text
stringlengths
11
12.4k
meta
dict
พ่อเฒ่ากับลูกเขยกินข้าวนํากัน วันหนึ่งพ่อตากับลูกเขยอยู่บ้านกันสองคน ก็เลยกินข้าวด้วยกัน กับข้าวที่มีก็เป็นแกงปลาช่อน กับปิ้งกบ กินไปๆพ่อตาก็หากินแต่อันดีๆหมดก่อนลูกเลย ลูกเขยเห็นก็เลยพูดขึ้นว่า “ใครมันกินหัวปลาช่อนหมด” พ่อตาก็เฉยๆไม่พูดก็กินต่อไป พอลูกเขยเห็นพ่อตาหยิบกินขากบก็พูดขึ้นอีกว่า “ใครมันกินต้นขากบหมดอีกละ” ครั้งพ่อตาก็อดไม่ได้ เลยพูดขึ้นว่า “โอ้ยยย อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย นั่งอยู่นี่ก็มีเราสองคนเท่านั้นแหละ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวปาจิตนางอรพิม ท้าวปาจิตก็ออกเดินหาหญิงหม้ายผู้นั้น จนไปพบนางบัว ชาวบ้านสัมฤทธิ์ยังมีครรภ์อยู่มีลักษณะตามที่โหรได้ทายไว้ จึงอาสาฝากตัวเป็นคนใช้ ครั้นนางบัวคลอดบุตรเป็นหญิงมีลักษณะดี ให้ชื่อว่านางอรพิม ก็ช่วยนางบัวเลี้ยงดูจนเป็นสาว รูปโฉมงดงามมาก ท้าวปาจิตลากลับบ้านเมืองเพื่อจัดขันหมากมาสู่ขอตามประเพณี พอขันหมากมาถึงบ้านนางอรพิม ก็ทราบว่าท้าวพรหมทัตมาลักตัวนางอรพิมไปเสียแล้ว ก็เสียพระทัยเลยโยนขันหมากทิ้งน้ําเสียหมด ลําน้ํานั้นต่อมาคือ ลําปลายมาศท้าวปาจิตได้แฝงกายเข้าไปในปราสาทท้าวพรหมทัตและได้ทําอุบายท้าวพรหมทัตเสีย พานางอรพิมหลบหนีออกมาได้ ระหว่างทางท้าวปาจิตได้ถูกนายพรานสังหารตาย นางอรพิมจึงสังหารพรานเสีย และชุบชีวิตท้าวปาจิต ด้วยยาวิเศษจากเทวดา และเดินทางกันต่อไปถึงแม่น้ําแห่งหนึ่งอาศัยเณรส่งข้ามฟากให้ เณรลวงท้าวปาจิตให้ขึ้นฝั่งก่อนแล้วพานางอรพิมหนีไป นางอรพิมลวงให้เณรขึ้นต้นมะเดื่อแล้วเอาหนามมากันสะไว้ใต้ต้น และพายเรือมาหาท้าวปาจิตก็ไม่พบนางจึงปลอมเป็นชาย และได้รักษาธิดาเจ้าเมืองจําปานครให้ฟื้น เจ้าเมืองจึงยกเมืองและธิดาให้ แต่นางปฏิเสธและได้บวชเป็นสังฆราชของเมืองนั้น นางได้สร้างศาลาและมีรูปวาดเรื่องราวของนางกับท้าวปาจิตไว้ และสั่งว่าถ้าผู้ใดดูภาพเหล่านี้แล้วร้องไห้ให้แจ้งให้นางทราบ ในที่สุดท้าวปาจิตและนางก็ได้พบกันพากันกลับบ้านเมืองและอยู่ครองคู่กันอย่างมีความสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กําพร้าผีน้อย ขณะที่รอการเก็บเกี่ยวข้าว ท้าวกําพร้าได้ออกขอทานตามปกติ ตากวานบ้านประหลาดใจที่ท้าวกําพร้าไม่ตาย จึงคิดกลั่นแกล้งอีก โดยนําข้าวบ้วนปากมาบริจาคทานเป็นจํานวนมาก ท้าวกําพร้าจึงนําไปนึ่ง แต่ปรากฏว่าข้าวบ้วนปากของตากวานบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวล ทําให้ผีทั้งหลายได้กลิ่นพากันมาขอแบ่งกิน ผลการกินข้าวบ้วนปาก ทําให้ท้าวกําพร้ามองเห็นภูตผีทั้งหลายได้วันหนึ่งท้าวกําพร้านําไซไปดักปลา แต่ไม่มีปลาติดเพราะผีน้อยขโมยกินหมด ท้าวกําพร้าจึงนําเรื่องนี้ไปปรึกษาผีย่าง่าม ผีย่าง่ามจึงเอาไหมของตน (ขนเพชร) ให้ท้าวกําพร้านําไปทําบ่วงดักไว้ ในที่สุดผีน้อยก็ติดบ่วง ได้ร้องขอชีวิตต่อท้าวกําพร้า ท้าวกําพร้าจึงได้ปล่อยไป ต่อมาก็มีสัตว์อื่นๆ มาติดบ่วงสายไหมที่ท้าวกําพร้าดักไว้อีกเช่น เสือ อีเห็น ช้างน้ํา และนาค ซึ่งสัตว์ทุกชนิดร้องขอชีวิตและยอมเป็นทาสรับใช้ท้าวกําพร้า ส่วนพญาช้างน้ําได้มอบงาทั้งสองข้างและแก้วมณีให้แก่ท้าวกําพร้า ซึ่งในงาช้างนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อนางสีดาอาศัยอยู่ นางได้ออกมาทําอาหารไว้ให้ทุกครั้งที่ท้าวกําพร้าไม่อยู่บ้าน จนท้าวกําพร้าเกิดความสงสัยจึงแอบดูและรู้ความจริง ท้าวกําพร้าได้ทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อไม่ให้นางเข้าไปอยู่ในงาช้างนั้นอีก และทั้งสองได้แต่งงานกัน ท้าวกําพร้าไม่ได้ไปขอทานในหมู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน ชาวบ้านจึงเกิดความสงสัย พากันไปแอบดูที่กระท่อม เมื่อได้เห็นนางสีดาซึ่งมีรูปโฉมงดงาม ต่างพากันตกตะลึงและโจษขานกันไป จนทราบไปถึงพระยาพิมพ์ทองเจ้าเมืองอินทปัตถ์ ผู้มีใจพาล จึงคิดอยากได้นางสีดาเป็นมเหสี ได้ท้าพนันท้าวกําพร้าแข่งขันหลายอย่าง โดยมีเดิมพันว่าถ้าท้าวกําพร้าแพ้จะยึดนางสีดา แต่ถ้าท้าวอินทปัตถ์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง เมื่อแข่งขันชนไก่ ชนควาย และชนช้าง ท้าวกําพร้าเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนางสีดาภรรยาของท้าวกําพร้าที่ใช้แก้วมณีเรียกสัตว์ต่างๆ ซึ่งยอมเป็นทาสท้าวกําพร้ามาให้ความช่วยเหลือ เมื่อชนไก่ ควาย และช้างของเจ้าเมืองตาย พระองค์ได้บังคับให้ท้าวกําพร้ากินสัตว์เหล่านั้นเสียให้หมด พญาฮุ่ง(รุ้ง) หรือนาค แปลงตัวเป็นท้าวกําพร้ามากินสัตว์ทั้งสามที่ตายไปให้หมด ทําให้เจ้าเมืองโกรธแค้นท้าวกําพร้ายิ่งขึ้น จึงได้ท้าแข่งเรือกับท้าวกําพร้า พญานาคได้แปลงกายมาเป็นเรือ ช่วยเหลือท้าวกําพร้าอีก แล้วฟาดน้ําถูกเรือของเจ้าเมืองล่ม ในที่สุดเจ้าเมืองผู้ไร้สัจจะก็จมน้ําตาย เจ้าเมืองได้ไปเกิดเป็นผีแถน แต่มีใจเสน่หานางสีดา และเจ็บแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะท้าวกําพร้าได้ จึงวางแผนร่วมกับบ่างลั่วตัวหนึ่งให้ไปร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดา เมื่อขวัญออกจากร่างนางสีดาก็สิ้นชีวิต ผีน้อยแนะนําไม่ให้เผาร่างของนางและอาสาจะพาวิญญาณของนางสีดาคืนมาให้ได้ จึงไปพบพญาแถนแล้วซ่อนข้องไปด้วย ต่อมาวิญญาณของนางสีดาได้ไปอยู่กับพญาแถน ทําให้พญาแถนดีใจมากให้รางวัลแก่บ่างลั่ว และได้เลี้ยงสุราจนบ่างลั่วเมาไม่ได้สติ ผีน้อยจึงอาสาพาบ่างลั่วไปส่งถึงบ้าน ระหว่างทางผีน้อยได้หลอกให้บ่างลั่วเข้าไปนอนในข้อง บ่างลั่วรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทําตามผีน้อยรีบปิดผาข้องแล้วนํามาให้ท้าวกําพร้า ผีน้อยได้บังคับให้บ่างลั่วเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา เมื่อนางสีดาได้ฟื้นคืนดังเดิมแล้ว ผีน้อยจึงหลอกให้บ่างลั่วแลบลิ้นที่เคยใช้เอาวิญญาณคนมาเป็นจํานวนมาก แล้วตัดลิ้นบ่างลั่วเสีย เพราะเกรงว่ามันจะร้องเรียกเอาวิญญาณคนไปอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบ่างลั่วจึงร้องได้ไม่ชัดเจนเมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว ชาวเมืองจึงเชิญท้าวกําพร้าและนางสีดาผู้เป็นภรรยาปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกําพร้าและนางสีดาจึงปกครองบ้านเมือง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นางหมาขาว มีสองผัวเมียอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจันทคาม ซึ่งฝ่ายเป็นเมียนั้นได้ท้องแก่จวนคลอดแล้ว แต่ในตอนนั้นเกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก สองผัวเมียจึงชวนกันอพยพหนีจากหมู่บ้านมาอยู่กลางป่า แล้วต่อมาเมียก็คลอดลูกออกมาเป็นลูกแฝดเป็นผู้หญิงสองคน แล้วนางก็สิ้นใจตายไป ส่วนสามีอยู่มาไม่นานก็ตรอมใจตายตามไป ปล่อยให้เด็กทารกเกิดใหม่ทั้งสองร้องไห้อยู่ในป่าเช่นนั้นต่อมามีหมาขาวตัวหนึ่งเป็นตัวเมียออกมาหากิน มาเห็นเด็กทั้งสองก็เกิดสงสารจึงเอาไปเลี้ยงเป็นลูกกลายเป็น “แม่หมาขาว” ให้กินนมของตัวเองและหาอาหารให้กินเลี้ยงจนเติบโตมาเป็นสาว ทุกวันนางหมาขาวตัวนี้จะพาลูกสาวทั้งสองออกไปหากินในป่าด้วยในวันหนึ่งเกิดพายุพัดให้นางหมาขาวต้องพลัดพรากจากลูกไป ลูกสาวทั้งสองก็โดนลมพัดไปถึงเขตบ้านนายพราน เมื่อนายพรานเห็นหญิงสาวทั้งสองงดงามมาก อยากได้รางวัลจึงนําหญิงสาวทั้งสองขึ้นถวายแก่พระราชาซึ่งยังโสดอยู่ พระราชามีพระอนุชาซึ่งยังโสดเหมือนกัน ฝ่ายพระราชาก็ได้ผู้พี่เป็นมเหสี ฝ่ายอนุชาก็รับผู้น้องเป็นชายาขณะนั้นแม่นางหมาขาวซึ่งพลัดพรากจากลูกมาเป็นเวลานาน ก็ได้แต่ร่ําไห้คิดถึงลูกและออกติดตามหาลูก จนได้ยินข่าวว่านายพรานเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูลูกสาวต่อจากตน จึงมาหานายพรานเพื่อถามหาลูกสาวและได้เล่าว่าเหตุการณ์เป็นมาอย่างไร เมื่อนายพรานทราบก็เกิดความสงสาร บอกบอกความจริงและพานางหมาขาวไปหาลูกสาวที่ในวังเมื่อพามาถึงพระราชวังนายพรานก็ทูลพระราชาตามความจริง แต่พระมเหสีนั้นอับอายขายหน้า เกรงว่าคนจะรู้ว่าตนเป็นลูกของหมาขาว จึงทูลเท็จต่อพระสวามีไปว่า”ไม่เป็นความจริง” พร้อมทั้งขับไล่นายพรานและหมาขาวออกไป แต่นางหมาขาวไม่ยอมไปพร้อมทั้งอธิบายว่าตนคือแม่ของมเหสี ส่วนมเหสีหรือลูกสาวคนโตของนางหมาขาว นางก็ปฎิเสธไม่ยอมรับพร้อมทั้งด่า เตะถีบ ใช้ไม้ทุบตีแม่นางหมาขาวจนนางหมาขาวนอนล้มลง แล้วก็เอาน้ําร้อนๆ ที่ต้มเดือดสาดใส่แม่นางหมาขาวที่นอนเจ็บอยู่ นางหมาขาวได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส นายพรานเห็นท่าไม่ดีจึงรีบนําหมาขาวไปที่วังของลูกสาวคนเล็ก เมื่อลูกสาวคนเล็กเห็นหมาขาวก็จําได้ทันทีว่าเป็นแม่หมาขาวของตน จึงรีบมากอดและอุ้มแม่หมาขาวทันทีและรีบพาไปรักษา แต่นางทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงสิ้นใจตาย ก่อนตายนางบอกว่าห้ามเผาหรือฝัง ให้เก็บกระดูกแม่ไว้บูชาในวัง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พ่อใหญ่หัวล้าน นานมาแล้ว มีคุณตาคนหนึ่งเป็นคนหัวล้าน เขามีลูกสาวคนหนึ่งสวยมาก แล้วก็มีวัวอยู่ 2 ตัว เขารักวัวสองตัวนี้มาก ไถนาก็เก่ง ใครๆ อยากได้วัวเขา ใครมาเขาซื้อเขาก็ไม่ขายเพราะเขาไม่ชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่า คุณตาหัวล้าน เวลามีคนมาหาซื้อวัวก็มีแต่คนถามเขาว่า พ่อใหญ่หัวล้าน จะขายวัวไหม ขอซื้อวัวหน่อย เขาก็ไม่พอใจอย่างมาก จนผมข้างหน้าสั้นแล้วก็ด่าเขาไปว่า “มึงจะหนีไปไหนก็ไปเดี๋ยวนี้ ก่อนกูจะเอาขวานตอกหน้ามึง ไป ไปให้ไกลหูไกลตากู” พอมาวันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่ง เขาชื่อว่า พี่คําหล่า เขารู้จักนิสัยคุณตาคนนี้ดี เขาก็ตั้งใจว่าจะมาขอซื้อวัว พอมาถึง เขาก็บอกว่า “พ่อผมดกปกไหล่ หน้าไล้เฉลิมทอง วัวของพ่อทั้งสองจะขายเท่าไหร่ครับ” คุณตาหัวล้านได้ยินก็ดีใจมากเพราะไม่มีใครเรียนเขาว่าอย่างนี้สักที เขาก็เลยบอก “ลูกเอ๊ยลูกแก้ว พูดถูกใจพ่อแล้วพ่อก็จะยกวัวให้” พอคําหล่าได้วัว เขาก็จูงกลับบ้านพร้อมกับบ่นไปตามทางว่า “คนอะไรทําไมโง่ขนาดนี้ แค่ยอเฉยๆ ก็ยกวัวให้ฟรีๆ” พอพูดอย่างนั้น ลูกสาวของคุณตาหัวล้านก็ผ่านมาได้ยินพอดี เลยมาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อคุณตาหัวล้านได้ยินก็โกรธมาก “โอ้โห ทําไมมันมาว่ากูขนาดนี้ กูจะเอาวัวคืนเดี๋ยวนี้” เขาพูดแล้วก็เลยพาลูกสาวไป พอไปถึง คําหล่าก็เลยพูดว่า “พ่อผมดกปรกเกล้า พ่อจะจูงลูกสาวไปไหนครับ” คุณตาหัวล้านได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มแล้วก็พูดว่า “พอแก่แล้วลูกเอ๊ย จะเอาลูกสาวมาให้” คําหล่าก็เลยได้ทั้งวัวทั้งลูกสาวเพราะคําพูดของเขาแท้ๆ นี่แหละที่เขาบอกว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หลวงพ่อกะทอเกลือ นานมาแล้วมีหลวงพ่อองค์หนึ่งได้รับนิมนต์ไปเทศน์ที่บ้านหนองอีหมัน หลวงพ่อเทศน์ได้ถูกใจชาวบ้านจึงได้สิ่งของที่ชาวบ้านถวายมามากมายเก็บใส่หลังมาจนเต็ม จนล้น หลวงพ่อเดินทางกลับมาวัด ระหว่างทางม้าที่แบกของที่ชาวบ้ายถวาย เริ่มแบกไม่ไหวเดินช้าลง ช้าลง หลวงพ่อก็เลยคิดจะแบ่งของบนม้าเก็บซ่อนไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาเอาทีหลัง ดูแล้วของที่หนักกว่าเพื่อนก็คือกะทอเกลือ หลวงพ่อเลยเอาลงจากหลังม้า หาที่ซ่อน ตรงไหน ตรงไหนก็ไม่ถูกใจหลวงพ่อเพราะว่ากลัวคนเห็น แล้วจะขโมยไป หลวงพ่อก็เลยเอาไปซ่อนไว้ในหนองน้ําแล้วก็เดินทางกลับวัด ผ่านไป 2-3 วัน หลวงพ่อก็เลยพาเณรน้อยกลับมาเอากะทอเกลือ ลงไปในหนองน้ําก็เห็นแต่กะทอเปล่า หลวงพ่อก็เริ่มโกรธ “ใครบังอาจมาขโมยของกู ถ้าหาตัวเจอกูจะตบกลางหูมัน” ว่าแล้วหลวงพ่อก็เลยให้เณรน้อยไปหาอะไรมาวิดน้ําออกจากหนองจนหมด เห็นปลาดุกมากมาย เณรน้อยเลยบอกหลวงพ่อว่า “ปลาพวกนี่แหละมันกินเกลือของหลวงพ่อ ตบรูหูมันเลย ถ้าเป็นปลาช่อนให้ต้อนมาให้ผม ผมจะตบหูมันเอง ถ้าเป็นปลาดุกให้หลวงพ่อตบรูหูมันเองนะ” หลวงพ่อเห็นปลาช่อนก็ต้อนไปหาเณรน้อย พ่อหลวงพ่อมองไปเห็นปลาดุกหลวงพ่อก็ตบหูรูมันจนหมด แล้วหลวงพ่อก็ได้ร้องขึ้นสุดเสียง เพราะว่าเงี่ยงปลาดุกปักมือหลวงพ่อเลือดออกเต็มมือ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เด็กโง่ นานมาแล้วมีเด็กผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ไม่อยากเรียนหนังสือหนังหาเวลาไปโรงเรียนก็ไม่อยากเข้าเรียน ชอบหนีไปเล่นอยู่ในป่าหลังโรงเรียน วันหนึ่งเขาก็ไปเจออะไรเหลืองๆ อยู่ในป่า...ทุกคนรู้ไหมว่าคืออะไรลองทายดู...เขาเห็นเยอะมาก ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เหลืองเต็มไปหมดเลย เขาสงสัยว่าเป็นอะไร เลยเอากลับบ้านไปให้แม่ดูหนึ่งอัน แล้วถามแม่ว่า “แม่ๆ อันเหลืองๆ นี่มันคืออะไร” แม่เลยบอกว่า “เห็ดระโงกนะลูก ไปเอามาจากไหน” ลูกบอกว่า “เอามาจากป่าหลังโรงเรียน เยอะแยะแต่ว่าหนูแตะเล่นหมดแล้ว” แม่บอก “คราวหลังถ้าเจออันเหลืองๆอีกให้เอาเสียมไปขุดมา แม่จะแกงให้กินอร่อยๆ" วันหลังเขาก็ไปในป่าหลังโรงเรียนพร้อมถือเสียมไปด้วย ไปเจออะไรเหลืองๆ 2 อันอยู่ใต้พุ่มไม้ ทุกคนรู้ไหมคืออะไร...ลองทายดู...เขากําลังจะยื่นเสียมเข้าไปขุด พอได้ยินเสียงคําราม น่ากลัวมากเขาเลยทิ้งเสียมแล้ววิ่งจุกตูดจนไปถึงบ้านก็พูดให้แม่ตลอดเรื่อง แม่เลยบอกว่า “อันเหลืองๆ 2 อัน เขาเรียกว่าตาเสือนะลูก คราวหลังถ้าเจออีกให้เอาด้ามเสียมตีแรงๆให้มันตายเลย” วันต่อมาเขาก็เข้าไปในป่าหลังโรงเรียนถือเสียมไปด้วย คราวนี้เขาไปเจออันเหลืองๆอยู่บนปลายไม้ ทุกคนรู้ไหมว่าคืออะไร...ลองทายดู... เขาก็เลยปีนขึ้นต้นไม้จนถึงปลายไม้แล้วเอาเสียมฟาดอย่างแรง เหมือนที่แม่บอก ยังไม่ทันโดนไม่รู้แมงอะไรบินว่อนมาต่อยหู ต่อยตา ต่อยแขน เขาเลยรีบกระโดดลงจากต้นไม้...เสียงตกจากต้นไม้ดัง...ตุ๊บ...เกือบตาย เขาจะเกียกตะกายจนถึงบ้านแล้วเล่าให้แม่ฟัง แม่เลยบอกว่า “อันเหลืองๆนั้นนะ เขาเรียกรังผึ้ง คราวหลังจะเอามากินให้จุดไฟรมควันให้แม่มันตายซะก่อน ค่อยเอามากินได้” วันต่อมาเขาไปเจออะไรเหลืองๆ อันหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พระท่านกําลังนั่งกรรมฐานวิปัศนาอยู่ เขาหอบเศษขยะแห้งมากองไว้กองใหญ่ แล้วก็ลงมือจุดไฟรมควันทันที เขาเลยได้ยินเสียงคนไอค่อกแค่กๆอยู่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย ๆ ช่วยด้วย” แล้วก็กระโดดข้ามกองไฟวิ่งหนีเห็นแต่ผ้าเหลืองปลิวไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีกองกอย ท้าวขี้คร้านไม่ทําการทํางานได้แต่ขออาหารชาวบ้านกินประทังชีวิต ชาวบ้านจึงรวมตัวกันขับไล่เขาออกจากหมู่บ้านไปอยู่กับผีกองกอย พอไปอยู่กับผีกองกอยท้าวขี้คร้านก็ปลูกข้าวงอกงามออกดอกออกรวงเต็มทุ่ง ท้าวขี้คร้านอยู่กับผีกองกอยในถ้ําด้วยกันและนางผีกองกอยก็ปรนบัติดูแลท้าวขี้คร้านอย่างดี อยู่กันไปสักพักท้าวขี้คร้านคิดหาวิธีหนีจากนางผีกองกอย จึงเฝ้ารอเวลาที่ข้าวเริ่มสุกเหลืองเต็มต้นจึงหนีออกจากถ้ํานางผีกองกอย พอหนีมาถึงทุ่งนานางผีกองกอยก็ตามมาทันพอดี ท้าวขี้คร้านจึงแกล้งทําเป็นว่าตนเองตายแล้ว พอท้าวขี้คร้านล้มตัวลงนอนในทุ่งนาดอกข้าวก็หล่นมาใส่ตัวเขาจนเหลืองไปทั้งตัว เมื่อนางผีกองกอยเห็นดังนั้นจึงคิดว่าท้าวขี้คร้านคงตายไปแล้วจริงๆ จึงทําบุญมอบทองคําไปให้ท้าวขี้คร้าน ท้าวขี้คร้านเลยกลายเป็นคนมั่งมีเงินทองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเพื่อนขี้โลภของท้าวขี้คร้านทราบเรื่องความร่ํารวยของท้าวขี้คร้านก็อยากจะร่ํารวยบ้าง จึงสอบถามท้าวขี้คร้านถึงวิธีการที่ทําให้ตนร่ํารวย ท้าวขี้คร้านบอกเพื่อนขี้โลภทุกอย่างส่วนเพื่อนขี้โลภก็ทําตามที่ท้าวขี้คร้านบอกทุกอย่างแต่ตอนสุดท้ายตอนที่เพื่อนขี้โลภแกล้งตาย นางผีกองกอยก็นําทองมาทําบุญให้เหมือนเคย แต่เพื่อนขี้โลภลืมไปว่าตนต้องแกล้งตายให้ตลอด จึงถามนางผีกองกอยว่า มีทองอีกไหม? นางผีกองกอยรู้แล้วว่าตนโดนเพื่อนขี้โลภหลอกลวงนางจึงทําให้เพื่อนขี้โลภได้ตายสมใจจริงๆ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปลาหมอตายเพราะปาก กาลครั้งหนึ่ง มีลุงคนหนึ่ง ชื่อลุงแจ้ แกเก่งในเรื่องทํากะแช่ แต่กะแช่เป็นของผิดกฎหมาย ตํารวจพยายามจะจับแกหลายครั้งแล้วแต่ก็จับไม่ได้เพราะไม่มีของกลาง เวลามีงานบุญแกก็จะเอากะแช่ไปขายตลอด ครั้นพอถึงงานบวชลูกชายกํานัน แกก็ไป แต่ไม่ได้เอากะแช่ไปขาย เพราะกํานันไม่เล่นด้วย แกก็ไปเจอกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง พูดถูกคอถูกใจแกมาก และแกก็เมาด้วย แกเลยเผลอบอกความลับที่ซ่อนกะแช่ให้หนุ่มผู้นั้นฟัง พอรุ่งขึ้นตํารวจและกํานันก็ได้มาที่บ้านแก พอแกตื่นขึ้นมาเจอ ถึงกับสร่างเมา และพูดว่า “ตายแล้วกู ปลาหมอตายเพราะปากแท้ๆ” แล้วแกก็โดนจับไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หมากับแมว กาลครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อว่า นายบุญ อาศัยอยู่กับแม่เพียงลําพัง พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ พ่อสอนเขาว่า เวลาไปไหนมาไหน จะต้องเอาของติดไม้ติดมือกลับมาด้วย วันนั้นนายบุญได้ออกไปหาของในป่า แต่เขากลับไม่ได้อะไรติดมือกลับมาด้วยเลย พลันเหลือบไปเห็นซากงูตัวหนึ่งจึงเอาเชือกลากงูกลับมาบ้านด้วย แล้วแขวนไว้รั้วหน้าบ้าน แล้วมีอีแร้งตัวหนึ่งหิวโหยมากๆ เห็นซากกูตรงรั้ว ก็เลยโฉบเอาไปกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วก็นึกซาบซึ้งบุญคุณจึงได้คายแก้วสารพัดนึกให้กับนายบุญ นายบุญจึงมีฐานะร่ํารวย พอเศรษฐีรู้เข้าจึงวางแผนเพื่อที่จะแย่งแก้วสารพัดนึกมา และเขาก็ทําสําเร็จ ครั้นพอนายบุญรู้ว่าแก้วสารพัดนึกหายไปก็เสียใจ หมากับแมวที่เฝ้าบ้านนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไปบ้านของเศรษฐีผู้นั้น แล้ววางแผนเข้าแก้วสารพัดนึกคืนมาจนได้ ระหว่างทางกลับหมาเผลอทําแก้วสารพัดนึกตกลงไปในคลอง แมวจึงคิดวิธีที่จะเอาขึ้นมาให้ได้ และก็เอาขึ้นมาได้สําเร็จ พอกลับมาบ้านหมาก็มาถึงก่อนแล้วเอาแก้วสารพัดนึกนั้นไปให้นายบุญ เขาดีใจมาก แมวมาทีหลังจึงบอกกับนายบุญว่าหมาเกือบทําลูกแก้วหาย นายบุญโกรธมาก จึงให้หมานอนใต้ถุนบ้าน จากนั้นมา หมากับแมวก็เลยไม่ถูกกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พรหนึ่งข้อ นานมาแล้วมียาจกหนุ่มคนหนึ่ง อาศัยอยู่คนเดียวในหมู่บ้านชาวจีน เขามีอาชีพขอทาน ตอนเย็นเขาจะคอยไปเก็บเศษอาหารตามร้านค้ากิน เขาเป็นคนโลภมากและขี้เกียจ แต่มีวันหนึ่งเขาก็เก็บเศษอาหารกินอยู่ ในเศษอาหารนั้นมีตาปลาวิเศษ ตาปลานั้นมีสีฟ้าข้างในเป็นสีดํากลมเม็ดใหญ่ เขามองเห็นจึงเก็บมาเพื่อไปขายเพราะมองดูแปลกดีไม่เคยเห็นมาก่อน เขาคิดว่าถ้าขายคงได้เงินมาก แต่ก่อนที่เขาจะเอาไปขาย เขาได้นําไปไว้ในบ้าน วางไว้ข้างหมอนแล้วนอนหลับไป แล้วเขาก็เห็นหญิงสาวงามเหมือนเทพธิดามาหาเขาแล้วพูดกับเขาว่า เรามีพรให้เจ้าหนึ่งข้อขออะไรเราก็ได้ ยาจกคนนั้นพูดว่า ข้าอยากได้นิ้ววิเศษชี้อะไรก็เป็นทองคําไปหมด เทพธิดาก็ให้ตามที่เขาขอ เขารีบไปชี้อ่างน้ํา อ่างนั้นก็กลายเป็นทองคํา ชี้ประตู ประตูก็กลายเป็นทองคํา ชี้บ้าน บ้านก็เป็นทองคํา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทองคําไปหมดแม้กระทั่งของกิน เขาหิวมากแต่ก็กินอะไรไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ตะโกนออกไปว่า หยุด แล้วทุกสิ่งที่ได้กลายเป็นทองก็กลายเป็นอยู่ในสภาพเดิม ยาจกหนุ่มก็กลายเป็นยาจกเข็ญใจเช่นเดิม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญากินรํา มีหญิงปากร้ายคนหนึ่งได้เข้าวังไปเป็นแม่ครัวให้พระราชา พระราชาให้นางปรุงอาหารทําจากรํา หรือภาษาอีสานเรียกว่า ฮํา ถวายพระองค์ทุกวัน พร้อมคาดโทษไว้ว่า ห้ามแพร่งพรายบอกความลับเรื่องพญากินรําให้ใครฟังโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นหัวนางจะขาด หญิงปากร้ายอดนิสัยปากร้ายไม่ได้ แต่ไม่กล้าไปพูดกับใคร เมื่ออึดอัดใจมากจนทนไม่ไหว นางก็เข้าไปในป่าลึก ไปตะโกนใส่ต้นไม้ว่าเจ้าข้าเอย พญากินรําแทนข้าวซึ่งผิดประเพณีบ้านเมือง เมื่อนางพูดเสร็จนางก็สบายใจจึงกลับเข้าวัง วันหนึ่งกลองในวังแตก ทหารเดินเข้าไปในป่าลึกเพื่อหาไม้มาทํากลองใหม่ เมื่อทําเสร็จก็ทดลองตีกลองดูปรากฏว่าเสียงกลองดัง ฮํา ฮํา ฮํา ทหารจึงขึงกลองเสียงใหม่แล้วทดลองตีอีกก็เกิดเสียงดังสนั่นทั่วเมืองว่า ฮํา ฮํา ฮํา เสนาอํามาตย์จึงนําความเข้าทูลพระราชา พระราชาให้ยามจับยามสามตาดูก็พอว่า มีคนไปพูดจาประหลาดที่ต้นไม้ พระราชาสั่งให้สอบสวน ก็ทราบว่าหญิงปากร้ายนั้นเองที่ไปพูดร้ายให้พระราชา พระราชาจึงประหารชีวิตหญิงปากร้ายเสีย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
น้ําใจคน nan
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กากินบ้ง อีกาตัวหนึ่งเห็นหนอนนอนตากแดดอยู่บนใบไม้ ก็คิดอยากกิน ก็เลยร่อนลงมาจะคาบเอาหนอน หนอนได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมาดู ก็เห็นว่ามีอีกาจะมากินตนเลยไหว้ขอชีวิต หนอนพูดว่า ถ้าจะกินหนอนจริงๆก็ให้แก้ปัญหาคําทายให้ได้ก่อน อีกาก็เลยยอมฟัง หนอนเลยทาย หนอนถามว่า แหลมสุดแหลมคืออะไร เบาสุดเบาคืออะไร ไวสุดไวคืออะไร แรงสุดแรงคืออะไร หนักสุดหนักคืออะไร อีกาก็รีบตอบไปว่า แหลมสุดแหลมคือ ลูกศร เบาสุดเบาคือ นุ่น ไวสุดไวคือ ม้ามณีกาบ แรงสุดแรงคือ ช้าง หนักสุกหนักคือ ลูกโลก หนอนบอกว่าคําตอบของกาไม่ถูกสักข้อ อีกาเลยโกรธมากเพราะตัวเองตอบผิดหมด ก็เลยกระโจนเข้าไปกินหนอน หนอนเลยบอกว่า กาจะกินมันไม่ได้ ต้องไปหาคนกลางมาตัดสิน ก็เลยพากันไปหาคนมาตัดสิน พอผู้มีปัญญามาถึง ทั้งสองก็เล่าเรื่องให้ฟัง พอผู้มีปัญญาฟังแล้วก็ให้หนอนเฉลยคําตอบ หนอนตอบว่า แหลมสุดแหลมคือ ปัญญา เบาสุดเบาคือ มโนธรรมอันดีงาม ไวสุดไวคือ ความคิด แรงสุดแรงคือ ความเป็นธรรม หนักสุดหนักคือ ใจบาป ผู้มีปัญญานั่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็เลยผงกหัว แล้วบอกว่าหนอนตอบถูก แล้วบอกอีกาว่าไม่ให้กินหนอน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกาก็ไม่พอใจมากเพราะว่าตัวเองแพ้หนอน เลยอาฆาตแค้นหนอน สั่งสอนให้ลูกหลานกาจิกกินหนอนไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
มะกอกทองคํา กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายคนหนึ่งมีโชค ขุดพบทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่ด้วยความเกรงกลัวว่ามันจะหาย หรือถูกขโมย จึงได้นําไปบรรจุไว้ในไหแล้วนําไปฝากเจ้าเมืองไว้เมื่อเอาไปฝากเจ้าเมืองๆ ถามว่าไหอะไรชายผู้นั้นก็ตอบว่าไหมะกอก เมื่อชายผู้นั้นฝากไว้ได้ไม่นานนักเจ้าเมืองก็เกิดความสงสัยว่าเป็นไหอะไรจึงแอบเปิดดูและพบว่ามีทรัพย์สมบัติมากมาย โดยเฉพาะเงินทองเหลืองอร่าม จึงได้สับเปลี่ยนเอาทองคําออก และนํามะกอกใส่เข้าไปแทนเมื่อชายผู้นั้นมารับไหกลับไปเขาพบว่าในไหมีมะกอกอยู่เต็มไปหมด เขาจึงนําไหกลับไปหาเจ้าเมืองเพื่อทวงทองคําคืน แต่เจ้าเมืองให้การปฏิเสธว่า ตอนที่เอามาฝากบอกว่าเป็นมะกอก ตอนเอากลับก็ต้องเป็นมะกอก เมื่อชายผู้นั้นหมดหนทางที่จะต่อสู้ เขาจึงเดินทางกลับ ในระหว่างที่เดินทางกลับด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เขาได้พบกับเด็กหญิงคนหนึ่งที่ได้รับฟังเรื่องราวและอาสาจะช่วยเอาทองคํากลับมาให้จงได้ ดังนั้นเด็กหญิงจึงออกอุบายเดินทางไปป่าวประกาศให้เจ้าเมืองได้รู้ว่า ตนสามารถเปลี่ยนมะกอกให้เป็นทองได้ ฝ่ายเจ้าเมืองเมื่อรู้ข่าวจึงให้ทหารไปจับเด็กคนนั้นมาลงโทษฐานโกหกหลอกลวงประชาชน เด็กหญิงจึงให้การว่า ขนาดเจ้าเมืองยังสามารถเปลี่ยนทองคําให้เป็นมะกอกได้ ทําไมตนจะไม่สามารถเปลี่ยนมะกอกให้เป็นทองคําได้บ้าง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินดังนั้นจึงสํานึกผิด จึงตัดสินใจนําทองคํากลับไปคืนให้เจ้าของ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เซียงเมี่ยงกับหอย กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเซียงเมี่ยงเป็นคนอวดดีมาก วันหนึ่งเซียงเมี่ยงได้เจอหอย ก็เลยท้าหอยให้วิ่งแข่งกัน เซียงเมี่ยงว่า เรามาแข่งวิ่งกันดีไหม หอยบอกว่า เราไปปรึกษาเพื่อนก่อนนะ เซียงเมี่ยงตอบ จะไปก็รีบไปรีบมาบอกนะ พวกหอยเลยมาชุมนุมกันเพื่อปรึกษาว่าจะทําอย่างไรดี ในที่สุดหอยตัวหนึ่งก็พูดว่า เราก็มาต่อแถวกันยาวไปถึงเส้นชัย เราตัวเล็กเซียงเมี่ยงมองไม่เห็นเราหรอก เวลาวิ่งให้เซียงเมี่ยงร้องเรียกเราว่าหอย ให้หอยตัวใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าร้องตอบว่า กู๊ก เท่านั้นเราก็ชนะเซียงเมี่ยงแล้ว แล้วการแข่งขันก็เริ่มขึ้น โดยมีกาเป็นผู้ตัดสิน กาปล่อยตัวนักวิ่ง เซียงเมี่ยงวิ่งสุดแรงแล้วเซียงเมี่ยงก็ร้องว่า หอย หอยตัวที่อยู่ข้างหน้าก็ตอบว่า กู๊ก... เซียงเมี่ยงก็วิ่งต่อไปอีก เซียงเมี่ยงก็ร้องเรียกว่า หอย...หอยตัวที่อยู่ข้างหน้าก็ตอบว่ากู๊ก...เซียงเมี่ยงก็วิ่งต่อไปอีก เซียงเมี่ยงก็ร้องเรียนว่าหอย...หอยตัวที่อยู่ข้างหน้าก็ตอบว่า กู๊ก...เซียงเมี่ยงก็วิ่งต่อไปอีกอย่างแรง จนกระทั่งสลบอยู่กลางทาง สรุปว่าหอยเป็นผู้ชนะ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นกนางแอ่น นกนางแอ่นฝูงหนึ่งอาศัยที่เกาะร้างกลางมหาสมุทร ลมมรสุมแรงทําให้แม่นกและลูกนกต้องพรากจากกัน ลูกนกเฝ้าออกตามหาแม่นกมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ แม่นกก็เช่นเดียวกันเฝ้าตามหาลูกอยู่หลายปีแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ ยังไม่ทันได้เจอลูก แม่นกก็ถูกคลื่นทะเลสาดฟาดร่างจมหายไปในทะเลลึก แม่นกได้เกิดใหม่อาศัยอยู่ในฝาหอย ลุกนกเล่าเรื่องให้แม่หอยฟังว่าเธอเป็นเด็กกําพร้า ไม่มีแม่และน้อยใจคิดว่าแม่ทิ้งไปเพราะไม่รัก โดยหารู้ไม่ว่าหอยตัวนั้นคือแม่ของตน แม่หอยได้ฟังแล้วก็คิดในใจว่าชาติที่แล้วแม่ตายไปยังไม่ทันได้ป้อนเหยื่อให้ เจ้ากินชาตินี้แม่ขอให้ลูกกินแม่ในชาตินี้แทนสิ้นเสียง แม่นกในร่างหอยก็สิ้นลม ลูกนกมารู้ที่หลังว่าหอยตัวนั้นคือแม่ของตนลุกนกก็ฟุบกลิ้งจนสลบสลายตายตาม แม่ไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวกําพร้าไก่แก้ว มีอยู่วันหนึ่งท้าวกําพร้าเห็นไก่ตัวหนึ่งสวยงามและมีกลิ่นหอมมาก จึงไล่จับ แต่จับได้เพียงแค่ขน แต่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งพระนครจนเรื่องรู้ไปถึงพระราชา จึงได้ประกาศหาคนไปจับไก่แก้ว ท้าวกําพร้าจึงอาสาจะลงไปจับ แต่มีข้อแม้ว่าพระราชาจะต้องเลี้ยงดูแม่ของตนให้อยู่ดีกินดีครบถ้วน หลังจากที่ท้าวกําพร้าลงไปในรู ก็ได้เห็นหญิงสาวรูปงาม(ซึ่งนั่นก็คือไก่แก้ว) ทั้งสองเกิดความรักเลยได้เป็นสามีภรรยากัน แต่ก็ถูกพระราชากลั่นแกล้งแย่งนางไป ร้อนถึงเทวดาที่ต้องช่วยเหลือท้าวกําพร้า และพอท้าวรู้ว่าพระราชาทําผิดคําสัญญาและเอาภรรยาของตนไป จึงทําสงครามสู้รบกัน จนท้าวกําพร้าชนะ เลยได้ครองเมือง และภรรยากลับคืนมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กับแก้กับงูเขียว มีแม่ผัวลูกสะใภ้คู่หนึ่ง ไม่ถูกกัน ทะเลาะกันทุกครั้ง ทางลูกชายก็อึดอัด จะเข้าข้างแม่ก็เห็นแก่เมีย พอจะเข้าข้างเมียก็เห็นแก่แม่ เขาเลยอดทนมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีกันสักที ได้แต่เก็บเอาความทุกข์ไว้คนเดียวจนล้มป่วยลงแล้วก็ตายไป การตายของลูกชายก็ยิ่งทําให้แม่และเมียทะเลาะกันมากขึ้น ต่างก็โทษกันไปมา ตบตีกันปางตาย โดยก่อนตายแม่ผัวได้อธิษฐานว่า “ถ้าเกิดชาติใดก็ตาม ขอให้ได้ทําลายลูกสะใภ้ชาติชั่วทุกชาติเถิด” ทางลูกสะใภ้ได้ยินอย่างนั้นเลยพูดว่า “ถ้าข้าพเจ้าเกิดชาติใดก็ตามขอให้ได้ทําลายแม่ผัวใจร้ายทุกชาติด้วยเถิด” เมื่อคนทั้งสองตายไป ลูกสะใภ้กลับมาเกิดเป็นงูเขียว แม่ผัวกลับไปเกิดเป็นตุ๊กแก ด้วยเหตุที่คนทั้งสองมีจิตใจผูกพยาบาทต่อกัน ดังนั้น เวลางูเขียวออกไข่ตุ๊กแกจะพยายามขโมยกินไข่งูเขียวทุกที เมื่อตุ๊กแกตับแก่จะร้องอ้อแอ้ ๆ งูเขียวก็จะมารัดและล้วงกินตับตุ๊กแกทุกที สัตว์ทั้งสองเลยไม่ถูกกันนับแต่โบราณมาจนกระทั่งปัจจุบัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ธุระไม่ใช่ มีชาวนาสองคนผัวเมียก่อร่างสร้างตัวจนเป็นเศรษฐี มีที่นาเป็นพันๆ ไร่มีคนงานฝ่ายต่างๆหลายฝ่ายช่วยทํานาเมื่อขายข้าวได้เศรษฐีก็เอาเงินมาจ้างคนงานเหล่านี้ อยู่มาปีหนึ่งรายได้จากการขายข้าวไม่พอที่จะจ้างคนงาน เศรษฐีเกิดความสงสัยว่าพวกที่ขายข้าวคงยักยอกเงินไว้ จึงเรียกมาถาม พวกขายข้าวก็ตอบว่า เพราะพวกนวดข้าวส่งมาให้เท่านี้ เศรษฐีจึงไปถามพวกนวดข้าว พวกนวดข้าวก็ตอบว่าเก็บข้าวได้เท่าใดก็นวดเท่านั้น เศรษฐีจึงไปถามพวกเก็บข้าว พวกเก็บข้าวก็ตอบว่า พวกดํานาได้เท่าใดก็เก็บเท่านั้น เศรษฐีจึงไปถามพวกดํานาว่าทําไมดํานาไม่หมด ปล่อยให้ที่นาบางแห่งว่างเปล่า พวกดํานาก็ตอบว่า เขาไถได้เท่าใดก็ดําได้เท่านั้น เศรษฐีจึงได้ถามพวกไถนาว่า ทําไมไม่ไถนาให้หมด พวกไถนาก็ตอบว่า เพราะวัวแต่ละตัวผอมมากไม่มีแรงที่จะไถนาได้หมด เศรษฐีจึงไปถามพวกเลี้ยงวัวว่า เลี้ยงวัวอย่างไรวัวจึงได้ผอมเช่นนั้น พวกเลี้ยงวัวก็ตอบว่าพวกเขาได้ตัดหญ้ามาให้วัวกินเป็นประจําแต่วัวไม่ค่อยได้กิน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร เศรษฐีเกิดความสงสัยจึงไปเฝ้าดูเวลาวัวกินหญ้าก็เห็นสุนัขตัวโปรดเห่าและขบกัดวัว ทั้งๆที่ตัวมันเองไม่ได้กินหญ้านั้นเลย คนเลี้ยงวัวก็ไม่กล้าตีสุนัขตัวนั้น เพราะเป็นสุนัขตัวโปรดของเศรษฐี เศรษฐีจึงได้ทราบสาเหตุที่แท้จริง ที่ทําให้ขายข้าวได้น้อยจึงคิดว่าสุนัขตัวนี้ ธุระเองก็ไม่ใช่ แต่ชอบไปยุ่งเรื่องคนอื่น เศรษฐีจึงไล่สุนัขตัวนี้ออกจากบ้าน การทํานา ขายข้าว จึงได้ผลผลิตดีเหมือนเดิม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมเสือจึงมีลาย น้ําจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาวกินสมัยโบราณ คนกับสัตว์สามารถสื่อภาษากันได้ ณ วันหนึ่งมีชายที่ชื่อลันดา มีไหวพริบดีเป็นพิเศษ ได้ออกไปตัดหวายอยู่ในป่าเพื่อจะเอามาใช้ประโยชน์ มีเสือตัวหนึ่งมาเจอ จะจับชายที่ชื่อลันดาเป็นอาหาร ลันดาขอต่อรองว่า “จะกินก็ได้แต่ขอตัดหวายให้เสร็จก่อน ลูกเมียจะได้ปลอดภัย” เสือก็สงสัยเลยถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่ปลอดภัย” ลันดาก็ตอบว่า “น้ําจะเดือดเสือก็ต้องตาย ถ้าไม่ผูกคอด้วยหวายไว้ก่อน” เสือกลัวตายจึงขอร้องให้ลันดาช่วยผูกคอให้ ลันดาก็ทําท่าไม่อยากผูกให้ เพราะถ้าผูกคอให้เสือก็จะจับตนกินอยู่ดี เสือก็รับปากว่าจะไม่จับกินและอ้อนวอนให้ลันดาผูกคอให้ ลันดาก็ทําท่าจําใจและเห็นใจเสือ จึงผูกคอให้และเอาปลายหวายอีกข้างผูกติดกับต้นไม้อย่างแข็งแรงและมั่นใจว่าเสือดิ้นไม่หลุดแน่ เมื่อเสร็จแล้วลันดาจึงตัดหวายลําที่เหมาะมือทําเป็นแส้ แล้วก็ลงมือเฆี่ยนเสือจนเสือยอมจํานนเป็นผู้รับใช้ลันดา ลันดาจึงปล่อยเสือและเสือจึงมีลายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตะเกียงวิเศษ มีชายหนุ่มคนหนึ่งเกียจคร้านไม่ทํางานทําการ แต่รสนิยมสูง วันหนึ่งเขาไปปรึกษาแม่ว่า ผมอยากมีบ้านส่วนตัวสักหลังหนึ่ง แม่จึงแนะนําให้เขาไปหาหลวงตาทอง เมื่อเขาไปถึงกุฏิจึงเอ่ยว่า อยากได้บ้านขนาดสองห้องนอนสามห้องน้ําพร้อมสิ่งอํานวยความสะดวก หลวงตาทองจึงรับปากว่าจะช่วยและมอบตะเกียงวิเศษเก่าใบหนึ่งให้ บอกว่าเมื่อเอ็งกลับถึงบ้านแล้ว ให้จุดธูปเทียนบูชานั่งอธิษฐานจิตจากนั้นใช้มือถูข้างๆ ตะเกียง สักพักหนึ่งจะมัยักษ์ปรากฏตัวออกมาอยากได้อะไรก็ขอกับยักษ์ตนนั้น ชายหนุ่มก็ทําตามขั้นตอนดังกล่าวเมื่อยักษ์ออกมาตะเกียงแล้วเขาจึงขอบ้านขนาดสองห้องนอน มีห้องครัว ห้องรับแขก ติดเครื่องปรับอากาศพร้อมโทรทัศน์ ยักษ์ถามว่าแค่นี้หรือที่ท่านต้องการ แล้วยักษ์ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า อ้ายโง่ ถ้าฉันสามารถเนรมิตบ้านสวยๆ ได้เอง ฉันคงไม่ซุกหัวนอนอยู่ในตะเกียงบ้าๆ ใบนี้หรอก แล้วยักษ์ก็หายวับเข้าไปในตะเกียง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แม่หม้ายตาโป ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีแม่หม้ายตาโปอาศัยอยู่กับลูก เพราะสามีของหล่อนได้ตายไปนานแล้ว สองแม่ลูกถึงจะจนแต่ไม่เคยเบียดเบียนใคร และยังเป็นคนชอบทําบุญ วันหนึ่งแม่หม้ายตาโปก็ได้ไปเก็บมะม่วง ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว บรรยากาศก็วังเวงและเงียบ แต่แล้วก็มีเสียงที่มาทําลายความเงียบก็คือ เสียงของงูเหลือมตัวใหญ่ งูตัวนั้นต้องการจะช่วยแม่หม้ายตาโปเก็บมะม่วงแต่มีข้อแม้ว่า ให้มันนอนกับลูกสาวของแม่หม้าย แม่หม้ายตาโปก็ตกลง งูก็ช่วยแม่หม้ายตาโปเก็บมะม่วงจนได้เต็มตะกร้า พอตกเย็นงูก็ได้ไปที่บ้านแม่หม้ายตาโปตามคําพูด พอจะนอนงูเหลือมก็ถอดคราบออก กลายเป็นหนุ่มรูปงาม ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวยายมาและตามีสองผัวเมียข้างบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา ก็เกิดอิจฉาริษยา จึงตกลงกันว่าจะไปหางูมาให้ลูกบ้าง พอเช้าตรู่ สองตายายก็ได้ออกไปหางู พอกลับมาถึงบ้าน ยายมาก็จัดแจงให้ลูกสาวนอนกับงู สักพักก็ได้ยินเสียงของลูกสาวร้องขอความช่วยเหลือก็คิดว่าคงไม่มีอะไร แต่เห็นเสียงร้องเงียบไปนานจึงได้เข้าไปดู พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับภาพที่น่ากลัว งูใหญ่กําลังกลืนลูกสาวของยายมาเข้าไปจะช่วยก็ช่วยไม่ทันจึงได้แต่ร้องไห้ ทั้งสองไม่รู้ว่าแม่หม้ายตาโปได้ทําแต่ความดีจึงมีแต่สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิต ส่วนยายมากับตามีมีแต่ความอิจฉาริษยาจึงมีแต่ความเศร้าเกิดขึ้น ยายมาร้องไห้ไม่ยอมหยุดแกจึงเป็นลมไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
วัวทรงพลัง นานมาแล้วมีพ่อค้ากับวัวคู่ทุกข์คู่ยากอาศัยอยู่ในเมืองเมืองหนึ่ง เช้าวันต่อมาวัวกับเจ้านายไปขายสินค้าตามหัวเมืองต่างๆ มีพ่อค้าคนหนึ่งมาบอกว่า ท่านเอาสินค้าจํานวนมหาศาลมาได้อย่างไร พ่อค้าก็บอกว่าใช้หัวลากมาเพียงตัวเดียวก็ขายอีกคนไม่เชื่อจึงเกิดการพนันกันขึ้นเป็นจํานวนแสนตําลึง วันต่อมาได้ไปที่นัดหมายเจ้านายบอกวัวว่า ถ้าข้าแพ้ให้เจ้าอดหญ้าอยู่ในคอก เจ้าวัวเกิดน้อยใจ ก็เลยลากเกวียนไปไม่ถึงเส้นชัย เจ้าของวัวสงสัยว่าทําไมวัวจึงไม่สามารถลากเกวียนไปได้ทําให้ข้ากล้องเสียพนันอย่างมหาศาล มันเลยบอกว่าที่ข้าไม่สามารถลากเกวียนไปได้นั้นเพราะเข้าพูดกับข้าไม่สุภาพ เจ้าของวัวจึงกล่าวขอโทษวัว วัวเกิดสงสารเจ้าของ เลยบอกให้ไปท้าพนันกับเศรษฐีโดยท้าพนันเป็นสองเท่า เจ้าของวัวดีใจมาก จึงรีบไปท้าพนัน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันทันที ต่อมาวันหลังที่วัวลากเกวียนเจ้าของวัวพูดกับวัวว่า เจ้าโคผู้ทรงพลังลูกรัก ว่าแล้วเจ้าโคได้ฟังก็สามารถลากเกวียนไปถึงเส้นชัยในที่สุด เจ้าของวัวก็ชนะการพนัน ดีใจมากก็เลยเข้ากอดวัวและพูดว่าเจ้ามีพลังมากที่สุด เจ้ามีความสามารถมากที่สุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ดาวลูกไก่ มีตากับยายเลี้ยงไก่ไว้ใต้ถุนบ้าน แม่ไก่ฟักไข่ได้ลูกไก่เจ็ดฟอง วันหนึ่งมีพระธุดงค์มาลงกรดในชายป่าใกล้บ้านตากับยาย ตากับยายไม่มีอะไรจะกินเพราะยากจนมาก แต่ก็ยังคิดจะใส่บาตรพระอย่างไรด้วย เพราะพระก็คงจะหิวเช่นกัน ตาก็ปรึกษากับยายว่า เราก็ไม่มีอะไรจะถวายพระเลย ท่านคงต้องหิวแน่แน่ ยายก็เห็นด้วย แล้วตาก็เกิดความคิด เออยาย เราก็มีแม่ไก่อยู่นะถ้าเราทําต้มไก่ถวายท่านเราก็คงจะได้บุญไม่น้อย ยายก็ไม่เห็นด้วยแต่เมื่อคิดว่าพระธุดงค์คงจะหิวมากจริงๆ เพราะยังไม่มีใครเอาอาหารมาถวายเลย ยายก็เลยยอม ฝ่ายแม่ไก่น้ําตาไหลเรียกลูกให้มาซุกใต้ปีก และขอกกลูกเป็นครั้งสุดท้ายเพราะตอนเช้าจะต้องตายแน่นอน ตอนเช้าตากับยายก็นําหน้าไก่ไปทําอาหาร ฝ่ายลูกไก่ทั้งเจ็ดเหมือนถูกดวงใจ จึงพากันกระโดดเข้ากองไฟตายตามแม่ไก่ ด้วยอานิสงส์ใจประเสริฐลูกไก่จึงไปเกิดเป็นดาว
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ยักษ์เกเร กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมียักษ์เกเรตนหนึ่งเกเรมากชอบรุกรานและรังแกผู้คนชาวบ้าน ยักษ์ตนนี้อาศัยอยู่ในถ้ํา อยู่มาวันหนึ่งผู้คนเกิดความรําคาญทนไม่ไหว จึงเอาเปลือกกล้วยไปวางไว้หน้าถ้ํา พอยักษ์เดินออกมานอกถ้ํา จึงเหยียบเปลือกกล้วยแล้วลื่นล้มลง เจ้ายักษ์เกเรโกรธมาก นึกว่าก้อนหินแกล้ง จึงพังทลายก้อนหินจนถ้ําถล่มลงมาทับเจ้ายักษ์เกเรตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ยายม่วง มียายแก่คนหนึ่งชื่อยายม่วง แกถือเสียมเดินไปทุ่งนาพอมาถึงที่นาแกก็วางเสียลงไว้ข้างข้างๆ แล้วอธิษฐานอ้อนวอน ศาลตาแฮ้วดลบันดาลให้ฝนตกน้ําท่าอุดมสมบูรณ์บริเวณที่นาของแกและลูกเขยเท่านั้นแต่พอพูดจบเสียมที่แกวางไว้ก็ล้มลงมาโดนหัวแก หลังจากนั้น ยายจึงอธิฐานใหม่ว่า ถ้างั้นก็ขอให้ฝนตกน้ําท่าอุดมสมบูรณ์ไปทั่วๆทุกบริเวณก็แล้วกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีหลังกลวง ทุกๆวันผู้คนในหมู่บ้านทุ่งสาต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อมาตําข้าว แต่ละบ้านก็จะตั้งอยู่ห่างกันมีต้นไม้หนาทึบน่ากลัว ในยามเมือ บ้านของนางก็เช่นเดียวกันนางจะตื่นเช้ามาตําข้าว มีวันหนึ่งนางก็ตื่นมาตําข้าวตามปกติแต่บรรยากาศวันนั้น วังเวงน่ากลัวพิลึก ตอนที่นางกําลังตําข้าวอยู่นั่นเอง ก็มีเงาดําดํามายืนอยู่ข้างหลัง และเปล่งเสียงเย็นๆออกมาว่าให้ "ให้ข่อยซอยบ่" นางหันหลัง ไปเจอกับภาพของผีที่หน้าตาน่ากลัวเคยได้ยินแต่คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่าจะมีผีหลังกลวง หลังของมันจะไม่เหมือนคนทั่วไป คือช่องท้องจะโหว่ไปเลย นางก็เพิ่งจะเจอด้วยตัวเอง ท่านใดนั้นนางก็ตอบไปว่า "ถ่าแป๊บนึง ไปเอาข้าวก่อน" ผีหลังกลวงก็รอ แต่ก็ไม่เห็นนางกลับลงมาผีตนนั้นก็เลยขึ้นไปตามแล้วก็คลําเท้าดู พอไปเจอเท้าข้างหนึ่งเย็น เพราะนางเพิ่งจะลงไปตําข้าวข้างล่าง ผีจึงหักคอนางเสีย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สามสหายสามโรค มีเพื่อนสหายสามคนมีอาการเป็นโรคคนละอย่าง คนหนึ่งเป็นกลาก คนหนึ่งเป็นหิด อีกหนึ่งคนเป็นโรคตาแฉะ คนเป็นกลากมีเม็ดผื่นทั่วร่างกาย คนเป็นหิด มีน้ําเหลืองไหลตามง่ามมือ ง่ามเท้าคัน คนตาแฉะจะมีน้ําเหลือง คันในตาและมีแมลงหวี่มาตอมลอดเวลา วันหนึ่ง ทั้งสามไปเที่ยวและพนันกันไว้ว่าคนเป็นกลากกับหิดต้องไม่เกา คนที่ตาแฉะต้องไม่ตบแมลงหวี่ เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสามทนไม่ไหว จึงคิดอุบายคนเป็นกลากพูดว่าเมื่อวานนี้พ่อไปซื้อวัวมา สวยงามมากหนังเป็นด่างทั่วร่างกาย ตรงนี้ ตรงนี้พลางเอามือเกา คันที่อกก็ด่างที่อก คันที่ท้องก็บอกด่างที่ท้อง คนเป็นหิดบอกว่าเมื่อวานไปหาปลาไหล เอามือพุ้ยโคลนปลาไหลต่างรัดและบิดกัน พลางเอามือสอดเข้าไปในเสื้อและพูดว่าบิดอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ คนสุดท้ายพูดพลางหัวเราะและเอามือทั้งสองตบกันใกล้ใบหน้า ผลตัดสินคือเสมอกัน ไม่มีใครแพ้ใครชนะ
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หนวกพึง มีครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่ พี่สาว น้องชาย ทําไร่ทํานาอยู่ชนบท เป็นครอบครัวที่อาภัพคือหูหนวกทั้งครอบครัว พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องกันนัก สมบัติที่ล้ําค่าคือควายที่พวกเขาใช้ทํานา คราวหนึ่งลูกชายนําควายไปเลี้ยงที่ริมถนน มีคนมาถามทางไปบ้านหนองอีเก้งลูกชายได้ยินว่าเขาถามซื้อควายจึงตอบว่าพ่อไม่ให้ขาย ชายหนุ่มไม่พอใจจึงพูดว่าถามอย่างหนึ่งตอบอย่างหนึ่ง ลูกชายเข้าใจว่าเขาลาตนจึงยกมือไหว้ เมื่อกลับบ้านมาจึงมาบอกพี่สาวว่ามีคนมาถามซื้อควาย พี่สาวเข้าใจว่าน้องชายตําหนิเกี่ยวกับการย้อมผ้า จึงตอบน้องชายอย่างไม่พอใจว่า เรื่องของข้าใช่ธุระของแกพี่สาวจึงไปฟ้องแม่เรื่องน้องชายตําหนิ แม่ได้ยินว่าลูกหาว่าตนไปขโมยห่อหมกปลาของพ่อที่เก็บไว้กินคนเดียวแม่จึงพูดว่า อีหนูให้ข้าตายก็ได้ แม่ไม่ได้ขโมย พอทําอาหารเสร็จแม่จึงไปต่อว่าผัวว่า อีหนูบอกว่าฉันไปขโมยห่อหมกปลาแก มาใส่ความฉันทําไม ข้างผัวเข้าใจว่า ตนนอกใจเมีย จึงพูดออกมาว่า โธ่ใครว่าฉันไปมีเมียใหม่ ฉันรักเธอจะตาย อย่าสงสัยอะไรเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไอ้ปั้นข้าวใหญ่ มีชาย 2 คน เป็นเพื่อนกันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน วันหนึ่งชายทั้งสองชวนกันไปตัดไม้ในป่าอยู่ไกลบ้าน เพื่อมาทํารั้วบ้าน ชายคนแรกละเอียดถี่ถ้วน รอบคอบ รู้ว่าจะไปทํางานไกลบ้านต้องใช้เวลานาน จึงเตรียมอาหารกลางวันไปด้วย อาหารที่เตรียมไว้มีข้าวเหนียวนึ่ง ปั้นเป็นก้อนขนาดใหญ่และอาหาร ส่วนอีกคนไม่คิดรอบคอบไม่เตรียมอาหารไป จึงนําไปแต่มีดตัดไม้เท่านั้น เมื่อตัดไม้มากพอสมควรแล้วก็ชวนกันนั่งพัก แต่ได้ยังไม่มากตามต้องการ ขณะนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี จึงพากันไปล้างมือที่ริมลําธาร เพื่อดื่มน้ําและรับประทานอาหาร ชายคนแรกล้างมือแล้วก็นําห่ออาหารมากิน เพื่อนอีกคนก็ไปล้างมือจึงร้องทักขึ้นว่า ล้างมือทําไมแกไม่ได้เอาข้าวมาจะมากินกับฉันไม่ได้ เพื่อนที่นําอาหารมาก็กินอย่างเอร็ดอร่อย อีกคนก็นั่งสูบยาและหวังว่าอาหารจะเหลือและก็เหลือจริงแต่อีกคนนําไปทิ้งลงในน้ํา พอบ่ายทั้งสองก็ไปตัดไม้ไอ้ปั้นข้าวก็ถูกงูรัด เพื่อนอีกฝ่ายจึงสมน้ําหน้าแต่ก็อดสงสารไม่ได้จึงช่วย ไอ้ปั้นข้าวรอดตายละรับรองว่าจะไม่แกล้งเพื่อนอีก หากเพื่อนเดือดร้อน จําเป็นจะช่วย จะเลิกเป็นคนเห็นแก่ตัว
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ม้าตัวผู้ออกลูก มีชายหนุ่มกําพร้าพ่อแม่แต่เป็นคนดี มีม้าเพศเมียพันธุ์ไทยเป็นมรดกจากพ่อแม่ตัวหนึ่งลักษณะดี สวยงามและโตพอที่จะผสมพันธุ์ วันหนึ่งม้าของเจ้าเมืองหนีออกมาผสมและมูก เจ้าเมืองบังเอิญเห็นลูกม้า อยากได้มากและรู้ว่าเกิดจากม้าเทศของตนจึงสั่งให้คนมาบอกว่าลูกม้านี้ต้องเป็นของตนหากไม่มีม้าเทศตนก็จะมีลูกม้า ฝ่ายชาวบ้านไม่พอใจจึงให้ตุลาการมาตัดสิน พอถึงวันนัดตุลาการไม่มาและมาวันถัดไป เจ้าเมืองจึงถามว่าทําไมเมื่อวานไม่มา ตุลาการตอบว่าเมื่อวานข้าพเจ้ามาเหมือนกันแต่มาถึงกลางทาง ได้เห็นฝูงปลาสร้อยกินใบมะขามอ่อน เห็นว่าเป็นลางร้ายจึงรีบกลับ เจ้าเมืองพูดว่า โธ่ ปลาสร้อยกินใบมะขามอ่อนได้จริงหรือ มันเป็นไปได้ไง ตุลาการจึงย้อนกลับว่า ในทํานองเดียวกันม้าตัวผู้ออกลูกได้จริงหรอ เจ้าเมืองได้ยินเช่นนั้นจึงจนปัญญา เพราะเหตุผลตัวเองฟังไม่ขึ้น จึงละอายใจและไม่ติดใจเรียกร้องเอาลูกม้าและสั่งให้เรื่องเป็นอันเลิกแล้วไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สองสหายลักไก่ มีชายหนุ่มสองคน เป็นเพื่อนรักกันมานาน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง มักชอบไปเที่ยวเตร่ด้วยกันเสมอ หนุ่มสองคนนี้ คนหนึ่งหน้าตาดี คือ มองอะไรเห็นตามปกติ แต่หูหนวก ฟังอะไรไม่ค่อยถนัด ส่วนอีกคนหนึ่งตาบอดทั้งสองข้าง แต่หูดีฟังอะไรถนัด ปกติชายหนุ่มทั้งสองคนนี้เป็นคนประพฤติดี ยึดมั่นในศีลธรรมเสมอ ไม่เคยทําอะไรให้เป็นที่เสียหาย หรือทําความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น คืนวันหนึ่ง สองสหายชวนกันไปเที่ยวในละแวกหมู่บ้าน โดยเพื่อนผู้ตาดีแต่หูหนวกเป็นผู้จูงคนตาบอดไป เมื่อเดินเที่ยวจนทั่วแล้ว มาถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งก็นั่งคุยกัน จนดึกพอสมควรซึ่งขณะนั้นชาวบ้านต่างนอนหลับกันหมดแล้ว ทั้งสองสหายนึกขึ้นอย่างไรไม่ทราบ จึงชวนกันไปขโมยไก่ชาวบ้าน โดยปรึกษาตกลงกันว่า ให้คนตาดีแต่หูหนวกเป็นคนเข้าไปเอาไก่ในเล้า ส่วนคนตาบอดจะแอบอยู่ข้างนอก เมื่อตกลงกันแล้ว ทั้งสองคนจึงพากันเข้าไปในหมู่บ้าน พอเดินไปถึงบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านขนาดใหญ่พอสมควร และเป็นบ้านใต้ถุนสูง ที่ใต้ถุนมีเล้าไก่ขนาดใหญ่ คะเนว่าคงมีไก่มาก นอกนี้ยังมีเครื่องมือทํานา เช่น คราด ไถ เป็นต้น ระเกะระกะอยู่ทั่วไป และทางปลายชานตามพื้นดินมีแอ่งน้ําคลําขังอยู่ด้วย เมื่อไปถึงบริเวณบ้านหลังนั้น ไอ้ตาดีแต่หูหนวกก็บอกให้สหายตาบอดทราบและตกลงกันว่า ให้ไอ้ตาดีแต่หูหนวกเข้าไปจับเอาไก่ในเล้าตามที่พูดกันไว้แต่แรก เพราะเห็นว่า ตามองเห็น อาจเลือกจับเอาไก่ได้ตามใจชอบ ส่วนตาบอดจะคอยระวังอยู่ใต้ถุนใกล้ๆ ประตูเล้าไก่ ขณะที่ไอ้ตาดีแต่หูหนวกเข้าไปในเล้าไก่แล้วนั้นก็พูดออกมาปรึกษาเพื่อนว่า "เอาตัวไหนดีไอ้ตาบอดจึงพูดตอบไปว่า "พูดขึ้นทําไม" ไอ้หูหนวกพูดตอบว่า "เอาตัวสีลายๆหรือ "ไอ้ตาบอดพูดกําชับว่า "พูดค่อยๆ" ไอ้หูหนวกถามว่า "เอาตัวน้อยๆหรือ" ไอ้ตาบอดพูดกําชับอีกว่า "อย่าพูดแรง (ดัง)" ไอ้หูหนวกกับถามว่า "เอาไก่ตัวผู้สีแดงหรือ" ขณะนั้นเจ้าของบ้านตื่นขึ้นได้ยินเสียงคนพูดอยู่ใต้ถุนบ้าน ก็ร้องถามลงไปว่า "ใครพูดดําๆแดงๆอยู่นี่" เมื่อทราบว่าเจ้าของบ้านตื่น ไอ้ตาบอดรีบบอกให้ไอ้หูหนวกทราบ ต่างพากันตกใจ จึงชักชวนกันหนี ไอ้หูหนวกแต่ตาดีตกใจกลัวมากรับเผ่นหนีออกจากบริเวณบ้านไปทันที ลืมนึกว่าตนทิ้งเพื่อนตาบอดอยู่บริเวณบ้านที่พวกตกเข้าไปขโมยไก่นั้น ฝ่ายไอ้ตาบอดไม่ทราบทางออก ได้เดินคลําหาทางวนเวียนอยู่ใต้ถุนบ้านครู่ใหญ่ ก็เดินมาทางใต้ชาน ซึ่งมีแอ่งน้ําคลําขังอยู่ เข้าใจว่าตนเดินมาถึงทุ่งนาซึ่งมีน้ําแล้ว รู้สึกดีใจ เพราะเห็นว่าตนปลอดภัย จึงร้องลํากลอนภาษาอีสานขึ้นด้วยเสียงอันคัง เจ้าของบ้านได้ยินเช่นนั้น ก็ตะโกนลงมาดังๆอีกว่า "ยังจะมาร้องลําอยู่นี่อีกหรือ" ไอ้ตาบอดตกใจรีบวิ่งหนีโดยเร็ว พอดีวิ่งมาทางคราดสําหรับใช้คราดนาวางอยู่ จึงเหยียบคราดอันนั้น ทําให้คราดอันนั้น ทําให้คราดกระดกขึ้นและตีเข้าที่หน้าผากอย่างแรง ไอ้ตาบอดเข้าใจว่าตนถูกตี จึงร้องออกมาว่า "ยอมแพ้แล้วๆอย่าตีผมเลย" เจ้าของบ้าซึ่งอยู่บนเรือนจึงร้องชงมาอีกว่า "ยังไม่หนีไปไหนดอกหรือ"ไอ้ตาบอดยิ่งตกใจ จึงวิ่งหนีต่อไปอีก และมาชนกับต้นเสาเรือนพอดี ไอ้ตบอดเข้าใจว่าถูกตีซ้ําเป็นครั้งที่สอง จึงร้อง ออกมาอีกว่า "เข็ดแล้ว อย่าตีผมเลย" เจ้าของบ้านร้องสําทับมาอีกว่า "กูไม่ได้ตีสักหน่อย พูดออกมาว่ากูตีทําไม" ตอนนี้ เจ้าของบ้านคว้ามีดได้ลงมาจากบ้าน จะมาขโมยจริงๆไอ้ตาบอดได้ยินเสียงเจ้าของบ้านเดินมา ก็วิ่งหนีต่อไปจนพ้นบริเวณบ้าน ฝ่ายไอ้ตาดีแต่หูหนวก พอหนีไปได้สักพักหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าตนทิ้งเพื่อนตาบอดไว้ข้างหลังจึงรีบกลับมาหาเพื่อน พอดีเจอไอ้ตาบอด จึงจูงมือเพื่อนได้แล้วพากันวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะหนีพ้นมาได้ พากันเหนื่อยแทบใจขาดทีเดียว และพากันเข็ดไม่คิดจะขโมยไก่เขาอีกเลย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สามเกลอลักควาย มีชายหนุ่มสามคนเป็นเพื่อนกันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันที่ชนบทแห่งหนึ่ง หนุ่มสามคนนี้รักใคร่กันมาก ชอบไปเที่ยวมี่ไหนด้วยกันเสมอ คนแรกชื่อนายกะดัด คนที่สองชื่อนายกะด้อคนที่สามชื่อนายจ้อก้อคนสามคนนี้มีลักษณะแตกต่างกันบางอย่าง คือ นายกะดัดกับนายกะด้อชอบพูดคุย ตลกโปกฮา และบาครั้งชอบทําอะไรเกินไปสักหน่อย ความคิดอ่านไม่ค่อยรอบคอบสุขุม ส่วนนายจ้อก้อเป็นคนไม่ชอบพูด เวลาเพื่อนพูดชอบฟังถ่ายเดียว แต่เป็นคนฉลาด มีความคิดอ่านดี ชอบพูดเป็นแก่นสารเพื่อนจึงให้สมญานามว่า "ไอ้จ้อก้อบ่ (ไม่) พูดบ่จา" คืนวันหนึ่งในฤดูหนาว ชายหนุ่มทั้งสามชวนกันไปเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อคุยกับสาวๆ ซึ่งนั่งปั่นฝ้ายอยู่ตามลานบ้าน เมื่อเที่ยวคุยกับสาวๆ นานจนเวลาดึกค่อนคืน เป็นที่พอใจแล้ว จึงชวนกันเดินทางกลับบ้านมาบ้านของตน ในฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ชาวบ้านบางคนเมื่อเกี่ยวเสร็จ ก็ขนมัดข้าวมารวมเป็นกองไว้ที่ลาน เพื่อรอการนวดข้าวและขนขึ้นยุ้งต่อไป ผู้มีกองข้าวเช่นนี้ ต้องนอนเฝ้าลานข้าวเพื่อป้องกันขโมย และบางคนยังนําควายไปเลี้ยง และผูกไว้ริมลานข้าวในตอนกลางคืนด้วย ขณะที่ชายหนุ่มทั้งสามเดินทางจะผ่านลานข้าวแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของผูกควายไว้ตัวหนึ่งด้วย นายกะดัดกับนายกะด้อมองเห็นควายจึงออกความคิดว่า หากจะลักควายตัวนั้นไปขายคงจะได้เงินใช่จ่ายอย่างง่ายดาย ทั้งสองพูดกันแล้วก็ชวนกันเข้าไปจะลักควาย ส่วนนายจ้อก้อไม่พูดว่าอะไร คงเดินตามเพื่อนไปห่างๆ เมื่อเดินเข้าไปที่ใกล้ลานข้าว ปรากฏว่า ควายตัวนั้นนอนอยู่ นายกะดัดกับนายกะด้อจึงแก้เชือกผูกควายออกจากหลัก แล้วดึงควายตัวนั้นให้ลุกขึ้นเพื่อจะได้จูงหนีไป แต่ขณะที่นายกะดัดกับนายกะด้อดึงเชือกเพื่อให้ควายลุกนั้น เผอิญเจ้าของควายตื่นขึ้น จึงรีบกระโดดจากที่นอนและจับชายหนุ่มทั้งสามไว้ โดยกล่าวหาว่าขโมยควายของตน และถูกกักตัวไว้ นานกะดัดกับนายกะด้อตกใจจนตัวสั่น ไม่ทราบจะแก้ตัวอย่างไร ก็นิ่งอยู่นายจ้อก้อจึงพูดขึ้นว่า "เอาล่ะ เรื่องนี้เอาไว้พูดกันเมื่อสว่างแล้วก็แล้วกัน" และกระซิบ บอกเพื่อนว่าห้ามมิให้พูดอะไรเป็นอันขาด ตัวเขาจะพยายามหาทางแก้ไขเองเพื่อนก็ยอมเชื่อ เมื่อรออยู่จนสว่างแล้ว เจ้าของควายจึงนําตัวนายกะดัด นายกะด้อ และนายจ้อก้อไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับควายของกลาง เจ้าของควายเล่าเรื่องให้ผู้ใหญ่บ้านฟังว่า ตอนดึกของคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มทั้งสามคนนี้ขโมยควายของตน ซึ่งผูกไว้ที่ลานข้าวริมทุ่งนา โดยกําลังจะจูงควายหนี ผู้ใหญ่บ้านจึงสอบถามชายหนุ่มทั้งสาม นายกะดัดกับนายกะด้อต่างสั่นหัวทํานองปฏิเสธ และไม่ยอมพูดถ้อยคําใดๆเลย นายจ้อก้อซึ่งนิ่งมานานจึงพูดแก้ตัวว่า "พวกเรามิได้มีเจตนาจะลักควายเลยที่เราเขาไปจับเชือกควายและดึงควายลุกขึ้นนั้น เนื่องจากนายกะดัดกับนายกะด้อโต้เถียงกันว่า ฟันของควายนั้น ฟันบนมีหรือไม่หรือมีแต่ฟันล่าง เพื่อพิสูจน์ความจริง ขณะที่เขาทั้งสองคนเถียงกัน ก็เดินทางมาถึงลานข้าวและเห็นควายตัวนี้นอนอยู่พอดีจึงได้พากันเข้าไปจับเชือกควายและดึงให้ควายลุกขึ้น แล้วเขาก็เอามือถ่างปากควายดูว่า ฟันบนของควายมีหรือไม่มี ในที่สุดก็ได้คําตอบว่า ฟังของควายมีแต่ฟันล่างส่วนฟันบนไม่มี ความจริงเป็นดังนี้" เมื่อนายจ้อก้อพูดจบ ผู้ใหญ่บ้านนั่งนิ่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่า เป็นเหตุผลที่น่าฟัง จะเอาความผิดกับชายหนุ่มทั้งสามคนคงไม่ถนัดนัก ทั้งได้ทราบว่าชายหนุ่มทั้งสามอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงกัน ต่างประพฤติตนเป็นคนดี ไม่มีประวัติว่าเป็นผู้ชอบลักขโมยแต่อย่างใด ที่สุดผู้ใหญ่บ้านจึงบอกให้เจ้าของควายเลิกเอาเรื่องเอาราวกับชายหนุ่มทั้งสาม และปล่อยให้ทั้งสามคนกลับไปบ้าน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผัวเป็นเพียเพราะเมียช่างพูด คําว่า "เพีย" หรือ "เพี้ย" เป็นชื่อตําแหน่งขุนนางโบราณ ในเขตล้านนาหรือล้านช้างสมัยก่อน ซึ่งคงมาจากคําว่า "พญา" นั่นเอง เรื่องนี้มีอยู่ว่า มีผัวเมียคู่หนึ่ง เมียเป็นคนดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พูดจาไพเราะน่าฟัง และมีปฏิภาณไหวพริบดี ส่วนผัวเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ค่อยช่างพูด แต่ขยันทํามาหากินอาชีพของสองผัวเมียนี้ คือ การทํานา เมื่อเวลาว่างจากงาน ผัวชอบไปเที่ยวป่าเพื่อล่าสัตว์ด้วยปืน และตกปลา เป็นต้น ผัวมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นปลัดอําเภอ รับราชการอยู่อําเภอที่สองผัวเมียตั้งบ้านเรือนอยู่ วันหนึ่งปลัดอําเภอผู้เป็นสหายไปตรวจราชการตามท้องที่ และได้มาตรวจที่หมู่บ้านสองผัวเมียอาศัยอยู่ เมื่อปลัดอําเภอมาพักอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ถือโอกาสมาเยี่ยมเพื่อนที่บ้านในตอนเช้า เผอิญชายผู้ผัวไม่อยู่ เพราะไปเที่ยวป่าล่าสัตว์ตั้งแต่เช้ามืด ฝ่ายเมียเมื่อเพื่อนของผัวอุตสาห์มาเยี่ยม รู้สึกตื่นเต้นดีใจ จึงต้อนรับขับสู้ด้วยอัธยาศัยอันดี และจัดอาหารเลี้ยงต้อนรับปลัดอําเภอด้วย เนื่องจากในหมู่บ้านชนบทการจัดหาอะไรมาประกอบอาหารของหญิงคนนั้นจึงไม่ทัน มองเห็นแต่ไก่ต่อของผัวตัวเดียวเท่านั้น จึงจัดการฆ่าไก่ตัวนั้นเพื่อเลี้ยงปลัดอําเภอ ซึ่งปลัดอําเภอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก เนื่องจากความเป็นอยู่ในสมัยก่อนโน้นการไปราชการตามบ้านนอกของข้าราชการไปมาด้วยความลําบาก ต้องเดินไปด้วยเท้าอย่างดีก็ใช้ม้าเป็นพาหนะขับขี่ไปเท่านั้น ส่วนอาหารการกินก็แสนลําบาก เพราะไม่มีร้านค้าจําหน่ายเหมือนปัจจุบัน การไปบ้านนอกได้แต่กินไก่กินปลาก็นับว่าวิเศษแล้วดังนั้นการต้อนรับของเมียเพื่อนครั้งนั้นจึงเป็นที่ประทับใจของปลัดอําเภอเป็นอย่างมาก เมื่อถึงตอนบ่าย ชายผู้ผัวกลับจากล่าสัตว์มาถึงบ้าน เมียเล่าเรื่องที่ตนต้อนรับปลัดอําเภอเพื่อนของผัวให้ผัวฟังและบอกว่าได้ฆ่าไก่ต่อตัวโปรดเลี้ยงรับรองด้วย ผัวได้ยินว่าไก่ต่อซึ่งเป็นที่รักทนุถนอมของตนถูกฆ่าเช่นนั้น ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะความเสียดาย จึงด่าว่าเมียอย่างหยาบคาย และกําลังจะลงไม้ลงมือตีเมียอยู่แล้ว ก็พอดีปลัดอําเภอผู้เพื่อนกลับจากไปราชการหมู่บ้านอื่นและแวะมาเยี่ยมอีกได้ยินเสียงผัวทะเลาะกับเมียเลยเข้าไปสอบถาม ฝ่ายเมียเจ้าของบ้าน ผู้มีไหวพริบดีและเข้าใจพูดให้ร้ายกลายเป็นดี ก็ตอบปลัดไปว่า สาเหตุที่ทะเลาะกัน เนื่องจากผัวของตนต่อว่าเรื่องการต้อนรับปลัดอําเภอ เห็นว่าการต้อนรับไม่สมเกียรติ ทําไมฆ่าไก่เพียงตัวเดียวเท่านั้นควรจะหาไก่หลายๆตัว หรือฆ่าหมูต้อนรับจึงจะเหมาะสม ปลัดอําเภอได้ยินเมียของเพื่อนเล่าให้ฟัง เข้าใจว่าเป็นความจริง จึงห้ามเพื่อนมิให้ดุด่าเมีย และบอกว่า เท่าที่ให้การต้อนรับนั้น นับว่าดีที่สุดอยู่แล้ว และขอขอบคุณมากๆในการต้อนรับ ชายผู้ผัวค่อยคลายความโกรธลง และรับรองจะไม่ทะเลาะกับเมียอีก ปลัดอําเภอก็ลากลับ หลายเดือนต่อมา ตําแหน่งผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านนั้นว่างลง ปลัดอําเภอผู้เป็นเพื่อนได้มาเป็นประธานการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านนั้น จึงได้แต่งตั้งให้ชายผู้เพื่อนเป็นผู้ใหญ่บ้าน เพราะการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น ผู้เป็นประธานมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งใครก็ได้ เมื่อชายคนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีจนได้รับเลือกตั้งเป็นกํานันในตําบลนั้นในโอกาสต่อไป และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "เพีย" ซึ่งถือว่ามีเกียรติอย่างสูง นําความปลาบปลื้มมาให้แก่ชายผู้นั้นเป็นอย่างมากมั้งนี้ก็สมกับคําที่ว่า ผัวได้เป็นเพียเพราะเมียช่างพูดหรือเข้าใจพูดนั้นเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
รักแท้ มีหญิงสาวสวยคนหนึ่ง ซึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งมาพูดคุยติดพันเป็นเวลานาน ในที่สุดทั้งสองตกลงปลงใจรักกัน และต่างสัญญาว่าจะคงรักกันอยู่ตลอดไป เรื่องที่หนุ่มสาวทั้งสองเป็นคู่รักกันเป็นที่ทราบกันดีในละแวกหมู่บ้าน อยู่ต่อมาชายคนรักมีความจําเป็นต้องจากไปค้าขายทางไกลเป็นเวลานาน โดยมิได้ส่งข่าวคราวมาหาหญิงคนรักเลย เพราะมัวแต่ทําการค้าขายจนเพลิน และคิดว่าเมื่อตนร่ํารวยมากจนเป็นที่พอใจแล้วจะกลับมาบ้านเพื่อทําการสู่ขอและแต่งงานกับหญิงคนรักต่อไป มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่คนละหมู่บ้านมาพบหญิงสาวคนนี้ เกิดชอบอกชอบใจ จึงหมั่นไปมาหาสู่เสมอ แม้บางครั้งจะพูดคุยเป็นเชิงเกี้ยวพาราสีบ้างแต่หญิงสาวก็เฉยเมย และพูดด้วยพอมิให้เสียมารยาทเท่านั้น ครั้นนานวันเข้า ชายหนุ่มคนหลังนี้ยิ่งมีความพอใจและรักในตัวหญิงสาวมากขึ้นตามลําดับ คงมาเยี่ยมบ่อยเข้า และพยายามทําดีกับหญิงสาวโดยสม่ําเสมอเมื่อมาหาก็มีของมาฝากบ้าง ที่บ้านของฝ่ายหญิงมีธุระการงานใดๆ ก็มาช่วยด้วยความเต็มใจ และพยายามทําดีกับหญิงสาว ไม่ว่าหญิงสาวออกปากต้องการอะไรหากไม่เหลือวิสัยแล้ว ชายหนุ่มจะพยายามสนองความประสงค์ทุกคราว จนนานๆเข้าจิตใจของหญิงสาวก็อดที่จะสงสารชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้ ในที่สุดก็รักชายหนุ่มคนนี้อย่างแน่นแฟ้นโดยไม่รู้ตัว ครั้นอยู่ต่อมา จะเนื่องด้วยเวรกรรมอะไรไม่ทราบ หญิงสาวล้มป่วยหนักในที่สุดได้เสียชีวิต เมื่อพ่อแม่และญาติพี่น้องนําศพของหญิงสาวไปเผาตามประเพณีขณะที่ร่างของหญิงสาวกําลังถูกเผาและไฟลุกโชนอยู่นั้น ชายหนุ่มผู้เป็นคู่รักคนใหม่ก็กระโดดเข้ากองไฟ ร่างของชายหนุ่มจึงถูกไฟเผาถึงแก่ความตาย กลายเป็นเถ้าถ่านตามหญิงคนรักไปด้วย ในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มคนแรกบังเอิญกลับจากไปค้าขาย เมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของคนรัก รู้สึกเสียใจมาก จึงรีบรุดไปที่ป่าช้าและเก็บเอากระดูกห่อด้วยผ้า ขณะที่เก็บกระดูกชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจว่า ทําไมกระดูกจึงมีมากมายนัก พอเก็บกระดูกห่อด้วยผ้าเรียบร้อยแล้ว จึงนํากระดูกนั้นไปหาพระฤาษี ซึ่งอยู่ ณ ถ้ําแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก แล้วอ้อนวอนขอให้พระฤาษีช่วยชุบชีวิตคนรักให้กลับฟื้นคืนมา พระฤาษีนึกสงสารจึงชุบชีวิตกระดูกนั้นให้กลับมีชีวิตขึ้นมา แต่แทนที่จะมีร่างของหญิงสาวคนเดียว กลับมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่รักคนใหม่มีชีวิตขึ้นมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มทั้งสองจึงเกิดแย่งหญิงสาวกันขึ้น ชายหนุ่มคนแรกอ้างว่าตนเป็นคนรักคนแรก และขอให้พระฤาษีชุมชีวิตมาด้วย ตนควรมีสิทธิ์ในตัวหญิงสาว ส่วนชายหนุ่มคนหลังก็ไม่ยอมเด็ดขาด โดยอ้างว่า ตนรักหญิงสาวคนนี้ยิ่งกว่าชีวิตของตนอีก แม้หญิงสาวตาย ตนก็กระโดดเข้ากองไฟตายตามไปด้วย ชายหนุ่มคนแรกโกรธแค้นมาก ที่ตนอุตสาห์นํากระดูกไปให้พระฤาษีชุบชีวิตคนรักขึ้นมาแล้ว กลับจะมีชายอื่นแย่งชิงไปเสียเช่นนั้น ชายหนุ่มทั้งสองจึงพากันไปหาพระมโหสถขอให้ช่วยตัดสิน พระมโหสถก็สอบถามเรื่องราวความเป็นมา นอกจากสอบถามชายหนุ่มทั้งสองแล้ว ยังสอบถามความจริงจากพ่อแม่และญาติพี่น้องของฝ่ายหญิงด้วย เมื่อสอบถามได้ความจริงอย่างถ่องแท้แล้ว พระมโหสถจึงตัดสินใจให้ชายหนุ่มคนหลังซึ่งเป็นคนรักคนใหม่ของหญิงสาว มีสิทธิ์ที่จะเป็นสามีของหญิงสาว โดยอ้างเหตุผลว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้มีน้ําใจเด็ดเดี่ยวและรักแท้ แม้แต่ชีวิตก็ยินดีเสียสละเพื่อคนรัก ในที่สุดชายหนุ่มคนหลังก็ได้หญิงสาวเป็นภรรยาของตน ทั้งนี้เนื่องด้วยความรักแท้ของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวนั้นเอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ลูกสะใภ้เศรษฐี มีผัวเมียคู่หนึ่ง เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก แต่มีลูกชายเพียงคนเดียว เมื่อลูกชายโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว บิดามารดาปรึกษากัน เห็นสมควรหาลูกสะใภ้มาครองเรือนเพื่อให้ลูกชายมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาและลูกสะใภ้จะได้มาช่วยรับภาระในกิจการบ้านเรือนช่วยพ่อแม่บ้าง ทั้งจะได้มอบทรัพย์สมบัติให้ครอบครองแทนตนในโอกาสอันควรต่อไปเศรษฐีสามีภรรยาได้ปรึกษากัน ถึงคุณสมบัติผู้ที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ โดยเห็นว่าควรจะเป็นผู้ที่มีน้ําใจ เมตตาปราณี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น และรู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ด้วย เมื่อสองผัวเมียปรึกษาตกลงกันแล้วจึงได้ป่าวประกาศไปยังหัวเมืองต่างๆให้ผู้หญิงสาวที่ประสงค์จะเป็นลูกสะใภ้มาแสดงความจํานงและรับการคัดเลือกในวันที่กําหนดซึ่งผู้จะเป็นลูกสะใภ้ต้องมีคุณสมบัติคือเป็นหญิงสาวที่มิเคยแต่งงานมาก่อน มีร่างกายสมประกอบทุกส่วน ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งพิการและสวยพอสมควรรวมทั้งสามารถตอบคําถามที่เศรษฐีตั้งขึ้นได้จนเป็นที่พอใจ หากคําตอบตรงกันหลายคนลูกเศรษฐีมีสิทธิ์ที่จะเลือกหญิงสาวคนใดคนหนึ่งได้ตามความชอบใจของตน และได้กําหนดวันนัด เวลาที่หญิงสาวจะมาตอบคําถาม โดยนัดมาตอบถาม ณ ที่บ้านเศรษฐีแห่งเดียว เมื่อถึงเวลานัด ปรากฏว่ามีหญิงสาวสวยๆมาเสนอตัวเพื่อรับการ คัดเลือกมากมาย พอผู้มาสมัครคัดเลือกพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีจึงให้หญิงสาวเหล่านั้นนั่งเรียงกันเป็นลําดับ เพื่อรอเวลาที่จะตอบคําถาม โดยบอกคําถามให้ทราบ ล่วงหน้า ซึ่งคําถามมีอยู่ว่า มีปลาอยู่ตัวเดียว ขนาดโตพอสมควร เราจะประกอบอาหารโดยวิธีใด จึงจะได้กินนานๆ และแจ้งว่า การสอบจะใช้วิธีถามทีละคนและให้ตอบปากเปล่า ผู้ตอบคําถามจะต้องบอกชื่อ นามสกุล อายุ และที่อยู่ของตนให้ชัดเจนด้วย เมื่อตอบคําถามเสร็จแล้วให้พากันกลับบ้านและมาฟังผลการคัดเลือกในวันรุ่งขึ้น เมื่อเศรษฐีประกาศวิธีสอบคัดเลือกเสร็จแล้ว ก็ลงมือเรียกหญิงสาวเหล่านั้นไปสัมภาษณ์เป็นรายคนต่อไป พร้อมกับบันทึกคําตอบของแต่ละคนด้วย คําตอบของหญิงสาวส่วนมากเป็นคําตอบซ้ําๆ กัน ในทํานองต่อไปนี้คือ บางคนก็ว่า ย่างปลา ให้แห้งแล้วแบ่งปลาแกงทีละน้อยโดยใส่ผักมากๆ บ้างก็ว่า ย่างปลาให้แห้งแล้วนํามาตําเป็นน้ําพริกทีละน้อย บ้างก็ว่า นําปลามาทําเป็นปลาร้าบรรจุใส่กระบอกไม้ไผ่หรือไหไว้ แล้วนํามาประกอบอาหารทีละน้อยเป็นต้น มีหญิงสาวเพียงคนเดียวที่ตอบแตกต่างคนอื่น คือ นําปลานั้นมาประกอบอาหารครั้งเดียวโดยจะทําเป็นแกงหรือน้ําพริกหรือทําเป็นอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ทําเสร็จแล้วให้แบ่งอาหารนั้นไปแจกจ่ายแก่ญาติ เช่น ลุง ป้า น้า อา ตา ยาย เป็นต้น และผู้สนิทคุ้นเคยซึ่งเคยได้พึ่งพาอาศัยกันโดยทั่วกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ภายหลัง เมื่อผู้ได้รับส่วนแบ่งอาหารเหล่านั้นมีอาหารอะไรดีๆ ซึ่งก็พอที่เขาจะแบ่งมาให้เราได้ เขาก็จะแบ่งมาตอบแทน เราก็จะได้กินอาหารต่อไปนานๆ คําตอบนี้เป็นที่พอใจของ เศรษฐีมาก เพราะแสดงถึงลักษณะนิสัยของผู้ตอบว่า เป็นผู้มีนําใจเอื้อเพื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว และเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม จึงตัดสินใจให้หญิงสาวคนนี้ชนะการคัดเลือก ในวันรุ่งขึ้น หญิงสาวต่างมาฟังผลการคัดเลือก และเศรษฐีได้แจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน และได้เลือกผู้ชนะการคัดเลือกมาพบ ปรากฏว่าหญิงสาวผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นสะใภ้เป็นหญิงสาวสวย มีลักษณะกัลยาณี เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล เคยได้รักการอบรมจากพ่อแม่มาด้วยดี จึงตอบคําถามได้ดีเป็นที่พอใจ เศรษฐีผัวเมียรู้สึกยินดีที่จะได้ลูกสะใภ้ดีพร้อม ทั้งลูกชายก็รู้สึกพอใจที่ได้ภรรยาสวยและเป็นคนดีเศรษฐีจึงได้จัดทําพิธีมงคลสมรสอย่างเอิกเกริก และทั้งได้ปกป้องครองกันด้วยความผาสุกตลอดชีวิต
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เอาน้ําลูบท้อง ชายหนุ่มที่ไปค้างบ้านคู่หมั้นแต่ต้องสงวนท่าทีไม่กินจุ ตกดึกเขาหิวมากจนนอนไม่หลับจึงย่องไปห้องครัวแล้วขโมยไข่ไก่ แต่พลาดไปเตะถังล้มทั้งบ้านจึงแตกตื่นชายหนุ่มจึงอมไข่ไว้ในปากเพราะกลัวโดนจับได้ คู่หมั้นเป็นห่วงคิดว่าเขาเป็นฝีจึงตามหมอมาช่วยผ่าตัดพอผ่าเสร็จชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดมากจึงขอเป็นโสดตลอดชีวิต
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว นายพรานได้ไปล่าสัตว์ในป่าและจับแม่กวางท้องแก่ได้และนําเนื้อไปขาย พอนายพรานนอนพักแล้วตื่นมาเจอชายแก่ยืนต่อว่านายพรานอยู่ นายพรานก็ไม่เชื่อพอมาวันหนึ่งนายพรานได้กลับไปล่าสัตว์ในป่าโดยวางกับดักไว้ สักพักนายพรานเจอฝูงช้างใหญ่จึงตกใจวิ่งหนีสุดชีวิตแต่เพราะมัวแต่วิ่งจึงไปติดกับดักของตัวเองแล้วทําให้นายพรานสิ้นใจในที่สุดเพราะอยู่ในป่าลึก ชาวบ้านที่ผ่านมาพบศพนายพรานก็ได้แต่ปลงตกแล้วนําศพของนายพรานไปทําพิธี
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หนูตกถังข้าวสาร เศรษฐีคนหนึ่งรักลูกสาวมากจึงอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาแต่ยังหาเจ้าบ่าวให้ไม่ได้ พ่อจึงบอกว่าถ้าเจอผู้ชายมือสากๆให้บอกพ่อที แล้วเรื่องนี้ก็ไปถึงหูชายเกียจคร้านจึงออกอุบายนําข้าวเหนียวมาแช่แล้วไปผึ่งลมให้แห้ง แล้วไปหาลูกสาวเศรษฐีเพื่อขอน้ํากินพอได้สัมผัสมือก็พบว่ามือสากจึงนําเรื่องไปบอกพ่อและทั้งคู่ก็ได้ครองรักกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนเกียจคร้าน นานไปจะไร้ทรัพย์ อ้นกับพุดไปดูดวงกับหมอดูหมอบอกว่าอ้นชะตาจะลําบาก ส่วนพุดชะตาจะได้ร่วมกลดกับพระเจ้าแผ่นดิน อ้นนั้นกังวลจึงทํางานหนักจนมีเงินเก็บได้เป็นเศรษฐี ส่วนพุดนั้นไม่ทําการทํางานเอาแต่เที่ยวจนหมดตัวกลายเป็นขอทาน บางวันก็มีกิน บางวันก็อดอยากจนวันหนึ่งพุดก็อดอยากจนขาดใจตายในที่สุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พญาฉัททันต์ พญาช้างฉัททันต์ทําให้นางจุลพัตราน้อยเนื้อต่ําใจจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าหากเกิดชาติหน้าฉันท์ใดขอให้ได้แก้แค้นพญาฉัททันต์ด้วยเถิดและกลั้นใจตายไปในที่สุด ชาติต่อมานางจุลพัตราเกิดมาเป็นพระธิดาของพระเจ้าพรหมทัตนามว่าจุลพัตราและจากแรงแค้นในชาติปางก่อนทําให้นางปรารถนาแท่นบรรทมที่ทําด้วยงาช้าง พรานโสอุดรจึงอาสาไปล่าพญาฉัททันต์เอง จึงใช้ธนูยิงพญาฉัททันต์ พญาฉัททันต์ร้องด้วยความเจ็บปวดเหล่าบริวารจึงมาดูแต่พญาฉัททันต์บอกว่าไม่มีอะไรและยอมให้พรานโสอุดรฆ่าตัวเองเสีย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุบิน วันหนึ่งขุนเนสาทเป็นพรานที่มีฝีมือเก่งกาจแต่บุตรของเขาบ่สนใจการล่าสัตว์ และได้บวชเป็นสามเณรวันหนึ่งยมทูตได้นําวิญญาณของนางสุภาคีไปสู่นรกภูมิ ต้องถูกทรมานด้วยไฟนรก เฮ็ดให้นางสุภาคีย่านคักครั้นนางฟื้นขึ้นมาก็เข้าใจในการทําบุญสร้างบาปอย่างถ่องแท้ จึงรีบไปบอกสามเณรและเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมกับขอบวชชี
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ถ้ําตับเต่า ณ ถ้ําแห่งหนึ่งที่มีค้างคาวอาศัยอยู่ถึง 500 ตัว ในวันหนึ่งมีพระอรหันต์ธุดงค์มาที่ถ้ํา ทําให้ค้างคาวทั้งหมดได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระอรหันต์แสดง จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรม เมื่อตายไปค้างคาวทั้ง 500 ตัวได้ไปจุติเป็นเทพบุตรอยู่บนสรวงสวรรค์
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
จักจั่นไม่มีไส้ นานมาแล้ว จักจั่นยังคงมีไส้อยู่ในท้องเหมือนกับสัตว์ชนิดต่างๆ และอาศัยอยู่ในป่า วันหนึ่งพอไม่มีอะไรทําจักจั่นร้องเสียงดังแว้ดๆขึ้นมา จนทําให้นกเค้าแมวที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันตกใจกลัว ร้องหอก หอก ออกมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ซิ้นสองต่อน เมื่อปี 2514 มีคู่รักคู่หนึ่งรักกันมาก ฝ่ายหญิงชื่อจําปา ฝ่ายชายชื่อบุญหลาย แต่พ่อแม่กีดกัน เพราะพ่อแม่เป็นศัตรูกันมานานหลายสิบปี เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งสองจึงต้องแอบคบกันแบบลับๆ ตลอดมา ส่วนจําปีพี่สาวของจําปานั้นก็ได้แอบรักบุญหลายอยู่เช่นกัน...จนวันหนึ่งจําปีเห็นจําปาคุยอยู่กับบุญหลาย จําปีจึงไม่พอใจจึงนําความไปบอกพ่อแม่ พ่อแม่แค้นใจมาก จึงจับจําปาบวชชีครั้นเวลาผ่านไปหลายเดือน จําปาที่บวชชีอยู่ก็แอบหนีจากการเป็นชี จําปาได้หนีไปอีกหมู่บ้านหนึ่งกับบุญหลาย เมื่อจําปีทราบว่า จําปาหนีไปกับบุญหลาย จําปีก็ไปบอกพ่อแม่ของบุญหลาย เมื่อทราบดังนั้น ฝ่ายแม่ของบุญหลายก็ตรอมใจตาย ส่วนพ่อบุญหลายไม่เชื่อเลยจับจําปีขังไว้ที่บ้านของตน แล้วไปบอกพ่อแม่ของจําปา ว่าให้หาบุญหลายให้เจอ แล้วจึงจะเอาจําปีคืนให้ พ่อแม่ของจําปาจึงแสร้งมาพูดจาดีๆ มาพร้อมกับข้าวห่อหนึ่งใส่ยาพิษมาให้พ่อบุญหลายก็กินแล้วตายไป พ่อแม่จําปีก็พาจําปีกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน โจรก็มาปล้นกลางทางแล้วฆ่าทั้ง 3 ทิ้งเสีย ส่วนจําปากับบุญหลาย ครองรักกันไม่นานก็ตั้งครรภ์แล้วแท้งลูก จําปาเลยเป็นบ้าสติไม่เต็ม วันหนึ่งเห็นมีดในครัว จึงถือมาฟันหัวบุญหลายตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ขี้เหล้าเล่นหม้อ เศรษฐีผู้ใจบุญ มีลูกชายคนเดียวไม่เอาถ่าน เมียก็ไม่มี ลูกชายเศรษฐีเอาอย่างเดียวคือกินเหล้า กินแล้วก็กินอีก กินจนติด เพื่อนฝูงก็มาก เพราะรวยมีเงินเลี้ยงคนอื่นเพื่อต้องการความเป็นเพื่อนแค่นั้นเอง ส่วนเพื่อนทั้งหลายก็หลอกกินฟรีไปวันๆ หลายปีต่อมา เศรษฐีใจบุญตายลง ลูกชายเศรษฐีเป็นผู้รับมรดกแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่สนใจการบริหาร ไม่รู้จักรักษาทรัพย์ที่พ่อแม่ให้ไว้ ดื่มกินจนเมามาย ไม่นานฐานะความเป็นอยู่ของเขาก็จนลง ไม่มีที่อยู่อาศัย ขอทานเขากินไปวัน ๆ ความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเริ่มเข้ามาแทนที่ เขาไปหาเพื่อนที่ไหนก็ไม่มีใครให้กิน ความทุกขเวทนามีมากยิ่งขึ้น ด้วยเดชะบุญกุศลของเศรษฐีผู้ใจบุญที่ตายไปแล้ว จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาผู้ใหญ่ในสวรรค์ ด้วยความเป็นห่วงลูก จึงใช้ตาทิพย์มองมายังพื้นโลก เห็นลูกชายของตนได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก หัวอกผู้เป็นพ่อให้สลดหดหู่ยิ่งนัก ด้วยความเป็นห่วงลูก เทวดาผู้เป็นใหญ่นั้นจึงได้ลงมาหาลูกของตน สอนให้ลูกรู้จักทํามาหากินและให้รู้จักประหยัดเมื่อมีเงิน “เจ้าจงรักษาหม้อดินนี้ให้ดี หากเจ้าต้องการเงินทอง เจ้าก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบมาใช้ได้ดั่งใจคิด แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทําแตก”เขาอดเหล้าได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็ลืมคําพ่อที่สั่งสอนเสียสิ้น ...เขากลับมาดื่มกินอย่างหนักหม้อในมือเขาเกิดร่วงจริงๆ หม้อใบนั้นจึงแตก ... ขี้เหล้าตกใจมาก...เขาคิดถึงคําพ่อที่บอกไว้ เขารู้สึกเสียใจในการกระทําของตัวเองมาก...เขาไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมหมาไม่กินกุดจี่ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วขณะที่กุดจี่สองตัวผัวเมียกําลังช่วยกันกลิ้งเบ้า (ลูกดินกลมๆที่ห่อหุ้มไข่กุดจี่) ไปตามทางผ่านหน้าหมาตัวหนึ่ง หมาสงสัยก็ถามว่า “จะพากันไปไหน” กุดจี่ตอบว่า “จะไปเมืองลังกา” (กรุงลงกา ในเรื่องรามเกียรติ์)หมาก็ยิ่งสงสัยว่า “ไปทําอะไรหรือ” กุดจี่ตอบว่า “ได้ข่าวว่าเมืองลงกาถูกหนุมานเผาเมืองไหม้วอดวายหมด รวมทั้งครกที่ตําอาหารก็ไหม้ จะเอาเบ้าไปทําครกถวายพระเจ้าเมืองลังกา”หมายิ่งงงและถามไปอีกอย่างดูถูกดูแคลน “ว่าจะไปถึงเร้อ?...แล้วเบ้าแค่นี้จะทําครกได้อย่างไรกัน”กุดจี่ตอบทันควันว่า “นี่กะว่าจะไปกินงายเมืองลังกาโน่นแหละวันนี้ (หมายถึง จะไปให้ทันกินข้าวเช้า) แล้วก้อนดินนี้จะปาดออกให้เป็นครก ๓ ใบก็ได้ “...หมาได้ฟังก็งึดมาก (งึดนี้ แปลว่า งงหรือแปลกใจอย่างสุดๆเลย) ...ตั้งแต่นั้นมาหมาไม่กินกุดจี่เลย โดยถือว่ากุดจี่มีความสามารถมากกว่าตัวเองซึ่งในความเป็นจริงแล้ว...หมาทุกตัวจะเมินไม่ยอมกินกุดจี่ ไม่ว่าจะตัวสด หรือคั่ว ทอดจนสุกแล้วก็ตาม ...ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า...จริงๆแล้วจะเป็นเพราะหมาไม่ถูกกับกลิ่นขี้ควายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หนองหล่ม ตํานานและพงศาวดารหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า เจ้าชายสิงหนวัติ พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมือง พอมาถึงแม่น้ําโขง ก็พบนาคจําแลงเป็นชายมาบอกสถานที่สร้างเมือง จึงตั้งเมืองโยนกนาคพันสิงหนวัติ โดยเอาชื่อองค์ผู้สร้างเมืองรวมกับชื่อนาค หรือโยนกนครหลวง มีกษัตริย์ปกครองสืบจนถึงสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ ผู้คนจับปลาไหลเผือกได้ที่แม่น้ํากก จึงนํามาแบ่งกันกินทั่วเมือง เว้นแต่หญิงหม้ายนางหนึ่งไม่มีลูกหลานไม่มีใครให้กิน ตกกลางคืนเกิดแผ่นดินไหว เมืองถล่มลงเหลือแต่บริเวณบ้านของหญิงม่ายจึงเรียกน้ํานั้นว่าเกาะแม่หม้าย และเรียกเมืองนั้นว่าเวียงหนองล่ม หรือเวียงหนอง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ผีกองกอย กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องอยู่สองคน มีอาชีพทํานา เมื่อหน้าแล้งมาเยือน ก็ทํานาไม่ได้ ผู้เป็นพี่ชายจึงได้ไปหาปลาในห้วย ซึ่งอยู่ไกลออกไป ทุกๆ เช้าเขาจะไปกู้ลอบที่ดักปลาไว้ วันหนึ่งเขาไปกู้ลอบตามปกติ แต่ปรากฏว่า ไม่มีปลาเลยสักตัว ซึ่งปกติแล้ว จะต้องมีปลาติดอยู่ตัวหรือสองตัว เขาคิดว่าจะต้องมีคนมาขโมยปลาเขาแน่ๆ คิดดังนั้นเขาจึงเดินสํารวจบริเวณรอบๆ แล้วเขาก็พบรอยคนเท้าเล็กๆ ซึ่งไม่น่าจะยาวเกิน 3 นิ้ว “ในโลกนี้คือสิมีคนตีนน้อยแนวนี้” เขาคิดในใจ “ถ้าเป็นตีนเด็กน้อย ขนาดนี้ก็ยังย่าง(เดิน)บ่ทันเป็น” คิดแล้วเขาก็เอาลอบลงน้ําตามเดิม วันรุ่งขึ้น ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก มันทําให้เขาโมโห และคิดว่าต้องจับให้ได้ว่าใครเป็นคนขโมย คิดดังนั้น เขาจึงไปแอบคอยดักดูอยู่พุ่มไม้ใกล้ๆกับลอบดักปลาทั้งคืน เขาอดตาหลับขับตานอน หลับๆตื่นๆ จนเวลาล่วงมาใกล้รุ่งสาง เขาก็ได้ยินเสียง คล้ายกับคนเดินมาเบาๆ แล้วเขาก็ได้เห็น ผีกองกอยยืนอยู่ริมตลิ่ง มันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมยาวเหมือนแม่มด ไม่สวมเสื้อผ้า ยืนเปลือยกายอยู่ตรงหน้า และทําท่ากําลังจะขโมยปลาของเขา ความโกรธทําให้เขาลืมตัว บันดาลโทสะออกไป “กูสิสับมึงให้แหลกปานลาบพู้นล่ะ อีขี่ลัก” เขาตะโกนออกไปพร้อมกับกระโจนออกจากที่ซ่อน ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแรงมากแต่ก็ไม่สามารถจับตัวผีกองก่อยได้ ในที่สุด เขาเองกลับเป็นฝ่ายที่ถูกผีกองกอยจับตัวไปขังไว้ที่ถ้ําของมัน พร้อมกับบังคับให้เขาเป็นผัว และทุกครั้งที่ผีกองกอยออกไปหากิน มันจะเอาหินก้อนใหญ่มาปิดปากถ้ําไว้ หนึ่งปีผ่านไป เขาก็มีลูกชายกับผีกองกอย 1 คน เขามีหน้าที่เลี้ยงลูกยามที่ผีกองกอยไม่อยู่ และเขาต้องอยู่แบบนี้นานถึง 3 ปี อยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายของเขาได้พยายามดันก้อนหินออกจากหน้าถ้ํา ด้วยพละกําลังที่ได้มาจากแม่ผู้เป็นผีกองกอย ทําให้เด็กน้อยสามารถเปิดปากถ้ําให้ผู้เป็นพ่อ หลบหนีออกไปได้ พอปากถ้ําเปิด เขาก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างสุดชีวิต ถึงเขาจะวิ่งได้เร็วแค่ไหน แต่ก็ยังช้ากว่าผีกองกอย ทันทีที่ผีกองกอยรู้ว่าเขาหนีไป มันก็รีบวิ่งตามมาติดๆ เขาวิ่งจะถึงหมู่บ้านอยู่แล้ว ช้าไปเสียแล้ว ผีกองกอยวิ่งตามเขาทัน เมื่อรู้ตัวว่าไม่พ้นเงื้อมมือมัน เขาจึงรีบล้มตัวลงนอน แกล้งตายอยู่ตรงนั้น เมื่อผีกองกอยมาถึงตัวเขา มันก็เดินวนรอบตัวเขา พร้อมกับเอามือจี้เอวเขาดู เขาเป็นคนที่มีความอดทน ไม่บ้าจี้ จึงนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น พร้อมกันนั้นเขาก็ค่อยๆผายลมออกมาอย่างแผ่วเบา กลิ่นเหม็นจากตดของเขาตลบอบอวนไปทั่ว ผีกองกอยเห็นดังนั้นก็ร้องไห้เศร้าโศกเสียใจด้วยความอาลัยรัก เมื่อมั่นใจแน่ว่าเขาตายแล้วจริงๆ มันจึงเอาฆ้องวิเศษให้เขา 1 อัน พร้อมกับบอกว่า “เมื่อเจ้าต้องการหยัง ก็ให้ตีฆ้องเทื่อหนึ่ง” พอผีกองกอยลับตาไปแล้วชายหนุ่มก็กลับเข้าบ้าน กลับมาแล้วความเป็นอยู่ของเขาก็ดีขึ้น เพราะว่าอยากได้อะไรก็แค่ตีฆ้องวิเศษ เมื่อน้องชายเห็นดังนั้นก็อยากได้บ้าง จึงได้ถามว่า เขาได้มันมายังไง และหายไปไหนมาตั้ง 3 ปี เขาจึงเล่าให้น้องชายฟังอย่างละเอียด เมื่อน้องชายเขาฟังจบก็พูดว่า “ข้อยก็อยากรวยคือกัน” เมื่อน้องชายเขาคิดดังนี้แล้วจึงได้ออกไปหาผีกองกอยให้ผีก่องกอยจับตัวไป แล้วก็หนี่กลับมา แต่เขาโชคไม่ดีเหมือนพี่ชายเขาเพราะ เขาไม่สามารถอดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ ตอนที่เขาโดนผีก่องกอยจี้ที่เอวนั้นเขาก็หัวเราะชักดิ้นชักงอ ผีกองกอยจึงรู้ว่าเขาไม่ได้ตาย มันจึงเอามือจก(ล้วง)กินตับไตใส้พุงของเขาจนหมดเกลี้ยง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไอ้เจ็ดไห เด็กคนหนึ่งเกิดมาครู่เดียวก็ลุกขึ้นมากินข้าวทีเดียวหมดไปเจ็ดไหจึงเป็นคนมีกําลังมาก พอกินข้าวเสร็จก็ถามหาพ่อ แม่บอกว่าพ่ออยู่ที่ไร่ อ้ายเจ็ดไหก็ตามไปที่ไร่ พ่อไม่รู้จักถามว่าเป็นใคร อ้ายเจ็ดไหก็ตอบว่าเป็นลูกพึ่งคลอดเมื่อกี้นี้เอง แล้วอ้ายเจ็ดไหก็อาสาถางไร่ให้พ่อ ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้วก็จัดการแบกท่อนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งจะให้เอาไปทําฟืน เมื่อแบกไปถึงท่าน้ําก็วางท่อนไม้ลงที่ท่าน้ําแล้วลงเล่นน้ํา พ่อค้าเรือสําเภามาจอดเรือ เพื่อซักผ้ากัน ซักเสร็จก็เอาผ้าพาดบนต้นไม้ของอ้ายเจ็ดไห อ้ายเจ็ดไหเล่นน้ําเสร็จก็บอกพ่อค้าให้เอาผ้าออก ตนจะเอาไม้กลับบ้าน พ่อค้าเห็นไม้ขนาดใหญ่มากก็ไม่เชื่อ จึงท้าว่าถ้าเขายกไปได้จะยกเรือสําเภาให้ อ้ายเจ็ดไหก็ยกไม้ให้ดูพ่อค้าเลยต้องยกเรือสําเภาให้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปู่ปะหลาน ปู่กับหลานได้เดินทางไกลผ่านมายังทุ่งกุลาร้องไห้นี้ เดินข้ามอย่างไรก็ไม่พ้นสักที ปู่ก็จวนเจียนจะหมดแรงอยู่รอมร่อ ส่วนหลานนั้นก็ได้เอาแต่ร้องไห้งอแง ด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งยังกระหายน้ําจนดูท่าว่าจะเดินทางไปต่อไม่ไหว จนกระทั่งได้พล่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย (แต่ก่อนนี้ทุ่งกุลาร้องไห้นี้มีความทุรกันดารมาก ทั้งยังมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มีอาณาเขตติดต่อกันถึงห้าจังหวัด) ปู่จึงได้ใช้ผ้าขาวม้าห่อหุ้มหลานเอาไว้ แล้วนําไปไว้ยังโคนของพุ่มไม้แห่งหนึ่งเพื่อบังแดดให้แก่หลานน้อยนั้นไว้ ปู่จึงได้รีบเดินทางต่อโดยความหวังว่า จะได้พบกับหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดที่ซึ่งมีน้ําเพื่อที่จะนําไปให้หลานดื่มได้ เมื่อปู่เดินทางจนมาถึงตีนบ้าน ปู่ก็ได้รีบเขาไปขอน้ําดื่มจากชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น พร้อมกับได้รีบนําน้ําใส่บั้งทิง เพื่อที่จะนําไปให้หลานดื่ม ส่วนหลานนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่พบปู่ ก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ และด้วยความกลัวตามประสาของเด็ก และจึงได้ออกวิ่ง ทั้งเดินเพื่อตามหาปู่ของตนว่าอยู่ไหน ทั้งยังพร่ําบ่นว่า ปู่นั้นได้ทิ้งตนเองไปแล้ว ด้วยความน้อยเนื้อต่ําใจว่าปู่นั้นไม่รักตนเอง ปล่อยทิ้งให้หลานนั้นอยู่เพียงลําพังคนเดียวด้วยความไม่ไยดีซึ่งมีปรากฏเป็นบทกลอนของการลําอยู่ ในที่สุดนั้นหลานก็ได้หมดแรง และล้มลง ปู่นั้นเมื่อได้น้ํามาแล้ว ก็ได้รีบนํากลับมาให้หลานด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่ได้วางหลานเอาไว้ ก็กลับไม่พบหลานเลย ปู่จึงได้รีบออกค้นหาหลานไปทั่วบริเวณนั้น จนกระทั่งปู่ก็ได้มาพบหลานนอนตายอยู่กลางแดดจ้าของท้องทุ่งอันแสนกันดารแห่งนี้ มีทั้งมด แมลง ไต่ชอนไชอยู่ตามรูจมูก ใบหูและปากไปทั่ว ครั้นเมื่อปู่เห็นสภาพหลานดังนั้นแล้วก็แทบใจขาด น้ําตาร่วงหล่นด้วยความสงสารในชะตากรรมของหลานที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมาน ทั้งยังโทษตัวเองว่าทําไมจึงได้ทิ้งหลานไว้ให้อยู่คนเดียว ปู่ได้ค่อย ๆ อุ้มศพของหลานขึ้นแล้วเดินพาหลานกลับไปยังตีนบ้านแห่งนั้น ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ดังกับว่าหัวใจของปู่นั้นจะแตกสลายเสียให้ได้ ต่อมาเมื่อมีความเจริญขึ้นตรงบริเวณนั้น บริเวณบ้านแห่งนั้นก็ถูกเรียกว่าเป็นบ้าน ปะหลาน ซึ่งหมายถึงบริเวณบ้านที่ปู่นั้นได้พบกับศพของหลานนั่นเอง บริเวณนี้เรียกว่า บ้านป๋าหลาน เพราะคําว่าป๋านั้นหมายถึงการทิ้ง เช่น ผัวป๋าเมีย เป็นต้น ซึ่งในบริเวณจังหวัดมหาสารคามนั้น ก็มีชื่อหมู่บ้านนี้ว่าเป็นบ้านป๋าหลานอยู่ ในท้องที่ใกล้ ๆ กับอําเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เสือทําไมจึงตัวลาย ตั้งแต่ก่อนเก่าโบราณมา คนกับสัตว์ทุกชนิดเป็นเพื่อนกัน มีครอบครัวหนึ่ง ไก่ เสือ และคน อาศัยอยู่ด้วยกัน วันหนึ่ง ไก่ เสือ คน พากันไปเกี่ยวหญ้ามามุงหลังคาบ้าน ในวันนั้น ไก่ เสือ คน เป็นเวรผลัดเปลี่ยนกันหาอาหารมาเลี้ยงดูกัน อาหารมื้อแรกเป็นเวรของไก่ ไก่หาอาหารได้โดยไม่ยากเพราะไก่ไปเก็บผักมาแล้วก็ออกไข่ ปรุงเป็นอาหารให้เพื่อนกินอย่างอิ่มหนําสําราญ อาหารมื้อที่สองเป็นเวรของเสือ เสือก็หาอาหารได้โดยไม่ยากเพราะไปคาบวัวป่ามาแล้วทําลาบก้อยกินอย่างอิ่มหนําสําราญ อาหารมื้อที่สามเป็นเวรของคน หาอาหารด้วยวิธีฉลาดแกมโกง โดยครั้งแรกคนคิดจะเรียนแบบการหาอาหารแบบเสือไปกระโดดหักคอวัวในป่า วัวป่าขวิดชายโครงเป็นบาดแผลจึงคิดจะหาอาหารแบบนกกะยางคือ ขึ้นไปบนต้นไม้ริมหนองน้ําคอยดูปลาเห็นขอนไม้ลอยมานึกว่าปลาตัวโตกระโดดลงไปตะครุบคางกระทบไม้จนบวม จึงคิดจะหาอาหารแบบไก่ โดยขึ้นไปเกาะกิ่งไม้แล้วโก่งคอขันแบบไก่ เมื่อขันแต่ละครั้งก็ถ่ายอุจจาระออกมาหนึ่งก้อนจนได้อุจจาระเต็มหม้อแล้วนําไปผัดใส่ผักตําลึงเมื่อถึงเวลากินข้าวก็ลงนอนทําทีเป็นไข้จับสั่น เมื่อถึงเวลากลับบ้าน เสือสงสารคนจึงเอาหญ้าบรรทุกใส่หลังตนให้คนขี่ ไก่จึงฝากน้ํามันยางห้อยไว้ชายโครงเสือเพราะขี้เกียจถือ เสือบอกกับคนว่า ”ห้ามสูบบุหรี่” คนก็รับคําแต่ก็อดไม่ได้จึงเอาบุหรี่มามวน เมื่อจุดไม้ขีดเกิดเสียงดังป๊อกๆ เสือเลยถามว่า ”เธอทําอะไร” คนตอบว่า ”เราเป็นไข้จับสั่น” การที่คนสูบบุหรี่ทําให้ขี้บุหรี่หล่นลงมาบนหลังเสือ เกิดไฟไหม้หญ้าที่เสือบรรทุกไว้ เมื่อไฟโดนน้ํามันยางที่ไก่เอามาแขวนไว้จึงลุกโพรง เสือร้อนจึงวิ่งไม่หยุด ไก่จึงร้องบอกให้เพื่อนวิ่งไปโดดลงน้ํากว่าจะถึงหนองน้ําไฟก็ไหม้เสือจนตัวลาย เสือจึงตัวลายจนกระทั่งทุกวันนี้และเสือจึงอาฆาตเป็นศัตรูกับคนและไก่ตั้งแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมกากับนกยูงจึงเป็นศัตรูกัน ตั้งแต่โบราณ กากับนกยูงเป็นสหายกัน สัตว์ทั้งสองต่างก็มีกายสีขาว กากับนกยูงอยากให้ร่างกายมีลายสวยสดงดงาม จึงปรึกษากัน ตกลงกันว่าต่างฝ่ายต่างจะเขียนลายให้แก่กัน วันแรกนกยูงฉลาดให้กาเขียนลายให้ตนก่อน กาเป็นสัตว์ขยันจึงเขียนลายให้นกยูงสวยงามดังที่เห็นทุกวันนี้ พอวันหลังถึงคราวที่นกยูงจะเขียนให้กาบ้าง นกยูงเป็นสัตว์ขี้เกียจ ทั้งกลัวและเสียเวลาไปรําแพนปีกอวดคนอื่น นกยูงจึงจับกาจุ่มสีดํา กาโกรธมากไล่จิกนกยูง จึงเป็นศัตรูกับนกยูงตราบเท่าทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ทําไมงูเหลือมจึงไม่มีพิษ ในสมัยก่อน งูเหลือมมีร่างกายใหญ่โต มีพิษมากกว่างูทุกชนิด เมื่องูเหลือมกัดคนหรือสัตว์จะตายทันที วันหนึ่งชายชราคนหนึ่งไปหาเขียดในนา เมื่อหาได้แล้วก็เอาเขียดมัดเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ขณะที่เดินกลับบ้านนั้นชายชราเหยียบงูเหลือม งูเหลือมจึงกัดชายชราตายคาที่ แต่เขียดที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อชายชราไม่ตายจึงดิ้นไปมา งูเหลือมเห็นเสื้อไหวไปมาก็นึกว่าชายชราไม่ตาย สําคัญผิดคิดว่าพิษของตนไม่มีความหมายจึงคายพิษออก พวกงูเห่า งูจงอาง อยู่ใกล้ๆจึงเลื้อยไปสูดเอาพิษ ดังนั้นงูเห่า งูจงอางจึงมีพิษมากกว่างูทั้งหลาย งูอื่นๆมีพิษเพียงเล็กน้อยเพราะเพียงแต่ได้ดมกลิ่นพิษเท่านั้น
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ลิงกับเต่า นานมาแล้วที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่งเป็นลูกของคนมั่งมี ต่อมาได้รับมรดกจากบิดามารดา ภายหลังสละสมบัติที่มีอยู่ออกบวชเป็นฤๅษีบําเพ็ญตบะอยู่ในป่า ในป่าแห่งนี้มีลิงตัวหนึ่งมาหลอกล้อฤๅษีอยู่เป็นประจํา แต่ฤๅษีไม่สนใจ อยู่มาวันหนึ่งมีเต่าตัวหนึ่งขึ้นจากสระ อ้าปากผึ่งแดดอยู่ ลิงเห็นเข้าก็นึกสนุกคิดจะหยอกล้อเหมือนฤๅษี จึงเอาองคชาตของตนสอดเข้าไปในปากของเต่าด้วยความคะนอง เต่าจึงหุบปากคาบเอาองคชาตของลิงไว้แน่น ลิงได้รับความเจ็บปวดมาก ร้องโอดครวญอยู่และได้อุ้มเต่าตัวนั้นไปหาฤๅษี เพื่อจะให้ฤๅษีช่วย ฤๅษีเห็นเช่นนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ลิงเอ๋ยเจ้าไปเอาอาหารที่ไหนมาให้เรา เราไม่ต้องการหรอก เจ้าจงเอาไปกินเถิด” ลิงรู้ว่าฤๅษีพูดประชดตัวเอง ก็ละอายแก่ใจพูดว่า “ท่านฤๅษีช่วยข้าเถิด ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทําเช่นนี้อีก” ฤๅษีได้ฟังเช่นนั้น นึกสงสารจึงพูดกับเต่าว่า “เต่าเอ๋ย เจ้าก็เป็นสัตว์มีใจ เมตตากรุณา ลิงตัวนี้เจ็บปวดมาก จงปล่อยเขาไปเถิด ต่อไปเขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้ด้วยความละอายใจ” เต่าจึงปล่อยลิง ลิงดีใจมากกล่าวขอบคุณฤๅษีและเต่า แล้วก็หนีจากที่นั้นไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ปูทอง นานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมาเป็นเวลาช้านาน โดยมีอาชีพทํานา วันหนึ่งชายหนุ่มได้ออกไปทุ่งนาเพื่อจะอาบน้ํา เมื่อไปถึงหนองน้ําได้เห็นปูตัวหนึ่งมีสีเหลืองดั่งทองอยู่ในหนองนั้น จึงจับเอาปูใส่ห่อผ้านําไปยังที่นาของตนแล้วปล่อยไว้ให้กินอาหาร เมื่อจะกลับบ้านก็นําปูไปที่หนองน้ําตามเดิม รุ่งเช้าก็มาหาปูใหม่และนําไปเลี้ยงไว้ที่นาของตน ทําอยู่เช่นนี้เป็นเวลานานจนกระทั่งปูกับชายหนุ่มรักใคร่กันเป็นอย่างดี ที่ปลายนาของชายหนุ่มมีนางกาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ขณะนั้นนางกาเกิดแพ้ท้องอยากจะกินดวงตาของชายหนุ่มจึงพูดกับกาตัวผู้ว่า “พี่ขา ฉันอยากจะกินดวงตาของชายหนุ่ม ช่วยเอามาให้ดิฉันด้วย ถ้าดิฉันไม่ได้กินคงจะตายแน่ๆ” กาตัวผู้จึงพูดว่า “ชายหนุ่มเขาไม่ตายพี่จะเอามาได้อย่างไร” นางกาได้แนะอุบายว่า พี่จงไปยอมเป็นผู้รับใช้งูเห่าที่อาศัยอยู่บนจอมปลวกในนาของชายหนุ่ม แล้วขอร้องให้งูเห่ากัด เมื่อชายหนุ่มตายแล้วจงไปจิกเอาตามาให้ฉัน กาอยู่กับงูเห่าเป็นเวลานาน จนรักใคร่คุ้นเคยกันดี วันหนึ่งกาจึงถามงูเห่าขึ้นว่า ท่านมีความเดือดร้อนอะไรหรือไม่ กาได้โอกาสจึงบอกว่ามีความเดือดร้อนอยู่อย่างหนึ่งคือ ภรรยาของเราอยากจะกินดวงตาของชายหนุ่ม ถ้าไม่ได้กินจะตาย เราจึงขอร้องให้เพื่อนช่วยกัดชายหนุ่มให้ตายด้วย แล้วเราจะได้จิกเอาดวงตาไปให้ภรรยาของเรากิน งูเห่าบอกว่า ไม่ยากเลยเราจะจัดการให้ ในวันต่อมางูเห่าเข้าไปขดอยู่ในกองฟางของชายหนุ่ม คอยหาโอกาสอยู่ เมื่อเอาปูขึ้นจากหนองชายหนุ่มก็เดินไปที่กองฟางเพื่อจะเอาฟางไปให้โค งูเห่ากัดทําให้ชายหนุ่มล้มลง ปูทองเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ท่านถูกงูเห่ากัดเราจะช่วยท่าน ฝ่ายกาเห็นชายหนุ่มล้มลงก็บินมาเพื่อจะจิกเอาดวงตา ขณะที่กําลังจะจิก ปูทองเอาก้ามหนึ่งหนีบขากาไว้ กาถูกปูหนีบจึงร้องด้วยความตกใจและขอร้องให้งูเห่าช่วย งูเห่าได้ยินก็รีบมาช่วยแผ่พังพานเข้าจะกัดปู ปูจึงเอาก้ามอีกข้างหนึ่งหนีบคองูเห่าเอาไว้ งูเห่าพยายามดิ้นรนก็ไม่หลุดจึงขอร้องไห้ปูปล่อย ปูจึงบอกว่าให้ดูดพิษออกจากชายหนุ่มเสียก่อนโดยหนีบขากาไว้เป็นประกัน เมื่องูเห่าดูดพิษออกจากชายหนุ่มแล้ว ชายหนุ่มก็หายเป็นปกติ ปูจึงคิดว่า ถ้าจะปล่อยสัตว์ทั้งสองไว้ก็จะเป็นอันตรายแก่ชายหนุ่ม จึงหนีบคองูเห่าจนตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ศุภมิตร-เกศินี เมืองจําปาก มีพระเจ้าศุภมิตรและพระนางเกศินีครองเมือง มีโอรส ๒ องค์คือ เจ้าชายชัยเสน และเจ้าชายชัยทัต มีพระอนุชาเป็นมหาอุปราช ต่อมามหาอุปราชวางแผนจะชิงเอาราชสมบัติ พระเจ้าศุภมิตรทราบเรื่องจึงพามเหสีและโอรสหนีไป ทําให้มหาอุปราชได้ครองเมืองตามต้องการ พระเจ้าศุภมิตร เดินทางเข้าไปในป่า พบลูกนกจากคอน พระโอรสอยากลูกนกจึงไปเอามาให้เล่น แต่ต่อมาสงสารจึงเอาไปปล่อยไว้ในรังเช่นเดิม แล้วก็เดินทางต่อไป จนถึงฝั่งแม่น้ําใกล้เมืองตักศิลา เพราะเรือข้ามฝั่งเป็นลําเล็กพระองค์จึงอุ้มโอรสไปไว้อีกฝั่งหนึ่งก่อน แล้วจึงกลับมารับมเหสี ขณะกลับมาเรืออยู่กลางลําน้ํา พอดีมีชาวประมงมาพบเด็กทั้งสองถูกทิ้งไว้ริมฝั่งจึงเอาไปเลี้ยงไว้ และมีนายสําเภาพวกหนึ่งมาพบนางเกศินีจึงพากันฉุดนางขึ้นเรือไป เมื่อพระเจ้าศุภมิตรกลับมาถึงฝั่งแรก ก็ไม่พบมเหสี กลับไปอีกฝั่งก็ไม่พบพระโอรสอีก บัดเดี๋ยวนี้ทุกคนต่างแยกกันไปคนละทิศคนละทาง พระศุภมิตรจึงเดินทางต่อมาจนถึงนอกเมืองตักศิลา ขณะนั้นเจ้าเมืองได้สิ้นพระชนม์โดยไร้ผู้สืบทอด เสนาอํามาตย์จึงทําพิธีปล่อยราชรถ ปรากฎว่าราชรถนั้นได้มาเกยพระเจ้าศุภมิตรไปเป็นกษัตริย์ครองเมืองตักศิลา ส่วนโอรสทั้งสองค์นั้นอาศัยอยู่กับชาวประมงจนเติบโต จึงได้เอาไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระราชวังของพระเจ้าศุภมิตร แต่พระเจ้าศุภมิตรกลับจําไม่ได้ ฝ่ายนางเกศินีที่ติดเรือไปกับนายสําเภาพ่อค้าไปยังเมืองต่างๆ ครั้งหนึ่งพ่อค้าก็ย้อนกลับมาที่เมืองศักศิลา สองมหาดเล็กนาม ชัยทัต และ ชัยเสน ถูกส่งตัวไปเฝ้าเรือสําเภาของพ่อค้า กลางดึกคืนหนึ่งสองมหาดเล็กนั่งคุยกันแก้เหงา ชัยเสนผู้พี่เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาเท่าที่จําได้ ขณะนั้นนางเกศินีนอนฟังอยู่ในเรือ ได้ยินเรื่องราวก็มาแสดงตัวว่าเป็นแม่ ทั้งสามกอดกันกลมด้วยความดีใจ นายสําเภาเห็นเช่นนั้นเข้าใจว่ามหาดเล็กลอบเล่นชู้กับนาง จึงจับตัวส่งคนทั้งสามไปให้ท้าวศุภมิตรตัดสิน ท้าวศุภมิตรได้พบและฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยินดียิ่งนัก จากนั้นจึงรับเอามเหสีและโอรสมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวเสียวสวาด ท้าวเสียวสวาด เป็นขุนนางผู้เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ได้ถวายคําสอนแก่กษัตริย์และเพื่อนขุนนางพร้อมทั้งประชาชนทั่วไป หลักการสอนนั้นมีทั้งสอนตรง สอนโดยยกผญาสุภาษิต สอนโดยยกปริศนาธรรมและสอนโดยยกนิทานมาประกอบ นิทานที่ยกมานั้นมีนิทานชาวบ้าน นิทานชาดก นิทานอีสป แต่ละเรื่องให้แนวคิดที่น่าสนใจและชวนให้ติดตาม เช่นเรื่อง การทําคุณบูชาโทษ มีใจความว่า มีเสือร้ายตัวหนึ่งนอนทับรูงูเห่าไว้ ทําให้งูเห่าหายใจไม่ออกจึงขึ้นมากัดเสือตาย ขณะนั้นพระฤาษีมาพบร่าง จึงร่ายมนต์ชุบชีวิตเสือให้ฟื้นคืนมา พอเสือฟื้นมา ก็โกรธหาว่าพระฤาษีรบกวนเวลานอนจึงจะจับพระฤาษีกินเสีย แม้พระฤาษีเล่าความจริงให้ฟังก็ไม่เชื่อ ทั้งสองจึงเดินทางไปพบเทพยดาตนหนึ่ง เทพยดาเห็นผิดเป็นชอบจึงตัดสินว่าเสือเป็นฝ่ายถูก พระฤาษีไม่พอใจจึงไปพบพญาวัวตัวหนึ่งให้ช่วยตัดสิน พญาวัวกลัวเสือจึงตัดสินว่าให้เสือชนะอีก พระฤาษีไม่พอใจจึงเดินทางต่อไปอีกจนไปพบกระต่ายที่เป็นสัตว์ฉลาด กระต่ายจึงให้พาไปดูสถานที่เกิดเหตุ และบอกให้เสือนอนลงที่เดิม เพื่อดูเหตุการณ์ ขณะนั้นงูเห่าได้ออกมากัดเสือตายอีก พระฤาษีต้องการชุบชีวิตเสือขึ้นมาอีก แต่กระต่ายห้ามไว้ ทั้งกระต่ายและพระฤาษี จึงเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุทธนูชาดก มีเมืองใหญ่อยู่เมืองหนึ่งชื่อว่าอุตระนครมีพญาอาทิจวังสะและนางจันทาเทวีปกครองเมือง มีโอรสองค์หนึ่งเกิดมาพร้อมธนู จึงได้ชื่อว่า สุทธนู เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มได้ไปเรียนวิชาอาคม ที่เมืองตักศิลา แล้วกลับมาเป็นอุปราชช่วยพ่อปกครองเมือง และที่เมืองอุตระนครนี้มีพญานาคชื่อ ชมภูชิตแห่งเมืองบาดาลอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นผู้คอยดูแลเรื่องน้ําท่าฟ้าฝน จึงทําให้ อุตระนครนี้มีความอุดมสมบูรณ์และสงบสุขตลอดมา ยังมีเมืองหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันตกชื่อเมือง เป็งจาน เกิดความแห้งแล้งอดอยากเพราะฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลเป็นเวลานาน เจ้าเมืองเป็งจานจึงให้คนมาสืบดูว่าทําไมเมือง อุตระนครจึงอุดมสมบูรณ์ มาถึงก็รู้ว่ามีพญานาคบันดาลฝนตกลงมาให้ เจ้าเมืองเป็งจานจึงส่งคนไปฆ่าพญานาค แต่คนที่ถูกส่งไป ถูกนายพรานนาม ปุณฑริกะ จับได้ก่อน พญานาคจึงรอดชีวิต จากนั้นมา พรานปุณฑริกะกับพญานาคจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน ต่อมาวันหนึ่ง พรานปุณฑริกะไปล่าเนื้อในป่าพบสระน้ําของพระฤาษี จึงขออนุญาตเข้าไปเดินดู แล้วเข้าไปพบกินรีซึ่งเป็นลูกสาวพญาทุมราชและนางจิตตเทวีแห่งเมืองภูเงินกําลังเล่นน้ําอยู่ นายพรานคิดอยากจะได้ไปถวายท้าวสุทธนู จึงไปปรึกษากับพระฤาษี พระฤาษีบอกว่าให้ไปขอบ่วงบาศจากพญานาคมาดักเอาจึงจะจับกินรีได้ ดังนั้นนายพรานบุณฑริกะจึงไปขอบ่วงบาศจากพญานาคชมภูชิตนาคราชผู้เป็นสหายเมื่อได้แล้วจึงมาดักจับในวันต่อมา ปุณฑริกะ นายพรานจับนางกินรีชื่อมโนราห์ได้แล้วก็เอามาถวายท้าวสุทธนู และได้รับแก้วแหวนเงินทองสิ่งของมากมาย เป็นการตอบแทน ท้าวสุทธนูจึงได้นางมโนราห์เป็นมเหสี ต่อมาครั้งหนึ่งมีโจรผู้ร้ายที่ชายแดนออกก่อการปล้นสะดมภ์ที่ชายแดน ท้าวสุทธนูจึงออกไปปราบโจร ขณะเดียวกันพระยาอาทิจวังสะฝันร้ายจึงให้หมอโหรมาทํานายฝัน หมอโหรบอกว่าพระองค์จะต้องทําพลีกรรมจึงจะหายจากภัยพิบัติ และในพลีกรรมนั้นจะต้องเอาเลือดของนางมโนราห์มาเป็นเครื่องสังเวยภูตผีปีศาจด้วย นางมโนราห์ได้ยินดังนั้นจึงหาทางหนี โดยไปขอปีกและหางจากย่าคือ นางจันทาเทวี เพื่อจะได้รําให้ย่าดูก่อนที่นางจะตายไป นางจันทาเทวีหลงกล จึงมอบปีกและหางให้ เมื่อนางมโนราห์ร่ายรําไป พอได้โอกาสก็บินหนีกลับเมืองภูเงินทันที ระหว่างทางที่นางบินกลับ นางได้ลงไปสั่งความถึงท้าวสุทธนูไว้กับพระฤาษี ว่าไม่ให้ท้าวสุทธนูติดตามนางไปเพราะมีอันตรายมาก แต่หากจะตามไปขอให้เอาน้ํามนต์ทิพย์ไปด้วยโดยทําตามพิธีที่บอกไว้ พร้อมกันนั้นนางก็ฝากแหวนไว้ให้ท้าวสุทธนูด้วย ฝ่ายท้าวสุทธนูกลับจากชายแดนแล้วรู้ว่านางมโนราห์บินหนีไปทางทิศเหนือ(อุดร) จึงออกติดตามไปจนพบพระฤาษี พอได้ทราบความที่นางมโนราห์สั่งไว้ จึงตัดสินใจออกติดตามนางไป ในการเดินทางได้พบกับภูตผียักษ์มารมากมาย แต่ท้าวสุทธนูก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง สุดท้ายได้แอบขี่หลังพญานกอินทรีไปยังเมืองภูเงินสําเร็จ เมื่อท้าวสุทธนูไปถึงเมืองภูเงินแล้วก็รออยู่นอกเมือง เห็นนางกินรีน้อยใหญ่ออกมาตักน้ําไปให้นางมโนราห์ ท้าวสุทธนูจึงแอบนําแหวนใส่ในถังน้ํา เมื่อถึงยามนางมโนราห์อาบน้ําได้พบแหวนนั้นจึงรู้ว่าท้าวสุทธนูได้มาตามหานางแล้ว จึงไปเชิญท้าวสุทธนูเข้ามาหาพ่อ พญาทุมราชให้ท้าวสุทธนูพิสูจน์ด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์จนเป็นที่พอใจ แล้วจึงยกลูกสาวให้ ท้าวสุทธนูอยู่ที่เมืองภูเงินเป็นเวลานานจึงกลับมาเยี่ยมพญาอาทิจวังสะ โดยมาพร้อมกับพญาทุมราชและนางมโนราห์ เมื่อมาถึง อุตระนครพญาทุมราชขอลากลับก่อน ต่อมาพญาอาทิจวังสะเฒ่าชราลง จึงยกเมืองให้ท้าวสุทธนูปกครองสืบต่อมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พื้นเวียงจันทร์ เวียงจันทร์กับประเทศไทยเป็นศัตรูกัน ไทยยกทัพไปตีเวียงจันทร์หลายครั้งแต่ก็ไม่ชนะสักที ทั้งที่กําลังมากกว่า ทั้งนี้เพราะเวียงจันทร์มีพญานาคมาช่วยเวลาที่เจ้าอนุตีกลองขึ้น กษัติร์ย์ไทยทราบเรื่องจึงวางแผนให้เซียงเมี่ยงที่เป็นคนฉลาดปลอมเป็นหมอมอ (หมอโหร) เข้าไปในเวียงจันทร์ เมื่อได้โอกาสไปหาท้าวอนุก็ไปทายว่า เจ้าอนุได้รับมรดกที่เป็นเงินฝังไว้ที่ครกมอง (ครกกระเดื่อง) โดยอยู่เสาทั้งสองข้าง ข้างละหนึ่งหมื่น อยู่ที่หัวหนึ่งหมื่น ที่หางครกอีกหนึ่งหมื่น และอยู่ที่ใต้บันไดอีกหนึ่งหมื่น เมื่อเจ้าอนุให้คนขุดก็ได้พบจริงๆ จึงทําให้เกิดความเชื่อถือหมอคนนี้มาก ส่วนสาเหตุที่พบนั้นก็เพราะเซียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้ว ต่อมาเซี่ยงเมี่ยงให้คนทําว่าวติดสะนูที่หัวแล้วปล่อยขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง เจ้าอนุแปลกใจหาสาเหตุของเสียงนั้นไม่ได้ จึงให้หมอมอมาทายดู นายเซียงเมี่ยงหมอมอปลอมนั้นได้มาทายดูและบอกว่าวิธีแก้นั้น ก็คือต้องไปตัดลิ้นกลองบนั้นและอุดรูพญานาคเสีย เสียงนั้นจึงจะหาย พอเจ้าอนุหลงกลทําตาม หมอมอก็ให้คนไปตัดสายว่าวนั้นทิ้ง เสียงนั้นก็หายไป จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้กองทัพไทยเข้าตีเวียงจันทร์ เจ้าอนุให้คนไปตีกลองเพื่อให้พญานาคมาช่วย แต่กลองตีไม่ดังเสียแล้ว ประกอบกับรูนาคก็ถูกอุด พญานาคจึงไม่ได้ขึ้นมาช่วย ทําให้เวียงจันทร์พ่ายแพ้ในการสู้รบ เจ้าอนุถูกฆ่าตายแล้วเวียงจันทร์ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของไทยแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ลิ้นทอง ท้าวลิ้นทองเป็นพระราชาของเจ้าชายเมืองหนึ่ง และเป็นเพื่อนกันกับลูกชายเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อ กาลสา ครั้งหนึ่งเกิดโรคระบาดขึ้น พระราชาจึงประกาศปิดเมืองไม่ให้คนในออกคนนอกเข้า พอดีขณะนั้นลูกชายเศรษฐีออกไปนอกเมือง แต่แล้วก็กลับเข้าเมืองไม่ได้ ด้วยความโกรธมากจึงออกเดินทางไปเรียนวิชาในป่า กลายเป็นยักษ์ที่มีคาถาอาคมมาก จากนั้นยักษ์ก็กลับมายึดเมืองของท้าวลิ้นทอง พระราชาพ่อของลิ้นทองถูกจับได้ ลิ้นทองกับแม่หนีออกไปได้ แต่แตกกันไปคนละทิศคนละทาง ท้าวลิ้นทองจึงไปอาศัยอยู่กับพระฤาษี เรียนคาถาวิชาอาคมจนเก่งกล้าเพื่อจะได้กลับมาปราบยักษ์กาลสา ด้วยความกลัวว่าจะเข้าเมืองไม่ได้จึงแปลงกายเป็นไก่แก้วอยู่กับย่าจําสวน ย่าจําสวนเห็นว่าไก่แก้วตัวนี้สวยงามนักจึงเอาไปถวายพระราชา แต่มเหสีของพระราชา ซื้อเอาไปก่อน ลิ้นทองจึงแปลงกายจากไก่แก้ว เป็นนกแก้ว แต่ก็ถูกมเหสีซื้อไปอีก ครานี้แปลงกายเป็นม้าจึงสามารถเข้าไปถึงพระราชาได้ ยักษ์กาลสาผู้เป็นพระราชาครองเมืองอยากลองขี่ม้าดูก่อน ทันทีที่ยักษ์ขึ้นขี่ ม้าก็พาวิ่งออกนอกเมืองทันที ยักษ์กาลสารู้ในบัดดลว่าม้านี้จะต้องเป็นท้าวลิ้นทองแน่นอน เมื่อไปถึงริมแม่น้ําแห่งหนึ่ง ยักษ์กาลสาจึงกินม้านั้นเสีย กินหมดทุกอย่างโดยหวังจะไม่ให้ท้าวลิ้นทองเกิดอีกเลย แต่ยังมีเศษเนื้อเหลืออยู่ที่ฟัน พอยักษ์ไปบ้วนปาก ท้าวลิ้นทองได้โอกาสก็กลายเป็นปลาว่ายหนีไป พอยักษ์รู้ว่าท้าวลิ้นทองเป็นปลา จึงวิดน้ําจับปลาทุกชนิดกินจนหมด แต่ปลาท้าวลิ้นทองแอบซ่อนอยู่ในหลืบหิน พอยักษ์หนีไปแล้วจึงออกมา จากนั้นท้าวลิ้นทองก็ว่ายตามน้ําไปจนถึงเมืองยักษ์เมืองหนึ่งซึ่งมีลูกสาว ชื่อ สุวรรณคําภู เมื่อนางมาเล่นน้ํา ปลาท้าวลิ้นทองก็เข้ามาหานางจนคุ้นเคย นางสุวรรณคําภูจึงเอาปลาไปเลี้ยงไว้ในในวัง แต่พอถึงยามกลางคืน ปลาได้แปลงกายเป็นชายหนุ่มรูปงามออกมาอยู่กับนาง นานต่อมาพระราชายักษ์เคลือบแคลงจนจับได้ว่ามีคนแปลงเป็นสัตว์มาอยู่กับนาง จึงจับสัตว์ทุกชนิดมากินหมด ท้าวลิ้นทองรู้ตัวก่อนจึงแปลงเป็นดอกไม้มาอยู่บนมวยผมนางสุวรรณคําภู แต่ยักษ์รู้ทันจึงจับเอาไว้ ท้าวลิ้นทองจึงแปลงเป็นแก้วหล่นลงกับพื้น ยักษ์ก็แปลงเป็นนกจะคาบแก้ว ต่อมาแก้วกลายเป็นแมว นกจึงกลายเป็นหมาไล่กัดแมวทั้งสองฝ่ายต่างแปลงเป็นสัตว์ต่างๆ อีกมากจนสุดท้ายก็กลายเป็นยักษ์กับท้าวลิ้นทองเหมือนเดิม การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ทั้งสองสู้กันตัวต่อตัว ปรากฎว่ายักษ์ถูกฆ่าตายพ่ายแพ้ ท้าวลิ้นทองจึงได้ครองเมือง ต่อมาท้าวลิ้นทองจะไปยึดเมืองคืน จึงยกทัพไปรบกับกาลสา รบกันอยู่นาน ท้าวลิ้นทองจึงเอาชนะฝ่ายยักษ์ได้ จากนั้นท้าวลิ้นทองจึงไปตามหาแม่กลับมาที่เมืองอื่นกลับมาอยู่ด้วยกัน ส่วนพ่อท้าวลิ้นทองถูกยักษ์กาลสาจับใส่กรงตาย ท้าวกาสาจึงได้ครองราชย์ทั้งสองเมืองตั้งแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แสงมณีแยงโลก วรรณกรรมเรื่องแสงมณีแยงโลกเดิมชื่อ โลกประทีป เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องเวสสันดรชาดก แต่กล่าวไม่หมด กล่าวเฉพาะกัณฑ์ทศพร หิมพานต์ และทานกัณฑ์เท่านั้นนอกนั้นเป็นเรื่องเล่าถึงการกําเนิดของพระอินทร์และอานิสงค์ของการให้ทาน ตลอดจนโทษของการตระหนี่เพื่อเป็นการชักจูงผู้คนให้เลื่อมใสในการบําเพ็ญกุศล การกําเนิดของพระอินทร์ในเรื่องนี้กล่าวไว้ว่า พระอินทร์เดิมเป็นตากวนบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) นําญาติสามสิบคนสร้างทางหลวงจากหมู่บ้านไปยังนครหลวง แต่ถูกคนสอพลอไปทูลพระราชาว่าเป็นขบถ จึงถูกจับไปทรมานจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ภายหลังพระราชาทราบความจริงจึงประทานรางวัลให้มากมาย ด้วยอานิสงค์ของการสร้างทางให้เป็นสาธารณะประโยชน์ เมื่อตายไปจึงได้เกิดใหม่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เสวยภพใหม่เป็นพระอินทร์ นอกจากนี้หนังสือยังได้กล่าวถึงผลของการขัดแย้งกันของสามีภรรยามีแต่นําผลไม่ดีมาให้โดยยกนิทานเรื่องสามีใจบุญสุนทาน แต่ภรรยาไม่ชอบใจ จึงดุด่าทั้งสามีและกล่าวให้ร้ายพระสงฆ์ ครั้นตายไปจึงไปตกนรกอเวจีทนทุกข์ทรมาน ส่วนสามีนั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พระปลาค่อ นิทานเรื่องนี้เป็นชาดกเรื่องหนึ่งที่อธิบายถึงวิบากกรรม ของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร และเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา มีปลาค่อ (ปลาช่อน) ผัวเมียอยู่คู่หนึ่ง มีลูกน้อยอยู่ด้วย นหนึ่งปลาค่อตัวผู้ออกไปหากิน ได้ไปกินเบ็ดของคนเข้าและถูกจับเอาไว้ จึงไม่ได้กลับมาหาลูกหาเมีย ส่วนตัวเมียคอยแล้วคอยเล่า ไม่เห็นตัวผู้มาจึงคิดว่าปลาค่อผู้ไปหาปลาตัวใหม่เป็นแน่ ปลาค่อตัวผู้นั้นเมื่อคนจับไปแล้วเห็นว่าเป็นปลาค่อเผือกจึงปล่อยไปในวันรุ่งขึ้น ปลาค่อจึงกลับมาหาเมียได้อีก และบอกสาเหตุที่ไม่ได้กลับบ้าน แต่เมียไม่เชื่อก็ต่อว่าต่างๆ นานา แต่ทั้งสองก็อยู่ร่วมกันจนตายไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สินไซ ท้าวกุศราชผู้ครองนครปัญจาล มีมเหสีชื่อจันทาเทวี ท้าวกุศราชมีน้องสาวชื่อสุมณฑา เมื่อนางอายุได้ 17 ปี ถูกยักษ์ชื่อ กุมภัณฑ์ แห่งเมืองอโนราชลักพาตัวไป ท้าวกุศราชจึงปลอมตัวเป็นภิกษุออกสืบหาจนไปถึงเมืองจําปา และได้ธิดาทั้งเจ็ดของเจ้าเมืองจําปามาเป็นมเหสี ต่อมานางจันทาเทวีคลอดลูกออกมาเป็นราชสีห์ชื่อว่า ท้าวสีโห และน้องคนสุดท้ายคลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ชื่อว่า สินไซ หมอโหรรับสินบน จากธิดาทั้งหก จึงทํานายว่า ลูกทั้งสองเป็นกาลกิณี ท้าวกุศราชจึงเนรเทศออกไปจากเมือง ต่อมากุมารทั้งหกโตเป็นหนุ่มออกเรียนวิชาจึงไปพบกับสินไซอยู่ในป่า แล้วก็กลับมาในเมืองโกหกพ่อว่าเรียนสําเร็จแล้ว ท้าวกุศราชจึงสั่งให้ทั้งหกคนไปตามหานางสุมณฑา กุมารทั้งหกจึงไปหลอกสินไซว่าพ่อให้ไปตามหาอาว์ ทั้งหมดจึงพากันไปถึงทะเล สินไซให้สีโหอยู่ดูแลพี่ทั้งหก ส่วนตัวเองเดินทางไปพร้อมกับหอยสังข์จนถึงเมืองอโนราช สินไซรบชนะยักษ์ แต่นางสุมณฑาไม่ยอมกลับเพราะอยากจะพบลูกสาวชื่อนางสุดาจันทร์ที่ตกไปเป็นมเหสีเมืองบาดาลด้วยเหตุเพราะยักษ์กุมภัณฑ์แพ้สะกา สินไซจึงไปแข่งสะกา กับอรุณนาคและชนะนางสุดาจันทร์กลับมา ทั้งหมดจึงกลับเมืองปัญจาล แต่ในระหว่างทาง พี่ทั้งหกได้ผลักสินไซตกเหว แต่พระอินทร์มาช่วยไว้แล้วอุ้มไปส่งให้อยู่กับแม่ที่นอกเมือง ต่อมาท้าวกุศราชทราบความจริงทั้งหมดจึงสั่งลงโทษหมอโหร และเนรเทศกุมารทั้งหกกลับเมืองจําปา แล้วเชิญสินไซเข้าครองเมืองปัญจาลต่อไป ส่วนท้าวอรุณนาคได้เดินทางมาสู่ขอนางสุดาจันทร์ กลับไปเป็นมเหสีดังเดิม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
มณีสัจจา ที่เมืองหนึ่ง มีครอบครัวหนึ่งยากจนมากมีลูก 2 คน คนโตเป็นชายชื่อ”มณี” คนน้องเป็นหญิงชื่อ “สัจจา” พ่อแม่หาเผือกหามันมาได้ก็กินเองหมด เด็กทั้งสองเห็นว่าพ่อแม่ไม่รักจึงพากันหนีออกจากบ้านไปโดยถือเอามีดด้ามนากไปด้วย ขณะเดินอยู่ในป่านั้นได้พบไข่ใบใหญ่ เพราะความหิว แต่ยังกลัวว่าจะเป็นอันตราย ไม่รู้ว่าเป็นไข่ของสัตว์ชนิดไหน พี่ชายจึงทดลองกินดูก่อน ถ้าไม่เป็นอะไรจึงจะให้น้องกิน แต่ถ้าเป็นอะไรไป พี่ชายบอกน้องว่า “น้องอย่าได้พูดกับใคร” พอกินแล้วพี่ชายกลายเป็นงูใหญ่ แต่ทั้งสองก็ยังเดินทางต่อไปจนพบแม่น้ําใหญ่สายหนึ่ง พี่ชายจึงบอกน้องว่าเราทั้งสองต้องแยกทางกันแล้ว โดยพี่ชายจะลงไปอาศัยอยู่ในน้ําและจะเอามีดด้ามนากนั้นไปด้วย ส่วนน้องสาวนั้นหลังจากแยกทางกันก็ได้แต่ร้องไห้นําตาเป็นสาย จนกระทั่งขี้ตาปิดบังท่วมตัวไปหมดคล้ายกับจอมปลวก ต่อมามีพระราชาองค์หนึ่ง ออกมาล่าสัตว์ต่อไก่ ต่อนก ได้มาเห็นสิ่งที่คล้ายจอมปลวกนี้มีน้ําซึมออกมา แปลกใจจึงให้เสนาอํามาตย์ขุดดู เมื่อขุดไปพบนางสัจจาเข้าจึงเอาไปเป็นมเหสีแต่นางไม่ยอมพูดกับใครเลย พระราชาไม่เชื่อว่านางจะเป็นใบ้ จึงพยายามทําให้นางพูดให้ได้ โดยวางแผนว่าจะออกคล้องช้าง เมื่อออกไปได้ 3-4 วัน ก็ให้เสนาอํามาตย์บอกแจ้งข่าวว่าพระราชาตกช้างตายแล้ว นางก็ไม่ว่าอะไร ต่อมานางได้โอรสองค์หนึ่ง เมื่อตอนนางกล่อมลูกนอน นางไม่รู้ว่าจะกล่อมอย่างไรจึงพูดออกมาว่า “เขาลือว่าผัวตกช้างตายไม่เสียดายเท่าพี่ชายเป็นพญานาค” พระราชาซึ่งแอบฟังอยู่จึงเข้าใจ และปรากฎตัวออกมา นางรู้ว่าถูกจับได้จึงยอมพูดแต่นั้นมา และพระราชาถามถึงสาเหตุที่นางไม่ยอมพูด เมื่อเข้าใจตลอดเรื่องแล้วจึให้หมอผีทําพิธี เพื่อให้งูใหญ่นั้นกลับกลายมาเป็นคน หมองูเรียกงูจากแม่น้ําขึ้นมามากมาย แต่นางก็รู้ว่าไม่ใช่พี่ชาย จนกระทั่งงูตัวสุดท้ายมีมีดด้ามนากติดมาด้วย พอนางบอกว่าใช่ หมอผีก็ทําให้งูกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม พระราชาจึงตั้งท้าวมณี เป็นมหาอุปราชของพระองค์
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุปุณณานาคชาดก ที่เมืองเป็งจาน มีเศรษฐีอยู่ ๒ คน คนหนึ่งชื่อรัตนะเศรษฐีเป็นช่างทําแก้ว อีกคนชื่อ รชตะเศรษฐี เป็นช่างทําเงินและทอง พระโพธิสัตว์เสวยชาติมาเกิดเป็นลูกชายของรชตะเศรษฐี ต่อมาเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นลูกชายของรชตะเศรษฐี ได้แต่งงานกับลูกสาวของรัตนะเศรษฐี ดังนั้นทรัพย์สินสมบัติของสองครอบครัวจึงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเศรษฐีทั้งสองเสียชีวิตแล้ว บุตรของทั้งสองตระกูลจึงเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก พระโพธิสัตว์ได้ทําบุญทําทานตลอดมา อยู่มาปีหนึ่งทําบุญกฐิน ในงานนี้มีคนมาช่วยมากมาย จึงมีการฆ่าวัวเพื่อเลี้ยงแขกคนในงาน วัวตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปรออยู่ที่เมืองยมฑูต ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ทําบุญทําทานต่อมาจนสิ้นอายุขัยลงจึงได้ไปพบวัวตัวนั้น วัวมาทวงเอาบุญคุณและบอกว่าพระโพธิสัตว์เป็นคนสั่งให้ฆ่าตน ยมทูตจึงมาตัดสินและมาไกล่เกลี่ยจนยอมความกันได้ วัวได้ไปเกิดบนสวรรค์ ส่วนพระโพธิสัตว์นั้นเพราะรับรู้ด้วยในการฆ่าวัว แล้วไม่ได้ห้าม จึงต้องไปเกิดในเมืองบาดาลของพญานาค พระโพธิสัตว์ที่เป็นเศรษฐีนั้นได้ไปเกิดเป็นบุตรพญานาคชื่อว่า “ชมภูจิต” ในเมืองบาดาลโดยมีนามว่า “สุปุณณานาค” ส่วนภรรยาของเศรษฐี ได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐีเมืองเป็งจานโดยมีชื่อว่า “ปุณณา” เป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาว ๒ คน ชื่อว่า ภาตา และ มัชฌิมา ตามลําดับ เมื่อสุปุณณานาคโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงลาพ่อมาเที่ยวเมืองมนุษย์ โดยแปลงกายเป็นชายหนุ่ม เดินทางมาจนถึงสวนมะม่วงของเศรษฐีแห่งเมืองเป็งจาน ขณะนั้นภรรยาเศรษฐีและนางปุณณา ได้มาเก็บมะม่วงพบสุปุณณานาคจึงขอร้องให้เก็บมะม่วงให้จนเป็นที่พอใจแก่ความต้องการ แล้วภรรยาเศรษฐีและนางปุณณาก็แอบหนีไปก่อน พอสุปุณณานาคกุมารลงมาไม่พบจึงไถ่ถามชาวบ้านแล้วติดตามไปถึงบ้าน จากนั้นก็แปลงกายให้คนอื่นเห็นเป็นงูใหญ่ ส่วนเศรษฐีและลูกสาวเห็นเป็นคน เศรษฐีจึงยกนางปุณณาให้ ทั้งสองจึงอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ต่อมาหลายปี สุปุณณานาคคิดถึงบิดา คือ ชมภูจิตที่เมืองบาดาล จึงพานางปุณณาไปเยี่ยมเยียนถามข่าว แล้วกลับมาอยู่เมืองมนุษย์ดังเดิม ขณะเดียวกันพี่สาวของนางปุณณา เกิดความรักใคร่ในตัวสุปุณณานาคเช่นกัน นางจึงพยายามทําทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิง ครั้งหนึ่งสุปุณณานาคต้องการกลับเมืองบาดาลเพื่อถามวิธีที่จะทําให้ตนไม่กลายเป็นพญานาคอีก พี่สาวของนางปุณณาจึงขอติดตามไปด้วย ก่อนไปได้หลอกให้นางปุณณาเข้าไปในฉางข้าว แล้วเอาน้ําหมากตาวน้ําเกี้ยงซึ่งทําให้คันมากสาดใส่แล้วปิดประตูฉาง ขังนางปุณณาเอาไว้ จากนั้นก็รีบไปเมืองบาดาลกับสุปุณณานาค ในเวลาไม่นานก็มีหนูตัวเล็กๆ มาช่วยให้นางปุณณาหายจากอาการคันและออกจากยุ้งฉางมาได้ ส่วนสุปุณณานาคและพี่สาวนางปุณณา เมื่อไปถึงเมืองบาดาล ไต่ถามถึงพิธีกรรมที่จะไม่กลับร่างเป็นนาคอีกเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาทําพิธี และสําเร็จตามประสงค์ ส่วนพี่สาวของนางปุณณานั้นเห็นว่าไม่มีทางที่จะแย่งเอาผัวน้องได้ จึงเข้าไปในป่าหาเอางูใหญ่มาทําผัว แต่แล้วกลับถูกงูใหญ่กัดตาย กล่าวถึงชมภูจิตพญานาคแห่งเมืองบาดาลต้องการจะให้สุปุณณานาคบุตรของตนได้ครองเมืองเป็งจาน จึงให้อํามาตย์เอาปัญหา ๑๒ ข้อมาถามเจ้าเมืองเป็งจาน โดยให้เวลาหาคําตอบ ๗ วัน ถ้าหากตอบไม่ได้จะยกทัพพญานาคมาตีเมือง เจ้าเมืองเป็งจานให้เสนาอํามาตย์ช่วยแก้ปัญหาแต่ไม่มีใครแก้ได้ สุปุณณานาคจึงรับอาสา และแก้ปัญหาได้สําเร็จ เจ้าเมืองเป็งจานจึงมอบสมบัติเงินทองให้มากมายเป็นการปูนบําเน็จ ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองเป็งจานแก่ชราลง พระองค์มองไม่เห็นใครที่มีความสามารถที่จะปกครองบ้านเมืองต่อจากพระองค์ได้นอกจาก สุปุณณานาค ดังนั้นพระองค์จึงมอบเมืองเป็งจานให้สุปุณณานาคปกครองและยกลูกสาวทั้งสองให้อีกด้วย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุพรหมโมกขา ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นคนยากจน เป็นบุตรคนขอทาน ต้องกําพร้าแม่ตั้งแต่เด็กๆ พ่อเลี่ยงดูสุพรหมโมกขา พร้อมด้วยสุนัขที่มีหางเก้าหาง ซึ่งเกิดพร้อมกัน (สหชาติ) ก่อนตายพ่อได้สั่งความไว้ว่า ถ้าพ่อตายให้เอาซากศพของพ่อไปไว้ที่ปลายนา สุพรหมโมกขาก็ปฏิบัติตามคําสั่งพ่อเป็นอย่างดี เมื่อพ่อตายลง ด้วยอานุภาพของความดี พืชผลในไร่นาจึงงอกงามเป็นอย่างดีเกินคาด เพราะพระอินทร์ได้ส่งนางไข่ฟ้าให้ลงมาอยู่ในกะโหลกและคอยดูแลบ้านเรือนข้าวปลาอาหารเวลาสุพรหมโมกขาไม่อยู่ อยู่ต่อมานางถูกจับได้จึงได้อยู่เป็นสามีภรรยากัน กิตติศัพท์ความงามของนางไข่ฟ้าเลื่องลือไปถึงเจ้าเมืองตุตระนครซึ่งเป็นคนมีใจพาลและมักมากในกามตัณหาจึงใคร่จะได้นางไข่ฟ้ามาเป็นภรรยา ดังนั้นจึงท้าพนันกับสุพรหมโมกขาต่างๆ นานา เช่น ชนไก่ ชนวัว ชนช้าง แต่ก็แพ้สุพรหมโมกขาเสียสิ้น เจ้าเมืองจึงบังคับให้ไปเอาดอกบัวที่เมืองบาดาลของพญานาค สุพรหมโมกขาจึงไปตามคําแนะนําของนางไข่ฟ้า โดยผ่านเมืองพญามดง่าม พญายักษ์ แล้วจึงถึงเมืองบาดาล ก็ได้ดอกบัวพร้อมทั้งลูกสาวของพญาทั้งสามเมืองด้วย เมื่อเอาดอกบัวไปถวายเจ้าเมืองแล้ว เจ้าเมืองยังไม่พอใจอยากได้นางไข่ฟ้ามาเป็นภรรยาเช่นเดิม จึงหาวิธีใหม่คือ ให้คนทํากลองขึ้นมาแล้วเอาเสนาอํามาตย์ผู้ฉลาดเข้าไปอยู่ในนั้น จากนั้นเอากลองไปมอบไว้ในบ้านของสุพรหมโมกขา เพื่อจะสืบดูว่าอะไรเป็นของ ขะลํา (ของต้องห้ามกิน ห้ามทํา) สําหรับสุพรหมโมกขา เมื่อรู้แล้วก็เอากลองกลับมา แล้วทําอาหารสี่อย่างบังคับให้สุพรหมโมกขากิน นั่นคือ ไข่, ไข่มดง่าม, เนื้องู, และเนื้อหัวใจยักษ์ พอสุพรหมโมกขากินเข้าไป ภรรยาทั้งสี่คนเกิดโรคพยาธิ จึงพากันหนีกลับเมืองของตน นางไข่ฟ้าเดินทางผ่านป่าโดยสั่งความไว้กับสุนัขเก้าหางนั้นพร้อมแหวนหนึ่งวง พอสุพรหมโมกขากลับบ้านทราบเรื่องทั้งหมดจึงออกติดตามนางไข่ฟ้า โดยมีสุนัขเก้าหางเป็นเพื่อน เมื่อไปถึงแม่น้ําใหญ่แห่งหนึ่ง จึงพากันว่ายน้ําข้ามโดยสุนัขให้จับหางจนกระทั่งหางทั้งเก้าขาดหมด พอไปถึงอีกฝั่งแม่น้ําสุนัขก็ตายพอดี ถึงอย่างไร สุพรหมโมกขาก็เดินทางต่อไปจนพบนางไข่ฟ้าที่เมืองอุททุมมัททุวะดี อยู่ที่นั่นนานพอควรจึงกลับมายังเมืองตุตระนคร พร้อมด้วยเสนาอํามาตย์ที่เจ้าเมืองอุททุมมัททุวะดีแต่งตั้งให้ แต่พอไปถึงเมืองตุตระนคร เจ้าเมืองทราบเรื่องจึงยกทัพจะมาปราบ เกิดต่อสู้รบกันจนเจ้าเมืองตุตระนครตาย ชาวเมืองจึงยกให้สุพรหมโมกขาเป็นเจ้าเมืองแทน บ้านเมืองจึงสงบสุขแต่นั้นมา เวลาต่อมา สุพรหมโมกขากับอํามาตย์ทั้งสี่ ปลอมตัวเป็นพ่อค้า ออกเที่ยวสั่งสอนไปตามเมืองต่างๆ ได้แก่ เมืองเกตุมะวดี, หงสาวดี, ทันตะนคร, คันทิยารัฐ, วิเทหราช เป็นต้น เพื่อให้เจ้าเมืองและชาวเมือง ตั้งชีวิตอยู่ในหลักศีลธรรมอันดีงาม แล้วจากนั้นก็กลับมาปกครองเมืองตุตระนครต่อมาจนสิ้นอายุลง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
อุปคุตผาบมาร ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เตรียมการที่จะจัดทําสังคยนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 โดยให้พระโมคคัลลีเป็นประธานการทําสังคยนาที่กรุงปาฎลีบุตร พระโมคคัลลีทูลพระเจ้าอโศกว่า ในงานนี้จะมีพญามารมารบกวน มีผู้เดียวที่จะปราบพญามารลงได้คือ อุปคุตที่เป็นบุตรของนางมัจฉา ซึ่งได้ฮุบกินเอาคราบไคลของพระพุทธเจ้าลงไปในแม่น้ําในคราวที่พระสาวกเอาสบงพระพุทธเจ้าไปซัก หลังจากที่นางมัจฉากินคราบไคลนั้นก็ตั้งครรภ์กําเนิดบุตรออกมาคือท้าวอุปคุต พระเจ้าอโศกก็ได้พระสุมณสามเณรเป็นผู้นิมนต์พระอุปคุตมาปราบมาร เมื่อพระอุปคุตมาถึงเข้าเฝ้าพระเจ้าอโศก และได้สําแดงอิทฤทธิ์โดยบันดาลให้ช้างศึกดุร้ายที่ถูกปล่อยออกมากลายเป็นหิน พระเจ้าอโศกเห็นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ในระหว่างการสังคยนา พญามารมาทําการรบกวนแต่ก็ถูกพระอุปคุตจัดการปราบโดยจับพญามารได้ จากนั้นก็เสกหนังหมาเน่าแขวนคอพญามารไว้ พญามารร้องขออุปคุตให้เอาออก อุปคุตจึงสั่งให้พญามารแปลงกายเป็นพระพุทธเจ้า เราะพญามารเคยเห็นพระพุทธเจ้าบ่อยๆ ในสมัยพุทธกาล เพื่อให้คนทั้งหลายได้เห็นพุทธลักษณะของพระพุทธเจ้า จากนั้นพระเจ้าอโศกก็สั่งให้ช่างวาดรูปไว้สําหรับเป็นแบบพิมพ์เค้าร่างในการหล่อพระพุทธรูป เมื่อทําการสังคยนาเสร็จสิ้นแล้วระอุปคุตก็ลาพรเจ้าอโศกกลับไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
อินทปัตถา พระราชานามว่า สมุทราชา ปกครองคนทั้งโลก พระองค์มีอายุแปดหมื่นสี่พันปีจึงสิ้นพระชนม์ ชาวเมืองทุกคนมีอายุยืนยาวพอๆ กันกับพระองค์ในสมัยนั้น และมีพระราชาสืบต่อมาถึงแปดหมื่นสี่พันพระองค์ องค์สุดท้ายมีพระโอรส 2 พระองค์ บิดาได้แบ่งให้ครองราชสมบัติคนละครึ่งทวีป และทั้งสองพระองค์ก็ส่งเครื่องบรรณาการแก่กันตลอดมา แต่เกิดมีครั้งหนึ่งผิดใจกันเพราะมหาดเล็กทะเลาะกัน จากเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ กลายเป็นการสู้รบกันระหว่างเมือง แต่ไม่มีใครแพ้ชนะ และผู้ครองเมืองก็หายไปทั้งสองพระองค์ ต่อมามีครอบครัวหนึ่งมีลูก 2 คน คนโตเป็นชายชื่อ “สกุณวงศ์(กุนวงศ์)” คนน้องเป็นหญิงชื่อ “อินทปัตถา” ต่อมาโจรได้เข้าปล้นบ้านจนทุกคนแตกกระเจิงหนีไป พ่ออุ้มได้ลูกสาวหนีไป แม่อุ้มได้ลูกชายแล้วหนีไปอยู่กับย่าจําสวน ต่อมามีคนหนีโจรมาอยู่ด้วยมากขึ้น ประกอบกับเจ้าสกุนวงศ์มีฤทธิ์บารมีมาก จึงตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองขึ้นมาชื่อเมืองว่า “สุวันนภูมิ” ฝ่ายพ่อพาลูกสาวไปอยู่กับปู่ย่า แล้วต่อมาได้ภริยาใหม่ แต่ภริยาใหม่นี้ไม่ถูกกันกับนางอินทปัตถาผู้เป็นลูกสาว นางจึงหนีออกจากบ้านไปอยู่ในป่า นางได้ปลูกข้าวขึ้นที่ทุ่งนาแห่งหนึ่ง ข้าวของนางนั้นหอมไปทั่ว จนพวกผีต่างๆ ได้เอาของวิเศษมาแลกเปลี่ยน นางจึงได้ของดีถึง 6 อย่างคือ เกือกแก้ว, พร้า, แว่นตาทิพย์, จอบ, เหล็กไฟ, ถุงย่าม จากนั้นนางจึงตั้งเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ชื่อว่า “อินทปัตถามหานคร” แล้วก็ปกครองอย่างมีความสุข กาลต่อมา นายพรานแห่งเมืองสุวันนภูมิออกล่าเนื้อมาจนถึงเมืองอินทปัตถา เห็นว่าบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์และสงบดีจึงชวนเพื่อนบ้านอพยพเข้ามาอยู่ แต่เข้าประตูเมืองไม่ได้จึงออกันอยู่หน้าประตูนั้น เจ้าสกุนวงศ์มาพบเข้า ถามถึงเหตุการณ์ ได้ความแล้วจึงอาสาเข้าไปเปิดประตูให้ และได้ไปพบนางอินทปัตถาเกิดรักใคร่กันต่อมาได้แต่งงานกัน ภายหลังจึงรู้ว่าเป็นพี่น้องกันแต่ทั้งสองก็ครองเมืองอย่างมีความสุขสงบตลอดมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุริวงศ์ ท้าวพรหมทัตและนางพิมพากษัตริย์แห่งนครเป็งจาน ออกประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ กวางทองตัวหนึ่งซึ่งเป็นยักษ์แม่หม้ายแปลงมาล่อให้นางพิมพาหลงใหลอยากได้ นางจึงขอร้องให้ท้าวพรหมทัตจับกวางมาให้ เมื่อท้าวพรหมทัตตามไป กวางทองก็กลายร่างเป็นหญิงสาวทําให้น่าหลงใหลจนได้กลายเป็นมเหสีอีกองค์ ต่อมานางยักษ์เพ็ดทูลใส่ร้ายนางพิมพาจนท้าวพรหมทัตสั่งให้นํานางพิมพา และพระโอรสคือ ท้าวสุริวงศ์ไปประหารชีวิต แต่แล้วพระอินทร์ลงมาช่วยไว้ และนําไปส่งไว้ในป่า สองแม่ลูกต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองไปอยู่ในป่า ขณะที่นอนอยู่ ยักษ์ทศกัณฑ์ผ่านมาเกิดรักใคร่จึงลักนางไปเป็นมเหสีที่เมืองยักษ์ แต่อย่างไรทศกัณฑ์ก็เข้าใกล้นางไม่ได้เพราะพระอินทร์บันดาลให้ร้อนกายร้อนใจ ฝ่ายสุริวงศ์ตื่นมาไม่พบแม่ จึงออกติดตามเข้าไปในป่า พบพระฤาษี ร่ําเรียนวิชาอาคมจนจบ และได้ลูกสาวบุญธรรมของพระฤาษีคือนางบัวแก้วไกรสรเป็นภรรยา แล้วจึงเนทางตามหามารดาต่อ จากนั้นได้รบกับยักษ์หลายตนและเชื้อพระวงศ์ของยักษ์ จนชนะยักษ์ทศกัณฑ์ แล้วพามารดากลับคืนสู่เมืองเป็งจานขับไล่นางยักษ์แปลงให้ออกจากเมืองไป ต่อมาพระฤาษีป่วย ท้าวสุริวงศ์พานางบัวแก้วไกรสรไปเยี่ยมและได้นางกินรีมาเป็นภรรยาเพิ่มอีก 6 ตน แต่แล้วกลับต้องพลัดพรากจากนางบัวแก้วไกรสรซึ่งแปลงเป็นพราหมณ์ ท้าวสุริวงศ์หลงใหลนางกินรีอย่างมาก แม้นได้พบนางบัวแก้วไกรสรอีกครั้งยังสั่งให้ประหารชีวิตนาง จนนางสะเทือนใจมาก เดือดร้อนถึงพระอินทร์ต้องไปนําศพของนางบัวแก้วไกรสรมาชุบชีวิตละนําไปไว้ที่เมืองเป็งจาน สุดท้ายทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
หน้าผากไกลกระด้น ในสมัยของพระกกุสันโธพุทธเจ้า มีเศรษฐีผู้หนึ่งใจบุญสุนทานมาก เมื่อตายจึงได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์บนสวรรค์ ครั้นต่อมาหมดบุญจึงต้องจุติมาเกิดในเมืองมนุษย์ พระอินทร์ก็เดินทางออกจากวิมานของตน ระหว่างทางได้พบกับพระยาแถนซึ่งก็ได้ขออาศัยรถมาด้วย แต่พระอินทร์ไม่ยอมเพราะว่าศักดิ์ศรีไม่เสมอกัน พญาแถนโกรธมากจึงขว้างจักรมาโดนศรีษะพระอินทร์ทําให้แยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหน้า (หน้าผาก) กับส่วนท้ายทอย (กระด้น) ทั้งสองส่วนตกลงมายังโลกมนุษย์ จุติเป็นลูกของพระราชาสองเมือง โดยหน้าผากอยู่เมืองสาคระอยู่ทางทิศตะวันออก กระด้นอยู่เมืองอุชิตะทางทิศตะวันตก ต่อมาเมื่อทั้งสองโตขึ้น ต่างก็ระลึกชาติได้ เกิดคิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง จึงหนีออกจากเมืองตนไปตามหากัน ระหว่างทางหน้าผากเดินทางมาพบหมูคาบแก้ว เหาะมาจากป่าหิมพานต์เกิดชอบพอกันจึงสาบานเป็นพี่น้องกัน หมูก็มอบแก้ววิเศษของตนซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มาก ถ้าอมไว้ในปากจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ หน้าผากก็อาศัยแก้วนั้นเหาะมาตามหากระด้น ส่วนกระด้นได้ม้าวิเศษ ตามหาหน้าผากจนในที่สุดทั้งสองก็ได้พบกัน จากนั้นจึงพากันไปหาแถนหล่อ (พระเวสสุกรรม) ให้ช่วยหล่อตนทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
สุริยคราส – จันทคราส มีพี่น้องสองคน พี่ชายชื่อสุริยคราส น้องชายชื่อจันทคราส เกิดในครอบครัวคนยากคนจนเข็ญใจ เป็นกําพร้าแม่ ภายหลังพ่อไปมีภรรยาใหม่ ก็ถูกภรรยาใหม่กลั่นแกล้งรังแกต่างๆ นานา จนพี่น้องสุริยคราส-จันทคราส ชักชวนกันหนีออกจากบ้านบุกป่าฝ่าดงไปเรื่อยๆ โดยมีเทวดาต่างๆ คอยคุ้มครอง เป็นอย่างดี พระอินทร์และพระเวสสุกรรม ต้องการให้สุริยคราส - จันทคราสมีวิชาความรู้ติดตัว จึงแปลงลงมาเป็นงูกับพังพอนต่อสู้กัน ให้พี่น้องเห็น งูแกล้งเป็นสู้พังพอนไม่ได้ ถูกพังพอนกัดตาย จากนั้นพังพอนก็ไปคาบเอาสมุนไพรชนิดหนึ่ง มารักษางูจนฟื้น แล้วต่างก็หนีหายไป สองพี่น้องเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าสมุนไพรนั้นเป็นยาวิเศษจึงถอนมาเก็บไว้ ต่อมาทั้งสองเดินทางมาถึงเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลูกสาวพระราชาป่วยหนักถึงแก่ความตายไปได้ ๓ วันแล้ว สุริยคราสจึงใช้ยาวิเศษนั้นรักษาจนพระธิดาฟื้นคืนชีพ พระราชาก็ยกลูกสาวตนให้สุริยคราส ต่อมาพระราชาถึงแก่ความตายด้วยความชราภาพ สุริยคราสจึงได้ขึ้นครองเมืองสืบต่อมา จากนั้นมีนายสําเภาจากต่างเมืองมาเข้าเฝ้า และบอกให้ทราบว่า ลูกสาวพระราชาในเมืองของตนได้ถึงแก่ความตายจึงประกาศหา ผู้ที่สามารถชุบชีวิตนางให้ฟื้น ครั้งนี้สุริยคราสให้จันทคราสเดินทางไปรักษา จนนางฟื้นคืนชีพ ก็ได้แต่งงานกัน ภายหลังจันทคราสก็ได้ครองเมืองนั้นเช่นเดียวกัน วันหนึ่งจันทคราส คิดถึงพี่ชาย จึงชวนภรรยาเดินทางด้วยเรือสําเภาไปหาสุริยคราส แต่ระหว่างทางเกิดพายุทําให้เรือแตก จันทคราสพลัดกันกับมเหสี จันทคราสจึงต้องออกตามหามเหสี จนพบว่าพระราชาเมืองหนึ่งจับเอาไปเป็นชายา ก็ไปต่อสู้แย่งชิงนางคืนมาได้ แล้วจึงพากันเดินทางต่อมา จนพบกับสุริยคราส พี่ชายของตน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ท้าวมูนกิตติ มีเมืองอยู่สองเมือง เมืองหนึ่งมีพระเจ้าอิทธิราชปกครอง และพระองค์มีโอรสองค์หนึ่งนามว่า “มูนกิตติ” ส่วนอีกเมืองหนึ่งมีพระเจ้าอิทธิโลกปกครอง ทั้งสองพระนครนี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะพระราชาทั้งสองเป็นสหายกัน ต่อมาพระเจ้าอิทธิโลกยกทัพมาตีเมืองพระเจ้าอิทธิราชได้ชัยชนะ พระเจ้าอิทธิราชและมเหสีหนีเข้าไปอยู่ในถ้ําแห่งหนึ่งในเขตเมืองยางแดง ส่วนท้าวมูนกิตตินั้น ก็หนีไปอาศัยอยู่กับฤาษีและได้เรียนวิชาอาคมกับฤาษีตนนั้น พ่อและแม่ของมูนกิตตินั้น อาศัยอยู่ในถ้ําอย่างทุกข์ทรมาน อยู่มาไม่นานทั้งสองคนก็ตายไป ส่วนท้าวมูนกิตติหลังจากฝึกวิชาอาคมจนเก่งกล้า ก็กลับมาตีเอาเมืองคืนโดยฆ่าพระเจ้าอิทธิโลกตาย แล้วขึ้นครองราชย์แทน และได้ออกติดตามหาพ่อแม่ จนไปพบศพทั้งสอง จากนั้นจึงเอาศพทั้งสองนั้นมาทําพิธีอย่างสมเกียรติ ท้าวมูนกิตติก็ได้ครองเมืองอย่างมีความสุข ต่อมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ตํานานเมืองฟ้าแดดสงยาง พญาจันทะราชกษัตริย์แห่งเมืองเชียงโสมไปล่าเนื้อในป่าไปพบกวางทองซึ่งพระอินทร์แปลงกายมา พญาจันทะราชตามกวางทองจนพลัดจากหมู่ข้าราชบริพารหลงทางอยู่ในป่าต้องเสวยผลไม้เป็นอาหารรอนแรมอยู่ในป่าหลายวันจึงไปพบเมืองฟ้าแดดแล้วเข้าไปพักในศาลานอกเมือง ทรงทราบข่าวว่าพญาฟ้าแดดมีธิดาสาวสวยชื่อ นางฟ้าหยาด มีอายุ 16 ปี สร้างปราสาทราชมณเทียรให้อยู่กลางน้ํา แล้วจัดนางสนมกํานัลคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างดี เมื่อพญาจันทะราชทราบดังนั้นก็อยากได้นางเป็นพระมเหสีจึงอ้อนวอนพระอินทร์ให้ช่วยอุ้มสม พระอินทร์ร้อนอาสน์จึงช่วยให้อยู่กันอย่างลับๆ จนกระทั่งนางฟ้าหยาดตั้งครรภ์ พญาจันทะราชจึงกลับเมืองเซียงโสมและส่งขุนนางผู้ใหญ่มาสู่ขอ แต่พญาฟ้าแดดรู้ระแคะคายว่าลอบทําชู้กับนางฟ้าหยาดลูกสาวตนจึงโกรธมากถือว่าผิดประเพณีของกษัตริย์จึงไม่ยอมยกให้ พญาจันทะราชไม่พอใจจึงเกณฑ์ทัพใหญ่มาตีเมืองฟ้าแดดแต่ต้องพ่ายแพ้ และได้เสียชีวิตในการชนช้าง นางฟ้าหยาดเสียใจจนตรอมใจตาย พญาฟ้าแดดจึงจัดการศพทั้งสองอย่างสมเกียรติ เมืองเซียงโสมจึงต้องส่งส่วยให้เมืองฟ้าแดดตั้งแต่นั้นมา พญาธรรมกษัตริย์ผู้น้องพญาจันทะราชได้ครองเมืองเซียงโสมต่อมาได้ประมาณ 6 ปี จึงยกทัพมาตีเมืองฟ้าแดดเป็นการแก้แค้นแทนพระเชษฐาเมืองฟ้าแดดพ่ายแพ้ในการทําสงครามครั้งที่ 2 จึงต้องส่งส่วยให้เมืองเซียงโสมตั้งแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นางผมหอม นางผมหอม เป็นนิทานพื้นบ้านอีสานที่เล่าสืบต่อกันมาช้านานว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้บริเวณเขาภูหอ (ภูหอเป็นภูเขาในตําบลภูหอ อําเภอภูหลวง จังหวัดเลย) วันหนึ่งได้ไปเที่ยวป่ากับเพื่อนเกิดพลัดหลง แล้วได้ไปดื่มน้ําที่รอยเท้าช้าง เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางได้ตั้งท้องคลอดลูกเป็นผู้หญิง ผมมีกลิ่นหอมนางจึงตั้งชื่อลูกว่า “นางผมหอม” ต่อมานางได้ไปเที่ยวป่าอีกครั้งและเกิดพลัดหลง ครั้งนี้นางได้ไปดื่มน้ําที่รอยเท้าวัวป่าเกิดตั้งท้องอีกคลอดออกมาเป็นหญิงตั้งชื่อว่า “นางลุน” ตอนเด็กๆทั้งสองถูกเพื่อนล้อเสมอว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ แม่จึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง พอโตขึ้นนางผมหอมอธิฐานขอให้ฝันถึงพญาช้าง วันรุ่งขึ้นได้ขอแม่ไปเที่ยวป่ากับน้อง ทั้งสองไปเจอพญาช้าง พญาช้างจึงพิสูจน์ความจริงว่าใช่ลูกตัวเองหรือไม่ จึงอธิษฐานว่าใครเป็นลูกให้ปีนขึ้นมาบนหลังตนได้ ถ้าไม่ใช่ก็ปีนไม่ได้ นางผมหอมปีนขึ้นได้ แต่นางลุนปีนไม่ได้จึงถูกพญาช้างเหยียบตาย ต่อมานางผมหอมได้ไปอยู่ที่ปราสาทกับพญาช้าง วันหนึ่งนางได้ลงเล่นน้ําที่ลําธาร ลําธารที่นางผมหอมลงไปเล่นคือ “ห้วยหอม”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แก่งคุดคู้ นานแล้วมีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ “จึ่งขึ่งดั้งแดง” รูปร่างสูงใหญ่ล่ําสัน มีฝีมือในการล่าสัตว์ วันหนึ่งนายพรานผู้นี้ตามล่าควายเงินมาจากหลวงพระบาง (ที่เรียกควายเงินเพราะมูลของควายตัวนี้เป็นเงิน) พอมาถึงริมน้ําโขงเห็นควายเงินพักกินน้ํา นายพรานจึงดักซุ่มยิง พอดีชาวบ้านแล่นเรือผ่านมา ควายเงินตกใจตื่นเตลิดขึ้นไปบนเขาลูกหนึ่ง (ต่อมาเขาลูกนี้ได้ชื่อว่า"ภูควายเงิน") นายพรานเลยยิงไปถูกเขาอีกลูกจนพังทลายไปซีกหนึ่ง กลายเป็นหน้าผาสูงชัน ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ภูผาแบ่น” นายพรานโกรธคนที่แล่นเรือผ่านซึ่งเป็นต้นเหตุให้ควายเงินหนีไป จึงกลั่นแกล้งด้วยการขนหินมาขวางกั้นลําโขงไม่ให้เดินเรือได้ นายพรานทําการเกือบจะสําเร็จ ก็พอดีมีสามเณรรูปหนึ่งมาเห็นเข้า เณรนั้นออกอุบายหลอกให้นายพรานใช้ไม้เฮียะ (ไม้ใผ่ชนิดหนึ่ง) ผ่าซีกหาบหินแทน ไม้เฮียะผ่าแล้วจะเป็นสันคมกริบ เมื่อนายพรานใช้หาบหิน ไม้นั้นก็บาดคอนอนตายคุดคู้อยู่ที่ริมโขงนั้นเอง แก่งหินนั้นจึงเรียกว่า “แก่งคุดคู้” ผลจากการที่นายพรานขนหินมาวางขวางทําให้กลางน้ําโขง มีหลายแก่งหลายแห่ง มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น แก่งฟ้า แก่งจันทร์ เป็นต้น แก่งเหล่านี้แม้จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางในลําน้ําโขงมาแต่โบราณ แต่ก็เป็นบริเวณที่มีปลาเข้ามาอยู่อาศัยอย่างชุกชุม
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นายแรง กาลครั้งหนึ่งในเมืองพัทลุง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาช้านาน แต่ยังไม่มีลูก ทั้งสองพยายามบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีลูก แต่ทําอย่างไรก็ไม่สามารถมีลูกได้ จึงพากันไปหาท่านสมภารที่วัด ท่านสมภารจึงแนะนําให้ไปหยิบก้อนกรวดที่ริมบ่อน้ํามาก้อนหนึ่ง ให้นําไปห่อผ้าขาวไว้ใต้หมอนแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอลูก ไม่ช้าภรรยาก็ตั้งครรภ์ กินอาหารได้มากผิดปกติ ยิ่งท้องแก่ยิ่งต้องเพิ่มอาหารมากขึ้น เมื่อคลอดทารกเป็นผู้ชายชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู เพราะทารกโตเกือบเท่าเด็ก 1 ขวบ กินนมแม่อยู่ตลอดเวลา เด็กคนนี้โตวันโตคืน กินอาหารจุ น้ํานมของแม่ไม่พอเลี้ยงต้องต้มข้าวให้กินมื้อละ 1 กระทะ กินกล้วยครั้งละ 10 หวี ในที่สุดพ่อแม่ต้องยากจนลง จึงคิดที่จะฆ่าลูกชายเพราะไม่สามารถจะเลี้ยงต่อไปได้ เช้าวันหนึ่งพ่อจึงชวนลูกชายไปตัดฟืนในป่า พ่อลงมือโค่นต้นยางขนาดใหญ่ พอต้นยางใกล้จะล้มก็เรียกลูกให้เข้ามารับ จึงถูกต้นยางล้มทับจมลงไปในดิน พ่อคิดว่าลูกคงตายแล้วจึงกลับบ้าน ตกตอนเย็นลูกชายกลับแบกต้นยางกลับมาวางไว้ที่หน้าบ้าน ชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู ต่างเรียกชื่อเด็กชายคนนี้ว่า “นายแรง” ครั้งหนึ่งมีเรือสําเภาเข้ามาค้าขาย พ่อแม่คิดจะฆ่านายแรงอีกจึงได้ฝากนายแรงไปกับเรือสินค้า เรือแล่นออกสู่ทะเลเป็นเวลาหลายวัน อาหารที่มีอยู่จึงไม่พอกิน พ่อค้าจึงหลอกให้นายแรงลงจับปลาโลมาแล้วแล่นเรือหนีไป แต่นายแรงยังโชคดีได้พบเรือที่จมอยู่ใต้ท้องน้ํา จึงกู้เรือนั้นขึ้นแล้วนั่งเรือกลับบ้าน พ่อแม่ของนายแรงเกิดสํานึกผิดที่คิดจะฆ่าลูก ก็เลยเต็มใจเลี้ยงลูกถึงจะประสบกับความยากจน นายแรงสงสารพ่อแม่ที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่ยากจน จึงรับอาสาทํางานทุกอย่าง ไม่ว่าชาวบ้านจะขอความช่วยเหลือในเรื่องอะไร เพื่อแลกกับอาหารมาเลี้ยงพ่อแม่ วันหนึ่งนายแรงจับโจรที่เข้ามาปล้นวัวควายในหมู่บ้านได้ถึง 4 คน ทําให้โจรกลุ่มอื่นๆ หวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาปล้นในหมู่บ้านนี้อีก นายแรงจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป ได้นําวัวควายมาให้นายแรงนําไปเลี้ยง นายแรงนําวัวไปเลี้ยงไว้ที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ปัจจุบันเรียกว่า “เขาหลักโค” (อําเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) ได้นําไก่ไปเลี้ยงไว้ที่เขาลูกหนึ่ง เรียกว่า “เขาหลักไก่” (อําเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) นําควายไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่ เรียกสถานที่นั้นว่า “คอกควายนายแรง” (ตําบลนาโหนด อําเภอเมืองพัทลุง) หมู่บ้านที่นายแรงอยู่มักมีช้างป่าออกมาอาละวาดทําลายเรือกสวนไร่นาชาวบ้าน มีจ่าโขลงตัวหนึ่งมีความดุร้ายมาก ออกมาถอนต้นไม้ พังบ้านเรือนราษฎรอยู่เสมอ นายแรงรับอาสาจับช้างตัวนั้นแล้วโยนไปตกที่จังหวัดสงขลากลายเป็นเขาลูกหนึ่ง เรียกว่า “เขาลูกช้าง” (ปัจจุบันเรียกเขารูปช้าง) เมื่อพ่อแม่นายแรงเสียชีวิตแล้ว นายแรงได้ย้ายไปอยู่ที่ “เขาหลักโค” (ตําบลนาโหนด อําเภอเมืองพัทลุง) นายแรงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อแลน (ตะกวด) วันหนึ่ง ๆ กินไม่ต่ํากว่า 10 ตัว วันหนึ่งนายแรงไปหาแลนที่ตะแพนเขาปู่-เขาย่า ได้พบแลนยักษ์ตัวหนึ่ง นายแรงจึงขว้างด้วยมีดอีโต้ เรียกที่นั้นว่า “ทุ่งอ้ายโต้” แลนแล่นผ่านบ้านลานแยะ บ้านพังดาน บ้านปากเลน เขาโต๊ะบุญ บ้านพังโย ทางที่แลนวิ่งผ่านกลายเป็นคลอง ชาวบ้านเรียกว่า “คลองห้วยแลน” แลนยักษ์แล่นลอดเข้าไปทางใต้เขาพนมวังก์ ไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหินทางด้านทิศตะวันตกของเขาเมือง นายแรงขุดด้วยจอบโดยมีหมาช่วยขุดคุ้ยหิน ชาวบ้านเรียกตรงนั้นว่า “หินรอยหมากัด” จนถึงเวลาเที่ยงวันนายแรงยังจับแลนยักษ์ตัวนั้นไม่ได้ จึงใช้ให้หมาไปเอาข้าวห่อที่บ้านเขาหลักโค ตนเองขุดต่อไปมีก้อนหินมหึมากีดขวางด้ามจอบ นายแรงจึงดันหินนั้นให้ออกห่างไปทางด้านทิศตะวันตก กลายเป็นเขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “เขารุน” ส่วนหินที่เกิดจากการขุดคุ้ย ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้จอบนายแรง” เมื่อนายแรงจับแลนยักษ์ได้ก็ฟาดกับเขาอีกลูกหนึ่ง เลือดแลนยักษ์ไหลอาบหน้าผาเป็นสีแดงฉาน จึงเรียกเขาลูกนั้นว่า “เขาแดง” (อําเภอเมืองพัทลุง) นายแรงนํามีดอีโต้ที่ชําแหละแลนไปล้างเลือดที่คลองแห่งหนึ่ง คลองนี้จึงเรียกว่า “คลองอ้ายโต้” นําหนังแลนไปตากที่กลางทุ่งนาทางทิศตะวันตกของเขาพนมวังก์ ที่นั้นจึงเรียกว่า “ทุ่งขึงหนัง” (อําเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง) ไปเอาตะไคร้ที่เขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกเขานี้ว่า “เขาไคร” (อําเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง) นายแรงมักจะเดินทางไปเอาสิ่งของที่ตนต้องการในที่ไกลๆ เพราะเขาไปมารวดเร็ว จึงไปตําน้ําพริกที่อําเภอปากพะยูนที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า “บางน้ําชุบ” นําเนื้อแลนไปจิ้มกินที่เขาอีกลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า “เขาจุ้มโจ้” นายแรงนําเนื้อแลนที่เหลือไปฝากหมาตัวเอง แต่พบว่าหมาขาดใจตายเสียแล้ว ที่คอยังมีข้าวห่อแขวนอยู่ ภายหลังกลายเป็นหิน ชาวบ้านเรียกว่า “เขาหัวหมา” (อําเภอเมืองพัทลุง) ต่อมานายแรงเป็นห่วงควายที่นําไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่ จึงออกเดินทางไปเกาะใหญ่ ได้หุงข้าวต้มไก่ที่แหลมแห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า “แหลมไก่ฟู่” (อําเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) ลมพัดจัดไม่สามารถหุงข้าวต้มไก่ได้ จึงเลื่อนไปหุงที่ริมเนิน เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็ทิ้งหม้อข้าวหม้อแกงไว้ที่นั้น เรียกที่นั้นว่า “ควนตั้งหม้อ” (อําเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง) ต่อมาเมืองขึ้นของไทยทางมลายูเกิดแข็งเมือง นายแรงอาสาไปรบศึกครั้งนี้ด้วย นายแรงเป็นกองหน้าบุกตะลุยข้าศึกจนได้รับชัยชนะ นายทัพฝ่ายไทยเห็นว่านายแรงมีฝีมือยอดเยี่ยมมีกําลังมาก จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกําหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นําเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจํานวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสําเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกําลังเดินทางเรือสําเภาถูกคลื่นลมชํารุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่งเพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือต้องจําใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคําสั่ง เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า “เขาแก้วแสน” เสียงเพี้ยนไปเป็น “เก้าเส้ง” ก้อนหินที่ปิดทับอยู่บนยอดเขาเรียกว่า “หัวนายแรง” ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ที่เขาเก้าเส้ง (อําเภอเมืองสงขลา) มาจนทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เก่งไม่เท่ากัน มีวัดอยู่วัดหนึ่ง วัดนั้นมีหลวงตากับลูกศิษย์อีก 2 คน ชื่อ ไอ้พร กับ ไอ้ชัย หลวงตารักศิษย์สองคนไม่เท่ากัน คือรักไอ้พรมากกว่าไอ้ชัย เพราะหลวงตาคิดว่าไอ้พรฉลาดกว่าไอ้ชัย และขยันทํางานทําการมากกว่า อยู่มาไอ้ชัยเกิดน้อยใจขึ้นมาว่าหลวงตารักศิษย์ไม่เท่ากันจึงเข้าไปตัดพ้อต่อว่า และถามหลวงตาว่าทําไมจึงรักพวกตนไม่เท่ากัน หลวงตาบอกว่ารักความฉลาดของคน ไอ้พรเถียงว่าแล้วหลวงตารู้ได้อย่างไรว่าเราสองคนฉลาดไม่เท่ากัน หลวงตาบอกว่าคอยสักวันสองวันจะพิสูจน์ให้ดู พอวันรุ่งขึ้นบังเอิญว่าหมาในวัดตัวหนึ่งคลอดลูกออกมา หลวงตาได้โอกาสจึงเรียกไอ้ชัยมา แล้วบอกว่า “ไอ้ชัยมึงไปแลหมาทีว่าเกิดแล้วยัง” ไอ้ชัยไปดูสักครู่หนึ่งแล้วกลับมาบอกหลวงตาว่าเกิดแล้ว หลวงตาถามว่ากี่ตัว ไอ้ชัยบอกว่าไม่ทราบแต่ว่าเกิดแล้ว หลวงตาก็บอกไอ้ชัยว่า ให้ไปตามไอ้พรมา ไอ้ชัยหายไปสักพักหนึ่งกลับมาพร้อมกับไอ้พร หลวงตาก็สั่งไอ้พรว่า “มึงช่วยไปแลหมาทีว่าเกิดแล้วยัง” ไอ้พรไปสักครู่หนึ่งก็กลับมาบอกหลวงตาว่า “เกิดแล้วหลวงตาเหอ 5 ตัว โผ้ 2 เหมีย 3 ดํา 2 ขาว 2 ลายตัวหนึ่ง”* หลวงตาได้ยินดังนั้นก็ชอบใจจึงพูดกับไอ้ชัยว่า “มึงเห็นแล้วยังละว่ามันฉลาดกว่ามึงตรงไหน แล้วอี้ให้กูรักเท่ากันพรื่อละ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
แก้วสารพัดนึก มีผัวเมียอยู่คู่หนึ่งรักกันมากไม่เคยทะเลาะกันเลย ผัวว่าอย่างไรเมียก็ว่าอย่างนั้น อยู่มาปีหนึ่งเกิดฝนแล้งจัดทํานาไม่ได้ผล ผัวเมียคู่นี้จึงชวนกันไปวิดน้ําทะเล ขณะที่ผัววิดเมียก็อยู่ข้าง ๆ คอยให้กําลังใจ ผัววิดไปได้สักพักก็ถามเมียว่าจะแห้งแล้วยัง เมียก็ตอบว่า แห้งไปเยอะแล้วพี่ ผัวก็วิดต่อไปสักพักก็ถามเมียอีกว่าจะแห้งแล้วยังน้อง เมียก็ว่าเหลือนิดเดียวแล้วพี่ สองคนผัวเมียวิดจนกระทั่งว่าเดือดร้อนถึงแม่ปลา ถ้าผัวเมียคู่นี้วิดน้ําทะเลแห้งพวกตนเดือดร้อนแน่ แม่ปลาจึงมาขอร้องต่อสองผัวเมียว่าอย่าวิดอีกเลยเราจะให้แก้วสารพัดนึก จะนึกอะไรก็ได้อันนั้น แต่ให้นึกเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ผัวเมียก็ตกลงนําแก้วสารพัดนึกนั้นกลับบ้าน แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐาน ครั้งแรกขอบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ครั้งที่สองขอเพชรนิลจินดา แก้วแหวนเงินทอง ครั้งที่สามขอข้าทาสบริวารช้างม้าวัวควาย ปรากฏว่า ผัวเมียคู่นี้ก็เป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา ข่าวได้แก้วสารพัดนึกก็ไปถึงเพื่อนเกลอคนหนึ่งซึ่งต้องการจะร่ํารวยเหมือนเพื่อนเกลอบ้าง ก็เดินทางไปขอแก้วสารพัดนึกจากเพื่อน แต่ว่าสองผัวเมียคู่ที่จะไปขอแก้วสารพัดนึกจากเกลอนั้นไม่ลงรอยกันมีความขัดแย้งกันเสมอ มีการทะเลาทุบตีกันเป็นประจํา พอได้แก้วสารพัดนึกมาแล้ว เมียก็อยากได้บ้านเรือน แก้วแหวนเงินทอง ผัวก็ว่าแก้วแหวนเงินทองไว้นึกตอนหลัง เพราะนึกได้ตั้ง 3 ครั้ง ตอนเที่ยง ๆ เช่นนี้ต้องนึกถึงของหวานของคาวก่อน เมียไม่พอใจจึงเกิดเถียงกัน ขณะที่เมียเถียงอยู่นั้นผัวก็ตั้งจิตอธิษฐานที่จะนึกแล้ว เมียก็โมโหด่าผัวว่า “ไอ้ร้อยควย” พอสิ้นคําด่าของเมียอวัยวะเพศก็งอกออกมาจากเอวผัวเต็มไปหมด เมียก็ตกใจจึงอธิษฐานใหม่ว่าให้ไปให้หมด คราวนี้อวัยวะเพศของผัวก็หายไปหมดทั้งของที่มีอยู่เดิมด้วย การอธิษฐานเหลือเพียงครั้งเดียวแล้วก็บอกว่าให้กลับมาเฉพาะของผัวเถิด อวัยวะเพศของผัวอันเดิมก็กลับมา ตกลงว่าไม่ได้อะไรเลยเพราะจิตใจไม่ตรงกัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คงรอดกับยอดทอง คงรอดกับยอดทองเป็นเกลอกัน แต่อยู่คนละหมู่บ้าน คงรอดได้แต่งงานกับสาวสวยในหมู่บ้านที่ตนอยู่ ข่าวการแต่งงานรู้ถึงยอดทอง ยอดทองต้องการเห็นหน้าเมียเพื่อนเกลอ แต่ยอดทองเป็นคนตาบอด เมื่อไปถึงบ้านคงรอด คงรอดก็ชวนนอนบ้านตน ยอดทองพักอยู่บ้านคงรอด 2 คืน ได้ยินแต่เสียงเมียของคงรอดแต่ไม่เห็นหน้า ก็คิดอุบายพอคืนที่ 3 ยอดทองพูดกับคงรอดว่า “เกลอเหอที่เรามาบ้านเกลอครั้งนี้ก็เพราะได้ข่าวว่าเมียเกลอสวย เราก็อยากจะเห็นว่าเมียเกลอสวยตามคําร่ําลือหรือไม่ ก็ดั้นด้นมาด้วยความลําบาก แต่พอมาถึงเราก็ไม่ได้เห็นอย่างใจต้องการเพราะตาบอดเกลอช่วยสงเคราะห์เราได้ไหม ขอดวงตาเราสักข้างให้เราได้เห็นหน้าเมียเกลอบ้างสักนิด แล้วเราจะคืนให้” คงรอดได้ฟังก็สงสารเพื่อนเกลอ ยอมให้ยอดทองควักเอาดวงตาไป ยอดทองได้โอกาสควักลูกตาของคงรอดทั้ง 2 ข้าง และใส่ในตาตนเอง แล้วยอดทองก็มองเห็นเมียคงรอด พบว่าสวยมากจริงก็คิดจะเอาเป็นเมียตน แต่เมียคงรอดไม่ยอมและขอดวงตาสามีตนคืน ยอดทองไม่ยอมคืนและไม่สามารถเอาเมียเพื่อนได้ก็จากไป ส่วนเมียคงรอดเมื่อผัวตาบอดก็ยังดูแลอย่างดี วันหนึ่งเมียพาคงรอดไปอาบน้ําที่บ่อแห่งหนึ่ง เมียลืมของสําคัญไว้จึงกลับไปเอาบอกให้ผัวนั่งคอยที่ปากบ่อแล้วให้ท่องพุทโธไปเรื่อย ๆ ในป่าใกล้ ๆมีฤๅษีตนหนึ่งได้ใช้เสือ 2 ตัว ชื่อว่าอ้ายพุดกับอ้ายโทไปเอาน้ําที่บ่อ เมื่อเสือไปถึงบ่อน้ําเจอคงรอดนั่งท่องพุทโธ ๆ นึกว่าเรียกตนทั้ง 2 จึงกลับไปบอกฤๅษี ฤๅษีให้เสือทั้ง 2 นําคงรอดมาหาตนแล้วได้ฟังเรื่องต่าง ๆ ก็เกิดความสงสาร ให้อ้ายพุดกับอ้ายโทไปหากวางมา แล้วเอาตากวางใส่ให้คงรอดมองเห็นเหมือนเดิม คงรอดขอบคุณฤๅษีแล้วกลับไปหาเมียอยู่กินกันอย่างมีความสุข
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนอยากรวย มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชายยากจนมาก วันหนึ่งจึงเดินทางไปนอกหมู่บ้านไปพบลุงคนหนึ่งนั่งเลี้ยงวัวอยู่คนเดียว ชายหนุ่มจึงเข้าไปพูดกับลุงคนนั้นว่า “ผมจนจังแล้ว งานก็ทําแต่ไม่รวยสักที” ลุงนั้นถามว่าทํางานอะไร ชายหนุ่มก็ตอบว่า นาก็ทํา ข้าวโพดก็ปลูก ปลาก็หา ทําทั้งนั้นแต่ไม่รวย ลุงนั้นก็ถามว่าทํามากน้อยแค่ไหน ชายนั้นตอบว่าทํานิด ๆ หน่อย ๆ ลุงก็ตอบว่ารู้แล้วทําไม ทําไมไม่รวย ลุงจึงบอกแก่ชายหนุ่มว่า “มึงลองไปขึ้นต้นไม้นั่นให้กูแลถิ”* ชายหนุ่มก็ ขึ้นไปบนต้นไม้นั้นตามที่ลุงสั่ง เมื่อขึ้นไปถึงยอด แล้วลุงก็บอกว่ากอดต้นไม้ให้แน่นน่ะ ว่าแล้วลุงนั้นก็โยกต้นไม้ ชายนั้นตกใจแต่ก็กอดต้นไม้ไว้แน่นไม่ตกลงมา เสร็จแล้วลุงก็พูดกับชายนั้นว่า “ขอให้เจ้าประกอบอาชีพเถอะ จะทําอะไรก็แล้วแต่ขอให้ทําให้จริง ให้กระชับให้มั่นเหมือนที่จับยอดไม้ที่ลุงโยกเท่าไหร่ก็ไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้นทําอะไรทําให้จริงสักอย่าง อย่าจับจดเอาหมดทุกอย่างแต่หาความมั่นคงไม่ได้ ให้เลือกทําจริงจังเสียสักอย่าง” ชายหนุ่มคนนั้นเมื่อกลับมาบ้านก็ตั้งหน้าตั้งตาหาปลาในทะเลขายจนร่ํารวย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ความลับไม่มีในโลก มีพระราชาองค์หนึ่ง เสด็จประพาสป่าบังเอิญหลงทางไปในหมู่บ้านร้าง มีตากับยายแก่ ๆ 2 คน ตายายไม่รู้จะเอาอะไรให้พระราชาเสวย เพราะความยากจนจึงเอาข้าวสารมาคั่วแล้วผัดกับน้ําตาลพอมีรสหวานปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ยาว ๆ คล้ายก้อนขี้หมาที่กินเม็ดข้าวสาร แล้วนําไปให้พระราชาเสวย พระราชาเสวยแล้วทรงชอบมากเรียกให้มหาดเล็กมาดูแล้วสั่งว่า “คราวหลังให้คนครัวในวังทําอาหารเช่นนี้มาให้เราเสวยบ้าง” มหาดเล็กคนนั้นเห็นแล้วคิดว่าเป็นขี้หมา แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร พอกลับเข้าไปในวังมหาดเล็กก็ไปบอกคนครัวว่าให้หาขี้หมาที่มีข้าวสารติดอยู่มาให้พระราชาเสวย คนครัวก็ทําตามตั้งแต่นั้นมาพระราชาเมืองนั้นก็เสวยแต่ขี้หมาผัดน้ําตาลเป็นประจําจนมหาดเล็กนั้นทนไม่ได้ ด้วยความคับอกจะไปพูดกับคนอื่นก็กลัวจะรู้ถึงหูของพระราชาตัวเองต้องถูกประหารชีวิตแน่ จึงเข้าไปในป่าพูดกับต้นตะเคียนว่าพระราชากินขี้หมา พระราชากินขี้หมา เสร็จแล้วก็หายคับอกก็กลับเข้าวัง ต่อมาทหารกลุ่มหนึ่งของพระราชาต้องการหาไม้ทํากลองถวายวัดตามคําสั่งของพระราชา ทหารก็ไปหาไม้ในป่าก็พบไม้ตะเคียนต้นนั้นมาทํากลอง ทําเสร็จแล้วตีดูปรากฏว่าดังผิดปกติเป็นคําพูดว่า “พระราชากินขี้หมา” พอตีอีกก็ดังเช่นนั้นอีก มหาดเล็กคนที่ไปพูดกับต้นตะเคียนต้นนั้นได้ยินแล้วรําพึงขึ้นว่า “ความลับไม่มีในโลก”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ช้างเกเร มีแม่นกเสียบไส้ตัวหนึ่งเลี้ยงลูกอ่อนอยู่ในพงหญ้า วันหนึ่งมีช้างโขลงหนึ่งเดินมุ่งหน้ามายังที่แม่นกเสียบไส้อาศัยอยู่ ด้วยความตกใจกลัวว่าช้างโขลงนั้นจะเหยียบลูกนกตาย แม่นกจึงบินเข้าไปหาจ่าโขลง แล้วพูดขอร้องจ่าโขลงว่า “พ่อช้างจ๋าฉันมีลูกเล็ก ๆ อยู่ที่พงหญ้าข้างหน้าของพ่อช้างพาโขลงเดินไปทางอื่นได้ไหม” จ่าโขลงได้ฟังก็พูดขึ้นว่า “ได้ เราจะพาพวกเดินไปทางอื่น แต่ในโขลงของเรามีช้างเกเรอยู่ข้างหลังสุดโน้นตัวหนึ่ง ท่านต้องไปขอร้องเอาเองก็แล้วกัน” ว่าแล้วจ่าโขลงก็เลี่ยงเดินไปทางอื่น พวกช้างอื่นก็ตามไป จนช้างตัวสุดท้ายไม่ยอมตามโขลงไป แต่มุ่งไปทางรังนกเสียบไส้ แม่นกเสียบไส้เห็นดังนั้นก็เข้าไปขอร้อง แต่ช้างเกเรไม่ฟังเสียงเดินมุ่งหน้าไปเหยียบลูกนกเสียบไส้ตายหมดรัง แม่นกได้เห็นลูกนกตายไปต่อหน้าต่อตารู้สึกเสียใจมาก และโกรธช้างเกเรจนคิดแก้แค้น แต่ตนเองตัวเล็กคงทําอะไรช้างไม่ได้ จึงไปปรึกษานกกาที่บ้านเพื่อน พร้อมทั้งขอร้องให้นกกาช่วยจิกตาช้างเกเร ๆ ให้ตาบอด เมื่อเห็นว่าช้างเกเรก็ตาบอดแล้วนกเสียบไส้ก็บินไปหาแมลงวันเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้แมลงวันฟัง แมลงวันเห็นใจแม่นกเสียบไส้จึงช่วยไปหยอดไข่ใส่ในตาของช้างทั้ง 2 ข้าง ต่อมาไม่นานมีหนอนขึ้นเต็มไปหมดทรมานมาก แล้วยังหาอาหารกินไม่ได้ เที่ยวเดินสะเปะสะปะอยู่ในป่านับวันก็ผอมลง แม่นกเสียบไส้ยังไม่หายแค้น คงคอยติดตามช้างเกเรตาบอดเรื่อยไป วันหนึ่งขณะที่ช้างเกเรเดินอยู่มีหน้าผาเป็นเหวลึกอยู่ ด้วยความฉลาดของแม่นกเสียบไส้ นางบินไปหาเพื่อนซึ่งเป็นกง * อยู่ข้างหน้าผา เล่าเรื่องให้กงฟังแล้วบอก กงว่านางต้องการกําจัดช้างเกเรนี้เสีย ให้กงช่วยร้องดัง ๆอยู่ข้างหน้าผา ช้างเกเรอดน้ําและอาหาราหลายวันแล้ว เมื่อได้ยินเสียงกงร้องก็ให้นึกว่ามีหนองน้ําอยู่ข้างหน้า จึงเดินมุ่งหน้าตามเสียงกงไป ในที่สุดก็ตกลงไปในเหวลึกตาย แม่นกเสียบไส้จึงหายแค้นบินจากไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ชายพร้าแหว่ง มีไชชายคนหนึ่งไปเรียนวิชาตีเหล็กกับอาจารย์คนหนึ่ง เมื่อเรียนจบแล้วอาจารย์ก็มอบพร้าให้เล่มหนึ่ง พร้าเล่มนี้ไชชายรักและหวงแหนมาก ไม่เคยเอาออกมาใช้ เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี วันหนึ่งไชชายนั้นไปธุระเสียหลายวัน ก่อนไปได้สั่งเมียว่าห้ามนําพร้าที่อาจารย์ให้มาใช้เด็ดขาด หากพร้าแหว่งจะฆ่าเมียเสีย แล้วก็จากบ้านไป เมื่อผัวไปแล้วเมียก็หามีดผ่าฟืนตาหาไม่เจอ จึงเอาพร้าเล่มที่ผัวสั่งห้ามมาใช้นั้นผ่าฟืน บังเอิญพร้านั้นเกิดแหว่ง เมียไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร ก็หาอุบายที่จะไม่ให้ผัวโกรธ พอผัวกลับมาก็คอยปรนนิบัติพัดวี อาบน้ํา ป้อนข้าวให้ คอยเอาอกเอาใจทุกอย่าง ผัวเองไปเสียหลายวันกลับมาเกิดอารมณ์เพศ ร่วมเพศกับเมียไม่ทันเสร็จ เมียก็พูดขึ้นว่า “พร้าที่พี่ห้ามไม่ให้ใช้ น้องเอาไปผ่าฟืนแหว่งเสียแล้ว” ผัวกําลังมีอารมณ์ใคร่เต็มที่ก็บอกเมียว่า “ไม่เป็นไรพี่ค่อยตีเอาใหม่แล้วกัน พี่เป็นช่างตีเหล็กนิ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ชายผู้งมงาย ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่ม 2 คน เป็นเพื่อนรักกันมากและได้สาบานเป็นเกลอกัน วันหนึ่งทั้งสองเดินทางไปพบหมอดู ซึ่งชาวบ้านเชื่อถือกันมากเพราะดูแม่น ทั้ง 2 ขอให้หมอดูนั้นช่วยทํานายโชคชะตาของตน ส่วนชายคนที่สองหมอดูมองแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่าชายคนที่สองนั้นเป็นคนอับวาสนาจะต้องจนไม่มีแม้แต่เสาบ้าน ชายคนที่ 2 ได้ฟังก็หดหู่ใจแล้วทั้ง 2 ก็พากันลาหมอดูกลับบ้าน ชายคนที่หนึ่งนั้นก็นําความไปบอกกับพ่อ – แม่ ญาติพี่น้อง ทุกคนก็พากันดีใจเอาอกเอาใจสารพัด จนชายคนที่ 1 ไม่คิดทําอะไรเลย นอกจากรอวาสนาให้มาถึงตามที่หมอทํานาย หมอดูทายว่า ชายคนที่หนึ่งนั้นเป็นคนมีวาสนาจะได้กินน้ําจากพานเงินพานทอง ชายคนที่ 2 หลังจากการดูหมอก็เศร้าที่ชะตาชีวิตของตนจะเป็นเช่นหมอดูว่า จึงมุมานะพยายามทํางาน เพื่อนเกลอมาชวนไปเที่ยวเตร่ก็ไม่ไปทํางานเก็บเงินท่าเดียวจนร่ํารวยเป็นปึกแผ่นค้านกับคําทํานาย ชายคนแรกนั้นไม่เป็นอันทํามาหากินเพราะคอยที่จะกินน้ําจากพานเงินพานทองจนฐานะยากจนลง ญาติพี่น้องไม่เหลียวแล ต่อมาก็มาหาเพื่อนเกลอก็พบว่ามีฐานะมั่นคง แล้วพูดว่า “จําได้ไหมคราวที่ไปดูหมอ หมอบอกว่าเกลอจะยากจนเสาบ้านไม่มี แต่เกลอกับร่ํารวย ส่วนเราหมอทายว่า วาสนาดีจะได้กินน้ําจากพานเงินพานทอง เรารอดูมาจนแก่แล้วไม่เห็นเป็นจริงเลย ซ้ําทรัพย์สมบัติก็หมด” ชายคนที่ 2 จึงชวนชายคนที่หนึ่งอยู่ด้วยกัน แต่ชายคนที่หนึ่งไม่ยอมเพราะยังมีความหวังว่าตนเป็นคนมีวาสนาจะได้กินน้ําจากพานเงินพานทองในวันข้างหน้า แล้วบอกลาออกเดินทางไปยังกรุงสาวัตถี เนื่องจากชายผู้เชื่อว่าตนมีวาสนาไม่ได้กินอาหารมาหลายวันจึงหมดแรงล้มลงหน้าจวนเจ้าเมืองพอดีกับเจ้าเมืองออกมาพบเข้า จึงให้บริวารเอาน้ําใส่พานเงินพานทองมาให้กิน ชายนั้นเห็นก็พูดว่า “เราได้กินน้ําจากพานเงินพานทองตามคําทํานายแล้ว” แล้วชายนั้นก็ตาย
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ด้ามมีดพ่อท่าน มีพ่อท่านอยู่รูปหนึ่ง อยากจะรู้ว่าใจคนนั้นเป็นอย่างไร ก็ทําด้ามมีดตอกไว้ด้ามหนึ่ง แล้วลองบอกให้คนมาดูว่าสวยแล้วยัง คนแต่ละคนที่พ่อท่านบอกให้มาดูด้ามมีดตอกนั้นก็ตําหนิตรงโน้น ตําหนิตรงนี้ ทุกคนที่ตําหนิด้ามมีดตอกนั้น พ่อท่านก็ให้แก้ไขด้ามมีดนั้นจนถูกใจตัวเองทุกคน จนในที่สุดด้ามมีดตอกนั้นก็เหลือขนาดเท่ากับไม้จิ้มฟันเพียงอันเดียว พ่อท่านเห็นแล้วก็ปลงตก พูดว่า “นี่แหละหนาใจคน มันไม่เหมือนกัน"
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นายพรานใจดี มีพรานป่าอยู่คนหนึ่งล่าเนื้อเก่งมาก เมื่อล่าเนื้อมาได้แล้วจะนํามาแบ่งปันให้ชาวบ้านทุกวัน นายพรานคนนี้จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทั่วไปในละแวกนั้น วันหนึ่งนายพรานป่าก็ไปล่าเนื้อเหมือนกับก่อน ๆ ขณะที่ล่าอยู่นั้นได้หลงเข้าไปในสวนของเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง ได้ยิงกวางทองของเจ้าเมืองนั้นตาย เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกวางป่า เจ้าเมืองโกรธมากจึงสั่งประหารชีวิตนายพราน ข่าวการประหารชีวิตรู้ไปถึงชาวบ้านในหมู่บ้านที่นายพรานอาศัยอยู่ ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านได้เดินทางมาอ้อนวอนไม่ให้เจ้าเมืองฆ่าพราน แล้วพวกตนทุกคนจะยอมเป็นทาสรับใช้เจ้าเมืองตลอดไป เจ้าเมืองเห็นดังนั้นก็คิดว่าพรานคนนี้ต้องมีดีแน่ ชาวบ้านจึงได้รักหวงเช่นนี้ จึงปล่อยนายพรานไป และแต่งตั้งให้เป็นนายบ้านปกครองชาวบ้านนายพรานก็มีความสุขตั้งแต่นั้นมา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เป็นหมาดีที่สุด นานมาแล้วมีหมาตัวหนึ่งเห็นพระอาทิตย์มีอํานาจมากจึงอยากจะเป็นพระอาทิตย์ จึงไปขอพรพระอิศวรจะเป็นพระอาทิตย์ พระอิศวรก็ให้เป็น พอเป็นแล้ว แสงอาทิตย์แผดแสงจนน้ําแห้งหมดเดือดร้อนถึงพระอิศวรอีกก็ทําให้ก้อนเมฆมาบดบังเอาไว้ พระอาทิตย์ก็ทําอะไรไม่ได้ หมาก็อยากจะเป็นก้อนเมฆอีก พระอิศวรก็ให้เป็น ก้อนเมฆก็บดบังแสงอาทิตย์จนมนุษย์เดือดร้อนอีกที่ไม่ได้รับแดด พระอิศวรก็กลายเป็นลมมาพัดให้ก้อนเมฆแตกกระจาย หมาอยากจะเป็นลมอีก พระอิศวรก็ให้เป็นลมก็พัดเอาบ้านเรือนไร่นาเสียหายอีก พระอิศวรก็กลายเป็นจอมปลวกขวางเอาไว้ จอมปลวกก็ปรากฏขึ้นเต็มไปหมด ทําให้มนุษย์เดือดร้อนไม่มีที่ทํากิน พระอิศวรแปลงร่างเป็นหมูมาดุนจนจอมปลวกพังหมด หมาก็อยากเป็นหมูอีก พระอิศวรก็ให้เป็น พอเป็นหมูแล้วก็เที่ยวดุนไปทั่ว ดุนนา ดุนสวนทําให้มนุษย์เดือดร้อนอีก พระอิศวรจึงแปลงกายเป็นหมามากัดหมู หมูสู้ไม่ได้วิ่งหนี หมาก็ไปบอกพระอิศวรว่าขอกลับเป็นหมาตามเดิม พระอิศวรก็ให้ตกลงว่าหมาเป็นหมานั่นแหละดีที่สุด
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
ไอ้สองเกลอ ยังมีชายอยู่ 2 คน เป็นเพื่อนรักกันมาก มีอะไรก็แบ่งปันกันกินแบ่งปันกันใช้ตลอดมา วันหนึ่งชายทั้ง 2 คน ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินอยู่นั้นมีจิ้งเหลนตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าชาย 2 คนนั้นไป คนหนึ่งว่า จั้งเหลน อีกคนหนึ่งว่า จิ้งเหลน ทั้ง 2 คน ก็เถียงกันต่างก็ว่าตนเรียกถูก เถียงกันจนเกือบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว แต่บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินทางผ่านมาทางนั้นพอดี ชายทั้ง 2 จึงให้ชายชราคนนั้นตัดสินให้ว่าใครเรียกชื่อถูกแน่ ชายชราคนนั้นก็ตัดสินเพื่อไม่ให้คน 2 คน โกรธกันและไม่ฆ่ากันตายว่า “แกทั้ง 2 คน เรียกผิดหมด สัตว์ที่กําลังเถียงอยู่นั้นเรียกว่า พะเหลนเพนต่างหาก” ตกลงทั้ง 2 คน ก็คืนดีกันอีกแล้วก็เดินทางต่อไป
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
นกบินหลา มีชายอยู่คนหนึ่งไปนั่งถ่ายอุจจาระบนขอนไม้ในป่า พอดีขอนไม้นั้นมีนกบินหลาทํารังอยู่ในรูไม้ผุตรงที่ชายนั้นนั่งถ่ายพอดี ขณะที่ก้อนอุจจาระตกลงไปนั้นนกบินหลาก็ตกใจบินออกมาตัวหนึ่งตรงหว่างขาชายหนุ่มพอดี ชายหนุ่มนั้นเข้าใจผิดว่าบินออกมาจากทวารของตัวเอง เมื่อกลับไปบ้านแล้ว ก็เล่าให้พ่อฟังว่าตนเองไปถ่ายอุจจาระมีนกบินหลาบินออกมาจากทวารตัวหนึ่ง ต่อมาปรากฏว่า คนนั้นไม่สบายพ่อก็เชื่อว่าเหตุที่ลูกไม่สบายเพราะนกบินหลาเข้าไปอยู่ในท้องถึง 2 ตัว ไปบอกคนอื่น คนอื่นก็บอกต่อ ๆ กันไปจากนกบินหลาออกจากทวารตัวเดียวกลับกลายเป็นว่านกบินหลาอยู่ในท้องเป็นร้อย ๆ ตัว
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
คนเลี้ยงเป็ดเจ้าปัญญา มีลุงอยู่คนหนึ่งมีอาชีพเลี้ยงเป็ดไข่ แกเลี้ยงอยู่หลายเดือน เป็ดก็ไม่ไข่จึงอยากจะขายเป็ดนั้น แต่จะบอกขายตรง ๆ คงจะไม่มีใครซื้อแน่ ๆ จึงหาอุบายโดยไปซื้อไข่เป็ดมาจากตลาดนํากลับมาบ้านโดยมิให้ใครรู้ เสร็จแล้วหาบไข่เป็ดนั้นไปขายที่ตลาดอีกที ขณะที่เดินผ่านไปตามทางคนเห็นไข่เป็ดที่แกหาบไปขายก็ถามว่า “เลี้ยงเป็ดหลายตัวหรือไงที่ได้ไข่เยอะ” ลุงคนนั้นบอกกับทุกคนที่ถามว่า “เลี้ยงไว้ 100 กว่าตัวไข่วันละ 100 ฟองไม่เคยขาด ตอนนี้ชักจะขี้เกียจแล้วเพราะแก่แล้วไม่มีใครช่วยเลี้ยง อยากจะขายเป็ดทั้งหมด” พอดีมีพ่อค้าคนหนึ่งเห็นว่าเป็ดไข่มากเลี้ยง 100 กว่าตัวไข่วันละ 100 ฟองนั้น ถ้าซื้อมาเลี้ยงไว้คงได้กําไรทีเดียว คิดเช่นนั้นก็ขอซื้อเป็ดจากลุงคนนั้นในราคาที่สูงพอสมควร เมื่อซื้อแล้วพ่อค้าคนนั้นก็นําเป็ดไปเลี้ยง ปรากฏว่าเป็ดไม่ไข่ พ่อค้าจึงไปต่อว่าลุง ว่าเป็ดไม่ไข่ ลุงนั้นก็แก้ตัวว่า “ เป็ดกําลังตกใจยังไม่ไข่ เลี้ยงไปอีกเดือนสองเดือนก็ไข่เองแหละ”
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
งูเหลือมวิดปลา สมัยก่อนงูเหลือมเป็นสัตว์ที่มีพิษมากและร้ายแรง ไม่ต้องกัดเพียงแต่คายพิษลงบนรอยเท้าของผู้ใดก็สามารถทําให้ผู้นั้นตายได้ อยู่มาวันหนึ่งงูเหลือมผ่านหนองน้ําเห็นปลามากมายก็อยากกินปลา จึงลงไปวิดน้ําโดยใช้ลําตัววิดน้ําจนแห้ง ด้วยความเหนื่อยจึงนอนหลับไปกะว่าตื่นขึ้นมาค่อยกิน ขณะนั้นชายคนหนึ่งชื่อว่า ให้ เป็นพ่อหม้าย คนในหมู่บ้านเรียกนายให้หม้าย ผ่านมาเห็นปลาในหนองน้ําที่กําลังแห้งก็ลงไปจับแล้วนํากลับบ้านหมด ฝ่ายงูเหลือมตื่นขึ้นมาก็จะกินปลาในหนองน้ําปรากฏว่าปลาหายไปหมดและมีรอยเท้าคนอยู่ก็รู้สึกโกรธ ด้วยความโกรธจึงคายพิษลงรอยเท้าของนายให้ แล้วนายให้ก็ตาย เพื่อนบ้านรู้ก็บอกข่าวต่อ ๆ กันไปว่า นายให้หม้ายตายโดนพิษงู งูเหลือมซึ่งแอบฟังอยู่ได้ยินเป็นว่านายให้ไม่ตายโดนพิษงู ก็รู้สึกเสียใจมากคิดว่าพิษของตนเองไม่มีพิษสงเหมือนก่อน ไม่สามารถทําให้นายให้ตายได้ก็คายพิษทิ้ง สัตว์ต่าง ๆ รู้ข่าวก็เอาพิษนั้น งูเห่ามาก่อนจึงได้พิษมากกว่าสัตว์อื่น ฝ่ายงูเหลือมเมื่อคายพิษทั้งหมดแล้วก็อยากดูหน้าคนที่ถูกพิษตนแล้วไม่ตาย ก็ไปบ้านนายให้หม้าย ก็เห็นศพนายให้จึงได้รู้ว่านายให้ตาย ตนฟังผิดจึงคิดจะกลับไปเอาพิษที่คายไว้ แต่สายเสียแล้ว พิษของตนสัตว์อื่น ๆ มาเอาไปหมดแล้ว งูเหลือมจึงได้แต่เสียใจ ตั้งแต่นั้นมางูเหลือมจึงไม่มีพิษจนกระทั่งทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เสือขอลูก ในสมัยก่อนไม่ว่าสัตว์โลกจะทําอะไรจะต้องขึ้นไปขออนุญาตพระอิศวรก่อน เสือก็เช่นเดียวกันได้ขึ้นไปขอพระอิศวรว่า ตนอยากมีลูกแต่ไม่รู้จะมีได้สักเท่าไร พระอิศวรเห็นเสือเข้ามาด้วยความนอบน้อมก็บอกเสือ เสือจะมีลูกได้ปีละ 7 ครอก ๆ ละ 7 ตัว แล้วให้เสือเดินทางกลับโลก แต่แล้วพระอิศวรก็นึกขึ้นว่าเสือเป็นสัตว์กินเนื้อ หากให้มีลูกปีละ 7 ครอก ๆ ละ 7 ตัว อีกหน่อยจะมีเสือเพิ่มมากขึ้น ๆ แล้วไปกินสัตว์อื่น ๆ จะทําให้สัตว์อื่นสูญพันธุ์ พอคิดได้ดังนั้นพระอิศวรก็แปลงร่างเป็นนกคุ่ม ไปแอบอยู่ในกอไผ่ที่เสือเดินผ่าน เสือดีใจที่พระอิศวรให้พรเช่นนั้น ก็เดินท่องไปว่า “ปีละ 7 ครอก ๆ ละ 7 ตัว” ไปเรื่อย ๆ จวบจนถึงโลก ขณะที่เดินผ่านกอไม้ นกคุ่มก็บินถลาออกมา เสือตกใจร้องออกมาว่า “7 ปีหนึ่งครอก ครอกละ 1 ตัว” ตั้งแต่นั้นมาเสือจึงมีลูกได้ครั้งละ 1 ตัว และ 7 ปีถึงจะมีครั้งหนึ่ง
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เหตุที่ปลาไหลตัวเล็ก นานมาแล้วมีลุงคนหนึ่งชื่อลุงสุข มีอาชีพเลี้ยงควาย เลี้ยงไว้มากจนนับไม่ไหว วันหนึ่งมีปลาไหลขนาดใหญ่ตัวหนึ่งขึ้นมากินควาย กว่าลุงสุขจะรู้ว่าควายถูกกินก็เกือบหมดแล้ว ดังนั้นแกจึงทําเบ็ดขึ้นมาตาหนึ่งมีขนาดใหญ่ที่สามารถเกี่ยวควายได้ทั้งตัว แล้วเอาเชือกลากพระ 2 เส้น มาขวั้นทําเป็นสายเบ็ด นําสายเบ็ดไปผูกกับต้นตาล พอปลาไหลขึ้นมากินควายก็ติดเบ็ดทันที ปลาไหลมีแรงมากก็พยายามลากลงรู ทําให้ต้นตาลโก่งเป็นรูปคันธนู จนปลาไหลหมดแรงถูกต้นตาลที่โก่งอยู่ดีดกลับ ทําให้ปลาไหลปากขาดลอยไปกระทบกับภูเขาแหลกละเอียดเป็นตัวเล็กตัวน้อยอยู่ในนาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นมาปลาไหลก็มีขนาดเล็กและชอบกินหนังควายแช่น้ํา
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พระเจ้าชัยชนะ นานมาแล้วมีฤๅษีอยู่ 3 ตน อาศัยอยู่ในป่าลึกแห่งหนึ่ง ฤๅษี 3 ตนนี้มีของวิเศษคนละอย่าง คนแรกมีมีดวิเศษ ใช้ไปตัดอะไรก็ได้ คนที่ 2 มีหม้อน้ําวิเศษสามารถอธิษฐานบันดาลให้น้ําท่วมก็ได้ ฤๅษีตนที่ 3 มีแก้ววิเศษ อมแล้วเหาะได้ ฤๅษีทั้ง 3 ตนไปมาหาสู่กันเป็นประจํา วันหนึ่งฤๅษีที่มีแก้ววิเศษนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ มีหมูตัวหนึ่งมาใกล้ฤๅษี พบลูกแก้ววิเศษของฤๅษีแล้วอมเข้าไป หมูก็เหาะได้ เหาะไปหยุดที่เกาะ ๆ หนึ่ง บนเกาะนั้นมีชายชาวบ้านคนหนึ่งไปหาปลาแล้วเรือแตกมาติดอยู่บนเกาะแห่งนี้ เห็นหมูเหาะได้จึงแปลกใจ พอหมูลงดินได้คายแก้วออกมาตั้งไว้แล้วก็ดุนดินหาอาหาร ชายนั้นก็รู้ว่าที่หมูเหาะได้ก็เพราะแก้ววิเศษนั้นแน่ ๆ จึงได้ขโมยแก้วนั้นมาเสีย แล้วอมไว้เหาะขึ้นไปนั่งอยู่บนต้นไม้ หมูรู้ว่าแก้วถูกขโมยจึงเสียใจมากก็วิ่งชนต้นไม้ตาย ชายนั้นก็เอาหมูที่ตายย่างกิน พอมีเรี่ยวแรงแล้วจึงเหาะจากเกาะไปพบฤๅษีตนที่มีมีดวิเศษ ชายนั้นจึงชวนฤๅษีแลกมีดวิเศษกับแก้ววิเศษของตน ฤๅษีก็ตกลง เมื่อได้มีดมาแล้วชายนั้นก็ให้มีดวิเศษไปตัดคอฤๅษี ๆ ตายแล้วก็เอาแก้ววิเศษคืน เหาะไปพบกับฤๅษีที่มีหม้อน้ําวิเศษ ชายนั้นชวนแลกแก้ววิเศษอีก เมื่อได้หม้อวิเศษแล้ว ชายนั้นก็ให้มีดวิเศษไปฟันคอฤๅษีเจ้าของหม้อตาย ชายคนนั้นก็ได้ของวิเศษทั้ง 3 อย่างมาครอบครอง เมื่อได้ของวิเศษมาแล้วใจก็ฮึกเหิมไปท้ารบชิงเมืองกับเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง เจ้าเมืองนั้นสู้ไม่ได้เพราะชายนั้นได้เหาะขึ้นบนอากาศแล้วอธิษฐานให้หม้อน้ําวิเศษเทน้ําลงมาให้ท่วมเมือง ทหารจมน้ําตายที่เหลือก็หนีเอาตัวรอด ส่วนเจ้าเมืองก็ถูกมีดฟันคอตาย ชายนั้นก็ได้เป็นเจ้าเมืองชื่อว่า พระเจ้าชัยชนะ เมื่อปกครองเมืองแล้วพระเจ้าชัยชนะก็เสด็จประพาสป่าไปพบต้นมะม่วงต้นหนึ่ง มีลูกสุกหอมหวานก็อยากกินมะม่วง กินเสร็จแล้วก็อยากกินเมล็ดอีก ปรากฏว่าเมล็ดมะม่วงนั้นมันกินอร่อยกว่าเนื้อมะม่วงเสียอีก พระเจ้าชัยชนะจึงสั่งให้ทุกบ้านในเมืองนั้นปลูกมะม่วง แล้วเอาเมล็ดมาถวาย ข่าวการชอบเมล็ดมะม่วงของเจ้าเมืองทราบไปถึงวิญญาณของฤๅษีที่ถูกฆ่าทั้ง 3 ตน ฤๅษีทั้ง 3 จึงคิดจะแก้แค้นเจ้าเมือง ดังนั้นจึงสาบให้เมล็ดมะม่วงมีรสขม ตั้งตานั้นมาเมล็ดมะม่วงจึงมีรสฝาดและขมกินไม่ได้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พระคุณแม่โพสพ มีพระรูปหนึ่งมีชื่อว่า “พระพุทธคุณลุ่นโท่” เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก วันหนึ่ง พระพุทธคุณลุ่นโท่รูปนี้ก็เทศนาสั่งสอนชาวบ้าน และถามชาวบ้านขึ้นว่า “ในโลกนี้ใครเป็นผู้มีพระคุณมากที่สุด” บ้างก็บอกว่า "พระพุทธเจ้า เพราะเป็นผู้ที่ก่อกําเนิดศาสนา" บางคนบอกว่า "พระแม่ธรณีซึ่งให้ที่อยู่อาศัย" บางคนก็บอกว่า "พระพุทธคุณลุ่นโท่นั่นแหละ เพราะเทศน์สั่งสอนชาวบ้านมาช้านาน" ในที่นั้นไม่มีใครรู้ว่าพระแม่โพสพได้เข้ามานั่งฟังเทศน์ด้วย และไม่มีใครกล่าวถึงบุญคุณของนาง นางจึงรู้สึกเสียใจร้องไห้ลุกขึ้นจากไป เดินไปร้องไห้ไปพลางจนถึงแม่น้ําก็นั่งใต้ต้นหว้าที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ํา คิดในใจว่า นางทําดีตั้งมากมายแต่ไม่มีใครเห็นความดีจะอยู่ให้อับอายทําไม ขณะนั้นก็มีปลาไหลและปลาตะเพียนว่ายน้ําอยู่ใกล้ พระแม่โพสพจึงขี่หลังปลาตัวหนึ่งไปยังเขาเงินยวงจําศีลภาวนาไม่ยอมกลับไปเมืองมนุษย์ ที่เมืองมนุษย์ เมื่อพระโพสพจากไปไม่มีใครรู้ ก็เกิดข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านอยู่กันอด ๆ อยาก ๆ ได้รับความทุกข์ทรมาน ก็เกิดความสงสัยพากันไต่ถามพระพุทธคุณลุ่นโท่ซึ่งท่านก็ได้เข้าญาณดูจึงรู้ว่าพระแม่โพสพหนีไปจําศีลภาวนาที่เขาเงินยวงนั่นเอง จึงเป็นอย่างนั้น จึงปรึกษากับชาวบ้านว่าจะทําอย่างไรดีเพื่อให้พระแม่โพสพกลับคืนเมืองมนุษย์ ในที่สุดก็มีปลาฉลาดและนกแซงแซวรับอาสาทําหน้าที่ไปตามอ้อนวอนพระแม่โพสพเอง เมื่อนกและปลาไปถึงก็พูดจาอ้อนวอนและบอกถึงความทุกข์ยากของพวกมนุษย์ทําทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สามารถทําให้พระแม่โพสพเปลี่ยนใจกลับได้ แม่โพสพให้แต่ข้าวมา 2 ถัง ให้นกแซงแซวกลับไปแบ่งปันกัน ขณะที่บินข้ามแม่น้ํานกแซงแซวได้ทําข้าวทั้ง 2 ถัง หล่นลงแม่น้ําหมด แล้วปลาฉลาดก็กินเข้าไปหมดเช่นกัน แล้วว่ายหนีไปไม่คิดจะนําข้าวไปแบ่งปันให้แก่ชาวบ้าน วันหนึ่งขณะที่ลูกสาวเศรษฐีโคทันกําลังนั่งตกปลาอยู่แล้วก็ตกได้ปลาฉลาดตัวโต ก็ดีใจมาก นําไปให้พ่อครัวที่บ้านทํากับข้าวกิน เมื่อพ่อครัวผ่าท้องปลาพบเมล็ดข้าวเต็มท้องปลาจึงนําความไปบอกกับเศรษฐีโคทัน เมื่อเศรษฐีทราบก็รู้ทันทีว่าพระแม่โพสพได้กลับมาแล้ว พวกชาวบ้านต่าง ๆ ไม่ต้องอดอยากอีกต่อไป หากไม่มีพระแม่โพสพก็ไม่มีข้าวกินทุกวันนี้
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
เหตุที่ลูกเต่าร้างคัน มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง เมืองนั้นมีหญิงไม่ดีอยู่ 3 คน คือ หญิงขี้ลัก หญิงขี้เย็ด และหญิงขี้ยอน หญิง 3 คนนี้ทําให้เมืองนี้เดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะหญิงคนขี้ลักชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน ทําให้ชาวบ้านเดือดร้อน หญิงขี้เย็ดชอบสมสู่กับผู้ชายโดยไม่เลือกหน้า ทําให้คนหึงหวงทะเลาะ และฆ่าฟันกัน หญิงขี้ยอนชอบยุผู้อื่นให้แตกความสามัคคีและทะเลาะกัน ดังนั้นชาวเมืองและเจ้าเมืองนั้นจึงลงโทษโดยจับหญิงทั้งสามใส่แพแล้วเนรเทศออกกลางทะเล หญิงทั้ง 3 คน ลอยอยู่กลางทะเลหลายวัน พอดีมีสําเภาลําหนึ่งแล่นผ่านมาเห็นผู้หญิงลอยแพจึงรับขึ้นเรือ ตกลงได้เป็นเมียสําเภาทั้ง 3 คน เจ้าของสําเภาเป็นคนร่ํารวยมีทรัพย์มากและเป็นคนมักมากในกาม หญิงคนที่ขี้ลักลักทรัพย์เท่าไรก็ไม่หมดจึงหยุดลักกลับกลายเป็นคนดี หญิงคนขี้เย็ดเมื่อมาพบคนที่ขี้เย็ดเช่นเดียวกันก็สามารถอยู่กันได้ไม่เที่ยวไปหาผู้ชายอื่น ส่วนหญิงขี้ยอนก็เที่ยวยุยงชาวบ้านจนเกิดการทะเลาะวิวาทกันโกลาหลอยู่เป็นประจําแก้ไม่หาย เศรษฐีสําเภาจึงนําไปถ่วงน้ําเสีย เมื่อตายไปแล้วบังเอิญหัวกะโหลกถูกคลื่นซัดขึ้นมาบนฝั่ง ฤๅษีเก็บได้ก็นําไปตักน้ําล้างก้นที่ในส้วม ด้วยฤทธิ์ที่หญิงนั้นเป็นคนขี้ยอน เมื่อยุใครไม่ได้แล้วก็ทําให้คันก้น เมื่อเอากะโหลกนั้นตักน้ําล้างก้นกันทีไรก็คันก้นกันทุกที ฤๅษีจึงนําไปทิ้งไว้ในป่าเต่าร้าง ลูกเต่าร้างออกมาก็คันอีกตั้งแต่นั้นต่อมาใครถูกผลเต่าร้างจะมีอาการคัน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
พระนางโภควดี มีนางฟ้าองค์หนึ่งชื่อว่า โภควดี เป็นนางสนมพระอินทร์ ด้วยบุญบารมีที่สร้างไว้มาก นางจึงมีผิวเปล่งปลั่ง สดใสดังเนื้อทอง มีกลิ่นกายหอมไกลเป็นโยชน์ อยู่มาวันหนึ่งพระนางโภควดีเข้าเฝ้าพระอินทร์พร้อมกับได้ปฏิบัติตนเช่นก่อน ๆ แต่วันนั้นพระอินทร์ได้บอกกับพระนางโภควดีว่า นางใกล้จุติเพื่อได้ไปสร้างยอดแห่งทานบารมีแล้วจะได้กลับมาเกิดบนสวรรค์ใหม่อีกครั้ง และพระอินทร์ก็บอกกับพระนางโภควดีว่าให้นางเลือกเอาเองว่าจะไปจุติเป็นอะไร นางโภควดีก็คิดไม่ออก ก็ระลึกถึงฤๅษีตาไฟที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งเก่งกล้าวิชาอาคมนั่งหลับตาบําเพ็ญตะบะอยู่ช้านานมาแล้ว หากลืมตามองไปที่ใดที่นั่นก็จะไหม้เป็นเถ้าถ่าน คิดได้ดังนั้นนางจึงไปหาพระฤๅษี พระฤๅษีซึ่งบําเพ็ญเพียรบารมีมาช้านานพอได้กลิ่นหอมของดอกไม้ทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูร้อนก็นึกสงสัยลืมตาขึ้นดู พระนางโภควดีที่นั่งอยู่ก็เลยไหม้เป็นเถ้าถ่านกองอยู่ ฤๅษีก็สงสัยว่าเป็นกองเถ้าถ่านอะไร ตนได้เผาอะไรไปอีก จึงได้นั่งสมาธิเพ่งมองในญาณ จึงทราบว่าเป็นนางโภควดี จึงถามนางว่ามาทําไมมีเรื่องเดือดร้อนอะไร พระนางโภควดีจึงบอกแก่ฤๅษีว่าพระอินทร์จะให้นางลงไปเกิดแล้วให้เลือกว่าจะเกิดเป็นอะไรที่สามารถสร้างยอดแห่งทานได้ นางคิดไม่ออกจึงมาขอให้ท่านฤๅษีช่วย ท่านฤๅษีได้ฟังก็นิ่งคิดในที่สุดก็คิดออก บอกให้นางตั้งจิตให้แน่วแน่อธิษฐานตามตนว่า เรือนร่างทั้งหมดจะให้เป็นทานแก่มนุษย์และสัตว์โลก เนื้อหนังเป็นพื้นดินเป็นที่อยู่อาศัย เลือดและน้ําตาเป็นแม่น้ําคงคาสําหรับดื่มกิน เอ็นเป็นย่านเชือก กระดูกเป็นหิน ผมและขนเป็นเส้นหญ้า ฟันเป็นดอกเห็ด น้ํานมเป็นข้าว ข้าวโพด หรือข้าวสาลี เพื่อใช้เลี้ยงมนุษย์และสัตว์ จบคําอธิษฐานของพระนางโภควดี พระฤๅษีจึงใช้ไม้เท้าตีเถ้าถ่านของนางแตกกระจายสู่พื้นโลก แล้วนางก็ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ได้อธิษฐาน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }
กรรมเก่าของกา นานมาแล้วนกฮูกท้องผูกถ่ายไม่ออก จึงไปหากาให้ช่วย กาจึงพาไปหานกกาเหว่าให้ช่วยรักษา โดยตกลงกันว่า เมื่อรักษาหายแล้วนกฮูกจะต้องจ่ายค่ารักษาให้นกกาเหว่า หลังจากตกลงกันแล้ว นกกาเหว่าก็ลงมือรักษาให้นกฮูก โดยให้นั่งเอาก้นแช่น้ําในลําธาร เพื่อให้น้ําละลายอุจาระที่ถ่ายออกมาติดค้างอยู่ที่ปากทวาร หลังจากนกฮูกถ่ายเป็นปกติแล้วก็ไม่ยอมจ่ายค่ารักษาโดยให้เหตุผลว่า นกกาเหว่าไม่ได้รักษาแต่อย่างใด เหตุครั้งนี้ทําให้นกต่างๆ รังเกียจและขับไล่นกฮูกออกจากสมาคมนก ต้องหลบซ่อนในเวลากลางวัน และออกหากินเวลากลางคืนฝ่ายนกกาเหว่าเมื่อไม่ได้ค่ารักษานกฮูกจึงเรียกร้องเอาจากกา กาไม่สามารถจ่างค่ารักษาแทนนกฮูกได้จึงต้องรับฟักไข่และเลี้ยงลูกให้นกกาเหว่าเป็นการตอบแทน
{ "domain": "literature", "license": "cc-by", "source": "https://data.go.th/dataset/folktales", "title": "folktales" }