้น Rohto Pharmaceutical เข้าสู่ตลาดหุ้นโตเกียวในปี 1962 มีเลขประจำหุ้น 4527 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 698 พันล้านเยน ซึ่ง Rohto Pharmaceutical เป็นบริษัทของแบรนด์ Hada Labo แบรนด์ที่เกิดจากบริษัทยาเก่าแก่ของญี่ปุ่นอย่าง Rohto Pharmaceutical ที่มีประสบการณ์ผลิตยาและเครื่องสำอางมากว่า 100 ปี โดยชื่อ Hada Labo มาจากคำว่า ผิว (ฮาดะ) และ Laboratory (ลาโบะ) หรือศูนย์วิจัยด้านผิว โดย Hada Labo ผลิตสินค้าความงามที่เน้นความเรียบง่าย ไม่ใช้ ไม่ผสมอะไรเกินกว่าที่ผิวต้องการ Hado Labo เป็นแบรนด์สกินแคร์ขายดีของญี่ปุ่น โดยสินค้าที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่นคือ Super Hydrating Lotion หรือน้ำตบขวดขาว ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมในไทยเช่นกัน ปัจจุบัน Hada Labo มีการจำหน่ายสินค้าทั้งใน เอเชีย สหรัฐ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่วนในยุโรปก็มีการจำหน่ายในโปแลนด์เป็นที่แรก นอกจากนี้ตัวบริษัทยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่โดดเด่น เช่น Lipice, Sunplay และ Mentholatum ฯลฯ
ความรู้ทางการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_21521
Medical
ผู้หญิงทุกคนที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด จำเป็นต้องได้รับการตรวจภายในจากสูตินรีแพทย์หรือไม่?
null
ใช่ เหตุผล: เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ได้หลายโรค ไม่ได้จำกัดแค่โรคทางนรีเวชเท่านั้น 1. โรคทางนรีเวช: เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เนื้องอกมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น การแท้งบุตร การตั้งครรภ์นอกมดลูก 2. โรคทางระบบอื่นๆ: เช่น โรคเลือดไหลไม่หยุด ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ภาวะตับแข็ง โรคทางระบบฮอร์โมน 3. ผลข้างเคียงจากยา: ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมน ยาต้านมะเร็ง ยาละลายลิ่มเลือด การตรวจภายใน เป็นวิธีการตรวจที่แพทย์สามารถมองเห็นปากมดลูกและช่องคลอดโดยตรง ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้แม่นยำ - แพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า "สเปคูลัม" เพื่อขยายช่องคลอด ช่วยให้มองเห็นปากมดลูกและช่องคลอดได้ชัดเจน - แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากปากมดลูกไปตรวจเพิ่มเติม (Pap smear) - แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด เพื่อดูความผิดปกติของมดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ การละเลยการตรวจภายใน อาจทำให้เกิดผลร้ายแรง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งช่องคลอด มักไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น การตรวจภายในสามารถช่วยค้นพบมะเร็งระยะเริ่มต้นได้ โรคทางระบบอื่นๆ ที่รุนแรง เช่น โรคเลือดไหลไม่หยุด ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ภาวะตับแข็ง การตรวจภายใน เป็นวิธีการตรวจที่ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน และไม่เจ็บปวด ข้อควรระวัง: - ผู้หญิงบางคนอาจรู้สึกอึดอัดหรือเขินอายระหว่างการตรวจภายใน - แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้อาหาร แพ้ยารักษาโรค หรือมีโรคประจำตัว - แจ้งแพทย์หากกำลังตั้งครรภ์ สรุป: ผู้หญิงทุกคนที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง การตรวจภายในเป็นวิธีการตรวจที่สำคัญ ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้แม่นยำ และช่วยป้องกันผลร้ายแรงจากโรคต่างๆ คำแนะนำเพิ่มเติม: ผู้หญิงควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาเชื้อ HPV เป็นประจำ ผู้หญิงควรสังเกตรอบเดือนของตัวเอง และจดบันทึกไว้ ผู้หญิงควรสังเกตอาการผิดปกติทางช่องคลอด เช่น ตกขาวผิดปกติ คันช่องคลอด แสบร้อนช่องคลอด ปวดท้องน้อย ผู้หญิงควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือมีอาการผิดปกติทางช่องคลอด
นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_11178
Medical
ช่วยสรุปบทความ กลากน้ำนม หรือ เกลื้อนน้ำนม ให้หน่อย
กลากน้ำนม หรือ เกลื้อนน้ำนม Pityriasis alba คือโรคที่เกิดจากเม็ดสีเมลานิน Mela nin ที่ผิวหนังบางส่วนลดจำนวนลงโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีลักษณะสีผิวจางลงเป็นวงด่าง พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 6-16 ปี โดยพบได้ 5-10 โดยประมาณของเด็กในช่วงอายุนี้ ทั้งนี้ 90 ของผู้ป่วยจะมีอายุน้อยกว่า 12 ปี อะไรเป็นสาเหตุและกลไกการเกิดกลากน้ำนม ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดกลากน้ำนม จากการตรวจสอบผิวหนังบริเวณรอยโรคที่เกิดกลากน้ำนม พบเพียงแต่ปริมาณเม็ดสีเมลานินที่ลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ชื่อกลากเกลื้อนน้ำนมนั้น เป็นชื่อที่เกิดจากความเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วโรคนี้ไม่ติด ต่อ และไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค หรือเชื้อรา แต่อย่างใด อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดกลากน้ำนม กลากน้ำนมพบได้มากขึ้นในเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง Atopic dermatitis และอาจสัมพันธ์กับการตากแดด และอากาศแห้งที่ทำให้รอยโรคปรากฎชัดเจนมากขึ้น กลากน้ำนมมีอาการอย่างไร อาการของกลากน้ำนม คือ เป็นวงด่างขาวขนาดประมาณ 1-4 เซนติเมตร มีขุย แต่ไม่มีอาการเจ็บหรือคัน พบบ่อยที่บริเวณแก้ม บริเวณอื่นของใบหน้าแขน ขา ไหล่ ลำตัว ก็พบได้เช่น กัน วงด่างขาวนี้ระยะแรกอาจเป็นผื่นแดงเล็กน้อย อาจมีอาการคันที่ผื่นได้ในระยะนี้ แล้วกลาย เป็นด่างขาว โดยระยะที่ผื่นแดงนั้นผู้ป่วยอาจไม่สังเกตเห็น เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ หากมีผื่นผิดปกติบนใบหน้าหรือบริเวณอื่นๆ สามารถพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการตรวจวิ นิจฉัยและรับคำแนะนำได้ แพทย์วินิจฉัยกลากน้ำนมได้อย่างไร แพทย์วินิจฉัยกลากน้ำนมได้จาก ประวัติอาการ และการตรวจร่างกายบริเวณรอยโรค แต่หากมีข้อสงสัยต้องแยกจากโรคกลาก หรือโรคเกลื้อน ก็จะขูด รอยโรค เพื่อส่งตรวจหาเชื้อราที่ก่อโรคดังกล่าว รักษากลากน้ำนมอย่างไร การรักษากลากน้ำนม คือ การใช้ยาสเตียรอยด์ Corticosteroid ความเข้มข้นต่ำชนิดทา เช่น 1 Hydrocortisone ในระยะเวลาจำกัดภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้าง เคียงจากการใช้สเตียรอย์เป็นเวลานาน เช่น ผิวหนังส่วนที่ทายาบางลง อักเสบ แตกเป็นแผลง่าย และยานี้อาจถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด เข้าไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต กลากน้ำนมมีการพยากรณ์โรคอย่างไร การพยากรณ์โรคของกลากน้ำนม คือ เป็นโรคที่หายได้เอง และไม่ทิ้งร่องรอยด่างหรือแผลเป็นไว้ แต่ก็สามารถกลับเป็นได้อีก มักหายได้เองภายในเวลาเป็นเดือน หรือ หนึ่งปี กลากน้ำนมก่อผลข้างเคียงอย่างไร ไม่มีผลข้างเคียงจากกลากน้ำนม หรือความผิดปกติถาวร ยกเว้นปัญหาในด้านความสวย งาม และภาพลักษณ์ ดูแลตนเองอย่างไร การดูแลตนเองเมื่อเป็นกลากน้ำนม คือ ทาครีมบำรุงผิว Moisturizer และครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันโดยเฉพาะบริเวณรอยโรค อาบน้ำ ทำความสะอาดผิวบริเวณรอยโรคด้วยสบู่ที่อ่อนโยน เช่น สบู่เด็กอ่อน บริเวณรอยโรค ถ้าใช้เครื่องสำอางต้องเป็นชนิดไม่แพ้และชนิดอ่อนโยนต่อผิวหนัง อาบน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือเพียงพออุ่น ไม่อุ่นจัด ป้องกันกลากน้ำนมอย่างไร ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันกลากน้ำนม เพราะยังไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจลดโอกาสเกิดลงได้ด้วยวิธีดูแลผิวเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเอง ที่สำคัญ คือ รักษาผิวหนังให้ชุ่มชื้นเสมอ ไม่ให้เกิดภาวะผิวแห้ง ด้วยการใช้ครีมบำรุงผิวหลังอาบน้ำทุกครั้ง และใช้ครีมกันแดดเสมอ ใช้สบู่และเครื่องสำอางผิวชนิดที่อ่อนโยนต่อผิวเสมอ เช่น สบู่เด็กอ่อน
กลากน้ำนมหรือเกลื้อนน้ำนม (Pityriasis alba) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการลดจำนวนเม็ดสีเมลานิน Mela nin โดยที่สาเหตุไม่ทราบ ผิวหนังบริเวณนั้นจะมีลักษณะสีผิวจางลงเป็นวงด่าง พบได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักพบมากในเด็กและวัยรุ่นช่วง 6-16 ปี โดยประมาณ 5-10% ของเด็กในช่วงนี้ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกการเกิดโรคนี้อย่างชัดเจน และไม่ติดต่อจากเชื้อโรคหรือเชื้อรา ปัจจัยเสี่ยงของกลากน้ำนมเพิ่มมากขึ้นในเด็กที่มีโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง Atopic dermatitis และมีความสัมพันธ์กับการตากแดดและอากาศแห้ง อาการของกลากน้ำนมคือ วงด่างขาวขนาดประมาณ 1-4 เซนติเมตร มีขุย แต่ไม่มีอาการเจ็บหรือคัน พบบ่อยที่แก้ม และบริเวณอื่น ๆ ของใบหน้า แขน ขา ไหล่ ลำตัว อาจเริ่มจากผื่นแดงเล็กน้อยและมีคัน ระยะแรก แล้วกลายเป็นด่างขาว ควรพบแพทย์เมื่อมีผื่นผิดปกติบนใบหน้าหรือบริเวณอื่น ๆ สามารถพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรับคำแนะนำได้ แพทย์วินิจฉัยกลากน้ำนมจากประวัติอาการและการตรวจร่างกาย หากมีข้อสงสัยต้องแยกจากโรคกลากหรือเกลื้อน การรักษากลากน้ำนมเป็นการใช้ยาสเตียรอยด์ Corticosteroid ชนิดทา เช่น Hydrocortisone ในระยะเวลาจำกัดภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง กลากน้ำนมเป็นโรคที่หายได้เองภายในเดือนหรือปี ไม่ทิ้งร่องรอย ไม่มีผลข้างเคียงถาวร การดูแลตนเองคือการทาครีม Moisturizer และครีมกันแดดประจำ อาบน้ำในอุณหภูมิปกติ ใช้สบู่อ่อนโยน และเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่แพ้และอ่อนโยนต่อผิว ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกัน แต่ลดโอกาสเกิดได้ด้วยการรักษาผิวให้ชุ่มชื้น และใช้สบู่และเครื่องสำอางที่อ่อนโยน
ผิวหนัง Dermatology,กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11527
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง แมกนีเซียมซิเตรท Magnesium citrate ได้ไหม
แมกนีเซียมซิเตรท Magnesium citrate คือยาอะไร แมกนีเซียมซิเตรทมีสรรพคุณ คุณสมบัติ รักษาโรคอะไร แมกนีเซียมซิเตรทมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร แมกนีเซียมซิเตรทมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร แมกนีเซียมซิเตรทมีขนาดรับประทานอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร แมกนีเซียมซิเตรทมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้แมกนีเซียมซิเตรทอย่างไร แมกนีเซียมซิเตรทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษาแมกนีเซียมซิเตรทอย่างไร แมกนีเซียมซิเตรทมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด ยาแก้ท้องผูก Anticonstipation นิ่วในไต Kidney stone ท้องผูก Constipation ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน Diarrhea ลำไส้อุดตัน Intestinal obstruction ยาต้านเอชไอวี ยาสูตรฮาร์ท HAART Highly Active Antiretroviral Therapy คือยาอะไร แมกนีเซียมซิเตรท Magnesium citrate คือ ยาระบายชนิดน้ำ ทางคลินิกใช้เป็นยาแก้ท้องผูก ยานี้จัดเป็นสารประกอบที่เตรียมได้จากเกลือของแมกนีเซียมเข้าทำปฏิกิริยากับกรดซิตริก Citric acid อนึ่ง ชื่ออื่น เช่น Citrate of Magnesia หรือชื่อการค้าอื่น ในต่างประเทศ คือ Citroma แมกนีเซียมซิเตรท ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบในอาหารเสริม และใช้ปรับค่าความเป็นกรดด่างในอาหาร ส่วนทางเภสัชภัณฑ์ได้ใช้แมกนีเซียมซิเตรทเป็นยาระบายชนิดน้ำ ด้วยมีกลไกออกฤทธิ์ในลำไส้ของคนเราโดยแมกนีเซียมซิเตรทจะดึงดูดน้ำตามเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายเข้ามาอยู่ในลำไส้หรือที่เรียกกันว่ากระบวนการออสโมซิส Osmosis นั่นเอง การมีน้ำในลำไส้เป็นปริมาณมากจะเกิดการกระตุ้นให้อยากขับถ่ายขึ้นมา ทางคลินิก ยังพบข้อมูลว่าแมกนีเซียมซิเตรทสามารถป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้อีกด้วย ทั้งนี้มีเงื่อนไขของการใช้ยาแมกนีเซียมซิเตรทบางประการที่ควรทราบ เช่น ผู้ป่วยต้องไม่มีอาการ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายมีเลือดปนอุจจาระเป็นเลือด ผู้ป่วยต้องไม่ใช่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ด้วยยังมิได้มีการศึกษาถึงความปลอดภัยการใช้ยากับผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างเพียงพอ ผู้ป่วยสตรีต้องไม่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรืออยู่ในภาวะเลี้ยงบุตรด้วยน้ำนมของตนเอง นอกจากนี้ กรณีที่แพทย์สั่งจ่ายยาแมกนีเซียมซิเตรทให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังมีสิ่งที่พึงปฏิบัติและข้อมูลบางประการที่ควรต้องทราบเพิ่มเติม เช่น ห้ามมิให้ผู้ป่วยปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง หากพบอาการแพ้ยานี้เช่น แน่นหน้าอกหายใจลำบาก มีผื่นขึ้นเต็มตัว บวมตามใบหน้า-มือ-เท้า ให้หยุดใช้ยานี้ แล้วรีบมาพบแพทย์มาโรงพยาบาลทันทีฉุกเฉิน ผู้ป่วยจะมีอาการข้างเคียง ผลข้างเคียง เกิดขึ้นบ้าง เช่น รู้สึกไม่สบายในท้องร่วมกับมีอาการท้องเสียติดตามมา อาการข้างเคียงเหล่านี้สามารถหายได้เองด้วยร่างกายจะมีการปรับตัวหลังการใช้ยานี้ แต่หากเกิดอาการข้างเคียงอย่างรุนแรงต่อเนื่อง และรบกวนการดำเนินของชีวิตประจำวัน ต้องหยุดการใช้ยานี้ แล้วรีบกลับมาพบแพทย์มาโรงพยาบาลเพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา อนึ่ง การที่ร่างกายได้รับเกลือแมกนีเซียมมากเกินไปสามารถส่งผลต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ต่อระบบประสาท เช่น ทำให้รู้สึกสับสน ซึมเศร้า ง่วงนอน มีการหายใจลำบาก ต่อการทำงานของหัวใจ โดยทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ การนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ และเกิดภาวะหัวใจเต้นช้าผิดปกติติดตามมา ต่อระบบทางเดินอาหาร จะกระตุ้นให้อยากอาเจียน หรือกดระบบการหลั่งพาราไทรอยด์ฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ และทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำอีกด้วย การใช้แมกนีเซียมซิเตรทในรูปของยาระบายเป็นเรื่องปลายทาง ผู้ป่วยควรหาสาเหตุของอาการท้องผูกร่วมกับ การปรับพฤติกรรมของการบริโภค การออกกำลังกาย การพักผ่อนอย่างเหมาะสม ขอแนะนำอ่านบทความทางสุขภาพในเว็บไซด์ หาหมอ.com เรื่อง ท้องผูก แมกนีเซียมซิเตรทมีสรรพคุณ คุณสมบัติ รักษาโรคอะไร ยาแมกนีเซียมซิเตรทมีสรรพคุณข้อบ่งใช้ เช่น ใช้เป็นยาระบายบรรเทาอาการท้องผูกทั้งในผู้ใหญ่และในเด็ก แมกนีเซียมซิเตรทมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ยาแมกนีเซียมซิเตรทมีกลไกการออกฤทธิ์โดยตัวยาจะออกฤทธิ์โดยมีกระบวนการดึงน้ำตามเนื้อเยื่อของร่างกายเข้าสู่ลำไส้ ปริมาณน้ำในลำไส้ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นจะสร้างแรงดันและเกิดการกระตุ้นให้ลำไส้มีการบีบตัวและเกิดการขับถ่ายอุจจาระติดตามมา แมกนีเซียมซิเตรทมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาแมกนีเซียมซิเตรทมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เป็นยาน้ำชนิดรับประทาน ขนาด 1.745 กรัม30 มิลลิลิตร แมกนีเซียมซิเตรทมีขนาดรับประทานอย่างไร ยาแมกนีเซียมซิเตรทมีขนาดรับประทาน เช่น ผู้ใหญ่และเด็กอายุมากกว่า 12 ปี รับประทานยาครั้งละ 240 มิลลิลิตร ครั้งเดียว จากนั้นให้รอการขับถ่าย เด็กอายุ 6 - 12 ปี รับประทานครั้งละ 100 - 150 มิลลิลิตร ครั้งเดียว เด็กอายุ 2 - 5 ปี รับประทาน 0.5 มิลลิลิตรน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ขนาดรับประทานสูง สุดไม่เกิน 200 มิลลิลิตร หากยังไม่ขับถ่ายให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ห้ามใช้ยานี้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี อนึ่ง หากผู้ป่วยมีภาวะโรคไตหรือมีค่าครีอะตินีนเคลียแรนซ์น้อยกว่า 50 มิลลิลิตรนาที ให้หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ ด้วยอาจทำให้เกลือแมกนีเซียมในเลือดมีระดับสูงเกินปกติ หลังการรับประทานยานี้ แพทย์มักจะแนะนำให้ดื่มน้ำตามด้วย ควรดื่มน้ำตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ควรรับประทานยานี้ช่วงท้องว่าง คือ ประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือประมาณ 2 ชั่วโมง หลังอาหาร หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาแมกนีเซียมซิเตรท ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยาใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัดหายใจลำบาก หอบเหนื่อย มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาแมกนีเซียมซิเตรทอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อน หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร หากลืมรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้ เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรทตรงเวลา แมกนีเซียมซิเตรทมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร ยาแมกนีเซียมซิเตรท สามารถก่อให้เกิดผลอาการไม่พึงประสงค์จากการช้ยา ผลข้างเคียงอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย รู้สึกไม่สบายในช่องท้อง กล้ามเนื้ออ่อนแรง รู้สึกสับสน ง่วงนอน ซึมเศร้า ระบบหายใจล้มเหลว ไตทำงานผิดปกติ อาจพบ ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นช้าผิดจังหวะ และเกิดภาวะเกลือแคลเซียมในเลือดต่ำ มีข้อควรระวังการใช้แมกนีเซียมซิเตรทอย่างไร มีข้อควรระวังการใช้ยาแมกนีเซียมซิเตรท เช่น ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยาแมกนีเซียมซิเตรท ห้ามใช้ยานี้กับ สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก นิยามคำว่าเด็ก และผู้สูงอายุโดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์ ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง ห้ามใช้ยานี้ด้วยตนเองเป็นประจำ ด้วยจะเสี่ยงต่อภาวะเกลือแมกนีเซียมในร่างกายเกินมาตรฐานจนส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของ ระบบประสาท หัวใจ รวมถึงกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ห้ามใช้ยานี้กับ ผู้ที่มีภาวะลำไส้อุดตัน ผู้ที่ถ่ายเป็นเลือดอุจจาระเป็นเลือด ผู้ที่อยู่ในภาวะคลื่นไส้อาเจียน หลีกเลี่ยงการใช้ยากับผู้ป่วยโรคไต ควรเตรียม-รอการขับถ่ายหลังรับประทานยาไปแล้วภายใน ½ - 6 ชั่วโมง การใช้ยานี้ควรต้องเป็นไปตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น หากหลังรับประทานยานี้ แล้วพบอาการถ่ายมีเลือดปนอุจจาระเป็นเลือด ให้รีบนำตัวผู้ ป่วยมาพบแพทย์มาโรงพยาบาลทันทีฉุกเฉิน หากอาการท้องผูกไม่ดีขึ้นหลังใช้ยานี้ ควรกลับมาพบแพทย์มาโรงพยาบาลเพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา ควรค้นหาสาเหตุของอาการท้องผูกและรักษาที่ต้นเหตุ ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้ ห้ามใช้ยาหมดอายุ ห้ามเก็บยาหมดอายุ อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ยา ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด รวมยาแมกนีเซียมซิเตรทด้วย ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน แมกนีเซียมซิเตรทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ยาแมกนีเซียมซิเตรทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท ร่วมกับยาต้านเอชไอวี เช่นยา Dolutegravir ด้วยเกลือแมกนีเซียมจะรบกวนการดูดซึมของยา Dolutegravir และทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้อยลงไป หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท ร่วมกับยา Hydrocortisone ด้วยจะเพิ่ม ความเสี่ยงของภาวะขาดน้ำของร่างกาย มีระดับเกลือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ และทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบาก จนถึงขั้นหัวใจเต้นผิดจังหวะติดตามมา ห้ามรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท ร่วมกับยา Ciprofloxacin ด้วยจะทำให้การดูดซึมยา Ciprofloxacin ลดน้อยลงจนส่งผลต่อการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ควรเว้นระยะเวลาของการรับประทานยาให้ห่างกันประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท ร่วมกับยา Ergocalciferol Vitamin D โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ต้องทำการล้างไต จะทำให้ระดับเกลือแมกนีเซียมในร่างกายเพิ่มสูงจนเป็นเหตุให้เกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ใบหน้าแดง ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นช้า ง่วงนอน จนถึงขั้นภาวะโคม่าติดตามมา ควรเก็บรักษาแมกนีเซียมซิเตรทอย่างไร ควรเก็บยาแมกนีเซียมซิเตรท เช่น เก็บยาในช่วงอุณหภูมิ 20 - 25 องศาเซลเซียส Celsius ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์ เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อน และความชื้น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง แมกนีเซียมซิเตรทมีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยาแมกนีเซียมซิเตรท มียาชื่อการค้าอื่น และ บริษัทผู้ผลิต เช่น ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต Magnesium citrate oral solution แมกนีเซียมซิเตรท ออรอล โซลูชั่น CVS Pharmacy
Magnesium citrate ยาระบายชนิดน้ำ ทางคลินิกใช้เป็นยาแก้ท้องผูกเตรียมได้จากเกลือของแมกนีเซียมเข้าทำปฏิกิริยากับกรดซิตริก Citric acidใช้ปรับค่าความเป็นกรดด่างในอาหารแมกนีเซียมซิเตรทจะดึงดูดน้ำตามเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายเข้ามาอยู่ในลำไส้กระตุ้นให้อยากขับถ่ายผู้ป่วยต้องไม่มีอาการ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือถ่ายมีเลือดปนอุจจาระเป็นเลือด ผู้ป่วยต้องไม่ใช่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ห้ามมิให้ผู้ป่วยปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง หากผู้ป่วยมีภาวะโรคไตหรือมีค่าครีอะตินีนเคลียแรนซ์น้อยกว่า 50 มิลลิลิตรนาที ให้หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ห้ามรับประทานยาแมกนีเซียมซิเตรท ร่วมกับยา Ciprofloxacin ด้วยจะทำให้การดูดซึมยา Ciprofloxacin ลดน้อยลงจนส่งผลต่อการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน ควรเว้นระยะเวลาของการรับประทานยาให้ห่างกันประมาณ 4 - 6 ชั่วโมงเก็บยาในช่วงอุณหภูมิ 20 - 25 องศาเซลเซียส Celsius ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_30969
Medical
การหยุดออกกำลังกายกะทันหัน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจอย่างไร?
null
การหยุดออกกำลังกายกะทันหัน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจหลายประการ ดังนี้: 1. กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักขึ้น: ระหว่างการออกกำลังกาย หัวใจเต้นเร็วขึ้นและสูบฉีดเลือดมากขึ้นเพื่อส่งออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ เมื่อหยุดออกกำลังกายกะทันหัน กล้ามเนื้อหัวใจจะยังคงทำงานหนักอยู่ชั่วครู่ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดมากขึ้น แม้ว่าร่างกายจะไม่ต้องการออกซิเจนมากเท่าเดิม 2. เลือดไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง: - กล้ามเนื้อหัวใจต้องการเลือดมากขึ้นเพื่อนนออกซิเจนมาใช้ - เมื่อหยุดออกกำลังกายกะทันหัน เส้นเลือดจะหดตัวลง - ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจน้อยลง 3. กล้ามเนื้อหัวใจอาจขาดเลือด: - เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักขึ้น แต่เลือดไปเลี้ยงน้อยลง - กล้ามเนื้อหัวใจอาจขาดเลือด - ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตได้ 4. องศาของอันตราย: องศาของอันตรายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น: - สุขภาพของหัวใจ - ความหนักหน่วงของการออกกำลังกาย - ระยะเวลาที่หยุดออกกำลังกาย 5. กลุ่มเสี่ยง: กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่: - ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน - ผู้ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย - ผู้ที่ออกกำลังกายหักโหม 6. วิธีการป้องกัน: 1. ควรหยุดออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที 2. ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย 3. ควรเลือกประเภทและความหนักหน่วงของการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพ สรุป: การหยุดออกกำลังกายกะทันหัน ส่งผลต่อกล้ามเนื้อหัวใจหลายประการ อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้น ควรหยุดออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย
Physiology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Legal_50023
Legal
การที่ รฟม. อนุญาตให้โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และ โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ใช้ทางเข้า-ออกของอาคารจอดรถ รฟม. นั้น legally binding หรือไม่ จงอธิบาย
null
โดยสรุป: การที่ รฟม. อนุญาตให้โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และ โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ใช้ทางเข้า-ออกของอาคารจอดรถ รฟม. นั้น น่าจะ legally binding เหตุผล: - การอนุญาตของ รฟม. เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย: รฟม. มีอำนาจจัดการและควบคุมที่ดินของตนตามกฎหมาย รฟม. อนุญาตให้ใช้ทางเข้า-ออกโดยไม่เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เดิมของที่ดิน รฟม. ได้รับค่าตอบแทนจากการอนุญาต - การอนุญาตของ รฟม. ไม่ขัดต่อกฎหมาย: กฎหมายไม่ได้ห้าม รฟม. อนุญาตให้บุคคลอื่นใช้ทางเข้า-ออก การอนุญาตนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลอื่น สัญญา: มีการทำสัญญาระหว่าง รฟม. กับ โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุรายละเอียดเงื่อนไขการใช้ทางเข้า-ออก หลักความชอบธรรม: - โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซื้อที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย - โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้ - ระยะเวลาการอนุญาต: การอนุญาตของ รฟม. เป็นการอนุญาตแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา ประเด็นนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนในทางกฎหมาย - การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ รฟม. ในอนาคต: รฟม. มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงนโยบายได้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ รฟม. อาจส่งผลต่อโครงการ โดยสรุป การที่ รฟม. อนุญาตให้โครงการ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา และ โครงการ โนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา 2 ใช้ทางเข้า-ออกของอาคารจอดรถ รฟม. นั้น น่าจะ legally binding แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่มีคำพิพากษาจากศาลเกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้ซื้อควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์,ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ(วิแพ่ง),ประมวลกฎหมายที่ดิน,กฎหมายอสังหาริมทรัพย์,กฎหมายสิ่งแวดล้อม,กฎหมายหลักทรัพย์,กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร-การขุดและถมดิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26367
Medical
ช่วยสรุปบทความเรื่อง "การวิเคราะห์และรักษาอาการไอเรื้อรังตามแผนจีน กับการแยกและปรับปรุงสุขภาพปอด" ให้หน่อยนะคะ
ไอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง แผนจีนจะมีสาเหตุจากภายนอกและภายในอวัยวะผิดปกติกระทบต่อปอด ทำให้พลังปอดขึ้น ลงไม่สะดวก เกิดเป็นอาการไอ ไอจะมีอาการแสดง มีไอไม่มีเสมหะ มีเสมหะไม่มีเสียง ไอมีทั้งเสียงและเสมหะ ไอจะเกี่ยวข้อง กับปอดทั้งนั้น สาเหตุ จากภายนอก ก่อนเกิดจะมีสาเหตุ เช่น อากาศเปลี่ยนแปลงซึ่งจะต้องแยกอีกว่า กระทบต่อลม ร้อน ลมเย็น หรือความแห้ง ที่เป็น มากคือกระทบต่ออากาศเย็น ถ้าเทียบกับแผนปัจจุบันก็คือการติดเชื้อโรค แต่คนที่จะเป็นหรือติดเชื้อ ง่ายก็คือพวกที่ภูมิต้านทานของร่างกายไม่แข็งแรง หรือปอดไม่แข็งแรง การเกิดโรคจะเกิดรวดเร็ว เป็นแล้วหายเร็ว ถ้ารักษาด้วยแผนจีนก็ต้องแยกว่า เป็นแบบร้อน เย็น แห้ง แล้วจึงรักษาได้ถูกต้อง จากภายใน การเจ็บป่วยของ อวัยวะภายในอื่นๆ กระทบต่อปอด การเกิดโรคจะค่อยๆ เกิด เป็นเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ส่วนมากจะเกิดกับคนที่ร่างกายอ่อนแอ สาเหตุที่เกิดจะมาจาก 1อารมณ์ที่ผิดปกตินานๆ ตับระบายไม่ได้ อารมณ์จะกระทบ ต่อตับ พลังย้อนขึ้น ก็ทำให้เกิดการไอ 2 กินอาหารไม่เหมาะสม กินของเย็นๆ มันๆ หวานๆ ดิบๆ ย่อยยาก ก็จะเกิดเสมหะมากทำให้ เกิดการไอ 3 โรคของตัวปอดเอง การวิเคราะห์แบบแผนจีน ต้องดูว่าผู้ป่วยไอมากเวลาไหน กลางวันหรือกลางคืน ลักษณะการไอเสียงหนักหรือไม่ ไอคันๆ คอ ไอแห้งๆ ไอมีเสมหะไหม เสมหะข้นเหลืองหรือใสๆ ร้อนหรือเย็น ไอแห้งๆ ที่เกิดตอนกลางคืนมักจะเกิดจากยินพร่อง ไอเสมหะมากๆ ใสๆ ตอนกลางคืนมักจะเกิดจากความเย็น เสมหะข้นๆ มักจะเกิดจากความชื้นสะสมภายใน การรักษาต้องแยกก่อนว่าเป็น ไอแบบไหนแล้วจึงจะทำการรักษา การแยกและวิเคราะห์โรคที่เกิดจาก สาเหตุภายนอกจะแบ่งเป็น - ไอจากความร้อน ไอเจ็บคอ เสียงแหบ เสมหะเหลืองข้น ไอ จนเหงื่อออกร่วมกับน้ำมูกเหลืองๆ หิวน้ำ ปวดศีรษะ พวกโรคติดเชื้อ ไข้หวัด ลิ้นมีฝ้าเหลืองเหนียว ยาที่ใช้รักษา ขับร้อน ซึ่ง-เหยิน ซวนเย่ จี๋หง เหลียนเชียว ป๋อเฮ่อ จิ๋เกิบ หลูเกิน เป็นต้น - ไอจากความเย็น ไอจะเสียงหนักๆ คันๆ คอ เสมหะใส เสมหะขาว ร่วมกับอาการแน่นจมูก น้ำลายใสๆ ปวดศีรษะ กลัวหนาว เป็นไข้ไม่มีเหงื่อ ลิ้นมีฝ้าขาวบาง ยาที่ใช้รักษา อุ่น จิ๋เกิบ จิงจี้ ไป่ปู้ ไป่เฉียบ กานเฉ่า ซูเย่ เป็นต้น - ไอจากความแห้งปาก คอแห้งๆ ไอต่อเนื่อง คอแห้งๆ เจ็บคอ ร่วมฝีปากจมูกแห้ง ไม่มีเสมหะ หรือเสมหะน้อย ไอไม่ออก เหนียวๆ บางครั้งมีเลือดปนยาที่ใช้รักษา เพิ่มความชุ่มชื้น ซวนเย่ ซึ่งเหยิน ซาเซียม จี๋ผี หลี่ผี เซี่ยงเปีย เป็นต้น การแยกและวิเคราะห์โรคที่เกิดจาก สาเหตุภายในจะแบ่งเป็น - จากความชื้นภายใน จะเป็นซ้ำๆ เป็นแล้วเป็นอีก เสมหะมากขึ้น เหนียวๆ ข้นๆ สีขาวหรือ เทาๆ จะมีมากตอนเช้า หรือหลังกินอาหารยิ่งมาก โดยเฉพาะหลังกินอาหารหวานมัน หรือดื่มเหล้ามาก ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ ถ่ายอุจจาระเหลว ลิ้นมีฝ้าขาวมัน ยาที่ใช้รักษา เสริมม้าม ขับความชื้น ขับเสมหะ ปั้นเซีย จี๋หง เฉินผี ไป่ฝู่หลิง กามเฉ่า เป็นต้น - เกี่ยวข้องกับไฟตับ มี อาการไอจนหน้าแดง คอแห้ง ขาก ยาก เหนียวข้น ปวดบริเวณชายโครงทั้ง ๒ ข้าง คอขม คอแห้ง มักจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ถ้าอารมณ์ไม่ดียิ่งเป็นมาก ยาที่ใช้รักษา สงบไฟตับทำให้พลังของปอดเคลื่อนดี ตี้กู่ผี ซอนไป่ผี กามเฉ่า ติ่งลีจื่อ ชิงไต้ เป็นต้น - ยินของปอดพร่อง ไอแห้งๆ เสมหะน้อยเหนียว บางครั้งมีเลือดออก เสียงแหบคอแห้ง ช่วงบ่ายตัวเย็นจะร้อนแก้มแดง ฝ่ามือ ฝ่าเท้าร้อน เหงื่อออกกลางคืน การเกิดโรคจะเกิดแบบช้าๆ นับวันยิ่ง ผอมลงเรื่อยๆ จิตใจซึมเศร้า ยาที่ใช้รักษา เสริมยินกระจายเสมหะ ลดอาการไอ ซาเซียม ม่ายตง ตงซวนเย่ เทียนฟาเผิ่น อี้จู้ เป็นต้น - พลังปอดพร่องอ่อนแอ ไอค่อยๆ ไม่มีแรงไอ หายใจสั้น ไม่เต็มปอด เสมหะใสๆ ขาวๆ อ่อนเพลียไม่อยากพูด หน้าขาวซีด กลัวลม เหงื่อออกเอง เวลาเป็นหวัดยิ่งไอมาก ยาที่ใช้รักษา เสริมพลังเสริมปอด หวงฉี หวงฟง ไป่จู๋ ตันเซิบ อู่เวยจื่อ ซอนไป่ผี จี๋หว่าน เป็นต้น การไอถ้าตอนแรกรักษาไม่หาย แล้วไอนานๆ จะกระทบอวัยวะภายใน การรักษาแบบแพทย์แผนจีนจำเป็นต้องแยกชนิดออกมา แล้วให้การรักษาตามขั้นตอน อาการไอก็จะหายไป และเราก็ต้องระวังเรื่องอาหารด้วย เช่น แบบร้อนแบบแห้ง เราต้องหยุดของร้อน ของทอด แบบเย็น หลีกเลี่ยงของที่มีคุณสมบัติเย็น
ไอเรื้อรัง แผนจีนจะมีสาเหตุจากภายนอกและภายในอวัยวะผิดปกติกระทบต่อปอด ทำให้พลังปอดขึ้น ลงไม่สะดวก อาการไอเรื้อรังมีสาเหตุทั้งจากภายนอกและภายในอวัยวะผิดปกติที่กระทบต่อปอด ทำให้เกิดอาการไอที่แบ่งออกเป็นหลายลักษณะ เช่น ไอไม่มีเสมหะ, ไอมีเสมหะ, และอื่น ๆ สาเหตุจากภายนอกส่วนใหญ่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เช่น อากาศเย็น หรือการติดเชื้อโรค ส่วนสาเหตุจากภายในมักเกิดจากปัญหาทางอารมณ์, การกินอาหารไม่เหมาะสม, หรือโรคปอดต่าง ๆ การรักษาตามแผนจีนจะแบ่งตามลักษณะของอาการไอ และแยกว่าเป็นแบบร้อน, เย็น, หรือแห้ง โดยใช้ยาต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม การวิเคราะห์อาการไอจากภายในในแผนจีนมีการแยกเป็นหลายลักษณะ เช่น ไอจากความชื้น, ไอจากความเย็น, และไอจากการพลังปอดพร่อง โดยใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้, การรักษายังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคุณสมบัติเย็นหรือร้อนตามลักษณะของอาการไอ และใช้ยาสมุนไพรที่เหมาะสมในการเสริมพลังปอดและบำรุงสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยและรักษาตามแผนจีนสามารถช่วยให้การไอหายไปได้และป้องกันการกระทบต่ออวัยวะภายในได้อย่างเหมาะสม การรักษาแบบแพทย์แผนจีนจำเป็นต้องแยกชนิดออกมา แล้วให้การรักษาตามขั้นตอน อาการไอก็จะหายไป และเราก็ต้องระวังเรื่องอาหารด้วย เช่น แบบร้อนแบบแห้ง เราต้องหยุดของร้อน ของทอด แบบเย็น หลีกเลี่ยงของที่มีคุณสมบัติเย็น ​
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12230
Medical
ช่วยสรุปบทความ ยาไอบูโปรเฟน ให้หน่อย
ยาไอบูโปรเฟน Ibuprofen เป็นยาในกลุ่มยาแก้ปวด โดยอยู่ในพวกเดียวกับยาเอ็นเสด NSAIDs non- steroidal antiinflammatory drugs แปลเป็นไทยว่า ยาต้านการอักเสบที่ไม่ ใช่ยาสเตียรอยด์ ยาไอบูโปรเฟนมีสรรพคุณ คุณสมบัติ อย่างไร ยาไอบูโปรเฟนมีสรรพคุณ ข้อบ่งใช้ เพื่อ เป็นยาแก้ปวดระดับน้อยถึงปานกลาง สามารถใช้บรรเทาอาการปวดจากข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน และใช้เป็นยาลดไข้ได้ นอกจากนี้ทางการ แพทย์ยังนำไปใช้รักษาอาการปวดจากโรคข้อบางชนิดและบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ยาไอบูโปรเฟนออกฤทธิ์อย่างไร กลไกการออกฤทธิ์ของยาไอบูโปรเฟน โดยจะไปยับยั้งการทำงานของสารไซโคลออกซิจีเนส Cyclooxygenase กล่าวง่ายๆว่าเป็นสารเคมีในร่างกายชนิดหนึ่งซึ่งจะไปเปลี่ยนสารเคมีบางกลุ่มให้กลายเป็นสารโพรสตาแกลนดิน Prostaglandin โพรสตาแกลนดินเป็นตัวชักนำให้เกิดอาการปวด การอักเสบ และก่อให้เกิดอาการไข้ของร่างกาย นอกจากนั้นไอบูโปรเฟนยังสามารถออกฤทธิ์โดยตรงที่สมองและบริเวณอวัยวะที่มีอาการปวดได้ ยาไอบูโปรเฟนมีรูปแบบจัดจำหน่ายอย่างไร ไอบูโปรเฟน มีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น ชนิดเม็ด ขนาด 200 และ 400 มิลลิกรัม ชนิดน้ำ ขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำ 1 ช้อนชา ยาไอบูโปรเฟนมีขนาดรับประทานอย่างไร ยาไอบูโปรเฟน ควรรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ใหญ่ขนาดสูงสุดที่รับประทานไม่ควรเกิน 2.4 กรัมวัน ไอบูโปรเฟนจัดเป็นยาอันตรายและมีผลไม่พึงประสงค์จากยา ผลข้างเคียง มากมาย จึงไม่ควรซื้อยากินเอง ขนาดของยานี้ที่รับประทานในผู้ใหญ่และเด็กมีขนาดที่ต่างกัน ดังนั้นจึงควรได้รับคำแนะนำการใช้ยาจาก แพทย์ หรือ เภสัชกรเท่านั้น เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาไอบูโปรเฟน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกร เช่น ประวัติแพ้ยาทุกชนิด และอาการจากการแพ้ยา เช่น กินยาใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัดหายใจลำบาก มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาอะไรอยู่ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ เพราะยาไอบูเฟนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กินที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์มีครรภ์หรือไม่ หรือกำลังให้นมบุตรหรือไม่ เพราะยามักผ่านรกหรือผ่านเข้าสู่น้ำนมและเข้าสู่ทารก ก่อผลข้างเคียงต่อทารกได้ หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร หากลืมรับประทานยาไอบูโปรเฟน สามารถรับประทานยาเมื่อนึกขึ้นได้ หากการลืมทานยาใกล้กับมื้อถัดไปให้รับประทานขนาดปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า ยาไอบูโปรเฟนมีผลไม่พึงประสงค์ไหม ผลไม่พึงประสงค์จากยา ผลข้างเคียง อาการข้างเคียง ของยาไอบูโปรเฟน เช่น ในการรับประทานขนาดต่ำๆ มีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ และสามารถทำให้ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อหัว ใจผิดปกติได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และหรือระบบหัวใจ มีบางรายงานกล่าวว่า การใช้ยาตัวนี้จะทำให้สภาพร่างกายทนต่อแสงแดดได้น้อยลงเช่น เกิดอาการปวดแสบร้อนเมื่อออกแดดนานๆ กล่าวคือผิวหนังไวต่อแสงแดดเกินกว่าปกติที่เคยเป็น ผลอันไม่พึงประสงค์ฯอื่นๆของยาไอบูโปรเฟน เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย เลือดออกในทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ ง่วงนอน เกิดผื่นคันทางผิวหนัง และหอบหืด ยาไอบูโปรเฟนมีปฏิกิริยากับยาตัวอื่นไหม การกินยาไอบูโปรเฟนอาจมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น
ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เป็นยากลุ่ม NSAIDs (ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์) ที่มีส่วนช่วยลดอาการปวด ใช้บรรเทาปวดจากข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน และลดไข้ มีการใช้รักษาอาการปวดจากโรคข้อบางชนิดและปวดศีรษะไมเกรน เมื่อใช้ยาไอบูโปรเฟน มันจะทำงานโดยการยับยั้งสารไซโคลออกซิเจนีส (Cyclooxygenase) ที่เป็นสารทำให้เกิดอาการปวด อักเสบ และไข้ในร่างกาย ยายังมีผลตรงที่สมองและบริเวณที่มีอาการปวดได้ด้วย ยาไอบูโปรเฟนมีหลายรูปแบบจัดจำหน่าย เช่น เม็ดขนาด 200 และ 400 มิลลิกรัม และน้ำขนาด 100 มิลลิกรัมในน้ำ 1 ช้อนชา ควรรับประทานพร้อมหรือหลังอาหารเพื่อลดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร ขนาดการรับประทานสูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 2.4 กรัมต่อวัน ยานี้มีผลข้างเคียงมากมายและถือเป็นยาอันตราย ไม่ควรซื้อยาเองและควรได้รับคำแนะนำการใช้ยาจากแพทย์หรือเภสัชกร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรเกี่ยวกับประวัติแพ้ยา อาการจากการแพ้ยา และโรคประจำตัว เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เสี่ยงต่อสุขภาพ สำหรับสตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรแจ้งให้ทราบ เนื่องจากยานี้อาจมีผลกระทบต่อทารกได้ หากลืมรับประทานยาไอบูโปรเฟน สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าลืมใกล้เวลามื้อถัดไปให้รับประทานตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา ยาไอบูโปรเฟนอาจทำให้ระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ และมีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยไม่แนะนำให้ใช้กับผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ และหัวใจ ยานี้อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดน้อยลง และมีผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย เลือดออกในทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ ง่วงนอน เกิดผื่นคันทางผิวหนัง และหอบหืด ยาไอบูโปรเฟนอาจมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น ดังนั้น ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเมื่อมีการสั่งยาทุกชนิด เพื่อป้องกันผลกระทบที่เสี่ยงต่อสุขภาพ
เภสัชวิทยา Pharmacology
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12388
Medical
ในทางการแพทย์ ขี้เทา คืออะไร
ขี้เทา Meconium ขี้เทา ตามความหมายจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึง ขี้ที่ค้างอยู่ในลำไส้เด็กที่คลอดใหม่ ทางการแพทย์ ขี้เทา คือ อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ของทารกแรกเกิด โดยขี้เทาจะเป็นสิ่งต่างๆที่ทารกกลืนเข้าไปในช่วงอยู่ในท้องแม่ ขี้เทาประกอบด้วย เซลล์ผนังลำไส้ที่ตายแล้ว เมือกต่างๆ เศษผมและขนของทารกเอง น้ำคร่ำ น้ำดี น้ำ และมีแบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่ ขี้เทา มีลักษณะ ไม่เหมือนอุจจาระทั่วไป โดยจะมีลักษณะ เหนียว เปียก เหมือนน้ำมันดิน Tar ไม่มีกลิ่น มีสีจากสีของน้ำดี จึงออกสีเขียว น้ำตาล และร่างกายทารกจะขับออกจากลำไส้หมดภายใน 2-3 วันหลังคลอด ต่อจากนั้นอุจจาระทารกจะเป็นจากส่วนประกอบของนม จะมีสีเหลือง และลักษณะเป็นอุจจาระทั่วไป โดยปกติ ช่วงอยู่ในครรภ์ ทารกจะไม่ขับถ่ายขี้เทาออกมา น้ำคร่ำปกติจึงไม่มีขี้เทา ยก เว้นในภาวะทารกขาดออกซิเจน ดังนั้น ในขณะเจ็บท้องคลอดที่ถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว การตรวจพบขี้เทาในน้ำคร่ำ แพทย์จะใช้เป็นตัวช่วยวินิจฉัยภาวะขาดออกซิเจนของทารกที่แพทย์จำเป็นต้องช่วยเร่งการคลอด อาจโดยการผ่าคลอด เป็นต้น นอกจากนั้น แพทย์ยังใช้การตรวจขี้เทาทางห้องปฏิบัติการ เพื่อบอกว่า ในขณะอยู่ในครรภ์ ทารกได้รับยา หรือสารพิษอะไรบ้าง ซึ่งช่วยวินิจ ฉัยหาสาเหตุของโรคต่างๆของทารกหลังคลอดได้เช่นกัน
ในทางการแพทย์ ขี้เทา คือ อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้ของทารกแรกเกิด โดยขี้เทาจะเป็นสิ่งต่างๆ ที่ทารกกลืนเข้าไปในช่วงอยู่ในท้องแม่ ขี้เทาประกอบด้วย เซลล์ผนังลำไส้ที่ตายแล้ว เมือกต่างๆ เศษผมและขนของทารกเอง น้ำคร่ำ น้ำดี น้ำ และมีแบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่ ขี้เทา มีลักษณะไม่เหมือนอุจจาระทั่วไป โดยจะมีลักษณะเหนียว เปียก เหมือนน้ำมันดินไม่มีกลิ่น มีสีจากสีของน้ำดี จึงออกสีเขียว น้ำตาล และร่างกายทารกจะขับออกจากลำไส้หมดภายใน 2-3 วันหลังคลอด ต่อจากนั้นอุจจาระทารกจะเป็นจากส่วนประกอบของนม จะมีสีเหลือง และลักษณะเป็นอุจจาระทั่วไป
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5445
Legal
คำถามที่ 1: ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในกี่วัน คำถามที่ 2: กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ทันกำหนด จะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ คำถามที่ 3: กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ทันกำหนด จะต้องเสียโทษทางอาญาหรือไม่ คำถามที่ 4: กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง จะต้องเสียโทษทางอาญาหรือไม่ คำถามที่ 5: กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยแจ้งข้อความเท็จหรือแสดงหลักฐานเท็จ จะต้องเสียโทษทางอาญาหรือไม่
null
คำตอบที่ 1 มาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายใน 3 เดือนนับแต่วันสิ้นปีภาษี คำตอบที่ 2 กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ทันกำหนด จะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ดังนี้ เบี้ยปรับ ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย เงินเพิ่ม ร้อยละ 1.5 ของจำนวนภาษีที่ต้องเสียต่อเดือน ทั้งนี้ เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จะเริ่มคำนวณตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นต้นไป คำตอบที่ 3 กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ทันกำหนด จะต้องเสียโทษทางอาญา ดังนี้ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ โทษทางอาญาจะเริ่มใช้บังคับเมื่อผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับหนังสือแจ้งจากกรมสรรพากรแล้ว คำตอบที่ 4 กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง จะต้องเสียโทษทางอาญา ดังนี้ จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ โทษทางอาญาจะเริ่มใช้บังคับเมื่อผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับหนังสือแจ้งจากกรมสรรพากรแล้ว คำตอบที่ 5 กรณียื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยแจ้งข้อความเท็จหรือแสดงหลักฐานเท็จ จะต้องเสียโทษทางอาญา ดังนี้ จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ โทษทางอาญาจะเริ่มใช้บังคับเมื่อผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับหนังสือแจ้งจากกรมสรรพากรแล้ว
กฎหมายภาษี
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_12302
Medical
ข้อใดเป็นโรค/ภาวะที่ร่างกายเสียน้ำมาก ระหว่าง ท้องเสีย หรือ อาการไข้
null
ท้องเสีย เพราะท้องเสียเป็นโรค/ภาวะที่ร่างกายเสียน้ำมาก ส่วนอาการไข้เป็นโรค/ภาวะที่ร่างกายมีเหงื่อออกมาก กระหายน้ำมาก (Polydipsia หรือ Excessive thirst) คือ ความรู้สึกกระหายน้ำมากผิดปกติ อาการนี้จะเกิดต่อเนื่องตลอดเวลา มักเป็นอาการเรื้อรัง โดยอาการมักไม่หายไปถึงแม้จะดื่มน้ำมากขึ้น และมักมีอาการกระหายน้ำร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย วิงเวียน กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ตาพร่า เป็นลม บางคนอาจมีอาการชัก ทั้งนี้ สาเหตุพบบ่อยของภาวะ/อาการกระหายน้ำมาก คือ - ดื่มน้ำน้อย เช่น ผู้สูงอายุ คนที่ไม่ชอบดื่มน้ำ มีแผลในช่องปากทำให้เจ็บปากไม่ยากกินอาหาร/ดื่มน้ำ โรคทางจิตเวชที่ผู้ป่วยไม่ยอมดื่มน้ำ การผ่าตัดที่มีการงดอาหารและน้ำดื่ม - กินอาหารรสเค็มจัดเป็นประจำ เช่น ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ผลไม้ดอง - ดื่มเครื่องดื่มมีกาเฟอีนปริมาณมากต่อเนื่อง เพราะจะทำให้มีปัสสาวะบ่อยมากขึ้นรวมถึงปริมาณปัสสาวะแต่ละครั้งก็เพิ่มขึ้น เช่น ชา กาแฟ - เป็นอาการของโรคต่างๆ ที่พบบ่อย คือ โรคเบาหวาน, โรคเบาจืด, โรคไต(ระยะโรคที่มีปัสสาวะมาก)ที่จะมีปัสสาวะปริมาณมากขึ้น บ่อยขึ้น ร่างกายจึงเสียน้ำมากขึ้น - โรคที่ทำให้ต่อมน้ำลายทำงานได้ลดลง หรือเยื่อเมือกต่างๆสร้างสารคัดหลั่งน้อยลง (เช่น สร้างน้ำลายลดลง) เช่น โรคออโตอิมมูน หรือมีการผ่าตัดต่อมน้ำลายจากเนื้องอก/มะเร็งต่อมน้ำลาย หรือเป็นผลข้างเคียงจากการฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งระบบศีรษะและลำคอ - ภาวะปากแห้ง: อาจจาก ผลข้างเคียงของยาบางชนิด(เช่น ยาลดความดันโลหิต), โรคของช่องปากเอง, ภาวะขาดน้ำ, ผลข้างเคียงจากยาสีฟันบางชนิด, โรคของต่อมน้ำลาย(เช่น ต่อมน้ำลายอักเสบ) - โรค/ภาวะที่ร่างกายมีเหงื่อออกมาก เช่น อาการไข้ การออกกำลังกาย ลมแดด - โรค/ภาวะที่ร่างกายเสียน้ำมาก เช่น ท้องเสีย อาเจียน ตกเลือด - ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่ขับน้ำออกจากร่างกายมาก: เช่น ยาขับปัสสาวะ - ร่างกายสูญเสียน้ำจากมีแผลเปิดขนาดใหญ่ เช่น แผลน้ำร้อนลวก/ไฟไหม์ ขนาดใหญ่
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_4056
Finance
แนวโน้มเงินเฟ้อของประเทศไทยในปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ติดลบ 0.85% อย่างแน่นอน แต่แนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออาจจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องด้วยปัจจัยใด
null
แนวโน้มเงินเฟ้อของประเทศไทยในปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ติดลบ 0.85% อย่างแน่นอน แต่แนวโน้มการปรับเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออาจจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องด้วยปัจจัยความแตกต่างของขนาดมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างขององค์ประกอบอัตราเงินเฟ้อ และนโยบายจากภาครัฐต่อราคาสินค้า ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงทางเงินเฟ้อเกิดขึ้นในระดับต่ำ หากเปรียบเทียบกันแล้ว มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าของไทยมาก และน่าจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและราคาสินค้าในสหรัฐฯ มากกว่าไทย ด้วยขนาดเงินกระตุ้นที่เพิ่งได้รับอนุมัติมูลค่ากว่า 1.9 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีขนาดใหญ่คิดเป็น 9% ของ GDP ของสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2564 ระดับ 3.5 แสนล้านบาทของประเทศไทย จะมีขนาดคิดเป็น 3% ของ GDP ไทยเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ องค์ประกอบของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมีลักษณะที่บางหมวดในองค์ประกอบ มีสัดส่วนที่มากแต่มีการเปลี่ยนแปลงต่ำ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย ที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของตะกร้าเงินเฟ้อทั้งหมด เมื่อยกเว้นช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ที่มีนโยบายให้ความช่วยเหลือด้านค่าครองชีพผ่านการปรับลด ค่าน้ำ ค่าไฟ จะพบว่าราคาค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย แทบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หรือเมื่อพิจารณาสินค้าในหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสารซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 23% ของอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะพบว่ามีองค์ประกอบย่อยหลายอย่างที่ราคาไม่ปรับขึ้น หรือใช้เวลานานในการปรับขึ้นตามอุปสงค์ เช่น ค่าขนส่งสาธารณะ ค่าจดทะเบียนและประกันภัย เป็นต้น
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20103
Medical
จงสรุปเรื่อง ปรับใจเข้าหากันลดความรุนแรงในครอบครัว ให้ทีค่ะ
หน้าแรก บทความ ปรับใจเข้าหากัน ลดความรุนแรงในครอบครัว ปรับใจเข้าหากัน ลดความรุนแรงในครอบครัว ดร.อภันตรี สาขากร นักจิตวิทยาคลินิก โรงพยาบาลมนารมย์ TweetShare+1E-mail ครอบครัวที่อบอุ่นเป็นรากฐานของสุขภาพจิตที่ดีและความสำเร็จในอนาคต ไม่ว่าบุคคลวัยใด เด็กหรือผู้ใหญ่ต่างมีความปรารถนาที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีความสบายใจและรู้สึกปลอดภัย แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจสังคมที่ทำให้ทุกคนต้องทำงานหนักขึ้น มีเวลาพักผ่อนน้อยลง มีความเครียดสะสม รวมทั้ง ปัญหาด้านสุขภาพจิตต่างๆ เช่น อาการซึมเศร้า โรคติดสุรา ปัญหาเรื่องยาเสพติดและการพนัน หรือปัจจัยด้านค่านิยมอื่นๆ เช่น สามีเป็นเจ้าของภรรยา รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจนำมาสู่ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว อาจแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ความรุนแรงระหว่างคู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา (Intimate Partner Violence and Abuse) 2. ความรุนแรงต่อเด็ก (Child Abuse) 3. ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุ (Elder Abuse) ความรุนแรง คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและการทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ หรือการกระทำทางเพศ หรือการทอดทิ้งปล่อยปละละเลย ซึ่งแนวทางการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความรุนแรงในครอบครัวสามารถทำได้โดย • สร้างบรรยากาศภายในบ้าน ให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ปลูกฝังความเมตตากรุณาต่อกัน แก้ปัญหาต่างๆ ในครอบครัวร่วมกันด้วยความสุขุม รอบคอบ มีเหตุผล สงบสันติ ไม่ก้าวร้าวหรือใช้คำผรุสวาทด่าทอต่อว่ากัน และไม่ทำร้ายร่างกายกัน • หาโอกาสพูดคุยกันในครอบครัว ปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมหรือแก้ปัญหาพฤติกรรมนี้ได้ ควรไปพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเพื่อรับฟังคำแนะนำและนำมาปรับปรุงแก้ไข เช่น เรียนรู้การสื่อสารโดยตรงกับคนในครอบครัวด้วยความรัก ความเข้าใจและด้วยเหตุผล เรียนรู้เรื่องการจัดการอารมณ์ รวมถึงการฝึกทักษะการรับฟังอย่างเข้าใจ คือ เปิดใจรับฟัง ไม่มีอคติแอบแฝง เมื่อมีปัญหาขัดแย้งก็ร่วมกันแก้ไขอย่างใจสงบ สืบหาสาเหตุเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งได้ตรงจุด • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความรุนแรง เช่น การดื่มสุรา เสพสิ่งเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ ถ้าหากมีการโต้เถียงกันขึ้น ควรมีฝ่ายหนึ่งหยุดและหลีกเลี่ยงคำพูดยั่วยุส่อเสียด ทั้งทางวาจา สายตา เพราะอาจจะทำให้อีกฝ่ายโกรธมากยิ่งขึ้น ถ้าถึงขั้นขว้างปาสิ่งของหรือจะเข้ามาทำร้ายร่างกาย ควรหลบหลีกออกจากสถานการณ์ตรงนั้นไปก่อน • เมื่อเกิดการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ควรพาผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาโดยแพทย์ และหากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจควรพามาพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดฟื้นฟูสภาพจิต ทั้งนี้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงควรพบจิตแพทย์เพื่อรับการประเมินปัญหาทางจิตเวชและได้รับการบำบัด เช่นเดียวกัน ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมิใช่ปัญหาส่วนบุคคลเท่านั้น คนในชุมชนหรือสังคมควรเข้ามามีส่วนร่วมช่วยกันแก้ไขปัญหาด้วยเช่นกัน หากผู้ใดพบเห็นการกระทำความรุนแรงควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ค้นหาแพทย์และนักบำบัด โทรนัดหมายแพทย์ ติดต่อสอบถาม อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เคล็ดลับสร้างสุขภาพจิต....ที่ดี ให้กับครอบครัว วันครอบครัวกับการดูแลสุขภาพจิต ปรับตัวหลังแต่งงาน เรื่องที่บ่าวสาวทุกคู่ควรรู้ ให้รักนี้ยาวนาน สมดุลชีวิต...จัดได้ไม่ยาก ลูกก้าวร้าว รับมืออย่างไร สุรา ผลเสีย และวิธีการเลิกดื่ม ​
ครอบครัวเป็นพื้นฐานของหลายๆอย่าง เพราะฉะนั้น ครอบครัวที่อบอุ่น ครอบครัวที่ดี จะเป็นรากของสุขภาพจิตที่ดีและความสำเร็จในอนาคต แต่เพราะปัจจัยหลายอย่างในการใช้ชีวิตประจำวัน อาจก่อให้เกิดความเครียดจนอาจจะทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ -ความรุนแรง คือ การกระทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและการทำให้เกิดความทุกข์ทางจิตใจ หรือการกระทำทางเพศ ซึ่งแนวทางการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดความรุนแรงในครอบครัวสามารถทำได้โดย 1.สร้างบรรยากาศภายในบ้าน ให้รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ปลูกฝังความเมตตากรุณาต่อกันไม่ทำร้ายร่างกายกัน 2. หาโอกาสพูดคุยกันในครอบครัว ปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เปิดใจรับฟัง ไม่มีอคติแอบแฝง เมื่อมีปัญหาขัดแย้งก็ร่วมกันแก้ไขอย่างใจสงบ สืบหาสาเหตุเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งได้ตรงจุด ถ้าไม่สามารถควบคุมหรือแก้ปัญหาพฤติกรรมนี้ได้ ควรไปพบจิตแพทย์ 3.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดความรุนแรง เช่น การดื่มสุรา เสพสิ่งเสพติด หากมีการโต้เถียงกันขึ้น ควรมีฝ่ายหนึ่งหยุดและหลีกเลี่ยง 4.เมื่อเกิดการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ควรพาผู้บาดเจ็บไปรับการรักษาโดยแพทย์ และหากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจควรพามาพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดฟื้นฟูสภาพจิต หากผู้ใดพบเห็นการกระทำความรุนแรงควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ช่วยกันดูแลจิตใจกันให้ดี เพื่ออนาคตที่ดีข้างหน้านะคะ
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20176
Medical
หนังตาตกเกิดจากอะไรบ้าง
โรคและการรักษา หนังตาตก (Ptosis) ภาวะหนังตาตก เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยอาจมีอาการเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ บางรายอาจมีภาวะหนังตาตกมาตั้งแต่กำเนิด แต่บางรายมีอาการเมื่ออายุมากขึ้นหรืออาจเป็นผลจากโรคอื่น แชร์ หนังตาตก ภาวะหนังตาตก เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยอาจมีอาการเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ บางรายอาจมีภาวะหนังตาตกมาตั้งแต่กำเนิด แต่บางรายมีอาการเมื่ออายุมากขึ้นหรืออาจเป็นผลจากโรคอื่น ๆ ได้ อาการหนังตาตก เปลือกตาบนหย่อนลงมา อาจบดบังการมองเห็น ใบหน้าดูเหนื่อยล้าตลอดเวลา เนื่องจากหนังตาที่ตกลงมามากกว่าปกติ บางรายต้องเงยหน้าเพื่อให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดขึ้น สาเหตุ หนังตาตกเกิดจากอะไร? ภาวะหนังตาตกอาจเกิดจากกล้ามเนื้อตาพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดภาวะหนังตาตกตั้งแต่กำเนิดในเด็ก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็นถาวรในอนาคต เมื่ออายุมากขึ้นทำให้กล้ามเนื้อตาซึ่งทำหน้าที่ยกเปลือกตายืดออก ส่งผลให้ตำแหน่งเปลือกตาบนตกลงมา เป็นสาเหตุทำให้หนังตาตกได สาเหตุจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งที่เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ โรคทางระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจทำให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทำให้หนังตาตก ตากุ้งยิง จากน้ำหนักและอาการบวมของตากุ้งยิง อาจทำให้เปลือกตาหย่อนลงมาได้ชั่วคราว อุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเปิดตา เป็นหลังการผ่าตัดตาหลาย ๆ ครั้ง การตรวจวินิจฉัยอาการหนังตาตก การซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อประเมินสาเหตุของภาวะหนังตาตก ระยะเวลาที่มีอาการ การตรวจตาผ่านกล้องโดยจักษุแพทย์ ในบางรายอาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น การใช้น้ำแข็งประคบเปลือกตาในการตรวจกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือเจาะเลือดเพิ่มเติม การรักษาหนังตาตก การผ่าตัด: แนะนำให้ผ่าตัดหากมีภาวะหนังตาตกตั้งแต่กำเนิดที่มีข้อบ่งชี้หรือจากอายุที่มากขึ้นที่กระทบชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการ โดยจะทำให้กล้ามเนื้อเปลือกตาหดแน่นขึ้น และยกเปลือกตาไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม การผ่าตัดยังช่วยป้องกันโรคตาขี้เกียจในเด็ก การรักษาด้วยวิธีนี้อาจมีความเสี่ยง เช่น มีเลือดออกในเนื้อเยื่อบริเวณที่ผ่าตัด ตาแห้งมากขึ้น การผ่าตัดอีกวิธีหนึ่งได้แก่การผ่าตัดใส่วัสดุเชื่อมระหว่างเปลือกตาและกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากเพื่อช่วยยกเปลือกตาในกรณีกล้ามเนื้อตาไม่มีแรงในการยกเปิดเปลือกตา หากมีอาการไม่มาก ไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถติดตามอาการไปก่อนได้ เมื่อมีอาการจึงพิจารณาผ่าตัดภายหลัง การป้องกันภาวะหนังตาตก ภาวะหนังตาตกส่วนใหญ่นั้นป้องกันไม่ได้ การเข้ารับการตรวจตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้พบปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก การรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีสามารถป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงไปกว่าเดิม โดยภาวะหนังตาตกจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาโรคดังกล่าว
สาเหตุของหนังตาตก - ภาวะหนังตาตกอาจเกิดจากกล้ามเนื้อตาพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดภาวะหนังตาตกตั้งแต่กำเนิดในเด็ก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็นถาวรในอนาคต - เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อตาซึ่งทำหน้าที่ยกเปลือกตายืดออก ส่งผลให้ตำแหน่งเปลือกตาบนตกลงมา เป็นสาเหตุทำให้หนังตาตกได้ - สาเหตุจากโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งที่เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ โรคทางระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจทำให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทำให้หนังตาตก - ตากุ้งยิง จากน้ำหนักและอาการบวมของตากุ้งยิง อาจทำให้เปลือกตาหย่อนลงมาได้ชั่วคราว - อุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนเส้นประสาทหรือกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเปิดตา - เป็นหลังการผ่าตัดตาหลาย ๆ ครั้ง
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4005
Finance
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบรูปตัว K นั้น ในฐานะนักลงทุน เราควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร
null
กลยุทธ์การลงทุนในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบ K-Shaped การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบ K-Shaped หมายถึง ภาวะที่เศรษฐกิจบางภาคส่วนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่บางภาคส่วนกลับซบเซาหรือถดถอย สถานการณ์นี้สร้างความท้าทายต่อนักลงทุนในการตัดสินใจเลือกลงทุน กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในภาวะนี้ มีดังนี้: 1. กระจายความเสี่ยง: - ไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว - ควรกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท - กระจายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัว (ขาขึ้น) และกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ (ขาลง) 2. เลือกหุ้นรายตัวอย่างรอบคอบ: - ศึกษาข้อมูลปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด - วิเคราะห์ผลประกอบการ แนวโน้มธุรกิจ กลยุทธ์ และความเสี่ยง - เลือกหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง 3. มองหาโอกาสในธุรกิจใหม่: - ศึกษาเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม - มองหาธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ลงทุนในธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต 4. ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก: - พิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ - สินทรัพย์เหล่านี้มักมีบทบาทในการป้องกันความเสี่ยง 5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนมือใหม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ และแนะนำกลยุทธ์ที่เหมาะสม ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน: 1. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive: หุ้นกลุ่มนี้มีรายได้และผลประกอบการที่ค่อนข้างเสถียร ตัวอย่าง: - หุ้นกลุ่ม Consumer Staples, Utilities 2. ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic Play: หุ้นกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ตัวอย่าง: - หุ้นกลุ่มธนาคาร - หุ้นกลุ่มค้าปลีก 3. ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว: - หุ้นที่มีผลประกอบการเติบโตดี - มีแผนขยายธุรกิจ นวัตกรรมใหม่ ตัวอย่าง: - หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี - หุ้นกลุ่มพลังงาน ข้อควรระวัง: 1. ไม่ควรลงทุนในหุ้นตัวเดียว: - ควรกระจายความเสี่ยง - ตั้งจุด Stop-loss เพื่อป้องกันความเสี่ยง 2. ติดตามข่าวสารและข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: - สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นมีความผันผวน - ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม 3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: นักลงทุนมือใหม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน บทสรุป: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบ K-Shaped นำเสนอทั้งโอกาสและความท้าทายต่อนักลงทุน กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมคือ กระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นรายตัวอย่างรอบคอบ มองหาโอกาสใหม่ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Finance_3659
Finance
จงสรุปบทความ 2023 โอกาสเลือกลงทุน ‘เชิงรุก’ กับหุ้นแบบ Stock Selection
การลงทุนกับหุ้นโดยทั่วไปแล้วก็มักจะมีทางเลือกอยู่ 2 แบบคือ แบบที่ 1 การลงทุนแบบเชิงรับ หรือ Passive Management ซึ่งนั่นก็คือ ลงทุนโดยให้น้ำหนักของหุ้นตาม Index เช่น ลงทุนใน SET50 ก็จะเท่ากับว่าเราซื้อหุ้นมาทั้ง 50 ตัว และให้น้ำหนักเหมือนกับ SET50 Index หรือแบบที่ 2 การลงทุนแบบเชิงรุก หรือ Active Management การลงทุนแบบนี้ เราจะมีการเลือกหุ้น หรือที่เรียกว่า Stock Selection เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด ความยากง่ายในการทำ Stock Selection เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดนั้น ดูเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าสถิติของสภาวะของตลาดในแต่ละช่วงเวลา นั่นหมายความว่า หากสภาวะของตลาดไม่เอื้ออำนวย แต่นักลงทุนพยายามเลือกหุ้นให้ถูกตัวก็อาจจะทำได้ยากมาก หรืออย่างแย่ที่สุดการเลือกหุ้นนั้นก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่พอร์ตลงทุนเลยก็เป็นได้ เปรียบความยากของตลาดเหมือนเตาถ่านที่แดงร้อน และเราพยายามล้วงมือลงไปเพื่อควานหาเพชรในช่วงเวลานั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราจะได้เพชรก่อนหรือมือจะพองบวมก่อนก็เป็นได้ แต่หากตลาดอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม การจะเลือกหุ้นลงทุนอะไรก็มักจะพบว่าดูจะเลือกหุ้นถูกตัวไปซะหมด ซึ่งความยากง่ายในการเลือกหุ้นแบบนี้จะมีตัววัดหนึ่งที่นิยมใช้กัน ซึ่งจะเรียกว่าค่า Dispersion หรือที่รู้จักกันว่า การกระจายตัว
การลงทุนกับหุ้นโดยทั่วไปแล้วก็มักจะมีทางเลือกอยู่ 2 แบบคือ แบบที่ 1 การลงทุนแบบเชิงรับ หรือ Passive Management หรือแบบที่ 2 การลงทุนแบบเชิงรุก หรือ Active Management Stock Selection เกี่ยวข้องกับค่าสถิติของสภาวะของตลาดในแต่ละช่วงเวลา หากสภาวะของตลาดไม่เอื้ออำนวย การเลือกหุ้นให้ถูกตัวก็อาจจะทำได้ยากมาก และ อาจสร้างความเสียหายอย่างมาก แต่หากตลาดอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม การเลือกหุ้นมักจะง่ายขึ้น ซึ่งความยากง่ายในการเลือกหุ้นแบบนี้จะมีตัววัดหนึ่งที่นิยมใช้กัน ซึ่งจะเรียกว่าค่า Dispersion หรือที่รู้จักกันว่า การกระจายตัว การทำ Stock Selection คือปัจจัยการกระจายตัวของผลตอบแทนของหลักทรัพย์ในช่วงเวลานั้นๆ
กลยุทธ์การลงทุน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_12466
Medical
หลอดเลือดฝอยมีหน้าที่ทำอะไร
a. มีบทบาทสำคัญในการนำส่ง สารอาหาร และออกซิเจนผ่านเม็ดเลือดแดงสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย b. การสร้างปัสสาวะซึ่งจะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย c. มีบทบาทสำคัญในการนำส่ง สารอาหาร และออกซิเจนผ่านเม็ดเลือดแดงสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย d. การควบคุมสารอาหาร สังเคราะห์โปรตีน และผลิตสารชีวเคมีที่จำเป็นในกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
คำตอบได้แก่ c. เพราะว่า หลอดเลือดฝอย Capillary มีบทบาทสำคัญในการนำส่ง สารอาหาร และออกซิเจนผ่านเม็ดเลือดแดงสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย หลอดเลือดฝอยมีขนาดเล็กมาก แตกแขนงกระจายตัวอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย หลอดเลือดฝอยมีผนังที่บางมาก ประกอบไปด้วยเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดEndothelial Cell มีคุณสมบัติพิเศษเป็นเนื้อเยื่อที่เรียกว่า เยื่อเลือกผ่าน Semi-permeable membrane กล่าวคือ มีความสามารถในการคัดกรองสารโมเลกุลบางชนิดให้ผ่านเข้าออกหลอดเลือดฝอยได้ ทำให้หลอดเลือดฝอยสามารถนำส่งสารต่างๆไปยังเซลล์หรืออวัยวะเป้าหมาย และลำเลียงของเสียออกจากเซลล์เพื่อนำไปสู่กระบวนการกำจัดออกจากร่างกายต่อไปได้ กลุ่มอาการรั่วของหลอดเลือดฝอยกลุ่มอาการรั่วของเส้นเลือดฝอย หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Systemic Capillary Leak Syndrome ตัวย่อ SCLS มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโรคคลาร์กสัน Clarksons Disease เป็นกลุ่มอาการที่เซลล์เยื่อบุเส้นเลือดหลอดเลือดฝอย Endothelial cell มีการเรียงตัวผิดปกติ ทำให้เกิดช่องว่างหรือเกิดเสียคุณสมบัติในการเป็นเยื่อเลือกผ่าน ของเหลวและสารโปรตีนในเส้นเลือดหลอดเลือดฝอยจึงสามารถไหลออกจากเส้นเลือดฝอยไปตามช่องว่างระหว่างเซลล์ของผนังหลอดเลือด เข้าสู่พื้นที่ว่างภายนอกหลอดเลือด หรือเข้าสู่อวัยวะต่างๆของร่างกาย ผู้ป่วยจึงเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำตามมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการนี้พบเกิดได้น้อยมากๆ กลุ่มอาการรั่วของหลอดเลือดฝอยมีสาเหตุมาจากอะไร ปัจจุบัน สามารถแบ่งกลุ่มอาการรั่วของหลอดเลือดฝอยตามสาเหตุได้ 3 กลุ่ม คือ 1. ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด Idiopathic SCLS 2. กลุ่มอาการที่มีความสัมพันธ์กับโรคผิวหนัง หรือกับภาวะการเจ็บป่วยต่างๆ เช่น โรคผื่นแดงลอกทั้งตัว Erythroderma โรคสะเก็ดเงิน ชนิดที่มีหนอง Pustular Psoriasis การติดเชื้อในกระแสเลือดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ มีเนื้องอกเกิดขึ้นในร่างกาย การผ่าตัดทำบายพาสBy passการผ่าตัดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่หลอดเลือดปอดและหัวใจ Cardiopulmonary Bypass 3. อาการที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำของยาDrug-induced condition พิษ หรือ ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
Anatomy,Physiology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Finance_50
Finance
ปัจจัยใดที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 21 ม.ค. 2556
หากมองย้อนกลับไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาของวิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและปัญหา ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นมีผลทำให้เกิดกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ ประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตามความแข็งแรงของระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ที่สามารถขยายตัวอยู่ในระดับที่ดีกว่า แต่สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติใน ปริมาณมาก จนกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปกว่า 3.3% จากระดับ 30.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 21 ม.ค. 2556 โดยเป็นผลมาจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินของโลก อันเกิดจากแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศผ่านมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเอง ทั้งนี้นักลงทุนบางกลุ่มมีการประเมินว่าทิศทางของค่าเงินบาทไทยในปีนี้อาจมี โอกาสแข็งค่าจนถึงระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากสถานการณ์การไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการไหลเข้าของเม็ดเงินในรอบนี้เริ่มแสดงให้เห็นถึงสัญญาณหรือความเป็นไป ได้ของการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน รวมไปถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้น และในตราสารหนี้ระยะสั้น จนก่อให้เกิดความกังวลตามมาว่าหากกระแสเงินลงทุนมีการเปลี่ยนทิศทางหรือเกิด การไหลออกอย่างฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาทไทย และราคาของหลักทรัพย์ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 21 ม.ค. 2556 นั้น เป็นผลมาจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินของโลก อันเกิดจากแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศผ่านมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเอง
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_15440
Medical
สำหรับเด็กในครรภ์สามารถติดเชื้อลีสทีเรียจากแม่ได้ โดยผ่านทางใด
ลีสทีเรีย เชื้อจากอาหาร ตอนที่ 2 ลีสทีเรีย เชื้อจากอาหาร ตอนที่ 2 สำหรับเด็กในครรภ์สามารถติดเชื้อจากแม่ได้โดยผ่านทางรก Placenta โดยอาการที่เกิดจากการติดเชื้อลีสทีเรีย ได้แก่ เป็นไข้ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ท้องเสีย อาการอาจจะเกิดขึ้นใน 2-3 วันหลังจากกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป แต่ก็อาจมีบางกรณีที่ใช้เวลาถึง 2 เดือนกว่าอาการจะปรากฏให้เห็น และหากเชื้อลีสทีเรียซึมไปสู่ระบบประสาท อาจทำให้เกิดอาการต่อไปนี้ด้วย ปวดศีรษะ คอแข็ง Stiff neck สับสน งุนงง Confusion เสียการทรงตัว Loss of balance ชักกระตุก Convulsions สำหรับหญิงมีครรภ์ จะมีโอกาสในการติดเชื้อมากกว่าคนปกติถึง 20 เท่า โดยจะมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ แม้การติดเชื้ออาจทำให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยในตัวแม่ แต่อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากมายสำหรับทารก เพราะทารกอาจจะ แท้ง Miscarriage คลอดแบบทารกตายในครรภ์ Stillbirth คลอดก่อนกำหนด Premature birth เสียชีวิตหลังการคลอด โดยอาการที่เกิดกับทารกอาจ ได้แก่ กินนมเพียงเล็กน้อย หงุดหงิดฉุนเฉียว Irritability เป็นไข้ อาเจียน
สำหรับเด็กในครรภ์สามารถติดเชื้อลีสทีเรียจากแม่ได้ โดยผ่านทางรก โดยอาการที่เกิดจากการติดเชื้อลีสทีเรีย ได้แก่ เป็นไข้ ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ท้องเสีย อาการอาจจะเกิดขึ้นใน 2-3 วันหลังจากกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนเข้าไป แต่ก็อาจมีบางกรณีที่ใช้เวลาถึง 2 เดือนกว่าอาการจะปรากฏให้เห็น
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_46195
Legal
จงสรุป คำพิพากษาศาลฎีกา กรณีต้องมีการบอกกล่าวหนังสือเสียก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ เป็นอย่างไร
การทวงหนี้ลูกหนี้ โดยวิธีส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม(โนติส / NOTICE) การทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามหรือโนติส / NOTICE มีทั้งกรณีที่ต้องทำเพราะกฎหมายกำหนดไว้ และ กรณีที่จะบอกกล่าวทวงถามก่อนหรือไม่ก็ได้ เช่น การบอกกล่าวเป็นหนังสือ ตามที่สัญญากำหนด การบอกกล่าวผู้ค้ำประกัน บอกกล่าวบังคับจำนอง บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งหากเราไม่ทำการบอกกล่าวเสียก่อนอาจจะไม่มีอำนาจฟ้องลูกหนี้ต่อศาลได้ถือว่าเป็นกรณีที่จำเป็นต้องออกหนังสือ และกรณีที่จะบอกกล่าวทวงถามก่อนหรือไม่ก็ได้ เช่น การทวงหนี้เงินกู้ยืม ทวงถามหนี้ค่าเช่า หนี้ค่าสินค้า ทวงหนี้ค่าจ้างทำของ ทวงหนี้ค่าจ้างก่อสร้าง ฯลฯ ก่อนฟ้องเจ้าหนี้อาจจะใช้วิธี ให้ทนายความหรือสำนักงานกฎหมายส่งหนังสือทวงถามหนี้ไปยังลูกหนี้เสียก่อน ซึ่งข้อความจะต้องครบถ้วนให้ได้ใจความตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย หากไม่ชำระจึงยื่นฟ้องต่อศาลต่อไป คำพิพากษาศาลฎีกา กรณีต้องมีการบอกกล่าวหนังสือเสียก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ การบอกกล่าวบังคับจำนองเป็นเงื่อนไขสำคัญของการบังคับคดีบังคับจำนอง หากไม่ได้บอกกล่าวหรือบอกกล่าวไม่ชอบศาลก็จะยกฟ้องโจทก์เสมอ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 462/2550 ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อจะบังคับจำนอง ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรเท่านั้น โจทก์จึงไม่ต้องระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วย เมื่อจำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และผู้จำนองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าทรัพย์สินซึ่งจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ไว้แก่โจทก์คือ ห้องชุดเลขที่ 54/225 หาใช่ห้องชุดเลขที่ 0225 การที่หนังสือบอกกล่าวระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองเป็นห้องชุดเลขที่ 0225 เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องการพิมพ์ตัวเลขห้องชุดผิดพลาดอันเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทำการไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้รับจำนองมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองข้อ 5. ระบุไว้ว่า ...ถ้าผู้จำนองไม่จัดการเอาประกันอัคคีภัยและผู้รับจำนองได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยเอง ผู้จำนองยินยอมนำเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้รับจำนองได้จ่ายไปมาชำระจนครบถ้วนภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับจำนองได้แจ้งให้ทราบ... ตามข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ก็ต่อเมื่อได้ทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปก่อนแล้วเท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ คำพิพากษาฎีกาที่ 2761/2549 โจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำนิติกรรมแทนโจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 1 รับจำนองที่ดินจากจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นการกระทำแทนโจทก์ที่ 2 แม้ตามหนังสือสัญญาจำนองระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับจำนองเท่านั้น โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ก็เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตัวการซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาจำนองซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ทำไว้แทนตน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีสิทธิกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 และเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่การตั้งตัวแทนเพื่อทำสัญญาจำนองเป็นหนังสือ ดังนั้นแม้การตั้งตัวแทนของโจทก์ที่ 2 เพื่อทำสัญญาจำนองกับจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาจำนองเป็นสิทธิที่มีอยู่ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองได้ คำพิพากษาฎีกาที่ 5553/2542 ในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนองประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 บังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้ ในคำบอกกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะต้องกำหนดเวลาให้ผู้จำนองชำระหนี้จำนอง และกำหนดเวลาดังกล่าวจะต้องเป็นกำหนดเวลาอันสมควรด้วย เพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไปขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ การบอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อนจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ การบอกกล่าวดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาที่จะต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือผู้จำนอง เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรมก่อนผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าว แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรม มรดกของผู้จำนองซึ่งรวมตลอดถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้จำนองย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599,1600ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว โจทก์ผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองโจทก์ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735ถ้ายังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดก โจทก์ต้องบอกกล่าวแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมือนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนอง การบอกกล่าวนี้ต้องทำเป็นจดหมายหรือหนังสือ และต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนโจทก์จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้จำนองก่อนฟ้อง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง คำพิพากษาฎีกาที่ 1608/2506 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยเพียงว่าให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุดนั้นเห็นได้ว่าไม่ได้กำหนดให้ไถ่ถอนการจำนองเมื่อใด เอาความแน่นอนในการที่จะพิเคราะห์ว่าภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ ไม่ได้ จึงไม่เป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบ คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2520 เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือจำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกา กรณีต้องมีการบอกกล่าวหนังสือเสียก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ การบอกกล่าวบังคับจำนองเป็นเงื่อนไขสำคัญของการบังคับคดีบังคับจำนอง หากไม่ได้บอกกล่าวหรือบอกกล่าวไม่ชอบศาลก็จะยกฟ้องโจทก์เสมอ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้ คำพิพากษาฎีกาที่ 462/2550 ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อจะบังคับจำนอง ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรเท่านั้น โจทก์จึงไม่ต้องระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วย เมื่อจำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และผู้จำนองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าทรัพย์สินซึ่งจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ไว้แก่โจทก์คือ ห้องชุดเลขที่ 54/225 หาใช่ห้องชุดเลขที่ 0225 การที่หนังสือบอกกล่าวระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองเป็นห้องชุดเลขที่ 0225 เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องการพิมพ์ตัวเลขห้องชุดผิดพลาดอันเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทำการไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้รับจำนองมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองข้อ 5. ระบุไว้ว่า ...ถ้าผู้จำนองไม่จัดการเอาประกันอัคคีภัยและผู้รับจำนองได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยเอง ผู้จำนองยินยอมนำเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้รับจำนองได้จ่ายไปมาชำระจนครบถ้วนภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับจำนองได้แจ้งให้ทราบ... ตามข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ก็ต่อเมื่อได้ทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปก่อนแล้วเท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
คำพิพากษาศาลฎีกา
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_17963
Medical
ปรากฏการณ์ Leidenfrost effect จะช่วยชะลออัตราการถ่ายโอนความร้อนจากมือไปยังสารใด
อันตรายจากขนมควันทะลัก ตอนที่ 2 อันตรายจากขนมควันทะลัก ตอนที่ 2 ไนโตรเจนเหลวมีอุณหภูมิต่ำมากๆ อยู่ที่ -210 °C -346 °F หรือ 63 K และสามารถไหม้ได้ทันทีหากสัมผัสกับวัตถุที่ร้อนกว่า ซึ่งทำเกิดปรากฏการณ์ Leidenfrost effect Leidenfrost effect เป็นปรากฏการณ์เมื่อของเหลวสัมผัสกับของแข็งที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเดือดของของเหลวนั้นมากๆ จนระเหยกลายเป็นก๊าซในทันที ซึ่งก๊าซเหล่านี้จะไปผลักดันให้โมเลกุลของเหลวที่เหลือลอยอยู่เหนือผิวของแข็ง ทำให้ของเหลวไม่สัมผัสกับของแข็งโดยตรง ปรากฏการณ์ Leidenfrost effect จะช่วยชะลออัตราการถ่ายโอนความร้อนจากมือไปยังไนโตรเจนเหลว ทำให้เวลาที่เอามือจุ่มลงไปในไนโตรเจนเหลว จะรู้สึกเย็นแต่ไม่แข็งในทันที แต่หากยังคงแช่มือไว้ในนั้นต่อไป มือจะเย็นลงเรื่อยๆ จนความต่างของอุณหภูมิไม่มากพอที่จะทำให้เกิด Leidenfrost effect เมื่อนั้นไนโตรเจนเหลวจะสัมผัสกับมือโดยตรง และมือจะแข็งอย่างรวดเร็ว ทำให้เนื้อเยื่อที่สัมผัสได้รับความเสียหายจากการโดนกัด Frost bite ไนโตรเจนเหลวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ดังนี้ การบำบัดด้วยความเย็นจัด Cryotherapy เพื่อแยกผิวหนังส่วนที่อาจเป็นเนื้อร้าย Malignant เช่น หูด Warts และมะเร็งผิวหนังระยะเริ่มต้น Actinic keratosis เพื่อเก็บรักษาเซลล์สำหรับการทดสอบในห้องแล้ป การแช่แข็งอวัยวะ Cryogenics การแช่แข็งเพื่อรักษาสภาพของเลือด เซลล์หรือเนื้อเยื่อ เช่น ไข่ และ อสุจิ แช่แข็งและขนส่งผลิตภัณฑ์อาหาร ใช้ในกระบวนการจัดการกับศพที่เรียกว่า Promession โดยวิธีของกระบวนการของนี้คือ การนำร่างไปจุ่มในไนโตรเจนเหลวซึ่งทำให้ร่างกายเย็นจนแข็ง จากนั้นใช้คลื่นอัลตราซาวด์ทำให้ร่างกายกลายเป็นผุยผงภายในชั่วพริบตา โดยเถ้าที่เหลือจะถูกบรรจุไว้ในกล่องที่ทำจากแป้งข้าวโพด ย่อยสลายได้ง่าย แล้วนำไปฝังไว้ในหลุมตื้นๆ ด้วยวิธีนี้จะไม่เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยให้พื้นดินสมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย เป็นตัวทำให้เย็น Coolant ใช้ในระบบป้องกันไฟไหม้ Hypoxic air fire prevention systems ใช้ในการเตรียมอาหาร เช่น ทำให้ไอศกรีมมีเนื้อนุ่มขึ้น ทำเครื่องหมายบนตัววัว Branding cattle ทำค็อกเทลมีควัน Liquid nitrogen cocktail ใช้ทำฝนเทียม เพราะไนโตรเจนเหลวจับความร้อนได้เร็วมากและกลายตัวเป็นก๊าซ จึงสามารถกัดกระเพาะได้ การกินไนโตรเจนเหลวจึงทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อของคนที่กิน โดยในต่างประเทศมีกรณีที่รายงานว่า เด็กวัยรุ่นกินค็อกเทลที่ผสมไนโตรเจนเหลวลงไป ทำให้กระเพาะทะลุ ต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อห้ามเลือดและเย็บกระเพาะ ดังนั้นทางที่ปลอดภัยในการกิน จึงต้องรอให้ควันจางก่อนค่อยลงมือกิน และเนื่องจากไนโตรเจนเหลว ไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น หากมีการสูดดมเข้าในร่างกาย อาจทำให้มีอาการหายใจไม่ออก Asphyxia โดยไม่มีสัญญาณเตือนแต่อย่างใด ส่วนวิธีที่ปลอดภัยในการใช้ไนโตรเจนเหลวทำอาหารก็คือ ระวังเรื่องการเก็บในภาชนะเฉพาะ การสวมแว่น การใส่ถุงมือหรือผ้ากันเปื้อนที่กันน้ำ Waterproof
ปรากฏการณ์ Leidenfrost effect จะช่วยชะลออัตราการถ่ายโอนความร้อนจากมือไปยังไนโตรเจนเหลว ทำให้เวลาที่เอามือจุ่มลงไปในไนโตรเจนเหลว จะรู้สึกเย็นแต่ไม่แข็งในทันที แต่หากยังคงแช่มือไว้ในนั้นต่อไป มือจะเย็นลงเรื่อยๆ จนความต่างของอุณหภูมิไม่มากพอที่จะทำให้เกิด Leidenfrost effect เมื่อนั้นไนโตรเจนเหลวจะสัมผัสกับมือโดยตรง และมือจะแข็งอย่างรวดเร็ว ทำให้เนื้อเยื่อที่สัมผัสได้รับความเสียหายจากการโดนกัด
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_10991
Medical
สรุปบทความเรื่อง วุ้นตา ให้หน่อย
วุ้นตา Vitreous humor กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา Anatomy and physiology of the eye โรคตา โรคทางตา Eye disease วุ้นตาเสื่อม Vitreous Floater วุ้นตาได้แก่ สารน้ำของเหลวชนิดหนึ่ง มีลักษณะใสคล้ายวุ้น อยู่หลังแก้วตา มีหน้าที่ช่วยคงรูปร่างของดวงตา รวมทั้งยังช่วยในการหักเหแสงสู่จอตา อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา
วุ้นตา เป็นของเหลว มีลักษณะใสคล้ายวุ้น อยู่หลังแก้วตา มีหน้าที่ช่วยคงรูปร่างของดวงตา และช่วยในการหักเหแสงสู่จอตา
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology,Anatomy
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20627
Medical
ยาแอสไพรินชนิดเม็ดสำหรับเด็กหรือเบบี้แอสไพริน ใน 1 เม็ด มีตัวยาแอสไพรินกี่มิลลิกรัม
ใช้ยาลดไข้ผิด ทำลายชีวิตของลูกหลานท่าน ใช้ยาลดไข้ผิด ทำลายชีวิตของลูกหลานท่าน ฟังชื่อแล้ว ท่านคงนึกถึงสยองขวัญบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็เป็นความจริงอย่างนั้น ส่วนจะเป็นจริงอย่างไรก็ลองอย่างไรก็ลองอ่านกันดูต่อไป ไข้ หรืออาการตัวร้อน เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดง จนถึงคนแก่คนเฒ่า มันเป็นเพียงอาการแสดงของโรค มิใช่ตัวโรค ยาที่เราใช้ลดไข้ทุกชนิดจึงเป็นเพียงยาบรรเทาอาการเท่านั้น ตราบใดที่สาเหตุของไข้ยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไป อาการไข้ก็จะยังคงมีอยู่เรื่อยไป ท่านอาจจะสงสัย เอ ถ้าอย่างนั้น หากเราทราบสาเหตุของไข้ เราแก้แต่สาเหตุ โดยไม่ต้องให้ยาลดไข้เลยก็ได้นะซิ อันนี้นับว่าถูกต้องทีเดียวแต่อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้มีอาการไข้สูงๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาจจะทำให้เกิดอาการชักได้ เราจึงจำเป็นต้องให้ยาลดไข้ ร่วมกับการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น เพื่อให้ไข้ลง ในบ้านเราทุกวันนี้ มียาลดไข้ขายกันมากมายหลายชนิด แล้วเราจะเลือกซื้อยาอะไรมาให้ลูกเรากินดี จึงจะไม่เป็นพิษทำลายชีวิตลูกหลานของเรา ก่อนที่จะพูดถึงยาลดไข้ที่ควรใช้ เราก็น่าจะมารู้จักกับยาลดไข้ที่ไม่ควรใช้ แต่ก็มีคนนิยมซื้อมาใช้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในจำนวนนี้ก็อาจจะมีท่านอยู่ด้วยคนหนึ่งก็ได้นะครับ เราพอจะแบ่งยาพวกนี้ออกเป็น 3 พวกด้วยกัน คือ 1 ยาที่มีตัวยาสำคัญเป็นยาต้านจุลชีพหรือยาฆ่าเชื้อโรค อันได้แก่ เตตร้าซัยคลีน คลอแรมเฟนิค่อล เป็นต้น ยาต้านจุลชีพ มิใช่ยาแก้ตัวร้อน นอกจากไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้โดยตรงแล้ว ยังเป็นยาที่มีอันตรายอย่างมากอีกด้วย โดยเฉพาะเตตร้าซัยคลีน หรือเรียกสั้นๆ ว่า เตตร้า และคอลแรมเฟนิคอล หรือเรียกสั้นๆ ว่า คลอแรม ทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ควรซื้อให้เด็กกินอย่างยิ่ง เพราะอาจมีพิษถึงตายได้ทีเดียว ยาต้านจุลชีพที่มีผู้หลงผิด ซื้อไปใช้เป็นยาลดไข้กันอยู่ทุกวันนี้ มักจะผลิตเป็นน้ำเชื่อมข้นๆ เหมือนตะกอนซึ่งเมื่อเขย่าเข้ากันแล้วมักมีสีเหลืองหรือสีส้ม บรรจุกล่องกระดาษ ใช้ชื่อการค้าต่างๆ กันมากมายหลายยี่ห้อที่มีขายอยู่ในท้องตลาดทั่วทุกแห่งราคาขายขนาด 1 ออนซ์ประมาณขวดละ 6 บาท หรือไม่อาจจะเป็นน้ำเชื่อมแบบเดียวกัน แต่บรรจุในหลอดพลาสติกเล็กๆ มักเป็นน้ำสีเหลืองใช้ดูดกินทีละหลอดเลย บรรจุอยู่ในซองพลาสติกอีกชั้นหนึ่งใช้ชื่อการค้าเหมือนชนิดขวด ขายกันซองละ 1 บาท นอกจากชนิดน้ำเชื่อมแล้ว ก็ยังมีชนิดที่เป็นผงบรรจุซองขายซองละ 1-150 บาท ใช้ชื่อการค้าเหมือนชนิดน้ำเชื่อมเช่นกัน บนซองบนกล่องหรือสลากยาของยาเหล่านี้ มักจะบรรยายสรรพคุณไว้อย่างมากว่า สามารถใช้แก้ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส คางทูม และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งมักจะ โอ้อวดเกินความจริง นอกจากนั้นโรคบางโรคที่อ้างถึงนั้น ยังเป็นโรคที่ห้ามใช้ยาเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยการโฆษณาดังกล่าว จึงทำให้ชาวบ้านเกิดความเข้าใจอย่างผิดๆ ว่ายาพวกนี้เป็นยาแก้ตัวร้อน หรือไม่ก็เป็นยารักษาได้สารพัดโรค พอลูกหลานไม่สบาย ก็ซื้อยาพวกนี้กินเป็นประจำ โดยหารู้ไม่ว่ามันอาจเป็นพิษร้ายต่อร่างกายได้ พิษที่สำคัญๆ ของยาเตตร้า ก็คือ กินประจำทำให้ฟันเหลืองดำฟันผุเสียอย่างถาวร ถ้ายาหมดอายุ อาจทำให้มีพิษต่อไตกลายเป็นโรคไตได้ ส่วนยาคลอแรม ถ้าให้ในเด็กเล็ก อาจทำให้เกิดพิษตายได้ หรือไม่ก็ไปกดไขกระดูกไม่ให้สร้างเม็ดเลือด กลายเป็นโรคโลหิตจางชนิดร้ายแรง ซึ่งอาจถึงตายได้ ยอกจากนี้ยาทั้ง 2 ตัวนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะกินไม่ครบขนาด ก็อาจทำให้เชื้อโรคบางชนิดเกิดการดื้อยา ต่อไปภายหลัง เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้ยาพวกนี้ในการฆ่าเชื้อโรค จะใช้ไม่ได้ผล เกิดปัญหายุ่งยากในการรักษา 2 ยาที่มีตัวยาสำคัญเป็นไดโพโรน ซัลไพรีน อมิโนไพรีน หรือ แอนติไพรีน ซึ่งเป็นยาลดไข้ที่มีอันตรายมาก คือ อาจทำให้เกิดเม็ดเลือดขาวในร่างกายต่ำ ซึ่งทำให้ความต้านทานโรคของร่างกายน้อยลง เป็นไข้อักเสบต่างๆ ได้ง่าย และแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยเฉพาะในเด็กอาจได้รับอันตรายมากกว่าผู้ใหญ่ ยาพวกนี้ในอเมริกาเขาเลิกใช้ไปตั้ง 30 กว่าปีแล้ว แต่ในเมืองไทยเรากลับปล่อยให้มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย ยาพวกนี้มักทำเป็นยาน้ำเชื่อมสีเหลืองหรือส้ม บรรจุกล่องกระดาษมีชื่อการค้าต่างๆ กัน ขนาดขวดละ 1 ออนซ์ ราคาประมาณขวดละ 3 บาท 3 ยาลดไข้ที่ผลิตขึ้นเป็นผงบรรจุซองชนิดอื่นๆ ส่วนมากใช้ตัวยาพวกแอสไพริน และอาจมีตัวยาอื่นผสมด้วย ขายซองละ 25 สตางค์บ้าง 50 สตางค์บ้าง ยาพวกนี้มักจะแต่งรสให้หวานล่อใจเด็ก ทำให้เด็กกินง่าย มีขายในท้องตลาดมากมายหลายยี่ห้อ ความจริงแอสไพรินเป็นยาที่ใช้ได้ค่อนข้างปลอดภัย ถ้ารู้จักใช้ให้ถูกขนาดและถูกวิธี แต่ยาผงบรรจุซองเหล่านี้ มักมีปริมาณของยาในแต่ละซองเกินกว่าขนาดที่เด็กเล็กๆ ควรจะใช้ ถ้าหากให้เด็กเล็กกินหมดทั้งซองก็อาจเป็นอันตรายได้ เพราะยาแอสไพรินที่เกินขนาดมากๆ สามารถกดศูนย์ควบคุมการหายใจ ทำให้เด็กหยุดหายใจได้ หรือถึงแม้เราจะแบ่งให้กินทีละน้อย เนื่องจากยาเป็นผงเราก็ไม่สามารถจะแบ่งให้ได้ขนาดพอดี ไม่มากไปก็น้อยไป นอกจากนี้ยาพวกนี้มักจะมีการโฆษณามาก ทำให้ต้นทุนสูง เราจึงต้องเสียเงินไปจ่ายเป็นค่าโฆษณามากกว่าค่ายาเสียด้วยซ้ำไป อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านคงนึกสงสัยเสียแล้วก็ได้ว่า ยาอะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมด แถมยังเป็นยาที่เคยใช้กันอยู่เป็นประจำทั้งนั้น ถ้าอย่างงั้น ก็อย่าเพิ่งตกใจเลยนะครับ เรายังมียาดีที่จะเลือกใช้เลยนะครับ เรายังมียาดีที่จะเลือกใช้กันอีกหลายชนิด และเป็นยาที่ปลอดภัยกว่ามากมายเสียด้วย ยาที่แนะนำให้ใช้ ได้แก่ 1 พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อม ซึ่งเป็นยาลดไข้ทีได้ผลดีและให้ความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ ควรใช้ยานี้ โดยให้ตามน้ำหนักตัวของเด็ก คือ ครั้งละประมาณ 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวของเด็ก 1 กิโลกรัม ให้กินซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง เฉพาะเวลามีไข้ ถ้าไข้ลงแล้ว ก็ไม่ต้องให้ยา ตัวอย่างเช่น เด็กน้ำหนัก 4 กิโลกรัม ก็ต้องให้ครั้งละ 40 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง เป็นต้น ท่านคงจะต้องสงสัยอีกว่า ทำอย่างไรจึงจะแบ่งยามา 40 มิลลิกรัมได้ตามที่ต้องการ โดยทั่วไปในยาพาราเซตามอลน้ำเชื่อม 1 ช้อนชา 5 ซีซี จะมีตัวยาพาราเซตามอล 120 มิลลิกรัม ใน 1 ซีซี ก็มีตัวยา 24 มิลลิกรัม เพราะฉะนั้นถ้าต้องการตัวยา 40 มิลลิกรัมดังกล่าว เราก็รินยามาประมาณ 2 ซีซี ซึ่งถ้าเรามีถ้วยตวงยาหรือหลอดหยดยาที่มีขีดบอก ซีซี ไว้ ก็นำมาใช้ตวงหรือหยดเอาได้ แต่ถึงจะไม่มีเครื่องมือดังกล่าว เราอาจหาเครื่องมือหยดที่ง่ายที่สุด ก็คือ หลอดกาแฟธรรมดาๆ นี่เอง วิธีใช้ก็คือ จุ่มหลอดกาแฟข้างหนึ่งลงในขวดยา เอานิ้วอุดปลายอีกข้างหนึ่งไว้ ยกหลอดกาแฟขึ้น พร้อมกับอุดปลายอีกข้างหนึ่งไว้ ยกมาไว้ เหนือช้อนที่จะนำไปป้อนให้เด็กกิน แล้วค่อยๆ คลายปลายที่อุดไว้ให้น้ำยาหยดทีละหยด นับหยดได้ 10 หยดก็คือ 1 ซีซี แต่ต้องมีข้อระวัง คือ ก หลอดกาแฟนั้นต้องสะอาด ข เวลาหยดต้องให้หลอดกาแฟอยู่ในลักษณะตั้งได้ฉากกับพื้น ค ให้น้ำยาค่อยๆ หยดทีละหยด เพื่อจะนับได้ถูก หรือถ้าเราไม่สะดวกที่จะใช้วิธีดังกล่าว เราก็อาจจะใช้ช้อนชา ซึ่งบริษัทยาใส่มาในกล่องยา หรือ ขอเอามาจากร้านยา ส่วนมากเป็นช้อนพลาสติก ซึ่งจุยาได้ 5 ซีซี ห้ามใช้ช้อนกาแฟโดยทั่วไป เพราะความจุไม่ได้ขนาด 5 ซีซี เมื่อเราทราบว่าในยา 5 ซีซี หรือ 1 ช้อน เพราะมีตัวยาอยู่ 120 มิลลิกรัม ครึ่งช้อนก็มีตัวยา 60 มิลลิกรัม เศษหนึ่งส่วนสี่ช้อนชาช้อนชามีตัวยา 30 มิลลิกรัม สำหรับผู้ที่ไม่สามารถคำนวณน้ำหนักของกล่องยาจากน้ำหนักของเด็ก หรือไม่ทราบน้ำหนักของเด็ก ก็อาจให้ขนาดโดยประมาณ ดังนี้คือ เด็กแรกเกิด ถึง 3 เดือน ให้ครั้งละ 1 ใน 4 ช้อนชา เด็ก 3 เดือน ถึง 8 เดือน ให้ครั้งละ ครึ่งช้อนชา เด็ก 8 เดือน ถึง 3 ขวบ ให้ครั้งละ 1 ช้อนชา เด็ก 3 ขวบ ถึง 5 ขวบ ให้ครั้งละ 1 ช้อนชาครึ่ง เด็ก 5 ขวบ ถึง 8 ขวบ ให้ครั้งละ 2 ช้อนชา เด็ก 8 ขวบ ถึง 12 ขวบ ให้ครั้งละ 3 ช้อนชา ราคายาพาราเซตามอลน้ำเชื่อมโดยทั่วไป ราคาออนซ์ 30 ซีซี ราคา 3-5 บาท 2พาราเซตามอลชนิดเม็ดสำหรับเด็ก ใน 1 เม็ด มีตัวยา 300-325 มิลลิกรัม ใช้สำหรับเด็กโตที่กลืนยาเม็ดได้ มีสรรพคุณเหมือนพาราเซตามอลน้ำเชื่อม ส่วนขนาดที่ให้ก็คิดเทียบน้ำหนักตัวของเด็ก เช่นเดียวกัน คือให้ยา 10 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักเด็ก 1 กก หรือกะประมาณจากอายุได้ดังนี้ เด็ก 3-6 ขวบ ให้ครั้งละ 12 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง เด็ก 6-12 ขวบ ให้ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง ยานี้มีราคา ประมาณร้อยละ 15-20 บาท 3 แอสไพรินชนิดเม็ดสำหรับเด็กหรือเบบี้แอสไพริน ใน 1 เม็ดมีตัวยาแอสไพริน 60-75 มิลลิกรัม หรือ 1-1 14 เกรน แอสไพรินเป็นยาลดไข้ชนิดแรกที่ใช้ได้ผลดี และยังนิยมใช้กันมาจนทุกวันนี้ ต้องใช้กินหลังอาหาร หรือกินพร้อมน้ำจำนวนมากๆ เพื่อกันการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะลำไส้ มีอาการปวดแสบหรือแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ เวลาอิ่มจัดหรือหิวจัดเป็นประจำ ควรเลี่ยงไปใช้ยาพาราเซตามอลดีกว่า และเพราะว่ายานี้สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความชื้นจึงควรเก็บยาไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และเก็บในที่แห้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเก็บยาแอสไพรินไว้นานๆ เมื่อเปิดภาชนะออกดูเห็นว่า มีเกล็ดใสๆ เป็นเส้นๆ อยู่มากมายก็แสดงว่า ยานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะมีอันตรายต่อกระเพาะอาหารได้ ขนาดที่ใช้จะคิดประมาณยาตามน้ำหนักตัวเหมือนยาพาราเซตามอล คือ ให้ 10 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก ก็ได้หรือกะประมาณตามอายุ ดังนี้ อายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะแบ่งขนาดได้ยาก นอกจากนี้ความต้านทานของกระเพาะอาหารต่อยานี้ในเด็กเล็กยังมีน้อยเกินไปอีกด้วย ควรใช้ยาพาราเซตามอลน้ำเชื่อมแทน หรือใช้วิธีเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นแทนจะปลอดภัยกว่า เด็ก 6 เดือน ถึง 1 ขวบให้ 12-1 เม็ด เด็ก 1-5 ขวบ ให้ยาขวบละ 1 เม็ดต่อครั้ง เช่น เด็ก 1 ขวบ ก็ให้ครั้งละ 1 เม็ด สองขวบ 2 เม็ด สามขวบ 3 เม็ด เด็ก 5-10 ขวบ ให้เพียง 5 เม็ดหรือให้ยาแอสไพรินชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ 1 เม็ด ทั้งหมดนี้ให้กินซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ราคายาเม็ดแอสไพรินสำหรับเด็กหรือเบบี้แอสไพรินราคาร้อยละ 4-6 บาทเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกกว่ายาชนิดซองถึงเท่าตัวทีเดียว ยานี้ควรเก็บไว้ในที่มิดชิด อย่าให้เด็กหยิบกินได้เอง เพราะถ้าเด็กหยิบกินได้เอง เพราะถ้าเด็กหยิบกินครั้งละมากๆ อาจเป็นพิษถึงตายได้เหมือนกัน
ยาแอสไพรินชนิดเม็ดสำหรับเด็กหรือเบบี้แอสไพริน ใน 1 เม็ดมีตัวยาแอสไพริน 60-75 มิลลิกรัม หรือ 1-1 1/4 เกรน แอสไพรินเป็นยาลดไข้ชนิดแรกที่ใช้ได้ผลดี และยังนิยมใช้กันมาจนทุกวันนี้ ต้องใช้กินหลังอาหาร หรือกินพร้อมน้ำจำนวนมากๆ เพื่อกันการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะลำไส้ (มีอาการปวดแสบหรือแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ เวลาอิ่มจัดหรือหิวจัดเป็นประจำ) ควรเลี่ยงไปใช้ยาพาราเซตามอล และเพราะว่ายานี้สลายตัวได้ง่ายเมื่อถูกความชื้นจึงควรเก็บยาไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และเก็บในที่แห้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเก็บยาแอสไพรินไว้นานๆ เมื่อเปิดภาชนะออกดูเห็นว่า มีเกล็ดใสๆ เป็นเส้นๆ อยู่มากมาย ก็แสดงว่า ยานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว ซึ่งถ้ากินเข้าไปจะมีอันตรายต่อกระเพาะอาหารได้ ขนาดที่ใช้จะคิดประมาณยาตามน้ำหนักตัวเหมือนยาพาราเซตามอล คือ ให้ 10 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ก็ได้หรือกะประมาณตามอายุ ดังนี้ - อายุต่ำกว่า 6 เดือน ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะแบ่งขนาดได้ยาก นอกจากนี้ความต้านทานของกระเพาะอาหารต่อยานี้ในเด็กเล็กยังมีน้อยเกินไปอีกด้วย ควรใช้ยาพาราเซตามอลน้ำเชื่อมแทน หรือใช้วิธีเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นแทนจะปลอดภัยกว่า - เด็ก 6 เดือน ถึง 1 ขวบให้ 1/2-1 เม็ด - เด็ก 1-5 ขวบ ให้ยาขวบละ 1 เม็ดต่อครั้ง เช่น เด็ก 1 ขวบ ก็ให้ครั้งละ 1 เม็ด สองขวบ 2 เม็ด สามขวบ 3 เม็ด - เด็ก 5-10 ขวบ ให้เพียง 5 เม็ดหรือให้ยาแอสไพรินชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ 1 เม็ด ทั้งหมดนี้ให้กินซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ราคายาเม็ดแอสไพรินสำหรับเด็กหรือเบบี้แอสไพรินราคาร้อยละ 4-6 บาทเท่านั้น ซึ่งนับว่าถูกกว่ายาชนิดซองถึงเท่าตัว และยานี้ควรเก็บไว้ในที่มิดชิด อย่าให้เด็กหยิบกินได้เอง เพราะถ้าเด็กหยิบจะกินได้เอง และถ้าเด็กหยิบกินครั้งละมากๆ อาจเป็นพิษถึงตายได้เหมือนกัน
เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44185
Finance
จงสรุปเรื่อง แนวโน้มทิศทางของตลาด Cryptocurrency ให้ทีค่ะ
หลังจากการ Halving Bitcoin ในปี 2020 และการทำราคาทะลุ ATH อีกครั้งของ Bitcoin ทำให้ตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบันกลับมาอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าเฟื่องฟูอยู่พอสมควร หลังจากผ่านช่วงตลาดหมีที่ตกต่ำเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งก็มีหลายคนคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin จะไปถึงที่เท่าไรกันไปต่างๆ นานา หลังจากการ Halving Bitcoin ในปี 2020 และการทำราคาทะลุ ATH อีกครั้งของ Bitcoin ทำให้ตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบันกลับมาอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าเฟื่องฟูอยู่พอสมควร หลังจากผ่านช่วงตลาดหมีที่ตกต่ำเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งก็มีหลายคนคาดการณ์ว่าราคา Bitcoin จะไปถึงที่เท่าไรกันไปต่างๆ นานา วันนี้ผมจะวิเคราะห์ตลาดในมุมมองส่วนตัว แต่อย่าลืมว่าตลาด Cryptocurrency เป็นตลาดที่ผันผวนและยังมีมูลค่าน้อย อาจมองว่า Upside ค่อนข้างสูง แต่เป็นตลาดที่สามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ สิ่งที่ผมวิเคราะห์ทั้งหมดจึงเป็นการคาดการณ์เท่านั้น วันนี้ผมจะวิเคราะห์ตลาดในมุมมองส่วนตัว แต่อย่าลืมว่าตลาด Cryptocurrency เป็นตลาดที่ผันผวนและยังมีมูลค่าน้อย อาจมองว่า Upside ค่อนข้างสูง แต่เป็นตลาดที่สามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ สิ่งที่ผมวิเคราะห์ทั้งหมดจึงเป็นการคาดการณ์เท่านั้น ฐานใหม่ของราคา Bitcoin ที่แข็งแกร่งขึ้น หลังจาก Bitcoin ขึ้นมาทำราคาที่สูงกว่า 16,000 ดอลลาร์ และกลายเป็นฐานใหม่ของราคา Bitcoin ได้สร้างฐานใหม่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว จากเทคนิคการวิเคราะห์ของหลายๆ แห่ง ซึ่งดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง จากการที่ราคา Bitcoin นั้นไปอยู่ในช่วงสะสมฐานในตลาดหมีถึง 3 ปี หลังจาก Bitcoin ขึ้นมาทำราคาที่สูงกว่า 16,000 ดอลลาร์ และกลายเป็นฐานใหม่ของราคา Bitcoin ได้สร้างฐานใหม่ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว จากเทคนิคการวิเคราะห์ของหลายๆ แห่ง ซึ่งดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง จากการที่ราคา Bitcoin นั้นไปอยู่ในช่วงสะสมฐานในตลาดหมีถึง 3 ปี ในด้านกระแสของภาคเอกชนก็มีส่วนจากการที่ PayPal เปิดซื้อขาย PayPal ทำให้ Bitcoin กลายเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปมากขึ้น และที่น่าตลกไปกว่านั้น คือการเปิดรับ Cryptocurrency ของ Pornhub เพราะโดนปิดกั้นการชำระเงินของ Visa ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Bitcoin มากขึ้น ในด้านกระแสของภาคเอกชนก็มีส่วนจากการที่ PayPal เปิดซื้อขาย PayPal ทำให้ Bitcoin กลายเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปมากขึ้น และที่น่าตลกไปกว่านั้น คือการเปิดรับ Cryptocurrency ของ Pornhub เพราะโดนปิดกั้นการชำระเงินของ Visa ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้จัก Bitcoin มากขึ้น ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ฐานของ Bitcoin เข้มแข็งขึ้น คือการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Grayscale หรือ MicroStrategy เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเข้ามาของสถาบันต่างๆ ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ ผู้มีอิทธิพลหรือองค์กรจำนวนหนึ่งที่อาจเคยมีความเห็นเชิงลบกับ Bitcoin แต่ในปัจจุบันกลับให้ความเห็นในทางตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ฐานของ Bitcoin เข้มแข็งขึ้น คือการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็น Grayscale หรือ MicroStrategy เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเข้ามาของสถาบันต่างๆ ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือ ผู้มีอิทธิพลหรือองค์กรจำนวนหนึ่งที่อาจเคยมีความเห็นเชิงลบกับ Bitcoin แต่ในปัจจุบันกลับให้ความเห็นในทางตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด โดยสรุปแล้วในระยะยาวนั้น ราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะผันผวนได้ แต่ฐานราคา 16,000 ดอลลาร์ นั้นเป็นฐานที่แข็งแกร่งมากที่ยากจะถูกทำลายลงได้ โดยสรุปแล้วในระยะยาวนั้น ราคา Bitcoin มีแนวโน้มที่จะผันผวนได้ แต่ฐานราคา 16,000 ดอลลาร์ นั้นเป็นฐานที่แข็งแกร่งมากที่ยากจะถูกทำลายลงได้ การเติบโตของ DeFi หลังจากการล่มสลายของตลาด ICO ที่อยู่ในภาวะตกต่ำจนแทบเรียกได้ว่าล่มสลาย หลังจากที่ราคา Bitcoin อยู่ในตลาดหมี สิ่งที่ดูเหมือนจะมาแทนที่ได้อย่างสวยงามคือโครงการ DeFi ทั้งหลาย ซึ่งแม้โครงการเหล่านี้จะมีการสร้าง Governance Token ออกมาไม่ต่างกับ ICO แต่สิ่งที่มีภาษีดีกว่าอย่างชัดเจนคือ โครงการ DeFi เหล่านี้มีการใช้งานจริงๆ และมีเงิน Lock Up อยู่มากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากการล่มสลายของตลาด ICO ที่อยู่ในภาวะตกต่ำจนแทบเรียกได้ว่าล่มสลาย หลังจากที่ราคา Bitcoin อยู่ในตลาดหมี สิ่งที่ดูเหมือนจะมาแทนที่ได้อย่างสวยงามคือโครงการ DeFi ทั้งหลาย ซึ่งแม้โครงการเหล่านี้จะมีการสร้าง Governance Token ออกมาไม่ต่างกับ ICO แต่สิ่งที่มีภาษีดีกว่าอย่างชัดเจนคือ โครงการ DeFi เหล่านี้มีการใช้งานจริงๆ และมีเงิน Lock Up อยู่มากถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าโครงการ DeFi เหล่านี้ยังมีอายุไม่นานนักและมูลค่ายังน้อย แต่ไอเดียของโครงการ DeFi นับว่าแปลกใหม่ และฉีกกฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ในระบบการเงินเดิม เช่น การสร้าง Synthetic Asset ที่เป็นสินทรัพย์จำลองสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเช่น หุ้น โดยไม่ต้องไปขออนุญาตหน่วยงานกำกับใดๆ อาจดูเป็นการทดลองทางการเงินที่บ้าคลั่งและความเสี่ยงสูง แต่ถ้ามีกระแสอะไรสักอย่างจะถูกจุดติดในปีหน้า DeFi เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจับตามองไว้ แม้ว่าโครงการ DeFi เหล่านี้ยังมีอายุไม่นานนักและมูลค่ายังน้อย แต่ไอเดียของโครงการ DeFi นับว่าแปลกใหม่ และฉีกกฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ในระบบการเงินเดิม เช่น การสร้าง Synthetic Asset ที่เป็นสินทรัพย์จำลองสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเช่น หุ้น โดยไม่ต้องไปขออนุญาตหน่วยงานกำกับใดๆ อาจดูเป็นการทดลองทางการเงินที่บ้าคลั่งและความเสี่ยงสูง แต่ถ้ามีกระแสอะไรสักอย่างจะถูกจุดติดในปีหน้า DeFi เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจับตามองไว้ ปัจจุบันหนึ่งในสิ่งที่ยังเป็นคอขวดในโลก DeFi คือความล่าช้าของ Ethereum ที่ทำธุรกรรมได้เพียง 15 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งปัญหานี้จะหมดไปเมื่อ Ethereum 2.0 เปิดใช้งานเต็มที่ ซึ่งยากมากที่เราจะคาดเดาได้ว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้น อาจจะเป็นปีหน้าหรือหลายปีข้างหน้า แต่ถ้ามันใช้งานได้เมื่อไร คุณจะเห็นเม็ดเงินที่มหาศาลกว่านี้ไหลลงไปยังโครงการ DeFi แน่นอน ปัจจุบันหนึ่งในสิ่งที่ยังเป็นคอขวดในโลก DeFi คือความล่าช้าของ Ethereum ที่ทำธุรกรรมได้เพียง 15 ธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งปัญหานี้จะหมดไปเมื่อ Ethereum 2.0 เปิดใช้งานเต็มที่ ซึ่งยากมากที่เราจะคาดเดาได้ว่าเมื่อไรจะถึงวันนั้น อาจจะเป็นปีหน้าหรือหลายปีข้างหน้า แต่ถ้ามันใช้งานได้เมื่อไร คุณจะเห็นเม็ดเงินที่มหาศาลกว่านี้ไหลลงไปยังโครงการ DeFi แน่นอน การแข่งขันของ Stablecoin Stablecoin เป็นหนึ่งในกระแสที่น่าจะมาแรงในปี 2021 โดยหากดูจากปัจจุบัน Stablecoin อันดับ 1 อย่าง Tether นั้นต้องประสบกับปัญหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบจากภาครัฐ หรือข้อครหาด้านการตรวจสอบบัญชี เป็นเหตุผลว่า Stablecoin อื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา จึงมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากจากความไม่ไว้ใจในตัวของ Tether Stablecoin เป็นหนึ่งในกระแสที่น่าจะมาแรงในปี 2021 โดยหากดูจากปัจจุบัน Stablecoin อันดับ 1 อย่าง Tether นั้นต้องประสบกับปัญหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบจากภาครัฐ หรือข้อครหาด้านการตรวจสอบบัญชี เป็นเหตุผลว่า Stablecoin อื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา จึงมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากจากความไม่ไว้ใจในตัวของ Tether นอกจากนี้ถ้าเราไปสังเกตที่มูลค่ารวมของ Stablecoin ทั้งหมด เราจะพบว่ามีมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียงไม่ถึง 5% ของมูลค่าตลาด Cryptocurrency ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายกลับสูงถึง 40% ของปริมาณการซื้อขายรวมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราอาจเห็นได้ชัดว่า ตลาดนี้มีการแข่งขันที่มากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่าการแข่งขันนั้นดีต่อผู้บริโภคเสมอ นอกจากนี้ถ้าเราไปสังเกตที่มูลค่ารวมของ Stablecoin ทั้งหมด เราจะพบว่ามีมูลค่าประมาณ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียงไม่ถึง 5% ของมูลค่าตลาด Cryptocurrency ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายกลับสูงถึง 40% ของปริมาณการซื้อขายรวมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราอาจเห็นได้ชัดว่า ตลาดนี้มีการแข่งขันที่มากขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่าการแข่งขันนั้นดีต่อผู้บริโภคเสมอ CBDC กับการเติบโตของตลาด ในส่วนของ CBDC เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่า มูลค่าของมันจะเข้ามาสู่โลก Cryptocurrency หรือเปล่า เพราะโครงการทั้งหลายอยู่ในระหว่างทดลองใช้งานที่อาจจะใช้เวลาเป็นปี โครงการที่ดูเหมือนว่าจะไปได้เร็วที่สุดก็คือ Digital Yuan ของจีน ที่เพิ่งมีการทดสอบให้ประชาชนได้ลองใช้งานจริง ในส่วนของ CBDC เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่า มูลค่าของมันจะเข้ามาสู่โลก Cryptocurrency หรือเปล่า เพราะโครงการทั้งหลายอยู่ในระหว่างทดลองใช้งานที่อาจจะใช้เวลาเป็นปี โครงการที่ดูเหมือนว่าจะไปได้เร็วที่สุดก็คือ Digital Yuan ของจีน ที่เพิ่งมีการทดสอบให้ประชาชนได้ลองใช้งานจริง ซึ่งจนกว่า CBDC จะเปิดใช้งานอย่างเต็มตัว อาจจะมีผลต่อตลาด Cryptocurrency ไม่มากเท่าไรนัก เพราะในช่วงต้นรัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการใช้งานในภาคเศรษฐกิจทั่วไปก่อน จนกว่าภาคประชาชนจะเข้าใจรูปแบบของเงินดิจิทัลในลักษณะต่างๆ และเริ่มหันมาสนใจใน Cryptocurrency ก็อาจใช้เวลานานกว่าที่คิด ซึ่งจนกว่า CBDC จะเปิดใช้งานอย่างเต็มตัว อาจจะมีผลต่อตลาด Cryptocurrency ไม่มากเท่าไรนัก เพราะในช่วงต้นรัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการใช้งานในภาคเศรษฐกิจทั่วไปก่อน จนกว่าภาคประชาชนจะเข้าใจรูปแบบของเงินดิจิทัลในลักษณะต่างๆ และเริ่มหันมาสนใจใน Cryptocurrency ก็อาจใช้เวลานานกว่าที่คิด Security Token กับการปรับตัวของภาครัฐ การที่หลักทรัพย์และสินทรัพย์จะขึ้นมาโลดแล่นบนโลก Cryptocurrency เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าจะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตอย่างมหาศาลได้ ด้วยการที่มูลค่าตลาด Cryptocurrency มีมูลค่าเพียงแค่ 5 แสนล้านดอลลาร์ แต่ในขณะที่ตลาดหุ้นมีมูลค่าอยู่ที่ 67.5 ล้านล้านดอลลาร์ แค่มูลค่าเพียง 1% ของตลาดหุ้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว การที่หลักทรัพย์และสินทรัพย์จะขึ้นมาโลดแล่นบนโลก Cryptocurrency เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่น่าจะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตอย่างมหาศาลได้ ด้วยการที่มูลค่าตลาด Cryptocurrency มีมูลค่าเพียงแค่ 5 แสนล้านดอลลาร์ แต่ในขณะที่ตลาดหุ้นมีมูลค่าอยู่ที่ 67.5 ล้านล้านดอลลาร์ แค่มูลค่าเพียง 1% ของตลาดหุ้นก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ตลาด Cryptocurrency เติบโตขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย เพราะการที่หลักทรัพย์ถูกกฎหมายควบคุมนั้นจะต้องผ่านกฎเกณฑ์มากมายที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ปี 2018 แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย เพราะการที่หลักทรัพย์ถูกกฎหมายควบคุมนั้นจะต้องผ่านกฎเกณฑ์มากมายที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ปี 2018 แล้วก็ตาม แต่ทางหน่วยงานกำกับนั้นได้รับความกดดันพอสมควร เพราะตลาดไม่เคยรอ ปัจจุบันมีโครงการนำร่องออกมาบ้าง โดยให้ Broker ที่ได้ License ถือหุ้นแทนแล้วแปลงหุ้นเป็น Token ที่มีหุ้น Back เช่น การเทรดหุ้นบน FTX ที่เป็นพันธมิตรกับ CM Equity AG ของเยอรมนี และ Digital Asset AG ของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อโครงการนำร่องเหล่านี้เป็นไปได้ด้วยดี ในไม่ช้าตลาดจะเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับนั้นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เหล่านี้ในไม่ช้า แต่ทางหน่วยงานกำกับนั้นได้รับความกดดันพอสมควร เพราะตลาดไม่เคยรอ ปัจจุบันมีโครงการนำร่องออกมาบ้าง โดยให้ Broker ที่ได้ License ถือหุ้นแทนแล้วแปลงหุ้นเป็น Token ที่มีหุ้น Back เช่น การเทรดหุ้นบน FTX ที่เป็นพันธมิตรกับ CM Equity AG ของเยอรมนี และ Digital Asset AG ของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อโครงการนำร่องเหล่านี้เป็นไปได้ด้วยดี ในไม่ช้าตลาดจะเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับนั้นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เหล่านี้ในไม่ช้า และสำหรับใครที่สนใจเกี่ยวกับตลาด Cryptocurrency หรือเทคโนโลยี Blockchain ในวันที่ 26 ธันวาคมที่จะถึงนี้ จะมีงาน Online Exclusive Event อย่างงาน Blockchain Thailand Genesis 2020 โดยเป็นการรวบรวมสปีกเกอร์กว่า 30 คนในวงการ มีหัวข้อมากกว่า 10 หัวข้อ และ 4 เวิร์กช็อป สามารถลงทะเบียนได้ที่ และสำหรับใครที่สนใจเกี่ยวกับตลาด Cryptocurrency หรือเทคโนโลยี Blockchain ในวันที่ 26 ธันวาคมที่จะถึงนี้ จะมีงาน Online Exclusive Event อย่างงาน Blockchain Thailand Genesis 2020 โดยเป็นการรวบรวมสปีกเกอร์กว่า 30 คนในวงการ มีหัวข้อมากกว่า 10 หัวข้อ และ 4 เวิร์กช็อป สามารถลงทะเบียนได้ที่ พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์ พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์ ​
ตลาด Cryptocurrency ในปัจจุบันกลับมาอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าเฟื่องฟูอยู่พอสมควร หลังจากผ่านช่วงตลาดหมีที่ตกต่ำเป็นเวลากว่า 3 ปี แต่เป็นตลาดที่สามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เราลองมาคาดการณ์กัน 1.ฐานใหม่ของราคา Bitcoin ที่แข็งแกร่งขึ้น -ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ฐานของ Bitcoin เข้มแข็งขึ้น คือการเข้าซื้อ Bitcoin ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกาหลายๆ แห่ง ผู้มีอิทธิพลหรือองค์กรจำนวนหนึ่งที่อาจเคยมีความเห็นเชิงลบกับ Bitcoin แต่ในปัจจุบันกลับให้ความเห็นในทางตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัด ปัจจุบัน Bitcoin มีฐานราคา 16,000 ดอลลาร์ 2.การเติบโตของ DeFi -แม้ว่าโครงการ DeFi เหล่านี้ยังมีอายุไม่นานนักและมูลค่ายังน้อย แต่ไอเดียของโครงการ DeFi นับว่าแปลกใหม่ และฉีกกฎเกณฑ์ข้อบังคับทั้งหมดที่ถูกเขียนไว้ในระบบการเงินเดิม ถ้ามีกระแสอะไรสักอย่างจะถูกจุดติดในปีหน้า DeFi เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจับตามองไว้ 3.การแข่งขันของ Stablecoin -Stablecoin เป็นหนึ่งในกระแสที่น่าจะมาแรงในปี 2021 โดยหากดูจากปัจจุบัน Stablecoin อันดับ 1 อย่าง Tether นั้นต้องประสบกับปัญหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบจากภาครัฐ หรือข้อครหาด้านการตรวจสอบบัญชี เป็นเหตุผลว่า Stablecoin อื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา จึงมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากจากความไม่ไว้ใจในตัวของ Tether 4.CBDC กับการเติบโตของตลาด -ในส่วนของ CBDC เป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่า มูลค่าของมันจะเข้ามาสู่โลก Cryptocurrency หรือเปล่า โครงการที่ดูเหมือนว่าจะไปได้เร็วที่สุดก็คือ Digital Yuan ของจีน ที่เพิ่งมีการทดสอบให้ประชาชนได้ลองใช้งานจริง 5.Security Token กับการปรับตัวของภาครัฐ -อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย เพราะการที่หลักทรัพย์ถูกกฎหมายควบคุมนั้นจะต้องผ่านกฎเกณฑ์มากมายที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าแนวคิดนี้จะเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ปี 2018 แล้วก็ตาม
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_41965
Finance
จงสรุปให้หน่อยวิธีทำให้ พอร์ตเล็กกลายเป็นพอร์ตใหญ่ได้อย่างไร
สำหรับการลงทุน “ต้นทุน” ของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน พอร์ตที่มีขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น พอร์ตระดับ 10 ล้านบาท ผลตอบแทน 10% ของพอร์ตนี้จะเท่ากับ 1 ล้านบาท แต่พอร์ตขนาดเล็กที่มีขนาด 100,000 บาท ผลตอบแทน 10% จะเท่ากับ 10,000 บาทเท่านั้น เรื่องราวที่กล่าวข้างต้นเป็นเรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พอร์ตขนาดเล็กอยากเติบใหญ่ ทำได้จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ “ทำได้ ” เรามาดูแนวคิดวิธีกันดีกว่าว่า พอร์ตเล็ก จะทำให้เติบใหญ่ได้อย่างไร ประการแรก … “มองหาหุ้นที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดให้เจอ” สิ่งแรก ๆ ที่ต้องทำสำหรับคนพอร์ตเล็ก ก็คือ เราต้องหาหุ้นที่จะโตระเบิดเท่านั้น หุ้นแบบนี้ถ้าย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าหายากมาก แต่ในยุคโควิดวิกฤติขณะนี้ ถือว่ามีอยู่ค่อนข้างมากมาย หุ้นแบบนี้อาจเป็นหุ้นที่พลิกฟื้นตัวเองจากวิกฤติใหญ่ หรือเป็นหุ้นต้นกล้าที่เติบโตแทงยอดขึ้นมายามที่ต้นไม้ใหญ่ล้มลงก็เป็นไปได้ แนวคิดก็คือ เราต้องมองหาหุ้นที่ รายได้โต กำไรโต ยิ่งโตมากเท่าไหร่ยิ่งดี มองหาหุ้นจากการที่กิจการมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีหน่ออ่อน ๆ แทงยอดขึ้นมาใหม่ ประการที่สอง … “จัดพอร์ตแบบโฟกัสหุ้นน้อยตัว” เมื่อเราหาหุ้นเติบโตแบบก้าวกระโดดเจอแล้ว เราต้องประเมินมูลค่าหุ้นออกมาให้ได้ก่อน จากนั้นเราต้องมาจัดพอร์ตลงทุนกัน ท่านใดที่มีพอร์ตขนาดเล็ก ไม่ควรลงทุนหุ้นกระจายตัวจนเกินไป ควรจัดพอร์ตให้มีหุ้น 3-5 ตัวก็พอ เพื่อให้เราคัดเลือกหุ้นที่มั่นใจจริง ๆ มาลงทุน สำหรับการลงทุนหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ต แต่วิธีนี้มีข้อเสีย คือเราจะต้องแบกรับความเสี่ยงทำให้ถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับ การกระจายลงทุนหุ้น 3-5 ตัวในพอร์ตของเราจะดีที่สุด ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ประการที่สาม … “ถ้าเราทำถูกต้องต้องถือหุ้น RUN Trend ให้นานที่สุด” เมื่อเราหาหุ้นเติบโต ลงทุนในหุ้นแล้ว ถ้าหุ้นที่เราถือเริ่มขึ้น คือ ทำกำไรได้จริง ๆ แสดงว่าเรามาถูกทาง สิ่งที่ต้องทำก็คือ ไม่ควรรีบขายหุ้นทำกำไร แต่ควรถือให้นานที่สุด หรือที่เรียกกันว่า Let Profit RUN นั่นเอง หลายคนอาจคิดว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่ากิจการที่เราถือจะเติบโตได้เรื่อย ๆ เราต้องย้อนกลับไปที่ “มูลค่าหุ้น” ที่เราประเมินออกมา อย่างหุ้นบางตัว ถือยาว 5 ปีมาแล้ว เพราะพื้นฐานไม่เปลี่ยน มูลค่าที่คิดไว้ยังสะท้อนออกมาไม่หมด เมื่อเราถือหุ้นให้นานพอ กำไรจะเริ่มเติบโต หลายครั้งที่กำไรจะโตเป็นเด้ง ๆ ทำให้พอร์ตเติบโตเร็วขึ้น ส่วนหุ้นที่ไม่ไปไหนเสียที เราต้องทบทวนว่าเราคิดผิดหรือไม่ ถ้ามันผิดต้องตัดขายไปซื้อตัวอื่นแทน หรือซื้อตัวที่มันกำไรนั่นแหละซื้อทบเข้าไป ข้อสรุป และข้อคิดก็คือ แนวทางการทำให้พอร์ตโตจากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่ขึ้น ทำได้จริง ๆ โดยเราต้องมองหาหุ้นที่โตแบบโตระเบิด จัดพอร์ตแบบโฟกัส และพยายามถือหุ้นที่ทำกำไรให้เราให้นานที่สุด ลองปรับไปใช้กันดู
ประการแรก … “มองหาหุ้นที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดให้เจอ” สิ่งแรก ๆ ที่ต้องทำสำหรับคนพอร์ตเล็ก ก็คือ เราต้องหาหุ้นที่จะโตระเบิดเท่านั้น หุ้นแบบนี้ถ้าย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าหายากมาก แต่ในยุคโควิดวิกฤติขณะนี้ ถือว่ามีอยู่ค่อนข้างมากมาย หุ้นแบบนี้อาจเป็นหุ้นที่พลิกฟื้นตัวเองจากวิกฤติใหญ่ หรือเป็นหุ้นต้นกล้าที่เติบโตแทงยอดขึ้นมายามที่ต้นไม้ใหญ่ล้มลงก็เป็นไปได้ แนวคิดก็คือ เราต้องมองหาหุ้นที่ รายได้โต กำไรโต ยิ่งโตมากเท่าไหร่ยิ่งดี มองหาหุ้นจากการที่กิจการมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีหน่ออ่อน ๆ แทงยอดขึ้นมาใหม่ ประการที่สอง … “จัดพอร์ตแบบโฟกัสหุ้นน้อยตัว” เมื่อเราหาหุ้นเติบโตแบบก้าวกระโดดเจอแล้ว เราต้องประเมินมูลค่าหุ้นออกมาให้ได้ก่อน จากนั้นเราต้องมาจัดพอร์ตลงทุนกัน ท่านใดที่มีพอร์ตขนาดเล็ก ไม่ควรลงทุนหุ้นกระจายตัวจนเกินไป ควรจัดพอร์ตให้มีหุ้น 3-5 ตัวก็พอ เพื่อให้เราคัดเลือกหุ้นที่มั่นใจจริง ๆ มาลงทุน สำหรับการลงทุนหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ต แต่วิธีนี้มีข้อเสีย คือเราจะต้องแบกรับความเสี่ยงทำให้ถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับ การกระจายลงทุนหุ้น 3-5 ตัวในพอร์ตของเราจะดีที่สุด ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ประการที่สาม … “ถ้าเราทำถูกต้องต้องถือหุ้น RUN Trend ให้นานที่สุด” เมื่อเราหาหุ้นเติบโต ลงทุนในหุ้นแล้ว ถ้าหุ้นที่เราถือเริ่มขึ้น คือ ทำกำไรได้จริง ๆ แสดงว่าเรามาถูกทาง สิ่งที่ต้องทำก็คือ ไม่ควรรีบขายหุ้นทำกำไร แต่ควรถือให้นานที่สุด หรือที่เรียกกันว่า Let Profit RUN นั่นเอง หลายคนอาจคิดว่า เราจะรู้ได้ยังไงว่ากิจการที่เราถือจะเติบโตได้เรื่อย ๆ เราต้องย้อนกลับไปที่ “มูลค่าหุ้น” ที่เราประเมินออกมา อย่างหุ้นบางตัว ถือยาว 5 ปีมาแล้ว เพราะพื้นฐานไม่เปลี่ยน มูลค่าที่คิดไว้ยังสะท้อนออกมาไม่หมด เมื่อเราถือหุ้นให้นานพอ กำไรจะเริ่มเติบโต หลายครั้งที่กำไรจะโตเป็นเด้ง ๆ ทำให้พอร์ตเติบโตเร็วขึ้น ส่วนหุ้นที่ไม่ไปไหนเสียที เราต้องทบทวนว่าเราคิดผิดหรือไม่ ถ้ามันผิดต้องตัดขายไปซื้อตัวอื่นแทน หรือซื้อตัวที่มันกำไรนั่นแหละซื้อทบเข้าไป
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_4037
Finance
ดิจิทัลเทคโนโลยีจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยหรือไม่?
null
ใช่ ดิจิทัลเทคโนโลยีจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลกระทบจะปรากฏในหลายมิติ ดังนี้ ด้านบวก: การเข้าถึงบริการทางการเงิน: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทหรือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ สิ่งนี้จะช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ส่งเสริมการออม และกระตุ้นการลงทุน ประสิทธิภาพของระบบการเงิน: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเงินโดยรวม ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) ในระบบการชำระเงินจะช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียม เพิ่มความโปร่งใส และความปลอดภัย การเกิดผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ ๆ: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะเปิดโอกาสให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การให้สินเชื่อแบบ Peer-to-Peer (P2P) หรือ การระดมทุนผ่าน Crowdfunding การแข่งขันในระบบการเงิน: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบการเงิน ส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของราคาที่ถูกลง ตัวเลือกที่หลากหลาย และบริการที่ดีขึ้น ด้านลบ: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อระบบการเงิน สถาบันการเงินและผู้ใช้บริการทางการเงินจำเป็นต้องลงทุนในระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องข้อมูลของลูกค้า ความเสี่ยงด้านช่องว่างทางดิจิทัล: ประชาชนบางกลุ่มอาจเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยีได้ยาก สิ่งนี้อาจทำให้เกิดช่องว่างทางดิจิทัล (digital divide) และส่งผลเสียต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของพวกเขา การสูญเสียงาน: ดิจิทัลเทคโนโลยีอาจนำไปสู่การสูญเสียงานในบางภาคส่วน เช่น ธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิม เนื่องจากเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ ปัญหาทางกฎหมายและข้อบังคับ: ดิจิทัลเทคโนโลยีอาจก่อให้เกิดปัญหาทางกฎหมายและข้อบังคับใหม่ ๆ ที่จำเป็นต้องมีการปรับแก้กฎหมายและข้อบังคับที่มีอยู่เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยสรุป: ดิจิทัลเทคโนโลยีจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยผลกระทบจะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัลที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Legal_45647
Legal
กรณีผู้เช่าสัญญาเช่าซื้อ ต้องการซื้อทรัพย์สินเช่าซื้อที่ครบกำหนดสัญญา ผู้เช่ามีสิทธิซื้อทรัพย์สินดังกล่าวโดยอัตโนมัติหรือไม่?
null
ไม่ เหตุผล: ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อ: สัญญาเช่าซื้อมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เช่าซื้อครอบครองและใช้สอยทรัพย์สิน โดยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าผู้เช่าซื้อจะชำระราคาครบถ้วน การครบกำหนดสัญญา: การครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อ หมายถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาสิ้นสุดลง ไม่ได้หมายความว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกเป็นของผู้เช่าซื้อโดยอัตโนมัติ สิทธิของผู้เช่าซื้อ: เมื่อสัญญาเช่าซื้อครบกำหนด ผู้เช่าซื้อมีสิทธิ 2 ทาง คือ ซื้อทรัพย์สิน: ผู้เช่าซื้อสามารถเลือกซื้อทรัพย์สินจากผู้ให้เช่าซื้อ โดยต้องชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา คืนทรัพย์สิน: ผู้เช่าซื้อสามารถคืนทรัพย์สินให้กับผู้ให้เช่าซื้อ โดยไม่ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ ไม่มีบทบัญญัติให้อัตโนมัติ: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับสัญญาเช่าซื้อ ไม่มีบทบัญญัติให้อัตโนมัติว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อครบกำหนด ผู้เช่าซื้อมีสิทธิซื้อทรัพย์สินโดยอัตโนมัติ ตัวอย่าง: นาย A ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท B เป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อครบกำหนดสัญญา นาย A ต้องการซื้อรถยนต์คันดังกล่าว นาย A ต้องแจ้งความประสงค์แก่บริษัท B และชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา หมายเหตุ: ผู้เช่าซื้อควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาเช่าซื้ออย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ กรณีผู้เช่าซื้อต้องการซื้อทรัพย์สิน ควรแจ้งความประสงค์แก่ผู้ให้เช่าซื้อล่วงหน้า กรณีผู้เช่าซื้อไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิยึดทรัพย์สินคืน
กฎหมายเช่าซื้อ
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_40164
Finance
สำหรับคนที่เริ่มออมเงินเพื่อเกษียณอายุช้า มีวิธีการคำนวณเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณอย่างไร
null
สำหรับคนที่เริ่มออมเงินเพื่อเกษียณอายุช้า การคำนวณเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณนั้น จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ประกอบกับระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนเกษียณอายุ ซึ่งโดยทั่วไปจะน้อยกว่าคนที่เริ่มออมตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้น กลยุทธ์การออมเงินจึงมีความสำคัญอย่างมาก วิธีการคำนวณเงินออมที่เพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณสำหรับคนที่เริ่มออมช้า มีดังนี้: 1. ตั้งเป้าหมายการใช้จ่ายหลังเกษียณ: -ประเมินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังเกษียณ โดยพิจารณาจากไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าที่พักพิง ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ฯลฯ -คำนวณระยะเวลาที่คาดว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 20-30 ปี 2. คำนวณเงินออมที่จำเป็น: -สูตรที่ 1: การคำนวณจากรายได้ก่อนเกษียณ นำเงินเดือนปีสุดท้ายก่อนเกษียณมาคูณด้วย 70% ตัวอย่าง: หากเงินเดือนปีสุดท้ายก่อนเกษียณอยู่ที่ 600,000 บาท เงินออมที่จำเป็น = 600,000 x 70% = 420,000 บาทต่อปี -สูตรที่ 2: การคำนวณจากรายจ่ายก่อนเกษียณ นำรายจ่ายรายเดือนก่อนเกษียณมาคูณด้วย 12 แล้วคูณด้วย 70% ตัวอย่าง: หากรายจ่ายรายเดือนก่อนเกษียณอยู่ที่ 30,000 บาท เงินออมที่จำเป็น = (30,000 x 12) x 70% = 252,000 บาทต่อปี 3. คำนวณระยะเวลาที่เหลือสำหรับการออม: นำอายุที่คาดหวังว่าจะเกษียณ มาลบด้วยอายุปัจจุบัน 4. คำนวณเงินออมต่อเดือน: นำเงินออมที่จำเป็นต่อปี มาหารด้วยจำนวนเดือนที่เหลือสำหรับการออม 5. วางแผนการออม: -กำหนดเป้าหมายการออมเงินต่อเดือน จัดสรรเงินออมอย่างสม่ำเสมอ เช่น หักเงินเดือนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ลงทุนในกองทุนรวม หรือประกันชีวิต -ทบทวนแผนการออมเป็นประจำ และปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ตัวอย่าง: นาย A อายุ 45 ปี คาดหวังจะเกษียณอายุที่ 60 ปี มีรายได้ 60,000 บาทต่อเดือน ต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบเรียบง่าย โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน 1. ตั้งเป้าหมายการใช้จ่ายหลังเกษียณ: เงินออมที่จำเป็นต่อปี = (20,000 x 12) x 70% = 168,000 บาทต่อปี 2. คำนวณระยะเวลาที่เหลือสำหรับการออม: ระยะเวลาที่เหลือสำหรับการออม = 60 - 45 = 15 ปี 3. คำนวณเงินออมต่อเดือน: เงินออมต่อเดือน = 168,000 / (12 x 15) = 920 บาทต่อเดือน
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43804
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ QT คืออะไร และสำคัญอย่างไร
null
QT หรือ Quantitative Tightening คือ ขั้นตรงข้ามกับการทำ Quantitative Easing หรือ QE ซึ่งเป็นนโยบายที่ธนาคารกลางดึงเงินที่เคยอัดฉีดเข้าระบบตอน QE ออก ไม่ว่าจะเป็นการขายพันธบัตรรัฐบาลคืนให้ตลาดการเงิน เพื่อให้คนอื่นในตลาดมาซื้อ เป็นการลดปริมาณเงินที่ถือครองในระบบ หรือปล่อยพันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อจากธนาคารพาณิชย์หมดอายุ โดยกระทรวงการคลังของรัฐ จะต้องจ่ายคืนเงินต้นให้กับธนาคารกลาง แต่แทนที่จะซื้อพันธบัตรตัวใหม่ ตรงกันข้ามคือไม่ซื้อ แถมนำเงินส่วนนั้นลบออกไปจากระบบบัญชีเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีเงินส่วนนี้เกิดขึ้น ดังนั้น การทำ QT จะทำให้เงินในระบบลดลง ซึ่งความสำคัญของเงินในระบบที่ลดลง ก็เพื่อระงับความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น บทเรียนจากย่อหน้านี้ QT คืออะไร และสำคัญอย่างไร Quantitative Tightening หรือ QT คือขั้นตรงข้ามกับการทำ QE ซึ่งเป็นนโยบายที่ธนาคารกลางจะดึงเงินที่เคยอัดฉีดเข้าระบบตอน QE ออก ไม่ว่าจะเป็นการขายสินทรัพย์อย่างพันธบัตรรัฐบาลคืนให้ตลาดการเงิน เพื่อให้คนอื่นในตลาดมาซื้อไป เป็นการลดปริมาณเงินที่ถือครองในระบบ หรือปล่อยพันธบัตรรัฐบาลที่ซื้อจากธนาคารพาณิชย์หมดอายุ โดยกระทรวงการคลังของรัฐนั้นจะต้องจ่ายคืนเงินต้นให้กับธนาคารกลาง แต่แทนที่จะซื้อพันธบัตรตัวใหม่เหมือนที่ผ่านมา ตรงกันข้ามคือไม่ซื้อ แถมนำเงินส่วนนั้นลบออกไปจากระบบบัญชีเฉยๆ เหมือนไม่เคยมีเงินส่วนนี้เกิดขึ้น พูดอีกนัยหนึ่ง การทำ QT จะทำให้เงินในระบบลดลงนั่นเอง ซึ่งความสำคัญของเงินในระบบที่ลดลง จุดประสงค์ก็เพื่อระงับความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น โดยแผนการจากรายงานของ Fed จะลดเงินในระบบลงถึง 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งเริ่มแล้วในเดือนกันยายน 2022 และจะคงปริมาณเท่านี้ต่อไปอีก 3 เดือน
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_138
Finance
ถ้าการลดหย่อนภาษีอย่างเดียวยังไม่น่าพอ แนะนำว่าควรประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด พยายามลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่ออะไร
null
ถ้าการลดหย่อนภาษีอย่างเดียวยังไม่น่าพอ แนะนำว่าควรประหยัดเงินให้ได้มากที่สุด พยายามลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเพิ่มเงินเก็บในกระเป๋า แล้วนำเงินไปเก็บ ไปลงทุนทั้งหมด รวมถึงเงินที่ได้คืนจากการลดหย่อนภาษีด้วย โดยตัวอย่างที่เก็บเงิน ได้แก่ ​• เงินฝากพิเศษ super senior 30 เดือน ดอกเบี้ย 2% ต่อปี (ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ณ วันที่ 23 ส.ค. 66) และได้ความคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 3 ล้านบาท เริ่มต้นฝากตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป โดยผู้ฝากต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป • ทวีทรัพย์ 24 เดือน ฝากประจำปลอดภาษี ที่เหมาะกับคนที่ต้องการฝากเงินทุกเดือน ดอกเบี้ย 2.3% ต่อปี (ข้อมูลอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ณ วันที่ 23 ส.ค. 66) ฝากได้สูงสุด 25,000 บาท/เดือน • หุ้นกู้ Investment Grade ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูงกว่าหุ้นกู้ Non-Investment Grade หุ้นกู้ Investment Grade มีอันดับความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดคือ BBB- และสูงที่สุดคือ AAA ซึ่งแม้หุ้นกู้จะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าฝากเงิน แต่เงินจะถูกล็อกเอาไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ไม่สามารถเอาเงินออกมาใช้ก่อนได้ ดังนั้น เงินที่จะนำมาลงทุน ควรเป็นเงินเย็น มั่นใจว่าจะไม่นำมาทำอะไรก่อนครบกำหนด ซึ่งหากใครสนใจลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade แนะนำกระจายการลงทุนหุ้นกู้หลายๆ ตัว • กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเงินจะขาดทุนไม่ได้ เช่น กองทุนที่อยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ กองทุน K-SF-A เหมาะกับพักเงินสั้นๆ 6 เดือนขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 6 เดือนอยู่ที่ 0.68% กองทุน K-FIXEDPLUS-A เหมาะกับการพักเงินตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลังสะสม 1 ปีอยู่ที่ 1.69% แต่หากสามารถกันเงินบางส่วนที่พอจะรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แนะนำ กองทุนผสม K-PLAN2 ระยะเวลาลงทุนแนะนำตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 2.61% ต่อปี (ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง ณ วันที่ 6 ก.ย. 66) สำหรับใครที่มีระยะเวลาการเก็บเงินเพื่อการเกษียณ มากกว่า 5 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้เกษียณ ที่พึ่งอายุ 50 ปี คนวัยกลางคน วัยทำงานมานาน หรือแม้แต่ First Jobber เพิ่งเริ่มทำงาน ให้เก็บเงินมากระจายการลงทุนเพื่อเป้าเกษียณ • กระจายส่วนแรก นำไปลงทุนระยะยาว (Core Portfolio) • กระจายส่วนที่สอง ลงทุนระยะสั้น (Satellite Portfolio) เพื่อให้การลงทุนไม่ผันผวนมาก และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนได้แบบจัดการได้ง่าย
ความรู้ทางการเงิน,ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_15222
Medical
อาการใดบ้างของโรคอัมพาต ที่ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที
อัมพาต 360 องศา ตอน เมื่อมีอาการผิดปกติ มาโรงพยาบาลตอนไหนดี อัมพาต 360 องศา ตอน เมื่อมีอาการผิดปกติ มาโรงพยาบาลตอนไหนดี ผมออกตรวจผู้ป่วยที่โรงพยาบาลทั้งช่วงเช้า ช่วงบ่ายและนอกเวลาราชการ ผมสังเกตพบว่าผู้ป่วยที่มาตรวจรักษากับผมในแต่ละช่วงเวลานั้นมีความแตกต่างกัน คือ ผู้ป่วยที่มีที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องเดินทางมาไกลมักจะพบผมตอนเช้า เพื่อที่จะได้เดินทางกลับถึงบ้านไม่มืดค่ำ ส่วนผู้ป่วยที่บ้านอยู่ใกล้ๆ ก็มักจะขอตรวจช่วงบ่ายๆ ถ้าเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะคุณครูจะขอตรวจช่วงนอกเวลาราชการ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องลาราชการ สามารถทำงานได้ตามปกติและมาพบแพทย์ช่วงค่ำ ซึ่งก็เป็นไปตามความสะดวก แต่ถ้าเป็นโรคอัมพาตจะมาตรวจช่วงไหนดี ผมมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการมาพบแพทย์ คือ จะรอพบแพทย์เฉพาะทางโดยตรง ทำให้เสียโอกาสในการรับการรักษาที่รวดเร็วไม่ทัน 270 นาทีชีวิต สิ่งที่ถูกต้องคือผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติต้องรีบมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และต้องมาที่ห้องตรวจแผนกฉุกเฉิน ไม่ใช่มาที่ห้องตรวจแผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยที่สงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคอัมพาต คือ มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัด นึกคำพูดลำบาก แขน ขาอ่อนแรง ที่มีอาการเป็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวต้องรีบมาพบแพทย์ทันที ผมเองมักจะพูดกับผู้ป่วยที่ติดตามการรักษากับผมทุกคนว่าถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวให้รีบมาพบแพทย์ทันที โดยไม่ต้องคิดว่าจะมาพบแพทย์เมื่อไหร่ ให้เวลาคิดเพียง 5 นาทีว่าจะมาพบแพทย์ด้วยวิธีใด จะโทรศัพท์บอกลูกหลานให้มารับ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล หรือจะโทรศัพท์ไปยังแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรศัพท์ 1669 เพื่อให้รถพยาบาลฉุกเฉินมารับตัวไปโรงพยาบาล การที่เราต้องมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุดก็เพื่อรีบตรวจวินิจฉัยโดยการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เพื่อให้ได้การวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้องแน่นอนว่าเป็นโรคอัมพาตชนิดไหน ต้องให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไปอย่างไร โปรดจำไว้ว่า ทุกนาที คือ ชีวิต เร็วก็รอด ปลอดอัมพาต ดังนั้นถ้ามีอาการผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใด ให้รีบมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที ไม่ต้องรอเวลาใดๆ และต้องรีบไปที่แผนกฉุกเฉินนะครับ ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคอัมพาต คือ มีอาการปากเบี้ยว พูดไม่ชัด นึกคำพูดลำบาก แขน ขาอ่อนแรง ที่มีอาการเป็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ถ้ามีอาการผิดปกติดังกล่าวต้องรีบมาพบแพทย์ทันที
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (emergency)
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_5623
Legal
ช่วยสรุปค่าชดเชยตามกฎหมายเมื่อถูกเลิกจ้างหน่อย
“ค่าชดเชย” เมื่อถูกเลิกจ้าง ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ในประเด็น ‘การเลิกจ้าง’ ระบุให้ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแก่ลูกจ้าง อาจเห็นได้บ่อยครั้งกรณีที่ลูกจ้างมีการเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชย หลังจากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามข้อกฎหมายระบุ ซึ่งโดยกฎหมายแล้วนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างตามกฎหมาย ไม่ต้องให้ลูกจ้างทวงถาม แต่เนื่องจากนายจ้างบางรายอาจขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงอาจจะมีปัญหาในขั้นตอนที่จะต้องจ่ายเงินชดเชย เมื่อนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีแล้ว นายจ้างจะต้องทำการคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายและนำส่งให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วย 6 สิทธิ์เข้าข่ายได้รับค่าชดเชย ตามมาตรา 118 แห่งพระราชบัญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2563 ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 1. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางาน 30 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย 2. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางาน 90 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย 3. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางาน 180 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย 4. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางาน 240 วันสุดท้ายสําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย 5. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย 6. ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 20 ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน 400 วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
เมื่อถูกเลิกจ้าง ตามมาตรา 118 แห่ง พรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มโดย พรบ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2563 ลูกจ้างที่มีสิทธิ์ 6 สิทธิ์ดังต่อไปนี้เข้าข่ายที่นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้ (ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย) 1. ทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ครบ 1 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วันหรือของการทํางาน 30 วันสุดท้าย 2. ทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วันหรือของการทํางาน 90 วันสุดท้าย 3. ทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วันหรือของการทํางาน 180 วันสุดท้าย 4. ทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วันหรือของการทํางาน 240 วันสุดท้าย 5. ทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วันหรือของการทํางาน 300 วันสุดท้าย 6. ทำงานติดต่อกันครบ 20 ปี ให้นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วันหรือของการทํางาน 400 วันสุดท้าย
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน-แรงงานสัมพันธ์-เงินทดแทน,กฎหมายแรงงาน,กฎหมายจ้างแรงงาน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_15129
Medical
สารเสพติด ในนิยามขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) จะหมายถึงอะไร
สารเสพติด ยอดฮิตของเยาวชน ตอนที่ 1 สารเสพติด ยอดฮิตของเยาวชน ตอนที่ 1 สารเสพติด Substance abuse อาจรู้จักกันในนาม ยาเสพติด ในนิยามขององค์การอนามัยโลก World Health Organization WHO จะหมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและต่อจิตใจ สารเสพติดมิได้จำกัดเพียงยาที่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ หรือกระตุ้นทางจิต อาจรวมถึงกิจกรรมที่ไม่เหมะสม และปัญหาที่มิอาจควบคุมปฏิกิริยาฉับพลัน Impulsivity ตัวอย่างสารเสพติด ได้แก่ ยาบ้า Amphetamines กัญชา Marijuana และยาฝิ่น Opium การใช้สารเสพติดเหล่านี้ อาจนำไปสู่การลงโทษทางอาญา ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละท้องถิ่น นอกเหนือจากอันตรายต่อร่างกาย จิตใจ หรือสังคม อาจแยกคำนิยามสารเสพติด ได้เป็น 4 ประเภท กล่าวคือ 1 ทางสาธารณสุข 2 ทางสื่อสารมวลชนและการใช้ภาษาท้องถิ่น 3 ทางการแพทย์ และ 4 ทางการเมืองและความยุติธรรมทางอาญา ในทางสาธารณสุข มุมมองของสารเสพติดขยายขอบเขตมากกว่ารายบุคคล โดยเน้นบทบาทของสังคม วัฒนธรรม และการแพร่หลาย จึงมักใช้คำว่า ยาอันตรายต่อร่างกาย วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท หรือ ยาบ้า แทนคำว่า สารเสพติด ในทางการแพทย์ มักใช้คำว่า ใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ Misuse ซึ่งให้ผลร้าย Adverse effect และเชื่อมโยงถึงการใช้ที่ไม่เหมาะสม อาทิการใช้ยาทางจิตเวช Psychiatric ที่มีคุณสมบัติ สงบประสาท Sedative คลายกังวัล Analgesic ระงับความเจ็บปวด Anxiolytic หรือกระตุ้น Stimulant ไปในทางผิดๆ Abuse การใช้ดังกล่าวอาจเกิดขึ้น สารเสพติด อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ อาทิ การเจ็บป่วย Morbidity การบาดเจ็บ และการตาย นอกจากนี้ยังมีปัญหาสังคม อาทิ การมีเพศสัมพันธ์ที่มิได้ป้องกัน ความรุนแรงจากการใช้กำลัง อุบัติเหตุจากยานยนต์ การฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย การเสพติดทางร่างกายหรือจิตใจ ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบ Compound ของสารเสพติดนั้นๆ แหล่งข้อมูล ดร. วิทยา มานะวาณิชเจริญ
สารเสพติด (Substance abuse) อาจรู้จักกันในนาม “ยาเสพติด” ในนิยามขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) จะหมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่างกายและต่อจิตใจ สารเสพติดมิได้จำกัดเพียงยาที่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ หรือกระตุ้นทางจิต อาจรวมถึงกิจกรรมที่ไม่เหมะสม และปัญหาที่มิอาจควบคุมปฏิกิริยาฉับพลัน (Impulsivity)
เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20727
Medical
โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมคืออะไร
null
โรคที่เกิดจากความเสื่อมในส่วนกลางของจอประสาทตา ซึ่งเกิดเมื่อคนเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น นับเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีความสูญเสียความสามารถในการมองเห็นในผู้สูงอายุ ปัจจุบันประชากรโลกมีอายุเพิ่มมากขึ้น จึงพบว่าโรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อยๆ มีการประเมินพบว่าโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดมากกว่าครึ่ง ร้อยละ ๕๔ โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า ๕๐ ปี จึงมักเรียกว่า โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุ Age-related Macular Degeneration or AMD แต่โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม อาจพบได้ในผู้มีอายุน้อย ซึ่งมักพบในผู้ที่มีประวัติทางครอบครัวเป็นโรคนี้ ชนิดของจุดศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม ศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมมี ๒ ชนิด ๑ โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง Dry AMD พบประมาณร้อยละ ๙๐ เป็นโรคที่ทำให้มีการสูญเสียการมองเห็นอย่างช้าๆ โรคกลุ่มนี้จอประสาทตาจะบางลงบริเวณศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อม macula ทำให้มีความสามารถในการมองเห็นลดลงและเป็นไปอย่างช้าๆ บางรายอาจมีการพัฒนาไปเป็นโรคโรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก Wet AMD ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีการมองเห็นลดลงอย่างมากควรไปตรวจกับจักษุแพทย์ ๒ โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก Wet AMD พบประมาณร้อยละ ๑๐-๑๕ โรคกลุ่มนี้การสูญเสียการมองเห็นเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นสาเหตุสำคัญของตาบอดในโรคนี้ ซึ่งสาเหตุการตาบอดเกิดจากมีหลอดเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตาและผนังชั้นอาร์พีอี RPE ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้จะเปราะและแตกง่าย มีการรั่วซึมของเลือดและสารเหลวจากหลอดเลือด ทำให้เกิดแผลเป็นและจอประสาทตาบวม ผู้ป่วยเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางเบี้ยว และเกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน
จักษุวิทยา (จักษุวิทยา) - Ophthalmology
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_11331
Medical
รูปแบบในการจัดจำหน่ายยาไลเนสทรีนอลคือ
1. ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 0.6 มิลลิกรัม/เม็ด (600 ไมโครกรัม/เม็ด) 2. ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 0.5 มิลลิกรัม/เม็ด (500 ไมโครกรัม/เม็ด) 3. ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 0.7 มิลลิกรัม/เม็ด (700 ไมโครกรัม/เม็ด) 4. ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 0.8 มิลลิกรัม/เม็ด (800 ไมโครกรัม/เม็ด)
คำตอบคือ 2. เพราะว่า ยาไลเนสทรีนอล (Lynestrenol) หรือชื่อวิทยาศาสตร์คือ 17α-ethinyl-3-desoxy-19-nortestosterone หรือ 17α-ethynyl-4-estren-17β-o เป็นยาฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์ และเป็นที่รู้จักในปีค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) จัดอยู่ในฮอร์โมนประเภทสเตียรอยดอล โปรเจสติน (Steroidal progestin) ซึ่งมีการออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Strong progestational effect) การใช้ยานี้ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีการแบ่งตัวและหนามากขึ้น และยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนโกนาโดโทรปิน (Gonadotropin, ฮอร์โมนชนิดหนึ่งจากต่อมใต้สมอง มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของรังไข่) รวมถึงชะลอการตกไข่ในเพศหญิง ทางคลินิกได้นำยาไลเนสทรีนอลมาบำบัดรักษาภาวะพร่องฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตามธรรมชาติของร่างกาย และใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดโดยมีรูปแบบยาแผนปัจจุบันเป็นยาชนิดรับประทาน หลังการดูดซึมจากระบบทางเดินอาหาร ยาไลเนสทรีนอลในกระแสเลือดจะถูกเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนนอร์อิทิสเตอโรน (Norethisterone,ฮอร์โมนในกลุ่ม Progestin)อย่างรวดเร็ว ปริมาณตัวยานี้ในกระแสเลือดจะเข้าจับกับพลาสมาโปรตีนได้มากถึงประมาณ 97% และร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 16 – 17 ชั่วโมง เพื่อขับบาไลเนสทรีนอลออกจากกระแสเลือดโดยผ่านไปกับปัสสาวะ และมีบางส่วนผ่านไปกับอุจจาระ ข้อจำกัดในการใช้ยาไลเนสทรีนอล มีอยู่หลายประการ ที่ผู้บริโภค/ผู้ป่วยควรทราบ อาทิ ห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์ ในผู้ที่มีประจำเดือนมาผิดปกติโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ในผู้ที่มีโรคหลอดเลือดแดงในระดับรุนแรง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับ ผู้ที่เป็นเนื้องอกโดยมีสาเหตุจากฮอร์โมนโปรเจสโทเจน (Progestogen-dependent tumor, เช่น ก้อนในเต้านม) ผู้ป่วยด้วยโรคPorphyria(โรคทางพันธุกรรมที่พบได้น้อย ที่มีความผิดปกติในการทำงานของเม็ดเลือดแดง) ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ ยังมีโรคอีกหลายประเภทที่สามารถเกิดอาการกำเริบรุนแรงได้เมื่อได้รับยานี้ เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคลมชัก ไมเกรน โรคหืด ผู้ที่มีหลอดเลือดขอด โรคเบาหวาน มีภาวะตั้งครรภ์/ท้องนอกมดลูก เกิดถุงน้ำรังจากรังไข่ทำงานผิดปกติ(Functional ovarian cysts) ผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ(ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ) รวมถึงสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตรก็เป็นข้อห้ามใช้ยานี้ด้วยเช่นกัน การใช้ยาไลเนสทรีนอลร่วมกับยาอื่นๆบางกลุ่ม อาจทำให้ลดประสิทธิภาพการทำงานของยาไลเนสทรีนอลได้ ตัวอย่างยากลุ่มอื่นๆดังกล่าว เช่นยา Carbamazepine, Griseofulvin, Phenobarbital, Phenytoin, และ Rifampicin นอกจากนั้น จากคุณสมบัติที่เป็นฮอร์โมนด้วย ยาไลเนสทรีนอล จึงสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เหมือนกับยาฮอร์โมนชนิดต่างๆ เช่น ทำให้รู้สึกไม่สบายในระบบทางเดินอาหาร น้ำหนักตัวเพิ่ม มีภาวะบวมน้ำ เกิดผื่นคัน ลมพิษ ซึมเศร้า เป็นต้น ก่อนการใช้ยาไลเนสทรีนอลผู้บริโภค/ผู้ป่วย ควรได้รับการตรวจยืนยันจากแพทย์ว่า เหมาะสมและสามารถใช้ยาไลเนสทรีนอลได้อย่างปลอดภัย ผู้บริโภคควรรับประทานยาไลเนสทรีนอลตรงเวลา เพื่อให้ระดับยานี้มีปริมาณสม่ำเสมอในกระแสเลือด ยาไลเนสทรีนอลสามารถใช้เป็นลักษณะยาเดี่ยวเพื่อใช้บำบัดภาวะพร่องฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน หรือใช้ร่วมกับยาฮอร์โมนเพศอื่นๆเพื่อนำมาเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด ยาไลเนสทรีนอลจัดเป็นยาฮอร์โมนที่อยู่ในหมวดยาอันตราย มีข้อห้ามใช้ ข้อพึงระวัง และผลข้างเคียงมากมาย ผู้บริโภคจึงไม่ควรไปซื้อหามารับประทานเอง และควรใช้ยานี้ตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดเท่านั้น ยาไลเนสทรีนอลมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 0.5 มิลลิกรัม/เม็ด (500 ไมโครกรัม/เม็ด)
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_45632
Legal
กรณีบุคคลที่เป็นบิดาตามความเป็นจริงแต่ไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตน มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 หรือไม่?
null
ไม่ จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2553 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า "ทายาท" ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 77 จัตวา หมายถึงเฉพาะทายาทที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ไม่รวมถึงทายาทตามความเป็นจริง หลักเกณฑ์การพิจารณา: มาตรา 77 จัตวา: ระบุถึง "ทายาท" ผู้มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ แต่ไม่ได้ให้คำจำกัดความว่า "ทายาท" หมายถึงอะไร การเปรียบเทียบกฎหมาย: ศาลฎีกาได้เปรียบเทียบคำว่า "ทายาท" ใน พ.ร.บ.ประกันสังคม กับคำว่า "ทายาท" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก ซึ่งกำหนดไว้ว่า "ทายาท" หมายถึงเฉพาะทายาทที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เจตจำนงของกฎหมาย: ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะให้คำว่า "บุคคล" และ "ทายาท" มีความหมายแตกต่างกัน กรณีของโจทก์: โจทก์เป็นบิดาตามความเป็นจริงของผู้ประกันตน แต่ไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่ใช่ "ทายาท" ของผู้ประกันตนตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม สรุป: บุคคลที่เป็นบิดาตามความเป็นจริงแต่ไม่ใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตน ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม "ทายาท" ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม หมายถึงเฉพาะทายาทที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ข้อควรระวัง: กรณีบุคคลที่เป็นบิดาหรือมารดาตามความเป็นจริงแต่ไม่ใช่บิดาหรือมารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย จะไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม กรณีบุคคลที่เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ประกันตน จะมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม
กฎหมายประกันสังคม
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_44079
Finance
มาตรการ Phuket Sandbox นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าในภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัวในเดือนกรกฎาคม ขณะที่พื้นที่นำร่องอื่นๆ สามารถเดินทางเข้าได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 พื้นที่นำร่องได้แก่ที่ไหนบ้าง
a. ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สมุย, ตราด และเชียงใหม่ b. ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สมุย, พัทยา และเชียงใหม่ c. ภูเก็ต, กระบี่, ชุมพร, สมุย, พัทยา และเชียงใหม่ d. ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สมุย, พัทยา และน่าน
ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เพราะว่า จากการประกาศแผนการผลิตและการนำเข้าวัคซีนของรัฐบาลและภาคเอกชนนั้น ณ ปัจจุบัน (11 พฤษภาคม 2021) เราคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีการนำเข้าและผลิตวัคซีนได้ประมาณ 80 ล้านโดสในปีนี้ ใกล้เคียงกับที่รัฐบาลประกาศที่ 100 ล้านโดส โดยกว่า 77% เป็นวัคซีน AstraZeneca 13% เป็น Pfizer 4% เป็น Sinovac และอื่นๆ อีกประมาณ 6% ในขณะที่การฉีดวัคซีนนั้นจะเร่งขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 5.4 หมื่นโดสต่อวันในเดือนพฤษภาคม เป็น 3 แสนโดสต่อวันในช่วงกลางปี อันเป็นช่วงที่วัคซีน AstraZeneca เริ่มทำการผลิตในประเทศไทยแล้ว ด้วยอัตราดังกล่าว จะทำให้กว่า 70% ของจำนวนประชากรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มภายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ขณะที่ประมาณ 30-40% ของประชากรได้รับวัคซีน 2 เข็ม ภาพดังกล่าวจึงทำให้การเปิดเมือง หรือการที่ประชากรไทยสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยเสรียังไม่สามารถทำได้จนถึงไตรมาสที่ 4 ในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ เราปรับประมาณการลงจาก 5 ล้านคน เหลือประมาณ 5 แสนคน ซึ่งเป็นผลทั้งจากการระบาดรอบใหม่ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อังกฤษที่แพร่ระบาดง่ายขึ้น และมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เราตั้งสมมติฐานว่า มาตรการ Phuket Sandbox จะสามารถดำเนินการได้ตามคาด โดยนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าในภูเก็ตได้โดยไม่ต้องกักตัวในเดือนกรกฎาคม ขณะที่พื้นที่นำร่องอื่นๆ เช่น ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สมุย, พัทยา และเชียงใหม่ สามารถเดินทางเข้าได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ทั้งนี้การประมาณการดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานว่า การฉีดวัคซีนและ Booster ยังสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์อินเดียได้ ทำให้นักท่องเที่ยวจากซีกโลกตะวันตก ไม่กังวลกับการเดินทางเข้าทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทยมากนัก อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวที่ลดลงทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้เหลือประมาณ 4.25 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Legal_5553
Legal
โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตรายตามมาตราใด
null
เจ้าบ้าน ผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาล เจ้าของสถานประกอบการหรือสถานที่ใด ๆ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่กรณีที่มีผู้ต้องสงสัย หรือผู้ป่วย ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรา 50 มาตรา 34 (1) ให้เจ้าพนักงานหรือผู้มีอำนาจ ดำเนินการให้ผู้ต้องสงสัย หรือผู้ป่วยโควิด 19 มารับการตรวจ การชันสูตร แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรา 51 มาตรา 35 กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคโควิด ให้ผู้มีอำนาจผู้ว่าราชการ สั่งปิดสถานที่ต่าง ๆ สั่งห้ามไปในสถานที่ชุมชน สถานศึกษา ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าราชการ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 52 มาตรา 39 (5) ห้ามเจ้าของหรือผู้ควบคุมพาหนะนำผู้เดินทาง ซึ่งไม่ได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เข้ามาในราชอาณาจักร ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรา 51 ราชกิจจานุเบกษาประกาศกระทรวงสาธารณะสุข เรื่องชื่ออาการสำคัญของโรคคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2563 โดยประกาศให้โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออันตราย มาตรา 31 เจ้าบ้าน ผู้รับผิดชอบในสถานพยาบาล เจ้าของสถานประกอบการหรือสถานที่ใด ๆ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่กรณีที่มีผู้ต้องสงสัย หรือผู้ป่วย ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรา 50 มาตรา 34 (1) ให้เจ้าพนักงานหรือผู้มีอำนาจ ดำเนินการให้ผู้ต้องสงสัย หรือผู้ป่วยโควิด 19 มารับการตรวจ การชันสูตร แยกกัก กักกัน คุมไว้สังเกต ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท มาตรา 51 มาตรา 35 กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อป้องกันการแพร่ของโรคโควิด ให้ผู้มีอำนาจผู้ว่าราชการ สั่งปิดสถานที่ต่าง ๆ สั่งห้ามไปในสถานที่ชุมชน สถานศึกษา ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ว่าราชการ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 52 มาตรา 39 (5) ห้ามเจ้าของหรือผู้ควบคุมพาหนะนำผู้เดินทาง ซึ่งไม่ได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เข้ามาในราชอาณาจักร
กฎหมายสาธารณสุข การแพทย์ และโรคระบาด,กฎกระทรวง
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_21234
Medical
ยาปฏิชีวนะคืออะไร
ยาปฏิชีวนะ ใช้อย่างไรไม่ให้เชื้อดื้อยา ยาที่คนไทยใช้มากที่สุดคือยาแก้อักเสบ หรือยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพ คนทั่วไปนิยมเรียกกันติดปากว่ายาแก้อักเสบ หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อจุลชีพชนิดอื่นๆ เป็นกลุ่มยาที่มีอัตราการใช้มากที่สุด เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย แต่ละปีมีมูลค่าของการใช้เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลและร้านขายยา มียาปฏิชีวนะหลายยี่ห้อที่ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ตัวอย่างเช่น ทีซีมัยซิน ออริโอมัยซิน กานามัยซิน เป็นต้น ทําไมเชื้อดื้อยามากขึ้นหรือลดลง ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่พบทั้งระดับประเทศไทยและระดับโลก ก็คือการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งนับวันจะมีอัตราการดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มีการดื้อยาเก่าๆ ทำให้ใช้ยาชนิดเดิมบางชนิดไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ ที่มักมีราคาแพงยิ่งขึ้น ผลการรักษาอาจไม่ดีเท่าเดิม และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้นหรือรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสเกิดอันตรายจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดใหม่มากยิ่งขึ้น ยิ่งใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้น เหตุผลหลักที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยามากขึ้น ก็เนื่องจากมีการใช้ยาปริมาณมากขึ้น มีรายงานวิจัยยืนยันว่าอัตราการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียจะแปรผันตรงตามอัตราการใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้ามีการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดไหนมากขึ้น ก็จะชักนำให้เกิดการดื้อยาชนิดนั้นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกครั้งที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ยาจะไปออกฤทธิ์ที่ตัวแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียถูกยับยั้งการเจริญเติบโตหรือตายไป แต่ตามธรรมชาติมักมีการผ่าเหล่า ทำให้มีเชื้อแบคทีเรียบางตัวทนต่อยา ดื้อกับยา และรอดชีวิต ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ 1 ในล้านตัว แล้วเชื้อแบคทีเรียที่รอดตายก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน ขยายเผ่าพันธุ์การดื้อยาให้มีเป็นเท่า ทวีคูณ และทำให้เกิดโรคติดเชื้อที่ดื้อต่อยา เป็นปัญหาใหญ่ทางการแพทย์ได้ โรคไข้หวัดไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นตัวเสริมให้เกิดการดื้อยา ก็คือการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม ที่พบบ่อยๆ ได้แก่ การใช้ยาปฏิชีวนะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส เช่น โรคไข้หวัด รวมถึงไข้หวัดใหญ่ด้วย ไข้หวัดเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยไข้หวัดจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบที่มีฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อเชื้อไวรัสโรคไข้หวัด ดังนั้น ยาปฏิชีวนะจึงไม่ได้ผลกับผู้ป่วยไข้หวัด การใช้ยาปฏิชีวนะไม่ครบตามกำหนด อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ โดยปกติแล้วยาปฏิชีวนะเมื่อเริ่มใช้แล้ว จะต้องใช้ยาติดต่อกันจนครบตามจำนวนที่แพทย์สั่งจ่าย ทั้งนี้เพื่อให้มีฤทธิ์อยู่จนสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคให้หมดไปจากร่างกายของเรา ในทางปฏิบัติพบว่ามีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่หยุดใช้ยาปฏิชีวนะทันทีเมื่ออาการเริ่มดีขึ้น เพราะคิดว่าไม่มีอาการแล้ว และหายดีแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะขณะนั้นยังมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ แต่อาจมีปริมาณน้อยกว่าที่จะแสดงอาการได้จริงๆ ดังนั้น ถ้ามีการหยุดยาขณะที่ยังใช้ยาไม่ครบ และมีเชื้อแบคทีเรียหลงเหลืออยู่ ก็อาจทำให้เชื้อที่หลงเหลืออยู่เพิ่มจำนวนมากขึ้น และกลับมามีอาการใหม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะติดต่อกันจนครบตามที่แพทย์สั่งเป็นการดีที่สุด ถ้าซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง จะต้องใช้ติดต่อกันจนครบตามกำหนด บางกรณีจะพบผู้ป่วยไปหาซื้อยาปฏิชีวนะจากร้านขายยามาใช้รักษาโรคติดเชื้อด้วยตนเอง เช่น เจ็บคอ แผล ฝี หนอง เป็นต้น กรณีนี้จะต้องใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามกำหนดเช่นกัน ซึ่งอาจปรึกษาหารือเรื่องระยะเวลาการใช้ยานี้ได้กับเภสัชกรที่อยู่ประจำร้านยาได้ว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะรักษาติดต่อกันนานเท่าใดจึงจะได้ผลดี และไม่เกิดการดื้อยา การวิจัยและพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ลดน้อยลง ท่ามกลางกระแสการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรียที่มากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น กลับพบว่าจำนวนยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ ที่เกิดจากการวิจัยและพัฒนากลับมีจำนวนลดน้อยลง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับยา กลุ่มอื่นๆ เช่น ยาลดไขมันในเลือด ยาลดความดันโลหิตสูง ยาลดน้ำตาลในเลือด เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ลงทุนวิจัยและพัฒนายาใหม่ส่วนใหญ่ต้องการผลตอบแทนที่สูง คุ้มค่าการลงทุน จึงทุ่มเทงบประมาณและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องไปกับการพัฒนายาใหม่ที่ใช้รักษาโรคเรื้อรังมากกว่าโรคติดเชื้อ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังจะต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการตลอดชีวิต จึงต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เมื่อคิดโดยรวมแล้ว ตลอดชีวิตของผู้ป่วยจะต้องใช้ยาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล มากกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อที่จะใช้ก็ต่อเมื่อมีการติดเชื้อเท่านั้น มิหนำซ้ำเมื่อใช้ครบตามจำนวนและผู้ป่วยหายดีแล้วก็ต้องหยุดการใช้ยา นอกจากนี้ เมื่อเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะไประยะหนึ่งก็เริ่ม มีรายงานการดื้อยาเกิดขึ้น ก็จะมีการใช้ยาปฏิชีวนะชนิด นั้นน้อยลง ไม่เหมือนกับยารักษาของกลุ่มโรคเรื้อรังที่ไม่มีการดื้อยา บริษัทต่างๆ จึงจัดสรรงบประมาณไปวิจัยและพัฒนายารักษาโรคเรื้อรังมากกว่าโรคติดเชื้อ ทำให้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ มีน้อยลงมาก ไม่ทันต่อการดื้อยาที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเชื้อดื้อยามากขึ้นและไม่มียาปฏิชีวนะใช้ ผู้ป่วยจะเป็นอย่างไร สถานการณ์การดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรียนับวันจะเป็นปัญหาปวดหัวของแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุข จากเดิมที่มีเชื้อแบคทีเรียดื้อเฉพาะยาปฏิชีวนะเก่าๆ บางชนิด ปัจจุบันเชื้อแบคทีเรียมีวิวัฒนาการให้เกิดการดื้อยามากขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น มีการดื้อยาหลายชนิด ดื้อต่อยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีการแพร่กระจายส่งทอดการดื้อยาไปยังเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ ด้วย นับว่าเป็นปัญหาท้าทายมันสมองของผู้ให้การรักษาทั้งในและนอกโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ ที่มักมีการใช้ยาปฏิชีวนะจำนวนมากและใช้อย่างฟุ่มเฟือย ก็จะมีโอกาสเกิดการดื้อยามากขึ้น เป็นเงาตามตัว ขณะนี้พบว่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล๑ ซึ่งจะเหลือยาที่ใช้ได้ผลดีเพียง 1-2 ชนิดเท่านั้น และอนาคตอันใกล้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เชื้อชนิดนี้จะดื้อยาเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อชนิดรุนแรงนี้ขณะที่นอนพักรักษาใน โรงพยาบาลก็มักจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อชนิดนี้ในที่สุด การที่เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะ เป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายต้องแน่วแน่แก้ไข จะเห็นได้ว่าการดื้อยาเป็นปัญหาที่จะส่งผลกระทบ ถึงมนุษยชาติทุกคน ถ้าคนใดคนหนึ่งโชคร้ายไปรับเชื้อและเกิดการติดเชื้อโรคเหล่านี้ขึ้น จะต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดใด จะหายาปฏิชีวนะที่ได้ผลดีได้ยาก ยาที่จะนำมาใช้ก็อาจต้องใช้ยาที่มีพิษสูง บ้างก็เป็นยาเก่าซึ่งแต่เดิมไม่เคยมีการนำมาใช้ แต่ในช่วงวิกฤติก็ต้องนำมาใช้ เพื่อความอยู่รอดของผู้ป่วย อันตรายและค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้น และสุดท้ายผู้ป่วยก็ยังไม่อาจรอดชีวิตได้
ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อจุลชีพชนิดอื่นๆ เป็นกลุ่มยาที่มีอัตราการใช้มากที่สุด เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย แต่ละปีมีมูลค่าของการใช้เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลและร้านขายยา มียาปฏิชีวนะหลายยี่ห้อที่ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ทําไมเชื้อดื้อยามากขึ้นหรือลดลง ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่พบทั้งระดับประเทศไทยและระดับโลก ก็คือการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งนับวันจะมีอัตราการดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มีการดื้อยาเก่าๆ ทำให้ใช้ยาชนิดเดิมบางชนิดไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ๆ ที่มักมีราคาแพงยิ่งขึ้น ผลการรักษาอาจไม่ดีเท่าเดิม และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้นหรือรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ป่วยโรคติดเชื้อมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสเกิดอันตรายจากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดใหม่มากยิ่งขึ้น ยิ่งใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้น เหตุผลหลักที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยามากขึ้น ก็เนื่องจากมีการใช้ยาปริมาณมากขึ้น
เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Legal_45805
Legal
5 ขั้นตอน การขอมีและใช้อาวุธปืน มีอะไรบ้าง
>>คิ ด สั ก นิ ด ก่ อ น ห ยิ บ ปื น << ปืนไม่ใช่ของเล่น ก่อนนำมาใช้ควรศึกษารายละเอียดก่อน พกปืน คือ สิ่งที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถมี หรือ หาซื้อมาพกพาติดตัวไว้ง่ายๆเหมือนซื้อตู้เย็น โทรศัพท์ โทรทัศน์ ฯลฯ แต่เป็นสิ่งของที่ผู้จะพกพา หรือหาซื้อต้องมีความจำเป็นหรือเหตุอันควรเท่านั้น หลายๆคนอาจไม่ทราบว่าการได้มาซึ่งอาวุธปืนอย่างไม่ถูกต้องนั้นจะส่งผลให้ติดคุกติดตารางกันได้ง่ายๆเลยทีเดียว 5 ขั้นตอน การขอมีและใช้อาวุธปืน 5 กรณี การอนุญาตให้มีหรือใช้อาวุธปืน ห้ามพกอาวุธปืนติดตัว…ไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ห้ามพกพาอาวุธปืนอย่างเปิดเผยหรือนำไปใช้ในที่ชุมนุมที่มีงานรื่นเริงต่างๆ ฝ่าฝืนจำคุก 6 เดือน – 5 ปี และ ปรับ 1000 – 10,000 บาท ที่มา : พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
5 ขั้นตอน การขอมีและใช้อาวุธปืน 1. ยื่นคำร้องขอ (ใบ ป.1) 2. นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (ใบ ป.3) ภายใน 6 เดือนตั้งแต่ได้รับใบอนุญาต 3. ผู้ขอใบอนุญาตไปจัดหาซื้ออาวุธปืน และเครื่องกระสุนมาแล้ว ต้องนำอาวุธปืนนั้นไปให้นายทะเบียนตรวจสอบ 4. นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (ใบ ป.4) 5. การพกอาวุธปืนติดตัว (ใบ ป.12) ต้องขออนุญาตต่อ ผบ.ตร.
กฎหมายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_425
Finance
จงสรุป เรื่องควรทำ ก่อนเริ่มเป็นหนี้ ให้ทีค่ะ
บทความ Finance_425 หัวข้อ 5 เรื่องควรทำ ก่อนเริ่มเป็นหนี้ ​ SHARE 22 SHARE 22 SHARE 22 SHARE 22 SHARE 22 Highlights “การเป็นหนี้” ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากมีการวางแผนและมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี จะช่วยให้การเป็นหนี้นั้นไม่กระทบกับการดำรงชีวิต สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขแม้มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงอาจกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป เพราะแต่ละบุคคลมีเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งความจำเป็นในชีวิตทำให้เราต้องกู้เงินเพื่อซื้อทรัพย์สิน ยอมเป็นหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ยอมเป็นหนี้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิต หรือยอมเป็นหนี้เพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง แต่ปัญหาอยู่ที่หากมีหนี้แล้วจะบริหารจัดการหนี้เหล่านั้นอย่างไร หากบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพก็ไม่ถือว่าการก่อหนี้เป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ขึ้นมา ลองสำรวจก่อนว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรทำก่อนเริ่มเป็นหนี้ 1. ดูความจำเป็นในการก่อหนี้ ทุกคนควรมีเหตุผลในการก่อหนี้อย่างชัดเจน ไม่ปล่อยตามอารมณ์หรือตามความต้องการของตัวเอง โดยพิจารณาก่อนว่าหนี้ที่กำลังจะก่อขึ้นนั้น มีความจำเป็นกับชีวิตมากน้อยเพียงใด ข้าวของที่จะซื้อเป็นสิ่งของจำเป็นหรือแค่ความต้องการ และมีราคาสูงเกินกำลังที่จะจ่ายจนสร้างความลำบากให้กับตัวเองหลังซื้อหรือไม่ หากก่อหนี้ควรก่อหนี้ที่ดีเท่านั้น เช่น หนี้ที่ก่อในเกิดรายได้ สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ในอนาคต หนี้เพื่อความมั่นคงในระยะยาว หนี้เพื่อความจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจและทำกำไรได้ ส่วนหนี้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือควรมีให้น้อยที่สุด คือ หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่เกินตัว เพราะเป็นหนี้ที่เน้นเพื่อความสะดวกสบายเป็นหลัก เพราะนอกจากไม่ทำให้เกิดรายได้แล้วยังไม่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในอนาคตเลย 2. เลือกประเภทของสินเชื่อให้เหมาะกับความต้องการ สินเชื่อมีด้วยกันหลากหลายประเภท เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น จึงต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไรที่ต้องการ และตัวเองมีทรัพย์สินอะไรเป็นหลักประกันบ้าง เพราะว่าสินเชื่อแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านวงเงินการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย วิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ย ระยะเวลาในการผ่อนชำระ รวมไปถึงหลักประกันในการชำระหนี้ 3. เปรียบเทียบเงื่อนไขการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย นอกจากเลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงตามความต้องการแล้ว ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ละเอียด เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีบริการสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงวงเงินที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรเลือกสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ย และมีเงื่อนไขที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด สำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลของสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนตัดสินใจเลือกขอสินเชื่อ ควรเปรียบเทียบข้อมูล เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยการคำนวณว่าตลอดอายุการผ่อนชำระเป็นเท่าไหร่ อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด วิธีการคำนวณดอกเบี้ย รวมถึงพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินเรียกเก็บ เช่น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนก่อนกำหนด ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น 4. ประเมินศักยภาพในการชำระหนี้และสภาพคล่องในการใช้จ่าย ก่อนที่จะก่อหนี้ ควรประเมินฐานะการเงินและความพร้อมในการชำระหนี้ของตัวเองว่ามีมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันมีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และในแต่ละเดือนมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายเท่าไหร่ เพื่อคำนวณว่าหากต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือไม่ สำหรับภาระในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนแล้วไม่ควรเกิน 45% ของรายได้หรือเงินเดือน เพื่อให้มีเงินเหลือใช้สำหรับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต รวมถึงแบ่งไปเก็บออมด้วย เช่น มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท ควรมียอดผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 22,500 บาท (50,000 x 45%) เพราะหากมีภาระในการชำระหนี้ในแต่ละเดือนที่มากเกินกำลังอาจมีโอกาสผิดชำระหนี้ได้ ประกอบกับในชีวิตจริงมักมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ผลที่ตามมาอาจทำให้ต้องกู้เงินเพื่อมาเป็นสภาพคล่องและมีโอกาสที่จะติดอยู่ในวังวนแห่งการเป็นหนี้ 5. ประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ ต้องมั่นใจว่าหากก่อหนี้แล้วจะสามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนครบกำหนดตรงตามเวลา เพราะการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อประเภทใดก็ตาม ยอดเงินจะมากหรือน้อย หากชำระไม่ตรงเวลาหรือเกินกำหนดหลายวัน ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทันที ดังนั้น ก่อนก่อหนี้จึงต้องประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ด้วย โดยปกติแล้ว หากชำระเงินไม่ตรงเวลาหรือผิดนัดจะมีการคิดดอกเบี้ย ค่าปรับในการชำระล่าช้า รวมถึงค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามหนี้ ดังนั้น ปัญหาที่ตามมานอกจากภาระดอกเบี้ยและภาระทางการเงิน เครดิตทางการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากมีประวัติการค้างชำระ ชำระไม่ตรงเวลาหรือชำระไม่เต็มจำนวนจะส่งผลต่อการพิจารณาขอสินเชื่อในอนาคต หรืออาจบานปลายถึงขั้นฟ้องร้องเป็นคดีความ สรุปแล้ว การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอเพียงรู้จักการเป็นหนี้ให้ถูกวิธี มีความรับผิดชอบและมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี “หนี้” จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าใจลักษณะหนี้แต่ละประเภท การคำนวณดอกเบี้ย ขั้นตอนและเทคนิคในการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนการต่อยอดเงินที่เหลือจากการจัดการหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “หมดหนี้มีออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: หนี้สิน วางแผนหนี้ บริหารหนี้สิน มนุษย์เงินเดือน ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน Highlights “การเป็นหนี้” ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากมีการวางแผนและมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี จะช่วยให้การเป็นหนี้นั้นไม่กระทบกับการดำรงชีวิต สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขแม้มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงอาจกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ Highlights Highlights “การเป็นหนี้” ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากมีการวางแผนและมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี จะช่วยให้การเป็นหนี้นั้นไม่กระทบกับการดำรงชีวิต สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขแม้มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงอาจกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป เพราะแต่ละบุคคลมีเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งความจำเป็นในชีวิตทำให้เราต้องกู้เงินเพื่อซื้อทรัพย์สิน ยอมเป็นหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ยอมเป็นหนี้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิต หรือยอมเป็นหนี้เพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง แต่ปัญหาอยู่ที่หากมีหนี้แล้วจะบริหารจัดการหนี้เหล่านั้นอย่างไร หากบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพก็ไม่ถือว่าการก่อหนี้เป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ขึ้นมา ลองสำรวจก่อนว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรทำก่อนเริ่มเป็นหนี้ การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป เพราะแต่ละบุคคลมีเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งความจำเป็นในชีวิตทำให้เราต้องกู้เงินเพื่อซื้อทรัพย์สิน ยอมเป็นหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่อง ยอมเป็นหนี้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างในชีวิต หรือยอมเป็นหนี้เพื่อตอบสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง แต่ปัญหาอยู่ที่หากมีหนี้แล้วจะบริหารจัดการหนี้เหล่านั้นอย่างไร หากบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพก็ไม่ถือว่าการก่อหนี้เป็นสิ่งที่ผิด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจก่อหนี้ขึ้นมา ลองสำรวจก่อนว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรทำก่อนเริ่มเป็นหนี้ 1. ดูความจำเป็นในการก่อหนี้ ทุกคนควรมีเหตุผลในการก่อหนี้อย่างชัดเจน ไม่ปล่อยตามอารมณ์หรือตามความต้องการของตัวเอง โดยพิจารณาก่อนว่าหนี้ที่กำลังจะก่อขึ้นนั้น มีความจำเป็นกับชีวิตมากน้อยเพียงใด ข้าวของที่จะซื้อเป็นสิ่งของจำเป็นหรือแค่ความต้องการ และมีราคาสูงเกินกำลังที่จะจ่ายจนสร้างความลำบากให้กับตัวเองหลังซื้อหรือไม่ หากก่อหนี้ควรก่อหนี้ที่ดีเท่านั้น เช่น หนี้ที่ก่อในเกิดรายได้ สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ในอนาคต หนี้เพื่อความมั่นคงในระยะยาว หนี้เพื่อความจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจและทำกำไรได้ ส่วนหนี้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือควรมีให้น้อยที่สุด คือ หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่เกินตัว เพราะเป็นหนี้ที่เน้นเพื่อความสะดวกสบายเป็นหลัก เพราะนอกจากไม่ทำให้เกิดรายได้แล้วยังไม่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในอนาคตเลย 2. เลือกประเภทของสินเชื่อให้เหมาะกับความต้องการ สินเชื่อมีด้วยกันหลากหลายประเภท เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น จึงต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไรที่ต้องการ และตัวเองมีทรัพย์สินอะไรเป็นหลักประกันบ้าง เพราะว่าสินเชื่อแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านวงเงินการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย วิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ย ระยะเวลาในการผ่อนชำระ รวมไปถึงหลักประกันในการชำระหนี้ 3. เปรียบเทียบเงื่อนไขการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย นอกจากเลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงตามความต้องการแล้ว ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ละเอียด เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีบริการสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงวงเงินที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรเลือกสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ย และมีเงื่อนไขที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด สำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลของสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนตัดสินใจเลือกขอสินเชื่อ ควรเปรียบเทียบข้อมูล เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยการคำนวณว่าตลอดอายุการผ่อนชำระเป็นเท่าไหร่ อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด วิธีการคำนวณดอกเบี้ย รวมถึงพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินเรียกเก็บ เช่น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนก่อนกำหนด ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น 4. ประเมินศักยภาพในการชำระหนี้และสภาพคล่องในการใช้จ่าย ก่อนที่จะก่อหนี้ ควรประเมินฐานะการเงินและความพร้อมในการชำระหนี้ของตัวเองว่ามีมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันมีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และในแต่ละเดือนมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายเท่าไหร่ เพื่อคำนวณว่าหากต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือไม่ สำหรับภาระในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนแล้วไม่ควรเกิน 45% ของรายได้หรือเงินเดือน เพื่อให้มีเงินเหลือใช้สำหรับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต รวมถึงแบ่งไปเก็บออมด้วย เช่น มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท ควรมียอดผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 22,500 บาท (50,000 x 45%) เพราะหากมีภาระในการชำระหนี้ในแต่ละเดือนที่มากเกินกำลังอาจมีโอกาสผิดชำระหนี้ได้ ประกอบกับในชีวิตจริงมักมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ผลที่ตามมาอาจทำให้ต้องกู้เงินเพื่อมาเป็นสภาพคล่องและมีโอกาสที่จะติดอยู่ในวังวนแห่งการเป็นหนี้ 5. ประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ ต้องมั่นใจว่าหากก่อหนี้แล้วจะสามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนครบกำหนดตรงตามเวลา เพราะการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อประเภทใดก็ตาม ยอดเงินจะมากหรือน้อย หากชำระไม่ตรงเวลาหรือเกินกำหนดหลายวัน ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทันที ดังนั้น ก่อนก่อหนี้จึงต้องประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ด้วย โดยปกติแล้ว หากชำระเงินไม่ตรงเวลาหรือผิดนัดจะมีการคิดดอกเบี้ย ค่าปรับในการชำระล่าช้า รวมถึงค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามหนี้ ดังนั้น ปัญหาที่ตามมานอกจากภาระดอกเบี้ยและภาระทางการเงิน เครดิตทางการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากมีประวัติการค้างชำระ ชำระไม่ตรงเวลาหรือชำระไม่เต็มจำนวนจะส่งผลต่อการพิจารณาขอสินเชื่อในอนาคต หรืออาจบานปลายถึงขั้นฟ้องร้องเป็นคดีความ สรุปแล้ว การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอเพียงรู้จักการเป็นหนี้ให้ถูกวิธี มีความรับผิดชอบและมีการบริหารจัดการหนี้ที่ดี “หนี้” จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งได้ 1. ดูความจำเป็นในการก่อหนี้ ทุกคนควรมีเหตุผลในการก่อหนี้อย่างชัดเจน ไม่ปล่อยตามอารมณ์หรือตามความต้องการของตัวเอง โดยพิจารณาก่อนว่าหนี้ที่กำลังจะก่อขึ้นนั้น มีความจำเป็นกับชีวิตมากน้อยเพียงใด ข้าวของที่จะซื้อเป็นสิ่งของจำเป็นหรือแค่ความต้องการ และมีราคาสูงเกินกำลังที่จะจ่ายจนสร้างความลำบากให้กับตัวเองหลังซื้อหรือไม่ หากก่อหนี้ควรก่อหนี้ที่ดีเท่านั้น เช่น หนี้ที่ก่อในเกิดรายได้ สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ในอนาคต หนี้เพื่อความมั่นคงในระยะยาว หนี้เพื่อความจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจและทำกำไรได้ ส่วนหนี้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือควรมีให้น้อยที่สุด คือ หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่เกินตัว เพราะเป็นหนี้ที่เน้นเพื่อความสะดวกสบายเป็นหลัก เพราะนอกจากไม่ทำให้เกิดรายได้แล้วยังไม่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในอนาคตเลย 2. เลือกประเภทของสินเชื่อให้เหมาะกับความต้องการ สินเชื่อมีด้วยกันหลากหลายประเภท เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น จึงต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไรที่ต้องการ และตัวเองมีทรัพย์สินอะไรเป็นหลักประกันบ้าง เพราะว่าสินเชื่อแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านวงเงินการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย วิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ย ระยะเวลาในการผ่อนชำระ รวมไปถึงหลักประกันในการชำระหนี้ 3. เปรียบเทียบเงื่อนไขการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย นอกจากเลือกประเภทสินเชื่อให้ตรงตามความต้องการแล้ว ต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ละเอียด เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีบริการสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงวงเงินที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรเลือกสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ย และมีเงื่อนไขที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด สำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลของสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนตัดสินใจเลือกขอสินเชื่อ ควรเปรียบเทียบข้อมูล เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยการคำนวณว่าตลอดอายุการผ่อนชำระเป็นเท่าไหร่ อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด วิธีการคำนวณดอกเบี้ย รวมถึงพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินเรียกเก็บ เช่น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าธรรมเนียมการไถ่ถอนก่อนกำหนด ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น 4. ประเมินศักยภาพในการชำระหนี้และสภาพคล่องในการใช้จ่าย ก่อนที่จะก่อหนี้ ควรประเมินฐานะการเงินและความพร้อมในการชำระหนี้ของตัวเองว่ามีมากน้อยเพียงใด ปัจจุบันมีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และในแต่ละเดือนมีภาระหนี้ที่ต้องจ่ายเท่าไหร่ เพื่อคำนวณว่าหากต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือไม่ สำหรับภาระในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนแล้วไม่ควรเกิน 45% ของรายได้หรือเงินเดือน เพื่อให้มีเงินเหลือใช้สำหรับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต รวมถึงแบ่งไปเก็บออมด้วย เช่น มีรายได้เดือนละ 50,000 บาท ควรมียอดผ่อนชำระหนี้ไม่เกิน 22,500 บาท (50,000 x 45%) เพราะหากมีภาระในการชำระหนี้ในแต่ละเดือนที่มากเกินกำลังอาจมีโอกาสผิดชำระหนี้ได้ ประกอบกับในชีวิตจริงมักมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ผลที่ตามมาอาจทำให้ต้องกู้เงินเพื่อมาเป็นสภาพคล่องและมีโอกาสที่จะติดอยู่ในวังวนแห่งการเป็นหนี้ 5. ประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ ต้องมั่นใจว่าหากก่อหนี้แล้วจะสามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนครบกำหนดตรงตามเวลา เพราะการชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อประเภทใดก็ตาม ยอดเงินจะมากหรือน้อย หากชำระไม่ตรงเวลาหรือเกินกำหนดหลายวัน ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทันที ดังนั้น ก่อนก่อหนี้จึงต้องประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้ด้วย โดยปกติแล้ว หากชำระเงินไม่ตรงเวลาหรือผิดนัดจะมีการคิดดอกเบี้ย ค่าปรับในการชำระล่าช้า รวมถึงค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามหนี้ ดังนั้น ปัญหาที่ตามมานอกจากภาระดอกเบี้ยและภาระทางการเงิน เครดิตทางการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากมีประวัติการค้างชำระ ชำระไม่ตรงเวลาหรือชำระไม่เต็มจำนวนจะส่งผลต่อการพิจารณาขอสินเชื่อในอนาคต หรืออาจบานปลายถึงขั้นฟ้องร้องเป็นคดีความ สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าใจลักษณะหนี้แต่ละประเภท การคำนวณดอกเบี้ย ขั้นตอนและเทคนิคในการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนการต่อยอดเงินที่เหลือจากการจัดการหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “หมดหนี้มีออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ เพื่อให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้ โดยเริ่มตั้งแต่การเข้าใจลักษณะหนี้แต่ละประเภท การคำนวณดอกเบี้ย ขั้นตอนและเทคนิคในการบริหารจัดการหนี้ ตลอดจนการต่อยอดเงินที่เหลือจากการจัดการหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “หมดหนี้มีออม” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่ แท็กที่เกี่ยวข้อง: หนี้สิน วางแผนหนี้ บริหารหนี้สิน มนุษย์เงินเดือน แท็กที่เกี่ยวข้อง: หนี้สิน วางแผนหนี้ บริหารหนี้สิน มนุษย์เงินเดือน แท็กที่เกี่ยวข้อง: ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน e-Learning น่าเรียน กิจกรรมน่าสนใจ
แต่ละบุคคลมีเหตุผลและความจำเป็นในชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งความจำเป็นในชีวิตทำให้เราต้องกู้หนี้ยืมสิน เพราะฉะนั้นการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาอยู่ที่หากมีหนี้แล้วจะบริหารจัดการหนี้เหล่านั้นอย่างไร และถ้าเราต้องเป็นหนี้จริงๆเราควรจะรู้อะไรบ้างก่อนที่จะเป็นหนี้: 1.ดูความจำเป็นในการก่อหนี้: -ควรมีเหตุผลในการก่อหนี้อย่างชัดเจน ไม่ปล่อยตามอารมณ์หรือตามความต้องการของตัวเอง หนี้ที่ก่อในเกิดรายได้ สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ในอนาคต - หลีกเลี่ยงหนี้ที่มาจากความฟุ่มเฟือย 2.เลือกประเภทของสินเชื่อให้เหมาะกับความต้องการ: -วางแผนให้ดีก่อนว่าจะขอสินเชื่อเพื่อนำเงินไปทำอะไร วงเงินเท่าไรที่ต้องการ และ - ตัวเองมีทรัพย์สินอะไรเป็นหลักประกันบ้าง 3.เปรียบเทียบเงื่อนไขการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย: -ทำความเข้าใจเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ให้ละเอียด เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีบริการสินเชื่อโดยมีเงื่อนไขการให้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงวงเงินที่แตกต่างกัน - ควรเปรียบเทียบข้อมูล เช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงด้วยการคำนวณว่าตลอดอายุการผ่อนชำระเป็นเท่าไหร่ 4.ประเมินศักยภาพในการชำระหนี้และสภาพคล่องในการใช้จ่าย: -ควรประเมินฐานะการเงินและความพร้อมในการชำระหนี้ของตัวเอง - สำหรับภาระในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือนแล้วไม่ควรเกิน 45% ของรายได้หรือเงินเดือน เพื่อให้มีเงินเหลือใช้สำหรับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต 5.ประเมินความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงของรายได้: -การชำระหนี้ให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อประเภทใดก็ตาม ยอดเงินจะมากหรือน้อย หากชำระไม่ตรงเวลาหรือเกินกำหนดหลายวัน ดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นทันที เพราะฉะนั้นเราต้องประเมินตัวเราว่าามารถที่จะชำระหนี้ตามกำหนดเวลาได้มั้ย
ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ตลาดการเงิน,กลยุทธ์การลงทุน,การจัดการการเงินส่วนบุคคล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40384
Finance
ข้อใดกล่าวถึงเหตุผลสนับสนุนการลงทุนพลังงานหมุนเวียนได้ถูกต้อง
A. พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีความผันผวน ในช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ B. หากภาคพลังงานหมุนเวียนเติบโต จะไม่มีการเปิดตำแหน่งงานและจ้างงานที่มากขึ้น C. ภาคพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตดี และไม่มีความเสี่ยง D. นักวิเคราะห์คาดว่าภาคพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี เพราะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมีต้นทุนที่ค่อนข้างแพง
คำตอบที่ถูกต้องคือ A. เนื่องจาก เพราะ "พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีความผันผวน ในช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ" กล่าวถึงเหตุผลสนับสนุนการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ได้ถูกต้อง ส่วนข้ออื่น ๆ กล่าวไม่ถูกต้อง ความต้องการใช้พลังงานสูงขึ้นตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น และมาพร้อมกับความพยายามรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านการลดการปล่อยคาร์บอน พลังงานหมุนเวียน หรือในชื่ออื่น ๆ เช่น พลังงานสีเขียว และพลังงานทางเลือก จึงมีความสำคัญมากขึ้น พลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานที่สามารถนำมาหมุนเวียนผลิต-ใช้ได้ต่อเนื่อง จากพลังงานของธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ พลังลม น้ำ ชีวมวล ความร้อนจากใต้ผิวโลก ฯลฯ ล้วนเป็นพลังงานที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เกิดเป็นคำถามในหมู่นักลงทุน ว่าควรลงทุนในพลังงานหมุนเวียนหรือยัง? ให้ผลตอบแทนดีหรือไม่? เพราะปัจจุบันสินค้าและบริการต่าง ๆ ก็เริ่มปรับมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ซึ่งการลงทุนนี้จะเป็นการลงทุนในธีม ESG (Environment-Society-Governance) มีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า ลงทุนหุ้นยั่งยืน, ลงทุนหุ้นพลังงานสะอาด หรือ ลงทุนหุ้นพลังงานหมุนเวียน 3 เหตุผลสนับสนุนการลงทุนพลังงานหมุนเวียน 1. พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีความผันผวน ช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ การใช้งานเชื้อเพลิงลดลง ส่งผลให้ราคาตกตาม ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ราคาน้ำมันดิบในอเมริกาติดลบ หุ้นของบริษัทพลังงานจากฟอสซิลดก็ตกลงหนัก จนสถาบันการเงินต่างเทขายเพราะเล็งเห็นความเสี่ยงในระยะยาว ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโต สินค้าและบริการต่าง ๆ เริ่มปรับมาเป็นสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ หรือใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสดีในการลงทุนและเติบโตระยะยาว 2. สร้างโอกาสในการจ้างงาน หากภาคพลังงานหมุนเวียนเติบโต ก็จะมีการเปิดตำแหน่งงานและจ้างงานมากขึ้น มีผู้คนทั่วโลกเพียง 11 ล้านคนที่ทำงานอยู่ในภาคธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ในอนาคตเมื่อพลังงานจากฟอสซิลลดลง ก็จะมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายงานจากภาคนี้ไปยังภาคพลังงานหมุนเวียน ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เกิดการศึกษา การฝึกอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนสายงานนี้ สร้างงานและอาชีพใหม่ ๆ ซึ่งช่วยส่งเสริมการจ้างงานในท้องถิ่นก็มากขึ้นตาม ส่งผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมในภายภาคหน้า 3. เป็นภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งภาวะโลกร้อน โครงการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยหนุนให้เกิดการพัฒนาและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น จนในต้นทุนในการใช้งานไม่แพงมากเหมือนหลายสิบปีก่อนแล้ว ทั้งการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมที่มากขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าภาคพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี เพราะพลังงานธรรมชาติสองชนิดนี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างถูก รวมถึงพลังงานชีวภาพและการขนส่งจะเติบโตถึง 25% ในปี 2024 สำหรับภาคพลังงานหมุนเวียนแม้จะเติบโตดี แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงเพราะยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างใหม่
ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_22612
Medical
โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก มีสาเหตุมาจากอะไร? และมีอาการอย่างไร?
เลือดเทียม อีกครั้ง หมอกับชาวบ้านแม้จะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่หมอก็มีวัฒนธรรมแบบหมอ ๆ และชาวบ้านก็มีวัฒนธรรมแบบชาวบ้าน ๆ วัฒนธรรมในที่นี้ หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ค่านิยม ความถนัด ความเคยชิน ธรรมเนียมปฏิบัติ รวมทั้งภาษาในการสื่อสาร พูดจาภาษาหมอ มิเพียงแต่เป็นเรื่องของการอธิบายศัพท์เกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรมย่อยสองระบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่ดีขึ้นระหว่างหมอกับชาวบ้าน หากผู้อ่านมีข้อเสนอแนะประการใด ก็โปรดเขียนถึงคอลัมน์นี้ได้เลยครับ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้พบคุณป้าคนหนึ่ง อายุ 60 กว่า ๆ มาพบหมอเนื่องจากมีอาการอ่อนเพลียเหนื่อยง่าย เดินแค่ระยะ 10 – 20 เมตร ก็เหนื่อยแล้ว เมื่อตรวจดูก็พบว่า หน้าตาคุณป้าดูซีดเซียว ริมฝีปาก ลิ้น เล็บ และฝ่ามือ ดูซีดกว่าปกติ อาการแบบนี้เข้าได้กับโรคซีดหรือโลหิตจาง เลือดจาง หรือเลือดน้อย หมอตรวจดูอย่างถ้วนถี่ ก็พบว่าสาเหตุเกิดจากขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการสร้างเม็ดเลือดแดง โรคนี้มักจะเกิดคู่กับโรคทรัพย์จาง ยากจน เนื่องจากไม่มีจะกินหรือไม่ก็กินไม่เป็น คุณป้าแม้จะเป็นคนต่างจังหวัด แต่ฐานะนับว่าอยู่ในระดับมีอันจะกิน แต่เนื่องจากหลายเดือนมานี้ คุณป้ารู้สึกเบื่อกับข้าวกับปลาไปเสียทุกอย่าง กินได้เพียงข้าวผักจิ้มน้ำพริกเป็นบางมื้อ ต่อมาก็รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงได้รักษาที่ต่างจังหวัดก็ไม่ดีขึ้น ลูกสาวซึ่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงได้พาคุณป้ามาตรวจที่กรุงเทพฯ คุณป้าไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่เป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากคุณป้ากินอาหารไม่เพียงพอ หมออธิบายให้คุณป้าและลูกสาวฟัง หมอจัดยาให้ 2 อย่าง คือ ยาวิตามินรวม และยาเข้าธาตุเหล็ก เฟอร์รัสซัลเฟต บำรุงเลือดให้คนไข้กลับไปกินที่บ้าน คุณหมอ ไม่ฉีดยาบำรุงหรือให้เลือดเพียงสักหน่อยหรือ คนไข้เห็นยา 2 อย่างแล้ว ทำท่าฉงน ไม่อยากเชื่อว่า ยา 2 อย่างนี้จะช่วยรักษาได้ คุณแม่ เชื่อใจคุณหมอได้ ลูกสาวคุณป้าซึ่งมีความสนิทสนมและศรัทธาหมอช่วยเสริมความมั่นใจให้คนไข้ อีกสัปดาห์ต่อมา คุณป้ากลับมาหาหมอด้วยหน้าตาเบิกบาน สีหน้ามีเลือดฝาดดีขึ้น วันนี้ป้าเดินจากบ้านมา ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย คนไข้รู้สึกตัวว่าตัวเองดีขึ้นมาก เดินจากบ้านมาหาคุณหมอ เป็นระยะทางกว่า 500 เมตร ตอนอยู่บ้านนอก ป้าไปหาหมอเสนารักษ์ เขาให้เลือดเทียมป้า 2 ขวด ราคาขวดละ 500 บาท หมดไป 1000 บาท ก็เห็นดีขึ้น คุณป้าเล่าให้หมอฟัง นึกไม่ถึงว่า กินยาของคุณหมอราคาไม่กี่สตางค์ เพียงไม่กี่วันก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้ หมอบอกตั้งแต่แรกแล้ว คุณป้าไม่ไดเป็นไรมาก เพียงแต่กินอาหารไม่ได้ จึงทำให้ขาดอาหารและสารที่จำเป็นในการสร้างเลือด เมื่อคุณป้ากินยาบำรุงเลือดแล้วสบายขึ้น ต่อไปจะหายเบื่ออาหาร และกินอาหารได้มากขึ้น โรคโลหิตจากที่คุณป้า เป็นอยู่ก็จะหายไปได้ หมออธิบาย ส่วนเลือดเทียมที่หมอบางคนนิยมให้คนไข้นั้น ความจริงก็เป็นเพียงน้ำเกลือผสมวิตามิน ซึ่งไม่มีประโยชน์ในการรักษาโรคโลหิตจางแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ใช่เป็นยาบำรุงหรือยาเพิ่มแรงเพิ่มเลือดดังที่เข้าใจผิดกัน เห็นจะสรุปได้ว่าในการเยียวยารักษาโรคนั้น ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยโรคให้ถูกต้อง แล้วให้การรักษาให้เหมาะเจาะกับโรคที่เป็น ในโลกนี้ไม่มียาอะไรที่วิเศษ และสามารถจะให้การรักษาได้ครอบจักรวาล แม้จะมีราคาแพงสักปานใดก็ตาม
สาเหตุของโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก: การขาดธาตุเหล็ก: สาเหตุหลักของโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน โปรตีนในเม็ดเลือดแดงที่ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก จะส่งผลต่อการสร้างฮีโมโกลบิน ทำให้เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กและสีซีด ส่งผลต่อการขนส่งออกซิเจน การเสียเลือด: การเสียเลือดเรื้อรัง เช่น ประจำเดือนออกมากผิดปกติ แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น จะทำให้ร่างกายสูญเสียธาตุเหล็ก การดูดซึมธาตุเหล็กบกพร่อง: โรคบางชนิด เช่น โรคซีดคลอโรซิส โรคลำไส้แปรปรวน โรคไตเรื้อรัง การผ่าตัดตัดกระเพาะอาหารส่วนต้น การทานยาบางชนิด เช่น ยาขับกรด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาปฏิชีวนะบางชนิด ความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น: ผู้หญิงมีครรภ์ ทารก เด็กเล็ก วัยรุ่นเพศหญิง และผู้สูงอายุ ต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติ อาการของโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก: อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น หน้าซีด เวียนศีรษะ หายใจลำบาก ผมร่วง เล็บเปราะ ปากซีด ลิ้นซีด เจ็บหน้าอก ขาบวม การรักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก: - ยาบำรุงเลือด: แพทย์จะสั่งยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กในรูปแบบต่างๆ เช่น เฟอร์รัสซัลเฟต เฟอร์รัสกลูโคเนต เฟอร์รัสฟิวมารา - การรับประทานอาหาร: ควรทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ถั่วเหลือง ผักใบเขียว - การเสริมวิตามินซี: วิตามินซีช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ควรทานอาหารหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี การป้องกันโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก: - ทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง: ทานเนื้อสัตว์ ตับ ถั่วเหลือง ผักใบเขียว - ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง: ทานอาหารหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้ตระกูลส้ม มะเขือเทศ กะหล่ำปลี - ผู้หญิงมีครรภ์: ทานวิตามิน prenatal ที่มีธาตุเหล็ก - ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการของโรคโลหิตจาง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26559
Medical
กระเจี๊ยบมอญมีผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานหรือไม่?
null
ใช่ กระเจี๊ยบมอญมีผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน เหตุผล: 1. กระเจี๊ยบมอญมีเส้นใยอาหารสูง: เส้นใยอาหารช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือด ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงหลังทานอาหาร 2. กระเจี๊ยบมอญมีสารต้านอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน 3. กระเจี๊ยบมอญมีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอล: ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน งานวิจัยที่สนับสนุน: - งานวิจัยในปี 2011 พบว่า การดื่มน้ำกระเจี๊ยบมอญวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย HbA1c ลง 0.8% ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 - งานวิจัยในปี 2015 พบว่า การดื่มน้ำกระเจี๊ยบมอญวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL (ไขมันเลว) ลง 9.4% และเพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (ไขมันดี) ขึ้น 8.2% ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ข้อควรระวัง: 1. ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานกระเจยบมอญ เพราะอาจส่งผลต่อยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน 2. ไม่ควรทานกระเจี๊ยบมอญในปริมาณมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ สรุป: กระเจี๊ยบมอญมีผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน ควรทานกระเจี๊ยบมอญในปริมาณที่เหมาะสม และปรึกษาแพทย์ก่อนทาน
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine),เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_42908
Finance
ช่วยสรุปบทความ คานที่ดีดกลับ ให้หน่อย
คำหรือแนวความคิดหรือทฤษฎีทางการเงินการลงทุนที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งที่ใช้หลักหรือ “กฎของไม้คาน” ก็คือ การกู้เงินเพื่อทำธุรกิจหรือลงทุนหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า การ Leverage นี่ก็คือการที่นักการเงินหรือนักลงทุนพยายาม “ขยายกำลัง” หรือ “ขยายผลตอบแทน” ที่จะได้จากการลงทุนโดยการกู้ยืมเงินมาเพิ่มจากเงินในส่วนของตนเอง เช่น ตนเองมีเงิน 1 ล้านบาท แต่แทนที่จะลงทุนเงิน 1 ล้านบาทที่เขาคาดว่าจะได้ผลตอบแทนปีละ 200,000 บาท หรือ 20% ต่อปี เขาก็ไปกู้มาเพิ่มอีก 1 ล้านบาทกลายเป็นเงินลงทุน 2 ล้านบาท ซึ่งถ้าเขาได้ผลตอบแทนปีละ 20% เท่าเดิม เขาก็จะได้ผลตอบแทนปีละ 400,000 บาท ซึ่งเมื่อหักดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายปีละ 5% เป็นเงิน 50,000 บาท เขาก็จะเหลือกำไร 350,000 หรือเท่ากับ กำไรปีละ 35% แทนที่จะเป็น 20% และนี่ก็คือสิ่งที่เย้ายวนให้คนอยากใช้ “ไม้คาน” หรือ Leverage ในการลงทุน แต่การลงทุนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนโดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ เพราะถ้าแทนที่จะได้ผลตอบแทนจากปีละ 20% มันกลายเป็นขาดทุน 20% หรือขาดทุน 400,000 บาท แถมต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 50,000 บาท กลายเป็น 450,000 บาท ก็เท่ากับขาดทุน 45% คิดไปแล้วเราจะเหลือเงินในส่วนของตัวเองเพียง 550,000 บาท แทนที่จะขาดทุนเพียง 200,000 บาทและเหลือเงิน 800,000 บาท ถ้าเราไม่กู้เงินหรือไม่ใช้ Leverage ดังนั้น การใช้ไม้คานช่วยเพิ่มกำลังหรือเพิ่มผลตอบแทนจึงเป็นเสมือน “ดาบสองคม” คือ ถ้าดีก็จะยิ่งดีขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ถ้าเลวร้าย ความเลวร้ายก็จะทวีคูณเช่นกัน ยิ่งเราใช้ไม้คานที่ยาวหรือกู้เงินมากขึ้นเท่าไรเทียบกับเงินของตนเองที่มีอยู่ การ “ทวีคูณ” ก็มากขึ้นเท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ผลตอบแทนกับความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นเท่านั้น
"กฎของไม้คาน" หรือ Leverage ซึ่งเป็นการกู้เงินเพื่อขยายกำลังหรือผลตอบแทนจากการลงทุนหรือทำธุรกิจ การใช้ Leverage นั้นสามารถทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น โดยการใช้เงินที่กู้มาเพิ่มในการลงทุน เช่น การลงทุน 1 ล้านบาทด้วยการกู้เพิ่มอีก 1 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีเงินลงทุนรวม 2 ล้านบาท และหากมีผลตอบแทน 20% ต่อปี เราจะได้กำไร 400,000 บาท ซึ่งมากกว่าการลงทุนโดยใช้เงินตนเอง 1 ล้านบาทที่จะได้กำไรเพียง 200,000 บาท หรือ 20% ต่อปี เป็นต้น การใช้ Leverage นั้นเป็นวิธีที่นักลงทุนหรือนักการเงินใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้กำไรมากขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังเพราะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน การลงทุนไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ เพราะผลตอบแทนที่คาดหวังอาจกลายเป็นขาดทุน เช่น การคาดว่าจะได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี แต่อาจกลายเป็นขาดทุน 20% และต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก 50,000 บาท ทำให้ขาดทุนรวมถึง 45% โดยเงินที่เหลือเพียง 550,000 บาท แทนที่จะขาดทุนเพียง 200,000 บาทและเงินเหลือ 800,000 บาท ถ้าไม่ใช้ Leverage การใช้ Leverage เหมือน "ดาบสองคม" ที่ทำให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ถ้าดีก็ดีขึ้น แต่ถ้าเลวร้ายก็แย่ลง การ "ทวีคูณ" ขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้ไม้คานหรือการกู้เงินเท่าไรเมื่อเทียบกับเงินตนเอง ผลตอบแทนและความเสี่ยงจะสูงขึ้นตามไปด้วย
ความรู้ทางการเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_11104
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง Ketogenic diet ได้ไหม
อาหารคีโตเจนิค Ketogenic diet โรคสมอง โรคทางสมอง Brain disease ลมชัก Epilepsy อาหารคีโตเจนิคKetogenic diet คือ อาหารที่มีปริมาณไขมันสูง มีปริมาณโปรตีนเฉพาะที่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานของร่างกาย และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ ซึ่งเป็นอาหารที่คิดค้น อาหารชนิดนี้มีการศึกษาพบว่า สามารถช่วยบรรเทาอาการชักในโรคลมชักได้ จากส่วนผสมของอาหาร จะส่งผลให้เกิดมีสารที่เรียกว่า Ketone body สารที่สร้างในตับ และส่งผลถึงการใช้พลังงานของสมองในเลือดสูง ที่เรียกว่า ภาวะ Ketosis ที่จะส่งผลให้เซลล์สมองและสารสื่อประสาทในสมองทำงานได้สมดุล จนช่วยลดอาการชักได้ ในการรักษาโรคลมชัก อาหารชนิดนี้จะต้องได้รับคำแนะนำเป็นรายผู้ป่วยในการประกอบอาหารจาก แพทย์ระบบประสาท แพทย์ด้านโภชนาการ และโภชนากร ร่วมกัน โดยสัดส่วนอาหารและปริมาณพลังงานจากอาหารจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ตามชนิดของโรคลมชัก และตามความรุนแรงของอาการชัก
ช่วยบรรเทาอาการชักในโรคลมชักได้ Ketogenic diet คือ อาหารที่มีปริมาณไขมันสูง มีปริมาณโปรตีนเฉพาะที่เพียงพอ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ จากส่วนผสมของอาหาร จะส่งผลให้เกิดมีสารที่เรียกว่า Ketone body สารที่สร้างในตับ ภาวะ Ketosis ที่จะส่งผลให้เซลล์สมองและสารสื่อประสาทในสมองทำงานได้สมดุล ช่วยลดอาการชักได้
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_4121
Finance
โปรดสรุปบทความ ผลกระทบของบิตคอยน์ที่มีต่อทองคำ
บิตคอยน์คือหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด และครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 63% และปีนี้ถือว่าบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา โดยทะยานขึ้นเกือบ 170% ในปีนี้ และพุ่งขึ้นกว่า 43% ในเดือนพฤศจิกายน ที่สำคัญคือ การปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการชะลอตัวลงของราคาทองคำ จนทำให้นักลงทุนบางส่วนเกิดคำถามว่า บิตคอยน์คือสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดใหม่ที่จะมาเทียบเคียงกับทองคำหรือไม่ วันนี้ YLG มีคำตอบค่ะ บิตคอยน์คือหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด และครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 63% และปีนี้ถือว่าบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา โดยทะยานขึ้นเกือบ 170% ในปีนี้ และพุ่งขึ้นกว่า 43% ในเดือนพฤศจิกายน ที่สำคัญคือ การปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการชะลอตัวลงของราคาทองคำ จนทำให้นักลงทุนบางส่วนเกิดคำถามว่า บิตคอยน์คือสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดใหม่ที่จะมาเทียบเคียงกับทองคำหรือไม่ วันนี้ YLG มีคำตอบค่ะ หากเราย้อนกลับไปพิจารณาในช่วงปลายปี 2017 ที่บิตคอยน์เคยปรับตัวขึ้นอย่างมากจนแตะระดับสูงสุดที่ 19,891 ดอลลาร์ ก่อนที่จะดิ่งลงแรงแตะ 3,128 ดอลลาร์ในอีก 1 ปีถัดมา ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมากถึง -84% เลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นของบิตคอยน์ในปีนี้ดูจะแตกต่างออกไป โดยความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นในปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้ตัวเลือกการชำระเงินที่ไม่ใช่เงินสดได้รับความนิยมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บิตคอยน์ได้รับการยอมรับมากขึ้นหลังจาก PayPal และ Square มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านรายทั่วโลก ทางด้าน Open Interest ของ Bitcoin Futures ในตลาด CME แตะ 1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ต่างตบเท้าออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย หากเราย้อนกลับไปพิจารณาในช่วงปลายปี 2017 ที่บิตคอยน์เคยปรับตัวขึ้นอย่างมากจนแตะระดับสูงสุดที่ 19,891 ดอลลาร์ ก่อนที่จะดิ่งลงแรงแตะ 3,128 ดอลลาร์ในอีก 1 ปีถัดมา ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมากถึง -84% เลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นของบิตคอยน์ในปีนี้ดูจะแตกต่างออกไป โดยความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นในปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้ตัวเลือกการชำระเงินที่ไม่ใช่เงินสดได้รับความนิยมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บิตคอยน์ได้รับการยอมรับมากขึ้นหลังจาก PayPal และ Square มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านรายทั่วโลก ทางด้าน Open Interest ของ Bitcoin Futures ในตลาด CME แตะ 1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ต่างตบเท้าออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย อีกหนึ่งมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จาก J.P Morgan ที่เคยออกมาเตือนในปี 2017 ว่า ฟองสบู่ในบิตคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลจะแตกในที่สุด และจะต้องปิดตัวลง เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่อุปโลกน์ขึ้นเท่านั้น และกล่าวอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เลวร้ายกว่า ‘การตื่นหัวทิวลิป’ ที่เคยเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 ในขณะที่ปีนี้ J.P Morgan มองว่า ‘สกุลเงินดิจิทัลจะได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง พร้อมระบุว่าการยอมรับบิตคอยน์จากนักลงทุนสถาบันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’ โดย J.P Morgan อ้างถึงเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้า Grayscale Bitcoin Trust เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนตุลาคม นอกจากนี้ J.P Morgan ยังมองอีกว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากนักลงทุนโยกเงินทุนออกจากทองคำและไปสู่สกุลเงินดิจิทัล ถึงแม้ว่าบิตคอยน์จะถูกมองมากขึ้นว่าเป็น ‘New Digital Gold’ อย่างไรก็ดี ทองคำยังมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Asset), ความผันผวนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก, มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5,000 ปี และถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว, มีตลาดขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง อ้างอิงรายงานจาก World Gold Council ที่ระบุว่าในช่วงสิ้นปี 2019 มีทองคำจำนวน 197,576 ตันที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วหมุนเวียนอยู่ในภาคเครื่องประดับ, การลงทุน, การถือครองของธนาคารกลาง และอื่นๆ ถึงแม้ว่าบิตคอยน์จะถูกมองมากขึ้นว่าเป็น ‘New Digital Gold’ อย่างไรก็ดี ทองคำยังมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Asset), ความผันผวนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก, มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5,000 ปี และถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว, มีตลาดขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง อ้างอิงรายงานจาก World Gold Council ที่ระบุว่าในช่วงสิ้นปี 2019 มีทองคำจำนวน 197,576 ตันที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วหมุนเวียนอยู่ในภาคเครื่องประดับ, การลงทุน, การถือครองของธนาคารกลาง และอื่นๆ ดังนั้น หากคำนวณมูลค่าจากราคาทองคำ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2020 ที่ระดับ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พบว่า Market Cap ของทองคำทั่วโลกในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 11.64 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือได้ว่า Market Cap ของบิตคอยน์ยังคงต่ำกว่าทองคำอยู่ราว 33 เท่า ที่สำคัญคือ ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในสายตาของธนาคารกลางทั่วโลกได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หากคำนวณมูลค่าจากราคาทองคำ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2020 ที่ระดับ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พบว่า Market Cap ของทองคำทั่วโลกในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 11.64 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือได้ว่า Market Cap ของบิตคอยน์ยังคงต่ำกว่าทองคำอยู่ราว 33 เท่า ที่สำคัญคือ ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในสายตาของธนาคารกลางทั่วโลกได้เป็นอย่างดี จากทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอตอบคำถามนักลงทุนได้ว่า บิตคอยน์อาจยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้เต็ม 100% ขณะที่การขึ้นเร็ว-ลงแรงในตลาดบิตคอยน์ สะท้อนให้เห็นปัญหาเสถียรภาพด้านราคา แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า ตลาดบิตคอยน์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะส่งผลต่อตลาดทองคำ อย่างน้อยๆ คือ ดึงเม็ดเงินเก็งกำไรออกไปจากตลาดทองคำ จากทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอตอบคำถามนักลงทุนได้ว่า บิตคอยน์อาจยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้เต็ม 100% ขณะที่การขึ้นเร็ว-ลงแรงในตลาดบิตคอยน์ สะท้อนให้เห็นปัญหาเสถียรภาพด้านราคา แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า ตลาดบิตคอยน์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะส่งผลต่อตลาดทองคำ อย่างน้อยๆ คือ ดึงเม็ดเงินเก็งกำไรออกไปจากตลาดทองคำ ดังนั้น นี่จึงถือเป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนทองคำไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าหากบิตคอยน์ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้เกิดการโยกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกจากตลาดทองคำได้
บิตคอยน์คือหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด ครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 63% และแม้ก่อนหน้านี้บิตคอยน์จะเคยปรับตัวขึ้นอย่างมาก ก่อนจะดิ่งลงแรงในอีก 1 ปีถัดมา จนหลายคนขาดความเชื่อมั่น ทว่าเมื่อ COVID-19 แพร่ระบาด ตัวเลือกการชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดได้รับความนิยมมากขึ้น บวกกับการปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ เกิดขึ้นพร้อมการชะลอตัวลงของราคาทองคำ นอกจากนี้ PayPal และ Square ยังมีแผนให้ลูกค้าใช้สกุลเงินดิจิทัลซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีก 26 ล้านรายทั่วโลก นักลงทุนบางส่วนจึงเกิดคำถามว่า บิตคอยน์อาจเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดใหม่ที่จะมาเทียบเคียงกับทองคำ ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดอย่างพอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ต่างออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อบิตคอยน์มากขึ้น โดยเฉพาะ J.P Morgan ที่เคยออกมาเตือนในปี 2017 ว่า ฟองสบู่ในบิตคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลจะแตกและจะต้องปิดตัวลงอย่างเลวร้ายที่สุด เนื่องจากเป็นสกุลเงินอุปโลกน์ ยังหันกลับมายอมรับว่าบิตคอยน์จากนักลงทุนสถาบันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ปัจจุบันทองคำก็ยังมีข้อได้เปรียบคือ 1) เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Asset), 2) ความผันผวนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก 3) มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 5,000 ปี 4) ได้รับการถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว และยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 5) มีตลาดขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_19206
Medical
ภายหลังการรักษาโรคสตีเว่น จอห์นสัน อาจมีผลกระทบต่อร่างกายที่ตามมาอีกนาน คืออะไรบ้าง
สตีเว่น จอห์นสัน ตอนที่ 4 และตอนจบ สตีเว่น จอห์นสัน ตอนที่ 4 และตอนจบ การรักษาจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งมักจะให้อยู่ในห้องดูแลผู้ป่วยหนัก Intensive care unit ICU หรือหอผู้ป่วยไฟไหม้น้ำร้อนลวก Burn unit โดย - หยุดยาที่ทำให้แพ้ - รักษาตามอาการ Supportive care เช่น ให้สารน้ำและสารอาหาร – เพราะปัญหาผิวหนังอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ รักษาแผล – ด้วยการประคบเย็น เอาเซลล์ผิวหนังที่ตายออกและทายาหรือตกแต่งแผล รักษาตา – ด้วยจักษุแพทย์ รักษาปาก – โดยใช้น้ำยาบ้วนปากและทายา - การให้ยา เช่น ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบของตาและเยื่อบุส่วนต่างๆ ยาปฏิชีวนะที่ควบคุมการติดเชื้อ ยาอื่นๆ ตามความรุนแรง เช่น ยาสเตียรอยด์ อิมมิวโนโกลบูลิน Immune globulin เป็นต้น ทั้งนี้ ภายหลังการรักษาอาจมีผลกระทบต่อร่างกายที่ตามมาอีกนาน เช่น เป็นแผลเป็นที่ผิวหนัง สีผิวเปลี่ยนไป ตาแห้ง และปวดตาเมื่อเจอแสงจ้า มีปัญหาเรื่องการมองเห็น ติดเชื้อที่เหงือกหรือปาก มีปัญหาเรื่องปอด เช่น โรคหลอดลมอักเสบ Bronchiolitis ซึ่งทำให้มีอาการไอและหายใจลำบาก เล็บไม่งอก ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ Phimosis หรือ ช่องคลอดตีบตัน Occluded vagina ข้อยึด Joint contractures ส่วนการดูแลตัวเองนั้นสามารถทำได้ด้วยการ รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น ชื่อยา แจ้งแพทย์ให้ทราบว่ามีประวัติการเป็นสตีเว่นจอห์นสัน ใส่กำไลข้อมือ Bracelet หรือสร้อยคอ Necklace ที่ระบุชื่อโรค ชื่อยาที่แพ้ และอื่นๆ
ภายหลังการรักษาโรคสตีเว่น จอห์นสัน อาจมีผลกระทบต่อร่างกายที่ตามมาอีกนาน เช่น เป็นแผลเป็นที่ผิวหนัง สีผิวเปลี่ยนไป ตาแห้ง และปวดตาเมื่อเจอแสงจ้า มีปัญหาเรื่องการมองเห็น ติดเชื้อที่เหงือกหรือปาก มีปัญหาเรื่องปอด เช่น โรคหลอดลมอักเสบ Bronchiolitis ซึ่งทำให้มีอาการไอและหายใจลำบาก เล็บไม่งอก ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ หรือ ช่องคลอดตีบตัน ข้อยึด
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,ผิวหนัง Dermatology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26947
Medical
"มะเร็งตับในประชากรไทย กับปัจจัยเสี่ยง อาการ การตรวจ และวิธีการป้องกัน"
มะเร็งตับ โรคเงียบที่คนไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิง มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) เกิดจากเซลล์ของตับที่เป็นมะเร็ง เกิดการแบ่งตัวแล้วแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โรคนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการในระยะกลาง-ระยะสุดท้ายแล้ว ทำให้อันตรายอย่างมาก ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด โรคมะเร็งตับ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ซี ไขมันพอกตับจากเบาหวาน และโรคอ้วน (Fatty Liver) ผู้ป่วยโรคตับแข็ง จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือสาเหตุอื่น อาหารที่มี Aflatoxin, Nitrites สูง อาการ มะเร็งตับ มะเร็งตับระยะแรกๆ มักไม่มีอาการ แต่จะแสดงอาการในระยะสุดท้าย ปวดท้อง น้ำหนักลด คลำเจอก้อนแข็งบริเวณท้องส่วนบน ท้องมาน ตัวเหลือง ตาเหลือง เท้าบวม มะเร็งตับมีวิธีการตรวจอย่างไรบ้าง? วิธีตรวจมะเร็งตับในปัจจุบันมีวิธีใดบ้าง? ซักประวัติและตรวจร่างกาย ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ (Alpha-Fetoprotein) ตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan และตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI ตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา การรักษามะเร็งตับ การผ่าตัด เช่น ตัดออกบางส่วน หรือปลูกถ่ายตับ สำหรับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จะสามารถทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีก้อนในตับขนาดน้อยกว่า 5 ซม. และต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี การทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งตับ เช่น ใช้ความร้อนแบบ Radiofrequency Ablation หรือ Microwave Ablation, รักษาด้วยการใช้ความเย็น, และรักษาด้วยการใช้แอลกอฮอล์ การฉายรังสีจากภายนอกลำตัว เพื่อทำให้แสงรังสีมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงต่อเนื้อเยื่อมะเร็งตับ โดยไม่ให้เกิดภาวะข้างเคียงต่ออวัยวะรอบข้าง รังสีวิทยา เช่น การใส่ยาคีโม การใส่สารรังสี เพื่อทำลายชิ้นเนื้อมะเร็งตับ ภูมิคุ้มกันบำบัด เช่น PD-1 and PD-L1 Inhibitors และ CTLA-4 Inhibitor ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) คือ Kinase Inhibitor และ Monoclonal Antibodies การป้องกันมะเร็งตับ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ได้แก่ ลดดื่มแอลกอฮอล์ ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะไขมันพอกตับ ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี งดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ บี ควรได้รับการฉีดวัคซีน หากมีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจเช็ก ตามคำแนะนำของแพทย์ “การลดความเสี่ยงมะเร็งตับที่ดีที่สุด คือการหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี เนื่องจาก 90% ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี และซี ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ หากมีมะเร็งตับเกิดขึ้น มะเร็งตับจะโตขึ้น เป็น 2 เท่าภายในเวลา 3-6 เดือน”
มะเร็งตับเป็นโรคที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดในประชากรไทย โดยมีอัตราการเสียชีวิตอันดับ 1 ในเพศชายและอันดับ 3 ในเพศหญิง โรคนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น ติดเชื้อไวรัสตับ, ไขมันพอกตับ, แอลกอฮอล์, และสารพิษเคมีต่างๆ เป็นต้น อาการของมะเร็งตับมักไม่แสดงในระยะแรก แต่จะปรากฏเมื่อเข้าสู่ระยะกลางถึงระยะสุดท้าย อาการได้แก่ ปวดท้อง, น้ำหนักลด, คลำเจอก้อน, ท้องมาน, ตัวเหลือง, เท้าบวม เป็นต้น การตรวจมะเร็งตับมีหลายวิธี เช่น การตรวจเลือด, ตรวจร่างกาย, ตรวจทางรังสี เช่น อัลตราซาวนด์, CT Scan, MRI, และการตัดชิ้นเนื้อเพื่อทำการตรวจทางพยาธิวิทยา วิธีการรักษามะเร็งตับประกอบด้วยการผ่าตัด, การทำลายเนื้อเยื่อ, รังสีวิทยา, ภูมิคุ้มกันบำบัด, ยามุ่งเป้า, และการฉีดสารเคมี เช่น ยาคีโม การป้องกันมะเร็งตับควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อโรค เช่น ลดการดื่มแอลกอฮอล์, ลดความอ้วน, ออกกำลังกาย, ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ และฉีดวัคซีน สำหรับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ, ควรตรวจคัดกรองเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี เนื่องจากโรคมะเร็งตับมีความสัมพันธ์กับไวรัสนี้ในร้อยละสูง การลดความเสี่ยงมะเร็งตับที่ดีที่สุดคือการตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำ, เฉพาะผู้ที่เสี่ยงสูง เช่น ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี โดยการตรวจนี้สามารถช่วยตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้นและเพิ่มโอกาสรักษาสำเร็จ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_24427
Medical
การฝึกสมาธิมีผลต่อสุขภาพจิตอย่างไร?
null
การฝึกสมาธิมีผลต่อสุขภาพจิตในหลายแง่มุม ดังนี้: 1. ลดความเครียดและความวิตกกังวล: การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ ลดความคิดฟุ้งซ่าน ช่วยให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ลดความกังวลเกี่ยวกับอดีตและอนาคต ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การฝึกสมาธิช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) และโดปามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข 2. เพิ่มความสุขและความพึงพอใจ: การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบาน เบาสบายภายในจิต ช่วยให้มีมุมมองต่อชีวิตในเชิงบวก เพิ่มความพึงพอใจในชีวิต 3. เพิ่มความจำและความสามารถในการจดจ่อ: การฝึกสมาธิช่วยให้สมองมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น ช่วยให้จดจำข้อมูลได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 4. ช่วยให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น: การฝึกสมาธิช่วยให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ควบคุมความคิดและอารมณ์ได้ดีขึ้น ช่วยให้ใจเย็น ลดความโกรธ ความโมโห และความหงุดหงิด 5. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น: การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ ลดความคิดกังวล ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น นอนหลับลึกขึ้น และช่วยให้นอนหลับสบาย 6. ช่วยลดอาการปวดเรื้อรัง: การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดเรื้อรัง ช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด 7. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน: การฝึกสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง 8. ช่วยให้มีสติและตื่นรู้: การฝึกสมาธิช่วยให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน รู้สึกตัว รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ ช่วยให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากขึ้น ตัวอย่าง ในบทความ ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ ผู้เขียนเล่าว่า เมื่อเกิดความโกรธ เขาจะนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ซึ่งช่วยให้จิตใจสงบ ลดความโกรธ และเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบาน เบาสบายภายในจิต ผู้เขียนเล่าว่า ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก สรุป การฝึกสมาธิมีผลต่อสุขภาพจิตในหลายแง่มุม ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความเครียด เพิ่มความสุข เพิ่มความจำ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น นอนหลับได้ดีขึ้น ลดอาการปวดเรื้อรัง เพิ่มภูมิคุ้มกัน และช่วยให้มีสติและตื่นรู้
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43652
Finance
ในเดือน กรกฎาคม 2023 ดัชนี MSCI ACWI เป็นอย่างไร ?
ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนยังไม่สดใส หากกล่าวถึงปัจจัยต่างประเทศน้ำหนักยังอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและตัวเลขเงินเฟ้อ ปัจจุบันก็ขึ้นมาถึงระดับ 5.25-5.55% จะหยุดตรงนี้หรือไปต่อก็ต้องตามกันต่อไป ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ประเด็นการเมืองเป็นเรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ รัฐบาลใหม่น่าจะมาช้า และสิ่งที่กังวลคือ งบลงทุนของเราก็มีแนวโน้มมาช้าเช่นกัน ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนยังไม่สดใส หากกล่าวถึงปัจจัยต่างประเทศน้ำหนักยังอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและตัวเลขเงินเฟ้อ ปัจจุบันก็ขึ้นมาถึงระดับ 5.25-5.55% จะหยุดตรงนี้หรือไปต่อก็ต้องตามกันต่อไป ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ประเด็นการเมืองเป็นเรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ รัฐบาลใหม่น่าจะมาช้า และสิ่งที่กังวลคือ งบลงทุนของเราก็มีแนวโน้มมาช้าเช่นกัน เริ่มที่สหรัฐฯ ภาพการลงทุนที่ฟื้นตัวมาจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวลงอย่างช้าๆ ไม่รุนแรง (Soft Landing) จากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมที่ยังดีอยู่ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Fed อาจหยุดขึ้นดอกเบี้ยหลังจากปรับขึ้นอีก 0.25% หรือ 25 bps เป็น 5.20-5.50% ในเดือนกรกฎาคม ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี เริ่มที่สหรัฐฯ ภาพการลงทุนที่ฟื้นตัวมาจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวลงอย่างช้าๆ ไม่รุนแรง (Soft Landing) จากตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมที่ยังดีอยู่ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Fed อาจหยุดขึ้นดอกเบี้ยหลังจากปรับขึ้นอีก 0.25% หรือ 25 bps เป็น 5.20-5.50% ในเดือนกรกฎาคม ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อทยอยปรับลดลง ได้แก่ 1. ตัวเลขดัชนีค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน ยังขยายตัวอ่อนๆ ที่ 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน 2. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนที่ 3.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.0% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนมิถุนายนก็ชะลอตัวลงเช่นกันอยู่ที่ 4.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจากเดือนก่อนที่ 5.3 นอกจากนี้ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนมิถุนายน ก็ขยายตัวเพียง 0.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจาก 0.9% จากเดือนก่อน ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อทยอยปรับลดลง ได้แก่ 1. ตัวเลขดัชนีค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน ยังขยายตัวอ่อนๆ ที่ 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน 2. สหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนที่ 3.0% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.0% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเดือนมิถุนายนก็ชะลอตัวลงเช่นกันอยู่ที่ 4.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจากเดือนก่อนที่ 5.3 นอกจากนี้ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ เดือนมิถุนายน ก็ขยายตัวเพียง 0.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ลดลงจาก 0.9% จากเดือนก่อน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิถุนายนออกมาที่ 2.09 แสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายนทรงตัวที่ 3.6% โดยตำแหน่งงานเปิดใหม่เดือน พฤษภาคมอยู่ที่ 9.8 ล้านตำแหน่ง ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ทาง IMF ได้ปรับประมาณการ GDP โลกปี 2023 ขึ้นเป็น 3.0% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.8% ในเดือนเมษายนด้วย ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิถุนายนออกมาที่ 2.09 แสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานเดือนมิถุนายนทรงตัวที่ 3.6% โดยตำแหน่งงานเปิดใหม่เดือน พฤษภาคมอยู่ที่ 9.8 ล้านตำแหน่ง ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า เป็นต้น นอกจากนี้ทาง IMF ได้ปรับประมาณการ GDP โลกปี 2023 ขึ้นเป็น 3.0% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 2.8% ในเดือนเมษายนด้วย ด้านการลงทุน ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้นประมาณ 3% ในเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีรายภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้น ส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 0.06% หรือ 6 bps เป็น 4.9% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนภาพนักลงทุนในตลาดพันธบัตรประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจถดถอยลดลงจากการที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ทำให้มีโอกาสที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งตลาดทองคำตอบรับในทิศทางเดียวกัน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้น 2.7% เป็น 1,972 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อย ด้านการลงทุน ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้นประมาณ 3% ในเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีรายภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้น ส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 0.06% หรือ 6 bps เป็น 4.9% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนภาพนักลงทุนในตลาดพันธบัตรประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจถดถอยลดลงจากการที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ทำให้มีโอกาสที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งตลาดทองคำตอบรับในทิศทางเดียวกัน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้น 2.7% เป็น 1,972 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้นตามบรรยากาศการลงทุนที่ดีในต่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนราคาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มพลังงานปรับสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นหลังรายงานกำไร 2Q23 ปรับขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวหลังพรรคก้าวไกลเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับตลาดทุน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้นตามบรรยากาศการลงทุนที่ดีในต่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนราคาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มพลังงานปรับสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นหลังรายงานกำไร 2Q23 ปรับขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวหลังพรรคก้าวไกลเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับตลาดทุน มุมมองการลงทุนในเดือนสิงหาคม เรื่องของการเมืองในประเทศไทยจะยังคงเป็นกระแสหลักที่มีผลต่อการลงทุน ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะชะลอลงบ้าง แต่ก็ขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ สำหรับผลการประชุมของ กนง. มีการปรับขึ้นตามคาดการณ์อยู่ที่ 0.25% มุมมองการลงทุนในเดือนสิงหาคม เรื่องของการเมืองในประเทศไทยจะยังคงเป็นกระแสหลักที่มีผลต่อการลงทุน ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะชะลอลงบ้าง แต่ก็ขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ สำหรับผลการประชุมของ กนง. มีการปรับขึ้นตามคาดการณ์อยู่ที่ 0.25% จากที่กล่าวมา เห็นได้ว่าปัจจัยการลงทุนยังเป็นเรื่องเดิมที่รอความชัดเจน ผมยังให้ น้ำหนักการลงทุนในหุ้นคงไว้ที่ 45% โดยแบ่งเป็น สหรัฐฯ และจีน รวมกันไม่เกิน 15% ประเด็นคงเหมือนเดิม เรื่องปัญหาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงของจีน ญี่ปุ่น คงน้ำหนักไว้ที่ 10% เพราะเป็นประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูง และได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวหลังฟื้นตัวจากโควิด ประเทศไทย 20% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 20% เป็นตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade ประมาณ 10%, ตลาดเงิน 10%, ทอง น้ำมัน และ REIT รวมกันประมาณ 15% โดยเน้นไปที่ REIT จากที่กล่าวมา เห็นได้ว่าปัจจัยการลงทุนยังเป็นเรื่องเดิมที่รอความชัดเจน ผมยังให้ น้ำหนักการลงทุนในหุ้นคงไว้ที่ 45% โดยแบ่งเป็น สหรัฐฯ และจีน รวมกันไม่เกิน 15% ประเด็นคงเหมือนเดิม เรื่องปัญหาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงของจีน ญี่ปุ่น คงน้ำหนักไว้ที่ 10% เพราะเป็นประเทศที่มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูง และได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวหลังฟื้นตัวจากโควิด ประเทศไทย 20% ตราสารหนี้และตลาดเงิน 40% แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น 20% เป็นตราสารหนี้ระยะกลางของเอกชนที่อยู่ในระดับ Investment Grade ประมาณ 10%, ตลาดเงิน 10%, ทอง น้ำมัน และ REIT รวมกันประมาณ 15% โดยเน้นไปที่ REIT
ด้านการลงทุน ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้นประมาณ 3% ในเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีรายภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้น ส่วนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 0.06% หรือ 6 bps เป็น 4.9% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนภาพนักลงทุนในตลาดพันธบัตรประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจถดถอยลดลงจากการที่เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ทำให้มีโอกาสที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งตลาดทองคำตอบรับในทิศทางเดียวกัน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้น 2.7% เป็น 1,972 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเดือนกรกฎาคมปรับตัวขึ้นตามบรรยากาศการลงทุนที่ดีในต่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนราคาหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มพลังงานปรับสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นหลังรายงานกำไร 2Q23 ปรับขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวหลังพรรคก้าวไกลเปิดทางให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับตลาดทุน มุมมองการลงทุนในเดือนสิงหาคม เรื่องของการเมืองในประเทศไทยจะยังคงเป็นกระแสหลักที่มีผลต่อการลงทุน ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะชะลอลงบ้าง แต่ก็ขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ สำหรับผลการประชุมของ กนง. มีการปรับขึ้นตามคาดการณ์อยู่ที่ 0.25%
ตลาดการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน,เศรษฐศาสตร์การเงิน
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_16290
Medical
การให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะ จะสร้างคุณค่ามหาศาลให้แก่ผู้สูงอายุ ในมิติของอะไรบ้าง
จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน - ภาคที่ 4 จิตวิทยาผู้สูงวัย ตอนที่ 82 จากความคิดสร้างสรรค์สู่งานอนุรักษ์ จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน - ภาคที่ 4 จิตวิทยาผู้สูงวัย ตอนที่ 82 จากความคิดสร้างสรรค์สู่งานอนุรักษ์ ข้อสรุปในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ Creativity มิไช่ใช้เฉพาะผู้สูงอายุที่มีพรสวรรค์ Gifted เท่านั้น แต่ยังประยุกต์ใช้ Apply ได้กับบทบาทความคิดสร้างสรรค์ในชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุทั่วไป แม้ผลการวิจัยบางชิ้น จะพบคะแนนทดสอบที่ต่ำลงในบั้นปลายของชีวิต แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่า ความคิดสร้างสรรค์ ยังคงอยู่ Existent ในผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงไม่เป็นการยากเลยที่ผู้สูงอายุจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนภาพ ข้อโต้แย้งนี้หักล้าง Counter-act ความเชื่อของนักจิตวิทยากระแสหลัก Mainstream psychology ที่สนับนุน Advocate ความคิดที่ว่า ผู้สูงอายุสูญเสียพลังสร้างสรรค์ Creative power ไปตามสังขารณ์ที่เสื่อมถอย อันที่จริง มีประจักษ์หลักฐาน Evidence มากมายที่แสดงว่า การให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วม Engage ในกิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะ จะสร้างคุณค่า Value มหาศาลให้แก่ผู้สูงอายุ ในมิติของการเพิ่มพูน Enhance ความรู้สึกของสุขภาพดี Well-being และการประเมินคุณค่าในตนเอง Self-esteem สิ่งที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับความคิดสร้างสรรค์ คือ การอนุรักษ์ Conservation ซึ่งหมายถึงความสามารถในการคิดด้วยเหตุผล Logical thinking ที่นักจิตวิทยา ฌอง เปียเจต์ Jean Piaget สรุปจากผลงานวิจัยว่า มิได้มีอยู่ในเด็กในช่วงระหว่างอายุ 2 – 7 ปี แต่จะพัฒนาในเด็กช่วงอายุระหว่าง 7 – 11 ปี อย่างไรก็ตาม นักวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุไม่สันทัดงานอนุรักษ์ดังกล่าว การค้นพบนี้สร้างความประหลาดใจมาก เพราะเด็กอายุ 7 ขวบส่วนใหญ่ สามารถทำงาน Perform ชิ้นนี้ได้สำเร็จ งานที่ว่านี้ เป็นการทดสอบความรู้ของผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการวิจัย Participant ว่า วัตถุ 2 ชิ้นที่มีปริมาตรเท่ากัน Equal volume จะยังคงมีปริมาตรเท่ากัน แม้ว่าวัตถุชิ้นหนึ่งจะเปลี่ยนรูปร่าง Shape ไป ผู้ทดลอง Experimenter ให้ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการวิจัยเห็นดินน้ำมัน Clay จำลองแบบ Model เป็นลูกบอลที่มีขนาดและรูปร่างเท่ากัน โดยแต่ละลูกประกอบด้วยปริมาณดินน้ำมันเดียวกัน ผู้ทดลองปั้นดินน้ำมันลูกหนึ่งให้เป็นรูปทรงไส้กรอก แล้วถามผู้สูงอายุว่า ดินน้ำมันทั้งสองก้อนมีปริมาณเท่ากันไหม ผู้สูงอายุกลับตอบว่า ไม่เท่ากัน นักวิจัยอีกคนหนึ่ง ได้เลียนแบบ Replicate การทดสอบของเปียเจต์ โดยให้ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมวิจัยเห็นดินน้ำมัน 3 ก้อนในรูปร่างของภูเขาที่มีลักษณะแตกต่างกัน Distinct features วางอยู่บนโต๊ะ ภูเขาลูกหนึ่งมีหิมะปกคลุมยอด อีกลูกหนึ่งมีบ้านอยู่บนเขา และลูกสุดท้ายมีต้นไม้เติบโตทั่วภูเขา ผู้ทดลองให้ผู้เข้าร่วมการวิจัยเห็นภาพต่างๆ กัน จากนานามุมมองรอบโต๊ะ เมื่อให้ผู้สูงอายุเลือกภาพจากมุมมอง Viewpoint ของตนเอง เขาสามารถเลือกได้อย่างไม่ผิดพลาด Faultless แต่เมื่อให้เขาเลือกจากตำแหน่งที่วางตุ๊กตาอยู่ ปรากฏว่าเขาเลือกผิด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการคาดคะเนที่ผิดพลาดในเรื่องเทศะ Space
การให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะ จะสร้างคุณค่ามหาศาลให้แก่ผู้สูงอายุ ในมิติของการเพิ่มพูนความรู้สึกของสุขภาพดี และการประเมินคุณค่าในตนเอง
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_295
Finance
ข้อใดเป็นจุดเด่นของกองทุนที่ใช้ดัชนี S&P 500 เป็นเกณฑ์การลงทุน ระหว่าง มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ หรือ อาจให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก
null
มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะการมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เป็นจุดเด่นของกองทุนที่ใช้ดัชนี S&P 500 เป็นเกณฑ์การลงทุน ซึ่งจุดเด่นของกองทุนที่ใช้ดัชนี S&P 500 เป็นเกณฑ์การลงทุน ได้แก่ 1. เป็นเสมือนตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐ ส่วนใหญ่กองทุน หรือ ETF ที่ลงทุนอิงดัชนี S&P 500 จะให้ Performance ที่ใกล้เคียงกับสภาพตลาดหุ้นอเมริกาในภาพรวม มีการกระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม 2. มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะการลงทุนในหุ้นจำนวนกว่า 500 ตัว ย่อมมีการกระจายการลงทุนไปในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอเมริกาที่มีธุรกิจหลากหลาย และหุ้นที่มูลค่าตลาดสูงโดยมากก็มักจะเป็นหุ้น Blue-Chip หรือหุ้นบริษัทใหญ่ที่มีดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน 3. ฟื้นตัวได้เสมอ เพราะดัชนี S&P 500 มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดอเมริกาโดยรวม กองทุนที่ลงทุนในดัชนี้จะสามารถฟื้นตัวได้เสมอ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ในดัชนีผูกกับธุรกิจใหญ่ภายในประเทศที่มีความสัมพันธ์ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในอเมริกา ส่วน "อาจให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก" เป็นจุดสังเกตของกองทุนที่ใช้ดัชนี S&P 500 เป็นเกณฑ์การลงทุน ซึ่งมีดังนี้ 1. มีข้อจำกัดบางประการ ดัชนี S&P 500 จะมีแต่หุ้นบริษัทใหญ่ของอเมริกา เนื่องจากมีการจำกัดให้เฉพาะหุ้นบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ดังนั้น บริษัท E-commerce ใหญ่ ๆ อย่าง Alibaba ก็จะไม่อยู่ในดัชนีนี้ 2. อาจให้ผลตอบแทนไม่สูงมาก เพราะกองทุนหรือ ETF ที่ลงทุนอิงดัชนี S&P 500 จะมีลักษณะเน้นลงทุนแบบตั้งรับ (Passive) และเมื่อมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้ไม่มีขาขึ้นที่ชัดเจน เพราะช่วงขาขึ้นของหลาย ๆ ธุรกิจก็จะเป็นช่วงขาลงของอีกหลาย ๆ ธุรกิจเช่นกัน 3. ไม่สามารถปรับอะไรได้ ด้วยลักษณะของกองทุนและ ETF ที่ทุกอย่างจะกำหนดมาเบ็ดเสร็จ ทั้งนโยบายการลทุนและการจัดการต่าง ๆ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถปรับเปลี่ยนใด ๆ ได้ แม้จะมีบางบริษัทที่ไม่อยากลงทุนด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะหุ้นตัวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_509
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "รู้จัก The Magnificent Seven 7 หุ้นเทพที่กำลังครองโลก" ให้หน่อยค่ะ
รู้จัก The Magnificent Seven 7 หุ้นเทพที่กำลังครองโลก ​ ตั้งแต่ต้นมานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเหนือกว่าตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด กลับพบว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบกระจุกตัว นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่แค่ 7 ตัวเท่านั้น คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia ตั้งแต่ต้นมานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเหนือกว่าตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด กลับพบว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบกระจุกตัว นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่แค่ 7 ตัวเท่านั้น คือ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia หุ้นเทคโนโลยี 7 ตัวนี้ มีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงถึง 27% และมีน้ำหนักต่อ Nasdaq 100 ถึง 55% พอหุ้นพวกนี้แกว่งขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มากทีเดียว หุ้นเทคโนโลยี 7 ตัวนี้ มีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงถึง 27% และมีน้ำหนักต่อ Nasdaq 100 ถึง 55% พอหุ้นพวกนี้แกว่งขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มากทีเดียว เลยมีคนบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เรียกหุ้น 7 ตัวนี้ว่า The Magnificent Seven ขออนุญาตแปลเอาเองเป็นคำไทยเท่ ๆ ว่า “7 หุ้นเทพ” ก็แล้วกันครับ เลยมีคนบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เรียกหุ้น 7 ตัวนี้ว่า The Magnificent Seven ขออนุญาตแปลเอาเองเป็นคำไทยเท่ ๆ ว่า “ ก็แล้วกันครับ The Magnificent Seven คืออะไร? คือ หุ้น 7 ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก คือ หุ้น 7 ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก คำว่า The Magnificent Seven เพิ่งถูกหยิบมาพูดถึงในปี 2023 นี้เอง เพราะกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งหุ้นทั้ง 7 ตัว ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จาก AI คำว่า The Magnificent Seven เพิ่งถูกหยิบมาพูดถึงในปี 2023 นี้เอง เพราะกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งหุ้นทั้ง 7 ตัว ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จาก AI จึงถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต มีโอกาสสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยี AI และกำลังจะครองโลกในเฟสถัดจากนี้ไปอีกยาว ๆ จึงถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต มีโอกาสสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยี AI และกำลังจะครองโลกในเฟสถัดจากนี้ไปอีกยาว ๆ The Magnificent Seven มีหุ้นอะไรบ้าง? เอาจริง ๆ แล้ว ทุกบริษัทล้วนเป็นที่รู้จักของทุกคนกันดีอยู่แล้ว แทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ดังนั้นเราเลยสรุปเพียงประเด็นสำคัญ และตัวเลขที่น่าใจมาฝาก เอาจริง ๆ แล้ว ทุกบริษัทล้วนเป็นที่รู้จักของทุกคนกันดีอยู่แล้ว แทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ดังนั้นเราเลยสรุปเพียงประเด็นสำคัญ และตัวเลขที่น่าใจมาฝาก Source: Tradingview as of 19/07/2023 Source: Tradingview as of 19/07/2023 1. Apple (AAPL) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 394,328 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 99,803 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 25.31% Market Cap. 3,068,670.00 ล้านดอลลาร์ P/E 31.91 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +48.70% รายได้รวม 394,328 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 99,803 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 25.31% Market Cap. 3,068,670.00 ล้านดอลลาร์ P/E 31.91 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +48.70% 2. Microsoft (MSFT) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 198,270 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 72,738 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 36.69% Market Cap. 2,579,148 ล้านดอลลาร์ P/E 35.91 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +47.89% รายได้รวม 198,270 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 72,738 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 36.69% Market Cap. 2,579,148 ล้านดอลลาร์ P/E 35.91 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +47.89% 3. Alphabet (GOOGL) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 282,836 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 59,972 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 21.2% Market Cap. 1,504,470.89 ล้านดอลลาร์ P/E 26.49 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +38.15% รายได้รวม 282,836 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 59,972 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 21.2% Market Cap. 1,504,470.89 ล้านดอลลาร์ P/E 26.49 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +38.15% 4. Amazon (AMZN) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 513,983 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ -2,722 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ -0.53% Market Cap. 1,333,851.98 ล้านดอลลาร์ P/E 317.07 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +55.43% รายได้รวม 513,983 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ -2,722 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ -0.53% Market Cap. 1,333,851.98 ล้านดอลลาร์ P/E 317.07 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +55.43% 5. Meta Platforms (META) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 116,609 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 23,200 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 19.9% Market Cap. 754,108.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ P/E 38.17 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +154.97% รายได้รวม 116,609 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 23,200 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 19.9% Market Cap. 754,108.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ P/E 38.17 เท่า ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +154.97% 6. Tesla (TSLA) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 81,462 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 12,583 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 15.45% Market Cap. 824,133.35 ล้านดอลลาร์ P/E 84.42 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +147.61% รายได้รวม 81,462 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 12,583 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 15.45% Market Cap. 824,133.35 ล้านดอลลาร์ P/E 84.42 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +147.61% 7. Nvidia (NVDA) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 รายได้รวม 26,914 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 9,752 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 36.23% Market Cap.1,094,432.33 ล้านดอลลาร์ P/E 229.58 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +219.80% รายได้รวม 26,914 ล้านดอลลาร์ กำไรสุทธิ 9,752 ล้านดอลลาร์ อัตรากำไรสุทธิ 36.23% Market Cap.1,094,432.33 ล้านดอลลาร์ P/E 229.58 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +219.80% สามารถดูข้อมูลหุ้นทุกตัวเพิ่มเติมได้ที่ www.finnomena.com/stock/ Nasdaq 100 ต้อง Rebalance รอบพิเศษ เพราะ The Magnificent Seven การปรับขึ้นอันร้อนแรงและกระจุกตัวแค่ใน Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia ทำให้ดัชนี Nasdaq 100 รวนไปหมด จึงได้ประกาศทำการ Rebalance รอบพิเศษในวันที่ 24 กรกฎาคม 2023 นี้ เพื่อรักษาน้ำหนักของหุ้นให้เหมาะสม และไม่มากจนเกินไป เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ Magnificent Seven มีผลต่อน้ำหนัก Nasdaq 100 ถึง 55% การปรับขึ้นอันร้อนแรงและกระจุกตัวแค่ใน Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, META, Tesla และ Nvidia ทำให้ดัชนี Nasdaq 100 รวนไปหมด จึงได้ประกาศทำการ Rebalance รอบพิเศษในวันที่ 24 กรกฎาคม 2023 นี้ เพื่อรักษาน้ำหนักของหุ้นให้เหมาะสม และไม่มากจนเกินไป เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ Magnificent Seven มีผลต่อน้ำหนัก Nasdaq 100 ถึง 55% การปรับสมดุลนี้ ทำให้น้ำหนักของหุ้น The Magnificent Seven ต่อ Nasdaq 100 ถูกปรับลดลง ส่วนกองทุนที่ลงทุนล้อตามดัชนี Nasdaq 100 จะต้องขายหุ้นหลักที่ถืออยู่ตามดัชนีออกไป และซื้อหุ้นตัวอื่นเข้ามาในพอร์ต การปรับสมดุลนี้ ทำให้น้ำหนักของหุ้น The Magnificent Seven ต่อ Nasdaq 100 ถูกปรับลดลง ส่วนกองทุนที่ลงทุนล้อตามดัชนี Nasdaq 100 จะต้องขายหุ้นหลักที่ถืออยู่ตามดัชนีออกไป และซื้อหุ้นตัวอื่นเข้ามาในพอร์ต นักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุน Nasdaq 100 จะพบว่าพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลงไป และมีค่าใช้จ่ายจากการซื้อขายหุ้นเพื่อรีบาลานซ์ รวมถึงมีภาษีจ่ายจากการขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก แต่คาดว่าจะกระทบผลการดำเนินงานกองทุนเล็กน้อย นักลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุน Nasdaq 100 จะพบว่าพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลงไป และมีค่าใช้จ่ายจากการซื้อขายหุ้นเพื่อรีบาลานซ์ รวมถึงมีภาษีจ่ายจากการขายหุ้นที่ราคาขึ้นมามาก แต่คาดว่าจะกระทบผลการดำเนินงานกองทุนเล็กน้อย นักลงทุนทั่วไปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้ผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากหุ้นในตลาดที่ถูกซื้อ-ขายเป็นจำนวนมากกว่าพันล้านเหรียญ นักลงทุนทั่วไปในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้ผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากหุ้นในตลาดที่ถูกซื้อ-ขายเป็นจำนวนมากกว่าพันล้านเหรียญ – อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง: Rebalance รอบพิเศษ “Nasdaq 100 Index” ผลกระทบต่อนักลงทุน? แหล่งข้อมูล Jim Cramer names his ‘Magnificent Seven’ stocks that are the real deal, Julie Coleman, CNBC The Nasdaq-100 Index Special Rebalance to be Effective July 24, 2023, NASDAQ Jim Cramer names his ‘Magnificent Seven’ stocks that are the real deal, Julie Coleman, CNBC The Nasdaq-100 Index Special Rebalance to be Effective July 24, 2023, NASDAQ คำเตือน: ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
The Magnificent Seven คือ หุ้น 7 ตัวที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุด ทำให้การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก คำว่า The Magnificent Seven เพิ่งถูกหยิบมาพูดถึงในปี 2023 เพราะกระแสการเติบโตของเทคโนโลยี AI ซึ่งหุ้นทั้ง 7 ตัว ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จาก AI จึงถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต มีโอกาสสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลจากเทคโนโลยี AI และกำลังจะครองโลกไปอีกยาว ๆ The Magnificent Seven มีหุ้นอะไรบ้าง? 1. Apple (AAPL) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 394,328 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 99,803 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 25.31% - Market Cap. 3,068,670.00 ล้านดอลลาร์ - P/E 31.91 เท่า - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +48.70% 2. Microsoft (MSFT) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 198,270 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 72,738 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 36.69% - Market Cap. 2,579,148 ล้านดอลลาร์ - P/E 35.91 เท่า - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +47.89% 3. Alphabet (GOOGL) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 282,836 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 59,972 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 21.2% - Market Cap. 1,504,470.89 ล้านดอลลาร์ - P/E 26.49 เท่า - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +38.15% 4. Amazon (AMZN) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 513,983 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ -2,722 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ -0.53% - Market Cap. 1,333,851.98 ล้านดอลลาร์ - P/E 317.07 เท่า - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +55.43% 5. Meta Platforms (META) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 116,609 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 23,200 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 19.9% - Market Cap. 754,108.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - P/E 38.17 เท่า - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +154.97% 6. Tesla (TSLA) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 81,462 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 12,583 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 15.45% - Market Cap. 824,133.35 ล้านดอลลาร์ - P/E 84.42 - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +147.61% 7. Nvidia (NVDA) ผลประกอบการปี 2022 และตัวเลขที่สำคัญ ณ 21 ก.ค. 2023 - รายได้รวม 26,914 ล้านดอลลาร์ - กำไรสุทธิ 9,752 ล้านดอลลาร์ - อัตรากำไรสุทธิ 36.23% - Market Cap.1,094,432.33 ล้านดอลลาร์ - P/E 229.58 - ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +219.80%
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_40418
Finance
กลยุทธ์ "3 ถัง" เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภทหรือไม่? อธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
null
กลยุทธ์ "3 ถัง" เป็นแนวทางการจัดสรรเงินออมสำหรับวัยเกษียณที่ได้รับความนิยม โดยแบ่งเงินออกเป็น 3 ถัง ดังนี้ ถังที่ 1: ถังสภาพคล่อง เหมาะสำหรับเก็บเงินระยะสั้น เน้นความปลอดภัยและสภาพคล่องสูง เงินในถังนี้ควรเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประมาณ 3-5 ปี ตัวอย่างสินทรัพย์ในถังนี้ ได้แก่ เงินฝากประจำ สลากออมสิน พันธบัตรรัฐบาล ถังที่ 2: ถังเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง ระยะเวลาการลงทุน 3-5 ปี คาดหวังผลตอบแทนมากกว่าถังแรก ตัวอย่างสินทรัพย์ในถังนี้ ได้แก่ หุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตดี กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ถังที่ 3: ถังเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ระยะเวลาการลงทุน 5 ปีขึ้นไป คาดหวังผลตอบแทนสูง ตัวอย่างสินทรัพย์ในถังนี้ ได้แก่ หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมผสม อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ "3 ถัง" อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1. ระยะเวลาการลงทุน: กลยุทธ์นี้เหมาะกับผู้ที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) หากต้องการใช้เงินในระยะสั้น ควรปรับสัดส่วนเงินในถังให้เหมาะสม 2. ระดับความเสี่ยงที่รับได้: นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจไม่เหมาะกับการลงทุนในถังที่ 3 หรือควรลดสัดส่วนการลงทุนในถังนี้ 3. เป้าหมายการลงทุน: เป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนแตกต่างกัน กลยุทธ์นี้ควรปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายของนักลงทุน 4. ความรู้และประสบการณ์: กลยุทธ์นี้ require ความรู้และประสบการณ์ในการลงทุน นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ ตัวอย่าง: นายสมชาย อายุ 55 ปี ต้องการเกษียณอายุในอีก 5 ปีข้างหน้า เขาต้องการมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณเดือนละ 30,000 บาท สมชายมีเงินออม 2 ล้านบาท เขาสามารถใช้กลยุทธ์ "3 ถัง" ดังนี้ ถังที่ 1: 1 ล้านบาท (เงินฝากประจำ สลากออมสิน) เงินในถังนี้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3 ปี ถังที่ 2: 500,000 บาท (หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้) คาดหวังผลตอบแทน 4% ต่อปี ถังที่ 3: 500,000 บาท (หุ้น กองทุนรวมหุ้น) คาดหวังผลตอบแทน 8% ต่อปี สรุป: กลยุทธ์ "3 ถัง" เป็นแนวทางการจัดสรรเงินออมสำหรับวัยเกษียณที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ แต่อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกประเภท นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมา ข้อเสนอแนะ: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ "3 ถัง" อย่างละเอียด ปรึกษานักวางแผนการเงินเพื่อออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณ เริ่มต้นวางแผนและลงทุนตั้งแต่เนิ่นๆ
ความรู้ทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Brainstorming
cc-by-nc-4.0
Medical_12613
Medical
ยาแคลเซียมคลอไรด์คืออะไร
แคลเซียมคลอไรด์ Calcium chloride คือยาอะไร แคลเซียมคลอไรด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ รักษาโรคอะไร แคลเซียมคลอไรด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร แคลเซียมคลอไรด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร แคลเซียมคลอไรด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร แคลเซียมคลอไรด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร มีข้อควรระวังการใช้แคลเซียมคลอไรด์อย่างไร แคลเซียมคลอไรด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร ควรเก็บรักษาแคลเซียมคลอไรด์อย่างไร แคลเซียมคลอไรด์มีชื่ออื่นอีกไหม ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง ยารักษาโรค Pharmaceutical drug ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจเสียจังหวะ Arrhythmia ภาวะช็อก อาการช็อก Shock เซฟไตรอะโซน Ceftriaxone ไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ Hydrochlorothiazide แคลเซียมในเลือดต่ำ Hypocalcemia ฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ Hormones secreted by parathyroid gland ชักเกร็ง Tonic seizure คือยาอะไร แคลเซียมคลอไรด์ Calcium chloride คือ ยาสารประกอบประเภทเกลือชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นของแข็งสามารถละลายน้ำได้ดี โดยจะเกิดการแตกตัวของสารประกอบได้แคลเซียมไอออนCalcium ion ในทางคลินิกได้นำคุณสมบัตินี้มาเตรียมเป็นสูตรตำรับยาแผนปัจจุบันเป็นประเภทยาฉีดปราศจากเชื้อที่มีขนาดความเข้มข้น 10 เพื่อนำมาใช้รักษา ภาวะเกลือแคลเซียมในเลือดต่ำ Hypocalcemia บำบัดอาการชักลักษณะชักเกร็งอันมีเหตุจากการขาดฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ บำบัดอาการพิษจากการได้รับเกลือแร่ แร่ธาตุ ชนิดแมกนีเซียมสูงเกิน เช่น จากการเสริมอาหาร ช่วยกระตุ้นหัวใจให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติหลังทำการผ่าตัดหัวใจ ทั้งนี้ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์เมื่อถูกฉีดเข้ากระแสเลือดในระดับที่เหมาะสมจะทำหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแคลเซียมของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อและกระแสประสาททำงานได้อย่างปกติ ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์สามารถผ่านเข้ารกและซึมเข้าในน้ำนมของมารดาได้ ร่างกายสามารถขับเกลือแคลเซียมคลอไรด์ผ่านออกไปกับปัสสาวะและอุจจาระ บางส่วนอาจขับออกมากับ เหงื่อทางผิวหนัง ผม และเล็บ การฉีดยาสารละลายของแคลเซียมคลอไรด์ต้องฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ ตัวยาอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดดังกล่าวขยายตัวจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนในขณะที่ฉีดยา นอกจากนี้ยัง อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไต การใช้ยาแคลเซียมคลอไรด์ในรูปแบบสารละลาย จะมีแต่ในสถานพยาบาลเท่านั้นและต้องใช้หัตถการทางการแพทย์ที่ถูกต้องเหมาะสมมาประกอบเมื่อต้องใช้ยากับผู้ป่วย แคลเซียมคลอไรด์มีสรรพคุณ คุณสมบัติ รักษาโรคอะไร ยายาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีสรรพคุณข้อบ่งใช้ เช่น ใช้บำบัดรักษาภาวะเกลือแคลเซียมในเลือดต่ำ กระตุ้นการทำงานของหัวใจ รักษาอาการพิษจากแมกนีเซียม แคลเซียมคลอไรด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้ กรณีที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ เกลือแคลเซียมคลอไรด์จะเข้าไปสร้างสมดุลของประจุเกลือนี้ในกระแสเลือด อีกทั้งใช้เป็นแหล่งแคลเซียมสำรองให้กับหัวใจและเส้น ใยประสาทโดยจะทำให้หัวใจหดตัวอย่างเหมาะสม และการส่งกระแสประสาทจากใยประสาทสามารถทำได้ต่อเนื่อง จากกลไกเหล่านี้จึงก่อให้เกิดฤทธิ์ในการรักษาตามสรรพคุณ กลไกเพิ่มแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ โดยแคลเซียมไอออนจะเข้าไปในผนังเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจและผ่านเข้าสู่ไซโตพลาสซึม Cytoplasm ส่วนประกอบของเซลล์ที่มีลักษณะเป็นน้ำที่มีน้ำ เกลือแร่ และสารต่างๆที่ใช้ในการดำรงชีวิตเช่น สารอาหารต่างๆเป็นส่วนประ กอบ ส่วนที่มีชื่อเฉพาะว่า ซาร์โคพลาสซึม Sarcoplasm ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนำแคลเซียมไปใช้เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจให้ทำการหดตัวและทำงานได้อย่างปกติและต่อเนื่อง การต้านพิษของแมกนีเซียม โดยแคลเซียมจะไปขับแมกนีเซียมออกจากกระแสเลือดด้วยกระบวนการทางชีวเคมีทำให้เกลือแมกนีเซียมในเลือดลดต่ำลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ แคลเซียมคลอไรด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีรูปแบบการจัดจำหน่าย ยาฉีด ความเข้มข้น 100 มิลลิ กรัมมิลลิลิตร ขนาดบรรจุ 10 มิลลิลิตร แคลเซียมคลอไรด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีขนาดการบริหารยาการใช้ยา เช่น ก่อนการให้ยานี้กับผู้ป่วย แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและคำนวณสัดส่วนของปริมาณยาที่ต้องให้กับผู้ป่วยอย่างเหมาะสม การฉีดสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ขนาดความเข้มข้น 10 จะต้องฉีดทางหลอดเลือดดำอย่างช้าๆหรือในอัตราความเร็วไม่เกิน 1 มิลลิลิตรนาที กรณีที่ต้องการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ให้ฉีดยาเข้าที่โพรงหัวใจห้องล่าง Ventricular cavity และห้ามฉีดเข้ากล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง จะเป็นการดีหากทำให้ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีอุณหภูมิก่อนฉีดเท่ากับอุณหภูมิ ของร่างกาย ก. ขนาดที่ฉีดเข้าโพรงหัวใจห้องล่างเพื่อกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ผู้ใหญ่ ฉีดยานี้ขนาด 200 - 800 มิลลิกรัม เด็ก นิยามคำว่าเด็ก ฉีดยานี้ขนาด 0.2 มิลลิลิตรน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ข. ขนาดที่ฉีดยานี้เข้าหลอดเลือดดำเพื่อบำบัดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ผู้ใหญ่ ฉีดยาขนาด 500 – 1000 มิลลิกรัมในช่วง 1 - 3 วัน ทั้งนี้ขนาดยาและระยะเวลาที่ใช้รักษาขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้ป่วยและต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์ เด็ก ฉีดยาขนาด 0.2 มิลลิลิตรน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ขนาดการใช้ยาสูงสุดอยู่ในช่วง 1 - 10 มิลลิลิตรวัน ค. เพื่อรักษาอาการพิษจากแมกนีเซียม ผู้ใหญ่ ฉีดยาขนาด 500 มิลลิกรัมโดยทันที และสังเกตอาการตอบสนองของผู้ป่วยก่อนจะพิจารณาใช้ยาแคลเซียมคลอไรด์อีกครั้งตามดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา เด็ก ขนาดการใช้ยาเพื่อรักษาอาการพิษจากแมกนีเซียมของเด็ก ต้องเป็นไปตามความเห็นของแพทย์ผู้รักษาโดยพิจารณาการรักษาเป็นกรณีไป
ยาสารประกอบประเภทเกลือชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นของแข็งสามารถละลายน้ำได้ดี โดยจะเกิดการแตกตัวของสารประกอบได้แคลเซียมไอออนCalcium ion ในทางคลินิกได้นำคุณสมบัตินี้มาเตรียมเป็นสูตรตำรับยาแผนปัจจุบันเป็นประเภทยาฉีดปราศจากเชื้อที่มีขนาดความเข้มข้น 10 เพื่อนำมาใช้รักษา ภาวะเกลือแคลเซียมในเลือดต่ำ Hypocalcemia บำบัดอาการชักลักษณะชักเกร็งอันมีเหตุจากการขาดฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ บำบัดอาการพิษจากการได้รับเกลือแร่ แร่ธาตุ ชนิดแมกนีเซียมสูงเกิน เช่น จากการเสริมอาหาร ช่วยกระตุ้นหัวใจให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติหลังทำการผ่าตัดหัวใจ ทั้งนี้ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์เมื่อถูกฉีดเข้ากระแสเลือดในระดับที่เหมาะสมจะทำหน้าที่รักษาสมดุลเกลือแคลเซียมของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อและกระแสประสาททำงานได้อย่างปกติ ยาสารละลายแคลเซียมคลอไรด์สามารถผ่านเข้ารกและซึมเข้าในน้ำนมของมารดาได้ ร่างกายสามารถขับเกลือแคลเซียมคลอไรด์ผ่านออกไปกับปัสสาวะและอุจจาระ บางส่วนอาจขับออกมากับ เหงื่อทางผิวหนัง ผม และเล็บ การฉีดยาสารละลายของแคลเซียมคลอไรด์ต้องฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ ตัวยาอาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดดังกล่าวขยายตัวจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนในขณะที่ฉีดยา นอกจากนี้ยัง อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไต การใช้ยาแคลเซียมคลอไรด์ในรูปแบบสารละลาย จะมีแต่ในสถานพยาบาลเท่านั้นและต้องใช้หัตถการทางการแพทย์ที่ถูกต้องเหมาะสมมาประกอบเมื่อต้องใช้ยากับผู้ป่วย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_18607
Medical
ผู้ป่วยมะเร็งทั้งมะเร็งผู้ใหญ่และมะเร็งเด็ก เมื่อรักษามะเร็งหายแล้ว มีโอกาสเกิดมะเร็งชนิดที่สองได้เสมอ สาเหตุมาจากอะไร
คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน อัตราเกิดมะเร็งชนิดที่สองในผู้ป่วยมะเร็งผู้ใหญ่ชาวออสเตรเลีย คุยกับหมอรักษาโรคมะเร็ง ตอน อัตราเกิดมะเร็งชนิดที่สองในผู้ป่วยมะเร็งผู้ใหญ่ชาวออสเตรเลีย ผู้ป่วยมะเร็งทั้งมะเร็งผู้ใหญ่และมะเร็งเด็ก เมื่อรักษามะเร็งหายแล้ว มีโอกาสเกิดมะเร็งชนิดที่สองได้เสมอ สาเหตุจากยังคงมีปัยจัยเสี่ยงของมะเร็งอยู่นั่นเอง เช่น การบริโภคอาหารด้อยคุณภาพสูงและต่อเนื่อง เช่น อาหารไขมัน แป้งน้ำตาล การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้รวมถึงการคงอยู่ของพันธุกรรมถ้ามะเร็งชนิดแรกเกิดจากพันธุกรรมผิดปกติ แต่ทั่วไป การรายงานสถิติเกิดมะเร็งชนิดที่สองมักรายงานในมะเร็งเด็ก ซึ่งผู้เล่าได้เคยนำเสนอไปแล้วหลายครั้ง ผู้ป่วยมะเร็งผู้ใหญ่ทั้งหมดที่ได้รับการศึกษามี 51802 คน และได้ติดตามผู้ป่วยโดยมีมัธยฐานmedian timeการติดตามโรคนาน 4.8 ปี เฉลี่ยนาน 6.9 ปี พบว่า อัตราการเกิดมะเร็งชนิดที่สองในช่วงปี 1980-1984 เป็น 0.98 และเพิ่มเป็น 1.12ในช่วงปี 2005 - 2009 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีความสำคัญทางสถิติP 0.001 โดยพบมะเร็งชนิดที่สองที่เพิ่มขึ้นอย่างมีความสำคัญทางสถิติเป็นในกลุ่มมะเร็งของ ศีรษะและลำคอ ปอด ระบบทางเดินอาหาร และต่อมลูกหมากP 0.05 ซึ่งมะเร็งชนิดที่สองที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมักเกิดตามหลังการเป็นมะเร็งครั้งแรกที่เป็นมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ คณะผู้ศึกษา สรุปผลการศึกษาว่า ในมะเร็งผู้ใหญ่ของออสเตรเลียที่เป็นผู้ป่วยช่วง1980 ถึง 2009 มีแนวโน้มที่จะตรวจพบมะเร็งชนิดที่สองได้สูงขึ้น ซึ่งน่าเกิดจากปัจจัยสำคัญคือ วิธีการตรวจติดตามวินิจฉัยโรคมะเร็งที่รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งดีขึ้นมาก เช่น การตรวจผู้ป่วยด้วยรังสีวินิจฉัยและเวชศาสตร์นิวเคลียร์ชนิดก้าวหน้า เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และหรือ PET-scan ทั้งนี้ ในประเทศไทย ยังไม่มีรายงานชัดเจนถึงอัตราเกิดมะเร็งชนิดที่สองในผู้ป่วยมะเร็งผู้ใหญ่ไทย แต่ในการตรวจติดตามผู้ป่วยฯ แพทย์ไทยมีวิธีการเช่นเดียวกับแพทย์ในออสเตรเลียการแพทย์ตะวันตก คือ การสอบถามอาการผู้ป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูสารมะเร็งชนิดพบบ่อย และการตรวจภาพอวัยวะที่แพทย์สงสัยว่าจะเกิดมะเร็งด้วยเทคนิคทางรังสีวิทยาก้าวหน้า แต่อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยมะเร็งชนิดที่สองที่ให้ผลแน่นอนคือ การตัดชิ้นเนื้อจากรอยโรคที่แพทย์ตรวจพบเพื่อการตรวจทางพยาธิวิยา หรือการเจาะดูดเซลล์จากรอยโรคฯเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับในตะวันตก อัตราการติดตามโรคการที่ผู้ป่วยมะเร็งหลังรักษาครบกลับมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดของผู้ป่วยมะเร็งไทยน้อยกว่าผู้ป่วยในตะวันตกมาก
ผู้ป่วยมะเร็งทั้งมะเร็งผู้ใหญ่และมะเร็งเด็ก เมื่อรักษามะเร็งหายแล้ว มีโอกาสเกิดมะเร็งชนิดที่สองได้เสมอ สาเหตุมาจากยังคงมีปัยจัยเสี่ยงของมะเร็งอยู่นั่นเอง เช่น การบริโภคอาหารด้อยคุณภาพสูงและต่อเนื่อง เช่น อาหารไขมัน แป้งน้ำตาล การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้รวมถึงการคงอยู่ของพันธุกรรมถ้ามะเร็งชนิดแรกเกิดจากพันธุกรรมผิดปกติ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_13428
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง โรคทางเดินหายใจ ได้ไหม
โรคทางเดินหายใจ โรคระบบหายใจ โรคระบบทางเดินหายใจ Respiratory tract disorder โรคทางเดินหายใจมีสาเหตุจากอะไร โรคอะไรพบได้บ่อย อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจ โรคทางเดินหายใจมีอาการอย่างไร แพทย์วินิจฉัยโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร รักษาโรคทางเดินหายใจอย่างไร โรคทางเดินหายใจรุนแรงไหม มีผลข้างเคียงไหม ดูแลตนเองอย่างไร ควรพบแพทย์เมื่อไร มีการตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจไหม ป้องกันโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร โรคปอด โรคของปอด โรคทางปอด Pulmonary disease ไข้หวัดใหญ่ Influenza ไข้หวัดหมู Swine influenza ไข้หวัดนก Avian influenza โรคซาร์ส SARS โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา มัยโคพลาสมา Mycoplasma infections โรคมะเร็งปอด Lung cancer โรคหวัด Common cold โรคปอดบวม โรคปอดอักเสบ Pneumonia โรคทางเดินหายใจ หรือ โรคระบบหายใจ หรือ โรคระบบทางเดินหายใจ Respiratory tract disorder หรือ Respiratory tract disease คือ โรคที่เกิดจากมีความผิดปกติของเนื้อ เยื่ออวัยวะต่างๆในระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก ลำคอ ท่อลม หลอดลม และปอด ระบบทางเดินหายใจ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ระบบทางเดินหายใจตอนบน และระบบทางเดินหายใจตอนล่าง ก. ระบบทางเดินหายใจตอบบน หรือ ตอนต้น Upper respiratory tract ประกอบ ด้วย โพรงจมูก ไซนัส ลำคอ โพรงหลังจมูก กล่องเสียง และแพทย์บางท่านรวมท่อลม Trachea ด้วย โดยแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลรักษาโรคของเนื้อเยื่ออวัยวะในส่วนนี้คือ แพทย์ หู คอ จมูก อีเอ็นทีENTEar Nose Throat ข. ระบบทางเดินหายใจตอนล่าง Lower respiratory tract ซึ่งประกอบ ด้วย ปอดและหลอดลม แต่แพทย์บางท่านจะรวมท่อลมไว้ด้วย ดังนั้น ท่อลมจึงเป็นอวัยวะที่เป็นได้ทั้งทางเดินหายใจตอนบน หรือทางเดินหายใจตอนล่าง ทั้งนี้แล้วแต่คำนิยามของแพทย์แต่ละท่าน ซึ่งแพทย์เฉพาะทางที่ให้การดูแลรักษาโรคของเนื้อเยื่ออวัยวะในส่วนตอนล่างนี้ คือ แพทย์อายุรกรรมโรคปอด และศัลยแพทย์โรคปอดและหัวใจ อนึ่ง เมื่อโรคทางเดินหายใจเกิดขึ้นเฉียบพลันและสามารถรักษาได้หายภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 - 6 เดือน โดยทั่วไปจะใช้เวลารักษาให้หายได้ในระยะเวลาประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ เรียกว่า โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน Acute respiratory disease แต่ถ้าเป็นโรคที่มีอา การอยู่นานเกิน 3 เดือน แพทย์มักเรียกว่า โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง Chronic respiratory disease ซึ่งโรคเรื้อรังนี้การรักษาให้หายมักเป็นไปได้ยาก การรักษาเพียงเพื่อช่วยบรรเทาอา การให้ผู้ป่วยคงมีคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ บางครั้งอาการในโรคเรื้อรังอาจจะเป็นๆหายๆ หรืออาจมีอาการเฉียบพลันซ้ำซ้อนเป็นครั้งคราวก็ได้ โรคระบบทางเดินหายใจเป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกเพศและในทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ เพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเกิดโรคได้ใกล้เคียงกัน โดยโรคที่พบได้บ่อยที่สุดคือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ในสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 2011 พ.ศ. 2554 มีรายงานผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยการติดเชื้อทางเดินหายใจตอนบนที่มีลักษณะอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เฉลี่ยประมาณ 1.94 รายต่อประชากร 100000 คนในทุกๆสัปดาห์ และที่มีอาการของทางเดินหายใจตอนล่าง คือ หลอดลมอักเสบเฉลี่ยประมาณ 55.64 รายต่อประชากร 100000 คนในทุกๆสัปดาห์เช่นกัน มีรายงานจากสหรัฐอเมริกาว่า โรคปอดเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 4 ของชาวอเมริกัน รองจาก โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง ตามลำดับ โดยอัตราเสียชีวิตจากโรคทางเดินหายใจนี้อยู่ที่ประมาณ 40 รายต่อประชากร 100000 คน โรคทางเดินหายใจมีสาเหตุจากอะไร โรคอะไรพบได้บ่อย โรคทางเดินหายใจมีสาเหตุได้จากหลากหลายสาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อ หรือที่เรียกว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคทางเดินหายใจ โดยการติดเชื้อที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อไวรัส ทั้งของทางเดินหายใจตอนต้น ที่พบบ่อยคือ โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ และของทางเดินหายใจตอนล่าง ที่พบบ่อย คือ โรคหลอดลมอักเสบ ส่วนโรคที่พบบ่อยจากการติดเชื้อแบคทีเรียคือ โรคไซนัสอักเสบ โรคปอดอักเสบโรคปอดบวม การสูบบุหรี่ โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่มักเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นสา เหตุให้เสียคุณภาพชีวิตและเสียชีวิตได้สูงคือ โรคถุงลมโป่งพอง Pulmonary emphysema และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือที่เรียกย่อว่า โรคซีโอพีดี COPD Chronic obstructive pulmo nary disease และมะเร็งปอด โรคภูมิแพ้ ก็เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อย จากพันธุกรรม โดยโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมที่พบได้บ่อย คือ โรคหืด อุบัติเหตุ เช่น ถูกยิง ถูกแทง อุบัติเหตุรถยนต์ การสำลักควันต่างๆ หรือมีสิ่งแปลก ปลอมหลุดเข้าทางเดินหายใจ อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะเร่งด่วนทางลำคอ เช่น สำลักอาหารหรือการกลืนเมล็ดผลไม้ จากการขาดออกซิเจนในอากาศ เช่น โรคจากการขึ้นที่สูง หรือ การสูดดมสารพิษ หรือควันต่างๆ จากโรคหัวใจ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะเลือดคั่งในปอด จึงก่ออาการทางการหายใจขึ้น จากโรคมะเร็ง สาเหตุอื่นๆที่พบได้บ้างประปราย เช่น มีก้อนเลือดเล็กๆอุดตันในหลอดเลือดปอด Pul monary embolism มีความดันในหลอดเลือดปอดสูง Pulmonary hypertension โรคเนื้องอกปอด ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศโรคปอดแตก Pneumothorax หรือภาวะปอดเป็นพังผืดจากการฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งปอด หรือจากผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดบางชนิด อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจที่สำคัญที่สุดคือ การขาดสุขอนามัยพื้นฐาน สุขบัญญัติแห่งชาติ เป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อต่างๆของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ การไม่รู้จักใช้หน้ากากอนามัย และ การสูบบุหรี่ ซึ่งรวมทั้งการสูบบุหรี่มือสองได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่องโดยไม่ได้สูบบุหรี่เอง Secondhand smoke โรคทางเดินหายใจมีอาการอย่างไร อาการเฉพาะของโรคทางเดินหายใจคือ อาการไอ ที่มีได้ทั้งไอมีเสมหะ หรือไอโดยไม่มีเสมหะ ส่วนอาการอื่นๆเป็นอาการไม่เฉพาะ พบได้ในโรคอื่นๆ ซึ่งที่พบได้บ่อย คือ หายใจลำบาก หอบ เหนื่อยง่าย เสมหะไอเป็นเลือด อาการเขียวคล้ำ นอนราบแล้วหายใจไม่ได้ มีไข้ ซึ่งมีได้ทั้งไข้สูงหรือไข้ต่ำ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ ภาวะหายใจล้มเหลว หมดสติ โคม่า แพทย์วินิจฉัยโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร แพทย์วินิจฉัยโรคทางเดินหายใจได้จาก ประวัติอาการ ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว ประวัติสูบบุหรี่ การตรวจร่างกายทั่วไป การนับอัตราการหายใจ สัญญาณชีพ การตรวจฟังเสียงการหายใจโดยใช้เครื่องตรวจฟังของแพทย์ หูฟัง และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ขึ้นกับอาการผู้ป่วย ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทานเพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อชนิดต่างๆ การตรวจเลือดดูค่าออกซิเจน และหรือ คาร์ บอนไดออกไซด์ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอดด้วยการเป่าลมหรือเป่าปอด การตรวจ เชื้อ และหรือการเพาะเชื้อจากเสมหะ และหรือจากน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์ และหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องตรวจหลอดลมในปอด การเจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อหรือจากน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา หรือการตัดชิ้นเนื้อจากเนื้อเยื่อหรือก้อนเนื้อในทางเดินหายใจเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา รักษาโรคทางเดินหายใจอย่างไร แนวทางการรักษาโรคทางเดินหายใจคือ การรักษาสาเหตุและการรักษาประคับประคองตามอาการ ก. การรักษาตามสาเหตุ จะแตกต่างกันในแต่ละสาเหตุ เช่น การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาต้านไวรัส เช่น ในไข้หวัดใหญ่ 2009 ถ้าโรคเกิดจากไวรัสชนิดมียาต้านไวรัส มีไวรัสบางชนิดเท่านั้นที่มียาต้านไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ และไว รัสเอชไอวี การรักษาโรคภูมิแพ้ เมื่อสาเหตุเกิดจากโรคภูมิแพ้ การใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดเมื่อโรคเกิดจากมีก้อนเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอด หรือการผ่าตัดเมื่อมีเนื้องอก หรือมะ เร็งปอดระยะที่ผ่าตัดได้ หรือรักษามะเร็งปอดระยะลุกลามด้วยยาเคมีบำบัดและหรือรังสีรักษา เป็นต้น ข. การรักษาประคับประคองตามอาการ ที่สำคัญคือ เลิกบุหรี่ เมื่อสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ การให้ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ ยาละลายเสมหะ ยาลดไข้ การให้ออกซิเจน และหรือการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำกรณีกินดื่มได้น้อย หรือขาดสารอาหาร เป็นต้น โรคทางเดินหายใจรุนแรงไหม มีผลข้างเคียงไหม การพยากรณ์โรคความรุนแรงของโรคทางเดินหายใจขึ้นกับสาเหตุ เช่น โรคไม่รุนแรงเมื่อเป็นโรคหวัดหรือไซนัสอักเสบ โรครุนแรงปานกลางเมื่อเป็นปอดบวม แต่ถ้าพบแพทย์ล่าช้า ผู้ป่วยก็อาจเสียชีวิตจากปอดบวมได้ และโรคที่รุนแรงที่สุด คือ โรคมะเร็งปอด หรือมีมะเร็งของอวัยวะอื่นๆแล้วแพร่กระจายสู่ปอด เช่น โรคมะเร็งเต้านม ผลข้างเคียงจากโรคทางเดินหายใจ คือ อาการหายใจลำบาก และอาการไอ โดยเฉพาะเมื่อเกิดจากโรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในผู้ที่สูบบุหรี่เรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลถึงคุณ ภาพชีวิตทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและในการงาน ดูแลตนเองอย่างไร ควรพบแพทย์เมื่อไร การดูแลตนเองที่สำคัญคือ เมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ เมื่ออาการเลวลงหรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 - 3 วันหลังการดูแลตนเอง ควรรีบพบแพทย์ไปโรงพยาบาลเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเป็นโรคทางเดินหายใจ การดูแลตนเองและการพบแพทย์ คือ ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ กินยาที่แพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา เลิกบุหรี่เมื่อสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน สุขบัญญัติแห่งชาติ เพื่อสุขภาพแข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน และการแพร่กระจายเชื้อ รู้จักใช้หน้ากากอนามัย เคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ร่วมกับการออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ ดื่มน้ำสะอาดมากๆเมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม เพราะน้ำจะช่วยละลายเสมหะ จึงช่วยลดอาการและความรุนแรงของอาการไอ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีมลภาวะ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด มีการตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจไหม ปัจจุบัน ยังไม่มีการตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งยังไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอด อย่างไรก็ตาม แพทย์กำลังศึกษาอย่างจริงจังเพื่อหาวิธีในการที่จะตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอดที่มีประสิทธิภาพ คือ ที่เป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่เป็นอันตราย ค่าใช้จ่ายในการตรวจไม่แพง สามารถตรวจได้กับคนส่วนใหญ่ และที่จะช่วยลดอัตราการเสีย ชีวิตจากมะเร็งปอดลงได้ ป้องกันโรคทางเดินหายใจได้อย่างไร การป้องกันโรคทางเดินหายใจที่สำคัญที่สุดมีประสิทธิภาพที่สุด คือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน สุขบัญญัติแห่งชาติ การเลิกสูบบุหรี่ เมื่อสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ สูบบุหรี่มือสองSecondhand smoke รู้จักใช้หน้ากากอนามัย ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่มีวัคซีนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะช่วงมีการระบาดของโรค หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่แออัดเมื่อมีการระบาดของโรค หรือไปยังถิ่นหรือประเทศที่มีการระบาดของโรค
โรคทางเดินหายใจ โรคที่เกิดจากมีความผิดปกติของเนื้อ เยื่ออวัยวะต่างๆในระบบทางเดินหายใจ เช่น จมูก ลำคอ ท่อลม หลอดลม และปอด ระบบทางเดินหายใจ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ก. ระบบทางเดินหายใจตอบบน หรือ ตอนต้น Upper respiratory tract ประกอบ ด้วย โพรงจมูก ไซนัส ลำคอ โพรงหลังจมูก กล่องเสียง และแพทย์บางท่านรวมท่อลม Trachea ด้วย โดยแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลรักษาโรคของเนื้อเยื่ออวัยวะในส่วนนี้คือ แพทย์ หู คอ จมูก อีเอ็นทีENTEar Nose Throat ข. ระบบทางเดินหายใจตอนล่าง Lower respiratory tract ซึ่งประกอบ ด้วย ปอดและหลอดลม แต่แพทย์บางท่านจะรวมท่อลมไว้ด้วย ดังนั้น ท่อลมจึงเป็นอวัยวะที่เป็นได้ทั้งทางเดินหายใจตอนบน หรือทางเดินหายใจตอนล่าง เมื่อโรคทางเดินหายใจเกิดขึ้นเฉียบพลันและสามารถรักษาได้หายภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 - 6 เดือน โดยทั่วไปจะใช้เวลารักษาให้หายได้ในระยะเวลาประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ พบได้บ่อยในทุกเพศและในทุกวัย สาเหตุ ได้แก่ การติดเชื้อ หรือที่เรียกว่า โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคทางเดินหายใจ โดยการติดเชื้อที่พบบ่อยคือ การติดเชื้อไวรัส ทั้งของทางเดินหายใจตอนต้น ที่พบบ่อยคือ โรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ และของทางเดินหายใจตอนล่าง ที่พบบ่อย คือ โรคหลอดลมอักเสบ ส่วนโรคที่พบบ่อยจากการติดเชื้อแบคทีเรียคือ โรคไซนัสอักเสบ โรคปอดอักเสบโรคปอดบวม การสูบบุหรี่ โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่มักเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นสาเหตุให้เสียคุณภาพชีวิตและเสียชีวิตได้สูงคือ โรคถุงลมโป่งพอง ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจที่สำคัญที่สุดคือ การขาดสุขอนามัยพื้นฐาน สุขบัญญัติแห่งชาติ เป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อต่างๆของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจ การไม่รู้จักใช้หน้ากากอนามัย และ การสูบบุหรี่ ซึ่งรวมทั้งการสูบบุหรี่มือสองได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่องโดยไม่ได้สูบบุหรี่เอง การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์ การเจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อหรือจากน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อโรคเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาต้านไวรัส เช่น ในไข้หวัดใหญ่ 2009 ถ้าโรคเกิดจากไวรัสชนิดมียาต้านไวรัส มีไวรัสบางชนิดเท่านั้นที่มียาต้านไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ และไวรัสเอชไอวี การรักษาโรคภูมิแพ้ เมื่อสาเหตุเกิดจากโรคภูมิแพ้ การใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดเมื่อโรคเกิดจากมีก้อนเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอด หรือการผ่าตัดเมื่อมีเนื้องอก หรือมะ เร็งปอดระยะที่ผ่าตัดได้ หรือรักษามะเร็งปอดระยะลุกลามด้วยยาเคมีบำบัดและหรือรังสีรักษา เลิกบุหรี่ เมื่อสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ การให้ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะ ยาละลายเสมหะ ยาลดไข้ การให้ออกซิเจน และหรือการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำกรณีกินดื่มได้น้อย หรือขาดสารอาหาร อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีมลภาวะ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด มีการตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจไหม ปัจจุบัน ยังไม่มีการตรวจคัดกรองโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งยังไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปอด
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_20699
Medical
ช่วยสรุปเรื่อง "Careteam ลำสนธิ: การร่วมมือสร้างสังคมที่แข็งแกร่งและดูแลเอาใจใส่ผู้ยากไร้" ให้หน่อยสิ
ผู้อภิบาลลำสนธิ Careteam ผู้อภิบาลลำสนธิ Careteam ลุงๆระวังหล่นลงมานะ เสียงตะโกนเตือนจากใต้ต้นไม้ ผมมองขึ้นไป แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ร่างที่ปีนลิ่วๆอยู่บนต้นสะเดาอย่างคล่องแคล่วข้างบนนั้น จะเป็นชายชราอายุ อานามปาเข้าไป ๖๕ ปีแล้ว ที่มีชื่อว่าลุงบุญธรรม สักพักใหญ่ ลุงบุญธรรมก็ค่อยๆปีนลงมา ในมือหอบดอกสะเดาที่กำลังตูมลงมาหอบใหญ่ในถุงพลาสติค แกหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าก็ยังฉายด้วยรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายแจ่มใส เอามาฝากหมอไปกินที่บ้านครับ ลุงบุญธรรมเป็นใคร มีที่มาที่ไปอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังนะครับลุงบุญธรรมเป็นชาวบ้านธรรมดาๆที่ฐานะยากจนมาก แกอาศัยอยู่ตัวคนเดียวในบ้าน ซึ่งมีสภาพเหมือนเพิงเสียมากกว่า ไม่มีที่ดินทำกินในตำบลกุดตาเพ็ชร อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี ซึ่งห่างตัวจังหวัด ๑๓๐ กิโลเมตร ในเพิงบ้านแกเมื่อมองเข้าไป แทบไม่มีสมบัติพัศฐานมีค่าใดๆแม้แต่ชิ้นเดียว มีแต่มุ้งเก่าๆ เครื่องนอน และอุปกรณ์จอบ มีด พร้า สำหรับรับจ้างแรงงานรายวัน พื้นที่ทำครัวก็ออกมาอยู่นอกเพิงบ้าน นั่นคือทั้งหมดที่แกมีอยู่ วันนั้นพวกเราซึ่งประกอบด้วยอาสาสมัครจากกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่อบตกุดตาเพ็ชร เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลลำสนธิ อาสาสมัครสาธารณสุขและเพื่อนบ้าน รวมแล้วประมาณ ๒๐ คน ไปช่วยกันลงแรงสร้างส้วม และปรับปรุงสภาพบ้านให้ลุงบุญธรรม สาเหตุที่เราต้องไปช่วย เพราะลำพังตัวแกคนเดียวดูแล้วคงไม่มีปัญญา ลุงบุญธรรม เคยมีครอบครัว มีภรรยา แต่เรื่องที่น่าเศร้าคือ อาการเจ็บป่วยทำให้แกมีอาการหวาดระแวงและเครียด ซึ่งต่อมาภายหลังจากที่แกทำร้ายภรรยาจนถึงแก่ชีวิต ตำรวจไปจับกุมและหมอไปตรวจพบว่าแกมีอาการป่วยทางจิต ที่เรียกว่า โรคจิตเภทSchizophrenia แกจึงถูกนำตัวไปดำเนินคดี และถูกเก็บตัวไว้ในโรงพยาบาลจิตเวชอยู่นานนับปี หลังจากที่ได้รับการเยียวยารักษาจนอาการดีขึ้น หมอปล่อยให้กลับบ้าน แกก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ญาติพี่น้องไม่มีใครใส่ใจเหลียวแล แถมเพื่อนบ้านบางคนก็มองแกเหมือนเป็น เศษมนุษย์ เพราะอายุมากแล้ว แถมมีคดีมีประวัติด่างพร้อย ยังดีที่พอมีคนเมตตาจ้างแกทำงานรายวันประเภทดายหญ้า ตัดอ้อย ช่วยถอนมันสัปะหลังในไร่เป็นครั้งคราว พอมีรายได้เล็กๆน้อยๆ รายได้หลักประจำของแกมาจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ทางราชการสนับสนุนให้เป็นรายเดือน เดือนละ ๖๐๐ บาทเท่านั้น ทางโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพกุดตาเพ็ชร และอาสาสมัครสาธารณสุขในละแวกบ้าน พบว่าบางครั้งลุงบุญธรรมก็ยาจิตเวชหมด ไม่มียากิน มีอาการซึมเศร้ากำเริบ ซึ่งต้องคอยจัดทีมเยี่ยมบ้าน ที่เราเรียกว่าทีมอภิบาล Careteam ไปช่วยคอยดูแลแกอยู่เป็นระยะๆโดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลลำสนธิเป็นที่ปรึกษา โครงการพัฒนาผู้ดูแลที่เรียกว่า Careteam นี้ เป็นการริเริ่มร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลลำสนธิ และองค์การบริหารส่วนตำบลทั้ง ๖ แห่งของอำเภอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดูแลด้านสังคมแก่ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคมในลักษณะต่างๆ โดยมีการรวมตัวกันเป็นทีมงานในระดับตำบลหลายๆทีม ซึ่งประกอบด้วย - ลูกจ้างอภิบาลสังคมของอบตทั้งสิ้น ๒๒ คน - อาสาสมัครสาธารณสุข ในทุกตำบล - บางทีมก็มีอาสาสมัครอื่นๆของหน่วยราชการ เช่น ไทยอาสาป้องกันฝ่ายพลเรือน อปพร หรือแม้กระทั่งเพื่อนบ้านร่วมด้วย ทั้งหมดนี้ภายใต้การสนับสนุนของเจ้าหน้าที่จากองค์การบริหารส่วนตำบลทั้ง ๖ แห่ง โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพ รพสต ทั้ง ๗ แห่ง และโรงพยาบาลลำสนธิเป็นทั้งทีมงานและที่ปรึกษา งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานในกิจกรรมเยี่ยมบ้านและว่าจ้างลูกจ้างอภิบาลสังคม ได้มาจากกองทุนสุขภาพชุมชน ซึ่งเป็นระบบที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และอปทร่วมมือกันตั้งขึ้นในทุกตำบลของประเทศ บางครั้งก็มีงบประมาณส่วนอื่นจากอบต กระทรวงพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ หรืองบประมาณจากโรงพยาบาลอำเภอลงมาช่วยเสริม ในการลงไปช่วยเหลือดูแลกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยมีการจัดทำทะเบียนประวัติผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือเยียวยาไว้อย่างละเอียด คุณหมอสันติ เบญจลาภา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำสนธิ เล่าให้ฟังว่า โครงการนี้มิได้ดูแลเฉพาะด้านสุขภาพอนามัยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสภาพทางสังคม สภาพที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่างๆที่จำเป็นในการดำรงชีพของกลุ่มเป้าหมายด้วย ผมและคณะอาสาสมัครจากกรุงเทพฯ ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านกลุ่มผู้ด้อยโอกาส จำนวน ๑๕ ราย ภายใต้การดูแลของ Careteamลำสนธิ พบว่าบางรายเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ช่วยตัวเองไม่ได้ บางรายเป็นผู้สูงอายุอยู่ตัวคนเดียว บางรายเป็นผู้ป่วยทางจิต บางรายเป็นครอบครัวแม่ลูกที่ยากจนมาก และลุงบุญธรรมก็เป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาอย่างหนึ่งของลุงบุญธรรม คือ แกยังชอบสูบบุหรี่ และทานเหล้าเป็นบางครั้ง ทางทีมงาน Careteam จึงยื่นข้อเสนอให้แกว่า ถ้าเลิกกินเหล้าได้ และสูบบุหรี่ให้น้อยลง จะช่วยซ่อมบ้านให้ ซึ่งต่อมาแกก็ทำได้จริงๆ นักจิตวิทยาของโรงพยาบาลลำสนธิ เล่าให้ฟังว่า หลักการในการช่วยเหลือชาวบ้านนั้น บางทีต้องมีข้อเสนอแลกเปลี่ยน หรือต่อรอง เพื่อทำให้ชาวบ้านขวนขวายรู้จักช่วยตัวเองด้วย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่าง ล่าสุด เราเสนอลุงบุญธรรมว่า ถ้าแกรับจ้างแรงงานรายวัน เก็บสะสมเงินไว้ไม่ไปสูบบุหรี่หมด จนได้ครบ ๑๒๐๐ บาทเมื่อไหร่ เพื่อเป็นค่าสังกะสีใหม่ที่จะใช้มุงเพิงบ้านของแก พวกเราจะลงแขกออกแรง และลงเงินเพิ่มไปช่วยปรับปรุงครัวและนอกชานให้แก ลุงบุญธรรมยิ้มและบอกว่าผมจะพยายาม นี่คือน้ำใจและจิตอาสาของทีมอภิบาล Careteam ลำสนธิ ซึ่งน่าชื่นใจแทนชาวบ้านทั้ง ๖ ตำบลของอำเภอที่มีระบบนี้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สมดังคำขวัญของประชาคมอำเภอว่า คนลำสนธิ ไม่ทอดทิ้งกัน มื้อเย็นวันนั้น หลังจากไปช่วยลงแรงสร้างส้วม และปรับปรุงบ้านให้ลุงบุญธรรมเสร็จ พวกเราก็กลับมากินข้าวกับสะเดาน้ำปลาหวานของลุงบุญธรรมอย่างเอร็ดอร่อย ขอเป็นกำลังใจให้กับทีมงานของขาวลำสนธินะครับ
สรุปเนื้อหา: เรื่องราวเล่าถึงลุงบุญธรรมที่เป็นผู้สูงอายุและยากจนในชุมชน ทีม Careteam ลำสนธิประกอบด้วยอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้มาช่วยเหลือ ลุงบุญธรรมเคยมีครอบครัวและภรรยา แต่เมื่อภรรยาเสียชีวิตลุงบุญธรรมกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคม มีปัญหาทางจิตที่นำไปสู่โรคจิตเวชประเภท Schizophrenia และถูกจับกุม หลังจากการรักษาแล้วลุงบุญธรรมอยู่ตัวคนเดียวโดยมีรายได้เล็กน้อยจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ทางราชการสนับสนุน เนื้อหาเล่าถึงการดูแลและช่วยเหลือลุงบุญธรรมโดยทีม Careteam ที่ประกอบด้วยอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ โดยมีการปรับปรุงสภาพบ้าน การเสนอแนะให้ลุงเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มเหล้า เพื่อเพิ่มรายได้และช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ โปรเจกต์ Careteam นี้เป็นการร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลลำสนธิ และองค์การบริหารส่วนตำบลทั้ง 6 แห่งในอำเภอ เพื่อดูแลด้านสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายที่ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยมีทีมงานทั้งหมด 22 คนที่ประกอบการดำเนินโครงการ โครงการนี้ไม่เน้นเฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น แต่รวมถึงสภาพทางสังคม ที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการดำรงชีพของกลุ่มเป้าหมาย จนทำให้ชุมชนทั้ง 6 แห่งในอำเภอมีการช่วยเหลือกันและเสริมสร้างความเข้มแข็งในชุมชนของตน และเรื่องลุงบุญธรรมเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ทั้งนี้ โครงการได้รับการสนับสนุนจากหลายแหล่งเงินทุน และได้ผลงานที่น่าประทับใจในการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายในชุมชนที่ยากไร้
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43969
Finance
จงสรุปบทความเรื่อง "‘ปฏิรูปจากแรงจูงใจ’ การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจสู่การปฏิรูปที่สัมฤทธิ์ผล" ให้ด้วยค่ะ
“Show me the incentive and I will show you the outcome” – Charles Thomas Munger, Vice Chairman of Berkshire Hathaway “Show me the incentive and I will show you the outcome” – Charles Thomas Munger, Vice Chairman of Berkshire Hathaway ชาร์ลี มังเกอร์ เป็นศิษย์เก่าจากโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1995 มังเกอร์ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในหัวข้อ ‘Psychology of Human Misjudgment’ ซึ่งเขาได้เล่าประวัติการทำงานที่น่าสนใจของบริษัทขนส่งข้ามชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ‘FedEx’ ชาร์ลี มังเกอร์ เป็นศิษย์เก่าจากโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1995 มังเกอร์ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในหัวข้อ ‘Psychology of Human Misjudgment’ ซึ่งเขาได้เล่าประวัติการทำงานที่น่าสนใจของบริษัทขนส่งข้ามชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ‘FedEx’ ในการกระจายสินค้าขึ้นเครื่องบินก่อนนำส่งไปยังสถานที่ต่างๆ FedEx จะกระจายสินค้าภายในสนามบินแห่งเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าหายหรือถูกขโมย โดยจะเร่งนำสินค้าขึ้นเครื่องบินให้เสร็จภายในคืนเดียว แต่ก็มักจะเสร็จช้า จนทำให้การขนส่งล่าช้าตามไปด้วย FedEx พยายามสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานหนักขึ้นก็ไม่เป็นผล ในที่สุด ผู้บริหารค้นพบว่าพนักงานอาจไม่มีแรงจูงใจที่จะเร่งกระจายสินค้าให้เสร็จ เพราะพนักงานได้รับเงินเป็นรายชั่วโมง ยิ่งอยู่นานยิ่งได้ค่าตอบแทนมาก FedEx จึงเปลี่ยนมาจ่ายค่าจ้างอัตราเหมาและอนุญาตให้พนักงานกลับบ้านทันทีที่งานเสร็จ หลังจากนั้นงานกระจายสินค้าในแต่ละคืนก็เสร็จสิ้นลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว ในการกระจายสินค้าขึ้นเครื่องบินก่อนนำส่งไปยังสถานที่ต่างๆ FedEx จะกระจายสินค้าภายในสนามบินแห่งเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าหายหรือถูกขโมย โดยจะเร่งนำสินค้าขึ้นเครื่องบินให้เสร็จภายในคืนเดียว แต่ก็มักจะเสร็จช้า จนทำให้การขนส่งล่าช้าตามไปด้วย FedEx พยายามสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานหนักขึ้นก็ไม่เป็นผล ในที่สุด ผู้บริหารค้นพบว่าพนักงานอาจไม่มีแรงจูงใจที่จะเร่งกระจายสินค้าให้เสร็จ เพราะพนักงานได้รับเงินเป็นรายชั่วโมง ยิ่งอยู่นานยิ่งได้ค่าตอบแทนมาก FedEx จึงเปลี่ยนมาจ่ายค่าจ้างอัตราเหมาและอนุญาตให้พนักงานกลับบ้านทันทีที่งานเสร็จ หลังจากนั้นงานกระจายสินค้าในแต่ละคืนก็เสร็จสิ้นลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว เรื่องราวของ FedEx บอกถึงความสำคัญของ ‘แรงจูงใจ’ โดยชี้ว่า ‘การสร้างกรอบกติกาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม’ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แรงจูงใจเป็นตัวแปรสำคัญที่อธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค และเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลก เรื่องราวของ FedEx บอกถึงความสำคัญของ ‘แรงจูงใจ’ โดยชี้ว่า ‘การสร้างกรอบกติกาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม’ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แรงจูงใจเป็นตัวแปรสำคัญที่อธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค และเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์โลก ในบทความฉบับนี้ผมจะเล่าถึงความสำคัญของ ‘แรงจูงใจ’ ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยผมจะเริ่มเล่าถึง ‘โจทย์และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ’ ผ่านประวัติศาสตร์ 30 ปีของเศรษฐกิจไทย ซึ่งประวัติศาสตร์บอกเราว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยมาจากการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแรงจูงใจและอำนาจเชิงนโยบาย การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การปฏิรูปการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป การปฏิรูปจึงต้องเริ่มที่รากฐานของนโยบายในระดับสถาบัน ในบทความฉบับนี้ผมจะเล่าถึงความสำคัญของ ‘แรงจูงใจ’ ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยผมจะเริ่มเล่าถึง ‘โจทย์และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ’ ผ่านประวัติศาสตร์ 30 ปีของเศรษฐกิจไทย ซึ่งประวัติศาสตร์บอกเราว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยมาจากการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแรงจูงใจและอำนาจเชิงนโยบาย การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การปฏิรูปการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป การปฏิรูปจึงต้องเริ่มที่รากฐานของนโยบายในระดับสถาบัน ผมคิดว่าเป้าหมายของระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาคมี 3 ประการ นั่นคือ เศรษฐกิจสามารถ ‘เติบโตในอัตราที่เหมาะสม’ ‘เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ’ และ ‘เติบโตอย่างทั่วถึง’ จะว่าไปแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจอาจเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่มีคนไทยทุกคนลงแข่งขัน ในการวิ่งมาราธอนที่ดี ผู้เข้าแข่งขันควรวิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสม รักษาความเร็วไว้ให้สม่ำเสมอ และทุกคนควรวิ่งเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน ผมคิดว่าเป้าหมายของระบบเศรษฐกิจในระดับมหภาคมี 3 ประการ นั่นคือ เศรษฐกิจสามารถ ‘เติบโตในอัตราที่เหมาะสม’ ‘เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ’ และ ‘เติบโตอย่างทั่วถึง’ จะว่าไปแล้ว การเติบโตของเศรษฐกิจอาจเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่มีคนไทยทุกคนลงแข่งขัน ในการวิ่งมาราธอนที่ดี ผู้เข้าแข่งขันควรวิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสม รักษาความเร็วไว้ให้สม่ำเสมอ และทุกคนควรวิ่งเข้าเส้นชัยไปด้วยกัน ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจ หรือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เมื่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป เป้าหมายทางเศรษฐกิจย่อมเปลี่ยนแปลงตาม และเมื่อเป้าหมายเปลี่ยน โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจก็จะต้องปรับตัวให้ทัน ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจ หรือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เมื่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป เป้าหมายทางเศรษฐกิจย่อมเปลี่ยนแปลงตาม และเมื่อเป้าหมายเปลี่ยน โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจก็จะต้องปรับตัวให้ทัน เศรษฐกิจไทยสามารถแบ่งตามบริบทออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้ เศรษฐกิจไทยสามารถแบ่งตามบริบทออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้ ช่วงเวลาที่ 1 เป็นเวลาที่เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและบริการอย่างเต็มตัว ในช่วงแรก รายได้ต่อหัวประชากรขยายตัวได้สูงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน ซึ่งเอื้อให้เกิดการค้าระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายเงินทุนมูลค่ามหาศาล ช่วงเวลาที่ 1 เป็นเวลาที่เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและบริการอย่างเต็มตัว ในช่วงแรก รายได้ต่อหัวประชากรขยายตัวได้สูงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน ซึ่งเอื้อให้เกิดการค้าระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายเงินทุนมูลค่ามหาศาล อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วเกินไปผนวกกับกระแสเงินไหลเข้าจำนวนมหาศาล ชักจูงให้ระบบเศรษฐกิจไทยใช้จ่ายอย่างเกินตัวและขาดความระมัดระวัง ภาคธุรกิจเร่งลงทุนจนเกิดกำลังการผลิตส่วนเกินและก่อหนี้ ขณะเดียวกันก็เกิดการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อการค้าโลกเริ่มชะลอตัว ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่จึงเริ่มส่งผลเสีย โดยเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ปัญหาสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสีย จนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วเกินไปผนวกกับกระแสเงินไหลเข้าจำนวนมหาศาล ชักจูงให้ระบบเศรษฐกิจไทยใช้จ่ายอย่างเกินตัวและขาดความระมัดระวัง ภาคธุรกิจเร่งลงทุนจนเกิดกำลังการผลิตส่วนเกินและก่อหนี้ ขณะเดียวกันก็เกิดการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อการค้าโลกเริ่มชะลอตัว ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่จึงเริ่มส่งผลเสีย โดยเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ปัญหาสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสีย จนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ 1 เปรียบเสมือนนักวิ่งที่เร่งความเร็วจนเหนื่อยหอบ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้าและเปราะบาง เมื่อมีสิ่งกีดขวางจึงหกล้มและเจ็บหนัก ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในรูปที่ 1 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยเคลื่อนไหวผันผวน มีช่วงเวลาที่ขยายตัวสูงมากและช่วงเวลาที่หดตัวอย่างรุนแรง เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ 1 เปรียบเสมือนนักวิ่งที่เร่งความเร็วจนเหนื่อยหอบ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้าและเปราะบาง เมื่อมีสิ่งกีดขวางจึงหกล้มและเจ็บหนัก ดังจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในรูปที่ 1 ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยเคลื่อนไหวผันผวน มีช่วงเวลาที่ขยายตัวสูงมากและช่วงเวลาที่หดตัวอย่างรุนแรง วิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 ทำให้ผู้ดำเนินนโยบายตระหนักว่าเศรษฐกิจควรเติบโตอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ เพื่อที่จะสามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยจึงเริ่ม ‘ปรับวิธีวิ่ง’ โดยการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสถาบันทางเศรษฐกิจที่กำกับดูแลภาคการเงินและภาคสถาบันการเงิน วิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 ทำให้ผู้ดำเนินนโยบายตระหนักว่าเศรษฐกิจควรเติบโตอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ เพื่อที่จะสามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยจึงเริ่ม ‘ปรับวิธีวิ่ง’ โดยการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสถาบันทางเศรษฐกิจที่กำกับดูแลภาคการเงินและภาคสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในสมัยของผู้ว่าการ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันที่เปลี่ยนแรงจูงใจและวิธีการทำงานของ ธปท. ไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบสถาบันการเงิน หนังสือ 72 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย เล่าว่า ธปท. ปรับโครงสร้างจากรากฐานเชิงสถาบัน โดยปรับเป้าหมายองค์กร ปรับแก้พระราชบัญญัติ ธปท. (พ.ร.บ. ธปท.) และพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการ ธปท. เพื่อสร้างกรอบเชิงสถาบันที่เหมาะสมกับการทำงาน ตลอดจนปรับโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้พนักงาน ธปท. มีแรงจูงใจและเครื่องมือในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ และทันต่อเหตุการณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในสมัยของผู้ว่าการ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล ผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างเชิงสถาบันที่เปลี่ยนแรงจูงใจและวิธีการทำงานของ ธปท. ไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบสถาบันการเงิน หนังสือ 72 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย เล่าว่า ธปท. ปรับโครงสร้างจากรากฐานเชิงสถาบัน โดยปรับเป้าหมายองค์กร ปรับแก้พระราชบัญญัติ ธปท. (พ.ร.บ. ธปท.) และพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการ ธปท. เพื่อสร้างกรอบเชิงสถาบันที่เหมาะสมกับการทำงาน ตลอดจนปรับโครงสร้างองค์กรและวัฒนธรรมองค์กรเพื่อให้พนักงาน ธปท. มีแรงจูงใจและเครื่องมือในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ และทันต่อเหตุการณ์ การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันของ ธปท. นำไปสู่การปรับแนวนโยบายในการบริหารเศรษฐกิจและกำกับดูแลสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินมาเป็นการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ การประกาศใช้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินและการจัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินขึ้นใหม่ การปรับโครงสร้างส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจการเงินไทยเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพขึ้น และสามารถก้าวผ่านบททดสอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 หรือความผันผวนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในปี 2006 รูปที่ 1 ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบที่แคบลง ขณะที่การหดตัวไม่ได้รุนแรงเท่าช่วงเวลาแรก อัตราเงินเฟ้อก็มีความผันผวนน้อยลงเช่นกัน การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันของ ธปท. นำไปสู่การปรับแนวนโยบายในการบริหารเศรษฐกิจและกำกับดูแลสถาบันการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินมาเป็นการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ การประกาศใช้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินและการจัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินขึ้นใหม่ การปรับโครงสร้างส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจการเงินไทยเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพขึ้น และสามารถก้าวผ่านบททดสอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 หรือความผันผวนของกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในปี 2006 รูปที่ 1 ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบที่แคบลง ขณะที่การหดตัวไม่ได้รุนแรงเท่าช่วงเวลาแรก อัตราเงินเฟ้อก็มีความผันผวนน้อยลงเช่นกัน เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ 3 ยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ แต่มีสัญญาณของความเปราะบางและอ่อนแอให้เห็น จากรูปที่ 1 จะสังเกตว่าช่วงเวลาที่ 3 มีกรอบความผันผวนใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ 2 แต่ค่าเฉลี่ยของอัตราการเติบโตกลับต่ำลงจาก 3.46% ลงมาอยู่ที่ 3.16% หากลงไปดูในรายละเอียด เราจะเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง เช่น การลงทุนภาคเอกชนที่ซบเซา การพึ่งพาภาคต่างประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากเกินไป กลไกตลาด และนโยบายด้านแรงงานไม่สามารถสร้างทักษะแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการได้ทันเวลา เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยวิ่งช้าลง เศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่ 3 ยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ แต่มีสัญญาณของความเปราะบางและอ่อนแอให้เห็น จากรูปที่ 1 จะสังเกตว่าช่วงเวลาที่ 3 มีกรอบความผันผวนใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่ 2 แต่ค่าเฉลี่ยของอัตราการเติบโตกลับต่ำลงจาก 3.46% ลงมาอยู่ที่ 3.16% หากลงไปดูในรายละเอียด เราจะเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างหลายอย่าง เช่น การลงทุนภาคเอกชนที่ซบเซา การพึ่งพาภาคต่างประเทศในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากเกินไป กลไกตลาด และนโยบายด้านแรงงานไม่สามารถสร้างทักษะแรงงานที่สอดคล้องกับความต้องการได้ทันเวลา เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจไทยวิ่งช้าลง หากถอยออกมาดูประวัติศาสตร์สามสิบปีของระบบเศรษฐกิจการเงินไทย เราจะพบว่ายังมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่เรายังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ นั่นคือ ‘การเติบโตอย่างทั่วถึง’ หากถอยออกมาดูประวัติศาสตร์สามสิบปีของระบบเศรษฐกิจการเงินไทย เราจะพบว่ายังมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่เรายังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ นั่นคือ ‘การเติบโตอย่างทั่วถึง’ เศรษฐกิจไทยขาดการเติบโตอย่างทั่วถึงมายาวนาน ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบของ ‘ความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางเศรษฐกิจ’ โอกาสหมายรวมถึงแรงจูงใจ โอกาสและความสามารถในการสะสมทุนทางเศรษฐกิจ ทุนมนุษย์ และทุนสังคม ซึ่งจะเป็น ‘ฐาน’ ให้พวกเขาสร้างความมั่งคั่งและความกินดีอยู่ดีที่ยั่งยืน หากเปรียบกับการวิ่งมาราธอน การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงเปรียบได้กับการให้โอกาสนักวิ่งทุกคนได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีรองเท้าและอุปกรณ์วิ่งคุณภาพดี เพื่อให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึง ‘เส้นชัย’ ได้เหมือนกัน เศรษฐกิจไทยขาดการเติบโตอย่างทั่วถึงมายาวนาน ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบของ ‘ความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางเศรษฐกิจ’ โอกาสหมายรวมถึงแรงจูงใจ โอกาสและความสามารถในการสะสมทุนทางเศรษฐกิจ ทุนมนุษย์ และทุนสังคม ซึ่งจะเป็น ‘ฐาน’ ให้พวกเขาสร้างความมั่งคั่งและความกินดีอยู่ดีที่ยั่งยืน หากเปรียบกับการวิ่งมาราธอน การกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงเปรียบได้กับการให้โอกาสนักวิ่งทุกคนได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีรองเท้าและอุปกรณ์วิ่งคุณภาพดี เพื่อให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึง ‘เส้นชัย’ ได้เหมือนกัน ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจไทยซับซ้อนและรุนแรง บทความเรื่อง เจาะลึกความเหลื่อมล้ำตลอดสามทศวรรษของประเทศไทย ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านทุนทางเศรษฐกิจ สะท้อนจากความเหลื่อมล้ำเชิงความมั่งคั่งที่อยู่ในระดับสูงมาก โดยดัชนี Gini ของความมั่งคั่งมีค่าสูงถึง 0.65 ในปี 2019 และลดลงช้ามากในระยะสิบปีที่ผ่านมา (รูปที่ 2) นอกจากจะมีทุนน้อยแล้ว ทุนยังไม่สมดุลกับรายได้จ่ายอีกด้วย โดยครัวเรือนรายได้น้อย (มีรายได้น้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20) ยังมีค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูงกว่ารายได้ เมื่อเทียบกับครัวเรือนรายได้ปานกลาง (เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20-80) และครัวเรือนรายได้สูง (สูงกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80) ที่มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจไทยซับซ้อนและรุนแรง บทความเรื่อง เจาะลึกความเหลื่อมล้ำตลอดสามทศวรรษของประเทศไทย ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านทุนทางเศรษฐกิจ สะท้อนจากความเหลื่อมล้ำเชิงความมั่งคั่งที่อยู่ในระดับสูงมาก โดยดัชนี Gini ของความมั่งคั่งมีค่าสูงถึง 0.65 ในปี 2019 และลดลงช้ามากในระยะสิบปีที่ผ่านมา (รูปที่ 2) นอกจากจะมีทุนน้อยแล้ว ทุนยังไม่สมดุลกับรายได้จ่ายอีกด้วย โดยครัวเรือนรายได้น้อย (มีรายได้น้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20) ยังมีค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูงกว่ารายได้ เมื่อเทียบกับครัวเรือนรายได้ปานกลาง (เปอร์เซ็นไทล์ที่ 20-80) และครัวเรือนรายได้สูง (สูงกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 80) ที่มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสทางเศรษฐกิจกำลังถ่วงเศรษฐกิจไทยลงอย่างรุนแรงท่ามกลางวิกฤตโควิดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีพลวัตคล้ายกับตัวอักษร K โดยผู้มีโอกาสทางเศรษฐกิจสูง เช่น ครัวเรือนรายได้สูงและธุรกิจขนาดใหญ่ มีภูมิคุ้มกันและฟื้นตัวจากวิกฤตได้เร็ว ขณะที่ผู้ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น ครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง พลวัตลักษณะนี้ปรากฏในดัชนีทางเศรษฐกิจหลายตัว รวมถึงปริมาณเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งสะท้อนสภาพคล่องของครัวเรือนและธุรกิจที่แตกต่างกันระหว่างบัญชีที่มีมูลค่าเงินฝากเท่ากับหรือต่ำกว่า 500,000 บาท และบัญชีที่มีมูลค่าสูงกว่า 500,000 บาท (รูปที่ 3) ธรรมชาติของวิกฤตโควิดที่ยืดเยื้อและไม่แน่นอน ทำให้ความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มยิ่งเด่นชัด ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสทางเศรษฐกิจกำลังถ่วงเศรษฐกิจไทยลงอย่างรุนแรงท่ามกลางวิกฤตโควิดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีพลวัตคล้ายกับตัวอักษร K โดยผู้มีโอกาสทางเศรษฐกิจสูง เช่น ครัวเรือนรายได้สูงและธุรกิจขนาดใหญ่ มีภูมิคุ้มกันและฟื้นตัวจากวิกฤตได้เร็ว ขณะที่ผู้ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น ครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง พลวัตลักษณะนี้ปรากฏในดัชนีทางเศรษฐกิจหลายตัว รวมถึงปริมาณเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งสะท้อนสภาพคล่องของครัวเรือนและธุรกิจที่แตกต่างกันระหว่างบัญชีที่มีมูลค่าเงินฝากเท่ากับหรือต่ำกว่า 500,000 บาท และบัญชีที่มีมูลค่าสูงกว่า 500,000 บาท (รูปที่ 3) ธรรมชาติของวิกฤตโควิดที่ยืดเยื้อและไม่แน่นอน ทำให้ความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มยิ่งเด่นชัด คำถามที่น่าสนใจคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เราพยายามรักษาไว้ได้สร้างประโยชน์ให้คนในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูง นโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพแบบสุดโต่งอาจไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจได้เพียงพอ ทั่วถึง และทันการณ์ อาทิ ระบบการคุ้มครองทางสังคมของไทยที่อาจยังไม่ได้คุ้มครองผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยอย่างครอบคลุม ขณะที่นโยบายให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องก็อาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็น ‘สิทธิพิเศษ’ ของผู้ที่ ‘เข้าถึง’ โอกาสทางเศรษฐกิจอยู่แล้วโดยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และทำให้ความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสถ่างกว้างขึ้น คำถามที่น่าสนใจคือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่เราพยายามรักษาไว้ได้สร้างประโยชน์ให้คนในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มีความเหลื่อมล้ำสูง นโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพแบบสุดโต่งอาจไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจได้เพียงพอ ทั่วถึง และทันการณ์ อาทิ ระบบการคุ้มครองทางสังคมของไทยที่ อาจยังไม่ได้คุ้มครองผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยอย่างครอบคลุม ขณะที่ นโยบายให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องก็อาจยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็น ‘สิทธิพิเศษ’ ของผู้ที่ ‘เข้าถึง’ โอกาสทางเศรษฐกิจอยู่แล้วโดยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และทำให้ความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสถ่างกว้างขึ้น ไทยดำเนินการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมนัก ในความเป็นจริงแล้ว รายงานการวิจัย เรื่อง ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: แนวโน้ม นโยบายและแนวทางขับเคลื่อนนโยบาย (สมชัย จิตสุชน, 2558) ชี้ว่าไทยพยายามจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชนอย่างครบถ้วน ‘ทุกด้าน’ แต่เป็นเพียงสวัสดิการพื้นฐานที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถจัดสรรให้ ‘ทุกคน’ อย่างครอบคลุม ปัญหานี้สะท้อนในข้อมูล Bertelsmann Transformation Index ในช่วงปี 2017-2019 ที่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเหลื่อมล้ำของ ‘โอกาส’ ในการเข้าถึงการบริการภาครัฐ สวัสดิการจากการจ้างงาน และระบบการศึกษาที่เป็นธรรม (Equal Opportunity) ขณะที่ระบบประกันสังคมยังไม่ได้มีคุณภาพและครอบคลุมเท่ากับประเทศในระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า (Social Safety Nets) (รูปที่ 4) ไทยดำเนินการปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมนัก ในความเป็นจริงแล้ว รายงานการวิจัย เรื่อง ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: แนวโน้ม นโยบายและแนวทางขับเคลื่อนนโยบาย (สมชัย จิตสุชน, 2558) ชี้ว่าไทยพยายามจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชนอย่างครบถ้วน ‘ทุกด้าน’ แต่เป็นเพียงสวัสดิการพื้นฐานที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถจัดสรรให้ ‘ทุกคน’ อย่างครอบคลุม ปัญหานี้สะท้อนในข้อมูล Bertelsmann Transformation Index ในช่วงปี 2017-2019 ที่ระบุว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเหลื่อมล้ำของ ‘โอกาส’ ในการเข้าถึงการบริการภาครัฐ สวัสดิการจากการจ้างงาน และระบบการศึกษาที่เป็นธรรม (Equal Opportunity) ขณะที่ระบบประกันสังคมยังไม่ได้มีคุณภาพและครอบคลุมเท่ากับประเทศในระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า (Social Safety Nets) (รูปที่ 4) ประวัติศาสตร์ยังชี้ว่าไทยมักแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ ‘ปลายเหตุ’ โดยใช้นโยบายประชานิยม (เช่น นโยบายอุดหนุนราคาและการซื้อขายสินค้าเกษตร หรือนโยบายรถคันแรก) นโยบายประชานิยมอาจช่วยโยกย้ายทรัพยากรทางการเงินไปให้กับผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ไม่มากพอและไม่ต่อเนื่องพอที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สมชัย จิตสุชน (2558) ยังชี้ให้เห็นว่านโยบายประชานิยมผูกโยงกับแรงจูงใจทางการเมือง ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะเลือกครัวเรือนเป้าหมายจากกลยุทธ์ทางการเมืองแทนที่จะเลือกจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ผนวกกับนโยบายประชานิยมยังสามารถสร้างภาระทางการคลังในระยะยาวได้มากกว่า เพราะนโยบายไม่ได้สร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างแท้จริงและมักไม่โปร่งใส ประวัติศาสตร์ยังชี้ว่าไทยมักแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ ‘ปลายเหตุ’ โดยใช้นโยบายประชานิยม (เช่น นโยบายอุดหนุนราคาและการซื้อขายสินค้าเกษตร หรือนโยบายรถคันแรก) นโยบายประชานิยมอาจช่วยโยกย้ายทรัพยากรทางการเงินไปให้กับผู้ที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ไม่มากพอและไม่ต่อเนื่องพอที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สมชัย จิตสุชน (2558) ยังชี้ให้เห็นว่านโยบายประชานิยมผูกโยงกับแรงจูงใจทางการเมือง ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะเลือกครัวเรือนเป้าหมายจากกลยุทธ์ทางการเมืองแทนที่จะเลือกจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ผนวกกับนโยบายประชานิยมยังสามารถสร้างภาระทางการคลังในระยะยาวได้มากกว่า เพราะนโยบายไม่ได้สร้างผลตอบแทนในระยะยาวอย่างแท้จริงและมักไม่โปร่งใส นอกจากนี้ นโยบายด้านความเหลื่อมล้ำในไทยยังมีปัญหา ‘ต่างคนต่างทำ’ ที่หน่วยงานภาครัฐดำเนินโครงการแก้ความเหลื่อมล้ำของตนเองโดยอาจไม่ได้กำหนดทิศทางร่วมกัน ตลอดจนไม่มีการประสานข้อมูลและการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ส่งผลให้นโยบายซ้ำซ้อนและขาดประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นโยบายด้านความเหลื่อมล้ำในไทยยังมีปัญหา ‘ต่างคนต่างทำ’ ที่หน่วยงานภาครัฐดำเนินโครงการแก้ความเหลื่อมล้ำของตนเองโดยอาจไม่ได้กำหนดทิศทางร่วมกัน ตลอดจนไม่มีการประสานข้อมูลและการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ส่งผลให้นโยบายซ้ำซ้อนและขาดประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องแก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือ การสร้างโอกาสในการสะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างเกราะคุ้มกันวิกฤตให้คนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง จากประสบการณ์ต่างประเทศชี้ว่าทางออกของปัญหาความเหลื่อมล้ำคือการออกแบบระบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคม (อัมมาร สยามวาลา และ สมชัย จิตสุชน, 2550) อธิบายว่าระบบสวัสดิการที่ดีควร ‘รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิในการพัฒนาศักยภาพของประชาชน และดูแลประชาชนในยามตกยาก’ ทำงานบนกลไกตลาด อาศัยความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ และอยู่บนหลักของความโปร่งใส นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายในระดับปฏิบัติการจำเป็นต้องคำนึงการกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบาย การแบ่งงาน และการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเหมาะสม การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องแก้ที่ต้นเหตุ นั่นคือ การสร้างโอกาสในการสะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างเกราะคุ้มกันวิกฤตให้คนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง จากประสบการณ์ต่างประเทศชี้ว่าทางออกของปัญหาความเหลื่อมล้ำคือ การออกแบบระบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคม (อัมมาร สยามวาลา และ สมชัย จิตสุชน, 2550) อธิบายว่าระบบสวัสดิการที่ดีควร ‘รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิในการพัฒนาศักยภาพของประชาชน และดูแลประชาชนในยามตกยาก’ ทำงานบนกลไกตลาด อาศัยความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ และอยู่บนหลักของความโปร่งใส นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายในระดับปฏิบัติการจำเป็นต้องคำนึงการกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบาย การแบ่งงาน และการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเหมาะสม การสร้างระบบสวัสดิการที่เหมาะสมและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ภายใต้บริบทเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจจะต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อปรับโครงสร้างระบบสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง มอบอำนาจและเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน และเอื้อให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันและสอดประสานกันอย่างเหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการแก้โจทย์ปัญหาการเติบโตอย่างทั่วถึง การสร้างระบบสวัสดิการที่เหมาะสมและยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ภายใต้บริบทเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจจะต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อปรับโครงสร้างระบบสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง มอบอำนาจและเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน และเอื้อให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันและสอดประสานกันอย่างเหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจประกอบไปด้วยโครงสร้างเชิงกายภาพและกฎกติกาซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจประกอบไปด้วยโครงสร้างเชิงกายภาพและกฎกติกาซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ มีโครงสร้างเชิงกายภาพ กล่าวคือ ‘มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ’ ในการแก้โจทย์ทางเศรษฐกิจ โดยหน่วยงานควรมีบุคลากร อำนาจ และเครื่องมือเชิงนโยบายที่ครบถ้วนและมีคุณภาพเพียงพอ มีโครงสร้างเชิงกายภาพ กล่าวคือ ‘มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ’ ในการแก้โจทย์ทางเศรษฐกิจ โดยหน่วยงานควรมีบุคลากร อำนาจ และเครื่องมือเชิงนโยบายที่ครบถ้วนและมีคุณภาพเพียงพอ มีกฎกติกาที่สร้างแรงจูงใจที่ยั่งยืนให้หน่วยงานดำเนินนโยบายเพื่อตอบโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย แรงจูงใจอาจปรากฏอยู่ในรูปแบบของ ‘กฎหมาย’ ที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน และควรถ่ายทอดลงมาเป็นวิสัยทัศน์องค์กร รายละเอียดงานของบุคลากร และวัฒนธรรมองค์กร มีกฎกติกาที่สร้างแรงจูงใจที่ยั่งยืนให้หน่วยงานดำเนินนโยบายเพื่อตอบโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย แรงจูงใจอาจปรากฏอยู่ในรูปแบบของ ‘กฎหมาย’ ที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน และควรถ่ายทอดลงมาเป็นวิสัยทัศน์องค์กร รายละเอียดงานของบุคลากร และวัฒนธรรมองค์กร ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของการออกแบบโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจคือการสร้างสมดุลในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้งสามประการ (การเติบโตในอัตราที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ และทั่วถึง) เป้าหมายทางเศรษฐกิจของ ‘บางหน่วยงาน’ อาจตอบโจทย์แค่ ‘บางประการ’ แต่อาจส่งผลข้างเคียงให้โจทย์ประการอื่นที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของตนแก้ได้ยากขึ้น เช่น ผู้ดำเนินนโยบายสามารถดำเนินนโยบายป้องกันความเสี่ยงในระบบการเงินอย่างระมัดระวัง แต่อาจหมายถึงการจำกัดโอกาสไม่ให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพเข้าถึงเงินทุน เป็นต้น การสร้างสมดุลในเชิงสถาบันหมายถึงการสร้างสมดุลในเชิงแรงจูงใจและสมดุลเชิงอำนาจ ให้หน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ต่างกันสามารถแก้โจทย์ของตัวเองไปพร้อมกัน สามารถเกลี่ยน้ำหนักความสำคัญให้กับปัญหาแต่ละข้ออย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคม และตรงกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ความท้าทายที่สำคัญที่สุดของการออกแบบโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจคือการสร้างสมดุลในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจทั้งสามประการ (การเติบโตในอัตราที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ และทั่วถึง) เป้าหมายทางเศรษฐกิจของ ‘บางหน่วยงาน’ อาจตอบโจทย์แค่ ‘บางประการ’ แต่อาจส่งผลข้างเคียงให้โจทย์ประการอื่นที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของตนแก้ได้ยากขึ้น เช่น ผู้ดำเนินนโยบายสามารถดำเนินนโยบายป้องกันความเสี่ยงในระบบการเงินอย่างระมัดระวัง แต่อาจหมายถึงการจำกัดโอกาสไม่ให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีศักยภาพเข้าถึงเงินทุน เป็นต้น การสร้างสมดุลในเชิงสถาบันหมายถึงการสร้างสมดุลในเชิงแรงจูงใจและสมดุลเชิงอำนาจ ให้หน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ต่างกันสามารถแก้โจทย์ของตัวเองไปพร้อมกัน สามารถเกลี่ยน้ำหนักความสำคัญให้กับปัญหาแต่ละข้ออย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคม และตรงกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน สำหรับเศรษฐกิจไทย เรามีองค์กรทางเศรษฐกิจที่รับผิดชอบในการแก้โจทย์ ‘เติบโตในอัตราที่เหมาะสม’ และ ‘เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ’ นั่นคือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำหรับเศรษฐกิจไทย เรามีองค์กรทางเศรษฐกิจที่รับผิดชอบในการแก้โจทย์ ‘เติบโตในอัตราที่เหมาะสม’ และ ‘เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ’ นั่นคือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สศช. เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาว จึงเป็นหน่วยงานหลักในการแก้โจทย์การเติบโตในอัตราที่เหมาะสม ในอดีต สศช. ทำงานภายใต้พระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2502 ซึ่งมีการสร้างแรงจูงใจและให้อำนาจกับหน่วยงานไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยมาตราที่ 4 ระบุว่า การพัฒนาการเศรษฐกิจหมายถึง ‘การขยายกำลังการผลิตของชาติ การทำให้ดีขึ้นซึ่งภาวะการศึกษา อนามัย ที่อยู่อาศัยและโภชนาการของประชากร…’ สศช. เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาทางเศรษฐกิจในระยะยาว จึงเป็นหน่วยงานหลักในการแก้โจทย์การเติบโตในอัตราที่เหมาะสม ในอดีต สศช. ทำงานภายใต้พระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พ.ศ. 2502 ซึ่งมีการสร้างแรงจูงใจและให้อำนาจกับหน่วยงานไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยมาตราที่ 4 ระบุว่า การพัฒนาการเศรษฐกิจหมายถึง ‘การขยายกำลังการผลิตของชาติ การทำให้ดีขึ้นซึ่งภาวะการศึกษา อนามัย ที่อยู่อาศัยและโภชนาการของประชากร…’ สำหรับ ธปท. และ สศค. มีหน้าที่แก้โจทย์การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดย ธปท. ทำงานภายใต้ พ.ร.บ. ธปท. ซึ่งมีการระบุไว้ในมาตราที่ 7 ว่า ‘ธปท. มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินภารกิจอันพึงเป็นงานของธนาคารกลาง เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงินและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ระบบการชำระเงิน’ ขณะที่ สศค. ทำงานภายใต้ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งระบุว่า ‘สศค. มีภารกิจเกี่ยวกับการเสนอแนะและออกแบบนโยบายและมาตรการด้านการคลัง ระบบการเงิน รวมทั้งเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีคุณภาพและเชิงรุกต่อกระทรวงการคลัง’ สำหรับ ธปท. และ สศค. มีหน้าที่แก้โจทย์การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดย ธปท. ทำงานภายใต้ พ.ร.บ. ธปท. ซึ่งมีการระบุไว้ในมาตราที่ 7 ว่า ‘ธปท. มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินภารกิจอันพึงเป็นงานของธนาคารกลาง เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเงินและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ระบบการชำระเงิน’ ขณะที่ สศค. ทำงานภายใต้ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ซึ่งระบุว่า ‘สศค. มีภารกิจเกี่ยวกับการเสนอแนะและออกแบบนโยบายและมาตรการด้านการคลัง ระบบการเงิน รวมทั้งเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีคุณภาพและเชิงรุกต่อกระทรวงการคลัง’ เราจะพบว่าระบบเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีกฎหรือกติกาที่มอบหมายให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนหรือเป็นการเฉพาะ การเติบโตอย่างทั่วถึงอาจนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จึงอาจเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของ สศช. แต่ไม่ได้เขียนบทบาทหรือความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนในกฎกติกา ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำปรากฏอยู่แค่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งอาจไม่ได้สร้างแรงจูงใจหรือพันธกรณีให้เกิดการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังได้เท่ากับการระบุในกฎหมาย เราจะพบว่าระบบเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีกฎหรือกติกาที่มอบหมายให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนหรือเป็นการเฉพาะ การเติบโตอย่างทั่วถึงอาจนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จึงอาจเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของ สศช. แต่ไม่ได้เขียนบทบาทหรือความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนในกฎกติกา ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำปรากฏอยู่แค่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งอาจไม่ได้สร้างแรงจูงใจหรือพันธกรณีให้เกิดการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังได้เท่ากับการระบุในกฎหมาย ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และประสบการณ์ต่างประเทศชี้ว่านโยบายการคลังอาจเป็นเครื่องมือที่ดีในการแก้โจทย์การเติบโตอย่างทั่วถึง โดยงานศึกษาของ OECD (อ้างถึงใน สมชัย จิตสุชน, 2558) พบว่านโยบายด้านภาษีสามารถลดความเหลื่อมล้ำของประเทศในกลุ่ม OECD ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ระบบเศรษฐกิจไทยยังไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันที่กำหนดให้กระทรวงการคลัง หรือ สศค. รับผิดชอบเกี่ยวกับแก้โจทย์การเติบโตอย่างทั่วถึงอย่างเป็นรูปธรรม หลักฐานเชิงสถาบันเหล่านี้อธิบายว่าทำไมการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมาจึง ‘ขาดหางเสือ’ และมีลักษณะ ‘ต่างคนต่างทำ’ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และประสบการณ์ต่างประเทศชี้ว่านโยบายการคลังอาจเป็นเครื่องมือที่ดีในการแก้โจทย์การเติบโตอย่างทั่วถึง โดยงานศึกษาของ OECD (อ้างถึงใน สมชัย จิตสุชน, 2558) พบว่านโยบายด้านภาษีสามารถลดความเหลื่อมล้ำของประเทศในกลุ่ม OECD ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ระบบเศรษฐกิจไทยยังไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันที่กำหนดให้กระทรวงการคลัง หรือ สศค. รับผิดชอบเกี่ยวกับแก้โจทย์การเติบโตอย่างทั่วถึงอย่างเป็นรูปธรรม หลักฐานเชิงสถาบันเหล่านี้อธิบายว่าทำไมการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมาจึง ‘ขาดหางเสือ’ และมีลักษณะ ‘ต่างคนต่างทำ’ เมื่อไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างทั่วถึงอย่างจริงจัง จึงไม่ต้องพูดถึงสถาบันที่ประสานให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โครงสร้างเชิงสถาบันในปัจจุบันให้ความสำคัญโจทย์สองข้อแรกคือการเติบโตในอัตราที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่เนื่องจากไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันสำหรับโจทย์ข้อที่สามคือการเติบโตอย่างทั่วถึง จึงอาจทำให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจขาดสมดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมาก แต่ก็ตามมาด้วยความเหลื่อมล้ำที่ยังคงมีอยู่ตลอดมา เมื่อไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างทั่วถึงอย่างจริงจัง จึงไม่ต้องพูดถึงสถาบันที่ประสานให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โครงสร้างเชิงสถาบันในปัจจุบันให้ความสำคัญโจทย์สองข้อแรกคือการเติบโตในอัตราที่เหมาะสมและมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่เนื่องจากไม่มีโครงสร้างเชิงสถาบันสำหรับโจทย์ข้อที่สามคือการเติบโตอย่างทั่วถึง จึงอาจทำให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจขาดสมดุล ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพมาก แต่ก็ตามมาด้วยความเหลื่อมล้ำที่ยังคงมีอยู่ตลอดมา ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจไทยให้มุมมองที่น่าสนใจต่อโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจไทยเช่นกัน หากติดตามวิวัฒนาการของสถาบันทางเศรษฐกิจไทยหลังการเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี 1997 และ 2008-2009 จะพบว่าผู้ดำเนินนโยบายได้ปรับปรุงโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและป้องกันความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินมากขึ้น ประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจไทยให้มุมมองที่น่าสนใจต่อโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจไทยเช่นกัน หากติดตามวิวัฒนาการของสถาบันทางเศรษฐกิจไทยหลังการเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี 1997 และ 2008-2009 จะพบว่าผู้ดำเนินนโยบายได้ปรับปรุงโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจของไทย เพื่อให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและป้องกันความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินมากขึ้น หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญคือการปรับปรุง พ.ร.บ. ธปท. ให้เอื้อต่อการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินมากขึ้น โดยผลจากการวัดความถี่ของคำนามทั่วไป* ใน พ.ร.บ. ชี้ว่า คำที่เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (‘เสถียรภาพ’ ‘เสี่ยง’) และที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ (‘ต่างประเทศ’ ‘ดุลการชำระเงิน’) (รูปที่ 5) การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันการเงินตามมาด้วยการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเป้าหมายนโยบายการเงิน การออก พ.ร.บ. สถาบันการเงิน และการประกาศแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามมาอีกหลายฉบับ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญคือการปรับปรุง พ.ร.บ. ธปท. ให้เอื้อต่อการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินมากขึ้น โดยผลจากการวัดความถี่ของคำนามทั่วไป* ใน พ.ร.บ. ชี้ว่า คำที่เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (‘เสถียรภาพ’ ‘เสี่ยง’) และที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ (‘ต่างประเทศ’ ‘ดุลการชำระเงิน’) (รูปที่ 5) การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันการเงินตามมาด้วยการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงินอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับเป้าหมายนโยบายการเงิน การออก พ.ร.บ. สถาบันการเงิน และการประกาศแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามมาอีกหลายฉบับ ในวันนี้ที่บริบทเปลี่ยนแปลงไป ‘การเติบโตอย่างทั่วถึง’ คือโจทย์สำคัญที่เศรษฐกิจไทยต้องขบคิดและแก้ไขอย่างจริงจัง เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมในการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างของสถาบันทางเศรษฐกิจ ทั้งการวางบทบาทให้หน่วยงานที่เหมาะสม สร้างแรงจูงใจและมอบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลของแรงจูงใจและอำนาจเชิงนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั้งสามข้อ แม้การปรับโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราสามารถเรียนรู้จากความสำเร็จในอดีต เพื่อออกแบบและขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ในวันนี้ที่บริบทเปลี่ยนแปลงไป ‘การเติบโตอย่างทั่วถึง’ คือโจทย์สำคัญที่เศรษฐกิจไทยต้องขบคิดและแก้ไขอย่างจริงจัง เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมใน
การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ การสร้างโอกาสในการสะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการสร้างเกราะคุ้มกันวิกฤตให้คนในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง จากประสบการณ์ต่างประเทศชี้ว่า ทางออกของปัญหาความเหลื่อมล้ำคือ การออกแบบระบบสวัสดิการที่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคม การดำเนินนโยบายในระดับปฏิบัติการจำเป็น ต้องคำนึงการกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบาย การแบ่งงาน และการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเหมาะสม การสร้างระบบสวัสดิการที่เหมาะสมและยั่งยืน จะเกิดขึ้นได้ภายใต้บริบทเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดำเนินนโยบายขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อปรับโครงสร้างระบบสวัสดิการอย่างต่อเนื่อง มอบอำนาจและเครื่องมือที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน และเอื้อให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันและสอดประสานกันอย่างเหมาะสม โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจจึงเป็นกุญแจสำคัญในการแก้โจทย์ปัญหาการเติบโตอย่างทั่วถึง โครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจประกอบไปด้วยดังนี้ 1. โครงสร้างเชิงกายภาพ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการแก้โจทย์ทางเศรษฐกิจ ควรมีบุคลากร อำนาจ และเครื่องมือเชิงนโยบายที่ครบถ้วนและมีคุณภาพเพียงพอ 2. มีกฎกติกาที่สร้างแรงจูงใจที่ยั่งยืนให้หน่วยงานดำเนินนโยบาย เพื่อตอบโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย อาจปรากฏอยู่ในกฎหมายที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน และถ่ายทอดลงมาเป็นวิสัยทัศน์องค์กร รายละเอียดงาน และวัฒนธรรมองค์กร
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_13170
Medical
ยาเบทานิดีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร
A. ยาน้ำ B. ยาทา C. ยาเม็ดชนิดรับประทาน D. ยาผง
คำตอบที่ถูกต้องคือ C. เนื่องจาก ยาเบทานิดีนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย ยาเม็ดชนิดรับประทานขนาด 10 และ 25 มิลลิ กรัมเม็ด ยาเบทานิดีนมีขนาดการบริหารยาการรับประทานในการควบคุมความดันโลหิตสูง เช่น ผู้ใหญ่ รับประทานเริ่มต้น 0.23 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมทุก 8 ชั่วโมง และขนาดรับประทานเพื่อคงระดับการรักษา 0.17 มิลลิกรัมน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมทุก 8 ชั่วโมง เด็ก นิยามคำว่าเด็ก ขนาดรับประทานสำหรับเด็กยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกสนับสนุนการใช้ยานี้ ขนาดการใช้ยานี้ในเด็กจึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา อนึ่ง ควรรับประทานยานี้หลังอาหาร หมายเหตุ ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยาเบทานิดีน ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยาใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัดหายใจลำบาก หอบเหนื่อย มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยาใช้ยาหรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาเบทานิดีนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆ และหรือกับอาหารเสริมที่กินที่ใช้อยู่ก่อน
เภสัชวิทยา Pharmacology
Multiple choice
cc-by-nc-4.0
Medical_12931
Medical
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถใช้ยาไดเอทิลโพรพิออนเพื่อลดน้ำหนักได้หรือไม่?
null
ไม่ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงไม่ควรใช้ยาไดเอทิลโพรพิออนเพื่อลดน้ำหนัก เหตุผล: ยาไดเอทิลโพรพิออนมีกลไกการออกฤทธิ์เป็นยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ส่งผลให้ระบบประสาทเสื่อมโทรม กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น เพิ่มความดันโลหิต ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีหลอดเลือดแดงแข็ง เปราะบาง ยาไดเอทิลโพรพิออนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคลิ้นหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ยาไดเอทิลโพรพิออนมีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ หงุดหงิด อาการเหล่านี้ยิ่งกระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้น มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่าในการลดน้ำหนักสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ข้อแนะนำ: ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีลดน้ำหนักที่เหมาะสมและปลอดภัย ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัก ยาไดเอทิลโพรพิออนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงสูง ผลข้างเคียงรุนแรง ข้อมูลเพิ่มเติม: ยาไดเอทิลโพรพิออนจัดเป็นยาอันตราย อยู่ในบัญชียาประเภท 2 ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ผู้ป่วยควรแจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว ให้แพทย์ทราบก่อนรับยา การใช้ยาไดเอทิลโพรพิออนเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยควรติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,เภสัชวิทยา Pharmacology
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_18964
Medical
ในเด็กทารก แพทย์อาจสังเกตถึงภาวะการขาดวิตามินเคจากอะไร
หนูขาดเค แม่ขาดใจ ตอนที่ 3 หนูขาดเค แม่ขาดใจ ตอนที่ 3 ส่วนในเด็กทารก แพทย์อาจสังเกตุถึงภาวะการขาดวิตามินเคจากการมีเลือดออกที่ บริเวณที่ตัดสายสะดือ Umbilical cord ผิวหนัง จมูก ทางเดินอาหาร และบริเวณอื่นๆ อวัยวะเพศที่ขลิบ Circumcise ปัสสาวะปนเลือด บริเวณสมอง ซึ่งอันตรายมากและอาจเสียชีวิตได้ สำหรับสาเหตุในการเกิดภาวะการขาดวิตามินเคในผู้ใหญ่นั้นยังไม่ชัดเจน แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในกรณีดังต่อไปนี้ ใช้สารกันเลือดแข็งพวกคูมาริน Coumarin anticoagulants ใช้ยาปฏิชีวนะ Antibiotics - เพราะยาปฏิชีวนะจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยในการผลิตวิตามินเค 2 ในลำไส้ ใช้ยาลดกรด Antacids ใช้ยากันชัก Anti-seizure medications ร่างกายไม่สามารถย่อยและดูดซึมไขมันได้ดี Fat malabsorption เช่น o โรคเซลิแอค Celiac disease o โรคซิสติกไฟโบรซิส Cystic fibrosis o ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง Chronic pancreatitis o โรคโครห์น Crohns disease o ทางเดินอาหารและทางเดินน้ำดีผิดปกติ o มีการตัดลำไส้ทิ้งไปบางส่วน กินอาหารที่ขาดวิตามินเค กินวิตามินเอหรือวิตามินอีในปริมาณที่มากเกิน ผู้ที่เจ็บป่วยมาก เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยฟอกไต ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ในเด็กทารกความเสี่ยงในการเกิดภาวะการขาดวิตามินเคจะมากขึ้นหาก นมแม่มีวิตามินเคที่ต่ำมาก วิตามินเคไม่สามารถผ่านรก Placenta ไปสู่ทารกได้ดี ตับของทารกไม่ได้ใช้วิตามินเคอย่างมีประสิทธิภาพ ทารกไม่สามารถผลิตวิตามินเค 2 ได้เองในช่วงวันแรกๆ หลังการคลอด แม่มีการใช้ยาต้านชักหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือดระหว่างการตั้งครรภ์
ในเด็กทารก แพทย์อาจสังเกตถึงภาวะการขาดวิตามินเคจากการมีเลือดออกที่บริเวณที่ตัดสายสะดือ ผิวหนัง จมูก ทางเดินอาหาร และบริเวณอื่นๆ อวัยวะเพศที่ขลิบ ปัสสาวะปนเลือด บริเวณสมอง ซึ่งอันตรายมากและอาจเสียชีวิตได้
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_44103
Finance
นักวางแผนการลงทุนอิสระ (IIP) จำเป็นต้องมีใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน (IC) หรือใบอนุญาตผู้วางแผนการลงทุน (IP) หรือไม่?
null
ใช่ นักวางแผนการลงทุนอิสระ (IIP) จำเป็นต้องมีใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน (IC) หรือใบอนุญาตผู้วางแผนการลงทุน (IP) เหตุผล: กฎหมายกำหนด: ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 บุคคลใดที่ประกอบธุรกิจการให้คำแนะนำการลงทุน จะต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ความรับผิดชอบ: IIP มีหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การลงทุนแก่ลูกค้า ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางการเงิน การมีใบอนุญาต IC หรือ IP แสดงว่า IIP นั้นมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์การลงทุน และความเสี่ยงทางการเงิน การปกป้องผู้บริโภค: ใบอนุญาต IC หรือ IP เป็นเครื่องมือที่ ก.ล.ต. ใช้ในการปกป้องผู้บริโภคจากการถูกหลอกลวงหรือได้รับคำแนะนำที่ผิด ประเภทของใบอนุญาต: ใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน (IC): อนุญาตให้ผู้แนะนำการลงทุนสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนประเภทตราสารหนี้ ใบสำคัญแสดงสิทธิ และกองทุนรวม ใบอนุญาตผู้วางแผนการลงทุน (IP): อนุญาตให้ผู้วางแผนการลงทุนสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนได้ทุกประเภท รวมถึงหุ้น การขอใบอนุญาต: ผู้ที่สนใจสามารถสมัครขอใบอนุญาต IC หรือ IP กับ ก.ล.ต. โดยต้องผ่านการสอบวัดความรู้และประสบการณ์ สรุป: การเป็น IIP นั้น จำเป็นต้องมีใบอนุญาต IC หรือ IP เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย แสดงถึงความรับผิดชอบ และปกป้องผู้บริโภค หมายเหตุ: ข้อมูลนี้อ้างอิงจาก พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจการให้คำแนะนำการลงทุน พ.ศ. 2562 ข้อมูลนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลง ผู้สนใจควรตรวจสอบกับ ก.ล.ต. อีกครั้ง
ความรู้ทางการเงิน
Classification
cc-by-nc-4.0
Finance_5
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนในยุคโควิด-19
null
ถ้าย้อนกลับไปดูในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจะพบว่าตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เคยลื่นไหลกลับหยุดชะงักแบบไม่ทันตั้งตัวและส่งผลเชื่อมโยงเป็นวงกว้าง แม้ว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในครึ่งแรกของปี 2563 จะยังสามารถขยายตัวได้เล็กน้อยที่ร้อยละ 1.25 หรือมูลค่าคงค้างของตราสารหนี้รวมทั้งสิ้น 13.69 ล้านล้านบาท แต่ทว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลไม่ใช่หุ้นกู้ภาคเอกชนอย่างที่เคยเป็นมา โดยพบว่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวในครึ่งปีแรกมีมูลค่าลดลงถึงร้อยละ 22 ของค่าเฉลี่ยการออกในช่วงครึ่งปีแรกของระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นดัชนีผลตอบแทนของหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ A- อายุ 1-3 ปี ยังให้ผลตอบแทนต่ำกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลกลุ่มอายุ 1-3 ปี ในสภาวะปกติ การลงทุนในหุ้นกู้มักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่า นักลงทุนจึงต้องการผลตอบแทนคาดหวังที่สูงกว่า แต่ในห้วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนมีความกังวลต่อคุณภาพของผู้ออกหุ้นกู้ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อผลการดำเนินงานของภาคธุรกิจที่อาจจะมีปัญหา หรือความกังวลว่าบริษัทอาจจะขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ความต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงจากเครดิตที่สูงขึ้น (Credit spread widen) เนื่องจากมองว่าการลงทุนในหุ้นกู้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในแง่โอกาสในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Downgrade) และสภาพคล่องลดลง (Liquidity Risk Premium) ส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นกู้และทำให้ราคาของหุ้นกู้ในตลาดรองปรับลดลง ดัชนีผลตอบแทนของหุ้นกู้ภาคเอกชนจึงติดลบในช่วงมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการระบาดของ COVID-19 อย่างรวดเร็วและมีการปิดเมืองสกัดกั้นการลุกลาม อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น สาเหตุมาจาก นักลงทุนสามารถประเมินผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ได้ชัดเจนมากขึ้นจากการรายงานงบการเงินไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมา และภาครัฐมีการยกเลิกการปิดเมืองทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของภาคธุรกิจดีขึ้น ความต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงจากเครดิตจึงเริ่มปรับลดลงและส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกู้ปรับตัวดีขึ้น หากมองไปยังอนาคต การระบาดของ COVID-19 ที่ยืดเยื้ออาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทที่แตกต่างกันไป บางธุรกิจอาจจะสามารถฟื้นตัวได้ บางธุรกิจอาจล้มหายไปจากระบบเศรษฐกิจ และก็มีบางธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวจะยังคงอยู่กับเราไปอีกระยะเวลาหนึ่ง การใช้มาตรการทางการเงินมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ จากเดิมที่ใช้การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นกลายมาเป็นการใช้มาตรการเฉพาะจุดเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะทำให้การลงทุนที่เคยมั่นใจว่ามีความปลอดภัยสูงหรือน่าสนใจได้เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นไม่ว่านักลงทุนจะลงทุนตรงด้วยตัวเอง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย นักลงทุนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง ติดตาม เข้าใจ เข้าถึงการฟื้นตัวของธุรกิจให้มากขึ้นกว่าในอดีต เพื่อที่จะได้ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนได้เป็นอย่างดี
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_3700
Finance
เขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับ "รากฐานของคริปโต: จาก Luna ถึง Genesis ผ่านเส้นทางของเวลา"
null
ในโลกของคริปโต, มีเรื่องราวหลายร้อยแห่งที่มีมุมมองและสถานการณ์ที่ต่างกันอย่างเหลือเชื่อ แต่ในหนึ่งในนั้นมีเรื่องราวที่น่าสนใจจาก Luna, 3AC, FTX ถึง DCG, Genesis, GBTC ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ "ระเบิดเวลา" ของโลกคริปโตกำลังจะเกิดขึ้น... ในวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยความร้อนแรงในตลาดคริปโต, Luna คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่สามารถพูดถึงกระแสและเทรนด์ของตลาดได้อย่างแม่นยำมากกว่าใคร และเธอเริ่มมีความสัมพันธ์กับบริษัท 3AC ที่เชื่อมโยงกับโลกทางการเงินและเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่เรื่องเปลี่ยนไปเมื่อมีข่าวลือขึ้นว่า DCG (Digital Currency Group) บริษัทแม่ของ Genesis และ GBTC (Grayscale Bitcoin Trust) กำลังเตรียมการเข้าซื้อจดหมายอนุญาตจากหน่วยงานกำกับการเงินสำหรับการเปิดตัวฟอรัมการซื้อขายที่มีชื่อเสียงในโลกคริปโต FTX, และบริษัทรายใหม่ที่เริ่มกำเนิดในโลกคริปโตและมีการเพิ่มมูลค่าขึ้นอย่างรวดเร็วก็ไม่พลาดที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ ส่งผลให้ตลาดคริปโตเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีใหม่นี้ การแข่งขันกำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ดราม่าและการโต้แย้งกำลังประสานกับการเพิ่มเติมของนักลงทุนที่กำลังเข้ามาในตลาด ซึ่งเริ่มแสดงให้เห็นว่าโลกคริปโตกำลังเข้าสู่ยุคของการรวมกันและการควบคุมโดยบริษัทใหญ่ การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเพิ่มขึ้น จาก Luna กับ 3AC ที่เริ่มด้วยความสัมพันธ์ที่เพียงเพียงแค่สัมภาษณ์การบรรจุบรรจุสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงในการเตรียมความพร้อมสำหรับวิกฤตนี้ ไปจนถึง DCG, Genesis, GBTC ที่เตรียมการก้าวเข้าสู่โลกคริปโตด้วยการเปิดตัวฟอรัมการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพขึ้น 'ระเบิดเวลา' ของโลกคริปโตกำลังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักหยุดนิ่ง เรื่องราวต่อไปนี้อาจจะเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่มากมาย และความหวังของนักลงทุนที่จะดึงดูดและควบคุมตลาดในปีที่กำลังจะมาถึง
เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_23659
Medical
การทดสอบการตั้งครรภ์คืออะไร มีกี่แบบ
​ การทดสอบ การตั้งครรภ์ การทดสอบ การตั้งครรภ์ คำถาม เป็นไปได้หรือไม่ที่การตรวจของแพทย์และผลของการทดสอบให้ผลว่าไม่ตั้งครรภ์ในกรณีที่มีการตั้งครรภ์จริง เป็นไปได้ เช่น การตรวจค้นหาอาการแสดงของแพทย์ เพราะอาการหลายอาการมีสาเหตุจากโรคและความผันแปรอื่น ๆ ของร่างกาย ความแม่นยำในการทดสอบก็เช่นกัน มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ เช่น ระยะเวลาที่ทดสอบ ชนิดของการทดสอบที่เลือกใช้และเทคนิคการปฏิบัติในการทดสอบ ปัจจุบันการทดสอบการตั้งครรภ์ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นชุดทดสอบสำเร็จรูปหลากหลายชนิด เช่น เป็นแถบสี เม็ดยา หรือน้ำยาสำเร็จรูป แต่ละวิธีจะมีข้อบ่งใช้และข้อจำกัดในการทดสอบที่ผู้ใช้ควรทำความเข้าใจก่อนเลือกใช้ แต่โดยหลักการพื้นฐานทั่วไปเราจัดแบ่งการทดสอบการตั้งครรภ์เป็น 2 รูปแบบ คือ การทดสอบด้วยตนเอง เป็นการทดสอบปัสสาวะของผู้ที่สงสัยว่าจะตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายทั่วไป วิธีนี้ เป็นที่นิยมแพร่หลายในประเทศทางตะวันตก และเริ่มมีการนำเข้าประเทศไทยบ้าง หลักการทดสอบเป็นหลักการเดียวกับการทดสอบในโรงพยาบาลและในคลินิกแพทย์ โดยการตรวจสอบหาฮอร์โมนเอสซีจี HCG ในปัสสาวะ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะมีการสร้างโดยเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ ดังนั้นจึงสามารถตรวจสอบได้ทันทีที่มีการปฏิสนธิ และเติบโตของเซลล์ตัวอ่อนในมดลูก แต่ปริมาณของฮอร์โมนนี้จะถูกขับออกมาในปัสสาวะแม่ เมื่อมีปริมาณมากพอในระดับหนึ่ง โดยทั่วไปจะประมาณวันที่ 14 ของการปฏิสนธิ คือทันทีที่รอบเดือนไม่มาตามกำหนด ทั้งนี้การตรวจสอบฮอร์โมนเอชซีจีในปัสสาวะ ยังมีความคลาดเคลื่อนได้สูง ในกรณีที่มีการตั้งครรภ์ แต่ระดับฮอร์โมนในบางคนไม่มากพอที่จะตรวจพบได้พบจากการทดสอบ คือ ให้ผลการทดสอบเป็นลบอยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ความแม่นยำของชุดทดสอบด้วยตนเองนี้ยังขึ้นอยู่กับราคาและบริษัทผู้ผลิต และโดยทั่วไปจะมีความน่าเชื่อถือได้เฉพาะการทดสอบที่ให้ผลบวก คือ ผลที่สอดคล้องกับการตั้งครรภ์ ข้อดีของชุดทดสอบนี้คือ สามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ในกรณีที่ท่านทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเองให้ผลลบ ท่านควรจะต้องทำการตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และถ้าท่านยังไม่มีประจำเดือนมาตามกำหนด ท่านต้องรับรับการตรวจจากแพทย์ โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ การทดสอบของท่านให้แพทย์ทราบด้วย เช่น ชุดทดสอบที่ใช้ วันเวลาที่ท่านทดสอบ ข้อแนะนำประการหนึ่งในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง คือ ไม่ว่าผลการทดสอบจะเป็นบวกหรือลบ ท่านควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมจากแพทย์เช่นกัน ในกรณีที่ผลการทดสอบเป็นบอก การตรวจจะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ และเป็นการตรวจร่างกายเพื่อดูแลสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์ สามารถขจัดปัญหาที่ไม่พึงประสงค์บางประการได้แต่เนิ่นๆ ในกรณีที่ผลการทดสอบเป็นลบ แพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุต่อไป การตรวจทางห้องทดลอง โดยหลักการเดียวกับการทดสอบด้วยตนเองคือ เป็นการตรวจวัดหาฮอร์โมนเอชจีซี ในปัสสาวะหรือในเลือด ซึ่งการทดสอบนี้มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 7-10 ของการปฏิสนธิ การตรวจทางห้องทดลองจะให้ผลแม่นยำกว่าการทดสอบเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะจนเกิดความชำนาญในการปฏิบัติ การตรวจทางห้องทดลองนี้ในบางสถานที่ต้องใช้ปัสสาวะตื่นนอนเช้าเป็นครั้งแรกเป็นสิ่งทดสอบ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นท่านจะต้องเสียเวลาในการตรวจซ้ำหรือได้ผลการตรวจที่ผิดพลาด ในปัจจุบันโรงพยาบาลทั่วไป มักจะไม่จำกัด กล่าวคือ ใช้ปัสสาวะในช่วงไหนของวันก็สามารถนำมาตรวจสอบได้ การตรวจเลือด เป็นการตรวจหาระดับ ฮฮร์โมนเอชซีจีเช่นกัน และสามารถตรวจสอบได้เร็ววันขึ้น และสามารถสอบได้เร็ววันขึ้น คือ ภายใน 7 วัน ของการมีการปฏิสนธิยังไม่ถึงกำหนดการมีประจำเดือนครั้งใหม่ และยังสามารถบอกกำหนดวันคลอดได้โดยการเทียบกับค่ามาตรฐานในเลือด แต่การทดสอบด้วยเลือดไม่เป็นที่นิยมใช้ในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ เพราะการตรวจปัสสาวะสามารถใช้ได้ผลที่เท่ากันและสะดวกกว่า การตรวจเลือดจะใช้ในกรณีที่ต้องการเลือดจะใช้ในกรณีที่ต้องการวัดระดับฮอร์โมนที่ละเอียดเพิ่มขึ้นในการวินิจฉัยภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์ การทดสอบการตั้งครรภ์ทุกวิธีจะมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในการทดสอบที่ให้ผลบวก แต่ก็มีโอกาสผิดพลาดในเนื่องจากภาวะร่างกายบางกรณีจะให้ผลการทดสอบเป็นบวกได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจร่างกายและการค้นหาอาการแสดงของการตั้งครรภ์จากการตรวจ จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการช่วงให้การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น เช่น การตรวจดูสีและความนุ่มของปากมดลูกประกอบกับขนาดของมดลูกที่โตขึ้น ซึ่งจะปรากฏอาการในสัปดาห์ที่ 6 ดังนี้เป็นต้น ในกรณีที่การทดสอบให้ผลลบ การทดสอบซ้ำๆ และการตรวจสอบการมีประจำเดือนเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ถ้าประจำเดือนยังขาดหายไปในขณะที่ผลการทดสอบยังให้ผลลบเช่นเดิม การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นข้อสงสัยที่คุณควรได้รับการตรวจจากแพทย์โดยละเอียด มีบ้างบางรายที่ผลการตรวจร่างกายและการทดสอบการตั้งครรภ์ ไม่สามารถให้ข้อวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ จนตั้งครรภ์ 6-7 เดือน และบางรายมีอาการแสดงของการตั้งครรภ์ครบถ้วน แต่ไม่สามารถตรวจสอบการตั้งครรภ์ได้จากการตรวจสอบของแพทย์และการตรวจทางห้องทดสอบ ในกรณีหลังนี้พบว่าสาเหตุของการเกิดอาการเหล่านี้เกิดจากความแปรปรวนทางด้านจิตใจ เช่น มีความต้องการที่จะมีบุตรอย่างมาก ในขณะที่ร่างกายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หรือความกลัวที่จะตั้งครรภ์ได้ หรือความกลัวที่จะตั้งครรภ์อย่างรุนแรง ซึ่งพบได้บ่อยครั้งที่สตรีสองกลุ่มนี้จะเสาะหาวิธีการตรวจที่ยืนยันความวิตกกังวลของตนอย่างผิด ๆ การช่วยเหลือทางจิตใจที่เหมาะสมเป็นวิธีที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถาวร ข้อควรใส่ใจในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง เพื่อความมั่นใจว่าการทดสอบด้วยตนเองไม่ผิดพลาด
หลักการพื้นฐานทั่วไปเราจัดแบ่งการทดสอบการตั้งครรภ์เป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การทดสอบด้วยตนเอง: - เป็นการทดสอบปัสสาวะของผู้ที่สงสัยว่าจะตัังครรภ์ด้วยชุดทดสอบสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายทั่วไป วิธีนี้ เป็นที่นิยมแพร่หลายในประเทศทางตะวันตก และเริ่มมีการนำเข้าประเทศไทยบ้าง - หลักการทดสอบเป็นหลักการเดียวกับการทดสอบในโรงพยาบาลและในคลินิกแพทย์ - ทำโดยการตรวจสอบหาฮอร์โมนเอสซีจี HCG ในปัสสาวะ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะมีการสร้างโดยเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ ดังนั้นจึงสามารถตรวจสอบได้ทันทีที่มีการปฏิสนธิ และเติบโตของเซลล์ตัวอ่อนในมดลูก แต่ปริมาณของฮอร์โมนนี้จะถูกขับออกมาในปัสสาวะแม่ เมื่อมีปริมาณมากพอในระดับหนึ่ง โดยทั่วไปจะประมาณวันที่ 14 ของการปฏิสนธิ คือทันทีที่รอบเดือนไม่มาตามกำหนด - ทั้งนี้การตรวจสอบฮอร์โมนเอชซีจีในปัสสาวะ ยังมีความคลาดเคลื่อนได้สูง ในกรณีที่มีการตั้งครรภ์ แต่ระดับฮอร์โมนในบางคนไม่มากพอที่จะตรวจพบได้พบจากการทดสอบ คือ ให้ผลการทดสอบเป็นลบอยู่ในระยะเวลาหนึ่ง - ความแม่นยำของชุดทดสอบด้วยตนเองนี้ยังขึ้นอยู่กับราคาและบริษัทผู้ผลิต และโดยทั่วไปจะมีความน่าเชื่อถือได้เฉพาะการทดสอบที่ให้ผลบวก คือ ผลที่สอดคล้องกับการตั้งครรภ์ ข้อดีของชุดทดสอบนี้คือ สามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ในกรณีที่ท่านทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเองให้ผลลบ ท่านควรจะต้องทำการตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง และถ้าท่านยังไม่มีประจำเดือนมาตามกำหนด ท่านต้องรับรับการตรวจจากแพทย์ โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ การทดสอบของท่านให้แพทย์ทราบด้วย 2. การตรวจทางห้องทดลอง โดยหลักการเดียวกับการทดสอบด้วยตนเองคือ : 2.1 เป็นการตรวจวัดหาฮอร์โมนเอชจีซี ในปัสสาวะหรือในเลือด ซึ่งการทดสอบนี้มีความแม่นยำและเชื่อถือได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 7-10 ของการปฏิสนธิ - การตรวจทางห้องทดลองจะให้ผลแม่นยำกว่าการทดสอบ: เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะจนเกิดความชำนาญในการปฏิบัติ - การตรวจทางห้องทดลองนี้ในบางสถานที่ต้องใช้ปัสสาวะตื่นนอนเช้าเป็นครั้งแรกเป็นสิ่งทดสอบ ซึ่งท่านต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นท่านจะต้องเสียเวลาในการตรวจซ้ำหรือได้ผลการตรวจที่ผิดพลาด ในปัจจุบันโรงพยาบาลทั่วไป มักจะไม่จำกัด กล่าวคือ ใช้ปัสสาวะในช่วงไหนของวันก็สามารถนำมาตรวจสอบได้ 2.2 การตรวจเลือด เป็นการตรวจหาระดับ ฮอร์โมนเอชซีจีเช่นกัน และสามารถตรวจสอบได้เร็ววันขึ้น และสามารถสอบได้เร็ววันขึ้น คือ ภายใน 7 วัน ของการมีการปฏิสนธิยังไม่ถึงกำหนดการมีประจำเดือนครั้งใหม่ และ - ยังสามารถบอกกำหนดวันคลอดได้โดยการเทียบกับค่ามาตรฐานในเลือด แต่การทดสอบด้วยเลือดไม่เป็นที่นิยมใช้ในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ เพราะการตรวจปัสสาวะสามารถใช้ได้ผลที่เท่ากันและสะดวกกว่า - การตรวจเลือดจะใช้ในกรณีที่ต้องการวัดระดับฮอร์โมนที่ละเอียดเพิ่มขึ้นในการวินิจฉัยภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์ การทดสอบการตั้งครรภ์ทุกวิธีจะมีความแม่นยำและเชื่อถือได้ในการทดสอบที่ให้ผลบวก: แต่ก็มีโอกาสผิดพลาดในเนื่องจากภาวะร่างกายบางกรณีจะให้ผลการทดสอบเป็นบวกได้เช่นกัน ดังนั้น การตรวจร่างกายและการค้นหาอาการแสดงของการตั้งครรภ์จากการตรวจ จะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการช่วยให้การวินิจฉัยการตั้งครรภ์ถูกต้องสมบูรณ์ขึ้น เช่น - การตรวจดูสีและความนุ่มของปากมดลูก - ประกอบกับขนาดของมดลูกที่โตขึ้น ซึ่งจะปรากฏอาการในสัปดาห์ที่ 6 ดังนี้เป็นต้น ในกรณีที่การทดสอบให้ผลลบ : - การทดสอบซ้ำๆ และการตรวจสอบการมีประจำเดือนเป็นสิ่งที่พึงกระทำ - ถ้าประจำเดือนยังขาดหายไปในขณะที่ผลการทดสอบยังให้ผลลบเช่นเดิม การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นข้อสงสัยที่คุณควรได้รับการตรวจจากแพทย์โดยละเอียด มีบ้างบางรายที่ผลการตรวจร่างกายและการทดสอบการตั้งครรภ์ ไม่สามารถให้ข้อวินิจฉัยการตั้งครรภ์ได้ จนตั้งครรภ์ 6-7 เดือน และบางรายมีอาการแสดงของการตั้งครรภ์ครบถ้วน แต่ไม่สามารถตรวจสอบการตั้งครรภ์ได้จากการตรวจสอบของแพทย์และการตรวจทางห้องทดสอบ ในกรณีหลังนี้พบว่าสาเหตุของการเกิดอาการเหล่านี้เกิดจากความแปรปรวนทางด้านจิตใจ เช่น - มีความต้องการที่จะมีบุตรอย่างมาก ในขณะที่ร่างกายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หรือ - ความกลัวที่จะตั้งครรภ์ได้ หรือความกลัวที่จะตั้งครรภ์อย่างรุนแรง ซึ่งพบได้บ่อยครั้งที่สตรีสองกลุ่มนี้จะเสาะหาวิธีการตรวจที่ยืนยันความวิตกกังวลของตนอย่างผิดๆ การช่วยเหลือทางจิตใจที่เหมาะสมเป็นวิธีที่จะแก้ปัญหาได้อย่างถาวร ข้อควรใส่ใจในการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง เพื่อความมั่นใจว่าการทดสอบด้วยตนเองไม่ผิดพลาด
สูติศาสตร์ (สูติศาสตร์) - Obstetrics,นรีเวชวิทยา (นรีเวชวิทยา) - Gynecology
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Medical_27433
Medical
ช่วยสรุปบทความ รากฟันเทียม ทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญหายไป
รากฟันเทียม ทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญหายไป เมื่อสูญเสียฟันธรรมชาติไป การใส่ฟันปลอมเพื่อทดแทนช่องว่างนั้นสามารถทำได้ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปกลับพบปัญหาเกิดการหลวมของฟันปลอมขึ้น โดยสาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากที่กระดูกรองรับรากฟันได้ละลายไป ทำให้เกิดการยุบตัวของสันเหงือก ฟันปลอมจึงไม่มีความพอดี ดังนั้นการใส่รากฟันเทียมจึงช่วยชะลอการเสื่อมของกระดูกรองรับรากฟันได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้กับฟันปลอม รวมทั้งไม่ต้องกรอฟันข้างเคียงช่องว่างที่ถอนฟันออกไป จึงไม่รบกวนและไม่สูญเสียโครงสร้างฟันธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว สามารถประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มการยึดอยู่ของฟันปลอมถอดได้บางประเภทในผู้ที่ไม่เหลือฟันในช่องปากเลย มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการบดเคี้ยว ทำความสะอาดง่ายเหมือนฟันธรรมชาติ ช่วยเสริมความมั่นใจด้วยรอยยิ้มที่โดดเด่น รากฟันเทียมคืออะไร รากฟันเทียม หรือรากเทียม (Dental implant) คือ วัสดุที่ทำจากไทเทเนียมที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ ทำให้เข้ากับร่างกายของมนุษย์ได้ รูปร่างคล้ายสกรูน็อต ใส่เข้าไปยึดกับกระดูกขากรรไกร เพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติของฟันที่สูญเสียไป รากฟันเทียมจะทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติเพื่อรองรับ การทำทันตกรรมฟันปลอมทั้งชนิดถอดได้และชนิดติดแน่นเพื่อช่วยให้ฟันปลอมยึดติดได้ดี การครอบฟัน หรือ สะพานฟัน ที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งการใส่รากฟันเทียมถือว่าเป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ใส่รากฟันเทียมเพื่ออะไร การใส่รากฟันเทียมนั้น เพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่บาดเจ็บจากฟันผุ โรคเหงือก การถอนฟัน อุบัติเหตุทำให้สูญเสียฟัน หรือการสูญเสียฟันที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ (ฟันหายไป) และหากมีการสูญเสียฟันจำนวนหลายซี่ ทันตแพทย์สามารถวินิจฉัยและฝังรากฟันเทียมจำนวนหลายชิ้นเพื่อเป็นฐานรองรับสะพานฟันหรือฟันปลอมแบบถอดได้ ประเภทของการใส่รากฟันเทียม การใส่รากฟันเทียมสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้ การฝังรากฟันเทียมแบบทั่วไป หรือ แบบดั้งเดิม (Conventional Implant) โดยหลังจากถอนฟัน แล้วจะรอ 2-3 เดือน เพื่อให้กระดูกที่ถอนฟันไปมีการหายที่สมบูรณ์ แล้วค่อยใส่รากเทียมและรอให้เกาะกับรากฟันเทียมโดยสมบูรณ์ก่อน เมื่อกระดูกยึดติดกับพื้นผิวรากเทียมแล้ว ค่อยทำครอบฟันบนรากฟันเทียม การฝังรากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟัน (Immediate implant) เพื่อให้ผู้ป่วยลดการผ่าตัด และความบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น โดยหลังจากถอนฟันแล้วทำการใส่รากฟันเทียมได้เลย หลังจากฝังรากฟันเทียมเรียบร้อยแล้ว รอ 2-3 เดือน เพื่อให้กระดูกยึดเกาะกับรากฟันเทียมอย่างดีก่อน จึงทำการครอบฟัน และใส่ฟันปลอมตัวจริงบนรากฟันเทียม เหมาะกับ ฟันหน้า หรือ ฟันหลัง ที่มีกระดูกที่พอเพียง การใส่รากฟันเทียม ร่วมกับการทำครอบฟันทันที (Immediate loaded implant) เป็นการประหยัดเวลาการฝังรากเทียมและการใส่ครอบฟันเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีฟันใช้ขณะรอรากเทียมยึดติดกับกระดูก การรักษาด้วยรากฟันเทียมเหมาะกับใคร ผู้ที่สูญเสียฟันแท้ไป และมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ที่ฟันแตกหักหรือฟันบิ่น โดยที่ทันตแพทย์แนะนำว่าควรถอนฟันซี่นั้นออก ก็สามารถทำรากฟันเทียมทดแทนฟันที่สูญเสียไป ผู้ที่ไม่ต้องการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ ผู้ที่ไม่ต้องการกรอฟันเพื่อทำสะพานฟันติดแน่น ผู้ที่ต้องการให้ฟันดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ผู้ที่ต้องการยิ้มและเสริมสร้างความมั่นใจ ผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารให้ดีขึ้น ผู้ที่ต้องการทดแทนฟันที่ไม่แข็งแรง และไม่สามารถทำหน้าที่เป็นฟันหลักยึดให้กับฟันเทียมชนิดอื่นๆ
การสูญเสียฟันธรรมชาติมีความเสี่ยงในการเกิดการหลวมของฟันปลอม รากฟันเทียมช่วยชะลอการเสื่อมกระดูกรองรับรากฟัน ประสิทธิภาพสูงสุดในการบดเคี้ยว และช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้กับฟันปลอม สามารถถอดได้ในบางประเภทผู้ที่ไม่มีฟันในช่องปาก ประโยชน์รวมถึงไม่ต้องกรอฟันข้างเคียงช่องว่างที่ถอนฟัน ช่วยเพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้มที่โดดเด่นและสะดวกในการดูแลรักษาเทียบเท่ากับฟันธรรมชาติ รากฟันเทียมคือวัสดุทำจากไทเทเนียมที่ออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป มีรูปร่างคล้ายสกรูน็อต ใส่เข้าไปยึดกับกระดูกขากรรไกร เป็นการแทนที่ที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมในทันตกรรมในปัจจุบัน การใส่รากฟันเทียมเพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสีย เช่น จากฟันผุ โรคเหงือก การถอนฟัน หรือสูญเสียฟันที่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ สามารถใช้รากฟันเทียมเป็นฐานรองรับสะพานฟันหรือฟันปลอมแบบถอดได้ การใส่รากฟันเทียมแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) แบบฝังรากฟันเทียมแบบทั่วไป 2) แบบฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟัน 3) แบบฝังรากฟันเทียมร่วมกับการทำครอบฟันทันที การรักษาด้วยรากฟันเทียมเหมาะกับใคร ผู้ที่สูญเสียฟันแท้ไป และมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ที่ฟันแตกหักหรือฟันบิ่น ผู้ที่ไม่ต้องการใส่ฟันแบบถอดได้ ผู้ที่ไม่ต้องการกรอฟันเพื่อทำสะพานฟันติดแน่น ผู้ที่ต้องการให้ฟันดูเป็นธรรมชาติ ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นใจ ผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร ผู้ที่ต้องการทดแทนฟันที่ไม่แข็งแรง
ทันตกรรม Dentistry
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_41160
Finance
นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยใดบ้างเมื่อเลือกลงทุนในสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในแง่ของสภาพคล่อง ความเสี่ยง และผลตอบแทน
null
1. สภาพคล่อง: นักลงทุนควรพิจารณาถึงสภาพคล่องของสินทรัพย์ หมายถึงความสามารถในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนสามารถขายได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องสูญเสียมูลค่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน 2. ความเสี่ยง: นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงของสินทรัพย์ หมายถึงโอกาสที่มูลค่าของสินทรัพย์จะลดลง สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีโอกาสสูญเสียเงินลงทุนสูงเช่นกัน นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก่อนตัดสินใจลงทุน 3. ผลตอบแทน: นักลงทุนควรพิจารณาผลตอบแทนของสินทรัพย์ หมายถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุน นักลงทุนควรเปรียบเทียบผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ กับความเสี่ยงและสภาพคล่องก่อนตัดสินใจลงทุน ตัวอย่าง: นาย D ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ นาย D มีเงินลงทุน 1 ล้านบาท นาย D ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง นาย D ต้องการผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5% นาย D ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ต่างๆ เปรียบเทียบสภาพคล่อง ความเสี่ยง และผลตอบแทน นาย D อาจจะเลือก -ทองคำ: เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 3-5% -อสังหาริมทรัพย์: เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องปานกลาง ความเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 5-8% -ตราสารหนี้ที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (TIPS): เป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 1-3%
ความรู้ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_1391
Finance
กองทุน TMBEAE, M-EM และ WE-DEWORLD มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
null
กองทุน TMBEAE และกองทุน M-EM ซึ่งมีกองทุนหลักคือ Baillie Gifford Worldwide Emerging Markets โดย TMBEAE เพิ่งเปลี่ยนกองทุนหลักเมื่อ 8 มีนาคม 2021 ส่วน M-EM เพิ่งจัดตั้งกองทุนใหม่เมื่อ 22 มกราคม 2021 และกองทุน WE-DEWORLD จัดตั้งกองทุนเมื่อ 9 เมษายน 2021 ซึ่งมีกองทุนหลักคือ Arisan Developing World Funds จุดเด่นของกองทุนหลัก - Baillie Gifford Worldwide Emerging Markets ที่กองทุน TMBEAE และ M-EM ไปลงทุนนั้น ได้ 5 ดาว Morningstar โดยข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2021 กองทุนหลักลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 44 ตัว มีความ High conviction ตามแนวของ Baillie Gifford และเมื่อเทียบกับ MSCI Emerging Market กองทุนได้ underweight จีน overweight บราซิลและรัสเซีย ในส่วนของ sector ก็ overweight กลุ่ม Consumer discretionary, Financials และ underweight กลุ่ม Communication services เมื่อเทียบหุ้นรายตัว ก็มีการ overweight TSMC และ Samsung อีกด้วย - Arisan Developing World Funds ที่กองทุน WE-DEWORLD ไปลงทุน โดยข้อมูลล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2021 กองทุนหลักนี้ถือว่ามีความแปลกมาก ๆ เพราะชื่อกองบอกว่าเป็น Developing World แต่เมื่อดูภูมิภาคที่กองทุนไปลงทุนนั้นมีกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) กว่า 51.5% เกินครึ่งอีก ซึ่งใน 51.5% นี้ก็เป็นสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า 40.3% ตามด้วยเนเธอร์แลนด์ 7.7% และฝรั่งเศส 3.5% ทั้งนี้กองทุนลงทุนในกลุ่ม EM อย่างเอเชีย 39.5% ซึ่งก็ underweight จีนอยู่ และยังมีลงทุนใน LATAM 7.8% และรัสเซีย 1.2% นอกจากนี้ต้องเรียกว่ากองทุนมีความ Super high conviction เพราะลงทุนในหุ้นเพียง 29 ตัว ซึ่งน้อยกว่า Baillie Gifford ที่ลงทุนในหุ้น 44 ตัว เมื่อดูหุ้นรายตัวก็แตกต่างจาก MSCI Emerging Market แทบทั้งหมด เมื่อเห็นภูมิภาค และหุ้นที่กองทุนไปลงทุนแบบนี้แล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าจะเห็นผลตอบแทนมีความผันผวนหนักกว่ากองทุนของ Baillie Gifford มาก ค่าธรรมเนียม - TMBEAE: TER = 1.788%, FE = 1.5% - M-EM: TER = 1.958%, FE = 1.5% - WE-DEWORLD: TER = 1.95%, FE = 1.605% การป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน - TMBEAE: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ - M-EM: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ - WE-DEWORLD: ป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ (ข้อมูล ณ 31 July 2021 อยู่ที่ 91.02%)
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20081
Medical
การเตรียมใจหรือปรับใจให้พร้อมในการกลับมาทำงานตามปกติ หลังวิกฤติโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง มีอะไรบ้าง
null
การเตรียมใจหรือปรับใจให้พร้อมในการกลับมาทำงานตามปกติ หลังวิกฤติโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง มีวิธีดังนี้ 1. ตั้งสติ เพราะการมีสติสามารถช่วยให้มีวิธีตอบสนองกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีมากขึ้น 2. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แค่ทำมันให้ดีที่สุดก็พอ ทำในสิ่งที่ทำได้ เพราะไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้ แต่สามารถควบคุมวิธีการตอบสนองหรือวิธีการรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ 3. วันนี้คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะอดีตผ่านมาแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง การไปวนเวียนคิดถึงสิ่งเหล่านั้นมากไปมีแต่เสียเวลาและกังวลมากขึ้น เพียงแค่ใส่ใจอยู่กับสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบันก็เพียงพอแล้ว 4. ทุกอย่างบนโลกไม่มีอะไรแน่นอน แม้ว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ก็ยังสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย 5. รู้จักเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจ ปล่อยอะไรก็ตามที่เคยผิดพลาดออกไป แล้วจับความถูกต้องเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปหรือปัญหาอะไรก็ตาม จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพียงเท่านี้ ก็น่าจะช่วยให้ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่เพิ่งเปิดเทอมใหม่ปรับทั้งตัว ปรับทั้งใจ ทำงานได้ง่ายขึ้นและเต็มประสิทธิภาพได้เหมือนเดิม
จิตเวชศาสตร์ (จิตเวชศาสตร์) - Psychiatry
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_26154
Medical
ช่วยสรุปบทความ เด็กกับอุบัติเหตุจราจรอุบัติเหตุจราจร
ปัญหาใหญ่ของเด็กไทย ผศนพอดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ การเดินทางสัญจรเป็นวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันทุกประเทศ นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์คนแรกคงไม่ได้คิดว่าสักวันหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ของเขาจะคร่าชีวิตคนจำนวนไม่ถ้วน กลายเป็นสาเหตุนำการตายของคนทุกเพศวัย ไม่ยกเว้นแม้แต่เด็ก จากการศึกษาการตายของเด็กไทย ในเวลา 4 ปี คือ ปี 2542-2545 พบว่ามีเด็กอายุ 1-14 ปีตายจากการขนส่ง transport injuriesจำนวน 3058 ราย เฉลี่ยปีละ 764 ราย คิดเป็นอัตราการตาย 5 คน ต่อ 100000 คน ต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 228 ของการตายจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ หรือร้อยละ 82 ของการตายทั้งหมดเป็นสาเหตุการตายในเด็กอันดับสองรองจากการจมน้ำ ในวัยรุ่นสถานการณ์จะเลวร้ายมากขึ้น ในแต่ละปีจะมีเด็กวัยรุ่น 15-19 ปีตายจากอุบัติเหตุยานยนต์ทางบกจำนวน 2000 ราย ประชากรกลุ่มนี้คิดเป็นร้อยละ 96 ของประชากรทั้งหมด แต่คิดเป็นร้อยละ 16 ของการตายจากอุบัติเหตุจราจร ร้อยละ 55 ของการตายในวัยรุ่น 15-19 ปีมีสาเหตุจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บในจำนวนนี้ร้อยละ 47 เป็นอุบัติเหตุจราจร เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอายุอื่นพบว่ากลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี และกลุ่ม 20-24 ปี มีความเสี่ยงต่อการตายจากอุบัติเหตุรวม และอุบัติเหตุจราจรสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในวัยรุ่นคือการใช้รถจักรยานยนต์ ไม่ใส่หมวกนิรภัย เมา ขับขี่แข่งขัน ขับขี่ยามวิกาล เด็กมีความเสี่ยงตั้งแต่แรกเกิด การเดินทางครั้งแรกในชีวิตของเด็ก คือการเดินทางจากโรงพยาบาลไปบ้าน เด็กส่วนหนึ่งจะเดินทางครั้งแรกภายใต้ความเสี่ยงสูง บางคนถูกพากลับบ้านโดยรถจักรยานยนต์โดยความเต็มใจของพ่อแม่ หลายโรงพยาบาลไม่ได้มีมาตรการแก้ไขปัญหานี้แต่อย่างใดครอบครัวที่มีฐานะอาจจะกลับบ้านโดยรถยนต์ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการนั่งหน้าข้างคนขับ โดยแม่อุ้มไว้บนตักตัวเอง จริงๆ แล้วเป็นความเสี่ยงอย่างมากที่เด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกต้องโดยสารรถจักรยานยนต์ หรือโดยสารรถยนต์อย่างผิดวิธี ไม่มีอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่เหมาะสม เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ย่อส่วน แต่เด็กมีลักษณะกายภาพและพัฒนาการที่เฉพาะตัว ลักษณะการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากกว่าผู้ใหญ่คือ 1สัดส่วนศีรษะของเด็กต่อลำตัวจะมีขนาดที่ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสที่ศีรษะจะได้รับบาดเจ็บได้ง่าย 2เมื่อเด็กถูกรถชน หรือเมื่อเด็กเป็นผู้โดยสารในรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์แล้วถูกชน ขนาดศีรษะที่ใหญ่และหนักทำให้เมื่อมีการลอยกระเด็น ศีรษะเด็กจะเป็นส่วนนำคล้ายหัวลูกธนูหรือลูกแบดมินตันกระแทกชนกับสิ่งกีดขวางและตกกระแทกพื้นก่อนส่วนอื่นของร่างกาย 3กระดูกต้นคอและกล้ามเนื้อคอยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ เมื่อต้องมารับการแกว่งไกวหรือการกระแทกของศีรษะซึ่งมีน้ำหนักมากจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือหักของกระดูกต้นคอได้ง่าย การใส่หมวกนิรภัยที่หนักเกินไปในเด็กเล็กจะยิ่งเพิ่มน้ำหนักศีรษะ และเพิ่มการแกว่งไกวของศีรษะก่อให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการหักของกระดูกต้นคอได้
การเดินทางสัญจรด้วยพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นวิถีชีวิตที่ทุกคนในปัจจุบันในทุกประเทศได้ใช้ นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นยานพาหนะแบบนี้คงไม่คาดคิดว่าสิ่งประดิษฐ์นี้จะมีผลกระทบต่อชีวิตคนได้ขนานนาน การตรวจสอบการตายของเด็กไทยในช่วงปี 2542-2545 พบว่า มีเด็กอายุ 1-14 ปีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการขนส่ง จำนวน 3058 ราย โดยมีอัตราการตายเฉลี่ยปีละ 764 ราย หรือ 5 คนต่อ 100,000 คนต่อปี ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของการตายทั้งหมดในเด็กอยู่ที่ร้อยละ 82 และเป็นสาเหตุการตายอันดับสอง ในวัยรุ่น (15-19 ปี) มีเด็กที่ตายจากอุบัติเหตุทางบกประมาณ 2000 รายต่อปี ซึ่งเป็นส่วนมากของการตายในกลุ่มนี้ คิดเป็นร้อยละ 96 ของประชากรรวม และร้อยละ 55 ของการตายที่มีสาเหตุจากอุบัติเหตุทั้งหมด การขับจักรยานยนต์ ไม่ใส่หมวกนิรภัย เมาสุราขณะขับขี่ แข่งขันรถ และขับขี่ยามวิกาลเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เด็กบางคนเดินทางภายใต้ความเสี่ยงสูง การนั่งหน้าข้างคนขับ โดยเฉพาะเมื่อแม่อุ้มเด็กไว้บนตักตัวเอง มีความเสี่ยงที่สูงขึ้น โรงพยาบาลมีการจัดเตรียมมาตรการน้อย ซึ่งอาจทำให้ปัญหานี้ยังคงอยู่ การพาเด็กโดยสารรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์อย่างไม่ถูกต้องทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างมาก สำหรับทารกนั้นยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากขาดอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่เหมาะสม เด็กมีลักษณะกายภาพและพัฒนาการที่เฉพาะตัว ศีรษะของเด็กใหญ่และหนักมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บศีรษะง่าย กระดูกต้นคอและกล้ามเนื้อคอยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ทำให้เกิดบาดเจ็บหรือหักของกระดูกต้นคอได้ง่าย การใส่หมวกนิรภัยที่หนักเกินไปยิ่งเพิ่มความเสี่ยงนี้ขึ้น การรักษาความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ
กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics,ศัลยศาสตร์ (ศัลยศาสตร์) - Surgery,สาธารณสุข (public health)
Summarization
cc-by-nc-4.0
Finance_43644
Finance
จงแต่งเรื่องสั้นให้ข้อคิดเกี่ยวกับ....เรื่องราวของลุงสม ป้าจวน และนวล สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม ประเด็นการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุสร้างความกังวลให้กับผู้สูงอายุจำนวนมาก
null
เบี้ยยังชีพ: สวัสดิการที่ร่อมรน ตัวละคร: ลุงสม: ชายวัย 65 ปี อดีตเกษตรกร อาศัยอยู่กับภรรยาและหลาน ป้าจวน: ภรรยาของลุงสม อายุ 62 ปี เป็นแม่บ้าน นวล: หลานสาวของลุงสม อายุ 23 ปี กำลังหางาน เรื่องราว: แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านหลังคาสังกะสีเก่าๆ ลุงสมตื่นขึ้นมาจากเตียงพร้อมความกังวล เขานั่งลงข้างๆ เตียง มองดูป้าจวนที่หลับใหลอยู่ สายตาของเขาลึกซึ้งไปด้วยความกังวล อนาคตของครอบครัวเป็นสิ่งที่เขาคิดถึงอยู่เสมอ ลุงสมและป้าจวนเคยเป็นเกษตรกร แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น สุขภาพของทั้งคู่ก็เริ่มย่ำแย่ พวกเขาต้องเลิกทำไร่ และอาศัยเงินเก็บเก่าๆ ประทังชีวิต โชคดีที่ลุงสมและป้าจวนได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากภาครัฐ เงินจำนวนนี้ช่วยให้พวกเขามีรายได้เพียงพอสำหรับค่าอาหารและค่ายา แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าโทรศัพท์ ยังคงเป็นภาระหนัก "เงินเบี้ยยังชีพมันน้อยเกินไป" ลุงสมพึมพำกับตัวเอง "ไม่รู้จะพอใช้จ่ายไปจนถึงสิ้นเดือนหรือเปล่า" นวล หลานสาวของลุงสม เดินเข้ามาหา "ตา ลุงเป็นอะไรเหรอคะ?" "ตาไม่มีอะไรหรอก" ลุงสมยิ้มให้หลานสาว "แค่คิดอะไรนิดหน่อย" นวลรู้ดีว่าลุงสมกังวลเรื่องเงิน หลายเดือนมานี้ ครอบครัวของเธอต้องประหยัดอดออมสุดขีด "นวลหางานได้หรือยัง?" ลุงสมถาม "ยังค่ะ ตา" นวลตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า "หนูส่งใบสมัครไปหลายที่แล้ว แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์เลย" ลุงสมวางมือบนบ่าของนวล "ไม่เป็นไรลูก เรายังมีเวลาอีกเยอะ เดี๋ยวงานก็เข้ามาเองแหละ" นวลพยายามยิ้ม แต่ภายในใจของเธอก็รู้สึกกังวล เงินเก็บของครอบครัวเริ่มหมดลงทุกที เธอไม่รู้ว่าจะหางานที่ไหนได้ ในตอนบ่าย ลุงสมและป้าจวนไปพบกับเจ้าหน้าที่จากกรมประชาสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ "ต่อไปนี้ เฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือนเท่านั้นที่จะได้รับเบี้ยยังชีพ" เจ้าหน้าที่อธิบาย ลุงสมและป้าจวนฟังด้วยความกังวล รายได้ของพวกเขามีเพียงเบี้ยยังชีพและเงินเก็บเก่าๆ เท่านั้น "แล้วอย่างพวกเราที่รายได้เกิน 10,000 บาท จะทำอย่างไร?" ป้าจวนถาม "ทางเรามีโครงการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ไม่符合เกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพ" เจ้าหน้าที่ตอบ "แต่รายได้จะน้อยกว่าเบี้ยยังชีพมาก" ลุงสมและป้าจวนมองหน้ากันด้วยความสิ้นหวัง อนาคตของพวกเขาดูมืดมน เงินเบี้ยยังชีพที่เคยเป็นความหวัง กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต
ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Legal_9822
Legal
กฎหมายการทำแท้งของไทยมีการแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
null
กฎหมายการทำแท้งปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายอาญามาตรามาตรา 301-305 มีการบังคับใช้มาแล้ว 60 ปี จนกระทั่งได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมและบังคับใช้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 สาระสำคัญของกฎหมายจากเดิมที่การทำแท้งในเกือบทุกกรณีเป็นความผิด มีโทษจำคุกและปรับ เปลี่ยนมาเป็นการทำแท้งช่วงที่อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ไม่มีความผิด หากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์สามารถทำแท้งได้ภายใต้ 3 เงื่อนไข และหากอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ทำแท้งได้ภายใต้ 1 เงื่อนไข การทำแท้งที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้ผู้ทำจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดยรายละเอียดของ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) มีทั้งหมด 4 มาตรา ดังนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย อาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ.2564 " มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 301 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 301 หรือมาตรา 302 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตราย ต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น (2) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมากหรือมีเหตุผลทางการแพทย์ อันควรเชื่อได้ว่าหากทารกคลอดออกมาจะมีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง (3) หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าตนมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ (4) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ (5) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ ภายหลังการตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ประมวลกฎหมายอาญา,กฎหมายอาญาความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_4128
Finance
เขียนย่อหน้าเกี่ยวกับ สิ่งสำคัญที่บริษัทที่เป็นหุ้นยั่งยืนทำ
null
สำหรับสิ่งสำคัญที่บริษัทที่เป็นหุ้นยั่งยืนทำ จะมีอยู่ 2 สิ่งด้วยกัน สิ่งแรกก็คือ การวางรากฐานธรรมาภิบาลในองค์กร เป็นการวางระบบงานให้เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสิ่งที่ 2 ที่บริษัทที่เป็นหุ้นยั่งยืนต้องทำ คือ การบูรณาการ ESG เข้าไปในกระบวนการทำธุรกิจ ต้องมีความประณีตในทุกขั้นตอน และคำนึงถึงผลประโยชน์เป็นหลัก
ข้อมูลการเงินรายบริษัท,ความรู้ทางการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Medical_26099
Medical
หญ้าหนวดแมวสามารถใช้รักษาโรคนิ่วในไตได้ จริงหรือไม่?
null
จริง เหตุผล: หญ้าหนวดแมวมีสารสำคัญหลายชนิดที่ช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการโรคนิ่วในไต ดังนี้ 1. โพแทสเซียม: ช่วยเพิ่มการขับปัสสาวะ ช่วยละลายแคลเซียมในปัสสาวะ ป้องกันการตกตะกอนของแคลเซียมเป็นนิ่ว 2. สารฟลาโวนอยด์: ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยลดการเกิดนิ่ว 3. กรดอินทรีย์: ช่วยละลายนิ่ว ช่วยให้ปัสสาวะเป็นด่าง ป้องกันการเกิดนิ่ว มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันประสิทธิภาพของหญ้าหนวดแมวในการรักษาโรคนิ่วในไต ดังนี้ 1. นพ.อมร เปรมกมล และคณะ: พบว่าหญ้าหนวดแมวสามารถช่วยขับนิ่วขนาดเล็กออกทางปัสสาวะได้ 2. นพ.วีระสิงห์ เมืองมั่น และนพ.กฤษฎา รัตนโอฬาร: พบว่าหญ้าหนวดแมวสามารถช่วยลดขนาดของนิ่วในไต 3. พิชัย ตั้งสิน และปริศนา แสงเจษฎา: พบว่าหญ้าหนวดแมวสามารถช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต หญ้าหนวดแมวมีรูปแบบการใช้ที่หลากหลาย เช่น - ชงชา - ทานเป็นแคปซูล หรือ - บดเป็นผงผสมน้ำ หญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย - อย่างไรก็ตาม การใช้หญ้าหนวดแมวรักษาโรคนิ่วในไตควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ดังนี้ ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต โรคตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ - หญ้าหนวดแมวมีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยที่ทานยาขับปัสสาวะ ยาควบคุมโพแทสเซียม ควรระวังการใช้ - หญ้าหนวดแมวอาจส่งผลต่อการดูดซึมยาบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ทานอยู่ สรุป: หญ้าหนวดแมวเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคนิ่วในไต มีความปลอดภัยสูง ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพิ่มเติม: 1. ควรเลือกซื้อหญ้าหนวดแมวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ 2. ควรเก็บหญ้าหนวดแมวไว้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทสะดวก 3. ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ 4. ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เช่น ลดอาหารที่มีแคลเซียมสูง ทานอาหารที่มีใยอาหารสูง
การแพทย์ทางเลือก (alternative medicine)
Classification
cc-by-nc-4.0
Medical_30716
Medical
ช่วยสรุปบทความ COVID-19 ควรเฝ้าระวังอาการตัวเอง
ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย COVID-19 ควรเฝ้าระวังอาการตัวเองด้วยการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่สังคมได้ จากข้อมูลสิถิติทั่วโลก ณ ปัจจุบัน COVID-19 มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 3% ซึ่งตัวเลขนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือเราต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง ซึ่งวันนี้เรามีวิธีปฏิบัติตัวของผู้ที่มีความเสี่ยง และบุคคลทั่วไปมาฝาก เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยไปพร้อมกันดังนี้ วิธีกักตัวสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง อย่าออกจากบ้าน งดไปโรงเรียนหรือที่ทำงาน และอย่าให้ใครมาเยี่ยม ทิ้งระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร แยกห้องนอน หมอน ผ้าห่ม แยกห้องน้ำ/หากใช้ห้องน้ำรวม ให้ใช้ห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย และทำความสะอาดหลังใช้ทันที ไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกล้าง/แยกเก็บ ช้อน ส้อม จาน ชาม และของใช้ส่วนตัว หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง เพราะเชื้อไวรัสอาจไปติดบนขนสัตว์ ทำให้เชื้อแพร่กระจายไปที่อื่น หากสั่งของออนไลน์ ให้คนส่งของวางของไว้ที่หน้าบ้าน อย่าออกไปรับของจากมือโดยตรง สังเกตตัวเองว่ามีอาการ ไข้ ไอ หอบ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อย หรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ ให้ใส่หน้ากากอนามัยและไปพบแพทย์ ทำความสะอาดบ้าน/สถานที่กักตัว ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่ขายตามร้านค้าทั่วไป ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น ออกกำลังกายในที่พัก พักผ่อนให้เพียงพอ อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ฯลฯ วิธีป้องกัน COVID-19 สำหรับคนทั่วไป เลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ เลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หรือประเทศที่มีการระบาด ใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี ควรล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ ระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่ เลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน ทานอาหารสุก สะอาด และใช้ช้อนกลาง สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยตรง ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือใส่แว่นตานิรภัยเพื่อป้องกันเชื้อในละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา ข้อมูลจาก ผศ. นพ.ภาวิทย์ เพียรวิจิตร สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ และอ. พญ.รพีพรรณ รัตนวงศ์นรา มอร์ด สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศ และผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย COVID-19 ควรเฝ้าระวังอาการตัวเอง กักตัวเป็นเวลา 14 วัน เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อ ณ ปัจจุบัน COVID-19 มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 3% สิ่งที่สำคัญคือเราต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง วิธีปฏิบัติตัวของผู้ที่มีความเสี่ยง และบุคคลทั่วไปมีดังนี้ วิธีกักตัว กักตัวอยู่บ้าน, ไม่ไปที่ที่คนอื่นมา, 1-2 เมตรห่างจากคน, แยกห้อง, อย่าไปที่ทำงานหรือโรงเรียน, อย่ารับประทานอาหารร่วม, ไม่คลุกคลีกับสัตว์, สั่งอาหารออนไลน์, วางของที่หน้าบ้าน, สังเกตอาการป่วย, ใส่หน้ากาก, พบแพทย์, ทำความสะอาดบ้าน, ใช้น้ำยาทำความสะอาด ใช้เวลาว่างๆ ในการออกกำลังกาย, พักผ่อน, อ่านหนังสือ, ปลูกต้นไม้, เลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บคอ, เดินทางไปที่พื้นที่เสี่ยงหรือประเทศที่มีการระบาด, ใส่หน้ากากอนามัยถูกต้อง, ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล, งดจับตา จมูก ปากโดยไม่ล้างมือ, ระวังสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด, เลี่ยงการใกล้ชิดสัมผัสสัตว์, ทานอาหารสุก สะอาด, ใช้ช้อนกลาง, สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโดยตรงควรใส่หน้ากากหรือแว่นตานิรภัยเพื่อป้องกันละอองฝอยจากเสมหะหรือสารคัดหลั่งเข้าตา
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Summarization
cc-by-nc-4.0
Medical_21139
Medical
ทำไมอาการปวดศีรษะจึงอาจไม่ใช่อาการของโรคความดันโลหิตสูงเสมอไป
null
จากบทความที่กล่าวมา พบว่าอาการปวดศีรษะเป็นหนึ่งในอาการที่อาจพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม อาการปวดศีรษะอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าอาการปวดศีรษะเป็นอาการของโรคความดันโลหิตสูงเสมอไป สาเหตุของอาการปวดศีรษะมีมากมาย เช่น -ความเครียด -ความวิตกกังวล -การใช้ยาบางชนิด -โรคทางระบบประสาท -โรคทางกล้ามเนื้อและข้อ -โรคทางหู จมูก คอ -โรคทางตา -โรคทางฟัน -โรคทางช่องปาก -โรคทางระบบทางเดินอาหาร -โรคทางระบบต่อมไร้ท่อ -โรคทางเมตาบอลิก -โรคทางหัวใจและหลอดเลือด ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อาการปวดศีรษะอาจเกิดจากความดันโลหิตสูงที่สูงมากชนิดเฉียบพลัน ซึ่งพบได้น้อย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการปวดศีรษะรุนแรง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด ตาพร่า ปัสสาวะบ่อย หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะจึงไม่ใช่อาการที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเสมอไป หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ ร่วมกับความดันโลหิตสูง แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ ตรวจปัสสาวะ เป็นต้น เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดศีรษะ หากอาการปวดศีรษะเกิดจากความดันโลหิตสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดความดันโลหิตร่วมด้วย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_20916
Medical
วัณโรคปอดคืออะไร
วัณโรคปอด วัณโรคปอด เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของปอดที่มีมานานนม โบราณเรียกว่า ฝีในท้อง เนื่องเพราะผู้ป่วยบางรายมีอาการไอออกเป็นเลือด ซึ่งเข้าใจผิดว่าออกจากฝีที่อยู่ในท้อง โรคนี้สามารถแพร่ให้คนที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ภายในบ้าน หรือในที่ที่มีคนอยู่รวมกันแออัดหรือถ่ายเทอากาศไม่ดี โรคนี้มียารักษาให้หายขาด ซึ่งต้องกินติดต่อกันนานอย่างน้อย ๖ เดือน ในปัจจุบันมีการแพร่กระจายของโรคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ติดเชื้อเอดส์ และมีปัญหาเชื้อดื้อยาเนื่องจากผู้ป่วยกินยาไม่ถูกต้อง ชื่อภาษาไทย วัณโรคปอด วัณโรค ทีบี โรคปอด ชื่อภาษาอังกฤษ สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส Mycobacterium tuberculosis เชื้อนี้ติดต่อโดยการหายใจ สูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยปล่อยออกมาแขวนลอยอยู่ในอากาศขณะไอ จาม พูด หัวเราะ หรือร้องเพลง เชื้อในฝอยละอองเสมหะสามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศนานหลายชั่วโมง ผู้ที่จะรับเชื้อให้ได้ปริมาณมากพอจนถึงขั้นติดเชื้อเป็นโรคได้ จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน เช่น อยู่ในบ้านเดียวกัน หรือห้องเดียวกัน หลังติดเชื้อ ๒-๘ สัปดาห์ ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา คนส่วนหนึ่งสามารถ กำจัดเชื้อได้หมดก็ไม่เป็นโรค ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ ก็จะกลายเป็นโรคภายหลังการติดเชื้อไม่นาน ส่วนหนึ่ง กำจัดเชื้อได้ไม่หมด เชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปอดอย่างสงบ บางรายเชื้ออาจแพร่กระจายจากปอดไปตามกระแสเลือด แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เรียกว่า การติดเชื้อวัณโรคแฝง latent tuberculosis infection ประมาณร้อยละ ๑๐ ของคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นวัณโรคในระยะต่อมา ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดอาการของโรคขึ้นภายใน ๒ ปีหลังติดเชื้อ ที่เหลือจะเป็นโรคหลังจาก ๒ ปีไปแล้ว บางรายอาจกลายเป็นโรคในระยะหลายปี หรือนับเป็นสิบๆ ปีต่อมา ทั้งนี้เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย กล่าวคือ ตราบใดที่ภูมิคุ้มกันยังแข็งแรง ก็จะไม่เกิดโรคขึ้นมา แต่เมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน เรียกว่า การปลุกฤทธิ์คืน หรือ reactivation จนทำให้เป็นโรคขึ้นได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่พบบ่อยคือผู้ป่วยเอดส์ มีโอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงร้อยละ ๕o หรือมากกว่าร้อยละ ๑o ต่อปี เบาหวาน ไตวาย ผู้ที่กินยาสตีรอยด์นานๆ หรือใช้ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยติดเชื้อบางชนิด เช่น หัด ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น ผู้ที่ตรากตรำงานหนักหรือมีความเครียดสูง ผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร คนจรจัด ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัด การระบายอากาศไม่ดี เช่น เรือนจำ ศูนย์อพยพ เป็นต้น ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นระยะยาวนาน เช่น สมาชิกในบ้านผู้ป่วย เพื่อนร่วมห้องพัก หรือห้องทำงาน บุคลากรสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ พบอุบัติการณ์สูงในกลุ่มอายุมากกว่า ๖๕ ปี ทารกแรกเกิด อาการ ที่สำคัญคือ อาการไข้และไอเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ๆ ถึงเป็นแรมเดือน แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือหลอดลมอักเสบ โดยมีอาการไอเป็นหลัก ระยะแรกเป็นลักษณะไอแห้งๆ ต่อมาจะไอมีเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว มักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย อาจมีอาการเหงื่อออกตอนกลางคืน บางครั้งอาจออกมากจนโชกเสื้อผ้าและที่นอน ผู้ป่วยมักซื้อยาหรือหาหมอมารักษาแต่อาการไม่ทุเลา จะมีอาการต่อเนื่องนาน ๒-๓ สัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน ผู้ป่วยจะมีอาการไอถี่ขึ้น อ่อนเพลีย เบื่ออาหารมากขึ้น น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดสีแดงๆ หรือดำๆ ซึ่งมักจะออกปริมาณไม่มาก มีน้อยรายมากที่อาจมีเลือดออกจนซีด หรือเป็นลม หน้ามืด มือเท้าเย็น บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือหอบเหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอกเวลาหายใจเข้าลึกๆ เนื่องจากมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือโรคลุกลามไปทั่วปอด บางรายอาจมีอาการไข้นานเป็นแรมเดือน โดยไม่มีอาการไอหรืออาการอื่นๆ ชัดเจนก็ได้ ในรายที่เป็นวัณโรคปอดเพียงเล็กน้อย อาจไม่มีอาการอะไรเลย และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการเห็น จุด ในปอดจากภาพถ่ายรังสี ภาพเอกซเรย์ การแยกโรค ๑ ในรายที่มีอาการไข้ ตัวร้อน ทุกวันติดต่อกันนานเป็นสัปดาห์ๆ หรือแรมเดือน ก็อาจเกิดจากโรคอื่นๆ เช่น เอดส์ ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำหนักลด ท้องเดินเรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่ง เช่น ที่ข้างคอ รักแร้ ขาหนีบ อาจมีอาการทางผิวหนัง เช่น โรคเริม งูสวัด ผื่นคันตามผิวหนัง ลิ้นเป็นฝ้าขาวจากโรคเชื้อรา ไอเรื้อรัง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เมลิออยโดซิส เกิดจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Burkholderia pseudomallei พบมากทางภาคอีสาน ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ และไอเรื้อรัง น้ำหนักลด คล้ายวัณโรคได้ จะแยกได้โดยการตรวจพบเชื้อต้นเหตุ มาลาเรีย ผู้ป่วยอาจมีไข้หนาวสั่น มีประวัติอยู่หรือกลับจากเขตป่าเขาที่ยังมีการระบาดของโรคนี้ โรคภูมิต้านตนเอง เช่น เอสเอลอี SLE ผู้ป่วยจะมีไข้เรื้อรัง ผมร่วง ปวดตามข้อ มีฝ้าแดงที่โหนกแก้ม ๒ ข้าง มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น ๒ ในรายมีอาการไอเป็นเลือด อาจเกิดจากมะเร็งปอด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด อาจมีไข้ร่วมด้วย หลอดลมพอง bronchiectasis ผู้ป่วยมักมีอาการไอเรื้อรังทุกวัน ออกเป็นเสมหะเหลืองหรือเขียวเป็นจำนวนมาก มีกลิ่นเหม็น ไอออกเป็นเลือดสด มักไม่มีไข้ และน้ำหนักไม่ลด ๓ อาการไอเรื้อรังเป็นสัปดาห์ๆ หรือแรมเดือน อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น โรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยจะมีอาการจาม คันคอ คันจมูก อาจมีน้ำมูกใสร่วมด้วย มักไอเวลาสัมผัสถูกสิ่งที่แพ้ เช่น ฝุ่น ความเย็น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ นุ่น เป็นต้น โรคกรดไหลย้อน ผู้ป่วยมักจะไอหลังอาหารทุกมื้อ หรือตอนเข้านอน อาจมีอาการเจ็บคอ หรือเสียงแหบตอนเช้าหลังตื่นนอน พอสายๆ ค่อยทุเลา หรืออาจมีอาการจุกแน่น หรือปวดแสบตรงลิ้นปี่ หลังกินอาหาร หลอดลมอักเสบ มักพบหลังจากเป็นไข้หวัด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเวลาถูกสิ่งระคายเคือง เช่น ความเย็น อากาศ ฝุ่น ควัน นาน ๑-๓ เดือน โดยที่เป็นปกติ กินได้ น้ำหนักไม่ลด ไม่มีไข้ ถุงลมปอดโป่งพอง ผู้ป่วยมักอยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน เวลาทำอะไรจะรู้สึกเหนื่อยง่ายอยู่เรื่อยๆ การวินิจฉัย แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้น จากที่ผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้และไอนานเกิน ๑-๒ สัปดาห์ขึ้นไป เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอออกเป็นเลือด หากสงสัย จะยืนยันด้วยการเอกซเรย์ปอด ซึ่งจะพบรอยโรคที่กลีบปอดส่วนบนเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ จะทำการตรวจหาเชื้อในเสมหะ อย่างน้อย ๓ ครั้ง
เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของปอดที่มีมานานนม โบราณเรียกว่า ฝีในท้อง เนื่องเพราะผู้ป่วยบางรายมีอาการไอออกเป็นเลือด ซึ่งเข้าใจผิดว่าออกจากฝีที่อยู่ในท้อง โรคนี้สามารถแพร่ให้คนที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ภายในบ้าน หรือในที่ที่มีคนอยู่รวมกันแออัดหรือถ่ายเทอากาศไม่ดี โรคนี้มียารักษาให้หายขาด ซึ่งต้องกินติดต่อกันนานอย่างน้อย ๖ เดือน ในปัจจุบันมีการแพร่กระจายของโรคนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ติดเชื้อเอดส์ และมีปัญหาเชื้อดื้อยาเนื่องจากผู้ป่วยกินยาไม่ถูกต้อง ชื่อภาษาไทย วัณโรคปอด วัณโรค ทีบี โรคปอด ชื่อภาษาอังกฤษ สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อวัณโรค ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ไมโคแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส Mycobacterium tuberculosis เชื้อนี้ติดต่อโดยการหายใจ สูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยปล่อยออกมาแขวนลอยอยู่ในอากาศขณะไอ จาม พูด หัวเราะ หรือร้องเพลง เชื้อในฝอยละอองเสมหะสามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศนานหลายชั่วโมง ผู้ที่จะรับเชื้อให้ได้ปริมาณมากพอจนถึงขั้นติดเชื้อเป็นโรคได้ จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน เช่น อยู่ในบ้านเดียวกัน หรือห้องเดียวกัน หลังติดเชื้อ ๒-๘ สัปดาห์ ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา คนส่วนหนึ่งสามารถ กำจัดเชื้อได้หมดก็ไม่เป็นโรค ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ ก็จะกลายเป็นโรคภายหลังการติดเชื้อไม่นาน ส่วนหนึ่ง กำจัดเชื้อได้ไม่หมด เชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปอดอย่างสงบ บางรายเชื้ออาจแพร่กระจายจากปอดไปตามกระแสเลือด แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ในอวัยวะต่างๆ โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เรียกว่า การติดเชื้อวัณโรคแฝง latent tuberculosis infection ประมาณร้อยละ ๑๐ ของคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นวัณโรคในระยะต่อมา ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดอาการของโรคขึ้นภายใน ๒ ปีหลังติดเชื้อ ที่เหลือจะเป็นโรคหลังจาก ๒ ปีไปแล้ว บางรายอาจกลายเป็นโรคในระยะหลายปี หรือนับเป็นสิบๆ ปีต่อมา ทั้งนี้เกี่ยวข้องกับภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกาย
อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine
Closed QA
cc-by-nc-4.0
Finance_43636
Finance
อะไรคือข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในพอร์ตแบบความผันผวนต่ำ (Low Volatility Portfolio)
null
ข้อดี ความเสี่ยงต่ำ: พอร์ตแบบ Low Volatility มุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีความผันผวนต่ำ หมายความว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะขึ้นลงน้อยกว่าหุ้นทั่วไป เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรักษาเงินต้นและลดโอกาสการขาดทุน ผลตอบแทนที่มั่นคง: พอร์ตแบบ Low Volatility มักให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ แม้จะไม่สูงมาก แต่ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร เหมาะกับสภาวะตลาดผันผวน: ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง พอร์ตแบบ Low Volatility มักจะ outperform ตลาดหุ้นโดยรวม เหมาะกับนักลงทุนที่ใจเย็น: พอร์ตแบบ Low Volatility ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้น เหมาะกับนักลงทุนที่ใจเย็นและสามารถรอคอยผลตอบแทนระยะยาว ข้อเสีย ผลตอบแทนอาจไม่สูง: พอร์ตแบบ Low Volatility มักให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าพอร์ตหุ้นทั่วไป ตัวเลือกการลงทุนจำกัด: หุ้นที่มีความผันผวนต่ำมีจำนวนจำกัด นักลงทุนอาจมีตัวเลือกในการลงทุนน้อย สภาพคล่องต่ำ: หุ้นที่มีความผันผวนต่ำมักมีสภาพคล่องต่ำ หมายความว่าอาจยากที่จะซื้อหรือขายหุ้นได้อย่างรวดเร็ว อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง: นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงอาจผิดหวังกับผลตอบแทนของพอร์ตแบบ Low Volatility สรุป พอร์ตแบบ Low Volatility เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรักษาเงินต้น ลดความเสี่ยง และต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง เหมาะกับสภาวะตลาดผันผวน และนักลงทุนที่ใจเย็น อย่างไรก็ตาม พอร์ตแบบ Low Volatility อาจให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าพอร์ตหุ้นทั่วไป ตัวเลือกการลงทุนจำกัด สภาพคล่องต่ำ และอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง
กลยุทธ์การลงทุน,การบริหารสินทรัพย์,การวิเคราะห์ทางการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Medical_25383
Medical
วัคซีนอีสุกอีใสมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้นานแค่ไหน?
null
วัคซีนอีสุกอีใสมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมากกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วงการติดตาม ๒๙ เดือน แต่ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพระยะยาวหลังจากนั้นยังไม่มียืนยัน ในทางทฤษฎี วัคซีนอีสุกอีใสอาจสามารถป้องกันโรคได้นานไปเรื่อยๆ if there is a continuous stimulation from the natural virus. อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้ยังอยู่ในระหว่างการติดตามผล ปัจจัย ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน ได้แก่ อายุ: เด็กเล็กมีภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนได้ดีกว่าผู้ใหญ่ สุขภาพ: ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนได้ดีกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัว ข้อควรระวัง: ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส สรุป: วัคซีนอีสุกอีใสมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมากกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๒๙ เดือน ประสิทธิภาพของวัคซีนอีสุกอีใสในระยะยาวหลังจาก ๒๙ เดือนยังไม่มียืนยัน เด็กเล็กและผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใส คำแนะนำเพิ่มเติม: ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนอีสุกอีใส แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัว สังเกตอาการแพ้วัคซีนหลังฉีด เช่น ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีด ไข้ ตุ่มอีสุกอีใส
เภสัชวิทยา Pharmacology,อายุรศาสตร์ (อายุรศาสตร์) - Internal Medicine,กุมารเวชศาสตร์ (กุมารเวชศาสตร์) - Pediatrics
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_477
Finance
เขียนบทสนทนาถาม-ตอบระหว่างครูกับนักเรียนเกี่ยวกับ 10 บริษัทที่มีสัดส่วนมากที่สุดในดัชนี KOSPI 200 ในปี 2023
null
บทสนทนาถาม-ตอบระหว่างครูกับนักเรียนเกี่ยวกับ 10 บริษัทที่มีสัดส่วนมากที่สุดในดัชนี KOSPI 200 ในปี 2023 ครู : นักเรียนคะ บริษัทที่มีสัดส่วนมากที่สุดในดัชนี KOSPI 200 ในปี 2023 อันดับ 1 คือบริษัทอะไรคะ นักเรียน 1 : SAMSUNG ELECTRONICS ค่ะ ครู : แล้วมีมูลค่าตลาดเท่าไหร่คะ นักเรียน 1 : 345.08 พันล้านเหรียญ ค่ะ ครู : เก่งมากค่ะ แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ นอกจาก SAMSUNG ELECTRONICS แล้วยังมีบริษัทไหนบ้างคะ บอกมาอีก 9 บริษัทนะคะ นักเรียน 2 : SK HYNIX INC ค่ะ นักเรียน 3 : POSCO ครับ นักเรียน 4 : SAMSUNG SDI LTD ค่ะ นักเรียน 5 : NAVER CORP ครับ นักเรียน 6 : LG CHEM LTD ครับ นักเรียน 7 : HYUNDAI MOTOR ครับ นักเรียน 8 : KIA CORP ค่ะ นักเรียน 9 : LG ENERGY SOLUTION LTD ครับ นักเรียน 10 : KB FINANCIAL GROUP INC ค่ะ ครู : เก่งมาก ๆ ค่ะนักเรียน ใครที่ตอบแล้วครูจะให้เพิ่มอีก 5 คะแนนนะคะ บทเรียนจากบทสนทนานี้ ดัชนีที่ถือได้ว่าเป็นภาพแทนของตลาดหุ้นเกาหลีใต้โดยรวมคือ KOSPI 200 โดย Investopedia สื่อการเงินจากนิวยอร์กยกให้ดัชนีนี้เป็นเหมือน S&P 500 แห่งเกาหลีใต้ โดย KOSPI 200 ประกอบด้วย 200 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าราว 70% ของตลาดหลักทรัพย์ของเกาหลีใต้ทั้งตลาด 10 บริษัทที่มีสัดส่วนมากที่สุดในดัชนี KOSPI 200 ในปี 2023 ได้แก่ 1. SAMSUNG ELECTRONICS (29.1%) มูลค่าตลาด 345.08 พันล้านเหรียญ 2. SK HYNIX INC (6.08%) มูลค่าตลาด 64.74 พันล้านเหรียญ 3. POSCO (3.64%) มูลค่าตลาด 32.85 พันล้านเหรียญ 4. SAMSUNG SDI LTD (2.97%) มูลค่าตลาด 32.14 พันล้านเหรียญ 5. NAVER CORP (2.72%) มูลค่าตลาด 26.38 พันล้านเหรียญ 6. LG CHEM LTD (2.64%) มูลค่าตลาด 35.63 พันล้านเหรียญ 7. HYUNDAI MOTOR (2.43%) มูลค่าตลาด 35.31 พันล้านเหรียญ 8. KIA CORP (1.81%) มูลค่าตลาด 23.65 พันล้านเหรียญ 9. LG ENERGY SOLUTION LTD (1.7%) มูลค่าตลาด 97.54 พันล้านเหรียญ 10. KB FINANCIAL GROUP INC (1.61%) มูลค่าตลาด 15.24 พันล้านเหรียญ
ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Creative writing
cc-by-nc-4.0
Finance_40255
Finance
ในฐานะนักลงทุน อยากทราบว่า มาตรการ "พักทรัพย์ พักหนี้" เหมาะกับธุรกิจประเภทใด และข้อดีของมาตรการนี้คืออะไร
null
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19: ธุรกิจประเภทนี้มักเผชิญกับสภาวะรายได้ลดลง แต่ยังมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวในอนาคต มาตรการนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระหนี้สินชั่วคราว ตัวอย่างธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจส่งออก ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานอีเวนต์ ธุรกิจที่เหมาะกับมาตรการ "พักทรัพย์ พักหนี้": 1. ธุรกิจที่มีทรัพย์สินที่ติดจำนองกับธนาคาร: ธุรกิจประเภทนี้สามารถนำทรัพย์สินที่ติดจำนอง มาตีโอนเพื่อชำระหนี้กับธนาคารได้ - ตัวอย่างทรัพย์สินที่ติดจำนอง เช่น อสังหาริมทรัพย์ เครื่องจักร อุปกรณ์ 2. ธุรกิจที่มีแผนฟื้นฟูธุรกิจ: ธุรกิจประเภทนี้ควรมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน demonstrably แสดงให้เห็นถึงแนวทางในการฟื้นฟูธุรกิจ - ตัวอย่างแผนธุรกิจ เช่น แผนการลดต้นทุน แผนการเพิ่มรายได้ แผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ ข้อดีของมาตรการ "พักทรัพย์ พักหนี้": 1. ลดภาระหนี้สิน: ช่วยให้ธุรกิจลดภาระการผ่อนชำระหนี้ ตัวอย่าง: ธุรกิจที่มีหนี้สิน 100 ล้านบาท สามารถตีโอนทรัพย์สินมูลค่า 80 ล้านบาท ชำระหนี้กับธนาคาร เหลือภาระหนี้สิน 20 ล้านบาท 2. เพิ่มสภาพคล่อง: ช่วยให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น ตัวอย่าง: ธุรกิจที่เคยต้องนำเงินมาผ่อนชำระหนี้เดือนละ 5 ล้านบาท หลังจากตีโอนทรัพย์สิน เหลือภาระผ่อนชำระเพียงค่าเช่าเดือนละ 2 ล้านบาท ธุรกิจจะมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาทต่อเดือน 3. รักษาธุรกิจ: ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตัวอย่าง: ธุรกิจที่มีปัญหาขาดสภาพคล่อง อาจจะต้องปิดกิจการ แต่มาตรการนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาธุรกิจและพนักงานเอาไว้ได้ 4. มีโอกาสซื้อทรัพย์สินคืน: ธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินที่ตีโอนไปคืนจากธนาคารภายในระยะเวลาที่กำหนด ตัวอย่าง: ธุรกิจตีโอนทรัพย์สินมูลค่า 80 ล้านบาท สามารถซื้อคืนได้ในราคาไม่เกิน 80 ล้านบาท บวกกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ธนาคารจ่ายจริง หักด้วยค่าเช่าที่ธุรกิจจ่ายให้กับธนาคาร
ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน
Open QA
cc-by-nc-4.0
Finance_102
Finance
ออมเงินเดือนละ 2000 จะได้ถึงล้านมั้ย ?
1. ยาก แต่ก็สู้ๆนะ 2. ไม่น่าได้ เงินต้องกินต้องใช้ยังไม่รู้ว่าจะพอมั้ย 3. ได้ แต่ออมแค่ 2000 บาทต่อเดือน จะให้ถึงล้านคงต้องเก็บจนถึงชาติหน้า 4. ไม่ได้ น้อยเกินไปต้องเก็บมากกว่านี้ 5. ได้ ถ้าหากเริ่มต้นเก็บออมตั้งแต่อายุยังน้อยและเพิ่มเติมเงินออมตามโอกาสที่เข้ามา เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆ รวมถึงมีวินัยการเงินเคร่งครัดมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดมัธยัสถ์อดออม ตลอดจนสร้างนิสัยรักการออมให้เป็นปรกติวิสัย
คำตอบได้แก่ 5. เพราะว่า หากจะออมเงินเดือนละ 2000 แล้วจะให้ได้ถึงล้าน เราต้องมีวินัยการเงินและสร้างนิสัยเรื่องการออมได้ตั้งแต่วันนี้ โดยเริ่มต้นจากเงินเพียงเล็กน้อย แล้วพยายามสร้างวินัยเรื่องการออมที่ทำอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นจากน้องๆนักเรียน นักศึกษา หรือนักศึกษาที่เพิ่งจบมาแล้วเข้าทำงานใหม่ๆและเริ่มต้นการออมเงิน จากเงินเดือนละ “ 2,000 “ บาทเท่านั้น จะเห็นว่าเงินเริ่มต้นเพียง2,000บาท ถ้าเริ่มเก็บตอนอายุ 23 ปี หลังจากจบการศึกษาและเริ่มทำงาน จากเงิน2,000 เป็นเงินเริ่มต้นที่ไม่ได้มากแต่ประสิทธิภาพคับแก้ว แตะเงินล้านได้เลย หากผลตอบแทนที่ 3% ตอนอายุ 50 ปี ก็สามารถเห็นเงินหลัก “ ล้าน “ ได้แล้ว หากผลตอบแทนที่ 5% ตอนอายุ 45 ปี ก็มีเงินล้านอยู่ในมือได้ หากผลตอบแทนที่ 8% ตอนอายุ 40 ต้นๆก็มีเงินล้านได้ แต่ทั้งนี้ จะหาผลตอบแทนที่ 8% จะต้องหาความรู้และประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้ด้วย หากผลตอบแทนที่สูง หรือสูงมากจะต้องคำนึงถึงเรื่องความเสี่ยงด้วยว่าเป็นความเสี่ยงที่เรารับได้จริงๆ และต้องหาความรู้ทางการเงินประกอบด้วย อย่างเก็บออมและลงทุน อย่าลงทุนตามกระแส หรือหลงกับผลตอบแทนที่สวยหรูเกินจริง สิ่งสำคัญอีกประการคือ มีรายได้มากก็ควรเก็บและลงทุนเพิ่มเติมด้วย เช่น มีรายได้เพิ่มจากโบนัส เงินเดือนเพิ่ม หรือมีรายได้จากช่องทางอื่นๆก็ควรเก็บเพิ่ม แล้วเก็บเท่าไหร่ที่เหมาะสม ? การออมที่ดีคือการออมจากรายได้ที่มีอย่างน้อย 10-30% ของเงินได้ หากมีค่าใช้จ่ายน้อย หรือไม่มีหนี้สินก็จะเพิ่มการออมให้มากขึ้นกว่านี้ได้ ไม่มีบังคับว่าต้องเท่าไหร่ แต่ต้องมีสัดส่วนที่เหมาะสม สัมพันธ์กับรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สินที่เรามีด้วย ที่ไม่ทำให้เราอึดอัดจนไม่มีความสุข ขาดรสชาติของชีวิตไป ดังนั้นหากมีเงินมากขึ้น ออมและลงทุนมากขึ้น เราอาจจะได้สัมผัสเงิน “ ล้าน “ ได้ตั้งแต่อายุน้อยๆได้ เมื่อเราเรียนรู้การเก็บเงิน ล้านแรก ได้ เงินล้านต่อไปจะง่ายขึ้น เห็นไหมว่าการที่เราจะมีเงิน “ ล้าน “ ไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีความตั้งใจ วินัย และสร้างนิสัยเรื่องการออม หากต้องการความรู้ หรือช่องทางการออมที่เหมาะสมนอกจากหาความรู้เอง ก็สามารถ ปรึกษานักวางแผนการเงินมืออาชีพ ที่จะคอยแนะนำและประเมินความเสี่ยงที่เรารับได้อย่างมืออาชีพได้
การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,ความรู้ทางการเงิน
Multiple choice
cc-by-nc-4.0