ID
stringlengths 9
13
| Domain
stringclasses 4
values | Instruction
stringlengths 9
3.44k
| Input
stringlengths 19
125k
⌀ | Output
stringlengths 11
31.6k
| Tags
stringlengths 7
676
⌀ | Task_type
stringclasses 7
values | License
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Retail_57037 | Retail | กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มีอะไรน่าสนใจบ้าง? | null | กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มีความน่าสนใจหลายประการ ดังนี้
1. เน้นการยกระดับแพลตฟอร์มออมนิแชแนล
-เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลใหม่ ๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจ
มุ่งเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกช่องทาง
-ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การใช้ Chatbot ตอบคำถามลูกค้า การใช้ AR/VR เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้ง
2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจหลัก
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการขยายธุรกิจหลักทั้งในประเทศและต่างประเทศ
-มีแผนเปิดศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ 3 แห่ง และเพิ่มร้านค้าใหม่ ๆ ในปี 2565
-ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เช่น เวียดนาม อินเดีย และมาเลเซีย
3. สร้างธุรกิจใหม่
-เซ็นทรัล รีเทล มองหาโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ๆ
-เน้นธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกและความต้องการของผู้บริโภค
-ตัวอย่างธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจ Health & Wellness ธุรกิจ EdTech ธุรกิจ Fintech
4. ขยายธุรกิจภายใต้แนวคิด Inclusive Growth
-เซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการสร้างความสำเร็จร่วมกันกับพาร์ทเนอร์
-มองหาโอกาสในการร่วมทุนกับธุรกิจอื่น ๆ
-ตัวอย่างความร่วมมือ เช่น การร่วมทุนกับ LINE MAN เปิดตัว Foodpanda Mart
โดยสรุป
กลยุทธ์ CRC Retailligence ของเซ็นทรัล รีเทล มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ พัฒนาธุรกิจหลัก สร้างธุรกิจใหม่ และขยายธุรกิจร่วมกับพาร์ทเนอร์ กลยุทธ์เหล่านี้ น่าจะช่วยให้เซ็นทรัล รีเทล ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้าน Omni-Centric Retailer ของเอเชียได้
คำแนะนำ
-เซ็นทรัล รีเทล ควรติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจ
-ควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
-ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพาร์ทเนอร์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต | null | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57038 | Retail | การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย จะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศนี้อย่างไร? | ถ้าหากพูดถึงร้านสะดวกซื้อ เชื่อว่าคนไทยคงจะคงคุ้นเคยกับ 7-Eleven เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่า ถ้าอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพียงก้าวออกจากบ้านไม่กี่ก้าว
ก็จะเจอ 7-Eleven อย่างน้อย 1 สาขา เพราะปัจจุบันร้านสะดวกซื้อแบรนด์นี้ มีมากกว่า 12,700 สาขาทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี มีอยู่ประเทศหนึ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพราะไม่เคยมี 7-Eleven ไปเปิดมาก่อน ประเทศนั้นคือ “อินเดีย” แต่ล่าสุด เมื่อวานนี้ มีข่าวออกมาว่า “อินเดีย” ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
กำลังจะมี 7-Eleven “สาขาแรก” แล้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่มหานครมุมไบ โดยมีกำหนดเปิดร้านวันที่ 9 ตุลาคม นี้ การบุกตลาดในอินเดียของแบรนด์ 7-Eleven ครั้งนี้ จะดำเนินการโดยบริษัท 7-India Convenience Retail
โดยเป็นการทำสัญญาแฟรนไชส์กับ Seven & i Holdings Co., Ltd. บริษัทค้าปลีกจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ซึ่งบริษัท 7-India Convenience Retail อยู่ภายใต้การลงทุนของ Reliance Retail Ventures Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยด้านการลงทุนของ Reliance Industries Limited ทั้งนี้ Reliance Industries Limited เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในอินเดีย (มีมูลค่า 7.9 ล้านล้านบาท)
ดำเนินธุรกิจหลากหลายอย่าง อาทิ พลังงาน, โทรคมนาคม, ค้าปลีก, มีเดีย และอื่น ๆ
โดยมีเจ้าของคือคุณ Mukesh Ambani มหาเศรษฐีที่รวยสุดในอินเดียและในเอเชีย (มีทรัพย์สิน 3.4 ล้านล้านบาท) นั่นเอง และแน่นอนว่า 7-Eleven ก็จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจค้าปลีก ที่ช่วยเสริมทัพให้กับ Reliance Industries Limited ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ สำหรับร้าน 7-Eleven ที่จะเปิดในอินเดียนี้ จะมีการนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้มาเยือน ตลอดจนผลิตภัณฑ์และอาหารที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อตลาดท้องถิ่นโดยเฉพาะ
โดยจะเป็นร้านค้าปลีก 2 ชั้น พื้นที่กว่า 1,700 ตารางฟุต และมีร้านกาแฟด้วย ส่วนในด้านสถานที่ตั้ง คือชั้นแรกของอะพาร์ตเมนต์ Atul Blue Fortuna
บนถนน Military ซึ่งนับเป็นสถานที่ที่อยู่ท่ามกลางความเจริญ เพราะมีทั้งสถานีรถไฟ และเป็นศูนย์กลางความบันเทิงของอินเดีย โดยคาดว่าในปลายปีนี้ จะสามารถขยายสาขาของ 7–Eleven ไปได้อีกหลายแห่งในมหานครมุมไบ ทั้งนี้ ทางคุณ Isha Ambani ผู้บริหารของ Reliance Ventures Limited ได้เปิดเผยว่า
ทางบริษัทมีความภาคภูมิใจที่จะนำร้านสะดวกซื้อชื่อดังอย่าง 7-Eleven มาเปิดในอินเดียมาก เพราะนอกจากที่จะมีสินค้าคุณภาพดีที่เป็นที่รู้จักระดับโลก
ก็ยังมีสินค้าพร้อมทานที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้เหมาะสมกับคนท้องถิ่นอีกด้วย Close Ad Close Ad โดยประเทศอินเดีย จะเป็นประเทศ/ภูมิภาคลำดับที่ 18 ที่ 7–Eleven เข้าไปดำเนินธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบัน 7-Eleven เปิดให้บริการแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, ญี่ปุ่น, ไทย, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม, กัมพูชา, ออสเตรเลีย, นอร์เวย์, สวีเดน และเดนมาร์ก และปัจจุบัน จำนวนร้าน 7-Eleven มีมากกว่า 77,000 สาขาทั่วโลก สำหรับผู้ที่ได้สิทธิแฟรนไชส์ 7-Eleven นั้น ในแต่ละประเทศก็จะแตกต่างกันออกไป
ส่วนในประเทศไทยนั้น ผู้ที่ได้รับสิทธิบริหารแฟรนไชส์ 7-Eleven ในประเทศ คือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL อ้างอิง :
-
-
-
| การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย คาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกในประเทศนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้:
1. เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค:
ปัจจุบัน ร้านค้าปลีกในอินเดียมีรูปแบบหลากหลาย ตั้งแต่ร้านค้าแบบดั้งเดิม ร้านโชห่วย ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ การเข้ามาของ 7-Eleven จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในเขตเมือง ที่ผู้คนต้องการความสะดวกรวดเร็ว
2. ยกระดับมาตรฐานการบริการ:
7-Eleven เป็นที่รู้จักในเรื่องมาตรฐานการบริการที่ดี พนักงานที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี สินค้าที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และบรรยากาศร้านค้าที่สะอาด การเข้ามาของ 7-Eleven จะช่วยยกระดับมาตรฐานการบริการในธุรกิจค้าปลีกของอินเดีย
3. กระตุ้นการแข่งขัน:
การเข้ามาของ 7-Eleven จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในธุรกิจค้าปลีก ต้องพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาด
4. สร้างโอกาสทางธุรกิจ:
7-Eleven ต้องการซัพพลายเออร์ท้องถิ่น เพื่อจัดหาสินค้าให้กับร้านค้า การเข้ามาของ 7-Eleven จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น
5. สร้างงาน:
7-Eleven คาดว่าจะสร้างงานใหม่หลายพันตำแหน่ง ในอินเดีย
อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาของ 7-Eleven ในอินเดีย ยังมีอุปสรรคบางประการ ดังนี้:
ความคุ้นเคยของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวอินเดีย คุ้นเคยกับร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับร้านสะดวกซื้อ
การแข่งขัน: ธุรกิจค้าปลีกในอินเดีย มีการแข่งขันสูง 7-Eleven ต้องเผชิญกับคู่แข่งรายใหญ่ เช่น DMart และ Reliance Retail
กฎระเบียบ: รัฐบาลอินเดีย มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการค้าปลีกต่างชาติ 7-Eleven อาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรคทางกฎหมาย | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57043 | Retail | ธนาคารกสิกรไทยต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในธุรกิจของธนาคารประเทศใดและใช้กลยุทธ์อะไรบ้างในการดำเนินธุรกิจ | ธนาคารกสิกรไทยส่งกสิกรวิชั่น ไฟแนนเชียล ดำเนินการซื้อหุ้นเพิ่มทุนธนาคารแมสเปี้ยน ประเทศอินโดนีเซียด้วยมูลค่าการลงทุน 186.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.5 พันล้านบาท ส่งผลให้กสิกรไทยเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นรวมในธนาคารแมสเปี้ยน เป็น 67.5% เดินหน้านำจุดแข็งบริการและเทคโนโลยีพัฒนาบริการให้ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจเข้าถึงโอกาสทางการเงินสะดวกยิ่งขึ้น พร้อมเชื่อมโยงฐานลูกค้าธุรกิจ เสริมแกร่งการเป็นธนาคารแห่งภูมิภาค นายภัทรพงศ์ กันหสุวรรณ ประธานกรรมการ บริษัท กสิกร วิชั่น ไฟแนนเชียล จำกัด เปิดเผยว่า ธนาคารเดินหน้ากลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดที่มีศัยกภาพสูง ล่าสุดบริษัท กสิกร วิชั่น ไฟแนนเชียล จำกัด ได้รับอนุมัติจากธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซียและดำเนินการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในธนาคารแมสเปี้ยน ประเทศอินโดนีเซีย จากเดิมมีสัดส่วนสัดส่วนอยู่ที่ 9.99% เพิ่มเป็น 67.5% ด้วยมูลค่าการลงทุน 186.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6,500 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้บริษัทของธนาคารกสิกรไทยกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (Controlling Shareholder)ของธนาคารแมสเปี้ยน การเข้าซื้อกิจการของธนาคารแมสเปี้ยน ซึ่งเป็นธนาคารมีขนาดสินทรัพย์ 888 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 31,100 ล้านบาท และมีสาขาจำนวน 50 แห่งทั่วประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการควบรวมกิจการ (M&A) ครั้งแรกของธนาคารกสิกรไทยภายใต้กลยุทธ์การขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้นับว่าเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ทั้งในแง่ความต้องการสินเชื่อที่กำลังเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซียในช่วงการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และในแง่ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเกิดจากการหลั่งไหลของการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยมีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนของประเทศอินโดนีเซีย โดยจะนำประสบการณ์ ความพร้อมและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจธนาคารที่มีมายาวนานกว่า 77 ปี มาประยุกต์ ต่อยอด และเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมทางการเงินของ KASIKORN Business Technology Group (KBTG) มาสู่ธนาคารแมสเปี้ยน เพื่อผลักดันให้ธนาคารแมสเปี้ยน เติบโตเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดใน East Java และพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในระยะยาวต่อไป ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) ธนาคารจะเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อและให้บริการด้านธนาคารที่ครบวงจร เพื่อเป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ตอบสนองความต้องการของ ธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ (Local Large Corporate) เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายสาขาธุรกิจของประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะผู้นำทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ และจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงตลาดภายในประเทศของอินโดนีเซียให้เป็นหนึ่งเดียว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Development Plan) ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งธนาคารเชื่อว่าแผนนี้จะสามารถผลักดันให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดี โดยธนาคารพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งจากธุรกิจไทย (TDI) และธุรกิจต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (กลุ่มประเทศ AEC+3) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) ธนาคารให้การสนับสนุนด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางที่มีจำนวนมาก เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีทางการเงินที่จะช่วยปรับปรุงระบบการชำระเงินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขับเคลื่อนธุรกิจแบบรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพร้อมขยายไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ในอนาคต กลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ธนาคารมุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยในอินโดนีเซียผ่านการให้บริการโมบายแบงก์กิ้งหรือบริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก (MSME) ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างจำกัด แต่มีความสามารถในการใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ มีฟีเจอร์ที่มีความหลากหลาย พร้อมทั้งพัฒนาระบบโมบายแบงก์กิ้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีแนวโน้มการใช้งานผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งด้านบริการทางการเงินและศักยภาพทางเทคโนโลยีของกสิกรไทย ผสานกับความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานในท้องถิ่นของธนาคารแมสเปี้ยนจะสามารถพัฒนาบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการท้องถิ่นในอินโดนีเซียเข้าถึงสินเชื่อและบริการทางการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น เพื่อสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยจะมีการต่อยอดความสัมพันธ์จากฐานลูกค้าธุรกิจของธนาคารมีอยู่ในไทยและประเทศในภูมิภาค สร้างการเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งด้านห่วงโซ่การผลิต การลงทุนและการค้า ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจในไทย อินโดนีเซียและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปในอนาคต การเข้าซื้อกิจการธนาคารมาสเปี้ยนของธนาคารกสิกรไทย ในปี 2565 ครั้งนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของการยกระดับธนาคารกสิกรไทยในฐานะธนาคารระดับภูมิภาค AEC+3 ครั้งล่าสุด หลังจากได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจธนาคารท้องถิ่นใน สปป.ลาว ปี 2557 และได้ใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารท้องถิ่นในประเทศจีนในปี 2559 และประสบความสำเร็จจากการเปิดสาขาพนมเปญ ในประเทศกัมพูชาปี 2560 และสาขาโฮจิมินห์ซิตี้ ในประเทศเวียดนามในปี 2564 | ธนาคารกสิกรไทย มีความมุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนของประเทศอินโดนีเซีย โดยจะนำประสบการณ์ ความพร้อมและความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจธนาคารที่มีมายาวนานกว่า 77 ปี มาประยุกต์ ต่อยอดและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมทางการเงินของ KASIKORN Business Technology Group (KBTG) มาสู่ธนาคารแมสเปี้ยน เพื่อผลักดันให้ธนาคารแมสเปี้ยน เติบโตเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดใน East Java และพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในระยะยาวต่อไป
ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) และกลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) กลุ่มองค์กร/ธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) ธนาคารจะเพิ่มศักยภาพในการปล่อยสินเชื่อและให้บริการด้านธนาคารที่ครบวงจร เพื่อเป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ตอบสนองความต้องการของ ธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ (Local Large Corporate) เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งกระจายอยู่ในหลากหลายสาขาธุรกิจของประเทศอินโดนีเซีย
ในฐานะผู้นำทางธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่และจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงตลาดภายในประเทศของอินโดนีเซียให้เป็นหนึ่งเดียว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (National Development Plan) ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ซึ่งธนาคารเชื่อว่าแผนนี้จะสามารถผลักดันให้ประเทศอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างดี โดยธนาคารพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย ทั้งจากธุรกิจไทย (TDI) และธุรกิจต่างชาติ
โดยเฉพาะจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (กลุ่มประเทศ AEC+3) กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Commercial) ธนาคารให้การสนับสนุนด้วยการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจขนาดกลางที่มีจำนวนมาก เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเทคโนโลยีทางการเงินที่จะช่วยปรับปรุงระบบการชำระเงินแก่ผู้ประกอบการ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขับเคลื่อนธุรกิจแบบรอบด้าน ช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางกลุ่มนี้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และพร้อมขยายไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ในอนาคต
กลุ่มลูกค้ารายย่อย (Retail) ธนาคารมุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยในอินโดนีเซียผ่านการให้บริการ โมบายแบงก์กิ้ง หรือ บริการธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก (MSME) ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างจำกัด แต่มีความสามารถในการใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น ทั้งนี้ ธนาคารได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และการบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ มีฟีเจอร์ที่มีความหลากหลาย พร้อมทั้งพัฒนาระบบโมบายแบงก์กิ้งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่มีแนวโน้มการใช้งานผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57045 | Retail | จากข้อมูล SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวกับกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุใด | 1. การสนับสนุนสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
2. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก
3. เทรนด์การใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มาแรง
4. การส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นอยู่ที่ดีของสังคม | คำตอบที่ถูกต้องคือ 3. เนื่องจาก จากข้อมูล SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างตื่นตัวกับกระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเทรนด์การใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มาแรง และคาดว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความสนใจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จํากัด ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายสำหรับกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ซึ่งธนาคารเข้าร่วมเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อสำหรับลูกค้าที่สนใจในรถยนต์ BYD ทั้งรุ่น ATTO 3 และ รุ่น Dolphin ด้วยข้อเสนอดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเพียง 1.88% ต่อปี เพิ่มตามจากแผนประกันภัยชั้น 1 ที่ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด มอบให้แก่ลูกค้าเพื่อให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมตลอดเส้นทางการขับขี่ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2566 หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ความร่วมมือระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จํากัด ในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และการส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นอยู่ที่ดีของสังคม อีกทั้งยังเป็นอีกก้าวสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในครั้งนี้จะมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถร่วมทดลองขับและสัมผัสประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้า BYD ได้ที่งาน BYD Test Drive ระหว่างวันที่ 21 – 25 สิงหาคม 2566 ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ รัชโยธิน | null | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57046 | Retail | ในฐานะผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็ก คุณคิดว่าการใช้ "มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ" นั้น มีประโยชน์อย่างไร? | ธนาคารไทยพาณิชย์ มุ่งมั่นเดินหน้าเคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย (SSME) พร้อมนำขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และเตรียมเดินหน้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซ ล่าสุดยกระดับพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน แม่มณี “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์มืออาชีพ แอปฯ เดียวครบตอบโจทย์ทุกความต้องการ มุ่งแก้ปัญหาร้านค้าออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโต ด้วยโซลูชันครอบคลุม 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Manee Social Commerce) 2. รองรับการชำระเงินครบวงจรกับบิลแม่มณี (Payment Fulfillment) และ 3. คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ สะสมคะแนนแลกของรางวัล (Merchant Engagement) นอกจากนี้ยังได้เตรียมวงเงินสินเชื่อดิจิทัลเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและต่อยอดธุรกิจให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2565 มีร้านค้าใช้งานแอปฯ 5 แสนราย นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Retail and Business Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “เทรนด์การขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เปลี่ยนไปในยุค new normal และมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้วิกฤตโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่ง ให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และตลาดอีคอมเมิร์ซ คือ หนึ่งในทางรอดของผู้ประกอบการ SMEs ในยุคดิจิทัล เราในฐานะธนาคารมุ่งมั่นช่วยเหลือพร้อมสนับสนุนให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยสามารถปรับตัวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที จากการพูดคุยกับกลุ่มคนขายของออนไลน์อย่างใกล้ชิดพบว่าปัญหาหลักที่พบเจอบ่อยครั้ง คือ ปัญหาจากการขายของออนไลน์บนหลายแพลตฟอร์ม ผู้ขายตอบคำถามลูกค้าไม่ทันเพราะขายหลายช่องทาง การจัดการสินค้าและสต๊อกสินค้าที่ไม่เป็นระบบ หรือปัญหาด้านระบบชำระเงิน และขนส่ง เป็นต้น เราจึงนำเอา Pain Point เหล่านี้ และความเข้าใจลูกค้าผู้ประกอบการ มาผสานเข้ากับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีการเงินอันนำสมัย พัฒนาต่อยอดฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน แม่มณี ผู้ช่วยจัดการร้านออนไลน์ตัวจริง ด้วยโซลูชันครอบคลุม 3 แกนหลักที่ตอบโจทย์การขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในทุกมิติ พร้อมเสริมกลยุทธ์ สร้างทักษะที่จำเป็นในการเพิ่มยอดขายที่มากขึ้นให้แก่ร้านค้า นอกจากนี้ลูกค้าที่ใช้บริการ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” สามารถได้รับวงเงินสินเชื่อดิจิทัลเพื่อต่อยอดธุรกิจได้อีกด้วย ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2565 มีร้านค้าใช้งานแอปฯ 5 แสนราย” 3 โซลูชันหลัก “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” 1)ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Manee Social Commerce): บริหารจัดการร้านค้ากับ “มณี โซเชียลคอมเมิร์ช” บริการจัดการ สต๊อกสินค้า และออเดอร์ได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่รับคำสั่งซื้อ/ส่งสินค้า/รอรับเงิน ให้ร้านค้าสามารถตอบแชทลูกค้าจากหลากหลายช่องทางทั้ง Marketplace และ Social Media Platform ได้ในที่เดียวจบ พร้อมเพิ่มยอดขายด้วยการเชื่อมต่อระบบ Facebook Live และเชื่อมต่อบริษัทขนส่งชั้นนำ 2)ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ (Payment Fulfillment): รองรับการชำระเงินครบวงจรกับบิลแม่มณี รับชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code รองรับทั้งบัตรเครดิต เดบิต และการผ่อนชำระ 3)คอร์สเรียนออนไลน์เสริมทักษะ และคะแนนแลกของรางวัล (Merchant Engagement): -Manee Academy คอร์สให้ความรู้การทำธุรกิจแบบอัดแน่นจากกูรูด้านการขายของออนไลน์ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเดินหน้าทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพ -Manee Rewards สะสมคะแนนและของรางวัล ร้านค้ารับคะแนนสะสมทุกการรับชำระเงินผ่านแอปแม่มณี สำหรับผู้ที่สนใจฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชันแม่มณี “มณี โซเชียลคอมเมิร์ซ” สามารถดาวน์โหลดได้ที่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Call Center โทร 02 777 7777 และสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ | มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ นำเสนอโซลูชันครบวงจรสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ช่วยให้สามารถบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มยอดขาย และต่อยอดธุรกิจ ดังนี้:
1. บริหารจัดการร้านค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ:
- ระบบจัดการร้านค้า: ช่วยให้จัดการร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Shopee, Lazada ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์ร้านค้าของตัวเอง
- ระบบจัดการสินค้าและสต็อก: ติดตามสินค้าคงคลัง ควบคุมสต็อก ปรับราคาสินค้า จัดการโปรโมชัน สร้างใบแจ้งหนี้ ออกใบเสร็จรับเงิน
- ระบบการจัดการออเดอร์: รับออเดอร์จากทุกช่องทาง จัดการออเดอร์ แพ็คสินค้า จัดส่งสินค้า ติดตามสถานะการจัดส่ง
- ระบบตอบแชทลูกค้า: ตอบคำถามลูกค้าจากทุกช่องทางในแชทเดียว ช่วยให้ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า
- การเชื่อมต่อระบบ Facebook Live: ไลฟ์สดขายสินค้าบน Facebook รับออเดอร์และชำระเงินผ่านระบบมณี โซเชียล คอมเมิร์ซได้ทันที
- การเชื่อมต่อบริษัทขนส่งชั้นนำ: เปรียบเทียบราคา จองการจัดส่ง ติดตามสถานะการจัดส่ง
2. รองรับการชำระเงินครบวงจร:
- บิลแม่มณี: ลูกค้าสามารถชำระค่าสินค้าผ่าน QR Code บนบิลแม่มณี รองรับการชำระด้วยบัตรเครดิต บัตรเดบิต และการผ่อนชำระ
- ระบบ PromptPay: รับชำระเงินผ่านระบบ PromptPay
3. เสริมทักษะและโอกาสทางธุรกิจ:
- Manee Academy: คอร์สเรียนออนไลน์จากกูรูด้านการขายของออนไลน์
- Manee Rewards: สะสมคะแนนจากยอดขาย แลกของรางวัล
โดยรวมแล้ว มณี โซเชียล คอมเมิร์ซ มอบโซลูชันครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกขนาดเล็กสามารถ:
1. ประหยัดเวลา: จัดการร้านค้าออนไลน์ รับออเดอร์ จัดส่งสินค้า และตอบแชทลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพิ่มประสิทธิภาพ: บริหารจัดการสินค้าและสต็อก ติดตามยอดขาย วิเคราะห์ข้อมูล
3. เพิ่มยอดขาย: เชื่อมต่อกับลูกค้าใหม่ๆ ขยายช่องทางการขาย กระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชัน
4. ลดต้นทุน: ประหยัดค่าธรรมเนียมการรับชำระเงิน ค่าธรรมเนียมการจัดส่ง
5. ต่อยอดธุรกิจ: เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมทักษะความรู้ | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57055 | Retail | การสร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs ทำอย่างไรต่างจากBrandอื่นอย่างไร | กรณีศึกษา สร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs พลิกขาดทุนหลายพันล้าน สู่กำไร 20,000 ล้าน
“รองเท้า Crocs หัวโต เป็นรองเท้าที่ฮอตที่สุดประจำปี 2021 ที่ผ่านมา” เชื่อว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ สายแฟชั่น หรือผู้ที่ชอบรองเท้าใส่สบาย คงจะไม่แปลกใจกับประโยคนี้
เพราะก็คงเคยเห็นรองเท้า Crocs ที่มี Charm ตกแต่งรองเท้า
ผ่าน Instagram ของเพื่อน ๆ ที่ออกมาโชว์รองเท้า Crocs ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ Crocs กลับมากลายเป็นรองเท้าที่ฮอตเป็นไฟในปีที่ผ่านมา.. และยังทำการตลาด ด้วยการส่งรองเท้าให้อินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก ใส่แล้วถ่ายลงบนโซเชียลมีเดีย
ตั้งแต่ศิลปินชื่อดังอย่าง Justin Bieber, Post Malone ไปจนถึงอินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก ๆ จนทำให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา Crocs มีรายได้ถึง 75,347 ล้านบาท
และมีกำไรกว่า 22,249 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรถึง 219%.. แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ สถานการณ์ของ Crocs ถือว่าไม่ค่อยสู้ดีนัก
เพราะขาดทุนมาหลายปีติด และเพิ่งจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 ปี 2017 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 563 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 2,049 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 40,081 ล้านบาท ขาดทุน 4,189 ล้านบาท
ปี 2020 มีรายได้ 45,142 ล้านบาท กำไร 6,973 ล้านบาท พอเห็นแบบนี้ หลายคนคงคิดเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 ที่เข้ามาในช่วงต้นปี 2020
ทำให้หลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าผ้าใบ
แต่ต้องการหารองเท้าสบาย ๆ อย่าง Crocs มาใส่แทน ซึ่งก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Crocs พลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 แต่อีกส่วนก็ต้องชมทีมการตลาด ที่สามารถหาวิธีเพิ่มการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งยังสามารถหาวิธีสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค (Customer Experience) ได้อย่างสนุกสนาน และเข้ามาเติมสีสันให้กับรองเท้าหัวโต ที่บางคนมองว่าดีไซน์แปลกได้ แล้วกลยุทธ์ที่ Crocs ใช้ จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคืออะไร ? Close Ad Close Ad เดิมที รองเท้า Crocs ถือว่ามีจุดขายอยู่ที่ความเบาสบาย ใส่ได้นาน ไม่ลื่น และไม่เป็นรอยง่าย
ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะอย่าง “Croslite” แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของ Crocs คือภาพจำที่เป็น Pain Point ของแบรนด์ ว่าเป็นรองเท้าของผู้สูงอายุ, บุคลากรทางการแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หรือบางคน บอกว่ารองเท้า Crocs มีรูปร่างน่าเกลียด และมีภาพจำในเชิงลบ
ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็บอกว่าเป็นการตลาดของ Crocs ที่ตั้งใจผลิตให้น่าเกลียด แล้วมาเดิมพันกับวัสดุที่ดีเลิศแทน อย่างไรก็ดี นั่นไม่มากพอที่จะทำให้ Crocs ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้
เพราะปัจจุบันทาง Crocs ได้เปลี่ยนแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักในทางแฟชั่นมากยิ่งขึ้น
เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y, Gen Z และเด็ก ๆ ยุคใหม่ โดยการพยายามนำรองเท้าหัวโต มาปัดฝุ่น
แล้วนำเสนอคุณค่าใหม่ที่มากกว่าคอนเซปต์เดิม จากการเป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลก
ให้กลายเป็น “รองเท้าที่ใส่สบาย และยังสามารถโชว์ความเป็นตัวเองได้อีกด้วย” อย่างที่รู้กันดีว่า Crocs มีของเล่นตกแต่งรองเท้าเป็น “Jibbitz Charms” ให้ลูกค้าตกแต่งรองเท้า ตามสไตล์ตัวเองมาพักใหญ่ แต่เพิ่งจะมาบุกตลาดหนัก ๆ เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ “Customization” ที่หมายถึงการให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในตัวสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง ตามความต้องการส่วนบุคคล โดย Crocs เริ่มขั้นตอนแรกด้วยกลยุทธ์สร้างการรับรู้ (Awareness)
ผ่านการส่งรองเท้าพร้อมกับ Jibbitz Charms ไปให้เหล่าคนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ ใส่โชว์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านรองเท้า Crocs เช่น Justin Bieber, Ariana Grande, Post Malone, The Weeknd, Priyanka Chopra แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ จน Crocs ได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นแบรนด์รองเท้าที่ฮอตที่สุดในปี 2021” ที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะว่าเมื่อปกติที่เราเดินเข้าไปในร้านรองเท้าทั่วไป
เรามักจะต้องเจอกับแบบรองเท้าที่ร้านเตรียมไว้ให้ ประกอบกับเลือกไซซ์ และสีที่มีเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับ Crocs เพราะนอกเหนือจากไซซ์ และสีแล้ว
เราสามารถที่จะตกแต่งรองเท้าของเราตามความชอบ หรือสไตล์การแต่งตัว หรือแม้แต่อยากจะซื้อ Jibbitz Charms ไปเก็บไว้เปลี่ยน
เพื่อจะได้แมตช์กับชุดอื่น ๆ ตามวันก็ยังสามารถทำได้ Close Ad Close Ad ทำให้เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน เขาไม่ได้เข้าไปซื้อเพียงรองเท้า
แต่เข้าไปซื้อประสบการณ์ความสนุก เพลิดเพลิน และเข้าไปสร้างงานศิลปะชิ้นเอกของตัวเอง ลงบนรองเท้าคู่ใหม่ ที่ทำได้ง่าย ๆ แถมมีแค่คู่เดียวบนโลกด้วย สิ่งนี้เองคือ Customer Experience หรือ ประสบการณ์ของลูกค้า
ที่ Crocs มอบประสบการณ์ใหม่ให้กับการช็อปปิงรองเท้า รวมถึงทางแบรนด์ยังมีการปรับโฉมหน้าร้านให้ดึงดูดขึ้น ด้วยการเอาแท่นวาง Jibbitz Charms ไปตั้งโชว์บริเวณทางเข้าร้าน และมีตัวอย่างการตกแต่งหลายสไตล์ให้ดู ซึ่งเป็นการเรียกสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา ทั้งคนที่บังเอิญผ่านมาเห็น และคนที่เคยเห็นเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียใส่ แล้วอยากรู้ว่ามันคืออะไร เรียกได้ว่า เดิมทีลูกค้าอาจจะไม่ได้อยากได้รองเท้า
แต่จำต้องยอมจ่ายเงินให้กับความน่ารัก และงานอาร์ตบนรองเท้า ที่เขารังสรรค์มันขึ้นมาเองได้ตอนนั้นเลย.. นอกจาก Crocs จะเก่งในการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าแล้ว
ทางแบรนด์ยังเก่งเรื่องการ Collaboration อีกด้วย โดยการนำรองเท้า Crocs ไปร่วมกับแบรนด์ระดับโลก ซึ่งมีตั้งแต่แบรนด์หรูอย่าง Balenciaga ที่เป็นกระแสล่าสุดอย่าง Crocs ส้นเข็ม
และที่ผ่านมาอย่าง Crocs บูต และ Crocs ส้นตึก ไปจนถึงแบรนด์ของกินอย่างการยกไก่ KFC ปลอมไปไว้บนรองเท้า
หรือลิขสิทธิ์ลาย Baby Shark สำหรับเด็ก ๆ และอีกมากมาย อีกทั้งทาง Crocs ก็ยังไม่พลาดการนำร้านไปไว้บนโลกออนไลน์ โดยเมื่อปี 2020 ข้อมูลจาก Statista บอกว่า
ยอดขายของ Crocs มาจากช่องทางอีคอมเมิร์ซกว่า 25.9%
มาจากการขายส่ง 50% และมาจากการขายปลีก 24.1% และเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทาง Crocs ก็ออกมาบอกว่า
คาดว่าในปี 2026 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 167,000 ล้านบาท และตามมาด้วยการประกาศเข้าซื้อแบรนด์รองเท้าผ้าใบ Hey Dude
เพื่อขยายฐานลูกค้าในช่วงหลังวิกฤติโควิด 19 ด้วยมูลค่า 83,800 ล้านบาท Close Ad Close Ad ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่า Crocs แบรนด์รองเท้าหัวโตกำไรหมื่นล้าน | สร้าง Customer Experience สไตล์ Crocs พลิกขาดทุนหลายพันล้าน สู่กำไร 20,000 ล้าน “รองเท้า Crocs หัวโต เป็นรองเท้าที่ฮอตที่สุดประจำปี 2021 ที่ผ่านมา” เชื่อว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ สายแฟชั่น หรือผู้ที่ชอบรองเท้าใส่สบาย คงจะไม่แปลกใจกับประโยคนี้ เพราะก็คงเคยเห็นรองเท้า Crocs ที่มี Charm ตกแต่งรองเท้า ผ่าน Instagram ของเพื่อน ๆ ที่ออกมาโชว์รองเท้า Crocs ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ Crocs กลับมากลายเป็นรองเท้าที่ฮอตเป็นไฟในปีที่ผ่านมา.. และยังทำการตลาด ด้วยการส่งรองเท้าให้อินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก ใส่แล้วถ่ายลงบนโซเชียลมีเดีย
ตั้งแต่ศิลปินชื่อดังอย่าง Justin Bieber, Post Malone ไปจนถึงอินฟลูเอนเซอร์รายเล็ก ๆ จนทำให้ในปี 2021 ที่ผ่านมา Crocs มีรายได้ถึง 75,347 ล้านบาท และมีกำไรกว่า 22,249 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรถึง 219%.. แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือก่อนหน้านี้ สถานการณ์ของ Crocs ถือว่าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะขาดทุนมาหลายปีติด และเพิ่งจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 ปี 2017 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 563 ล้านบาท
ปี 2018 มีรายได้ 33,335 ล้านบาท ขาดทุน 2,049 ล้านบาท
ปี 2019 มีรายได้ 40,081 ล้านบาท ขาดทุน 4,189 ล้านบาท
ปี 2020 มีรายได้ 45,142 ล้านบาท กำไร 6,973 ล้านบาท
พอเห็นแบบนี้ หลายคนคงคิดเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 ที่เข้ามาในช่วงต้นปี 2020
ทำให้หลาย ๆ คน ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าผ้าใบ แต่ต้องการหารองเท้าสบาย ๆ อย่าง Crocs มาใส่แทน ซึ่งก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Crocs พลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2020 แต่อีกส่วนก็ต้องชมทีมการตลาด ที่สามารถหาวิธีเพิ่มการรับรู้ให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งยังสามารถหาวิธีสร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภค (Customer Experience) ได้อย่างสนุกสนาน และเข้ามาเติมสีสันให้กับรองเท้าหัวโต ที่บางคนมองว่าดีไซน์แปลกได้ แล้วกลยุทธ์ที่ Crocs ใช้ จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคืออะไร ? Close Ad Close Ad เดิมที รองเท้า Crocs ถือว่ามีจุดขายอยู่ที่ความเบาสบาย ใส่ได้นาน ไม่ลื่น และไม่เป็นรอยง่าย
ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะอย่าง “Croslite” แต่ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของ Crocs คือภาพจำที่เป็น Pain Point ของแบรนด์ ว่าเป็นรองเท้าของผู้สูงอายุ, บุคลากรทางการแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ หรือบางคน บอกว่ารองเท้า Crocs มีรูปร่างน่าเกลียด และมีภาพจำในเชิงลบ ซึ่งหลาย ๆ ที่ก็บอกว่าเป็นการตลาดของ Crocs ที่ตั้งใจผลิตให้น่าเกลียด แล้วมาเดิมพันกับวัสดุที่ดีเลิศแทน อย่างไรก็ดี นั่นไม่มากพอที่จะทำให้ Crocs ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้
เพราะปัจจุบันทาง Crocs ได้เปลี่ยนแบรนด์ ให้เป็นที่รู้จักในทางแฟชั่นมากยิ่งขึ้น เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y, Gen Z และเด็ก ๆ ยุคใหม่ โดยการพยายามนำรองเท้าหัวโต มาปัดฝุ่น
แล้วนำเสนอคุณค่าใหม่ที่มากกว่าคอนเซปต์เดิม จากการเป็นรองเท้าที่ใส่สบายที่สุดในโลก
ให้กลายเป็น “รองเท้าที่ใส่สบาย และยังสามารถโชว์ความเป็นตัวเองได้อีกด้วย”
อย่างที่รู้กันดีว่า Crocs มีของเล่นตกแต่งรองเท้าเป็น “Jibbitz Charms” ให้ลูกค้าตกแต่งรองเท้า ตามสไตล์ตัวเองมาพักใหญ่ แต่เพิ่งจะมาบุกตลาดหนัก ๆ เมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ “Customization” ที่หมายถึงการให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในตัวสินค้าหรือบริการด้วยตนเอง ตามความต้องการส่วนบุคคล โดย Crocs เริ่มขั้นตอนแรกด้วยกลยุทธ์สร้างการรับรู้ (Awareness) ผ่านการส่งรองเท้าพร้อมกับ Jibbitz Charms ไปให้เหล่าคนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ ใส่โชว์ไลฟ์สไตล์ของตัวเองผ่านรองเท้า Crocs เช่น Justin Bieber, Ariana Grande, Post Malone, The Weeknd, Priyanka Chopra แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ จน Crocs ได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นแบรนด์รองเท้าที่ฮอตที่สุดในปี 2021” ที่เป็นแบบนั้นได้ ก็เพราะว่าเมื่อปกติที่เราเดินเข้าไปในร้านรองเท้าทั่วไป เรามักจะต้องเจอกับแบบรองเท้าที่ร้านเตรียมไว้ให้ ประกอบกับเลือกไซซ์ และสีที่มีเท่านั้น แต่ไม่ใช่กับ Crocs เพราะนอกเหนือจากไซซ์ และสีแล้ว เราสามารถที่จะตกแต่งรองเท้าของเราตามความชอบ หรือสไตล์การแต่งตัว หรือแม้แต่อยากจะซื้อ Jibbitz Charms ไปเก็บไว้เปลี่ยน เพื่อจะได้แมตช์กับชุดอื่น ๆ ตามวันก็ยังสามารถทำได้ Close Ad Close Ad ทำให้เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้าน เขาไม่ได้เข้าไปซื้อเพียงรองเท้า แต่เข้าไปซื้อประสบการณ์ความสนุก เพลิดเพลิน และเข้าไปสร้างงานศิลปะชิ้นเอกของตัวเอง ลงบนรองเท้าคู่ใหม่ ที่ทำได้ง่าย ๆ แถมมีแค่คู่เดียวบนโลกด้วย สิ่งนี้เองคือ Customer Experience หรือ ประสบการณ์ของลูกค้า | null | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57067 | Retail | ฟีเจอร์ "Twitter Shops" ของ Twitter มีประสิทธิภาพอย่างไร ในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี สำหรับธุรกิจค้าปลีก (Retail) อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ | null | 1. ดึงดูดลูกค้า:
เพิ่มการเข้าถึง: Twitter Shops ช่วยให้ร้านค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ บนแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
ค้นพบสินค้า: ลูกค้าสามารถค้นพบสินค้าใหม่ จากแบรนด์ที่ชื่นชอบ ได้ง่ายขึ้น
ดึงดูดด้วยภาพ: ร้านค้าสามารถนำเสนอสินค้า ผ่านรูปภาพ วิดีโอ ดึงดูดความสนใจ
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้า สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอรูปภาพ วิดีโอ สินค้าใหม่ ดึงดูดลูกค้า
2. กระตุ้นยอดขาย:
กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ: ลูกค้าสามารถดูสินค้า เปรียบเทียบราคา ตัดสินใจซื้อ ได้ง่าย
กระตุ้นการซื้อซ้ำ: ร้านค้าสามารถติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ กับลูกค้า กระตุ้นการซื้อซ้ำ
เพิ่มช่องทางการขาย: Twitter Shops เพิ่มช่องทางการขาย ให้กับธุรกิจ
ตัวอย่าง: ร้านขายเครื่องสำอาง สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอสินค้า โปรโมชัน กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
3. สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี:
สะดวก รวดเร็ว: ลูกค้าสามารถดูสินค้า เปรียบเทียบราคา สั่งซื้อ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
ข้อมูลครบถ้วน: ร้านค้าสามารถนำเสนอข้อมูลสินค้า รายละเอียด ครบถ้วน
ประสบการณ์ที่ราบรื่น: Twitter Shops ออกแบบมาใช้งานง่าย ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี
ตัวอย่าง: ร้านขายของชำ สามารถใช้ Twitter Shops นำเสนอรายการสินค้า ราคา ลูกค้าสามารถสั่งซื้อ ผ่าน Twitter สะดวก รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม Twitter Shops ยังมีข้อจำกัด ดังนี้:
การสั่งซื้อ: ลูกค้าต้องไปที่เว็บไซต์ของร้านค้า เพื่อทำการสั่งซื้อ
การแข่งขัน: มีร้านค้าจำนวนมากบน Twitter ลูกค้าอาจมองข้าม
การรับรู้: ผู้ใช้ Twitter อาจยังไม่คุ้นเคยกับฟีเจอร์นี้
ข้อเสนอแนะ:
เนื้อหาที่ดึงดูด: ร้านค้าควรนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูด น่าสนใจ บน Twitter Shops
โปรโมชัน: ร้านค้าควรนำเสนอโปรโมชัน ส่วนลด ดึงดูดลูกค้า
การบริการลูกค้า: ร้านค้าควรตอบคำถาม ให้คำปรึกษา ลูกค้า อย่างรวดเร็ว
สรุป:
ฟีเจอร์ "Twitter Shops" ของ Twitter มีศักยภาพในการดึงดูดลูกค้า กระตุ้นยอดขาย และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดี สำหรับธุรกิจค้าปลีก แต่ร้านค้าต้องปรับกลยุทธ์ นำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูด โปรโมชัน และบริการลูกค้าที่ดี เพื่อให้ประสบความสำเร็จ | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Retail_57073 | Retail | กลยุทธ์ทางการตลาดแบบใด ที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง และส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร | null | กลยุทธ์ทางการตลาดแบบใด ที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง และส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างไร
กลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์มักใช้ในเทศกาลช็อปปิง
-ลดราคาสินค้า แบรนด์มักลดราคาสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่ได้รับความนิยม เพื่อดึงดูดลูกค้า
-โปรโมชันพิเศษ แบรนด์อาจเสนอโปรโมชันพิเศษ เช่น ซื้อ 1 แถม 1, ส่วนลดค่าจัดส่ง ของสมนาคุณ ฯลฯ
-กลยุทธ์ "Loss Leader" แบรนด์อาจลดราคาสินค้าบางชนิดอย่างมาก (บางครั้งอาจถึงขั้นขาดทุน) เพื่อดึงดูดลูกค้าเข้าร้าน
-สร้างบรรยากาศ แบรนด์อาจตกแต่งร้านค้าหรือเว็บไซต์ให้ดูมีสีสันและน่าตื่นเต้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อของ
-การโฆษณา แบรนด์อาจโฆษณาโปรโมชันต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และโทรทัศน์
ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค
-กระตุ้นให้ซื้อของ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อของมากขึ้นในช่วงเทศกาลช็อปปิง เพราะรู้สึกว่าได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่า
-ซื้อของที่ไม่จำเป็น ผู้บริโภคอาจซื้อของที่ไม่จำเป็นจริงๆ เพราะถูกกระตุ้นด้วยโปรโมชันต่างๆ
-ซื้อของ impulsively ผู้บริโภคอาจตัดสินใจซื้อของ impulsively โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
-เปรียบเทียบราคา ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายๆ แบรนด์
-ใช้จ่ายมากขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินมากขึ้นในช่วงเทศกาลช็อปปิง
ตัวอย่าง
-ในช่วง Black Friday แบรนด์อิเล็กทรอนิกส์มักลดราคาสินค้าอย่างมาก เช่น ทีวี สมาร์ทโฟน และแล็ปท็อป สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่
-แพลตฟอร์ม E-Commerce มักจัด Flash Sale ในช่วงเทศกาลช็อปปิง สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อของ impulsively
-แบรนด์เสื้อผ้ามักเสนอโปรโมชัน ซื้อ 1 แถม 1 ในช่วงเทศกาลช็อปปิง สิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้ามากขึ้น
สรุป
กลยุทธ์ทางการตลาดที่แบรนด์ใช้ในเทศกาลช็อปปิง ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค significantly ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อของมากขึ้น ซื้อของ impulsively และใช้จ่ายเงินมากขึ้น | null | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1007 | Finance | ในการลงทุนพอร์ต 1st Million นี้ เราจะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาทต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงินอย่างน้อยกี่ปีจึงจะได้รับเงินล้าน | A. 16 ปี
B. 15 ปี
C. 18 ปี
D. 20ปี | คำตอบที่ถูกต้องคือ a เนื่องจากในการลงทุนพอร์ต 1st Million นี้ เราจะต้องลงเงินขั้นต้นอย่างต่ำ 5,000 บาท และลงทุนต่อเดือนอย่างต่ำ 2,500 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าเราลงทุนขั้นต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเพิ่มเงิน เราจะใช้เวลา 16 ปีกว่าจะได้เงินล้านแรก!
แม้จะเห็นฝั่งฝันแต่ฟังดูแล้วยาวนานทีเดียว แต่ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการเพิ่มเงินลงทุน ซึ่งยิ่งเราลงทุนเยอะเท่าไร โอกาสที่เราจะถึงล้านแรกโดยเร็วก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มเงินลงทุนระหว่างทางเมื่อเรามีรายได้เพิ่มขึ้น ก็ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมว่าเราควรตรวจสอบสถานะการเงินตัวเองก่อนนะ ว่าสะดวกลงทุนด้วยเงินเท่าไร เอาแบบที่ไม่ลำบากตัวเองจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตคงไม่มีความสุขแน่ ๆ
อีกสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือเรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง เราต้องเข้าใจว่าการลงทุนนั้นมีขึ้นมีลง บางปีอาจจะติดลบ บางปีอาจจะได้กำไร เพราะฉะนั้นหากเราลงทุนระยะสั้น ความเสี่ยงที่จะเจอความผันผวนนี้ก็จะเยอะกว่าลงทุนระยะยาว ในระยะยาวนั้นความผันผวนกับผลตอบแทนก็จะถูกเฉลี่ย ๆ กันไป ไม่เหวี่ยงเท่ากรอบเวลาสั้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1035 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงกองทุนหลัก Robeco Global Consumer Trends ได้ถูกต้อง | A. มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด
B. ตัวช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าราคาถูกและใช้จ่ายได้อย่างง่ายดายสะดวกสบายทั่วโลก
C. เป็นแนวโน้มที่จางหายไปได้ยาก
D. เน้นลงทุนในหุ้นที่มีสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องใช้ | คำตอบคือ D. เพราะว่า เพราะกองทุนหลัก Robeco Global Consumer Trends เน้นลงทุนในหุ้นที่มีสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องใช้ ลงทุนใน 3 แนวโน้มหลักที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว คัดเลือกหุ้นแบบเชื่อมั่นสูงผ่านปัจจัยพื้นฐาน Active เน้นลงทุนในบริษัทที่มีโมเดลทางธุรกิจที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการเติบโต ลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitve Advantage) ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันในระยะกลาง คว้าโอกาสลงทุนในหุ้นทั่วโลกทั้งตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่
สัดส่วนเซ็กเตอร์หลัก ๆ ที่ลงทุนอาจจะค่อนข้างแปลกตาจากกองทุนปกติทั่วไปที่เน้นหุ้นเทคหุ้นเฮลธ์แคร์เป็นเบอร์ 1 โดยกองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มความงาม สินค้าหรูหราและสื่อสิ่งทอเป็นหลักซึ่งน่าจะมีหุ้นเด่น ๆ อย่าง Nike ผู้ผลิตรองเท้าชื่อดังรวมไปถึงกลุ่มข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอย่าง Estee Lauder ผู้ผลิตเครื่องสำอางค์และสกินแคร์ต่าง ๆ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนต้องใช้ในทุก ๆ วันและมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
สัดส่วนรองลงมาก็จะเป็นกลุ่มบริการด้านไอทีรวมไปถึงค้าปลีกออนไลน์ซึ่งน่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ต้องใช้และมีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เช่น Amazon ที่การช้อปออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตมนุษย์อย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงมีหุ้นเน้นหนักอย่าง Intuit ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการเงินต่าง ๆ เช่น สำหรับจัดการภาษีที่มีผู้ใช้กว่า 100 ล้านรายทั่วโลก
จุดเด่นของกองทุน คือ การลงทุนในเซ็กเตอร์ที่มีแบรนด์ชั้นนำซึ่งมีความยั่งยืน โดดเด่น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1039 | Finance | F.I.R.E. ที่มาจาก Fed, Inflation, Recession และ Election แต่ละตัวมีรายละเอียดอะไรบ้าง | Fed, Inflation, Recession และ Election รวมเรียกว่า F.I.R.E.
เรียงลำดับตามเหตุและผลจะเริ่มต้นที่
Inflation
ถ้าเงินเฟ้อในสหรัฐไม่ลดลง สินทรัพย์การเงินจะอยู่ยากแน่
เพราะเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อการลงทุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่สูงขึ้น รายได้ที่ลดลง บริษัทหยุดลงทุนหันไปจ่ายคืนหนี้ ไปจนถึงดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น
ย้อนกลับไปตั้งแต่ทศวรรษ 1970 หุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 8% ต่อปี ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงเกิน 2% ขณะที่ราคาบอนด์ก็มักปรับตัวลงพร้อมกันทำให้สินทรัพย์การเงินไม่มีที่ปลอดภัย
นอกจากนั้น เงินเฟ้อสูงอาจนำไปสู่ประเด็นที่สองของปีนี้คือ
Election
ความผันผวนจาก Mid-term ปลายปีนี้เป็นสิ่งที่ต้องวางกลยุทธ์รับมือ เพราะคะแนนความนิยมของ Joe Biden กำลังเคลื่อนไหวสวนทางกับเงินเฟ้อ
ถ้าคุมเงินเฟ้อไม่ได้ เลือกตั้งแพ้ เสียสภาให้กับ Republican อาจมีข้อดี คือนโยบายภาษีที่ Biden อยากเก็บเพิ่มจากบริษัทใหญ่อาจไม่เกิดขึ้น แต่ข้อเสียชัดเจนว่านโยบายด้านพลังงานสะอาดหรือการเงินอาจหมดแรงสนับสนุน
ในทางกลับกัน ถ้าแป้ปัญหาเงินเฟ้อได้ ชนะเลือกตั้ง ได้คุมสภาต่อ ก็มีความเป็นไปได้ที่นโยบายกระตุ้นทางการคลังต่าง ๆ จะกลับมา ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว
ผลการเลือกตั้งจึงเป็นเหตุการณ์ที่จะชี้ว่า อุตสาหกรรมไหนจะได้ไปต่อ โดยความหวังของ Biden ฝากไว้กับประเด็นสำคัญที่สามนั่นคือ
Fed
นโยบายหลักของเฟดในปีนี้คือการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งเคยใช้คุมเงินเฟ้อสำเร็จมาก่อน
แม้ดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อย
เช่นเป้าหมายดอกเบี้ยนโยบายที่ยังไม่แน่นอน
สิ่งที่ตลาดคิดตอนนี้ คือเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่เกิน 3% ถ้าดอกเบี้ยสูงกว่านั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่หุ้นจะถูกขายปรับสัดส่วนไปถือบอนด์ที่ผลตอบแทนแน่นอนกว่า
นอกจากนั้น ถ้าเฟดต้องการคุมเงินเฟ้อให้ได้จริง ในอดีตมักจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปจนกว่าจะสูงกว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (ที่ไม่น่าจะลดลงต่ำกว่า 3.5%) เพื่อให้ปริมาณการบริโภคลดลง ราคาสินค้าจึงจะหยุดขึ้น
หมายความว่า ถ้าเฟดต้องการคุมเงินเฟ้อให้ได้อย่างที่ Biden ต้องการ แต่เงินเฟ้อไม่ลดลงเร็ว เรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่จบจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์พิเศษอย่าง U.S. Recession สำหรับตลาดการเงิน
Recession
เป็นความเสี่ยงที่หนักที่สุด เพราะรายได้และมุมมองอนาคตอาจเปลี่ยนไปถาวร
ย้อนกลับไปตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ไม่มีปีเศรษฐกิจถดถอยใดเลยที่รายได้ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P500 จะปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยเฉลี่ยหดตัวลงถึง 13% และตั้งแต่ปี 1980 P/E Multiple ของตลาดก็ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 21% จากระดับสูงสุดไปต่ำสุด
เมื่อ Recession เกิดขึ้นก็จะได้วนกลับขึ้นไปถามว่า Inflation ลดลงแล้วหรือไม่ วนเป็นวงจรอีกรอบ
เข้าใจ F.I.R.E. แล้ว ก็ถึงเวลาจัดชุดเหตุการณ์หรือ scenario เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนให้พร้อม
Best case คือ “ไฟดับพอดีอาหารสุก”
เงินเฟ้อลงเหลือ 3% เฟดไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเกิน 2% เศรษฐกิจไม่ถดถอย ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ สภาของ Biden จะอยู่ครบ การลงทุนในหุ้นจะฟื้นตัว โดยมี Clean Energy, Small-cap Innovators และอุตสาหกรรมในประเทศเป็นธีมเด่น
Base case คือ “ไฟอ่อนต้มเปื่อย”
เฟดขึ้นดอกเบี้ยจบระดับ 2-3% เงินเฟ้อลดลงเหลือ 4% เศรษฐกิจเข้าช่วง L | Fed, Inflation, Recession และ Election รวมเรียกว่า F.I.R.E.
เรียงลำดับตามเหตุและผลได้ ดังนี้
1) Inflation
ถ้าเงินเฟ้อในสหรัฐไม่ลดลง สินทรัพย์การเงินจะอยู่ยากแน่ เพราะเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อการลงทุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่สูงขึ้น รายได้ที่ลดลง บริษัทหยุดลงทุนหันไปจ่ายคืนหนี้ ไปจนถึงดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ย้อนกลับไปตั้งแต่ทศวรรษ 1970 หุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 8% ต่อปี ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงเกิน 2% ขณะที่ราคาบอนด์ก็มักปรับตัวลงพร้อมกันทำให้สินทรัพย์การเงินไม่มีที่ปลอดภัย นำไปสู่ Election
2) Election
ความผันผวนจาก Mid-term ปลายปีนี้เป็นสิ่งที่ต้องวางกลยุทธ์รับมือ เพราะคะแนนความนิยมของ Joe Biden กำลังเคลื่อนไหวสวนทางกับเงินเฟ้อ ถ้าคุมเงินเฟ้อไม่ได้ เลือกตั้งแพ้ เสียสภาให้กับ Republican อาจมีข้อดี คือนโยบายภาษีที่ Biden อยากเก็บเพิ่มจากบริษัทใหญ่อาจไม่เกิดขึ้น แต่ข้อเสียชัดเจนว่านโยบายด้านพลังงานสะอาดหรือการเงินอาจหมดแรงสนับสนุน ในทางกลับกัน ถ้าแป้ปัญหาเงินเฟ้อได้ ชนะเลือกตั้ง ได้คุมสภาต่อ ก็มีความเป็นไปได้ที่นโยบายกระตุ้นทางการคลังต่าง ๆ จะกลับมา ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว ผลการเลือกตั้งจึงเป็นเหตุการณ์ที่จะชี้ว่า อุตสาหกรรมไหนจะได้ไปต่อ
3) Fed
นโยบายหลักของเฟดในปีนี้คือการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งเคยใช้คุมเงินเฟ้อสำเร็จมาก่อน แม้ดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อย เช่น เป้าหมายดอกเบี้ยนโยบายที่ยังไม่แน่นอน สิ่งที่ตลาดคิดตอนนี้ คือเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่เกิน 3% ถ้าดอกเบี้ยสูงกว่านั้นก็อาจมีความเสี่ยงที่หุ้นจะถูกขายปรับสัดส่วนไปถือบอนด์ที่ผลตอบแทนแน่นอนกว่า
นอกจากนั้น ถ้าเฟดต้องการคุมเงินเฟ้อให้ได้จริง ในอดีตมักจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปจนกว่าจะสูงกว่าเงินเฟ้อพื้นฐาน (ที่ไม่น่าจะลดลงต่ำกว่า 3.5%) เพื่อให้ปริมาณการบริโภคลดลง ราคาสินค้าจึงจะหยุดขึ้น หมายความว่า ถ้าเฟดต้องการคุมเงินเฟ้อให้ได้อย่างที่ Biden ต้องการ แต่เงินเฟ้อไม่ลดลงเร็ว เรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่จบจนกว่าจะเกิดเหตุการณ์พิเศษอย่าง U.S. Recession สำหรับตลาดการเงิน
4) Recession
เป็นความเสี่ยงที่หนักที่สุด เพราะรายได้และมุมมองอนาคตอาจเปลี่ยนไปถาวร ย้อนกลับไปตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ไม่มีปีเศรษฐกิจถดถอยใดเลยที่รายได้ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P500 จะปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยเฉลี่ยหดตัวลงถึง 13% และตั้งแต่ปี 1980 P/E Multiple ของตลาดก็ลดลงโดยเฉลี่ยถึง 21% จากระดับสูงสุดไปต่ำสุด เมื่อ Recession เกิดขึ้นก็จะได้วนกลับขึ้นไปถามว่า Inflation ลดลงแล้วหรือไม่ วนเป็นวงจรอีกรอบ | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_105 | Finance | รูปแบบเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดของความเสี่ยงในการลงทุน คืออะไร | หมดปัญหา ซื้อกองทุนรวมไหนดี? 5 วิธีการเลือกลงทุนในกองทุนรวมให้ตามเป้า การลงทุนก็เหมือนศิลปะแขนงหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจ และความละเอียดรอบคอบ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คือการเลือกซื้อกองทุนที่เข้ากับเป้าหมายการเงินของคุณ การเลือกกองทุนที่เหมาะสมเป็นการช่วยรับประกันสุขภาพทางการเงิน และการเติบโตของการลงทุนของคุณได้ในระดับหนึ่ง ว่าจะช่วยให้คุณได้แนวทางที่ชัดเจนสู่ประตูแห่งความความสำเร็จในด้านการเงิน
บทความนี้จะช่วยคุณแก้ปัญหาในการเลือกกองทุน พร้อมกับนำเสนอเคล็ดลับ กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ที่จะมาช่วยเร่งความสำเร็จให้คุณสามารถจัดสรรกองทุนได้เข้ากับเป้าหมาย และทำให้การลงทุนของคุณครั้งนี้มั่นใจได้มากขึ้นกว่าที่เคย
ทำความเข้าใจเป้าหมายการเงินของคุณ
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากการทำให้สิ่งซับซ้อนเป็นเรื่องง่าย แต่เป็นการเข้าใจความต้องการพื้นฐาน และเป้าหมายของตัวเราเอง ทั้งนี้ เป้าหมายของเราสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะสั้น, ระยะยาว, และการเกษียณอายุ
เป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลา 1-3 ปี เป้าหมายระยะนี้ความคล่องตัวทางการเงินคือสิ่งที่จำเป็น เราต้องการสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น บัญชีเงินฝากหรือกองทุนตลาดเงิน
เป้าหมายระยะยาว ระยะเวลาเกินสามปี ยกตัวอย่างเป้าหมาย เช่น การซื้อบ้านหรือการศึกษาของลูก สำหรับเป้าหมายนี้ เราควรจะลงทุนในสิ่งที่เราเชื่อมั่นในการเติบโตเรื่อยๆ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร
เป้าหมายเกษียณอายุ เราต้องเตรียมตัวสำหรับการสร้างความสบายในอนาคต โดยลงทุนในบัญชีเกษียณที่ทำให้เราสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น
การเลือกวิธีการลงทุนนั้นเหมือนกับการเลือกเครื่องมือที่ตรงกับงานที่เราต้องการทำ หากคุณต้องการตัดต้นไม้ คุณก็ไม่ควรใช้กรรไกร ดังนั้น เราต้องลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของเรา
การวัดความสำเร็จของการลงทุนในกองทุนนั้นเหมือนกับการวัดความเร็วของรถ เราต้องดูความสม่ำเสมอ ความเร็ว และความถูกต้องของแหล่งข้อมูล เราสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้จากเว็บไซต์การเงินที่น่าเชื่อถือ และรายงานของกองทุน
ด้วยความรอบรู้ และความอดทน การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งการตรวจสอบประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์การเงินของคุณให้เข้ากับเป้าหมายระยะยาว จะช่วยให้การลงทุนนี้ส่งผลกำไรในระยะยาว
การประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง
การเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกกองทุนที่คุณจะลงกับเป้าหมายของคุณ รูปแบบเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดของความเสี่ยงในการลงทุนคือ การผันผวนของผลตอบแทนที่คุณสามารถรับได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับระดับความสบายใจ วัตถุประสงค์ทางการเงิน และระยะเวลาการลงทุนของคุณ
กองทุนประเภทต่างๆ มีระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น กองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนอาจจะต่ำกว่า ในทางกลับกัน กองทุนหุ้นขนาดเล็กหรือกองทุนเฉพาะกลุ่มสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน
ในการประเมินความสามารถทางการเงินของคุณ ควรพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน คุณสามารถรับผิดชอบการสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นบางส่วนหรือทั้งหมดโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของคุณไหม? คำตอบนี้จะแนะนำคุณไปยังกองทุนที่สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ
ระยะเวลาการลงทุนก็มีบทบาทสำคัญ โดยทั่วไป ระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นอาจทำให้คุณสามารถรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ เนื่องจากมีเวลาในการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว
ท้ายที่สุด การประเมินความสามารถทางอารมณ์ในการรับความเสี่ยงนั้นสำคัญ ควรซื่อสัตย์กับตัวเองเกี่ยวกับความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของตลาดและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น การตัดสินใจที่มาจากความตื่นตัวอาจส่งผลกระทบต่อผลการเงินของคุณ
ทั้งนี้ ควรจำไว้ว่าการเข้าใจความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเปลี่ยนไป ความยอมรับความเสี่ยงก็จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การลงทุนของคุณยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณต้องการ ทำให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจและเหมาะสมกับความเสี่ยงส่วนบุคคลของคุณ
การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน
ก่อนลงทุน ควรวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ตัวชี้วัดสำคัญคือ ผลตอบแทน (Return), ความผันผวน (Volatility), และค่าใช้จ่าย (Expense ratio) ที่สำคัญผลตอบแทนแสดงนั้นคือประสิทธิภาพที่ทำได้ในอดีต แต่ไม่ใช่การรับประกันในอนาคต ความผันผวนบ่งบอกความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ค่าใช้จ่ายสูงอาจลดผลตอบแทนในระยะยาว
กลยุทธ์กระจายการลงทุน
การลงทุนแบบกระจากความเสี่ยงนั้นเหมือนกับการ "ไม่วางไข่ทั้งหมดในตะกร้าเดียว" คุณควรกระจายสินทรัพย์ให้ทั่วถึง ทำให้ความเสี่ยงน้อยลง ในยามที่สถาณการณ์ตลาดผันผวน ความหลากหลายของสินทรัพย์ถือเป็นเครื่องมือให้คุณเติบโตอย่างยั่งยืน
การซื้อกองทุนที่มีกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงประกอบด้วย :
การจัดการสินทรัพย์ แผนการลงทุนในหุ้น, พันธบัตร, และเงินสด เป้าหมายคือสินทรัพย์ที่ตอบสนองต่อตลาดที่แตกต่าง
การกระจายลงทุนในภูมิภาคต่างๆ โดยใช้ข้อได้เปรียบของเศรษฐกิจที่แตกต่างในแต่ละภูมิภาคจากเหตุการณ์ในตลาดเดียวกัน
การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหลายๆ เช่น เทคโนโลยี, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อให้ผลตอบแทนที่หลากหลาย ท้ายที่สุด คุณต้องทบทวนและปรับปรุงพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตรงกับกลยุทธ์การลงทุนและสะท้อนตลาดการเปลี่ยนแปลงของตลาด
ประเมินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม
การเข้าใจค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ เราควรเรียนรู้และประเมินค่าธรรมเนียมเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเงิน
ค่าธรรมเนียมทั่วไปของกองทุนรวมแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย และ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุน
เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง เราควรทราบค่าธรรมเนียมทั้งหมดก่อนลงทุน ใช้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อเปรียบเทียบกองทุนที่คล้ายกัน พิจารณากองทุนที่ไม่มีภาระซึ่งไม่เรียกเก็บค่าขาย และใช้เครื่องมือเปรียบเทียบออนไลน์เพื่อช่วยประเมินกองทุนรวมต่างๆ
การเข้าใจค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนสำคัญในการเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนของคุณ รู้และตัดสินใจด้วยข้อมูล เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดและเข้าใกล้เป้าหมายการเงิน
สรุป
มาทบทวนหลักการพื้นฐานของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง: ตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน, ประเมินความเสี่ยงที่รับได้แบบซื้อสัตย์กับตัวเอง, ทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ผลประกอบการของกองทุน, ความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม, ลงทุนหลากหลาย, ความอดทน และหมั่นปรับเปลี่ยนอยู่เสมอตามสถานการณ์ ภายใต้ส่วนประกอบเหล่านี้จะนำทางคุณสู่การลงทุนที่มั่นคง
ลองนำเอา 5 วิธีที่แบ่งปันในบทความนี้ไปเป็นแนวทางการลงทุนของคุณ เพื่อกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ควมถึงช่วยให้คุณตัดสึนใจได้อย่างมั่นใจ และเข้าถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น การลงทุนก็เหมือนศิลปะแขนงหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจ และความละเอียดรอบคอบ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดในการลงทุน คือการเลือกซื้อกองทุนที่เข้ากับเป้าหมายการเงินของคุณ การเลือกกองทุนที่เหมาะสมเป็นการช่วยรับประกันสุขภาพทางการเงิน และการเติบโตของการลงทุนของคุณได้ในระดับหนึ่ง ว่าจะช่วยให้คุณได้แนวทางที่ชัดเจนสู่ประตูแห่งความความสำเร็จในด้านการเงิน บทความนี้จะช่วยคุณแก้ปัญหาในการเลือกกองทุน พร้อมกับนำเสนอเคล็ดลับ กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ที่จะมาช่วยเร่งความสำเร็จให้คุณสามารถจัดสรรกองทุนได้เข้ากับเป้าหมาย และทำให้การลงทุนของคุณครั้งนี้มั่นใจได้มากขึ้นกว่าที่เคย ทำความเข้าใจเป้าหมายการเงินของคุณ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากการทำให้สิ่งซับซ้อนเป็นเรื่องง่าย แต่เป็นการเข้าใจความต้องการพื้นฐาน และเป้าหมายของตัวเราเอง ทั้งนี้ เป้าหมายของเราสามารถแบ่งออกได้เป็นระยะสั้น, ระยะยาว, และการเกษียณอายุ การเลือกวิธีการลงทุนนั้นเหมือนกับการเลือกเครื่องมือที่ตรงกับงานที่เราต้องการทำ หากคุณต้องการตัดต้นไม้ คุณก็ไม่ควรใช้กรรไกร ดังนั้น เราต้องลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของเรา การวัดความสำเร็จของการลงทุนในกองทุนนั้นเหมือนกับการวัดความเร็วของรถ เราต้องดูความสม่ำเสมอ ความเร็ว และความถูกต้องของแหล่งข้อมูล เราสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้จากเว็บไซต์การเงินที่น่าเชื่อถือ และรายงานของกองทุน ด้วยความรอบรู้ และความอดทน การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งการตรวจสอบประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์การเงินของคุณให้เข้ากับเป้าหมายระยะยาว จะช่วยให้การลงทุนนี้ส่งผลกำไรในระยะยาว การประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยง การเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกกองทุนที่คุณจะลงกับเป้าหมายของคุณ รูปแบบเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดของความเสี่ยงในการลงทุนคือ การผันผวนของผลตอบแทนที่คุณสามารถรับได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกกองทุนที่สอดคล้องกับระดับความสบายใจ วัตถุประสงค์ทางการเงิน และระยะเวลาการลงทุนของคุณ กองทุนประเภทต่างๆ มีระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น กองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนอาจจะต่ำกว่า ในทางกลับกัน กองทุนหุ้นขนาดเล็กหรือกองทุนเฉพาะกลุ่มสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน ในการประเมินความสามารถทางการเงินของคุณ ควรพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน คุณสามารถรับผิดชอบการสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นบางส่วนหรือทั้งหมดโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของคุณไหม? คำตอบนี้จะแนะนำคุณไปยังกองทุนที่สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ ระยะเวลาการลงทุนก็มีบทบาทสำคัญ โดยทั่วไป ระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นอาจทำให้คุณสามารถรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ เนื่องจากมีเวลาในการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว ท้ายที่สุด การประเมินความสามารถทางอารมณ์ในการรับความเสี่ยงนั้นสำคัญ ควรซื่อสัตย์กับตัวเองเกี่ยวกับความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของตลาดและการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น การตัดสินใจที่มาจากความตื่นตัวอาจส่งผลกระทบต่อผลการเงินของคุณ ทั้งนี้ ควรจำไว้ว่าการเข้าใจความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเปลี่ยนไป ความยอมรับความเสี่ยงก็จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การลงทุนของคุณยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณต้องการ ทำให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจและเหมาะสมกับความเสี่ยงส่วนบุคคลของคุณ การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน ก่อนลงทุน ควรวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของกองทุน เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเชิงลึก ตัวชี้วัดสำคัญคือ ผลตอบแทน (Return), ความผันผวน (Volatility), และค่าใช้จ่าย (Expense ratio) ที่สำคัญผลตอบแทนแสดงนั้นคือประสิทธิภาพที่ทำได้ในอดีต แต่ไม่ใช่การรับประกันในอนาคต ความผันผวนบ่งบอกความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ค่าใช้จ่ายสูงอาจลดผลตอบแทนในระยะยาว กลยุทธ์กระจายการลงทุน การลงทุนแบบกระจากความเสี่ยงนั้นเหมือนกับการ "ไม่วางไข่ทั้งหมดในตะกร้าเดียว" คุณควรกระจายสินทรัพย์ให้ทั่วถึง ทำให้ความเสี่ยงน้อยลง ในยามที่สถาณการณ์ตลาดผันผวน ความหลากหลายของสินทรัพย์ถือเป็นเครื่องมือให้คุณเติบโตอย่างยั่งยืน การซื้อกองทุนที่มีกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงประกอบด้วย : ประเมินค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนรวม การเข้าใจค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ เราควรเรียนรู้และประเมินค่าธรรมเนียมเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเงิน ค่าธรรมเนียมทั่วไปของกองทุนรวมแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย และ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุน เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง เราควรทราบค่าธรรมเนียมทั้งหมดก่อนลงทุน ใช้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อเปรียบเทียบกองทุนที่คล้ายกัน พิจารณากองทุนที่ไม่มีภาระซึ่งไม่เรียกเก็บค่าขาย และใช้เครื่องมือเปรียบเทียบออนไลน์เพื่อช่วยประเมินกองทุนรวมต่างๆ การเข้าใจค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของกองทุนสำคัญในการเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนของคุณ รู้และตัดสินใจด้วยข้อมูล เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดและเข้าใกล้เป้าหมายการเงิน สรุป มาทบทวนหลักการพื้นฐานของการลงทุนที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง: ตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจน, ประเมินความเสี่ยงที่รับได้แบบซื้อสัตย์กับตัวเอง, ทำความเข้าใจ และวิเคราะห์ผลประกอบการของกองทุน, ความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม, ลงทุนหลากหลาย, ความอดทน และหมั่นปรับเปลี่ยนอยู่เสมอตามสถานการณ์ ภายใต้ส่วนประกอบเหล่านี้จะนำทางคุณสู่การลงทุนที่มั่นคง ลองนำเอา 5 วิธีที่แบ่งปันในบทความนี้ไปเป็นแนวทางการลงทุนของคุณ เพื่อกลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ควมถึงช่วยให้คุณตัดสึนใจได้อย่างมั่นใจ และเข้าถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น | การเลือกวิธีการลงทุนนั้นเหมือนกับการเลือกเครื่องมือที่ตรงกับงานที่เราต้องการทำ ดังนั้น เราต้องลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของเรา โดยต้องทำความเข้าใจเป้าหมายการเงินของตนเอง โดยอาจแบ่งเป้าหมายได้เป็น ระยะสั้น, ระยะยาว, และการเกษียณอายุ
กองทุนประเภทต่างๆ มีระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น กองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยมากขึ้น แม้ว่าผลตอบแทนอาจจะต่ำกว่า ในทางกลับกัน กองทุนหุ้นขนาดเล็กหรือกองทุนเฉพาะกลุ่มสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นเช่นกัน ต้องลงทุนด้วยความรอบรู้ และความอดทนสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเงินให้ตรงกับเป้าหมาย
ก่อนลงทุนควรวิเคราะห์การดำเนินงานของกองทุน เพื่อทำความเข้าใจข้อมู,เชิงลึก ผลตอบแทน และต้องกระจายการลงทุน ไม่ควรลงทุนเพียงกองทุนเดียวเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาด
ประเมินความสามารถทางการเงินของตนเอง ควรพิจารณาสถานการณ์ทางการเงิน สามารถรับผิดชอบการสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้นบางส่วนหรือทั้งหมดโดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของตนเอง
และการลงทุนระยะยาวขึ้นอาจทำให้สามารถรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ เนื่องจากมีเวลาในการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว
ดังนั้น การลงทุนที่ที่ง่ายที่สุดและลดความเสี่ยง คือ ต้องเลือกลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตนเอง สามารถประเมินสถานการณ์ทางการเงินว่าจะยอมรับความเสี่ยงในการสูญเสียทางการเงินได้หรือไม่ มีการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานกองทุน และกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาด
ทั้งนี้ ควรจำไว้ว่า การเข้าใจความเสี่ยงเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเปลี่ยนไป ความยอมรับความเสี่ยงก็จะเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การลงทุนของตนเอง ยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ต้องการ ทำให้ลงทุนอย่างมั่นใจและเหมาะสมกับความเสี่ยงส่วนบุคคลของตนเอง | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1058 | Finance | จุดเด่นและความท้าทายของ CBDC ไทย คืออะไร | CBDC หรือ Central Bank Digital Currency มีความหมายตรงตัว คือ เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โดยแตกต่างจากเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เราคุ้นเคย เช่น การใช้ mobile app ของธนาคารต่างๆ ซึ่งเป็นบริการของธนาคารพาณิชย์ ไม่ใช่ของธนาคารกลาง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีรวมถึงการเกิดขึ้นของเหรียญคริปโตฯ หลายสกุล เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลายประเทศพยายามเร่งพัฒนา CBDC ของตัวเอง ไทยเองเป็นอีกประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และมีความก้าวหน้าไม่แพ้อีกหลายประเทศ
โครงการอินทนนท์ (Inthanon) เป็นโครงการ CBDC ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เริ่มขึ้นในปี 2018 ร่วมกับสถานบันการเงิน 8 แห่ง (ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคาร HSBC และธนาคารสแตนดาร์ดชารเตอร์) เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DLT กับระบบการชำระเงินของประเทศ (DLT คือ Distributed Ledger Technology เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวกลางคนใดคนหนึ่ง และเป็นเทคโนโลยีหลักที่อยู่เบื้องหลังเงินคริปโตฯ)
โครงการอินทนนท์แบ่งออกมาเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 เป็นการสร้างระบบการชำระเงินต้นแบบ โดยใช้เทคโนโลยี DLT เข้ามาช่วยในการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินในประเทศ
ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาระบบชำระเงินต้นแบบต่อยอดจากข้อที่ 1 อาทิ การใช้ประโยชน์จากสัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart Contract ในการจำลองวงจรชีวิตของพันธบัตร รวมถึงการพัฒนากลไกป้องกันธุรกรรมการชำระเงินที่น่าสงสัย
ระยะที่ 3 เป็นการขยายขอบเขตการชำระเงินระหว่างประเทศระหว่างสถาบันการเงิน
BOT ได้ทดสอบการใช้ CBDC ในการโอนเงินระหว่างประเทศกับทางธนาคารกลางฮ่องกง ในโครงการ “Inthanon-LionRock” ซึ่งเริ่มในปี 2019 และทดสอบเสร็จสิ้นในเดือนมกราคม 2020 ก่อนที่จะมีสมาชิกเข้าร่วมโครงการอีก 2 ประเทศในปี 2021 คือ ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสถาบันศึกษาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานจาก PWC เมื่อเดือนเมษายน 2022 ได้จัดอันดับให้ไทยและฮ่องกงอยู่ในอันดับที่ 1 สำหรับ CBDC ประเภท Wholesale
พัฒนาการของโครงการอินทนน์ตั้งแต่แรกจะเริ่มต้นและเน้นไปที่สถาบันการเงิน หรือภาคธุรกิจ (Wholesale CBDC) ซึ่งทาง BOT กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาถึงโอกาสที่จะนำ CBDC นี้มาใช้กับประชาชนในวงกว้าง (Retail CBDC) ล่าสุดอยู่ระหว่างหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยจะเริ่มทดสอบในปลายปี 2022 นี้ การพัฒนาของ Retail CBDC ที่ค่อนข้างช้ากว่า Wholesale CBDC ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากการใช้กับประชาชนจำนวนมาก ต้องคำนึงถึงความพร้อม และข้อจำกัด จึงจำเป็นต้องใช้เวลาทดสอบที่ค่อนข้างนานและละเอียดพอสมควร
เนื่องจาก CBDC น่าจะยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับหลายคน บทความนี้จึงพยายามรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ CBDC มาอธิบายเพิ่มเติม
CBDC กับคริปโตฯ
เหรียญคริปโตฯ มีอยู่หลายประเภท หากเราจะเปรียบเทียบระหว่างเหรียญคริปโตฯ กับ CBDC คงจะสามารถเปรียบเทียบในแง่ที่ว่าสกุลเงินคริปโตฯ ที่มีชื่อเสียง เช่น Bitcoin จะกลายมาเป็นสกุลเงินแทนที่สกุลหลักของโลกได้หรือไม่
ปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ Bitcoin ยังไม่สามารถจะมาแทนที่สกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ มาจากความผันผวนของราคาที่แม้ว่าจะเริ่มมีความผันผวนลดลงบ้าง แต่ยังถือว่ามีความผันผวนสูงหากจะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ ยังมีหลายประเทศที่ไม่ยอมรับการเป็นสกุลเงินของ Bitcoin ทำให้อีกหน้าที่หนึ่งของเงิน คือ การเป็นมาตรฐานการชำระหนี้ ยังไม่ตอบโจทย์สำหรับ Bitcoin ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า CBDC ทำหน้าที่เป็นเงินได้ครบถ้วนต่างจาก Bitcoin ที่ยังขาดคุณสมบัติบางข้อ
จุดแตกต่างอีกข้อ (ในไทย) เกิดขึ้นหลังจากมีกฎหมายออกมาว่าการซื้อขายเหรียญคริปโตฯ จะต้องถูกเก็บภาษีเงินได้ ส่วน CBDC นั้น ถูกออกมาแบบมาเพื่อหน้าที่ในการชำระสินค้าและบริการ ดังนั้น จะไม่ถูกเก็บภาษีเหมือนคริปโตฯ
CBDC กับ Prompt Pay
Prompt Pay เป็นระบบการชำระเงิน ที่สามารถโอนเงินให้กับประชาชนที่มีบัญชีธนาคารต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ ตัวอย่างเช่น การโอนคืนเงินภาษีที่ได้รับคืนในแต่ละปี หรือการใช้จ่ายในโครงการภาครัฐ เช่น เราเที่ยวด้วยกัน
ส่วน CBDC เป็นเหมือนทั้งเงิน และระบบการชำระเงิน ซึ่งกำกับดูแลโดย BOT นอกจากนี้ ในส่วนการเป็นเงินของ CBDC ยังสามารถเขียนข้อกำหนดลงไปในตัว CBDC ได้ เช่น การทำนโยบายที่อาจจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนบางกลุ่ม จะสามารถสร้าง CBDC และระบุกลุ่มผู้ที่จะได้รับไปด้วยได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า สามารถใช้ CBDC ควบคู่กับ Prompt Pay ได้
ผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ไทย
เชื่อว่าเป็นประเด็นที่มีคนสงสัย หากว่าประชาชนแห่มาใช้ CBDC กันจะส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์อย่างไรบ้าง คำถามนี้ ทาง BOT ได้ให้ข้อมูลว่าการถือ CBDC จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย และมีการจำกัดวงเงินการถือครอง ซึ่งทั้ง 2 ข้อเป็นสิ่งที่แตกต่างจากเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ จึงเชื่อว่าผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เช่นการแห่ถอนเงินในธนาคารอย่างรวดเร็วจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น
จุดเด่นและความท้าทายของ CBDC ไทย
จุดเด่นของ CBDC คือ เป็นเหมือนการเปลี่ยนเงินในระบบเศรษฐกิจจากเหรียญหรือธนบัตรให้มาอยู่ในรูปดิจิตอล มีความสะดวกสบายในการนำไปใช้ชำระค่าสินค้าบริการต่างๆ เป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นให้กับประชาชนในการใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ช่วยลดต้นทุนในการพิมพ์และเก็บรักษาเหรียญและธนบัตรของธนาคารกลาง ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือเสื่อมสลายของธนบัตร และสามารถทำให้ทางการสามารถติดตามเอาผิดธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทำได้สะดวกขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการเงินของประเทศ
ส่วนความท้าทายของ CBDC หลักๆ น่าจะมาจากความคุ้นเคยของประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจจะคุ้นเคยหรือสบายใจกับการใช้จ่ายด้วยเหรียญหรือธนบัตร มากกว่ารูปแบบดิจิตอล ทำให้ CBDC อาจจะไม่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ในระยะแรก นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนที่ต้องการใช้งาน CBDC แต่ยังขาดความรู้และความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยี ทำให้จะต้องใช้เวลาซักพักในการปรับตัว แม้ว่า BOT จะมีทางเลือกของ CBDC ในรูปแบบการ์ด แต่ก็เจอความเสี่ยงในเรื่องการสูญหายไม่ต่างจากเหรียญหรือธนบัตร เพราะเจ้าของต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง
อีกประเด็นนึงที่สังคมคริปโตฯ ให้ความสนใจ คือ การมาของ CBDC อาจจะทำให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานที่ง่ายขึ้นหรือไม่ ทำให้อาจจะเกิดความกังวลในแง่ของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานในระดับนึง
ถึงตรงนี้ น่าจะพอสรุปได้ว่ามีความเป็นไปสูงที่ในอนาคต CBDC จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบการชำนะเงินทั้งกับภาคธุรกิจและภาคประชาชน แม้จะยังระบุไทม์ไลน์ที่แน่นอนไม่ได้ แต่การศึกษาทำความรู้จัก CBDC ไว้ น่าจะมีประโยชน์และเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดีเพื่อรับกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของโลกการเงินในอนาคตที่กำลังจะมาถึง | จุดเด่นของ CBDC คือ เป็นเหมือนการเปลี่ยนเงินในระบบเศรษฐกิจจากเหรียญหรือธนบัตรให้มาอยู่ในรูปดิจิตอล มีความสะดวกสบายในการนำไปใช้ชำระค่าสินค้าบริการต่างๆ เป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นให้กับประชาชนในการใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ช่วยลดต้นทุนในการพิมพ์และเก็บรักษาเหรียญและธนบัตรของธนาคารกลาง ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือเสื่อมสลายของธนบัตร และสามารถทำให้ทางการสามารถติดตามเอาผิดธุรกรรมที่ผิดกฎหมายทำได้สะดวกขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการเงินของประเทศ
ส่วนความท้าทายของ CBDC หลักๆ น่าจะมาจากความคุ้นเคยของประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจจะคุ้นเคยหรือสบายใจกับการใช้จ่ายด้วยเหรียญหรือธนบัตร มากกว่ารูปแบบดิจิตอล ทำให้ CBDC อาจจะไม่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ในระยะแรก นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนที่ต้องการใช้งาน CBDC แต่ยังขาดความรู้และความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยี ทำให้จะต้องใช้เวลาซักพักในการปรับตัว แม้ว่า BOT จะมีทางเลือกของ CBDC ในรูปแบบการ์ด แต่ก็เจอความเสี่ยงในเรื่องการสูญหายไม่ต่างจากเหรียญหรือธนบัตร เพราะเจ้าของต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง
อีกประเด็นนึงที่สังคมคริปโตฯ ให้ความสนใจ คือ การมาของ CBDC อาจจะทำให้ภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานที่ง่ายขึ้นหรือไม่ ทำให้อาจจะเกิดความกังวลในแง่ของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานในระดับนึง | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1075 | Finance | สรุป ปี2565ประธานธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี | หลายคนคงจะออกจะงุนงงว่าเหตุไฉนเมื่อ เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี รวมถึงจะเริ่มลดขนาดงบดุลเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ และจากนั้นจะลดขนาดงบดุลเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นสหรัฐจึงพาเหรดกันขึ้นมากว่าร้อยละ 3 ในทุกตลาด ดังนี้
1. ตลาดหุ้นสหรัฐยังไม่ได้พุ่งขึ้นมาอย่างที่เห็นกันหลังเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย ทว่าทันทีที่พาวเวลตอบคำถามที่ว่าแนวคิดเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ยังไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างจริงจังในการประชุม ตลาดหุ้นสหรัฐก็พุ่งขึ้นมาในแดนเขียวอย่างรวดเร็ว ณ วินาทีนั้น ซึ่งก่อนหน้าการประชุมรอบนี้ มีการคาดหมายว่ามีโอกาสสูงที่เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ในปีนี้ ซึ่งตรงนี้ ยังทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีสหรัฐลดลงมาในทันที รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนลง รวมถึงราคาทองคำก็พุ่งสูงขึ้น
2. นอกจากนี้ พาวเวลยังมองตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ PCE inflation ล่าสุด ที่มีการชะลอลง อาจเป็นไปได้ที่จะใกล้ถึงในบริเวณที่สูงสุด เนื่องจากตัวเลขเริ่มมีการขึ้นแบบช้าลง ทว่าพาวเวลก็ยังอยากให้จับตาดูไปอีกพักหนึ่ง เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อประเภทอื่น ๆ ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ กระนั้นก็ดี ทางพาวเวลก็ไม่ได้ประมาทในประเด็นเงินเฟ้อ โดยได้ยกย่องพอล โวลเกอร์ว่าเป็นบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของเขาในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ โดยเขาจะเลียนแบบโวลเกอร์ในการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในการต่อสู้กับเงินเฟ้อในครั้งนี้
3. ในถ้อยแถลงนโยบายการเงินไม่ได้มีการเน้นในการกล่าวถึงปัจจัยเงินเฟ้อที่เกิดมาจากอุปสงค์มากเท่าไรนัก เพียงแต่ย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุดที่ชะลอลงถือว่ายังไม่น่าห่วง เนื่องจากภาคการบริโภคและการลงทุนด้านธุรกิจยังคงมีแข็งแกร่งอยู่มาก
4. สำหรับมาตรการการลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Reduction) ของเฟด จากเดิมที่คาดกันว่าจะเริ่มด้วยการลดเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในทันที ทว่าเฟดใช้ความเร็วในการลดงบดุลเฟดที่ต่ำกว่าคาด เริ่มลดขนาดงบดุลเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ (พันธบัตร 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และ สินเชื่อบ้าน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์) เป็นเวลา 3 เดือน และจากนั้นจะลดขนาดงบดุลเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (พันธบัตร 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และ สินเชื่อบ้าน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) อีกทั้งยังเริ่มต้นการลดงบดุลจริงช้ากว่าคาด โดยเริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้
5. ความเห็นที่ถือว่าแสดงความชัดเจนถึงความมั่นใจในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ ว่าจะสามารถเอาเงินเฟ้ออยู่ได้ นั่นคือเมื่อมีคำถามที่ว่าการที่บิล ดัดลีย์ อดีตประธานเฟด สาขานิวยอร์ค มองว่าเฟดนอกจากที่เพียงขี้นดอกเบี้ยแล้ว อาจต้องการภาวะเศรษฐกิจถดถอยในการที่จะเอาเงินเฟ้อสหรัฐลงมาในระดับเป้าหมาย ตรงนี้ พาวเวลสวนกลับแบบนิ่ม ๆ ว่า เขามองว่าโอกาสไม่เยอะที่เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาสภาวะถดถอยในการที่จะเอาเงินเฟ้อลงมาให้ได้ โดยลำพังเพียงนโยบายอัตราดอกเบี้ยก็สามารถเอาเงินเฟ้ออยู่หมัดได้แล้ว
ที่สำคัญที่สุด คือ การที่พาวเวลมองปัจจัยอุปทานอย่าง รัสเซียบุกยูเครน และ ล็อกดาวน์ในจีน อาจจะใช้เวลาหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ยิ่งมองว่าพาวเวลเองออกจะมั่นใจว่าเฟดน่าจะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ เมื่อจะสามารถใช้นโยบายการเงินในการต่อสู้กับเงินเฟ้อจากในส่วนของปัจจัยอุปสงค์ในที่สุด | ปี 2565 เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%จะเริ่มลดขนาดงบดุลเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ หลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
1. ตลาดหุ้นสหรัฐยังไม่ได้พุ่งขึ้นมาอย่างที่เห็นกันหลังเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย ทันทีที่พาวเวลตอบคำถามมีแนวคิดจะขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ที่ยังไม่ได้พูดถึงอย่างจริงจังในการประชุม ตลาดหุ้นสหรัฐก็พุ่งขึ้นมาในแดนเขียวอย่างรวดเร็ว ณ วินาทีนั้น เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.75
2. พาวเวลยังมองตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ PCE inflation ล่าสุด ที่มีการชะลอลง ซึ่งอาจเป็นสัญญาว่าเงินเฟ้อสิ้นสุด แต่ยังอยากให้จับตาดูไปอีกพักหนึ่ง
3. เฟด ไม่ได้มีการเน้นในการกล่าวถึงปัจจัยเงินเฟ้อที่เกิดมาจากอุปสงค์มากเท่าไรนัก แต่ย้ำว่าปัจจัยอุปทาน อย่าง รัสเซียบุกยูเครน และเหตุการณ์ล็อกดาวน์ในจีน น่าจะมีผลต่อปัจจัยเงินเฟ้อของสหรัฐในช่วงนี้
4. สำหรับมาตรการการลดขนาดงบดุล (Balance Sheet Reduction) เริ่มลดขนาดงบดุลเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ (พันธบัตร 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และ สินเชื่อบ้าน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์) เป็นเวลา 3 เดือน และจากนั้นจะลดขนาดงบดุลเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (พันธบัตร 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และ สินเชื่อบ้าน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์) อีกทั้งยังเริ่มต้นการลดงบดุลจริงช้ากว่าคาด โดยเริ่มต้นในวันที่ 1 มิถุนายนนี้
5. พาลเวลแสดงความชัดเจนถึงความมั่นใจในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ ว่าจะสามารถเอาเงินเฟ้ออยู่ได้ ไม่ต้องพึ่งสภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยลำพังเพียงนโยบายอัตราดอกเบี้ยก็สามารถเอาเงินเฟ้ออยู่หมัดได้แล้ว
ที่สำคัญที่สุด คือ การที่พาวเวลมองปัจจัยอุปทานอย่าง รัสเซียบุกยูเครน และ ล็อกดาวน์ในจีน อาจจะใช้เวลาหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ยิ่งมองว่าพาวเวลเองออกจะมั่นใจว่าเฟดน่าจะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ เมื่อจะสามารถใช้นโยบายการเงินในการต่อสู้กับเงินเฟ้อจากในส่วนของปัจจัยอุปสงค์ในที่สุด | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1079 | Finance | ในปี 2565 ตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงกว่าตลาดประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่า ใช่หรือไม่ | null | ใช่ ตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงกว่าตลาดประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่า
ก่อนอื่นเรามาดูก่อนว่า ตลาดประเทศที่พัฒนาและตลาดประเทศเกิดใหม่ ประกอบด้วยใครกันบ้าง ขอยกตัวอย่างผ่านการจัดกลุ่มโดย MSCI ซึ่งย่อมาจาก Morgan Stanley Capital International ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการจัดทำดัชนีราคาหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลก
- ประเทศจีนยังจัดอยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และยังไม่ถูกจัดเป็นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว จะเห็นได้ว่า ประเทศจีนมีสัดส่วนใน MSCI Emerging market Index มากที่สุด รองลงมาเป็นไต้หวัน และเกาหลี ตามลำดับ ส่วนประเทศไทย มีสัดส่วนอยู่ที่ 2.27%
- ส่วน MSCI Developed Market Index กันบ้าง จะเห็นได้ว่า ประเทศ USA มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาเป็นญี่ปุ่นและอังกฤษตามลำดับ
ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต จากการเปรียบเทียบย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา MSCI World ซึ่งเน้นไปที่ตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีผลตอบแทนที่ดีกว่า MSCI Emerging markets ซึ่งเน้นไปที่ตลาดประเทศเกิดใหม่
แม้ว่าการเติบโตของ GDP ของกลุ่มประเทศที่เกิดใหม่จะสูงกว่าการเติบโตของ GDP ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่ผลตอบแทนในการลงทุนกลับตรงกันข้าม ดังนั้นปัจจัยด้านการเดิบโตของ GDP อย่างเดียวไม่เพียงพอ เราอาจต้องนำปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบการวิเคราะห์ด้วย เช่น ความเสี่ยงด้านการเมือง เป็นต้น | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_109 | Finance | ณ ปี 2566 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองต่อตราสารหนี้ไทยว่าอย่างไร | ดอกเบี้ยใกล้พีค ลงทุนตราสารหนี้แบบไหนดี " จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เลือกใช้นโยบายการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงประเทศไทยเรา นักลงทุนคงอยากทราบว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นอย่างไร ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง แล้วควรลงทุนในตราสารหนี้แบบไหนถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ติดตามได้จากบทความนี้ จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เลือกใช้นโยบายการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงประเทศไทยเรา นักลงทุนคงอยากทราบว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นอย่างไร ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง แล้วควรลงทุนในตราสารหนี้แบบไหนถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ติดตามได้จากบทความนี้ จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เลือกใช้นโยบายการเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงประเทศไทยเรา นักลงทุนคงอยากทราบว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นอย่างไร ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง แล้วควรลงทุนในตราสารหนี้แบบไหนถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ติดตามได้จากบทความนี้ สถานการณ์ดอกเบี้ยปัจจุบัน สถานการณ์ดอกเบี้ยปัจจุบัน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) วันที่ 13-14 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.00-5.25% หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาถึง 10 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 65 เป็นต้นมา ซึ่งจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) FED ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.50-5.75% ภายในปีนี้เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) วันที่ 13-14 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.00-5.25% หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาถึง 10 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 65 เป็นต้นมา ซึ่งจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) FED ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.50-5.75% ภายในปีนี้เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) วันที่ 13-14 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.00-5.25% หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาถึง 10 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 65 เป็นต้นมา ซึ่งจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) FED ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.50-5.75% ภายในปีนี้เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมธนาคารกลางยุโรปวันที่ 15 มิ.ย. 66 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของยูโรโซนจะเริ่มชะลอลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 6.1% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดย ECB ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมธนาคารกลางยุโรปวันที่ 15 มิ.ย. 66 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของยูโรโซนจะเริ่มชะลอลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 6.1% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดย ECB ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50% ในการประชุมธนาคารกลางยุโรปวันที่ 15 มิ.ย. 66 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของยูโรโซนจะเริ่มชะลอลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 6.1% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา โดย ECB ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 31 พ.ค. 66 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 31 พ.ค. 66 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 31 พ.ค. 66 คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 2.00% ต่อปี โดยกนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ในบริบทที่เศรษฐกิจขยายตัวดี รวมทั้งการส่งผ่านต้นทุนผู้ประกอบการอาจปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ท่ามกลางทิศทางเงินเฟ้อที่ชะลอลง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ขณะที่แรงกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเริ่มลดลง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ท่ามกลางทิศทางเงินเฟ้อที่ชะลอลง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ขณะที่แรงกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเริ่มลดลง ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้อาจเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในรอบวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ ท่ามกลางทิศทางเงินเฟ้อที่ชะลอลง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ขณะที่แรงกดดันจากแนวโน้มนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเริ่มลดลง ส่งผลอย่างไร ส่งผลอย่างไร ผลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ดอกเบี้ยในปัจจุบัน ได้แก่ ผลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ดอกเบี้ยในปัจจุบัน ได้แก่ ผลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ดอกเบี้ยในปัจจุบัน ได้แก่ • หลายธนาคารทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นระยะๆ หลังธนาคารกลางมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และเมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ผู้ออกตราสารหนี้ใหม่ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อจูงใจผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตราสารหนี้ ดังนั้น นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น • หลายธนาคารทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นระยะๆ หลังธนาคารกลางมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และเมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ผู้ออกตราสารหนี้ใหม่ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อจูงใจผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตราสารหนี้ ดังนั้น นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น • หลายธนาคารทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเป็นระยะๆ หลังธนาคารกลางมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และเมื่อธนาคารปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก ส่งผลให้ผู้ออกตราสารหนี้ใหม่ต้องให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าเดิมเพื่อจูงใจผู้ลงทุน ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตราสารหนี้ ดังนั้น นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น • • ช่วงครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปกว่านี้มากนักและราคาตราสารหนี้มีความผันผวนน้อยลง จากการที่ดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดพีคแล้ว ดังนั้น ถึงเวลาของการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อล็อกผลตอบแทน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น • ช่วงครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปกว่านี้มากนักและราคาตราสารหนี้มีความผันผวนน้อยลง จากการที่ดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดพีคแล้ว ดังนั้น ถึงเวลาของการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อล็อกผลตอบแทน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น • ช่วงครึ่งปีหลัง ดอกเบี้ยเงินฝากมีแนวโน้มจะไม่สูงไปกว่านี้มากนักและราคาตราสารหนี้มีความผันผวนน้อยลง จากการที่ดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดพีคแล้ว ดังนั้น ถึงเวลาของการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อล็อกผลตอบแทน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น • ควรลงทุนตราสารหนี้แบบไหน ควรลงทุนตราสารหนี้แบบไหน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองต่อตราสารหนี้ไทยว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 2.00% หรืออย่างมากก็ปรับขึ้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25% ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันค่อนข้างสะท้อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับประมาณ 2.25%-2.50% แล้ว ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างจำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองต่อตราสารหนี้ไทยว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 2.00% หรืออย่างมากก็ปรับขึ้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25% ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันค่อนข้างสะท้อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับประมาณ 2.25%-2.50% แล้ว ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างจำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองต่อตราสารหนี้ไทยว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 2.00% หรืออย่างมากก็ปรับขึ้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25% ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันค่อนข้างสะท้อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับประมาณ 2.25%-2.50% แล้ว ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างจำกัด สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองว่า ตราสารหนี้ต่างประเทศยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองว่า ตราสารหนี้ต่างประเทศยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองว่า ตราสารหนี้ต่างประเทศยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นได้ เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากระยะเวลาลงทุนแล้ว ยังมีโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และไทย ที่อยู่ในระดับทรงตัวและอาจจะปรับตัวลดลง ทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยมีทางเลือกในการลงทุนดังนี้ แนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นได้ เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากระยะเวลาลงทุนแล้ว ยังมีโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และไทย ที่อยู่ในระดับทรงตัวและอาจจะปรับตัวลดลง ทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยมีทางเลือกในการลงทุนดังนี้ แนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นได้ เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากระยะเวลาลงทุนแล้ว ยังมีโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และไทย ที่อยู่ในระดับทรงตัวและอาจจะปรับตัวลดลง ทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยมีทางเลือกในการลงทุนดังนี้ 1. หุ้นกู้ 1. หุ้นกู้ 1. หุ้นกู้ หุ้นกู้ที่เสนอขายปัจจุบันให้ดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในปีที่แล้ว และหากพิจารณาหุ้นกู้บริษัทเดียวกันในรุ่นอายุที่แตกต่างกันจะเห็นว่า หุ้นกู้รุ่นอายุมากกว่าจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า เช่น หุ้นกู้ NPS ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้/หุ้นกู้ BBB+ รุ่นอายุ 5 ปี ให้ดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี เทียบกับ รุ่นอายุ 7 ปี ให้ดอกเบี้ย 5.25% ต่อปี ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่น่าลงทุน หุ้นกู้ที่เสนอขายปัจจุบันให้ดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในปีที่แล้ว และหากพิจารณาหุ้นกู้บริษัทเดียวกันในรุ่นอายุที่แตกต่างกันจะเห็นว่า หุ้นกู้รุ่นอายุมากกว่าจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า เช่น หุ้นกู้ NPS ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้/หุ้นกู้ BBB+ รุ่นอายุ 5 ปี ให้ดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี เทียบกับ รุ่นอายุ 7 ปี ให้ดอกเบี้ย 5.25% ต่อปี ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่น่าลงทุน 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ 2. กองทุนรวมตราสารหนี้ แนะนำลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว โดยกองทุนรวมตราสารหนี้ที่แนะนำในช่วงนี้ ได้แก่ แนะนำลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว โดยกองทุนรวมตราสารหนี้ที่แนะนำในช่วงนี้ ได้แก่ • กองทุน K-PLAN1 เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก และหุ้นกู้เอกชน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน • กองทุน K-PLAN1 เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก และหุ้นกู้เอกชน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน • กองทุน K-PLAN1 เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก และหุ้นกู้เอกชน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน • กองทุน K-FIXEDPLUS-A เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชน และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุนแนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี • กองทุน K-FIXEDPLUS-A เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชน และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุนแนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี • กองทุน K-FIXEDPLUS-A เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชน และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุนแนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี • กองทุน K-GB-C(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Aggregate Bond Fund, Class JPM Aggregate Bond I (acc) – USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี • กองทุน K-GB-C(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Aggregate Bond Fund, Class JPM Aggregate Bond I (acc) – USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี • กองทุน K-GB-C(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Aggregate Bond Fund, Class JPM Aggregate Bond I (acc) – USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี • กองทุน K-GDBOND-A(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nomura Funds Ireland – Global Dynamic Bond Fund, Class I USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี • กองทุน K-GDBOND-A(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nomura Funds Ireland – Global Dynamic Bond Fund, Class I USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี • กองทุน K-GDBOND-A(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nomura Funds Ireland – Global Dynamic Bond Fund, Class I USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี การลงทุนในตราสารหนี้จะเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ เช่น กองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา การลงทุนในตราสารหนี้จะเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ เช่น กองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา การลงทุนในตราสารหนี้จะเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ เช่น กองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ขอขอบคุณข้อมูลจาก : • ธนาคารแห่งประเทศไทย, บลจ.กสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย • ธนาคารแห่งประเทศไทย, บลจ.กสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย • ธนาคารแห่งประเทศไทย, บลจ.กสิกรไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บทความโดย K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® | มุมมองต่อตราสารหนี้ไทยว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุด (Terminal Rate) จะอยู่ที่ 2.00% หรืออย่างมากก็ปรับขึ้นอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25% ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ไทยค่อนข้างสะท้อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับประมาณ 2.25%-2.50% แล้ว ดังนั้น การขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างจำกัด
สำหรับตราสารหนี้ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย มีมุมมองว่า ตราสารหนี้ต่างประเทศยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แนะนำลงทุนตราสารหนี้ระยะยาวขึ้นได้ เพราะนอกจากจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากระยะเวลาลงทุนแล้ว ยังมีโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยุโรป และไทย ที่อยู่ในระดับทรงตัวและอาจจะปรับตัวลดลง ทำให้ตราสารหนี้ระยะยาวได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยมีทางเลือกในการลงทุน ดังนี้
1. หุ้นกู้
หุ้นกู้ที่เสนอขายปัจจุบันให้ดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในปี 2565 และหากพิจารณาหุ้นกู้บริษัทเดียวกันในรุ่นอายุที่แตกต่างกันจะเห็นว่า หุ้นกู้รุ่นอายุมากกว่าจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า เช่น หุ้นกู้ NPS ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้/หุ้นกู้ BBB+ รุ่นอายุ 5 ปี ให้ดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี เทียบกับ รุ่นอายุ 7 ปี ให้ดอกเบี้ย 5.25% ต่อปี ทั้งนี้ แนะนำลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่น่าลงทุน
2. กองทุนรวมตราสารหนี้
แนะนำลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว โดยกองทุนรวมตราสารหนี้ที่แนะนำในช่วงนี้ ได้แก่
• กองทุน K-PLAN1 เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝาก และหุ้นกู้เอกชน โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุน แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน
• กองทุน K-FIXEDPLUS-A เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยคุณภาพดี ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชน และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง โดยอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับที่น่าลงทุนแนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
• กองทุน K-GB-C(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน JPMorgan Funds – Aggregate Bond Fund, Class JPM Aggregate Bond I (acc) – USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี
• กองทุน K-GDBOND-A(A) เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลก โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nomura Funds Ireland – Global Dynamic Bond Fund, Class I USD แนะนำถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปี
การลงทุนในตราสารหนี้จะเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ เช่น กองทุนผสมหรือกองทุนหุ้น เพื่อโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนของตนเอง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1094 | Finance | ตลาด Bubble Board หรือ BB จะเป็นตลาดที่รวมของหุ้นแบบใด | ตลาดหุ้น SET-mai-BB
2-3วันที่ผ่านมามีหุ้นบางตัวถูกให้หยุดการซื้อขายหรือถูก SP 1 วัน เพราะราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาก “ผิดปกติ” ซึ่งเข้าข่ายเป็นหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูงผิดปกติที่ตลาดหลักทรัพย์ได้ออกกฎเกณฑ์หลายข้อและหลายระดับในการที่จะป้องกันไม่ให้มีการเก็งกำไรมากเกินไป ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นขึ้นเกินพื้นฐานไปมากและอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนได้เกณฑ์ที่ใช้นั้นมีหลายข้ออาจจะเริ่มตั้งแต่การดูปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นที่
“แพงเกินไป” วัดจากกำไรของบริษัทเทียบกับตัวชี้วัดเช่นค่า P/E เป็นต้น และก็คงมีอย่างอื่นอีกที่ผมเองก็ไม่ได้ศึกษาติดตามมากนัก และเมื่อมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์แล้ว ก็จะถูกเพิ่มเงื่อนไขในการซื้อขาย เช่น ห้ามใช้มาร์จิน ต้องวางเงินสดเต็มจำนวน อะไรทำนองนี้ และสุดท้ายที่เป็น “มาตรการสูงสุด” เนื่องจากหุ้นอาจจะมีราคา “แพงสูงสุด” หรือเก็งกำไรสูงสุดไปแล้วก็คือการ “หยุดการซื้อขาย 1 วัน” ดังกล่าว ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นขึ้นเกินพื้นฐานไปมากและอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนได้เกณฑ์ที่ใช้นั้นมีหลายข้ออาจจะเริ่มตั้งแต่การดูปริมาณการซื้อขายและราคาหุ้นที่ “แพงเกินไป” วัดจากกำไรของบริษัทเทียบกับตัวชี้วัดเช่นค่า P/E เป็นต้น และก็คงมีอย่างอื่นอีกที่ผมเองก็ไม่ได้ศึกษาติดตามมากนัก และเมื่อมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์แล้ว ก็จะถูกเพิ่มเงื่อนไขในการซื้อขาย เช่น ห้ามใช้มาร์จิน ต้องวางเงินสดเต็มจำนวน อะไรทำนองนี้ และสุดท้ายที่เป็น “มาตรการสูงสุด” เนื่องจากหุ้นอาจจะมีราคา “แพงสูงสุด” หรือเก็งกำไรสูงสุดไปแล้วก็คือการ “หยุดการซื้อขาย 1 วัน” ดังกล่าว หลังจากการหยุดพักการซื้อขาย 1 วัน ดูเหมือนว่าราคาหุ้นไปได้ปรับลงเลย แต่กลับปรับตัวขึ้นไปมากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็หมายความว่ามาตรการในการ “ลดการเก็งกำไร” ไม่ได้ผลเลย แต่อาจจะยิ่งเพิ่มการเก็งกำไรขึ้นไปอีก
ผมเองดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นมาตรการที่ “เบามาก” คล้าย ๆ กับคนทำผิดคดีข่มขืนแต่ถูกลงโทษตีก้นหนึ่งที และผมเองก็ไม่เข้าใจว่าการให้หยุดการซื้อขาย 1 วันนั้นจะทำให้คนคิดคำนึงว่ามันเป็นหุ้นเก็งกำไรที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงได้อย่างไร ว่าที่จริงคนอาจจะยิ่งคิดว่านี่คือหุ้นที่จะเก็งกำไรกันรุนแรงขึ้นและเขาอาจจะชอบที่จะเล่นเพิ่มขึ้น เพราะมันเหมือนเป็น “สปอร์ตไลท์” ส่องให้หุ้นเด่นขึ้นและเรียกให้คนเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากการหยุดพักการซื้อขาย 1 วัน ดูเหมือนว่าราคาหุ้นไปได้ปรับลงเลย แต่กลับปรับตัวขึ้นไปมากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งก็หมายความว่ามาตรการในการ “ลดการเก็งกำไร” ไม่ได้ผลเลย แต่อาจจะยิ่งเพิ่มการเก็งกำไรขึ้นไปอีก ผมเองดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นมาตรการที่ “เบามาก” คล้าย ๆ กับคนทำผิดคดีข่มขืนแต่ถูกลงโทษตีก้นหนึ่งที และผมเองก็ไม่เข้าใจว่าการให้หยุดการซื้อขาย 1 วันนั้นจะทำให้คนคิดคำนึงว่ามันเป็นหุ้นเก็งกำไรที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงได้อย่างไร ว่าที่จริงคนอาจจะยิ่งคิดว่านี่คือหุ้นที่จะเก็งกำไรกันรุนแรงขึ้นและเขาอาจจะชอบที่จะเล่นเพิ่มขึ้น เพราะมันเหมือนเป็น “สปอร์ตไลท์” ส่องให้หุ้นเด่นขึ้นและเรียกให้คนเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้นด้วยซ้ำ ผมเองไม่รู้ว่าหลังจากการหยุดซื้อขายหุ้น 1 วันไปแล้ว จะมีมาตรการอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่าหุ้นก็คงสามารถแสดงอภินิหารต่อไปได้เรื่อย ๆ จนวันหนึ่งอาจจะมีขนาดเป็นล้านล้านบาทและใหญ่ที่สุดในตลาดก็ได้ เพราะสำหรับผมแล้ว อาการของหุ้นที่ขึ้นไปแบบ “หลุดโลก”ได้ นั้นก็คือหุ้นถูก “Corner” อย่างรุนแรง มีคนที่ถือหุ้นและพร้อมขายน้อยเกินไปในขณะที่คนซื้อนั้นคุมราคาหุ้นได้เบ็ดเสร็จ
และถ้าไม่แก้ปัญหานี้ ปัญหาจะตามมาและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในอนาคตก็อาจจะมีหุ้นที่ถูก Cornerอย่างรุนแรง เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริง ทุกวันนี้ก็มีหุ้นจำนวนมากในตลาดถูก Corner อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่รุนแรงเท่า และราคาหุ้นอาจจะแพงเกินไปซัก 3-4 เท่าจากราคาที่ควรจะเป็นและมูลค่าหุ้นอาจจะขึ้นไปในระดับแสนล้านหรือใกล้ ๆ แสนล้านบาทเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นไทยก็จะเริ่ม “ขาดความน่าเชื่อถือ” ในแง่ที่ว่าราคาหุ้นจำนวนมาก “ไม่สะท้อนพื้นฐานของกิจการ” ที่ควรจะเป็น หรือเป็น “ตลาดเก็งกำไร” ที่คนที่ต้องการลงทุนระยะยาวไม่อยากเข้ามาลงทุนเพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ไม่สามารถประเมินได้
ถ้าถามว่าเราสามารถแก้ปัญหาการ Corner หุ้นหรือหุ้นถูก Corner ได้ไหม ผมคิดว่าพอทำได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็แก้ปัญหาหุ้นที่ถูก Corner รุนแรงได้แน่ถ้าตั้งใจที่จะทำ แต่การ Corner แบบเบา ๆ นั้นอาจจะยากเนื่องจาก “โครงสร้างของหุ้นและตลาดหุ้นไทย” นั้น เอื้ออำนวยมากในการทำ
เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หุ้นมีขนาดเล็กและ/หรือหุ้นมีฟรีโฟลทน้อยแม้แต่ในหุ้นขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง และระบบกฎหมายและภาษีของไทยเอื้ออำนวยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของไทยยังเป็นบุคคลธรรมดาจำนวนมาก
และเขาเหล่านั้นมีแรงจูงใจที่จะทำให้ราคาหุ้นของตนวิ่งขึ้นไปสูงสุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ผิดกฎหมายหรือแม้แต่จริยธรรม ว่าที่จริงหลายคนกลายเป็น “ฮีโร่” ด้วยซ้ำที่สามารถ “สร้างมูลค่าหุ้น” ได้แบบเหลือเชื่อ
ผมคงไม่บอกว่าจะทำอย่างไรที่จะป้องกัน และก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากเสนอมาตรการที่จะทำให้ราคาหุ้นตกหรือลดลงแบบหายนะ คนที่อยู่ในวงการลงทุนแทบทั้งหมดนั้นมักจะมีผลประโยชน์จากการที่หุ้นขึ้นทั้งนั้น แต่การที่ปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ในที่สุดมันก็ต้องตกลงมา และผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้นรวมถึงความผิดปกติอีกหลาย ๆ อย่างก่อนถึงวันนั้นก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อตลาดหุ้นอย่างใหญ่หลวง ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไร?
ผมเองอยากจะเสนอ “เล่น ๆ” เพราะคิดว่ายังไงเขาก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้วว่า แทนที่จะป้องกัน ไหน ๆ คนที่ชอบเล่นเก็งกำไรก็อยากเล่นอยู่แล้ว เราก็ตั้งกระดานซื้อขายหุ้นขึ้นมาอีกกระดานหนึ่ง อาจจะเรียกว่า “Bubble Board” หรือ “BB” คล้าย ๆ กับที่เรามีตลาดหุ้นหลักที่เรียกว่า SET และตลาดที่เรียกว่า mai ซึ่งเป็นกระดานของบริษัทขนาดเล็ก
โดยตลาด “BB” จะเป็นตลาดที่รวมของหุ้นที่มีราคาแพงเวอร์เป็น “ฟองสบู่” เช่น ค่า P/E อย่างน้อย 50 หรือ 100 เท่าขึ้นไป ค่า P/B 10 หรือ 20 เท่าขึ้นไป มูลค่าหุ้นต้อง 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เป็นต้น และเมื่อหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์นี้ก็จะถูกถอนออกไปจากตลาด SET หรือ mai และไปซื้อขายในกระดานหุ้นฟองสบู่หรือ BB จนกว่าจะหลุดจากเงื่อนไขเหล่านั้น
หุ้นในตลาด BB จะแยกจากตลาดอื่นแบบเด็ดขาดในแง่ที่ว่ามันจะไม่ถูกคำนวณในดัชนีอะไรทั้งนั้น ดังนั้น มันจะไม่มีผลกระทบด้านที่ไม่ดีอย่างเช่นในปัจจุบันที่ราคาหุ้นสะท้อนเข้าไปอยู่ในดัชนีที่ทำให้คนเข้าใจผิด นอกจากนั้นตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ ที่อิงกับดัชนีเช่น TFEX ก็จะสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ความผันผวนของดัชนีต่าง ๆ ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อแยกเป็นกระดานต่างหากแล้ว เราจะออกมาตรการอะไรก็สามารถทำได้โดยที่มาตรการนั้นจะไม่ใช้บังคับและไม่กระทบกับหุ้นตัวอื่นในกระดานอื่นที่เป็นตลาดหลัก ๆ สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะระยะยาวหรือนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานหรือแม้แต่นักเก็งกำไรที่อิงอยู่กับหลักการหรือพื้นฐานต่าง ๆ ที่ก็มีความสำคัญกับตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับคนที่ยังไงก็ยังอยากเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นลงแรงผันผวนมากและพร้อมที่จะหมดตัวหรือขาดทุนแบบ 99% ในหุ้นบางตัวได้นั้น ผมเองก็คิดว่าพวกเขาควรจะรู้และตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นว่าเขาจะโทษตลาดได้ ดังนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาด BB ได้ ควรที่จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและต้อง “ลงทะเบียน” ด้วย ผมเองไม่รู้ว่าหลังจากการหยุดซื้อขายหุ้น 1 วันไปแล้ว จะมีมาตรการอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็แสดงว่าหุ้นก็คงสามารถแสดงอภินิหารต่อไปได้เรื่อย ๆ จนวันหนึ่งอาจจะมีขนาดเป็นล้านล้านบาทและใหญ่ที่สุดในตลาดก็ได้ เพราะสำหรับผมแล้ว อาการของหุ้นที่ขึ้นไปแบบ “หลุดโลก”ได้ นั้นก็คือหุ้นถูก “Corner” อย่างรุนแรง มีคนที่ถือหุ้นและพร้อมขายน้อยเกินไปในขณะที่คนซื้อนั้นคุมราคาหุ้นได้เบ็ดเสร็จ และถ้าไม่แก้ปัญหานี้ ปัญหาจะตามมาและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และในอนาคตก็อาจจะมีหุ้นที่ถูก Cornerอย่างรุนแรง เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริง ทุกวันนี้ก็มีหุ้นจำนวนมากในตลาดถูก Corner อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่รุนแรงเท่า และราคาหุ้นอาจจะแพงเกินไปซัก 3-4 เท่าจากราคาที่ควรจะเป็นและมูลค่าหุ้นอาจจะขึ้นไปในระดับแสนล้านหรือใกล้ ๆ แสนล้านบาทเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นไทยก็จะเริ่ม “ขาดความน่าเชื่อถือ” ในแง่ที่ว่าราคาหุ้นจำนวนมาก “ไม่สะท้อนพื้นฐานของกิจการ” ที่ควรจะเป็น หรือเป็น “ตลาดเก็งกำไร” ที่คนที่ต้องการลงทุนระยะยาวไม่อยากเข้ามาลงทุนเพราะเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ไม่สามารถประเมินได้ ถ้าถามว่าเราสามารถแก้ปัญหาการ Corner หุ้นหรือหุ้นถูก Corner ได้ไหม ผมคิดว่าพอทำได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็แก้ปัญหาหุ้นที่ถูก Corner รุนแรงได้แน่ถ้าตั้งใจที่จะทำ แต่การ Corner แบบเบา ๆ นั้นอาจจะยากเนื่องจาก “โครงสร้างของหุ้นและตลาดหุ้นไทย” นั้น เอื้ออำนวยมากในการทำ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ หุ้นมีขนาดเล็กและ/หรือหุ้นมีฟรีโฟลทน้อยแม้แต่ในหุ้นขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง และระบบกฎหมายและภาษีของไทยเอื้ออำนวยมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของไทยยังเป็นบุคคลธรรมดาจำนวนมาก และเขาเหล่านั้นมีแรงจูงใจที่จะทำให้ราคาหุ้นของตนวิ่งขึ้นไปสูงสุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ผิดกฎหมายหรือแม้แต่จริยธรรม ว่าที่จริงหลายคนกลายเป็น “ฮีโร่” ด้วยซ้ำที่สามารถ “สร้างมูลค่าหุ้น” ได้แบบเหลือเชื่อ ผมคงไม่บอกว่าจะทำอย่างไรที่จะป้องกัน และก็คิดว่าคงไม่มีใครอยากเสนอมาตรการที่จะทำให้ราคาหุ้นตกหรือลดลงแบบหายนะ คนที่อยู่ในวงการลงทุนแทบทั้งหมดนั้นมักจะมีผลประโยชน์จากการที่หุ้นขึ้นทั้งนั้น แต่การที่ปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ในที่สุดมันก็ต้องตกลงมา และผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในเวลานั้นรวมถึงความผิดปกติอีกหลาย ๆ อย่างก่อนถึงวันนั้นก็อาจจะก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อตลาดหุ้นอย่างใหญ่หลวง ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไร? ผมเองอยากจะเสนอ “เล่น ๆ” เพราะคิดว่ายังไงเขาก็ไม่เอาด้วยอยู่แล้วว่า แทนที่จะป้องกัน ไหน ๆ คนที่ชอบเล่นเก็งกำไรก็อยากเล่นอยู่แล้ว เราก็ตั้งกระดานซื้อขายหุ้นขึ้นมาอีกกระดานหนึ่ง อาจจะเรียกว่า “Bubble Board” หรือ “BB” คล้าย ๆ กับที่เรามีตลาดหุ้นหลักที่เรียกว่า SET และตลาดที่เรียกว่า mai ซึ่งเป็นกระดานของบริษัทขนาดเล็ก โดยตลาด “BB” จะเป็นตลาดที่รวมของหุ้นที่มีราคาแพงเวอร์เป็น “ฟองสบู่” เช่น ค่า P/E อย่างน้อย 50 หรือ 100 เท่าขึ้นไป ค่า P/B 10 หรือ 20 เท่าขึ้นไป มูลค่าหุ้นต้อง 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เป็นต้น และเมื่อหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์นี้ก็จะถูกถอนออกไปจากตลาด SET หรือ mai และไปซื้อขายในกระดานหุ้นฟองสบู่หรือ BB จนกว่าจะหลุดจากเงื่อนไขเหล่านั้น หุ้นในตลาด BB จะแยกจากตลาดอื่นแบบเด็ดขาดในแง่ที่ว่ามันจะไม่ถูกคำนวณในดัชนีอะไรทั้งนั้น ดังนั้น มันจะไม่มีผลกระทบด้านที่ไม่ดีอย่างเช่นในปัจจุบันที่ราคาหุ้นสะท้อนเข้าไปอยู่ในดัชนีที่ทำให้คนเข้าใจผิด นอกจากนั้นตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ ที่อิงกับดัชนีเช่น TFEX ก็จะสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น ความผันผวนของดัชนีต่าง ๆ ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อแยกเป็นกระดานต่างหากแล้ว เราจะออกมาตรการอะไรก็สามารถทำได้โดยที่มาตรการนั้นจะไม่ใช้บังคับและไม่กระทบกับหุ้นตัวอื่นในกระดานอื่นที่เป็นตลาดหลัก ๆ สำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะระยะยาวหรือนักลงทุนที่เน้นพื้นฐานหรือแม้แต่นักเก็งกำไรที่อิงอยู่กับหลักการหรือพื้นฐานต่าง ๆ ที่ก็มีความสำคัญกับตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ สำหรับคนที่ยังไงก็ยังอยากเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นลงแรงผันผวนมากและพร้อมที่จะหมดตัวหรือขาดทุนแบบ 99% ในหุ้นบางตัวได้นั้น ผมเองก็คิดว่าพวกเขาควรจะรู้และตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะได้รับ เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นว่าเขาจะโทษตลาดได้ ดังนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาด BB ได้ ควรที่จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและต้อง “ลงทะเบียน” ด้วย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร . ที่มาบทความ: | ตลาด Bubble Board หรือ BB จะเป็นตลาดที่รวมของหุ้นที่มีราคาแพงเวอร์เป็นฟองสบู่ เช่น ค่า P/E อย่างน้อย 50 หรือ 100 เท่าขึ้นไป ค่า P/B 10 หรือ 20 เท่าขึ้นไป มูลค่าหุ้นต้อง 5,000 ล้านบาทขึ้นไป เป็นต้น และเมื่อหุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์นี้ก็จะถูกถอนออกไปจากตลาด SET หรือ mai และไปซื้อขายในกระดานหุ้นฟองสบู่หรือ BB จนกว่าจะหลุดจากเงื่อนไขเหล่านั้น
| 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1097 | Finance | Fed หรือธนาคารสหรัฐให้ความสำคัญอะไรเป็นหลัก | เงินเฟ้อคืออะไร
เงินเฟ้อ หมายถึงสภาวะที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในการสังเกตอัตราเงินเฟ้อในตลาดการลงทุนระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา เราอาจดูจากดัชนี CPI (Consumer Price Index) หรือ PCE (Personal Consumption Expenditure)
FED หรือธนาคารสหรัฐจะให้ความสำคัญกับ PCE เป็นหลัก เพราะเป็นดัชนีที่ได้จากการเก็บข้อมูลการบริโภค ตั้งแต่ภาคครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจ
ส่วนในประเทศไทยก็อาจสังเกตจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
กลุ่มสินทรัพย์ที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ
สังเกตได้ว่าเมื่อเงินเฟ้อสะท้อนถึงราคาของสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มสินทรัพย์ที่มักได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อจึงได้แก่สินทรัพย์ที่มีลักษณะการันตีอัตราผลตอบแทนไว้ล่วงหน้าเป็นจำนวนคงที่ เช่น ตราสารหนี้ เพราะนั่นเท่ากับว่าผลตอบแทนที่ได้รับจะมีอำนาจในการนำมาใช้จ่ายได้น้อยลง เพราะของแพงขึ้นนั่นเอง โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ยิ่งมีอายุยาวเท่าไร ก็มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกสินทรัพย์การลงทุนจะได้รับผลกระทบทางลบจากเงินเฟ้อไปทั้งหมด
เพราะบางสินทรัพย์ที่ยังคงได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นก็มีเช่นกัน ซึ่งมักจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถปรับเพิ่มผลตอบแทนล้อตามกันไปกับเงินเฟ้อได้
เช่น ราคาเช่าอสังหาริมทรัพย์ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นต้น
หรือแม่แต่ตราสารหนี้เอง ก็มียังมีประเภทที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ เช่น TIPS หรือ Treasury Inflation-Protected Securities ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในช่วงเงินเฟ้อ และให้ผลตอบแทนน้อยลงในช่วงเงินฝืด เป็นต้น
นอกจากนี้ในจังหวะที่เงินเฟ้อส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินมากขึ้น กลุ่มสินทรัพย์ที่มีลักษณะเป็น Tangible asset หรือสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ก็จะกลับมาได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น ทองคำ เป็นต้น
ส่วนในตลาดหุ้น ถึงแม้ว่าจะยังมีโอกาสเติบโตได้ตามความก้าวหน้าของธุรกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะเติบโตเท่าทันเงินเฟ้อ โดยสังเกตได้ว่าธุรกิจที่จะเอาชนะเงินเฟ้อได้ ก็อาจเป็นธุรกิจที่ถึงแม้จะปรับราคาขึ้นก็จะยังคงมีผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อเป็นกลไกที่สำคัญกลไกหนึ่งในการปรับสมดุลในระบบเศรษฐกิจ และไม่ได้หมายความว่าเราควรย้ายมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อในทุกครั้งที่เงินเฟ้อมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ควรจะชัดเจนกับเป้าหมายการลงทุนและกรอบเวลาการลงทุนของตัวเอง
เช่น หากเราเป็นผู้ที่ใกล้วัยเกษียณ มีความจำเป็นให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นไม่ให้ขาดทุน แม้ในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อปรับตัวสูง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะย้ายเงินออมมาลงทุนในกองทุนน้ำมันซะทั้งหมด เป็นต้น | FED หรือธนาคารสหรัฐจะให้ความสำคัญกับ PCE เป็นหลัก เพราะเป็นดัชนีที่ได้จากการเก็บข้อมูลการบริโภค ตั้งแต่ภาคครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1103 | Finance | OpenSea คืออะไร | OpenSea คืออะไร? ทำความรู้จักกับตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
OpenSea คืออะไร? ใครที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการคริปโตฯ และเป็นสาย NFT คงต้องเคยได้ยินคำว่า “OpenSea” กันมาบ้าง บทความนี้จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ OpenSea ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันให้มากขึ้น OpenSea คืออะไร? ใครที่เพิ่งเริ่มเข้าวงการคริปโตฯ และเป็นสาย NFT คงต้องเคยได้ยินคำว่า กันมาบ้าง บทความนี้จะขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ OpenSea ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันให้มากขึ้น หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 OpenSea คืออะไร? “OpenSea” เป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ “NFT” โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน “eBay” หรือ “Amazon” สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน หรือ สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ประวัติความเป็นมาของ OpenSea OpenSea ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2017 โดยวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่าคุณ Alex Atallah และคุณ Devin Finzer ที่ดำรงตำแหน่ง CTO และ CEO ของ OpenSea ในปัจจุบัน OpenSea ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2017 โดยวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่าคุณ Alex Atallah และคุณ Devin Finzer ที่ดำรงตำแหน่ง CTO และ CEO ของ OpenSea ในปัจจุบัน คุณ Atallah สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 2014 ระหว่างนั้นเขาประสบความสำเร็จในการขาย hostess.fm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสถานบันเทิงให้กับ SFX Entertainment จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปทำงานที่ Palantir และ Zugata ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ คุณ Atallah สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ในปี 2014 ระหว่างนั้นเขาประสบความสำเร็จในการขาย hostess.fm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสถานบันเทิงให้กับ SFX Entertainment จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปทำงานที่ Palantir และ Zugata ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ ส่วนคุณ Finzer หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ สาขาคณิตศาสตร์ ในปี 2013 แล้วก็ได้ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Pinterest โดยได้เปิดตัว Claimdog ในปี 2016 และประสบความสำเร็จในการขายมันให้กับ Credit Karma บริษัทการเงินส่วนบุคคลสัญชาติอเมริกัน ส่วนคุณ Finzer หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ สาขาคณิตศาสตร์ ในปี 2013 แล้วก็ได้ทำงานเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ที่ Pinterest โดยได้เปิดตัว Claimdog ในปี 2016 และประสบความสำเร็จในการขายมันให้กับ Credit Karma บริษัทการเงินส่วนบุคคลสัญชาติอเมริกัน ต่อมาคุณ Finzer เริ่มมีความสนใจในคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชน จึงได้ศึกษาข้อมูล จนในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ โดย คุณ Finzer ชักชวนคุณ Atallah มาร่วมกันปั้นโครงการที่ชื่อว่า “Wificoin” ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก Y Combinator จำนวนกว่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มสนใจใน NFT จากโปรเจกต์ ‘CryptoKitties’ เกมเลี้ยงแมวดิจิทัลชื่อดัง จึงได้ตัดสินใจหันหัวเปลี่ยนจากธุรกิจแชร์สัญญาณ Wi-Fi โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน NFT อย่างเต็มรูปแบบ และได้กลายมาเป็น OpenSea ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อันดับหนึ่งของโลกดังเช่นตอนนี้ ต่อมาคุณ Finzer เริ่มมีความสนใจในคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชน จึงได้ศึกษาข้อมูล จนในที่สุดก็ตัดสินใจเริ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ โดย คุณ Finzer ชักชวนคุณ Atallah มาร่วมกันปั้นโครงการที่ชื่อว่า ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก Y Combinator จำนวนกว่า 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มสนใจใน NFT จากโปรเจกต์ เกมเลี้ยงแมวดิจิทัลชื่อดัง จึงได้ตัดสินใจหันหัวเปลี่ยนจากธุรกิจแชร์สัญญาณ Wi-Fi โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน NFT อย่างเต็มรูปแบบ และได้กลายมาเป็น OpenSea ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อันดับหนึ่งของโลกดังเช่นตอนนี้ Alex Atallah และ Devin Finzer ผู้ก่อตั้ง OpenSea
ที่มา: Forbes Alex Atallah และ Devin Finzer ผู้ก่อตั้ง OpenSea ที่มา: Forbes หมวดหมู่ NFT บน OpenSea ปัจจุบันมี NFT ที่ลงขายบนแพลตฟอร์มของ OpenSea มากกว่า 33 ล้านรายการ ซึ่ง OpenSea ก็ได้จัดหมวดหมู่ NFT บนแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเลือกซื้อขายได้ง่าย ๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ ปัจจุบันมี NFT ที่ลงขายบนแพลตฟอร์มของ OpenSea มากกว่า 33 ล้านรายการ 33 ล้านรายการ ซึ่ง OpenSea ก็ได้จัดหมวดหมู่ NFT บนแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเลือกซื้อขายได้ง่าย ๆ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ ดังนี้ Art – ใครเป็นสายวาดรูป สายสร้างสรรค์ผลงานศิลปะก็สามารถนำผลงานมาลงขายในแพลตฟอร์มของ OpenSea ได้ หรือแม้แต่สายเสพสายสะสมงานศิลป์เองก็มาเลือกซื้อผลงานศิลปะของศิลปินระดับโลกในรูปแบบ NFT ได้ผ่าน OpenSea แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเป็นนักสะสมงานศิลป์ได้อย่างง่ายดาย
Collectibles – ของสะสมที่อยู่บน Blockchain ซึ่งรวมไปถึงไอเทมที่อยู่ในเกม NFT ต่าง ๆ เช่น JOYWORLD JOYs, Axie Infinity และ CryptoKitties
Domain Names – ในโลกคริปโตฯ เราสามารถซื้อโดเมนเนมได้เช่นกัน เช่น Ethereum Name Service (ENS) ที่ใช้โดเมน .eth หรือแม้แต่ Unstoppable Domains เช่น .crypto, .bitcoin, .blockchain, .nft ก็สามารถซื้อขายบน OpenSea ได้เช่นกัน
Music – ความร้อนแรงของกระแส NFT ทำให้วงการเพลงทั้งไทยและเทศหันมาใช้ NFT เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกันระหว่างศิลปินและแฟนคลับผ่านโลกเสมือนจริง (Metaverse) เช่น YG Entertainment ค่ายเพลงสัญชาติเกาหลีใต้ ต้นสังกัดของสาว ๆ Blackpink ที่ล่าสุดได้มีการจับมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกในการสร้างโลก Metaverse ร่วมกัน
Photography – บนแพลตฟอร์มของ OpenSea มีภาพถ่ายจากช่างภาพระดับโลกมาลงขายในรูปแบบ NFT เช่น Justin Aversano, Brooke DiDonato และ Platon ใครที่รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ลืมหยิบกล้องคู่ใจไปถ่ายรูปสวย ๆ เก็บความประทับใจไว้ก็สามารถมาอวดผลงานใน OpenSea ได้
Sports – กีฬาเป็นอีกหนึ่งวงการที่ประสบความสำเร็จในการนำ NFT มาใช้ หนึ่งในโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จคือ ‘Sorare’ เกมฟุตบอลแฟนตาซีบน Ethereum Blockchain โดยสามารถสะสมการ์ด NFT ของนักเตะและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบน OpenSea ได้
Trading Cards – เกมสุดคลาสสิกในวัยเด็กอย่าง “เกมการ์ด” ก็ถูกจับมาอยู่ในรูปแบบของ NFT บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นกัน ใครที่นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ์ดโปเกม่อน หรือการ์ดยูกิที่เราเล่นกันสมัยเด็ก ๆ ซึ่งวันนี้เราสามารถสนุกไปกับมันบนโลกคริปโตฯ ได้แล้ว
Utility – OpenSea เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างและลงขายโทเคนผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการระดมทุน เช่น POAP, Urbit ID และ Polyient Games
Virtual Worlds – โลกเสมือนจริง หรือ “Metaverse” ได้กลายเป็นกระแสยอดฮิตบนจักรวาลคริปโตฯ ในปี 2021 ที่ผ่านมา ตัวอย่างโลก Metaverse ที่ได้รับความนิยม เช่น Decentraland และ The Sandbox บนแพลตฟอร์มของ OpenSea ก็เปิดให้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่บนโลก Metaverse เหล่านั้น ทั้งที่ดิน เมือง ตัวละคร สิ่งของภายในโลกเสมือนจริง ฯลฯ – ใครเป็นสายวาดรูป สายสร้างสรรค์ผลงานศิลปะก็สามารถนำผลงานมาลงขายในแพลตฟอร์มของ OpenSea ได้ หรือแม้แต่สายเสพสายสะสมงานศิลป์เองก็มาเลือกซื้อผลงานศิลปะของศิลปินระดับโลกในรูปแบบ NFT ได้ผ่าน OpenSea แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณเป็นนักสะสมงานศิลป์ได้อย่างง่ายดาย – ของสะสมที่อยู่บน Blockchain ซึ่งรวมไปถึงไอเทมที่อยู่ในเกม NFT ต่าง ๆ เช่น JOYWORLD JOYs, Axie Infinity และ CryptoKitties – ในโลกคริปโตฯ เราสามารถซื้อโดเมนเนมได้เช่นกัน เช่น Ethereum Name Service (ENS) ที่ใช้โดเมน .eth หรือแม้แต่ Unstoppable Domains เช่น .crypto, .bitcoin, .blockchain, .nft ก็สามารถซื้อขายบน OpenSea ได้เช่นกัน – ความร้อนแรงของกระแส NFT ทำให้วงการเพลงทั้งไทยและเทศหันมาใช้ NFT เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกันระหว่างศิลปินและแฟนคลับผ่านโลกเสมือนจริง (Metaverse) เช่น YG Entertainment ค่ายเพลงสัญชาติเกาหลีใต้ ต้นสังกัดของสาว ๆ Blackpink ที่ล่าสุดได้มีการจับมือกับ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกในการสร้างโลก Metaverse ร่วมกัน – บนแพลตฟอร์มของ OpenSea มีภาพถ่ายจากช่างภาพระดับโลกมาลงขายในรูปแบบ NFT เช่น Justin Aversano, Brooke DiDonato และ Platon ใครที่รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะไปไหนก็ไม่ลืมหยิบกล้องคู่ใจไปถ่ายรูปสวย ๆ เก็บความประทับใจไว้ก็สามารถมาอวดผลงานใน OpenSea ได้ – กีฬาเป็นอีกหนึ่งวงการที่ประสบความสำเร็จในการนำ NFT มาใช้ หนึ่งในโปรเจกต์ที่ประสบความสำเร็จคือ เกมฟุตบอลแฟนตาซีบน Ethereum Blockchain โดยสามารถสะสมการ์ด NFT ของนักเตะและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบน OpenSea ได้ – เกมสุดคลาสสิกในวัยเด็กอย่าง ก็ถูกจับมาอยู่ในรูปแบบของ NFT บนเทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นกัน ใครที่นึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการ์ดโปเกม่อน หรือการ์ดยูกิที่เราเล่นกันสมัยเด็ก ๆ ซึ่งวันนี้เราสามารถสนุกไปกับมันบนโลกคริปโตฯ ได้แล้ว – OpenSea เปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถสร้างและลงขายโทเคนผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้ในการระดมทุน เช่น POAP, Urbit ID และ Polyient Games – โลกเสมือนจริง หรือ ได้กลายเป็นกระแสยอดฮิตบนจักรวาลคริปโตฯ ในปี 2021 ที่ผ่านมา ตัวอย่างโลก Metaverse ที่ได้รับความนิยม เช่น Decentraland และ The Sandbox บนแพลตฟอร์มของ OpenSea ก็เปิดให้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่บนโลก Metaverse เหล่านั้น ทั้งที่ดิน เมือง ตัวละคร สิ่งของภายในโลกเสมือนจริง ฯลฯ จุดเด่นของ OpenSea NFT Marketplace ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT มากมายหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกันแบบเต็มที่ แต่อะไรที่ทำให้ OpenSea เป็นแพลตฟอร์มที่มีความโดดเด่นจนกลายเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก? วันนี้ เราคัดจุดเด่นของ OpenSea แบบเน้น ๆ มาให้แล้ว ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT มากมายหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็พัฒนาแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานกันแบบเต็มที่ แต่อะไรที่ทำให้ OpenSea เป็นแพลตฟอร์มที่มีความโดดเด่นจนกลายเป็น NFT Marketplace ที่ใหญ่ที่สุดในโลก? วันนี้ เราคัดจุดเด่นของ OpenSea แบบเน้น ๆ มาให้แล้ว สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา รองรับ NFT หลายประเภท อย่างที่บอกไปว่าหมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว อย่างที่บอกไปว่าหมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว ค่าธรรมเนียมต่ำและคุ้มค่า OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บ ค่าธรรมเนียม 5% ค่าธรรมเนียม 5% ค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บ ค่าธรรมเนียม 3% ค่าธรรมเนียม 3% ค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง ปลอดภัยและเชื่อถือได้ OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน “Crypto Wallet” จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก สร้างและขาย NFT บน OpenSea ง่ายๆ เพียง 4 ขั้นตอน เชื่อมต่อ Crypto Wallet เข้ากับ OpenSea เพื่อใช้ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของ OpenSea สำหรับ Wallet ที่ OpenSea รองรับนั้นมีมากมาย เช่น MataMask, Coinbase Wallet และ WalletConnect เป็นต้น สามารถดูกระเป๋าเงินทั้งหมดที่ OpenSea รองรับได้ที่นี่
สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณ โดยการตั้งชื่อและคำอธิบายคอลเลกชัน เพิ่ม Logo Image, Feature Image และ Banner Image พร้อมเลือกโทเคนสำหรับใช้ซื้อขายผลงาน NFT ของคุณ ซึ่งแพลตฟอร์มของ OpenSea รองรับโทเคนมากกว่า 10 สกุลเลยทีเดียว
อัปโหลด NFT ของคุณ และทำการตั้งชื่อพร้อมเพิ่มคำอธิบายงาน NFT เพื่อดึงดูดให้คนมาเลือกซื้อผลงาน NFT ชิ้นโบว์แดงของคุณ
ตั้งราคาและระยะเวลาการขาย NFT ของคุณ โดยการตั้งราคาขายสามารถเลือกได้ทั้งแบบราคาคงที่ และการประมูล สำหรับการตั้งราคาประมูลจำเป็นต้องตั้งราคาเริ่มต้นและระยะเวลาการประมูล เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้วก็ลงขายผลงาน NFT ของคุณได้เลย! เชื่อมต่อ Crypto Wallet เข้ากับ OpenSea เพื่อใช้ทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มของ OpenSea สำหรับ Wallet ที่ OpenSea รองรับนั้นมีมากมาย เช่น MataMask, Coinbase Wallet และ WalletConnect เป็นต้น สามารถดูกระเป๋าเงินทั้งหมดที่ OpenSea รองรับได้ ที่นี่ ที่นี่ ที่นี่ สร้างคอลเลกชัน NFT ของคุณ โดยการตั้งชื่อและคำอธิบายคอลเลกชัน เพิ่ม Logo Image, Feature Image และ Banner Image พร้อมเลือกโทเคนสำหรับใช้ซื้อขายผลงาน NFT ของคุณ ซึ่งแพลตฟอร์มของ OpenSea รองรับโทเคนมากกว่า 10 สกุลเลยทีเดียว อัปโหลด NFT ของคุณ และทำการตั้งชื่อพร้อมเพิ่มคำอธิบายงาน NFT เพื่อดึงดูดให้คนมาเลือกซื้อผลงาน NFT ชิ้นโบว์แดงของคุณ ตั้งราคาและระยะเวลาการขาย NFT ของคุณ โดยการตั้งราคาขายสามารถเลือกได้ทั้งแบบราคาคงที่ และการประมูล สำหรับการตั้งราคาประมูลจำเป็นต้องตั้งราคาเริ่มต้นและระยะเวลาการประมูล เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้วก็ลงขายผลงาน NFT ของคุณได้เลย! อนาคตของ OpenSea ในเดือนมกราคม ปี 2022 OpenSea ได้เสร็จสิ้นรอบการระดมทุน Series C มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่นำโดย Paradigm บริษัทการลงทุนด้านสินทรัพย์คริปโตฯ และ Coatue Management ผู้จัดการการลงทุนด้านเทคโนโลยีในนิวยอร์ก ทำให้มูลค่าประเมินของ OpenSea เพิ่มขึ้นเป็น 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย OpenSea มีความตั้งใจนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ไปใช้สำหรับเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงการบริการลูกค้า ลงทุนบริษัทด้าน NFT และ Web3 ไปจนถึงการจ้างพนักงานเพิ่ม ในเดือนมกราคม ปี 2022 OpenSea ได้เสร็จสิ้นรอบการระดมทุน Series C มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่นำโดย Paradigm บริษัทการลงทุนด้านสินทรัพย์คริปโตฯ และ Coatue Management ผู้จัดการการลงทุนด้านเทคโนโลยีในนิวยอร์ก ทำให้มูลค่าประเมินของ OpenSea เพิ่มขึ้นเป็น 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย OpenSea มีความตั้งใจนำเงินที่ได้จากการระดมทุนนี้ไปใช้สำหรับเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรับปรุงการบริการลูกค้า ลงทุนบริษัทด้าน NFT และ Web3 ไปจนถึงการจ้างพนักงานเพิ่ม กระแสอันร้อนแรงของ NFT ทำให้บริษัทสร้างรายได้ได้ถึง 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 และ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ปี 2021 ปริมาณการซื้อขาย NFT บนแพลตฟอร์มของ OpenSea เพิ่มขึ้นถึง 646 เท่าในปี 2021 คิดเป็นมูลค่ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่าทั้งหมด 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 56% ของธุรกรรมทั้งหมดบนตลาด NFT โดย Jefferies วาณิชธนกิจชั้นนำระดับโลกคาดว่าตลาด NFT จะมีมูลค่าแตะ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ด้วยความได้เปรียบด้านส่วนแบ่งการตลาดที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ OpenSea ยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาด NFT ได้ในอนาคต กระแสอันร้อนแรงของ NFT ทำให้บริษัทสร้างรายได้ได้ถึง 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 และ 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ปี 2021 ปริมาณการซื้อขาย NFT บนแพลตฟอร์มของ OpenSea เพิ่มขึ้นถึง 646 เท่า 646 เท่า 646 เท่า ในปี 2021 คิดเป็นมูลค่ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากมูลค่าทั้งหมด 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 56% ของธุรกรรมทั้งหมดบนตลาด NFT โดย Jefferies วาณิชธนกิจชั้นนำระดับโลกคาดว่าตลาด NFT จะมีมูลค่าแตะ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 และ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ด้วยความได้เปรียบด้านส่วนแบ่งการตลาดที่มีขนาดใหญ่จึงทำให้ OpenSea ยังคงอยู่ในตำแหน่งผู้นำตลาด NFT ได้ในอนาคต Largest NFT marketplaces based on all-time sales volume as of November 11, 2021
ที่มา: Largest NFT marketplaces based on all-time sales volume as of November 11, 2021 ที่มา: อ่านบทความเกี่ยวกับ NFT เพิ่มเติม NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1
ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด
6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง
รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1 NFT คืออะไร?: The NFT Bible — Part 1 ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด ยิ่งเล่นยิ่งได้! มัดรวมเกม NFT Play-to-Earn น่าเล่น ที่สายเกมไม่ควรพลาด 6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง 6 อันดับเหรียญคริปโตสาย NFT ที่น่าจับตามอง รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! รวมเหรียญคริปโทฯ GameFi ที่สายเกมต้องรู้! — planet 46. — planet 46. — planet 46. หากสนใจเปิดบัญชีคริปโต Zipmex ผ่าน FINNOMENA ดูรายละเอียดได้ที่ 👉 อ้างอิง อ้างอิง
คำเตือน คำเตือน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล รวมทั้งลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ | “OpenSea” เป็นตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับซื้อขายแลกเปลี่ยนงานศิลปะหรือของสะสมในรูปแบบของ Non-fungible token หรือ “NFT” โดยเฉพาะ หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ OpenSea ก็เปรียบเสมือน “eBay” หรือ “Amazon” สำหรับของสะสมดิจิทัลนั่นเอง โดย OpenSea เป็นแพลตฟอร์มกระจายอำนาจแบบ Peer-to-Peer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้ศิลปินทั่วโลกสามารถสร้างสรรค์ผลงาน NFT บนแพลตฟอร์ม OpenSea เป็นของตัวเองได้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
จุดเด่นของ OpenSea
- สร้างคอลเลกชัน NFT ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าบนโลกของ NFT แพลตฟอร์มของ OpenSea ก็ช่วยให้คุณสามารถสร้าง NFT ได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน เพราะตัวแพลตฟอร์มของ OpenSea ถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ไม่มีความซับซ้อน และผู้ใช้งานก็ไม่ต้องเขียนโค้ดเองด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนระบบ iOS และ Android ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อหรือลงขาย NFT ได้สะดวกและรวดเร็วผ่าน Smartphone ในทุกที่ทุกเวลา
- รองรับ NFT หลายประเภท
หมวดหมู่ NFT ใน OpenSea นั้นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น งานศิลปะ ของสะสม ดนตรี ภาพถ่าย ฯลฯ รวมประเภท NFT ที่ได้รับความนิยมมาแบบครบครัน เปิดโอกาสให้ศิลปินทุกสายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก หรือแม้แต่สายเสพสายซื้อเองก็สามารถมาหาซื้อผลงาน NFT ได้ครบจบผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea ที่เดียว
- ค่าธรรมเนียมต่ำและคุ้มค่า
OpenSea จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มที่ 2.5% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง แต่จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มใด ๆ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ OpenSea เรียกเก็บถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT อื่น ๆ เช่น Nifty Gateway ที่เก็บค่าธรรมเนียม 5% และ Solanart ที่เก็บค่าธรรมเนียม 3% ต่อการซื้อขายในแต่ละครั้ง
- ปลอดภัยและเชื่อถือได้
OpenSea ทำงานผ่านสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน OpenSea ยากที่จะย้อนกลับ แก้ไขดัดแปลง หรือทำลายทิ้ง นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับด้วยการเข้าสู่ระบบผ่าน “Crypto Wallet” จึงมั่นใจได้ว่าการซื้อขายแลกเปลี่ยน NFT ผ่านแพลตฟอร์มของ OpenSea นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1135 | Finance | โอกาสและความเสี่ยงทางการเงินจากโมเดลธุรกิจ หลังสงคราม "รัสเซียบุกยูเครน" | โอกาสและความเสี่ยงทางการเงินสำหรับนักลงทุนในแต่ละขั้ว
ขั้วประชาธิปไตย:
โอกาส:
การลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Big Data, AI, เงินดิจิทัล, การแพทย์ดิจิทัล และ Metaverse
การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ
การลงทุนในพลังงานสีเขียว
ความเสี่ยง:
ความผันผวนของตลาดการเงินจากสงคราม
ความเสี่ยงจากนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลาง
ความเสี่ยงจากความเหลื่อมล้ำในสังคม
ขั้วผู้นำเผด็จการ:
โอกาส:
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Deep Learning, หุ่นยนต์, ยานยนต์ไร้คนขับ, และ AI ในอวกาศ
การลงทุนในโครงการ One Belt, One Road
ความเสี่ยง:
ความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรทางการค้า
ความเสี่ยงจากการปกครองแบบเผด็จการ
ความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ขั้ว Amphibia:
โอกาส:
การลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากทั้งสองขั้ว
การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ
ความเสี่ยง:
ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง
ความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
ความเสี่ยงจากการถูกกีดกันจากทั้งสองขั้ว
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน:
กระจายความเสี่ยงโดยลงทุนในหลายขั้ว
ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
ปรึกษานักวางแผนการเงิน
ตัวอย่าง:
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงอาจลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัยในขั้วประชาธิปไตย และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในขั้วผู้นำเผด็จการ
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงปานกลางอาจลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศในขั้วประชาธิปไตย และลงทุนในโครงการ One Belt, One Road ในขั้วผู้นำเผด็จการ
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงต่ำอาจลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากทั้งสองขั้ว
สรุป:
นักลงทุนควรพิจารณาโอกาสและความเสี่ยงทางการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในแต่ละขั้ว | โอกาสและความเสี่ยงทางการเงินสำหรับนักลงทุน
ขั้วประชาธิปไตย:
โอกาส :
การลงทุนในเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Big Data, AI, เงินดิจิทัล, Metaverse, การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ การลงทุนในพลังงานสีเขียว
ความเสี่ยง :
ความผันผวนของตลาดการเงินจากสงคราม ความเสี่ยงจากนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลาง
และจากความเหลื่อมล้ำในสังคม
ขั้วผู้นำเผด็จการ:
โอกาส :
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Deep Learning, ยานยนต์ไร้คนขับ, และ AI ในอวกาศ และการลงทุนในโครงการ One Belt, One Road
ความเสี่ยง :
ความเสี่ยงจากการคว่ำบาตรทางการค้า การปกครองแบบเผด็จการ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ขั้ว Amphibia:
โอกาส :
การลงทุนในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากทั้งสองขั้ว การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ
ความเสี่ยง :
ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนของค่าเงิน หรือการถูกกีดกันจากทั้งสองขั้ว
นักลงทุนควรพิจารณาโอกาสและความเสี่ยงทางการเงินอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในแต่ละขั้ว เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงควรลงทุนแบบการกระจายหลายขั้ว | 8.การวิเคราะห์ทางการเงิน,9.เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.กลยุทธ์การลงทุน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1165 | Finance | ผลกระทบเศรษฐกิจเหตุการณ์ระหว่างยูเครน - รัฐเซีย ในปี 2565 | รูปเป็นแผนที่ยุโรปแบ่งเป็น 2 ฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นำโดยเยอรมนีสีส้ม (Central Powers) สู้กับฝรั่งเศสและอังกฤษ (Allies)
Special Report เรียนรู้จากอดีต ตอนที่ 1: สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ไฮไลท์
ก่อนสงครามใหญ่จะมี trade war, Sanction และสงครามตัวแทนเกิดขึ้นก่อน
การเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบจะต้องใช้เงินมาก ซึ่งมักลงเอยด้วยการก่อหนี้มากเกินไป และเศรษฐกิจพัง
ถ้าบีบมาเกินไปไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเหลือทางออก สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการเกิดสงครามใหญ่
ยิ่งยืดเยื้อ เศรษฐกิจยิ่งแย่ ตลาดหุ้นแย่ตาม
เตะตัดขาก่อนรบจริง
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นหลังจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจและกำลังทหารของเยอรมนี ซึ่งไปกระทบกับความมั่นคงของผู้นำเก่าอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส โดยคล้ายกับทุกครั้งก่อนสงครามใหญ่จะปะทุ มักเริ่มจากการเตะตัดขา ขัดขวางทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ขั้ว เช่น การตั้งกำแพงภาษีหรือแบนการค้ากับประเทศฝั่งตรงข้าม หรือตัดช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยการลดการให้กู้ยืม
ลามไปถึงสงครามทางทหารในต่างประเทศหรือสงครามตัวแทน ซึ่งประเทศใหญ่มักยังไม่ส่งทหารเข้าสู้แต่จะเป็นการช่วยเหลือทางเงินทุนและอาวุธ พร้อมทั้งคว่ำบาตรฝ่ายตรงข้าม
รอการประทุ
หลังจากเตะตัดขากันไปมา มีการท้าทายกันมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทหาร ยิ่งเพิ่มความขัดแย้งระหว่างประเทศ จนกระทั่งเกิดการสังหารผู้นำของออสเตรียที่ทำให้มหาอำนาจ 2 ขั้วถูกดึงเข้าสู่สงครามจริง แบ่งเป็นค่ายเยอรมนี ชนกับค่ายอังกฤษกับฝรั่งเศส
รบยืดเยื้อ
ช่วงแรกฝ่ายเยอรมนีคาดว่าสงครามนี้จะชนะได้ง่ายเพราะกำลังทหารและเทคโนโลยีดีกว่า แต่ผิดคาดการรบยืดเยื้อ เงินทุนร่อยหรอต้องเริ่มขอกู้จากคนในประเทศ ซึ่งช่วงแรกก็ทำได้ง่ายๆ เพราะในสนามรบยังดูดี
แต่เมื่อผ่านไปช่วงปลายสงคราม ทหารเยอรมนีแพ้บ่อยขึ้นในหลายสนามรบ ทำให้การขอกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยเดิมเป็นไปอย่างยากลำบาก (เพราะคนเริ่มกังวลว่าเยอรมนีจะแพ้) และนั่นตามมาด้วยการแก้ปัญหาสุด Classic ด้วยการที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินมาให้รัฐบาลกู้เองเลย
สุดท้ายทั้งรบแพ้และพิมพ์เงินเข้าระบบเยอะเกิน ทำให้เยอรมนีเข้าสู่ภาวะ Hyperinflation หรือเงินสกุลตอนนั้นแทบจะไร้ค่า เกิดภาวะความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและการเมืองตามมา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยุคมืดที่สงครามฝากไว้ให้
ย้อนอดีตเทียบปัจจุบัน
ถ้าลองเปลี่ยนชื่อประเทศจะคล้ายกับเหตุการณ์ในตอนนี้ระหว่างยูเครน-รัสเซีย (เพราะคนยังมีความคิดแบบเดิม) โดยตั้งแต่ปี 2014 มีการพยายามเตะตัดขารัสเซียมาตลอด เริ่มด้วยการโค่นล้มรัฐบาลยูเครนเดิมที่มีแนวคิดฝักใฝ่รัสเซีย (ตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง) ทำให้ Putin ต้องสั่งยึดดินแดนไครเมียเดิมซึ่งมีฐานทัพตั้งอยู่ แต่แลกมาด้วยการถูกคว่ำบาตรครั้งแรกจากโลกตะวันตก
ปัญหาการยืดเยื้อสงครามในยูเครนเป็นเรื่องที่ BottomLiner กังวล เพราะประวัติศาสตร์บอกเราแล้วว่ายื่งยืดเยื้อ ผู้เล่นหน้าใหม่จะถูกดึงเข้าสนามรบเพิ่มขึ้น การคว่ำบาตรฝ่ายตรงข้ามจะรุนแรงขึ้น (ลดพึ่งพากัน ต่อไปก็ไม่ไว้หน้า) เงินจะถูกใช้กับสงครามมากขึ้นจนค่าของเงินเสื่อมหนัก และเศรษฐกิจจะพังกันทุกฝ่าย
โดยถ้ามองข้ามเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว (เพราะเกิดขึ้นแน่) ไปดูท่าทีของมหาอำนาจ จะเห็นว่าฝั่งตะวันตกขุด Sanction แทบทุกอย่างที่นึกได้ขึ้นมาใช้ ทั้งการยึดทรัพย์สินของรัฐบาลและคนรัสเซีย ตัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยการเตะออกจากตลาดหุ้น และแบนไม่ให้ค้าขาย
ทั้งหมดเป็นการบีบให้รัสเซียต้องตอบโต้ทางใดทางหนึ่ง เพื่อรักษาฐานอำนาจ โดยตัวเลือกของรัสเซียที่พอจะชนได้ดูแล้วมีเพียงกำลังทหาร (เศรษฐกิจเล็กเกินไปจะชนตะวันตก) ซึ่งถ้า Putin เลือกใช้วิธีนี้ตอบโต้ก็น่ากลัวไม่น้อย เช่น การขยายความขัดแย้งเข้าสู่ประเทศดินแดนติดกันอย่าง Estonia, Latvia, Lithuania (กลุ่ม NATO) หรือการทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครนระเบิด หรือเลวร้ายที่สุดคือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงคราม
ยิ่งยืดเยื้อเศรษฐกิจมีแต่จะเสียหาย โดยเฉพาะราคา commodity ที่เป็นเหมือนวัตถุดิบต้นน้ำของการผลิตต่างขึ้นราคาแหลก ซึ่งเมื่อถึงระดับหนึ่งกำลังบริโภคจะแบกต้นทุนไม่ไหวมีแนวโน้มจะเกิดเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง ทางด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้น ยิ่งทำให้ Fed ตัดสินใจยากขึ้นไปอีก เพราะจะขึ้นดอกเบี้ยก็ทำร้ายเศรษฐกิจ แต่ถ้าไม่ขึ้นเงินเฟ้อก็ไปต่อ | ตั้งแต่ปี 2014 มีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย - ยูเครน เริ่มด้วยการโค่นล้มรัฐบาลยูเครนเดิมที่มีแนวคิดฝักใฝ่รัสเซีย (ตะวันตกสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง) ทำให้ Putin ต้องสั่งยึดดินแดนไครเมียเดิมซึ่งมีฐานทัพตั้งอยู่ แต่แลกมาด้วยการถูกคว่ำบาตรครั้งแรกจากโลกตะวันตก
การคว่ำบาตรฝ่ายตรงข้ามจะรุนแรงขึ้น (ลดพึ่งพากัน ต่อไปก็ไม่ไว้หน้า) เงินจะถูกใช้กับสงครามมากขึ้นจนค่าของเงินเสื่อมหนัก และเศรษฐกิจจะพังกันทุกฝ่าย
ถ้ามองข้ามเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว ท่าทีของมหาอำนาจฝั่งตะวันตกขุด Sanction แทบทุกอย่างที่นึกได้ขึ้นมาใช้ ทั้งการยึดทรัพย์สินของรัฐบาลและคนรัสเซีย ตัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยการเตะออกจากตลาดหุ้น และแบนไม่ให้ค้าขาย
ทั้งหมดเป็นการบีบให้รัสเซียต้องตอบโต้ทางใดทางหนึ่ง เพื่อรักษาฐานอำนาจ โดยตัวเลือกของรัสเซียที่พอจะชนได้ดูแล้วมีเพียงกำลังทหาร (เศรษฐกิจเล็กเกินไปจะชนตะวันตก) ซึ่งถ้า Putin เลือกใช้วิธีนี้ตอบโต้ก็น่ากลัวไม่น้อย เช่น การขยายความขัดแย้งเข้าสู่ประเทศดินแดนติดกันอย่าง Estonia, Latvia, Lithuania (กลุ่ม NATO) หรือการทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครนระเบิด หรือเลวร้ายที่สุดคือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงคราม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จากการยืดเยื้อ จึงทำให้เศรษฐกิจเสียหาย สินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นตาม และมีแนวโน้มจะเกิดเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง ดังนั้น ทางการฑูตควรเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน เพื่อลดความตึงเครียด
| 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1166 | Finance | วันที่ 9 มี.ค. 65 การเข้า NATO ของยูเครนเป็นอย่างไร | ปูติน อาจจะไม่ได้อยากยึดยูเครน เป็นของรัสเซียอย่างที่หลาย ๆ ท่านกำลังคิดกัน แล้วการเปิดกระดานครั้งนี้ของปูติน เล่นใหญ่เบอร์นี้ เพื่ออะไร? ผลลัพธ์ที่อยากได้ของการรบครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่ชัยชนะอย่างรวดเร็ว อย่างที่ทุกคนคิด เป้าหมายที่แท้จริงของปูติน น่าจะเป็นการเผยแพร่อิทธิพลของรัสเซียให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งเท่าที่ทำได้ก่อนจะสิ้นอายุขัย (แต่วิธีการนั้น ย่อมไม่ถูกใจหลาย ๆ คน) เพราะหากรัสเซียเข้ายึดยูเครน ก็จะทำให้ดินแดนของรัสเซียมีพื้นที่ชนกับพื้นที่ของ NATO สู้ปล่อยไว้เป็นกันชนดูจะดีกว่า แต่อย่างน้อยขอเป็นคนควบคุมตรงนี้แล้วกัน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด อาจจะเป็นการบุกไปล้อมไว้ เพื่อต่อรอง เพราะยึดไปก็มีแต่เสีย มีสงครามกองโจร ต้องเปลืองกำลังทหารไปเฝ้า มีปัญหาทางเศรษฐกิจเพราะถูกคว่ำบาตร หากเป็นเช่นนั้นรัสเซียอาจจะสูญเสียมากเกินไป และกลายเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์เสียเอง เมื่อเทียบกันแล้ว เพียงแค่ล้อมไว้เฉย ๆ และต่อรองแบบนี้ มีประโยชน์กว่ามาก
อ่านใจปูติน เมื่อยูเครนเป็นเพียงหมากเปิดกระดาน
ต่อรองอะไร
ข้อเรียกร้องของทางรัสเซียนั้น คือจะให้ NATO ถอยไปเหลือแค่ก่อนขยายอิทธิพล 1997 ดังรูป (เรียกว่ายุโรปตะวันตกละกัน) ส่วนกลุ่มประเทศใหม่ที่พึ่งเข้าร่วม NATO หลัง 1997 (ซึ่งก็คืออดีตกลุ่ม Warsaw Pact ซะส่วนมาก แม้แต่ East Germany ก็ยังร่วมด้วย) ให้ยกเลิกซะ มองง่าย ๆ คือให้ประเทศสีเหลืองในรูปออกจากสมาชิก NATO ส่วนกลุ่มประเทศใหม่ที่พึ่งเข้าร่วม NATO หลัง 1997 (ซึ่งก็คืออดีตกลุ่ม Warsaw Pact ซะส่วนมาก แม้แต่ East Germany ก็ยังร่วมด้วย) ก็ให้ยกเลิก หันมาเป็นกลาง ให้กลายเป็นรัฐกันชน (และเมื่อวันนึงยิ่งใหญ่พอก็คงจะคืบคลานเข้าไปอีกครั้ง)
ทำไมจึงต้องตอนนี้
เรียกได้ว่า ถูกบีบให้ทำ เพราะแผนการประท้วงหรืออะไรต่าง ๆ คงหยุดยั้งท่าทีของยูเครนที่จะเข้า NATO ไม่ได้แล้ว (ก็ส่งอาวุธ ส่งอะไรมาให้กันขนาดนี้ ทิ้งไว้นานเดี๋ยวกองทัพจะเพียบพร้อมต่อต้านได้ ซึ่งหากเชื่อแหล่งข่าวของยูเครน ก็จะพบว่าต่อต้านไว้ได้ดีทีเดียว) หากยูเครนเข้าร่วม NATO อนาคตอาจเห็น Finland ไปร่วมด้วยก็ได้ จะยิ่งเสียเปรียบ หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย ทาง NATO ก็ค่อยๆรุกคืบเข้ามา โดยมีการพูดปากเปล่าว่าจะไม่ขยาย แต่โลกนี้น่ะมันโหดร้าย ขนาดมีสัญญายังฉีก ดังนั้น NATO ได้ขยายอิทธิพลมาจนเรียกว่าชนรัสเซียเลย แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าสนใจ ทางสหรัฐฯ ไม่พร้อมเลยที่จะมารบ เพราะการเมืองฉุดไว้ (แค่เพิ่มงบทางทหารยังโหวตไม่ผ่าน แถมจะมี mid election ที่สำคัญมากๆเพราะคะแนนเสียงดูไม่ดีเลยเวลานี้) ส่วนทางยุโรปก็จัดว่าอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมากเทียบกับรัสเซียในช่วงหลังพึ่งล่มสลาย ด้านจีนเองก็พร้อมสนับสนุนรัสเซีย เพื่อไต่ขึ้นตำแหน่งเบอร์ 1 ของโลก ส่วนเหตุผลเสริมอื่น ๆ ที่ได้ผลดีมาก ๆ ในการโน้มน้าวคน คือเรื่อง ประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ รากเหง้าภาษา อีกทั้ง กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ก็เปรียบได้ดั่งต้นตอของวัฒนธรรมของรัสเซีย
ทำไมต้องยูเครน
เรื่องนี้ต้องดูภูมิศาสตร์ประกอบ ลัตเวีย และเอสโตเนีย มีทั้งแนวแม่น้ำและภูเขาเป็นแนวกั้น แถมยังเข้า NATO ไปแล้ว ยูเครนตอนบนที่เป็นพื้นที่ราบ ติดกับชายแดนรัสเซียและใกล้พื้นที่เมืองหลวงอย่าง Moscow มาก ในอดีต สมัยที่นโปเลียนบุกพิชิตรัสเซีย ก็ผ่านทางนี้ ดังนั้นจึงเสียไปไม่ได้ เหมาะที่จะเก็บไว้เป็นรัฐกันชน ไม่งั้นคงได้เห็น NATO มาตั้งฐานทัพใกล้ ๆ ตั้งฐานยิงจรวดข้ามเข้ามาง่าย ๆ เมื่อครั้ง เบลารุส มีใจตีออกห่าง ก็ถูกรีบจัดการและปล่อยไว้ในฐานะรัฐอิสระแทนการเข้ายึดเช่นเดียวกัน เป็นแนวกันชนที่ดีกับประเทศกลุ่ม NATO หากยึดสองประเทศนี้ จะทำให้ชนกับพื้นที่ของ NATO
ผลลัพธ์ปัจจุบัน (9 มี.ค. 65)
มาในวันนี้ บรรลุเป้าหมายไประดับหนึ่งแล้วสำหรับทั้งสองฝ่าย คือรัสเซียได้อย่างที่ต้องการ ยูเครนไม่เข้า NATO (แต่รอของแถม ขอ Donetsk ที่อุดมด้วยทรัพยากรสำคัญ ๆ) ส่วนทาง NATO น่ะเหรอ สหรัฐก็แบนการนำเข้าน้ำมันต่อ ไม่ได้ถอย เราลองสังเกตว่า ยูเครนได้ยอมรับเงื่อนไข ที่สำคัญที่สุดแล้ว คือ ยูเครนจะไม่เข้าร่วม NATO… แต่ทำไม ทางสหรัฐฯยังคงเดินหน้าคว่ำบาตร ส่วนยุโรปก็บอกว่าเดี๋ยวหาก๊าซและน้ำมันจากที่อื่นแทน และเร่งพัฒนาพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพารัสเซีย ยังไม่เห็นลดการคว่ำบาตรลงมาแม้แต่น้อย
โอกาสทองแบบนี้ NATO ไม่ปล่อยง่าย ๆ จริง ๆ ปล่อยให้รัสเซียรบกับประเทศที่ยังไม่ใช่สมาชิก แถมยังได้ทำลายเศรษฐกิจรัสเซีย (แต่ NATO ตะวันออกดูจะไม่ชอบแผนนี้เท่าไหร่นัก เพราะนอกจากปัญหาเรื่องการนำเข้าก๊าซธรรมชาติแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการรับผู้อพยพ)
งานนี้เห็นที ต่างฝ่าย ต่างมอง ยูเครน เป็นเพียงมากเปิดกระดาน เพื่อให้ชาติตะวันตกได้เปิดฉากคว่ำบาตร ถล่มเศรษฐกิจรัสเซียง่ายๆ ส่วนทางรัสเซีย ก็ใช้มาเรียกร้องให้ NATO ถอยไป และเป็นรัฐกันชน รัสเซียจะทำได้ตามเป้าหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่ชาติตะวันตกนั้นเข้าเป้าเต็ม ๆ ความลำบากคงตกอยู่ที่ยุโรปตอนกลางซะแล้ว งานนี้
ป.ล. ปูตินนั้น มีฝีมือมาก ๆในเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับกันคือ การหยุด แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และได้สิ่งที่ต้องการ คงต้องรอดูกัน หวังว่าสงครามจะสิ้นสุดโดยเร็ว มีผู้บาดเจ็บล้มตายให้น้อยที่สุด | วันที่ 9 มี.ค. 65 บรรลุเป้าหมายไประดับหนึ่งแล้วสำหรับทั้งสองฝ่าย คือรัสเซียได้อย่างที่ต้องการ ยูเครนไม่เข้า NATO (แต่รอของแถม ของ Donetsk ที่อุดมด้วยทรัพยากรสำคัญ ๆ) ส่วนทาง NATO น่ะเหรอ สหรัฐก็แบนการนำเข้าน้ำมันต่อไม่ได้ถอย
เราลองสังเกตว่า ยูเครนได้ยอมรับเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดแล้ว คือ ยูเครนจะไม่เข้าร่วม NATO… แต่ทำไม ทางสหรัฐฯยังคงเดินหน้าคว่ำบาตร ส่วนยุโรปก็บอกว่าเดี๋ยวหาก๊าซและน้ำมันจากที่อื่นแทน และเร่งพัฒนาพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพารัสเซีย ยังไม่เห็นลดการคว่ำบาตรลงมาแม้แต่น้อย
โอกาสทองแบบนี้ NATO ไม่ปล่อยง่ายๆ จริงๆ ปล่อยให้รัสเซียรบกับประเทศที่ยังไม่ใช่สมาชิก แถมยังได้ทำลายเศรษฐกิจรัสเซีย (แต่ NATO ตะวันออกดูจะไม่ชอบแผนนี้เท่าไหร่นัก เพราะนอกจากปัญหาเรื่องการนำเข้าก๊าซธรรมชาติแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการรับผู้อพยพ)
งานนี้เห็นที ต่างฝ่ายต่างมอง ยูเครนเป็นเพียงหมากเปิดกระดาน เพื่อให้ชาติตะวันตกได้เปิดฉากคว่ำบาตร ถล่มเศรษฐกิจรัสเซียง่ายๆ ส่วนทางรัสเซีย ก็ใช้มาเรียกร้องให้ NATO ถอยไป และเป็นรัฐกันชน รัสเซียจะทำได้ตามเป้าหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องจับตา แต่ชาติตะวันตกนั้นเข้าเป้าเต็มๆ ความลำบากคงตกอยู่ที่ยุโรปตอนกลางซะแล้วงานนี้ | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1206 | Finance | วันที่ 2 ก.พ. 2565 หุ้น ‘Meta’ เจ้าของแอปเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘Facebook’ ร่วงหนักถึง 26% มูลค่าหายไปกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่จดทะเบียนในฐานะบริษัทมหาชน ใช่หรือไม่ | null | ใช่
วันที่ 2 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา หุ้น ‘Meta’ เจ้าของแอปเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘Facebook’ ร่วงหนักถึง 26% มูลค่าหายไปกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่จดทะเบียนในฐานะบริษัทมหาชน โดยลดลงในระดับที่อาจทำให้ ‘มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก’ หลุด 10 อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกเป็นครั้งแรกเลยทีเดียว!
Meta ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2564 ปิดปีด้วยตัวเลขที่น่าผิดหวัง โดยกำไรลดลงกว่า 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน:
- จากการขาดทุนในธุรกิจ ‘Metaverse’ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หมายมั่นปั่นมือว่าจะเป็นเทคโนโลยีสำหรับอนาคตของบริษัท โดยขาดทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- นอกจากนี้ Facebook ยังเผชิญกับปัญหาจำนวนผู้ใช้งานที่ลดลง
- แถมยังมีคู่แข่งอย่าง ‘TikTok’ ที่เข้ามาช่วงชิงกลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นไป ซึ่งแม้ว่าจะมีฟีเจอร์ที่คล้ายกับ TikTok อย่าง ‘Reels’ บน ‘Instagram’ แต่ฟีเจอร์นี้ก็ไม่ได้สร้างรายได้มากเท่าไรนัก
- มิหนำซ้ำยังได้รับผลกระทบจากนโยบายความเป็นส่วนตัวบนระบบปฏิบัติการ iOS ของ Apple จากฟีเจอร์ ‘App Tracking Transparency’ ที่ทำให้รายได้จากค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มลดลงเนื่องจากถูกปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ด้านกองทุนสาย Metaverse ก็คงหนีไม่พ้นได้รับผลกระทบตามกันไปด้วย :
- ‘M-META’ กองทุนที่ลงทุนใน Metaverse Ecosystem ซึ่งมีสัดส่วนลงทุนในหุ้น Meta 6.67% ลดลงกว่า 14.31% นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในวันที่ 22 ธ.ค. 2564 ที่ผ่านมา
- ‘TMBUSBLUECHIP’ กองทุนที่ลงทุนในหุ้น Blue Chip ของสหรัฐฯ มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น Meta 7.74% ลดลงกว่า 14.16% ในรอบ 3 เดือน
- ‘KT-US-A’ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น Meta 4.87% ลดลงกว่า 9.13%
- ‘K-USXNDQ-A’ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นของดัชนี NASDAQ-100 มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น Meta 4.84% ลดลงกว่า 7.76% ในรอบ 3 เดือน และ
- ‘TMBGQG’ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น Meta 2.30% ลดลงกว่า 8.08% ในรอบ 3 เดือน
มุมมองจาก FINNOMENA Investment Team ต่อหุ้นกลุ่ม Metaverse ในระยะสั้น:
- หุ้นกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มเติบโต (Growth) ซึ่งได้รับแรงกดดันจากกระแสการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
- ระยะกลาง ยังโดนกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยและการทำ QT (Quantitative Tightening) ของเฟด โดยอาจมีการฟื้นตัวแรงเป็นระยะ
- สำหรับระยะยาว หุ้นกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงเช่นกัน | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1261 | Finance | กระแสเกม Play to Earn มีหลักการคือคุณต้องแลกเงินคริปโทฯ สกุลที่ใช้เล่นเกมนั้น ๆ ยิ่งเล่นนานก็ค่อย ๆ ได้ผลตอบแทนคืนมา และยิ่งถ้าเล่นชนะก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นไปอีก ที่สำคัญคือแลกกลับมาเป็นเงินจริงได้ ใช่หรือไม่ | null | ใช่ ปี 2565 ยุคนี้ก็เป็นยุคของ Gamer และ e-Sport อย่างแท้จริง จากเมื่อก่อนสมัยเด็ก ๆ ผู้เขียนเล่นเครื่องฮาตาริ และแฟมิคอม มาสู่ยุคเกม PC เกมในโซเชียล เกมมือถือ ซึ่ง business model ส่วนใหญ่คือ Pay to Win ใครเติมหนักก็ชนะไป แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากความมันส์
อุตสาหกรรมเกมบนโลกเรามีขนาดใหญ่มาก ๆ โดยในปัจจุบันมีจำนวนผู้เล่นเกมแล้วกว่า 2.7 พันล้านคน สร้างรายได้ถึงราว 3 แสนล้านเหรียญต่อปี เรียกว่าอุตสาหกรรมเกมวันนี้ใหญ่กว่าอุตสาหกรรมเพลง และภาพยนต์รวมกันเสียอีก
ส่วนกล่องสุ่มจะผิดกฎหมายหรือไม่ ก็แล้วแต่กรณีว่าจัดเป็นการเสี่ยงโชคหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ คือการพนันอย่าง ตู้ Slot Machine ที่ลาส เวกัส ตู้ปาจิงโกะที่โตเกียว เป็นสิ่งที่คนนิยมเล่นกันมาช้านาน ส่วนในบ้านเราที่ถูกกฏหมายก็คือสลากกินแบ่ง ส่วนที่เหลือก็แอบเล่นกันไปตามประสา
คนไทย 66 ล้านคนเล่นการพนัน 29 ล้านคนหรือเกือบครึ่งประเทศ โดยเป็นคนซื้อลอตเตอรี 21 ล้านคน หวยใต้ดิน 17 ล้านคน พนันบอล 2.5 ล้านคน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุกวันนี้กล่องสุ่ม กาชาปองก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของเกม สายฟรีก็อาศัยเล่นเกมนาน ๆ จนได้ไอเท็มหรือตัวละครเจ๋ง ๆ ส่วนสายเติมก็เอาเงินค่าขนมเติมเข้าไปในเกม แทนที่จะแลกไอเท็มได้ตรง ๆ ก็จัดให้มีกาชาปอง กล่องสุ่มซักหน่อย ซึ่งก็ถูกจริตชาวโลกตรงที่มันได้ลุ้นได้ตื่นเต้นนั่นเอง
ในปีที่ผ่านมาก็เกิดเกมชนิด Play to Earn หรือ GameFi ซึ่งกระแสมาแรงมาก ๆ นั่นคือการหาเงินจากการเล่นเกม โดยใช้คริปโทฯ เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน และใช้ NFT สำหรับซื้อขายตัวละคร หรือไอเท็ม ซึ่งล่าสุดสิ่งนี้ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของ จักรวาลนฤมิต (Metaverse) ไปเป็นที่เรียบร้อย
มูลค่าของโทเคน Axie Infinity, Sandbox, Gala, Enjin และ Decentral Land ซึ่งเป็นเหรียญที่ใช้ในเกม กลายเป็นยูนิคอร์นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
สิ่งที่แตกต่างก็คือเจ้าโทเคนเหล่านี้ไม่เหมือนกับการเติมเกมในยุคที่ผ่านมา เพราะมูลค่าโทเคนที่เพิ่มขึ้นสามารถแลกกลับมาเป็นเงินในกระเป๋าเราได้ และถ้าเล่นชนะก็อาจมีกำไรมากมายไม่ต่างกับการลงทุนในหุ้น หรือกองทุน
เท่ากับว่าได้สนุกกับการเล่นเกมส์ และสามารถทำเงินได้ด้วย งานนี้พ่อแม่ผู้ปกครองจะว่ายังไงถ้าลูก ๆ บอกว่าไม่ได้ติดเกมส์ แต่กำลังเล่นเกมส์เป็นอาชีพ
ปีสองปีที่ผ่านมาเรามักจะได้คำ DeFi หรือ Decentralized Finance ซึ่งหลัก ๆ ก็คือการการกู้ยืม Cryptocurrency กันโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างสมัยก่อน ทำให้ผู้กู้ก็สามารถจ่ายดอกเบี้ยไม่แพง ขณะที่ผู้ปล่อยกู้ก็ได้ Yield ที่มากขึ้น
กระแสเกม Play to Earn ก็มีหลักการคล้ายกันคือคุณต้องแลกเงินคริปโทฯ สกุลที่ใช้เล่นเกมนั้น ๆ ยิ่งเล่นนานก็ค่อย ๆ ได้ผลตอบแทนคืนมา และยิ่งถ้าเล่นชนะก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นไปอีก ที่สำคัญคือแลกกลับมาเป็นเงินจริงได้ หรือบางทีในอนาคตอาจไม่ต้องแลกเป็นเงินจริง เพราะร้านค้าต่าง ๆ ก็รับชำระค่าสินค้าด้วยคริปโทฯ มากขึ้น
ส่วนที่น่ากลัวก็คือหลาย ๆ เกมผสมเรื่องการเสี่ยงโชค กาชา กล่องสุ่มเข้าไปเยอะมากจนแทบจะเป็นการเสี่ยงโชค มากกว่าการเล่นเกมนั้นมีเยอะมาก ๆ และหลาย ๆ เกมก็มีความเป็นแชร์ลูกโซ่ หรือบางโปรเจกต์ก็เป็น Rug Pull คือหลอกเอาเงินคนเล่น แล้วพวกสายต้นน้ำกินเรียบก็มีอยู่เยอะมาก ๆ อันนี้ต้องระวังกันให้ดี
หากมองลึกลงไป GameFi นั้นมีทั้งส่วนประกอบของการได้สนุกกับการเล่นเกม การได้เสี่ยงโชค และการได้ลงทุนในเวลาเดียวกัน เท่ากับว่า 3 อุตสาหกรรมใหญ่ของโลกได้มาผนวกรวมกันอยู่ในที่เดียว ซึ่งผู้เขียนมองว่าจะเป็น Mega Trend ลูกใหญ่ในโลกที่นักลงทุนไม่ควรพลาด | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1269 | Finance | ไอเดีย 5 เหรียญคริปโตฯ ที่ตอบโจทย์ของขวัญแห่งอนาคต มีอะไรบ้าง | ลองมอบคริปโตเคอร์เรนซีเป็นของขวัญให้คนที่คุณรักดูสิ เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ชีวิตในยุคดิจิทัลเช่นนี้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับคนที่เรารักได้อีกด้วย
สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าจะมอบเหรียญไหนให้เป็นของขวัญดี ลองมาดูไอเดีย 5 เหรียญคริปโตฯ ที่ตอบโจทย์ของขวัญแห่งอนาคต พร้อมเหตุผลกันเถอะ
1. ให้ Bitcoin เป็นของขวัญ เท่ากับให้ทองคำดิจิทัล
ปัจจุบัน Bitcoin คือคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงที่สุดในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะคุณสมบัติที่เป็นคริปโตฯ สกุลแรกที่เกิดขึ้นมา และยังได้รับการยอมรับจากบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ตลอดจนบางประเทศที่เริ่มรับบิตคอยน์กันแล้ว
สิ่งที่ทำให้บิตคอยน์ได้รับการยอมรับว่าเป็นทองคำดิจิทัล มาจากอุปทานที่มีจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไป Bitcoin ก็ยิ่งหาได้ยากขึ้น เหมือนกับทองคำที่ยิ่งขุดออกมาทรัพยากรก็ยิ่งลดน้อยลง
ดังนั้น การให้ Bitcoin เป็นของขวัญปีใหม่นี้ ก็เหมือนกับการมอบทองคำเป็นของขวัญในสมัยก่อนนั่นเอง แถมยังตอบโจทย์ชีวิตในยุคดิจิทัล เพราะ Bitcoin สามารถโอนให้กันได้ง่าย เก็บรักษาง่าย และที่สำคัญ มูลค่าของมันก็มีโอกาสเติบโตขึ้นอีกในอนาคตด้วย
2. เชื่อมั่นในนวัตกรรม มอบ Ethereum เป็นของขวัญ
Ether (ETH) คือสกุลเงินหลักที่ใช้บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งเป็นเครือข่ายที่นำ Smart contract (สัญญาอัจฉริยะ) เข้ามาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นเครือข่ายแรก ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นบนเครือข่ายนี้ได้มากมาย
หากคุณและคนที่คุณรักชื่นชอบในนวัตกรรม ลองมอบ ETH เป็นของขวัญปีใหม่ดูสิ เพราะนอกจากมูลค่าจะมีโอกาสเติบโตแล้ว เหรียญ ETH ยังสามารถนำไปต่อยอดการลงทุนได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น GameFi, Dapp รวมถึง NFT ที่กำลังได้รับความนิยมจากเกือบทุกวงการก็เกิดขึ้นบน Ethereum เช่นกัน
3. มอบ Stablecoin เหรียญมูลค่าคงที่ แทนรักที่มั่นคง
คริปโตเคอร์เรนซีเป็นตลาดที่ไม่มีวันหลับไหล การซื้อขายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ดังนั้น ราคาของแต่ละเหรียญจึงมีความผันผวนค่อนข้างสูง ซึ่ง Stablecoin สามารถช่วยคุณได้ หากคุณหรือคนที่คุณรักไม่ชอบความผันผวน
โดย Stablecoin เป็นชื่อเรียกเหรียญที่มีมูลค่ามั่นคงตามชื่อของมัน เหรียญในกลุ่มนี้ได้แก่ USDT, USDC, และ DAI ซึ่งเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด ณ ปัจจุบัน
การที่ Stablecoin สามารถทำให้มูลค่ามั่นคงได้ ยกตัวอย่าง USDT ที่นำเหรียญไปผูกกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ USDT 1 เหรียญ มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เสมอ
ดังนั้น ปีใหม่นี้ หากยังคิดไม่ออกว่าจะมอบเหรียญอะไรเป็นของขวัญ ลองให้ Stablecoin เป็นของขวัญ เพื่อแสดงถึงความรักที่มั่นคงกับคนที่คุณรักก็ได้นะ
4. มอบเหรียญ GameFi ที่กำลังมาแรงให้คนไฟแรง
หากติดตามข่าวสารในวงการคริปโตฯ และวงการเกมในช่วงนี้ ก็น่าจะเคยเห็นคำว่า GameFi หรือเกมประเภท Play-to-Earn มาไม่มากก็น้อย เพราะสิ่งนี้คือการผสมผสานกันระหว่างนวัตกรรมคริปโตเคอร์เรนซี และวิดีโอเกมนั่นเอง
GameFi กำลังเป็นกระแสที่มาแรงอย่างมาก เพราะนอกจากจะมอบความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ผู้เล่นยังสามารถสร้างรายได้ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ทำให้ทุกวันนี้ GameFi ได้รับความสนใจอย่างมาก
ตัวอย่าง GameFi ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น Axie Infinity (AXS) เกมน่ารักที่ให้คุณสะสมน้อน Axie เพื่อจัดเป็นทีมและออกผจญภัย หรือประลองฝีมือกับผู้เล่นอื่นก็ได้ หรือจะเป็น Gala Games (GALA) ที่ไม่ได้มาแค่เกมเดียว แต่ขนขบวนเกม Play-to-Earn หลากหลายแนวมาให้เลือกเล่น ไม่ว่าจะเป็นแนวผจญภัยในโลกแฟนตาซี เกมแนว MOBA และอีกมากมาย
5. เตรียมตัวเข้าสู่โลกใหม่ กับเหรียญ Metaverse
Metaverse คืออีกหนึ่งนวัตกรรมที่ทั่วโลกกำลังเฝ้ารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจะเป็นการยกระดับโซเชียลมีเดียให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้มากกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยเทคโนโลยีอย่าง VR และ AR แล้ว
ไม่ใช่แค่นี้ เศรษฐกิจเบื้องหลังที่ทำให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยน หรือเป็นเจ้าของสินค้าและที่ดิน “เสมือน” ในโลกใหม่นี้ ก็มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง เหรียญที่เกี่ยวกับ Metaverse อย่าง The Sandbox (SAND) หรือ Decentraland (MANA) ที่มีที่ดินเสมือน (Virtual Lands) ให้ผู้เล่นสามารถเป็นเจ้าของได้ ก็กำลังได้รับความสนใจอย่างมากเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ Metaverse อาจจะยังไม่มาถึงในเร็ว ๆ นี้ แต่การเตรียมพร้อมไว้ก็ย่อมดีกว่า ดังนั้น ถ้าสนใจสัมผัสโลก Metaverse ก่อนใคร ลองมอบเหรียญที่เกี่ยวกับ Metaverse อย่าง The Sandbox (SAND) หรือ Decentraland (MANA) ให้คนที่คุณรักดูสิ | 1. ให้ Bitcoin เป็นของขวัญ เท่ากับให้ทองคำดิจิทัล
ปัจจุบัน Bitcoin คือคริปโตเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงที่สุดในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะเป็นคริปโตฯ สกุลแรก และยังได้รับการยอมรับจากบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ตลอดจนบางประเทศที่เริ่มรับบิตคอยน์กันแล้ว
สิ่งที่ทำให้บิตคอยน์ได้รับการยอมรับว่าเป็นทองคำดิจิทัล มาจากอุปทานที่มีจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ยิ่งเวลาผ่านไป Bitcoin ก็ยิ่งหาได้ยากขึ้น เหมือนกับทองคำที่ยิ่งขุดออกมาทรัพยากรก็ยิ่งลดน้อยลง
ดังนั้น การให้ Bitcoin เป็นของขวัญปีใหม่นี้ ก็เหมือนกับการมอบทองคำเป็นของขวัญในสมัยก่อนนั่นเอง แถมยังตอบโจทย์ชีวิตในยุคดิจิทัล เพราะ Bitcoin สามารถโอนให้กันได้ง่าย เก็บรักษาง่าย และที่สำคัญมูลค่าก็มีโอกาสเติบโตขึ้นอีกในอนาคต
2. เชื่อมั่นในนวัตกรรม มอบ Ethereum เป็นของขวัญ
Ether (ETH) คือสกุลเงินหลักที่ใช้บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งเป็นเครือข่ายที่นำ Smart contract (สัญญาอัจฉริยะ) เข้ามาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นเครือข่ายแรก ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชันขึ้นบนเครือข่ายนี้ได้มากมาย
ETH จึงเหมาะจะเป็นของขวัญปีใหม่ เพราะมูลค่ามีโอกาสเติบโต และเหรียญ ETH ยังสามารถนำไปต่อยอดการลงทุนได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น GameFi, Dapp รวมถึง NFT ที่กำลังได้รับความนิยมจากเกือบทุกวงการก็เกิดขึ้นบน Ethereum เช่นกัน
3. มอบ Stablecoin เหรียญมูลค่าคงที่ แทนรักที่มั่นคง
Stablecoin เป็นชื่อเรียกเหรียญที่มีมูลค่ามั่นคง ได้แก่ USDT, USDC, และ DAI ซึ่งเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด ณ ปัจจุบัน
Stablecoin มีมูลค่ามั่นคงได้เนื่องจากผูกกับสกุลเงิน เช่น USDT ผูกกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ USDT 1 เหรียญ มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เสมอ
4. มอบเหรียญ GameFi ที่กำลังมาแรงให้คนไฟแรง
GameFi หรือเกมประเภท Play-to-Earn คือการผสมผสานกันระหว่างนวัตกรรมคริปโตเคอร์เรนซี และวิดีโอเกม กำลังเป็นกระแสที่มาแรงอย่างมาก เพราะนอกจากจะมอบความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ผู้เล่นยังสามารถสร้างรายได้ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย
ตัวอย่าง GameFi ที่กำลังได้รับความนิยม เช่น Axie Infinity (AXS) เกมน่ารักที่ให้คุณสะสมน้อน Axie เพื่อจัดเป็นทีมและออกผจญภัย หรือประลองฝีมือกับผู้เล่นอื่นก็ได้ หรือจะเป็น Gala Games (GALA) ที่ไม่ได้มาแค่เกมเดียว แต่ขนขบวนเกม Play-to-Earn หลากหลายแนวมาให้เลือกเล่น ไม่ว่าจะเป็นแนวผจญภัยในโลกแฟนตาซี เกมแนว MOBA และอีกมากมาย
5. เตรียมตัวเข้าสู่โลกใหม่ กับเหรียญ Metaverse
Metaverse คืออีกหนึ่งนวัตกรรมที่ทั่วโลกกำลังเฝ้ารอกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะจะเป็นการยกระดับโซเชียลมีเดียให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้มากกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยเทคโนโลยี VR และ AR
นอกจากนี้ ยังมีเศรษฐกิจเบื้องหลังที่ทำให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยน หรือเป็นเจ้าของสินค้าและที่ดิน “เสมือน” ในโลกใหม่นี้ นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่าง เหรียญที่เกี่ยวกับ Metaverse อย่าง The Sandbox (SAND) หรือ Decentraland (MANA) ที่มีที่ดินเสมือน (Virtual Lands) ให้ผู้เล่นสามารถเป็นเจ้าของได้
ถึงแม้ Metaverse อาจจะยังไม่มาถึงในเร็ว ๆ นี้ แต่การเตรียมพร้อมไว้ก็ย่อมดีกว่า ดังนั้น ถ้าสนใจสัมผัสโลก Metaverse ก่อนใคร ลองมอบเหรียญที่เกี่ยวกับ Metaverse อย่าง The Sandbox (SAND) หรือ Decentraland (MANA) ให้คนที่คุณรักดูสิ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1273 | Finance | เพราะเหตุใด ก่อนปี 2564 หุ้นเทคจีนส่วนใหญ่ เลือกเข้า IPO ตลาดหุ้นสหรัฐ | ก่อนหน้านี้หุ้นเทคจีนส่วนใหญ่มักเลือกเข้า IPO ตลาดหุ้นสหรัฐเพราะมีโอกาสได้รับ Valuation สูงกว่าที่อื่น แต่การเข้าในตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องใช้ช่องโหว่กฎหมาย เพราะรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเป็นเจ้าของธุรกิจ Technology ทั่วไป
โดยส่วนใหญ่จะทำโครงสร้างบริษัทให้เป็น VIE (Variable Interest Entities) เป็นการสร้างบริษัทตัวแทนขึ้นมานอกประเทศจีน (นิยมทำในเกาะ Cayman) โดยบริษัทนี้จะมีสิทธิ์ในการ “รับรายได้จากบริษัทที่ทำธุรกิจในจีน” แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของตัวบริษัทในจีน
ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนก็รู้แต่ทำเป็นปิดตา 1 ข้าง จึงเกิดการทำตามต่อ ๆ กัน เช่น Alibaba, Pinduoduo, DiDi แต่ด้วยความขัดแย้งสหรัฐ-จีน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้รัฐบาลจีนคงหมดความอดทนแล้ว ใช้โอกาสนี้ดึงบริษัทเทคตัวเองกลับมาจดทะเบียนในฮ่องกงแทน โดยวิธีการคงมีมุมมืด ๆ อย่างการกดดันบริษัทเอกชนที่คงเป็นหนึ่งในสาเหตุซึ่งผู้บริหารระดับสูงของ Alibaba, Pinduoduo, JD ลาออกในเวลาไล่เลี่ยกัน หรือวิธีปกติ เช่น การปรับกฎระเบียบให้หุ้นเทคเข้าตลาดฮ่องกงง่ายกว่าเดิม
โดยหุ้นที่ถูกจับตาว่าจะจดทะเบียนเพิ่มในฮ่องกงภายในปีหน้ามี Pinduoduo, Nio, KE Holdings, Lufax Holding, Tencent Music Entertainment อาจเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของรัฐบาลจีน ให้บริษัทลดการพึ่งพาสหรัฐแถมได้โอกาสดันตลาดหุ้นในภูมิภาคขึ้นมาสู้ ใครถือหุ้นจีนที่อยู่ในสหรัฐช่วงนี้เลยต้องลุ้นเยอะหน่อย เพราะปัญหาการ delist ไม่รู้จะจบแบบไหน | ก่อน ปี 2564 หุ้นเทคจีนส่วนใหญ่ มักเลือกเข้า IPO ตลาดหุ้นสหรัฐเพราะมีโอกาสได้รับ Valuation สูงกว่าที่อื่น แต่การเข้าในตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องใช้ช่องโหว่กฎหมาย เพราะรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเป็นเจ้าของธุรกิจ Technology ทั่วไป
โดยส่วนใหญ่จะทำโครงสร้างบริษัทให้เป็น VIE (Variable Interest Entities) เป็นการสร้างบริษัทตัวแทนขึ้นมานอกประเทศจีน (นิยมทำในเกาะ Cayman) โดยบริษัทนี้จะมีสิทธิ์ในการ “รับรายได้จากบริษัทที่ทำธุรกิจในจีน” แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของตัวบริษัทในจีน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1279 | Finance | Krungsri Finnovate คือ บริษัท VC ในเครือกรุงศรีที่ลงทุนและร่วมทำงานกับสตาร์ทอัพในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนิเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการพัฒนาของเทคโนโลยีในระดับสูง ใช่หรือไม่ | null | ใช่
- Krungsri Finnovate คือ บริษัท VC ในเครือกรุงศรีที่ลงทุนและร่วมทำงานกับสตาร์ทอัพในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนิเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการพัฒนาของเทคโนโลยีในระดับสูง
- เป็นกองทุนแรกในไทยและอาจรวมถึงในอาเซียนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยแบบ Ultra High Net Worth รวมถึงนักลงทุนสถาบัน ได้เข้าลงทุนใน Private equity ผ่านกองทุนโดยมีโมเดลการจัดตั้งกองทุนคล้ายคลึงกับบริษัทการเงินระดับโลกอย่าง JPMorgan และ Credit Suisse
- มีบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำที่ลงทุนแล้ว ตัวอย่างเช่น Flash Express, FINNOMENA, Grab, Zipmex และอื่น ๆ
สรุป LIVE: รู้จัก Finnoventure Private Equity Trust 1 กองทุนสตาร์ทอัพแรกของไทย I สรุป LIVE Market Talk
- ที่ผ่านมาทาง Krungsri Finnovate มีประสบการณ์ลงทุนในหลากหลายเซ็กเตอร์ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อโลกเทคโนโลยีในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกองทุนนี้ จะเน้นลงทุนใน Fintech (การจ่ายเงิน ปล่อยกู้ บล็อคเชนต่าง ๆ) E-commerce (เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สนับสนุน Marketplace ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตสูงแตกต่างจากธุรกิจประเภท Marketplace ที่อาจจะเริ่มอิ่มตัว) และ Automotive (รถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจดังกล่าว) | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1303 | Finance | ข้อใดกล่าวภึง WEB 2.0 ได้ถูกต้อง | 1. ข้อมูลที่มีการนำเสนอมานั้นจะมีลักษณะแบบคงที่
2. ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารในรูปแบบสื่อสารทางเดียว
3. รูปแบบของเว็บไซต์ที่กำลังจะพัฒนาขึ้นมาในอนาคต
4. สามารถทำได้ทั้งอ่าน และเขียนเพื่อโต้ตอบกันได้อย่างอิสระเป็นแบบสื่อสารสองทาง
5. มีการใช้งานเทคโนโลยีเบื้องหลังของคริปโตฯ ต่าง ๆ | คำตอบที่ถูกต้องคือ 4. เนื่องจาก Web 2.0 เป็นการพัฒนาให้สามารถทำได้ทั้งอ่าน และเขียนเพื่อโต้ตอบกันได้อย่างอิสระเป็นแบบสื่อสารสองทาง (Two Way Communication) และข้อมูลข่าวสารที่มีการนำเสนอนั้นจะมีการพัฒนาเป็นแบบ Dynamic สามารถอัปเดตข่าวสารได้ตลอดเวลา
ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถเป็นได้ทั้งผู้สร้างและผู้บริโภคในการสร้างสรรค์เนื้อหา Content ต่าง ๆ หรือ พูดคุยโต้ตอบระหว่างกันบนเว็บไซต์ได้ ทำให้การปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานมากมายบนอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดเป็นสังคมออนไลน์ Social Network และมีข้อมูลเป็นจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาสู่อินเทอร์เน็ต เป็นเหตุให้จำเป็นต้องมีตัวกลางอย่าง Facebook (Meta), Google เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยดูแลจัดการข้อมูลทั้งหมด และเชื่อมต่อผู้คนต่าง ๆ เข้ามาใช้งานได้อย่างสะดวก เป็นต้น
แต่ทว่าปัญหาตามมาทีหลัง เช่น ตัวกลางเป็นคนดูแลข้อมูล จะทราบถึงข้อมูลส่วนบุคคลและพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั้งหมด ซึ่งสามารถนำไปแสวงหาผลประโยชน์ได้แก่ การขายข้อมูลให้แก่องค์กรต่าง ๆ, การขายโฆษณาต่าง ๆ บนพื้นที่เว็บ เพื่อสร้างรายได้เป็นจำนวนมหาศาลให้แก่ตนเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของการต่อยอดพัฒนาแนวคิด Web 3.0 ที่จะลดทอนบทบาทของตัวกลางออกไป และมอบสิทธิการดูแลควบคุมข้อมูลให้แก่ผู้ใช้งานอย่างแท้จริง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1394 | Finance | หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD คือเครื่องหมายอะไร | หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD ขายแล้วจะได้เงินปันผลไหม? เป็นคำถามที่ได้รับบ่อยๆ แรกๆ ก็งงกันทุกคน วันนี้มาดูกัน ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และลงทุนหุ้นปันผลอย่างไรให้ได้กำไรต่อเนื่องมาดูกัน
1. เครื่องหมาย XD คืออะไร
เครื่องหมาย XD ตัว x แปลว่า อด ใครซื้อวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะอดได้ปันผล ถ้าเราอยากได้เงินปันผลอย่างช้าที่สุดต้องซื้อวันก่อนขึ้นเครื่องหมาย 1 วัน ถ้าใจเย็นมาซื้อหุ้นวันขึ้นเครื่องหมาย XD แสดงว่าเราอดได้เงินปันผล
สมมติว่าหุ้นขึ้นเครื่องหมายวันที่ 10 เราอยากได้ปันผลก็ต้องซื้ออย่างช้า เย็นวันที่ 9 ก่อนตลาดปิด
2. ขายหุ้นวันขึ้นเครื่องหมาย XD จะได้ปันผลไหม
XD แปลว่าอดได้สิทธ์ ดังนั้นถ้ามีหุ้นอยู่ก่อน XD ขายเช้าวันขึ้นเครื่องหมาย XD ก็ได้เงินปันผล แต่ถ้าเพิ่งซื้อวันขึ้นเครื่องหมายแปลว่าอด
3. จะถือหุ้นรับเงินปันผลหรือขายหุ้นก่อนดี
หุ้นวันขึ้น XD ราคาตอนเช้ามักจะตกเท่ากับเงินปันผลที่จ่าย สมมติว่าจ่ายปันผลหุ้นละ 5 บาท ตอนเช้าหุ้นจะตกเลย 5 บาท
จากงานวิจัยหลาย ๆ งาน เขาว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดถ้าต้องการรับปันผลคือ ซื้อก่อน XD สัก 3 เดือน หุ้นจะขึ้นมารับ XD ก่อน แล้วราคาลงมาตามปันผลเราก็ยังได้กำไร
4. หุ้นที่ประกาศ XD แล้วจะลงยาวมักจะเป็นหุ้นแบบนี้
มีกำไรพิเศษ และประกาศจ่ายปันผลจากกำไรพิเศษ งวดหน้าจะไม่มีกำไรก้อนนี้แล้ว
กำไรไม่โตต่อ บริษัททีกำไรเรื่อย ๆ ราคามักจะขึ้นมารับ XD พอ XD ก็จะตก ไปวิ่งต่อปีหน้าเลย
5. หุ้นปันผลกับปันผลเงินสดต่างกันอย่างไร
หุ้นปันผลคือบริษัทอยากจ่ายปันผล แต่กำไรเอาไปลงทุนต่อหมดแล้ว บริษัทจึงจ่ายปันผลออกมาเป็นหุ้น ทำให้ทุนกำไรสะสมลดลง มาเป็นจดทะเบียนเพิ่มขึ้นแทน ผลคือกำไรต่อหุ้นลดลงเพราะจำนวนหุ้นเพิ่ม
ดังนั้นหุ้นที่จ่ายหุ้นปันผล เราต้องดูว่ากำไรอนาคตจะเติบโตมากกว่าหุ้นที่เข้ามาได้หรือไม่ ถ้าได้แปลว่าจ่ายหุ้นปันผลแล้วดี
6. ลงทุนหุ้นปันผลต้องดูอะไร
หัวใจของการลงทุนหุ้นปันผล ต้องผสานกันระหว่างการเติบโต และปันผล เพราะหุ้นจะมีลักษณะพิเศษที่บริษัทสามารถเก็บกำไรไปลงทุนต่อแล้วปีต่อไปกำไรโตขึ้น ปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ต่างกับตราสารหนี้ที่จะได้กระแสเงินสดจากดอกเบี้ยในจำนวนเท่ากันตามหน้าตั๋วทุกปี
แต่สิ่งที่ต้องแลกคือ ถ้าเราเลือกการเติบโตของกำไรมากขึ้น ในแต่ละปีเราจะได้ปันผลน้อยลงแต่ได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาชดเชยกัน ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องการปันผลออกมาเพื่อกินเพื่อใช้ด้วยอาจไม่จำเป็นต้องเลือกหุ้นโตไว ขอแค่ขยายกิจการเรื่อย ๆ เป็นพอ
จากนั้นเราต้องดูความสม่ำเสมอของงบการเงิน บางทีเราดูแค่ผลตอบแทนเงินปันผลเยอะ ๆ ไม่พอ ต้องดู ความสม่ำเสมอของผลประกอบการด้วย หุ้นที่ดีจะต้องผลประกอบการสม่ำเสมอ มีอัตราส่วน ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ROE ROA สม่ำเสมอ กำไรมาจากการดำเนินการ ไม่ใช่กำไรพิเศษที่มาเป็นรอบ ๆ แล้วก็หายไป และในงบกระแสเงิสดจะต้องมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก บริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นลบแสดงว่าส่วนใหญ่เป็นการกู้มาจ่ายเงินปันผลระยะยาวจะหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควรหลีกเลี่ยง
7. การลงทุนด้วยกองทุนรวม
การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยผมได้ร่วมกับ FINNOMENA ออกแบบพอร์ตกองทุนรวม กลยุทธ์ ASEAN Growth ที่เน้นลงทุนในกลุ่มประเทศที่กำลังเติบโตอย่าง ASEAN โดยผสานการลงทุนในหุ้น ที่มีการเติบโตอย่างหุ้นเวียดนามที่เป็นประเทศที่กำลังเจริญเติบโตได้อีกเป็น 10 ปี และหุ้นไทยที่มีส่วนผสมของหุ้นที่เป็น value เช่นกลุ่มพลังงาน ธนาคารที่ผลประกอบการยังเติบโตได้เรื่อย ๆ และผสานด้วยกลยุทธ์หุ้นปันผลอย่างกอง REIT ที่จะผสานให้ผลตอบแทนไม่ผันผวน
การวิเคราะห์หุ้นปันผลถือเป็นทั้งศาสตร์และศิลปที่ต้องวิเคราะห์ในหลายแง่มุมทั้งการเติบโต และความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดของสินทรัพย์ที่เราจะลงทุน เลือกได้ดีสามารถลงทุนได้ยาว ๆ และสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ | หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD คือ หุ้นที่จะอดได้เงินปันผล | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1396 | Finance | ข้อดีของการเปิดบัญชีลงทุนกับ หลักทรัพย์ บล.(บริษัทหลักทรัพย์) ที่เน้นความเป็น Fund Supermart คืออะไร | เปรียบเทียบกันก่อนว่าจะเริ่มลงทุนกองทุน เปิดบัญชีที่ใดได้บ้าง
1. ธนาคาร/บล. (บริษัทหลักทรัพย์) ในเครือ
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม กรอกไม่เกิน 15 นาที เทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
ตัวเลือกแรกๆ ที่คนมักจะนึกถึง ปัจจุบันเกือบทุกธนาคารก็มักจะมีบริการให้นักลงทุนทุกท่านเข้าไปเปิดบัญชีกองทุนรวมได้ง่ายๆ เพียงแค่เดินเข้าไปที่สาขาธนาคารและแจ้งความประสงค์กับพนักงานสาวสวยที่รอต้อนรับทุกท่านอยู่
อย่างไรก็ตามการเปิดบัญชีกับธนาคารนั้นบางแห่งยังสามารถซื้อขายได้เฉพาะกับกองทุนของ บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ในสังกัดเท่านั้น (ในสังกัดเช่น Kbank กับ KAsset)
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
SCBS Easy Invest Application
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
TISCO Wealth Advisory
อย่างไรก็ตามบางธนาคารก็เริ่มที่จะเปิดตัว Platform ที่สามารถซื้อได้ต่างธนาคารมากขึ้น เช่น TISCO Wealth , หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS), และอื่นๆ ซึ่งในที่นี้ถ้าใครยังคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมการเงินกับธนาคาร มีการเข้าออกธนาคารบ่อยๆ ก็อาจจะเลือกทางเลือกนี้ได้ทันที
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
KBank Private Banking
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 5 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
TMB Smart Port
นอกเหนือไปจากนั้นบางธนาคารก็เริ่มจะมีการให้คำแนะนำในการลงทุนด้วยทั้งสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง (High Net Worth) ระดับหลายล้านขึ้นไปอย่างของ Kbank Private Banking , KTB Precious หรือบางเจ้าอย่าง TMB Smart Port ก็เริ่มลงมาให้คำแนะนำสำหรับลูกค้าทั่วไป เงินลงทุนขั้นต้น 10,000 บาทเป็นต้น อย่างเจ้าหลังมีการงดเว้นค่าธรรมเนียมการซื้อเข้า ออก (Front/Backend Fees) ให้ลูกค้าด้วยนะ เรียกได้ว่าแข่งขันกันดุเดือดเลย แต่ผลประโยชน์ก็มาตกที่นักลงทุนอย่างพวกเรานี่แหละ
2. เปิดกับหลักทรัพย์ บล.(บริษัทหลักทรัพย์) ที่เน้นความเป็น Fund Supermart
พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม กรอกไม่เกิน 15 นาที เทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง
เปิดบัญชีที่เดียว มั่นใจได้ว่าซื้อได้หลาย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ รู้จักอย่าง Nomura iFund, Phillip Fund Supermart และอื่นๆ รวมไปถึง FINNOMENA ที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่นี่ด้วย
ข้อดีของการเปิดบัญชีลงทุนกับบริษัทเหล่านี้ ที่แน่ๆ นอกเหนือจากซื้อได้หลายบลจ. (ยังไงเช็กแต่ละเจ้าอีกที อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง 2-3 บลจ.) แบบไม่มีข้อกังขาแล้ว ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นก็เท่ากับที่เราซื้อกับธนาคารหรือบลจ. เป๊ะๆ เลย เพราะบริษัทเหล่านี้ทำรายได้จากการขอแบ่งค่าธรรมเนียมด้านหลังกับ บลจ. อีกที ตัวอย่างแบบจำลองตัวเลขขึ้นมา ดังนี้
ปกติซื้อกอง A ผ่านบลจ. A ค่าธรรมเนียม 1 บาท บลจ. A ได้ค่าธรรมเนียมเต็มๆ
พอเรามาซื้อที่บล.เหล่านี้กอง A ค่าธรรมเนียม 1 บาทเหมือนกัน แต่ 50 สตางค์ไปอยู่ที่บล. และ อีก 50 สตางค์แบ่งเข้าบลจ.ไป
เรื่องความปลอดภัยหลายคนอาจจะมองว่าไม่มั่นคงเท่าธนาคาร แต่ความจริงคือ บริษัท บล. เหล่านี้มีหน้าที่รับคำสั่งจากลูกค้าและสิ้นวันส่งเงินไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์กองทุนต่างๆ ที่นักลงทุนได้เลือกลงทุนไป ไม่ได้เก็บที่บล.เหล่านี้แต่อย่างใด
ถ้า บล. พวกนี้มีอันเป็นไป ต้องปิดกิจการ เงินเราก็ไม่หายไปไหน อยู่ที่ บลจ. ปลายทาง ไม่ต้องห่วง | เปิดบัญชีที่เดียว มั่นใจได้ว่าซื้อได้หลาย บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) อันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ๆ อย่าง Nomura iFund, Phillip Fund Supermart และอื่นๆ รวมไปถึง FINNOMENA นี้ด้วย
ข้อดีของการเปิดบัญชีลงทุนกับบริษัทเหล่านี้
1. ที่แน่ๆ นอกเหนือจากซื้อได้หลายบลจ. (ยังไงเช็กแต่ละเจ้าอีกที อาจจะมีแตกต่างกันบ้าง 2-3 บลจ.) แบบไม่มีข้อกังขาแล้ว
2. ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นก็เท่ากับที่เราซื้อกับธนาคารหรือบลจ. เป๊ะๆ เลย เพราะบริษัทเหล่านี้ทำรายได้จากการขอแบ่งค่าธรรมเนียมด้านหลังกับ บลจ. อีกที
ตัวอย่างแบบจำลองตัวเลขขึ้นมา ดังนี้
- ปกติซื้อกอง A ผ่านบลจ. A ค่าธรรมเนียม 1 บาท บลจ. A ได้ค่าธรรมเนียมเต็มๆ
- พอเรามาซื้อที่บล.เหล่านี้กอง A ค่าธรรมเนียม 1 บาทเหมือนกัน แต่ 50 สตางค์ไปอยู่ที่บล. และ อีก 50 สตางค์แบ่งเข้าบลจ.ไป
3. เรื่องความปลอดภัยหลายคนอาจจะมองว่าไม่มั่นคงเท่าธนาคาร แต่ความจริงคือ บริษัท บล. เหล่านี้มีหน้าที่รับคำสั่งจากลูกค้าและสิ้นวันส่งเงินไปให้ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์กองทุนต่างๆ ที่นักลงทุนได้เลือกลงทุนไป ไม่ได้เก็บที่บล.เหล่านี้แต่อย่างใด
4. ถ้า บล. พวกนี้มีอันเป็นไป ต้องปิดกิจการ เงินเราก็ไม่หายไปไหน อยู่ที่ บลจ. ปลายทาง ไม่ต้องห่วง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_142 | Finance | หากจะซื้อประกันรถยนต์ นอกจากประเภทของประกันรถยนต์แล้ว ยังต้องพิจารณาเรื่องใดอีกบ้าง | อย่าเพิ่งซื้อประกันรถ ถ้ายังไม่ได้อ่านสิ่งนี้ “
● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ที่ซื้อแล้วอุ่นใจ มั่นใจได้ว่าบริษัทประกันจะช่วยเคลียร์ทุกปัญหาที่พบเจอ
● บริษัทประกันที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ ไม่ใช่แค่มีอู่คู่สัญญาที่มากพอ แต่ต้องมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งดูได้จากอัตราส่วน CAR ของบริษัท
● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เหมือนกัน ค่าเบี้ยไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่องทางการซื้อ และเงื่อนไขการใช้รถ ซึ่งบางแบบประกันค่าเบี้ยอาจต่ำกว่า 15%-70%ของแบบประกันรถทั่วไป
“ “ ● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ที่ซื้อแล้วอุ่นใจ มั่นใจได้ว่าบริษัทประกันจะช่วยเคลียร์ทุกปัญหาที่พบเจอ
● บริษัทประกันที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ ไม่ใช่แค่มีอู่คู่สัญญาที่มากพอ แต่ต้องมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งดูได้จากอัตราส่วน CAR ของบริษัท
● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เหมือนกัน ค่าเบี้ยไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่องทางการซื้อ และเงื่อนไขการใช้รถ ซึ่งบางแบบประกันค่าเบี้ยอาจต่ำกว่า 15%-70%ของแบบประกันรถทั่วไป
“ ● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 ที่ซื้อแล้วอุ่นใจ มั่นใจได้ว่าบริษัทประกันจะช่วยเคลียร์ทุกปัญหาที่พบเจอ ● บริษัทประกันที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ ไม่ใช่แค่มีอู่คู่สัญญาที่มากพอ แต่ต้องมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งดูได้จากอัตราส่วน CAR ของบริษัท ● ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เหมือนกัน ค่าเบี้ยไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ขึ้นอยู่กับช่องทางการซื้อ และเงื่อนไขการใช้รถ ซึ่งบางแบบประกันค่าเบี้ยอาจต่ำกว่า 15%-70%ของแบบประกันรถทั่วไป “ จากข้อมูลปี 2564 ของทุกบริษัทประกันภัย พบว่ากรมธรรม์ประกันรถภาคสมัครใจ มีจำนวนคิดเป็น 33%ของประกันรถภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์) ในขณะที่ค่าสินไหมทดแทนจากประกันรถภาคสมัครใจคิดเป็น 6 เท่าของประกันรถภาคบังคับ แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ เงินชดเชยส่วนใหญ่มักมาจากประกันรถภาคสมัครใจ
การทำประกันรถภาคสมัครใจจึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบเงินในกระเป๋าหากมีการขับรถเฉี่ยวชน ซึ่งความเสียหายอาจไม่ได้เกิดเฉพาะกับรถยนต์ แต่รวมไปถึงตนเองและบุคคลอื่นที่เราไปทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วย
ประกันรถแต่ละประเภท คุ้มครองต่างกันอย่างไร?
ความคุ้มครอง
ประกันภัยรถยนต์
ประเภท 1
ประเภท 2+
ประเภท 2
ประเภท 3+
ประเภท 3
ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ชีวิตและร่างกาย
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
~5 แสนบาท
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
~5 แสนบาท
ทรัพย์สิน
Y
2.5 – 5 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1.5 ล้านบาท
Y
~1 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1.5 ล้านบาท
Y
6 แสน - 1 ล้านบาท
บุคคลภายในรถที่เอาประกัน
อุบัติเหตุส่วนบุคคล
Y
1-3 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 2 แสนบาท
Y
~5 หมื่นบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
ค่ารักษาพยาบาล
Y
1-3 แสนบาท
Y
5 หมื่น – 2 แสนบาท
Y
~5 หมื่นบาท
Y
5 หมื่น – 1 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
การประกันตัวผู้ขับขี่
Y
1-3 แสนบาท
Y
2-2.5 แสนบาท
Y
5 หมื่น – 2 แสนบาท
Y
2-2.5 แสนบาท
Y
1- 3 แสนบาท
รถยนต์ที่เอาประกัน
เฉี่ยวชน / ความเสียหายอื่น
Y
ตามทุนประกัน
Y*
ตามทุนประกัน
Y*
ตามทุนประกัน
สูญหาย / ไฟไหม้
Y
Y
Y
ตามทุนประกัน
ตามทุนประกัน
ตามทุนประกัน
* คุ้มครองเฉพาะกรณี ชนกับยานพาหนะทางบกและมีคู่กรณี
จากตารางพบว่าประกันรถ ประเภท 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมทั้งความหลากหลายและวงเงิน จึงมักเป็นทางเลือกแรกๆ สำหรับผู้มีรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี เพราะหากเกิดเหตุอะไรขึ้นก็เชื่อว่าแค่เรียกบริษัทประกันมา ปัญหาแทบทุกอย่างน่าจะจบลงได้ไม่ยาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม แม้เป็นประกันรถประเภท 1 เหมือนกัน แต่หากต่างบริษัทหรือต่างช่องทาง รายละเอียดความคุ้มครองหรือค่าเบี้ยประกันก็อาจต่างกันได้ การเลือกซื้อประกันรถแต่ละที จึงมีสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าแค่ประเภทประกัน อีกทั้งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มได้รับความนิยมและถูกนำออกมาขับขี่กันมากขึ้น บริษัทประกันบางแห่งก็มีการออกแบบประกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะทำให้รายละเอียดและค่าเบี้ย ของประกันรถต่างๆ มีความแตกต่างมากยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่ต้องเลือก มากกว่าแค่ประเภทประกัน
(1) เลือกจาก การใช้งาน
ประกันรถทั่วไปจะคุ้มครองภัยตลอดระยะเวลาที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้ แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไม่บ่อยนัก หรือในแต่ละวันมักใช้รถเป็นระยะทางสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่หลายคนอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปนอกบ้านบ่อยนัก ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถบันทึกข้อมูลการใช้รถในแต่ละวันทั้งระยะทางและระยะเวลา บริษัทประกันบางแห่งจึงมีแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเหมือนประกันรถทั่วไป แต่มีค่าเบี้ยประกันที่ต่ำลงหรือมีการคืนค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป เช่น 15%-70%ของเบี้ยปกติ หากยอมรับเงื่อนไขการใช้รถไม่เกินระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด แต่หากช่วงไหนมีการใช้รถมากกว่าเกณฑ์ผู้ซื้อประกันก็ยังสามารถเติมเงินหรือชำระเบี้ยประกันเพิ่ม เพื่อให้ยังได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องสอดคล้องกับการใช้งานรถที่อาจมากขึ้นเกินที่คาดการณ์ไว้
(2) เลือกจาก บริษัทที่อุ่นใจ
ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนใช้ในการเลือกประกันรถ คือ บริษัทประกันที่มีจำนวนอู่ที่เป็นคู่สัญญามากเพียงพอและมีอู่ใกล้บ้านที่สะดวกนำรถไปใช้บริการ โดยเฉพาะรถอายุเกิน 5 ปี ที่บางบริษัทรับประกันเฉพาะซ่อมอู่เท่านั้น ไม่รับซ่อมห้างฯ ที่เป็นศูนย์บริการรถของยี่ห้อนั้นๆ โดยจำนวนและที่ตั้งของอู่คู่สัญญานั้น นอกจากสอบถามจากบริษัทโดยตรงแล้ว ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของนายหน้าประกันรถ ซึ่งมีอยู่หลายเว็บไซต์ให้เราสามารถเปรียบข้อมูลประกันของบริษัทต่างๆ ได้เองที่บ้าน
อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้ถือประกันรถบางแห่งอาจได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัทประกัน ทำให้อู่คู่สัญญาไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่าซ่อมจากบริษัทประกันจนส่งผลต่อผู้ถือประกันที่จะไปซ่อมหรือใช้บริการ ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันนั้น สามารถพิจารณาได้จาก อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) โดย CAR ยิ่งสูง บริษัทนั้นยิ่งมั่นคง ซึ่ง CAR ต้องไม่น้อยกว่าเกณฑ์ 140% โดยสามารถตรวจสอบ CAR ได้จากฐานะการเงินของแต่ละบริษัทประกัน ซึ่งเว็บไซต์ คปภ. ได้รวบรวมแหล่งข้อมูลนี้ไว้ให้แล้ว
(3) เลือกจาก ช่องทางการซื้อ
ที่ผ่านมาการซื้อประกันรถ หลายคนมักซื้อโดยตรงจากบริษัทประกันที่มีจุดบริการตามแหล่งชุมชน หรือซื้อผ่านธนาคารที่มีประกันรถของบางบริษัทประกันมาเสนอขายแก่ลูกค้า แต่ปัจจุบันมีนายหน้าประกันเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบ รายละเอียดและค่าเบี้ยประกันของบริษัทต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถต้ดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที
ดังนั้นช่องการซื้อจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือก เพราะด้วยประกันรถบริษัทเและแบบเดียวกัน ค่าเบี้ยที่ขายผ่านนายหน้าแต่ละเจ้ารวมถึงขายโดยบริษัทโดยตรงอาจต่างกัน อีกทั้งยังมีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น เลือกชำระและผ่อนผ่านบัตรเครดิตได้ ฯลฯ
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจซื้อประกันรถ แนะนำเริ่มจากหาข้อมูลแบบประกันรถหลายๆ แบบ จากนายหน้ารายใหญ่เพื่อหาแบบประกันที่เหมาะกับการใช้งานรถของตนเอง แล้วเลือกประกันของบริษัทที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ และนำค่าเบี้ยของแบบประกันที่ตรงใจนั้นไปเปรียบเทียบกับช่องทางอื่น เพื่อเลือกช่องทางที่ค่าเบี้ยต่ำที่สุด มีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด จากข้อมูลปี 2564 ของทุกบริษัทประกันภัย พบว่ากรมธรรม์ประกันรถภาคสมัครใจ มีจำนวนคิดเป็น 33%ของประกันรถภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์) ในขณะที่ค่าสินไหมทดแทนจากประกันรถภาคสมัครใจคิดเป็น 6 เท่าของประกันรถภาคบังคับ แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ เงินชดเชยส่วนใหญ่มักมาจากประกันรถภาคสมัครใจ
การทำประกันรถภาคสมัครใจจึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบเงินในกระเป๋าหากมีการขับรถเฉี่ยวชน ซึ่งความเสียหายอาจไม่ได้เกิดเฉพาะกับรถยนต์ แต่รวมไปถึงตนเองและบุคคลอื่นที่เราไปทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วย
ประกันรถแต่ละประเภท คุ้มครองต่างกันอย่างไร?
ความคุ้มครอง
ประกันภัยรถยนต์
ประเภท 1
ประเภท 2+
ประเภท 2
ประเภท 3+
ประเภท 3
ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ชีวิตและร่างกาย
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
~5 แสนบาท
Y
5 แสน – 1 ล้านบาท
Y
~5 แสนบาท
ทรัพย์สิน
Y
2.5 – 5 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1.5 ล้านบาท
Y
~1 ล้านบาท
Y
5 แสน – 1.5 ล้านบาท
Y
6 แสน - 1 ล้านบาท
บุคคลภายในรถที่เอาประกัน
อุบัติเหตุส่วนบุคคล
Y
1-3 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 2 แสนบาท
Y
~5 หมื่นบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
ค่ารักษาพยาบาล
Y
1-3 แสนบาท
Y
5 หมื่น – 2 แสนบาท
Y
~5 หมื่นบาท
Y
5 หมื่น – 1 แสนบาท
Y
5 หมื่น - 1 แสนบาท
การประกันตัวผู้ขับขี่
Y
1-3 แสนบาท
Y
2-2.5 แสนบาท
Y
5 หมื่น – 2 แสนบาท
Y
2-2.5 แสนบาท
Y
1- 3 แสนบาท
รถยนต์ที่เอาประกัน
เฉี่ยวชน / ความเสียหายอื่น
Y
ตามทุนประกัน
Y*
ตามทุนประกัน
Y*
ตามทุนประกัน
สูญหาย / ไฟไหม้
Y
Y
Y
ตามทุนประกัน
ตามทุนประกัน
ตามทุนประกัน
* คุ้มครองเฉพาะกรณี ชนกับยานพาหนะทางบกและมีคู่กรณี
จากตารางพบว่าประกันรถ ประเภท 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมทั้งความหลากหลายและวงเงิน จึงมักเป็นทางเลือกแรกๆ สำหรับผู้มีรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี เพราะหากเกิดเหตุอะไรขึ้นก็เชื่อว่าแค่เรียกบริษัทประกันมา ปัญหาแทบทุกอย่างน่าจะจบลงได้ไม่ยาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม แม้เป็นประกันรถประเภท 1 เหมือนกัน แต่หากต่างบริษัทหรือต่างช่องทาง รายละเอียดความคุ้มครองหรือค่าเบี้ยประกันก็อาจต่างกันได้ การเลือกซื้อประกันรถแต่ละที จึงมีสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าแค่ประเภทประกัน อีกทั้งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มได้รับความนิยมและถูกนำออกมาขับขี่กันมากขึ้น บริษัทประกันบางแห่งก็มีการออกแบบประกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะทำให้รายละเอียดและค่าเบี้ย ของประกันรถต่างๆ มีความแตกต่างมากยิ่งขึ้นไปอีก
สิ่งที่ต้องเลือก มากกว่าแค่ประเภทประกัน
(1) เลือกจาก การใช้งาน
ประกันรถทั่วไปจะคุ้มครองภัยตลอดระยะเวลาที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้ แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไม่บ่อยนัก หรือในแต่ละวันมักใช้รถเป็นระยะทางสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่หลายคนอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปนอกบ้านบ่อยนัก ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถบันทึกข้อมูลการใช้รถในแต่ละวันทั้งระยะทางและระยะเวลา บริษัทประกันบางแห่งจึงมีแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเหมือนประกันรถทั่วไป แต่มีค่าเบี้ยประกันที่ต่ำลงหรือมีการคืนค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป เช่น 15%-70%ของเบี้ยปกติ หากยอมรับเงื่อนไขการใช้รถไม่เกินระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด แต่หากช่วงไหนมีการใช้รถมากกว่าเกณฑ์ผู้ซื้อประกันก็ยังสามารถเติมเงินหรือชำระเบี้ยประกันเพิ่ม เพื่อให้ยังได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องสอดคล้องกับการใช้งานรถที่อาจมากขึ้นเกินที่คาดการณ์ไว้
(2) เลือกจาก บริษัทที่อุ่นใจ
ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนใช้ในการเลือกประกันรถ คือ บริษัทประกันที่มีจำนวนอู่ที่เป็นคู่สัญญามากเพียงพอและมีอู่ใกล้บ้านที่สะดวกนำรถไปใช้บริการ โดยเฉพาะรถอายุเกิน 5 ปี ที่บางบริษัทรับประกันเฉพาะซ่อมอู่เท่านั้น ไม่รับซ่อมห้างฯ ที่เป็นศูนย์บริการรถของยี่ห้อนั้นๆ โดยจำนวนและที่ตั้งของอู่คู่สัญญานั้น นอกจากสอบถามจากบริษัทโดยตรงแล้ว ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของนายหน้าประกันรถ ซึ่งมีอยู่หลายเว็บไซต์ให้เราสามารถเปรียบข้อมูลประกันของบริษัทต่างๆ ได้เองที่บ้าน
อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้ถือประกันรถบางแห่งอาจได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัทประกัน ทำให้อู่คู่สัญญาไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่าซ่อมจากบริษัทประกันจนส่งผลต่อผู้ถือประกันที่จะไปซ่อมหรือใช้บริการ ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันนั้น สามารถพิจารณาได้จาก อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) โดย CAR ยิ่งสูง บริษัทนั้นยิ่งมั่นคง ซึ่ง CAR ต้องไม่น้อยกว่าเกณฑ์ 140% โดยสามารถตรวจสอบ CAR ได้จากฐานะการเงินของแต่ละบริษัทประกัน ซึ่งเว็บไซต์ คปภ. ได้รวบรวมแหล่งข้อมูลนี้ไว้ให้แล้ว
(3) เลือกจาก ช่องทางการซื้อ
ที่ผ่านมาการซื้อประกันรถ หลายคนมักซื้อโดยตรงจากบริษัทประกันที่มีจุดบริการตามแหล่งชุมชน หรือซื้อผ่านธนาคารที่มีประกันรถของบางบริษัทประกันมาเสนอขายแก่ลูกค้า แต่ปัจจุบันมีนายหน้าประกันเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบ รายละเอียดและค่าเบี้ยประกันของบริษัทต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถต้ดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที
ดังนั้นช่องการซื้อจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือก เพราะด้วยประกันรถบริษัทเและแบบเดียวกัน ค่าเบี้ยที่ขายผ่านนายหน้าแต่ละเจ้ารวมถึงขายโดยบริษัทโดยตรงอาจต่างกัน อีกทั้งยังมีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น เลือกชำระและผ่อนผ่านบัตรเครดิตได้ ฯลฯ
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจซื้อประกันรถ แนะนำเริ่มจากหาข้อมูลแบบประกันรถหลายๆ แบบ จากนายหน้ารายใหญ่เพื่อหาแบบประกันที่เหมาะกับการใช้งานรถของตนเอง แล้วเลือกประกันของบริษัทที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ และนำค่าเบี้ยของแบบประกันที่ตรงใจนั้นไปเปรียบเทียบกับช่องทางอื่น เพื่อเลือกช่องทางที่ค่าเบี้ยต่ำที่สุด มีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด จากข้อมูลปี 2564 ของทุกบริษัทประกันภัย พบว่ากรมธรรม์ประกันรถภาคสมัครใจ มีจำนวนคิดเป็น 33%ของประกันรถภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์) ในขณะที่ค่าสินไหมทดแทนจากประกันรถภาคสมัครใจคิดเป็น 6 เท่าของประกันรถภาคบังคับ แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ เงินชดเชยส่วนใหญ่มักมาจากประกันรถภาคสมัครใจ การทำประกันรถภาคสมัครใจจึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบเงินในกระเป๋าหากมีการขับรถเฉี่ยวชน ซึ่งความเสียหายอาจไม่ได้เกิดเฉพาะกับรถยนต์ แต่รวมไปถึงตนเองและบุคคลอื่นที่เราไปทำให้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วย ประกันรถแต่ละประเภท คุ้มครองต่างกันอย่างไร? ประกันรถแต่ละประเภท คุ้มครองต่างกันอย่างไร? ความคุ้มครอง Y 5 แสน – 1 ล้านบาท Y 5 แสน – 1 ล้านบาท Y ~5 แสนบาท Y 5 แสน – 1 ล้านบาท Y ~5 แสนบาท Y 2.5 – 5 ล้านบาท Y 5 แสน – 1.5 ล้านบาท Y ~1 ล้านบาท Y 5 แสน – 1.5 ล้านบาท Y 6 แสน - 1 ล้านบาท Y 1-3 แสนบาท Y 5 หมื่น - 2 แสนบาท Y ~5 หมื่นบาท Y 5 หมื่น - 1 แสนบาท Y 5 หมื่น - 1 แสนบาท Y 1-3 แสนบาท Y 5 หมื่น – 2 แสนบาท Y ~5 หมื่นบาท Y 5 หมื่น – 1 แสนบาท Y 5 หมื่น - 1 แสนบาท Y 1-3 แสนบาท Y 2-2.5 แสนบาท Y 5 หมื่น – 2 แสนบาท Y 2-2.5 แสนบาท Y 1- 3 แสนบาท Y ตามทุนประกัน Y* ตามทุนประกัน Y* ตามทุนประกัน * คุ้มครองเฉพาะกรณี ชนกับยานพาหนะทางบกและมีคู่กรณี จากตารางพบว่าประกันรถ ประเภท 1 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมทั้งความหลากหลายและวงเงิน จึงมักเป็นทางเลือกแรกๆ สำหรับผู้มีรถยนต์ โดยเฉพาะรถที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี เพราะหากเกิดเหตุอะไรขึ้นก็เชื่อว่าแค่เรียกบริษัทประกันมา ปัญหาแทบทุกอย่างน่าจะจบลงได้ไม่ยาก และไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม แม้เป็นประกันรถประเภท 1 เหมือนกัน แต่หากต่างบริษัทหรือต่างช่องทาง รายละเอียดความคุ้มครองหรือค่าเบี้ยประกันก็อาจต่างกันได้ การเลือกซื้อประกันรถแต่ละที จึงมีสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่าแค่ประเภทประกัน อีกทั้งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าก็เริ่มได้รับความนิยมและถูกนำออกมาขับขี่กันมากขึ้น บริษัทประกันบางแห่งก็มีการออกแบบประกันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะทำให้รายละเอียดและค่าเบี้ย ของประกันรถต่างๆ มีความแตกต่างมากยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งที่ต้องเลือก มากกว่าแค่ประเภทประกัน สิ่งที่ต้องเลือก มากกว่าแค่ประเภทประกัน (1) เลือกจาก การใช้งาน ประกันรถทั่วไปจะคุ้มครองภัยตลอดระยะเวลาที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้ แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไม่บ่อยนัก หรือในแต่ละวันมักใช้รถเป็นระยะทางสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่หลายคนอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปนอกบ้านบ่อยนัก ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถบันทึกข้อมูลการใช้รถในแต่ละวันทั้งระยะทางและระยะเวลา บริษัทประกันบางแห่งจึงมีแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเหมือนประกันรถทั่วไป แต่มีค่าเบี้ยประกันที่ต่ำลงหรือมีการคืนค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป เช่น 15%-70%ของเบี้ยปกติ หากยอมรับเงื่อนไขการใช้รถไม่เกินระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด แต่หากช่วงไหนมีการใช้รถมากกว่าเกณฑ์ผู้ซื้อประกันก็ยังสามารถเติมเงินหรือชำระเบี้ยประกันเพิ่ม เพื่อให้ยังได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องสอดคล้องกับการใช้งานรถที่อาจมากขึ้นเกินที่คาดการณ์ไว้ (2) เลือกจาก บริษัทที่อุ่นใจ ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนใช้ในการเลือกประกันรถ คือ บริษัทประกันที่มีจำนวนอู่ที่เป็นคู่สัญญามากเพียงพอและมีอู่ใกล้บ้านที่สะดวกนำรถไปใช้บริการ โดยเฉพาะรถอายุเกิน 5 ปี ที่บางบริษัทรับประกันเฉพาะซ่อมอู่เท่านั้น ไม่รับซ่อมห้างฯ ที่เป็นศูนย์บริการรถของยี่ห้อนั้นๆ โดยจำนวนและที่ตั้งของอู่คู่สัญญานั้น นอกจากสอบถามจากบริษัทโดยตรงแล้ว ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของนายหน้าประกันรถ ซึ่งมีอยู่หลายเว็บไซต์ให้เราสามารถเปรียบข้อมูลประกันของบริษัทต่างๆ ได้เองที่บ้าน อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้ถือประกันรถบางแห่งอาจได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัทประกัน ทำให้อู่คู่สัญญาไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่าซ่อมจากบริษัทประกันจนส่งผลต่อผู้ถือประกันที่จะไปซ่อมหรือใช้บริการ ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันนั้น สามารถพิจารณาได้จาก อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) โดย CAR ยิ่งสูง บริษัทนั้นยิ่งมั่นคง ซึ่ง CAR ต้องไม่น้อยกว่าเกณฑ์ 140% โดยสามารถตรวจสอบ CAR ได้จากฐานะการเงินของแต่ละบริษัทประกัน ซึ่งเว็บไซต์ คปภ. ได้รวบรวมแหล่งข้อมูลนี้ไว้ให้แล้ว (3) เลือกจาก ช่องทางการซื้อ ที่ผ่านมาการซื้อประกันรถ หลายคนมักซื้อโดยตรงจากบริษัทประกันที่มีจุดบริการตามแหล่งชุมชน หรือซื้อผ่านธนาคารที่มีประกันรถของบางบริษัทประกันมาเสนอขายแก่ลูกค้า แต่ปัจจุบันมีนายหน้าประกันเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบ รายละเอียดและค่าเบี้ยประกันของบริษัทต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถต้ดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ดังนั้นช่องการซื้อจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือก เพราะด้วยประกันรถบริษัทเและแบบเดียวกัน ค่าเบี้ยที่ขายผ่านนายหน้าแต่ละเจ้ารวมถึงขายโดยบริษัทโดยตรงอาจต่างกัน อีกทั้งยังมีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น เลือกชำระและผ่อนผ่านบัตรเครดิตได้ ฯลฯ สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจซื้อประกันรถ แนะนำเริ่มจากหาข้อมูลแบบประกันรถหลายๆ แบบ จากนายหน้ารายใหญ่เพื่อหาแบบประกันที่เหมาะกับการใช้งานรถของตนเอง แล้วเลือกประกันของบริษัทที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจ และนำค่าเบี้ยของแบบประกันที่ตรงใจนั้นไปเปรียบเทียบกับช่องทางอื่น เพื่อเลือกช่องทางที่ค่าเบี้ยต่ำที่สุด มีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่คุ้มค่าที่สุด บทความโดย K WEALTH GURU ราชันย์ ตันติจินดา CFP® K WEALTH GURU ราชันย์ ตันติจินดา CFP® | หากจะซื้อประกันรถยนต์ นอกจากประเภทของประกันรถยนต์แล้ว ยังต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ได้แก่
1. เลือกจากการใช้งาน
ประกันรถทั่วไปจะคุ้มครองภัยตลอดระยะเวลาที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้ แต่สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไม่บ่อยนัก หรือในแต่ละวันมักใช้รถเป็นระยะทางสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ที่หลายคนอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปนอกบ้านบ่อยนัก ประกอบกับเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถบันทึกข้อมูลการใช้รถในแต่ละวันทั้งระยะทางและระยะเวลา
บริษัทประกันบางแห่งจึงมีแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองเหมือนประกันรถทั่วไป แต่มีค่าเบี้ยประกันที่ต่ำลงหรือมีการคืนค่าเบี้ยประกันในปีถัดไป เช่น 15%-70% ของเบี้ยปกติ หากยอมรับเงื่อนไขการใช้รถไม่เกินระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด แต่หากช่วงไหนมีการใช้รถมากกว่าเกณฑ์ผู้ซื้อประกันก็ยังสามารถเติมเงินหรือชำระเบี้ยประกันเพิ่ม เพื่อให้ยังได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องสอดคล้องกับการใช้งานรถที่อาจมากขึ้นเกินที่คาดการณ์ไว้
2. เลือกจากบริษัทที่อุ่นใจ
ปัจจัยหนึ่งที่หลายคนใช้ในการเลือกประกันรถ คือ บริษัทประกันที่มีจำนวนอู่ที่เป็นคู่สัญญามากเพียงพอและมีอู่ใกล้บ้านที่สะดวกนำรถไปใช้บริการ โดยเฉพาะรถอายุเกิน 5 ปี ที่บางบริษัทรับประกันเฉพาะซ่อมอู่เท่านั้น ไม่รับซ่อมห้างฯ ที่เป็นศูนย์บริการรถของยี่ห้อนั้นๆ โดยจำนวนและที่ตั้งของอู่คู่สัญญานั้น นอกจากสอบถามจากบริษัทโดยตรงแล้ว ปัจจุบันยังมีแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของนายหน้าประกันรถ ซึ่งมีอยู่หลายเว็บไซต์ให้เราสามารถเปรียบข้อมูลประกันของบริษัทต่างๆ ได้เองที่บ้าน
อีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ความมั่นคงของบริษัทประกัน ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ผู้ถือประกันรถบางแห่งอาจได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัทประกัน ทำให้อู่คู่สัญญาไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่าซ่อมจากบริษัทประกันจนส่งผลต่อผู้ถือประกันที่จะไปซ่อมหรือใช้บริการ ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันนั้น สามารถพิจารณาได้จาก อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio : CAR) โดย CAR ยิ่งสูง บริษัทนั้นยิ่งมั่นคง ซึ่ง CAR ต้องไม่น้อยกว่าเกณฑ์ 140% โดยสามารถตรวจสอบ CAR ได้จากฐานะการเงินของแต่ละบริษัทประกัน ซึ่งเว็บไซต์ คปภ. ได้รวบรวมแหล่งข้อมูลนี้ไว้ให้แล้ว
3. เลือกจากช่องทางการซื้อ
ที่ผ่านมาการซื้อประกันรถ หลายคนมักซื้อโดยตรงจากบริษัทประกันที่มีจุดบริการตามแหล่งชุมชน หรือซื้อผ่านธนาคารที่มีประกันรถของบางบริษัทประกันมาเสนอขายแก่ลูกค้า แต่ปัจจุบันมีนายหน้าประกันเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีช่องทางออนไลน์ในการตรวจสอบและเปรียบเทียบ รายละเอียดและค่าเบี้ยประกันของบริษัทต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถต้ดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที
ดังนั้นช่องการซื้อจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือก เพราะด้วยประกันรถบริษัทเและแบบเดียวกัน ค่าเบี้ยที่ขายผ่านนายหน้าแต่ละเจ้ารวมถึงขายโดยบริษัทโดยตรงอาจต่างกัน อีกทั้งยังมีโปรโมชันหรือเงื่อนไขการชำระเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น เลือกชำระและผ่อนผ่านบัตรเครดิตได้ ฯลฯ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1453 | Finance | เพราะเหตุใดมือใหม่ ควรลองเริ่มลงทุนในกองทุนก่อน | เรื่องมีอยู่ว่า ผมกำลังจะชวนคุณพ่อไปลงทุนกองทุน แกก็มีคำถามมากมายเหลือเกิน ด้วยความที่แกผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต่าง ๆ มาแล้วมากมาย เป็นคนที่เก็บหอมรอมริบเงินมาเองตลอด ไม่เคยได้จริงจังกับการลงทุน คำถามแกก็อาทิเช่น “เงินนี่ผู้จัดการกองทุนเอาไปบริหาร เขาจะเอามาแบ่งเราเหรอ? จะโกงเราไหม?”, “เล่นหุ้นเองได้ จะไปลงทุนเองทำไม พวกนี้เก็บค่าต๋ง (ค่าธรรมเนียม) ไปเองหมดเปล่า?”
ย้อนกลับมาดูตัวผมเองเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วก่อนจะเริ่มลงทุน เราก็มีคำถามมากมายเหมือนกัน อาจจะไม่ใช่แนวที่คุณพ่อถาม แต่เป็นแนวเด็กวัยรุ่นนั่งหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเอง เปิด Pantip ห้องสินธรบ้าง Google บ้าง ตอนแรกก็อยากลองเล่นหุ้นดู ก็พบว่ามีศัพท์มากมายเต็มไปหมด ไหนจะ “PE หุ้นตัวนี้สูงไปหรือเปล่า” “ติดดอยค่ะ ทำอย่างไรดี” ตอนนั้นก็ใช้เวลา 3-4 เดือนนะ นั่งถามเพื่อน หาหนังสือมาอ่าน กว่าจะเริ่มคุยกับเขารู้เรื่อง Pantip ห้องสินธร ไหนๆ จะไปอธิบายให้พ่อฟังแล้ว ก็เลยรวบรวมสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆไปในตัวครับ
โดยจะขอเน้นไปที่การลงทุนใน “กองทุนรวม” ก่อน ซึ่งน่าจะเหมาะกับมือใหม่มากกว่า มาดูกันว่าทำไม
สารบัญ Highlight
1. กองทุนรวมคืออะไร?
2. ทำไมมือใหม่ ควรลองเริ่มลงทุนในกองทุนก่อน?
3. วิธีง่ายๆ ในการเลือกกองทุน กองทุนไหนดี?
4. กองพร้อม เงินพร้อม เริ่มลงทุนอย่างไร?
5. (แถม) คำถามที่พบบ่อย หรือ ศัพท์ที่เขาพูดๆ กัน แต่ละตัวหมายความว่าอย่างไร แต่ละตัวหมายความว่าอย่างไร สร้างแผนและเปิดบัญชีกองทุนรวมกับ FINNOMENA สะดวก รวดเร็ว เปิดออนไลน์ ไม่ต้องส่งเอกสารให้ยุ่งยาก พร้อมเลือกซื้อกองทุนกว่า 1,000 กอง จาก 22 บลจ. ครอบคลุมทุกบลจ. ในประเทศไทย สร้างแผนและเปิดบัญชี
กองทุนรวมคืออะไร?
ตลาดหลักทรัพย์1 เขาเขียนไว้อย่างนี้ครับ กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การระดมเงินลงทุนจากคนจำนวนมากและนำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อตั้งเป็น กองทุนขึ้นมา โดยเงินที่ได้รับนั้นจะมี “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพ นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายของแต่ละกองทุน ให้ได้รับผลตอบแทนที่งอกเงย แล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้ลงทุนแต่ละรายตามสัดส่วนที่ลงทุน โดยส่วนมากเนี่ยจะมี บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (ต่อไปนี้จะเรียกว่า บลจ.) ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งบริษัทตั้งออกมาแยก ๆ ที่เราไม่คุ้นชื่อ เช่น บลจ. ทาลิส จำกัด , บลจ แมนูไลฟ์(ประเทศไทย) จำกัด (เจ้านี้มีประกันด้วยนะ) หรือเป็น บลจ. ที่มีชื่ออยู่ใต้ธนาคารที่เราคุ้นหูกันดีเช่น บลจ. กสิกรไทย จำกัด, บลจ. กรุงศรี จำกัด เป็นต้น (ถ้าสนใจดูรายชื่อทั้งหมด คลิก) บลจ. เหล่านี้ก็จะมีการออกกองทุนของตัวเองออกมา ให้เรานำเงินของเราเนี่ยไปให้เขา เขาก็จะเอาเงินของเราไปลงทุนอีกที ตามแต่นโยบายของกองทุนนั้น ๆ จะวางไว้ คลิก ทีนี้คำถามบางคนบอกว่า “เอ เราก็เอาเงินไปลงทุนเองก็ได้หนิ ตลาดหลักทรัพย์ก็มี ?”
ทำไมมือใหม่ ควรลองเริ่มลงทุนในกองทุนก่อน? ผมก็เลยไปสรุปเหตุผลมาให้แล้วครับ ได้มา 3 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กองทุนรวมมีมืออาชีพดูแแลตลอดเวลา คนเหล่านี้เป็นผู้จัดการกองทุนที่แต่ละบลจ.ต้องไปสรรหาจอมยุทธ์มือดี เพื่อจะให้มั่นใจว่าเงินทุกบาท ทุกสตางค์ของคุณเนี่ย จะถูกนำไปลงทุนให้งอกเงย คิดดูครับ คนธรรมดาอย่างพวกเรา ส่วนมากต้องทำงานกัน 5 วัน หาเวลาว่างมาดูหรือหาความรู้การลงทุน เต็มที่ก็เสาร์ อาทิตย์ หรือตอนเย็น ต่างกับพวกคนเหล่านี้ ที่ส่วนมากเรียนจบมาด้านนี้โดยเฉพาะ ใช้เวลาทำงานทั้งชีวิตอยู่กับเรื่องพวกนี้ เรียกว่าระดับฝีมืออาจจะต่างกันเยอะ
2. กองทุนรวมทำให้รายย่อยอย่างพวกเราเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้มากขึ้นครับ เอาง่าย ๆ สมมติผมอยากซื้อหุ้น Facebook ไอ้หุ้นตัวนี้เนี้ย อยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา ผมต้องหาวิธีไปเปิดพอร์ตการลงทุนที่ลงในหุ้นอเมริกาได้ซึ่งขั้นต่ำก็ไม่ใช่น้อยๆ นอกจากนี้เราถือเงินบาทอยู่ พี่แกเขาขอเป็นดอลลาร์ เราก็ต้องไปหาแลกเงินดอลลาร์ไปให้เขาอีกเรียกได้ว่ายุ่งยากไปหมด (บางคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสังเกตเห็นได้ด้วยว่า ตรงนี้จะมีเรื่องค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลต่อผลตอบแทนเราอีก เดี๋ยวผมอธิบายให้อีกทีครับ) โชคดีครับในไทย บางบลจ. ได้มีออกกองทุนที่นำเงินเราไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีนึงให้ แบบขั้นต่ำถูก ๆ และดูแลเรื่องค่าเงินให้เราอีกด้วยครับ นี่ยังไม่รวมไปถึงสินทรัพย์บางอย่างที่มีกองทุนนำเงินเราไปลงทุนได้เช่น ทองคำ น้ำมัน อีกนะ
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี บางคนคงเคยได้ยิน SSF, RMF มาบ้าง แน่นอนการซื้อกองทุนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ แล้วเผลอๆ ได้ลงทุนให้งอกเงยอีกต่างหาก แต่ข้อแม้คือลงทุนไปแล้ว ยังห้ามเอาเงินออกมาใช้ก่อน ตามกำหนดเช่น SSF 10 ปี หรือ RMF ต้องอายุถึง 55 ก่อน เป็นต้นครับ
Update: นักลงทุนสามารถซื้อกองทุน SSF-RMF กับ FINNOMENA ได้แล้ว
ที่จริงแล้ว กองทุนยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น สภาพคล่องที่ดีกว่า หรือ มีการดูแลผลประโยชน์จาก กลต. แต่ผมขอละไว้ก่อน เอาประมาณนี้ก็น่าจะพอหอมปากหอมคอแล้วครับ ทีนี้ ขอกลับไปที่คำถามของคุณพ่อก่อน เพื่อไม่ให้ค้างคาใจ อ่ะ ข้อแรกพ่อถามว่า “เงินนี่ผู้จัดการกองทุนเอาไปบริหาร เขาจะเอามาแบ่งเราเหรอ? จะโกงเราไหม?”
คำตอบคือ แบ่งสิ เขาโกงเราไม่ได้เน่อ เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า กลต.) จะมีออกกำหนดกฎเกณฑ์ให้ บลจ. ทุกที่มีการคำนวณ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า NAV) และเปิดเผยออกมาให้ทุกคนรับทราบกัน ทุกสิ้นวัน หน้าตาเป็นแบบนี้ BTP – กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล
ข้อมูลวันที่ 24 พ.ย. 2563 โดย NAV เนี่ยคือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิตามราคาตลาด ในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นก็จะเป็นมูลค่าของหุ้นที่กองทุนถืออยู่ทั้งหมดนี่แหละครับ คำนวณจากราคาหุ้น ณ วันนั้น (หักด้วยค่าใช้จ่ายและหนี้สินของกองทุนรวม แต่ในที่นี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจก่อน) โดย NAV เนี่ยคือ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิตามราคาตลาด ในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นก็จะเป็นมูลค่าของหุ้นที่กองทุนถืออยู่ทั้งหมดนี่แหละครับ คำนวณจากราคาหุ้น ณ วันนั้น (หักด้วยค่าใช้จ่ายและหนี้สินของกองทุนรวม แต่ในที่นี้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจก่อน) ทีนี้ เราเอาเงินให้เขา แล้วจะเอาเงินออกมาได้อย่างไร กำไร ขาดทุนดูยังไง ผมขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้ครับ เวลาเราไปซื้อกองทุนปกติเนี่ย เขาจะให้เราซื้อเป็นหน่วยตามราคา NAV อย่างสมมติในรูป NAV 43.4456 บาท ถ้าเราลงทุน 50,000 บาทก็แปลว่า เราได้จะได้หน่วยลงทุนประมาณ 50,000 หาร 43.4456 บาท = 1,150.86 หน่วย มาถือไว้ในบัญชี ทีนี้ เราเอาเงินให้เขา แล้วจะเอาเงินออกมาได้อย่างไร กำไร ขาดทุนดูยังไง ผมขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้ครับ เวลาเราไปซื้อกองทุนปกติเนี่ย เขาจะให้เราซื้อเป็นหน่วยตามราคา NAV อย่างสมมติในรูป NAV 43.4456 บาท ถ้าเราลงทุน 50,000 บาทก็แปลว่า เราได้จะได้หน่วยลงทุนประมาณ 50,000 หาร 43.4456 บาท = ทีนี้ พอเวลาผ่านไป หุ้นที่กองทุนถืออยู่มันขึ้นมา NAV ของกองทุนก็อาจจะขึ้นไป อาจไปเป็น 50 บาท ซึ่งจะแปลว่าหน่วยลงทุนที่เราถืออยู่ ตอนนี้มีมูลค่า 50 คูณ 1,150.86 = 57,543 บาท ทีนี้ พอเวลาผ่านไป หุ้นที่กองทุนถืออยู่มันขึ้นมา NAV ของกองทุนก็อาจจะขึ้นไป อาจไปเป็น 50 บาท ซึ่งจะแปลว่าหน่วยลงทุนที่เราถืออยู่ ตอนนี้มีมูลค่า 50 คูณ 1,150.86 = 57,543 บาท ถ้าขายวันนั้นก็ได้กำไรเลย 57,543 – 50,000 = 7,543 บาท ถ้าขายวันนั้นก็ได้กำไรเลย อันนี้ย้ำอีกครั้งเป็นการคิดแบบง่าย ๆ ที่จริงมีเรื่องค่าธรรมเนียม หรือ กองทุนบางประเภทมีการจ่ายปันผล ออกมาอีก เดี๋ยวจะอธิบายกันต่อไป อันนี้ย้ำอีกครั้งเป็นการคิดแบบง่าย ๆ ที่จริงมีเรื่องค่าธรรมเนียม หรือ กองทุนบางประเภทมีการจ่ายปันผล ออกมาอีก เดี๋ยวจะอธิบายกันต่อไป แต่สังเกตได้ว่า เขาเอาเงินเราไป ทุกอย่างต้องแสดงออกมาให้ชัดเจนให้กลต. ว่าเงินไปอยู่ที่ไหน คิดเป็นมูลค่าเท่าไร แต่สังเกตได้ว่า เขาเอาเงินเราไป ทุกอย่างต้องแสดงออกมาให้ชัดเจนให้กลต. ว่าเงินไปอยู่ที่ไหน คิดเป็นมูลค่าเท่าไร ไปต่อกันที่คำถามที่สอง ไปต่อกันที่คำถามที่สอง “เล่นหุ้นเองได้ จะไปลงทุนเองทำไม พวกนี้เก็บค่าต๋ง (ค่าธรรมเนียม) ไปเองหมดเปล่า?” คำตอบคือใช่ครับ บลจ. ต้องมีการเก็บค่าธรรมเนียม เขาไม่ได้ทำองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรครับ ฮ่า ๆ โดยเป็นค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงาน ผู้จัดการกองทุน หรือ ค่าระบบ นั่นเอง (ตรงนี้ขอแอบบอก ที่จริงประเทศไทยเนี่ย ค่าธรรมเนียมถือว่าถูกมากนะครับ อยู่กันแถว 1-2% ต่างประเทศนี่ 3-4% อย่างต่ำ) เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: ตรงนี้บางคนอาจจะส่งสัยว่า กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศบางกอง นำเงินของเราไปลงใน กองทุนแม่ที่อยู่ต่างประเทศอีกที (Feeder Fund) แต่ฝั่งเราคิดค่าธรรมเนียมถูกกว่าลงเองกับกองแม่ตั้งเยอะ – ที่เขาทำได้ก็เพราะว่า บลจ. สามารถดีลได้แบบค่าธรรมเนียมสำหรับนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่นั่นเอง เป็นข้อดีของพวกเราหล่ะ วิธีการหาข้อมูลค่าธรรมเนียม ก็เข้าไปที่เว็บ FINNOMENA Fund ก็ได้ครับ คลิกที่นี่ คลิกที่นี่ คลิกที่นี่ จากนั้นลองใส่ชื่อกองทุนที่สนใจ หรือ ลองใส่ว่า “BTP” ตามในรูปก็ได้ครับ จากนั้นกดไปที่ Tab “ค่าธรรมเนียม” BTP – กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล
ข้อมูลวันที่ 24 พ.ย. 2563 ก็จะพบรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของกองทุน โดยเบื้องต้นผมขอแบ่งค่าธรรมเนียมออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ 1. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บรายปี จะเป็นค่าธรรมเนียมที่อยู่ส่วนบนของรูป สัดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือ Management Fees ที่จะเก็บเป็นรายปี หักออกจาก NAV ของเราทุก ๆ วันนั่นเอง อย่างในรูปก็จะเห็นว่าเก็บอยู่ที่ 1.60% และเมื่อรวมค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อื่น ก็อยู่ที่ 1.80% ต่อปี ซึ่งตรงนี้มันจะสะท้อนอยู่ใน NAV สมมติถ้าวันนึง สินทรัพย์ที่ไปลงทุนไม่ขยับ แต่ NAV แอบลดลงก็เกิดจากค่าใช้จ่ายตรงนี้นั่นเอง 2. ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บเมื่อเกิดธุรกรรม เช่น ซื้อ ขาย สับเปลี่ยน จะเป็นค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นเมื่อมีธุรกรรมขึ้น ส่วนมากกองทุนก็อาจจะมีค่าธรรมเนียมขาย กล่าวคือ เราขอซื้อหน่วยลงทุนเขา 100 บาท เขาขอหักออกไป 1% หรือ 1 บาทเป็นต้น หรือในที่นี้ตามรูปข้างต้นจะเป็นค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน หมายความว่า เราไปขายกลับไปให้บลจ. ขายได้เท่าไร บลจ. ขอเก็บออกไป 1% นั่นเอง จะเห็นได้ว่ามีหลักการเก็บชัดเจน แสดงให้ดูอย่างตรงไปตรงมาครับ วิธีง่าย ๆ ในการเลือกกองทุน กองทุนไหนดี? วิธีง่าย ๆ ในการเลือกกองทุน กองทุนไหนดี? ปัญหาโลกแตกครับ บางคนอาจจะเริ่มจาก เพื่อนบอก แฟนบอก พนักงานธนาคารแนะนำ ฟังผ่านวิทยุ หรือ จะนั่งเทียนมาก็ว่าไป ฮ่า ๆ ผมขอยกตัวอย่างวิธีมาหนึ่งวิธีแล้วกันครับ เลือกลงทุนแบบจัดพอร์ต (ลงหลาย ๆ กองแยกกันไป) อารมณ์ประมาณ ส่วนนี้ไปลงหุ้นไทยบ้าง ส่วนนั้นลงทองคำบ้าง ส่วนที่เหลือไปลงพันธบัตรรัฐบาลบ้าง ซึ่งระยะยาวการจัดสัดส่วนสินทรัพย์แบบนี้ เป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามหลักซึ่งช่วยให้ลดความผันผวนในพอร์ตได้ และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว แต่ว่าถ้าพูดกันในบทความนี้เกรงว่าจะยาวไป มีน้องเขียนไว้ดี ไปตามอ่านต่อได้ที่ “ความผันผวน” หนีไม่ได้ แต่ลดได้ ด้วยการจัดพอร์ตแบบ Global Asset Allocation “ความผันผวน” หนีไม่ได้ แต่ลดได้ ด้วยการจัดพอร์ตแบบ Global Asset Allocation สรุปสั้น ๆ ให้คือ 1. จัดสัดส่วนกองทุนเป็นส่วน ๆ โดยแบ่งตามประเภทสินทรัพย์ 2. ในแต่ละสัดส่วนประเภทสินทรัพย์ ก็ไปหากองทุนว่าควรลงกองไหน 3. แล้วก็ลงทุนตามสัดส่วนที่วางไว้ มาเริ่มกันที่การจัดสัดส่วนก่อน ตอนนี้หลายท่านอาจจะงงว่าจะเริ่มยังไง บางท่านอาจมีประสบการณ์การลงทุนมาบ้างอาจจะใช้วิธีเข้าไปหาอ่านข่าวตาม Bloomberg.com, Investing.com, ข่าวหรือบทวิเคราะห์ตามบลจ. ต่าง ๆ ที่ออกมาหรือตามหน้าเว็บอย่าง FINNOMENA ก็ได้ครับ ซึ่งก็ควรจะจัดให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของตนเอง ความเสี่ยงที่รับได้ เงินก้อนนี้สำคัญมากน้อยแค่ไหน Bloomberg.com Investing.com แอบช่วยเขาโฆษณานิด ถ้าอยากลองให้เขาจัดให้ลองไปดูที่ finnomena.com/port ได้ครับ มีหลายแบบให้เลือกสรร เข้าไปจัดเล่น ๆ แอบดูว่าจะลงอะไรก่อนก็ได้ครับ มันฟรี! finnomena.com/port แหม่ะ เกือบลืม หลายคนสงสัย แล้วประเภทสินทรัพย์เนี่ยมันมีอะไรบ้าง ยังไม่รู้เลย จะให้จัดพอร์ตละ โอเค วันนี้ผมมาเปิดทุกสินทรัพย์ให้ดูตามหลักการแบ่งของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนของไทยกันดีกว่า ต่อไปนี้จะเรียกว่า AIMC นะครับ ขออนุญาตอ้างอิงตามเว็บไซต์หลัก2 กลุ่มตราสารทุน (Equity)
เช่นหุ้นนั่นเอง เป็นตราสารที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของบริษัทนั้นๆ โดยสถิติที่ผ่านมา เป็นตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงด้วยเช่นกัน กองทุนตราสารทุนในประเทศ / ต่างประเทศบางส่วน – Equity Small – Mid Cap
กลุ่มนี้เป็นกองทุนที่ลงในหุ้นไทยบริษัทที่มีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ในรอบปีบัญชี มากกว่าหรือเท่ากับ 80% ขึ้นไป เน้นหุ้นขนาดเล็ก และ ขนาดกลางที่มีความผันผวนสูงแต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น กองทุนตราสารทุนในประเทศ / ต่างประเทศบางส่วน – Equity Large Cap
ตรงข้ามกับ Equity Small – Mid Cap รอบนี้จะเป็นหุ้นของบริษัทในไทยที่อยู่ในดัชนี SET50 เน้นตัวขนาดใหญ่ หลายๆตัวที่เรารู้จักกันอยู่ในนี้เช่น PTT (ปตท.), CPALL (7-eleven), AOT (สนามบิน) เป็นต้น กองทุนตราสารทุนในประเทศ / ต่างประเทศบางส่วน – Equity General
ลงทุนในหุ้นของบริษัทในไทย ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ อาจจะคละ ๆ กันไปได้ กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – ASEAN Equity
ลงทุนในตราสารทุนกลุ่มประเทศ ASEAN เพื่อนบ้านพวกเรา กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – US Equity
ลงทุนในตราสารทุนของประเทศอเมริกา ใครสนใจหุ้นมะกันต้องเลือก ไม่ว่าเป็น Facebook, Amazon อันโด่งดังที่เรารู้จักกัน กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Japan Equity
ลงทุนในตราสารทุนของประเทศญี่ปุ่น แดนอาทิตย์อุทัย เช่น SoftBank, Mizuho, Olympus กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – India Equity
ลงทุนในตราสารทุนในประเทศอินเดีย กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – European Equity
ลงทุนในตราสารทุนของประเทศกลุ่มประเทศยุโรป กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Greater China Equity
ลงทุนในตราสารทุนของประเทศกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ไชน่า อันประะกอบไปด้วย จีน ฮ่องกง และไต้หวัน กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Global Equity (MSCI World, ACWI)
ลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศทั่วโลกเน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไทย เช่น อเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Emerging Market (MSCI Emerging based)
ลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศเน้นประเทศ Emerging Market หรือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในทวีป เอเชีย ละตินอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเป็นต้น กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Asia Pacific Ex Japan (Asia pac ex Japan benchmark focused)
ลงทุนในตราสารทุนกลุ่มประเทศแอเชียแปซิฟิคเช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และ เกาหลี เป็นต้น โดยลงทุนในประเทศญี่ปุ่นต่ำกว่า 10% ของมูลค่าทรัพย์สินรวม กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ – Vietnam Equity
ลงทุนในตราสารทุนของประเทศเวียดนาม ลงทุนในตราสารทุนของประเทศเวียดนาม กลุ่มตราสารทุนหมวดอุตสาหกรรม (Sector)
เน้นกระจุกการลงทุนอยู่ในหุ้นประเภทเดียวไปเลย แต่ความเสี่ยงก็มากขึ้นด้วยเช่นกันนะครับ เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนเป็น Theme ที่สนใจอยู่ Health Care
ลงทุนในตราสารทุนกลุ่ม Healthcare ด้านการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะเน้นๆไปเลย Energy
ลงในตราสารทุนกลุ่ม Energy หรือพลังงาน อันนี้คนชอบจำผิดว่าไปลงในน้ำมันตรง ๆ อะไรหรือเปล่า ไม่ใช่นะครับ เป็นตราสารทุนหรือหุ้นที่เกี่ยวข้องครับ กลุ่มตราสารทุนประเภทกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) SET50
กองทุนที่มีวัตถุประสงค์ให้อัตราผลตอบแทนของกองใกล้เคียงกับอัตราผลตอบแทนของดัชนี SET50 มากที่สุด (SET50 คืออะไร กดไปดู คลิก) คลิก กลุ่มตราสารหนี้ (Fixed Income)
ถ้ามือใหม่มองเป็นเหมือนการเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ครับ จะเอาเงินไปลงตราสารที่คนกู้ต้องจ่ายเงินกลับมาตามที่ตกลงไว้ โดยสถิติจะเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงโดยรวมน้อยกว่าตราสารทุน มีทั้งแบบภาครัฐและเอกชน (ตราสารหนี้ คืออะไร? อ่านเพิ่มเติม คลิก) (ตราสารหนี้ คืออะไร? อ่านเพิ่มเติม คลิก) คลิก กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Short Term Government Bond
ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ของภาครัฐ และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 1 ปี คือเป็นตราสารหนี้ภาครัฐเช่นพันธบัตรซึ่งปลอดภัยอยู่แล้ว แล้วยังอายุสั้นไม่เกิน 1 ปีอีก เน้นปลอดภัยไว้ก่อนแต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้หวือหวานะครับ กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Mid Term Government Bond
ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ของภาครัฐ และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่ง 1-3 ปี อายุยาวขึ้นนิดนึง ผลตอบแทนก็จะสูงกว่าตัวแรกนิดหน่อย แต่เนื่องจากอายุยาวกว่าก็อาจเจอความผันผวนของราคามากกว่าตัวแรก ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ของภาครัฐ และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่ง 1-3 ปี อายุยาวขึ้นนิดนึง ผลตอบแทนก็จะสูงกว่าตัวแรกนิดหน่อย แต่เนื่องจากอายุยาวกว่าก็อาจเจอความผันผวนของราคามากกว่าตัวแรก กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Short Term General Bond
ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ทั่วไป และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 1 ปี คือเป็นตราสารหนี้ภาคเอกชนอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาจากของภาครัฐ แต่ยังอายุสั้นอยู่ กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Mid Term General Bond
ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ทั่วไป และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่ง 1-3 ปี คือเป็นตราสารหนี้ที่เริ่มมีกำหนดจ่ายเงินไกลขึ้น ซึ่งปกติจะมีการให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตราสารอายุสั้นกว่า เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อาจไม่มีเงินจ่าย เรียกเท่ ๆ ว่า Default กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Long Term General Bond
ลงทุนในเงินฝากตราสารหนี้ทั่วไป และเฉลี่ยมีอายุแบบถ่วงน้ำหนัก ณ ขณะใดขณะหนึ่งมากกว่า 3 ปี ตัวนี้จะมีผลตอบแทนสูงกว่าตัวที่ผ่าน ๆ มา แต่ความผันผวนจากอัตราดอกเบี้ยก็จะมากที่สุดด้วยเช่นกัน กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Money Market Government
ลงทุนในตลาดเงินหรือเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐของรัฐบาล พวกนี้เป็นตราสารที่ครบกำหนดระยะเวลาสั้นมาก ๆ ส่วนมากไว้จัดการเรื่องสภาพคล่องและแถมผลตอบแทนไปเล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีเราใช้พักเงินได้ครับ กองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Money Market General
ลงทุนในตลาดเงินหรือเงินฝาก ตราสารหนี้ระยะสั้นทั่วไป ใช้พักเงินได้เช่นกัน บางทีผลตอบแทนพอ ๆ กับฝากประจำ แต่ฝาก ถอนได้ทุกวัน กดปุ้ป วันรุ่งขึ้นได้ตังค์เลย กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ – Emerging Market Bond Fully F/X Hedge
ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา Emerging Market และป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินมากกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในประเทศ คือเอาเงินเราไปลงต่างประเทศให้ แล้วดูแลเรื่องค่าเงินให้เราด้วย ไม่ต้องห่วงบาทแข็งหรืออ่อน กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ – Emerging Market Bond Discretionary F/X Hedge or Unhedge
เหมือนตัวข้างบน แต่อาจจะป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเพียงบางส่วน หรือตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน หรือ ไม่ป้องกันเลย กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ -Global Bond Fully F/X Hedge
ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินมากกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในประเทศ กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ – Global Bond Discretionary F/X Hedge or Unhedge
เหมือนตัวข้างบน แต่อาจจะป้องกันความเสี่ยงค่าเงินเพียงบางส่วน หรือตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน หรือ ไม่ป้องกันเลย เช่นกันครับ กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ – High Yield Bond
เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็น Non-investment grade / Unrated คือกลุ่มบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง ๆ เสี่ยงที่จะไม่ได้ตังค์คืน แต่พวกนี้ให้ผลตอบแทนสูงเช่นกัน กลุ่มกองทุนรวมผสม (Allocation)
กลุ่มนี้สำหรับคนไม่อยากจัดพอร์ตเอง อยากให้เขาจัดพอร์ตมาให้เลย ซื้อพวกนี้ไปตัวเดียว เดี๋ยวเขาช่วยจัดให้ครับลงตราสารทุนเท่าไร ตราสารหนี้เท่าไร กองทุนรวมผสมในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Aggressive Allocation
ลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินตลอดจนการหาดอกผลโดยวิธีอื่น โดยมีไว้ตราสารทุนได้ 0-100% สายบู๊เลือกกลุ่มนี้ได้ครับ กองทุนรวมผสมในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Moderate Allocation
ลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินตลอดจนการหาดอกผลโดยวิธีอื่น โดยมีไว้ตราสารทุนได้ 25% – 80% อันนี้เป็นสายกลาง ๆ กองทุนรวมผสมในประเทศ/ต่างประเทศบางส่วน – Conservative Allocation
ลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินตลอดจนการหาดอกผลโดยวิธีอื่น โดยมีไว้ตราสารทุนได้ไม่เกิน 25% กองทุนรวมผสมต่างประเทศ – Foreign Investment Allocation
คล้าย ๆ ตัวแรก Aggressive Allocation แต่ลงในต่างประเทศได้ มีสัดส่วนตราสารทุนต่างประเทศ 0-100% กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ / Infra / REIT
กลุ่มนี้สำหรับคนที่อยากลงทุนในหมวดหมู่อสังหาริมทรัพย์แบบต่าง ๆ อาทิเช่น โรงงานอุตสาหกรรม ห้างสรรพสินค้า สนามบิน รวมไปถึงลงทุนในโปรเจคโครงสร้างพื้นฐาน เหมาะแก่การกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์หลักเช่น หุ้น หรือ ตราสารหนี้ด้วยครับ (กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คืออะไร? อ่านเพิ่มเติม คลิก) คลิก Thai Free Hold
ลงทุนในกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ของไทย Thai Lease Hold
ลงทุนในสิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิในการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สิน Thai Mixed (between free and leased hold)
เป็นกองที่ลงผสมจากสองแบบข้างต้น Fund of Property fund – Thai
ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REIT กองทุน Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐาน) ที่เน้นลงทุนในประเทศโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี >= 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม Fund of Property fund – Thai and foreign
เหมือนตัวข้างบน แต่ลงทุนในต่างประเทศบางส่วนสัดส่วน 20% – 80% Fund of Property fund – Foreign
เหมือนตัวข้างบนอีกเช่นกัน แต่ลงต่างประเทศ 80% ขึ้นไป กลุ่มกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
กลุ่มนี้ลงทุนในตัวสินค้าโภคภัณฑ์เลยเช่นทองคำ น้ำมัน เงิน สินค้าเกษตร มีความผันผวนสูงมาก แต่สามารถใช้เป็นการกระจายความเสี่ยงได้เช่นกัน Broad Composite Commodities Index
ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสินค้าโภคภัณฑ์ตามดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ร่วม (Broad Commodities Index) ซึ่งดัชนีนี้ที่จริงก็มีทำอยู่หลายเจ้า ยกตัวอย่างเช่นของ S&P GSCI ลองดูสัดส่วนได้ตามนี้ครับ คลิก คลิก Commodities Energy
สินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงานเช่น น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และ ถ่านหินเป็นต้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมผ่านตราสารหรือสัญญาที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว Commodities Precious Metal
เน้นโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน แพลตินัม เป็นต้น Commodities Agriculture
เน้นสินค้าโภคภัณฑ์ด้านเกษตรกรรม นอกเหนือไปจากนี้ยังมีกลุ่มกองทุนรวมที่ไม่สามารถจัดกลุ่มได้เรียกว่า Miscellaneous อีกบางส่วน ก่อนจะไปกันต่อ ถึงตอนนี้ถ้าใครมีกองทุนในใจที่เพื่อนแนะนำมา อาจจะลองเช็คประเภทของกองตัวเองง่าย ๆ ครับ โดยเข้าไปที่ finnomena.com/fund แล้วพิมพ์ชื่อกองทุนลงไปในช่องค้นหา เลื่อนลงมาตามในรูปก็จะเห็นหมวดหมู่แจ้งไว้ครับ ก่อนจะไปกันต่อ ถึงตอนนี้ถ้าใครมีกองทุนในใจที่เพื่อนแนะนำมา อาจจะลองเช็คประเภทของกองตัวเองง่าย ๆ ครับ โดยเข้าไปที่ finnomena.com/fund แล้วพิมพ์ชื่อกองทุนลงไปในช่องค้นหา เลื่อนลงมาตามในรูปก็จะเห็นหมวดหมู่แจ้งไว้ครับ finnomena.com/fund TMB50 – กองทุนเปิดทหารไทย SET 50
ข้อมูลวันที่ 24 พ.ย. 2563 มาเช็กกองทุนในหมวดหมู่ที่น่าสนใจกัน หลังจากที่เราเลือกกลุ่มสินทรัพย์ที่ชื่นชอบแล้ว หรือใครมีกองในใจ ถ้ารู้ว่ากองนั้นหมวดหมู่อะไรก็มาร่วมกันเช็คตรงนี้กันครับ โดยอาจจะเข้าไปค้นหาตามเว็บ บลจ. ต่าง ๆ ถึงกองทุนที่บลจ. นั้นมีในแต่ละหมวดหมู่ก็ได้ หรือถ้าอยากดูทีเดียวทุก บลจ. บังเอิ๊ญญญ FINNOMENA เขามีตัวช่วยหากองทุนก็ใช้เขาหน่อย สามารถเข้าไปที่ finnomena.com/fund หรือว่าโหลด App FINNOMENA ก็ได้ครับ finnomena.com/fund finnomena.com/fund เข้ามาจะเจอเมนูให้เลือก ครั้งแรกเราอาจไปกดดูที่ “กองเด็ด” ก่อนก็ได้ครับ อ่านเพิ่มเติม FINNOMENA Pick เลือกกองทุนที่ดีที่สุดให้คุณได้อย่างไร FINNOMENA Pick เลือกกองทุนที่ดีที่สุดให้คุณได้อย่างไร ตรงนี้จะเป็นกองทุนที่ FINNOMENA วิเคราะห์มาแล้วว่าดีทั้งในเชิงสถิติและการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และที่สำคัญสังเกตดีๆ มีการแบ่งหมวดหมู่ตาม AIMC ที่คุยกันไปข้างต้นเลย นักลงทุนมือใหม่ถ้าไม่อยากเสียเวลาตรวจสอบกองทุนด้วยตัวเองก็เริ่มที่ตรงนี้ก็ได้ครับ เป็น Guideline ให้คร่าวๆก่อน แต่ถ้าอยากลองวิเคราะห์เองเราลองกลับมาในเมนู “จัดอันดับกองทุน” ก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้จะเป็นกองทุนที่ FINNOMENA วิเคราะห์มาแล้วว่าดีทั้งในเชิงสถิติและการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ และที่สำคัญสังเกตดีๆ มีการแบ่งหมวดหมู่ตาม AIMC ที่คุยกันไปข้างต้นเลย นักลงทุนมือใหม่ถ้าไม่อยากเสียเวลาตรวจสอบกองทุนด้วยตัวเองก็เริ่มที่ตรงนี้ก็ได้ครับ เป็น Guideline ให้คร่าวๆก่อน แต่ถ้าอยากลองวิเคราะห์เองเราลองกลับมาในเมนู “จัดอันดับกองทุน” ก่อนก็ได้ครับ เข้าไปจะเป็นการจัดอันดับกองทุนตามผลตอบแทนย้อนหลัง ก่อนอื่นเลยให้เราเลือกกลุ่มประเภทกองทุนที่เราสนใจก่อน อยากดูกองทุนกลุ่มไหน ของ บลจ. ไหน เป็นกองทุนประหยัดภาษีไหม จ่ายปันผลหรือเปล่า ลองเลือกได้เลยครับ เข้าไปจะเป็นการจัดอันดับกองทุนตามผลตอบแทนย้อนหลัง ก่อนอื่นเลยให้เราเลือกกลุ่มประเภทกองทุนที่เราสนใจก่อน อยากดูกองทุนกลุ่มไหน ของ บลจ. ไหน เป็นกองทุนประหยัดภาษีไหม จ่ายปันผลหรือเปล่า ลองเลือกได้เลยครับ นอกจากนี้ถ้าใครอยากกรองแบบละเอียด ๆ ถึงขั้นกำหนดผลตอบแทนที่ต้องการ หรือ ระดับความเสี่ยงที่รับได้ ก็ลองใส่ตัวเลขเข้าไปตรง “เพิ่มตัวกรอง” ได้ครับ เช่น ต้องการกองทุนผลตอบแทนระหว่าง 10% ภายใน 1 ปี แต่ Max Drawdown ไม่น้อยกว่า -10% อะไรทำนองนี้ แล้วระบบก็จะประมวลผลออกมาให้เลย นอกจากนี้ถ้าใครอยากกรองแบบละเอียด ๆ ถึงขั้นกำหนดผลตอบแทนที่ต้องการ หรือ ระดับความเสี่ยงที่รับได้ ก็ลองใส่ตัวเลขเข้าไปตรง “เพิ่มตัวกรอง” ได้ครับ เช่น ต้องการกองทุนผลตอบแทนระหว่าง 10% ภายใน 1 ปี แต่ Max Drawdown ไม่น้อยกว่า -10% อะไรทำนองนี้ แล้วระบบก็จะประมวลผลออกมาให้เลย จากนั้นก็จะเป็นระยะเวลาที่เราสนใจดูข้อมูลย้อนหลัง โดยเบื้องต้นแนะนำให้เลือกระยะเวลายาว ๆ หน่อย สัก 5 ปีที่ผ่านมา จากนั้นก็จะเป็นระยะเวลาที่เราสนใจดูข้อมูลย้อนหลัง โดยเบื้องต้นแนะนำให้เลือกระยะเวลายาว ๆ หน่อย สัก 5 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างการเพิ่มตัวกรอง ตัวอย่างการเพิ่มตัวกรอง ในตัวอย่างผมจะลองเลือกกลุ่ม Equity -> Equity Small – Mid Cap ขึ้นมาก่อนนะครับ ก็จะได้กองทุนเรียงขึ้นมาให้ดู ผลการดำเนินงาน จัดอันดับ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงาน จัดอันดับ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: ผลตอบแทนในรูปตัวอย่าง 5.24% นั้นไม่ใช่ว่าถือ 5 ปีแล้วได้ 5.24% นะครับ แต่อันนี้เป็นผลตอบแทนที่คิดเป็นรายปีแบบทบต้น หมายความว่า ที่จริงคนที่ถือมา 5 ปีไม่นำเงินออก ได้ผลตอบแทนถึง 29% เลยนะครับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย: ผลตอบแทนในรูปตัวอย่าง 5.24% นั้นไม่ใช่ว่าถือ 5 ปีแล้วได้ 5.24% นะครับ แต่อันนี้เป็นผลตอบแทนที่คิดเป็นรายปีแบบทบต้น หมายความว่า ที่จริงคนที่ถือมา 5 ปีไม่นำเงินออก ได้ผลตอบแทนถึง 29% เลยนะครับ นอกจากนี้แล้ว ยังมีของเล่นเด็ดอีกชิ้นที่อยากแนะนำ เห็นช่องสี่เหลี่ยมจตุรัสเล็กๆ ด้านหน้าชื่อกองทุนไหมครับ? สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็น Killer Function ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเราติ๊กถูกหน้าชื่อกองทุนหลาย ๆ กอง มันจะมีปุ่มขึ้นด้านล่างให้เรากดเปรียบเทียบข้อมูลของกองทุนที่เราเลือกไว้ได้ครับ ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบกองทุนได้สูงสุดถึง 10 กองเลยทีเดียว! นอกจากนี้แล้ว ยังมีของเล่นเด็ดอีกชิ้นที่อยากแนะนำ เห็นช่องสี่เหลี่ยมจตุรัสเล็กๆ ด้านหน้าชื่อกองทุนไหมครับ? สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็น Killer Function ของที่นี่เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเราติ๊กถูกหน้าชื่อกองทุนหลาย ๆ กอง มันจะมีปุ่มขึ้นด้านล่างให้เรากดเปรียบเทียบข้อมูลของกองทุนที่เราเลือกไว้ได้ครับ ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบกองทุนได้สูงสุดถึง 10 กองเลยทีเดียว! ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่นเปรียบเทียบกองทุน
ข้อมูลการจัดอันดับกองทุน ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่นเปรียบเทียบกองทุน ข้อมูลการจัดอันดับกองทุน ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต พอคลิก “เปรียบเทียบกองทุน” แล้ว ก็จะขึ้นหน้าตาแบบนี้ เปรียบเทียบข้อมูลครบทุกด้านเลยครับ พอคลิก “เปรียบเทียบกองทุน” แล้ว ก็จะขึ้นหน้าตาแบบนี้ เปรียบเทียบข้อมูลครบทุกด้านเลยครับ ผลการเปรียบเทียบกองทุน ข้อมูลผลตอบแทน ณ วันที่ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการเปรียบเทียบกองทุน ข้อมูลผลตอบแทน ณ วันที่ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แนะนำว่าการเปรียบเทียบกองทุน ควรทำกับกองทุนประเภทเดียวกันนะครับ จะช่วยในการตัดสินใจเลือกกองทุนรวมได้ดี เพราะถ้าสมมตินำกองทุนตราสารหนี้กับกองทุนหุ้นมาเปรียบเทียบกัน ก็เหมือนเรานำผลไม้ต่างชนิดมาเปรียบเทียบกันน่ะครับ เนื่องจากลักษณะกองทุนเป็นคนละแบบ ลักษณะผลตอบแทนและความเสี่ยงก็จะไม่เหมือนกันครับ แนะนำว่าการเปรียบเทียบกองทุน ควรทำกับกองทุนประเภทเดียวกันนะครับ จะช่วยในการตัดสินใจเลือกกองทุนรวมได้ดี เพราะถ้าสมมตินำกองทุนตราสารหนี้กับกองทุนหุ้นมาเปรียบเทียบกัน ก็เหมือนเรานำผลไม้ต่างชนิดมาเปรียบเทียบกันน่ะครับ เนื่องจากลักษณะกองทุนเป็นคนละแบบ ลักษณะผลตอบแทนและความเสี่ยงก็จะไม่เหมือนกันครับ เพิ่มเติม ถ้าใครเข้าไปดูข้อมูลกองทุนใดกองทุนหนึ่งแล้ว ก็กดเพิ่มกองทุนเปรียบเทียบจากหน้านั้นได้เช่นกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ รีวิวของใหม่: ‘เปรียบเทียบกองทุน’ Feature ที่สามารถเปรียบเทียบกองทุนได้สูงสุดถึง 10 กอง! ถ้าใครเข้าไปดูข้อมูลกองทุนใดกองทุนหนึ่งแล้ว ก็กดเพิ่มกองทุนเปรียบเทียบจากหน้านั้นได้เช่นกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ รีวิวของใหม่: ‘เปรียบเทียบกองทุน’ Feature ที่สามารถเปรียบเทียบกองทุนได้สูงสุดถึง 10 กอง! กลับมาที่การดูกองทุนเดี่ยว ๆ บ้าง พอเราทำการกรองกองทุนคร่าว ๆ แล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อคือมาเริ่มเจาะลึกกองทุนนั้น ๆ กัน โดยกดไปที่ชื่อกองทุนจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมาครับ พอขออธิบายแยกเป็นส่วน ๆ กลับมาที่การดูกองทุนเดี่ยว ๆ บ้าง พอเราทำการกรองกองทุนคร่าว ๆ แล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อคือมาเริ่มเจาะลึกกองทุนนั้น ๆ กัน โดยกดไปที่ชื่อกองทุนจะเปิดหน้าต่างใหม่ขึ้นมาครับ พอขออธิบายแยกเป็นส่วน ๆ ข้อมูลกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ข้อมูลกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ในส่วนแรกจะเป็นกราฟแสดง NAV ย้อนหลังของกองทุน ซึ่งสามารถดูได้ว่ากองทุนนั้นมี NAV ย้อนหลังในช่วงเวลาต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง อย่างในรูปก็จะเห็นได้ว่ากองทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกำไรอยู่ที่ 29.08% นั่นเองครับ อย่างไรก็ตามการดูผลตอบแทนด้วย NAV จะใช้ไม่ได้กับกองทุนที่มีการเงินปันผลนะครับ ในส่วนแรกจะเป็นกราฟแสดง NAV ย้อนหลังของกองทุน ซึ่งสามารถดูได้ว่ากองทุนนั้นมี NAV ย้อนหลังในช่วงเวลาต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง อย่างในรูปก็จะเห็นได้ว่ากองทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีกำไรอยู่ที่ 29.08% นั่นเองครับ อย่างไรก็ตามการดูผลตอบแทนด้วย NAV จะใช้ไม่ได้กับกองทุนที่มีการเงินปันผลนะครับ เนื่องจากกองทุนที่มีการจ่ายปันผล จะทำการจ่ายปันผลออกมาเป็นเงินสดให้เรา โดยตัดหักออกมาจาก NAV ของกองทุนเลย ทำให้เมื่อดู NAV ของกองเหล่านี้ จะมีจังหวะสะดุดลงมา ทำให้ไม่สามารถดูผลตอบแทนจาก NAV เพียงลำพังได้ ต้องรวมเงินสดที่เราได้รับกลับเข้าไปก่อน อ่านเพิ่มเติม เลือกกองทุนแบบจ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผลดี? แล้วคุณเหมาะกับแบบไหน? เลือกกองทุนแบบจ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผลดี? แล้วคุณเหมาะกับแบบไหน? ข้อมูลกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ข้อมูลกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ถัดมาก็จะเป็นรายละเอียดของกองทุน ไม่ว่าเป็น บลจ. ที่ออกกองทุน ประเภทกองทุน ค่าธรรมเนียมต่างๆ นโยบายการจ่ายปันผล รวมถึงขั้นต่ำการลงทุนที่นักลงทุนจำเป็นต้องลงทุนในจำนวนเท่านั้น หรือ สูงกว่า 3D Diagram กองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 3D Diagram กองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต เลื่อนลงมาอีกนิดจะเจอ 3D Diagram ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Signature ของ FINNOMENA เลย โดยเจ้า 3D Diagram นี้จะเป็นการนำข้อมูล ผลตอบแทนย้อนหลัง (Past Performance), ผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjusted Return), จุดขาดทุนสุงสุด (Maximum Drawdown) เข้ามาทำเป็นรูปแบบกราฟ 3 แกนให้ดูเข้าใจง่ายมากขึ้น โดยใช้ผลการดำเนินงานทั้ง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปีเข้ามาคำนวณ เลื่อนลงมาอีกนิดจะเจอ 3D Diagram ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Signature ของ FINNOMENA เลย โดยเจ้า 3D Diagram นี้จะเป็นการนำข้อมูล ผลตอบแทนย้อนหลัง (Past Performance), ผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjusted Return), จุดขาดทุนสุงสุด (Maximum Drawdown) เข้ามาทำเป็นรูปแบบกราฟ 3 แกนให้ดูเข้าใจง่ายมากขึ้น โดยใช้ผลการดำเนินงานทั้ง 1 ปี, 3 ปี, 5 ปีเข้ามาคำนวณ อ่านเพิ่มเติม ถอดรหัส! สอนวิธีใช้ FINNOMENA 3D Diagram ตัวช่วยค้นหาสุดยอดกองทุน ถอดรหัส! สอนวิธีใช้ FINNOMENA 3D Diagram ตัวช่วยค้นหาสุดยอดกองทุน ตรงนี้จะขออธิบายแกนขวา (Risk Adjusted Return) และแกนล่าง (Maximum Drawdown) ตรงนี้จะขออธิบายแกนขวา (Risk Adjusted Return) และแกนล่าง (Maximum Drawdown) ผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-Adjusted Return) จะนำผลตอบแทนต่อปีของกองที่สนใจมาหารด้วยความผันผวนของผลตอบแทนกองทุนในช่วงเวลานั้น จะได้เป็นผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยง ถ้ากอง A และ B มีผลตอบแทนที่เท่ากัน กองใดที่มีความผันผวนน้อยกว่า ย่อมมีค่าผลตอบแทนหลังปรับด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่า กองทุนผันผวนหนักย่อมมีผลต่อทั้งจิตใจของนักลงทุนเอง บางคนรับขาดทุนหนัก ๆ ไม่ได้ รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการถอนเงินไปใช้ ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย กองผันผวนหนักมักมีแนวโน้มที่ปรับฐาน ณ จุดใดจุดหนึ่งลึก ๆ ก่อนจะกลับตัวขึ้นมา หากจำเป็นต้องใช้เงินระหว่างปรับฐานย่อมทำให้เกิดการเสียโอกาสขึ้นอย่างน่าเสียดาย ความผันผวนที่ต่ำแสดงให้เห็นถึงการจัดการความเสี่ยงที่ดีของกองทุน กองทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงดีมักจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จุดขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ถ้าคุณต้องการความสงบของจิตใจ สิ่งนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ดูไม่ได้ เพราะถ้าคุณขาดทุน …. 30% คุณต้องทำกำไรกลับมาถึง 43% เพื่อให้คืนทุน ถ้าขาดทุน 50% ต้องทำกำไรกลับมา 100% ถ้าขาดทุน 90% ต้องทำกำไรกลับมา 900% ยิ่งขาดทุนมาก โอกาสในการทำกำไรกลับมายิ่งยาก โอกาสเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่ายิ่งไม่มี กองทุนใด ๆ ก็ตาม ที่สามารถจำกัดการขาดทุนได้ดี เมื่อเกิดการขาดทุนย่อมสามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้ง่ายกว่า ไม่เหนื่อยเหมือนกองทุนที่ขาดทุนลึกนั่นเอง ทั้งหมดนี้ไม่ต้องไปนั่งเปิดกราฟดูเอง FINNOMENA ทำมาให้ดูง่าย ๆ ด้วย 3D Diagram เรียบร้อย โดยยิ่งสามเหลี่ยมใหญ่มากขึ้นก็แสดงว่ากองทุนนั้นมีปัจจัยด้านนั้น ๆ ที่ดีนั่นเอง! กราฟกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 กราฟกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 30 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ต่อมาขอเอาใจสาย Technical กันหน่อย เมื่อกดไปที่แท็บ “กราฟ” ก็จะขึ้นกราฟกองทุนของ TradingView มาให้ครับ ตรงนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงกราฟได้ และใช้เครื่องมือต่าง ๆ ได้เต็มที่เลย ต่อมาขอเอาใจสาย Technical กันหน่อย เมื่อกดไปที่แท็บ “กราฟ” ก็จะขึ้นกราฟกองทุนของ TradingView มาให้ครับ ตรงนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงกราฟได้ และใช้เครื่องมือต่าง ๆ ได้เต็มที่เลย ผลการดำเนินงานกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานกองทุน SCBMSE ณ วันที่ 27 พ.ย. 2563 ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ส่วนต่อมาจะเป็น ตารางผลตอบแทนย้อนหลัง สามารถคลิกแถบด้านบนตรง “ผลการดำเนินงานและปันผล” ได้เลย ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ปันผล หรือ ไม่ปันผลก็สามารถดูได้เหมือนกัน ทาง FINNOMENA มีการคำนวณรวมมาให้แล้ว นอกจากผลการดำเนินงานหรือ Performance ของกองทุนนั้นๆ แล้วยังมีตัวเลขค่าเฉลี่ยผลการดำเนินงานของกองทุนในกลุ่มเดียวกัน รวมไปถึงสามารถตรวจสอบตำแหน่งเมื่อเทียบเป็นร้อยละ (Percentile) ว่า ผลตอบแทนของกองทุนนี้อยู่ในกลุ่มใด ถ้า “ดีที่สุด” หมายความว่ากองทุนนั้นมีผลตอบแทนอยู่ในช่วงร้อยละ 1-5 เมื่อเทียบกับกองทุนทั้งหมด ส่วนต่อมาจะเป็น ตารางผลตอบแทนย้อนหลัง ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่ปันผล หรือ ไม่ปันผลก็สามารถดูได้เหมือนกัน ทาง FINNOMENA มีการคำนวณรวมมาให้แล้ว นอกจากผลการดำเนินงานหรือ Performance ของกองทุนนั้นๆ แล้วยังมีตัวเลขค่าเฉลี่ยผลการดำเนินงานของกองทุนในกลุ่มเดียวกัน รวมไปถึงสามารถตรวจสอบตำแหน่งเมื่อเทียบเป็นร้อยละ (Percentile) ว่า ผลตอบแทนของกองทุนนี้อยู่ในกลุ่มใด ถ้า “ดีที่สุด” หมายความว่ากองทุนนั้นมีผลตอบแทนอยู่ในช่วงร้อยละ 1-5 เมื่อเทียบกับกองทุนทั้งหมด ฝั่งขวามือจะมีข้อมูลเชิงความเสี่ยง อย่าง Standard Deviation หรือค่าความผันผวนของกองทุน ตัวเลขนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี ความผันผวนที่ต่ำแสดงให้เห็นถึงการจัดการความเสี่ยงที่ดีของกองทุน และจากข้อมูลย้อนหลังที่ผ่านมากองทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงดีมักจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ส่วนอีก 2 อันอย่าง Risk-Adjusted Return กับ Max Drawdown เหมือนที่เล่าไปด้านบนครับ ฝั่งขวามือจะมีข้อมูลเชิงความเสี่ยง อย่าง Standard Deviation หรือค่าความผันผวนของกองทุน ตัวเลขนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี ความผันผวนที่ต่ำแสดงให้เห็นถึงการจัดการความเสี่ยงที่ดีของกองทุน และจากข้อมูลย้อนหลังที่ผ่านมากองทุนที่มีการจัดการความเสี่ยงดีมักจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ส่วนอีก 2 อันอย่าง Risk-Adjusted Return กับ Max Drawdown เหมือนที่เล่าไปด้านบนครับ สัดส่วนหุ้นที่ SCBMSE ถือ 5 อันดับแรก ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2563 สัดส่วนหุ้นที่ SCBMSE ถือ 5 อันดับแรก ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ย. 2563 สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน และกลุ่มประเภทตราสารทุน/ตราสารหนี้ที่ SCBMSE ลงทุน
ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 สัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุน และกลุ่มประเภทตราสารทุน/ตราสารหนี้ที่ SCBMSE ลงทุน ข้อมูล ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 ถัดมาอีกนิด สำหรับกองหุ้นไทย จะมี 5 อันดับหุ้นที่กองทุนถือเปิดมาให้ทุกท่านได้ชมกันด้วยครับ โดยถ้าใครที่เล่นหุ้นอยู่แล้วอาจจะคุ้นตากับหุ้นเหล่านี้ บอกใบ้ให้นิดว่าหากเจอชื่อธนาคารแต่มีเลขตามแปลกๆ ส่วนมากจะเป็นเงินฝากนั่นเองครับ ถ้าจังหวะใด ผู้จัดการกองทุนอยากที่จะถือเงินสด เพราะอาจมองว่าหุ้นจะลงก็จะเห็นตัวเลขสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นเอง ถัดมาอีกนิด สำหรับกองหุ้นไทย จะมี 5 อันดับหุ้นที่กองทุนถือเปิดมาให้ทุกท่านได้ชมกันด้วยครับ โดยถ้าใครที่เล่นหุ้นอยู่แล้วอาจจะคุ้นตากับหุ้นเหล่านี้ บอกใบ้ให้นิดว่าหากเจอชื่อธนาคารแต่มีเลขตามแปลกๆ ส่วนมากจะเป็นเงินฝากนั่นเองครับ ถ้าจังหวะใด ผู้จัดการกองทุนอยากที่จะถือเงินสด เพราะอาจมองว่าหุ้นจะลงก็จะเห็นตัวเลขสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นเอง ตัวอย่างข้อมูลการปันผล จากกองทุนที่จ่ายปันผล ตัวอย่างข้อมูลการปันผล จากกองทุนที่จ่ายปันผล และส่วนสุดท้ายสำหรับหุ้นปันผล ก็จะมีประวัติการปันผลย้อนหลัง ตั้งแต่เปิดกองทุนขึ้นมา ตรงนี้มีประเด็นหลายคนอาจจะงงว่า ทำไมมี 2 วัน วันปิดสมุดทะเบียนกับวันปันผล และส่วนสุดท้ายสำหรับหุ้นปันผล ก็จะมีประวัติการปันผลย้อนหลัง ตั้งแต่เปิดกองทุนขึ้นมา ตรงนี้มีประเด็นหลายคนอาจจะงงว่า ทำไมมี 2 วัน วันปิดสมุดทะเบียนกับวันปันผล วันปิดสมุดทะเบียน หรือ XD Date คือวันที่เช็คชื่อว่าใครจะได้รับปันผลนั่นเอง ถ้าคุณมีกองทุนในวันที่ขึ้น XD นั้น ก็จะเป็นการการันตีแน่นอนว่าได้รับปันผลและวันนี้จะเป็นวันที่ NAV มักจะมีการลดลงตามจำนวนเงินปันผลที่จ่ายออกมา (แต่ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ หุ้นที่กองทุนถืออาจจะขึ้นหรือลงในวันนั้นเพิ่มเติมก็ได้) ส่วนเงินที่เราจะได้ จะได้ในช่วงวันที่ปันผลนั่นเอง วันปิดสมุดทะเบียน หรือ XD Date คือวันที่เช็คชื่อว่าใครจะได้รับปันผลนั่นเอง ถ้าคุณมีกองทุนในวันที่ขึ้น XD นั้น ก็จะเป็นการการันตีแน่นอนว่าได้รับปันผลและวันนี้จะเป็นวันที่ NAV มักจะมีการลดลงตามจำนวนเงินปันผลที่จ่ายออกมา (แต่ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ หุ้นที่กองทุนถืออาจจะขึ้นหรือลงในวันนั้นเพิ่มเติมก็ได้) ส่วนเงินที่เราจะได้ จะได้ในช่วงวันที่ปันผลนั่นเอง จะสังเกตได้ว่าการคัดเลือกกองทุนนั้นมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องมองมากมายมากกว่าผลตอบแทนย้อนหลัง อีกมุมนึงที่จะลืมไปไม่ได้ คือนักลงทุนทุกท่านควรเปรียบเทียบคัดเลือกกองทุนโดยอย่าดูกองทุนเพียงแค่ตัวเดียว ควรที่จะเปรียบเทียบกองต่างๆในกลุ่มเพื่อให้มั่นใจว่ากองนั้นๆ มีนโยบายการลงทุนที่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนเอง และมีผลการดำเนินงานในแง่มุมต่าง ๆ ที่ดี จะสังเกตได้ว่าการคัดเลือกกองทุนนั้นมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องมองมากมายมากกว่าผลตอบแทนย้อนหลัง อีกมุมนึงที่จะลืมไปไม่ได้ คือนักลงทุนทุกท่านควรเปรียบเทียบคัดเลือกกองทุนโดยอย่าดูกองทุนเพียงแค่ตัวเดียว ควรที่จะเปรียบเทียบกองต่างๆในกลุ่มเพื่อให้มั่นใจว่ากองนั้นๆ มีนโยบายการลงทุนที่ตรงกับความต้องการของนักลงทุนเอง และมีผลการดำเนินงานในแง่มุมต่าง ๆ ที่ดี เริ่มลงทุนจริง! เริ่มลงทุนจริง! อัพเดท 2 ก.ค. 2564 อยากดูแบบละเอียด เดฟเรนเจอร์ออกบทความใหม่ คลิกไปดูได้เลย พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 15 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 15 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง พาเปิดบัญชีซื้อกองทุนรวม นั่งอยู่บ้าน 15 นาที ไม่ต้องส่งเอกสาร พร้อมเทียบให้หมด ที่ไหนเปิดที่เดียวซื้อได้ทุกบลจ. บ้าง หากนักลงทุนมีสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในใจหรือกองทุนที่ต้องการจะลงทุนได้แล้ว ก็ถึงเวลานำเงินไปลงทุนจริงกันเสียที โดยทางเลือกในตลาดปัจจุบันก็มีอยู่หลายทางเลือก แบ่งได้ตามนี้ 1. เปิดพอร์ตลงทุนกับธนาคาร นักลงทุนสามารถเดินเข้าไปที่สาขาธนาคารใกล้บ้านท่านและเปิดบัญชีได้ทันที ซึ่งบางธนาคารนอกจากจะลงทุนในกองทุนของบลจ. ตัวเองแล้ว ก็เริ่มจะเปิดให้สามารถลงทุนในกองทุนของบลจ. อื่นข้างเคียงด้วยอาทิเช่น TMB Advisory, TISCO เป็นต้น 2. เปิดพอร์ตกับ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาทิเช่น Nomura, Phillip ซึ่งกลุ่มนี้จะมีจุดเด่นด้านการที่สามารถซื้อกองทุนได้ในหลายๆ บลจ. ในที่เดียวรวมถึงสามารถเปิดบัญชีเสริมเพื่อซื้อ SSF, RMF ได้อีกด้วย 3. เปิดพอร์ตกับ FINNOMENA FINNOMENA สำหรับข้อสุดท้ายเป็นการเปิดพอร์ทกับ FINNOMENA ซึ่งมีข้อดีคือ ลงทุนได้หลายบลจ. (ปัจจุบันมี 19 บลจ. ชั้นนำของไทยครบหมดแล้ว) รวมถึงสามารถใช้บริการ FINNOMENA PORT ซึ่งเป็นบริการออกแบบพอร์ตการลงทุนอัตโมมัติพร้อมคอยแนะนำปรับพอร์ตให้คุณเมื่อจำเป็นอีกด้วย ทุกอย่างสามารถทำผ่านทั้งเว็บไซต์และแอพพลิเคชันได้ทันที อ่านเพิ่มเติม พาซื้อกองทุนรวมผ่าน FINNOMENA พร้อมความพิเศษต่าง ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น พาซื้อกองทุนรวมผ่าน FINNOMENA พร้อมความพิเศษต่าง ๆ ที่หาไม่ได้จากที่อื่น คำถาม หรือ ศัพท์ที่พบบ่อย 1. กองทุน 2 กอง ตัวนึง NAV สูงมาก อีกตัว NAV ต่ำกว่า หมายความว่าตัวที่สองถูกกว่า มีโอกาสได้กำไรมากกว่าใช่หรือไม่? คำตอบ ไม่ใช่ เพราะสุดท้ายสิ่งที่จะทำให้เราได้กำไรจากการลงทุนคือผลตอบแทนเป็น % กองทุนที่ NAV สูงอาจจะแค่เปิดกองทุนมานานกว่า (และทำผลตอบแทนเป็นบวกมา) สุดท้ายเมื่อเราเข้าซื้อก็ต้องดูกันต่อไปว่ากองทุนนั้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงว่ากองนั้น NAV สูงแล้วเราจะซื้อได้น้อย เราเพียงแค่ต้องการซื้อในจำนวนเงินที่มากกว่าขั้นต่ำของกองก็เพียงพอ บลจ. จะนำเงินของเราไปหารด้วย NAV ออกมาเป็นหน่วยลงทุนซึ่งมีจุดทศนิยมได้ 4 ตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องซื้อกองทุนเต็มหน่วยแต่อย่างใด คำตอบ 2. ติดดอย คืออะไร? คำตอบ เป็นคำแสลงตลก ๆ ที่นักลงทุนชอบเรียกกันเวลาขาดทุน เมื่อต้นทุนของเราอยู่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันมากๆ ก็เปรียบเสมือนตัวเรา (ต้นทุน) อยู่บนดอยสูง ๆ นั่นเอง คำตอบ 3. กองทุนปันผล และ กองทุนไม่ปันผล แบบไหนดีกว่ากัน? คำตอบ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้ลงทุน กองทุนปันผลจะเหมาะกับนักลงทุนต้องการกระแสเงินสดกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน และไม่ได้ต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคามากนัก หากนักลงทุนต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคา กองทุนปันผลอาจจะไม่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเมื่อมีการจ่ายปันผลออกมา ราคา NAV ของกองทุนจะลดลง ทำให้ราคา NAV ของกองทุนปันผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คำตอบ 4. ซื้อกองทุน IPO ดีไหม? 4. ซื้อกองทุน IPO ดีไหม? คำตอบ การซื้อกองทุน IPO มีข้อดีตรงที่ค่าธรรมเนียมตอนซื้อที่ต่ำกว่าช่วงหลัง IPO เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อกองทุน ควรรอดูผลตอบแทนระยะสั้นประมาณ 3-6 เดือนด้วย เพื่อดูว่าเทียบกับ Benchmark แล้ว ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าไหม คำตอบ การซื้อกองทุน IPO มีข้อดีตรงที่ค่าธรรมเนียมตอนซื้อที่ต่ำกว่าช่วงหลัง IPO เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อกองทุน ควรรอดูผลตอบแทนระยะสั้นประมาณ 3-6 เดือนด้วย เพื่อดูว่าเทียบกับ Benchmark แล้ว ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าไหม คำตอบ การซื้อกองทุน IPO มีข้อดีตรงที่ค่าธรรมเนียมตอนซื้อที่ต่ำกว่าช่วงหลัง IPO เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ค่าธรรมเนียมเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการเลือกซื้อกองทุน ควร คำตอบ รอดูผลตอบแทนระยะสั้นประมาณ 3-6 เดือนด้วย เพื่อดูว่าเทียบกับ Benchmark แล้ว ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือดีกว่าไหม อ่านบทความเกี่ยวกับกองทุนรวมเพิ่มเติม 10 อันดับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม โดย Get Wealth Soon 10 อันดับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม โดย Get Wealth Soon ทำความรู้จักการ DCA (Dollar Cost Average) ทำความรู้จักการ DCA (Dollar Cost Average) ค่าธรรมเนียมกองทุนมีอะไรบ้าง? รวมทุกอย่างที่ต้องรู้ ค่าธรรมเนียมกองทุนมีอะไรบ้าง? รวมทุกอย่างที่ต้องรู้ How to วิเคราะห์กองทุนด้วยตัวเอง How to วิเคราะห์กองทุนด้วยตัวเอง อ่าน Fund Fact Sheet ยังไง ให้เข้าใจกองทุนภายใน 5 นาที? อ่าน Fund Fact Sheet ยังไง ให้เข้าใจกองทุนภายใน 5 นาที? ลงทุนกองไหนดี ? โพยกองทุนรวมอัปเดตล่าสุด ลงทุนกองไหนดี ? โพยกองทุนรวมอัปเดตล่าสุด โปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ เปิดบัญชีลงทุนครั้งแรกกับ FINNOMENA รับหน่วยลงทุน PCASH มูลค่า 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. – 31 พ.ค. 65 คลิก แหล่งอ้างอิง 1 2 | 1. กองทุนรวมมีมืออาชีพดูแแลตลอดเวลา
คนเหล่านี้เป็นผู้จัดการกองทุนที่แต่ละบลจ. ต้องไปสรรหาจอมยุทธ์มือดี เพื่อจะให้มั่นใจว่าเงินทุกบาท ทุกสตางค์ จะถูกนำไปลงทุนให้งอกเงย คนธรรมดาส่วนมากต้องทำงานกัน 5 วัน หาเวลาว่างมาดูหรือหาความรู้การลงทุน เต็มที่ก็เสาร์ อาทิตย์ หรือตอนเย็น ต่างกับพวกคนเหล่านี้ ที่ส่วนมากเรียนจบมาด้านนี้โดยเฉพาะ ใช้เวลาทำงานทั้งชีวิตอยู่กับเรื่องพวกนี้ เรียกว่าระดับฝีมืออาจจะต่างกันเยอะ
2. กองทุนรวมทำให้รายย่อยเข้าถึงการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น
สมมติอยากซื้อหุ้น Facebook อยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา ต้องหาวิธีไปเปิดพอร์ตการลงทุนที่ลงในหุ้นอเมริกาได้ซึ่งขั้นต่ำก็ไม่ใช่น้อยๆ นอกจากนี้ถือเงินบาทอยู่ พี่เขาขอเป็นดอลลาร์ ก็ต้องไปหาแลกเงินดอลลาร์ไปให้เขาอีก เรียกได้ว่ายุ่งยากไปหมด โชคดีในไทย บางบลจ. ได้มีออกกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีนึงให้ แบบขั้นต่ำถูก ๆ และดูแลเรื่องค่าเงินให้อีกด้วย ยังไม่รวมไปถึงสินทรัพย์บางอย่างที่มีกองทุนนำเงินไปลงทุนได้เช่น ทองคำ น้ำมัน อีก
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี
บางคนคงเคยได้ยิน SSF, RMF มาบ้าง แน่นอนการซื้อกองทุนเหล่านี้ทำให้สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ แล้วเผลอๆ ได้ลงทุนให้งอกเงยอีกต่างหาก แต่ข้อแม้คือ ลงทุนไปแล้ว ยังห้ามเอาเงินออกมาใช้ก่อน ตามกำหนดเช่น SSF 10 ปี หรือ RMF ต้องอายุถึง 55 ก่อน เป็นต้น | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1474 | Finance | ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไรต่อปี | A. 0.25 – 1.5%
B. 1 – 2%
C. 0.4 – 2%
D. 4 – 5% | คำตอบได้แก่ D. เนื่องจาก เพราะทองคำ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 5% ต่อปี
ทองคำ เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ธนาคารแห่งชาติทั่วโลกก็นิยมใช้ทองคำเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศ สามารถลงทุนในทองคำได้หลายรูปแบบ เช่น ทองคำแท่ง ตั๋วสัญญา เป็นต้น ความเสี่ยงปานกลาง มีความผันผวนตามปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก แต่ทองคำเป็นทรัพยากรที่จำกัด จึงทำให้มีโอกาสที่ราคาสูงขึ้นได้ในระยะยาว และราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
สภาพคล่องสูง หาซื้อได้ง่ายและขายได้คล่อง สามารถเดินไปซื้อขายที่ร้านทองเองได้ ผลตอบแทนจะได้รับในรูปแบบของส่วนต่างราคา โดยผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 5% ต่อปี | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1488 | Finance | ข้อดี – ข้อจำกัดของกองทุนรวม (SSF RMF) มีอะไรบ้าง | ประกัน VS กองทุนรวม
ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิต
1. กลุ่มแบบประกันสามัญ/ควบคู่การลงทุน
สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
2. กลุ่มประกันบำนาญ
แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. กลุ่มประกันสุขภาพ (ส่วนสัญญาเพิ่มเติม)
ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
กองทุนรวม (SSF RMF)
1. กองทุนรวมเพื่อการออม : Super Saving Fund (SSF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : Retirement Mutual Fund (RMF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
เปิดข้อดี – ข้อจำกัด
ประกันชีวิต
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้
ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้
ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน
กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
กองทุนรวม (SSF RMF)
เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF
ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น
ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน
เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center
จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ
ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ
Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิต
1. กลุ่มแบบประกันสามัญ/ควบคู่การลงทุน
สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
2. กลุ่มประกันบำนาญ
แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. กลุ่มประกันสุขภาพ (ส่วนสัญญาเพิ่มเติม)
ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
กองทุนรวม (SSF RMF)
1. กองทุนรวมเพื่อการออม : Super Saving Fund (SSF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : Retirement Mutual Fund (RMF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
เปิดข้อดี – ข้อจำกัด
ประกันชีวิต
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้
ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้
ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน
กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
กองทุนรวม (SSF RMF)
เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF
ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น
ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน
เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center
จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ
ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ
Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิต
1. กลุ่มแบบประกันสามัญ/ควบคู่การลงทุน
สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
2. กลุ่มประกันบำนาญ
แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. กลุ่มประกันสุขภาพ (ส่วนสัญญาเพิ่มเติม)
ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
กองทุนรวม (SSF RMF)
1. กองทุนรวมเพื่อการออม : Super Saving Fund (SSF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : Retirement Mutual Fund (RMF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
เปิดข้อดี – ข้อจำกัด
ประกันชีวิต
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้
ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้
ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน
กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
กองทุนรวม (SSF RMF)
เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF
ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น
ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน
เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center
จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ
ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ
Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิต
1. กลุ่มแบบประกันสามัญ/ควบคู่การลงทุน
สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
2. กลุ่มประกันบำนาญ
แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. กลุ่มประกันสุขภาพ (ส่วนสัญญาเพิ่มเติม)
ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
กองทุนรวม (SSF RMF)
1. กองทุนรวมเพื่อการออม : Super Saving Fund (SSF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : Retirement Mutual Fund (RMF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
เปิดข้อดี – ข้อจำกัด
ประกันชีวิต
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้
ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้
ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน
กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
กองทุนรวม (SSF RMF)
เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF
ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น
ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน
เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center
จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ
ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ
Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้
เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิต
1. กลุ่มแบบประกันสามัญ/ควบคู่การลงทุน
สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท
2. กลุ่มประกันบำนาญ
แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. กลุ่มประกันสุขภาพ (ส่วนสัญญาเพิ่มเติม)
ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
กองทุนรวม (SSF RMF)
1. กองทุนรวมเพื่อการออม : Super Saving Fund (SSF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
2. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ : Retirement Mutual Fund (RMF)
ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
เปิดข้อดี – ข้อจำกัด
ประกันชีวิต
เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้
ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้
ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้
ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน
กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้
กองทุนรวม (SSF RMF)
เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF
ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น
ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน
เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center
จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ
ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ
Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money
ที่มาบทความ:
คำเตือน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้ ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้ ผลิตภัณฑ์การเงินที่เป็นตัวช่วยในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ด้วยกัน คือ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต และ กลุ่มของผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนในกองทุนรวม SSF RMF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีความแตกต่างกัน ทั้งเงื่อนไข ซึ่งมีทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด โดยจะขอสรุปเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้ เปิดเงื่อนไข – การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ประกันชีวิต สัญญา 10 ปีขึ้นไป กรณีมีเงินคืนทุกปี หรือคืนระหว่างสัญญา ต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปีหรือเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลารวมถึงแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน (Unit Linked) ในส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม ค่าประกันภัย (ยกเว้นส่วนลงทุน) ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท แบบประกันที่มีการจ่ายบำนาญเป็นรายงวดหลังเกษียณ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท เมื่อนับรวม RMF SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ประกันสุขภาพที่คุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ประกันอุบัติเหตุ ประกันโรคร้ายแรงที่มีค่ารักษาพยาบาล (ลดหย่อนได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อนับรวมประกันแบบสามัญ แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท) และประกันสุขภาพของบิดามารดา ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท กองทุนรวม (SSF RMF) ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภทมีทั้งแบบจ่ายและไม่จ่ายเงินปันผล
มีระดับความเสียงให้เลือกตั้งแต่ระดับต่ำ – สูงมาก
ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
สามารถลดหย่อนได้ระหว่างปีภาษี 2563 – 2567
มีเงื่อนไขต้องลงทุนครบ 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ RMF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท ลงทุนในหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่เมื่อเริ่มซื้อต้องซื้อต่อเนื่องทุก ๆ ปี หรือปีเว้นปี โดยไม่ผิดเงื่อนไขต้องถือครองให้ครบ 5 ปีหรือจนครบอายุ 55 ปี
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 5 แสนบาท
เมื่อนับรวมประกันบำนาญ SSF กบข. PVD กอช. กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน ต้องไม่เกิน 5 แสนบาท เปิดข้อดี – ข้อจำกัด ประกันชีวิต เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัว หรือเพื่อเป็นเงินสะสมระยะยาว เงินบำนาญ เพื่อใช้ในยามเกษียณ รวมถึงการมีสวัสดิการเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วย ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเบี้ยประกันที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 15% – 25%ของรายได้ต่อปี ประกันชีวิตสามารถซื้อได้ไม่จำกัด จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีหรือไม่ก็ได้ ข้อดี – ไม่จำกัดการซื้อสูงสุด ไม่ต้องกังวลเรื่องซื้อเกินสิทธิ ได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านความคุ้มครองและยังสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ผลตอบแทนตามกรมธรรม์จะได้รับจำนวนที่แน่นอน (ยกเว้นแบบประกันควบคู่การลงทุน) ส่วนต่างของผลประโยชน์ เงินคืนระหว่างสัญญา ได้รับยกเว้นภาษี
กรณีฉุกเฉิน หากกรมธรรม์มีมูลค่า (จำนวนเงินกู้ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา) สามารถกู้เงินตามสิทธิกรมธรรม์ได้
กรณีค้างชำระเบี้ย มีระยะเวลาผ่อนผัน 30 วัน และหากค้างเบี้ยเกินกำหนดสามารถกู้อัตโนมัติชำระเบี้ยได้ (กรณีกรมธรรม์มีมูลค่าเพียงพอสำหรับชำระเบี้ย)
กรณีเสียชีวิต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ บริษัทประกันจ่ายเป็นเช็คเงินสินไหมมรณกรรมให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้เอาประกันระบุในกรมธรรม์ ไม่ต้องร้องศาล ขอตั้งผู้จัดการมรดก และได้รับเงินตามทุนประกัน ซึ่งจะได้มากกว่าเบี้ยที่ชำระไว้ ข้อจำกัด – ผลตอบแทนของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะได้น้อยกว่ากองทุนรวม (ยกเว้นแบบประกันชีวิตควบคู่การลงทุน) ที่ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกลงทุน กรณียกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดหรือเวนคืนกรมธรรม์จะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันที่ชำระไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแบบประกันและระยะสัญญา และหากนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษี ต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อายุ อาชีพ ความเสี่ยง ที่เข้ามาประกอบการพิจารณารับประกัน หากไม่อยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทประกันรับประกันได้ก็ไม่สามารซื้อประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ กองทุนรวม (SSF RMF) เหมาะสำหรับท่านที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและ ภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF ข้อดี – เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ข้อจำกัด – จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เราเลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน เปิดเทคนิคในการเลือกซื้อประกัน VS กองทุนรวม (SSF RMF) เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี เปรียบเทียบ การคำนวณการยื่นเสียภาษี อัตราฐานภาษีเงินได้ ภาษีที่ต้องชำระระหว่างไม่ได้ซื้อกับซื้อประกันหรือกองทุนรวม SSF RMF โดยคำนึงถึงกระแสเงินสด รายได้ที่มี เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการชำระเบี้ยและการลงทุน เนื่องจากการซื้อขายของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เป็นระยะยาว
เงื่อนไข ควรศึกษาให้เข้าใจถึงเงื่อนไขการซื้อขายของแต่ละแบบ เพื่อป้องกันปัญหาถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง และถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยปรับ
เข้าใจก่อนซื้อ ควรทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อ เช่น ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน ประกันชีวิต ควรรู้ว่าเป็นแบบประกันประเภทใด ระยะสัญญา ชำระเบี้ยกี่ปี มีเงินคืนระหว่างสัญญาอย่างไร ทุนประกันเท่าไร ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
ประกันสุขภาพ ควรรู้ถึงความคุ้มครองวงเงินค่าห้อง ค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลคู่สัญญา ข้อยกเว้นในการคุ้มครอง ระยะเวลารอคอยของแต่ละโรค
กองทุนรวม SSF RMF ควรประเมินความเสี่ยงว่ายอมรับความเสี่ยงได้ระดับใด ศึกษากองทุนที่จะลงทุนจาก Fund Fact Sheet ก่อนเสมอ เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเรา เปรียบเทียบผลตอบแทน ค่าธรรมธรรมเนียมของแต่ละกองทุน เลือกบริษัทประกัน ธนาคาร บล. บลจ. บลน. ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง มีบริการด้านข้อมูล ข่าวสาร รวมถึงช่องทางที่สามารถติดต่อได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ Call Center จากตัวอย่างนี้ เป็นเพียงการคำนวณเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการวางแผนใช้ผลิตภัณฑ์การเงินกับไม่ใช้ผลิตภัณฑ์การเงิน โดยสิ่งที่สำคัญในการเลือกวางแผนภาษี คือ “กระแสเงินสดสภาพคล่อง” ที่มีในการนำมาพิจารณาถึงความคุ้มค่า หากนำมาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องของครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีสภาพคล่องต่ำ มีเงื่อนไขด้านเวลามาเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราไม่สามารถถือครองตามสัญญา หรือซื้อได้ตามเงื่อนไข อาจจะได้รับผลเสีย และเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับนะคะ ก่อนการเลือกซื้อ แนะนำควรศึกษา ทำเข้าใจก่อนตัดสินใจว่าแบบไหนที่เหมาะกับเราและที่สำคัญต้องไม่เกิน “ความสามารถในการชำระ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง ทั้งในวันนี้และในอนาคตนะคะ Thidarat Keereeta, Finance Coach.
Add Money ที่มาบทความ: คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ข้อดีของกองทุนรวม (SSF RMF) เป็นการสร้างวินัยในการลงทุนสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาว
- มีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่หลากหลาย เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ระหว่างทาง
- กำไรส่วนต่างในการขายกองทุนได้รับยกเว้นภาษี
- สามารถลงทุนได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน ธนาคาร บล. บลน. ส่วนใหญ่มีบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย เปิดบัญชีผ่านทางแอปพลิเคชัน ซึ่งการซื้อกองทุนรวมไม่มีเงื่อนไขด้านประวัติสุขภาพ อาชีพ อายุเหมือนการซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
ข้อจำกัดของกองทุนรวม (SSF RMF) จำกัดการซื้อไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด หากซื้อเกินสิทธิ์ ผลประโยชน์จากกำไรส่วนต่างต้องเสียภาษี รวมถึงการขายกองทุนก่อนครบกำหนด หรือผิดเงื่อนไขต้องคืนภาษีย้อนหลังที่เคยได้รับการยกเว้นและต้องชำระดอกเบี้ยปรับให้กับกรมสรรพากร
- ผลตอบแทนของกองทุนขึ้นอยู่กับกองทุนที่เลือกและความสามารถในการลงทุนของผู้จัดการลงทุน
- ต้องคอยติดตามผลการดำเนินงาน ผลตอบแทน สถานการณ์ การปรับการลงทุนให้เหมาะสมตามช่วงเวลา เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว
- กรณีเสียชีวิต มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องร้องศาลขอตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อทายาทโดยธรรมขอรับเงินจากกองทุน
กองทุนรวม (SSF RMF) เหมาะคนสำหรับที่มีฐานภาษี 15% -35% ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุน สำหรับเป็นเงินลงทุนระยะยาวหรือเงินเกษียณ ทั้งนี้ หากฐานภาษีอยู่ที่ 5% – 10% ควรพิจารณาถึงกระแสเงินสดสภาพคล่องและภาษีที่ต้องชำระว่า ควรซื้อกองทุน SSF RMF หรือไม่ เนื่องจากเป็นการลงทุนในระยะยาว และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายและการถือครอง หากไม่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แนะนำซื้อกองทุนทั่วไปจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงื่อนไขการซื้อขาย การถือครองเหมือนกองทุน SSF RMF | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1493 | Finance | อธิบายความหมายของ Default และ Set aside | ถอดคำศัพท์จาก The Uptrend ตอน “ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 10” I REPEAT AFTER ME EP10
“The UpTrend” [Q&A] “ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 10” (7 เม.ย. 2021) “The UpTrend” [Q&A] “ตอบคำถามคาใจนักลงทุนกองทุนรวม ตอนที่ 10” (7 เม.ย. 2021) Drawdown / Maximum drawdown Maximum Drawdown คือ “ผลขาดทุนสูงสุด” เป็นค่า % ที่ได้จากการวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด บอกถึงอดีตที่ผ่านมาของกองทุนนั้น เคยปรับลดลงมากน้อยแค่ไหน แสดงให้เห็นความสามารถในการควบคุมความเสี่ยงของผู้จัดการกองทุน
สังเกตว่าหากกองทุนไหนที่มีค่า Maximum Drawdown ติดลบสูง ๆ (ขาดทุนเยอะ) ผลตอบแทนจะอยู่ในระดับต่ำ เพราะกว่าจะสร้างผลงานให้กลับมาดีได้ต้องใช้เวลา ตรงกันข้ามกองทุนที่มีค่า Maximum Drawdown ติดลบน้อย ๆ (ขาดทุนไม่เยอะ) มักจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
นำมาประมาณ Recovery Time ต่อได้ว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ ถึงจะกลับมาเท่าทุน
นอกจากนี้ ทำให้ผู้ลงทุนได้เช็กความสามารถในการรับความเสี่ยง
การวัดผลจากข้อมูลในอดีต ไม่ได้การันตีอนาคตว่าจะไม่เจอ Drawdown ที่หนักกว่านี้อีก การติดตามการลงทุนในสินทรัพย์ที่เราลงทุนยังคงสำคัญ Maximum Drawdown คือ “ผลขาดทุนสูงสุด” เป็นค่า % ที่ได้จากการวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด บอกถึงอดีตที่ผ่านมาของกองทุนนั้น เคยปรับลดลงมากน้อยแค่ไหน แสดงให้เห็นความสามารถในการควบคุมความเสี่ยงของผู้จัดการกองทุน สังเกตว่าหากกองทุนไหนที่มีค่า Maximum Drawdown ติดลบสูง ๆ (ขาดทุนเยอะ) ผลตอบแทนจะอยู่ในระดับต่ำ เพราะกว่าจะสร้างผลงานให้กลับมาดีได้ต้องใช้เวลา ตรงกันข้ามกองทุนที่มีค่า Maximum Drawdown ติดลบน้อย ๆ (ขาดทุนไม่เยอะ) มักจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม นำมาประมาณ Recovery Time ต่อได้ว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ ถึงจะกลับมาเท่าทุน นอกจากนี้ ทำให้ผู้ลงทุนได้เช็กความสามารถในการรับความเสี่ยง การวัดผลจากข้อมูลในอดีต ไม่ได้การันตีอนาคตว่าจะไม่เจอ Drawdown ที่หนักกว่านี้อีก การติดตามการลงทุนในสินทรัพย์ที่เราลงทุนยังคงสำคัญ Sell in May and Go Away หนึ่งในเรื่องลี้ลับจากตลาดหุ้น (Market Anomaly)
เมื่อสังเกตสถิติย้อนหลังในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นประเทศตะวันตก จะมีช่วงตั้งแต่พฤษภาคมไปจนถึงฮาโลวีน ก็คือปลายตุลาคม (6 เดือนฤดูร้อน) ที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนน้อย เมื่อเทียบกับ 6 เดือนฤดูหนาวช่วงที่เหลือ ทำให้เกิดการขายหุ้นช่วงพฤษภาคม แล้วเข้าซื้อใหม่ช่วงต้นพฤศจิกายนโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะเชื่อว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงช่วงที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
ย้อนไปถึงที่มาของความเชื่อนี้ เชื่อว่าเป็นวลีที่พูดกันเริ่มแรกที่อังกฤษ สำนวนเต็ม ๆ คือ “Sell in May and Come Back on St. Leger’s Day.” สะท้อนถึงวัฒนธรรมสมัยก่อน ที่เหล่าผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น นักปรัชญา พ่อค้า นายธนาคาร จะใช้เวลาพักผ่อนหยุดงานในช่วงฤดูร้อน แล้วกลับมารันวงการอีกทีในงานเทศกาลแข่งม้า St. Leger’s Day ในช่วงกลางเดือน ก.ย. หรือถ้าจะให้พยายามอธิบายให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงเดือน พ.ค. จะเป็นช่วงหลังจากที่ได้รู้ผลประกอบการไตรมาสแรกของแต่ละบริษัท และมีการจ่ายปันผลประจำปีให้ผู้ถือหุ้นแล้ว จึงอาจเกิดการขายหุ้นเพื่อทำกำไรระหว่างทาง ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมาก็ได้
ตั้งแต่ 2013 การสังเกตทางสถิติพบว่า ความเชื่อนี้ไม่ค่อยมีผลต่อตลาดทุนอีกต่อไปแล้ว และการใช้กลยุทธ์การลงทุนตามแนวความเชื่อนี้ จะทำให้พลาดช่วงรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีไปด้วยซ้ำ
อย่างหลายตลาดหุ้น อย่างเช่น NASDAQ ก็เคยให้ผลตอบแทนสูงต่อเนื่องข้ามปี หากยึดตามความเชื่อนี้ ก็คงจะพลาดโอกาสรับผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยส่วนนี้ไป หนึ่งในเรื่องลี้ลับจากตลาดหุ้น (Market Anomaly) เมื่อสังเกตสถิติย้อนหลังในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นประเทศตะวันตก จะมีช่วงตั้งแต่พฤษภาคมไปจนถึงฮาโลวีน ก็คือปลายตุลาคม (6 เดือนฤดูร้อน) ที่ตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนน้อย เมื่อเทียบกับ 6 เดือนฤดูหนาวช่วงที่เหลือ ทำให้เกิดการขายหุ้นช่วงพฤษภาคม แล้วเข้าซื้อใหม่ช่วงต้นพฤศจิกายนโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะเชื่อว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงช่วงที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี ย้อนไปถึงที่มาของความเชื่อนี้ เชื่อว่าเป็นวลีที่พูดกันเริ่มแรกที่อังกฤษ สำนวนเต็ม ๆ คือ “Sell in May and Come Back on St. Leger’s Day.” สะท้อนถึงวัฒนธรรมสมัยก่อน ที่เหล่าผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น นักปรัชญา พ่อค้า นายธนาคาร จะใช้เวลาพักผ่อนหยุดงานในช่วงฤดูร้อน แล้วกลับมารันวงการอีกทีในงานเทศกาลแข่งม้า St. Leger’s Day ในช่วงกลางเดือน ก.ย. หรือถ้าจะให้พยายามอธิบายให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ก็อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงเดือน พ.ค. จะเป็นช่วงหลังจากที่ได้รู้ผลประกอบการไตรมาสแรกของแต่ละบริษัท และมีการจ่ายปันผลประจำปีให้ผู้ถือหุ้นแล้ว จึงอาจเกิดการขายหุ้นเพื่อทำกำไรระหว่างทาง ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมาก็ได้ ตั้งแต่ 2013 การสังเกตทางสถิติพบว่า ความเชื่อนี้ไม่ค่อยมีผลต่อตลาดทุนอีกต่อไปแล้ว และการใช้กลยุทธ์การลงทุนตามแนวความเชื่อนี้ จะทำให้พลาดช่วงรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีไปด้วยซ้ำ อย่างหลายตลาดหุ้น อย่างเช่น NASDAQ ก็เคยให้ผลตอบแทนสูงต่อเนื่องข้ามปี หากยึดตามความเชื่อนี้ ก็คงจะพลาดโอกาสรับผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยส่วนนี้ไป Catalyst / Foreign Limit Catalyst แปลว่าตัวเร่งปฏิกิริยา ตัวอย่างของ Catalyst คือ Foreign Limit (Foreign Ownership Limit)
ปลายกันยา 2015 เวียดนามออก พ.ร.บ. อนุญาตให้ชาวต่างชาตถือหุ้นบริษัทมหาชน ถือหุ้นได้ 100% ที่ไม่อยู่ในกลุ่มธุรกิจถูกยกเว้น อย่างบริษัทที่ให้บริการสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการภายในประเทศ ถูกลิมิติที่สูงสุดไม่เกิน 49%
Sai Gon Securities Inn (SSI) เป็นบริษัทแรกในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ประกาศให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ในปีเดียวกันกับการออกกฎหมาย
หุ้นของบริษัทที่ประกาศเช่นนี้ มักจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงราคาบวกขึ้นแรง เพราะหลายธุรกิจโดยเฉพาะที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี จำเป็นต้องให้เงินทุนสูง Catalyst แปลว่าตัวเร่งปฏิกิริยา ตัวอย่างของ Catalyst คือ Foreign Limit (Foreign Ownership Limit) ปลายกันยา 2015 เวียดนามออก พ.ร.บ. อนุญาตให้ชาวต่างชาตถือหุ้นบริษัทมหาชน ถือหุ้นได้ 100% ที่ไม่อยู่ในกลุ่มธุรกิจถูกยกเว้น อย่างบริษัทที่ให้บริการสื่อกลางการชำระค่าสินค้าและบริการภายในประเทศ ถูกลิมิติที่สูงสุดไม่เกิน 49% Sai Gon Securities Inn (SSI) เป็นบริษัทแรกในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ประกาศให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ในปีเดียวกันกับการออกกฎหมาย หุ้นของบริษัทที่ประกาศเช่นนี้ มักจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงราคาบวกขึ้นแรง เพราะหลายธุรกิจโดยเฉพาะที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี จำเป็นต้องให้เงินทุนสูง Default / Set aside Default แปลว่า ผิดนัดชำระหนี้ เป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้
ข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้คือผลตอบแทนการันตีล่วงหน้าตามดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะถ้าเจ้าหนี้หรือผู้ออกตราสารเกิดวิกฤติจนไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้เต็มจำนวนตามเวลา ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนล่าช้า หรืออาจถึงขั้นได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
Set aside แปลว่า กันไว้ แยกไว้ ในภาษาการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนตราสารหนี้ จะหมายถึงการที่กองทุนตราสารหนี้แยกการคำนวณ “ตราสารหนี้ที่มีปัญหา” ออกจากการคำนวณ NAV ชั่วคราว เพื่อรอจนกว่าสถานการณ์ที่เป้นปัญหาจะคลี่คลายลง
จุดประสงค์คือลดการขายแบบตื่นตระหนก (Panic Sell) รักษาสภาพคล่องของกองทุน
ตัวอย่างกรณีการบินไทย ที่เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ หุ้นกู้ที่ออกโดยการบินไทนมีโอกาสไม่ชำระหนี้ตามกำหนด (Default) จากเหตุการณ์นี้ TRIS ปรับลดเครดิตเรทติ้งการบินไทยทั้งตัวองค์กรและเครดิต จาก A เหลือ D ซึ่งหมายถึง Default (จากเกรด A ตกชั้นมาเป็น Junk bond) เนื่องจากเมื่อเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้บริษัทเข้าสู่ภาวการณ์พักชำระหนี้ กับเจ้าหนี้ทุกราย Default แปลว่า ผิดนัดชำระหนี้ เป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้ ข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้คือผลตอบแทนการันตีล่วงหน้าตามดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะถ้าเจ้าหนี้หรือผู้ออกตราสารเกิดวิกฤติจนไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้เต็มจำนวนตามเวลา ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนล่าช้า หรืออาจถึงขั้นได้รับเงินคืนเต็มจำนวน Set aside แปลว่า กันไว้ แยกไว้ ในภาษาการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนตราสารหนี้ จะหมายถึงการที่กองทุนตราสารหนี้แยกการคำนวณ “ตราสารหนี้ที่มีปัญหา” ออกจากการคำนวณ NAV ชั่วคราว เพื่อรอจนกว่าสถานการณ์ที่เป้นปัญหาจะคลี่คลายลง จุดประสงค์คือลดการขายแบบตื่นตระหนก (Panic Sell) รักษาสภาพคล่องของกองทุน ตัวอย่างกรณีการบินไทย ที่เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ หุ้นกู้ที่ออกโดยการบินไทนมีโอกาสไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ( Default) จากเหตุการณ์นี้ TRIS ปรับลดเครดิตเรทติ้งการบินไทยทั้งตัวองค์กรและเครดิต จาก A เหลือ D ซึ่งหมายถึง Default (จากเกรด A ตกชั้นมาเป็น Junk bond) เนื่องจากเมื่อเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้บริษัทเข้าสู่ภาวการณ์พักชำระหนี้ กับเจ้าหนี้ทุกราย | Default แปลว่า ผิดนัดชำระหนี้ เป็นความเสี่ยงหลักของการลงทุนในตราสารหนี้ รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้ ข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้ คือ ผลตอบแทนการันตีล่วงหน้าตามดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะถ้าเจ้าหนี้หรือผู้ออกตราสารเกิดวิกฤติจนไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้เต็มจำนวนตามเวลา ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนล่าช้า หรืออาจถึงขั้นได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
ส่วน Set aside แปลว่า กันไว้ แยกไว้ ในภาษาการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนตราสารหนี้ จะหมายถึงการที่กองทุนตราสารหนี้แยกการคำนวณ “ตราสารหนี้ที่มีปัญหา” ออกจากการคำนวณ NAV ชั่วคราว เพื่อรอจนกว่าสถานการณ์ที่เป้นปัญหาจะคลี่คลายลง จุดประสงค์ คือ ลดการขายแบบตื่นตระหนก (Panic Sell) รักษาสภาพคล่องของกองทุน
ตัวอย่าง
กรณีการบินไทย ที่เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ หุ้นกู้ที่ออกโดยการบินไทนมีโอกาสไม่ชำระหนี้ตามกำหนด (Default) จากเหตุการณ์นี้ TRIS ปรับลดเครดิตเรทติ้งการบินไทยทั้งตัวองค์กรและเครดิต จาก A เหลือ D ซึ่งหมายถึง Default (จากเกรด A ตกชั้นมาเป็น Junk bond) เนื่องจากเมื่อเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้บริษัทเข้าสู่ภาวการณ์พักชำระหนี้ กับเจ้าหนี้ทุกราย | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1498 | Finance | กองทุน LHCYBER เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับใคร | 1. ผู้นำทางด้าน Network Security ด้านการป้องกันการคุกคามทาง Cyber
2. ผู้ให้บริการระบบสแกนไวรัสแบบไม่ต้องลงซอฟต์แวร์
3. ผู้ให้บริการ Cloud
4. นักลงทุนที่เห็นโอกาสในอุตสาหกรรม Cybersecurity ที่กำลังเติบโต | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ 4. เนื่องจาก กองทุน LHCYBER เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เห็นโอกาสในอุตสาหกรรม Cybersecurity ที่กำลังเติบโต โดยกองทุน LHCYBER ได้ทำการ IPO ไปในวันที่ 29 ก.ค. – 5 ส.ค. 2021 ทั้งในรูปแบบสะสมมูลค่า LHCYBER-A และรูปแบบจ่ายปันผล LHCYBER-D
กองทุน LHCYBER จะมีการลงทุนผ่าน 4 ธุรกิจของกลุ่ม Cybersecurity ได้แก่ Network Security Endpoint Security Security Analytic และ Identity Security และลงทุนในหุ้นเพียง 32 ตัวเน้น ๆ แบบ pure play มีเงื่อนไขลงทุนในธุรกิจที่สัดส่วนรายได้มาจาก Cybersecurity มากกว่า 50% มีสัดส่วนการลงทุนหลักเป็นหุ้นสหรัฐฯ ถึง 75% มีหุ้นผู้นำ อาทิ Zscaler ที่กำไรต่อหุ้นเติบโตถึงปีละ 60% เทียบกับอุตสาหกรรมที่โตปีละ 16% มีการลงทุนใน Isarael ประเทศที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าจนผู้จัดการกองทุนอย่าง Cathie Wood มี ETF แยกออกมาเป็น Isarael Innovation หุ้น Isarael ต่าง ๆ เป็นหุ้นที่ถูกจดทะเบียนใน NASDAQ และหุ้น 80% ในกองดังกล่าวมี EPS เป็นบวก อีกทั้งยังเป็นหุ้นขนาดกลางที่ยังเติบโตได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_155 | Finance | หุ้นปันผลที่ดีเป็นอย่างไร | null | ใช่ เฟ้นหาหุ้นปันผล ดูได้อย่างไร
หุ้นปันผลที่ดี ควรพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ดูจากทั้งข้อมูลเชิงคุณภาพ (สะท้อนถึงแนวโน้มผลประกอบการว่ามีโอกาสเป็น +/-)และข้อมูลเชิงปริมาณ (สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว) บทความนี้ขอกล่าวถึงเฉพาะข้อมูลเชิงปริมาณ ซึ่งจะมอง 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1. ผลประกอบการ ลักษณะที่ดี คือ
ยอดขายดี ดูได้จากตัวเลขยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น หรือลดลง เมื่อเทียบกับยอดขายในอดีต และสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง สะท้อนรายได้ในอดีตเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อกำไรด้วยเช่นกัน
กระแสเงินสดบวก หลายๆครั้ง จะได้ยินคำว่า “ขายดีจนเจ๊ง” ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ต้องเป็นบวกจึงสำคัญ เพราะเป็นการแสดงว่า กิจการมีเงินสดรับมากกว่าจ่าย จากกิจการดำเนินงาน โอกาสที่ขายดีจนเจ๊ง จะลดลง
หนี้สินน้อย ดูได้จากอัตราส่วน Debt to Equity Ratio หรือ สัดส่วน หนี้สินต่อทุน ซึ่งปกติตัวเลขอัตราส่วน DE Ratio จะอยู่ประมาณ 1-2 เท่า ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ดังนั้น หนี้สิน ให้ดู DE Ratio น้อยๆ ยิ่งน้อยยิ่งดี
2. ผลกำไร ลักษณะที่ดี คือ
มีกำไรต่อเนื่อง ดูจากบรรทัดสุดท้ายของงบกำไรขาดทุน และควรดูย้อนหลัง 3-5 ปี เพื่อดูความต่อเนื่องของกำไร
กำไรสะสมโตและจ่ายปันผล ดูต่อเนื่องมาจากกำไรโตต่อเนื่อง เมื่อบริษัทจัดสรรกำไรแล้วจะแบ่งเป็นจ่ายปันผลออกมา กับ เก็บไว้ในกำไรสะสม ซึ่งแปลว่า หุ้นปันผลที่ดี ควรจ่ายปันผลจากกำไรสุทธิในปีนั้นๆ และไม่ได้จ่ายจากกำไรสะสม กล่าวคือ ปันผลที่จ่าย ควรจ่ายจากการทำมาหาได้ในปีนั้นๆ และไม่ไปดึงบุญเก่า(กำไรสะสม) มาจ่าย จึงถือว่าเป็นการจ่ายปันผลที่ดี
อัตราเงินปันผลจ่าย (Dividend Payout Ratio) เป็นอัตราเงินปันผลจ่ายเทียบกับกำไรในปีนั้นๆ ซึ่งควรใช้ตัวเลขจากอดีตที่มีการจ่ายปันผลเกิดขึ้นจริงแล้ว ไม่ได้ดูจากนโยบายการจ่ายปันผล ที่จะระบุอัตราเงินปันผลจ่าย (Dividend Payout Ratio) ซึ่งเป็นตัวเลขขั้นต่ำ และอาจจะจ่ายเฉพาะปีที่มีกำไรเท่านั้น อัตราเงินปันผลจ่ายที่ดี ควรจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิในปีนั้นๆ เพื่อสะท้อนว่ากิจการเน้นจ่ายปันผล | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Classification | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1588 | Finance | ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Portfolio Rebalancing | a. คือการไม่ปรับสมดุลของสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนให้คงสถานะเดิมตามที่เคยได้วางไว้
b. ผลลัพธ์ของการทำ Rebalancing แบบนี้ ก็มีหลาย ๆ งานวิจัย รวมถึงรายงานจาก Franklin Templeton ยืนยันว่าเมื่อเปรียบเทียบพอร์ตการลงทุน ระหว่างพอร์ตที่ Rebalanced และไม่ Rebalanced ในช่วงระยะเวลาการลงทุน 10 ปี พบว่า พอร์ตที่ Rebalanced ทุกเดือน ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ภายใต้ความผันผวนที่น้อยกว่า และมีจุดขาดทุนสูงสุดในระดับที่น้อยกว่า
c. Portfolio Rebalancing คือการปรับสมดุลของสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนให้คงสถานะเดิมตามที่เคยได้วางไว้
d. ทำได้ด้วยการขายสินทรัพย์ที่เกินสัดส่วนจากเดิม ไปเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนต่ำกว่าเดิม หรือจะใช้วิธีเติมเงินเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนต่ำกว่าสัดส่วนเดิมเพียงอย่างเดียว จนกว่าจะทำให้สัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตกลับมาเป็นอย่างเดิมตามที่เคยออกแบบเอาไว้ | คำตอบที่ถูกต้อง ได้แก่ a. คือ การไม่ปรับสมดุลของสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนให้คงสถานะเดิมตามที่เคยได้วางไว้
เนื่องจาก Portfolio Rebalancing คือการปรับสมดุลของสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนให้คงสถานะเดิมตามที่เคยได้วางไว้
ทำได้ด้วยการขายสินทรัพย์ที่เกินสัดส่วนจากเดิม ไปเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนต่ำกว่าเดิม หรือจะใช้วิธีเติมเงินเข้าซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนต่ำกว่าสัดส่วนเดิมเพียงอย่างเดียว จนกว่าจะทำให้สัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตกลับมาเป็นอย่างเดิมตามที่เคยออกแบบเอาไว้
หลาย ๆ งานวิจัย รวมถึงรายงานจาก Franklin Templeton ยืนยันว่าเมื่อเปรียบเทียบพอร์ตการลงทุน ระหว่างพอร์ตที่ Rebalanced และไม่ Rebalanced ในช่วงระยะเวลาการลงทุน 10 ปี พบว่า พอร์ตที่ Rebalanced ทุกเดือน ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ภายใต้ความผันผวนที่น้อยกว่า และมีจุดขาดทุนสูงสุดในระดับที่น้อยกว่า | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_159 | Finance | คำแนะนำการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2565 มีอะไรบ้าง | สรุปเศรษฐกิจต้นปี พร้อมชี้เป้าลงทุนไตรมาสถัดไป “
● อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และกดดันการเติบโตเศรษฐกิจโลก
● ตราสารหนี้ ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงจากการผิดนัดลดลง เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ K-CBOND
● หุ้น ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงสูง สำหรับหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ K-STAR กองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) แนะนำ K-CHINA K-JP K-VIETNAM
● กองทุนผสม ทางเลือกของนักลงทุนสาย(เสี่ยง)กลาง แนะนำกองทุน K-GINCOME ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ
“
ในช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา มีความผันผวนของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือ ตลาดตราสารหนี้ ทำให้การลงทุนในปี 65 เป็นปีที่ท้าทาย และ “อัตราเงินเฟ้อ” เป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนกันอย่างไรได้บ้าง ลองทบทวนพอร์ตการลงทุนกัน “
● อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และกดดันการเติบโตเศรษฐกิจโลก
● ตราสารหนี้ ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงจากการผิดนัดลดลง เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ K-CBOND
● หุ้น ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงสูง สำหรับหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ K-STAR กองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) แนะนำ K-CHINA K-JP K-VIETNAM
● กองทุนผสม ทางเลือกของนักลงทุนสาย(เสี่ยง)กลาง แนะนำกองทุน K-GINCOME ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ
“ “ “ ● อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และกดดันการเติบโตเศรษฐกิจโลก ● อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และกดดันการเติบโตเศรษฐกิจโลก ● อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และกดดันการเติบโตเศรษฐกิจโลก ● ตราสารหนี้ ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงจากการผิดนัดลดลง เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ K-CBOND ● ตราสารหนี้ ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงจากการผิดนัดลดลง เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ K-CBOND ● ตราสารหนี้ ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงต่ำ แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนในประเทศ เนื่องจากความเสี่ยงจากการผิดนัดลดลง เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ K-CBOND ● หุ้น ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงสูง สำหรับหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ K-STAR กองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) แนะนำ K-CHINA K-JP K-VIETNAM ● หุ้น ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงสูง สำหรับหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ K-STAR กองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) แนะนำ K-CHINA K-JP K-VIETNAM ● หุ้น ทางเลือกของนักลงทุนเสี่ยงสูง สำหรับหุ้นรายตัว แนะนำหุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ K-STAR กองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) แนะนำ K-CHINA K-JP K-VIETNAM ● กองทุนผสม ทางเลือกของนักลงทุนสาย(เสี่ยง)กลาง แนะนำกองทุน K-GINCOME ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ ● กองทุนผสม ทางเลือกของนักลงทุนสาย(เสี่ยง)กลาง แนะนำกองทุน K-GINCOME ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ ● กองทุนผสม ทางเลือกของนักลงทุนสาย(เสี่ยง)กลาง แนะนำกองทุน K-GINCOME ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้และตราสารทุนทั่วโลก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ “ “ ในช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา มีความผันผวนของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือ ตลาดตราสารหนี้ ทำให้การลงทุนในปี 65 เป็นปีที่ท้าทาย และ “อัตราเงินเฟ้อ” เป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนกันอย่างไรได้บ้าง ลองทบทวนพอร์ตการลงทุนกัน ในช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา มีความผันผวนของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือ ตลาดตราสารหนี้ ทำให้การลงทุนในปี 65 เป็นปีที่ท้าทาย และ “อัตราเงินเฟ้อ” เป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนกันอย่างไรได้บ้าง ลองทบทวนพอร์ตการลงทุนกัน ในช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา มีความผันผวนของตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือ ตลาดตราสารหนี้ ทำให้การลงทุนในปี 65 เป็นปีที่ท้าทาย และ “อัตราเงินเฟ้อ” เป็นปัจจัยที่ช่วยกำหนดทิศทางการลงทุนกันอย่างไรได้บ้าง ลองทบทวนพอร์ตการลงทุนกัน สรุปสถานการณ์การลงทุนในไตรมาส 1 ปี 65 · ร่องรอยจากการควบคุมสถานการณ์โควิดของแต่ละประเทศ จากการกักตัว หรือมาตรการปิดสถานที่ ทำให้การขนส่งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตทำได้ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าเป็นระยะๆ และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น เป็นที่มาของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นด้วย · ร่องรอยจากการควบคุมสถานการณ์โควิดของแต่ละประเทศ จากการกักตัว หรือมาตรการปิดสถานที่ ทำให้การขนส่งสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตทำได้ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนสินค้าเป็นระยะๆ และราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น เป็นที่มาของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นด้วย · FED ดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จะเห็นได้จากการส่งสัญญาณ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่คาดตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth) ถูกเทขายจำนวนมาก จากความกังวลว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตในอนาคตอาจชะลอตัวได้ · FED ดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเพื่อสกัดเงินเฟ้อ จะเห็นได้จากการส่งสัญญาณ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่คาดตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่งผลต่อหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth) ถูกเทขายจำนวนมาก จากความกังวลว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตในอนาคตอาจชะลอตัวได้ · ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ ตั้งแต่รัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครนในช่วงเดือน ก.พ. ทำให้ประเทศฝั่งตะวันตกตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และดันให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโลกโดยรวม · ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ ตั้งแต่รัสเซียบุกเข้าโจมตียูเครนในช่วงเดือน ก.พ. ทำให้ประเทศฝั่งตะวันตกตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และดันให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโลกโดยรวม ทิศทางการลงทุนจะเป็นอย่างไร ตลาดการเงินจะยังมีความผันผวน ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือ ประเด็นอัตราเงินเฟ้อ ที่มีที่มาหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน จะส่งต่อราคาพลังงาน และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ตลาดการเงินจะยังมีความผันผวน ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือ ประเด็นอัตราเงินเฟ้อ ที่มีที่มาหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะการขาดแคลนวัตถุดิบจากการควบคุมโควิด FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน จะส่งต่อราคาพลังงาน และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยหุ้นจะยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนบวกแต่จะไม่ได้เติบโตแบบร้อนแรงอย่างปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นต่างๆทั้งการเงินและการคลังได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยหุ้นจะยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนบวกแต่จะไม่ได้เติบโตแบบร้อนแรงอย่างปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นต่างๆทั้งการเงินและการคลังได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ คำแนะนำการลงทุนสำหรับ ไตรมาสที่ 2 สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงต่ำ ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ โดย บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองบวกต่อตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ จากอัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลงจากผลของเศรษฐกิจที่ค่อยๆกลับมาฟื้นตัว หากเป็นกองทุน ขอแนะนำ K-CBOND สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงต่ำ ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ โดย บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองบวกต่อตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ จากอัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลงจากผลของเศรษฐกิจที่ค่อยๆกลับมาฟื้นตัว หากเป็นกองทุน ขอแนะนำ K-CBOND สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงต่ำ สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงสูง ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุน หุ้น อย่างไรก็ตามสงครามรัสเซียกับยูเครน และการที่ FED อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นยังมีความผันผวนสูง แต่ตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังเติบโต และหุ้นจะฟื้นตัวได้ตามปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างไปในแต่ละภูมิภาค เช่น หุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) ราคาที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นระดับที่น่าทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว หากเป็นกองทุนหุ้นไทย ขอแนะนำ K-STAR แผนการเปิดประเทศมีพัฒนาการที่ดี และผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีค่อนข้างจำกัด สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงสูง ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุน หุ้น อย่างไรก็ตามสงครามรัสเซียกับยูเครน และการที่ FED อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นยังมีความผันผวนสูง แต่ตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังเติบโต และหุ้นจะฟื้นตัวได้ตามปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างไปในแต่ละภูมิภาค เช่น หุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย* (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) ราคาที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นระดับที่น่าทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว หากเป็นกองทุนหุ้นไทย ขอแนะนำ K-STAR แผนการเปิดประเทศมีพัฒนาการที่ดี และผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีค่อนข้างจำกัด สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงสูง หากเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) ขอแนะนำ หากเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) ขอแนะนำ กองทุนหุ้นจีน K-CHINA, K-CCTV, K-CHX ปัจจัยลบเริ่มเบาลง การล็อกดาวน์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รัฐบาลมีท่าทีที่พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าเติบโต 5.5% ในปีนี้ และราคาหุ้นปรับตัวลงมาเยอะจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก น่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีได้เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน กองทุนหุ้นจีน K-CHINA, K-CCTV, K-CHX ปัจจัยลบเริ่มเบาลง การล็อกดาวน์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รัฐบาลมีท่าทีที่พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าเติบโต 5.5% ในปีนี้ และราคาหุ้นปรับตัวลงมาเยอะจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก น่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีได้เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน กองทุนหุ้นญี่ปุ่น K-JP ทิศทางนโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย และระดับราคาหุ้นต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ กองทุนหุ้นญี่ปุ่น K-JP ทิศทางนโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย และระดับราคาหุ้นต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ กองทุนหุ้นเวียดนาม K-VIETNAM การเติบโตโดดเด่นทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น กองทุนหุ้นเวียดนาม K-VIETNAM การเติบโตโดดเด่นทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น นอกจากนี้ยังมีการลงทุนหุ้นเป็น Theme รักษ์โลก อย่างกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE จากบลจ.กสิกรไทย ธีม การลงทุนรักษ์โลกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้จะมีความสามารถในการแข่งขัน และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีการลงทุนหุ้นเป็น Theme รักษ์โลก อย่างกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE จากบลจ.กสิกรไทย ธีม การลงทุนรักษ์โลกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้จะมีความสามารถในการแข่งขัน และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว สำหรับนักลงทุนสายกลาง โดยไม่ต้องการจัดสัดส่วนเอง แนะนำกองทุนผสม อย่างเช่น K-GINCOME เน้นลงทุนตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลกที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกสภาวะตลาด กระจายในกว่า 3,000 สินทรัพย์ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการกระจุกตัว สำหรับนักลงทุนสายกลาง โดยไม่ต้องการจัดสัดส่วนเอง แนะนำกองทุนผสม อย่างเช่น K-GINCOME เน้นลงทุนตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลกที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกสภาวะตลาด กระจายในกว่า 3,000 สินทรัพย์ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการกระจุกตัว สำหรับนักลงทุนสายกลาง สำหรับใครที่จะลงทุนในช่วงไตรมาสที่สอง และต้องการตัวช่วยในวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง แนะนำบริการ Wealth Plus ตัวช่วยวางแผนการลงทุน โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลา และเป้าหมาย เพื่อให้การลงทุนมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์การลงทุน และต้องการลงทุนตามเป้าหมายในระยะยาว สำหรับใครที่จะลงทุนในช่วงไตรมาสที่สอง และต้องการตัวช่วยในวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง แนะนำบริการ Wealth Plus ตัวช่วยวางแผนการลงทุน โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลา และเป้าหมาย เพื่อให้การลงทุนมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์การลงทุน และต้องการลงทุนตามเป้าหมายในระยะยาว Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” Disclaimer: “ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน” ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ขอขอบคุณข้อมูลจาก : KS Daily View วันที่ 12 เม.ย. 65 KS Daily View วันที่ 12 เม.ย. 65 KS Daily View วันที่ 12 เม.ย. 65 KBank Private Banking : 5 แนวทางปรับพอร์ตลงทุนในช่วงวิกฤตซ้อนวิกฤต KBank Private Banking : 5 แนวทางปรับพอร์ตลงทุนในช่วงวิกฤตซ้อนวิกฤต KBank Private Banking : 5 แนวทางปรับพอร์ตลงทุนในช่วงวิกฤตซ้อนวิกฤต บลจ.กสิกรไทย บลจ.กสิกรไทย บลจ.กสิกรไทย บทความโดย K WEALTH GURU สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP® K WEALTH GURU สุนิติ ถนัดวณิชย์ CFP® | คำแนะนำการลงทุนสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2565
- สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงต่ำ ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ โดย บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองบวกต่อตราสารหนี้ภาคเอกชนในประเทศ จากอัตราการผิดนัดชำระหนี้มีแนวโน้มลดลงจากผลของเศรษฐกิจที่ค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว หากเป็นกองทุน ขอแนะนำ K-CBOND
- สำหรับนักลงทุนความเสี่ยงสูง ขอแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนหุ้น อย่างไรก็ตาม สงครามรัสเซียกับยูเครน และการที่ FED อาจขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นยังมีความผันผวนสูง แต่ตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปมากแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังเติบโต และหุ้นจะฟื้นตัวได้ตามปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างไปในแต่ละภูมิภาค เช่น หุ้นกลุ่มที่ปลอดภัย (กลุ่มการแพทย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม REITs) ราคาที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา จึงเป็นระดับที่น่าทยอยสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว หากเป็นกองทุนหุ้นไทย ขอแนะนำ K-STAR แผนการเปิดประเทศมีพัฒนาการที่ดี และผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนมีค่อนข้างจำกัด
- หากเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศ (จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม) ขอแนะนำ
1) กองทุนหุ้นจีน K-CHINA, K-CCTV, K-CHX ปัจจัยลบเริ่มเบาลง การล็อกดาวน์มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รัฐบาลมีท่าทีที่พร้อมจะเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าเติบโต 5.5% ในปี 2565 และราคาหุ้นปรับตัวลงมาเยอะจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก น่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีได้เมื่อรัฐบาลส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน
2) กองทุนหุ้นญี่ปุ่น K-JP ทิศทางนโยบายการเงินยังคงผ่อนคลาย และระดับราคาหุ้นต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ
3) กองทุนหุ้นเวียดนาม K-VIETNAM การเติบโตโดดเด่นทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
- นอกจากนี้ยังมีการลงทุนหุ้นเป็น Theme รักษ์โลก อย่างกองทุน K-CHANGE และ K-CLIMATE จากบลจ.กสิกรไทย ธีม การลงทุนรักษ์โลกได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจที่นำแนวคิด ESG มาปรับใช้จะมีความสามารถในการแข่งขัน และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว
- สำหรับนักลงทุนสายกลาง โดยไม่ต้องการจัดสัดส่วนเอง แนะนำกองทุนผสม อย่างเช่น K-GINCOME เน้นลงทุนตราสารหนี้และหุ้นทั่วโลกที่สร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ ในทุกสภาวะตลาด กระจายในกว่า 3,000 สินทรัพย์ช่วยลดความผันผวนและความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
- สำหรับใครที่จะลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2565 และต้องการตัวช่วยในวางแผนการลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง แนะนำบริการ Wealth Plus ตัวช่วยวางแผนการลงทุน โดยพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระยะเวลา และเป้าหมาย เพื่อให้การลงทุนมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์การลงทุน และต้องการลงทุนตามเป้าหมายในระยะยาว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1591 | Finance | ข้อมูลของงานวิจัยจาก PWC ในปี 2019 และปี 2020 พบว่ากลุ่มนักลงทุน Crypto Hedge Fund ประมาณ 50 % เป็นกลุ่มใด | a. Family Offices
b. Asset Management
c. Wealth Management Firms
d. High Net Worth
e. Fund of Funds | คำตอบคือ d. เพราะว่า ก่อนหน้านี้คนที่สนใจสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นกลุ่มเฉพาะเพียงเท่านั้น และเริ่มขยับขนาดวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบัน จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของงานวิจัยจาก PWC พบว่า ในปี 2019 และปี 2020 พบว่ากลุ่มนักลงทุน Crypto Hedge Fund ประมาณ 50 % เป็นกลุ่ม High Net Worth หรือผู้ที่มีสินทรัพย์สูง รองลงมาคือ Family Offices, Fund of Funds, Asset Management, Wealth Management Firms ตามลำดับ อาจจะเพราะกลุ่มของ High Net Worth มีสินทรัพย์จำนวนมาก จึงพยายามมองหาการกระจายเงินและมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่การจะลงทุนในสินทรัพย์ชนิดนี้เองก็ขาดเวลาในการติดตามสถานการณ์จึงเลือกใช้บริการกองทุน Hedge Funds ก็เป็นไปได้เช่นกัน
จากรายงานดังกล่าว ข้อมูลที่ได้ปรากฏว่า 30% จะมีเม็ดเงินลงทุนต่อคน 1 แสนถึง 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ 5 แสนถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์หรือ 300 ล้านบาทต่อคนมีประมาณ 3 % นั่นทำให้เห็นว่ามีคนมั่นใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากในระดับหนึ่ง ระดับที่ใส่เม็ดเงินขนาดนี้เข้ามาหรืออีกกรณีคืออาจจะเป็น เงินเพียง 1-5 % ของพอร์ตรวมของพวกเขาก็ได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1593 | Finance | IPO คืออะไร? | IPO หรือที่เรียกกันแบบเต็ม ๆ ว่า Initial Public Offering คือ การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณะชนคนบ้าน ๆ อย่างเรา ๆ หรือที่เรียกกันเท่ ๆ ว่า “นักลงทุน” ซึ่งจะทำให้บริษัท เปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน (Private Company) เป็นบริษัทมหาชน (Public Company) สำหรับพวกเราทุกคน ให้เราทุกคนได้ลงทุน
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้เติบโตจนถึงจุดหนึ่ง และผ่านกฎเกณฑ์เงื่อนไขของ กลต. เป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัทจะต้องมีมูลค่าราว ๆ 1 พันล้านเหรียญ หรือ คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะกลายเป็นบริษัท “ยูนิคอร์น” อย่างที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง
IPO แล้วใครได้ประโยชน์?
1. บริษัท
หลังการ IPO บริษัทก็จะได้เงินทุนจากนักลงทุนไปสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ตามเจตจำนงของผู้บริหาร เช่น ขยายธุรกิจเพิ่มเติมให้เติบโตยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจร้านอาหารก็ไปขยายสาขาเพิ่มเติม หรือ ธุรกิจเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็อาจจะนำเงินที่ได้ไปวิจัย พัฒนาให้แข็งแกร่งและดี ยิ่ง ๆ ขึ้นไป หรือจะนำไปเสริมสภาพคล่องบริษัทให้เข้มแข็งขึ้นก็ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นอีกหนึ่งประโยชน์ที่น่าสนใจของบริษัทก็คือ เงินของนักลงทุนนั้นไม่เหมือนกับการกู้ยืมที่ต้องหาเงินมาใช้ให้ได้ โดยเงินของนักลงทุน เป็นเงินที่หากเกิดการสูญเสียทางบริษัทจะไม่ต้องรับผิดชอบ หุ้นที่ถืออยู่จะหมดคุณค่า และการจ่ายปันผลจะจบลง
2. ผู้ถือหุ้น และ นักลงทุน
นั้นการที่บริษัทเปลี่ยนสถานะจาก บริษัทเอกชน มาเป็น บริษัทมหาชน ยังเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ นักลงทุนบุคคล (Private Investors) หรือที่เรียกกันว่า “วงใน” (ครอบครัว เพื่อน ๆ หรือ Angel Investors) ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน ที่คิดจากส่วนแบ่งหุ้นภายใน ได้อีกด้วย
นอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนภายนอกอย่างเรา ๆ เข้าลงทุนกับบริษัทที่เราคิดว่ามีศักยภาพดี พร้อมเติบโตในอนาคต สร้างผลกำไรและเงินปันผลให้กับเรา
อีกทั้งการ IPO ยังช่วยเพิ่มความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท เนื่องจากบริษัทจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณ์ต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบบัญชี เป็นต้น | IPO หรือที่เรียกกันแบบเต็ม ๆ ว่า Initial Public Offering คือ การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณะชนคนบ้าน ๆ อย่างเรา ๆ หรือที่เรียกกันเท่ ๆ ว่า “นักลงทุน” ซึ่งจะทำให้บริษัท เปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชน (Private Company) เป็นบริษัทมหาชน (Public Company) สำหรับพวกเราทุกคน ให้เราทุกคนได้ลงทุน
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทได้เติบโตจนถึงจุดหนึ่ง และผ่านกฎเกณฑ์เงื่อนไขของ กลต. เป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัทจะต้องมีมูลค่าราว ๆ 1 พันล้านเหรียญ หรือ คิดเป็นเงินไทยราว ๆ 3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งจะกลายเป็นบริษัท “ยูนิคอร์น” อย่างที่เราคุ้นหูกันนั่นเอง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1604 | Finance | รายละเอียดในการลงทุนในหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Crypto ปี 2564 เป็นอย่างไร | กระแสการลงทุนใน Cryptocurrency นับได้ว่าร้อนแรงเกินต้านเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ Crypto ยังนับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ในโลกการเงิน หลายคนก็ยังลังเลที่จะเข้าลงทุนใน Crypto คลิปนี้จะชวนมาดูว่าเรามีทางเลือกการลงทุนใน Crypto รูปแบบอื่น ๆ แบบไหนบ้าง ที่อาจมีความผันผวนน้อยกว่า และไม่ต้องเข้าซื้อ Crypto ด้วยตัวเอง
1. ลงทุนในหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Crypto
การลงทุนในหุ้นบริษัทลักษณะนี้ อาจทำให้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของการลงทุนได้ง่ายขึ้น เพราะมีข้อมูลยอดขาย กำไร หนี้สินจากการดำเนินธุรกิจให้เห็นกัน
อาจแยกตามลักษณะธุรกิจ เช่น
ธุรกิจให้บริการการซื้อขาย Crypto เช่น Square (SQ:US) เป็นบริษัทเจ้าของแอป Mobile Payment ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยการทำให้การโอนเงินสด หรือ Crypto เป็นเรื่องง่าย
ธุรกิจบริการขุด Crypto เช่น Riot Blockchain (RIOT:US) บริษัทที่ก่อตั้งมาเพื่อขุด Bitcoin บริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาอย่าง Nasdaq
ธุรกิจผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น ชิป การ์ดจอ เพราะว่ายิ่งมีความต้องการ Crypto มากขึ้นเท่าหร่ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการขุดก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นตามไปด้วย อย่างที่ Nvidia (NVDA:US) บริษัทผลิตการ์ดจอชื่อดัง มียอดขายพุ่งสูงขึ้นจากความต้องการขุด Crypto จนในปัจจุบันได้ผลิตการ์ดจอเพื่อนักขุดมืออาชีพโดยเฉพาะออกมา
สำหรับการเข้าถึงการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ อาจลงทุนผ่านโบรกเกอร์หุ้นที่ให้บริการการลงทุนหุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเหล่านี้อีกทีก็ได้
2. ลงทุนใน Trust ที่ลงทุนใน Crypto อีกที
Trust หรือกองทรัสต์ คือรูปแบบการลงทุนที่เกิดขึ้นจากพื้นฐานของความเชื่อใจ นั่นคือผู้ก่อตั้ง Trust จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์ให้ Trustee เป็นผู้บริหารจัดการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับประโยชน์ (Beneficiary)
สำหรับตัวอย่าง Trust ที่บริหาร Crypto โดยเฉพาะ ได้แก่ ETCG (Ethereum Classic Investment Trust) และ GBTC (Grayscale Bitcoin Investment Trust) จัดตั้งโดยบริษัท Grayscale ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับ Ark Investment ที่มักจะเติมเงินลงทุนใน Trust ทั้ง 2 กองนี้อยู่เรื่อย ๆ
ข้อดีของการลงทุน Crypto ผ่าน Trust ก็คือการที่มีผู้บริหารสินทรัพย์ ตัดสินใจซื้อ ขาย สะสมมูลค่า รักษาความปลอดภัยให้ โดยไม่ต้องลงทุนด้วยตัวเองโดยตรง แลกกับค่าธรรมเนียมในการบริหาร Trust
ผู้ที่สนใจลงทุนใน Trust 2 กองนี้ อาจเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนใน ARKW ETF จาก Ark Investment ก็ได้เช่นกัน | ลงทุนในหุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Crypto
1. การลงทุนในหุ้นบริษัทลักษณะนี้ อาจทำให้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของการลงทุนได้ง่ายขึ้น เพราะมีข้อมูลยอดขาย กำไร หนี้สินจากการดำเนินธุรกิจให้เห็นกัน
2. อาจแยกตามลักษณะธุรกิจ เช่น
- ธุรกิจให้บริการการซื้อขาย Crypto เช่น Square (SQ:US) เป็นบริษัทเจ้าของแอป Mobile Payment ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยการทำให้การโอนเงินสด หรือ Crypto เป็นเรื่องง่าย
- ธุรกิจบริการขุด Crypto เช่น Riot Blockchain (RIOT:US) บริษัทที่ก่อตั้งมาเพื่อขุด Bitcoin บริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาอย่าง Nasdaq
- ธุรกิจผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น ชิป การ์ดจอ เพราะว่ายิ่งมีความต้องการ Crypto มากขึ้นเท่าหร่ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการขุดก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นตามไปด้วย อย่างที่ Nvidia (NVDA:US) บริษัทผลิตการ์ดจอชื่อดัง มียอดขายพุ่งสูงขึ้นจากความต้องการขุด Crypto จนในปัจจุบันได้ผลิตการ์ดจอเพื่อนักขุดมืออาชีพโดยเฉพาะออกมา
3. สำหรับการเข้าถึงการลงทุนในหุ้นเหล่านี้ อาจลงทุนผ่านโบรกเกอร์หุ้นที่ให้บริการการลงทุนหุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเหล่านี้อีกทีก็ได้ | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1627 | Finance | MediaTek ผู้ผลิต processor สัญชาติใด | ก. ไทย
ข. ไต้หวัน
ค. จีน
ง. ฝรั่งเศษ | คำตอบได้แก่ ข. เพราะว่า MediaTek ผู้ผลิต processor สัญชาติไต้หวัน เจ้าของแบรนด์ Helio, Dimensity กำลังได้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีนอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากมือถือค่ายจีนพยายามกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพา Qualcomm Snapdragon ที่อาจโดนรัฐบาลสหรัฐแบนห้ามใช้วันไหนก็ได้
ในอดีต MediaTek มักเลือกทำตลาดแค่ส่วนมือถือ low-end แต่ช่วงหลังเทคโนโลยีพัฒนาดีขึ้น หันมาจับตลาด mid-end มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Dimensity 1000 ก็ถูกใช้ในมือถือรุ่น realme X7, Redmi K30, OPPO Reno5, Honor V40 (จับตา Honor ให้ดีเพราะเป็นแบรนด์ลูก Huawei ที่ถูกขายออกมาเพื่อให้ซื้อชิปใช้งานได้)
ขณะที่ล่าสุด MediaTek ประกาศเปิดตัวชิป Dimensity 1100, 1200 ที่มีแนวโน้มจะใช้ในทุกแบรนด์มือถือจีนตัวหลักรายได้ MediaTek ไตรมาส 4 เติบโต 49% YoY ซึ่งการเปิดตัวชิป 5G ก็ช่วยให้บริษัทขายได้ราคาแพงขึ้น ดันกำไรบวกเกิน 100% YoY
ล่าสุดชิป 5G ของ MediaTek มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 40% แล้ว เรียกได้ว่าสู้กับ Qualcomm Snapdragon ได้สูสีเลย
บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีมือถือ 5G ขายได้ทั้งหมด 500 ล้านเครื่องทั่วโลก และจะขายได้สัดส่วนมากกว่า 4G ตั้งแต่ไตรมาส 1 เลย โดยตลาด 60% อยู่ในจีน ประเทศที่มีการวางระบบ 5G พร้อมที่สุดในโลก
คาดรายได้ไตรมาส 1 นี้จะโตระหว่าง 58-71% YoY แต่ก็หนีไม่พ้นปัญหาชิปผลิตไม่ทันที่คาดว่าจะต้องเจอไปอีก 2 ไตรมาส
MediaTek วางตัวได้อยู่ในจุดที่น่าสนใจ เนื่องจากไม่ต้องไปโฆษณาเองให้อลังการ ปล่อยหน้าที่นั้นให้เป็นของแบรนด์มือถือ เช่น Xiaomi, Oppo, Vivo, Realme ทำไป ส่วน MediaTek จะคอยป้อนชิปให้ทุกแบรนด์ไปทำการตลาดแข่งกันเอง (เสือนอนกินชัด ๆ)
อีกหนึ่งผู้ได้ประโยชน์จากการเริ่มต้นใช้งาน 5G BottomLiner | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1703 | Finance | นักลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ 100 อันดับแรก ใช้เวลาทำรายการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม FINNOMENA เฉลี่ยเดือนละประมาณกี่วัน | 1. 7 วัน
2. 30 วัน
3. 20 วัน
4. 10 วัน | ตอบ 1. นักลงทุนกลุ่มนี้ใช้เวลาทำรายการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม FINNOMENA เฉลี่ยปีละ 84 วัน ตกเดือนละประมาณ 7 วัน และอาทิตย์ละ 2 วัน
| 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_172 | Finance | เมื่อ LTF ครบกำหนด การโยกเงิน สามารถทำได้ 2 กรณี คืออะไรบ้าง | null | คำถามสำคัญที่นักลงทุนควรตอบตัวเองให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะทำยังไงกับกองทุน LTF ที่ครบกำหนด คือ ผลตอบแทนของกองทุน LTF ที่ลงทุนอยู่นั้นเป็นอย่างไร สถานะทางการเงิน และเป้าหมายการเงินตอนลงทุนในอดีตกับตอนนี้เปลี่ยนไปหรือไม่
เมื่อ LTF ครบกำหนด การโยกเงิน สามารถทำได้ 2 กรณี คือ
1) เปลี่ยนจาก LTF เป็นกองทุนอื่น : ข้อดีคือ เป็นการปรับสัดส่วนการลงทุน โดยหากนักลงทุนยังต้องเสียภาษีแนะนำให้ลงทุนใน SSF หรือ RMF แต่ถ้าไม่ได้ต้องการประโยชน์ทางภาษีแล้วอยากลงทุนก็เลือกให้เหมาะกับตัวเอง ซึ่งต้องไม่ลืมว่า LTF เป็นกองหุ้น ก็ถือโอกาสดูหน่อยว่าพอร์ตลงทุนตอนนี้ควรเพิ่มหุ้นเข้าไปอีก หรือควรไปลงอย่างอื่น ทั้งนี้การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนใน บลจ. เดิมส่วนใหญ่จะไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ในขณะเดียวกันการสับเปลี่ยนไปยัง บลจ. อื่นอาจมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
2) ขาย LTF เอาเงินไปทำอย่างอื่น : เป็นการโยกเงินออกจากกองทุน LTF เพื่อไปทำตามวัตถุประสงค์ของตนเองในขณะนั้น เช่น เก็บสำรองเพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือ สำรองไว้เป็นทุนการศึกษา ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีเป้าหมายใช้เงินชัดหรือยังไม่ชัด แต่ถ้ายังไม่รีบใช้ในวันนี้พรุ่งนี้ แนะนำให้เอาเงินไปพักในกองทุนรวมตลาดเงิน เช่น K-CASH ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแต่มีสภาพคล่องสูง | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1779 | Finance | สาเหตุที่ทำให้ราคา Bitcoin ขึ้น ในปี 2563 คืออะไร | Bitcoin สร้างประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้งเมื่อช่วงสายของวันที่ 27 ธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา โดยราคาได้ปรับขึ้นเหนือแนวต้านสำคัญที่ 800,000 บาท และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 822,100 บาท บนกระดานเทรดของไทยอย่าง Bitkub เรียกได้ว่าเป็นของขวัญรับปีใหม่กันเลยทีเดียว!
หยุดไม่อยู่! ราคา Bitcoin เหนือ 820,000 บาท จารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
ด้านกระดานเทรดต่างประเทศอย่าง Binance ราคา Bitcoin ได้ทะลุเหนือระดับ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 25,945 ดอลลาร์ ในช่วงเวลาที่เขียนบทความนี้
สาเหตุที่ทำให้ราคา Bitcoin ขึ้น
การปรับขึ้นของราคา Bitcoin มีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาก้าวข้ามกำแพง 800,000 บาทขึ้นมา คือการเข้าซื้อของบรรดานักลงทุนระดับสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น Grayscale, Square, MicroStrategy, MassMutual, SkyBridge และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก COVID-19
ทำไมบรรดานักลงทุนสถาบันถึงเลือกถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง? นั่นเป็นเพราะเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวน Bitcoin สูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ หมายความว่าอุปทานของ Bitcoin มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่อุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Bitcoin ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะ “Decentralized Digital Currency” หรือ สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ สกุลแรกของโลก
หยุดไม่อยู่! ราคา Bitcoin เหนือ 820,000 บาท จารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
ตามรายงานจาก CoinTelegraph ระบุว่าการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของสถาบัน ล่าสุดได้ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นมาที่ประมาณ 4.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่าตลาดรวมของยักษ์ใหญ่ด้านการเงินอย่าง Visa ที่ประมาณ 4.60 แสนล้านดอลลาร์เสียอีก
ปัจจุบันมี Bitcoin อยู่ในระบบประมาณ 18.5 ล้านเหรียญ โดย Bitcoin เหรียญใหม่จะออกมาก็ต่อเมื่อมีนักขุดสามารถแก้สมการและสร้างบล็อกใหม่ขึ้นบนเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ได้สำเร็จ นักขุดคนนั้นก็จะได้รับ Bitcoin ที่ยังไม่ออกมาในระบบเป็นรางวัล ซึ่งบล็อกใหม่จะเกิดขึ้นทุก ๆ 10 นาทีโดยประมาณ และรางวัลในการขุดอยู่ที่ครั้งละ 6.25 Bitcoin ในปัจจุบัน
หยุดไม่อยู่! ราคา Bitcoin เหนือ 820,000 บาท จารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ 4 ปีโดยประมาณจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Bitcoin Halving ที่จะทำให้รางวัลในการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รางวัลในการขุดถูกลดลงครึ่งหนึ่งจาก 12.5 Bitcoin เหลือ 6.25 Bitcoin นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020
ทิศทางต่อไปของ Bitcoin
ในภาพรวม บรรดานักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างมองทิศทางของ Bitcoin ในปี 2021 เป็นเชิงบวก โดยนักวิเคราะห์จาก Intotheblock ได้ประเมินแนวรับสำคัญของราคา Bitcoin ไว้ที่ระดับ 23,069 ดอลลาร์ และ 23,377 ดอลลาร์ (ประมาณ 693,684 บาท กับ 702,946 บาทโดยประมาณ) หากราคายังยืนเหนือแนวรับนี้ได้ ภาพรวมก็มีแนวโน้มจะขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หยุดไม่อยู่! ราคา Bitcoin เหนือ 820,000 บาท จารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่
ถึงแม้ Bitcoin จะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักในประเทศไทย แต่ในปี 2021 นี้เอง บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินอย่าง Paypal กำลังจะเปิดให้บริการแลกเปลี่ยนและชำระเงินด้วย Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ หมายความว่าผู้ใช้งาน Paypal กว่า 289 ล้านบัญชีและร้านค้านับล้านทั่วโลกสามารถเข้าถึง Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลได้มากขึ้น | การปรับขึ้นของราคา Bitcoin มีปัจจัยสนับสนุนอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาก้าวข้ามกำแพง 800,000 บาทขึ้นมา คือการเข้าซื้อของบรรดานักลงทุนระดับสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น Grayscale, Square, MicroStrategy, MassMutual, SkyBridge และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก COVID-19
นักลงทุนสถาบันเลือกถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง เพราะเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาให้มีจำนวน Bitcoin สูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ หมายความว่าอุปทานของ Bitcoin มีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่อุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก Bitcoin ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในฐานะ “Decentralized Digital Currency” หรือ สกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายอำนาจ สกุลแรกของโลก
ตามรายงานจาก CoinTelegraph ระบุว่าการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของสถาบัน ล่าสุดได้ทำให้มูลค่าตลาดรวมของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นมาที่ประมาณ 4.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่าตลาดรวมของยักษ์ใหญ่ด้านการเงินอย่าง Visa ที่ประมาณ 4.60 แสนล้านดอลลาร์เสียอีก
ปัจจุบันมี Bitcoin อยู่ในระบบประมาณ 18.5 ล้านเหรียญ โดย Bitcoin เหรียญใหม่จะออกมาก็ต่อเมื่อมีนักขุดสามารถแก้สมการและสร้างบล็อกใหม่ขึ้นบนเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ได้สำเร็จ นักขุดคนนั้นก็จะได้รับ Bitcoin ที่ยังไม่ออกมาในระบบเป็นรางวัล ซึ่งบล็อกใหม่จะเกิดขึ้นทุก ๆ 10 นาทีโดยประมาณ และรางวัลในการขุดอยู่ที่ครั้งละ 6.25 Bitcoin ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ 4 ปีโดยประมาณจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Bitcoin Halving ที่จะทำให้รางวัลในการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รางวัลในการขุดถูกลดลงครึ่งหนึ่งจาก 12.5 Bitcoin เหลือ 6.25 Bitcoin นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2020 | 1.เทคโนโลยีทางการเงิน & การเงินดิจิทัล,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1782 | Finance | Centralized Exchange (CEX) คืออะไร | กระแสข่าวการทำกำไรที่ถล่มทลายและมูลค่าของตลาดที่โตแบบก้าวกระโดดของวงการ DeFI (Decentralized Financial) จุดประกายให้นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมาให้ความสนใจกับตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Exchange) มากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้วประเภทของตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Exchange นั้นมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Centralized Exchange และ Decentralized Exchange
Centralized Exchange (CEX)
เป็นตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ที่เท่าที่นักเทรดคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดี ลักษณะการทำงานเหมือนกับเป็นตลาดที่มีพื้นที่สำหรับขายของให้ผู้คนไปเปิดออเดอร์ซื้อขายได้ โดย Exchange ประเภทนี้เปรียบเสมือน Server ตัวกลางในการให้บริการ ทางผู้ใช้ต้องทำการฝากยอดเงินหรือเหรียญต่าง ๆ เข้าไปในบัญชีของเว็บเทรดนั้น ๆ เพื่อเริ่มการเทรด
โดยทางผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถือ Private Key เอง มีเพียงแค่รหัสผ่านในการเข้าใช้ ลักษณะคล้ายกับการบริการของธนาคาร โดยมากแล้วไม่ว่าจะเป็น Centralized Exchange แบบ Local หรือ Global ทางผู้ให้บริการมักจะขอความร่วมมือกับผู้ใช้งานให้ทำการยืนยันตัวตน (ทำ KYC) เพื่อสิทธิพิเศษที่มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเพื่อการอนุมัติวงเงินการซื้อขายที่สูงขึ้น
โดยทั่วไป Exchange ประเภทนี้จะมี wallet อยู่ทั้งสิ้น 2 phase ด้วยกันนั่นก็คือ Hot wallet คือ wallet ที่มีเงินจำนวนหนึ่งสำหรับหมุนเวียนในระบบโดยทั่วไป โดยมากมักจะมีการจำกัดจำนวนที่ตายตัวต่อวัน ว่าจะมีเหรียญหรือ Token ปล่อยให้เทรดชนิดละเท่าไหร่ในระบบ แต่หากวันไหนทางผู้ใช้ได้มีการถอนเหรียญหรือ Token ออกจากมากเกินกว่าที่ทางผู้ให้บริการให้มีสำรองไว้ให้ในระบบ ทางผู้ใช้บริการก็อาจประสบเหตุความล่าช้าในการถอนเงินได้ เนื่องจากทางผู้ให้บริการจะต้องทำการปลดล็อกและโอนเหรียญออกจากโครง wallet หรือ wallet ที่ใช้สำหรับเก็บเหรียญเป็นหลักออกมานั่นเอง
Decentralized Exchange (DEX)
ตลาดการซื้อขายที่ไร้ตัวกลาง ทาง Exchange เปรียบเสมือนตัวกลางที่จะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนปิดออเดอร์ให้กับผู้ใช้โดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้จะสามารถทำการซื้อขายได้โดยที่ไม่ต้องมีการสมัครหรือ KYC ใด ๆ ทั้งสิ้น
มีเพียงแค่การนำ wallet ส่วนตัวที่มีเหรียญต่าง ๆ อยู่ในนั้นไปเชื่อมต่อกับ Decentralized Exchange เหล่านี้ก่อนที่จะเลือกซื้อขายเปลี่ยนได้ทันที โดยทางเว็บไซต์จะโชว์ยอดเหรียญและราคาที่ผู้ใช้ท่านอื่นนำมาตั้งราคาไว้ โดยมากแล้วราคาจะไม่มีการโชว์ให้ผู้ใช้แบบเรียงจากยอดน้อยไปมากให้ค้นหาง่าย ๆ แบบ Centralized Exchange ทั่วไป (โชว์ออเดอร์สะเปะสะปะหรือบางเว็บ เช่น Uniswap ไม่โชว์เลย จะโชว์แค่เพียงราคาที่ดีที่สุด ณ ตอนนั้นเท่านั้น)
การตั้งราคาซื้อขายกับ Exchange ประเภทนี้จะเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนเหรียญหรือ Token ผ่านทางบล็อกเชนโดยตรง นั่นหมายความว่าผู้ใช้เป็นผู้ถือ Private Key ด้วยตนเอง ดังนั้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยจึงสูงกว่า Centralized Exchange เป็นอย่างมาก
แต่จุดอ่อนใหญ่ ๆ ของ Exchange ประเภทนี้ก็คือความหลากหลายของประเภทเหรียญที่เทรดได้ มีค่อนข้างน้อย ยกตัวอย่างเช่น Decentralized Exchange ส่วนมากนั้นจะรันอยู่บนระบบบล็อกเชนของ Ethereum (ERC-20) ดังนั้นหากต้องการเทรดเหรียญอื่นที่อยู่บนบล็อกเชนอื่นเช่น BTC, TRX , XLM จึงเป็นไปไม่ได้
รวมไปถึงความยุ่งยากในการใช้งาน ทำให้นักเทรดส่วนใหญ่จึงมองข้ามการเทรดใน ตลาดนี้และไปใช้บริการ CEX ทั้งหลายแทน ซึ่งสิ่งนี้ได้ส่งผลต่อเนื่องให้สภาพคล่องของตลาดหรือ Volume การเทรดในตลาดประเภทนี้ไม่สูงนัก
แต่หากมองในแง่ของความเป็นส่วนตัวและการเป็นเจ้าของเงินและสิทธิ์ในการบริหารจัดการอย่างแท้จริงของผู้ใช้แล้ว ตลาดซื้อขายประเภทนี้ถือเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มากเช่นเดียวกัน | Centralized Exchange (CEX)
เป็นตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ลักษณะการทำงานเหมือนกับเป็นตลาดที่มีพื้นที่สำหรับขายของให้ผู้คนไปเปิดออเดอร์ซื้อขายได้ โดย Exchange ประเภทนี้เปรียบเสมือน Server ตัวกลางในการให้บริการ ทางผู้ใช้ต้องทำการฝากยอดเงินหรือเหรียญต่าง ๆ เข้าไปในบัญชีของเว็บเทรดนั้น ๆ เพื่อเริ่มการเทรด
โดยทางผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องถือ Private Key เอง มีเพียงแค่รหัสผ่านในการเข้าใช้ ลักษณะคล้ายกับการบริการของธนาคาร โดยมากแล้วไม่ว่าจะเป็น Centralized Exchange แบบ Local หรือ Global ทางผู้ให้บริการมักจะขอความร่วมมือกับผู้ใช้งานให้ทำการยืนยันตัวตน (ทำ KYC) เพื่อสิทธิพิเศษที่มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเพื่อการอนุมัติวงเงินการซื้อขายที่สูงขึ้น
โดยทั่วไป Exchange ประเภทนี้จะมี wallet อยู่ทั้งสิ้น 2 phase ด้วยกันนั่นก็คือ Hot wallet คือ wallet ที่มีเงินจำนวนหนึ่งสำหรับหมุนเวียนในระบบโดยทั่วไป โดยมากมักจะมีการจำกัดจำนวนที่ตายตัวต่อวัน ว่าจะมีเหรียญหรือ Token ปล่อยให้เทรดชนิดละเท่าไหร่ในระบบ
แต่หากวันไหนทางผู้ใช้ได้มีการถอนเหรียญหรือ Token ออกจากมากเกินกว่าที่ทางผู้ให้บริการให้มีสำรองไว้ให้ในระบบ ทางผู้ใช้บริการก็อาจประสบเหตุความล่าช้าในการถอนเงินได้ เนื่องจากทางผู้ให้บริการจะต้องทำการปลดล็อกและโอนเหรียญออกจากโครง wallet หรือ wallet ที่ใช้สำหรับเก็บเหรียญเป็นหลักออกมานั่นเอง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1818 | Finance | คุณมานะ เตียงตระกูลทอง มองว่า FINNOMENA แตกต่างจากการลงทุนที่อื่นอย่างไร | Testimonial: บทสัมภาษณ์ คุณมานะ เตียงตระกูลทอง ที่ปรึกษาบริษัท ไอคัลเลอร์ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ปัจจุบันคุณมานะทำอะไรอยู่บ้าง? เดิมที่เริ่มรู้จักกับฟินโนมีนา ก็เป็นผู้บริหารบริษัท ดูแลงานจนกระทั่ง Early Retire หลังจากออกมาแล้วก็ได้พักนิดเดียว จากนั้นเพื่อน ๆ ก็ชวนมาเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่คอมเม็ทส์ เป็นบริษัทเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ปัจจุบันก็ย้ายมาเป็นที่ปรึกษา Part Time อยู่ที่ไอคัลเลอร์ เพิ่งมาสร้างโรงงานใหม่ เป็นของ iColor Cosmetics Thailand เดิมทีคอมเม็ทส์เป็นธุรกิจ OEM ทางด้าน Cosmetic Packaging ทำพวกสินค้าสำเร็จรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการนำเข้ามา แล้วมาแพ็คไปให้ลูกค้า แต่พอมาเปิดเป็น iColor นี่จะเป็นแบบครบวงจรเลย มีการผสม Cosmetic Content เอง Personal Care, Skin Care ทำได้หมด ในเซเว่นก็มีที่เราทำส่ง คือนำเครื่องจักรจากเมืองนอกมาแล้วผลิตหลากหลายสินค้ามากขึ้น เดิมที่เริ่มรู้จักกับฟินโนมีนา ก็เป็นผู้บริหารบริษัท ดูแลงานจนกระทั่ง Early Retire หลังจากออกมาแล้วก็ได้พักนิดเดียว จากนั้นเพื่อน ๆ ก็ชวนมาเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่คอมเม็ทส์ เป็นบริษัทเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ปัจจุบันก็ย้ายมาเป็นที่ปรึกษา Part Time อยู่ที่ ไอคัลเลอร์ เพิ่ง มาสร้างโรงงานใหม่ เป็นของ iColor Cosmetics Thailand เดิมทีคอมเม็ทส์เป็นธุรกิจ OEM ทางด้าน Cosmetic Packaging ทำพวกสินค้าสำเร็จรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการนำเข้ามา แล้วมาแพ็คไปให้ลูกค้า แต่พอมาเปิดเป็น iColor นี่จะเป็นแบบครบวงจรเลย มีการผสม Cosmetic Content เอง Personal Care, Skin Care ทำได้หมด ในเซเว่นก็มีที่เราทำส่ง คือนำเครื่องจักรจากเมืองนอกมาแล้วผลิตหลากหลายสินค้ามากขึ้น iColor Cosmetics Thailand จุดเริ่มต้นและเป้าหมายในการเข้ามาลงทุนของคุณมานะคืออะไร? จริง ๆ เริ่มมานานแล้วนะ จุดแรก ๆ น่าจะเป็นช่วงที่ไปเรียนปริญญาโท ก็เลยรู้ว่ามีเรื่องการลงทุน พอไปดูปุ๊บ เริ่มสนใจปุ๊บ ก็เลยเริ่มเปิดพอร์ตหุ้น ก็ได้ ๆ เจ๊ง ๆ เลยมาดูกองทุนรวมน่าจะถูกโฉลก แต่สมัยก่อนดอกเบี้ยดี ก็ซื้อกองทุนตราสารหนี้เสียก่อน ที่เป็นแบบ 6 เดือน 1 ปี 3 เดือนมีดอก พวกคงที่แบบนี้มันก็ดูดี แล้วก็เริ่มมา RMF ยุคแรก ๆ ปีสองปีแรกก็เริ่มซื้อ มันก็ได้ประโยชน์เพราะเราก็จ่ายภาษีสูง แต่จริง ๆ แล้วก็อยู่ในหุ้นไทยมาตลอด ชนิดเดียวด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดจะเล่นกองทุนนอกอะไรต่าง ๆ เลย ชีวิตก็วุ่นวายกับการต้องเปิดกับหลาย ๆ แบงก์หลาย ๆ ที่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ดี ๆ ก็หาจุดขายยาก เพราะสมัยก่อนยากกว่าสมัยนี้อีก เปิดบัญชีของที่ไม่ใช่ของแบงก์ ก็ไม่รู้จะเปิดอย่างไร เราอยู่บ้านนอกต่างจังหวัด การติดต่อก็ไม่สะดวกในเรื่องของเอกสารต่าง ๆ จริง ๆ เริ่มมานานแล้วนะ จุดแรก ๆ น่าจะเป็นช่วงที่ไปเรียนปริญญาโท ก็เลยรู้ว่ามีเรื่องการลงทุน พอไปดูปุ๊บ เริ่มสนใจปุ๊บ ก็เลยเริ่มเปิดพอร์ตหุ้น ก็ได้ ๆ เจ๊ง ๆ เลยมาดูกองทุนรวมน่าจะถูกโฉลก แต่สมัยก่อนดอกเบี้ยดี ก็ซื้อกองทุนตราสารหนี้เสียก่อน ที่เป็นแบบ 6 เดือน 1 ปี 3 เดือนมีดอก พวกคงที่แบบนี้มันก็ดูดี แล้วก็เริ่มมา RMF ยุคแรก ๆ ปีสองปีแรกก็เริ่มซื้อ มันก็ได้ประโยชน์เพราะเราก็จ่ายภาษีสูง แต่จริง ๆ แล้วก็อยู่ในหุ้นไทยมาตลอด ชนิดเดียวด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดจะเล่นกองทุนนอกอะไรต่าง ๆ เลย ชีวิตก็วุ่นวายกับการต้องเปิดกับหลาย ๆ แบงก์หลาย ๆ ที่ แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ดี ๆ ก็หาจุดขายยาก เพราะสมัยก่อนยากกว่าสมัยนี้อีก เปิดบัญชีของที่ไม่ใช่ของแบงก์ ก็ไม่รู้จะเปิดอย่างไร เราอยู่บ้านนอกต่างจังหวัด การติดต่อก็ไม่สะดวกในเรื่องของเอกสารต่าง ๆ จนกระทั่งหลัง ๆ อ่านและศึกษาการลงทุนบ้างตามเวลาว่างที่มี มาเห็น NTER FINNOMENA เนี่ยชื่อแปลก ดูอยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาตั้งแต่ช่วงแรกนะ มาเข้าช่วงที่ฟินโนมีนาเปิดมาได้สักประมาณ 6 เดือนหรือ 1 ปี เผอิญไปอ่านบทความเจอเรื่องของ Asset Allocation ซึ่งเราก็คิดว่าน่าจะมีผล เพราะว่าเราเคยได้รับผลพวงจากช่วงวิกฤตหลาย ๆ รอบที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแฮมเบอร์เกอร์ หรือว่าต้มยำกุ้ง โดนมาแล้วมันรู้ไง เพราะมันตกไปเยอะ สมัยก่อนหุ้นไทยเวลามันตีกลับ แล้วเราซื้อแบบ DCA เรื่อย ๆ มันก็ได้ประโยชน์ ทำให้เห็นว่าการลงทุนมันช่วยได้เยอะ พอรู้จักฟินโนมีนาก็ชอบในเรื่องของ Asset Allocation แล้วก็คอยติดตามอัปเดตพอร์ตบ้าง หรือฟัง หรืออ่าน พอฟังปุ๊บก็ฉลาดขึ้นนะ รู้สึกว่าได้ความรู้จากการมองพวก Indicator ต่าง ๆ มากขึ้น รู้บ้างไม่รู้บ้างฟังซ้ำ ๆ ไป ทั้งคุณเจทคุณแบงค์ก็จะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้กล้าไปเชิญชวนชาวบ้านมา รู้สึกว่าตอนนั้นเคยเชิญฟินโนมีนาไปเปิดคอร์สสอนที่บริษัท ที่คอมเม็ทส์ก็มี ก่อนหน้านั้นก็ไปสอนที่แบรนด์ คือแบรนด์นี่ไปเปิดสอน แล้วเปิดเป็นห้อง Conference ใหญ่เลย รู้สึกเปิดบัญชีกันเยอะอยู่นะรอบนั้น และทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็น่าจะถืออยู่ และซื้อแบบ DCA อยู่ จนกระทั่งหลัง ๆ อ่านและศึกษาการลงทุนบ้างตามเวลาว่างที่มี มาเห็น NTER FINNOMENA เนี่ยชื่อแปลก ดูอยู่พักหนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาตั้งแต่ช่วงแรกนะ มาเข้าช่วงที่ฟินโนมีนาเปิดมาได้สักประมาณ 6 เดือนหรือ 1 ปี เผอิญไปอ่านบทความเจอเรื่องของ Asset Allocation ซึ่งเราก็คิดว่าน่าจะมีผล เพราะว่าเราเคยได้รับผลพวงจากช่วงวิกฤตหลาย ๆ รอบที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแฮมเบอร์เกอร์ หรือว่าต้มยำกุ้ง โดนมาแล้วมันรู้ไง เพราะมันตกไปเยอะ สมัยก่อนหุ้นไทยเวลามันตีกลับ แล้วเราซื้อแบบ DCA เรื่อย ๆ มันก็ได้ประโยชน์ ทำให้เห็นว่าการลงทุนมันช่วยได้เยอะ พอรู้จักฟินโนมีนาก็ชอบในเรื่องของ Asset Allocation แล้วก็คอยติดตามอัปเดตพอร์ตบ้าง หรือฟัง หรืออ่าน พอฟังปุ๊บก็ฉลาดขึ้นนะ รู้สึกว่าได้ความรู้จากการมองพวก Indicator ต่าง ๆ มากขึ้น รู้บ้างไม่รู้บ้างฟังซ้ำ ๆ ไป ทั้งคุณเจทคุณแบงค์ก็จะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้กล้าไปเชิญชวนชาวบ้านมา รู้สึกว่าตอนนั้นเคยเชิญฟินโนมีนาไปเปิดคอร์สสอนที่บริษัท ที่คอมเม็ทส์ก็มี ก่อนหน้านั้นก็ไปสอนที่แบรนด์ คือแบรนด์นี่ไปเปิดสอน แล้วเปิดเป็นห้อง Conference ใหญ่เลย รู้สึกเปิดบัญชีกันเยอะอยู่นะรอบนั้น และทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็น่าจะถืออยู่ และซื้อแบบ DCA อยู่ เพราะอะไรคุณมานะถึงตัดสินใจเลือกลงทุนกับ FINNOMENA? น่าจะเป็นการฟังคอนเซปต์การลงทุนพวก Asset Allocation แล้วรู้สึกว่าน่าจะตอบโจทย์มากกว่า และก็ที่ชอบที่สุดเลยคือความเป็นกลางนะ ความเป็นกลางที่สามารถที่จะแนะนำกองทุนได้ เมื่อก่อนเราก็รู้จักแต่ของแบงก์ ไม่ได้อ่านจากที่อื่น ก็จะเชื่อว่าตัวนั้นมันดี หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์ที่สรุปพวกธุรกิจ มันก็แล้วแต่ใครเชียร์ตัวไหนเราก็ซื้อตัวนั้น ฉะนั้นในพอร์ตก็จะมีจดหมายกองทุนเยอะมาก เยอะมากจนกระทั่งสุดท้ายมาเจอฟินโนมีนาด้วย FIX MY PORT จริง ๆ แล้วช่วงแรกก็ไม่ได้เชื่อหมด เพราะสังเกตแล้วมันก็ไม่ได้เคลียร์ตามนั้นหมด มันก็เชื่อ แต่เชื่อแบบสัก 30 เปอร์เซ็นต์ตามนั้นไปก่อน ที่เหลือก็เผื่อไว้ ตอนนี้ก็อยู่กับฟินโนมีนามา 3 ปีแล้วไวมากนะ น่าจะเป็นการฟังคอนเซปต์การลงทุนพวก Asset Allocation แล้วรู้สึกว่าน่าจะตอบโจทย์มากกว่า และก็ที่ชอบที่สุดเลยคือความเป็นกลางนะ ความเป็นกลางที่สามารถที่จะแนะนำกองทุนได้ เมื่อก่อนเราก็รู้จักแต่ของแบงก์ ไม่ได้อ่านจากที่อื่น ก็จะเชื่อว่าตัวนั้นมันดี หรืออ่านจากหนังสือพิมพ์ที่สรุปพวกธุรกิจ มันก็แล้วแต่ใครเชียร์ตัวไหนเราก็ซื้อตัวนั้น ฉะนั้นในพอร์ตก็จะมีจดหมายกองทุนเยอะมาก เยอะมากจนกระทั่งสุดท้ายมาเจอฟินโนมีนาด้วย FIX MY PORT จริง ๆ แล้วช่วงแรกก็ไม่ได้เชื่อหมด เพราะสังเกตแล้วมันก็ไม่ได้เคลียร์ตามนั้นหมด มันก็เชื่อ แต่เชื่อแบบสัก 30 เปอร์เซ็นต์ตามนั้นไปก่อน ที่เหลือก็เผื่อไว้ ตอนนี้ก็อยู่กับฟินโนมีนามา 3 ปีแล้วไวมากนะ FINNOMENA สามารถเข้าไปช่วยเหลือในจุดไหนของคุณมานะได้บ้าง? ส่วนใหญ่แล้วถ้าคนทั่วไป สมมติเป็นนักธุรกิจก็จะทำให้พอรู้ Circle เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรู้เรื่องของธุรกิจบ้าง แต่เรื่องที่เขาจะไม่ค่อยศึกษากัน คือการอ่านในด้านเทคนิค เพราะฉะนั้นการที่ฟินโนมีนาเอาเรื่องของเทคนิคมาประกอบ นอกจากเรื่องวิเคราะห์พื้นฐาน มันให้เราดูเหมือนจับจังหวะได้ดีขึ้น ทำให้มีความมั่นใจเวลาที่เราจะตามตัวเลือกที่ทางฟินโนมีนาให้มาได้ง่ายขึ้น ซึ่งเดิมเราไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ไง เลยทำให้ซื้อผิดซื้อถูก ซื้อจังหวะไม่ได้อะไรต่าง ๆ รวมทั้ง Asset Allocation ก็เหมือนกับเปิดโลกให้เรารู้จักกองทุนอีกหลายตัวที่ไม่เคยรู้จัก ส่วนใหญ่แล้วถ้าคนทั่วไป สมมติเป็นนักธุรกิจก็จะทำให้พอรู้ Circle เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรู้เรื่องของธุรกิจบ้าง แต่เรื่องที่เขาจะไม่ค่อยศึกษากัน คือการอ่านในด้านเทคนิค เพราะฉะนั้นการที่ฟินโนมีนาเอาเรื่องของเทคนิคมาประกอบ นอกจากเรื่องวิเคราะห์พื้นฐาน มันให้เราดูเหมือนจับจังหวะได้ดีขึ้น ทำให้มีความมั่นใจเวลาที่เราจะตามตัวเลือกที่ทางฟินโนมีนาให้มาได้ง่ายขึ้น ซึ่งเดิมเราไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ไง เลยทำให้ซื้อผิดซื้อถูก ซื้อจังหวะไม่ได้อะไรต่าง ๆ รวมทั้ง Asset Allocation ก็เหมือนกับเปิดโลกให้เรารู้จักกองทุนอีกหลายตัวที่ไม่เคยรู้จัก คุณมานะมองว่า FINNOMENA แตกต่างจากการลงทุนที่อื่นอย่างไร? มีพอร์ตให้เลือกหลากหลายนะ ตามแผนการเงินของแต่ละคนเลยนะ มีตั้งแต่ไม่รู้จักอะไรเลย ยันมืออาชีพ เข้าใจออกผลิตภัณฑ์ ตอบรับได้ทุกระดับความเสี่ยงของแต่ละคน มีพอร์ตให้เลือกหลากหลายนะ ตามแผนการเงินของแต่ละคนเลยนะ มีตั้งแต่ไม่รู้จักอะไรเลย ยันมืออาชีพ เข้าใจออกผลิตภัณฑ์ ตอบรับได้ทุกระดับความเสี่ยงของแต่ละคน อย่างของเราเองก็ถือตั้งหลายพอร์ต แต่ละพอร์ตก็มีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือบางพอร์ตก็ถือเพื่อให้มีเงินไหลเข้า บางพอร์ตก็เสี่ยงเยอะ เน้นสีสันในชีวิต เพิ่มอะดรีนาลีนอะไรแบบนี้ มันก็ดีทำให้เราไม่ต้องคิดมาก คือเดิมปกติวางแผนการเงินเราก็ต้องแบ่งเป็นก้อน เหมือนกับการจัดการการเงินในกระเป๋านะ แต่ตัวนี้มันมีพอร์ตมาตอบการจัดการของเราเรียบร้อย มันก็สะดวกดี อย่างคนขับรถคนเก่าของเราก็แนะนำให้เขาซื้อพอร์ต 1st Million ทุกวันนี้เขาก็ซื้อแบบ DCA อยู่เรื่อย ๆ เขาก็มีความสุขมาก เพราะเขาไม่เคยรู้ว่ามันมีแบบนี้อยู่ ตอนนี้คนขับรถกับภรรยาก็กลายเป็นแฟน LIVE ของฟินโนมีนาเลยนะ อย่างของเราเองก็ถือตั้งหลายพอร์ต แต่ละพอร์ตก็มีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือบางพอร์ตก็ถือเพื่อให้มีเงินไหลเข้า บางพอร์ตก็เสี่ยงเยอะ เน้นสีสันในชีวิต เพิ่มอะดรีนาลีนอะไรแบบนี้ มันก็ดีทำให้เราไม่ต้องคิดมาก คือเดิมปกติวางแผนการเงินเราก็ต้องแบ่งเป็นก้อน เหมือนกับการจัดการการเงินในกระเป๋านะ แต่ตัวนี้มันมีพอร์ตมาตอบการจัดการของเราเรียบร้อย มันก็สะดวกดี อย่างคนขับรถคนเก่าของเราก็แนะนำให้เขาซื้อพอร์ต 1st Million ทุกวันนี้เขาก็ซื้อแบบ DCA อยู่เรื่อย ๆ เขาก็มีความสุขมาก เพราะเขาไม่เคยรู้ว่ามันมีแบบนี้อยู่ ตอนนี้คนขับรถกับภรรยาก็กลายเป็นแฟน LIVE ของฟินโนมีนาเลยนะ 1st Million อยากให้ฝากอะไรถึงนักลงทุนท่านอื่นสักนิด ที่เป็นผู้เริ่มต้น หรือกำลังเดินอยู่บนเส้นทางการลงทุน ควรจะต้องทำตัวอย่างไรบ้าง? พอพูดเรื่องลงทุน ทุกคนจะกังวลอยู่ 2 เรื่อง อันที่หนึ่งคือ ไม่มีเงินที่จะเริ่ม อันที่สองคือ ที่ลงทุนไปเสี่ยงไหม พอพูดเรื่องลงทุน ทุกคนจะกังวลอยู่ 2 เรื่อง อันที่หนึ่งคือ ไม่มีเงินที่จะเริ่ม อันที่สองคือ ที่ลงทุนไปเสี่ยงไหม เขาไม่เคยตอบโจทย์สองข้อนี้ด้วยตัวเค้าเองไงว่า ความเสี่ยง เกิดจากการไม่เริ่มต้นเรียนรู้ เหมือนเราที่เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ หนังสือเรื่องการออมเงิน อ่านไปนิด ๆ หน่อย ๆ จากที่ไม่รู้เรื่องมันก็เริ่มมีความรู้ สิ่งสำคัญคือรู้แล้วมันต้องลงมือ ประเภทที่เรียกว่า ททท. ทำทันที ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร เปิดบัญชีไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันต่อ ถ้าไม่เริ่มลงมือก็ไม่มีทางรู้ แล้วเด็กสมัยใหม่นี่ไม่มีทางเกษียณ ถ้าสมมติไม่รู้จักการวางแผนการเงิน เขาไม่เคยตอบโจทย์สองข้อนี้ด้วยตัวเค้าเองไงว่า ความเสี่ยง เกิดจากการไม่เริ่มต้นเรียนรู้ เหมือนเราที่เริ่มต้นจากการอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ หนังสือเรื่องการออมเงิน อ่านไปนิด ๆ หน่อย ๆ จากที่ไม่รู้เรื่องมันก็เริ่มมีความรู้ สิ่งสำคัญคือรู้แล้วมันต้องลงมือ ประเภทที่เรียกว่า ททท. ทำทันที ถ้าไม่รู้ว่าจะทำอะไร เปิดบัญชีไปก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันต่อ ถ้าไม่เริ่มลงมือก็ไม่มีทางรู้ แล้วเด็กสมัยใหม่นี่ไม่มีทางเกษียณ ถ้าสมมติไม่รู้จักการวางแผนการเงิน อ่านเรื่องราวความประทับใจจากนักลงทุนท่านอื่น ๆ ได้ที่ | คุณมานะ เตียงตระกูลทอง มองว่า FINNOMENA แตกต่างจากการลงทุนที่อื่น เพราะมีพอร์ตให้เลือกหลากหลาย ตามแผนการเงินของแต่ละคน ตั้งแต่ไม่รู้จักอะไรเลยยันมืออาชีพ เข้าใจออกผลิตภัณฑ์ ตอบรับได้ทุกระดับความเสี่ยงของแต่ละคน
คุณมานะเองถือหลายพอร์ต แต่ละพอร์ตมีวัตถุประสงค์ต่างกัน คือ บางพอร์ตถือเพื่อให้มีเงินไหลเข้า บางพอร์ตเสี่ยงเยอะ เน้นสีสันในชีวิต ทำให้ไม่ต้องคิดมาก คือ ปกติวางแผนการเงินก็ต้องแบ่งเป็นก้อน เหมือนกับการจัดการการเงินในกระเป๋า แต่ FINNOMENA มีพอร์ตมาตอบการจัดการของตนเองเรียบร้อย ทำให้สะดวก เช่น แนะนำให้คนขับรถเก่าของคุณมานะซื้อพอร์ต 1st Million ทุกวันนี้ก็ซื้อแบบ DCA อยู่เรื่อย ๆ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_184 | Finance | ก่อนทำประกันสุขภาพ มีเรื่องที่ต้องรู้อะไรบ้าง | ซื้อประกันสุขภาพยังไง ให้ครบทั้ง"คุ้มค่า" และ"คุ้มครอง" “
• ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพควรถามคำถามกับบริษัทประกันในเรื่องโรคประจำตัว สามารถซื้อความคุ้มครองต่อได้ถึงอายุเท่าไหร่ ดูแบบประกันหลายๆ แบบพื่อเปรียบเทียบ ค่าเบี้ยปรับขึ้นอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ต้องจ่ายเงินไปก่อน เพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกัน
• ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพควรถามคำถามกับบริษัทประกันในเรื่องโรคประจำตัว สามารถซื้อความคุ้มครองต่อได้ถึงอายุเท่าไหร่ ดูแบบประกันหลายๆ แบบพื่อเปรียบเทียบ ค่าเบี้ยปรับขึ้นอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ต้องจ่ายเงินไปก่อน เพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกัน
“ “ • ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพควรถามคำถามกับบริษัทประกันในเรื่องโรคประจำตัว สามารถซื้อความคุ้มครองต่อได้ถึงอายุเท่าไหร่ ดูแบบประกันหลายๆ แบบพื่อเปรียบเทียบ ค่าเบี้ยปรับขึ้นอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ต้องจ่ายเงินไปก่อน เพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกัน • ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพควรถามคำถามกับบริษัทประกันในเรื่องโรคประจำตัว สามารถซื้อความคุ้มครองต่อได้ถึงอายุเท่าไหร่ ดูแบบประกันหลายๆ แบบพื่อเปรียบเทียบ ค่าเบี้ยปรับขึ้นอย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่ต้องจ่ายเงินไปก่อน เพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำประกัน “ โรคภัยต่างๆ ในปัจจุบันยังไม่ลดน้อยลง นอกจากโควิด-19 ที่ยังไม่หายไปแล้ว ยังมีโรคฝีดาษลิงที่เริ่มระบาดในหลายประเทศ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพสักฉบับ เราควรถามคำถามสำคัญเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้การทำประกันสุขภาพครั้งนี้ได้ประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด มีคำถามอะไรบ้างที่ต้องถาม และเรื่องอะไรที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ หาคำตอบได้ในบทความนี้
5 เรื่องที่ต้องถามก่อนทำประกันสุขภาพ
ก่อนทำประกันสุขภาพมี 5 เรื่องที่เราต้องถามเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ ดังนี้
1. มีโรคประจำตัว บริษัทจะรับประกันไหม
สาเหตุที่ต้องถามเรื่องนี้เพราะหากมีโรคเกิดขึ้นแล้ว บริษัทประกันจะพิจารณาว่าโรคที่เกิดขึ้นนั้นจะรับประกันหรือไม่ หากรับ จะรับแบบปกติ รับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการพิจารณารับประกันและความรุนแรงของโรค ยกตัวอย่าง
- รับแบบปกติ เช่น โรคภูมิแพ้ พาหะธาลัสซีเมีย
- รับประกันแบบยกเว้นโรค เช่น โรคไขมันเกาะตับ โรคไทรอยด์
- รับแบบเพิ่มเบี้ย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด
- ไม่รับประกัน เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
ดังนั้น จึงควรดูผลการพิจารณารับประกันที่จะเกิดขึ้นว่าตัวเรารับได้ไหม หากรับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มอีกเท่าไหร่ รวมถึงเปรียบเทียบผลการพิจารณารับประกันกับบริษัทประกันอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย
2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองนานที่สุด จะซื้อได้ถึงอายุเท่าไหร่
เมื่อคิดจะทำประกันสุขภาพ หลายคนคงอยากได้ความคุ้มครองยาวๆ ไปจนถึงวันที่แก่ตัวลง แต่สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก่อนคือ อายุรับประกัน กับ ระยะเวลาเอาประกัน ซึ่งสองคำนี้ความหมายต่างกัน โดยอายุรับประกัน หมายถึง คนที่จะทำประกันฉบับนี้ได้ต้องมีอายุตั้งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เช่น อายุ 11-80 ปี ส่วนระยะเวลาเอาประกัน หมายถึง ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุเท่าไหร่ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งสองคำนี้จะช่วยตอบคำถามได้ว่า ประกันสุขภาพที่กำลังเลือกอยู่นั้นจะสามารถซื้อต่อได้จนถึงอายุเท่าไหร่
ประกันสุขภาพบางแบบให้ความคุ้มครองเท่ากับอายุรับประกันของประกันสุขภาพนั้น เช่น รับประกันถึงอายุ 70 ปี ก็ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 70 ปีเท่านั้น แต่บางแบบสามารถต่ออายุความคุ้มครองออกไปได้อีกจนถึงอายุที่กำหนดไว้ เช่น รับประกันถึงอายุ 80 ปี แต่สามารถต่ออายุความคุ้มครองไปได้ถึงอายุ 99 ปีเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการต่ออายุรับประกันของบริษัทประกันด้วย จึงความสอบถามให้เข้าใจเพื่อให้ได้ความคุ้มครองยาวๆ ตามที่ต้องการ
3. ขอดูประกันสุขภาพหลายๆ แบบ เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณ
ก่อนทำประกันสุขภาพ หลายคนก็อยากรู้ว่ามีประกันสุขภาพแบบไหนให้เลือกบ้าง จึงอยากให้บริษัทประกันเสนอแบบประกันสุขภาพหลายๆ แบบ และอธิบายความแตกต่างของแต่ละแบบประกันให้เข้าใจ ทั้งความคุ้มครอง เงื่อนไข และค่าเบี้ย เนื่องจากแต่ละแบบจะไม่เหมือนกัน เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณที่มี ซึ่งในส่วนของค่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปีก็มีให้เลือกตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับแบบประกัน รวมถึงเพศ อายุ และอาชีพของผู้ทำประกัน จึงควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการ ทั้งวงเงินความคุ้มครอง ค่าห้อง ค่ารักษา และความสามารถในการจ่ายเบี้ยของแต่ละคน
ทางเลือกของประกันสุขภาพสำหรับคนที่มีงบแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างค่าเบี้ยรายปี สำหรับเพศชาย อายุ 30 ปี ดังนี้
• สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส แผน 20 ล้าน คุ้มครองเฉพาะประเทศไทย ค่าเบี้ยประมาณ 26,500 บาท*
• ประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health แผน Max กรณีคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 17,300 บาท กรณีคุ้มครองส่วนเกินจาก 30,000 บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 10,600 บาท**
• ประกันสุขภาพ Health Protection แผน 1 ค่าเบี้ยประมาณ 4,100 บาท
4. เบี้ยประกันสุขภาพไม่ได้จ่ายเท่าเดิมไปตลอด ต้องดูว่ามีการปรับขึ้นอย่างไร
ปกติค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะมีการปรับขึ้น 2 แบบด้วยกันคือ ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี กับปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ปีตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ก่อนตัดสินใจจึงควรขอตารางค่าเบี้ยทั้งหมดมาดู เพื่อประเมินว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยที่จะเกิดในอนาคตไหวหรือไม่ และนำไปเปรียบเทียบกับแบบประกันอื่นเพื่อตัดสินใจ จะได้วางแผนเตรียมเงินไว้รองรับค่าเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างตารางค่าเบี้ยประกันสำหรับประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health
อายุ
(ปี)
เบี้ยประกันภัยรายเดือน
เบี้ยประกันภัยรายปี
Plus1
Plus2
Max
Plus1
Plus2
Max
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
11
212
207
793
884
1,530
1,645
2,351
2,325
8,811
9,842
17,003
18,301
21
325
324
864
945
1,480
1,576
3,625
3,621
9,620
10,520
16,465
17,535
25
330
329
869
950
1,485
1,581
3,655
3,681
9,650
10,580
16,495
17,595
30
360
365
957
1,060
1,557
1,708
3,992
4,048
10,619
11,762
17,288
18,967
35
415
427
1,017
1,109
1,755
1,860
4,594
4,730
11,282
12,306
19,482
20,652
40
474
488
1,139
1,232
1,934
2,050
5,260
5,418
12,647
13,691
21,480
22,770
45
518
534
1,251
1,388
2,292
2,459
5,776
5,950
13,915
15,435
25,480
27,343
50
614
632
1,387
1,594
2,510
2,689
6,818
7,025
15,410
17,709
27,890 29,878
55
956
976
1,845
1,980
3,152
3,391
10,615
10,844
20,495
22,001
35,023
37,687
60
2,003
2,037
2,987
3,122
4,422
4,655
22,284
22,608
33,216
34,662
49,160
51,700
65
2,911
2,959
4,104
4,393
6,187
6,489
32,366
32,873
45,624
45,799
68,771
72,095
70
4,284
4,362
5,680
5,942
8,530
8,949
47,610
48,460
63,118
66,007
94,789
99,420
75
6,429
6,559
8,014
8,301
11,555
12,124
71,456
72,873
89,063
92,223
128,413
134,700
80
7,700
7,843
9,570
10,146
14,576
15,150
85,554 87,145
105,621
106,331
161,950
168,342
ที่มา: โรคภัยต่างๆ ในปัจจุบันยังไม่ลดน้อยลง นอกจากโควิด-19 ที่ยังไม่หายไปแล้ว ยังมีโรคฝีดาษลิงที่เริ่มระบาดในหลายประเทศ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพสักฉบับ เราควรถามคำถามสำคัญเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้การทำประกันสุขภาพครั้งนี้ได้ประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด มีคำถามอะไรบ้างที่ต้องถาม และเรื่องอะไรที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ หาคำตอบได้ในบทความนี้
5 เรื่องที่ต้องถามก่อนทำประกันสุขภาพ
ก่อนทำประกันสุขภาพมี 5 เรื่องที่เราต้องถามเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ ดังนี้
1. มีโรคประจำตัว บริษัทจะรับประกันไหม
สาเหตุที่ต้องถามเรื่องนี้เพราะหากมีโรคเกิดขึ้นแล้ว บริษัทประกันจะพิจารณาว่าโรคที่เกิดขึ้นนั้นจะรับประกันหรือไม่ หากรับ จะรับแบบปกติ รับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการพิจารณารับประกันและความรุนแรงของโรค ยกตัวอย่าง
- รับแบบปกติ เช่น โรคภูมิแพ้ พาหะธาลัสซีเมีย
- รับประกันแบบยกเว้นโรค เช่น โรคไขมันเกาะตับ โรคไทรอยด์
- รับแบบเพิ่มเบี้ย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด
- ไม่รับประกัน เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
ดังนั้น จึงควรดูผลการพิจารณารับประกันที่จะเกิดขึ้นว่าตัวเรารับได้ไหม หากรับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มอีกเท่าไหร่ รวมถึงเปรียบเทียบผลการพิจารณารับประกันกับบริษัทประกันอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย
2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองนานที่สุด จะซื้อได้ถึงอายุเท่าไหร่
เมื่อคิดจะทำประกันสุขภาพ หลายคนคงอยากได้ความคุ้มครองยาวๆ ไปจนถึงวันที่แก่ตัวลง แต่สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก่อนคือ อายุรับประกัน กับ ระยะเวลาเอาประกัน ซึ่งสองคำนี้ความหมายต่างกัน โดยอายุรับประกัน หมายถึง คนที่จะทำประกันฉบับนี้ได้ต้องมีอายุตั้งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เช่น อายุ 11-80 ปี ส่วนระยะเวลาเอาประกัน หมายถึง ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุเท่าไหร่ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งสองคำนี้จะช่วยตอบคำถามได้ว่า ประกันสุขภาพที่กำลังเลือกอยู่นั้นจะสามารถซื้อต่อได้จนถึงอายุเท่าไหร่
ประกันสุขภาพบางแบบให้ความคุ้มครองเท่ากับอายุรับประกันของประกันสุขภาพนั้น เช่น รับประกันถึงอายุ 70 ปี ก็ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 70 ปีเท่านั้น แต่บางแบบสามารถต่ออายุความคุ้มครองออกไปได้อีกจนถึงอายุที่กำหนดไว้ เช่น รับประกันถึงอายุ 80 ปี แต่สามารถต่ออายุความคุ้มครองไปได้ถึงอายุ 99 ปีเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการต่ออายุรับประกันของบริษัทประกันด้วย จึงความสอบถามให้เข้าใจเพื่อให้ได้ความคุ้มครองยาวๆ ตามที่ต้องการ
3. ขอดูประกันสุขภาพหลายๆ แบบ เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณ
ก่อนทำประกันสุขภาพ หลายคนก็อยากรู้ว่ามีประกันสุขภาพแบบไหนให้เลือกบ้าง จึงอยากให้บริษัทประกันเสนอแบบประกันสุขภาพหลายๆ แบบ และอธิบายความแตกต่างของแต่ละแบบประกันให้เข้าใจ ทั้งความคุ้มครอง เงื่อนไข และค่าเบี้ย เนื่องจากแต่ละแบบจะไม่เหมือนกัน เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณที่มี ซึ่งในส่วนของค่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปีก็มีให้เลือกตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับแบบประกัน รวมถึงเพศ อายุ และอาชีพของผู้ทำประกัน จึงควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการ ทั้งวงเงินความคุ้มครอง ค่าห้อง ค่ารักษา และความสามารถในการจ่ายเบี้ยของแต่ละคน
ทางเลือกของประกันสุขภาพสำหรับคนที่มีงบแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างค่าเบี้ยรายปี สำหรับเพศชาย อายุ 30 ปี ดังนี้
• สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส แผน 20 ล้าน คุ้มครองเฉพาะประเทศไทย ค่าเบี้ยประมาณ 26,500 บาท*
• ประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health แผน Max กรณีคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 17,300 บาท กรณีคุ้มครองส่วนเกินจาก 30,000 บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 10,600 บาท**
• ประกันสุขภาพ Health Protection แผน 1 ค่าเบี้ยประมาณ 4,100 บาท
4. เบี้ยประกันสุขภาพไม่ได้จ่ายเท่าเดิมไปตลอด ต้องดูว่ามีการปรับขึ้นอย่างไร
ปกติค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะมีการปรับขึ้น 2 แบบด้วยกันคือ ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี กับปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ปีตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ก่อนตัดสินใจจึงควรขอตารางค่าเบี้ยทั้งหมดมาดู เพื่อประเมินว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยที่จะเกิดในอนาคตไหวหรือไม่ และนำไปเปรียบเทียบกับแบบประกันอื่นเพื่อตัดสินใจ จะได้วางแผนเตรียมเงินไว้รองรับค่าเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างตารางค่าเบี้ยประกันสำหรับประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health
อายุ
(ปี)
เบี้ยประกันภัยรายเดือน
เบี้ยประกันภัยรายปี
Plus1
Plus2
Max
Plus1
Plus2
Max
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
ชาย
หญิง
11
212
207
793
884
1,530
1,645
2,351
2,325
8,811
9,842
17,003
18,301
21
325
324
864
945
1,480
1,576
3,625
3,621
9,620
10,520
16,465
17,535
25
330
329
869
950
1,485
1,581
3,655
3,681
9,650
10,580
16,495
17,595
30
360
365
957
1,060
1,557
1,708
3,992
4,048
10,619
11,762
17,288
18,967
35
415
427
1,017
1,109
1,755
1,860
4,594
4,730
11,282
12,306
19,482
20,652
40
474
488
1,139
1,232
1,934
2,050
5,260
5,418
12,647
13,691
21,480
22,770
45
518
534
1,251
1,388
2,292
2,459
5,776
5,950
13,915
15,435
25,480
27,343
50
614
632
1,387
1,594
2,510
2,689
6,818
7,025
15,410
17,709
27,890 29,878
55
956
976
1,845
1,980
3,152
3,391
10,615
10,844
20,495
22,001
35,023
37,687
60
2,003
2,037
2,987
3,122
4,422
4,655
22,284
22,608
33,216
34,662
49,160
51,700
65
2,911
2,959
4,104
4,393
6,187
6,489
32,366
32,873
45,624
45,799
68,771
72,095
70
4,284
4,362
5,680
5,942
8,530
8,949
47,610
48,460
63,118
66,007
94,789
99,420
75
6,429
6,559
8,014
8,301
11,555
12,124
71,456
72,873
89,063
92,223
128,413
134,700
80
7,700
7,843
9,570
10,146
14,576
15,150
85,554 87,145
105,621
106,331
161,950
168,342
ที่มา: โรคภัยต่างๆ ในปัจจุบันยังไม่ลดน้อยลง นอกจากโควิด-19 ที่ยังไม่หายไปแล้ว ยังมีโรคฝีดาษลิงที่เริ่มระบาดในหลายประเทศ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพสักฉบับ เราควรถามคำถามสำคัญเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ และทำให้การทำประกันสุขภาพครั้งนี้ได้ประโยชน์และตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด มีคำถามอะไรบ้างที่ต้องถาม และเรื่องอะไรที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ หาคำตอบได้ในบทความนี้ 5 เรื่องที่ต้องถามก่อนทำประกันสุขภาพ 5 เรื่องที่ต้องถามก่อนทำประกันสุขภาพ ก่อนทำประกันสุขภาพมี 5 เรื่องที่เราต้องถามเพื่อเคลียร์ความเข้าใจ ดังนี้ 1. มีโรคประจำตัว บริษัทจะรับประกันไหม สาเหตุที่ต้องถามเรื่องนี้เพราะหากมีโรคเกิดขึ้นแล้ว บริษัทประกันจะพิจารณาว่าโรคที่เกิดขึ้นนั้นจะรับประกันหรือไม่ หากรับ จะรับแบบปกติ รับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ซึ่งขึ้นอยู่กับผลการพิจารณารับประกันและความรุนแรงของโรค ยกตัวอย่าง - รับแบบปกติ เช่น โรคภูมิแพ้ พาหะธาลัสซีเมีย - รับประกันแบบยกเว้นโรค เช่น โรคไขมันเกาะตับ โรคไทรอยด์ - รับแบบเพิ่มเบี้ย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด - ไม่รับประกัน เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ดังนั้น จึงควรดูผลการพิจารณารับประกันที่จะเกิดขึ้นว่าตัวเรารับได้ไหม หากรับประกันแบบยกเว้นโรค หรือรับแบบเพิ่มเบี้ย ต้องจ่ายเบี้ยเพิ่มอีกเท่าไหร่ รวมถึงเปรียบเทียบผลการพิจารณารับประกันกับบริษัทประกันอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย 2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองนานที่สุด จะซื้อได้ถึงอายุเท่าไหร่ เมื่อคิดจะทำประกันสุขภาพ หลายคนคงอยากได้ความคุ้มครองยาวๆ ไปจนถึงวันที่แก่ตัวลง แต่สิ่งที่ควรทำความเข้าใจก่อนคือ อายุรับประกัน กับ ระยะเวลาเอาประกัน ซึ่งสองคำนี้ความหมายต่างกัน โดยอายุรับประกัน หมายถึง คนที่จะทำประกันฉบับนี้ได้ต้องมีอายุตั้งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ เช่น อายุ 11-80 ปี ส่วนระยะเวลาเอาประกัน หมายถึง ให้ความคุ้มครองจนถึงอายุเท่าไหร่ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งสองคำนี้จะช่วยตอบคำถามได้ว่า ประกันสุขภาพที่กำลังเลือกอยู่นั้นจะสามารถซื้อต่อได้จนถึงอายุเท่าไหร่ ประกันสุขภาพบางแบบให้ความคุ้มครองเท่ากับอายุรับประกันของประกันสุขภาพนั้น เช่น รับประกันถึงอายุ 70 ปี ก็ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 70 ปีเท่านั้น แต่บางแบบสามารถต่ออายุความคุ้มครองออกไปได้อีกจนถึงอายุที่กำหนดไว้ เช่น รับประกันถึงอายุ 80 ปี แต่สามารถต่ออายุความคุ้มครองไปได้ถึงอายุ 99 ปีเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการต่ออายุรับประกันของบริษัทประกันด้วย จึงความสอบถามให้เข้าใจเพื่อให้ได้ความคุ้มครองยาวๆ ตามที่ต้องการ 3. ขอดูประกันสุขภาพหลายๆ แบบ เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณ ก่อนทำประกันสุขภาพ หลายคนก็อยากรู้ว่ามีประกันสุขภาพแบบไหนให้เลือกบ้าง จึงอยากให้บริษัทประกันเสนอแบบประกันสุขภาพหลายๆ แบบ และอธิบายความแตกต่างของแต่ละแบบประกันให้เข้าใจ ทั้งความคุ้มครอง เงื่อนไข และค่าเบี้ย เนื่องจากแต่ละแบบจะไม่เหมือนกัน เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มครองและงบประมาณที่มี ซึ่งในส่วนของค่าเบี้ยประกันสุขภาพรายปีก็มีให้เลือกตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับแบบประกัน รวมถึงเพศ อายุ และอาชีพของผู้ทำประกัน จึงควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการ ทั้งวงเงินความคุ้มครอง ค่าห้อง ค่ารักษา และความสามารถในการจ่ายเบี้ยของแต่ละคน ทางเลือกของประกันสุขภาพสำหรับคนที่มีงบแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างค่าเบี้ยรายปี สำหรับเพศชาย อายุ 30 ปี ดังนี้ • สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส แผน 20 ล้าน คุ้มครองเฉพาะประเทศไทย ค่าเบี้ยประมาณ 26,500 บาท* • ประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health แผน Max กรณีคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 17,300 บาท กรณีคุ้มครองส่วนเกินจาก 30,000 บาทแรก ค่าเบี้ยประมาณ 10,600 บาท** • ประกันสุขภาพ Health Protection แผน 1 ค่าเบี้ยประมาณ 4,100 บาท 4. เบี้ยประกันสุขภาพไม่ได้จ่ายเท่าเดิมไปตลอด ต้องดูว่ามีการปรับขึ้นอย่างไร ปกติค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะมีการปรับขึ้น 2 แบบด้วยกันคือ ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี กับปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ปีตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ก่อนตัดสินใจจึงควรขอตารางค่าเบี้ยทั้งหมดมาดู เพื่อประเมินว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยที่จะเกิดในอนาคตไหวหรือไม่ และนำไปเปรียบเทียบกับแบบประกันอื่นเพื่อตัดสินใจ จะได้วางแผนเตรียมเงินไว้รองรับค่าเบี้ยที่จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ตัวอย่างตารางค่าเบี้ยประกันสำหรับประกันชีวิตและสุขภาพ Delight Health อายุ (ปี) ที่มา: 5. มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องจ่ายเงินไปก่อนเมื่อเข้ารับการรักษา
เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ปกติแล้วการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน หากเข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาจะไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อน แต่มีบางกรณี เช่น กรณีผู้ป่วยนอก อย่างค่ากายภาพบำบัด หรือกรณีเข้ารักษาแบบฉุกเฉิน อย่างค่าบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ อาจต้องจ่ายเองไปก่อน แล้วค่อยนำใบเสร็จรับเงินไปเบิกกับบริษัทประกัน จึงควรสอบถามให้มั่นใจ และวางแผนรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้
เรื่องที่ต้องรู้ก่อนทำประกันสุขภาพ
นอกจากเรื่องที่ต้องถามให้เคลียร์แล้ว ก่อนทำประกันสุขภาพมีเรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้
1. ทำประกันสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับความคุ้มครองทันที ต้องรออย่างน้อย 30 วัน
เพราะมีระยะเวลารอคอยซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง โดยโรคทั่วไปต้องรอ 30 วัน ส่วนโรคพิเศษ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด อาจต้องรอถึง 120 วัน จึงควรทำประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจะป่วยเมื่อไหร่
2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลไปยาวๆ ต้องเลือกแบบประกันชีวิตยาวๆ ด้วย
ปกติประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองยาวขึ้นอยู่กับแบบประกัน แต่หากเป็นสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ต้องซื้อคู่กับประกันชีวิตหลัก นอกจากจะดูระยะเวลาคุ้มครองของแบบประกันนั้นๆ แล้ว ความคุ้มครองจะต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันของประกันชีวิตหลักด้วย เพราะเมื่อประกันชีวิตหลักครบสัญญา สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพก็จะสิ้นสุดลง จึงควรทำประกันสุขภาพคู่กับกับประกันชีวิตหลักที่มีความคุ้มครองยาว อย่างประกันตลอดชีพ
ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ นอกจากการค้นหาข้อมูลแบบประกันสุขภาพด้วยตัวเองแล้ว การสอบถามข้อมูลจากตัวแทนหรือนายหน้าประกันในเรื่องที่สงสัยหรือยังไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกแบบประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการ คุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
*เป็นเบี้ยประกันเฉพาะสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ อีลิท เฮลท์ พลัส ไม่รวมกรมธรรม์หลัก
**เป็นเบี้ยประกันรวมทั้งโครงการ (ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองตลอดชีพ 99/99 + สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ ดี เฮลท์)
คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• เมืองไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันภัย 5. มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องจ่ายเงินไปก่อนเมื่อเข้ารับการรักษา
เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ปกติแล้วการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน หากเข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาจะไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อน แต่มีบางกรณี เช่น กรณีผู้ป่วยนอก อย่างค่ากายภาพบำบัด หรือกรณีเข้ารักษาแบบฉุกเฉิน อย่างค่าบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ อาจต้องจ่ายเองไปก่อน แล้วค่อยนำใบเสร็จรับเงินไปเบิกกับบริษัทประกัน จึงควรสอบถามให้มั่นใจ และวางแผนรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้
เรื่องที่ต้องรู้ก่อนทำประกันสุขภาพ
นอกจากเรื่องที่ต้องถามให้เคลียร์แล้ว ก่อนทำประกันสุขภาพมีเรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้
1. ทำประกันสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับความคุ้มครองทันที ต้องรออย่างน้อย 30 วัน
เพราะมีระยะเวลารอคอยซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง โดยโรคทั่วไปต้องรอ 30 วัน ส่วนโรคพิเศษ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด อาจต้องรอถึง 120 วัน จึงควรทำประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจะป่วยเมื่อไหร่
2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลไปยาวๆ ต้องเลือกแบบประกันชีวิตยาวๆ ด้วย
ปกติประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองยาวขึ้นอยู่กับแบบประกัน แต่หากเป็นสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ต้องซื้อคู่กับประกันชีวิตหลัก นอกจากจะดูระยะเวลาคุ้มครองของแบบประกันนั้นๆ แล้ว ความคุ้มครองจะต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันของประกันชีวิตหลักด้วย เพราะเมื่อประกันชีวิตหลักครบสัญญา สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพก็จะสิ้นสุดลง จึงควรทำประกันสุขภาพคู่กับกับประกันชีวิตหลักที่มีความคุ้มครองยาว อย่างประกันตลอดชีพ
ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ นอกจากการค้นหาข้อมูลแบบประกันสุขภาพด้วยตัวเองแล้ว การสอบถามข้อมูลจากตัวแทนหรือนายหน้าประกันในเรื่องที่สงสัยหรือยังไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกแบบประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการ คุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
*เป็นเบี้ยประกันเฉพาะสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ อีลิท เฮลท์ พลัส ไม่รวมกรมธรรม์หลัก
**เป็นเบี้ยประกันรวมทั้งโครงการ (ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองตลอดชีพ 99/99 + สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ ดี เฮลท์)
คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
• เมืองไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันภัย 5. มีเงื่อนไขอะไรบ้างที่เราจำเป็นต้องจ่ายเงินไปก่อนเมื่อเข้ารับการรักษา เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ปกติแล้วการเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน หากเข้ารักษาในโรงพยาบาลคู่สัญญาจะไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อน แต่มีบางกรณี เช่น กรณีผู้ป่วยนอก อย่างค่ากายภาพบำบัด หรือกรณีเข้ารักษาแบบฉุกเฉิน อย่างค่าบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางการแพทย์ อาจต้องจ่ายเองไปก่อน แล้วค่อยนำใบเสร็จรับเงินไปเบิกกับบริษัทประกัน จึงควรสอบถามให้มั่นใจ และวางแผนรับมือกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ เรื่องที่ต้องรู้ก่อนทำประกันสุขภาพ เรื่องที่ต้องรู้ก่อนทำประกันสุขภาพ นอกจากเรื่องที่ต้องถามให้เคลียร์แล้ว ก่อนทำประกันสุขภาพมีเรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้ 1. ทำประกันสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับความคุ้มครองทันที ต้องรออย่างน้อย 30 วัน เพราะมีระยะเวลารอคอยซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง โดยโรคทั่วไปต้องรอ 30 วัน ส่วนโรคพิเศษ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด อาจต้องรอถึง 120 วัน จึงควรทำประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจะป่วยเมื่อไหร่ 2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลไปยาวๆ ต้องเลือกแบบประกันชีวิตยาวๆ ด้วย ปกติประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองยาวขึ้นอยู่กับแบบประกัน แต่หากเป็นสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ต้องซื้อคู่กับประกันชีวิตหลัก นอกจากจะดูระยะเวลาคุ้มครองของแบบประกันนั้นๆ แล้ว ความคุ้มครองจะต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันของประกันชีวิตหลักด้วย เพราะเมื่อประกันชีวิตหลักครบสัญญา สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพก็จะสิ้นสุดลง จึงควรทำประกันสุขภาพคู่กับกับประกันชีวิตหลักที่มีความคุ้มครองยาว อย่างประกันตลอดชีพ ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ นอกจากการค้นหาข้อมูลแบบประกันสุขภาพด้วยตัวเองแล้ว การสอบถามข้อมูลจากตัวแทนหรือนายหน้าประกันในเรื่องที่สงสัยหรือยังไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกแบบประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการ คุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง *เป็นเบี้ยประกันเฉพาะสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ อีลิท เฮลท์ พลัส ไม่รวมกรมธรรม์หลัก **เป็นเบี้ยประกันรวมทั้งโครงการ (ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองตลอดชีพ 99/99 + สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบ ดี เฮลท์) คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ขอขอบคุณข้อมูลจาก : • เมืองไทยประกันชีวิต และเมืองไทยประกันภัย บทความโดย K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® K WEALTH TRAINER สุวิมล ยิ่งเจริญรุ่งโรจน์ CFP® | ก่อนทำประกันสุขภาพ มีเรื่องที่ต้องรู้ ดังนี้
1. ทำประกันสุขภาพแล้วยังไม่ได้รับความคุ้มครองทันที ต้องรออย่างน้อย 30 วัน
เพราะมีระยะเวลารอคอยซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง โดยโรคทั่วไปต้องรอ 30 วัน ส่วนโรคพิเศษ เช่น เนื้องอก ถุงน้ำ หรือมะเร็งทุกชนิด อาจต้องรอถึง 120 วัน จึงควรทำประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
2. ถ้าอยากได้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลไปยาวๆ ต้องเลือกแบบประกันชีวิตยาวๆ ด้วย
ปกติประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองยาวขึ้นอยู่กับแบบประกัน แต่หากเป็นสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ต้องซื้อคู่กับประกันชีวิตหลัก นอกจากจะดูระยะเวลาคุ้มครองของแบบประกันนั้นๆ แล้ว ความคุ้มครองจะต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันของประกันชีวิตหลักด้วย เพราะเมื่อประกันชีวิตหลักครบสัญญา สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพก็จะสิ้นสุดลง จึงควรทำประกันสุขภาพคู่กับกับประกันชีวิตหลักที่มีความคุ้มครองยาว อย่างประกันตลอดชีพ
ก่อนตัดสินใจทำประกันสุขภาพ นอกจากการค้นหาข้อมูลแบบประกันสุขภาพด้วยตัวเองแล้ว การสอบถามข้อมูลจากตัวแทนหรือนายหน้าประกันในเรื่องที่สงสัยหรือยังไม่เข้าใจเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกแบบประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการ คุ้มค่ากับค่าเบี้ยประกันที่จ่ายเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
คำเตือน : โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1900 | Finance | ESG หรือ Environmental, Social, and Governance คืออะไร | การหยุดชะงักของเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนยุคนี้ว่า “กลยุทธ์หรือเครื่องมือการลงทุนใด ที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว” เราจะสามารถใช้องค์ความรู้เดิม ๆ ที่มีมาอยู่ก่อนหน้านี้ หรือ จากวิกฤตการณ์ครั้งนี้มันสร้างโอกาสบนมุมมองใหม่ ๆ ที่อาจให้ผลตอบแทนเทียบเท่าหรือดีกว่าองค์ความรู้เดิม ๆ
จริง ๆ คำถามนี้ผมก็พอจะบอกได้ทันทีในตอนนี้เลยว่า ด้วยระยะเวลาในช่วงวิกฤตที่เราเผชิญกันอยู่ในเวลานี้ ยังถือว่าสั้นเกินว่าที่จะฟันธงได้ว่า เศรษฐกิจและสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต และเพราะสถานการณ์ที่ประชากรโลกเจอร่วมกันนี้ เป็นสถานการณ์ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เราจะสามารถตอบคำถามได้แบบมั่นใจ 100% ว่า “กลยุทธ์หรือเครื่องมือการลงทุนใด ที่จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว”
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยกระแสของ Technology Disruption ที่เกิดมาก่อนหน้านี้ และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา มันก็พอจะทำให้เราเห็นร่อยรอยบางอย่าง ซึ่งผมขอบอกว่า นี่เป็นมุมมองส่วนตัวจากการสังเกตและวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่า ธีมการลงทุนในระยะยาวหลังจากนี้ มีอะไรบ้างที่น่าสนใจและต่างไปจากเดิมนะครับ
1. Diversified Portfolio หรือ การกระจายความเสี่ยงในทุกประเภทสินทรัพย์ ทำให้คุณสามารถผ่านวิกฤตแบบเจ็บตัวน้อยได้เหมือนดังเช่นอดีต
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ที่ปธน.ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดฉากเกมส์สงครามการค้า ในปีนั้น สินทรัพย์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก มีเพียงแค่ “การถือเงินสด” จนเป็นที่ถกเถียงในแวดวงนักกลยุทธ์มืออาชีพทั้งหลายว่า มันถึงจุดสิ้นสุดของการลงทุนแบบพอร์ตโฟลิโอเพื่อกระจายความเสี่ยงแล้วเหรอ เพราะไม่ว่าจะลงลงทุนในสินทรัพย์อะไร ในปี 2018 ก็ขาดทุนทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พันธบัตรรัฐบาลซึ่งได้ชื่อว่าเสี่ยงต่ำและปลอดภัยที่สุด
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป เราก็เริ่มเห็นแล้วว่า เหตุการณ์ในปี 2018 เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ๆ เพราะเมื่อเข้าสู่ปี 2019 ผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ก็กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติจนทำให้คำกล่าวหาที่มองว่า เลิกกระจายความเสี่ยงเถอะ นั้นค่อย ๆ หายไป จนหลักฐานชิ้นสำคัญที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เดือนมี.ค. – เม.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นโลกปรับฐานเฉลี่ยลบมากกว่า 30% จากจุดสูงสุด เราอาจพบว่า มีแรงเทขายออกจากตราสารหนี้ภาคเอกชนด้วย เพราะไม่รู้ว่า โลกจะรับมือกับไวรัส COVID-19 ได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงแรก แต่หากพอร์ตการลงทุนของเรา มีตราสารหนี้ภาครัฐ และ ทองคำ ผสมอยู่ จะพบว่า พอร์ตการลงทุนของคุณลดความผันผวนและช่วยพยุงไม่ให้บาดเจ็บจากการปรับฐานรุนแรงในตลาดหุ้นได้เป็นอย่างดี และนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าเราควรทำต่อไปครับ
2. ESG หรือ Environmental, Social, and Governance จะถูกนักลงทุนให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ยกระดับความสำคัญของวิธีการที่บริษัทดำเนินงาน ทั้งในแง่ต่อสิ่งแวดล้อม พนักงาน และการกำกับดูแล ไปในทิศทางที่เข้าสู่มาตรฐานของ ESG เพิ่มขึ้น
การจัดการองค์กรในประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ยกตัวอย่างเช่น การมีนโยบาย Work From Home ที่เอื้อต่อรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ และถือเป็นการทำ Social Distancing ไปในตัว เพื่อเลี่ยงให้พนักงานอยู่ในจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงรายจ่ายที่แสดงถึงความฟุ้งเฟ้อในอดีต หากยังดำเนินต่อไปอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ในอนาคตกับลูกค้า หรือทำให้สามารถหาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาในองค์กรได้ยากขึ้น สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่นักลงทุนจะให้น้ำหนักมากขึ้น และมีแนวโน้มที่นักลงทุนจะกดดันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของธุรกิจที่ไม่สอดรับกับ ESG ด้วยการให้น้ำหนักการลงทุนน้อยลง หรือ เลือกที่จะไม่ลงทุนเลย
สำหรับ ESG ในแง่ของภาพที่กว้างขึ้น การพัฒนาอย่างยั่งยืนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแผนฟื้นฟูสำหรับภาครัฐ ด้วยแผนการที่จะลงทุนในพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ การขนส่งที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ อาหารที่ยั่งยืน และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงไปของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก สิ่งนี้จะยังดำเนินต่อไป และนักลงทุนจะรับได้กับความล้มเหลวในระยะสั้น หากบริษัทหรือธุรกิจยังมีความพยายามที่จะรักษามาตรการ และให้ความสำคัญทั้ง Environmental, Social and Governance
3. Lower Rate Buy High Risk = More Equity
ในยุคหลัง COVID-19 ที่หลายคนเรียกกันไปแล้วว่า เราจะอยู่ในยุคของ New Normal ซึ่งสิ่งปกติแบบใหม่ที่เรากำลังจะเห็นชัด ๆ เลยก็คือ เราจะเข้าสู่ยุคที่อัตราดอกเบี้ยจากเงินฝาก และตราสารหนี้เข้าใกล้ศูนย์ หรือ ถึงขั้นติดลบในหลาย ๆ ประเทศ สาเหตุหลักมาจากมาตรการกระตุ้นจากนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาไม่น้อยเลยทีเดียวกว่าที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาสู่ภาวะปกติหรือจุดเดิมในปี 2019 ได้ นั่นเท่ากับว่า แม้แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็ไม่อาจออมเงินไว้ในเงินฝากธนาคาร หรือตราสารหนี้ภาครัฐฯ ได้อีกต่อไป เพราะแรงกดดันจากเงินเฟ้อ และผลตอบแทนที่แทบจะไม่เหลืออะไร จะทำให้มีเม็ดเงินจากส่วนนี้ ไหลออกมาหาผลตอบแทนในตลาดการเงินและสินทรัพย์ประเภทอื่น
ซึ่งสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง (ในสายตาของนักลงทุนทั่วไป) ก็คือ ตลาดตราสารทุน หรือ หุ้น และเราก็เห็นหลักฐานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบางอย่างคือ เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับสามารถรีบาวน์กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่แคร์ หรือ ไม่สนใจกับตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1930, อัตราการว่างงานของทั่วโลกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์, รัฐบาลก่อหนี้สาธารณะรวมกันมากกว่า 10% ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน นั่นก็เพราะ สภาพคล่องที่ล้นโลก เงินทุนจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องไหลเข้าตราสารทุน เพื่อหาผลตอบแทนมาชดเชยกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน
4. De-Globalization
ในมุมมองของผม ผมเชื่อว่า การเกิดขึ้นของ COVID-19 คือ จุดสิ้นสุดของกระแสโลกภิวัฒน์ (Globalization) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การที่ Global Supply Chain ของโลก ไปรวมตัวกันอยู่ที่ประเทศจีนเป็นฐานการผลิตที่สุดท้าย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์อย่างเช่นรอบนี้ ความเสี่ยงที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นอีกด้านก็คือ เกิดการชะงักของฟากการผลิต ทำให้หลังจากนี้ ผู้ประกอบการทั่วโลกจะเริ่มออกแบบ Supply Chain ใหม่ให้อยู่ในระดับภูมิภาค หรือภายในประเทศมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง แนวความคิดของโลกฝั่งเสรีนิยมซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ก็พุ่งเป้าโจมตีถึงความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทสัญชาติจีน การกล่าวอ้างว่าจีนเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายไวรัส COVID-19 ที่กลายเป็นร่างกม.ขัดแข้งขัดขาบริษัทจีน ให้ค้าขายกับต่างชาติลำบากขึ้น หรือ ถึงขั้นอาจพิจารณาถอดหลักทรัพย์ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน การเคลื่อนไหวของ 2 มหาอำนาจภายใต้วิกฤต COVID-19 ครั้งนี้ ดูเหมือนจะรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศมา แน่นอนว่า การค้าโลกจะหดตัวลงไปอีกนับจากนี้ และกระแส Globalization อาจจะลดลงมาเหลือเพียง Regionalization ก็เป็นได้ | ESG หรือ Environmental, Social, and Governance หมายถึง แนวทางการลงทุนและการดำเนินงานที่เน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental), การพิจารณาด้านสังคมและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Social), และการกำกับดูแลที่ดีขององค์กร (Governance) เพื่อสร้างความยั่งยืนและผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว
1. Environmental (สิ่งแวดล้อม): การพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การจัดการของเสีย, และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
2. Social (สังคม): การดูแลด้านความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน, การมีนโยบายที่เหมาะสมในเรื่องความหลากหลายและความเสมอภาค, และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน
3. Governance (การกำกับดูแล): การดำเนินงานด้วยความโปร่งใส, การมีคณะกรรมการที่เป็นอิสระ, และการปฏิบัติตามกฎระเบียบและนโยบายทางธุรกิจที่ดี
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ ESG กลายเป็นประเด็นที่สำคัญมากขึ้นในวงการลงทุน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มเห็นว่าการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีค่ามากขึ้นในสถานการณ์วิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) และการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนและการขนส่งที่สะอาดเป็นต้น
การที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและตลาดหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงทำให้การลงทุนในหุ้นกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน การมุ่งเน้นการลดการพึ่งพาตลาดโลก (De-Globalization) อาจทำให้การจัดการซัพพลายเชนต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากวิกฤตต่างๆ
ESG จะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนในอนาคต และมีแนวโน้มว่า นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการจัดการที่ดีในด้านต่างๆ ขององค์กรมากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1922 | Finance | ตัวอย่าง Set Aside ในกรณีหุ้นกู้ตัวนั้นมีปัญหา แล้วถูกแยกออกไป ไม่นำมาคำนวณใน NAV กองทุน คืออะไร | หนึ่งข่าวใหญ่ในวันนี้คงหนีไม่พ้น การบินไทย ซึ่งเคาะออกมาเป็นที่เรียบร้อยว่า “ไม่อุ้มนะจ๊ะ เข้าแผนฟื้นฟู ปรับตัวตามธรรมชาติไป” ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้มีอยู่มากมาย เราไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอกล่าวถึงหนึ่งในผลกระทบที่ตามมาต่อนักลงทุนกองทุนรวมทั้งหลาย
เนื่องจากการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูนั้น มีข้อบังคับที่ช่วยเอื้อกิจการที่กำลังจะฟื้นฟูบางส่วนดังนี้ 4.ห้ามฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ และห้ามฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย อาทิ
ห้ามเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิด หรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน
ห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้ามูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน
ห้ามเจ้าหนี้มีประกันบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน
ห้ามมิให้เจ้าหนี้ที่บังคับชำระหนี้ได้บังคับได้เองตามกฎหมายยึดทรัพย์สินหรือขายทรัพย์สินของลูกหนี้
ซึ่งตีความโดยง่ายก็คือ ระหว่างที่อยู่ในแผนนี้อย่าเพิ่งมาทวงหนี้นะจ๊ะ ขอเอาใจทั้งหมดไปทุ่มให้การทำแผนฟื้นฟูก่อน ส่วนหนี้ทั้งหลาย ก็รอแป๊บ ขอเจรจาก่อนว่าจะยืดเวลาชำระออกไป หรือจะขอลดหนี้ หรือจะทั้งยืดและทั้งขอลดหนี้ดี
เพื่อที่จะได้มีเวลาในการทำแผนฟื้นฟู โดยปราศจากการรบกวนจากปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจกระทบต่อแผนได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้กองทุนรวมทั้งหลาย ที่ลงทุนในหุ้นกู้การบินไทยนั้น เกิดอาการขาดสภาพคล่อง และ ขาดรายได้จากหุ้นกู้ของการบินไทย โดยทันที
ย้ำอีกครั้งว่าขาดจากหุ้นกู้ที่มีปัญหาเท่านั้น
ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อาจทำให้ราคาหุ้นกู้ ที่ซื้อขายในตลาดรองนั้น อาจจะเหวี่ยงได้แรงมหาศาล หรือ อาจจะไม่มีใครซื้อเลยก็ได้ ซึ่งทางกลต. นั้นก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้เตรียมมาตรการที่เรียกว่า Set Aside เอาไว้เรียบร้อย
Set Aside ก็ตรงตามชื่อเลยครับ คือการแยกเอาไว้ข้าง ๆ ในที่นี้ก็คือหุ้นกู้ตัวไหนมีปัญหา เราก็แยกออกไป ไม่นำมาคำนวณใน NAV กองทุน
ยกตัวอย่างเช่น
สมมติ กองทุน A มีมูลค่า 1,000 บาท มีสัดส่วนหุ้นกู้ XXX 5% มีหน่วยลงทุน 100 หน่วย จะทำให้ NAV ของกองทุน A = 10 บาทต่อหน่วย (1,000 / 100 = 10 บาทต่อหน่วย)
คราวนี้ พอหุ้นกู้ XXX นั้นมีปัญหา กลต. ก็บอกไปว่า “เอ้า แยกเอาไว้ แล้วรอก่อน ถ้าเจรจาสำเร็จ XXX ใช้หนี้คืนได้ ค่อยนำกลับไปคำนวณอีกที” ทำให้ NAV ของกองทุน A นั้นจะลดลงทันที 5% ตามมูลค่าของหุ้นกู้ XXX ที่ถือครอง ก็คือจากเดิม 10 บาท เหลือเพียง 9.5 บาทเท่านั้น
โดยที่ 9.5 บาทนี้จะสามารถทำรายการซื้อขายได้ตามปรกติ มีแค่ 0.5 บาทเท่านั้นที่กองทุนขอ “ติด” เอาไว้ก่อน รอทาง XXX เจรจา แล้วค่อยมารับคืนอีกครั้งเมื่อทุกอย่างเคลียร์
ซึ่งมาตรการนี้ไม่ใช่มาตรการใหม่แต่อย่างใด เพราะในสมัยต้มยำกุ้งนั้น ก็เคยใช้มาตรการนี้มาแล้ว โดยมาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องของกองทุนทั้งหลาย ในแง่ที่ว่า หากนักลงทุนทราบว่ากองทุน A ถือหุ้นกู้ XXX อยู่ อาจเกิดการ Panic ขาย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันไปยังกองทุนให้ต้องเทขายหุ้นกู้ในพอร์ตต่อ เพื่อนำเงินมาคืนลูกค้า
แต่คราวนี้ปัญหามันจะเกิดตรงที่ หุ้นกู้ XXX นั้นกลับขายไม่ได้ ทำให้กองทุนต้องไปขายหุ้นกู้ตัวอื่นแทน ที่ดีและมีคุณภาพอยู่ ซึ่งหากภาวะ Panic สูงมาก อาจทำให้กองทุนนั้นต้องขายหุ้นกู้ดี ๆ ออกไปในราคาที่ถูกกว่าที่สมควรจะเป็น กลายเป็นผลขาดทุนที่ไม่น่าเกิดขึ้น
หรือยิ่งไปกว่านั้น หากภาวะ Panic เกิดขึ้นอย่างยาวนาน หรือ รุนแรงมาก อาจทำให้กองทุนต้องขายหุ้นกู้ดี ๆ จนหมดพอร์ต เหลือแต่หุ้นกู้แย่ ๆ เอาไว้ ก็จะยิ่งขาดทุนหนัก หากผลการเจรจาฟื้นฟูนั้นไม่เป็นไปตามคาด
กลับกันหากนักลงทุนไม่ Panic ขาย ถือต่อไป หุ้นกู้ดี ๆ ในพอร์ตทั้งหลายอาจทำผลตอบแทนค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา จนกลบส่วนที่หายไปก็เป็นได้ และหากผลการเจรจาออกมาดีกว่าคาด XXX สามารถใช้หนี้ได้ทั้งหมด เงินที่ลงทุนในกองทุนนั้น ๆ ก็อาจได้รับคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนก็เป็นได้ | ตัวอย่างเช่น
สมมติว่า กองทุน A มีมูลค่า 1,000 บาท มีสัดส่วนหุ้นกู้ XXX 5% มีหน่วยลงทุน 100 หน่วย จะทำให้ NAV ของกองทุน A = 10 บาทต่อหน่วย (1,000 / 100 = 10 บาทต่อหน่วย)
เมื่อหุ้นกู้ XXX นั้นมีปัญหา กลต. จึงให้แยกเอาไว้ แล้วรอ หากเจรจาสำเร็จ หุ้นกู้ XXX ใช้หนี้คืนได้ ค่อยนำกลับไปคำนวณอีกที ทำให้ NAV ของกองทุน A นั้นจะลดลงทันที 5% ตามมูลค่าของหุ้นกู้ XXX ที่ถือครอง ก็คือจากเดิม 10 บาท เหลือเพียง 9.5 บาท
โดยที่ 9.5 บาทนี้จะสามารถทำรายการซื้อขายได้ตามปกติ มีแค่ 0.5 บาทเท่านั้นที่กองทุนขอ “ติด” เอาไว้ก่อน รอทาง XXX เจรจา แล้วค่อยมารับคืนอีกครั้งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
ซึ่งมาตรการนี้ไม่ใช่มาตรการใหม่แต่อย่างใด เพราะในสมัยต้มยำกุ้งนั้น ก็เคยใช้มาตรการนี้มาแล้ว โดยมาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องของกองทุนทั้งหลาย ในแง่ที่ว่า หากนักลงทุนทราบว่ากองทุน A ถือหุ้นกู้ XXX อยู่ อาจเกิดการ Panic ขาย ซึ่งจะสร้างแรงกดดันไปยังกองทุนให้ต้องเทขายหุ้นกู้ในพอร์ตต่อ เพื่อนำเงินมาคืนลูกค้า
แต่ทั้งนี้ปัญหามักจะเกิดตรงที่ หุ้นกู้ XXX นั้นกลับขายไม่ได้ ทำให้กองทุนต้องไปขายหุ้นกู้ตัวอื่นแทน ที่ดีและมีคุณภาพอยู่ ซึ่งหากภาวะ Panic สูงมาก อาจทำให้กองทุนนั้นต้องขายหุ้นกู้ดี ๆ ออกไปในราคาที่ถูกกว่าที่สมควรจะเป็น กลายเป็นผลขาดทุนที่ไม่น่าเกิดขึ้น
หรือยิ่งไปกว่านั้น หากภาวะ Panic เกิดขึ้นอย่างยาวนาน หรือ รุนแรงมาก อาจทำให้กองทุนต้องขายหุ้นกู้ดี ๆ จนหมดพอร์ต เหลือแต่หุ้นกู้แย่ ๆ เอาไว้ ก็จะยิ่งขาดทุนหนัก หากผลการเจรจาฟื้นฟูนั้นไม่เป็นไปตามคาด
ในทางกลับกันหากนักลงทุนไม่ Panic ขาย ถือต่อไป หุ้นกู้ดี ๆ ในพอร์ตทั้งหลายอาจทำผลตอบแทนค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา จนกลบส่วนที่หายไปก็เป็นได้ และหากผลการเจรจาออกมาดีกว่าคาด XXX สามารถใช้หนี้ได้ทั้งหมด เงินที่ลงทุนในกองทุนนั้น ๆ ก็อาจได้รับคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนก็เป็นได้ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_1984 | Finance | ถ้าพูดถึง COVID-19 หุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงได้แก่หุ้นประเภทใดบ้าง | a. หุ้นร้านค้า
b. หุ้นโรงแรม สปา
c. หุ้นสนามบิน
d. หุ้นที่ต้นทุนจะลดลงถ้าราคาน้ำมันลง | คำตอบคือ d. หุ้นที่ต้นทุนจะลดลงถ้าราคาน้ำมันลง
เนื่องจาก หุ้นลงหนักแบบนี้ ลงทุนแบบไหนดี หุ้นท่องเที่ยวมั้ย หุ้นน้ำมันมั้ย ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ถ้ามันยังลงไม่จบ ก็ติดดอยนะ งั้นเอางี้ หุ้น SET50 ดีมั้ย เลือกมาซัก 5-10 ตัว เวลาผ่านไปเดี๋ยวดีเอง
ช่วงเวลานี้ หลายคนน่าจะเป็นแบบนี้ คือ ไม่กล้าลงทุน ไม่รู้จะซื้อหุ้นตัวไหนดี กลัวซื้อไปแล้วลงต่อ ไม่รู้ว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวเมื่อไหร่ อยากให้ไอเดียการกระจายความเสี่ยงแบบนี้เป็นทางเลือก
• หุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ถ้าพูดถึง COVID-19 แน่นอนว่า หุ้นสนามบิน โรงแรม สปา ร้านค้า ของกินของใช้ที่เกี่ยวข้องก็น่าจะได้รับผลกระทบกันหมด และพอเหตุการณ์ผ่านไป ก็น่าจะฟื้นตัวกลับมา ก็เป็นโอกาสในการซื้อหุ้นกลุ่มนี้ที่ลงมาแรง
ถ้าพูดถึง ราคาน้ำมัน กลุ่ม ปตท. ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และราคาร่วงหนักมาก เราก็อาจมองได้ว่า การที่ราคาน้ำมันลงมาเยอะๆ ไม่มีใครได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นซาอุ รัสเซีย หรือสหรัฐฯ สุดท้ายน่าจะคุยกันได้ เราก็อาจช้อนซื้อหุ้นกลุ่มนี้ไว้ก่อน
หุ้นที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยแต่ดันลง
• หุ้นหลายตัวที่อาจไม่ได้รับผลกระทบจากทั้งไวรัส หรือราคาน้ำมันที่ลดลง
แต่เวลาตลาดตกใจ คนก็เทขายกันออกมา ทำให้ร่วงกันหมด ก็อาจเป็นโอกาสถ้าเราจะเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ พอตลาดหายตกใจ ราคาก็น่าจะกลับขึ้นไปในที่สุด เช่น หุ้นโรงพยาบาลที่รักษาคนไทยเป็นหลัก หุ้นขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนจีนหรือนักท่องเที่ยว หุ้นที่ต้นทุนจะลดลงถ้าราคาน้ำมันลง เป็นต้น
• หุ้นกลางหุ้นใหญ่ที่กองทุนต้องมี
พักหลัง เราจะเห็นว่าหุ้นเล็กหลายตัว ราคาไม่ค่อยขึ้น แม้ว่าผลประกอบการจะดูดีก็ตาม แต่ว่าหุ้นกลางหุ้นใหญ่ที่กองทุนสนใจมีโอกาสขึ้นได้มากกว่า อาจจะเป็นด้วยสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเริ่มลดลง ต่างชาติก็ยังขายสุทธิอยู่ กองทุนเลยกลายมาเป็นผู้เล่นรายหลักที่มีบทบาทมากขึ้น ถ้าเราเห็นแนวโน้มแบบนี้ เราก็อาจจะลองเลือกหุ้นขนาดกลางขนาดใหญ่ที่มีการเติบโต ที่น่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุนติดพอร์ตไว้ก็น่าสนใจไม่น้อย
• หุ้น Growth Stock
แน่นอนว่า ในระยะยาว หุ้นที่กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง ราคามันควรจะขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เราต้องไปนั่งไล่ดูงบการเงินที่ออกมาว่า หุ้นตัวไหนที่ยังโตได้ดี พื้นฐานดี มีแผนการเติบโตแบบชัดเจน ก็ยิ่งเป็นโอกาสดีในการสะสมตอนที่ราคาถูก หรือตัวไหนที่เรารอมานาน เราชอบมาก แต่ราคาแพง ตอนนี้ก็อาจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อเช่นกัน หุ้น Growth Stock อาจจะหายากหน่อย แต่ถ้าหาเจอ มันเหมือนกับเจอเพชรในตม | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2019 | Finance | ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) คืออะไร | ก. การสะสมของราคาแบบไร้ทิศทาง
ข. การที่ราคาลดลงมากๆ หรือมีแรงขายจำนวนมากจนราคาเริ่มถูก จนทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออยากซื้อ
ค. การที่ราคาพุ่งไปสูงมากๆ จนอาจจะไม่มีคนซื้อต่อ
ง. การกลับตัวของแนวโน้ม | คำตอบได้แก่ ค. เนื่องจาก เพราะ ภาวะ “ซื้อมากเกินไป” หรือ Overbought คือ การที่ราคาพุ่งไปสูงมากๆ จนอาจจะไม่มีคนซื้อต่อ เพราะ คนเริ่มรู้สึกว่าหากซื้อที่ราคานั้นตนจะขายของไม่ออกนั่นเอง
ตัวอย่างก็เช่น การซื้อสินค้าแบรนด์เนมรุ่น limited หายากมาขายเก็งกำไร หากซื้อตอนเปิดตัว อาจจะได้ราคาตั้งต้น ณ ตอนนั้น แต่หากเวลาผ่านไปคนเริ่มหาของชิ้นนั้นได้ยากราคาจึงเพิ่มขึ้น
โดยอาจจะขายต่อ ณ จุดนั้น แต่ในขณะเดียวกันคนที่ซื้อต่อไป หากนำไปขายต่อก็มีแนวโน้มจะไปขายต่อในราคาที่แพงขึ้นเช่นกัน เพราะซื้อมาในราคาที่แพงกว่าบวกกับการที่สินค้าเป็นของหายาก และด้วยราคาที่แพงขึ้นก็อาจจะทำให้ขายได้ยากขึ้นเช่นกัน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2110 | Finance | กฎของเลข 72 สำหรับนักลงทุนคืออะไร | หลายคนคงเคยได้ยินกฎของเลข 72 ที่บอกว่า “ถ้าเอาเลข 72 ตั้งหารด้วยผลตอบแทนต่อปี คำตอบที่ได้คือ ระยะเวลาที่ทำให้เงินเติบโตหนึ่งเท่าตัว”
เช่น มีเงินต้น 100,000 บาท อยากให้กลายเป็น 200,000 บาท
ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 10% จะใช้เวลา 72 หาร 10 เท่ากับ 7.2 ปี
ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 12% จะใช้เวลา 72 หาร 12 เท่ากับ 6 ปี
ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 15% จะใช้เวลา 72 หาร 15 เท่ากับ 4.8 ปี
ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 20% จะใช้เวลา 72 หาร 20 เท่ากับ 3.6 ปี
จากตัวเลขที่เราเห็น เราได้ข้อคิดอยู่ 2 เรื่อง คือ
ข้อที่ 1 ถ้าเราทำผลตอบแทนต่อปี ยิ่งสูง เราก็จะยิ่งได้เงินทบต้นเร็วเท่านั้น หรือ
ข้อที่ 2 ถ้าเราอึด อดทนรอคอยได้นาน ถึงแม้ผลตอบแทนต่อปีไม่สูงมากนัก แต่เงินเราก็โตเท่าตัวได้เหมือนกัน
ฟังดูแล้วก็เหมือนไม่ยาก ข้อแรก ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ ขยันหน่อยน่าจะได้
ส่วนข้อสอง อาจเลือกลงทุนที่ไม่เสี่ยง แล้วก็ปล่อยให้ออกดอกผลตามระยะเวลาไป
ในชีวิตจริง ผลตอบแทนมันไม่ได้แน่นอนแบบนี้ทุกปี บางปีบวกเยอะ บางปีบวกน้อย ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้วถัว ๆ กันไปได้ตามเป้าก็ยังโอเค แต่ต้องคอยระวังอย่าให้ขาดทุนขึ้นมา เพราะเวลาขาดทุนแล้ว การที่จะทำกำไรกลับขึ้นมาได้ต้องออกแรงมากกว่าเดิม จะยกตัวเลขให้เห็นภาพกันชัดขึ้น
ถ้าขาดทุน 10% ต้องทำกำไร 11% ถึงจะได้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม
ถ้าขาดทุน 20% ต้องทำกำไร 25% ถึงจะได้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม
ถ้าขาดทุน 50% ต้องทำกำไร 100% ถึงจะได้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม
ถ้าขาดทุน 90% ต้องทำกำไร 900% ถึงจะได้เงินต้นกลับมาเท่าเดิม
ถ้าเราขาดทุนไม่เยอะ สมมติแค่ 10% ก็ยังไม่ยากที่จะเอาเงินต้นกลับคืนมา แต่ถ้าเราปล่อยให้ขาดทุนเยอะขึ้น เช่น 50% เราต้องทำผลตอบแทน 1 เด้ง หรือขาดทุน 90% เราต้องได้หุ้น 9 เด้ง ถึงจะกลับมายืนที่เดิมได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ที่จะทำได้
เพราะฉะนั้นอยากให้ท่องกฎของ Warren Buffett 2 ข้อ ให้ขึ้นใจ นั่นก็คือ
ข้อที่ 1 อย่าขาดทุน
ข้อที่ 2 ห้ามลืมกฎข้อที่ 1
แต่ถ้าเผลอแหกกฎทั้ง 2 ข้อ ทำพอร์ตขาดทุน ให้ทำตามกฎข้อที่ 3 คือ รีบหาจุดตัดขาดทุนให้ไว้ ก่อนที่จะต้องขาดใจไปเสียก่อน
เพราะฉะนั้น โดยสรุปแล้ว เวลาลงทุน เราไม่ควรมองเฉพาะด้านบวกของผลตอบแทนที่จะเพิ่มมูลค่าเท่านั้น แต่ต้องมองด้านลบด้วยว่าถ้าขาดทุนแล้วจะเป็นอย่างไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ทำการบาลานซ์พอร์ตได้อย่างลงตัวและได้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด | การใช้เลข 72 ในการคำนวณช่วยให้รู้ว่าเงินของเราจะโตขึ้นเท่าไรในระยะเวลาใด ขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนต่อปี โดยการคำนวณใช้สูตรง่ายๆ คือ 72 หารด้วยอัตราผลตอบแทนต่อปี จะได้ระยะเวลาในการที่เงินเติบโตเป็นสองเท่า ตัวอย่างเช่น:
ผลตอบแทน 10% ต่อปี ใช้เวลา 7.2 ปี
ผลตอบแทน 15% ต่อปี ใช้เวลา 4.8 ปี
ข้อคิดสำคัญ:
- ผลตอบแทนที่สูงจะทำให้เงินโตเร็วขึ้น
- การอดทนรอคอยแม้ผลตอบแทนต่ำก็ยังสามารถทำให้เงินโตได้
ความเสี่ยง:
การขาดทุนทำให้ต้องทำกำไรที่สูงกว่าการขาดทุนเพื่อกลับไปที่เงินต้นเดิม เช่น:
ขาดทุน 10% ต้องทำกำไร 11% เพื่อคืนทุน
ขาดทุน 50% ต้องทำกำไร 100% เพื่อคืนทุน
กฎของ Warren Buffett:
ข้อที่ 1: อย่าขาดทุน
ข้อที่ 2: ห้ามลืมกฎข้อที่ 1
ข้อที่ 3: หากขาดทุน ให้หาจุดตัดขาดทุนเพื่อป้องกันการขาดทุนเพิ่มขึ้น
การลงทุนไม่เพียงแต่ต้องมองผลตอบแทน แต่ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและการบริหารจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนที่มากเกินไป เพื่อรักษาผลลัพธ์การลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2169 | Finance | ถ้ามองในมุมของสินค้ามากเกินอาจจะส่งผลอย่างไร | a. มีแนวทางการวางแผนการเกษียณสำหรับมนุษย์เงินเดือน
b. ทำให้แผนเกษียณไม่ครบองค์ประกอบได้
c. มีหลักคิดในการวางแผนเกษียณในรอบด้าน
d. การวางแผนเกษียณจะนึกถึงสินค้าทางการเงิน | คำตอบได้แก่ b.
ในรายการ FINNOMENA GURU VIEW #8 จะพูดถึง 4 อย่างที่ต้องมีในแผนเกษียณ หรือ 4 หลักที่เราควรจะต้องมีนั้น สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้วมีอะไรบ้าง? มาฟังคำแนะนำจากคุณสมพจน์ พัดสุวรรณ นักวางแผนการเงิน และเจ้าของเพจ WealthGuru
พูดถึงการวางแผนเกษียณหลายคนจะนึกถึงสินค้าทางการเงินก่อน เช่น RMF / บำนาญ / LTF แต่ถ้ามองในมุมของสินค้ามากเกินอาจจะทำให้แผนเกษียณไม่ครบองค์ประกอบได้ รับชมแนวทางการวางแผนการเกษียณสำหรับมนุษย์เงินเดือน และหลักคิดในการวางแผนเกษียณในรอบด้าน | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2216 | Finance | การประกันภัยกับการพนันมีความเสี่ยงแตกต่างกันอย่างไร | การพนันกับการประกันภัย ที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่จริงๆ แล้วมันมีหลักการและที่มาที่คล้ายคลึงกันในลักษณะของการนำเงินจ่ายเข้ามาไว้เป็นเงินกองกลาง (Pooling) และลักษณะของการยอมรับความเสี่ยง (Risk) อยู่
ขึ้นชื่อว่าการพนันกับการประกันภัยแล้ว ทั้งสองคำนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า “ความเสี่ยง” ทั้งคู่ แต่มองเป็นเหรียญคนละด้านและต่างขั้วกันอย่างสิ้นเชิง
การพนัน (Gamble)
หมายถึง การเล่นชนิดหนึ่งเพื่อเอาเงินหรือสิ่งอื่นใดด้วยการเสี่ยงโชค โดยการทำนายหรือคาดเดาผลที่เกิดขึ้นในอนาคต การพนันอาจแบ่งได้หลายอย่าง เช่น
การพนันในการแข่งขัน เช่น เกมไพ่ เกมลูกเต๋า เป็นต้น
การพนันโดยการทำนายผลที่คาดว่าเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การแทงบอล การแทงม้า เป็นต้น และ
การพนันที่ไม่มีการแข่งขันโดยขึ้นกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เกิด เช่น หวย เป็นต้น
การประกันภัย (Insurance)
หมายถึง การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้
ตามหลักการทางคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้นจะมีภาษาทางคณิตศาสตร์อยู่ตัวหนึ่งที่เรียกว่า “ค่าคาดหวัง (Expected Value)” ซึ่งหมายถึงการเอาทุกอย่างมาเฉลี่ยกันหมดเพื่อหาค่ากลางออกมา ผลลัพธ์ที่มีความผันผวนออกห่างจาก “ค่าคาดหวัง” จึงเรียกว่า “ความเสี่ยง (Risk)” นั่นเอง
การพนัน (Gamble) จะออกแบบให้มี “มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการถูกรางวัล” น้อยกว่า “ค่าเฉลี่ยของเงินพนันที่ผู้พนันจ่ายไปทั้งหมด” เพื่อที่จะทำให้ผู้รับพนัน (หรือเจ้ามือ) ยังมีกำไรอยู่ แต่สิ่งที่ผู้พนันได้ซื้อไปก็คือการได้ลุ้นและหวังที่จะได้รางวัลนั่นเอง เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกชอบเสี่ยง (Risk Taker) หรือพวกที่เป็นนักแสวงโชค
การประกันภัย (Insurance) จะออกแบบให้มี “มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการลูกค้าได้รับเงินประกัน” น้อยกว่า “ค่าเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยที่ลูกค้าจ่ายไปทั้งหมด” เพื่อที่จะทำให้บริษัทประกันภัยยังมีผลประกอบการอยู่ แต่สิ่งที่ผู้ซื้อประกันภัยได้ซื้อไปก็คือการได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดความสูญเสียทางการเงิน (Financial Loss) เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกไม่ชอบเสี่ยง (Risk Averse) หรือพวกที่เป็นนักวางแผนการเงิน
จะสังเกตได้ว่าทั้ง 2 แบบนี้มีลักษณะการเอาเงินมารวมเป็นกองกลาง (Pooling) กันก่อน เพื่อรวมความเสี่ยงกันเอาไว้ (เรียกว่า Risk Pooling) แล้วจึงค่อยกระจายออกไปให้แต่ละคน ซึ่งถ้าเป็นพวกชอบเสี่ยง (Risk Taker) ก็จะกลายเป็นนักพนันไป ถ้าเป็นพวกที่ไม่ชอบเสี่ยง (Risk Averse) ก็กลายเป็นการซื้อประกันไป
และหลักการของการรวมความเสี่ยงกันเอาไว้นั้นจึงไปสู่เทคนิค “กฎของจำนวนมาก (Law of Large Number)” คือ การคาดคะเน หรือคำนวณ โอกาสของความน่าจะเป็นจะมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้น หากจำนวนของตัวอย่าง (ข้อมูล) ที่ใช้ในการพยากรณ์นั้นมีมากขึ้น ตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยแล้ว ข้อมูลอะไรก็ตามที่เราศึกษา ถ้ามีมากกว่า 1024 ข้อมูล แล้วจะมีความแม่นยำและเหมาะสม แต่ถ้าจะให้ดี ถ้ามีข้อมูลเกิน 10,000 ตัว รับรองแม่นยำแน่นอนครับ เทคนิค Law of Large Number จึงเปรียบเหมือน การที่มีฟางแค่เส้นนึง มันทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเอาฟางมัดกันเป็นกำ แล้วรับรองว่านำมาทำอะไรได้เยอะมากครับ
สรุปได้ว่า ต้นทุนของการพนันและธุรกิจประกัน ก็คือ “ค่าคาดหวัง (Expected Value)” หรือ “ค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากสถิติ” นั่นเอง โดยอาศัยหลักการ Risk Pooling หรือการรวมความเสี่ยงเป็นวิธีการที่มุ่งเน้นการลดความผันผวนของข้อมูล จากการนำแนวคิดทางสถิติและเทคนิค “กฎของจำนวนมาก (Law of Large Number)” มาใช้ โดยมีพื้้นฐานของคณิตศาสตร์ประกันภัยเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ทั้งนั้น แน่นอนว่าธุรกิจต้องดำเนินงานได้โดยไม่ขาดทุน ทั้งการพนันและการประกันภัย จึงถูกออกแบบมาให้ ค่าเฉลี่ยที่ได้ออกมาเป็น “ค่าคาดหวัง (Expected Value)” ที่จะต้องน้อยกว่า “เงินที่นำเข้าไปในเงินกองกลาง (Pooling)” อยู่แล้ว เพื่อให้เจ้ามือ (สำหรับการพนัน) และบริษัทประกัน (สำหรับธุรกิจประกัน) ดำเนินงานต่อไปอยู่ได้ ว่าง่ายๆ คือ “ราคาขาย” ต้องมากกว่า “ต้นทุน”
จะเห็นว่าการพนันกับการประกันนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ค่าคาดหวังค่าเฉลี่ยของสิ่งที่จะได้กลับคืนมานั้นจะมีมูลค่าน้อยกว่าราคาที่เสียเงินซื้อไป เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากขายของขาดทุนเป็นแน่ แต่สิ่งที่ประกันแตกต่างกับการพนันก็คือประกันจะทำหน้าที่คุ้มครองลูกค้าในเวลาที่เกิดความสูญเสียทางการเงิน (Financial loss) ที่ไม่คาดฝันขึ้น (โดยจะจ่ายทุนประทันเป็นเงินคืนให้กับลูกค้า) ขณะที่การพนันจะจ่ายเงินให้กับคนที่ซื้อก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นทายถูกตามที่ตัวเองได้แทงเอาไว้ | การพนัน (Gamble) หมายถึง
การเล่นชนิดหนึ่งเพื่อเอาเงินหรือสิ่งอื่นใดด้วยการเสี่ยงโชค โดยการทำนายหรือคาดเดาผลที่เกิดขึ้นในอนาคต
การพนันอาจแบ่งได้หลายอย่าง เช่น
1. การพนันในการแข่งขัน เช่น เกมไพ่ เกมลูกเต๋า เป็นต้น
2. การพนันโดยการทำนายผลที่คาดว่าเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การแทงบอล การแทงม้า เป็นต้น และ
3. การพนันที่ไม่มีการแข่งขันโดยขึ้นกับความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่เกิด เช่น หวย เป็นต้น
การประกันภัย (Insurance)
หมายถึง การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้
ตามหลักการทางคณิตศาสตร์ ประกันภัยนั้นจะมีภาษาทางคณิตศาสตร์อยู่ตัวหนึ่งที่เรียกว่า “ค่าคาดหวัง (Expected Value)” ซึ่งหมายถึง การเอาทุกอย่างมาเฉลี่ยกันหมดเพื่อหาค่ากลางออกมา ผลลัพธ์ที่มีความผันผวนออกห่างจาก “ค่าคาดหวัง” จึงเรียกว่า “ความเสี่ยง (Risk)” นั่นเอง :
- การพนัน (Gamble) จะออกแบบให้มี “มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการถูกรางวัล” น้อยกว่า “ค่าเฉลี่ยของเงินพนันที่ผู้พนันจ่ายไปทั้งหมด” เพื่อที่จะทำให้ผู้รับพนัน (หรือเจ้ามือ) ยังมีกำไรอยู่ แต่สิ่งที่ผู้พนันได้ซื้อไปก็คือการได้ลุ้นและหวังที่จะได้รางวัลนั่นเอง
เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกชอบเสี่ยง (Risk Taker) หรือพวกที่เป็นนักแสวงโชค
- การประกันภัย (Insurance) จะออกแบบให้มี “มูลค่าของค่าคาดหวัง (Expected Value) จากการลูกค้าได้รับเงินประกัน” น้อยกว่า “ค่าเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยที่ลูกค้าจ่ายไปทั้งหมด” เพื่อที่จะทำให้บริษัทประกันภัยยังมีผลประกอบการอยู่ แต่สิ่งที่ผู้ซื้อประกันภัยได้ซื้อไปก็คือการได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดความสูญเสียทางการเงิน (Financial Loss) เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า พวกไม่ชอบเสี่ยง (Risk Averse) หรือพวกที่เป็นนักวางแผนการเงิน
จะสังเกตได้ว่า ทั้ง 2 แบบนี้มีลักษณะการเอาเงินมารวมเป็นกองกลาง (Pooling) กันก่อน เพื่อรวมความเสี่ยงกันเอาไว้ (เรียกว่า Risk Pooling) แล้วจึงค่อยกระจายออกไปให้แต่ละคน ซึ่งถ้าเป็นพวกชอบเสี่ยง (Risk Taker) ก็จะกลายเป็นนักพนันไป ถ้าเป็นพวกที่ไม่ชอบเสี่ยง (Risk Averse) ก็กลายเป็นการซื้อประกันไป | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2217 | Finance | ข้อดีของการถือทองคำในพอร์ต คืออะไร | ทองคำเป็นแหล่งเก็บมูลค่ามานานหลายพันปีและเป็นที่ต้องการในยามที่มีความไม่แน่นอน สินทรัพย์ชนิดนี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักหลังจากวิกฤติธนาคารยุโรปในปี 2011 อย่างไรก็ตามความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ลง และการขยายตัวของหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯ ก็อาจผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นได้
ทองคำพิเศษอย่างไร?
โดยทั่วไปจะมีการอภิปรายเกี่ยวกับประเภทของการลงทุนในทองคำ ทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกระแสเงิน เหมือนอย่างหุ้นหรือตราสารหนี้ มันเป็นโลหะมีค่าที่ใช้ในอุตสาหกรรมจึงโดนจำแนกเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย
แต่ความต้องการทองคำเพื่อโภคภัณฑ์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของความต้องการทองคำทั้งหมด ในอีกแง่หนึ่งทองคำอาจถูกมองว่าเป็นของสะสม อย่างเช่น การซื้อและถือเครื่องประดับทองคำ
อย่างไรก็ตาม ประธาน Fed ช่วงปี 1987-2006 กลับมีมุมมองอื่น:
“ทองคำเป็นสกุลเงิน หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าเป็นสกุลเงินชั้นเลิศที่ไม่มีสกุลเงินอื่นสามารถเทียบชั้นได้ แม้กระทั่งดอลลาร์” – Alan Greenspan
ทองคำใน DNA ของมนุษย์
ไม่ว่าคุณจะจำแนกทองคำอย่างไร ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามันทำให้เราหลงใหลมานานกว่า 5,000 ปี ถึงอย่างนั้น ชิ้นส่วนของทองคำธรรมชาติก็ได้ถูกค้นพบในถ้ำยุคหินซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึง 40,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์โบราณดูเหมือนจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ถลุงทองคำ และชาวเมโสโปเตเมียก็เป็นคนกลุ่มแรกที่ทำเครื่องประดับทองคำ เหรียญทองคำถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในราชอาณาจักรลิเดียในช่วง 700-550 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทองคำก็ถูกใช้เป็นเงินตรา
ในยุคต่อมา คาดว่า British West Indies เป็นกลุ่มแรกที่นำรูปแบบมาตรฐานทองคำมาใช้ในปี 1704 จากนั้น มาตรฐานทองคำระหว่างประเทศก็ตามมาในศตวรรษต่อมา ตั้งแต่นั้น สกุลเงินก็มักจะเชื่อมโยงกับทองคำ หรือทองคำและเงิน จนกระทั่งประธานาธิบดีนิกสันตัดสินใจที่จะยุติการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นทองคำในปี 1971 และนั่นก็ทำให้ระบบ Bretton Woods สิ้นสุดลง
ข้อดีของการถือทองคำในพอร์ต
สำหรับพอร์ตการลงทุน สิ่งที่สำคัญสุดคือคุณสมบัติของทองคำและผลกระทบที่มีต่อพอร์ตโดยรวม เมื่อเรามองทองคำ เราจะมองว่าเป็นสินทรัพย์แยกต่างหาก ทองคำมีสภาพคล่องสูง ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต และสามารถทำงานในฐานะตัวกระจายการลงทุนสำหรับพอร์ตการลงทุนของคุณเนื่องจากมันมักจะมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์ประเภทอื่น
ทองคำไม่แปรผันตามหุ้น
ในขณะที่เรามุ่งเน้นไปที่หุ้นเป็นหลัก (บางครั้งมีการผสมผสานตราสารหนี้เข้ามาด้วย) เราได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและหุ้นโลก หากเราวัดตั้งแต่เดือนมกราคม 1988 ตลอดไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2019 ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นโลกกับทองคำอยู่ที่ 3% ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ใกล้กับศูนย์
ทำความรู้จัก “ทองคำ”: สินทรัพย์ที่มีค่าเมื่อตลาดอยู่ในขาลง
เมื่อดูที่ความสัมพันธ์แบบ 10-year rolling correlation ก็จะเห็นว่ามันเคลื่อนไหวในกรอบ 10% ถึง -10% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ทองคำจะขึ้นในช่วงปรับฐานของตลาดหุ้น
ทำความรู้จัก “ทองคำ”: สินทรัพย์ที่มีค่าเมื่อตลาดอยู่ในขาลง
จากการพล็อตดัชนีราคาหุ้นโลกและทองคำ เราจะเห็นว่าในช่วงที่ฟองสบู่ดอตคอมแตก ช่วงวิกฤตการเงินโลก และช่วงวิกฤติธนาคารยุโรป ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นในขณะที่ราคาหุ้นร่วงลง ราคาทองคำนั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงขาลงของตลาดหุ้น | ทองคำมีสภาพคล่องสูง ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต และสามารถทำงานในฐานะตัวกระจายการลงทุนสำหรับพอร์ตการลงทุนของคุณเนื่องจากมันมักจะมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์ประเภทอื่น
ทองคำไม่แปรผันตามหุ้น
ในขณะที่เรามุ่งเน้นไปที่หุ้นเป็นหลัก (บางครั้งมีการผสมผสานตราสารหนี้เข้ามาด้วย) เราได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทองคำและหุ้นโลก หากเราวัดตั้งแต่เดือนมกราคม 1988 ตลอดไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2019 ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นโลกกับทองคำอยู่ที่ 3% ซึ่งดูๆ ไปแล้วก็ใกล้กับศูนย์
เมื่อดูที่ความสัมพันธ์แบบ 10-year rolling correlation ก็จะเห็นว่ามันเคลื่อนไหวในกรอบ 10% ถึง -10% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ทองคำจะขึ้นในช่วงปรับฐานของตลาดหุ้น
จากการพล็อตดัชนีราคาหุ้นโลกและทองคำ เราจะเห็นว่าในช่วงที่ฟองสบู่ดอตคอมแตก ช่วงวิกฤตการเงินโลก และช่วงวิกฤติธนาคารยุโรป ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นในขณะที่ราคาหุ้นร่วงลง ราคาทองคำนั้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงขาลงของตลาดหุ้น | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2292 | Finance | ประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ทวีตว่าสหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 10% เป็น 25% สร้างความปั่นป่วนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก สำหรับนักลงทุนแล้วมี 3 กองทุนที่จะช่วยลดความกังวลได้แก่อะไรบ้าง | เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ทวีตว่าสหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 10% เป็น 25% ครอบคลุมสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ สร้างความปั่นป่วนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
รูปที่ 1 : MSCI World Index และลำดับเหตุการณ์สงครามการค้า | ที่มา FINNOMENA
ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงกว่า 6% สหรัฐฯ เอเซีย และยุโรป ปรับตัวลงมากกว่า 2% ภายในเวลาเพียง 3 วัน
คำถามคือเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นในอดีตบ้างหรือไม่
แน่นอน ว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว ที่มุ่งมั่นจะลดการขาดดุลทางการค้ากับคู่ค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, แคนาดา, เม็กซิโก, ญี่ปุ่น และ คู่ค้าที่เกินดุลสูงสุดอย่างจีน ไปพร้อมๆ กับลดการเสียเปรียบตำแหน่งงาน และผู้อพยพจากประเทศต่างๆ
ซึ่งทุกครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ดำเนินการด้วยท่าทีแข็งกร้าวนั้น ล้วนแต่ส่งผลต่อตลาดการลงทุนทั่วโลกทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกาศล่วงหน้าผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่กรณีที่มีขนาดเศรษฐกิจลำดับที่ 2 ของโลกอย่างประเทศจีน
ทำให้คำถามสำคัญต่อมาก็คือแล้วเหตุการณ์เช่นนี้ จะยังเกิดขึ้นในอนาคตอีกหรือไม่?
ใช่ เกิดขึ้นอีกในอนาคตแน่ๆ… คงเป็นคำตอบสั้นๆ ง่ายๆ และสื่อความหมายได้ดีที่สุด
เนื่องจากท้ายที่สุดแล้ว หนึ่งในความสามารถของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้นั้นก็คือ ความสามารถในการเจรจาทางการค้าของเขา ซึ่งพิสูจน์มาในหลากหลายเวที ทั้งในกรณีของการลดการขาดดุลกับประเทศญี่ปุ่น, การรื้อข้อตกลง NAFTA ที่มีอายุกว่า 20 ปี การคว่ำบาตรประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่างอิหร่าน รวมไปถึงกรณีสงครามการค้ากับจีนด้วย
ซึ่งการเจรจาของเขานี่เองที่ทำให้สหรัฐฯ ได้ข้อตกลงใหม่ๆ ที่ดีขึ้น (NAFTA) ลดการขาดดุลได้ (กรณีญี่ปุ่น) มีอำนาจในการกำหนดทิศทางราคาน้ำมันมากยิ่งขึ้น (กรณีอิหร่าน) และ มีโอกาสที่จะเข้าไปทำการค้าในประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีอำนาจการซื้อสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกอย่างเท่าเทียม ซึ่งหมายถึงโอกาสการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีกมาก พร้อมกับการันตีเรื่องความปลอดภัยทางทรัพย์สินทางปัญญา ที่เดิมทีเคยเป็นประเด็นหลักที่นานาชาติโจมตีประเทศจีน ถ้าเช่นนั้นแล้วทรัมป์จะหยุดกดดันจีนทำไม?
ทำให้คำถามสำคัญยิ่งกว่าสำหรับนักลงทุนก็คือ แล้วทำอย่างไรดี
คำตอบ ที่ทาง FINNOMENA Investment Team ให้ได้ ก็ยังคงเป็น คำตอบง่ายๆ ที่ใช้ได้ผลดีเสมอ ยามที่เกิดความไม่แน่นอนขึ้น ได้แก่
1. การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยต่างๆ ส่วนหนึ่งของพอร์ต เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวมลง ซึ่งในที่นี้ FINNOMENA Investment Team ขอแนะนำ กองทุนรวมกลุ่มตราสารหนี้ทั่วโลก และ กองทุนทองคำ อย่าง UGIS-N และ TMBGOLDS
2. การย้ายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าการเจรจาการค้าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตต่อๆ ไป โดยการย้ายไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยในที่นี้ มีเป้าหมายหลักก็คือการรักษาอำนาจการซื้อของพอร์ตการลงทุนของท่านเอาไว้ เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อสถานการณ์ผ่านพ้นไป ท่านจะมั่นใจได้ว่าเงินทุนของท่านไม่ลดลงแต่อย่างใด ด้วยกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางอย่าง KFAFIX
ทำไมต้อง 3 กองทุนนี้
รูปที่ 2 : กราฟ NAV กองทุน UGIS-N | ที่มา FINNOMENA
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
1. UGIS-N
กองทุนตราสารหนี้ชั้นดี จากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกภายใต้การก่อตั้งของ Bill Gross เจ้าของสมญานาม Bond King ที่มีการบริหารแบบ Active ลงทุนในตราสารหนี้ชั้นดีที่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในปัจจุบันนั้นถือครองตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยถึง A-, ด้วยระดับ Current Yield ที่ 3.97% ภายใต้โอกาสความผันผวนที่ต่ำจาก Duration เพียง 1.82 ปีเท่านั้น เพื่อรับโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงสุด ไปพร้อมๆ กับการควบคุมความเสี่ยงให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า การลงทุนในตราสารหนี้ครั้งนี้จะช่วยลดความกังวลของทุกท่านได้อย่างแน่นอน
อ่านฉบับเต็มได้ที่ : https://www.finnomena.com/crisisman/ugis-n/
รูปที่ 3 : การเคลื่อนไหวราคาทองคำและกองทุน TMBGOLDS | ที่มา Bloomberg
ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
2. TMBGOLDS
กองทุนทองคำที่ลงทุนใน ETF ทองคำใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมกับป้องกันความเสี่ยงทางด้านค่าเงิน 100% เต็ม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า กองทุนทองคำของท่านนั้นจะเคลื่อนไหวล้อตามไปกับราคาทองคำในตลาดโลกอย่างแน่นอนซึ่งโดยทั่วไปแล้วทองคำนั้นมักปรับตัวขึ้น จากความสามารถในการรักษาอำนาจในการซื้อไว้นั่นเอง
อ่านฉบับเต็มได้ที่ : https://www.finnomena.com/tanhnanchya/tmbgolds/
รูปที่ 4 : กราฟ NAV กองทุน KFAFIX | ที่มา : FINNOMENA
ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
3. KFAFIX
กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางแบบ Active ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 0-5 ปี เพื่อเปิดรับโอกาสทางการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทยและทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีการปรับอายุตราสารหนี้เฉลี่ยขึ้นเป็น 2.91 ปี เพื่อรับโอกาสทางด้านผลตอบแทนที่สูงจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระยะนี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าอำนาจการซื้อของท่านจะอยู่ครบ หากต้องการที่หลบภัยจากความผันผวนสัก 6-12 เดือน | 1. UGIS-N
กองทุนตราสารหนี้ชั้นดี จากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลกภายใต้การก่อตั้งของ Bill Gross เจ้าของสมญานาม Bond King ที่มีการบริหารแบบ Active ลงทุนในตราสารหนี้ชั้นดีที่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในปัจจุบันนั้นถือครองตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยถึง A-, ด้วยระดับ Current Yield ที่ 3.97% ภายใต้โอกาสความผันผวนที่ต่ำจาก Duration เพียง 1.82 ปีเท่านั้น
2. TMBGOLDS
กองทุนทองคำที่ลงทุนใน ETF ทองคำใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมกับป้องกันความเสี่ยงทางด้านค่าเงิน 100% เต็ม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า กองทุนทองคำจะเคลื่อนไหวตามราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทองคำนั้นมักปรับตัวขึ้น จากความสามารถในการรักษาอำนาจในการซื้อไว้
3. KFAFIX
กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางแบบ Active ที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถลงทุนในตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 0-5 ปี เพื่อเปิดรับโอกาสทางการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยไทยและทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันนั้นมีการปรับอายุตราสารหนี้เฉลี่ยขึ้นเป็น 2.91 ปี | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2332 | Finance | ประเภทค่าใช้จ่ายถ้าเป็นมะเร็งมีอะไรบ้าง? | null | 1. ค่าตรวจวินิจฉัย ค่าใช้จ่ายเงินก้อนแรก คือ ค่าตรวจวินิจฉัย อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน หลายขั้นตอน กว่าจะเจอสาเหตุของโรคที่แท้จริง
2. ค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน เมื่อเจอว่าเป็นมะเร็ง ก็ถึงขั้นตอนการรักษา อาจจะเป็นการผ่าตัด ฉายแสง หรือให้คีโม ขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและทีมแพทย์ ค่าใช้จ่ายเงินก้อนที่ 2 คือ ค่ารักษากรณีผู้ป่วยใน เช่น ค่าห้อง,ค่าอาหาร,ค่าบริการต่างๆ,ค่าผ่าตัด,ค่ายา
3. ค่ารักษาผู้ป่วยนอก จะต้องเข้ารับเคมีบำบัดหรือการทำคีโม ยิ่งให้คีโมเยอะ ยิ่งต้องใช้เงิน ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเงินก้อนที่ 3 คือ ค่ารักษากรณีผู้ป่วยนอก เช่น ค่ายาในการทำคีโม หรือ ค่าการฉายแสง
4. ค่าจ้างคนดูแล ระหว่างอยู่ที่รักษาตัวอยู่ จำเป็นจะต้องจ้างคนมาดูแล โดยเฉพาะช่วงอยู่ที่โรงพยาบาลและในช่วงทำคีโม ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเงินก้อนที่ 4 คือ ค่าจ้างพิเศษสำหรับคนดูแล ขั้นต่ำก็เดือนละ 10,000 บาทขึ้นอยู่กับภาระหน้าที่
5. ค่ารักษาต่อเนื่อง หลังจากผ่าตัดและทำคีโมแล้ว จะต้องกินยาต้านมะเร็ง และมีการตรวจสอบต่อเนื่องว่ามะเร็งจะกลับมาหรือแพร่กระจายไปที่อื่นอีกหรือไม่ ดังนั้น ค่าใช้จ่ายเงินก้อนที่ 5 คือ ค่ารักษาต่อเนื่อง
มะเร็งเป็นโรงร้ายแรงชนิดหนึ่ง ถ้าตรวจเจอตั้งแต่ระยะแรกก็มีโอกาสที่จะหายได้ มะเร็งไม่จำกัดอายุ เด็กหรือคนแก่ก็มีโอกาสเป็น แต่ด้วยค่าใช้จ่ายรักษาที่สูง ดังนั้น ระวังเงินลงทุนของคุณจะหายไปกับค่าใช้จ่ายการรักษามะเร็ง!! การที่ดีที่สุดในการปกป้องเงินลงทุนของคุณคือ การทำประกัน ต้องเป็นประกันแบบที่เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ในกรณีต้องเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน และที่สำคัญคือจะต้องเป็นประกันแบบที่ได้เงินก้อน เพื่อจะต้องเป็นค่าตรวจวินิจฉัย การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ค่าจ้างคนมาดูแล และการรักษาแบบต่อเนื่อง ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ดี คุณจะเข้าใจความเสี่ยงในการลงทุน การเป็นโรคมะเร็งก็เป็นความเสี่ยงแบบหนึ่งที่อาจจะต้องให้เงินลงทุนของท่านหายไปกับการรักษาพยาบาล | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2357 | Finance | หุ้น Facebook เข้าตลาดในปี 2012 ด้วยราคากี่ดอลลาร์ | สรุปทุกอย่างที่ต้องรู้ หุ้น Facebook
1. หุ้น Facebook คือเจ้าของ Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger ซึ่งมีผู้ใช้รวมกันมากกว่า 2,700 ล้านคน หรือเกือบๆ 1 ใน 3 ของคนบนโลกนี้ Facebook เป็น App ที่คนไทยใช้ทุกวันและใช้เป็นประจำ แต่น้อยคนนักที่จะสนใจลงทุนในบริษัท Facebook ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก หุ้น Facebook มีความน่าสนใจตรงไหน? หุ้น Facebook จะยังเติบโตอีกหรือไม่? 3-4 เดือนที่ผ่านมาหุ้น Facebook ตกหนักเพราะอะไร? มาหาคำตอบกันในบทความครับ 2. หุ้น FB หรือบริษัท Facebook คือ Platform สังคมออนไลน์อันดับหนึ่งของโลก มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน (MAU) สูงถึง 2,320 ล้านคน ในขณะที่ประชากรโลกมีทั้งสิ้น 7,500 ล้านคน ถ้าเราท่องเที่ยวรอบโลกไปทุกๆประเทศเราจะพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั้งหมดบนโลกใช้ Facebook 3. ด้วยขนาดผู้ใช้ที่สูงระดับ 2,700 ล้านคนถ้าเทียบเป็นประเทศ Facebook จะเป็นประเทศที่มีประชากรสูงที่สุดในโลก จีนจะกลายเป็นประเทศที่มีประชากรอันดับ 2 ของโลกที่ 1,380 ล้านคน ไม่น่าเชื่อว่าเว็บไซต์เว็บหนึ่งที่อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ไม่ได้มีที่ดิน ไม่มีรัฐบาล ไม่มีสกุลเงิน จะมีคนใช้ชีวิต (ออนไลน์) อยู่ในเว็บไซต์นี้มหาศาล 4. ในจำนวนผู้ใช้ 2,320 ล้านคนต่อเดือนของ Facebook มีคนที่เปิดใช้ Facebook ทุกวันสูงถึง 1,523 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ใช้ทั้งหมด โดยคนเอเชียคือผู้ใช้ส่วนใหญ่ของ Facebook ในแต่ละวัน และมีจำนวนสูงถึง 577 ล้านคน รองลงมาคือยุโรป 282 ล้านคน และสหรัฐอเมริกา 186 ล้านคน แม้ Facebook จะเกิดในประเทศสหรัฐฯ แต่กลับเติบโตประสบความสำเร็จในประเทศอื่นๆ Facebook คือสินค้าส่งออก Made In USA. ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ Coca-Cola ที่คนดื่มกันทั่วโลกเลยทีเดียว 5. หุ้น Facebook เข้าตลาดในปี 2012 ด้วยราคา 38 ดอลลาร์ และทยานสู่จุดสูงสุดในปี 2018 ที่ราคา 209 ดอลลาร์ นับเป็นผลตอบแทนประมาณ 4.5 เท่าตัวในระยะเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น ปัจจุบันหุ้น Facebook อยู่ที่ราคาราว 160 ดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยที่ 4,960 บาทต่อหุ้น ราคานี้ถือว่าใช้เงินในการซื้อต่อหุ้นไม่มาก เพราะถ้าไปเทียบกับ Amazon ที่ราคา 1,650 ดอลลาร์ (51,000 บาท) Google (C) ที่ 1,130 ดอลลาร์ (35,000 บาท) หรือ Netflix ที่ 360 ดอลลาร์ (11,160 บาท) กลายเป็นหุ้น Facebook มีราคาที่ซื้อง่ายขายคล่องเลยทีเดียว 6. ที่ราคา 160 ดอลลาร์ หุ้น Facebook มีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นที่ 464,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 14.3 ล้านล้านบาทไทย FB เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า PTT 10 เท่า CPALL 20 เท่า และ BDMS 38 เท่า 7. Facebook ถือเป็นบริษัทใหญ่อับดับ 8 ของโลกรองจาก Microsoft, Apple, Amazon, Google, Berkshire Hathaway (บริษัทของ Warren Buffett) และ Alibaba แม้ Facebook จะเป็นเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาได้เพียง 15 ปี แต่กลับใหญ่กว่าบริษัทชั้นนำอย่าง Johnson & Johnson (133 ปี) Visa (61 ปี) Coca-Cola (132 ปี) และ Walt Disney (95 ปี) 8. ผลประกอบการของหุ้น Facebook เป็นอย่างไร? ในปี 2018 หุ้น Facebook มีรายได้ 55,838 ล้านดอลลาร์ (1.7 ลล.บาท) เติบโตจากปี 2017 ที่มีรายได้อยู่ที่ 40,653 ล้านดอลลาร์ (1.2 ลล.บาท) นับเป็นการเติบโตของรายได้ที่ 37% ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงมากสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่คนทั่วๆไปมักจะมีความเชื่อว่า “บริษัทใหญ่โตช้า บริษัทเล็กโตเร็ว” (ความเชื่อนี้เหมือนจะใช้ได้ในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้น Technology เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น) 9. ไม่ใช่แค่ Facebook ที่มีรายได้เติบโตสูงได้บริษัทเดียว Microsoft โต 14% Google โต 23% Amazon โต 30% และ Netflix โต 35% โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่บริษัทใหญ่ที่โตช้าแต่เป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่ยอมเปลี่ยนและไม่รู้จักเรียนรู้ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่างหากจึงจะเป็นบริษัทที่โตช้า 10. แม้รายได้ของหุ้น Facebook จะยังเติบโต แต่ปลายปีที่ผ่านมาหุ้น Facebook ตกหนักจากที่เคยขึ้นไปสูงสุดที่ราคา 218 ดอลลาร์ ตกลงไปต่ำสุดที่ราคา 123 ดอลลาร์ หรือนับเป็นการตกถึง 43.5% ถ้าเป็นการปรับฐานก็นับเป็นการปรับฐานที่รุนแรงที่สุดในรอบ 5 ปีเลยทีเดียว 11. สาเหตุที่หุ้นตกก็มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน เริ่มต้นจากช่วงต้นปี 2018 ในเดือนมค. Facebook ประกาศว่าจะลดการมองเห็นเนื้อหาจาก Page ซึ่งเป็นบริษัทและแบรนด์ แต่จะไปเพิ่มการมองเห็นให้กับเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัวของ Feed แทน เพราะเริ่มมีกระแสจากผู้ใช้มาว่า Facebook เริ่มไม่ใช่สังคมของเพื่อนและครอบครัวอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นเครื่องมือโฆษณาที่เต็มไปด้วยเนื้อหาจากบริษัทและแบรนด์ที่พยายามขายของ กระแสเริ่มต้นจากวัยรุ่นในสหรัฐฯเริ่มไม่ใช้ Facebook และหันไปใช้ App ที่สนุกกว่าอย่าง Snapchat แทน ราคาหุ้น Facebook เริ่มมีการปรับฐานอย่างรุนแรงให้เห็น 12. วิกฤตระลอกถัดไปถาโถมเข้ามาเมื่อในเดือนมีนาคม ปี 2018 New York Times และ The Guardian รายงานกรณี Cambridge Analytic เอาข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 50 ล้านรายไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อช่วยนักการเมืองหาเสียงเลือกตั้งโดยที่ผู้ใช้เหล่านั้นไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย Facebook พยายามแก้ไขด้วยการระงับการร่วมงานกับ Cambridge Analytica แต่ทว่าสายเกินไป ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และแน่นอนไปถึงหูสภาคองเกรสเรียบร้อย Mark Zuckerburg ถูกเรียกตัวเข้าไปเพื่อไตร่สวนกรณีอื้อฉาวครั้งนี้ 13. หุ้น Facebook ตกจากจุดสูงสุดของการขึ้นรอบนั้นที่ 195 ดอลลาร์ ลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 149 ดอลลาร์ ณ.วันที่ 26 มีนาคม 2018 นับเป็นการตกลงมาประมาณ 23% Facebook ทำการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ออกระเบียบและมาตรฐานการสร้าง Content บน Facebook ขึ้นมาเพื่อควบคุมการโพสของคนกว่า 2,300 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่า …… คนส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านและอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามี 14. ในเดือนเมษายน Facebook ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกออกมา รายได้โต 50% กำไรโต 63% โตสวนทางกับสถานการณ์ของบริษัท ในไตรมาสนี้รายได้โตหลักๆจากโฆษณา Mobile ที่ 60% ราคาโฆษณาที่สูงขึ้นถึง 39% และจำนวนโฆษณาที่มากขึ้น 8% แม้จะเกิดวิกฤตจนคนรู้สึกกลัว แต่การโฆษณาใน Facebook ยังคงเป็นช่องทางที่ดีที่สุด ในเดือนเมษานี่เองที่หุ้น Facebook เริ่มกลับตัวขึ้นมาและฝ่าราคาสูงสุดที่ 195 ดอลลาร์ไปได้ 15. ในไตรมาสนั้น Facebook บอกว่ามั่นใจว่าจะสามารถสร้างธุรกิจโฆษณาที่ยอดเยี่ยมและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้ อย่างไร Facebook ยังได้บอกด้วยว่ากฏการปกป้องข้อมูล (GDPR) ของฝั่งยุโรปจะกระทบธุรกิจ และค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการบริหารความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ 16. วันที่ 26 กรกฏาคม คือวันที่โหดร้าย หุ้น Facebook ตกหนัก 20% ในวันเดียว หลังจากที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ของ Facebook ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ การเติบโตของจำนวนผู้ใช้เริ่มชะลอตัว การเติบโตในฝั่งยุโรปติดลบ จากราคาปิดวันก่อนที่ 217 ดอลลาร์ เช้าวันนั้นวันเดียวตกลงมาเหลือ 174 ดอลลาร์ ติดลบ 20% ในคืนเดียว มูลค่าของบริษัทหายไปทันทีกว่า 120 ล้านดอลลาร์ 120 ล้านดอลลาร์มากแค่ไหน? ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณมูลค่าบริษัท Nike ทั้งบริษัทแค่นั้นเอง 17. เหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งคือการลาออกของ Kevin Systrom (CEO) และ Mike Krieger (CTO) ผู้ก่อตั้ง Instagram ในวันที่ 24 กันยายน แม้ทั้งคู่จะบอกว่าแค่ “คิดจะพัก” แต่ในความจริงคือทั้งคู่มีมุมมองในการพัฒนา Instagram ที่ต่างกับ Zuckerburg แต่ก็ถูกพลังภายในของ Zuck กดดันมาตลอด อย่างกรณีที่ Instagram ต้องไปก๊อปปี้ Snapchat จนออกมาเป็น Stories ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบซักเท่าไหร่ …. ในความจริงก่อนหน้านี้ก็มีคนสำคัญอีกหนึ่งคนลาออกไปก่อนนั่นก็คือ Jan Koum ผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp 18. การลาออกของ CEO และ CTO ของ Instagram สำคัญยังไง? สำคัญโคตรๆเพราะตอนนี้ ความนิยมใน Facebook กำลังเสื่อมถอย Instagram กำลังเติบโตและกลายเป็นดาวรุ่ง การขาดคนที่ปั้น Instagram มากับมือนั้นต้องทำให้เกิดปัญหาในเชิงบริหารและการพัฒนาอย่างแน่นอน 19. สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร วันที่ 28 กันยายน Facebook ต้องเจอกับปัญหาอีกครั้งเมื่อบริษัทประกาศว่ามีการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้ Facebook กว่า 30 ล้านคน ข้อมูลเช่นชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ สถานะ และอื่นๆรั่วออกไปสู่สาธารณะ 20. นี่คือเหตุการณ์คร่าวๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีที่ผ่านมาส่งผลให้หุ้น Facebook ราคาหุ้นตก“ยับเยิน” ลงไปต่ำสุดเหลือ 123 ดอลลาร์ในวันที่ 24 ธันวาคม 2018 และหลังจากนั้นราคาหุ้นกลับมาเป็นขาขึ้นเล็กๆอีกครั้ง ปัจจุบันอยู่ที่ราคา 162 ดอลลาร์ ที่ราคานี้มีอะไรที่เราควรต้องรู้บ้าง? หุ้น Facebook น่าซื้ออย่างไร? มีความเสี่ยงตรงไหน? 21. จริงอยู่ที่หุ้น Facebook ตกหนักแต่หากดูที่การเติบโตของรายได้ย้อนหลัง 4 ไตรมาสจะพบว่ารายได้ของ Facebook มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 30-49% และทางบริษัทได้แจ้งว่าในปี 2019 นี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 25% ข่าวดีคือ Facebook ยังเติบโต แต่ข่าวร้ายคือการเติบโตมันลดลงมาเรื่อยๆ 22. สาเหตุที่การเติบโตน้อยลงก็เพราะ Facebook ไปใช้เวลาในการจัดการเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลซะเยอะในปี 2018 จากการที่มีการรั่วไหลของข้อมูล และการที่ Platform หลักของบริษัทซึ่งก็คือตัว Facebook เองนั้นค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว การเติบโตของผู้ใช้ช้าลงจนเหลือเลขหลักเดียว ส่วนการโฆษณาใน Platform อย่าง Instagram ก็ยังไม่มี Advertiser ไปใช้บริการมากนัก Facebook มีบริษัท Advertiser ใช้บริการอยู่ 7 ล้านราย เพิ่งมีคนไปโฆษณาใน Instagram เพียง 2 ล้านรายเท่านั้น 23. พอรายได้เติบโตช้า แต่ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งกระฉูดก็เลยส่งผลถึงกำไรจากการดำเนินงานที่เคยเติบโตไตรมาสละกว่า 60% เหลือเพียง 12% ในไตรมาส 3 คือแทบไม่โตเลยแม้รายได้จะโตมากกว่า 30% แล้วค่าใช้จ่ายมาจากไหนเยอะแยะ? 24. ถ้าไปดูที่ตัวเลขจำนวนพนักงานของ Facebook จะเห็นว่าจำนวนของพนักงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 18,770 คน ณ.ต้นปี 2017 เป็น 35,587 คนในปลายปี 2018 หนึ่งในสาเหตุของการเพิ่มพนักงานครั้งนี้คือการพยายามควบคุมคุณภาพของเนื้อหาบน Facebook และจัดการเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล 25. ปี 2018 จากปัญหาที่เกิดขึ้น Facebook ต้องใช้เวลาไปกับงานหลังบ้านเยอะมาก สุดท้ายจึงส่งผลให้อัตราการเติบโตของรายได้ลดลง ค่าใช้จ่ายเพิ่ม กำไรลด ไตรมาส 3 ปี 2018 กำไรโตเหลือ 9% (แบบโตแค่นี้มึงไม่ต้องโตก็ได้นะ) ด้วยสาเหตุนี้เองจึงทำให้นักวิเคราะห์หลายๆเจ้าพากัน “ลดเป้า” ราคาหุ้น Facebook ลง 26. นอกจากรายได้ที่เติบโตและกำไรที่ลดลงแล้ว บริษัทยังมีปัญหาเรื่องการเพิ่มจำนวนโฆษณาบน Facebook เพราะค่อนข้างแน่นแล้ว (ไม่แน่แปลกอะไร ปัจจุบันนี้เล่น Facebook ทีไรเหมือนเจอแต่โฆษณาเยอะโคตรๆ) จากที่ผ่านมาที่เติบโตด้วยการเพิ่มจำนวน Ad impression โดยไม่ส่งผลกระทบกับการใช้งานของผู้ใช้ตอนนี้อาจจะทำได้ลำบากกว่าในอดีต 27. ในขณะที่คนยังอยู่ในอารมณ์ของความกลัว งบ Facebook ไตรมาส 4 ปี 2018 ก็ประกาศออกมา ปรากฏว่า Facebook โตเกินที่นักวิเคราะห์คาดไว้รายได้ยังคงเติบโตประมาณ 30% แต่ที่สุดจริงๆคือกำไรยังโตได้ถึง 61% แตะ 6,800 ล้านดอลลาร์ เป็นกำไรที่สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมาเลยทีเดียว ผลก็คือวันรุ่งขึ้นหุ้น Facebook ขึ้น 10% จาก 150 ดอลลาร์ไปเป็น 166 ดอลลาร์ 28. ดูในฝั่งของจำนวนผู้ใช้ที่หลายๆคนสงสัยว่าจะเริ่มลดลงหรือไม่? เพราะช่วงหลังๆเหมือนใครๆก็บอกว่าคนจะเลิกเล่น Facebook แล้ว ปรากฏว่าจำนวนผู้ใช้ต่อวันยังโตถึง 8.9% จากปีที่แล้ว และโต 2.1% จากไตรมาสก่อน รายได้เฉลี่ยต่อคน (ARPU) ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกันจาก 6.18 ดอลลาร์ เป็น 7.37 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการเติบโต 19% 29. ไตรมาส 4 ของปี 2018 เป็นไตรมาสที่ค่าใช้จ่ายโตสูงมาก สูงถึง 62% เมื่อเทียบกับรายได้ที่โตเพียง 30% การเติบโตของค่าใช้จ่ายมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของ Facebook การลงทุนใน AR/VR และระบบความปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่พุ่งสูงขึ้นมาด้วย 30. แต่ David Wehner CFO ของ Facebook ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาไม่คิดว่าค่าใช้จ่ายในไตรมาส 1 ของปีนี้จะพุ่งสูงแบบไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรของ Facebook โตสวยๆในไตรมาส 1 ถ้ายังสามารถทำให้รายได้เติบโตได้อย่างที่ผ่านมา และค่าใช้จ่ายเติบโตลดลงแบบที่ David Wehner บอกจริง 31. P/E Ratio ของ Facebook อยู่ในระดับ 20 เท่า ถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบ 4-5 ปีที่ผ่านมาที่เคยมี P/E สูงถึง 50 เท่า หาก Facebook กลับมาเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานใน Platform ของตัวเองได้ สามารถนำเอาการโฆษณาไปใช้กับ WhatsApp และ Messenger ซึ่งเป็น Platform ที่มีคนใช้งานอยู่มากกว่าพันล้านคนได้อาจทำให้รายได้และกำไรกลับมาเติบโตดีได้อีกครั้ง 32. แม้อนาคตของ Facebook เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน แต่เรื่องดีๆก็มีอยู่บ้าง บริการและ Platform บางอย่างของ Facebook เริ่มมีผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น Instagram Stories ที่ไปก๊อป Snapchat มามีคนใช้ 500 ล้านคนแล้ว, Facebook Marketplace ที่เป็น Platform ขายของออนไลน์ C2C มีคนใช้ 100 ล้านคน, Facebook Watch ที่เพิ่ง Launch ไปไม่นานมีคนใช้แล้ว 400 ล้านคน, ถ้า Facebook ทำให้ Platform ใหม่เหล่านี้มีผู้ใช้งานมากๆได้ก็น่าจะเป็นการเติบโตครั้งใหม่ให้กับบริษัท และจำทำให้ธุรกิจ Ads ของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น 33. สิ่งที่ต้องระวังคือในไตรมาสล่าสุด David Wehner CFO ของ Facebook ออกมาบอกว่าบริษัทอาจพิจารณายกเลิกการรายงานตัวเลขผู้ใช้ของ Facebook แต่ไปรายงานตัวเลขผู้ใช้รวมทั้งบริษัทแทน ซึ่งแบบนี้จะทำให้นักลงทุนไม่สามารถเช็คได้ว่าสุดท้ายแล้วคนใช้ Facebook ลดลงหรือเปล่าหว่า ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นเหมือน Apple ที่พอเลิกรายงานจำนวนยอดขาย iPhone ปุ๊ปหุ้นก็ไปตกตามกันไปเลย 34. อีกอย่างที่ผลประกอบการไตรมาส 4 ของ Facebook ออกมาสวยอาจจะเป็นเพราะเป็นช่วง High season ของการโฆษณาก็เป็นได้ ดังนั้นไตรมาส 1 อาจมีการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวลง 35. ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของ Facebook คือ Google และ Apple ซึ่งเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการสำหรับ Smartphone iOS และ Andriod ตอนนี้เราเริ่มเห็น Apple ใช้ฟังก์ชั่นการจำกัดการใช้งาน App ใน iOS ของ iPhone และ iPad แล้ว ถ้ามีคนใช้ฟังก์ชั่นนี้เยอะๆยอดผู้ใช้รายเดือนและรายวันของ Facebook อาจลดลงอย่างมีนัยยะ ซึ่งจะส่งผลให้ Ads impression ลดลง และรายได้เติบโตช้าลงได้ ที่มาบทความ: | หุ้น Facebook เข้าตลาดในปี 2012 ด้วยราคา 38 ดอลลาร์ และทะยานสู่จุดสูงสุดในปี 2018 ที่ราคา 209 ดอลลาร์ นับเป็นผลตอบแทนประมาณ 4.5 เท่าตัวในระยะเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น ปัจจุบันหุ้น Facebook อยู่ที่ราคาราว 160 ดอลลาร์ หรือเทียบเป็นเงินไทยที่ 4,960 บาทต่อหุ้น ราคานี้ถือว่าใช้เงินในการซื้อต่อหุ้นไม่มาก เพราะถ้าไปเทียบกับ Amazon ที่ราคา 1,650 ดอลลาร์ (51,000 บาท) Google (C) ที่ 1,130 ดอลลาร์ (35,000 บาท) หรือ Netflix ที่ 360 ดอลลาร์ (11,160 บาท) กลายเป็นหุ้น Facebook มีราคาที่ซื้อง่ายขายคล่องเลยทีเดียว ที่ราคา 160 ดอลลาร์ หุ้น Facebook มีมูลค่าตลาดทั้งสิ้นที่ 464,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 14.3 ล้านล้านบาทไทย FB เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า PTT 10 เท่า CPALL 20 เท่า และ BDMS 38 เท่า
ผลประกอบการของหุ้น Facebook ในปี 2018 หุ้น Facebook มีรายได้ 55,838 ล้านดอลลาร์ (1.7 ลล.บาท) เติบโตจากปี 2017 ที่มีรายได้อยู่ที่ 40,653 ล้านดอลลาร์ (1.2 ลล.บาท) นับเป็นการเติบโตของรายได้ที่ 37% ถือว่าเป็นการเติบโตที่สูงมากสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่คนทั่วๆ ไปมักจะมีความเชื่อว่า “บริษัทใหญ่โตช้า บริษัทเล็กโตเร็ว” (ความเชื่อนี้เหมือนจะใช้ได้ในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้น Technology เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น) | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2406 | Finance | กองทุนรวม KFAFIX จะเน้นไปลงทุนในสินทรัพย์ใด | null | กองทุนรวม KFAFIX เป็นกองทุนตราสารหนี้ ดังนั้น กองทุนนี้จะเน้นไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นตรงที่จะลงทุนทั้งตราสารหนี้ในและนอกประเทศ ยืดหยุ่นไปถึงอายุของตราสารที่ลงทุนด้วย ตั้งแต่อายุ 0-5 ปี ซึ่งทำให้มีข้อดี คือ สามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้
กองทุนนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ที่มี Rating A ขึ้นไป ถือว่าปลอดภัยมากๆ แต่อาจมีการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า BBB (ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้) หรือที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ยิ่งลงทุนในตราสารหนี้ที่ปลอดภัยมาก ทำให้พอร์ตปลอดภัยแน่ๆ แต่จะลดโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่การที่มีไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้บ้าง ลงในตราสารหนี้ที่ไม่ได้จัดอันดับการเชื่อถือบ้าง แน่นอนว่ามีความเสี่ยง
กองทุนรวม KFAFIX เป็นกองทุนที่นโยบายการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง ทั้งเรื่องประเทศที่จะลงทุนซื้อตราสารหนี้ และอายุการลงทุนที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน เหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนให้ดีกว่าเงินฝากประจำ และอาจจะรับความเสี่ยงจากหุ้นไม่ค่อยได้ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าเข้าซื้อเพื่อที่จะเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2423 | Finance | เพราะอะไร การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่มีอคติจากอารมณ์นั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับภาวะความกดดัน | ก. สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาด
ข. จัดลำดับความสำคัญ เรียบเรียงเป็นหมวดหมู่ แล้ววิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ค. หากลยุทธ์ในการลงมือตอบสนองที่ดีที่สุด
ง. ช่วยพัฒนาระบบการตัดสินใจซื้อขายให้ดีมากขึ้น | คำตอบ คือ ค. เพราะว่า การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการคิดอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่มีอคติจากอารมณ์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับภาวะความกดดัน เพื่อหากลยุทธ์ในการลงมือตอบสนองที่ดีที่สุด รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัว เปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดได้ทั้งกรณีที่กำลังได้เปรียบ หรือกำลังตกเป็นรองในช่วงวิกฤติ
ในตลาดหุ้น เกมส์การตัดสินใจซื้อขายที่ผู้เล่นในตลาดไม่อาจจะรู้ผลลัพธ์สุดท้ายที่แน่นอน ดังนั้น มือสมัครเล่น เมื่อเข้ามาเจอภาวะราคา ภาวะตลาดที่ผันผวน บวกกับแรงกดดันจากตัวเลขผลกำไรและขาดทุนที่เกิดก่อนหน้า จึงทำให้ภาวะทางอารมณ์เข้ามามีบทบาทมากต่อการตัดสินใจ บ่อยครั้งขาดการคิด วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ รีบตัดสินใจรีบซื้อรีบขายไปตามอารมณ์ เช่น อารมณ์ความโลภ ที่ทำให้รีบเข้าไปซื้อหุ้นโดยไม่ได้สนใจความเสี่ยง อารมณ์ความกลัวที่ทำให้เสียโอกาส หรือขายหุ้นจนทำให้เสียแผนระยะยาว | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2518 | Finance | บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CHAYO ดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับอะไร | CHAYO ดำเนินธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับกำรบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและการให้บริการติดตามและทวงถามหนี้ แบ่งประเภทธุรกิจตามลักษณะการดำเนินงานได้ทั้งหมด 3 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โดยบริษัทได้ดำเนินธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และได้ขยายธุรกิจโดยเน้นการลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในปี 2557 ต่อมา ในปี 2559 บริษัทได้จัดตั้งธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าเพิ่มเติมเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่บริษัทให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้
ผลประกอบการของ CHAYO
ยอดขาย
ปี 2560 : 205.98 ล้านบาท
ปี 2561(6M) : 124.54 ล้านบาท
กำไร (ขาดทุน)
ปี 2560 : 58.24 ล้านบาท
ปี 2561(6M) : 38.52 ล้านบาท
เงินสดสุทธิ
ปี 2560 : -21.99 ล้านบาท
ปี 2561(6M) : 249.68 ล้านบาท | ประกอบด้วย ธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ และธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โดยบริษัทได้ดำเนินธุรกิจให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และได้ขยายธุรกิจโดยเน้นการลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในปี 2557 ต่อมา ในปี 2559 บริษัทได้จัดตั้งธุรกิจศูนย์บริการข้อมูลลูกค้าเพิ่มเติมเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่บริษัทให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้ | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2534 | Finance | ปรัชญาที่คิดว่าจำเป็นมาก โดยเฉพาะในยามที่รวยแล้ว คืออะไร | ปรัชญาของการลงทุน
การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้น ผมคิดว่าจะต้องมี “ปรัชญา” ที่ถูกต้องเหมาะสมกับแนวการลงทุนของเรา ตัวอย่างเช่นถ้าเป็นนักเก็งกำไร บางคนก็จะมีปรัชญาที่จะต้องมีวินัยในการ “Cut Loss” หรือตัดขายขาดทุนทันทีที่หุ้นตกลงมาถึงระดับหนึ่ง ไม่มีข้อยกเว้น เขาบอกว่านี่เป็นกฎสำคัญในการที่จะอยู่รอดในระยะยาว เพราะถ้าไม่ทำ วันหนึ่งก็อาจจะเกิด “หายนะ” และไม่เหลือเงินกลับมาเล่นใหม่ เป็นต้น สำหรับ Value Investor ผู้มุ่งมั่นนั้น การมีปรัชญาที่ดีจะช่วยให้ปลอดภัยและสามารถเติบโตไปได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืนแม้ว่าอาจจะไม่ได้กำไรมโหฬารในบางช่วง สำหรับผมแล้ว ปรัชญาที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดถึงก่อนที่จะซื้อหุ้นก็คือ ผมกำลังจะซื้อ “ธุรกิจ” เป็นเจ้าของธุรกิจในระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้ซื้อมาเพื่อที่จะขายไป ดังนั้นผมจึงต้องวิเคราะห์กิจการอย่างละเอียดรอบคอบว่ามันดีและมีกำไรแค่ไหนและจะเป็นอย่างนั้นอยู่นานเท่าไร ซึ่งนอกจากจะต้องดูว่าอนาคตลูกค้าจะยังซื้อสินค้าของบริษัทอยู่หรือเปล่าแล้ว ผมยังต้องดูว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะล้าสมัยหรือตกยุคหรือไม่ในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว หลังจากวิเคราะห์บริษัทแล้ว ปรัชญาอีกข้อหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ราคาหุ้นมันแพงเกินไปหรือไม่? ถ้ามันแพงเกินไปผมก็จะไม่ซื้อ ผมเป็น “VI พันธุ์แท้” อาจจะรุ่นเก่าหน่อยที่ไม่ยอมจ่ายซื้อหุ้นในราคาแพงในขณะที่ VI หลายคนอาจจะมองผ่านเรื่องราคาไปได้มากกว่า ปรัชญาข้อสองที่ผมคิดว่าจำเป็นมากโดยเฉพาะในยามที่คุณ “รวยแล้ว” ก็คือการรักษาความมั่งคั่งโดยการ “กระจายความเสี่ยง” คำพูดที่ว่าถ้าคุณอยากรวยคุณต้อง “Focus” หรือลงทุนแบบกระจุกตัว ซื้อหุ้นน้อยตัว แต่เมื่อคุณรวยแล้วและต้องการรักษามันไว้ คุณต้อง “Diversify” หรือลงทุนแบบกระจาย ซื้อหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น ผมคิดว่าเป็นปรัชญาที่ดีมากและเราควรจะต้องทำ ผมเองคิดว่าการกระจายการลงทุนนั้นมีหลายระดับตั้งแต่การถือหุ้นหลายตัวในหลายอุตสาหกรรม ต่อมาก็คือการลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่นเช่นพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ และสุดท้ายก็อาจจะต้องกระจายการลงทุนไปต่างประเทศถ้ามีเงินมากพอและไม่อยากจะเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยว่าประเทศก็อาจจะล่มได้ ตัวอย่างที่เห็นก็คือในกรณีของเวเนซูเอลาและซีเรียที่เคยร่ำรวยยิ่งกว่าไทยแต่ตอนนี้คนรวยก็หมดตัวจนแทบไม่มีจะกินได้เช่นกัน ปรัชญาข้อต่อมาก็คือเรื่องของการแข่งขันซึ่งในตอนหลัง ๆ ที่ผมเริ่มสนใจศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์ ผมก็พบว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ รวมถึงสถาบันทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นในโลกนี้ ต่างก็แข่งขันกัน “เอาตัวรอด” และ “เติบโต” หรือขยายเผ่าพันธุ์ คนที่รอดและเติบโตก็จะเป็น “ผู้ชนะ” คนที่สู้ไม่ได้ก็เป็น “ผู้แพ้” ไม่มีใครปราณีใครจริง ๆ ยกเว้นแต่ว่ามันจะทำให้ผู้ชนะดูดีขึ้น ดังนั้น ในแง่ของการลงทุนแล้ว แท้ที่จริงเราก็แข่งกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเรา “เล่นสั้น” หรือซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นตลอดเวลา เราจะต้องคิดว่าเรากำลังแข่งกับอีกคนหนึ่งที่กำลังขายให้กับเราเวลาเราซื้อ และซื้อหุ้นของเราเวลาเราขาย ฝีมือในการเทรดใครแน่กว่าก็จะเป็นผู้ชนะ ใครแย่กว่าก็จะเป็นผู้แพ้ ดังนั้น ถ้าเราทำก็จะต้องมั่นใจว่าเราเทรดเก่งกว่า ถ้าวิเคราะห์อย่างไม่ลำเอียงแล้วว่าเราคงไม่เก่งพอ วิธีที่ควรจะทำก็คือ อย่าเล่น! ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณทำเพื่อความบันเทิง ในกรณีของผมที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น ผมคิดตลอดเวลาว่าเราก็คงไม่ได้เก่งมากนักหรอก เพียงแต่ว่าผมทำมานานและมีคนสนใจเล่นแบบนี้น้อย ผมจึงอาจจะได้เปรียบและมีโอกาสชนะมากกว่า ผมเองเน้นการลงทุนใน “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทที่จะทำกำไรและเติบโตไปได้อีกนาน ราคาหุ้นอาจจะโตไปเป็น 10 ปีและหุ้นขึ้นไปอย่างน้อย 10 เท่า โดยที่ผลตอบแทนต่อปีนั้นสูงถึงประมาณ 26% ต่อปีแบบทบต้นเป็นอย่างน้อย การที่หุ้นจะเป็นอย่างนั้นได้ก็จะต้องเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบคู่แข่งในระยะยาวหรืออย่างยั่งยืน อาจจะเป็นเพราะบริษัทมียี่ห้อสุดยอด หรือมีขนาดใหญ่และไม่มีใครสามารถขยายกิจการขึ้นมาแข่งได้ หรือมีเครือข่ายที่ใหญ่จนคู่แข่งทำตามไม่ได้อย่างกรณีของหุ้นสื่อสังคมอย่างเฟซบุคหรือไลน์ หรือบริษัทเป็น “ผู้ผูกขาด” โดยกฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น เวลาผมจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหน ผมมักจะต้องวิเคราะห์ดูว่าบริษัทมีความได้เปรียบทางธุรกิจอะไรบ้างและความได้เปรียบนั้นยั่งยืนหรือเปล่า ถ้าได้เปรียบแต่ไม่ยั่งยืน ผมจะไม่ยอมให้ราคาหุ้นสูงมากนัก ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้ว คู่แข่งจะต้องเข้ามาและในที่สุดบริษัทก็มักจะไม่สามารถดำรงสถานะที่ได้เปรียบนั้นได้ ปรัชญาอีกข้อหนึ่งที่ผมมักจะต้องคิดก็คือ หุ้นตัวนี้หรือบริษัทนี้ “มีความสำคัญแค่ไหนในระบบเศรษฐกิจ?” หรือบริษัท “เป็นที่ต้องการของใครและมากน้อยแค่ไหน?” ขาดบริษัทนี้แล้วจะเป็นอย่างไร? เราสามารถเลียนแบบหรือสร้างอีกบริษัทหนึ่งขึ้นมาแข่งขันและเอาชนะมันได้หรือไม่ด้วยเงินเท่ากับมูลค่าหุ้นหรือ Market Cap. ของมัน? สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวบอกว่าราคาหุ้นที่เราเห็นอยู่มันถูกหรือแพงแค่ไหนในระยะยาว ตัวอย่างเช่นในกรณีของเฟซบุคช่วงแรก ๆ ที่มูลค่าหุ้นขึ้นไปอาจจะเป็นล้านล้านบาททั้งที่ยังไม่มีกำไร แต่เรารู้ว่ามันกำลังเป็น “ผู้ชนะ” และจะครองลูกค้าใหม่ ๆ ทั่วโลกหลายพันล้านคนและคนเหล่านั้นก็จะ “ติด” และใช้มันอย่าง “ขาดมันไม่ได้” คิดคร่าว ๆ แล้วถ้าเฟซบุคสามารถสร้างรายได้และกำไรต่อหัวแค่ไม่กี่บาท มูลค่ามันก็อาจจะมากกว่าที่เห็นได้มหาศาล เป็นต้น ผมเชื่อในเรื่องของจิตวิทยาที่ว่ามนุษย์นั้นมักจะ Overreact หรือตื่นเต้นและทำเกินกว่าที่ควรเป็นในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดหรือเพิ่งเกิดขึ้น เขาจะใช้เหตุผลน้อยกว่าอารมณ์ซึ่งฝังอยู่ในยีนของคน ดังนั้น เวลาที่หุ้นตกลงมาแรงและหนักมากนั้น ผมเชื่อว่าเป็นเพราะนักลงทุน “กลัวเกินเหตุ” และขายหุ้นมากเกินไปทำให้หุ้นตกแรงเกินไป ดังนั้น เราก็ไม่ควรจะขายในจังหวะนั้น รอขายอีกวันหรือสองวันอาจจะดีกว่าถ้าเราคิดว่าเราก็จะขายมัน เช่นเดียวกัน เวลาที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมากในระยะเวลาอันสั้น ผมเองก็จะไม่รีบซื้อ เพราะนั่นอาจจะเป็นการแสดงว่าคนกำลังตื่นเต้นและมีความโลภสูง ราคาอาจจะดีดขึ้นไปเร็วเกินไป รอซื้อเวลาที่คนหายเห่อหน่อยจะดีกว่าถ้าอยากซื้อจริง ๆ นอกจากนั้น บ่อยครั้งเรามักจะเจอหุ้นที่ขึ้นแรงมากในเวลาวันเดียวและก็ตกลงมาแรงมากในอีกวันหนึ่ง เป็นอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในกรณีอย่างนี้ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงที่จะเล่นหรือลงทุนในหุ้นตัวนั้นเพราะผมคิดว่านี่คือ “หุ้นเก็งกำไร” หรือ “หุ้นปั่น” ที่มี “คนเก่ง” หรือ “จ้าว” มาเล่นกับเรา ซึ่งเขาก็มักจะได้เปรียบเรามาก เล่นไปก็แพ้ เวลาลงทุนนั้นผมยังมีปรัชญาอีกข้อหนึ่งที่ใช้มานานนั่นก็คือ เราเป็นคนมีสิทธิที่จะ “เลือกฝ่ายเดียว” นั่นก็คือ เราเป็นคนเลือกว่าเราจะเล่นหรือไม่เล่น เราจะเลือกซื้อหุ้นตัวไหนและเท่าไร เราจะขายเมื่อไร ดังนั้น เมื่อเรารู้สึกว่าเราได้เปรียบและน่าจะมีโอกาสชนะสูงกว่าเราก็จะทำ เมื่อใดที่เสียเปรียบเราก็ไม่ทำ ในกรณีที่เราไม่แน่ใจว่าลงทุนไปแล้วเราจะได้กำไรแน่หรือเปล่าเราก็ไม่ทำอยู่ดี ปรัชญาของผมก็คือ ชนะมากหรือน้อยเราก็ไม่ค่อยซีเรียสแต่ห้ามแพ้ ความหมายก็คือ ลงทุนต้องอย่าขาดทุน ถ้ามีโอกาสขาดทุนโดยเฉพาะมีโอกาสขาดทุนสูงผมจะไม่ทำ และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจะไม่ยอมซื้อหุ้นแพงมากมีค่า PE ปกติ 40-50 เท่าขึ้นไปเด็ดขาด ผมกลัวขาดทุนหนัก ยังมีปรัชญาการลงทุนอีกมากที่ผมไม่ได้กล่าวถึง บางครั้งผมก็นึกไม่ถึงเพราะมันฝังอยู่ในสมองของตนเองมานาน ว่าที่จริงผมคิดว่านักลงทุนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานก็น่าจะมีมีปรัชญาของตนเองที่นึกไม่ถึงเหมือนกัน ในกรณีนี้ผมคิดว่าควรจะต้องหาเวลาทบทวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราลงทุนมานานแต่ไม่ประสบความสำเร็จซักที เพราะผมคิดว่าปรัชญาที่ใช้โดยเราไม่ตระหนักนั้นอาจจะผิดซึ่งมันจะสะท้อนออกมาที่การลงทุนในระยะยาวที่ไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ ที่มาบทความ: thaivi.org | ปรัชญาที่คิดว่าจำเป็นมาก โดยเฉพาะในยามที่รวยแล้ว คือ การรักษาความมั่งคั่งโดยการกระจายความเสี่ยง คำพูดที่ว่าถ้าอยากรวย ต้อง “Focus” หรือลงทุนแบบกระจุกตัว ซื้อหุ้นน้อยตัว แต่เมื่อรวยแล้วและต้องการรักษามันไว้ ต้อง “Diversify” หรือลงทุนแบบกระจาย ซื้อหุ้นหลาย ๆ ตัวนั้น คิดว่าเป็นปรัชญาที่ดีมากและควรจะต้องทำ คิดว่าการกระจายการลงทุนนั้นมีหลายระดับตั้งแต่การถือหุ้นหลายตัวในหลายอุตสาหกรรม ต่อมาก็คือการลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่น เช่น พันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ และสุดท้ายก็อาจจะต้องกระจายการลงทุนไปต่างประเทศถ้ามีเงินมากพอและไม่อยากจะเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยว่าประเทศก็อาจจะล่มได้ ตัวอย่างที่เห็นก็คือ ในกรณีของเวเนซูเอลาและซีเรียที่เคยร่ำรวยยิ่งกว่าไทย แต่ตอนนี้คนรวยก็หมดตัวจนแทบไม่มีจะกินได้เช่นกัน | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2539 | Finance | รายได้ของ KCE นั้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา เพราะเหตุใด | KCE ส่งออกดี ทองแดงลงก็เป็นผลดี แล้วยังไงต่อ?
KCE หรือ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ PCB ซึ่งเป็นชิ้นส่วนพื้นฐานสำคัญในการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด KCE หรือ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์ PCB ซึ่งเป็นชิ้นส่วนพื้นฐานสำคัญในการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิด การทำธุรกิจของ KCE KCE รายได้ของ KCE นั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา สาเหตุเพราะบริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความสามารถในการผลิตแผง PCB ที่มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด รายได้ของ KCE นั้นมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา สาเหตุเพราะบริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความสามารถในการผลิตแผง PCB ที่มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด แต่ถ้ามาดูที่กำไรของ KCE นั้น มีการเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้สูงมาก นี่เป็นเพราะบริษัทมีการลดต้นทุนในการผลิตลงตลอดเวลา เช่นการลด Defect Rate ของแผง PCB ให้มีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้มากขึ้น แต่ถ้ามาดูที่กำไรของ KCE นั้น มีการเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้สูงมาก นี่เป็นเพราะบริษัทมีการลดต้นทุนในการผลิตลงตลอดเวลา เช่นการลด Defect Rate ของแผง PCB ให้มีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้มากขึ้น โรงงานผลิตแผง PCB ของ KCE นั้นมี 3 โรงงาน มีพนักงานรวม 5,500 คน ถ้าเทียบขนาดจะอยู่ที่ระดับประมาน 30 ของโลก โดยอันดับ 1 ของโลกมีรายได้มากกว่า KCE เพียงหนึ่งเท่ากว่าๆ เท่านั้น โรงงานผลิตแผง PCB ของ KCE นั้นมี 3 โรงงาน มีพนักงานรวม 5,500 คน ถ้าเทียบขนาดจะอยู่ที่ระดับประมาน 30 ของโลก โดยอันดับ 1 ของโลกมีรายได้มากกว่า KCE เพียงหนึ่งเท่ากว่าๆ เท่านั้น Source: Source: ทีนี้เรามาดูวงจรเงินสดของ KCE กัน วงจรเงินสดของ KCE คือ 87 วัน มีระยะเวลาเก็บหนี้ 100 วันเพราะลูกค้ามีอำนาจการต่อรองสูงกว่า KCE มาก หมายความว่าบริษัทผลิตแผง PCB ส่งไปให้ลูกค้าทางเรือ แล้วต้องรอเกือบ 4 เดือนกว่าลูกค้าจะจ่าย แต่ในทางกลับกัน ระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าของ KCE ก็เป็น 100 วันเช่นเดียวกัน เพราะบริษัทเองก็มีอำนาจการต่อรองกับ Supplier วงจรเงินสดของ KCE คือ 87 วัน มีระยะเวลาเก็บหนี้ 100 วันเพราะลูกค้ามีอำนาจการต่อรองสูงกว่า KCE มาก หมายความว่าบริษัทผลิตแผง PCB ส่งไปให้ลูกค้าทางเรือ แล้วต้องรอเกือบ 4 เดือนกว่าลูกค้าจะจ่าย แต่ในทางกลับกัน ระยะเวลาชำระหนี้เจ้าหนี้การค้าของ KCE ก็เป็น 100 วันเช่นเดียวกัน เพราะบริษัทเองก็มีอำนาจการต่อรองกับ Supplier Source: Source: ลูกค้าและตลาดของ KCE KCE KCE ทำการส่งออกแผง PCB ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ลูกค้าหลักที่มาสั่งซื้อแผง PCB คือบริษัทต่างชาติที่เป็น Supplier ให้กับบริษัทผลิตรถยักษ์ใหญ่ โดยลูกค้าของ KCE มาจากประเทศฝั่งยุโรปเป็นหลัก ส่วนลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นนั้นยังน้อยเพราะเพิ่งบุกตลาดมาไม่กี่ปี สาเหตุที่บริษัทรถเหล่านี้ไม่ได้ผลิตแผง PCB เองนั้นเป็นเพราะต้องการประหยัด KCE ทำการส่งออกแผง PCB ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ลูกค้าหลักที่มาสั่งซื้อแผง PCB คือบริษัทต่างชาติที่เป็น Supplier ให้กับบริษัทผลิตรถยักษ์ใหญ่ โดยลูกค้าของ KCE มาจากประเทศฝั่งยุโรปเป็นหลัก ส่วนลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นนั้นยังน้อยเพราะเพิ่งบุกตลาดมาไม่กี่ปี สาเหตุที่บริษัทรถเหล่านี้ไม่ได้ผลิตแผง PCB เองนั้นเป็นเพราะต้องการประหยัด KCE เคยให้ข้อมูลว่าตลาดของแผง PCB นั้นจะโตต่อไปเรื่อยๆ เพราะในอนาคตรถทุกคันจะมีแผงวงจรมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น เกียร์ไฟฟ้า กล้องที่ติดกับรถ และเซ็นเซอร์ต่างๆ ทำให้บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตจากเทรนด์ของรถที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ KCE เคยให้ข้อมูลว่าตลาดของแผง PCB นั้นจะโตต่อไปเรื่อยๆ เพราะในอนาคตรถทุกคันจะมีแผงวงจรมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น เกียร์ไฟฟ้า กล้องที่ติดกับรถ และเซ็นเซอร์ต่างๆ ทำให้บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตจากเทรนด์ของรถที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ KCE ขายแผงให้ลูกค้ารถยนตร์เป็นสัดส่วน 70% ส่วนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือตู้ Control เป็นสัดส่วน 12% และที่เหลือเป็นกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป KCE ขายแผงให้ลูกค้ารถยนตร์เป็นสัดส่วน 70% ส่วนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานหรือตู้ Control เป็นสัดส่วน 12% และที่เหลือเป็นกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป Source: KCE Annual Report 2017 Source: KCE Annual Report 2017 Source: KCE Annual Report 2017 Source: KCE Annual Report 2017 ต้นทุนของ KCE มีอะไรบ้าง? แล้วค่าเงินมีผลอย่างไร? KCE KCE มีทองแดงที่เป็นต้นทุนหลัก คิดเป็น 8-10% (สูงที่สุดแล้ว) ของต้นทุนทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าราคาทองแดงเพิ่มขึ้น KCE จะได้รับผลกระทบเต็มๆ ซึ่งเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ทำให้กำไรบริษัทลดลงจากปี 2559 KCE มีทองแดงที่เป็นต้นทุนหลัก คิดเป็น 8-10% (สูงที่สุดแล้ว) ของต้นทุนทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าราคาทองแดงเพิ่มขึ้น KCE จะได้รับผลกระทบเต็มๆ ซึ่งเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ทำให้กำไรบริษัทลดลงจากปี 2559 แล้วราคาทองแดงขึ้นได้อย่างไร? KCE เคยให้คำตอบว่า เมื่อเศรษฐกิจดี การก่อสร้างมากขึ้น ทำให้มีการใช้ทองแดงมากขึ้น มีการนำทองแดงไปใช้ในสายไฟทำให้อุปสงค์มากกว่าอุปทาน จึงส่งผลให้ราคาขึ้น KCE เคยให้คำตอบว่า เมื่อเศรษฐกิจดี การก่อสร้างมากขึ้น ทำให้มีการใช้ทองแดงมากขึ้น มีการนำทองแดงไปใช้ในสายไฟทำให้อุปสงค์มากกว่าอุปทาน จึงส่งผลให้ราคาขึ้น นอกจากต้นทุนหลักอย่างค่าทองแดงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อ KCE เพราะบริษัทเน้นการส่งออกเป็นหลัก ยิ่งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ของที่ส่งออกจากประเทศไทยก็แพงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นที่ไม่ได้แข็งค่าขึ้นตาม นอกจากต้นทุนหลักอย่างค่าทองแดงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อ KCE เพราะบริษัทเน้นการส่งออกเป็นหลัก ยิ่งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ของที่ส่งออกจากประเทศไทยก็แพงขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นที่ไม่ได้แข็งค่าขึ้นตาม คู่แข่งของ KCE คือใคร? KCE มี 2 ประเทศที่เป็นคู่แข่งด้านแผง PCB คือประเทศจีนและไต้หวันที่คุมส่วนแบ่งของตลาด PCB โลกถึง 70% ส่วนคู่แข่งที่ผลิตเยอะในไทยก็มาจากประเทศไต้หวันเช่นกัน มี 2 ประเทศที่เป็นคู่แข่งด้านแผง PCB คือประเทศจีนและไต้หวันที่คุมส่วนแบ่งของตลาด PCB โลกถึง 70% ส่วนคู่แข่งที่ผลิตเยอะในไทยก็มาจากประเทศไต้หวันเช่นกัน นอกจากความเสี่ยงเรื่องราคาทองแดงที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ กับค่าเงินบาทที่สามารถส่งผลกระทบต่อกำไรของ KCE แล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ เพราะบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ถึง 15% นอกจากความเสี่ยงเรื่องราคาทองแดงที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ กับค่าเงินบาทที่สามารถส่งผลกระทบต่อกำไรของ KCE แล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือ การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่ เพราะบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่ที่สร้างรายได้ให้ถึง 15% หวังว่าข้อมูลที่นำมาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี นักลงทุนอย่าลืมศึกษาข้อมูลรอบด้าน คำนึงถึงหลายๆ ปัจจัย ก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ หวังว่าข้อมูลที่นำมาเล่าสู่กันฟังในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ อย่างไรก็ดี นักลงทุนอย่าลืมศึกษาข้อมูลรอบด้าน คำนึงถึงหลายๆ ปัจจัย ก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ Sources:
Sources: ——————- Vithan Minaphinant
Securities Investment Analyst (IA)
ตรวจทานบทความ คำเตือน คำเตือน ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้เขียนบทความนี้มิได้รับค่าตอบแทนหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทที่กล่าวถึงในบทความนี้แต่อย่างใด | ข้อมูลและการคาดการณ์ที่ปรากฏในบทความนี้จัดทำขึ้นจากแหล่งข้อมูลในอดีตร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความสมบูรณ์แท้จริงและความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลในอนาคตได้ | รายได้ของ KCE นั้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา สาเหตุเพราะบริษัทมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความสามารถในการผลิตแผง PCB ที่มีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
แต่ถ้ามาดูที่กำไรของ KCE นั้น มีการเพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้สูงมาก นี่เป็นเพราะบริษัทมีการลดต้นทุนในการผลิตลงตลอดเวลา เช่น การลด Defect Rate ของแผง PCB ให้มีน้อยลงเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้มากขึ้น
โรงงานผลิตแผง PCB ของ KCE นั้นมี 3 โรงงาน มีพนักงานรวม 5,500 คน ถ้าเทียบขนาดจะอยู่ที่ระดับประมาน 30 ของโลก โดยอันดับ 1 ของโลกมีรายได้มากกว่า KCE เพียงหนึ่งเท่ากว่าๆ เท่านั้น | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2542 | Finance | รายได้จากเกมมือถือที่ Tencent ทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2018 นั้น แม้จะโตขึ้น 19% หากเทียบกับปี 2017 แต่เปอร์เซ็นต์ก็ลดลงหากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2018 | ศึก Tencent VS รัฐบาลจีน ท่ามกลางอุตสาหกรรมเกมที่กำลังเผชิญความท้าทาย
ก่อนหน้านี้ Tencent ถือได้ว่าเป็นบริษัทซูเปอร์สตาร์ของจีน เห็นได้จากเจ้าของอย่าง Pony Ma ที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของเศรษฐีชาวเอเชีย แซงหน้า Jack Ma คู่แข่งจากถิ่นเดียวกันไปแล้ว แต่สถานการณ์ล่าสุดในปีนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยต่อ Tencent สักเท่าไร เพราะหากนับตั้งแต่ต้นปี บริษัทวิดีโอเกมยักษ์ใหญ่จากจีนรายนี้สูญเสียมูลค่าตามราคาตลาดไปมากกว่า $170 พันล้าน (5.5 ล้านล้านบาท) แล้ว ก่อนหน้านี้ Tencent ถือได้ว่าเป็นบริษัทซูเปอร์สตาร์ของจีน เห็นได้จากเจ้าของอย่าง Pony Ma ที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของเศรษฐีชาวเอเชีย แซงหน้า Jack Ma คู่แข่งจากถิ่นเดียวกันไปแล้ว แต่สถานการณ์ล่าสุดในปีนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยต่อ Tencent สักเท่าไร เพราะหากนับตั้งแต่ต้นปี บริษัทวิดีโอเกมยักษ์ใหญ่จากจีนรายนี้สูญเสียมูลค่าตามราคาตลาดไปมากกว่า $170 พันล้าน (5.5 ล้านล้านบาท) แล้ว นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เผชิญภาวะกำไรสุทธิของไตรมาสลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 สู่ระดับ $2.58 พันล้าน (~8 หมื่นล้านบาท) ลดลง 2% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน (YoY) หรือ ลดลง 23% จากไตรมาสแรก นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เผชิญภาวะกำไรสุทธิของไตรมาสลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 สู่ระดับ $2.58 พันล้าน (~8 หมื่นล้านบาท) ลดลง 2% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน (YoY) หรือ ลดลง 23% จากไตรมาสแรก ดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ อุปสรรคหลักที่ขัดขวาง Tencent นั้นก็คือรัฐบาลจีนนี่แหละ เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการจำกัดการเผยแพร่เกมออนไลน์อย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องการกวาดล้างเกม เว็บไซต์ และสื่อต่างๆ ที่มีเนื้อหารุนแรง เกี่ยวข้องกับการพนัน หรือทำให้เกิดการเสพติด (addiction) ล่าสุดก็ประกาศว่าต้องการลดอัตราการเกิดสายตาสั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงนำมาสู่มาตรการจัดการการเผยแพร่เกมขั้นเด็ดขาด เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการจำกัดการเผยแพร่เกมออนไลน์อย่างเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลต้องการกวาดล้างเกม เว็บไซต์ และสื่อต่างๆ ที่มีเนื้อหารุนแรง เกี่ยวข้องกับการพนัน หรือทำให้เกิดการเสพติด (addiction) ล่าสุดก็ประกาศว่าต้องการลดอัตราการเกิดสายตาสั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงนำมาสู่มาตรการจัดการการเผยแพร่เกมขั้นเด็ดขาด เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อ Tencent อย่างมากเพราะ ธุรกิจเกมคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด และรายได้ทั้งหมดกว่า 90% ก็มาจากประเทศจีน ถือว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยรายได้จากเกมมือถือที่ Tencent ทำได้ในไตรมาส 2 ปีนี้นั้นแม้จะโตขึ้น 19% หากเทียบกับปีก่อน แต่ก็ลดลง 19% หากเทียบกับไตรมาสก่อน แสดงให้เห็นว่าในระยะสั้นนี้ Tencent ทำเงินได้น้อยลงจากเกม แม้ว่าจะมีผู้เล่นเกมมากขึ้นก็ตาม เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อ Tencent อย่างมากเพราะ ธุรกิจเกมคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด และรายได้ทั้งหมดกว่า 90% ก็มาจากประเทศจีน ถือว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยรายได้จากเกมมือถือที่ Tencent ทำได้ในไตรมาส 2 ปีนี้นั้นแม้จะโตขึ้น 19% หากเทียบกับปีก่อน แต่ก็ลดลง 19% หากเทียบกับไตรมาสก่อน แสดงให้เห็นว่าในระยะสั้นนี้ Tencent ทำเงินได้น้อยลงจากเกม แม้ว่าจะมีผู้เล่นเกมมากขึ้นก็ตาม ที่ผ่านมา มาตรการของรัฐบาลจีนส่วนใหญ่ก็กระทบกับรายได้ของ Tencent ด้วยกันทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น เกม PlayerUnknown’s Battlegrounds (PUBG) เวอร์ชั่นจีนที่ถูกห้ามไม่ให้เก็บรายได้เพิ่มเติม (in-app purchase) และเกมสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Monster Hunter: World ที่ถูกห้ามไม่ให้วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม WeGame ทั้งๆ ที่มียอดจองซื้อกว่า 1 ล้านออเดอร์แล้ว Tencent จะทำอะไรได้นอกจากกลั้นน้ำตาคืนเงินให้ลูกค้าไป เหตุการณ์นี้ส่งผลให้หุ้น Tencent ร่วง มูลค่าเสียหายกว่า $16 พันล้าน (~5 แสนล้านบาท) ที่ผ่านมา มาตรการของรัฐบาลจีนส่วนใหญ่ก็กระทบกับรายได้ของ Tencent ด้วยกันทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น เกม PlayerUnknown’s Battlegrounds (PUBG) เวอร์ชั่นจีนที่ถูกห้ามไม่ให้เก็บรายได้เพิ่มเติม (in-app purchase) และเกมสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Monster Hunter: World ที่ถูกห้ามไม่ให้วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม WeGame ทั้งๆ ที่มียอดจองซื้อกว่า 1 ล้านออเดอร์แล้ว Tencent จะทำอะไรได้นอกจากกลั้นน้ำตาคืนเงินให้ลูกค้าไป เหตุการณ์นี้ส่งผลให้หุ้น Tencent ร่วง มูลค่าเสียหายกว่า $16 พันล้าน (~5 แสนล้านบาท) ย้อนไปปีที่แล้ว เกมดังอย่าง Honor of King ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมที่กอบโกยรายได้มากมาย ก็ต้องสะดุดเพราะ Tencent ถูกเบื้องบนบังคับให้จำกัดเวลาเล่นเกมดังกล่าว หลังถูกกล่าวหาว่าทำให้เด็กติดเกม ย้อนไปปีที่แล้ว เกมดังอย่าง Honor of King ซึ่งเป็นหนึ่งในเกมที่กอบโกยรายได้มากมาย ก็ต้องสะดุดเพราะ Tencent ถูกเบื้องบนบังคับให้จำกัดเวลาเล่นเกมดังกล่าว หลังถูกกล่าวหาว่าทำให้เด็กติดเกม สำหรับเกมใหม่ๆ ที่เจอปัญหา บริษัทไม่สามารถเผยแพร่เกมเหล่านี้ได้จนกว่าจะได้รับอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมสื่อ แต่ปัญหาคือ หน่วยงานนี้ไม่ได้อนุมัติสื่อใดๆ มาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว! (ตั้งใจดองงานรึเปล่านะ -_-) แล้วการที่ Tencent ถูกผลกระทบเต็มๆ อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ไม่ได้มีอำนาจเหนือรัฐบาลแต่อย่างใด สำหรับเกมใหม่ๆ ที่เจอปัญหา บริษัทไม่สามารถเผยแพร่เกมเหล่านี้ได้ จนกว่าจะได้รับอนุมัติจากหน่วยงานควบคุมสื่อ แต่ปัญหาคือ หน่วยงานนี้ไม่ได้อนุมัติสื่อใดๆ มาตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว! (ตั้งใจดองงานรึเปล่านะ -_-) แล้วการที่ Tencent ถูกผลกระทบเต็มๆ อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ไม่ได้มีอำนาจเหนือรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ช้าก่อน เราต้องอย่าลืมว่า Tencent ทำธุรกิจหลากหลาย แม้กำไรสุทธิของไตรมาสจะลดลง แล้วรายได้รวมของไตรมาสนั้นเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เมื่อคำนวณอัตรากำไรสุทธิออกมาแล้วจะอยู่ที่ 24% ซึ่งก็ถือว่าแข็งแรงดี เพราะนอกจากเกม Tencent ก็ยังมีธุรกิจให้บริการส่งข้อความอย่าง WeChat มีแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอ เพลง และไลฟ์สดด้วย ข่าวที่พอจะปลอบใจได้จากไตรมาสที่ 2 คือแม้ว่าตัวเลขต่างๆ จากบริการด้าน Social & Digital Content เหล่านี้จะเติบโตช้ากว่าไตรมาสที่แล้ว แต่ก็ยังถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เช่น ยอดผู้สมัครรับบริการด้าน Digital Content เพิ่มขึ้น 30% แตะระดับ 154 ล้านคน ส่วนรายได้ก็เพิ่มขึ้น 14% ทางฝั่งรายได้จากโฆษณาก็เพิ่มขึ้น 39% ส่วนแอปฯ ดังอย่าง WeChat ก็มีอัตราผู้ใช้ต่อเดือน (MAU) เพิ่มขึ้น 9.9% สู่ระดับ 1.06 พันล้านคน นอกจากนี้ Tencent ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงินและ Cloud ที่มีแนวโน้มเติบโตดีอีกด้วย คิดเป็นการเติบโตของรายได้ปีต่อปีเกือบ 80% และเพิ่มจากไตรมาสก่อนเกือบ 10% แม้กำไรสุทธิของไตรมาสจะลดลง แล้วรายได้รวมของไตรมาสนั้นเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เมื่อคำนวณอัตรากำไรสุทธิออกมาแล้วจะอยู่ที่ 24% ซึ่งก็ถือว่าแข็งแรงดี เพราะนอกจากเกม Tencent ก็ยังมีธุรกิจให้บริการส่งข้อความอย่าง WeChat มีแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอ เพลง และไลฟ์สดด้วย ข่าวที่พอจะปลอบใจได้จากไตรมาสที่ 2 คือแม้ว่าตัวเลขต่างๆ จากบริการด้าน Social & Digital Content เหล่านี้จะเติบโตช้ากว่าไตรมาสที่แล้ว แต่ก็ยังถือว่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เช่น ยอดผู้สมัครรับบริการด้าน Digital Content เพิ่มขึ้น 30% แตะระดับ 154 ล้านคน ส่วนรายได้ก็เพิ่มขึ้น 14% ทางฝั่งรายได้จากโฆษณาก็เพิ่มขึ้น 39% ส่วนแอปฯ ดังอย่าง WeChat ก็มีอัตราผู้ใช้ต่อเดือน (MAU) เพิ่มขึ้น 9.9% สู่ระดับ 1.06 พันล้านคน นอกจากนี้ Tencent ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงินและ Cloud ที่มีแนวโน้มเติบโตดีอีกด้วย คิดเป็นการเติบโตของรายได้ปีต่อปีเกือบ 80% และเพิ่มจากไตรมาสก่อนเกือบ 10% ด้วยความที่ Tencent มีธุรกิจหลากหลาย จึงโชคดีที่ว่ามีการกระจายความเสี่ยงระดับหนึ่ง แม้ว่าธุรกิจเกมจะโดนผลกระทบ แต่ธุรกิจอื่นๆ ก็ยังสามารถไปต่อได้ ทาง Tencent เองก็มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนธุรกิจหลักของตัวเองให้กลับมาเติบโตได้อย่างเดิม เช่น การเก็บเงินจากเกมที่เป็นแนวทัวร์นาเม้นต์ที่คนนิยมเล่นกันมากขึ้น เพิ่มปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับเกมที่มีอยู่ และเปิดตัวเกมใหม่ที่มีแนวโน้มทำรายได้ต่อคนได้มากกว่าเดิม ที่น่าสนใจอีกทางเลือกคือการโฟกัสไปยังตลาดต่างประเทศซึ่งมีผู้เล่นที่สนใจเกมจีนอยู่เยอะ เห็นได้จากยอดขายครึ่งปีแรกของเกมจีนในต่างประเทศที่เติบโตขึ้นกว่า 40% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว จำนวนเกมที่ทำรายได้ถึง $1 ล้านในต่างประเทศก็มีมากกว่าปีที่แล้วด้วย ด้วยความที่ Tencent มีธุรกิจหลากหลาย จึงโชคดีที่ว่ามีการกระจายความเสี่ยงระดับหนึ่ง แม้ว่าธุรกิจเกมจะโดนผลกระทบ แต่ธุรกิจอื่นๆ ก็ยังสามารถไปต่อได้ ทาง Tencent เองก็มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนธุรกิจหลักของตัวเองให้กลับมาเติบโตได้อย่างเดิม เช่น การเก็บเงินจากเกมที่เป็นแนวทัวร์นาเม้นต์ที่คนนิยมเล่นกันมากขึ้น เพิ่มปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับเกมที่มีอยู่ และเปิดตัวเกมใหม่ที่มีแนวโน้มทำรายได้ต่อคนได้มากกว่าเดิม ที่น่าสนใจอีกทางเลือกคือการโฟกัสไปยังตลาดต่างประเทศซึ่งมีผู้เล่นที่สนใจเกมจีนอยู่เยอะ เห็นได้จากยอดขายครึ่งปีแรกของเกมจีนในต่างประเทศที่เติบโตขึ้นกว่า 40% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว จำนวนเกมที่ทำรายได้ถึง $1 ล้านในต่างประเทศก็มีมากกว่าปีที่แล้วด้วย ถึงอย่างนั้น เรื่องราวไม่ได้จบที่ Tencent อย่างเดียว ความแสบของรัฐบาลจีนยังส่งผลกระทบต่อบริษัทเกมไซส์เล็กในจีนที่ไม่สามารถปล่อยเกมได้ บริษัทเอเชียอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกมก็โดนหางเลข ไม่ว่าจะเป็นฝั่งญี่ปุ่นอย่างหุ้น Nintendo, Konami Holdings, GungHo Online Entertainment, Gree และ Colopl ที่นักลงทุนเทขายหลังได้ข่าว Tencent ทางด้านฝั่งอุตสาหกรรมชิปจากประเทศอื่นๆ แถบเอเชียก็โดนผลกระทบไปตามๆ กัน ความแสบของรัฐบาลจีนยังส่งผลกระทบต่อบริษัทเกมไซส์เล็กในจีนที่ไม่สามารถปล่อยเกมได้ บริษัทเอเชียอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกมก็โดนหางเลข ไม่ว่าจะเป็นฝั่งญี่ปุ่นอย่างหุ้น Nintendo, Konami Holdings, GungHo Online Entertainment, Gree และ Colopl ที่นักลงทุนเทขายหลังได้ข่าว Tencent ทางด้านฝั่งอุตสาหกรรมชิปจากประเทศอื่นๆ แถบเอเชียก็โดนผลกระทบไปตามๆ กัน ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจีนยังควบคุมสื่อแบบนี้ต่อไป ก็มีสิทธิ์ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวต่ออุตสาหกรรมเกมของประเทศจีนซึ่งถือเป็นตลาดเกมอันดับ 1 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า $32.5 พันล้าน (~1 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายเข้าสู่อุตสาหกรรมเกม เช่น เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) และอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) ข้อจำกัดต่างๆ ของรัฐบาลจีนย่อมส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ นอกจากเกมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลจีนยังควบคุมสื่อแบบนี้ต่อไป ก็มีสิทธิ์ที่จะส่งผลกระทบระยะยาวต่ออุตสาหกรรมเกมของประเทศจีนซึ่งถือเป็นตลาดเกมอันดับ 1 ของโลก ด้วยมูลค่ากว่า $32.5 พันล้าน (~1 ล้านล้านบาท) ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ มากมายเข้าสู่อุตสาหกรรมเกม เช่น เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) และอุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) ข้อจำกัดต่างๆ ของรัฐบาลจีนย่อมส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ นอกจากเกมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราคงต้องมาลุ้นกันต่อไปว่ารัฐบาลจีนจะใจอ่อนยอมยกเลิกหรือลดระดับกฏอันเข้มงวดรึเปล่า หากรัฐบาลจีนยอมผ่อนปรน ก็จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเกมในจีน ซึ่งก็หมายถึงเศรษฐกิจจีนโดยรวมด้วย แต่จีนก็คงต้องหาวิธีอื่นให้ความรู้เยาวชนเรื่องการติดเกมแหละนะ ¯\_(ツ)_/¯ เราคงต้องมาลุ้นกันต่อไปว่ารัฐบาลจีนจะใจอ่อนยอมยกเลิกหรือลดระดับกฏอันเข้มงวดรึเปล่า หากรัฐบาลจีนยอมผ่อนปรน ก็จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเกมในจีน ซึ่งก็หมายถึงเศรษฐกิจจีนโดยรวมด้วย แต่จีนก็คงต้องหาวิธีอื่นให้ความรู้เยาวชนเรื่องการติดเกมแหละนะ ¯\_(ツ)_/¯ ツ Sources:
Sources: ที่มาบทความ:
| จากการที่รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการจำกัดการเผยแพร่เกมออนไลน์อย่างเข้มงวดมากขึ้นนั้น เนื่องจากรัฐบาลต้องการกวาดล้างเกม เว็บไซต์ และสื่อต่าง ๆ ที่มีเนื้อหารุนแรง เกี่ยวข้องกับการพนัน หรือทำให้เกิดการเสพติด ส่งผลกระทบต่อ Tencent อย่างมาก เพราะธุรกิจเกมคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด และรายได้ทั้งหมดกว่า 90% ก็มาจากประเทศจีน ถือว่าค่อนข้างเยอะ โดยรายได้จากเกมมือถือที่ Tencent ทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2018 นั้น แม้จะโตขึ้น 19% หากเทียบกับปี 2017 แต่ก็ลดลง 19% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2018 แสดงให้เห็นว่า ในระยะสั้นนี้ Tencent ทำเงินได้น้อยลงจากเกม แม้ว่าจะมีผู้เล่นเกมมากขึ้นก็ตาม
ที่ผ่านมา มาตรการของรัฐบาลจีนส่วนใหญ่กระทบกับรายได้ของ Tencent หลายมาตรการ ตัวอย่างเช่น เกม PlayerUnknown’s Battlegrounds (PUBG) เวอร์ชั่นจีนที่ถูกห้ามไม่ให้เก็บรายได้เพิ่มเติม (in-app purchase) และเกมสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง Monster Hunter: World ที่ถูกห้ามไม่ให้วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม WeGame ทั้งๆ ที่มียอดจองซื้อกว่า 1 ล้านออเดอร์แล้ว Tencent จะทำอะไรได้นอกจากกลั้นน้ำตาคืนเงินให้ลูกค้าไป เหตุการณ์นี้ส่งผลให้หุ้น Tencent ร่วง มูลค่าเสียหายกว่า $16 พันล้าน (~5 แสนล้านบาท) | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2543 | Finance | MINT มีรายได้จากธุรกิจใดบ้าง | สรุปประเด็นหุ้น MINT ซื้อหรือขายดี?
หุ้น MINT เป็นหุ้นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย ด้วย Market Cap กว่า 178,000 ลบ.
MINT ไม่ได้มีแต่ธุรกิจโรงแรมเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจอาหาร และร้านขายของ Lifestyle ด้วย
รายได้ของธุรกิจ MINT แบ่งได้เป็น
- รายได้จากธุรกิจโรงแรม 53%
- รายได้จากธุรกิจอาหาร 40%
- รายได้จากร้านขายของ Lifestyle อีกประมาณ 7%
แบรนด์ดังๆ ของ MINT ที่พวกเรารู้จักกันดีก็เช่นโรงแรมอนันตารา พิซซ่าคอมปะนี สเวนเซนส์ แดรี่ควีน ซิสเลอร์ เบอร์เกอร์คิงส์ เอสปรี อเนโล่ โดยทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารของ MINT นั้นมีทั้งทำธุรกิจในไทยและขยายไปต่างประเทศด้วย
ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในปี 2000 มาจนถึงปี 2017 หุ้น MINT มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 23% จากมีรายได้แถวๆ 2000 ล้านบาทในปี 2000 ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2017 ถือว่าเติบโตขึ้นมาเยอะมาก เกิน 25 เท่า ราคาหุ้นก็ขึ้นมากเช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนหุ้น MINT ณ ตอนนี้มีอยู่ 1-2 ประเด็นด้วยกัน
ประเด็นแรก คือการเข้าลงทุนใน NH Hotel group (เรียกภาษาชาวบ้านว่า Take over นั่นแหละแต่อันนี้ไม่ได้ Take หมดกะเอาแค่ 51% ให้มีอำนาจควบคุมพอ) NH คือ เครือโรงแรมในสเปนที่ถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสเปน อันดับ 6 ในยุโรป ติด 1 ใน 30 เครือโรงแรมใหญ่สุดในโลกเลยนะ MINT อยู่ในอันดับที่ 68 ถ้ารวมกันจะกลายเป็นเครือโรงแรมอันดับที่ 19 ของโลกทันที ! Market cap ของ NH ก็อยู่ประมาณ 2,400 ล้านยูโร หรือประมาณ 94,000 ล้านบาทไทย ขนาดประมาณครึ่งนึงของ MINT ที่มี Market cap 178,000 ล้านบาท NH มีโรงแรมทั้งสิ้น 385 โรงแรม รวมเป็น 59,682 ห้องใน 30 ประเทศ ลูกค้าของ NH มีประมาณ 8 ล้านรายเป็นยุโรป 91% เป็นอเมริกันอีก 9% ผลประกอบการเป็นไง? ก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเพราะมี Occupancy rate ถึง 70% มากขึ้นทุกปี รายได้ปี 2017 เพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของบริษัทไปที่ 1,571 ล้านยูโร กำไรเติบโตสูงจากที่ 2 ปีที่ผ่านมายังขาดทุนอยู่เลย เพราะผลก็เพราะการขยายโรงแรมมากเกินไปและปัญหาหนี้สินซึ่งปัจจุบันทยอยแก้ไขไปแล้ว ผลประกอบการเลยค่อยๆดีขึ้น ผลประกอบการ 1H18 NH มีกำไรแล้วที่ 64 ล้านยูโรหรือประมาณ 2,400 ล้านยูโร (เต็มปีก็ประเมินคร่าวๆได้ที่ 4,800 ล้านยูโร ภายใต้สมมุติฐานว่าสามารถทำ NPM ได้พอๆ กับ 2Q18 ถ้า MINT ลงทุน 51% ก็เท่ากับว่าได้เงินมาประมาณ 2,400 ล้านบาท) แต่ๆๆ ต้องอย่าลืมว่าการเข้าลงทุนของ MINT ใน NH ใช้การกู้หนี้มาซื้อดังนั้นก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้า MINT ซื้อ 51% จะต้องจ่ายเงินประมาณ 47,000 ล้านบาท เป็นอัตราดอกเบี้ยหลัง Swop เป็นเงิน Euro แล้วจะต้องจ่ายดอกประมาณ 3-4% หมายความว่าต้องจ่ายดอกคร่าวๆ ปีละ 1,400-1,800 ล้านบาท Net กับกำไรของ NH จะเพิ่มกำไรได้อีกประมาณ 600-1000 ล้านบาท Synergy ของการเข้าลงทุนในกลุ่ม NH ก็มีหลายมุมเช่น ฐานลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน NH มีฐานลูกค้าเป็นยุโรปเยอะ ในขณะที่ MINT มีฐานลูกค้าเป็นคนเอเซีย เอาฐานลูกค้ามารวมก็เท่ากับ MINT ได้ลูกค้ายุโรปมากขึ้น NH ได้ลูกค้าเอเชียมากขึ้น นอกจากเรื่องลูกค้าก็มีเรื่องที่ตั้งและแบรนด์ของโรงแรม เพราะในที่ที่มีโรงแรมของ NH อยู่เยอะมักจะไม่มีโรงแรงของ MINT อยู่ ส่วนในที่ที่มีโรงแรมของ MINT อยู่ก็มักจะไม่มีโรงแรมของ NH ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งยอดลูกค้ากันเอง MINT สามารถเอาโรงแรมแบรนด์ดังของ NH มาเปิดในไทยได้ ในขณะเดียวกันก็เอาแบรนด์ของ MINT ไปเปิดในสเปนได้ และที่สำคัญที่สุด NH เป็นกลุ่มโรงแรมที่มี EBITDA Margin น้อยว่า MINT อยู่ที่ประมาณ 15% เท่านั้น ถ้า MINT ซึ่งบริหารโรงแรมได้ EBITDA Margin สูงกว่าที่ 25% เข้าไปช่วยบริหารจัดการก็มีโอกาสที่จะทำให้การทำกำไรดีขึ้น แล้ว MINT มีโอกาสต้องเพิ่มทุนมั้ย? เพราะต้องเสนอหุ้น NH Hotel group ทั้งหมดจากที่ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อแค่ 51-55% ถ้าซื้อทั้งหมดต้องใช้เงินเพิ่มอีกราวๆ 40,000 ล้านบาท
แต่ถ้าเรามาดูข้อมูลการที่จะซื้อทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ
1. ราคา Tender ที่ 30 ยูโร ราคาในตลาดก็ประมาณนี้เหมือนกัน ดังนั้นราคาซื้ออาจไม่จูงใจให้คนขายมากนัก
2. ผลประกอบการของ NH กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่ก็ไม่ค่อยจูงใจให้คนขายอีก เพราะบริษัทกำลังไปได้สวยจะขายให้ MINT ในราคานี้ทำไม?
3. ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NH หลายๆรายเป็นกองทุนซึ่งมีความรู้เรื่องการเงินการลงทุน พวกเขาก็รู้ว่าถ้า MINT เข้ามาบริษัทน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น (ในกรณีเป็นไปตามแผนและ MINT ไม่ได้ทำอะไรพลาด) แต่ถ้าเกิดคดีพลิก MINT ต้องซื้อทั้งหมดจริงๆ MINT ก็สามารถหา Partner มาช่วยกันซื้อได้ในกรณีที่หาเงินกู้ไม่ได้ หรือไม่อยากกู้มาเกินไป ระดับคุณ William E. Heinecke หา Partner ได้ไม่ยากอยู่แล้ว การเพิ่มทุนมีโอกาสเกิดมั้ย? ก็มีโอกาสแต่น่าจะน้อยเพราะต้องผ่าน Process และผู้ถือหุ้นใหญ่จะโดนผลกระทบไปด้วย MINT ยังมีทางเลือกอื่นๆได้อีก
อีกประเด็นระยะสั้นที่น่าสนใจคือ MINT กำลังเข้าสู่ช่วง High season ของการท่องเที่ยว และโรงแรมบางโรงเช่น Tivoli ได้ผ่านการปิด Renovation เรียบร้อยแล้วพร้อมกลับมาเปิดให้บริการจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังของ MINT มีโอกาสทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาด ความเสี่ยงหลักๆ ของ MINT ในตอนนี้คงเป็นเรื่องร้านอาหารที่มี SSS ติดลบมาซักพักใหญ่ๆ แล้ว MINT เองก็พยายามปิดสาขาที่ขายไม่ดี ออกสินค้าใหม่ๆ แต่ก็ดูเหมือนยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย การแข่งขันของร้านอาหารเองก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่แข่งกับร้านอาหารด้วยกันเอง แต่ต้องแข่งกับสารพัดร้านอาหารใน Facebook, Instagram ที่ปัจจุบันนี้หันมาขายอาหารผ่าน LINE Man, Kerry กัน ราคา ณ วันที่ 24 กันยายน 2018 อยู่ที่ 40 บาท ก็ลองพิจารณาดูกันได้ว่าพอใจกับผลตอบแทนที่จะได้รับกันหรือไม่ เพราะนักลงทุนแต่ละท่านก็คาดหวังผลตอบแทนสูง-ต่ำแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ดีอย่าลืมวางแผนการลงทุน เผื่อในกรณีที่ MINT ทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ด้วยละกันครับ เพื่อความปลอดภัยของพอร์ทของท่านเอง Stay Calm, Stay Invest
| รายได้ของธุรกิจ MINT แบ่งได้เป็น
1. รายได้จากธุรกิจโรงแรม 53%
2.รายได้จากธุรกิจอาหาร 40%
3.รายได้จากร้านขายของ Lifestyle อีกประมาณ 7%
แบรนด์ดังๆ ของ MINT ที่รู้จักกันดีก็เช่น โรงแรมอนันตารา พิซซ่าคอมปะนี สเวนเซนส์ แดรี่ควีน ซิสเลอร์ เบอร์เกอร์คิงส์ เอสปรี อเนโล่ โดยทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารของ MINT นั้นมีทั้งทำธุรกิจในไทยและขยายไปต่างประเทศด้วย
ถ้ามองย้อนหลังกลับไปในปี 2000 มาจนถึงปี 2017 หุ้น MINT มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 23% จากมีรายได้แถวๆ 2000 ล้านบาทในปี 2000 ขึ้นมาเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2017 ถือว่าเติบโตขึ้มาเยอะมาก เกิน 25 เท่า ราคาหุ้นก็ขึ้นมากเช่นกัน | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2545 | Finance | ถึงหุ้น Samsung จะร่วงถึง 11% นับตั้งแต่ต้นปี 2018 นักวิเคราะห์จากหลายๆ สถาบันก็ยังมองว่า Samsung มีแนวโน้มที่ดี อันเนื่องมาจากอะไร | หรืออาณาจักร Samsung กำลังเผชิญวิกฤติ?
Samsung ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างผลิตภัณฑ์ล้ำๆ มากมาย โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนอย่าง Galaxy ที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง สูสีกันกับ iPhone ของ Apple เลยทีเดียว ล่าสุดก็เพิ่งปล่อย Galaxy Note 9 สมาร์ตโฟนจอใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดไป สร้างความตื่นตาตื่นใจไปทั่ว ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ Samsung ถือเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สร้างผลิตภัณฑ์ล้ำๆ มากมาย โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนอย่าง Galaxy ที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง สูสีกันกับ iPhone ของ Apple เลยทีเดียว ล่าสุดก็เพิ่งปล่อย Galaxy Note 9 สมาร์ตโฟนจอใหญ่รุ่นใหม่ล่าสุดไป สร้างความตื่นตาตื่นใจไปทั่ว ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ทว่าตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลกของ Samsung กำลังสั่นคลอนอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากจีนที่เริ่มแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หรือ ความสามารถในการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งทาง Samsung ก็ยอมรับเลยว่า ‘ยาก’ ที่จะหาของใหม่ๆ มานำเสนอในทุกๆ ปี วันนี้จะชวนมาดูเหตุผลต่างๆ ที่ Samsung อาจไม่รุ่งโรจน์อีกต่อไป ทว่าตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลกของ Samsung กำลังสั่นคลอนอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากจีนที่เริ่มแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หรือ ความสามารถในการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งทาง Samsung ก็ยอมรับเลยว่า ‘ยาก’ ที่จะหาของใหม่ๆ มานำเสนอในทุกๆ ปี วันนี้จะชวนมาดูเหตุผลต่างๆ ที่ Samsung อาจไม่รุ่งโรจน์อีกต่อไป 1. Huawei กับการก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ตโฟนโลก ก่อนหน้านี้ หากบอกว่ามือถือจากจีนจะสามารถโค่นล้ม iPhone ได้ คงไม่มีใครอยากเชื่อนัก แต่มันก็เป็นไปแล้ว… เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รายงานจากหลายๆ สำนักได้ระบุว่า Huawei แบรนด์สมาร์ตโฟนจากเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ได้แซงหน้า Apple ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ตโฟนของโลก เมื่อไตรมาสที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่า Samsung จะยังเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ตโฟนโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% แต่ Samsung ก็สารภาพเลยว่าแอบร้อนๆ หนาวๆ กับคู่แข่งที่กำลังตีชิดเข้ามาเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ หากบอกว่ามือถือจากจีนจะสามารถโค่นล้ม iPhone ได้ คงไม่มีใครอยากเชื่อนัก แต่มันก็เป็นไปแล้ว… เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รายงานจากหลายๆ สำนักได้ระบุว่า Huawei แบรนด์สมาร์ตโฟนจากเสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ได้แซงหน้า Apple ขึ้นเป็นอันดับ 2 ในตลาดสมาร์ตโฟนของโลก เมื่อไตรมาสที่ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่า Samsung จะยังเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ตโฟนโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% แต่ Samsung ก็สารภาพเลยว่าแอบร้อนๆ หนาวๆ กับคู่แข่งที่กำลังตีชิดเข้ามาเหมือนกัน 2. Samsung เสียส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนให้กับสมาร์ตโฟนจีนแล้ว แม้ว่าในตลาดโลก Samsung จะยังเป็นอันดับ 1 แต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มูลค่าตลาดสมาร์ตโฟนใหญ่ที่สุดนั้น Samsung มีส่วนแบ่งเหลือแค่ 1% เท่านั้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีส่วนแบ่ง 15% ในตลาดสมาร์ตโฟนจีนเมื่อ 4 ปีก่อน ผู้ชนะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเจ้าถิ่นอย่าง Huawei, Oppo, Vivo และ Xiaomi ซึ่งพอรวมกันแล้วมีส่วนแบ่งปาไปกว่า 76% แล้ว ในขณะที่ Apple มีส่วนแบ่งเพียง 9% เท่านั้นเอง ล่าสุด Samsung ต้องลดการผลิตในเมืองจีนลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโดยรวมด้วย แม้ว่าในตลาดโลก Samsung จะยังเป็นอันดับ 1 แต่ในประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มูลค่าตลาดสมาร์ตโฟนใหญ่ที่สุดนั้น Samsung มีส่วนแบ่งเหลือแค่ 1% เท่านั้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีส่วนแบ่ง 15% ในตลาดสมาร์ตโฟนจีนเมื่อ 4 ปีก่อน ผู้ชนะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเจ้าถิ่นอย่าง Huawei, Oppo, Vivo และ Xiaomi ซึ่งพอรวมกันแล้วมีส่วนแบ่งปาไปกว่า 76% แล้ว ในขณะที่ Apple มีส่วนแบ่งเพียง 9% เท่านั้นเอง ล่าสุด Samsung ต้องลดการผลิตในเมืองจีนลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโดยรวมด้วย 3. Xiaomi ใกล้จะแซง Samsung ในตลาดสมาร์ตโฟนอินเดียแล้ว ตลาดสมาร์ตโฟนในอินเดียนั้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากจีน ล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ส่วนแบ่งสมาร์ตโฟนของ Samsung อยู่ที่ 29% แม้ว่าจะยังเป็นอันดับหนึ่ง แต่ Xiaomi จากจีนกำลังตามมาติดๆ กับส่วนแบ่งที่ 28% เรียกว่าเฉียดฉิวมากๆ Xiaomi ถือเป็นคู่แข่งในตลาดอินเดียที่ประมาทไม่ได้เลย เพราะก่อนหน้านั้น ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2017 Xiaomi เคยชนะ Samsung ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดอินเดียมาแล้ว ตลาดสมาร์ตโฟนในอินเดียนั้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองลงมาจากจีน ล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ส่วนแบ่งสมาร์ตโฟนของ Samsung อยู่ที่ 29% แม้ว่าจะยังเป็นอันดับหนึ่ง แต่ Xiaomi จากจีนกำลังตามมาติดๆ กับส่วนแบ่งที่ 28% เรียกว่าเฉียดฉิวมากๆ Xiaomi ถือเป็นคู่แข่งในตลาดอินเดียที่ประมาทไม่ได้เลย เพราะก่อนหน้านั้น ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2017 Xiaomi เคยชนะ Samsung ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดอินเดียมาแล้ว 4. Samsung โดนกระแสวิจารณ์ว่าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ได้ช้าลง กระแสล่าสุดจากการเปิดตัว Note 9 มีคละกันไปทั้งดีทั้งร้าย ในแง่ดีคือผู้ใช้มองว่าโดยรวมแล้ว Note 9 มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมาหากนับจากโมเดลรุ่นแรกๆ นอกจากนี้ดีไซน์ก็ดูดีขึ้นด้วย แต่ผู้ใช้และสำนักข่าวบางแห่งก็ได้วิจารณ์ว่า Note 9 นั้นไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ เลย นำไปสู่ข้อสรุปว่า Samsung เริ่มจะพัฒนานวัตกรรมได้ช้าลงแล้ว แม้แต่คู่แข่งอย่าง Huawei ยังได้ทวีตข้อความแซวใน Twitter ว่ามือถือรุ่นใหม่ของ Huawei นั้นจะได้รับการ ‘อัปเกรดจริงๆ’ เหมือนกำลังจะกัดจิกว่ามือถือใหม่ของ Samsung นั้นแทบไม่ได้อัปเกรดอะไรมากมายเลย กระแสล่าสุดจากการเปิดตัว Note 9 มีคละกันไปทั้งดีทั้งร้าย ในแง่ดีคือผู้ใช้มองว่าโดยรวมแล้ว Note 9 มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ดีขึ้นมาหากนับจากโมเดลรุ่นแรกๆ นอกจากนี้ดีไซน์ก็ดูดีขึ้นด้วย แต่ผู้ใช้และสำนักข่าวบางแห่งก็ได้วิจารณ์ว่า Note 9 นั้นไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ เลย นำไปสู่ข้อสรุปว่า Samsung เริ่มจะพัฒนานวัตกรรมได้ช้าลงแล้ว แม้แต่คู่แข่งอย่าง Huawei ยังได้ทวีตข้อความแซวใน Twitter ว่ามือถือรุ่นใหม่ของ Huawei นั้นจะได้รับการ ‘อัปเกรดจริงๆ’ เหมือนกำลังจะกัดจิกว่ามือถือใหม่ของ Samsung นั้นแทบไม่ได้อัปเกรดอะไรมากมายเลย 5. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อาจไม่ช่วย Samsung อีกต่อไป (รึเปล่า) เนื่องจาก Samsung ทำธุรกิจแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงทำให้มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์คือเครื่องจักรที่สร้างรายได้ให้ Samsung มากที่สุด ถือเป็นธุรกิจที่มาช่วยพยุง Samsung จากธุรกิจสมาร์ตโฟนที่ถดถอยลง เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธุรกิจนี้สร้างรายได้เป็นสัดส่วน 37% ให้ Samsung แต่สามารถสร้างกำไรได้เป็นสัดส่วนถึง 78% ของกำไรทั้งหมดเลยทีเดียว ข้อดีของธุรกิจนี้คือเป็นธุรกิจที่มีอุปสงค์สูง แต่มีอุปทานจำกัด ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาสูง เพิ่มส่วนต่างด้านราคาให้ตัวเองได้ ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยสนับสนุน Samsung มาตลอด ทว่านักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เริ่มแสดงท่าทีกังวลต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว พวกเขาชี้ให้เห็นว่าตอนนี้มีสินค้าคงคลังเหลืออยู่มาก จึงอาจทำให้บริษัทไม่สามารถตั้งราคาสูงในอนาคตได้ และทำให้อุตสาหกรรมไม่เติบโตเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นล่าสุด Samsung ก็ยังไม่แสดงท่าทีกังวลเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดหวังว่าธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์จะสร้างรายได้สูงขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงขายดีของเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจาก Samsung ทำธุรกิจแบบต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงทำให้มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์คือเครื่องจักรที่สร้างรายได้ให้ Samsung มากที่สุด ถือเป็นธุรกิจที่มาช่วยพยุง Samsung จากธุรกิจสมาร์ตโฟนที่ถดถอยลง เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ธุรกิจนี้สร้างรายได้เป็นสัดส่วน 37% ให้ Samsung แต่สามารถสร้างกำไรได้เป็นสัดส่วนถึง 78% ของกำไรทั้งหมดเลยทีเดียว ข้อดีของธุรกิจนี้คือเป็นธุรกิจที่มีอุปสงค์สูง แต่มีอุปทานจำกัด ทำให้ผู้ผลิตสามารถตั้งราคาสูง เพิ่มส่วนต่างด้านราคาให้ตัวเองได้ ซึ่งจุดนี้ก็ช่วยสนับสนุน Samsung มาตลอด ทว่านักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เริ่มแสดงท่าทีกังวลต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว พวกเขาชี้ให้เห็นว่าตอนนี้มีสินค้าคงคลังเหลืออยู่มาก จึงอาจทำให้บริษัทไม่สามารถตั้งราคาสูงในอนาคตได้ และทำให้อุตสาหกรรมไม่เติบโตเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นล่าสุด Samsung ก็ยังไม่แสดงท่าทีกังวลเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดหวังว่าธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์จะสร้างรายได้สูงขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงขายดีของเซมิคอนดักเตอร์ 6. หุ้น Samsung เป็นหนึ่งในหุ้นเทคที่ร่วงเยอะที่สุดในปีนี้ ปีที่แล้วหุ้นเทคเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ระส่ำระส่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้า หรือ ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ Facebook โดนผลกระทบไปเต็มๆ แต่เอาเข้าจริง หากนับตั้งแต่ต้นปี หุ้นเทคอเมริกันก็ยังเอาชนะหุ้นเทคส่วนใหญ่จากเอเชียได้ เช่น Amazon ที่มูลค่าขึ้น 61% หรือ Apple ที่มูลค่าขึ้นกว่า 22% พอหันไปทางด้านเอเชีย หุ้น Tencent ร่วงลง 9% ส่วน Baidu ร่วงลง 6% มีเพียงแค่ Alibaba ที่ยังสามารถขึ้น 4% ได้ ส่วน Samsung นั้นหนักกว่าเพื่อนเพราะหุ้นร่วงถึง 11% ปีที่แล้วหุ้นเทคเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ปีนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ระส่ำระส่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้า หรือ ประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ Facebook โดนผลกระทบไปเต็มๆ แต่เอาเข้าจริง หากนับตั้งแต่ต้นปี หุ้นเทคอเมริกันก็ยังเอาชนะหุ้นเทคส่วนใหญ่จากเอเชียได้ เช่น Amazon ที่มูลค่าขึ้น 61% หรือ Apple ที่มูลค่าขึ้นกว่า 22% พอหันไปทางด้านเอเชีย หุ้น Tencent ร่วงลง 9% ส่วน Baidu ร่วงลง 6% มีเพียงแค่ Alibaba ที่ยังสามารถขึ้น 4% ได้ ส่วน Samsung นั้นหนักกว่าเพื่อนเพราะหุ้นร่วงถึง 11% ฟังๆ ดูแล้ว เหมือนจะมีแต่ข้อมูลด้านลบ แต่จริงๆ แล้ว Samsung ก็ยังมีส่วนที่ดี พอให้ลุ้นการเติบโตได้อยู่บ้าง เช่น – ถึงหุ้น Samsung จะร่วงถึง 11% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ นักวิเคราะห์จากหลายๆ สถาบันก็ยังมองว่า Samsung มีแนวโน้มที่ดีอันเนื่องมาจากการคาดการณ์รายได้และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างเป็นบวก หากมองกันในระยะสั้นที่ไตรมาสหน้า Samsung คาดหวังว่ากำไรจากการดำเนินงานจะพุ่งขึ้น 21% เป็น 17.58 ล้านล้านวอน (~5 แสนล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งถ้าหากทำได้ จะกลายเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับไตรมาสเลยทีเดียว – ถึงหุ้น Samsung จะร่วงถึง 11% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ นักวิเคราะห์จากหลายๆ สถาบันก็ยังมองว่า Samsung มีแนวโน้มที่ดีอันเนื่องมาจากการคาดการณ์รายได้และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างเป็นบวก หากมองกันในระยะสั้นที่ไตรมาสหน้า Samsung คาดหวังว่า กำไรจากการดำเนินงาน จะพุ่งขึ้น 21% เป็น 17.58 ล้านล้านวอน (~5 แสนล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งถ้าหากทำได้ จะกลายเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับไตรมาสเลยทีเดียว – Samsung ยังถือเป็นบริษัทเทคแนวหน้าของโลก ด้วยมูลค่าตลาดถึง 284.1 ล้านล้านวอน (~8 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 16 สิงหาคม ตัวบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดรวมกันเป็นมูลค่า 31.4 ล้านล้านวอน (~9 แสนล้านบาท) – Samsung ยังถือเป็นบริษัทเทคแนวหน้าของโลก ด้วยมูลค่าตลาดถึง 284.1 ล้านล้านวอน (~8 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 16 สิงหาคม ตัวบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดรวมกันเป็นมูลค่า 31.4 ล้านล้านวอน (~9 แสนล้านบาท) – Samsung วางแผนว่าช่วง 3 ปีข้างหน้าจะลงทุน 180 ล้านล้านวอน (~5 ล้านล้านบาท) เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ และ หน้าจอ และเนื่องด้วยรองประธานอย่าง Lee Jae Yong สนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางยานยนต์ และยาชีวเภสัชภัณฑ์ เงินส่วน 25 ล้านล้านวอน (~7 แสนล้านบาท) จะนำไปลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี 5G และยาชีวเภสัชภัณฑ์ด้วย ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีเจ๋งๆ จาก Samsung ในเร็วๆ นี้ – Samsung วางแผนว่าช่วง 3 ปีข้างหน้าจะลงทุน 180 ล้านล้านวอน (~5 ล้านล้านบาท) เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ และ หน้าจอ และเนื่องด้วยรองประธานอย่าง Lee Jae Yong สนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางยานยนต์ และยาชีวเภสัชภัณฑ์ เงินส่วน 25 ล้านล้านวอน (~7 แสนล้านบาท) จะนำไปลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี 5G และ ยาชีวเภสัชภัณฑ์ด้วย ดังนั้นเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีเจ๋งๆ จาก Samsung ในเร็วๆ นี้ – ในแง่ของมูลค่าแบรนด์ Samsung อยู่ที่อันดับ 6 จากการจัดอันดับของ Interbrand’s Best Global Brands ในปี 2017 แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Samsung ก็ยังเป็นที่นิยมในสายตาผู้บริโภคอยู่ โดยอันดับหนึ่งและสองคือ Apple และ Google ตามลำดับ – ในแง่ของมูลค่าแบรนด์ Samsung อยู่ที่อันดับ 6 จากการจัดอันดับของ Interbrand’s Best Global Brands ในปี 2017 แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ Samsung ก็ยังเป็นที่นิยมในสายตาผู้บริโภคอยู่ โดยอันดับหนึ่งและสองคือ Apple และ Google ตามลำดับ – Samsung ยังสามารถขายในตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ตโฟนที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลกได้ แม้ว่าจะเป็นรองคู่แข่งเจ้าถิ่นอย่าง Apple ซึ่งเป็นที่ 1 อยู่ก็ตาม แต่คู่แข่งจากจีนนั้นไม่สามารถเจาะเข้าตลาดสหรัฐฯ ได้ อันเนื่องมาจากมาตรการปิดกั้นของสหรัฐฯ ต่อสมาร์ตโฟนจีน ในไตรมาสที่ 1 ตลาดสหรัฐฯ สร้างรายได้ให้ Samsung ประมาณ 10.9% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้ใช้หลายๆ คนก็รู้สึกว่า Samsung มีโทรศัพท์ที่ล้ำกว่า Apple ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในผู้ใช้ จึงไม่แน่ว่าในอนาคตอาจครองใจผู้ใช้ชาวอเมริกันมากขึ้น – Samsung ยังสามารถขายในตลาดอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดสมาร์ตโฟนที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลกได้ แม้ว่าจะเป็นรองคู่แข่งเจ้าถิ่นอย่าง Apple ซึ่งเป็นที่ 1 อยู่ก็ตาม แต่คู่แข่งจากจีนนั้นไม่สามารถเจาะเข้าตลาดสหรัฐฯ ได้ อันเนื่องมาจากมาตรการปิดกั้นของสหรัฐฯ ต่อสมาร์ตโฟนจีน ในไตรมาสที่ 1 ตลาดสหรัฐฯ สร้างรายได้ให้ Samsung ประมาณ 10.9% ของรายได้ทั้งหมด นอกจากนี้ผู้ใช้หลายๆ คนก็รู้สึกว่า Samsung มีโทรศัพท์ที่ล้ำกว่า Apple ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและความเข้าใจในผู้ใช้ จึงไม่แน่ว่าในอนาคตอาจครองใจผู้ใช้ชาวอเมริกันมากขึ้น – นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า Samsung จะปล่อยมือถือพับได้ในปีหน้าเพื่อเฉลิมฉลองโมเดลรุ่นที่ 10 ของ Galaxy S series ซึ่งออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อมิถุนายน 2010 โดย CEO Koh Dong Jin ใฝ่ฝันว่าอยากทำมือถือพับได้มานานแล้ว หากทำได้ก็จะถือว่าเป็นอีกนวัตกรรมที่โดดเด่น ทว่าก็ต้องระวังคู่แข่งอย่าง Huawei ที่มีแผนจะทำมือถือพับได้เช่นกัน – นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า Samsung จะปล่อยมือถือพับได้ในปีหน้าเพื่อเฉลิมฉลองโมเดลรุ่นที่ 10 ของ Galaxy S series ซึ่งออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อมิถุนายน 2010 โดย CEO Koh Dong Jin ใฝ่ฝันว่าอยากทำมือถือพับได้มานานแล้ว หากทำได้ก็จะถือว่าเป็นอีกนวัตกรรมที่โดดเด่น ทว่าก็ต้องระวังคู่แข่งอย่าง Huawei ที่มีแผนจะทำมือถือพับได้เช่นกัน อนาคตของ Samsung จะเป็นยังไงเราคงต้องลุ้นกันต่อไป ที่แน่ๆ คือหาก Samsung ไม่รุ่งอีกต่อไป ก็เป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศเกาหลีใต้ค่อนข้างเยอะ เพราะ Samsung สร้างรายได้ให้เกาหลีใต้อย่างมาก ในปี 2017 บริษัทได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปถึง 14 ล้านล้านวอน (~4 แสนล้านบาท) นับเป็น 23.6% ของรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดของเกาหลีใต้เลยทีเดียว ก็ต้องลุ้นให้ Samsung สามารถสร้างนวัตกรรมล้ำๆ ที่ชนะใจคนได้ เพื่อคงตำแหน่งบริษัทเทคแนวหน้าของโลกต่อไป v(- -v) อนาคตของ Samsung จะเป็นยังไงเราคงต้องลุ้นกันต่อไป ที่แน่ๆ คือหาก Samsung ไม่รุ่งอีกต่อไป ก็เป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศเกาหลีใต้ค่อนข้างเยอะ เพราะ Samsung สร้างรายได้ให้เกาหลีใต้อย่างมาก ในปี 2017 บริษัทได้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปถึง 14 ล้านล้านวอน (~4 แสนล้านบาท) นับเป็น 23.6% ของรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดของเกาหลีใต้เลยทีเดียว ก็ต้องลุ้นให้ Samsung สามารถสร้างนวัตกรรมล้ำๆ ที่ชนะใจคนได้ เพื่อคงตำแหน่งบริษัทเทคแนวหน้าของโลกต่อไป v(- -v) Source:
Source: ที่มาบทความ: | ถึงหุ้น Samsung จะร่วงถึง 11% นับตั้งแต่ต้นปี 2018 นักวิเคราะห์จากหลายๆ สถาบันก็ยังมองว่า Samsung มีแนวโน้มที่ดี อันเนื่องมาจากการคาดการณ์รายได้และผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ค่อนข้างเป็นบวก หากมองกันในระยะสั้นที่ไตรมาส 4/2018 Samsung คาดหวังว่ากำไรจากการดำเนินงานจะพุ่งขึ้น 21% เป็น 17.58 ล้านล้านวอน (~5 แสนล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งถ้าหากทำได้ จะกลายเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดสำหรับไตรมาส
Samsung ยังถือเป็นบริษัทเทคแนวหน้าของโลก ด้วยมูลค่าตลาดถึง 284.1 ล้านล้านวอน (~8 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2018 ตัวบริษัทมีเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดรวมกันเป็นมูลค่า 31.4 ล้านล้านวอน (~9 แสนล้านบาท) Samsung วางแผนว่าช่วง 3 ปีข้างหน้า จะลงทุน 180 ล้านล้านวอน (~5 ล้านล้านบาท) เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ และ หน้าจอ และเนื่องด้วย Lee Jae Yong สนใจเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางยานยนต์ และยาชีวเภสัชภัณฑ์ เงินส่วน 25 ล้านล้านวอน (~7 แสนล้านบาท) จะนำไปลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยี 5G และยาชีวเภสัชภัณฑ์ด้วย | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2561 | Finance | ทำไมต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่อยู่นอกระบบของตลาดหลักทรัพย์และทางการทั้งหมด | ก. การซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์หรือตราสารที่อยู่นอกระบบ มีความเสี่ยงในการเปลี่ยนมือกันสูง
ข. ความเสี่ยงของตราสารและความเสี่ยงจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน สามารถที่จะทำให้เจ๊งได้ง่าย ๆ
ค. มันเสี่ยงเกินไป
ง. ไม่มีสิทธิที่จะไปตั้งเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ ค. เนื่องจาก เหตุผลที่ต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนที่อยู่นอกระบบของตลาดหลักทรัพย์และทางการทั้งหมด เพราะมันเสี่ยงเกินไป แม้คนที่อยู่ในตลาดมานาน ก็หลีกเลี่ยงการลงทุนในสตาร์ทอัพหรือการลงทุนที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง ชอบการลงทุนในธุรกิจที่มั่นคง อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยถึงแม้ว่ามันอาจจะโตช้ากว่า ชอบที่จะลงทุนเงิน 100% ในหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากกว่าที่จะลงทุนเพียง 60-70% หรือน้อยกว่านั้นแต่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูงลิ่วถ้าธุรกิจประสบความสำเร็จตามที่คาดแบบหุ้นสตาร์ทอัพ
ในช่วงที่อายุยังไม่มากนั้น เคยลงทุนในหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่มีตลาดหุ้นรองรับ กิจการไฮเท็คแนว “สตาร์ทอัพ” และหุ้น “ก่อนจะเข้าตลาดทรัพย์” โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงเท่าที่ควร ผลที่ได้รับก็คือความผิดหวัง บางบริษัทยังมีใบหุ้นอยู่แต่บริษัทคงหายไปแล้ว ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ บางบริษัทนั้นตอนนี้ผันตัวกลายเป็นหุ้นจดทะเบียนไปแล้ว แต่ใบหุ้นเก่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแค่กระดาษ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคงโอนกิจการทั้งหมดไปที่บริษัทใหม่และปล่อยให้บริษัทเดิมตายไปกระมัง | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2565 | Finance | F-Score คืออะไร | ก. เครื่องมือการจัดลำดับความมั่นคงทางการเงิน โดย Mr. Joseph D. Piotroski
ข. บริษัทที่จะต้องมีฐานะการเงินดี
ค. บริษัทที่หายห่วงเรื่องปัญหาทางการเงินและความเสี่ยงในการลงทุน
ง. บริษัทที่จะต้องมีกระแสเงินสดที่ดี | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ ก. เพราะว่า F-Score คือ เครื่องมือการจัดลำดับความมั่นคงทางการเงิน โดย Mr. Joseph D. Piotroski
F-Score จะประกอบไปด้วยคำถาม 9 ข้อ สำหรับบริษัทที่จะประเมิน โดยแต่ละข้อจะสามารถตอบได้เพียง 2 คำตอบด้วยกันคือ “ใช่” จะได้ 1 คะแนน และ “ไม่ใช่” จะได้ 0 คะแนน
คำถามก็คือ
1. ROA มากกว่า 0 หรือไม่?
2. ROA ดีขึ้นจากปีก่อนหรือไม่?
3. CFO มากกว่า 0 หรือไม่?
4. CFO มากกว่ากำไรสุทธิหรือไม่?
5. D/E ลดลงจากปีก่อนหรือไม่?
6. Current Ratio ดีขึ้นจากปีก่อนหรือไม่?
7. ไม่มีการเพิ่มทุน
8. อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจากปีก่อนหรือไม่?
9. Asset turnover ดีขึ้นจากปีก่อนหรือไม่?
เมื่อตอบได้ครบทุกข้อแล้ว จะรวมคะแนนทั้งหมดของบริษัท หากรวมแล้วได้ 0 คะแนนหมายถึง “แย่มาก” และ 9 คะแนนคือ “เยี่ยมมาก”
จริงๆ แล้ว F-Score อาจจะดูซับซ้อน และคำถามแต่ละข้อก็อาจจะต้องใช้ความรู้ระดับหนึ่งถึงจะค้นหาคำตอบได้ แต่สำหรับมือใหม่ขอให้เข้าใจเพียงแค่ว่า ความสำคัญก็คือ “บริษัทจะต้องมีฐานะการเงินดี” “มีผลประกอบการที่ดี” และที่สำคัญ “บริษัทจะต้องมีกระแสเงินสดที่ดี” | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2586 | Finance | การปรับ Re-balancing Portfolio จะช่วยอะไร | A. มีสัดส่วน หุ้น 75% และตราสารหนี้ 25%
B. ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทน 2%
C. ให้พอร์ตมีความเสี่ยงอยู่ระดับเดิม
D. ผลตอบแทนดีที่สุด | คำตอบคือ C. ให้พอร์ตมีความเสี่ยงอยู่ระดับเดิม
เนื่องจาก การปรับ Re-balancing Portfolio จะช่วยให้พอร์ตมีความเสี่ยงอยู่ระดับเดิม
จากข้อมูลของ TFPA Bulletin ฉบับที่ 2 ปี 2556 เป็นข้อมูล จาก บ. Morning Star ที่ทำการวิจัยการลงทุนย้อนหลัง ปี 2546-2555 จะเห็นได้ว่า :
- ถ้าไม่ทำ rebalancing portfolio การลงทุน ปี 2546 – 2555 จะได้ผลตอบแทน 13.53% และความเสี่ยงอยู่ที่ 15.38% โดยปีที่ติดลบสูงสุดจะติดลบ -30.12%
- ขณะที่ ถ้าทำ rebalancing portfolio ทุกปี: จะได้ผลตอบแทน 12.44% และความเสี่ยงอยู่ที่ 11.48% โดยปีที่ติดลบสูงสุดจะติดลบ -18.66%
ดังนั้น จุดมุ่งหมายของการทำ Re-balancing Portfolio คือ จัดการเรื่องความเสี่ยง ให้กลับมาสู่ระดับเดิมที่วางแผนไว้
ควรทำ Rebalancing ตอนไหน?
1. กำหนดเป็นระยะเวลา เช่น 1 ปี ให้ทำการ rebalancing หนึ่งครั้ง
2. กำหนดเป็น Threshold ของสัดส่วนของ Assets Allocation เช่น จะปรับเมื่อ >= -+10% เดิมจัดสัดส่วนการลงทุน
ยกตัวอย่าง :
สัดส่วนการลงทุนเดิมเป็น หุ้น 70% ตราสารหนี้ 30% ในสภาวะตลาดกระทิง ทำให้สัดส่วนการลงทุนเป็น หุ้น 80% ตราสารหนี้ 20% ก็ให้ rebalancing | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2615 | Finance | การที่เอ็มเคสุกี้สามารถมียอดขายถึงระดับหมื่นล้านได้นั้น เป็นเพราะจุดแข็งที่เด่นกว่าร้านสุกี้ร้านอื่น คืออะไร | คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านเอ็มเคสุกี้ เพราะเป็นร้านสุกี้ร้านเดียวที่มีสาขามากมาย และขยายไปทั่วประเทศมากที่สุดในประเทศไทย
สุกี้ ถือเป็นเมนูที่อยู่ในประเทศไทยมานานมาก และเอ็มเคก็เป็นร้านขายสุกี้ที่มียอดขาย 16,458 ล้านบาทในปี 2560 และมี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกิน 70,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีร้านสุกี้ร้านไหนในไทยที่จะใหญ่ได้ขนาดนี้แน่นอน
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น M ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจแค่ร้านอาหารเอ็มเคสุกี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงร้านอาหารญี่ปุ่น “ยาโยอิ” ซึ่งได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น และร้านอาหารญี่ปุ่นอีก 2 ร้าน ได้แก่ “ฮากาตะ” และ “มิยาซากิ” ร้านอาหารไทย “ณ สยาม” และ “เลอสยาม” ร้านกาแฟ/เบเกอรี่ “เลอ เพอทิท”
สาขาของร้านอาหารในเครือของเอ็มเค (ที่มา: M Annual Report 2560)
นอกจากสาขาในไทยแล้ว M ยังเปิดสาขาในต่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นอีกประเทศที่นิยมทานชาบู
สาขาร้านอาหารในต่างประเทศ (ที่มา: M Annual Report 2560)
M มีรายได้เติบโตขึ้นทุกปีในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ปี รายได้รวม (ล้านบาท)
2558 14,923
2559 15,498
2560 16,458
สัดส่วนรายได้ของ M
งบการเงินรวม (ที่มา: M 56-1 ปี 2560)
ร้านเอ็มเคสุกี้ถือเป็นร้านอาหารที่สร้างรายได้ให้กับ M มากที่สุดถึง 77% ของรายได้รวม
การที่เอ็มเคสุกี้สามารถมียอดขายถึงระดับหมื่นล้านได้นั้น เป็นเพราะจุดแข็งที่เด่นกว่าร้านสุกี้ร้านอื่น นั่นก็คือการรักษามาตรฐานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะไปสาขาไหน รสชาติอาหารก็เหมือนเดิมเพราะมีครัวกลางที่คอยควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ทำให้กลุ่มลูกค้าติดใจเพราะการรักษามาตรฐานนี้
เอ็มเคสุกี้เน้นกลุ่มลูกค้าในวงกว้างหรือกลุ่ม Mass ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน นักเรียนนักศึกษา เพื่อนร่วมงาน ที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง ซึ่งเวลาลูกค้ามาที่ร้าน จะมากันเป็นกลุ่ม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การที่เอ็มเคสุกี้ขายแบบเป็นหม้อก็ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ดีกว่าการขายแบบเป็นจาน
ร้านเอ็มเคสุกี้ยังมีการบริหารการจัดการร้านได้เป็นอย่างดี เช่น การใส่วัตถุดิบในจานที่เป็นรูปแบบซ้อนกันสูงๆ เหมือน Condo ทำให้ขนย้ายง่าย รวมทั้งต้มน้ำซุปไว้ก่อนแล้วเพื่อให้น้ำเดือดเร็วขึ้น และทำให้เวลาการทานอาหารของลูกค้าเร็วขึ้นอีกด้วย
กำไรของ M เติบโตตลอด
ปี กำไรสุทธิ (ล้านบาท)
2558 1,856
2559 2,100
2560 2,425
โดยสรุปแล้ว เอ็มเคเป็นร้านอาหารที่มีความแข็งแกร่งมาก ในเชิงการจัดการของร้านอาหาร และเครือข่ายที่มีสาขาเกิน 600 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ M เป็นหุ้นแข็งแกร่งในกลุ่มร้านอาหาร จากข้อมูลในอดีต จะเห็นว่ามีการเติบโตในแง่รายได้และกำไรขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรดูแค่ข้อมูลในอดีตและลักษณะธุรกิจอย่างเดียว นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันไปด้วยก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ | ร้านเอ็มเคสุกี้ถือเป็นร้านอาหารที่สร้างรายได้ให้กับ M มากที่สุดถึง 77% ของรายได้รวม
การที่เอ็มเคสุกี้สามารถมียอดขายถึงระดับหมื่นล้านได้นั้น เป็นเพราะจุดแข็งที่เด่นกว่าร้านสุกี้ร้านอื่น นั่นก็คือการรักษามาตรฐานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะไปสาขาไหน รสชาติอาหารก็เหมือนเดิมเพราะมีครัวกลางที่คอยควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ทำให้กลุ่มลูกค้าติดใจเพราะการรักษามาตรฐานนี้
เอ็มเคสุกี้เน้นกลุ่มลูกค้าในวงกว้างหรือกลุ่ม Mass ได้แก่ ครอบครัว กลุ่มเพื่อน นักเรียนนักศึกษา เพื่อนร่วมงาน ที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง ซึ่งเวลาลูกค้ามาที่ร้าน จะมากันเป็นกลุ่ม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น การที่เอ็มเคสุกี้ขายแบบเป็นหม้อก็ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ดีกว่าการขายแบบเป็นจาน
ร้านเอ็มเคสุกี้ยังมีการบริหารการจัดการร้านได้เป็นอย่างดี เช่น การใส่วัตถุดิบในจานที่เป็นรูปแบบซ้อนกันสูงๆ เหมือน Condo ทำให้ขนย้ายง่าย รวมทั้งต้มน้ำซุปไว้ก่อนแล้วเพื่อให้น้ำเดือดเร็วขึ้น และทำให้เวลาการทานอาหารของลูกค้าเร็วขึ้นอีกด้วย
โดยสรุปแล้ว เอ็มเคเป็นร้านอาหารที่มีความแข็งแกร่งมาก ในเชิงการจัดการของร้านอาหาร และเครือข่ายที่มีสาขาเกิน 600 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ M เป็นหุ้นแข็งแกร่งในกลุ่มร้านอาหาร จากข้อมูลในอดีต จะเห็นว่ามีการเติบโตในแง่รายได้และกำไรขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรดูแค่ข้อมูลในอดีตและลักษณะธุรกิจอย่างเดียว นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันไปด้วยก่อนตัดสินใจลงทุน | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2656 | Finance | อีก 10 ปีข้างหน้า ปัจจัยใดจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค ค่านิยมใดจะกำหนดทิศทางการตลาด และบริษัทควรวางแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร | 10 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคสินค้าและบริการของโลกเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการใช้สินค้าบริการฟุ่มเฟือยที่เพิ่มขึ้นโดยอิง ไลฟสไตล์ ท่องเที่ยว บันเทิง สุขภาพ รวมถึงการรักษาพยาบาล และการกินดีอยู่ดี (Wellness) โดยยอมจ่ายเงินที่มากกว่า เพื่อสินค้าและบริการที่มีความเป็นเอกลักษณ์เหมาะสมกับตน ซึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคนี้ไว้ล่วงหน้า จึงทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ปัจจัยใดจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค ค่านิยมใดจะกำหนดทิศทางการตลาด และบริษัทควรวางแผนรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
I. ปัจจัยกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค
โครงสร้างประชากร : 10ปีข้างหน้าโครงสร้างประชากร จะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญโดยจะมีประชากรถึง6รุ่นเป็นฐานตลาด แต่กลุ่มสำคัญที่สุดคือ Generation Z (เกิดหลังปี 2538) ที่มีสัดส่วนถึง 30% ของประชากรโลก Gen Z จะเผชิญปัญหาความท้าทายในหลายรูปแบบที่แตกต่างกันตามภูมิภาค เช่นหน้าที่ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นและเยอรมนี ส่วนจีนและสหรัฐ Gen Z จะเป็นประชากรหลัก ซึ่งในสหรัฐ จะมาจากคนกลุ่มน้อย (Minority) ในภาพรวม ไม่ว่าจะภูมิภาคไหน สังคมอนาคตจะกลายเป็นเมืองมากขึ้นและเกิดความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่มากกว่าปัจจุบัน
ค่านิยมที่เปลี่ยนไป : Gen Z เป็น Digital Native ที่พร้อมแบ่งปันข้อมูลออนไลน์ในทุกๆเรื่อง มีค่านิยมที่ ยอมรับความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง เชื้อชาติและ เพศสภาวะ มีความรับผิดชอบมาก กว่าคนยุคก่อนเพราะเห็นผู้ปกครองผ่านสภาวะเศรษฐกิจซบเซา โดยพร้อมที่จะทำงาน มีความรู้ความสามารถจากการเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขึ้น ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในสังคมและมีเป้าหมายเป็นเจ้าของกิจการตนเอง
ข้อสังเกตข้างต้น รวมถึงการเชื่อมถึงกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา (Hyper Connectivity) ผ่านเครื่องมือและช่องทางสื่อสารมากมายทำให้สภาพแวดล้อมทางการตลาดในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
II. ค่านิยมทางการตลาด
Trust: Gen Z ขาดความเชื่อมั่นในแบรนด์ใหญ่ โดยมีมุมมองที่มากกว่าคุณภาพและบริการของสินค้า แต่มองถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และพร้อมที่จะจ่ายแพงขึ้นสำหรับแบรนด์ ที่มีแนวคิดเชิงรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม
Influencer: การตลาดยุคก่อนมุ่งเน้นการสร้างภาพความมั่งคั่ง (Affluence) โดยหาตัวแทนทางการตลาดที่สะท้อนภาพนั้นได้ชัดเจนที่สุด การตลาดในยุคปัจจุบันหันมาหาผู้นำทางความคิด (Influencer) เช่น นักกีฬานักแสดงที่มีผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียจำนวนมาก แต่การตลาดในอนาคต จะเน้นผู้นำทางความคิดระดับย่อย (Micro Influencer) เช่น Blogger Vlogger หรือ คนในวงสังคมที่ตัวเองให้ความสนใจ โดยกลยุทธ์การตลาดอนาคตจะใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ กลุ่มเป้าหมายตามลักษณะจิตนิสัย (Psychographic) ที่มองลึกไปถึง ความสนใจ ไลฟสไตล์และค่านิยม
Personalization: คนรุ่นใหม่พร้อมที่จะแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม หากพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์กับตน ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือ Fitbit ซึ่งข้อมูลนั้น สามารถนำไปใช้ในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
III. ปรับตัวอย่างไรให้ตอบโจทย์
เพิ่มงบลงทุนเพื่อรู้จักลูกค้าจนได้ข้อมูลเชิงลึกและสร้าง Digital Platform เพื่อการปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
เปลี่ยนมุมมองการจัดกลุ่มลูกค้าแบบ Segment ที่จัดบนความเหมือนของลักษณะจำเพาะภายนอกไปสู่ การจัด กลุ่มแบบ Cohort บนค่านิยมและขั้นตอนการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้า ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา โดยลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะเข้ากลุ่มไหนในช่วงเวลาใด
นำเสนอการ Personalizationในแต่ ละกลุ่มเป้าหมายและสร้าง สังคมเฉพาะ (Community) เพื่อให้เกิดการ Co-create (สร้างคุณค่าร่วมระหว่างบริษัทและลูกค้า)
ในโลก Hyper Connectivity ที่ เทรนด์ มาและไปอย่างรวดเร็ว มาตรวัดประสิทธิภาพการตลาดเช่น ROPO (Research online, Purchase offline) รวมถึงนโยบายตอบโต้ที่รวดเร็วจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ
หา Micro Influencer เพื่อ Co-create และสร้างโอกาสให้ Influencer เปลี่ยนลูกค้าเป็นผู้สนับสนุน (Advocate) ของบริษัท
สร้างความเชื่อมั่นโดยอิงค่านิยมและจุดยืนกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บริษัทตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่าคู่แข่ง
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงแนวทางอย่างสังเขปเพื่อให้เห็นความท้าทายของบริบทการตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนไป โดยทางปฏิบัติ มีรายละเอียดที่ต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม ถึงอย่างไรก็ตามเป้าหมายของทุกธุรกิจ หนีไม่พ้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างยั่งยืนในอนาคต ผ่านการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามกระแสที่เปลี่ยนไปครับ | 1. ปัจจัยกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค
- โครงสร้างประชากร : 10ปีข้างหน้าโครงสร้างประชากร จะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญโดยจะมีประชากรถึง 6รุ่นเป็นฐานตลาด แต่กลุ่มสำคัญที่สุดคือ Generation Z (เกิดหลังปี 2538) ที่มีสัดส่วนถึง 30% ของประชากรโลก Gen Z จะเผชิญปัญหาความท้าทายในหลายรูปแบบที่แตกต่างกันตามภูมิภาค เช่นหน้าที่ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่นและเยอรมนี ส่วนจีนและสหรัฐ Gen Z จะเป็นประชากรหลัก ซึ่งในสหรัฐ จะมาจากคนกลุ่มน้อย (Minority) ในภาพรวม ไม่ว่าจะภูมิภาคไหน สังคมอนาคตจะกลายเป็นเมืองมากขึ้นและเกิดความเหลื่อมล้ำของรายได้ที่มากกว่าปัจจุบัน
- ค่านิยมที่เปลี่ยนไป : Gen Z เป็น Digital Native ที่พร้อมแบ่งปันข้อมูลออนไลน์ในทุกๆ เรื่อง มีค่านิยมที่ ยอมรับความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิง เชื้อชาติและเพศสภาวะ มีความรับผิดชอบมากกว่าคนยุคก่อนเพราะเห็นผู้ปกครองผ่านสภาวะเศรษฐกิจซบเซา โดยพร้อมที่จะทำงาน มีความรู้ความสามารถจากการเข้าถึงข้อมูลที่กว้างขึ้น ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในสังคมและมีเป้าหมายเป็นเจ้าของกิจการตนเอง
ข้อสังเกตข้างต้น รวมถึงการเชื่อมถึงกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา (Hyper Connectivity) ผ่านเครื่องมือและช่องทางสื่อสารมากมายทำให้สภาพแวดล้อมทางการตลาดในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2. ค่านิยมทางการตลาด
Trust: Gen Z ขาดความเชื่อมั่นในแบรนด์ใหญ่ โดยมีมุมมองที่มากกว่าคุณภาพและบริการของสินค้า แต่มองถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และพร้อมที่จะจ่ายแพงขึ้นสำหรับแบรนด์ ที่มีแนวคิดเชิงรักษาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม
2.1 Influencer:
- การตลาดยุคก่อนมุ่งเน้นการสร้างภาพความมั่งคั่ง (Affluence) โดยหาตัวแทนทางการตลาดที่สะท้อนภาพนั้นได้ชัดเจนที่สุด
- การตลาดในยุคปัจจุบันหันมาหาผู้นำทางความคิด (Influencer) เช่น นักกีฬานักแสดงที่มีผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดียจำนวนมาก
- แต่การตลาดในอนาคต จะเน้นผู้นำทางความคิดระดับย่อย (Micro Influencer) เช่น Blogger Vlogger หรือ คนในวงสังคมที่ตัวเองให้ความสนใจ โดยกลยุทธ์การตลาดอนาคตจะใช้ Big Data ในการวิเคราะห์ กลุ่มเป้าหมายตามลักษณะจิตนิสัย (Psychographic) ที่มองลึกไปถึง ความสนใจ ไลฟ์สไตล์และค่านิยม
2.2 Personalization: คนรุ่นใหม่พร้อมที่จะแบ่งปันข้อมูลส่วนตัวไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม หากพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์กับตน ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือ Fitbit ซึ่งข้อมูลนั้น สามารถนำไปใช้ในการนำเสนอสินค้าและบริการที่ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
3. ปรับตัวอย่างไรให้ตอบโจทย์
- เพิ่มงบลงทุนเพื่อรู้จักลูกค้าจนได้ข้อมูลเชิงลึกและสร้าง Digital Platform เพื่อการปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
- เปลี่ยนมุมมองการจัดกลุ่มลูกค้าแบบ Segment ที่จัดบนความเหมือนของลักษณะจำเพาะภายนอกไปสู่ การจัด กลุ่มแบบ Cohort บนค่านิยมและขั้นตอนการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้า ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา โดยลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดเองว่าจะเข้ากลุ่มไหนในช่วงเวลาใด
- นำเสนอการ Personalization ในแต่ละกลุ่มเป้าหมายและสร้าง สังคมเฉพาะ (Community) เพื่อให้เกิดการ Co-create (สร้างคุณค่าร่วมระหว่างบริษัทและลูกค้า)
- ในโลก Hyper Connectivity ที่เทรนด์มาและไปอย่างรวดเร็ว มาตรวัดประสิทธิภาพการตลาด เช่น ROPO (Research online, Purchase offline) รวมถึงนโยบายตอบโต้ที่รวดเร็วจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ
- หา Micro Influencer เพื่อ Co-create และสร้างโอกาสให้ Influencer เปลี่ยนลูกค้าเป็นผู้สนับสนุน (Advocate) ของบริษัท
- สร้างความเชื่อมั่นโดยอิงค่านิยมและจุดยืนกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บริษัทตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่าคู่แข่ง
ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงแนวทางอย่างสังเขปเพื่อให้เห็นความท้าทายของบริบทการตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนไป โดยทางปฏิบัติ มีรายละเอียดที่ต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม ถึงอย่างไรก็ตามเป้าหมายของทุกธุรกิจ หนีไม่พ้นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างยั่งยืนในอนาคต ผ่านการปรับตัวอย่างต่อเนื่องตามกระแสที่เปลี่ยนไป | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2690 | Finance | นักลงทุนรายย่อยสามารถใช้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท IPO ก่อนตัดสินใจลงทุนได้อย่างไร | null | การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท IPO
1. ศึกษาข้อมูลบริษัท
ประเภทธุรกิจ: ระบุประเภทของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการ
โมเดลธุรกิจ: วิธีการสร้างรายได้และกลยุทธ์การดำเนินงาน
กลยุทธ์: แผนการเติบโตและการพัฒนาธุรกิจในอนาคต
ทีมผู้บริหาร: ความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหาร
ผลการดำเนินงาน: การดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงการเติบโตและความเสี่ยง
งบการเงิน: การวิเคราะห์งบการเงิน เช่น งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะการเงิน
แผนการใช้เงินระดมทุน: วัตถุประสงค์และวิธีการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุน
2. เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง
มูลค่าทางการตลาด: เปรียบเทียบมูลค่าตลาดของบริษัทกับคู่แข่ง
อัตรากำไร: วิเคราะห์อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ
ส่วนแบ่งตลาด: เปรียบเทียบส่วนแบ่งตลาดของบริษัทกับคู่แข่ง
กลยุทธ์: วิเคราะห์กลยุทธ์ของบริษัทและคู่แข่ง
โอกาสและอุปสรรค: วิเคราะห์โอกาสและความท้าทายที่บริษัทและคู่แข่งเผชิญ
3. ประเมินมูลค่าหุ้น
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: ใช้ข้อมูลทางการเงินและธุรกิจในการประเมินมูลค่าหุ้น
เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง: ใช้ข้อมูลจากการเปรียบเทียบเพื่อประเมินมูลค่าหุ้น
พิจารณาความเสี่ยง: วิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้น
4. ติดตามข่าวสาร
ข้อมูลจากบริษัท: อัปเดตข้อมูลล่าสุดจากบริษัท
บทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์: คำแนะนำและบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ
ข่าวสารในตลาด: ข่าวสารทั่วไปที่อาจมีผลกระทบต่อบริษัทและตลาด
เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์: ใช้เครื่องมือและแหล่งข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์หุ้น
คำแนะนำ
ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด: ทำการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลให้ครบถ้วน
เปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง: ใช้การเปรียบเทียบเพื่อประเมินศักยภาพของบริษัท
พิจารณาความเสี่ยง: ระวังและพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ลงทุนอย่างมีสติ: ตัดสินใจลงทุนอย่างรอบคอบและมีเหตุผล
ตัวอย่าง
บริษัท A: ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ มีแผนระดมทุนเพื่อขยายโรงงาน ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้นสูง แต่มีหนี้สินอยู่พอสมควร
บริษัท B: ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้เช่นเดียวกับบริษัท A แต่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า ผลการดำเนินงานไม่สม่ำเสมอ อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า แต่มีหนี้สินน้อย
การตัดสินใจลงทุน: เปรียบเทียบข้อมูลของทั้งสองบริษัท พิจารณาจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละบริษัท ประเมินมูลค่าหุ้น และตัดสินใจลงทุนอย่างมีสติ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท IPO เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนรายย่อยควรทำเพื่อเข้าใจธุรกิจ ประเมินมูลค่าหุ้น และตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล | 4.เครื่องมือทางการเงิน,6.การบริหารสินทรัพย์,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน | Brainstorming | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2752 | Finance | หนังสือ 5 เล่ม ที่เทรดเดอร์ควรอ่าน ถ้าอยากเทรดเก่งขึ้น มีอะไรบ้าง | หนังสือ 5 เล่ม ที่เทรดเดอร์ควรอ่าน ถ้าอยากเทรดเก่งขึ้น
เขาว่ากันว่าก้าวแรกเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอ ซึ่งผมว่ามันไม่ไกลจากความเป็นจริงเลยในโลกของตลาดการเงิน หลายคนใฝ่ฝันที่จะเห็นตัวเองเป็นเหมือนกับเทรดเดอร์ชื่อดังใน Wall Street ที่ทำเงินได้เป็นล่ำเป็นสันจากการโต้คลื่นบนความผันผวนทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง หลายคนคิดว่า “นี่ละคือสิ่งที่ฉันอยากจะเป็นในอนาคต เทรดเดอร์ระดับเซียน” แต่พอเมื่อถึงเวลาจริงกับไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไงเพื่อให้ตัวเองเป็น 1% ของคนในตลาดที่กินเงินคนอื่นอีก 99% ในโลกของ Zero Sum Game หลายคนอาจจะคิดว่าคำตอบของปัญหานี้ก็คือการศึกษาหาความรู้เพราะฉะนั้นหนังสือหรือสื่อออนไลน์จึงมักจะเป็นคำตอบของสมการนี้เสมอสำหรับใครหลายๆคน แต่การบริโภคสื่อหรือข้อมูลใดๆก็เหมือนกับการบริโภคอาหาร คุณกินของดีมีประโยชน์สุขภาพคุณก็จะดีไร้โรคภัย คุณกินอาหารที่มีโทษสิ่งที่คุณได้ก็จะมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ แน่นอนการไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ เพราะฉะนั้นก็เหมือนกัน การไม่รับข้อมูลผิดๆเข้ามาใส่สมองก็คือลาภอันประเสริฐเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมีข้อมูลอะไรบ้างที่เราควรรับรู้เพื่อตอบโจทย์เราสูงที่สุด เนื่องจากเข้าสู่โลกการเงินมาได้สักพัก ผมจึงมักได้รับคำขอร้องให้ช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเริ่มต้นในตลาดการเงินเป็นบางครั้งบางคราวทั้งจากคนที่รู้จักและไม่รู้จัก โดยโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำซึ่งเป็นสิ่งที่ผมทำเมื่อตอนเริ่มต้นใหม่ๆแต่ผลลัพธ์ออกมาร้อนๆหนาวๆอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเรียนรู้จากสิ่งที่คนอื่นเขากลั่นกรองมาให้เราแล้วซึ่งนั่นก็คือ “หนังสือ” หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ซึ่งผมจะมาแนะนำหนังสือ 5 เล่มที่คุณควรอ่านเพื่อเตรียมตัวคุณให้พร้อมกับสนามของการเทรด Zero Sum Game ผมแนะนำให้อ่านตามลำดับที่ผมเขียนไว้น่าจะได้ประสิทธิภาพที่สุดครับ 1. How to Make Money in Stock ผมเชื่อว่าใครๆหลายๆคนที่เข้ามาในตลาดคงเจอกับปัญหาเดียวกันคือไม่แน่ใจในสไตล์การเทรดของตัวเองว่าชอบเล่นในระดับเวลาไหน สั้น กลาง หรือ ยาว และมากไปกว่านั้นคือชอบเล่นโดยดูปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิค ซึ่งนี่ก็เคยเป็นปัญหาของผมในอดีตเช่นกันและถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมคงจะเริ่มด้วยการอ่านเล่มนี้เป็นเล่มแรก เพราะฉะนั้นสำหรับมือใหม่ที่เพิ่มเริ่มต้นในตลาดผมก็แนะนำให้เริ่มที่ How to Make Money in Stock ครับเพราะว่าในเล่มนี้ผสมผสานระหว่างสองศาตร์ได้อย่างลงตัวคือการดูกราฟทางเทคนิคและพฤติกรรมของราคากับเนื้อหาของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนแบบคร่าวๆ อีกข้อนึงที่ดีมากคือเล่มนี้มีตัวอย่างการเทรดให้เราทำความเข้าใจด้วยซึ่งผมว่าดีมากสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เทรดในตลาดเลย 2. Reminiscence of Stock Operator หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ทุกคนควรมีติดบ้านกันเลยทีเดียวและถึงแม้ว่าจะถูกเขียนมากว่าเกือบร้อยปีแล้วแต่ก็ยังเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เรายังสามารถนำมาปรับใช้ได้ในตลาดการเงิน ณ ปัจจุบัน หนังสือเล่าถึงประวัติของ Jesse Livermore นักเก็งกำไรชื่อดังที่ไต่เต้าจากห้องค้าเล็กๆตามข้างถนนไปจนถึงห้องค้าขนาดใหญ่ใจกลางนิวยอร์ก ในเส้นทางชีวิตของ Jesse Livermore ที่มีทั้งช่วงสูงสุดของเขายันไปถึงช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตเราจะได้เรียนรู้ข้อคิดมากมายของเขาที่เราทุกคนสามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ มากไปกว่านั้นคือหนังสือเล่มนี้เขียนออกมาเข้าใจง่ายและสนุกเพราะฉะนั้นจะไม่มีคำว่าเบื่อเลยในขณะที่อ่านเล่มนี้ 3. Market Wizard จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องเรียนจากคนที่ประสบความสำเร็จ หนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์นั้นได้ดีมากโดยการรวบรวมเทรดเดอร์ชื่อดังที่มีประวัติการเทรดที่ชนะแบบต่อเนื่องนานหลายสิบปี บางคนถึงกับมีแค่เดือนที่แย่เดือนเดียวจากประวัติการเทรดที่ยาวนานถึง 30 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่แม้แต่ robot ก็ยังไม่สามารถสู้ได้ด้วยซ้ำและแม้กระทั่งในปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงรักษาสถิติไว้ได้ดี หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนหนังสือที่ช่วยปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเทรดและจิตวิทยาการเทรดได้ดีมากๆ เล่มนี้ดีมากๆจนผมต้องอ่านซ้ำหลายรอบเพื่อให้ข้อมูลซึมซับเข้าไปในสมองของผมลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระหว่างที่คุณอ่านเล่มนี้ไปคุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการเทรดของคุณได้ชัดจนคุณจะต้องประหลาดใจ 4. Momentum Master เล่มนี้จะไม่ได้ต่างจากเล่มก่อนหน้ามากแต่เนื้อจะไม่ได้เจาะลึกแค่ด้านจิตวิทยาการเทรดเท่านั้นแต่จะมีในส่วนอื่นด้วยเช่น การคุมความเสี่ยง การวิเคราะห์เชิงเทคนิค เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เจาะลึกเป็นเฉพาะเรื่องมากขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดมาจากการสัมภาษณ์เทรดเดอร์ 4 คนที่มีลักษณะการเทรดไปในเชิง Momentum Trading คือเล่นไปกับแนวโน้มของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากในระยะเวลาอันสั้นถึงยาว ซึ่งผมชอบเล่มนี้ตรงที่เขาไม่ได้เน้นแค่เนื้อหาจิตวิทยาการเทรดเท่านั้นแต่มีเอหาถึงองค์ประกอบอื่นๆในการเทรดเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถนำไปปรับใช้ให้ตรงจุดมากขึ้น 5. Trading in the Zone เล่มนี้ถือว่าเป็นเล่มที่ผมชอบที่สุดก็ว่าได้เพราะเป็นหนังสือที่เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการเทรดของผมไปตลอดกาล ซึ่งเนื้อหาข้างในก็จะเน้นไปที่การปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเทรดและการสร้างจิตวิทยาการเทรดที่ดีที่เราสามารถนำไปใช้ได้จริงๆในโลกของ Zero Sum Game ผมว่านี่เป็นหนึ่งในหนังสือจิตวิทยาการเทรดที่ดีที่สุดก็ว่าได้ โดยส่วนตัวผมแนะนำว่าคุณควรมีระบบการเทรดก่อนจึงถึงอ่านเล่มนี้เพราะมันจะทำให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้นตอนที่คุณนำมาปรับใช้ แถม: การลงมือทำคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด สุดท้ายนี้ต่อให้คุณอ่านหนังสือทุกเล่มที่ผมบอกมาหรืออ่านมากกว่านั้นก็จะไม่ทำให้คุณเก่งขึ้นหากคุณยังรู้แต่ทฤษฎีแต่ไม่ปฏิบัติ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการลงมือทำเพราะฉะนั้นอ่านเพื่อให้เข้าใจแต่ลงมือทำเพื่อให้เรียนรู้ โดย Mr. Fisher | 1. How to Make Money in Stock
หลายๆ คนที่เข้ามาในตลาด คงเจอกับปัญหาเดียวกันคือ ไม่แน่ใจในสไตล์การเทรดของตัวเองว่าชอบเล่นในระดับเวลาไหน สั้น กลาง หรือ ยาว และมากไปกว่านั้นคือ ชอบเล่นโดยดูปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิค เพราะฉะนั้นสำหรับมือใหม่ที่เพิ่มเริ่มต้นในตลาด แนะนำให้เริ่มที่ How to Make Money in Stock เพราะว่าในเล่มนี้ผสมผสานระหว่างสองศาตร์ได้อย่างลงตัวคือ การดูกราฟทางเทคนิคและพฤติกรรมของราคากับเนื้อหาของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนแบบคร่าวๆ อีกข้อนึงที่ดีมากคือ เล่มนี้มีตัวอย่างการเทรดให้ทำความเข้าใจด้วยซึ่งดีมากสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เทรดในตลาดเลย
2. Reminiscence of Stock Operator
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ทุกคนควรมีติดบ้านและถึงแม้ว่าจะถูกเขียนมากว่าเกือบร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ในตลาดการเงิน ณ ปัจจุบัน หนังสือเล่าถึงประวัติของ Jesse Livermore นักเก็งกำไรชื่อดังที่ไต่เต้าจากห้องค้าเล็กๆ ตามข้างถนนไปจนถึงห้องค้าขนาดใหญ่ใจกลางนิวยอร์ก ในเส้นทางชีวิตของ Jesse Livermore ที่มีทั้งช่วงสูงสุดของเขายันไปถึงช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิต จะได้เรียนรู้ข้อคิดมากมายของเขาที่ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ มากไปกว่านั้นคือ หนังสือเล่มนี้เขียนออกมาเข้าใจง่ายและสนุกเพราะฉะนั้นจะไม่มีคำว่าเบื่อเลยในขณะที่อ่านเล่มนี้
3. Market Wizard
จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องเรียนจากคนที่ประสบความสำเร็จ หนังสือเล่มนี้ตอบโจทย์นั้นได้ดีมาก โดยการรวบรวมเทรดเดอร์ชื่อดังที่มีประวัติการเทรดที่ชนะแบบต่อเนื่องนานหลายสิบปี บางคนถึงกับมีแค่เดือนที่แย่เดือนเดียวจากประวัติการเทรดที่ยาวนานถึง 30 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่แม้แต่ robot ก็ยังไม่สามารถสู้ได้ด้วยซ้ำและแม้กระทั่งในปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงรักษาสถิติไว้ได้ดี หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนหนังสือที่ช่วยปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเทรดและจิตวิทยาการเทรดได้ดีมากๆ เล่มนี้ดีมากๆ จนต้องอ่านซ้ำหลายรอบเพื่อให้ข้อมูลซึมซับเข้าไปในสมองลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระหว่างที่อ่านเล่มนี้ไป จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการเทรดได้ชัดจนต้องประหลาดใจ
4. Momentum Master
เล่มนี้จะไม่ได้ต่างจากเล่มก่อนหน้ามาก แต่เนื้อจะไม่ได้เจาะลึกแค่ด้านจิตวิทยาการเทรดเท่านั้น แต่จะมีในส่วนอื่นด้วยเช่น การคุมความเสี่ยง การวิเคราะห์เชิงเทคนิค เป็นต้น ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เจาะลึกเป็นเฉพาะเรื่องมากขึ้น โดยข้อมูลทั้งหมดมาจากการสัมภาษณ์เทรดเดอร์ 4 คนที่มีลักษณะการเทรดไปในเชิง Momentum Trading คือ เล่นไปกับแนวโน้มของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากในระยะเวลาอันสั้นถึงยาว เขาไม่ได้เน้นแค่เนื้อหาจิตวิทยาการเทรดเท่านั้น แต่มีเนื้อหาถึงองค์ประกอบอื่นๆ ในการเทรดเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้สามารถนำไปปรับใช้ให้ตรงจุดมากขึ้น
5. Trading in the Zone
เป็นหนังสือที่เปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการเทรดไปตลอดกาล ซึ่งเนื้อหาข้างในก็จะเน้นไปที่การปรับทัศนคติเกี่ยวกับการเทรดและการสร้างจิตวิทยาการเทรดที่ดีที่สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ ในโลกของ Zero Sum Game เป็นหนึ่งในหนังสือจิตวิทยาการเทรดที่ดีที่สุดก็ว่าได้ แนะนำว่าควรมีระบบการเทรดก่อนจึงถึงอ่านเล่มนี้ เพราะมันจะทำให้เข้าใจได้ดีขึ้นตอนที่นำมาปรับใช้ | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_282 | Finance | 7 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี 2023 สำหรับนักลงทุน ได้แก่อะไรบ้าง | 7 สิ่งที่นักลงทุนควรทำในช่วงปลายปี
ช่วงครึ่งหลัง - ปลายปี 2023 เศรษฐกิจโลกจะกลับมาขับเคลื่อนช้าลง ตรงกันข้ามกับช่วงครึ่งปีแรก ปัจจัยหนึ่งเกิดจากเงินเฟ้อทั่วโลก และนโยบายรัดเข็มขัดในฝั่งอเมริกาที่ส่งผลกับเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน และสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่นตราสารหนี้ และแม้แต่คริปโตก็ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูง ที่โชคยังดีคือโลกยังไม่เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยตามที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดภายในปีนี้ ช่วงครึ่งหลัง - ปลายปี 2023 เศรษฐกิจโลกจะกลับมาขับเคลื่อนช้าลง ตรงกันข้ามกับช่วงครึ่งปีแรก ปัจจัยหนึ่งเกิดจากเงินเฟ้อทั่วโลก และนโยบายรัดเข็มขัดในฝั่งอเมริกาที่ส่งผลกับเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน และสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่นตราสารหนี้ และแม้แต่คริปโตก็ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูง ที่โชคยังดีคือโลกยังไม่เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจถดถอยตามที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดภายในปีนี้ และในตอนนี้ก็ได้เข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2023 เรียบร้อยแล้ว ด้วยหลาย ๆ ปัจจัยที่กล่าวไปเชื่อว่าในตอนนี้พอร์ตการลงทุนของหลาย ๆ คนเริ่มเป็นตัวแดง ช่วงปลายปีนี้จึงอาจเป็นโอกาสดีในการสำรวจพอร์ตการลงทุน ปรับสินทรัพย์ในพอร์ตเพื่อวางแผนระยะยาว หรืออย่างน้อยก็เผื่อผ่อนหนักเป็นเบารับมือปี 2024 และในตอนนี้ก็ได้เข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2023 เรียบร้อยแล้ว ด้วยหลาย ๆ ปัจจัยที่กล่าวไปเชื่อว่าในตอนนี้พอร์ตการลงทุนของหลาย ๆ คนเริ่มเป็นตัวแดง ช่วงปลายปีนี้จึงอาจเป็นโอกาสดีในการสำรวจพอร์ตการลงทุน ปรับสินทรัพย์ในพอร์ตเพื่อวางแผนระยะยาว หรืออย่างน้อยก็เผื่อผ่อนหนักเป็นเบารับมือปี 2024 7 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปีสำหรับนักลงทุน 7 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปีสำหรับนักลงทุน แม้ว่า 7 ข้อนี้จะสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่การทบทวนวางแผนใหม่ปลายปีก็เป็นสิ่งดีในการจัดแจงด้านการเงินให้ดีก่อนจะเริ่มต้นปีใหม่ แม้ว่า 7 ข้อนี้จะสามารถทำได้ตลอดทั้งปี แต่การทบทวนวางแผนใหม่ปลายปีก็เป็นสิ่งดีในการจัดแจงด้านการเงินให้ดีก่อนจะเริ่มต้นปีใหม่
1. ทบทวนแผนเกษียณอายุ
สำหรับคนที่วางแผนเกษียณอายุไว้ ควรตรวจสอบพอร์ตอย่างน้อยปีละครั้งว่า ผลตอบแทนการลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นไปตามเป้าที่ต้องการอยู่ไหม หากเป็นไปได้ก็ควรซื้อสินทรัพย์เพื่อการเกษียณให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเก็บเงินเพื่อเกษียณจะเป็นไปตามแผนการเงินที่วางไว้ ว่าหลังจากเกษียณไปจะมีเงินใช้ต่อเดือนไปจนสิ้นอายุขัย สำหรับคนที่วางแผนเกษียณอายุไว้ ควรตรวจสอบพอร์ตอย่างน้อยปีละครั้งว่า ผลตอบแทนการลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นไปตามเป้าที่ต้องการอยู่ไหม หากเป็นไปได้ก็ควรซื้อสินทรัพย์เพื่อการเกษียณให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเก็บเงินเพื่อเกษียณจะเป็นไปตามแผนการเงินที่วางไว้ ว่าหลังจากเกษียณไปจะมีเงินใช้ต่อเดือนไปจนสิ้นอายุขัย
2. จัดพอร์ตการลงทุนให้สมดุล
ปี 2023 เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจโลกอาจจะไม่เข้าขั้นแย่สุด แต่ก็เรียกว่าดีไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นแผนการลงทุนที่มีก่อนหน้า หากไม่ได้วางแผนไว้เผื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังหดตัว การเริ่มจัดพอร์ตใหม่ช่วงปลายปีก็อาจจะเป็นโอกาสดี การจัดพอร์ตให้สมดุลพูดง่าย ๆ ก็คือการขายสินทรัพย์ออก เพื่อปรับสินทรัพย์ในพอร์ตให้ได้สัดส่วน และการปรับพอร์ตช่วงปลายปี หากเลือกสินทรัพย์ที่เอื้อต่อการลดหย่อนภาษีประจำปี ก็จะได้ประโยชน์สองต่อด้วย ปี 2023 เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจโลกอาจจะไม่เข้าขั้นแย่สุด แต่ก็เรียกว่าดีไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นแผนการลงทุนที่มีก่อนหน้า หากไม่ได้วางแผนไว้เผื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังหดตัว การเริ่มจัดพอร์ตใหม่ช่วงปลายปีก็อาจจะเป็นโอกาสดี การจัดพอร์ตให้สมดุลพูดง่าย ๆ ก็คือการขายสินทรัพย์ออก เพื่อปรับสินทรัพย์ในพอร์ตให้ได้สัดส่วน และการปรับพอร์ตช่วงปลายปี หากเลือกสินทรัพย์ที่เอื้อต่อการลดหย่อนภาษีประจำปี ก็จะได้ประโยชน์สองต่อด้วย
3. ทำการประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง
การประเมินความเสี่ยง (KYC) เป็นขั้นตอนที่นักลงทุนต้องประเมินก่อนลงทุน หรือ ประเมินเป็นระยะ ๆ ตามกำหนด และการประเมินอีกครั้งก่อนการจัดพอร์ตปลายปีก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน เพราะเมื่อคนเราผ่านประสบการณ์และเหตุการณ์ใหม่ ๆ มาระยะเวลาหนึ่ง อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและสถานการณ์การเงินย่อมเปลี่ยนไป การประเมินความเสี่ยงแบบตรงไปตรงมาจะช่วยให้เข้าใจตนเองในเวลานั้น โดยเฉพาะก่อนการปรับพอร์ตรับมือปีถัดไปที่เศรษฐกิจอาจจะแย่ลง หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น เปลี่ยนงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ การประเมินความเสี่ยง (KYC) เป็นขั้นตอนที่นักลงทุนต้องประเมินก่อนลงทุน หรือ ประเมินเป็นระยะ ๆ ตามกำหนด และการประเมินอีกครั้งก่อนการจัดพอร์ตปลายปีก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน เพราะเมื่อคนเราผ่านประสบการณ์และเหตุการณ์ใหม่ ๆ มาระยะเวลาหนึ่ง อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและสถานการณ์การเงินย่อมเปลี่ยนไป การประเมินความเสี่ยงแบบตรงไปตรงมาจะช่วยให้เข้าใจตนเองในเวลานั้น โดยเฉพาะก่อนการปรับพอร์ตรับมือปีถัดไปที่เศรษฐกิจอาจจะแย่ลง หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น เปลี่ยนงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ
4. ตรวจดูเงินสดฉุกเฉินที่มี
นอกจากการลงทุนจะมีความเสี่ยงแล้ว ชีวิตประจำวันและการเงินก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีทางหนีทีไล่เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในด้านการเงิน นักลงทุนทุกคนก็ควรมีเงินสดฉุกเฉิน โดยเฉพาะจากแหล่งที่มีสภาพคล่องสูง สามารถดึงมาใช้ได้ทันทีในยามจำเป็น เช่น ตกงานกะทันหัน หรือ ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะสินทรัพย์การลงทุนต่อให้มีสภาพคล่องสูงแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 1 วันทำการ ในการขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสด นอกจากการลงทุนจะมีความเสี่ยงแล้ว ชีวิตประจำวันและการเงินก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีทางหนีทีไล่เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในด้านการเงิน นักลงทุนทุกคนก็ควรมีเงินสดฉุกเฉิน โดยเฉพาะจากแหล่งที่มีสภาพคล่องสูง สามารถดึงมาใช้ได้ทันทีในยามจำเป็น เช่น ตกงานกะทันหัน หรือ ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะสินทรัพย์การลงทุนต่อให้มีสภาพคล่องสูงแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 1 วันทำการ ในการขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสด สำหรับเงินฉุกเฉิน นักวิเคราะห์ด้านการเงินหลาย ๆ คนแนะนำว่า เงินฉุกเฉินควรมีมากพอที่จะครอบคลุมรายจ่ายได้นาน 3 - 6 เดือน และจุดเก็บเงินที่เหมาะสมก็จะมีบัญชีสะสมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง สำหรับเงินฉุกเฉิน นักวิเคราะห์ด้านการเงินหลาย ๆ คนแนะนำว่า เงินฉุกเฉินควรมีมากพอที่จะครอบคลุมรายจ่ายได้นาน 3 - 6 เดือน และจุดเก็บเงินที่เหมาะสมก็จะมีบัญชีสะสมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง 5. พิจารณาเรื่องมรดก เผื่อกรณีเลวร้าย
5. พิจารณาเรื่องมรดก เผื่อกรณีเลวร้าย
การวางแผนเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นการมองโลกแง่ร้ายเสมอไป แต่เป็นโอกาสดีในการตรวจดูพอร์ตและตั้งคำถามกับตนเองว่าเราต้องจัดการสินทรัพย์ของตนอย่างไรหากมีเหตุร้ายให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร การตายจากไปอาจฟังดูคล้ายกับปลดพันธะต่าง ๆ และความทุกข์ในชีวิตไป แต่สิ่งสำคัญจริง ๆ คือการคิดถึงคนที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ การจัดการพอร์ตเพื่อกระจายสินทรัพย์รวมถึงแบ่งเพื่อเป็นมรดกให้คนรอบตัวใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก หรือขัดใจกันลึก ๆ การวางแผนเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นการมองโลกแง่ร้ายเสมอไป แต่เป็นโอกาสดีในการตรวจดูพอร์ตและตั้งคำถามกับตนเองว่าเราต้องจัดการสินทรัพย์ของตนอย่างไรหากมีเหตุร้ายให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร การตายจากไปอาจฟังดูคล้ายกับปลดพันธะต่าง ๆ และความทุกข์ในชีวิตไป แต่สิ่งสำคัญจริง ๆ คือการคิดถึงคนที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ การจัดการพอร์ตเพื่อกระจายสินทรัพย์รวมถึงแบ่งเพื่อเป็นมรดกให้คนรอบตัวใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก หรือขัดใจกันลึก ๆ
6. คำนวณหาค่าใช้จ่ายแฝงรวมจากการลงทุน
ทุกครั้งที่ตรวจดูพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ว่าสินทรัพย์ทั้งพอร์ตเสียค่าธรรมเนียมมากแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่กองทุนรวมและ ETF มักจะมีค่าธรรมเนียมไม่สูงมาก ดังนั้นหากมีกองทุนตัวไหนที่ค่าธรรมเนียมสูง อาจจะดีกว่าถ้าลองพิจารณากองทุนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันแทน ทุกครั้งที่ตรวจดูพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ว่าสินทรัพย์ทั้งพอร์ตเสียค่าธรรมเนียมมากแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่กองทุนรวมและ ETF มักจะมีค่าธรรมเนียมไม่สูงมาก ดังนั้นหากมีกองทุนตัวไหนที่ค่าธรรมเนียมสูง อาจจะดีกว่าถ้าลองพิจารณากองทุนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันแทน
7. ปรับมาใช้การลงทุนแบบ DCA ในปีหน้า
หากแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกจะหดตัว การเล็งซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมี Performance ดีก็อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะทั้งตลาดอาจจะให้ผลตอบแทนได้ไม่ดีอย่างที่คาด การทยอยลงทุนรายเดือนในสินทรัพย์เดิม ๆ อาจจะให้ผลดีกว่า และยังประหยัดเวลาในการเลือกสินทรัพย์อีกด้วย สิ่งสำคัญคือการ DCA หมุนเวียนในพอร์ตตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ และตรวจดูอีกครั้งในช่วงปลายปีถัดไป ว่าพอร์ตการลงทุนยังมีความสมดุลอยู่หรือไม่
หากแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกจะหดตัว การเล็งซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมี Performance ดีก็อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะทั้งตลาดอาจจะให้ผลตอบแทนได้ไม่ดีอย่างที่คาด การทยอยลงทุนรายเดือนในสินทรัพย์เดิม ๆ อาจจะให้ผลดีกว่า และยังประหยัดเวลาในการเลือกสินทรัพย์อีกด้วย สิ่งสำคัญคือการ DCA หมุนเวียนในพอร์ตตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ และตรวจดูอีกครั้งในช่วงปลายปีถัดไป ว่าพอร์ตการลงทุนยังมีความสมดุลอยู่หรือไม่
แนวโน้มการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2023 แนวโน้มการลงทุนไตรมาส 4 ปี 2023 บริษัทด้านการลงทุน HSBC Global Private Banking and Wealth ให้ความเห็นไว้ว่า อัตราดอกเบี้ยโลกแม้จะเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อัตราดอกเบี้ยที่สูงสุดจะช่วยหนุนหุ้นและตราสารหนี้ การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ Credit สูงหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ที่คล้ายกัน ส่วนหุ้นนั้น หุ้นเทคและหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยโดยตรงจะมีความผันผวนสูง
ดังนั้นถ้าลงทุนกว้าง ๆ ไปยังกลุ่มธุรกิจการเงิน, Healthcare, อุตสาหกรรม และ สินค้าอุปโภคบริโภค ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่า ส่วนเทรนธุรกิจที่น่าสนใจในช่วงนี้จะเป็นด้าน Sustainability หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ทาง BlackRock บริษัทการลงทุนของอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการ ETF มองว่าธุรกิจ AI สาย Generative หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ผ่านคำสั่งและฐานข้อมูลที่มี มีแนวโน้มและศักยภาพที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลาย ๆ ประเภท คล้ายกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้ในช่วงปี 1990
ในปัจจุบันธุรกิจ genAI กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเติบโต และขึ้นสู่จุดสูงสุด ทาง BlackRock บริษัทการลงทุนของอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการ ETF มองว่าธุรกิจ AI สาย Generative หรือปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ผ่านคำสั่งและฐานข้อมูลที่มี มีแนวโน้มและศักยภาพที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงธุรกิจหลาย ๆ ประเภท คล้ายกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำได้ในช่วงปี 1990 ในปัจจุบันธุรกิจ genAI กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเติบโต และขึ้นสู่จุดสูงสุด
ส่วน Russel Investment บริษัทด้านการลงทุนในวอชิงตัน มองว่าเหตุการณ์ Great Resignation หรือการแห่กันลาออกหลังจบโควิดทำให้ตลาดแรงงานหาคนทำงานยากขึ้น สำหรับตลาดหุ้น หุ้น AI มีศักยภาพที่พอต้านภาวะถดถอยได้ แต่เศรษฐกิจของอเมริกาจะเป็นขาลงแบบอ่อน ๆ ในช่วง 2024 ส่วนตลาดยุโรปค่อนข้างต่างจากตลาดอเมริกา เพราะหุ้นยุโรปยังคงแข็งแกร่ง แต่อาจเจออุปสรรคเล็กหากธนาคารกลางยุโรปเลือกจะรักษาอัตราดอกเบี้ยสูงไว้เป็นเวลานาน เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ ไอร์แลนด์เหนือ) อาจจะยังทรง ๆ หุ้นในธุรกิจบางประเภทอาจจะลำบาก ส่วนจีนสถานการณ์อาจจะแย่ลง หากรัฐบาลจีนไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากกว่านี้ ด้านออสเตรเลียดูสดใส ถึงเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนช้าแต่ก็มีโอกาสถดถอยน้อย
ด้าน Barclays ธนาคารใหญ่ของอังกฤษ เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงอัตราดอกเบี้ยสูงไว้อีกซักพัก แต่เศรษฐกิจของอเมริกามีโอกาสยากที่จะถดถอยแบบเต็มตัว ส่วนประเทศจีนการเติบโตต่อเนื่อช่วงครึ่งปีแรกก็จะชะงักลง ยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัว ตลาดแรงงานก็กำลังแย่ รัฐบาลจีนอาจต้องกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยเงินมากขึ้น คาดว่าในปีหน้าการเติบโตของจีนจะหดลงจาก 4.5% เป็น 4% ด้านการลงทุนสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้จะมีราคาดี แต่จะยังไม่ถูกมาก ส่วนตลาดหุ้นอาจจะมีกำไรน้อยลง ทีม Research ของ Barclays แนะนำว่าให้ถือเงินสดให้เยอะกว่าหุ้นและตราสารหนี้อาจจะดีกว่า เพราะไตรมาสที่ผ่านมาสินทรัพย์ประเภทเงินสดมี Performance ดีกว่า ปลายปีเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินมีการเปลี่ยนแปลง มีแรงขับเคลื่อนสูง จากการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อลดหย่อนภาษี หรือจากนโยบายลดหย่อนภาษีอื่่น ๆ จากการหมุนเวียนเงินซื้อสินค้าทุกประเภท และเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนในการดูทิศทางเศรษฐกิจว่ามีแนวโน้มไปทางไหน ทำให้การลงทุนปลายปีเป็นอีกช่วงที่น่าสนใจ เพราะนักลงทุนจะมีโอกาสสำรวจตัวเอง และปรับพอร์ต เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในปีถัดไป ปลายปีเป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินมีการเปลี่ยนแปลง มีแรงขับเคลื่อนสูง จากการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อลดหย่อนภาษี หรือจากนโยบายลดหย่อนภาษีอื่่น ๆ จากการหมุนเวียนเงินซื้อสินค้าทุกประเภท และเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนในการดูทิศทางเศรษฐกิจว่ามีแนวโน้มไปทางไหน ทำให้การลงทุนปลายปีเป็นอีกช่วงที่น่าสนใจ เพราะนักลงทุนจะมีโอกาสสำรวจตัวเอง และปรับพอร์ต เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในปีถัดไป หากนักลงทุนสนใจเรื่องการปรับพอร์ตการลงทุนให้ได้สมดุลรับปี 2024 ติดต่อและปรึกษาด้านการลงทุนได้ที่ โทร 02-635-1718 Line : @phillipcapital (หรือคลิก หากนักลงทุนสนใจเรื่องการปรับพอร์ตการลงทุนให้ได้สมดุลรับปี 2024 ติดต่อและปรึกษาด้านการลงทุนได้ที่ โทร 02-635-1718 Line : @phillipcapital | 7 สิ่งที่ควรทำช่วงปลายปี 2023 สำหรับนักลงทุน ได้แก่
1. ทบทวนแผนเกษียณอายุ สำหรับคนที่วางแผนเกษียณอายุไว้ ควรตรวจสอบพอร์ตอย่างน้อยปีละครั้งว่า ผลตอบแทนการลงทุนต่าง ๆ ยังเป็นไปตามเป้าที่ต้องการอยู่ไหม หากเป็นไปได้ก็ควรซื้อสินทรัพย์เพื่อการเกษียณให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเก็บเงินเพื่อเกษียณจะเป็นไปตามแผนการเงินที่วางไว้ ว่าหลังจากเกษียณไปจะมีเงินใช้ต่อเดือนไปจนสิ้นอายุขัย
2. จัดพอร์ตการลงทุนให้สมดุล ปี 2023 เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจโลกอาจจะไม่เข้าขั้นแย่สุด แต่ก็เรียกว่าดีไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น แผนการลงทุนที่มีก่อนหน้า หากไม่ได้วางแผนไว้เผื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังหดตัว การเริ่มจัดพอร์ตใหม่ช่วงปลายปีก็อาจจะเป็นโอกาสดี การจัดพอร์ตให้สมดุลพูดง่าย ๆ ก็คือ การขายสินทรัพย์ออก เพื่อปรับสินทรัพย์ในพอร์ตให้ได้สัดส่วน และการปรับพอร์ตช่วงปลายปี 2023 หากเลือกสินทรัพย์ที่เอื้อต่อการลดหย่อนภาษีประจำปี ก็จะได้ประโยชน์สองต่อด้วย
3. ทำการประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง การประเมินความเสี่ยง (KYC) เป็นขั้นตอนที่นักลงทุนต้องประเมินก่อนลงทุน หรือ ประเมินเป็นระยะ ๆ ตามกำหนด และการประเมินอีกครั้งก่อนการจัดพอร์ตปลายปีก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน เพราะเมื่อคนผ่านประสบการณ์และเหตุการณ์ใหม่ ๆ มาระยะเวลาหนึ่ง อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและสถานการณ์การเงินย่อมเปลี่ยนไป การประเมินความเสี่ยงแบบตรงไปตรงมาจะช่วยให้เข้าใจตนเองในเวลานั้น โดยเฉพาะก่อนการปรับพอร์ตรับมือปีถัดไปที่เศรษฐกิจอาจจะแย่ลง หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น เปลี่ยนงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ
4. ตรวจดูเงินสดฉุกเฉินที่มี นอกจากการลงทุนจะมีความเสี่ยงแล้ว ชีวิตประจำวันและการเงินก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น จึงต้องมีทางหนีทีไล่เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในด้านการเงิน นักลงทุนทุกคนก็ควรมีเงินสดฉุกเฉิน โดยเฉพาะจากแหล่งที่มีสภาพคล่องสูง สามารถดึงมาใช้ได้ทันทีในยามจำเป็น เช่น ตกงานกะทันหัน หรือ ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะสินทรัพย์การลงทุนต่อให้มีสภาพคล่องสูงแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 1 วันทำการ ในการขายหรือเปลี่ยนเป็นเงินสด สำหรับเงินฉุกเฉิน นักวิเคราะห์ด้านการเงินหลาย ๆ คนแนะนำว่า เงินฉุกเฉินควรมีมากพอที่จะครอบคลุมรายจ่ายได้นาน 3 - 6 เดือน และจุดเก็บเงินที่เหมาะสมก็จะมีบัญชีสะสมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
5. พิจารณาเรื่องมรดก เผื่อกรณีเลวร้าย การวางแผนเผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นการมองโลกแง่ร้ายเสมอไป แต่เป็นโอกาสดีในการตรวจดูพอร์ตและตั้งคำถามกับตนเองว่าต้องจัดการสินทรัพย์ของตนอย่างไร หากมีเหตุร้ายให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร การตายจากไปอาจฟังดูคล้ายกับปลดพันธะต่าง ๆ และความทุกข์ในชีวิตไป แต่สิ่งสำคัญจริง ๆ คือ การคิดถึงคนที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ การจัดการพอร์ตเพื่อกระจายสินทรัพย์รวมถึงแบ่งเพื่อเป็นมรดกให้คนรอบตัวใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก หรือขัดใจกันลึก ๆ
6. คำนวณหาค่าใช้จ่ายแฝงรวมจากการลงทุน ทุกครั้งที่ตรวจดูพอร์ตการลงทุน สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ว่าสินทรัพย์ทั้งพอร์ตเสียค่าธรรมเนียมมากแค่ไหน ซึ่งส่วนใหญ่กองทุนรวมและ ETF มักจะมีค่าธรรมเนียมไม่สูงมาก ดังนั้น หากมีกองทุนตัวไหนที่ค่าธรรมเนียมสูง อาจจะดีกว่าถ้าลองพิจารณากองทุนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกันแทน
7. ปรับมาใช้การลงทุนแบบ DCA ในปี 2024 หากแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกจะหดตัว การเล็งซื้อสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมี Performance ดีก็อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะทั้งตลาดอาจจะให้ผลตอบแทนได้ไม่ดีอย่างที่คาด การทยอยลงทุนรายเดือนในสินทรัพย์เดิม ๆ อาจจะให้ผลดีกว่า และยังประหยัดเวลาในการเลือกสินทรัพย์อีกด้วย สิ่งสำคัญคือ การ DCA หมุนเวียนในพอร์ตตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ และตรวจดูอีกครั้งในช่วงปลายปี 2024 ว่าพอร์ตการลงทุนยังมีความสมดุลอยู่หรือไม่ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_289 | Finance | ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange) มีอะไรบ้าง | ตลาดหุ้นแคนาดา ก็มีหุ้นเทคชั้นนำให้เลือกลงทุน
แคนาดาเป็นอีกประเทศที่มีความมั่งคั่ง ทั้งพื้นที่ประเทศที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรอีกมากมาย รวมไปถึงธรรมชาติที่ล้นเหลือ มีความใกล้ชิดกับสหรัฐในหลายด้าน ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทำให้แคนาดาเป็นอีกจุดหมายที่ดีสำหรับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต (Toronto Stock Exchange : TSX) ก็เป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 11 ของโลก มีหุ้นในตลาดมากถึง 3,985 บริษัท
ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ หุ้นสัญชาติแคนาดาแท้ ๆ จากบริษัทที่ก่อตั้งในแคนาดาและจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange | TSX) ซึ่งหุ้นแคนาดาที่ครองสัดส่วนในตลาดโดยมากมาจากอุตสาหกรรมพลังงาน, การเงิน, และการผลิต แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ถือเป็นความน่าสนใจในยุคที่เทคโนโลยีมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
แคนาดาเป็นประเทศที่มีพื้นที่เยอะ และยังมีทรัพยากรมากมายรองรับการพัฒนาประเทศ
เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกับสหรัฐในหลาย ๆ ด้วย พื้นที่ที่ติดกัน และหุ้น
บทความนี้จะเน้นหุ้นเทคโนโลยีสัญชาติแคนาดาแท้ (ไม่ใช่บริษัทข้ามชาติ)
หุ้นในบทความโดยมากเป็นบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange)
1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก
ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว
ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว
2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด
หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะ ร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก
ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite
4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี
ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย
5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange
ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกันคือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ
หุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่น่าสนใจ
Shopify | TSX: SHOP
Shopify เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร เอื้อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดย Shopify จะเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของร้านสร้างและปรับแต่งร้านค้าออนไลน์, ระบบ Point of Sale (POS หรือระบบจัดการหน้าร้าน) และลงขายไปยังหลายช่องทางทั้งแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ฯลฯ
Shopify เป็นหุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่มีการเติบโตอย่างมาก ชนิดที่การระบาดของโควิด-19 ก็หยุด Shopify ไม่ได้ เพราะในปี 2020 บริษัทมีรายรับโตขึ้น 86% เทียบกับปี 2019 ส่งให้หุ้น Shopify ราคาเพิ่มขึ้น 178.4% ในปีดังกล่าว
แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะตกลงและมีการเติบโตที่ช้ากว่าเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังปรับฐานรับภาวะเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน ตัวบริษัทเองก็เพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนมากที่กำลังปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ดังนั้นโอกาสลงทุนเพื่อรอ Shopify เติบโตถึงจุดสูงสุดก็ยังจัดว่าน่าสนใจ
Enbridge | TSX: ENB
Enbridge เป็นบริษัทพลังงานและท่อส่งเชื้อเพลิง โดยมีเครือข่ายท่อส่งเชื้อเพลิงที่ยาวที่สุดในโลก โดยเครือข่ายท่อส่งดังกล่าวใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติแบบเหลวไปทั่วอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ในปัจจุบันบริษัท Enbridge มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
หุ้น Enbridge เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยช่วง 10 ปีอัตราเงินปันผลก็เติบโตเรื่อย ๆ ในปี 2013 เงินปันผลรายปีอยู่ที่ 1.26 CAD (ดอลลาร์แคนาดา) ส่วนปี 2022 อยู่ที่ 3.55 CAD และด้านการเงินทางบริษัท Enbridge ก็ยังคงแข็งแกร่ง มีรายรับสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา
Lightspeed | TSX:LSPD
Lightspeed เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์แบบ Saas ด้านอีคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่ระบบ Point-of-sale และซอฟต์แวร์สำหรับ E-commerce เช่น การรับชำระเงิน การบริหารร้าน เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า Lightsped มีความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกและร้านอาหารโดยเฉพาะ แม้ขนาดธุรกิจจะยังไม่ใหญ่โตเท่า Shopify แต่ Lightspeed ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต เพราะโดดเด่นในคนละด้าน ทาง Shopify จะเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แต่ Lightspeed จะเหมาะกับหน้าร้านที่ต้องการระบบ POS
หุ้น Lightspeed จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นช่วงปี 2019 และปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตในต่างประเทศมากกว่าในแคนาดา ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Lightspeed มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ก็มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจรวม ๆ กว่า 23 พันล้านดอลลาร์จาก 500,000 แห่งทั่วโลก บริษัท Lightspeed มีกระแสเงินสดในมือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สิน ภาวะใด ๆ ทางเศรษฐกิจจึงไม่มีผลกับบริษัทมาก รวมไปถึงช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ Lightspeed เติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางภาคธุรกิจอื่น ๆ
Descartes Systems | TSX: DSG
Descartes Systems Group เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Logistics) เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการด้าน Logistics, Supply chain และคลาวด์สำหรับธุรกิจขนส่ง บริษัท Descartes เคยเกือบต้องล้มลายในช่วงปี 2000 แต่ก็สามารถกลับมาได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีโลจิสติกส์เจ้าแรก ๆ ที่มีการพัฒนาธุรกิจแบบ SaaS ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และยังเป็นเจ้าของเครือข่าย Global Logistics Network ที่ใช้สำหรับส่งข้อความถึงกันระหว่างบริษัทในห่วงโซ่ Supply Chain เช่น สายเรือ ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า หน่วยงานศุลกากร เป็นต้น
หุ้น Descartes จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นแคนาดา (TSX) ในปี 1998 ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 20,000 รายจากใน 160 กว่าประเทศ ถือเป็นหุ้นเทคที่มีความสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายรับบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หกหลักเสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้น Descartes ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 140% นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังโตต่อไปประมาณ 10% ต่อปี
Enghouse Systems (TSE: ENGH)
Enghouse เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีบริษัทลูกอีก 4 แห่ง และทุกบริษัทเน้นพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน
Enghouse Interactive ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และวิดีโอโซลูชันสำหรับ Contact Center
Enghouse Vidyo เป็นบริการสื่อสารผ่านวิดีโอ โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มสุขภาพและการเงิน
Enghouse Networks เน้นพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับทำการตลาด
Enghouse Transportation & Public Safety เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับติดตามการขนส่งสินค้า, Supply Chain และความปลอดภัยต่อส่วนรวม
ธุรกิจหลักในเครือ Enghouse Systems มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำงานสะดวกขึ้น เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
หุ้นของ Enghouse ทำผลงานได้ดีช่วงปี 2020 - 2021 ที่โควิด-19 ระบาด เพราะได้แรงหนุนจากนโยบาย Work from Home ทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทออกแบบมาเพื่อการนี้เป็นหลัก แต่ช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นก็ไม่สูงเหมือนก่อน ทำให้ราคาหุ้น Enghouse เหมาะกับการซื้อเพื่่อลงทนระยะยาว รอวันที่ราคาจะเพิ่มสูงจากการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ
แม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจเด่นมากมาย แต่ด้วยความที่สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างเบาบาง มีความสงบสุขสูง ทำให้ความโดดเด่นไม่มากนักเมื่อเทียบกับอเมริกาที่อยู่ติดกัน แต่ในเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แคนาดาก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ยังมีแม้ตลาดทุนจะยังไม่ใหญ่เท่าอเมริกา แต่ดัชนีหลักอย่าง S&P/TSX Composite และ S&P/TSX 60 ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมให้ประเทศนี้มีศักยภาพสูง ทั้งประชากรที่หลากหลายและมีคุณภาพ ระบบกฏหมายที่จริงจังและดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
สำหรับการลงทุนในหุ้นแคนาดาปัจจุบัน Phillip Global Markets เปิดให้นักลงทุนไทยเข้าซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตได้แล้ว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
สนใจโทร 02-635-3055 หรือ Line : @phillipglobal (คลิก >>
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fool.CAkj, CanadianLiving และ StockTrades.CA
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
แคนาดาเป็นอีกประเทศที่มีความมั่งคั่ง ทั้งพื้นที่ประเทศที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรอีกมากมาย รวมไปถึงธรรมชาติที่ล้นเหลือ มีความใกล้ชิดกับสหรัฐในหลายด้าน ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทำให้แคนาดาเป็นอีกจุดหมายที่ดีสำหรับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต (Toronto Stock Exchange : TSX) ก็เป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 11 ของโลก มีหุ้นในตลาดมากถึง 3,985 บริษัท แคนาดาเป็นอีกประเทศที่มีความมั่งคั่ง ทั้งพื้นที่ประเทศที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรอีกมากมาย รวมไปถึงธรรมชาติที่ล้นเหลือ มีความใกล้ชิดกับสหรัฐในหลายด้าน ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทำให้แคนาดาเป็นอีกจุดหมายที่ดีสำหรับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโต (Toronto Stock Exchange : TSX) ก็เป็นตลาดหุ้นใหญ่อันดับ 11 ของโลก มีหุ้นในตลาดมากถึง 3,985 บริษัท ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ หุ้นสัญชาติแคนาดาแท้ ๆ จากบริษัทที่ก่อตั้งในแคนาดาและจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange | TSX) ซึ่งหุ้นแคนาดาที่ครองสัดส่วนในตลาดโดยมากมาจากอุตสาหกรรมพลังงาน, การเงิน, และการผลิต แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ถือเป็นความน่าสนใจในยุคที่เทคโนโลยีมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ในบทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะ หุ้นสัญชาติแคนาดาแท้ ๆ จากบริษัทที่ก่อตั้งในแคนาดาและจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange | TSX) ซึ่งหุ้นแคนาดาที่ครองสัดส่วนในตลาดโดยมากมาจากอุตสาหกรรมพลังงาน, การเงิน, และการผลิต แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเองก็เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เสริมประสิทธิภาพการทำงาน ถือเป็นความน่าสนใจในยุคที่เทคโนโลยีมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ แคนาดาเป็นประเทศที่มีพื้นที่เยอะ และยังมีทรัพยากรมากมายรองรับการพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกับสหรัฐในหลาย ๆ ด้วย พื้นที่ที่ติดกัน และหุ้น บทความนี้จะเน้นหุ้นเทคโนโลยีสัญชาติแคนาดาแท้ (ไม่ใช่บริษัทข้ามชาติ) หุ้นในบทความโดยมากเป็นบริษัทที่สร้างเทคโนโลยีเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange)
1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก
ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว
ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว
2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด
หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะ ร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก
ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite
4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี
ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย
5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange
ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกันคือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ
หุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่น่าสนใจ
Shopify | TSX: SHOP
Shopify เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร เอื้อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดย Shopify จะเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของร้านสร้างและปรับแต่งร้านค้าออนไลน์, ระบบ Point of Sale (POS หรือระบบจัดการหน้าร้าน) และลงขายไปยังหลายช่องทางทั้งแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ฯลฯ
Shopify เป็นหุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่มีการเติบโตอย่างมาก ชนิดที่การระบาดของโควิด-19 ก็หยุด Shopify ไม่ได้ เพราะในปี 2020 บริษัทมีรายรับโตขึ้น 86% เทียบกับปี 2019 ส่งให้หุ้น Shopify ราคาเพิ่มขึ้น 178.4% ในปีดังกล่าว
แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะตกลงและมีการเติบโตที่ช้ากว่าเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังปรับฐานรับภาวะเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน ตัวบริษัทเองก็เพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนมากที่กำลังปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ดังนั้นโอกาสลงทุนเพื่อรอ Shopify เติบโตถึงจุดสูงสุดก็ยังจัดว่าน่าสนใจ
Enbridge | TSX: ENB
Enbridge เป็นบริษัทพลังงานและท่อส่งเชื้อเพลิง โดยมีเครือข่ายท่อส่งเชื้อเพลิงที่ยาวที่สุดในโลก โดยเครือข่ายท่อส่งดังกล่าวใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติแบบเหลวไปทั่วอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ในปัจจุบันบริษัท Enbridge มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
หุ้น Enbridge เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยช่วง 10 ปีอัตราเงินปันผลก็เติบโตเรื่อย ๆ ในปี 2013 เงินปันผลรายปีอยู่ที่ 1.26 CAD (ดอลลาร์แคนาดา) ส่วนปี 2022 อยู่ที่ 3.55 CAD และด้านการเงินทางบริษัท Enbridge ก็ยังคงแข็งแกร่ง มีรายรับสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา
Lightspeed | TSX:LSPD
Lightspeed เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์แบบ Saas ด้านอีคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่ระบบ Point-of-sale และซอฟต์แวร์สำหรับ E-commerce เช่น การรับชำระเงิน การบริหารร้าน เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า Lightsped มีความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกและร้านอาหารโดยเฉพาะ แม้ขนาดธุรกิจจะยังไม่ใหญ่โตเท่า Shopify แต่ Lightspeed ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต เพราะโดดเด่นในคนละด้าน ทาง Shopify จะเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แต่ Lightspeed จะเหมาะกับหน้าร้านที่ต้องการระบบ POS
หุ้น Lightspeed จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นช่วงปี 2019 และปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตในต่างประเทศมากกว่าในแคนาดา ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Lightspeed มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ก็มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจรวม ๆ กว่า 23 พันล้านดอลลาร์จาก 500,000 แห่งทั่วโลก บริษัท Lightspeed มีกระแสเงินสดในมือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สิน ภาวะใด ๆ ทางเศรษฐกิจจึงไม่มีผลกับบริษัทมาก รวมไปถึงช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ Lightspeed เติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางภาคธุรกิจอื่น ๆ
Descartes Systems | TSX: DSG
Descartes Systems Group เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Logistics) เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการด้าน Logistics, Supply chain และคลาวด์สำหรับธุรกิจขนส่ง บริษัท Descartes เคยเกือบต้องล้มลายในช่วงปี 2000 แต่ก็สามารถกลับมาได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีโลจิสติกส์เจ้าแรก ๆ ที่มีการพัฒนาธุรกิจแบบ SaaS ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และยังเป็นเจ้าของเครือข่าย Global Logistics Network ที่ใช้สำหรับส่งข้อความถึงกันระหว่างบริษัทในห่วงโซ่ Supply Chain เช่น สายเรือ ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า หน่วยงานศุลกากร เป็นต้น
หุ้น Descartes จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นแคนาดา (TSX) ในปี 1998 ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 20,000 รายจากใน 160 กว่าประเทศ ถือเป็นหุ้นเทคที่มีความสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายรับบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หกหลักเสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้น Descartes ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 140% นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังโตต่อไปประมาณ 10% ต่อปี
Enghouse Systems (TSE: ENGH)
Enghouse เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีบริษัทลูกอีก 4 แห่ง และทุกบริษัทเน้นพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน
Enghouse Interactive ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และวิดีโอโซลูชันสำหรับ Contact Center
Enghouse Vidyo เป็นบริการสื่อสารผ่านวิดีโอ โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มสุขภาพและการเงิน
Enghouse Networks เน้นพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับทำการตลาด
Enghouse Transportation & Public Safety เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับติดตามการขนส่งสินค้า, Supply Chain และความปลอดภัยต่อส่วนรวม
ธุรกิจหลักในเครือ Enghouse Systems มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำงานสะดวกขึ้น เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
หุ้นของ Enghouse ทำผลงานได้ดีช่วงปี 2020 - 2021 ที่โควิด-19 ระบาด เพราะได้แรงหนุนจากนโยบาย Work from Home ทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทออกแบบมาเพื่อการนี้เป็นหลัก แต่ช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นก็ไม่สูงเหมือนก่อน ทำให้ราคาหุ้น Enghouse เหมาะกับการซื้อเพื่่อลงทนระยะยาว รอวันที่ราคาจะเพิ่มสูงจากการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ
แม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจเด่นมากมาย แต่ด้วยความที่สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างเบาบาง มีความสงบสุขสูง ทำให้ความโดดเด่นไม่มากนักเมื่อเทียบกับอเมริกาที่อยู่ติดกัน แต่ในเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แคนาดาก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ยังมีแม้ตลาดทุนจะยังไม่ใหญ่เท่าอเมริกา แต่ดัชนีหลักอย่าง S&P/TSX Composite และ S&P/TSX 60 ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมให้ประเทศนี้มีศักยภาพสูง ทั้งประชากรที่หลากหลายและมีคุณภาพ ระบบกฏหมายที่จริงจังและดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
สำหรับการลงทุนในหุ้นแคนาดาปัจจุบัน Phillip Global Markets เปิดให้นักลงทุนไทยเข้าซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตได้แล้ว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
สนใจโทร 02-635-3055 หรือ Line : @phillipglobal (คลิก >>
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fool.CAkj, CanadianLiving และ StockTrades.CA
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange)
1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก
ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว
ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว
2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด
หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะ ร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก
ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite
4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี
ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย
5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange
ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกันคือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ
หุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่น่าสนใจ
Shopify | TSX: SHOP
Shopify เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร เอื้อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดย Shopify จะเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของร้านสร้างและปรับแต่งร้านค้าออนไลน์, ระบบ Point of Sale (POS หรือระบบจัดการหน้าร้าน) และลงขายไปยังหลายช่องทางทั้งแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ฯลฯ
Shopify เป็นหุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่มีการเติบโตอย่างมาก ชนิดที่การระบาดของโควิด-19 ก็หยุด Shopify ไม่ได้ เพราะในปี 2020 บริษัทมีรายรับโตขึ้น 86% เทียบกับปี 2019 ส่งให้หุ้น Shopify ราคาเพิ่มขึ้น 178.4% ในปีดังกล่าว
แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะตกลงและมีการเติบโตที่ช้ากว่าเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังปรับฐานรับภาวะเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน ตัวบริษัทเองก็เพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนมากที่กำลังปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ดังนั้นโอกาสลงทุนเพื่อรอ Shopify เติบโตถึงจุดสูงสุดก็ยังจัดว่าน่าสนใจ
Enbridge | TSX: ENB
Enbridge เป็นบริษัทพลังงานและท่อส่งเชื้อเพลิง โดยมีเครือข่ายท่อส่งเชื้อเพลิงที่ยาวที่สุดในโลก โดยเครือข่ายท่อส่งดังกล่าวใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติแบบเหลวไปทั่วอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ในปัจจุบันบริษัท Enbridge มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
หุ้น Enbridge เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยช่วง 10 ปีอัตราเงินปันผลก็เติบโตเรื่อย ๆ ในปี 2013 เงินปันผลรายปีอยู่ที่ 1.26 CAD (ดอลลาร์แคนาดา) ส่วนปี 2022 อยู่ที่ 3.55 CAD และด้านการเงินทางบริษัท Enbridge ก็ยังคงแข็งแกร่ง มีรายรับสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา
Lightspeed | TSX:LSPD
Lightspeed เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์แบบ Saas ด้านอีคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่ระบบ Point-of-sale และซอฟต์แวร์สำหรับ E-commerce เช่น การรับชำระเงิน การบริหารร้าน เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า Lightsped มีความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกและร้านอาหารโดยเฉพาะ แม้ขนาดธุรกิจจะยังไม่ใหญ่โตเท่า Shopify แต่ Lightspeed ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต เพราะโดดเด่นในคนละด้าน ทาง Shopify จะเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แต่ Lightspeed จะเหมาะกับหน้าร้านที่ต้องการระบบ POS
หุ้น Lightspeed จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นช่วงปี 2019 และปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตในต่างประเทศมากกว่าในแคนาดา ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Lightspeed มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ก็มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจรวม ๆ กว่า 23 พันล้านดอลลาร์จาก 500,000 แห่งทั่วโลก บริษัท Lightspeed มีกระแสเงินสดในมือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สิน ภาวะใด ๆ ทางเศรษฐกิจจึงไม่มีผลกับบริษัทมาก รวมไปถึงช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ Lightspeed เติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางภาคธุรกิจอื่น ๆ
Descartes Systems | TSX: DSG
Descartes Systems Group เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Logistics) เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการด้าน Logistics, Supply chain และคลาวด์สำหรับธุรกิจขนส่ง บริษัท Descartes เคยเกือบต้องล้มลายในช่วงปี 2000 แต่ก็สามารถกลับมาได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีโลจิสติกส์เจ้าแรก ๆ ที่มีการพัฒนาธุรกิจแบบ SaaS ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และยังเป็นเจ้าของเครือข่าย Global Logistics Network ที่ใช้สำหรับส่งข้อความถึงกันระหว่างบริษัทในห่วงโซ่ Supply Chain เช่น สายเรือ ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า หน่วยงานศุลกากร เป็นต้น
หุ้น Descartes จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นแคนาดา (TSX) ในปี 1998 ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 20,000 รายจากใน 160 กว่าประเทศ ถือเป็นหุ้นเทคที่มีความสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายรับบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หกหลักเสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้น Descartes ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 140% นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังโตต่อไปประมาณ 10% ต่อปี
Enghouse Systems (TSE: ENGH)
Enghouse เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีบริษัทลูกอีก 4 แห่ง และทุกบริษัทเน้นพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน
Enghouse Interactive ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และวิดีโอโซลูชันสำหรับ Contact Center
Enghouse Vidyo เป็นบริการสื่อสารผ่านวิดีโอ โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มสุขภาพและการเงิน
Enghouse Networks เน้นพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับทำการตลาด
Enghouse Transportation & Public Safety เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับติดตามการขนส่งสินค้า, Supply Chain และความปลอดภัยต่อส่วนรวม
ธุรกิจหลักในเครือ Enghouse Systems มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำงานสะดวกขึ้น เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
หุ้นของ Enghouse ทำผลงานได้ดีช่วงปี 2020 - 2021 ที่โควิด-19 ระบาด เพราะได้แรงหนุนจากนโยบาย Work from Home ทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทออกแบบมาเพื่อการนี้เป็นหลัก แต่ช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นก็ไม่สูงเหมือนก่อน ทำให้ราคาหุ้น Enghouse เหมาะกับการซื้อเพื่่อลงทนระยะยาว รอวันที่ราคาจะเพิ่มสูงจากการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ
แม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจเด่นมากมาย แต่ด้วยความที่สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างเบาบาง มีความสงบสุขสูง ทำให้ความโดดเด่นไม่มากนักเมื่อเทียบกับอเมริกาที่อยู่ติดกัน แต่ในเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แคนาดาก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ยังมีแม้ตลาดทุนจะยังไม่ใหญ่เท่าอเมริกา แต่ดัชนีหลักอย่าง S&P/TSX Composite และ S&P/TSX 60 ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมให้ประเทศนี้มีศักยภาพสูง ทั้งประชากรที่หลากหลายและมีคุณภาพ ระบบกฏหมายที่จริงจังและดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
สำหรับการลงทุนในหุ้นแคนาดาปัจจุบัน Phillip Global Markets เปิดให้นักลงทุนไทยเข้าซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตได้แล้ว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
สนใจโทร 02-635-3055 หรือ Line : @phillipglobal (คลิก >>
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fool.CAkj, CanadianLiving และ StockTrades.CA
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange) ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange) 1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก 1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว 2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด 2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะ ร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะ ร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน 3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก 3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite 4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี 4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย 5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange 5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกันคือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกันคือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ หุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่น่าสนใจ หุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่น่าสนใจ Shopify | TSX: SHOP Shopify | TSX: SHOP Shopify เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร เอื้อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดย Shopify จะเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของร้านสร้างและปรับแต่งร้านค้าออนไลน์, ระบบ Point of Sale (POS หรือระบบจัดการหน้าร้าน) และลงขายไปยังหลายช่องทางทั้งแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ฯลฯ Shopify เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร เอื้อให้ผู้ใช้งานสามารถทำการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น โดย Shopify จะเป็นแพลตฟอร์มให้ผู้ใช้งานหรือเจ้าของร้านสร้างและปรับแต่งร้านค้าออนไลน์, ระบบ Point of Sale (POS หรือระบบจัดการหน้าร้าน) และลงขายไปยังหลายช่องทางทั้งแบบออนไลน์บนเว็บไซต์ หรือ ช่องทางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย ฯลฯ Shopify เป็นหุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่มีการเติบโตอย่างมาก ชนิดที่การระบาดของโควิด-19 ก็หยุด Shopify ไม่ได้ เพราะในปี 2020 บริษัทมีรายรับโตขึ้น 86% เทียบกับปี 2019 ส่งให้หุ้น Shopify ราคาเพิ่มขึ้น 178.4% ในปีดังกล่าว Shopify เป็นหุ้นเทคสัญชาติแคนาดาที่มีการเติบโตอย่างมาก ชนิดที่การระบาดของโควิด-19 ก็หยุด Shopify ไม่ได้ เพราะในปี 2020 บริษัทมีรายรับโตขึ้น 86% เทียบกับปี 2019 ส่งให้หุ้น Shopify ราคาเพิ่มขึ้น 178.4% ในปีดังกล่าว แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะตกลงและมีการเติบโตที่ช้ากว่าเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังปรับฐานรับภาวะเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน ตัวบริษัทเองก็เพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนมากที่กำลังปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ดังนั้นโอกาสลงทุนเพื่อรอ Shopify เติบโตถึงจุดสูงสุดก็ยังจัดว่าน่าสนใจ แม้ปัจจุบันราคาหุ้นจะตกลงและมีการเติบโตที่ช้ากว่าเดิม เนื่องจากธุรกิจกำลังปรับฐานรับภาวะเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ยังมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน ตัวบริษัทเองก็เพิ่มฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจุบันก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนมากที่กำลังปรับตัวเข้าสู่การขายออนไลน์ ดังนั้นโอกาสลงทุนเพื่อรอ Shopify เติบโตถึงจุดสูงสุดก็ยังจัดว่าน่าสนใจ Enbridge | TSX: ENB Enbridge | TSX: ENB Enbridge เป็นบริษัทพลังงานและท่อส่งเชื้อเพลิง โดยมีเครือข่ายท่อส่งเชื้อเพลิงที่ยาวที่สุดในโลก โดยเครือข่ายท่อส่งดังกล่าวใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติแบบเหลวไปทั่วอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ในปัจจุบันบริษัท Enbridge มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป Enbridge เป็นบริษัทพลังงานและท่อส่งเชื้อเพลิง โดยมีเครือข่ายท่อส่งเชื้อเพลิงที่ยาวที่สุดในโลก โดยเครือข่ายท่อส่งดังกล่าวใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ, ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติแบบเหลวไปทั่วอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของทั้งสองประเทศ ในปัจจุบันบริษัท Enbridge มีโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนทั้งในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป หุ้น Enbridge เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยช่วง 10 ปีอัตราเงินปันผลก็เติบโตเรื่อย ๆ ในปี 2013 เงินปันผลรายปีอยู่ที่ 1.26 CAD (ดอลลาร์แคนาดา) ส่วนปี 2022 อยู่ที่ 3.55 CAD และด้านการเงินทางบริษัท Enbridge ก็ยังคงแข็งแกร่ง มีรายรับสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา หุ้น Enbridge เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนเพื่อเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยช่วง 10 ปีอัตราเงินปันผลก็เติบโตเรื่อย ๆ ในปี 2013 เงินปันผลรายปีอยู่ที่ 1.26 CAD (ดอลลาร์แคนาดา) ส่วนปี 2022 อยู่ที่ 3.55 CAD และด้านการเงินทางบริษัท Enbridge ก็ยังคงแข็งแกร่ง มีรายรับสูงถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา Lightspeed | TSX:LSPD Lightspeed | TSX:LSPD Lightspeed เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์แบบ Saas ด้านอีคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่ระบบ Point-of-sale และซอฟต์แวร์สำหรับ E-commerce เช่น การรับชำระเงิน การบริหารร้าน เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า Lightsped มีความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกและร้านอาหารโดยเฉพาะ แม้ขนาดธุรกิจจะยังไม่ใหญ่โตเท่า Shopify แต่ Lightspeed ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต เพราะโดดเด่นในคนละด้าน ทาง Shopify จะเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แต่ Lightspeed จะเหมาะกับหน้าร้านที่ต้องการระบบ POS Lightspeed เป็นบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์แบบ Saas ด้านอีคอมเมิร์ซ มีจุดเด่นที่ระบบ Point-of-sale และซอฟต์แวร์สำหรับ E-commerce เช่น การรับชำระเงิน การบริหารร้าน เชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า Lightsped มีความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกและร้านอาหารโดยเฉพาะ แม้ขนาดธุรกิจจะยังไม่ใหญ่โตเท่า Shopify แต่ Lightspeed ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโต เพราะโดดเด่นในคนละด้าน ทาง Shopify จะเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ แต่ Lightspeed จะเหมาะกับหน้าร้านที่ต้องการระบบ POS หุ้น Lightspeed จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นช่วงปี 2019 และปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตในต่างประเทศมากกว่าในแคนาดา ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Lightspeed มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ก็มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจรวม ๆ กว่า 23 พันล้านดอลลาร์จาก 500,000 แห่งทั่วโลก บริษัท Lightspeed มีกระแสเงินสดในมือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สิน ภาวะใด ๆ ทางเศรษฐกิจจึงไม่มีผลกับบริษัทมาก รวมไปถึงช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ Lightspeed เติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางภาคธุรกิจอื่น ๆ หุ้น Lightspeed จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นช่วงปี 2019 และปัจจุบันบริษัทมีการเติบโตในต่างประเทศมากกว่าในแคนาดา ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Lightspeed มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก แต่ก็มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจรวม ๆ กว่า 23 พันล้านดอลลาร์จาก 500,000 แห่งทั่วโลก บริษัท Lightspeed มีกระแสเงินสดในมือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และไม่มีหนี้สิน ภาวะใด ๆ ทางเศรษฐกิจจึงไม่มีผลกับบริษัทมาก รวมไปถึงช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ Lightspeed เติบโตอย่างรวดเร็วสวนทางภาคธุรกิจอื่น ๆ Descartes Systems | TSX: DSG Descartes Systems | TSX: DSG Descartes Systems Group เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Logistics) เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการด้าน Logistics, Supply chain และคลาวด์สำหรับธุรกิจขนส่ง บริษัท Descartes เคยเกือบต้องล้มลายในช่วงปี 2000 แต่ก็สามารถกลับมาได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีโลจิสติกส์เจ้าแรก ๆ ที่มีการพัฒนาธุรกิจแบบ SaaS ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และยังเป็นเจ้าของเครือข่าย Global Logistics Network ที่ใช้สำหรับส่งข้อความถึงกันระหว่างบริษัทในห่วงโซ่ Supply Chain เช่น สายเรือ ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า หน่วยงานศุลกากร เป็นต้น Descartes Systems Group เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Logistics) เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการด้าน Logistics, Supply chain และคลาวด์สำหรับธุรกิจขนส่ง บริษัท Descartes เคยเกือบต้องล้มลายในช่วงปี 2000 แต่ก็สามารถกลับมาได้ และเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีโลจิสติกส์เจ้าแรก ๆ ที่มีการพัฒนาธุรกิจแบบ SaaS ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต และยังเป็นเจ้าของเครือข่าย Global Logistics Network ที่ใช้สำหรับส่งข้อความถึงกันระหว่างบริษัทในห่วงโซ่ Supply Chain เช่น สายเรือ ผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า หน่วยงานศุลกากร เป็นต้น หุ้น Descartes จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นแคนาดา (TSX) ในปี 1998 ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 20,000 รายจากใน 160 กว่าประเทศ ถือเป็นหุ้นเทคที่มีความสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายรับบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หกหลักเสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้น Descartes ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 140% นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังโตต่อไปประมาณ 10% ต่อปี หุ้น Descartes จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นแคนาดา (TSX) ในปี 1998 ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 20,000 รายจากใน 160 กว่าประเทศ ถือเป็นหุ้นเทคที่มีความสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมารายรับบริษัทเติบโตในระดับเลข 2 หกหลักเสมอ ในช่วงเวลาดังกล่าวหุ้น Descartes ก็ให้ผลตอบแทนสูงถึง 140% นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างก็คาดการณ์ว่าบริษัทจะยังโตต่อไปประมาณ 10% ต่อปี Enghouse Systems (TSE: ENGH) Enghouse Systems (TSE: ENGH) Enghouse เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีบริษัทลูกอีก 4 แห่ง และทุกบริษัทเน้นพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน Enghouse เป็นบริษัทโฮลดิ้งที่มีบริษัทลูกอีก 4 แห่ง และทุกบริษัทเน้นพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีสำหรับการทำงาน Enghouse Interactive ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และวิดีโอโซลูชันสำหรับ Contact Center
Enghouse Vidyo เป็นบริการสื่อสารผ่านวิดีโอ โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มสุขภาพและการเงิน
Enghouse Networks เน้นพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับทำการตลาด
Enghouse Transportation & Public Safety เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับติดตามการขนส่งสินค้า, Supply Chain และความปลอดภัยต่อส่วนรวม Enghouse Interactive ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และวิดีโอโซลูชันสำหรับ Contact Center Enghouse Vidyo เป็นบริการสื่อสารผ่านวิดีโอ โดยเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มสุขภาพและการเงิน Enghouse Networks เน้นพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับทำการตลาด Enghouse Transportation & Public Safety เป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับติดตามการขนส่งสินค้า, Supply Chain และความปลอดภัยต่อส่วนรวม ธุรกิจหลักในเครือ Enghouse Systems มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำงานสะดวกขึ้น เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ธุรกิจหลักในเครือ Enghouse Systems มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำงานสะดวกขึ้น เชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอก รวมถึงมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หุ้นของ Enghouse ทำผลงานได้ดีช่วงปี 2020 - 2021 ที่โควิด-19 ระบาด เพราะได้แรงหนุนจากนโยบาย Work from Home ทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทออกแบบมาเพื่อการนี้เป็นหลัก แต่ช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นก็ไม่สูงเหมือนก่อน ทำให้ราคาหุ้น Enghouse เหมาะกับการซื้อเพื่่อลงทนระยะยาว รอวันที่ราคาจะเพิ่มสูงจากการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ หุ้นของ Enghouse ทำผลงานได้ดีช่วงปี 2020 - 2021 ที่โควิด-19 ระบาด เพราะได้แรงหนุนจากนโยบาย Work from Home ทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทออกแบบมาเพื่อการนี้เป็นหลัก แต่ช่วงหลังปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นก็ไม่สูงเหมือนก่อน ทำให้ราคาหุ้น Enghouse เหมาะกับการซื้อเพื่่อลงทนระยะยาว รอวันที่ราคาจะเพิ่มสูงจากการเข้าซื้อกิจการด้านเทคโนโลยีอื่น ๆ แม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจเด่นมากมาย แต่ด้วยความที่สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างเบาบาง มีความสงบสุขสูง ทำให้ความโดดเด่นไม่มากนักเมื่อเทียบกับอเมริกาที่อยู่ติดกัน แต่ในเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แคนาดาก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ยังมีแม้ตลาดทุนจะยังไม่ใหญ่เท่าอเมริกา แต่ดัชนีหลักอย่าง S&P/TSX Composite และ S&P/TSX 60 ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมให้ประเทศนี้มีศักยภาพสูง ทั้งประชากรที่หลากหลายและมีคุณภาพ ระบบกฏหมายที่จริงจังและดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก เปี่ยมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและธุรกิจเด่นมากมาย แต่ด้วยความที่สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ค่อนข้างเบาบาง มีความสงบสุขสูง ทำให้ความโดดเด่นไม่มากนักเมื่อเทียบกับอเมริกาที่อยู่ติดกัน แต่ในเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม แคนาดาก็เป็นอีกประเทศที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ยังมีแม้ตลาดทุนจะยังไม่ใหญ่เท่าอเมริกา แต่ดัชนีหลักอย่าง S&P/TSX Composite และ S&P/TSX 60 ก็ยังเติบโตต่อเนื่อง และมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมให้ประเทศนี้มีศักยภาพสูง ทั้งประชากรที่หลากหลายและมีคุณภาพ ระบบกฏหมายที่จริงจังและดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับการลงทุนในหุ้นแคนาดาปัจจุบัน Phillip Global Markets เปิดให้นักลงทุนไทยเข้าซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตได้แล้ว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับการลงทุนในหุ้นแคนาดาปัจจุบัน Phillip Global Markets เปิดให้นักลงทุนไทยเข้าซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตได้แล้ว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท มีเจ้าหน้าที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สนใจโทร 02-635-3055 หรือ Line : @phillipglobal (คลิก >> สนใจโทร 02-635-3055 หรือ Line : @phillipglobal ( คลิก >> ) ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fool.CAkj, CanadianLiving และ StockTrades.CA ขอขอบคุณข้อมูลจาก Fool.CAkj , CanadianLiving และ StockTrades.CA บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น โดยไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำด้านการลงทุน บทวิเคราะห์ หรือการเสนอขายแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ความน่าสนใจของตลาดหุ้นโตรอนโต (Toronto Stock Exchange) มีดังนี้
1. มีหุ้นให้เลือกเป็นจำนวนมาก
ตลาดหุ้นของแคนาดาแบ่งออกเป็น 2 ตลาด คือ Toronto Stock Exchange (TSX) และ TSX Venture Exchange (TSXV) ใน TSX จะเป็นตลาดสำหรับเทรดหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ บริษัทใน TSXV ก็จะมีสินทรัพย์ต่ำกว่าจำนวนดังกล่าว ใน TSX มีหุ้นทั้งหมด 1,561 ตัว และ TSXV มี 2,424 ตัว
2. สัดส่วนของประเภทธุรกิจในตลาด
หากมองที่หุ้นหลัก ๆ ในตลาด อาจดูไม่น่าสนใจ เพราะร้อยละ 22 เป็นบริษัทเกี่ยวกับการเงิน, ร้อยละ 23 มาจากอุตสาหกรรมเหมือง และอีกร้อยละ 18 มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจสู้หุ้นอเมริกาไม่ได้ในแง่ความหลากหลาย แต่ในด้านเทคโนโลยีเฉพาะด้าน หุ้นแคนาดาก็ยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
3. เป็นแหล่ง ETF จำนวนมาก
ช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์โตรอนโตมี ETF ให้เลือกลงทุนกว่า 174 กองทุน ร้อยละ 20 จะเป็น ETF เฉพาะอุตสาหกรรม อีก 20 เป็นการลงทุนหุ้นนานาชาติ, ร้อยละ 16 เป็นหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์, ETF ตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ที่ร้อยละ 16 ส่วนที่เหลือก็จะเป็น ETF สกุลเงิน และ ETF ที่อิงดัชนี S&P/TSX Composite
4. TSX มีอายุกว่า 150 ปี
ตลาดหลักทรัพย์ TSX เริ่มเปิดทำการในเดือนตุลาคม 1861 ในเวลานั้นมีหุ้นให้เทรดเพียง 18 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นธนาคารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เริ่มแรกมีค่าใช่จ่ายในการจดทะเบียนเข้าตลาดเพียง 5 ดอลลาร์ อีก 10 ปีต่อมาก็ขยับเป็น 250 ดอลลาร์ และในปัจจุบันก็เพิ่มมาเป็น 500,000 - 1,000,000 ดอลลาร์เลย
5. นอกจาก TSX, TSXV ก็ยังมี Montreal Exchange
ตลาดหลักทรัพย์ TSX และ TSXV มีเจ้าของเดียวกัน คือ TMX Group รวมไปถึง Montreal Exchange ที่เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก แต่ปัจจุบันเป็นตลาดสำหรับเทรดอนุพันธ์โดยเฉพาะ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2950 | Finance | เบน เกรแฮม แบ่งนักลงทุนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือประเภทใดบ้าง | แก่นสำคัญ 5 ข้อ ของหนังสือ The Intelligent Investor
The Intelligent Investor เป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Benjamin Graham ผู้ได้รับชื่อว่าเป็นบิดาแห่งวงการนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า หรือ Value Investors ผลงานเล่มก่อนหน้าที่สำคัญมากของเบนจามิน เกรแฮม คือ หนังสือที่ชื่อว่า Security Analysis ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนังสือเล่มที่ปฏิวัติวงการนักลงทุน เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกที่กล่าวถึงการลงทุนแนวเน้นคุณค่าซึ่งมองหุ้นเป็นธุรกิจ ก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเล่มนี้ หุ้นมักถูกซื้อขายจากการเก็งกำไรเป็นหลัก โดยอาศัยการใช้การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตมาทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ซึ่งมีทฤษฎีที่โด่งดังในยุคนั้นอย่าง Dow’s Theory ที่ถูกเผยแพร่และนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงปี 1900 Security Analysis เริ่มเผยแพร่ครั้งแรกในปี 1934 ผ่านการเขียนของ เบนจามิน เกรแฮม และ เดวิด ดอจ์ด ศาสตราจารย์แห่ง Columbia Business School หนังสือเล่มนี้เล่มนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพราะเบนชี้ให้นักลงทุนสนใจไปถึงข้อมูลในงบการเงิน อย่างกำไรต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาต่อกำไร แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ขึ้นชื่อถึงความยากและความหนาที่เหมาะกับการเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่าที่นักลงทุนทั่วไปจะซื้อมาอ่านศึกษาเป็นงานอดิเรก ผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นจึงถือกำเนิดในช่วงเวลาผ่านไป 15 ปี The Intelligent Investor ถูกตีพิมพ์และเผยแพร่ครั้งแรกโดยการประพันธ์ของเบน เกรแฮม ครั้งนี้ เนื้อหาวิชาการถูกย่อยและเรียบเรียงด้วยภาษาที่ง่ายขึ้น จำนวนหน้าที่น้อยลง จนเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และวอร์เรน บัฟเฟต นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกให้คำนิยามหนังสือเล่มนี้ว่า “นี่คือหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุด” หนังสือเล่มนี้พูดถึงมุมมองด้านการลงทุนไว้อย่างล้ำค่า โดยแก่นสำคัญที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้อย่างเป็นอมตะมีอยู่ 5 เรื่องสำคัญด้วยกัน 1. ความแตกต่างระหว่างนักลงทุนและนักเก็งกำไร เบน เกรแฮมพยายามจะบอกทุกคนว่าคนที่ทำเพียงซื้อและขายหุ้นไม่อาจนับเป็นนักลงทุนได้ การลงทุนคือการกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์อย่างละเอียดซึ่งจะปกป้องเงินต้นและสร้างผลตอบแทนในระดับพอเพียง การกระทำใดที่ไม่เข้าเกณฑ์ถือเป็นการเก็งกำไร หนังสือเล่มนี้ให้ความสำคัญในประเด็นนี้มากถึงมากที่สุด โดยเบน เกรแฮมพยายามจะเน้นย้ำให้นักลงทุนคิดให้ช้าและละเอียด โดยจะยกเอาสถานการณ์ฟองสบู่มากมายที่เกิดขึ้นในสหรัฐมาเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าถ้านักลงทุนย่อหย่อนในวินัยจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นฟองสบู่หุ้นสายการบิน ฟองสบู่หุ้นโทรคมนาคม ฟองสบู่หุ้น Nifty Fifty ฟองสบู่ดอทคอม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ทยอยเพิ่มตัวอย่างจากสถานการณ์เพิ่มขึ้นจากการทบทวนเพื่อตีพิมพ์แต่ละครั้ง 2. นักลงทุนเชิงรุกและเชิงรับ นอกจากเบน เกรแฮมจะแนะนำให้ลงทุนอย่างนักลงทุนแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือเบน เกรแฮมแบ่งนักลงทุนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ นักลงทุนเชิงรับซึ่งมีเวลาและความรู้ค่อนข้างน้อย เน้นผลตอบแทนไม่มากความเสี่ยงต่ำ และนักลงทุนเชิงรุกซึ่งมีเวลาและความรู้ในการติดตามหุ้น แสวงหาผลตอบแทนสูงขึ้นตามการทุ่มเท โดยเบน เกรแฮมแนะนำให้นักลงทุนเชิงรับลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสารหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ กองทุนรวมซึ่งแนะนำกองทุนดัชนี รวมไปถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสถานะทางการเงินมั่นคง นอกจากนี้ เบน เกรแฮมยังแนะนำให้ลงทุนแบบ DCA เพื่อลดปัญหาจากการจับจังหวะตลาดที่อาจจะผิดพลาด ในขณะที่นักลงทุนเชิงรุกเหมาะกับหุ้นโตเร็ว ซึ่งนิยามไว้ว่ามีการเติบโตของกำไรสุทธิมากกว่าเท่าตัวภายในเวลา 10 ปี โดยเน้นการมองหาหุ้นที่ตลาดยังไม่รับรู้ และซื้อในจังหวะที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการทุ่มเทให้กับการลงทุน 3. ความผันผวนของนายตลาด เบน เกรแฮมอุปมาการลงทุนในหุ้นเหมือนการทำกิจการร่วมกับเพื่อนที่มีอารมณ์แปรปรวนคนหนึ่งชื่อว่า Mr. Market หรือนายตลาด วันไหนที่นายตลาดอารมณ์ดี นายตลาดจะมาเสนอขายธุรกิจที่เขาทำร่วมกับคุณในราคาแพง เพราะเชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้ดีมาก ในขณะที่วันไหนอารมณ์ไม่ดี นายตลาดจะมาเสนอขายธุรกิจที่เขาทำร่วมกับคุณในราคาถูก สิ่งที่นักลงทุนต้องทำคือจัดการกับนายตลาดให้อยู่หมัด ซื้อกิจการเมื่อมันถูกเกินจริง และขายกิจการออกไปเมื่อมันแพงเกินจริง เพื่อทำกำไรจากนายตลาดนั่นเอง 4. การประเมินมูลค่า หนังสือเล่มนี้แทบจะกลายเป็นคัมภีร์ของการลงทุนแนวเน้นคุณค่าไปแล้ว โดยหนังสือเล่มนี้เล่าถึงการประเมินมูลค่าหุ้นอยู่ด้วยกันหลักๆ 2 วิธี คือการอ้างอิงจากกำไรสุทธิ ซึ่งเบนให้ PE ของกิจการอยู่ที่ 8.5 คูณกับสองเท่าของอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วง 7 – 10 ปีข้างหน้า และการอ้างอิงจากสินทรัพย์ โดยมีการพูดถึงอยู่ 2 วิธี คือ Net Asset Value หรือการใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นหักลบด้วยสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน และ Net Net Asset Value หรือการใช้สินทรัพย์หมุนเวียนลบออกด้วยหนี้สินทั้งหมด 5. ส่วนเผื่อความปลอดภัย ส่วนเผื่อความปลอดภัยหรือ Margin of Safety เป็นหลักที่เบน เกรแฮมพูดถึงตั้งแต่สมัย Security Analysis และยังคงมีการใช้กันอย่างแพร่หลายกันมาจนถึงปัจจุบัน โดย MOS หมายถึงส่วนต่างระหว่างราคากับมูลค่าที่ประเมินได้ โดยราคาควรต่ำกว่ามูลค่ามากๆ เพื่อที่จะเป็นส่วนรองรับความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น เหมือนวิศวกรที่สร้างตึกแล้วจะไม่ได้ออกแบบเสาและคานให้รับน้ำหนักได้เท่ากับน้ำหนักตึกพอดี แต่จะเผื่อแรงไว้อีกส่วนหนึ่ง สำหรับความผิดพลาดหรือความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น The Intelligent Investor ถือเป็นสุดยอดหนังสือการลงทุนเล่มหนึ่งที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อ่านยาก เข้าใจยาก เล่มหนาเกินกว่าที่นักลงทุนหลายคนจะอ่านจบ แต่ถ้าได้อ่านและคิดตามแล้ว จะพบว่าหนังสือเล่มนี้ปลูกฝังแนวคิดที่เข็มแข็งให้กับนักลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะมุมมองเรื่องการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ภายในสภาวะตลาดที่ยั่วยวน เมื่อไหร่ที่นักลงทุนกำลังย่อหย่อนกับวินัยและอารมณ์ของตลาด หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับหยิบขึ้นมาเตือนใจ เพื่อบอกตนเองไว้ว่า “จงลงทุนอย่างนักลงทุน” หนังสือเล่มนี้สมศักดิ์ศรีกับคำกล่าวของวอร์เรน บัฟเฟตที่ว่า “นี่คือหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุด” ทุกประการ ลงทุนศาสตร์ – Investerest ลงทุนศาสตร์ – Investerest | เบน เกรแฮม แบ่งนักลงทุนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ นักลงทุนเชิงรับซึ่งมีเวลาและความรู้ค่อนข้างน้อย เน้นผลตอบแทนไม่มากความเสี่ยงต่ำ และนักลงทุนเชิงรุกซึ่งมีเวลาและความรู้ในการติดตามหุ้น แสวงหาผลตอบแทนสูงขึ้นตามการทุ่มเท
โดยเบน เกรแฮมแนะนำให้นักลงทุนเชิงรับลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราสารหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ กองทุนรวมซึ่งแนะนำกองทุนดัชนี รวมไปถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสถานะทางการเงินมั่นคง นอกจากนี้ เบน เกรแฮมยังแนะนำให้ลงทุนแบบ DCA เพื่อลดปัญหาจากการจับจังหวะตลาดที่อาจจะผิดพลาด
ในขณะที่นักลงทุนเชิงรุกเหมาะกับหุ้นโตเร็ว ซึ่งนิยามไว้ว่ามีการเติบโตของกำไรสุทธิมากกว่าเท่าตัวภายในเวลา 10 ปี โดยเน้นการมองหาหุ้นที่ตลาดยังไม่รับรู้ และซื้อในจังหวะที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการทุ่มเทให้กับการลงทุน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_2985 | Finance | กลุ่ม CP ได้เข้าซื้อหุ้น PING AN จาก HSBC ในปี 2012 เป็นมูลค่าสูงถึงกี่บาท | 1. 4.1 ล้านล้านบาท
2. 8.1 หมื่นล้านบาท
3. 9.1 แสนล้านบาท
4. 2.9 แสนล้านบาท | คำตอบได้แก่ 4. เนื่องจาก กลุ่ม CP ได้เข้าซื้อหุ้น PING AN จาก HSBC ในปี 2012 เป็นมูลค่าสูงถึง 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งการซื้อหุ้นครั้ง นี้กลุ่ม CP นั้นได้รับการช่วยเหลือจาก China Development Bank จากสายสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมระหว่างเจ้าสัวธนินทร์และทางการจีน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ กลุ่ม CP นั้นถือเป็นบริษัทต่างชาติบริษัทแรกที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจเกษตรในจีนเมือเกือบ 40 ปีที่แล้ว ที่จีนเริ่มมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ และมีการเปิดประเทศมากขึ้นก็ได้ ต่อมากลุ่ม CP ก็ได้ซื้อหุ้น PING AN มากขึ้น จนมีการถือครอง 27.84% ของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_300 | Finance | SGX เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ที่สำคัญของประเทศใด | a. ลาว
b. ฮ่องกง
c. ไทย
d. สิงคโปร์ | ข้อที่ถูกต้องคือ d. เพราะว่า SGX เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ที่สำคัญของสิงคโปร์ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากที่สุด รวมถึงมีความน่าสนใจในประเด็นต่าง ๆ ที่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนในศูนย์กลางการซื้อขายดังกล่าว โดยเฉพาะการลงทุนในระยะยาวที่เป็นการลงทุนหลักจากนักลงทุนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน | 2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3052 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงการแก้อาการหุ้นนก เมื่อหุ้นนกไปแล้ว สิ่งที่ทำได้คือรอคอย ได้ถูกต้อง | 1. อาจจะวัดด้วยค่า P/E หรือ EV/EBITDA ก็ได้ แต่ไม่ใช่วัดด้วยราคา
2. ต้องเช็คข้อมูลต่างๆ และประเมินมูลค่าให้ละเอียดขึ้น
3. มีโอกาสเสี่ยงติดดอยมากๆ
4. สิ่งที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นคือ ตลาดให้โอกาสกับคนที่ไม่ยอมแพ้เสมอ
5. บางครั้งเมื่อโอกาสไม่ใช่ของตน ก็ควรจะปล่อยมันไป ทำใจ กลับมาศึกษาเพิ่มเติมและเริ่มต้นใหม่ | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ 1. เพราะว่า การแก้อาการหุ้นนก เมื่อหุ้นนกไปแล้ว สิ่งที่ทำได้คือรอคอย ระหว่างที่หุ้นขึ้นไป ก็ติดตามข้อมูลห่างๆ น้อยครั้งมากที่หุ้นจะขึ้นไปอย่างยาวนานโดยไม่มีการลงเลย แต่การลงในแต่ละครั้งนั้นสิ่งสำคัญไม่ใช่ราคาที่ลงมาแต่เป็นตัวเองที่ควรต้องรู้ว่าราคาที่ลงมานั้นเป็นราคาที่ลงมานั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ เทียบกับตอนที่นกไปตอนนั้นถูกหรือแพงแล้วตอนนี้เป็นอย่างไร ซึ่งอาจจะวัดด้วยค่า P/E หรือ EV/EBITDA ก็ได้ แต่ไม่ใช่วัดด้วยราคา
นอกจากการวัดความถูกแพงแล้ว อาจจะต้องดูปัจจัยเชิงคุณภาพอย่างศักยภาพของบริษัทและการเติบโตด้วยว่ายังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ หุ้นบางตัวขึ้นไปแรงมาก เพราะมีกำไรพิเศษที่มีมาแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย หากเข้าไปซื้อตอนที่หุ้นลงมาอาจจะหนักกว่า “นก” คือ กลายเป็น “ดอย” แทนได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3069 | Finance | ข้อใดกล่าวถึงการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้ถูกต้อง | a. เป็นการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์
b. เป็นการลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์
c. เป็นการลงทุนในสัดส่วนเดิมที่ได้จัดสรรไว้แล้วแต่แรก
d. ไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดอื่นแทน | คำตอบได้แก่ a. เพราะว่า Overweight (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) เป็นการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ เช่น ตลาดหุ้นไทย แต่เดิมลงทุนเพียง 10% ของพอร์ต ก็เพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้น อาจจะเป็น 15% ของพอร์ต และไปลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดอื่นแทน แต่ไม่ใช่ให้ขายหุ้นในตลาดอื่นทั้งหมด เพื่อมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น การเพิ่มน้ำหนักการลงทุน คือ การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้กำหนดไว้ หรือลดน้ำหนักการลงทุน คือ การลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ตั้งไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจะต้องเทไปลงทุนในสินทรัพย์นั้นทั้งหมด หรือการลดน้ำหนักการลงทุนจะต้องขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ออกมาทั้งหมด | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3088 | Finance | ช่วยสรุปเรื่อง หุ้นปัจจัยพื้นฐานแบบไหนที่ตลาดชอบ ให้หน่อยค่ะ | 1. หุ้นเติบโต หุ้นเติบโตยังเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะช่วงที่ตลาดผันผวน เมื่อตลาดปรับตัวลงรุนแรงราคาหุ้นก็จะลดลงไม่มากเนื่องจากผลประกอบการที่ดีเป็นฐานรองรับราคาหุ้นอยู่ หุ้นที่ผลตอบแทนชนะตลาดมากๆมักจะเป็นหุ้นโตเร็วอยู่ในตลาดยังมีช่องให้เติบโตได้ มีอะไรใหม่ๆให้นักลงทุนตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะขยายไปตลาดในหรือต่างประเทศ เปิดตัวออกสินค้าใหม่ การขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ สมัยนี้หุ้นเติบโตที่จะไปได้ไกลงบการเงินจะต้องมีความสอดคล้องกันด้วย กำไรจะต้องเติบโต สินทรัพย์จะต้องเติบโตสอดคล้องกัน มีกระแสเงินสดเพียงพอชำระหนี้ และ ROA ROE สูงและมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ตราบใดที่กำไรของบริษัทยังเติบโตตลาดพร้อมที่จะซื้อขายกันที่ระดับ PE สูงๆ ส่วนหุ้นที่งบการเงินด้อยกว่าผลตอบแทนราคาหุ้นก็จะด้อยกว่าไปด้วย หุ้นเติบโตที่ควรหลีกเลี่ยง มักจะเป็นหุ้นเติบโตลวงโลกที่เติบโตเฉพาะราคาแต่สวนทางกับผลประกอบการ หุ้นลักษณะนี้จะสามารถขึ้นได้ซักพักตามอารมณ์ตลาด แต่สุดท้ายราคาหุ้นก็กลับมาที่เดิมตามแนวโน้มผลประกอบการ 2. หุ้นวงจร หุ้นกลุ่มนี้ยังสร้างสีสันให้ตลาดได้ทุกปี ใครจับรอบอุตสาหกรรมถูกจังหวะ ถูกตัว และถูกเวลา หุ้นจะขึ้นแบบพลิกชีวิต แต่ถ้าขายไม่ทัน เมื่อรอบของสินค้าจบลงราคาหุ้นมักจะลดลงแบบไม่คิดชีวิตเช่นเดียวกัน หุ้นกลุ่มนี้มักมีรายได้หรือต้นทุนเกี่ยวข้องกับ สินค้า commodities เช่น สินค้าเกษตร ปิโตรเคมี หรือโลหะ และอัตรากำไรขั้นต้นมักจะผันผวนขึ้นลงตามรอบราคา ในการลงทุนนักลงทุนจะต้องหูตาว่องไวติดตามราคาสินค้า commodities ตลอดเวลา เว็บที่สามารถดูราคาได้ เช่น tradingeconomics.com/commodities เมื่อเห็นราคาสินค้าตัวไหนเป็นขาขึ้นก็มาดูว่าหุ้นตัวไหนได้หรือเสียประโยชน์บ้าง จากนั้นจะเข้าไปเก็งงบที่กำลังจะประกาศในไตรมาศนั้นๆ ว่าจะต้องกำไรเติบโตแน่นอน แต่ความเสี่ยงคือเมื่อประกาศงบการเงินออกมาบริษัทอาจจะไม่ทำกำไรตามคาดก็ได้ เช่นอาจมีการขาดทุนราคาสินค้าคงเหลือ หรืออัตรากำไรขั้นต้นไม่เพิ่มตามที่คิดทำให้ราคาหุ้นไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3. หุ้นพลิกฟื้น (Turnaround) หุ้นกลุ่มนี้ก็ยังสร้างสีสันให้ตลาดได้ทุกปีเช่นเดียวกัน แต่ในหลายๆปีที่ผ่านมา ผมพบว่าคนในตลาดเก่งขึ้น หุ้นพลิกฟื้นที่มีแต่การออกข่าวลมๆแล้งๆ แต่ผลประกอบการไม่สามารถกลับมาปกติได้จริงราคาหุ้นอาจวิ่งได้ซักพักสุดท้ายราคาหุ้นก็กลับมาที่เดิม สำหรับหุ้นพลิกฟื้นที่เพียงพลิกจากขาดทุนกลับมาเป็นกำไรโดยที่ไม่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตลาดจะให้ค่าไม่สูง หุ้นพลิกฟื้นที่ผลตอบแทนดีและสามารถลงทุนถือยาวๆ ได้ จะต้องเป็นหุ้นพลิกฟื้นที่สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แก้ปัญหาธุรกิจเก่าจนกลับมาเป็นปกติ และมีธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตอยู่ในช่วงของการลงทุนและมีการเติบโตเข้าใกล้ช่วงเก็บเกี่ยว มีผลขาดทุนลดลง ตลาดถึงเริ่มเข้ามาให้ความนิยมกัน 4. หุ้นปันผล หุ้นปันผลเหมือนเป็นหลุมหลบภัยพักเงินยามตลาดผันผวน เพราะถือแล้วสบายใจราคาหุ้นอาจไม่ผันผวนในขณะที่นักลงทุนยังได้รับเงินปันผล ความยากของหุ้นปันผลคือ ต้องเลือกหุ้นที่กำไรในอนาคตสามารถเติบโตได้ด้วย ถ้าทิศทางของกำไรอยู่ในช่วงขาลงจะทำให้ราคาหุ้นเป็นขาลง และทำให้นักลงทุนขาดทุนจากส่วนต่างราคาหุ้นมากกว่าปันผลที่ได้รับเสียอีก | 1. หุ้นเติบโต
เป็นหุ้นที่ยังคงให้ผลตอบแทนสูงในช่วงตลาดผันผวน เมื่อตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรงราคาหุ้นจะลดลงไม่มาก เพราะฐานรองรับราคาหุ้นคือผลประกอบการที่ดี แต่ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเติบโตลวงโลกที่เติบโตเฉพาะราคาแต่สวนทางกับผลประกอบการ
2. หุ้นวงจร
รายได้จากหุ้นนี้มาจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับสินค้า อัตรากำไรขั้นต้นจะผันผวนขึ้นลงตามรอบราคา แต่ถ้ามีการประกาศงบการเงินออกมาบริษัทอาจจะไม่ทำกำไรตามที่คาดได้
3. หุ้นพลิกฟื้น
โดยต้องสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงพลิกจากขาดทุนกลับมาเป็นกำไร จึงจะได้ผลตอบแทนดีและสามารถลงทุนได้ยาว ๆ
4. หุ้นปันผล
ต้องเลือกหุ้นที่กำไรสามารถเติบโตได้ในอนาคต แต่อาจทำให้ขาดทุนและราคาหุ้นต่ำลงถ้าทิศทางของกำไรอยู่ในช่วงขาลง | 5.กลยุทธ์การลงทุน,8.การวิเคราะห์ทางการเงิน | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3112 | Finance | ข้อใดเป็นข้อดีของ Unit Linked | a. เสียโอกาสในการลงทุน
b. เป็นแบบประกันควบการลงทุน
c. ไม่สามารถรับรองผลตอบแทนจากการเลือกลงทุนได้
d. เบี้ยประกันสามารถลดหย่อนภาษีได้บางส่วน | ข้อที่ถูกต้องได้แก่ b. เนื่องจาก เพราะ "เป็นแบบประกันควบการลงทุน" เป็นข้อดีของ Unit Linked
ข้อดีของ Unit Linked ได้แก่
- เป็นแบบประกันควบการลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าแบบประกันสะสมทรัพย์หรือออมทรัพย์ทั่วไป
- ไม่ต้องปวดหัวกับการเลือกกองทุน เนื่องจากบริษัทกำหนดให้เลือกลงทุนในกองทุนที่กำหนดให้เท่านั้น
- กรณีเสียชีวิต ได้รับความคุ้มครองสูงสุดระหว่าง มูลค่ากรมธรรม์ กับ ทุนประกันภัย หรือ ให้ความคุ้มครองสูงสุดเท่ากับทุนประกันภัย + มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ตามข้อกำหนดของแต่ละบริษัท)
- ใช้สำหรับเติมเต็มความคุ้มครองสูงสุด 120 เท่า ของเบี้ยประกันภัย (ตามข้อกำหนดของแต่ละบริษัท)
- มีบริการสับเปลี่ยนกองทุนอัตโนมัติฟรี (จำกัดจำนวนครั้งตามข้อกำหนด) ช่วยให้ผู้ลงทุน หรือ ผู้เอาประกัน สามารถรักษาสัดส่วนการลงทุนได้ตลอดการลงทุน | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3174 | Finance | ถ้านักลงทุนอยากจะได้กองทุนหุ้นที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลาย ๆ ตัว การลงทุนในกองทุน passive fund อาจจะเป็นคำตอบมากกว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นแบบ active เนื่องจากอะไร | 5 คำถามยอดฮิต กับการลงทุนในกองทุนรวม LTF/RMF
สวัสดีครับ นักลงทุนในกองทุนรวมทุกท่านครับ เมื่อเดือน ตุลาคม มาถึง ก็หมายความว่าเราเข้าใกล้ช่วงเทศกาลของการลงทุนใน LTF/RMF กันอีกแล้วนะครับ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านยังคงรอคอยการลงทุนในช่วงปลายปีแบบนี้เหมือนเดิม ยิ่งเป็นปีที่มีการต่อขยายอายุ LTF ออกไปอีก เป็น 7 ปี ปฏิทิน หรือ ถ้าเราซื้อกองทุนปลาย ๆ ปีหน่อย ก็จะทำให้ตามระยะเวลาการถือครองจริง ๆ เหลือเพียง 5 ปี นิด ๆ เท่านั้น ก็เลยทำให้นักลงทุนหลายคนจะซื้อกองทุนตอนช่วงปลายปีนี้มีมากขึ้น ซึ่งถ้าพูดถึงการบริหารภาษีและ บริหารสภาพคล่อง ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าการซื้อ LTF/RMF นั้น ไม่ได้มีแค่แง่มุมของการลดหย่อนภาษีเท่านั้นนะครับ ยังประเด็นของการลงทุน และความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวอีกด้วยนั่นเอง ดังนั้นวันนี้ผมจะมาตอบคำถามยอดฮิตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีทั้ง 2 ตัวกัน ทั้งในแง่มุมของผลตอบแทน ความเสี่ยง ระยะเวลาการลงทุน และเรื่องอื่น ๆ เพื่อให้ครบทุกองค์ประกอบ เพื่อที่นักลงทุนจะเพิ่มแนวทางในการตัดสินใจในการลงทุนกับ LTF/RMF มากขึ้นไปอีกนะครับ ถ้าอยากทราบแล้ว ก็ตามมาได้เลยครับ 1.) ซื้อกองทุน LTF หรือ RMF ก่อนดี ? คำถามนี้ เรียกได้ว่าเป็นปัญหาโลกแตกครับ เหมือนกับ ไก่ กับ ไข่ อะไรจะเกิดก่อนกันเลยทีเดียว แต่คนส่วนมาก มักจะเลือกลงทุนกับกองทุน LTF ก่อนเสมอ ๆ เลย เนื่องจากระยะเวลาที่สั้นกว่า แถมยังไม่ต้องซื้อกองทุนติดต่อกันทุกปี เหมือนกับ RMF อีกด้วย โดยถ้านักลงทุนมองเพียง มุมมองของเรื่องระยะเวลาการลงทุนที่สั้น และ ข้อผูกผันทางการลงทุนของกองทุน 2 ประเภทนี้แล้ว แน่นอนว่า LTF ย่อมเป็นคำตอบแรก ๆ ในใจของหลาย ๆ คน แต่ถ้าให้พูดถึงประโยชน์ของกองทุน RMF แล้วละก็ ผมคิดว่า ให้ประโยชน์ต่อนักลงทุนได้มากกว่า เพราะว่า มีกองทุนหลายระดับความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้มากกว่าทำให้นักลงทุนเอง สามารถที่จะจัดพอร์ตการลงทุนระยะยาวได้อย่างดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น กว่าการลงทุนในกองทุน LTF ที่สัดส่วนส่วนใหญ่ จะเป็นการลงทุนในหุ้น รวมถึงเนื่องจากมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานจนถึงเกษียณ รวมถึงต้องลงทุนติดต่อกันทุกปี (จริง ๆ จะซื้อปีเว้นปีก็ได้) จึงทำให้เกิดวินัยในการลงทุนมากกว่า คำตอบ – ผมจึงคิดว่า ถ้าใครอยากจะลงทุนให้ได้ประโยชน์มีเงินเก็บพอใช้หลังเกษียณแล้วละก็ กองทุน RMF นั้น น่าจะเป็นคำตอบมากกว่ากองทุน LTF โดยถ้าใครคิดว่าเรื่องเกษียณเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ แล้วละก็ ควรจะลงทุนกับกองทุน RMF ให้เต็มสิทธิ์ก่อน จากนั้น มีเงินเหลือ ค่อยลงทุนกับกองทุน LTF ครับ หรือ จะผสมผสานกองทุน LTF/RMF เข้าด้วยกันในพอร์ตเพื่อการเกษียณก็ได้ (เอา LTF เป็นสัดส่วนการลงทุนในหุ้นของพอร์ต และ RMF เป็นสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ แทน) สิ่งสำคัญคือ ผมยังคงเจอนักลงทุนหลาย ๆ คนที่ คิดว่าสิ่งที่ผมแนะนำนั้น แปลก ๆ หรือ ดูแล้วไม่ค่อยดี เพราะว่า RMF นั้นขายไม่ได้ ทำให้สภาพคล่องไม่มี เกิดฉุกเฉินต้องใช้เงินจะทำอย่างไร ? ซึ่งถ้าจะพูดถึงประเด็นนี้แล้วละก็ ถ้าหากคุณต้องการใช้เงินแบบด่วน ๆ ตัวกองทุน LTF เองก็ติดข้อจำกัดนี้เหมือนกันเพราะว่าก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีการลงทุนอย่างต่ำ 7 ปี ปฏิทิน จึงจะขายออก มาได้ และอีกมุมมองที่น่าสนใจคือ การที่นักลงทุนกังวลถึงเรื่องสภาพคล่องที่เกิดขึ้นหลังจากการลงทุนไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า นักลงทุนเองก็มีการบริหารสภาพคล่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เช่น มีเงินฉุกเฉิน ไม่มากพอ หรือ มีการเตรียมการ หรือ มีการวางแผนการเงินไม่ดีพอนั่นเองครับ งั้นสิ่งเริ่มต้นที่นักลงทุนควรทำ ก็คือ การวางแผนการเงินเบื้องต้น เช่น เรื่องค่าใช้จ่าย หรือ เตรียมเงินฉุกเฉิน ให้พร้อมเสียก่อนจะลงทุนนะครับ 2.) ซื้อกองทุน LTF ปลายปีดีจริง หรือไม่ ? ผมมักจะเห็นนักลงทุนส่วนใหญ่จะชอบลงทุนในกองทุน LTF ช่วงปลายปี ในเดือน ธันวาคมอยู่เสมอ ๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลาย ๆ คนไม่ได้วางแผนไว้เสียแต่เนิน ๆ ว่า จะซื้อกองทุนเมื่อไหร่ และอย่างไร จึงมักจะชอบไป “วัดดวง” ในช่วงปลายปีว่ากองทุนจะปรับตัวลดลง และเข้าซื้อกันในช่วงนั้นให้ทัน จึงทำให้กระแสเงินสดที่ไหลเข้าสู่กองทุน LTF ในเดือนธันวาคมนั้น มากกว่าทั้งปีรวมกัน ! แค่ก็คงพอจะทำให้ เราจะทราบแล้วครับว่า ส่วนใหญ่ราคากองทุนมักจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า นักลงทุนเองซื้อกองทุนพร้อม ๆ กันในช่วงปลายปีนั่นเอง คำตอบ – จากการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 15 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในกองทุน LTF ปลายปีนั้น จะได้หน่วยลงทุนที่ราคาต่ำกว่าการซื้อเฉลี่ยทุกเดือนหรือ ซื้อต้นปี เพียงแค่ 4 ปี เท่านั้น ส่วน 11 ปีที่เหลือนั้น ถ้าเราซื้อกองทุนปลายปีก็มักจะได้ของแพง นักลงทุนในกองทุนรวมทั้งหลายคงจะได้คำตอบแล้วใช่ไหมครับว่า เราจะซื้อกองทุน LTF ช่วงไหนดี แต่ถ้าไม่แน่ใจจริง ๆ ก็ทำ DCA ไปเลยครับผม 3.) กองทุน LTF ถือตั้ง 7 ปี ดีจริง หรือไม่ ? เป็นอีกคำถามยอดฮิตของปีนี้ครับ เนื่องจากว่ากองทุน LTF นั้นเพิ่งจะเริ่มต้นต่ออายุ และเพิ่มเงื่อนไขคือ ต้องถือเพิ่มเป็น 7 ปีปฏิทิน (ในทางปฏิบัติ คือ 5 ปีหน่อย ๆ ถ้าเราซื้อกองทุนปลายปี) หลาย ๆ คนคงมีคำถามในใจว่า ทำไมมันต้องถือ 7 ปีด้วย 5 ปีเหมือนเดิมมันก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ (ได้เงินมาใช้ได้เร็วดี) คำตอบ – การให้ระยะเวลาการลงทุน กับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น หรือว่ากองทุนหุ้นนั้น จะทำให้มีโอกาสในการขาดทุนลดลงอย่างมากครับ โดยกองทุนหุ้นเอง ถ้าหากเราลงทุนระยะยาว ๆ 5-7 ปีขึ้นไปได้แล้วละก็ โอกาสในการขาดทุนก็จะลดลงอย่างมาก คล้ายกับกราฟแท่งที่ได้จาก JP Morgan ที่ได้ทำผลตอบแทนย้อนหลังแบบ Rolling Return ไว้นั่นเองครับ และโดยในปี 2008 ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงถึง 45% ครับ และใช้เวลาประมาณ 20 เดือน จึงจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ และให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นเราจะเห็นว่า “เวลา” คือเพื่อแท้ของนักลงทุนจริง ๆ 4.) เลือกกองทุน LTF หลาย ๆ กองทุนดีจริงหรือไม่ อันนี้เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจมาก ๆ ผมเคยเจอกับนักลงทุนที่ชอบที่จะ “หว่านแห” ประมาณว่า กองทุนไหนที่เป็น Top Ten ในปีที่ผ่าน ๆ มา ก็ซื้อหมด หรือ เพื่อน ๆ บอกว่ากองทุนไหนดีก็ “จัด” กองทุนนั้นมาอย่างไม่รีรอ และหวังว่า การลงทุนกระจาย ๆ แล้วจะได้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งไม่ใช่ครับ เมื่อเราลงทุนในกองทุนหลาย ๆ กองทุน อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้ของกองทุนก็จะลดลง แถมการกระจายความเสี่ยงอาจจะไม่ได้ผล เนื่องจากบางกองทุน มีนโยบายการลงทุนที่คล้าย ๆ กัน ทำให้มีการเลือกหุ้นที่คล้ายกัน หรือบางครั้งก็เป็นตัวเดียวกันเสียด้วย ดังนั้น ต่อให้เราซื้อกองทุนหุ้น ๆ กองทุน ความเสี่ยงก็อาจจะไม่ได้ลดลงไปด้วยนั่นเองครับ ถ้านักลงทุนอยากจะได้กองทุนหุ้นที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลาย ๆ ตัวแล้วละก็ การลงทุนในกองทุน passive fund อาจจะเป็นคำตอบมากกว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นแบบ active ครับ เนื่องจากมีการลงทุนในหุ้นตามสัดส่วนขนาดของตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนระยะยาวที่ได้ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลยละครับ แถมค่าธรรมเนียมก็ถูกลงอีกต่างหาก (กองทุน active ประมาณ 1.3-1.5% ขึ้นไป แต่กองทุน passive อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1%) ตัวอย่าง การเปรียบเทียบการซื้อกองทุนหลาย ๆ กองทุน กับซื้อกองทุนเพียงกองทุนเดียว และกับกองทุนประเภท Passive Fund ติดต่อกันทุกปี เป็นเวลา 10 ปี (ปีละ 1 แสนบาท) คำตอบ – ซื้อกองทุนหุ้น หรือ กองทุน LTF ที่ดี ควรจะซื้อไม่เกิน 2 กองทุน และ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเลือกกองทุนที่มีการดำเนินนโยบายแตกต่างกันออกไป เพื่อกระจายความเสี่ยง แค่นี้ก็น่าจะพอเพียงแล้วครับ (แต่กองทุนที่เลือกลงทุนเพียง 1-2 กองทุนนั้น ก็ควรที่จะเป็นกองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย หรือไม่ก็เลือกเป็นกองทุน Passive ไปเลยก็ได้) 5.) กองทุน LTF ออกใหม่ น่าสนใจ หรือ ตัวเก่าดีกว่ากัน หลาย ๆ ท่านคงมีคำถามนี้ในใจ เมื่อเห็นกองทุนที่ออกมาใหม่ ๆ ในช่วงนี้อย่างแน่นอน ว่าไอ้ตัวเก่าที่ถืออยู่ยังดีอยู่ไหม หรือว่า กองทุนตัวใหม่ กองทุนน้องใหม่ที่ออกมาจะดีกว่ากันแน่ เหมือนรักพี่เสียดายน้อง รักพ่อ เสียดายแม่ (ไม่เกี่ยว) ประเด็นนี้ ผมคงต้องบอกว่า การจะเลือกกองทุนที่เปิดมานานแล้ว หรือว่ากองทุนที่ออกมาใหม่นั้น จะขึ้นกับความสามารถในการคัดกรองกองทุนของ นักลงทุนเอง เพราะว่า ถ้าเป็นกองทุนที่ออกมาใหม่ ๆ นั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นกองทุนที่มีแนวทางการเลือกหุ้น หรือสินทรัพย์ที่ แปลกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กองทุน Low Beta , Low Vol, กองทุนเน้นหุ้นเล็ก , กองทุนหุ้นต่างประเทศ Long -Short ,กองทุน Smart Beta และอื่น ๆ อีกมากมายที่กำลังจะทยอยออกมากันอีกเรื่อย ๆ ที่ดูแล้วน่าสนใจ หากนักลงทุนเข้าใจถึงกระบวนการการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ ก็พอจะคาดเดา แนวโน้มของผลตอบแทนได้บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี ดังนั้นก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ส่วนกองทุนเก่า ๆ นั้นเองก็ไม่ได้แย่ และมีผลตอบแทนย้อนหลังให้เราได้เห็น อย่างน้อย ๆ ก็พิสูจน์ แล้วว่า การบริหารกองทุนแบบที่เป็นอยู่นั้น มัน Work ! คำตอบ – ดังนั้นในกรณีที่นักลงทุนยังไม่มีความชำนาญ ผมแนะนำว่า ให้เลือกกองทุนที่มีผลตอบแทนย้อนหลังที่ตราวจสอบได้น่าจะดีกว่า ในกรณีของผู้ที่เข้าในนโยบาย และขั้นตอนการบริหารงานกองทุนอย่างถ่องแท้ หรือ ผู้ที่รู้ว่า กองทุนที่ออกใหม่นั้น บังเอิญมีนโยบายการลงทุนคล้ายกับกองทุนทุนหุ้นอื่น ๆ ที่มีการลงทุนมานาน ที่พอจะคาดเดาได้ว่า ผลตอบแทนที่ได้น่าจะใกล้เคียงกันกับกองทุนที่เปิดมาก่อนหน้านี้ ก็สามารถที่จะลงทุนได้ แต่ก็ต้องมีการติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดครับ ข้อยกเว้น – กองทุนที่ออกมาใหม่นั้น เป็นกองทุนประเภท passive fund ที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิง วิ่งขึ้นลงพร้อม ๆ กับดัชนีตลาดหุ้น ซึ่งไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ ก็จะให้ผลตอบแทนที่เท่า ๆ กัน หากลงทุนในระยะเวลาที่เท่ากัน ส่วนผลตอบแทนที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมาจากค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน หรือ การทำการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินครับ สุดท้ายนี้ ผมขอให้นักลงทุนทุกท่าน ลงทุนกับ LTF/RMF อย่างมีความสุข และอย่าลืมว่าต้องวางแผนการเงิน วางแผนภาษีให้ดีก่อนที่จะซื้อกองทุน LTF/RMF อยู่เสมอ ๆ นะคร้าบบบบ ขอให้โชคดีกับการลงทุนในกองทุนรวมนะครับ | ถ้านักลงทุนอยากจะได้กองทุนหุ้นที่กระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลาย ๆ ตัว การลงทุนในกองทุน passive fund อาจจะเป็นคำตอบมากกว่าการลงทุนในกองทุนหุ้นแบบ active
เนื่องจากมีการลงทุนในหุ้นตามสัดส่วนขนาดของตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนระยะยาวที่ได้ก็ไม่ได้น่าเกลียดเลย แถมค่าธรรมเนียมก็ถูกลงอีกต่างหาก (กองทุน active ประมาณ 1.3-1.5% ขึ้นไป แต่กองทุน passive อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1%)
การซื้อกองทุนหุ้น หรือ กองทุน LTF ที่ดี ควรจะซื้อไม่เกิน 2 กองทุน และถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเลือกกองทุนที่มีการดำเนินนโยบายแตกต่างกันออกไป เพื่อกระจายความเสี่ยง แค่นี้ก็น่าจะพอเพียงแล้ว (แต่กองทุนที่เลือกลงทุนเพียง 1-2 กองทุนนั้น ก็ควรที่จะเป็นกองทุนให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย หรือไม่ก็เลือกเป็นกองทุน Passive ไปเลยก็ได้) | 4.ข่าวเศรษฐกิจและการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3175 | Finance | สิ่งที่ผู้ศึกษาทฤษฎีผลประโยชน์ต้องรู้มีอะไรบ้าง | สิ่งที่ผู้ศึกษาทฤษฎีผลประโยชน์ต้องรู้
1.) ทฤษฎีนี้ไม่ได้อธิบายวิธีการเลือกตัวหุ้น แต่อธิบายว่าหุ้นขึ้นลงไปด้วยหลักการอะไร ถ้าเราเข้าใจเราจะรู้ได้ว่าเมื่อไรหุ้นกำลังจะขึ้น เมื่อไรหุ้นกำลังจะลง ในภาพใหญ่
2.) ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้เงินง่ายๆและทำกำไรในระบบตลาดการเงินได้ ซึ่งสอดคล้องกับกฎเหล็กของระบบทุนนิยมที่ว่า “เงินจะต้องหายาก เงินจึงจะมีค่า”
3.) ดังนั้นเป้าหมายของเราคือ เราจะเป็นคนส่วนน้อยที่ตัดสินใจตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการที่ใครๆก็ตัดสินใจเหมือนๆกันหมด (ซึ่งจะเกิดขึ้นนานๆที) แม้ว่าการตัดสินใจเช่นนั้นเราจะ “ผิด” ตามเหตุผลและข้อเท็จจริงทั้งหมดในขณะนั้น ก็ไม่เป็นไร
4.) เราให้คุณค่าของการได้เป็นคนส่วนน้อย สำคัญกว่าการถูกผิดตามเหตุผลก็เพราะ เหตุผลนั้นดิ้นได้และมีหลายด้านหลายมุม ราคาเดลื่อนไปทางไหนก็มีเหตุผลอธิบายได้ อีกทั้งราคายังกำหนดสถานการณ์ได้ด้วย ไม่ใช่สถานการณ์กำหนดราคาได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ผลประโยชน์หรือกำไรของคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ตายตัว และดิ้นไม่ได้ เมื่อไรที่คนส่วนใหญ่กลัวและขายกันหมด คนส่วนน้อยก็ย่อมกำลังซื้อหมด ในเม็ดเงินที่เท่ากับที่คนส่วนใหญ่ขาย (ซื้อเท่ากับขายเสมอ) และราคาก็จะเคลื่อนไปขึ้นในทิศทางที่คนส่วนน้อยได้ประโยชน์เท่านั้น จะเป็นอื่นไม่ได้ แม้จะขัดแย้งกับเหตผลในขณะนั้นก็ตาม
5.) ในเรื่องธุรกิจและอื่นๆ เราใช้เหตุผลตรงไปมาในการคิดได้ แต่ในการคาดการณ์ทิศทางราคาของตลาดเก็งกำไรต่างๆ (หุ้น, ทอง, currency, etc) ราคาไม่ได้กระทบกับสถานการณ์ เหตุผล ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา เสมอไป เราจึงคิดด้วยเหตผลตรงๆไม่ได้
6.) ทฤษฎีระบบผลประโยชน์ไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เหตุผล โดยตรง แต่จะวิเคราะห์ว่า คนอื่นๆกำลังวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นอย่างไร และจะตัดสินใจอย่างไร เราจะดูที่ตรงนั้น ที่การตัดสินใจของคน ถ้าส่วนใหญ่ขายกันหมด เราก็จะซื้อ ถ้าซื้อกันหมดเราก็จะขาย ถ้าคละๆกันไม่ชัดเจน เราก็จะไม่ทำอะไร
7.) ยังมีอีกวิธีที่จะชนะตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องรู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้น เมื่อไรหุ้นจะลง ไม่กะเก็งวงจรราคา โดยให้ focus ที่ศักยภาพของธุรกิจแทน เพราะวันหนึ่งราคาก็ย่อมขึ้นตามกำไรที่เติบโตขึ้นในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งคือหลักการลงทุนแบบ “Value Investing (VI)” | 1.) ทฤษฎีนี้ไม่ได้อธิบายวิธีการเลือกตัวหุ้น แต่อธิบายว่าหุ้นขึ้นลงไปด้วยหลักการอะไร ถ้าเราเข้าใจเราจะรู้ได้ว่าเมื่อไรหุ้นกำลังจะขึ้น เมื่อไรหุ้นกำลังจะลง ในภาพใหญ่
2.) ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้เงินง่ายๆและทำกำไรในระบบตลาดการเงินได้ ซึ่งสอดคล้องกับกฎเหล็กของระบบทุนนิยมที่ว่า “เงินจะต้องหายาก เงินจึงจะมีค่า”
3.) ดังนั้นเป้าหมายของเราคือ เราจะเป็นคนส่วนน้อยที่ตัดสินใจตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการที่ใครๆก็ตัดสินใจเหมือนๆกันหมด (ซึ่งจะเกิดขึ้นนานๆที) แม้ว่าการตัดสินใจเช่นนั้นเราจะ “ผิด” ตามเหตุผลและข้อเท็จจริงทั้งหมดในขณะนั้น ก็ไม่เป็นไร
4.) เราให้คุณค่าของการได้เป็นคนส่วนน้อย สำคัญกว่าการถูกผิดตามเหตุผลก็เพราะ เหตุผลนั้นดิ้นได้และมีหลายด้านหลายมุม ราคาเดลื่อนไปทางไหนก็มีเหตุผลอธิบายได้ อีกทั้งราคายังกำหนดสถานการณ์ได้ด้วย ไม่ใช่สถานการณ์กำหนดราคาได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่ผลประโยชน์หรือกำไรของคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ตายตัว และดิ้นไม่ได้ เมื่อไรที่คนส่วนใหญ่กลัวและขายกันหมด คนส่วนน้อยก็ย่อมกำลังซื้อหมด ในเม็ดเงินที่เท่ากับที่คนส่วนใหญ่ขาย (ซื้อเท่ากับขายเสมอ) และราคาก็จะเคลื่อนไปขึ้นในทิศทางที่คนส่วนน้อยได้ประโยชน์เท่านั้น จะเป็นอื่นไม่ได้ แม้จะขัดแย้งกับเหตผลในขณะนั้นก็ตาม
5.) ในเรื่องธุรกิจและอื่นๆ เราใช้เหตุผลตรงไปมาในการคิดได้ แต่ในการคาดการณ์ทิศทางราคาของตลาดเก็งกำไรต่างๆ (หุ้น, ทอง, currency, etc) ราคาไม่ได้กระทบกับสถานการณ์ เหตุผล ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา เสมอไป เราจึงคิดด้วยเหตผลตรงๆไม่ได้
6.) ทฤษฎีระบบผลประโยชน์ไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เหตุผล โดยตรง แต่จะวิเคราะห์ว่า คนอื่นๆกำลังวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นอย่างไร และจะตัดสินใจอย่างไร เราจะดูที่ตรงนั้น ที่การตัดสินใจของคน ถ้าส่วนใหญ่ขายกันหมด เราก็จะซื้อ ถ้าซื้อกันหมดเราก็จะขาย ถ้าคละๆกันไม่ชัดเจน เราก็จะไม่ทำอะไร
7.) ยังมีอีกวิธีที่จะชนะตลาดหุ้นได้ โดยไม่ต้องรู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้น เมื่อไรหุ้นจะลง ไม่กะเก็งวงจรราคา โดยให้ focus ที่ศักยภาพของธุรกิจแทน เพราะวันหนึ่งราคาก็ย่อมขึ้นตามกำไรที่เติบโตขึ้นในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ซึ่งคือหลักการลงทุนแบบ “Value Investing (VI)” | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3204 | Finance | 4 ปัจจัยกำหนดอัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (pbv) มีอะไรบ้าง | “PBV” ที่ดี…ต้องขึ้นกับอะไร?
4 ปัจจัยกำหนดอัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (pbv) มีอะไรบ้าง? อัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (PBV) เป็นวิธีการประเมินมูลค่าที่คนนิยมใช้กันเยอะ คำนวณง่ายๆจาก ราคาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น หรือเรียกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ก็ได้ การรู้ว่ามีปัจจัยอะไรที่ส่งผลกระทบกับอัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (PBV) จะทำให้เวลาเราวิเคราะห์หุ้นอ่านข้อมูลไปเรื่อย จะรู้ว่าหุ้นตั้วนี้ควรให้ราคาสูงๆ เป็นหลายเท่าของมูลค่าทางบัญชี BV หรือไม่ควรให้ค่าดี PBV = P/BV
เอา กำไร (E)ใส่ไปในสมการจะได้ PBV ประกอบด้วย PE และ ROE ดังนี้
=P/E x E/BV
=PE x ROE จะเห็นว่าคนที่มอง PV จะมองแยกเป็นสองส่วนคือ ส่วนแรก “คุณภาพของบริษัท” ว่าบริษัทนั้นสามารถทำกำไรกลับมาให้ผู้ถือหุ้นเท่าไร ดูจาก ROE จาก Dupont system อัตราส่วน ROE สามารถแยกส่วนประกอบ ออกได้เป็น อัตรากำไรสุทธิ (NPM) อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset turnover : AT) และ Financial leverage หรือ สินทรัพย์รวม(TA)/ส่วนของผู้ถือหุ้น (TE) =PE x NPM x AT x (TA/TE)
=PE x NPM x AT x ((Debt+TE)/TE)
=PE x NPM x AT x (DE ratio + 1)…(1) ส่วนที่สอง “การให้ค่าของตลาด” หุ้นแต่ละตัวตลาดให้ค่าไม่เท่ากัน ยิ่งตลาดชอบใจ เป็นกระแสนิยมตลาดก็ให้ค่าสูง ดูได้จากอัตราส่วน PE ว่าในปัจจุบันราคาเทรดเป็นกี่เท่าของกำไร ยิ่ง PE สูงแปลว่าตลาดให้ค่ามากๆ โดยจากองค์ประกอบทั้งสองส่วนหลัก สามารถแย่งเป็นปัจจัยที่มากระทบได้ดังนี้
(ส่วนใครเกลียดสมการคณิตสาสตร์ ก็อ่านข้ามไปตรงส่วนอธิบายได้เลยนะครับ) 1.) ความสามารถในการทำกำไร จากงบกำไรขาดทุนเรารู้ว่า
กำไรสุทธิ = กำไรขั้นต้น – ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร – ดอกเบี้ยภาษี ดังนั้นอัตรากำไรสุทธิ (NPM) เท่ากับ
NPM = กำไรสุทธิ / รายได้ (กำไรขั้นต้น – ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร – ดอกเบี้ยภาษี)/รายได้
กระจายรายได้เข้าไปในวงเล็บจะได้
= GPM – %ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ -%ดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้
โดยที่ GPM คืออัตรากำไรขั้นต้น แทนค่าเข้าไปในสมการที่ 1 ให้งงเล่นจะได้
PBV = PE x (GPM- %ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ -%ดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้ ) x asset turnover x (1+de)……..(2) แสดงว่าบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงๆ และคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นสัดส่วนคงที่จะทำให้อัตรากำไรสูง และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น บริษัทที่อัตราขั้นต้นสม่ำเสมอได้ ต้องมีความสามารถในการแข่งขั้นระดับหนึ่ง ตลาดไม่แข่งกันลดราคา ไม่ผลิตหรือขายสินค้าที่เป็น Commodity เพราะราคาขายจะขึ้นๆลงๆตามตลาด สินค้าพวกแฟชั่นก็ต้องระวังเพราะถ้าจัดการสต็อกไม่ดี อาจต้องมาขายเลหลังราคาถูกๆ หรือต้องตั้งสำรองขาดทุนสินค้าคงเหลือทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำลงอีก บริษัทที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้คงที่ แสดงว่ารายได้เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน แสดงว่าบริษัทนี้ต้องมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ค่อนข้างคงที่ คือมีกำไรทำให้ทุนเพิ่มก็กู้เงินมาเพิ่มในสัดส่วนเดียวกัน เอาเงินไปลงทุนแล้วสร้างรายได้เพิ่มทันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น สรุปง่ายๆว่าถ้าอ่านงบแล้วเห็นว่าอัตรากำไรสม่ำเสมอก็แปลว่าตลาดชอบและให้มูลค่าสูง 2.) ความสามารถในการสร้างเงินสด บริษัทที่ดีจะมีสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดออกมาสม่ำเสมอ ไม่ใช่ซื้อมากองๆไว้ไม่ใช้งาน แบบนั้นตลาดไม่ชอบ
จากสมการ… asset turnover = ยอดขาย / สินทรัพย์
ให้
สินทรัพย์ = เงินสด + ลูกหนี้ + สินค้าคงเหลือ + ที่ดินอาคารอุปกรณ์
ดังนั้น
asset turnover = ยอดขาย / (เงินสด + ลูกหนี้ + สินค้าคงเหลือ + ที่ดินอาคารอุปกรณ์)
= 1 / (เงินสด + ลูกหนี้ + สินค้าคงเหลือ + ที่ดินอาคารอุปกรณ์)/ยอดขาย
= 1/(เงินสด/ยอดขาย + ลูกหนี้/ยอดขาย + สินค้าคงเหลือ/ยอดขาย + ที่ดินอาคารอุปกรณ์/ยอดขาย)
ให้ อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า = ยอดขาย/ลูกหนี้การค้า อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ = ต้นทุนขาย/สินค้าคงเหลือ
= (ยอดขาย x (1-GPM)) / สินค้าคงเหลือ
ดังนั้น ยอดขาย / สินค้าคงเหลือ
= ((ยอดขาย x (1-GPM)) / สินค้าคงเหลือ) x (1/(1-GPM))
= อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ x (1/(1-GPM)) อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร = ยอดขาย/ที่ดินอาคารอุปกรณ์ =1/ (เงินสด/ยอดขาย) + (1/อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า) + ((1-GPM)/อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ) + (1/อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)
ดังนั้น แทนค่าเข้าไปในสมการที่ 2 ให้งงเล่นจะได้
PBV = PE x (GPM- %ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ -%ดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้ ) x (1/ (เงินสด/ยอดขาย) + (1/อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า) + ((1-GPM)/อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ) + (1/อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)) x (1+de)……..(3) จากสมการแสดงว่า บริษัทที่มี PBV สูงๆ สินทรัพย์จะต้องถูกใช้งานทั้งหมด ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่กองๆไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ ตั้งแต่ลูกหนี้ต้องเก็บเงินได้ไม่มีลูกหนี้ค้างจนทำให้ระยะเวลาเก็บหนี้สูงขึ้น สินค้าคงเหลือต้องขายออก ไม่ควรค้างสต็อก โดยเฉพาะสินค้าพวกแฟชั่น หรือสินค้าเทคโนโลยีต้องระวัง เพราะถ้าจัดการสต็อกไม่ดี อาจต้องมาขายเลหลังราคาถูกๆ หรือต้องตั้งสำรองขาดทุนสินค้าคงเหลือทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำลงอีก ส่วนอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร สูงๆดีแปลว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปสร้างรายได้ได้เยอะ ถ้าเทียบกันบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวรสูงๆ ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายเท่ากันเวลาลงทุนจะใช้เงินน้อยกว่า เมื่อใช้เงินน้อยกว่าก็แปลว่าค่าเสื่อม ค่าดำเนินงานต่างๆก็จะต่ำกว่า จุดคุ้มทุนก็จะต่ำกว่าบริษัทที่อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวรต่ำๆ โดยเปรียบเทียบ 3.) เรื่องของหนี้สิน จากสมการที่ 1 =PE x NPM x AT x (DE ratio + 1)…(1)
จะเห็นว่า บริษัทที่ DE สูงๆ ทำให้ ROE สูง และตลาดจะให้ค่า PBV ของหุ้นตัวนั้นสูงขึ้น เพราะเหมือนรวยด้วยเงินคนอื่น แต่ข้อควรระวังคือถ้าเพิ่มหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็จะมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายสูงขึ้นเนื่องจาก ดอกเบี้ยจ่ายสูง และบริษัทไม่สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานมาเลี้ยงดอกเบี้ยได้ทัน แล้วก็เจ้งไป ยิ่งบริษัทหนี้สินเยอะๆ ความเสี่ยงบริษัทก็ยิ่งสูง ค่า beta หรือความผันผวนของราคาก็ยิ่งเยอะ ไปกระทบทำให้บริษัทเทรดใน PE ที่ต่ำลง PBV ก็ต่ำลงด้วย 4.) PE ratio กับ PBV หุ้น PE สูงแปลว่าตลาดให้ค่ากับบริษัทนั้นมาก เมื่อลองแยกองค์ประกอบจะพบว่า
จาก ทฤษฎีการประเมินมูลค่าด้วยการคิดลดกระแสเงินสด (Dividend discount model) P = เงินปันผล/(k-g) k คือผลตอบแทนที่คาดหวัง g คือการเติบโต P = (อัตราปันผลจากกำไรxกำไร)/(k-g)
P/กำไร = อัตราปันผลจากกำไร/(k-g)
ดังนั้น
pe = อัตราปันผลจากกำไร / (k-g) แทนค่าเข้าไปในสมการที่สามให้งงเล่น เพิ่มเติม PBV = (อัตราปันผลจากกำไร / (k-g)) x (GPM- %ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ -%ดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้ ) x (1/ (เงินสด/ยอดขาย) + (1/อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า) + ((1-GPM)/อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ) + (1/อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)) x (1+de)……..(4) แปลว่าบริษัทที่ตลาดให้ค่า PE สูงๆ ค่า PBV ก็จะสูงด้วยโดยปัจจัยที่ทำให้ PE สูงประกอบด้วย บริษัทจ่ายปันผลจากกำไรได้เยอะๆ บริษัทที่จะสามารถจ่ายปันผลจากกำไรได้สูงและสม่ำเสมอจะต้อง มีกำไรสม่ำเสมอ และมีคุณภาพกำไรคือ กำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนใกล้เคียงกับ เงินสดจากการดำเนินงาน (CFO) และบริษัทไม่ต้องมีโครงการลงทุน CAPEX มาก และรักษาระดับหนี้สินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก็จะมีเงินเหลือมาจ่ายปันผลได้เยอะ และสม่ำเสมอ
การเติบโต บริษัทที่เติบโตสูง PE ก็จะสูง แต่ก็ต้องคอยดูบ่อยๆว่ายังโตได้แค่ไหน ตอนนี้อยู่ช่วงไหนของอุตสาหกรรมแล้ว กำลังโตช้าลงหรือเปล่า อยู่ที่ vision ของนักลงทุน และความสามารถในการจัดการของผู้บริหาร
ผลตอบแทนที่คาดหวัง (k) ถ้าลงทุนแล้วให้ผลตอบแทนน้อยกว่า k ก็ไม่ลงทุนอยู่บ้านนอนเกาพุงดีกว่า ให้ k = riskfree + reskpremium risk free คือผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงมองเป็นผลตอบแทนขั้นต่ำคือ พันธบัตรรัฐบาท 1 ปีเป็นฐาน และบวกด้วย ความเสี่ยงส่วนเพิ่มเข้าไปเพราะเล่นหุ้นมันเสี่ยงกว่าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้ว
risk premium ที่บวกเพิ่ม อาจมาจาก ค่าเบต้า (beta) เป็นความผันผวนของราคาหุ้นเทียบกับ set หรือ อุตสาหกรรม ก็ว่ากันไป และยิ่ง บริษัทเติบโตสูง หรือมีหนี้มาก ๆ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่ม risk premium ก็ยิ่งเพิ่ม ทำให้ k เพิ่ม และ PE ก็จะต่ำลง พา PBV ต่ำลงไปด้วย สรุปว่าบริษัทที่ ดูดี งบสวย มีอนาคตไกลเติบโตดี มูลค่ากิจการจะดี จบ 🙂 ที่มาบทความ : | 4 ปัจจัยกำหนดอัตราส่วนราคาต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (pbv) มีดังนี้
1.) ความสามารถในการทำกำไร
จากงบกำไรขาดทุนรู้ว่า กำไรสุทธิ = กำไรขั้นต้น – ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร – ดอกเบี้ยภาษี แสดงว่าบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงๆ และคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นสัดส่วนคงที่จะทำให้อัตรากำไรสูง และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น บริษัทที่อัตราขั้นต้นสม่ำเสมอได้ ต้องมีความสามารถในการแข่งขั้นระดับหนึ่ง ตลาดไม่แข่งกันลดราคา ไม่ผลิตหรือขายสินค้าที่เป็น Commodity เพราะราคาขายจะขึ้นๆ ลงๆ ตามตลาด สินค้าพวกแฟชั่นก็ต้องระวัง เพราะถ้าจัดการสต็อกไม่ดี อาจต้องมาขายเลหลังราคาถูกๆ หรือต้องตั้งสำรองขาดทุนสินค้าคงเหลือทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำลงอีก
บริษัทที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้คงที่ แสดงว่ารายได้เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน แสดงว่าบริษัทนี้ต้องมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ค่อนข้างคงที่ คือ มีกำไรทำให้ทุนเพิ่มก็กู้เงินมาเพิ่มในสัดส่วนเดียวกัน เอาเงินไปลงทุนแล้วสร้างรายได้เพิ่มทันดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น สรุปง่ายๆ ว่าถ้าอ่านงบแล้วเห็นว่าอัตรากำไรสม่ำเสมอก็แปลว่าตลาดชอบและให้มูลค่าสูง
2.) ความสามารถในการสร้างเงินสด
บริษัทที่ดีจะมีสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดออกมาสม่ำเสมอ ไม่ใช่ซื้อมากองๆ ไว้ไม่ใช้งาน แบบนั้นตลาดไม่ชอบ บริษัทที่มี PBV สูงๆ สินทรัพย์จะต้องถูกใช้งานทั้งหมด ไม่มีสินทรัพย์ไหนที่กองๆ ไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ ตั้งแต่ลูกหนี้ต้องเก็บเงินได้ไม่มีลูกหนี้ค้างจนทำให้ระยะเวลาเก็บหนี้สูงขึ้น สินค้าคงเหลือต้องขายออก ไม่ควรค้างสต็อก โดยเฉพาะสินค้าพวกแฟชั่น หรือสินค้าเทคโนโลยีต้องระวัง เพราะถ้าจัดการสต็อกไม่ดี อาจต้องมาขายเลหลังราคาถูกๆ หรือต้องตั้งสำรองขาดทุนสินค้าคงเหลือทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำลงอีก
ส่วนอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร สูงๆ ดีแปลว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปสร้างรายได้ได้เยอะ ถ้าเทียบกันบริษัทที่มีอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวรสูงๆ ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายเท่ากันเวลาลงทุนจะใช้เงินน้อยกว่า เมื่อใช้เงินน้อยกว่าก็แปลว่าค่าเสื่อม ค่าดำเนินงานต่างๆ ก็จะต่ำกว่า จุดคุ้มทุนก็จะต่ำกว่าบริษัทที่อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวรต่ำๆ โดยเปรียบเทียบ
3.) เรื่องของหนี้สิน
จากสมการที่ 1 =PE x NPM x AT x (DE ratio + 1)…(1) จะเห็นว่า บริษัทที่ DE สูงๆ ทำให้ ROE สูง และตลาดจะให้ค่า PBV ของหุ้นตัวนั้นสูงขึ้น เพราะเหมือนรวยด้วยเงินคนอื่น แต่ข้อควรระวังคือ ถ้าเพิ่มหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็จะมีความเสี่ยงที่จะล้มละลายสูงขึ้นเนื่องจาก ดอกเบี้ยจ่ายสูง และบริษัทไม่สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานมาเลี้ยงดอกเบี้ยได้ทัน แล้วก็เจ๊งไป ยิ่งบริษัทหนี้สินเยอะๆ ความเสี่ยงบริษัทก็ยิ่งสูง ค่า beta หรือความผันผวนของราคาก็ยิ่งเยอะ ไปกระทบทำให้บริษัทเทรดใน PE ที่ต่ำลง PBV ก็ต่ำลงด้วย
4.) PE ratio กับ PBV
หุ้น PE สูงแปลว่า ตลาดให้ค่ากับบริษัทนั้นมาก เมื่อลองแยกองค์ประกอบจะพบว่า จาก ทฤษฎีการประเมินมูลค่าด้วยการคิดลดกระแสเงินสด (Dividend discount model)
P = เงินปันผล/(k-g)
k คือผลตอบแทนที่คาดหวัง
g คือการเติบโต
P = (อัตราปันผลจากกำไรxกำไร)/(k-g)
P/กำไร = อัตราปันผลจากกำไร/(k-g)
ดังนั้น pe = อัตราปันผลจากกำไร / (k-g)
แทนค่าเข้าไปในสมการที่สาม เพิ่มเติม
PBV = (อัตราปันผลจากกำไร / (k-g)) x (GPM- %ค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้ -%ดอกเบี้ยและภาษีต่อรายได้ ) x (1/ (เงินสด/ยอดขาย) + (1/อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า) + ((1-GPM)/อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ) + (1/อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ถาวร)) x (1+de)……..(4) | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3208 | Finance | ขายหมู หมายถึงอะไร | ก. นักลงทุนไม่มีหุ้นในพอร์ตการลงทุนเลย
ข. ขายหุ้นออกจนหมด
ค. การที่รีบขายหุ้นไปในราคาที่ต่ำ เมื่อขายหุ้นออกไปแล้ว ราคาหุ้นนั้นยังเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างต่อเนื่อง
ง. การขายขาดทุน | คำตอบได้แก่ ค. เพราะว่า ขายหมู หมายถึง การที่รีบขายหุ้นไปในราคาที่ต่ำ เมื่อขายหุ้นออกไปแล้ว ราคาหุ้นนั้นยังเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้เงินน้อยกว่าที่ควรเป็น หากรอสักนิดก็จะได้เงินมากขึ้น การขายหมู มักมาพร้อมกับอารมณ์การเสียดาย แบบว่ารู้งี้ไม่น่ารีบขายเลย
เทคนิคการขายหมูที่ดีนั้น ทำได้โดยอาจจะตั้งเกณฑ์ไว้ในใจว่าหากหุ้นที่ถือไว้ ราคาได้ปรับขึ้นไป 20% แล้ว ค่อยทำการทยอยขายหุ้นออกไปสัก 50% ส่วนอีก 50% ถือไว้เพื่อรอดูทิศทาง
หากราคาหุ้นเริ่มลงก็ขายออกไปทั้งหมด หากราคาหุ้นขึ้นต่อ ก็สามารถได้กำไรเพิ่มขึ้น ไม่ได้ขายหมูทั้งหมดในครั้งเดียว โดยเปอร์เซ็นต์ของกำไร และสัดส่วนการขายหุ้นนั้น อยู่ที่นักลงทุนแต่ละคน ที่จะตั้งเกณฑ์เอาไว้ในใจ ว่าต้องการกำไรเท่าไร และขายออกไปสัดส่วนเท่าไร | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3237 | Finance | เมื่อไม่สามารถลองผิดลองถูกกับบางเรื่องอย่างมั่วๆ ได้ จะต้องคิดเผื่อเสมอว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุดสามารถเกิดอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเกิดขึ้นจะจัดการอย่างไร ซึ่งมีลำดับในการพิจารณาอย่างไรบ้าง | กล้าเสี่ยงเพราะรู้… หรือเพราะไม่เคยโดนกันแน่ ?
บทเรียนจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่ขับรถมา ผมเคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง บนถนนมิตรภาพ แถวโรงปูน TPI จ.สระบุรี วันนั้นฝนตกพอสมควร แต่รถยังวิ่งได้ 60-80 กม./ชม. เป็นปกติ ซึ่งทุกๆ คันก็ขับกันเร็วประมาณนั้น ความซวยบังเกิดในช่วงที่เข้าโค้งแล้วถนนลาดเอียง ผมวิ่งอยู่เลนขวาสุด ซึ่งมีน้ำขังอยู่มากพอดี รถทุกคันที่วิ่งผ่านตรงนั้น ต้องเบรกกันกะทันหัน ความซวยซ้ำสองก็เกิดเมื่อมีรถใหญ่วิ่งขนาบมาข้างซ้าย สาดน้ำสูงมากมาใส่รถทุกคันที่อยู่เลนขวาสุด จนมองไม่เห็นอะไร ยิ่งทำให้ทุกคนกระหน่ำเบรกกันหนักเข้าไปใหญ่ ณ ขณะนั้น ผมได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ว่าอาการที่รถมันไหลเหมือนเรือ คุมไม่ได้เลยมันเป็นยังไง คือมันไหลไปตามยถากรรมจริงๆ เร็วด้วย ก่อนที่จะไปปะทะกับรถอีกคัน ซึ่งก็กำลังไหลเหมือนกัน ทันทีที่กระแทก ลิ้นชักทุกอันในรถผมเปิดออกเองอัตโนมัติ ข้าวของทะลักออกมา หน้าอกผมกระแทกกับเข็มขัดนิรภัย (ดีนะที่รัด) รู้สึกช๊อค แต่ก็ยังโชคดีที่คันหลังๆ ไม่ได้มากระแทกบี้เราซ้ำอีก หลังจากบทเรียนครั้งนั้น ผมเป็นคนขับรถระวังขึ้นมาก โดยเฉพาะถ้าฝนตก ความระวังจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะเรารู้แล้วว่าพอถึงเวลาคับขัน ต่อให้เรามีสติพอ ก็อาจจะควบคุมรถไม่ได้ และต่อให้เราคุมได้ คันอื่นก็ใช่จะคุมได้ เราก็พลอยซวยด้วย แต่แทบทุกครั้ง ที่ผมกำลังระมัดระวังอยู่นั้น ผมก็มักจะโดนกดดันจากรถคันหลัง ทั้งกระพริบไฟสูงใส่บ้าง เร่งมากดดันบ้าง บีบแตรไล่บ้าง ซึ่งมันก็ชวนอึดอัดใจ ได้แต่ท่องว่า “มึงรีบมากก็หาทางแซงไปเอง แต่กูจะรักษาชีวิตและครอบครัวกู” พลอยคิดว่า “พวกมึงไม่เคยเจอสินะ” ถึงยังกล้ากันได้แบบนี้ เพราะถ้าพลาดขึ้นมา อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัวแล้วนะ แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องการเงินการลงทุนยังไง? ทีนี้ลองมองย้อนกลับมาที่เรื่องการเงินการลงทุน ซึ่งมันอาจจะไม่คอขาดบาดตายเท่าเรื่องขับรถ แต่มันก็เป็นหายนะต่อชีวิต ได้เหมือนกันเพราะมันก็มีความเสี่ยงใหญ่ๆ ที่ถ้าเกิดขึ้นแล้วเราจะเจ็บหนักอยู่ เอาเฉพาะที่ผมได้เคยสัมผัสกับตัวเอง และคนใกล้ตัว ไล่จากที่เบสิคๆ ไปจนถึงระดับที่ซับซ้อนขึ้นก็ เช่น… เอาเงินสวัสดิการยามเกษียณของพนักงาน หรือของตัวเองไปทุ่มลงทุนในหุ้นกู้เพียงฉบับเดียว เพราะดูแต่ดอกเบี้ยเป็นหลัก หุ้นกู้ไหนดอกเบี้ยสูงก็ลงตัวนั้น ยิ่งช่วงหลังมีหุ้นกู้แบบไม่มีอันดับเครดิต (Non-Rated Bond) ออกมาเยอะ ดอกสูงๆ กันทั้งนั้น พวกนี้ตราบใดที่ยังไม่มีปัญหาก็ยังยิ้มได้ แต่ถ้ามีปัญหาผิดนัดไม่จ่ายดอกเบี้ย ไม่จ่ายเงินต้นขึ้นมา จะแก้ยังไง ?
ออมเงินทั้งหมดในชีวิต (เคสที่ผมเจอนี่ยอดเงินเกินสิบล้าน) ไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่งให้ดอกเบี้ยและปันผลสูง ก่อนที่จะพบว่ามีปัญหาการทุจริต และถูกห้ามไม่ให้ถอน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน
ซื้อหุ้นบริษัทที่มีปัญหาการเงินด้วยเงินจำนวนมาก ก่อนที่หุ้นนั้นจะถูกห้ามเทรด โดยหวังว่าเมื่อกลับมาเทรดได้จะได้กำไรมหาศาลหลายสิบเด้ง แต่มันก็ไม่ได้กลับมาเทรดเสียที
ลงทุนแบบ DCA ในหุ้นรายตัวเพียงตัวเดียว ใช้หลักการยิ่งลงก็ยิ่งซื้อ ก็ยิ่งได้หุ้นเพิ่ม แต่กลายเป็นว่ายิ่งซื้อหุ้นมันก็ยิ่งลงต่อ ยิ่งทำนานเข้าก็ยิ่งสะสมความเสียหายมากขึ้นๆ ก็ยิ่งเพิ่มเงินลงทุนเพราะหวังจะถอนทุนคืนได้เร็วขึ้น แต่มันก็ยังไม่มีทีท่าจะขึ้นกลับมา แม้ตลาดหุ้นจะดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม
เทรดค่าเงินตามระบบ ซึ่งมีการ Back-Test ดูว่าเป็นระบบที่สามารถทำกำไรได้แค่ต้องมีวินัยซื้อขายตามนั้น ก็จะเหมือนได้เครื่องผลิตกระแสเงินสดอัตโนมัติสบายไปตลอดชาติ แรกๆ ก็เริ่มจากเงินน้อย ยิ่งทำยิ่งถูกต้อง ก็ยิ่งมั่นใจก็เพิ่มเงินมากขึ้น ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ จนในที่สุดระบบไปเจอ ภาวะตลาดที่พิสดาร เข้าให้ ส่งคำสั่งแล้วไม่ Match กลไกตัดขาดทุนเอาไม่อยู่ กลายเป็นต้องขาดทุนมหาศาล แน่นอนว่าทุกธุรกรรมที่ผมยกตัวอย่างมาด้านบน ล้วนมีคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จทั้งสิ้น แต่นั่นก็เป็นความจริงเพียงด้านเดียว เพราะอีกด้านคนที่เสียหายก็ไม่ได้มีโอกาสมาเล่าหรือแบ่งปันเรื่องราวความหายนะกันสักเท่าไหร่ ซึ่งเหตุการณ์ความเสียหายแบบนี้นั้น ถ้าโดนเข้าสักครั้งหนึ่งอาจทำให้ชีวิตสะดุดไปได้หลายปี “มันไม่ใช่เรื่องที่เราสามารถจะลองผิดลองถูกได้” เพราะอาจจะไม่ได้โชคดี มีโอกาสแก้ตัว เหมือนที่ผมได้รับบทเรียนจากอุบัติเหตุคราวนั้น แล้วควรทำอย่างไร? ในเมื่อเราไม่สามารถลองผิดลองถูกกับบางเรื่องอย่างมั่วๆ ได้ สำหรับผมเองเมื่อต้องเผชิญกับ “โอกาสที่อาจแฝงด้วยวิกฤติ” นั้น ผมจะต้องคิดเผื่อเสมอว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst-Case Scenario) มันสามารถเกิดอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเกิดขึ้นเราจะจัดการอย่างไร ซึ่งผมมีลำดับในการพิจารณาดังนี้ ถ้ามันมีโอกาสที่ผลลัพธ์มันจะผิดไปจากที่เราคิด แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวไม่ถาวร ถ้าอดทนรอไหวแล้วผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้ก็จะมีผลประโยชน์ที่ดีรออยู่ มัน มีโอกาสเลวร้ายได้มากขนาดไหน (How Deep) แล้วต้องรอนานแค่ไหน (How Long) ซึ่งก็ต้องหาข้อมูล เช่นศึกษาจากประวัติศาสตร์ และ/หรือ จากหลักวิชาการต่างๆ แบบที่ต้องไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป ถ้าเราตอบได้ แล้วเรารับได้ การตัดสินใจนั้นก็น่าเสี่ยงที่จะทำ ซึ่งถ้าเทียบเป็นการขับรถเร็วในตอนฝนตก ผมประเมินแล้วว่าเลวร้ายสุดคือตาย ดังนั้น ยังไงผมก็ไม่เสี่ยง
ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น แล้วเราจำเป็นต้องยุติหรือเข้าแทรงแซงความเสียหายนั้นกลางคัน เราสามารถทำได้หรือไม่ เช่น ถ้าเราเข้าลงทุนอะไรบางอย่าง แล้วต้องขายทิ้งแบบปัจจุบันทันด่วนให้ครบปริมาณที่เราซื้อไป สภาพคล่องมันมีเพียงพอมั๊ย เพราะสินทรัพย์บางอย่างโดยธรรมชาติเป็นของที่ซื้อง่ายขายยาก แม้อยากจะเลิกก็เลิกไม่ได้เสียแล้ว
โอกาสนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ และเราสามารถฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้หรือไม่ ถ้าทำได้เราอาจเริ่มต้นด้วยวงเงินที่ไม่มากก่อน ถือเป็นการทดลองเล็กๆ (Small-Scale Experiment) แบบที่ถ้าเสียหายหมดก็ไม่เป็นไร เพื่อที่เมื่อทดลองมากพอแล้ว เราจะได้ตอบตัวเองได้ว่าเราจะไปต่อ หรือว่ายุติมันไว้แค่นี้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา บางทีการปฏิเสธสิ่งที่ไม่แน่นอน เพื่อรักษากระสุน (เงินทุน เวลา หรือกำลังใจ) ไว้รับโอกาสที่มันชัดเจนจริงๆ ก็มีประโยชน์มากกว่า ซึ่งสุดท้ายไม่ว่าเราจะตัดสินใจยังไง มันก็จะมีคนที่กล้าเสี่ยงกว่าเราเสมอ เหมือนกับที่ตอนฝนตกก็จะยังมีคนที่กล้าขับรถเร็วๆ อยู่ดี สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่การมองไปที่คนเหล่านั้นตอนที่เค้า (อาจจะบังเอิญ) ประสบความสำเร็จแล้วมานึกเสียดาย ว่ารู้งี้เราทำบ้างก็ดี แต่คือการหันกลับมาพิจารณาตัวเราเองมากกว่า ว่าเราพร้อมหรือยังที่จะทำแบบนั้น เพราะถ้ายังไม่พร้อมแล้วเสี่ยงไปทำ ต่อให้ประสบสำเร็จมันก็อาจแค่ฟลุ๊ค และอาจทำให้เรา “มั่นใจตัวเองเกินเหตุ” ในครั้งถัดๆ ไป ซึ่งอาจจะไม่ฟลุ๊คอีกแล้วก็ได้ | เมื่อไม่สามารถลองผิดลองถูกกับบางเรื่องอย่างมั่วๆ ได้ จะต้องคิดเผื่อเสมอว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุดสามารถเกิดอะไรได้บ้าง แล้วถ้าเกิดขึ้นจะจัดการอย่างไร ซึ่งมีลำดับในการพิจารณาดังนี้
1. ถ้ามันมีโอกาสที่ผลลัพธ์มันจะผิดไปจากที่คิด แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวไม่ถาวร ถ้าอดทนรอไหวแล้วผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้ก็จะมีผลประโยชน์ที่ดีรออยู่ มันมีโอกาสเลวร้ายได้มากขนาดไหน (How Deep) แล้วต้องรอนานแค่ไหน (How Long) ซึ่งก็ต้องหาข้อมูล เช่น ศึกษาจากประวัติศาสตร์ และ/หรือ จากหลักวิชาการต่างๆ แบบที่ต้องไม่มองโลกในแง่ดีเกินไป ถ้าตอบได้ แล้วรับได้ การตัดสินใจนั้นก็น่าเสี่ยงที่จะทำ
2. ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น แล้วจำเป็นต้องยุติหรือเข้าแทรงแซงความเสียหายนั้นกลางคัน สามารถทำได้หรือไม่ เช่น ถ้าเข้าลงทุนอะไรบางอย่าง แล้วต้องขายทิ้งแบบปัจจุบันทันด่วนให้ครบปริมาณที่ซื้อไป สภาพคล่องมันมีเพียงพอไหม เพราะสินทรัพย์บางอย่างโดยธรรมชาติเป็นของที่ซื้อง่ายขายยาก แม้อยากจะเลิกก็เลิกไม่ได้เสียแล้ว
3. โอกาสนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นระยะ และสามารถฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้หรือไม่ ถ้าทำได้อาจเริ่มต้นด้วยวงเงินที่ไม่มากก่อน ถือเป็นการทดลองเล็กๆ (Small-Scale Experiment) แบบที่ถ้าเสียหายหมดก็ไม่เป็นไร เพื่อที่เมื่อทดลองมากพอแล้ว จะได้ตอบตัวเองได้ว่าจะไปต่อ หรือว่ายุติมันไว้แค่นี้ เพราะไม่จำเป็นต้องคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา บางทีการปฏิเสธสิ่งที่ไม่แน่นอน เพื่อรักษากระสุน (เงินทุน เวลา หรือกำลังใจ) ไว้รับโอกาสที่มันชัดเจนจริงๆ ก็มีประโยชน์มากกว่า | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3252 | Finance | ROE เท่าไหร่ถึงจะดี | null | ถ้าคิดว่า ROE สูงๆ สม่ำเสมอเป็นเรื่องดีแล้ว จะมีคำถามว่า แล้วระดับของ ROE ควรจะเป็นกี่ % ควรจะมากกว่า 20% ต่อเนื่อง เพราะ ROE ควรจะมากกว่า WACC เพราะ WACC คือ ต้นทุนของบริษัทที่เป็นการถัวเฉลี่ยระหว่างส่วนของทุนและเงินกู้ ซึ่งปกติแล้วต้นทุนของบริษัทมักจะอยู่ในระดับ 8-10% โดยเฉลี่ย ถ้าบริษัทมี ROE เพียง 5% เท่ากับว่าต้นทุนของบริษัทสูงกว่าผลตอบแทนที่บริษัททำให้กับผู้ถือหุ้นหรือ WACC>ROE ถ้าเป็นแบบนี้ไปนานๆ ผู้ถือหุ้นของบริษัทคงแทบไม่ได้อะไรเลย เข้าข่ายเป็นบริษัทประเภท destroy value ซึ่งบริษัทที่มีโครงสร้างลักษณะนี้ ส่วนใหญ่หุ้นจะต่ำ BV เยอะ แล้วคนถือหุ้น 3-5 ปี ก็จะแทบไม่ได้กำไร ส่วนใหญ่ขาดทุนด้วยซ้ำ ในทางกลับกันถ้าต้นทุนของบริษัทโดยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 8-10% ROE ที่สูงกว่าในระยะยาวก็ย่อมต้องสร้าง wealth ให้กับผู้ถือหุ้นได้สูงอย่างต่อเนื่อง โดยจะสนใจถ้าหุ้นมี ROE มากกว่า 20% ขึ้นไป เพราะว่ามากกว่าต้นทุนของบริษัทถึงสองเท่า แบบนี้ยิ่งถือนานก็ยิ่งดี
ถ้าบริษัทมองได้แต่ไม่จ่ายปันผลเลย ทุนของบริษัทจะกลายเป็น 1,200 ล้าน เพราะ 200 ล้านจะเป็นกำไรสะสมของบริษัท ถ้าบริษัทจะรักษา ROE 20% บริษัทจะต้องมีกำไรโต 20% ซึ่งกำไรจะเพิ่มจาก 200 ล้านเป็น 240 ล้าน ซึ่งจะทำให้บริษัทมี ROE ในปีต่อมาที่ระดับ 20%
หุ้น 20-30 ตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าถือระยะยาว เกือบทุกตัวจะมี ROE สูงสม่ำเสมอ เพราะการรักษา ROE ในระดับสูงได้นานๆ แสดงว่าการเติบโตของกำไรในระยะยาวจะต้องสูงด้วย และหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรระยะยาวสูงต่อเนื่อง ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ถือหุ้นจะมีความมั่งคั่งสูง แต่การดู ROE ก็ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีก ก็คือว่าถ้าบริษัทจ่ายปันผล 100% ของกำไรที่บริษัททำได้ แม้บริษัทจะกำไรไม่โต แต่บริษัทก็สามารถรักษา ROE ในระดับสูงได้ | 5.ความรู้ทางการเงิน | Open QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3253 | Finance | เพราะเหตุใด คนที่หวังจะมีผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้น ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการทำความเข้าใจการวิเคราะห์ธุรกิจ การประเมินมูลค่า ซึ่งเรื่อง stock selection เป็นเรื่องหนึ่งที่ถ้าจะให้ศึกษาลึกจริงๆ ต้องศึกษาได้ทั้งชีวิต | 1. ไม่มีสูตรตายตัวที่เหมาะสมกับทุกคน
2. จะได้วางแผนทางการเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
3. ไม่ว่าจะลงทุนในภาวะแบบไหน ก็จะมีคนที่ทำผลงานได้ดีกว่าเสมอ
4. เป็นความรู้ที่ทั้งลึก ทั้งกว้างมาก | คำตอบ คือ 4. คนที่หวังจะมีผลตอบแทนเหนือตลาดหุ้น ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการทำความเข้าใจการวิเคราะห์ธุรกิจ การประเมินมูลค่า ซึ่งเรื่อง stock selection เป็นเรื่องหนึ่งที่ถ้าจะให้ศึกษาลึกจริงๆ ต้องศึกษาได้ทั้งชีวิต เพราะมันเป็นความรู้ที่ทั้งลึก ทั้งกว้างมาก เรียกว่าความรู้แทบจะทุกอย่างในโลกใบนี้สามารถเอามาประยุกต์ใช้ในเรื่องการเลือกหุ้นได้ทั้งสิ้น
คนที่จะเอาดีทางนี้จริงๆ ต้องทุ่มเทเวลามากพอสมควร แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถ้าทุ่มเทมากพอ มันก็คุ้มค่าไม่น้อยเหมือนกันคนที่จะเอาดีจากการลงทุนในหุ้นได้จริงๆ จังๆ ต้องเป็นคนที่เปิดหูเปิดตา หาความรู้อยู่ตลอดเวลา และจะต้องรักการอ่าน และรู้สึกสนุกเมื่ออ่านเรื่องการของธุรกิจต่างๆ ทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว มิฉะนั้นจะทำมันได้ไม่นานหรอก เพราะมันเป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
สำหรับคนที่คิดว่าไม่เหมาะกับการเลือกหุ้นรายตัว ความรู้ด้านนี้ก็ไม่ลงลึกมากนัก สามารถเอาเงินไปลงทุนใน Index fund ดีกว่า แต่มีความรู้พื้นฐานเอาไว้บ้างก็ดี เพราะพื้นฐานของการวิเคราะห์หุ้นมันก็ช่วยให้เลือกกลยุทธ์ลงทุนใน Index fund ได้ดีขึ้น | 5.ความรู้ทางการเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3268 | Finance | ถ้าปัจจุบันมีเงินเก็บ 20 ล้านบาท อยากทราบว่าเราจะใช้เงินได้มากเท่าไหร่ และนานแค่ไหน | วันก่อนนี้ผมได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง มีผู้ฟังท่านหนึ่งฝากคำถามให้วิทยากรไว้ว่าอีก 1 ปีข้างหน้าจะเกษียณอายุแล้ว ปัจจุบันมีเงินเก็บ 20 ล้านบาท อยากถามว่าจะใช้เงินได้มากเท่าไหร่ และนานแค่ไหน เชื่อว่าหลายๆท่านที่จะเกษียณอายุอาจจะมีข้อกังวลแบบนี้เช่นกัน เราจึงต้องมีการบริหารเงินช่วงหลังเกษียณอายุ หรือที่เรียกว่า Post Retirement Financial Planning เพื่อให้เราสบายใจได้ว่าเราจะมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต
หลายๆท่านอาจคิดว่า โหย.. มีเงินตั้ง 20 ล้านบาท ไม่เห็นต้องกังวลอะไรแล้วเลย ใช้จ่ายได้สบายๆ ตลอดชีวิตแน่ๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายเราอาจใช้เงินก้อนนี้หมดก่อนที่เราจะเสียชีวิต หรือ อาจต้องมาลดระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตตอนอายุมากๆก็เป็นได้ แต่ถ้าเรากระเหม็ดกระแหม่มากเกินไป เราก็อาจไม่ได้ใช้เงินสมตามฐานะที่ควรจะเป็น ด้วยการมีเงินเก็บได้มากขนาดนี้ ผมก็เชื่อได้ว่ามาตรฐานการครองชีพของผู้ฟังท่านนี้คงไม่ได้แย่มากนัก หากไปจำกัดจำเขี่ยการใช้จ่ายมากเกินไป ชีวิตหลังเกษียณก็จะไม่มีความสุขเช่นกัน
เราลองมาดูกันนะครับว่าท่านผู้ฟังท่านนี้จะใช้เงินก้อนนี้ได้มากแค่ไหน และนานแค่ไหน เนื่องจากไม่มีข้อมูลมากนัก ดังนั้นผมจะใช้สมมติฐานอย่างระมัดระวัง เช่น ผู้ฟังท่านนี้ไม่มีความชำนาญด้านการลงทุนด้วยตัวเอง และไม่ชอบความเสี่ยง ดังนั้นพอร์ตการลงทุนจะเป็นแบบความเสี่ยงต่ำ
สมมติฐาน
เงินต้น 20 ล้านบาท
ผลตอบแทน 4% หลังหักภาษี
เงินเฟ้อ 3%
เงินก้อนนี้เป็นเงินส่วนตัว ไม่ต้องทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ทายาท
หากผู้ฟังท่านนี้ใช้จ่ายเงิน เดือนละ 50,000 บาท หรือ ปีละ 600,000 บาท จะสามารถใช้เงินได้นานถึง 40 ปี
หากใช้จ่าย เดือนละ 100,000 บาท หรือ ปีละ 1,200,000 บาท จะสามารถใช้เงินได้นานถึง 18 ปี
ปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกปัจจัยคือ อายุขัยที่คาดไว้ หากผู้ฟังท่านนี้ปัจจุบันอายุ 59 ปี (อีก 1 ปีข้างหน้าจะเกษียณ) และคาดว่าจะมีอายุขัยถึง 85 ปี (อย่าลืมว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยจะมากขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจุบัน อายุขัยเฉลี่ยผู้หญิง 78 ปี) หากเป็นเช่นนั้น ผู้ฟังท่านนี้อาจใช้จ่ายได้ระหว่าง 50,000 – 100,000 บาทต่อเดือน
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนหลังเกษียณ
Asset Allocation Yield % Port Yield (%)
หุ้น 7 20 1.4
ตราสารหนี้ 2.5 30 0.75
กองทุนอสังหาฯ 6 30 1.8
เงินสด/money market 1 20 0.2
Total 100 4.15
* ประมาณการผลตอบแทน รวมเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคา และเป็นผลตอบแทนหลังหักภาษีแล้ว
จะเห็นได้ว่าการใช้จ่ายเงินหลังเกษียณ 50,000-100,000 บาทต่อเดือน สำหรับชีวิตในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย แบบนึกอยากจะใช้อะไรก็ใช้ได้ตามใจชอบ อยากเที่ยวต่างประเทศ อยากช้อปปิ้งของแบรนด์เนม ก็อาจสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทำได้แบบเต็มที่ แต่ก็มีชีวิตที่สุขสบายได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามการวางแผนนี้ยังไม่ได้คำนึงถึง ค่ารักษาพยาบาลในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งจะมีมากถึง 90-95% ของค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลตลอดชีวิต ดังนั้นคำแนะนำเพิ่มเติม ท่านผู้ฟังท่านนี้จึงควรมีสวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาลให้เพียงพอ ด้วยการซื้อประกันสุขภาพ หรือกันเงินก้อนส่วนหนึ่งไว้เป็นค่ารักษาพยาบาลไว้จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย
คำพูดที่ว่า “น่าเสียดายที่ตายแล้วใช้เงินไม่หมด แต่น่าสลดที่เงินหมดแต่ยังไม่ตาย” เราทุกคนคงอยากเป็นแบบแรกกัน ดังนั้นเราจึงควรต้องวางแผนการเงินกันนะครับ | ถ้าปัจจุบันมีเงินเก็บ 20 ล้านบาท หากใช้จ่ายเงิน เดือนละ 50,000 บาท หรือ ปีละ 600,000 บาท จะสามารถใช้เงินได้นานถึง 40 ปี
หรือ หากใช้จ่าย เดือนละ 100,000 บาท หรือ ปีละ 1,200,000 บาท จะสามารถใช้เงินได้นานถึง 18 ปี
เมื่อใช้สมมติฐานว่า เงินต้น 20 ล้านบาท ได้ผลตอบแทน 4% หลังหักภาษี เงินเฟ้อ 3% และเงินก้อนนี้เป็นเงินส่วนตัว ไม่ต้องทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ทายาท | 5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3286 | Finance | แหล่งเงินทุนเพื่อเกษียณอายุนั้น ไม่ได้มีแค่การเก็บออมด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังมีแหล่งเงินทุนอื่นๆ เช่นอะไรบ้าง | 7 วิธีแก้ปัญหา… ถ้า “เป้าเกษียณ” ใหญ่เกินไป แล้วเงินลงทุนไม่พอ!
จากบทความใน Finnomena เรื่อง “โสด สวย รวย เริ่ด” เขียนโดยคุณเฟิร์น Wealth Me Up มีการยกตัวอย่างการวางแผนเกษียณอายุของสาวโสด อายุ 30 ปี ซึ่งมีใจความสำคัญว่า อายุปัจจุบัน 30 ปี วางแผนเกษียณอายุตอน 55 ปี (มีเวลาเตรียมตัว 25 ปี)
ต้องการใช้จ่าย ณ วันเกษียณเดือนละ 30,000 บาท ซึ่งเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ 3% ต่อปี พบว่า ณ วันเกษียณ (อีก 25 ปีข้างหน้า) ค่าใช้จ่ายดังกล่าว จะตกเป็นเงินเดือนละประมาณ 62,800 บาท (เพิ่มขึ้นเยอะมากๆ)
หากประเมินแบบง่ายๆ ว่า จะต้องใช้เงินจำนวน 62,800 ไปอีก 25 ปี ก็จะต้องมีทุนเกษียณประมาณ 18.8 ล้านบาท (ซึ่งคำนวณมาจาก 62,800 x 25 ปี x 12 เดือน = 18,840000 บาท)
โดยคุณเฟิร์นยกตัวอย่างว่าหากปัจจุบันมีเงินลงทุนอยู่แล้ว 200,000 บาท และสามารถลงทุนได้ผลตอบแทน 8.94% ต่อปี ก็จะต้องลงทุนเงินเพิ่มเดือนละ 15,000 บาทตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันเกษียณ จึงจะบรรลุเป้าหมาย
ซึ่งด้วยการที่ต้องออมมากขนาดนั้น อาจทำให้คนในวัย 30 จำนวนมาก ไม่สามารถออมและลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เพราะหากรายได้ไม่ได้สูงจริงๆ การจะออมเดือนละ 15,000 คงจะแทบเป็นไปไม่ได้ แต่เดี๋ยวก่อน… มันก็ยังพอมีทางออกอยู่บ้าง! ในบทความนี้ ผมได้สรุปแนวทางทั้งหมดมาให้อ่านกัน 7 แนวทาง ซึ่งแต่ละแนวทางก็จะเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งหมด บางคนอาจใช้ได้เพียงบางอย่าง แต่อย่างน้อย ได้รู้จักทางเลือกไว้ ก็ย่อมดีกว่าไม่รู้เป็นไหนๆ พร้อมแล้ว Scroll ลงไปอ่านได้เลยครับ 1. ลดรายจ่าย แนวทางนี้ถือเป็นการตอบแบบ “กำปั้นทุบดินที่สุด” ซึ่งใครๆ ก็คงคิดได้ แต่จะคิดลึกพอมั๊ย หรือ คิดแล้วสามารถทำได้จริงมั๊ย ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน ซึ่งในที่นี้เราคงไม่พูดถึงการลดค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ประเภทประหยัดแอร์ กินข้าวนอกบ้านน้อยลง ลดความบันเทิงส่วนตัวลง ฯลฯ เพราะถึงแม้ทำได้จริง แต่ก็อาจเห็นผลน้อย และทำถึงจุดหนึ่ง ก็สามารถล้มเลิกไปได้ง่ายๆ ที่อยากพูดถึงคือการลดรายจ่ายที่มี Impact มากๆ และเห็นผลค่อนข้างยาวนานกว่า เช่น การชะลอการใช้จ่ายรายการใหญ่ เช่น รถ บ้าน หรือการท่องเที่ยวดีๆ ออกไปก่อนสัก 3-4 ปี แล้วนำเงินที่จะใช้จ่ายนั้นมาเก็บรวมเป็นเงินก้อนเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นทุนเกษียณก่อน ในเวลา 3-4 ปี อาจสามารถเก็บเงินได้เป็นหลักล้าน เช่น ถ้าผ่อนรถเดือนละ 10,000 บาท ผ่อนบ้านเดือนละ 20,000 บาท ปีหนึ่งก็ตกเป็นเงิน 360,000 หากชะลอการซื้อไปได้สัก 3-4 ปี น่าจะมีเงินล้านอยู่กับตัวได้ ซึ่งเงิน 1 ล้านบาทนั้น หากบริหารดีๆ ให้โตไปซัก 8-10% ต่อปี ในเวลาประมาณ 20 ปี ก็จะโตเป็นร่วม 4-6 ล้านบาท น่าจะช่วยเติมทุนเกษียณได้ไม่น้อย (อ่านเพิ่มเติมถึงแนวคิดการชะลอการใช้จ่ายรายการใหญ่เพิ่มเติมได้ ที่นี่)
Refinance หนี้สินบางรายการให้มีค่างวดต่อเดือนลดลง เช่น ถ้ามีการซื้อบ้านไปแล้ว บางคนมีหนี้ผ่อนชำระต่อเดือนค่อนข้างสูง ทำให้ออมมากไม่ได้ อาจพิจารณาติดต่อธนาคารเพื่อปรึกษาว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับสัญญาใหม่ (หรือกู้ที่ใหม่ไปปิดที่เก่า) โดยให้มีวงเงินกู้ลดลง และให้มีระยะเวลาการผ่อนชำระยาวขึ้น โดยทั่วไปถ้าเราผ่อนบ้านมาสักระยะแล้ว ยอดหนี้ปัจจุบันจะต่ำกว่ายอดหนี้เดิม การ Refinance ในกรณีนี้ มักทำให้ค่างวดลดลงได้หลักหลายพันบาท/เดือน ทำให้สามารถนำค่างวดที่ลดลงนั้น มาลงทุนได้มากขึ้น แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสีย เพราะการจ่ายงวดน้อยลง ก็จะทำให้หนี้นั้นหมดช้าลงไปด้วย ตรงนี้ต้องเทียบผลตอบแทนแล้วครับ ว่าเราคิดว่าพอร์ตลงทุนเราระยะยาวๆ จะได้ผลตอบแทนขนาดไหน ถ้าได้มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้บ้านก็จึงถือว่าคุ้มค่า (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักในการตัดสินใจได้ ที่นี่)
ปรับเปลี่ยนประเภทกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่จากเดิมทำประกันแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งเบี้ยสูงขณะที่ผลตอบแทนต่ำ (ประกันสะสมทรัพย์ทั่วไป ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยแบบ IRR ประมาณไม่เกิน 2% ต่อปี) เราอาจพิจารณาเปลี่ยนเป็นประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้มครองเช่นแบบ Term หรือแบบ Whole Life ทำให้เบี้ยถูกลงแต่ยังได้ความคุ้มครองที่ดีอยู่ และนำเงินที่ประหยัดได้มาลงทุนเพิ่มเติมแทน ทั้งนี้ลองศึกษาเพิ่มเติมได้จากวีดีโอ ตอนนี้ นะครับ นอกจาก 3 ตัวอย่างนี้ ใครคิดอะไรออกอีก ก็สามารถแชร์มาได้ในช่อง Comment ด้านล่างนะครับ ถือว่าเป็นตัวอย่างให้กับเพื่อนๆ ท่านอื่นๆ ด้วย 2. เพิ่มรายได้ นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ “กำปั้นทุบดิน” ไม่แพ้ข้อแรก ซึ่งแม้จะทำได้ยากกว่า แต่หากทำได้พลังก็จะสูงมาก ซึ่งหากอ้างอิงจากแนวคิดเรื่อง “เงินสี่ด้าน” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ก็ต้องลองมาดูกันครับว่า แต่ละด้านเราทำอะไรได้ ซึ่งได้แก่ E : Employee รายได้จากงานประจำ ซึ่งผมได้พูดถึงแนวคิดการเพิ่มรายได้จากช่องทางนี้ไว้อย่างละเอียดแล้วในบทความชื่อ เป็นคนระดับไหน… รายได้ก็อยู่ระดับนั้น ลองคลิ๊กไปอ่านดูครับ
S : Self-Employed รายได้จากการเป็นนายตัวเอง (งานอิสระ) ตรงนี้ก็จะเหมาะกับคนที่มี Skill หรือ Specialization บางอย่างที่สามารถทำเพิ่ม หรือทำแทนงานประจำได้ (แนะนำว่าทำเพิ่มก่อน อย่าเพิ่งรีบทิ้งงานประจำเลยครับ) ซึ่งผมได้ยกตัวอย่างไว้หลายงาน ลองดูได้ในวีดีโอ ตอนนี้ นะครับ
B : Business รายได้จากธุรกิจที่มีระบบ ก็จะยากขึ้นกว่ารายได้แบบ S สักหน่อยตรงที่ ต้องทำให้มีระบบ คือมีรายได้เข้ามาได้ โดยที่เราเองก็ยังมีเวลาไปทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยได้ ในยุคสมัยใหม่นี้ หากให้ผมแนะนำก็อยากให้ลองพิจารณาธุรกิจที่อยู่ในรูปของ “ทรัพย์สินทางปัญญา” เพราะถือเป็นยุคที่มีตัวช่วยมากมายมหาศาล เช่น การทำ YouTube Channel ให้คนดูฟรีเพื่อสร้างรายได้จากค่าโฆษณา หรือการทำ Video Course ออนไลน์โดยเก็บค่าเรียน ก็มี Platform ที่ช่วยให้เราทำได้เยอะแยะมากมาย (บางแห่งยินดีช่วยเราผลิตเนื้อหาด้วยซ้ำ) รวมไปถึงการแต่งหนังสือ ซึ่งเราก็สามารถเริ่มจากการเขียน E-Book ขายใน Platform ของไทยก็ได้ หรือถ้ามีทักษะทางภาษาที่ดี การจะเขียนหนังสือขายใน Amazon ก็สามารถทำได้แล้ว โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรมากมาย และเมื่อทำสำเร็จ รายได้จากทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้ ก็จะเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องดูแลมาก (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่คุณภาพของงานเรา ว่าจะกินได้ยาวและยั่งยืนขนาดไหน)
I : Investment รายได้จากการลงทุน ซึ่งอาจจะโฟกัสไปที่การลงทุนที่สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) เพื่อนำกระแสเงินสดนั้น มาเพิ่มรายได้ต่อยอดให้เราออมได้เพิ่มขึ้น ตัวอย่างที่คนทั่วๆ ไปสามารถศึกษาและสามารถทำได้ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ซึ่งผมขอชี้ช่องให้ศึกษาได้จาก YouTube ตอนนี้ โดยโค้ชหนุ่ม The Money Coach น่าจะช่วยให้เห็นภาพมากขึ้น ว่ามีวิธีการและมีความเป็นไปได้แค่ไหน ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละวิธีการนั้น “ไม่ง่าย” แต่ก็ “เป็นไปได้” ลองศึกษาดูครับ ว่าเราทำอะไรได้ เพราะหากเดิมรายได้เราประมาณ 30,000 บาท หากสามารถเพิ่มรายได้ขึ้นมาซักหมื่นบาทนั้น พลังในการออมและการลงทุนของเราก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล และทำไปทำๆ มา มันอาจจะเพิ่มได้มากกว่านั้น แทนที่จะแค่เกษียณตอน 55 ได้ อาจจะทำได้เร็วกว่านั้นก็เป็นได้ 3. ปรับแผนและกลยุทธ์การลงทุน หากพิจารณาแล้วว่า รายจ่ายก็ลดไม่ไหว รายได้ก็เพิ่มไม่ได้ (อะไรจะขนาดนั้น) เราอาจต้องย้อนกลับมามองแผนการลงทุนของเราว่าปรับเปลี่ยนอะไรได้มั๊ย เช่น เปลี่ยนจากมุมคิดแบบ “ออมรายเดือน” เป็นการตั้งเป้าแบบ “ออมรายปี” เพราะถ้าออมรายเดือน เดือนละ 15,000 ทั้งปีก็ 15,000 x 12 = 180,000 บาท ถ้าเราออมรายเดือนไม่ไหว เราอาจออมได้แค่เดือนละ 8,000 บาท คิดเป็นทั้งปีก็ 8,000 x 12 = 96,000 บาท ยังขาดอีก 180,000 – 96,000 = 84,000 บาท ก็พยายามหามาเติมให้มันครบ เช่น นำโบนัสมาออมเพิ่ม หรือใครทำงานขายหากได้คอมมิชชั่นมาก็เอามาเติมให้ครบ
เริ่มจากออมน้อย แล้วค่อยๆ เพิ่มเงินออมขึ้นขึ้นภายหลัง ตัวอย่างเช่น วันนี้อาจออมได้แค่เดือนละ 5,000 บาท (ไม่ถึง 15,000) แต่หากตั้งเป้าว่าจะออมต่อเดือนเพิ่มขึ้นปีละ 10% ปีแรกก็ออม 5,000 ปีที่สองก็ 5,500 ปีที่สามก็ 6,050 ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีท้ายๆ ก็จะมีการออมมากขึ้นเพื่อชดเชยเงินออมที่น้อยในช่วงแรก ซึ่งก็สามารถบรรลุเป้าได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องทำรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในช่วงปีท้ายๆ ค่างวดรถ ค่างวดบ้าน ก็อาจจะลดลงหรือหมดไปแล้ว การจะออมเพิ่มในอัตราสูงๆ ก็น่าจะพอไปไหว ท่านใดอยากลองวางแผนการลงทุนในลักษณะที่ลงทุนในแต่ละช่วงไม่เท่ากัน ก็สามารถศึกษาได้จากวีดีโอ ชุดนี้ ครับ (มีไฟล์ Excel ให้ดาวโหลดไปใช้วางแผนด้วย)
ปรับพอร์ตการลงทุนให้มีผลตอบแทนสูงขึ้น วิธีนี้ก็พอทำได้ สำหรับคนที่มีทักษะและความรู้เพียงพอ ซึ่งก็ทำได้หลายลักษณะเช่น 1) ขยับไปลงทุนในหุ้นรายตัวซึ่งหากทำได้ถูกต้อง ควรจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในกองทุนหุ้น ส่วนมีโอกาสแค่ไหนนั้น ลองดูวีดีโอ ตอนนี้ ประกอบ หรือ 2) ปรับ Asset Allocation หรือสัดส่วนสินทรัพย์ในพอร์ตให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วง 10-15 ปีแรก อาจเน้นลงทุนในหุ้นเกือบทั้งหมด เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่คาดหวัง แล้วจึงค่อยไปลดความเสี่ยงลงในช่วงปีหลังๆ เมื่อระยะเวลาการลงทุนสั้นลง เป็นต้น ย้ำนะครับ… การเพิ่มผลตอบแทนนั้นพูดง่าย ทำยาก หากจะทำต้องมั่นใจจริงๆ ว่าเรามีทักษะ เพราะขนาดระดับปรมาจารย์อย่าง ดร.นิเวศน์ ท่านก็ยังให้หวังไม่เกินปีละ 15% ต่อปี ผมเห็นบางคนหวังกันปีละ 20-30% ก็กลัวแทน ว่าจะทำได้มั๊ย เพราะในการวางแผนนั้น เราควรวางแผนบน “ค่ากลางๆ” ที่มีความเป็นไปได้สูง มากกว่าจะ “หวังผลเลิศ” แล้วไปรู้ตัวอีกทีตอนที่สายเกินไปว่าทำไม่ได้นะครับ 4. เตรียมรายได้จากสินทรัพย์และช่องทางอื่นเพิ่มเติม ณ วันเกษียณ แหล่งเงินทุนเพื่อเกษียณอายุนั้น ไม่ได้มีแค่การเก็บออมด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว ยังมีแหล่งเงินทุนอื่นๆ เช่น เงินชดเชยจากกฎหมายแรงงาน สำหรับท่านที่ทำงานเอกชน ประมาณ 10 เท่าของเงินเดือนสุดท้าย (หากทำงานที่นั่นมาเกิน 10 ปี)
เงินบำนาญชราภาพจาก กองทุนประกันสังคม ซึ่งถ้าใครส่งประกันสังคมมาตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ ก็จะได้รับในอัตราประมาณเดือนละ 7,000 – 8,000 บาท หรือถ้าใครเป็นข้าราชการก็ยังได้รับบำนาญอยู่นะครับ อัตราที่ได้ก็อยู่ในระดับสูงทีเดียว
เงินก้อนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งก็จะเป็นเงินหลักล้านไปจนถึงหลายล้านขึ้นอยู่กับแต่ละคน ดังนั้น ใช่ว่าเราจะต้องเตรียมเงินด้วยตัวเองทั้ง 18.8 ล้านบาทตามที่ยกตัวอย่าง สำคัญคือเรารู้หรือไม่ว่าเรามี “สิทธิ์” อะไรบ้าง ณ วันเกษียณ ถ้ายังไม่รู้ผมแนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ “คนไทยฉลาดการเงิน” ซึ่งผมได้อธิบายไว้โดยละเอียดพร้อมวิธีคำนวณ ทั้งสวัสดิการของภาคเอกชน และภาครัฐ หรือถ้ายังไม่สะดวกอ่านก็สามารถดูวีดีโอได้ก่อน ที่นี่ ครับ ทั้งนี้ นอกจากแหล่งเงินทุนในระบบเหล่านั้นแล้ว เรายังมีทางเลือกในการเตรียม “รายได้หลังเกษียณ” เพิ่มเติมเช่น ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ อาทิ บ้านเช่า คอนโดให้เช่า ที่ดินให้เช่า ซึ่งในช่วงแรกของการลงทุนนั้น ค่าเช่าที่ได้รับมาอาจต้องนำไปชำระหนี้ค่างวดเป็นส่วนใหญ่ แต่ในระยะยาวเมื่อหนี้ลดลงไปมากหรือ หนี้หมดไป เราก็จะได้รายได้จากค่าเช่านั้นมาเป็นรายได้หลังเกษียณแบบเต็มๆ ซึ่งตรงนี้เหมือนการที่เราปลูกป่าเตรียมไว้ก่อน พอถึงเวลาต้องเก็บกินก็ได้กิน ซึ่งสำหรับคนที่มีรายได้จากค่าเช่าในวัยเกษียณ ก็อาจไม่ต้องเตรียมเงินมากถึง 18.8 ล้านก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ก็ขอให้เช็คด้วยนะครับ ว่าทรัพย์ของเรานั้น จนถึงวันเกษียณยังจะสามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ได้อยู่ 5. ปรับแผนลงทุนหลังเกษียณ กรณีแก้ช่วงก่อนเกษียณ (Pre-Retirement) ลำบาก การแก้ช่วงหลังเกษียณ (Post-Retirement) ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจากตัวอย่างที่ยกมาว่าต้องมีเงินทุนเกษียณ 18.8 ล้านบาทนั้น เกิดจากการตั้งสมมติฐานว่า หลังเกษียณเราจะไม่ลงทุนให้มีความเสี่ยงมากนัก คือจะลงทุนแค่ให้เงิน 18.8 ล้านบาทโตเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ 3% เท่านั้น ทำให้ต้องใช้เงินเยอะ แต่หากเราสามารถจัดพอร์ตหลังเกษียณให้มีอัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (โดยยังเสี่ยงขึ้นไม่มาก) เช่นสามารถลงทุนหลังเกษียณได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5-7% ต่อปี เงินลงทุนที่จำเป็นต้องใช้ก็อาจไม่ต้องมากถึง 18.8 ล้านบาทก็เป็นได้ ส่วนเรื่องว่าจะจัดยังไงนั้น ลองอ่าน บทความนี้ เป็นแนวทางได้ครับ 6. หารายได้หลังเกษียณ แนวทางนี้อาจมีหลายๆ คนร้อง “ยี้” เพราะทำงานมาตลอดชีวิตก็เหนื่อยอยู่แล้ว นี่เกษียณแล้วก็ยังจะต้องทำงานอีกอย่างนั้นหรือ ? แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ การมีรายได้เพียงพอใช้ตอนเกษียณโดยไม่ต้องทำอะไรมันก็คงดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ มันก็จำเป็นต้องทำ… อันที่จริงก็มีคนในวัยเกษียณมากมายที่ยังทำงานอยู่ บางคนนั้นไม่ได้ทำแค่เพราะมันจำเป็น แต่ทำเพราะมัน “สนุก” และทำให้ยังมี “ชีวิตชีวา” อยู่ ไม่แก่เร็วหมดพลังรีบตายไปเสียก่อน มีอาชีพมากมายที่คนในวัยเกษียณสามารถทำได้ โดยเฉพาะอาชีพที่ใช้แรงน้อยลง แต่ใช้ความเก๋า ใช้สติปัญญา ใช้ประสบการณ์ ใช้ความสัมพันธ์หรือเครือข่ายที่แต่ละคนมีมากขึ้น เช่น อาชีพที่ปรึกษา/วิทยากร/โค้ช นายหน้า นักเขียน ฯลฯ และในอนาคตเมื่อสังคมเคลื่อนเข้าสู่ภาวะ “สังคมผู้สูงอายุ” มากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าโอกาสทางอาชีพของคนในวัยเกษียณจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ นอกจากการทำงานเพื่อหารายได้หลังเกษียณแล้ว อาจมีแหล่งรายได้หรือวิธีการจัดการแบบอื่นๆ ที่เราคาดไม่ถึง เช่น การขายบ้านหรือขายทรัพย์ เพื่อนำมาเป็นทุนเกษียณ เช่น การขายบ้านใหญ่ หรือบ้านในเมือง ซึ่งมีความจำเป็นน้อยลงสำหรับชีวิตในวัยเกษียณ มาอยู่บ้านที่ขนาดเล็กลง บ้านชานเมือง หรือบ้านในต่างจังหวัด ก็อาจช่วยให้มีทุนเกษียณหลักล้านมาช่วย
ในต่างประเทศ มีแนวโน้มเกิดการแต่งงานครั้งที่ 2 (Second Marriage) เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งคือการแต่งงานของคนที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณหรือวัยเกษียณ อาจเพราะสามีหรือภรรยาเสียชีวิตไปก่อน หรือมีเหตุให้แยกทางกัน การแต่งงานครั้งที่ 2 มักเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย จึงช่วยให้คู่แต่งงานใหม่ในวัยชรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกว่าการอยู่คนเดียว และยังสามารถใช้บ้าน รถ หรือค่าใช้จ่ายบางอย่างร่วมกันได้ ทำให้ประหยัดขึ้น 7. ปรับลดเป้าเกษียณ วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ “รุนแรง” ที่สุด เพราะเหมือนเป็นการบอกให้ “ลดคุณภาพชีวิต” ลง ซึ่งก็อาจจะไม่เสมอไป เพราะบางครั้งเราวางแผนไว้ “เว่อร์” เกินไป การปรับลดเป้าเกษียณอาจหมายถึงการปรับเป้าหมายให้มีความ “สมจริง (Realistic)” มากขึ้น เวลาผมสอนเรื่องการวางแผนเกษียณ จึงมักต้องย้ำเสมอว่าให้คิดให้ดีๆ ว่าเราจะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงเกษียณอย่างไร ถ้านึกไม่ออกก็ลองดูจากญาติผู้ใหญ่ที่เรารู้จักประกอบไปด้วยก็พอช่วยได้ ยังไงเสียการวางแผนมันก็ต้องมีความผิดพลาดอยู่แล้ว แต่การคลาดเคลื่อนจากจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องที่สุด ย่อมดีกว่าการคลาดเคลื่อนไปจากจุดเริ่มต้นที่มั่วๆ มา ทั้งนี้เมื่อจะวางแผนลดรายจ่ายหลังเกษียณรายการไหนลง เราก็ควรต้องเตรียม “มาตรการ” ไว้รองรับด้วย เช่น หากจะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาพยาบาลลง มาตรการรองรับอาจได้แก่ การศึกษาสวัสดิการพื้นฐานของภาครัฐที่มีให้ เช่น ถ้าจะใช้บัตรทอง ก็ควรต้องรู้เกณฑ์ว่าใช้อย่างไร ต้องไปที่โรงพยาบาลไหน ครอบคลุมอะไรต่างๆ แค่ไหน รวมทั้งการตั้งใจดูแลสุขภาพเชิงป้องกันให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องอาหาร อารมณ์ การออกกำลังกาย ฯลฯ นั่นคือ ถ้าจะต้องเผชิญภัยจริงๆ อย่างน้อยเราก็ต้องเลี่ยงไม่พุ่งชนแบบจังๆ หลบได้ เบี่ยงได้ ก็ต้องพยายามทำให้มากที่สุด เพื่อลดความเสียหาย นอกจากนั้น ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ลดทุนเกษียณได้อย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือการ เลื่อนระยะเวลาเกษียณออกไป เช่นในกรณีนี้ การเลื่อนการเกษียณอายุ จากอายุ 55 ปีเป็น 60 หรือ 65 ปี จะช่วยให้เงินทุนที่ต้องเตรียมไว้หลังเกษียณลดลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ยังเพิ่มจำนวนปีให้เราสามารถเก็บออมและสะสมเงินทุนได้มากขึ้นด้วย ทางเลือกนี้สำหรับบางคนก็คงถือเป็นทางเลือกที่ “ไม่พึงประสงค์” เท่าไร เพราะเหมือนได้พักผ่อนในวัยเกษียณช้าลง แต่สำหรับบางคนอาจจะ Like เลยก็ได้ เพราะยังแข็งแรงหรือยังสนุกกับงานอยู่ รีบเกษียณไปก็ไม่รู้จะไปทำอะไร บางทีชีวิตเหี่ยวเฉาไม่ Active ไปดื้อๆ ก็มี บทสรุป จะเห็นว่าการวางแผนการเงินให้รัดกุมนั้น เราสามารถใส่รายละเอียดเข้าไปได้มากมาย ถ้าตันทางนี้ ก็ยังขยับทางโน้นได้เสมอ หรือกรณีเลวร้ายสุด ถ้าปรับอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยก็ได้รู้ล่วงหน้า จะได้เตรียมตัวเตรียมใจให้ถูก ดังนั้น ลองพิจารณาดูนะครับ ว่าสำหรับเราแล้ว เราจะเตรียมการอย่างไร แค่ไหน เพราะไม่มีใครที่วางแผนที่จะล้มเหลวหรอก… มีแต่จะล้มเหลวเพราะขาดการวางแผนเท่านั้น! สนใจให้ NTER ช่วยแนะนำสร้างเป้าหมายแผนการเงินของคุณ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่ ที่นี่ | 1. เงินชดเชยจากกฎหมายแรงงาน: สำหรับคนที่ทำงานเอกชน ประมาณ 10 เท่าของเงินเดือนสุดท้าย (หากทำงานที่นั่นมาเกิน 10 ปี)
2. เงินบำนาญชราภาพจากกองทุนประกันสังคม:
- ซึ่งถ้าใครส่งประกันสังคมมาตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ ก็จะได้รับในอัตราประมาณเดือนละ 7,000 – 8,000 บาท หรือ
- ถ้าใครเป็นข้าราชการก็ยังได้รับบำนาญอยู่ อัตราที่ได้ก็อยู่ในระดับสูง
3. เงินก้อนจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ: ซึ่งก็จะเป็นเงินหลักล้านไปจนถึงหลายล้านขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ดังนั้น ใช่ว่าจะต้องเตรียมเงินด้วยตัวเอง สำคัญคือรู้หรือไม่ว่ามี “สิทธิ์” อะไรบ้าง ณ วันเกษียณ
- ถ้ายังไม่รู้ แนะนำให้อ่านหนังสือชื่อ “คนไทยฉลาดการเงิน” ซึ่งได้อธิบายไว้โดยละเอียดพร้อมวิธีคำนวณ ทั้งสวัสดิการของภาคเอกชน และภาครัฐ หรือ
- ถ้ายังไม่สะดวกอ่านก็สามารถดูวีดีโอได้
ทั้งนี้ นอกจากแหล่งเงินทุนในระบบเหล่านั้นแล้ว ยังมีทางเลือกในการเตรียมรายได้หลังเกษียณเพิ่มเติม เช่นค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์์ อาทิ
- บ้านเช่า
- คอนโดให้เช่า
- ที่ดินให้เช่า
ซึ่งในช่วงแรกของการลงทุนนั้น ค่าเช่าที่ได้รับมาอาจต้องนำไปชำระหนี้ค่างวดเป็นส่วนใหญ่ แต่ในระยะยาวเมื่อหนี้ลดลงไปมาก หรือหนี้หมดไป ก็จะได้รายได้จากค่าเช่านั้นมาเป็นรายได้หลังเกษียณแบบเต็มๆ ซึ่งตรงนี้เหมือนการที่ปลูกป่าเตรียมไว้ก่อน พอถึงเวลาต้องเก็บกินก็ได้กิน
ซึ่งสำหรับคนที่มีรายได้จากค่าเช่าในวัยเกษียณ ก็อาจไม่ต้องเตรียมเงินมากก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ก็ขอให้เช็คด้วยว่าทรัพย์ของตนเองนั้น จนถึงวันเกษียณยังจะสามารถปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ได้อยู่ | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3308 | Finance | ทั้งๆ ที่ข้อมูลข่าวสารแพร่หลาย ส่งไลน์ ทวีตกันอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาคนก็รู้เรื่องกันหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี คืออะไร | A. คนที่กำไรในตลาดหุ้นมีสัดส่วนที่เท่าเดิม
B. การดูเส้นราคาเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average)
C. การดูรูปแบบของราคา (Chart Pattern)
D. การใช้จินตนาการ | คำตอบที่ถูกต้องได้แก่ A. เพราะว่า ทั้งๆ ที่ข้อมูลข่าวสารแพร่หลาย ส่งไลน์ ทวีต กันอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาคนก็รู้เรื่องกันหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี คือ คนที่กำไรในตลาดหุ้นมีสัดส่วนที่เท่าเดิม เพราะพฤติกรรมคนนั้นเหมือนเดิม และการใช้ Technical นั้นมีมานานหลายร้อยปีแล้วบนความเชื่อที่ว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอยนั้นมีจริง ตั้งแต่สมัยพ่อค้าญี่ปุ่นซื้อขายข้าว ก็จัดทำแพทเทิร์นหรือรูปแบบของราคาเก็บไว้ เทรดจนได้กำไร และมีพัฒนาการมาเป็นกราฟแท่งเทียน ที่เห็นกันในปัจจุบัน
แค่จ้องแต่กราฟ จ้องแต่สัญญาณ กลับสามารถทำกำไรได้ ก็เพราะคนพวกนี้ เขาเข้าใจในพฤติกรรมของคน พฤติกรรมของตลาด และมีวินัยอย่างสูงที่จะทำตามระบบที่ตัวเองตั้งไว้ คัทลอส เมื่อขาดทุน ขายทำกำไรเมื่อต้องขาย | 6.ข้อมูลการเงินรายบริษัท | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3321 | Finance | บทความใดเกี่ยวข้องกับการค้นหาแนวทางของตัวเอง เพื่อให้ภาพเส้นทางการลงทุนชัดขึ้น | 1. ความเหมือนที่แตกต่าง ของสุดยอดปรมาจารย์แห่งการลงทุน (Mangmaoclub)
2. เช็คความพร้อมก่อนการลงทุน (Mr.Messenger)
3. 4 ข้อที่ควรถามตัวเองในการเลือกวิธีลงทุน (Thailand Investment Forum)
4. นาฬิกาลงทุน (MR.Messenger) | คำตอบได้แก่ 3. เนื่องจาก เพราะบทความ "4 ข้อที่ควรถามตัวเองในการเลือกวิธีลงทุน (Thailand Investment Forum)" เกี่ยวข้องกับการค้นหาแนวทางของตัวเอง เพื่อให้ภาพเส้นทางการลงทุนชัดขึ้น
การลงทุนที่ดีนั้น ไม่ใช่ลงเพื่อกำไรเยอะๆ แต่ต้องตรงจุดประสงค์ต่างหาก ถ้าอยากจะเริ่มลงทุน ขอแนะนำให้อ่านบทความต่อไปนี้
- ไม่รู้จะเริ่มยังไง มาดู Checklist ง่ายๆ ก่อนลงทุนกับบทความ เช็คความพร้อมก่อนการลงทุน (Mr.Messenger)
- เพื่อให้ภาพเส้นทางการลงทุนชัดขึ้น ลองค้นหาแนวทางของตัวเอง ผ่านบทความ 4 ข้อที่ควรถามตัวเองในการเลือกวิธีลงทุน (Thailand Investment Forum)
- ไม่ใช่ทุกคนที่พร้อม อาจมีหนี้อยู่ ดังนั้น ลองไปถามกูรูดู เขาว่ายังไง ผ่านบทความ ยังมีหนี้อยู่ ควรออมหรือลงทุนไปด้วยไหม หรือควรชำระหนี้ก่อน? (A Academy)
- ควรจะศึกษาตัวอย่างผู้สำเร็จวิทยายุทธ์ ผ่านบทความ ความเหมือนที่แตกต่าง ของสุดยอดปรมาจารย์แห่งการลงทุน (Mangmaoclub)
- เข้าหลักพื้นฐานในการลงทุนเบื้องต้น ก่อนจะเลือกแนวทางต่อไป ผ่านบทความ นาฬิกาลงทุน (MR.Messenger)
หากอ่านจบแล้ว หรือรู้เรื่องอยู่แล้ว ถ้าค้นพบเส้นทางการลงทุนของตัวเองแล้ว ยังมีบทความดีๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนผ่านกองทุนรวม การลงทุนในหุ้น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้ และอื่นๆ อีกมากมาย | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Multiple choice | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3396 | Finance | ความตั้งใจของ QE คือ ต้องการผล 2 อย่าง ได้แก่อะไรบ้าง | 6 ปีก่อน โลกรู้จัก "QE" วันนี้โลกกำลังจะได้รู้จัก "QT"
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯดูดีและดูเหมือนจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับธนาคารกลางอยู่เพียงที่เดียวบนโลก ดีถึงขั้นที่เฟดบอกว่า ควรจะขึ้นดอกเบี้ยได้แล้ว … ปัญหาคือ ประเทศอื่นๆบนโลกนี้เศรษฐกิจไม่ได้ขยายตัวตามสหรัฐฯ และยังแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐฯในตอนนี้ ภาวะเช่นนี้ โลกเรียกว่า “Policy Divergence” กล่าวคือ มีเพียงแค่สหรัฐฯ (และอาจจะมีอังกฤษอีกที่) เท่านั้น ที่เศรษฐกิจกำลังจะขยายตัวและนำมาซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปี ส่วนประเทศอื่นๆบนโลกนี้ ยังต้องคงดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไป ใครที่เศรษฐกิจโตยังไม่ดี มีรูมให้ลดดอกเบี้ย ก็ตั้งน่าตั้งตาลดดอกเบี้ยกันไปครับ ปัญหาของสถานการณ์ ณ ตอนนี้ แท้จริงแล้วเกิดจากนโยบาย “QE” (Quantitative Easing) ของสหรัฐฯ นั้นหล่ะครับ ที่ทำให้โลกปั่นป่วน โลกปั่นป่วนเพราะ QE จริงหรือ? โลกปั่นป่วนเพราะ QE จริงหรือ? อธิบายอย่างนี้นะครับ ความตั้งใจของ QE คือ ต้องการผลสองอย่าง 1. คือ ทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า จนสามารถแย่ง Market Share การส่งออกในตลาดโลกกลับมา
2. คือ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมอยู่ในระดับต่ำ จนทุกคนโดนบังคับให้เอาเงินออกมาเสี่ยงลงทุนจำนวนมากอย่างที่โลกไม่เคยเจอภาวะนี้มาก่อน เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นได้จริงอย่างที่เฟดหวัง แต่ Side Effect ของการทำ QE มหาศาลก็คือ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มันเป็นการดึงการเติบโตจากที่อื่นบนโลกไปเป็นของตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือ นโยบาย QE มีผลดีต่อสหรัฐฯที่เดียวบนโลก ส่วนคนอื่นแย่ลงหมด อีก 3 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังพยากรณ์ไว้ว่าจะยังไม่เห็น World GDP Growth เกิน 4% ด้วยซ้ำ เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นได้จริงอย่างที่เฟดหวัง แต่ Side Effect ของการทำ QE มหาศาลก็คือ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มันเป็นการดึงการเติบโตจากที่อื่นบนโลกไปเป็นของตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือ นโยบาย QE มีผลดีต่อสหรัฐฯที่เดียวบนโลก ส่วนคนอื่นแย่ลงหมด อีก 3 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังพยากรณ์ไว้ว่าจะยังไม่เห็น World GDP Growth เกิน 4% ด้วยซ้ำ สาเหตุที่ถึงแม้ปริมาณเงินมหาศาลจะอยู่ในระบบ แต่กลับพบว่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพก็เพราะ เงิน QE ส่วนใหญ่นั้น มันถูกแปลงไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะตราสารหนี้ หรือตราสารทุน แต่กลับพบว่า QE วิ่งไปที่ Real Sector น้อยเหลือเกิน เศรษฐกิจจะโตได้อย่างยั่งยืน มันต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคตอย่างต่อเนื่องครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ QE กลับสร้างความร่ำรวยให้แก่นักลงทุนในตลาดหุ้น และเหล่าวานิชธนกิจ จำนวนแค่หยิบมือเท่านั้น ทุกคนรู้ครับ ว่า QE ของสหรัฐฯมันไม่เวิร์คต่อคนอื่น แต่ก็ไม่วาย คนอื่นที่มีปัญหา ก็วนกลับมาใช้ QE เช่นกัน เริ่มต้นที่อังกฤษ ไปที่ ญี่ปุ่น มาถึง ยุโรป ประเทศใดจะทำ QE ได้ ต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ 2 ประการครับ 1. สกุลเงิน ต้องเป็นสกุลที่เป็นที่ยอมรับของโลก และใช้อย่างกว้างขวาง 2. ขนาดเศรษฐกิจต้องใหญ่พอที่จะก่อหนี้จำนวนมากๆ และสัดส่วนการส่งออก ต้องใหญ่พอที่จะทำให้ผลของค่าเงินอ่อนค่า มาวิ่งกลับมาเป็นบวกต่อประเทศนั้นๆ (อันนี้ตอบคำถามหลายคนที่สงสัยว่าทำไมไทยเราทำ QE ไม่ได้นะครับ เพราะเราสอบตกที่ข้อ 1) … ใช่ครับ เหล่ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก พยายามทำให้ค่าเงินของตัวเองอ่อนค่า เพื่อดึง GDP Growth กลับมาเป็นของตัวเอง จากที่สหรัฐฯเคยดึงไปตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ปัญหาคือ วันนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯแสดงตัวออกมาชัดแล้วว่า แข็งแกร่ง และไม่ได้รับผลเชิงลบจาก QE ของเหล่าน้องๆทั้งหลาย อ้าว ไหนบอกว่า QE มันไม่เวิร์คต่อคนอื่น? แล้วใครที่โดนผลกระทบแทนสหรัฐฯ? อ้าว ไหนบอกว่า QE มันไม่เวิร์คต่อคนอื่น? แล้วใครที่โดนผลกระทบแทนสหรัฐฯ? เคราะห์กรรม จึงมาตกกับเหล่าประเทศโลกที่สาม ที่เขาพยายามยัดเยียดว่า เราคือ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets : EM) เพราะขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า เสียงที่เบากว่า และ เครื่องมือนโยบายการเงินที่น้อยกว่า… น่าเศร้านะครับ เคราะห์กรรม จึงมาตกกับเหล่าประเทศโลกที่สาม ที่เขาพยายามยัดเยียดว่า เราคือ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets : EM) เพราะขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่า เสียงที่เบากว่า และ เครื่องมือนโยบายการเงินที่น้อยกว่า… น่าเศร้านะครับ จริงๆแล้ว พี่ใหญ่ของตลาดเกิดใหม่ในแดนมังกร “จีน” ก็พยายามต่อสู้ด้วยการพยายามทำ QE อย่างเงียบๆเช่นเดียวกัน แต่ผลของมัน ก็อย่างที่เราเห็นครับ เศรษฐกิจจีนยังส่อเค้าว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จีนเลยงัดไม้ตายที่หนึ่ง นั้นคือ การลดค่ากลางเงินหยวน เพื่อปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า แบบตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องใช้เงินซักบาทอัดฉีดแบบ QE รู้งี้น่าทำตั้งนานแล้วเนอะ การลดค่ากลางเงินหยวน เพื่อปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า แบบตรงไปตรงมา ไม้ตายที่หนึ่งนั้น Side Effect ของมันคือ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงทันที เพราะจีนเป็นผู้นำเข้าสุทธิสินค้าประเภทนี้ เมื่อค่าเงินหยวนอ่อนค่า ก็แปลว่า การนำเข้า Commodity จากทั่วโลกควรจะลดลง เหล่าน้องๆในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ซึ่งเป็นผู้ส่งออกไปจีน จึงเจอความเสี่ยงชะลอตัวตามเศรษฐกิจจีนไปด้วยทันที เหมือนจีนจะรู้ว่าการลดค่าเงินหยวนตรงๆนั้น ผลตอบรับจากโลกตะวันตก ออกมาเป็นลบ และไม่เป็นที่พอใจต่อสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯนั้นเสียดุลการค้าให้จีนมานมนาน ดังนั้นพี่มะกันจึงบอกว่า เงินหยวนครับ พี่ควรจะแข็งค่านะครับ ไม่ใช่ว่า อ่อนค่ามากขึ้นไปอีก ดังนั้น การประกาศลดค่ากลางเงินหยวนแบบนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับครับ!! (แหม่ ทีตัวเองทำ QE ไม่มีใครยอมรับ พี่ยังทำเลย ชิชะ) “ไม่เป็นไรครับ” จีนบอกกับตัวเอง ว่าแล้วก็งัดไม้ตายที่สองออกมา อย่างที่ทราบกันนะครับว่า จีนเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศมากที่สุดในโลก และจำนวนไม่น้อยครับที่อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐผ่านการถือครอง US Treasury โดยถ้านับเป็น Single Country แล้ว จีนถือเป็นเจ้าหนี้ต่างประเทศอันดับหนึ่งของสหรัฐฯเลยทีเดียว (ถือคนเดียว 11% ของหนี้ที่สหรัฐฯก่อ) ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg บอกว่าในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา จีนได้ขายเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในสกุลดอลล่าร์ออกมา จำนวนราวๆ 100,000 – 150,000 ล้านดอลลาร์ ทีเดียว ตัวเลขนี้ เป็นตัวเลขขายสุทธิของธนาคารกลางซักที่บนโลกที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อนนะครับ คำถามคือ แล้วจีนมีเงินทุนสำรองอยู่เท่าไหร่ให้ขายได้อีก? คำถามคือ แล้วจีนมีเงินทุนสำรองอยู่เท่าไหร่ให้ขายได้อีก? คำตอบคือ สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ มีรายงานบอกว่า จีนมีเงินทุนสำรองเป็นสกุลต่างประเทศอยู่ร่วมๆ 3.69 ล้านล้านดอลลาร์ครับ!!! แปลว่า ถ้าจีนอยากจะขายอีก ยังมีให้ขายได้อีกเยอะเลยทีเดียว คำตอบคือ สิ้นไตรมาส 2 ปีนี้ มีรายงานบอกว่า จีนมีเงินทุนสำรองเป็นสกุลต่างประเทศอยู่ร่วมๆ 3.69 ล้านล้านดอลลาร์ครับ!!! แปลว่า ถ้าจีนอยากจะขายอีก ยังมีให้ขายได้อีกเยอะเลยทีเดียว อ้าว แล้วพี่จีนเค้าจะขายเงินทุนสำรองสกุลอื่นออกมาทำไม? อ้าว แล้วพี่จีนเค้าจะขายเงินทุนสำรองสกุลอื่นออกมาทำไม? จีนอยากให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า เพื่ออุ้มการส่งออกก็จริงครับ แต่การเปิดเผยเจตนาต่อชาวโลกแบบนี้ ก็ตกเป็นเป้าให้เหล่า Hedge Fund + กองทุนต่างประเทศ เข้ามาเล่นสงครามค่าเงินในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยการเร่งขายสินทรัพย์ในรูปสกุลหยวนออกมา ไม่ว่าจะจากตลาดหุ้น หรือตลาดค่าเงินก็ตาม ดังนั้น การที่จีนไปไล่ขายเงินทุนสำรองเป็นสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นสกุลหยวน ก็เพื่อต่อสู่ศัตรูที่มาจ่ออยู่ตรงหน้าบ้านนั้นเอง เพราะจีนอยากให้ค่าเงินอ่อนก็จริง แต่อยากให้อ่อนแบบค่อยไปค่อยไป และให้นักลงทุนในจีนออกไปลงทุนต่างประเทศ ไม่ใช่ให้นักลงทุนต่างชาติที่มาแสวงหากำไรแบบชุบมือเปิบมาทำให้เหตุการณ์มันแย่ลง ดังนั้น การขายเงินทุนสำรองครั้งนี้ ก็อาจทำในเชิงสัญลักษณ์ เพื่อขู่เหล่า Hedge Fund ว่า ถ้าเงินพวกคุณไม่มากพอเท่ากับที่ธนาคารกลางจีนมี เกมส์นี้ คุณจะยังกล้าเล่นกับเราอีกรึเปล่า? แต่ถ้า Hedge Fund ยังคิดสู้และเร่งขายหยวนอยู่ต่อเนื่อง ผมเชื่อว่า จีนพร้อมจะสู้ครับ และเป้าหมายของการขายเงินทุนสำรองของจีน จะทำให้เรารู้ว่าใครที่สู้กับเขาอยู่เมื่อเหล่าธนาคารกลางประกาศ Balance Sheet ออกมา (แต่ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นอเมริกา) Citi Research ได้มีการคำนวนโดยตั้งสมมติฐานว่า ทุกๆการเทขายพันธบัตรฯ 1% ของ GDP ของสหรัฐ จะมีโอกาสทำให้ US Treasury 10 Year เพิ่มขึ้น 0.15-0.35% สมมตินะครับว่า จีน ประกาศสงครามค่าเงินอย่างเป็นทางการ เร่งขายพันธบัตรสหรัฐฯต่อเนื่อง เอาซักครึ่งหนึ่งของที่ถืออยู่ หรือราวๆ 5% เท่ากับว่า US Treasury 10 Year จะมีโอกาสเพิ่มขึ้น 0.75-1.75% … นี่คือความเสี่ยงใหม่ของโลกทันทีครับ เพราะต้องถามกลับไปว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ พร้อมที่จะรับกับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเกือบๆ 50% จากระดับเดิมได้หรือไม่? และการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเช่นนี้ มีผลต่อ Bond Yield ทั้งโลก ทำให้ Fund Flow ปั่นป่วนแน่นอน ตอนนี้ ประเทศอื่นๆในตลาดเกิดใหม่ ที่สะสมเงินทุนสำรองในสกุล USD เยอะๆ เริ่มเอาอย่างพี่จีนด้วยการขายเงินทุนสำรองสกุลต่างประเทศ เพื่อพยุงค่าเงินตัวเองไม่ให้อ่อนค่ารุนแรงเช่นเดียวกันแล้ว การขายเงินทุนสำรองของเหล่าธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ นำโดยพี่จีนครั้งนี้ นักวิเคราะห์บอกว่า มันคือ Quantitative Tightening : “QT” การขายเงินทุนสำรองของเหล่าธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ นำโดยพี่จีนครั้งนี้ นักวิเคราะห์บอกว่า มันคือ Quantitative Tightening : “QT” เมื่อกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) สู้กับเศรษฐกิจตัวเองด้วย QE
กลุ่มตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Markets) ก็บอกว่า เราจะไม่ยอมให้คุณดูดการเติบโตของโลกไปเช่นเดิมอีกต่อไป โดยใช้ QT เมื่อกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) สู้กับเศรษฐกิจตัวเองด้วย QE กลุ่มตลาดกำลังพัฒนา (Emerging Markets) ก็บอกว่า เราจะไม่ยอมให้คุณดูดการเติบโตของโลกไปเช่นเดิมอีกต่อไป โดยใช้ QT สงครามค่าเงินเต็มรูปแบบ ได้เกิดขึ้นแล้วครับ Mr.Messenger รายงาน | ความตั้งใจของ QE คือ ต้องการผล 2 อย่าง ได้แก่
1. คือ ทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า จนสามารถแย่ง Market Share การส่งออกในตลาดโลกกลับมา
2. คือ ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมอยู่ในระดับต่ำ จนทุกคนโดนบังคับให้เอาเงินออกมาเสี่ยงลงทุนจำนวนมากอย่างที่โลกไม่เคยเจอภาวะนี้มาก่อน
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นได้จริงอย่างที่เฟดหวัง แต่ Side Effect ของการทำ QE มหาศาลก็คือ การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มันเป็นการดึงการเติบโตจากที่อื่นบนโลกไปเป็นของตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือ นโยบาย QE มีผลดีต่อสหรัฐฯ ที่เดียวบนโลก ส่วนคนอื่นแย่ลงหมด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังพยากรณ์ไว้ว่าจะยังไม่เห็น World GDP Growth เกิน 4% ด้วยซ้ำ
สาเหตุที่ถึงแม้ปริมาณเงินมหาศาลจะอยู่ในระบบ แต่กลับพบว่า ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพก็เพราะ เงิน QE ส่วนใหญ่นั้น มันถูกแปลงไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะตราสารหนี้ หรือตราสารทุน แต่กลับพบว่า QE วิ่งไปที่ Real Sector น้อยเหลือเกิน เศรษฐกิจจะโตได้อย่างยั่งยืน มันต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคตอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ QE กลับสร้างความร่ำรวยให้แก่นักลงทุนในตลาดหุ้น และเหล่าวานิชธนกิจ จำนวนแค่หยิบมือเท่านั้น | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3408 | Finance | Modified Duration คืออะไร | เลือกกองทุนรวมตราสารหนี้อายุสั้นหรือยาวดี?
สืบเนื่อง ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่า จนเป็นที่มาที่ทำให้เราเห็นมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติเล็กน้อย ว่า มาตรการที่เหมาะสมในการเข้ามาดูแลค่าเงินบาทคืออะไร กระทรวงการคลัง และภาคเอกชนบางส่วน ก็บอกว่า ให้ลดดอกเบี้ยลงมาหน่อย พอผลตอบแทนจากการลงทุนมันลดลง เดี๋ยวต่างชาติเขาก็ออกไปเอง แต่บางส่วน ก็บอกว่า ลดดอกเบี้ย มันไม่ได้ช่วยให้ต่างชาติไม่ขนเงินมาลงทุนในไทยได้มาก ต้องมีมาตรการอื่นประกอบกันไป หันไปดูกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว (มี Duration Port เกิน 1 ปี) ผลปรากฏว่า ผลการดำเนินงานย้อนหลังดูดี โดยอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน และ 6 เดือน ดีดตัวขึ้นมากว่า 0.5 – 1% จนทำให้ผลตอบแทนโดยรวม ดีกว่ากองทุนที่มีอายุโ๕รงการชัดเจนอย่างพวก 3 เดือน 6 เดือน หลายคนก็สงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักกับ Duration Port และปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางของ NAV ของกองทุนตรวมตราสารหนี้ครับ ปัจจุบัน duration ที่กองทุนใช้คำนวน เพื่อดูความเสี่ยงด้าน Interest Rate Risk กับอัตราดอกเบี้ย จะใช้ตัว “Modified Duration” Q : แล้ว Modified Duration คืออะไรหรือ?
A : อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่คงเหลืออยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งตัวเลขนี้จะบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาของตราสารหนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทน (Yield to Maturity) หรือดอกเบี้ยในตลาดเงิน Q : ขอแบบเข้าใจง่ายๆได้ป่ะ?
A : ได้ครับ duration ที่สูงๆ จะบอกเราว่า กองทุนนั้นๆ ถือตราสารอายุเฉลี่ยเท่าไหร่ในพอร์ต ( duration มีหน่วยเป็น ปี) ยกตัวอย่างเช่น duration ของ AYFMTFI เท่ากับ 1.25 ก็คือ อายุตราสารเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ปี กับอีก 4 เดือนกว่าๆ Q : แล้วมันดูยังไง ว่าดีไม่ดี?
A : Duration ที่ยาวๆ ก็คือมีตราสารในมืออายุยาวๆ และอีกนานกว่าจะครบกำหนด ถ้าในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น กองทุนที่มี duration port ยาวๆ ก็จะมีการปรับตัวลดลงของ NAV บ้างครับ ส่งผลให้ผลตอบแทนลดลงด้วย เพราะดันไปล็อคผลตอบแทนไว้แล้วไงครับ ยกตัวอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนที่กองทุนล็อคไว้คือ 5%ถ้วน ถ้าแบงค์ชาติประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาด กองทุนที่มีอายุตราสารเท่ากัน และความเสี่ยงเท่ากัน ก็ต้องไม่ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม ถูกไหมครับ??? สมมติ เพิ่มเป็น 5.25%
ก็เท่ากับว่า ตราสารเดิม ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าที่ตลาดให้อยู่ 0.25% แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ หากอยากขายให้คนอื่น ใครจะเอาล่ะ ของใหม่ดีกว่าเห็นๆ หรือเว้นแต่ต้องเพิ่มแรงจูงใจด้วยการลดราคาตราสารลง Q : แล้วถ้าดอกเบี้ยขาลง อย่างปัจจุบันล่ะ?
A : กองที่ duration port สูง ก็จะได้รับอานิสงส์ ครับ เพราะ ล็อค ผลตอบแทน ที่สูงกว่า ที่ของใหม่ออกมา (เรียกว่ามี premium) ใครอยากได้ตราสารตัวเก่า ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อแลกผลตอบแทนที่สูงขึ้น Q : อ้าว ซื้อไปแล้ว ขายให้คนอื่นได้ด้วยหรอ?
A : ได้สิครับ ตราสารหนี้ที่ดี ต้องมีสภาพคล่อง สามารถซื้อขายในตลาดรองได้ ส่วนใหญ่จะติดต่อลงทุนผ่าน OTC กัน ส่วนใน ThaiBMA ยังมี Volume การซื้อขายน้อยครับเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้ประเทศอื่น แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี อิอิ Q : ตราสารหนี้ กองทุนไปหามาจากไหน?
A : ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดคือ ออกโดยรัฐบาลครับ เอาไว้เป็นเครื่องมือสำหรับปรับสภาพคล่องให้กับระบบการเงิน เพื่อให้ไม่มีเงินส่วนเกินในระบบมากเกินไป (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) แต่ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล ก็จะมีความเสี่ยงต่ำ และผลตอบแทนต่ำกว่าประเภทอื่น อย่าง ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน (ออกโดยธนาคาร และบริษัทเงินทุน) หรือ ตราสารหนี้ภาคเอกชน (ออกโดยบริษัทเอกชน) เสี่ยงสูงกว่าอีก Q : ผลตอบแทนของตราสารหนี้ เหมือนดอกเบี้ยเงินฝากหรือเปล่า?
A : จริงๆแล้ว ไม่เหมือนครับ มันเป็นอย่างนี้ครับ สมมติ ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกหุ้นกู้ระยะสั้น อายุ 6 เดือน ที่ผลตอบแทน (Yield) 4.8%ต่อปี ตัวนี้เราจะเรียกว่า ตราสารหนี้ภาคสถาบันการเงิน เพราะออกโดยธนาคาร
โดยเสนอขาย 200 ล้านบาท เป็นตั๋วใบเดียวเลย เวลากองทุนตกลงซื้อ ไม่ใช่ว่าจะให้เงินไป 200 ลบ. แล้วรอรับดอกเบี้ย อีก 6 เดือนนะครับ แต่จะจ่ายเงินในอัตราส่วนลด จากมูลค่าหน้าตั๋วที่ 200 ลบ.
เพราะฉะนั้น จะใช้สูตร Present Value ในการคำนวนหาราคาซื้อ ณ ปัจจุบันว่า ต้องซื้อที่ราคาเท่าไหร่ ถ้าอยากได้ 4.8%ต่อปี ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (สามารถแทนสูตรใน excel โดยพิมพ์ตามนี้ครับ =PV(0.048,0.5,0,200,000,000) 0.048 = อัตราผลตอบแทน 4.8%ต่อปี
0.5 = ระยะเวลาการลงทุน ครึ่งงวด (6 เดือน) ถ้า 1 ปีใส่ตัวเลขเป็น 1
0 = ระหว่างทางการลงทุน มีการจ่ายผลตอบแทนมาให้ก่อนหรือไม่? ถ้าไม่มีใส่ศูนย์ และเราเรียกตราสารหนี้ประเภทนี้ว่า zero coupon
200,000,000 = เงินที่ลูกหนี้เราอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ สัญญาว่าจะจ่ายเมื่อครบกำหนด พอแทนสูตรไป ได้เท่าไหร่ ก็คือเงินที่กอทุนต้องจ่ายให้เพื่อลงทุนนั้นล่ะครับ ในที่นี้ก็เท่ากับ 195,366,166.29 บาท Q : แล้วเวลาคิดเป็นผลตอบแทนรายวัน อย่างที่กองทุนเขาคิดกันล่ะ ทำยังไง?
A : เนื่องจากกว่าจะได้เงินคือครบกำหนด เพราะฉะนั้นระหว่างทาง จึงใช้วิธี Mark to Market และบวกกับดอกเบี้ยรับของตราสารชนิดนั้นๆเข้าไป โดยส่วนของการ Mark to Market นั้นดูจากราคาตราสารที่ตกลงซื้อขายกันในตลาด ที่เกิดขึ้นจริงๆล่าสุดของวันนั้นๆ ว่าเป็นเท่าไหร่ แล้วนำมาเป็นราคาอ้างอิง เสมือนหนึ่งว่า ถ้าเราขายตราสารทอดตลาดวันนั้น จะได้เงินคืนเท่าไหร่ แล้วทำอย่างนี้กับตราสารหนี้ทุกๆตัวในพอร์ตที่อายุมากกว่า 3 เดือนครับ หากตราสารหนี้ชนิดใดมี Volume การซื้อขายมากหน่อย ก็จะทำให้ราคาตราสารหนี้แกว่งตัวแรงเช่นกัน ก็เลยเป็นที่มาของอัตราการเปลี่ยนแปลงของ NAV ทุกๆวันไงครับ ถ้าดอกเบี้ยในตลาดปรับลด ราคาตราสารที่ซื้อขายในตลาด จะมีราคาสูงขึ้น (ถูกไหมครับ เพราะซื้อกันที่ discount rate จากที่อธิบายไปแล้ว) ก็จะทำให้ NAV ของกองทุนสูงขึ้นตามไปด้วย นี่เลยเป็นที่มาของการลงทุนในกองทุนที่มี duration ยาว ในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาลงครับ แต่ก็มีความเสี่ยงนะ ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ก็จะให้ผลตอบแทนลดลงได้ อย่างตอนนี้ กองทุนตราสารหนี้ ดูผลตอบแทนดี เพราะนักลงทุนเก็งกันว่า วันที่ 29 พ.ค. 56 นี้ ที่ประชุม กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ย ซึ่งราคาก็สะท้อนไปแล้วระดับหนึ่ง คราวนี้ เราซึ่งเป็นนักลงทุนก็ต้องมามองกันว่า ดอกเบี้ยบ้านเรา มันเป็นขาลงจริงไหม? จะลงไปได้ถึงเมื่อไหร่? จุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน และเมื่อไหร่จะปรับขึ้น ไม่ใช่ พอไปเปิด Fund Fact Sheet เห็นกองทุนนี้ผลตอบแทนย้อนหลังดูดี ก็กระโจนเข้าไปลงทุน พอแนวโฯ้มดอกเบี้ยเปลี่ยนเป็นขาขึ้น การขาดทุนจากการ Mark to Market มันเป็นไปได้นะครับ อย่าคิดว่า ลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ แล้วจะไม่มีขาดทุน มันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ สรุป duration สั้น เหมาะกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
duraion ยาว เหมาะกับภาวะดอกเบี้ยขาลง
และกองทุนที่มี duration ยาว มีความผันผวนด้าน NAV สูงกว่า กองที่มี duration สั้นๆครับ ปล. นักลงทุนสามารถสอบถามข้อมูล duration ของพอร์ตกองทุนตราสารหนี้แต่ละกองได้จาก บลจ. โดยตรงนะครับ | Modified Duration คือ อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่คงเหลืออยู่ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งตัวเลขนี้จะบอกถึงอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาของตราสารหนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทน (Yield to Maturity) หรือดอกเบี้ยในตลาดเงิน
Duration ที่สูงๆ จะบอกว่า กองทุนนั้นๆ ถือตราสารอายุเฉลี่ยเท่าไหร่ในพอร์ต มีหน่วยเป็นปี ยกตัวอย่างเช่น duration ของ AYFMTFI เท่ากับ 1.25 ก็คือ อายุตราสารเฉลี่ยอยู่ที่ 1 ปี กับอีก 4 เดือนกว่า ๆ
Duration ที่ยาว ๆ ก็คือ มีตราสารในมืออายุยาว ๆ และอีกนานกว่าจะครบกำหนด ถ้าในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น กองทุนที่มี duration port ยาว ๆ ก็จะมีการปรับตัวลดลงของ NAV บ้าง ส่งผลให้ผลตอบแทนลดลงด้วย เพราะไปล็อคผลตอบแทนไว้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนที่กองทุนล็อคไว้คือ 5% ถ้วน ถ้าแบงค์ชาติประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในตลาด กองทุนที่มีอายุตราสารเท่ากัน และความเสี่ยงเท่ากัน ก็ต้องไม่ได้ผลตอบแทนเท่าเดิม สมมติ เพิ่มเป็น 5.25% ก็เท่ากับว่า ตราสารเดิม ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าที่ตลาดให้อยู่ 0.25% จึงต้องเพิ่มแรงจูงใจด้วยการลดราคาตราสารลง | 5.ความรู้ทางการเงิน,3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_343 | Finance | ช่วยสรุปบทความ 5 เทคนิดให้เงินให้ Richs | บทความนี้จึงรวบรวม 5 เทคนิคในการวางแผนใช้เงินสำหรับมือใหม่วัยเกษียณ ขอเรียกชื่อย่อเทคนิคสั้น ๆ ว่า RICHS ซึ่งย่อมาจาก
1. สำรวจแหล่งรายได้ (Source of Revenue – R)
ในวันที่เกษียณ “รายได้” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำในวันที่เกษียณ คือ สำรวจแหล่งรายได้หลังเกษียณอย่างเป็นระบบ เพื่อให้รู้ว่าเรามีทรัพย์สินอะไร อยู่ที่ไหน อย่างละเท่าไหร่ แล้วคำนวณว่าหลังเกษียณจะยังมีรายได้จากแหล่งใดบ้าง จากนั้นก็จัดสรรเงินที่มีอยู่เพื่อให้สามารถมีใช้ในแต่ละเดือนได้อย่างไม่ขัดสนและพอใช้ไปตลอดชีวิต โดยแบ่งออกเป็น
เงินได้รายงวด (ประจำเดือน/ประจำปี) สำหรับใช้ในแต่ละเดือนระหว่างเกษียณ หลัก ๆ ได้แก่
เงินบำนาญ เช่น ประกันสังคม ประกันบำนาญ หรือบำนาญข้าราชการ เป็นต้น
ผลตอบแทนจากการลงทุน เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก/หุ้นกู้ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้นและกองทุนรวม เป็นต้น
รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เช่น คอนโดมิเนียม บ้าน ที่ดิน เป็นต้น
รายได้จากรูปแบบอื่น ๆ เช่น รายได้จากการทำอาชีพเสริม เป็นต้น
เงินก้อนหลังเกษียณ สำหรับสำรองใช้หลังเกษียณและเป็นที่มาของดอกผลจากการลงทุนด้วย ได้แก่
เงินบำเหน็จจากสวัสดิการที่ทำงาน หรือเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานจากการเกษียณอายุหรือหมดสัญญาจ้าง
เงินลงทุนที่เตรียมไว้สำหรับการเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม RMF กองทุนรวม SSF หรือ SSFX เป็นต้น
เงินก้อนอื่น ๆ เช่น เงินครบกำหนดประกันชีวิต เงินฝากธนาคาร เป็นต้น
2. มุ่งเน้นการลงทุน (Focus on Investment – I)
ในวันที่เพิ่งเกษียณ ส่วนใหญ่จะมีทรัพย์สินจากการทำงานที่สะสมมาทั้งชีวิต แต่หากไม่มุ่งเน้นการนำทรัพย์สินนี้ไปลงทุนเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น มูลค่าเงินในอนาคตอาจลดลงเรื่อย ๆ จากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยขอยกตัวอย่างการบริหารเงินตาม “ช่วงเวลาใช้เงิน” ด้วยภาษากีฬาฟุตบอลเป็น กองหลัง : กองกลาง : กองหน้า
กองหลัง : สภาพคล่อง เป็นเงินส่วนที่วางแผนเพื่อใช้ใน 1 – 3 ปีข้างหน้า สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด เช่น อุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยหนัก โดยอาจแบ่งเงินส่วนนี้ไว้ 20 – 30% ของเงินที่เตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น เงินฝาก หุ้นกู้ระยะสั้น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น หรือจะแบ่งเงินบางส่วนซื้อประกันชีวิตสำหรับคุ้มครองชีวิตด้วยก็ได้
กองกลาง : เงินได้ประจำ เป็นเงินส่วนที่วางแผนเพื่อใช้ใน 3 – 7 ปีข้างหน้า สำหรับใช้จ่ายในอนาคต เช่น สำหรับซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งเงินส่วนนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในตอนนี้ จึงมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ เพื่อให้มีการเติบโตของเงินลงทุนบ้างและเน้นมีรายได้ระหว่างการลงทุน ทั้งในรูปของดอกเบี้ยหรือเงินปันผล โดยอาจแบ่งเงินส่วนนี้ไว้ 30 – 60% ลงทุนในสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว หรือหากรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น อาจลงทุนในหุ้นปันผลพื้นฐานดี หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นต้น
กองหน้า : การเติบโตและมรดก เป็นเงินส่วนที่วางแผนไว้ใช้นานกว่า 7 ปีขึ้นไป ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในตอนนี้หรืออาจเผื่อไว้สำหรับคนข้างหลังก็ได้ เช่น เงินมรดก ที่ดิน เป็นต้น เงินส่วนนี้จึงมุ่งเน้นการลงทุนที่เสี่ยงได้สูงสุดตามที่สามารถรับได้ เน้นการเติบโตของเงินลงทุนระยะยาวที่ชนะเงินเฟ้อ เพื่อให้มีเงินเพียงพอใช้จ่ายได้ตลอดชีวิต อาจแบ่งเงินส่วนนี้ไว้สัก 20 – 30% โดยลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และทองคำ เป็นต้น
3. คำนวณรายจ่าย (Calculate Expense – C)
หลังจากสำรวจแหล่งรายได้และวางแผนการลงทุนเพื่อให้ได้ดอกผลจากการลงทุนเป็นรายได้เสริมแล้ว ถึงเวลามาคำนวณรายจ่าย โดยให้นึกถึงรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริงมากที่สุด และสามารถใช้ได้ในแต่ละเดือนอย่างไม่ขัดสน โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่
รายจ่ายสำหรับใช้ชีวิต เป็นรายจ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น เป็นรายจ่ายทั่วไปที่คนวัยเกษียณส่วนใหญ่นึกถึง มักจะเผื่อเงินสำหรับรายจ่ายส่วนนี้แล้ว
รายจ่ายด้านสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล เป็นรายจ่ายที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่นึกถึงและไม่ได้เตรียมไว้ ยังไม่รวมถึงเบี้ยประกันสุขภาพที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นตามอายุอีกด้วย โดยทั่วไปอาจเตรียมเงินลงทุนสำหรับเผื่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้อย่างน้อย 3 – 5 ล้านบาท สำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาลหรือจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพระหว่างที่เกษียณอายุ แต่ถ้ามีตัวช่วยค่ารักษาพยาบาลจากสวัสดิการข้าราชการ ระบบประกันสังคม หรือโครงการประกันสุขภาพทั่วหน้าของภาครัฐ ก็ทำให้การเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้น้อยลงได้
รายจ่ายเพื่อความสุขทางใจ วัยเกษียณควรเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด มีเวลาว่างในการใช้ชีวิตจึงควรเผื่อค่าใช้จ่ายบางส่วนเพื่อทำกิจกรรมที่ชื่นชอบและเป็นประโยชน์กับสังคม เช่น ท่องเที่ยว ทำบุญ หรืออาจเป็นค่าใช้จ่ายให้กับลูกหลานที่มาดูแล ส่วนจะแบ่งเท่าไหร่ก็ตามความเหมาะสม
รายจ่ายอื่น ๆ ควรเตรียมเงินอีกก้อนหนึ่งสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่อาจนึกไม่ถึง เช่น ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือซื้อของที่อยากได้ เช่น ทีวี ตู้เย็น เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ที่อยู่อาศัยหรือทรัพย์สินต่าง ๆ ย่อมเสื่อมสภาพทรุดโทรมลงตามกาลเวลา หากไม่เผื่อค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาส่วนนี้ไว้ อาจจะต้องใช้เงินจากส่วนอื่นเพื่อมาใช้จ่ายแทนและอาจกระทบกับคุณภาพชีวิตได้
โดยทั่วไป จำนวนเงินที่ควรเผื่อไว้เป็นค่าใช้จ่าย ณ วันที่เกษียณ จะเท่ากับประมาณการค่าใช้จ่ายต่อปีหลังเกษียณ (70% ของรายจ่ายปีสุดท้ายก่อนเกษียณ) x จำนวนปีที่คาดว่าเราจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ เช่น นาย ก. มีค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณเดือนละ 30,000 บาท (หรือปีละ 360,000 บาท) หากจะเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณเป็นเวลา 30 ปี ควรเผื่อเงินไว้ใช้หลังเกษียณ (360,000 x 70%) x 30 ปี = 7,560,000 ล้านบาท
4. ใส่ใจสุขภาพ (Health is King – H)
การวางแผนใช้เงินหลังเกษียณ นอกจากเตรียมเงินสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพหรือจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพในช่วงหลังเกษียณแล้ว ควรใส่ใจสุขภาพ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเชิงป้องกันควบคู่กันไปด้วย
การที่ใส่ใจสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ ไม่เครียด ทำจิตใจให้มีความสุข อาจลดการเจ็บป่วยและลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ด้วย เพราะสุขภาพเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เงินลดลงได้อย่างมาก ทั้งค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นเงินหลักล้านบาทได้หากไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ
นอกจากนี้ หากมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ลดลงแล้ว เงินก้อนที่เตรียมเผื่อสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอาจเหลือไปใช้เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณสะดวกสบายขึ้น
5. ใช้ชีวิตให้มีความสุข (Successful Life – S)
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นสัจธรรมที่ทุกคนหนีไม่พ้น และเมื่อแก่ตัวลงพร้อมเกษียณจากงานประจำ คนส่วนใหญ่จะคิดว่าการเกษียณมาพร้อมกับรายได้ประจำที่หายไป
หากถึงวันที่เกษียณแล้วยังมีชีวิตอยู่ คงเป็นคนที่โชคดีมากที่ยังได้ใช้ชีวิตชื่นชมโลกใบนี้และคงจะดียิ่งขึ้นไปอีก หากจะได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข สมมติว่าเกษียณตอนอายุ 60 ปี และมีชีวิตอยู่ถึงอายุ 90 ปี จะมีเวลาใช้ชีวิตหลังเกษียณกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตเกษียณสุขหรือเกษียณทุกข์
ดังนั้น สิ่งที่ต้องเตรียมนอกจากสุขภาพทางการเงินและสุขภาพกาย ก็คือ การเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับวัยเกษียณ เพื่อที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข
มาถึงตรงนี้ จะเกษียณอย่างมีคุณค่าหรือแก่ชราแล้วใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ทางเลือกในการบริหารจัดการเงินหลังเกษียณ เป็นส่วนหนึ่งที่จะตอบคำถามนี้ได้ | 5 เทคนิคในการวางแผนใช้เงินสำหรับมือใหม่วัยเกษียณ
1. ในวันเกษียณ “รายได้” เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำในวันที่เกษียณ คือ สำรวจแหล่งรายได้หลังเกษียณอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น
เงินได้รายงวด (ประจำเดือน/ประจำปี)
เงินก้อนหลังเกษียณ
2. มุ่งเน้นการลงทุน
มุ่งเน้นการนำทรัพย์สินนี้ไปลงทุนเพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็น กองหลัง : กองกลาง : กองหน้า
กองหลัง : สภาพคล่อง เป็นเงินส่วนที่วางแผนเพื่อใช้ใน 1 – 3 ปีข้างหน้า
กองกลาง : เงินได้ประจำ เป็นเงินส่วนที่วางแผนเพื่อใช้ใน 3 – 7 ปีข้างหน้า
กองหน้า : การเติบโตและมรดก เป็นเงินส่วนที่วางแผนไว้ใช้นานกว่า 7 ปีขึ้นไป
3. คำนวณรายจ่าย
รายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามความเป็นจริงมากที่สุด และสามารถใช้ได้ในแต่ละเดือนอย่างไม่ขัดสน
-รายจ่ายสำหรับใช้ชีวิต เป็นรายจ่ายทั่วไปในชีวิตประจำวัน
-รายจ่ายด้านสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล เป็นรายจ่ายที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่นึกถึงและไม่ได้เตรียมไว้
-รายจ่ายเพื่อความสุขทางใจ วัยเกษียณควรเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด
-รายจ่ายอื่น ๆ ควรเตรียมเงินอีกก้อนหนึ่งสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายที่อาจนึกไม่ถึง
4. ใส่ใจสุขภาพ
ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเชิงป้องกันควบคู่กันไปด้วย
ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ ไม่เครียด ทำจิตใจให้มีความสุข หากมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ลดลงแล้ว อาจมีเงินหลังเกษียณเพิ่มขึ้น
5. ใช้ชีวิตให้มีความสุข
นอกจากสุขภาพทางการเงินและสุขภาพกาย ก็คือ การเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับวัยเกษียณ | 5.กลยุทธ์การลงทุน,7.การจัดการการเงินส่วนบุคคล | Summarization | cc-by-nc-4.0 |
Finance_3462 | Finance | หลักการการลงทุนของ ปีเตอร์ ลินซ์ สามารถสรุปได้ 3 ข้อหลักๆ ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง | จากการเริ่มงานการจัดการกองทุนกับ Fidelity Fund ในเดือน พ.ค. 1977 ตอนนั้นกองทุนมีขนาดเพียง 20 ล้านเหรียญ แต่พอย่างเข้าปี 1980 Fidelity Fund ได้กลายเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสามารถเอาชนะตลาดได้เฉลี่ย 13.4% ต่อปี ถัดมาอีกเป็นเวลากว่า 20 ปี และนั้นก็ทำให้ ผู้จัดการกองทุนหนุ่มที่ชื่อ Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินซ์) ได้กลายเป็นผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคนหนึ่ง
Peter Lynch ประสบความสำเร็จด้านการลงทุนได้โดยการใช้หลักการการลงทุนเบื้องต้นที่เข้าใจง่าย ซึ่งเขายินดีที่จะแบ่งกันให้กับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า จากหนังสือที่เขาเขียนหลายเรื่อง และหนึ่งเล่มที่ถือเป็นคัมภีร์สำหรับนักลงทุนแนว Value Investor ก็คือ “One up on Wallstreet” ลินซ์เชื่อมั่นว่า “นักลงทุนรายย่อยมีข้อได้เปรียบเหนือกว่านักลงทุนสถาบัน” เพราะกองทุนขนาดใหญ่ไม่สามารถจะลงทุนได้อย่างเต็มที่ในบริษัทเติบโตดีแต่มีขนาดเล็กซึ่งข้อจำกัดเรื่องสัดส่วนการถือครองหุ้น โดยที่หุ้นเหล่านี้ สุดท้ายเมื่อผลประกอบการแสดงชัดขึ้น ขนาดของกิจการขยายใหญ่ขึ้น ก็จะทยอยเข้าาตานักวิเคราะห์ของนักลงทุนสถาบันในเวลาต่อมา และสุดท้ายจะกลายเป็นหุ้นบลูชิพ ที่สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับนักลงทุนจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น กองทุน Fedelity ของเขา ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะเวลาที่ทำให้นักลงทุนรายสงสัย และกลับมามองตัวเองว่า แล้วปัจจัยใดที่ทำให้ กองทุนของเขา สามารถผลตอบแทนได้ดี ทั้งๆทีมีข้อจำกัดอย่างที่เขาบอก
อย่างที่บอกว่า ปีเตอร์ ลินซ์ ได้เขียนหนังสือเพื่อแบ่งปันแนวคิดของเขาไว้หลายเล่ม เพื่อที่จะเข้าใจหลักการการลงทุนของเขา จริงๆแล้ว สามารถสรุปได้ 3 ข้อหลักๆ ตามนี้
1. Only Buy What You Understand
เครื่องมือที่ลินซ์ใช้ในการค้นหาหุ้นมี 3 สิ่ง ก็คือ ตา หู และสามัญสำนึก
ลินซ์ภาคภูมิใจอย่างมากที่จะบอกว่า หุ้นห่านทองคำหลายตัวของเขาถูกค้นพบหลังจากที่เขาเดินไปตามร้านขายของชำ และได้พูดคุยกับเพื่อนฝูง หรือคนในครอบครัว นั้นหมายความว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ก็สามารถจะวิเคราะห์และค้นหาหุ้นได้ในเบื้องต้นจากการดูทีวี ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามเพจการลงทุนทาง Facebook หรือ เมื่อขับรถไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เราก็จะได้ไอเดียใหม่ๆจะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ หรือ อาจกล่าวได้ว่าหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ มันก็คือนธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการผู้บริโภครายย่อยเช่นเรานั้นเอง ถามว่า ทำให้ วิธีการเลือกหุ้น ถึงง่ายเช่นนี้ ก็ต้องบอกว่า “ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งประทับใจเราในฐานะที่เป็นผู้บริโภค แน่นอนว่าในฐานะของนักลงทุนก็ต้องประทับใจด้วยเช่นกัน”
2. Always Do Your Homework
การเฝ้าสังเกตและรวบรวมความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่เราลงทุนเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะไอเดียดีๆ ความคิดที่ตกตะกอน จนทำให้เราเชื่อมั่นใจหุ้นตัวนั้น มันมาจากการค้นคว้าอย่างชาญฉลาด แต่คิดแค่ว่า เดินไปเจอสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่เราชอบบั๊บ แล้วเราจะกลับมาซื้อและถือหุ้นตัวนั้นได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เมื่อมาถึงขั้นตอนการวิเคราะห์จริงๆ นักลงทุนจะต้องละเอียดและแม่นยำ ทำการบ้านอย่างหนัก และนั้นก็คือกุญแจดอกสำคัญในการไขไปสู่ความสำเร็จของลินซ์
สำหรับลินซ์ เมื่อไอเดียดีๆ ผุดขึ้นมาแล้ว เขาจะมองหามูลค่าพื้นฐานผ่านทางตัวเลขหลายๆตัว ที่สะท้อนถึงคุณลักษณะของหุ้นที่มีคุณค่าในมุมมองของเขา นั้นก็คือ
– เปอร์เซ็นต์ยอดขาย ถ้าหากมีสินค้าตัวใดเตะตาคุณ ต้องแน่ใจว่าเปอร์เซ็นต์ยอดขายนั้นสูงมากพอ ถ้าสินค้าดีแต่มียอดขายไม่ถึง 10% ก็จะไม่ส่งผลต่อยอดกำไรสุทธิของบริษัท และไม่มาสะท้อนในราคาหุ้นแน่นอน
– PEG Ratio หรือ (price/earnings to growth ratio) อัตราส่วนนี้เป็นการประเมินอัตราการเติบโตของผลกำไรกับการคาดหวังของนักลงทุน บนพื้นฐานที่ว่า หุ้นที่เรามองหาจะต้องมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และเราจะเข้าซื้อในระดับราคาที่เหมาะสม หุ้นแข็งแกร่งที่เติบโตจนมี PEG Ratio มากกว่า 2 แสดงว่าผลกำไรได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว เหลือช่องว่างให้ผิดพลาดได้เพียงเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่ PEG Ratio ที่ไม่เกิน 1 เท่า แปลว่า หุ้นตัวนั้น มีความน่าสนใจลงทุน วิธีคำนวน
ค่า PEG Ratio หาได้โดยนำค่า P/E มาหารด้วย เปอร์เซ็นต์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth)
– สนใจบริษัทที่มีกระแสเงินสด (Cash Flow) แข็งแกร่ง และสัดส่วนของหนี้ต่อทรัพย์สินน้อย (Debt to Asset Ratio) การบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีวินัย ไม่เสี่ยงจนเกินตัว และมีกระแสเงินสดมากพอ จะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการอยู่ในตลาดได้ทุกสภาพเศรษฐกิจ
3. Invest for the Long Run
ลินซ์เคยกล่าวไว้ว่า ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขาเข้าใจแล้วว่า ถ้าอยากจะรู้ว่าราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในอีก 23 ปีข้างหน้านั้น ไม่ยากเลย ที่คุณทำก็แค่เพียง โยนเหรียญหัวก้อยเท่านั้น!!
สิ่งที่ลินซ์พูด แปลว่าอะไร?
ลินซ์ กำลังบอกเราว่า ปรัชญาการลงทุนของเขา ก็คือ เกาะติดสถานการณ์ มีความรู้เข้าใจในบริษัทที่ลงทุน และตราบเท่าที่สิ่งที่นักลงทุนมองไว้ มันยังไม่เปลี่ยนแปลง นักลงทุนที่มีเหตุผล ก็ไม่ควรจะขายหุ้นนั้นออกจากพอร์ต ด้วยหลักการเช่นนี้ ทำให้ ลินซ์เป็นหนึ่งในผู้จัดการลงทุนที่ไม่เชื่อเรื่องการ TIming หรือ การพยายามจับจังหวะตลาด หรือพยายามคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจ เพราะ ถ้าบริษัทแข็งแกร่งจริง กำไรสุทธิก็จะสูง และหุ้นก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย เพราะฉะนั้น งานที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือ “การค้นหาบริษัทที่ยิ่งใหญ่ให้เจอ”
ลินซ์ ยังได้ย้ำให้เห็นที่จุดอ่อนของการมองสิ่งใดเพียงแต่ในระยะสั้นๆ ยกตัวอย่าง ผู้จัดการกองทุนหลายๆคนที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพของเขา มักจะขายหุ้นตัวดีๆ เพียงแค่ใช้เหตุผลว่า มันวิ่งมาเยอะแล้ว แล้วเอาเงินที่ได้จากการขายไปถือหุ้นแย่ๆ เข้ามาในพอร์ต ด้วยเหตุผลที่ว่า ราคามันยังถูกแสนถูก
ซึ่งวิธีนี้ ลินซ์ เรียกว่า pulling the flowers and watering the weeds (เด็ดดอกไม้มาเชยชม แต่ก็ต้องระทม เริ่มต้นปลูกใหม่)
โดยสรุป วิธีการลงทุนของลินซ์นั้น มีทั้งในส่วนที่ง่าย และส่วนที่ยาก ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ทางสู่ความสำเร็จ มันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่สิ่งหนึ่งที่ลินซ์มั่นใจก็คือ เหมือนนักลงทุนเริ่มต้นด้วยหลักการที่ถูกต้องแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ความสุขจากการเห็นหุ้นในพอร์ตเติบโตเรื่อยๆ จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว ส่วนระหว่างทาง คุณจะได้อะไรไป สิ่งนั้นก็คือ “ความสนุก” นั้นเอง | หลักการการลงทุนของ ปีเตอร์ ลินซ์ สามารถสรุปได้ 3 ข้อหลักๆ ดังนี้
1. Only Buy What You Understand
เครื่องมือที่ ปีเตอร์ ลินซ์ใช้ในการค้นหาหุ้นมี 3 สิ่ง ก็คือ ตา หู และสามัญสำนึก ลินซ์ภาคภูมิใจอย่างมากที่จะบอกว่า หุ้นห่านทองคำหลายตัวของเขาถูกค้นพบหลังจากที่เขาเดินไปตามร้านขายของชำ และได้พูดคุยกับเพื่อนฝูง หรือคนในครอบครัว นั้นหมายความว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ก็สามารถจะวิเคราะห์และค้นหาหุ้นได้ในเบื้องต้นจากการดูทีวี ฟังวิทยุ อ่านหนังสือพิมพ์ ติดตามเพจการลงทุนทาง Facebook หรือ เมื่อขับรถไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ เราก็จะได้ไอเดียใหม่ๆจะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ หรือ อาจกล่าวได้ว่าหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ มันก็คือ ธุรกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บริการผู้บริโภครายย่อยนั้นเอง
2. Always Do Your Homework
การเฝ้าสังเกตและรวบรวมความรู้เกี่ยวกับหุ้นที่เราลงทุนเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะไอเดียดีๆ ความคิดที่ตกตะกอน จนทำให้เราเชื่อมั่นใจหุ้นตัวนั้น มันมาจากการค้นคว้าอย่างชาญฉลาด แต่คิดแค่ว่า เดินไปเจอสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่ชอบ แล้วจะกลับมาซื้อและถือหุ้นตัวนั้นได้นาน เมื่อมาถึงขั้นตอนการวิเคราะห์จริงๆ นักลงทุนจะต้องละเอียดและแม่นยำ ทำการบ้านอย่างหนัก และนั้นก็คือกุญแจดอกสำคัญในการไขไปสู่ความสำเร็จของลินซ์ สำหรับลินซ์ เมื่อไอเดียดีๆ ผุดขึ้นมาแล้ว เขาจะมองหามูลค่าพื้นฐานผ่านทางตัวเลขหลายๆตัว ที่สะท้อนถึงคุณลักษณะของหุ้นที่มีคุณค่าในมุมมองของเขา นั้นก็คือ
– เปอร์เซ็นต์ยอดขาย ถ้าหากมีสินค้าตัวใดเตะตาคุณ ต้องแน่ใจว่าเปอร์เซ็นต์ยอดขายนั้นสูงมากพอ ถ้าสินค้าดีแต่มียอดขายไม่ถึง 10% ก็จะไม่ส่งผลต่อยอดกำไรสุทธิของบริษัท และไม่มาสะท้อนในราคาหุ้นแน่นอน
– PEG Ratio หรือ (price/earnings to growth ratio) อัตราส่วนนี้เป็นการประเมินอัตราการเติบโตของผลกำไรกับการคาดหวังของนักลงทุน บนพื้นฐานที่ว่า หุ้นที่เรามองหาจะต้องมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และเราจะเข้าซื้อในระดับราคาที่เหมาะสม หุ้นแข็งแกร่งที่เติบโตจนมี PEG Ratio มากกว่า 2 แสดงว่าผลกำไรได้สะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว เหลือช่องว่างให้ผิดพลาดได้เพียงเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่ PEG Ratio ที่ไม่เกิน 1 เท่า แปลว่า หุ้นตัวนั้น มีความน่าสนใจลงทุน
วิธีคำนวน : ค่า PEG Ratio หาได้โดยนำค่า P/E มาหารด้วย เปอร์เซ็นต์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth)
– สนใจบริษัทที่มีกระแสเงินสด (Cash Flow) แข็งแกร่ง และสัดส่วนของหนี้ต่อทรัพย์สินน้อย (Debt to Asset Ratio) การบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีวินัย ไม่เสี่ยงจนเกินตัว และมีกระแสเงินสดมากพอ จะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินกิจการอยู่ในตลาดได้ทุกสภาพเศรษฐกิจ
3. Invest for the Long Run
ลินซ์เคยกล่าวไว้ว่า ตลอดเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขาเข้าใจแล้วว่า ถ้าอยากจะรู้ว่าราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในอีก 23 ปีข้างหน้านั้น ไม่ยากเลย ที่คุณทำก็แค่เพียง โยนเหรียญหัวก้อยเท่านั้น!!
สิ่งที่ลินซ์พูด แปลว่าอะไร? ลินซ์ กำลังบอกเราว่า ปรัชญาการลงทุนของเขา ก็คือ เกาะติดสถานการณ์ มีความรู้เข้าใจในบริษัทที่ลงทุน และตราบเท่าที่สิ่งที่นักลงทุนมองไว้ มันยังไม่เปลี่ยนแปลง นักลงทุนที่มีเหตุผล ก็ไม่ควรจะขายหุ้นนั้นออกจากพอร์ต ด้วยหลักการเช่นนี้ ทำให้ ลินซ์เป็นหนึ่งในผู้จัดการลงทุนที่ไม่เชื่อเรื่องการ TIming หรือ การพยายามจับจังหวะตลาด หรือพยายามคาดการณ์ทิศทางของเศรษฐกิจ เพราะ ถ้าบริษัทแข็งแกร่งจริง กำไรสุทธิก็จะสูง และหุ้นก็จะมีราคาสูงตามไปด้วย เพราะฉะนั้น งานที่สำคัญที่สุดของเขาก็คือ “การค้นหาบริษัทที่ยิ่งใหญ่ให้เจอ” | 5.ความรู้ทางการเงิน,2.การวิเคราะห์ทางการเงิน & เศรษฐศาสตร์การเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |
Finance_349 | Finance | กลุ่มที่เริ่มผ่อนรถไม่ไหว แต่ยังไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ จะเป็นลูกหนี้ที่เริ่มผ่อนแบบเลี้ยงงวดหรือผ่อนแบบฟันหลอ คำแนะนำ คือ ให้คิดเสียก่อนว่ารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ เป็นของนอกกาย (ไม่ตายก็หาใหม่ได้) ซึ่งจะทำให้มี 3 ทางเลือก ได้แก่อะไรบ้าง | ผ่อนรถไม่ไหว ไปต่อหรือพอแค่นี้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเริ่มผ่อนรถไม่ไหว คำแนะนำแรก คือ ให้ตั้งสติแล้วคิดหาทางออก ซึ่งมีให้เลือกหลายทางตามความเหมาะสมของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นขายดาวน์รถให้กับคนอื่น คืนรถให้ไฟแนนซ์ และรีไฟแนนซ์ เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่องวด
แต่หากขาดส่งเงินที่ต้องผ่อนรถ 3 งวดติดต่อกันไปแล้ว ผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว ก็ต้องนำรถไปคืนไฟแนนซ์พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย และเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ควรจัดการหาทางออกตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามจนเสียประวัติ หรือถึงขั้นต้องไปเจรจากันในศาล
ปัจจุบันรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 ของคนไทยไปแล้ว เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนสาธารณะยังเข้าไม่ถึงคนทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด ทำให้หลายคนยังต้องดิ้นรนหาซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาใช้เป็นพาหนะในการไปทำงาน รับส่งบุตรหลานไปโรงเรียน รวมถึงใช้เพื่อเดินทางพักผ่อนหย่อนใจ
อย่างไรก็ตาม พบว่ามีคนไทยจำนวนไม่มากที่มีกำลังซื้อรถ (รถใหม่ รถมือสอง) ด้วยเงินสด หมายความว่าส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินในการขอสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถ ซึ่งก็มีการผ่อนตั้งแต่ 24 เดือนไปจนถึง 60 เดือน หรือรถยนต์บางประเภทก็สามารถเลือกผ่อนได้ถึง 84 เดือน (ขึ้นอยู่กับเครดิตของผู้เช่าซื้อ)
ทั้งนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า ปัจจุบันบัญชีสินเชื่อรถยนต์รวม 1 ล้านคัน ที่มีความเสี่ยงที่จะถูกยึด โดยแบ่งเป็นกลุ่ม Gen Y จำนวน 600,000 บัญชีที่มีปัญหา ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นหนี้เสียไปแล้ว 350,000 บัญชี ในขณะที่กลุ่ม Gen X มีบัญชีที่เป็นปัญหาประมาณ 400,000 บัญชี ซึ่งปัจจุบันเป็นหนี้เสียไปแล้วประมาณ 200,000 บัญชี
โดยในกลุ่มที่หนี้ยังไม่เสียแต่มีความเสี่ยง จะเป็นกลุ่มของลูกหนี้ที่มีการเลี้ยงงวดหรือผ่อนแบบฟันหลอ คือ หยุดผ่อน 1 – 2 งวด แล้วกลับมาผ่อนใหม่ 1 งวด หลังจากนั้นก็จะหยุดผ่อน 1 – 2 งวดอีก แล้วก็กลับมาผ่อนใหม่ 1 งวด หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดชั้นไปเป็นหนี้เสีย เพราะหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ 3 งวดติดต่อกัน ก็จะกลายเป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ และทำให้สถาบันการเงินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันที
สำหรับผู้ที่อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียหรือเป็นหนี้เสียไปแล้ว หากไม่รู้ว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง ขอแนะนำแนวทางเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เริ่มผ่อนไม่ไหว แต่ยังไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ
กลุ่มนี้จะเป็นลูกหนี้ที่เริ่มผ่อนแบบเลี้ยงงวดหรือผ่อนแบบฟันหลอ คำแนะนำ คือ ให้คิดเสียก่อนว่ารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ เป็นของนอกกาย (ไม่ตายก็หาใหม่ได้) ซึ่งจะทำให้มี 3 ทางเลือก ได้แก่
ขายดาวน์รถต่อไปให้กับคนอื่น จากนั้นก็หารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ราคาถูกลงมาใช้ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้รถโดยสารสาธารณะแทนในช่วงที่ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งในการขายดาวน์รถนั้น ผู้ที่เข้ามาซื้อดาวน์ก็จะมีทางเลือก 2 แบบด้วยกัน คือ
ผู้ซื้อมีเงินก้อนมาชำระค่ารถให้กับผู้ขายตามที่ตกลงกัน รวมทั้งปิดยอดเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดกับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อหรือไฟแนนซ์ในคราวเดียว หมายความว่าผู้ขายได้เงินตามที่ต้องการ และไฟแนนซ์ก็ได้รับชำระหนี้ที่เหลือคืนครบถ้วน กรณีแบบนี้สามารถนัดหมายผู้ซื้อให้เข้าไปที่ไฟแนนซ์พร้อมกับผู้ขาย เพื่อทำสัญญาซื้อขาย พร้อมทั้งปิดยอดหนี้กับไฟแนนซ์ได้ในคราวเดียวกัน
ผู้ซื้อมีเงินเพียงมาชำระค่ารถให้กับผู้ขาย ไม่มีเงินก้อนมาปิด และต้องการผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ กรณีนี้ไม่สามารถตกลงทำสัญญาและรับเงินกันเองได้ เพราะว่าผู้ขายมีสัญญาเช่าซื้ออยู่กับไฟแนนซ์ หากทำสัญญากันเองโดยที่ไฟแนนซ์ไม่รับรู้ แล้วผู้ซื้อบอกว่าจะขอผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ หากผู้ซื้อนำรถไปแต่ไม่ผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ ผู้ขายก็จะต้องมีความรับผิดตามสัญญาที่อยู่กับไฟแนนซ์ ไม่สามารถอ้างว่าขายรถต่อให้คนอื่นไปแล้ว
วิธีการที่ถูกต้องในกรณีนี้ คือ ผู้ขายต้องเปลี่ยนให้ผู้ซื้อเข้ามาเป็นผู้เช่าซื้อหรือลูกหนี้โดยตรงกับไฟแนนซ์ ซึ่งปกติก็จะทำสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อรับเงินมัดจำไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ให้ผู้ซื้อติดต่อกับไฟแนนซ์เพื่อขอสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยอาจจะติดต่อกับไฟแนนซ์เดิมที่ผู้ขายทำสัญญาเช่าซื้ออยู่หรือติดต่อกับไฟแนนซ์เจ้าใหม่ก็ได้ และหากไฟแนนซ์อนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ซื้อแล้ว ก็นัดหมายกันเข้าไปเปลี่ยนสัญญาเช่าซื้อที่ไฟแนนซ์ ซึ่งผู้ขายต้องอ่านในสัญญาที่เปลี่ยนใหม่นั้นให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะเข้ามาเป็นลูกหนี้ตามสัญญาแทน และผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบหนี้หรือความเสียหายใด ๆ หลังจากวันที่เปลี่ยนสัญญาอีก
คืนรถให้กับไฟแนนซ์ หากไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ต่อได้ ก็สามารถนำรถไปคืนให้กับไฟแนนซ์ เพราะ สัญญาที่ทำไว้กับไฟแนนซ์ คือ สัญญาเช่าซื้อ หมายความว่า ในขณะที่ผ่อนชำระค่างวด เปรียบเสมือนการจ่ายค่าเช่า กรรมสิทธิ์ของรถยังคงอยู่กับไฟแนนซ์ หมายความว่า จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็ต้องรอจนกว่าจะผ่อนชำระจนครบตามสัญญา ดังนั้น สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 573 ที่บัญญัติไว้ว่า
“ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง”
หมายความว่า หากยังไม่ได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตลอดเวลา โดยการนำรถที่อยู่ในสภาพใช้การได้ดีกลับไปคืนไฟแนนซ์ และจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่จนถึงวันที่คืนรถทั้งหมด เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์จากการที่ไฟแนนซ์เอารถไปขายต่อแล้วได้ราคาต่ำกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา
ซึ่งในเรื่องนี้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นบรรทัดฐานไว้อยู่แล้ว หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ในขณะที่นำรถไปคืนไฟแนนซ์ ก็ให้ทำหนังสือไว้เป็นหลักฐานว่านำรถยนต์มาคืนเรียบร้อยแล้ว และทางไฟแนนซ์ไม่ติดใจที่จะเรียกค่าชดใช้เงินใด ๆ อีก พร้อมทั้งถ่ายรูปหรือวิดีโอตอนคืนรถเก็บไว้เป็นหลักฐานอีกชั้นหนึ่งด้วย เผื่อว่ามีปัญหาฟ้องร้องกันในวันหน้า ก็จะได้มีหลักฐานไปใช้ต่อสู้ในศาลเพิ่มขึ้น
รีไฟแนนซ์ สำหรับผู้ที่ผ่อนมานานพอสมควรและต้องการเก็บรถไว้ ไม่ต้องการขายต่อหรือคืนรถให้กับไฟแนนซ์อาจจะต้องหาทางรีไฟแนนซ์หรือปรับโครงสร้างหนี้ โดยอาจขอรีไฟแนนซ์กับไฟแนนซ์เดิม หรือรีไฟแนนซ์ไปไฟแนนซ์ใหม่ก็ได้ โดยวัตถุประสงค์ของการรีไฟแนนซ์ คือ ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่องวดลง เช่น จากเดิมผ่อนอยู่งวดละ 15,000 บาท ถ้ารีไฟแนนซ์สำเร็จก็อาจจะเหลือผ่อนเพียงวดละ 8,000 – 10,000 เพียงแต่ต้องแลกมาด้วยระยะเวลาการผ่อนที่นานขึ้นและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย
สำหรับผู้ที่เลือกการรีไฟแนนซ์ จะต้องประเมินให้ดีด้วยว่าหลังจากรีไฟแนนซ์ไปแล้ว แม้ว่าจำนวนที่ผ่อนต่อเดือนจะน้อยลง แต่ก็ยังมีภาระรายจ่ายประจำเดือนที่ต้องผ่อนรถเป็นประจำทุกเดือน กระแสเงินสดที่จะได้รับมาในแต่ละเดือนนั้น เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยังเหลือพอที่จะนำมาผ่อนชำระค่างวดได้หรือไม่ เพราะหากมีกระแสเงินสดรับที่ไม่แน่นอนหรือไม่เพียงพอ ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียในอนาคต ถ้าเป็นแบบนี้ ยอมตัดใจขายดาวน์ต่อหรือคืนรถให้ไฟแนนซ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
กลุ่มที่ 2 ผิดสัญญาเช่าซื้อ และผ่อนต่อไม่ไหวแล้ว
ในกรณีที่ขาดส่งเงิน 3 งวดติดต่อกัน ก็จะถือว่าคุณผิดสัญญา และไฟแนนซ์จะมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ไปชำระเงินภายใน 30 วัน หากไม่ได้ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวทวงถาม ไฟแนนซ์ก็จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งการที่ถูกบอกเลิกสัญญาก็จะต้องนำรถไปคืน พร้อมกับชดใช้หนี้ที่ค้างอยู่ทั้งหมดคืนให้กับไฟแนนซ์ รวมถึงต้องชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ให้กับไฟแนนซ์ด้วย
โดยค่าขาดราคานั้นจะเกิดจากการที่ไฟแนนซ์นำรถที่นำมาคืนหรือไฟแนนซ์ไปยึดมาไปขายทอดตลาด และหากขายได้ต่ำกว่าราคาขายรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันซึ่งมีสภาพ อายุการใช้งาน ตลอดจนระยะทางการใช้งานที่ใกล้เคียงกันในท้องตลาดเท่าไหร่ ก็ต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเท่านั้น เช่น รถที่เช่าซื้อไปนั้น ปกติมือสองที่ขายในท้องตลาดขายกันอยู่ที่ราคา 700,000 บาท แต่รถที่ไฟแนนซ์ได้คืนไปแล้วนำไปขายทอดตลาดได้ราคาเพียง 600,000 บาท ผู้ซื้อก็มีหน้าที่ต้องชดใช้ราคาให้กับไฟแนนซ์อีก 100,000 บาท
หากไม่ชำระค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ให้กับไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์ก็จะมีการแต่งตั้งทนายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องคดีโดยผู้ซื้อจะได้รับหมายศาลส่งมาตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในบัตรประชาชน แต่ไม่ต้องตกใจเพราะการผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงความผิดทางแพ่งเท่านั้น ไม่ได้มีโทษจำคุกแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ข้อแนะนำเวลาที่ได้รับหมายศาล คือ ให้ไปที่ศาลตามวันเวลา (จะมีทนายความหรือไม่ก็ตาม ก็ขอให้ไปตามนัดดังกล่าว) โดยในนัดแรกนั้นศาลจะให้ผู้ซื้อกับทางไฟแนนซ์ได้ไกล่เกลี่ยกันว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ขาดได้หรือไม่ เพียงใด ซึ่งผู้ซื้อสามารถเจรจาขอลดหนี้ลงได้พอสมควร เพราะผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลหรือผู้พิพากษาก็จะช่วยคุณเจรจาไกล่เกลี่ยด้วย แต่ถ้าไม่สามารถเจรจากันได้ก็อาจจะต้องแต่งตั้งทนายความเพื่อต่อสู้คดีต่อไป และท้ายที่สุดหากผู้ซื้อแพ้คดี นอกจากที่จะต้องชดใช้ค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์แล้ว ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 5% ต่อปีเพิ่มอีกด้วย
สรุปแล้ว หากอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะผ่อนรถต่อไม่ไหว ข้อแนะนำ คือ ต้องรีบจัดการปัญหานี้ก่อนที่จะผิดนัดชำระ 3 งวดติดกัน เพราะเมื่อถึงจุดนั้นแสดงว่าจะเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ และแม้ว่าจะนำรถยนต์ไปคืนไฟแนนซ์ ก็ยังจะต้องชำระเงินค่าขาดราคาและค่าขาดประโยชน์ด้วย
แต่หากมั่นใจว่าผ่อนต่อไปไม่ไหวก็สามารถเลือกที่จะขายดาวน์ หรือนำรถยนต์ไปคืนและบอกเลิกสัญญาก่อนที่จะเป็นฝ่ายผิดนัด ก็จะไม่ต้องชดใช้หนี้เพิ่มเติมนอกจากหนี้ที่ค้างอยู่ก่อนวันเลิกสัญญาเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ยังตัดใจขายหรือคืนรถไม่ได้ และต้องการที่จะรีไฟแนนซ์เพื่อลดเงินผ่อนต่องวดลง ก็ขอให้พิจารณาถึงกระแสเงินสดรับจ่ายในแต่ละเดือน หากยังพอไหวก็เลือกที่จะไปต่อได้ แต่ถ้าไม่ไหวก็ขอว่าอย่าฝืน ตัดใจวันนี้ เพื่อไม่ให้มีปัญหาหนี้เสียและมีประวัติไม่ดีในเครดิตบูโรจะดีกว่า | หากเริ่มผ่อนรถไม่ไหว แต่ยังไม่ถึงขั้นผิดสัญญาเช่าซื้อ มี 3 ทางเลือกหลักที่สามารถพิจารณาได้ ดังนี้:
1. ขายดาวน์รถให้กับคนอื่น
- สามารถขายสิทธิ์ในการเช่าซื้อต่อให้ผู้อื่น (ขายดาวน์) ซึ่งมี 2 วิธี:
1. ผู้ซื้อจ่ายเงินก้อนเพื่อปิดหนี้ทั้งหมดกับไฟแนนซ์ และจะไม่ต้องรับผิดชอบหนี้อีกต่อไป
2. ผู้ซื้อผ่อนต่อกับไฟแนนซ์ โดยต้องทำการโอนสัญญาเช่าซื้อให้ผู้ซื้อมาผ่อนต่ออย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2.คืนรถให้ไฟแนนซ์
- หากไม่สามารถหาผู้ซื้อได้ สามารถเลือกคืนรถให้ไฟแนนซ์ก่อนที่จะผิดสัญญา ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบการชำระหนี้เพิ่มเติมหรือชดเชยค่าขาดราคาใด ๆ ตามกฎหมาย หากทำตามขั้นตอนนี้อย่างถูกต้อง จะต้องชำระหนี้ที่ค้างอยู่จนถึงวันที่คืนรถเท่านั้น
3. รีไฟแนนซ์
- สามารถเจรจารีไฟแนนซ์กับไฟแนนซ์เดิมหรือใหม่ เพื่อลดจำนวนเงินผ่อนต่องวดลง แม้ว่าจะลดภาระผ่อนต่อเดือน แต่จะแลกกับระยะเวลาผ่อนที่ยาวขึ้นและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้น ต้องประเมินสถานการณ์การเงินให้ดีก่อนตัดสินใจ
ทั้งสามทางเลือกนี้เป็นวิธีจัดการปัญหาการผ่อนรถไม่ไหวในแบบที่ยังไม่ถึงขั้นผิดสัญญาเช่าซื้อ หากประเมินแล้วว่าไม่สามารถไปต่อได้จริง ๆ ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้เสียและประวัติทางการเงินที่ไม่ดีในอนาคต | 3.ตลาดการเงิน & ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน,5.ความรู้ทางการเงิน | Closed QA | cc-by-nc-4.0 |