id
stringlengths
24
24
context
stringlengths
154
2.89k
question
stringlengths
11
161
answers
sequence
572651f9f1498d1400e8dbee
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
หน่วยงานกำกับ 2 หน่วยงานใดมีอำนาจวีโต้ในกระบวนการทางนิติบัญญัติ
{ "text": [ "ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป" ], "answer_start": [ 47 ] }
572651f9f1498d1400e8dbef
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
สิ่งที่รัฐสภาไม่อาจทำได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยบกพร่องคืออะไร
{ "text": [ "ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ" ], "answer_start": [ 400 ] }
572651f9f1498d1400e8dbf0
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
การเลือกตั้งรัฐสภามีขึ้นบ่อยเพียงใด
{ "text": [ "ทุกๆ 5 ปี" ], "answer_start": [ 1436 ] }
572651f9f1498d1400e8dbf1
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
ต้องมีเสียงส่วนใหญ่มากเพียงใดเพื่อให้การลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการมีผล
{ "text": [ "ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3" ], "answer_start": [ 2384 ] }
572651f9f1498d1400e8dbf2
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
หน่วยงาน 2 หน่วยงานที่รัฐสภาต้องผ่านก่อนที่จะผ่านร่างกฎหมายมีอะไรบ้าง
{ "text": [ "คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี" ], "answer_start": [ 2678 ] }
5726938af1498d1400e8e446
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
ใครคือผู้ที่มีเอกสิทธิ์ในการยื่นเสนอร่างกฎหมาย
{ "text": [ "คณะกรรมาธิการยุโรป" ], "answer_start": [ 1 ] }
5726938af1498d1400e8e447
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
ผู้ที่มีอำนาจแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติคือใคร
{ "text": [ "ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป" ], "answer_start": [ 47 ] }
5726938af1498d1400e8e448
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
การเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1979" ], "answer_start": [ 1007 ] }
5726938af1498d1400e8e449
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
การเลือกตั้งรัฐสภามีขึ้นบ่อยเพียงใด
{ "text": [ "ทุกๆ 5 ปี" ], "answer_start": [ 1436 ] }
5726938af1498d1400e8e44a
คณะกรรมาธิการยุโรป มีเอกสิทธิ์ในการร่างกฎหมาย ในขณะที่รัฐสภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มีอำนาจในการแก้ไขและยื่นวีโต้ในระหว่างกระบวนการนิติบัญญัติ สนธิสัญญาของสหภาพยุโรปมาตรา 9 และ 10 ระบุว่า EU ต้องปฏิบัติตาม “หลักความเท่าเทียมของพลเมือง” และต้องตั้งอยู่ในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน” อย่างไรก็ดี ความเท่าเทียมและประชาธิปไตยยังคงบกพร่องในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้แทนในรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถร่างกฎหมายขัดกับความประสงค์ของคณะกรรมาธิการ คะแนนเสียงของพลเมืองจากประเทศเล็กมีน้ำหนักในสภาเป็น 10 เท่าของพลเมืองในประเทศใหญ่ และยังต้องได้ “เสียงข้างมาก” หรือมติมหาชนจากคณะมนตรีเพื่อออกกฎหมาย “การขาดดุลประชาธิปไตย” ภายใต้สนธิสัญญาในลักษณะนี้มักมีผู้อ้างเหตุผลว่าการผนวกเศรษฐกิจและสถาบันทางการเมืองของยุโรปให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีการประสานงานด้านเทคนิคระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับ EU ของผู้คนส่วนใหญ่เติบโตขึ้น และแนวคิดชาตินิยมเริ่มถดถอยหลังยุคสงคราม เมื่อเวลาผ่านไป รัฐสภาจึงค่อยๆ มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น จากการเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนมีการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกใน ปี 1979 และมีสิทธิ์ในกระบวนการนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ พลเมืองจึงมีสิทธิจำกัดเมื่อเทียบกับพรรคการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศสมาชิกทั้งหมดของยุโรป ตามข้อกำหนด TEU มาตรา 11 พลเมืองและองค์กรมีสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงจุดยืนและยื่นเสนอร่างต่อคณะกรรมาธิการเมื่อมีผู้รับรองครบ 1 ล้านรายชื่อ ข้อกำหนด TFEU มาตรา 227 ให้สิทธิ์เพิ่มเติมแก่พลเมืองในการยื่นคำร้องต่อรัฐสภาในประเด็นที่ส่งผลต่อตน การเลือกตั้งรัฐสภาซึ่งมีขึ้น ทุกๆ 5 ปี รวมถึงการลงคะแนนเลือกสมาชิกรัฐสภายุโรปในประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามการเลือกตั้งระบบสัดส่วนหรือระบบถ่ายโอนคะแนนเสียง สมาชิก MEP มีด้วยกัน 750 รายชื่อ โดยมีจำนวน “ลดหลั่นตามสัดส่วน” ของขนาดประเทศสมาชิก นั่นหมายความว่า แม้คณะมนตรีควรเป็นองค์กรตัวแทนของประเทศสมาชิก แต่พลเมืองในรัฐสภาของประเทศสมาชิกขนาดเล็กยังคงมีเสียงมากกว่าพลเมืองในประเทศสมาชิกขนาดใหญ่ เนื่องจากดำเนินงานในรัฐสภาแห่งชาติ สมาชิก MEP จึงแบ่งออกได้ตามแนวทางของพรรคการเมือง ปัจจุบันพรรคอนุรักษ์นิยมอย่าง พรรคประชาชนยุโรป เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพรรคสังคมนิยมตามมาเป็นคู่แข่ง พรรคต่างๆ ไม่ได้เงินทุนสาธารณะจาก EU ตามคำสั่งศาลยุติธรรมที่ระบุในกรณีพิพาทปาร์ติ อีโคโลจิสเต้ระหว่าง “เลส เวิร์ทส” กับรัฐสภายุโรป เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่ประเทศสมาชิกต้องกำกับดูแลเองทั้งหมด อำนาจของรัฐสภาประกอบด้วยการเรียกสอบสอนหากพบการบริหารที่มิชอบหรือแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาคดีความในชั้นศาล สามารถเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการตอบข้อสงสัยและลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมาธิการทั้งคณะได้หาก ได้เสียงส่วนใหญ่ 2 ใน 3 (ดังที่เคยเกิดขึ้นกับคณะกรรมาธิการซานเทอร์ในปี 1999) ในบางกรณี รัฐสภาอาจมีสิทธิ์ให้คำชี้แนะโดยชัดแจ้งซึ่งคณะกรรมาธิการต้องปฏิบัติตามเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการนิติบัญญัติยังคงมีจำกัด เนื่องจากไม่มีสมาชิกรายใดดำเนินการได้จริงหรือผ่านร่างได้โดยไม่มี คณะกรรมาธิการและคณะมนตรี กล่าวคือ อำนาจ ("การปกครอง") ไม่ได้อยู่ในมือของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง (“ประชาชน”) คำกล่าวที่ว่า “อำนาจบริหารอยู่ในมือของคนหมู่มาก มิใช่คนหมู่น้อย” จึงยังไม่เป็นจริงใน EU
พรรคใดเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
{ "text": [ "พรรคประชาชนยุโรป" ], "answer_start": [ 1913 ] }
57265e455951b619008f70bb
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
หากพบข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมาย EU และกฎหมายในประเทศ จะยึดหลักกฎหมายใดเป็นสำคัญ
{ "text": [ "กฎหมาย EU" ], "answer_start": [ 309 ] }
57265e455951b619008f70bc
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
อะไรคือสาเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีตัดสินให้นายคอสต้าแพ้คดีต่อ ENEL
{ "text": [ "เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป" ], "answer_start": [ 786 ] }
57265e455951b619008f70bd
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
ในคดีซิมเมนธัลสปา ข้อกำหนด 2 ข้อที่ขัดกับกฎหมายอิตาลีเริ่มมีขึ้นในปีใด
{ "text": [ "1964 และ 1968" ], "answer_start": [ 2081 ] }
5726975c708984140094cb1f
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
หน่วยงานใดรับผิดชอบเรื่องการวางหลักเกณฑ์สำหรับระงับข้อขัดแย้งระหว่างกฎหมายของระบบต่างๆ
{ "text": [ "ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ" ], "answer_start": [ 105 ] }
5726975c708984140094cb20
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
ข้อขัดแย้งระหว่างนายคอสต้ากับ ENEL เกิดขึ้นเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1964" ], "answer_start": [ 359 ] }
5726975c708984140094cb21
นับตั้งแต่ก่อตั้ง องค์กร EU มีการดำเนินงานในระบบกฎหมายทั้งระดับชาติและระดับสากลจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทั้ง ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปและศาลสูงสุดในประเทศนั้นๆ จึงต้องสร้างหลักในการแก้ไขข้อขัดแย้งทางกฎหมายระหว่างระบบต่างๆ สำหรับภายใน EU เอง ศาลยุติธรรมมีหลักว่าหากกฎหมาย EU ขัดกับมาตราใดๆ ในกฎหมายของประเทศ ให้ยึดตาม กฎหมาย EU เป็นสำคัญ ในกรณีพิพาทสำคัญครั้งแรกเมื่อ ปี 1964 ระหว่างนายคอสต้ากับบริษัท ENEL (Costa v ENEL) นายคอสต้าซึ่งเป็นทนายความจากมิลานและอดีตผู้ืถือหุ้นของบริษัทด้านพลังงานแห่งหนึ่ง ปฏิเสธที่จะจ่ายค่าไฟให้แก่ Enel เพื่อแสดงการต่อต้านการโอนบริษัทด้านพลังงานสัญชาติอิตาลีให้เป็นของรัฐ โดยอ้างว่ากฎหมายการโอนเป็นของรัฐในอิตาลีขัดกับสนธิสัญญากรุงโรม และร้องขอหนังสือรับรองจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลยุติธรรมของอิตาลีตามข้อกำหนด TFEU มาตรา 267 ศาลรัฐธรรมนูญของอิตาลีลงความเห็นว่า เนื่องจากกฎหมายการโอนเป็นของรัฐมีมาตั้งแต่ปี 1962 ในขณะที่สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1958 คำร้องของนายคอสต้าจึงตกไป ในทางกลับกัน ศาลยุติธรรม ตัดสินว่าในท้ายที่สุดแล้ว สนธิสัญญากรุงโรมมิได้ห้ามการโอนกิจการพลังงานเป็นของรัฐแต่อย่างใด และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องภายใต้มาตราใดๆ ของสนธิสัญญามีเพียงคณะกรรมาธิการเท่านั้น นายคอสต้าจึงไม่สามารถยื่นคำร้องในกรณีนี้ได้ อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้ว นายคอสต้ามีสิทธิ์แก้ต่างว่าสนธิสัญญาดังกล่าวขัดกับกฎหมายในประเทศ และศาลมีหน้าที่พิจารณาคำร้องของตนเพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหากไม่มีผู้ใดยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาล ศาลยุติธรรมยังคงตัดสินเช่นเดิมในกรณีแวนเจนด์เอนลูส (Van Gend en Loos) โดยกล่าวว่าประเทศสมาชิก “มีสิทธิอธิปไตยที่จำกัดและได้สร้างตัวแทนทางกฎหมายที่มีผลทั้งต่อประชาชนและตนเอง แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม” ตาม “หลักของภาวะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ” กฎหมาย EU “จะไม่มีถูกลบล้างโดยข้อกฎหมายในท้องถิ่น ไม่ว่าจะวางกรอบไว้อย่างไรก็ตาม... หากไม่มีหลักทางกฎหมายของชุมชนที่เกี่ยวข้อง” นั่นหมายความว่า “การกระทำฝ่ายเดียวที่เกิดขึ้นตามมา” ของประเทศสมาชิกจะไม่มีผลบังคับใช้ ในเชิงเดียวกัน กรณีพิพาทระหว่างอัมมินีสตราซิอองเดลเลไฟแนนซ์ กับ ซิมเมนธัลสปา (Amministrazione delle Finanze v Simmenthal SpA) บริษัทซิมเมนธัลสปา อ้างว่าค่าธรรมเนียมการตรวจสุขภาพสาธารณะตามกฎหมายอิตาลีในปี 1970 สำหรับการนำเข้าเนื้อวัวจากฝรั่งเศสมายังอิตาลีขัดกับข้อกำหนด 2 ข้อจากปี 1964 และ 1968 ศาลยุติธรรมกล่าวว่า “ตามหลักเจตนารมณ์ของกฎหมายชุมชน มาตรการของสถาบันที่มีผลบังคับโดยตรง” (เช่น ข้อกำหนดในกรณีนี้) “จะแปลความได้โดยอัตโนมัติว่าไม่มีผลบังคับกับมาตราที่ขัดกันของกฎหมายปัจจุบันในประเทศ” ซึ่งจำเป็นต่อการป้องกัน “การปฏิเสธพันธะที่เกี่ยวข้อง” ในสนธิสัญญา “ที่ประเทศสมาชิกต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเงื่อนไขและเพิกถอนไม่ได้” ซึ่งอาจ “เป็นภัยต่อรากฐาน” ของ EU แม้ศาลยุติธรรมจะเห็นเป็นเช่นนี้ แต่ศาลของประเทศสมาชิกกลับไม่ยอมรับในผลวิเคราะห์เดียวกัน
ศาลใดแย้งว่าสนธิสัญญากรุงโรมไม่ได้กีดกันการโอนกิจการด้านพลังงานให้เป็นของรัฐ
{ "text": [ "ศาลยุติธรรม" ], "answer_start": [ 928 ] }
5726a299dd62a815002e8b9e
ไม่มี สนธิสัญญาเดิมฉบับใดบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองการกล่าวอ้างถึงสหภาพยุโรป ไม่มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายหรือการบริหารสถาบันในสหภาพยุโรป ในเวลานั้น ข้อกังวลเดียวที่ปรากฏคือจะต้องป้องกันมิให้ ประเทศสมาชิก ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน จนนำไปสู่การจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปใน ปี 1950 และการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปตระหนักว่าสิทธิขั้นพื้นฐานควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายแห่งสหภาพยุโรป เนื่องจากความจำเป็นที่มาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใน ปี 1999 คณะมนตรียุโรปได้จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพยุโรป และออกแบบมาเพื่อใช้กับสหภาพยุโรปและสถาบันต่างๆ ในสหภาพโดยเฉพาะ กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรปได้ร่างรายการสิทธิขั้นพื้นฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปและหลักอิสรภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่กำหนดขึ้นโดยรัฐสภายุโรปกำหนดขึ้นเมื่อปี 1989 และสนธิสัญญาต่างๆ ของสหภาพยุโรป
มีสนธิสัญญาฉบับแรกเริ่มกี่ฉบับที่บัญญัติเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ได้รับการคุ้มครองโดย EU
{ "text": [ "ไม่มี" ], "answer_start": [ 0 ] }
5726a299dd62a815002e8b9f
ไม่มี สนธิสัญญาเดิมฉบับใดบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองการกล่าวอ้างถึงสหภาพยุโรป ไม่มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายหรือการบริหารสถาบันในสหภาพยุโรป ในเวลานั้น ข้อกังวลเดียวที่ปรากฏคือจะต้องป้องกันมิให้ ประเทศสมาชิก ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน จนนำไปสู่การจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปใน ปี 1950 และการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปตระหนักว่าสิทธิขั้นพื้นฐานควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายแห่งสหภาพยุโรป เนื่องจากความจำเป็นที่มาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใน ปี 1999 คณะมนตรียุโรปได้จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพยุโรป และออกแบบมาเพื่อใช้กับสหภาพยุโรปและสถาบันต่างๆ ในสหภาพโดยเฉพาะ กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรปได้ร่างรายการสิทธิขั้นพื้นฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปและหลักอิสรภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่กำหนดขึ้นโดยรัฐสภายุโรปกำหนดขึ้นเมื่อปี 1989 และสนธิสัญญาต่างๆ ของสหภาพยุโรป
หน่วยงานใดก่อตั้งขึ้นเพื่อป้องกันมิให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
{ "text": [ "ประเทศสมาชิก" ], "answer_start": [ 292 ] }
5726a299dd62a815002e8ba0
ไม่มี สนธิสัญญาเดิมฉบับใดบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองการกล่าวอ้างถึงสหภาพยุโรป ไม่มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายหรือการบริหารสถาบันในสหภาพยุโรป ในเวลานั้น ข้อกังวลเดียวที่ปรากฏคือจะต้องป้องกันมิให้ ประเทศสมาชิก ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน จนนำไปสู่การจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปใน ปี 1950 และการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปตระหนักว่าสิทธิขั้นพื้นฐานควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายแห่งสหภาพยุโรป เนื่องจากความจำเป็นที่มาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใน ปี 1999 คณะมนตรียุโรปได้จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพยุโรป และออกแบบมาเพื่อใช้กับสหภาพยุโรปและสถาบันต่างๆ ในสหภาพโดยเฉพาะ กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรปได้ร่างรายการสิทธิขั้นพื้นฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปและหลักอิสรภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่กำหนดขึ้นโดยรัฐสภายุโรปกำหนดขึ้นเมื่อปี 1989 และสนธิสัญญาต่างๆ ของสหภาพยุโรป
ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนจัดตั้งขึ้นเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1950" ], "answer_start": [ 380 ] }
5726a299dd62a815002e8ba1
ไม่มี สนธิสัญญาเดิมฉบับใดบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองการกล่าวอ้างถึงสหภาพยุโรป ไม่มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายหรือการบริหารสถาบันในสหภาพยุโรป ในเวลานั้น ข้อกังวลเดียวที่ปรากฏคือจะต้องป้องกันมิให้ ประเทศสมาชิก ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน จนนำไปสู่การจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปใน ปี 1950 และการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปตระหนักว่าสิทธิขั้นพื้นฐานควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายแห่งสหภาพยุโรป เนื่องจากความจำเป็นที่มาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใน ปี 1999 คณะมนตรียุโรปได้จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพยุโรป และออกแบบมาเพื่อใช้กับสหภาพยุโรปและสถาบันต่างๆ ในสหภาพโดยเฉพาะ กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรปได้ร่างรายการสิทธิขั้นพื้นฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปและหลักอิสรภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่กำหนดขึ้นโดยรัฐสภายุโรปกำหนดขึ้นเมื่อปี 1989 และสนธิสัญญาต่างๆ ของสหภาพยุโรป
ข้อตกลงอีกฉบับที่จัดทำขึ้นในเวลาเดียวกับปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนคืออะไร
{ "text": [ "ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป" ], "answer_start": [ 402 ] }
5726a299dd62a815002e8ba2
ไม่มี สนธิสัญญาเดิมฉบับใดบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานในการคุ้มครองการกล่าวอ้างถึงสหภาพยุโรป ไม่มีการคาดการณ์ว่ามาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมายหรือการบริหารสถาบันในสหภาพยุโรป ในเวลานั้น ข้อกังวลเดียวที่ปรากฏคือจะต้องป้องกันมิให้ ประเทศสมาชิก ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน จนนำไปสู่การจัดทำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปใน ปี 1950 และการจัดตั้ง ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรปตระหนักว่าสิทธิขั้นพื้นฐานควรเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมายแห่งสหภาพยุโรป เนื่องจากความจำเป็นที่มาตรการต่างๆ ของสหภาพยุโรปจะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศสมาชิกเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ใน ปี 1999 คณะมนตรียุโรปได้จัดตั้งหน่วยงานดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ซึ่งอาจกลายเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพยุโรป และออกแบบมาเพื่อใช้กับสหภาพยุโรปและสถาบันต่างๆ ในสหภาพโดยเฉพาะ กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรปได้ร่างรายการสิทธิขั้นพื้นฐานจากอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยุโรปและหลักอิสรภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนที่กำหนดขึ้นโดยรัฐสภายุโรปกำหนดขึ้นเมื่อปี 1989 และสนธิสัญญาต่างๆ ของสหภาพยุโรป
คณะมนตรียุโรปมอบหมายให้หน่วยงานหนึ่งดูแลเรื่องการร่างกฏบัตรสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1999" ], "answer_start": [ 686 ] }
5726a5525951b619008f78dd
ภายหลัง การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ใน ปี 1997 สหราชอาณาจักรได้ลงนามรับรองข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการ ทำให้สามารถรวมข้อตกลงดังกล่าวเข้าไว้เป็นตัวบททางสังคมในสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม ปี 1997 หลังจากมีการแก้ไขเล็กน้อย ต่อมาสหราชอาณาจักรจึงได้นำข้อกฎหมายหลักที่ได้รับความเห็นชอบก่อนหน้านี้ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคม ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน ปี 1994 ซึ่งกำหนดให้ต้องมี การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ และข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอด ปี 1996 10 ปีหลังจากสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัมปี 1997 และการบังคับใช้ตัวบททางสังคม สหภาพยุโรปจึงได้นำนโยบายริเริ่มในหลายสาขาของนโยบายทางสังคมไปปฏิบัติใช้ อาทิ แรงงานสัมพันธ์และอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โอกาสที่เท่าเทียม อนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุข การคุ้มครองเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนความยากจน แรงงานต่างด้าว การศึกษา การฝึกอบรม และเยาวชน
สิ่งที่ทำให้สหราชอาณาจักรลงนามรับรองในข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมคืออะไร
{ "text": [ "การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร" ], "answer_start": [ 8 ] }
5726a5525951b619008f78de
ภายหลัง การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ใน ปี 1997 สหราชอาณาจักรได้ลงนามรับรองข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการ ทำให้สามารถรวมข้อตกลงดังกล่าวเข้าไว้เป็นตัวบททางสังคมในสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม ปี 1997 หลังจากมีการแก้ไขเล็กน้อย ต่อมาสหราชอาณาจักรจึงได้นำข้อกฎหมายหลักที่ได้รับความเห็นชอบก่อนหน้านี้ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคม ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน ปี 1994 ซึ่งกำหนดให้ต้องมี การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ และข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอด ปี 1996 10 ปีหลังจากสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัมปี 1997 และการบังคับใช้ตัวบททางสังคม สหภาพยุโรปจึงได้นำนโยบายริเริ่มในหลายสาขาของนโยบายทางสังคมไปปฏิบัติใช้ อาทิ แรงงานสัมพันธ์และอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โอกาสที่เท่าเทียม อนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุข การคุ้มครองเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนความยากจน แรงงานต่างด้าว การศึกษา การฝึกอบรม และเยาวชน
สหราชอาณาจักรลงนามรับรองในข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1997" ], "answer_start": [ 71 ] }
5726a5525951b619008f78df
ภายหลัง การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ใน ปี 1997 สหราชอาณาจักรได้ลงนามรับรองข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการ ทำให้สามารถรวมข้อตกลงดังกล่าวเข้าไว้เป็นตัวบททางสังคมในสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม ปี 1997 หลังจากมีการแก้ไขเล็กน้อย ต่อมาสหราชอาณาจักรจึงได้นำข้อกฎหมายหลักที่ได้รับความเห็นชอบก่อนหน้านี้ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคม ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน ปี 1994 ซึ่งกำหนดให้ต้องมี การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ และข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอด ปี 1996 10 ปีหลังจากสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัมปี 1997 และการบังคับใช้ตัวบททางสังคม สหภาพยุโรปจึงได้นำนโยบายริเริ่มในหลายสาขาของนโยบายทางสังคมไปปฏิบัติใช้ อาทิ แรงงานสัมพันธ์และอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โอกาสที่เท่าเทียม อนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุข การคุ้มครองเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนความยากจน แรงงานต่างด้าว การศึกษา การฝึกอบรม และเยาวชน
ข้อบังคับใดบัญญัติขึ้นในปี 1994
{ "text": [ "ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน" ], "answer_start": [ 367 ] }
5726a5525951b619008f78e0
ภายหลัง การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ใน ปี 1997 สหราชอาณาจักรได้ลงนามรับรองข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการ ทำให้สามารถรวมข้อตกลงดังกล่าวเข้าไว้เป็นตัวบททางสังคมในสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม ปี 1997 หลังจากมีการแก้ไขเล็กน้อย ต่อมาสหราชอาณาจักรจึงได้นำข้อกฎหมายหลักที่ได้รับความเห็นชอบก่อนหน้านี้ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคม ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน ปี 1994 ซึ่งกำหนดให้ต้องมี การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ และข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอด ปี 1996 10 ปีหลังจากสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัมปี 1997 และการบังคับใช้ตัวบททางสังคม สหภาพยุโรปจึงได้นำนโยบายริเริ่มในหลายสาขาของนโยบายทางสังคมไปปฏิบัติใช้ อาทิ แรงงานสัมพันธ์และอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โอกาสที่เท่าเทียม อนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุข การคุ้มครองเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนความยากจน แรงงานต่างด้าว การศึกษา การฝึกอบรม และเยาวชน
ข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอดมีขึ้นเมื่อใด
{ "text": [ "ปี 1996" ], "answer_start": [ 480 ] }
5726a5525951b619008f78e1
ภายหลัง การเลือกตั้งที่ทำให้พรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ใน ปี 1997 สหราชอาณาจักรได้ลงนามรับรองข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคมอย่างเป็นทางการ ทำให้สามารถรวมข้อตกลงดังกล่าวเข้าไว้เป็นตัวบททางสังคมในสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัม ปี 1997 หลังจากมีการแก้ไขเล็กน้อย ต่อมาสหราชอาณาจักรจึงได้นำข้อกฎหมายหลักที่ได้รับความเห็นชอบก่อนหน้านี้ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยนโยบายทางสังคม ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงาน ปี 1994 ซึ่งกำหนดให้ต้องมี การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ และข้อบังคับว่าด้วยการลาคลอด ปี 1996 10 ปีหลังจากสนธิสัญญาอัมส์เตอร์ดัมปี 1997 และการบังคับใช้ตัวบททางสังคม สหภาพยุโรปจึงได้นำนโยบายริเริ่มในหลายสาขาของนโยบายทางสังคมไปปฏิบัติใช้ อาทิ แรงงานสัมพันธ์และอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โอกาสที่เท่าเทียม อนามัยและความปลอดภัย สาธารณสุข การคุ้มครองเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ ตลอดจนความยากจน แรงงานต่างด้าว การศึกษา การฝึกอบรม และเยาวชน
ข้อบังคับว่าด้วยสภาคนงานกำหนดให้ต้องมีสิ่งใด
{ "text": [ "การให้คำปรึกษาแก่แรงงานในธุรกิจ" ], "answer_start": [ 419 ] }
5725b81b271a42140099d097
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ชื่อใดในภาษาอังกฤษที่ใช้อธิบายป่าดิบชื้นอเมซอนได้เช่นกัน
{ "text": [ "หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ" ], "answer_start": [ 190 ] }
5725b81b271a42140099d098
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นนี้ครอบคลุมพื้นที่กี่ตารางกิโลเมตรของแอ่งอเมซอน
{ "text": [ "5,500,000" ], "answer_start": [ 422 ] }
5725b81b271a42140099d099
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
พื้นที่นี้ควบคุมโดยประเทศต่างๆ รวมทั้งหมดกี่ประเทศ
{ "text": [ "9" ], "answer_start": [ 516 ] }
5725b81b271a42140099d09a
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ประเทศที่มีชื่อ “อเมซอนาส” ปรากฏในชื่อมีกี่ประเทศ
{ "text": [ "4" ], "answer_start": [ 725 ] }
5725b81b271a42140099d09b
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าอเมซอนคิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของพื้นที่ป่าดิบชื้นทั่วโลก
{ "text": [ "ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก" ], "answer_start": [ 768 ] }
5728349dff5b5019007d9efe
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นอเมซอนในภาษาดัตช์เรียกว่าอะไร
{ "text": [ "Amazoneregenwoud" ], "answer_start": [ 172 ] }
5728349dff5b5019007d9eff
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นใดครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้
{ "text": [ "ป่าดิบชื้นอเมซอน" ], "answer_start": [ 0 ] }
5728349dff5b5019007d9f00
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นอเมซอนมีพื้นที่มากที่สุดในประเทศใด
{ "text": [ "ประเทศบราซิล" ], "answer_start": [ 563 ] }
5728349dff5b5019007d9f01
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นอเมซอนคิดเป็นจำนวนเท่าใดของป่าดิบชื้นทั่วโลก
{ "text": [ "กว่าครึ่ง" ], "answer_start": [ 793 ] }
5728349dff5b5019007d9f02
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
พันธุ์ไม้ที่พบได้ในป่าดิบชื้นอเมซอนมีจำนวนกี่ชนิด
{ "text": [ "16,000" ], "answer_start": [ 965 ] }
5729e2316aef0514001550c4
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ป่าดิบชื้นอเมซอนเป็นป่าชนิดใด
{ "text": [ "ป่าใบกว้างชื้น" ], "answer_start": [ 252 ] }
5729e2316aef0514001550c5
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
แอ่งอเมซอนมีพื้นที่กี่ตารางกิโลเมตร
{ "text": [ "7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,70" ], "answer_start": [ 341 ] }
5729e2316aef0514001550c6
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
แอ่งอเมซอนกินพื้นที่ทั้งหมดกี่ประเทศ
{ "text": [ "9" ], "answer_start": [ 516 ] }
5729e2316aef0514001550c7
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
ประเทศใดกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของป่าดิบชื้นอเมซอน
{ "text": [ "ประเทศบราซิล" ], "answer_start": [ 563 ] }
5729e2316aef0514001550c8
ป่าดิบชื้นอเมซอน (ภาษาโปรตุเกส: Floresta Amazônica หรือ Amazônia, ภาษาสเปน: Selva Amazónica, Amazonía หรือมักเรียกว่า Amazonia, ภาษาฝรั่งเศส: Forêt amazonienne, ภาษาดัตช์: Amazoneregenwoud) หรือที่เรียกว่า Amazonia หรือ Amazon Jungle ในภาษาอังกฤษ เป็น ป่าใบกว้างชื้น ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแอ่งอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ แอ่งนี้กินพื้นที่ 7,000,000 ตารางกิโลเมตร (2,700,000 ตารางไมล์) โดยที่ป่าดิบชื้นอเมซอนกินพื้นที่ไป 5,500,000 ตารางกิโลเมตร (2,100,000 ตารางไมล์) พื้นที่นี้มีดินแดนเป็นของประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 9 ประเทศ พื้นที่ป่าส่วนใหญ่ราวร้อยละ 60 อยู่ใน ประเทศบราซิล รองลงมา คือ เปรู ร้อยละ 13 และโคลอมเบีย ร้อยละ 10 และอีกเล็กน้อยในเวเนซุเอลา เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา ซูรินาม และเฟรนช์เกียนา รัฐหรือกระทรวงในกว่า 4 ประเทศมีคำว่า "อเมซอนาส" ปรากฏอยู่ในชื่อ ป่าอเมซอนคิดเป็นเนื้อที่ กว่าครึ่ง ของป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลก และเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390 พันล้านต้นและมีพันธุ์ไม้ประมาณ16,000 ชนิด
พันธุ์ไม้ในป่าดิบชื้นเขตร้อนอเมซอนมีประมาณกี่ชนิด
{ "text": [ "16,000" ], "answer_start": [ 965 ] }
5729feaf6aef051400155188
ช่วงปี 1991 ถึง 2000 พื้นที่ป่าทั้งหมดที่สูญหายไปในเขตอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นจาก 415,000 เป็น 587,000 ตารางกิโลเมตร (160,000 เป็น 227,000 ตารางไมล์) โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ที่หายไปกลายเป็น ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ ร้อยละ 70 ของเขตป่าเก่าในอเมซอน และ 91% ของพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่านับตั้งแต่ปี 1970 ถูกใช้เป็นทุ่งปศุสัตว์ ปัจจุบัน บราซิลถือเป็น ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี งานวิจัยใหม่ที่จัดทำโดยเลดิเมียร์ โอลิเวียราและคณะชี้ว่าพื้นที่ป่าดิบชื้นในอเมซอนถูกโค่นมากขึ้นและมีฝนตกในพื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตต่อเฮกเตอร์ลดลง แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นต่าง แต่ในความเป็นจริง บราซิลยังไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดจากการตัดไม้ในเขตป่าดิบชื้นและแปลงพื้นที่เหล่านี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
ในปี 1991 ป่าอเมซอนหายไปแล้วรวมทั้งหมดกี่ตารางกิโลเมตร
{ "text": [ "415,000" ], "answer_start": [ 76 ] }
5729feaf6aef051400155189
ช่วงปี 1991 ถึง 2000 พื้นที่ป่าทั้งหมดที่สูญหายไปในเขตอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นจาก 415,000 เป็น 587,000 ตารางกิโลเมตร (160,000 เป็น 227,000 ตารางไมล์) โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ที่หายไปกลายเป็น ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ ร้อยละ 70 ของเขตป่าเก่าในอเมซอน และ 91% ของพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่านับตั้งแต่ปี 1970 ถูกใช้เป็นทุ่งปศุสัตว์ ปัจจุบัน บราซิลถือเป็น ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี งานวิจัยใหม่ที่จัดทำโดยเลดิเมียร์ โอลิเวียราและคณะชี้ว่าพื้นที่ป่าดิบชื้นในอเมซอนถูกโค่นมากขึ้นและมีฝนตกในพื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตต่อเฮกเตอร์ลดลง แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นต่าง แต่ในความเป็นจริง บราซิลยังไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดจากการตัดไม้ในเขตป่าดิบชื้นและแปลงพื้นที่เหล่านี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ป่าอเมซอนหายไปกี่ตารางกิโลเมตรในปี 2000
{ "text": [ "587,000" ], "answer_start": [ 89 ] }
5729feaf6aef05140015518a
ช่วงปี 1991 ถึง 2000 พื้นที่ป่าทั้งหมดที่สูญหายไปในเขตอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นจาก 415,000 เป็น 587,000 ตารางกิโลเมตร (160,000 เป็น 227,000 ตารางไมล์) โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ที่หายไปกลายเป็น ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ ร้อยละ 70 ของเขตป่าเก่าในอเมซอน และ 91% ของพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่านับตั้งแต่ปี 1970 ถูกใช้เป็นทุ่งปศุสัตว์ ปัจจุบัน บราซิลถือเป็น ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี งานวิจัยใหม่ที่จัดทำโดยเลดิเมียร์ โอลิเวียราและคณะชี้ว่าพื้นที่ป่าดิบชื้นในอเมซอนถูกโค่นมากขึ้นและมีฝนตกในพื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตต่อเฮกเตอร์ลดลง แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นต่าง แต่ในความเป็นจริง บราซิลยังไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดจากการตัดไม้ในเขตป่าดิบชื้นและแปลงพื้นที่เหล่านี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ป่าอเมซอนที่ถูกโค่นส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อการใด
{ "text": [ "ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ" ], "answer_start": [ 182 ] }
5729feaf6aef05140015518b
ช่วงปี 1991 ถึง 2000 พื้นที่ป่าทั้งหมดที่สูญหายไปในเขตอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นจาก 415,000 เป็น 587,000 ตารางกิโลเมตร (160,000 เป็น 227,000 ตารางไมล์) โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ที่หายไปกลายเป็น ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ ร้อยละ 70 ของเขตป่าเก่าในอเมซอน และ 91% ของพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่านับตั้งแต่ปี 1970 ถูกใช้เป็นทุ่งปศุสัตว์ ปัจจุบัน บราซิลถือเป็น ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี งานวิจัยใหม่ที่จัดทำโดยเลดิเมียร์ โอลิเวียราและคณะชี้ว่าพื้นที่ป่าดิบชื้นในอเมซอนถูกโค่นมากขึ้นและมีฝนตกในพื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตต่อเฮกเตอร์ลดลง แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นต่าง แต่ในความเป็นจริง บราซิลยังไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดจากการตัดไม้ในเขตป่าดิบชื้นและแปลงพื้นที่เหล่านี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
ประเทศบราซิลเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืออันดับที่เท่าไหร่ของโลก
{ "text": [ "ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก" ], "answer_start": [ 335 ] }
5729feaf6aef05140015518c
ช่วงปี 1991 ถึง 2000 พื้นที่ป่าทั้งหมดที่สูญหายไปในเขตอเมซอนเพิ่มสูงขึ้นจาก 415,000 เป็น 587,000 ตารางกิโลเมตร (160,000 เป็น 227,000 ตารางไมล์) โดยพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ที่หายไปกลายเป็น ทุ่งเลี้ยงโคกระบือ ร้อยละ 70 ของเขตป่าเก่าในอเมซอน และ 91% ของพื้นที่ที่ถูกตัดไม้ทำลายป่านับตั้งแต่ปี 1970 ถูกใช้เป็นทุ่งปศุสัตว์ ปัจจุบัน บราซิลถือเป็น ผู้ผลิตถั่วเหลืองอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี งานวิจัยใหม่ที่จัดทำโดยเลดิเมียร์ โอลิเวียราและคณะชี้ว่าพื้นที่ป่าดิบชื้นในอเมซอนถูกโค่นมากขึ้นและมีฝนตกในพื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ผลผลิตต่อเฮกเตอร์ลดลง แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นต่าง แต่ในความเป็นจริง บราซิลยังไม่ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดจากการตัดไม้ในเขตป่าดิบชื้นและแปลงพื้นที่เหล่านี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
พื้นที่ป่าอเมซอนที่ถูกโค่นเพื่อขยายการปศุสัตว์คิดเป็นร้อยละเท่าไหร่
{ "text": [ "91%" ], "answer_start": [ 237 ] }
572a005f1d046914007796b7
ความต้องการของชาวไร่ ถั่วเหลือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำโครงการคมนาคมหลายแห่งที่เป็นประเด็นถกเถียงและมีการดำเนินการอยู่ในป่าอเมซอน ทางหลวง 2 เส้นแรกเปิดเส้นทางในพื้นที่ป่าดิบชื้นจนนำไปสู่ การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่อปีนับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 (22,392 ตร.กม. 8,646 ตารางไมล์ ต่อปี) คิดเป็น 18% ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (19,018 ตร.กม. หรือ 7,343 ตารางไมล์ต่อปี) แม้อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 ถึง 2014 แต่อัตราดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นหากนับจนถึงปัจจุบัน
ทางหลวงในเขตป่าดิบชื้นอเมซอนสร้างขึ้นเพื่อชาวไร่กลุ่มใดเป็นหลัก
{ "text": [ "ถั่วเหลือง" ], "answer_start": [ 21 ] }
572a005f1d046914007796b8
ความต้องการของชาวไร่ ถั่วเหลือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำโครงการคมนาคมหลายแห่งที่เป็นประเด็นถกเถียงและมีการดำเนินการอยู่ในป่าอเมซอน ทางหลวง 2 เส้นแรกเปิดเส้นทางในพื้นที่ป่าดิบชื้นจนนำไปสู่ การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่อปีนับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 (22,392 ตร.กม. 8,646 ตารางไมล์ ต่อปี) คิดเป็น 18% ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (19,018 ตร.กม. หรือ 7,343 ตารางไมล์ต่อปี) แม้อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 ถึง 2014 แต่อัตราดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นหากนับจนถึงปัจจุบัน
การสร้างทางหลวงในเขตป่าดิบชื้นอเมซอนนำไปสู่เหตุการณ์ใด
{ "text": [ "การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม" ], "answer_start": [ 188 ] }
572a005f1d046914007796b9
ความต้องการของชาวไร่ ถั่วเหลือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำโครงการคมนาคมหลายแห่งที่เป็นประเด็นถกเถียงและมีการดำเนินการอยู่ในป่าอเมซอน ทางหลวง 2 เส้นแรกเปิดเส้นทางในพื้นที่ป่าดิบชื้นจนนำไปสู่ การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่อปีนับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 (22,392 ตร.กม. 8,646 ตารางไมล์ ต่อปี) คิดเป็น 18% ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (19,018 ตร.กม. หรือ 7,343 ตารางไมล์ต่อปี) แม้อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 ถึง 2014 แต่อัตราดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นหากนับจนถึงปัจจุบัน
อัตราการทำลายป่านับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 คิดเป็นกี่ตารางไมล์ต่อปี
{ "text": [ "8,646 ตารางไมล์" ], "answer_start": [ 316 ] }
572a005f1d046914007796bb
ความต้องการของชาวไร่ ถั่วเหลือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำโครงการคมนาคมหลายแห่งที่เป็นประเด็นถกเถียงและมีการดำเนินการอยู่ในป่าอเมซอน ทางหลวง 2 เส้นแรกเปิดเส้นทางในพื้นที่ป่าดิบชื้นจนนำไปสู่ การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่อปีนับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 (22,392 ตร.กม. 8,646 ตารางไมล์ ต่อปี) คิดเป็น 18% ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (19,018 ตร.กม. หรือ 7,343 ตารางไมล์ต่อปี) แม้อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 ถึง 2014 แต่อัตราดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นหากนับจนถึงปัจจุบัน
เกิดอะไรขึ้นกับอัตราการตัดไม้ทำลายป่าในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 - 2014
{ "text": [ "ลดลงอย่างเห็นได้ชัด" ], "answer_start": [ 452 ] }
572a005f1d046914007796ba
ความต้องการของชาวไร่ ถั่วเหลือง ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำโครงการคมนาคมหลายแห่งที่เป็นประเด็นถกเถียงและมีการดำเนินการอยู่ในป่าอเมซอน ทางหลวง 2 เส้นแรกเปิดเส้นทางในพื้นที่ป่าดิบชื้นจนนำไปสู่ การตั้งถิ่นฐานและการตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มเติม นั่นหมายความว่าอัตราการตัดไม้ทำลายป่าต่อปีนับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2005 (22,392 ตร.กม. 8,646 ตารางไมล์ ต่อปี) คิดเป็น 18% ซึ่งสูงกว่าเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (19,018 ตร.กม. หรือ 7,343 ตารางไมล์ต่อปี) แม้อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจะ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในเขตอเมซอนของบราซิลในช่วงปี 2004 ถึง 2014 แต่อัตราดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นหากนับจนถึงปัจจุบัน
อัตราการตัดไม้ทำลายป่าจากปี 2000 ถึง 2005 เพิ่มขึ้นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับปี 1995 ถึง 2000
{ "text": [ "18%" ], "answer_start": [ 347 ] }
572a020f6aef051400155198
นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลเรื่องการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะเป็นผลมาจาก การทำลายป่า รวมไปถึงการปล่อย คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก ซึ่งอาจเร่งการเกิดภาวะโลกร้อน ป่าไม้ผลัดใบอเมซอนคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตหลักบนพื้นโลกและ 10% ของปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งคิดเป็น 1.1 × 1011 เมตริกตันของคาร์บอน โดยคาดว่าป่าอเมซอนมีปริมาณคาร์บอนสะสม 0.62 ± 0.37 ตันต่อเฮกเตอร์ต่อปีในช่วงปี 1975 ถึง 1996
นักสิ่งแวดล้อมกังวลเรื่องอะไรเกี่ยวกับพื้นที่ป่าอเมซอนที่สูญหายไป
{ "text": [ "ความหลากหลายทางชีวภาพ" ], "answer_start": [ 40 ] }
572a020f6aef051400155199
นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลเรื่องการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะเป็นผลมาจาก การทำลายป่า รวมไปถึงการปล่อย คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก ซึ่งอาจเร่งการเกิดภาวะโลกร้อน ป่าไม้ผลัดใบอเมซอนคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตหลักบนพื้นโลกและ 10% ของปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งคิดเป็น 1.1 × 1011 เมตริกตันของคาร์บอน โดยคาดว่าป่าอเมซอนมีปริมาณคาร์บอนสะสม 0.62 ± 0.37 ตันต่อเฮกเตอร์ต่อปีในช่วงปี 1975 ถึง 1996
นักสิ่งแวดล้อมชี้ว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอาจเป็นผลมาจากสิ่งใด
{ "text": [ "การทำลายป่า" ], "answer_start": [ 79 ] }
572a020f6aef05140015519a
นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลเรื่องการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะเป็นผลมาจาก การทำลายป่า รวมไปถึงการปล่อย คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก ซึ่งอาจเร่งการเกิดภาวะโลกร้อน ป่าไม้ผลัดใบอเมซอนคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตหลักบนพื้นโลกและ 10% ของปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งคิดเป็น 1.1 × 1011 เมตริกตันของคาร์บอน โดยคาดว่าป่าอเมซอนมีปริมาณคาร์บอนสะสม 0.62 ± 0.37 ตันต่อเฮกเตอร์ต่อปีในช่วงปี 1975 ถึง 1996
สิ่งที่ถูกปล่อยออกมาจากเขตอเมซอนที่นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลคืออะไร
{ "text": [ "คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก" ], "answer_start": [ 108 ] }
572a020f6aef05140015519b
นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลเรื่องการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะเป็นผลมาจาก การทำลายป่า รวมไปถึงการปล่อย คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก ซึ่งอาจเร่งการเกิดภาวะโลกร้อน ป่าไม้ผลัดใบอเมซอนคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตหลักบนพื้นโลกและ 10% ของปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งคิดเป็น 1.1 × 1011 เมตริกตันของคาร์บอน โดยคาดว่าป่าอเมซอนมีปริมาณคาร์บอนสะสม 0.62 ± 0.37 ตันต่อเฮกเตอร์ต่อปีในช่วงปี 1975 ถึง 1996
คาร์บอนในโลกที่ถูกกักเก็บไว้ในป่าอเมซอนมีปริมาณเท่าใด
{ "text": [ "10%" ], "answer_start": [ 229 ] }
572a020f6aef05140015519c
นักสิ่งแวดล้อมเป็นกังวลเรื่องการสูญเสีย ความหลากหลายทางชีวภาพ ที่จะเป็นผลมาจาก การทำลายป่า รวมไปถึงการปล่อย คาร์บอนที่ถูกกักอยู่ในพืชผัก ซึ่งอาจเร่งการเกิดภาวะโลกร้อน ป่าไม้ผลัดใบอเมซอนคิดเป็นประมาณ 10% ของผลผลิตหลักบนพื้นโลกและ 10% ของปริมาณคาร์บอนที่เก็บกักอยู่ในระบบนิเวศ ซึ่งคิดเป็น 1.1 × 1011 เมตริกตันของคาร์บอน โดยคาดว่าป่าอเมซอนมีปริมาณคาร์บอนสะสม 0.62 ± 0.37 ตันต่อเฮกเตอร์ต่อปีในช่วงปี 1975 ถึง 1996
นักสิ่งแวดล้อมเชื่อว่าปริมาณคาร์บอนที่ถูกกักไว้ในป่าอเมซอนมีกี่เมตริกตัน
{ "text": [ "1.1 × 1011" ], "answer_start": [ 287 ] }
572a0bebaf94a219006aa76f
ใน ปี 2010 ป่าดิบชื้นอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งอย่างหนักอีกครั้ง ซ้ำยังร้ายแรงยิ่งกว่าภาวะแห้งแล้งในปี 2005 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1,160,000 ตารางไมล์ (3,000,000 ตร.กม.) ของพื้นที่ป่าดิบชื้น เมื่อเทียบกับขนาด 734,000 ตารางไมล์ (1,900,000 ตร.กม.) ในปี 2005 ภาวะแห้งแล้งในปี 2010 มี จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง ที่พืชผักล้มตาย ส่วนภาวะแห้งแล้งใน ปี 2005 มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ วารสาร Science เผยแพร่ผลการศึกษาว่า ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ราว 1.5 กิกะตัน แต่ในช่วงปี 2005 กลับมีก๊าซคาร์บอนปล่อยออกมา 5 กิกะตัน และอีก 8 กิกะตันในปี 2010
ป่าอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งในปีใดที่อาจถือได้ว่ารุนแรงกว่าปี 2005
{ "text": [ "ปี 2010" ], "answer_start": [ 3 ] }
572a0bebaf94a219006aa770
ใน ปี 2010 ป่าดิบชื้นอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งอย่างหนักอีกครั้ง ซ้ำยังร้ายแรงยิ่งกว่าภาวะแห้งแล้งในปี 2005 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1,160,000 ตารางไมล์ (3,000,000 ตร.กม.) ของพื้นที่ป่าดิบชื้น เมื่อเทียบกับขนาด 734,000 ตารางไมล์ (1,900,000 ตร.กม.) ในปี 2005 ภาวะแห้งแล้งในปี 2010 มี จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง ที่พืชผักล้มตาย ส่วนภาวะแห้งแล้งใน ปี 2005 มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ วารสาร Science เผยแพร่ผลการศึกษาว่า ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ราว 1.5 กิกะตัน แต่ในช่วงปี 2005 กลับมีก๊าซคาร์บอนปล่อยออกมา 5 กิกะตัน และอีก 8 กิกะตันในปี 2010
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งปี 2010 มีขนาดกี่ตารางไมล์
{ "text": [ "1,160,000" ], "answer_start": [ 137 ] }
572a0bebaf94a219006aa771
ใน ปี 2010 ป่าดิบชื้นอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งอย่างหนักอีกครั้ง ซ้ำยังร้ายแรงยิ่งกว่าภาวะแห้งแล้งในปี 2005 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1,160,000 ตารางไมล์ (3,000,000 ตร.กม.) ของพื้นที่ป่าดิบชื้น เมื่อเทียบกับขนาด 734,000 ตารางไมล์ (1,900,000 ตร.กม.) ในปี 2005 ภาวะแห้งแล้งในปี 2010 มี จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง ที่พืชผักล้มตาย ส่วนภาวะแห้งแล้งใน ปี 2005 มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ วารสาร Science เผยแพร่ผลการศึกษาว่า ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ราว 1.5 กิกะตัน แต่ในช่วงปี 2005 กลับมีก๊าซคาร์บอนปล่อยออกมา 5 กิกะตัน และอีก 8 กิกะตันในปี 2010
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการล้มตายของพืชผักจากภาวะแห้งแล้งปี 2010 มีกี่แห่ง
{ "text": [ "จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง" ], "answer_start": [ 287 ] }
572a0bebaf94a219006aa772
ใน ปี 2010 ป่าดิบชื้นอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งอย่างหนักอีกครั้ง ซ้ำยังร้ายแรงยิ่งกว่าภาวะแห้งแล้งในปี 2005 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1,160,000 ตารางไมล์ (3,000,000 ตร.กม.) ของพื้นที่ป่าดิบชื้น เมื่อเทียบกับขนาด 734,000 ตารางไมล์ (1,900,000 ตร.กม.) ในปี 2005 ภาวะแห้งแล้งในปี 2010 มี จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง ที่พืชผักล้มตาย ส่วนภาวะแห้งแล้งใน ปี 2005 มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ วารสาร Science เผยแพร่ผลการศึกษาว่า ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ราว 1.5 กิกะตัน แต่ในช่วงปี 2005 กลับมีก๊าซคาร์บอนปล่อยออกมา 5 กิกะตัน และอีก 8 กิกะตันในปี 2010
ตอนใต้ของป่าอเมซอนได้รับผลกระทบจากภาวะแห้งแล้งมากที่สุดในปีใด
{ "text": [ "ปี 2005" ], "answer_start": [ 342 ] }
572a0bebaf94a219006aa773
ใน ปี 2010 ป่าดิบชื้นอเมซอนประสบภาวะแห้งแล้งอย่างหนักอีกครั้ง ซ้ำยังร้ายแรงยิ่งกว่าภาวะแห้งแล้งในปี 2005 พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมีประมาณ 1,160,000 ตารางไมล์ (3,000,000 ตร.กม.) ของพื้นที่ป่าดิบชื้น เมื่อเทียบกับขนาด 734,000 ตารางไมล์ (1,900,000 ตร.กม.) ในปี 2005 ภาวะแห้งแล้งในปี 2010 มี จุดศูนย์กลาง 3 แห่ง ที่พืชผักล้มตาย ส่วนภาวะแห้งแล้งใน ปี 2005 มีจุดศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ วารสาร Science เผยแพร่ผลการศึกษาว่า ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ราว 1.5 กิกะตัน แต่ในช่วงปี 2005 กลับมีก๊าซคาร์บอนปล่อยออกมา 5 กิกะตัน และอีก 8 กิกะตันในปี 2010
ในช่วงปีปกติ ป่าอเมซอนจะดูดซับคาร์บอนไว้ราวกี่ตัน
{ "text": [ "1.5 กิกะตัน" ], "answer_start": [ 476 ] }
5725bae289a1e219009abd90
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอรากินอาหารได้วันละเท่าไหร่
{ "text": [ "10 เท่าของน้ำหนักตัว" ], "answer_start": [ 311 ] }
5725bae289a1e219009abd91
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอราที่ได้รับการยืนยันแล้วมีด้วยกันกี่สายพันธุ์
{ "text": [ "100–150" ], "answer_start": [ 354 ] }
5725bae289a1e219009abd92
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอราที่ยังไม่มีการอธิบายหรือตั้งชื่อโดยสมบูรณ์มีด้วยกันกี่สายพันธุ์
{ "text": [ "25" ], "answer_start": [ 407 ] }
5725c337271a42140099d163
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอราที่ได้รับการยืนยันแล้วมีด้วยกันกี่สายพันธุ์
{ "text": [ "100–150" ], "answer_start": [ 354 ] }
5725c337271a42140099d164
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
เทนทาเคิลเล็กๆ ที่พบบนไซดิปพิดเรียกว่าอะไร
{ "text": [ "เทนทิลลา" ], "answer_start": [ 557 ] }
5725c337271a42140099d165
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอรากินอาหารได้วันละเท่าไหร่
{ "text": [ "10 เท่าของน้ำหนักตัว" ], "answer_start": [ 311 ] }
5725c337271a42140099d166
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
สิ่งที่คอสตัลเบรอยด์ไม่มีเหมือนทีโนฟอราชนิดอื่นคืออะไร
{ "text": [ "เทนทาเคิล" ], "answer_start": [ 779 ] }
5725c337271a42140099d167
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
คอสตัลเบรอยด์ใช้อวัยวะส่วนใดเป็นเหมือนฟัน
{ "text": [ "ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง" ], "answer_start": [ 841 ] }
5726400589a1e219009ac5ee
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอรากินอาหารวันละประมาณเท่าไหร่
{ "text": [ "10 เท่าของน้ำหนักตัว" ], "answer_start": [ 311 ] }
5726400589a1e219009ac5ef
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
เทนทาเคิลเล็กๆ ที่พบบนไซดิปพิดเรียกว่าอะไร
{ "text": [ "เทนทิลลา" ], "answer_start": [ 557 ] }
5726400589a1e219009ac5f0
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
เบรอยด์ใช้อวัยวะส่วนใดเป็นเหมือนฟัน
{ "text": [ "ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง" ], "answer_start": [ 841 ] }
5726400589a1e219009ac5f1
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ไซดิปพิดใช้อวัยวะส่วนใดในการจับเหยื่อ
{ "text": [ "คอลโลบราสท์" ], "answer_start": [ 604 ] }
5726400589a1e219009ac5f2
ทีโนฟอราเกือบทุกชนิดเป็นสัตว์นักล่าที่ออกล่าเหยื่อตั้งแต่สัตว์ตัวอ่อนและโรติเฟอร์ขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนถึงสัตว์ตระกูลครัสเตเชียนขนาดเล็กที่โตเต็มวัย ยกเว้นก็แต่เพียงตัวอ่อนของ 2 สายพันธุ์ที่อาศัยเป็นกาฝากอยู่บนซาล์ป ซึ่งจะกลายเป็นอาหารของทีโนฟอราตัวโตเต็มวัยในเวลาต่อมา หากสภาพแวดล้อมเป็นใจ ทีโนฟอราจะกินอาหารได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ทว่ามีเพียง 100–150 สายพันธุ์ ที่ได้รับการยืนยันแล้ว ในขณะที่อีก 25 สายพันธุ์ยังไม่มีการอธิบายและตั้งชื่อโดยสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ปรากฏในตำรา ได้แก่ ไซดิปพิดที่ลำตัวเป็นรูปทรงไข่ และมีเทนทาเคิลคู่ที่ยืดหดได้ติดอยู่กับ เทนทิลลา ("เทนทาเคิลขนาดเล็ก") ที่ปกคลุมไปด้วย คอลโลบราสท์ ซึ่งเป็นเซลล์เหนียวๆ ที่ใช้จับเหยื่อ ไฟลัมชนิดนี้มีลำตัวกว้าง มีพลาทิคเทนิดรูปทรงแบน ตัวโตเต็มวัยของสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนหวี ในขณะที่คอสตัลเบรอยด์ซึ่งไม่มี เทนทาเคิล และล่าทีโนฟอราตัวอื่นโดยใช้ปากขนาดใหญ่และขาจำนวนมาก ซึ่งเป็นซีเลียชนิดแข็ง ที่ทำหน้าที่เหมือนฟัน ความหลากหลายนี้ทำให้หลายสายพันธุ์เพิ่มประชากรจำนวนมากได้ในพื้นที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากพวกมันมีความสามารถพิเศษในการล่าเหยื่อต่างชนิดกัน ทั้งยังมีวิธีการจับเหยื่อหลากหลายรูปแบบเหมือนกับที่แมงมุมใช้
ทีโนฟอรามีด้วยกันกี่สายพันธุ์
{ "text": [ "100–150 สายพันธุ์" ], "answer_start": [ 354 ] }
5725c91e38643c19005acceb
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีนเกิดขึ้นเมื่อใด
{ "text": [ "66 ล้านปีก่อน" ], "answer_start": [ 744 ] }
5725c91e38643c19005accec
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
หลักฐานบ่งชี้ว่าไซดิปพิดไม่ใช่สิ่งใด
{ "text": [ "มาจากชาติพันธุ์เดียว" ], "answer_start": [ 831 ] }
5725c91e38643c19005acced
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
ซากฟอซซิลทีโนฟอราที่พบมีอายุเท่าใด
{ "text": [ "515 ล้านปี" ], "answer_start": [ 222 ] }
5725c91e38643c19005accee
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
ซากฟอซซิลทีโนฟอราที่พบไม่มีอวัยวะใดอย่างที่พบได้ในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน
{ "text": [ "เทนทาเคิล" ], "answer_start": [ 78 ] }
5726449f1125e71900ae1928
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
ซากฟอซซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอรามีอายุเท่าใด
{ "text": [ "515 ล้านปี" ], "answer_start": [ 222 ] }
5726449f1125e71900ae1929
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
เหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเมื่อ 66 ล้านปีก่อน
{ "text": [ "การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน" ], "answer_start": [ 702 ] }
5726449f1125e71900ae192a
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
ไซดิปพิดไม่ใช่สิ่งใด
{ "text": [ "มาจากชาติพันธุ์เดียว" ], "answer_start": [ 831 ] }
5726449f1125e71900ae192b
แม้จะมีลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น แต่ซากฟอสซิลที่คาดว่าน่าจะเป็นของทีโนฟอราชนิดไม่มี เทนทาเคิล แต่มีจำนวนซี่หวีมากกว่าสายพันธุ์ปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอที่มีอายุย้อนกลับไปถึงช่วงต้นยุคแคมเบรียนหรือประมาณ 515 ล้านปี ก่อน ตำแหน่งของทีโนฟอราในแผนผังตระกูลการวิวัฒนาการของสัตว์มีการถกเถียงมาอย่างยาวนาน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่าหากพิจารณาจากวงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุล ไนดาเรียและไบลาทีเรียมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์กับทีโนฟอรา งานวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการในระดับโมเลกุลเมื่อเร็วๆ นี้ได้ข้อสรุปว่าบรรพบุรุษร่วมของทีโนฟอราทั้งหมดในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนไซดิปพิด และกลุ่มสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมดน่าจะเพิ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังเหตุการณ์ การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลิโอจีน เมื่อ 66 ล้านปีก่อน หลักฐานที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ชี้ว่า “ไซดิปพิด” ไม่ได้ มาจากชาติพันธุ์เดียว หรือไม่ได้มีลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกันเพียงสายพันธุ์เดียว เนื่องจากกลุ่มสายพันธุ์ทีโนฟอราดั้งเดิมอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่สืบเชื้อสายมาจากไซดิปพิดต่างชนิดกัน
ทีโนฟอรายุคปัจจุบันมีอวัยวะใดที่ไม่พบในซากฟอซซิลที่ค้นพบ
{ "text": [ "เทนทาเคิล" ], "answer_start": [ 78 ] }
572648e8dd62a815002e8076
ทีโนฟอรามีขนาดราว 1 มิลลิเมตร (0.039 นิ้ว) ถึง 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) เป็นหอยที่เป็นสัตว์ (non-colonial) ขนาดใหญ่ที่สุด ใช้ซีเลีย ("ขน") เป็นอวัยวะหลักใน การเคลื่อนไหว สายพันธุ์ส่วนใหญ่มีแถบ 8 แถบที่เรียกว่าซี่หวียาวเท่าลำตัว มีซีเลียซึ่งมีลักษณะเหมือนหวี เรียกว่า "ทีเน” เรียงต่อกันเป็นซี่หวีเมื่อตีซีเลีย โดยที่หวีแต่ละซี่จะแตะกับซี่ด้านล่าง ชื่อ "ทีโนฟอรา" แปลว่า "การถือหวี” มาจากภาษากรีก “κτείς” (รูปรากศัพท์ κτεν-) ซึ่งแปลว่า "หวี" และคำต่อท้ายในภาษากรีกว่า “-φορος” แปลว่า "การถือ"
ขนที่พบบนทีโนฟอราเรียกว่าอะไร
{ "text": [ "ซีเลีย" ], "answer_start": [ 119 ] }
572648e8dd62a815002e8077
ทีโนฟอรามีขนาดราว 1 มิลลิเมตร (0.039 นิ้ว) ถึง 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) เป็นหอยที่เป็นสัตว์ (non-colonial) ขนาดใหญ่ที่สุด ใช้ซีเลีย ("ขน") เป็นอวัยวะหลักใน การเคลื่อนไหว สายพันธุ์ส่วนใหญ่มีแถบ 8 แถบที่เรียกว่าซี่หวียาวเท่าลำตัว มีซีเลียซึ่งมีลักษณะเหมือนหวี เรียกว่า "ทีเน” เรียงต่อกันเป็นซี่หวีเมื่อตีซีเลีย โดยที่หวีแต่ละซี่จะแตะกับซี่ด้านล่าง ชื่อ "ทีโนฟอรา" แปลว่า "การถือหวี” มาจากภาษากรีก “κτείς” (รูปรากศัพท์ κτεν-) ซึ่งแปลว่า "หวี" และคำต่อท้ายในภาษากรีกว่า “-φορος” แปลว่า "การถือ"
ซีเลียใช้ทำอะไร
{ "text": [ "การเคลื่อนไหว" ], "answer_start": [ 150 ] }
572648e8dd62a815002e8078
ทีโนฟอรามีขนาดราว 1 มิลลิเมตร (0.039 นิ้ว) ถึง 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) เป็นหอยที่เป็นสัตว์ (non-colonial) ขนาดใหญ่ที่สุด ใช้ซีเลีย ("ขน") เป็นอวัยวะหลักใน การเคลื่อนไหว สายพันธุ์ส่วนใหญ่มีแถบ 8 แถบที่เรียกว่าซี่หวียาวเท่าลำตัว มีซีเลียซึ่งมีลักษณะเหมือนหวี เรียกว่า "ทีเน” เรียงต่อกันเป็นซี่หวีเมื่อตีซีเลีย โดยที่หวีแต่ละซี่จะแตะกับซี่ด้านล่าง ชื่อ "ทีโนฟอรา" แปลว่า "การถือหวี” มาจากภาษากรีก “κτείς” (รูปรากศัพท์ κτεν-) ซึ่งแปลว่า "หวี" และคำต่อท้ายในภาษากรีกว่า “-φορος” แปลว่า "การถือ"
แถบซีเลียที่มีลักษณะคล้ายหวีเรียกว่าอะไร
{ "text": [ "ทีเน" ], "answer_start": [ 262 ] }
572648e8dd62a815002e8079
ทีโนฟอรามีขนาดราว 1 มิลลิเมตร (0.039 นิ้ว) ถึง 1.5 เมตร (4.9 ฟุต) เป็นหอยที่เป็นสัตว์ (non-colonial) ขนาดใหญ่ที่สุด ใช้ซีเลีย ("ขน") เป็นอวัยวะหลักใน การเคลื่อนไหว สายพันธุ์ส่วนใหญ่มีแถบ 8 แถบที่เรียกว่าซี่หวียาวเท่าลำตัว มีซีเลียซึ่งมีลักษณะเหมือนหวี เรียกว่า "ทีเน” เรียงต่อกันเป็นซี่หวีเมื่อตีซีเลีย โดยที่หวีแต่ละซี่จะแตะกับซี่ด้านล่าง ชื่อ "ทีโนฟอรา" แปลว่า "การถือหวี” มาจากภาษากรีก “κτείς” (รูปรากศัพท์ κτεν-) ซึ่งแปลว่า "หวี" และคำต่อท้ายในภาษากรีกว่า “-φορος” แปลว่า "การถือ"
ทีโนฟอราแปลว่าอะไรในภาษากรีก
{ "text": [ "การถือหวี" ], "answer_start": [ 364 ] }
57268da7f1498d1400e8e39c
เนื่องจากมี ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น ซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก และฟอสซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอราก็พบได้แค่ในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรักษาเนื้อเยื่อที่นิ่มโดยเฉพาะ นับจนถึงกลางทศวรรษ 1990 เราพบตัวอย่างที่พอให้วิเคราะห์ได้เพียง 2 ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์สูงสุดจากต้นยุคดีโวเนียน (เอมเซียน) ต่อมาจึงได้ค้นพบ 3 สายพันธุ์สันนิษฐานเพิ่มเติมในพื้นที่เบอร์เจสส์ เชล และแนวหินอื่นๆ ในแคนาดาที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 505 ล้านปีก่อนจากช่วง กลางยุคแคมเบรียน ตัวอย่างฟอกซิลทั้งสามล้วนแล้วแต่ไม่มี เทนทาเคิล แต่มีซี่หวีราว 24 ถึง 80 ซี่ ซึ่งมากกว่า 8 สายพันธุ์ทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโครงสร้างเหมือนอวัยวะภายใน ต่างจากโครงสร้างที่พบในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน ฟอสซิลสายพันธุ์หนึ่งที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อปี 1996 มีปากขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขอบพับที่อาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักฐานจากประเทศจีนใน 1 ปีต่อมาชี้ว่าทีโนฟอราชนิดดังกล่าวพบได้ทั่วไปในยุคแคมเบรียน แต่อาจมีลักษณะต่างจากสายพันธุ์ปัจจุบันอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากหวีของซากฟอสซิลชิ้นหนึ่งที่ติดอยู่บนส่วนครับที่ยื่นออกมา เป็นต้น อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็น วุ้นหวี
เพราะเหตุใดซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก
{ "text": [ "ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น" ], "answer_start": [ 12 ] }
57268da7f1498d1400e8e39d
เนื่องจากมี ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น ซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก และฟอสซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอราก็พบได้แค่ในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรักษาเนื้อเยื่อที่นิ่มโดยเฉพาะ นับจนถึงกลางทศวรรษ 1990 เราพบตัวอย่างที่พอให้วิเคราะห์ได้เพียง 2 ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์สูงสุดจากต้นยุคดีโวเนียน (เอมเซียน) ต่อมาจึงได้ค้นพบ 3 สายพันธุ์สันนิษฐานเพิ่มเติมในพื้นที่เบอร์เจสส์ เชล และแนวหินอื่นๆ ในแคนาดาที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 505 ล้านปีก่อนจากช่วง กลางยุคแคมเบรียน ตัวอย่างฟอกซิลทั้งสามล้วนแล้วแต่ไม่มี เทนทาเคิล แต่มีซี่หวีราว 24 ถึง 80 ซี่ ซึ่งมากกว่า 8 สายพันธุ์ทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโครงสร้างเหมือนอวัยวะภายใน ต่างจากโครงสร้างที่พบในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน ฟอสซิลสายพันธุ์หนึ่งที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อปี 1996 มีปากขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขอบพับที่อาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักฐานจากประเทศจีนใน 1 ปีต่อมาชี้ว่าทีโนฟอราชนิดดังกล่าวพบได้ทั่วไปในยุคแคมเบรียน แต่อาจมีลักษณะต่างจากสายพันธุ์ปัจจุบันอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากหวีของซากฟอสซิลชิ้นหนึ่งที่ติดอยู่บนส่วนครับที่ยื่นออกมา เป็นต้น อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็น วุ้นหวี
อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจเป็นสิ่งใด
{ "text": [ "วุ้นหวี" ], "answer_start": [ 1098 ] }
57268da7f1498d1400e8e39e
เนื่องจากมี ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น ซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก และฟอสซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอราก็พบได้แค่ในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรักษาเนื้อเยื่อที่นิ่มโดยเฉพาะ นับจนถึงกลางทศวรรษ 1990 เราพบตัวอย่างที่พอให้วิเคราะห์ได้เพียง 2 ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์สูงสุดจากต้นยุคดีโวเนียน (เอมเซียน) ต่อมาจึงได้ค้นพบ 3 สายพันธุ์สันนิษฐานเพิ่มเติมในพื้นที่เบอร์เจสส์ เชล และแนวหินอื่นๆ ในแคนาดาที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 505 ล้านปีก่อนจากช่วง กลางยุคแคมเบรียน ตัวอย่างฟอกซิลทั้งสามล้วนแล้วแต่ไม่มี เทนทาเคิล แต่มีซี่หวีราว 24 ถึง 80 ซี่ ซึ่งมากกว่า 8 สายพันธุ์ทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโครงสร้างเหมือนอวัยวะภายใน ต่างจากโครงสร้างที่พบในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน ฟอสซิลสายพันธุ์หนึ่งที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อปี 1996 มีปากขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขอบพับที่อาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักฐานจากประเทศจีนใน 1 ปีต่อมาชี้ว่าทีโนฟอราชนิดดังกล่าวพบได้ทั่วไปในยุคแคมเบรียน แต่อาจมีลักษณะต่างจากสายพันธุ์ปัจจุบันอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากหวีของซากฟอสซิลชิ้นหนึ่งที่ติดอยู่บนส่วนครับที่ยื่นออกมา เป็นต้น อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็น วุ้นหวี
ยุค 505 ล้านปีก่อนเรียกว่ายุคอะไร
{ "text": [ "กลางยุคแคมเบรียน" ], "answer_start": [ 489 ] }
57268da7f1498d1400e8e39f
เนื่องจากมี ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น ซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก และฟอสซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอราก็พบได้แค่ในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรักษาเนื้อเยื่อที่นิ่มโดยเฉพาะ นับจนถึงกลางทศวรรษ 1990 เราพบตัวอย่างที่พอให้วิเคราะห์ได้เพียง 2 ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์สูงสุดจากต้นยุคดีโวเนียน (เอมเซียน) ต่อมาจึงได้ค้นพบ 3 สายพันธุ์สันนิษฐานเพิ่มเติมในพื้นที่เบอร์เจสส์ เชล และแนวหินอื่นๆ ในแคนาดาที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 505 ล้านปีก่อนจากช่วง กลางยุคแคมเบรียน ตัวอย่างฟอกซิลทั้งสามล้วนแล้วแต่ไม่มี เทนทาเคิล แต่มีซี่หวีราว 24 ถึง 80 ซี่ ซึ่งมากกว่า 8 สายพันธุ์ทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโครงสร้างเหมือนอวัยวะภายใน ต่างจากโครงสร้างที่พบในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน ฟอสซิลสายพันธุ์หนึ่งที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อปี 1996 มีปากขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขอบพับที่อาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักฐานจากประเทศจีนใน 1 ปีต่อมาชี้ว่าทีโนฟอราชนิดดังกล่าวพบได้ทั่วไปในยุคแคมเบรียน แต่อาจมีลักษณะต่างจากสายพันธุ์ปัจจุบันอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากหวีของซากฟอสซิลชิ้นหนึ่งที่ติดอยู่บนส่วนครับที่ยื่นออกมา เป็นต้น อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็น วุ้นหวี
สายพันธุ์ที่พบในเบอร์เจสส์ เชลมีทั้งหมดกี่สายพันธุ์
{ "text": [ "3" ], "answer_start": [ 358 ] }
57268da7f1498d1400e8e3a0
เนื่องจากมี ลำตัวนิ่ม คล้ายวุ้น ซากฟอสซิลทีโนฟอราจึงพบได้ยากมาก และฟอสซิลที่เชื่อว่าเป็นของทีโนฟอราก็พบได้แค่ในตะกอนทับถมแบบลาเกอร์ชเต็ทเทอซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรักษาเนื้อเยื่อที่นิ่มโดยเฉพาะ นับจนถึงกลางทศวรรษ 1990 เราพบตัวอย่างที่พอให้วิเคราะห์ได้เพียง 2 ตัวอย่าง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์สูงสุดจากต้นยุคดีโวเนียน (เอมเซียน) ต่อมาจึงได้ค้นพบ 3 สายพันธุ์สันนิษฐานเพิ่มเติมในพื้นที่เบอร์เจสส์ เชล และแนวหินอื่นๆ ในแคนาดาที่มีอายุใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 505 ล้านปีก่อนจากช่วง กลางยุคแคมเบรียน ตัวอย่างฟอกซิลทั้งสามล้วนแล้วแต่ไม่มี เทนทาเคิล แต่มีซี่หวีราว 24 ถึง 80 ซี่ ซึ่งมากกว่า 8 สายพันธุ์ทั่วไปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีโครงสร้างเหมือนอวัยวะภายใน ต่างจากโครงสร้างที่พบในทีโนฟอรายุคปัจจุบัน ฟอสซิลสายพันธุ์หนึ่งที่มีการรายงานครั้งแรกเมื่อปี 1996 มีปากขนาดใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขอบพับที่อาจเป็นกล้ามเนื้อ หลักฐานจากประเทศจีนใน 1 ปีต่อมาชี้ว่าทีโนฟอราชนิดดังกล่าวพบได้ทั่วไปในยุคแคมเบรียน แต่อาจมีลักษณะต่างจากสายพันธุ์ปัจจุบันอย่างมาก ดังที่เห็นได้จากหวีของซากฟอสซิลชิ้นหนึ่งที่ติดอยู่บนส่วนครับที่ยื่นออกมา เป็นต้น อีโอเอนโดรเมดาจากยุคอีดีแอคารันอาจสันนิษฐานได้ว่าเป็น วุ้นหวี
ซากฟอสซิลที่พบในเบอร์เจสส์ เชลไม่มีสิ่งใด
{ "text": [ "เทนทาเคิล" ], "answer_start": [ 544 ] }
57269016708984140094ca41
ความสัมพันธ์ระหว่างทีโนฟอรากับเมทาซัวมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสัตว์ยุคต้นและต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ประเด็นนี้ได้รับความสนใจและเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายปี มีผู้อ้างว่าทีโนฟอราอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับ ไบลาทีเรีย อยู่ในตระกูลเดียวกับไนดาเรีย พลาโคซัว และไบลาทีเรีย และอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์ชนิดไฟลัมทั้งหมด มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาการมีและการไม่มีขององค์ประกอบในกลุ่มยีนและ การถ่ายทอดสัญญาณ (เช่น โฮมีโอบอกซ์ หน่วยรับที่นิวเคลียส การถ่ายทอดสัญญาณ Wnt และประตูโซเดียม) ที่แสดงหลักฐานสอดคล้องกับข้อสันนิษฐาน 2 ข้อหลังที่ว่าทีโนฟอราอยู่ในตระกูลเดียวกับไนดาเรีย พลาโคซัว และไบลาทีเรีย และอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์ชนิดไฟลัมทั้งหมด งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งเปรียบเทียบลำดับจีโนมของทีโนฟอรากับจีโนมของสัตว์ชนิดอื่นก็สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าทีโนฟอราอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับสัตว์อื่นๆ ทั้งหมด ข้อสันนิษฐานนี้ชี้ว่าเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อประเภทต่างๆ อาจสูญหายไปในตระกูลสัตว์ที่สำคัญ (เช่น พอริเฟอรา) หรืออาจมีการวิวัฒนาการฉีกออกมาจากตระกูลทีโนฟอรา แต่นักวิจัยคนอื่นๆ โต้ว่าการสันนิษฐานว่าทีโนฟอราอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์อื่นทั้งหมดเป็นความผิดปกติทางสถิติที่เกิดจากจีโนมของทีโนฟอรามีอัตราการวิวัฒนาการสูง และชี้ว่า ฟอริเฟอรา (ฟองน้ำ) ต่างหากที่เป็นสัตว์ชนิดแรกในตระกูลไฟลัมที่วิวัฒนาการแยกออกมา นอกจากนี้ ทีโนฟอราและฟองน้ำยังเป็นสัตว์ตระกูลไฟลัมชนิดเดียวที่เรารู้ว่าไม่มียีน Hox ที่แท้จริง
งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้เชื่อว่าทีโนฟอราอยู่ในตระกูลเดียวกับอะไร
{ "text": [ "ไบลาทีเรีย" ], "answer_start": [ 224 ] }
57269016708984140094ca42
ความสัมพันธ์ระหว่างทีโนฟอรากับเมทาซัวมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของสัตว์ยุคต้นและต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ประเด็นนี้ได้รับความสนใจและเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายปี มีผู้อ้างว่าทีโนฟอราอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับ ไบลาทีเรีย อยู่ในตระกูลเดียวกับไนดาเรีย พลาโคซัว และไบลาทีเรีย และอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์ชนิดไฟลัมทั้งหมด มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาการมีและการไม่มีขององค์ประกอบในกลุ่มยีนและ การถ่ายทอดสัญญาณ (เช่น โฮมีโอบอกซ์ หน่วยรับที่นิวเคลียส การถ่ายทอดสัญญาณ Wnt และประตูโซเดียม) ที่แสดงหลักฐานสอดคล้องกับข้อสันนิษฐาน 2 ข้อหลังที่ว่าทีโนฟอราอยู่ในตระกูลเดียวกับไนดาเรีย พลาโคซัว และไบลาทีเรีย และอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์ชนิดไฟลัมทั้งหมด งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งเปรียบเทียบลำดับจีโนมของทีโนฟอรากับจีโนมของสัตว์ชนิดอื่นก็สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าทีโนฟอราอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับสัตว์อื่นๆ ทั้งหมด ข้อสันนิษฐานนี้ชี้ว่าเซลล์ประสาทและกล้ามเนื้อประเภทต่างๆ อาจสูญหายไปในตระกูลสัตว์ที่สำคัญ (เช่น พอริเฟอรา) หรืออาจมีการวิวัฒนาการฉีกออกมาจากตระกูลทีโนฟอรา แต่นักวิจัยคนอื่นๆ โต้ว่าการสันนิษฐานว่าทีโนฟอราอยู่ในตระกูลเดียวกับสัตว์อื่นทั้งหมดเป็นความผิดปกติทางสถิติที่เกิดจากจีโนมของทีโนฟอรามีอัตราการวิวัฒนาการสูง และชี้ว่า ฟอริเฟอรา (ฟองน้ำ) ต่างหากที่เป็นสัตว์ชนิดแรกในตระกูลไฟลัมที่วิวัฒนาการแยกออกมา นอกจากนี้ ทีโนฟอราและฟองน้ำยังเป็นสัตว์ตระกูลไฟลัมชนิดเดียวที่เรารู้ว่าไม่มียีน Hox ที่แท้จริง
นักวิจัยส่วนหนึ่งเชื่อว่าสัตว์ชนิดใดคือสัตว์ชนิดแรกในตระกูลไฟลัมที่วิวัฒนาการแยกออกมา
{ "text": [ "ฟอริเฟอรา" ], "answer_start": [ 1138 ] }
5725edfe38643c19005ace9f
"ฝั่งตะวันตก" ของเฟรสโนหรือที่เรามักเรียกว่า "เฟรสโนฝั่งตะวันตก” เป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของถนนฟรีเวย์ 99 (ซึ่งแยกย่านนี้ออกจากย่านดาวน์ทาวน์ของเฟรสโน) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41 และทางใต้ของถนนนีลเส็น (หรือถนนฟรีเวย์ 180 ที่เพิ่งสร้าง) ทอดยาวไปจนถึงสุดเขตเมืองทางฝั่งตะวันตกและตอนใต้ ย่านนี้มักได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางชุมชน แอฟริกัน-อเมริกัน แห่งเฟรสโน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีชาวเม็กซิกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นชาว ม้งหรือลาว)
ฝั่งตะวันตกของเฟรสโนมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าอะไร
{ "text": [ "เฟรสโนฝั่งตะวันตก" ], "answer_start": [ 46 ] }
5725edfe38643c19005acea0
"ฝั่งตะวันตก" ของเฟรสโนหรือที่เรามักเรียกว่า "เฟรสโนฝั่งตะวันตก” เป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของถนนฟรีเวย์ 99 (ซึ่งแยกย่านนี้ออกจากย่านดาวน์ทาวน์ของเฟรสโน) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41 และทางใต้ของถนนนีลเส็น (หรือถนนฟรีเวย์ 180 ที่เพิ่งสร้าง) ทอดยาวไปจนถึงสุดเขตเมืองทางฝั่งตะวันตกและตอนใต้ ย่านนี้มักได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางชุมชน แอฟริกัน-อเมริกัน แห่งเฟรสโน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีชาวเม็กซิกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นชาว ม้งหรือลาว)
ย่านเฟรสโนฝั่งตะวันตกตั้งอยู่ทางทิศใดของถนนฟรีเวย์ 99
{ "text": [ "ทิศตะวันตกเฉียงใต้" ], "answer_start": [ 117 ] }
5725edfe38643c19005acea1
"ฝั่งตะวันตก" ของเฟรสโนหรือที่เรามักเรียกว่า "เฟรสโนฝั่งตะวันตก” เป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของถนนฟรีเวย์ 99 (ซึ่งแยกย่านนี้ออกจากย่านดาวน์ทาวน์ของเฟรสโน) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41 และทางใต้ของถนนนีลเส็น (หรือถนนฟรีเวย์ 180 ที่เพิ่งสร้าง) ทอดยาวไปจนถึงสุดเขตเมืองทางฝั่งตะวันตกและตอนใต้ ย่านนี้มักได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางชุมชน แอฟริกัน-อเมริกัน แห่งเฟรสโน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีชาวเม็กซิกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นชาว ม้งหรือลาว)
ฝั่งตะวันตกของเฟรสโนเป็นศูนย์กลางชุมชนของคนชนชาติใด
{ "text": [ "แอฟริกัน-อเมริกัน" ], "answer_start": [ 391 ] }
5725edfe38643c19005acea2
"ฝั่งตะวันตก" ของเฟรสโนหรือที่เรามักเรียกว่า "เฟรสโนฝั่งตะวันตก” เป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของถนนฟรีเวย์ 99 (ซึ่งแยกย่านนี้ออกจากย่านดาวน์ทาวน์ของเฟรสโน) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41 และทางใต้ของถนนนีลเส็น (หรือถนนฟรีเวย์ 180 ที่เพิ่งสร้าง) ทอดยาวไปจนถึงสุดเขตเมืองทางฝั่งตะวันตกและตอนใต้ ย่านนี้มักได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางชุมชน แอฟริกัน-อเมริกัน แห่งเฟรสโน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีชาวเม็กซิกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นชาว ม้งหรือลาว)
ชาวเอเชีย-อเมริกัน 2 กลุ่มหลักที่อาศัยอยู่ในย่านเฟรสโนฝั่งตะวันตกคือคนเชื้อชาติใด
{ "text": [ "ม้งหรือลาว" ], "answer_start": [ 529 ] }
5725edfe38643c19005acea3
"ฝั่งตะวันตก" ของเฟรสโนหรือที่เรามักเรียกว่า "เฟรสโนฝั่งตะวันตก” เป็นหนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของถนนฟรีเวย์ 99 (ซึ่งแยกย่านนี้ออกจากย่านดาวน์ทาวน์ของเฟรสโน) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41 และทางใต้ของถนนนีลเส็น (หรือถนนฟรีเวย์ 180 ที่เพิ่งสร้าง) ทอดยาวไปจนถึงสุดเขตเมืองทางฝั่งตะวันตกและตอนใต้ ย่านนี้มักได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางชุมชน แอฟริกัน-อเมริกัน แห่งเฟรสโน มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีชาวเม็กซิกัน-อเมริกันและเอเชีย-อเมริกันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนใหญ่เป็นชาว ม้งหรือลาว)
ย่านใดตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนฟรีเวย์ 41
{ "text": [ "ฝั่งตะวันตก" ], "answer_start": [ 1 ] }
5725f00938643c19005aced7
ย่านนี้ประกอบไปด้วยถนนเคียนีย์ ซึ่งตั้งชื่อตาม เอ็ม ธีโอ เคียนีย์ นักลงทุนและมหาเศรษฐีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ทอดยาวตั้งแต่ถนนเฟรสโนทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเฟรสโน ประมาณ 20 ไมล์ (32 กม.) จากฝั่งตะวันตกของเมืองเคอร์มาน รัฐแคลิฟอร์เนีย เส้นทางส่วนใหญ่ของถนนเคียนีย์เป็นถนนแถบชนบทขนาดเล็กแบบ 2 เลน โดยมี ต้นปาล์มสูงใหญ่ ขนาบข้าง เส้นทางประมาณครึ่งไมล์ของถนนเคียนีย์ระหว่าง ถนนเฟรสโนและถนนธอร์เน เคยเป็นย่านโปรดปรานของครอบครัวชนชั้นสูงชาวแอฟริกัน-อเมริกันในเฟรสโน อีกส่วนหนึ่งของถนนที่เรียกว่า บรูคฮาเวน บริเวณตะเข็บทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเจนเซ่นและฝั่งตะวันตกของเอล์ม ตั้งชื่อตามสภาเทศบาลเมืองเฟรสโนด้วยหวังที่จะฟื้นฟูภาพลักษณ์ของย่าน แขวงย่อยที่แยกออกมา เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่หลายปีในนาม “ด็อกก์ พาวด์” ตามชื่อแก๊งในท้องถิ่น และยังขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมรุนแรงจำนวนมากในช่วงปลายปี 2008
ถนนเคียนีย์ตั้งชื่อตามใคร
{ "text": [ "เอ็ม ธีโอ เคียนีย์" ], "answer_start": [ 47 ] }
5725f00938643c19005aced8
ย่านนี้ประกอบไปด้วยถนนเคียนีย์ ซึ่งตั้งชื่อตาม เอ็ม ธีโอ เคียนีย์ นักลงทุนและมหาเศรษฐีในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ทอดยาวตั้งแต่ถนนเฟรสโนทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเฟรสโน ประมาณ 20 ไมล์ (32 กม.) จากฝั่งตะวันตกของเมืองเคอร์มาน รัฐแคลิฟอร์เนีย เส้นทางส่วนใหญ่ของถนนเคียนีย์เป็นถนนแถบชนบทขนาดเล็กแบบ 2 เลน โดยมี ต้นปาล์มสูงใหญ่ ขนาบข้าง เส้นทางประมาณครึ่งไมล์ของถนนเคียนีย์ระหว่าง ถนนเฟรสโนและถนนธอร์เน เคยเป็นย่านโปรดปรานของครอบครัวชนชั้นสูงชาวแอฟริกัน-อเมริกันในเฟรสโน อีกส่วนหนึ่งของถนนที่เรียกว่า บรูคฮาเวน บริเวณตะเข็บทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกของเจนเซ่นและฝั่งตะวันตกของเอล์ม ตั้งชื่อตามสภาเทศบาลเมืองเฟรสโนด้วยหวังที่จะฟื้นฟูภาพลักษณ์ของย่าน แขวงย่อยที่แยกออกมา เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่หลายปีในนาม “ด็อกก์ พาวด์” ตามชื่อแก๊งในท้องถิ่น และยังขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมรุนแรงจำนวนมากในช่วงปลายปี 2008
ถนนเคียนีย์มีต้นไม้ชนิดใดเรียงรายขนาบข้าง
{ "text": [ "ต้นปาล์มสูงใหญ่" ], "answer_start": [ 303 ] }