title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 0
181k
| date
stringlengths 4
11
| open
float64 1.2k
1.71k
⌀ | close
float64 1.19k
1.71k
⌀ | high
float64 1.2k
1.72k
⌀ | low
float64 1.19k
1.71k
⌀ | trend
stringclasses 2
values |
---|---|---|---|---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กำลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์ | "อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กําลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์
"อนุทิน" กักตัว ประชุมคอนเฟอเรนซ์ติดตามกรณีตลาดกุ้ง พร้อมให้กําลังใจผู้ว่าฯ วีระศักดิ์
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ซึ่งอยู่ในระหว่างการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการเฝ้าระวังของกระทรวงสาธารณสุข หลังตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 ได้ร่วมประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์โควิด-19 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เพื่อติดตามการสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากกรณี พบผู้ป่วยยืนยันที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากที่ได้ลงพื้นที่ติดตามด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 รอบนี้ได้ โดยเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบป้องกันโรคของไทย ที่มีความพร้อมทั้งระบบสาธารณสุข ความมือจากฝ่ายปกครอง ตํารวจ ทหาร รวมถึงประชาชนคนไทยต่างให้ความสําคัญกับการป้องกันโรค จึงทําให้ประเทศไทยผ่านพ้นภาวะวิกฤตได้ในช่วงที่ผ่านมา
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน ยังให้กําลังใจผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม.ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้มีกําลังใจในการทํางาน ให้สามารถระงับยับยั้งการระบาดครั้งนี้ได้โดยเร็ว พร้อมกับให้กําลังใจ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โดยทราบดีว่านายวีระศักดิ์ มุ่งมั่น จริงจังในการทํางาน และที่ผ่านมาได้ทํางานอย่างเต็มที่เพื่อชาวสมุทรสาคร จึงขอให้ป่วยโดยเร็ว และขอเป็นกําลังใจให้ทําหน้าที่ต่อไปอย่างสุดความสามารถ
.............................................. | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ย้ำยังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้ | นายกฯ ย้ํายังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้
นายกรัฐมนตรี ย้ํายังไม่ล็อคดาวน์หลังปีใหม่ ขอรอดูสถานการณ์ ขอความร่วมมือเจ้าของโรงงานเปิดเผยข้อมูลการใช้แรงงานต่างด้าวตามความจริง พร้อมลงพื้นที่ จ.ระยอง บ่ายนี้
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 13.10 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีการล็อคดาวน์ทั่วประเทศหลังปีใหม่จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ต้องคํานึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของทุกคน หากทุกคนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นนั้น ไม่ต้องมีการล็อคดาวน์ ทั้งนี้ ภาครัฐและภาคประชาชนจะต้องมีศรัทธา ร่วมมือกัน ทําให้ประเทศไทยปลอดภัยสําหรับชีวิตและทรัพย์สิน รวมไปถึงข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจํา ต้องดูแลประชาชนไปด้วยกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วน ยืนยันจะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เพื่อให้สถานการณ์ต่าง ๆ ดีขึ้นในทุกมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การดูแลเกษตรกรและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการดูแลแรงงานต่างด้าว โดยมอบนโยบายให้มีการผ่อนผันการขึ้นบัญชี เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น พร้อมให้ผู้ประกอบการธุรกิจเอกชนที่ใช้แรงงานต่างด้าว อย่าปกปิดข้อมูล เพียงให้แจ้งจํานวนความต้องการแรงงาน ทั้งแรงมีฝีมือ/แรงงานไม่มีฝีมือ หลังจากนี้ หากพบแรงงานต่างด้าวที่ไม่ขึ้นทะเบียนหลังจากนี้ จะถือว่าผิดกฎหมาย รวมทั้งผู้ประกอบการจะต้องถูกขึ้นบัญชี Blacklist ต่อไป
สําหรับการเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดระยองในช่วงบ่ายวันนี้เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่และในหัวหน้ารัฐบาลจะลงพื้นที่ดูการทํางานให้ครบถ้วน ยืนยันจะดูแลตนเองให้มากที่สุด โดยจะสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการพูดคุยระยะใกล้ มีระยะห่าง และใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ซึ่งที่ผ่านมาตนเองได้มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่เป็นระยะ ไม่ต้องเจ็บป่วย เพราะหากเจ็บป่วยจะทําให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง ย้ําให้ทุกคนอย่า “การ์ดตก”
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ำใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ | นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ําใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ
นายกรัฐมนตรีอวยพรประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ย้ําใช้ชีวิตแบบ New Normal สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือ
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 13.10 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายประจําปี พ.ศ. 2563 นี้ ได้มอบแนวทางการทํางานในปี พ.ศ. 2564 มุ่งทํางานเพื่อลดปัญหาอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาในปัจจุบันตลอดจนที่คาดการณ์ในอนาคต โดยขอความร่วมมือจากคณะรัฐมนตรีให้ร่วมกันทํางานเชิงรุก บูรณาการงานระหว่างกระทรวง สอดคล้องกับกฎหมาย กฎกติกา ยึดหลักความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้เสมอ เพราะสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องเตรียมความพร้อมที่ตัวเรา เพื่อรองรับสถานการณ์ ร่วมกันฟันฝ่า ต่อสู้ เดินหน้าไปด้วยกัน ทั้งรัฐบาลและภาคประชาชน ตามนโยบาย “รวมไทยสร้างชาติ”
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังอวยพรให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมถึงการเดินทางกลับมาทํางานหลังปีใหม่ เดินทางโดยสวัสดิภาพ พร้อมย้ําขอให้มีสติ ไม่ประมาท พร้อมย้ําให้ใช้ชีวิตแบบ New Normal ปฏิบัติตามมาตรการของสาธารณสุขอย่างจริงจัง มีวินัย ทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง เว้นระยะห่าง ล้างมือ ทั้งนี้ หากไม่มีความจําเป็น ก็ขอความร่วมมือไม่เดินทางข้ามจังหวัด หากต้องมีการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กําหนดไว้ในแต่ละพื้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดสูง หากสงสัยว่าตนเองมีอาการป่วยหรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงก็ให้สังเกตอาการที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน ถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมและเพื่อให้มีความปลอดภัยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแก้ปัญหาบ่อนการพนันว่า รัฐบาลมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ในฐานะตนเองดูแลฝ่ายความมั่นคงได้สั่งการให้ลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นก็มีการลงโทษที่มีการปล่อยปะละเลยให้มีบ่อนการพนัน จากนี้จะต้องสืบสวนต่อว่าเกิดขึ้นที่ไหน อย่างไร พร้อมเตือนข้าราชการหากมีส่วนรู้เห็น ไม่แจ้งให้หน่วยงานรับทราบหรือแจ้งดําเนินคดี ไปเผยแพร่ผ่านออนไลน์ หรือกระทําทุจริตผิดกฎหมายนั้น ถือมีความผิดได้ สําหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลป้องกันโควิด-19 หรือจับกุมบ่อนการพนันอย่างเข้มแข็งก็ขอชื่นชมเช่นกัน
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เปิดแผนปี 2564 มุ่งลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้ ลุยพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน-สร้างการศึกษาเท่าเทียม | ศธ.เปิดแผนปี 2564 มุ่งลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้ ลุยพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน-สร้างการศึกษาเท่าเทียม
รมว.ศธ. เปิดแผนปี 2564 มุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้” พร้อมพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชนต่อเนื่องจากปีนี้ มั่นใจเห็นภาพชัดในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การยกระดับการศึกษาไทยเทียบเท่าสากล ลดความเหลื่อมล้ํา
รมว.ศธ. เปิดแผนปี 2564 มุ่งเน้นนโยบาย “ลดเวลาเรียน-เพิ่มเวลารู้” พร้อมพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชนต่อเนื่องจากปีนี้ มั่นใจเห็นภาพชัดในไม่กี่เดือนข้างหน้า เป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การยกระดับการศึกษาไทยเทียบเท่าสากล ลดความเหลื่อมล้ํา
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแผนงานใน พ.ศ. 2564 ว่า เป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการต้องการทําให้เป็นเรื่องจริงจัง คือ เรื่องลดเวลาเรียน และเพิ่มเวลารู้ โดยต้องเร่งปรับหลักสูตรให้เกิดความเหมาะสม ในการนําเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพต่างๆ ให้แก่เด็กนักเรียน
ในปี 2563 เรามีภาพของการวางแผนที่ชัดเจน สําหรับการขับเคลื่อนของกระทรวงศึกษาธิการ ในอนาคต ซึ่งการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้เป็นเรื่องที่ตน และกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งความหวังไว้ในปี 2564 ต้องผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เช่นเดียวกันกับการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพชุมชน ยังเป็นเรื่องที่ต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่องจาก ปี 2563 เพราะการมีโรงเรียนคุณภาพ ถือเป็นเรื่องสําคัญ นายณัฏฐพล กล่าว
นายณัฏฐพล กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่า เรื่องโรงเรียนคุณภาพของชุมชน จะเห็นแนวทางชัดเจนในอีกไม่กี่เดือนจากนี้ และจะเห็นภาพของโรงเรียนคุณภาพของชุมชนที่เป็นรูปธรรม หลังจากที่มีงบประมาณปี 2565 หรือในช่วงปลายปี 2564 นี้”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การดําเนินการทุกเรื่อง ต้องคํานึงถึงความเชื่อมโยงของการขับเคลื่อนการศึกษาไทยในอนาคต รวมถึงการคํานึงถึงการใช้เงินงบประมาณที่เหมาะสม และต้องมีประสิทธิภาพ เช่น เรื่องของอาหารกลางที่ได้นําเสนอเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี เพื่อเป็นของขวัญให้กับเด็กๆ เป็นการคิดคํานวณโดยพิจารณาถึงการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพ หากในอนาคตมีการควบรวมโรงเรียน งบประมาณที่ให้กับโรงเรียนขนาดเล็กก็จะหายไป แต่จะไปรวมเข้ากันเป็นโรงเรียนขนาดกลาง และขนาดใหญ่
นายณัฏฐพล กล่าวว่า เช่นเดียวกับเรื่องการนําครูต่างชาติเข้ามาสอนนักเรียน ซึ่งช่วงระยะเวลาก่อนหน้ามีข้อจํากัดบางที่อย่างที่ทําให้ไม่สามารถดําเนินการได้ แต่ตอนนี้ สามารถเห็นภาพได้ชัดแล้วว่าเราต้องอยู่กับโรคโควิด-19 อย่างไร ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการจะรีบผลักดันให้เกิดขึ้น รวมถึงโครงการการศึกษายกกําลังสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศูนย์ HCEC หรือว่าระบบแพลตฟอร์ม DEEP หรือว่า EIDP ซึ่งเป็นการประเมินในส่วนของสมุดพกของคุณครูและนักเรียน จะช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนา ซึ่งเป็นเรื่องที่สําคัญ มั่นใจว่า หากทุกคนเข้าใจแนวทางที่ดําเนินการ การการศึกษาไทยน่าจะมีการพัฒนาที่มากขึ้น
“ในปี 2563 มีข้อจํากัดบางอย่างที่เราไม่สามารถทําได้ ทุกๆ เรื่องที่เราทํางาน เป็นเรื่องที่เราต้องคํานึงถึงเรื่องของงบประมาณว่าเราใช้งบประมาณที่เหมาะสมหรือไม่ แล้วก็เรื่องกฎระเบียบต่างๆ เราก็มีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อลดความซับซ้อน แล้วก็ยกเลิกในบางเรื่องที่อาจจะทําแล้วไม่ได้เป็นประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น พ.ร.บ.ของเตรียมอาชีวะศึกษา มีการดึงเรื่องกลับมา เพราะคิดว่าทาง สพฐ. สามารถบริหารจัดการการเตรียมอาชีวะในโรงเรียนได้เอง ซึ่งทุกเรื่องของการศึกษา เราไม่สามารถทําได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องมีการวางแผนในระยะยาว ซึ่งวันนี้ผมคิดว่าทั้งกระทรวงศึกษาธิการ เรามีความเข้าใจตรงกันว่าเราต้องวางแผนอะไร เพื่อจะทําให้การศึกษาไทยมีคุณภาพมากขึ้น” นายณัฏฐพล กล่าว
ทั้งนี้ โครงการการศึกษายกกําลังสอง ประกอบด้วย ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ Human Capital Excellence Center (HCEC) แพลตฟอร์มทางด้านการศึกษา หรือ Digital Education Excellence Platform (DEEP) และ แผนพัฒนารายบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ หรือ Excellence Individual Development Plan (EIDP)
นอกจากนี้ นายณัฏฐพล ยังได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ด้วยว่า ได้พิจารณาการจัดงานวันครูทางออนไลน์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งระบบเทคโนโลยีสามารถรองรับได้ รวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับหลักสูตรในการผลิตครูของมหาวิทยาลัย ที่จําเป็นต้องมีการวางแผน โดยนําข้อมูลของทุกหน่วยงานมาผสมผสานกัน และเชื่อมโยงถึงแนวโน้มในอนาคต เพื่อทราบความต้องการของจํานวนครูในแต่ละสาขาที่แท้จริงว่า ควรจะเป็นเท่าไหร่ ในสาขาอะไร
สําหรับการสรรหาตําแหน่งรองเลขาธิการคุรุสภา ในที่ประชุมเห็นควรให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการสรรหา เพื่อให้มีวาระดํารงตําแหน่งเท่ากับเลขาธิการ และปรับหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม ให้นําระบบเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความถูกต้องและเหมาะกับกระบวนการในการปฏิบัติงานจริง รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อเชื่อมกับหน่วยงานต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ. : รายงาน | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กำลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปฯ หมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ำไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง | นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กําลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปฯ หมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ําไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง
นายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร จ.ระยอง ให้กําลังใจบุคลากรสาธาณสุข-ชาวระยอง แนะใช้แอปพลิเคชันหมอชนะป้องกันโควิด-19 ย้ําไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองตามมาตรการอย่างถูกต้อง
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (29 ธ.ค.63) เวลา 15.20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร ต.ท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ซึ่ง จ.ระยอง กําหนดให้เป็นจุดคัดกรองเพื่อตรวจหาเชื้อสําหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 โดยโรงพยาบาลระยอง จัดเจ้าหน้าที่ชุดพิเศษ ตั้งเต็นท์ตรวจวัดอุณหภูมิ และคัดกรอง ตรวจสอบประวัติผู้ที่มีความเสี่ยงสูงและตรวจหาเชื้อ พร้อมกับ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลจังหวัดระยอง และให้กําลังใจบุคลากรสาธารณสุข ณ โรงพยาบาลระยอง โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ร่วมการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ด้วย
นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปกระบวนการตรวจคัดกรองและเยี่ยมชมหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกเนินอุไร ที่เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ 27 ธ.ค. 63 เป็นต้นมา เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ของทุกวัน มีการแยกกลุ่มเสี่ยงสูง เสี่ยงกลาง และเสี่ยงต่ํา ซึ่งมีประชาชนมารับบริการประมาณวันละ 400 - 500 คน จนถึงขณะนี้มีประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองแล้วประมาณ 1,280 คน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เสียสละดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ดูแลป้องกันตนเองด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ต้องดูแลซึ่งกันและกัน และขอให้เชื่อฟังมาตรการของรัฐ ทั้งนี้ ทุกอย่างรัฐบาลทําเองทั้งหมดไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกฝ่าย ขออย่าได้โทษกันไปกันมา สิ่งสําคัญคือทุกคนต้องดูแลตนเองให้ดีที่สุด เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ และให้สังเกตอาการตนเองหากพบว่าผิดปกติ หรือสงสัยจะติดเชื้อให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้อง ต้องใส่หน้ากากอยู่เสมอและเว้นระยะห่างทางสังคมด้วย โดยขอให้ประชาชนอย่ากลัวโควิด-19 แต่ขอให้ระมัดระวังไม่ประมาท ดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกต้อง รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่และประชาชนชาวระยองทุกคนมีความเชื่อมั่น และขอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับฟังสรุปภาพรวมการควบคุมและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของ จ.ระยอง จากนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง โดย จ.ระยองพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาจํานวน 56 ราย รวมกับผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ 92 ราย รวมเป็นมีผู้ติดเชื้อสะสม 148 ราย ที่ได้กระจายไปยังอําเภอรอบนอก โดยติดเชื้อจากกลุ่มการพนัน และคนในครอบครัวที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ จากสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นดังกล่าว คณะกรรมการโรคติดต่อ จ.ระยองจึงประกาศปิดพื้นที่เสี่ยงทั้งจังหวัด และห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวทุกกรณี ขณะที่ นพ.ไชยสิทธิ์ เทพชาตรี ผู้อํานวยการโรงพยาบาลระยอง ได้รายงานถึงการดําเนินการด้านรักษาพยาบาลจากสถานการณ์โควิด -19 จ.ระยอง โดยมีการเตรียมการทั้งอุปกรณ์ บุคลากรทางการแพทย์ และสถานพยาบาลไว้รองรับ กรณีผู้ป่วยไม่เกิน 200 คน ใช้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขและเอกชน ผู้ป่วยไม่เกิน 500 คน ใช้โรงพยาบาลสนาม (Hospital) และผู้ป่วยเกินกว่า 500 คน ใช้โรงพยาบาลสนาม (อาคารที่มีเตียงรวมกัน) และมีสถานที่ตรวจโควิด -19 ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง เนินอุไร และโรงพยาบาลระยอง สาขาเกาะหวาย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมา จ.ระยองวันนี้ว่า เพื่อมาให้กําลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน รวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนชาว จ.ระยอง รวมทั้งติดตามการดําเนินการตามมาตรการ เช่น ที่หน่วยคัดกรองเนินอุไร โดยขณะนี้สถานการณ์ จ.ระยอง ยังสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังต้องอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก หากสามารถคลี่คลายลงไป ก็จะลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีแนะให้นําเทคโนโลยีดิจิทัลแอปพลิเคชันหมอชนะ มาใช้ในการดูแลประชาชนป้องกันโควิด-19 ควบคู่กับการติดตามสถานการณ์ภายนอกพื้นที่และในพื้นที่รวมถึงสถานการณ์จากต่างประเทศ เพื่อปรับการดําเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ําให้ทุกฝ่ายสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและตื่นตระหนกจนเกินไป รวมไปถึงการสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมไม่ให้เกิดการรังเกียจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ ในส่วนของวัคซีนป้องกันโควิด-19 คาดว่าน่าจะสามารถใช้ได้ในปีหน้า ซึ่งขณะนี้ในบางประเทศก็เริ่มใช้แล้ว
สําหรับกรณีบ่อนการพนัน จะต้องดําเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะมีการตรวจสอบ และหากพบกระทําผิดจริงจะดําเนินการตามกฎหมายทันที ขณะเดียวกัน ขอให้ประชาชนอย่าไปในสถานที่ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะแหล่งการพนันต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐต้องเข้มงวดดูแลแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันการลักลอบนําแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศ
-----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19 | คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19
คกก. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ฯ เตรียมผลักดัน Soft Power เน้นส่งออกวัฒนธรรมไทย เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมเตรียมมาตรการเยียวยากิจการภาพยนตร์หลังสถานการโควิด-19
วันนี้ (29 ธ.ค. 63) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วมด้วย
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานผลกระทบของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กองถ่ายภาพยนตร์ โทรทัศน์ โฆษณา ทําให้บุคลากรในทุกห่วงโซ่ต้องหยุดงานและขาดรายได้ งานประกาศผลรางวัลและงานอีเว้นท์ด้านสื่อบันเทิงต้องถูกระงับ โรงภาพยนตร์ไม่สามารถเปิดบริการได้ตามปกติ เป็นต้น ภาครัฐจึงเร่งออกมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ประกอบการ แรงงาน ลูกจ้าง เช่น มาตรการ “เราไม่ทิ้งกัน” มาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างโดยสํานักงานประกันสังคม โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา เป็นต้น รวมถึงการผ่อนคลายให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาถ่ายทําภาพยนตร์ในประเทศไทยได้ หลังการผ่อนคลายมาตรการ มีกองถ่ายภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทําในประเทศไทย 7 เรื่อง สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ 148.48 ล้านบาท และมาสํารวจสถานที่ถ่ายทําอีก 6 เรื่อง ซึ่งมีแผนถ่ายทําในปี 2564 คาดว่าจะทํารายได้อีกกว่า 1,000 ล้านบาท ในส่วนของภาคเอกชน ได้มี “กองทุนเยียวยาโควิด-19” โดย บริษัท เน็ตฟลิกซ์ และสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ มีแผนดําเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติในพื้นที่เป้าหมาย เป็นต้น เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย
โอกาสนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับคณะทํางานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยใช้มิติทางวัฒนธรรมและซอฟท์พาวเวอร์ (Soft Power) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลักดันอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงของประเทศ โดยการนําคอนเทนท์เกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยสอดแทรกในภาพยนตร์และสื่อต่าง ๆ เพื่อส่งออก เป็นการสร้างรายได้และฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีการเสนอข้อคิดเห็นต่าง ๆ อาทิ สร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ในลักษณะ Single Agent ให้มีการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 10 - 20 ปี หาความร่วมมือของภาครัฐ และภาคเอกชนส่งเสริมการผลิต Soft Power ของทั้งเนื้อหาบริการต่าง ๆ ส่งเสริมการเผยแพร่ทั้งในและต่างประเทศ และกําหนดกลุ่มประเทศเป้าหมายให้ชัดเจน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกล่าวว่าประเด็นนี้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันระดมในการทําคอนเทนต์หรือผลิตภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้มิติวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็งของไทยด้วย
---------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.รับมอบบริการ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ | ศธ.รับมอบบริการ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ
นายสุภัทร จําปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบงาน โครงการติดตั้งบริการ Free Wifi by CAT Internet ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 สํานักงาน กศน.
กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับมอบ Free Wifi by CAT สู่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” 107 แห่งทั่วประเทศ โดยปลัด ศธ. “สุภัทร จําปาทอง” ย้ําความขอบคุณที่ช่วยให้ ศธ.มีแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย ทั้งในระบบและนอกระบบ สร้างทักษะ เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้อย่างไม่มีขีดจํากัด ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์การศึกษายกกําลังสอง
(29 ธันวาคม 2563) นายสุภัทร จําปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีส่งมอบงาน โครงการติดตั้งบริการ Free Wifi by CAT Internet ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ณ ห้องประชุมบรรจง ชูสกุลชาติ ชั้น 6 สํานักงาน กศน.
นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ กศน. กล่าวถึงความเป็นมาโครงการว่า สํานักงาน กศน.ได้ประสานความร่วมมือกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT ในการส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย หรือ WiFi ที่มีประสิทธิภาพความเร็วสูง และมีคุณภาพแก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีบรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอ่านและการเรียนรู้ มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือสัญญาณ WiFi ที่เสถียร พร้อมสําหรับการให้บริการการอ่านและการเรียนรู้ในระบบดิจิทัล ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่มาใช้บริการ
ในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนการติดตั้งเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้ชื่อ Free WiFi by CAT ซึ่งเป็นการดําเนินการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จํานวน 107 แห่ง
ซึ่งในวันนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้มอบงานโครงการติดตั้งบริการ Free WiFi by CAT ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนที่มาใช้บริการ มีโอกาสที่ดียิ่งขึ้นในการใช้ประโยชน์จากห้องสมุดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต
พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) กล่าวว่าการดําเนินงานครั้งนี้เกิดจากเจตนารมณ์ของ CAT ที่เล็งเห็นว่า ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในด้านการศึกษาของโลกยุคใหม่ เสมือนห้องสมุดโลกที่เต็มไปด้วยแหล่งความรู้มากมายให้ได้ค้นคว้า อีกทั้งการเรียนในทุกวันนี้จําเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยจัดการอย่างเป็นระบบ
ดังนั้น การให้บริการระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมให้การศึกษาของคนไทยสามารถพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น CAT จึงได้ให้การสนับสนุนบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายภายใต้ชื่อ “Free WIFi by CAT” ด้วยความเร็ว 100 Mbps ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จํานวน 107 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่มาใช้บริการห้องสมุด สามารถใช้บริการอินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล หรือติดต่อสื่อสารได้อย่างทั่วถึง ถือเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างไม่มีข้อจํากัด
นายสุภัทร จําปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวขอบคุณบริษัทฯ ที่ให้การสนับสนุนการติดตั้งบริการ Free WiFi by CAT ให้แก่ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ทั่วประเทศ สอดคล้องกับการขับเคลื่อนการศึกษาไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การศึกษายกกําลังสอง (Thailand Education Eco-System : TE2S) เพื่อให้เกิด “การศึกษาที่เป็นเลิศ” (Education for Excellence) ที่การศึกษาจะต้องมีความยืดหยุ่น เท่าทันกับบริบทภายนอก และกระแสโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพบุคคลสู่ความเป็นเลิศ โดยจะต้องพัฒนาสื่อการเรียนรู้ยกกําลังสอง จากตําราสู่การเรียนผ่านสื่อแบบผสมผสาน การใช้ดิจิทัลในการเรียนรู้และเรียนที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์
Free WiFi by CAT จึงทําให้เกิดแหล่งเรียนรู้ที่ดี มีความทันสมัย สร้างคุณลักษณะในการเรียนรู้ผ่านการศึกษาค้นคว้าจากเทคโนโลยีให้แก่นักเรียน นักศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบ ตอบโจทย์ความรู้แบบไร้พรมแดน สร้างทักษะที่เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้อย่างไม่มีขีดจํากัด และสร้างความสามารถของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
ปารัชญ์ ไชยเวช / สรุป กิตติกร แซ่หมู่ / ถ่ายภาพ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กรณีมีผู้แอบอ้างขอเลขบัญชีและบัตรประชาชนเพื่อโอนเงินโควิด-19 | ธอส.เตือนอย่าหลงเชื่อ!! กรณีมีผู้แอบอ้างขอเลขบัญชีและบัตรประชาชนเพื่อโอนเงินโควิด-19
ธอส.เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อกรณีที่มีผู้ใช้หมายเลข 082-946-4808 ติดต่อไปสอบถามเลขบัญชีธนาคาร และเลขบัตรประจําตัวประชาชน เพื่อจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 เข้าบัญชีให้คนละ 2,000 บาท โดยยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อกรณีที่มีผู้ใช้หมายเลข 082-946-4808 ติดต่อไปสอบถามเลขบัญชีธนาคาร และเลขบัตรประจําตัวประชาชน เพื่อจะโอนเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสู้โควิด-19 เข้าบัญชีให้คนละ 2,000 บาท โดยยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของ ธอส. หรือ ผู้ปฏิบัติงานของ ธอส. รวมทั้งไม่สามารถติดต่อไปที่หมายเลขดังกล่าวได้ และเคยมีการแชร์ข้อความในลักษณะคล้ายกันนี้มาตั้งแต่ปี 2562 โดยอ้างว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของกรมบัญชีกลาง และในปี 2563 ได้มีการปรับเพิ่มข้อความให้เข้ากับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ซึ่งกระทรวงการคลังเคยเตือนประชาชนในกรณีดังกล่าวมาแล้วว่าเป็นข่าวปลอม หรือ Fake News เช่นกัน
ทั้งนี้ หากลูกค้าประชาชนได้รับข้อความในลักษณะเดียวกันนี้ ขอความร่วมมือไม่ส่งต่อหรือแชร์ข้อมูล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน สอบถามรายละเอียด หรือ ติดต่อข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการร่วมลงทุนสำคัญ (High Priority PPP Project) เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมผลักดันโครงการในปี 2564 มูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านบาท | โครงการร่วมลงทุนสําคัญ (High Priority PPP Project) เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมผลักดันโครงการในปี 2564 มูลค่ารวมกว่า 160,000 ล้านบาท
ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการ PPP มอบหมายให้กระทรวงเจ้าสังกัด หน่วยงานเจ้าของโครงการ และ สคร. ทําหน้าที่เร่งรัดโครงการที่สําคัญและจําเป็นเร่งด่วน (High Priority PPP Project) ภายใต้แผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและแล้วเสร็จตามกําหนด ซึ่งนอกจากโครงการคมนาคมในด้านต่างๆ ทั้งทางถนน ทางราง และทางน้ําแล้ว ยังรวมไปถึงโครงการในด้านสาธารณสุขด้วย เพื่อกระตุ้นการลงทุนของประเทศในภาพรวม และให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ตลอดจนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่างๆ ของรัฐ
2. คณะกรรมการ PPP ยังได้วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ตามมาตรา 20 (9) ตามที่มีหน่วยงานหารือในกรณีปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ของการประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด | การประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ําตาลไทย จํากัด
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ําตาลไทย จํากัด ครั้งที่ 11/2563
นายอําพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริษัทอ้อยและน้ําตาลไทยจํากัดครั้งที่11/2563โดยมีนายกอบชัยสังสิทธิสวัสดิ์ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานณห้องประชุมบริษัทอ้อยและน้ําตาลไทยจํากัดชั้น32อาคารพญาไทพลาซ่าซึ่งที่ประชุมฯได้รับทราบประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการหารือข้อกฎหมายตามสัญญาการส่งมอบน้ําตาลทรายดิบเพื่อการส่งออกนอกราชอาณาจักรฯการเปิดประมูลขายน้ําตาลทรายดิบรายงานสรุปผลการทําราคาน้ําตาลทรายดิบส่งมอบให้อนท.ฤดูการผลิตปี2563/2564รายงานการส่งออกน้ําตาลของไทยเดือนมกราคม–พฤศจิกายน2563แนวโน้มราคาน้ําตาลทรายดิบ(Sugar#11)ภาวะตลาดเงินดอลล่าห์สหรัฐฯประกอบกับพิจารณาหารือในหลายประเด็นเช่นการดําเนินการรับซื้อและจําหน่ายน้ําตาลทรายของกลางจากกรมศุลกากรประมาณการค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุมกับประเทศสมาชิกกลุ่มพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการค้าน้ําตาลโลก(GSA)ประจําปีพ.ศ. 2565การจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการและพนักงานประจําปีพ.ศ. 2563รวมถึงการจัดทํางบประมาณของบริษัทประจําปีพ.ศ. 2564เป็นต้น | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ออก 4 มาตรการ แก้ปัญหาหนี้สินตำรวจ 4,000 ล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนผ่าน Application : GHB ALL มกราคม 2564 | ธอส. ออก 4 มาตรการ แก้ปัญหาหนี้สินตํารวจ 4,000 ล้านบาท พร้อมเปิดลงทะเบียนผ่าน Application : GHB ALL มกราคม 2564
ธอส.ลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ" กับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ" กับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ แก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา พร้อมออก 4 มาตรการ ดูแลลูกหนี้ที่มีปัญหาในการผ่อนชําระ รวมถึงมีสถานะทางกฎหมายประมาณ 4,000 ล้านบาท เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL ในเดือนมกราคม 2564
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ร่วมลงนามข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ" ร่วมกับ พลตํารวจเอกสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจัดทําขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ข้าราชการตํารวจและลูกจ้างประจํา สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ที่มีปัญหาหนี้สิน และป้องกันการมีภาระหนี้สินเพิ่มจนเกินกําลังความสามารถในการชําระหนี้ผ่านแนวทางต่าง ๆ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย อันจะนําไปสู่คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับข้าราชการตํารวจ ด้านสวัสดิการกําลังพล คือ โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินตํารวจ
โดย ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2563 ธอส. มีลูกค้าของธนาคารที่ใช้สิทธิสวัสดิการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จํานวน 39,493 บัญชี เงินต้นคงเหลือประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยเป็นลูกหนี้ที่มีปัญหาในการผ่อนชําระ รวมถึงมีสถานะทางกฎหมายประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่ง ธอส. พร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับ สตช. พิจารณาแนวทางการช่วยเหลือลูกค้าใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปรับโครงสร้างหนี้ 2.การลดดอกเบี้ย 3.การขยายเวลาชําระหนี้ และ 4.การผ่อนปรนการชําระหนี้ โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน Application : GHB ALL ในเดือนมกราคม 2564
ทั้งนี้ พิธีลงนามความร่วมมือดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สอบถามรายละเอียดหรือติดต่อข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์(Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมว.สุชาติ’ ปลื้ม!! ประชาชนพอใจผลงานกระทรวงแรงงาน ชื่นชมให้กำลังใจ ขรก.ช่วยขับเคลื่อนภารกิจ ก้าวผ่านโควิด -19 ไปให้ได้ | ‘รมว.สุชาติ’ ปลื้ม!! ประชาชนพอใจผลงานกระทรวงแรงงาน ชื่นชมให้กําลังใจ ขรก.ช่วยขับเคลื่อนภารกิจ ก้าวผ่านโควิด -19 ไปให้ได้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปลื้มใจ!! กรณีผล RIDC โพล ของศูนย์วิจัย นวัตกรรมและดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ ม.ราชภัฏสวนสุนันทา เปิดเผยว่า ประชาชนพอใจภาพรวมผลงานและการทํางานของรัฐบาล โดยกระทรวงแรงงานติด 1 ใน 5 อันดับแรก
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึงกรณีผล RIDC โพล ของศูนย์วิจัย นวัตกรรมและดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้ทําการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อผลงานของรัฐบาล ประจําปี 2563 ระหว่างวันที่ 21-25 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลงานทั้งในภาพรวม และรายกระทรวงรวมถึงผลงานเด่นของรัฐบาล เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในสังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ โดยสุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปกระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศผ่านแบบสอบถามออนไลน์และสัมภาษณ์รวม 4,121 ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนพอใจภาพรวมผลงานและการทํางานของรัฐบาล 62.11 % และพอใจผลงานและการทํางานของแต่ละกระทรวง 5 อันดับ ได้แก่ 1) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 65.62 % 2) กระทรวงพาณิชย์ 65.51 % 3) กระทรวงสาธารณสุข 64.20 % 4) กระทรวงแรงงาน 62.98 % และ 5) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 60.01 %
นายสุชาติยังได้กล่าวถึงของขวัญปีใหม่ที่กระทรวงแรงงานจะมอบให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ ได้แก่ 1) ลดเงินสมทบให้กับนายจ้างและผู้ประกันตน จากเดิมฝ่ายละ 5 % เป็น 3 % ของค่าจ้าง เป็นเวลา 3 เดือน (ม.ค.– มี.ค.64) 2) เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร เดิม 600 เป็น 800 บาทต่อเดือนต่อคน (ไม่เกิน 3 คน) ค่าคลอดบุตรเดิม 13,000 บาท เพิ่มเป็น 15,000 บาท และค่าฝากครรภ์เดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท เป็น 5 ครั้ง 1,500 บาท 3) ลดดอกเบี้ยเงินกู้แก่แรงงานที่รับงานไปทําที่บ้าน งวดที่ 1 – 12 ร้อยละ 0 ต่อปี งวดที่ 13 ขึ้นไป ร้อยละ 3 ต่อปี ภายใต้กรอบวงเงินกู้ 7,000,000 บาท รายบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท รายกลุ่มไม่เกิน 300,000 บาท 4) ฟรีอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน 10,000 คน และ 5) ฟรีพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งการจ่ายเงินชดเชย 50 % แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบโควิด – 19 กรณีรัฐสั่งปิดกิจการชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน เป็นต้น
“ผมขอชื่นชมและให้กําลังข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานทุกคนที่ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลัง กระทรวงแรงงานจะมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อขับเคลื่อนภารกิจด้านแรงงานด้วยการส่งเสริมการมีงานทํา การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองแรงงาน และการเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและผ่านวิกฤตโควิด – 19 นี้ไปให้ได้”นายสุชาติกล่าวในท้ายสุด | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฮ!! กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงิน 500 บาท ต่อเนื่อง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย | ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฮ!! กรมบัญชีกลางเพิ่มวงเงิน 500 บาท ต่อเนื่อง 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.64) เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้มีรายได้น้อย
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดําเนินโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวนประมาณ 14 ล้านคน ให้เป็นค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จําเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัด
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดําเนินโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จํานวนประมาณ 14 ล้านคน ให้เป็นค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จําเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) จํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการเดิมที่สิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2563
“กรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมการเพิ่มวงเงินดังกล่าว เพื่อให้ผู้ได้รับสิทธิได้ใช้สิทธิวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างต่อเนื่อง โดยกําหนดเพิ่มวงเงินจํานวน 500 บาท เข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในทุกวันที่ 1 ของเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (300+500) รวมเป็น 800 บาท/เดือน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ (200+500) รวมเป็น 700 บาท/เดือน” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ําว่า การขยายวงเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปอีก 3 เดือน ถือเป็นของขวัญ ปีใหม่ที่รัฐบาลมอบให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในสินค้าอุปโภค บริโภค และขอย้ําว่า วงเงินที่ได้รับไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ การใช้จ่ายดังกล่าวสามารถนําไปใช้ที่ร้านธงฟ้าประชารัฐที่รับชําระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) หรือร้านค้าที่รับชําระเงินผ่านแอพฯ ถุงเงินประชารัฐ หากมี ข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค | กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค
กระทรวงเกษตรฯ อัพเกรดอาชีพโคนมทั่วไทย หนุนประกันภัยแม่โค เสริมความมั่นคง สร้างความมั่นใจ เป็นของขวัญปีใหม่ 2564
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า นโยบายด้านการประกันภัยภาคเกษตรเป็นนโยบายสําคัญภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงให้กับพี่น้องเกษตรกรทุกสาขาอาชีพ ปัจจุบันรัฐบาลมีเครื่องมือช่วยเหลือในยามฉุกเฉินแต่ก็ไม่เพียงพอกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้สนับสนุนให้มีการประกันภัยที่เป็นธรรม เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกรโดยแท้จริง สําหรับการดําเนินงานที่ผ่านมา ตนในฐานะกํากับดูแลกรมปศุสัตว์ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์ประสานทุกภาคส่วนเพื่อตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว โดยในส่วนที่ทําไปแล้วและกําลังได้รับความสนใจในขณะนี้ก็คือ “โคขุน” ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่างกรมปศุสัตว์ กับ ธ.ก.ส. (โคขุนกู้วิกฤต COVID-19) ที่ได้ผลักดันเรื่องการประกันภัยโคขุนเพื่อลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้หารือร่วมกับผู้แทนฟาร์มโคนม และบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จํากัด เพื่อหาแนวทางร่วมกันเพื่อเป็นช่วยเหลือดูแลเกษตรกรที่มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะผู้เลี้ยงโคนม ทําอย่างไรไม่ให้รับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
นายประภัตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากภาคธุรกิจประกันภัย ในการดําเนินโครงการ “ประกันภัยโคนม” เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมยกระดับมาตรฐานธุรกิจโคนมในประเทศไทย ในฐานะสัตว์เศรษฐกิจที่สําคัญและเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังได้มอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 รวมไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก และหมู เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง ซึ่งประกันภัยจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเกษตรกร โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานศึกษารายละเอียดต่อไป
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า สําหรับสถานการณ์การเลี้ยงโคนมของประเทศไทยในปัจจุบัน ปี 2563 ประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจํานวน 20,174 ราย ผ่านมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (ฟาร์มโคนม GAP) 6,475 ฟาร์ม จํานวนโคนม 707,236 ตัว โดยเป็นแม่โครีดนม 320,613 ตัว ปริมาณน้ํานมดิบที่มีการทําข้อตกลงการซื้อขาย (MOU) ระหว่างศูนย์รวมนมและผู้ประกอบการจํานวน 3,547 ตัน/วัน ทั้งนี้ 1,000 ตัน ใช้ภายใต้โครงการ “อาหารเสริม (นม) โรงเรียน” ปริมาณนมส่วนที่เหลือเป็นนมพานิชย์ที่แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมให้คนไทยได้บริโภค นอกจากนี้ การจัดทํา MOU เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในประเทศ และเป็นอาชีพพระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมการเลี้ยงโคนมของไทยนับเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน อีกด้วย
สําหรับความคุ้มครองที่เกษตรจะได้รับจากการทําประกันภัยโคนม ประกอบด้วย ความคุ้มครองที่เกิดจากการเจ็บป่วยของโคนม, ความคุ้มครองการตายจากการบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ, ความคุ้มครองการตายจากภัย เช่น ไฟไหม้ ฟ้าผ่า น้ําท่วม ลมพายุ ที่ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ โดยเกษตรกรที่ซื้อประกันภัยโคนมในโครงการจะได้รับค่าสินไหมทดแทนประมาณ 30,000 บาทต่อตัว (เงื่อนไขตามกรมธรรม์) | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบหมาย ที่ปรึกษาฯ ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์โควิด-19 ใน 8 จังหวัด | รมว.สุชาติ มอบหมาย ที่ปรึกษาฯ ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์โควิด-19 ใน 8 จังหวัด
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ ประชุมทางไกล ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มอบนโยบายตามข้อสั่งการรัฐมนตรีฯ บริหารจัดการโควิด -19 พื้นที่ 8 จังหวัด
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 เวลา 13.30 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกล (Video Conference) เพื่อติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมอบนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในการบริหารจัดการโควิด -19 ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร โดยมีนางสาวอําพันธ์ ธุววิทย์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวว่า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและอีกหลายพื้นที่ในขณะนี้ รัฐบาล ภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานทุกคนทุกกลุ่มต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นางธิวัลรัตน์กล่าวต่อว่า ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้ดิฉันเป็นประธานการประชุมผ่านระบบทางไกลร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด 8 จังหวัดที่รับผิดชอบ เพื่อรับทราบคําสั่งแต่งตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน (ศบค.รง.) และการจัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงแรงงาน ระดับจังหวัด และมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอดจนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อสั่งการของ ศบค.รง.หรือข้อสั่งการในจังหวัด เป็นต้น
“ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยข้าราชการและเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดทุกคนที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งท่านขอส่งกําลังใจมายังพวกเราชาวกระทรวงแรงงานให้เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อขับเคลื่อนภารกิจให้สามารถก้าวข้ามวิกฤตโควิด – 19 นี้ไปให้ได้”นางธิวัลรัตน์กล่าวในท้ายสุด | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จับกัง1 ผลักดัน มาตรการผ่อนผันต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่และทำงานไม่ผิดกฎหมาย ผ่านมติครม. | จับกัง1 ผลักดัน มาตรการผ่อนผันต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่และทํางานไม่ผิดกฎหมาย ผ่านมติครม.
ครม.มีมติเห็นชอบ ผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และเลี่ยงการนําเข้าแรงงานต่างด้าว
วันที่ 29 ธันวาคม 2563 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งในกลุ่มคนไทยและคนต่างด้าวเป็นจํานวนมาก ทําให้รัฐบาลโดยการนําของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความห่วงกังวลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ทํางานอย่างถูกต้อง และมีการหลบหนีเนื่องจากเกรงกลัวความผิด จึงควรมีการกําหนดมาตรการตรวจสอบ คัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกําหนดมาตรการ เฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุม และป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรค จนส่งผลกระทบต่อชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชนคนไทยและแรงงานต่างด้าว
“ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบ เรื่อง การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อกําหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม ควบคุม และป้องกัน มิให้ส่งผลกระทบต่อชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชนคนไทย โดยการผ่อนผันให้ 1) คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน 2) คนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน และ 3) ผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี อยู่ในราชอาณาจักรและทํางานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายออกประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงาน และคนต่างด้าวทั้ง 3 ประเภทข้างต้น ต้องดําเนินการตามแนวทางที่ประกาศทั้ง 2 ฉบับกําหนด เพื่อให้สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทํางานได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนายจ้าง/สถานประกอบการ ดําเนินการตามแนวทางที่กําหนดเพื่อขอใบอนุญาตทํางาน และจัดทําทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ดังนี้
1.คนต่างด้าวที่มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ประสงค์จ้างงาน รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
- นายจ้าง/สถานประกอบการ ดําเนินการแจ้งรายชื่อคนต่างด้าว ผ่านระบบออนไลน์ โดยต้องยื่นเอกสารหลักฐานและรูปถ่ายคนต่างด้าว ตามที่กรมการจัดหางานกําหนด ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
- นายจ้าง/สถานประกอบการ พาคนต่างด้าวเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม กับโรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยต้องดําเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
- นายจ้าง/สถานประกอบการชําระค่าคําขอและค่าธรรมเนียมการอนุญาตทํางานผ่าน เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือ ธนาคารกรุงไทย จํานวน 1,900 บาท และยื่นคําขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ให้กับคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้าม พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่กรมการจัดหางานกําหนด ภายในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทํางาน จะต้องไปจัดทําทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีใบอนุญาตทํางานอยู่ด้านหลังของบัตรสีชมพู ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ภายในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
2. คนต่างด้าวที่ยังไม่มีนายจ้าง/สถานประกอบการจ้างงาน รวมถึงผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตรของคนต่างด้าวดังกล่าวที่มีอายุไม่เกิน 18 ปี
- คนต่างด้าวต้องยื่นเอกสารหลักฐานและรูปถ่ายตามที่กรมการจัดหางานกําหนด ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมี 4 ภาษา คือ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา ระหว่างวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวจะใช้แบบแจ้งข้อมูลบุคคล ในการเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และตรวจสุขภาพโรคต้องห้าม กับโรงพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และซื้อประกันสุขภาพเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยต้องดําเนินการภายในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจโรค จะต้องไปจัดทําทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกําหนดภายในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564 (คนต่างด้าวจะได้รับใบจัดทําทะเบียนประวัติ (ทร 38/1) เป็นหลักฐาน โดยที่ยังไม่ได้รับบัตรสีชมพู)
- คนต่างด้าวหานายจ้าง และลงทะเบียนรายชื่อคนต่างด้าวกับกรมการจัดหางาน และใช้บัญชีรายชื่อที่ได้การอนุมัติจากกรมการจัดหางาน ชําระเงินค่าคําขอและค่าธรรมเนียมการอนุญาตทํางานผ่าน เคาน์เตอร์เซอร์วิส และ ธนาคารกรุงไทย จํานวน 1,900 บาท และให้นายจ้าง/สถานประกอบการ ยื่นคําขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบออนไลน์ ให้กับคนต่างด้าวที่ผ่านการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และโรคต้องห้าม พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานตามที่กระทรวงแรงงานกําหนด ภายในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564
- คนต่างด้าวไปปรับปรุงประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ที่มีใบอนุญาตทํางานอยู่ด้านหลังของบัตรสีชมพู ตามวิธีการและขั้นตอนที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด
สําหรับคนต่างด้าวที่ทํางานในกิจการประมงทะเล จะต้องไปจัดทําหนังสือ คนประจําเรือ หรือ Seabook (เล่มสีเขียว) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีค่าธรรมเนียม 100 บาท และเมื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเรียบร้อยแล้วคนต่างด้าวจะได้รับหนังสือคนประจําเรือ หรือ Seabook (เล่มสีเขียว) เป็นหลักฐาน ใช้คู่กับบัตรสีชมพูในการอยู่และทํางานในประเทศ
ทั้งนี้ นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนําวิธีการดําเนินการ | 2020-12-30 | 1,467.73999 | 1,449.349976 | 1,479.040039 | 1,445.359985 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจัดพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จำนวน 3 ลำ ลงน้ำ เพื่อสนับสนุนภารกิจกรมศุลกากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน | กรมศุลกากรจัดพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จํานวน 3 ลํา ลงน้ํา เพื่อสนับสนุนภารกิจกรมศุลกากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
อธิบดีกรมศุลกากรปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากรจํานวน 3 ลํา ลงน้ํา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจตรวจรับเรือค้าต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรและเรือค้าชายฝั่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องสังคม ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนในกรณีมีภัยพิบัติทางน้ํา
วันนี้ (28 ธันวาคม 2563) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ศุลกากร จํานวน 3 ลํา ลงน้ํา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจด้านการตรวจรับเรือค้าต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในราชอาณาจักรและเรือค้าชายฝั่ง และเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องสังคม ตลอดจนการช่วยเหลือประชาชนในกรณีมีภัยพิบัติทางน้ํา และทางทะเล ณ บริเวณขาออกริมน้ํา สํานักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรมีภารกิจหลักในการอํานวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากร และข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีหน้าที่ในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัย ตลอดจนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ประสบภัยทางน้ํา และทางทะเล รวมถึงการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในภาพรวมของประเทศ กรมศุลกากรจึงดําเนินการต่อเรือตรวจการณ์จํานวน 3 ลํา ได้แก่ เรือตรวจการณ์ศุลกากร 382 383 และ 384 เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ของกรมศุลกากร ทั้งด้านการป้องกันและปราบปราม การลักลอบนําสินค้าหลบหนีภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร การปกป้องสังคมจากสินค้าหรือกลุ่มขบวนการที่ทําลายความสงบสุขหรือเป็นภัยต่อสังคม การป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ พร้อมทั้งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติทางน้ํา และทางทะเล
ทั้งนี้ เรือตรวจการณ์ศุลกากรทั้ง 3 ลํา มีขนาดความยาว 30 ฟุต ต่อสร้างตามสัญญาจ้างเลขที่ 1/2563 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยบริษัท โชคนําชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จํากัด ในงบประมาณ 19,500,000 บาท (สิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) โดยได้ประกอบพิธีวางกระดูกงู เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา
กรมศุลกากร จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อสนองนโยบายกรมศุลกากรในทุกภารกิจให้ประสบผลสําเร็จคุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนที่ใช้ในการต่อสร้างเรือ พร้อมทั้งมุ่งส่งเสริมความยั่งยืนของเศรษฐกิจและระบบโลจิสติกส์ รวมทั้งเน้นย้ํานโยบายด้านการควบคุมทางศุลกากร เพื่อปกป้องสังคมควบคู่ไปกับการจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ | 2020-12-29 | 1,452.390015 | 1,461.949951 | 1,468.599976 | 1,440.589966 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ | ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจําปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
ปลัดวธ.เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการ หรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจําปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางและหลักเกณฑ์การให้ทุนสนับสนุนโครงการหรือกิจกรรมที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจําปี ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ โดยมีนายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ทรงคุณวุฒิฯ ด้านสื่อมวลชน ด้านคุ้มครองผู้บริโภค ด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัว ด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ด้านสื่อสารมวลชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม | ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ. เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ แลัะเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์กระทรวงวัฒนธรรม | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำใส่หน้ากากถูกวิธี ป้องกันโควิด 19 และมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ | สธ. ย้ําใส่หน้ากากถูกวิธี ป้องกันโควิด 19 และมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ําเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอรอ
ปาก ดังนั้น สถานที่รับเชื้อน่าจะเป็นพื้นที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องซึ่งสนามบินได้ปรับระบบทําความสะอาด และย้ําเตือนผู้โดยสารให้สวมหน้ากากให้ถูกต้อง ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยกทม.และปริมณฑล รับผู้ติดเชื้อได้ 230-400 รายต่อวัน ทั้งประเทศรองรับได้ 1,000-1,700 รายต่อวัน มีเตียงสําหรับดูแลผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะมากกว่า 1 หมื่นเตียง ส่วนเหตุการณ์ชายแดนใน3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงรองรับ 60 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วย 26 ราย ยังรองรับได้ และเตรียมเตียงจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอีก 300 เตียง, จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์มี 51 เตียง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและเอกชนโดยรอบรองรับอีกกว่า 120 เตียง และ อ.แม่สอด จ.ตาก โรงพยาบาลแม่สอด มี 120 เตียง ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้ เช่นเดียวกับยา อุปกรณ์ เวชภัณฑ์หน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ บุคลากรทางการแพทย์ มีความพร้อมทั้งหมด สิ่งสําคัญคือขอให้ผู้ป่วยให้ประวัติที่แท้จริงจะช่วยให้วินิจฉัยรักษาได้รวดเร็ว เนื่องจากการปกปิดทําให้คนรอบข้าง ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยง และตรวจวินิจฉัยรักษาได้ล่าช้า สําหรับผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 70 ปี ที่โรงพยาบาลแม่สอดยังไม่เสียชีวิต ขณะนี้ยังใส่ท่อหายใจ ให้ยารักษา และรักษาแบบประคับประคอง ทําให้อาการดีขึ้น
พลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อํานวยการสํานักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กล่าวว่า ศปม.ได้ร่วมกับตํารวจ พลเรือน อาสาสมัคร และฝ่ายปกครอง ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่เมืองหน้าด่าน โดยพื้นที่ชายแดนมีระยะทางยาวมากกว่า 2,400 กิโลเมตร ได้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น ตรวจจับด้วยกล้องวงจรปิด โดรน กล้องยูวีของกองทัพอากาศ การวางเครื่องกีดขวาง เพื่อจํากัดและยับยั้งการลักลอบเข้าผิดกฎหมาย และร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านช่วยสกัดกั้นหรือส่งข่าวแจ้งเบาะแส เพื่อสกัดกั้นทันเวลา และวางจุดตรวจสกัดกั้นตามเส้นทางที่คาดว่าจะลักลอบเข้าเมือง รวมทั้งการตรวจสถานสถานประกอบการ โรงงานต่างๆ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นการลักลอบเข้าเมือง แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1138, 1559 และ 191
*********************************** 7 ธันวาคม 2563
************************** | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ | พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ
พม. จัดประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) เร่งขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ
วันนี้ (7 ธ.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 5/2563 โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายจุติ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบเรื่องการขับเคลื่อนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 กันยายน 2563 เรื่อง เห็นชอบมาตรการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยคนไทยอายุยืน 4 มิติ (เศรษฐกิจ สุขภาพ สภาพแวดล้อม และสังคม) โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว ในส่วนประเด็นที่ผลักดันให้เป็นกฎหมายและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน อีกทั้งขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดําเนินงานตามมติ ครม. นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 และขอความร่วมมือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําข้อเสนอเชิงนโยบายไปขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้ดีขึ้นต่อไป
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีการรายงานผลการดําเนินงานมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมผู้สูงอายุ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยมีประเด็นสําคัญ อาทิ 1) ผู้สูงอายุที่ต้องการทํางานและมีงานทําเพิ่มขึ้น (สะสม) มีเป้าหมาย 154,000 คน ซึ่งดําเนินการได้ 162,705 คน คิดเป็นร้อยละ 105.65 และ 2) พื้นที่ที่มีการดําเนินงานในรูปแบบธนาคารเวลาสําหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศไทย มีเป้าหมาย 84 พื้นที่ 49 จังหวัด ซึ่งดําเนินการได้ 84 พื้นที่ (ร้อยละ 100 ) 46 จังหวัด (ร้อยละ 93.88) เป็นต้น | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทำงานต่อเนื่อง | วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทํางานต่อเนื่อง
วธ.ย้าย-รับโอนข้าราชการพลเรือนระดับสูงทดแทนเกษียณ-ทํางานต่อเนื่อง
ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 ได้ลงนามในคําสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 282/2563 เรื่อง ย้ายข้าราชการ จํานวน 9 ตําแหน่ง ดังนี้ 1.นายวรวุฒิ ด่านสมพงศ์ ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัด วธ. ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดระยอง 2.นางสุภัทร กิจเวช วัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท ไปดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัด วธ. 3.นางจิตรา สิทธนานุวัฒน์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ 4.นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดแพร่ ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย 5.นางสาววาสนา ไชยพรรณา วัฒนธรรมจังหวัดอํานาจเจริญ ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ 6.นางฐิติรัตน์ เค้าภูไทย วัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดชัยนาท 7.นางสาวสุดารัตน์ พงศ์อัมพรไกวัล ผู้อํานวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สํานักงานปลัด วธ. ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม 8.นายธธงชัย สารอักษร วัฒนธรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สํานักงานปลัด วธ. และ 9.นายไสว ไชยเมือง วัฒนธรรมจังหวัดตาก ไปดํารงตําแหน่งวัฒนธรรมจังหวัดพะเยา มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งการโยกย้ายครั้งนี้ถือเป็นการบริหารอัตรากําลังข้าราชการตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูงในสังกัดสํานักงานปลัด วธ. ทดแทนตําแหน่งเกษียณอายุราชการ ตามความเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพในการทํางานสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในคําสั่งกระทรวงวัฒนธรรมที่ 287/2563 เรื่อง รับโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ 1 ตําแหน่ง ได้แก่ นางสาวขนิษฐา โชติกวณิชย์ ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ สํานักงานปลัดวธ. ให้ดํารงตําแหน่งหัวหน้าสํานักงานรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมด้วย | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ | รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒
รมว.วธ.กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนจากจังหวัดปัตตานีที่เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ครู เด็ก และเยาวชนจากจังหวัดปัตตานี เข้าร่วม ๙๐ คน ณ ศูนย์การประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ กระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี จัดโครงการเสริมสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง กิจกรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ รุ่นที่ ๒ เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีความรัก ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยืดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และนําความรู้ ความเข้าใจในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน โดยนําเด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จํานวน ๘๐ คน เข้าร่วมกิจกรรมอบรมศึกษาดูงานแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ศาสนสถาน พิพิธภัณฑ์ และโครงการพระราชดําริฯ ระหว่างวันที่ ๒ – ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม | ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดตลาดเปิดท้ายแบกะดิน กลางถิ่นรัชดา ของกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรมเข้าร่วม ณ บริเวณด้านข้างอาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์กระทรวงวัฒนธรรม | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา | รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
รมว.วธ.เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และปฏิบัติธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ อาคารมหาเจษฎาบดินทร์ ชั้น ๓ วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”ลุย นครศรีธรรมราช พัทลุง สั่ง รมต.และ ส.ส. ปชป.ระดมลงพื้นที่น้ำท่วมใต้ต่อเนื่อง เผยมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่งถุงยังชีพเข้าพื้นที่แล้ว 20,000 ชุด | “จุรินทร์”ลุย นครศรีธรรมราช พัทลุง สั่ง รมต.และ ส.ส. ปชป.ระดมลงพื้นที่น้ําท่วมใต้ต่อเนื่อง เผยมูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ส่งถุงยังชีพเข้าพื้นที่แล้ว 20,000 ชุด
วันที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 น. ที่ สนามบินหาดใหญ่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ประเด็นลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วม
นายจุรินทร์กล่าวว่าวันนี้ผมมาในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาเยี่ยมพื้นที่น้ําท่วมเพราะพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้หลายจังหวัดประสบภัยน้ําท่วมและได้รับความเดือดร้อนมาก สําหรับพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการกําชับให้บุคลากรของพรรคทั้ง 2 ส่วนทั้งส่วนที่อยู่ในคณะรัฐบาลเช่น รัฐมนตรีต่างๆได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมพื้นที่และขณะเดียวกันก็ไปร่วมแก้ปัญหาและส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชน ก่อนหน้านี้ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านนิพนธ์ บุญญามณี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ท่านถาวร เสนเนียม ได้ลงพื้นที่ไปก่อนหน้านี้หลายวัน วันนี้ได้มีโอกาสมาลงพื้นที่พบปะกับผู้ประสบภัยและเป็นกําลังใจให้ รวมทั้งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่จังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุงไปที่อําเภอกงหรา อําเภอเมืองและพื้นที่อื่นๆ จังหวัดนครศรีธรรมราชไปที่อําเภอทุ่งสงและพื้นที่อื่นๆ สําหรับสิ่งของที่จะมอบได้นําถุงยังชีพจากมูลนิธิหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ประมาณ 5,000 ชุด ก่อนหน้านี้มูลนิธิหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้จัดถุงยังชีพไปแล้ว 15,000 ชุดให้ผู้แทนราษฎรของพรรคไปช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยในพื้นที่จนถึงขณะนี้จัดไปแล้ว 20,000 ชุด พรรคจะกําชับให้รัฐมนตรีของพรรคกับผู้แทนราษฎรของพรรคได้ลงพื้นให้ช่วยพี่น้องประชาชนซึ่งได้ดําเนินการไปก่อนหน้านี้แล้วและดําเนินการต่อไปโดยต่อเนื่องจนกว่าทุกข์ของพี่น้องชาวใต้จะหมดสิ้นไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ | รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
รมว.วธ. เป็นประธานพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระราชกุศล
แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม พุทธศาสนิกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมพิธี ณ พระอุโบสถ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา นําหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และศาสนิกชน ร่วมกิจกรรมถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ นอกจากนี้ ยังร่วมกับองค์กรเครือข่าย ๕ ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และ ซิกข์ จัดกิจกรรมทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ณ ศาสนสถานของแต่ละศาสนา | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการคุมเข้ม สกัดโควิดทุกจังหวัดตลอดเดือน ธ.ค. | มาตรการคุมเข้ม สกัดโควิดทุกจังหวัดตลอดเดือน ธ.ค.
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ตลอดเดือน ธ.ค. 63 นี้ รัฐบาลกําหนดมาตราการเข้มข้นเพื่อป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ให้รัดกุมมากขึ้น เช่น เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดกับชายแดนเพื่อนบ้าน ตรวจตรากิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ร้านอาหาร สถานบันเทิง สนามกีฬา สถานที่ท่องเที่ยว อย่างเข้มงวด โดยให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อสม. เฝ้าสังเกต กํากับดูแล ให้คําแนะนําบุคคลที่กลับเข้ามาในพื้นที่ชุมชน พร้อมกับขอความร่วมมือผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ ผู้จัดกิจกรรม และผู้ร่วมกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ใช้แพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" ให้มีความต่อเนื่อง
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ำเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 | กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ําเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ําเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอ
กระทรวงสาธารณสุข คาดผู้ติดเชื้อในประเทศหญิงสิงห์บุรีสาเหตุมาจากการใส่หน้ากากใต้ปากในที่ชุมชน ย้ําเตือนใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง ป้องกันโควิด 19 ส่วนข่าวลือผู้ป่วยชายไทยวัย 70 ปีที่รพ.แม่สอดไม่ได้เสียชีวิต แต่อาการดีขึ้น ยันไทยมีเตียง ยา เวชภัณฑ์เพียงพอรองรับ ทั้งที่เชียงราย เชียงใหม่ ตาก ล่าสุดผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก มี 38 ราย ติดเชื้อในประเทศ 2 ราย
วันนี้ (7 ธันวาคม 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป พร้อมนายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และพลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อํานวยการสํานักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 มาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 บริเวณพื้นที่ด่านชายแดน และการรักษาผู้ป่วยโควิด 19
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 534,677 ราย
ผู้ติดเชื้อสะสมรวมเป็น 67,385,285 ราย เสียชีวิตรวม 1,541,638 ราย ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ยุโรป และบางประเทศในเอเชีย ประเทศไทยยังควบคุมได้ดี โดยสถานการณ์ของประเทศไทยวันนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 รายใหม่จํานวน 21 ราย สัญชาติไทย 15 ราย และต่างชาติ 6 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้ารับการกักกันทั้งหมด คือ เมียนมา 9 ราย สหราชอาณาจักร 4 ราย สหรัฐอเมริกา 2 ราย สิงคโปร์ 2 ราย เอสโตเนีย อินเดีย เยอรมนี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศละ 1 ราย
นายแพทย์โสภณกล่าวว่า สําหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เกี่ยวข้องกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา อยู่ในระบบการควบคุมสอบสวนโรครวม 38 ราย โดย 20 รายเข้ามาตามระบบและตรวจพบในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ (Local Quarantine) ลักลอบเข้าประเทศ 16 ราย และมีเพียง 2 รายติดเชื้อในประเทศ คือ ชายอายุ 28 ปี จ.เชียงราย และหญิงอายุ 51 ปี จ.สิงห์บุรี เมื่อแบ่งตามรายจังหวัด เชียงใหม่ 5 ราย เชียงราย 26 ราย (รายเก่ามี 20 ราย ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมอีก 6 ราย เป็นเพศหญิงทั้งหมด รอตรวจสอบและแถลงโดยจังหวัด) กทม. 3 ราย พิจิตร พะเยา ราชบุรี และสิงห์บุรี จังหวัดละ 1 ราย
ส่วนสาเหตุที่ผู้เดินทางกลับมาจากการทํางานในโรงแรม 1G1 จ.ท่าขี้เหล็ก เพราะมีการระบาดของโควิดและทางการปิดสถานบันเทิง ลักษณะสถานบันเทิงครบวงจร เป็นห้องแอร์อากาศปิด มีคนอยู่รวมกันจํานวนมาก ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก ทําให้มีความเสี่ยงในการรับและแพร่เชื้อต่อสูง โดยมีคนไทยไปทํางานหลายร้อยคน เมื่อมีการปิดวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 พบการระบาดในพื้นที่ ทําให้พนักงานคนไทยได้ทยอยเดินทางกลับมา และพบบางคนติดเชื้อ ไม่แสดงอาการ
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ความคืบหน้าการสอบสวนการติดเชื้อภายในประเทศของหญิงอายุ 51 ปีจ.สิงห์บุรี นั้น เนื่องจากบนเครื่องบิน ผู้ป่วยรายนี้นั่งห่างจากผู้ป่วย จ.พิจิตร และกทม. 8 แถว มีการใส่หน้ากากจึงไม่น่าเป็นสาเหตุของการรับเชื้อ และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่สนามบินแม่ฟ้าหลวง พบว่าทั้ง 3 รายมีการสวมหน้ากากไม่ถูกต้อง โดยใส่หน้ากากไว้ใต้จมูกและปาก ดังนั้น สถานที่รับเชื้อน่าจะเป็นพื้นที่นั่งรอก่อนขึ้นเครื่องซึ่งสนามบินได้ปรับระบบทําความสะอาด และย้ําเตือนผู้โดยสารให้สวมหน้ากากให้ถูกต้อง ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม ตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบิน
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19 โดยกทม.และปริมณฑล รับผู้ติดเชื้อได้ 230-400 รายต่อวัน ทั้งประเทศรองรับได้ 1,000-1,700 รายต่อวัน มีเตียงสําหรับดูแลผู้ป่วยโควิดโดยเฉพาะมากกว่า 1 หมื่นเตียง ส่วนเหตุการณ์ชายแดนใน3 จังหวัด คือ จ.เชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์มีเตียงรองรับ 60 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วย 26 ราย ยังรองรับได้ และเตรียมเตียงจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงอีก 300 เตียง, จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์มี 51 เตียง และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยและเอกชนโดยรอบรองรับอีกกว่า 120 เตียง และ อ.แม่สอด จ.ตาก โรงพยาบาลแม่สอด มี 120 เตียง ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่รับมือได้ เช่นเดียวกับยา อุปกรณ์ เวชภัณฑ์หน้ากาก แอลกอฮอล์ล้างมือ บุคลากรทางการแพทย์ มีความพร้อมทั้งหมด สิ่งสําคัญคือขอให้ผู้ป่วยให้ประวัติที่แท้จริงจะช่วยให้วินิจฉัยรักษาได้รวดเร็ว เนื่องจากการปกปิดทําให้คนรอบข้าง ครอบครัว และบุคลากรทางการแพทย์มีความเสี่ยง และตรวจวินิจฉัยรักษาได้ล่าช้า สําหรับผู้ป่วยโควิด 19 เพศชายอายุ 70 ปี ที่โรงพยาบาลแม่สอดยังไม่เสียชีวิต ขณะนี้ยังใส่ท่อหายใจ ให้ยารักษา และรักษาแบบประคับประคอง ทําให้อาการดีขึ้น
พลตรี จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ ผู้อํานวยการสํานักปฏิบัติการ กรมยุทธการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กล่าวว่า ศปม.ได้ร่วมกับตํารวจ พลเรือน อาสาสมัคร และฝ่ายปกครอง ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองในพื้นที่เมืองหน้าด่าน โดยพื้นที่ชายแดนมีระยะทางยาวมากกว่า 2,400 กิโลเมตร ได้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น ตรวจจับด้วยกล้องวงจรปิด โดรน กล้องยูวีของกองทัพอากาศ การวางเครื่องกีดขวาง เพื่อจํากัดและยับยั้งการลักลอบเข้าผิดกฎหมาย และร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านช่วยสกัดกั้นหรือส่งข่าวแจ้งเบาะแส เพื่อสกัดกั้นทันเวลา และวางจุดตรวจสกัดกั้นตามเส้นทางที่คาดว่าจะลักลอบเข้าเมือง รวมทั้งการตรวจสถานสถานประกอบการ โรงงานต่างๆ ขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นการลักลอบเข้าเมือง แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1138, 1559 และ 191
*********************************** 7 ธันวาคม 2563
************************** | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รพ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดตึกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น พัฒนาศักยภาพดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน | รพ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เปิดตึกผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น พัฒนาศักยภาพดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน
โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เปิดตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน รองรับบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ลดการส่งต่อ ลดความแออัด ผู้มารับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เปิดตึกอุบัติเหตุฉุกเฉิน รองรับบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ลดการส่งต่อ ลดความแออัด ผู้มารับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
วันนี้ (7 ธันวาคม 2563 ) ที่โรงพยาบาลแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น และรับมอบเงิน 10 ล้านบาท จากพระเทพมงคลเมธี (หลวงพ่อประจักษ์ โชติโก) ณ วัดชัยสามหมอ พระอารามหลวง เพื่อนําไปสร้างห้องผ่าตัด ห้องตรวจหัวใจ และห้อง ICU พร้อมทั้งเปิดกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด ชมรม To Be Number One
นายแพทย์เกียรติภูมิให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลแก้งคร้อเป็นโรงพยาบาลชุมชนแม่ข่าย ที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลัก ที่มีการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงบ่อยครั้ง ในปี 2561 มีรายงานผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจราจรที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแก้งคร้อ 1,135 ราย และปี 2562 จํานวน 1,288 ราย จึงจําเป็นที่จะต้องขยายบริการด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ตลอดจนหอผู้ป่วยวิกฤติ โดยก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข 59,202,750 บาท (ห้าสิบเก้าล้านสองแสนสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) สามารถให้บริการประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น และช่วยลดความแออัด ลดการส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิได้
นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหลักการทํางานในสถานการณ์โควิด 19 ต้องเตรียมพร้อมรองรับโอกาสและสถานการณ์ที่จะมาถึง ให้เข้มข้นมาตรการป้องกันตนเอง DMHT ได้แก่ สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และการตรวจรักษาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องดูแลสัมผัสกับผู้ป่วย/ ผู้รับบริการ อยากให้นําแนวคิด “นนก” นําหนึ่งก้าวไปใช้ประยุกต์ เน้นทํางานในเชิงรุก เช่น การออกเยี่ยมบ้านในชุมชน รวมถึงการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ให้ อสม.ในพื้นที่ ช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเห็นใครแปลกหน้าให้รีบแจ้งหน้าที่ทันที
สําหรับอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุฉุกเฉิน 3 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นที่ 1 เป็นห้องตรวจผู้ป่วยนอกและห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ชั้นที่ 2 เป็นห้องปฏิบัติการ ทันตกรรม หอผู้ป่วยหนัก และชั้นที่ 3 เป็นห้องคลอดและ ห้องผ่าตัด โดยปัจจุบันมีแพทย์ทั้งหมด 16 คน แพทย์เฉพาะทางได้แก่ สูติ-นรีแพทย์ 2 คน กุมารแพทย์ 2 คน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 1 คน แพทย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ 1 คน แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป 8 คน ทั้งนี้อยู่ในแผนพัฒนาแพทย์เฉพาะทางเพิ่มคือ ศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์
******************************* 7 ธันวาคม 2563 | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงน้ำท่วมภาคใต้ สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย | นายกฯ ห่วงน้ําท่วมภาคใต้ สั่งเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วมฉับพลัน และน้ําป่าไหลหลาก ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ พร้อมกําชับให้กระทรวงมหาดไทยทํางานร่วมกับทหาร ช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และเร่งระบายน้ําท่วมขัง พร้อมทั้งแจ้งให้อําเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค อีกทั้งจัดเจ้าหน้าที่สํารวจและประเมินความเสียหายเพื่อดําเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนประชาชน ให้ได้รับรู้ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานผลการช่วยเหลือ และบรรเทาสาธารณภัย ให้นายกรัฐมนตรีทราบทุกระยะด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี และคู่สมรส เข้าร่วมพิธี ณ ท้องสนามหลวง ในการนี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมวางพานพุ่มถวายความเคารพด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ในนามกระทรวงวัฒนธรรมด้วย | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ พาณิชย์ จับมือ ยุติธรรม ลุยระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญายุคใหม่ใช้ "ไกล่เกลี่ยออนไลน์" | จุรินทร์ นํา พาณิชย์ จับมือ ยุติธรรม ลุยระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญายุคใหม่ใช้ "ไกล่เกลี่ยออนไลน์"
7 ธันวาคม 2563 เวลา 9.30 น. กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กับ สถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการระงับข้อผิดพลาดด้านทรัพย์สินทางปัญญา
โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นสักขีพยานทั้งนี้เป็นความร่วมมือในการพัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ หรือ Online Dispute Resolution ( ODR ) ความร่วมมือนี้จะช่วยอํานวยความสะดวกกับผู้ประกอบการในการไกล่เกลียข้อพิพาทและลดจํานวนคดีขึ้นสู่ศาล
โดยนายจุรินทร์ กล่าวให้นโยบายว่า ทรัพย์สินทางปัญญาถือว่ามีความสําคัญมีบทบาทในการพัฒนาการค้าทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมาตลอดโดยต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับในกระบวนการเศรษฐกิจของโลกแต่เกิดการละเมิดขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าโดยไม่สุจริต เกิดข้อพิพาททางทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นมามากขึ้นในเชิงปริมาณโดยต่อเนื่องและมีการนําคดีข้อพิพาทต่างๆขึ้นสู่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ดังนั้นเพื่อไม่ให้คดีทรัพย์สินทางปัญญาเข้าศาลมากโดยไม่จําเป็นกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงได้นํากระบวนการอนุญาโตตุลาการและกระบวนการไกล่เกลี่ยละงับข้อพิพาทมาใช้ ในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดผลทําให้การเจรจาตกลงนั้นเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและเป็นที่ยอมรับของผู้พิพาทและเป็นกระบวนการที่เป็นที่ยอมรับของกระบวนการทรัพย์สินทางปัญญาของโลก
กระทรวงพาณิชย์จึงปรับใช้ออนไลน์ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อการลดขั้นตอนใช้เวลาให้สั้นที่สุดสําหรับประชาชนที่มารับบริการจากรัฐ เป็นการตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคสังคมดิจิทัล และที่ผ่านมากรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ รับเรื่องข้อพิพาทของประชาชนทั้งหมด 621 เรื่อง สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการเข้ามาให้บริการแก่ประชาชนสําเร็จ 331 เรื่องคิดเป็น 54% ของข้อพิพาททั้งหมด และนับจากนี้ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการนําระบบออนไลน์มาปรับใช้ในการระงับข้อพิพาททั้งนี้เพื่อปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยทันใจประชาชนมากขึ้น ซึ่งข้อตกลงผ่านระบบออนไลน์จะทําให้ประชาชนได้รับบริการอย่างสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการเผชิญหน้าของคู่กรณี
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ระบบระงับข้อพิพาทออนไลน์เป็นระบบการระงับข้อพิพาทสมัยใหม่ที่ทําให้การระงับ ข้อพิพาทเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทําให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาสามารถเข้าถึงกระบวนการระงับข้อพิพาทได้โดยง่าย สะดวกเพราะสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และยังประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งประหยัดเวลาในการเดินทางอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดีและยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองต่อนโยบาย 4.0 ของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาและการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ด้านธุรกิจการค้าและการลงทุน และเมื่อโลกเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางความคิดในทุกภาคส่วนจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะภาครัฐที่จะมีการนําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้เป็นเครื่องมือที่สําคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ
" ขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ที่เห็นถึงความสําคัญของระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์ และหวังว่าระบบระงับข้อพิพาทดังกล่าวจะช่วยให้การบริการแก่ประชาชนของกรมทรัพย์สินทางปัญญามีความสะดวก รวดเร็ว มีความทันสมัยและสามารถส่งเสริมให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย เจริญก้าวหน้าต่อไป " นายสมศักดิ์ กล่าว
และรายงานจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ทั้งนี้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้นับแต่เดือน มกราคม 2564 เป็นต้นไปซึ่งนายจุรินทร์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มอบเป็นของขวัญปีใหม่จากกระทรวงพาณิชย์ให้แก่ประชาชน โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://thac.go.th และสามารถศึกษาขั้นตอนการดําเนินการได้ที่เว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา www.ipthailand.go.th | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” | รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์”
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์”
วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดนิทรรศการจิตรกรรม “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” โดยมี น.ส.วิมลลักษณ์ ชูชาติ ผู้อํานวยการสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประธานสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรม แขกผู้มีเกียรติ และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ ห้องนิทรรศการ ชั้น ๒ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร และสภาวัฒนธรรมบางขุนเทียน จัดนิทรรศการจิตรกรรมแสดงภาพเขียน สีน้ํามันภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในชุด “พระผู้ทรงเป็นนิรันดร์” จํานวน ๕๐ ภาพ ซึ่งเป็นผลงานของอ.กําพล พงษ์พิพัฒน์ ศิลปินอิสระ ที่ได้รับรางวัลจากสถาบันระดับชาติ โดยจะจัดแสดงระหว่างวันที่ ๓ – ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มหิดล’ ผนึกกำลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี | ‘มหิดล’ ผนึกกําลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี
‘มหิดล’ ผนึกกําลัง ‘รีเสิร์ช เอ็กซ์’ ลงนามขับเคลื่อนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมโดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัดจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย“การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี”ณ ห้องประชุมพิทยา จารุพูนผล ชั้น 5 อาคารเทพนม เมืองแมน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
วันที่ 30 พ.ย. 2563 - จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน การพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์และสุขภาพ ถือเป็นเรื่องสําคัญและมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงเกิดความร่วมมือในการลงนามร่วมกันภายในเครือข่ายย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ที่มุ่งสร้างต้นแบบเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อนวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะพัฒนาย่านนี้ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธีขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 2 กระทรวงคือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงสาธารณสุข
ด้วยเหตุนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด จึงจับมือกันร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี” เพื่อร่วมดําเนินการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ และการมีส่วนร่วมแบบโปร่งใส เพื่อเป้าหมายของการ “อยู่ เป็น สุข” และร่วมมือกันผลักดันผลงานวิจัยนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าให้เกิดทรัพย์สินทางปัญญาจากหิ้งสู่ห้าง ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพตามแผนยุทธศาสตร์ของชาติ Thailand 4.0 ในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พร้อมทั้งขับเคลื่อนการวิจัยค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการภายใต้องค์ความรู้“อยู่ เป็น สุข” (V Wellbeing)ส่งเสริมงานวิจัยนวัตกรรมให้เกิดการต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดงานและเป็นผู้แทนลงนาม พร้อมทั้งรองศาสตราจารย์ธราดล เก่งการพานิชคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเป็นพยานในการลงนาม และได้รับเกียรติจากนายภาคภูมิ เพิ่มมงคลกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด ให้เกียรติเป็นผู้แทนร่วมลงนาม พร้อมทั้งคุณนิตยา บุญเป็งผู้ประสานงานวิจัยเชิงพาณิชย์ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด ร่วมเป็นพยานในการลงนาม โดยเป็นผู้แทนของรองศาสตราจารย์ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษาด้านกฏหมายและทรัพย์สินทางปัญญา บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด
ดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลกล่าวว่า “ความร่วมมือของคณะสาธารณสุขฯ กับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัด สืบเนื่องมาจากแผนงานของเราทั้งสองฝ่ายนั้น นอกจากจะตอบโจทย์Health Literacyซึ่งมีหัวใจสําคัญ คือเข้าถึง เข้าใจ โต้ตอบ ซักถาม แลกเปลี่ยน ตัดสินใจ เปลี่ยนพฤติกรรม และบอกต่อตามนโยบายของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่คํานึงถึงสุขภาพของประชาชน คณะสาธารณสุขฯ ของเรายังต้องการองค์กรที่จะมาช่วยตอบโจทย์ด้านนวัตกรรมดิจิทัลให้กับเราด้วย นั่นก็เพราะคณะสาธารณสุขฯ ของเราสามารถเป็นนวัตกรรมสังคมให้กับผู้คนได้ด้วยตัวเอง แต่เรายังขาดองค์กรที่จะมาต่อยอดนวัตกรรมด้านดิจิทัลและไอทีที่สามารถเข้ากับ Health Literacy ของคนทั่วไปได้แบบง่ายๆ ทางบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ มาเสนอแผนงานให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจึงเลือกที่จะลงนามความร่วมมือด้วย”
ดร.ชะนวนทองบอกอีกว่า “การที่ตัดสินใจลงนามร่วมมือกับ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ สิ่งสําคัญอีกประการก็
คือ การมีค่านิยมร่วมที่ตรงกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ใช่ธุรกิจที่วัดเพียงตัวเงิน หรือรายได้เท่านั้น แต่เป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าให้กับสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตีค่าไม่ได้ อีกอย่างบริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ไม่ได้เอางานวิจัย หรือนวัตกรรมที่มีมาขาย แต่นํามาเพื่อพัฒนาร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับทุกคน และช่วยลดช่องว่างระหว่างฐานะได้ นี่คือหลักการของงานสาธารณสุขที่เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสําคัญ”
“ดิฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การลงนามร่วมมือกันในครั้งนี้ นอกจากจะตอบโจทย์ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว ยังช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับทุกคนอีกด้วย เพราะยุคนี้คําว่า สุขภาพกับเศรษฐกิจต้องเดินควบคู่กันไป ยิ่งในช่วงโควิด-19 ระบาดนี่ยิ่งสําคัญ เนื่องจากเราจะอยู่คนเดียวในสังคมไม่ได้ เราต้องพึ่งพากัน และมองไปในทางบวก ดิฉันมองว่านักธุรกิจก็เปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางที่ต้องเดินไปด้วยกัน ยิ่งงานวิจัยที่ทําให้สังคมดีขึ้น เรายิ่งต้องส่งเสริมสนับสนุน แต่ต้องทําด้วยความระมัดระวัง และทําด้วยความโปร่งใส เพื่อให้ผลที่ได้ออกมาดีที่สุดสําหรับทุกคน เพราะงานสาธารณสุขไม่ได้อยู่แค่ในโรงพยาบาลเท่านั้น แต่อยู่ในชีวิตประจําวันของเราทุกคนด้วย อย่างโครงการ‘สูงเนินโมเดล’ที่ดิฉันเคยทําที่ จ.นครราชสีมา ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2561 จนมาถึงปัจจุบันนี้ เชื่อมั้ยว่าเราสามารถช่วยให้มีผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่สูงเนินน้อยลงอย่างมาก เพราะทุกคนที่เข้าร่วมได้รับความรู้และหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเองอย่างจริงจังนั่นเอง”
ดร.ชะนวนทองพูดถึงแนวคิด‘อยู่ เป็น สุข’ หรือ V Wellbeingว่า V หมายถึง เราทุกคน ที่ต้องเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลในเรื่องการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง และคําว่า Wellbeing หมายถึง สุขทั้งในและนอก อยู่ตรงไหนก็สุข เพราะรู้ว่าตัวเองกําลังทําอะไร และรู้ว่าเพื่อน หรือครอบครัวเราทําอะไร คือต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้ เพราะเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เราก็จะสามารถอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข
“สําหรับแนวคิดในการขับเคลื่อน หรือผลักดันงานวิจัยด้านสุขภาพ ตามความคิดของดิฉัน คือ การแชร์ความรู้ให้กันและกันนั้นมีความสําคัญอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกับหลักการของ Health Literacy ที่สุดเลย เพราะทุกคนเป็นหมอด้วยตัวเองในเรื่องสุขภาพได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วย เราต้องรู้วิธีป้องกัน หรือเมื่อเจ็บป่วยแล้ว เราต้องสามารถพูดคุยกับหมอที่โรงพยาบาลรู้เรื่อง นี่คือสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ลุกขึ้นมาขับเคลื่อนและผลักดัน เพื่อทําให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคในเรื่องสุขภาพที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน”
ด้านนายภาคภูมิ เพิ่มมงคลกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ จํากัดพูดถึงความเป็นมาของการจับมือร่วมกันทํางานด้านวิจัยให้ฟังว่า “เนื่องจากย่านโยธีเป็นพื้นที่ ที่เน้นในเรื่องนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความเป็นมาที่ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ ได้มาร่วมมือกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล เนื่องมาจากประเทศไทยของเรานั้น เป็นจุดหมายด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ถือเป็นอันดับ 1 ของโลก ด้วยบริการที่ดีกว่า และราคาที่เป็นมิตร เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว เมืองไทยจึงได้เปรียบ สิ่งสําคัญอีกอย่างก็คือ บ้านเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเป็นที่พักฟื้นให้ผู้ป่วยซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จะไปภูเขา หรือทะเลก็เดินทางแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แถมค่าครองชีพในบ้านเรายังไม่สูงมาก รัฐบาลจึงต้องการโปรโมทเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์อย่างโรงพยาบาลแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เช่น สปา และเวลเนส ซึ่งบ้านเรามีชื่อเสียงเป็นอย่างดีอยู่แล้วทั่วทุกภูมิภาคของไทย พอเรานําโครงการนี้มาเสนอกับท่านคณบดีคณะสาธารณสุขฯ ท่านก็เห็นด้วยทันที เพราะเป็นสิ่งที่คณะสาธารณสุขฯ ต้องการจะผลักดันในเรื่องนี้อยู่แล้ว”
นายภาคภูมิบอกว่า “บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เคยเซ็นสัญญาลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์ชั้นนํามาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในการพัฒนา นวัตกรรมการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) ดังนั้น เมื่อลงนามกับคณะสาธารณสุขฯ ม.มหิดล ก็จะเน้นนโยบาย ‘การป้องกัน’ ซึ่งจะช่วยลดทั้งค่ายา ค่ารักษา และค่าเครื่องมือแพทย์ เป็นการช่วยประหยัดงบประมาณให้กับรัฐบาลได้อีกทางหนึ่ง เพราะต่อให้คุณเป็นคนร่ํารวยมีเงินเยอะ แต่ถ้าคุณต้องมาเจ็บป่วยบ่อยๆ คุณก็ไม่มีความสุขแน่นอน ดังนั้น มาหาทางป้องกันไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด”
“สําหรับบทบาทของ บริษัท รีเสิร์ช เอ็กซ์ฯ เราถือว่าเราเป็นบริษัทเอกชนรายแรกๆ ที่สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นสถาบันที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลได้ชวนเรามาร่วมมือด้วย ด้วยความที่บริษัทเราได้รับการสนับสนุนด้านนวัตกรรมมาโดยตลอด 11 ปี ทั้งทุนวิจัย ทั้งการประชาสัมพันธ์งานวิจัย ซึ่งทั้งหมดเป็นการนํางานวิจัยจากบนหิ้งไปสู่ห้าง พูดง่ายๆ ว่าเป็นการนํางานวิจัยต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ เมื่อ NIA ต้องการสนับสนุนงานวิจัยให้มีอิมแพคมากขึ้น NIA จึงมีนโยบายในการสนับสนุนให้เกิดย่านนวัตกรรม อย่างที่ได้บอกไว้ว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อันดับ 1 ของโลก ฉะนั้น ย่านนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพโยธีจึงเหมาะสมมาก เพราะมีโรงพยาบาลและสถาบันวิจัยการแพทย์ตั้งอยู่เยอะอยู่แล้ว”
“รูปแบบการทํางานของเรา คือ จะต้องคุยกับนักวิจัยก่อน ว่างานวิจัยไหนสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้บ้าง เช่น ถุงเท้าสําหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยูเรีย ชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่บริษัทเราทําขึ้นมา คุณสมบัติ คือ ถุงเท้านี้จะช่วยลอกผิวหนังเท้าของผู้ป่วยเบาหวานให้หลุดร่อนออกมาโดยง่าย เพื่อไม่ให้ผิวหนังบริเวณเท้าเกิดแผลกดทับ แล้วลามเป็นแผลไม่หายจนถึงขั้นผู้ป่วยต้องตัดขา หรือจะเป็นนวัตกรรมวัสดุเส้นใยชีวภาพขึ้นรูปจากน้ํามะพร้าวที่นํามาทําเป็นแผ่นมาส์กหน้าส่งไปขายที่เกาหลี ซึ่งมาส์กนี้สามารถช่วยป้องกันฝ้าและป้องกันการอักเสบที่เกิดจากการยิงเลเซอร์เพื่อความงามบนใบหน้าได้ เป็นต้น”
“ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ ก็ยิ่งเข้ากับนโยบายการป้องกันของเราพอดีเลย สิ่งที่ทุกคนสามารถทําได้ในตอนนี้ คือ การป้องกัน โดยทําให้สุขภาพของตัวเองแข็งแรงเข้าไว้ วิธีการของเรา คือ เปลี่ยนวิธีให้ข้อมูล เป็นภาษา หรือ รูปภาพ ที่เข้าใจได้ง่าย สอดคล้องกับวิถีชีวิต และภูมิสังคม ของคนกลุ่มต่างๆ เพื่อเขาจะได้นําข้อมูลไปใช้ ในการตัดสินใจได้ และ ทําตามที่ตัดสินใจจนสําเร็จ ซึ่งกระบวนการนี้ เรียกว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (health literacy) เช่น ลดการกินยา โดยเลือกรับประทานอาหารที่ได้คุณค่าแทน ลดการรับประทานเค็มครึ่งหนึ่ง หรือลดการรับประทานหวานครึ่งหนึ่ง เป็นต้น โดยเราจะมีเครื่อง Bio Feedback ซึ่งเป็นเครื่องสแกนดิจิทัล เพื่อตรวจวัดตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งเครื่องนี้จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นว่า มีอวัยวะส่วนไหนภายในร่างกายของเราที่กําลังมีความผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง ทําให้เรารู้ถึงสาเหตุและรีบป้องกันการเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมการทํา Urban Farm โดยใช้พื้นที่ของดาดฟ้าตึกปลูกผัก และใช้ระบบดิจิทัลรดน้ําอัจฉริยะ โดยการวัดสภาพอากาศและควบคุมเวลาเปิด-ปิดน้ําผ่านแอพพลิเคชั่น มีโรงเรือนกางมุ้ง และมีห้องแล็บ เพื่อตรวจสอบเรื่องยาฆ่าแมลง เชื้อโรค รวมทั้งไข่พยาธิด้วย ซึ่งเราจะใช้ตรงนี้เป็นโมเดลในอนาคต โดยจะเริ่มลงมือทําในเดือนธันวาคมนี้”นายภาคภูมิกล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลข่าวโดย :มหาวิทยาลัยมหิดล
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313 | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10 | คํากล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10
คํากล่าวพิธีเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10
ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 17.30 น. ณ หอประชุมกองทัพเรือ
ท่านรองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูต กงสุล กงสุลกิตติมศักดิ์และคู่สมรส และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบพระคุณท่านเอกอัครราชทูต กงสุล กงสุลกิตติมศักดิ์และคู่สมรส ที่กรุณาให้เกียรติมาในงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10และให้ความไว้วางใจนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ของไทยเป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บชุดต่าง ๆ ให้แก่ผู้ร่วมเดินแบบทุกท่าน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
กิจกรรมในวันนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พุทธศักราช 2563 ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ท่านทั้งหลายจะได้มาร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมการทอผ้าไหมไทยไปสู่นานาอารยประเทศ
เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มีความอยู่ดีกินดี
ทั้งพระราชทานแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์ดินเพื่อการเกษตรกรรม จนสหประชาชาติได้ร่วมสดุดีพระเกียรติคุณ โดยประกาศให้วันที่ 5ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ
เป็นวันดินโลก
ในขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงส่งเสริมการปลูกป่า และการจัดหาอาชีพเสริมนอกฤดูการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน เช่น การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า และการฝึกหัดอาชีพ สิ่งเหล่านี้ได้พัฒนาต่อยอดมาเป็นงานศิลปหัตถกรรม และงานผ้าไหมไทยของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ อันเป็นที่รู้จักและยอมรับไปทั่วโลก
ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในวันนี้ทุกท่านจะได้ร่วมกันสดุดีในพระเกียรติคุณของทั้งสองพระองค์ และร่วมชื่นชมความสวยงามประณีตอันเป็นเอกลักษณ์ของผ้าไหมไทยและร่วมกันภาคภูมิใจไปกับชาวไทยทุกคน
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควร ผมขอเปิดงานมหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ครั้งที่ 10ณ บัดนี้
........................... | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | รมว.วธ.ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
รมว.วธ.ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและภริยา พร้อมด้วยนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เข้าร่วมพิธี ณ ท้องสนามหลวง | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญร่วมกิจกรรมจิตอาสา ถวายพระราชกุศลเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563 | เชิญร่วมกิจกรรมจิตอาสา ถวายพระราชกุศลเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ปี 2563
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ในวันนี้และตลอดเดือน ธ.ค. 63 รัฐบาลขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ และบริการสังคม เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และปลุกจิตสํานึกคนไทยให้รู้รักสามัคคี มีจิตสํานึกสาธารณะ มีความเอื้อเฟื้อ รู้จักแบ่งปันซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ เช่น การทํากิจกรรมขุดลอกคูคลอง เก็บขยะ การเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้ด้อยโอกาส และกิจกรรมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเคลื่อนบูรณาการการทำงานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร | ขับเคลื่อนบูรณาการการทํางานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร
กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนบูรณาการการทํางานส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตร
นายนราพัฒน์แก้วทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุมคณะทํางานความร่วมมือการท่องเที่ยวเชิงเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีนายอําพันธุ์เวฬุตันติรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมได้แก่กรมการท่องเที่ยวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทยและผู้แทนกรมต่างๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ณห้องประชุม134 -135กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการบูรณาการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวเกษตรและสหกรณ์สํารวจรวบรวมข้อมูลกลุ่มท่องเที่ยวการเกษตรเพื่อจัดแบ่งกลุ่มที่มีความพร้อมให้ชัดเจนถูกต้องเป็นปัจจุบันและมอบกรมท่องเที่ยวองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและการท่องท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนําข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวและมาตรการสนับสนุนต่างๆเข้ามาเชื่อมโยงสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีอยู่ให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด | นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ําออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรีเผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วม ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง เร่งผลักดันน้ําออกจากพื้นที่ให้เร็วและได้มากที่สุด
วันนี้ (7 พ.ย. 63) เวลา 10.00 น. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ประสบอุทกภัย ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมมอบสิ่งของผู้ประสบอุทกภัย ณ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ตําบลแม่เจ้าอยู่หัว อําเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ได้นําความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงมีความห่วงใยมาถึงทุกคน รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบด้วย วันนี้ ได้นํารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่มาด้วย ยืนยันรัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ซึ่งจากสถานการณ์ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทําให้มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 900 มิลลิเมตร เกิดปริมาณน้ําไหลหลากเข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช แม้จะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเองตั้งแต่ต้น แต่ก็ติดตามข้อมูลต่างๆด้วยความห่วงใย และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนที่กําลังประสบกับอุทกภัยในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยเร่งผลักดันน้ําออกให้มากที่สุด
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงห่วงใยประชาชน โดยพระราชทานถุงยังชีพพระราชทานผ่านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จํานวน 10,000 ชุด และจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน 1 แห่ง และพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ทุกวันนี้ โลกมีการเปลี่ยนแปลง คนต้องอยู่กับน้ําให้ได้ แต่ต้องไม่ขาดแคลนทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ซึ่งรัฐบาลจึงได้เดินหน้าโครงการต่างๆ เช่น โครงการเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง ที่กําลังเดินหน้าไปด้วยดี และกําลังจะมีโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ในเดือนมกราคม นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า คาดว่าวัคซีนสําหรับโควิด-19 น่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางปีหน้า ดังนั้น ทุกคนต้องไม่ประมาท ให้ระมัดระวังตนเอง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันยังไม่ใช่การระบาดขนาดใหญ่ หรือ ซุเปอร์สเปรดเดอร์ เพราะสามารถติดตามย้อนกลับไป ซึ่งสถานการณ์โควิด-19 ในไทยอยู่อันดับท้ายๆของโลก ที่สําคัญ คือ คนไทยทุกคนต้องรักกัน รวมทั้งขอให้ยึดมั่นในชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อรวมกันเดินประเทศไทย สู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรียังได้ร่วมประกอบอาหาร ณ โรงครัวพระราชทาน โดยผัดพริกหยวกหมูเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย จากนั้น ได้นั่งเรือเพื่อเยี่ยมบ้านผู้ประสบภัยและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ด้วย และจึงได้ขึ้นรถของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตรวจสอบสภาพน้ําท่วมในพื้นที่ บ้านเนินธัมมัง ซึ่งบางช่วงมีน้ําไหลตัดผ่านถนนในบางช่วง โดยได้กล่าวทักทายประชาชนระหว่างทางโดยตลอดก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
....................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพส. เปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี | ธพส. เปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี
ธพส.เตรียมเปิดประมูลงานจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี มูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท คาดได้ผู้รับจ้างในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมขานรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามแนวทางของรัฐ
บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด (ธพส.) เตรียมเปิดประมูล งานจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี มูลค่าโครงการกว่า 6,700 ล้านบาท คาดได้ผู้รับจ้างในเดือนธันวาคมนี้ พร้อมขานรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภาครัฐ และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมตามแนวทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ตามเป้าหมายของปี 2563 และ 2564
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด หรือ ธพส. ผู้บริหารโครงการศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ถนนแจ้งวัฒนะ เปิดเผยว่า ธพส. ได้ประกาศประกวดราคาจ้างงานก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ของโครงการส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี ซึ่งมีราคากลางในการจัดจ้างประมาณ 6,729 ล้านบาท และกําหนดวัน e-bidding ในวันที่ 17 ธันวาคม 2563
สําหรับงานก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือ ของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี มีกรอบระยะเวลาในการดําเนินงาน 840 วัน โดยจะดําเนินงานก่อสร้างตามมาตรฐานอาคารเขียวไทย (TREES) และ ธพส. มีแผนที่จะเสนอขอรับรองมาตรฐาน LEED จาก United States Green Building Council หรือ USGBC ด้วย
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี ได้ดําเนินงานเสาเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดําเนินงานก่อสร้างชั้นใต้ดิน (Basement) ซึ่งได้ลงนามสัญญาจ้างไปเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา และมีความก้าวหน้าในการดําเนินงานเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนกันยายน 2564
หลังจากการเปิดประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศเหนือแล้ว ธพส. จะดําเนินงานประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารด้านทิศตะวันออก อาคารด้านทิศตะวันตก และอาคารสนับสนุนต่อไปในช่วงกลางปี 2564 โดย ธพส. มั่นใจว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จตามกําหนดในเดือนกันยายน 2566 อย่างแน่นอน
ดร.นาฬิกอติภัค กล่าวต่อว่า สําหรับการเบิกจ่ายงบลงทุนของปี 2563 ในการก่อสร้างพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ โซนซี ปัจจุบันเบิกจ่ายไปแล้วกว่า 88% คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ครบทั้ง 100% หรือประมาณ 1,642 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2564 คาดว่าจะใช้งบลงทุนในการก่อสร้างเพิ่มเติมอีกประมาณ 4,000 – 5,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะสามารถเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ถือว่าเป็นการตอบรับตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ และเป็นการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นการขับเคลื่อนให้มีกระแสเม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ส่วนประชาสัมพันธ์ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จํากัด (ธพส.)
โทร. 0 2142 2264 | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาหนองเล็ | รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย
จ.พะเยา
รมช.ธรรมนัส ติดตามรองนายกฯ ประวิตร มอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน และหนังสือแสดงป่าชุมชนแก่ตัวแทนเกษตรกร พร้อมทั้งตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย
จ.พะเยา
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลและคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และหนังสือแสดงป่าชุมชน โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทํากิน หรือที่อยู่อาศัยของประชาชน ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนด รวมถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ลดการเหลื่อมล้ําให้ประชาชนได้ถือครองที่ดิน มีความเสมอภาคและเท่าเทียบกัน เป็นการส่งเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมช่วยป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้ประชาชนมีรายได้และความเป็นอยู่ที่ดิน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งให้คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ ณ หอประชุมอําเภอแม่ใจ จ.พะเยา
ในโอกาสนี้ ได้ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย ณ หนองเล็งทราย
จ.พะเยา โดยเปิดเผยว่า “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําจังหวัดพะเยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงการชลประทานพะเยา ได้ดําเนินการตามแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่หนองเล็งทราย โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ํา (ฝาย คสล.เดิม) โดยก่อสร้างฝายพับได้ เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ําได้เพิ่มมากขึ้น มีการปรับปรุงและฟื้นฟูร่องน้ําเดิม ให้มีขนาดกว้าง 100 เมตร ยาว 11 กิโลเมตร รวมทั้งฟื้นฟูแก้มลิง พร้อมอาคารประกอบพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดําเนินงาน หากดําเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ําในหนองเล็งทรายได้กว่า 20 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 10,000 ไร่ อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนได้อีกทางหนี่งด้วย” รมช.ธรรมนัส กล่าว
สําหรับหนองเล็งทราย เป็นแอ่งน้ําขนาดใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 5,563 ไร่ มีพื้นที่รับน้ํา 200 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีความจุเก็บกักที่ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งอยู่ใจกลางของอําเภอแม่ใจ มีพื้นที่ครอบคลุมมากถึง 5 ตําบล จากทั้งหมด 6 ตําบลของอําเภอแม่ใจ ปัจจุบันหนองเล็งทราย มีสภาพตื้นเขิน สาเหตุเกิดจากตะกอนดินที่ไหลมาจากลําห้วยต่างๆ ไหลลงสู่หนองเล็งทราย ทําให้ไม่สามารถเก็บกักน้ําได้อย่างเต็มศักยภาพในฤดูฝน ประชาชนชาวอําเภอแม่ใจได้ใช้ประโยชน์จากหนองเล็งทราย ให้เป็นแหล่งน้ําดิบในการผลิตน้ําประปาเพื่ออุปโภคบริโภค ปีละประมาณ 720,000 ลบ.ม. หรือเฉลี่ยเดือนละประมาณ 60,000 ลบ.ม. และยังมีพื้นที่การเกษตรรอบหนองเล็งทรายอีกประมาณ 10,000 ไร่ ที่ใช้น้ําจากหนองน้ําแห่งนี้ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี | รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
รมว.วธ. ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๕๒ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ไปยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงในการทรงจุดเทียนมหามงคล เพื่อถวายราชสดุดีและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และประชาชน เฝ้ารับเสด็จ ในการนี้ ทรงทอดพระเนตรการแสดง ๓ ชุด คือ การแปรอักษรภาพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยอากาศยานไร้คนขับประกอบเพลง KINGOF KINGS การแสดงการขับร้องเพลงประสานเสียงโดยเด็กและเยาวชน และการแสดงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทย ชุด “บุปผาสักการะน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ” โดยนักแสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และภริยา นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เฝ้ารับเสด็จ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐" | รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐"
รมว.วธ.ร่วมพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐"
วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๓๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "มหกรรมผ้าไหม ไหมไทยสู่เส้นทางโลก ปีที่ ๑๐" ซึ่งมูลนิธิช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ร่วมกับ คณะเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย คณะคู่สมรสเอกอัครราชทูตและสถานทูตต่างๆประจําประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมหม่อนไหม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบต มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันหลวง โดยมี ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและภริยา นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เอกอัครราชทูตต่างประเทศประจําประเทศไทย อาจารย์ นักศึกษาจากสถาบันต่างๆ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมเดินแบบแฟชั่นโชว์ผ้าไทย ร่วมกับนางแบบ นายแบบ คณะทูต และคณะกงสุลกิตติมศักดิ์ด้วย | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า | กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า
ตามที่ คกก.วินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกําหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกําหนดไว้
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้กําหนดแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าที่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในเอกสารประกวดราคาหรือสอบราคา พร้อมทั้งให้เสนอราคาในนาม “กิจการร่วมค้า” และสามารถนําผลงานก่อสร้างของผู้เข้าร่วมค้ามาเป็นผลงานก่อสร้างของกิจการร่วมค้าที่เข้าประกวดราคา หรือสอบราคาได้นั้น
คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พิจารณาแล้วเห็นว่า ประสบการณ์และศักยภาพในการทํางานของผู้ประกอบการ ตลอดจนการกําหนดสัดส่วนการทํางานของผู้เข้าร่วมค้าหลักที่เหมาะสมเป็นเรื่องสําคัญ จึงได้ยกเลิกหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 289 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2561 และกําหนดแนวทางปฏิบัติใหม่ โดยมีสาระสําคัญเกี่ยวกับนิยามกิจการร่วมค้า กรณีงานซื้อหรืองานจ้างทุกวงเงิน หรืองานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณน้อยกว่า 1,000,000 บาท และกรณีงานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไป หรือกรณีกิจการร่วมค้าที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในสาขางานก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมบัญชีกลางตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการกําหนด ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกิจการร่วมค้าที่มีสิทธิในการเข้ายื่นข้อเสนอ และการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้าสอดคล้อกับการรับจดทะเบียนนิติบุคคลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐได้มากขึ้น รายละเอียดตามหนังสือคณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ที่ กค (กวจ) 0405.2/ว 581 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2563 เรื่อง การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่เป็นกิจการร่วมค้า
“สําหรับหน่วยงานของรัฐใดได้ดําเนินการนําร่างประกาศและร่างเอกสารเชิญชวนเผยแพร่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ หรือเผยแพร่ประกาศและเอกสารเชิญชวน ในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง (ระบบ e-GP) หรือมีหนังสือเชิญชวนไปแล้วก่อนวันที่แนวทางปฏิบัตินี้มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงานของรัฐนั้นดําเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ โดยใช้แบบประกาศ แบบเอกสารเชิญชวน และหนังสือเชิญชวนตามแนวทางเดิมต่อไป ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คำปรึกษานักลงทุน | บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คําปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์ เพิ่มประสิทธิภาพให้คําปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์
เพิ่มประสิทธิภาพให้คําปรึกษานักลงทุน
บีโอไอเปิดระบบนัดหมายออนไลน์เพื่อให้คําปรึกษาการลงทุน ระดมทีมร่วมให้ข้อมูลครบถ้วน ตั้งแต่เรื่องการยื่นขอรับการส่งเสริม ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ จากบีโอไอ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ พร้อมอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนตามแนวทางเว้นระยะห่างทางสังคม
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า
บีโอไอเปิดตัวหน่วยให้คําปรึกษานักลงทุน หรือ Customer Service Unit (CSU) เพื่อให้คําปรึกษาอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุน ตั้งแต่เรื่องหลักเกณฑ์การขอรับการส่งเสริม นโยบาย ประเภทกิจการ และขั้นตอนการขอรับการส่งเสริม ตลอดจนการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบีโอไอ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล เครื่องจักร วัตถุดิบ และที่ดิน โดยมีทีมเจ้าหน้าที่ร่วมให้คําปรึกษาครอบคลุมกว่า 300 ประเภทกิจการที่บีโอไอเปิดให้การส่งเสริม
ทั้งนี้ หน่วย CSU เกิดขึ้นภายหลังจากที่บีโอไอได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่รัฐบาลมอบหมายในการเร่งส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนให้สอดรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยนักลงทุนสามารถเข้าระบบออนไลน์เพื่อนัดหมายขอรับคําปรึกษาได้ตลอดเวลาก่อนเดินทางเข้ารับคําปรึกษาที่สํานักงานบีโอไอ ถนนวิภาวิดีรังสิต หรือรับคําปรึกษาผ่านระบบการประชุมทางไกล
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการเดินทาง การติดต่อประสานงานทางธุรกิจและ
การลงทุนต่างๆ บีโอไอจึงนําเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับการบริการ เพื่ออํานวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับนักลงทุนอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ครบถ้วนด้วยระบบการนัดหมายออนไลน์ล่วงหน้า ก่อนเข้ารับคําปรึกษาที่สํานักงานบีโอไอ ทําให้บริการได้อย่างทั่วถึง ลดความแออัด และเป็นการปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคม” นางสาวดวงใจกล่าว
หน่วย CSU จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คําปรึกษาทุกวัน ในวันและเวลาราชการ นักลงทุนสามารถนัดหมาย ผ่านระบบออนไลน์ทาง booking.boi.go.th หรือ นัดหมายผ่านโทรศัพท์ 0 2553 8300 นอกจากนี้ บีโอไอยังมีบริการสําหรับนักลงทุนที่ไม่สามารถเดินทางมาขอรับคําปรึกษาได้ด้วยตนเอง ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรมนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะ ให้การต้อนรับนางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจําประเทศไทยในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ
อาทิ ความร่วมมือกระบวนการยุติธรรม การพัฒนากฎหมายยาเสพติด และแผนปฏิบัติการระดับชาติ ว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP on Business and Human Rights) เป็นต้น ในการนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้แสดงความชื่นชมบทบาทของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การกํากับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่ได้ผลักดันการจัดทําแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (NAP on Business and Human Rights) จนบรรลุผลสําเร็จและได้ประกาศใช้เป็นประเทศแรกในทวีปเอเชีย ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีฯ ได้ยืนยันถึงนโยบายการให้ความสําคัญกับความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม ประเด็นสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาและผลักดันร่างกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการของเอกอัครราชทูตฯ ครั้งนี้ สะท้อนถึงการเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิส รวมทั้งมีส่วนสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และการพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศและภูมิภาคต่อไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำช้างป่าหลังต้นน | รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําช้างป่าหลังต้นน
รมว.ทส. เฝ้ารับเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําช้างป่าหลังต้นน้ําภูไท ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2563 เวลา 10.20 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จทรงเปิดป้ายโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําช้างป่าหลังต้นน้ําภูไท ณ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําช้างป่าหลังต้นน้ําภูไท อําเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยาน้ํา นายสุเมธ สายทอง ผู้อํานวยการสํานักงานทรัพยากรน้ําภาค 6 พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สทภ.6 ร่วมเฝ้ารับเสด็จฯ ในโอกาสนี้ด้วย | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่ | พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่
พล.อ.ประวิตร มอบของขวัญปีใหม่ให้ชุมชน อ.แม่ใจ จ.พะเยา มอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าเนื้อที่กว่า 2 พันไร่
วันนี้ ( 7 ธันวาคม 2563) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่เป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบสมุดประจําตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทํากินในชุมชนในลักษณะแปลงรวม โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ "ป่าแม่ปืมและป่าแม่พุง" อําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน 10 ป่า เนื้อที่กว่า 2 พันไร่ ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐในการดูแลรักษาและบริหารจัดการป่าไม้ใกล้หมู่บ้าน ตลอดจนให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากป่าได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่กําหนด ณ ศาลาประชาคม อําเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา ตลอดจนตรวจติดตามการดําเนินงานการบริหารจัดการน้ําและการพัฒนาหนองเล็งทราย อ.แม่ใจ จ.พะเยา และประชุมติดตามการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมภูกามยาว ชั้น 5 ศาลากลาง จ.พะเยา รวมถึงติดตามภารกิจขุดลอกกว๊านพะเยา ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ําจืดพะเยา Side B โดยโอกาสนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังพิธีการมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ว่ารัฐบาลได้เล็งเห็นความสําคัญในการรักษาพื้นที่ป่าที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ โดยส่งเสริมให้ประชาชน องค์กรประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของป่าชุมชน พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการตราพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นกลไกให้พี่น้องประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐในการจัดการป่าของชุมชน และได้รับประโยชน์จากป่าโดยมีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงทางสังคม ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการกระจายอํานาจการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นสู่ระดับพื้นที่ ทําให้เกิดความคล่องตัวในการดําเนินงานด้านป่าชุมชนเป็นไปตามความเหมาะสม ตามศักยภาพของพื้นที่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
และสําหรับในวันนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ได้ออกหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้กับชุมชน อ.เมืองพะเยา และอ.แม่ใจ จ.พะเยา จํานวน 10 ป่า เนื้อที่รวม 2,693 ไร่ ได้แก่
1. ป่าชุมชนตําบลแม่สุก หมู่ที่ 1, 2, 6, 9 และหมู่ที่ 10 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 110 ไร่
2. ป่าชุมชนบ้านแม่จร้าเหนือ (แปลงที่ 1-2) หมู่ที่ 3 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 95 ไร่
3. ป่าชุมชนบ้านแม่จว้ากลาง หมู่ที่ 4 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 421 ไร่
4. ป่าชุมชนบ้านแม่จว้าใต้ หมู่ที่ 5 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 202 ไร่
5. ป่าชุมชนบ้านแม่ปันเจิง หมู่ที่ 7 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 70 ไร่
6. ป่าชุมชนบ้านแม่จร้า หมู่ที่ 8 ตําบลแม่สุก อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 303 ไร่
7. ป่าชุมชนบ้านป่าสักสามัคคี หมู่ที่ 12 ตําบลศรีถ้อย อําเภอแม่ใจ เนื้อที่ 7 ไร่
8. ป่าชุมชนบ้านเกษตรพัฒนา หมู่ที่ 16 ตําบลบ้านต๋อม อําเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 114 ไร่
9. ป่าชุมชนตําบลบ้านสาง หมู่ที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และหมู่ที่ 9 ตําบลบ้านสาง อําเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 807 ไร่
10. ป่าชุมชนบ้านโป่งขาม หมู่ที่ 10 ตําบลบ้านต๊ํา อําเภอเมืองพะเยา เนื้อที่ 564 ไร่
หนังสืออนุญาตที่ชุมชนได้รับจะเป็นหลักประกันให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย ตลอดจนสามารถใช้ประโยชน์และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น โดยขอความร่วมมือจากชุมชนที่ได้รับหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน ร่วมแรง ร่วมใจ และเป็นกําลังที่จะช่วยภาครัฐในการดูแล ป้องกัน ฟื้นฟู รักษาป่าชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า เพื่อให้ป่าชุมชนเกิดความสมดุลและยั่งยืนเพื่อส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคต ต่อไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ | รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่
รมช.มนัญญา ชวนอุดหนุนกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ ในโอกาสเป็นประธานเปิดตัวโครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจําปี 2564 รณรงค์ให้คนไทยซื้อของไทย สร้างรายได้กลับคืนสู่สมาชิกสหกรณ์ปีละ 1.2 ล้านบาท
มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการส่งความสุขในเทศกาลปีใหม่ด้วยสินค้าสหกรณ์ ประจําปี 2564 ว่าโครงการฯ ดังกล่าวเป็นการนําสินค้าของสหกรณ์มาตกแต่งและจัดเป็นกระเช้าของขวัญเพื่อจัดจําหน่ายส่งมอบความสุขและความปรารถนาดีให้แก่กันในช่วงเทศกาลปีใหม่ โครงการฯ นี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ให้มาเลือกซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์เป็นของขวัญปีใหม่ โดยในแต่ละปีสามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าในจังหวัดต่างๆ ได้ปีละประมาณ 1.2 ล้านบาท
รมช.มนัญญา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายในการส่งเสริมให้เกษตรกรนําผลผลิตการเกษตรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ทั้งพืชผัก ผลไม้ สมุนไพร สินค้าประมง และปศุสัตว์ มาพัฒนาต่อยอดโดยการแปรรูปเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่มีความหลากหลายและทันสมัย ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตการเกษตร ซึ่งต้องคํานึงถึงความต้องการของตลาด ใส่ใจกับทุกขั้นตอนการผลิตสินค้าเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน และคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก ยกระดับสู่การเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยมเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการนี้เป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะช่วยส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันซื้อของไทยและใช้ของไทยที่เป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาชาวบ้าน และเป็นการสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รูปแบบของกระเช้าสินค้าสหกรณ์ที่จะนํามาจําหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ได้คัดสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์จากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพของสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่าง ๆ ได้แก่ ข้าวอินทรีย์ อาหารแปรรูป ผลไม้แปรรูป ขนมที่ทําจากธัญพืชและสมุนไพร และพิเศษสุดสําหรับปีนี้คือ ได้คัดเลือกสินค้าและผลิตภัณฑ์จากเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร และสินค้าของสมาชิกสหกรณ์จากโครงการซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์ ร่วมจัดใส่ลงในกระเช้าปีใหม่ด้วย ซึ่งสินค้าของลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านที่จะนํามาจัดลงกระเช้าของขวัญ มีทั้งข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันญี่ปุ่น ของลูกหลานเกษตรกรจากจังหวัดขอนแก่น มะขามคลุก มะเขือเทศแช่อิ่ม กระเทียมโทนดองน้ําผึ้งและสามรส จากจังหวัดเชียงใหม่ ผักและผลไม้เมืองหนาว เช่น กะหล่ําปลี ซูกินี (แตงกวาญี่ปุ่น) มะเขือเทศราชินี สีแดงและสีเหลือง เกรฟฟุ๊ด พริกยักษ์ และกะหล่ําม่วง จากซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์การเกษตรเชียงใหม่ จํากัด ซึ่งสินค้าทุกชนิดจะเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ภายใต้แนวคิด “ส่งความสุข ส่งความห่วงใย จากใจสินค้าสหกรณ์”
ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านที่ต้องการซื้อกระเช้าของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ได้มาเลือกซื้อสินค้าสหกรณ์และผลผลิตของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ได้คัดสรรมาจัดตกแต่งไว้ในกระเช้าของขวัญที่ตกแต่งด้วยผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าบาติก ที่มีสีสันสวยงาม นอกจากจะเป็นการมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เรารักและเคารพแล้ว ยังได้สร้างกําลังใจและสร้างรายได้พร้อมความสุขกลับคืนสู่เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเหล่านี้อีกด้วย โดยช่องทางการสั่งซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์สามารถเลือกรูปแบบกระเช้าของขวัญและสินค้าสหกรณ์ที่จะนํามาจัดลงกระเช้าปีใหม่ได้จาก Facebook : coop market (โคออบ มาร์เก็ต) หรือโทร. 02-6285512 มีหลายราคาตั้งแต่ 500-3,000 บาท มีทั้งกระเช้าสําเร็จรูปและตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์มีบริการจัดส่งฟรีสําหรับผู้ที่สั่งซื้อกระเช้าสินค้าสหกรณ์ ครบ 5,000 บาท ขึ้นไป เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจะเปิดจําหน่ายทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2563 - 12 มกราคม 2564 และในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จะแจกคูปองส่วนลด 10% เป็นการขอบคุณทุกท่านที่มาอุดหนุนสินค้าสหกรณ์ และในวันที่ 15 ธันวาคม 2563 นี้ จะนําตัวอย่างกระเช้าปีใหม่จากสินค้าสหกรณ์ไปจัดแสดงในวันที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ทําเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการฯ นี้ด้วย | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ | ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ
รัฐบาลอนุมัติความเร็วใหม่ สําหรับรถที่วิ่งบนทางหลวงแผ่นดิน
ขับเร็วเท่าไหร่ ไม่ถูกจับ !!
.
พี่น้องครับ ต่อไปเราจะขับรถออกต่างจังหวัดได้อย่างสบายใจและปลอดภัยมากขึ้น เมื่อรัฐบาลอนุมัติความเร็วใหม่ สําหรับรถที่วิ่งบนทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงชนบท ขนาด 2 เลนขึ้นไป ที่มีเกาะกลางถนนแบบกําแพงกั้น และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน
.
โดย “ให้เลนขวาสุดจะต้องวิ่งด้วยความเร็ว ไม่ต่ํากว่า 100 กม./ชม.”
.
กําหนดเพดานความเร็วสูงสุด ให้เหมาะสมกับการใช้งานรถแต่ละประเภทอย่างปลอดภัย เช่น
• รถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว ไม่เกิน 120 กม./ชม.
• รถบรรทุก/รถโดยสารเกิน 15 คน ไม่เกิน 90 กม./ชม.
• รถลากจูง ไม่เกิน 65 กม./ชม.
• รถรับส่งนักเรียน ไม่เกิน 80 กม./ชม.
.
แต่...ความเร็วใหม่นี้ ยังไม่มีผลบังคับใช้ในตอนนี้
เพราะร่างกฎกระทรวงกําหนดความเร็วของยานพาหนะฉบับนี้
ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ต้องรอติดตามการประกาศวันเริ่มบังคับใช้ต่อไป
.
ยังไงก็ตาม แอดมินขอให้ทุกคนขับขี่อย่างระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจร มีน้ําใจแก่เพื่อนร่วมทาง และถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพในทุก ๆ การเดินทาง
.
ด้วยความห่วงใย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ | "ยุติธรรม" ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกฤษณะ ผลอนันต์ อาคาร ๓ ชั้น ๒ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตดินแดง กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ครั้งที่ ๒๖/๒๕๖๓ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยมี พันตํารวจตรี สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เข้าร่วมฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองผลการดําเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือของผู้อื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้ต้องหา
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินภาค ๓ , ๔ , ๘ , ๙ และคณะอนุกรรมการประจําคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ได้พิจารณากลั่นกรองตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จสิ้นแล้ว จํานวน ๗๑ คดี รวมมูลค่าทรัพย์สิน ๒๗,๓๐๐,๖๓๔.๐๑ บาท
สําหรับการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เป็นกระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายการริบทรัพย์ เพื่อตัดโอกาสในการกลับมาเป็นผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ํา และไม่ให้ผู้กระทําความผิดดังกล่าว ได้รับประโยชน์ใดจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด นํามาซึ่งการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ประชาชนจากปัญหายาเสพติด | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นฤมล เดินหน้าพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย | นฤมล เดินหน้าพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย
รมช.แรงงาน เชิญชวนสถานประกอบกิจการ ร่วมโครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย พร้อมยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากล โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ
วันที่ 7 ธันวาคม 2563 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (องค์การมหาชน) (สสปท.) ได้ทําการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมต่อการลงทุนด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ จํานวน 30 แห่ง จากผลการศึกษาพบว่า สถานประกอบกิจการมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 51,795.53 บาท หรือคิดเป็น 3,341.65 บาท/แห่ง นอกจากนี้เมื่อพิจารณามูลค่าเพิ่มทางสังคม พบว่า สถานประกอบกิจการสามารถลดจํานวนการประสบอันตรายได้จาก 302 ราย เหลือ 294 ราย นั่นหมายความว่า การลงทุนด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการมีความคุ้มค่า รวมถึงก่อให้เกิดผลกําไรและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม โดยสามารถลดอัตราการประสบอันตรายลงได้
รมช. แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันฯ ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญและพร้อมสนับสนุนการดําเนินงานด้านความปลอดภัยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จึงได้จัดทํามาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พร้อมทั้งคู่มือและแนวทางในการจัดทํามาตรฐานดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการที่ต้องการเริ่มสร้างระบบด้านความปลอดภัยฯ เบื้องต้นด้วยตนเอง สถาบันฯ จึงจัดทําโครงการพัฒนาสถานประกอบกิจการตามมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการมีการจัดทํามาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ทั้งนี้ยังสามารถพัฒนาการจัดการด้านความปลอดภัยฯ ภายในองค์กรอย่างยั่งยืน และสามารถต่อยอดหรือยกระดับสู่มาตรฐานสากลได้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการให้คําปรึกษาตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ
สําหรับคุณสมบัติของสถานประกอบกิจการในการเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นสถานประกอบกิจการแห่งใหม่ทุกขนาดและทุกประเภท ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการดังกล่าว ต้องมีบุคลากรรับผิดชอบการดําเนินการจัดทําระบบการจัดการด้านความปลอดภัยฯ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในส่วนของประโยชน์ที่สถานประกอบกิจการจะได้รับ ประกอบด้วย ประกาศเกียรติคุณที่รับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัย การสนับสนุนและให้คําปรึกษาในการดําเนินงานด้านความปลอดภัยในการทํางาน การเพิ่มโอกาสในการพัฒนาผลิตภาพแรงงานและเสริมศักยภาพแรงงาน รวมถึงสามารถเพิ่มการต่อยอดทางธุรกิจและโอกาสในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น เนื่องจากมีการดําเนินงานด้านความปลอดภัยที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน
สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ www.tosh.or.th และ ส่งใบสมัครผ่านทางอีเมล์ patchaporn.s@tosh.or.th หรือ pimrumpa.r@tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2448 9111 ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 16 ธันวาคม 2563 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามสัญญา ล่าช้า และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ | กรมบัญชีกลางประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้าง เพื่อไม่ให้งานที่อยู่ระหว่างดําเนินการตามสัญญา ล่าช้า และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
กรมบัญชีกลางออกประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่องสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างชลประทานของกรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ํา
นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ออกประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่อง สิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างชลประทาน ของกรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ํา รวมทั้งสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างทาง สาขางานก่อสร้างสะพาน ของกรมทางหลวง สิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างทางและสะพานพิเศษ สาขางานก่อสร้างทาง ของกรมทางหลวงชนบท และสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง สาขางานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและชายฝั่ง ของกรมเจ้าท่า โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
"การประกาศสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขาต่างๆ ข้างต้น เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2563 กําหนดว่า "8.2 หน่วยงานของรัฐใดมีความจําเป็นจะกําหนดวงเงินรวมหรือจํานวนโครงการที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสมารถรับงานได้ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานตามสัญญากรณีนี้ให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการได้ตามความเหมาะสม พร้อมทั้งเสนอให้คณะกรรมการราคากลาง และขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการพิจารณา เพื่อประกาศเพิ่มเติมต่อไป" ในการนี้ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํากรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมเจ้าท่า ได้แจ้งว่ามีความจําเป็นจะกําหนดสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้าง โดยขอกําหนดจํานวนโครงการที่ผู้ประกอบการงานก่อสร้างสามารถรับงานได้เพื่อให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน จนเป็นเหตุให้งานที่อยู่ระหว่างดําเนินการตามสัญญามีความล่าช้าและเกิดความเสียหายต่อทางราชการ" อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า "ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดของสิทธิในการรับงานของผู้ขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างสาขางานก่อสร้างของทั้ง 4 หน่วยงานข้างตัน ได้จากประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ได้ทางเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง http://www.cgd.go.th หรือผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่ CGD Application และหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 270 6400 ในวัน เวลาราชการ” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563 | รองปลัดฯ อําพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอํานวยการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ.) ครั้งที่ 3/2563 ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กอ.นตผ. เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและร่วมหารือเพื่อพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 1) รายงานผลการดําเนินโครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับงบประมาณ จํานวน 10.5 ล้านบาท มอบให้กรมการข้าว ดําเนินการพัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ จํานวน 19 ชนิด 693 ราย ซึ่งจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2564 2) งบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2564
3) โครงการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) 4) การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการฯ การแต่งตั้งผู้ช่วยเลขานุการฯ การทบทวนคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการใน กอ.นตผ. การมอบอํานาจให้ประธาน กอ.นตผ. ปฏิบัติหน้าที่แทน กอ.นตผ. และ 5) แนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โครงการหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส | ยืนยัน! จัดหาวัคซีนโควิด ทุกขั้นตอนโปร่งใส
++
หลังจากที่รัฐบาลลงนามจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้ากับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า จํานวน 26 ล้านโดส
เพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ได้เท่าเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในช่วงกลางปีหน้า
.
ประเด็นหนึ่งที่มีผู้ตั้งข้อสงสัย คือในขั้นตอนการนําไปฉีด อาจมีการทุจริตเกิดขึ้นได้เรื่องนี้ยืนยันว่า ตั้งแต่การจัดหา มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ไม่ได้จัดส่งในครั้งเดียว และวางแผนกระจายวัคซีนอย่างรอบคอบ
.
โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่นความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ความรุนแรงต่อชีวิตโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือมีโรคประจําตัว
.
จะมีการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนทุกล็อตที่ส่งมอบระบบขนส่งมีลูกโซ่ความเย็น ควบคุมอุณหภูมิมีระบบติดตามตรวจสอบตามหลักสากล (AEFI)เพื่อไม่เกิดผลข้างเคียง
.
และจะกํากับดูแลการบริหารจัดการวัคซีนอย่างเข้มข้นและเป็นระบบเพื่อป้องกันการทุจริตหรือนําไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริตกระทรวงยุติธรรม | กระทรวงยุติธรรม จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทํามาตรการป้องกันการทุจริตกระทรวงยุติธรรม
นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทํามาตรการป้องกันการทุจริต กระทรวงยุติธรรม
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๓๐ น.ณ โรงแรมเบสเวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อจัดทํามาตรการป้องกันการทุจริต กระทรวงยุติธรรม โดยมี บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านบริหารความเสี่ยงในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จํานวนทั้งสิ้น ๖๐ คน เข้าร่วมฯ เพื่อให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ได้ทบทวนมาตรการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบของส่วนราชการ รวมทั้งได้ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยง และจัดทํามาตรการ แนวทางในการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่อาจเกิดขึ้นในหน่วยงาน
โอกาสนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวมีใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า นโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญและกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ การดําเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่มีข้อร้องเรียน เกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักการกําหนดให้มีการวางระบบการประเมินความเสี่ยง ต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบในส่วนราชการกระทรวงยุติธรรมได้เห็นความสําคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้มีการกําหนดมาตรการแผนบริหารจัดการความเสี่ยง ที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตและป้องกันเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของบุคลากรในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ความไม่เป็นธรรมให้แก่ประชาชนโดยเร็ว อย่างบูรณาการ และมีเอกภาพชัดเจนต่อไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกำชับห้ามเจ้า | ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกําชับห้ามเจ้า
ศบค.มท. เข้ม สั่งการผู้ว่าฯ ทั่วประเทศแจ้งประสานเจ้าหน้าที่สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมือง ใช้กลไกกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ท้องถิ่น เฝ้าระวังบุคคลที่เข้ามาในพื้นที่ พร้อมกําชับห้ามเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจ ปล่อยปละละเลย
วันนี้ (7 ธ.ค. 63) เวลา 07.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จังหวัดแจ้งหน่วยปฏิบัติ กลไกผู้ปกครองท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เน้นความเข้มข้นในการสกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมืองตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข
เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปตามบัญชาของนายกรัฐมนตรีข้างต้น นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด/ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ดําเนินการ 3 มาตรการ ได้แก่ 1) ประสานแจ้งหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เช่น ตํารวจภูธร ตํารวจตระเวนชายแดน ตํารวจตรวจคนเข้าเมือง ทหาร และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข บูรณาการสกัดกั้นและติดตามการลักลอบเข้าเมืองที่ไม่ผ่านกระบวนการคัดกรองโรค โดยเฉพาะการลักลอบเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ 2) แจ้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในพื้นที่ เฝ้าระวังสังเกต และใช้มาตรการทางการข่าว โดยวางข่ายข่าว จัดตั้งแหล่งข่าว และอาจกําหนดให้มีการตั้งด่านคัดกรองโรคสําหรับบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ให้สอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยหากตรวจพบให้ดําเนินการตามระเบียบกฎหมาย มาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และรายงานผู้รับผิดชอบตามกฎหมายคนเข้าเมืองให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด และ 3) ชี้แจงทําความเข้าใจกับข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ห้ามมิให้ปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจในพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 | ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
ทส. ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพในหลวงรัชกาลที่ 9 วันชาติ และ วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เวลา 19.19 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีจุดเทียนมหามงคลเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2563 พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และเจ้าคุณพระสีนีนาฏ พิลาสกัลยาณี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล | กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล
กระทรวงยุติธรรม จับมือกระทรวงพาณิชย์ พัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา บริการไกล่เกลี่ยออนไลน์ รวดเร็ว จบไว ไร้กังวล
ในวันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อพัฒนากระบวนการระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่าง กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ และสถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม โดยมี นายพสิษฐ์ อัศววัฒนาพร ผู้อํานวยการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นผู้ลงนามฯ พร้อมด้วย นายวันฉัตร วนิชพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ด้านประชาสัมพันธ์) นายนิมิต ทัพวนานต์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม นางสาวรวิวรรณ์ ศรีวนาภิรมย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมฯ
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ นี้ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาระบบระงับข้อพิพาทด้านทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ (Online Dispute Resolution : ODR) และพัฒนาบุคลากรด้านการระงับข้อพิพาทร่วมกัน คาดว่าจะสามารถช่วยอํานวยความสะดวกผู้ประกอบการในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และลดจํานวนคดีขึ้นสู่ศาลได้
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวแสดงความยินดี ใจความตอนหนึ่งว่า " ปัจจุบันสถาบันอนุญาโตตุลาการให้บริการในการระงับข้อพิพาท ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาแก่ประชาชนจํานวนมาก ระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ เป็นระบบการระงับข้อพิพาทสมัยใหม่ ที่ทําให้การระงับระงับข้อพิพาทเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทําให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา สามารถเข้าถึง
กระบวนการระงับข้อพิพาทได้โดยง่าย สะดวก สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และยังประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งประหยัดเวลาในการเดินทางอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี และยังแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองต่อนโยบาย ๔.o ของรัฐบาล ที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนา และการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุน
ผมเชื่อว่าความร่วมมือกันของหน่วยงานทั้งสอง จะนําไปสู่พัฒนาการที่สําคัญ ในการพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการทางออนไลน์ในประเทศไทย และผมขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ และกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่เห็นถึงความสําคัญของระบบการระงับข้อพิพาทออนไลน์ และหวังว่าระบบระงับข้อพิพาทดังกล่าว จะช่วยให้การบริการแก่ประชาชนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา มีความสะดวก รวดเร็ว ทันสมัย และสามารถส่งเสริมให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยเจริญก้าวหน้าต่อไป " | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องชาวนครฯ | ลงพื้นที่ให้กําลังใจพี่น้องชาวนครฯ
++
ลงพื้นที่ให้กําลังใจพี่น้องชาวนครฯ
.
พรุ่งนี้ (7 ธ.ค. 63) นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ํา
และพบปะประชาชนที่ประสบอุทกภัย จ.นครศรีธรรมราช
.
เพื่อให้กําลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบอุทกภัย
ณ ศูนย์ศิลปาชีพบ้านเนินธัมมัง ต.แม่เจ้าอยู่หัว
อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช
.
พร้อมลงเรือตรวจเยี่ยมพี่น้องชาวนครฯ ในพื้นที่
ติดตาม LIVE ได้ที่นี่..เพจไทยคู่ฟ้า เวลา 09.30 น. เป็นต้นไป | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)” | กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)”
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรฯ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)”
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธาน เปิดงานโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใสสะอาด ร่วมต้านการทุจริต (Zero tolerance & Clean MOAC)” ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากปัญหาการทุจริตคอรัปชันในภาครัฐ เป็นปัญหารุนแรง เรื้อรัง ส่งผลกระทบกับการพัฒนาประเทศ และเป็นภาพลบต่อความเชื่อมั่นในระบบราชการไทย คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบ ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตภาครัฐระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2565) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559 ซึ่งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐได้กําหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย ใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” โดยมีพันธกิจหลักเพื่อสร้างวัฒนธรรมการต่อต้านทุจริต ปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งในระบบให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ผ่านยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีระดับคะแนนของดัชนีการรับรู้การทุจริต สูงกว่า ร้อยละ 50 ภายในปี 2564
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้จัดโครงการรณรงค์วันต่อต้านคอร์รัปชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องในโอกาสวันต่อต้านคอรัปชั่นสากล (ประเทศไทย) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ในการต่อต้านการทุจริตให้บุคลากรในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ แสดงถึงภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรใสสะอาด เปิดเผย โปร่งใส ปลอดการทุจริต ตลอดจนปลูกจิตสํานึกสร้างพฤติกรรมซื่อสัตย์แก่บุคลากร รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน และภาพลักษณ์ที่ดีของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | 2020-12-07 | null | null | null | null | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจำปี ๒๕๖๓ | นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจําปี ๒๕๖๓
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจําปี ๒๕๖๓
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๐๐ น. นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานมอบรางวัลการประกวด “การต่อต้านทุจริต ผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน” ประจําปี ๒๕๖๓ ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารมูลนิธิต่อต้านการทุจริต ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ศิลปินแห่งชาติ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาและประชาชนที่สนใจเข้าร่วม ณ โรงละครแห่งชาติ กรุงเทพฯ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน เผย “จุฬาเอาด้วย” กัญชาทางการแพทย์ มุ่งวิจัยและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชน | อนุทิน เผย “จุฬาเอาด้วย” กัญชาทางการแพทย์ มุ่งวิจัยและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สาธารณชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตัดดอกกัญชาที่จุฬาเอาด้วย ปลูกเพื่อใช้ทางการแพทย์ ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไร้สารตกค้าง มุ่งถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตัดดอกกัญชาที่จุฬาเอาด้วย ปลูกเพื่อใช้ทางการแพทย์ ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไร้สารตกค้าง มุ่งถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่ ศูนย์วิจัยยาเสพติด โครงการพัฒนาที่ดินจุฬา-สระบุรี จ.สระบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การพัฒนากัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เป็นนโยบายสําคัญของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษา รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประชาชน การที่วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนาสายพันธุ์ไทย พัฒนาการปลูกในรูปแบบชีวภาพ ตั้งแต่การผสมดิน ปุ๋ย เพาะเมล็ด การไล่แมลง การลดสารปนเปื้อนทั้งในดินและในต้น ให้ได้สารสําคัญจากกัญชาที่ปลอดภัยนําไปรักษาโรค และเพื่อนําองค์ความรู้ในการปลูก วิจัยพัฒนาสายพันธุ์ไปถ่ายทอดไปยังประชาชน ยังช่วยผลักดันนโยบายกระทรวงสาธารณสุขและช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ากัญชาสามารถนํามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้จริง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กัญชาที่ทางจุฬานํามาปลูกนั้นเป็นกัญชาสายพันธุ์ไทยจาก 9 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ ลําปาง แพร่ สกลนคร มุกดาหาร นครราชสีมา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช และตรัง ที่นักวิชาการได้ลงพื้นมาศึกษาวิจัยโดยได้รับความร่วมมือจากสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในการเก็บเมล็ดและลําต้น และสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ พบว่ามีอยู่ 6 สายพันธุ์หลัก เพื่อนํามาเพาะปลูก วิจัยและพัฒนา โดยการปลูกมีทั้งระบบเปิด ระบบปิด และระบบโรงเรือน เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ที่เหมาะสม และทราบปริมาณสารสําคัญแต่ละชนิดเพื่อนําไปวิจัยพัฒนาต่อยอด และนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ได้ร่วมตัดช่อดอกกัญชารุ่นที่ 1 และปลูกรุ่นที่ 2 ของโครงการ และเป็นพยานการลงนามความร่วมมือระหว่างจังหวัดสระบุรี และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในด้านวิชาการกัญชาทางการแพทย์ มุ่งเน้นให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ เผยแพร่ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชกัญชา เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์สาธารณสุข
ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรีเป็น 1 ใน 14 จังหวัด เมืองสมุนไพร เนื่องจากมีภูมิประเทศที่เอื้ออํานวยต่อการปลูก และมีโรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ผ่านมาตรฐาน GMP ได้แก่ โรงพยาบาลเสาไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และโรงพยาบาลหนองโดน
************************** 30 พฤศจิกายน 2563 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่ | สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่
สธ.พบผู้ป่วยโควิด 2 รายจังหวัดเชียงราย เป็นเพื่อนร่วมงานผู้ป่วยหญิงเชียงใหม่
กระทรวงสาธารณสุข เผยความคืบหน้าติดตามผู้สัมผัสกับผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงจังหวัดเชียงใหม่ มี 328 ราย ผลตรวจออกแล้ว 152 ราย ยังไม่พบติดเชื้อ ส่วนเชียงรายพบผู้ป่วยโควิด 19 อีก 2 ราย เป็นเพื่อนร่วมงานของหญิงเชียงใหม่ ลักลอบเข้าประเทศเช่นกัน เผยมีผู้สัมผัสน้อย เหตุอยู่ที่พักเป็นส่วนใหญ่ และไปโรงพยาบาลทันที ทําให้โอกาสแพร่กระจายเชื้อต่ํา ขอคนไทยกลับเข้าประเทศช่องทางถูกกฎหมาย ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา และคงมาตรการป้องกันโรค
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงข่าวความคืบหน้ากรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย
นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กรณีหญิงไทยอายุ 29 ปี ติดเชื้อโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการลักลอบเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ล่าสุดพบผู้ป่วยเพิ่มเติม 2 รายที่จังหวัดเชียงราย มีความเกี่ยวเนื่องกันกับรายที่จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างมาก ทําให้คนไทยในประเทศเพื่อนบ้านอยากเดินทางกลับเข้ามา จึงขอให้กลับเข้ามาในช่องทางที่ถูกต้องเพื่อเข้ารับการกักตัว 14 วัน นอกจากไม่ผิดกฎหมายแล้ว หากพบการติดเชื้อจะได้รับการรักษา ไม่ทําให้เชื้อแพร่ไปสู่คนในครอบครัวและชุมชน และขอฝากให้ประชาชนพื้นที่ชายแดนช่วยกันเป็นหูเป็นตา โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน คอนโด โรงแรม โรงงาน และสถานบันเทิง หากพบคนไทยหรือคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการกักตัว 14 วัน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยเร็ว และย้ําให้ประชาชนยังคงสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และสแกนไทยชนะ ซึ่งทําให้สามารถติดตามผู้สัมผัสได้ง่ายขึ้น
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า จากการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 เพศหญิงอายุ 29 ปี จังหวัดเชียงใหม่ มีทั้งหมด 328 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 107 ราย ตรวจแล้ว 69 ราย ไม่พบเชื้อ (คอนโดผู้ป่วย 2 ราย คอนโดเพื่อน 2 ราย สถานบันเทิง 55 ราย ห้างสรรพสินค้า 6 ราย รถโดยสารปรับอากาศเชียงใหม่ 1 ราย และคนขับรถ Grab Car 3 ราย) สัมผัสเสี่ยงต่ํา 149 ราย ตรวจแล้ว 83 ราย ไม่พบเชื้อ (สถานบันเทิง 2 ราย ห้างสรรพสินค้า 25 ราย บุคลากรโรงพยาบาลเอกชน 9 ราย และคอนโดผู้ป่วย 47 ราย) ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลการตรวจและติดตาม โดยทั้งหมดยังต้องกักกันและเฝ้าระวังอาการจนครบ 14 วัน ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้กําหนดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ชุมนุมชนทุกแห่ง ทั้งการสวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง และการสแกนไทยชนะ หากสถานประกอบการ/ ร้านไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจะถูกดําเนินการอย่างเคร่งครัด รวมถึงการสั่งปิดกิจการชั่วคราว
นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สําหรับผู้ติดเชื้อ 2 รายที่จังหวัดเชียงราย เป็นหญิงไทยอายุ 26 ปี และ 23 ปี ทํางานในสถานบันเทิงในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เป็นเพื่อนร่วมงานกับหญิงอายุ 29 ปีติดโควิด 19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยลักลอบเดินทางเข้าทางช่องทางธรรมชาติอําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้สัมผัส 27 ราย แบ่งเป็นสัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย คือหญิงไทยอายุ 23 ปีที่เดินทางกลับมาด้วยกัน โดยวันที่ 29 พฤศจิกายน มีอาการไอ เจ็บคอ น้ํามูก เมื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด 19 ถูกนําตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล พนักงานโรงแรมที่ขับพาไปร้านสะดวกซื้อ 1 ราย รถจักรยานยนต์รับจ้างจากหมู่บ้านไปอําเภอแม่สาย 1 ราย ทั้งคู่รอผลตรวจเชื้อ ส่วนรถจักรยานยนต์รับจ้างที่พาไปอําเภอเมือง 1 ราย ไม่พบเชื้อ ที่เหลือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา 23 ราย คือบุคลากรทางการแพทย์ 20 ราย และชุมชน 3 ราย คือ แม่ค้าร้านอาหาร/ร้านขายของชํา พนักงานร้านสะดวกซื้อ และพนักงานโรงแรม ทั้งนี้ ถือว่ามีโอกาสแพร่เชื้อต่ํา เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่ในโรงแรมที่พักและไปโรงพยาบาลเร็ว ทําให้มีผู้สัมผัสน้อย
คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงรายได้กําหนดมาตรการป้องกันโรคในสถานที่ชุมชน เฝ้าระวังช่องทางเข้าออก โดยจัดระเบียบการขนส่งและสุ่มตรวจพนักงานขับรถชาวเมียนมา กําหนดมาตรการรองรับผู้กลับมาจากประเทศเมียนมา โดยเตรียมสถานที่กักกันโรคที่ราชการกําหนด กักกันอย่างน้อย 14 วัน สื่อสารให้ผู้ที่ลักลอบมาจากต่างประเทศเข้าสู่ระบบการตรวจคัดกรองและรักษา โดยให้รายงานตัวกับ อสม. รพ.สต. หรือผู้ใหญ่บ้าน และสํารวจจํานวนคนไทยในฝั่งท่าขี้เหล็กและต้องการกลับประเทศ เพื่อเตรียมการดําเนินการรับกลับอย่างปลอดภัยและดําเนินการกับผู้นําพาคนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
************************** 30 พฤศจิกายน 2563 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนเฉพาะกิจแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง | แผนเฉพาะกิจแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบแผนเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ปี 2563 ประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง เพื่อกํากับดูแลและรับมือสถานการณ์ 3) การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า โดยใช้ประโยชน์จากเศษวัสดุในป่า และการบริหารจัดการเชื้อเพลิงใน 17 จังหวัดภาคเหนือ 4) สร้างเครือข่าย อาสาสมัคร เป็นกลไกติดตาม เฝ้าระวัง และดับไฟ 5) เร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า ให้ครบ 76 จังหวัด ภายในปี 2570 6) ถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และ7) การพยากรณ์ฝุ่นละอองล่วงหน้า 3 วัน เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล | รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล
รัฐบาล ร่วมมือ หน่วยงานรัฐ-เอกชน จัดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” เทิดพระเกียรติ “สมเด็จพระพันปีหลวง” ๒๗ พ.ย. – ๑ ธ.ค.นี้ ร่วมอนุรักษ์ สืบสาน ต่อยอด พร้อมผลักดันผ้าไทยสู่สากล
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ลานพาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน“ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” (Thai Treasures) โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ผู้บริหารบริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด ผู้บริหารบริษัทบิวตี้ เจมส์ และผู้แทนหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับศูนย์การค้าสยามพารากอน และภาคีเครือข่ายหน่วยงานรัฐและเอกชน จัดงาน “ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม” (Thai Treasures) ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ ณ ลานพาร์คพารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงสนับสนุน ส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าของผ้าไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจําชาติ เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ สืบสาน รักษา และต่อยอดมรดกภูมิปัญญาให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยและก้าวไกลไปสู่ระดับสากล
นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า “ผ้าไทย” ถือเป็นสมบัติคู่ชาติมายาวนานนับร้อยปี และตลอดระยะเวลากว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการด้วยพระราชปณิธานที่จะพัฒนาประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จึงเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และสืบสานมรดกภูมิปัญญาอันล้ําค่าไม่ให้สูญหายไป และสามารถสร้างรายได้แก่ชุมชนท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันผ้าไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ปรากฏเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยและเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่พสกนิกรชาวไทยรู้สึกน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
ทั้งนี้ ภายหลังพิธีเปิดงานมีการเดินแบบแฟชั่นโชว์ผ้าไทยจํานวน ๓๘ ชุด ซึ่งเป็นผลงานจากการออกแบบของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมีความหลากหลายทั้งเส้นใย กรรมวิธี และสีสันลวดลายสวยงาม และตัดเย็บที่ทันสมัย นําโดยนางแบบชื่อดัง ตะวัน จิรัชญา เกตุคง ผู้ชนะ Asia’s Next Top Model Cycle 4 แสดงแบบร่วมกับเครื่องประดับจาก บริษัทบิวตี้ เจมส์ จํากัด และร่วมรับฟังเพลงจากนักร้องชื่อดัง รัดเกล้า อามระดิษ นอกจากนี้ ตลอดการจัดงานตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน – ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีกิจกรรมมากมาย อาทิ การเสวนาเกี่ยวกับผ้าไทย โดย ดีไซน์เนอร์ นักออกแบบแฟชั่นร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และกิจกรรมสาธิต (Workshop) งานผ้า โดยช่างฝีมือจากท้องถิ่น เช่น การทําผ้ามัดย้อม ผ้าบาติก เป็นต้น
นอกจากนี้ มีการจําหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (Cultural Product of Thailand : CPOT) จากชุมชนคุณธรรมและเครือข่ายผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมจาก ๔ ภูมิภาคกว่า ๒๐ ชุมชน มาร่วมสาธิตและ ออกร้านจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมไทยทั้งผ้าทอ ผ้าปักพื้นประเภทต่าง ๆ เครื่องเงินสุโขทัย เครื่องถมนครศรีธรรมราช ที่หาชมได้ยาก อีกทั้ง มีการจัดนิทรรศการและออกบูธจากททท. แนะนําสถานที่ท่องเที่ยวและโปรโมทชั่น ภายใต้แนวคิด “ไทยเที่ยวไทย” สอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือ www.m-culture.go.th
---------------------- | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำโครงการ | “ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทําโครงการ
“ดีอีเอส” หนุน สดช. ร่วมประกาศแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทําโครงการ"Thailand digital outlook 2020
30พ.ย. 63นางคนึงนิจคชศิลาผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทําโครงการ"Thailand digital outlook 2020"ซึ่งจัดโดยสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สดช.)สําหรับเวทีงานสัมมนาครั้งนี้เป็นการนําเสนอผลการสํารวจและจัดทําดัชนีตัวชี้วัดด้านดิจิทัลของประเทศไทยปี2563ที่สดช.ดําเนินงานโครงการวิจัยThailand digital outlook 2020ระยะที่2แล้วเสร็จทั้งนี้เพื่อเผยผลการดําเนินโครงการและนําเสนอข้อมูลอันเป็นประโยชน์ด้านดิ hmดิจิทัลไทยแลนด์รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ณห้องออดิทอเรียมชั้น2โรงแรมเซ็นทราบายเซ็นทาราศูนย์ราชการฯแจ้งวัฒนะฯ
*********** | 2020-12-01 | 1,418.060059 | 1,420.869995 | 1,430.030029 | 1,416.390015 | up |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown) | ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown)
ผู้ช่วยรมว.เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown)
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน " เพลินศิลป์ถิ่นเยาวราช "(The Charity Dinner in Chinatown) โดยมี นายพิกิฏ ศรีชนะ เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม คุณศิริลักษณ์ ไม้ไทย กรรมการบริษัท เพลินบุญ ทราเวล จํากัด และประธานกรรมการมูลนิธิเอ็มซีดส์เพื่อการพัฒพาภาวะผู้นําสู่ความยั่งยืน คุณลลิสา จงบารมี ประธานมูลนิธิธารศิลป์ รักษ์จิตรกร นายวินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ เครือข่ายศิลปิน ผู้แทนหน่วยภาครัฐ ภาคเอกชน และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน ณ คอตตอน บอลรูม ชั้น ๖ โรงแรมเซี่ยงไฮ้แมนชั่น ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอนำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน | บีโอไอนําคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
บีโอไอนําคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) (ที่ 3 จากซ้าย)
นําคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่บีโอไอ และสื่อมวลชนสายอุตสาหกรรม เยี่ยมชมและรับฟังการบรรยายจากผู้บริหารของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จํากัด และบริษัท แนบโซลูท จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ โดยมี ผศ.ภญ.ดร.รุ่งเพ็ชร สกุลบํารุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารจากบริษัท
ซียู ฟาร์มาซี เอ็นเตอร์ไพรส์ และคณาจารย์ ให้การต้อนรับ ณ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเร็วๆ นี้ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖ | รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรําลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖
รัฐบาล มอบวธ. จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” น้อมรําลึกพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จัดริ้วขบวนพาเหรดยิ่งใหญ่ ชมนิทรรศการ “อัครศิลปิน” และการแสดงศิลปวัฒนธรรม ๑ - ๖
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. บริเวณถนนสนามไชย สวนสราญรมย์ และมิวเซียมสยาม โดยในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้รับมอบหมายให้จัดกิจกรรม ดังนี้ ๑.จัดนิทรรศการ "อัครศิลปิน” นําเสนอพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๙ด้าน ประกอบด้วย (๑) พระอัจฉริยภาพด้านจิตรกรรม นําสําเนาภาพวาดฝีพระหัตถ์ และภาพจิตรกรรมที่ทรงวินิจฉัยมาจัดแสดง (๒) พระอัจฉริยภาพด้านประติมากรรม จัดแสดงงานประติมากรรมที่ทรงวินิจฉัย (๓) พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์ นําหนังสือทรงพระราชนิพนธ์มาจัดแสดง และมหาราชานุสาสนี(คําสอนของมหาราช) ในหนังสือผ่านระบบINTERACTIVE Touchscreen
(๔) พระอัจฉริยภาพด้านการถ่ายภาพ นําเสนอสําเนาภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ (๕) พระอัจฉริยภาพด้านวาทศิลป์ นําเสนอวีดีทัศน์พระบรมราโชวาทและพระราชดํารัสในโอกาสสําคัญต่าง ๆ (๖) พระอัจฉริยภาพด้านนาฏศิลป์และดนตรี นําเสนอข้อมูลที่ทรงอุปถัมภ์การแสดงโขน ละคร ศิลปะการแสดง และดนตรี (๗) พระอัจฉริยภาพด้านดุริยางคศิลป์ นําบทเพลงพระราชนิพนธ์ ผ่านระบบเทคนิคSounddome(๘) พระอัจฉริยภาพด้านหัตถศิลป์และงานออกแบบ นําเสนอวีดีทัศน์ผ่านระบบการฉายmappingบนเรือใบมดที่ทรงออกแบบและต่อขึ้นด้วยพระองค์เอง และ(๙) พระอัจฉริยภาพด้านงานสถาปัตยศิลป์ นําเสนอข้อมูลงานสถาปัตยศิลป์ที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชดําริและพระบรมราชวินิจฉัย ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น. ณ บริเวณสนามหญ้าด้านข้างหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ถนนสนามไชย กรุงเทพฯ
๒.จัดริ้วขบวนพาเหรด "เรื่องราวชาวไทย ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร” ระหว่างวันที่ ๑ - ๔ ธันวาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. โดยเริ่มต้นขบวนตั้งแต่มิวเซียมสยาม ถึงบริเวณหน้าศาลฎีกา ประกอบด้วย ๖ ขบวน ดังนี้ริ้วขบวนที่ ๑สยามภักดีภิรมย์รัฐ (ภาคกลาง) ประกอบด้วย วงกลองยาวและขบวนเครื่องแต่งกายวิรัชสราญรมย์แสดงเอกลักษณ์การแต่งกายในยุครัตนโกสินทร์ พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มอญ ไททรงดํา ลาวครั่ง และไทยเบิ้งริ้วขบวนที่ ๒ล้านนาภิวัฒน์ร่มพระบารมี (ภาคเหนือ) เสนอประเพณีและวัฒนธรรมของคนเมือง ประกอบด้วยการตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนนกกิงกะหลา เต้นโตและฟ้อนขันดอก พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ อาข่า ม้งและกะเหรี่ยงริ้วขบวนที่ ๓อีสานสามัคคีคุณากร (ภาคอีสาน) แสดงประเพณีและวัฒนธรรมของชาวอีสานตอนบนและตอนล่าง ได้แก่ บายศรีสู่ขวัญ เซิ้งบั้งไฟ ผีตาโขนและตุงอีสาน พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ภูไท ไทยพวน ไทย้อ และกุย
ริ้วขบวนที่ ๔ถิ่นทักษิณาทรวัฒนธรรม (ภาคใต้) แสดงวัฒนธรรมการแต่งกายและวัฒนธรรมของชาวใต้ ได้แก่ โนรา ตารีบุหงา และเปอรานากันหรือบะบ๋ายะหยา มาสคอตอ้ายเท่ง และอ้ายหนูนุ้ย พร้อมด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ซาไก มอแกน ไทยใหม่ และอูรักลาโว้ยริ้วขบวนที่ ๕ชุมชนน้อมนํามโนภักดิ์ (ชุมชนนานาชาติ ศาสนิกสัมพันธ์) ประกอบด้วย ๔ ศาสนิกชน คือ ซิกซ์ ฮินดู มุสลิมและคริสต์ และริ้วขบวนที่ ๖รวมใจจงรักนิรันดร ประกอบบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่นํามาดัดแปลงดนตรีใหม่ ให้มีความสนุกสนาน เช่น เต้นฮิปฮอป สวิงแดนซ์ เพอร์คัชชั่น ป๊อปปิ้ง และ๓.จัดการแสดงทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวไทย ชุด "บุปผาสักการะน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ” ในพิธีจุดเทียนมหามงคล วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๙.๒๕ น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงซึ่งเป็นการแสดง ๔ ภาคประกอบด้วย ภาคเหนือ ฟ้อนขันดอก ภาคกลาง ระบําร่มฉัตร ภาคใต้ รําตาลีบุหงา และภาคอีสาน ฟ้อนมาลัยข้าวตอก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ร่วมกับศิลปินสาขาต่างๆ จัดกิจกรรมการแสดง ระหว่างเวลา ๑๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ณ เวทีการแสดงนิทรรศการ "อัครศิลปิน” บริเวณสนามหญ้าด้านข้างหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้แก่ วันที่ ๑ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงBrass Ensembleน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดย วงดุริยางค์เยาวชนไทยในพระอุปถัมภ์ฯ (Thai Youth Orchestra:TYO) เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงดนตรีไทยร่วมสมัย "วงกอไผ่” โดยนายอนันต์ นาคคง ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรี ประจําปี ๒๕๖๒ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากร วันที่ ๒ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงเพลงอีแซวรําลึกในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ปี ๒๕๓๙ เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย ชุด "คิดถึง น้อมนํา ทําตาม” โดยคณะThe Creations Danceนาฏศิลป์สร้างสรรค์ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากร
วันที่ ๓ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงลําตัดน้อมรําลึกในหลวงรัชกาลที่ ๙ โดยแม่ศรีนวล ขําอาจ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ศิลปะพื้นบ้าน-ลําตัด) ประจําปี ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงร่วมสมัยชุด "คนเดียวที่คิดถึง” โดยนายมานพ มีจํารัส ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี ๒๕๔๘ และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากร วันที่ ๔ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงของพ่อโดยคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงการขับร้องวงประสานเสียง โดยคณะMu Choirวงขับร้องประสานเสียง มหาวิทยาลัยมหิดล และเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากร
วันที่ ๕ ธันวาคม เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๔.๓๐ น. การแสดงเพลงทรงเครื่อง "รักของพ่อ” โดยคณะแม่บัวผัน เวลา ๑๔.๓๐ - ๑๕.๑๐ น. การแสดงดนตรี กวี ศิลป์ ชื่อชุด "น้อมนําคําพ่อสอน” จากวงดนตรีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประกอบการวาดทรายจากอาจารย์ก้องเกียรติ กองจันดี ควบคุมการแสดงโดย ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ ศิลปินศิลปาธร สาขาคีตศิลป์ ประจําปี ๒๕๕๐ และเวลา ๑๕.๑๐ - ๑๖.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากร และวันที่ ๖ ธันวาคม เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การแสดงสืบสานดุริยศิลป์ ใต้ร่มพระบารมี โดยวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย(Thai Youth Winds:TYW) เวลา ๑๘.๐๐ - ๑๙.๐๐ น. การแสดงหุ่นกระบอกร่วมสมัย เรื่อง "พระเนมิราชชาดก” โดยคณะบ้านตุ๊กตุ่นและเวลา ๑๙.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. การบรรเลงและขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๙ โดยสํานักการสังคีต กรมศิลปากรสอบถามรายละเอียด สายด่วนวัฒนธรรม ๑๗๖๕ หรือโทร. ๐ ๒๒๐๙ ๓๖๑๕ - ๑๙ ในวันและเวลาราชการ
----------------------------- | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง | การจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลอนุมัติหลักการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ให้เป็นหน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชน เพื่อเป็นองค์กรหลักในการบริหารจัดการด้านการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การต่อยอดเทคโนโลยี การวิจัย และส่งเสริมอุตสาหกรรมต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ในระบบการขนส่งทางราง บูรณาการระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งส่งเสริมงานวิจัย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีระบบรางจากต่างประเทศ พัฒนาคนไทยให้มีความรู้ด้านรางเทียบเท่าประเทศที่มีความเจริญในระบบขนส่งทางราง ซึ่งในอนาคตจะเป็นระบบการขนส่งหลักของประเทศเชื่อมต่อกับระบบการขนส่งทุกระบบ รวมทั้งเตรียมการในด้านการวิจัยและพัฒนาใน 5-10 ปีข้างหน้า และเตรียมพร้อมเป็นศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจำปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” | พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจําปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering”
พม. จัดแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจําปี 2563 ( International Volunteer Day 2020 ) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering”
วันนี้ (30 พ.ย. 63) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วย Ms. Gita Sabharwal (United Nations Resident Coordinator in Thailand และ Mrs. Shalina Miah (Regional Manager, Asia and the Pacific United Nations Volunteers Programme) ร่วมแถลงข่าวงานวันอาสาสมัครสากล ประจําปี 2563 (International Volunteer Day 2020) ภายใต้หัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ที่ห้องประชุม ESCAP Hall สํานักงานองค์การสหประชาชาติประเทศไทย
นายจุติ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี กําหนดให้วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับตรงวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นวันอาสาสมัครไทย และสอดคล้องกับองค์การสหประชาชาติกําหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ความสําคัญในการผลักดันนโยบายด้านงานอาสาสมัครของประเทศไทย และส่งเสริมอาสาสมัครเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคม ขับเคลื่อนงานพัฒนาประเทศ
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เป็นหน่วยงานหลักในการทําหน้าที่เกี่ยวกับการพัฒนาสังคม การสร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม อาสาสมัคร และประชาชน โดยมี 2 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ ซึ่งดําเนินการการขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางการประสานงานกับองค์กรที่ดําเนินงานด้านอาสาสมัคร การจัดทําทะเบียนกลางอาสาสมัครของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครที่มีประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านการบริหารจัดการอาสาสมัคร และการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัคร ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และกองกิจการอาสาสมัครและภาคประชาสังคมเป็นหน่วยงานที่ให้การส่งเสริมและพัฒนากลไกเกี่ยวกับงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ผลักดันการขยาย อพม. ให้มีจํานวนมากขึ้น เพื่อรองรับการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในชุมชน อย่างน้อย 1 คน ต่อ 40 ครัวเรือน นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาคุณภาพของอาสาสมัคร โดยเพิ่มศักยภาพในด้านความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการและการพัฒนาชุมชน
นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ในปีนี้ได้กําหนดการจัดงานวันอาสาสมัครสากล ประจําปี 2563 (International Volunteer Day 2020) ในวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2563 โดยกําหนดหัวข้อ “Together We Can Through Volunteering” ซึ่งจะจัดขึ้น ณ ห้องประชุม ESCAP Hall สํานักงานองค์การสหประชาชาติประเทศไทย กรุงเทพฯ มีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์การปฏิบัติงานของอาสาสมัคร และเปิดโอกาสให้ทั้งองค์กรอาสาสมัคร และอาสาสมัคร ได้เผยแพร่กิจกรรมที่ได้ทํา ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ขอเชิญชวนให้อาสาสมัคร องค์กรที่ทํางานด้านอาสาสมัครและประชาชนคนไทยทุกคน ได้ตระหนักและให้ความสําคัญต่อการทํางานด้านอาสาสมัคร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การดําเนินงานอาสาสมัครไทยสู่สากล โดยการจัดกิจกรรมทําประโยชน์เพื่อสังคมในช่วงระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคม 2563 และเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวต่างๆ ในการจัดกิจกรรมผ่านทางสื่อออนไลน์ Facebook Twitter หรือช่องทางอื่นๆ พร้อมทั้งพิมพ์ข้อความว่า “#5ธันวาคมวันอาสาสมัครสากล #IVDThailand2020 #IVD2020 #GiveAHeart #TogetherWeCan” | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021 | “ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021
“ดีอีเอส” จับมือ DUGA เตรียมความพร้อมจัดงาน Smart City Summit 2021
30 พ.ย.63 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นประธานที่ปรึกษาและเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาโครงการ Smart City 2021 ตามที่กระทรวงดิจิทัลฯ และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน Smart City Summit 2021 โดยมีกําหนดจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 28-29 เมษายน 2564 ซึ่งรูปแบบการจัดงาน เป็นการสัมมนาวิชาการ การแสดงนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากภาครัฐและเอกชน และการสัมมนาวิชาการนําเสนอหัวข้อเทคโนลยีและโซลูชั่น ทั้งนี้เพื่อผลักดันนโยบาย Smart City หรือเมืองอัจฉริยะ ที่มุ่งพัฒนาให้เกิดขึ้นในประเทศไทยตามนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล เพื่อเชื่อมโยงเมืองด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการอํานวยความสะดวก และเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ณ ห้องประชุม 701 ชั้น 7 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
*************** | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19 | โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม สู้ภัยโควิด-19 ผ่านโครงการ “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” วงเงิน 95 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ระดับ 3 - 5 ดาว ทั้ง 76 จังหวัด และชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สามารถเพิ่มช่องทางระบายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ชุมชนได้มากยิ่งขึ้น โดยเป็นกิจกรรมจ้างเหมาดําเนินการจัดงานโอทอปไทยสู้ภัยโควิด-19 เพื่อจัดแสดงและจําหน่ายสินค้า OTOP ชวนชิมอาหาร ให้บริการท่องเที่ยวชุมชน และสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจจากสินค้าโอทอปให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ | รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา | การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
การประชุมเตรียมความพร้อมการรับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อป | วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อป
วธ.จัดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” เผยแพร่วัฒนธรรมความเชื่อ ผ่านนิทรรศการ-เสวนา-เวิร์คช้อปแต่งหน้า ทําขนมและประดิษฐ์ธุงใยแมงมุม
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ที่ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน ชั้น ๓ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรม “อาเซียนลี้ลับ: ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วม
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน ณ บริเวณ ชั้น ๓ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนินเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนมาอย่างต่อเนื่องในหลากหลายหัวข้อ อาทิ อัตลักษณ์ แหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต มรดกภูมิปัญญา และความเชื่อมโยงในภูมิภาค
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า การจัดกิจกรรมของศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนในครั้งนี้ได้เลือกนําวัฒนธรรมด้าน “ความเชื่อ” ของชาวอาเซียนมานําเสนอในรูปแบบนิทรรศการที่แตกต่างออกไป ซึ่งเรื่องภูตผี วิญญาณ สิ่งลี้ลับ สิ่งเหนือธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็นข้อถกเถียงทั้งในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ และเป็นปริศนาที่ผู้คนยังค้นหาคําตอบอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็มีประเด็นที่น่าคิดอย่างหนึ่ง คือ ความเชื่อเหล่านี้ มีบทบาทในสังคมหลากหลายรูปแบบ และยังคงติดตามเคลื่อนที่มากับความเชื่อของคนตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องผีสางตามความเชื่อของผู้คนในอาเซียนที่มีความคล้ายคลึง เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอยู่ไม่น้อย จึงเป็นที่มาของการจัดนิทรรศการ “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” ในรูปแบบบ้านผีสิงจําลอง ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓
นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียนยังได้จัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับนิทรรศการฯ ประกอบด้วย การเสวนาเรื่อง “อาเซียนลี้ลับ : ความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ” โดยมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ราชบัณฑิตสาขานาฏกรรม ดร.สุรัตน์ จงดา ผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และนายนิเวศน์ แววสมณะ ครูช่างศิลปหัตถกรรม เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เรื่องนิทรรศการฯ และเรื่องการแสดงทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อและสิ่งเหนือธรรมชาติ นอกจากนี้ มีการแสดงชุด “เขย่าขวัญอาเซียน” การแสดงสร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยคณะศิลปินคิดบวกสิปป์ ที่ได้หลอมรวมเรื่องราวลี้ลับของภูติผีในอาเซียน สื่อสารออกมาในรูปแบบการฟ้อนรําเพื่อบูชาผีสางเทวดา อันสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเชื่อของชาวอาเซียนที่มีมาตั้งแต่อดีตตราบจนปัจจุบัน รวมทั้งกิจกรรม Workshop การแต่งหน้าแนวสยองขวัญ การประดิษฐ์ธุงใยแมงมุมป้องกันสิ่งชั่วร้าย และการทําขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ขนมศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่างๆ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วัฒนธรรมอาเซียน โทร. ๐๒ ๒๒๔ ๔๒๗๙ หรือเพจ Facebook: ASEAN Cultural Center
--------------------------- | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19 | สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19
สธ.จับมือก.ท่องเที่ยว ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ เน้นวิถีถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนนโยบายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างเส้นทางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ 4 ภาค มีมาตรฐาน สะดวกสบาย ปลอดภัย สะอาด บริการเป็นเลิศ ในราคาปันสุข กระตุ้นคนไทยและต่างชาติท่องเที่ยวในประเทศ ภายหลังวิกฤตโรคโควิด 19 พร้อมจัดงาน “เที่ยวเมืองไทย สุขภาพดี วิถีถิ่น 2020” ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม นําร่องพื้นที่กรุงเทพมหานคร พาทัวร์วัดโพธิ์
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) ที่บ้านยาหอม เขตพระนคร กทม. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ โครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม ให้สัมภาษณ์ระหว่างนําสื่อมวลชนศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร “Hidden Gem in Bangkok” เส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในกรุงเทพมหานครที่ต้องเช็กอิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรูปแบบใหม่ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวภายหลังวิกฤตโควิด 19 ในราคาปันสุข
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของไทย โดยปี 2562 มีอัตราการใช้บริการด้านการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประมาณ 16.1 ล้านครั้ง แบ่งเป็นบริการด้านการแพทย์ 3.6 ล้านครั้ง และบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 12.5 ล้านครั้ง เกิดรายได้สูงถึง 450,200 ล้านบาท (บริการด้านการแพทย์ 41,000 ล้านบาท และบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 409,200 ล้านบาท) คิดเป็นประมาณร้อยละ 15.6 ของรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวม เกิดการจ้างงานกว่า 539,195 คน แม้ปัจจุบันจะได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 แต่โรคนี้เป็นตัวแปรสําคัญที่กระตุ้นให้คนหันมาให้ความสําคัญเรื่องการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ Global COVID-19 Index (GCI) จัดให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 การฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด 19 อยู่ในกลุ่มเรตติ้ง 5 คือ ประเทศที่บรรเทาการระบาดของไวรัสได้ก้าวหน้าที่สุดในโลก จึงเป็นโอกาสดีของประเทศไทยในการสร้างมูลค่าจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมการท่องเที่ยว ได้ร่วมกันจัดงาน “เที่ยวเมืองไทยสุขภาพดี วิถีถิ่น 2020 (Thailand Travel)” ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม 2563 ที่ชั้น G เมืองสุขสยาม ไอคอนสยาม ซึ่งภายในงานได้รวบรวมเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพราคาปันสุขมาจําหน่าย ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่มีทั้งมาตรฐาน ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย สะอาด และการให้บริการเป็นเลิศเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายหลังวิกฤตโรคโควิด 19
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ภายในงานเที่ยวเมืองไทยสุขภาพดี วิถีถิ่น 2020มีการรวบรวมเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยคัดวิถีและจําลองแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่โดดเด่น 4 ภูมิภาคมาเป็นไฮไลท์ในการจัดงาน โดยภาคกลางจัดงานในรูปแบบ Half Day Trip : The Hidden Gem in Bangkok เส้นทางศาสตร์เพื่อสุขภาพและการบําบัดตามรอยหมอไทย ยาไทย ในราคาพิเศษ มุ่งกระตุ้นให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ใช้วันหยุดพักผ่อนแบบไม่ต้องเดินทางไกล ถ่ายรูปเช็คอินในสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามทั้งสถาปัตยกรรมและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ อิ่มอร่อยกับอาหารไทยหาทานยาก ผ่อนคลายกับศาสตร์การแพทย์แผนไทยที่เดินทางง่าย สะดวกสบาย โดยเลือกการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งรถยนต์ รถไฟฟ้า และเรือ โดยใช้เวลาเพียงครึ่งวัน
นอกจากนี้ ยังจําลองเส้นทางท่องเที่ยวเมืองสมุนไพรในอีก 3 ภูมิภาค พร้อมแพคเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษ ได้แก่ ภาคเหนือ เช่น จ.เชียงราย เส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อาหาร ผลิตภัณฑ์และมรดกภูมิปัญญา ทั้งการจําลองโฮงฮอมผญ๋า โฮงยาหมอเมืองล้านนา ชมทะเลหมอก ชา กาแฟและชาติพันธุ์จ.พิษณุโลก เส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสุขภาพ ชมตลาด 120 ปีวิถีชาววัง ภาคใต้ เช่น จ.สงขลา เส้นทางล่องทะเลสาบสงขลาลากูนหนึ่งเดียวในประเทศไทย ย้อนเวลาเมืองเก่าสงขลา 3 ยุคพหุวัฒนธรรม สาธิตการคั่วชาใบขลู่ กับแหล่งท่องเที่ยวห้อยขาจิบชาใบขลู่ แหล่งปลากะพง 3 น้ํา ที่อร่อยที่สุด จ.พัทลุง เส้นทางท่องเที่ยวกัญชาทางการแพทย์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ชวนแช่น้ําแร่สุดฟิน และภาคอีสาน เช่น จ.อุดรธานี เชิญท่องทะเลบัวแดง และกิจกรรมนวดแช่เท้าด้วยดอกเกลือนาคราช จ.สกลนคร เส้นทางกัญชาทางการแพทย์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น ถือเป็นการส่งมอบความสุขและของขวัญให้คนไทยได้เตรียมวางแผนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรับปีใหม่ 2564
นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ โครงการสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม กล่าวว่า เมืองสุขสยามได้เนรมิตบริเวณลานเมือง 1-2 จําลองบรรยากาศเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย 4 ภาค ที่แต่ละจังหวัดพร้อมเปิดบ้านเปิดเมืองให้สัมผัสธรรมชาติ วิถีชุมชน วัฒนธรรม เรียนรู้วิธีการรักษาสุขภาพกายใจด้วยสมุนไพรและธรรมชาติบําบัด พร้อมจัดโปรโมชั่นแพคเกจท่องเที่ยวราคาสุดคุ้มให้แก่ผู้มาชมงานได้เลือกซื้อในราคาพิเศษเฉพาะงานนี้ นอกจากนี้ แต่ละจังหวัดยังจัดเตรียมกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และมรดกภูมิปัญญาไทยของแต่ละภูมิภาค รวมถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านจาก 4 ภาค ให้ได้ร่วมกิจกรรมเสมือนได้ไปแหล่งท่องเที่ยวนั้นจริงๆ ทั้งเที่ยวชมบรรยากาศ วางแผนท่องเที่ยวรับปีใหม่ใช้เวลากับครอบครัว และมาชม ชิม และผ่อนคลายกับกิจกรรมเพื่อสุขภาพและการบําบัดผ่อนคลาย
************************************* 30 พฤศจิกายน 2563 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ | รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑
รมว.วธ.เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ โดยมี รศ.ดร.ชูสิทธิ์ ประดับเพ็ชร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กล่าวรายงาน และมีนายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและภริยา ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินรับเชิญ หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณลานวัดมหาธาตุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา โดยคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยาจัดงาน “อยุธยา ขลุ่ยทิพย์ ๑,๐๐๐ เลา” ครั้งที่ ๑ ขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ใช้ขลุ่ย ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีไทยเป็นเครื่องดนตรีประจําตัว อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด และเป็นการนําศิลปวัฒนธรรมมาสร้างความรักความสามัคคีให้กับคนในชาติ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19 | โครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด -19
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2563
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสังคม สู้ภัยโควิด-19 ผ่านโครงการ “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” วงเงิน 95 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ระดับ 3 - 5 ดาว ทั้ง 76 จังหวัด และชุมชนท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สามารถเพิ่มช่องทางระบายสินค้า OTOP และผลิตภัณฑ์ชุมชนได้มากยิ่งขึ้น โดยเป็นกิจกรรมจ้างเหมาดําเนินการจัดงานโอทอปไทยสู้ภัยโควิด-19 เพื่อจัดแสดงและจําหน่ายสินค้า OTOP ชวนชิมอาหาร ให้บริการท่องเที่ยวชุมชน และสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าเพิ่มช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจจากสินค้าโอทอปให้กับประชาชน
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564 | ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชนฯ ครั้งที่ 2/2564
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน” ครั้งที่ 2/2564 โดยมี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
งาน Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน” เป็นกิจกรรมที่กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทําขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจจากการระบาดของโรคโควิด 19 ให้สามารถจําหน่ายสินค้าได้ และเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถหาซื้อสินค้าดี มีคุณภาพ และได้มาตรฐานในราคาโรงงาน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือไม่ให้ประชาชนรับภาระจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยงานดังกล่าวกําหนดจัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 – 19.00 น. ณ บริเวณโดยรอบกระทรวงอุตสาหกรรม. | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ | นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ
นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ
วันนี้ (วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายฟรังซิชกู เด อัสซิช มูไรช์ เอ คูญา วาซ ปัตตู (H.E. Mr. Francisco de Assis Morais e Cunha Vaz Patto) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออําลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่แน่นแฟ้นยาวนานกว่า 500 ปี โดยมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ดํารงตําแหน่ง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และพัฒนาต่อเนื่องไปจากนี้
เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดําเนินงานตลอดระยะเวลาที่ดํารงตําแหน่ง ทําให้ได้รับประสบการณ์และความทรงจําที่ดี ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่มีมาอย่างยาวนาน ตลอดจนเห็นพ้องที่จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรม สาธารณสุข และเทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยินดีที่รัฐบาลไทยประสบความสําเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นที่ยอมรับ ซึ่งโปรตุเกสประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับไทยด้วย
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีโอกาสในการขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากปี 2561 พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคเอกชนของโปรตุเกสขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของไทย ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ MSMEs ซึ่ง เอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นอีกภาคส่วนที่มีความสําคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ จึงควรหารือร่วมกันเพื่อเพิ่มพูนโอกาสและความร่วมมือในประเด็นนี้ต่อไป | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020) | แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
แถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2563 (The Prime Ministry Award 2020)
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานในงานแถลงข่าวพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2563 (The Prime Minister's Industry Award 2020) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นเป็นปีที่ 28 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจใหม่ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยผลการพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2563 มีผู้ประกอบการได้รับการพิจารณาคัดเลือก จํานวน 79 รางวัล พร้อมรางวัลชมเชย 5 รางวัล แบ่งออกเป็น รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล โดย บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จํากัด เป็นผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 48 รางวัล และรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น 30 รางวัล สําหรับการจัดพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2563 กําหนดจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563 เวลา 13.30 น. ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น | รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น
รัฐมนตรีฯ สุริยะ เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) ประจําปีงบประมาณ 2564 พร้อมด้วย นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นาวสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม บริษัท ไรซ์ แอกเซล จํากัด อาคารเกษรทาวเวอร์ กรุงเทพฯ
สําหรับ กิจกรรม การเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และการตลาดสําหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Connect) ดังกล่าว เป็นการยกระดับการส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย ผ่านการความร่วมมือกับภาคเอกชนที่ให้ความสนใจร่วมลงทุนสตาร์ทอัพในกลุ่ม Deep Technology โดยการจัดตั้งทีมกูรูดีพร้อม (DIProm Guru) เพื่อบ่มเพาะและดําเนินการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ในระยะเริ่มต้น เพื่อให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ และต้นแบบเชิงนวัตกรรมในการนําไปทดสอบเชิงพาณิชย์ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 | “ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1
“ช่วยชาวนา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นายกฯ ในฐานะประธานบอร์ด นบข. เคาะเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1
วันนี้ (30 พ.ย.63) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 5/2563 เห็นชอบปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 จากที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 จํานวน 18,096.06 ล้านบาท เพิ่มเติมอีก 28,711.29 ล้านบาท เป็น 46,807.35 ล้านบาท โดยจะนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป พร้อมทั้งมอบหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ จัดทํารายละเอียดโครงการฯ และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ประมาณการวงเงินที่ใช้ เพื่อให้การจ่ายเงินถูกต้องครบถ้วน
มากไปกว่านั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังให้มีการติดตามการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าว โดยขอให้ทุกหน่วยงานต้องรายงานต่อที่ประชุมทุกสามเดือน เริ่มตั้งแต่การประชุมนัดต่อไป
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานบอร์ด นบข. ยืนยันรัฐบาลดูแลคนทั้งประเทศโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร กําชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดูแล ให้ดําเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เกษตรกรได้ประโยชน์ รัฐบาลก็สามารถลดภาระด้านงบประมาณ ทําให้มีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีมีโอ ครั้งที่ 43 ย้ำรับมือวิกฤตโควิดด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน | รมว.ศธ.เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงซีมีโอ ครั้งที่ 43 ย้ํารับมือวิกฤตโควิดด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนําเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน
รมว.ศึกษาธิการ เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 เน้นย้ํารับมือวิกฤตโควิด-19 ด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนําเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน
รมว.ศึกษาธิการ เปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 เน้นย้ํารับมือวิกฤตโควิด-19 ด้วยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา เร่งนําเทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนการสอน จัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาอย่างเพียงพอ ให้เกิดความเท่าเทียมกันของคุณภาพทางการศึกษา
(30 พฤศจิกายน 2563) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 43 (43rd SEAMEO High Official Meeting: SEAMEO HOM) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (WebEX) โดยนายสุภัทร จําปาทอง ปลัด ศธ., นางสาวชฎารัตน์ สิงหเดชากุล ผู้ตรวจราชการ ศธ., ผู้อํานวยการสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.ศธ. เข้าร่วม ณ ห้องประชุมจันทรเกษม
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 55 ปี ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือซีมีโอ ตลอดจนแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทําให้โลกเปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อทุกด้าน รวมทั้งด้านการศึกษา
ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล ผู้บริหาร และบุคลากรกระทรวงศึกษาธิการ ของทุกประเทศในภูมิภาค จําเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าว โดยการลงทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษา รวมทั้งการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังมุ่งให้ประเทศในภูมิภาคปรับเปลี่ยนแนวทางการดําเนินงาน เร่งรัดการปฏิรูปการจัดการศึกษา แบ่งปันทรัพยากร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาอย่างเพียงพอ เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศในภูมิภาคให้เกิดความเท่าเทียมกันของคุณภาพทางการศึกษา ประเทศไทยยินดีที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกซีมีโอ เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการขจัดปัญหาอุปสรรคด้านการศึกษา เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาคต่อไป
สําหรับการประชุมผ่านระบบ WebEX ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 140 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนอาวุโสระดับสูงจากประเทศสมาชิกซีมีโอ 11 ประเทศ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ผู้แทนประเทศสมาชิกสมทบ, หน่วยงานที่เป็นสมาชิกสมทบ, ผู้แทนศูนย์ระดับภูมิภาคและเจ้าหน้าที่สํานักงานเลขาธิการซีมีโอ ตลอดจนหุ้นส่วนความร่วมมือต่าง ๆ โดยจัดขึ้นเป็นประจําทุกปี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีกําหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาการศึกษา กําหนดแนวทางในการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก ในการพัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์ รวมทั้งวัฒนธรรมของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในการนี้ ประเทศสมาชิกซีมีโอได้ร่วมกันนําเสนอความก้าวหน้าการดําเนินโครงการ/กิจกรรมภายใต้ 7 ประเด็นสําคัญด้านการศึกษาของซีมีโอ (7 Priority Areas) คือ
1. การส่งเสริมการจัดการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัย (Early Childhood Care and Education)
2. การจัดการอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา (Addressing Barriers to Inclusion)
3. การเตรียมความพร้อมการศึกษาเพื่อเผชิญกับสภาวะฉุกเฉิน (Ensuring Resiliency in the Face of Emergencies)
4. การส่งเสริมการศึกษาด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา (Promoting Technical and Vocational Education and Training)
5. การปฏิรูประบบการพัฒนาครู (Revitalising Teacher Education)
6. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาและการวิจัย (Promoting Harmonisation in Higher Education and Research)
7. การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Adopting a 21st Century Curriculum)
โดยเชื่อมโยงระหว่างแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา อีกทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายที่มุ่งเน้นให้การศึกษามีความเท่าเทียม ทั่วถึง ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ประชาชนทุกช่วงวัย และเป้าหมายวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อบรรลุวาระการศึกษาของซีมีโอภายในปี 2578 (2035 SEAMEO Education Agenda) ต่อไป
อานนท์ วิชานนท์ / สรุป ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ภาพ สต.สป. / ข้อมูล | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกันรายได้ เฮ ต่อเนื่อง! จุรินทร์ ช่วย"เกษตรกรมันสำปะหลัง" ได้ส่วนต่างสูงสุด 26,000 บาท เดินหน้าประกันรายได้ปี2 กดปุ่มจ่าย 1 ธันวาคม นี้แล้ว | ประกันรายได้ เฮ ต่อเนื่อง! จุรินทร์ ช่วย"เกษตรกรมันสําปะหลัง" ได้ส่วนต่างสูงสุด 26,000 บาท เดินหน้าประกันรายได้ปี2 กดปุ่มจ่าย 1 ธันวาคม นี้แล้ว
30 พฤศจิกายน 2563 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 สิงหาคม 2563 อนุมัติให้เดินหน้าโครงการประกันรายได้มันสําปะหลังปีที่2 วงเงินงบประมาณ 9,788 ล้านบาท
โดยเกษตรกรมันสําปะหลังได้รับประโยชน์ 5.24 แสนครัวเรือน ช่วงแจ้งเพาะปลูกคือ 1 เมษายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2564โดยประกันรายได้ที่ราคาเป้าหมายกิโลกรัมละ 2.50 บาทไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตันหรือคิดเป็น 100,000 กิโลกรัม โดยโครงการประกันรายได้เกษตรกรเดินหน้าต่อเนื่องเป็นปีที่2 ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงนโยบายนี้รัฐสภาตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นมานับจากการร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขนี้เพื่อเหลือช่วยเกษตร
นางมัลลิกา กล่าวว่า นายจุรินทร์มีเรื่องแจ้งเกษตรกรด้วยความห่วงใยเพราะเป็นห่วงเรื่องการเข้าถึงและรับรู้ด้านข้อมูลข่าวสารจึงขอแจ้งให้ทราบว่าเมื่อวันที่ 26 พ.ย.2563 ที่ผ่านมานายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม รองอธิบดี รักษาการอธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกํากับดูแลและกําหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ได้เห็นชอบการกําหนดราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและการชดเชยส่วนต่างราคาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ปี 2563/64 งวดที่ 1 ซึ่งเป็นงวดแรกของโครงการประกันรายได้มันสําปะหลังปี 2 โดยจะชดเชยส่วนต่างให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและระบุวันเพาะปลูกตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563 และระบุวันคาดว่าจะเก็บเกี่ยวก่อนวันที่ 1 ธ.ค.2563 ในราคากิโลกรัม ละ 0.26 บาท ซึ่งเป็นส่วนต่างจากราคาเป้าหมายที่กําหนดประกันรายได้ไว้ที่ 2.50 บาทต่อกิโลกรัมโดยราคาตลาดหัวมันสําปะหลังสดเชื้อแป้ง 25% ขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ 2.24 บาท จึงมีส่วนต่าง 26 สตางค์นั่นเอง
ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ทั้งนี้การจ่ายเงินส่วนต่างรัฐบาลจะจ่ายทุกวันที่ 1 ของเดือน เป็นเวลา 12 เดือน โดยจะจ่ายงวดแรกในวันที่ 1 ธ.ค.2563 ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง โดยเกษตรกร 1 ครัวเรือน จะใช้สิทธิได้ 1 ครั้งและการคํานวณผลผลิตที่จะได้รับการชดเชย ได้ใช้ปริมาณผลผลิตต่อไร่ย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2560/61 ปี 2561/62 และปี 2562/63) ของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้เท่ากับ 3,419 กก.ต่อไร่ เมื่อคูณด้วยจํานวนไร่ตามที่เกษตรกรได้ขึ้นทะเบียนไว้แต่การจ่ายประกันรายได้ต้องไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน
" ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงขณะนี้ 2.24 บาทต่อกิโลกรัม แต่รัฐบาลประกันรายได้ไว้ที่ราคาเป้าหมาย 2.50 บาทต่อกิโลกรัมทําให้ต้องชดเชยส่วนต่างแก่เกษตรกร 0.26 บาทต่อกิโลกรัม รัฐบาลการประกันรายได้ไว้ให้ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน หรือ 100,000 กิโลกรัม ดังนั้นเกษตรกรมันสําปะหลังที่เก็บเกี่ยวขอบนี้คือเกษตรกรที่ระบุวันเพาะปลูกตั้งแต่ 1 เม.ย.63 และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวก่อน 1 ธ.ค.63 โดยจะจ่ายในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จะได้รับสิทธิ์ชดเชยสูงสุด 26,000 บาท หากมีข้อสงสัยให้ประสานงานสํานักงานพาณิชย์ทุกจังหวัดหรือกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน " นางมัลลิกา กล่าว | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี | กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
กระทรวงเกษตรฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พร้อมบูรณาการทุกกระทรวงเพื่อลดขั้นตอนและลดภาระในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2563 โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวงเข้าร่วม ณ ห้องประชุมธารทิพย์ 01 อาคาร 99 ปี มล.ชูชาติ กําภู กรมชลประทาน สามเสน ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการนําเสนอผลการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ 1) การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ภายใต้หลักการ "ตลาดนําการผลิต" โดยได้มีการนําเสนอผลการดําเนินงานสินค้าเกษตรที่สําคัญ คือ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ํามัน ผลไม้ ปศุสัตว์ ประมงและการแก้ไขปัญหา IUU 2) การบริหารจัดการฝุ่น การเผาในพื้นที่เกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้มีแนวทางในการป้องกันการเผาเศษซากพืช วัชพืช และเศษวัสดุการเกษตร โดยได้มีการประสานกับกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารภัยแห่งชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ มีแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบ่งการดําเนินงานใน 3 ขั้นตอน ทั้งการป้องกัน การยับยั้ง/เผชิญเหตุ และการแก้ไข/ฟื้นฟู มีกลไกการขับเคลื่อนผ่านศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร โดยจะรายงานสถานการณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง
3) การเยียวยา ฟื้นฟูเกษตรกร ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดยมีโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งมีเกษตรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ 7 หน่วยงานรับขึ้นทะเบียน คือ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมหม่อนไหม การยางแห่งประเทศไทย สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้้าตาลทราย และกรมสรรพสามิต มีผลการโอนเงินช่วยเหลือเกษตรกรตามโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2563 มีเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น จํานวน 7.57 ล้านราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 113,304.4 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งมีโครงการที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอผ่าน สศช. และผ่านการอนุมัติจากมติ ครม. เรียบร้อยแล้วนั้น รวมทั้งสิ้น 36 โครงการ โครงการภายใต้แผนงาน 3.1 (เพิ่มศักยภาพและยกระดับการผลิต) จํานวน 3 โครงการ และโครงการภายใต้แผนงาน 3.2 (เศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจชุมชน) จํานวน 33 โครงการ รวมถึงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้กู้ยืม (ลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน) ด้วย และ 4) การบริหารจัดการน้ํา
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) ปัญหาและอุปสรรคการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ส.ป.ก. 2) การขอรับความสนับสนุนหรือขอความร่วมมือในการจัดหาเครื่องจักรกลและเครื่องมือทางการเกษตรให้แก่เกษตรกรในท้องที่ที่ขาดแคลน 3) การพิจารณาทบทวนการออกหลักฐาน กสน.5 ในที่ดินที่ได้มีการประกาศสงวนหวงห้ามไว้ตามกฎหมายอื่นก่อนแล้ว 4) การแก้ไขปัญหาราคาข้าว และ 5) การสร้าง Trust Mode ประเทศด้านการเกษตร - อุตสาหกรรมในรูปแบบเครือข่าย (Single Platform) โดยในที่ประชุมได้มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปอาหารใฟ้เป็นระบบครบวงจร
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ได้กล่าวในโอกาสมอบนโยบายและการบูรณาการความร่วมมือในการดําเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ว่า คณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีถือเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งกรรมการทุกคนเป็นส่วนสําคัญในการช่วยรัฐบาลเป็นอย่างมาก เพราะมาช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล จึงขอถือโอกาสนี้ในนามของรัฐบาลกล่าวขอบคุณทุกท่านที่ทุ่มเทในการทํางาน และช่วยผลักดันให้นโยบายรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนเป็นอย่างดี รัฐบาลอยากเห็นการทํางานร่วมกันในทุกภาคส่วน ถ้ามีการบูรณาการร่วมกันที่ดีก็จะทําให้ลดขั้นตอนและลดภาระในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ และหากมีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่องจะทําให้การทํางานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ที่ระดับ 78 ล้านล้านบาท ไม่เป็นความจริง | หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 ที่ระดับ 78 ล้านล้านบาท ไม่เป็นความจริง
ตามที่ได้มีการแชร์รูปภาพและเนื้อข่าวว่า หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 สูงถึง 78 ล้านล้านบาท นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอชี้แจงว่า เนื้อหาข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 หนี้สาธารณะมีจํานวนทั้งสิ้น 7.8 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เท่ากับ ร้อยละ 49.34 ประกอบด้วย หนี้รัฐบาล จํานวน 6.73 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 795,980 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทําธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 309,472 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 7,821 ล้านบาท
ทั้งนี้ หนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง จํานวน 6.3 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.40 ของ GDP สําหรับหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐ จํานวน 1.5 ล้านล้านบาท ใช้แหล่งเงินอื่นมาชําระหนี้ จึงไม่เป็นภาระต่องบประมาณ
ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงการคลังได้บริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ปี 2564 ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังซึ่งกําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60
ทั้งนี้ การเจตนานําเข้า เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือน ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5505 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่ง | ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่ง
จากการที่มีผู้ให้ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่งว่าเป็นโครงการที่ดี ออกแบบมาให้ผู้ได้รับประโยชน์เป็นร้านค้าขนาดเล็กและประชาชนทั่วไป ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ และกระตุ้นใการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการที่มีผู้ให้ความเห็นต่อโครงการคนละครึ่งว่าเป็นโครงการที่ดี ที่มีการออกแบบมาให้ผู้ได้รับประโยชน์เป็นร้านค้าขนาดเล็ก และให้แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ และกระตุ้นให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ข้อจํากัดของโครงการ คือ ประชาชนลงทะเบียนไม่ทัน และผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนไม่สามารถเข้าถึงโครงการได้
กระทรวงการคลังขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการดูแลผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2560 โดยให้ความช่วยเหลือค่าครองชีพผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นสําหรับผู้มีรายได้ไม่เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี ได้รับ 300 บาทต่อเดือน และผู้ที่มีรายได้เกินกว่า 30,000 บาทแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ได้รับ 200 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังได้รับวงเงินสําหรับค่าโดยสารเดินทาง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า และค่าน้ําประปา เป็นต้น กว่า 1,500 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงมีมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งนอกจากโครงการคนละครึ่งที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้ที่พอจะมีกําลังซื้อมาร่วมจ่ายกับรัฐแล้ว ยังมีโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กลุ่มดังกล่าว ประมาณ 14 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จําเป็น จํานวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2563 อีกทั้งโครงการดังกล่าวยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่น กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจฐานรากที่สําคัญด้วย
สําหรับโครงการคนละครึ่งมีระบบการใช้จ่ายด้วยแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และ “ถุงเงิน” ที่มีการยืนยันตัวตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใช้ให้มั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นมาใช้สิทธิแทน และมีการใช้จ่ายจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกระดับจนถึงระดับฐานราก ให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและพัฒนาให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ Digital Society ไปพร้อมๆ กัน ในขณะเดียวกันยังเป็นการลดการใช้เงินสด ทําให้การดําเนินโครงการโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ สําหรับประเด็นข้อจํากัดอื่น ๆ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงให้ครอบคลุมประชาชนให้มากที่สุด
รองโฆษกกระทรวงการคลังได้ย้ําว่า กระทรวงการคลังมีนโยบายในการดูแลประชาชนให้ทั่วถึงทุกกลุ่ม ซึ่งนอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังได้มีการดูแลประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านมาตรการอื่นๆ ของรัฐด้วย
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง) | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นฤมล ชวน สปก.ร่วมส่งเสริม Zero Accident ในการทำงาน | นฤมล ชวน สปก.ร่วมส่งเสริม Zero Accident ในการทํางาน
รมช.แรงงาน เผย สถิติสถานประกอบกิจการ ร่วมกิจกรรม Zero Accident Campaign เพิ่มขึ้นทุกปี หวังให้ทุกภาคส่วนเป็นส่วนหนึ่งช่วยลดอุบัติเหตุจากการทํางาน
ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กิจกรรมการรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากการทํางานให้เป็นศูนย์ หรือ Zero Accident Campaign 2020 ที่จัดขึ้นโดย สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 20 โดยนําหลักการและแนวคิดจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่น มาปรับให้เหมาะกับประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการร่วมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการทํางาน บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่า อุบัติเหตุที่มีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับการทํางานสามารถป้องกันได้ โดยการลดสถิติการประสบอันตรายในสถานประกอบกิจการให้เป็นศูนย์ ผ่านการวางแผนและบริหารจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย เพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดี สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล รวมถึงยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศ ภายใต้โครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) โดยมีเป้าหมายในการลดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางานอย่างยั่งยืน
รมช. แรงงาน กล่าวต่อว่า สสปท. รายงานว่า ในระหว่างปี 2562 ถึง 2563 มีจํานวนสถานประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการและได้รับการรับรองเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 23.72 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสําคัญในเรื่องความปลอดภัยและลดสถิติอุบัติเหตุจากการทํางานให้เป็นศูนย์ โดยในปี 2564 จะประชาสัมพันธ์กิจกรรมดังกล่าว ให้สถานประกอบกิจการมากขึ้นผ่านการ Live จาก สสปท. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการรายเก่าที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมให้สานต่อกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มช่องทางให้สถานประกอบกิจการ กลุ่ม SME ได้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น ตลอดจนการเชิญวิทยากรเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย หรือผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณระดับสูง ได้บอกเล่ามาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
สถานประกอบกิจการที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม Zero Accident Campaign 2020 กับทาง สสปท. สามารถดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ www.tosh.or.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0 2448 9111 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 18 - 26 พฤศจิกายน 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.13 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อํานวยการสํานักแผนภาษี รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 18 - 26 พฤศจิกายน 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 616 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 12.13 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 330 คดี ค่าปรับ 3.17 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 193 คดี ค่าปรับ 4.63 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.14 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 34 คดี ค่าปรับ 1.04 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 5 คดี ค่าปรับ 0.25 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 23 คดี ค่าปรับ 0.48 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 2.42 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,797.725 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,989 ซอง ไพ่ จํานวน 841 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 29,653.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 9,978 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 43 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 26 พฤศจิกายน 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 4,686 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 86.47 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 2,616 คดี ค่าปรับ 25.60 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,494 คดี ค่าปรับ 34.68 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 129 คดี ค่าปรับ 1.36 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 142 คดี ค่าปรับ 7.29 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.67 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 187 คดี ค่าปรับ จํานวน 5.02 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 98 คดี ค่าปรับ 11.85 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 77,423.880 ลิตร ยาสูบ จํานวน 121,699 ซอง ไพ่ จํานวน 8,966 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 228,017.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 57,981 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 259 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง | ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง
ความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.5 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจํานวน 9,493,942 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 28,609 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยความคืบหน้าของโครงการคนละครึ่งว่า ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เวลา 12.00 น. มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 8.5 แสนร้านค้า และมีผู้ใช้สิทธิแล้วจํานวน 9,493,942 คน โดยมียอดการใช้จ่ายสะสม 28,609 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 14,599 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 14,010 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามลําดับ
สําหรับประชาชนที่ลงทะเบียนในเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 และได้รับ SMS ยืนยันสิทธิแล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” พร้อมยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย โดยขอให้เริ่มใช้สิทธิในการใช้จ่ายโดยเร็วภายใน 14 วัน นับจากวันถัดจากวันที่ได้รับ SMS แจ้งรับสิทธิ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทยมีการติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยได้ระงับสิทธิการใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” และระงับการจ่ายเงินให้แก่ร้านค้าที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทําผิดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการนําส่งข้อมูลหลักฐานการกระทําความผิดให้แก่กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และสํานักงานตํารวจแห่งชาติเพื่อใช้สําหรับการสืบสวนสอบสวนและดําเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จึงขอความร่วมมือประชาชนและร้านค้าให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการ และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนตามโฆษณาผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่เป็นการดําเนินการผิดเงื่อนไขโดยไม่มีการใช้จ่ายซื้อสินค้าจริงอย่างเด็ดขาด เพราะอาจตกเป็นเหยื่อในการสนับสนุนให้เกิดการกระทําความผิดซึ่งจะมีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปด้วย
โครงการคนละครึ่ง
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144 (24 ชั่วโมง) | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘จับกัง1’ เรียก หน.ส่วนราชการกระทรวงแรงงาน 21 จังหวัดภาคกลาง รับนโยบายเดินหน้า Co-Payment มุ่งพลิกฟื้นสถานประกอบการ | ‘จับกัง1’ เรียก หน.ส่วนราชการกระทรวงแรงงาน 21 จังหวัดภาคกลาง รับนโยบายเดินหน้า Co-Payment มุ่งพลิกฟื้นสถานประกอบการ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ประชุมหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงาน ในพื้นที่ภาคกลาง 21 จังหวัด มอบนโยบายการดําเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สําหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) พร้อมเชิญนายจ้าง/สถานประกอบการ 235 บริษัท
รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกํากับดูแลของพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโควิด -19 กระทรวงแรงงานจึงมุ่งมั่นส่งเสริม และขยายโอกาสมีงานทําของผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ประชาชนทั่วไป และผู้ว่างงาน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว
นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า การรับทราบสภาพปัญหาข้อเท็จจริงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ และรับฟังข้อเสนอแนะจากมุมมองนายจ้าง/สถานประกอบการ ในการดําเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สําหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) เป็นเรื่องที่กระทรวงแรงงานให้ความสําคัญ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาใหม่กับนายจ้าง/สถานประกอบการบรรลุข้อตกลงร่วมกัน และนําไปสู่การจ้างงานตามโครงการฯโดยเร็วที่สุดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จํานวน 260,000 อัตรา จึงได้เชิญนายจ้าง/สถานประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ภาคกลาง จํานวน 235 บริษัท เข้าร่วมประชุม พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานภาคกลาง ทั้ง 5 หน่วย ประกอบด้วยสํานักงานแรงงานจังหวัด สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด สถาบันหรือสํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด และสํานักงานประกันสังคมจังหวัด รวม 21 จังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อมอบนโยบายการดําเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สําหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment)
ด้านอธิบดีกรมการจัดหางาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สําหรับผู้จบการศึกษาใหม่ โดยภาครัฐและเอกชน (Co – payment) นั้น คาดหวังให้ผู้จบการศึกษาใหม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานใหม่ มีงานทํา มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะและประสบการณ์ในการทํางาน และสามารถดํารงชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งช่วยสนับสนุนและส่งเสริมภาคเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการให้สามารถเปิดดําเนินธุรกิจต่อไปได้ ลดต้นทุนการดําเนินกิจการ และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้ประเทศ
“สําหรับผู้จบการศึกษาใหม่ ผู้ที่กําลังมองหางานทํา และนายจ้าง/สถานประกอบการ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.จ้างงานเด็กจบใหม่.com หรือติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ในพื้นที่ใกล้บ้าน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ | การบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการ
การบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการ
การบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการ | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนพฤศจิกายน 2563 | ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนพฤศจิกายน 2563
“ดัชนี RSI เดือนพฤศจิกายน 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของภาคใต้ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังค่อนข้างทรงตัว”
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่เป็นการประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดทําดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค พบว่า “ดัชนี RSI เดือนพฤศจิกายน 2563 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของภาคใต้ อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังค่อนข้างทรงตัว”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 70.5 แสดงถึงการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 7 จากปัจจัยสนับสนุนของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม โดยในภาคอุตสาหกรรมคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวทั้งในและต่างประเทศประกอบกับมาตรการภาครัฐที่ยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง สําหรับภาคเกษตรกรรมคาดว่าจะมีการเก็บเกี่ยวปาล์มเพิ่มขึ้นประกอบกับมีแนวโน้มความต้องการยางพาราในการผลิตถุงมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ยางต่างๆ มากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ เช่น การใช้น้ํามันปาล์มเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และการส่งเสริมไบโอดีเซล เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ที่ระดับ 69.7 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เช่นกัน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นโดยมีภาคเกษตรและภาคการจ้างงานเป็นปัจจัยสนับสนุน เนื่องจากผลผลิตสินค้าเกษตรโดยรวม อาทิ ข้าว ยางพารา และ สับปะรด มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณน้ําฝนที่เพียงพอ ประกอบกับมีการส่งเสริมการจ้างงานของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกรอบใหม่และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทําให้มีการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการเพิ่มขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตกอยู่ที่ 65.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นโดยมีภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะดีขึ้นเป็นลําดับส่งผลให้มีคําสั่งซื้อสินค้าทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมมากขึ้นจากทั้งความต้องการสินค้าในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งภาครัฐยังมีนโยบายสนับสนุนภาคเกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 62.9 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าโดยเฉพาะในภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น ทําให้มีความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น และรัฐบาลยังมีมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมด้านเงินทุนและการพัฒนาด้านการผลิตซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าให้ดียิ่งขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 62.4 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากภาคเกษตรกรรมกําลังเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวและมีนโยบายจากภาครัฐในการขับเคลื่อนและสนับสนุนภาคเกษตรอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งภาคอุตสาหกรรมยังได้แรงสนับสนุนจากการลงทุนภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และโลจิสติกส์ สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคกลางอยู่ที่ 56.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคบริการและภาคการเกษตร เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่วนในภาคเกษตรกรรมคาดว่าสภาพอากาศจะเอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูก สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 50.5 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังค่อนข้างทรงตัว แม้จะมีภาคอุตสาหกรรมเป็นปัจจัยสนับสนุน แต่การลงทุนยังมีแนวโน้มชะลอตัว
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2563 (ณ เดือนพฤศจิกายน 2563)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 50.5 62.4 69.7 70.5 56.7 62.9 65.9
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 53.0 70.1 74.9 75.0 57.0 61.3 67.3
2) ภาคอุตสาหกรรม 54.1 64.3 67.1 76.2 52.0 73.4 73.6
3) ภาคบริการ 50.9 63.6 67.9 71.3 67.9 61.5 63.7
4) ภาคการจ้างงาน 49.5 55.3 69.7 68.8 52.8 59.8 63.4
5) ภาคการลงทุน 44.9 58.7 68.7 61.4 53.7 58.6 61.8
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 | 2020-11-30 | 1,429.98999 | 1,408.310059 | 1,435.040039 | 1,408.02002 | down |
รัฐบาลไทย-รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19 | รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจําปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19
รมว.วธ.เผย สบศ. ประกาศเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจําปีการศึกษา 2562 พร้อมออกประกาศแนวปฏิบัติเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ให้สถานศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียงกับ จ.สมุทรสาคร ปิดเรียน 24 ธ.ค.2563 - 3 ม.ค.2564 สอนออนไลน์-บุคลากรปฏิบัติงานที่บ้าน 14 วัน
วันที่ 22 ธ.ค.2563 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นางนิภา โสภาสัมฤทธิ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ว่า สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ได้ประกาศเลื่อนการจัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจําปีการศึกษา 2562 ที่มีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 - 30 ธันวาคม 2563 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ออกไปก่อน โดยวัน เวลา และกําหนดการที่ชัดเจนสบศ.จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขณะเดียวกันวันนี้ (22 ธ.ค.) สบศ.ได้ออกประกาศ สบศ. เรื่องแนวปฏิบัติและมาตรการเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ฉบับที่ 6) โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามแถลงการณ์ของศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรณีมีประชาชนติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จํานวนมากในพื้นที่จ.สมุทรสาคร และมีแนวโน้มการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ในจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งสบศ.มีสถานศึกษาและหน่วยงานในสังกัดที่มีความเสี่ยงสูงและต้องปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัดต่างๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรค COVID-19 ในวงกว้างนั้น สบศ.จึงกําหนดแนวปฏิบัติและมาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID-19 ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา บุคลากรและประชาชน อันเป็นการเฝ้าระวังการระบาดของโรค ฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ดังนี้
1.ให้สถานศึกษาในพื้นที่ใกล้เคียงกับจ.สมุทรสาคร ได้แก่ วิทยาลัยนาฏศิลป คณะศิลปศึกษา คณะศิลปวิจิตร คณะศิลปนาฏดุริยางค์ วิทยาลัยช่างศิลป และโครงการบัณฑิตศึกษา ปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียน ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2564 โดยให้สถานศึกษาเป็นผู้กําหนดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์หรือเรียนรู้จากสื่อหรือเอกสารประกอบการเรียนตามที่ครูหรืออาจารย์ผู้สอนกําหนด ทั้งนี้ ในระหว่างปิดการเรียนการสอนให้สถานศึกษากําหนดรูปแบบการติดตาม กํากับ ดูแลนักเรียน นักศึกษาเพื่อสนับสนุนมิให้มีความสุ่มเสี่ยงต่อการไม่ถือปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังของรัฐ
2.ให้คณบดี ผู้อํานวยการวิทยาลัย หัวหน้าโครงการบัณฑิตศึกษา และผู้อํานวยการสํานักงานอธิการบดี มีอํานาจในการพิจารณาภาระงาน รูปแบบการทํางานของข้าราชการ และบุคลากรทางการศึกษา และบุคลากรอื่นในสังกัดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตามความเหมาะสมโดยคํานึงถึงประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน
3.กรณีสถานศึกษาหรือหน่วยงานที่มีบุคลากรพักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จ.สมุทรสาครหรือเขตพื้นที่ที่ทางราชการประกาศต่อไป ให้หัวหน้าสถานศึกษาหรือหัวหน้าหน่วยงานพิจารณาให้หยุดเป็นกรณีพิเศษโดยกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลา 14 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา และมอบหมายภาระงานให้ปฏิบัติที่บ้าน (work from home) ตามความเหมาะสม และขอความร่วมมือให้บุคลากรให้ข้อมูลด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง สําหรับสถานศึกษาใดมีนักเรียน นักศึกษาที่อยู่เขตพื้นที่ประกาศ ให้สถานศึกษาพิจารณาให้หยุดเรียนตามประกาศหรือคําสั่งที่หน่วยงานของรัฐที่กําหนด
และ 4.ให้ทุกสถานศึกษาและหน่วยงานดําเนินการตามมาตรการป้องกันที่กระทรวงสาธารณสุขหรือที่เกี่ยวข้องกําหนดอย่างเคร่งครัด
------------------- | 2020-12-23 | 1,422.589966 | 1,416.02002 | 1,440.52002 | 1,414.209961 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู | องคมนตรี ตรวจเยี่ยม รพ.นาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลําภู
องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยจาก 3 เดือนเหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป็นสมาร์ทฮอสปิทัล ใช้ปัญญาประดิษฐ์คัดกรองวัณโรคปอด
องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกเขตสุขภาพที่ 8 ลดเวลารอคอยจาก 3 เดือนเหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป็นสมาร์ทฮอสปิทัล ใช้ปัญญาประดิษฐ์คัดกรองวัณโรคปอด ใช้ Smart Ambulance สร้างความปลอดภัยรถพยาบาลนําส่งผู้ป่วย
วันนี้(23ธันวาคม 2563) พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ในฐานะรองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจบุคลากรและติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานโรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดหนองบัวลําภู
นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า โรงพยาบาลนาวังเฉลิมพระเกียรติ80พรรษา ได้พัฒนาระบบบริการ เป็นศูนย์ผ่าตัดตาต้อกระจกของเขตสุขภาพที่ 8 ดูแลผู้ป่วยในจังหวัดหนองบัวลําภู เลย อุดรธานี หนองคาย และเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ให้บริการผ่าตัดตาต้อกระจกแล้ว 6,129 ราย ต้อเนื้อ 1,203 ราย รวมผ่าตัดทั้งสิ้น 7,332 ราย ลดเวลารอคอยการผ่าตัดจากประมาณ 3 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ และลดผู้พิการตาบอดจากโรคตาต้อกระจกได้เป็นจํานวนมาก นับเป็นการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้รับบริการ และขยายบริการสู่ อําเภอสุขภาพตาดี โดยคัดกรองสายตาสั้น ยาว เอียง ในเด็กประถมวัยครอบคลุมร้อยละ 77 รวมทั้งเป็นโรงพยาบาล Smart Hospital นําปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้คัดกรองวัณโรคปอดร่วมกับกรมการแพทย์ และเพิ่มความปลอดภัยในการนําส่งผู้ป่วยระหว่างสถานบริการด้วยระบบ Smart ambulance ร่วมกับบริษัทเอสซีจีโลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จํากัด
นอกจากนี้ ได้ร่วมมือกับสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ให้บริการทันตกรรมที่ซับซ้อนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อาทิ การรักษารากฟัน ทําครอบฟัน ฟันปลอมเฉพาะส่วน และฟันปลอมทั้งปาก มีระบบการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ให้บริการวันละ 40-50 คนต่อวัน ช่วยลดการรอคอยจากเดิม 2-3 เดือน เหลือเพียง 3 สัปดาห์
ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2562 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับพระราชทานสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูลก่อสร้างระบบเครื่องกรองน้ําบริสุทธิ์ (RO) สามารถผลิตน้ําได้วันละ 12,000 ลูกบาศก์ลิตรต่อวัน และระบบออกซิเจนทางการแพทย์ ( O2 PIPE line) ให้บริการผู้ป่วยมากกว่า 1,000 รายต่อปี และในปี 2563 ได้รับพระราชทานงบประมาณการก่อสร้างปรับปรุงอาคารและระบบบริการผู้ป่วยนอก (อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) งบประมาณ 2,810,000 บาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง และจะแล้วเสร็จตามสัญญาจ้างภายในเดือนมกราคม 2564
************************************* 23 ธันวาคม 2563 | 2020-12-23 | 1,422.589966 | 1,416.02002 | 1,440.52002 | 1,414.209961 | down |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย | ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย
ดีอีเอส ร่วม กสทช.-5 ค่ายมือถือส่ง SMS อัพเดทข่าวสารโควิดให้ต่างชาติในไทย
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงข่าวร่วมกับนายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการสายงานกิจการโทรคมนาคม สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พร้อมด้วยผู้บริหารของผู้ให้บริการมือถือทั้ง 5 เครือข่าย ร่วมแถลงข่าวการแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ผ่านบริการเอสเอ็มเอส (SMS) ให้กับชาวต่างชาติที่พํานักในประเทศไทย และแรงงานต่างด้าว จํานวน 2,804,000 เลขหมาย ตามฐานข้อมูลที่มีการลงทะเบียนไว้กับดีแทค ทรู เอไอเอส ทีโอที และกสท โทรคมนาคม ณ ห้อง MDES 1 ชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ สําหรับความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยสื่อสารเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และสื่อสารข้อมูลถึงคนต่างชาติที่เข้ามาทํางานในไทย โดยเนื้อหาหลักๆ เป็นการให้ความรู้ คําแนะนําในการปฏิบัติตัว รวมทั้งให้ข้อมูลเบอร์โทร 1422 สําหรับการติดต่อกรมควบคุมโรค กรณีที่ต้องการคําปรึกษา หรือความช่วยเหลือเมื่อมีอาการเจ็บป่วย โดยเบื้องต้นจะมีข้อความภาษาอังกฤษ ภาษาเมียนมา ภาษากัมพูชา เพื่อให้เจ้าของภาษาเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
***************** | 2020-12-23 | 1,422.589966 | 1,416.02002 | 1,440.52002 | 1,414.209961 | down |